MAGAZINE
ปีที่๑ ฉบับที่๑๐ ประจำเดือน ตุลาคม ๒๕๕๕
เดือน๑๐
เดือนแห่งอนามัย โรงพยาบาล และคลินิก ภายในฉบับ: +ว่าด้วยกลอนประเภทต่างๆ +หนองคาย ครั้งที่๑ +ไม่ใช่ทุกคนจะมีเสียงที่ดี กับไม้ ดิแอคทีฟ +แลนด์ “ใครๆก็ทำ(หนัง)ได้นะครับ!” +ฯลฯ
ฟรี
ดาวน์โหลด
จากใจบรรณาธิการ สวัสดีท่านผู้อ่านในเดือนตุลามคม กับนิตยสารแนวๆฉบับนี้ก็ฉบับเลข๒หลักแล้ว ฉบับที่๑๐ เล่มนี้ หน้าปกก็ขึ้นรูปคุณหมอ ครับ มันเป็นรูปคุณหมอใส่หน้ากากติดหนวดจิ๋ม(?) ในเล่มนี้ คอลัมน์ขยายความก็ได้ หยิบยกประเด็นการแพทย์การเมืองมาพูดกัน ท่านผู้อ่านก็น่าจะทราบว่าจริงๆ วัยรุ่นวัยเรียน พวกเขาก็ใส่ใจ สนใจการเมืองเหมือนกัน ไม่ใช่เป็นเรื่องเฉพาะที่คนโตๆแก่ๆพูดกันอย่างเดียว อย่าลืมนะครับ ว่าพวกเขาคือ อนาคตของชาติ ผมก็ไม่อยากจะให้จำกัดหรอก ว่าเรื่องนี้เหมาะกันวัยนี้ เรื่องนั้นเหมาะกับวัยนู้น แต่ถ้าจะจำกัด จริงๆมันก็ได้แหละ แต่พอพูดถึงเรื่องการเมือง เด็กๆเขาก็สนใจ หากผู้ที่โตกว่าให้ข้อมูลที่ถูกต้อง เขาก็จะกลาย เป็นพลเมืองที่ดีมีใจรักในประชาธิปไตยต่อไป เชื่อมั๊ย การหมอการแพทย์นั้น ผมก็แค่จะเน้นย้ำให้ท่านผู้อ่านใส่ใจในสุขภาพ หากเราเจ็บปวดไม่สบาย หาก สามารถรู้วิธีรักษาตัวเองในระดับเบื้องต้นได้ นับว่าเป็นเรื่องที่ดี เดือนนี้ก็ยิ่งมีแต่พายุฝนตก น้ำท่วมในพื้นที่ต่างๆ ในประเทศ หลายพื้นที่ก็ถูกตัดขาดจากการช่วยเหลือข้างนอก บงพื้นที่ก็น้ำท่วมมานาน อีกอย่างก็ยังมีเรื่องของ สัตว์มีพิษด้วยนะครับ ถึงตอนนี้ประเทศเราจะมีปัญหาอุทกภัย แต่ก็ยังมีปัญหาอื่นๆมาผสมโรงกันเข้าไปอีก โอย อะไรจะขนาด นั้น ก็อยากให้ท่านผู้อ่าน มีสติ เตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งเหล่านี้นะครับ มันไม่ได้อยู่ห่างไกลเราเลย โชคดี S.Kany Chupper ๐๒:๐๐น.-๑๐/๑๐/๒๕๕๕ ห้องพักหมายเลข๑๒ ประเทศไทย
From the inside magazine บรรณาธิการบริหาร : S.KANY CHUPPER บรรณาธิการ : นพพล ศิษย์จานมะ ผู้ช่วยบรรณาธิการ : จุฑามาศ เชิดนอก หัวหน้ากองบรรณาธิการ : นิกร มานพ กองบรรณาธิการ : นพพล,นภพล,ออน,บังอร,นิกร มานพ,นพพล ศิษย์จานมะ,จุฑามาศ เชิดนอก,อนุศาสตร์ โคตรเพชร,อุบลวรรณา กลิ�นจุ้ย,สุภัทรา เชื�อแดง,มนันห์ตชัย ไพรสินธ์,จอมพล ดอนนอก,อนันต์ ตองติดรัมย์, พรหมพร ฟิดเลอร์ ทับเนียม พิสูจน์อักษร : อากุ้ย โฆษณาและประชาสัมพันธ์ : นพพล ศิษย์จานมะ บรรณาธิการฝ่ายศิลป์และไอที : เฮชนุอิ,แอนดี� ฟรี ออกแบบ ปก, รูปเล่ม : Dream team group. เจ้าของ ผู้เผยแพร่ ผู้โฆษณา : เฉพาะกิจการพิมพ์ : ห้องพักหมายเลข�� หอพักศศิน ซอยซีเอสเค ถนนคอนกรีต แขวงหลังร้านล้างรถ เขตหลังมอ จังหวัดขอนแก่น โทรศัพท์ ���-������� อีเมล์ NP�L@HOTMAIL.COM ติดต่อลงโฆษณา : ติดต่อคุณหนุ่ย ���-������� พิมพ์ที� : คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คยี�ห้อเดล
ข่าวฝากประจำเดือน ตุลาคม
๒๕๕๕
นิทรรศการภาพถ่าย "ชีวิตคือ?” วันที�๕-๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๕ ณ. Lakmuang gallery khon kaen ข้อมูลเพิ�มเติมได้ที�
http://www.portfolios.net/events/�������:Event:������� จอดรถได้ที� ขอนแก่นแสงทอง,เทศบาลนครขอนแก่น, ปั�มเชลล์หรือ,เซนทรัลฯแล้วเดินมานิดหน่อย ครับ *พื�นที�ตรงนี�มีไว้สำหรับกิจกรรมดีๆ ที�เกิดขึ�นในแต่ละเดือน และเท่าที�เราได้ไปรู้มา เพื�อบอกต่อให้ได้รู้ เผื�อมีความสนใจอยากไป หรือว่างเว้นจากงานใดๆ แล้วไม่รู้ จะไปไหนดี ก็ขอเชิญครับ!!!! **ขอบคุณแหล่งข้อมูล >www.fecebook.com/LakmuangGallery >www.fecebook.com/finviwstodio
นิทรรศการแสดงผลงานหนังสั�น ภาพประกอบ กราฟฟิค ของผู้ชายที�ชื�อ หิน แห่งฟินวิ�วสตูดิโอ เปิดงานงานวันที� ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ โดย บอสติ�ม ณ. หอศิลป์ ตลาดต้นตาล ขอนแก่น เวลา ๑๘.๐๐ น. ภายในงานมีการแจก DVD Boxset ผลงานหนังสั�น และโปสการ์ด สูจิบัตร จำนวนจำกัด ช้าอดหมดนะจ๊ะ!
>๐๖<
สารบัญ
+เดือน๑๐ เดือนแห่งอนามัย โรงพยาบาล และคลินิก
>๑๒< + อ๊อฟ เอวิติง จิงกะเบล
>๒๔<
>๒๐< +แลนด์ “ใครๆก็ทำ(หนัง)ได้นะครับ!”
>๒๗<
+ไม่ใช่ทุกคนจะมีเสียงที่ดี กับไม้ ดิแอคทีฟ
>๒๙<
+ว่าด้วยกลอนประเภทต่างๆ
>๓๔<
+ว่าด้วยเรื่องความรัก
>๔๐< +ความเข้าใจ
>๔๓<
+หนองคาย ครั้งที่๑
>๔๑< +กาลครั้ง๑ที่เมืองออสติน
>๕๘<
ตอบจดหมาย
เรื�อง/ภาพ: นพพล ยานกาย
เดือน๑๐ เดือนแห่งอนามัย โรงพยาบาล และคลินิก. นพพล:ครับสวัสดีครับ แอ๋:ครับสวัสดีครับ นพพล:วันนี้เป็นเช้าของวันที่๒๗(กันยายน) ตอนนี้ เรากำลังทานเข้าเช้ากันอยู่ แอ๋:กี่โมงพี่คำว่าเช้า นพพล:ตอนนี้ตี๓ แอ๋:ตี3เช้าแล้ว นพพล:เช้ามาก แอ๋:คราวที่แล้วใช้ชื่อคอลัมน์ว่าเดือน๙ นพพล:ใช่ แอ๋:ทำไมเดือนนี้ต้องเป็นเดือน๑๐ล่ะพี่ นพพล:อ่าว ๙ก็มา๑๐ตั้ว แอ๋:ไม่ มันเกี่ยวอะไรถึงมาสิบ นพพล:ก็ตอนแรกเดือน๙เนาะ ก็เกี่ยวกับการสมมุติ ว่าเป็นเดือนแห่งความรัก แล้วเดือน๑๐ ก็คิดอยู่ว่าไอ้๑๐ จะเอาอะไรเพราะอย่างน้อยก็ให้มันมีความหมายนอกจาก แค่เป็นตัวเลขลิตส์มาเยอะมากมีทั้งรถสิบล้อมีทั้งเบนเท็น แอ๋:เบ็นเท็นมาด้วย? นพพล:มีทั้งตีสิบ อะไรไม่รู้ เยอะแยะลิตส์ๆมา แล้ว เพื่อนคนนึงก็เลยว่า เดือนเนี่ย เดือนตุลาคมเนี่ย มันจะมีวัน เกี่ยวกับพวกแพทย์พวกหมอน่ะเยอะ เกี่ยวกับโรงพยาบาล อะไรซักอย่างเนี่ย ก็เลยเออว่ะ ก็อย่างว่าละเนาะเดือนตุลา เดือนสิบ ประเทศไทยมันมีเหตุการณ์เยอะมาก มีอะไรนะ ๖ ตุลา ๑๔ตุลา ก็เลยเอามามิกซ์ๆ ก็เลยออกมาเป็นเล่มก็เป็น
หน้าปกที่เราเห็นกันเนาะ หน้าปกมันจะเป็นผู้ชายใส่ชุดกาวน์ ชุดคุณหมอจัดทรงผมเรียบแปล้ แล้วก็ใส่ผ้าปิดปาก ที่มี หนวดจิ๋มแปะ ก็คือเราจะพูดให้เห็นว่า มันจะมีเรื่องเกี่ยวกับ พยาบาลการแพทย์ เรื่องการเมือง ตัวหน้าปกก็จะอธิบาย ทั้ง๒อย่าง อีกอย่างนึงให้ลึกเข้าไปอีก เดือนสิบตัวเลขก็ เลข๑๐ เลขไมยก็เลข๑กับเลข๐ ถ้าเลขฝรั่งก็เลข1เลข0 แต่ถ้าเป็นเลขโรมันนิ่จะเขียนเป็นตัวX แล้วพอเลขสิบโรมัน มันคือตัวX มันก็เหมือนสัญลักษณ์ของกาชาด+ เป็นการ ยั่วล้อนิดนึงว่าเกี่ยวกับการแพทย์และการเมืองการปกครอ ง ไรเงี่ยคือเราไม่ได้สื่อว่า การแพทย์ไม่ดีหรือดี หรือยังไง เราไม่ได้บอก แค่เราเอาทั้ง๒อย่างมาอยู่ด้วยกันตามรูปแบบ หน้าปก แต่เราไม่ได้อวยว่านาซีเยอรมันดีเด่ เราทำออกมา ในทำนองของงานศิลปะชิ้นหนึ่งเฉยๆ เราไม่ได้เน้นตรงนั้น แต่เราเน้นเพียงแต่เครื่องหมาย + เหมือนเครื่องหมาย สวัสดิกะ และเหมือนตัวเลขในอักษรภาษาโรมันที่แปลว่า เลข๑๐ คืออยากให้ความหมายสื่อถึงการเมือง การแพทย์ ก็เท่านั้น ก็เลยออกมาเป็นชื่อของฉบับนี้ว่า “เดือนแห่ง อนามัย โรงพยาบาล และคลินิก” และก็แปลความหมาย ไปอีกว่าการพยาบาลการรักษานิ่ ก็เปรียบเทียบเหมือน ตอนนี้ประเทศเรากำลังป่วย เราก็เลยแบบ เปรียบเป็นคน ที่จะ คนกำลังจะดูแลปกป้อง หมอก็ นอกจากจะแค่รักษา คนที่เป็นแผลภายนอกที่โดนนั่นโดนนี่ ก็รักษาภายใน ก็เป็น จิตใจหรืออะไรงี้ด้วยก็ทำนองนี้ มีความหมายของมันเยอะ แอ๋:นึกถึงหมอพี่นึกถึงเหมือนผมมั๊ย พี่นึกถึงอะไร
นพพล:หมอ ก็นึกถึงบุคคลที่แต่งกายสุภาพแต่งตัว ภูมิฐาน น่าเชื่อถือ ลักษณะมันจะมีความแตกต่างจากคน ขายเครื่องกรองน้ำ ดูแล้วจะมีแววโรคจิตนิดๆ อะไรเงี่ย มันจะมีคำพูดแปลกๆศัพท์โรคอะไรไม่รู้ แอ๋:ผมนึกถึงหมอแล้วนึกถึงเด็กคณะแพทย์ นพพล:ตุ๊ย! แอ๋:น่ารักขาวหมวยๆ โอ้วสเป็กเลยอ่ะ นพพล:พอพูดถึงอ่ะ มึงป่วยครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่? แอ๋:ถ้าเข้าโรงบาลก็น่าจะปลายปีที่แล้วนะพี่ นพพล:เป็นไรวะ? แอ๋:อือ..ต้นๆปี ไม่ได้ป่วยหรอก ก็พาพี่ไปโรงบาล นพพล:เอ่า อันนั้นกูป่วย! แอ๋:ก็นั่นไง ก็ผมไม่ได้ป่วยไง ไม่ ถ้าผมป่วยก็พัก ผ่อนดีกว่า ผมแพ้ยา ผมซื้อเองดีกว่า แล้วไปหาหมอคน เยอะ ก็ดีพยาบาลน่ารักดี แล้วเภษัชจ่ายยาโรงบาลศรีฯ น่ารักมาก นพพล:ก็อย่างที่ว่าแหละ ก็คือป่วย ถ้ากูไม่ป่วย ขนาดนั้นก็คงไม่ไปเหยียบโรงบาลเหมือนกัน ก็ซื้อยากิน ถ้า เป็นไปก็อยากจะดูแลสุขภาพให้มันดีๆ พอได้ป่วยก็เลยรู้ว่า ตัวเองอ่อนแอมาก แอ๋:เกือบตาย! นพพล:เออ แล้วถ้าไม่มีบัตรนักศึกษานิ่จบเลย ค่า เจาะเลือดแม่งโคตรแพง ดีที่บัตรนักศึกษายังมีผลคุ้มกะลา หัวอยู่ แล้วที่ซื้อยาเองนิ่ มีความรู้เรื่องยาเหรอ แอ๋:ไม่มี แต่ผมรู้ว่าผมแพ้ยาตัวไหน ก็จะบอกเค้า นพพล:แพ้ยาอะไรวะ? แอ๋:แพ้ยาพาราฯพี่ อันนี้เรื่องจริงไม่ได้เล่นมุข นพพล:พารายังไง แอ๋:พาราเซตาม่อลนี่แหละ แพ้ ว่าแต่มีส่วน ประ กอบของพาราฯกินไม่ได้เลย แล้วก็ยาตัวนึงยาฆ่าเชื้อ นพพล:เอ้าแล้วสมมุติว่ามึงปวดหัวมึง.. แอ๋:ถ้าปวดหัวผมต้องยา พอนแสตน ที่ผู้หญิงเค้า ใช้แก้ปวดท้องเมนส์น่ะ
นพพล:เอ่า มึงเป็นเมนส์ติ? แอ๋:ไม่ มันแก้ปวดเหมือนกัน ไม่ก็แอสไพริน มันเป็น ยาอันตราย เขาไม่อยากขาย แต่เขาก็ให้กินตัวนั้น บอกวิธี ใช้อะไรมา นพพล:ทำไมวะ มันกินยากติ? แอ๋:มันทำให้เลือดไม่หยุดไหล ทำให้เลือดไม่แข็งตัว นพพล:พูดเรื่องโรงหมอ มึงเคยเข้าอนามัยมั๊ย? แอ๋:เคยๆๆ ไปขอถุงยางฯ นพพล:โคตรแม่ง.....กูเคยเข้าอนามัยอยู่ คลินิกก็ เคยเข้า แต่ก็อย่างว่าบรรยากาศมันก็จะแตกต่างกันไปเนาะ อย่างคลินิกก็จะเป็นแคบๆเล็กๆเหมือนตึกแถวแล้วแบ่งซอย แต่ถ้าเป็นอนามัยนิ่ ก็จะแบบเดียวกันหมดเลยทุกที่ โครง สร้างของตึกอาคาร แอ๋:ใช่ บันไดขึ้นสองทาง นพพล:มันจะมีทีนึงตอนเด็กๆไม่สบาย ได้ไปรับน้ำ เกลือที่อนามัย นอนอยู่อนามัยทั้งวันเลย แอ๋:พึ่งรู้ว่าอนามัยมีน้ำเกลือ นพพล:มึงลองป่วยดูสิแล้วไปอนามัย ก็คืออนามัย มันจะเตรียมพร้อมสำหรับถ้าอาการไม่หนักมาก ถ้าหนักเขา ก็จะส่งเข้าโรงพยาบาลต่อไป นี่แหละเหตุผลว่าทำไมมีต้องมี อนามัยประจำตำบลต่างๆ แอ๋:แล้วอนามัยบ้านพี่เหมือนบ้านผมมั๊ย? นพพล:ยังไง? แอ๋:คุณหมอ ไม่สิ คนที่ดูแล เขาไม่ค่อยใจดีเท่าไหร่ นพพล:ไม่รู้ว่ะ อันนี้ก็ใจดีเด๊ะ โดนนิสัยพื้นฐานเขา ก็ต้องใจดีแหละ แต่ก่อนมันอยู่หมอ....หมอจิ๋ว เอ้อ แกเป็นคนให้น้ำเกลือ แล้วจะมีอีกสองหมอ แต่แกย้ายไปนาน แล้วมีลูกสาวสองคนก็น่ารักเหมือนกันชื่อส้มโอกับน้อยหน่า แอ๋:อื้อ ชื่อน่ากินมากเลย อยากปลอกเปลือกส้มโอ นพพล:นั่นแหละ อาจจะเป็นเพราะว่า ลูกสาวเรียน จบก็เลยย้ายไปที่อื่น
แอ๋:โอะ พี่ไปบ่อยล่ะสิถึงย้าย นพพล:อนามัยอยู่หน้าโรงเรียนกูเนาะ แอ๋:หน้าโรงเรียน? นพพล:อื้อ แอ๋:โรงเรียนกับบ้านไกลกันมั๊ยพี่? นพพล:๓ร้อยเมตร โรงเรียนสมัยประถมฯ แอ๋:เคยโดดเรียนกลับบ้านมั๊ย? นพพล:ไม่เคย กูไม่รู้กูจะโดดไปทำไม เล่นกับเพื่อน สนุกกว่า แล้วทีนี้ อย่างคลินิกก็เลยเข้า แต่ส่วนใหญ่เข้าไป ขอใบรับรองแพทย์ แล้วเข้าคลินิกไปตรวจโรคก็ทีนึง ไปฉีด ยา แล้วก็คลินิกอื่นก็คิลนิกถอนฟัน ไปถอนฟันตอนเด็ก มัน จะประมาณว่าแม่ถอนไม่ได้แล้วก็เลยมาให้หมอถอนให้ คือ ปรกติตอนเด็กถ้าฟันเป็นอะไรมา ถอนเอง แม่เอาด้ายพัน เสร็จปั๊ปดึงปืดออกเลย แล้วปรากฏว่ามันดึงไม่ออก ก็เลย ไปให้หมอเอาคีมดึงให้ ถ้าแม่เก่งก็คงเอาคีมที่บ้านถอนเอง แล้วล่ะ แอ๋:อือหือ อยู่ที่บ้านมีคีมล็อคคีมไรเนาะ นพพล:อือ เค้าก็มีเครื่องมือแพทย์แหละ ก็ให้เค้าทำ ไปดีกว่า ได้วิตามินซีมากิน ก็เลยชอบวิตามินซี แอ๋:ตั้งแต่วันนั้น ทุกวันนี้ยังมีมั๊ยพี่ ยังเก็บไว้มั๊ย นพพล:ไม่มี แอ๋:พูดถึงวิตามินซีก็เป็นกันทุกคนเนาะ นพพล:เด็กทุกคนชอบวิตามินซี แอ๋:พี่เคยเอาไปโรงเรียนเพื่อนมาขอแย่งกินมั๊ย นพพล:ไม่เคยกูแดกคนเดียวหมดแล้ว แอ๋:สบายล่ะ!
