ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
¤íÒ¹íÒ »ÃÐà·Èä·Âà» ¹Ë¹Öè§ã¹ÊÁÒªÔ¡»ÃЪҤÁàÈÃÉ°¡Ô¨ÍÒà«Õ¹ËÃ×Í AEC áÅÐà¾×èÍà» ¹¡ÒÃàµÃÕÂÁ ¤ÇÒÁ¾Ã ÍÁ㹡Òá ÒÇÊÙ »ÃЪҤÁÍÒà«Õ¹ ·ÕèÊ §¼Åµ Í·Ò§´ Ò¹àÈÃÉ°¡Ô¨ ´ Ò¹¡ÒÃàÁ×ͧ ÇѲ¹¸ÃÃÁ áÅÐ ¤ÇÒÁÁÑ蹤§ ¤³Ð¼Ù ¨Ñ´·íÒàÅç§àË繤ÇÒÁÊíÒ¤Ñâ´Â¤³Ð¼Ù¨ ´Ñ ·íÒä´ ·íÒ¡ÒÃÊà ҧ E-book AEC ·Õè à¡ÕèÂǡѺ àÈÃÉ°¡Ô¨â´ÂÊíÒ¤Ñ µÒÍÒ¨ÁÕà¹×Íé ËÒàª×èÍÁâ§à¡ÕèÂǡѺÍÒà«Õ¹´ Ò¹Í×è¹æà¾Õ§àÅ硹 Í à¾×èÍ à» ¹Ê×èÍãË ¤ÇÒÁÃÙ á¡ ¼Ù ·Õèʹ㨠à¡ÕèÂǡѺ»ÃЪҤÁàÈÃÉ°¡Ô¨ÍÒà«Õ¹ ä´ à¢ Òã¨áÅÐàË繤ÇÒÁÊíÒ¤Ñ â´Â ¡ÒáÒà Êà ҧÊ×èÍã¹ÃٻẺE-book ·ÕèÃǺÃÇÁà¹×éÍËÒ¨Ò¡Ê×èÍã¹ËÅÒÂæ·ÕèÁÒãË à¾×è͹æä´ ÈÖ¡ÉÒ «Öè§ àËÁÒÐ ¡Ñº·Ø¡à¾È·Ø¡ÇÑ Êдǡã¹Ê¶Ò¹·Õèµ Ò§æ¡Ç Ò˹ѧÊ×Í·ÑèÇä» áÅÐäÁ à» ¹à¾Õ§ᵠ¡ÒÃãË ¤ÇÒÁÃÙ ÂѧÁÕẺ ¢ ÍÊͺ ·´Êͺ¤ÇÒÁÃÙ à¾×èÍ·´Êͺ¤ÇÒÁࢠÒ㨢ͧ¼Ù ÍÒ ¹ ¤³Ð¼Ù ¨Ñ´·íÒËÇÑ§Ç ÒE-book AEC ¹Õé¨Ðà» ¹»ÃÐ⪹ á¡ ¼Ù ¤¹·ÑèÇä» ¼Ù ʹ㨠¹Ñ¡àÃÕ¹ ¹Ñ¡ÈÖ¡ÉÒ ÃÇÁ¶Ö§¤¹ä·Â·Õè¨Ðä´ ·ÃÒº¢ ÍÁÙŢͧÍÒà«Õ¹·Ò¡ÂÔ觢Öé¹ ËÒ¡¼Ô´¾ÅÒ´»ÃСÒÃã´µ ͧ¢ÍÍÀÑÂäÇ ³ ·Õè¹´Õé ÇÂ
¤³Ð¼Ù ¨Ñ´·íÒ
ประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ
ธงประจําชาติ
ตราประจําประเทศ
ประเทศ/เมืองหลวง 1. บรูไน ดารุสซาลาม (Brunei Darussalam) เมืองหลวง : บันดาร์ เสรี เบกาวัน 2. ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia) เมืองหลวง : กรุงพนมเปญ 3. สาธารณรัฐอินโดนีเซีย (Republic of Indonesia) เมืองหลวง : จาการ์ตา
4. สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (Laos People’s Democratic Republic) เมืองหลวง : นครหลวงเวียงจันทร์
ธงประจําชาติ
ตราประจําประเทศ
ประเทศ/เมืองหลวง 5. มาเลเซีย (Malaysia) เมืองหลวง : กรุงกัวลาลัมเปอร์
6. สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ (Republic of The Union of Myanmar) เมืองหลวง : เนปีดอ(Naypyidaw)
7. สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ (Republic of The Philippines) เมืองหลวง : กรุงมะนิลา
8. สาธารณรัฐสิงคโปร์ (Republic of Singapore) เมืองหลวง : สิงคโปร์
9. ราชอาณาจักรไทย (Kingdom of Thailand) เมืองหลวง : กรุงเทพมหานคร
10. สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (Socialist Republic of Vietnam) เมืองหลวง : กรุงฮานอย
สถานภาพของอาเซียน อาเซียนเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่มีสถานภาพเป็นนิติบุคคล ซึ่งประกอบด้วยองค์กรย่อย ( ดังต่อไปนี้ องค์กรอาเซียน
อํานาจหน้าที่
1. ที่ประชุมสุดยอด (ASEAN Summit)
กําหนดนโยบายและตัดสินใจใน เรื่องสําคัญ รวมถึงกรณีที่มีการ ละเมิดพันธกรณีตามกฎบัตรอย่าง รุนแรง 2. คณะมนตรีประสานงานอาเซียน เตรียมการประชุมผู้นําประสานงาน (ASEAN Coordinating Council : ACC) ระหว่างเสาหลักทั้ง 3 ด้าน 3. คณะมนตรีประชาคมอาเซียน ติดตามการทํางานตามนโยบายผู้ (ASEAN Community Councils) โดยเสนอรายงานและข้อเสนอแนะ ต่อผู้นํา 4. องค์กรระดับรัฐมนตรีอาเซียนเฉพาะสาขา นําความตกลง/มติของผู้นําไป (ASEAN Sectoral Ministerial Bodies) ปฏิบัติ ให้ข้อเสนอแนะต่อคณะ มนตรีประชาคมอาเซียน 5. สํานักเลขาธิการอาเซียน เปรียบได้กับผู้บริหารสูงสุดของ (ASEAN Secretariat) อาเซียน ติดตามการปฏิบัติตามคํา ตัดสินของกลไกระลับข้อพิพาท 6. คณะผู้แทนถาวรประจําอาเซียน เป็นตัวแทนประเทศสมาชิก (Committee of Permanent Representatives to ASEAN : CPR) 7. สํานักงานเลขาธิการอาเซียนแห่งชาติ (ASEAN National Secretariat) 8. องค์กรสิทธิมนุษยชนของอาเซียน (ASEAN Human Rights Body : AHRB)
9. มูลนิธิอาเซียน (ASEAN Foundation)
Organs)
ผู้เข้าร่วมการประชุม ผู้นําของแต่ละประเทศ
รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ผู้แทนที่ประเทศสมาชิกแต่งตั้งให้ เป็นผู้รับผิดชอบในแต่ละเสาหลัก (เศรษฐกิจ การเมือง สังคม วัฒนธรรม) รัฐมนตรีเฉพาะสาขา เลขาธิการอาเซียนเป็นผู้บริหาร ผู้แทนระดับเอกอัครราชทูตที่ แต่งตั้งจากประเทศสมาชิกให้ ประจําที่สํานักงานใหญ่อาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา -
ประสานงานและสนับสนุนภารกิจ ของอาเซียนในประเทศนั้นๆ ส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน คณะทํางานยังไม่ได้ข้อสรุปใน ในภูมิภาค ทั้งให้คําปรึกษา ติดตาม เรื่องนี้ และประเทศประเมินสถานะสิทธิ มนุษยชนส่งเสริมการศึกษาและ ความตื่นตัวของหน่วยงานรัฐและ ประชาชน -
บทบาทของอาเซียนในเวทีโลก นับตั้งแต่ก่อตั้งมา อาเซียนสถาปนาความสัมพันธ์ประเทศคู่เจรจากับประเทศต่างๆ ทั้งในทวีปเดียวกันและ ต่างทวีปหลายประเทศ ดังนี้คือ พ.ศ. 2517 สถาปนาความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับประเทศออสเตรเลียเป็นประเทศแรก พ.ศ. 2518 สถาปนาความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับประเทศนิวซีแลนด์ พ.ศ. 2520 สถาปนาความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับประเทศญี่ปุ่นหลังจากมีความสัมพันธ์อย่างไม่เป็น ทางการกันมาตั้งแต่ พ.ศ.2516 พ.ศ. 2520 สถาปนาความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับประเทศแคนาดา สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป พ.ศ. 2534 สถาปนาความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับประเทศจีนและประเทศเกาหลีใต้ พ.ศ. 2535 สถาปนาความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับประเทศอินเดีย พ.ศ. 2539 สถาปนาความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับรัสเซีย อาเซียนกับออสเตรเลีย
ออสเตรเลียเป็นประเทศแรกที่ได้สถาปนาความสัมพันธ์กับอาเซียนในฐานะประเทศคู่เจรจาเมื่อ พ.ศ. 2517 และดําเนินความสัมพันธ์อย่างราบรื่นมาโดยตลอด มีความร่วมมือกันในหลายด้านๆ เช่น การลงนามใน ปฏิญญา ร่วมอาเซียน-ออสเตรเลียเพื่อต่อต้านการก่อการร้าย (ASEAN-Australia Joint Declaration for Cooperation to Combat International Terrorism) เมื่อปี พ.ศ.2547 ความตกลงเรื่องเขตการค้าเสรีอาเซียน -ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ (ASEAN-Australia-New Zealand Free Trade Agreement : AANZFTA) เมื่อปี พ.ศ.2552 ออสเตรเลียเสนอให้มีการประชุมสุดยอดอาเซียน -ออสเตรเลียเป็นครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2553 เพื่อยกระดับ ความสัมพันธ์กับอาเซียนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น อาเซียนกับนิวซีแลนด์
เดิมนิวซีแลนด์กับอาเซียนมีความสัมพันธ์ในฐานะผู้ให้และผู้รับ ต่อมาจึงสถาปนาความสัมพันธ์ในฐานะคู่ เจรจากับอาเซียนเป็นลําดับที่สองต่อจากประเทศออสเตรเลีย อาเซียนและนิวซีแลนด์ร่วมมือกันในหลายๆ ด้าน เช่นเดียวกับประเทศออสเตรเลีย เช่น การลงนามใน ปฏิญญาร่วมอาเซียน -นิวซีแลนด์เพื่อต่อต้านการก่อการร้าย (ASEAN-New Zealand Joint Declaration for Cooperation to Combat International Terrorism) เมื่อปี พ.ศ.2548 ความตกลงเรื่องเขตการค้าเสรีอาเซียน-ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ (ASEAN-Australia-New Zealand Free Trade Agreement : AANZFTA) เมื่อปี พ.ศ.2552
ประเทศไทยเสนอให้นิวซีแลนด์เข้ามามีบทบาทเรื่องการเชื่อมโยงในอาเซียนในด้านการเชื่อมโยงทางทะเล การพัฒนาเทคโนโลยีสะอาด และการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน โดยนิวซีแลนด์เสนอโครงการสําคัญเพื่อรองรับ ยุทธศาสตร์ต่างๆ นี้ 4 โครงการ ได้แก่ โครงการให้ทุนนักศึกษาอาเซียน ปีละ 170 ทุน เป็นเวลา 5 ปี โครงการ แลกเปลี่ยนนักธุรกิจรุ่นใหม่ โครงการจัดการภัยพิบัติ และโครงการแลกเปลี่ยนความรู้และแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศด้าน การเกษตร อาเซียนกับญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์กับอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการมาตั้งแต่ ปีพ.ศ. 2516 และสถาปนาความสัมพันธ์ อย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ.2520 ในฐานะที่ญี่ปุ่นเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งและผู้ลงทุนอันดับสองของอาเซียน จึงได้จัดตั้ง ศูนย์อาเซียน-ญี่ปุ่น เพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อปีพ.ศ.2523 พ.ศ.2546 มีการประชุมสุดยอดอาเซียน -ญี่ปุ่นสมัยพิเศษ (ASEAN-Japan Commemorative Summit) เนื่องในโอกาสครบรอบ 30 ปีความสัมพันธ์อาเซียนกับญี่ปุ่น นอกจากความร่วมมือทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจแล้ว ญี่ปุ่นยังให้ความสําคัญกับการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม โดยจัดตั้งโครงการแลกเปลี่ยนเยาวชนระหว่างประเทศญี่ปุ่นและกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออก (Japan East Asia Network of Exchange for Students and Youths : JENESYS) โดยเชิญเยาวชนจากประเทศในเอเชีย ตะวันออกมาแลกเปลี่ยนที่ญี่ปุ่น ปีละประมาณ 6,000 คน ต่อเนื่องกันเป็นเวลา 5 ปี (พ.ศ.2550-2555) อาเซียนกับแคนาดา
แม้ว่าอาเซียนและแคนาดาได้สถาปนาความสัมพันธ์มาตั้งแต่ ปีพ.ศ. 2520 ทว่าก็ประสบภาวะชะงักงันไป ในปีพ.ศ.2540 เนื่องจากอาเซียนรับเมียนมาร์ (หรือชื่อเดิมในเวลานั้นคือพม่า) เข้าเป็นสมาชิก ซึ่งแคนาดาไม่เห็น ด้วยและคว่ําบาตรพม่า เนื่องจากพม่าปกครองด้วยระบอบเผด็จการทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิเสธผลการ เลือกตั้งที่พรรคฝ่ายค้านได้รับชัยชนะ รวมทั้งได้กักขัง นางอองซาน ซูจี หัวหน้าพรรค มาอย่างต่อเนื่องยาวนาน อาเซียนและแคนาดารื้อฟื้นความสัมพันธ์อีกครั้งในปีพ.ศ. 2547 จนกระทั่งมีการจัดประชุมรัฐมนตรี ต่างประเทศอาเซียนกันแคนาดา [ASEAN Post Ministerial Conference (PMC)+1] ในปีพ.ศ.2552 โดยที่ ประชุมให้ความเห็นชอบ ปฏิญญาร่วมว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนที่เพิ่มพูนระหว่างอาเซียนกับแคนาดา ( Joint Declaration on the ASEAN-Canada Enhanced Partnership) ซึ่งเป็นแผนแม่บทในการดําเนินความสัมพันธ์ กันในอนาคต โดยประเทศไทยรับหน้าที่ประเทศผู้ประสานงานความสัมพันธ์อาเซียน -แคนาดา เป็นเวลา 3 ปี (พ.ศ.2552-2554) ปีพ.ศ.2553 ประเทศไทยจึงเป็นผู้ประสานงานเป็นเจ้าภาพจัดประชุมหารือระหว่างอาเซียนและแคนาดา (ASEAN-Canada Dialogue) ครั้งที่ 7 ที่กรุงเทพมหานคร เป็นการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส เพื่อหารือและ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นทางยุทธศาสตร์ทั้งในด้านการเมือง ความมั่นคง และเศรษฐกิจ
อาเซียนกับสหรัฐอเมริกา
อาเซียนกับสหรัฐอเมริกามีความสัมพันธ์เป็นทางการครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2520 ในระยะแรกสหรัฐอเมริกา เน้นการหารือและส่งเสริมด้านการเมืองและความมั่นคงกับอาเซียน ในขณะที่อาเซียนต้องการความช่วยเหลือด้าน การพัฒนาและเศรษฐกิจ ปัจจุบันสหรัฐอเมริกายังคงให้ความสําคัญกับอาเซียนในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และ ยุทธศาสตร์โดยมีการแถลงวิสัยทัศน์ว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนที่เพิ่มพูนขึ้นเมื่อ พ.ศ.2548 ระหว่างที่ไทยทําหน้าที่ประสานงานความสัมพันธ์อาเซียน -สหรัฐอเมริกา อาเซียนและสหรัฐอเมริกาได้ จัดทํา ปฏิญญาร่วมอาเซียน -สหรัฐอเมริกาเพื่อความร่วมมือในด้านการต่อต้านการก่อการร้ายระหว่างประเทศ (ASEAN-United States of America Joint Declaration for Cooperation to Combat International Terrorism) ในปี พ.ศ.2545 รวมทั้งร่วมลงนามในความร่วมมือด้านเศรษฐกิจใน กรอบความตกลงการค้าและการ ลงทุน (ASEAN-US Trade and Investment Framework Arrangement-TIFA) ในปีพ.ศ.2549 อาเซียนและสหรัฐอเมริกาจัดให้มีการประชุมผู้นําอาเซียน -สหรัฐอเมริกา ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2552 ที่ ประเทศสิงคโปร์ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นในฐานะหุ้นส่วนในการเผชิญและร่วมกันแก้ปัญหาต่างๆ อาเซียนกับสหภาพยุโรป
สหภาพยุโรปถือเป็นคู่เจรจาอย่างไม่เป็นทางการของอาเซียนมาตั้งแต่ ปีพ.ศ. 2515 ตลอดระยะเวลาที่ผ่าน มาทั้งสองฝ่ายมีความร่วมมือกันในทุกด้านและเนื่องในโอกาสครบรอบ 30 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์อาเซียน ทั้งสองฝ่ายจึงจัดให้มีการประชุมสุดยอดสมัยพิเศษอาเซียน -สหภาพยุโรป (ASEAN-Commemorative Summit) เมื่อปีพ.ศ.2550 ที่สิงคโปร์ ปัจจุบันสหภาพยุโรปให้ความสําคัญกับอาเซียนมากขึ้น โดยในปี พ.ศ. 2550 ทั้งสองฝ่ายได้รับรอง ปฏิญญา นูเรมเบิร์กว่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนที่เพิ่มพูนระหว่างสหภาพยุโรปกับอาเซียน ( Nuremberg Declaration on an EU-ASEAN Enhanced Partnership) เพื่อเป็นแนวทางในการดําเนินความสัมพันธ์และความร่วมมือทั้งในด้าน การเมือง เศรษฐกิจ ความมั่นคง สังคมและวัฒนธรรมในอนาคต อาเซียนกับจีน
อาเซียนกับจีนเริ่มความสัมพันธ์กันเมื่อ พ.ศ. 2534 และยกสถานะเป็นคู่เจรจาอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ.2549 มีความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในทุกด้านโดยเมื่อปี พ.ศ.2546 จีนเป็นประเทศที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ประเทศ
