นิทานอีสป Aesop's Fables

Page 1


อีสปคือใคร? อีสป คือ นักเล่านิทานเอกผู้ยิ่งใหญ่ของโลก ได้เป็นที่รู้จักกันมานับหลาย ร้อยปีก่อนคริสตศักราช มาจนถึงบัดนี้ราวสองพันหกร้อยกว่าปีมาแล้ว

ตานานกล่าวว่า อีสปเป็นทาสชาวกรีก เกิดทีแ่ คว้นฟรีเยีย เมืองอะเมอเรียม (ตุรกี) เป็นชายที่มีเสียงพูดอูอ้ ี้คล้ายเสียงของสัตว์ เขาเป็นคนหลังค่อม ทาให้การ ดารงชีวติ ของอีสป ต้องต่อสู้ดิ้นรนเอาตัวรอดด้วยปฏิภาณไหวพริบอยู่เสมอ ทาให้ เขากลายเป็นคนเฉลียวฉลาดและมีปัญญาเฉียบแหลมสามารถแก้ไขสถานการณ์ คับขันต่างๆ ได้เป็นอย่างดี


ต่อมาด้วยความที่เป็นคนมีปฏิภาณไหวพริบดีนนั่ เอง ทาให้อีสปได้รับการ ปลดปล่อยเป็นอิสระจากการเป็นทาส และได้เข้าไปอยู่ในราชสานักของกษัตริย์ โครเอซุสแห่งแคว้นลิเดีย ณ ที่แห่งนี้เอง อีสปได้เล่านิทานด้วยศิลปะอันน่ายก ย่องและสง่างามอย่างยิ่ง จนเป็นที่ชอบใจและโปรดปราณของกษัตริย์โครเอซุส ในรูป: ราชสีห์กับหนู ( Lion and a Mouse)

นิทาน 50 เรื่องเด่น ของอีสป ได้ถูกนามาเล่า ขานจากปากต่อปาก จากยุค สู่ยุค จนกระทั่งมีผู้ได้รวบรวมไว้เป็นภาษาลาตินเมื่อราว คริสตศักราช 1400 โดย ต่อมามีนักบวช ชื่อ แมกซิมุส พลานูเดส ได้แปลเป็นภาษาอังกฤษและให้ชื่อว่า "นิทานอีสป" (Aesop' s Fables) หลังจากนัน้ นิทานอีสป ก็ถูกนามาดัดแปลง และนามาเล่ากันไปทัว่ โลก แต่สาระ คติ ข้อคิด และความสนุกสนานของนิทาน อีสปก็ยังคงความเป็นนิรันดร์อยู่ตลอดไป


ความเป็น "นิทานอีสป" ทาให้โลกนี้ไม่เหงา และน่าอยู่มากยิ่งขึน้ คติของ อีสปทาให้เราได้รู้ว่าโลกนี้ เราจะอยูค่ นเดียวไม่ได้ ชีวิตแต่ละชีวติ ต้องอาศัยกัน และกันอยู่เสมอ อีสป คือ สุดยอดนักเล่านิทาน ที่ทาให้น้องๆ หนูๆ ได้รู้จักชีวิต รู้จักเพื่อนบ้านทั้งตัวเล็กและตัวใหญ่ไม่วา่ จะเป็น หนู ราชสีห์ แมว สุนัข นก ช้าง มด และสัตว์อื่นๆ อีกมากมาย

ในรูป: กระต่ายกับเต่า ( The Rabbit and The Turtle)

จากรุ่นสู่รุ่น "นิทานอีสป" ก็ยังเป็นตานานแห่งความสุขสาหรับทุกๆ คนตลอดไป


สารบัญ ประวัติ“อีสป”

1

นกกระเรียนกับหมาป่า

4

ชายพเนจรอกตัญญู

7

เด็กเลี้ยงแกะ

8

ค้างคาวเลือกพวก

10

สุนัขจิ้งจอกกับไก่บ้าน

12

สามีผู้ใจดี

14

สองสาวใช้กับไก่

15

วัวสามสหาย

17

วัวกับแมลงหวี่

19

ลูกอึ่งอ่างกับแม่

21

ลูกแกะรู้ทันหมาป่า

23

ลิงอวดเก่ง

25

ลาอยากร้องเพลง

27

เมื่อสุนัขกัด

29

แมวผู้หวังดี

31


แมลงวันหัวเราะ

33

แม่ปูสอนลูก

35

แพะอยากกินน้​้า

36

ราชสีห์กับหนู

38

นักดูดาว

40

เทียนแข่งแสง

41

ชายโง่กับต้นไผ่

43

เทพารักษ์กับคนตัดไม้

45

แกะกับหมาป่า

47

กระต่ายกับเต่า

49


Contents The Wolf and the Lamb

50

The Dog and the Shadow

51

The Lion’s Share

52

The Wolf and the Crane

53

The Fox and the Crow

54

The Sick Lion

55

The Lion and the Mouse

56

The Swallow and the Other Birds

57

The Mountains in Labour

58

The Hares and the Frogs

59

The Wolf and the Kid

60

The Woodman and the Serpent

61

The Bald Man and the Fly

62

The Fox and the Mask

63

The Frog and the Ox

64


นกกระเรียนกับหมาป่า

กาลครัง้ หนึ่งนานมาแล้ว นกกระเรียนเห็นหมาป่านอน ดิ้นทุรนทุรายอย่างเจ็บปวดที่กลางป่า จึงเข้าเข้าไปถามไถ่ อย่างเวทนาว่า "เจ้าเป็นอะไรหรือ"

หมาป่าตอบว่า "ข้ากลืนชิ้นเนื้อเข้าไป กระดูกติดคอข้า ทาอย่างไรก็ไม่ออก"


หมาป่าบอกเเล้วก็ขอร้องให้นกกระเรียนช่วยตนด้วย เเล้วตน จะให้รางวัลอย่างงามเป็นการตอบเเทน

นกกระเรียนจึงยื่นคออันยาวเรียวของมันเข้าไปในปากหมา ป่า เเละสามารถล้วงเอากระดูกออกมาได้สาเร็จ


เมื่อนกกระเรียนทวงถามถึงรางวัล หมาป่าก็คารามว่า "ข้าไม่งับคอเจ้าขาดตายก็ดีเเล้ว ยังจะมาเอาอะไรจากข้าอีก เล่า"

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “คนเลวมักไม่เห็นความดีของผู้อื่น”


