โรงเรือนเพาะปลู กพืช (GREENHOUSE) ในการผลิตทางการเกษตร เกษตรกรเป็ นจํานวนมากยัง ต้อ งพึงพาอาศั ย ธรรมชาติ เป็ นหลักไม่ว่าจะเป็ นช่ วงเวลาและปริมาณฝน ช่ วงแสงแดด อุณหภูมแิ ละความชื นของอากาศ ฯลฯ ซึงมักจะแปรปรวนไม่เป็ นไปตามทีคาดหวัง อีกทังพืช พัน ธ์ที ปลู ก มีค วามหลากหลายมากขึ นตาม ความต้องการของตลาด มีความต้องการสภาวะสําหรับการเจริญเติบโตและให้ผลผลิต ที แตกต่ า งกั น ดังนันจึงประสบความเสีย หายทั งด้า นคุ ณภาพและปริม าณอยู่ เ สมอ แนวทางหนึ งที เกษตรกร จะสามารถคาดหวังคุณภาพและปริมาณได้ตามต้องการคือต้องทํ าการผลิตพืชในสภาวะที ควบคุ ม ได้ ซึงเป็ นทีมาของโรงเรือนเพาะปลูกพืช (GREENHOUSE) โรงเรือนเพาะปลูกพืชมีใช้กันอย่ างแพร่หลายในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศที มี อากาศหนาวจัดหรือร้อนจัด อย่ างไรก็ตามหลายประเทศรวมทังประเทศไทยได้เริมมีการใช้ โ รงเรือ น เพาะปลูกพืชกันมากขึน สืบเนืองมาจากป จั จัยหลายประการเช่ น ต้องการผลผลิตทีปราศจากการใช้ สารเคมีตอ้ งการผลผลิตพืชเมืองหนาวหรือ เมือ งร้อ นที ไม่ ใช่ พืช ท้ อ งถิน ต้อ งการควบคุ ม หรือ เร่ ง การเจริญเติบโตของพืช ต้องการความบริสุทธิสะอาดในการผลิตต้นอ่ อ นพืช ฯลฯ โรงปลู ก พืช แบบ ควบคุมสภาวะ บรรยากาศ อุณหภูมแิ ละความชืน อาจรวมถึงควบคุมแสงและความเข้ ม ข้ น ของก๊ า ซ คาร์บอนไดออกไซด์ ให้เหมาะสมกับ การเจริญเติบโตของพืช ทํ า ให้ ได้ผ ลผลิต เร็ว ปริม าณมากขึ น และคุ ณภาพสู ง ศู น ย์ เ ทคโนโลยี โ ลหะและวั ส ดุ แ ห่ ง ชาติ ได้ทํ าการวิ จ ัย ให้ พ ลาสติก ช่ ว ยเพิ ม ประสิทธิภาพการผลิตและคุณภาพของผลผลิตพืช โดยได้สร้างโรงปลู ก พืช มุ ง หลัง คาด้ว ยพลาสติก โพลีเอธิลนี ผสมสีแดง เหลือง เขีย ว นํ าเงิน และขาว สีเ หล่ า นี ทํ า ให้ ช่ ว งความยาวของคลืนแสงที ส่องลอดนัน แตกต่างกัน ไป แต่ ม ีค วามเข้ ม แสงใกล้เ คีย งกั น ศึ ก ษาถึง อิท ธิพลของแสงสีเ หล่ า นี ต่อการเจริญเติบโตและการให้ผลิตผลของพืช ผลการทดลองพบว่ าสีเ หลือ งและสีแ ดง ทํ า ให้ ม ะเขื อ เทศออกผลโตมีนําหนักมากกว่ า สีอ ืน สีข าวทํ า ให้ แ คนตาลู ป มีผ ลแก่ เ ร็ว มีนํ าหนั ก และรสหวาน มากกว่าสีอนื และทํ าให้ผกั คะน้ามีความสู ง ปริม าณใบและนํ าหนั ก ต้น มากกว่ า สีอ ืน นอกจากนั น หลังคาพลาสติก ยัง ช่ วยป้องกันพืชจากแมลง นก หนู รวมถึงภัยจากธรรมชาติ เช่น ลมฝนแรง และ ลูกเห็บได้ โรงเรือนเพาะปลูกแบ่ งออกได้ ชนิด ได้แก่ 1. โรงเรือนแบบเปิ ด ผนังและหลังคาเป็ นตาข่ ายกันแมลง มีระบบการให้นําพืช แบบ ต่าง ๆ อากาศถ่ายเทได้สะดวก 2. โรงเรือนแบบปิ ด ผนังและหลังคา เป็ นแผ่นโปร่ง แสงหรือ โปร่ ง ใสแบบอ่ อ นหรือ แบบแข็ง และมีเครืองมืออุปกรณ์ประกอบอืน ๆ เช่ น 2.1 ระบบแผ่นระเหยนํ า ช่ วยลดอุณหภูมแิ ละเพิมความชืนภายใน 2.2 ระบบพ่นหมอก ช่ วยลดอุณหภูมแิ ละเพิมความชืนภายใน 2.3 ระบบการให้นําพืช ช่ วยการดูดซึมธาตุอาหารของพืชได้เหมาะสม 2.4 ระบบการให้ป๋ ุ ยทางนํ า ช่ วยเพิมประสิทธิภาพการใช้ป๋ ุ ย 2.5 ระบบเพิมก๊ าซคาร์บอนไดออกไซด์ ช่วยเพิมการสังเคราะห์แสง