แรกที่แสดงความพร้อมในการลงนาม พิธีสารต่อสนธิสัญญาว่าด้วยเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ในเอเชียตะวันออก เฉียงใต้ (Protocol to the Treaty on Southeast Asia Nuclear Weapon-Free Zone) ในด้านเศรษฐกิจ จีนก็เป็นประเทศแรกที่เสนอให้มีการจัดตั้งเขตการค้าเสรีกับอาเซียน ซึ่งมีผลสมบูรณ์ไป แล้วเมื่อปี พ.ศ. 2553 (เฉพาะประเทศสิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ บูรไน และไทย) และจีนเป็น ประเทศที่ 3 ที่ร่วมลงนามจัดตั้งศูนย์อาเซียนในประเทศของตน นอกจากนี้เมื่อปี พ.ศ. 2553 อาเซียนกับจันยังได้ลงนามในแฟนพัฒนาร่วมกันในอนาคต โดยประเทศไทย ได้เสนอแนะในเรื่องสําคัญ เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง และการปฏิบัติการทาง การแพทย์ฉุกเฉินในเหตุการณ์ภัยพิบัติ เป็นต้น อาเซียนกับเกาหลีใต้
หลังจากสถาปนาความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการเมื่อปีพ.ศ. 2534 อาเซียนและเกาหลีใต้ได้ร่วมลงนามใน ปฏิญญาว่าด้วยความร่วมมือการเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจเมื่อปี พ.ศ. 2547 เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์และความ ร่วมมือที่รอบด้าน ต่อมาในปี พ.ศ. 2552 อาเซียนและเกาหลีใต้ได้ลงนามจัดตั้งศูนย์อาเซียน -เกาหลี ที่กรุงโซล เพื่อส่งเสริม ความร่วมมือด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างกัน ในปี พ.ศ. 2553 อาเซียน -เกาหลีใต้ยกระดับความสัมพันธ์ด้วยการจัดทําปฏิญญาร่วมว่าด้วยการเป็น หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการเพื่อกําหนดทิศทางการส่งเสริมความร่วมมืออาเซียน -เกาหลีใต้ใน อนาคต อาเซียนกับอินเดีย
อาเซียนกับอินเดียมีความสัมพันธ์กันอย่างเป็นทางการเมื่อปี พ.ศ. 2535 โดยมี เอกสารความเป็นหุ้นส่วน ระหว่างอาเซียน-อินเดีย เพื่อสันติภาพความก้าวหน้า และความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน (ASEAN-India Partnership for Peace, Progress and Shared Prosperity) ปัจจุบันอยู่ภายใต้แผนปฏิบัติการ พ.ศ.2553-2558 โดยทั้งสอง ฝ่ายได้จัดตั้งกองทุนอาเซียน -อินเดีย และได้ตั้งเป้าหมายขยายการค้าเป็น 700,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี พ.ศ. 2555 อีกด้วย นอกจากนี้อินเดียยังแสดงความพร้อมในการสนับสนุนการเชื่อมโยงระหว่างกันด้วยการขยายทางหลวง สามฝ่าย คือ ไทย -พม่า -อินเดีย ไปยังลาว และกัมพูชา รวมทั้งสนับสนุนการพัฒนาการเชื่อมโยงด้านเทคโนโลยี สารสนเทศ แก่ประเทศสมาชิกอาเซียนประเทศละ 100 ทุน เป็นระยะเวลา 5 ปีอีกด้วย
อาเซียนกับรัสเซีย
อาเซียนและรัสเซียสถาปนาความสัมพันธ์ในฐานะคู่หารือ ( Consultative Relations) กับอาเซียนเมื่อปี พ.ศ.2534 และพัฒนาเป็นคู่เจรจาเมื่อปี พ.ศ. 2539 มีความร่วมมือกันในหลายๆ ด้าน เช่น ปฏิญญาร่วมอาเซียน รัสเซีย ว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนเพื่อสันติภาพ ความมั่นคง ความมั่งคั่ง และการพัฒนาในภูมิภาคเอเชีย -แปซิฟิก (Joint Declaration of the Foreign Ministers of the Russian Federation and the Association of Southeast Nations on Partnership for Peace and Security, Prosperity and Development in the Asia-Pacific Region) ในปี พ.ศ.2546 แถลงการณ์ร่วมอาเซียน-รัสเซีย ว่าด้วยความร่วมมือในการต่อต้านการก่อ การร้าย (ASEAN-Russia Joint Declaration for Cooperation to Combat International Terrorism) นอกจากนี้รัสเซียยังได้มอบเงินประมาณ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อจัดตั้งกองทุน ASEAN-Russia Dialogue Partnership Financial Fund : DPFF เพื่อใช้ดําเนินกิจกรรมความร่วมมือต่างๆ อีกด้วย อาเซียนกับสหประชาชาติ
อาเซียนกับสหประชาชาติเริ่มความสัมพันธ์กันเมื่อปี พ.ศ. 2513 โดยเป็นความร่วมมือด้านวิชากร ต่อมา สหประชาชาติพยายามส่งเสริมการเป็นหุ้นส่วนกับองค์กรระดับภูมิภาคทั่วโลก เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาในระดับ ภูมิภาค อาเซียนและสหประชาชาติเคยจัดการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหประชาชาติมาแล้ว 3 ครั้ง โดยครั้งล่าสุด จัดเมื่อปีพ.ศ. 2553 ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้หารือกันในเรื่องความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับสหประชาชาติ เพื่อช่วยให้ ประเทศสมาชิกอาเซียนสามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนา โดยเฉพาะการลดช่องว่างระหว่างประเทศสมาชิก รวมถึงการให้ความสําคัญเรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ทั้งในด้านสาธารณสุข การศึกษา และสิทธิมนุษยชน การป้องกันปัญหาอาชญากรข้ามชาติ การก่อการร้าย และยาเสพติด การเสริมสร้างศักยภาพประเทศสมาชิก อาเซียนในการปฏิบัติการรักษาสันติภาพและการบริหารจัดการภัยพิบัติ
ระบอบการปกครอง ประเทศ 1. บรูไน ดารุสซาลาม (Brunei Darussalam) 2. ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia) 3. สาธารณรัฐอินโดนีเซีย (Republic of Indonesia) 4. สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชน ลาว (Laos People’s Democratic Republic) 5. มาเลเซีย (Malaysia) 6. สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ (Republic of The Union of Myanmar) 7. สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ (Republic of The Philippines) 8. สาธารณรัฐสิงคโปร์ (Republic of Singapore) 9. ราชอาณาจักรไทย (Kingdom of Thailand) 10. สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (Socialist Republic of Vietnam)
ระบอบการปกครอง
ประมุขของประเทศ
หัวหน้าคณะรัฐบาล
สมบูรณาญาสิทธิราชย์
พระราชาธิบดี (กษัตริย์)
พระราชาธิบดี (กษัตริย์)
ประชาธิปไตย
พระมหากษัตริย์
นายกรัฐมนตรี
ประชาธิปไตย
ประธานาธิบดี
ประธานาธิบดี
สังคมนิยม ประชาธิปไตย
ประธานาธิบดี
นายกรัฐมนตรี
ประชาธิปไตย
พระมหากษัตริย์
นายกรัฐมนตรี
ประชาธิปไตย
ประธานาธิบดี
ประธานาธิบดี
ประชาธิปไตย
ประธานาธิบดี
ประธานาธิบดี
ประชาธิปไตย
ประธานาธิบดี
นายกรัฐมนตรี
ประชาธิปไตย
พระมหากษัตริย์
นายกรัฐมนตรี
สังคมนิยม
ประธานาธิบดี
นายกรัฐมนตรี
AASSEEAANN CCuurrreennccyy :: สกุ สกุลลเงิเงินนของประเทศสมาชิ ของประเทศสมาชิกกอาเซี อาเซียยนน 1. บรูไน ดารุสซาลาม ดอลล่าร์บรูไน ดารุสซาลาม เป็นสกุลเงินของประเทศบรูไน ดารุสซาลาม* 1 ดอลล่าร์บรูไน เท่ากับประมาณ 25 บาท
2. ราชอาณาจักรกัมพูชา เรียล (Riel) เป็นสกุลเงินของประเทศกัมพูชา* 127 เรียล เท่ากับประมาณ 1 บาท 3. สาธารณรัฐอินโดนีเซีย รูเปียห์ (Rupiah) เป็นสกุลเงินของประเทศอินโดนีเซีย* 1,000 รูเปียห์ เท่ากับประมาณ 3 บาท 4. สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว กีบ (Kip) เป็นสกุลเงินของประเทศลาว* 1,000 กีบ เท่ากับประมาณ 4 บาท
5. มาเลเซีย ริงกิต (Ringgit) เป็นสกุลเงินของประเทศมาเลเซีย 1 ริงกิตมาเลเซียเท่ากับประมาณ 10 บาท
6. สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ จ๊าด (Kyat) เป็นสกุลเงินของประเทศพม่า* 26 จ๊าดเท่ากับประมาณ 1 บาทไทย 7. สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ เปโซ (Peso) เป็นสกุลเงินของประเทศฟิลิปปินส์* 1.40 เปโซ เท่ากับประมาณ 1 บาท 8. สาธารณรัฐสิงคโปร์ ดอลลาร์ (Dollar) เป็นสกุลเงินของประเทศสิงคโปร์* 1 ดอลล่าร์สิงคโปร์ เท่ากับประมาณ 25 บาท. 9. ราชอาณาจักรไทย บาท (Baht) เป็นสกุลเงินของประเทศไทย 10. สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ด่อง (Dong) เป็นสกุลเงินของประเทศเวียดนาม* 652 ด่อง เท่ากับประมาณ 1 บาท
อาหารของชาติอาเซียน อาหารยอดนิยมของประเทศบรูไน ดารุสซาลาม “อัมบูยัต”(Ambuyat)
มีลักษณะเด่นคือ เหนียวข้นคล้ายข้าวต้มหรือโจ๊ก ไม่มีรสชาติ มีแป้งสาคูเป็นส่วนผสมหลัก วิธีทานจะใช้ แท่งไม้ไผ่ 2 ขาซึ่งเรียกว่า chandas ม้วนแป้งรอบๆ แล้วจุ่มในซอสผลไม้เปรี้ยวที่เรียกว่า cacah หรือซอสที่ เรียกว่า cencalu ซึ่งทําจากกะปิ ทานคู่กับเครื่องเคียงอีก 2-3 ชนิด เช่น เนื้อห่อใบตองย่าง เนื้อทอด เป็นต้น การ รับประทานอัมบูยัตให้ได้รสชาติ ต้องทานร้อนๆ และกลืน โดยไม่ต้องเคี้ยว อาหารยอดนิยมของราชอาณาจักรกัมพูชา “อาม็อก”(Amok)
เป็นอาหารคาวยอดนิยมของกัมพูชา มีลักษณะคล้ายห่อหมกของไทย นิยมใช้เนื้อปลาปรุงด้วยน้ําพริก เครื่องแกงและกะทิ ทําให้สุกโดยการนําไปนึ่ง แต่ที่นิยมใช้เนื้อปลาเพราะหาได้ง่ายซึ่งนอกจากจะใช้เนื้อปลาแล้ว อาจใช้เนื้อไก่หรือหอยแทนได้ ส่วนสาเหตุที่คนในประเทศกัมพูชานิยมรับประทานปลา เนื่องจากสภาพภูมิประเทศ ของกัมพูชามีแหล่งน้ําอุดมสมบูรณ์ ทําให้ปลาเป็นอาหารที่หารับประทานได้ง่ายนั่นเอง
อาหารยอดนิยมของสาธารณรัฐอินโดนีเซีย “กาโด กาโด”(Gado Gado)
อาหารสําหรับผู้ที่รักสุขภาพ ประกอบไปด้วยผักและธัญพืชหลากหลายชนิด เช่น มันฝรั่ง กะหล่ําปลี ถั่วงอก ถั่วเขียว เสริมโปรตีนด้วยเต้าหู้และไข่ต้ม รับประทานคู่กับซอสถั่วที่คล้ายกับซอสสะเต๊ะ ด้วยเครื่อง สมุนไพรในซอส อาทิ รากผักชี หอมแดง กระเทียม ตะไคร้ ทําให้เมื่อรับประทานแล้วจะไม่รู้สึกเลี่ยนกะทิมาก จนเกินไปนั่นเอง ซึ่งใกล้เคียงกับสลัดแขก ของประเทศไทย อาหารยอดนิยมของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว “ซุปไก่”(Chicken Soup)
แกงรสชาติหวานอร่อยกลมกล่อม ที่มีส่วนผสมสําคัญ ได้แก่ ตะไคร้ ใบสะระแหน่ กระเทียม หอมแดง รวมถึงรสชาติเปรี้ยว เผ็ด จากมะนาวและพริก รับประทานร้อนๆ กับข้าวเหนียว ได้คุณค่าทางโภชนาการอาหาร และความอร่อยไปพร้อมๆ กัน
อาหารยอดนิยมของมาเลเซีย “นาซิ เลอมัก” (Nasi Lemak)
อาหารยอดนิยมของประเทศมาเลเซีย โดยนาซิ เลอมัก จะเป็นข้าวหุงกับกะทิ และใบเตย ทานพร้อม เครื่องเคียง 4 อย่าง ได้แก่ ปลากะตักทอดกรอบ แตงกวาหั่น ไข่ต้มสุก และถั่วอบ ซึ่งนาซิ เลอมักแบบดั้งเดิมจะ ห่อด้วยใบตอง และมักทานเป็นอาหารเช้า แต่ในปัจจุบัน กลายเป็นอาหารยอดนิยมที่ทานได้ทุกมื้อ และแพร่หลาย ในประเทศเพื่อนบ้านอีกหลายแห่ง เช่น สิงคโปร์ และภาคใต้ของไทยด้วย อาหารยอดนิยมของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ หล่าเพ็ด (Lahpet)
เป็นอาหาร ยอดนิยมของพม่า โดยการนําใบชาหมักมา ทานกับเครื่องเคียง เช่น กระเทียมเจียว ถั่วชนิดต่างๆ งาคั่ว กุ้งแห้ง ขิง มะพร้าวคั่ว เรียกได้ว่า มีลักษณะคล้ายคลึงกับเมี่ยงคําของ ประเทศไทย ซึ่งหล่าเพ็ดนี้ จะเป็นเมนูอาหารที่ขาดไม่ได้ในโอกาสพิเศษหรือเทศกาลสําคัญ ๆ ของประเทศพม่า โดยกล่าวกันว่า หากงานเลี้ยง หรืองานเฉลิมฉลองใด ไม่มีหล่าเพ็ด จะถือว่าการนั้นเป็นงานที่ขาดความสมบูรณ์ไป เลยทีเดียว
อาหารยอดนิยมของสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ “อโดโบ้” (Adobo)
เป็นอาหารยอดนิยมของประเทศฟิลิปปินส์ ทําจากเนื้อหมู หรือเนื้อไก่ ที่ผ่านการหมัก และปรุงรส โดยจะ ใส่น้ําส้มสายชู ซีอิ๊วขาว กระเทียมสับ ใบกระวาน พริกไทยดํา นําไปทําให้สุกโดยอบในเตาอบ หรือทอด แล้วนํามา รับประทานกับข้าวสวยร้อน ๆ ในอดีตอาหารจานนี้เป็นที่นิยมในหมู่นักเดินทาง เนื่องจากส่วนผสมของอโดโบ้สามารถเก็บรักษาไว้ได้นาน เหมาะสําหรับพกไว้เป็นเสบียงอาหารระหว่างการเดินทาง ซึ่งปัจจุบันอโดโบ้ได้กลายเป็นอาหารยอดนิยมที่นํามา รับประทานกันได้ทุกที่ทุกเวลา อาหารยอดนิยมของสาธารณรัฐสิงคโปร์ “ลักซา” (Laksa)
อาหารขึ้นชื่อของประเทศสิงคโปร์ ลักซามีลักษณะคล้ายก๋วยเตี๋ยวต้มยําใส่กะทิ ทําให้รสชาติเข้มข้น คล้ายคลึงกับข้าวซอยของไทย โดยลักซาจะมีส่วนผสมของ กุ้งแห้ง พริก กุ้งต้ม และหอยแครง เหมาะสําหรับคนที่ ชอบรับประทานอาหารทะเลเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม ลักซามีทั้งแบบที่ใส่กะทิ และไม่ใส่กะทิ ทว่า แบบที่ใส่กะทิ จะเป็นที่นิยมมากกว่า
อาหารยอดนิยมของราชอาณาจักรไทย “ต้มยํากุ้ง” (Tom Yam Goong)
แค่เอ่ยชื่อก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ต้มยํากุ้งเป็นอาหารคาวที่เหมาะสําหรับรับประทานกับข้าวสวย ร้อนๆ กลิ่นหอมของสมุนไพรที่เป็นส่วนประกอบในต้มยํากุ้ง นอกจากจะทําให้รู้สึกสดชื่นแล้ว ยังช่วยกระตุ้นการ เจริญอาหารได้เป็นอย่างดี และเนื่องจากต้มยํากุ้งเป็นอาหารที่มีรสเปรี้ยว และเผ็ดเป็นหลัก ทําให้รับประทานแล้วไม่เลี่ยน จึงทําให้ต้ม ยํากุ้งเป็นอาหารที่ได้รับความนิยมในทั่วทุกภาคของประเทศไทย รวมถึงชาวต่างชาติเองก็ติดอกติดใจในความอร่อย ของต้มยํากุ้งเช่นเดียวกัน อาหารยอดนิยมของสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม “เปาะเปี๊ยะเวียดนาม” (Vietnamese Spring Rolls)
ถือเป็นหนึ่งในอาหารพื้นเมืองที่โด่งดังที่สุดของประเทศเวียดนาม ความอร่อยของเปาะเปี๊ยะเวียดนาม อยู่ ที่การนําแผ่นแป้งซึ่งทําจากข้าวจ้าวมาห่อไส้ ซึ่งอาจจะเป็นไก่ หมู กุ้ง หรือหมูยอ โดยนํามารวมกับผักสมุนไพรอีก หลายชนิด เช่น สะระแหน่ ผักกาดหอม และนํามารับประทานคู่กับน้ําจิ้มหวาน โดยจะมีถั่วคั่ว แครอทซอย ไชเท้า ซอย ให้เติมตามใจชอบ และบางครั้งอาจมีเครื่องเคียงอย่างอื่นเพิ่มด้วย
ดอกไม้ประจําชาติอาเซียน ดอก Simpor หรือที่เรารู้จักกันในชื่อดอก Dillenia เป็นดอกไม้ ประจําชาติของ บรูไน ดารุสซาลาม
ดอก Rumdul ก็คือดอก ลําดวน เป็นดอกไม้ประจําชาติของ ราชอาณาจักรกัมพูชา
ดอก Moon Orchid (กล้วยไม้ราตรี) เป็นกล้วยไม้ในสายพันธุ์ ของ Phalaenopsis เป็นดอกไม้ประจําชาติของ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย
ลีลาวดี หรือลั่นทม เป็นดอกไม้ประจําชาติของ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
Hibiscus หรือ ชบา เป็นดอกไม้ประจําชาติของ มาเลเซีย
Padauk ประดู่ เป็นดอกไม้ประจําชาติของ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์
Sampaguita Jasmine ดอกพุดแก้ว เป็นดอกไม้ประจําชาติของ สาธารณรัฐฟิลิปปินส์
