เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

Page 1


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา รวมผลงานเรียงความ จากการประกวดเรียงความ หัวข้อ “เรื่องดี ๆ ที่บ้านเรา” ภายใต้โครงการประกวดเรียงความ “คิดถึงเรื่องดีๆ ที่น่าจดจ�ำ”

ส�ำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม


2

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา ISBN 978-616-543-174-3 ที่ปรึกษา นายชาย นครชัย นายด�ำรงค์ ทองสม นางสาววิมลลักษณ์ ชูชาติ นางสาวนาถนิศา สุขจิตต์

ผู้อ�ำนวยการส�ำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย รองผู้อ�ำนวยการส�ำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านส่งเสริมงานวิจิตรศิลป์ (ทัศนศิลป์) ผู้อ�ำนวยการศูนย์เครือข่ายสัมพันธ์และแหล่งทุน

กองบรรณาธิการ นางสาวแสงทิวา นราพิชญ์ นางสาวณัฏฐิกา ณ ระนอง นางสาวธันย์ชนก ยาวิลาศ นายนพดล ถิระมนัส นางสาวรวีวรรณ เปลี่ยนพุ่ม นางสาววัจณีย์ สุขสันทัด นายวัฒนา มะสังหลง ขอขอบคุณ นายเจะอับดุลเลาะ เจ๊ะสอเหาะ เอื้อเฟื้อภาพวาดประกอบ Jehabdulloh.multiply.com จัดท�ำโดย ส�ำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม ๖๖๖ ชั้น ๑๗ อาคารธนาลงกรณ์ ถนนบรมราชชนนี แขวงบางบ�ำหรุ เขตบางพลัด กรุงเทพฯ ๑๐๗๐๐ โทรศัพท์ ๐ ๒๔๒๒ ๘๘๒๗ โทรสาร ๐ ๒๔๒๒ ๘๘๓๑ www.ocac.go.th พิมพ์ครั้งที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๕๕ จ�ำนวนพิมพ์ ๑,๐๐๐ เล่ม พิมพ์ที่ ส�ำนักงานกิจการโรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ๒/๙ ซอยกรุงเทพฯ-นนทบุรี ๓๑ เขตบางซื่อ กรุงเทพ ๑๐๘๐๐ โทรศัพท์ ๐ ๒๙๑๐ ๗๐๐๑ โทรสาร ๐ ๒๕๘๕ ๖๔๖๖


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

3

ค�ำน�ำ ส� ำ นั ก งานศิ ล ปวั ฒ นธรรมร่ ว มสมั ย กระทรวงวั ฒ นธรรมได้ ริ เริ่ ม ด�ำเนินโครงการประกวดเรียงความ หัวข้อ “เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา” ในปี ๒๕๕๕ นี้ เป็นปีแรก โดยมีเป้าหมายเพือ่ ให้ผทู้ อี่ ยูใ่ นพืน้ ที่ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตัง้ แต่ สงขลา สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ได้มีโอกาสถ่ายทอดเรื่องราวดีๆ ในรูปแบบวรรณกรรม นอกจากนีย้ งั ให้ความส�ำคัญกับการถ่ายทอด เล่าเรือ่ งราว จากผู้อาวุโสของครอบครัวหรือของหมู่บ้าน เล่าขานถึงต�ำนานหรือวิถีชีวิต ที่มีความสุขให้เด็กและเยาวชนเกิดความประทับใจและภาคภูมิใจในเรื่องราว ที่ผ่านมา เป็นการสร้างแรงบันดาลใจที่จะเชื่อมโยงอดีตสู่ปัจจุบัน และร่วมกัน หาแนวทางที่จะสร้างสรรค์สังคมให้สงบสุข และส่งต่อความดีเพื่อส่วนรวม ตลอดจนเป็ น การสนั บ สนุ น การสร้ า งสรรค์ ผ ลงานด้ า นวรรณศิ ล ป์ แ ก่ เ ด็ ก เยาวชนและประชาชน ทั้งนี้ มีผู้ส่งผลงานเข้าประกวดรวม ๑,๐๔๓ ผลงาน แบ่ ง เป็ น ระดั บ ประถมศึ ก ษา จ� ำ นวน ๑๓๗ ผลงาน ระดั บ มั ธ ยมศึ ก ษา จ�ำนวน ๗๗๘ ผลงาน ระดับอุดมศึกษาและประชาชนทัว่ ไป จ�ำนวน ๑๒๘ ผลงาน โดยคณะกรรมการได้พิจารณาคัดเลือกผลงานที่มีคุณค่า ทั้งในด้านเนื้อหา การใช้ภาษา และความคิดสร้างสรรค์ จนได้ผู้ที่มีผลงานโดดเด่นเพื่อรับรางวัล ปรากฏอยู่ในหนังสือเล่มนี้ ส�ำหรับผู้ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศระดับประถมศึกษา ได้แก่ เด็กหญิง อภิญญา พุทธสุภะ คณะกรรมการมีความเห็นที่สอดคล้องกันว่า ผู้เขียน ได้บรรยายถึงความสัมพันธ์ทเี่ ป็นมิตรกันระหว่างชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิม ที่อยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างสงบสุข เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับภูมิปัญญาชาวบ้านซึ่ง ได้รับฟังมาจากคุณตาได้อย่างแนบเนียน ตลอดจนสามารถน�ำเอาความเชื่อ และประวัติศาสตร์มารองรับอนาคตได้อย่างน่าชื่นชม


4

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ผูท้ ไี่ ด้รบั รางวัลชนะเลิศระดับมัธยมศึกษา ได้แก่ นายนัสรูลเลาะห์ อาแว คณะกรรมการมีความเห็นว่า ผู้เขียนได้บรรยายถึงความหลากหลายและ ความแตกต่างกันของสังคม แต่ในความแตกต่าง พวกเขาก็ไม่แตกแยก มีความ เคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกันไม่เว้นแม้แต่คนต่างศาสนา อีกทั้งยังมี ความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ชุมชนของตนเองอีกด้วยซึ่งทั้งหมดสอดคล้องกับ หัวข้อเรียงความเป็นอย่างยิ่ง ผู้ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศระดับอุดมศึกษาและประชาชนทั่วไป ได้แก่ นางสาวอุมมีสาลาม อุมาร คณะกรรมการมีความเห็นว่า ผูเ้ ขียนมีความสามารถ ในการใช้ภาษาที่ดี มีชั้นเชิงในการเขียนที่โดดเด่น มีความคิดเชิงบวกมาก โดยแสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งและความเป็นตัวตนของชุมชน โดยมีเรือ่ งย่อย สอดแทรกซ้อนอยู่ในตัวเรื่องหลักมากมาย นอกจากนี้ ยังมีจุดเด่นที่การน�ำกวี นิพนธ์มาใช้ในช่วงเปิดเรื่อง ซึ่งท�ำให้มีความน่าสนใจมากขึ้นอีกด้วย ผลงานเรียงความทั้งหมดนี้ นอกจากจะสะท้อนภาพวิถีชีวิต ความเชื่อ และรากเหง้าของวัฒนธรรมในพื้นที่ภาคใต้แล้ว ยังสะท้อนให้เห็นถึงความคิด เห็นของพวกเขาที่มีต่อถิ่นเกิดของตนเองอีกด้วย ขอขอบคุณส�ำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดสงขลา สตูล ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ศูนย์อ�ำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ และคณะกรรมการ ทุกท่าน ที่ได้ให้ความร่วมมือในการด�ำเนินงานเป็นอย่างดี หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผลงานทั้งหมดนี้จะท�ำให้เกิดการต่อยอดความคิดไปสู่การสร้างสรรค์เรื่องดีๆ เรื่องต่อๆ ไป ให้เกิดขึ้นที่นี่...ที่บ้านเรา

(นายชาย นครชัย) ผู้อ�ำนวยการส�ำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

5

ภาพตกกระทบจาก “คิดถึงเรือ่ งดีๆ ทีบ่ า้ นเรา..” ปัญหาหนักหนาสากรรจ์ที่สั่งสมมาอย่างยาวนานของสังคมไทย ประการหนึ่ ง ก็ คื อ รั ฐ ไทยสมั ย ใหม่ มั ก พั ฒ นาสั ง คมไปสู ่ ค วามทั น สมั ย (modernization) โดยไม่ ดู ต าม้ า ตาเรื อ ตั้ ง แต่ แ ผนพั ฒ นาเศรษฐกิ จ (และสังคม) แห่งชาติแผนแรก รัฐไม่ค่อยสนใจหรือให้ความส�ำคัญกับข้อมูล เกี่ยวกับ “ความรู้สึก” “พื้นฐาน” ของคนในชุมชนต่างๆ อย่างแท้จริง ว่าแต่ละแหล่งที่มีความหลากหลาย มีความจ�ำเพาะอย่างไร รัฐมักไม่สนใจ ที่จะฟัง “เสียงสะท้อน” ในเรื่องทุกข์สุข ความจริง ความดี และความงามที่ เป็นอัตลักษณ์จ�ำเพาะของแต่ละท้องถิ่น แต่ละพื้นที่ อย่างที่ควรจะเป็น ฯลฯ จากแผนแม่บทแห่งการพัฒนาแบบ “top down” เช่นนี้เอง ที่ก่อผล สร้างปัญหาหลากประการให้เกิดขึ้น ยิ่งสั่งสมยาวนาน ก็ยิ่งยุ่งยากซับซ้อน ในการแก้ไข ยิ่งท�ำให้ต้องสูญเสียทั้งก�ำลังงบประมาณและก�ำลังคนมากมาย โดยไม่จ�ำเป็น เรื่องราวที่เกี่ยวกับพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ๕ จังหวัด อันได้แก่ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สตูล และสงขลา ในห้วงเวลาหลายทศวรรษ โดยเฉพาะในห้ ว งทศวรรษที่ ก� ำ ลั ง ด� ำ รง ย่ อ มเป็ น ภาพประจั ก ษ์ ชั ด ใน สมมุติฐานดังกล่าว


6

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ภาพสะท้อนที่เป็น “ผลิตภาพ”ในรูปแบบของงานเขียนที่เป็นเรื่องเล่า ของ “ตัวจริงเสียงจริงในพื้นที่” จากโครงการประกวดเรียงความ “คิดถึง เรื่ อ งดี ๆ ที่ น ่ า จดจ� ำ ” ที่ จั ด โดย ส� ำ นั ก งานศิ ล ปวั ฒ นธรรมร่ ว มสมั ย กระทรวงวั ฒ นธรรม ภายใต้ ก ารผลั ก ดั น อย่ า งเอาการเอางานของท่ า น ปลัดกระทรวงฯ-ท่านสมชาย เสียงหลาย นับว่าเป็น “ภาพสะท้อน” และ “ค�ำตอบ” เกี่ยวกับพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่น่าสนใจยิ่ง จากการที่ มี ผู ้ ส ่ ง งานเข้ า ประกวดในทุ ก ระดั บ รวมแล้ ว มากกว่ า ๑,๐๐๐ ส�ำนวน ก็เป็นภาพสะท้อนเชิงปริมาณที่น่าสนใจเป็นเบื้องต้นอยู่แล้ว และยิ่งพบว่า เกินกึ่งหนึ่งในนั้นมาจากผู้ที่ใช้ภาษาไทยเป็น “ภาษาที่ ๒”ในชีวิต ประจ�ำวัน ก็ท�ำให้ยิ่งน่าสนใจมากขึ้นไปอีก เฉพาะข้อมูลนี้ก็สะท้อนชี้ให้เห็นถึง “ความกระตือรือร้น”ที่จะมีส่วนร่วมในฐานะของ “คนใน” (in group) ของ มวลชนในพื้นที่อย่างไร การเล่าเรื่องผ่านกระบวนการ “ความเรียง” ในประเด็น “เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา” นับเป็นมุมมองของ “คนใน” แง่มุมการน�ำเสนอเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ นักวิชาการทางสังคมศาสตร์เรียกว่า “มุมมองของคนใน”(native view) เป็น มิตขิ องข้อมูลทีห่ ากได้รบั การประมวลและจัดระบบจ�ำแนกดีๆ จะสามารถท�ำให้ “หยั่งเห็น” ปรากฏการณ์ทางสังคม และ “ญาณทัศนะ” เกี่ยวกับความขัดแย้ง ความสัมพันธ์และการเคลื่อนเปลี่ยนเกี่ยวกับชุมชนวิถีในเรื่อง “โครงสร้างชั้น บน” (super structure) ของพื้นที่อย่างลึกซึ้งและชัดเจนเป็นรูปธรรม จากการอ่านเรื่องซึ่งผ่านการคัดสรรโดยคณะกรรมการรอบคัดเลือก ที่จัดส่งมาเหลือเพียง ๙๐ เรื่อง(ระดับละ ๓๐ เรื่อง คือ ระดับประถม ๓๐ เรื่อง ระดับมัธยม ๓๐ เรื่อง และระดับอุดมศึกษากับประชาชนทั่วไปอีก ๓๐ เรื่อง) พบว่า ในส่วนของเนื้อหาที่ผู้เขียนเลือกน�ำมาเล่า มักเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของ พื้นที่จริง มักเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับทุนทางสังคมของท้องถิ่นที่พวกเขามีชีวิตอยู่


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

7

หลายคนย้ อ นหลั ง ไปถึ ง ยุ ค เก่ า ก่ อ นโดยการสอบถามข้ อ มู ล จากผู ้ อ าวุ โ ส ที่ส่วนใหญ่มักเป็นเครือญาติผู้ใหญ่ เช่นผู้มีศักดิ์เป็นคุณปู่ คุณย่า คุณตาคุณยาย หรือไม่ก็สอบถามจากผู้อาวุโสประจ�ำหมู่บ้าน เป็นต้น นอกจากเนือ้ หาจะสะท้อนเรือ่ งความภูมใิ จและผูกพันกับท้องถิน่ ตน อย่างสูงแล้ว หลายเรือ่ งในนัน้ ยังสะท้อนสิง่ ทีเ่ รียกว่า “มนุษยภาพ”ของสังคม พหุวฒ ั นธรรมได้อย่างลึกซึง้ มีน�้ำมีเนือ้ ยิง่ นัก ในกรณีนจี้ งึ น่าสนใจว่า ในอดีต สังคมแถบถิน่ นีม้ ปี จั จัยทางสังคมใดทีช่ ว่ ย “หลอมรวม”ความรูส้ กึ ให้คนต่าง ศาสนาต่างความเชื่อเกิดความรู้สึก “สมานฉันท์” จนกลายเป็น “พวก เดียวกัน” (In group) ได้ นับเป็นเรื่องท้าทายนักวิชาการให้ท�ำการศึกษา วิจัยยิ่งนัก กล่าวในด้านการใช้ภาษา เรื่องที่ได้รับการคัดเลือกเข้ามาทั้ง ๙๐ เรื่อง ตอบค�ำถามว่า บัดนี้ผู้ใช้ภาษาไทยเป็นภาษาที่ ๒ (ไม่ได้ใช้ในชีวิตประจ�ำวัน) ในพื้ น ที่ ๕ จั ง หวั ด ชายแดนภาคใต้ (ที่ ไ ด้ รั บ คั ด เลื อ กเข้ า รอบมาไม่ น ้ อ ย กว่ากึง่ หนึง่ ) ได้พฒ ั นาการใช้ภาษาไทยมาไกลมากแล้ว สามารถใช้ภาษาเขียนได้ ในระดับดีที่น่าพอใจยิ่ง ซึ่งเป็นภาพสะท้อนว่า ในด้านหลักแล้ว มวลชนในพื้นที่ ไม่ได้ปฏิเสธภาษาไทย ถ้าเขารู้ข้อเท็จจริงว่า จุดมุ่งหมายในการส่งเสริมให้ ลูกหลานของพวกเขาเรียนภาษาไทย เป็นไปเพื่อยังประโยชน์ในการศึกษา เล่าเรียนเพื่อสร้างโอกาสก้าวหน้าทางสังคมให้กับลูกหลานของพวกเขาเอง ส�ำหรับวิธีเล่าเรื่องหรือศิลปะในการประพันธ์ ต้องถือว่า ผลจากการ จัดประกวดในครั้งนี้ นอกจากจะช่วยกระตุ้นให้การวรรณศิลป์ของชาติในพื้นที่ ส่วนนี้ได้คึกคักเข้มแข็งขึ้นแล้ว นับเป็นช่องทางในการสร้างพื้นที่ให้กับนักเขียน น้อยใหม่ๆ ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย เราพบว่า มี “นักเขียน”ได้เกิดจากโครงการนี้ อีกไม่นอ้ ย เพราะพบว่า ศิลปะการประพันธ์ของผูส้ ง่ งานเข้าประกวดจ�ำนวนมาก อยู่ในระดับดีน่าพอใจ


8

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

คงต้ อ งขอบคุ ณ ส� ำ นั ก งานศิ ล ปวั ฒ นธรรมร่ ว มสมั ย กระทรวง วัฒนธรรม ที่จัดท�ำโครงการที่สร้างประโยชน์แก่ประเทศชาติทั้งโดยตรง และโดยอ้ อมเช่นนี้ ทั้งใคร่หวังว่า โครงการเช่นนี้จะได้รับการสืบสาน และขยายพื้นที่ให้กว้างขวางยิ่งขึ้นในอนาคต

สถาพร ศรีสัจจัง ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประธานกรรมการตัดสินผลงานเรียงความ


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

9

บางความคิดความเห็น จากกรรมการรอบคัดสรร “เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา” ศิ ล ปวั ฒ นธรรมโดยเฉพาะวรรณกรรมเป็ น กิ จ กรรมและผลงาน สร้างสรรค์ของมนุษย์ที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึก นึก คิดของมนุษย์มาทุกยุคทุก สมัย แต่ส�ำหรับประเทศด้อยพัฒนาอย่างประเทศไทยไม่ค่อยมีใครจะใส่ใจ น� ำ เอาวั ฒ นธรรมของการอ่ า นและวั ฒ นธรรมของการเขี ย นมาสร้ า งสรรค์ แก้ปญ ั หาและเยียวยาสังคม เพราะสังคมไทยเป็นสังคมอ�ำนาจนิยม สังคมทีส่ อน ให้จ�ำและย�้ำให้เชื่อมากกว่าจะปลูกฝังให้คิด ขออนุ โ มทนาสาธุ ที่ ส�ำ นั ก งานศิ ล ปวั ฒ นธรรมร่ ว มสมั ย กระทรวง วัฒนธรรมได้จัดประกวดเรียงความหัวข้อ “เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา”เพื่อเปิดโอกาส ให้เยาวชนและประชาชนที่มีภูมิล�ำเนาอยู่ในพื้นที่ที่มีปัญหาความรุนแรงของ จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้มีพื้นที่ในการหยิบยก “เรื่องดีๆ” ที่บ้านของตนเอง บอกเล่าสู่กันเพื่อเป็นขวัญ ก�ำลังใจให้กันและกัน โดยปริมาณจ�ำนวนเรียงความทีส่ ง่ เข้าประกวดมีมากมายในแต่ละระดับ โดยเฉพาะระดับมัธยมศึกษา แต่ดา้ นคุณภาพอาจจะต้องอาศัยเวลาในการฝึกฝน แต่ส่วนใหญ่ผู้ที่ประสบความส�ำเร็จในการประกวดครั้งนี้ ส่วนหนึ่งก็ไม่ได้เป็น “มือใหม่”เสียทีเดียว โดยเฉพาะระดับนักศึกษาและประชาชน หลายคนเคยได้


10

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

รับรางวัลระดับชาติและระดับท้องถิน่ มาแล้ว จึงเป็นเรือ่ งน่ายินดีทคี่ นหลายกลุม่ หลายระดับได้มาท�ำงานสร้างสรรค์ประกวดประชันกันเพือ่ สร้างสังคมดีทนี่ า่ อยู่ ไว้ให้ตนเองและลุกหลานต่อไป ในนามของคณะกรรมการคัดเลือกผลงานแต่ละระดับให้เหลือจ�ำนวน เพียงระดับละ ๓๐ ชิ้นเพื่อส่งให้คณะกรรมการพิจารณาตัดสินต่อไป ขอแสดง ความชื่นชมในความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของส�ำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย เจ้าของโครงการดีๆ และขอแสดงความยินดีต่อผู้ที่ได้รับรางวัลและได้รับการ คัดเลือกให้เข้ารอบไปสู่การตัดสิน และหวังว่าโครงการดีๆเช่นนี้น่าจะได้รับ การสนับสนุนให้มีความพร้อมและสมบูรณ์ยิ่งๆขึ้นในโอกาสต่อไป เราเชื่อมั่น ใน “อ�ำนาจแห่งวรรณกรรม”ว่าจะสามารถลดทอนความรุนแรงและความเกลียด ชังได้มากกว่ายุทธศาสตร์และยุทธวิธีใดๆ ที่ล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าจนแทบ นับศพมนุษย์และค�ำนวณความสูญเสียกันไม่รู้สิ้นสุดยุติอย่างที่เป็นมา เป็นอยู่ และเป็นไปจนถึงวันนี้และวันข้างหน้า… ขอสันติสุขจงกลับคืนมา จรูญ หยูทอง-แสงอุทัย ประธานคณะกรรมการคัดสรรผลงานเรียงความ


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

11

สารบัญ ค�ำน�ำ ภาพตกกระทบจาก “คิดถึงเรื่องดีๆ ที่บ้านเรา..” บางความคิดความเห็นจากกรรมการรอบคัดสรร “เรื่องดีๆที่บ้านเรา” ระดับประถมศึกษา รางวัลชนะเลิศ เรื่องดี ๆ ที่บ้านเรา เด็กหญิงอภิญญา พุทธสุภะ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๑ เรื่องดีที่บ้านเรา เด็กชายธีรภัทร์ ไชยมณี รางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๒ เรื่องดี ๆ ที่บ้านเรา เด็กหญิงนูรูนนะญาห์ บิลร่าหมาน รางวัลชมเชย เรื่องดี ๆ ที่บ้านเรา เด็กชายกิตติศักดิ์ มั่นวงศ์ เรื่องดี ๆ ที่บ้านเรา เด็กหญิงกุลจิรา หยังสู เรื่องดีดีที่บ้านเรา เด็กหญิงกุลภรณ์ เซ่งฮวด เรื่องดี ๆ ที่บ้านเรา เด็กหญิงคอซีอะห์ สะมานิ วิถีชีวิตชาวนาสู่เส้นทางแห่งเมล็ดข้าว เด็กหญิงชลัดสดา ชูขจร เรื่องดีดีที่บ้านเรา เด็กชายธีระ รชดามาเฉลิม เรื่องดี ๆ ที่บ้านเรา เด็กหญิงเฟาซียะห์ ยีตาเห เรื่องดี ๆ ที่บ้านเรา เด็กหญิงมูณีเราะห์ ดีสะเอะ เรื่องดี ๆ ที่บ้านเรา เด็กหญิงสุทธิดา ศิริวัฒน์ เรื่องดี ๆ ที่บ้านเรา เด็กหญิงอาอีสะห์ กอตอ

หน้า

๑๕ ๒๐ ๒๕ ๒๙ ๓๒ ๓๔ ๓๘ ๔๐ ๔๕ ๕๐ ๕๔ ๕๘ ๖๓


12

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

หน้า ระดับมัธยมศึกษา รางวัลชนะเลิศ เรื่องดี ๆ ที่บ้านเรา นายนัสรูลเลาะห์ อาแว รางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๑ เรื่องดี ๆ ที่บ้านเรา เด็กชายรวีวัฒน์ ส�ำเภานิล รางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๒ เรื่องดี ๆ ที่บ้านเรา นายอัษฎาวุธ ไชยวรรณ รางวัลชมเชย เรื่องดี ๆ ที่บ้านเรา นางสาวกวินทิพย์ วรรณพงศ์ เรื่องดี ๆ ที่บ้านเรา นายซอรีฟ อาแวกือจิ เรื่องดี ๆ ที่บ้านเรา เด็กหญิงซารีนา สาแล เรื่องดี ๆ ที่บ้านเรา เด็กหญิงซูลฟา ยอแม็ง เรื่องดี ๆ ที่บ้านเรา นางสาวณัชชา สุราตะโก เรื่องดี ๆ ที่บ้านเรา นายปุญญพัฒน์ แก้วทอง เรื่องดี ๆ ที่บ้านเรา นายโภคิน จันทร์ทิตย์ เรื่องดี ๆ ที่บ้านเรา นางสาวยาดูวัล หะยีแวมิง เรื่องดี ๆ ที่บ้านเรา นายอิทธิกร ทองแกมแก้ว ที่นี่ก็ประเทศไทย นางสาวอิห์ซาน นิปิ ระดับอุดมศึกษาและประชาชนทั่วไป รางวัลชนะเลิศ เรื่องเล่าจากหมู่บ้านริมทะเล นางสาวอุมมีสาลาม อุมาร รางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๑ ควนลังงา สองศาสนา หลังคาเดียวกัน นายไพศาล รัตนะ

๖๗ ๗๓ ๘๐ ๘๙ ๙๕ ๑๐๓ ๑๑๒ ๑๑๘ ๑๒๕ ๑๓๒ ๑๓๖ ๑๔๔ ๑๕๑

๑๕๖ ๑๖๙


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

13 หน้า

รางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๒ นิยายหนังกั้นจากความทรงจ�ำของแม่ นายประภาศ ปานเจี้ยง ๑๗๗ รางวัลชมเชย เรื่องดี ๆ ที่บ้านเรา นางสาวณัชชา แจวิจารณ์ ๑๙๕ ความสุขท่ามกลางการผสมผสานวัฒนธรรม นางทิพยวรรณ นิลทยา ๒๐๕ เรื่องดี ๆ ที่บ้านเรา นายยะยา โล๊ะนิโย ๒๒๐ เรื่องดี ๆ ที่บ้านเรา นายรุสตานมัยดิน สา ๒๓๔ อดีต ประเพณี วิถีชน และกลุ่มคนรักษ์สายน�้ำ นายวินัย เพชรอุไร ๒๔๘ ความสุข นายวิหาร ขวัญดี ๒๕๙ คิดถึงคุณตา นายฉัตรปกรณ์ ก�ำเหนิดผล ๒๘๐ เรื่องดี ๆ ที่บ้านเรา นายสะอูดี ดือเร๊ะ ๒๘๘ เรื่องดี ๆ ที่บ้านเรา นายอาดีลัน สมาแอ ๒๙๖ เด็กชายอาราฟัตกับกระออมของโต๊ะ นางสาวอ�ำภา ด่อล๊ะ ๓๑๔ รายชื่อคณะกรรมการโครงการประกวดเรียงความ “คิดถึงเรื่องดีๆที่น่าจดจ�ำ” ๓๓๐



เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

15

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา เด็กหญิงอภิญญา พุทธสุภะ รางวัลชนะเลิศ ระดับประถมศึกษา

จังหวัดแต่ละจังหวัดมีสถานที่ ต�ำนาน เล่าขานแตกต่างกัน แต่ชาวถิ่น มีความภาคภูมิใจในสถานที่เกิดไม่น้อยกว่ากัน ปัจจุบันคนรุ่นใหม่หลายคนรู้จัก ไก่เคเอฟซี พิซซ่า ซูชิ ซุปเปอร์สตาร์เกาหลี แต่กลับไม่รจู้ กั วัฒนธรรม บรรพบุรษุ ของตนเอง ดิฉันเกิดในอ�ำเภอเมือง บ้านอยู่ในตัวเมืองสงขลา รู้ต�ำนานเกาะหนู เกาะแมว ต�ำนานหัวนายแรง ดิฉันเชื่อว่าหลายคนคงรู้จักและได้อ่านหนังสือมา พอสมควร แต่ดิฉันจะเขียนเรียงความ เรื่องดีๆ ที่บ้านพ่อเฒ่าที่หลายคน คงไม่รู้จัก บ้านพ่อเฒ่าอยู่ในต�ำบลท่าหิน อ�ำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา เป็นหมู่บ้านเลียบทะเลสาบสงขลา มีต�ำนานเล่าขานที่น่าสนใจ ดิฉันจึงอยาก จะเขียน อยากจะถ่ายทอดความรู้สึก ความประทับใจ ความภาคภูมิใจใน สถานทีข่ องบรรพบุรษุ เป็นเรือ่ งราวให้ทกุ คนได้ศกึ ษา รูจ้ กั ต�ำนานท่าหินมากขึน้ เมื่อดิฉันไปบ้านของพ่อเฒ่าหรือหลายคนเรียกว่าคุณตา แต่แม่สอน ให้ดิฉันเรียกว่า พ่อเฒ่า แม่บอกว่าคนสมัยนี้ใช้ค�ำเรียกว่าคุณตา เพราะลืม วัฒนธรรมเก่าๆ ที่ก�ำลังจะสูญหายไป ถึงบ้านพ่อเฒ่าเมื่อไหร่ก็รู้สึกถึงความเป็น ชนบท ไปช่วงต้นข้าวเขียวขจี ฝูงวัวกินหญ้า นกเอี้ยงเกาะบนหลังวัว น�้ำใสเห็น ปลาว่ายกันขวักไขว่ ปูนาคลานไปเรื่อยๆ ไม่รู้จะหยุดตรงไหน ดิฉันแอบลุ้น ต้นตาลโตนดสูงเห็นลูกตาลสุกบ้างอ่อนบ้าง คุณลุงคุณป้าแบกจอบ หิ้วปิ่นโต คงจะเดินไปทุ่งนาของตนเอง ดิฉันคิดว่าอย่างนั้น


16

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ญาติๆ เข้ามาทักทายถามทุกข์สุข แม่ตอบไม่ขาดค�ำ พ่อเฒ่าพาดิฉันไป เยี่ ย มญาติ จ ะเดิ น ผ่ า นศาลามี ลั ก ษณะประดั บ ด้ ว ยเครื่ อ งบู ช าเป็ น มุ ส ลิ ม พ่อเฒ่าบอกให้ดิฉันไหว้ และบอกว่านี้คือศาลาเจ้าบ้าน ดิฉันงงใหญ่ท� ำไม ต้องเป็นศาลามุสลิมดิฉันคิดในใจ พ่อเฒ่าบอกว่าจะเล่าให้ดิฉันฟังหลังทานข้าว เย็นเสร็จ เป็นความเคยชินของครอบครัวที่ทุกคนกินข้าวเสร็จจะนั่งคุยกัน หลังจากนัน้ ดิฉนั พีๆ่ รีบอาบน�ำ้ เพือ่ ฟังต�ำนานของต�ำบลท่าหิน บ้านเกิดของแม่ พ่อเฒ่าขนหนังสือโบราณเป็นภาษาขอมเกี่ยวกับต�ำรายาสมุนไพร ท่านอ่าน ภาษาขอมได้ เอาพระของโบราณมาอวดให้พวกเราได้ดูกัน แต่ในใจดิฉัน อยากจะฟังต�ำนานศาลาเจ้าบ้านมากกว่า ท่านเล่าว่าประมาณ ๕๐๐-๖๐๐ ปี กลุ่มสลัดอินโดนีเซียขยายอ�ำนาจ ยึดพื้นที่ประเทศมาเลเซียตั้งตนเป็นสุลต่านรุกรานเรื่อยมา สู้รบกับหัวเมืองไทย เข้าตีเมืองสงขลา เมืองจะทิ้งพระ จนเมืองแตก จึงต้องหนีอพยพไปตั้งเมืองใหม่ ในพั ท ลุ ง หลั ก ฐานอ้ า งอิ ง ในพื้ น ที่ จั ง หวั ด พั ท ลุ ง มี ใ ห้ พ บเห็ น ทั่ ว ไป แม้ แ ต่ วัดบางแก้วในอ� ำเภอเขาชัยสน เกิดเรื่องเล่าสืบต่อกันมาจนปัจจุบัน เช่น นางเลือดขาว นางมโนรา แม้แต่นางวิไล สนมเจ้าเมืองพัทลุง ซึ่งมีรูปสวย หาหญิงใดเปรียบมิได้จนทหารเจ้าเมืองหลงรัก ลงส�ำเภาพาหนีกนั มาซ่อนตัวจน เรือจมปิดคลองมิไร กลายเป็นเรือทวดคลองมิไรมีความศักดิ์สิทธิ์เป็นที่นับถือ ของชาวต� ำ บลท่ า หิ น ปั จ จุ บั น ศาลทวดมิ ไรตั้ ง อยู ่ ที่ หมู ่ ๗ ต� ำ บลท่ า หิ น อ�ำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา พ่อเฒ่าเล่าต่อว่า กลุ่มมุสลิมของอินโด-มาเล ไหลเข้ามาในประเทศไทยกระจัดกระจายกันอยู่ หาพื้นที่ตั้งบ้านเรือนและ ที่ท�ำมาหากิน ต่อมาพระเจ้าตากสินลงมาปราบหัวเมืองทางใต้ ขยายอาณาเขต ไปแหลมมลายู ทรงแต่งตั้งไทยมุสลิมที่จงรักภักดีเป็นเจ้าเมืองสงขลา พี่น้อง ชาวไทยมุสลิม ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เกาะนางค�ำ จังหวัดพัทลุง ความสัมพันธ์ระหว่าง


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

17

หมู่บ้านทั้งสองกลุ่มนี้ พึ่งพาไปมาหาสู่กันเหมือนญาติ ข้ามฝั่งไปท�ำมาหากินกัน ตามถนัดของอาชีพ ชาวไทยพุทธมาฝัง่ ท่าหิน มาถางป่า ปลูกข้าว ชาวไทยมุสลิม ลงเรือหาปลาริมทะเลสาบฝั่งตะวันตกของเกาะนางค�ำ การแลกเปลี่ยนพื้นที่ท�ำ มาหากินแบบธรรมชาติ ระหว่างเพื่อนฝูง หมู่ญาติ ชาวไทยพุทธ ทยอยกันมา ปลูกข้าว ชาวไทยมุสลิมลงเรือหาปลา จนถึงปัจจุบันนี้ทั้งสองหมู่บ้านยังไปมา หาสู่ มีงานแต่งงาน งานบวช งานศพ ก็จะช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ญาติๆ พี่น้องของพ่อเฒ่ายังมีที่ดินที่เกาะนางค�ำจนถึงบัดนี้ หัวหน้าหมู่บ้าน ดาโต๊ะหลี ท่านเสียชีวิตก่อนการย้ายหมู่บ้าน ด้วยเหตุผลที่ท่านเป็นผู้นำ� ที่ดี มีบุญบารมี เกาะกุมชาวไทยพุทธสืบมานี่เอง จึงเกิดศาลเจ้าบ้านขึ้นในต�ำบลท่าหินจนบัดนี้ มีที่ดินเป็นศาลาที่ตั้งของท่านเอง ไม่มีใครกล้าบุกรุกศาลาเจ้าบ้าน เป็นจุดร่วม ศรัทธาเคารพบูชาของชาวไทยพุทธในต�ำบลท่าหิน แต่ถ้าจะท�ำพิธีแก้บน ก็จะเชิญโต๊ะหลีฝั่งเกาะนางค�ำ หรือบ้านระฆังมาสวดขอพรต่อพระอัลลอฮ์ ตามประเพณีไทยมุสลิมอย่างเคร่งครัด แก้บนกับเสียงประทัด ไก่ปากทอง เมื่อ สงครามโลกครัง้ ที่ ๒ ทหารญีป่ นุ่ มาเมืองสงขลา ในทะเลสาบสงขลาเรือรบญีป่ นุ่ เข้ามาจอดถึงหน้าคลองต่างๆ ของต�ำบลท่าหิน ชาวบ้านผู้ชายจัดเวรยามลาด ตระเวนกันทุกหมู่บ้าน เมื่อได้ยินเสียงเครื่องบินมากลางวัน พ่อแม่น�ำลูกหลาน บุกโคลนไปซ่อนตัวในป่าริมทะเลสาบ ครูน�ำนักเรียนไปอยู่ในพระอุโบสถหน้า พระประธาน ๓ องค์ สภาพจิตใจของชาวท่าหินในขณะนั้นฝากไว้กับเจ้าบ้าน และพระประธาน ๓ องค์ในวัด ตอนนั้นพ่อเฒ่ายังเด็กๆอยู่ ทวดเล่าให้พ่อเฒ่า ฟังว่าท่านเป็นผู้ใหญ่บ้าน ลาดตระเวนตอนกลางคืนเห็นเจ้าบ้านปรากฏกาย ผิวด�ำล�่ำใหญ่ใส่หมวกแขกถือไม้เท้ายืนโบกมือในอากาศให้เครื่องบินญี่ปุ่นบิน ผ่านต�ำบลท่าหินไปทุกล�ำ ชาวต�ำบลท่าหินและเกาะนางค�ำ จึงรอดปลอดภัย ในสงครามโลกครั้งนั้น มีอยู่ช่วงหนึ่ง มีโรคระบาดคนตายกันมาก ท่านเจ้าบ้าน


18

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

จึงปรากฏกายถือไม้เท้า ปัดกวาดโรคระบาดออกจากหมู่บ้าน ชาวบ้านจึงเพิ่ม ความรักความศรัทธาต่อเจ้าบ้านมากยิง่ ขึน้ ในฤดูกาลคัดเลือกทหาร ใครไม่อยาก ให้ลูกติดทหารจะมาบนกันทั่วไป แต่ท่านดาโต๊ะหลีไม่บอกหวยเบอร์เด็ดขาด พ่อเฒ่าเล่าจนเหนือ่ ยพร้อมกันยกขันน�ำ้ ร้อนใบใหญ่ขนึ้ ดืม่ ท่านเล่าต่อพร้อมกับ ถอนหายใจเล็กน้อย วัดท่าหินเป็นวัดเก่าแก่มีพระประธาน ๓ องค์ มีหอระฆัง โรงสวดมนต์ท�ำด้วยไม้ ทวดเล่าให้พ่อเฒ่าฟังว่าเมื่อก่อนเป็นวัดล้างมีต้นไม้ ปกคลุมบังเอิญพระพ่อแก่สอี อ่ น แสวงบุญมาพบเข้า จึงน�ำชาวบ้านมาพัฒนาวัด ขึ้นใหม่ ประจวบเหมาะกับที่ท่าเรือมีต้นโพธิ์และแผ่นหินใหญ่ผุดลอยเหนือน�้ำ อยู่จึงตั้งชื่อว่าวัดท่าหิน พ่อเฒ่าเล่าจบแล้ว ดูท่านจะเหนื่อยมาก พี่ๆและดิฉัน เลยเตรียมทีน่ อนให้ทา่ น พีๆ่ ผูช้ ายก็นอนใกล้ทา่ นด้วย ดิฉนั บอกว่านอนหลับฝัน ดีนะคะพ่อเฒ่า ส่วนดิฉนั ไปนอนกับแม่ คืนนัน้ นอนไม่คอ่ ยหลับเลย นึกถึงต�ำนาน ต�ำบลท่าหินที่พ่อเฒ่าเล่าให้ฟังแต่ก็มีความสุขมากๆด้วย แปลกไหมล่ ะ ค่ ะ ต� ำ บลท่ า หิ น กั บ เกาะนางค� ำ แลกเปลี่ ย นพื้ น ที่ ท�ำมาหากินกันระหว่างชาวไทยพุทธกับชาวไทยมุสลิม ต�ำบลท่าหินของชาวไทย พุ ท ธกลั บ มี ศาลาเจ้าบ้านมุสลิม เกาะนางค�ำจังหวัดพัทลุงกลับมีวัด ดิฉัน แอบปลื้มจริงๆ กับต�ำนานต�ำบลท่าหิน ไม่ต้องรบไม่ต้องท�ำสงคราม ไม่รุกราน ใคร ชุมชนสองกลุ่มนี้ยังอยู่ด้วยกันได้ ไม่ว่าจะอยู่ศาสนาใดก็ตาม ถ้าทุกคนรัก ประเทศไทยมีความสงบนิง่ ของหัวใจ ไม่แบ่งชนชัน้ วรรณะ แบ่งปันให้คนอืน่ อย่าง ไม่หวังผลตอบแทน รู้จักใช้จ่ายประหยัดพอเพียง มอบความรักความผูกพัน เสมือนญาติเท่านั้นก็จะรอดปลอดภัย เสียงเล่าขานต�ำนาน จริงไหมไม่อาจรู้ได้ แต่หลักฐานส�ำคัญตกทอดถึงลูกหลานได้เห็นนั้นเป็นความจริง อดีตที่น่าจดจ�ำ และบางครัง้ ไม่นา่ จดจ�ำ เช่น สงครามโลกครัง้ ที่ ๒ ทุกครัง้ ต้องหลบภัยวิง่ หนีเอา ตัวรอด ประเทศมหาอ�ำนาจต้องการความเป็นใหญ่ไม่รจู้ กั ค�ำว่าพอ มีแล้วก็อยาก มีอีก ประเทศไทยต�ำบลท่าหินของเราก็รอดพ้นภัยสงครามโลกครั้งนี้มีข้อมูลให้


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

19

คนรุ่นหลังได้ศึกษาค้นคว้า อาจเป็นความศักดิ์สิทธิ์ของพระประธาน ๓ องค์ และ ศาลาเจ้าบ้านก็ได้ ขอขอบคุณพระพุทธศาสนาช่วยขัดเกลาหัวใจให้เป็น คนดี ขอบคุณบรรพบุรุษต�าบลท่าหินที่ให้คนรุ่นหลังอย่างดิฉันมีวันนี้ และ ขอบคุณพ่อเฒ่า ที่เล่าเรื่องราวดีๆ ให้ดิฉันฟัง


20

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

เรื่องดีที่บ้านเรา เด็กชายธีรภัทร์ ไชยมณี รางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๑ ระดับประถมศึกษา

ความรักของพ่อแม่ผู้เป็นบุพการีน�ำพาฉันมาที่นี่ หมู่บ้านเล็กๆ ห่าง จากตลาดปาดังเบซาร์เมืองชายแดนติดประเทศมาเลเซีย วัดระยะทางลึก เข้ามาสี่กิโลเมตร หมู่บ้านเล็กๆ ไม่ถึงหนึ่งร้อยหลังคาเรือนซึ่งส่วนใหญ่ซุกตัวอยู่ ในสวนยางพารา ฉันสามารถเห็นต้นไม้ขนาดหลายคนโอบเรียงรายสองข้างถนน ให้รม่ เงาบ่งบอกเชิงสัญลักษณ์วา่ ผูค้ นทีน่ รี่ กั และหวงแหนธรรมชาติ ทอดสายตา ลึกถัดเข้าไปเป็นสวนยางพารา พืชเศรษฐกิจส�ำคัญที่หล่อเลี้ยงชีวิตของคนที่นี่ และรวมถึงคนพื้นถิ่นปักษ์ใต้ของประเทศนี้ ล�ำต้นเป็นแถวแนวเรียงชิดติดเรียง ราย ใบสีเขียวสดขจีของมันแน่นหนาเบียดเสียดเป็นร่มเงาบอกความหมายของ ค�ำว่า อุดมสมบูรณ์ ลึกสุดเข้าไปอีกเป็นทิวเขา “เขารูปช้าง” ตระหง่านสูงเทียม เมฆลดหลั่นทับซ้อนเป็นฉากหลัง แดดสายสาดแสงแรงร้อน ส่องกระทบกระเบื้องหลังคาบ้านเรือนของ คนในหมู่บ้านริมสองข้างทางเป็นประกายเรืองรอง ฉันเห็นรอยยิ้มของเจ้าของ บ้านพร้อมเสียงตะโกนถามตามหลังด้วยภาษาพื้นถิ่นใต้ “ไปโรงเรียนเหอ--?” “ครับ--” ฉันขานตอบลากเสียงยาวให้ผถู้ ามได้ยนิ โดยไม่หนั กลับไปมอง ฉันคล้อยหลังจากตรงนัน้ มาแล้ว ฉันก�ำลังขีร่ ถมอเตอร์ไซค์ ฉันต้องรีบไปโรงเรียน กลางสายลมเย็นพัดผ่าน ฉันนั่งมองช่อดอกราชพฤกษ์ ที่ออกดอก เป็นช่อพวงระย้าเหลืองสดอร่ามเต็มต้น ดอกของมันเหลืองพราวทั่วทุกก้านกิ่ง


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

21

น่าเสียดายทีด่ อกของมันไร้ซงึ่ กลิน่ หอม มันมีแต่เพียงสีสนั หากมันมีกลิน่ อากาศ เย็นชื้นเช่นยามสายวันนี้คงช่วยให้ความหอมยิ่งทวีหอมเย็นชื่นไปทั่วทั้งป่า ไม่ใช่สิ ! ต้องบอกว่ากลิ่นคงหอมตลบอบอวลไปทั่วบริเวณโรงเรียน ท�ำไมฉันต้องบอกว่าหากดอกราชพฤกษ์มกี ลิน่ หอม คงหอมอวลอายไป ทั่วทั้งผืนป่า? เพราะเหตุว่าโรงเรียนประถมศึกษาที่ฉันเรียนอยู่ในขณะนี้ คือ สถาบันการศึกษาเพียงแห่งเดียวของหมู่บ้านที่นี่ มันมีสภาพคลับคล้ายผืนป่า เพราะเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่มากมายชนิด ทัง้ ไทร-สัก-กระถิน-เทพา-ราชพฤกษ์ศรีตรัง-หางนกยูง-กระโดน-เคียน-ยางนา-มะฮอกกานี-มะขาม –ตะแบกพะยอม-รวมทัง้ ไม้ปา่ อีกหลายสานพันธ์ มากมายกระจัดกระจายทัว่ อาณาบริเวณ เกือบสิบเจ็ดไร่ บางต้นบางชนิดอายุเกินกว่าครึ่งศตวรรษ,อาคารเรียน อาคาร ประกอบที่มีก็ซุกกายเงียบงันอย่างสุขสงบภายใต้เร่าเงาของไม้ใหญ่เหล่านี้ ฉันถึงได้มักพลั้งเผลอคิดว่าที่ตรงนี้คือผืนป่าอยู่เสมอๆ นกตัวเล็กๆ หลายตัวส่งเสียงร้องเจี๊ยวจ๊าวไล่จิกไล่ตีกันอยู่บนคาคบไม้ ปุยเมฆล่องไหลไปในผืนฟ้ากว้างดูนุ่มนวล แดดสายลอดช่องฟ้าลงมา สัมผัสยอดไม้สงู มองเห็นเขียวสดสว่างเป็นหย่อม ๆ ใบไม้สว่ นทีแ่ สงแดดสอดลอด เข้ามาไม่ถงึ เห็นเป็นสีเขียวครึม้ บ้างก็ปรากฏสีเทาทึมทึบ สีสนั แห่งธรรมชาติยาก ที่จะคาดเดาและท�ำความเข้าใจ แต่ฉันก็มีความสุข ความสุขที่คุณครูเคยพูดกับ นักเรียน ครูบอกว่าเราต้องช่วยกันรักษาต้นไม้และผืนป่าตามธรรมชาติทงั้ ทีบ่ า้ น และในโรงเรียน หากเรายังคงมีสงิ่ เหล้านีเ้ ราก็จะมีความสุข ความสุขเป็นสิง่ ง่ายๆ ไม่จ�ำเป็นต้องปรุงแต่ง นกร้อง ใบไม้ไหว สายลมพัด แดดสวยๆ มันก็คือความ สุขทีม่ าพร้อมกับความสงบ คุณครูเคยยกตัวอย่างให้ฟงั ว่า เหมือนเด็กเล็ก ๆ เห็น อะไรนิดอะไรหน่อยก็ยิ้มก็หัวเราะเอาใบไม้แห้งมาโปรยก็แย้มยิ้ม เอาทรายมา เล่นก็ส่งเสียงเอิ้กอ้ากหัวเราะชอบใจ สิ่งเหล่านี้คือความสุข เด็กมีความสุขโดย


22

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ไม่ต้องใช้สื่อประกอบหรืออุปกรณ์อะไรมาก ความสุขคือธรรมชาติ มีธรรมชาติ ก็มีความสุข คงจริงอย่างคุณครูบอก ความสุขของคนในหมู่บ้านฉันอีกอย่างคือวิถีชีวิต วัฒนธรรมที่แอบอิง ผูกพันอยู่กับศาสนา อย่างแนบแน่น ฉันอยากเล่าให้ฟัง ! หมู่บ้านของฉันเป็นหมู่บ้านไทยพุทธที่ไม่มีวัดตั้งอยู่ในพื้นที่ วิถีชีวิต ของผูค้ นผูกพันแนบแน่นอยูก่ บั ศาสนา ทีฉ่ นั ภาคภูมใิ จคือวันครบรอบการก่อตัง้ หมู่บ้านในวันที่ ๑๔ ธันวาคม ทุกปีในวันนี้ ผู้หลักผู้ใหญ่ในหมู่บ้านอันประกอบ ด้วยผูใ้ หญ่บา้ น ผูช้ ว่ ยผูใ้ หญ่บา้ น ผูน้ ำ� ชุมชนด้านต่างๆ สมาชิก อบต.ของหมูบ่ า้ น สถานีอนามัย และรวมถึงโรงเรียนประถมศึกษาทีฉ่ นั ก�ำลังเรียนอยู่ จะร่วมกันจัด กิจกรรมท�ำบุญประจ�ำปีของหมู่บ้าน โดยนิมนต์พระสงฆ์มาท�ำบุญตักบาตร ฉั น มาร่ ว มทุ ก ปี ตั้ ง แต่ เรี ย นอนุ บ าลจนถึ ง บั ด นี้ ไ ม่ เ คยขาด นั ก เรี ย นทุ ก คน ในโรงเรียนล้วนเต็มใจมาร่วม ฉันเห็นผู้คนหิ้วปิ่นโต ขนมหวาน ผลหมากรากไม้ มากมาย ทั้งคนแก่ หนุ่มสาว เด็กเล็ก เด็กโต ในหมู่บ้านทุกคน วันนั้นจะมีผู้คน มาร่วมคับคั่งมากมายแน่นศาลาประจ�ำหมู่บ้าน ล้นออกมาจนต้องตั้งเต็นท์ รองรับถึงสองหลัง บางคนฉันไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้จักหน้าค่าตามาก่อน ไม่รู้ ด้วยซ�้ำว่าเป็นคนที่อยู่ร่วมอาศัยในหมู่บ้านเดียวกัน แต่ในวันส�ำคัญเช่นนี้ ฉันได้ เห็นและได้รับรู้ ทุกคนมีสีหน้าอิ่มเอิบ ยิ้มแย้ม แจ่มใส โอภาปราศรัย ทักทาย เสียงจอแจ เด็กๆ วิง่ เล่นไล่จบั กันอึกทึกส่งเสียงเอะอะมะเทิง่ มีเสียงตวาดก�ำราบ ความซุกซนจากผู้ใหญ่ดังเป็นระยะๆ น้องอนุบาลในโรงเรียนนั่งพนมมืออยู่บนตักแม่ ส่งเสียงถามดังๆ ขณะทีผ่ ู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นประธานจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยหน้าโต๊ะหมู่บูชา “แม่ เขาจุดเทียนท�ำไม?” แม่ของน้องอนุบาลไม่ตอบ ส่งเสียงจุ๊ปากเบาๆ เชิงห้ามปราม น้อง อนุบาลถามซ�้ำเมื่อไม่ได้รับค�ำตอบ แม่ต้องตีแขนน้องเมื่อทนรบเร้าด้วยค�ำถาม ซ�้ำหลายๆ ครั้งไม่ไหว


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

23

พระสงฆ์ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดที่ตั้งอยู่ในตลาดปาดังเบซาร์ ท่านเป็น พระผู้ใหญ่ใจดี ก่อนเข้าสู่พิธีของสงฆ์ท่านอธิบายตอบค�ำถามของน้องอนุบาล ทีฉ่ นั เองก็ไม่รคู้ วามหมาย เพียงเคยเห็นเขาจุดธูปเทียนทุกครัง้ ก่อนทีพ่ ระจะสวด และฉันก็ไม่เคยสงสัยว่าเขาจุดธูปเทียนเพื่อความหมายอันใด ฉันเดาเอาว่า ไม่เฉพาะฉัน หลายคนไม่รู้และไม่เคยคิดสงสัย เพียงเห็นเขาปฏิบัติเช่นนี้สืบต่อ กันมา ก็ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่วันนั้น เพราะค�ำถามของน้องอนุบาล และความใจดีของพระสงฆ์ท�ำให้ฉันรับรู้ความหมาย และเกิดความประทับใจ ในการเอื้ออาทรของคนที่อยู่ร่วมกันในสังคม ท่านอธิบายว่า “ชาวพุทธจุดธูปเทียนเพื่อสักการะพระพุทธเจ้าผู้เป็น ศาสดาของศาสนาพุทธ เทียนเล่มขวา-ซ้ายมือของผู้จุดคือการจุดเพื่อบูชา พระธรรม เทียนเล่มซ้าย-ขวามือผูจ้ ดุ จุดเพือ่ บูชาพระวินยั ส่วนธูปสามดอกหมาย ถึงการสักการะพระพุทธเจ้า ดอก ๑ บูชาพระปัญญาของพระพุทธเจ้า ดอก ๑ บูชาความบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้า ดอก ๑ บูชาพระคุณของพระพุทธเจ้า” ค�ำอธิบายของพระท� ำให้ฉันรู้ในสิ่งที่ฉันไม่เคยสงสัย หลายคนก็คงไม่ต่าง ไปจากฉันมากนักหรอก ท่วงท�ำนองของสายลมอึงอลต่อเนื่องยาวนาน ฉันร�ำลึกถึงเรื่องดีๆ ที่บ้านฉัน หาใช่มุ่งหมายรางวัลใดๆ ฉันเพียงต้องการสื่อสารผ่านตัวอักษรแทน ถ้อยค�ำ ให้ผู้คนภายนอกได้รับรู้ว่าที่ “บ้านไร่” โรงเรียนประถมศึกษา และ หมู่บ้านเล็กๆ ของฉันเป็นอีกที่ ที่หนึ่งที่มีวิถีชีวิต วัฒนธรรมผูกพันกับธรรมชาติ และศาสนาอย่างแนบแน่น ผู้คนอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ยิ้มแย้มแจ่มใส ท่ามกลางธรรมชาติ อันอุดมสมบูรณ์ที่ทุกคนร่วมกันดูแลรักษา ด้วยหัวใจ เป็นเรื่องราวดีๆ ท่ามกลางเรื่องร้ายๆ รายรอบในความมืดอึมครึม ของสถานการณ์สามจังหวัดชายแดนใต้ ซึง่ รวมเข้ากับสีอ่ ำ� เภอของจังหวัดสงขลา และที่บ้านฉันคือส่วนหนึ่งของอ�ำเภอสะเดา รวมอยู่ในสี่อ�ำเภอดังกล่าวของ


24

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

จังหวัดสงขลา ทีเ่ ต็มไปด้วยความวุน่ วายโกลาหล ความทุกข์ทรี่ มุ เร้าผูค้ นจนแทบ สิ้นไร้ทางออก แง่มุมในเรื่องเล่าของฉัน ฉันอยากบอกว่า วิถีชีวิตและวัฒนธรรม อันดีงามของคนในสังคม และการตอบค�าถามต่อทุกค�าถามแม้ค�าถามของคน เล็ก ๆ ที่ดูเหมือนไร้สาระ ก็เป็นสิ่งจ�าเป็นที่ควรค่าให้ความส�าคัญ เพื่อท�าความ เข้าใจ แสดงถึงความปรารถนาดีที่มนุษย์ทุกคน ทุกเพศทุกวัย พึงมีต่อกัน เพื่อความสมานฉันท์ สันติภาพ และสันติสุขกลับคืนสู่สังคมเราอีกครั้ง


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

25

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา เด็กหญิงนูรูนนะญาห์ บิลร่าหมาน รางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๒ ระดับประถมศึกษา

จังหวัดปัตตานี เป็น ๑ ใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่รู้จักในสายตา ของคนทั่วไปว่าเป็นจังหวัดที่น่ากลัวเพราะมากมายด้วยอันตราย ไม่มีความ ปลอดภัยในชีวิต มีการระเบิด ฆ่ากันเป็นรายวัน ฯลฯ วันนี้ฉันอยากเล่าสู่กันฟัง ในอีกมุมมองหนึ่งที่เป็นเรื่องดีๆ ที่มีในบ้านเรา “ปัตตานี” “บูดสู ะอาด หาดทรายสวย รวยน�้ำตก นกเขาดี ลูกหยีอร่อย หอยแครง สด” เสียงท่องค�ำขวัญจังหวัดปัตตานีดังเซ็งแซ่ในชั่วโมงเรียนสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ครูนัฏจวา ซึ่งสอนในชั่วโมงนี้ให้การบ้านโดยให้นักเรียนกลับไป สัมภาษณ์ผู้ที่มีความรู้ที่บ้านในหัวข้อ “เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา” ปัตตานี ฉันเลยต้อง กลับมาพูดคุยกับคุณพ่อให้ชว่ ยสอนการบ้านในหัวข้อนีห้ น่อย ฉันถามคุณพ่อว่า “คุณพ่อคะ คุณพ่อเป็นคนหาดใหญ่ ท�ำไมคุณพ่อถึงมาอยู่และมาท�ำงานที่ จังหวัดปัตตานีละ่ คะ? จังหวัดปัตตานีมอี ะไรดีๆ หรือคะ”? คุณพ่อเล่าว่าครัง้ แรก ทีค่ ณ ุ พ่อตัดสินใจทีจ่ ะมาท�ำงานและมาอาศัยอยูท่ จี่ งั หวัดปัตตานี บรรดาญาติพี่ น้องของคุณพ่อต่างก็ไม่มีใครเห็นด้วย ทุกคนต่างลงความเห็นว่า “ปัตตานีห่าง ไกลความเจริญ อันตรายไม่มคี วามปลอดภัยในชีวติ ไม่นา่ อยูเ่ หมือนทีห่ าดใหญ่” คุ ณ พ่ อ พยายามอธิ บ ายให้ ฟ ั ง ว่ า จั ง หวั ด ปั ต ตานี ถึ ง แม้ จ ะเป็ น จั ง หวั ด เล็ ก ๆ แต่กลับมีเรื่องดีๆ ให้ชวนศึกษาเรียนรู้มากมาย ได้แก่


26

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

เรือ่ งดีๆ อันดับแรก คือ จังหวัดปัตตานีได้ชอื่ ว่า เป็นทีต่ งั้ ของอาณาจักร โบราณ “ลังกาสุกา” เป็นชุมชนแห่งประวัติศาสตร์ มีร่องรอยความเจริญ ให้ได้ศึกษามากมายเช่นเมืองโบราณยะรัง มัสยิดกรือเซะ มัสยิดดาโต๊ะ มัสยิด บูกิตบาโงยลางา และพลับพลาที่ประทับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาล ที่ ๗ คุณพ่อเล่าว่าคุณพ่อได้ศึกษาประวัติของโบราณสถานต่างๆ หลายๆ แห่ง ทีม่ ใี นจังหวัดปัตตานี ล้วนแล้วแต่มคี ณ ุ ค่าต่อการศึกษาเรียนรูท้ �ำให้เราได้รบั รูถ้ งึ ความยิ่งใหญ่ของชุมชนในอดีต ท�ำให้เกิดความรู้สึกรักและหวงแหนในดินแดน แห่งนี้ คุณพ่อมักจะพาเพื่อนๆ ทั้งที่เป็นคนไทยจากต่างจังหวัดและเพื่อนๆ จากต่างประเทศมาเยี่ยมชมโบราณสถานต่างๆ เหล่านี้ เรื่องดีๆ อันดับที่สอง การมีวิถีชีวิตชาวบ้านที่อยู่อย่างพอเพียงขยันท�ำ มาหากินเลี้ยงครอบครัวด้วยอาชีพที่สุจริต โดยอาชีพหลักๆ ของชาวปัตตานี ได้แก่ การท�ำประมง การท�ำนา ท�ำสวนยางพารา และสวนผลไม้ ส่งผลให้จงั หวัด ปัตตานีมีสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจมากมาย เช่น น�้ำบูดู ข้าวเกรียบกุ้ง ข้าวเกรียบปลา ลูกหยี โดยผลิตภัณฑ์เหล่านี้กลายเป็นสินค้าส่งออกออก ท�ำรายได้ให้จังหวัดเป็นจ�ำนวนมาก เรื่องดีๆ อันดับที่สาม การมีการแสดงศิลปวัฒนธรรมและการละเล่น พื้ น บ้ า นที่ โ ด่ ด เด่ น สวยงามสมควรแก่ ก ารอนุ รั ก ษ์ เช่ น การเต้ น ร็ อ งเง็ ง การเล่นลิเกฮูลู ซึ่งมักจะน�ำเล่นแสดงในงานพิธีต่างๆ เช่น งานมาแกปูโละ งานเมาลิด งานเข้าสุนัด ศิลปะป้องกันตัวสิละเป็นต้น เรื่องดีๆ อันดับที่สี่ การมีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงาม น่าท่องเที่ยวเช่นทะเล หรือชายหาดตะโล๊ะกาโปร์ หาดวาสุกรี หาดแฆแฆ ฯลฯ หรือจะเป็นการเที่ยวน�้ำตกเช่นน�้ำตกทรายขาว หรือจะเป็นการท่องเที่ยวเชิง นิเวศน์ป่าชายเลนยะหริ่งซึ่งถือว่าเป็นอุโมงค์ธรรมชาติแห่งหนึ่งในประเทศไทย เป็นป่าชายเลนที่อยู่ใกล้ชุมชน และมีความสมบูรณ์ตามธรรมชาติมาก


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

27

คุณพ่อบอกว่า “จังหวัดปัตตานีของเรายังมีเรื่องดีๆ อีกมากมายให้เรา ได้ศึกษา เรียนรู้โดยเฉพาะการมีวิถีชีวิตของความหลากหลายทางวัฒนธรรม และศาสนา ผู้คนที่นับถือศาสนาอิสลาม พุทธ จีน และคริสต์ ใช้ชีวิตกัน อย่างพี่น้อง เอื้ออาทรต่อกันอยู่กันอย่างสันติสุขรักใคร่สมานฉันท์” สิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นสิ่งดีๆ ที่สร้างความประทับใจให้กับพ่อและชาวปัตตานีคนอื่นๆ จังหวัดปัตตานีถึงแม้จะเป็นจังหวัดเล็กๆ แต่เป็นจังหวัดที่มีเรื่องดีๆ มากมายหลังจากที่ได้คุยกับคุณพ่อแล้ว ฉันเองก็ประทับใจในจังหวัดปัตตานี ของฉันไม่แพ้พ่อ ฉันแอบตั้งความหวังว่าฉันจะตั้งใจเรียน เรียนหนังสือให้เก่งๆ เติบโตเป็นคนดีและสร้างสิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้นที่ปัตตานี...บ้านของเรา



เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

29

เรื่องดีดีที่บ้านเรา เด็กชายกิตติศักดิ์ มั่นวงศ์

บ้านของผมก็มีหลายอย่างครับ เพราะต�ำบลของผม เป็นต�ำบลที่มี ความสุขและรอยยิ้ม และเป็นต�ำบลแห่งโครงการพระราชด�ำริ บ้านของผม ต�ำบลภูเขาทองครับ ทีช่ อื่ ว่าภูเขาทอง พ่อบอกว่าตอนชาวบ้านอพยพมาอยูใ่ หม่ๆ พวกชาวบ้านเขาเจอทองค�ำเขาเลยตั้งชื่อหมู่บ้านว่าภูเขาทอง และยังเอามาตั้ง เป็นชื่อต�ำบลด้วย พ่อยังเคยเล่าให้ผมฟังอีกว่า ก่อนที่คนต�ำบลภูเขาทองจะเข้า มาอยู่พื้นที่ บริเวณนี้เคยเป็นกิ่งอ�ำเภอมาก่อน ชื่อกิ่งอ�ำเภอโต๊ะโม๊ะ ทุกวันนี้ โต๊ะโม๊ะเป็นแค่ชื่อหมู่บ้านที่อยู่ในต�ำบลภูเขาทองพ่อยังเล่าอีกว่าเจ้าแม่โต๊ะโม๊ะ นั้น ถูกอันเชิญมาจากประเทศญี่ปุ่น ไม่ใช่ประเทศจีน คนจีนที่ได้รับสัมปทาน ท�ำเหมืองแร่ทองค�ำคนแรกเป็นคนไปอัญเชิญมามีกระถางธูปและภาพองค์เจ้า ปัจจุบันเหลือแค่กระถางธูปเขาก็เอาไปไว้ที่อ�ำเภอสุไหงโก-ลกครับ ต�ำบล ภูเขาทองยังมีศาลเจ้าอีก ๒ แห่งครับ ศาลเจ้าแม่ไทรทองที่บ้านไอปาโจ และ ศาลตาปู่ที่บ้านภูเขาทอง และยังมีวัดอีก ๘ แห่ง มีวัดที่ในหลวงและพระราชีนี สร้างด้วย ชือ่ วัดโต๊ะโม๊ะ ยังมีวดั อีกแห่งหนึง่ ชือ่ วัดบ้านต้นทุเรียน มีหลวงปูท่ วด องค์ใหญ่เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวบ้าน มีงานสมโภชทุกปี ทุกครั้งที่จัดงาน ชาวบ้านจะร่วมแรงร่วมใจกัน ช่วยงานวัดด้วยความสามัคคี วันงานจะมีการ ปฏิบัติธรรม ๕ วันกลางคืนก็มีการสอยดาวและวงดนตรีผู้สูงอายุมาแสดงด้วย ครอบครัวผมมี ๓ คนครับ มีพ่อ มีแม่และผม พ่อยังเลี้ยงหมาอีก ๒ ตัว แมวอีก ๔ ตั ว พ่ อ ยั ง ขุ ด บ่ อ เลี้ ย งปลาไว้ ห ลั ง บ้ า นด้ ว ยครั บ ผมยั ง เห็ น แม่ ช ่ ว ยพ่ อ