นพพล:ก็อย่างว่า มันเป็นยา(เม็ด)ชนิดเดียวมั้ง ที่มันไม่ขม แอ๋:มันอร่อย นพพล:โดยปรกติทั่วไปยามันจะขมอยู่แล้ว มันมีตัว ยานู่นนี่นั่นเนาะ แต่วิตามินซีก็อย่างว่ามันเป็นวิตามิน แต่ สำหรับใครที่เป็นโรคเลือดจาง ยายิ่งโคตรไม่อร่อยเลย ไอ้ ยาเพิ่มเลือด แอ๋:เคยกินเหรอพี่? นพพล:เคยดิ กูเป็นเลือดจาง แอ๋:ตอนนี้เป็นมั๊ย? นพพล:ไม่รู้ ไม่เคยชิม คือมันจะมีความเข้มข้นใน เม็ดเลือดน้อยใช่แมะ แอ๋:อือๆ นพพล:เค้าก็เจาเลือดเนาะ คุณหมอ ตรวจปั๊ป เอ้า เป็นเลือดจางเด้อ! แอ๋:ก็เอาน้ำปลาใส่ นพพล:ก็เอายามาให้ยาเม็ด แอ๋:สีแดง นพพล:คือกูจะเป็นคนที่กินยาได้อยู่แล้ว ไม่แพ้ แต่ พอได้กินยาส้นตีนนิ่ เอื้ออออออ (ทำท่าทางเกร็งคอ บิดสี หน้าเหยเกประกอบ) แอ๋:ขนาดนั้นเลย? นพพล:คอแข็ง แต่ก็ต้องกิน! แอ๋:คือมันรับรู้ได้เลย? นพพล:อื้อ แต่เป็นคนที่กินยาได้ทุกชนิดไม่แพ้ เพราะ ป่วยบ่อย!
แอ๋:หือ ฮึๆ นพพล:แล้วแม่เป็นคนดูแลเลยแปลกใจว่าคนโตๆน่ะ ที่เขาป่วยแพอป่วยทำไมไม่กินยาไม่กินไม่เคยกิน? เอ้า อะไรงี้ แอ๋:ใช่ๆ แฟนผมไง พูดแล้วนึกถึงขึ้นมาเลย ผมเป็น คนบอกให้มันกินยา หวังว่ามันจึงถึงเราเวลาป่วย แฟนมัน ดูแลไม่ดีเท่าเรา แต่ก็ช่างแม่งมันเถอะ! ผู้หญิง... นพพล:แล้วทีนี้ก็เลยถามว่าไม่กินยา งั้นคงฉีดยา ไม่ กลัวเข็ม! เออ งั้นก็ขอให้มีชีวิตต่อไป เคยกินยาน้ำ ยาเม็ด ฉีดยา อะไรไม่รู้เยอะแยะ ไม่ได้แพ้ยา แล้วปรกตินะ โดยเฉลี่ยจะป่วยปีละสองครั้งก็ช่วงอากาศมันเปลี่ยน อย่าง น่าหนาวก็จะป่วยซักครั้งนึง ก็จะป่วยเป็นแบบตัวร้อน เป็น ไข้ไม่สบายงี้แหละ แอ๋:น่าหนาวก็จะป่วยเสียงหาย นพพล:ก็เป็นช่วงเลือกตั้ง? แอ๋:อันนั้นมันหาเสียงพี่ คนละอัน อันนี้เสียงที่พูด ช่วงนี้ก็ออกกำลังรักษาเสียงน่าจะไม่เป็นเท่าไหร่ปีนี้ นพพล:เสียงหายไม่เท่าไหร่ ไม่มีปัญหา แต่จะมีอะไร นะ เสล็ดในคอ แอ๋:หรือว่าเจ็บคอ นพพล:เออ แล้วเจ็บคอแล้วเวลากูเจ็บคอ ก็จะเป็น อยู่อาการเดียว ทอนซิล เป็นข้างนี้แล้วก็ย้ายมาข้างนี้ แล้ว มึงเคยเป็นแบบลามไปปวดหูมั๊ย แอ๋:ไม่เคย
นพพล:ซึ่งแบบ อันเนี่ยกูเป็นบ่อยมากไม่ได้ปวดแค่ เนี ่ ย แต่ ม ั น ลามไปถึ ง ตรงนี ้ ( ลากนิ ้ ว จากใต้ ค างไปใบหู ) เหมือนมีอะไรแหย่อยู่ในหู แต่มันไม่ใช่....เอ้อ พูดถึงเรื่อง พยาบงพยาบาล กูเคยคิดเด๊ะ ว่าอยากเป็นหมอ ช่วงนั้นน่ะ มันมีช่วงนึงที่กูบ้าการ์ตูนหมอใช่แมะ แอ๋:เร็วๆนี้เอง ไม่ใช่ช่วงนึง ที่ผ่านมาเร็วๆนี้เอง นพพล:ไล่ไปตั้งแต่ แอ๋:ด็อกเตอร์เค นพพล:ไม่ มันเริ่มจากนี่ กูไปอ่านนี่ก่อน แบล็กแจ็ค อ่านไปแล้วสองรอบ(ตอนนี้กำลังดูเวอร์ชั่นการ์ตูนทางโทร ทัศน์) ชอบคาแรกเตอร์ แล้วเรื่องมันก็โอเค คือมันเป็น การ์ตูนที่ดราม่าคือแบบอาจารย์เท็ตสึกะเขียนแต่การ์ตูน ดราม่า แอ๋:อะตอมก็ดราม่านะ นพพล:นั่นแหละมันก็ดราม่าทุกเรื่องแหละ แต่แบบ มันเป็นแบบเหนือจินตนาการ แบบหมอส้นตีนไรวะแม่งโคตร เก่งแต่เก็บค่ารักษาโคตรแพงมันทำให้เห็นว่าภาพลักษณ์หมอ ไม่ใช่ต้องมาเป็นแบบใจดี แต่งตัวสุภาพเรียบร้อยไรงี้ ถัดมา ก็มาอ่านเรื่องนี้ดอกเตอร์เค ได้ยินชื่อนานแล้วมันจะมี๒แบบ เวอร์ชั่นเก่ากับใหม่(จริง๓ภาค คือ ซูปเปอร์ดอกเตอร์เค, ดอกเตอร์เค,เค๒) มันไม่ได้เป็นแค่การ์ตูนหมอ แต่มันยังมี การต่อสู้แบบในวงการแพทย์นั่นแหละเยอะมาก แล้วมันก็ เก่งทั้งตระกูลจริงๆ แล้วก็มาอีกเรื่องนึง อันนี้จะเกี่ยวกับ หมอรักษาสัตว์ สัตวแพทย์ อันนี้ก็จะเป็นมุมมองของ การ รักษาสัตว์ คือแบบ อันนี้เรื่อง อะไรน้า..หมอทตโทริ เอ้อดูลิตเติ้ล (VETERINARIAN DOLITTLE ตอนนี้ก็มีเวอร์ชั่นคนแสดง เป็น ละครทางโทรทัศท์ดูแล้วมันส์มาก) ประมาณว่า หมอดูลิตเติ้ลจะ สามารถคุยกับสัตว์ได้(สื่อสารกับ สัตว์ได้) ก็เลยชอบ แล้วเป็นหมอ ที่คล้าบแบล็กแจ็ค+ดอกเตอร์เค คือเก่งแล้วรักษาแพง แต่รักษาได้ ป่วยจะตายแค่ไหนก็ได้อะไรงี้แหละ
แล้วมันจะมีข้อคิดแต่ละตอนคล้าย แบล็คน่ะแหละ มันทำให้ เข้าใจพวกเรื่องการเลี้ยงสัตว์นิ่ เป็นข้อคิดที่กูชอบที่สุดเลย คือ ถ้ามึงอยากจะเลี้ยงสัตว์ มึงจะต้องยอมต้องพร้อมที่ จะรับ ตอนที่มันป่วยด้วย ถ้ามันป่วย มึงต้องรักษา ไม่ใช่ว่า ป่วยแล้วจะไม่รักษาเพราะมันเป็นสมาชิกในครอบครัวอย่าง สมมุติมึงเลี้ยงหมาเลี้ยงแมว อย่างหมานี่เนาะมันจะมีระบบ ของหมา กูก็เพิ่งรู้ ระบบจ่าฝูง(ระบบอัลฟ่า) อย่างเราเอา มาเลี้ยง คนที่ใหญ่ที่สุดในบ้านคือจ่าฝูง สมมุตอย่างเราก็จะ เป็นพ่อแม่ไรงี้น่ะแต่ถ้าสมมุติในบ้านนั้นน่ะลูกดันทำตัวเป็นลูก เทวดา(ระยำทำตัว เหนือพ่อแม่ ลูกแหง่ เอาแต่ใจ)หมาก็จะ มองว่าเนี่ยจ่าฝูง คนที่รองลงมาจะต่ำกว่ามันอีก ซึ่งคน ทั่วไปไม่รู้ คือหมา มันจะมีระบบของมันอยู่แล้ว เราจะต้อง เข้าใจธรรมชาติ ของสัตว์เลี้ยงก่อนถึงจะเอามาเลี้ยงได้ อย่างหมาเมือง หนาว ไซบีเรี่ยนฮัสกี้ มันต้องไปลุยหิมะ
ประเทศไทยมีให้มัน เล่นมั๊ย นอกจากดรีมเวิลด์ แอ๋:พาหมาไปดรีมเวิลด์ทุกวันก็เจ๊ง! นพพล:มันก็ไม่ใช่ ใช่มั๊ยล่ะ แล้วเขาจะให้เข้ามั๊ยก็ยัง ไม่รู้เลย แล้วทีนี่ยังไม่พูดสัตว์ชนิดอื่นเลย แอ๋:ถ้าเลี้ยงปลาล่ะพี่? นพพล:ถ้าเลี้ยงปลา ก็ต้องรู้ว่า กว่ามึงจะเอาไป ใส่ในอ่าง ไม่ใช่ว่าเทถุงใส่เลยเด๊ะ คือมึงต้องเอาถุงใส่ปลานั่น ไปแช่ในอ่างน้ำนั่น เพื่อให้น้ำในถุงปรับอุณหภูมิให้เท่ากับใน อ่าง แล้วค่อยถ่ายจากในถุงลงไป แอ๋:อ่าวเหรอ? นพพล:เออ ก็คือ ปลาเป็นสัตว์เลือดเย็น แอ๋:คือเวลาฆ่าใครมันจะมองตา..
นพพล:ถุ้ย! แอ๋:ฮ๋าๆๆ นพพล:คือมันอยู่ในน้ำปรกติ แล้วสมมุติยังอะไรนะ เคยได้ยินอยู่ใช่มั๊ยว่าปลามันตาย(เมื่อเร็วๆก็ที่บึงแก่นนครฯ ตายเป็นแพ เพราะฝนตกหนักทำให้อุณหภูมิในน้ำเปลี่ยนเร็ว จนปลาปรับไม่ทัน)เพราะมีน้ำอีกกระแสเข้ามาจนปลาปรับ ตามไม่ทัน แอ๋:มิน่า เวลาน้ำท่วม เห็นปลาตาย เราก็งง เอ๊ะ ทำไมปลาตาย นพพล:อยู่ดีๆปลามันตายเองไม่ได้ ก็เหมือนเราที่อยู่ บนบก เช่นอากาศหนาวเกินไป อากาศร้อนเกินไป ก็ตายได้ เหมือนกัน อันนี้แค่พูดถึงปลาหมา แมวยิ่งแล้ว เป็นพาหะ นำโรคต่างๆ หรือแมลงบางชนิดก็เป็นพาหะ(ยุงลาย) หรือ สัตว์เลี้ยงแบบพิสดารอื่นๆ ที่นำเข้าจากต่างประเทศ(ที่เอา มาเลี้ยงกันแบบน่ามึน พอรู้ว่าไม่ดีอันตรายก็ดันเอาไปปล่อย ลงแม่น้ำ จนมันขยายพันธุ์แล้วทำลายระบบนิเวศของแหล่ง น้ำนั้นๆจนชิปหาย)ค ทางที่ดี มึงอย่าซื้อมาดีกว่า ไม่ก็ศึกษา ให้ดีๆ แล้วอีกอย่างนึงควรจะดูด้วยว่าเวลาเอาสัตว์แปลกๆ ไปเลี้ยง มีคลินิกรองรับมั๊ยเวลามันป่วย อย่างสมุมติ มึง อยากเลี้ยงกระรอกแอฟริกา หรือแพนด้าแดง หากป่วย อาจจะเอาเข้าไปรักษาโรงพยาบาลสัตว์?ปรกติไม่ได้ อาจจะ ไม่อุปกรณ์รักษาพร้อมก็ได้ หรืออย่างการให้ยาก็แตกต่าง ไปตามขนาดน้ำหนักตัวอีก แล้วรู้มั๊ยว่าห้ามเอายาพาราให้ หมาแดก แอ๋:ไม่รู้ ไม่รู้จริงๆทำไม่พี่ นพพล:ไม่รู้ มันแดกไม่ได้ หรือย่างแมวใช่มั๊ย อย่า เอานมวัวให้แมวกิน แอ๋:อ่า เราก็ทำไปแล้วอะนะ นพพล:ก็ตายไป๑ศพ แอ๋:ชื่ออะไรนะ ชื่อทุ่งสร้าง ทุกวันนี้วิญญาณของ ทุ่งสร้างยังวนเวียนอยู่ มีพลังงานมวลสารบางอย่าง นพพล:อยู่ที่คณะน่ะแหละ เป็นคลื่นพลังงานบาง อย่างลึกลับ ไรงี้ คือแบบถ้าเราจะเลี้ยงสัตว์ เราก็ต้อง พร้อมที่จะรับผิดชอบมันทุกอย่างเป็นอะไรมาต้องดูแลให้ดี
เอ้า ก็พอพูดถึงการแพทย์ แยบอีกสักหน่อย เรื่องการเมือง ซักหน่อย แอ๋:เค้าเอาอยู่พี่ เอาอยู่ นพพล:ก็ไม่ได้จะพูดแค่ในประเทศเราหรอก ก็เมื่อกี้ ที่เป็นข่าว ที่ว่าทำหนังหมิ่นศาสนา โอ้โห ลามไปทั่วโลก คือ ว่าจริงๆไม่น่าทำ ปลาตัวเดียวเหม็นทั้งข้องก็เคยได้ยินมั๊ย? อย่างประเทศไทย สมัยก่อน ดาราบางคนก็ไปพูดจาว่าร้าย ประเทศข้างเคียง เป็นไงล่ะสถานทูตไทยในประเทศเค้าก็โดน เผาโดนทำลาย ธงชาติโดนเหยียบ เพราะอะไรแค่คนไม่กี่คน แล้วเค้าไม่ได้มองว่าคนๆนี้ผิดอย่างเดียว เค้ามองกันทั้ง ประเทศ นั่นแหละ และอีกเรื่องที่กำลังมาแรงในประเทศ ขณะนี้ น้ำท่วม ก็เป็นบทพิสูจน์ของทั่นนายกรัฐมนตรีหญิง คนแรก ก็หวังว่าจะสู้ไปได้ ไม่รู้ว่าเธอได้คิดแผนไว้อย่าไร อย่างตอนนี้อีกไม่กี่วันน้ำจะเข้าบางกอก แอ๋:น้ำเหนือ น้ำฝน น้ำหนุนโอ้วเยอะ นพพล:อย่างตอนนี้ ก็ไล่ท่วมไปตั้งแต่พิจิตร สุโขทัย นครสวรรค์ไล่ลงไปอย่างฝั่งตะวันออก ปราจีนบุรีสระแก้ว พวกนี้ก็ไปอีก แอ๋:แต่จะว่าไป ถ้ามองอีกมุมนึง ผมว่าคนเราอคติ ด้วยนะ มาเอะอะก็ต้องนายกทั้งที่นายกไม่ได้อยู่ส่วนประปา นพพล:เค้าอาจจะมองว่าเป็นเฮดไง(หัวหน้า) ถ้ามึง ได้เป็นเฮดของกิจกรรมอะไรซักอย่างเค้าจะมองว่าคุณต้อง รับผิดชอบนะ แอ๋:ทั้งๆที่ไม่ใช่หน้าที่เรา นพพล:อ้า ทั้งๆที่เราเป็นผู้บริหาร มีฝ่ายจัดการ ของเค้าแหละ อย่างตอนนี้ก็ทั่นปลอด ประสพ สุรัสวดี ก็ กำลังโดนเพ่งเล็งอยู่ว่าคุณจะจัดการน้ำยังไง จะกั้น รึจะ ปล่อย รึจะจัดการยังไงก็แล้วแต่อะไรเงี่ย ซึ่งถ้านายก ถ้า หน้าที่ของนายกฯน่าจะเป็นคนที่จะเห็นชอบในหลักการต่างๆ หรือ คนที่จะตัดสินชี้ขาดอะไรเงี่ย เพราะก็เป็นคนที่เราส่วน ใหญ่เลือกไปเป็นนักบริหารประเทศล่ะเนาะเค้าก็เลย มองว่า ถ้าผิดพลาดอะไรมาคุณก็ต้องรับผิดชอบนะคร้าบ! แต่เราก็ ไม่อยากได้ยินคำว่าขอโทษหรอก เวลาเป็นปัญหาอะไรมาน่ะ ก็อย่างว่าเนาะ นายกหญิงตัวคนเดียว
สรุป ก็คืออย่างว่าแหละ จะการเมืองรึการหมอ ก็เป็น เรื่องที่อยู่ใกล้ๆตัวเราทั้งนั้น จะทำอะไรก็น่าจะต้องดูแล ตัวเองให้มากใช้สติให้มากขึ้น การบริหารรึการดูแลตัวเอง นิ่ต้องใช้สติให้มากๆถ้าเรารู้ตัวว่าเราไม่สบายมากน้อยแค่ ไหนก็ดูตัวเอง แอ๋:อย่าๆบอกตัวเองเก่งละกัน นพพล:เออใช่ พอคุณป่วยมาคุณก็จะรู้เองล่ะครับ ว่าคุณอ่อนแอแค่ไหน แอ๋:อะไรนะ อะโรคาฉิปะดาดาอะไรนะ การไม่มี ลาภ เป็นโรคอะไรนะ นพพล:ถุ้ย อโรคยาปรมาลาภา การไม่มีโรคเป็น ลาภอันประเสริฐ อย่าคิดแค่ว่าอัตตาหิ อัตตโนนาโถ ตน เป็นที่พึ่งแห่งตน หมอก็เป็นที่พึ่งของมึงได้ด้วย แอ๋:อือ นพพล:เออ มึงจะบอกว่าตัวเองเก่งก็ไม่ใช่หมอเค้า ก็ช่วยมึงได้เหมือนกัน ก็เล่มหน้าเราจะพูดเรื่องอะไร ก็ติด ตามดูละกัน สำหรับเล่มนี้ สวัสดีครับ แอ๋:สวัสดีครับ
ขอขอบคุณ Black jack หมอปีศาจ /(c) tezuka vibulkij comics VETERINARIAN DOLITTLE เรื่องโดย Midori ภาพโดย : CHIKUYAMA Kiyoshi /(c) comics Super Doctor K /(c) kazuo mafune comics
osamu / : NATSU / vibulkij / vibulkij
อ็อฟ เอวิตัง จิงกะเบล
นพพล ศิษย์จานมะ โอเค จากนี�ไปจะเป็นการ สัมภาษณ์ ลงคอลัมน์ชัวงขณะหนึ�งช่วยแนะนำตัว หน่อย Grill Ice ปวดขี�ว่ะ ขอ�นาที นพพล ศิษย์จานมะ .........เออ รีปไปรีปมา ................................... Grill Ice มาล่ะ นพพล ศิษย์จานมะ อือ ช่วยแนะนำตัวหน่อย อันดับแรก เป็นใครยังไง ทำอะไรอยู๋ Grill Ice ผมนันทวัฒน์ ฝั�งสระ เพื�อนเรียกไอ้อ๊อฟ ศึกษาอยู่มหาลัยขอนแก่น คณะวิทยาศาสตร์ เอกคอม นพพล ศิษย์จานมะ เรียนอยู่รึเรียนจบแล้ว Grill Ice ยังคงศึกษาอยู่ครับ แบบว่าอาลัยอาวรณ์ ชีวิตนักศึกษา นพพล ศิษย์จานมะ ปีไหนแล้ว Grill Ice ปี � ครับแต่เอาตามจริงก็ปี � นั�นแหละ T^Tตั�งใจให้จบเพื�อคนทางบ้านอยู่ครับ นพพล ศิษย์จานมะ อ่า โอเคแล้วไปไงมาไง ถึง
มา สนใจเรื�องการถ่ายรูปขนาดเรียนยังเรียนวิทย์ Grill Ice สำหรับการถ่ายภาพ ผมเริ�มสนใจ ตั�งแต่ ประถมแล้วครับ แต่ไม่ได้มีความรู้อะไรเลย นอก จากใส่ฟิล์มเป็น ผมใช้คอมแพคแบบฟิล์มของพ่อ ที�พ่อให้ถ่ายเล่นๆไปเรื�อยไม่ได้สนใจมากจนมามั ธยมปลายผมเริ�มสนใจมากขึ�นเลยหากล้องมาลอ งใช้เองแต่มันเป็นของเพื�อนครับให้เพื�อนสอน หลังจากที�ติดมหาลัยผมก็ไม่ได้จับกล้องอีกเลย จนมาอยู่ช่วงนึงมาเจอกลุ่มคนถ่ายภาพที�ใช้ฟิล์ม ชื�อตั�มทำให้ผมเริ�มศึกษาการถ่ายรูปแบบจริงจัง นพพล ศิษย์จานมะ เป็นจุดเริ�มต้นที�น่าสนใจคือ รู้จักการถ่ายภาพมาตั�งแต่เด็กแล้วงั�นสิ Grill Ice ตอนนั�นผมหลงไหลมันมากไม่อยากใช้ กล้องดิจิตอลเลยด้วยซ้ำชอบในแบบกล้องฟิล์ม หมดเงินค่าล้างค้าฟิล์มไปเยอะเหมือนกัน ตอน นั�น ผมเก็บตังค์ได้และซื�อกล้องมาตัวนึงมัน คือ กล้อง Ranefinderครับผม แต่ด้วยความเด็กเลย ไม่ได้ สนใจมากแต่มารู็ว่าตัวเองชอบถ่ายก็ตอน มัธยม จึงเริ�มเรียนรู้ รู้สึกเรื�องราวของผมจะยาว ไปนะ?