ชายพเนจรอกตัญญู

ชายสองคนเดินทางพเนจรไปเรื่อยๆ เมื่อพบไม้พุ่มหนึ่ง จึงชวนกันหยุดพักใต้ร่มเงาของพุม่ ไม้ ขณะนั้นเป็นเวลาเที่ยงวันที่เเดดร้อนจัด ชายคนหนึ่งเอนตัวลง นอน ใต้เงาไม้พลางเเหงนมองดูพมุ่ ไม้เเล้วกล่าวว่า "ไม้พุ่มนี้ไม่มีผลให้เรากินเลยนะ" อีกคนก็เอ่ยบ้างว่า "จริงด้วย ไม้พุ่มนี้ช่างไร้ประโยชน์เสียจริงๆ"

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "คนโง่และคนชั่วมักเป็นคนอกตัญญู"


เด็กเลี้ยงแกะ

วันหนึ่งเด็กเลี้ยงเเกะคิดหาเรื่องสนุกๆเล่น จึงเเกล้งร้องตะโกน ขึ้นมาว่า "ช่วยด้วย! หมาป่ามากินลูกเเกะเเล้ว ช่วยด้วยจ้า! " พวกชาวบ้านจึงพากันวิ่งมาช่วยพร้อมด้วยอาวุธต่างๆ เเต่เมื่อ มาถึงก็ไม่พบหมาป่าสักตัว "มันวิ่งไปทางโน้นเเล้วล่ะ" เด็กเลี้ยงเเกะโป้ปดเเล้วก็เเอบหัวเราะชอบใจภายหลัง


ต่อจากนั้นเด็กเลี้ยงเเกะก็เเกล้งหลอกให้ชาวบ้านวิ่งหน้าตื่น เช่นเดิมได้อีก 2-3 ครั้ง จนกระทั่งวันหนึง่ มีหมาป่ามาไล่กนิ เเกะจริงๆ คราวนี้เด็กเลี้ยง เเกะ ตะโกนขอความช่วยเหลือจนคอเเหบคอเเห้ง พวกชาวบ้านก็ไม่มาเพราะคิดว่าเด็กเลีย้ งแกะโกหกอีก

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “คนที่มักโป้ปดมดเท็จ เมื่อถึงคราวพูดจริงก็ยากที่จะมีใครเชื่อ”


ค้างคาวเลือกพวก

ค้างคาวนั้นถือว่าตนก็มีปีกเหมือนนก เเละก็มีหูเหมือนสัตว์ อื่นทั่วๆ ไป ดังนั้นเมื่อนกยกพวกไปต่อสู่กับสัตว์อื่นๆ ค้างคาวก็ ขอตัวไม่ เข้าข้างฝ่ายใดโดยทาตัวเป็นกลาง เเต่เมื่อพวกของนกมีท่าทีว่าจะชนะ ค้างคาวก็ประกาศตัว ไปเข้ากับฝ่ายนก ต่อมาพวกนกจะพลาดท่าเสียทีเเก่สัตว์อื่นๆ ค้างคาวก็ผละ จากนกไปเข้าพวกกับสัตว์อื่นๆ ต่อมานกต่อสู้จนใกล้จะได้ชัย ค้างคาวก็กลับมาอยูข่ ้างฝ่าย พวก นกอีก


เมื่อนกกับสัตว์อื่นๆ ทาสัญญาสงบศึกเเละเป็นมิตรต่อกัน ทั้งสองต่างก็ขับไล่ค้างคาว ไม่ยอมให้เข้าพวกด้วย ค้างคาวอับ อายจึงไปซ่อนตัวอยู่ในถ้า จะออกจากถ้าไปหาอาหารในตอน กลางคืนเท่านั้น

นิทานเรือ่ งนี้สอนให้รู้ว่า “ผู้ที่ขาดความจริงใจ ไม่มีใครอยากคบหาด้วย”


สุนัขจิ้งจอกกับไก่บ้าน

สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งอยากกินไก่บ้านมากจึงเเกล้งถาม ด้วย อุบายว่าไก่ตวั นั้นขันเสียงไพเราะเหมือนผู้เป็นพ่อ ได้หรือไม่ ไก่บ้านหลงกล จึงหลับตาโก่งคอขันทันที สุนัขจิ้งจอก จึง ฉวยโอกาสงับคอไก่เเล้วพาวิ่งไป ชาวนาจึงตะโกนร้องว่าจิ้งจอกขโมยไก่ของตน ไก่จึงหลอกให้สุนัขจิ้งจอกร้องบอกชาวบ้านว่า ไก่ตัวนี้เป็น ของมันมิใช่ของชาวบ้าน จิ้งจอกเจ้าเล่ห์คิดว่าตนฉลาดเเต่ที่เเท้ยังขาดความเฉลียว


ดัง นั้นมันจึงอ้าปากร้องบอกชาวบ้านตามที่ไก่เเนะนา ไก่ จึงได้ทีรีบบินปรื๋อออกจากปากหนีไปหาเจ้าของ อย่างรวดเร็ว เเล้วก็หัวเราะเยาะ สุนัขจิ้งจอกเป็นการใหญ่

นิทานเรือ่ งนี้สอนให้รู้ว่า “ถ้าพูดมากไป ก็อาจทาให้เสียของดีๆ ที่อยู่ในกามือเเล้ว ได้เช่นกัน”


สามีผู้ใจดี

ชายคนหนึ่งมีภรรยาสองคน เขามักตามใจภรรยาทั้งสอง อยู่เสมอ เพราะความรักอันเต็มเปี่ยม ภรรยาสาวนั้นอยากให้สามีวัยกลางคนดูหนุ่มเเน่น ตลอดเวลา จึงถอนผมหงอกออกเสมอ ฝ่ายภรรยาที่อายุมากก็อยากให้สามีดูมีอายุเหมือนตนจึง คอยถอนผมดาออกไปเพื่อให้เหลือเเต่ผมหงอก วันหนึ่งสามีไปส่องกระจกเห็นตัวเองมีศรีษะล้านเลี่ยน ก็ ต้องร้องลั่นบ้านด้วยความตกใจสุดขีด

นิทานเรือ่ งนี้สอนให้รู้ว่า “ผู้ที่ตามใจคนอื่นจนเกินไป ก็สิ้นความเป็นตัวเอง”