30

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ปลูกผักด้วย แม่ปลูกหัวข่าหัวตะไคร้ ปลูกผักหวานปลูกพริกไทย ปลูกมะละกอ และยังมีผกั อีกหลายอย่างทีแ่ ม่ปลูก ผมยังเห็นผักของแม่ตน้ มันแปลกแปลก ผม ถามแม่วา่ ผักอะไรแม่บอกว่าต้นเหงือกปลาหมอเป็นยาสมุนไพร และยังมีตน้ ว่าน ชักมดลูก ต้นรางจืดด้วย ตอนเช้าพ่อจะตืน่ ไปกรีดยางแต่เช้า ส่วนแม่กจ็ ะหุงข้าว ท�ำกับข้าว และไปส่งผมที่โรงเรียน กับข้าวของแม่ส่วนใหญ่ก็ไข่ทอด ปลาทอด ไก่ทอด บางครัง้ แม่กย็ ำ� ปลากระป๋อง ปลาทีแ่ ม่ทอดก็เป็นปลาทีพ่ อ่ ไปหามาจาก คลองน�้ำหน้าบ้าน พ่อไปมุดน�้ำแล้วเอาเหล็กแหลมยิงเอา บางครั้งพ่อได้มา เยอะมาก แม่ก็เอาหมักเกลือกับข้าวสุกท�ำเป็นปลาส้ม แต่บางครั้งแม่ก็เอาไป แบ่งให้ยายกับย่ากินด้วย วันไหนพ่อไม่หาปลาพ่อก็ไปส่องกบ ตอนกลางคืน ครอบครัวของผมจะกินข้าวพร้อมกันก็ตอนเย็นครับ บางวันตอนเย็นพ่อก็จะไป เล่นฟุตบอล แม่ก็ไปเต้นแอโรบิค ส่วนผมก็ไปเล่นที่สนามเด็กเล่นในหมู่บ้าน พอวันเสาร์อาทิตย์บางครัง้ พ่อกับแม่กไ็ ปร่อนทอง พาผมไปด้วยครับ แม่บอกว่า บ้านเราเป็นบ้านต้นน�้ำ อย่าทิ้งขยะลงคลองเพราะคนที่อยู่ปลายน�้ำ เขาใช้ น�้ำคลองนี้เหมือนกัน เดี๋ยวคลองน�้ำมันจะสกปรก พ่อผมไม่กินเหล้าครับแต่แม่ ซื้อหวย วันพระ แม่ก็จะไปวัด พอตอนเย็นแม่ก็เก็บดอกไม้มาบูชาพระพุทธรูป บนหิ้งพระและไหว้ศาลพระภูมิ พอถึงเดือนเมษายน โรงเรียนปิดเทอม พวกรุ่น พี่ก็บวชเณร ภาคฤดูร้อน ผมไม่ได้บวชครับ แม่บอกว่ายังเด็กอยู่ พอถึงวัน สงกรานต์ แม่ก็จะพาผมไปรดน�้ำขอพรจากยายและย่า พอถึงงานบุญบั้งไฟ ผมชอบมากครับ เพราะมันสนุก คนเยอะมาก พวกเขาจะพากันไปดูขบวนแห่ บั้งไฟเอ้ และดูการแข่งขันจุดบั้งไฟ จัดเวลาพอถึงเดือนกันยายน ก็เป็นช่วงฤดู ผลไม้ครับ ต�ำบลภูเขาทอง ผลไม้เยอะมาก มีทั้งทุเรียน เงาะ ลองกอง มังคุด ละไม และยังมีผลไม้ป่าอีกด้วย มีลังแข ระก�ำ ลูกกอ ลูกกะ เป็นต้น พอปีใหม่ แม่ก็จะพาผมไปแลกของขวัญที่ศาลาหมู่บ้าน บางปีก็จะมีดนตรีของคนแก่มา


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

31

เล่นให้ดู เป็นดนตรีอีสานวงพิณพาเพลิน ต�าบลของผมมีธรรมชาติที่สวยงามมี ภูเขา ป่าไม้ ทะเลหมอก มีน�้าตก และมีต้นกะพงยักษ์ พระราชินีกับเจ้าฟ้าชาย ยั ง เคยเสด็ จ ทอดพระเนตรและยั ง มี โ ครงการพระราชด� า ริ ที่ มี ป ระโยชน์ กับชาวบ้านอีกหลายโครงการ เช่น โครงการฝายทดน�้า หรือประปาหมู่บ้าน ของในหลวง ชาวบ้านยังคงใช้น�้ากิน น�้าอาบ ใช้น�้าเลี้ยงปลา ใช้น�้ารดน�้าผัก โครงการเขื่อนไฟฟ้าพลังน�้าไอกาเปาะ ชาวบ้านยังคงใช้ไฟฟ้าเป็นแสงสว่าง ยามค�่าคืน ใช้ไฟฟ้าหุงข้าว ดูทีวี และระบบเสียงตามสายของหมู่บ้านโครงการ ฟาร์มตัวอย่างของพระราชินี ชาวบ้านได้ท�างานรับจ้างในโครงการ ชาวบ้านได้ ซื้อไข่ไก่ ซื้อปลาและผักในราคาถูก โครงการสวนป่าสิริกิติ์ ยังคงเป็นป่าที่อุดม สมบูรณ์เป็นป่าต้นน�้า ของแม่น�้าสายบุรีและแม่น�้าโก-ลก เป็นป่าที่ให้อากาศ บริสุทธิ์ให้คนภูเขาทองได้หายใจและยังคงเป็นป่าที่คนไทยได้ศึกษา ท่องเที่ยว และพักผ่อน นี่แหละครับเรื่องเล่าดีดีที่บ้านผมยังมีอีกมากครับ ที่ผมไม่ได้เขียน รวมทั้งโครงการพระราชด�าริอีกหลายอย่างที่ไม่ได้เล่าครับ


32

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา เด็กหญิงกุลจิรา หยังสู

ผู้อาวุโสในหมู่บ้านท่าชะมวงของฉันคือคุณตาของฉัน ท่านได้เล่า เกี่ยวกับวิถีชีวิตตลอดจนถึงอาหารคาวหวาน ซึ่งมีกันมาอย่างช้านานแล้ว ฉันรู้สึกสนใจประทับใจในขนมประจ�ำถิ่นในหมู่บ้านท่าชะมวงของฉันจนท�ำให้ ฉันได้น�ำมาใช้ในชีวิตประจ�ำวันและใช้ในการเรียนในโรงเรียนของฉันได้อีกด้วย คุณตาของฉันชื่อ นายหยาด ร่าเหม ท่านอายุ ๗๐ ปีแล้ว แต่ท่านได้ เสียชีวิตลงแล้ว แต่ท่านก็ได้ฝากสิ่งดีๆ ไว้ให้กับฉันมากมาย เช่น วิธีการท�ำขนม ในท้องถิน่ คุณตาของฉันท่านเป็นคนทีท่ ำ� ขนมเก่งมาก ท่านยังสอนให้ฉนั ท�ำขนม อีกด้วย และขนมที่ท่านสอนให้ฉันท�ำคือขนมโกยบูดะ ซึ่งเป็นชื่อเรียกในภาษา ถิ่น แต่ภาษากลางเรียกว่า ขนมบุหงาบูดะ สามารถใช้ในงานเทศกาลงานมงคล ทัง้ ชาวพุทธและชาวอิสลามและขนมบุหงาบูดะยังเป็นสินค้า OTOP ของจังหวัด สตูล ระดับ ๔ ดาวในปี พ.ศ. ๒๕๔๗ ตอนนี้ฉันคิดว่าน่าจะเพิ่มเป็น ๕ ดาวแล้ว ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เพราะเป็นที่นิยมของบุคคลทั่วไป เป็นของฝากอันดับ ๑ ของจังหวัดสตูล แม้แต่ชาวต่างประเทศก็ยังชอบในรสชาติ ความหอมอร่อย เป็นความแปลกใหม่ของขนม คนทีจ่ ะท�ำขนมบุหงาบูดะต้องมีความมุง่ มัน่ ตัง้ ใจ และก็ต้องใจเย็น เวลาท�ำก็ต้องใส่ใจด้วย ในเดือนรอมฎอนที่ผ่านมาทางโรงเรียนของฉันได้ให้นักเรียนท�ำขนม เพื่อจะน�ำไปละศีลอดที่มัสยิด ฉันรวมกลุ่มกับเพื่อนในห้องท�ำขนมบุหงาบูดะ เพื่อนๆ ทุกคนก็ต่างท�ำไม่เป็น แต่ฉันท�ำเป็นเพราะคุณตาของฉันท�ำให้ฉันกิน


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

33

ตั้งแต่เล็กๆ อยู่ จนฉันจ�ารสชาติและกลิ่นได้แม่นแล้ว ฉันก็เลยเป็นผู้น�าในการ ท�าขนมในครั้งนั้น คุณครูรู้สึกชอบใจที่นักเรียนท�าได้โดยที่ครูไม่ต้องแนะน�า เมื่อท�าเสร็จ ฉันแบ่งส่งครู อีกส่วนน�าไปละศีลอดที่มัสยิด ส่วนที่ฉันน�าไปส่งครู ฉันได้ ๑๐๐ คะแนนเต็ม และเมื่อฉันน�าขนมไปละศีลอดที่มัสยิดทุกคนก็ต่าง ชมกลุ่มของฉัน ฉันรู้สึกภาคภูมิใจมากที่ฉันมีคุณตาซึ่งเป็นผู้อาวุโสในหมู่บ้าน เป็นผู้สอนให้ฉันท�าขนมเป็น เก่งและอร่อยด้วย จากการที่ฉันท�าขนมบุหงาบูดะ จนท�าให้ฉันเป็นที่ยอมรับจากเพื่อน คุณครู และชุมชนในหมู่บ้านของฉัน ท�าให้ เกิดแรงบันดาลใจที่จะพัฒนาการท�าขนมบุหงาบูดะให้ดียิ่งขึ้นเป็นที่ยอมรับ ของคนทั้งประเทศ เมื่อฉันเรียนจบไม่ว่าจะจบสาขาไหนก็ตามแต่ฉันจะไม่ลืม การท�าขนมบุหงาบูดะ ซึ่งเป็นสิ่งดีๆ ที่บ้านเรา


34

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

เรื่องดีดีที่บ้านเรา เด็กหญิงกุลภรณ์ เซ่งฮวด

น้องแป้งหอม ด.ญ.กุลภรณ์ เซ่งฮวด อายุ ๑๒ ขวบ นักเรียนชั้น ป.๖/๑ โรงเรียนอนุบาลสงขลา จังหวัดสงขลา อาสามาเล่าเรือ่ งดี ๆ ทีบ่ า้ นเรา (แป้งหอม) ครอบครัว “แป้งหอม” เป็นครอบครัวเล็กๆ ในต�ำบลบ่อยาง อ.เมือง จ.สงขลา ครอบครัวเล็กๆ แต่มีความสุขมากๆ คุณพ่อ-คุณแม่ เป็นคนรักครอบครัว รักลูกมาก คุณพ่อมีอาชีพเป็นเซลล์แมน เป็นคนดี ไม่เล่นการพนัน ไม่เที่ยว กลางคืน ไม่เจ้าชู้ ไม่ดมื่ เหล้า ไม่สบู บุหรี่ ไม่เคยพูดค�ำหยาบกับลูกกับคุณแม่ ส่วน คุณแม่เป็นแม่บ้านและท�ำกิจการซัก-รีด คุณแม่เป็นคนชอบความสะอาดขยัน และมีความกตัญญูต่อคุณตาคุณยายมาก และที่ส�ำคัญคือท�ำกับข้าวอร่อยจริงๆ นะคะ ใครได้รับประทานฝีมือคุณแม่จะต้องติดใจ พี่ชายของแป้งหอมมี ๑ คน ร้องเพลงเพราะมากและใจดี ชอบร้องเพลงให้แป้งหอมฟังบ่อยๆ และสอน การบ้านหรือท�ำการบ้านให้เวลาแป้งหอมท�ำไม่ได้ น้องชายแป้งหอมอีก ๑ คน เป็นเด็กเรียนหนังสือเก่ง เป็นคนประหยัด กลับจากโรงเรียนจะต้องเหลือเงิน มาเก็บทุกวัน บางครั้งถ้าน้องอารมณ์ดีๆ ก็จะน�ำเงินที่เก็บไว้นั้นมาเลี้ยงขนม แป้งหอมเป็นประจ�ำ เวลาผ่านไปตั้ง ๑๒ ปี ที่นี่ จ.สงขลาบ้านเกิดของแป้งหอม น่าเสียดาย และน่าจดจ�ำไปตลอดชีวิตเพราะอีกไม่กี่วัน แป้งหอมก็จะย้ายไปอยู่ จ.อุบลราชธานีบ้านเกิดของคุณแม่ไปเรียนต่อมัธยม ๑ ที่นั่นค่ะ จึงขอถ่ายทอด ความรัก ความผูกพัน ที่มีต่อบ้านเกิด มาเป็นเนื้อเรื่องดังต่อไปนี้ อ.เมือง จ.สงขลา เป็นเมืองสงบเรียบง่ายบรรยากาศในเมืองนีค้ ลาสสิก สุดๆ สถานที่ตั้งติดทะเล อ่าวไทย ชายหาดสวยสะอาด ผู้คนไม่พลุกพล่าน


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

35

ถ้าวันไหนไปชายหาดแหลมสมิหลา หรือ หาดชลาทัศน์ก็ไม่ต่างกับอยู่ในบ้าน หมายถึงความอบอุ่นใจ ความปลอดภัย พระอาทิตย์ขึ้นที่ไหนก็ไม่สวยเท่าที่ แหลมสมิ ห ลาและชายหาดสวนสน สวนสองทะเลเป็ น แหลมที่ ยื่ น ออกไป ในทะเลที่กั้นระหว่างอ่าวไทยกับทะเลสาบสงขลา เป็นสถานที่อีกที่หนึ่งที่ สวยงามและทรงคุณค่ากับวิถีชีวิตของชาว จ.สงขลา มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้กราบไหว้ บูชาที่นั้น “กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์” “เสด็จเตี่ย” ยืนตระหง่านหันหน้าสู่ ทะเลทั้งสอง บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ และเป็นก�ำลังใจให้ชาวเรือในการ ออกไปท�ำมาหากิน บวกกับพญานาคพ่นน�้ำและหลวงปู่ทวดเขาแดงอยู่ติด ทะเลสาบ อีกฟากฝั่ง พวกเราชาวสงขลาไปที่นั่นก็ต้องยกมือไหว้อธิษฐานจิต ขอพรจากท่ า นทะเลสาบสงขลาเป็ น ทะเลสาบที่ ใ หญ่ ที่ สุ ด ในประเทศไทย เป็นทะเลสาบที่หล่อเลี้ยงชีวิตคนมานานแสนนานและตลอดไป คุณค่าของ ทะเลสาบสงขลา เหนือค�ำบรรยายใดๆ ทั้งปวง การเดินทางข้ามทะเลสาบมีแพ ขนานยนต์ข้ามไปมาสะดวกใช้เวลาเพียง ๑๐-๑๕ นาที ปลอดภัยประหยัดเวลา และน�้ำมันรถ และอีกทางหนึ่งคือ สะพานที่ยาวที่สุดในประเทศไทย “สะพาน ติณสูลานนท์” มี ๒ ช่วงเป็นสะพานที่เป็นความภาคภูมิใจของชาวสงขลา เป็นทีส่ ดุ สวยงามกว่าทีไ่ หน ยิง่ ในเวลากลางคืน แสงไฟบนสะพานมองแล้วภูมใิ จ จับใจเป็นที่สุด สะพานของโลกประเทศไหนๆ ก็สู้ไม่ได้ พระอาทิตย์ขึ้นทาง อ่ า วไทยในตอนเช้ า ส่ อ งแสงสาดใส่ แ ม่ น างเงื อ กทองหน้ า ไปชมท่ า นเป็ น ความบังเอิญหรือเทวดาจงใจให้แสงประกายทีแ่ ม่นางเงือกทองไปตกทีท่ ะเลสาบ ในตอนเย็น เวลาพระอาทิตย์ตกตอนเย็นเหมือนภาพวาดยังไงอย่างงั้น มีน�้ ำ ภูเขา ดวงอาทิตย์ตกบวกกับเรือล�ำเล็กๆ ๒-๓ ล�ำทีท่ อแสงกับพระอาทิตย์จงึ เป็น ที่มาของภาพแสงสุดท้ายที่เกาะยอ สวยบาดตาบาดใจ อ.เมือง จ.สงขลา พร้อมไปด้วยสถานที่ราชการส�ำคัญๆ โรงเรียน มหาวิทยาลัย โบราณสถาน โบราณวัตถุ พูดง่ายๆสามารถเป็นแบบเมืองจ�ำลองที่ทุกๆ เมืองควรจะเอาเป็น ตัวอย่าง มีบ้าน ชุมชนใกล้โรงเรียน ใกล้วัด ใกล้ตลาด ใกล้สถานที่ราชการ


36

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ใกล้โรงพยาบาล ใกล้สถานที่ท่องเที่ยว พักผ่อนหย่อนใจ ท�ำให้ด�ำเนินชีวิตง่ายๆ สบายๆ ประเพณีและวัฒนธรรมหลายอย่างเช่นงานท�ำบุญเดือนสิบเป็นการ ท�ำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับบรรพบุรุษที่ล่วงลับ อีกประเพณี คืองาน ตักบาตรเทโวในวัดเทศกาลออกพรรษาและประเพณีลากพระมีการประกวดเรือ พระ คุณพ่อจะพาไปชมเรือพระของทุกวัดก่อนการประกวดขึ้นในวันรุ่งขึ้นแล้ว ก็ให้ทายกันว่าวัดไหนจะได้รางวัลที่หนึ่ง เรือพระของแต่ละวัดสวยงามมากๆ กิ จ กรรมงานเทศกาลอาหารสวนสองทะเลมี จั ด ขึ้ น ทุ ก ๆ ปี เป็ น งานรวม อาหารอร่อยๆ มาจ�ำหน่ายเช่นปลาทะเลสารพัดหมกด้วยเกลือ ปลาซาบะเผา มีการแสดงของศิลปินทุกคืนให้ได้ชมกันฟรีๆ และมีการประกวดนางสาวสมิหลา สวยกันทุกคน งานนี้แป้งหอมไม่พลาด อีกกิจกรรมที่ต้องขยาย ถนนคนเดิน “สงขลาแต่ แรก” ทุกเย็นวันศุกร์-เสาร์จัดขึ้นที่ริมก� ำแพงเมืองเก่าสงขลา มีการออกบูทของพ่อค้าแม่ค้ามากมายมีของกินหรอยๆ ของกินแนวแต่แรกเช่น ข้าวห่อใบบัว ขนมจาก ขนมดู การแสดงของเยาวชนของแต่ละโรงเรียนมาเล่น แบบอิสระ บางกลุ่มมาเล่นดนตรี บางกลุ่มมาเล่นโชว์ บางกลุ่มมาแสดง สิ่งที่ตัวถนัด ที่เด็ดที่สุดคือมีการเปิดบ้านเกิดของป๋าเปรมหรือที่เรียกอย่างเป็น ทางการว่า “พิพิธภัณฑ์ธ�ำมะรงค์” ให้เข้าชม ล่าสุดมีรถรางชมเมือง “Singora Tram Tour” โครงการเที่ยวทั้งเมือง “นั่งรถชมเมืองเล่าเรื่องสงขลา” เรื่องเล่า ต�ำนานเก่าแก่ เกาะหนู เกาะแมว หาดทรายแก้ว และเขาตังกวนมีที่มาสั้นๆ ว่า พ่อค้าชาวจีนมาค้าขายที่สงขลาเห็นหมากับแมวหน้าตาน่าเอ็นดู จึงขอซื้อ พาลงเรือไปด้วย หมากับแมวคิดจะหนีเพราะคิดถึงบ้าน จ.สงขลาโดยให้หนู ขโมยดวงแก้ววิเศษ ซึง่ ท�ำให้ลอยน�้ำได้ หนูกเ็ ข้าไปลักดวงแก้ววิเศษอมไว้ในปาก แล้วทัง้ สามหนีลงจากเรือว่ายน�ำ้ จะไปขึน้ ฝัง่ ทีห่ น้าเมืองสงขลา ขณะทีว่ า่ ยน�ำ้ มา ด้วยกันทั้งสามก็คิดโลภอยากจะได้ดวงแก้ววิเศษมาครอบครอง ใกล้กับฝั่งจึงมี การแย่งดวงแก้ววิเศษกันจนดวงแก้ววิเศษตกลงจมหายไปในทะเลทั้งหนูและ


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

37

แมว ไม่อาจว่ายน�้าต่อไปได้จึงจมกลายเป็น “เกาะหนู เกาะแมว” ส่วนหมาก็ ตะเกียกตะกายว่ายน�้าไปจนถึงฝั่ง แต่ด้วยความเหน็ดเหนื่อยจึงขาดใจตาย กลายเป็นหิน เรียกว่า “เขาตังกวน” ดวงแก้ววิเศษแตกแหลกละเอียด เป็นหาด ทรายเรียกสถานทีน่ วี้ า่ “หาดทรายแก้ว” นิทานเรือ่ งนีใ้ ห้แนวคิดว่า อย่าโลภมาก ให้มีความสามัคคีและแบ่งปันเอื้อเฟื้อต่อกัน หลังจากฟังเรื่องราวถ้าหิวกัน ขอแนะน� า เมนู เ ด็ ด ของ อ.เมื อ ง จ.สงขลา กั น เลยค่ ะ ข้ า วเหนี ย วบอก โจ๊กเกาะไทย สตูร้านเกียดฟัง ไอติมโอ่ง ร้านยิวไอศกรีมใส่ไข่ ตั้งอยู่ ถ.นางงาม ทั้งหมด ๑๒ ปี ที่นี้ที่บ้านแป้งหอมจะอยู่ในความทรงจ�าเพื่อได้ถ่ายทอดเมืองที่ ดีมีคุณภาพด้านชีวิตการเป็นอยู่ คุณภาพทางสังคมความไม่ฟุ้งเฟ้อจนเกินไป ความพอเพียงและเพียงพออนาคตของแป้งหอมอีกยาวไกล โตขึ้นแป้งหอม อาจจะเป็นนักพัฒนาสังคมคล้ายๆคุณปวีณา เป็นผู้ใหญ่บ้านเป็นก�านันหรือ เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด หรืออาจเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนที่เท่าไหร่ของ ประเทศไทยก็ได้ จะได้นา� สิง่ ดีๆ ทีเ่ กิดขึน้ กับชีวติ แป้งไปพัฒนาบ้านเมืองของเรา ให้ดีเหมือนที่นี่ได้เพราะคิดว่าที่นี่ จ.สงขลา ดีที่สุดแล้ว รักครอบครัวและรัก เมืองสงขลามากๆ แล้วเจอกันค่ะแป้งหอม (จ�าชื่อไว้นะคะ) “ยินดีต้อนรับสู่หาดสมิหลา”


38

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา เด็กหญิงคอซีอะห์ สะมานิ

“ทักษิณราชต�ำหนัก ชนรักศาสนา นราทัศน์เพลินตา ปาโจตรึงใจ แหล่งใหญ่แร่ทอง ลองกองหอมหวาน” นี่เป็นค�ำขวัญประจ�ำจังหวัดนราธิวาส ซึงบ่งบอกว่า บ้านของเรามีแต่สิ่งที่ดีๆ เป็นสถานที่ที่น่าอยู่ หมูบ่ า้ นของหนูกเ็ ช่นกัน เป็นหมูบ่ า้ นเล็กๆ ชือ่ ว่าบ้านตามุง ซึง่ ตัง้ อยูใ่ น หมู่ที่สอง ต�ำบลเชิงคีรี อ�ำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส เป็นหมู่บ้านที่น่าอยู่ คุณยายเคยเล่าว่าเมื่อก่อนหมู่บ้านแห่งนี้เป็นป่าเชิงเขา มีสัตว์ร้าย มากมายอาศัยอยู่โดยเฉพาะเสือ ผู้คนเริ่มเข้ามาสร้างบ้านและที่อยู่กัน ท�ำการ เพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ได้ผลดีเพราะมีแหล่งน�้ำที่อุดมสมบูรณ์มีคลองอยู่ สองสาย คือ คลองไอวีเ่ ล็กและคลองไอวีใ่ หญ่ อีกทัง้ ยังมีนำ�้ ตกทีส่ วยงามอีกด้วย ยายบอกว่าเมือ่ ก่อนนีบ้ างครัง้ จะมีเสือร้ายมาคอยกัดกินสัตว์เลีย้ งทีช่ าวบ้านเลีย้ ง อยู่บ่อยๆ ส่วนช้างป่าก็จะมากินและท�ำลายพืชผักที่ชาวบ้านปลูกไว้เหมือนกัน แต่เมื่อมีคนมาอาศัยกันมากขึ้น  สัตว์ป่าที่ดุร้ายก็ค่อยๆ หายไปเข้าไปอยู่ใน ป่าลึก แต่วา่ ปัจจุบนั นีก้ ย็ งั มีชา้ งป่าบุกรุกเข้ามาท�ำลายพืชผลการเกษตรของชาว บ้านอยู่บ่อยๆ คงเป็นเพราะในป่าไม่มีอาหารกินแน่เลย สวนยาง สวนลองกอง และต้นกล้วยของคุณตาของหนูกโ็ ดนช้างป่าท�ำลายเหมือนกัน คุณตากับคุณยาย ต่างก็เสียใจและเสียดายมาก เพราะว่ากว่าต้นไม้ที่ปลูกจะโตและเกือบจะได้กิน ได้กรีดยางก็ตอ้ งถูกช้างมาหักมาท�ำลายเหลือเพียงไม่กตี่ น้ เท่านัน้ คุณตาบอกว่า ไม่เป็นไรเดี๋ยวเราค่อยท�ำรั้วให้แข็งแรงกว่าเดิมแล้วค่อยปลูกใหม่ก็ได้ ช้างคงไม่ ใจร้ายกับเราทุกครั้งไปหรอกนะ


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

39

ในหมู่บ้านของหนูยังมีสถานที่ส�าคัญอีกแห่งหนึ่งก็คือ สนามฟุตบอล ตอนเย็นๆ พวกเด็กๆ ก็จะไปเล่นกันที่สนามแห่งนี้เป็นประจ�าทุกวัน ทุกคนมี ความสุขมากที่ได้มาร่วมกันเล่นที่สนามแห่งนี้ ยายเล่าว่า เมื่อก่อนสนามแห่งนี้ ไม่ได้เป็นสนามอย่างนี้ เพราะว่ามันเป็นบึงน�า้ ขนาดใหญ่และมีความลึกมาก หนู ก็ไม่ทราบว่าท�าไมปัจจุบันนี้จึงกลายมาเป็นสนามให้พวกเราเด็กๆ ได้วิ่งเล่นกัน และตรงข้ามกับสนามก็จะเป็นมัสยิดประจ�าหมูบ่ า้ น คุณพ่อและคุณตา ของหนู ก็จะไปท�าการละหมาดที่มัสยิดทุกวัน วันละ ๕ เวลา ส�าหรับหนูและพวกผู้หญิง ส่วนใหญ่จะท�าการละหมาดที่บ้าน ถ้าจะไปที่มัสยิดก็จะเป็นช่วงที่มีกิจกรรม ส�าคัญเท่านั้น ซึ่งมัสยิดนั้นจะเป็นสถานที่ที่ทุกคนให้ความส�าคัญ และสถานที่ ที่จัดกิจกรรมต่างๆ ของหมู่บ้าน คือ กิจกรรมฮารีรายอ ซึ่งจะมีปีละ ๒ ครั้ง คือ วันรายอปอซอ หรือ ตรุษอิดิลฟิตรี และวันรายอฮายี หรือ ตรุษอิดิลอัฎฮา พวกเราก็จะไปท�าการละหมาดขอพรกันที่มัสยิด หลังจากนั้นเราก็จะไปเยี่ยม ญาติกัน ในวันส�าคัญอื่นๆ ก็จะมีกิจกรรมเมาลิด กิจกรรมกวนอาซูรอ ชาวบ้าน ทุกคนก็จะร่วมกันท�าอาหารที่มัสยิดและร่วมกันรับประทานอาหารกันอย่างมี ความสุข นอกจากนี้ก็ยังมีกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมายที่จะสร้างความสัมพันธ์ อันดีระหว่างชาวบ้านด้วยกัน เช่น กิจกรรมแข่งขันฟุตบอลประจ�าปีขององค์การ บริหารส่วนต�าบล เป็นต้น ชาวบ้ า นในหมู ่ บ ้ า นของหนู อ ยู ่ กั น อย่ า งมี ค วามสุ ข เพราะทุ ก คนมี ความรัก มีความสามัคคีกัน ให้ความช่วยเหลือกัน ทุกคนไม่เห็นแก่ตัวกัน และทุกคนก็เป็นคนดี ถ้าทุกคนในประเทศไทยเป็นคนดี มีความสามัคคีกัน ประเทศของเราก็จะอยู่กันอย่างมีความสุข


40

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

วิถีชีวิตชาวนา สู่เส้นทางแห่งเมล็ดข้าว เด็กหญิงชลัดสดา ชูขจร

จากข้าวค�ำแรกทีแ่ ม่ให้มาตัง้ แต่ฉนั ยังอยูใ่ นท้อง จนกระทัง่ น�ำ้ นมทีก่ ลัน่ จากค�ำข้าวให้ฉนั ดืม่ กิน แม่ปอ้ นข้าวเลีย้ งดูฉนั จนเติบใหญ่ดว้ ยเมล็ดข้าวทีไ่ ด้มา จากหยาดเหงื่อแรงงานของพ่อ แม่ จากผืนนาที่ตกทอดมาแต่ปู่ ย่า ตา ยาย ฉันมีพี่น้องทั้งหมด ๓ คน ผู้ชาย ๒ คน ผู้หญิง ๑ คนคือฉัน ชีวิตที่ทั้งพ่อ และแม่ไม่เคยให้อดข้าวแม้เพียงมื้อเดียว พ่อและแม่จะไม่ยอมขายข้าวในลอม จนกว่าจะเห็นรวงข้าวจากฤดูกาลใหม่ ท้องทุ่งที่ครอบครัวของเราใช้ท�ำนาปลูก ข้าวนั้นอยู่ในท�ำเลที่เหมาะสม มีเนื้อดินอุดมด้วยแร่ธาตุที่ต้นข้าวต้องการ การปลูกข้าวหรือการท�ำนามีหลายประเภทขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่และ ฤดูกาล ข้าวเป็นพืชตระกูลเดียวกับหญ้า ต้นข้าวไม่มีรากแก้ว แต่มีรากฝอยแผ่ ยึดกับดิน ล�ำต้นเป็นปล้องตรง และมีโพรงข้างใน ใบเรียวยาว มีสีเขียวเข้ม ต้นข้าวอาจจะถูกรบกวนด้วยวัชพืชและเชือ้ โรคหลายชนิดทีท่ �ำให้เกิดโรคระบาด สัตว์ขนาดเล็ก เช่น หนู นก หอยและปู ก็เป็นศัตรูพืชตัวร้ายที่ท�ำลายต้นข้าว ตั้งแต่ต้นอ่อนจนถึงออกรวงจากเมล็ดพันธ์ุ ข้าวถูกเพาะจนมีรากงอกและ แตกยอดเป็นต้นกล้า ต้นกล้าใช้ชีวิตเติบโตประมาณสี่สิบวัน จึงจะแตกหน่อ ออกมาจากโคนต้นแต่ละต้นมีห้าถึงสิบห้าหน่อ ข้าวแต่ละหน่อออกช่อดอก เป็นรวงข้าวหนึ่งรวง รวงข้าวแต่ละรวงมีดอกประมาณหนึ่งร้อยถึงสองร้อยดอก ดอกข้าวแต่ละดอกจัดเป็นดอกสมบูรณ์เพศเพราะมีเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมีย


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

41

อยู่ในดอกเดียวกัน ดอกข้าวบานจากปลายรวงสู่โคนรวงภายในหนึ่งสัปดาห์ ดอกทีบ่ านแล้วจะมีการผสมเกสรในเวลาเช้าโดยละอองเกสรตัวผูจ้ ะตกลงไปผสม กับไข่ทอี่ ยูด่ า้ นในของเกสรตัวเมีย หลังจากการผสมเกสรแล้วจะเกิดเป็นผลของ ข้าวหรือที่เรียกกันว่าเมล็ดข้าว ภายในเมล็ดประกอบด้วยส่วนที่เป็นแป้งหรือ เนือ้ ข้าวหรือส่วนทีใ่ ช้ขยายพันธ์ตุ อ่ ไป เมล็ดข้าวใช้เวลาประมาณหนึง่ เดือนจึงจะ เสร็จเต็มที่ ทั้งล�ำต้นและรวงจะเริ่มแห้งและกลายเป็นสีเหลืองทอง ชาวนา เกีย่ วข้าวทัง้ รวงแล้วน�ำไปนวดเพือ่ แยกเมล็ด จนสุดท้ายเหลือเพียงฟางข้าวแห้ง เมล็ ด ข้ า วมี คุ ณ ค่ า ทางอาหารและขนมนานาชนิ ด นอกจากนี้ ส ่ ว นต่ า งๆ ของข้าว ร�ำข้าวและแกลบก็ยังสามารถน�ำมาใช้ท�ำประโยชน์ได้มากมาย เมื่อย่างเข้าสู่ฤดูท�ำนา ฝนจะตกชาวนาจะหว่านข้าว เมื่อเมล็ดข้าวงอก และต้นข้าวโตพอที่จะด�ำได้ ชาวนาจะไปท�ำนาแต่เช้าตรู่ ส่วนมากจะน�ำอาหาร ไปรับประทานตอนเที่ยงด้วย ชาวนาจะต้องแต่งกายให้มิดชิด จะต้องสวมเสื้อ แขนยาว สวมหมวกหรืองอบเพื่อกันแดด ในฤดูท�ำนาจะมีแดดจัดและฝนตก เมื่อฝนตกชาวนาจะต้องมีที่กันฝนเพราะจะต้องอยู่ที่กลางแจ้งตลอดเวลา ส่วนมากจะท�ำเสื้อกันฝนจากถุงพลาสติกที่ได้มาจากกระสอบปุ๋ยซึ่งเป็นการ ประหยัด ไม่ต้องซื้อเสื้อกันฝน ในฤดูทำ� นาทีท่ งุ่ นาจะมีบรรยากาศทีค่ รึกครืน้ ชาวนาบางคนท�ำนาพลาง ร้องเพลงไปพลาง และพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ชาวนาบางคนก� ำลังไถนา เพือ่ เตรียมดินไว้ด�ำนา บางคนก�ำลังด�ำนา บางคนก�ำลังถอนต้นกล้าเพือ่ ไปปลูก อีกที่หนึ่งที่เตรียมไว้แล้ว และชาวนาบางคนก�ำลังตกแต่งต้นข้าวที่มีอยู่แล้วให้ สวยงามเช่น ถอนวัชพืชทิ้ง และสร้างความสมดุลให้กับต้นข้าวโดยไม่ให้ลำ� ต้น ของต้นข้าวห่างหรือชิดกันมากเกินไป และจะมีต้นข้าวที่ไม่ต้องการ เราเรียกว่า “ข้าวผี” เราจะดูว่าข้าวต้นไหนเป็นข้าวผีหรือข้าวดีให้ดูที่ลักษณะของล�ำต้น และสะดือของข้าว บางคนอาจจะไม่รู้จักสะดือข้าว สะดือข้าวจะเป็นขนเล็กๆ


42

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

อยู่รอบๆ ล�ำต้นของข้าว ถ้าเป็นข้าวผี สะดือข้าวจะมีสีด�ำ ล�ำต้นของข้าวผี จะแตกต่างจากล�ำต้นของข้าวดีคือล�ำต้นของข้าวผีจะแตกกอเตี้ยๆ ออกข้างๆ ไม่สูง ใบเรียว ซึ่งเป็นข้อมูลที่พ่อแม่ปู่ย่าตายายของฉันได้บอกกล่าวมา ชาวนา ต้องถอนข้าวผีทงิ้ เพราะถ้าไม่ถอนทิง้ เมือ่ ออกรวงจะมีหางออกมาจากเมล็ดข้าว ท�ำให้ไม่สะดวกในการเก็บเกี่ยว การด�ำนาจะต้องมีเทคนิคในการด�ำเพราะถ้าเอารากของต้นข้าวฝังไว้ ในดินไม่ถกู วิธกี จ็ ะท�ำให้ตน้ ข้าวไม่เจริญเติบโต เรียกว่า “ การหักหัวกล้า ” ท�ำให้ รากข้าวเน่าและตายในที่สุด เวลาด�ำนาจะต้องเดินถอยหลังจัดช่องไฟระหว่าง ต้นข้าวแต่ละกอให้เท่าๆ กัน ข้าวแต่ละกอจะต้องใช้ตน้ กล้า สามถึงสีต่ น้ รวมกัน แล้วด�ำลงไปในดินแต่ละครั้ง จะต้องใช้ความรวดเร็วและความเป็นระเบียบ เมื่อถึงตอนเที่ยงชาวนาจะรับประทานอาหารเที่ยงกันตามคันนาซึ่งดูแล้ว สนุกสนาน พ่อแม่บอกฉันว่าเวลารับประทานอาหารเทีย่ งทีท่ งุ่ นาอร่อยมากกว่า อยู่ที่บ้าน เพราะจะได้รับรู้รสชาติของข้าวที่แท้จริง ในบางครั้งชาวนาจะไปหา ผักที่ทุ่งนามารับประทานกับข้าว เช่น ใบบัวบก ลูกมะแว้ง ยอดเลียบ ฯลฯ ซึ่ง ล้วนแต่เป็นสมุนไพรทีเ่ กิดขึน้ เองตามธรรมชาติไม่มยี าฆ่าแมลง เมือ่ หมดฤดูกาล ท�ำนาท้องทุ่งนาจะเขียวขจี ต้นข้าวจะเจริญเติบโตเต็มที่พร้อมที่จะออกรวง ชาวนาจะต้องดูแลเป็นอย่างดีโดยการใส่ปุ๋ยและดูแลต้นข้าวไม่ให้ศัตรูพืชมากัด กินต้นข้าว ในบางครัง้ ชาวนาจะต้องวางยาเบือ่ หนูหรือปู ซึง่ ล้วนจะมีมากขึน้ ทุก วัน จนปัจจุบนั ทีน่ าบางทีไ่ ม่สามารถปลูกข้าวได้เพราะจะมีศตั รูพชื มากจนชาวนา ต้องยอมแพ้ ไม่คุ้มกับการลงทุน เมื่อข้าวออกรวงก็จะมีกลิ่นหอมของรวงข้าว ท�ำให้ทอ้ งทุง่ นาดูสะพรัง่ ไปด้วยรวงข้าว รวงข้าวทีด่ มี นี �้ำหนักจะโค้งโน้มลงมาดู สวยงาม ส่วนรวงข้าวที่ไม่มีข้าวสารจะชูช่อชี้ตรงไม่โค้งไปตามแรงโน้มถ่วง ของโลก ซึง่ สามารถเปรียบได้กบั คนทีด่ มี คี า่ และคนทีไ่ ม่ดไี ม่มคี า่ เมือ่ รวงข้าวสุก เต็มที่ทั่วท้องทุ่งนาจะมีสีเหลืองอร่ามไปด้วยรวงข้าว ชาวนาเตรียมตัวเก็บ


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

43

เกี่ยวข้าวมาใส่ยุ้งฉาง บางคนจะจ้างรถเกี่ยวข้าว แต่บางคนยังใช้อุปกรณ์ในการ เกี่ยวข้าวในสมัยโบราณอยู่ เช่น เคียวและแกะ เด็กสมัยปัจจุบันอาจจะไม่รู้จัก “แกะ” เป็ น อุ ป กรณ์ เ กี่ ย วข้ า วชนิ ด หนึ่ ง ที่ ใช้ กั น มานมนานแล้ ว ซึ่ ง มี ที่ จั บ และที่วางมือเป็นไม้กระดาน มีเหล็กคมอยู่ตรงกลางเพื่อตัดก้านของรวงข้าว เราจะต้องจับแกะให้ถกู วิธเี พราะถ้าจับไม่ถกู วิธี อาจจะท�ำให้แกะบาดมือได้ การ เก็บข้าวด้วยแกะเราจะต้องเก็บข้าวทีละรวงมารวมกันให้ได้หนึ่งก�ำมือและมัด รวมกันให้แน่นเรียกว่า “เรียง” การมัดเรียงข้าวเราจะใช้ต้นข้าวที่เก็บรวงข้าว แล้วมัด ซึ่งเรียกว่า “ซังข้าว” เราจะต้องมัดและหักก้านของรวงข้าวให้แน่น เพราะรวงข้าวอาจหลุดจากเรียงข้าวได้ เมื่อรวงข้าวเหี่ยว การท�ำนาจะมีการ ลงแขกช่วยเหลือกัน หรือผลัดกันท�ำนาเรียกว่า “การซอมือ” เช่นวันที่หนึ่งนาย ก มาท�ำนาให้นาย ข และวันที่สองนาย ข ก็มาท�ำนาให้นาย ก เพื่อให้งานเสร็จ เร็วและได้ปริมาณมาก ในการท�ำนาแต่ละปี ชาวนาจะต้องดูฤกษ์ดยู ามดีเพือ่ ท�ำ พิธีบูชาแม่โพสพเรียกว่า “ การท�ำขวัญข้าว ” ฉันคิดว่าเมือ่ ฉันโตขึน้ ฉันจะต้องท�ำนาและจะชักชวนพีน่ อ้ งชาวไทยมา ช่วยกันท�ำนา แม้ฉันจะมีอาชีพอื่น แต่ฉันจะไม่ทิ้งการท�ำนา เพราะการท�ำนา เป็นอาชีพทีบ่ รรพบุรษุ ของเราท�ำมานานแล้ว เราควรอนุรกั ษ์เอาไว้เพือ่ ลูกหลาน ของเรา เราไม่ควรซื้อข้าวของชาติอื่นมารับประทาน ข้าวของประเทศไทย เป็นข้าวทีม่ คี ณ ุ ภาพดีทสี่ ดุ ซึง่ ฉันเคยอ่านการวิจยั มา ประเทศไทยมีเนือ้ ทีใ่ นการ ท�ำนามากมาย แม้ปัจจุบันจะเกิดภาวะที่ไม่อ�ำนวยต่อการปลูกข้าวแต่ขอให้คน ไทยทุกคนพยายามปลูกข้าวรับประทานเอง โดยน�ำแนวทางตามพระราชด�ำริมา ปฏิบัติ เมื่อเราช่วยกันปลูกข้าวกันทุกพื้นที่ คนไทยจะได้มีข้าวกินตลอดปี และส่งขายต่างประเทศ ข้าวไทยจะได้มีชื่อเสียงไปทั่วโลก นี่คือวิถีชีวิตที่ฉันได้ซึมซับมาเมื่อครั้งเยาว์วัย เมื่อได้มีโอกาสบอกเล่า เรื่องราวเส้นทางแห่งเมล็ดข้าว ฉันหวังว่าเรียงความที่ฉันบันทึกไว้คงมีส่วนช่วย


44

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ให้ทุกท่านรักเคารพและหวงแหนเมล็ดข้าว ด้วยความหวังร่วมกันว่า อัญมณี แห่งท้องทุ่งจะได้หล่อเลี้ยงลูกหลานของเราให้อิ่มเอมเกษมสุขในอ้อมกอดของ ผืนแผ่นดินอันเป็นที่รัก และยังมีพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญเป็นพิธี ซึ่งจัดขึ้นทุกปีเพื่อให้ก�าลังใจชาวนาและเป็นสิริมงคลแก่บ้านเมืองของเรายั่งยืน ตลอดไป เราอนุชนรุ่นหลังควรที่จะเรียนรู้และอนุรักษ์วิถีชีวิตชาวนาเอาไว้ เพราะชาวนาเป็นกระดูกสันหลังของชาติ และอาหารหลักของคนไทย คือข้าว ดังนั้นข้าวจ�าเป็นต้องอยู่คู่คนไทยและชาติไทยไปอีกนานแสนนาน


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

45

เรื่องดีดีที่บ้านเรา เด็กชายธีระ รชดามาเฉลิม

สวัสดีครับ คุณน้อง เพื่อนๆ คุณพี่ คุณอา คุณน้า คุณลุง คุณป้า คุณตา คุณยาย และทุกๆคนที่ก� ำลังอ่านเรื่องราวที่นัทอยากถ่ายทอดให้ทราบถึง ความสุขกายสบายใจ ความภาคภูมิใจที่ผม ด.ช.ธีระ รชดามาเฉลิม นักเรียนชั้น ป.๓/๕ ร.ร.วิเชียรชม จังหวัดสงขลา อายุ ๙ ขวบเกิดมาเป็นคนไทย เชือ้ ชาติไทย สัญชาติไทย เป็นคนไทยในภาคใต้ บ้านของนัท นัทขอค�ำใช้แทนตัวเองว่า “นัท” นะครับ เป็นชือ่ เล่นทีค่ ณ ุ ป้าตัง้ ให้ ตอนแรกเกิด นัทมีเรือ่ งราวดีดที เี่ กิดขึน้ ในอดีต การด�ำเนินชีวิตในแต่ละวัน และความใฝ่ฝันในอนาคตที่จะท�ำให้บ้านของนัท หมายถึงจ.สงขลา รวมถึงความสงบสุข ความสวยงามอีก ๔ จังหวัด เป็น ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ทั้งทรัพยากรธรรมชาติ และทรัพยากรที่ไม่เป็นธรรมชาติ ขอน�ำเสนอเลยครับ ทุกๆ เช้า จันทร์-ศุกร์ นัทจะต้องตื่นเช้าเพื่อไปใส่บาตร พระที่เดิน บิณฑบาตผ่านหน้าบ้าน วันละ ๑-๒รูป ถ้าวันไหนตื่นไม่ทัน ก็จะไปตักบาตร ที่หน้า “วัดแจ้ง” ที่นั่นมีร้านขายอาหารไว้สำ� หรับใส่บาตรเป็นชุด ชุดละ ๒๐ บาท มี ข ้ า ว น�้ ำ ขนมหวานมี พ ระเดิ น บิ ณ ฑบาตหลายรู ป มากเพราะวั ด ในต�ำบล บ่อยาง อ.เมือง จ.สงขลา มีเกือบ ๑๕ กว่าวัด บ้านของนัทอยู่ใกล้กับ “วัดไทรงาม” “วัดแหลมทราย” คุณย่าเคยเล่าให้ฟังว่าสมัยสงครามโลก


46

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ครัง้ ที่ ๒ สมัยคุณย่ายังเป็นเด็ก เครือ่ งบินทิง้ ระเบิดลงมาตกใส่ “วัดแหลมทราย” แต่ระเบิดด้านไม่ท�ำงานซึ่งคนสมัยนั้นถ้าได้ยินเสียงหวอ ก็จะวิ่งเข้าไปหลบใน “วัดแหลมทราย” กันหมด ทุกคนก็ปลอดภัย พูดถึงเรื่องวัด นัทได้มีโอกาสไป กราบไหว้หลายวัดเพราะคุณพ่อจะพาไปก็ขอแนะน�ำวัดทีป่ ระทับใจ เมือ่ หลับตา นั่งสมาธิทีไรก็จะนึกถึง “พระพุทธทักษิณมิ่งมงคล” “วัดเขากงมงคลมิ่งมิตร ปฎิฐาราม” จ.นราธิวาส อยากให้ทกุ คนไปกราบไหว้มากมาก งดงามทีส่ ดุ ประทับ กลางแจ้ง ขนาดใหญ่เป็นองค์ประธานในพื้นที่พุทธอุทยาน “วัดเขากงมงคลมิ่ง มิตรปฏิฐาราม” เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของพุทธศาสนิกชน อีก ๑ วัดที่ต้องไป กราบไหว้ คือ หลวงปูท่ วด “วัดช้างให้” (วัดราษฎร์บรู ณะ) อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี เป็นวัดทีเ่ ก่าแก่สร้างมาแล้วกว่า ๓๐๐ ปี เป็นวัดทีม่ ปี ระวัตศิ าสตร์เกีย่ วกับหลวง ปู่ทวดเหยียบน�้ำทะเลจืด ท่านเป็นเจ้าอาวาสองค์แรก ท่านได้เดินธุดงค์ไปมา ระหว่างเมือง “ไทรบุรี” กับ “วัดช้างให้” และได้สั่งลูกศิษย์ไว้ว่า ถ้าท่านเดิน ธุ ด งค์ ไ ปมาระหว่ า งนั้ น ท่ า นได้ ม รณภาพให้ น�ำ ศพไปท� ำ การฌาปนกิ จ ณ “วัดช้างให้” ต่อมาได้สร้างสถูปบรรจุอัฐิ ของท่านไว้ที่วัดช้างให้ ให้พวกเราไป กราบไหว้ขอพรการเดินทางปลอดภัย มีทหาร คอยดูแลรักษาความปลอดภัย หลายจุดและอีก ๑ วัดทีไ่ ม่อยากให้ทกุ คนพลาด คือ “วัดคูหาภิมขุ ” หรือวัดหน้า ถ�ำ้ อ.เมือง จ.ยะลา ภายในวัดมีถ�้ำใหญ่ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ขนาดใหญ่ ภายในถ�ำ้ ยังมีหนิ งอกหินย้อยและน�ำ้ ใสสะอาดไหลรินจากโขดหิน สวยงามจริงๆ ครับ กลับเข้ามาชีวิตประจ�ำวัน จากนั้นนัทอาบน�้ำแต่งตัวเพื่อจะไปโรงเรียนทุก เช้านัทจะต้องรับประทานอาหารเช้าก่อน อาหารโปรดตอนเช้าทุกคนต้องเชือ่ ถ้า ได้รับประทานคือ แกงส้มปลาขี้ตัง ฝีมือคุณแม่แล้วได้ไข่เจียวสักจานอร่อยที่สุด แต่เมื่อพูดถึงอาหารเช้าของบ้านเรามีอาหารหลายชนิดที่อยากน�ำเสนอขอจัด อันดับแค่ท็อป ๓ ไม่รวม แกงส้มปลาขี้ตังของคุณแม่นะครับอันดับ ๓ มีข้าวย�ำ


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

47

ใบพันสมอหรือเรียกกันว่าข้าวย�ำนราธิวาสเป็นอาหารที่ไม่แพ้ชาติใดในโลก แน่นอน แค่เห็นรายการเครื่องปรุงก็ชนะแล้ว ประกอบด้วย น�้ำบูดูสด มะพร้าว คั่ว ปลาย่างฉีกฝอย พริกไทยป่น มะม่วงหรือมะขาม ผักต่างๆ เช่นตะไคร้ ดอก ดาหลา ถัว่ ฝักยาว ถัว่ งอก ยอดตาเป็ด ลูกไดเบา(กระถิน) ยอดหมักแพ ยอดแหร (มะม่วงหิมพานต์) ยอดรวม ผักทุกชนิด....หั่นฝอย น�้ำบูดูมี ๒ ชนิด คือบูดูเค็ม และบูดูหวาน เรียกว่าน�้ำเคยไปหารับประทานกันได้ที่ จ.นราธิวาส อันดับที่ ๒ ได้แก่ “นาซิดาแฆ” เป็นภาษามลายูความหมายคือข้าวส� ำหรับคนอนาถา ชาวปัตตานี เรียกว่า “ข้าวมันแกงไก่” จะนิยมรับประทานในตอนเช้า นานๆ นัท จะได้รับประทานของแท้สักครั้งอร่อยสุดยอดไปเลย(ไม่ได้ให้ไป จ.เลยนะครับ) ต้องไปหารับประทานที่ จ.ปัตตานีของแท้แน่นอน มาถึงอันดับที่ ๑ เมนูสุดยอด อาหารเช้าต้องที่นี่ที่เดียว จ.สตูลไปรับประทานชาชัก โรตี ขั้นตอนอร่อยสุดคือ การชักแล้ว ก็ชัก ชัก ชักยิ่งชักยาวเท่าไหร่ ก็ยิ่งอร่อยมากขึ้นเพราะจะท�ำให้เกิด ฟองที่หวานกลมกล่อมและต้องรับประทานกับโรตี จิ้มนม ถ้าไปแล้วยังไม่อิ่มก็ เพิม่ มะตะบะ รับรองจะไม่ลมื จ.สตูลไปชัว่ ชีวติ รับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ก็สวัสดีคณ ุ แม่ไปโรงเรียนโดยคุณพ่อขีร่ ถจักรยานยนต์ไปส่ง ใช้เวลาเดินทางจาก บ้านถึงโรงเรียนไม่เกิน ๕ นาที อากาศในตอนเช้าที่บ้านของนัทดีมากๆ อยู่ใกล้ ทะเลสดชื่ น ที่ สุ ด สู ด หายใจให้ อ อกซิ เจนเข้ า ไปเต็ ม ปอด สมองปลอดโปร่ ง เรียนหนังสือด้วยความตั้งใจ ให้เข้าใจและมีสมาธิกับการเรียนอย่างเต็มที่ ท�ำให้นัทมีผลการเรียนที่ดีเป็นอันดับต้นต้นของห้องและได้รับต�ำแหน่งเด็กดี ศรีวิเชียรชม ๒ ปีติดต่อกันแล้วนะครับ พอเลิกเรียนคุณพ่อก็มารับกลับบ้าน ผูป้ กครองของเพือ่ นๆ ก็มารับลูกหลานของตัวเองบ้านทุกคนดูเหมือนมีความสุข กับชีวิตที่เรียบง่าย ไม่วุ่นวายไม่แก่งแย่ง รถไม่ติดไม่มีควันพิษมารับเร็วก็ถึงบ้าน เร็วง่ายๆสบายสบายกันทุกคน สงขลาบ้านของนัทเป็นเมืองที่สงบ น่าอยู่จริงๆ


48

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

กลับมาถึงบ้านนัทจะต้องไปออกก�ำลังกายกับคุณพ่อ ท�ำการบ้าน และท�ำแบบ ฝึกหัดทุกวัน วันละ ๕๐ ข้อ เพือ่ ต่อไปจะได้ชนิ กับข้อสอบ ทุกเย็นจะรับประทาน อาหารพร้อมกัน ๕ คน เวลา ๑ ทุ่มแล้วก็ขึ้นนอน อากาศช่วงนี้ค่อนข้างร้อน เพราะภาคใต้ของเรามี ๒ ฤดู คือฤดูฝนกับฤดูร้อน ยิ่งเวลานี้ภาวะโลกร้อนขึ้น เรื่อยๆ เพราะฝีมือของพวกเราชาวมนุษย์ แต่โชคดีที่แผ่นดินไทยโดยเฉพาะทาง ภาคใต้ของเรามีสิ่งศักดิ์คุ้มครอง ก่อนนอนต้องสวดมนต์ไว้พระให้คุ้มครอง และให้เรียนหนังสือเก่งๆ สอบได้ที่ ๑ และในช่วงปิดเทอมคุณพ่อ-คุณแม่ก็จะ พาไปเที่ยวต่างจังหวัดโดยจะเน้นเป็นจังหวัดภาคใต้ของเรา ขับรถไปสะดวกดี และสถานที่สวยงามเป็นอันดับต้นๆ ของโลก “คุณพ่อบอกน่ะครับ” นัทขอจัด อันดับความสวยงามความประทับใจ ความภูมิใจ ความตื่นเต้น ความสวยงาม ที่สุด เกาะหลี่เป๊ะ และเกาะอาดัง เกาะราวี เกาะหินงาม เกาะจาบังของ จ.สตูล จอดรถที่ท่าเรือปากบาราและนั่งเรือเร็วไปตั้ง ๓ ชั่วโมง ตอนนั่งเรือตื่นเต้นมาก สนุกที่สุดไปถึงเกาะหลีเป๊ะบริเวณหน้าเกาะเป็นโขดหินหาดขาวสะอาด มีจุด ชมพระอาทิตย์ตกทีส่ วยงามทีส่ ดุ ของบรรดาเกาะทัง้ หลายในประเทศไทยทุกคน ทีอ่ า่ นเรือ่ งของนัทต้องไปกันให้ได้นะครับ ความตืน่ เต้นอีกสถานทีท่ ี่ จ.สตูล เช่น เดียวกันก็คอื ถ�ำ้ เจ็ดคต ต�ำบลน�ำ้ ผุด อ.ละงู ภายในถ�ำ้ แบ่งเป็น ๗ ช่วงมีบรรยากาศ แตกต่างกัน บรรยากาศในถ�ำ้ เงียบสงัดแทรกด้วยเสียงน�ำ้ ไหลสลับกับเสียงลุยน�ำ้ และเสียงสนทนาจากผู้คนที่มาเที่ยวและสิ่งที่ตื่นตาตื่นใจก็คือดวงตาวาววับกับ แสงไฟทีส่ อ่ งไปกระทบของกลุม่ ค้างคาวทีเ่ กาะอยูบ่ นเพดานถ�ำ้ ดูราวกับกลุม่ ดาว เคราะห์บนฟากฟ้า เมือ่ เดินทางถึงคดสุดท้ายหรือคดทีเ่ จ็ดมีลำ� แสงส่องจากปาก ถ�้ำเหมือนแสงแห่งชัยชนะ อันดับที่ ๑ ความภาคภูมิใจสงบสบายปลอดภัยก็ ชายหาดแหลมสมิหลาบ้านนัทเอง ถ้ามีเวลาว่างครอบครัวของนัทไปบ่อยมาก ทีต่ รงนัน้ แหละศาลาไทยทีม่ แี ม่นางเงือกทองแสนสวยทีส่ ดุ ในโลก ทุกคนเชิญมา


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

49

สัมผัสกับบรรยากาศทีแ่ สนสบายกับแหลมสมิหลาทีน่ ไี่ ด้ทกุ วัน ทุกเวลาเดินทาง มาสะดวก ถ้าเจอนัทก็อย่าลืมทักทายกันบ้างนะครับ เป็นยังไงครับ ของดีดีที่บ้านนัทพอจะท�าให้ทุกๆท่านมีความสุขกับ เรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงชีวิต ๙ ขวบของนัทกันได้บ้างหรือเปล่าครับ ยังมีเรื่อง ราวของสถานที่ แ ละวิ ถี ชี วิ ต ประเพณี วั ฒ นธรรมอี ก มากมายที่ นั ท อยากจะ ถ่ายทอดให้กับทุกท่านที่ไม่มีโอกาสได้มาสัมผัสกับ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของนัท (ด้ามขวานทองค�า) และนัทก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าดินแดนที่สวยงาม แห่งนี้ อาจท�าให้ชีวิตอีกหลายๆ ชีวิตมีความสุขเหมือนกับนัท


50

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา เด็กหญิงเฟาซียะห์ ยีตาเห

ใต้สุดสยามเมืองงามชายแดน เป็นค�ำขวัญของจังหวัดยะลา จังหวัดที่ มีผังเมืองที่สวยงาม บ้านเมืองสะอาดน่าอยู่เป็นศูนย์รวมของวัฒนธรรมที่ หลากหลาย เดิมชาวยะลาเชื่อว่าแผ่นดินนี้คือเมืองลังกาสุกะของประเทศ มาเลเซีย จากการศึกษาประวัติศาสตร์ของจังหวัดยะลา ปรากฏประเพณี วัฒนธรรมและวิถชี วี ติ ทีช่ าวไทยมุสลิมจังหวัดยะลายึดถือเป็นธรรมเนียมปฏิบตั ิ สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ปัจจุบันความเจริญได้กลืนวิถีและวัฒนธรรมที่ดีงาม ให้เลือนหายไปแต่ยังมีให้เราได้เรียนรู้และสืบทอดสิ่งดีงามโดยสถาบันการ พลศึกษา คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา ได้เปิดสอนศิลปะการต่อสู้ไทยมุสลิม แบบโบราณ และยังมีชมรมปันจักสีลัตแห่งประเทศไทยที่ช่วยเราอนุรักษ์ และ สืบทอดไม่ให้ปันจักสีลัตถูกกลืนหายไปกับความเจริญรุ่งเรืองทางด้านวัตถุ ครัง้ หนึง่ หนูเคยดูโชว์ปนั จักสีลตั ทีส่ ถาบันการพลศึกษา ซึง่ เป็นการต่อสู้ และร่ายร�ำด้วยท่าทางที่สวยงามเลยมีความสนใจในเรื่องนี้ จึงกลับไปถามแม่ แม่ก็เล่าให้ฟังว่า สิละ นับแต่สมัยอดีตเป็นทั้งศิลปะที่ใช้ในการต่อสู้จวบจน กระทั่งมีวิวัฒนาการมีการปรับเปลี่ยนใช้เป็นการร่ายร�ำต่อสู้อวดลีลาท่าทาง กระบวนการต่อสูอ้ ย่างสวยงามสมจริง สิละนีเ้ ป็นศิลปะการต่อสูท้ คี่ ล้ายกับมวย จีนหรือกังฟู ท�ำให้ชวนนึกไปถึงการสืบเนือ่ งมาจากพ่อค้าชาวจีนทีเ่ ข้ามาท�ำการ ค้าขายในเมืองปัตตานี ดังในต�ำนานเมืองปัตตานี หลายต�ำนานทีม่ ชี าวจีนเข้ามา


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

51

เกี่ยวข้อง ซึ่งเมื่อเข้ามาท�ำการค้าขายก็อาจได้เอาศิลปะการต่อสู้ของตนเอง เข้ า มาผสมผสานเข้ า กั บ การต่ อ สู ้ แ บบพื้ น เมื อ ง อย่ า งไรก็ ต ามยั ง มี ที่ ม า ของสิละหลายส�ำนวนที่ยงั หาข้อสรุปทีแ่ น่นอนไม่ได้ สิละ ปัจจุบันอันเป็นศิลปะ การต่อสู้ของชาวไทยมุสลิมถิ่นมลายูในภาคใต้ของประเทศไทยที่ควรค่าแก่ การอนุรักษ์และชื่นชมซึ่งนับว่าเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ ของท้ อ งถิ่ น และของชาติ ก�ำ ลั ง จะคื บ คลาน ถู ก กลื น และเลื อ นหายไปจาก สังคมไทยมุสลิมภาคใต้ของไทย ทั้งนี้เนื่องจากสภาวการณ์ทางสังคม การเอาใจ ใส่ชว่ ยเหลือจากสังคมหลัก และการขาดการเข้าใจ เข้าถึงวัฒนธรรมของท้องถิน่ อันเป็นรากเหง้าที่เป็นต้นแบบน�ำไปสู่ศิลปะการแสดงต่างๆ นานาของสังคม ประเทศชาติอันเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ของชาติ ค�ำว่า สิละ บางครั้งเขียนหรือพูดเป็น ซีละ หรือซิละ เข้าใจว่ารากศัพท์ มาจาก ศิละ ภาษาบาลี สันสกฤตเพราะดินแดนชาวมลายูในอดีตเป็นดินแดน ของอาณาจั ก รศรี วิ ชั ย ซึ่ ง มี วั ฒ นธรรมอิ น เดี ย เป็ น แม่ บ ทส�ำ คั ญ ดั ง ปรากฏ ค�ำสันกฤตซึ่งสิละนั้นหมายถึง การต่อสู้ด้วยน�้ำใจนักกีฬา ผู้เรียนวิชานี้ต้องมี ศิลปะมีวินัยที่จะน�ำกลยุทธ์ไปใช้ป้องกันตัว สิละเป็นการต่อสู้ทุกแขนงโดยใช้อวัยวะทุกส่วนร่วมด้วย การใช้ศีรษะ คาง เพื่อชน กระแทก โขก ยี ใช้ท่อนแขนฝ่ามือ และก�ำปั้น จับล็อก บล็อก บัง เหวี่ยง ฟัด ฟาด ปิด ปัด ป้อง ผลัก ยัน ทุบ ชก ไล่แขน ศอก เฉือน ถอง กระทุ้ง พุ่ง เสย งัด ทั้งท�ำลายจังหวะเมื่อเสียเปรียบและหาโอกาสเข้ากระท�ำ เมื่อได้เปรียบ ส่วนขา แข้ง เข่า ฝ่าเท้า ส้นเท้า ปลายเท้า ใช้ในการบัง ถีบ เตะ แตะ เกี่ยว ตวัด ฉัด ช้อน ปัด กวาด กระแทก ท�ำให้บอบช�้ำและ เสียหลัก และใช้ล�ำตัวในการทุ่ม ทับ จับ หัก ก่อนการฝึกสิละ ผูเ้ รียนจะต้องเตรียมข้าวของเพือ่ ไหว้ครูกอ่ น ประกอบ ด้วย ผ้าขาว ข้าวสมางัด ด้ายขาว และแหวน ๑ วง มามอบให้กับครูฝึก ผู้เป็น ศิษย์ใหม่จะต้องมีอายุไม่น้อยกว่า ๑๕ ปี ระยะเวลาที่เรียน ๓ เดือน ๑๐ วัน