นพพล ศิษย์จานมะ โควต้าหน้ามีเยอะ Grill Ice ถึงไหนแล้วน่ะ อ้อกล้อง RFผมไม่รู้เรื�อง กล้องเลยรู้แค่ว่าน่าจะถ่ายเหมือนกันก็เลยตัดสิน ใจซื�อกล้องตัวนั�นมาในราคา ๑๕๐๐ แบ่งจ่าย ๒ งวด เพราะเป็นพี�ที�อยู่ในกลุ่มใช้ฟิล์ม พอเริ�มใช้ มันก็ได้ภาพที�แปลกตา ไม่ชัดบ้าง ชัดบ้างมืดบ้าง สว่างบ้าง นพพล ศิษย์จานมะ แล้วไปหาความรู้ยังไงต่อ? Grill Ice จนกระทั�งเพื�อนผมชื�อเมย์ ได้เอากล้องที� พ่อเขาเคยใช้เป็นกล้องSLRมาใช้ ผมจึงของลอง ขอยืม นพพล ศิษย์จานมะ เพราะไม่ได้เรียนถ่ายรูป Grill Ice ผมได้ความรู้จากพี�ๆในชมรมครับ จาก เพื�อนเมย์ที�มันถ่ายเป็นและเก่งกว่าผมแต่เวลาถ่า ยทีไรมันถามผมทุกทีว่าถ่ายอย่างงี�ใช่ไหมแต่พอรู ปออกมาสวยกว่าผมอีกและแหล่งหน่ึงคืออินเตอร์ เน็ตครับ นพพล ศิษย์จานมะ คือถามจากผู้รู้ตรงๆเลยกับ ในเน็ต Grill Ice ครับ ถามจากผู้รู้เลยและลองปฎิบัติไป ด้วย(แยกประเด็นถามดีไหมถ้าร่ายวันนี�ไม่จบ) นพพล ศิษย์จานมะก็เป็นคอลัมน์ที�ถามเกี�ยวกับ ชีวิตมึงกับการถ่ายรูปนี�แหละจะยาวกี�เมตรวะ? Grill Iceงั�นต่อน่ะหลังจากที�ได้ลองใช้กล้องเพื�อน มาแบบนานบางทีก็ขโมยมันมาเลยผมก็รู้สึกอยา กลองใช้ตัวอื�นบ้างเพราะเพื�อนคนนี�จะชอบเอากล้ องแต่ละรุ่นมาให้ผมดุผมเลยได้พอยศึกษาไปด้วย จนกระทั�งมีช่วงหนึ�งผมหันหน้าเข้าสู่กล้องที�เรียก กันว่าLOMO ผมหมกหมุ่นอยู่กับมันพอสมควร เลยและเก็บเงินมาได้ก็ใช้จ่ายกลับกล้องนี�ทั�งฟิล์ม ที�ราคาแพงกว่ากล้องปกติช่วงนั�นผมรักแหละหลง ไหลกล้องฟิล์มแบบถอนตัวไม่ขึ�นเลยจนเพื�อนบอ กว่านายมาถูกทางแล้ว นายถ่ายแนวโลโม่นี�แหละ เยี�ยมแต่ผมก็ยังไม่หยุดแค่นั�นผมยังคงเก็บตังค์
เรื�อยๆและได้กล้อง SLR ที�ตัวเองอยากได้มานาน คือ Nikon FM�n ผมรักตัวนี�มากไปไหนพาไปทุก ที�รู้สึกเหมือนผมจะร่ายออกนอกประเด็นน่ะสำหรั บ ผมคิดว่าเรียนอะไรก็ไม่สำคัญหรอกเพราะการ ถ่ายภาพเป็นงานอดิเรก ขนาดหมอยังถ่ายรูปเก่ง จนขายได้ก็มี และตอนนี�ถึงจะมีกล้องดิจิตอลใช้ ผมก็ยังรู้สึกว่ากล้องดิจิตอล มันทำให้ เราขี�เกียจ ขาดความรอบคอบ แต่ก็จำเป็นต้องใช้เพราะบาง ทีเราก็รอไม่ได้ ยิ�งเป็นยุคนี�แล้วด้วยกล้องดิจิตอล นี�เงินพ่อแม่ครับ ผมสัญญากัับท่าน ไว้ว่าผมจะหา ตังค์จากกล้องนี� ให้ได้เท่าราคาที�ซื�อมาคืนท่าน ทั�งสอง นพพล ศิษย์จานมะ ก็มีที�มาที�ไปเกี�ยวกับการ ถ่ายภาพแบบลึกล้ำนะปัจจุบันมีกล้องกี�ตัว Grill Ice ตอนนี� ๕ ครับ เฉพาะกล้องฟิล์มและอีก ๑ ตัวคือกล้องดิจิตอล
*บางส่วนของกล้อง ที�มีในการครอบครอง
นพพล ศิษย์จานมะ ก็พอสมควรกับคนที�เล่น กล้องตอนนี�ถ้าไปไหน จะพกตัวไหนเป็นพิเศษ Grill Ice กล้องโลโม่ครับส่วนใหญ่แต่ผมว่าจะไม่ ขายเพราะมันผ่านอะไรมาด้วยกัน ตอนนี�ดีจิตอล ครับ แต่ถ้าเมื�อก่อนจะเป็นโลโม่ฟิชอายทู นพพล ศิษย์จานมะ คำถามต่อไปอะไรที�มี อิทธิ พลต่อผลงานของเรา หรือใครศิลปินคนไหนอะไร ที�มีอิทธิพลต่องานเรา Grill Ice สำหรับศิลปินต่างประเทศของผม เป็น คนนี�น่ะครับ[Minor White]แต่คนไทยก็คงเป็น RBJ,พี�ปาน Pixpro's นพพล ศิษย์จานมะอะไรของพวกเค้าที�ส่งผล กับเรา เทคนิค เรื�องราว แนวคิด Grill Ice เทคนิค เรื�องราว การนำเสนอรวมไปถึง ข้อคิดครับมีคำคำนึงบอกไว้ว่าถึงจะอยู่ที�ที�เดียว กันก็ใช่ว่าจะถ่ายออกมาได้เหมือนกัน
นพพล ศิษย์จานมะ กลับมาที�เรา ภาพถ่าย ส่วนใหญ่เราจะถ่ายอะไร นำเสนออะไร Grill Ice ผมชอบถ่ายแลนด์ครับ นำเสนอแหล่ง และสถานที�แห่งนั�นเลย และก็มีบ้างที� ถ่ายสาว ตามเสต็ปครับถ่ายสาวบ้างหลังๆมานี�ผมว่าผม ชอบถ่ายแลนด์ที�มีเรื�องราวมีคนในนั�นสร้างเรื�อง ราว ถ่ายชีวิตตรงประเด็นไหมครับ นพพล ศิษย์จานมะ ตรง แสดงว่าชอบเที�ยว ชอบการเดินทาง Grill Ice ครับ ผมชอบเที�ยวแต่จะติดอยู่ตรงสาขา ที�เรียนที�ไม่ค่อยเวลาได้เที�ยวสักเท่าไหร่ นพพล ศิษย์จานมะมีที�ไหนที�ชอบไปหรือไปบ่อย Grill Iceแต่ละที�ที�ผมไปแค่ครั�งเดียวไม่ก็สองครั�ง แต่บางครั�งไม่ได้เอากล้องไปด้วยก็มีแต่ที�ผมชอบ ก็คงจะเป็นเขาค้อนี�แหละครับ นพพล ศิษย์จานมะ ไปนานยัง เขาค้อ Grill Ice เมื�อปลายปีที�ผ่านมาเองครับแต่ได้รูปมา ค่อนข้างน้อยเนื�องจากไม่ได้ไปด้วยตัวเองไปกับ เพื�อนและดันมึนเมากันซะส่วนใหญ นพพล ศิษย์จานมะ ออกแนวไปดื�มนอกสถาน ที�งั�นสิ Grill Iceจะว่าอย่างงั�นก็ไม่ถูกครับ ตัวผมใจอยาก ไปถ่ายรูปแล้วมีโอกาศไปแต่เพื�อนดันเมาโอกาส ถ่ายตามสถานที�สวยๆก็น้อยลงด้วย นพพล ศิษย์จานมะ แล้วไปที�ไหนบ้างของเขาค้อ Grill Ice ผมว่าไปหลายที�นะครับแต่ ปลายปีที�นี� ไม่ได้ไปไหนเลยแต่ปลายก่อนหน้านั�นไปมาเกือบ ทุกที�เลยแต่ติดปัญหาผมจำชื�อสถานที�ไม่ได้ มีไป วัด น้ำตก ร้านกาแฟ ประมาณนี�ครับแต่ปีนี�ผมว่า จะไปอีกคราวนี�คงน่าจะได้ภาพกลับมาบ้าง นพพล ศิษย์จานมะมีที�ไหนที�วางแปลนไว้ ว่าจะ ไปในเร็วๆนี�
Grill Iceเร็วนี�ๆ ผมคิดว่าจะไปเชียงคานครับ เพราะจะไปคนเดียวอ่านจะได้อยู่และมีเวลาถ่าย รูปครับไม่ก็ไปสองคนครับ(เดี�ยวเจ้าตัวมาอ่านจะ งอล) นพพล ศิษย์จานมะชอบไปคนเดียวเหรอ Grill Ice มันก็ไม่เชิงครับ คือถ้าตากล้องไปกับ ตากล้องด้วยกัน มันจะไม่เกรงใจกันเรื�อถ่ายภาพ ครับแต่มากับคนอื�นจะเป็นคนอื�นที�ต้องรอเรา เพราะบางที�ภาพสวยๆเราก็ต้องรอครับรีบไม่ได้ แต่ไปกับคนรู้ใจมันก็อีกอารมณ์นึงน่ะครับ แหะๆ นพพล ศิษย์จานมะ อืม คริๆมีอุปสรรคอะไรมั�ย เวลาไปถ่ายภาพ อุบัติเหตุ เหตุขัดข้อง Grill Iceเวลาครับ อากาศบ้าง อุบัติเหตุ ก็ลื�นล้ม ธรรมดา นพพล ศิษย์จานมะ คำถามสุดท้ายแล้วสมมุติ ถ้าตื�นมา....เอ้อ ถนัดแขนข้างไหน? Grill Ice เวลาจะไปถ่ายจริงๆ ต้องตรวจเช็ค ทุกอย่างล่วงหน้าครับแต่ถ้าไปกับเพื�อนเราเซ็ค อะไร ไม่ได้แน่นอน.......แขนขวาครับ นพพล ศิษย์จานมะ สมมุติแขนขวาไม่มี จะถ่าย ยังไง รึจะทำไงต่อไป ยังจะถ่ายรูปมั�ย Grill Ice ผมว่าคนถนัดแขนซ้ายก็น่าจะถ่าย ได้น่ะ ครับ ขนาดคนตาบอดยังถ่ายได้เลย นพพล ศิษย์จานมะ อืม Grill Iceเหนื�อยก็คนปกติก็ต้องยอมล่ะครับถ้าเรา อยากได้ภาพนั�นจริงๆ นพพล ศิษย์จานมะ เยี�ยม เอาล่ะหมดคำถาม ต่อไปจะข้อมูลเกี�ยวกับผลงานที�จะเอามาลง Grill Ice ครับ คุณโพสบอกด้วยว่าผมอาจจะถ่าย ไม่สวยและเก่งอะไรแต่ผมแค่ชอบเดินทางและชอ บถ่ายภาพแค่นั�น ภาพก็เลือกเอาในเฟสน่ะละ นพพล ศิษย์จานมะช่วยเลือกรูปให้หน่อยซักชุด นึง หรือ ��รูปก็ได้ แล้วใส่คำอธิบายผลงาน
Grill Ice คือบ่เลือกเอง นพพล ศิษย์จานมะ มันเยอะไปมั�ย? Grill Ice วันนี�เลยติ นพพล ศิษย์จานมะ คัดๆมาให้หน่อย Grill Ice อืมๆแปปน่ะเอาแม่งตั�งแต่สมัยฟิล์มเลย ล่ะกัน ..............................................
ภาพที่ ๒ ชื่อภาพ : ที่ยึดเหนี่ยว คำอธิบาย : พระพุทธรูปยังคงเป็นที่ยึดเหนี่ยว จิตใจของคนไทย ผมจึงต้องการ การนำเสนอ แบบให้มีหลายสิ่งบดบังแต่ก็ยังมองเห็นสิ่งที่อยู่ ข้างใน เทคนิค : D๙๐ + ๕๐ ๑.๘G
ภาพที่ ๒ ชื่อภาพ : เตรียมขาย คำอธิบาย : ต้องการนำเสนอของลุงคนนึง ที่กำลังจัด ของเตรียมขายในตลาดน้ำอัมพวา และลุงแกใจบุญ เลี้ยงสุนัขจรจัดอีกด้วย เทคนิค : D๙๐ + ๕๐ ๑.๘G
ภาพที่ ๓ ชื่อภาพ : ยามเช้าที่อัมพวา คำอธิบาย : ชีวิตยามเช้าของคนที่อัมพวาครับ เช้ามาก็ใส่บาตรและที่นั่นวัดเยอะครับดูแล้วทุก คนใกล้ชิดศาสนาดี เทคนิค : D๙๐ + ๑๖-๓๕ N
ภาพที่ ๔ ชื่อภาพ : on the beach คำอธิบาย : ภาพทะเลยามเย็นครับ แต่วันนั้น อากาศไม่เป็นใจเลย เลยขอย้อมเป็นขาวดำ เทคนิค : D๙๐ + ๑๘-๑๐๕ VR
ภาพที่ ๕ ชื่อภาพ : เมื่อไหร่จะถึง คำอธิบาย : อยากสื่อถึงการเดินทางคนที่อยู่ บนรถไฟครับ ภาพนี้ถ่ายที่หัวหินอยากจะเอ่ยถึง ระบบขนส่งมวลชนของไทยที่มีปัญหาเรื่องความล่า ช้า เทคนิค : D๙๐ + ๑๘-๑๐๕ VR
ภาพที่ ๖ ชื่อภาพ : ชั่วโมงเร่งด่วน คำอธิบาย : ชั่วโมงเร่งด่วนของคนกรุงเทพฯ ที่มายืนรอกันเพื่อใช้บริการ BTS ดูวุ่นวายดีครับ เทคนิค : D๙๐ + ๕๐ ๑.๘G
ภาพที่ ๗ ชื่อภาพ : ผมเอาอยู่ คำอธิบาย : ภาพนี้เป็นภาพจากมอหินขาวครับ คนที่นั่นมีความเชื่อว่าถ้านำกิ่งหรือไม้มาค้ำก้อนหินไว้ จะทำให้อายุยืน(ไม่แน่ใจว่าผมเข้าใจถูกไหม) เป็นความเชื่อที่แปลกดีน่ะครับ เทคนิค : D๙๐ + ๕๐ ๑.๘G
ภาพที่ ๘ ชื่อภาพ : ใครๆก็ว่าผมหล่อ คำอธิบาย : สื่อถึงวัยเด็กและการใช้ชีวิตของคน ที่อัมพวาครับ เล่นและใช้ชีวิตกับสายน้ำแห่งนี้ ดูแล้วอยากกลับไปเป็นเด็ก เทคนิค : D๙๐ + ๕๐ ๑.๘G และเงินค่าไอติมให้น้องแกเก็กหล่อ
ภาพที่ ๙ ชื่อภาพ : ถนนในเมืองใหญ่ คำอธิบาย : ภาพนี้ก็ต้องการให้เห็นถนนในเมืองหลวงที่วกวนวุ่นวาย เหมือนการใช้ชีวิตของคนในเมืองใหญ่ ที่ต้องเร่งรีบและวนอยู่แต่กับสิ่งเดิม เทคนิค : D๙๐ + ๑๘-๑๐๕ VR ภาพที่ ๑๐ ชื่อภาพ : reflex คำอธิบาย : ภาพบุคคลบ้างน่ะครับ อยากจะลองสื่อถึงการสะท้อน ดูบ้าง สะท้อนใบหน้า จิตใจ หรืออะไรก็แล้วแต่คุณจะจินตนาการ เทคนิค : D๙๐ + ๕๐ ๑.๘G
................................................... ...จบลงไปกับบทสนธนา และผลงานภาพถ่าย สวยๆและมุมมองดีๆของเอ็อฟ เราคุยกันทางแชต ของเฟสบุ๊คครับ พิมพ์ถามตอบกันไป มาร่วมชั�วโมง อย่างที�เขาพยายามบอกผมตลอด การสัมภาษณ์ เรื�องชีวิตของเขามันยาว แหงล่ะ ชีวิตของใครๆ ถ้า หากเอามาเล่าให้กันฟัง ก็เล่าไม่จบง่ายๆ อันนี�แค่ เกี�ยวกับความสนใจในการ เล่นกล้องเองนะ ผมรู้จัก กับเขามาก็ขึ�นปีที�๑๑แล้ว แต่ผมก็เพิ�งมารู้ ไม่กี�ปี นี�แหละ ว่าเขามีความชอบด้านนี� ครับ ในฉบับหน้า จะเป็นใคร ก็โปรดติดตาม บาย...