Vanda Miss Joaquim เป็นกล้วยไม้ในกลุ่ม แวนด้า เป็นดอกไม้ประจําชาติของ สาธารณรัฐสิงคโปร์
ราชพฤกษ์ หรือ ดอกคูน เป็นดอกไม้ประจําชาติของ ราชอาณาจักรไทย
บัว เป็นดอกไม้ประจําชาติของ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
การแต่งกายของสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ 1. บรูไน ดารุสซาลาม (Brunei Darussalam) ชุดประจําชาติของบรูไนคล้ายกับชุดประจําชาติของ ผู้ชายประเทศมาเลเซีย เรียกว่า บาจู มลายู (Baju Melayu) ส่วนชุดของผู้หญิงเรียกว่า บาจูกุรุง (Baju Kurung) แต่ผู้หญิง บรูไนจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่มีสีสันสดใส โดยมากมักจะเป็น เสื้อผ้าที่คลุมร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ส่วนผู้ชายจะแต่ง กายด้วยเสื้อแขนยาว ตัวเสื้อยาวถึงเข่า นุ่งกางเกงขายาวแล้ว นุ่งโสร่ง เป็นการสะท้อนวัฒนธรรมสังคมแบบอนุรักษ์นิยม เพราะบรูไนเป็นประเทศมุสสิม จึงต้องแต่งกายมิดชิดและ สุภาพเรียบร้อย 2. ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia) ชุดประจําชาติของกัมพูชาคือ ซัมปอต (Sampot) หรือผ้านุ่งกัมพูชา ทอด้วยมือ มีทั้งแบบหลวม และแบบพอดี คาดทับเสื้อบริเวณเอว ผ้าที่ใช้มักทําจาก ไหมหรือฝ้าย หรือทั้งสองอย่างรวมกัน ซัมปอตสําหรับ ผู้หญิงมีความคล้ายคลึงกับผ้านุ่งของประเทศลาวและ ไทย ทั้งนี้ ซัมปอดมีหลายแบบซึ่งจะแตกต่างกันไปตาม ชนชั้นทางสังคมของชาวกัมพูชา ถ้าใช้ในชีวิตประจําวัน จะใช้วัสดุราคาไม่สูง ซึ่งจะส่งมาจากประเทศญี่ปุ่น นิยม ทําลวดลายตามขวาง ถ้าเป็นชนิดหรูหราจะทอด้ายเงิน และด้ายทอง 3. สาธารณรัฐอินโดนีเซีย (Republic of Indonesia) เกบาย่า (Kebaya) เป็นชุดประจําชาติของ ประเทศอินโดนีเซียสําหรับผู้หญิง มีลักษณะเป็นเสื้อแขน ยาว ผ่าหน้า กลัดกระดุม ตัวเสื้อจะมีสีสันสดใส ปักฉลุ เป็นลายลูกไม้ ส่วนผ้าถุงที่ใช้จะเป็นผ้าถุงแบบบาติก ส่วน การแต่งกายของผู้ชายมักจะสวมใส่เสื้อแบบบาติกและนุ่ง กางเกงขายาวหรือเตลุก เบสคาพ (Teluk Beskap) ซึง่ เป็นการแต่งกายแบบผสมผสานระหว่างเสื้อคลุมสั้นแบบ ชวาและโสร่ง และนุ่งโสร่ง เมื่ออยู่บ้าน หรือประกอบพิธีละหมาดที่มัสยิด
4. สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว L( aos People’s Democratic Republic) ผู้หญิงลาวนุ่งผ้าซิ่น และใส่เสื้อแขนยาวทรงกระบอก สําหรับผู้ชายมักแต่งกายแบบสากล หรือนุ่งโจง กระเบน สวมเสื้อชั้นนอกกระดุมเจ็ดเม็ด คล้ายเสื้อพระราชทานของไทย
5. มาเลเซีย (Malaysia) สําหรับชุดประจําชาติมาเลเซียของผู้ชาย เรียกว่า บาจู มลายู (Baju Melayu) ประกอบด้วยเสื้อแขนยาวและ กางเกงขายาวที่ทําจากผ้าไหม ผ้าฝ้าย หรือโพลีเอสเตอร์ที่มี ส่วนผสมของผ้าฝ้าย ส่วนชุดของผู้หญิงเรียกว่า บาจูกุรุง (Baju Kurung) ประกอบด้วยเสื้อคลุมแขนยาว และ กระโปรงยาว 6. สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ (Republic of The Union of Myanmar) ชุดประจําชาติของชาวพม่าเรียกว่า ลองยี (Longyi) เป็นผ้าโสร่งที่นุ่งทั้งผู้ชายและผู้หญิง ในวาระพิเศษต่าง ๆ ผู้ชายจะใส่เสื้อเชิ้ตคอปกจีนแมนดารินและเสื้อคลุมไม่มีปก บางครั้งจะใส่ผ้าโพกศีรษะที่เรียกว่า กอง บอง (Guang Baung) ด้วย ส่วนผู้หญิงพม่าจะใส่เสื้อติดกระดุมหน้าเรียกว่า ยินซี (Yinzi) หรือเสื้อติดกระดุมข้างเรียกว่า ยินบอน (Yinbon) และใส่ผ้าคลุมไหล่ทับ 7. สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ (Republic of The Philippines) ผู้ชายจะนุ่งกางเกงขายาวและสวมเสื้อที่เรียกว่า บารอง ตากาล็อก (barong Tagalog) ซึง่ ตัดเย็บด้วยผ้าใย สัปปะรด มีบ่า คอตั้ง แขนยาว ที่ปลายแขนเสื้อที่ข้อมือจะ ปักลวดลาย ส่วนผู้หญิงนุ่งกระโปรงยาว ใส่เสื้อสีครีมแขน สั้นจับจีบยกตั้งขึ้นเหนือไหล่คล้ายปีกผีเสื้อ เรียกว่า บาลิน ตาวัก (balintawak)
8. สาธารณรัฐสิงคโปร์ (Republic of Singapore) สิงคโปร์ไม่มีชุดประจําชาติเป็นของตนเอง เนื่องจากประเทศสิงคโปร์แบ่งออกเป็น 4 เชื้อชาติหลัก ๆ
ได้แก่ จีน มาเลย์ อินเดีย และชาวยุโรป ซึง่ แต่ละเชือ้ ชาติกม็ ชี ดุ ประจําชาติเป็นของตนเอง เช่น ผูห้ ญิงมลายูใน สิงคโปร์ จะใส่ชุดเกบาย่า (Kebaya) ตัวเสื้อจะมีสีสันสดใส ปักฉลุเป็นลายลูกไม้ หากเป็นชาวจีน ก็จะสวมเสื้อแขน ยาว คอจีน เสื้อผ้าหน้าซ่อนกระดุม สวมกางเกงขายาว โดยเสื้อจะใช้ผ้าสีเรียบหรือผ้าแพรจีนก็ได้ 9. ราชอาณาจักรไทย (Kingdom of Thailand) สําหรับชุดประจําชาติอย่างเป็นทางการ ของไทย รู้จักกันในนามว่า "ชุดไทยพระราช นิยม" โดยชุดประจําชาติสําหรับสุภาพบุรุษ จะ เรียกว่า "เสื้อพระราชทาน" สําหรับสุภาพสตรีจะเป็นชุดไทยที่ ประกอบด้วยสไบเฉียง ใช้ผ้ายกมีเชิงหรือยก ทั้งตัว ซิ่นมีจีบยกข้างหน้า มีชายพกใช้เข็มขัด ไทยคาด ส่วนท่อนบนเป็นสไบ จะเย็บให้ติดกับ ซิ่นเป็นท่อนเดียวกันหรือ จะมีผ้าสไบห่ม ต่างหากก็ได้ เปิดบ่าข้างหนึ่ง ชายสไบคลุมไหล่ ทิ้งชายด้านหลังยาวตามที่เห็นสมควร ความสวยงามอยู่ที่ เนื้อผ้าการเย็บและรูปทรงของผู้ที่สวม ใช้เครื่องประดับได้งดงามสมโอกาสในค่ําคืน 10. สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (Socialist Republic of Vietnam) อ่าวหญ่าย (Ao dai) เป็นชุดประจําชาติของ ประเทศเวียดนามที่ประกอบไปด้วยชุดผ้าไหมที่พอดีตัว สวมทับกางเกงขายาวซึ่งเป็นชุดที่มักสวมใส่ในงาน แต่งงานและพิธีการสําคัญของประเทศ มีลักษณะคล้าย ชุดกี่เพ้าของจีน ในปัจจุบันเป็นชุดที่ได้รับความนิยม จากผู้หญิงเวียดนาม ส่วนผู้ชายเวียดนามจะสวมใส่ชุด อ่าวหญ่ายในพิธีแต่งงาน หรือพิธีศพ
ประเพณีและวัฒนธรรมของอาเซียน นอกจากสภาพภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และเชื้อชาติจะทําให้ผู้คนอาเซียนมีวิถีชีวิตคล้ายคลึงกันเป็นพื้นฐาน แล้ว นับแต่โบราณกาลมาประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้ยังมีการติดต่อค้าขายแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันมา โดยตลอด ประเพณีและวัฒนธรรมหลายๆ อย่างจึงมีลักษณะคล้ายคลึงกัน โดยแบ่งกลุ่มวัฒนธรรมซึ่งมีความ เกี่ยวข้องใกล้ชิดกันออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือ
1. กลุ่มวัฒนธรรมลุ่มแม่น้ําโขง ได้แก่ ไทย ลาว กัมพูชา เมียนมาร์ และเวียดนาม ศาสนา ผู้คนในลุ่มแม่น้ําโขงส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ นิกายเถรวาท ภาษา โดยเฉพาะไทยและลาว มีความคล้ายคลึงกันทั้งภาษาพูดและภาษาอาเซียน สามารถสื่อสารกันได้ อาหาร อาเซียนนับเป็นแหล่งปลูกข้าวสําคัญของโลก และประเทศสมาชิกในอาเซียนก็ล้วนแต่ รับประทานข้าวเป็นอาหารหลัก สิ่งแตกต่างกันคือพันธุ์ข้าวและวิธีการทํานาของแต่ละประเทศ ซึ่งก่อให้เกิดประเพณีและวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกันอีกหลายประการ เช่น พิธีกรรมเกี่ยวกับฝน ฟ้าอากาศ เพื่อผลผลิตที่สมบูรณ์หรือการละเล่นหลังฤดูทํานา เป็นต้น ประเพณีสงกรานต์ มีทั้งในไทย ลาว กัมพูชา และพม่า ในช่วงเดือนเดียวกัน แต่วันอาจไม่ ตรงกันเสียทีเดียว กิจกรรมที่ทําก็คล้ายกัน คือ ทําบุญตักบาตร รดน้ําผู้ใหญ่ และการเล่นสาด น้ํา นอกจากนี้ยังถือว่าเทศกาลสงกรานต์ เป็นการขึ้นปีใหม่ของประเทศสมาชิกในลุ่มแม่น้ําโขง นาฏศิลป์-ดนตรี ทั้งการแสดงและเครื่องดนตรีของไทย ลาว พม่า และกัมพูชา ต่าง แลกเปลี่ยนและได้รับอิทธิพลซึ่งกันและกันมาแต่โบราณ เช่น แต่ละประเทศจะมีเครื่องดนตรี ประเภทฆ้อง พิณ และและซอ คล้ายๆ กัน การทอผ้า เป็นวัฒนธรรมร่วมกันของผู้คนในภูมิภาคนี้มานานหลายร้อยปี วิธีการทอผ้าของ แต่ละประเทศจึงไม่แตกต่างกันมากนัก สิ่งที่แตกต่างกันคือลายผ้าอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ แต่ละท้องถิ่น รามายณะ เป็นวรรณคดีของอินเดียที่มีอิทธิพลต่อวรรณคดี นาฏศิลป์การแสดงของผู้คนใน ภูมิภาคอาเซ๊ยน และไม่เฉพาะแต่ในประเทศกลุ่มวัฒนธรรมลุ่มแม่น้ําโขงเท่านั้น แต่ยังรวมถึง กลุ่มวัฒนธรรมของมาเลเซีย อินโดนีเซีย บรูไน ดารุสซาลาม และสิงคโปร์ด้วย 2. กลุ่มวัฒนธรรมของประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย บรูไน ดารุสซาลาม และสิงคโปร์ กลุม่ ประเทศทางตอนใต้ของภูมิภาคอาเซียน ประชาชนส่วนใหญ่นบั ถือศาสนาอิสลาม จึงมีความ คล้ายคลึงกันทั้งในด้านภาษา ประเพณี และวัฒนธรรม อันสืบเนื่องจากศาสนา เช่น ภาษา กลุ่มประเทศเหล่านี้ รวมถึงสี่จังหวัดภาคใต้ของไทยส่วนใหญ่ใช้ภาษามลายู และ สามารถสื่อสารกันได้ การแต่งกายและอาหาร เนื่องจากนับถือศาสนาอิสลามเหมือนกัน การปฏิบัติตนและวิถีชีวิต หลายๆ อย่างจึงเป็นไปตามหลักศาสนา เช่น การแต่งกายที่คล้ายคลึงกัน หรืออาหารส่วนใหญ่ ที่ไม่ใช่เนื้อหมูในการปรุง และมักมีส่วนผสมของมะพร้าว ซึ่งเป็นพืชที่พบมากและเป็นพืช เศรษฐกิจอย่างหนึ่งในภูมิภาคนี้ การแสดงหนังตะลุง เป็นการแสดงการเชิดหนังและหุ่น มีต้นกําเนิดมาจากอินโดนีเซีย ก่อนจะ แพร่กระจายไปทั่วคาบสมุทรมลายูและหมู่เกาะในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงภาคใต้ของประเทศ ไทยด้วย 3. กลุ่มวัฒนธรรมฟิลิปปินส์ แม้ว่าลักษณะกายภาพของฟิลปิ ปินส์จะเป็นหมูเ่ กาะคล้ายกับประเทศอินโดนีเซีย แต่เนือ่ งจากเป็น อาณานิคมของประเทศสเปนมาอย่างยาวนาน รวมทั้งประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคอทอลิค ดังนั้น วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อจึงเป้ฯการผสมผสานกันระหว่างตะวันออกกับตะวันตก อย่างไรก็ตาม ประเทศฟิลิปปินส์ก็ยังมีลักษณะร่วมกับประเทศในภูมิภาคอาเซียนหลายประการ เช่น รูปร่างหน้าตา อาหารการ กิน เพราะฟิลิปปินส์นิยมรับประทานข้าวเป็นอาหารหลักเหมือนกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียนไทยด้วย
สถานที่อันเป็นสัญลักษณ์ของแต่ละประเทศอาเซียน 1. บรูไน ดารุสซาลาม (Brunei Darussalam)
มัสยิดสุลต่านโอมาร์ อาลี ไซฟุดดิน ตั้งชื่อตามสุลต่านโอมาร์ อาลี ไซฟุดดินที่สาม สุลต่านองค์ที่ 28 ของ บรูไน มัสยิดแห่งนี้ออกแบบโดย Cavaliere Rudolfo Nolli สถาปนิกชาวอิตาลีรูปแบบสถาปัตยกรรมเป็นแบบ อิสลามสมัยใหม่ที่ผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมโมกุลกับอิตาลี ประกอบกับการก่อสร้างและประดับตกแต่งด้วย วัสดุชั้นดีที่นําเข้าจากต่างประเทศ ทําให้มัสยิดแห่งนี้สวยงาม เป็นที่น่าประทับใจแก่บรรดาผู้ที่ได้พบเห็น ภาพที่สะกดทุกสายตาคือ ความสวยงามของมัสยิดสุลต่านโอมาร์ อาลี ไซฟุดดินซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ริม อ่าวที่ขุดขึ้นในแม่น้ําบรูไน มีเรือหลวงลํางามจอดนิ่งอยู่ด้านหน้า ตัวมัสยิดรายล้อมไปด้วยสวนสวยที่ประดับประดา ด้วยน้ําพุและต้นไม้ดอกไม้นานาพันธุ์ซึ่งชาวมุสลิมถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของสรวงสวรรค์ หอสูงยอดแหลมและโดม ใหญ่โดดเด่นบนเส้นขอบฟ้า สามารถมองเห็นได้จากทุกมุมในเมืองบันดาร์เสรีเบกาวัน หอสูงนั้นมีความสูง 52 เมตร ภายในมีลิฟต์ สามารถขึ้นไปชมทิวทัศน์ของเมืองได้ ส่วนยอดโดมใหญ่ของมัสยิดเป็นที่สนอกสนใจของนักท่องเที่ยว มากเป็นพิเศษเพราะยอดโดมนั้นถูกฉาบไว้ด้วยทองคําบริสุทธิ์ นอกจากนี้ หากใครมีโอกาสได้ไปเยี่ยมชมมัสยิดสุลต่านโอมาร์ อาลี ไซฟุดดินแล้ว ยังสามารถถือโอกาส แวะไปเที่ยวKampong Ayer หรือ Water Village หมู่บ้านริมน้ําซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของ บรูไน ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ ๆ กันได้อีกด้วยครับ แล้วคุณจะพบว่าความมั่งคั่งอยู่ดีกินดีไม่จําเป็นต้องแสดงออกด้วยการสร้าง ตึกระฟ้าหรือศูนย์การค้าขนาดมโหฬารเสมอไป
2. ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia)
นครวัด เป็นศาสนสถานตั้งอยู่ในเมืองพระนคร จังหวัดเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา สร้างในรัชสมัยของ พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 12 โดยเป็นศาสนสถานประจําพระนครของพระองค์ ตัวเทวส ถานได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี จนเป็นศูนย์กลางทางศาสนาที่สําคัญเพียงแห่งเดียวที่ยังเหลือรอดมาจนถึง ปัจจุบันนับตั้งแต่ก่อสร้างแล้วเสร็จ แต่เดิมนครวัดเป็นเทวสถานของศาสนาฮินดู ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อถวายแด่พระวิษณุ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นศาสนาพุทธ นครวัดเป็นสิ่งก่อสร้างทางศาสนาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลก ตัวเทวสถานถือเป็น ที่สุดของสถาปัตยกรรมเขมรสมัยคลาสสิกรุ่งเรือง และได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของประเทศกัมพูชา โดยปรากฏใน ธงชาติ และเป็นจุดท่องเที่ยวหลักของประเทศ ตลอดจนได้รับลงทะเบียนเป็นมรดกโลกภายใต้ชื่อ เมืองพระนคร ปราสาทนครวัดได้เริ่มสร้างในกลางพุทธศตวรรษที่ 17 ในรัชสมัยของ พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 เพื่อบูชาแด่ พระวิษณุหรือ พระนารายณ์ ในปี พ.ศ. 1720 ชาวจามได้บุกรุกขอม ทําให้พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ต้องย้ายเมืองหลวง ไปที่เมืองนครหลวง หรือ เสียมราฐ ในปัจจุบัน หลังจากนั้น พระองค์จึงสร้างเมืองนครธม และ ปราสาทบายน ห่าง จากปราสาทนครวัดไปทางเหนือ เพื่อเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ของชาวขอม ในปี ค.ศ. 1586 (พ.ศ. 2129) ได้มีนักบวชจากโปรตุเกส นามว่า อันโตนิโอ ดา มักดาเลนา เป็นชาวตะวันตก คนแรกที่ได้ไปเยือนปราสาทนครวัด แต่ที่จะถือว่าเป็นการเปิดประตูให้แก่ปราสาทนครวัดสู่สายตาชาวโลกนั้น คือ การค้นพบของ อองรี มูโอต์ นักสะสมแมลงและนักสํารวจชาวฝรั่งเศส เมื่อประมาณร้อยกว่าปีที่แล้วมา ที่จริงชาว กัมพูชาไม่เคยละทิ้งนครวัดไปเพราะหลังจากมีการย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่พนมเปญแล้ว ชาวบ้านก็ได้เขาไปตั้ง รกรากภายในเขตนครวัดเรื่อยมา ปราสาทนครวัดเป็นสิ่งก่อสร้างในยุคสิ้นสุดของราชอาณาจักรขะแมร์ โดยมีหิน ทรายเป็นวัสดุก่อสร้างหลัก ปราสาทนครวัดมีขนาดใหญ่มากถึง 200,000 ตารางเมตร ตัวปราสาทสูง 60 เมตร ยาว 100 เมตร และ กว้าง 80 เมตร มีแผนผังที่ถือว่าเป็นวิวัฒนาการขั้นสุดยอดของปราสาทขอม มีปราสาท 5 หลังตั้งอยู่บนฐานสูงตาม คติของศูนย์กลางจักรวาล ใช้หินรวม 600,000 ลูกบาศก์เมตร ใช้แรงงานช้างกว่า 40,000 เชือก และแรงงานคนนับแสนขนหินและชัก ลากหินมาจากเขาพนมกุเลน ชึ่งอยู่ห่างออกไปกว่า 50 กิโลเมตร มาสร้าง ปราสาทนครวัด มีเสา 1,800 ต้น หนักต้นละกว่า 10 ตัน ใช้เวลาสร้างร่วม 100 ปี ใช้ช่างแกะสลัก 5,000 คน