52

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

จึงจะจบหลักสูตร การสอนนั้นจะมีครูสิละคนหนึ่งต่อศิษย์ ๑๔ คน ในรุ่นหนึ่งๆ ผู้ที่เก่งที่สุดจะได้รับแหวนจากครู และได้เกียรติเป็นหัวหน้าทีมและสอนแทน ครูได้ การแต่งกายของนักสิละมุ่งที่ความสวยงามเป็นประการส�ำคัญ เช่นมีผ้า โพกศีรษะ สวมเสื้อคอกลมหรือคอตั้ง นุ่งกางเกงขายาว และมีผ้าโสร่งเรียกผ้า ซอเกตลาย สวมทับพร้อมกับมีผ้าลือปักคาดสะเอว หรือคาดเข็มขัดทับโสร่งให้ กระชับ นอกจากนั้นเหน็บกริชตามฉบับนักสู้ไทยมุสลิม เครื่องดนตรีสิละ ประกอบด้วยกลองยาว ๑ ใบ กลองเล็ก ๑ ใบ ฆ้อง ๑ คู่ และปี่ยาว ๑ เลา เมื่อ นักสิละขึ้นบนสังเวียนแล้ว ดนตรีจะประโคมเรียกความสนใจคนดู การไหว้ครู แบบสิละนัน้ เข้าไหว้ทลี ะคน วิธกี ารไหว้ครูแต่ละส�ำนักแตกต่างกันไป สังเกต ว่าขณะร�ำไหว้ครูนั้น นักสิละจะท�ำปากขมุบขมิบว่าคาถาเป็นภาษาอาหรับ และทีส่ ำ� คัญคือขอพรสีป่ ระการสรุปเป็นภาษาไทยดังนี้ ขออโหสิกรรมแก่คชู่ งิ ชัย ขอให้ปลอดภัยจากปรปักษ์ ขอให้เป็นที่รักแก่เพื่อนบ้าน ขอให้ท่านผู้ชมนิยม ศรัทธา ก่อนที่นักสิละจะลงมือต่อสู้ ทั้งคู่จะท�ำความเคารพกันและกัน เรียกว่า สาลามัต คือ ต่างสัมผัสมือแล้วแตะที่หน้าผาก หลังจากนั้นจึงเริ่มวาดลวดลาย ร่ายร�ำตามศิลปะสิละ บางครั้งนักต่อสู้ต่างกระทืบเท้าให้เกิดเสียง หรือมิฉะนั้น เอาฝ่ามือตีที่ต้นขาของตนเอง เพื่อให้เกิดเสียงข่มขวัญปรปักษ์ เมื่อร�ำไปร�ำมา หรือก้าวไปถอยมาประหนึ่งว่าเป็นการประลองเชิงพอสมควรแล้วหาทางพิชิตคู่ ต่อสู้ คือหาจังหวะให้มือฟาดหรือใช้เท้าดันร่างกายตรงกันข้าม จังหวะการ ประชิดตัวนั้นดูเหมือนว่าจะห�้ำหั่นกันชั่วฟ้าแลบ ขณะนั้นดนตรีก็โหมจังหวะ กระชัน้ พลอยให้คนดูระทึกใจ ฝ่ายใดท�ำให้คตู่ อ่ สูล้ ม้ ลงหรืออาศัยการตัดสินจาก ผู้ดูรอบสนามว่าเป็นเสียงปรบมือให้ฝ่ายใดดัง ฝ่ายนั้นเป็นฝ่ายชนะ กติกา ข้อห้ามที่นักสิละต้องเว้น ได้แก่ ห้ามเอานิ้วแทงตาคู่ต่อสู้เพราะต่างไม่สวมนวม และไม่ก�ำมือแน่นอย่างชกมวย ถัดมาคือห้ามบีบคอ ห้ามต่อยแบบมวยไทย เช่น ใช้ศอกและเข่า กระบวนชั้นเชิงสิละ ตามที่เขียนไว้ในหนังสือ มีมากมายหลาย ท่าเช่น ซังคะ ตั้งท่าป้องกัน ลังคะดาน ท่ายืนตรงพร้อมสู้ ลังฆะฑีฆา ท่ายกมือ


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

53

ป้องกัน คือมือขวาปิดท้องน้อย แขนซ้ายยกเสมอบ่า ลังคะเลิมปัด ท่าก้าวไปตั้ง หลักเบื้องหน้าปรปักษ์ โดยก้าวเท้าทั้งสองอย่างรวดเร็ว สิละของมุสลิมภาคใต้ แบ่งออกเป็น ๓ ประเภทคือ สิละยาโต๊ะ คือ สิละอาศัยศิลปะการต่อสู้ เมื่อฝ่ายหนึ่งรุกอีกฝ่ายหนึ่ง ต้องรับ ถ้าหากว่ารับไม่ได้ก็จะตกไปเลย เรียกว่าสิละยะโต๊ะ (ตก) ส่วนมาก จะใช้ในการแข่งขันประชันฝีมือ สิละตารี (ร�ำ) คือ สิละที่ต่อกรด้วยความช�ำนาญในจังหวะลีลาการ ร่ายร�ำ ส่วนมากจ�ำแสดงเฉพาะหน้าเจ้าเมืองหรือเจ้านายชั้นสูง สิละกายอ (กริช) คือ สิละใช้กริชประกอบการร่ายร�ำไม่ใช้การต่อสูจ้ ริงๆ แต่อวดลีลากระบวนท่าทางต่อสู้ ส่วนมากจะแสดงในเวลากลางคืน ถ้ารวม ความแล้ว จุดประสงค์ส่วนใหญ่ของสิละมุ่งศิลปะการร่ายร�ำมากกว่าศิลปะการ ต่อสู้แบบสมจริง ท่าทางยกไม้ยกมือมีส่วนคล้ายคลึงกับมวยจีนหรือกังฟู ชวนให้ คิ ด ไปว่ า ต้ น ก� ำ เนิ น สิ ล ะนั้ น อาจมิ ใช่ อ ย่ า งที่ เขี ย นไว้ ใ นหนั ง สื อ ว่ า มี หลายท่า ที่เสนอไว้ข้างต้น แต่คงสืบเนื่องมาจากพ่อค้าชาวจีนน�ำศิลปะของตน มาเผยแพร่ ณ เมืองปัตตานีครั้งโบราณ ต�ำนานปัตตานีมักปรากฏชาวจีนเข้ามา เกีย่ วข้องเสมอ ไม่วา่ เป็นต�ำนานของลิม่ โต๊ะเคีย่ มนายช่างปืนใหญ่ นางพญาตานี และต�ำนานลิม่ กอเหนีย่ วผูเ้ ป็นน้อง เมือ่ ชาวจีนเข้ามาค้าขายทีเ่ มืองปัตตานีแล้ว ก็น�ำศิลปะการต่อสู้ของตนมาเผยแพร่ ผสมผสานกับมวยพื้นเมือง จึงเป็นศิลปะ การต่อสู้แบบใหม่เรียกว่า สิละ อย่างไรก็ตามยังมีที่มาของสิละอีกหลายส�ำนวน ที่ยังสรุปแน่นอนมิได้ ปันจักสีลัตเป็นศิลปะการต่อสู้ของชาวไทยมุสลิมที่สืบทอดวัฒนธรรม ที่ดีงาม เราในฐานะเยาวชนรุ่นหลังจึงควรรักษาสิ่งดีงามนี้ไว้ไม่ให้เลือนหายไป ชาวยะลาเราโชคดีทสี่ ถาบันการพลศึกษาเปิดโอกาสให้เราได้เรียนรูแ้ ละสืบทอด ศิลปะปันจักสีลัตให้คงอยู่ หากเพื่อนๆ หรือผู้ใดสนใจที่จะเรียนรู้สามารถหาได้ จากสถาบันการพลศึกษา เหมือนที่หนูได้เคยไปดู


54

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา เด็กหญิงมูณีเราะห์ ดีสะเอะ

บ้ า นเป็ น สถานที่ อ ยู ่ อ าศั ย จะเป็ น บ้ า นที่ ดี ไ ด้ ต ้ อ งมี อ งค์ ป ระกอบ หลายๆ อย่าง บ้านเป็นที่ให้ความอบอุ่น ให้ความปลอดภัย ให้ความรัก ให้ความสะดวกสบายและอีกหลายๆ อย่าง เฉกเช่น หมูบ่ า้ นของหนูเป็นหมูบ่ า้ น ที่ มี ค วามสามั ค คี ใ ห้ ค วามช่ ว ยเหลื อ ซึ่ ง กั น และกั น เป็ น ชุ ม ชนที่ เข้ ม แข็ ง โดยหมู ่ บ ้ า นของหนู มี ท หารมาอาศั ย อยู ่ ที่ โรงเรี ย นคอยท� ำ หน้ า ที่ ดู แ ลให้ ความสะดวก ดูแลความปลอดภัยและร่วมมือกับเยาวชนชุมชนในการจัดการท�ำ โครงการต่างๆ ที่เกี่ยวกับหมู่บ้านให้มีการพัฒนาขึ้น หนูดีใจที่มีพี่ทหารมาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านของหนู หนูเห็นเด็กๆ ชอบที่ จะเล่นหยอกล้อกับพี่ทหาร วันส�ำคัญต่างๆ เช่น วันพ่อ วันแม่ หรือวันส�ำคัญ ทางศาสนา เช่นวันรายอ พี่ๆ ทหารจะมาแจกขนมและแจกไอศกรีมให้พวกหนู ได้ทาน เด็กๆชอบให้พี่ทหารเป่าลูกโป่งโดยดัดให้เป็นรูปต่างๆ เป็นที่ถูกอก ถูกใจเด็ก บางครั้งพี่ทหารก็ต้องเหนื่อยเป็นพิเศษเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ดี เช่น เหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่อื่นที่ใกล้ๆ กับหมู่บ้านหนู เพราะหมู่บ้านหนูคือ หมู่บ้านสะเอะใน อ.กรงปินัง จ.ยะลา ซึ่งมักจะเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบบ่อย ครั้ง แต่พี่ๆ ทหารก็ไม่ย่อท้อ ยังคงท�ำหน้าที่ที่ตนรับผิดชอบต่อไป พี่ทหารยอม เสียสละเวลาและชีวติ เพือ่ ให้ประชาชนอยูอ่ ย่างมีความสุข หนูดใี จทีห่ มูบ่ า้ นของ หนูมีความรัก ความสามัคคีต่อกัน เยาวชนก็ให้ความส�ำคัญกับโครงการต่างๆ ที่ ค ณะกรรมการหมู ่ บ ้ า นหรื อ ทางรั ฐ จั ด ขึ้ น เช่ น โครงการต้ า นยาเสพติ ด


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

55

โครงการกีฬาสัมพันธ์ โครงการอบรมคุณธรรมจริยธรรม เป็นต้น หมู่บ้าน ของหนูมีประชากรไม่มาก แต่ทุกคนก็มีอาชีพมีงานท�ำเกือบทุกคนอาชีพหลัก ของหมู่บ้านหนูคือ การท�ำสวนยาง เยาวชนจะได้นับการศึกษาอย่างเต็มที่ ส่วนเยาวชนที่ไม่ได้ศึกษาต่อก็จะช่วยพ่อแม่ตัดยางหรือไม่บางส่วนก็จะไป ท�ำงานในเมืองคือในตัวจังหวัดยะลา จะค้าขายบ้าง เป็นลูกค้าบ้าง หรือออก ไปไกล คือไปเป็นลูกจ้างทีป่ ระเทศมาเลเซียใกล้ๆ ชายแดนเบตงไปเป็นคนเสิรฟ์ น�้ำชา หรืออาจไปเป็นลูกจ้างขายอาหาร ปรุงอาหารก็มี พอเก็บหอมรอมริบ ได้เงิน ก็จะน�ำเงินกลับมาให้พ่อแม่ของเขาโดยที่หนูทราบได้ก็เพราะพ่อกับแม่ ของหนูมกั พูดให้ฟงั ว่า “เด็กคนนัน้ เก่งนะเก็บเงินมาให้พอ่ แม่ได้สร้างบ้าน” หรือ “เด็กคนนั้นเป็นเด็กดีน�ำเงินมาให้พ่อแม่ได้ซื้อสวนยาง เก็บเงินเก่งมากเลย” เป็นต้น หนูจึงอยากเก็บเงินได้เยอะๆ เหมือนที่พ่อกับแม่ได้พูดให้หนูฟังแต่หนู อยากเรียนให้สูงๆ ก่อนจะได้มีงานท�ำ เก็บเงินให้พ่อกับแม่ได้ พ่อกับแม่ของหนู จะได้อยู่อย่างสบาย เพราะตอนนี้แม่ต้องออกจากที่ท�ำอยู่ เพราะแม่มีโรคที่เป็น อุปสรรคในการท�ำงาน แต่ครอบครัวหนูก็ไม่ล�ำบากถึงขั้นไม่มีจะกินเพราะ บ้ า นของหนู มี พื้ น ที่ ร อบๆ บริ เวณบ้ า นพอที่ จ ะปลู ก พื ช ผั ก ให้ ไ ด้ เ ก็ บ กิ น ช่วยประหยัดในการใช้จ่าย ไม่ต้องไปซื้อผักซื้อพริกมาจากที่อื่น และยังปลอด สารพิษอีกด้วย หนูสนุกกับการที่ได้เก็บผักเก็บพริก ถึงแม้จะมีไม่มากถึงขั้น สามารถน� ำ ไปขายได้ เ งิ น แต่ ห นู ก็ ดี ใจ และพอใจที่ ค รอบครั ว หนู น�ำ แนว พระราชด�ำริขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาใช้นั่นคือ พออยู่ พอกิน พอใช้ซึ่งไม่เพียงแต่ที่บ้านหนูหลังเดียว ครอบครัวอื่นๆ หรือชุมชนที่หนูอยู่ส่วน มากก็จะปลูกผัก เลีย้ งปลา เลีย้ งไก่เป็นสวนมาก เพราะทุกคนเล็งเห็นว่าปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียงสามารถท�ำให้ชุมชนมีรายได้ดีขึ้น ประหยัดค่าใช้จ่ายและ ปลอดภัยในการบริโภค หมูบ่ า้ นของหนูยงั เป็นหมูบ่ า้ นทีอ่ นุรกั ษ์วฒ ั นธรรมพืน้ บ้านและประเพณี ศาสนาที่สืบทอดกันมาด้วย นั่นคือ การละเล่น ดิเกร์ฮูลู ซึ่งเมื่อจะมีการฉลอง


56

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

งานแต่งงาน บางบ้านที่มีฐานะก็จะเชิญคณะดิเกร์ฮูลูมาเล่นให้ชาวบ้านได้ดู ส่วนประเพณีทางศาสนาคือการกวนอาซูรอ (เป็นการกวนของพืชผักต่าง รวมกันโดยการน�ำกล้วย ฟักทอง เมล็ดถั่วแดง หัวมัน เผือก ตะไคร้ กะทิและ ข้าวสารโดยให้มีรสชาติหวานน� ำ ซึ่งเป็นการท�ำอาหารหวานมาตั้งแต่สมัย ท่าน นบี มูฮัมหมัด (ซ.ล.) จนถึงปัจจุบันนี้) การท�ำ กิ จ กรรมกวนอาซู ร อในแต่ ล ะปี ช าวบ้ า นจะน�ำ พื ช ผั ก ต่ า งๆ ทีต่ นมีคนละนิดคนละอย่างมารวมกัน และช่วยกันกวนโดยจัดทีบ่ า้ นใดบ้านหนึง่ หรือสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง และเมื่อสุกก็จะน�ำมาแจกจ่ายให้ได้กินถ้วนหน้า กิจกรรมกวนอาซูรอถือว่าเป็นกิจกรรมทีท่ ำ� ให้เกิดความสามัคคีและการ เกือ้ กูลกัน ในปีนหี้ มูบ่ า้ นของหนูได้จดั ประเพณีกวนอาซูรอขึน้ ทีอ่ งค์การบริหาร ส่วนต�ำบล (อบต.) โดยอ�ำเภอกรงปินังได้จัดการประกวดแข่งขันการกวน อาซูรอขึน้ โดยให้มกี ารแข่งขันความสวยงามและความอร่อยของขนมอาซูรอด้วย ในปีนี้มีหมู่บ้านหลายหมู่บ้านที่เข้าแข่งขันในปีนี้ หมู่บ้านของหนูเป็นหมู่บ้านที่ ชนะการประกวดได้ รั บ โล่ เ กี ย รติ ย ศด้ ว ย เป็ น ที่ ภ าคภู มิ ใจของชุ ม ชนหนู ที่ร่วมมือร่วมใจไปลงแข่งขันและท�ำอย่างสุดฝีมือ จนท�ำให้มีวันนี้ได้แต่ถึงแม้ จะไม่ชนะ หนูก็ไม่เสียใจเพราะหนูเห็นแต่ละคนที่ไปในงานวันนั้นทุกคนดูมี ความสุขและสนุกกับงานที่ทาง อบต. ได้จัดขึ้นแทบทุกคน หมูบ่ า้ นของหนูถงึ แม้จะเป็นหมูบ่ า้ นเล็กๆ แต่สายสัมพันธ์ทมี่ ตี อ่ หมูบ่ า้ น อื่นในตัวอ�ำเภอกรงปินังนั้นกว้างไกลนัก ชุมชนในพื้นที่อื่นก็จะให้ความร่วมมือ และร่วมใจ เมือ่ หมูบ่ า้ นของหนูจดั งานใดงานหนึง่ ขึน้ มาในชุมชน เช่นงาน Open House ที่ทางโรงเรียนบ้านสะเอะในจัดขึ้น ก็จะมีเพื่อนบ้านชุมชนอื่นร่วมงาน ด้วย ซึ่งถือว่าชุมชนของหนูมีความรัก ความสามัคคี ไม่เพียงแต่คนในชุมชน เท่านั้น ในชุมชนอื่นยังรวมไปถึงชุมชนใกล้เคียงด้วย ทุกคนทุกหน่วยงานจะให้ ความร่วมมือ โดยเฉพาะหน่วยงานจากพี่ๆ ทหารจะมีส่วนเข้ามาช่วยงานแบ่ง เบางานได้มาก จะคอยดูแลความปลอดภัย มีกิจกรรมที่แปลกๆ หลากหลายให้


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

57

ชาวบ้านและเด็กๆ ได้สนุกซึ่งหน่วยงานทหารไม่ใช่จะมีเฉพาะที่หมู่บ้านหนู เท่านัน้ แต่จะมีอยูเ่ กือบทุกหมูบ่ า้ นในจังหวัดชายแดนใต้เพราะเป็นทีๆ่ มักจะเกิด เหตุการณ์ความไม่สงบบ่อยครั้งใน ๕ จังหวัดชายแดนใต้ อันได้แก่ยะลา สงขลา นราธิวาส ปัตตานี และสตูล พีท่ หารไม่ใช่แค่ให้ความสุขความปลอดภัยแก่ชมุ ชน ต่างๆ เหล่านัน้ เท่านัน้ แต่ยงั ให้ความรู้ ให้การพัฒนาเกิดขึน้ ในสถานทีๆ่ พีท่ หาร เหล่านั้นไปอยู่อาศัยด้วยและพี่ทหารยังปรับตัวเข้ากับชุมชนนั้นได้ดีไม่ว่า มนุษยสัมพันธ์ การกินอยู่ หรือแม้แต่เข้าใจถึงวัฒนธรรมและประเพณีของแต่ละ พื้ น ที่ นั้ น ด้ ว ย หนู ภู มิ ใจที่ ไ ด้ เ กิ ด เป็ น คนไทย อยู ่ บ นพื้ น แผ่ น ดิ น ไทยที่ มี พระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นประมุขห่วงใยประชาราษฎร์ ดูแลทุกข์สุขของประชาชน อย่างทั่วถึงโดยไม่ค�านึงถึงชนชาติและศาสนา จะอยู่ในสถานะใด ต�าแหน่งการ งานใด พระองค์ มี แ ต่ ใ ห้ กั บ ให้ โดยไม่ ห วั ง ผลตอบแทน เพี ย งพระองค์ ต้ อ งการให้ ป วงชนชาวไทยมี สุ ข ภาพดี มี ค วามสุ ข มี ค วามเจริ ญ และมี ก าร พัฒนาขึน้ ในทุกๆ ด้าน หนูดใี จและภูมใิ จจึงขออวยชัยให้พระองค์ทรงพระเจริญ ยิ่งยืนนาน


58

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา เด็กหญิงสุทธิดา ศิริวัฒน์

จังหวัดชายแดนใต้มี ๕ จังหวัด คือ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส สงขลา และสตูล ๕ จังหวัดนี้อยู่ใกล้ๆ กัน อยู่ติดทางภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย ทั้ง ๕ จังหวัด ชายแดนใต้นี้ ประเพณี วัฒนธรรม ศาสนา แตกต่างกัน มีทั้งศาสนาพุทธ มุสลิม จีน ทัง้ ๓ ศาสนานีท้ พี่ วกเราอยูร่ ว่ มกันได้มกี ารช่วยเหลือซึง่ กันและกัน ถึงแม้วา่ บางครั้งเราจะทะเลาะกันไปบ้าง แต่เราก็อภัยให้กัน เมื่อไม่นานมานี้ วันที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ ได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ที่จังหวัดสงขลาและยะลา โดยได้มีคนลอบวางระเบิดที่โรงแรมลีการ์เด็น อ�ำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นตัวเมืองหาดใหญ่และในตัวเมืองยะลา ทั้งสองเหตุการณ์นี้ท�ำให้ชาว หาดใหญ่และชาวยะลาตื่นตระหนกตกใจ รวมทั้งคนทั่วประเทศไทยก็เป็นห่วง ตระหนกตกใจไม่แพ้กัน ถึงแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ แต่ก็ยังมีนักท่องเที่ยว ไปเที่ยวที่ ๒ จังหวัดนี้ไปเป็นก�ำลังใจให้สู้ต่อไป ถึงแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดๆ ผู้คนก็ยังหลั่งไหลกันไปเที่ยวอย่างเช่นวันสงกรานต์ ยังมีผู้คนไปเล่นน�้ำกัน มากมาย ต่อไปนักท่องเที่ยวทุกท่านจะได้รู้จักแหล่งท่องเที่ยวดีๆ ที่ ๕ จังหวัด ชายแดนใต้ ฉันจะเขียนแหล่งท่องเที่ยวดีๆ โดยเฉพาะในจังหวัด สงขลาซึ่งเป็น บ้านเกิดของฉันให้ทุกท่านทราบ แหลมสมิหลาอยู่ในเขตเทศบาลสงขลา ห่างจากตลาดสดเทศบาล ประมาณ ๓ กิโลเมตร มีหาดทรายขาวสะอาด และทิวสนอันร่มรื่น มีร้านค้า


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

59

อาหารตั้งขายอยู่มากมาย แหลมสมิหลามีจุดชมวิว เรามองไปให้ไกลๆ สุด ของทะเล จะเห็นว่ามีวิวสวย เมื่อตกเย็นจะเห็นพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงาม บริเวณแหลมสมิหลา มีนักท่องเที่ยวมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเดือนมีนาคมมิ ถุ น ายน และในวันหยุดราชการหรือวันส� ำคัญต่างๆ อย่างเช่นวันปีใหม่ วันสงกรานต์ และยังมีรปู ปัน้ นางเงือก ซึง่ เชือ่ กันว่าใครได้มาถ่ายรูปกับนางเงือก ก็ถือว่ามาถึงสงขลา ไว้ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาถ่ายรูปชมกัน สวนสัตว์สงขลาเป็นส่วนสัตว์อยู่บนเขาเล็กๆหลายลูก มีเนื้อที่ ๙๑๑ ไร่ มีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่อขยายพันธ์ุสัตว์ป่า สัตว์หาดูยาก คืนสู่ธรรมชาติ มีถนนลาดยางโดยล้อมรอบและแยกชนิดสัตว์เป็นหมวดหมู่ มีสัตว์หลายชนิด สัตว์ต่างประเทศก็มีสัตว์ป่าอย่างเช่นยีราฟ ถิ่นก�ำเนิดของ สัตว์ชนิดนี้อยู่ที่อัฟริกา เพนกวินถิ่นก�ำเนิดที่ขั้วโลกเหนือ ปัจจุบันที่ส่วนสัตว์ ได้ก่อสร้างสวนน�้ำขึ้นมา สวนน�้ำอยู่ใกล้กับการแสดงวิถีชีวิตสัตว์ป่า สวนน�้ำเริ่ม เปิดตัวตั้งแต่ ๑๐.๐๐ น. ภายในของสวนน�้ำมีสไลเดอร์ น�้ำใสมีที่เล่นส�ำหรับเด็ก มีที่เล่นส�ำหรับเด็กประถม จะอยู่ใกล้ที่สำ� หรับผู้ใหญ่ ที่เด็กประถมไม่ค่อยลึก เท่าเอวฉันได้ น�้ำจะไหลเวียนรอบสระมีกระแสน�้ำเวียนรอบสระ มีอยู่จุดหนึ่ง เป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ จะเห็นตัวเมืองสงขลา เห็นทะเล เห็นสะพานติณสูลานนท์ หรือที่เรียกกันในค�ำขวัญของจังหวัดสงขลาว่าสะพานป๋า ที่สวนสัตว์สงขลา ยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกท่าน สถาบันทักษิณคดีศึกษาอยู่ในต�ำบลเกาะยอ มีพื้นที่ทั้งหมด ๒๓ ไร่ ๑ งาน ๓๙.๙ ตารางวา พื้นที่ส่วนหนึ่งอยู่บริเวณเชิงเขา และส่วนหนึ่งอยู่บน ยอดเขา และเมื่อขึ้นอยู่บนสุด สามารถเห็นทะเลสาบอย่างชัดเจนและสวยงาม สถาบันทักษิณคดีศึกษา ได้รวบรวมสิ่งเก่าแก่และหุ่นขี้ผึ้ง แสดงถึงวิธีการ ด�ำรงชีวิตเมื่อสมัยก่อน สถาบันทักษิณคดีศึกษาไม่ใช่มีแค่นี้ แต่รวบรวมเพื่อ


60

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ศึกษาเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมของภาคใต้ สถาบันทักษิณคดีศึกษา มีวัตถุ เก่าแก่มากมาย มีรูปปั้นขี้ผึ้งมาประกอบเพื่อให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น สถาบัน ทักษิณคดีศึกษา ประกอบด้วยส่วนส�ำคัญ ๕ ส่วน คือ พิพิธภัณฑ์คติชนวิทยา อุ ท ยานวั ฒ นธรรม ศู น ย์ วิ ท ย์ บ ริ ก ารด้ า นวั ฒ นธรรมงานส่ ง เสริ ม เผยแพร่ และหมู่บ้านวัฒนธรรมสาธิต เกาะยอเป็นเกาะเล็กๆ ในทะเลสาบสงขลา เดินทางโดยข้ามสะพาน ติณสูลานนท์ไปตามเส้นทาง ที่เกาะยอมีของขายตามถนน มีเสื้อผ้าลายสวยๆ ที่เกาะยอมีโฮมสเตย์ให้เช่ามากมาย ถ้าเช่าสามารถมองเห็นพระอาทิตย์ ตก-ขึ้น เกาะยอเหมาะแก่การท�ำเกษตรกรรม บนเกาะยอมีการท�ำสวนผลไม้แบบสุมรุม หมายถึง ผลไม้จะผลัดให้ผลผลิตตลอดปี เช่น ส้มโอ มะพร้าว ขนุน ผลไม้ที่ขึ้น ชื่อของเกาะยอคือ จ�ำปาดะ อาหารพื้นเมืองของภาคใต้ทั้ง ๕ จังหวัดนี้ก็อยู่ในภาคใต้นั้นจะเขียน ให้หมดที่เป็นอาหารของภาคใต้ แต่มันแยะมากก็เลยเอาอันที่รู้จักมาอย่างเช่น ข้าวย�ำใบยอ ข้าวย�ำใบยอเมล็ดข้าวจะเป็นสีม่วงมีสีสันสดใสน่ารับประทาน บูดูเป็นอาหารหลักของชาวใต้ ทั้ง ๕ จังหวัดชายแดนใต้ ก็นิยมกันรับประทาน และอีกอย่างหนึ่ง คืออาหารทะเล มี กุ้ง หอย ปู ปลา เป็นสัตว์ทะเลที่หาง่ายใน ภาคใต้ สัตว์เหล่านี้จะอาศัยในทะเล ๕ จังหวัดชายแดนของเรามีพื้นที่ติดทะเล เกือบทุกจังหวัดยกเว้นจังหวัดยะลา แต่ปจั จุบนั นีท้ ะเลของพวกเราน�้ำไม่คอ่ ยใส และมีกลิ่นเหม็น ชายหาดก็มีขยะ บางครั้งนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวทะเลก็จะเก็บ เปลือกหอยกลับบ้าน ก็สามารถท�ำได้ แต่ถา้ คิดดูให้ดี เปลือกหอยเป็นทีอ่ ยูอ่ าศัย ของหอยเล็กๆ เมือ่ ครอบครัวไหนทีจ่ ะมาปิกนิก ก็ชว่ ยเก็บขยะทีค่ ณ ุ น�ำมาไปทิง้ ถังขยะหรือถ้าให้ดกี เ็ ก็บขยะทีท่ งิ้ เกลือ่ นกลาดไปทิง้ ด้วย ฉันอยากให้นกั ท่องเทีย่ ว ที่มาเที่ยวทะเล ให้ช่วยกันอนุรักษ์ทะเลไว้ให้นานแสนนาน


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

61

ประเพณีของชาวสงขลาจะไม่เหมือนภาคอืน่ อีก ๔ จังหวัดบางประเพณี ก็จะคล้ายๆ กัน อย่างเช่นชาวศาสนาพุทธ ประเพณีแห่ชักพระ ชิงเปรต ท�ำบุญ เดือนสิบ ท�ำบุญบัว เป็นต้น ชาวมุสลิมก็มีหลายประเพณีเช่นกันเช่น ละหมาด ฮาลาล แงเกาะห์ ปอซอ และหะรอมเป็นต้น ประเพณีนั้นต้องมีทุกประเทศ ทุกศาสนาแต่ปัจจุบันประเพณีได้เลือนหายไปมาก เพราะเทคโนโลยีใหม่ เข้ามาแทน จึงท�ำให้เด็กรุ่นหลังไม่รู้จัก ไม่สนใจ ดิฉันอยากให้ผู้คนที่รู้จักหรือ บรรพบุรุษที่ยังมีชีวิต ให้ชักน�ำเด็กๆ มาเข้าร่วมประเพณีนั้นๆ ให้สืบต่อให้ ยาวนาน อาชีพทั้ง ๕ จังหวัดชายแดนใต้นี้ จะนิยมการกรีดยางเป็นส่วนใหญ่ แต่ยังมีอีกหลายอาชีพ เช่น ค้าขาย เกษตรกร ธุรกิจส่วนตัว รับราชการ หรืออีก หลายๆ อย่าง คนเราต้องประกอบอาชีพ ถ้าเราไม่ประกอบอาชีพเราจะไม่มีเงิน ไปใช้ซื้อสิ่งของที่จ�ำเป็น ปัจจุบันเงินหายาก เราต้องช่วยกันประหยัดเงิน คนเรา ในปัจจุบันไม่ค่อยเห็นคุณค่าของเงิน เงินแค ๑ บาทก็ทิ้ง เจอก็ไม่เอา เพราะ ๑ บาทในปัจจุบันนี้ซื้ออะไรไม่ได้แล้ว พ่อแม่ของเราต้องประกอบอาชีพทุกอย่างที่ ท�ำได้เพือ่ หาเงินให้เรากว่าจะได้เงินแต่ละบาทมันยากมาก ต้องเสียเหงือ่ เสียแรง ให้เราจ่ายเงินในวันนี้ ๕ จังหวัดชายแดนใต้ ถึงเราจะนับถือคนละศาสนา แต่เราก็อยู่ร่วมกัน ได้ เพราะเราอภัยให้กัน ถึงแม้ว่าจะทะเลาะ ฆ่ากัน ท�ำร้าย ฉันก็ไม่รู้ว่าเราอยู่ได้ ยังไง ก็ดแี ล้วทีเ่ ราอยูด่ ว้ ยกันได้อย่างมีความสุข ฉันขอเป็นตัวแทนของชาวสงขลา ชาวจังหวัดสงขลายินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกท่าน ชาวสงขลาพร้อมแล้ว ที่จะต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกท่าน และเราจะท�ำให้นักท่องเที่ยวนั้นมีความสุข ที่ได้มาเที่ยวที่จังหวัดสงขลา


62

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

จากที่ ฉั น เล่ า ให้ ทุ ก ท่ า นฟั ง ฉั น ภู มิ ใจและรั ก บ้ า นเกิ ด ของฉั น มาก สถานที่ทุกแห่งฉันได้ไปเที่ยว และน�าประสบการณ์มาเล่าสู่กันฟัง มันเป็นสิ่งดีๆ ทีอ่ ยูใ่ นใจฉัน ฉันอยากให้ทกุ คนมาเทีย่ ว แล้วจะเห็นความงามทุกสิง่ ได้ดว้ ยตนเอง ฉันไม่อยากได้ยนิ ข่าวการวางระเบิดในสถานทีต่ า่ งๆ ไม่อยากให้มขี า่ วการฆ่ากัน ใน ๕ จังหวัด เพราะนั่นหมายถึงความไม่มั่นใจ ความไม่ปลอดภัยในชีวิตท�าให้ เกิดความสูญเสีย ท�าให้ทุกคนหวาดกลัว ไม่กล้ามาท่องเที่ยว โดยเฉพาะ ๓ จังหวัด คือ นราธิวาส ปัตตานี และยะลา ไม่มใี ครอยากจะลงไปเทีย่ วไปศึกษา เนื่องจากสาเหตุนี้ ทั้งๆ ที่มีสถานที่สวยงามมากมายหลายสถานที่ใครก็ตาม ที่ก่อความไม่สงบ น่าจะหยุดได้แล้ว เพราะท�าให้บ้านเมืองเสียหาย มีความทุกข์ ยากล�าบาก ถึงเวลาแล้วหรือยังทีท่ กุ คน ทุกฝ่าย ได้ทนั กลับมาร่วมมือ ร่วมใจกัน สร้างรอยยิ้ม ความสงบ ความสุข ให้กับพื้นที่ของเราในอดีต ฉันขอเป็นตัวแทนของ จังหวัดชายแดนทั้ง ๕ จังหวัด ว่าเราพร้อม และยินดีต้อนรับทุกท่าน ที่จะมาเยี่ยมเยือนเรา


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

63

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา เด็กหญิงอาอีสะห์ กอตอ

ขึน้ ต้นว่า “กัมปง” หมูบ่ า้ นของเราทุกคนย่อมรูด้ วี า่ ต้องไม่ใช่มบี า้ นหลัง เดียว และสมาชิกย่อมไม่ใช่คนเดียว ต้องมีหลายบ้านรวมกันถึงได้มาเป็นหมูบ่ า้ น และมีหลายครัวเรือนมารวมกันถึงได้มาเป็นหมูบ่ า้ นหรือ กัมปง ตามความหมาย หรือค�ำแปลในภาษามลายูถิ่น นั่นเอง หมู่บ้านของเราเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ประกอบด้วยครอบครัวเพียงไม่กี่ ครอบครัว แต่ถ้ามองกันในแง่ของการเป็นหมู่บ้าน ในสมัยก่อนคุณย่าเล่าว่าแม้ จะมีไม่กี่หลังคาเรือนแต่ก็อยู่อย่างมีความสุข มันเป็นความสุขที่เพียบพร้อม ไปด้วยความบริสุทธิ์ใจของกันและกัน เป็นความบริสุทธิ์ใจที่กลั่นกรองจาก ธรรมชาติจริงๆ ภาพครั้งเด็กที่เราวิ่งบนถนนลูกรัง สถานที่แคบๆ ที่ๆ เราชอบ วิง่ เล่นตามคันนา เมือ่ ครัน้ ทีค่ นั นาเต็มไปด้วยน�ำ้ ทีค่ า้ งในฤดูฝน บางคนนัง่ ตกปลา ได้ปลาเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง ก็เฮกันสนุกสนาน ตามประสาของคนที่อยู่กัมปง ภาพทีส่ นุกสนานเหล่านีต้ า่ งได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว แต่ความทรงจ�ำยังติดฝังใจ อยูเ่ หมือนกับยังมีชวี ติ ชีวาจนตราบทุกวันนี้ ทีบ่ า้ นปลูกกันห่างๆ แต่มนั จะแปลก ตรงทีแ่ ม้มนั จะเป็นหมูบ่ า้ นเล็กๆ เป็นกัมปงทีม่ บี า้ นอยูแ่ ม้ไม่กหี่ ลังคาเรือนมีผคู้ น และเด็กๆ ทีไ่ ร้การศึกษาแต่กย็ งั รูส้ กึ น่าอยู่ อะไรเล่าทีเ่ ป็นปัจจัยทีท่ �ำให้เกิดความ รู้สึกอยากอยู่กัมปงนี้ ซึ่งต่อไปนี้เราพร้อมจะเรียกว่ากัมปงกีตอได้เต็มปาก เพราะแม้จะไม่ได้เกิดที่นี่แต่ก็อาศัยอยู่จนครึ่งหนึ่งของชีวิต พอที่จะได้ซาบซึ้ง ถึงการใช้ชีวิตอย่างชีวิตของคนกัมปงว่ามันมีอะไรดีกว่าชีวิตของคนเมืองใหญ่ๆ


64

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ทีเ่ จริญไปด้วยเทคโนโลยีทที่ นั สมัย ซึง่ ล้วนเป็นสิง่ ทีห่ ล่อหลอมความรูส้ กึ ของตัว เอง และเกิดความเร้าใจและเพลิดเพลินโดยไม่รู้ตัวหากปัจจุบันนี้กัมปงกีตอจะ ยิ่งน่าอยู่ขึ้นเยอะเพราะความดูแลของผู้นำ� ประเทศ รัฐบาล และองค์กรต่างๆ ที่เข้าไปในหมู่บ้านเรา แต่หมู่บ้านของเราจะดีขึ้นหรือไม่ขึ้นอยู่กับคนที่อาศัยอยู่ ในหมู่บ้านนั้นๆ คนในหมู่บ้านจะต้องมีแผนพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ คนใน หมู่บ้านต้องมีการศึกษา ที่หมู่บ้านของเรามีโรงเรียนของรัฐขนาดปานกลาง และมีปอเนาะเพียงแห่งเดียวนอกจากนี้ยังมีโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามระดับ พื้นฐานหรือที่เรียกว่าโรงเรียน ตาดีกา จะมีครูไม่กี่คน แต่เราก็พอใจที่จะให้คน ในกัมปงกีตอ มีการศึกษาตรงนี้ด้วย เพราะกัมปงกีตอจะมีการพัฒนาได้ต้องได้ รับการศึกษาทั้งทางโลกและทางธรรม มีการพัฒนาทางด้านร่างกายและจิตใจ แม้จะเป็นกัมปงเล็กๆ ถึงจะกันดารขนาดไหนก็ตาม ถ้าคนในกัมปงมีการศึกษา ที่ ถู ก ต้ อ ง กั ม ปงกี ต อก็ จ ะได้ ดี ไ ปด้ ว ยอย่ า งในตอนนี้ คนในกั ม ปงเริ่ ม เห็ น ความส� ำ คั ญ ของการศึ ก ษาของลู ก หลานและมี ก ารพั ฒ นาการเคลื่ อ นที่ ใ น พุทธศักราช ๒๕๔๓ เข้าไปสร้างประโยชน์แก่คนในกัมปงมากมายเช่น การสอน ท�ำปุ๋ยเกษตรกร สอนท�ำน�้ำยาล้างจานให้กลุ่มแม่บ้าน สาธิตการเพาะต้นกล้า ของพืชพันธ์ุต่างๆ ให้ชาวบ้านได้รู้จักและเรียนรู้เพื่อสร้างอาชีพ สร้างรายได้ ทั้งยังเป็นการส่งเสริมการใช้ชีวิตอย่างพอเพียงตามแนวพระราชด�ำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นไปตามหลักค�ำสอนของหลักศาสนา อิสลามอีกด้วย ที่สอนให้รู้ถึงบาปบุญของการใช้ชีวิตอย่างฟุ้งเฟ้อสุรุ่ยสุร่าย และไม่เน้นให้ติดหนี้สินใคร แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ากัมปงกีตอจะไม่สงบแล้ว เพราะมีการระบาดของ ยาเสพติด โดยเฉพาะใบกระท่อมเป็นยาเสพติดทีร่ ะบาดอย่างมหันต์ หลายๆ คน ไม่สบายใจ กลัวและเป็นห่วงคนทีย่ งุ่ เกีย่ วกับเรือ่ งเลวร้ายเหล่านี้ กัมปงกีตอก�ำลัง จะเน่าเหม็นเพราะใบกระท่อม เพราะขาดการศึกษาและขาดจิตใจที่ยึดมั่นกับ หลักค�ำสอนของศาสนา ขณะที่ก�ำลังนั่งเขียนเรียงความเรื่องนี้ก็ได้ดูข่าวช่วงเช้า


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

65

ของวันที่ ๑๔ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๕ เป็นข่าวเกีย่ วกับการสับชิน้ ส่วนของเด็กทารก แล้วน�าไปทิ้งถังขยะ เมื่อได้ดูแล้วท�าให้เกิดความรู้สึกว่า ท�าไมสังคมปัจจุบัน ถึงได้เลวร้ายเหลือเกิน มันน่ากลัวขึน้ เรือ่ ยๆ อะไรเป็นเหตุให้คนเรามีจติ ใจทีเ่ สือ่ ม ได้ขนาดนี้ ความยากจน ความกลัว หรือความไร้ซงึ่ การศึกษาหรือเพราะไร้ศาสนา กลัวเหลือเกิน กลัวว่าเรื่องราวเหล่านั้นจะเกิดขึ้นในกัมปงที่น่าอยู่ของฉัน และในอีกมุมหนึ่งที่ได้ข้อคิดจากข่าวที่ดู คือคนที่ไปพบซากทารกนั้นคือคนที่ไป คุ้ยเขี่ยกองขยะเพื่อหาวัตถุที่สามารถน�ามาขายหาเงินประทังชีวิตไปวันๆ ตรงนี้ ท�าให้รู้สึกว่าคนเหล่านี้น่าสงสารเหลือเกิน สะท้อนให้เห็นถึงความยากล�าบาก ของคนในสังคมใหญ่ๆ ความแตกต่างของผู้คนในเมืองใหญ่ระหว่างคนรวย กับคนจนมันช่างชัดเจนเหลือเกิน แต่หากน�ามาเปรียบกับกัมปงกีตอ แล้วยังรูส้ กึ ภูมิใจมากกว่า อย่างน้อยคนในกัมปงยังรู้จักใช้ชีวิตอย่างพอเพียงรู้จักการ แบ่งปัน ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ยังมีให้เห็น การรู้จักและพอใจในสิ่งที่พระเจ้า ประทานให้ พระเจ้าสอนให้เรารู้จักท�ามาหากินความสุขที่มีอยู่เรายังสัมผัสได้ แม้ว่ากัมปงกีตอจะมีสถานการณ์ของภาคใต้ มันยังถือว่าเป็นส่วนเล็กน้อย ถ้าเทียบกับประเทศอื่น กัมปงกีตอมีครอบครัวของศาสนาพุทธ เราอยู่ด้วยกัน ได้อย่างมีความสุข ทุกคนรักใคร่กลมเกลียวปรองดองกัน มีความสามัคคี ที่แน่นแฟ้นซึ่งเป็นอย่างนี้มานานและตราบจนทุกวันนี้



เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

67

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา นายนัสรูลเลาะห์ อาแว รางวัลชนะเลิศ ระดับมัธยมศึกษา

ท่ามกลางสังคมโลกที่ไม่หยุดนิ่งในกาลปัจจุบัน พื้นที่เล็กๆ พื้นที่หนึ่ง ถูกมองว่าเป็นทีท่ อี่ นั ตรายซึง่ เกลือ่ นไปด้วยศพของผูบ้ ริสทุ ธิ์ กลิน่ ฟุง้ คาวของกอง เลือดที่สัมผัสได้ถึงการสูญเสีย และยังเป็นที่ที่ถูกขีดเส้นแบ่งแยกให้เป็นพื้นที่ ต้องห้าม ไม่มีใครเลยที่กล้าล�้ำเส้นผ่านเข้ามา เพียงเพราะสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่เว้นแต่ละวัน แต่ภายใต้เหตุการณ์อันขมขื่มที่เกิดขึ้นนั้น จะมีเพียงสักกี่คน ที่รู้ว่า ณ พื้นที่ตรงนี้มีเรื่องราวดีๆที่บรรพบุรุษได้ทิ้งไว้ให้ชนรุ่นหลังสืบทอด เรียนรู้ และอนุรักษ์ เพื่อคงไว้ซึ่งความงดงามในความหลากหลายให้อยู่คู่ พื้นที่เล็กๆ พื้นที่นี้ พื้นที่ที่มีแต่เรื่องราวดีๆ พื้นที่ที่บ้านเรา ภาคใต้เหตุการณ์อันเลวร้ายที่ได้พรากชีวิตของคนออกจากกันนั้น ได้สร้างความระทมทุกข์และหยดน�้ำตาแห่งการจากลาโดยไร้วันกลับมาอย่าง มากมายมหาศาล แต่ ใ นขณะเดี ย วกั น เหตุ ก ารณ์ เ หล่ า นั้ น ก็ มิ อ าจพราก ของความสวยงามของความหลากหลายทีอ่ ยูค่ บู่ า้ นเราไปได้ เท่าทีผ่ มจ�ำความได้ เป็นเวลากว่าสิบเก้าปีทไี่ ด้ใช้ชวี ติ ในชุมชนต�ำบลราตาปันยัง อ�ำเภอยะหริง่ จังหวัด ปัตตานี สิบเก้าปีกับความสุขที่ได้ร่วมสร้างกับคนในหมู่บ้าน สิบเก้าปีกับหลาย เรื่องราวดีๆ ที่ได้พบเจอและได้ยินมา นั่นหมายความว่าเป็นเวลากว่าสิบเก้าปี ที่ได้รู้จักถึงความแตกต่างของศาสนา แผกความเชื่อ ซึ่งสิ่งนี้คือที่มาของความ


68

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

หลากหลายในหลายๆ ด้าน อันได้แก่ ด้านภาษา การแต่งกาย การมีวัฒนธรรม และขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงาม อันเป็นสิ่งมีค่าที่ชนรุ่นหลังควรรักษาไว้ให้ อยู่คู่บ้านเรา เพราะไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานสักเพียงใด มันก็ยังเป็นสิ่งมีค่า ที่ไม่มีใครสามารถพรากดึงไปได้ และที่ส�ำคัญมันจะอยู่ตรงนี้ ตรงที่บ้านเรา ตลอดไป ส� ำ หรั บ เรื่ อ งดี ๆ ที่ ผ มจะหยิ บ ยกมาเล่ า นั้ น ก็ ค งหนี ไ ม่ พ ้ น สิ่ ง ที่ ผ ม ได้อารัมภบทไว้ข้างต้น นั่นคือความหลากหลายในพื้นที่บ้านเรา เป็นที่ทราบ กันดีว่า คนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น มีภาษาที่เป็นเอกลักษณ์ ของตนในการสือ่ สาร คือ ภาษามลายูพนื้ เมือง ซึง่ ได้รบั มาจากภาษามลายูกลาง ของชาวมาเลเซีย ภาษามลายูพื้นเมืองบางค�ำอาจฟังดูคล้ายๆ กับภาษามลายู กลางได้แก่ และบางค�ำก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ค�ำที่มีลักษณะคล้ายกัน ค�ำว่า กิน ภาษามลายูกลางคือมากัน ภาษามลายูพื้นเมืองคือมาแก ส่วนค�ำที่ฟัง ดูต่างกัน เช่น ค�ำว่า ใคร ภาษามลายูกลางพูดว่า ซียาปอ ภาษามลายูพื้นเมือง คือปียอ และค� ำอื่นๆ อีกมากมายที่ทั้งฟังดูคล้ายๆกันและต่างกันออกไป อย่างไรก็ดีความแตกต่างในเรื่องของการใช้ภาษา ไม่ได้หมายความว่าเราแบ่ง แยกการสือ่ สารออกจากกัน เพราะเท่าทีเ่ ห็นตามร้านน�ำ้ ชาทีอ่ ยูร่ ะหว่างสองข้าง ทางนั้น เต็มไปด้วยการสนทนาที่ใช้ภาษาต่างกันออกไปตามแต่ละท้องถิ่น อย่างไรก็ดีแม้บางที่ บางถิ่น จะใช้ค�ำต่างกัน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเรา จะไม่พูดจากัน เราต่างเข้าใจกันมากกว่าจะมานั่งถกเถียงกันว่าค�ำไหนถูก ค�ำไหนผิด เพราะไม่ว่าจะมาแกหรือมากัน มลายูพื้นเมืองหรือมลายูกลางนั้น ต่างก็ใช้ค�ำว่ารักที่พูดเหมือนกันทุกที่ ทุกถิ่นว่า กาซิกัน นั่นเอง นอกจากภาษาทีใ่ ช้สอื่ สารแล้ว ณ พืน้ ทีต่ รงนีเ้ รายังมีเรือ่ งราวดีๆ ทีเ่ กีย่ ว กับความเชื่อที่ต่างกัน อันเป็นบ่อเกิดของความหลากหลายทั้งทางด้านศาสนา


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

69

วัฒนธรรม ประเพณี การแต่งกาย และพิธกี รรมต่างๆ สิง่ มีคา่ ทีว่ า่ นีล้ ว้ นแล้วแต่ เป็นสีสันที่แต่งแต้มพื้นที่แห่งความว่างเปล่า ให้กลายเป็นที่ที่เต็มไปด้วยความ สวยงามอันน่าภิรมย์ ซึง่ ความสวยงามทีว่ า่ นัน้ คือ การทีค่ นในพืน้ ทีบ่ า้ นเรามีการ นับถือศาสนาที่ต่างกัน มีพิธีกรรมที่ต่างกัน และมีวัฒนธรรม ประเพณีต่างกัน ประดุจไม้ต้นเดียวกัน แต่แตกฉานไปด้วยกิ่งก้านต่างๆที่มีส่วนประกอบเป็น ดอกไม้ต่างสี ต่างกลิ่น ต่างความหมาย เป็นที่น่าประทับใจและหลงใหลแก่ผู้คน เช่นเดียวกันกับความหลากหลายที่ได้กล่าวข้างต้น ไม่ว่าจะเป็น การเข้าวัด เพื่อท� ำการสวดมนต์ของชาวไทยพุทธ การเข้ามัสยิดเพื่อท� ำการละหมาด ของชาวมุ ส ลิ ม การมี วั น ส� ำ คั ญ ของแต่ ล ะศาสนา อาทิ วั น เข้ า พรรษา วั น ออกพรรษา วั น ตรุ ษ อี ดิ้ ล ฟิ ต รี วั น ตรุ ษ อี ดิ้ ล อั ฎ ฮา และวั น ส� ำ คั ญ อื่ น ๆ อีกมากมาย สานกับการมีพิธีกรรมที่ต่างกันออกไป เช่น ชาวไทยพุทธมีการ ตักบาตรในตอนเช้า มีการสวดมนต์ขอพร ท�ำบุญในเทศกาลต่างๆ ส่วนชาวไทย มุสลิม ก็มกี ารอาซาน เพือ่ เรียกผูค้ นเข้าท�ำพิธลี ะหมาดห้าเวลา มีการจ่ายซะกาต เมื่อครบรอบปี และอื่นๆ เป็นต้น ไม่เพียงเท่านั้นคนในพื้นที่นี้ยังมีการแต่งกายที่ต่างกัน มีความโดดเด่น เป็นเอกลักษณ์ของตน นั่นคือ ชาวมุสลิมหญิงมีการคลุมศีรษะหรือที่เรียกว่า การคลุมฮีญาบ การสวมหมวกหรือกะปีเยาะห์ของมุสลิมชาย การแต่งกาย ของชาวไทยพุทธที่มีการนุ่งผ้าไหมสีสันสวยงามในงานต่างๆ ที่เห็นได้ชัดเลย ก็คือ การแต่งกายของผู้น�ำละหมาด หรือที่เรียกว่าโต๊ะอีหม่าม มีการสวมใส่เสื้อ โต๊บสีต่างๆ ที่เห็นบ่อยนักมักจะเป็นสีขาวที่แสดงถึงความบริสุทธิ์ของการ เป็นผูน้ ำ� คนในการละหมาดทุกๆ ห้าเวลา คูก่ บั หมวกกะปีเยาะห์ หรือผ้าพาดหัว ที่เรียกว่าผ้าสาราบั่นนั่นเอง กับอีกหนึ่งความแตกต่างที่นุ่งผ้าจีวรสีส้มเหลือง ของพระ ดูแล้วเหมือนแสงเทียนที่ให้ความสว่างแก่ผู้พบกับความทุกข์ยาก


70

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ความมืดมนทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ และยังเปรียบเสมือนแสงแห่งปัญญา ที่ส่องให้มนุษย์รู้ถูก รู้ผิด และรู้จักความดี ความชั่วอีกด้วย แน่นอนเหลือเกินว่า ความหลากหลายอันงดงามเหล่านี้เปรียบเสมือนบทเรียนที่ยิ่งใหญ่อันเลอค่าที่ หามิได้ในห้องเรียน เพราะผมเชื่อมั่นว่า ไม่มีห้องเรียนไหนที่จะกล่าวถึงความ หลากหลายอันล�ำ้ ค่าได้มากมายเพียงนี้ คงไม่มตี ำ� ราเล่มไหนทีส่ ร้างสีสนั ตระการ ตาได้มากเท่าสีสนั ทีถ่ กู แต่งแต้มจากความหลากหลายในพืน้ ทีแ่ ห่งนี้ และคงไม่มี ผู ้ ส อนท่ า นไหนอธิ บ ายถึ ง ความแตกต่ า งที่ อ ยู ่ ภ ายใต้ ค วามหลากหลายได้ ครอบคลุมมากเท่าการเรียนรู้ด้วยตนเองจากพื้นที่แห่งความหลากหลายนี้ ส�ำหรับผมแล้วความหลากหลายที่กล่าวข้างต้นจะสวยงามได้นั้น ขึ้นอยู่กับคน ในชุมชนรู้จักเรียนรู้และเข้าใจถึงความแตกต่างนั้นได้อย่างลึกซึ้ง ช่างประเสริฐ นักที่เราเกิดมาท่ามกลางความไม่เหมือน ท่ามกลางความแตกต่างที่ไม่ใช่ความ แตกแยก เพราะความแตกต่างทีอ่ ยูใ่ นบ้านเรานัน้ คือความหลากหลายทีส่ วยงาม เป็นความหลากหลายที่หลายพื้นที่ไม่มี แต่เป็นเรื่องราวดีๆ ที่มีในบ้านเรา บนโลกกลมๆ ใบนี้มีค�ำสอนให้เรียนรู้อยู่มากมาย แต่เราไม่สามารถ ปฏิ เ สธได้ ว ่ า ศาสนาและความเชื่ อ ต่ า งๆ คื อ จุ ด เริ่ ม ต้ น ของหลายค�ำ สอน ที่ถูกหลอมรวมเป็นหนึ่ง ซึ่งได้ประจักษ์แก่มนุษย์แล้วที่ว่าทุกศาสนาสอนให้ทุก คนเป็นคนดี ค�ำสอนของทุกๆศาสนาสอนให้ปฏิบัติแต่สิ่งที่ดี ละเว้นสิ่งที่ไม่ พึงประสงค์ทงั้ ปวง และศาสนายังเป็นเครือ่ งยึดเหนีย่ วจิตใจของผูค้ น เพือ่ ให้รจู้ กั ยับยัง้ ชัง่ ใจต่อสิง่ อบายทัง้ หลาย อันเป็นคุณธรรมทีอ่ ยูใ่ นจิตส�ำนึกของศาสนิกชน ทุกคนที่พึงปฏิบัติเพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างเป็นปกติสุข ดังจะเห็นได้ ในชีวิตประจ�ำวันที่คนในพื้นที่ให้เกียรติแก่บุคคลต่างศาสนาซึ่งกันและกัน เพราะเราต่างเป็นส่วนเติมเต็มกัน แต่เราก็มชี อ่ งว่างแห่งการเคารพต่อกัน แม้เรา จะมีความเชื่อที่ไม่เหมือนกัน แต่ส�ำหรับคนที่นี่แล้วนั้น ศาสนาและความเชื่อ


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

71

ที่ต่างกัน ไม่ใช่อุปสรรคต่อการเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน เพราะตั้งแต่ผมเกิดมา ผมยังไม่เคยเห็นคนในหมู่บ้านทะเลาะกันในเรื่องของการนับถือศาสนา ไม่เคย เห็นภาพของความขัดแย้งเกี่ยวกับท่านศาสดาของคนสองศาสนา แต่กลับเห็น ภาพคนสองคน สองความศรัทธามีความรัก และความเข้าใจต่อกัน เพราะ ทุกคนเชื่อว่า ไม่ว่าจะเป็นพระ ผู้ซึ่งเป็นผู้น� ำในศาสนพิธีของพุทธศาสนา หรือจะเป็นโต๊ะอีหม่ามที่เป็นผู้น�ำในพิธีกรรมต่างๆ ของชาวมุสลิม หรือจะเป็น ใครก็ตามนั้น ทุกคน ทุกเพศ ทุกศาสนา เราสามารถรักและผูกพันกัน เพียง เพราะเราเข้าใจต่อกัน ประหนึ่งว่าเราเป็นพี่น้องกัน ผู้ซึ่งมีหัวใจเดียวกันนั่นเอง เรื่องราวดีๆ ไม่ได้มีเพียงแค่ความหลากหลายที่กล่าวข้างต้น ยังมีเรื่อง ราวที่เกี่ยวกับวิถีชีวิตของคนที่นี่อีกด้วย ทั้งในเรื่องของการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมบวกกับแนวคิดดีๆ ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เช่น ให้รู้จักขยัน อดทน เข้มแข็ง และให้ศึกษาหาความรู้ ดั่งวจนะของท่านศาสดามูฮัมหมัดของศาสนาอิสลาม ที่ได้กล่าวว่า “จงศึกษาเถิด แม้ความรู้นั้นจะอยู่ถึงเมืองจีน” ที่เป็นเช่นนี้เพราะ ให้ทกุ คนตระหนักถึงความรูอ้ นั เป็นสิง่ ส�ำคัญยิง่ ทีจ่ ะต้องไขว่คว้า เพราะนอกจาก จะท�ำตนให้เป็นคนอย่างสมบูรณ์แล้ว ยังสามารถเลีย้ งชีพของตนให้รอดได้ในวัน ข้างหน้าอีกด้วย เหตุนนี้ เี่ องทีท่ ำ� ให้สองข้างทางเต็มไปด้วยผูป้ กครองทีม่ าส่งเด็กๆ ที่บ้านโต๊ะครูหรือคุณครู บ้างก็ถือต�ำราเรียน บ้างก็ถืออัลกุรอาน เพื่อไปหา ความรู้ทั้งที่เป็นวิชาศาสนาและสามัญ ซึ่งพบได้ในช่วงเวลาเช้าๆ และพลบค�ำ่ ของทุกๆ วัน นอกจากการปลูกฝังสิ่งดีๆ แล้ว ณ พื้นที่ตรงนี้ยังมีของดีๆ ที่ก้องระบือไกล ซึ่งถูกรวมไว้ในหนึ่งค�ำสั้นหนึ่งค�ำขวัญที่ท่องดังก้องขึ้นใจ ชาวปัตตานี ทีว่ า่ “บูดสู ะอาด หาดทรายสวย รวยน�ำ้ ตก นกเขาดี ลูกหยีอร่อย หอยแครงสด” หากพิจารณาอย่างถ่องแท้แล้ว ค�ำขวัญข้างต้นนั้นสื่อถึงวิถีชีวิต การเป็นอยู่ของคนที่นี่ในเรื่องของการประกอบอาชีพและสภาพแวดล้อมของ


72

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

พื้นที่นี้ มีการท�าประมง การท�าเกษตร การเลี้ยงสัตว์ การท�าน�้าบูดูและลูกหยี แปรรูปส่งออกทัง้ ในและนอกประเทศและการท�าอาชีพอืน่ ๆ เป็นต้น อาชีพต่างๆ เหล่านีล้ ว้ นแล้วแต่มคี วามส�าคัญกับคนทีน่ ที่ งั้ สิน้ เพราะนอกจากจะสร้างรายได้ ให้แก่ชุมชน อย่างมากมายมหาศาลแล้ว ยังท�าให้ผู้ที่ว่างงานมีงานท�า ถือเป็น การหางานให้แก่ผู้ไร้โอกาสและยังสร้างรายได้ให้แก่ครอบครัวอีกด้วย ที่ส�าคัญ กว่านั้น การท�างานเป็นหมู่คณะของคนในชุมชน ท�าให้คนที่นี่รู้จักการให้ การแบ่งปันและรู้จักความสามัคคีต่อกันเพื่อให้งานนั้นส�าเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี อันเป็นสิ่งส�าคัญอย่างยิ่งในการท�ากิจการงานทั้งปวง นับว่าเป็นความโชคดี อย่างยิ่งที่บ้านเราเต็มไปด้วยสิ่งดีๆที่เราทุกคนควรรักษาและอนุรักษ์ไว้ เพื่อให้ ชนรุน่ หลังได้สานต่อเรือ่ งราวในวันวานให้ดา� เนินไปอย่างต่อเนือ่ ง จากอดีตจนถึง ปัจจุบัน สู่อนาคต และให้เรื่องราวที่น่าจดจ�าเหล่านี้ได้อยู่คู่แผ่นดินดีๆ ในพื้นที่ แห่งนี้ตลอดไป ภายใต้เปลือกตาที่มีน�้าหลั่งไหลรินกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน นี้ ลึกๆ แล้วก็ซ่อนรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจไว้มากมาย เพราะเรื่องราวในวัน วานที่ถูกเล่าขานในวันนี้ สร้างความประทับใจให้กับผมเป็นอย่างมาก ถือได้ ว่าการเกิดมาเป็น ส่วนหนึ่งของความหลากหลายบนแผ่นดินสยามผืนนี้ เป็น สิง่ ทีน่ า่ ภูมใิ จยิง่ นัก จ�าเป็นอย่างยิง่ ทีช่ นรุน่ หลังต้องสืบทอดและอนุรกั ษ์ไว้ ทัง้ ใน เรื่องของความหลากหลาย และเรื่องราวเกี่ยวกับวิถีชีวิต อันเป็นสิ่งที่จะบอกให้ แก่คนทั่วโลกทราบว่า นี่แหละคือบ้านเรา


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

73

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา เด็กชายรวีวัฒน์ ส�ำเภานิล รางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๑ ระดับมัธยมศึกษา

“กลับไปป่ายปีนเขา สู่อ้อมกอดมารดา กลับไปนอนตากน�้ำค้างกลางภูป่า ดอกไม้ป่าโชยประทิ่นกลิ่นบางเบา

สุขแม้เหงาที่ราวป่า สู่ศรัทธาแห่งล�ำเนา ยังสุขกว่าตากไอแอร์แลพิษเน่า สุขกว่าเมามลพิษทอนจิตโทรม”

ผมอ่านพบบทกลอนที่พ่อแต่งเอาไว้เมื่อหลายปีมาแล้ว พ่อใช้ดินสอด�ำ (ดินสอด้ามแบนๆ มนๆ สีแดงที่ใช้กับงานก่อสร้างของช่าง) ขีดเขียนตัวหวัดๆ ลงบนเศษไม้กระดานอัดที่พ่อตัดทิ้งไว้ และกองรวมกับเศษไม้อื่นๆ ในห้องเก็บ สัมภาระรอคัดแยกส่วนที่ใช้ประโยชน์ต่อไม่ได้แล้วเพื่อส่งท�ำการฌาปนกิจ... จากบทกลอนข้างต้นท�ำให้ผมนึกมโนภาพค�ำนึงย้อนกลับไปถึงวันวัยที่ผ่านเลย มาเกือบๆ จะ ๑๔ ปีของผม ตอนเด็กๆ ผมมักจะซุกตัวอยู่กับตักอุ่นๆ ในอ้อมกอดของคุณย่าเพื่อ ฟังนิทานสนุกๆ และเรื่องราวที่ย้อนกลับไปในวัยสาวจนถึงวัยเด็กของคุณย่า ปู่กับย่าเป็นคนภาคกลาง ด้วยฐานะที่ยากล�ำบากในยุคข้าวยากหมาก แพง จึงพากันระเห็จลงมาทางใต้ จนได้ลงหลักปักฐานอยู่ที่ยะลา...ปู่เล็งเห็น เสมือนมีญาณทิพย์ว่า ...“อยู่ที่นี่ไม่อดตายแน่นอน” ปู่กับย่าหัดกรีดยางอยู่ไม่


74

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

นานก็สามารถท�ำได้อย่างแคล่วคล่อง จนเจ้าของสวนยางพึงพอใจและไว้วางใจ หากวันไหนฝนตกตัดยางไม่ได้ ปูก่ บั ย่าก็จะเข้าสวนยางปลูกผักนานาชนิดไว้เก็บ กินโดยไม่ต้องซื้อหา ทุ่นรายจ่ายลงไปได้อีกโข ที่ส�ำคัญก็คือไม่มีสารพิษตกค้าง ในพืชผักทีป่ กู่ บั ย่าปลูก “ดินทีน่ ปี่ ลูกอะไรก็ขนึ้ งามทัง้ นัน้ ” ปูก่ ล่าวกับย่าผ่านมา ถึงพ่อและผมด้วย ปูก่ บั ย่าเก็บหอมรอมริบสร้างฐานะมาเรือ่ ยๆ จนได้ซอื้ หาทีท่ าง บ้านช่องอาศัยเป็นของตนเอง ซึ่งแต่ก่อนนั้นครอบครัวของปู่อาศัยอยู่กงสี หมายถึงที่พักของคนกรีดยาง ที่เถ้าแก่สร้างหยาบๆ ไว้ให้ลูกกุลีอยู่อาศัย ส่วนพ่อกับแม่ของผมรับราชการครูทั้งคู่ วันหยุดช่วงปิดเทอมของผม และเป็ น วั น ที่ พ ่ อ ว่ า งเว้ น จากงานราชการ พ่ อ ก็ จ ะพาผมตระเวนไปเที่ ย ว ตามสถานที่ต่างๆ ที่ไม่ไกลบ้านนัก ครั้งหนึ่งพ่อพาผมไปไหว้พระนอนที่วัดถ�้ำ (วัดคูหาภิมุข) พระนอนเป็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์ขนาดใหญ่ปั้นด้วยดิน เหนียวโดยใช้ไม้ไผ่เป็นโครง สร้างขึ้นสมัยศรีวิชัยรุ่งเรืองราว พ.ศ. ๑๓๐๐ หรือ สมัยเดียวกับพระบรมธาตุเมืองนคร มีขนาดความยาว ๘๑ ฟุต ๑ นิว้ ประดิษฐาน ภายในถ�ำ้ คูหาภิมขุ เดิมชือ่ วัดหน้าถ�ำ้ กรมศิลปากรขึน้ ทะเบียนเป็นโบราณสถาน วัดคูหาภิมุข มีพระพุทธรูป สมัยศรีวิชัย สมัยสุโขทัย สมัยอู่ทอง ใกล้ๆ กับวัดมี ภูเขาก�ำปั่นเป็นภูเขาหินอ่อนสีชมพู สวยงามมาก ปัจจุบันรัฐบาลได้ให้สัมปทาน แก่บริษัทเอกชนท�ำหินอ่อนจ�ำหน่าย หินอ่อนสีชมพูจากยะลามีความสวยงาม และมีชื่อเสียงระดับประเทศ คราวต่อมาพ่อพาผมไปเที่ยวชมความงามของเขื่อนบางลาง ซึ่งเป็น โครงการพัฒนาแหล่งน�้ ำแห่งแรกของภาคใต้ และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่ง ประเทศไทย (กฟผ.) เป็นผู้รับผิดชอบ เขื่อนบางลางได้อ�ำนวยประโยชน์ ให้เกิด ความอุดมสมบูรณ์แก่แหล่งน�้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค และผลิตกระแสไฟฟ้า ให้ความสว่างไสวไปทัว่ ทัง้ ภูมภิ าค เขือ่ นบางลาง กักกัน้ แม่นำ�้ ปัตตานีไว้ทบี่ ริเวณ บ้านบางลาง ต�ำบลเขื่อนบางลาง อ�ำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา ห่างจาก