สองสาวใช้กับไก่

หญิงสาว ๒ คนทางานเป็นสาวใช้ในบ้านหลังหนึง่ เเม่เฒ่าเจ้าของบ้านมักจะลุกมาปลุกสองสาวใช้ ตอนใกล้รุ่งทกๆ วันเมื่อไก่ขัน “ไก่ขันเมื่อใดเป็นตื่นมาปลุกเราทุกที” สองสาวใช้บ่นอย่างไม่พอใจเเละคิดว่า ไก่นั้นเป็นต้น เหตุ ที่ทาให้พวกตนไม่ได้นอนสบายๆ ตอนฟ้าสาง เมื่อคิดได้ดังนั้นทั้งสองจึงช่วยกันฆ่าไก่เสีย ครั้นเมื่อไม่มี ไก่คอยขันตอนรุ่งสางอีกเเล้ว เเม่เฒ่าจึงมักคอยตื่นขึ้น กลางดึก เสมอๆ เพราะกลัวว่าจะนอนตื่นสาย


สองสาวใช้จึงต้องลุกมาทางานตั้งเเต่กลางดึก ไม่ได้นอน สบายๆอย่างที่หวังไว้

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “ให้ทุกเเก่ทา่ น ทุกข์นั้นถึงตัว”


วัวสามสหาย

ครั้งหนึ่งยังมีววั สามตัวได้ตกลงสัญญาเป็นเพื่อนตายต่อกัน ดังนั้นวัวทั้งสามจึงมักไปไหนด้วยกันเสมอๆ เเละคอยระเเวด ระวังภัยให้เเก่กนั ด้วย สิงโตที่จ้องหาทางจะกินวัวอยู่จึงเเอบไปกระซิบกับวัวตัวที่ หนึ่งว่า วัวตัวที่สองกับที่สามนั้นนินทาด่าว่าลับหลังวัวตัวที่หนึ่ง เเล้วสิงโตก็ไปยุเเหย่ตัวที่สองว่า วัวตัวที่หนึ่งกับที่สามคิด ทาร้าย วัวตัวที่สองเเละยุเเหย่ววั ตัวที่สามในทานองนั้นเช่นกัน


ต่อมาวัวทั้งสามจึงเริ่มเเตกคอ ไม่ไว้ใจกันเเละกัน ต่างก็ ออก ไปหากินกันคนละที่ จนสิงโตมีโอกาสไปดักกินวัวทีละตัว ได้อย่างสบาย

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “เมื่อแตกสามัคคี เมื่อนั้นความหายนะมาถึง”


วัวกับแมลงหวี่

วัวนั้นเป็นสัตว์ตวั ใหญ่เเละก็มีพละกำลังมิใช่น้อย เเต่เมื่อ สัตว์ตวั กระจิริด อย่ำงเเมลงหวี่มำก่อกวน ท้ำทำยเเทนที่จะวำง ตนนิ่งเฉยไม่ยุ่งด้วย วัวกลับ ไม่ยอมให้เเมลงหวีค่ ุยข่มตนซึ่งตัว ใหญ่กว่ำ เเมลงหวี่จึงท้ำให้สู่กัน ถ้ำใครชนะก็เเสดงว่ำผู้นั้น ยิ่งใหญ่กว่ำ เมื่อวัวตอบตกลง เเมลงหวี่ก็บินตอมวนเวียนอยูร่ อบๆ เขำ เเละเหนือศีรษะของวัวในขณะที่วัวไม่สำมำรถจะ ขวิดเเมลงหวี่ หรือทำอะไรเเมลงตัวน้อยๆ ได้เลย


วัวได้เเต่อับอำยขำยหน้ำบรรดำสัตว์ทั้งหลำย ที่มำมุงดูกัน เป็นจำนวนมำกในบริเวณนั้น

นิทำนเรื่องนี้สอนให้รู้ว่ำ “ถ้ำวำงตนนิ่งเฉยไม่วุ่นวำยกับสิ่งที่ไม่คู่ควร ก็ไม่ต้องอับอำยเปลืองตัว”


ลูกอึ่งอ่างกับแม่

ลูกอึ่งอ่างเห็นเเม่วัวเหยียบพี่น้องของมันตายหมด จึงรีบวิ่ง ไป ฟ้องเเม่อย่างอกสั่นขวัญหาย “ตัวมันใหญ่โตมากจ้ะเเม่ สัตว์สี่เท้าอะไรก็ไม่รู้ ลูกไม่เคยเห็น” เเม่อึ่งอ่างจึงพองตัวให้ลูกดูพลางถามว่า “ตัวมันใหญ่เท่านี้ได้ไหมลูก”


ลูกอึ่งอ่างตอบว่าใหญ่กว่านั้นอีก เเม่อึ่งอ่างก็พองตัวขึ้นอีก เเต่ลูกก็บอกว่าจะพองตัวให้ใหญ่เเค่ไหนก็คงไม่เท่าสัตว์ตวั นั้น ได้หรอก เเต่เเม่อึ่งอ่างไม่ยอมหยุด กลับพยายามเบ่งตัวให้ตวั พองขึ้น อีก ครั้นจนพุงเเตกตายในที่สุด

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ทาสิ่งใดไม่ดูกาลังความสามารถของตน ก็ต้องพบกับภัยอันตรายเเน่นอน


ลูกแกะรู้ทันหมาป่า

หมาป่าบาดเจ็บตัวหนึ่งเอ่ยกับลูกเเกะที่ผ่านมาว่า “เพื่อนเอ๋ย ข้าได้รับบาดเจ็บจนเดินไม่ได้ เจ้าช่วยไปหาน้า มา ให้ข้าสักหน่อยเถิด ข้าหิวน้าเหลือเกิน” ลูกเเกะได้ยินเช่นนันก็เเถลงถามว่า “เเล้วอาหารล่ะ ท่านไม่หวิ หรือ” หมาป่ามองดูลูกเเกะตัวอ้วนเเล้วก็เผลอกลืนน้าลายก่อนจะเอ่ยว่า “ไม่ต้องหาอาหารมาให้ข้าหรอก ข้าหาเองได้”


ลูกเเกะหัวเราะเเล้วตอบกลับว่า “ใช่สิ เมื่อข้าเอาน้าเข้าไปให้ เจ้าก็จะฉวยโอกาสจับข้ากิน เป็นอาหารน่ะสิ”

นิทานเรื่องนีสอนให้รู้ว่า ค้าขอร้องของคนร้าย มักซ่อนกลอุบายไว้ ควรระวัง


ลิงอวดเก่ง

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ชาวประมงวางอวนในเเม่น้า เเล้วก็กลับไปหาข้าวหาปลากิน ที่กระท่อม ลิงตัวหนึ่งที่นั่งดูอยู่บนต้นไม้ตั้งเเต่เช้าก็คิดว่าตนก็ทา้ อย่าง ชาวประมงได้เช่นกัน “ไม่น่าจะยากเลย เเค่วางอวนไว้เพื่อดักปลา”