และใช้เวลาถึง 40 ปี หอสูง 60 กว่าเมตรศูนย์กลางของกลุ่มปราสาท อันเปรียบเสมือนศูนย์กลางของจักรวาลนั้น มีทางเดินขึ้นที่ชัน มาก (ราว 50 องศา) แต่ก็กลับเป็นจุดสําคัญที่นักท่องเที่ยวทุกเพศทุกวัยจะต้องปีนขึ้นไปและไต่ลงมา ที่จุดบนสุด ของหอนี้จะมองเห็นวิวที่สวยสุดของปราสาทนครวัด ทางด้านกําแพงชั้นนอกรอบปราสาทนั้น มีความยาวกว่า 800 เมตร มีงานแกะสลักเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจ ของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 และเรื่องราวจากวรรณคดีเรื่อง รามายณะ รูปแกะสลักที่มีชื่อที่สุดก็คือรูปที่เทวดากับ อสูรกวนเกษียรสมุทรด้วยเขาพระสุเมรุ และยังมีรูปแกะสลักนางอัปสรอีกถึง 1,635 นาง ที่ทั้งหมดแต่งกายและ ทรงผมไม่ซ้ํากันเลย ส่วนนอกสุดของนครวัดกั้นด้วยคูเมืองขนาดใหญ่ ยาว 1.5 กิโลเมตร กว้าง 1.3 กิโลเมตร มีพื้นที่ทั้งหมดเกือบ 2 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 1,219 ไร่ 3. สาธารณรัฐอินโดนีเซีย (Republic of Indonesia)
บุโรพุทโธ ( Borobudur ) บุโรพุทโธ หรือ บูโรบูดูร์ หรือ ที่ชาวชวาเขียนว่าบาราบูดูร์ (Barabudur) เป็น ภาษาสันสกฤต โดยคําว่า Bara มาจากคําว่า Biara มีความหมายถึงวิหาร (Vihara) หรือวัด ส่วนคําว่า Budur มี ความหมายว่า ภูเขาสูงเมื่อรวมกันจึงหมายถึง วิหารที่สร้างขึ้นบนภูเขาสูง บุโรพุทโธคือสถาปัตยกรรมที่สําคัญอีก แห่งหนึ่งของศาสนาพุทธลัทธิมหานยานที่มีชื่อเสียงมากกว่าเป็นพุทธศาสนาที่เก่าแก่แห่งหนึ่งของโลก กษัตริย์แห่ง ราชวงศ์ไศเลนทราแห่งชวาเป็นผู้กําหนดให้ก่อสร้างขึ้น ด้วยแรงศรัทธาที่มีต่อพระพุทธเจ้า บุโรพุทโธจึงเป็นศูนย์ รวมใจชาวพุทธในชวารวมทั้งชาวเอเชียในซีกโลกตะวันออก และนับเป็นสถาปัตยกรรมที่เชิดหน้าชูตาอินโดนีเซีย มากที่สุดมาทุกยุคทุกสมัย บุโรพุทโธตั้งอยู่ในชวาภาคกลาง ห่างจากเมืองย็อกยาหรือย็อกยาการ์ตาไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ประมาณ 40 กิโลเมตรเศษ เป็นสิ่งก่อสร้างที่ทําด้วยหินแอนดีไซต์ (Andesite) ซึ่งเป็นหินภูเขาไฟขนาดใหญ่ มหึมา บุโรพุทโธตั้งอยู่บนเนินดินธรรมชาติที่อยู่สูงกว่าระดับพื้นดินประมาณ 15 เมตร รูปทรงภายนอกเป็น รูปทรงดอกบัวอันเป็นสัญลักษณ์ชองพุทธศาสนา ดอกบัวขนาดมหึมานี้ลอยอยู่ในบึงใหญ่ ตามหลักฐานใน ประวัติศาสตร์ โบราณสถานแห่งนี้และบริเวณรอบๆ เป็นที่ลุ่มและถูกล้อมรอบด้วยน้ําที่ท่วมมาจากแม่น้ําโปรโก (Progo River) ทําให้เจดีย์โบราณบุโรพุทโธเป็นเสมือนดอกบัวลอยอยู่ในน้ํา ลักษณะทางสถาปัตยกรรม ของบุโรพุทโธแสดงออกถึงความเป็นอัจฉริยะสูงสุดทางศิลปะสมัยไศ เลนทรา ที่ต่างไปจากโบราณสถานทุกแห่งในชวา ประวัติการก่อสร้างมีอยู่ว่า ในปี ค.ศ. 732 กษัตริย์ชวา ราชวงศ์สัญชัย (Sanjaya) ซึ่งนับถือศาสนาพราหมณ์ (ฮินดู) ที่มาจากอินเดียในยุคนั้น ราชวงศ์ไศเลนทรานับถือ ศาสนาพุทธนิกายมหายาน จึงก่อสร้างโบสถ์ วิหาร และเจดีย์ไว้หลายแห่ง ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือเจดีย์บุโรพุทโธซึ่ง กษัตริย์วิษณุแห่งราชวงศ์ไศเลนทราทรงเริ่มสร้างขึ่นในปี ค.ศ. 775 จนกระทั่งมาเสร็จสมบูรณ์ในสมัยของกษัตริย์
อินทราเมื่อปี ค.ศ. 847 ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 70 ปีเศษ ความมหัศจรรย์ของบุโรพุทโธเกิดจากความคิด สร้างสรรค์ด้วยรูปแบบและรายละเอียดของศิลปะจากความคิดของช่างในสมัยนั้นโดยสร้างตามแบบศิลปะฮินดูชวา หรือ ศิลปะชวาภาคกลาง ที่ผสมผสานศิลปะระหว่างอินเดียกับอินโดนีเซียเข้าไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืน บุโรพุทโธสร้างขึ้นก่อนปราสาทนครวัดของกัมพูชาประมาณ 300 ปี ทําเลที่ตั้งเป็นเนินเขากว้างใหญ่ จําลองมา จากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งแม่น้ําคงคาและแม่น้ํายมุนาไหลมาบรรจบกันเช่นที่ประเทศอินเดีย ต้นกําเนิดแห่งศาสนา พุทธบริเวณที่มีแม่น้ํา 2 สายไหลผ่าน นั่นก็คือแม่น้ําโปรโกและแม่น้ําอีโล บุโรพุทโธมีลักษณะเด่นทางสถาปัตยกรรมคือ เป็นสถูปตั้งอยู่บนพีระมิดทรงขั้นบันได มีความสูงกว่า 42 เมตรจากฐานชั้นล่าง บุโรพุทโธมีทั้งหมด 10 ชั้น ซึง่ แต่ละชัน้ จะมีภาพสลักนูนต่าํ แสดงคติธรรมทางพุทธศาสนา ด้วยทัศนคติเกี่ยวกับจักรวาลตามพุทธศาสนาและการเข้าสู่นิพพาน 6 ชั้นนับจากฐานเป็นลักษณะสี่เหลี่ยมแบบย่อ มุม คล้ายพีระมิดขั้นบันไดชั้นที่ 7 เป็นฐานวงกลมขนาดใหญ่ ขึ้นไปอีก 3 ชั้น ประดับเจดีย์ทรงระฆังโปร่งฉลุลาย เป็นรูปสี่แหลี่ยมข้าวหลามตัด ครอบองค์พระพุทธรูปองค์เล็กข้างใน ส่วนนี้ มีความเชื่อกันว่าหากยื่นมือไปจนถึง และสัมผัสพระพุทธรูปภายในได้พร้อมอธิษฐานแล้วจะสมหวังและโชคดี เจดีย์เหล่านี้มีจํานวน 72 องค์ เรียงเป็น แนวล้อมรอบสถูปของชั้นที่ 10 ซึ่งมีลักษณะเป็นฐานวงกลมใหญ่ของเจดีย์องค์ประธานสูง 150 ฟุต เดิมเคยเป็นที่ ประดิษฐานพระพุทธรูปอยู่ข้างใน แต่ปัจจุบันว่างเปล่า บุโรพุทโธเปรียบเสมือนศูนย์กลางของจักรวาล แบ่งได้เป็น 3 ชั้น คือ ส่วนฐานของเจดีย์เป็นขั้นบันไดใหญ่ 4 ขั้น โดยรอบเป็นรูปสี่เหลี่ยมกําแพงรอบฐานมีภาพสลักนูนต่ําราว 160 ภาพอยู่ในส่วนกามาฐานหรือขั้นที่มนุษย์ยังผูกพันอย่างใกล้ชิดกับความสุขทางโลกและถูกครอบงําด้วยกิเลส ตัณหา ส่วนที่ 2 คือส่วนบนของฐานที่มีขั้นบันไดรูปกลม ฐาน 6 ขั้นที่มีรูปสลักนูนต่ําเกือบ 1,400 ภาพ ที่แสดง พุทธประวัติ ถือเป็นขั้นรูปธาตุ หรือ ขั้นที่มนุษย์หลุดพ้นจากกิเลส ทางโลกมาได้บางส่วน และส่วนที่ 3 คือส่วน ของฐานกลมที่มีเจดีย์เล็กๆ 3 ชั้นล้อมรอบสถูปองค์ใหญ่ที่สุด หมายถึงจักรวาล คือ ขั้นอธูปธาตุ ที่มนุษย์ไม่ ผูกพันกับทางโลกอีกต่อไป ในชั้นอธูปธาตุนี้สร้างเป็นฐานระเบียงวงกลม 3 ชั้นมีเจดีย์ทรงระฆังโปร่งฉลุลายเป็นช่อง สี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดเรียงรายโดยรอบ ชั้นบนสุดเป็นฐานวงกลมใหญ่ของเจดีย์องค์ประธาน ตั้งอยู่กึ่งกลางของ สถูป ด้วยลักษณะของเขาพระสุเมรุมาตามปรัชญาทางศาสนาที่ว่าพื้นฐานเจดีย์คือ โลกมนุษย์ที่ยังเต็มไปด้วยกิเลส ตัณหา ส่วนยอดสูงสุดคือ ชั้นสรวงสวรรค์หรือนิพพานในคติความเชื่อของศานาพุทธ บุโรพุทโธถูกทิ้งร้างเป็นป่ารกมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 และประสบกับภัยธรรมชาติคือแผ่นดินไหว จนจม อยู่ใต้เถ้าถ่านของภูเขาไฟซึ่งระเบิดอย่างต่อเนื่อง กระทั่งศตวรรษที่ 20 ยังเกิดน้ําท่วมซ้ําจากเหตุการณ์ฝนตก ต่อเนื่องจนจมอยู่ในน้ําลึกถึง 3 เมตร เป็นเหตุให้ดินภูเขาไฟที่ครอบสถูปบุโรพุทโธอยู่ชื้นแฉะจนทรุดตัว ทําให้ โบราณสถานแห่งนี้ทรุดตัวตามไปด้วย กระทั้งสแตมฟอร์ด แรฟเฟิลส์ ผู้ถูกส่งมาประจําการเป็นผู้สําเร็จราชการ ของอังกฤษเพื่อปกครองอาณานิคมชวาในช่วงนั้น ได้เห็นความสําคัญของบุโรพุทโธจึงเริ่มบูรณะขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อ ปี ค.ศ. 1855 และสามารถเริ่มเปิดให้ผู้คนทั่วโลกเข้ามาเยี่ยมชม ต่อมาอินโดนีเซียได้ขอความช่วยเหลือจากองค์การ ยูเนสโกในการบูรณะอย่างละเอียดอีกหลายครั้ง เพื่อที่จะแก้ปัญหาโครงสร้างที่เป็นโพรงเพราะภูเขาดินภายในทรุด ถล่มจากสาเหตุอุทกภัย การบูรณะแล้วเสร็จเมื่อปี ค.ศ. 1983 ด้วยงบประมาณ 25 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในบริเวณบุโรพุทโธมีพิพิธภัณฑ์เก็บข้อมูลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การก่อสร้างและความเป็นมาเมื่อองค์การยูเนสโก ของสหประชาชาติเข้าไปช่วยบํารุงรักษาบุโรพุทโธไว้เพื่อไม่ให้ล่มสลายไปกับกาลเวลา รวมทั้งภัยที่เกิดจากน้ําท่วม ขังเนื่องจากการก่อสร้างบุโรพุทโธเดิมไม่มีการวางระบบระบายน้ําที่ดีพอ ทําให้พุทธสถานแห่งนี้ทรุดลง เรื่อยๆ ยูเนสโก้เข้าไปจัดการทําช่องทางระบายน้ําและเสริมฐานเจดีย์ให้แข็งแรงมั่นคงขึ้นนอกจากพิพิธภัณฑ์นี้แล้ว ยังมีรถไฟเล็กบริการพาชมบริเวณรอบๆ บุโรพุทโธทุกๆ 10 นาที ค่ารถไฟคนละ 1,000 รูเปียห์ คงเป็นการดีหาก มีโอกาสไปเยือนพุทธศาสนาสถานแห่งนี้ในวันวิสาชบูชา เพราะจะมีพระสงฆ์และนักแสวงบุญทั่วสารทิศมาแสวง บุญโดยการเดินทักษิณาวัตรตั้งแต่ประตูใหญ่ด้านทิศตะวันออกซึ่งกว่าจะถึงยอดก็รวมระยะทางทั้งสิ้นราว 5 กิโลเมตรนับเป็นภาพที่งดงามจับตามากสําหรับศาสนิกชนชาวไทย
4. สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว L( aos People’s Democratic Republic)
วัดเชียงทอง เป็นวัดที่เก่าแก่มากที่สุดวัดหนึ่งในหลวงพระบาง สร้างในระหว่าง พ.ศ. 2102-2103 โดย พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช กษัตริย์ผู้ครองอาณาจักรล้านช้าง และ ล้านนา ก่อนที่พระองค์จะย้ายเมืองหลวงมายังนคร หลวงเวียงจันทน์ไม่นานนัก วัดนี้ถือว่าเป็น “วัดประตูเมือง” และยังเป็นท่าเทียบเรือด้านเหนือ สําหรับการเสด็จ ประพาสทางชมมารถ ของกษัตริย์หลวงพระบาง วัดเชียงทองจึงได้รับการอุปถัมภ์มาโดยตลอด โดยเฉพาะ ในสมัย เจ้ามหาชีวิต ศรีสว่างวงศ์และเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา กษัตริย์สอง พระองค์สุดท้ายของลาวด้วย นอกจากนี้วัด เชียงทองยังเป็นวัดหนึ่งที่รอดพ้นจากอัคคีภัยครั้งใหญ่ที่ เผาผลาญเมือง ในปี พ.ศ.2430 สิ่งก่อสร้างที่สําคัญ ซุ้ม ประตูโขง พระธาตุ พุทธสีมา หอไหว้น้อย หอไหว้สีกุหลาบ หอไหว้หลังสิม หอกลอง หอราชโกศเจ้ามหาชีวิตศรี สว่างวงศ์ ในบรรดาวัดทั้งหลายในหลวงพระบาง สิมของวัดเชียงทองได้รับการยกย่องว่ามีความงดงามและได้รับการ กล่าวขานมากที่สุด เปรียบประดุจอัญมณีแห่งงานสถาปัตยกรรมลาว สิมของวัดนี้ถือว่าเป็นแบบหลวงพระบางแท้ สร้างด้วยการก่ออิฐถือปูน มีโครงสร้างที่ไม่สูงนักตามแบบฉบับหลวงพระบาง งดงามด้วย สัดส่วนและการประดับ ตกแต่ง สิ่งที่เด่นมากคือ หลังคาซ้อน 3 ตับซึ่งดัดอ่อนโค้งและลาดต่ําลงมามาก ทั้งนี้เพื่อป้องกันฝนสาด บนกลาง สันหลังคาคามีการทํา “ช่อฟ้า” รูปเขาพระสุเมรุและทิวเขาสัตบริภัณฑ์ที่ล้อมรอบ 7 ชั้น รองรับด้วยปลาอานนท์ อันเป็นรูปการจําลองจักรวาลตามคติทางพุทธศาสนา เช่น เดียวกับที่ปรากฏ ใน จิตรกรรมของล้านนา และอยุธยา หน้าบันแกะสลักเป็นรูปดอกตาเว็นหรือลายดวงอาทิตย์ ที่ดูคล้าย ลายดอกจอกของไทยเมื่อเดินขึ้นบนสิมจะพบกับ มุขโถงด้านหน้ากว้างใช้สําหรับเป็นที่วางเครื่องบวช และ ที่นั่งของศรัทธา ที่มาทําบุญบางครั้งเมือมีแขกคนสําคัญ มาเยือนจะใช้เป็นที่ทําพิธีผูกขวัญข้อมืออีกด้วย ผนังด้านนอกทิศเหนือทางแม่น้ําโขงมีเศียรช้างชูงวงประดับกระจก ใช้เป็นช่อง ให้น้ําพระพุทธมนต์ที่ รดผ่านรางรดสรงมายังพระพุทธรูปในสิม ไหลผ่านท่อที่ฝังไว้และไปออกที่เศียร ช้าง เพื่อให้ประชาชนนํา น้ํามนต์ศักดิ์สิทธิ์นี้ไปประพรมร่างกายเพื่อความเป็นศิริมงคลในวันสงกรานต์สิมแห่งนี้ ได้รับการบูรณะเมื่อ พ.ศ.2471 บนผนังทั้งด้านนอกและด้านในประดับด้วยลายรดน้ําปิดทองบนพื้นสีดํา เรียกลาย ฟอกคํา ด้านนอกได้แก่เรื่องท้าวสีสุทน (พระสุธน-มโนราห์) และเรื่องท้าวสุดตะโสม ส่วนด้านในเป็นเรื่อง พระยา จันทะพานิช สถิตสุวันนะพูม พ่อค้าขายหมากพลูจากเวียงจันทน์ที่เดินเรือมา และประชาชน ได้เลือก ให้มาเป็น กษัตริย์เมืองหลวงพระบาง และเรื่องพระเจ้าสิบชาติ ยกเว้นแนวฝาผนังด้านทิศตะวันตก ที่ยังคงรักษาร่องรอย ดั้งเดิมที่ประดับลาย ทองบนพื้นสีแดง ส่วนด้านหลังสิม ตกแต่ง ด้วยภาพประดับ กระจกที่ติดเป็นชิ้นเล็ก ๆ นํามา ประติดปะต่อกันเป็นภาพรูปต้นทองซึ้งเป็นความเชื่อ ดั้งเดิม เรื่องการสร้าง เมืองเชียงดง-เชียงทอง ทีมีฤาษี 2 องค์ ได้มาปักหมายเขตแดนที่จะเป็นที่ตั้งของเมือง ในอนาคตใกล้กับ ต้น ทองด้านบนเป็น ภาพพระพุทธองค์เสด็จลงมา จากดาวดึงส์ และนิทานพื้นบ้านงดงามเทคนิคการประดับ กระจกเช่นนี้ยังพบได้ที่ในท้องพระโรง ของ พระราชวัง