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

75

ตัวอ�ำเภอเมือง ๕๘ กิโลเมตร ตัวเขื่อนเป็นเขื่อนหินถมแกนดินเหนียว มีความ สูง ๘๕ เมตร สันเขื่อนยาว ๔๓๐ เมตร กว้าง ๑๐ เมตร ตัวอ่างเก็บน�้ำมีความจุ ๑,๔๒๐ ล้านลูกบาศก์เมตร พื้นที่รับน�้ำเหนือเขื่อน ๒,๐๘๐ ตารางกิโลเมตร เหนือสันเขือ่ นขึน้ ไปจะมีศาลาชมวิวให้ผไู้ ปเทีย่ วได้ยลความงามของธรรมชาติที่ ประกอบด้วยขุนเขาสลับซับซ้อนเป็นภาพทีส่ วยงามประดุจภาพวาดของจิตรกร พ่อยังพาผมโดยสารไปกับขบวนรถไฟ เพื่อเดินทางสู่เมืองหาดใหญ่ ไปชื่นชมความศิวิไลซ์ของเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของภาคใต้ เมือง ศูนย์กลางด้านการค้าและธุรกิจของภาคใต้ ซึง่ มีความเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และเป็นประตูผา่ นไปยังประเทศเพือ่ นบ้าน คือ มาเลเซีย และสิงคโปร์ เนือ่ งจาก อยู่ห่างจากด่านสะเดาเพียง ๖๐ กิโลเมตร ปัจจัยที่ท�ำให้มีความเจริญก้าวหน้า เป็นอย่างมากก็คือ การเป็นศูนย์กลางทางด้านต่างๆ ธุรกิจการค้า การขนส่ง การสื่อสาร การคมนาคม การศึกษา และการท่องเที่ยว ...ตัวเมืองหาดใหญ่เป็น เมืองที่ค่อนข้างจะทันสมัย ประกอบด้วยอาคารบ้านเรือน ร้านค้าพาณิชย์ต่างๆ มากมาย สามารถเดินชมสินค้าต่างๆ อย่างเพลิดเพลินโดยตั้งต้นจากจุดหนึ่งใน ย่านกลางใจเมือง เช่น ถนนนิพัทธ์อุทิศ ๑, ๒ หรือ ๓ แล้วท่านจะพบสินค้า แปลกๆ ใหม่ๆ ทีน่ า่ สนใจเป็นอย่างยิง่ ศูนย์การค้ามีหลายแห่ง อาทิ ศูนย์การค้า ลิโด ศูนย์การค้าโอเดียน ถนนเสน่หานุสรณ์ ศูนย์การค้าหาดใหญ่พลาซ่า และตลาดชีกิมหยง ถนนเพชรเกษม ซึ่งสามารถเดินไปได้อย่างสะดวก และ ตั้งอยู่ไม่ไกลกันนัก อีกครัง้ หนึง่ พ่อพาผมไปดูการแข่งขันนกเขาชวาเสียงอาเซียนทีต่ วั เมือง ยะลา บริเวณสวนขวัญเมืองยะลา ซึ่งเป็นการแข่งขันนกเขาชวารายการยิ่งใหญ่ ที่สุดของประเทศ และเกิดขึ้นที่นี่ทุกปีในช่วงต้นเดือนมีนาคม เป็นการประชัน เสียงนกเขาเสียงดีจากทั่วประเทศ รวมถึงประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซียและบรูไน นกเขาชนิดนี้เป็นนกเขาที่มีขนาดเล็ก จะมีเสียง


76

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ขันไพเราะเป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วไป นอกจากนี้ยังเชื่อถือกันว่า นกเขาชวา เป็นนกที่น�ำโชคลาภมาให้แก่ผู้เลี้ยงอีกด้วย อีกสนามแข่งนกที่มีความนิยมคึกคักไม่แพ้กัน หรืออาจจะทะลุขีด ความนิยมแซงหน้าการแข่งขันนกเขาชวาไปแล้วก็ไม่แน่ เนือ่ งเพราะผูค้ นทุกกลุม่ อาชีพและฐานะ ต่างพากันเลี้ยงเป็นงานอดิเรกกันทุกครัวเรือนไปแล้ว นั่นคือ การแข่งขันนกกรงหัวจุก หรือชื่อทางการว่านกปรอดหัวโขนเคราแดง จนกลาย เป็นที่มาของต�ำนานกล้วยหินบันนังสตาและธารโต พ่อเคยเล่าให้ฟงั ว่า แต่กอ่ นกล้วยหินไม่มคี า่ อะไร คนไม่นยิ มรับประทาน กัน ทั้งไม่นิยมปลูกเพราะราคาถูกมาก เนื้อของกล้วยหินจะแข็ง ไม่นุ่มเหมือน กล้วยไข่ กล้วยหอมหรือกล้วยน�ำ้ ว้า หากจะรับประทาน ต้องน�ำไปต้มให้สกุ ก่อน และด้ ว ยความบั ง เอิ ญ หรื อ ความลงตั ว ของธรรมชาติ ที่ จ ะรั ก ษาพั น ธ์ุ ข อง กล้วยหินเอาไว้ให้อยู่คู่บันนังสตาและธารโต จึงได้ค้นพบว่า กล้วยหินต้มจาก สามแยกบ้านเนียง บนถนนสายเก่าที่ใช้ขนส่งผู้คนสิ่งของเดินทางจากยะลาสู่ จั ง หวั ด ทางส่ ว นบนของแผนที่ ป ระเทศ เช่ น ปั ต ตานี สงขลา พั ท ลุ ง นครศรีธรรมราช จนกระทั่งกรุงเทพมหานคร ซึ่งต้องสัญจรผ่านถนนสายนี้ กล้วยหินจึงเป็นจุดขายและจุดเด่นของสามแยกบ้านเนียงในเวลาต่อมา กระทั่ง ยกตัวขึ้นเป็นหนึ่งในของดีเมืองยะลา ผู้คนสัญจรผ่านไปมาจะต้องแวะซื้อ แวะชิม หรือซื้อกลับไปเป็นของขวัญของฝาก จนเป็นที่ร�่ำลือ ...อนึ่ง กล้วยหิน ไม่สามารถน�ำไปปลูกในท้องถิ่นอื่นให้ได้ผลเหมือนที่บันนังสตาและธารโตได้ ถึงปลูกได้ ก็จะให้ผลเหมือนผลผลิตจากแหล่งก�ำเนิดนั้นไม่ได้ เนื้อผลจะลีบ เล็กลง ผลจะดูเหี่ยวไม่เต่งตึงและเปลือกกล้วยก็มักจะติดกับเนื้อกล้วย ล่วงเวลาต่อมา ความพิเศษของกล้วยหินดูจะเพิ่มขยายมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีผู้คนน�ำกล้วยหินไปทอดท�ำเป็นกล้วยแขกขาย ได้รสชาติดีกว่ากล้วยอื่นๆ มีการน�ำไปแปรรูปท�ำเป็นกล้วยหินฉาบ ก็ยังมีรสชาติอร่อยน่ารับประทานกว่า


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

77

กล้วยน�้ำว้าฉาบ สีเหลืองสวยอมชมพูของกล้วยหินฉาบก็ดูดีน่ารับประทานกว่า กล้วยน�้ำว้าฉาบที่มีสีออกคล�้ำๆ ด่างๆ ท�ำเอากล้วยน�้ำว้าฉาบจากพัทลุงที่เคย ลือชื่อมาก่อนต้องซบเซาลงทันตา ความนิยมกล้วยหินบันนังสตาและธารโต ยังไม่หยุดอยู่แค่นี้ เมื่อกลุ่ม ผู้เลี้ยงนกกรงหัวจุก น�ำกล้วยหินไปใช้เลี้ยงนก จนกลายเป็นอาหารหลักของ นกกรงหัวจุกไปแล้ว ออร์เดอร์จากการสั่งซื้อกล้วยหินบันนังสตาและธารโต ก็พุ่งพรวดพราด เรียกว่าผลิตกันไม่ทันผู้บริโภค ราคาของกล้วยหินจากวันวาน ที่ไร้ค่า ก็ถีบตัวขึ้นแซงหน้าราคาของกล้วยชนิดอื่นในท้องตลาดไปแล้ว ...“อยู่ที่นี่ไม่อดตายแน่นอน” ค�ำพูดของปูเ่ มือ่ วันแรกทีก่ า้ วเท้าลงจากขบวนรถไฟ ณ สถานีรถไฟยะลา กับลังแฟ้บบรรจุสัมภาระเพียงคนละใบกับย่า (ลังแฟ้บคือลังบรรจุผงซักฟอก สมัยก่อนแฟ้บเป็นผงซักฟอกยีห่ อ้ แรกๆ จึงเรียกแฟ้บแทนผงซักฟอกกันติดปาก เหมือนเรียกบะหมี่ส�ำเร็จรูปว่ามาม่า เรียกแชมพูสระผมว่าแฟซ่าท�ำนองนั้น) ปูค่ งมองเห็นความอุดมสมบูรณ์ของผืนแผ่นดินทีเ่ ขียวขจีไปด้วยผลหมากรากไม้ อยู่ทั่วทุกหัวระแหง คงแตกต่างจากบ้านเกิดของปู่มาก ปู่จึงมั่นใจเช่นนั้น จริงๆ ด้วย มิใช่แต่กล้วยหินที่กล่าวถึงเท่านั้น ที่เจริญงอกงามบนผืนดินนี้ เงาะโรงเรียน ทุเรียนหมอนทอง ชะนี ก้านยาว ก็ให้ผลผลิตดีกว่าที่ไดๆ ผมยัง เสียดายที่พ่อเคยเล่าว่า ผลไม้ป่าอีกมากมายที่ขึ้นตามธรรมชาติกลางป่าเขา ต้องสูญพันธ์ุลงเนื่องเพราะเจ้าของพื้นที่มีความจ�ำเป็นจะต้องหักล้างถางพง ให้หมดสิ้นเพื่อลงพืชเศรษฐกิจที่สำ� คัญๆ และได้ราคาที่คุ้มค่า อาทิ ยางพารา เป็นหลัก ตามมาด้วยผลไม้ที่ราคาดี เช่น ทุเรียน ลองกอง เงาะโรงเรียน แล้วก็ ปลูกแซมด้วยกล้วยหินให้เกิดความชื้นเย็น ผมเคยข้ามฟากชายแดนไปยังประเทศมาเลเซียกับพ่อ ด้านที่ชายแดน ติดต่อกับอ�ำเภอเบตง ทางฝั่งมาเลเซีย มีชาวบ้านแถบนั้นได้น�ำผลไม้ป่าที่พ่อ


78

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

เคยเล่าถึง มาวางขายในตลาด ณ จุดพักรถบนมอเตอร์เวย์ ผลไม้ที่กล่าวถึง ที่บ้านเราไม่เคยมีค่า และไม่ค่อยมีใครนิยมรับประทานกัน เช่น ลูกลังแข ละไม มะไฟ ลูกหยี เนียงนก เงาะป่า ฯลฯ ผ่านมาถึงทุกวันนี้จึงกลายเป็นผลไม้หายาก กลับมีราคาแพงขึ้น ...ผลไม้ป่าไม่ต้องปลูก ไม่ต้องรดน�้ำใส่ปุ๋ย ไม่มีต้นทุน การผลิต กลับสร้างรายได้เป็นกอบเป็นก�ำแก่ชาวมาเลเซียไปอย่างน่าเสียดาย ผมเป็นพุทธศาสนิกชน ที่เกิดและเติบโตอยู่ท่ามกลางสังคมมุสลิม มี เ พื่ อ นๆ เป็ น มุ ส ลิ ม กิ น นอนเที่ ย วเล่ น และเรี ย นร่ ว มชั้ น กั น มาตั้ ง แต่ เ ด็ ก ผมได้ซมึ ซับประเพณีและวัฒนธรรมของพวกเขามาตลอด เขาถูกจัดระเบียบด้วย ความศรัทธาต่อพระเจ้าอย่างเคร่งครัด ในทุกๆ วันจะต้องท�ำละหมาดวันละ ๕ เวลา ในทุกๆ ปีพวกเขาจะต้องถือบวชโดยการถือศีลอดราว ๓๐ วัน ในเดือน รอมฎอน เมื่อสิ้นสุดรอมฎอน ก็จะมีการเฉลิมฉลอง กินเที่ยวออกเยี่ยมเยียน ญาติพี่น้อง สวมใส่เสื้อผ้าใหม่ๆ อวดโฉมกันในวันฮารีรายอ ส�ำหรับผมก็แทบ จะกลมกลืนไปกับประเพณีวัฒนธรรมของมุสลิม ประเพณี วั ฒ นธรรมของเขายั ง มิ ห มดเพี ย งนี้ ...ยั ง มี ป ระเพณี ก าร กวนอาซูรออ์ ซึ่งเป็นการน�ำเอาอาหารหลากหลายชนิดที่มีอยู่หรือเก็บสะสมไว้ มาใส่ลงในกระทะใบใหญ่รวมกัน เติมน�้ำลงค่อนกระทะ แล้วช่วยกันกวนจนเละ เป็นเนื้อเดียวกัน กวนไปพอหมาดๆ แล้วตักใส่ถาดผึ่งลมพอแห้ง ก็แบ่งกันรับ ประทาน อาชูรออ์ แปลว่า วันที่ ๑๐ เป็นวันไว้อาลัยโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้น ต่ออิมามฮุเซนบิน อะลีย์ บินอะบีฏอลิบ เนือ่ งจากถูกสังหารในสงคราม อัฏฏ็อฟ ในอิรัก เมื่อวันที่ ๑๐ มุฮัรรอม ฮ.ศ. ๖๑ ซึ่งตรงกับวันที่ ๑๐ ตุลาคม ค.ศ. ๖๘๐ มุสลิมในประเทศไทย มีการท�ำอาหารชนิดหนึ่งเรียกว่า บูโบร์อาชูรอ เป็นค�ำ ในภาษา มลายูปาตานี–กลันตัน ผมเคยร่วมรับประทาน และติดใจรสชาติ ออกมันๆ กลมกล่อมของอาหารประเภทนี้ไม่แพ้ ข้าวย�ำน�้ำบูดู แกงมัสมั่น นาซิดาแฆ ข้าวหมก แม้กระทั่ง ละซอ ละแซ ...ยังมีอีกวันส�ำคัญหนึ่งเรียกกันว่า


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

79

วันเมาลิด ซึ่งหมายถึง สถานที่เกิดของท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ.ล.) เกิดในวันที่ ๑๒ เดือนรอบีอุลเอาวัล มุสลิมในบางสังคมได้แสดงออกถึงความรัก การให้เกียรติ ยกย่อง ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ.ล.) โดยจัดงานคล้ายวันเกิดของท่านขึ้น ……………………………… ล่วงมาเกือบหมดวัน...คุณตะวันย้ายตัวเองไปแอบซ่อนอยู่หลังแนว ของต้นยางพาราและกอไผ่ตง หลุดลอดมาเพียงล�าแสงสีส้ม เสียดพาดเป็นล�า ยาวมาทางทีผ่ มนัง่ อยู่ ภาพทีส่ วยงามตรงหน้าท�าให้ผมหยุดคิดค�านึงถึงเรือ่ งราว แต่หนหลัง และเรื่องเล่าในอดีตของพ่อ แสงสีส้มอ่อนๆ อาบชีวิตทุกชีวิตไว้ ในอ้อมกอดธรรมชาติ ...พลางตระหนักได้ว่ายังไม่มีอะไรตกถึงท้อง ...แต่ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอกครับคุณ...เพราะผมจ�าค�าของปู่เสมอ... ...“อยู่ที่นี่ไม่อดตายแน่นอน”


80

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา นายอัษฎาวุธ ไชยวรรณ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๒ ระดับมัธยมศึกษา

ภาพทิวทัศน์สวยงามตระการตา ยามเช้าหมอกขาวปกคลุมทั่วทิศา อากาศเย็นสบาย อยู่ท่ามกลางอ้อมกอดแห่งขุนเขา แสงอาทิตย์อ่อนๆ สาดส่อง ลงมาตรงกิ่งก้านใบของต้นยาง สะท้อนสู่หมอกขาวสลัว สลับแสงสีทองปนขาว เหมือนไฟฉายส่องยามราตรีที่มืดมิด ต้นยางยืนต้นเรียงรายขนาบข้างสองถนน เสมือนก�ำลังรอผู้มาเยือนหมู่บ้านบนเขาแห่งนี้ ซึ่งตั้งอยู่ในหมู่ที่ ๔ หมู่ที่ ๑๐ ต�ำบลน�้ำน้อย อ�ำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ความอุดมสมบูรณ์พูนสุขบนผืน ดินนี้เต็มไปด้วยพืชพันธ์ุธัญญาหาร หว่านพืชเมล็ดพันธ์ุใดลงดินก็ย่อมเจริญ งอกงามตามใจหวัง เพราะมีแม่น�้ำล�ำคลองไหลผ่านรอบนอกหมู่บ้านมิเคยขาด สาย ดัง่ ค�ำกล่าวขานนานมาถึงชือ่ เสียงเลือ่ งลือว่า “น�้ำน้อยน่าอยู่ ภูเขากัน้ กลาง ขนาบข้ า งสองถนน ผู ้ ค นมี ศั ก ดิ์ ศ รี มากมี วั ฒ นธรรม” และขนานนามว่ า “คนน�้ำน้อย มากน�้ำใจ” ระยะเวลาผ่านมาราว ๓-๔ ปีกอ่ น ผมตืน่ นอนตอนเช้า ออกมาสูดอากาศ บริสทุ ธิแ์ สนสดชืน่ นอกบ้าน เห็นปูก่ �ำลังเข้าไปในคอกวัว ประหนึง่ ว่าถึงเวลาแล้ว ที่พวกเราจะต้องท�ำหน้าที่ของตนเอง แววตาแห่งความผูกพันที่มองกันอย่าง ซาบซึ้งระหว่างปู่กับเพื่อนคู่ทุกข์คู่ยากทั้งสามตัว แต่ละตัวล้วนผ่านการท�ำงาน หนักเพื่อสังคมมาแล้วทั้งนั้น ตัวแรกสีขาว ตัวโตก�ำย�ำ เขาแหลมชื่อหน้าขาว อีกตัวหนึ่งสีน�้ำตาลอมแดง ลักษณะเด่นของมันจะด�ำเฉพาะหน้าและขาทั้งสี่ชื่อ


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

81

หน้าด�ำ ตัวสุดท้ายชือ่ หางดอก หางของมันจะสวยโดดเด่นกว่าตัวอืน่ แต่มนั อายุ มากแล้วเดินไม่ค่อยไหว ทั้งสามตัวดีใจที่จะได้ออกจากคอกที่กักขังพวกมัน ทั้งคืน เพราะจะได้สัมผัสกลิ่นหญ้าหอมๆ อีกครั้ง ก่อนพระอาทิตย์จะลาลับโลก ก็จะต้องจ�ำใจมาถูกจองจ�ำเช่นเดิม ก้าวแรกเมื่อย�่ำรุ่งที่พวกมันรู้สึกถึงก็คือ อิสรภาพในโลกกว้าง ปูเ่ ขาเดินจูงแม่ววั สาวสองตัวล่วงหน้าไปก่อน มือของปูถ่ อื เชือกพร้อมไม้เรียว ผิดกับผมซึ่งไม่ถืออะไรสักอย่างเดินตามหลังหางดอกอย่าง ช้าๆ แค่นคี้ วามสุขก็บงั เกิดโดยไม่ตอ้ งบังคับขูเ่ ข็ญแต่อย่างไร จุดหมายปลายทาง ข้างหน้า คือ ลานหญ้ากลางทุ่งนาบนโลกกว้าง ตามรายทางที่เดินผ่านมาเกือบๆ ครึ่งทางผมมองเห็นสิ่งหนึ่งซึ่งก�ำลัง สัน่ ไหวอยูบ่ นต้นไม้ ทันใดเสียงปูก่ ด็ งั ขึน้ ด้วยค�ำกล่าวทักทาย คุณลุงทีอ่ ยูข่ า้ งบน ส่งรอยยิ้มแทนค�ำตอบ ใต้ต้นตาลโตนดมีเพียงไม้ไผ่ท่อนหนึ่งพาดติดกับล�ำต้น เขาขึ้ น ไปได้อย่างไรผมแสนสงสัย อีกต้นหนึ่งก็มีลักษณะเช่นนี้เหมือนกัน คุณลุงที่อยู่บนต้นตาลก็ลงมาส่งยิ้มให้ผมอีกครา ผมสังเกตเห็นว่าเขาสวมเพียง กางเกง เสือ้ ไม่ได้ใส่ แต่ผกู ผ้าขาวม้าไว้ทเี่ อวแล้วเหน็บมีดปาดตาล และพยายาม ไต่ขึ้นไปอีกครั้งโดยใช้ความสามารถเฉพาะตัว ผมมองคุณลุงปีนป่ายไปจนถึง ยอดตาล และนึกในใจว่า คนเราบางครัง้ หากไม่กล้าเสีย่ งหรือลงมือท�ำก็ไม่มที าง จะประสบความส�ำเร็จมือสองข้างของคุณลุงประคองมีดแล้วค่อยๆ ปาดงวง ตาล(ช่อดอก)อย่างช้าๆ รอการไหลลงสู่กระบอกไม้ไผ่ที่ผูกติดไว้เป็นภาชนะ รองรับโดยมีเศษไม้เคี่ยมชิ้นบางๆ วางไว้ก้นกระบอกเพื่อช่วยให้น�้ำหวานไม่มี รสเปรี้ยว น�้ำหวานที่ได้สามารถแปรรูปเพิ่มมูลค่าได้โดยการเคี่ยวให้เป็นน�ำ้ ผึ้ง เรียกว่า น�้ำตาลเหลว นอกจากน�้ำหวานที่หอมอบอวลนี้แล้ว ต้นตาลโตนด สามารถน�ำไปใช้ประโยชน์ได้ทกุ ส่วนอาจจะมีคา่ กว่ามนุษย์บางคนทีไ่ ม่เคยสร้าง คุณประโยชน์อันใดแก่สังคม แต่กลับสร้างความเดือดร้อนแก่ชาวบ้านมิเว้น แต่ละวันในห้าชายแดนใต้ ต้นตาลสูงใหญ่สามารถน�ำล�ำต้นไปท�ำหลังคาบ้าน หรือไม้แปรรูปเฟอร์นเิ จอร์ประดับตกแต่งบ้านได้อย่างสวยงามอีกด้วย และใบตาล


82

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ก็สามารถท�ำหลังคามุมจากหรือหมวกสานใยตาลได้ตามภูมิปัญญาท้องถิ่น คุณลุงไต่ลงมาจากต้นในมือถือกระบอกไม้ไผ่พร้อมน�้ำหวาน ใบหน้ายิ้มแย้ม เพราะว่าค�่ำคืนนี้อาจจะมีงานเลี้ยงสังสรรค์ร่วมดื่มกินน�้ำตาลเมากับผองเพื่อน ที่ขน�ำน้อยข้างคอกวัวบ้านคุณลุง พวกเขาก่อไฟไล่ยุงข้างกายกระบวยใช้ตัก น�้ำตาลเมาเพื่อดื่มกิน จากคนแรกสู่คนต่อไปเรื่อยๆ จนถึงคนสุดท้ายแล้ว กลับมาทีเ่ ดิม เรียกว่า เวียนรอบวง เสมือนการยืน่ มิตรไมตรีของคนในชนบทบ้าน เรา คุณลุงเขาคงจะนึกอะไรสักอย่างถึงได้ยมิ้ น้อยยิม้ ใหญ่ แล้วเดินทางกลับบ้าน ด้วยกระบอกน�้ำตาลคล้องเต็มบ่า การเดินทางของปู่และผมสิ้นสุดลงตรงจุดหมายปลายทางที่วางไว้ สัมผัสแรกของหางดอกมันค่อยๆ ย�่ำเดินลงนาแล้วเอนกายนอนคลุกลงกับหญ้า อ่อนๆ เวลานีม้ นั ช่างมีความสุขมากเหลือเกินยามแสงแดดส่อง กวาดสายตามอง ทัว่ ท้องนากว้างอันเขียวชอุม่ อย่างสุขใจยิง่ นัก ปูน่ งั่ ลงแล้วเล่าให้ผมฟังว่า ในอดีต ทีน่ ี่ เคยเป็นป่ารกเริม่ แรกลงมือถางหญ้าริมทางก่อน แล้วจึงไถดะ เป็นการไถนา เบื้องต้น เพื่อให้ดินร่วนลงบ้างจากเนื้อดินที่แข็ง หลังจากนั้นไถตามรอยเดิมอีก ๒ ครั้งเรียกว่า ไถแปร เพื่อให้ดินละเอียดมากยิ่งขึ้น พอเสร็จก็เอาคราดมาเกลี่ย ดินจนเสมอกัน เมล็ดข้าวที่แช่น�้ำค้างไว้ ๒ คืนก็เริ่มแตกรากออกมา แล้วน�ำไป หว่านในแปลง เฝ้าฟูมฟักรักษา ๒ เดือนจึงเป็นต้นกล้า เก็บกล้าขึ้นมาเต็มก�ำมือ เป็นมัดๆ ลงมือไถดะอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ต้องมีน�้ำขังเรียกว่า ไถด�ำ พอด�ำนาเสร็จ เอามูลค้างคาวมาหว่านในแปลงเพื่อบ�ำรุงต้น ๒-๓ เดือน ข้าวจะตั้งท้อง เป็นรวงข้าวสีทอง ฤดูเก็บเกี่ยวก็มาถึง มือถือเคียวเกี่ยวข้าวอย่างขยันขันแข็ง โดยไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคเบื้องหน้า ช่วงเวลาว่างหลังจากเสร็จงาน ปูก่ จ็ ะออกเรือประมงหาปลาอีกทางหนึง่ เพื่อจุนเจือครอบครัว เรือที่ใช้สัญจรไปมาเป็นเรือขุดท�ำมาจากไม้ญางทั้งต้นแต่ ไม่ใช่ยางพารา ล� ำต้นจะสูงใหญ่กว่าขุดด้วยขวานไต มีไม้ไผ่ยาวไว้ถ่อเรือ เครื่องมือหาปลาเลี้ยงชีพเมื่อครั้งก่อนนั้นมียอ เป็นสี่เหลี่ยมผูกก้านนิ้ว ๔ ท่อน


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

83

ไว้ดักปลาในน�้ำลึก อีกชนิดเป็นไซ ท�ำด้วยไม้ไผ่กลมๆ ไว้ดักปลาตอนน�้ำเชี่ยว อีกอย่างที่คล้ายกันคือ จมรันท�ำด้วยกระบอกไม้ไผ่ยาวเมตร ๕๐ ซม.ไว้ดัก ปลาไหลโดยเฉพาะ มีเหยื่อปูล่อไว้ข้างในกระบอกไม้ไผ่ สิ่งสุดท้ายก็คือ สุ่มปลา ท�ำด้วยไม้ไผ่เหลาเป็นซีกเป็นซี่แล้วค่อยๆ สานให้กลม จนเหลือช่องขนาดเล็ก พอที่จะล้วงมือลงไปจับปลาได้ เรือบางล�ำจอดเทียบท่า บ้างก็ล่องเรือไปมาหาสู่กับคนบางโหนดเป็น ประจ�ำเพื่อสานสัมพันธ์ไมตรีโดยผ่านคลองขุด คลองใหญ่และคลองใต้ ทั้งสาม คลองล้วนเชื่อมลงสู่ทะเลสาบสงขลาทั้งสิ้นซึ่งเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดใน ประเทศไทย ติดต่อกับจังหวัดสงขลา พัทลุง และนครศรีธรรมราช ประกอบด้วย แหล่งน�้ำ ๓ ส่วน คือ แหล่งน�้ำจืด น�้ำเค็ม น�้ำกร่อย จึงได้ชื่อว่าเมืองสามน�้ำ เกาะยอเป็นเกาะเล็กๆ ในทะเลสาบสงขลาล้อมรอบด้วยพรรณไม้ นานาชนิด เสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของเกาะยอ คือ ผ้าทอเกาะยอ ที่โดดเด่นด้าน ลวดลายแปลกตา สะพานติณสูลานนท์เป็นสะพานทีย่ าวทีส่ ดุ ในประเทศไทยซึง่ ยาวถึง ๒.๖ กม.เป็นการเปิดการจราจรติดต่อกันระหว่างบ้านน�ำ้ กระจายผ่าน มายังเกาะยอเชือ่ มต่อไปยังเขาน้อยอีกฝัง่ หนึง่ ของแผ่นดินได้อย่างสะดวกสบาย รวดเร็ว นอกจากนีย้ งั เป็นการเพิม่ ความสวยงามให้กบั ทัศนียภาพของทะเลสาบ สงขลาอีกด้วย หาดสมิหลา เป็นหาดทรายที่อยู่ท่ามกลางร่มเงาของทิวสน เกาะหนู เกาะแมวมองเห็นอยู่เบื้องหลังมิห่างไกล รูปปั้นนางเงือกส่งยิ้มทักทายแก่ผู้มา เยือนทุกครา พอปู่เล่าเรื่องราวในอดีตจบก็จูงมือหลานน้อยกลับบ้าน พอช่วงสายๆ ผมก็เริ่มท�ำงานหารายได้เสริมจากฝูงวัวที่ปู่เลี้ยงไว้โดย การตักมูลวัวใส่กระสอบเป็นปุ๋ยคอกราคากระสอบละ ๒๐ บาท เงินทุกบาท ที่หาได้ด้วยตนเองท�ำให้เรารู้สึกภาคภูมิใจ ลานกว้างหน้าบ้านเป็นแปลงผักสวน ครัวปลอดสารพิษของย่าที่ปลูกไว้กินกันในครอบครัว โดยยึดหลักเศรษฐกิจพอ เพียงตาม ค�ำสอนของพ่อหลวง ภาระงานเสร็จสิ้นด้วยใจมุ่งมั่น ตะวันเริ่มบ่าย


84

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

คล้อยลงมาซึง่ เป็นเวลาพักผ่อนของผม จักรยานคันเก่าขีช่ มทิวทัศน์ระหว่างทาง พอถึ ง หลาแหลมซอก็ ห ยุ ด รถยกมื อ ไหว้ ท วดตาขุ น ด� ำ ซึ่ ง เป็ น สิ่ ง ศั ก ดิ์ สิ ท ธิ์ ประจ�ำหมูบ่ า้ นเสร็จ จึงเดินตรงไปทีศ่ าลาใต้ตน้ มะขามยักษ์คอ่ ยๆ ล้มตัวลงนอน สายตามองไปยังริมถนนลพบุรรี าเมศวร์ เห็นแม่คา้ ขายกระท้อนยาวเหยียดและ หนึง่ ในนัน้ มียา่ ผมด้วย พอตกเย็นใกล้มดื ค�ำ่ สองมือผมเข็นรถทีบ่ รรทุกกระท้อน เพียงไม่กี่ลูก พอถึงหลาแหลมซอย่าก็ไปจุดประทัดแพดั่งลั่นทั่วบริเวณเพราะ ถือว่าเป็นการแก้บนทีข่ ายของดีแล้วเดินทางกลับบ้านพร้อมกับปูท่ กี่ ำ� ลังต้อนวัว เข้าคอก สมาชิกทุกคนในครอบครัวพอท�ำหน้าที่ของตนเองเสร็จก็พร้อมใจกัน มานัง่ รับประทานมือ้ ค�่ำ อาหารจานแรกคงจะเป็นแกงส้มอย่างแน่นอน สีเหลือง ของขมิน้ รสเปรีย้ วของแกงผสมกับความกลมกล่อมของกะปิท�ำให้รสชาติอาหาร อร่อย พร้อมกับน�้ำพริกผักลวก และปลาทอด อาหารมื้อนี้ช่างเอร็ดอร่อย เช่นเดียวกับอาหารมื้ออื่นๆ ที่ย่าท�ำอาหารบ้านเราให้ปู่และผมได้ลิ้มรสจนลืม ความเหน็ดเหนื่อยทุกอย่างไปหมด ไม่ว่าจะเป็นขนมจีนจุดเด่นอยู่ตรงน�้ ำยา เพราะใช้ปลาทะเลที่มีเนื้อมาก รสหวานท�ำเป็นน�้ำยาจึงเรียกว่า ขนมจีนน�้ำยา ปักษ์ใต้ ข้าวย�ำ เป็นอาหารหลักของชาวใต้ที่มีคุณค่า ประกอบด้วยข้าวสวย ข้าวตังทอดราดด้วยน�้ำเคยหรือบูดู กุ้งแห้ง มะพร้าวแห้งพร้อมผักหั่นฝอย เต้าคั่ว เป็นอาหารจานเดียวเฉพาะในสงขลา โดยมีเส้นหมี่ลวกสุก หูหมู หมูสามชั้น ไข่ต้ม เต้าหู้ทอด ถั่วงอก แตงกวาหั่น ผักบุ้งลวกเป็นส่วนผสมส�ำคัญ แล้วราดน�้ำปรุงรส แกงพุงปลา เป็นอาหารขึ้นชื่อของภาคใต้อีกอย่างที่มีน�้ำ มากกว่าเนื้อ รสค่อนข้างเค็ม ส่วนประกอบส�ำคัญ คือ ไตปลา ปลาย่าง อาหาร อย่างสุดท้ายที่ขาดไม่ได้ก็คือ สะตอ เพราะสะตอเป็นตัวแทนของคนใต้ หลังจากรับประทานเสร็จ ทุกคนลุกขึน้ ไปเข้านอน ทันใดเสียงหนึง่ แว่ว มาว่า “นกครูดขูดพร้าวเจียวเจียว นั่งกินคนเดียวไม่ไว้ให้น้าเดนมั่ง น้าเดนเขา


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

85

ไปไชโยไชยา ได้ลูกวัวมาตัวหนึ่งชื่อว่าอีลิงหางดอก เอาไปผูกไว้เลนอกเล ใน เที่ยงเที่ยงสายสายสีแก้วตาลายลักวัวไป ถึงไหนถึงหลาน�้ำเชี่ยวเสียวมือ เสียวตีน” แล้วค่อยๆ เงียบลง เพลงกล่อมเด็กนี้ยังอยู่ในใจผมตลอดมา ค�่ำคืน แห่งการพักผ่อนของใครหลายๆ คนในยามนี้ แต่กลับเป็นช่วงเวลาแห่งการต่อสู้ ระหว่างมนุษย์บางคนกับธรรมชาติ เพื่อแย่งชิงความอยู่รอดในแต่ละวัน ในมือ ถือมีดกรีดยาง คาดตะเกียงแบตเตอรี่ พร้อมสวมชุดประจ�ำที่เปื้อนคราบน�้ำยาง สองผัวเมียคิดถึงใบหน้าลูกจึงมีแรงท�ำงาน กรีดซ�้ำตรงบาดแผลเดิมบนล�ำต้น เพราะเพียงต้องการหยดน�ำ้ ตาขาวบริสทุ ธิจ์ ากเนือ้ ไม้ เอาไปแลกเงินตรา ย�ำ่ เดิน บนทางสายเก่ารอบสวนยางอย่างเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า พอน�้ำยางหยดลงเต็ม จอก จึงออกเดินเก็บอีกครั้ง น�ำน�้ำยางทั้งหมดมากรองกับตะแกรง จึงค่อยแบ่ง ใส่รางสี่เหลี่ยมที่เป็นเหล็ก (ต้ากง) ตวงน�้ำยาง ๑ กระป๋องลิตรผสมน�้ำครึ่งลิตร แล้วเทน�้ำส้มฆ่ายาง ๑ ส่วน ตามด้วยเอาไม้มากวนยางให้แข็งตัว จึงค่อยเหยียบ ยางบนพื้นจนแบน หลังจากนั้นน�ำแผ่นยางเข้าเครื่องจักรรีดยาง โดยเริ่มจาก หัสลื่น ๑-๒ ครั้ง ต่อด้วยหัสดอกอีกครั้ง น�ำยางแผ่นที่ได้ตั้งบนรถมอเตอร์ไซค์ เพื่อเอาไปตากแดดที่บ้านให้แห้ง งานทุกอย่างที่แสนล�ำบากย่อมส�ำเร็จได้ก็ เพราะผัวหาบเมียคอน หลังจากท�ำงานเสร็จ พ่อก็แวะไปจิบน�้ำชาที่ร้านประจ�ำก่อน สถานที่นี้ เป็นทีพ่ บปะหารือกันของคนในชุมชนถึงปัญหาต่างๆ ในสังคม เสียงขับขานร้อง ริก ริก ริก ดังทั่วร้าน รูปร่างตัวเล็กๆ ปราดเปรียวรวยสีสันสวยงาม คือรูปโฉม ของนกกรงหัวจุก แก้มและคอถึงหน้าอกมีสีขาวและสีแดงจนถึงข้างหูเป็นเส้น แบ่งขนสีขาวกับสีดำ� ช่างงดงามนัก กรงนกแขวนกับราวเหล็กขึงเชือก มันกระโดด โลดเต้นไปตามลีลาร่าเริงอยู่ในกรง สามารถสร้างความสุข ความประทับใจแก่ เจ้าของได้อย่างดี ทุกวันอาทิตย์มีการแข่งขันประชันเสียงกันเพื่อชิงของรางวัล ที่ขน�ำนก ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันที่ผมก�ำลังเล่นอยู่กับผองเพื่อนที่บ้าน โดยการ


86

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

โยนหินให้ลงกรอบที่วาดไว้บนดินแล้วเขย่งขาเดียวไปเก็บหินเรียกว่า ลูกฉุด บ้างกลุ่มก็เล่นไทรตอก คือการน�ำลูกยางมาตั้งสองลูกแล้วตอกกันไปมา ถ้าหาก ใครแตกก่อนก็จะเป็นผู้แพ้ นี้แสดงว่าถึงช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์แล้ว เริ่มเข้า สู่ช่วงยางผลัดใบในฤดูร้อน ย่างเข้าสูห่ น้าแล้ง แสงแดดจ้าแผดเผาแต่เพียงกาย จิตใจนัน้ ชุม่ ฉ�่ำด้วย น�ำ้ เย็นๆ ทีพ่ วกเด็กๆ สาดเล่นกันอย่างสนุกสนานหลังจากเสร็จท�ำบุญว่างเดือน ห้า (เมษายน) ตรงกับขึ้น ๙ ค�่ำเดือนห้าของทุกปี ช่วงเช้าจะพาขนมจีนไปป่าช้า แล้วนัง่ ไหว้พระรับศีล สิน้ เสียงสวดมาติกา พระภิกษุเริม่ ฉันเพลและสวดบังสุกลุ ตามล�ำดับ ลูกหลานที่อยู่ไกลได้กลับมาอาบน�้ำเปลี่ยนผ้าขาวม้าบัว ร่วมรดน�้ำ ด�ำหัวญาติผู้ใหญ่ และนั่งจับกลุ่มคุยกันตามประสาญาติ คงไม่แตกต่างกับ บรรยากาศที่ลูกหลานไปเยี่ยมเยือนสุสาน (กูโบร์) แล้วเอ่ยค�ำอวยพรพร้อม ขอขมาลาโทษ และกล่าวตักบีรยฺ ามกลางคืนให้ดงั ลัน่ เพือ่ ป่าวประกาศถึงชัยชนะ ไปทั่วทุกตรอกซอกซอย ในวันอีดหนึ่งในวันตรุษทางศาสนาอิสลามซึ่งหนึ่งปีมี ๒ วันคือ วันอีดิ้ลฟิฏร์ และวันอีดิ้ลอัฎฮาวัน มุสลิมจะไปร่วมละหมาดในวันตรุษ ในเวลาประมาณ ๐๘.๐๐ - ๐๙.๐๐ น. ไม่ว่าจะเป็นไทยพุทธหรือมุสลิมเรา ก็คือคนไทย เทศกาลงานบุญผ่านไปไม่กี่วัน ก็มาถึงพิธีพานมข้าวซึ่งตรงกับแรม ๘ ค�่ำเดือนห้าท�ำเพื่อความสุขทางใจของชาวนา หลังจากฤดูเก็บเกี่ยวก็พาข้าว เรียง(รวงข้าวเต็มมือ)กับข้าวสุกมาถวายพระทีว่ ดั ศีรษะคีรี พอเสร็จก็รว่ มกันสรง น�้ำพ่อท่านคง ซึ่งครั้งยังมีชีวิตอยู่เคยสร้างปาฏิหาริย์วาจาสิทธิ์ และอีกท่านคือ พ่อท่านอินทร์ อดีตเจ้าอาวาสวัดท่านางหอมชือ่ เสียงท่านเลือ่ งลือถึงสังขารอมตะ อีกสัปดาห์ใกล้มาถึงวันส่งหาบส่งคอนของหมู่บ้าน พอถึงแรม ๑๕ ค�่ำ เดือนห้า ตอนเช้าชาวบ้านพร้อมใจกันพาข้าวแกงไปถวายพระที่หลาแหลมซอ ธงผ้าขาวม้าปลิวสะบัดเหนือเสาไม้ไผ่ทชี่ าวบ้านช่วยกันยก ธูปเทียนดอกไม้พร้อม พวงข้าวแขวนไว้ทไี่ ม้หาบแล้วเอาไปทิง้ ทีส่ ามแยกเพือ่ ปัดเป่าเรือ่ งร้ายให้หมดสิน้ เสียงว่าบทเชิดชูตายายดังมาจากโรงโนราลงครูของคณะอารีใยดีศิลป์ ซึ่งมี


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

87

ลุงเสริญ (สรรเสริญ ไชยวรรณ) เป็นทายาทของตาจอนผู้สืบทอดมานานกว่า ๑๐๐ปี ในละแวกนี้รู้จักกันดี เพราะมีลีลาท่าร�าอ่อนช้อย ช่วงเวลาที่นิยมเล่น ตั้งแต่เดือนหกถึงเดือนเก้า เริ่มจากวันพุธก็ร�าถวายครู พอรุ่งเช้าเริ่มร�าแต่งพอก แล้วเชิญพ่อแม่ตายายที่ล่วงลับไปแล้วมาเข้าร่างทรงจนถึงคืนวันเสาร์ก็ร�าส่งครู เสียงไอ้เท่งทักทายหนูนุ้ยดังขึ้นโดยมีนายหนังยุพิน เรือนแก้ว เป็นผู้เชิดรูปหนัง ตะลุงเล่นเงาหลังจอพร้อมพากย์เสียงให้ผชู้ มฟัง ซึง่ เป็นนายหนังหญิงของหมูบ่ า้ น ทีไ่ ด้รบั ความนิยมสูงมากจากเรือ่ งดาวจรัสแสง มีผชู้ มถึง ๖๐-๗๐ คนในสมัยนัน้ เคยได้รับรางวัลอย่างเช่น แหวนนามสกุล แหวนเพชร โล่เกียรติยศ เป็นต้น งานบุญวันสารทเดือนสิบ(กันยายน)ก็มาถึง ครัง้ แรกวันแรม ๑ ค�า่ เดือน สิบเรียกว่า วันรับเปรต ชาวบ้านจัดส�ารับไปท�าบุญที่วัด ครั้งที่สองวันแรม ๑๕ เดือนสิบเรียกว่า วันส่งเปรต ลูกหลานก็จะท�าบุญเลี้ยงส่งอีกครั้ง เป็นการแสดง ถึงความกตัญญูต่อบุพการีผู้ล่วงลับไปแล้วโดยอุทิศส่วนกุศลไปให้วิญญาณของ บรรพบุรุษ เรื่องราวดีๆ ที่บ้านของผมมีมากมายเหลือคณนา ตั้งแต่ครั้งอดีต จนถึงปัจจุบันก็ยังอยู่คู่คนบนเขาตลอดมาเพราะชาวบ้านช่วยกันรักษาและ สืบสานประเพณีวัฒนธรรมที่ดีงามต่างๆ เอาไว้ วิถีชีวิตที่เรียบง่ายอยู่กับ ธรรมชาติอย่างมีความสุขยังมีให้เห็นอยูเ่ รียงราย เช่น ลูกเลก็ยงั คงออกเรือประมง หาปลาเลีย้ งชีพอยูเ่ สมอ รวงข้าวเหลืองอร่ามงามตามาแต่ไกล ภาพความสวยงาม เหล่านี้ยังคงตราตรึงจิตของผมมิรู้คลาย ยิ่งท�าให้ผมรู้ส�านึกรักบ้านเกิดมากขึ้น บ้านของผมนั้นมีเรื่องดีๆ มากมายที่เป็นเกราะคุ้มกันสิ่งเลวร้าย เสมือนเป็น ก�าแพงแข็งแกร่งทีภ่ ายในเปีย่ มด้วยความรัก ผมจะขอท�าตามค�ากล่าวของบุคคล ส�าคัญท่านหนึ่งของภาคใต้ คือ ท่านพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ที่กล่าวไว้ว่า “เกิดมาต้องตอบแทนคุณแผ่นดิน”



เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

89

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา นางสาวกวินทิพย์ วรรณพงศ์

ภาพเด็กๆ ปีนป่ายต้นไม้ ชายหนุ่มไล่วัว เดินลัดเลาะไปตามทุ่งนา หา จิง้ หรีดไปตกปลา ปีนต้นหว้าเก็บผลมาทาน ลุยโคลนจับปลา บางครัง้ ก็ยนื สะบัด ไปมาเพราะปลิงเกาะขา ที่ได้รับชมบ่อยๆ ผ่านทางสื่อโทรทัศน์ อาจดูห่างไกล กับวิถีชาวเมือง แต่ส�ำหรับฉันแล้ว นั่นคือชีวิตประจ�ำวันของชาวบ้านนารังนก ต�ำบลแม่ทอม อ�ำเภอบางกล�่ำ จังหวัดสงขลา ภาพเหล่านี้ฉันเห็นจนชินตา และรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้เกิดใน ผื น แผ่ น ดิ น ทั ก ษิ ณ แดนสยาม ด้ า มขวานทองของไทย ดิ น แดนที่ อุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลายทั้งด้านภูมิศาสตร์ สังคม และศาสนา แม้ฉนั จะอาศัยอยูใ่ นตัวเมืองเทศบาลนครหาดใหญ่ แต่เพราะตอนเด็กๆ ฉันเติบโตมากับคุณยายที่ชนบท ฉันจึงได้เรียนรู้เสน่ห์ของชาวนารังนก เมื่อถึง วันหยุดทีไร จะต้องเดินทางกลับไปทุกครัง้ คุณยายท่านอาศัยอยูใ่ นบ้านไม้หลังคา กระเบื้องดินเผา แม้กลางวันแดดจะร้อนแต่ในตัวบ้านก็เย็นสบาย หากวันใดฝน ตกก็วิ่งหากะละมัง ถ้วย ชาม มารองรับน�้ำฝน ถือเป็นเรื่องสนุกอย่างหนึ่ง วันไหนยายออกไปท�ำนา ฉันก็เดินตามไปด้วย แม้ก่อนออกจากบ้านไม่ได้ ทานอะไรแต่กว่าจะถึงทีน่ าของยายก็แก้ทอ้ งร้องไปได้พอสมควร เพราะระหว่าง ทางมีทั้ง นมแมว นมควาย ชุมเลียง ลูกหว้า ตะขบขึ้นเรียงราย จะพูดว่าเดินไป ทานไปก็ไม่ผดิ เท่าไรนัก ช่วงหน้าแล้ง น�้ำจะแห้ง เราก็ตนื่ แต่เช้าไปหาเห็ดมันกัน ในนา แต่ช่วงสี่ห้าปีมานี้น�้ำไม่ยอมแห้ง ท้องนานับร้อยไร่ก็กลายเป็นท้องน�้ำไป


90

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

การหาเห็ดมันจึงเปลี่ยนเป็นจับ กุ้ง หอย ปู ปลา แทน ชาวบ้านก็มีรายได้จาก การจับสัตว์น�้ำแทนการท�ำนา ได้วันละหลายร้อยบาทเลยทีเดียว เวลาค�่ำ คื น ที่ บ ้ า นนารั ง นกก็ ไ ม่ เ คยหลั บ ใหลเหมื อ นเช่ น เมื อ งใหญ่ ไม่ใช่เป็นเพราะแสงไฟจากภัตตาคารหรือสถานบันเทิง หากแต่เป็นแสงหิ่งห้อย ที่มีไม่มากนัก และแสงไฟจากชาวบ้านที่ใช้ส่องกรีดยาง บ้างใช้ตะเกียงไฟ จากถ่านหิน บ้างก็ใช้ไฟตะเกียงไฟฟ้าส�ำหรับกรีดยาง ตะเกียงไฟฟ้ามีข้อดีคือ เมือ่ โดนลมพัดก็ไม่ดบั แถมไม่มกี ลิน่ เหมือนตะเกียงจากถ่านหิน อีกทัง้ ยังมีจงิ้ หรีด เรไร ร้องประสานเสียงเป็นวงดนตรีขนาดใหญ่ ยามค�่ำคืน หากคืนใดฝนตกแล้ว ก็จะมีคณ ุ กบ คุณอึง่ อ่าง คุณคางคก ออกมาร่วมบรรเลงอีกด้วย คืนไหนปิดประตู บ้านไม่ดี ก็จะมีคุณนักร้องเหล่านี้ เข้ามาขับร้องให้ฟังแบบใกล้ชิดถึงในบ้าน เวลาเช้าตรู่ที่บ้านยายไม่จ�ำเป็นต้องใช้นาฬิกาปลุก เพราะไก่ที่เลี้ยงไว้ นกดุเหว่า ส่งเสียงร้องดังลั่น รวมถึงเสียง “มอ มอ” จากฝูงวัวที่ถูกต้อนไปกิน หญ้าในนา ก็ถือเป็นเสียงปลุกที่ดีเยี่ยม ในตอนเช้าที่หมู่บ้านวัดนารังนกจะมี พระจากวัดนารังนกมาเดินบิณฑบาต ชาวบ้านก็จะเตรียมตักบาตรกันทุกวัน หากเป็นวันพระ ชาวบ้านจะพากันไปท�ำบุญที่วัดแทน พูดถึงวัด คนที่นี่นิยมเข้าวัดกันทุกวันพระส่วนฉันพิเศษหน่อยเพราะ หากเป็นช่วงปิดเทอมแล้ว ฉันจะไปวัดทุกสัปดาห์ ไม่ได้ตั้งใจจะไปท�ำบุญหรอก แต่ที่วัดคูเต่า มีตลาดนัดร้อยปี ตั้งอยู่ภายในวัด ริมคลอง อู่ตะเภา ตลาดนัดร้อยปีนี้จะมีทุกๆวันพฤหัสบดี เมื่อไปซื้อกับข้าว ซื้อขนมแล้วก็แวะไปไหว้พระด้วยเสียเลย ที่ตลาดนัดร้อยปีวัดคูเต่านี้ มีผู้คน แน่นขนัดเสมอ ทั้งชาวไทยพุทธ และมุสลิม มาจับจ่ายใช้สอยกันมากมาย ไม่เพียงแค่ตลาดนัดคูเต่าเท่านั้นที่มีทั้งชาวพุทธและมุสลิมมารวมกัน หากที่วัด นารังนกมีแสดงหนังตะลุงมโนราห์ด้วยแล้ว ชาวบ้านสองศาสนาจะพร้อมใจกัน มาปูเสือ่ รอชมการแสดง สะท้อนให้เห็นว่าทีน่ ที่ งั้ ชาวพุทธและอิสลามอยูร่ ว่ มกัน อย่างมีความสุข


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

91

วัดคูเต่านี้เป็นวัดเก่าแก่ มีอายุกว่าร้อยปีได้รับรางวัลเพื่อการอนุรักษ์ มรดกทางวัฒนธรรมภูมภิ าคเอเชียแปซิฟกิ เมือ่ ปี ๒๕๕๔จากองค์การศึกษาวิทยา ศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ พระอุโบสถของวัด สะท้อนให้เห็นถึง ศิลปวัฒนธรรมพื้นเมืองของชาวภาคใต้ โดยมีศิลปะจีนผสมผสานอยู่ด้วย รายละเอียดต่างๆ ในวัดคูเต่ามีความประณีต สวยงาม เพราะเป็นมือของช่าง พืน้ เมืองสมัยก่อน นอกจากภายในวัดคูเต่า จะมีตลาดนัดร้อยปีแล้ว ยังมีโรงเรียน วัดคูเต่าอยู่ด้วย ซึ่งปัจจุบันเหลือเพียงตัวอาคารโรงเรียน ไม่มีการเรียนการสอน วัดคูเต่านี้เคยเป็นสถานที่ท�ำภาพยนตร์เรื่องครูแก ชาวบ้านละแวกนั้นตื่นเต้น ดีอกดีใจกันอย่างมาก ที่ได้รับเชิญไปร่วมแสดงเป็นตัวประกอบในภาพยนตร์ เพราะไม่เคยมีกองถ่ายภาพยนตร์มาถ่ายท�ำกันที่นี่ ชาวบ้านถึงกับยอมหยุด กรีดยางไปแสดงภาพยนตร์ ไม่ได้ค่าตัวก็ไม่เป็นไร ขอแค่ได้แสดงก็พอ คุณตา ของฉันก็ไปแสดงกับเขาเหมือนกัน ได้ค่าตัว ๓๐๐ บาท แม้จะได้น้อยกว่า การกรีดยาง แต่คุณตาก็ดีใจที่ครั้งหนึ่งของชีวิตได้แสดงภาพยนตร์ สิ่งหนึ่งของภาคใต้ที่ขึ้นชื่อคืออาหาร อาหารปักษ์ใต้ของเรานั้นขึ้นชื่อ อยูห่ ลายอย่างทัง้ น�้ำบูดู หรือทีเ่ รียกกันว่า น�้ำเคย ข้าวย�ำ แกงไตปลา หลนกุง้ ส้ม คั่วกลิ้งเนื้อ ผัดสะตอ ผัดลูกเหรียง รสชาติจัดจ้านถูกปากถูกใจ ที่ต�ำบลแม่ทอม ก็มีเหนียวหลาม (ข้าวหลาม) เป็นสินค้าโอทอป รสชาติอร่อยไม่แพ้ข้าวหลาม หนองมน มีทั้งข้าวเหนียวขาว ข้าวเหนียวด�ำ รสชาติหอมมัน ความอร่อย ของข้าวหลามแม่ทอมนี้เป็นที่รู้กันในวงกว้าง ได้รับรางวัลจากการประกวด หลายต่อหลายครั้ง ดังค� ำขวัญของต� ำบลแม่ทอมที่ว่า “แม่ทอมเรืองนาม ข้าวหลามลือไกล แหล่งใหญ่สม้ โอหวาน ปูชนียสถานค่าล�ำ้ หลวงพ่อลิน้ ดําวาจา สิทธิ์” ภาคใต้ ข องเรามี ป ระเพณี ม ากมาย เช่ น ชั ก พระหรื อ ลากพระ วันสารทเดือนสิบ แข่งเรือ บ้านยายของฉันจะมีการไหว้ตายายในเดือกหก และเดือนสิบ ตามจันทรคติ ในวันนี้ลูกหลานจะน�ำของคาว ของหวาน ผลไม้


92

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

และของแก้บน เช่น หัวหมู ไก่ต้ม ไก่ปากทอง ไข่ต้ม มาแก้บนที่เคยบนบานเอา ไว้ในปีทผี่ า่ นมา การตัง้ ตายายถือเป็นการท�ำความเคารพ บูชา ขอพรบรรพบุรษุ การท�ำพิธีไหว้บรรพบุรุษหรือที่เรียกว่าตั้งตายายนี้เป็นความเชื่ออย่างหนึ่ง อาจเรียกได้วา่ เป็นการนับถือผี แต่กไ็ ม่อาจเรียกได้งมงายเพราะถือเป็นความเชือ่ อย่างหนึง่ ท�ำเพือ่ ความสบายใจของลูกหลาน ฉันเด็กๆก็ไม่รหู้ รอกว่าวันนีส้ ำ� คัญ อย่างไร รู้เพียงว่าถึงวันไหว้ตายายทีไร จะมีขนมให้กินเต็มอิ่มเลยทีเดียว ในวันสารทเดือนสิบ หลายๆคนอาจจะรอคอยการชิงเปรตทีว่ ดั ฉันเอง ก็เป็นหนึ่งในหลายๆคนที่รอคอยการชิงเปรต อาหารต่างๆ ที่ใช้ชิงเปรตจะถูก วางไว้บนหลาเปรต (ร้านเปรต) แล้วให้ชาวบ้านไปแย่งชิงกัน บ้างแย่งชิง เพื่อความสนุกสนาน บ้างเพื่อแก้บน แก้เคล็ด เชื่อกันว่าหากลูกหลานของเปรต ตนใดแย่งชิงได้ เปรตตนนั้นจะได้รับส่วนบุญด้วย กิจกรรมที่ฉันชอบอีกอย่าง ในช่วงวันสารท คือช่วยยายท� ำขนม ในงานวันสารทนั้นยายจะท� ำขนมเอง ทั้งขนมดีซ�ำ (ขนมเจาะหู ขนมแห้ง) ขนมต้ม ส่วนลากับข้าวพองหลากสี ยายจะซือ้ เอา ฉันชอบช่วยยายท�ำขนมต้ม ท�ำไปแอบทานข้าวเหนียวดิบไป ฝีมอื การแทงต้มของฉันนั้นยังไม่เก่งเท่าคุณยาย ลูกเล็กๆ แถมไม่สวย แต่ถือว่า เป็นการฝึก ฝึกไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็สวยเอง ยายบอกกับฉันว่า “ต้มกับหนมแห้งนี้ นมสอนแม่มา (ยายจะแทนตัวเองว่าแม่และเรียกฉันว่า ลูก) ซือ้ เอาก็เสียดายเบีย้ เราท�ำเองได้ ท�ำเองดีหวา คนแต่แรกก็ท�ำเองกันทั้งเพ จ�ำแม่ไว้นะลูกสาวเหอ” ปู่ ย่า ตา ยาย ชอบจะเล่าเรือ่ งสิง่ ศักดิส์ ทิ ธิแ์ ละความเป็นมาต่างๆให้ฟงั ทั้งเรื่องของแม่โพสพ พระพราย พระเพลิง พระแม่คงคา พระแม่ธรณี รวมถึง เรื่องเล่าท้องถิ่น เรื่องหลวงพ่อทวดลิ้นด� ำ หลวงปู่ทวดเหยียบน�้ ำทะเลจืด พระพุทธสิหิงค์ พ่อท่านคล้ายวาจาสิทธิ์ วัดนารังนก เรื่องแม่ศรีมาลา (ตายาย มโนราห์) คุณตามักจะพูดถึงทวดจระเข้ที่หัวเขาแดงเป็นประจ�ำ เมื่อได้ฟังข่าว พายุเข้าภาคใต้ เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ฉันชอบที่สุด ซึ่งทวดจระเข้ที่หัวเขาแดงนี้


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

93

เป็นที่เคารพนับถือของชาวสงขลาว่ากันว่าทวดจระเข้ที่หัวเขาแดงจะคอยดูแล ชาวบ้านไม่ให้เกิดอันตรายจากสัตว์ร้ายต่างๆ รวมทั้งป้องกันคลื่นลมในทะเลให้ กับชาวบ้านยามออกเรือหาปลา ดังนัน้ ก่อนทีช่ าวบ้านในบริเวณดังกล่าวจะออก เรือจับปลาหรือสัตว์น�้ำใดๆ ก็ตามจึงต้องบอกกล่าวขอความคุ้มครองจากทวด หัวเขาแดงก่อนเสมอ ความภาคภูมใิ จของชาวสงขลามีอยูห่ ลายอย่าง ด้านบุคคล ชาวสงขลา บ้านเราก็ไม่น้อยหน้าใคร ถ้าพูดถึงบุคคลที่เป็นความภาคภูมิใจของชาวสงขลา แล้ว พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรษุ ก็เป็นหนึง่ ในนัน้ อย่างไม่ต้องสงสัย ท่านได้บ�ำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์กับสังคมชาติโดยมิรู้จัก เหน็ ด เหนื่ อ ย ที่ ส� ำ คั ญ ยิ่ ง ไปกว่ า นั้ น พลเอกเปรมเริ่ ม นโยบายแก้ ป ั ญ หา ความยากจนของเกษตรกร ท่านยึดมั่นในการประกอบคุณงามความดี ค�ำนึงถึง บ้านเมืองเป็นหลัก ไม่แสวงหาผลประโยชน์เพื่อตนเอง ดูแลบ้านเมืองต่าง พระเนตรพระกรรณ พลเอกเปรมได้พิสูจน์ให้เห็นมาแล้วตลอดชีวิตการท�ำงาน ของท่านและตลอดเวลาทีร่ บั ใช้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ วั ว่าท่านเป็นบุคคล ที่สมควรยึดถือเป็นแบบอย่าง หากจะให้พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นตัวแทนของบุคคลศาสนาพุทธ นายอาศิส พิทักษ์คุมพล ก็ถือเป็นตัวแทนของบุคคลมุสลิม ที่มีผลงานและคุณ งามความดีประจักษ์แก่ชาวไทย จนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นจุฬาราชมนตรี นายอาศิส เป็นมุสลิมชาวใต้คนแรก และเป็นมุสลิมนิกายสุหนี่คนที่ ๕ ที่ได้รับ เลือกให้เข้าด�ำรงต�ำแหน่งจุฬาราชมนตรี ถือเป็นผูน้ �ำมุสลิมไทยสายสุหนีค่ นแรก ที่ไม่ได้จบด้านการศาสนาจากประเทศในกลุ่มตะวันออกกลาง ค�ำปรารภของ นายอาศิสในวันรับต�ำแหน่งนั้น กัดกินหัวใจหลายๆคน รวมถึงฉันด้วย ด้วย ประโยคที่ว่า “บัดนี้ข้าพเจ้าได้รับเลือกให้เป็นผู้น�ำของพวกท่าน และไม่ใช่ว่า ข้าพเจ้าจะดีทสี่ ดุ ไปกว่าพวกท่าน” ประโยคข้างต้นแสดงให้เห็นถึงความถ่อมตน


94

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ของท่านอาศิสได้เป็นอย่างดี นี่เป็นสิ่งแสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด หากปฏิบัติตัวเป็นคนดี ล้วนได้รับการยกย่อง เชิดชู และสามารถอาศัยอยู่ร่วม กันได้อย่างสงบสุขภายใต้ร่มพระโพธิสมภาร ว่ากันว่าหัวของคนใต้แข็งแกร่งยิง่ กว่าหินผา ไฟโชติชว่ งร้อนระอุแค่ไหน ก็ไม่สามารถท�าลายหินผาลงได้ อีกทั้งน�้าใจของคนไทยทั้งชาติจะหลอมรวมกัน เป็นหนึ่ง กลายเป็นธารน�้าใจอันยิ่งใหญ่ไหลบ่าเข้าดับไฟใต้ให้ดับลง เหลือทิ้งไว้ แต่สายธารน�า้ ไหลไหลล้อมรอมหินผาใหญ่ แสดงถึงความรัก ความสามัคคี ทีค่ น ไทยมีให้กัน ปกป้องให้ชาวใต้กินดีอยู่ดี มีความอุดมบูรณ์ และอยู่ร่วมกันสอง ศาสนาไปจนชั่วลูกสืบหลาน หากใครถามเราจะบอกได้ว่า “ปักษ์ใต้บ้านเรา ดีจังหู นาสวย เลใส น�้ายางดี กับข้าวหรอย อยู่ไหนก็ไม่เหมือนอยู่บ้านเรา อย่าลืมนะพี่น้องเหอ”


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

95

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา นายซอรีฟ อาแวกือจิ

สิ่งดีๆ เป็นดั่งแสงไฟที่ฉายน�ำทางสู่ชุมชน ให้ก้าวพ้นไปสู่เส้นชัยแห่ง ความสุขและความเจริญที่แท้จริง นับว่าเป็นความโชคดีของประชาชนในชุมชน ต่างๆ ที่เกิดมาบนผืนแผ่นดินทางด้านขว้างของประเทศไทย ดินแดนที่มีแต่ ความสงบสุขร่มเย็น ความสามัคคี การช่วยเหลือซึง่ กันและกัน สิง่ เหล่านีเ้ ป็นการ สะท้อนถึงเรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้นอยู่ทุกวัน ทุกเวลา ทุกวินาที และทุกลมหายใจ ซึ่งน�ำความเป็นน�้ำหนึ่งใจเดียวกันที่เข้มแข็งจึงท�ำให้ ยังคงยืนอยู่บนพื้นฐาน ของชุมชนแห่งนี้ โอ้...โอ้ ปักษ์ใต้บา้ นเรา โอ้...โอ้...ชุมชนของเรา แม่น�้ำ ภูเขา ทุง่ นากว้าง ใหญ่ เต็มไปด้วยความสมบูรณ์ จะไปไหนมาเที่ยวบ้านเรา จากชุมชนกลุ่มเล็ก ๆ ในอดีต จากบ้านเล็กเพียงไม่กี่หลัง จากผู้คนที่มีเพียงไม่กี่คน ไม่น่าเชื่อว่าเมื่อ เวลาผ่านไปพืน้ ทีท่ รี่ นุ่ ปูย่ า่ ตายาย ทีเ่ คยอาศัยอยูท่ เี่ ต็มไปด้วย ป่าต้นน�้ำล�ำธารที่ ทอดยาวจากภูเขาผ่านใจกลางของทุง่ นาและมีสภาพเป็นภูเขาล้อมรอบทุง่ นาอยู่ ใจกลางภูเขา ท�ำให้ชุมชนเห็นนี้ อุดมสมบูรณ์เต็มไปด้วยธรรมชาติแสนบริสุทธิ์ มีสัตว์ป่านานาชนิด ปัจจุบันนี้กลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่ ที่มีชื่อว่า “บูกิต” จากค�ำบอกเล่าของผูอ้ าวุโสในพืน้ ที่ แต่กอ่ นพืน้ ทีน่ ยี้ งั ไม่มผี คู้ นอาศัยอยู่ จนได้มี ผู้คนกลุ่มแรกเริ่มเข้ามาก่อตั้งถิ่น ส่วนใหญ่ได้อพยพมาจากบ้านเจาะไอร้องซึ่ง อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง เหตุที่แต่ละกลุ่มอพยพมาจากบ้านเดิมเพราะต้องการ


96

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

หาที่ดินที่ท�ำกินใหม่ที่อุดมสมบูรณ์ ใครขยันก็สามารถจับจองที่ดินได้มาก และเต็มไปด้วยของกินและสัตว์ป่าน้อยใหญ่ เขาได้ตั้งเป็นชุมชนเล็กๆ ขึ้นมา มี ไม่กี่คนเองที่อาศัย พอเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วชุมชนแห่งนี้ก็ได้เป็นชุมชน ขนาดกลาง ได้มีการแต่งตั้งก�ำนันขึ้นมาและตั้งชื่อชุมชนว่า “บูกิต” ซึ่งบูกิต ก็เป็นชุมชนที่ห่างจากตัวเมืองนราธิวาสประมาณ ๔๔ กิโลเมตร ผ่านทางสาย นราธิวาส-สุไหงโกลก ทุ ก ครั้ ง ที่ เราอยู ่ ใ นพื้ น ที่ ชุ ม ชนแห่ ง นี้ เ กื อ บทุ ก พื้ น ที่ ก็ ไ ด้ เ ห็ น ภู เขา ขนาดใหญ่นี้ตลอดเวลา และเราได้สอบถามผู้อาวุโสในชุมชน ภูเขาใหญ่มีชื่อไม่ ลุง เขาบอกว่ามีซิ ชื่อว่า “บูเก๊ะตะเว” ซึ่งไม่รู้ว่าความหมายว่าอะไรใครเป็นผู้ตั้ง ชื่อให้ เพราะตนก็ได้ยินมาจากคนสมัยก่อนพูดตั้งแต่ตนยังวัยเยาว์ และเขา ยังบอกอีกว่า ภูเขานี้ ก็เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาสันกาลาคีรีนั้นเอง ท�ำให้เรารู้ หลายๆ อย่างและคิดทุกครั้งที่ได้เห็นภูเขาลูกนี้ ลุงคนนี้เขาพูดภาษาไทยไม่ได้ เราถามเป็นภาษายาวี ซึ่งเป็นภาษามลายูท้องถิ่นภาคใต้ ทุกครั้งที่เราเจอ ลุงคนนี้ เราจะถามสารทุกข์สุขดิบทั่วไป เขาก็พูดคุยได้ปกติ แต่อาจมีหลงๆลืมๆ บ้างตามกาลเวลาที่เกือบจะครบศตวรรษพูดคุยอย่างอารมณ์ดี ด้วยวัยที่เลยมา นานมีเรื่องเล่าจากประสบการณ์ของตนมากมาย อีกอย่างเขาได้พูดว่า แต่ก่อน ไม่เคยมีปัญหาการแบ่งแยก ใช้วิถีชีวิตแบบง่าย ๆ อยู่กับคนต่างศาสนาอย่าง สุขสบายเข้ามาหาสู่กัน มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นก็ช่วยๆกัน เวลามุสลิมมีงานต่างๆ ชาวไทยที่นับถือศาสนาพุทธก็ไปร่วมด้วยไม่ว่าจะเป็นพิธีกรรมทางศาสนาหรือ เทศกาลต่างๆ ด้วย วัฒนธรรมของชุมชนมุสลิมเรา ที่เด่นที่สุดคือ การแต่งกายมุสลิม ส่วนใหญ่จะไม่นิยมใส่ผ้าที่ผลิตด้วยใยไหมเว้นแต่จะมีโอกาสพิเศษเท่านั้น เช่น การต้อนรับผูอ้ าวุโสทีม่ าเยือนถิน่ แต่การแต่งกายจะนิยมสวมเสือ้ ผ้าเนือ้ บางเบา โดยเฉพาะผ้า “บาเต๊ะ” เป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก ผ้าบาเต๊ะ นี้จะใช้ท�ำผ้านุ่งผ้า


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

97

โสร่งหรือผ้าคลุมต่างๆ ของมุสลิมที่เป็นผู้หญิง เช่นการแต่งกายก็จะมีผ้าคลุม ศีรษะ นุง่ ผ้าโสร่งบาเต๊ะ ส่วนชายนุง่ โสร่งหรือกางเกง สวมเสือ้ แขนยาวและสวม หมวกแบบมุสลิม คล้ายกับชาวมาเลเซีย คือ สตรีนุ่งผ้าปาเต๊ะ สวมเสื้อแขน กระบอกยาวแบบชวา ผ้าคลุมศีรษะ ผู้ชายนุ่งโสร่งลาย หรือกางเกงขายาว เสือ้ สีขาวแขนยาว คล้ายไทยภาคกลาง มีผา้ โพกศีรษะหรือหมวกแขก แต่ปจั จุบนั การแต่งกายเป็นสากลมากขึ้น ระหว่างผู้ที่นับศาสนาพุทธและศาสนาอิสลาม คือ ผู้หญิงมุสลิมเมื่อออกจากบ้านจะแต่งกายแบบมิดชิดใส่เสื้อแขนยาวและมี ผ้าคลุมศีรษะด้วย ส่วนทีอ่ ยูอ่ าศัยบ้านเรือนส่วนใหญ่จะวางเสาไว้บนตอหม้อตีน เสาซึง่ จะก่ออิฐฉาบปูน และจะใช้ไม้ในการก่อสร้างรูปทรงของเรือนเป็นเรือนไม้ เสาทุกต้นไม่ฝังลงดินเพราะว่าดินมันชื้น แต่จะตั้งอยู่บนแผ่นปูนหรือแผ่นหิน เรียบๆ ทีฝ่ งั อยู่ ในดินให้โผล่ขนึ้ มาจากพืน้ ดินไม่เกิน ๑ ฟุต เพือ่ กันมิให้ปลวกกัด ตีนเสาและกันเสาผุจากความชื้นของดิน โดยเอกลักษณ์ของเรือนภาคใต้อยู่ที่ หลังคา ซึ่งเป็นแบบทรงปั้นหยาที่สวยงามและเสาเรือนจะเป็นเสาไม้ตั้งบนฐาน คอนกรีตเหตุเพราะสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติเกิดพายุลมแรงเสมอ จ�ำเป็น ต้องมีโครงสร้างที่แข็งแรง ลักษณะเรือนไทยเป็นเรือนยกพื้นสูง แต่ว่าไม่สูง จนเกินไป พอที่จะเดินลอดได้ ทุกชุมชนก็จะมีศิลปะการแสดง เช่น ดิเกร์ฮูลู ซิละ มะโหย่ง ชุมชนไทยพุทธก็จะมีกลองยาว และประเพณีต่างๆ ศิลปะการ แสดงยังมีให้เห็นในงานต่างๆ เช่น งานเปิดพิธี งานแต่งงาน งานกีฬาชุมชน การแสดงดิเกร์ฮลู ู เป็นส่วนหนึง่ ทีท่ ำ� ให้ผคู้ นเกิดความสนุกร่าเริงเล่นกับการแสดง ไปด้วย ท่าร่ายร�ำที่ใช้ในการแสดงจะบ่งบอกถึงธรรมชาติและการห่วงหาอาทร ต่อกัน เช่น การท�ำมือเป็นลูกคลืน่ ท่ากวักมือเพือ่ ชักชวนพีน่ อ้ งชาวถิน่ กลับมายัง บ้านเกิด ส่วนเนื้อหาของเพลงที่เอามาขับร้องโต้กันจะมีเนื้อหาเกี่ยวกับวิถีชีวิต อาชีพ และวัฒนธรรมของชาวใต้ การแสดงซิละ ก็เป็นศิลปะป้องกันตัวอีกแขนง หนึ่งที่ชุมชนแห่งนี้ได้เรียนรู้จากที่เข้ามาเผยแพร่ในสมัยก่อนและมะโหย่งเป็น


98

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ความเชื่อส่วนบุคคลเป็นพิธีกรรมทางศาสนาเขียนอีกอย่างว่าศิลปะการบ� ำบัด โรคของคนในสมัยก่อน ทุกครั้งชุมชนเราได้มีประเพณีต่างๆจัดขึ้น ล้วนแต่เป็นฝึกความอดทน การอยู่ร่วมกัน การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และการแบ่งปันสามัคคีกัน เช่น เดือนรอมฎอนเป็นเดือนแห่งการถือศีลอด โดยห้ามรับประทาน ห้ามดื่ม ตั้งแต่ พระอาทิตย์ขึ้นจนถึงพระอาทิตย์ตกดิน ประเพณีวันรายอเป็นการเฉลิมฉลอง หลังจากถือศีลอด อาหารที่นิยมน�ำมาท�ำเพื่อเลี้ยงแขกที่มาเยียนที่บ้านของ แต่ละคนก็คือ ข้าวเหนียวต้ม ภาษาท้องถิ่นจะเรียกว่า “ตูปะ” มักรับประทาน คูก่ นั กับสะตอดองและแกงเนือ้ อาหารทีน่ ยิ มท�ำอีกอย่างหนึง่ ก็คอื ข้าวหมักหรือ เป็นที่รู้จักดีในนาม “ตาแป” ขนมทั้งสองชนิดนี้ท�ำมาจากข้าวเหนียว ซึ่งเป็น ประเพณี มีการสืบทอดมาจากโบราณและสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบันเป็น ภูมปิ ญ ั ญาท้องถิน่ ทีไ่ ม่จำ� เป็นต้องจ้างคุณครูมาสอน แต่เป็นภูมปิ ญ ั ญาทีช่ าวบ้าน สามารถเรียนรูก้ นั เอง วันรายอนอกจากจะเป็นวันทีส่ นุกสนานรืน่ เริงแล้ว ยังเป็น วันแห่งการอภัยหรือมาอัฟ ให้แก่กันอีกด้วย วันที่มีทั้งเสียงหัวเราะจากเด็กๆ และคราบน�้ำตาแห่งขอโทษ ถนนที่เคยดูเรียบๆ ธรรมดาไม่น่าสนใจมากนัก มันถูกประดับไปด้วยสีสนั ของเสือ้ ผ้าสวยงามหลากหลายสีปะปนกันอย่างลงตัว การสวมเสื้อผ้าที่สวยงามในวันรายอเป็นสิ่งที่ดีและจะได้รับผลบุญเช่นเดียวกัน วันรายอก็ยังเป็นวันที่ทุกคนปรารถนาและรอคอยเสมอมา ถัดจากรายอฟิตรี ไปอีกสองเดือนกับอีก ๑๐ วัน จะเป็นรายอฮัจญี เป็นการเฉลิมฉลองของผู้ที่ ไปแสวงบุญ ณ นครเมกกะ ประเทศซาอุดิอาระเบีย จะมีการท�ำบุญเรียกว่า การกรุบาน คือการเชือดวัวตัวหนึ่งส�ำหรับคน ๗ คน และแบ่งเนื้อออกเป็น ๗ ส่วน ที่ส�ำคัญคือจะแบ่งให้เท่าๆกัน ส�ำหรับเนื้อที่ได้นั้นจะเก็บไว้ทานใน ครอบครัวบางส่วน และที่เหลือก็จะแบ่งปันให้กับญาติพี่น้องและแก่คนยากจน ความเชือ่ ของชาวมุสลิมในการท�ำกรุบานคือ เมือ่ ถึงวันฟืน้ คืนชีพเราจะใช้ววั เป็น


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

99

พาหนะในการเดินทางไปที่ทุ่งอารอฟะเพื่อรับค� ำตัดสินจากพระผู้เป็นเจ้า หลังจากรายอฮัจญีชาวมุสลิมในแต่ละถิ่นจะร่วมเลือกวันในเดือนมุฮัรรอม ซึ่ง เป็นเดือนแรกของปี เป็นการฉลองปีใหม่อาซูรอ ส่วนอาซูรอเป็นชื่อขนม ที่ผสมด้วย ข้าวเจ้า กะทิ น�ำ้ ตาล เป็นส่วนประกอบหลัก พืชผักผลไม้จำ� พวก หัวมันเทศ เผือก ข้าวโพด กล้วยดิบ ถั่ว ฟักทอง หอม ตะไคร้ ถูกน�ำไปร่วมกัน ในกระทะใบบัวบนเตาที่ร้อนแล้วกวนจนส่วนประกอบทั้งหมดละลายเป็น เนื้อเดียวกัน จากนั้นใช้ไฟอ่อนกวนต่อไปจนหนืดเหนียวข้น จึงยกลงใส่ในถาด เนื้อขนมจะแข็งอีกเมื่อทิ้งไว้ให้เย็น ขนมส่วนหนึ่งถูกใช้ในพิธีกรรม และส่วนที่ เหลือก็ใช้เลี้ยงคนทั้งหมู่บ้านรวมทั้งแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน แท้จริงของการร่วม งานบุญไม่ได้อยูท่ ตี่ วั ขนม แต่หากเป็นการสร้างเงือ่ นไขให้คนในชุมชนท�ำงานร่วม กัน แล้วต่อด้วยประเพณีเมาลิด เป็นวันเกิดของท่านนบีมฮู มั หมัด (ซ) ชาวมุสลิม ได้ท�ำบุญไปละหมาดร่วมกันที่มัสยิดเพื่อร�ำลึกถึงท่านนบี และอวยพรร่วมกัน รับประทานอาหารพร้อมกันและมีเด็กๆคอยรับสตางค์ที่ห่อด้วยกระดาษสีใส่ ใบเตยชิ้นเล็กๆเพื่อเพิ่มความหอมหวานในห่อนั้น ประเพณีต่างๆ ส่งผลให้เกิด ความเชื่อ รวมถึงการเกิดของชาวมุสลิม วิธีการต้อนรับสมาชิกใหม่ในสมัยก่อน นั้น จะเริ่มต้นตั้งแต่หญิงที่ตั้งท้อง ๗ เดือนที่ฝากท้องกับหมอต�ำแย ก็เข้าพิธี “แนแง” หรือการสะเดาะเคราะห์เป็นการสร้างขวัญก�ำลังใจให้แก่คณ ุ แม่คนใหม่ ในพิธีจะมีหมากพลู ๗ ใบ มะพร้าวแก่ที่ปอกเปลือกเหลือแต่กะลา แล้วน�ำมา กลิ้งบนท้องของผู้หญิงท้องเบาๆ แล้วปล่อยลงทางขาของผู้หญิง ซึ่งวิธีนี้มี ความเชื่อว่าคุณแม่คนใหม่จะคลอดง่ายและปลอดภัย เมื่อถึงก�ำหนดคลอด หมอต�ำแยคนเดิมก็จะมาท�ำคลอดโดยมีเคล็ดต้องเตรียมข้าวสาร ด้ายดิบ เหรียญเงิน ๑๒ บาท พลู ๑ ใบหมากครึ่งลูก แล้วน�ำไปร่วมไว้ในจาน เมื่อเด็ก น้อยลืมตาดูโลก ก็จะน�ำเด็กน้อยนอนในถาดโดยมีขา้ วสารโปรยและวางผ้าหรือ เบาะน�ำตัวเด็กน้อยวางลงไปในถาดจะมีโต๊ะครูมาท�ำพิธอี าซานทีห่ ซู า้ ยและขวา


100

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

เพื่อให้รับรู้ว่าเด็กน้อยคนนี้เป็นสมาชิกใหม่ของชาวมุสลิม และนั่นเป็นการเริ่ม ต้นการเรียนครั้งแรกของเด็กน้อย เพราะการเรียนรู้นั้นจะเริ่มตั้งแต่อยู่ในเปล จนถึงหลุมฝังศพ วิถีชีวิตในชุมชนนี้ส่วนใหญ่แล้ว จะใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายอยู่คลุกคลี กับธรรมชาติทงั้ สิน้ ไม่คอ่ ยวุน่ วายเหมือนคนในเมือง ชุมชนของเราอยูไ่ ด้มาจนถึง ปัจจุบนั นีก้ เ็ พราะว่า เราไม่นำ� ความแตกต่างมาเป็นไม้ทคี่ อยขวางกัน้ เส้นทางแห่ง ความสัมพันธ์ของประชาชนที่อาศัยอยู่ในชุมชนแห่งนี้ ในแต่ละวันก็จะมาหาสู่ กันเป็นเรื่องธรรมดา ความผูกพันในวิถีชีวิตของชาวบ้านก่อให้เกิดความรู้สึกดีๆ ซึ่งกันและกัน รอยยิ้มที่เคยให้ยังคงแจ่มใสดั่งดอกไม้ที่เบิกบาน วันไหนมีตลาด ก็จะเป็นบรรยากาศอีกแบบหนึ่ง อย่างชุมชนของเราก็จะมีตลาดนัดวันจันทร์ ที่ใหญ่ที่สุดในชุมชน ที่เต็มไปด้วยผู้คนทั่วทุกพื้นที่ที่กำ� ลังเฮฮากับการเลือกซื้อ สินค้าหลากชนิดราวกับอยู่ในห้างใหญ่ๆ สินค้าก็จะเป็นสินค้าราคาย่อมเยา บ้างก็ราคาถูกกว่ามาตรฐานทั่วไป บรรยากาศรอบๆ ตัวก็สดชื่นไปด้วยกลิ่น ของตลาดจริงๆ อีกอย่างคนที่นี่มักจะท�ำงานหลายๆอย่างมีการประกอบอาชีพ ท�ำสวนยางพาราคิดเป็นร้อยละ ๘๐ รองลงมา ได้แก่อาชีพท�ำนาและท�ำสวน ประมาณร้อยละ ๘ และค้าขายรับราชการประมาณร้อยละ ๒ การท�ำสวนนิยม ปลูกผลไม้ ได้แก่ ลองกอง มะพร้าว เงาะ ทุเรียน ซึ่งการปลูกยางพาราในชุมชน บูกิต จะเห็นได้เกือบทั่วไปเนื่องจากยางพาราเป็นพืชเศรษฐกิจของภาคใต้ จากการสอบถามชาวบ้าน ท�ำให้ทราบว่า ชาวบ้านจะเริ่มกรีดยางในช่วงเช้ามืด เพราะจะได้น�้ำยางในปริมาณที่มากกว่ากรีดยางในช่วงเวลาอื่นๆ การหยุดพัก การกรี ด ยางในฤดู แ ล้ ง ใบไม้ ผ ลั ด ใบหรื อ ฤดู ที่ มี ก ารผลิ ใ บใหม่ จ ะหยุ ด พั ก การกรีดยาง เนื่องจากมีผลต่อการเจริญเติบโตของใบและต้นยาง อาชีพท�ำสวน ยางพารา เสมือนหนึง่ ว่าเป็นรากทีห่ ยัง่ ลึกลงกลางใจของชาวบ้าน เจริญงอกงาม ด้วยความเอาใจใส่ ความทุม่ เททัง้ แรงกายและแรงใจ ท�ำให้ตน้ ไม้ตน้ นีย้ นื ต้นด้วย


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

101

ความมั่นคง หากมีสิ่งใดมากระทบก็พร้อมที่จะเผชิญกับสิ่งนั้นอย่างเต็มก�ำลัง เพื่อรักษาไว้ซึ่งวิถีชีวิตของความเป็นชาวบ้านอย่างแท้จริง และในส่วนของการ ท�ำนา ผูค้ นส่วนใหญ่อาจเพียงมองแค่วา่ เป็นอาชีพทีต่ อ้ ยต�ำ่ เป็นอาชีพไม่มเี กียรติ แต่เราเป็นคนหนึ่งที่รู้ดีกว่า การท�ำอาชีพนี้ค�ำว่าเกียรติไม่ส�ำคัญ สิ่งที่ส�ำคัญคือ การพยายามท�ำอย่างดีที่สุด เพื่อให้ผู้อื่นมีชีวิตรอด แม้ว่าตัวเองจะต้องทนกับ ความทุกข์ยาก ตัวเขาก็ทนได้ เพือ่ แลกกับรอยยิม้ แห่งความสุข รอยยิม้ แห่งความ สดใส เพื่อแลกกับความภาคภูมิใจที่ได้เป็นกระดูกสันหลังของชาติ แค่นั้นก็พอ เพียงและคุ้มค่าแล้ว ส่วนสินค้าที่สร้างชื่อเสียงให้กับชุมชนก็คือ ส้มแขก เละทุเรียนกวน ความใกล้ชิดกับธรรมชาติ ความคุ้นเคยกับล�ำธารสายเก่าท�ำให้ ชาวบ้านสามารถเรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างในการด�ำเนินชีวิตได้รู้จักการเอา ต้นทุนเดิมที่มีคุณค่าใช้ประโยชน์ และสร้างชื่อเสียงแก่ชุมชน ซึ่งเป็นภูมิปัญญา ทีค่ นในชุมชนได้เรียนรูจ้ ากประสบการณ์ของชีวติ ไม่เพียงแค่ในชุมชนเรา แต่ยงั มีชมุ ชนอืน่ ทีม่ สี นิ ค้าสร้างชือ่ เสียงให้กบั ประเทศ เช่น เรือกอและจ�ำลอง เป็นเรือ มีลักษณะเป็นเรือยาวที่ต่อด้วยไม้กระดานโดยท�ำให้ส่วนหัว และท้ายสูงขึ้น จากล�ำเรือ เพื่อให้ดูสวยงาม และนิยมทาสีแล้วเขียนลวดลายด้วยสีฉูดฉาด เป็นลายไทย หรือลายอินโดนีเซียซึ่งเป็นศิลปะพื้นบ้านที่งดงามที่ชาวบ้าน ประดิษฐ์ขึ้นมา และยังมีใบสีทอง เป็นพันธ์ุไม้ที่มีต้นก�ำเนิดเขตป่าทึบ มีไม้เถา ขนาดใหญ่ ใบอ่อนมีขนสีนำ�้ ตาลแดง มหัศจรรย์หนึง่ เดียวในโลก ทีป่ ระชาชนน�ำ มาใช้ส�ำหรับประดับบ้านและเป็นของที่ระลึก นี้คือการท�ำอาชีพแบบบ้านๆ แต่กลายเป็นสินค้าทีต่ อ้ งการของตลาดในประเทศและประเทศเพือ่ นบ้าน ซึง่ สิง่ เหล่านี้ท�ำให้ชุมชนมีภาพอุดมสมบูรณ์ด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ มิตรภาพ มากด้วยความสงบและร่มเย็น คนในอดีตได้เล่าต่อกันมาเสมอว่า ถ้ารุ่นลูก รุ่นหลาน มีอายุยืนยาวไปทุกคนจะได้เรียนรู้ว่า บ้านคือที่พึ่งส�ำหรับเราได้ดีที่สุด ชุมชนบูกิตเป็นชุมชนที่ก�ำลังพัฒนาไปทีละก้าวทีละขั้น และจะค่อยพัฒนาไป


102

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

เรื่อยๆไม่มีวันหยุดนิ่ง เพราะเราเชื่อว่า อะไรก็ตามที่มีความหยุดนิ่ง นั้นแสดง ความหมายให้เห็นว่า...มันวิ่งอยู่ที่เดิม. ก็คือว่า ไม่เจริญ...สิ่งเดียวที่เราในฐานะ ลูกหลานและเป็นคนในชุมชนนี้พอจะท�าได้บ้าง ก็คงเป็นเพียงการพยายาม ด�ารงตนในสังคมนี้ด้วยหนทางที่ถูกต้องดีงาม ความรักความเอื้ออาทรระหว่าง กันในหมู่คนเป็นบ่อเกิดของความสงบและสีสันแก่สถานที่อยู่ ไม่ว่าจะเป็นแห่ง หนใดก็ปรากฏสิง่ นี้ แม้วา่ จะมีเหตุการณ์เลวร้าย ย�า่ แย่ ลึกเพียงใด เราก็สามารถ ด�ารงอยูไ่ ด้อย่างมีความสุข และอีกสิง่ หนึง่ ทีท่ า� ให้เรารักและมิอาจลืมชุมชนนีไ้ ด้ คือ การได้เห็นความรักความสามัคคี แนวทางและวิถีการด�าเนินชีวิตของ ชาวบ้านที่แสนจะเรียบง่ายแต่อยู่บนหลังเศรษฐกิจพอเพียงประกอบกับมี วัฒนธรรมที่เป็นแนวทางและเป็นหลักที่ใช้ยึดเหนี่ยวจิตใจในการด�าเนินชีวิต ประจ�าวัน เราโชคดีที่ได้เกิดมาเป็นเจ้าของทรัพย์อันมหัศจรรย์ ก็ทรัพย์อะไรเล่า จะล�้าค่าน่าหวงแหนไปกว่า ความสวยงามตระการตาของธรรมชาติที่อุดม สมบูรณ์ ทัง้ ภูเขาเขียวขจี น�า้ ใสสายธารน้อยใหญ่ไหวทางหล่อเลีย้ งชีวขี องเราทุก คนเป็นมาแต่ชา้ นาน ชุมชนจะดีได้คงไม่ได้อยูแ่ ค่เพียงทรัพย์ในดินสินในน�า้ ทีอ่ ดุ ม สมบูรณ์เพียงอย่างเดียว แต่แน่นอนว่าจะเกิดชุมชนดีได้กต็ อ้ งประกอบกับการมี คนดีอาศัยอยูใ่ นชุมชนนีด้ ว้ ยเช่นกันรวมทัง้ ศิลปวัฒนธรรมทีป่ ระณีตละเอียดอ่อน ความสวยงามของจิตใจของผูค้ นทีน่ ดี้ งั่ น�า้ ใสทีไ่ หลเอือ่ ยตลอดเวลา เพือ่ หล่อเลีย้ ง ชุบชีวิตให้ชุ่มชื้น ความรัก ความผูกพัน ความห่วงใย ที่ทุกคนมีให้แก่กันคือ ภาพที่น่าจดจ�าที่มิอาจลืมไปได้เลย


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

103

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา เด็กหญิงซารีนา สาแล

จังหวัดชายแดนภาคใต้ อันประกอบด้วย จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดนราธิวาส จังหวัดสตูล และบางอ�ำเภอของจังหวัดสงขลา มีอัตลักษณ์ พิเศษ เนื่องจากประชาชนเป็นชนชาติพันธ์ุมลายูและนับถือศาสนาอิสลามเป็น ส่วนใหญ่ จึงมีขนบธรรมเนียมประเพณี วิถชี วี ติ ภาษา และวัฒนธรรมทีแ่ ตกต่าง จากจังหวัดอื่นๆทางภาคใต้ ซึ่งอัตลักษณ์พิเศษเฉพาะนี้ จึงเป็นพื้นที่ที่สะท้อน ความแตกต่างและสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจน ซึ่งหลายคนอาจจะเคยได้ยิน บทเพลงบทหนึ่งร้องไว้ว่า “ โอ้...โอ้...สลาแต รูเมาะกีตอ นีบงยะลา โกตา บือรูแม โอ้...โอ้...สลาแต รูเมาะกีตอ บูเกะ สูงัย กายูกาแย บึรยาแลแน สลาแต รูเมาะกีตอ (ซ�้ำ) ปัตตานี นือการอ ยังมัสโฮ อาดอดืองัน ซาโย สาแต แจนอ ดอดอ บือดีเกบาระ บูดายอ กีตอ บึรซูกอรียอ กีตอ สามอ สามอ โอ้ นารอ บันดา ยังกายอ อาดอนัด ยีงอ ตือปะ ญูวาบือลี บูเกะตายง ปาโจ รามัย ฮารี ฮารี มารีกีตอ ปืรฆี นารอ สามอ

อาดอ โอแร สาแก ฮีแต ราโมะปาแย ยาลากีตอ อาดอ เมาะจิ กะแว มารีกีตอ สีแป สลาตัน รูเมาะกี่ตอ กาวาแส สือฆอรอ รามัย โอรัง มูดอ มูกัตยาลอ ตือปี กัวลอตีบอ นาวี สือบายอ โอรัง โมตังบลากอ มารีกีตอ จือรีตอ สือฆอรอ วีลายะห์ กีตอ วีลายะห์ สตูล รามัย โอรังมลายู ทุ่งว้า ละงู โอรัง ตีนอ ลาวา มารีกีตอ บาเกะ สือมูลา ปาตานี นารา ยาลา รูเมาะกีตอ ”


104

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

บทเพลงบทนีพ้ สี่ าวของฉันเล่าให้ฟงั ว่าเป็นความทรงจ�ำดีๆ ครัง้ ทีพ่ สี่ าว เข้ามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ใหม่ ๆ ได้เข้าร่วมโครงการค่ายพัฒนาเยาวชน สูอ่ ดุ มศึกษาเมือ่ ปี ๒๕๔๙ รุน่ พีม่ หาวิทยาลัยพยายามถ่ายทอดให้รนุ่ น้องๆได้ฟงั ได้ร้อง ได้เข้าใจ ให้ส�ำนึกรัก และห่วงแหนบ้านเกิดถิ่นใต้ของเรา จากบทเพลงนี้ ได้สะท้อนให้เราได้เห็นถึงขนบธรรมเนียมประเพณี วิถชี วี ติ ความเป็นอยูข่ องชาว มลายูได้อย่างดีเนื้อหาในบทเพลงเริ่มต้นเพลงโดยการกล่าวถึง ๕ จังหวัด ชายแดนใต้บ้านเรานั้นมีของดีมากมายมีทั้งภูเขา แม่น�้ำ พันธ์ุไม้นานาชนิด อยากจะเชิ ญ ชวนให้ ม าท่ อ งเที่ ย วปั ก ษ์ ใ ต้ เช่ น จั ง หวั ด ปั ต ตานี คนมลายู จะเรียกว่า ปาตานี เป็นจังหวัดที่มีชื่อเสียงมีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาท่องเที่ยว มาท�ำงาน ซื้อขายสินค้าต่างๆนานา เช่น ( ซาโย หมายถึง แกงกะทิที่ใส่ผักผล ไม้นานาชนิด สาแต หมายถึง กะทิ แจนอ หมายถึง ขนมลอดช่อง ดอดอ หมายถึง ขนมไทยชนิดหนึง่ รสชาติคล้ายกับขนมกะละแม แต่มสี ดี �ำออกสีนำ�้ ตาล เข้ม ซึ่งท�ำมาจากแป้งข้าวเจ้าผสมกะทิ มะพร้าวและน�้ำตาลแว่นกวนให้เข้ากัน ) อีกทั้งยังมีการละเล่นที่เรียกกันว่า บือดีเกบาระหรือดีเกฮูลู ซึ่งเป็นการละเล่น พื้นบ้านแถบจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ได้รับความนิยมมากของชาวไทยมุสลิม มักจะใช้แสดงในงานมาแกปูโละ (งานแต่งงาน) งานเข้าสุหนัด งานเมาลิด งานฮารีรายอแล้ว ค�ำว่า “ลิเก” หรือ “ดิเกร์” เป็นศัพท์เปอร์เซีย มีความหมาย ๒ ประการ คือ ๑. เพลงสวดสรรเสริญพระเจ้า ซึ่งเรียกการสวดดังกล่าวนี้ว่า “ดิเกร์เมาลิด” ๒. กลอนเพลงโต้ตอบ นิยมเล่นกันเป็นกลุ่มคณะ เรียกว่า “ บือดีเกบาระหรือดีเกฮูลู ” บ้างก็ว่าได้รับแบบอย่างมาจากคนพื้นเมืองเผ่า ซาไก เรียกว่า มโนห์ราคนซาไก บ้างก็ว่าเอาแบบอย่างการเล่นล�ำตัดของไทย ผสมเข้าไปด้วย นี่คือความหมายที่มาจากฟากนักวิชาการ ทว่า ในความเชื่อ ของชาวบ้านอย่าง เจะปอ สะแม หัวหน้าคณะลิเกแหลมทราย อ�ำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี ที่โด่งดังมาจากภาพยนตร์โฆษณาชุด ‘ส�ำนึกรักบ้านเกิด’


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

105

กลับต่างออกไป โดยเจะปอให้ความหมายว่า “ฮูลู หมายถึง คนที่อยู่ห่างไกล ความเจริญ เช่น อยู่เชิงเขา อยู่ห่างทะเล นี่คือฮูลู เพราะฉะนั้นลิเกฮูลูจึงเป็นการ ละเล่นของคนที่อยู่ห่างไกล แต่ในมาเลย์เรียกบือดีเกบาระซึ่งบาระแปลว่า ทิศตะวันตก คือคนมาเลย์รับศิลปะนี้ไปจากปัตตานี ที่อยู่ทางทิศตะวันตกของ เขา ที่มาเลย์เลยเรียกว่า บือดีเกบาระหรือลิเกปารัต แต่รูปแบบไม่ต่างกันเลย” หัวหน้าคณะคนเดิมเล่าว่า การแสดงดีเก มีตน้ เค้ามาจากการละเล่นของชาวบ้าน ทีเ่ หน็ดเหนือ่ ยจากการท�ำงานในแต่ละวัน และมีกจิ กรรมร่วมกันคือการร้องเพลง ในตอนเย็น อุปกรณ์ให้จังหวะคือภาชนะที่หาได้ใกล้มือ จ�ำพวก หม้อ กระทะ คนหนึ่งร้อง คนหนึ่งเคาะ อีกหลายๆ คนช่วยกันประสานเสียง ต่อมาก็พัฒนา ให้มีเครื่องดนตรี ที่ใช้กันทั่วไปคือ ฆ้อง ขลุ่ย และร�ำมะนา ส�ำหรับรูปแบบการ ละเล่น จะคล้ายกับการแสดงล�ำตัดหรือเพลงฉ่อยในภาคกลาง กล่าวคือ การตั้ง วงของแต่ละคณะ จะมีสมาชิกที่เป็นลูกคู่ประมาณ ๑๐ คนขึ้นไป ผู้ร้องเพลง และผูข้ บั ร้องมีประจ�ำคณะอย่างน้อย ๒-๓ คน และถ้าผูช้ มคนใดสนใจอยากร่วม แสดง หรือเสนอความคิดเห็น ก็สามารถขึ้นไปสมทบบนเวทีได้ ส่วนเครื่องแต่ง กายจะนิยมใช้เสื้อผ้าสีสันสดใส เดิมมีผ้าโพกหัว สวมเสื้อคอกลม และนุ่งโสร่ง แบบมุสลิม มีบางครั้งที่อาจจะเหน็บขวานมาแสดง ทั้งนี้เพื่อข่มขวัญคู่ต่อสู้ แต่ ใ นปั จ จุ บั น การแต่ ง กายเปลี่ ย นไปตามสมั ย นิ ย ม โดยมากจะแต่ ง กาย เหมือนกันทั้งคณะ เอกลักษณ์ทสี่ �ำคัญอีกประการหนึง่ ก็คอื การขับร้องพร้อมแสดงท่วงท่า ประกอบ “ท่าร่ายร�ำจะบ่งบอกถึงธรรมชาติ และการห่วงหาอาทรต่อกัน เช่น การท�ำมือเป็นลูกคลื่น ท่ากวักมือเพื่อชักชวนพี่น้องที่ไปอยู่ในมาเลเซียให้กลับ มายังบ้านเกิด ท่าปลาแหวกว่าย ท่าชักอวน คือจะประกอบกับการตบมือ เป็นจังหวะให้เกิดความสนุกสนานเนื้อหาที่เอามาร้องโต้กันจะเกี่ยวกับวิถีชีวิต หรืออาชีพ เป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกันเช่นในวีดีโอตัวอย่าง


106

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

จากโฆษณาส�ำนึกรักบ้านเกิด “...บ้านใครใครก็รัก บ้านใครใครก็หวง เต่าเล ปะการัง กุ้งกั้ง เราก็ห่วง โอะ โอ้ โอะ โอ กือเละมารี กลับมา มาช่วยเป็นหู เป็นตา ดูแลทะเลบ้านเรา...” (บือดีเกบาระหรือดีเกฮูลู สืบค้นจากข้อมูล จาก www.pattanitoday.com, www.rakbankerd.com ) การละเล่นบือดีเกบาระหรือดีเกฮูลู เป็นการละเล่นทีใ่ ห้ความสนุกสนาน รื่นเริง ซึ่งพี่สาวของดิฉันเล่าต่อไปว่าพี่และเพื่อนๆได้มีโอกาสเป็นตัวแทน ของนักศึกษามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เมื่อปี ๒๕๕๒ เข้า ร่วมโครงการค่ายเยาวชนสัมพันธ์ป้องกันและปราบปรามทุจริตคอร์รัปชั่น ที่ผึ้ง หวานรีสอร์ทจังหวัดกาญจนบุรี ทางพีโ่ หน่งผูจ้ ดั กิจกรรมค่ายอยากให้พวกพีโ่ ชว์ การแสดงดีเกฮูลู พวกพีๆ่ จึงฝึกซ้อมการแสดงดีเกฮูลู และบทเพลงอนาชีดภาษา มลายู เพื่อไปแสดงในกิจกรรมรอบกองไฟที่ค่ายเยาวชน คืนนั้นทั้ง ๑๐ คน ผู้ชายใส่เสื้อตือโละบือลางอ กางเกง และผูกผ้าโสร่งบาติกที่เอวแล้วโผกผ้าบน ศีรษะส่วนผูห้ ญิงสวมใส่เสือ้ กูรง เพือ่ นๆชอบเสือ้ ผ้าทีพ่ ๆี่ สวมใส่ตา่ งพากันขอถ่าย รูปกับพวกเรา การแสดงของพวกเราได้รับค�ำชื่นชม เพื่อนๆ แสดงดีเกฮูลู ตามพวกพี่ๆ รอบกองไฟและหลังจากการแสดงสิ้นสุดลงได้รับเสียงปรบมือจาก ผูจ้ ดั กิจกรรมและเพือ่ นๆ ทีม่ าจากหลายๆ สถาบันในประเทศไทย ฉันรูส้ กึ ภูมใิ จ อย่างมากที่พวกพี่ๆได้น�ำการแสดงศิลปะพื้นบ้านชายแดนใต้ไปเผยแพร่การ แสดง ขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมของชาวมลายูมุสลิมภาคใต้ ปัจจุบัน นี้จะเห็นได้ว่าเยาวชนรุ่นใหม่หันมาสนใจการละเล่นดังกล่าวมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่ง ในสถานศึกษาหลายแห่งทางภาคใต้ได้จดั หลักสูตรท้องถิน่ จัดการเรียนการสอน การละเล่นดีเกและอื่นๆ ครู อาจารย์ ปราชญ์ชาวบ้าน พ่อแม่ ผู้ปกครอง หน่ ว ยงานต่ า งๆ ก็ ใ ห้ ก ารสนั บ สนุ น จนกระทั่ ง มี ก ารจั ด แข่ ง ขั น การแสดง ดังกล่าวขึ้นอย่างต่อเนื่องในงานวัฒนธรรมที่มอ.ปัตตานีจัดขึ้นทุกๆ ปีฉันก็เคย ไปดูมาแล้วสนุกมาก


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

107

ความสนุ กยั งไม่ ได้มี เท่ านี้ แต่ ฉัน อยากให้ทุ กคนท� ำ ความรู้ จัก กับ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ของเราก่อน เริ่มจากจังหวัดปัตตานีประกอบด้วย อ�ำเภอเมืองปัตตานี สายบุรี ทุ่งยางแดง ยะหริ่ง ยะรัง โคกโพธิ์ มายอ หนองจิก แม่ลาน อาชีพหลักของประชาชนส่วนใหญ่คล้ายๆ กันในทุกจังหวัด เช่น กรีดยางพารา ท�ำนาท�ำสวนผลไม้พื้นถิ่นทั้งทุเรียน มังคุด เงาะ ลองกอง ลูกู ลางสาด ฯลฯ ค้าขาย รับราชการ สถานทีท่ อ่ งเทีย่ วทีน่ า่ สนใจ เมืองโบราณ ยะรั ง มั ส ยิ ด กรื อ เซะ มั ส ยิ ด กลางปั ต ตานี น�้ ำ ตกทรายขาว หาดแฆแฆ หาดตือโละกาโปร์ กุโบร์โต๊ะปันยัง อุทยานศึกษาธรรมชาติแหล่งป่าชายเลน อ�ำเภอยะหริ่ง สวนสมเด็จ หอศิลปวัฒนธรรม นอกจากนี้ยังมีสถาบันการศึกษา ที่โด่งดังในจังหวัดชายแดนใต้นั้นคือมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขต ปัตตานี จังหวัดปัตตานี จึงไม่เคยเงียบเหงา ถึงแม้ว่านับตั้งแต่เหตุการณ์ ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนใต้ปะทุขึ้นในปี ๒๕๔๗ “ ไฟใต้ ” แต่ประชาชน ไม่เคยหวั่นกลัวจนต้องอพยพย้ายถิ่นฐานไปที่อื่นไม่ ยังคงอาศัยอยู่ในพื้นที่ และต่างก็ต้องด�ำเนินชีวิตต่อไป ในส่วนของจังหวัดนราธิวาสก็เช่นกันไม่ได้ แตกต่างไปจากจังหวัดปัตตานี จังหวัดนราธิวาสคนมลายูจะเรียกว่า นารอ ( บันดา ยังกายอ หมายถึง เป็นจังหวัดที่ร�่ำรวย มีชื่อเสียง) เพราะมีการค้าขาย สินค้ามากมาย และติดต่อแลกเปลีย่ นสินค้ากับประเทศมาเลเซียจึงรับวัฒนธรรม มาด้วย มีอ�ำเภอเมืองนราธิวาส ยี่งอ ระแงะ บาเจาะ สุไหงปาดี สุไหงโกลก ตากใบ “อาดอนัด ยีงอ ตือปะญูวาบือลี ” หมายถึง มีตลาดนัดทีม่ ชี อื่ คือ ตลาด ยีง่ อ เป็นสถานทีค่ า้ ขายและมีสถานทีท่ อ่ งเทีย่ วทีน่ า่ สนใจคือ บูเกะตายง น�้ำตก ปาโจ ผู้คนมาเที่ยวไม่ขาดสาย มัสยิดตือโละมาเนาะที่สร้างด้วยไม้ทั้งหมด ไม่ได้ตอกด้วยตะปู หาดนาราทัศน์ ฯลฯ จังหวัดยะลา คนมลายูจะเรียกว่า นีบง เป็นจังหวัดทีมีพื้นที่กว้างขว้าง มีผู้คนมากมาย มีอ�ำเภอเมืองยะลา ยะหา รามัน กรงปีนัง บันนังสตา ธารโต เบตง โกตาบารู บือรูแม อีกทั้งยังมี


108

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

“โอแร สาแก หมายถึง คนซาไก” “ ฮีแต ราโมะปาแย ” หมายถึง ตัวด�ำผม ยาว มี “เมาะจิ กะแว หมายถึง พี่ ป้า น้า อา” สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ สวนขวัญเมือง สนามช้างเผือก ( บ่อน�้ำพุร้อน ถ�้ำปิยะมิตร สวนดอกไม้เมือง หนาวทีเ่ บตง) ซึง่ ดิฉนั เคยไปเทีย่ วมาแล้วสวยงามมากไม่นกึ ว่าทีจ่ งั หวัดชายแดน ใต้ของเราจะมีสวนแบบนี้ด้วยยิ่งตอนนี้สวนแห่งนี้ได้ท�ำที่พักให้กับนักท่องเที่ยว ที่ ม าแวะเที่ ย วชมได้ ค ้ า งคื น พั ก แรมรั บ อากาศหนาวเย็ น ของอ� ำ เภอเบตง ดิฉันอยากเชิญชวนมาเที่ยวชมที่นี่รับรองว่ามาแล้วต้องประทับใจ ที่ส�ำคัญ ราคาไม่แพงเลย จังหวัดสงขลา คนมลายูจะเรียกว่า สือฆอรอ “ รามัย โอรัง มูดอ หมายถึง เป็นจังหวัดที่เต็มไปด้วยคนหนุ่มสาว” มีอ�ำเภอเมืองสงขลา หาดใหญ่ สะเดา นาทวี ระโนด สทิงพระ จะนะ เทพา สะบ้าย้อย รัตภูมิ สิงหนคร ควนเนียง “ มูกัตยาลอ กัวลอตีบอ หมายถึง ท�ำประมงที่เทพา” “โมตัง หมายถึง ท�ำสวนยางพารา โดยเฉพาะที่อ�ำเภอนาทวี สะบ้าย้อย สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ แหลมสน หาดสมิหลา เกาะหนู เกาะแมว เกาะยอ ทะเลสาบสงขลา พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ น�้ำตกโตนงานช้าง สถานทีอ่ นุรกั ษ์สตั ว์นำ�้ สวนสาธารณะสงขลา เมืองหาดใหญ่ ตลาดการค้าเปิด ท้ายหาดใหญ่ อะควอเรียม ไอซ์โดม สวนสัตว์สงขลาและสวนน�ำ้ น�ำ้ ตกบริพตั ร สะพานติณสูลานนท์ หาดแก้ว ตลาดน�้ำคลองแห มัสยิดบ้านเหนือ ตอนที่ดิฉัน เป็นนักศึกษาฝึกสอน ฉันและคณะครูได้มีโอกาสพานักเรียนโรงเรียนตลาดนัด บาซาเอไปจัดค่ายอบรมคุณธรรมจริยธรรมทีห่ มูบ่ า้ นมัสยิดบ้านเหนือ ทีน่ มี่ มี สั ยิด แห่งหนึ่งชาวบ้านเรียกกันติดปากว่ามัสยิดบ้านเหนือ เป็นทั้งมัสยิด โรงเรียน จัดการเรียนการสอนเด็กก่อนวัยเรียน ตาดีกา ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนและ หน่วยงานหรือองค์กรในหมูบ่ า้ นก็ตงั้ อยูท่ นี่ เี่ ช่นกันผูค้ นร่วมมือกันท�ำงาน อีกทัง้ ยังจัดบริการเป็นสถานที่จัดค่าย ห้องประชุม สัมมนา อบรม บรรยาย มีที่พัก และห้องน�้ำบริการคนที่มาเที่ยวพัก และจังหวัดสตูล คนมลายูจะเรียกว่า สตูง


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

109

มีคนมลายูอาศัยเป็นจ�ำนวนมาก มีอ�ำเภอเมืองสตูล ทุ่งว้า ละงู ควนกาหลง ควนโดน (โอรัง ตีนอ ลาวา หมายถึง มีผู้หญิงที่หน้าตาสวยงาม) อาชีพหลัก ท�ำนา สวนยางพารา มะพร้าว ประมง ท�ำไม้กวาด หัตกรรมจักสาน ค้าขายสิ้น ค้าบริเวณแถบชายแดนสุดเขต “วังประจัน” ซึง่ ติดต่อกับประเทศมาเลเซีย สถาน ที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ อุทยานแห่งชาติตะรุเตา น�้ำตกโตนงาช้าง บ่อน�้ำร้อนที่ ต�ำบลทุง่ นุย้ อุทยานแห่งชาติทะเลบัน อุทยานแห่งชาติหมูเ่ กาะเภตรา หาดปาก บารา ถ�้ำภูภาเพชร เป็นต้น ส่วนตัวฉันเองจะรู้จักคุ้นเคยกับจังหวัดปัตตานีเพราะเติบโตมาใน จังหวัดปัตตานี อยู่อ�ำเภอยะรัง ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ กับตัวเมืองจังหวัดปัตตานี ชื่อหมู่บ้านบินยาลีมอ ใกล้ๆ บ้านของฉันนั้นมีเมืองโบราณยะรัง ชาวบ้านที่นี่ จะเรียกว่าบ้านจาเละ มีลักษณะเป็นเหมือนซากอาคารที่ก่อสร้างด้วยอิฐ และมี ซากของโบราณวัตถุจำ� นวนมาก พ่อของฉันเคยท�ำงานเป็นช่างขุดทีเ่ มืองโบราณ แห่งนี้ พ่อเล่าให้ฟงั ว่าสมัยก่อนทีน่ เี่ ป็นเมืองๆ หนึง่ มี ราญอฮีเญา ราญอแมเราะ ฮฺ ราญอบีรูเป็นผู้ปกครองเมือง (ชื่อเรียกราชาหรือเจ้าเมืองที่ชาวบ้านใช้เรียก ในสมัยนัน้ ) เจ้าเมืองนับถือศาสนาอิสลาม การเมือง เศรษฐกิจ การค้าในแถบนี้ เข้มแข็ง ศาสนาอิสลามได้เจริญรุง่ เรืองขึน้ ควบคูไ่ ปกับการค้า มีการก่อสร้างมัสยิด ขึน้ เพือ่ ใช้เป็นทีป่ ระกอบศาสนกิจ มัสยิดทีส่ ำ� คัญคือ มัสยิดกรือเซะ ซึง่ เป็นมัสยิด ใหญ่ประจ�ำเมือง และมัสยิดบ้านดาโต๊ะ บริเวณที่เป็นท่าเรือทางตอนเหนือของ อ่าวปัตตานี นอกจากนั้นยังมีมัสยิดและสุเหร่าในเขตชุมชนอิสลามถูกสร้างขึ้น อีกหลายแห่งอย่างทีเ่ ราได้เห็นในปัจจุบนั นี้ ถ้ากล่าวถึงชุมชนอิสลามปัจจุบนั เรา จะนึกถึง เห็นภาพ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวมุสลิมที่นับถือ ศาสนาอิสลามอย่างน่าสนใจซึ่งแตกต่างจากชาวอื่นๆ ชาวมุสลิมทางภาคใต้ เป็นเชื้อชาติไทย สัญชาติไทย นับถือศาสนาอิสลาม สังคมไทยยังรู้จักวัฒนธรรม มลายูมสุ ลิมในจังหวัดชายแดนใต้นอ้ ยมาก ทัง้ ภาษาซึง่ ชาวมุสลิมใช้ภาษามลายู


110

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

สื่อสารระหว่างมุสลิมด้วยกัน นับถือศาสนาอิสลามมีพระเจ้าองค์เดียวกันคือ อัลลอฮฺ ด�ำเนินวิถีชีวิตในขอบเขตของศาสนา ความไม่รู้จัก ไม่เข้าใจท�ำให้เกิด ช่องว่างระหว่างคนในสังคมไทยขึ้น แต่มันคงไม่อยากหากเราจะท�ำความรู้จัก และเข้าใจคนใน ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยการมาเที่ยว สัมผัสกับชุมชน มุสลิมชาวใต้หรือศึกษาค้นคว้าจากต�ำรา หนังสือ สือ่ ต่างๆ ซึง่ ฉันได้อา่ นหนังสือ เล่มหนึ่งในห้องสมุดของโรงเรียนครั้นเรียนประถมศึกษา ฉันอยากจะแนะน�ำ หนังสือเล่มนีใ้ ห้แก่ทา่ นผูอ้ า่ นได้อา่ นแล้วจะได้เข้าใจวิถชี วี ติ ในท้องถิน่ ความเป็น อยู่ของ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ง่ายมากยิ่งขึ้น นั่นคือ หนังสือทักษะ วัฒนธรรมคูม่ อื วิธกี ารขัดกันฉันมิตรชายแดนใต้ ของอาจารย์แพร ศิรศิ กั ดิด์ ำ� เกิง ภาควิ ช ามานุ ษ ยวิ ท ยา มหาวิ ท ยาลั ย ศิ ล ปากรเป็ น ผู ้ เขี ย น จั ด พิ ม พ์ โ ดย ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร, ๒๕๕๒ เนื้อหาในเรื่องจะน�ำเสนอถึงวัฒนธรรม และวิถีชีวิตของผู้คนใน ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งชาวไทยพุทธ มุสลิมและ จีน โดยเฉพาะชาวมุสลิมนับถือศาสนาอิสลามนับตั้งแต่เกิดมา แต่ฉันอยาก จะน�ำเสนอเพิ่มเติมเกี่ยวกับก่อนที่จะมีเด็กทารกเกิดขึ้นมานั้นพ่อกับแม่เล่าว่า ผู้เป็นพ่อแม่ของเด็กนั้นต้องนิกะฮฺกันก่อน (แต่งงาน)อย่างถูกต้องตามหลักการ ศาสนา ไม่ใช่ท้องก่อนแต่งเพราะหากเป็นเช่นนั้นหมายถึงว่าบุคคลผู้นั้นได้ทำ� ซินา (ผิดประเวณี) ซึ่งศาสนาห้ามปรามอย่างยิ่ง และเมื่อมีเด็กทารกมุสลิมเกิด ผู้เป็นพ่อต้องอาซานที่หูข้างขวา อีกอมะฮฺ ที่หูข้างซ้าย พออายุได้ ๗ วันก็จะ แงเกาะและเข้าสุนัตส�ำหรับเด็กผู้หญิง ส�ำหรับชาวพุทธก็จะพาเด็กขึ้นเปล เปิดปาก พาเด็กลงเปล เมือ่ เด็กมุสลิมอายุได้ ๗ ปีตอ้ งฝึกหัดให้สมาแย (ละหมาด) และวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี วิถีการด� ำเนินชีวิตอื่นๆ อีกมาก ซึ่งหากท่านผู้อ่านที่สนใจสามารถหาอ่านได้ นอกจากนี้ การจัดการศึกษาใน พื้นที่นี้จะมีการเรียนการสอนด้านศาสนาอิสลามด้วยเห็นได้จากในโรงเรียน ของรัฐจัดการเรียนการสอนอิสลามศึกษาแบบเข้มในโรงเรียนเพื่อให้เด็กมุสลิม


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

111

ได้เรียนรู้เกี่ยวกับศาสนาอิสลาม อีกทั้งยังมีโรงเรียนตาดีกาสอนศาสนาเรียน วันเสาร์ วันอาทิตย์ สอนหลักการอ่านอัลกุรอาน กีรออาตี นอกจากนีย้ งั มีสถาบัน การศึกษาปอเนาะ โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาควบคู่กับสามัญ และในระดับ มหาวิทยาลัยก็มีเช่นกัน ที่วิทยาลัยอิสลามศึกษา มอ.ปัตตานี มหาวิทยาลัย อิสลามยะลา ที่ต�าบลโสร่ง และมหาวิทยาลัยนราธิวาส ดังนั้นจะเห็นได้ว่าจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ได้ล้าหลัง ถึงแม้จะเกิด เหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่อย่างต่อเนื่องจนถึงขณะนี้ แต่ก็ไม่ได้ส่งผลท�าให้ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี วิถีการด�าเนินชีวิตของชาวไทยมุสลิม และชาวไทยพุทธที่อยู่ร่วมกันในพื้นที่ต้องห่างหายไป แต่กลับท�าให้มีผู้คน อยากท�าความรู้จักและเข้าใจพวกเรามากขึ้นเพื่อต้องการให้เกิดความสงบสุข ในการอยู ่ ร ่ ว มกั น ของชนชาวไทยทุ ก คนที่ อ าศั ย อยู ่ บ นพื้ น แผ่ น ดิ น ของ ประเทศไทย ฉันคิดว่าอีกไม่นานสถานที่ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้จะได้รบั ความ สนใจจากผู้คนทั้งในประเทศ และประเทศเพื่อนบ้านมาเที่ยวกันมากยิ่งขึ้น เพราะเราก�าลังจะเข้าสูป่ ระชาคมอาเซียนในอีกไม่กปี่ ขี า้ งหน้า หากเราดูประเทศ ในอาเซียนหลายประเทศมีประชากรทีน่ บั ถือศาสนาอิสลามเหมือนกับเราอีกทัง้ ยังใช้ภาษามลายูติดต่อสื่อสารได้ จึงเป็นเรื่องง่ายที่จะได้เข้าใจกันและกัน ฉันขอพร (ดุอาอฺ) จากเอกองค์อัลลอฮฺพระเจ้าของฉันให้ปกป้อง คุ้มครอง ทุกคนให้รอดพ้นจากสิง่ ทีไ่ ม่ดี หรือความชัว่ ร้ายทีเ่ กิดขึน้ บนโลกนีข้ อให้ทกุ คนมี ความสุขความเจริญ ประพฤติปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เยาวชนรุ่นหลัง ได้สบื ทอดศาสนา วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี วิถกี ารด�าเนินชีวติ ต่อไป และปฏิ บั ติ คุ ณ งามความดี ใ ห้ ม ากเมื่ อ ตอนมี ชี วิ ต อยู ่ เ พื่ อ ที่ พ ระเจ้ า จะทรง ตอบแทนความดีทเี่ ราได้กระท�าไว้ครัง้ ยังมีชวี ติ บนโลกนีใ้ นโลกอาคีรตั (โลกหน้า เป็นโลกที่ถาวรเป็นโลกที่ช�าระความดีความชั่ว) และขอให้ทุกคนช่วยกันดุอาอฺ ต่ออัลลอฮฺให้ชายแดนใต้ของเราเกิดความสงบสุข สันติ กันเถิด


112

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา เด็กหญิงซูลฟา ยอเเม็ง

จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ซึ่งประกอบด้วยสงขลา สตูล ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส เป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรต่างๆ ทั้งยางพารา นาข้าว สวนลองกอง ทุเรียน ฯลฯ ผู้คนที่มีน�้ำใจ มีไมตรี มีความ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้กันและกัน ภายใต้ความหลากหลายทางวัฒนธรรมเป็นเวลา ยาวนาน เอกลักษณ์ที่ส�ำคัญของพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้คือ มีผู้คนนับถือ ศาสนาอิสลามเป็นจ�ำนวนมาก ถึงกระนั้นพี่น้องประชาชน ในพื้นที่โดยเฉพาะ เยาวชนรุ ่ น ใหม่ที่จะเป็นก�ำลังในการพัฒนาประเทศ ยังมีความรู้เกี่ยวกับ ศาสนาอิสลามและวิถีชีวิตมุสลิมไม่มากนัก อาจโดยคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว เป็นเรือ่ งทีย่ ากแก่การเข้าใจ รวมไปถึงการเผยแพร่อยูใ่ นวงจ�ำกัด จึงท�ำให้เราซึง่ อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้ไม่สามารถอธิบายแก่คนต่างพื้นที่ได้เข้าใจถึงความเป็นไป เหล่านี้ เราจึงต้องไม่หยุดที่จะศึกษาหาความรู้ โดยเฉพาะจากการบอกเล่า ของคนเฒ่าคนแก่ซึ่งเปรียบเสมือนปราชญ์ชาวบ้านที่ควรแก่การศึกษาอย่างยิ่ง ฉันมีพี่น้อง ๒ คน ฉันเป็นคนโตที่อาศัยอยู่กับแม่และตากับยายเพราะ พ่อของฉันท�ำงานอยู่ ประเทศซาอุดิอารเบีย จึงไม่แปลกที่ฉันจะได้ฟังเรื่องเล่า จากผู้อาวุโสทั้งสองบ่อยครั้ง ยายเล่าว่า “ อิสลามเป็นชื่อศาสนามีอัลลอฮเป็น พระเจ้า มีนบีมูฮัมมัดเป็นศาสนทูต ผู้นับถือศาสนาอิสลามเรียกว่า “มุสลิม” ถ้าเป็นผู้ชายเรียกว่า มุสลีมีน ส่วนผู้หญิงเรียกว่า มุสลีมะห์ ฉันหมดความสงสัย ไปข้อหนึ่งที่ว่า ฉันชื่อมุสลีมะห์ เพราะฉันเป็นมุสลิมเพศหญิงนี่เอง ยายเล่าว่า อิสลาม หมายถึง การนอบน้อมยอมตนต่อพระประสงค์ของพระเจ้า ผู้ทรงสร้าง


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

113

ทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต อัลลอฮสูงส่งและยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ มนุษย์อย่างเราจะมองเห็นหรือจินตนาการได้ แต่พระเจ้ามีอยู่จริง เช่นเดียวกับ เรารู้ว่าในบรรยากาศนั้นมีอากาศ เรามองไม่เห็นแต่เราสัมผัสได้จากการหายใจ และเมื่อมีลมกระทบร่างกายของเรา ในตอนนี้สมองฉันก็นึกย้อนเวลาพร้อมกับจินตนาการจากค�ำบอกเล่า ของยาย ยายเล่าให้ฟังว่าพ่อแม่ของยายคือทวด ท่านเปิดสอนสถาบันปอเนาะ ชือ่ ปอเนาะฮูแตกอแล ฉันก็พอนึกภาพออกเพราะปอเนาะ สุเหร่า(บาลาเซาะห์) ห้องน�ำ้ ก็ยงั มีใช้จนถึงปัจจุบนั แต่แตกต่างจากปัจจุบนั ยายบอกว่า สมัยประมาณ ๔๐ ปี ผู้คนจากทุกหมู่บ้านต่างสนใจมาปลูกสร้างปอเนาะเล็กๆ เพื่อเป็นที่พัก ชั่วคราวในการศึกษาหาความรู้เรื่องศาสนาจากทวด (พ่อของยาย) ไม่ว่าจะเป็น วัยรุ่น วัยกลางคน หรือคนเฒ่า คนแก่ ก็มาเรียนอัลกรุอาน ละฮาดิษ รวมไปถึง วิชาต่างๆ ทีเ่ กีย่ วข้องกับชีวติ ประจ�ำวัน ยามเช้าๆ คนทีม่ าร�ำ่ เรียนในละแวกใกล้ๆ ก็ไปกรีดยาง ท�ำนา ส่วนลูกๆที่อยู่ในวัยเรียนก็พักที่ปอเนาะไม่อนุญาตให้กลับ บ้านถ้าไม่ครบ ๔๐ วัน เพื่อป้องกันการหนีเรียนหรือเป็นการตกลงให้ปกครอง เข้ า ใจตรงกั น เมื่ อ ถึ ง เดื อ น ๑๐ ของปฏิ ทิ น อิ ส ลามทวดก็ จ ะกวนอาซู ร อ วัยรุน่ ชายก็จะช่วยกวนอาซูรอ ผูห้ ญิงก็จะช่วยเตรียมเครือ่ งปรุงและสลับช่วยกัน กวนเมือ่ ออกมาเป็นกวนอาซูรอก็แจกจ่ายให้ชาวบ้านได้กนิ กันถ้วนหน้า จะเห็น ว่ า คนสมั ย ก่ อ นไม่ ว ่ า จะท� ำ อะไรก็ ต ามก็ ม าจากค� ำ สั่ ง ใช้ ข องคนที่ เรี ย กว่ า “บาบอ”เป็นส่วนใหญ่ บ้านยายฉันซึ่งเป็นลูกของบาบอก็ขายของให้กับโต๊ะปา เก (ผู้ชายที่มาเล่าเรียน) ขายตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบมีทั้งสบู่ น�้ำมัน ข้าวสาร กะโป๊ะ ลูกชิ้น และจะขายข้าวย�ำในตอนเช้า ตอนนั้นแม่ของฉันก็ยังเล็กมากแต่ ยายก็บอกว่าแม่ฉนั ไม่คอ่ ยงอแง แม่ฉนั จะเลีย้ งน้องเพราะยายมีลกู หลายคน และ เมื่อถึงเดือน ๓ ของปฏิทินอิสลามเรียกว่า เป็นเดือนที่ท่านนบีประสูติ เดือนนี้มี ประเพณีการท�ำเมาลิดนบี เมื่อเดือนนี้มาถึงทวดฉันรวมถึงโต๊ะปาเกก็แทบ จะไม่ต้องหุงข้าวเพราะชาวบ้านจะเวียนกันท�ำ เมาลิดที่บ้าน และเรียกบาบอ และโต๊ะปาเกมาร่วมรับประทานอาหารรวมไปถึงดูอาร์ขอพรให้พระเจ้าคุม้ ครอง


114

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

เมื่อถึงเดือนรอมฎอนเป็นเดือนที่ฉันชอบบรรยากาศเดือนนี้มากที่สุด เพราะบา บอจัดตัง้ เวรให้ชาวบ้านปรุงอาหารให้กบั ผูช้ ายทุกบ้านมาละศีลอดทีส่ เุ หร่าพร้อม กับบาบอและโต๊ะปาเก (เรียกว่าบาลาเซาะห์) จากนัน้ ก็ละหมาดมัฆริบพร้อมกัน ถ้าเป็นสมัยฉันเด็กๆ ฉันจะวิ่งเล่นจนเขาอาซานอีซา ฉันก็จะกลับไปอาบน�้ำและ เดินมาบาลาเซาะห์ เพื่อละหมาดอีซาและละหมาดตรอเวียะห์(ละหมาดสุนัต เฉพาะในเดือนรอมฎอนเท่านั้น) ละหมาดรอเวียะห์ จะละหมาด ๒๓ ร๊อกอะห หรือ ๑๑ ร๊อกอะห ก็ได้ แต่ฉันชอบละหมาด ๒๓ ร๊อกอะห พอเสร็จเร็วก็จะรีบ กลับไปนอน เพื่อตื่นกินข้าวหัวรุ่ง ความรู ้ เ ด็ ก อย่ า งฉั น ก็ อ ยากจะไปดู เ พื่ อ ผู ้ ช ายเขาเล่ น จุ ด ประทั ด แต่แม่ห้าม เวลาละหมาดจะได้ยินเสียงคนจุดประทัด บางครั้งฉันตกใจจนอ่าน ฟาตีฮะหผิดๆถูกๆ แต่ก็พยายามละหมาดจนเสร็จ คนที่ละหมาดตรอเวียะห์ ส่วนใหญ่เป็นคนเฒ่าคนแก่ ยายแม่จะละหมาดไม่ขาดเว้นแต่ประจ�ำเดือนมา พอชาวบ้านละหมาดเสร็จจะกินของหวานที่เหลือจากช่วงละศีลอดเพื่อเก็บ ภาชนะล้างให้เรียบร้อย จากนั้นก็แยกย้ายกลับบ้าน ยายเล่าอีกว่าทวดจะสร้างบ้านติดกับบาลาเซาะห์เพราะง่ายต่อการสอน และคุมเด็กปอเนาะ ตากับยายก็รีบกลับบ้านไปนอนเพื่อจะได้ตื่นมากินข้าว ตอนหัวรุ่งประมาณตี ๓ ยายจะเป็นคนตื่นมาท�ำก่อนคนอื่น ทวดฉันจะเป็นคน ที่ให้สัญญาณว่าตื่นมาท�ำกับข้าวได้ โดยตีกลองยาวใหญ่ที่ท�ำจากหนังวัวซึ่ง ปัจจุบันก็ตั้งที่บาลาเซาะห์นั้นแหละ เมื่อถึงเวลาตี ๓ ทวดก็จะตี ๓ ที เป็นการ ให้สญ ั ญาณให้ชาวบ้านตืน่ มาท�ำกับข้าวเพราะสมัยก่อนไม่มไี มโครโฟน ไม่มไี ฟฟ้า ใช้ก็เลยใช้สัญญาณที่ตกลงร่วมกันของชาวบ้าน ยายจะอุ่นอาหารต้มน�้ำด้วยไม้ ฟืนเลยต้องใช้เวลานานหน่อย เสร็จแล้วจะปลุกคนในบ้านให้ตื่นมากินข้าว ฉันรู้ ถึงบรรยากาศทีย่ ายเล่า เวลาหัวรุง่ นัน้ อากาศเย็นแต่ละคนต้องปลุกหลายสิบครัง้ ถึงจะตื่น ถ้าไม่ตื่นก็กลัวจะเหนื่อยเพราะกลางวันต้องอดอาหารและเป็นการ ดี ก ว่ า ถ้ า เราตื่ น เพราะกิ น ข้ า วช่ ว งนี่ ไ ด้ บุ ญ ด้ ว ย ครอบครั ว ยายก็ ตื่ น ทุ ก วั น ลูกๆ ยายที่เล็กๆ ถ้าไม่ปอซอตาก็ให้ตื่นมากินข้าวเฉยๆ บางครั้งอาจจะให้ฝึก