เรื�อง: นพพล ศิษย์จานมะ ภาพ: ฯลฯ
“ใครใครก็ทำ(หนัง)ได้นะครับ!” นพพล:สวัสดีครับ แลนด์:สวัสดีครับ นพพล:ก็มาพบกับคอลัมน์สื่อเคลื่อนไหว ฉบับ นี้เรา อยู่กับผู้ชายตัวกลมคนหนึ่งครับก็อยากให้แนะนำ ตัวชื่อ อะไรเป็นใครยังไง แลนด์:ชื่อภูมรินทร์ ฮ่มป่านะครับ ชื่อเล่นชื่อ แลนด์ครับ ก็ตอนนี้เรียนจบจากคณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาออกแบบนิเทศศิลป์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นครับ นพพล:ตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ เรียน ทำงาน หรือ ว่างงาน แลนด์:ก็คือ ก่อนหน้านี้ทำฟรีแลนซ์ไปช่วงหนึ่ง เลยครับ ก็ถ่ายรายการ ถ่ายนู่นถ่ายนี่ พอได้ตังค์แต่ ตอนนี้ออก ไม่ทำ ว่างงาน กะว่าเตรียมตัวไป ทำงาน ต่อที่กรุงเทพฯครับ นพพล:อืม จุดเริ่มต้นจริงๆ ที่ทำให้สนใจงาน ประเภท วีดีโอมันเริ่มมายังไง แลนด์:ตั้งแต่จำความได้ล่ะครับ ก็ดูทีวี เห็นสื่อ การ์ตูน ละคร หนัง รายการก็สนใจมาตั้งแต่ตอนนั้น แล้วครับ ดูแล้วสนุก แล้วบางรายการ หรือว่าละคร ที่เราดู แล้วเป็นแบบว่า มันยังเงี้ยะ มันน่าจะไปต่อ ยอดยังเงี้ยะก็ได้นะ ทำไมเขาไม่คิดวะ เราก็คิดถ้าเรา ได้ทำเราจะทำอย่างที่เราคิดเราก็เลยอยากทำของ เราและก็ได้ทำมาบ้าง ประมาณนี้ นพพล:ไอเดีย, ที่มาของงานแต่ละชิ้น แล้วก็วิธี การทำงานของทีมเท่าที่รู้ก็มีผลงานที่เป็นงานวีดีโอเป็น หนังสั้นเป็นชิ้นเป็นอันอยู่๔เรื่อง ตั้งแต่เรียนปี๑ใช่มั๊ย อธิบายมาแต่ละเรื่องเลย เรื่องแรก หลอกได้หลอกไป แลนด์:ก็เรื่องแรกเป็นเรื่องแบบเรื่องแรก ใน
ชีวิตเลย ก็คือเข้ามาเรียน แล้วอยากจับกล้อง อยาก จะถ่าย อยากเป็น ก็เลยถ่ายกันเล่นๆไม่เล่นๆหรอก ถ่ายส่งประกวด ตอนนั้นมีงานแฟต อะไรวะแฟตฟิล์ม อะไร ซักอย่างนี่แหละก็เลยระกวดเอาเพลงมาทำเป็น หนัง คือ ทีแรกคิดก่อนว่าจะเอาเพลงอะไรมาประกอบ ดีวะ หลอกได้หลอกไป ก็คิดว่า โอ้วเดี๋ยวนี้ ยุคสมัยนี้ คนมันหลอกกัน หลอกลวงต้มตุ๋นกันแล้วผีก็มาหลอก เรา แต่อยากจะสื่อว่า ระหว่างคนกับผี คนหลอกแม่ง โคตรเจ็บกว่าผีหลอกอีก อะไรอย่างเงียะ เรื่องนี้ก็จะ เป็นผี ไปหลอกคน ไม่ได้ไปหลอกให้กลัวแต่เป็นหลอก ต้มตุ๋น เอาตัง ขำๆเรื่องแรก มุมกล้องก็...ไม่ได้เรื่อง ตัดต่อ.. นพพล:ความรู้ตอนนั้นเรา เราได้มายังไง รึ เรานึก อยากถ่ายก็ถ่ายเลย แลนด์:อยากถ่ายก็ถ่ายไม่ได้มีความรู้อะไรเลย มุมกล้องอะไรก็ยังไม่ค่อยรู้ ใกล้ไกล โคสอัพต้องอะไร ยังไม่รู้เลยตอนนั้นเดาๆเรื่องแรก นพพล:เรื่องที่สองสินไซเกมส์ แลนด์:อันนี้ก็ประกวด อันนนี้ก็พอจะมีความรู้ ขึ้นมานิสสสนึงก็มีดอลลี่ด้วย ก็มีโครงการปรกวด สินไซเกมส์เข้ามากะส่งประกวดไปถ่ายทำเอาเพื่อน ผู้ชายจากทั้งสาขามาเล่น ก็เป็นเรื่องมิตรภาพอะไรนี่
แหละ หัวข้อมันสมานฉันท์ ก็เป็นเรื่องแบบ เราก็คิด เอ๊ะ อะไรนะสมานฉันท์ ก็เป็นเรื่องคนสองคนไม่ถูกกัน แล้ว พอมาเล่นบอลแล้วความสัมพันเขาดีขึ้นเป็นเรื่อง เดาๆ เหมือนกัน นพพล:แล้วก็ห่างหายไปเป็นปีเลย แลนด์:ปีสาม แรกชีพ แลนด์:อันนี้เป็นวิชาส่งอาจารย์ในคาบเรียน เรื่องนี้ไอดอลคือเฟดดี้หว่อง คนจีนที่เขาทำลงยูทูบน่ะ ทำเป็นหนังยิงกันสนุกๆหน่อย เอ๊อดูแล้วเราก็อยากทำ ก็เลยทำเรื่งนี้เสนออาจารย์ เป็นโจรลักพาตัวแล้ว มี ชาวบ้านมาช่วยอะไรเงียะ คือเนื้อเรื่องเราไม่ได้เน้น เราอยากเน้นต่อสู้กัน ยิงปืนกันไรเงียะ สุดท้ายทำออก มาแล้วโคตรกาก ฮ๋าๆ แต่ก็ยังพอดูอยู่ เกรียนๆ ก็บี+ รึเท่าไหร่วะ ประมาณบี+นี่แหละ ตัวหนังพื้นๆ มีสาว สองคนถูกจับตัวมาแล้วมีคนมาช่วยแค่นั้น อยากโชว์ ฉากต่อสู้แค่นั้น นพพล:ในจินตนาการ แลนด์:เป็นทีสีส ทำเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทุ่มสุดตัว มากที่สุดแล้ว เท่าที่เคยทำมาตั้งใจมาก หมดเงินเป็น หมื่นอยู่ครับเรื่องนี้ กว่าจะทำเรื่องนี้ ก่อนหน้านี้ ก็เป็น คำสาปกุหลาบรัก เรื่องนี้สุดๆ โดนด่าระหว่างพรีเซ็นต์ สอบ ว่ามันเป็นเรื่องแบบโรแมนติกคอมาดี้เพื่อ ความ บันเทิงแต่แบบมันไม่มีสาระอะไร อย่างว่าแหละทีสีสมัน ต้องเป็นอะไรที่เอ๊อ มีสาระหน่อยสุดท้ายก็เลย เออ ทั้ง เทอมนึงเลย คิดมาว่าจะเอาเรื่องนี้ พอหมดเทอม ก็ยังจะเอาเรื่องนี้อยู่ดี พอสุดท้ายผ่านไปได้เกรดบี แต่เทอม๒คิดหนักและเขวแล้ว คือหลักยังไม่มั่นคง นี่เทอม๒ว่าแบบจะจบแล้ว ยังจับหลักไม่ได้เลย เลย เปลี่ยนเรื่องเลย ก็คือมาดูการ์ตูน จินตนาการเด็กน้อย ที่เด็กเค้าจินตนาการ เค้าเดินไปแล้วเค้าเจออะไรสวยๆ
งามๆที่เป็นการ์ตูน ที่จริงน่ะ คือเค้าไม่เห็นหรอก ที่เค้า เห็น เป็นจินตนาการของเด็กเค้า เลยมาคิดว่า เอ๊ เลย มามาใส่ในหนัง ว่าคนตาบอดเงียะ คงจะมีจินตนาการ สูง เวลาเค้าจินตนาการเค้าคง จินตนาการไปล้ำลึก หรือที่เห็นคนตาบอดเค้าถ่ายรูปเงียะเขาถ่ายได้ไง เค้า มองไม่เห็นเลยแต่ที่เขาถ่ายเพราะเขามีจินตนาการใน หัวอย่างนี้แล้วเขาก็ถ่ายออกมาก็เรื่องนี้มา ชื่อเรื่อง ในจินตนาการ เป็นเรื่องชายหนุ่มนักดนตรีหูหนวก กับ หญิงสาวตาบอดถ่ายรูป เรื่องโคตรไม่เกี่ยวแล้ว๒คนนี้ แม่งจะเจอกันได้ไงวะคนตาบอดจะมาพูดกับหูหนวกเป็น ใบ้ได้ไงวะ ต้องรอดูนะครับ ถ้าอยากดู นพพล:นะ อยากดูแล้วจะไปดูที่หน แลนด์:ไม่มีให้ดู ฮะๆ นพพล:ยังไม่เผยแพร่ที่ไหนเลย นอกจาก หลอกได้หลอกไป ที่มีเอาไปลงยูทูปแล้ว แลนด์:รอก่อน เดี๋ยววันไหนฤกษ์งามยามดี เดี๋ยวเอาลง ฮึ นี่แหละ ก็เป็นเรื่องทีสีสมา อาจารย์ก็ เป็นที่พอใจอยู่ นพพล:แล้วเราพอใจกับมันรึยัง แลนด์:แต่เอาจริงมันก็น่าจะทำได้ด้วยดีกว่านี้ แต่ในช่วงเวลานั้น มันก็ได้ดีทีสุดแล้ว ก็ผ่านไปด้วยเอ
นพพล:นะ คำถามต่อไป มุมมองเกี่ยวกับ หนัง สั้นในภาคอีสาน โอกาส ทุน อุปกรณ์ เทคโนโลยี ฯลฯ เป็นยังไง แลนด์:ตอนนี้อ่ะ ตั้งแต่เข้ามาปี๑แรกๆ กล้อง แม่งหาโคตรยาก พอมันเปลี่ยนไปยุคที่มีกล้องDSLR ที่ใครๆก็มีกันราคาพอจะซื้อกันได้แล้วแม่งถ่ายวีดีโอได้ โคตรชัดแจ๋ว พอเปลี่ยนยุคเปลี่ยนมาเรื่อยๆ เดี๋ยวนี้ ใครก็ถ่ายทำได้ นักเรียนมัธยม ใครก็ถ่ายทำหนังได้ เดี๋ยวนี้อุปกรณ์ D.I.Y.ใครก็ทำได้จะถ่ายให้สวยอย่างใน ในเอ็มวีสวยๆ ก็ทำได้ แต่สุดท้ายตอนนี้มันอยู่ความคิด มันแข่งกันอยู่ที่ความคิด เราเจ๋งแค่หนความคิดเรา สร้างสรรค์แค่ไหน นพพล:อุปกรณ์เหมือนจะมีเท่ากัน แลนด์:เราเท่ากันหมดเราไม่ต้องกลัวว่า เรามี ความคิด เราไม่มีอุปกรณ์เหมือนแต่ก่อน กว่าจะได้ กล้องถ่ายดีๆไม่รู้กี่ล้านไม่รู้กี่แสน เดี๋ยวนี้ ไม่กี่หมื่น นพพล:ไม่กี่พันด้วยซ้ำ แลนด์:สามารถได้งานโปรดักชั่นดีๆได้เลยก็คือ สุดท้ายต้องแข่งกันที่ความคิด ว่าความคิดใคร มันจะ เหนือกว่าใคร
นพพล:ในภาคอีสานรู้สึกจะตื่นตัวกับหนังสั้น แลนด์:เยอะ นพพล:ขอนแก่นยังเงียะ แลนด์:อย่างตอนเห็นเด็กมัธยมถ่าย บางทีก็ดี กว่าเด็กมหาลัยเยอะแยะ นพพล:คำถามต่อไปในใจคิดว่าหนังสั้นชิ้นไหน คือมาสเตอร์พีช ถ้ายัง คิดว่าถ้างานที่เป็นมาสเตอร์ พีชน่ะ ต้องเป็นยังไง แลนด์:ก็เรื่องล่าสุดนี่แหละ เป็นที่มาสเตอร์พีช ที่สุดแล้ว แต่ก็ยังอยากจะทำอยู่ แต่ว่าเรื่องเวลา งบ ประมาณแล้วก็ไม่มีเวลาทำแล้ว ต่อไปก็คงอีกนานต้อง ว่างจริงๆ นพพล:มีเรื่องในหัวมั๊ยถ้าจะทำในเร็วๆนี้ แลนด์:ตอนนี้ยังไม่มีเลย คิดแต่เรื่องหางาน ไม่มีในหัวเลย นพพล:ราคิดอะไรที่ดูเป็นจริงเป็นจังกว่าล่ะ แลนด์:คือไม่คิดว่าจะทำ เพราะไม่มีเวลาทำ แล้ว แต่ก็อยากจะทำอยู่ก่อนที่จะไปกรุงเทพฯ ทิ้งไว้ ซักเรื่อง นพพล:ไอดอลมีมั๊ย?ใคร?
แลนด์:แรกๆน่ะไม่มีเพราะไม่รู้จักใครก็ดูหนัง เรื่องนี้สนุกนะ ก็ดูดารา คนนี้นี้เล่น พอหลังๆ มาเราดู ผู้กำกับ อย่างตอนนี้ที่ชอบคือพี่โขม ที่ทำเรื่องเฉือน ล่าสุดอันธพาล เรื่องเฉือนนี่ชอบมากแต่ไม่เคยทำแนว นี้นะ แนวสยอง แต่มันเป็นเรื่องที่แม่งโคตรสุดยอด เป็นเรื่องที่เรื่องที่ดีที่สุดของเป้เลยล่ะ แล้วเป็นหนังที่ หักมุมหักแล้วหักอีก หักอีกแม่งแทบอ้วกก็เลยชอบ แต่หลังๆชอบGTH ยิ่งหลังมาอ่านอะเดย์ยิ่งชอบ แต่ อ่านไป เริ่มต้นมาเอ่อ เค้าเก่งมากเลยสุดยอดทุกเรื่อง มีคุณภาพ หลังๆมานะ ศรัทธาGTH อนาคตก็อยากไป อยู่นั่นแหละ แต่อาจจะเป็นไกลหน่อย จะรับมั๊ยวะ แต่ ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กฟิล์มจุฬานะ มันเป็นแบบรุ่นพี่ รุ่นน้องเค้าดึงกัน นพพล:เคยรู้สึกมั๊ยว่าแบบ เราเป็นคนชายขอบ คือเราอยู่ไกลจากศูนย์กลาง ก็อย่างที่ว่าเมื่อกี้เนาะ จะ เข้าค่ายหนังใหญ่ๆที่อยู่บางกอกแต่บางที่เขาก็รับคนใน พื้นที่ของเขาจะรับเด็กในนั้นมากกว่า เด็กที่เป็นรุ่นน้อง สถานบันที่เคยเรียนจบมา เราคิดยังไง แลนด์:สุดท้ายมันก็อยู่ที่ความสามารถล่ะ แต่ โอกาสด้วยแหละ เหมือนโอกาสเราจะน้อยกว่า แต่ถ้า สมมุติถ้าความสามารถเรามีอยู่แล้ว ความสามารถเรา โดดเด่น โดดเด่นกว่าเด็กที่อยู่กรุงเทพฯ หรืออยู่ไหน แล้ว โอกาสมันก็จะมาเอง นพพล:แต่ต่อให้เรามีความสามารถแต่ถ้าไม่มี โอกาสให้เราเผยแพร่ แลนด์:ก็ใช่ ความสามารถมันต้องมาก่อน โอกาส โอกาสมันไม่มาทั้งที่ไม่มีความสามารถหรอก
นพพล:แล้วอีกอย่างนึง ภาพลักษณ์ของคน อีสาน เหมือนเขายังมองว่าเราแบบยังแล้นแค้นอยู่ แลนด์:แต่จริงๆไม่ใช่หรอกอุดมสมบูรณ์ชิบหาย ใครจะรู้ล่ะ อยู่กรุงเทพฯอุดมสมบูรณ์มั๊ย? บางคนไป อยู่แม่งโคตรอดอยาก มาอยู่บ้านนอกกินดีจะตาย นพพล:เค้ามองเราเหมือนล้าหลัง ไม่มีนู่นไม่มี นี่ไม่มีบีทีเอสไม่มีรถไฟใต้ดิน ไม่มีจัตุจักร แลนด์:มันก็ไม่มีแต่สุดท้าย ความเจริญ มันนำ มาซึ่งความสุขมากแค่ไหนล่ะ? ใช่มั๊ย? อยู่บ้านนอก ไม่มีความเจริญ แต่มันมีความสุขมากกว่า ก็เลือกจะ อยู่บ้านนอกดีกว่า แต่เราเลือกที่จะไปอยู่กรุงเทพฯ เพราะว่า อยู่นู่นมันมีงานเยอะแยะมั่นคง สุดท้าย บั้นปลาย ชีวิต ถ้ารามั่นคงแล้วจริงๆ ก็กลับมาอยู่ บ้านนอกเหมือนเดิม คงไม่ไปตายอยู่กรุงเทพฯ ในเมือง หลวงหรอก นพพล:คิดมั๊ยว่า ภาคอีสานไม่ก็ขอนแก่นเราจะ มีแบบทีมบริษัททำหนัง ใหญ่ยาวฉายโรง แลนด์:มีนะ แต่มันก็ยังไกลอยู่ มีอยู่ กลุ่มคนที่ ทำก็มีเยอะแต่ก็เรื่องทุนเรื่องอะไรยังไม่มีเท่าเขาแต่พอ เอาจริงๆ เราอยู่เนี่ยเราคิดว่าเราเก่งแต่เราพอไปอยู่ที่ นู่นจริงๆ เขายังเก่งกว่าเราอยู่ นพพล:เขาเก่งก็อย่างว่า เขาอยู่ส่วนกลาง เขา มีอะไรดีๆเยอะ แลนด์:เขาเก่ง เขาเคยทำไง เขาทำมาก่อนเรา ทำ เราคิดว่าเราดีแล้ว แต่มันยังไม่ดีเท่า เขาแต่ไม่ใช่ ว่าเราไม่ดี ของเราก็ดี ดีกว่าที่นู่นด้วยซ้ำ นพพล:ไม่รู้มันพูดกันยาก อาจจะคนละจังหวะ นพพล:อ๊ะ คำถามท้ายแล้ว ชอบเลขอะไร? แลนด์:ชอบเลข๗ นพพล:ขอ๗คำเกี่ยวกับหนังสั้น แลนด์:ยังไงดีวะ คิดก่อน...ใครใครก็ทำได้นะ ครับ! นพพล:ขอบคุณครับก็จบกันไปครับกับคอลัมน์ สื่อเคลื่อนไหว พบกันใหม่ฉบับหน้า!