เจ้าชีวิตลาว ภาพประดับกระจกนี้ดูงดงามเมื่อต้องแสงจึงเป็นมุมหนึ่งที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปมากหอไหว้น้อย ตั้งอยู่ด้านหน้าของสิม เป็นหอ ไหว้ขนาดเล็กที่มีหลังคารูปด้วยใบโพธิ์ตัดครึ่ง อันเป็นรูปแบบของลาวดั้งเดิม ซึ่ง ประดับกระจกสีงดงามายในประดิษฐานพระพุทธ รูปหลาย องค์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯได้พระราชทาน ให้แก่เจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ หอไหว้สีกุหลาบ ตั้งอยู่ด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ ของสิมเป็น หอไหว้เก่าแก่ ที่ได้รับ การ บูรณะ ครั้งใหญ่โดยท้าวคําม้าว เมื่อ พ.ศ.2500 เพื่อ เป็นการฉลอง 25 พุทธศตวรรษของพระพุทธศาสนาจึงมี การประดับด้วยกระจกตัดเป็นภาพ เล่าเรื่องต่าง ๆ เช่นเรื่องท้าวเสียวสวาด ซึ่งเป็นวรรณกรรมชั้นเอกของลาว ภายในมีพระพุทธรูปปางไสยาสน์สําริด อายุกว่า 400 ปี สร้างในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ใน ปี พ.ศ. 2112 ฝรั่งเศสเคยอัญเชิญ พระพุทธรูป องค์นี้ไปแสดงไว้ที่กรุงปารีสและเจ้าสุวรรณภูมาทรงขอกลับคืนมา ประดิษฐานเมื่อ 70 ปีที่แล้ว และที่ดูแปลกตาคือช่องบรรจุ พระพุทธรูปขนาดเล็ก จํานวนนับพันองค์บน ผนัง ภายใน หอไหว้ เชื่อว่าเป็นความคิดเรื่องพระอนันตพระพุทธเจ้า 5. มาเลเซีย (Malaysia) อาคารหอคอยคู่เปโตรนาส (อังกฤษ: Petronas Twin Towers) เป็นสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นของเมืองกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ออกแบบโดย เซซาร์ เปลลี ตั้งอยู่บริเวณใจ กลางย่านธุรกิจของเมือง ที่แวดล้อมด้วยสวนสาธารณะ และ ส่วนอาคารคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ (KLCC-Kuala Lumpur Convention Center) อาคารเปโตรนาส มี 2 อาคารหอคอย ซึ่งนับเป็นอาคารที่สูงอันดับ 3 และ 4 ของโลก รองจากอาคาร เซี่ยงไฮ้เวิลด์ไฟแนนเชียลเซ็นเตอร์เมืองเซี่ยงไฮ้ และอาคาร ไทเป101 ประเทศไต้หวัน มีความสูงทั้งหมด452เมตร 88ชั้น อาคารเปโตรนาสเป็นอาคารสํานักงาน ประกอบด้วย สํานักงานของบริษัทพลังงานและน้ํามันที่มีรัฐบาลมาเลเซียเป็น หุ้นหลักได้แก่ บริษัทเปโตรนาส (ปิโตรเลียมนาชันแนลเบอร์ ฮาด) คือ บริษัท ปิโตรเลียมแห่งชาติ จํากัด ของมาเลเชีย ส่วน อื่นๆให้บริษัทอื่นๆเป็นผู้เช่า ได้แก่ บริษัททางการเงินและ ธนาคาร บริษัทผลิตภัณฑ์เคมีที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ลักษณะเด่นเมื่อเปรียบเทียบกับตึกระฟ้า อื่นๆของโลก คือการที่เป็น อาคารหอคอย 2 อาคาร เชื่อมโดยสะพานลอยฟ้า (skybridge) อาคารแฝดใช้บริษัทรับเหมาก่อสร้างจาก 2 ประเทศ คือญี่ปุ่น และเกาหลี โดยมีนัยยะเป็นการแข่งขันกันเป็นผู้นําทางด้านเทคโนโลยีการก่อสร้างอาคารตึก ระฟ้า สะพานลอยฟ้านี้เคยใช้เป็นที่ถ่ายทําภาพยนตร์ฮอลีวูดมาแล้ว ปัจจุบันเปิดให้จองลงทะเบียนขึ้นไปชมวิวที่จุด นี้ (จํานวนจํากัด) โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เปิดอนุญาตให้ลงทะเบียนในช่วงเช้า เมื่อครบจํานวนจะหยุดให้ลงทะเบียน ทันที บริเวณฐานของอาคารมีห้างทันสมัยหลายห้าง เช่น อิเซตัน และนอกจากนี้ยังมีส่วนประกอบรอบๆเป็น อาคารคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ (ศูนย์ประชุม) สวนสาธารณะ สวนน้ํา สระน้ําพุดนตรี พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ (Discovery museum) และพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ําอควาเรีย (Aquaria) 6. สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ (Republic of The Union of Myanmar)
เจดีย์ชเวดากอง (Shwedagon Pagoda) เป็นแหล่งท่องเที่ยวอันดับแรกที่นักท่องเที่ยวทุกคนที่เดินทางไปพม่าจะต้องเข้าไปเยี่ยมชมและ สักการะ เจดีย์ชเวดากองที่แปลว่า พระเจดีย์ทองคําแห่งเมืองตะเกิง เป็นพระเจดีย์ทองคําที่สร้างขึ้นบนเนินเขาที่ ชื่อว่า Thienguttara Hill หรือ Singuttara Hill เจดีย์นี้จึงเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีความโดดเด่นมากในย่างกุ้ง โดย ขนาดของเจดีย์ชเวดากองนี้มีความสูงทั้งหมดประมาณ 48 เมตร มีความกว้างโดยประมาณ 105 เมตร เจดีย์ชเวดากองนั้นเป็นเจดีย์ที่มีลักษณะซึ่งสวยงามมาก เนื่องด้วยความศรัทธาในองค์พระเจดีย์ของ ชาวพม่า ที่มักจะนิยมการบริจาคเพชรพลอยของมีค่าต่างๆ ให้กับพระเจดีย์ ทําให้เจดีย์องค์นี้มีเครื่องประดับมีค่า เป็นจํานวนมากกว่า 5,000 ชิ้น โดยเฉพาะเพชรที่ประดับอยู่บนยอดเจดีย์นั้น กล่าวกันว่าขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือคน เลยทีเดียว ส่วนด้านล่างรอบๆ เจดีย์จะเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปจํานวนมาก และมีไม้แกะสลักประดับอยู่ อย่างสวยงาม ขอกล่าวถึงตํานานในการก่อสร้างเจดีย์ชเวดากองคือ มีพ่อค้าชาวมอญ 2 คน คือ ตปุสสะและภัลลิ กะ ที่เกิดความเลื่อมใสในคําสอนของพระพุทธเจ้า จากการที่ได้ไปเข้าเฝ้าถวายข้าวสัตตูและถวายตัวเป็นปฐม อุบาสก เมื่อจะจากมาก็กราบทูลขอให้พระพุทธองค์ประทานสิ่งใดเป็นอนุสรณ์สําหรับบูชาแทน พระองค์ พระพุทธเจ้าจึงได้ประทานเส้นพระเกศาธาตุ 8 เส้นของพระองค์ให้ เมื่อชาวมอญทั้งสองกลับมาจึงได้ ก่อสร้างเจดีย์บนเนินตะเกิงเพื่อบรรจุพระเกศาธาตุและให้นามเจดีย์ว่า เจดีย์พระเกศาธาตุ ประวัติความเป็นมาของมหาเจดีย์องค์สําคัญนี้ ที่มีผู้ค้นคว้าและบันทึกไว้อย่างน่าอ่านก็คือ ข้อมูลจาก หนังสือ "พม่า" ในชุด "หน้าต่างสู่โลกกว้าง" ตามตํานานกว่า 2,500 ปี ของเจดีย์แห่งนี้กล่าวไว้ว่าเป็นที่บรรจุพระเกศาธาตุทั้งแปดเส้นของพระ พุทธเจ้า และพระบริโภคเจดีย์ของพระอดีตพระพุทธเจ้าทั้งสามองค์ องค์สถูปหุ้มด้วยทองคําทั้งหมด 8,688 แท่ง แต่ละแท่ง มีค่ามากกว่า 400 ยูเอสดอลลาร์ ปลายยอดสถูปประดับด้วยเพชร 5,448 เม็ด ทับทิม นิล และบุษราคัมอีก 2,317 เม็ด มีมรกตเม็ดเขื่องอยู่ตรงกลาง เพื่อรับลําแสงแรกและลําแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ ทั้งหมดนี้ประดับอยู่ ด้านบนเหนือฉัตรขนาด 10 เมตร ซึ่งสร้างขึ้นบนไม้หุ้มทองเจ็ดเส้น ประดับด้วยกระดิ่งทองคํา 1,065 ลูก และ กระดิ่งเงิน 420 ลูก รอบองค์สถูปรายล้อมไปด้วยสิ่งปลูกสร้างกว่า 100 หลัง มีทั้งสถูปบริวาร วิหารทิศ วิหารราย และศาลาอํานวยการ เจดีย์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในสมัยพวก บะกัน เรื่องอํานาจ พระเจ้าอโนรธา เคยเสด็จประพาสชเวดากองระหว่าง การรบพุ่งทางใต้ในศตวรรษที่ 11 พระเจ้าบญาอู แห่งพะโค ก็ทรงบูรณะเจดีย์แห่งนี้ในปี พ.ศ.1925 และ 50 ปี ต่อมา พระเจ้าเบียนยาเกียนก็โปรดให้ยกองค์สถูปให้สูงขึ้นไปถึง 90 เมตร ผู้สืบราชบัลลังก์ต่อจาก พระเจ้าเบียนยาเกียน คือ พระนางฉิ่นซอปู้ หรือ นางพญาตะละเจ้าท้าว ได้ทรง
สร้างลานและกําแพงล้อมรอบองค์สถูป และพระราชทานทองคําเท่าน้ําหนักพระองค์เอง 40 กิโลกรัม ให้นําไปตี เป็นแผ่นทองหุ้มสถูป เป็นแบบอย่างให้กษัตริย์รุ่นหลัง ๆ ทรงประพฤติปฏิบัติตาม ทั้งนี้เพราะพายุลมฝนในช่วง มรสุมนั้นโหมแรง จนทําให้แผ่นทองคําชํารุดหลุดร่วงลงมาอยู่บ่อย ๆ พระเจ้าธรรมเซดี ผู้สืบราชสมบัติต่อจากพระ นางก็ได้ทรงบริจาคทองคําหนักเป็นสี่เท่าของน้ําหนัก พระองค์เอง เพื่อบูรณะซ่อมแซมพระเจดีย์ ในปี พ.ศ.2028 พระเจ้าธรรมเซดีทรงสร้างศิลาจารึกสามหลังเอาไว้บนบันไดด้านตะวันออกของ เจดีย์ชเวดา กอง บอกเล่าประวัติของเจดีย์เป็นภาษามอญ พม่า และบาลี จารึกนั้นยังคงมีให้เห็นอยู่จนทุกวันนี้ เจดีย์ชเวดากองตกอยู่ภายใต้การยึดครองของอังกฤษนานถึง 77 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ.2395-2472 แต่ชาวพม่าก็ ยังสามารถเข้ามาสักการะเจดีย์ได้ ในปี พ.ศ.2414 พระเจ้ามินดง แห่งมัณฑะเลย์ ทรงส่งฉัตรฝังเพชรอันใหม่มาถวายเป็นพุทธบูชา มีการจัด งานฉลองและมีชาวพม่ากว่าแสนคนมาเที่ยวชมงาน พระองค์จึงทรงถือโอกาสนี้ปรารถนาเรื่องเอกราชของพม่า สร้างความไม่พอใจให้กับอังกฤษเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่อาจทําอะไรได้ ช่วงศตวรรษที่ 20 มีภิบัติทางธรรมชาติเกิดขึ้นกับพม่าหลายครั้ง โดยเริ่มจากปี พ.ศ.2473 เกิดแผ่นดินไหว ขึ้น แต่ก็สร้างความเสียหายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในปี พ.ศ.2474 เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่จากฐานบันไดทางทิศ ตะวันตก ลุกลามต่อไปยังปีกด้านเหนือ ดชคดีที่ดับไฟได้เสียก่อน แต่ก็ได้เผาผลาญศาสนสถานสําคัญไปไม่น้อย ใน ปีพ.ศ.2513 เกิดแผ่นดินไหวรุนแรง นับเป็นภัยแผ่นดินไหวครั้งที่ 9 ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 ส่งผลให้ทาง ภาครัฐต้องจัดทําโครงพิเศษเพื่อเสริมยอดเจดีย์ให้แข็งแรงขึ้น เมื่อใดก็ตามที่เจดีย์แห่งนี้ชํารุดเสียหายก็จะได้รับการบูรณะให้งดงาม รุ่งโรจน์ยิ่งกว่าเดิม เจดีย์ชเวดากองสัญลักษณ์ของประเทศพม่าตั้ง อยู่บนเนินเขาเชียงกุตตระ สามารถมองเห็นได้จากทุกมุมเมือง เพราะสูงเด่นเป็นสง่า ข้อสําคัญไม่มีตึกหรืออาคารสูงมาตั้งบดบังได้ นอกจากสถูปทองที่ส่องอร่ามไปทั่วแล้ว ยังมีองค์ประกอบโดยรวมอีก ตั้งแต่ประตูทางขึ้นสู่บันไดทั้ง 4 ทิศที่ ใหญ่โตมโหฬาร ตัวหลังคาระเบียงวัดที่ทอดขึ้นสู่ฐานขององค์เจดีย์ก็มีลวดลายสลักเสลาเหมือน ปราสาทลดหลั่นกัน เป็นชั้นๆ เจดีย์ชเวดากองเปิดให้ชมทุกวันตั้งแต่เวลา 04.00-21.00 น. การเปิดให้เข้าชมเป็นช้าวงเวลายาวขนาดนี้ ก็ เพื่อให้ผู้มีจิตศรัทธาสามารถเข้าไปก่อนอรุณรุ่งและกลับออกมาหลังตะวันยอ แสง จะได้มีเวลาชมเต็มที่ บริเวณโดยรอบของทางเข้าทางทิศใต้ ซึ่งเป็นทางขึ้นสู่เจดีย์ชเวดากองที่ผู้คนนิยมใช้กัน มีบันไดทั้งหมด 104 ขั้น ทอดขึ้นสู่บริเวณลานของเจดีย์ ตามสองข้างทางบันได เต็มไปด้วยร้านค้าที่ได้รับอนุญาตจากทางวัดให้เข้ามาตั้งแผงขายของให้กับผู้ คนที่มา สักการะบูชาด้วยความเลื่อมใส สินค้าส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับการทําบุญและก็มีสินค้าที่ระลึกวางขายด้วย หน้าบริเวณทางเข้ามีรูปปั้นสัตว์ในตํานวนปรัมปราสองตัวทําหน้าที่เป็นทวารบาล คือ ชินเต้ หรือสัตว์ครึ่ง สิงโตครึ่งนก เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สีหปักษีทวารบาล และ ยักษ์ทวารบาล รายรอบด้วยเจดีย์องค์เล็กองค์น้อย ผู้คนจํานวนมากยังเดินทางมาที่นี่เพื่อกราบไหว้ สักการะ สรงน้ําองค์ ปฏิมา และทําทักษิณาวัตร ไม่ใช่เฉพาะคนแก่คนเฒ่า แต่ทั้งเด็กเล็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ ทั้งชายและหญิง พากันมาน้อมใจ สู่พระรัตนตรัยที่นี่ นอกจากจะมีทวารบาลที่หน้าประตูแล้ว ยังมีเหล่าเด็ก ๆ ชาวพม่าวิ่งท้วงติงผู้ที่ใส่รองเท้าเข้ามาบริเวณวัด ให้ถอดรองเท้าถุงเท้า แล้วให้ซื้อถุงก๊อบแก๊บใส่รองเท้าถือเข้าวัดไปด้วย
7. สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ (Republic of The Philippines)
อินทรามูรอส (Intramuros) จะมีลักษณะคล้ายๆ ป้อมปราการและยังมีกําแพงคูเมือง ในการเป็น ศูนย์กลางในการปกครอง การศึกษา วัฒนธรรม ศาสนา และยังมีเรื่องของการค้าในช่วงศตวรรษที่ 16 ถึงปลาย ศตวรรษที่ 19 และยังมีพื้นที่ ภายในประมาณ 395 ไร่ ที่ได้ล้อมรอบด้วยกําแพงหินสูง และยังประกอบไปด้วยที่ อยู่อาศัย โบสถ์ โรงเรียน และสถานที่ราชการ รวมทั้งสถานที่ที่น่าดู ตั้งอยู่ ณ ริมแม่น้ําฟาร์ซิกไรซัล (Rizal Park) ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ.1571 โดยกลุ่มชาวสเปนที่มีผู้นําในการก่อสร้างคือ Miguel Lopez de Legazpi เพื่อ ป้องกันการรุกรานจากกลุ่มโจรสลัด อินทรามูรอส เคยถูกเปลี่ยนมือไปสู่การดูแลของอังกฤษในช่วงปีค.ศ.1762 ก่อนที่สเปนจะตีคืนมาได้ใน 2 ปีถัดมา และ อินทรามูรอส ก็ถูกเปลี่ยนมืออีกครั้งไปสู่สหรัฐอเมริกาในปีค.ศ.1898 ก่อนที่จะถูกญี่ปุ่นเข้าทําลายและยืดครองในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังจากที่ผ่านทั้งพายุ แผ่นดินไหว ไฟไหม้ และภัยสงคราม อินทรามูรอส ก็แทบจะไม่เหลืออะไรให้เห็น กระทั่งกลายเป็นเมืองร้างในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก่อนที่ทางการจะยื่นมือเข้ามาบูรณปฏิสังขรณ์ จนมีสภาพดีขึ้น อย่างที่เห็นในปัจจุบัน และกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมเมื่อมาเยือนมะนิลา ภายใน ป้อมอินทรามูรอส ถูก สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นศูนย์กลางในการปกครองการศึกษา วัฒนธรรม ศาสนา และการค้า ฯลฯลักษณะทาง สถาปัตยกรรมเหมือนเมืองในสมัยยุโรปยุคกลาง ที่มีกําแพงล้อมรอบและค่ายป้อมยามมิดชิด ภายในพื้นที่เกือบ 400 ไร่ ถูกล้อมด้วยกําแพงหินสูงที่มีโบสถ์ โรงเรียน และสถานที่ราชการตั้งอยู่ภายใน
8. สาธารณรัฐสิงคโปร์ (Republic of Singapore)
สิงคโปร์ เป็นชาติสมาชิกอาเซียนที่มีขนาดพื้นที่เล็กที่สุดในบรรดา 10 ประเทศ เป็นเกาะที่รวบรวมเกาะ น้อยใหญ่ในอาณาเขตใกล้เคียง 63 เกาะ คิดเป็นพื้นที่ 682.7 ตารางกิโลเมตร หรือเทียบเท่ากับเกาะภูเก็ตในบ้าน เรา โดยมีเกาะสิงคโปร์เป็นเกาะใหญ่ที่สุด เมืองสิงคโปร์ตั้งอยู่ปลายสุดของแหลมมลายู เดิมเรียกในภาษาชวาว่า “เทมาเส็ก” แปลว่า เมืองทะเล ต่อมาตามบันทึกของชาวมาเลย์ ระบุว่า ค.ศ.ที่ 11 เจ้าชายซางนิลาอุตามะ เดินทางแสวงหาดินแดนใหม่เพื่อสร้าง เมือง แต่เรือเกิดอับปางลง พระองค์ได้ว่ายน้ําขึ้นฝั่ง แล้วเห็นสัตว์ชนิดหนึ่งมีรูปร่างลําตัวสีแดงหัวดํา หัวคล้ายสิงโต หน้าอกขาว พระองค์จึงถามคนติดตามว่าสัตว์ตัวนั้นคืออะไร คนติดตามตอบว่า คือ “สิงโต” พระองค์จึงเปลี่ยนชื่อ เทมาเส็กเสียใหม่ว่า “สิงหปุระ” ภาษาสันสกฤตแปลว่าเมืองแห่งสิงโต หลายร้อยปีต่อมา เมื่อคณะกรรมการการท่องเที่ยวของสิงคโปร์ มีแนวคิดจะจัดสร้างสัญลักษณ์ของ คณะกรรมการในปี 2507 นายฟราเซอร์ บรูนเนอร์ สมาชิกคณะกรรมการฝ่ายของที่ระลึกและผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์สัตว์ น้ําแวนคลีฟ เป็นผู้ออกแบบสัญลักษณ์ให้เป็นรูปสิงโตทะเล โดยมี นายลิมนังเซ็ง ช่างฝีมือชาวสิงคโปร์เป็นผู้สร้างรูป ปั้นที่มีหัวเป็นสิงโต แต่ร่างเป็นปลา ยืนอยู่บนยอดคลื่น นายลิมนังเซ็งสร้างสิงโตคู่เป็นแม่ลูกกัน สิงโตตัวแม่สูง 8.6 เมตร มีน้ําหนัก 70 ตัน ทําจากวัสดุจําพวก ซีเมนต์ ส่วนรูปปั้นสิงโตทะเลตัวที่สองมีขนาดเล็กกว่า ขนาดสูง 2 เมตร หนัก 3 ตัน ตัวสิงโตทําจากวัสดุจําพวก ซีเมนต์ ผิวหนังทําจากแผ่นกระเบื้อง และตาทําจากถ้วยชาสีแดงขนาดเล็ก จากนั้นมาคนสิงคโปร์จึงรู้จักรูปปั้นนี้ว่า “เมอร์ไลอ้อน” หรือ “สิงโตทะเล” นาย ลีกวนยู นายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ในขณะนั้นได้ประกอบพิธีติดตั้งรูปปั้นสิงโตในวันที่ 15 กันยายน 2515 พร้อมติดป้ายทองแดงเพื่อเป็นที่ระลึกของโอกาสพิเศษนี้ โดยมีถ้อยคําจารึกไว้ว่า “สิงโตทะเลสร้างขึ้นเพื่อ เป็นสัญลักษณ์แห่งการต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกคนที่ มาเยือนสิงคโปร์” แต่เดิมนั้นแม่สิงโตและสิงโตน้อยตั้งอยู่ที่ปากแม่น้ําสิงคโปร์ ตรงข้ามกับเอลิซาเบธ วอล์ก ห่างจากที่ตั้งปัจจุบันเพียง 120 เมตร แต่ต่อมาย้ายเมอร์ไลอ้อนและลูกน้อยไปที่ใหม่ในวันที่ 23-25 เม.ย.2545 การขนย้ายรูปปั้นหนักหลายตันทําโดยการขนส่งทางเรือขนาดใหญ่ไปยังใต้สะพานเอสพลา นาด ยกรูปปั้น ขึ้นเหนือสะพาน แล้ววางลงบนเรือเหมือนเดิม จากนั้นวางรูปปั้นไว้ตรงที่ตั้งแห่งใหม่ หมดค่าขนย้ายไป 225 ล้าน บาท พร้อมกับติดตั้งสิงโตน้อยให้อยู่ด้านหลังของแม่สิงโต ระยะห่าง 28 เมตร ด้วยระบบปั๊มน้ําทําให้สิงโตทั้งสอง สามารถพ่นน้ําได้ตลอดทั้งวันทั้งคืน บ้านแห่งใหม่ของสิงโตทะเลเรียกว่า “สวนเมอร์ไลอ้อน” ติดกับอาคาร One Fullerton เป็นสวนหย่อม ขนาด 2,500 ตารางเมตรที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่ ภายในตัวอาคาร One Fullerton ยังประกอบด้วยภัตตาคารริมน้ํา เลานจ์ และแดนซ์คลับ รูปปั้นนี้ดึงดูดนักท่องเที่ยวมากกว่าหนึ่งล้านคนต่อปีให้มาที่สวนเมอร์ไลอ้อน เพื่อถ่ายรูปกับ สัญลักษณ์ของประเทศสิงคโปร์ 9. ราชอาณาจักรไทย (Kingdom of Thailand)
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า วัดพระแก้ว นั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬา โลก โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นพร้อมกับการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อ พ.ศ.2325 แล้วเสร็จในปี พ.ศ.2327 เป็นวัดที่สร้างขึ้นในเขตพระบรมมหาราชวัง ตามแบบวัดพระศรีสรรเพชญ สมัยอยุธยา วัดนี้อยู่ในเขตพระราชฐาน ชั้นนอก ทางทิศตะวันออก มีพระระเบียงล้อมรอบเป็นบริเวณ เป็นวัดคู่กรุงที่ไม่มีพระสงฆ์จําพรรษา ใช้เป็นที่บวช นาคหลวง และประชุมข้าทูลละอองพระบาทถือน้ําพระพิพัฒน์สัตยา รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าให้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรหรือพระแก้วมรกต พระพุทธรูป คู่บ้านคู่เมืองของไทย มาประดิษฐาน ณ ที่นี้ วัดพระศรีรัตนศาสดารามนี้ ภายหลังจากการสถาปนาแล้ว ก็ได้รับการ ปฏิสังขรณ์สืบต่อมาทุกรัชกาล เพราะเป็นวัดสําคัญ จึงมีการปฏิสังขรณ์ใหญ่ทุก 50 ปี คือในสมัยพระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมัย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลปัจจุบัน เนื่องในโอกาสสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 200 ปี ในปี พ.ศ.2525 ที่ผ่านมา การบูรณปฏิสังขรณ์ที่ผ่านมา มุ่ง อนุรักษ์สถาปัตยกรรมและศิลปกรรมอันเป็นมรดกชิ้นเอกของชาติ ให้คงความงามและรักษาคุณค่าของช่างศิลปไทย ไว้อย่างดีที่สุด เพื่อให้วัดพระศรีรัตนศาสดารามนี้อยู่คู่กับกรุงรัตนโกสินทร์ตลอดไป 10. สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (Socialist Republic of Vietnam)
อ่าวฮาลอง (Vịnh Hạ Long) หรือ ฮาลอง เบย์ (Halong Bay) เป็นอ่าวแห่งหนึ่งในพื้นที่ของอ่าวตังเกี๋ยทาง ตอนเหนือของสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ใกล้ชายแดนติดต่อกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ชื่อในภาษา เวียดนาม หมายถึง "อ่าวแห่งมังกรผู้ดําดิ่ง" อ่าวฮาลองมีเกาะหินปูนจํานวน 1,969 เกาะ โผล่พ้นขึ้นมาจากผิวทะเล บนยอดของแต่ละเกาะมีต้นไม้ขึ้นอยู่ อย่างหนาแน่น หลายเกาะมีถ้ําขนาดใหญ่อยู่ภายใน เกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบริเวณอ่าว 2 เกาะ คือ เกาะกัดบา
และเกาะ Tuan Chau ทั้งสองเกาะนี้มีคนตั้งถิ่นฐานอยู่อย่างถาวร มีโรงแรมและชายหาดจํานวนมากคอยให้บริการ นักท่องเที่ยว บางเกาะเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชาวประมง และบางเกาะยังเป็นถิ่นอาศัยของสัตว์หลายชนิด เช่น ไก่ป่า ละมั่ง ลิง และกิ้งก่าหลายชนิด เกาะเหล่านี้มักจะได้รับการตั้งชื่อจากรูปร่างลักษณะที่แปลกตา เช่น เกาะช้าง (Voi Islet) เกาะไก่ชน (Ga Choi Islet) เกาะหลังคา (Mai Nha Islet) เป็นต้น อ่าวฮาลองได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2537
AEC ËÃ×Í Asean Economics Community ¤×Í¡ÒÃÃÇÁµÑǢͧªÒµÔã¹ Asean 10 »ÃÐà·È â´ÂÁÕ ä·Â, ¾Á Ò, ÅÒÇ, àÇÕ´¹ÒÁ, ÁÒàÅà«ÕÂ, ÊÔ§¤â»Ã , ÍԹⴹÕà«ÕÂ, ¿ Å»Ô » ¹Ê , ¡ÑÁ¾ÙªÒ, ºÃÙä¹ à¾×Íè ·Õ¨è ÐãË Á¼Õ Å»ÃÐ⪹ ·Ò§àÈÃÉ°¡Ô¨Ã ÇÁ¡Ñ¹ ¨ÐÁÕû٠Ẻ¤Å ÒÂæ ¡ÅØÁ Euro Zone ¹Ñ¹è àͧ ¨Ð·íÒãË Á¼Õ Å»ÃÐ⪹ , ÍíÒ¹Ò¨µ ÍÃͧµ Ò§æ ¡Ñº¤Ù¤ Ò ä´ ÁÒ¡¢Ö¹é áÅСÒùíÒà¢ Ò Ê §ÍÍ¡¢Í§ªÒµÔã¹ÍÒà«Õ¹¡ç¨ÐàÊÃÕ Â¡àÇ ¹ÊÔ¹¤ ÒºÒ§ª¹Ô´·Õáè µ ÅлÃÐà·ÈÍÒ¨¨Ð¢Í äÇ äÁ Å´ÀÒÉÕ¹Òí à¢ Ò (àÃÕÂ¡Ç ÒÊÔ¹¤ ÒÍ Í¹äËÇ) Asean ¨ÐÃÇÁµÑÇà» ¹ »ÃЪҤÁàÈÃÉ°¡Ô¨ÍÒà«Õ¹áÅÐÁÕ¼Åà» ¹ÃÙ»¸ÃÃÁ ³ Çѹ·Õè 31 ¸Ñ¹ÇÒ¤Á 2558 ³ Çѹ¹Ñ¹é ¨Ð·íÒãË ÀÁÙ ÀÔ Ò¤¹Õàé »ÅÕÂè ¹ä»Í ҧÁÒ¡Í ҧ·Õ¤è ³ Ø ¤Ô´äÁ ¶§Ö ·Õà´ÕÂÇ AEC Blueprint (Ẻ¾ÔÁ¾ à¢ÕÂÇ) ËÃ×Íá¹Ç·Ò§·Õ¨è ÐãË AEC à» ¹ä»¤×Í 1. ¡ÒÃà» ¹µÅÒ´áÅаҹ¡ÒüÅÔµà´ÕÂǡѹ 2.¡ÒÃà» ¹ÀÙÁÀÔ Ò¤·ÕÁè ¢Õ ´Õ ¤ÇÒÁÊÒÁÒö㹡ÒÃᢠ§¢Ñ¹ÊÙ§ 3. ¡ÒÃà» ¹ÀÙÁÀÔ Ò¤·ÕÁè ¡Õ ÒþѲ¹Ò·Ò§àÈÃÉ°¡Ô¨·Õàè · Òà·ÕÂÁ¡Ñ¹ 4. ¡ÒÃà» ¹ÀÙÁÀÔ Ò¤·ÕÁè ¡Õ ÒúÙóҡÒÃࢠҡѺàÈÃÉ°¡Ô¨âÅ¡
â´ÂãË áµ ÅлÃÐà·Èã¹ AEC ãË ÁÕ¨´Ø à´ ¹µ Ò§æ ´Ñ§¹Õé ¾Á Ò : ÊÒ¢Òà¡ÉµÃáÅлÃÐÁ§ ÁÒàÅà«Õ : ÊÒ¢Ò¼ÅÔµÀѳ± ÂÒ§ áÅÐÊÒ¢ÒÊÔ§è ·Í ÍԹⴹÕà«Õ : ÊÒ¢ÒÀҾ¹µ áÅÐÊÒ¢Ò¼ÅÔµÀѳ± äÁ ¿ Å»Ô » ¹Ê : ÊÒ¢ÒÍÔàÅç¡·ÃÍ¹Ô¡Ê ÊÔ§¤â»Ã : ÊÒ¢Òà·¤â¹âÅÂÕÊÒÃʹà·È áÅÐÊÒ¢ÒÊØ¢ÀÒ¾ ä·Â : ÊÒ¢Ò¡Ò÷ ͧà·ÕèÂÇ áÅÐÊÒ¢Ò¡ÒúԹ (»ÃÐà·Èä·ÂÍÂÙµ ç¡ÅÒ§ ASEAN)
¡ÒÃà»ÅÕè¹á»Å§·Õ¨è ÐàËç¹ä´ ª´Ñ æã¹ AEC â´Â͸ԺÒÂãË àËç¹ÀҾࢠÒ㨧 ÒÂæ ઠ¹ – ¡ÒÃŧ·Ø¹¨ÐàÊÃÕÁÒ¡æ ¤×Í ã¤Ã¨Ðŧ·Ø¹·Õäè ˹¡çä´ »ÃÐà·È·Õ¡è ÒÃÈÖ¡ÉÒÃкº´Õæ ¡ç¨ÐÁÒà» ´âçàÃÕ¹㹺 Ò¹àÃÒ ÍÒ¨·íÒãË âçàÃÕ¹ᾧæáµ ¤³ Ø ÀÒ¾äÁ ´µÕ Í §»ÃѺµÑÇ äÁ ઠ¹¹Ñ¹é ÍÒ¨¨ÐÊÙä Á ä´ – ä·Â¨Ðà» ¹Èٹ ¡ÅÒ§¡Ò÷ ͧà·ÕÂè Ç áÅСÒúԹÍ ҧäÁ µÍ §Ê§ÊÑ à¾ÃÒÐÇ ÒÍÂÙ¡ ÅÒ§ Asean áÅÐä·ÂÍÒ¨¨Ðà´ ¹ ã¹àÃ×Íè § ¡ÒèѴ¡ÒûÃЪØÁµ Ò§æ, ¡ÒÃáÊ´§¹Ô·ÃÃÈ¡ÒÃ, – ¡Òä Ò¢Ò¨ТÂÒµÑÇÍ ҧ¹ Í 25% ã¹Ê ǹ¢Í§ ÍصÊÒË¡ÃÃÁºÒ§Í ҧ ઠ¹ ö¹µ , ¡Ò÷ ͧà·ÕÂè Ç, ¡ÒäÁ¹Ò¤Á, áµ ÍµØ ÊÒË¡ÃÃÁ·Õ¹è Ò Ë Ç§¢Í§ä·Â¤×Í ·Õãè ª áç§Ò¹à» ¹ËÅѡઠ¹ ÀÒ¤¡ÒÃà¡ÉµÃ, ¡ ÍÊà ҧ, ÍصÊÒË¡ÃÃÃÁÊÔ觷ͨÐä´ ÃºÑ ¼Å¡Ãзº – àÃ×Íè §ÀÒÉÒÍѧ¡ÄɨÐà» ¹ÊÔ§è ·ÕÊè Òí ¤ÑÍ ҧÁÒ¡ – ¡Òä Ò¢ÒºÃÔàdzªÒÂá´¹¨Ð¤Ö¡¤Ñ¡Í ҧÁÒ¡ÁÒ – àÁ×ͧä·Â¨ÐäÁ ¢Ò´áç§Ò¹·Õäè à ½Á Í× ÍÕ¡µ Íä»à¾ÃÒÐáç§Ò¹¨Ðà ¤Å×Íè ¹Â ÒÂàÊÃÕ ¨ÐÁÕ ªÒǾÁ Ò, ÅÒÇ, ¡ÑÁ¾ÙªÒ ࢠÒÁÒ·íÒ§Ò¹ã¹ä·ÂÁÒ¡¢Ö¹é – ÊÒ¸ÒóٻâÀ¤ã¹»ÃÐà·Èä·Â ËÒ¡àµÃÕÂÁ¾Ã ÍÁäÁ ´ÍÕ Ò¨¢Ò´á¤Å¹ä´ ઠ¹ ªÒǾÁ Ò ÁÒ¤ÅÍ´ÅÙ¡ã¹ä·Â ¡çµÍ §ãª âç¾ÂÒºÒÅã¹ä·Âà» ¹µ ¹ – ¡ÃØ§à·¾Ï ¨ÐáÍÍÑ´Í ҧ˹ѡ à¹×Íè §¨Ò¡ÁÕµÒí á˹ §à» ¹µÃ§¡ÅÒ§¢Í§ÍÒà«Õ¹áÅÐà» ¹àÁ×ͧËÅǧ¢Í§ä·Â â´ÂàÁ×ͧ ËÅǧÍÒ¨ÁÕÊÒí ¹Ñ¡§Ò¹¢Í§µ Ò§ªÒµÔÁÒµÑé§ÁÒ¡¢Ö¹é ö¨ÐµÔ´Í ҧÁÒ¡ ʹÒÁºÔ¹ÊØÇÃóÀÙÁ¨Ô ÐáÍÍÑ´ÁÒ¡¢Ö¹é (» ¨¨Øº¹Ñ ÁÕâ¤Ã§¡Ò÷ըè ТÂÒÂʹÒÁºÔ¹áÅ Ç) – ä·Â¨Ðà» ¹Èٹ ¡ÅÒ§ÍÒËÒÃâš㹡ÒüÅÔµÍÒËÒà à¾ÃÒÐ knowhow ã¹ä·ÂÁÕàÂÍлÃÐʺ¡Òó ʧ٠áÅкÃÔÉ·Ñ ÍÒËÒÃã¹ä·Â¡çá¢ç§á¡Ã § »ÃСͺ·íÒàÅ·Õµè §Ñé àËÁÒÐÊÁÍ ҧÁÒ¡ áÁ ¨ÐãË ¾Á Ò๠¹¡ÒÃà¡ÉµÃ áµ ·Ò§»ÃÐà·Èä·Âàͧ ¤§ä»Å§·Ø¹ã¹¾Á ÒàÃ×Íè §¡ÒÃà¡ÉµÃáÅ ÇÊ §ÍÍ¡ «Ö§è ¡ç¶Í× à» ¹¸ØáԨ¢Í§¤¹ä·Â·Õªè Òí ¹ÒÍÂÙá Å Ç – » ËÒÊѧ¤Á¨ÐÃعáç¶ ÒäÁ ä´ ÃºÑ ¡ÒÃÇҧἹ·Õ´è Õ à¹×Íè §¨Ò¡ ¨ÐÁÕ¢ÂШíҹǹÁÒ¡ÁÒ¡¢Ö¹é , » ËÒ¡ÒÃẠ§ª¹ªÑ¹é ¶ Ò¤¹ä·Â·íÒ§Ò¹¡Ñº¤¹µ Ò§ªÒµÔ·´Õè Í Â¡Ç Ò ÍÒ¨ÁÕ¡ÒÃẠ§ª¹ªÑ¹é ¡Ñ¹ä´ , ¨ÐÁÕªÁØ ª¹ÊÅÑÁà¡Ô´¢Ö¹é áÅÐÍÒ¨ÁÕ ¾Á Ò·Òǹ , ÅÒÇ·Òǹ , ¡ÑÁ¾ÙªÒ·Òǹ , » ËÒÍÒ¨Ò¡ÃÃÁ¨ÐÃعáç ʶԵԡÒá ÍÍÒªÒ¡ÃÃÁ¨Ðà¾ÔÁè ¢Ö¹é Í ҧÁÒ¡¨Ò¡ª¹¹Ñ¹é ·Õè ÁÕ» ËÒ, ¤¹¨Ð·íÒ¼Ô´¡®ËÁÒÂÁÒ¡¢Ö¹é à¹×Íè §¨Ò¡äÁ á٠®ËÁÒÂ
¡Òâ¹Ê §·Õ¨è Ðà»ÅÕÂè ¹á»Å§ East-West Economic Corridor (EWEC)ËÃ×ÍàÊ ¹·Ò§ËÁÒÂàÅ¢ 9 (R9) ª×Íè ä·ÂÇ Ò àÊ ¹·Ò§ÃÐàºÕ§àÈÃÉ°¡Ô¨á¹ÇµÐÇѹÍÍ¡-µÐÇѹµ¡
¨ÐÁÕ¡Òâ¹Ê §¨Ò¡· Òà·ÕºàÃ×Í·Ò§·ÐàŽ § ¢ÇÒä»Âѧ½ § « Ò àÇÕ´¹ÒÁ-ä·Â-¾Á Ò ÁÕÃÐÂзҧµÔ´µ ͡ѹâ´Â»ÃÐÁÒ³ 1,300 ¡Á.ÍÂÙ㠹ࢵ»ÃÐà·Èä·Â¶Ö§ 950 ¡Á. ÅÒÇ 250 ¡Á. àÇÕ¹´¹ÒÁ 84 ¡Á.àÊ ¹·Ò§àÃÔÁè ·Õè àÁ×ͧ· Ҵҹѧ »ÃÐà·ÈàÇÕ´¹ÒÁ ¼ Ò¹àÁ×ͧàÇ áÅÐàÁ×ͧÅÒǺÒÇ ¼ ҹࢠÒá¢Ç§ÊÐËÇѹ¹Ðࢵ㹻ÃÐà·ÈÅÒÇ áÅÐÁÒ¢ ÒÁÊоҹ ÁÔµÃÀÒ¾ 2 (ÁØ¡´ÒËÒÃ-ÊÐËÇѹ¹Ðࢵ) ¢ ÒÁáÁ ¹Òéí ⢧ÊÙä ·Â·Õ¨è §Ñ ËÇÑ´ÁØ¡´ÒËÒà ¼ Ò¹¨Ñ§ËÇÑ´¡ÒÌÊÔ¹¸Ø, ¢Í¹á¡ ¹, ྪúÙó , ¾ÔɳØâÅ¡ ÊØ´·ÕÍè Òí àÀÍáÁ ÊÍ´ ¨Ñ§ËÇÑ´µÒ¡ ¨Ò¡¹Ñ¹é ࢠÒä»Âѧ»ÃÐà·È¾Á Òä»àÃ×Íè Âæ ¶Ö§Í ÒÇàÁÒеÐÁÐ ·Õè àÁ×ͧàÁÒÐÅíÒä ËÃ×ÍÁÐÅÐáËÁ § à» ¹¡ÒÃàª×Íè Á¨Ò¡·ÐàŨչ㵠ä»ÊÙÍ ¹Ô à´Õ àÊ ¹·Ò§ R9 ¹Õ¨é зíÒãË ¡Òâ¹Ê §ÃÇÁ¶Ö§ logistic ã¹ AEC ¨Ð¾Ñ²¹ÒÍÕ¡ÁÒ¡ áÅШҡҡÒ÷Õäè ·ÂÍÂÙµ ç¡ÅÒ§ ÀÙÁÀÔ Ò¤ ·íÒãË àÃÒ¢ÒÂÊÔ¹¤ Òä´ ÁÒ¡¢Ö¹é à¾ÃÒÐàÃÒ¨ÐÊ §¢Í§ä»· ÒàÃ×Í·Ò§½ § « Ò¢ͧä·Â¡çä´ ·Ò§½ § ¢ÇÒ¡çä´ ·Õ´è ¹Ô áÅÐ ÍÊѧËÒÃÔÁ·ÃѾ ã¹ä·ÂºÃÔàdz´Ñ§¡Å ÒÇ¡ç¹Ò ¨ÐÁÕÃÒ¤ÒÊÙ§¢Ö¹é ´ Ç áÅзվè Á ÒÂѧÁÕ â¤Ã§¡Òá ÍÊà ҧ¢¹Ò´ãË ËÃ×Íâ¤Ã§¡Òà “·ÇÒ” (Èٹ ÍصÊÒË¡ÃÃÁ¢¹Ò´ãË ,· ÒàÃ×Í¢¹Ò´ ãË ·Õ»è ¨ ¨Øº¹Ñ Italian-Thai Development PLC ä´ ÃºÑ ÊÑÁ»·Ò¹ã¹¡Òá ÍÊà ҧáÅ Ç » ¨¨Øº¹Ñ ä´ ËÂØ´¡ÒþѲ¹Ò ªÑèǤÃÒÇà¾×Íè ÃͼÙÃ Ç Áŧ·Ø¹ã¹¡ÒþѲ¹Òâ¤Ã§¡Òà ¢ ÍÁÙÅ ³ 27 àÁ.Â.2557) â¤Ã§¡Ò÷ÇÒÂÁÕà» ÒËÁÒ·ըè Ð Êà ҧ· ÒàÃ×͹éÒí ÅÖ¡ áÅйԤÁÍصÊÒË¡ÃÃÁº¹¾×¹é ·Õ»è ÃÐÁÒ³ 250 µÒÃÒ§¡ÔâÅàÁµÃ ã¹ÀҤ㵠¢Í§¾Á Ò «Ö§è ÁÕ â¤Ã§¡Òá ÍÊà ҧâç¶ÅاàËÅç¡ âç§Ò¹»Ø âç俿 Ò¶ Ò¹ËÔ¹ âç¡ÅÑ¹è ¹éÒí Áѹ ã¹ÃÐÂжѴä»ÍÕ¡´ Ç ·Ñ§é ¹Õ·é §Ñé ¹Ñ¹é ÊÔ§è ·Õàè ÃÒ¤ÇèÐàµÃÕÂÁµÑÇáµ à¹Ô¹è æ ·ÕÊè Òí ¤ÑµÍ¹¹Õ¤é Í× ÀÒÉÒÍѧ¡ÄÉ Í ҧ¹ ÍÂæàÃÒ¡ç¨Ðä´ ÊÍ×è ÊÒáѹ¡Ñº Asean ä´ à¾ÃÒÐËÒ¡Ê×Íè ÊÒÃäÁ ä´ àÃ×Íè §Í×¹è ¡ç¤§ÂÒ¡·Õ¨è зíÒ áÅСҤԴ¨ÐËÒÅÙ¡¤ Òᤠ㹻ÃÐà·Èä·Â¡çÍÒ¨äÁ à¾Õ§¾Í áÅ Ç à¾ÃÒиØáԨµ Ò§ªÒµÔ¡¨ç ÐÁÒá §Ê ǹẠ§¡ÒõÅÒ´¢Í§àÃÒá¹ ¹Í¹ àÃ×Íè § AEC ¨Ö§¶×Íà» ¹àÃ×Íè §ãË ·Õ¸è ÃØ ¡Ô¨ áÅФ¹ä·Âµ ͧ»ÃѺµÑÇáÅÐàµÃÕÂÁ¾Ã ÍÁãË ´Õ
Í Ò¹µ Í: http://www.thai-aec.com/41#ixzz3kvLXJ64S
â´Â㹡ÒûÃЪØÁÊØ´ÂÍ´ÍÒà«Õ¹ ASEAN Summit ¤ÃÑ§é ·Õè 8 àÁ×Íè 4 ¾ÄȨԡÒ¹ ¾.È. 2545 ³ ¡Ãا¾¹Áà» »ÃÐà·È ¡ÑÁ¾ÙªÒ ·Õäè ´ àË繪ͺãË ÍÒà«Õ¹¡íÒ˹´·ÔÈ·Ò§ ä´ Á¡Õ ÒôíÒà¹Ô¹§Ò¹·Õáè ¹ ª´Ñ à¾×Íè ¹íÒä»ÊÙà » ÒËÁÒÂ·Õªè ´Ñ à¨¹ ä´ á¡ ¡ÒÃà» ¹»ÃЪҤÁàÈÃÉ°¡Ô¨ ÍÒà«Õ¹ â´Â¨ÐÁÕµÅÒ´áÅаҹ¡ÒüÅԵà ÇÁ¡Ñ¹ áÅШÐÁÕ¡ÒÃà¤Å×Íè ¹Â ÒÂÊÔ¹¤ Ò ºÃÔ¡Òà ¡ÒÃŧ·Ø¹ à§Ô¹·Ø¹ áÅÐáç§Ò¹ÁÕ½Á Í× Í ҧàÊÃÕ ÊíÒËÃѺ¡ÒÃµÑ§é »ÃЪҤÁàÈÃÉ°¡Ô¨ÍÒà«ÕÂ¹ä´ ¡Òí ˹´ãË ÊÒí àÃç¨ÀÒÂã¹» ¾.È. 2558 ( ¤.È. 2015)
à» ÒËÁÒÂÊíҤѢͧ »ÃЪҤÁàÈÃÉ°¡Ô¨ÍÒà«Õ¹ 1. à» ¹µÅÒ´áÅаҹ¡ÒüÅԵà ÇÁ¡Ñ¹ (Single Market and Production Base) à¾×èÍà¤Å×è͹ Ò ÊÔ¹¤ Ò ºÃÔ¡Òà ŧ·Ø¹ áç§Ò¹½ Á×Í à§Ô¹·Ø¹ Í ҧàÊÃÕÊ Ç¹¹Õé ¨ÃÔ§æ à» ¹¡ÒôíÒà¹Ô¹µÒÁ¾Ñ¹¸¡Ã³Õ·Õèä´ µ¡Å§áÅÐ ´íÒà¹Ô¹¡ÒÃÁҡѹÍÂÙ áÅ Ç ·Ñé§
* AFTA (ASEAN Free Trade Area) àÃÔèÁ» 2535 (1992)
*
AFAS (ASEAN Framework Agreement on Services) ¡Ãͺ¤ÇÒÁµ¡Å§Ç Ò´ Ç¡Òä ÒºÃÔ¡Òà ŧ¹ÒÁ » 2538 (1995) ä´ à¨Ã¨Òà» ´àÊÃÕà» ¹Ãͺæ à¨Ã¨Òä» áÅ Ç 5 Ãͺ
*
AIA (ASEAN Investment Area) ¡Ãͺ¤ÇÒÁµ¡Å§Ç Ò´ Ç¡Òä ÒºÃÔ¡ÒÃŧ¹ÒÁ 2. Êà ҧ¢Õ´¤ÇÒÁÊÒÁÒÁÒö ·Ò§àÈÃÉ°¡Ô¨ (High Competitive Economic RegionãË ¤ÇÒÁÊíҤѡѺ»ÃÐà´ç¹´ Ò¹¹âºÒ ·Õèª Ç¡ÒÃÃÇÁ¡ÅØ Á ઠ¹ ¹âºÒ¡ÒÃᢠ§¢Ñ¹ ¹âºÒÂÀÒÉÕ , ·ÃѾ ÊÔ¹·Ò§» Ò, ¾Ñ²¹Òâ¤Ã§¡ÒÃÊà ҧ ¾×é¹°Ò¹ 3. Êà ҧ¤ÇÒÁà· Òà·ÕÂÁ㹡ÒþѲ¹Ò·Ò§àÈÃÉ°¡Ô¨ (Equitable Economic Development) 4. ¡ÒúÙóҡÒÃࢠҡѺàÈÃÉ°¡Ô¨âÅ¡ (Fully Integrated into Global Economy) ๠¹¡ÒûÃѺ»ÃÐÊÒ¹¹âºÒ àÈÃÉ°¡Ô¨ÍÒà«Õ¹¡Ñº¹Í¡ÀÙÁÔÀÒ¤ ઠ¹ ·íÒ FTA
¡Ãͺ¤ÇÒÁà ÇÁÁ×Í ÊíÒËÃѺ¡Ãͺ¤ÇÒÁà ÇÁÁ×Í ·Õè»ÃЪØÁਠÒ˹ Ò·ÕÍè ÒÇØâÊ´ Ò¹àÈÃÉ°¡Ô¨ÍÒà«Õ¹àÁ×èÍÇѹ·Õè 21-22 ¡Ñ¹ÂÒ¹ 2547 ·Õè¡ÃØ§à·¾Ï ÊÒÁÒöËÒ¢ ÍÊÃØ»ã¹ÊÒÃÐÊíÒ¤Ñà¡ÕèÂǡѺÁҵáÒÃà ÇÁ·Õè¨Ð㪠¡Ñº¡ÒÃÃÇÁ¡ÅØ ÁÊÔ¹¤ ÒáÅкÃÔ¡ÒÃ ä´ á¡ ¡ÒÃà» ´ àÊÃÕ¡Òä ÒÊÔ¹¤ Ò ¡Òä ÒºÃÔ¡Òà ¡ÒÃŧ·Ø¹ ¡ÒÃÍíҹǤÇÒÁÊдǡ´ Ò¹¡Òä Ò áÅСÒÃŧ·Ø¹áÅСÒÃÊ §àÊÃÔÁ¡Òä ÒáÅÐ ¡ÒÃŧ·Ø¹ áÅФÇÒÁà ÇÁÁ×Íã¹´ Ò¹Í×è¹ æ ´Ñ§¹Õé (1) ¡Òä ÒÊÔ¹¤ Ò - ¨Ðàà §Å´ÀÒÉÕÊÔ¹¤ Òã¹ Priority Sectors (à¡ÉµÃ/»ÃÐÁ§/¼ÅÔµÀѳ± äÁ /¼ÅÔµÀѳ± ÂÒ§/ ÊÔ觷Í/Âҹ¹µ /ÍÔàÅç¡·ÃÍ¹Ô¡Ê /à·¤â¹âÅÂÕÊÒÃʹà·È/ÊÒ¢ÒÊØ¢ÀÒ¾) à» ¹ 0% àÃçÇ¢Ö鹨ҡ¡Ãͺ AFTA à´ÔÁ 3 » ¤×Í ¨Ò¡ 2010 à» ¹» 2007 ÊíÒËÃѺÊÁÒªÔ¡ÍÒà«Õ¹à´ÔÁ 6 »ÃÐà·È áÅÐ » 2015 à» ¹ 2012 ÊíÒËÃѺ»ÃÐà·È CLMV â´Â ä´ ¡íÒ˹´à¾´Ò¹ÊíÒËÃѺÊÔ¹¤ Ò·Ñé§ËÁ´ã¹ Priority Sectors äÁ µ ͧ¡ÒÃàà §Å´ÀÒÉÕ (Negative List) äÇ ·Õè 15% (2) ¡Òä ÒºÃÔ¡Òà - ¨Ðàà §à» ´àÊÃÕÊÒ¢ÒºÃÔ¡ÒÃã¹ Priority Sectors (ÊÒ¢ÒÊØ¢ÀÒ¾, e-ASEAN, · ͧà·ÕèÂÇáÅСÒâ¹Ê §·Ò§ÍÒ¡ÒÈ) ÀÒÂã¹» ¤.È. 2010 ·Ñ駹Õé ãË ãª ASEAN-X formula ä´ (3) ¡ÒÃŧ·Ø¹ - ¨Ðàà §à» ´¡ÒÃŧ·Ø¹ã¹ÃÒ¡ÒÃʧǹ (Sensitive List) ÀÒÂã¹» 2010 ÊíÒËÃѺÍÒà«Õ¹ à´ÔÁ 6 »ÃÐà·È » ¤.È. 2013 ÊíÒËÃѺàÇÕ´¹ÒÁáÅÐ 2015 ÊíÒËÃѺ¡ÑÁ¾ÙªÒ ÅÒÇ áÅоÁ Ò ·Ñ駹Õé ãË ãª ASEAN-X formula ä´ áÅÐÊ §àÊÃÔÁ¡ÒüÅÔµã¹ÍÒà«Õ¹â´Â¡ÒèѴµÑ§é à¤Ã×Í¢ Ò ASEAN free trade zones à¾×èÍÊ §àÊÃÔÁ¡Òë×éÍ Çѵ¶Ø´ÔºáÅЪÔé¹Ê ǹ·Õè¼ÅÔµã¹ÍÒà«Õ¹ (outsourcing) áÅдíÒà¹Ô¹ÁҵáÒÃà ÇÁà¾×èÍ´Ö§´Ù´ FDI
(4) ¡ÒÃÍíҹǤÇÒÁÊдǡ´ Ò¹¡Òä ÒáÅСÒÃŧ·Ø¹ - «Ö觻ÃСͺ´ ÇÂàÃ×èͧµ Ò§æ ¤×Í ¡®Ç Ò´ ÇÂáËÅ §¡íÒà¹Ô´ÊÔ¹¤ Ò ¾Ô¸Õ¡ÒÃÈØÅ¡Ò¡Ã Áҵðҹ (standard and conformance) ¡ÒÃÍíҹǤÇÒÁÊдǡ´ Ò¹¡Òâ¹Ê § áÅÐ logistics service ÊíÒËÃѺ¡Òâ¹Ê § ¡ÒÃÍíҹǤÇÒÁÊдǡ´ Ò¹¡Ò÷ ͧà·ÕèÂÇã¹ÍÒà«Õ¹ áÅÐ ¡ÒÃà¤Å×è͹ Ò¢ͧ¹Ñ¡¸ØáԨ ¼Ù àªÕèÂÇªÒ ¼Ù »ÃСͺÇÔªÒªÕ¾ áÅÐ áç§Ò¹ÁÕ½ Á×Í (5) ¡ÒÃÊ §àÊÃÔÁ¡Òä ÒáÅСÒÃŧ·Ø¹ áÅФÇÒÁà ÇÁÁ×Íã¹´ Ò¹Í×è¹ æ ઠ¹ ·ÃѾ ÊÔ¹·Ò§» Ò ¤ÇÒÁà ÇÁÁ×Í ´ Ò¹ÍصÊÒË¡ÃÃÁ áÅСÒþѲ¹Ò·ÃѾÂÒ¡ÃÁ¹ØÉ ¾Ô¸ÕÊÒÃÇ Ò´ Ç¡ÒÃÃÇÁ¡ÅØ ÁÃÒÂÊҢҢͧÍÒà«Õ¹ 11 ÊÒ¢Ò¡íÒ˹´ ÁҵáÒÃà ÇÁ «Ö觤Һà¡ÕèÂǡѺ·Ø¡ÊÒ¢Òઠ¹à´ÕÂǡѺ㹡Ãͺ¤ÇÒÁµ¡Å§Ï áÅÐÁҵáÒÃ੾ÒÐÊíÒËÃѺ¡ÒÃÃÇÁ¡ÅØ Ááµ ÅÐ ÊÒ¢Ò¹Ñé¹æ â´ÂÃÇÁÍÂÙ ã¹á¼¹¡ÒÃÃÇÁ¡ÅØ Á (Road map) «Ö觼¹Ç¡ÍÂÙ ¡Ñº¾Ô¸ÕÊÒÃÏ ·Ñ駹Õé 㹡ÒûÃЪØÁÊØ´ÂÍ´ÍÒà«Õ¹ ¤ÃÑ駷Õè 10 ·Ø¡»ÃÐà·ÈÂéíÒ¤ÇÒÁÊíҤѢͧ¡ÒôíÒà¹Ô¹¡Òõ Ò§æ à¾×Íè ¹íÒä»ÊÙ ¡ÒÃà» ¹»ÃЪҤÁÍÒà«Õ¹ÀÒÂã¹» 2563 (¤.È. 2020) «Öè§ Ï¾³Ï ¹Ò¡ÃÑ°Á¹µÃÕ ä´ ªÕéãË àË繶֧¤ÇÒÁ¨íÒà» ¹·Õè¨Ðµ ͧ àà §ÃÑ´¡ÒÃÃÇÁµÑǢͧÍÒà«Õ¹ãË àÃçÇ ¢Öé¹ â´ÂÍÒ¨ãË ÊíÒàÃç¨ÀÒÂã¹» 2555 (¤.È. 2012) áÅÐä´ àʹÍá¹Ç·Ò§µ Ò§æ à¾×èÍ ª ÇÂàà §ÃÑ´¡ÒÃÃÇÁµÑÇ àª ¹ ¡ÒÃ㪠ÇÔ¸Õ¡Òà Two plus X «Öè§ Ï¾³Ï ¹Ò¡ÃÑ°Á¹µÃÕä´ à¤ÂàʹͤÇÒÁ¨íÒà» ¹ áÅÐá¹Ç·Ò§ ¹ÕéÁÒáÅ ÇàÁ×èÍÇѹ·Õè 7 µØÅÒ¤Á 2546 ÃÐËÇ Ò§¡ÒûÃЪØÁÊØ´ÂÍ´ÍÒà«Õ¹ ¤ÃÑ駷Õè 9 ·ÕèºÒËÅÕ ÊÒ¸ÒóÃÑ°ÍԹⴹÕà«Õ ·Ñ駹Õé ¹Ò¡ÃÑ°Á¹µÃÕÊÔ§¤â»Ã ¡çä´ Ê¹ÑºÊ¹Ø¹¢ ÍàʹÍá¹Ð¢Í§ Ͼ³Ï ¹Ò¡ÃÑ°Á¹µÃբͧä·Â ·ÕèãË àà §ÃÑ´¡ÒèѴµÑé§ AEC ´ ÇÂ