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

115

ปอซอครึ่งวันเช้า พอพักเที่ยงก็กินข้าว กินข้าวเสร็จต่างแยกย้ายไปละหมาด ตะหญุด(ละหมาดซุนนะหในช่วงกลางคืน) และอ่านอัลกุลอาน รอเสียงอาซาน เพื่อละหมาดซุบฮิ (ละหมาดใกล้รุ่งเช้า) โต๊ะปาเกก็พร้อมกันที่บาลาเซาะห์เพื่อ อาซานและอีกอมะห การละหมาดและการอ่านอัลกุรอานในเดือนรอมฎอนนี้ เป็นเดือนทีแ่ ข่งกันท�ำความดี จะเห็นว่าจะมีคนอ่านอัลกุรอานมากกว่าเดือนอืน่ ๆ เราสามารถละหมาดที่บังคับและที่เป็นซุนนะห (ส่งเสริมให้ละหมาด) มากมาย เช่น ละหมาดบังคับมี ๕ เวลา ละหมาดซุนนะหฎฮา ละหมาดตรอเวียะห ละหมาดตะหญูด ละหมาดวีตีร ละหมาดรอวาตีบ ละหมาดวูฎฆ ละหมาด เตาบัต ละหมาดซูโกร เป็นต้น ผูท้ ตี่ อ้ งการใกล้ชดิ กับพระเจ้าสามารถทีจ่ ะท�ำการ ละหมาดได้ โ ดยมี ห ลั ก เกณฑ์ ที่ ต ้ อ งทราบ ซึ่ ง เราสามารถศึ ก ษาจากบาบอ หรือต�ำรา และอัลกุรอาน ในเดือนรอมฎอนผู้คนจะบริจาคทานซื้อน�้ำตาลทราย ลูกอินทผาลัม มอบให้กันและกัน ตกเย็นจะไปช่วยท�ำกับข้าวที่บาลาเซาะห์ใน วันทีเ่ ป็นเวรของเรา วันทีไ่ ม่ใช่เวรก็เข้าครัวทีบ่ า้ นท�ำกับข้าวยายชอบท�ำแกงเต็ม หม้อเพือ่ แจกชาวบ้านใกล้เคียง ญาติพนี่ อ้ งด้วย พอแกงเสร็จยายก็ชอบสัง่ แม่ให้ ไปแจกแกงให้ทวด (แม่ของยาย) ให้น้า ให้อา ให้เมาะลง เมาะแย กะเมาะ แม่ ฉันจะเลือกบ้านที่ไม่ไกลจากบ้านของยายจะได้ไม่ต้องเดินมาก น้องๆของแม่ก็ เช่นเดียวกันเดินพาปิ่นโตแจกจ่ายเช่นเดียวกัน เมื่อมีชาวบ้านเกิดลูกตัวน้อยๆก็จะมาตามทวดให้ไปอาซานและเปิด ปากเด็กทารก เมื่ออายุ ๗ วันก็จะตั้งชื่อ ท�ำการคิตัน(การขลิบอวัยวะเพศหญิง) โกนผมรวมถึงท�ำอาหารกินเลี้ยงเรียกว่า “อากีเกาะฮ” ส่วนเด็กผู้ชายเมื่ออายุ ประมาณ ๗ ขวบ จะเข้าสุนัต (การขลิบปลายอวัยวะเพศชาย) สมัยก่อนต้องนั่ง บนล�ำต้นกล้วยให้หมอชาวบ้านมาขลิบให้ แต่สมัยนีห้ มอสมัยใหม่กส็ ามารถท�ำได้ แต่ในงานเลีย้ งทุกงานก็ไม่พน้ บาบอทีจ่ ะต้องไปอ่านดูอาร์คล้ายๆ กับเปิดประทุน งานเลี้ยงทุกๆงาน เมื่อมีคนแต่งงาน “นีกะฮ” ฝ่ายชายเป็นคนเตรียมสินสอด ฝ่ายหญิง มีวาลี (ผู้ปกครอง) พยาน ๒ คน โต๊ะอิหม่ามหรือบาบอเป็นคนแต่งงานให้โดย


116

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ให้ผชู้ ายกล่าวต่อหน้าพยานและญาติๆและให้ฝา่ ยหญิงฟังและรับค�ำกล่าวนัน่ ถือ เป็นอันเสร็จสิ้น “การนีกาฮ” เป็นการป้องกันไม่ให้กระท�ำการผิดประเวณี “การซินา” เพราะการซินาเป็นบาปใหญ่โทษถ้าเป็นชายโสด หญิงโสด ต้องโบย ร้อยที เมื่อมีคนตายในหมู่บ้านชาวบ้านก็จะช่วยขุดหลุมฝังศพ อาบน�ำ้ ศพ เพื่อท�ำการละหมาดเป็นครั้งสุดท้ายและท�ำการฝังหลุมที่กูโบร์ บ้านยายฉัน สมัยก่อนเมือ่ เป็นคนตายถ้าเป็นเพศชายทวดฉันจะตีกลอง ๒ ที ถ้าเป็นเพศหญิง จะตี ๑ ที เป็นการประกาศให้ผ้ชู ายในหมู่บา้ นโต๊ะปาเกให้มาละหมาดศพพร้อม กัน เมื่อจัดการศพเรียบร้อยชาวบ้านมักท�ำบุญโดยการหุงข้าวทุกวันเป็นเวลา ๗ วัน โดยเชิญบาบอไปอ่านอัลกุรอานที่บ้านคนตายทุกคืน จนถึงวันที่เจ็ดและ จะมีการเฝ้ากูโบร์จนครบ ๗ วันเช่นเดียวกัน เรื่องนี้เป็นประเด็นที่โต้เถียงกัน ระหว่างชาวบ้านรุน่ ก่อนกับคนทีม่ กี ารศึกษารุน่ ใหม่ เนือ่ งจากประเพณีบางอย่าง ไม่ใช่ของอิสลามแท้แต่ได้รบั มาจากพราหมณ์-ฮินดูบา้ ง พุทธบ้าง ท�ำให้มนั แทรก เข้ามาอยูใ่ นประเพณีความเชือ่ โดยไม่รตู้ วั ส�ำหรับเรือ่ งเมือ่ มีคนตาย ศาสนาบอก ว่าให้รีบจัดการกับศพให้เร็วที่สุด จากนั้นให้ส�ำรวจผู้ตายมีหนี้หรือไม่ถ้ามีให้รีบ จ่ายและถ้ามีลูกก�ำพร้าก็ให้ญาติๆ ช่วยดูแล การท�ำอาหารเลี้ยงกันเพื่อนบ้าน นั่นแหละที่ต้องช่วยกันท�ำให้บ้านที่มีคนตายเพราะเขาก�ำลังทุกข์ก�ำลังล�ำบาก ก�ำลังขาดก�ำลังใจ ยิ่งมีลูกเล็กๆด้วยแล้วไม่สมควรอย่างยิ่งที่เขาจะต้องมาเลี้ยง คนที่มาแสดงความเสียใจโดยการเลี้ยงข้าว ส่วนการเฝ้ากูโบร์นั้น “มีฮาดิษหนึ่ง บอกว่า เมื่อมีคนหนึ่งตายความดี ๓ ประการที่จะตามเขาไป ๑ ลูกที่ซอและห์ที่ หมัน่ ขอดูอาห์ให้ ๒ ซอดาเกาะห์ทเี่ ป็นคุณประโยชน์ ๓ ความรูท้ เี่ ราสอนคนและ เป็นคุณประโยชน์ให้กับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ เพราะฉะนั้นแล้วความดีอื่นๆที่นอก เหนือจากนี้ เช่น การเฝ้ากูโบร์ การท�ำบุญคนตาย การให้โต๊ะครูซึ่งไม่เกี่ยวข้อง กันทางสายเลือดมาท�ำให้ถอื ว่าเป็นการกระท�ำทีเ่ รียกว่า “อุตริกรรม” คือคิดขึน้ มาว่ามันดีก็เลยกระท�ำตามจนเป็นประเพณี อิสลามไม่ใช่ศาสนาที่เกิดจาก ความเชื่อ แต่มาจากพระเจ้าดังนั้นเรื่องเล่าขาน ประเพณีต่างๆ ที่ไม่ใช่ของแท้


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

117

จะค่อยเสื่อมสลายไปจากคนรุ่นไปที่มีการศึกษาเปลี่ยนวิถีการคิดสู่การปฏิบัติ เพราะเป้าหมายของเรามิใช่ใครชนะหรือแพ้ แต่หมายถึงการงานที่อัลลอฮฺทรง ตอบรับว่าถูกต้องและเป็นหน้าที่ของคนเฒ่าคนแก่ คนหนุ่มคนสาว คนทุก คนที่จะต้องเผยแพร่ความรู้ที่ถูกต้องสู่สังคมรวมถึงพี่น้องต่างศาสนิกด้วย อิสลามขาวสะอาดและบริสุทธิ์เพราะมาจากพระผู้เป็นเจ้าไม่มีศาสนา ไหนที่เป็นศาสนาที่อัลลอฮฺรับประกันว่าถูกต้องเหมือนอิสลาม เพราะฉะนั้นจึง ไม่แปลกอะไรที่วิถีชีวิตทุกอย่างมีสายสัมพันธ์ เพื่อให้อัลลอฮฺพอใจและตอบรับ การท�าความดีของเรา การท�าเมาลิดนบี การท�าบุญคนตาย ล้วนไม่ใช่แบบฉบับ ที่ท่านนบีมูฮัมหมัด (ซล.) ทรงท�าเป็นแบบอย่างสิ่งไหนที่นบีท�า เราคนรุ่นใหม่ก็ จะสานต่อสิ่งไหนที่นบีไม่ได้ท�าฉันก็ไม่กล้าปฏิบัติตามเพราะไม่มีใครรับประกัน ได้ว่าเราจะได้เข้าสวรรค์ของอัลลอฮฺหรือไม่ ฉันก็ได้สัญญากับตัวเองว่าจะตั้งใจ สานต่อเรื่องดีๆและจะเปลี่ยนแปลงเรื่องไม่ดีออกจากสังคม เรือ่ งราวทีด่ ฉิ นั ได้เล่าทัง้ หมดนัน้ ต้องการสือ่ ให้เห็นว่าคนรุน่ ใหม่ตอ้ งใฝ่ รู้ใฝ่เรียน ความรู้ในโลกมีอยู่มากมาย ประเพณีวัฒนธรรมของคนที่นี่มีพื้นฐาน มาจากศาสนา เพราะศาสนาอิสลามคือวิถีชีวิต (muslim way of life) แต่สิ่ง ต่างๆเหล่านี้ก�าลังจะเปลี่ยนแปลงคนรุ่นใหม่ เยาวชนส่วนใหญ่ก�าลังหลงอยู่กับ เทคโนโลยี ติดการคุยโทรศัพท์ เล่นเฟสบุ๊ค (facebook) โดยไม่สนใจความเป็น ไปของสังคม ปัญหาทีต่ ามมาคือ สังคมขาดก�าลังทีจ่ ะพัฒนาหรือสานต่อเรือ่ งเล่า ดี ๆ ที่ ค นเฒ่ า คนแก่ ไ ด้ เ ก็ บ ไว้ ปั ญ หาใหญ่ ที่ ยั ง แก้ ไ ม่ ไ ด้ คื อ เยาวชนติ ด ยา ดื่มใบกระท่อม สูบบุหรี่ ตั้งแต่ยังอายุน้อยๆ เมื่อสังคมเป็นเช่นนี้แล้วลูกหลาน เราก็เสี่ยงที่จะตกเป็นเหยื่อได้ง่าย ดิฉันอยากจะประชาสัมพันธ์ให้กับผู้ใหญ่ ในสังคมช่วยแก้ไขเรือ่ งยาเสพติดทีห่ าซือ้ ง่ายยิง่ กว่าน�า้ ดืม่ และส่งเสริมการศึกษา เพราะการศึกษาท�าให้สังคมเจริญ ประเทศชาติพัฒนา


118

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา นางสาวณัชชา สุราตะโก

“...โอ่ โอ ปักษ์ใต้บ้านเรา โอ่ โอ ปักษ์ใต้บ้านเรา แม่น�้ำภูเขาทะเล กว้างไกล อย่าไปไหน กลับใต้บ้านเรา อย่าไปไหน กลับใต้บ้านเรา...” ทุกครั้งที่ได้ฟังเพลงนี้ดิฉันจะรู้สึกได้ถึงความงดงามของภาษาถิ่น วัฒนธรรม สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามและอาชีพที่หลากหลาย ของคนใต้ ทั้งยังรู้สึกได้ถึงลักษณะนิสัยใจคอของคนใต้ที่มีมนุษยสัมพันธ์ดี ยิ้มแย้มแจ่มใสและร่าเริงอยู่เสมอ ในฐานะที่ดิฉันเป็นหนึ่งในเยาวชนคนใต้ ดิฉันอยากจะถ่ายทอดเรื่องราวอันดีงามของคนใต้ให้ทุกคนได้รับรู้ โดยเฉพาะ เรื่องราวในจังหวัดที่ดิฉันรักและภาคภูมิใจมากที่สุด นั่นคือจังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นจังหวัดที่ดิฉันเกิดและอาศัยอยู่นั่นเอง จังหวัดสงขลาเป็นจังหวัดทีม่ พี นื้ ทีใ่ หญ่เป็นอันดับ ๓ ของภาคใต้ มีผคู้ น หลากหลายเชื้อชาติ ทั้งไทยพุทธ จีน และอิสลาม ท�ำให้เกิดการผสมผสาน ระหว่างประเพณีและวัฒนธรรมทางศาสนา ก่อเกิดเป็นวัฒนธรรมทีม่ คี วามเป็น เอกลักษณ์เฉพาะของจังหวัดสงขลา ดิฉันเกิดที่ต�ำบลสทิงหม้อ อ�ำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา พ่อของดิฉันมีอาชีพเป็นชาวประมงซึ่งเป็นอาชีพหลักอย่างหนึ่ง ของคนจังหวัดสงขลา แม่ของดิฉนั มีอาชีพรับจ้างท�ำงานโรงงานท่านจึงฝากดิฉนั และพี่ไว้กับคุณปู่ คุณย่า บ่อยครั้งที่ดิฉันและพี่จะแวะไปเที่ยวเล่นที่บ้านคุณตา คุณยายซึง่ อยูใ่ กล้กนั ต�ำบลสทิงหม้อนี้ มีชอื่ เสียงเรือ่ งการปัน้ หม้อปัน้ ดินเผามาก แม่มักจะซื้อชุดหม้อปั้นดินเผาส�ำหรับเด็กเล่นหรือที่เรียกสั้นๆ ว่า “หม้อตุก”


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

119

มาให้ดฉิ นั และพีน่ อ้ งเล่นอยูเ่ สมอ ดิฉนั ยังจ�ำเรือ่ งราวทีเ่ กิดขึน้ ได้ดี มีอยูค่ รัง้ หนึง่ ดิฉันกับพี่อยากเล่นหม้อตุกมากเลยบอกให้คุณตาพาไปซื้อ คุณตาเลยพาดิฉัน กับพี่นั่งรถเข็นไม้ซึ่งคุณตาท�ำเองแล้วคุณตาก็ลากพาพวกเราไป คุณตาเล่าไป ตามทางว่าสมัยที่คุณตาท�ำรถเข็นคันนี้ คุณตาใช้เลื่อยมือเลื่อยตกแต่งไม้เอาเอง เพราะในสมัยนั้นยังไม่มีเลื่อยกล คุณตาต้องใช้ความพยายามอย่างมากกว่า จะได้ไม้ที่เรียบแบบนี้ ดิฉันรู้สึกทึ่งในตัวของคุณตามากทีเดียว คุณตาบอกพวก เราเสมอว่าเกิดเป็นมนุษย์ต้องท�ำในสิ่งที่มีคุณค่า มีประโยชน์ต่อผู้อื่นให้มากๆ ให้สมกับทีไ่ ด้ชอื่ ว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ ระยะทางทีค่ ณ ุ ตาพาพวกเราไปกว่าจะถึงที่ หมายนั้นนับว่าไกลพอสมควร ท่านเดินลากรถเข็นไปตามทางถนนลูกรังซึ่ง ล�ำบากมาก ดิฉันกับพี่ที่นั่งอยู่รู้สึกสงสารท่านก็เลยบอกว่าไม่อยากซื้อแล้วให้ คุณตาพาพวกเรากลับบ้านเถอะ คุณตาก็บอกว่าเมือ่ ตัดสินใจและลงมือท�ำอะไร ไปแล้วก็ต้องท�ำให้ถึงที่สุด ดิฉันกับพี่ก็เลยลงมาเดินเป็นเพื่อนคุณตา สองข้าง ทาง ที่พวกเราทั้งสามคนเดินผ่านนั้นเป็นทุ่งนาที่เต็มไปด้วยต้นข้าวเขียวขจี คุณตาเล่าว่าการท�ำนานั้นต้องใช้ความพยายามและความอดทนสูงมากเพราะ ค่าตอบแทนที่ได้รับบางครั้งไม่คุ้มทุน แต่สิ่งที่ชาวนาได้รับคือ ความภาคภูมิใจ ที่ได้ปลูกข้าวเลี้ยงคนทั้งประเทศ ท่านจึงสอนฉันและพี่ว่า ให้กินข้าวให้หมด เพื่อเป็นการขอบคุณชาวนา ระหว่างทางดิฉันเห็นวัดวัดหนึ่งเลยถามคุณตาว่า นั่นคือวัดอะไร ท่านตอบว่านั่นคือวัดโลการาม ภายในรั้วของวัดมีต้นไม้ใหญ่ ต้นหนึ่งและมีรูปปั้นงูตัวใหญ่ยักษ์พันอยู่ บนหัวของงูใหญ่ยักษ์ตัวนี้มีหงอนสี แดง ดวงตาของงูตัวนี้ก็มีสีแดงด้วย ดิฉันยืนจ้องรูปปั้นงูตัวนั้นจนรู้สึกกลัวมาก คุณตาคงจะรับรู้ถึงความรู้สึกของดิฉันจึงพาดิฉันและพี่เดินไปทางอื่น ระหว่าง ทางท่านก็บอกว่านัน่ คือรูปปัน้ ทวดงูตาหลวงรองทีม่ าปกปักษ์รกั ษาวัดโลการาม เดิมทีท่านเป็นพระมาจากภาคเหนือเดินทางธุดงค์ลงใต้และได้มาปักกรด ณ ที่ แห่งนี้ มีชาวบ้านน�ำของมาถวายท่านทุกวัน จนวันหนึ่งชาวบ้านที่น�ำอาหารมา ถวายไม่ เ ห็ น ท่ า นแต่ ก ลั บ พบงู ตั ว ใหญ่ ยั ก ษ์ ด ้ ว ยความตกใจจึ ง พากั น วิ่ ง หนี


120

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

หลังจากนัน้ ก็มคี นเข้าไปตัดไม้ทำ� ลายป่าในเขตพืน้ ทีข่ องวัด งูใหญ่ยกั ษ์ทชี่ าวบ้าน เชื่อกันว่าเป็นร่างหนึ่งของพระตาหลวงรองได้ออกมาขับไล่ไม่ให้คนเหล่านั้น เข้าไปตัดไม้ทำ� ลายป่า ชาวบ้านจึงได้สร้างรูปปั้นทวดงูตาหลวงรองขึ้นเพื่อเป็น ทีส่ กั การบูชา ดิฉนั สงสัยว่าท�ำไมถึงเรียกว่าทวด แต่ตอนนัน้ ไม่ได้คดิ อะไรมากจึง ไม่ได้ถามคุณตา ดิฉันรู้จากพ่อในภายหลังว่า คนอ�ำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา มักเรียกบุคคลส�ำคัญทีต่ ายไปแล้วและเชือ่ ว่ากลับชาติมาเกิดในร่างของสัตว์ตา่ งๆ ว่าทวด เช่น ทวดงูตาหลวงรอง ทวดหัวเขาแดงหรือทวดจระเข้ ทวดเขาเขียว และทวดหุมซึง่ เป็นผูด้ แู ลสุสานของคนทีน่ บั ศาสนาคริสต์ เป็นต้น หลังจากทีเ่ ดิน ผ่านวัดมาได้ไม่นานนักก็ถึงโรงงานปั้นหม้อปั้นดินเผา ซึ่งเป็นบ้านไม้ ๒ ชั้น ชั้นล่างเป็นใต้ถุนมีอุปกรณ์ปั้นหม้อวางอยู่ หลังจากที่เลือกหม้อตุกชุดที่ชอบใจ ได้แล้วพวกเราก็เดินทางกลับ ระยะทางไปกลับครั้งนั้นนับว่าไกลมากทีเดียว ส�ำหรับดิฉันและพี่ที่ยังเล็กอยู่มาก แต่เราก็ไม่รู้สึกเบื่อหรือเหนื่อยมากนัก อาจเป็นเพราะเรื่องเล่าระหว่างทางมากมายที่คุณตาเล่าให้ฟัง หรืออาจเป็น เพราะได้ของเล่นชิ้นที่ต้องการแล้วจึงหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง ดิฉันยังจ�ำได้ว่า เมือ่ ครัง้ ทีค่ ณ ุ ตาซือ้ รถกระบะสีน�้ำเงินมาใหม่ๆ ท่านพาพวกลูกๆ หลานๆ ไปเทีย่ ว หาดทรายแก้ว หาดทรายแก้วนัน้ เป็นส่วนหนึง่ ของทะเลสาบสงขลา อยูท่ างด้าน ทิศเหนือของชายหาดแหลมสมิหลา หากเดินตามชายหาดจากหาดทรายแก้วลง มาทางทิศใต้เรือ่ ยๆ ก็จะเจอกับแหลมสมิหลาหาดทรายแก้วนัน้ เป็นหาดทรายที่ น�้ำทะเลมีแสงระยิบระยับออกมาคล้ายกับว่ามีเพชรมากมายอยู่ใต้ท้องทะเล ดิฉันถามพ่อว่าในทะเลมีเพชรไหม พ่อบอกว่าในอดีตเคยมี แล้วท่านก็เล่าเรื่อง เกาะหนู-เกาะแมวให้ดิฉันฟังพร้อมทั้งชี้ไปยังเกาะหนู-เกาะแมวที่อยู่ตรงหน้า ในตอนนั้นดิฉันรู้สึกว่าเกาะหนูและเกาะแมวมีชีวิตจริงๆ และก�ำลังเล่นไป ตามบทที่พ่อพูด ดิฉันคิดว่านั่นคงเป็นภาพที่ดิฉันจินตนาการไปเอง ดิฉัน รู้สึกสนุกมากทุกครั้งที่ได้ไปเที่ยวทะเล เพราะดิฉันชอบเล่นน�้ำทะเลมาก เมื่อมี โอกาสไปเที่ยวที่หาดทรายแก้วดิฉันก็มักจะด�ำน�้ำบริเวณตื้นๆ เล่นงมหาหอย


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

121

ในทะเลกับพี่ เรือ่ งเล่าทัง้ หมดทีเ่ ล่ามานัน้ เป็นความทรงจ�ำในวัยเด็กตอนทีด่ ฉิ นั อาศัยอยู่ที่ต�ำบลสทิงหม้อ อ�ำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา เมื่อแม่คลอดน้องสาวคนที่ ๑ แล้ว คุณตากับคุณยายก็พาครอบครัว ของดิฉันย้ายมาอยู่ที่ต�ำบลปริก อ�ำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา และให้พวกเรา อาศัยอยู่ที่บ้านเดิมของท่าน ซึ่งเป็นบ้านครึ่งไม้ครึ่งปูน ๒ ชั้น ตอนที่เพิ่งมาอยู่ แรก ๆ ดิฉันรู้สึกกลัวมากทีเดียวเพราะมีแต่ป่ารกทึบ มีสวนยางพาราตลอดทาง ถนนก็คับแคบและเป็นถนนลูกรังสีแดงอิฐอีกด้วย คุณตากับคุณยายย้ายมาอยู่ กับพวกเราที่นี่ ท่านบอกว่าจะได้ท�ำงานได้สะดวกยิ่งขึ้น แม่พาดิฉันกับพี่ไป สมัครเรียน ทีโ่ รงเรียนบ้านตะเคียนเภา ซึง่ เป็นโรงเรียนประถมอยูไ่ ม่ไกลจากบ้าน มากนัก แต่ทว่าโรงเรียน ปิดรับสมัครนักเรียนแล้ว ดิฉันกับพี่จึงต้องหยุดเรียน หนึ่งปี ระหว่างนั้นพวกเราสองคนก็หาประสบการณ์โดยการตามคุณตากับคุณ ยายไปเก็บลูกปาล์มที่ไร่ด้วยความสงสัยว่าลูกปาล์มที่ สีส้มๆ เหลืองๆ แดงๆ พวกนี้จะท�ำอะไรได้บ้างก็เลยถามคุณยายดู ท่านบอกว่าในลูกปาล์มจะมีน�้ำมัน ซึ่งสามารถน�ำไปท�ำน�้ำมันปาล์มได้ ส่วนเม็ดในสีดำ� ของลูกปาล์มสามารถน�ำไป ผลิ ต เป็ น เครื่ อ งประดั บ ได้ ดิ ฉั น จึ ง ถามคุ ณ ยายอี ก ว่ า ท� ำ เองเลยหรื อ เปล่ า ท่านบอกว่าท่านกับคุณตาแค่เก็บลูกปาล์มไปส่งทีโ่ รงงานเท่านัน้ คุณยายบอกว่า สมัยก่อนนัน้ ท่านกับคุณตาท�ำงานนีแ้ ค่สองคนคุณตาจะแทงทลายปาล์มให้ตกลง บนพื้นแล้วขนใส่รถสามล้อพ่วง ส่วนคุณยายก็นั่งเก็บลูกปาล์มที่ร่วงลงพื้นใส่ กระสอบแล้วพาไปใส่ในรถสามล้อพ่วงคันเดียวกัน เมื่อเต็มรถสามล้อพ่วงแล้ว คุณตาก็จะขับไปส่งที่โรงงานซึ่งอยู่ไกลมากทีเดียว กว่าจะท�ำเสร็จในแต่ละวัน พวกท่ า นต้ อ งท� ำ งานจนมื ด ค�่ ำ จึ ง จะได้ ก ลั บ บ้ า น ดิ ฉั น ฟั ง แล้ ว รู ้ สึ ก สงสาร พวกท่านมาก แต่ก็รู้สึกภาคภูมิใจในตัวของคุณตากับ คุณยายมากเช่นเดียวกัน คุณยายบอกว่า เดิมทีที่ไม่มีรถกระบะการเดินทางไปตามที่ต่างๆ ต้องเดินด้วย เท้าท�ำให้เสียเวลามาก แต่กลับได้ประสบการณ์ดีๆ มากกว่า เช่น ระหว่าง การเดินทาง คุณตาก็จะทักทายเพื่อนบ้านไปด้วย ท�ำให้ทุกคนจ�ำคุณตาได้เป็น


122

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

อย่างดี อีกประการหนึ่งเมื่อมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นก็จะเล่าสู่กันฟัง หากเป็น เรื่องที่คุณตาสนใจท่านก็จะเข้าไปฟังด้วย ดิฉันเชื่อว่าประสบการณ์สองข้างทาง ที่เดินไปนั้นคุ้มค่าและมีประโยชน์มากจริงๆ หลังจากที่ดิฉันกับพี่ได้เรียนที่โรงเรียนบ้านตะเคียนเภาแล้ว คุณตากับ คุ ณ ยายก็ มั ก จะกลั บ ไปอยู ่ ที่ สิ ง หนครหนึ่ ง เดื อ นแล้ ว จึ ง กลั บ มาท� ำ งานที่ นี่ ประมาณ ๒-๓ เดือนจากนั้นก็จะกลับไปที่สิงหนครอีกครั้งหนึ่ง เมื่อคุณตากับ คุณยายกลับมาจากสิงหนครท่านได้น�ำลูกสุนัขสองตัวมาให้ครอบครัวของฉัน เลี้ยง ลูกสุนัขตัวแรกมีขนสีขาวลายสีเทาอมน�้ำตาล พ่อตั้งชื่อลูกสุนัขว่า ทด และตัง้ ชือ่ ลูกสุนขั อีกตัวทีม่ ขี นสีขาวลายสีสม้ อมน�ำ้ ตาลว่า แทน พวกเราช่วยกัน ดูแลลูกสุนัขน้อยอย่างดี คุณตากับคุณยายก็ช่วยดูแลด้วย วันหนึ่งมีชาวไทย เชื้อสายจีนกลุ่มหนึ่งซึ่งรู้จักกับคุณตาคุณยาย มาขอลูกสุนัขไปเลี้ยงหนึ่งตัว พ่อกับแม่ไม่ขัดข้องแต่ฉันกับพี่ไม่ยอมเพราะรู้สึกรักและผูกพันกับลูกสุนัขมาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจขัดใจผู้ใหญ่ได้ พ่อกับแม่จึงให้ทดแก่พวกเขาไป หลังจาก นั้นประมาณหนึ่งเดือนพวกเขาก็เอาทดกลับมาคืนให้ โดยบอกว่าทดไปท�ำลาย ข้าวของภายในบ้านของเขา ทดกัดเสื้อผ้า รองเท้าและขับถ่ายไม่เป็นที่เป็นทาง จนพวกเขาสุดจะทนเลยน�ำทดมาคืนให้ ตอนนั้นดิฉันรู้สึกดีใจมากๆ เพราะคิด ว่าถ้าเป็นคนอืน่ หากเจอเหตุการณ์แบบนีก้ อ็ าจจะฆ่าทดทิง้ ไปแล้วก็เป็นได้ ท�ำให้ ดิฉันสงสัยในว่าท�ำไมทดถึงไปท�ำลายข้าวของของพวกเขา ทั้งที่พอทดกลับมาก็ ไม่มที ที า่ ว่าจะท�ำอะไรแบบนัน้ ได้เลย คุณตาจึงบอกว่า เพราะสุนขั มีความซือ่ สัตย์ ต่อเจ้าของของมันมาก ดิฉันจึงคิดว่าตั้งแต่นาทีแรกที่พวกเราได้พบกัน ทดคงให้ ค�ำมั่นสัญญากับตัวเองแล้วว่าเจ้าของของทดก็คือพวกเราเท่านั้น คุณตายังบอก อีกว่าสาเหตุที่พวกเขาไม่ฆ่าทด ก็คงเพราะเกรงใจคุณตากับคุณยายและพ่อ กับแม่ ที่ส�ำคัญคือรู้สึกผิดต่อฉันและพี่ที่พวกเขามาพรากทดไป คุณยายบอกว่า ความจริงถ้าพวกเขาใช้ความอดทนมากกว่านี้ก็อาจจะเลี้ยงดูทดได้เพราะแม้แต่


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

123

หยดน�้ำอันน้อยนิดที่ย้อยลงกระทบหินทุกวันหินยังกร่อนได้เลย หากใช้ความ พยายามอย่างสม�่ำเสมอทุกๆ วัน สุดท้ายก็จะถึงความส�ำเร็จได้เหมือนกัน เรื่อง ราวของทดได้ถกู คุณตา คุณยาย พ่อและแม่นำ� เอามาเป็นตัวอย่างในการอธิบาย ถึงเรื่องราวแห่งความสัตย์ซื่อและความกตัญญูรู้คุณให้ฉันกับพี่และน้องฟัง ชุมชนที่ดิฉันอาศัยอยู่นั้นชาวบ้านส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม มีข้อ ห้ามว่า ห้ามแตะต้องสุนขั เด็ดขาด วันหนึง่ ดิฉนั และพีป่ น่ั จักรยานไปโรงเรียนทด ก็วงิ่ ตามมาด้วยตอนทีด่ ฉิ นั และพีร่ ตู้ วั ว่าทดวิง่ ตามมานัน้ ก็ปน่ั จักรยานมาได้ครึง่ ทางแล้ว พวกเราจึงต้องไล่ทดระหว่างทางแต่ทดก็ไม่ยอมกลับบ้านสุดท้ายก็ตาม มาจนถึงโรงเรียน โชคดีที่ชาวบ้านไม่ถือสาและแม่ก็ขับรถตามมาพอดีเลย สามารถพาทดกลับบ้านได้ ตอนแรกดิฉนั กลัวว่าคนในชุมชนจะท�ำร้ายมันแต่กลับ ไม่มีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นเลย ทุกคนยังคงท�ำกิจกรรมของตัวเองต่อไป ดิฉันรู้สึกภูมิใจในชุมชนของดิฉันมากที่ผู้คนรู้จักการเคารพสิทธิเสรีภาพของกัน และกัน แม้จะต่างศาสนา ต่างความเชื่อ แต่ทุกคนก็อยู่ร่วมกันได้ เพราะทุกคน อาศัยอยูบ่ นผืนแผ่นดินเดียวกัน ชุมชนเดียวกัน อ�ำเภอเดียวกัน จังหวัดเดียวกัน ที่ส�ำคัญคืออยู่ใต้ร่มธงไทยเหมือนกัน พ่อกับแม่พูดเสมอว่าคนใต้เป็นคนใจดี มีมิตรไมตรีกับทุกคน เป็นคนขยันและจริงจังกับการท�ำหน้าที่ของตนเอง อย่างมาก คุณตาบอกด้วยว่าแม้ภาษาถิ่นใต้จะฟังดูหยาบๆ เพราะพูดสั้นๆ และฟังดูเหมือนพูดตะเบ็งเสียง จึงท�ำให้รู้สึกเหมือนว่าขู่แต่ความจริงแล้วคนใต้ เป็นคนจริงใจมากโดยเฉพาะ คนจังหวัดสงขลา คุณตาบอกว่าภาษาถิ่นใต้นั้นมี ความแตกต่างกันตามแต่ละจังหวัด และในแต่ละจังหวัดก็มีภาษาถิ่นใต้หลาย ส�ำเนียงอีกด้วย ท่านยังบอกอีกว่าภาษาถิน่ ใต้ของจังหวัดสงขลาเป็นภาษาถิน่ ใต้ ที่ฟังดูแล้วนุ่มนวลที่สุด เรื่องเล่าดีๆ ที่คุณตา คุณยาย พ่อและแม่เล่าให้ฟังและคอยว่ากล่าว ตักเตือน อบรมสั่งสอนดิฉัน รวมทั้งเรื่องราวต่างๆ ที่ดิฉันได้พบเจอด้วยตนเอง


124

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

บนผืนแผ่นดินใต้ จังหวัดสงขลานี้ ได้หล่อหลอมจิตใจของดิฉันให้เป็นคนรัก และภาคภูมิใจในแผ่นดินเกิด ดิฉันเชื่อว่าทุกๆ คนที่อยู่ในจังหวัดสงขลาและ ที่อาศัยอยู่ในภาคใต้บนผืนแผ่นดินไทยแห่งนี้คงจะได้รับรู้เรื่องราวในอดีตที่มี คุณค่าควรแก่การจดจ�าและระลึกถึง ไม่ว่าจะเป็นภาษาถิ่นใต้ ต�านานเล่าขาน เรื่องต่างๆ ตลอดจนวัฒนธรรมประเพณีและวิถีชีวิตของคนใต้ที่นับถือศาสนา ต่างกันแต่กส็ ามารถอาศัยอยู่รว่ มกันได้ เพราะทุกคนเคารพในสิทธิเสรีภาพของ กันและกัน ดิฉันเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ทรงคุณค่าเหล่านี้จะน�าพาความสงบสุขร่มเย็น ให้คงอยู่คู่จังหวัดสงขลาและภาคใต้ ไปตราบนานเท่านาน


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

125

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา นายปุญญพัฒน์ แก้วทอง

“เมื่อวัยเยาว์ทวดเราเคยนั่งเล่า สืบบุรุษต้นตระกูลแต่นานมา แต่ละถิ่นวัฒธรรมก็โดดเด่น มีคุณค่ามีอัตลักษณ์ตระการตา

วัฒนธรรมอันเก่าที่ทรงค่า ให้เห็นค่าสิ่งดีๆในบ้านเรา เปรียบดังเช่นอัญมณีน่ารักษา อุ่นอุราครั้งที่เห็นเป็นสุขใจ”

จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส สตูลและสงขลา ๕ จังหวัดชายแดน ภาคใต้ของประเทศไทย ล้วนแต่มีสิ่งที่งดงาม มีคุณค่า มีทรัพยากรธรรมชาติที่ อุดมสมบูรณ์ทั้งบนบกและในน�้ำ ผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ ศาสนา หลายที่มา รวมเข้ากันกับการสรรค์สร้างของบรรพชน จนหลอมรวม เกิดเป็นต�ำนานในการ ด�ำรงอยู่ของวัฒนธรรม ประเพณีและวิถีชีวิต ซึ่งล้วนเป็นสิ่งอันทรงคุณค่า จนเป็นเรื่องดีๆ ที่บ้านเรา บ้านเรา แสนสุขใจ แม้นจะอยู่ที่ไหน ไม่สุขใจ เหมือนบ้านเรา .... เสียง เพลง แว่วลอยออกมาจากบ้านทรงไทยภาคใต้โบราณ ทรงเครื่องสับ มีใต้ถุน หลังคาทรงปั้นหยา ที่คุณทวดของข้าพเจ้าอาศัยอยู่เป็นระยะเวลากว่า ๖๐ ปี มาแล้ว คุณทวดนางสุนีย์ อรุณรัตน์(โกไศยากานนท์) ท่านเป็นชาวไทยพุทธ เชือ้ สาย จีน ชีวติ คุณทวดผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้วถึง ๕ รัชสมัย ท่านเกิดปลาย รัชสมัยรัชกาลที่ ๕ ผ่านการเปลี่ยนแปลงมามากล้น ทั้งเปลี่ยนแปลงจาก ธรรมชาติ จากมนุษย์ จวบจนปัจจุบันคุณทวดมีอายุถึง ๙๓ ปี ความชราจาก กาลเวลาทีแ่ ปรผัน ไม่ทำ� ให้ความทรงจ�ำในช่วงชีวติ ของท่านนัน้ เลือนหายไป แต่


126

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

กลับกลายชัดเจนขึ้น จนกลายเป็นว่าความทรงจ�ำนี้ คือ ความสุขยามที่นึกถึง ยามใดที่ ลูก หลาน และเหลนๆ กลับมาเยี่ยมเยือน มักจะไปนั่งล้อมเพื่อรอฟัง ความทรงจ�ำของคุณทวดที่ เป็นเรื่องดีๆ ที่บ้านเรา คุณทวดเล่าว่าชีวติ ของท่านใช้ชวี ติ อยูถ่ งึ ๕ จังหวัด คุณทวดเกิดทีส่ งขลา คุณทวดมาโตที่ปัตตานี คุณทวดมาอยู่ที่นราธิวาส คุณทวดแสวงหาหนทางท�ำ กินที่สตูล บ�ำรุงตระกูลที่ยะลา คุณทวดเกิดทีส่ งขลา ความทรงจ�ำของจังหวัดสงขลา มีเพียงไม่มากนัก คุณทวดเกิดที่นี่ โตที่อื่น ความทรงจ�ำนั้นมีเพียงจากการบอกเล่าของแม่ทวด และการได้กลับไปเยีย่ มเยือนสงขลาเท่านัน้ มีส�ำนวนบทหนึง่ ทีข่ า้ พเจ้ามักได้ยนิ จากคุณทวด เมื่อยามเล่าเรื่องเกี่ยวกับถิ่นก�ำเนิด ที่ว่า “สงขลามีบ่อ ทิ้งท�ำหม้อ เกาะยอท�ำอ่าง บ่อยางท�ำเคย” ส�ำนวนนี้ท่านบอกว่า สงขลานั้นมีบ่อ มาจาก ที่ว่า จังหวัดสงขลานั้นมีต�ำบลที่มีค�ำขึ้นต้นว่า บ่อ มากมาย ส่วนทิ้งท�ำหม้อ มาจากต�ำบลจะทิ้งพระ ซึ่งมีอาชีพการปั้นหม้อขาย ถัดมา เกาะยอท�ำอ่าง ชาวบ้านบนเกาะยอก็มีอาชีพท�ำโอ่งขาย ส่วนที่ว่า บ่อยางท�ำเคย มาจาก ภูมศิ าสตร์ของต�ำบลบ่อยาง ทีอ่ ยูใ่ กล้กบั ชายทะเล ชาวบ่อยางจึงมีอาชีพท�ำการ ประมง และท�ำเคย เป็นอาชีพเสริม ต่อมาเมื่อปีพุทธศักราช ๒๓๕๘ หลังจาก ย้ายตัวเมืองจากฝั่งแหลมสน มาเป็นฝั่งต�ำบลบ่อยาง จวบจนปัจจุบัน จึงท�ำให้มี ความเจริญอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเป็นเมืองชายทะเล จึงมีการย้ายถิ่นที่อยู่ ทั้งชาวไทย ชาวจีนและชาวมุสลิม จึงมีการน�ำวัฒนธรรมมาหลอมรวมกัน จึงท�ำให้บ้านเมืองจังหวัดสงขลา มีการที่อยู่อาศัยทั้งแบบจีน อิสลามหรือแม้แต่ ชาวต่างชาติ มีธรรมชาติทางทะเลที่สมบูรณ์ สวยงามเป็นที่เลืองลือโดยเฉพาะ “ สมิหลา ” ท่านเล่าว่า เมื่อก่อนมีแต่คนจะไปประชันความสวยกับนางเงือก ทีห่ าดสมิหลาอยูเ่ ป็นประจ�ำ หาดทรายก็ขาวสะอาดงามตา และไปสงขลาจะต้อง รู้จัก “ ขนมทอด หนมค้างคาว ” แม่ทวดเคยบอกคุณทวดตอนเด็กๆ ว่าเป็น ขนมไทยโบราณที่สืบทอดกันมากว่า ๑๐๐ ปี เป็นขนมที่มีรูปใสคล้ายค้างคาว กรอบนอก เนือ้ ในนุม่ ลิน้ มีรสชาติอร่อย ซึง่ เป็นขนมทีท่ า่ นว่า ทุกครัง้ ทีไ่ ปสงขลา


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

127

ก็จะต้องซื้อ หนมค้างคาว มานั่งกินเล่นที่หาดสมิหลา ทุกครั้งไป อีกสิ่งหนึ่งที่ ท่านจ�ำได้เกี่ยวกับจังหวัดสงขลา คือ วัดมัชฌิมาวาส เป็นวัดที่ท่านจ�ำความได้ เนื่องจากญาติท่านมักบวชที่วัดแห่งนี้ เป็นวัดที่มีอายุเก่าแก่ถึง ๔๐๐ ปี เล่าขาน กันว่า วัดแห่งนี้สร้างขึ้นจาก ผู้คนหลากหลาย ทั้งชาวไทยพุทธ มุสลิม ร่วมกัน สร้างขึ้น นับเป็นส่วนหนึ่งของความทรงจ�ำที่คุณทวดกล่าวถึงจังหวัดสงขลา ในอดีต แต่ในปัจจุบัน จากเมืองหลากหลายวัฒนธรรม จังหวัดสงขลาก็ได้กลาย มาเป็นเมืองท่องเที่ยว เมืองท่าเศรษฐกิจ สมดังค�ำขวัญที่ว่า “ นกน�้ำเพลินตา สมิหลาเพลินใจ เมืองใหญ่สองทะเล เสน่ห์สะพานติณฯ ถิ่นธุรกิจแดนใต้ ” ท่านโตทีป่ ตั ตานี คุณทวดเล่าว่า เป็นช่วงชีวติ ทีส่ นุกสนาน ท่านได้ยา้ ย ตามครอบครัวมาอาศัยอยู่ในปัตตานี เพื่อท�ำการค้าขาย ท่านเล่าว่า ท่านต้อง เปลี่ยนการแต่งกาย มาใช้ผ้าบาเต๊ะ ซึ่งเป็นฝีมือของชาวมุสลิมในพื้นที่จังหวัด ปัตตานี อีกทั้งยังเป็นวัฒนธรรมท้องถิ่น ที่แสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์เฉพาะที่ การแต่งกายแบบนี้ท�ำให้คุณทวดไม่แตกแยก เปรียบเสมือนเป็นคนในท้องถิ่น นอกจากการแต่งกายคุณทวดยังได้รับวัฒนธรรมทางภาษา คือ ภาษายาวี ท่านสามารถพูดคุย และค้าขายกับผูค้ นในท้องถิน่ ได้เสมือนกับเป็นภาษาทีต่ ดิ ตัว ตั้งแต่ก�ำเนิด ท�ำให้ท่านดูกลมกลืนกับชาวมุสลิมได้อย่างดี และท่านยังมี บทกล่อมเด็กที่ท่านเคยกล่อมให้ข้าพเจ้าฟังเมื่อยังเด็กเป็นภาษายาวีที่ว่า “ บูฤง ปูนา แอกอ ลือบะ มาตี สาและ แดแฮ กายู สะยุ สุนา ตาเระ กือบะ เมาะ เนาะ อูและ แมะตีโต บือราดู” ซึ่งมีค�ำแปลที่ว่า นกเปล้าหางดก ตายคากิ่งไม้ เป่าปีสีซอ แม่จะกล่อม ให้นอน บทกล่อมนี้นับว่าเป็นพื้นฐานที่ท�ำให้ข้าพเจ้าสามารถพูดภาษายาวี คุณทวดยังเล่าว่า ที่ปัตตานี มีการแสดงที่น่าประทับใจ แล้วเป็นเอกลักษณ์ที่ โดดเด่นอย่างหนึ่งนั้น การแสดงพื้นเมือง คุณทวดยังเล่าอีกว่า คุณทวดเคยเป็น ตัวแทนหมู่บ้าน ท�ำการแสดงระบ�ำตารีกีปัส เป็นการแสดงนาฏศิลป์พื้นเมือง ของชาวไทยมุสลิมทางภาคใต้ของประเทศไทย เป็นการระบ�ำที่ใช้พัดในการ


128

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ประกอบการแสดง พร้อมท�ำนองเพลงที่ได้รับอิทธิพลมาจากประเทศมาเลเซีย คืออินัง ตังลุง เป็นเพลงผสมผสานระหว่างมลายูกับจีน ที่มีความไพเราะ น่าฟัง ลีลาท่าร�ำอ่อนช้อยงดงาม เป็นการแสดงที่เป็นเอกลักษณ์ และสร้างชื่อเสียงให้ กับจังหวัดปัตตานีที่ท�ำให้คุณทวดจดจ�ำท่วงท�ำนอง และท่าร�ำมาถึงปัจจุบัน ข้าพเจ้าสังเกตเห็นมีดทีม่ ลี กั ษณะ เรียวและคด ส่วนโคนกว้าง วางอยูใ่ ต้ฐานพระ คุณทวดเล่าว่ากริชนั้นถือเป็นอาวุธประจ�ำกายที่ส�ำคัญซึ่งเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึง ความเป็นชายชาตรี ฐานะทางสังคม เศรษฐกิจ ยศถาบรรดาศักดิ์ของผู้เป็น เจ้ า ของและตระกูล และนิยมใช้กันแพร่หลายทั้งไทยพุทธและไทยมุสลิม ในภาคใต้ของไทย กริชเล่นนี้เป็นแบบสกุลช่างบูกิส มีใบกริช ๗ คด ด้ามแบบ หัวลูกไก่ ของบรรพบุรษุ ทีค่ ณ ุ ทวดได้เก็บไว้ให้ลกู หลานรู้ เพราะเป็นสิง่ ทีส่ ะท้อน เห็นถึงคุณค่าของภูมิปัญญาเกี่ยวกับการประดิษฐ์เครื่องศาสตราวุธโบราณของ ชาวไทยมลายูโบราณ ส่วนทางด้านอาหาร คุณทวดเล่าว่า อาหารพื้นเมืองที่ จังหวัดปัตตานี เป็นภูมิปัญญา วิถีชีวิตของชาวมุสลิมเป็นส่วนใหญ่ที่คิดค้นและ ดัดแปลงให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม มีทงั้ อาหารคาว หวาน ทีเ่ ลือ่ งชือ่ ไก่กอ และ ข้าวย�ำ (นาซิกาบู) นาซิ ตูปะซูตง ซาเตะ รอเย๊าะ ข้าวหมกไก่ ของคาว เหล่านี้ ส่วนของหวาน ตลือบอ ปูโละซามา ซาแบกูเวาะ (ขนมครก) จูโจ และ อาหารพื้นเมืองประเภทหมัก อีกอย่างหนึ่งที่มาจากภูมิปัญญาท้องถิ่นของ ชาวอ�ำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี คือ การผลิตบูดู เป็นทีร่ จู้ กั กันอย่างแพร่หลาย มีการสืบทอดกันมาตัง้ แต่สมัยบรรพบุรษุ นับว่าเป็นอาหารหลักของชาวปัตตานี อาหารเหล่านี้นับว่าผ่านฝีมือของคุณทวดที่ได้รับมาจากการถ่ายทอดจาก เพื่อนชาวมุสลิมมาแล้วทั้งนั้น แล้วท่านยังได้ถ่ายทอดให้ คุณยาย คุณแม่ และ ลูกหลานๆ เพราะ ท่านว่า พระพุทธเจ้าสอนธรรมว่า กรรมจะเป็นสิ่งเดียวที่ ติ ด ตามคนไป ดั่ ง บทกลอนที่ ว ่ า “พฤษภกาสร อี ก กุ ญ ชรอั น ปลดปลง โททนต์เสน่ง คง ส�ำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา” ท่านบอกว่าตายไปก็เอาอะไรไปก็ไม่ได้ สู้ถ่ายทอดให้ลูกหลานสืบต่อไว้ดีกว่า เพื่อที่สิ่งเหล่านี้จะไม่สูญหายไปไหน


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

129

ท่านมาอยู่ที่นราธิวาส หลังจากที่ท่านเติบโตมาในจังหวัดปัตตานี ก็ได้ แต่งงานมีครอบครัว แล้วย้ายมาอยู่ที่จังหวัดนราธิวาส ท่านว่า ชีวิตท่านที่ นราธิวาส เปรียบเหมือนการเดินทางสู่ป่าเขา ได้มีความสุขกับธรรมชาติ ท่านได้ มาท�ำสวนที่นราธิวาส ได้ท่องเที่ยวอยู่ในพื้นที่ธรรมชาติของจังหวัดนราธิวาส ท่านว่าธรรมชาติที่นราธิวาสนี้ช่างสมบูรณ์ ท่านเห็น ย่านดาโอ๊ะ หรือ ใบไม้ สีทอง มาก่อนที่จะเป็นของที่ระลึก ใบไม้สีทองนั้นหาชมได้จากน�้ำตกบาโจ เป็นพรรณไม้เถาเลื้อยชนิดพิเศษ อาศัยอิงอยู่กับไม้ใหญ่ตามที่โล่งริมล�ำธาร ใบไม้สีทองนั้นมีความงดงาม รูปร่างคล้ายหัวใจที่มีขนอ่อนนุ่มราวก�ำมะหยี่ ปกคลุมและที่ส�ำคัญคือใบไม้จะค่อยๆ เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีทอง นับเป็น ความมหัศจรรย์ของนราธิวาสจริงๆ สถานที่ต่อมาก็คือสถานที่ที่มี ธรรมชาติ ในดินแดนเงียบสงบ “ พรุโต๊ะแดง” ป่าไม้ผลัดใบสุดพิเศษ แตกต่างจากป่าไม้ ผลัดใบประเภทอืน่ ๆ เพราะ ป่าพรุทพี่ บในบริเวณทีล่ มุ่ ต�ำ่ หรือแอ่งทีม่ นี ำ�้ จืดไหล เอื่ อ ยเรื่ อ ยริ น ผ่ า นตลอดเวลาเช่ น นี้ นั้ น มี อ ยู ่ ไ ม่ ม ากนั ก คุ ณ ทวดบอกว่ า พรุโต๊ะแดง เป็นป่าพรุแห่งสุดท้าย ของเมืองไทยและเป็นป่าพรุที่เข้าถึงได้ง่าย ที่สุดใน เนื่องด้วยมีการจัดท�ำเส้นทางเป็นสะพานไม้ เหนือพื้นดินอันเป็น หยุ่นตม ทอดยาวคดโค้งผ่านดงพืชพรรณเขียวครึ้ม ซึ่งมีแสงแดดส่องลอดลงมา เพียงร�ำไรท�ำให้รู้ว่า สถานที่แห่งนี้คือ มรกตอันงดงามของนราธิวาส คุณทวดแสวงหาหนทางท�ำกินทีส่ ตูล ภายหลังจากการสร้างครอบครัว คุณทวดจึงตัดสินใจออกเดินทางแสวงหาหนทางท�ำกิน เพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่ ครอบครัว ลูกๆ ต้องเรียนหนังสือ ท่านจึงตัดสินใจมาจังหวัดสตูล จากการชักชวน ของญาติพี่น้องที่อยู่จังหวัดสตูล ให้มาร่วมกันท�ำสวนปาล์ม ณ ต�ำบลผังปาล์ม ๔ อ�ำเภอ กวนกาหลง เพื่อสร้างรายได้หาเงิน ส่งเสียลูกๆ จนเรียนจบ ท�ำงาน รับราชการและกิจการส่วนตัว คุณทวดมาอยู่จังหวัดสตูลเพื่อที่จะท�ำสวนปาล์ม โดยที่ไม่มีความรู้อะไรเลยเกี่ยวกับการปลูกปาล์ม การดูแล การค้าขาย แต่ท่าน ก็ได้รบั ความช่วยเหลือจากคนในพืน้ ทีท่ ที่ �ำสวนอยูก่ อ่ นแล้วนับเป็นความงดงาม ของน�้ำใจของคนควนกาหลง ท่านบอกว่า ท�ำงานตั้งแต่เช้าจรดเย็นเกือบทุกวัน


130

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ปลูกต้นปาล์ม ถางป่า แต่ก็มีบางครั้งที่ได้ไปเที่ยวงานประจ�ำปีนั้นก็คือ การ แข่งขันว่าวของจังหวัดสตูล เป็นงานประจ�ำปีที่สนุกสนาน มีว่าวที่สวยงาม ลวดลายแปลกตา รวมกับความสนุกของการเล่น จนหนุม่ ๆสาวๆ ลูกเด็กเล็กแดง คนแก่คนเฒ่า ต่างก็เทีย่ วงานทีส่ นุกสนานและมีอาหารพืน้ เมืองทีน่ า่ รับประทาน เช่นนี้ บางครั้งไปเที่ยวเกาะ ต่างๆของสตูลอยู่เรื่อยๆ ถ้านอกเหนือจากการท�ำ สวนแล้ว ท่านบอกว่าสตูลเป็นเมืองที่สงบ สะอาด ธรรมชาติบริสุทธิ์ ท้องทะเล ของจังหวัดสตูลงามตามาก น�้ำทะเลใส เป็นสีฟ้าครามที่สะท้อนแสงได้สวยงาม อุดมไปด้วยสัตว์ทะเลนานาชนิด ตัดกับป่าเขาล�ำเนาไพรที่เขียวขจี ความงามนี้ ยังตรึงตราอยู่ในความทรงจ�ำของท่านแม้นได้จากสตูลมาแล้วเป็นเวลากว่า ๔๐ ปีก็ตาม บ�ำรุงตระกูลที่ยะลา คุณทวดเล่าถึงจังหวัดยะลา ผ่าน ถ้อยค�ำที่ร้อย เรียงเป็นจังหวะ ท่วงท�ำนอง น�้ำเสียงอันหวนค�ำนึง โดยบทเพลง “ ยะลา” งามโอ้ยะลา จิตใจใฝ่หายะลาเมืองแก้ว งามผังเมืองงาม สวยงาม เพริศแพร้ว สมเป็นเมืองแก้วอาจิณ งามโอ้นิบง จิตใจลุ่มหลงนิบงงามสิ้น งามสาวนิบง ขอจงได้ยิน ทุกนางงามสิ้นตรึงใจ บาโกยเหมือนสวรรค์ หลักเมืองนั้นงามกระไร วัดถ�้ำเพลินใจ และยัง อาลัยเขื่อนบางลาง วัดถ�ำ้ เพลินใจ และยังอาลัยเขือ่ นบางลาง งามโอ้ยะลา ประเสริฐนักหนา ประชาสรรค์สร้าง งามทั้งน�้ำใจ รักไม่จืดจาง เหลือเกินกล่าวอ้างค�ำชม บทเพลงนี้ ท�ำให้ข้าพเจ้ารู้ว่า จังหวัดยะลาเป็นเมืองที่น่าอยู่ คู่สันติสุข อย่างยิ่ง เมืองยะลาน่าอยู่ จึงท�ำให้ลูกๆ หลานของคุณทวด ต่างก็ย้ายถิ่นฐาน มาอยูท่ จี่ งั หวัดยะลา เพือ่ มาศึกษาเล่าเรียน มารับราชการเป็นใหญ่เป็นโต สร้าง ครอบครัว ท�ำการค้าขาย นับว่ายะลาเป็นสถานที่บ�ำรุงตระกูลของท่านให้มี


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

131

ความเจริญรุง่ เรือง เพราะยะลาเป็นเมืองเศรษฐกิจ มีวฒ ั นธรรมอันดีงามมากมาย ตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมาที่ท่านได้ใช้ชีวิต มาถึง ๕ จังหวัด มีสิ่งหนึ่ง ที่คุณทวดของข้าพเจ้า บอกว่าเป็นเรื่องอันดีงามนั้นก็คือ พวกเราแตกต่าง แต่ไม่แตกแยกกัน แม้ว่ามีวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ทั้งทางด้านที่อยู่อาศัย การด�ารงชีวิต อาหารการกินหรือประเพณีที่เกี่ยวกับการศาสนา พวกเราอยู่กัน อย่างช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ตอนที่แม่ของทวด ท่านเสียชีวิตลง ชาวบ้านมุสลิมใน ละแวกที่อยู่อาศัยต่างก็มาช่วยงานฌาปนกิจกิจศพ ไม่แยกแยะว่าเราเป็นคน ศาสนาไหน นับถืออะไร แต่ทกุ คนก็ชว่ ยกันเพราะพวกเรามีความรักความผูกพัน มีความสามัคคีตอ่ กัน ไม่วา่ พวกเราจะมาจากต่างทีต่ า่ งถิน่ ต่างสถานะแต่สงิ่ หนึง่ ที่พวกเราเทิดทูนไว้เหนือหัว นั้นก็คือ สถาบันพระมหากษัตริย์ คุณทวดกล่าวว่า ถ้าในหลวง ราชินี พระราชวงศ์ ไม่เสด็จมาพัฒนาบ้านเมืองเรา ท�าโครงการ พระราชด�าริมากมาย เพื่อพัฒนาให้คนมีความสุข เราไม่มีที่อยู่ ท่านก็สร้างที่อยู่ ให้ เราไม่มขี า้ วกิน ท่านก็หาทีใ่ ห้ปลูก เราไม่มคี วามรู้ ท่านก็สร้างโรงเรียนให้เรียน เราไม่มีอาชีพ ท่านก็สร้างอาชีพให้เรา รวมถึงให้รู้จักความพอเพียง พออยู่ พอ กิน พอใช้ เพือ่ สร้างชุมชนให้นา่ อยูแ่ ละจะเป็นเรือ่ งดีๆ ทีบ่ า้ นเราตลอดไปชัว่ กาล นานโดยได้ อ ยู ่ กั น อย่ า งมี ค วามสุ ข สมดั ง พระราชด� า รั ส ในพระบาทสมเด็ จ พระเจ้าอยูห่ วั “...ในภาษาทุกภาษาก็ตอ้ งมีคา� ว่า เมตตา คือ เอือ้ เฟือ้ ซึง่ กันและ กัน มองคนอืน่ ในทางทีจ่ ะช่วยเหลือเขามากกว่าทีจ่ ะไปแย่งชิงเขา ทุกภาษา ทุก ศาสนา ก็มี จิตใจนี้หรือวิธีการนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายท�าต่อไปด้วยความแน่วแน่ และด้วยความสุจริตใจจะเป็นทางที่จะช่วยส่วนรวมให้ อยู่เย็นเป็นสุข...” กาลเวลาแม้จะแปรเปลี่ยนไปหลายๆ สิ่งรอบตัวก็เปลี่ยนไป แต่สิ่งที่ โดดเด่นของบ้านเรา หรือเรื่องดีๆ เราบ้านเรา มันก็จะคงอยู่ ถ้าพวกเราช่วยกัน สืบสาน เล่าขาน และเราต้อง “...รักกันไว้เถิด เราเกิดร่วมแดนไทย จะเกิด ภาคไหนก็ไทยด้วยกัน เชื้อสายประเพณีไม่มีกีดกั้น เกิดใต้ธงไทยนั้นปวงชน ทุกคนคือไทย....” เพียงสิ่งนี้จะท�าให้เรื่องๆที่บ้านเราคงอยู่ถาวรไปชั่วกาลเวลา


132

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา นายโภคิน จันทร์ทิตย์

ในระบบสุริยะจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล ประกอบด้วยกาแล็คซี่ หมื่นแสนล้านรวมเข้าด้วยกัน ระบบสุริยะจ�ำนวนมากมายหล่อหลอมรวมกันใน ความว่างเปล่าและเคว้งคว้างสีดำ� มีดาวเคราะห์สฟี า้ ใสลอยตัวอยูใ่ นระบบสุรยิ ะ จักรวาล ดาวเคราะห์ดวงนั้นคือ “โลก” ภายใต้สถานการณ์อดีตและปัจจุบัน โลกได้มีอารยธรรมต่างๆก่อก�ำเนิดขึ้นมามากมาย อารยธรรมที่เก่าแก่ได้ก่อขึ้น ทั่วทุกมุมโลก ในอดีตมนุษย์ได้อยู่ร่วมกันภายใต้ความแตกต่าง ทั้งความแตกต่าง ทางชนชั้น ความแตกต่างทางความเชื่อ ความแตกต่างทางแนวคิด เมื่อมีความ แตกต่ า งก็ ย ่อมมีความเห็น แนวคิ ดที่ไ ด้ ตรงกัน ความคิ ดเห็ นตรงกั นข้ าม คนละมุม ก็เหมือนการมองกรวย ทีค่ นหนึง่ มองก็วา่ เป็นสามเหลีย่ ม คนหนึง่ มอง ก็วา่ เป็นวงกลม คนหนึง่ มองก็วา่ เห็นแต่จดุ เล็กๆ แต่ความจริงแล้วมันก็คอื กรวย ทีล่ ม้ อยูส่ ามารถมองได้หลายมุม มองจากมุมหนึง่ คือสามเหลีย่ ม มองจากมุมหนึง่ คือวงกลม แต่สุดแล้วความจริงของแต่ละมุมมันก็คือกรวยอันเดียวกัน ในโลกของเรามีความแตกต่างทางวัฒนธรรมสูงมาก แม้แต่ประเทศ เล็กๆอย่างประเทศไทย ก็มีความแตกต่างนั้นเฉกเช่นเดียวกับประเทศน้อยใหญ่ อื่นๆ ประเทศไทยมีห้าภาค มีภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง ภาคตะวันออก และ ภาคใต้ แต่ละภาคย่อมมีวฒ ั นธรรมทีแ่ ตกต่างกันไปตามลักษณะภูมปิ ระเทศ