คิดดังนั้นลิงจอมซนก็ลงจากต้นไม้มาหยิบอวนอีกปากหนึ่ง ไปที่ ริมน้​้า เเต่ด้วยความที่ไม่เป็นประสา อวนจึงพันตัวอีรุง ตุงนังจนกลิ้ง ตกลงไปในน้​้าพลางดิ้นทุรนทุรายเพราะหายใจไม่ ออก

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า หาญท้าในสิ่งที่ไม่รู้ ย่อมได้รับความเสียหาย


ลาอยากร้องเพลง

ในป่าแห่งหนึ่ง... จักจัน่ มักจะส่งเสียงร้องเพลงอย่างไพเราะตลอดเวลา ลาได้ยนิ เข้า จึงถามจักจั่นว่า “เพื่อนเอ๋ย เจ้ากินอะไรหรือ จึงมีเสียงที่ไพเราะนัก” จักจัน่ ยิม้ เเล้วตอบว่า “อ๋อ อาหารของข้าก็คือน้​้าค้างไงล่ะ”


ลาจึงเข้าใจว่าเพราะจักจั่นกินเเต่น้าค้างอย่างเดียว ถึงได้ มีเสียงไพเราะ เช่นนั้น ถ้าตนลองกินน้​้าค้างบ้าง ก็คงจะร้อง เพลงได้ไพเราะอย่างจักจั่น ตั้งเเต่วันนั้นลาก็กินเเต่น้าค้าง ไม่กินหญ้าที่เป็นอาหาร ของตน ไม่ช้าไม่นานนัก ลาก็ตายไปเพราะความหิวโหย

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า สิ่งที่ดีทสี่ ุดส้าหรับผู้อื่นอาจเป็นสิ่งที่เเย่ที่สุด ส้าหรับเรา


เมื่อสุนัขกัด

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายเร่ร่อนเดินทางไปยังเมือง ต่างๆ เมือ่ เดินทางมาถึงเมืองๆหนึ่ง ชายเร่ร่อนก็เข้าไปในตลาด เพื่อ หาซื้อข้าวของ เเต่บังเอิญเขาถูกสุนัขในตลาดกัดที่น่องจน เป็นเเผล “ท่านต้องเอาขนมปังชุบเลือดจากเเผล เเล้วนาไปให้สุนัขตัวนั้น กิน เเผลของท่านจึงจะหายได้เเละไม่เป็นพิษ” พ่อค้าคนหนึ่งเเนะนา


เเต่ชายเร่ร่อนยิ้มเเล้วกล่าวว่า “ถ้าทาเช่นนั้น สุนัขทุกตัวในเมืองก็จะมากัดข้าเป็นเเน่ เพราะรู้ว่า เมื่อกัดข้าเเล้วจะได้กนิ ขนมปัง”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถ้าใช้เงินซื้อศัตรู มีเเต่จะได้ศัตรูมากขึ้นเรื่อยๆ


แมวผู้หวังดี

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีแมวและแม่ไก่อยู่ในบ้านของ เจ้าของคนเดียวกัน วันหนึ่งแม่ไก่ป่วย ด้วยเพราะเป็นสัตว์ เลี้ยงอยู่ในบ้านเดียวกัน เเมวจึงเเวะไปเยี่ยมเเม่ไก่ที่นอนป่วย อยู่ในรังหลังบ้าน “เพื่อนเอ๋ย เจ้านอนป่วยไข้อยู่อย่างนี้ถ้ามีอะไรจะให้ช่วย ก็บอก ได้เลยนะ เราอยูบ่้ ้านเดียวกัน ไม่ต้องเกรงใจ ถึงข้าจะ เคยไล่กัด เจ้าในบางครั้งก็เถอะ อย่าถือสาเลยนะ นี่ข้ามาเยี่ยม เจ้าเพราะ หวังดีจริงๆ”


เเม่ไก่จึงพยายามยิ้มก่อนจะเอ่ยว่า “ถ้าเจ้าหวังดีก็ช่วยกลับไปกลับไปก่อนเถอะนะเพื่อนเอ๋ย ถ้าเจ้า มาเยี่ยมอย่างนี้ข้าก็ยิ่งกลัวเจ้า เเละคงจะป่วยหนักขึ้น เป็นเเน่”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เเขกบางประเภทก็ไม่เป็นที่พงึ ปรารถนาของเจ้าบ้าน


แมลงวันหัวเราะ เเมลงวันฝูงหนึ่ง ชักชวนกันไปตอมศีรษะของชายไร้ ผม คนหนึ่งจนเขาราคาญนัก พยายามใช้มือทั้งปัด ทั้งไล่ พวกเเม ลงวันก็ยังไม่หนีไปไหน พากันตอม หัวล้านเป็นทีส่ นุกสนาน สาราญใจ ชายหัวล้านจึงหาไม้เเส้มาปัดมาตี เเต่กลับพลาดตีใส่ ศีรษะตนเอง เหล่าเเมลงวันเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะเยาะเย้ยชายหัวล้าน เป็นการใหญ่ ชายหัวล้านจึงยิ่งโมโห ร้องเรียกลูกๆ หลานๆ ให้เอาไม้เเส้มาไล่ตีเเมลงวันจนตายเรียบทั้งฝูง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “อย่าเยาะเย้ยคนที่พลาดพลั้ง เพราะจะเป็นภัยเเก่ตัวในภายหลังได้”



แม่ปูสอนลูก

เเม่ปูพาลูกๆ ออกไปหากินที่ชายหาด เมื่อเห็นลูกๆ เดิน คดเคี้ยวเซไปมาจึงกล่าวว่า “ทาไมลูกไม่เดินให้ตรงๆ ทางล่ะจ๊ะ” ลูกปูจึงตอบ “ถ้าเช่นนั้นเเม่ลองเดินตรงๆ ให้ลูกดูหน่อยซิจ๊ะ ลูกจะได้ ทาตาม” ปรากฏว่า แม่ปูไม่สามารถเดินให้ตรงได้ เพราะการเดิน คดเคี้ยวเป็นธรรมชาติของปู

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “การพูดอย่างเดียว ไม่อาจสอนใครได้ดีเท่าการทา ให้เห็นเป็นตัวอย่าง”


แพะอยากกินน้า

เเพะตัวหนึ่งเดินมาที่บ่อน้า เมื่อชะโงกหน้าลงไปก็เห็น สุนัขจิงจอก ตัวหนึ่งอยู่ในบ่อ จึงเอ่ยถามว่า “เพื่อนเอ๋ย บ่อนีลึกมากหรือไม่” สุนัขจิงจอกซึ่งพลัดตกลงมาในบ่อเเล้วหาทางขึนไปไม่ได้ จึงโป้ปดออกไปด้วยความเจ้าเล่ห์ว่า “ไม่ลึกเลยเพื่อนเอ๋ย น้าในบ่อนีก็ใสเเละเย็นชื่นใจดีจริงๆ เจ้าลงมากินเถิด” เเพะไม่ทันคิดให้รอบคอบก็รีบกระโดดลงไปในบ่อทันที