ปลู กกุหลาบตัดดอกในโรงเรือน
ปลู กมะเขือเทศในโรงเรือน
โรงเรือนพลาสติ กแบบแข็ง หลังคาโค้ง
โรงเรือนพลาสติ กแบบแข็ง หลังคาจัว
2.6 2.7 2.8 2.9
ระบบแสงสว่ างความเข้มสูง ระบบตาข่ายพรางแสง ระบบควบคุมศัตรูพชื ระบบควบคุมอัตโนมัต ิ
ช่ วยเร่ง การเจริญเติบโตของพืช ช่ วยลดความเข้มข้นของแสง ช่ วยป้องกันและกํ าจัดศัตรูพชื ภายใน ช่ ว ยเพิมประสิท ธิภ าพการควบคุ ม สภาวะอากาศภายในโรงเรือน
โครงสร้างโรงปลูกพื ช (GREENHOUSE STRUCTURE) วัสดุในการสร้างโรงปลูกพืช แบบเป็ น ส่วนใหญ่ ๆ คือ 1. โครงสร้างโรงปลูกพืช เช่น เสา คาน โครงหลังคา โครงผนั ง เป็ น ต้น วั ส ดุ ที ใช้ ต้องมีความแข็งแรง อายุ การใช้งานยาวนาน ทีนิยมใช้ กั น มากคือ เหล็ก อาบสัง กะสี และอลู ม ิเ นี ย ม ส่วนไม้นิยมใช้กับโรงปลูกขนาดเล็ก โครงหลังคามี รูป แบบคือ หลังคาทรง หน้าจัว และหลังคาโค้ง โดยมีช่องปิ ดเปิ ดเพือระบายอากาศทีร้อนออกทางด้านหลัง คาเป็ น เนื อที ประมาณ % ของพืนที หลังคา 2. วัสดุสําหรับผนังและหลังคา แบ่ งเป็ น กลุ่มใหญ่คอื 2.1 แผ่นพลาสติกอ่อน ( Flexible plastic films) ทํ าจากวั ส ดุ โ พลีเ อธิล ีน หรือ พีอ,ี โพลีเอสเตอร์และโพลีไวนีลคลอไรด์หรือพีวีซ ี จุดเด่นของวั ส ดุ ก ลุ่ ม นี คือ มีราคาถูก แต่มอี ายุ การใช้งานสัน เมือเทีย บกับ พลาสติกแบบแข็ง แผ่ น โพลี เอธิลนี คุณภาพสู ง ผสมสารป้ องกั น แสงอุ ต ราไวโอเล็ต ( UV light) หนา . มม. จะมีอายุ การใช้งานประมาณ ปี แสงทีพืชใช้ในการผลิต อาหาร โดยการสัง เคราะห์ แ สง ( Photosynthetically Active Radiator-PAR) สามารถผ่านได้ % แสงอุตราไวโอเล็ตจะทํ า ให้ แ ผ่ น พลาสติก มีส ีค ลํ าลง ลดการผ่านของแสง ทํ าให้ความเข้มของแสงภายในโรงเรือนลดลง และแผ่ น พลาสติกจะกรอบ ขาดง่ายเมือกระทบลมแรงหรือถูกกระทบกระแทก ถ้า ไม่ มีสารป้องกันแสงอุลตราไวโอเล็ตแผ่นพลาสติก จะมีอ ายุ ใช้ ง านประมาณ ปี ส่วนแผ่นโพลีไวนีลคลอไรด์ทีผสมสารป้ องกั น แสงอุ ล ตราไวโอเล็ต หนา . และ . มม. จะมีอายุ การใช้งานทีประมาณ และ ปี ต ามลํ า ดับ มีค่ า PAR % แต่ จ ะมีร าคาสู ง กว่ า แผ่ น โพลีเ อธิล ีน และมีฝุ่ น เกาะ มากกว่ า เนื องจากมีป ระจุ ไฟฟ้า ที ผิว ส่ ว นแผ่ น โพลีเ อสเตอร์ มีค วาม แข็งแรงและอายุ การใช้งานนานกว่า ชนิดแรก แต่ก็มรี าคาแพง 2.2 แผ่ น พลาสติก แข็ ง ( Rigid panel greenhouse ) วั ส ดุ ที นิ ย มใช้ ได้แ ก่ แผ่นอาคริล ิก ( Acrylic) และแผ่ น โพลีค าร์บ อนเนท ( Ploycarbonate ) แผ่นเหล่านีมักจะใช้รูปแผ่นลอนลูกฟูก เนืองจากมีความแข็งแรงสูง กว่ า แผ่ น เรียบ แผ่นอาคริลกิ จะติดไฟได้ง่ายแต่ให้ แ สงผ่ า นได้ด ีก ว่ า และอายุ ก ารใช้ งานได้นานกว่า ส่ ว นแผ่ น โพลีค าร์บ อเนท ซึงได้ร ับ ความนิ ย มมากที สุ ด