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

133

ภาคใต้ของประเทศไทยมี ๑๔ จังหวัด แต่ละจังหวัดมีอาณาเขตติดทะเล ยกเว้นจังหวัด “ยะลา” จังหวัดยะลา เป็นจังหวัดเดียวในภาคใต้ทไี่ ม่มอี าณาเขต ติดทะเล เป็นจังหวัดที่อยู่ ณ ใต้สุดของสยามประเทศ โดยได้มีเขตแดนติดกับ ประเทศมาเลเซีย หลากหลายวัฒนธรรมได้หล่อหลอมรวมกันอยู่ในจังหวัดเล็กๆใต้สุด ของประเทศ ยะลาได้รวบรวมความแตกต่างที่อยู่ร่วมกันอย่างลงตัวไว้ได้ อย่างมหัศจรรย์ คนไทย คนจีน คนมลายู คนชวา ได้ตั้งรกรากไว้ในจังหวัดนี้ ข้าพเจ้าเป็นเพียงนักเรียนมัธยมคนหนึ่งที่หลงใหลความเป็นอยู่ของ คนในจังหวัดตัวเอง อันเนื่องมาจากความหลากหลายทางวัฒนธรรม ทางสภาพ สังคม ความคิด ศาสนา นั้นมีความหลากหลายและแตกต่างเป็นอย่างมาก แต่คนในจังหวัดยะลาสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข วิถชี วี ติ ของคนในจังหวัดยะลามีความเหมือนทีแ่ ตกต่างสามารถรวมกัน ได้อย่างกลมกลืน โดยในรุ่งเช้า หากได้ตื่นมาจะได้ยินเสียงละหมาดของผู้นับถือ ศาสนาอิสลาม ซึ่งเป็นบรรยากาศที่มีอยู่เป็นประจ�ำทุกวัน ซึ่งหากเป็นคนพุทธ หรือคนไทยเชือ้ สายจีน ก็ยอ่ มถือได้วา่ นีค้ อื ข้อได้เปรียบของพวกเขา เพราะเสียง ละหมาดนั้นจะปลุกพวกเขาจากการหลับใหลท�ำให้ได้ตื่นมาพบกับบรรยากาศ ยามเช้าที่น่าหลงใหล กล่าวได้ว่าคนในจังหวัดไม่มีการรังเกียจหรือร� ำคาญ ในกิจวัตรของคนแต่ละศาสนา แต่ทกุ คนนัน้ กลับเปิดใจยอมรับในความแตกต่าง ที่ไม่ได้สร้างความเสียหายและมองเป็นข้อดีที่จะท�ำให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง บ่อยครั้งที่ข้าพเจ้าจะต้องช่วยเหลือในงานบริจาค ทั้งเป็นผู้บริจาคเอง หรือแม้กระทั่งเป็นผู้ขอรับบริจาค ข้าพเจ้าเคยให้บริจาคแก่งานบุญทั้งของ ศาสนาตนเองและศาสนาอื่น ซึ่งตัวข้าพเจ้าเองนั้นก็ได้ให้การช่วยเหลือทุกครั้ง แต่ภาพที่น่ายินดีนั้นคือทุกๆคนร่วมกันช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็น พุทธ คริสต์ อิสลาม และคนไทยเชื้อสายจีน ทุกๆคนร่วมแรงร่วมใจกันพร้อมที่จะช่วยเหลือ


134

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

คนในจังหวัดของตัวเองอย่างเต็มที่ ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าเคยเข้าร่วมค่ายเยาวชน ส�ำนึกรักท้องถิ่น รุ่นที่ ๖ ในช่วงที่ข้าพเจ้าเข้าค่ายอยู่นั้นเป็นช่วงเดียวกับที่ ประเทศญีป่ นุ่ ได้ประสบภัยพิบตั คิ รัง้ ร้ายแรงทีส่ ดุ ทีเ่ คยประสบมา นัน้ คือโดนทัง้ สึนามิขนาดใหญ่ อีกทัง้ แผ่นดินไหวทีม่ คี วามรุนแรงมาก ในตอนนัน้ หลายประเทศ ทั่วโลกได้ให้การช่วยเหลือญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก แม้แต่ประเทศไทยก็ได้ให้การ ช่วยเหลือหลายต่อหลายด้านส่งคนไปช่วยเหลือ ให้เงินสนับสนุน สนับสนุน ทางด้านอาหาร คนไทยก็ได้ให้การช่วยเหลือเป็นอย่างดี แต่ในจังหวัดเล็กๆ อย่างยะลานั้น ก็ได้ให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่เช่นเดียวกัน โดยค่ายที่ข้าพเจ้า ร่วมกิจกรรมอยู่ตอนนั้น ได้ให้เด็กๆ ในค่ายออกเรี่ยไรเงินพร้อมกับเจ้าหน้าที่ เทศบาลนครยะลาของคนในจังหวัดยะลา ในตอนแรกข้าพเจ้าเกิดความท้อแท้ เพราะเงินที่ได้มาตอนแรกนั้นได้เพียงนิดหน่อยเท่านั้นเอง แต่เมื่อข้าพเจ้าเดิน รับบริจาคต่อไป ท�ำให้ขา้ พเจ้าเปลีย่ นความคิด ท�ำให้ขา้ พเจ้าได้เห็นมุมทีส่ วยงาม ของคนในจังหวัด ภาพของคนในจังหวัดที่ช่วยเหลือคนต่างประเทศช่วยเหลือ คนอีกประเทศหนึ่งที่ไม่เคยรู้จักไม่เคยพบเจอโดยใบหน้าที่เปี่ยมด้วยความสุข ของคนบริ จ าคเงิ น ท� ำ ให้ ข ้ า พเจ้ า มี ก� ำ ลั ง ใจและมี ค วามสุ ข อย่ า งประหลาด ในวันนั้น การรับบริจาคเงินได้ด�ำเนินจนเสร็จสิ้น ในคราวแรกข้าพเจ้าคิดว่าเงิน คงได้ไม่เท่าไหร่เพราะในแค่ตัวเมืองเล็กๆจ�ำนวนเงินคงได้ไม่มาก แต่หากได้เกิด สิง่ อัศจรรย์ใจอีกครัง้ เมือ่ จ�ำนวนเงินมากเกินทีข่ า้ พเจ้าคาดหมาย นัน้ เป็นสิง่ หนึง่ ที่ท�ำให้ข้าพเจ้าได้ประจักษ์ว่า คนยะลามีน�้ำใจจริงๆ จากที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาหลายๆคนคงไม่เชื่อว่าเรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้น ในดินแดนทีเ่ ป็นพืน้ ทีส่ แี ดงดินแดนทีร่ อ้ นระอุไปด้วยเสียงปืนและระเบิดตามข่าว แต่ความจริงแล้วทุกอย่างมิได้เลวร้ายอย่างที่คุณคิด ภายใต้ความมืดมิดนั้น ยังคงมีแสงสว่าง แสงสว่างจากใจของชาวยะลาที่ใฝ่หาความสงบสุข ข้ า พเจ้าอยู่จังหวัดยะลามาตั้งแต่ก�ำเนิด ข้าพเจ้าได้ท่องเที่ยวไป หลายจังหวัดในประเทศไทยแต่ละที่ยอมมีความแตกต่างกันไป แต่ข้าพเจ้า


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

135

กลับรู้สึกว่ายะลาเป็นสถานที่ที่น่าอยู่ที่สุด เป็นเมืองที่ปราศจากความวุ่นวาย โกลาหล เป็นเมืองที่ข้าพเจ้าสามารถเดินข้ามถนนได้อย่างไม่ลังเลและบ่อยครั้ง ในการข้ามถนนข้าพเจ้าจะได้รับน�้าใจจากผู้คนบนท้องถนน ที่ให้คนเดินข้ามไป ก่อนนับเป็นความสุขเล็กๆที่ท�าให้ข้าพเจ้ายิ้มได้ทั้งวัน น�า้ ใจน้อยใหญ่จากคนนับพันนับหมืน่ ในจังหวัดนีย้ งั คงมีปรากฏอยูท่ กุ ๆ วัน แม้แสงสว่างแห่งความสงบสุขของเมืองนีจ้ ะริบหรีก่ ต็ ามแต่ชาวเมืองทุกๆ คน ยังคงศรัทธาในเพือ่ นต่างศาสนายังคงศรัทธาในความดีและยังคงศรัทธาว่าสักวัน ความสงบและปลอดภัยจะหวนกลับคืนมาให้ได้รู้สึกชื่นมื่นอีกครั้ง นี้แหละครับ เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา เรื่องดีๆของเมืองเล็กๆ ที่ชาวเมืองยังคงเติมความสุขให้กัน และกันอยู่ทุกวัน


136

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา นางสาวยาดูวัล หะยีแวมิง

จากหลายปีที่ผ่านมา ปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ นับว่าเป็นปัญหาทีเ่ กิดความรุนแรงและความสูญเสียมากมาย ส่งผลให้ประชาชน เพิ่มความหวาดกลัวกันอย่างแพร่หลายและนับว่าเป็นปัญหาใหญ่ปัญหาหนึ่ง ที่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องการความช่วยเหลือจากรัฐบาลเพื่อมาแก้ไขปัญหา ในเรือ่ งนี้ และด้วยกระแสความรุนแรงทีเ่ กิดขึน้ ในปัจจุบนั ท�ำให้เยาวชนมองข้าม ในเรื่องดีๆ ที่บ้านเรา ด้วยสาเหตุที่มาจากสถานการณ์ความรุนแรงเพิ่มความ โหดร้ายไปมากแค่ไหน ก็ยิ่งเป็นโอกาสดีที่เราจะฟื้นฟูประวัติศาสตร์ของพื้นที่ บ้านเรา ซึ่งเรียกได้ว่าในปัจจุบันประวัติศาสตร์เหล่านี้แทบจะถูกมองข้ามใน คุณค่า ทั้งๆ ที่ประวัติศาสตร์เหล่านี้ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่จะสะท้อนเรื่องดีๆ จากพื้นที่ บ้านเราให้เยาวชนในพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดนใต้และเยาวชนไทยทุกคนได้รู้จัก คุณค่าของการอยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์กัน เมื่อพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดนใต้ถูกขนานนามว่าเป็นดินแดนแห่ง กองเลือด ในฐานะที่เราเป็นลูกหลานของพื้นที่นี้คนหนึ่ง เราจะมีวิธีการอย่างไร ในการสะท้อนสิ่งดีๆ จากพื้นที่บ้านเราให้คนทั้งโลกได้รับรู้ถึงต�ำนานที่เล่าขาน กันมาจากรุ่นสู่รุ่น เนื่องจากสิ่งนี้อาจจะเป็นโอกาสดีอย่างหนึ่งที่ท�ำให้เยาวชน ทุกคนมีความสนใจที่จะไขว่คว้าสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิตโดยไม่ต้องใช้เวลาที่เหลือ ของชีวติ ไปหวาดระแวงกับสถานการณ์ความรุนแรงทีเ่ กิดขึน้ ในบ้านเรา หากเรา


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

137

มีการบอกเล่าถึงต�ำนานในวันวานของบ้านเราทีแ่ สนจะอบอุน่ และร่มเย็น อีกทัง้ ความสามัคคี ความปรองดองและความผูกพันรักใคร่ที่มีต่อกัน สิ่งนี้อาจจะเป็น สิ่งหนึ่งที่จะช่วยบรรเทาความกลัวของผู้คนได้ เมื่อบรรเทาความกลัวได้ส�ำเร็จ จากที่ว่ากลัวอาจจะเปลี่ยนมาเป็นความร่วมมือร่วมกันระดมความคิดที่จะหา ทางแก้ไขปัญหานี้ จากต�ำนานเรื่องเล่าที่ถูกมองข้ามมายาวนาน ขอถือโอกาสนี้ ในการถ่ายทอดเรื่องเล่าผ่านบทความนี้ พ่อแม่ดิฉันเคยเล่าว่า “สมัยก่อนบ้านเราน่าอยู่มาก ต่างคนก็ต่าง ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่มีการแบ่งชนชั้นกัน” แม่บอกว่าจากประสบการณ์ ทีแ่ ม่เคยผ่านมาและจากเรือ่ งเล่าทีต่ ายายของแม่เล่ามา สถานการณ์ในบ้านและ สภาพโดยรอบของพื้นที่บ้านเราในสมัยของตายายของแม่เป็นวัยรุ่นกับสมัยแม่ เด็กๆ มันช่างสอดคล้องกันนัก แต่มาวันนี้ สิง่ ทีด่ งี ามกลับถูกกลืนไปกับกาลเวลา ที่ผ่านพ้นไป เราอาจจะสงสัยกันอยู่ใช่มั้ยว่าท�ำไมบ้านเราสมัยก่อนถึงน่าอยู่ แต่เดี่ยวนี้กลับโหดร้ายยิ่งนัก เนื่องมาจากคนสมัยก่อน เขาจะถือว่าทุกคนคือพี่ น้องกัน แม้วา่ จะหลากหลายในศาสนาทีอ่ ยูใ่ นพืน้ ทีบ่ า้ นหรือจะเป็นการสวนทาง กันในหลักศรัทธาหรือจะเป็นความเชื่อที่ถือกันคนละอย่าง แต่สมัยก่อนนั้น จะถือคุณค่าความเป็นคนเท่าเทียมกัน หรือจะพูดสั้นๆ ได้ใจความว่า “แตกต่าง แต่ไม่แตกแยก” ทุกคนล้วนต่างให้เกียรติกันและอีกทั้งมีการแบ่งปันกัน มีมาก ก็ให้มาก มีน้อยก็ให้น้อย นี้แหละคือสาเหตุของการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ถึงแม้ความเป็นจริงแล้วโลกอิสลามกับโลกไทยพุทธนั้นมีความแตกต่างกัน แต่ ด้วยความผูกพันกัน ใกล้ชิดกัน ท�ำให้ความเป็นมิตรที่ดีทั้งสองฝ่ายในตอนนั้น ไร้พรมแดน และห้วงเวลาของการด�ำรงชีวติ ทีจ่ ะอยูร่ ว่ มกันอย่างสงบสุขไม่จ�ำเป็น ว่าต้องเป็นสิ่งเดียวกันเสมอ หรือจะกล่าวคือความเป็นชาติพันธ์ุ วัฒนธรรม ประเพณี และภาษาไม่ใช่ปจั จัยทีจ่ ะท�ำให้ทงั้ สองต้องแตกแยก ถึงแม้วา่ ฝ่ายหนึง่


138

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

จะเป็นอิสลามและอีกฝ่ายหนึ่งจะเป็นไทยพุทธ แต่สิ่งที่แตกต่างกันเราสามารถ เอามาผูกพันกันได้โดยปลูกฝังความรัก ความห่วงใยและความสามัคคีต่อกัน และถึงแม้ว่าการศึกษาและการค้นคว้าในช่วงเวลาเรียนหนังสืออาจจะมีเนื้อหา ของการเชื่อมโยงกลุ่มชาติพันธ์ุต่างๆ ที่เขามีส่วนร่วมในประวัติศาสตร์ของ ปัตตานี แต่แม่กบ็ อกว่าสมัยนัน้ เขาไม่เอาประวัตศิ าสตร์เหล่านัน้ ให้มาเป็นปัญหา ในการด�ำรงชีวิตร่วมกัน ไม่ว่าช่วงเวลาที่เคยผ่านมาของประวัติศาสตร์เหล่านั้น จะมีภาวะวิกฤตต่อบ้านเมืองเช่นไร แต่สถานการณ์เหล่านั้นมันกลายเป็นอดีต ส�ำหรับพวกเขาไปแล้ว แม่ก็บอกอีกว่าแม่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดที่ท�ำให้พวก เขามีแรงจูงใจที่จะลืมเรื่องในอดีตที่บรรพบุรุษเคยประสบมา คงอาจจะเป็น เพราะความที่อยากให้ทั้งสองฝ่ายสมานฉันท์กัน ร่วมมือกันสร้างสุข สร้างสันติ สร้างรอยยิ้มให้แก่กันและกันเลยตัดสินใจที่จะลืมเรื่องนี้ ก็อาจเป็นไปได้ พูดถึงวัฒนธรรม เรารูห้ รือไม่วา่ วัฒนธรรมคืออะไร? วัฒนธรรมคือแบบ พฤติกรรมทั่วไปในชีวิตประจ�ำวันของเราและเป็นระบบคุณค่าที่ทางสังคม ให้ความส�ำคัญ เช่น สิ่งก่อสร้าง ศิลปะ หรือการกระท�ำต่างๆ ค่านิยมเป็นความ คิดหนึ่งที่สามารถจะอธิบายถึงรูปแบบของวัฒนธรรม อาจจะเรียกได้ว่าเป็น แผนที่ที่คอยชี้แนะถึงทางของชีวิตก็ได้ ส่วนประเพณีก็หมายถึงกิจกรรมที่มี การปฏิบัติสืบเนื่องกันมาจากรุ่นสู่รุ่น สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วมีความส�ำคัญต่อการ ด�ำเนินชีวิตอยู่ในสังคม ตัวอย่างเช่น การแต่งกาย ภาษา วัฒนธรรม ศาสนา กฎหมาย คุณธรรม ความเชื่อ เป็นต้น มันเป็นกฎระเบียบอย่างหนึ่งในการ ประพฤติปฏิบัติหรือการวางตัวต่อบุคคลภายในสังคม ประเพณีเรียกได้ว่ารับ อิทธิพลมาจากสิ่งแวดล้อมจากภายนอกที่เข้ามาสู่สังคมบ้านเราท�ำให้เราเอา ความหลากหลายเหล่านั้นเข้าผสมผสานเข้าไปในการด�ำรงชีวิตของเรา ดังนั้น วัฒนธรรมและประเพณีคือปัจจัยส�ำคัญของการด�ำรงชีวิตในแต่ละวันของเรา


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

139

แม่บอกฉันอยู่เสมอว่าถึงแม้ว่าบ้านเราจะมีหลากหลายทางด้านศาสนา จะรัก และปรองดองกันมากขนาดไหนเราทุกคนก็ยงั ศรัทธาในศาสนาตัวเองอย่างไม่มี วันออกนอกกรอบของศาสนา ณ วันนี้วันที่บ้านเราร้อนแรงและลุกเป็นไฟแบบ นี้ ไม่ใช่ปญ ั หาของความแตกต่าง แต่เป็นปัญหาของความไม่เข้าใจด้านความเป็น อยู่ของกันและกันมากกว่า แต่บางเหตุการณ์ปัญหาก็เกิดขึ้นมาจากอดีต ดังนั้น ประวัตศิ าสตร์กเ็ ป็นส่วนหนึง่ เช่นเดียวกันทีจ่ ะสร้างผลงานของการกระท�ำให้กบั คนในปัจจุบัน ณ เวลานี้ดิฉันคิดว่าแม้ว่าเวลาจะผ่านพ้นไปกี่ยุคสมัย คนไทย ทุกคนก็ควรใช้ประโยชน์จากประวัตศิ าสตร์เหล่านัน้ น�ำไปในแนวทางทีด่ แี ละให้ เกิดความเจริญรุ่งเรืองสืบต่อไปให้มากที่สุดและหากเราได้แต่ปิดบังโอกาส ของเยาวชนทุกคนด้วยการสร้างสถานการณ์ความรุนแรงขึ้นมา โอกาสที่เราจะ พัฒนาศักยภาพในด้านต่างๆ ทีข่ ณะนีม้ นั ท�ำให้เราต้องสูญเสียอะไรหลายๆ อย่าง ไปในชีวิตคงเป็นไปได้ยาก การอยู่ร่วมกันในสังคมและในบ้านเราที่จะท�ำให้เกิด สันติสขุ นัน้ เพียงแค่เราเคารพและให้เกียรติในความแตกต่างกัน ทัง้ ทางชาติพนั ธ์ุ ศาสนา ความเชื่อ และวัฒนธรรมประเพณี สิ่งนี้จะเป็นหัวใจส�ำคัญที่จะสร้าง ความสันติสขุ ของบ้านเราโดยไม่จำ� เป็นต้องแบ่งเขตแบ่งแดนกัน ในประวัตศิ าสตร์ เราทัง้ สองฝ่ายอาจจะมีความขัดแย้งกันบ้าง แต่ถา้ หากทัง้ สองฝ่ายมีความจริงใจ และความรักในการอยู่ร่วมกัน และความเป็นธรรมที่มีให้ต่อกัน เงื่อนไขต่างๆ ทีถ่ กู น�ำเสนอเข้ามาสูบ่ า้ นเราก็ไม่จำ� เป็นอีกต่อไป และการทีเ่ รามีการจัดวางแผน เพื่อน�ำไปสู่การอนุรักษ์ทรัพยากรของบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็นเพื่อรักษาแหล่ง เรียนรู้ แหล่งท่องเที่ยวและอีกทั้งเพื่อรักษาสิ่งดีๆ ที่เคียงคู่บ้านเรามายาวนาน หากเราได้รับการสนับสนุนส่งเสริมจากรัฐหลายๆ ด้านนั้น สถานที่ส�ำคัญต่างๆ ก็ จ ะยั ง คงเคี ย งคู ่ บ ้ า นเราตลอดไป และดิ ฉั น เชื่ อ ว่ า เยาวชนชายแดนใต้ โดยส่วนใหญ่แล้วล้วนต้องการสิทธิเสรีภาพในการด�ำรงชีวิตบนพื้นแผ่นดินเกิด


140

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ของเรา และอีกทั้งยังต้องการมีส่วนร่วมในบทบาทต่างๆ ในสังคม อย่าได้เอา ประวัติศาสตร์เหล่านั้นมากีดกั้นเส้นทางสู่ความก้าวหน้าของทั้งสองฝ่ายอีกเลย แม่บอกกับฉันอยู่เสมอว่าไม่ว่าจะเป็นทางด้านการค้า การเมือง การเผยแพร่ ศาสนา ศิลปวัฒนธรรมและประเพณี เราทุกคนล้วนแล้วมีสทิ ธิต์ อ่ สิง่ นัน้ ไม่มขี ดี จ�ำกัดว่าสิ่งนี้เป็นสิทธิ์ของใคร แต่เราทุกคนในพื้นที่ล้วนแล้วมีสิทธิ์ในสิ่งนั้น เหมือน ๆ กัน เมื่อความเป็นจริงถูกเปล่งประกายออกมา สิ่งที่ดีงามก็จะสะท้อน ให้เห็นดั่งดาวที่ไม่มีวันดับแสง แต่เพียงแค่รอโอกาสที่จะเปล่งแสงออกมาให้คน ทั้งโลกได้รับรู้ถึงความสง่างามของมัน เมื่อความรุนแรงคืออ�ำนาจที่มาบดบัง ความดีงามของบ้านเรา ศักยภาพในการปกครองก็เริม่ เสือ่ มลง การบริหารจัดการ ต่อความขัดแย้งที่หาจุดจบไม่เจอ และอีกทั้งการแย่งชิงอ�ำนาจในการปกครอง เริม่ เพิม่ พูนความโหดร้ายมากยิง่ ขึน้ แล้วเมือ่ ไหร่บา้ นเราจะมีโอกาสเปล่งประกาย แสงนั้นออกมา แสงที่เราทุกคนในพื้นที่รอคอยให้มันกลับมาส่องแสงนั้นอีกครั้ง หากเรายังมีจิตส�ำนึกว่าแผ่นดินที่เราอยู่นี้ก็ต้องการความสงบสุขเช่นกัน เราก็ ควรไตร่ตรองถึงทุกข์สุขของคนรอบข้างสักนิด เราก็จะพบว่าแท้จริงแล้วจุดจบ ของเรื่องร้ายๆ นี้มันอยู่แค่เอื้อมเท่านั้น ที่เรามองไม่เห็นอาจเป็นเพราะว่าเราไม่ ลองเอื้อมมือเข้าสัมผัสดู เราอย่าได้ท�ำให้ประวัติศาสตร์มันต้องมาซ�้ำรอยกันอีก เลย แผลเก่ายังไม่หายดี แผลใหม่ก็เกิดขึ้นมาอีก “อิสลามกับไทยพุทธ หรือไทย พุทธกับอิสลามอยูด่ ว้ ยกันไม่ได้ ใครบอกว่าอยูด่ ว้ ยกันไม่ได้” สุดท้าย การเยียวยา สถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนใต้ก็ถูกด�ำเนินการแก้ไขปัญหา ความไม่สงบ ความขัดแย้ง ความสูญเสียจะต้องถูกสยบด้วยคุณธรรม ดิฉันเคย อ่านหนังสือประวัติศาสตร์ปัตตานีเล่มหนึ่ง จากที่ได้อ่านมาคร่าวๆ ก็สามารถ สรุปใจความสั้นๆ ว่ามันสงบสุขดั่งที่แม่ของดิฉันได้เล่าไว้จริงๆ เรื่องมีอยู่ว่า “ปัตตานีในช่วงนัน้ ถูกปกครองด้วยกษัตริยแ์ ละราชินที ยี่ ตุ ธิ รรม ในรัชสมัยทีส่ ร้าง


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

141

ความเจริญรุง่ เรืองให้กบั ปัตตานีได้มากทีส่ ดุ หลังจากกษัตริยท์ กี่ อ่ ตัง้ เมืองปัตตานี สิ้นพระชนม์นั้นคือ รัชสมัยของราชินีฮีเญา รองลงมาคือราชินีกูนิง ความเจริญ รุ่งเรืองเหล่านั้นเกิดขึ้นมา เมื่อปัตตานีเปิดท�ำการค้าต่างๆ กับชาวต่างชาติ การปกครองบ้านเมืองก็ผ่านไปโดยดี มีแต่ความสงบรายล้อมรอบๆ กายของ กษัตริย์และราษฎร แต่ก็มีบ้างที่เกิดสงครามกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่ศึก สงครามเหล่านัน้ ก็ผา่ นไปโดยดีเช่นกัน ด้วยความเก่งกล้าสามารถของราชินฮี เี ญา จนสามารถปกป้องบ้านเมืองได้ ราชินฮี เี ญา เรียกได้วา่ เป็นราชินที เี่ ต็มเปีย่ มด้วย ความสามารถหลากหลายด้าน ทั้งการปกครองที่เข้มแข็ง ทั้งทางด้านการค้า ที่เจริญรุ่งเรือง ทั้งด้านการสร้างความสัมพันธไมตรีต่อประเทศเพื่อนบ้านและ ประเทศอืน่ ๆ อีกหลายประเทศ ท�ำให้เมืองปัตตานีในสมัยนัน้ มีชอื่ เสียงและเป็น ที่รู้จักกันไปทั่วทั้งทวีปและอีกทั้งความก้าวหน้าทางด้านการค้าที่เรียกได้ว่า ใหญ่พอๆ กับประเทศใหญ่ๆ อีกด้วย ท�ำให้ปัจจุบันนี้ ปัตตานีได้เป็นที่รู้จักกัน ทางประวัติศาสตร์ว่าเป็นเมืองท่าที่เก่าแก่ เรียกได้ว่าสมัยที่มีการเล่าขานถึง ต�ำนานมากที่สุดคือ รัชสมัยของราชินีฮีเญา ศาสนาอิสลามเข้ามามีบทบาท ในปัตตานีเมื่อไหร่ ก็ตอนที่พญาท้าวนภาผู้ซึ่งก่อตั้งเมืองปัตตานีและได้มีโอรส องค์หนึ่ง มีพระนามว่า พญาอินทิรา ต่อมาเมื่อพญาท้าวนภาสิ้นพระชนม์ พญาอิ น ทิ ร าผู ้ ซึ่ ง เป็ น โอรสก็ ไ ด้ เ ป็ น กษั ต ริ ย ์ สื บ ต่ อ จากพระบิ ด าและเมื่ อ พญาอินทิราได้เป็นกษัตริยเ์ มืองปัตตานี ก็ได้เปลีย่ นศาสนามาเป็นนับถือศาสนา อิสลามและเมือ่ เปลีย่ นศาสนาพระองค์กไ็ ด้เปลีย่ นพระนามใหม่ มีนามว่า สุลต่าน อิสมาอีล ชาห์ ซิลลุลลอฮ์ฟิลอลาม ท�ำให้ในเวลาต่อมา เชื้อสายของศาสนา อิสลามก็ถูกสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น และเหตุที่ทางการค้าของเมืองปัตตานี ในสมัยนั้นเป็นที่รุ่งเรืองและมากด้วยพ่อค้าจากต่างชาติมาร่วมค้าขายด้วย ก็เพราะว่าการปกครองของปัตตานีในช่วงระยะเวลานั้นเข้มแข็งและสามารถ


142

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

คุ้มครองและให้ความเป็นธรรมกับพ่อค้าทุกชาติ แต่พอสิ้นสุดของรัชสมัย ของราชินีทั้ง ๔ พระองค์ คือ ราชินีฮีเญา ราชินีบีรู ราชินีอูงู และราชินีกูนิง ความวุ่นวายและความรุนแรงของการปกครองในปัตตานีก็เกิดขึ้น ต่างคนต่าง ก็อยากเป็นผู้ปกครองเมืองปัตตานี ท�ำให้ในบางครั้งก็เกิดการนองเลือดในพวก กันเอง จนสุดท้ายท�ำให้เมืองปัตตานีก็ตกเป็นของประเทศสยาม และท�ำให้อยู่ ภายใต้การปกครองของสยามในเวลาต่อมาจนถึงปัจจุบัน” ความพยายามในการสมานฉันท์ทั้งในอดีตและปัจจุบันจึงไม่มีผลใดๆ เกิดขึน้ เนือ่ งจากการสร้างความเข้าใจร่วมกันจ�ำเป็นต้องหันกลับไปมองอดีตเพือ่ ให้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของปัตตานี รวมถึงเราต้องเข้าใจถึงบริบทของเหตุการณ์ ในแต่ ล ะยุ ค แต่ ล ะสมั ย อย่ า งครบถ้ ว นและเป็ น ธรรม ซึ่ ง น่ า จะช่ ว ยให้ เ กิ ด ความเข้าใจและเห็นใจต่อกันมากกว่าทีผ่ า่ นมา ด้วยนามของลูกหลานของจังหวัด ชายแดนใต้คนหนึ่ง ดิฉันมีความภาคภูมิใจเป็นอย่างมากที่ได้เกิดมาใต้ร่มเงา ของพื้นที่ที่เราชาวจังหวัดชายแดนใต้เรียกเหมือนๆ กันว่า “บ้านเรา” บ้านเราสอนให้เรารู้อะไรหลายๆ อย่าง เป็นแหล่งเรียนรู้ที่ดีที่สุด ของพวกเรา สอนให้เราได้รู้ว่าวันคืนต่อแต่นี้ไป คือวันคืนที่แสนดีที่เราใฝ่ฝัน และทุกก้าวที่ผ่านไปจะน�ำเราไปสู่วันแห่งชัยชนะและยังสอนให้เรารู้ว่าวันใหม่ จะมีความหมายอะไร ถ้าเรายังย�่ำเดินบนเส้นทางความผิดพลาดเก่าๆ อะไรคือ ค�ำสอนให้ฉันและเธอได้เรียนรู้ภายในบ้าน สถานการณ์ความรุนแรงในบ้านเรา ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในบ้านเราล้วนแล้วคือข้อคิดให้แก่ตัวเราทั้งนั้น ความรุนแรง เหล่านีก้ เ็ รียกได้วา่ เป็นหนึง่ อุปสรรค ดังนัน้ เราจงจ�ำไว้วา่ อุปสรรคอันยากล�ำบาก มันท�ำให้เราได้รู้ว่าตัวเองเข้มแข็งมากขนาดไหน ต้องขอขอบคุณ คุณพ่อคุณแม่ มากที่สอนให้ฉันรู้จักที่จะเข้มแข็งต่อสถานการณ์ความรุนแรงเหล่านี้ ขอบคุณ ส� ำ หรั บ ความเอื้ อ อาทรและบางเหตุ ก ารณ์ ที่ ส อนให้ ฉั น รู ้ จั ก หั ว ใจตั ว เอง


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

143

ขอบคุณส�าหรับข้อคิดที่มอบให้ฉัน และขอขอบคุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน ในความการุณทีค่ อยเกือ้ หนุนเป็นก�าลังใจ และคอยเป็นทีป่ รึกษาและคอยพัฒนา ศักยภาพการเรียนรู้ของฉัน และรวมไปถึงเพื่อน ๆ ของดิฉันทุกคน ขอบคุณ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ร่วมสร้างความทรงจ�าอันมีค่า ขอบคุณทุกคนมากที่ท�าให้ฉันรู้ ว่ า โลกกว้ า งใบนี้ ยั ง ไม่ เ ดี ย วดาย ขอบคุ ณ นั ย น์ ต าสองที่ ค อยทอดมองฉั น ด้วยความห่วงใย สุดท้ายนี้ ดิฉันได้แต่หวังว่าสถานการณ์ของบ้านเราจะบรรเทาความ รุนแรงลงไปบ้าง ไม่วันนี้ก็คงต้องมีสักวันหนึ่งที่บ้านเราจะสงบสุขและร่มเย็น ดัง่ เช่นอดีตทีผ่ า่ นมาอีกสักครัง้ เราอยูบ่ นโลกนีท้ า่ มกลางสถานการณ์ความรุนแรง ได้ ไม่ใช่เพราะว่าเราแข็งแรงแต่เป็นเพราะว่าเราเข้มแข็งต่างหาก วันพรุ่งนี้ ก�าลังเดินทางมา อุปสรรคเบือ้ งหน้าแม้ยงิ่ ใหญ่มากแค่ไหนเราก็จะร่วมกันจับมือ กันฝันฝ่าไป ทุกข์ยากอย่างไร เราจะไม่ทิ้งกัน เพราะเราเชื่อว่า การกระท�าที่ดี ที่สุดแล้ว ผลออกมาคือความผิดหวัง มันบอกกับเราได้อย่างหนึ่งว่า มันต้องมี สักวิธีที่ดีกว่านี้ วันนี้เราอาจจะยังหาวิธีแก้ไขไม่พบแต่สักวันหนึ่งเราจะได้เห็น ความส� า เร็ จ ของบ้ า นเรานั้ น คื อ “ความสั น ติ ” โบกสะบั ด ธงแห่ ง ชั ย ชนะ ณ ที่พวกเราชาวจังหวัดชายแดนใต้ยืนอยู่


144

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา นายอิทธิกร ทองแกมแก้ว

บ้านเมืองของเรามีประวัติศาสตร์อันยาวนาน มีเรื่องราวที่น่าสนใจ ต่อการด�ำรงอยู่ของคนรุ่นหลัง ที่มีอิทธิพลทั้งทางด้านขนบธรรมเนียมประเพณี วิ ถี ชี วิ ต และความเป็ น อยู ่ อั น เป็ น บ่ อ เกิ ด แห่ ง วั ฒ นธรรมของคนในชาติ มีจุดเริ่มต้นมาจากรากเหง้าของคนในท้องถิ่น รวมเป็นวัฒนธรรมสูงสุด จนน�ำ ไปสู่แนวทางแห่งการปฏิบัติร่วมกันของคนในสังคมที่สามารถหล่อหลอมชาติ บ้านเมืองของเราให้มีความเจริญมั่นคงส่งผลให้กลายเป็นแหล่งอารยธรรม ที่ทรงคุณค่ามาตั้งแต่สมัยโบราณอันมีเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ที่โดดเด่น ด้วยความหลากหลายของชาติพันธ์ุที่มาอยู่รวมกันบนผืนแผ่นดินถิ่นขวานทอง แห่งนี้อย่างมีความสุข เรื่องราวต่าง ๆ ในท้องถิ่นของประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ ตอนล่าง นับตั้งแต่จังหวัดสงขลาลงไป ปรากฏเรื่องราวต่างๆ ที่มีความส�ำคัญ ทั้งทางด้านประวัติศาสตร์และวีถีชีวิตที่มีอิทธิพลต่อการด� ำรงอยู่ของผู้คน โดยเฉพาะวิถีสามวัฒนธรรม สามศาสนา นั่นคือ วิถีชาวไทยพุทธ วิถีชาวไทย มุสลิมและวิถชี าวจีน ทีม่ าอยูร่ วมกันบนผืนแผ่นดินถิน่ นีม้ าอย่างช้านาน ทัง้ สาม เชือ้ ชาตินลี้ ว้ นมีบทบาทส�ำคัญต่อการสร้างสรรค์ผลงานและพัฒนาประเทศไทย ให้มีความเจริญก้าวหน้า นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันสิ่งเหล่านี้ล้วนท�ำให้เราได้ รั บ รู ้ ว ่ า ผู ้ ค นถิ่นนี้อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุขแม้จะต่างเชื้อชาติต่างศาสนา


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

145

เพราะสิ่งส�ำคัญที่ทุกคนต่างมีเหมือนกันนั่นก็คือไมตรีจิตและความเอื้ออาทร ต่อกันฉันท์พี่ฉันท์น้อง เรื่องราวและภาพประทับใจนี้ยังคงมีให้เห็นและประทับ อยู่ในใจของผู้คนที่นี่มานาน ข้าพเจ้าเป็นหนึ่งในเยาวชนที่มีความสนใจและมีใจรักในความเป็น เอกลักษณ์ของท้องถิน่ โดยเฉพาะของดีทมี่ อี ยูใ่ นบ้านเรา ทัง้ ในบ้านของข้าพเจ้า และท้องถิ่นของข้าพเจ้าเอง ล้วนมีเรื่องราวดีๆ ที่น่าสนใจและน้อยคนนักจะได้ รูจ้ กั ได้เห็นและได้สมั ผัสกับเรือ่ งราวทีจ่ ะได้เรียงร้อยเป็นถ้อยค�ำ ทัง้ จากค�ำบอก เล่าของบุคคลส�ำคัญในครอบครัว และจากการที่ข้าพเจ้าเองได้สัมผัสและรับรู้ ที่ส�ำคัญไปกว่านั้น เรื่องราวต่างๆ เหล่านี้มีคุณค่าและส่งผลต่อจิตใจของผู้คน ในสังคมโดยเฉพาะวัฒนธรรมในท้องถิ่นที่นับวันจะยิ่งเลือนหายไปจากสังคม ในยุคปัจจุบัน อันเนื่องมาจากกระแสของความเจริญ แต่จิตใจของมนุษย์กลับ ไม่เจริญไปตามกระแสวัฒนธรรมของโลกภายนอก ดังนั้นเรื่องราวดังจะกล่าว ต่อไปนี้ ถือเป็นเรื่องราวที่สามารถยกระดับความเจริญของมนุษย์ที่มีมาแต่ครั้ง โบราณผ่านความเชื่อ เรื่องราว ปรัชญา ที่จะสามารถท�ำให้สังคมท้องถิ่นของเรา มีความส�ำคัญและจะคอยย�้ำเตือนบุคคลรุ่นหลังให้ส�ำนึกและเห็นความส�ำคัญ ของเรื่องราวดี ๆ ในวิถีท้องถิ่น เรื่องราวดีๆ ในบ้านของข้าพเจ้าเรื่องแรก นั่นคือ การแทงหยวก งานศิ ล ปกรรมประเภทหนึ่ ง ที่ เ กิ ด จากภู มิ ป ั ญ ญาในการสรรใช้ วั ส ดุ ทรัพยากรธรรมชาติมาสร้างเป็นผลงานศิลปะเพือ่ ใช้ในงานพิธกี รรมหรือกิจกรรม บางอย่างในชีวติ ประจ�ำวัน เป็นศิลปะทีม่ ลี กั ษณะแตกต่างไปจากศิลปะแขนงอืน่ จั ด อยู ่ ใ นประเภทงานเครื่ อ งสดหมู ่ งานช่ า งสลั ก ซึ่ ง เรี ย กกรรมวิ ธี ใ นการ แทงหยวก โดยใช้ปลายมีดฉลุให้เป็นลวดลายว่า “สลักหยวก” การแทงหยวก นิยมกันมาแต่โบราณ เพื่อการน�ำเอาหยวกนั้นมาใช้ประดับตกแต่งสิ่งต่างๆ ทั้ง ในงานอวมงคลและงานมงคล ถือเป็นการสร้างสรรค์ผลงานศิลปกรรมที่ช่าง


146

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ต้องใช้ทักษะและความช�ำนาญสูง ซึ่งช่างแทงหยวกจะต้องเรียนรู้จนสามารถ จดจ�ำลวดลายได้ ตลอดจนต้องฝึกฝน ทั้งในด้านการเขียนลวดลายและการแทง หยวกให้ช�ำนาญ เพราะในการแทงหยวกจะไม่มีการเขียนแบบลวดลายลงบน หยวก ช่างแทงหยวกคนใดเขียนแบบลวดลายลงบนหยวกก่อนแสดงว่าช่างผูน้ นั้ ยังไม่มีความช�ำนาญพอและจะท�ำให้หยวกมีรอยช�้ำ อีกทั้งไม่นิยมใช้ตัวแบบ ลวดลายทาบลงบนหยวก แล้วฉลุตามแบบในการแทงหยวกแม้จะใช้ลวดลายไม่ วิจิตร มากนัก ลวดลายที่ใช้มักจะเป็นลวดลายง่ายๆ ไม่ซับซ้อนแสดงถึงความ อ่อนพลิว้ ดังนัน้ ช่างแทงหยวกจึงเป็นผูท้ มี่ คี วามรูค้ วามช�ำนาญในการแทงหยวก เป็นอย่างดี การแทงหยวกถือเป็นหนึ่งในภูมิปัญญาของท้องถิ่น ที่นับวันจะหา ช่างฝีมอื และผูส้ บื สานศิลปะแขนงนีไ้ ด้ยากนัก แม้จะปรากฏในช่างหลวงเป็นส่วน ใหญ่ แต่ระดับช่างท้องถิ่นยังถือเป็นเอกลักษณ์จนได้รับการยกย่องให้เป็น “แทงหยวกสกุลช่างสงขลา” ของดีเหล่านี้ ข้าพเจ้ามีความสนใจและได้สัมผัส กับงานด้านนี้มาตั้งแต่เมื่อครั้งที่ข้าพเจ้าได้ไปอบรมยังสถาบันทักษิณคดีศึกษา ในตอนแรกข้าพเจ้ามีความคิดที่จะแทงหยวกให้เหมือนอย่างคุณปู่เพราะท่าน เป็นช่างแทงหยวกประจ�ำหมู่บ้าน แต่เหตุผลด้วยความที่ท่านชราภาพมากแล้ว ข้าพเจ้าจึงไม่มีโอกาสที่จะได้รับการถ่ายทอดจากท่าน ข้าพเจ้าได้สืบค้นข้อมูล ทางอินเตอร์เน็ต จึงเห็นข้อมูลของการฝึกอบรมการแทงหยวก ณ สถาบันดัง กล่าวจึงถือเป็นโอกาสที่ดีที่ข้าพเจ้าจะได้เรียนรู้สิ่งดีๆ เหล่านี้ แม้ตัวข้าพเจ้า จะมาอบรมตัวคนเดียว แต่ด้วยใจรักและหวังที่จะเป็นช่างอย่างคุณปู่ให้ได้จึง ทุ่มเทในการฝึกอบรมกับสถาบันดังกล่าวอย่างเต็มที่ หลังจากที่เข้าร่วมอบรม การแทงหยวกแล้วนัน้ ข้าพเจ้ามีความคิดขึน้ มาว่า การอบรมในแต่ละครัง้ รัฐมัก จะเสียงบประมาณไปมาก แต่ผลทีไ่ ด้กลับน้อยและบางครัง้ อาจไม่ได้เลย จนคืน สุดท้ายข้าพเจ้ามานั่งคิดพูดคุยกับเพื่อนๆที่มาอบรมในวันนั้นบางส่วนและ เสนออาจารย์ที่อบรมว่า จะจัดตั้งชมรมขึ้นมาเพื่อที่จะอนุรักษ์งานช่างแขนงนี้


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

147

ให้คงอยู่ และสร้างเยาวชนที่ดีในท้องถิ่นให้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์วัฒนธรรม ของท้องถิ่น จวบจนวันนี้ ชมรมของข้าพเจ้าสามารถน� ำความปีติยินดีมาสู่ ครอบครัว สังคม และท้องถิน่ จากการทีไ่ ด้รบั คัดเลือกให้เป็นกลุม่ เยาวชนดีเด่น แห่ ง ชาติ สาขาศิลปวัฒนธรรม(การแทงหยวก)ประจ� ำปี ๒๕๕๔ ถือเป็น เรือ่ งราวดีๆ ในบ้านเรา ทีส่ ามารถท�ำให้บคุ คลภายนอกได้รบั รูว้ า่ ท้องถิน่ ของเรา ยังมีสิ่งดีๆ และเล็งเห็นความส�ำคัญของงานช่างแขนงนี้ให้ด�ำรงคงอยู่สืบไป ที่ส�ำคัญข้าพเจ้าเองมีอีกหนึ่งความภาคภูมิใจที่ได้ท�ำความฝันที่ตนเองหวังไว้ ที่จะเป็นช่างแทงหยวกที่ดีตามคุณปู่ของข้าพเจ้าอย่างสมเกียรติ เรือ่ งราวต่อมาทีถ่ อื เป็นสิง่ ดี ๆในท้องถิน่ ของข้าพเจ้าทีไ่ ม่คอ่ ยจะพบเห็น ได้บ่อยนักและน้อยคนนักจะรู้จัก นั่นคือ ทองสูง หุ่นเชิดขนาดใหญ่ซึ่งเป็นการ ละเล่นอย่างหนึ่งในช่วงเทศกาลงานประเพณีของคนในท้องถิ่นแถบลุ่มน�้ ำ ทะเลสาบสงขลามาอย่างยาวนาน ตัง้ แต่เด็กๆ ข้าพเจ้าจ�ำความได้วา่ เมือ่ ถึงงาน ทอดกฐินของวัดควนลังทีไร ทางบ้านจะพาไปร่วมงานทุกครั้ง และสิ่งที่ต้องพบ เป็นประจ�ำคือ ทองสูง หุ่นเชิดขนาดใหญ่ มีสีหน้าหุ่นดูหน้าเกรงขามยิ่งนัก เด็ก ๆ ส่วนใหญ่มักจะมายืนดู มองการเชิดหุ่นตัวนี้ ซึ่งข้างในหุ่นนั้น จะมีคนเชิด คนหนึง่ ทีจ่ ะคอยแบกรับตัวหุน่ เชิดตามจังหวะดนตรีไปมาตามเสียงวงกลองยาว ทีบ่ รรเลงภายในงานก่อนทีจ่ ะแห่กฐิน เด็กๆอย่างเรา ชอบทีจ่ ะไปใกล้ตวั หุน่ มาก เพราะหุ่นตัวใหญ่มีมือที่ยาว เวลาหุ่นเต้นไปตามจังหวะเครื่องประโคม มือก็จะ ส่ายไปส่ายมา เด็กจะกลัวมาก แต่สนุกกับการที่ได้วิ่งหนี ถ้าเป็นเด็กที่ยังไม่รู้ ประสา ก็จะร้องไห้ ผู้ใหญ่ก็จะคอยปลอบ คุณยายข้าพเจ้าท่านเป็นชาวควนลัง โดยก�ำเนิด ท่านเล่าให้ฟังว่า หุ่นนี้มีอยู่ด้วยกัน ๒ ตัว หุ่นหนึ่งชายมีชื่อว่าไอ้ท่อม ส่วนหุ่นทองสูงหญิง มีชื่อว่า ทองแจ่ม ทองสูงทั้งสองตัวจะถูกเก็บไว้ที่วัดม่วง ค่อมซึง่ อยูใ่ นเขตต�ำบลควนลังเช่นเดียวกัน ทองสูงผูช้ าย หรือไอ้ทอ่ มจะแต่งแต้ม ด้วยสีด�ำให้ดูน่ากลัว ส่วนทองแจ่มซึ่งเป็นทองสูงผู้หญิงก็ใช้สีที่สวยงามให้สม


148

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

กับทีเ่ ป็นผูห้ ญิง ทัง้ นี้ ทองสูงทัง้ สองตัวนีเ้ ปรียบได้กบั ผีเปรตทีอ่ ยากจะมีสว่ นร่วม ในงานบุญของหมู่บ้าน เรียกได้ว่า งานบุญประจ�ำปีของชาวม่วงค่อมและ ท้องถิ่นควนลัง แม้ผีเปรตก็ยังขอมีส่วนร่วม กล่าวกันว่าไอ้ท่อมและทองแจ่ม เป็นทองสูงที่ชาวม่วงค่อมและชาวควนลังให้ความเคารพนับถือ จะต้องเก็บ หัวทองสูงทั้งสองไว้ในห้องที่มิดชิด ห้ามมิให้ใครข้ามโดยเด็ดขาด ปีหนึ่งๆ ไอ้ทอ่ มกับทองแจ่มจะมีโอกาสออกมากระโดดโลดเต้น ระบ�ำร�ำฟ้อน สนุกสนาน กับลูกหลานได้เพียงครัง้ สองครัง้ โดยเฉพาะงานเดือนสิบ(รับเปรต-ส่งเปรต)และ งานทอดกฐินประจ�ำปี เท่านัน้ ถือเป็นอีกหนึง่ สิง่ ทีถ่ อื เป็นของดีทมี่ อี ยูใ่ นบ้านเรา ที่นับวันจะยิ่งเลือนหายไปจากท้องถิ่น หากผู้คนยังคงด�ำรงไว้ซึ่งประเพณีอันดี งามและความเอาใจใส่ในการดูแลของดีเหล่านี้ไว้ ด้วยการสืบสานเรื่องราวดีๆ ให้ยงั คงอยูไ่ ว้กบั ท้องถิน่ ของตนก็จะเป็นประโยชน์ตอ่ การสร้างสรรค์วถิ อี นั งดงาม นี้ให้ยั่งยืนสืบไป อีกหนึ่งเรื่องราวต่อมาถือเป็นเรื่องราวดีๆ ที่ถือเป็นสิ่งที่ตัวข้าพเจ้ามี ความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง นั่นคือ เอกสารและต�ำราโบราณหรือที่คนพื้นถิ่น ทางใต้เรียกกันว่า “หนังสือบุด” หนึ่งในมรดกที่ตกทอดกันมาอายุกว่าร้อยปี ซึง่ เป็นสมบัตทิ ที่ รงคุณค่ายิง่ ต่อการศึกษาเรือ่ งราวอันเกีย่ วข้องกับประวัตศิ าสตร์ ในด้านของต�ำรับยาแผนโบราณ การดูฤกษ์ยามในพิธีต่างๆ และคาถาอาคม อันเกี่ยวข้องกับการป้องกันตัวของคนในสมัยก่อน ต�ำราเหล่านี้ ปัจจุบันคุณตา ของข้าพเจ้าเป็นผู้ครอบครอง และเป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราวการอ่านหนังสือ โบราณและการดูฤกษ์ยามบางส่วนให้กับตัวข้าพเจ้าเอง ซึ่งข้าพเจ้ามีความยินดี เป็นอย่างยิ่งที่ได้เรียนรู้ต�ำราเหล่านี้โดยส่วนตัวข้าพเจ้าเองคิดว่า ต่อไปจะหา ผู้สืบทอดในสิ่งเหล่านี้ได้ยากนักและคนรุ่นหลังไม่ค่อยจะให้ความส�ำคัญกับ สิ่งเหล่านี้ ทั้งๆ ที่สิ่งเหล่านี้เองคือรากฐานของความเจริญของเราในยุคปัจจุบัน คุณตาของข้าพเจ้าเคยเล่าให้ฟังว่า การจะเรียนรู้สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ยากนัก


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

149

เพราะต้องเป็นคนทีไ่ ว้ใจและเป็นคนดี เพราะในบางครัง้ หากน�ำไปใช้ในทางทีผ่ ดิ ก็อาจจะเป็นโทษกับตัวผู้เรียนรู้เอง ข้าพเจ้าหวังเพียงว่าที่ได้เรียนรู้มานี้เพื่อ ที่จะอนุรักษ์สิ่งดีๆ นี้ไว้ เผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อไปในอนาคต และแล้ววันนี้ ข้าพเจ้าได้นำ� สิง่ เหล่านีม้ าใช้ประโยชน์ได้จริง นัน่ คือ น�ำความรูจ้ ากการอ่านต�ำรา โบราณ ซึ่งเป็นอักษรไทยโบราณที่เขียนโดยคนไทยสมัยก่อน ไปสอบเข้าใน โครงการรับตรงพิเศษของคณะโบราณคดี เอกวิชาภาษาไทย มหาวิทยาลัย ศิลปากร วังท่าพระ ซึ่งในวันที่สอบปฏิบัติในวันนั้น เพื่อนๆ หลายคนจะสอบ ความถนัดในด้านดนตรีไทย มีเพียงข้าพเจ้าคนเดียวทีน่ �ำสิง่ เหล่านีไ้ ปสอบปฏิบตั ิ และสิ่งที่คุณตาสอนมามีประโยชน์ในด้านการแปลความตัวอักษรไทยโบราณ เป็นข้อความ ทีเ่ ราเข้าใจ จนสิง่ เหล่านีส้ ามารถท�ำให้ขา้ พเจ้าสอบได้คณะดังกล่าว อย่าง ภาคภูมิใจที่เรามีของดีในบ้าน คนในบ้านที่สามารถท�ำให้ตัวเราประสบ ความส�ำเร็จได้ ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าทุกคนล้วนมีของดีอยู่ในตัวหรืออาจไม่มีในตัว แต่อาจจะมีในบ้านหรือสิ่งข้างๆ ตัวเรา ถ้าเรารู้และสามารถน�ำสิ่งเหล่านั้นมาใช้ ให้เกิดประโยชน์กับตัวเอง ผลที่ได้มานั้นก็คือ ความสุข ซึ่งถือเป็นสิ่งที่เราได้ท�ำ ด้วยมือของเราเอง และสิ่งต่างๆเหล่านี้ก็อาจจะส่งผลที่ดีต่อไปในภายภาคหน้า อีกด้วย ข้าพเจ้ามีความเชือ่ ว่า สิง่ ต่างๆทีป่ รากฏให้เราทุกคนได้เห็นบนโลกใบนี้ ยังคงมีเรื่องราวที่น่าสนใจมากมายที่น่าจดจ�ำ เป็นสิ่งที่ประทับใจและเป็นสิ่งดี งาม ที่สามารถท�ำให้เรามีความสุข แม้จะเป็นเพียงความสุขที่ไม่ยั่งยืนในช่วงที่ เราได้สัมผัส แต่อาจจะเป็นความสุขที่ยั่งยืนเมื่อเราได้กลับหวนไปคิดอีกครั้ง ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่า ในท้องถิ่นของเรา ยังคงมีเรื่องราวดีๆ มากมายที่เราไม่เคยได้ รับรู้ ไม่เคยได้สมั ผัส อาจจะเป็นสิง่ ใกล้ตวั ทีเ่ ราเองคิดไม่ถงึ แต่สงิ่ เหล่านัน้ ยังคง ให้เราได้ติดตามค้นหา ที่ส�ำคัญหากทุกคนร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งดีๆ เหล่านี้ไว้ให้ กับท้องถิน่ ของตน ก็จะถือเป็นสิง่ ทีด่ ที เี่ ราจะได้รว่ มกันสืบสาน อนุรกั ษ์วฒ ั นธรรม


150

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

อันเป็นสิ่งดั้งเดิมของคนรุ่นเก่า ในความรู้สึกของผู้คนเหล่านี้ เขาก็มีความคิดที่ อยากจะให้ลูกหลานทุกคนช่วยกันดูแลและสืบสานให้สิ่งเหล่านี้ยังคงอยู่ ยั่งยืน ต่อไป เพื่อที่จะให้ลูกหลานของเราได้เกิดความภาคภูมิใจร่วมกันในฐานะ ของคนไทย ที่เกิดบนผืนแผ่นดินไทย แผ่นดินที่ถือได้ว่าเป็นดินแดนแห่ง ความสุข ยากที่จะมีชาติใดเหมือนเพราะเรามีของดีที่เป็นหลักชัยของชาติ นั่นคือสถาบันบนผืนไตรรงค์ที่ยังคงพริ้วสะบัดไหว ชูเชิดชาติไทยให้ด�ารงอยู่ได้ ตลอดจนหลักของคนรุน่ ก่อนทีส่ อนเราให้มคี วามเจริญ โดยเฉพาะทางด้านจิตใจ สมกับเป็นชนชาติไทย ที่ภูมิใจในศักดิ์ศรีของชาติ ดั่งเรื่องราวดีๆ ที่ข้าพเจ้า ถ่ายทอดมานี้ คงจะให้เราได้ตระหนักในคุณค่ามีจิตส�านึกรักษ์และหวงแหน สิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นกับท้องถิ่นของเราตลอดไป ดังบทกลอนที่ว่า บ้านของเราเมืองของเราผู้เฒ่าสอน มีเรื่องราวที่ดีดีนี้นานมา ท้องถิ่นเราพ่อเฒ่าบอกให้ฟูมฟัก ให้ตัวเราส�านึกไว้อย่างในนาม คนรุ่นหลังเดินรอยตามคนรุ่นก่อน ร่วมช่วยกันอนุรักษ์จักการดี

ขอวิงวอนร่วมกันคิดช่วยรักษา ทรงคุณค่าน่าจดจ�าและท�าตาม แม่เฒ่าบอกว่าให้รกั ษ์คดิ หวนถาม ว่าไทยงามล�้าเลอค่าน่ายินดี อย่านิ่งนอนจงย่างท�าน�าวิถี เพื่อไทยนี้ด�ารงได้อย่างไทยมา


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

151

ที่นี่ก็ประเทศไทย นางสาวอิห์ซาน นิปิ

ประเทศไทยของเราจัดเป็นสถานทีท่ อ่ งเทีย่ วทีม่ คี วามน่าสนใจเยอะแยะ มากมายท�ำให้ประเทศไทยของเราเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก จนได้ขึ้นชื่อว่าเมืองนักท่องเที่ยว และยังมีประเพณี วัฒนธรรม ศาสนาที่ แตกต่างกันออกไป แต่เราก็สามารถอยู่กันอย่างมีความสุขเพราะเราอยู่กัน แบบพึ่งพาอาศัยช่วยเหลือซึ่งกันและกันและต่างให้เกียรติกัน แต่ปัจจุบัน เมื่อสถานการณ์ของ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่สงบท�ำให้อะไรๆ ก็เปลี่ยนไป แม้กระทั่งความรู้สึกของคนในประเทศด้วย เมื่อ ๑๐ ปีที่แล้ว ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่กันอย่างมีความสุข สนุกสนานจะไปไหนก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น พอเวลา มีตลาดนัดทุกคนก็คึกคักกับการขายและการซื้ออย่างเพลิดเพลินจนถึงเวลา ๓ ทุ่มก็ยังมีคนเยอะแยะมากมายตามท้องถนนแต่ตอนนี้ ๖ โมงเย็นทุกคนก็รีบ กลับบ้านกันเพราะกลัวว่าจะมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นซึ่งมันไม่เหมือน เมื่อก่อนที่จะไปไหนมาไหนโดยไม่ต้องหวาดระแวงกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับ ปัจจุบนั นี้ ฉันยังจ�ำได้ตอนทีฉ่ นั ยังเป็นเด็กตอนนัน้ ยังไม่มเี หตุการณ์ความรุนแรง ฉันได้แต่เห็นการยิงกันแต่ในทีวีซึ่งฉันคิดว่ามันเป็นแค่การแสดงที่มาจากการ จินตนาการของผู้เขียนบท ในชีวิตจริงคงไม่มีแต่พอเวลาไม่นานนักปัญหา ความรุ น แรงก็ เ กิ ด ขึ้ น โดยที่ ฉั น เองก็ ไ ม่ รู ้ ว ่ า มั น เกิ ด ขึ้ น ได้ อ ย่ า งไรและท� ำ ไม ต้ อ งมาเกิ ด ที่ บ ้ า นของฉั น มั น ท� ำ ให้ ฉั น กลั ว มากกั บ ความรุ น แรงที่ เ กิ ด ขึ้ น


152

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ฉันจ�ำได้วา่ ตอนนัน้ ฉันกลัวจนนอนไม่หลับเพราะมีการปะทะกันอย่างรุนแรงไหน จะระเบิดอีก จนหลังจากเหตุการณ์นั้นเป็นต้นมาความรุนแรงก็เกิดขึ้นเรื่อยๆ และเพิ่มมากยิ่งขึ้น แรกๆ ก็ทำ� ให้ประชาชนที่อยู่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้นี้ อยู่กันอย่างไม่มีความสุขหวาดระแวง บ้างก็ย้ายถิ่นฐานกันออกไปแต่ก็ไม่มาก นักแต่ตอนนี้ท�ำให้พวกเราที่อยู่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้รู้สึกชินกับเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นท�ำให้พวกเราใช้ชีวิตอย่างปกติ ฉันได้ถามคนเก่าแก่ว่าตอนที่ยังไม่มี เหตุการณ์ความรุนแรงเขาอยูก่ นั อย่างไร เขาบอกว่าเขามีความสุขมากแต่ปจั จุบนั ท�ำให้ใครๆ ก็กลัวที่จะออกจากบ้านตอนเวลากลางคืนแม้กระทั่งกลางวันเอง ก็ตามต้องหวาดระแวงซึ่งแต่ก่อนตอนเวลากลางคืนยังไปมาหาสู่กันได้อย่าง ไม่ต้องกลัวแต่เขาก็บอกว่าตอนนี้เขารู้สึกชินกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งมัน ท�ำให้เราด�ำรงอยู่อย่างมีความสุขเหมือนเมื่อก่อนแต่ก็ต้องมีความระมัดระวัง ด้วยเช่นกัน เหตุการณ์ความไม่สงบนี้เคยเกิดขึ้นใกล้บ้านของฉันตอนนั้นเวลา ก็ประมาณเทีย่ งคืน เกิดเหตุการณ์การยิงกันระเบิดอย่างรุนแรงจนถึงเวลาเทีย่ ง คืนครึง่ เหตุการณ์นนั้ ก็สงบ พอวันรุง่ ขึน้ ฉันก็ได้ถามเพือ่ นของฉันเพราะบ้านเพือ่ น ของฉันใกล้กับเหตุการณ์นั้นมาก ฉันถามเขาว่ารู้สึกอย่างไรบ้างและตอนนั้น ท�ำอะไรอยู่ เขาตอบฉันว่าเขากลัวมากและเขาก็กม้ หัวลงไปกับพืน้ เพราะกลัวว่า จะโดนลูกหลงและภาวนาอย่าให้เขาและครอบครัวเป็นอะไร และเขายังบอก อีกว่าเศษระเบิดได้ตกลงบนบ้านของเขาท�ำให้บ้านได้รับความเสียหายเล็กน้อย และค� ำ ถามสุ ด ท้ า ยที่ ฉั น ถามเขานั้ น ก็ คื อ แล้ ว หลั ง จากเหตุ ก ารณ์ นั้ น รู ้ สึ ก อย่างไรบ้าง เขาตอบฉันว่าก็รู้สึกกลัวแต่ก็รู้สึกว่ามันปกติแล้ว ฉันได้มองสีหน้า ของเขา เขาดูเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันเลยคิดว่าถ้าเราจมอยู่กับ ความรู้สึกนั้นเราอาจจะไม่มีความสุขสู้กว่าที่เราท�ำตัวให้มีความสุขเพราะ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นฉันเชื่อว่าย่อมมีเหตุผลของมันและสักวันเหตุการณ์ร้ายๆ ของ ๓ จังหวัดนี้จะผ่านไปด้วยดี แต่บางครั้งฉันก็รู้สึกน้อยใจด้วยเช่นกัน เพราะว่าเมื่อไหร่ที่คนนอกพื้นที่ได้ยินชื่อของ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ทุกคน


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

153

ก็จะท�ำท่ากลัวไม่ชอบพวกเราและดูถูกพวกเราว่าเป็นโจรใต้ เมื่อเดือนที่ผ่านมา ฉันไปทัศนศึกษากับโรงเรียน ที่ฉันเรียนอยู่ที่ต่างจังหวัด ฉันจ� ำได้ว่าฉันมี ความสุขมากกับการทีไ่ ด้ไปทัศนศึกษาในครัง้ นัน้ แต่สงิ่ ทีฉ่ นั ไม่เคยคิดมันก็เกิดขึน้ ฉันได้ยินค�ำพูดของคนที่มีเชื้อชาติไทยเหมือนกันท�ำให้ฉันสะเทือนใจมากที่สุด นั่นก็คือมีผู้ชายคนหนึ่งถามฉันว่า น้องมาจากไหนครับ เห็นแต่งตัวแปลกๆ อ๋อ หนูมาจากจังหวัดนราธิวาสค่ะ (สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที) แล้วถามต่อว่า เอาระเบิดมากี่ลูก พร้อมท�ำหน้าท�ำตาดูถูกฉันมาก ท�ำให้ฉันรู้สึกว่าท�ำไมคนที่มี เชื้อชาติไทยเหมือนกันพูดกันอย่างนี้หรือยังไงแทนที่ว่าจะเห็นใจหรือแค่ถาม ทุกข์สุขกันไม่ได้หรือยังไงท�ำไมต้องซ�้ำเติมกันด้วย หรือเห็นว่า ๓ จังหวัด ชายแดนภาคใต้ ที่ขึ้นชื่อว่า พื้นที่ก่อการร้าย ไม่ใช่ประเทศไทยหรือยังไงกัน แต่เท่าที่ฉันรู้ก็คือ ๓ จังหวัดนี้ก็อยู่ในแผนที่ประเทศไทยเหมือนกัน เมื่อ ๒ ปี ที่แล้วฉันได้ไปเรียนที่ประเทศมาเลเซียเป็นเวลา ๑ ปี ท�ำให้ฉันได้มีเพื่อนที่นั่น เพื่อนของฉันถามฉันว่ามาจากที่ไหน ฉันเลยตอบเขาว่าฉันมาจากประเทศไทย แล้วเขาก็ถามต่ออีกว่าอยู่จังหวัดอะไร ฉันเลยตอบเพื่อนไปว่า นราธิวาส เพื่อน ของฉันตกใจแล้วถามฉันว่าไม่กลัวหรอ ที่นราธิวาสมีเหตุการณ์ความรุนแรง เกิดขึ้นตลอด ฉันเลยยิ้มให้เขากับเพื่อนของฉัน พร้อมตอบกับเพื่อนไปว่า ท�ำไม ฉันต้องกลัวด้วยในเมือ่ ฉันอยูท่ นี่ นั่ ตัง้ แต่เกิด ฉันมีความสุขทีจ่ ะอยูท่ นี่ นั่ และพร้อม ที่ จ ะสละชีวิตฉันได้ถ้าท�ำให้บ้านเมืองของฉันสงบสุขและฉันก็รักบ้านเกิด ของฉันมาก ฉันไม่มีวันเห็นแก่ตัวทิ้งบ้านเกิดของฉันโดยเด็ดขาด ฉันเกิดที่ นราธิวาสฉันก็ต้องตายที่นราธิวาสด้วยเช่นกัน พอเพื่อนได้ยินเช่นนั้นเพื่อนก็ยิ้ม ให้ฉันแล้วบอกฉันว่าเขาจะเป็นก�ำลังใจให้และขอให้เหตุการณ์ร้ายๆ ผ่านไป ด้วยดี ฉันมองหน้าเพื่อนของฉันแล้วฉันก็ยิ้มให้เพื่อน แล้วบอกเพื่อนว่าฉันดีใจ ที่ได้มีเพื่อนดีๆ อย่างเธอ มันก็เลยท�ำให้ฉันคิดว่าขนาดเขาไม่ใช่คนประเทศ เดียวกันแต่เขาก็ให้กำ� ลังใจกันผิดกับคนทีอ่ ยูป่ ระเทศเดียวกันแต่ทำ� ตัวดูถกู พวก เราว่าเป็นโจรใต้ จริงๆ แล้วฉันและคน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ไม่ต้องการ