สุนัขจิงจอกจึงเหยียบเขาเเพะเเล้วปีนขึนมาที่ปากบ่อได้ ส้าเร็จ เเล้วก็หันมาหัวเราะเยาะในความโง่เขลาเบาปัญญาของ เเพะ ก่อนจากไป

นิทานเรื่องนีสอนให้รู้ว่า การท้าสิ่งใดควรเชื่อความคิด เเละสายตาของตนเอง ดีกว่าเชื่อคนอื่น


ราชสีห์กับหนู

ราชสีห์ตวั หนึ่งนอนหลับพักผ่อนยามบ่ายอย่างมีความสุข พลันต้องสะดุ้งตกใจตื่นขึ้นมาเพราะมีหนูตัวหนึ่งขึ้นมาวิ่งไต่ตาม ลาตัวโดย ไม่ทราบว่าเป็นร่างของผู้เป็นเจ้าป่า ราชสีห์ใช้อุ้งเท้า ตะครุบเอาไว้ด้วยความโกรธ ขณะจะลงมือสังหาร ก็ได้ยินเสียงหนูกล่าวคาวิงวอน “ท่านผู้เป็นราชาแห่งสัตว์ทั้งปวง โปรดไว้ชวี ิตข้าสักครั้ง หนึ่งเถิด เพราะข้าทาผิดไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ มิได้มีเจตนา ดูหมิ่นท่านแม้แต่น้อย”


“ฮึ..ก็ได้ ในเมื่อเจ้าไม่มีเจตนาข้าก็จะปล่อยไปสักครั้งแล้ว อย่ามากวนใจอีกล่ะ” ราชสีห์ ไม่อยากได้ชื่อว่ารังแกผู้ออ่ นแอกว่าจึงยอมเลิกรา “บุญคุณครั้งนี้ขา้ จะไม่ลืมเลยตราบชั่วชีวิต หากมีโอกาสวัน หน้าข้าต้องตอบแทนแน่ ถ้าท่านมีเรื่องเดือนร้อนอันใด โปรด ส่งเสียงคาราม ข้าจะรีบมาทันที” “ฮะ..ฮะ..ฮะ..” ราชสีห์หัวเราะเสียงสั่น “สัตว์ตวั เล็กๆ อย่างเจ้านี่จะทาอะไรให้ข้าได้ ไป.. รีบไป ให้พ้นหน้า ข้าจะนอนต่อละ” หลังจากวันนั้นไม่นาน ราชสีห์ออกล่าเหยื่อและเกิดพลาด ท่าไปติดบ่วงของนายพราน ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุดส่งเสียงร้องสั่น ป่า หนูจาเสียงได้รีบมาช่วยกัดบ่วงของนายพรานจนขาด ราชสีห์จึงได้เป็นอิสระอีกครั้ง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าดูถูกคนที่ต่าต้อยกว่าตน


นักดูดาว

ชายผู้หนึ่งสนใจในเรื่องของดวงดาวเป็นยิ่งนัก เขา ศึกษา โหราศาสตร์เเละเรียนรู้เรื่องอิทธิพลของดวงดาว จนเเตกฉาน คืนหนึ่งเขาเฝ้าสังเกตวิถีการโคจรของดวงดาว ตั้งเเต่ย่าค่​่า จนดึกดื่น เขาเดินเเหงนหน้ามองท้องฟ้าเพื่อตามดูดาวโคจร ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเดินออกจากถนนเเล้วพลัด ตกลงไปใน หนองน้่า นักดูดาวได้เเต่ตะโกนร้องขอความช่วยเหลือจนเสียง เเหบ เสียงเเห้ง กว่าจะมีชาวบ้านผ่านมาช่วยดึงขึ้น จากน้่า

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ต้องรู้วิถีทางเดินของตนให้ดี ก่อนที่จะรู้วิถีทางของสิ่งอื่น


เทียนแข่งแสง

เมื่อเทียนไขถูกจุดใช้จนใกล้จะหมดเเท่งนั้น เเสงของ เทียน มักจะยิ่งสว่างเรืองรองขึ้นกว่าเดินหลายเท่านัก ด้วยเหตุนี้เทียนเเท่งหนึ่งจึงคุยอวดกับเจ้าของว่า “เเสงเทียนของข้านั้นสว่างกว่าเเสงดาว เเสงจันทร์ เเละเเม้กระทั่งเเสงอาทิตย์ด้วยนะ” ทันใดนั้นเองกระเเสลมก็พัดผ่านมาวูบหนึ่ง เเล้วเเสงเทียน ดับวูบลง เจ้าของจึงจุดเทียนขึ้นใหม่เเล้วกล่าวว่า “เเสงอาทิตย์ เเสงจันทร์ เเละเเสงดาวนั้นยากที่จะดับ เเละไม่ ต้องมีใครจุดให้ เเต่เทียนอย่างเจ้านั้นต้องมีคนจุดจึง จะมีเเสง เเละเจ้าก็มีวันดับมีวนั หมดเเสง”


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ทาหน้าที่ของตนอย่างเจียมตน จึงดูมีคุณค่า น่าไปเปรียบเทียบ เเข่งขันกับผู้อื่น


ชายโง่กับต้นไผ่ เมื่อบิดาตายเเล้วชายผู้โง่เขลาเบาปัญญาก็นั่งมองต้นไผ่ที่ บิดาปลูกไว้รอบๆ สวน พลางคิดว่า “ไม่เห็นมีประโยชน์อะไรเลย ไม่มีดอกไม่มีผลให้เก็บไปขาย” คิดดังนั้นชายโง่ก็ให้คนงานตัดต้นไผ่ทิ้งจนหมด หลังจากนั้นสัตว์ตา่ งๆ เเละคนพเนจรก็พากันเข้าออกใน สวนอย่างสะดวก สบาย สวนผลไม้จึงได้รับความเสียหาย ทั้งถูกขโมยผล ทัง้ ถูก เหยียบย่​่าท่าลาย ในที่สุดผลไม้กต็ ายหมดทั้งสวนเพราะไม่มีต้น ไผ่ทเี่ ป็นเสมือนรั้วล้อมรอบ ป้องกันภัยอย่างเเต่ก่อน