¡ÒÃÃÇÁ¡ÅØÁ ÊÔ¹¤ ÒáÅкÃÔ¡Òà 11 ÊÒ¢Ò¹íÒà ͧ ¡ÒÃÃÇÁ¡ÅØÁ ÊÔ¹¤ ÒáÅкÃÔ¡Òà 11 ÊÒ¢Ò¹íÒà ͧ ¶×ÍÇ Òà» ¹¡ÒÃà» ´àÊÃÕ´Ò ¹¡Òä ÒáÅкÃÔ¡Òà à¾×Íè Ê §àÊÃÔÁ¡ÒÃẠ§ §Ò¹¡Ñ¹¼ÅÔµÊÔ¹¤ ÒáÅкÃÔ¡ÒÃÀÒÂã¹ÍÒà«Õ¹´ Ç¡ѹ â´Â¨Ð๠¹ãª ÇµÑ ¶Ø´ºÔ ÀÒÂã¹ÍÒà«Õ¹໠¹ËÅÑ¡ µÒÁ¤ÇÒÁ¶¹Ñ´ à¹×Íè §¨Ò¡áµ ÅлÃÐà·ÈÁÕÇµÑ ¶Ø´ºÔ ·Õäè Á àËÁ×͹¡Ñ¹ ¶ Ò¨ÐãË ¼ÅÔµ·Ø¡Í ҧ ¨Ðà» ¹¡ÒÃà¾ÔÁè µ ¹·Ø¹ÊÔ¹¤ ÒẺàÊÕÂà»Å Ò
ÊíÒËÃѺ 11 ÊÒ¢Ò¹íÒà ͧÁÕ´§Ñ ¹Õé 1. ÊÒ¢Ò¼ÅÔµÀѳ± à¡ÉµÃ 2. ÊÒ¢Ò»ÃÐÁ§ 3. ÊÒ¢Ò¼ÅÔµÀѳ± ÂÒ§ 4. ÊÒ¢ÒÊÔ§è ·Í 5. ÊÒ¢ÒÂҹ¹µ 6. ÊÒ¢Ò¼ÅÔµÀѳ± äÁ 7. ÊÒ¢ÒÍÔàÅç¡·ÃÍ¹Ô¡Ê 8. ÊÒ¢Òà·¤â¹âÅÂÕÊÒÃʹà·È 9. ÊÒ¢ÒÊØ¢ÀÒ¾ 10. ÊÒ¢Ò· ͧà·ÕÂè Ç 11. ÊÒ¢Ò¡ÒúԹ Í ҧäáçµÒÁ ÀÒÂËÅÑ§ä´ à¾ÔÁè ÊÒ¢Ò·Õè 12 ä´ á¡ ÊÒ¢ÒâŨÔÊµÔ¡Ê à¾×Íè ·íÒãË ¡Òâ¹Ê §Çѵ¶Ø´ºÔ µ Ò§ æ ·íÒä´ ÊдǡÁÒ¡¢Ö¹é
àÁ×Íè Ạ§·Ñ§é 12 ÊÒ¢Ò µÒÁ»ÃÐà·È·ÕÃè ºÑ ¼Ô´ªÍº ÊÒÁÒöẠ§ä´ ´Ñ§¹Õé 1. ¾Á Ò ÊÒ¢Ò¼ÅÔµÀѳ± à¡ÉµÃ áÅÐÊÒ¢Ò»ÃÐÁ§ 2. ÁÒàÅà«Õ ÊÒ¢Ò¼ÅÔµÀѳ± ÂÒ§ áÅÐÊÒ¢ÒÊÔ§è ·Í 3. ÍԹⴹÕà«Õ ÊÒ¢ÒÂҹ¹µ áÅÐÊÒ¢Ò¼ÅÔµÀѳ± äÁ 4. ¿ Å»Ô » ¹Ê ÊÒ¢ÒÍÔàÅç¡·ÃÍ¹Ô¡Ê 5. ÊÔ§¤â»Ã ÊÒ¢Òà·¤â¹âÅÂÕÊÒÃʹà·È áÅÐÊÒ¢ÒÊØ¢ÀÒ¾ 6. ä·Â ÊÒ¢Ò¡Ò÷ ͧà·ÕÂè ÇáÅÐÊÒ¢Ò¡ÒúԹ 7. àÇÕ´¹ÒÁ ÊÒ¢ÒâŨÔʵԡÊ
»ÃÐ⪹ ·»Õè ÃÐà·Èä·Â¨Ðä´ ÃºÑ ¨Ò¡¡ÒÃà» ¹ AEC 1. ¢ÂÒ¡ÒÃÊ §ÍÍ¡áÅÐâÍ¡ÒÊ·Ò§¡Òä Ò ¨Ò¡ÒáàÅÔ¡ÍØ»ÊÃäÀÒÉÕáÅзÕèÁÔ㪠ÀÒÉÕ¨Ðà» ´âÍ¡ÒÊãË ÊÔ¹¤ Ò à¤Å×è͹ ÒÂàÊÃÕ
2. ¤Ò´Ç Ò ¡ÒÃÊ §ÍÍ¡ä·Âä»ÍÒà«Õ¹¨ÐÊÒÁÒö¢ÂÒµÑÇä´ äÁ µèíÒ¡Ç Ò 18 - 20% µ Í»
3. à» ´âÍ¡ÒÊ¡Òä ÒºÃÔ¡Òà ã¹ÊÒ¢Ò·Õèä·ÂÁÕ¤ÇÒÁࢠÁá¢ç§ ઠ¹ · ͧà·ÕèÂÇ âçáÃÁáÅÐ Ã Ò¹ÍÒËÒà ÊØ¢ÀÒ¾ ·íÒãË ä·ÂÁÕÃÒÂä´ ¨Ò¡¡Òä ÒºÃÔ¡ÒÃ仵 Ò§»ÃÐà·Èà¾ÔèÁ¢Öé¹
4. Êà ҧàÊÃÔÁâÍ¡ÒÊ¡ÒÃŧ·Ø¹ àÁ×èÍÁÕ¡ÒÃà¤Å×Íè ¹Â ÒÂà§Ô¹·Ø¹ä´ àÊÃÕÂÔ觢Öé¹ ÍØ»ÊÃä¡ÒÃŧ·Ø¹ÃÐËÇ Ò§ÍÒà«Õ¹ ¨ÐŴŧ ÍÒà«Õ¹¨Ðà» ¹à¢µ¡ÒÃŧ·Ø¹·Õè¹ Òʹ㨷Ѵà·ÕÂÁ¨Õ¹áÅÐÍÔ¹à´ÕÂ
5. à¾ÔèÁ¾Ù¹¢Õ´¤ÇÒÁÊÒÁÒö¢Í§¼Ù »ÃСͺ¡ÒÃä·Â àÁ×èÍÁÕ¡ÒÃ㪠·ÃѾÂҡáÒüÅԵà ÇÁ¡Ñ¹/à» ¹¾Ñ¹¸ÁԵ÷ҧ¸ØáԨà ÇÁ¡Ñº ÍÒà«Õ¹Í×è¹ ·íÒãË à¡Ô´¤ÇÒÁä´ à»ÃÕºàªÔ§á¢ §¢Ñ¹ (Comparative Advantage) áÅÐÅ´µ ¹·Ø¹¡ÒüÅÔµ
6. à¾ÔèÁÍíÒ¹Ò¨¡Òõ ÍÃͧ¢Í§ä·Âã¹àÇ·Õ¡Òä ÒâÅ¡ Êà ҧ¤ÇÒÁàª×èÍÁÑè¹ãË »ÃЪҤÁâÅ¡
7. ¡ÃдѺ¤ÇÒÁà» ¹ÍÂÙ ¢Í§»ÃЪҪ¹ã¹»ÃÐà·È ¼Å¡ÒÃÈÖ¡ÉÒ áÊ´§Ç Ò AEC ¨Ð·íÒãË ÃÒÂä´ ·Õèá· ¨ÃÔ§¢Í§ÍÒà«Õ¹ à¾ÔèÁ¢Öé¹Ã ÍÂÅÐ 5.3 ËÃ×ͤԴ໠¹ÁÙŤ Ò 69 ¾Ñ¹Å Ò¹àËÃÕÂÊËÃÑ°Ï
¼Å¡Ãзº¢Í§»ÃÐà·Èä·Â¨Ò¡¡ÒÃà» ¹ »ÃЪҤÁàÈÃÉ°¡Ô¨ÍÒà«Õ¹ ËÃ×Í AEC
1. ¡ÒÃà» ´µÅÒ´àÊÃÕ¡Òä ÒáÅкÃÔ¡ÒàÍÁ¨ÐÊ §¼Å¡Ãзºµ ÍÍصÊÒË¡ÃÃÁáÅмٻ ÃСͺ¡ÒÃã¹»ÃÐà·È·ÕÁè ¢Õ ´Õ ¤ÇÒÁÊÒÁÒö㹡ÒÃᢠ§¢Ñ¹µèÒí
2. ÍصÊÒË¡ÃÃÁáÅмٻ ÃСͺ¡ÒÃã¹»ÃÐà·Èµ ͧàà §»ÃѺµÑÇ
¢ ÍàʹÍá¹Ð㹡ÒÃàµÃÕÂÁµÑǢͧä·ÂÊÙ¡ ÒÃà» ¹ AEC
á¹Ç·Ò§·Õ»è ÃÐà·Èä·Â¤ÇÃàµÃÕÂÁ¾Ã ÍÁà¾×Íè ÃͧÃѺ¼Å¡Ãзº·ÕÍè Ò¨à¡Ô´¢Ö¹é ËÒ¡ÁÕ¡ÒÃÃÇÁµÑÇà» ¹ »ÃЪҤÁ àÈÃÉ°¡Ô¨ÍÒà«Õ¹ ËÃ×Í AEC ¤×Í ÀÒ¤ÃÑ°àͧäÁ ä´ ¹§Ôè ¹Í¹ã¨µ ͼšÃзº·Õ¨è Ðà¡Ô´¢Ö¹é â´Â੾ÒСԨ¡ÒÃ/ÍصÊÒË¡ÃÃÁ·Õäè Á ÁÕ¤ÇÒÁ ¾Ã ÍÁ㹡ÒÃᢠ§¢Ñ¹ â´Âá¼¹§Ò¹ÃͧÃѺ¼Å¡Ãзº·Õäè ´ Á¡Õ ÒôíÒà¹Ô¹§Ò¹ÁÒáÅ Ç ä´ á¡
1. ¡ÒèѴµÑ§é ¡Í§·Ø¹à¾×Íè ¡ÒûÃѺµÑǢͧÀÒ¤¡ÒüÅÔµáÅкÃÔ¡Òà ·Õäè ´ ÃºÑ ¼Å¡Ãзº¨Ò¡¡ÒÃà» ´àÊÃÕ ·Ò§ ¡Òä Ò (µÒÁÁµÔ¤³ÐÃÑ°Á¹µÃÕ àÁ×Íè Çѹ·Õè 8 ¾ÄÉÀÒ¤Á 2550) à¾×Íè ãË ¤ÇÒÁª ÇÂàËÅ×Íá¡ ¼¼Ù ÅÔµ áÅмٻ ÃСͺ¡Òà ÊÔ¹¤ Òà¡ÉµÃá»ÃÃÙ» ÊÔ¹¤ ÒÍصÊÒË¡ÃÃÁ áÅкÃÔ¡Òà ·Õäè ´ ÃºÑ ¼Å¡Ãзº¨Ò¡¡ÒÃà» ´àÊÃÕ¡Òä ÒãË ÊÒÁÒö»ÃѺµÑÇËÃ×Í »ÃѺà»ÅÕÂè ¹ãË ÊÒÁÒöᢠ§¢Ñ¹ä´
2. ÁҵáÒû ͧ¡Ñ¹¼Å¡Ãзº ¡ ͹˹ Ò¹Õé ¡ÃзÃǧ¾Ò³ÔªÂ ä´ àʹͨѴ·íÒ¡®ËÁÒ«֧è ä´ ¼Ò ¹ÊÀÒ¹ÔµÔ ºÑѵÍÔ Í¡ÁÒà» ¹ ¾Ãº. ÁҵáÒû¡» ͧ¡ÒùíÒࢠҷÕàè ¾ÔÁè ¢Ö¹é (Safeguard Measure) «Ö§è ËÒ¡¡ÒôíÒà¹Ô¹¡ÒõÒÁ AEC Blueprint ¡ ÍãË à¡Ô´¼Å¡Ãзº¡çÊÒÁÒö¹íÒ¡®ËÁÒ¹ÕÁé Ò㪠ä´
3. ¡ÒèѴµÑ§é ¤³Ð͹ءÃÃÁ¡ÒôíÒà¹Ô¹¡ÒõÒÁá¼¹§Ò¹ä»ÊÙ¡ ÒÃà» ¹»ÃЪҤÁàÈÃÉ°¡Ô¨ÍÒà«Õ¹
http://aec.kapook.com/view50473.html
º·¤ÇÒÁ AEC ÊíҤѷդè ÇÃÍ Ò¹ ¨Ø´ á¢ç§áµ ÅлÃÐà·Èã¹ÍÒà«Õ¹àÃÒ¨ÐÁÒ´Ù¨´Ø á¢ç§ã¹áµ ÅлÃÐà·È㹡ÅØÁ AEC ¹Ñé¹Ç ÒÁÕ¨´Ø á¢ç§ÍÐäú Ò§ ·Õè àËÁÒШÐࢠÒä»Å§·Ø¹à¾×Íè Êà ҧ¡íÒäÃã¹áµ ÅлÃÐà·È ÍÁµ ͧÁÕ¨´Ø á¢ç§·Õáè µ¡µ Ò§¡Ñ¹ÍÍ¡ä» â´ÂàÃÒ¨ÐÁÒ´ÙÇÒ ã¹ áµ ÅлÃÐà·ÈÇ ÒÁÕ·ÃѾÂÒ¡ÃáÅШشഠ¹ÍÐäáѹº Ò§ 1. »ÃÐà·È¡ÑÁ¾ÙªÒ ä´ á¡ ·ÃѾÂҡøÃÃÁªÒµÔ·ÕèËÅÒ¡ËÅÒÂáÅÐÍØ´ÁÊÁºÙó â´Â੾ÒйéíÒ » ÒäÁ áÅÐáà ª¹Ô´µ Ò§æ 2. »ÃÐà·Èä·Â ä´ á¡ ÁÕáç§Ò¹¨íҹǹÁÒ¡ ·ÕèµÑé§àËÁÒÐá¡ ¡ÒÃà» ¹Èٹ ¡ÅÒ§â¤Ã§¢ ÒÂàª×èÍÁ⧡ÒäÁ¹Ò¤Á´ Ò¹ µ Ò§æ à» ¹ °Ò¹¡ÒüÅÔµÊÔ¹¤ ÒÍصÊÒË¡ÃÃÁáÅÐÊÔ¹¤ Òà¡ÉµÃËÅÒ¡ËÅÒÂÃÒÂãË ¢Í§âÅ¡ 3. »ÃÐà·ÈºÃÙä¹ ä´ á¡ ÃÒÂä´ à©ÅÕèµ ͤ¹/µ Í» ÍÂÙã ¹Íѹ´Ñº·Õè 2 ¢Í§ÍÒà«Õ¹áÅÐÍѹ´Ñº26 ¢Í§âÅ¡ à» ¹¼Ù Ê §ÍÍ¡ ¹éíÒÁѹ áÅÐÁÕ»ÃÔÁÒ³¡ÒÃÊíÒÃͧ¹éíÒÁѹ໠¹Íѹ´Ñº 4 ¢Í§ÍÒà«Õ¹ 4. »ÃÐà·È¾Á Ò ä´ á¡ ÁÕ·ÃѾÂҡøÃÃÁªÒµÔ ¹éíÒÁѹáÅС Ò«¸ÃÃÁªÒµÔ¨íҹǹÁÒ¡ ÁÕ¾ÃÁá´¹àª×èÍÁ⧨չáÅÐÍÔ¹à´Õ 5. »ÃÐà·È¿ ÅÔ»» ¹Ê ä´ á¡ ÁÕ»ÃЪҡèíҹǹÁÒ¡Íѹ´Ñº·Õè 12 ¢Í§âÅ¡ áç§Ò¹·ÑèÇä»ÁÕ¤ÇÒÁÃÙ ÊÒÁÒöÊ×èÍÊÒà ÀÒÉÒÍѧ¡ÄÉä´ 6. »ÃÐà·ÈÁÒàÅà«ÕÂ ä´ á¡ ÁÕ»ÃÐÁÒ³¡ÒÃÊíÒÃͧ¹éíÒÁѹÁÒ¡à» ¹ Íѹ´Ñº·Õ3è áÅС Ò«¸ÃÃÁªÒµÔÁÒ¡à» ¹Íѹ´Ñº·Õ2è ¢Í§àÍàªÕÂừԿ ¡ Ãкºâ¤Ã§Êà ҧ¾×é¹°Ò¹¤ÃºÇ§¨Ã áÅÐáç§Ò¹ÁÕ·Ñ¡ÉÐ 7. »ÃÐà·ÈÅÒÇ ä´ á¡ ¡ÒÃàÁ×ͧÁÕàʶÕÂÃÀÒ¾ ÁÕ·ÃѾÂҡøÃÃÁªÒµÔ·Õè ÍØ´ÁÊÁºÙó â´Â੾ÒйéíÒ áÅÐáà ª¹Ô´µ Ò§æ 8. »ÃÐà·ÈàÇÕ´¹ÒÁ ä´ á¡ ÁÕ»ÃЪҡÃà» ¹íÒҹǹÁÒ¡ Íѹ´Ñº·Õ1è 4 ¢Í§âÅ¡ ÁÕá¹ÇªÒ½ §·ÐàÅÂÒÇ¡Ç Ò 3,200 ¡ÔâÅàÁµÃ
9. »ÃÐà·ÈÊÔ§¤â»Ã ä´ á¡ ÃÒÂä´ à©ÅÕèµ ͤ¹/µ Í» ÊÙ§·ÕèÊØ´¢Í§ÍÒà«Õ¹áÅеԴÍѹ´Ñº15 ¢Í§âÅ¡ à» ¹Èٹ ¡ÅÒ§·Ò§ ¡ÒÃà§Ô¹ÃÐËÇ Ò§»ÃÐà·È ÁÕ·ÕèµÑé§àÍ×é͵ Í¡ÒÃà» ¹Èٹ ¡ÅÒ§¡ÒÃà´Ô¹àÃ×Í 10. »ÃÐà·ÈÍԹⴹÕà«ÕÂ ä´ á¡ ÁÕ»ÃЪҡÃÁÒ¡à» ¹Íѹ´Ñº4 ¢Í§âÅ¡ áÅÐÁÒ¡·ÕèÊØ´ã¹àÍàªÕµÐÇѹÍÍ¡à©Õ§㵠ÁÕªÒÇ ÁØÊÅÔÁÁÒ¡
11. ·ÕèÊØ´ã¹âÅ¡ ÁÕ·ÃѾÂҡøÃÃÁªÒµÔ·ÕèËÅÒ¡ËÅÒÂáÅШ ҹǹÁÒ¡ â´Â੾Òж Ò¹ËÔ¹ ¹éíÒÁѹ ¡ Ò«¸ÃÃÁªÒµÔ âÅËе Ò§æ http://www.thai-aec.com/969#ixzz3kvg93RKR
10 » ¨¨ÑÂÊÙ ¤ÇÒÁÊíÒ àÃç¨ ¡Òä Ò -ŧ·Ø¹ã¹ÍÒà«Õ¹ à¾×è͵ ͹ÃѺ» 2558 «Ö觨Ðà» ¹» ·Õè 10 »ÃÐà·ÈÊÁÒªÔ¡ÍÒà«Õ¹¨ÐࢠÒÊÙ ¡ÒÃà» ¹»ÃЪҤÁÍÒà«Õ¹Í ҧ໠¹·Ò§¡Òà ¼Á¢Í㪠âÍ¡ÒʹÕéÊÃØ» 10 » ¨¨ÑÂÊÙ ¤ÇÒÁÊíÒàÃç¨ã¹¡Ò÷íÒ¡Òä Ò¡ÒÃŧ·Ø¹ã¹ÍÒà«Õ¹ÁÒãË ¤Ø³æ ¼Ù Í Ò¹ä´ ¾Ô¨ÒóҤÃѺ à¾ÃÒÐàª×èÍÇ Ò» 2558 ¹ Ò¨Ðà» ¹Ë ǧàÇÅÒ·Õè¼Ù »ÃСͺ¡ÒÃä·ÂÇҧἹ·Õè¨ÐºØ¡µÅÒ´ÍÒà«Õ¹ÍÂÙ áÅ Ç 1.µ ͧÁÕ¡ÒÃÇҧἹ¸ØáԨ áÅÐàÃÕ¹ÃÙ¾ ĵԡÃÃÁ¢Í§¼Ùº ÃÔâÀ¤ã¹áµ ÅеÅÒ´ ¼Ù »ÃСͺ¡ÒÃä·Â·Õèµ Í§¡ÒÃÍ͡仢ÂÒ¸ØáԨ ã¹µ Ò§»ÃÐà·È¨Ðµ ͧÁÕ¡ÒÃàµÃÕÂÁµÑÇáÅÐÇҧἹÃѺÁ×͡Ѻʶҹ¡Òó µ Ò§æ äÇ ã¹ÅѡɳТͧ¤Ù Á×Í·Õè¨Ð·íÒãË ¼Ù ºÃÔËÒà ÊÒÁÒö·íÒµÒÁ¢Ñé¹µÍ¹ä´ ·Ñ¹·ÕàÁ×èÍà¡Ô´à˵ءÒó µ Ò§æ ¢Öé¹ ã¹¢³Ðà´ÕÂǡѹ ¾ÄµÔ¡ÃÃÁ¢Í§ÅÙ¡¤ Ò·Õè¨ÐࢠÒÁÒ㪠ºÃÔ¡Òà ࢠÒÁÒ «×éÍÊÔ¹¤ ҢͧàÃÒã¹áµ ÅлÃÐà·ÈÍÒà«Õ¹¡çÁÕÃʹÔÂÁáÅÐÃٻẺ¡ÒÃ㪠ªÕÇÔµ·Õèᵡµ Ò§¡Ñ¹ ÊÔ¹¤ ÒÊÕ˹Öè§ÍÒ¨¨Ð¢Ò´Õ㹺ҧ »ÃÐà·È áµ ÍÒ¨¨Ð¢ÒÂäÁ Í͡㹺ҧ»ÃÐà·È¡çä´ àª ¹ ã¹ÁÒàÅà«Õ ÍԹⴹÕà«Õ ¼Ù ¤¹äÁ ¹ÔÂÁÊÔ¹¤ ÒÊÕàËÅ×ͧ ã¹¢³Ð·Õè¾Á Ò¼Ù ¤¹äÁ ªÍºÊÔ¹¤ ÒÊÕÊ ÁáÅÐÊÕ¢ÒÇ à¾ÃÒÐËÁÒ¶֧¤ÇÒÁµÒÂ㹡ÑÁ¾ÙªÒ ઠ¹¹Õàé » ¹µ ¹¤ÃѺ µ ͧÁÕ¡Ò÷´ÊͺÀÒÇÐÇԡĵ (Stress Test) áÅÐÇҧἹÃѺÁ×ÍàµÃÕÂÁäÇ ã¹ÅѡɳТͧ¤Ù Á×Í·Õè¨Ð·íÒãË ¼Ù ºÃÔËÒÃÃдѺ¡ÅÒ§ ÊÒÁÒö·íÒµÒÁà» ¹¢Ñé¹æ ä´ ·Ñ¹·ÕàÁ×èÍà¡Ô´à˵ءÒó ¢Öé¹ â´Âµ ͧ·´Êͺã¹ËÅÒÂæ ʶҹ¡Òó ¨íÒÅͧ ÍÒ·ÔàÁ×èÍÁÕ¤ÇÒÁäÁ á¹ ¹Í¹·Ò§¡ÒÃàÁ×ͧÀÒÂã¹ àÁ×èÍÁÕ¡Òû ´¨Ø´¼ ҹᴹáÅд Ò¹ªÒÂá´¹ àÁ×èÍÁÕ¤ÇÒÁäÁ àʶÕÂÃã¹Ãкºä¿¿ Ò àÁ×èÍÃкºÍѵÃÒ áÅ¡à»ÅÕè¹áÅСÒÃâ͹à§Ô¹ÁÕÍØ»ÊÃä à» ¹µ ¹ ¤Ô´àÍÒäÇ Å Ç§Ë¹ ÒàŤÃÑºÇ Òà˵ءÒó àÅÇà Ò·ÕèÊØ´·Õè¨Ðà¡Ô´¢Öé¹ä´ ¨Ò¡¡ÒÃä»·íÒ ¡Òä Ò¡ÒÃŧ·Ø¹ã¹¤ÃÑ駹ÕéÁÕÍÐäú Ò§ ¤Ô´¡ ͹·Õè¨ÐàÃÔèÁàÍÒà§Ô¹ä»Å§·Ø¹¤ÃѺ à¾ÃÒС ͹ŧà§Ô¹ ʵÔÊÁÒ¸ÔÂѧÁդú¤ÃѺ» ҨРà¡Ô´¢Öé¹ àµÃÕÂÁ¤Ù Á×͹ÕéäÇ ¾Í» ËÒà¡Ô´¡çàÍÒÁÒ¾Ô¨ÒóÒáÅлÃѺ㪠˹ Ò§Ò¹ÍÕ¡¤ÃÑé§ ´Õ¡Ç Ò令ԴàÍÒàÁ×èÍà¡Ô´» ËÒ à¾ÃÒÐàÁ×èÍ· ҹŧà§Ô¹ ä»áÅ Ç ¶ ÒäÁ ÁÕ¡ÒÃàµÃÕÂÁ¤ÇÒÁ¾Ã ÍÁ·Õè´ÕÊ Ç¹ãË àÇÅÒ» ËÒà¡Ô´ · Ò¹¨Ð ˹ ÒÁ×´ äà ÊÁÒ¸ÔáÅÐàÊÕÂʵԤÃѺ áÅÐÍÒ¨¨Ð¤Ô´àÍÒ § ÒÂæ Ç Ò àÍÒà§Ô¹ µ Íà§Ô¹ÊÔËÇÑ§Ç ÒãÊ à§Ô¹¡ ͹ãËÁ ࢠÒä» ¨ÐÅÒ¡àÍÒà§Ô¹¡ ͹ࡠÒÍÍ¡ ÁÒä´ «Öè§Ê ǹãË ¨Ðਠ§·Ñé§ËÁ´¤ÃѺ
2.¾Ñ¹¸ÁԵ÷ҧ¸ØáԨ·Õàè » ¹¤¹ã¹· ͧ¶Ô¹è à» ¹ÊÔ§è ¨íÒà» ¹Í ҧÂÔ§è ¾Ñ¹¸ÁԵ÷ҧ¸ØáԨ·Õèà» ¹¤¹· ͧ¶Ôè¹à» ¹ÊÔ觨íÒà» ¹Í ҧÂÔè§ ÊíÒËÃѺ¡ÒÃÍÍ¡ä»Å§·Ø¹ã¹µ Ò§»ÃÐà·Èà¹×èͧ¨Ò¡¾Ñ¹¸ÁԵ÷Õè´Õ¨ÐÃÙ ª ͧ·Ò§ ÃÙ ¡®ÃÐàºÕº ÃÇÁ·Ñé§ÁÕÊÒÂÊÑÁ¾Ñ¹¸ ·Õè´Õ¡ÑºÃÑ°ºÒÅ ¡ÅÒ§áÅÐÃÑ°ºÒÅ· ͧ¶Ôè¹ µÑÇÍ ҧઠ¹ ã¹ Ê»».ÅÒÇ µíÒá˹ §¼Ù ºÃÔËÒâͧÀÒ¤ÃÑ°¨ÐÁÕ¡Òà ÊѺà»ÅÕè¹â¡ Ò·ءæ 3 » ¾Ç¡àÃÒ¤¹¹Í¡äÁ ·ÃÒºËÃÍ¡¤ÃÑºÇ ÒÍÕ¡ 3 » ¢ ҧ˹ Òã¤Ã¨ÐÁÒà» ¹à¨ Òá¢Ç§ áµ ¤¹ÅÒÇ´ Ç¡ѹà¢Ò¾Í¨Ðà´Ò·Ò§ÍÍ¡¤ÃÑºÇ Ò ã¤Ã¨Ð¢Öé¹ÁÒ áÅТ ÍÁÙÅ»ÃÐàÀ·¹ÕéÃÙ ¡ Í¹ä´ à»ÃÕº¤ÃѺ à¾ÃÒÐਠÒá¢Ç§¢Í§Ê»».ÅÒÇ ÊÒÁÒöãË ÊÔ·¸Ô¾ÔàÈÉ㹡Ò÷íÒ¡Òä Ò¡Òà ŧ·Ø¹ä´ Í ҧ¹ Òʹ㨷Õà´ÕÂǤÃѺ ¡Ò÷íҧҹà ÇÁ¡Ñ¹¡Ñº¤¹· ͧ¶Ôè¹µ ͧÍÒÈѤÇÒÁäÇ à¹×éÍàª×èÍã¨à» ¹ËÅÑ¡ à¹×èͧ¨Ò¡Ãкº¡®ËÁÒÂáÅÐÃкº¡ÒõÃǨÊͺ·Ò§ ¡ÒÃà§Ô¹ÁÕ¤ÇÒÁᵡµ Ò§¨Ò¡·Õè¹Ñ¡¸ØáԨä·Â¤Ø ¹à¤Â áÅе ͧäÁ àÍÒà»ÃÕº¾Ñ¹¸ÁԵ÷ҧ¸ØáԨ·Õàè ÃÒä»Ã ÇÁŧ·Ø¹´ Ç 3.ÈÖ¡ÉÒÃкº Logistics áÅÐàÊ ¹·Ò§¡ÒäÁ¹Ò¤Á µ ͧÈÖ¡ÉÒàÊ ¹·Ò§¡ÒäÁ¹Ò¤ÁÃÇÁ·Ñé§Ãкº¡Òâ¹Ê §âŨÔÊµÔ¡Ê µ ͧ ÍѾഷ¢ ÒÇÊÀÒ¾àÊ ¹·Ò§áÅÐàÊ ¹·Ò§¢¹Ê §ÊÒÂãËÁ æ ÍÂÙà ÊÁÍ ÃÇÁ·Ñé§àÊ ¹·Ò§¢¹Ê §·Õè¨Ð·íÒãË ËÅÒÂæ »ÃÐà·Èã¹ÍÒà«Õ¹໠¹ Èٹ ¡ÅÒ§¡Òâ¹Ê §·Ò§·ÐàŢͧÍÒà«Õ¹ áÅÐà» ¹»ÃеÙÊÀ٠Ҥ㵠áÅÐÀÒ¤ µÐÇѹµ¡¢Í§¨Õ¹ ÃÇÁ·Ñ§é à» ¹»ÃеÙÊÙ ÀÙÁÔÀÒ¤·Ò§ µÐÇѹÍÍ¡à©Õ§à˹×ͧ͢ÍÔ¹à´ÕÂÍÕ¡´ Ç à§Ô¹Ê´ÊíÒÃͧáÅСÃÐáÊà§Ô¹·Ø¹ËÁعàÇÕ¹ ¡ÒÃŧ·Ø¹ã¹ËÅÒÂæ »ÃÐà·Èã¹ÍÒà«Õ¹µ ͧÁÕÊÒ» Ò¹ÂÒÇ à§Ô¹Ê´ÊíÒÃͧáÅСÃÐáÊ à§Ô¹·Ø¹ ËÁعàÇÕ¹µ ͧÁÕ»ÃÔÁÒ³·ÕèÁÒ¡à¾Õ§¾Í à¹×èͧ¨Ò¡¢¹Ò´µÅÒ´ã¹»ÃÐà·È·ÕèÁÕ¢¹Ò´àÅç¡ àª ¹ Ê»».ÅÒÇ ¾Á ÒáÁ ¨ÐÁÕÍѵÃÒ ¡ÒÃàµÔºâµÊÙ§ áµ ¨Ð㪠àÇÅÒ㹡Òä׹·Ø¹¤ ͹¢ Ò§ÂÒǹҹ â´Â㹺ҧÀÒ¤¡ÒüÅÔµÊÔ¹¤ Ò áÅкҧÀÒ¤ºÃÔ¡Òà ÃÑ°ºÒÅËÅÒ»ÃÐà·È ઠ¹ àÇÕ´¹ÒÁ àÃÕ¡ãË ¼Ù »ÃСͺ¡ÒèíÒà» ¹µ ͧÁÕ à§Ô¹·Ø¹ ¨´·ÐàºÕ¹·ÕèªíÒÃÐáÅ ÇÊÙ§
http://www.thai-aec.com/960#ixzz3kvgQZmzL
AEC â´ÂÊÃØ» ¨Ø´¢Ò AEC ¨ÃÔ§æ ¤×Í AEC+3, AEC+6 «Öè§ÃÇÁ ¨Õ¹ à¡ÒËÅÕãµ Õè»Ø ¹ ÍÔ¹à´Õ ÍÍÊàµÃàÅÕ ¹ÔÇ«ÕᏴ ¡ÒâÂÒµÑǢͧàÈÃÉ°¡Ô¨¨Õ¹áÅÐÍÔ¹à´Õ ·Õè¨Ðà» ¹ËÑÇö¨Ñ¡Ã㹡ÒâѺà¤Å×è͹àÈÃÉ°¡Ô¨ÀÙÁÔÀÒ¤ Ë Ç§â« ÍØ»·Ò¹¡Ã¼ÅÔµÃдѺâÅ¡¢Í§ºÃÃÉÑ·¢ ÒÁªÒµÔ ·Õèáµ à´ÔÁ㪠àÍàªÕÂà» ¹°Ò¹¡ÒüÅÔµà¾×èÍÊ §ÊÔ¹¤ ÒÊíÒàÃç¨ÃÙ»µÍºÊ¹Í§ÍØ» ʧ¤ ã¹ÊËÃÑ° ÂØâû áÅÐÕè» ¹ ¨Ð¡ÅÒÂÁÒà» ¹¼ÅԵ㹻ÃЪҤÁÍÒà«Õ¹ à¾×è͵ͺʹͧ Íػʧ¤ ã¹àÍàªÕÂ/ »ÃЪҤÁÍÒà«Õ¹໠¹ËÅÑ¡ ¼Å¤×Í â¤Ã§Êà ҧµ ¹·Ø¹¢¹Ê §áÅÐÀÒÉբͧÊÔ¹¤ ÒÊíÒàÃç¨ÃÙ» ¨Ð¶Ù¡¡Ç ÒÊÔ¹¤ Ò»ÃÐàÀ·à´ÕÂǡѹ·Õè¢ÒÂã¹ÂØâû ºÃÃÉÑ·¢ ÒÁªÒµÔ¨Ò¡ÊËÃÑ°ÍàÁÃÔ¡ÒáÅÐÂØâû¨ÐÁØ §Ë¹ ÒµÑ駰ҹ¡ÒüÅԵ㹠AEC ÁÒ¡¢Öé¹áÅÐà¨ÒеÅÒ´ã¹ AEC ÁÒ¡¢Öé¹ àÁ×èͼ¹Ç¡¡Ñº » ¨¨ÑÂà» ¹¤Ø³¢Í§»ÃЪҤÁÍÒà«Õ¹ ä´ á¡ â¤Ã§Êà ҧ»ÃЪҡ÷Õèà» ¹ÇÑ¡íÒÅѧáç§Ò¹ ʶҹзҧàÈÃÉ°¡Ô¨ÁË ÀÒ¾·ÕèᢠÁá¢ç§ (˹ÕéÊÒ¸ÒóÐã¹ÃдѺµèíÒáÅÐÁÕ¡ÒÃà¡Ô¹´ØźѪÕà´Ô¹ÊоѴ) ʶҺѹ¡ÒÃà§Ô¹·ÕèࢠÁá¢ç§ ¼Å¡ç¤×Í ¡ÒâÂÒµÑÇ ¢Í§¡ÒúÃÔâÀ¤ã¹àÍàªÕ /»ÃЪҤÁÍÒà«Õ¹ ¨ÐÊÙ§ÁÒ¡ áÅÐÂÔ觪Ѵ¨Ù§ãË ºÃÃÉÑ·¢ ÒÁªÒµÔ¨Ò¡µ Ò§»ÃÐà·ÈÁØ §Ë¹ ÒÁÒà¨ÒÐ µÅÒ´ã¹ AEC ÁÒ¡¢Öé¹ ¡ÒÃᢠ§¢Ñ¹ã¹¸ØáԨ¨ÐࢠÁ¢ ¹¢Öé¹ã¹Í¹Ò¤µâ´Â੾ÒиØáԨ·Õèà» ´ãË à¤Å×è͹ ÒÂà§Ô¹·Ø¹ /áç§Ò¹Í ҧàÊÃÕã¹ AEC ¹Õè¤×Í·ÕèÁҢͧ¡ÒäǺÃÇÁ¡Ñ¹¸ØáԨâç¾ÂÒºÒÅã¹ä·ÂÍ ҧ˹ѡ㹪 ǧ» ·Õè¼ Ò¹ÁÒ ¸ØáԨ¢¹Ò´ãË ¢Í§ä·Â¡çàà §¤ÇºÃÇÁ¡Ñ¹ÁÒ¡¢Öé¹·Ñé§ã¹ä·ÂáÅÐ仫×éÍ¡Ô¨¡Òõ Ò§»ÃÐà·È à¾×èÍÃͧÃѺÃдѺ¡ÒÃᢠ§¢Ñ¹·Õàè ¢ Á¢ ¹ ÁÒ¡ã¹Í¹Ò¤µ
Read more: http://arkaz.proboards.com/thread/36/aec#ixzz3kvk2AEJT
¢ ÍÊͺàÃ×Íè §·Õè 1 ¡íÒà¹Ô´ÍÒà«Õ¹
1. ÍÒà«Õ¹¤×ÍÍÐäà ?
4. ¢ Íã´äÁ ãª ÇµÑ ¶Ø»ÃÐʧ¤ 㹡ÒÃà ÇÁ¡ÅØÁ ¢Í§ÍÒà«Õ¹?
¡.
ÊÁÒ¤Á»ÃЪҪҵÔáË §àÍàªÕµÐÇѹÍÍ¡
¡.
à¾×è;Ѳ¹Ò·Ò§´ Ò¹àÈÃÉ°¡Ô¨
¢.
ͧ¤ ¡ÃáË §»ÃЪҪҵÔàÍàªÕµÐÇѹÍÍ¡
¢.
à¾×èÍà ÇÁ¡Ñ¹µ ͵ Ò¹¡ÒÃࢠÒÁÒŧ·Ø¹¢Í§µ Ò§ªÒµÔ
¤.
»ÃЪҪҵÔáË §àÍàªÕµÐÇѹÍÍ¡à©Õ§ãµ
¤.
à¾×èÍÊ §àÊÃÔÁ¤ÇÒÁÁÑ蹤§»ÅÍ´ÀÑ·ҧ¡ÒÃàÁ×ͧ
§.
»ÃЪҪҵÔÁÇÅÃÇÁáË §·ÇÕ»àÍàªÕÂãµ
§.
à¾×èÍÊ §àÊÃÔÁ¤ÇÒÁࢠÒã¨Íѹ´Õµ ͡ѹÃÐËÇ Ò§»ÃÐà·È
2. ¢ Íã´¤×Í ÍÒà«Õ¹ (ASEAN) ?
5.
¢ Íã´à» ¹»ÃÐ⪹ ¢Í§¡Òá ÍµÑ§é »ÃЪҤÁÍÒà«Õ¹?
¡.
Asia South East Association Nations
¡.
à»ÅÕè¹ÁÒ㪠à§Ô¹µÃÒÊ¡ØÅà´ÕÂǡѹ
¢.
Association for South East Asian
¢.
·íÒãË ¹Ñ¡Å§·Ø¹äÁ ¡Å Ò¡Ñ¡µØ¹ÊÔ¹¤ Ò
Nations ¤.
Asia South East Association National
§.
Association for South East Asian
¤.
·íÒãË ª¹¾×é¹àÁ×ͧÁÕÊÔ·¸Ôì㹡ÒÃŧ·Ø¹ÁÒ¡¡Ç Ò µ Ò§ªÒµÔ
§.
ÁÕÍíÒ¹Ò¨µ ÍÃͧ·Ò§¡Òä ҡѺµ Ò§ªÒµÔà¾ÔèÁ¢Öé¹
National 6. 3. àÃÔÁè áá ÍÒà«Õ¹ (ASEAN) ¨Ñ´µÑ§é â´Â»ÃÐà·ÈÊÁÒªÔ¡ ¡Õ»è ÃÐà·È?
¢ ͤÇÒÁã´µ Í仹Õäé Á ¶¡Ù µ ͧà¡ÕÂè ǡѺÍÒà«Õ¹ (ASEAN)? ¡.
ÍÒà«Õ¹ÁÕÇѵ¶Ø»ÃÐʧ¤ à¾×èÍÊà ҧ¤ÇÒÁà ÇÁÁ×Í
¡.
4 »ÃÐà·È
·Ò§¡Òä ÒáÅСÒþѲ¹ÒàÈÃÉ°¡Ô¨ã¹ÀÙÁÔÀÒ¤àÍàªÕÂ
¢.
5 »ÃÐà·È
µÐÇѹÍÍ¡à©Õ§ãµ
¤.
6 »ÃÐà·È
¢.
§.
7 »ÃÐà·È
µÐÇѹÍÍ¡à©Õ§㵠໠¹à¢µÊѹµÔÀÒ¾áÊÃÕÀÒ¾ áÅФÇÒÁà» ¹ ¡ÅÒ§
ÍÒà«Õ¹ÁÕÇѵ¶Ø»ÃÐʧ¤ ·Ò§¡ÒÃàÁ×ͧà¾×èÍãË àÍàªÕÂ
¤.
ÍÒà«Õ¹»ÃÐʺ¤ÇÒÁÊíÒàÃç¨ã¹¡ÒâÂÒ¡Òä Ò
¤. 8 ÊÔ§ËÒ¤Á 2510
ÃÐËÇ Ò§»ÃÐà·ÈÊÁÒªÔ¡áÅÐÅ´¡Òä ҡѺ»ÃÐà·È¹Í¡
§. 28 ÊÔ§ËÒ¤Á 2510
ÀÙÁÔÀÒ¤ §.
ÍÒà«Õ¹»ÃÐʺ¤ÇÒÁÊíÒàÃç¨ã¹
10. »ÃÐà·ÈÊÁÒªÔ¡·Õ¡è Í µÑ§é ÍÒà«Õ¹ ÁÕ»ÃÐà·Èã´º Ò§ ?
¡ÒÃÂصԻ ËÒ¤ÇÒÁ¢Ñ´á §ÃÐËÇ Ò§»ÃÐà·Èã¹ÀÙÁÔÀÒ¤
¡. ä·Â ¿ ÅÔ»» ¹Ê ÁÒàÅà«Õ ÊÔ§¤â»Ã ÍԹⴹÕà«ÕÂ
7.
»ÃÐà·È·Õàè ¢ Òà» ¹ÊÁÒªÔ¡Å ÒÊØ´¢Í§ÍÒà«Õ¹¤×Í ? ¡.
ÍԹⴹÕà«ÕÂÃ
¢.
àÁÕ¹ÁÒÃ
¤. §.
àÇÕ´¹ÒÁ ¡ÑÁ¾ÙªÒ
¢. ä·Â ¿ ÅÔ»» ¹Ê ºÃÙä¹ ÊÔ§¤â»Ã àÇÕ´¹Ò Á ¤. ºÃÙä¹ àÇÕ´¹ÒÁ ÅÒÇ
¾Á Ò
§. ÅÒÇ ¾Á Ò ä·Â ¿ ÅÔ»» ¹Ê ÊÔ§¤â»Ã 11. ÃÑ°Á¹µÃÕÇÒ ¡ÒáÃзÃǧ¡Òõ Ò§»ÃÐà·ÈÍÒà«ÕÂ¹ä´ Å§¹ÒÁ»¯ÔÒÍÒà«Õ¹ àÁ×Íè Çѹ·Õàè · ÒäÃ?