สําหรับโรงปลูกพืชทีเป็ นอุตสาหกรรม จะมีคุ ณสมบั ต ิต ิด ไฟยาก ทนทาน ต่อลูกเห็บ และมีราคาถูกกว่ า แผ่นอาคริลกิ มีความหนา และ มม. แผ่ น บางจะดัดโค้ง ได้ม ีค่ า PAR % แผ่ น โพลีค าร์บ อนเนทจะมีค วามหนา , , , , และ ม.ม มีค่า PAR % แผ่ น บางจะดัด โค้ง ได้เ ช่ น กั น ทัง ชนิดจะมีทังแผ่นธรรมดา แผ่นทีเคลือบสารป้องกันการเกาะของหยดนํ า เนืองจากการกลันตัว (Condensation drip) และแผ่นผสมสารป้ องกั น แสง อุตราไวโอเล็ต ระบบทําความเย็นและเพิมความชืนในโรงปลูกพืช (GREENHOUSE COOLING) ในสภาวะอาก าศของ เมือ ง ไทย จ ะมีก าร สะสมค วามร้ อ นภาย ในโรง ปลู ก พื ช เนืองจากรังสีความร้อนจากดวงอาทิตย์และการหายใจของต้น พืช หากในโรงปลู ก พืช มีอุ ณหภู ม ิสู ง เกินไปจะมีผลกระทบทํ าให้ความแข็งแรงของกิงก้านและลํา ต้น ของพืช ลดลง ขนาดของดอกลดลง ออกดอกผลช้าลงและอาจทําให้ตาของต้นพืชฝ่อตายไปได้ ดัง นั นจึง จํ า เป็ น ต้อ งลดอุ ณหภู ม ิภ ายใน โรงปลูกพืชลงโดยระบบทํ าความเย็น โดยทํ าให้อากาศภายในโรงปลู ก พืช เย็ น อย่ า งสมํ าเสมอและ ทัวถึง ระบบทีใช้กัน แพร่ ห ลายคือ ระบบแผ่ น ระเหยนํ า ( Fan and Pad System) และระบบพ่น หมอก (Fog Cooling) ระบบแผ่นระเหยนํา เป็ นระบบทีทํ าความเย็นจากการระเหยของนํ า ( Evaporative Cooling) จะประกอบด้วย แผงของแผ่ น ระเหยนํ าอยู่ ด ้า นหนึ งของผนั ง และพัด ลมระบายอากาศติด ตังอยู่ ผ นั ง ตรงข้ า ม แผ่นระเหยนํ าเดิมทํ าด้วยเยือไม้ ( Excelsior) แต่ปจั จุบ ันนิย มใช้ วั ส ดุ เ ยื อเซลลู โ ลสอัด แบบลู ก ฟูก (Cross-fluted Cellulose Material) ความหนาของแผ่นระเหยนํ าจะมีทัง , และ มม. ด้านบนของแผ่นระเหยนํ าจะมีท่อส่งนํ า (แบบหมุนเวียน) และแผ่นกระจายนํ าทํ า ให้ นํ าไหลผ่ า นแผ่ น ระเหยนํ าอย่ างสมําเสมอตลอดความยาวของแผง เมือเปิ ดพัดลมระบายอากาศ ลมจะถูก ดู ด ผ่ า นแผ่ น ระเหยนํ า นํ าทีไหลผ่านแผ่นระเหยนํ า จะทําให้ลมทีผ่านเย็นลงโดยการดูด ความร้อ นในลมที ผ่ า นไป ใช้ในการระเหย ลมเย็นจะถูกดูดผ่านต้นพืชและดูดออกไปภายนอก อย่ างไรก็ ต ามระบบแผ่ น ระเหย นํ าไม่สามารถทํ าความเย็นให้สมําเสมอกันทังโรงเรือนได้ โดยส่ ว นที ใกล้กั บ แผ่ น ระเหยจะเย็ น กว่ า ส่วนทีใกล้กับ พัดลมระบายอากาศ ซึงอยู่ ดา้ นตรงข้าม ดังนันในการออกแบบขั นต้น ควรมีป ริม าณลม ระบายออกไม่น้อยกว่ า ลบ.