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ของทุกสิ่งย่อมมีประโยชน์ในทางที่เเตกต่างกัน


เทพารักษ์กับคนตัดไม้

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีคนตัดไม้คนหนึ่งเดินเข้าไปตัด ไม้ในป่าริม แล้วทาขวานตกลงไปในน้าโดยไม่ได้ตั้งใจ คน ตัดไม้จงึ นั่งร้องไห้อยู่ริมลาธาร เทพารักษ์สงสารจึงลงไปงมเอาขวานทองคามาให้ คนตัดไม้เป็นคนซื่อจึงตอบว่าขวานทองนั้นไม่ใช่ของตน ครั้นเทพารักษ์งมเอาขวานเงินมาให้ เขาก็ไม่รับ เทพารักษ์จึงงมเอาขวานเหล็กธรรมดาๆ มาให้ คนตัดไม้ จึงดีใจ บอกว่าเป็นขวานของตน


เทพารักษ์ชื่นชมในความซื่อตรงของคนตัดไม้ จึงมอบ ขวานทองเเละขวานเงินให้เป็นของขวัญ คนตัดไม้ดีใจ กลับบ้านไปเล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนคนนั้นเป็นคนโลภ จึงรีบเข้าป่าไปตัดไม้เเล้วเเกล้ง ทาขวานตกลงไปในลาธารเพื่อให้เทพารักษ์มาช่วยบ้าง เมื่อเทพารักษ์ปรากฏกายมาช่วยงมเอาขวานทองคามาให้ ชายโลภก็รีบตอบรับว่านั่นคือขวานของเขา เทพารักษ์กริ้วที่ชายผู้นั้นพูดเท็จเพราะโลภมากจึงไม่ยอม ให้ ขวานทองคาเเก่เขา ปล่อยให้เขานั่งร้องไห้เลียดายขวาน เหล็ก ตามลาพัง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความซื่อย่อมนาความเจริญให้ได้ดีกว่าความโลภ


แกะกับหมาป่า

หมาป่ากล่าวกับฝูงเเกะว่า “การทีเ่ ราต้องเป็นศัตรู คู่อาฆาตกันมานานเช่นนีก้ ็ เพราะว่าสุนัข ที่เฝ้าพวกเจ้านั่นเเหละเป็นมือที่สามคอยเห่าคอย ยุให้เราสองฝ่าย ต้องเป็นศัตรูกัน ถ้าไม่มีสุนัขพวกนี้ เราต่างก็ คงอยู่อย่างสงบสุข พวกข้าไม่ต้องไล่กัดเจ้า เเละพวกเจ้าก็ไม่ ต้องคอยหนีข้า เรามาเป็นมิตรกันดีกว่านะ” หมาป่าเจรจาหว่านล้อมจนพวกฝูงเเกะเห็นดีด้วย โดยไม่ คิดให้รอบคอบเสียก่อน ฝูงเเกะก็ตัดสินใจขับไล่พวกสุนัข เฝ้า ฝูงเเกะไปเสียหมด


หลังจากนั้นพวกหมาป่าก็เข้าไล่จบั เเกะกินเป็นอาหารได้ อย่าง สะดวกสบาย

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถ้าไว้วางใจคนเคยเป็นศัตรูมากกว่า คนเคยช่วยเหลือกัน ก็ย่อมได้รับแต่โทษภัย


กระต่ายกับเต่า

กาลครั้งหนึ่งในป่าใหญ่ ได้มีเต่าตัวหนึ่งคลานต้วมเตี้ยม มาตามวิสยั ของมัน และที่ตรงอีกทางด้านหนึ่งก็ได้มกี ระต่ายตัว หนึง่ วิ่งผ่านมา ทางนั้นเข้าอย่างบังเอิญด้วยความรวดเร็ว “ฮิฮ!ิ นี่เจ้าเต่า นายชอบที่จะเดินต้วมเตี้ยม ๆ อยูอ่ ย่างนี้ เสมอ ๆ ทาไมนายถึงได้เดินได้ชา้ อย่างนั้นเล่า? ” กระต่ายพูด เต่าจึงตอบว่า “ถึงแม้ว่าข้าจะเดินได้ช้า แต่ถ้าพูดถึงเรื่องของความอดทน แล้วข้าไม่เคยแพ้ใคร”


“งั้นนายลองมาแข่งขันวิ่งไปที่บนยอดเขานั่นกับข้าดูเอา ไหมล่ะ ? ” เต่าพูด กระต่ายเมื่อได้ยนิ อย่างนั้น ก็หัวเราะลั่นเสียงดัง “ฮ่ะฮ้า น่าสนใจมากเลยทีเดียว แต่รับรองได้ว่าไม่มีทางที่ เจ้าจะเอาชนะข้าไปได้หรอก มันเปรียบเทียบกันไม่ได้..ว่างั้น” กระต่ายจึงเที่ยวไปเรียกพวกพ้องให้มาชุมนุมกันอย่าง ทันท่วงที และรวมทั้งให้เป็นกรรมการในการแข่งขันอีกด้วย “ทุก ๆ คนมาดูเป็นสักขีพยานว่าใครจะเป็นผู้ชนะ ใน การแข่งขันวิ่งเร็ว ระหว่างเต่าโง่กับตัวข้า..ฮ่ะฮ่ะ ”

“เตรียมพร้อม! ไป!” พอสิ้นเสียงบอกสัญญาณเริ่มการแข่งขันโดยสุนัขจิง้ จอก ทั้งเต่าและกระต่ายก็เริ่มออกวิ่งไปพร้อม ๆ กัน


“ปิย้อง ปิย้อง” กระต่ายกระโดดออกวิ่งนาหน้าไปด้วย ความเร็วสูง เผลอแผลบเดียวมันก็วิ่งมาจนถึงทีต่ รงจุดกึ่งกลาง ของทางระหว่างภูเขามันจึงได้หยุดวิ่ง “เจ้าเต่ามันมาถึงไหนแล้วล่ะ?” พูดแล้วมันก็ได้หนั ไปดู และก็ได้เห็นว่าเต่านั้นยังคงคลานตามมาอย่างช้า ๆ มองเห็น ไกล ๆ พวกผู้ชมที่มาชุมนุมกันต่างก็หัวเราะและได้พูดว่า “ท่านเต่า..ท่านเต่า ท่านนี่ ช่างเป็นผู้ที่เดินได้ชา้ มาก อาจที่ จะพูดได้ว่าเดินได้ช้าที่สดุ ในโลกเลยก็ได้..ฮ่ะฮ่ะ ” แม้ว่าจะได้ยินแบบนั้นแต่เต่าก็ไม่สนใจอะไรยังคงคลาน ของมันต่อไปด้วยความ เงียบสงบอย่าง ตั้งใจเพื่อที่จะให้ไปถึง ที่บนยอดเขาโดยไม่คิดที่จะหยุดพักผ่อน ข้างฝ่ายกระต่ายเมื่อ รอเท่าไหร่ ๆ ก็ไม่เห็นมีทที ่าว่าเจ้าเต่าจะตามมาทันมันสักที… มันจึงเริ่มนึกเบื่อกับการรอคอย