เรื�อง:นพพล ศิษย์จานมะ ภาพ:ฯลฯ
“ไม่ใช่ทุกคนจะมีเสียงที่ดี” นพพล:ตอนนี�ก็อยู่กับคอลัมน์คลื�นเสียงนะ ครับ เออ วันนี�เราก็มาคุยกับน้องของผมเหมือนเคย หลังจากที�คุยกันในคราวก่อนกับคอลัมน์ขยายความ แต่คราวนี�เราจะมาคุยในอีกแง่มุมนึง ก็คือตัวมันเป็น นักร้อง เล่นดนตรีกลางคืน ก็มาทำความรู้จักกับมัน ว่า มันเป็นใคร อะไรยังไง ก็ให้แนะนำตัวก่อน แอ๋: สวัสดีครับชื�อมนันห์ตชัย ไพรสินธ์ตอนนี� เล่น อยู่ผับแห่งหนึ�งครับแล้วก็เป็นนักร้องได้ปีกว่าๆ นพพล: ชื�อวงชื�ออะไรวะ แอ๋: เอ่อ วงดิแอคทีฟครับ ไปกดไลค์แฟนเพจด้วย นะครับ พิมพ์เลยเจอแน่นอน นพพล: ก็นะจะมาคุยเรื�องการใช้เสียง จุดเริ�มต้นไป มายังไง ถึงมารู้จักการร้องเพลง แอ๋: แรกๆเป็นคนชอบร้องเพลงตั�งแต่เด็ก แต่ ก่อนร้องเพลงลูกทุ่ง ศิลปินในดวงใจก็เอ๋ พจนามีเทป อยู่ จำได้ขึ�นใจ พอโตมาก็เปลี�ยน ป.๕ป.๖ ก็ประกวด ร้องเพลง แล้วเพื�อนก็มาชวน ตั�งวงตอนมอ๒ เล่นๆ กันไป มอ๓นี� ได้เข้าประกวดได้ที�๒ แล้วก็ทิ�งตรงนั�น
ไป ผมชอบวาดรูปอยู่แล้ว รักการวาดรูป ร้องเพลง เป็นงานอดิเรก ก็เลยวาดรูป ทิ�งการร้องเพลงเพื�อนก็ จะชวนไปร้องบ้าง ตามวันไหนมีงาน ที�โรงเรียน นพพล: อย่างว่าตอนเด็ก เราได้ไปหัดอะไร ยังไง แอ๋: ไม่ๆๆพี� ไม่เลย อาจจะเป็นเพราะว่า ด้วย น้ำเสียง ด้วยเนื�อเสียงดีตรงที�พ่อเป็นนักพากย์ นพพล: แต่เรายังไม่รู้เทคนิคการร้อง แอ๋: ไม่รู้เรื�องรู้ราวอะไร รู้แค่ว่ามันร้องอย่างนี� นะ ก็ร้อง ร้องไงก็ร้องตามเขา แต่ก็ยังไม่กล้าบอกว่า เป็นของตัวเองแต่ก็มีบ้างด้วยการร้องที�ชัดเจนขึ�นไม่ ได้ร้องสไตล์ของคนอื�น ร้องๆเป็นเสียงเราเลย คราว นี�มาขึ�นปี๑ ร้องเพลงยังไม่เท่าไหร่ แต่มีตอนนึง ที�ไป นั�งร้องเพลงเล่นๆกับรุ่นพี� เขากบอกว่าเสียงดีนะ แต่ ผมก็ไม่ได้อะไร ก็มาเรื�อยๆ จนก่อนปิดเทอมตอนปี๑ พี�อ้น (มือกลองของวง) ชวนทำวงเต็มวงเลย แต่ยัง ไม่คืบหน้าอะไร จนมาช่วงปิดเทอมใหญ่ พี�เหมียว ชวน ไปออดิชั�นอยู่(ร้านเหล้าแห่งหนึ�ง)เป็นนักร้อง
คนที�เข้ามาคบกับผมเขาบอกว่า แต่งให้แฟนเก่าเหรอ ผมไม่ได้แต่งให้แฟนเก่านะแต่งตอนไม่มีใครคืออยาก มีความรักยังงี�นะ ในเพลงน่ะ นพพล: ก็มีเอ็มวีให้ดูกันเบาๆนะ ก็ลองไป เสิร์จดูๆกันได้ เออมีแปลนมั�ย ว่าจะทำเพลงทำอัลบั�ม กับวงนิ� แอ๋: คิดครับ ก็ทำเพลงส่งเลย คือเราไม่อยาก หยุดที�นักดนตรีกลางคืน นักดนตรีกลางคืน ใครก็ เป็นได้ แต่ศิลปินน้อยคนจะเป็นได้ อยากมีเพลงเป็น ของตัวเอง อยากมีคนรู้จัก อยากยืนอยู่บนเวทีคนร้อง เพลงของเรา นพพล: เออ เวลาทำงาน วันๆนึง เราต้อง ซ้อม ออมเสียงอะไรยังไง แอ๋: มันก็แล้วแต่คน แต่ผมจะใช้การพูดคุย กับคนอื�น เจอใครก็ทักทาย หรือเวลาขี�รถไปทำงาน ก็จะร้องคลอๆไปแต่ไม่ตะเบ็งเสียง แต่ถ้ารู้ตัวว่าไม่มี เสียง วันนั�นก็จะออมเสียง ไม่คุยอะไรมาก นพพล: แล้วเคยเป็นมั�ยไม่มีเสียงร้องเพลง ไม่มีเสียงจะพูดเลย แอ๋: มี ก็ร้องไปทั�งอย่างงั�นก็ขอโทษกัน แต่ก็มี ครั�งนึง ที�ไม่มีเสียง ก็ให้พี�คนอื�นร้องแทน นพพล: ก็คำถามท้ายๆเรื�องทัศนคติ เกี�ยวกับ เสียง เป็นไงบ้าง แอ๋: คือสิ�งที�พระเจ้าประทานมาให้ อย่างแท้ จริง มันเป็นอะไรที�ดีจริงๆ ไม่ใช่ทุกคนจะมีเสียงที�ดี เราโชคดีมากๆ เราเกิดมาในน้ำเสียงทีฟังแล้วมัน ไม่รู้นะ เขาฟังนุ่มหูเขาฟังสบาย เราไม่ได้กระโชกโฮก ฮาก แล้วเราก็มาได้ร้องเพลง มีเสียงที�เป็นเอกลักษณ์ นพพล: มีเพลงที�แต่งไว้มั�ย เป็นเพลงเกี�ยวกับ มันเป็นอะไรที�ดีมากๆ เราควบคุมมันได้ ใช้มันหาเงิน ให้เราได้ด้วย อะไร นพพล: การดูแลตัวเอง ทำไง แอ๋: มี ก็เกี�ยวกับผู้หญิงคนหนึ�ง ที�ผมเขียนคือ แอ๋: แต่ก่อนจะไปวิ�ง แต่ทุกวันนี�ไม่ มีแต่นอน อยากจะใส่คอร์ดในดนตรีแต่ก็ติดที�พี�ๆในวงยังไม่ว่าง ก็เอาไว้ตอนปิดเทอม อาจจะได้ใส่คอร์ดและอาจจะได้ เพราะ มันเหนื�อยมันล้ำ แล้วก็ช่วงนึงมีแฟนด้วย...... นพพล: ใช้แรงเยอะเนาะ ตอนมีแฟน เอ้อ ฟังๆกัน เป็นเพลงที�ประมาณว่าเรื�องราวหลังจากจบ สุดท้ายอยากฝากอะไร ไปแล้ว และก็มีอีกเพลง “สิ�งที�ฝากไว้” ที�ลงในยูทูป แทนพี�วัตร(วงสตรีนิยม) อันนั�นเราก็ไมรู้ แต่ก็ได้ พี�วัตรชอบ แต่ตอนนั�นผมไม่รู้ว่าต้องเล่นทุกวัน ที�ไป คือพี�เขาบอกว่าเล่นศุกร์เสาร์ พอไปออฯ ผมก็เฟล เลยตัดสินใจออกมา ก็ขอโทษกันไป จากนั�นพี�อ้นก็มา ชวน(อีกที) แล้วก็ฟอร์มวงกันจริงๆซะที(เดี�ยวราย ละเอียด ของวงมันค่อยมาว่ากันอีกที) นพพล: ก็พอมาเป็นวง ยังไงก็ต้องรู้จักการ ร้องอยู่ดี ได้หัดไปดูมาอีกรึเปล่า แอ๋: ถามครับ ถามพี�ๆที�เค้าเป็นนักร้อง พี�ๆที� เรียนเอกว๊อยด์ ถามคนที�เรียนดนตรี นพพล: มีใครที�เค้าเรียกได้ว่าเป็นครูเราเลย แอ๋: พี�วัตร วงสตรีนิยม คนที�ผมไปออฯน่ะวัน นั�น ร้องกับแกตั�งแต่เที�ยงถึง๕โมงเย็น คือแกบอกทุก อย่าง นพพล: คำสอนอะไรที�เราจำได้ ที�ยึดถือ แอ๋: “มึงต้องเท่”เท่านั�น ผมก็ถาม ทำไง ออกกำลังกายไง อย่าทิ�งออกกำลังกาย เท่านั�น แต่ว่า ตอนร้องก็มี รายละเอียดอีกอยู่ก็ร้องไปหัดๆกันไป
แอ๋: สิ�งที�ฝากไว้เหรอ ก็อยากฝากให้ทุกคน ดูแลตัวเอง มีเหตุมีผล ใช้ชีวิตให้มันเต็มที� คำว่าเต็ม ที� คือไม่ไปทำร้ายใคร ทำลายใคร ลองมองหาสิ�งที� ตัวเองมี อย่าไปตามกระแส ลองทำเป็นตัวของตัวเอง นพพล: ก็จบไปอย่างว่า เป็นแง่มุมส่วนนิด ส่วนหน่อย ถ้าอยากรู้เต็มๆจริงๆก็ ถ้าเจอมันที�ร้าน ซักร้านนี�แหละ ก็ทักทายมันเองละกัน แอ๋: ไม่ก็ในเฟชบุ๊ค ไม้ดิแอคทีฟ นพพล: เชื�อเหลือเกินว่าท่านผู้อ่านคงจะเล่น เฟสบุ๊ค ก็เข้าไปแอดกัน แล้วก็ยังมีแฟนเพทก็เข้าไป ถูกใจได้ แอ๋: แต่แปลกนะ ผู้หญิงที�ผมจีบส่วนใหญ่ เขา ไม่เล่นเฟสบุ๊ค นพพล: ทำไม แอ๋: มันแชตบีบีกับไลน์อย่างเดียว
นพพล: พวกนี�สังคมแคบ พูดไม่เป็น ขนาดใช้ ภาษาไทยยังวิบัติ ก็นั�นแหละ หากอยากรู้จักมันก็เข้า ไปกดดูในเฟสฯกันได้ จะแอดจะถูกใจก็แล้วแต่ เอ้อ มีแฟนเพทของวงด้วยก็ไปกดถูกใจกันได้ พิมพ์ the active เดี�ยวก็เจอ รึไม่ก็อยากเจอตัวเป็นๆ ก็ไปหา ตามร้านในขอนแก่นเอา เขี�ยหาเองทีละร้าน ร้านนี� ไม่มี ก็ไปร้านโน้น เราจะไม่บอกว่าที�ไหน เพราะเขา ไม่ได้เป็นสปอนเซอร์รึผู้สนับสนุนอะไรกับเรา ครับ ก็เขาเป็นคนมีความสามารถ มีความขยัน มีความ พยายาม อนาคตมัน ผมก็ว่า ไม่อยากจะฟันธงฟันทิ�ง อะไรหรอก ถ้ามันพยายาม มันก็จะดังของมันเอง น่ะแหละ แอ๋: สาธุ นพพล: เล่มหน้าจะเป็นใครติดตามเองละกัน ลาล่ะครับ!
โดย ลุงลุง
กลอน กลอน กลอน !!!
(ก่อนอื่นเตรียมดินสอของท่านพร้อมยางลบ ถ้าใช้ปากกา เดี่ยวมันลบแล้วมันจะไม่สวย
ฮี่ๆๆๆ) คุณทราบไหมว่า มีการความเฟื่องฟูมากมีการแข่งขันกลอนประเภทไหนช่วงรัชกาลได .........? (คำตอบอย่างพึ่งดูนะ มันอยู่ท้ายคอลัมน์) ตัวอย่างกลอน 4 ในวรรณคดีไทยที่พบมี 2 แบบ ดูแบบแรกไปก่อนแล้วกันเดี๋ยว งง.... ....ฎษฺฌ? ซฎ ์ษฎฒ์ญธฑษ”ธฑฒ๐” บลาๆๆ
กลอน 4 แบบที่ 1 กลอน 4 แบบนี้ บทหนึ่งจะประกอบด้วย 2 บาท บาทละ 2 วรรค วรรคละ 4 คำ ตามผัง OOOO OOOO
OOOO OOOO [โยงสัมมผัสเองนะ จะได้ร่วมสนุกกัน]
สัมผัส แบบ กลอนทั่วไป คือ คำสุดท้ายวรรคหน้าสัมผัสกับคำที่สองของวรรคหลัง และ คำสุดท้ายวรรคที่สองสัมผัสกับคำสุดท้ายวรรคที่สาม ส่วนสัมผัสระหว่างบทก็เช่นเดียวกัน คือ คำสุดท้ายวรรคที่สี่ของบทแรก สัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคที่สองของบทถัดไป (ดูตัวอย่าง) ตัวอย่าง กลอน 4 แบบที่ 1 เหวยเหวยอีจันทรา ขึ้นหน้าเถียงผัว อุบาทว์ชาติชั่ว ไสหัวมึงไป นางจันทาเถียงเล่า พระองค์เจ้าหลงไหล ไล่ตีเมียไย พระไม่ปรานี เมียผิดสิ่งใด พระไล่โบยตี หรือเป็นกาลี เหมือนที่ขับไป บทละครครั้งกรุงเก่า เรื่อง สังข์ทอง
ข้าขอแต่ง......
เวลาฝนพรำ น้ำนองเนืองนอย น้ำท่วมทำ(เมียก) มันทำให้นอย หมดสิ้นความแมน อาจทำรักคุต
“มันป็นภาษาอีสานเด้อครับ”)
เดินย่างย่ำหยอย คอยคนคุ้นเคย กางเกงเปียกย้อย น้องน้อยหยอยหยด คิดแล้วแสนสุด สุดแสนทรมาน อั้ยยยยยยยยยยยยยะ (เมียก แปลว่า ชื้น แฉะ กำลังจะคันอะไรประมาณนี้
เอาล่ะครับ พื้นที่หมด พบกันฉบับหน้าครับ! [คำตอบ:มีการแข่งขันกลอนคือ กลอนสดเกิดขึ้นในรัชกาลที่ 2 โน่นนนนน]
สถานที่ซักแห่ง มีคนพลุกพล่าน เคลิฟเดินหัวโด่ออกจากท่ามกลางผู้คน เขาหายใจเข้าลึกแล้วเดินตรงไป ที่ผู้หญิงคนนึง น่าตาพอใช้ได้ เขาทักทายเธอยิ้มทักทายตอบ และขณะที่เคลิฟจะขอเบอร์โทรศัพท์ของสาวเธอ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากข้างหลัง “ทำไรน่ะเคลิฟ!คิดจะนอกใจชั้นเหรอ?”เป็นเสียงของเอ็มเอ่ยทัก เคลิฟทำหน้าซีดเผือก แล้วก็หันไปมอง เอ็ม ที่ทำหน้าซื่อๆเหมือนต้องการคำตอบ “เอ็ม!”เคลิฟทำหน้าตกใจ เอ็มกำลังจะพูดอะไรต่อ เคลิฟไปคว้าแขนเอ็ม “เธอพูดอะไรของเธอ!”เคลิฟเค้นถาม “ปล่อยมือก่อนฉันเจ็บนะ!”เอ็มบอก เคลิฟมองที่แขนเอ็ม แล้วปล่อยมือตัวเองแบบสะบัด “แล้วที่เธอทำล่ะมันคืออะไร?” เอ็มย้อนถาม เคลิฟทำหน้างง “ชั้นว่าเธอไปคุยกับแฟนของเธอให้จบๆก่อนเถอะ ชั้นไปอยากคบใครแล้วมันไปทำร้ายใครอีกคน และ อีกอย่าง ชั้นไม่อยากจะเจ็บรึเสียใจ โอเค๊?”หญิงสาวคนนั้นเอ่ยขึ้นแล้วลุกเดินจากไป เคลิฟกับเอ็มมองตาม เคลิฟทำหน้าเหวอก่อนหันมาทำหน้าถมึงทึงใส่เอ็ม เธอทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เคลิฟมองหน้าเอ็มแล้วคิดอะไรซักอย่าง ก่อนคว้าแขนเอ็มออกไปจากตรงนั้น (เอ็มส่งเสียงบ่นว่าเจ็บแขน ตลอดทาง)เคลิฟพาเอ็มไปที่ไม่มีคนเดินผ่าน “เธอทำให้การขอเบอร์หญิงของชั้นพัง! รู้ตัวมั๊ย?”เคลิฟระเบิดอารมณ์ “รู้!”เอ็มบอกน้ำเสียงซื่อๆเรียบๆเหมือนไม่มีอะไรจากนั้นก็ระเบิดหัวเราะออกมา “ทำเป็นมาโกธร อย่างเธอน่ะจะจีบใครก็ได้หน่า แล้วชั้นก็แค่อำเธอเล่น! ขำๆ”เอ็มเอ่ยทำหน้ายิ้มแย้ม “แต่มันไม่ขำเลยซักแอะว่ะเอ็ม และที่สำคัญที่สุด เราไม่ได้เป็นแฟนกัน ที่เธอพูดไปเมื่อกี้คงทำให้สาวๆ ที่อยู่แถวนั้นคงคิดว่าชั้นกับเธอเป็นแฟนกันจริงๆไปแล้ว โธ่เอ๊ย!”เคลิฟบอกด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง “ขอโทษนะเคลิฟ ก็แบบชั้นเดินมาเจอเธอพอดีก็เลยว่าจะทักธรรมดาน่ะแหละแต่แบบนึกสนุกอยากแกล้ง อำนิดๆหน่อยๆ ก็แค่นั้นเอง”เอ็มยกมือขอโทษทำหน้าสำนึกผิด เคลิฟยังทำหน้าบึ้ง “โอเคนะ งั้นชั้นไปล่ะ บาย”เอ็มบอกแต่เคลิฟคว้าแขนเอ็มไว้แล้วดึงมาใกล้ๆตัว “เดี๋ยว คิดว่าพูดขอโทษแล้วอะไรๆมันจะจบรึไง เธอทำให้ชั้นพลาดขอเบอร์หญิง ที่ชั้นอุตส่าห์หมายตา มาตั้ง๒อาทิตย์! แค่ขอโทษ บอกเลยว่ามันไม่พอ!”เคลิฟบอกแบบระยะประชิด เอ็มมองไปมาก่อนผลักเคลิฟ ออกไปจากนั้นล้วงเอาปากกาออกมา แล้วก็ดึงมือเคลิฟมาพลางเขียนเบอร์โทรศัพท์ลงไปบนฝ่ามือ “เอ้า!พอใจยัง”เอ็มถาม เคลิฟทำหน้างง “อะไร”เคลิฟถามพลางมองตัวเลขในมือตัวเอง “ก็เบอร์โทรศัพท์ไง อยากได้เบอร์สาวไม่ใช่เรอะ เอาเบอร์ชั้นไปก่อน ขอโทษอีกที ไปและ บาย” แล้วเอ็มก็เดินจากไป ปล่อยให้เคลิฟยืนงงเป็นเป็ดตาแตก! ม้านั่งที่ไหนซักแห่ง “ฮ่าๆโคตรฮาเลยว่ะ แล้วมึงก็ยืนงงแดกเนี่ยนะ!”เป็นเสียงของเปียโนพูดแกมหัวเราะ “เป็นกู กูก็งงแดกว่ะ ฮ่าๆๆ”เสียงของดังเต้ว่าและหัวเราะเสียงดังไม่แพ้เปียโน “พวกมึงจะหัวเราะไปอีกนานมั๊ย?”เคลิฟถามด้วยน้ำเสียงเย็นๆเจือไปด้วยความโมโห “เอาหน่าเคลิฟ ผู้หญิงในมอมีเป็นพันๆจะกลัวอะไร”ดังเต้ว่า