ม ต่อ ต.ร.ม ของพืนที โรงเรือ น อุ ณหภู ม ิข องอากาศบริเ วณแผ่ น ระเหยนํ ากับ บริเวณหน้าพัดลมระบายอากาศแตกต่างไม่เกิน C ระบบพ่ นหมอก เป็ นอีกรูป แบบหนึ งของการทํ า ความเย็ น จากการระเหยของนํ า ( Evaporative ั าแรงดันสูง (ประมาณ , ปอนด์ต่อตารางนิวหรือ . เมกะ Cooling) ระบบประกอบด้วยปมนํ ปาสคาล) ท่ อนํ าทนแรงดันสูงและหัว พ่นหมอก (For Nozzle ) หมอกซึงเป็ นละอองนํ าเล็กมากขนาด
ม่ านพรางแสงพร้อมมอเตอร์
แผ่นระเหยนํ า
เฉลียเล็กกว่ า ไมครอน (หนึงในสิบของเส้นผมมนุ ษย์) จะกระจายทัวทังโรงเรือน ขณะระเหยจะ ดึงความร้อนจากอากาศภายในโรงเรือน ทํ าให้โรงเรือนเย็นอย่ างทัวถึงพร้อมทังมีค วามชื นในอากาศ สูงขึน แต่จะไม่ทําให้ผปู ้ ฏิบัตงิ านและต้นพืชภายในโรงเรือนเปี ยก จึงเหมาะทีจะใช้กับ การเพาะเมล็ด และการชํ ากิง พัดลมระบายอากาศทีใช้จะมีขนาดครึงหนึงของระบบแผ่นระเหยนํ า ทังสองระบบจะทํ าให้อากาศภายในโรงเรือนเย็นกว่าอากาศภายนอก โดยระบบแผ่ น ระเหยนํ าจะลดอุ ณหภู ม ิข องอากาศได้ % ของอุ ณหภู ม ทิ ี แตกต่ า งระหว่ า งอุ ณหภู ม ิแ ห้ ง และ % อุณหภูมเิ ปี ยกของอากาศภายนอก ส่วนระบบพ่นหมอกจะลดอุ ณหภู ม ิข องอากาศได้เ กื อ บ ของอุณหภูมทิ ีแตกต่าง อย่ างไรก็ตามข้อควรระวังของการใช้ แ ผ่ น ระเหยนํ าคือ ความบอบบางของ ั หาตะใคร่นําจับแผ่นเซลลู โ ลส ซึงจะ แผ่นเซลลูโลส จึงต้องป้องกันมิให้มกี ารกระทบกระแทก และปญ ทํ าให้ลมผ่านไม่สะดวกต้องมีการกําจัดเป็ นครังคราว ส่วนระบบพ่นหมอกต้องระมัด ระวั ง คุ ณภาพนํ า เนืองจากสิงสกปรก อาจทํ าให้หัวพ่นหมอกอุ ด ตัน ได้ จํ า เป็ น ต้อ งใช้ ชุ ด กรอง ( Multiple Filters ) ให้ละเอียดถึง ไมครอน เมือเปรียบเทียบระหว่ าง ระบบแล้ว ระบบพ่นหมอกจะใช้พลังงานไฟฟ้า น้อยกว่ า ทํ าความเย็นภายในโรงเรือนสมําเสมอและทั วถึง กว่ า ทํ า ความเย็ น และเพิมความชื นได้ มากกว่า ระบบให้นําพื ช (Irrigation System) การให้ นํ าพืช มัก เป็ น สาเหตุ ข องการสู ญ เสีย คุ ณภาพของผลผลิต พืช ได้ง่ า ย ๆ เนืองจากมักจะถูกมองข้ามความสําคัญไม่ว่า จะเป็ น การให้ นํ าที ผิด เวลาหรือ ให้ นํ าในปริม าณที ไม่ เหมาะสมทังน้อยเกินไปหรือมากเกินไปในรู ป ของปริม าณนํ าและความถีของการให้ นํ าควรมีก าร ตรวจตราสภาพต้น พืช อย่ า งน้ อ ย ครังต่ อ วั น เพือกํ า หนดเวลาของการให้ นํ าพืช ที เหมาะสม หลักเกณฑ์ทัวไปของการให้นําพืชทีดีคอื . ใช้วัสดุป ลูกทีระบายนํ าได้ด ี . การให้ นํ าอย่ า งทั วถึง ตลอดความลึกของวัสดุปลูก . ให้นําพืชในความถีทีเพียงพอมิให้พชื เกิดอาการขาดนํ า ( Moisture Stress ) เท่ านัน คุณภาพของนํา จากแหล่งนํ าควรได้รบั