“เจ้าเต่ามันยังคงคลานอยู่อีกตั้งไกล นอนรอซักงีบหนึง่ คงได้.. ถึงยังไงมันก็ไม่มีทางที่ตามมาทันได้หรอก” มันพูดแล้วก็ล้มตัวลงนอนหลับไปตรงที่กลางทางตรงภูเขานั่นเอง ในขณะที่กระต่ายกาลังหลับอยู่อย่างสนิท เต่าซึ่งได้เดินมา อย่างไม่คดิ ที่ จะหยุดพักผ่อนนั้น “ถึงแม้ว่าขาของข้าจะสั้นเดินได้ช้าก็จริงแต่เรื่องของ ความอดทนแล้วข้าไม่เคยยอมแพ้ให้ใคร ข้าจะต้องทาดีที่สดุ เท่าที่ข้าจะทาได้!” หลังจากที่ในขณะที่เต่าได้เดิน มาจนถึงที่ตรงจุดกึง่ กลาง ของภูเขา พลันมันก็ได้ ยินเสียงหนึ่งซึ่งเป็นเหมือนกับเสียงกรน จากในที่แห่งหนึง่ “เสียงกรนที่ไหนนี่… อะฮ้า เจ้ากระต่ายนี่ มันมาแอบนอน หลับอยู่ที่นี่เอง”


ที่ใกล้ ๆ ตรงนั้นกระต่ายกาลังนอนหลับอยู่อย่างสุขสบาย ส่วนเต่านัน้ ยังคงที่จะ เดินต่อไป…ทีละก้าว..ทีละก้าวอย่าง จริงจังและอดทน และแล้วหลังจากนั้นชั่ว ขณะหนึ่งกระต่ายก็ เริ่มรู้สึกตัวและสะดุ้งตื่นขึ้นมา “เฮ้..นี่เจ้าเต่า มันคลานมาจนถึงที่ไหนแล้วนี?่ ” มันรีบกวาดสายตามองหา แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว เพราะเมื่อ มันมองไปที่ตรงจุดเส้นชัยที่อยู่บนยอดเขาโน่น มันก็ได้เห็นว่า เจ้าเต่ากาลังแสดงความยินดีทไี่ ด้รับชัยชนะอยู่อย่างมีความสุข

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสาเร็จอยู่ที่นั่น”


The Wolf and the Lamb Once upon a time a Wolf was lapping at a spring on a hillside, when, looking up, what should he see but a Lamb just beginning to drink a little lower down. ‘There’s my supper,’ thought he, ‘if only I can find some excuse to seize it.’ Then he called out to the Lamb, ‘How dare you muddle the water from which I am drinking?’ ‘Nay, master, nay,’ said Lambikin; ‘if the water be muddy up there, I cannot be the cause of it, for it runs down from you to me.’ ‘Well, then,’ said the Wolf, ‘why did you call me bad names this time last year?’ ‘That cannot be,’ said the Lamb; ‘I am only six months old.’ ‘I don’t care,’ snarled the Wolf; ‘if it was not you it was your father;’ and with that he rushed upon the poor little Lamb and .WARRA WARRA WARRA WARRA WARRA .ate her all up. But before she died she gasped out .’Any excuse will serve a tyrant.’


The Dog and the Shadow It happened that a Dog had got a piece of meat and was carrying it home in his mouth to eat it in peace. Now on his way home he had to cross a plank lying across a running brook. As he crossed, he looked down and saw his own shadow reflected in the water beneath. Thinking it was another dog with another piece of meat, he made up his mind to have that also. So he made a snap at the shadow in the water, but as he opened his mouth the piece of meat fell out, dropped into the water and was never seen more. Beware lest you lose the substance by grasping at the shadow.


The Lion’s Share The Lion went once a-hunting along with the Fox, the Jackal, and the Wolf. They hunted and they hunted till at last they surprised a Stag, and soon took its life. Then came the question how the spoil should be divided. ‘Quarter me this Stag,’ roared the Lion; so the other animals skinned it and cut it into four parts. Then the Lion took his stand in front of the carcass and pronounced judgment: The first quarter is for me in my capacity as King of Beasts; the second is mine as arbiter; another share comes to me for my part in the chase; and as for the fourth quarter, well, as for that, I should like to see which of you will dare to lay a paw upon it.’ ‘Humph,’ grumbled the Fox as he walked away with his tail between his legs; but he spoke in a low growl .’You may share the labours of the great, but you will not share the spoil.’


The Wolf and the Crane A Wolf had been gorging on an animal he had killed, when suddenly a small bone in the meat stuck in his throat and he could not swallow it. He soon felt terrible pain in his throat, and ran up and down groaning and groaning and seeking for something to relieve the pain. He tried to induce every one he met to remove the bone. ‘I would give anything,’ said he, ‘if you would take it out.’ At last the Crane agreed to try, and told the Wolf to lie on his side and open his jaws as wide as he could. Then the Crane put its long neck down the Wolf’s throat, and with its beak loosened the bone, till at last it got it out. ‘Will you kindly give me the reward you promised?’ said the Crane. The Wolf grinned and showed his teeth and said: ‘Be content. You have put your head inside a Wolf’s mouth and taken it out again in safety; that ought to be reward enough for you.’ Gratitude and greed go not together.


The Fox and the Crow A Fox once saw a Crow fly off with a piece of cheese in its beak and settle on a branch of a tree. ‘That’s for me, as I am a Fox,’ said Master Reynard, and he walked up to the foot of the tree. ‘Good-day, Mistress Crow,’ he cried. ‘How well you are looking to-day: how glossy your feathers; how bright your eye. I feel sure your voice must surpass that of other birds, just as your figure does; let me hear but one song from you that I may greet you as the Queen of Birds.’ The Crow lifted up her head and began to caw her best, but the moment she opened her mouth the piece of cheese fell to the ground, only to be snapped up by Master Fox. ‘That will do,’ said he. ‘That was all I wanted. In exchange for your cheese I will give you a piece of advice for the future .’Do not trust flatterers.’