“แต่กูว่า10%ของผู้หญิงทั้งหมดน่าจะคิดว่าเคลิฟมันคบกับเอ็มนะมึง เพราะ เล่นอำกันกลางที่ คนพลุก พล่านซะอย่างนั้น”เป็นโนว่า ระหว่างนั้นก็มรรุ่นพี่2คนเดินมาทัก “อ้าวเคลิฟ ได้ข่าวว่านอกใจแฟนแล้วโดนจับได้เรอะ”รุ่นพี่คนสูงๆผมหยิกๆเอ่ยถาม “นั่นสิ”รุ่นพี่คนอ้วนๆเอ่ยตาม “แม่งโคตรใจว่ะ”รุ่นพี่คนสูงๆผมหยิกๆว่าพลางยกนิ้วโป้งให้ “นั่นสิ”รุ่นพี่คนอ้วนๆเอ่ยและยกนิ้วตาม “ว่าแต่ มึงไปคบกับน้องเอ็มตั้งแต่เมื่อไหร่?”รุ่นพี่คนสูงๆผมหยิกๆเอ่ยถาม พร้อมทำสีหน้าสงสัย “นั่นสิ”รุ่นพี่คนอ้วนๆถาม เคลิฟมองหน้ารุ่นพี่แบบหมดอาลัยตายอยากแล้วฟุปหน้าลงกับโต๊ะ “มันเป็นไรวะ”รุ่นพี่คนสูงๆผมหยิกๆเอ่ยถามเพื่อนๆเคลิฟ “อ่อ..”เปียโนกำลังจะพูด รุ่นพี่คนอ้วนๆก็เอ่ย “นั่นสิ” รุ่นพี่คนนั้นว่า “โอ๊ย พี่บอย! จะนั่นสิๆอะไรนักหนาล่ะพี่ พูดคำอื่นก็ได้!”เปียโนร้อง “นั่นสิ”รุ่นพี่คนอ้วนๆว่า เปียโนทำหน้าเอือม ดังเต้หัวเราะแล้วพูด “ช่างพี่บอยแกเถอะ บทพี่แกมีแค่นี้...เอ้อ ช่างหัวไอ้เคลิฟมันเถอะพี่ มันก็เครียดๆเรื่องแฟนนี่แหละ ไม่มีไรหรอก”ดังเต้ว่า “อ่อ ก็นี่แหละ มีแฟนคนเดียวไม่เป็น ริจะนอกใจ กูไปล่ะ ดูแลเพื่อนดีๆล่ะ พวกมึง!”รุ่นพี่คนสูงๆ ผมหยิกๆเอ่ยก่อนโบกมือให้ เปียโนกับดังเด้มองหน้ารุ่นพี่คนอ้วนๆเหมือนลุ้นอะไรบางอย่าง “นั่นสิ”รุ่นพี่คนอ้วนๆเอ่ยในที่สุด แล้วโบกมือให้แล้วเดินตามหลังเพื่อนไป ๒หนุ่มถอนหายใจเบาๆ แล้วยักใหล่ “มึงเคยได้ยินพี่บอยแกพูดคำอื่นแมะ นอกจาก นั่นสิ”เปียโนถามดังเต้ “นั่นสิ!”ดังเต้ว่า พลางตกใจเอามือปิดปาก เปียโนขมวดคิ้ว “กูว่า คนเค้าคงรู้กันทั่วแล้วมั้งนิ่....”เคลิฟส่งเสียงอย่างเหนื่อยอ่อน ที่ม้านั่งมุมนึง เอ็มนั่งคุยเรื่องเคลิฟอยู่กับเพื่อนอย่างออกรส “ชั่นว่าแกทำเกินไปว่ะเอ็ม”จิ๊บอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ใช่ ถ้าชั้นเป็นเคลิฟนะ ชั้นต่อยแกไปแล้วเอ็ม”ตี้บอก “บ้าและ ชั้นเป็นผู้หญิงนะ จะมาต่อยกันได้ไง”เอ็มว่า แล้วก็ยักไหล่ “ก็แบบขำๆอ่ะ เพื่อนกันไรงี้ ทีแกกับอีตาเป็ดก็พูดแบบนี้นิ่ ที่รักๆ จ๊ะจ๋าไรงี้ไงตี้”เอ็มเอ่ย “ก็ใช่ แต่ที่ชั้นพูดกับเป็ดมันก็แค่ต่อหน้าพวกเพื่อนๆเราไง เราก็แค่ขำๆกัน แต่ของแกมันต่อหน้าคนอื่น นะเอ็ม ชั้นว่านะใครเค้าก็คงคิดว่าแกกับเคลิฟเป็นแฟนกันน่ะแหละ แล้วที่แกทำไปก็แค่เรื่องจับได้ว่าแฟนนอกใจ” ตี้ว่าเป็นชุด ระหว่างนั้นเสียงโทรศัพท์ของเอ็มก็ดัง เอ็มเห็นชื่อเจ้าของเบอร์ที่โทรมา ก็ทำหน้าตาตื่นแต่ก็กดรับ “ฮัลโหล ว่าไงเคลิฟ”เอ็มเอ่ย “เฮ้ย”เพื่อนทั้งสองส่งเสียงพร้อมกัน “อยู่กับเพื่อน”
“ที่สวน” “ก็ได้ อยู่สวน.....ตรงแถวม้านั่ง”เอ็มบอกแล้วเคลิฟก็ตัดสายไป เอ็มทำหน้าเสีย “ชั้นว่าแล้วไงเอ็ม เคลิฟตามมาเอาเรื่องแกแน่!”ตี้ว่าพลางทำหน้าโหดๆเอานิ้วชี้ทำท่าปาดคอ “เฮ้อ ถึงคราวซวยของแกแล้วล่ะเอ็ม”จิ๊บอกทำหน้าปลงๆ “โอ๊ย ใครจะไปรู้ล่ะว่ามันจะลงเอยเป็นแบบนี้อ่ะ”เอ็มตัดพ้อ “นู่น มานู่นแล้ว แฟนแกน่ะ”ตี้เอ่ยพลางบุ้ยปากไปด้านหลังเอ็ม เอ็มหันไปมองแบบกล้าๆกลัวๆ เคลิฟจอดรถแล้วเดินมาหาด้วยสีหน้าจริงๆจังเหมือนจะเอาเรื่อง “เอ็ม”เคลิฟเรียก “ว่าไงเคลิฟ วันนี้อากาศแย่เนาะ!”เอ็มเอ่ยพลางทำหน้าแบบกล้าๆกลัวๆ “ช่างหัวอากาศเหอะ ตอนนี้เรามีเรื่องต้องคุยกัน”เคลิฟว่า เอ็มทำหน้าจ๋อยหู่ “งั้นไปคุยที่อื่นเถอะตรงนี้มันคนเยอะ เดี๋ยวมานะ”เอ็มบอกเคลิฟและหันมาบอกกับเพื่อน เธอโบกมือ ให้เพื่อน “โชคดีเถอะแก”ตี้บอก “คุยกันดีๆล่ะ”จิ๊บอก เอ็มเดินคอตกตามหลังเคลิฟ ที่ม้านั่งมุมนึง เคลิฟยืนกอดอกมองเอ็มที่นั่งม้านั่ง เธอนั่งทำหน้าสำนึกผิด “ใครจะไปรู้ล่ะว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้อ่ะ ขอโทษน๊า...”เอ็มว่าพลางยกมือไหว้ “พอเถอะ ไอ้คำขอโทษน่ะ มันไม่ใช่คำที่จะเอามาพูดพร่ำเพรื่อ อีกอย่างเธอเอาแต่ขอโทษชั้น แล้วชั้น มีแฟนรึจีบใครได้อีกมั๊ย?”เคลิฟว่าเอ็มยิ่งนั่งคอตกกว่าเดิม เกิดความเงียบอยู่ครู่นึง แล้วเคลิฟก็เอ่ยเพื่อทำลาย ความเงียบ “ชั้นว่าชั้นไม่เคยให้เบอร์โทรกับเธอนะ แล้วรู้ได้ไงว่าเป็นเบอร์ชั้น?”เคลิฟถาม เอ็มสะดุ้งเฮือก แล้ว ก็ค่อยๆพูดช้าๆว่า “ชั้นเอาเบอร์โทรศัพท์ของเธอมาจากในใบงานของเธอ”เอ็มว่า “ตอนไหน? เทอมก่อนเราไม่ได้เรียนด้วยกันนิ่?” เคลิฟว่าทำหน้าสงสัย “แล้วอีกอย่างเธอเอาเบอร์ชั้นไปทำไม โดยที่ชั้นไม่ได้ให้”เคลิฟว่า “ก็ชั้นชอบเธอ!” เอ็มพูดสวนขึ้นมา เคลิฟอึ้ง เอ็มทำหน้าอายๆ “ชั้นแอบชอบเธอตั้งแต่ปี1ตอนที่เราเรียนวิทย์ด้วยกัน ฉันแอบเอาเบอร์โทรเธอจากใบงานที่เราทำ ส่งในคาบ ชั้นก็เลยแอบเมมใส่โทรศัพท์ชั้นไว้...”เอ็มบอก เคลิฟทำหน้าอึ้งแล้วอึ้งอีก “หมายความว่าเธอชอบชั้นตั้งแต่ปี๑จนจะขึ้นปี๓แล้วเนี่ยนะ”เคลิฟถามพร้อมทำหน้างงๆ เอ็มผงก หัวหงึกๆ เคลิฟอึ้งอีกครั้ง ก่อนจะร้องขึ้น “โธ่เอ๊ย แล้วเธอทำไมไม่บอกตั้งแต่ปี1โน่นล่ะ ปล่อยให้ชั้นไปจีบใครต่อใครมาเป็นปีๆ”เคลิฟร้อง “ก็ชั้นเป็นผู้หญิงนิ่ มันดูไม่ดีที่ผู้หญิงมันไปบอกชอบผู้ชายก่อนไม่ก็ไปจีบผู้ชายก่อน เดี๋ยวใครเค้าก็หา ว่าชั้นเป็นผู้หญิงแบบ”แรงซ์”ไรงี้น่ะสิ”เอ็มร้อง “ก็แต่ถ้าเธอบอกชั้นให้รู้ซะตั้งแต่ตอนนั้น ป่านนี้เราคบกันไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ทำไมผู้หญิง ชอบคิด อะไรให้เข้าใจยากจัง”เคลิฟว่า
“ก็เพราะชั้นเป็นผู้หญิง! ที่บ้านชั้นก็สอนชั้นมาบ้าง”เอ็มบอก เคลิฟหัวเราะ “มีอะไรน่าขำมิทราบ”เอ็มถาม “ก็เธอบอกเองว่า เธอไม่อยากถูกมองว่าเป็นผู้หญิงแรงๆ ที่จีบรึบอกชอบผู้ชายก่อนแต่เมื่อกี้เธอเพิ่งบอก ชอบชั้นนะเอ็ม”เคลิฟว่าแล้วหัวเราะ เอ็มอึ้ง “ก็....”เอ็มไม่รู้จะพูดไรต่อ “ช่างเถอะ เอาเป็นว่าเรื่องนี้จบ เธอบอกชอบชั้น ชั้นอยากมีแฟน ทุกอย่างลงล็อค แล้วก็ตอนนี้ ใครๆ เค้าก็คงคิดว่าชั้นกับเธอเป็นแฟนกันไปหมดแล้ว เราก็มาเป็นแฟนกันจริงๆซะเหอะ โอมั๊ย?”เคลิฟเอ่ย แล้วเดิน มานั่งข้างๆเอ็ม “ชั้นไม่ง่าย...”เอ็มบอกด้วยเสียงเรียบๆ เคลิฟยักไหล่ “งั้นจะเอาไง พูดมาดิถ้ามีทางเลือกอื่น รู้ไว้ด้วยว่าชั้นไม่โง่พอที่จะปฏิเสธใครที่เพิ่งมาบอกชอบชั้นหรอก ฟังนะ คนเราน่ะอาจจะปฏิเสธใครๆก็ได้ แต่ไม่ควรจะปฏิเสธความต้องการของใจตัวเอง”เคลิฟบอกด้วยน้ำเสียง จริงจัง “อีตาบ้า”แล้วเอ็มก็ตีไหล่เคลิฟ “เฮ้ยๆเจ็บๆพอๆเดี๋ยวก็ต่อยซะหรอก!”เคลิฟว่าพลางง้างกำปั้น เอ็มหยุดตี “ล้อเล่นหน่า”เคลิฟบอกแล้วปั้นหน้ายิ้ม “นี่แน่ะๆ”เอ็มตีเคลิฟต่อ ไม่ไกลจากตรงนั้น ดังเต้ เปียโน ตี้ จิ๊ กำลังแอบดูอยู่ ทั้ง4ถอนหายใจโล่งอกพร้อมกัน “สุดท้ายก็เป็นแฟนกันจริงๆแฮะ”ดังเต้ว่า “เห็นแล้วอยากมีแฟนบ้างจัง”เปียโนถามเพื่อนสาวเอ่ย “งั้นเรามาเป็นแฟนกันมั๊ย?”ตี้หันไปมองดังเต้ เขายิ้มให้ “ขอโทษด้วยคุณเธอ ผมมีแฟนแล้ว เธอก็รู้”ดังเต้เอ่ย ตี้ทำหน้าเหวอ แล้วก็หันไปเปียโน “ผมยังไม่มีแฟนครับ แต่ผมไม่อยากเป็นแฟนกับเธอ”เปียโนบอกเรียบๆ ตี้รู้สึกหน้าแตก จิ๊หัวเราะคิกคัก จนตัวงอ “มีไรน่าขำ?”ตี้หันมา “โอ๊ยแก ยังจะถาม ขำแกน่ะแหละตี้”จิ๊ว่าพลางกลั้นหัวเราะที่ดูเสียงจะดังเกินไป แล้วจิ๊ก็เดินส่ายหัว ออกไปจากตรงนั้น ตามด้วยเปียโนและดังเต้ ที่เดินไปหัวเราะไป ตี้พอไม่เห็นใครยืนอยู่ด้วยจึงรีปตามออกไป กลับไปที่เคลิฟกับเอ็ม “ลองโทรเข้าเบอร์ชั้นอีกทีดิ๊ มีไรจะเอาให้ดู”เอ็มบอก เคลิฟทำหน้างงๆ แต่ก็เอาโทรศัพท์ออกมากด โทรออก เอ็มยื่นหน้าจอโทรศัพท์ตัวเองให้เคลิฟดู ที่ซักพักก็มีเบอร์หนึ่งโทรเข้ามาซึ่งเป็นเบอร์เคลิฟ แต่มันถูกเมม ชื่อเจ้าของเบอร์ไว้ว่า “ที่รัก” เอ็มทำหน้าอายๆ เคลิฟเลิกคิ้ว แล้วก็ยิ้มออกมา ท้ายสุดเคลิฟกับเอ็มก็ตกลงเป็นแฟนกันราวกับความฝัน ที่การอำกันขำๆมันจะกลายเป็นเรื่องจริง ทั้งคู่นั่งหยอกล้อกันไปมา ท่ามกลางบรรยากาศภายนอกที่มีผู้คนเดินผ่านไปมา เสียงนกเสียงลม และทั้งหมด ก็คือส่วนนึงของ “ว่าด้วยเรื่องความรัก”
เรื�อง/ภาพ:นิกร มานพ
หนองคาย-อุดรฯ ดินแดนแห่งความหลัง และผมก็พบว่า นอกจากผมจะขี่รถไปข้าง นอกไกลๆ เพื่อท่องเที่ยวแก้ร้อนแล้ว ผมก็ยังเป็น คนที่พอมีปัญหาอะไร ที่ยุ่งตุงนังมากๆก็มักจะขี่รถ ไปที่ไหนไกลๆเพื่อขบคิดหาวิธี แก้ปัญหา สงสัย อยู่เฉยๆแล้วคิดไรไม่ค่อยออก เป็นงั้นไป แต่ก็นะ มันมานึกได้หลังจากการเดินทางครั้งนึงที่ทำให้ผม พบว่า โลกเรากว้างมากและมีหลายมิติ การเดินทางครั้งนั้นเกิดขึ้นจากการที่ผม เผชิญ ปัญหาหลายๆอย่างและไม่สามารถปรึกษา ใครได ้(จริงๆผมมีนิสัยที่ไม่ชอบปรึกษาปัญหากับ ใคร เค้าก็เลยติดภาพว่าผม เป็นคนที่เหมือนง่ายๆ สบายๆไม่มีปัญหาอะไร)ที่ไม่ปรึกษาใคร ก็เกิดจาก ช่วงนั้นมันเหมือนเข้าสู่จุดพีคของชีวิตยังไงไม่รู้ ขณะที่กำลังเรียนปี๑นั้น ผมเป็นเฮดรุ่น พาเพื่อนทำกิจกรรม คณะกับรุ่นพี่ๆ แต่ก็ไม่ค่อยได้รับความร่วมมือ เท่าไหร่ (ผมจึงแก้เผ็ดมันโดยปีต่อมาผมก็ขออยู่ในตำแหน่งเฮดอีก และทำตัวแย่ๆเพื่อให้ใครซักคนในนั้นเป็น ตัวตั้งตัวตีเพื่อดึงคนอื่นๆให้กลับมาทำงานคณะแล้วเฉดหัวผมทิ้งซะและผมพบว่ามันประสบความสำเร็จในระดั บ ที่ผมพอใจ) นอกจากนั้นผมก็ยังต้องเรียน แต่ก็นะตอนนั้นผมก็เรียนไปทำกิจกรรมคณะไปน่ะแหละ และไม่ ค่อยมีเพื่อนเลยช่วงนั้น สารภาพตรงๆเลย แทบนับหัวได้ นอกนั้นก็ตั้งตัวแอนตี้กันโต้งๆเลย แล้วผมก็มีปัญหา ทางบ้านมาเกี่ยว แม่ป่วย เรื่องลูกสาวแกแท้ๆ แต่ดันส่งผลกระทบมาที่ผมด้วย ครับ ผมก็ไม่ใช่คนที่แข็งแกร่ง อะไรหรอก หน้าฉากที่ดูเรียบเฉยนั้นภายในครุกรุ่น ไปด้วยความอ่อนแอ ท้อแท้ แต่มันก็ดันไม่แสดงออกไปให้ ใครเห็น แต่แล้ววันนึงผมก็พบจุดพลิกผันชีวิตจนต้องหาทางออกไปจากมหาลัย เพื่อไประงับสติอารมณ์ ผม ทะเลาะกับเพื่อนในรุ่นบางคน เพิ่งเรียนมาได้เทอมกว่าเอง ช่วงนั้นเป็นช่วงทำละครคณะด้วย และผมก็คือเด็ก ปีหนึ่งในไม่กี่คนที่อยู่ร่วมหัวจมท้ายกับพี่ๆทีมสโมฯทำละคร แบบบ้าดีเดือด วันนั้นผมติดสินใจออกเดินทางไป เรื่อยๆมุ่งไปตามทิศเหนือ ในช่วงเย็นๆ ขณะที่กำลังจะพ้นประตูมอฝั่งศาลเจ้าพ่อฯ พี่ประธานเชียร์ก็โทรมาบอก เรื่องประชุมละคอน ผมออกตัวว่าผมกำลังจะไม่อยู่ที่มอ พี่แกก็ถามว่าไปไหน ประชุมพรุ่งนี้หรอก ผมก็ว่ากลัว กลับมาไม่ทัน เพราะผมก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมกำลังจะไปไหน พี่แกก็พอรู้ว่าผมเจออะไรมาบ้าง ก็เลยบอกแค่ว่า ยังไงก็รีปๆกลับ มาละกัน ผมเลี้ยวซ้ายออกถนนมิตรภาพ บ่ายหน้าไปทางจังหวัดอุดรฯ ผมขี่รถไปเรื่อยๆหูก็ฟัง