การตรวจปริมาณสารเคมีทั งในฤดู ฝ นและ ฤดูแล้ง ค่าคุณภาพของนํ าทีต้องได้รบั การตรวจสอบคือ 1. ค่าสารละลายเกลือ ( Soluble Salt-EC) ที วั ด โดยใช้ ม ิเ ตอร์วั ด การนํ า ไฟฟ้า (Electrical Conductivity or EC Meter ) มีหน่ วยเป็ น DS./m สําหรับ ต้น อ่ อ น ค่ า EC ต้อ งไม่ เกิน . DS./m ส่วนต้นพืชทัวไป ค่า EC ต้องไม่เกิน . DS./m ความเข้มข้นของเกลือ ในนํ าจะ ผนวกกับ เกลือทีมาจากปุ๋ ยและเกลือทีอาจเกิดจากการแตกตัวของไนโตรเจนในวัสดุปลูก หากมีค วาม เข้มข้นกว่าความเข้มข้นในเซลล์ของรากพืชจะทํ าให้ไม่มกี ารดูด ซึมนํ าของรากพืช เมือพืช สู ญ เสีย นํ า จากการหายใจจะทํ าให้พชื เหียวเฉาลง
2. ค่าความเป็ นด่าง ( Alkalinity) เป็ นการวัดปริมาณคาร์บอเนตและไบคาร์บ อเนต ในนํ า ซึงแสดงถึงความง่ายในการทํ า ให้ pH ของนํ าสู ง ขึ น มีห น่ ว ยเป็ น me ( millieqrivalents) หรือ ppm (หนึงในล้านส่วน) ของค่าเทียบเท่ าแคลเซีย มคาร์บ อเนต ค่ า ความเป็ น ด่ า งที . me ั หา หรือ ppm เป็ นจุดเตือนภัยถ้ามีค่าถึง . me หรือ ppm ต้นพืชจะมีปญ วิธีการให้นําพื ช มีหลายแบบได้แก่ 1. ใช้แรงงานคน ฉีดพ่นโดยใช้สารยาง ซึงใช้เวลาและแรงงานมาก ทํ า ให้ ใบพืช และ ดอกลบอบชํ าได้ง่าย ไม่สามารถควบคุมการปริม าณการให้ นํ าได้อ ย่ า งเหมาะสมมัก จะให้ น้ อ ยไป ในบางจุดและมากไปในบางจุด จุดทีให้นํามากไปนอกจากจะสู ญ เสีย นํ าและปุ๋ ยแล้ว ยั ง เป็ น แหล่ ง เกิด เชือโรคพืชได้ง่าย 2. ระบบนํ าหยด สําหรับพืชต้นอ่อนทีต้องการให้ใบแห้งเพือการควบคุมโรคพืช 3. ระบบมินิสปริงเกลอร์ ซึงมีทังแบบติดตังปลายท่อยกสูง ( Riser) และแบบติด บน คานเคลือนทีเหนือกระบะพืช (Boom) 4. ระบบนํ าท่ วมถาด (Ebb-and-Flood System) เหมาะกับ พืชต้นอ่อนที ปลู ก เป็ น กระถางหรือถาดโดยวางต้นพืชในกระบะพลาสติกขนาดใหญ่ ซึงมีท่อนํ าเช้าและท่ อนํ าทิ ง นํ าจะท่ ว ม กระถางหรือถาดตามความสูงและเวลาทีกํ าหนด โดยให้เพียงพอทีนํ าจะซึมขึนไปถึงผิวบนของวัสดุปลูก ระบบการให้ป๋ ยทางนํ ุ า (FERTIGATION SYSTEM ) ในโรงปลูกพืชทัวไป นิ ย มให้ ป๋ ุ ยแก่ ต ้น พืช โดยผ่ า นระบบให้ นํ าพืช แบบอัต โนมัต ิ ปุ๋ ยซึงส่วนใหญ่เป็ นผงหรือเม็ดจะถูกละลายในนํ าในถังผสมปุ๋ ยส่วนที เป็ น ตะกอนจะถู ก ดัก ไว้ เ ฉพาะ ส่วนทีเป็ นสารละลายปุ๋ ยเข้มข้น จะถูกส่งไปเก็บ ไว้ในถังสารละลายปุ๋ ย จากนันจะถูกส่งไปผสมกั บ นํ า ในท่ อแยก โดยผ่านหัวฉีดปุ๋ ย (Fertilizer Injector หรือ Proportioner ) ในอัตราส่วนที กํ า หนดไว้ อย่ างถูกต้องแม่นยํ าแล้วจึงส่งกลับเข้าท่ อประธานของระบบนํ า หัวฉีดปุ๋ ยมีทังแบบเวนจูร ี ( Venturi) โดยเพิมความเร็วของนํ าในเส้นท่ อส่วนนันให้สูงจะดูดส่วนผสมปุ๋ ยเข้าสู่ระบบท่ อส่ ง นํ าเอง เหมาะสม กับ โรงปลูกพืชขนาดไม่ใหญ่มากนักเพราะมีราคาถูกไม่ตอ้ งบํ ารุงรักษา แต่มขี ้อจํากัดทีไม่ ส ามารถนํ า อัตราส่วนผสมได้เกิน : และแบบหัว ฉีดใช้แรงดันปมั ซึงสามารถปรับ อัต ราส่ ว นได้ต ังแต่ : ถึง : การเลือกใช้ชนิดของหัวฉีดปุ๋ ยขึนอยู่ กับ อัตราส่ ว นผสมปุ๋ ยกั บ นํ าความสามารถใน การปรับอัตราส่วนผสม ขนาดถังสารละลายปุ๋ ยเข้มข้นและปริมาณต้นพืชทีต้องให้ ป๋ ุ ย อย่ า งไรก็ ต าม เมือทํ างานไประยะหนึง อาจมีความคลาดเคลือนในส่วนผสม จึงต้องมีการตรวจวั ด ความเข้ ม ข้ น ของ นํ าผสมสารละลายปุ๋ ยในท่ อแยก โดยใช้มเิ ตอร์วัด EC เป็ นระยะ ๆ เพือปรับความเข้มข้นให้ได้ต ามที กํ าหนดไว้ตลอดเวลามิเตอร์ EC จะติดตังในท่ อแยกช่ วงต่อเข้าท่ อประธานของระบายนํ า
ระบบเพิมคาร์บอนไดออกไซด์ (CARBON DIOXIDE FERTILIZATION) ในขบวนการสังเคราะห์แสง คาร์บอนไดออกไซด์เป็ นองค์ประกอบหลัก ในการที พืช ผลิตคาร์โบไฮเดรตเพือใช้ในการเจริญเติบโตของพืช สังเคราะห์แสง คาร์บอนไดออกไซด์ + นํ า + พลังงานแสงอาทิตย์ คาร์โบไฮเดรต + ออกซิเจน หายใจ อากาศโดยทัวไป จะมีค าร์บ อนไดออกไซด์เ ฉลียในช่ ว ง ถึง ส่ ว นในล้า นส่ ว น ( ppm) การเพิมความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ของอากาศภายในโรงปลูกพืช จะทํ า ให้ พืช สัง เคราะห์ แสงได้มากขึนและส่งผลให้ได้ผลผลิตทังนํ าหนักและคุณภาพมากขึน ความเข้มข้นทีใช้ กั น ในโรงปลู ก พืชจะอยู่ ในช่ วง , ถึง , pmm ซึงไม่เป็ นอันตรายต่อทังพืชและคน จากการศึ ก ษาในบาง ประเทศพบว่ าทีความเข้มข้น , pmm ผลผลิตมะเขือ เทศเพิมขึ น % นํ าหนั ก ของแตงกวา เพิมขึน % นํ าหนักของดอกและความยาวของก้ า นกุ ห ลาบเพิมขึ น ผลผลิต ของดอกคาร์เ นชั น เพิมขึน % เป็ นต้น การเพิมคาร์บอนไดออกไซด์ตอ้ งเพิมในช่ ว งกลางวั น ตังแต่ ด วงอาทิ ต ย์ ขึ นจนถึง ชัวโมงก่ อนดวงอาทิตย์ตก โดยต้องปิ ดพัดลมระบายอากาศและโรงปลู ก พืช เกื อ บทั งหมดยกเว้ น ช่ องระบายอากาศทีหลังคาซึงเปิ ดไม่เกิน ชัวโมง ดังนันการเพิมคาร์บอนไดออกไซด์ จึงไม่สามารถ กระทํ าได้ในช่ วงฤดูแล้งหรืออากาศร้อน ควรเลือกใช้ในพืนทีทีมีอากาศเย็ น ในช่ ว งกลางวั น เป็ น ส่ ว น ใหญ่ การเพิมคาร์บอนไดออกไซด์กระทํ าได้ วิธ ี คือ เครืองผลิตก๊ าซคาร์บ อนไดออกไซด์ ซึงจะ เป็ นชุ ดหัวเผานํ ามันเชือเพลิงจากการเผาไหม้ของนํ ามัน ก๊ า ด, ก๊ า ซหุ ง ต้ม หรือ ก๊ า ซธรรมชาติจ ะได้ ก๊ าซคาร์บอนไดออกไซด์ . เครืองกระจายก๊า ซคาร์บ อนไดออกไซด์ จากถัง คาร์บ อนไดออกไซด์ เหลว ทัง วิธ ี ต้องมีชุดตรวจวัดความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ ( CO Sensor) เพือกํ า หนด ช่ วงเวลาการปิ ด-เปิ ด ของเครืองมือ ทังนีการเพิมคาร์บอนไดออกไซด์ตอ้ งกระทํ า ควบคู่ กั บ การเปิ ด พัดลมหมุนเวียนอากาศภายในโรงปลูกพืช ระบบแสงเพื อการเจริญเติบโตของพื ช (LIGHTING SYSTEM ) แสงเป็ น ส่ ว นสํ า คัญ ในการสัง เคราะห์ แ สงของพืช และการเจริญ เติบ โตของพืช ความเข้มแสงทีน้อยเกินไปจะทําให้การสังเคราะห์แสงและการเจริญ เติบ โตของพืช ลดลง แต่ ค วาม เข้มทีมากเกินไปจะทํ าให้คลอโรพลาสท์ ( Chloroplasts ) ซึงเป็ นส่วนประกอบสําคัญในเซลล์ส ีเ ขี ย ว ของพืชเสียหายและการเจริญเติบโตของพืชลดลง พืชแต่ละชนิดต้องการความเข้ ม แสงที เหมาะสม แตกต่างกันออกไป เช่น ต้นอาฟริกัน ไวโอเลต ต้องการความเข้มแสงที . Klux แต่ ไม้ใบหลาย ชนิดและต้นอ่อนต้อ งการความเข้ ม แสงที . Klux ในช่ ว งที ความเข้ ม แสงน้ อ ยกว่ า ที กํ า หนด จําเป็ นต้องใช้ห ลอดไฟเพิมความเข้ ม แสง ในป ัจ จุ บั น นิ ย มใช้ ห ลอดโซเดีย มความดัน สู ง ( High Pressure Sodium - HID Lamps) เนืองจากมีราคาถูก และค่ากระแสไฟฟ้าถู ก กว่ า หลอดให้ ค วาม เข้มแสงสูงประเภทอืน นอกจากหลอดชนิ ด นี จะใช้ ช่ ว งความยาวแสงที มองเห็ น ได้ค ือ ถึง
ม.ม (นาโนเมตร) เหมือนหลอดให้แสงสําหรับการเจริญเติบโตของพืชทัวไปแล้วยังให้แสงในช่ ว ง ความยาวแสง ถึง ม.ม ด้วย ซึงช่วยทํ าให้ก้านพืชยาว เพิมนํ าหนั ก สดของพืช และทํ า ให้ ออกดอกเร็ว ขึ น การใช้ ห ลอดไฟควรมีฝ าครอบสะท้ อ นแสง ( Reflector) เพือให้ แ สงกระจาย อย่ างทัวถึงและสมําเสมอ ช่ วงเวลาของแสงสว่ า งก็ ม ีค วามสํ า คัญ อย่ า งยิ งสํ า หรับ การเจริญ เติบ โตของพืช พืชบางชนิดต้องการช่วงกลางวันหรือช่ วงมีแสงสว่ างยาว สําหรับการเจริญเติบโตหรือ การผลิต ดอก สําหรับพืชชนิดนี สามารถใช้แสงจากหลอดไฟเสริม ให้ พืช ได้ร ับ แสงยาวนานขึ น เพือเพิมผลผลิต พืชบางชนิดต้องการช่วงกลางวันสัน ต้องใช้ม่านกันแสงช่ วย แต่ก็มพี ชื หลายชนิ ด ที ไม่ ต อบสนองต่ อ ช่ วงเวลาของแสงทีมากหรือน้อยกว่ าปรกติ (Critical length) เช่นกัน ระบบม่านพรางแสง (SHADING SYSTEM ) ดังได้กล่าวในระบบแสงเพือการเจริญเติบโต ความเข้มแสงทีมากเกินไปจะทําให้ ก าร เจริญเติบโตของพืชลดลงและอาจทํ าให้ตน้ พืชเสียหายเช่ น ใบไหม้ จึง จํ า เป็ น ต้อ งมีม่ า นพรางแสง เพือลดความเข้มของแสงลงให้พอเหมาะ โดยการติดตังม่านแนวนอนในระดับ สู ง ใต้ค าน มีม อเตอร์ ไฟฟ้าในการดึงปิ ด-เปิ ดม่าน วัสดุข องม่านทีนิยมกันในปจั จุบ ันเป็ นผ้าม่านใยสังเคราะห์ ป ระเภทโพลี โพรพิลนี (Polypropylene) โพลีเอสเตอร์, ซาราน ( Saran) ซึงอยู่ ในช่ วง - % ใน ประเภท แรกขึนอยู่ กับ ช่ องว่ างของเนือวัสดุ แต่ม่านโพลีเอสเตอร์เคลือบอลูมเิ นียม เป็ นการทอระหว่ า งเส้น ใย โพลีเอสเตอร์ใสและเส้นใยโพลีเอสเตอร์เคลือบอลูมเิ นียมเข้าด้วยกัน อัต ราส่ ว นระหว่ า งเส้น ใยใสกั บ เส้นใยเคลือบอลูมเิ นียม จะเป็ นตัวกําหนดระดับการกันแสง เส้นใยใสจะช่ วยกันความร้อนจากากรแผ่ รังสีออกไป ส่วนเส้นใยเคลือบอลูมเิ นียมจะสะท้อนแสงและความร้อ นออกไป ระบบการป้ องกันกํา จัดศัตรูพืช (INSECT CONTROL) แมลงหรือศัตรูพชื อืน ๆ เป็ นตัวการสําคัญในการทํ าลายผลผลิตและคุ ณภาพผลผลิต ทีจะไปถึงผูบ้ ริโภค จึงเป็ นสิงทีต้องให้ ค วามสํ า คัญ อย่ า งสู ง เนื องจากมีก ารจํ า กั ด สารพิษ ตกค้า ง ในผลผลิตเกษตรการให้สารเคมีบางประเภทเป็ นสารต้องห้ามและการผลิต สารเคมีใหม่ ๆ สํ า หรับ โรงปลู ก พืช น้ อ ยลง จึง จํ า เป็ น ที ต้อ งใช้ ก ารจัด การศั ต รู พืช แบบผสมผสาน ( Integrated Pest Management-IPM) ซึงจะมีทังส่วนป้องกันเฝ้าระวังและแก้ไขกํ าจัด โดยประกอบด้วยวิธกี ารต่าง ๆ ดังนี 1. กํ าจัดวัช พืชทังในและรอบ ๆ อาคารโรงปลูกพืช 2. ความสะอาดถูกสุขลักษณะ รวมถึง การทํ า ความสะอาดโรงเรือ นและการทํ า พลาสเจอร์ไรซ์วัสดุป ลูกก่ อนปลูกพืช 3. การตรวจตราและจัดการต้นพืชทีเข้ามาใหม่ให้ป ราศจากโรคและแมลง 4. ติดตาข่ ายป้ องกันแมลงทีทางเข้าโรงเรือน
5. การตรวจตราเผ้าระวังหาชนิดและปริมาณของศัตรูพชื ในโรงเรือนพร้อมทังการลง บันทึกอย่ างถูกต้องแม่นยํ า 6. ปรับสภาวะบรรยากาศโรงเรือนทีมีผลทํ าลายศัตรูพชื แต่ไม่มผี ลกระทบกับ พืช 7. กํ าจัดศัตรูพชื โดยวิธกี ารทางชีว ภาพหรือเครืองพ่น สารเคมีในการกํ า จัด แมลง ศั ต รู พืช ในโรเรือ นปลู ก พืช ที นิ ย มใช้ ค ือ เครืองพ่น ยาแบบปริม าณสู ง ( High-volume spray) และเครืองพ่นยาแบบปริม าณตํ า ( Low-volume spray) ซึงให้ ค วามเข้ ม ข้ น ของสารเคมีสู ง กว่ า - เท่ า โดยใช้ควบคู่กับ พัดลมหมุนเวียนอากาศภายในโรงเรือน ระบบควบคุมอัตโนมัติการทํางานของเครืองมื อในระบบต่ าง ๆ (ENVIRONMENTAL CONTROL SYSTEM ) การควบคุมระบบต่าง ๆ ในโรงปลูกพืช มีพฒ ั นาการมาอย่ างต่อเนือง เริมจากใช้ ค น ควบคุม, ใช้ชุดควบคุมอุณหภูมริ ะดับ เดีย ว ( Thermostat), ใช้ อุ ป กรณ์ค วบคุ ม แบบหลายระดับ (Step Comptroller) เพือกํ าหนดอุณหภูมหิ รือ ป ัจ จัย อืน ๆ ได้ห ลายระดับ , ใช้ ชุ ด ควบคุ ม แบบ ไมโครโพรเซสเซอร์ ( Dedicated Microprocessors ) ซึงควบคุมการทํ างานของเครืองมือ ได้ม าก ชนิดอย่ างมีปฎิสมั พัน ธ์ซ ึงกั น และกั น และให้ ค วามแม่ น ยํ า สู ง จนกระทั งถึง ยุ ค ที ใช้ ค อมพิว เตอร์ ควบคุมจากหน่ วยกลางไปยังกลุ่มชุ ดควบคุมแบบไมโครโปรเซสเซอร์ โดยการรับ ส่ ง สัญ ญาแบบทั ง อานาล็อคและดิจติ อลกับชุดควบคุมแบบไมโครโปรเซสเซอร์ไปควบคุมสังงานเครืองมือในระบบต่าง ๆ
ชุ ดควบคุม (Microprocessor) และถังผสมปุ๋ ยกับ นํ า