8 .Çѵ¶Ø»ÃÐʧ¤ ¢Í§ÇÔÊÂÑ ·Ñȹ ÍÒà«Õ¹¤×ÍÍÐäà ? ¡. ãË ÍÒà«Õ¹໠¹à¢µàÈÃÉ°¡Ô¨·ÕèÁÕ¤ÇÒÁÁÑ蹤§ ÁÑ觤Ñè§ áÅÐ ÊÒÁÒöᢠ§¢Ñ¹ã¹µÅÒ´âÅ¡ã¹·Ø¡ æ ´ Ò¹ ¢. ãË ÍÒà«Õ¹ÁÕ¤ÇÒÁÁÑ蹤§·Ò§¡ÒÃàÁ×ͧ ¡Òû¡¤Ãͧ·ÕÁè Õ »ÃÐÊÔ·¸ÔÀÒ¾ ¤. ãË à» ¹à¢µ»ÅÍ´ÍÒÇظ¹ÔÇà¤ÅÕÂáÅÐÇѵ¶ØÍѹµÃÒµ Ò§æ §. ãË à» ¹à¢µ¡Òä ÒàÊÃÕã¹á¶ººÃÔàdzÀÙÁÔÀÒ¤ã¡Å à¤Õ§
9. ÍÒà«Õ¹¡ ͵ѧé àÁ×Íè ã´ ? ¡. 7 ÊÔ§ËÒ¤Á 2510 ¢. 18 ÊÔ§ËÒ¤Á 2510
¡ÑÁ¾ÙªÒ
¡. 8 ÊÔ§ËÒ¤Á 2510 ¢. 13 ÊÔ§ËÒ¤Á 2520 ¤. 4 ¸Ñ¹ÇÒ¤Á 2515 §. ¼Ô´·Ø¡¢ Í
¢ ÍÊͺàÃ×Íè §·Õè 2 ÊÙà » ÒËÁÒ»ÃЪҤÁÍÒà«Õ¹
§. ¶Ù¡·Ø¡¢ Í
1.
ÍÒà«Õ¹ÁÕ 3 àÊÒËÅÑ¡ ¡àÇ ¹¢ Íã´?
¡.
»ÃЪҤÁ¡Òû¡¤ÃͧÍÒà«Õ¹
4. ÊÔ§è ã´à»ÃÕºàÊÁ×͹¸ÃÃÁ¹Ù¢Í§ÍÒà«Õ¹·Õ¨è ÐÇÒ§
¢.
»ÃЪҤÁ¡ÒÃàÁ×ͧáÅФÇÒÁÁÑ蹤§ÍÒà«Õ¹
¡Ãͺ·Ò§¡®ËÁÒÂáÅÐâ¤Ã§Êà ҧͧ¤ ¡Ãà¾×Íè à¾ÔÁè
¤.
»ÃЪҤÁàÈÃÉ°¡Ô¨ÍÒà«Õ¹
»ÃÐÊÔ·¸ÔÀÒ¾¢Í§ÍÒà«Õ¹ËÃ×Í·íÒãË ÍÒà«Õ¹ÁÕʶҹÐà» ¹¹ÔµÔ
§.
»ÃЪҤÁÊѧ¤ÁáÅÐÇѲ¹¸ÃÃÁ
ºØ¤¤Å? ¡. ¡®ºÑµÃÍÒà«Õ¹
2. ¢ Íã´¤×Í »ÃЪҤÁÊѧ¤ÁáÅÐÇѲ¹¸ÃÃÁÍÒà«Õ¹?
¢. »¯ÔÒÍÒà«Õ¹
¡. (ASEAN Political-Security Community
¤. ÇÔÊÑ·Ñȹ ÍÒà«Õ¹
Blueprint)
§. ÊÑÅѡɳ ÍÒà«Õ¹
¢. (ASEAN Political and Security Community – APSC)
5. ¡®ºÑµÃÍÒà«Õ¹ »ÃСͺ´ Ǻ·ºÑѵ¡Ô ¢Õè Í áÅÐÁÕ¡Õè
¤. (ASEAN Socio-Cultural Community –
ËÁÇ´?
ASCC) §. (ASEAN Political-Security CommunityAEC) 3. »ÃЪҤÁ¡ÒÃàÁ×ͧáÅФÇÒÁÁÑ¹è ¤§ÍÒà«Õ¹ ÁÕ
¡. ¡®ºÑµÃÍÒà«Õ¹ »ÃСͺ´ Ç º·ºÑÑµÔ 55 ËÁÇ´ 13 ¢ Í ¢. ¡®ºÑµÃÍÒà«Õ¹ »ÃСͺ´ Ç º·ºÑÑµÔ 13 ËÁÇ´ 55 ¢ Í ¤. ¡®ºÑµÃÍÒà«Õ¹ »ÃСͺ´ ÇÂ
Çѵ¶Ø»ÃÐʧ¤ à¾×Íè ÍÐäÃ? ¡. ÁÕÇѵ¶Ø»ÃÐʧ¤ à¾×èÍàÊÃÔÁÊà ҧáÅиíÒçäÇ «Öè§ÊѹµÔÀÒ¾
º·ºÑÑµÔ 17 ËÁÇ´ 53 ¢ Í §. ¡®ºÑµÃÍÒà«Õ¹ »ÃСͺ´ ÇÂ
áÅФÇÒÁÁÑ蹤§¢Í§ÀÙÁÔÀÒ¤ à¾×Íè ãË »ÃÐà·Èã¹ÀÙÁÔÀÒ¤ ÍÂÙ Ã ÇÁ¡Ñ¹ Í ҧÊѹµÔÊØ¢ áÅÐÊÒÁÒöᡠ䢻 ËÒáÅФÇÒÁ
º·ºÑÑµÔ 8 ËÁÇ´ 96 ¢ Í
¢Ñ´á § â´ÂÊѹµÔÇÔ¸Õ ¢. ÁÕÇѵ¶Ø»ÃÐʧ¤ à¾×èÍ·íÒãË ÍÒà«Õ¹ÁÕµÅÒ´áÅаҹ¡ÒÃ
6. ¢ Íã´µ Í仹աé Å ÒǶ١µ ͧà¡ÕÂè ǡѺ “ ¡®ºÑµÃ
¼ÅÔµà´ÕÂǡѹáÅÐÁÕ¡ÒÃà¤Å×è͹ ÒÂÊÔ¹¤ Ò
ÍÒà«Õ¹ ” ?
¤. ÁÕÇѵ¶Ø»ÃÐʧ¤ à¾×èÍÁØ §ËÇѧ໠¹»ÃЪҤÁ·ÕèÁÕ»ÃЪҪ¹ à» ¹Èٹ ¡ÅÒ§ ÁÕÊѧ¤Á·ÕèàÍ×éÍÍÒ·Ã
¡. à» ¹¤ Ò¹ÔÂÁ ËÅÑ¡¡Òà áÅÐá¹Ç»¯ÔºÑµÔ
¢. à» ¹¡ÒÃÇÒ§¡Ãͺ·Ò§¡®ËÁÒÂáÅÐ â¤Ã§Êà ҧͧ¤ ¡ÃãË ¡ÑºÍÒà«Õ¹ ¤. à» ¹¡ÒáíÒ˹´¢Íºà¢µË¹ Ò·Õè¤ÇÒÁ
§. ·íÒãË ÍÒà«Õ¹໠¹Í§¤ ¡Ã·ÕèÁÕ »ÃÐÊÔ·¸ÔÀÒ¾ÁÕ»ÃЪҪ¹à» ¹Èٹ ¡ÅÒ§ áÅÐà¤Òþ¡® ¡µÔ¡Ò㹡ÒÃ
ÃѺ¼Ô´ªÍº¢Í§Í§¤ ¡Ã·ÕèÊíÒ¤Ñã¹ÍÒà«Õ¹
·íÒ§Ò¹ÁÒ¡¢Öé¹
§. äÁ ÁÕ¢ Ͷ١ 10. ¡®ºÑµÃÍÒà«Õ¹ÁÕ¤ÇÒÁÊíҤѵ Í»ÃÐà·Èä·Â 7. ¼Ù¹ Òí ÍÒà«ÕÂ¹ä´ Å§¹ÒÁÃѺÃͧ¡®ºÑµÃÍÒà«Õ¹㹡ÒÃ
Í ҧäà ?
»ÃЪØÁÊØ´ÂÍ´ÂÍ´à«Õ¹¤ÃÑ§é ·Õàè · Òäà ?
¡. ª ÇÂÊà ҧàÊÃÔÁËÅÑ¡»ÃСѹãË ¡Ñºä·Â
¡. ¤ÃÑ駷Õè 11
¢. ¨Ñ´µÑ駡Åä¡ÊÔ·¸ÔÁ¹Øɪ¹ãË ¡Ñºä·Â
¢. ¤ÃÑ駷Õè 12
¤. ãË ÍíҹҨᡠ»ÃÐà·Èä·Â㹡ÒôÙáÅ
¤. ¤ÃÑ駷Õè 13
¡Òû¯ÔºÑµÔµÒÁ¾Ñ¹¸¡Ã³ÕáÅФíҵѴÊÔ¹¢Í§Í§¤ ¡ÃÃЧѺ
§. ¤ÃÑ駷Õè 14
¢ ;Ծҷ §. ª ÇÂàÊÃÔÁÊà ҧ¤ÇÒÁÁÑ蹤§¢Í§ªÒµÔ
8. ¡®ºÑµÃÍÒà«Õ¹Áռźѧ¤Ñºãª µ§Ñé áµ àÁ×Íè ã´ ? ¡. µÑé§áµ Çѹ¡ ͵Ñé§ÍÒà«Õ¹໠¹µ ¹ä» ¢. µÑé§áµ Çѹ·Õè 15 ¸.¤. ¾.È. 2551 à» ¹µ ¹ä» ¤. µÑé§áµ Çѹ·Õè 15 ¾.Â. ¾.È. 2552 à» ¹µ ¹ä» §. µÑé§áµ Çѹ·Õè 8 Ê.¤. ¾.È. 2510 à» ¹µ ¹ä» 9. Çѵ¶Ø»ÃÐʧ¤ ¢Í§¡®ºÑµÃÍÒà«Õ¹¤×ÍÍÐäà ? ¡. à» ¹¢ Í»¯ÔºÑµÔÍ ҧ໠¹·Ò§¡Òâͧ »ÃÐà·ÈÊÁÒªÔ¡ ¢. »ÃѺà»ÅÕè¹ÍÒà«Õ¹ãË à» ¹Í§¤ ¡Ã·ÕèÁÕ Ê¶Ò¹Ðà» ¹¹ÔµÔºØ¤¤Å ¤. Êà ҧ¤ÇÒÁÁÑ蹤§ÃÐËÇ Ò§»ÃÐà·È ÊÁÒªÔ¡µ Ò§æ·Ñé§ 10 »ÃÐà·È
¢ ÍÊͺàÃ×Íè §·Õè 4 à¡Ãç´¤ÇÒÁÃÙ ASEAN
¢.
µ ¹¢ ÒÇÊÕàËÅ×ͧ 10 µ ¹ÁÑ´ÃÇÁ¡Ñ¹äÇ ËÁÒ¶֧
»ÃÐà·ÈÊÁÒªÔ¡ÃÇÁ¡Ñ¹à¾×Íè ÁÔµÃÀÒ¾áÅФÇÒÁà» ¹¹éíÒ˹Öè§ã¨ 1. ÊÑÅѡɳ ¢Í§ÍÒà«Õ¹¤×ÍÍÐäÃ?
à´ÕÂǡѹ
¡.
Ãǧ¢ ÒÇ 10 Ãǧ
¤.
¢.
Ãǧ¢ ÒÇ 11 Ãǧ
¤.
µ ¹¢ ÒÇ 10 µ ¹
§.
µ ¹¢ ÒÇ 11 µ ¹
2. ºØ¤¤Å·Õ¶è Í× Ç Òà» ¹¼Ù¡ Í µÑ§é ÍÒà«Õ¹ááàÃÔÁè ¤×Íã¤Ã?
µ ¹¢ ÒÇÊÕàËÅ×ͧ 10 µ ¹ÁÑ´ÃÇÁ¡Ñ¹äÇ ËÁÒ¶֧
»ÃÐà·ÈÊÁÒªÔ¡ÃÇÁ¡Ñ¹à¾×èͤÇÒÁà» ¹¹éíÒ˹Öè§ã¨à´ÕÂǡѹ §.
µ ¹¢ ÒÇÊÕàËÅ×ͧ 10 µ ¹ÁÑ´ÃÇÁ¡Ñ¹äÇ
ËÁÒ¶֧»ÃÐà·ÈÊÁÒªÔ¡ÃÇÁ¡Ñ¹à¾×èÍÁÔµÃÀÒ¾ 6. ¢ Íã´¡Å ÒǶ֧ÊբͧÊÑÅѡɳ ÍÒà«Õ¹äÁ ¶¡Ù µ ͧ ?
¡.
´Ã.¶¹Ñ´ ¤ÍÁѹµ
¡.
ÊÕ¹éíÒà§Ô¹ ËÁÒ¶֧ ¤ÇÒÁà» ¹Íѹ˹Öè§Íѹà´ÕÂǡѹ
¢.
¹ÒÂÈØÀªÑ ¾Ò¹ÔªÂÈÑ¡´Ôì
¢.
ÊÕá´§ ËÁÒ¶֧ ¤ÇÒÁ¡Å ÒËÒáÅФÇÒÁ¡ ÒÇ˹ Ò
¤.
´Ã.ÁËÒà´Â ÁÙÎÑÁËÁÑ´
¤.
ÊÕ¢ÒÇ ËÁÒ¶֧ ¤ÇÒÁºÃÔÊØ·¸Ôì
§.
´Ã.Â٫ػµ áÇ´ÒâÍ Ð
§.
ÊÕàËÅ×ͧ ËÁÒ¶֧ ¤ÇÒÁà¨ÃÔÃØ §àÃ×ͧ
3. à¾Å§»ÃШíÒÍÒà«Õ¹¤×Íà¾Å§ÍÐäÃ?
7. Êíҹѡ§Ò¹ãË ¢Í§ÍÒà«Õ¹ÍÂÙ· àÕè Á×ͧã´?
¡.
Sorry Sorry
¡.
¡Ãا෾
¢.
Asian Games
¢.
ÎÒ¹ÍÂ
¤.
Asia air
¤.
¡Ãا¨Ò¡Òà µÒ
§.
The ASEAN Way
§.
¡ÑÇÅÒÅÑÁà»ÍÃ
4. ¤íÒ¢ÇѢͧÍÒà«Õ¹¤×Í¢ Íã´?
8. àÅ¢Ò¸Ô¡ÒÃÊÁÒ¤ÁÍÒà«Õ¹¤×Íã¤Ã?
¡.
˹Öè§ÇÔÊÑ·Ñȹ ˹Öè§àÍ¡Åѡɳ ˹Ö觻ÃЪҤÁ
¡.
¹ÒÂÍÀÔÊÔ·¸Ô àǪҪÕÇÐ
¢.
˹Ö觻ÃЪҤÁ ˹Öè§àÍ¡Åѡɳ ˹Öè§àÈÃÉ°¡Ô¨
¢.
´Ã.ÊØÃÔ¹·Ã ¾ÔÈÊØÇÃó
¤.
˹Öè§àÍ¡Åѡɳ ˹Ö觻ÃЪҤÁ ˹Öè§ÇÔÊÑ·Ñȹ
¤.
ÁËÒà¸Ã ÁÙÎÑÁËÁÑ´
§.
˹Öè§ÇÔÊÑ·Ñȹ ˹Öè§àÍ¡Åѡɳ ˹Ö觻ÃЪҪҵÔ
§.
«Ù«ÔâÅ ºÑÁºÑ§ ÂØ´âÎâÂâ¹
5. ¢ Íã´¡Å ÒǶ֧ÅÑ¡ÊÑÅѡɳ ÍÒà«ÕÂ¹ä´ ¶¡Ù µ ͧ? ¡.
9. ¤¹ä·Â¤¹áá·Õäè ´ à» ¹àÅ¢Ò¸Ô¡ÒÃÊÁÒ¤ÁÍÒà«Õ¹¤×Íã¤Ã?
µ ¹¢ ÒÇÊÕàËÅ×ͧ 10 µ ¹ÁÑ´ÃÇÁ¡Ñ¹äÇ ËÁÒ¶֧
¡.
á¼¹ ÇÃóàÁ¸Õ
»ÃÐà·ÈÊÁÒªÔ¡ÃÇÁ¡Ñ¹à¾×èͤÇÒÁÁÑ蹤§áÅФÇÒÁà» ¹¹éíÒ
¢.
¹Òªǹ ËÅÕ¡ÀÑÂ
˹Öè§ã¨à´ÕÂǡѹ
¤.
´Ã.¶¹Ñ´ ¤ÍÁѹµ
§.
¹Ò¨ØÃÔ¹·Ã ¾ÔÊÊØÇÃó
10. »ÃÐà·Èã´ä´ ÃºÑ ¤ÇÒÁäÇ Çҧ㨨ҡ»ÃÐà·ÈÊÁÒªÔ¡ ÍÒà«Õ¹ãË à» ¹à¨ ÒÀÒ¾¨Ñ´¡ÒÃᢠ§¢Ñ¹áººà» ´âÍ¡ÒÊãË »ÃЪҪ¹ã¹»ÃÐà·ÈÊÁÒªÔ¡ÍÒà«Õ¹·ÕÊè ¹ã¨Ê §à¾Å§¢Í§ µ¹àͧࢠһÃСǴà¾×Íè ¤Ñ´àÅ×Í¡à» ¹à¾Å§»ÃШíÒÍÒà«Õ¹? ¡. ÃÒªÍҳҨѡÃä·Â ¢. ÊÒ¸ÒóÃÑ°¿ ÅÔ»» ¹Ê ¤. ÊÒ¸ÒóÃÑ°ÍԹⴹÕà«Õ §. ÊÒ¸ÒóÃÑ°Êѧ¤Á¹ÔÂÁàÇÕ´¹ÒÁ 11. ÍÒªÕ¾·Õàè Á×Íè à» ´»ÃЪҤÁã¹» ¾.È.2558 ààŠǨРÊÒÁÒöà¤Å×Íè ¹Â ÒÂààç§Ò¹ä´ Í ҧàÊÃÕ ¢ Íã´¶Ù¡? ¡. ËÁÍ ËÁÍ¿ ¹ ¾ÂÒºÒÅ ÇÔÈÇ¡ÃÃÁ ¹Ñ¡¸ØáԨ ¹Ñ¡· ͧà·ÕèÂÇ ¹Ñ¡ºÑªÕ ¢. ËÁÍ ËÁÍ¿ ¹ ¾ÂÒºÒÅ ÇÔÈÇ¡ÃÃÁ ʶһ µÂ¡ÃÃÁ ¹Ñ¡ÊíÒÃǨ ¹Ñ¡ºÑªÕ ¤. ËÁÍ ËÁÍ¿ ¹ ¾ÂÒºÒÅ ÇÔÈÇ¡ÃÃÁ á¾·Â ¤ÃÙ à¡ÉµÃ¡Ã §. ËÁÍ ËÁÍ¿ ¹ ¾ÂÒºÒÅ ÇÔÈÇ¡ÃÃÁ ʶһ µÂ¡ÃÃÁ µíÒÃǨ ª Ò§ÀÒ¾
ข้ อสอบเรืองที 1 กําเนิดอาเซียน เฉลย: 8.) ก
1.) ค 9.) ค
2.) ข
3.) ข
10.) ก
11.) ก
4.) ข
5.) ง
6.) ค
7.) ง
7.) ค 8.) ข
9.) ง
10.) ก
ข้ อสอบเรืองที 2 สู่เป้าหมายประชาคมอาเซียน เฉลย: 1.) ก 2.) ค 3.) ก
4.) ก
5.) ข
6.) ข
ข้ อสอบเรืองที 3เกร็ดความรู้ ASEAN เฉลย: 1.) ค 2.) ก 3.) ง 4.) ก 5.) ข 6. ) ก 7.) ค 8.) ข 9.) ก 10.) ก 11.) ข
ASEAN CORNER ASEAN QUIZ Choose the correct answer 1. What is the capital city of Malaysia? A. Kuala Lumpur B. Johor Bahru
C. Kuching
D. Subang
2. What is the capital city of Thailand? A. Phuket B. Surin
C. Bangkok
D. Chonburi
C. Jakarta
D. Bukit
C. Jakarta
D. Manila
C. Jakarta
D. Bangkok
3. What is the capital city of Indonesia? A. Surabaya B. Yogyakarta Tinggi 4. What is the capital city of Philippines? A. Bandar Seri Begawan B. Hanoi 5. What is the capital city of Vietnam? A. Hanoi
B. Vientiane
6. What is the color of a five-pointed star on the flag of Myanmar? A. Green
B. White
C. Blue
D. Red
7. What is the currency of Brunei Darussalam? A. Rupiah
B. Kip
C. Dollar
D. Peso
8. What is the currency of Cambodia? A. Rupiah B. Kip
C. Dollar
D. Peso
9. What is the name of the northest province in Thailand? A. Chiang Rai B. Chiang Mai C. Buriram D. Narathiwat 10. How many provinces in Thailand? A. 75 B. 76
C. 77
11. The WatPhraKaew in Bangkok is considered as ‌ A. Palace B. Temple C. Church
D. 78
D. Museum
12. Which one of these following countries that isn’t neighboring with Thailand? A. VietnamB. Cambodia
C. Myanmar
D. China
13. Which one of these following countries that is neighboring with Thailand? A. Japan
B. China
14.How many countries are involved in ASEAN now? A. 9 B. 10.
C. 16D. 18
C. Laos
D. Korea
15.Which countries in Asia are not included in ASEAN? A. Japan
B. LaosC. Indonesia D. Cambodia
16.What is the name of the anthem of ASEAN? A. The ASIAN Way
B. The ASEAN Community
C. The ASEAN Way
D. The ASEAN Style
17.What is the national flower of Thailand? A.Ratchaphreuk
B.Simpor
C.Champa D. Lotus
18.Lotus is the national flower of…………… A. Myanmar
B. Indonesia
C.MalaysiaD. Vietnam
19.Which one is not the capital city of ASEAN member states? A. Bangkok B. Beijing C.JakartaD. Phnom Penh 20.How many colours are there on the flag of ASEAN? A. Three
B.Four
C. Five
D. Six
The answer of ASEAN QUIZ 1. A. 2. C.
3. C.
4. D.
6. B. 7. C.
8. A.
9. A.
11. B.12. D. 18. D.
13.C. 14. B. 19.B. 20. B.
5. A. 10. C. 15. A.
16. C.
17. A.
ข้ อสอบอาเซียนศึกษา 1. ก. เอเชียตะวันออก
ข. เอเชียกลาง
ค. เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ง.เอเชียตะวันตกเฉียงใต้
2.ประเทศใดเข้ าเป็ นสมาชิกอาเซียนเป็ นประเทศล่าสุ ด ก. กัมพูชา
ข. เวียดนาม
ค. สปป.ลาว
ง.เมียนมาร์
ก. เวียดนาม
ข. ฟิ ลิปปิ นส์
ค. สิ งคโปร์
ง.อินโดนีเซีย
3.
4.ใครคือเลขาธิการอาเซียนคนปัจจุบัน ก. นายเล เลือง มินห์
ข. ดาโตะ อาจิต ซิงห์
ค.
ง.นายสุ รินทร์ พิศสุ วรรณ
ก. มีวาระการดํารงตําแหน่ ง 6 ปี
ข.
5. ค. สามารถดํารงตําแหน่ งได้ ไม่ เกิน 2 วาระ ง. 6.
จาการ์ ตา
ก. สํ านักงานบริหารกิจการอาเซียน
ข. สํ านักเลขาธิการอาเซียน
ค. สํ านักเลขานุการอาเซียน
ง.สํ านักเลขาธิการแห่ งประชาคมอาเซียน
ก. 15 ธันวาคม พ.ศ. 2551
ข. 26ธันวาคม พ.ศ. 2547
ค. 8 สิ งหาคม พ.ศ. 2510
ง. 31ธันวาคม พ.ศ. 2558
7.
8. เศรษฐกิจอาเซียน ก. ครู ค. อัยการ
ข. พยาบาล ง.ตํารวจ
9.ข้ อใดคือเพลงประจําอาเซียน ก. The ASEIN Way
ข. The ASIA Way
ค. The Rhythm Of ASEAN
ง. The ASEAN Way
10.สี เหลืองบนธงอาเซียนหมายถึงข้ อใด ก.
ข.
ค. ความกล้าและความเจริญก้าวหน้ า ง.ความเจริญรุ ่ งเรือง 11.
12.
ก. อินโดนีเซีย
ข. มาเลเซีย
ค. ฟิ ลิปปิ นส์
ง.ไทย
ก. ปราสาทเขาพระวิหาร
ข. นครธม
ค. นครวัด
ง.เขาพนมกุเลน
13.“ เป็ นผ้ าโสร่ ง และเป็ นชุดประจําชาติของประเทศใด
”
ก. อ๋าวหญ่ าย– เวียดนาม
ข. ซัมปอต– กัมพูชา
ค. บาลินตาวัก – ฟิ ลิปปิ นส์
ง.ลองยี –เมียนร์ มาร์
14.ประเทศใดมีประชากรครบ 100 ล้านคนในเดือนกรกฎาคม 2557 ก. ฟิ ลิปปิ นส์
ข.อินโดนีเซีย
ค. เวียดนาม
ง.บรู ไน
15. ชาวมุสลิมฉลอง ก. เมาลิดนะบี
ข. อี
ค. ฮารีรายอปอซอ
ง.อาชู รออ์
16.
Chocolate Hillsต้ องไปประเทศใด ก. เมียนร์ มาร์
ข. ฟิ ลิปปิ นส์
ค. อินโดนีเซีย
ง.สิ งคโปร์
17.ประเทศบรู ไนใช้ สกุลเงินเดียวกับประเทศใดในอาเซียน ก. อินโดนีเซีย
ข. สิ งคโปร์
ค. ฟิ ลิปปิ นส์
ง.มาเลเซีย
18.ดอกไม้ ประจําชาติมาเลเซียคือข้ อใด ก. ดอกชบา
ข. กล้วยไม้ ราตรี
ค. จําปา
ง.ดอกบัว
ก. อาม็อก
ข. อโดโบ้
ค. อัมบูยัต
ง.ลักซา
19.
20. ก. ASTA
ข. AFTA
ค. AMTA
ง.ARTA
เฉลยข้ อสอบอาเซียนศึกษา 1. ค.
2.ก.
3.ก.
4.ก.
6. ข. 7. ง. 8.ข.
9.ง.
10.ง.
11. ก.
12.ค. 13. ง. 17. ข. 18. ก. 19. ง. 20. ข.
5. ข. 14. ก.
15. ค. 16. ค.