The Sick Lion A Lion had come to the end of his days and lay sick unto death at the mouth of his cave, gasping for breath. The animals, his subjects, came round him and drew nearer as he grew more and more helpless. When they saw him on the point of death they thought to themselves: ‘Now is the time to pay off old grudges.’ So the Boar came up and drove at him with his tusks; then a Bull gored him with his horns; still the Lion lay helpless before them: so the Ass, feeling quite safe from danger, came up, and turning his tail to the Lion kicked up his heels into his face. ‘This is a double death,’ growled the Lion. Only cowards insult dying majesty.


The Lion and the Mouse Once when a Lion was asleep a little Mouse began running up and down upon him; this soon wakened the Lion, who placed his huge paw upon him, and opened his big jaws to swallow him. ‘Pardon, O King,’ cried the little Mouse: ‘forgive me this time, I shall never forget it: who knows but what I may be able to do you a turn some of these days?’ The Lion was so tickled at the idea of the Mouse being able to help him, that he lifted up his paw and let him go. Some time after the Lion was caught in a trap, and the hunters who desired to carry him alive to the King, tied him to a tree while they went in search of a waggon to carry him on. Just then the little Mouse happened to pass by, and seeing the sad plight in which the Lion was, went up to him and soon gnawed away the ropes that bound the King of the Beasts. ‘Was I not right?’ said the little Mouse. Little friends may prove great friends.


The Swallow and the Other Birds It happened that a Countryman was sowing some hemp seeds in a field where a Swallow and some other birds were hopping about picking up their food. ‘Beware of that man,’ quoth the Swallow. ‘Why, what is he doing?’ said the others. ‘That is hemp seed he is sowing; be careful to pick up every one of the seeds, or else you will repent it.’ The birds paid no heed to the Swallow’s words, and by and by the hemp grew up and was made into cord, and of the cords nets were made, and many a bird that had despised the Swallow’s advice was caught in nets made out of that very hemp. ‘What did I tell you?’ said the Swallow. Destroy the seed of evil, or it will grow up to your ruin.


The Mountains in Labour One day the Countrymen noticed that the Mountains were in labour; smoke came out of their summits, the earth was quaking at their feet, trees were crashing, and huge rocks were tumbling. They felt sure that something horrible was going to happen. They all gathered together in one place to see what terrible thing this could be. They waited and they waited, but nothing came. At last there was a still more violent earthquake, and a huge gap appeared in the side of the Mountains. They all fell down upon their knees and waited. At last, and at last, a teeny, tiny mouse poked its little head and bristles out of the gap and came running down towards them, and ever after they used to say: ‘Much outc ry, little outcome.’


The Hares and the Frogs The Hares were so persecuted by the other beasts, they did not know where to go. As soon as they saw a single animal approach them, off they used to run. One day they saw a troop of wild Horses stampeding about, and in quite a panic all the Hares scuttled off to a lake hard by, determined to drown themselves rather than live in such a continual state of fear. But just as they got near the bank of the lake, a troop of Frogs, frightened in their turn by the approach of the Hares scuttled off, and jumped into the water. ‘Truly,’ said one of the Hares, ‘things are not so bad as they seem: ‘There is always someone worse off than yourself.’


The Wolf and the Kid A Kid was perched up on the top of a house, and looking down saw a Wolf passing under him. Immediately he began to revile and attack his enemy. ‘Murderer and thief,’ he cried, ‘what do you here near honest folks’ houses? How dare you make an appearance where your vile deeds are known?’ ‘Curse away, my young friend,’ said the Wolf. ‘It is easy to be brave from a safe distance.’


The Woodman and the Serpent One wintry day a Woodman was tramping home from his work when he saw something black lying on the snow. When he came closer he saw it was a Serpent to all appearance dead. But he took it up and put it in his bosom to warm while he hurried home. As soon as he got indoors he put the Serpent down on the hearth before the fire. The children watched it and saw it slowly come to life again. Then one of them stooped down to stroke it, but thc Serpent raised its head and put out its fangs and was about to sting the child to death. So the Woodman seized his axe, and with one stroke cut the Serpent in two. ‘Ah,’ said he, ‘No gratitude from the wicked.’


The Bald Man and the Fly There was once a Bald Man who sat down after work on a hot summer’s day. A Fly came up and kept buzzing about his bald pate, and stinging him from time to time. The Man aimed a blow at his little enemy, but acks palm came on his head instead; again the Fly tormented him, but this time the Man was wiser and said: ‘You will only injure yourself if you take notice of despicable enemies.’


The Fox and the Mask A Fox had by some means got into the store-room of a theatre. Suddenly he observed a face glaring down on him and began to be very frightened; but looking more closely he found it was only a Mask such as actors use to put over their face. ‘Ah,’ said the Fox, ‘you look very fine; it is a pity you have not got any brains.’ Outside show is a poor substitute for inner worth.


The Frog and the Ox ‘Oh Father,’ said a little Frog to the big one sitting by the side of a pool, ‘I have seen such a terrible monster! It was as big as a mountain, with horns on its head, and a long tail, and it had hoofs divided in two.’ ‘Tush, child, tush,’ said the old Frog, ‘that was only Farmer White’s Ox. It isn’t so big either; he may be a little bit taller than I, but I could easily make myself quite as broad; just you see.’ So he blew himself out, and blew himself out, and blew himself out. ‘Was he as big as that?’ asked he. ‘Oh, much bigger than that,’ said the young Frog. Again the old one blew himself out, and asked the young one if the Ox was as big as that. ‘Bigger, father, bigger,’ was the reply. So the Frog took a deep breath, and blew and blew and blew, and swelled and swelled and swelled. And then he said: ‘I’m sure the Ox is not as big asBut at this moment he burst. Self-co nceit may lead to self-destruction.



จัดทำโดย ด.ญ.วิชำญำดำ

สินปรุ

เลขที่ 2

ด.ญ.นรมน

เหล่ำแพทย์กิจ

เลขที่ 7

ด.ญ.ตรีทิพ

ยำมำนำกำ

เลขที่ 8

ด.ญ.ใจพิจิตร

เย็นเกล้ำกุล

เลขที่ 12

ด.ญ.พัชมน

สิทธำนนท์

เลขที่ 15

ด.ญ.กัญญำภัค

สิมำธรรมชัย

เลขที่ 23

ด.ญ.สิรินำฏ

วัชวำณิชย์วงศ์

เลขที่ 27

ด.ญ.สุพิชชำ

กำญจนจิตกร

เลขที่ 31

ด.ญ.วิสำขำ

นำครวริทธิพงศ์

เลขที่ 33

ชั้น ม.3/5

โรงเรียนรำชินี


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.