เพลงในโทรศัพท์กล่อมไปแต่ในหัวก็คิดหาทางแก้ปัญหาหนักอกหนักใจทั้งตัวมีเงิง๒๐๐เองผมจะไปถึงไหนนะ? แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่า2ทุ่มของวันนั้น ผมไปโผล่ที่จังหวัดหนองคายซะได้ ผมเคยมาก่อนหน้านี้ สมัยเด็กๆ ครั้งก็ตอนที่เปิดสะพาน มิตรภาพไทยลาวน่ะแหละ (นานมากจะ20ปีแล้ว) ครั้งต่อๆมาก็ตอนที่ญาติๆพาไป เที่ยว จำได้ว่าที่นี่มีตลาดที่ชื่อท่าเสด็จ ซึ่งพอโตมา ผมก็พบว่าทำไมผมถึงรู้สึกผูกพันกับที่นี่จัง ก็เพราะพ่อผม เคยมาอยู่ที่นี่ ความผูกพันมันคงถูกโอนถ่ายมาด้วยทางสายเลือด ผมแวะที่ วัดแห่งหนึ่งที่มีท่าเรือ มันมีศาลา ผมนั่งมอสายน้ำในแม่น้ำโขง ที่ไหลไปอย่างรวดเร็ว มันทำให้ผมถึงกับคิดได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมานั้นเราไม่สามรถ หยุดมันได้ ก็ต้องปล่อยให้มันไป ยื้อไว้ เราเหนื่อยเองการเอาตัวเองต้านทานกระแสต่างๆ นับว่าเป็นการ กระทำที่ยากลำบาก ทรงตัวยากแน่ๆ และผมพบว่าใช่ ผมเหนื่อย และไอ้คำว่าเหนื่อย ไม่เคยมีใครได้ยินจาก ปากผมหรอกในช่วงนั้น แต่มักจะได้ยิน จากคนอื่นบ่อยๆ ขณะที่ผมกำลังดื่มด่ำกับค่ำคืนที่ทำให้ผมแก้ปัญหาหนักใจได้ ปัญหาหนักใจชิ้นต่อไปก็เกิดขึ้นทันที เมื่อเด็กวัยรุ่น๒คนนะ (ถ้าจำไม่ผิด) มันแอบมาขโมยจุกน้ำมันเครื่องรถผม (ซึ่งผมเองดันไปจอดในที่จอดรถ ที่มันมืด จนพวกนั่นแอบมาจารกรรม เท่านั้น มันยังไม่พอ พวกมันหัวหมอมาก )พวกมันปล่อยลมรถผม ซึ่งก็ เพราะไอ้เสียงลมรถที่ดังออกมานี่แหละทำให้ผมหันไปมอง แต่ยังไม่เอะใจ จนพวกมันออกไปจากตรงนั้นซัก พัก ผมจึงเดินไปดู ไอ้เหี้ยเอ๊ย แถมก่อนมันจะพ้นสายตาผมมันยังมีหน้ามาบอกว่า อ้ายครับ ผมปล่อยลมรถ เจ้า เออ กูรู้แล้ว มันทำให้ผมมองภาพคนหนองคายได้ชัด แต่ก็นะ มันไม่ได้ทำให้ผมมองคนหนองคาย ในแง่ ร้ายหรอก แค่ทำให้ผมคิดว่า เด็กก็คือเด็ก เสี้ยมมันไม่ดี ซักวันผลของการเสี้ยมไม่ดีจะทำให้เกิดปัญหา แบบ นี้ ผมเข็นรถเพื่อหาที่ซ่อมรถ ช่วงนั้นราวๆสามทุ่ม ทุกอย่างเงียบไปหมดแล้ว คือพากันนอนเร็วจังวะ? แต่ก็ เจอผู้หญิงคนหนึ่งก็เลยถามว่าแถวนี้มีร้านซ่อมรถมั๊ย เฮาเป็นคนลาว เฮาบ่ฮู้ดอก ผมก็ขอบคุณครับ แล้วผม ก็เข็นไปเรื่อยๆ ออกจากวัด จำได้ว่า ออกไปจากนี้ราวๆ๒-๓ ร้อยเมตรจะมีปั๊ม น้ำมันปตท. และมันมีที่เติมลม และเพื่อให้การเข็นง่ายและเร็วผมจึงสตาร์ทรถแต่ผมก็เลยรู้ว่าจุกยางตรงถังน้ำมันเครื่องมันหายไปแล้ว เพราะถ้าเปิดตรงนี้ออก มันจะมีเสียงที่ดังมาก ผมก็เลยได้เข็นเงียบๆ ขณะที่ผ่านบ้านหลังนึงมีรถมอเตอร์ไซค์จอดอยู่และมีผ้าห่มคลุมไว้ แผนการชั่วร้ายของผมก็เกิดขึ้น ครับ ผมต้องหาจุกน้ำมันเครื่องมาใส่พอเข้าไปดู มันเป็นคน ละแบบ ผมก็เลยเอามาแค่ผ้าห่ม คืนนั้นอากาศ จะเย็นๆหนาวๆ หน่อย ตอนนั้นผมทิ้งศักดิ์ศรีจริยธรรมไปแล้ว ช่างหัวมัน มัน ช่วยอะไรผมตอนนี้ไม่ได้ แต่พอผมเข็นไปสักพัก สายตาก็ไป หยุดที่หน้าบ้านหลังหนึ่งมีรถมอเตอร์ไซค์ดวงซวย จอดอยู่๒-๓ คัน และมีคันที่ผมต้องการด้วยเป็นตระกูลเดียว กับรถผมนี่แหละ แค่ต่างรุ่นกัน ผมล้วงหาอุปกรณ์ในการแงะ จุก ก็ได้ไขควง ปากแฉกมาจากถุงอุปกรณ์ดูแลรถที่อยู่ใต้เบาะ ผมเข้าไปแงะ มัน ซึ่งเป็นอะไรที่ท้าทายที่สุด เพราะมันจอดอยู่ ใต้เสาไฟ ที่สว่างโร่ และบริเวณนั้นโล่งเตียน หากมีใครซักคน ผ่านมาเห็นละก้อ ซวยยาวเลย แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกอย่าง เอื้ออำนวย ผมไปหมด พอผมแงะออกมาได้และเดินออกมา หมาที่อยู่แถว นั้น ถึงเห่าไล่ผม(เยี่ยม) แล้วรถผมก็มีจุกซะที
ผมเลยสามารถ ขี่(บดยางไปนี่แหละ) เพื่อไปเติมลมที่ปั๊ม จากนั้นผมก็ชิล ขี่ไปเรื่อยๆเลียบถนนริมบึงจนไปหยุดที่พระธาตุหล้าหนอง(จำลอง) ผมแวะอ่านข้อมูลของ พระธาต ุและถ่ายภาพซึ่งองค์พระธาตุองค์จริงก็อยู่เยื่องๆองค์จำลองไปอีก๑๐๐เมตรเห็นจะได้ แต่อยู่ในแม่น้ำโขง ซึ่งตอนนั้นน้ำขึ้นสูงจนยอกฐานที่ควรจะเห็นและมีผู้คนที่ศรัทธาล่องเรือไปกราบไหว้เสมอนั้น กลับไม่เห็น ผมออกมาจากที่นั่นแล้วไปหาอะไรทานซึ่งวันนั้นเป็นช่วงงานงิ้ว(งานฉลองศาลเจ้า)มันก็มีอะไรน่าสนใจเยอะ แต่ก็เป็นเพราะตอนนั้นมันช่วง๓-๔ทุ่มเข้าไปแล้ว ร้านค้าแผงลอยเริ่มปิดเก็บกันแล้ว ผมเลยได้ไปกินก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟหน้าที่ว่าการฯ จากนั้นก็พบว่ายางรถผมนั้นมันเริ่มแบนอีกแล้วสงสัยคงรั่วเพราะขี่บดน่ะแหละ ก็เลยขี่หา ร้านซ่อม ซึ่งมันก็ทำให้ผมเสียเวลาไปถึงชั่วโมงกันเลย ก็ดีตรงที่เจอ เขาก็จัดการปะให้ผมตอนนั้นเงินไม่พอเปลี่ยน ผมก็ระบายให้ฟังว่ายังงั้นยังงี้ ลุงแกก็ว่างี้แหละวัยรุ่น ระมัดระวังให้ดี แล้วก็ถามว่าผมจะไปไหน ผมก็บุ้ยใบ้ว่าจะไป อำเภอท่าบ่อ บ้านพ่อ(เมื่อนานมาแล้ว)ของผมเอง พอผมปะยางเรียบร้อยนั้นก็ปาไปเข้าไปเกินเที่ยงคืนแล้วผมเลย ขี่รถทัศนาในตัวจังหวัด ที่มีตึกแบบเก่าๆให้พบ ผมรู้สึกชอบสถาปัตยกรรมแบบเก่านะ ทั้งแบบจีนและแบบฝรั่งเขา ยังอนุรักษ์ไว้ ผมขี่ไปเรื่อยๆ จนไปโผล่ ตลาดท่าเสด็จ จริงๆก็อยู่แถวๆที่ผมโดนจารกรรมมาน่ะแหละ เดินเข้าไป หลังจาก หาที่จอดรถ ที่ปลอดภัย ได้แล้ว ผมถ่ายรูปคู่กับป้ายชื่อ ตลาดขนาดใหญ่ที่มีพญานาคม้วน ตอนนั้นก็ราวๆตี๔แล้วผมมองไป ทางฝั่งลาวทางนู่น คงเงียบสงบดี นะ จากนั้นผมก็หาที่นอนนั่นสิหลัง จากโดนจารกรรมของมา คิดว่าที่ ไหนน่านอนที่สุด ครับ ผมเอารถ ไปจอดที่โรงพยาบาล แล้วแวะซื้อ ของกินตอนแรกกะไม่นอนจะอยู่ยัน เช้าที่ศาลา ที่ผมมานั่งตอนแรก และ โดนจารกรรมน่ะแหละ(ท่าจะไม่เข็ดแฮะ)จนพอได้ยินไก่จากทางฝั่งลาวขัน ผมเลยคิดว่าเขาจะตื่นกันแล้วนี่หว่า หานอนเถอะ และผมก็เลยเดินกลับเข้าโรงพยาบาล นี่ก็เป็นครั้งแรกของการเข้าโรงพยาบาลที่ไม่ได้ไปเยี่ยมไข้ใคร หรือเข้าไปรักษาตัวแต่เป็นการหาที่นอน! ผมเดินไปตามที่ต่างๆจนไปหยุดที่หน้าตึกที่เป็นที่พักของคนที่มาทำคลอด ก็อาศัยเนียนๆเลย ว่าเป็นประหนึ่งญาติที่มาเฝ้าคนที่จะคลอด แล้วอุปกรณ์ที่ทำให้เนียนก็คือผ้าห่มที่ผม ไปจกมา ตอนนั้นน่ะแหละ ก็คลุมโปงแล้วปิด สวิทไปเลย แล้วก็ตื่นอีกทีก็เช้าเลยแหละ ราว๗โมง ผมเข้าห้องหน้าล้างหน้าล้างตาและเข้าเซเว่น(อยู่หน้าโรงพยาบาลน่ะแหละ) ซึ่งจริงๆก็มีร้านข้าว นะ แต่ผมเอาสะดวกเข้าว่าไงเลยได้มาม่าสปอนเซอร์และกาแฟมา แล้วผมก็ไปที่ตลาดท่าเสด็จอีกครั้งเพื่อหาที่นั่ง กินข้าวเช้า หลังจากกินเสร็จก็พร้อมที่จะลุยต่อ ตอนนั้นผมลืมเรื่องที่มหาลัยไปหมดแล้ว ในหัวมีแค่เที่ยวเท่านั้น ผมก็ขี่วนไปทั่วตัวจังหวัด ไปโผล่ที่หาดจอมมณีที่มีน้ำขึ้นเต็มหาด และผ่านวัด หลวงพ่อพระไส (กว่าผมจะได้เข้าไป ในตัววัดนี้ก็เกือบ๑ปีต่อมาแน่ะ) จนผมก็นึกได้ว่าที่นี่ยังมีที่เที่ยวที่น่าสนใจซึ่งก็คือศาลาแก้วกู่ศาสนสถานที่ถูกสร้าง เพื่อบูชาศาสนาฮินดูและพุทธ ผมเคยมาที่นี่สมัยที่ยังอยู่ชั้นประถมโน่น คือทางวัดแถวบ้านจัดทัวร์แสวงธรรม เลย
ทำให้ผมได้มาด้วยตอนนั้นไปวัดกับแม่บ่อยไปทำวัดเย็นตอนนั้นจำได้ว่าไม่ได้เดินดูอะไรมาแต่ก็ตื่นตาตื่นใจที่ได้เห็น หลังจากที่เห็นจากรูปของญาติๆที่เขาเคยมากัน ตอนนั้นเด็กนั้นกับปัจจุบันที่ผมมานี้ เปลี่ยนไปพอสมควร พอเสียค่เข้า ผมก็ย้อนรำลึกอดีต แต่ก็จดจำประสบการณ์ใหม่ๆไปด้วย ตอนนั้นเดินไม่ทั่ว แต่คราวนี้มีตรงไหน ให้ เดิน ก็จะเดินไปให้หมดเลยเอ้าผลงานชิ้นมหึมานี้มันทำให้ผมทึ้ง ทึ่งในความสามารถของคนที่สรรค์สร้างขึ้นมาด้วย แรงศรัทธาที่มากมายจนรู้สึกได้ มันยิ่งใหญ่ ผมเดินถ่ายรูปไปจนอิ่มหนำสำราญ จากนั้นก็มาเสี่ยงเซียมซี ซึ่งทั้งๆ จริงๆตั้งแต่เข้ามอปลายมาแล้วผมเลิกยึดถือศาสนาพุทธไปแล้ว มันก็น่าจะไม่เชื่อ พวกเรื่องโชครางรึอะไรเทือกนี้ ไปด้วย แต่ก็นะ ผมชอบดูดวง ผมจำไม่ได้ว่าเสี่ยงได้อะไร แต่มันก็มีทั้งดีและไม่ดีน่ะแหละราวๆนี้ จากนั้นผมก็เดิน เข้าสู่ตัวตึกที่ประหนึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ของเก่าก็ไม่ปาน ภายในเต็มไปด้วยวัตถุโปราณ ใบเสมารูปหล่อต่างๆ แต่ก็ เกี่ยวโยงไปกับศาสนา และมีข้าวของเครื่องใช้ของผู้ก่อตั้งที่นี่ และมีศพของท่านถูกเก็บรักษาไว้ที่นี่ด้วย ผมเดินไป ในตึกนี้ยิ่งขึ้นสู่ชั้นบนก็ยิ่งเงียบสงัด และยิ่งพอเห็นศพของผู้ก่อตั้งที่นี่ ก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่ของท่าน เมื่อ ครั้งที่ยังมีชีวิต จากนั้นผมก็ออกจากตึกนี้และออกจากที่นี่ไป ตั้งใจจะกลับขอนแก่นแล้ว แต่พอขี่มาถึงทางแยกแห่งหนึ่ง แถวๆอุดรฯก็พลันเห็นป้ายบอกทางไปป่าคำชะโนด ครับ ผมเลี้ยวตามเลย แม้เส้นทางจะไกลซักหน่อยระหว่างทาง ก็พบว่าแถวนี้ทำนาเกลือกัน เกลือสินเธาว์น่ะแหละ วางขายกันให้พรืดถุงเบ้อเริ่มไม่กี่บาทเอง กินได้ทั้งชีวิตจากนั้น ผมก็เข้าสู่เขตดินแดนแห่งความลึกลับ ขณะที่ผมไปนี้แถวนั้นแล้ง มาก และเส้นทางที่ผมเข้าไป มันไม่ได้เจริญเลย ถนนยังเป็นถนนลูกรังอยู่ และผมก็เห็นป่าแห่งหนึ่งที่เขียวชอุ่มที่ตั้งอยู่โดดๆท่ามกลางทุ่งนาที่แห้งแล้งครับที่ผมเห็น คือป่าคำชะโนด ผมเลี้ยวเข้าวัดในที่สุด วันนี้ที่วัดก็ยังมีนักท่องเที่ยวอยู่ แต่ผมก็ได้รู้เสียทีว่าถึงแม้จะมีป่าคำชะโนด ดึงดูนักท่องเที่ยว แต่ตัววัดก็ยังไม่ได้อยู่เจริญหรือมีอารามใหญ่โต แต่กำลังอยู่ในช่วงที่กำลังพัฒนาวัด ผมเดินไป ตามทางเพื่อเข้าสู่ป่าคำชะโนด มีป้ายเตือนห้ามใส่รองเท้าเข้าไป เพราะเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธ์ ผมก็ถอดแต่ไม่ได้วางไว้
แถวนั้น กลัวหายเลยเหน็บติดไปด้วย ทางเดินนี้ทำด้วยปูน ท่ามกลางสภาพอากาศที่ร้อนแห้งแล้งแบบนี้ ทางเดิน ก็เลยร้อนไปด้วย และพอเดินไปกลางทางเดิน จริงๆเค้าเรียกว่าสะพานนะ มันก็มีช่องแบ่งออกคือทางเดินนี้ มี ๒ ท่อนนะ ไม่ได้สร้างเป็นชิ้นเดียวแต่มันก็ทอดยาวเข้าไปในป่า เค้าบอกว่าที่มันไม่เป็นทางเดียวยาวไปเลย เพราะมัน ทำไม่ได้ ประหนึ่งว่าตรงนี้เข้าไป ก็คืออีกมิติอีกโลกหนึ่ง ฉะนั้นทางเดินนี้จึงสร้างได้แค่ทำให้มันเกือบชิดกันเท่านั้น ก็อย่างว่าเรื่อง ลึกลับแบบนี้ก็ยังหาคำตอบลำบาก จากนั้นผมก็เข้าไปภายในป่าแล้วสะพานนี้ก็ยาวเข้าไปในป่าจนถึงหน้าศาลนอกนั้นก็คือรากไม้และซากใบไม้ กิ่งไม้ที่ทับถมจนดูเป็นดินแต่ก็ชุ่มไปด้วยน้ำ ซึ่งมันทำให้ผมตะลึงข้างนอกร้อนตับหลุด แต่ข้างในนี้เย็นสบายภายใน ป่านี้มีศาลปู่ตา และบ่น้ำศักดิ์ที่ว่ากันว่าคือทางลงไปสู่วังบาดาล ที่อยู่ของพญานาคและบ่อน้ำนี้ลึกยาวไปถึงแม่น้ำ โขงเลยทีเดียว ผมเพ่งมองในบ่อที่ทำด้วยปูนเป็นรูปสี่เหลี่ยมนี้ พบว่าข้างในมีท่อนไม้ขนาดใหญ่เสียบอยู่ในบ่อซึ่งมี ขนาดใหญ่มาก เดาว่าเป็นต้นมะพร้าวและน้ำในบ่อก็เขียวอี๋ เพราะเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ บ่งบอกถึงความเย็น และ ชื้นได้อย่างดี ผมพยายามสัมผัสความรู้สึกแปลกใหม่นี้ให้มากๆและออกเดินสำรวจพื้นที่ภายในส่วนอื่นๆแต่ก็อย่าง ที่บอก ไม่ว่าเดินไปส่วนใดของป่าพื้นที่ผมเหยียบย่างก็ชุ่มไปด้วยน้ำ มันน่าทึ่งมากที่มีป่าแบบนี้ และผมรู้ว่า ว่าต้น คำชะโนดนี้ขยายพันธุ์ยากมา มีคนนำไปเพาะเพื่ออนุรักษ์ต้นคำชะโนดที่นับวันก็เริ่มแพ้ภัยธรรมชาติเพราะถูกรุกล้ำ ด้วยแสงแดดที่เป็นตัวทำลายความชื้นและความเย็นและผมพบว่ามีต้นคำชะโนดยืนต้นกำลังจะตายไม่รู้นะว่าถ้ามา ในช่วงน้ำขึ้น มันจะเป็นยังไง นึกภายตามลำบาก เคยเห็นนะจากข่าวแต่ก็เป็นภาพที่ป่านี้ลอยเหนือน้ำ แต่ไม่ได้เห็น ภาพภายใน
ผมดื่มด่ำความมหัศจรรย์ของธรรมชาติเสร็จผมก็เบนเข็นมุ่งหน้ากลับขอนแก่น แต่กว่าจะถึงขอนแก่น ยางรถที่ผมปะไว้ ก็ทำพิษส่งท้ายอีกครั้ง ซึ่งผมเหลือเงินไม่กี่สิบบาทแล้ว จึงโทรหาพี่รหัสให้โอนเงินมาให้ที (ดีที่ ผมเอาสมุดบัญชีและบัตรATMมา)แต่กว่าผมจะได้เงินนั้นก็พบว่าเพื่อนพี่รหัสผมเขาดันไม่เชื่อว่าพี่รหัสแกยืมมา ให้ผมเพราะมีความจำเป็นจริงๆ (สงสัยพี่รหัสผมคงยืมจนเสียเครดิต ไปแล้วมั้ง) จนสุดท้ายเพื่อนพี่รหัสได้คุย กับผมนั้นแหละ (หลังจากคุยทางโทรศัพท์ไปแล้ว2ครั้ง) จนเขาเชื่อว่าผมมีปัญหาจริงๆ ไม่ใช่ว่าผมยืมเฉยๆแล้ว ชิ่ง พอผมได้เงินก็เข็นไปหาร้านซ่อมที่อยู่ไม่ไกลเท่าไหร่เพื่อเปลี่ยนยางในไปเลย จากนั้นผมก็กลับมาเหมือนเดิม พร้อม ที่จะกลับขอนแก่นซะที (ล่อไปเกือบมืดแน่ะ) ผมกลับมาถึงหอพักก็ค่ำแล้ว ผมนั่งทบทวนในสิ่งที่เกิดขึ้นกลับผม การเดินทางครั้งนี้คือจุดเปลี่ยนของ ชีวิตผม อย่างมาก ทำให้ผมเข้าใจสภาพสังคมของคนมากขึ้น เข้าใจพี่รหัสตัวเอง เข้าใจเด็กวัยรุ่นชาวแว้น๒ คนนั้น เข้าใจถึงธรรมชาติว่าก็ต้องดิ้นรนมีชีวิตอยู่ไม่แพ้สิ่งมีชีวิตอื่นๆ และทำให้ผมเข้าใจเพื่อนผมมากขึ้นเข้าใจ ตัวเองมากขึ้น ผมรู้สึกโตขึ้นหลังจากผ่านเหตุการณ์ที่ตื่นเต้นสนุก และระทึกขวัญ ขอบคุณจริงๆ ปล.หากใครเคยเที่ยวแล้วเจอเหตุการณ์คล้ายๆกันก็เขียนมาเล่าสู่กันฟังด้วยนะรับ ตามที่อยู่ของนิตยสาร วงเล็บมุมซองหรือ จั่วหัวอีเมล์ด้วยนะครับว่า “เรื่องเล่าขณะระหว่างทาง คอลัมน์เนื้อหุ้มเหล็ก”คราวหน้า ผมจะเล่าเรื่องการเดินทางไปที่ไหน ก็ลุ้นๆ กันอีกนะครับ รับรองสนุกตื่นเต้นเร้าใจขึ้นเรื่อยๆแน่นอน ส่วนฉบับนี้ ผมขอกล่าวคำว่า สวัสดีครับ.
โดย นิกร
“ความเข้าใจ”
สวัสดีครับ ก็กลับมาพบกับคอมลัมน์นี้อีกครั้ง คราวที่แล้วก็ได้สนุกสนานกันไปกับการ ทำไฟฉายส่องอ่านหนังสือ คราวนี้ผมมีปลั๊กอินอีกอันมาแนะนำครับ ปลั๊กอินตัวนี้มีชือว่า
“ความเข้าใจ”
ปลั๊กอินตัวนี้สามารถใช้กับหลายๆโปรแกรมครับ ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมการอยู่อาศัย ร่วมกับคนอื่น การเรียน การทำงาน พูดง่ายๆก็คือ จะใช้กับพวกโปรแกรมที่ต้อง ใช้ร่วมกับ คนอื่น อย่างการเรียน หากไม่มีปลั๊กอินตัวนี้ ก็จะทำ ให้เรียนไม่รู้เรื่องอันจะกลายเป็นปัญหา กันต่อไป เท่าที่เราๆรู้ว่าเด็กๆไม่ค่อยชอบเรียนหนังสือ เอ่ เป็น เพราะรูปแบบการสอน หรือ ตัวผู้สอน หรือตัวผู้เรียน อันนี้ก็ไม่ทราบได้จริงๆ หรือการทำงาน ก็จะเป็นปัญหาเหมือนกัน และดูร้ายแรงมาก หากไม่มีปลั๊กอินตัวนี้ ติดตัว การทำงานก็คงไม่มีทางสำเร็จง่ายๆ “ความเข้าใจ”จะมีได้ ก็ต่อเมื่อเราต้องทำ ความรู้จักกับโปรแกรมนั้นๆอย่างพร้อมใจ และถ่องแท้ หมดจด วิธีทำความรู้จักก็มีหลากหลายรูปแบบอีก แล้วแต่จะเลือกใช้ตามสะดวก ผมอยากเน้นย้ำให้หลายๆคนติดตั้งปลั๊กอินตัวนี้กับตัวเพราะมันจำเป็นและสำคัญจริงๆ ซึ่งเราๆ ท่านๆ ก็คจะทราบกันเป็นอย่างดีกับสภาพบ้านเมืองเราในยุคนี้ กับอุทกภัยที่กลับมา อีกครั้ง (ทั้งๆที่ไม่มีใครเรียกร้องซักหน่อย)และดูจะรุนแรงเรื่อยๆ หากเราไม่มีความ เข้าใจกับ ภัยธรรมชาติ ก็อาจจะวินาศกันทั้งประเทศ ฉบับนี้ลาล่ะครับ พบกันฉบับหน้า! ปล.ปลั๊กอินติดตั้งง่าย เพียงใจสัมผัส!
เรื�อง/ภาพ:เอลลี�
กาลครั�ง๑๑ที�เมืองออสติน สวัสดีค่ะท่านผู้อ่านทุกท่าน จะด้วยความบังเอิญหรือความตั�งใจ หรือ อะไรก็แล้วแต่ ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงที�อ่านคอลัมน์นี�นะคะ และ อย่าเพิ�งงงค่ะนี�เป็นคอลัมน์ใหม่ของ From The Inside ซึ�งคอลัมน์นี�ก็ จะเขียน เกี�ยวกับไลฟ์สไตล์ ท่องเที�ยวและแฟชั�นเปรี�ยวๆเข็ดฟัน ตาม สไตล์ของดิฉันเองค่ะ บางคนอาจจะคิดว่า เฮ้! คอลัมน์นี�โผล่มาได้ยังไง เมื�อเล่มก่อนยังไม่มี เลย? ใช้เส้นบรรณาธิการเข้ามารึเปล่า? เคยมีประสบการณ์ด้านการ เขียนไหม? บอกตรงๆเลยค่ะว่า “ใช่ค่ะ”...ดิฉันหน้าด้านขอร้องบรรณา ธิการบอกว่าอยากเขียนมากแต่ไม่มีประสบการณ์เลย แล้วท่านก็เซย์ “เยสสส” ก็ขอขอบคุณบรรณาธิการผู้ใจดีที�เห็นความตั�งใจของผู้หญิง คนนี�นะคะ ผู้อ่านคงกำลังคิดว่าเฮ้! เธอเป็นใคร? มาจากไหน? เขียนโม้มาเยอะ แยะไม่แนะนำตัวซะที...ค่ะดิฉัน เอลลี� สาวหน้าคมจากเมืองใต้ จนบาง คนบอกว่า หน้าเธอเหมือนพวกก่อการร้ายเลยอ่ะ...อืมมมค่ะหน้านิ�งๆ ของฉันมันก็เป็นอย่างนี�แหละค่ะ เรามาเข้าเรื�องกันเลยดีกว่า ชีวิตของ เอลลี�เดินทางเกือบตลอดแต่เรื�องนี�เป็นประสบการณ์จากปีที�แล้วที�ได้ ไป เยือนอเมริกา ผู้อ่านบางท่านคงคิดว่า เฮ้เธอโชคดีจังเลยได้ไปเที�ยว ไม่ค่ะ ไม่ใช่ อย่างที�คิด เอลลี�ไปทำงานด้วยนั�นก็คือ “แม่บ้าน” ณ โรงแรม๔ดาว แห่งหนึ�งที�เมืองออสติน รัฐเท็กซัส จะพูดง่ายๆก็คือ Program Work and Travel นั�นเอง และที�นี�ทำให้เอลลี�เจอกับเนื�อคู่สุดหล่อที�เขาไม่เคยสนใจ ฉันเลย ไม่เป็นไรค่ะดิฉันก็มุ่งมั�นทำงานต่อไปซึ�งหนักมากแต่ยังโชคดีค่ะ ที�มีเจ้านายที�ดี เพื�อนร่วมงานที�ดีและไม่ดี และคนไทยที�คอย ช่วยเหลือ ตลอดค่ะ allyypt@yahoo.com
ช่วงที�มาเป็นช่วงเทศกาล SXSW เป็นเทศกาลดนตรีที�ใหญ่ที�สุด มีนักดนตรีอิสระมากมายทั�วทั�งอเมริกาเดินทางมาเพื�อทำการแสดง ที�นี� แน่นอนค่ะการแต่งตัวต้องไม่ธรรมดา!!! ในอเมริกาคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยสนใจว่า คุณจะใส่อะไร คนอเมริกา ชอบคนที�มั�นใจในตัวเองดังนั�นอยากใส่อะไรใส่ไปเลยค่ะ แสดงความ เป็นตัวตนของเราไปเลยค่ะ Be Weird!แล้วคุณจะเกิดค่ะ ออสตินยังเป็นเมืองหลวงของรัฐเท็กซัส งงใช่ไหมล่ะเพราะเมืองส่วน ใหญ่ที�เราได้ยินบ่อยๆก็คือ Dallas และ Houston สถานที�โดดเด่นของ เมืองนี�ก็คงหนีไม่พ้น The Texas Capital ซึ�งตั�งโดดเด่นอยู่ใจกลางเมือง เป็นที�ทำงานของผู้ว่าการรัฐและรู้ไหมค่ะว่าใครคืออดีตผู้การรัฐเท็กซัส ที�ได้เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา?...นั�นก็คือจอร์จ ดับเบิลยู. บุช นั�นเอง เท็กซัสยังเป็นฐานเสียงของพรรค Republican ของบุชอีก ด้วย (ฉันรัก OBAMA เขามีสีผิวคล้ายคลึงกับฉัน) Ooops!การเมืองและ นอกเรื�องไป ค่ะและที�นี�เราสามารถเข้าไปเยี�ยมชมได้ฟรีค่ะ อีกจุดหนึ�งที�นักท่องเที�ยวต้องมาเยือนนั�นก็คือ Ann W. Richards Congress Avenue Bridge เป็นสะพานเชื�อมระหว่างถนน South Congress Ave. กับ North Congress Ave.ในช่วงเวลาเย็นเหล่าค้างคาวก็จะ บินออกมาเป็นทางยาวเพื�อออกหาอาหาร ซึ�งเป็นจุดเด่นของสะพาน แห่งนี�และสะพานนี�สามารถมองเห็น The Texas Capital ที�อยู่ใจกลาง เมืองบนถนน North Congress Ave. ได้อีกด้วย แน่นอนค่ะ นอกจากสถานที�ท่องเที�ยวเหล่านี�แล้วเราจะพาผู้อ่านไปยัง สถานที�ชิคๆ เก๋ๆสำหรับวัยรุ่นอย่างเราต้อง South Congress Ave. คนจะเยอะช่วงศุกร์ เสาร์และอาทิตย์ ส่วนใหญ่ก็ออกมาดินเนอร์ แฮงค์เอ้าท์ ช้อปปิ�งกัน ที�นี�จะคล้ายๆ Flea Market เป็นพวกของมือสอง ของฝากหลายๆอย่าง ที�นี�ยังมีร้านของคนไทยอีกด้วยชื�อร้าน Crepesmille ร้านนี�ดังมากกกกก ขายเครปค่ะ แน่นอนมันต้องไม่ใช่เครป ธรรมดา ที�นี�คิดสูตรเองค่ะเป็นอาหารประเภท Fusion Food เก๋ๆ และ อร่อยมากกกกค่ะและนี�ก็เป็นการเดินทางที�เอลลี�ได้ไปพบ เจออะไรๆใหม่ประสบการณ์ใหม่ๆมากมายหลายๆอย่าง พบกันใหม่ฉบับหน้านะค่ะ :D allyypt@yahoo.com
กับ อากุ้ย สวัสดีในเดือนตุลาคม เดือนที่ไทยกำลังเผชิญ กับมหาอุทกภัยอีกแล้ว อ่วมไปหลายพื้นที่เลย ฝนตก แทบทุกวัน ยังไงๆก็ดูสุขภาพด้วยนะครับ ทั่นผู้อ่าน! เอ้า ไปตอบจดหมายกันเถอะ! ศรีรินาถ สวยสุด - ขอนแก่น >สวัสดีค่ะ หนูอยากจะบอกว่าหนู เป็น สาวก หนังสือของพี่คนนึงเลยนะคะ อ่านไปหัวเราะไป (เล่ม ต่อไปให้หนูฟรีก็ดี อิอิ) หนูจะติดตามผลงานพี่ต่อไป นะคะ -ขอบคุณอีกครั้งนะครับที่ติดตามอ่าน เอ่อ จริงๆพี่ก็ปล่อยให้โหลดอ่านฟรีนะครับ หรือน้องไป โดนใครหลอกให้ซื้ออ่านเนี่ย? พงษกร นอนกลางเว็น - เลย >ผมเขียนมาฉบับที่๓แล้วนะครับ หวังว่าพี่จะ เอามาลงซักที ก็คือแบบพี่ไม่ตอบจดหมายของผมเลย ตามอ่านมาตั้งแต่เล่มแรก อาจเป็นเพราะพี่ต้องคัดเลือก ตอบด้วยแหละมั้งครับ(เข้าใจๆ)แต่ผมคิดว่าพี่น่าจะต้อง ได้อ่านมันแน่ๆ แต่ในเมื่อพี่ไม่ตอบกลับหรือเอามาลง หนังสือ ผมก็เลยไม่รู้ว่าผมจะได้รู้คำตอบยังไงที่ผม เขียนมา ๑.การ์ตูนสั้นที่ลงนี่เป็นของนักเขียนประจำรึเปล่า?หรือ มีรับพิจรณาผลงานจากทางบ้าน คือผมก็เขียน การ์ตูน เหมือนกัน แต่ยังไม่เคยเอาไปเสนอที่ไหน ๒.เรื่องสั้นก็เหมือนกัน ผมก็เขียน ก็เอาให้เพื่อนๆอ่าน มันก็บอกว่าไม่ลองเอาไปส่งสำนักพิมพ์วะ คือผมไม่ เข้าใจระบบพวกนั้นอ่ะครับ ๓.ผมเป็นพวกชอบท่องเที่ยวเหมือนกันนะครับ!! ขอบคุณจริงๆหากพี่เอามาตอบครับ -ขอบคุณอีกครั้งนะครับที่ติดตามอ่าน เอ่อ จริงๆ พี่ก็อ่านจดหมายน้องทุกฉบับ มันเป็นจดหมายที่ น้องพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ดีด มันเตะตาพี่อยู่แล้ว แต่ที่ ไม่เคยเอามาลงตอบก็เพราะ พี่เอาไปหารือกับพี่บก.อยู่
ถึงเรื่องที่น้องถามมานี่แหละแต่ยังไม่ได้คำตอบแน่นอน ๑.การ์ตูนสั้นที่ลงในนิตยสารของเรามาจากนัดเขียนประ จำของเรานี่แหละครับ ทั้งขอร้องทั้งบังคับให้เขียน แต่ พี่บก.เปรยๆมาว่าในอนาคตอันใกล้อาจจะเปิดรับผลงาน จากทางบ้านครับทั้งเรื่องสั้นและการ์ตูนสั้น แต่ต้องทำ ความเข่้าใจกันก่อนนะครับ ว่าเราไม่มีค่าเรื่องตอบแทน นิตยสารเราตอนนี้ อยู่ได้ด้วยเวร ด้วยกรรม แล้วก็บุญ วาสนาครับ ไม่ได้อยู่ที่เม็ดเงินใดๆ เดี๋ยวเอาเป็นว่าหาก พี่ได้ข่าวที่แน่ชัดยังไงจะมาบอกกว่ากันอีกที ๒.ระบบสำนักพิมพ์เหรอ คือก็อย่างที่บอก สำนักพิมพ์ เราตั้งห้องพักบก.และทีมงานก็ทำงานที่ห้องใครห้องมัน แล้วก็ส่งงานกันทางอีเมล์ ส่วนเรื่องประชุมก็ไปหาร้าน กาแฟเงียบๆคุยกัน พูดง่ายๆ สำนักพิมพ์เราเล็กมากๆ ก็เลยมีระบบที่ดูไม่เหมือนสำนักพิมพ์ใดๆในโลก พี่บก. แกก็มาบ่นให้ฟังว่าอยากขยายออฟฟิตแกเหมือนกัน แต่ไม่มีที่ไหนโดนใจทั้งสถานที่และราคา ก็อย่างว่า ใน อนาคตอาจมีการเปลี่ยนแปลง ๓.ดีใจครับที่เป็นคนชอบท่องเที่ยว บ้านเรามีที่เที่ยว เยอะ พี่เองก็ยังไปไม่หมดเลย แค่ภาคอีสานอย่างเดียว ก็ไปไม่เท่าไหร่เอง แล้วพิมพ์จดหมายมาอีกน้า นาวี เหล่าชุมแพ - ขอนแก่น >สวัสดีครับ เพิ่งเขียนส่งมาฉบับแรก ก็ไม่รู้จะ ถามอะไรมาก เพราะอาศัยว่าอ่านจากจดหมาย ที่พี่เอา มาตอบ บางคำถามผมก็สงสัยอยู่พอด พลอยทำให้ไม่มี เรื่องอยากถาม แต่ถ้าจะไ่ม่ถาม ก็ไม่รู้ว่าผมจะเขียนมา ทำไมเหมือนกัน ทำงานพวกนี้เหนื่อยมั๊ยพี่?แล้วปรกติ พากันไปทำอะไรเวลาเหนื่อยล้าจากงานแค่นี้มั้งที่อยาก ถาม เดี๋ยวยังไงจะเขียนมาอีกครับ -ขอบคุณครับที่เขียนมา จริงๆเขียนมาถามไถ่ สารทุกข์สุขดิบแบบนี้ก็ได้แหละ ชื่นใจที่มีคนคุยด้วยนะ ก็ขอบตอบว่าเหนื่อยนะ ทำงานยังไงมันก็ต้องเหนื่อย แต่ประเด็นคือมันก็สนุกที่ได้ทำ ไม่มีใครบังคับพวกพี่ทำ มันก็เลยอยากทำอะไรอย่างใจก็ทำๆไป แล้วพอเหนื่อยก็ แยกย้ายกันไปพักผ่อนตามอัธยาศัย ของพี่เองก็อาบน้ำ นอนนี่แหละ สุขสุดๆแล้ว เจอกันใหม่ฉบับหน้าคร้าบบบบบบบ