154

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

อะไรมาก แค่ต้องการก�าลังใจไม่ดูถูกพวกเราและสิ่งที่ส�าคัญที่สุดคือฉันต้องการ ให้คนต่างพืน้ ทีม่ าสัมผัส ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ของเราด้วยตัวเองว่ามันไม่ได้ น่ากลัวอย่างที่คิดเพราะมันยังมีความน่ารักเป็นกันเองของคนในพื้นที่ของเรา และยังมีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะแยะมากมายไม่ว่าจะเป็นน�้าตกปาโจ ทะเลที่มี ความสวยงามอย่างนราทัศน์ ไหนจะมีของดีเมืองนราที่พวกเราภาคภูมิใจ เป็นอย่างมากและอีกมากมายที่จะท�าให้ลบภาพที่น่ากลัวในความคิดของใคร หลายๆคน ได้แต่เหตุการณ์ความรุนแรงนัน้ มันไม่ได้มที กุ ๆ ทีแ่ ต่มนั มีแค่บางพืน้ ที่ เท่านั้น และมันก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ใครคิดเลย ถ้ามันน่ากลัวจริงพวกเรา คงไม่ทนอยู่กันมาเกือบ ๑๐ ปี ฉันอยากจะเชิญชวนให้ทกุ คนได้มาท่องเทีย่ วมาสัมผัสนราธิวาสของเรา ซึ่งความต้องการนี้ก็เป็นความต้องการของเด็กตาด�าๆ คนหนึ่งที่จะให้ทุกคน เข้าใจและรับรู้ถึงความเป็นอยู่ของพวกเรา ว่าพวกเราต้องการให้ทุกคนเข้าใจ และรับรูถ้ งึ ปัญหาของพวกเราอย่างแท้จริงแต่พวกเราไม่ได้ตอ้ งการความสงสาร จากใคร แต่พวกเราต้องการก�าลังใจจากคนไทยด้วยกันเพราะก�าลังใจส�าคัญทีส่ ดุ ที่ จ ะท� า ให้ พ วกเราสู ้ แ ละรู ้ สึ ก ว่ า เราก็ เ ป็ น คนๆหนึ่ ง ที่ อ ยู ่ ใ นประเทศไทย ซึง่ ได้รบั ก�าลังใจจากคนไทยและสิง่ สุดท้ายทีส่ า� คัญทีส่ ดุ นัน่ ก็คอื อยากให้คนไทย รักกันมากๆ ปรองดองกัน สามัคคี ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ประเทศไทยของเรา ก็จะน่าอยู่ มันก็จะท�าให้รู้สึกว่าเราน่าภูมิใจที่ได้เกิดมาบนแผ่นดินไทย



156

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

เรื่องเล่าจาก หมู่บ้านริมทะเล นางสาวอุมมีสาลาม อุมาร รางวัลชนะเลิศ ระดับอุดมศึกษาและประชาชนทั่วไป

เสียงอาซานตอนเช้ามืดปลุกการหลับใหลของชาวบ้านให้ตื่นขึ้นมา ปฏิบัติหน้าที่เป็นบ่าวที่ดีของพระผู้เป็นเจ้า พร้อมๆ กับเสียงไก่ขันอย่างเริงร่า ในยามเช้าตรู่ หมอกยังคงอ้อยอิ่งเป็นม่านบางๆ ปกคลุมอยู่ทั่วทั้งหมู่บ้าน น�้ำค้างประพรมทุกหย่อมหญ้าหลังคาบ้าน หลายผลึกก�ำลังเหยาะหยาดลงซึมสู่ ดิน ขณะบางผลึกเกาะแน่นพร้อมระเหยขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อนที่ลูกเล็กเด็กแดง และเหล่าแพะแกะจะแย้มโฉมหน้ามาเพ่นพ่านตามท้องถนน หลังเสร็จภารกิจหลักของศาสนาแล้ว เหล่าพ่อบ้านกับลูกชายต่าง ก็รีบเร่งไปยังปากคลองที่มีเรือจอดเรียงราย ต่างคนต่างมุ่งไปยังเรือของตน สตาร์ทเครื่องยนต์เสียงดังกระหึ่มแล้วบ่ายหน้าออกสู่ท้องทะเลเพื่อไปสาวอวน ที่วางทิ้งไว้ตั้งแต่เย็นวาน พร้อมๆ กับแสงแรกของยามเช้าที่โผล่ขึ้นมาทักทาย ชีวติ บนโลก บรรดาแม่บา้ นต่างลุกขึน้ มาเตรียมหุงหาอาหาร บ้างก็ออกไปหาซือ้ ข้าวปลาตามร้านน�้ำชาในหมูบ่ า้ น ก่อนจะกระเตงตะกร้า อุม้ ลูกขึน้ รถเข็นเข็นไป ยังปากคลองจอดเรือเพื่อรอพ่อบ้านกลับมาพร้อมกับผลผลิตจากท้องทะเล เหล่านี้ล้วนเป็นเสียงและสีสันเริ่มต้นวันใหม่ที่ชาวรูสะมิแลทุกคนต่างคุ้นชิน


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

157

หมู่บ้านรูสะมิแลเป็นหมู่บ้านหนึ่งในอ�ำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี ตั้งอยู่ ติดริมทะเลอ่าวไทย เป็นหมู่บ้านที่ยืนยงฝ่าลมฝ่าฝนและอยู่เคียงข้างชายทะเล อย่างยาวนาน เมื่อทอดสายตามองไปยังริมชายหาดที่เป็นโคลนสีด�ำที่งอก ออกไปเรื่อยๆ นั้น ชวนให้นึกถึงบทกลอนของอาจารย์เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ที่ได้ประพันธ์ไว้ เมื่อครั้งเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ว่า ดินที่นี่ดีนักเนื้อหนักแน่น อาจต่อแก่นแตกกอจากหน่อดิบ เป็นดินเลนลาดไปไกลลิบลิบ หว่านลงสิบได้แสนกว่าแดนทราย อย่าประมาทชาติเลนเห็นจะเหลว เพราะสิ่งเลวหลอมดีก็มีหลาย บัวจากโคลน คนจากคราบ บาปอบาย ข้าวจากควาย ไหมจากหนอน ร้อนแล้วเย็น ต่อมาหม่อมหลวงปาณฑิตย์ ภาณุมาศ ได้เขียนบทร้อยกรอง ซึ่งมีนัย ถึงต�ำบลรูสะมิแลว่า แต่สิ่งหนึ่งพึงเน้นเป็นถิ่นทิพย์ ย�้ำกระซิบทุกกมลคนที่นี่ ทุกครั้งแห่งเข็มเวลาวินาที กระดิกเดินคือเนื้อที่ยิ่งกว้างไกล นับว่าเป็นเรื่องแปลกไม่น้อย เมื่อเข้าเขตหมู่บ้านรูสะมิแล ชายหาด ที่ลาดยาวมานั้นก็เป็นดินโคลนพอสิ้นสุดเขตหมู่บ้านดินโคลนที่กระด�ำกระด่าง นัน้ ก็เป็นหาดทรายขาวละเอียด แต่เนือ้ ดินโคลนทีง่ อกออกไปล้วนเคยสร้างชีวติ


158

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ให้ใครหลายๆ คน ไม่มีเด็กคนไหนที่ไม่เคยลงไปคลุกโคลนเล่น เด็กๆ ที่นี่ล้วน เติบโตมาจากกลิ่นโคลน นั่นหมายถึงว่า ทุกครั้งที่พวกเขาขึ้นมาจากโคลนสิ่งที่ พวกเขาจะได้คือ ปูด�ำหรือไม่ก็หอยแครง บางครั้งก็ได้ปลาดุกทะเลหรือกุ้ง ถังเล็กๆ กลับมา บางคนกลับมาพร้อมคราบน�้ำตาเพราะถูกเงี่ยงปลาดุกแทง หากทั้งหมดเหล่านั้นล้วนเป็นชีวิตของคนริมหาดเลโคลน แต่จะมีใครสักกี่คน ที่รู้ว่าก่อนที่ชายหาดแห่งนี้จะเป็นดินโคลน เมื่อครึ่งศตวรรษก่อนหน้านี้ที่นี่ เคยเป็ น หาดทรายขาวละเอี ย ดเช่ น เดี ย วกั บ หาดรั ช ดาภิ เ ษกและหาด ตะโละกาโปร์ ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวส�ำคัญของปัตตานี ฉันรูเ้ รือ่ งนีค้ รัง้ แรกจากทีเ่ ปาะซาแวเฮง น้องชายของย่า (หรือจะนับว่า เป็นปู่ของฉันก็ว่าได้) เล่าให้ฟัง แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องส�ำคัญ เปาะซามีเรื่องเล่า มากมายเกี่ยวกับหมู่บ้านรูสะมิแลที่พร้อมจะถ่ายทอดให้รุ่นหลานอย่างฉัน ได้รับรู้ วันวานของเปาะซากับท้องทะเลรูสะมิแล ลมทะเลยามบ่ายพัดผ่านระเบียงกระทบโมบายเปลือกหอยที่หน้าต่าง ดังเหมือนเสียงดนตรีทชี่ วนเคลิม้ หลับ แสงตะวันสะท้อนน�ำ้ ทะเลเป็นสีฟา้ น�ำ้ นม ประกาย เรือล�ำเล็กสองสามล�ำมุง่ หน้ากลับเข้าสูป่ ากคลองท่ามกลางแดดเปรีย้ งๆ สายลมบริสทุ ธิท์ หี่ อบเอากลิน่ ดินโคลนโชยเข้ามาแทรกซึมปะปนกับเสียงเล่าเรือ่ ง ของเปาะซาที่พาฉันย้อนกลับไปยังอดีตของหมู่บ้านรูสะมิแล ในอดีต ชายหาดไม่ได้อยูไ่ กลจากหมูบ่ า้ นอย่างทีเ่ ห็น เพียงแต่ขา้ มถนน หน้าบ้านฉันไปก็เป็นทะเลและชายหาดนัน้ เป็นหาดทรายสีขาวละเอียดทีม่ ตี น้ สน ขึ้นเรียงราย พวกเราที่นี่ต่างก็รู้ว่าชื่อหมู่บ้านรูสะมิแลมีที่มาจากต้นสนเก้าต้น รู หมายถึง ต้นสน สะมิแล หมายถึง เก้า


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

159

ปัตตานีเป็นเมืองท่าที่เจริญรุ่งเรืองแห่งหนึ่งในอดีต และมักมีส� ำเภา จากต่างชาติเข้ามาติดต่อค้าขายบ่อยๆ โดยเฉพาะส�ำเภาจากพ่อค้าชาวจีน เปาะซาเล่าว่า ครั้งหนึ่ง เรือส�ำเภามาจอดที่หน้าหาดจ�ำนวนเก้าล�ำ แต่ไม่มีเสา ผูกเรือเหมือนท่าเทียบเรือ จึงมาผูกไว้ทสี่ นต้นใหญ่จ�ำนวนเก้าต้นทีห่ น้าหาดและ เข้ามาค้าขายในปัตตานี ชาวจีนสมัยก่อนพูดภาษามลายูได้คล่อง เมื่อมีคนถาม ถึงส�ำเภา พวกเขาจะตอบว่า ผูกไว้ที่ “รูซึมบีลัน” ตั้งแต่นั้นมา ใครๆ ต่างก็เรียก ที่นี่ว่า รูซึมบีลัน ต่อมาเรียกตามภาษามลายูท้องถิ่นว่า รูสมีแล และกลายเป็น รูสะมิแลอย่างในปัจจุบัน ด้วยหมูบ่ า้ นอยูต่ ดิ ทะเล ชาวบ้านจึงประกอบอาชีพประมงเสียส่วนใหญ่ ทุกบ้านจะจ้างคนในหมู่บ้านต่อเรือกันเองและใช้ไม้พายพายเรือออกหาปลา ครั้งนั้นเป็นช่วงสมัยที่ปลาชุกชุม ไม่จ�ำเป็นต้องออกไปกลางทะเลลึก เพียงแค่ พายเรือในอาณาเขตใกล้ๆ ก็สามารถวางอวนและนอนรอเพือ่ สาวอวนกลับบ้าน พร้อมกับปูปลามากมาย “ปู ปลา กุ้ง แต่ละคนจะได้กันเยอะมาก แต่ขายเข่งละบาทเท่านั้นนะ ถ้าอยากกินกุ้ง กินปลา ตะโกนบอกเมียให้ต�ำน�้ำพริกรอได้เลย เดี๋ยวเดียวไป ตกเบ็ด ช้อนกุ้งก็จะมีกับข้าวมากินแล้ว ปลาทูริมทะเลบ้านเราตัวเท่าแขน เชียวนะ” เปาะซาพูดพลางยกแขนให้ดู ชวนให้ฉนั น�้ำลายสอขึน้ มาทันทีเมือ่ นึกถึง กุง้ เผา ปูเผากับน�ำ้ พริกกะปิรสเด็ดของแม่ แต่เรือ่ งราวอัศจรรย์ใจไม่ได้หมดเพียง เท่านั้น ที่นี่ ชาวบ้านทุกคน ไม่ว่าจะแก่เฒ่าหรือหนุ่มสาวต่างก็เย็บอวนเก่งกัน ทั้งนั้น เพียงแค่ซื้อด้ายกับที่เย็บอวนมาก็จะได้อวนขนาดใหญ่ตามที่ตัวเอง ต้องการ ฟังดูแล้วฉันนึกอยากกลับไปเป็นสาวสมัยนั้นบ้าง บางทีจะได้ตกเบ็ด ปลา ช้อนกุ้ง เย็บอวนและออกทะเลทุกวัน


160

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

อดีต...ทุกครั้งก่อนที่จะลงเรือหรือหลังฤดูมรสุมผ่านพ้นและเตรียม ลงเรืออีกครั้ง ซึ่งมักจะเป็นช่วงเดือนขึ้น ชาวบ้านจะน�ำเรือไปท�ำความสะอาด ที่แหลมโพธิ์ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “ปาลอปาเซ” พร้อมกับท�ำพิธีเพื่อความ เป็นสิริมงคลเรียกพิธีนี้ว่า “ปือลาจั๊ก” “เขาก็จะเอามะกรูดมาขัดทั่วเรือ และจะเตรียมข้าวเหนียวเหลืองไป ด้ ว ย เมื่ อ ขั ด เรื อ เสร็ จ ก็ จ ะท� ำ พิ ธี ล ะหมาดฮายั ต เพื่ อ ขอความเป็ น สิ ริ ม งคล ก่อนที่จะออกทะเลในแต่ละครั้ง เมื่อละหมาดเสร็จก็จะปั้นข้าวเหนียวเหลือง เป็นก้อนเล็กๆ โยนลงทะเล” สีหน้าของเปาะซาเมื่อเล่าถึงเรื่องนี้ดูมีความสุข และแววตาเปล่งรอยยิม้ ฉันจึงนัง่ ฟังอย่างมีความสุขไปด้วย เปาะซายังเล่าอีกว่า นอกเหนือจากพิธีท�ำความสะอาดเรือในท้องทะเลแล้ว เจ้าของเรือยังต้องน�ำ อาหารหรือผลไม้และข้าวเหนียวเหลืองมาเซ่นโต๊ะในป่าด้วย “ตอนนั้น ศาลส� ำ หรับเซ่นโต๊ะอยู่หลังวัดที่เห็นตอนนี้ พวกเด็กๆ อย่างเปาะซาก็จะตามไปเงียบๆ นะ เมื่อเจ้าของเขากลับ เราก็เข้าไปกินผลไม้ พวกนั้นกัน มีบ้างที่เจ้าของย้อนกลับมาอีกครั้ง เราวิ่งหนีกันไม่เป็นกระบวนเลย ใครที่ถูกจับได้ก็จะถูกผู้ใหญ่ตีเพราะของเหล่านั้นเขาเชื่อว่าโต๊ะหรือผีจะมากิน เพื่อจะได้คุ้มครองตอนออกเรือด้วย กลางคืน บางบ้านที่รวยก็จะจัดการแสดง ต่างๆ ให้ดู อย่างตือรี ก็จะมีให้ดูถึงตีสาม บางคนก็จะเลี้ยงอาหารให้กินอีกด้วย แล้วเราเด็กๆ ก็จะแอบไปกินหลายๆ รอบ” เปาะซาเล่าพลางหัวเราะเมื่อนึกถึงวีรกรรมของตนสมัยเด็กๆ ปัจจุบัน พิธีกรรมเหล่านั้นค่อยๆ ห่างหายไป แต่ถึงอย่างไร มันก็ยังฝังแน่นอย่าง มีชวี ติ ชีวาอยูใ่ นจิตใจของคนเฒ่าคนแก่ของทีน่ ที่ กุ คน มีความสุขทุกครัง้ ทีไ่ ด้เล่า ให้ลูกหลานฟัง


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

161

ความเปลีย่ นแปลงค่อยๆ เกิดขึน้ ในหมูบ่ า้ นรูสะมิแล จากทีเ่ คยพายเรือ ออกทะเลก็เปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์บังคับแทน เล่ากันว่าเหตุเกิดจากฝรั่งสามี ภรรยาคู่หนึ่งเดินทางมาปัตตานี และเห็นพิธีกรรมต่างๆ ของชาวบ้านและเกิด ความสนใจ อยากเข้าไปสัมผัสอย่างใกล้ชิด เมื่อเห็นว่าชาวประมงปัตตานียังคง พายเรือหาปลาอยู่ ไม่สามารถออกทะเลลึกได้ ดังนัน้ ทัง้ สองจึงสัง่ ซือ้ เครือ่ งยนต์ มาติดเรือและทดลองเดินเรือออกทะเลลึก เปาะซายังบอกฉันอีกว่าสองสามี ภรรยาฝรั่งนั้นได้มอบเครื่องยนต์ให้ชาวบ้านไว้ใช้อีกด้วย เมื่อมีเครื่องยนต์ติดตั้งเรือ ชาวบ้านก็เริ่มออกหาปลาทะเลลึกมากขึ้น นั่นเป็นเรื่องที่ดีเพราะความเป็นอยู่ของชาวบ้านก็พลอยกระเตื้องขึ้นไปด้วย แม้วา่ เวลาจะผ่านมาเนิน่ นานและสองสามีภรรยาฝรัง่ จะกลับไปยังบ้านเกิดเมือง นอนของตนแล้ว แต่ผู้แก่ผู้เฒ่าที่นี่ก็ยังจ�ำพวกเขาได้ และฉันเชื่อว่าหลายคน ยังคงระลึกถึงบุญคุณของเขาอยู่ นักล่าตัวน้อยกับปลาวาฬพ่นน�้ำ นอกจากเปาะซาแล้ว ฉันก็ยงั มีนกั เล่าเรือ่ งทีฉ่ นั รักอยูร่ อบตัวอีกมากมาย นอกจากยาย แม่ และพ่อแล้ว ย่าก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่มักจะมีเรื่องจากท้องทะเล มาเล่าให้หลานๆ ฟังอยูเ่ สมอในช่วงค�่ำคืนหลังจากเหน็ดเหนือ่ ยจากนอกบ้านมา ตอนยังเป็นเด็ก ในช่วงปิดเทอม ฉันมักจะวิง่ ตามพีช่ ายไปยังท้องนาหลัง หมู่บ้านเพื่อจับปลากัดใส่ขวดมากัดกัน บางวันก็เที่ยวล่ากิ้งก่าแล้วจับให้มัน ฟัดกัน เบื่อหน่ายกับกิ้งก่าเราก็หาไม้ยาวๆ ผูกถุงพลาสติกใส่แกงที่แอบหยิบ ของแม่มา เทีย่ วไล่จบั แมลงปอ บางครัง้ ก็จบั ตัก๊ แตน และบ่อยครัง้ ทีเ่ รารวมกลุม่ กันไปวิ่งเล่นที่ชายทะเลโคลนแล้วกลับมาพร้อมหอยแครงเป็นถังๆ


162

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

พวกเรากลายเป็นเด็กน้อยนักล่าที่ล่าทุกสิ่งทุกอย่างแม้กระทั่งแมลง ตัวน้อยๆ แต่เรือ่ งทีท่ งั้ เจ็บทัง้ น่าข�ำคือ ล่าคางคก ตอนหัวค�ำ่ เราจะถือห่วงตาข่าย ทีพ่ อ่ ใช้ตกั ลูกกุง้ ในท้องทะเลมาใช้จบั คางคก กติกาของเรามีอยูว่ า่ ใครได้คางคก น้อยที่สุดจะต้องขุดหลุมเพื่อฝังคางคก เรามีความเชื่อแบบเด็กอยู่ว่าเมื่อฝัง คางคกแล้วมันจะหายไปจากโลกนี้ แต่ไม่มใี ครจะรูว้ า่ พรุง่ นีค้ างคกตัวเดิมได้โผล่ หน้ามาให้เราจับอีก วันหนึ่งฉันขอเป็นผู้แพ้โดยที่ยังไม่ได้เริ่มแข่งขัน ใช่แล้ว! เพราะฉันมี แผนการร้ายทีผ่ ดุ ขึน้ ในหัว ฉันขุดหลุมสองหลุมส�ำหรับค�ำ่ วันนัน้ หลุมหนึง่ ส�ำหรับ ฝังคางคก แต่อีกหลุมเป็นหลุมพรางขุดไว้ระหว่างทางไปมัสยิด ฉันฉีกพลาสติก ที่เตรียมไว้ครอบปากหลุมแล้วเอาดินกลบรอบๆ เพื่อไม่ให้ลมพัดพาไป ไม่มีใคร รู้เรื่องนี้สักคน แม้แต่พรรคพวกที่ไล่ล่าคางคก เมื่อเสียงอาซานดังขึ้น บรรดาคน เฒ่าคนแก่ต่างก็เริ่มทยอยมามัสยิด ใครจะตกเป็นเหยื่อหลุมพรางของฉัน ‘คงต้ อ งมี สั ก คนนั่ น แหละ’ สิ่ ง ที่ ฉั น กั ง วลคื อ กลั ว ไม่ มี ใ ครมาตก หลุมพรางที่อุตส่าห์ขุดไว้ ในที่สุดวินาทีนั้นก็มาถึง เสียงเหยียบถุงพลาสติกและเสียงร่างคนที่ กระแทกลงพื้นท�ำให้ฉันตื่นเต้น ตามมาด้วยเสียงตะโกนด้วยความตกใจของ ผูเ้ คราะห์รา้ ย เขาคนนัน้ ไม่ใช่ใครทีไ่ หน แต่เป็นเจ๊ะวอและห์ ชายชราเจ้าของร้าน ของช� ำ ในหมู่บ้านนั่นเอง แกล้มแอ้งแม้งอยู่กลางดินในขณะที่เท้าอีกข้าง อยู่ในหลุม พวกผู้ใหญ่รีบวิ่งลงมาจากมัสยิดและหนึ่งในนั้นคือพ่อฉัน พรรคพวกนักล่าคางคกเริ่มทยอยเข้ามามุง คางคกในตาข่ายกระโดด ดิ้นเพื่อความอิสระ วินาทีนั้นเองที่ฉันเห็นคางคกแล้วรู้สึกขยะแขยงจนคลื่นไส้ จนเริ่มกลัวคางคกตั้งแต่นั้นมา พ่อมองหาตัวการ พรรคพวกต่างชี้มาที่ฉัน ครั้งนั้นก้านมะยมหน้าบ้านอาถูกเด็ดมาใช้งานเป็นครั้งแรกกับน่องของฉัน


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

163

หลังจากนั้นฉันก็เข็ดกับรสชาติของก้านมะยม นี่เป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบในเกม ล่าคางคก นั่นคือวัยเด็ก วัยที่ยังไร้เดียงสา มีเรื่องราวมากมายให้เราท� ำโดย ไม่รู้เบื่อ มีสาระบ้าง ไม่มีสาระบ้าง ซึ่งเราไม่อาจแยกแยะจนกระทั่งโตขึ้น แต่ล้วนแล้วเป็นเรื่องราวที่น่าจดจ�ำทั้งสิ้น อีกเรื่องที่ชวนให้จดจ�ำส�ำหรับฉันคือช่วงเวลากลางคืน บ้านย่าไม่มี โทรทัศน์ให้ดู ไม่มีวิทยุให้ฟัง แต่เราก็มีย่าเล่านิทานให้ฟังเกือบทุกคืน เรื่องที่น่า ตื่นเต้นที่สุดมักเป็นเรื่องที่ย่าบอกว่า “เคยเกิดขึ้นจริงในหมู่บ้านของเรา” เรื่องที่ท�ำให้ฉันจดจ�ำมาจนถึงทุกวันนี้คือเรื่องปลาวาฬพ่นน�้ำ ย่าเริ่มต้นด้วยค�ำพูดนี้ทุกครั้ง “เรื่องนี้เคยเกิดขึ้นจริงนะจะบอกให้ เรื่องปลาวาฬพ่นน�้ำ ไม่เชื่อถามเปาะซาดู” ย่าหาแหล่งอ้างอิงตั้งแต่ยังไม่เล่า เมื่อสมัยย่ายังเด็กๆ พ่อของย่าเคยเล่าให้ฟังว่า (ย่าแทนตัวเองว่าเมาะ) มีชาวประมงคนหนึ่งชื่อสาและห์ เป็นชาวประมงที่ยากจนมากๆ ออกทะเล แต่ละครั้งไม่ค่อยได้ปลา แต่เขาก็ไม่เคยย่อท้อ แม้จะกลับมามือเปล่าเกือบทุก ครั้ง เขาก็ยังสู้ทนออกทะเลต่อไป ด้วยถือว่าเกิดมาเป็นลูกทะเล ผูกพันกับทะเล มาตั้งแต่เด็ก ถ้าไม่ท�ำงานกับท้องทะเลจะมีชีวิตอยู่อย่างไร และจะหันหน้าไป ท�ำงานอะไร ใครๆ ต่างก็คิดว่า คงไม่มีใครโชคร้ายเท่าสาและห์อีกแล้ว กระทั่งวันหนึ่ง ภรรยาของสาและห์มานั่งรอสามีที่เพิงจอดเรือ นางรอ คอยด้วยความกระวนกระวายเมื่อเห็นว่าสามีสายผิดปกติ จึงเที่ยวถามคนนั้น คนนี้ว่าใครเห็นสามีของนางบ้าง แต่ก็ไร้ค�ำตอบที่พอจะท�ำให้นางชื่นใจได้ เวลาเที่ยงเคลื่อนผ่านไปอย่างช้าๆ แต่ภรรยาสาและห์กลับยิ่งร้อนรน นางมองออกไปยังปากน�้ำบ่อยครั้งด้วยความหวัง จังหวะที่นางจะหันหลังเดิน กลับบ้านนั้นเอง “มูเนาะ มูเนาะ” เสียงเรียกที่คุ้นหูนางยิ่งนัก นางรีบหันไป


164

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

อย่างรวดเร็ว และต้องประหลาดใจ ในเรือเต็มไปด้วยปลาด้วยปริมาณที่นาง ไม่เคยเห็นมาก่อน เกิดอะไรขึ้นกับนายสาและห์ “มูเนาะ เห็นไหม? เราได้ปลามาเยอะแยะเลย” สาและห์ยิ้มแฉ่งให้ ภรรยา พลางขนปลาขึ้นจากเรือ “เกิดอะไรขึ้นบัง ท�ำไมกลับช้าอย่างนี้” มูเนาะยังไม่หายห่วง “เรือล่มกลางทะเลตอนหัวรุ่งฉันก�ำลังจะกลับน่ะ ตอนแรกก็คิดว่าจะ ตายแล้ว แต่มีปลาตัวใหญ่มาก ใหญ่มากๆ เลยนะมูเนาะ เหมือนมันมาพลิกเรือ ให้แล้วดุนฉันให้ขึ้นเรือ แล้วมันก็พ่นน�้ำอะไรไม่รู้ที่ตรงหัวของมันใส่ฉัน แล้วมัน ก็ไป อวนหายหมดเลยฉันจึงงมลงไปหาอวน แต่เห็นปลาตัวติดอวนด้วยก็เลยวาง อวนใหม่ แต่มันเร็วมากเลยนะมูเนาะ ปลาตัวนั้นมันมาเร็วมากไม่รู้ว่ามันมาจาก ไหน” สาและห์เล่าด้วยน�้ำเสียงตื่นเต้น เพียงไม่นานข่าวนี้ได้กระจายไป ทั่วหมู่บ้าน ทุกคนต่างคิดว่าเป็นเพราะปลาวาฬพ่นน�้ำตัวนั้นที่ท�ำให้สาและห์ได้ ปลามากมายเต็มล�ำเรือ หลังจากวันนั้นเขายังคงออกเรือเหมือนปกติ แต่สิ่งที่ แตกต่างกันก็ตรงที่เขาได้ปลากลับมาเต็มล�ำเรือทุกครั้งและฐานะดีขึ้นเรื่อยๆ เมือ่ ย่าเล่าจบ หลานทีร่ ายล้อมรอบตัวย่าบางคนเริม่ หลับแล้ว เช่นเดียว กับฉันก็เริ่มง่วงงุนเพราะเหน็ดเหนื่อยกับการล่าคางคก แมลงปอ หรือกิ้งก่า แต่ความรู้สึกอยากล่าปลาวาฬพ่นน�้ำเกิดขึ้นในใจจึงฝืนพูดต่อไป “ถ้าวันหลังพ่อออกทะเลหนูจะตามไปบ้าง” “ท�ำไมรึ” ย่าถามด้วยความสงสัย “ก็ถ้ามีปลาวาฬมาพ่นน�้ำ เราก็จะได้รวยไงจ๊ะย่า แล้วพ่อก็ไม่ต้องออก ทะเลบ่อยๆ” ฉันตอบตามประสาเด็ก ย่าหัวเราะหึหึ พลางกล่าว “บางทีนั่นอาจจะเป็นเพียงต�ำนาน เป็นนิทานให้ก�ำลังใจชาวเลก็ได้ ลูก สมัยนีท้ ะเลบ้านเรามีปลาวาฬทีไ่ หนกัน ฟังนะ ถ้าอยากรวยต้องท�ำมาหากิน


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

165

เราจะรอโชควาสนาจากปลาวาฬพ่นน�้ำไม่ได้หรอก พ่อเราเป็นลูกทะเลก็ต้อง ออกทะเลสิลูก” ค�ำถามในสมองยังคงแล่นเข้ามาอีก ‘ก่อนเล่าเรื่อง ย่ายังบอกว่าเป็น เรื่องจริงแต่มาบอกอีกทีว่าเป็นนิทานแล้วถ้าเป็นนิทานท�ำไมตอนจบย่าไม่บอก ว่า “เรือ่ งนีส้ อนให้รวู้ า่ ...” เหมือนตอนทีฉ่ นั อ่านหนังสือนิทานนะ?’ แต่ความง่วง และเปลือกตาที่ค่อยๆ หรี่ลงจนปิดสนิทในที่สุดก็ไม่อนุญาตให้ถามอะไรได้อีก เด็ ก ยั ง คงเป็ น เด็ ก และมั ก คิ ด อย่ า งเด็ ก เมื่ อ โตขึ้ น ฉั น จึ ง คิ ด ได้ ว ่ า ทุกเรื่องเล่า ทุกเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตนั้นสอนให้เรารู้อะไรมากมายโดย ที่ไม่ต้องมีใครมาบอกว่า “เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า...” เช่นเดียวกับเรื่องของ ยาลี ชายหนุ่มลูกทะเลคนหนึ่งที่เรียนรู้โลก เรียนรู้ทะเลได้โดยไม่ต้องพึ่งห้องเรียน เสมอไป เพราะโลกนีม้ คี วามรูม้ ากมายให้เราไล่ลา่ เพือ่ จะได้ไม่ตอ้ งเป็นผูพ้ า่ ยแพ้ ที่รอเพียงขุดหลุมฝังคางคกตลอดเวลา ยาลี ผู้เรียนรู้โลกจากทะเล ฉันได้เกริ่นไว้ในตอนต้นแล้วว่า ชาวรูสะมิแลทุกคนล้วนเป็นลูกทะเล เพราะความผูกพันจนทะเลกลายเป็นส่วนหนึง่ ของชีวติ แม้วา่ ปัจจุบนั จะมีหลาก หลายอาชีพทีน่ า่ สนใจ ให้เงินได้มากกว่าการออกทะเล และบางคนเริม่ หันเหชีวติ ออกห่างจากทะเลแล้วก็ตาม แต่หากทะเลที่นี่มีปัญหา หลายคนอาจจะไม่ สามารถมีชีวิตอยู่ได้เช่นเดียวกัน ยาลี จะต้องเป็นหนึ่งในนั้น ยาลี ผู้มีแผลเป็นตรงหัว ล�ำคอ และอีกซีกหนึ่งของล�ำตัว ฉันจ�ำชื่อจริง ของเขาไม่ได้ รูแ้ ต่เพียงว่า เขาอายุนอ้ ยกว่าฉันถึงสองปี แต่เขารูจ้ กั ทะเลมากกว่า อายุตัวเองเสียอีก จะว่าไปแล้ว ครอบครัวของยาลีเป็นครอบครัวที่น่าสงสาร จ�ำได้ว่าเมื่อตอนเด็กๆ พวกเขาไม่มีบ้าน ได้แต่อาศัยอยู่ใต้หลังคาที่คุ้มป้อง


166

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

เครื่องบ�ำบัดน�้ำเสียริมทะเล มันคับแคบ มีกลิ่นเหม็นอับเหม็นคาว และส่งเสียง ครางราวสัตว์ร้ายเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา ทั้ง ๖ ชีวิตที่อาศัยอยู่ภายใต้หลังคานั้นช่างมีความอดทนสูงเหลือเกิน แม้จะมีบางคนถึงขั้นรังเกียจพวกเขา แต่คนเหล่านั้นก็มีเพียงน้อยนิดเพราะ คนรูสะมิแลเป็นคนมีน�้ำใจ ช่วยเหลือเกื้อกูลกันเสมอ ครอบครัวยาลีไม่มีเงิน แต่มีแรงก็อาศัยแรงช่วยเหลือ พ่อของเขาเคยเป็นลูกเรือให้พ่อของฉัน ความยากจนนี่ เ องที่ ท� ำ ให้ ย าลี ก ลายเป็ น คนสู ้ ชี วิ ต มาตั้ ง แต่ เ ด็ ก ในโรงเรียนเขาเป็นเด็กสมองทึบคนหนึ่ง ทว่านอกห้องเรียน เขาคือเซียนประจ�ำ หมู่บ้าน ยาลีเป็นเด็กที่ซนมาก บางครั้งความซนและอยากเรียนรู้ของเขา ก็สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้าน แต่ฉันเลือกที่จะมองข้าม ทุกวัน เขาจะตื่นเช้าขึ้นมาโดยการออกไปวิ่งเล่นตามเพิงเรือของ ชาวบ้าน เก็บเศษเหล็กที่ใครๆ ไม่ใช้แล้วมารวบรวม บางคนเห็นเขาวิ่งเล่น ก็จะเรียกเพือ่ ขอความช่วยเหลือในเรือ่ งต่างๆ ซือ้ ของให้บา้ ง หรือแกะปูออกจาก อวน สารพัดเรื่องที่ชาวบ้านคิดว่าเขาท�ำได้ ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง ในขณะเดียวกัน หากเบื่อหน่ายกับการเก็บเศษเหล็ก ยาลีจะไปอยู่ตามชายหาดโคลน ไล่จับปูด�ำ ตัวโตๆ ฉันไม่เคยเห็นเขาใช้อุปกรณ์ในการสาวปูด� ำขึ้นมาจากรูเลยสักครั้ง โดยปกติเวลาจะจับปูด�ำจะต้องมีเหล็กหรือลวดหนาๆ สักอันเพื่อแยงลงไปในรู ปูเพื่อให้มันเกาะ แล้วค่อยๆ ดึงช้าๆ กลับขึ้นมา แต่ยาลีไม่มีอุปกรณ์นี้ หากเขา ก็มีปูด�ำมาชั่งกิโลขายได้เกือบทุกวัน ฉันเชื่อว่า เขารู้วิถีของปูด�ำและสามารถ จับมันมือเปล่าได้ แต่ความสามารถในการจับปูด�ำมือเปล่าก็ไม่สามารถช่วยอะไรยาลี ในเหตุการณ์ในวันหนึ่งได้


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

167

เขาเก็บเศษเหล็กอยู่ตามกองขยะที่ชาวบ้านมารวมไว้นั้น เขาได้หันไป มองที่ใต้ถุนบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งเจ้าของบ้านไม่ค่อยอยู่เพราะไปท�ำงานที่มาเลเซีย เขาเห็นเศษเหล็กมากมายจึงคิดจะเข้าไปค้นดู เพียงแค่ครู่เดียว เขาก็ต้องร้อง โหยหวนอย่างน่าเวทนา เพราะบ้านที่ปิดมืดนั้นมีเจ้าของอยู่ มีคนราดน�ำ้ กรด ลงบนหัวเด็กชายผู้น่าสงสาร ยาลีวิ่งออกมาจากใต้ถุนบ้านและดิ้นพล่าน อยู่ข้างถนน ในขณะนั้น ใครๆ ต่างก็คิดว่าเขาจะต้องตายเพราะน�้ำกรดที่ราดลง มานั้น เริ่มกัดกินหนังหัว ล�ำคอ ตลอดจนล�ำตัว แต่คนที่เห็นเหตุการณ์อันแสน สะเทือนใจนั้นก็สามารถพาเขาไปส่งโรงพยาบาลได้ทัน ยาลีจึงมีชีวิตรอด กลับมาได้ แผลเป็นตามตัวของเขาเปรียบเสมือนบาดแผลจ�ำนวนมากในชีวิต อันแร้นแค้นของเขา ทุกครั้งที่ฉันเห็น ฉันมักจะนึกถึงปูด� ำในก�ำมือของยาลี และหลุมคางคกสองหลุมของตัวเอง เหตุการณ์ดงั กล่าวเกิดขึน้ เมือ่ เขาอายุได้สบิ ปีเท่านัน้ เป็นช่วงเวลาเดียว กับทีพ่ อ่ ของเขามีเรือเป็นของตัวเอง เงาหัวเริม่ โผล่พน้ มาจากคุม้ ก�ำบังของหลังคา เครื่องบ�ำบัดน�้ำเสีย เขาสร้างกระท่อมเล็กที่ชายหาดที่งอกยาวออกไป หลังจาก แผลจากน�้ำกรดหายดี ผู้เป็นพ่อกับลูกชายก็ออกทะเลทุกวัน จนกระทั่งโตขึ้น และนั่นท�ำให้เขากลายเป็นผู้ที่รู้จักทะเลมากกว่าบ้านโกโรโกโส ก่อนที่จะเกิดพายุดีเปรสชั่นถล่มภาคใต้ ก็ได้เกิดเรื่องกับยาลีอีกครั้ง สิบโมงเช้าของวันนั้น พ่อของเขาขึ้นจากเรือมาอย่างตื่นตระหนกและน�้ำตานอง หน้ารีบวิ่งมาหาโต๊ะอีหม่ามในหมู่บ้าน เล่าเรื่องที่เกิดขึ้น ว่าเมื่อตอนเช้ามืดยาลี ได้ออกเรือไปพร้อมตน และลูกเขยอีกคนหนึ่ง ยาลีมีปากเสียงกับพี่เขย เขาจึง ดุว่ายาลีไป ด้วยความน้อยใจพ่อ ยาลีกระโดดลงทะเลในขณะที่เรือจอดนิ่งอยู่ กลางน�้ำลึก เขาคิดว่ายาลีน่าจะเสียชีวิตแล้ว โต๊ะอีหม่ามรีบรุดไปทีม่ สั ยิด เพือ่ จะประกาศให้ชาวบ้านรับรูว้ า่ ยาลีนนั้ ได้เสียชีวิตแล้ว ในขณะนั้นเอง พี่สาวของยาลีวิ่งมาหาอีกคนบอกว่ายาลีกลับ


168

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

บ้านแล้ว สร้างความตื่นตะลึงแก่ผู้เป็นพ่อ และความงุนงงแก่โต๊ะอีหม่ามรวมถึง ชาวบ้านที่รับรู้ข่าวนี้ ยาลีวา่ ยน�า้ จากกลางทะเลมาแล้วมานอนพักทีช่ ายฝัง่ เป็นเรือ่ งทีห่ ลาย คนไม่คาดคิดเช่นเดียวกับฉัน ในเมือ่ ชายฝัง่ อยูห่ า่ งจากจุดเกิดเหตุมาก แต่สงิ่ หนึง่ ที่ท�าให้ฉันเชื่อคือ การที่เขาจะว่ายน�้ากลับบ้านนั้น แน่นอนว่าต้องรู้จักทะเล รู้ทิศทางอย่างดี ยาลีอาจเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของลูกทะเลที่แท้จริง หากในรูสะมิแล ยังมีคนอีกหลายคนที่มีชีวิตผูกพันกับท้องทะเลจนอ่านมันออก เข้าใจมันได้ทุก จังหวะหายใจ แม้วา่ ชาวบ้านทีน่ จี่ ะถูกคนภายนอกมองว่าไม่มกี ารศึกษา ไม่เรียน หนังสือสูงๆ ในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย แต่ทะเลและโลกกว้างก็ได้สอนอะไร หลายๆ อย่างให้กับพวกเขาเพื่อให้มีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องกลายเป็นผู้ขุดหลุมฝัง คางคกไปจนชั่วลูกชั่วหลาน ............................................................................................ แดดยามบ่ายร้อนเปรี้ยงจนหลายชีวิตไม่อยากออกเดินทางไปไหน แต่ลมทะเล ก็พัดผ่านเข้ามาให้รู้สึกเย็นสบายชวนหลับ ฉันหวนนึกถึงเหตุการณ์บ้านเมืองใน สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในปัจจุบนั มันอาจจะร้อนแรงแผดเผาชีวติ ใครมานัก ต่อนัก แต่รูสะมิแลแห่งนี้กลับเป็นที่หนึ่งที่ไฟใต้ไม่ไล้ลามเข้ามา ที่นี่เสมือนมี ลมเย็นเห่กล่อมทุกคนที่เข้ามาให้รู้สึกร่มเย็นมาตลอด บางสิ่งบางอย่างอาจจะ เหลือเพียงความทรงจ�า ที่ท�าได้แค่เก็บมาเล่าให้ลูกหลานฟัง กลายเป็นความ ทรงจ�าที่มีคุณค่าส�าหรับลูกหลานชาวรูสะมิแลเสมอมา


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

169

“ควนลังงา” สองศาสนา หลังคาเดียวกัน นายไพศาล รัตนะ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๑ ระดับอุดมศึกษาและประชาชนทั่วไป

ในช่วงชีวติ ของคนหนึง่ คนล้วนมีเรือ่ งราวดีๆเกิดขึน้ มากมายนับร้อยพัน บ้างก็ประสบพบเจอในชีวิตประจ�ำวัน บางครั้งก็เกิดกับสังคมคนรอบข้าง แต่ที่ ยิง่ ไปกว่านัน้ สารพันสิง่ ดีทอี่ ยูใ่ กล้ตวั หรือเรือ่ งราวเล่าขานจากรุน่ สูร่ นุ่ ในดินแดน บ้านเกิดของแต่ละแห่งหนย่อมมีความน่าสนใจอยูไ่ ม่นอ้ ย ขึน้ อยูก่ บั การจะเลือก หยิบยกเอาแง่มุมใด ขึ้นมาถ่ายทอดเพื่อให้ผู้คนในวงกว้างได้สัมผัสและรับรู้ สิ่งดีๆ ที่อุบัติขึ้นบนผืนแผ่นดินบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง แม้นเป็นเวลาหลายขวบปีแล้วทีจ่ งั หวัดชายแดนภาคใต้ ปรากฏแต่เรือ่ ง ราวเลวร้ายให้ได้ยิน และได้เห็นส่วนใหญ่เป็นข่าวอย่างต่อเนื่อง แต่ใช่ว่าที่นี้จะ มีแต่เสียงคร�ำ่ ครวญ และคราบน�ำ้ ตาแห่งความเจ็บปวด จากความรุนแรงทีย่ งั คง เกิดขึ้นชนิดแทบไม่เว้นแต่ละวัน เพราะหากใครได้มีโอกาสมาสัมผัสและใกล้ชิด ตัวตนของผูค้ น ณ ดินแดนปลายด้ามขวาน จะได้สมั ผัสกับบางแง่มมุ ทีย่ งั สามารถ เรียกรอยยิ้มให้กับผู้พบเห็น รวมถึงเจ้าของพื้นที่ซึ่งยังคงอาศัยอยู่ในพื้นที่แห่งนี้ เพื่อเฝ้ารอวันคืนแห่งสันติสุขจะกลับมาอีกครั้ง


170

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ดัง่ เช่นเรือ่ งราวทีข่ า้ พเจ้าได้มโี อกาสประสบพบเจอกับภาพสะท้อนของ บ้านควนลังงา ชุมชนเล็กๆทีว่ างตัวอยูก่ ลางป่าเขียวขจีในต�ำบลทรายขาว อ�ำเภอ โคกโพธิ์ จั ง หวั ด ปั ต ตานี ภาพนั้ น มี เรื่ อ งราวอั น อบอวลไปด้ ว ยมิ ต รภาพ ความรัก และความสามัคคี ของสองศาสนิกมาอย่างยาวนานและวันนี้ บรรยากาศ ของรอยยิ้มและไมตรีของชาวพุทธที่หยิบยื่นให้มุสลิมยังเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ง่าย แม้สถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้จะยังคงปรากฏเป็นข่าวความไม่ สงบเป็นระยะก็ตาม ชุมชนควนลังงามีประชากรไม่กี่ร้อยคน เกินกึ่งหนึ่งเป็นชาวมุสลิม ส่วนที่เหลือคือชาวพุทธ แต่ทั้งหมดกลับท�ำมาหากินตามวิถีที่คุ้นเคยเฉกเช่น สังคมปกติ ไม่มีร่องรอยปริร้าวทางความรู้สึกของการแบ่งแยกระหว่างศาสนา กลับตอกย�้ำการไปมาหาสู่และร่วมกิจกรรมฉันพี่น้อง จนกลายเป็นพลังที่ คุ ้ ม ครองดุ จ ดั่ ง ภู มิ คุ ้ ม ครองให้ ท ้ อ งถิ่ น แห่ ง นี้ มี ค วามเข้ ม แข็ ง จนไม่ มี ใ คร สามารถเล็ดลอดเข้ามาเพาะพันธ์ุแตกหน่อความแตกแยกให้เกิดและเติบโต ในพื้นที่ของชุมชนแห่งนี้ได้ เส้นทางสายใยแห่งความรัก ความผูกพัน ที่ถักทอทอดยาวจากรุ่นสู่รุ่น เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันเป็นเวลาหลายชั่วอายุคนบ่งย�้ำถึงเอกลักษณ์ของสังคม อันกลมเกลียวดุจครอบครัวเดียวกันของสังคมพหุวัฒนธรรมแห่งบ้านควนลังงา ได้เป็นอย่างดี เรื่องราวอันมีน�้ำหนักที่ตอกย�้ำข้อเท็จจริงในสังคมแห่งนี้ ถูกสะท้อน ผ่านค�ำบอกเล่าของผู้น�ำศาสนาพุทธในพื้นที่แห่งนี้ อย่าง พระครูปราโมทย์ สีตคุณ หรือที่ชาวบ้านละแวกนี้เรียกขานกันติดปากว่า “อาจารย์เพ็ง” ในฐานะ เจ้าอาวาสวัดทรายขาว ท่านบอกว่า ชาวบ้านในพื้นที่แห่งนี้อยู่ร่วมกันได้อย่าง สันติสุขมาช้านาน โดยไม่ต้องอิงแอบความพยายามในการปั้นแต่งสถานการณ์ เพือ่ ให้เกิดภาพการกอดคอชนิดฝืนยิม้ เฉกเช่นชุมชนอืน่ ในพืน้ ทีป่ ลายด้ามขวาน เพื่อหวังสยบรอยร้าวทางความรู้สึกในวันเวลาที่ถูกผู้ไม่ประสงค์ดีฉวยโอกาส


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

171

ตอกลิ่มให้เกิดความหวาดระแวงซึ่งกันและกันระหว่างคนไทยที่นับถือศาสนา อิสลามและนับถือศาสนาพุทธ พระครูสาธยายให้ฟังต่อว่า แต่ไหนแต่ไรมา ชุมชนควนลังงาไม่จ�ำเป็น ต้องมีกจิ กรรมเพือ่ เสริมสร้างภาพลักษณ์ในการแสดงออกให้สงั คมเห็นถึงการอยู่ ร่วมกันระหว่างคนพุทธกับมุสลิม เนื่องด้วยที่แห่งนี้ไม่เคยมีเส้นแบ่งในการอยู่ ร่วมกันของคนต่างศาสนามายาวนานกว่า ๓๐๐ ปีแล้ว ทุกเรื่องราวที่ด�ำเนินไป ในแต่ละวัน ณ ที่แห่งนี้มีแต่ค�ำว่าญาติพี่น้องเป็นพลังเหนี่ยวน�ำให้ทุกคนรู้สึกถึง ความเป็นครอบครัวเดียวกันมาตัง้ แต่ยคุ เก่าก่อน ฉะนัน้ งานทุกอย่างทีด่ �ำเนินไป ล้วนเกิดด้วยความรักที่มาจากเนื้อแท้ส่วนลึกก้นบึ้งของความรู้สึกของทุกคน เจ้าอาวาสวัดทรายขาว ย�้ำความรู้สึกที่คุ้นเคยให้ฟังว่าหากใครก็ตาม ได้มาเยือนชุมชนควนลังงาแห่งนี้จะได้สัมผัสและเห็นภาพแห่งความร่วมแรง ร่วมใจที่ยังคงด�ำเนินไปเฉกเช่นเดิมเหมือนเมื่อ ๓๐๐ ปีที่ผ่านมา ไม่ว่ากาลเวลา จะย่างเดินไปอย่างไรเรือ่ งราวอันน่าประทับใจของคนสองศาสนาทีอ่ ยูร่ ว่ มกันได้ ชนิดไร้ความแตกแยกในชุมชนแห่งนี้ ก็คงจะยังตั้งอยู่อย่างมั่นคงบนความรัก สามัคคีของคนรุ่นหลังเรื่อยๆไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด ความผูกพันเป็นปึกแผ่นของสองศาสนิกตั้งแต่หนหลังมาถึงปัจจุบัน ยังได้ถูกสะท้อนผ่านค�ำบอกเล่าของชายผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวด้วยวัย ๘๐ ปี ผิวกร้านแดด ผมและเคราขาวโพลน นัน่ คือนายหะยีอบั ดุลรอมาน สะหล�ำสุหรี อิหม่ามประจ�ำมัสยิดในชุมชนควนลังงา ที่มักมานั่งบนม้าหินอ่อนตัวเก่าหน้า ศาสนสถานอันศักดิ์สิทธิ์ของชนมุสลิมที่มีอายุกว่า ๓๐๐ ปี ในทุกยามเย็น เพื่อเฝ้ามองการเติบใหญ่ของคนหนุ่มสาวในท้องถิ่นแห่งนี้ อิหม่ามประจ�ำมัสยิด ผูม้ ไี ม้เท้าค�ำ้ สังขารเป็นเพือ่ นคูใ่ จ เริม่ ต้นถ่ายทอด เรื่องราวด้วยค�ำพูดส�ำเนียงท้องถิ่นอย่างช้าๆ ให้ฟัง เมื่อครั้งยังเป็นเด็กก็เห็นคน รุ่นพ่อ รุ่นแม่ เป็นเพื่อนที่รักใคร่กลมเกลียวกันมาแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว ภาพการ ท�ำงานร่วมงานของคนไทยพุทธกับมลายูมุสลิมในชุมชนแห่งนี้เป็นเรื่องปกติ


172

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

จนแทบไม่รู้สึกว่าเรานับถือศาสนาแตกต่างกัน ไม่เว้นแม้กระทั่งเมื่อครั้งวันวานคราวเมื่อยังเป็นเด็ก ยังเคยเดินลัดทุ่ง ไปนัง่ ล้อมวงกินข้าวทีบ่ า้ นของเพือ่ นซึง่ เป็นชาวพุทธมาแล้ว และไม่ตา่ งกันเพือ่ น ร่วมรุ่นก็แวะเวียนมานั่งตักน�้ำบูดูคลุกเคล้าข้าวร้อนๆในจานสังกะสีที่บ้านของ หนุ่มน้อยมุสลิมมาแล้วเช่นกัน ไม่เว้นแม้กระทั่งวันส�ำคัญทางศาสนาที่เพื่อนเด็กชาวพุทธก็กุลีกุจอมา ช่วยงานทีม่ สั ยิดแต่เช้า ส่วนชาวมุสลิมก็ตอบแทนด้วยการน�ำข้าวของไปช่วยงาน บุญทีบ่ า้ นของคนพุทธอยูเ่ ป็นนิจ จนเวลาล่วงเลยมาจวบจนกระทัง่ ทุกวันนี้ ภาพ ทีค่ นุ้ ชินในอดีตก็ยงั คงปรากฏเฉกเช่นเดิมทุกเมือ่ เชือ่ วันในท้องถิน่ บ้านควนลังงา แห่งนี้ ส�ำหรับชุมชนอืน่ อาจเป็นเรื่องแปลกที่เห็นภาพมลายูมุสลิมไปร่วมงาน ศพไทยพุทธ หรือไปร่วมงานอุปสมบท ไม่เว้นกระทั่งงานมงคลสมรส ไม่เพียง เท่านัน้ ในทางกลับกันภาพบรรดาชาวพุทธหิว้ อาหารและขนมมาร่วมพิธอี อกบวช หรือพิธลี ะศีลอดในเดือนรอมฎอนทีม่ สั ยิด แต่ทงั้ หมดส�ำหรับทีแ่ ห่งนีถ้ อื เป็นเรือ่ ง ชินสายตาส�ำหรับบรรยากาศของไมตรีที่มีให้แก่กันของคนสองศาสนา ความประทับใจในวันวานยังคงถูกฉายเป็นเรื่องราวผ่านค� ำพูดของ อิหม่ามหะยีอบั ดุลรอมาน อีกว่า เมือ่ ก่อนการคมนาคมในท้องถิน่ ปลายด้ามขวาน เป็นเรื่องยาก จ�ำเป็นต้องมีพาหนะคอยท�ำหน้าที่น�ำพาสินค้าของคนในหมู่บ้าน ออกไปจ�ำหน่ายให้กับชาวเมือง ด้วยอุปสรรคเรื่องของเส้นทางที่ยาวไกล ข้ามเขาฝ่าดงท�ำให้ชาวพุทธและชาวมุสลิมบ้านควนลังงา ร่วมแรงร่วมใจกันน�ำ ทรัพย์สินมีค่าไปขอแลกซื้อช้างเพื่อใช้ขนสินค้าเกษตรของชาวบ้านออกไปขาย ยังเมืองปัตตานี ช้างเชือกนั้นคือสัญลักษณ์ของความร่วมใจในชุมชนอันกล่าว ขานกันมาจากวันวานมาจนถึงปัจจุบัน แม้เวลานี้มันไม่ได้มีชีวิตอยู่แล้วก็ตาม


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

173

หลักฐานทีส่ ำ� คัญประการหนึง่ อันเป็นดุจดัง่ เสาหมุดทีต่ อกยึดเหนีย่ วใจ ให้คนพุทธและมุสลิมในชุมชนควนลังงายังคงเป็นครอบครัวเดียวกันนั่นคือ สุเหร่าบาโงยลางา ศาสนสถานเก่าแก่อายุ ๓๐๐ ปี หรือที่ผู้คนละแวกนี้ เรียกขานกันติดปากว่า “มัสยิด ๓๐๐ ปี” อิหม่ามหะยีอับดุลรอมานเล่าให้ฟังด้วยน�้ำเสียงสั่นเครือแต่ใบหน้า ยังปรากฏรอยยิ้มว่า สุเหร่าบาโงยลางาเป็นศาสนสถานที่เกิดขึ้นจากน�ำ้ พักน�้ำ แรงของคนสองศาสนา โดยมีพระกับผู้น�ำศาสนาอิสลามประจ�ำถิ่นเป็นหัวเรือ ใหญ่ในการขับเคลือ่ น โดยเฉพาะสมัยนัน้ พระครูศรีรตั นากร หรือทีช่ าวบ้านรูจ้ กั ในนาม พ่อท่านศรีแก้ว ผูเ้ ป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดทรายขาว คอยก�ำกับและอ�ำนวย การก่อสร้างอย่างใกล้ชิด เนื่องจากในวัยเด็กก่อนเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์นั้น ท่านเป็นอิสลามมิกชน แล้วได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในเวลาต่อมา กระทั่งการ ก่อสร้างแล้วเสร็จ สถานที่แห่งนี้จึงกลายเป็นศูนย์กลางร้อยสัมพันธ์รวมใจของ ชาวพุทธและมุสลิมจวบจนมาถึงปัจจุบันนี้ เอกลักษณ์ของศาสนสถานแห่งนี้ ไม่ได้มีเพียงเรื่องราวความร่วมมือ ของพระภิกษุและผูน้ �ำมุสลิมเท่านัน้ แต่สถาปัตยกรรมในรูปแบบศิลปะประยุกต์ อันเกิดจากการผสมผสานระหว่างพุทธกับมุสลิม โดยภายในมีสถานที่ในการ ประกอบพิธลี ะหมาด ขณะเดียวกันหากเพ่งมองด้วยสายตาจากภายนอกจะเห็น ถึงความละม้ายคล้ายคลึงกับอุโบสถในทางพระพุทธศาสนา ซึง่ เป็นความงดงาม ทีเ่ กิดจากความรัก ความผูกพัน ความสามัคคี ของสองศาสนิกทีเ่ ป็นดัง่ ครอบครัว เดียวกัน อิหม่ามหะยีอับดุลรอมานเล่าต่อว่า มัสยิดที่ถูกรังสรรค์ตั้งแต่รุ่น บรรพบุรษุ นับเป็นประจักษ์พยานชัน้ ดีทบี่ ง่ ชีใ้ ห้เห็นถึงสายสัมพันธ์ของชาวพุทธ กับชาวมุสลิมในพื้นที่ว่ารักใคร่กลมเกลียวกันมานานชนิดไม่มีสิ่งใดจะมาแยก ให้ออกจากกันได้


174

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

เรือ่ งราวความเป็นดัง่ พีน่ อ้ งในสังคมพหุวฒ ั นธรรมของชุมชนควนลังงา ยิ่ ง นานวั น มิ ไ ด้ ค ลายสั ม พั น ธ์ ไ ปกั บ กาลเวลา ในทางกลั บ กั น ท่ า ที โ อบไหล่ ของคนมุสลิมกับคนพุทธในสังคมแห่งนีด้ จู ะยิง่ แน่นแฟ้นขึน้ แม้วนั วานได้กา้ วล่วง ผ่านมาแล้ว ๓ ศตวรรษ อิ ห ม่ า มหะยี อั บ ดุ ล รอมานมิ ไ ด้ ป ระสบพบเห็ น บรรยากาศแห่ ง ความกลมเกลียวของพี่น้องสองศาสนาในชุมชนแห่งนี้ในห้วง ๘๐ปีของการมี ลมหายใจบนผืนแผ่นดินนี้เท่านั้น แต่ยังได้ซึมซับเรื่องราวที่บรรพบุรุษถ่ายทอด ให้ ฟ ัง สื บ ต่ อกันมาว่า ท้องถิ่นแดนดินนี้เป็นชุมชนเก่าแก่มีประวัติศาสตร์ ความเป็นมายาวนานตัง้ แต่ครัง้ พระยาภักดีชมุ พลได้เดินทางมาจากเมืองไทรบุรี (ก่อนรัชกาลที่ ๕ ) เนื่องจากไทรบุรีตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ ในระหว่างทาง พระยาภั ก ดีชุมพลได้พบกับสถานที่อันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยน�้ ำและอาหาร (ปัจจุบนั คือต�ำบลทรายขาว)เหมาะแก่การตัง้ ทีอ่ ยูอ่ าศัย จึงตัดสินใจตัง้ บ้านเรือน ณ ดินแดนแห่งนี้ ซึง่ ประชากรก็อพยพมาจากรัฐกลันตัน ตรังกานู ไทรบุรี ปะลิส และปี นั ง เมื่อยังอยู่ในราชอาณาจักรไทยในยุคนั้นซึ่งมีทั้งพุทธและมุสลิม จากวันนั้นก็อยู่อาศัยร่วมกันฉันญาติพี่น้องมาถึงวันนี้ สิง่ หนึง่ ทีค่ ลายปมลบความกินแหนงจนสามารถท�ำให้คนทัง้ สองศาสนา สามารถใช้ชวี ติ อยูร่ ว่ มกันอย่างปกติมาหลายร้อยปี นัน่ คือผูค้ นทีน่ จี่ ะไม่การเรียก ขานชนต่างศาสนาด้วยค�ำว่า คนแขก หรือ คนพุทธ แต่มีความสัมพันธ์กันเป็น ครอบครัว ดั่งเห็นได้จากการสมรสกันระหว่างหนุ่มสาวระหว่างศาสนาจนแทบ ทุกหลังคาเรือนในพื้นที่แห่งนี้เป็นเสมือนดั่งทองแผ่นเดียวกันไปโดยปริยาย ไม่เพียงเท่านั้นชุมชนแห่งนี้ยังมีธรรมเนียมปฏิบัติสืบต่อกันมาอย่าง ยาวนานไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือกันยามเดือดร้อน เกื้อกูลกันยามยากล�ำบาก ทั้งในเรื่องสังคมหรือเงินทอง จนกลายเป็นหลักการที่ปลูกฝังกันมาตั้งแต่ บรรพบุรุษมาจนถึงลูกหลานในยุคปัจจุบัน


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

175

อิหม่ามหะยีอบั ดุลรอมานยังคงสาธยายความภาคภูมใิ จในชุมชนต่อไป อีกว่า การเกิดขึ้นของศาสนสถานตั้งแต่ ๓๐๐ ปีที่ผ่านมา เป็นการผสมผสาน ความเป็นอิสลามและเป็นความพุทธอย่างกลมกลืนในชุมชนแห่งนี้ ดังนัน้ จึงไม่มี บรรยากาศแห่ ง ความเคลื อ บแคลงระแวงระคนความสงสั ย ซึ่ ง กั น และกั น เพราะทุกวัน คนที่นี่ได้อาศัยมัสยิดแห่งนี้เป็นสถานที่พบปะพูดคุยจนก่อเกิด กลายเป็นศูนย์กลางของคนในชุมชนไปในบัดดล ดั ง นั้ น หากจะเอ่ ย ว่ า สุ เ หร่ า บาโงยลางา เป็ น ได้ ดั่ ง พั น ธสั ญ ญาที่ เกีย่ วคล้องทุกดวงใจของชาวพุทธกับมุสลิมให้แนบแน่นจนยากจะคลายสัมพันธ์ ออกห่างกัน นอกเหนือจากสัมพันธภาพทางสังคมของคนในชุมชนที่เปี่ยมอุดม ไปด้วยความรัก ความผูกพันฉันญาติมิตรแล้ว สภาวะทางการเมืองของท้องถิ่น แห่งนี้ยังมีความเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัวอันควรศึกษา เพราะการ ขับเคลื่อนการเมืองท้องถิ่นด้วยพลังของคน ๒ ศาสนาที่ไร้ซึ่งความแตกแยกนั้น สามารถน�ำพาความเข้มแข็งมาสู่ชุมชนในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม การศึกษา รวมถึงคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ ผูน้ ำ� ทางการเมืองในระดับชุมชนควนลังงาด�ำเนินไปด้วยวิธกี ารคัดสรร ผูท้ มี่ คี วามเหมาะสมมาด�ำรงต�ำแหน่งเพือ่ ดูแลทุกข์สขุ ของลูกบ้าน โดยมีขอ้ ตกลง ร่วมกันว่าต�ำแหน่งจะมีการสลับสับเปลี่ยนผู้ท�ำหน้าที่หัวขบวนคนละวาระ ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฎิบัติมาตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบันนี้ กระบวนการนีจ้ ะมีผรู้ บั ต�ำแหน่งก�ำนันของชุมชน ด้วยการคัดสรรกลัน่ กรองผู้ที่มีความเหมาะสมทั้งวัยวุฒิและคุณวุฒิจากชาวบ้าน ซึ่งเป็นแนวทาง ที่ ถื อ ปฏิ บั ติ สื บ เนื่ อ งกั น มาหลายชั่ ว อายุ ค นโดยวาระนี้ ห ากผู ้ น� ำ เป็ น ชาวมุสลิมลายู สมัยหน้าวาระที่มาถึง ผู้ด�ำรงต�ำแหน่งก็จะต้องเป็นตัวแทน ชาวพุทธ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นกับชุมชนควนลังงากลายเป็นแนวทางปรองดองที่สยบ


176

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ความขัดแย้งบนเกมการเมืองท้องถิ่นและไร้ซึ่งร่องรอยแห่งความบาดหมาง ระหว่างผู้น�าชุมชน นับว่าสิ่งที่บรรพชนในชุมชนแห่งนี้วางรากฐานเอาไว้ ด้วยการสร้าง สัญลักษณ์ที่งามสง่ามาถึง๓๐๐ปี รวมถึงแนวทางการบริหารจัดการการใช้ ดุลอ�านาจในทางการเมืองที่เหมาะสม ได้กลายเป็นแบบแผนและเบ้าที่หลอม รวมเอาทุกความรู้สึกของคนสองศาสนาเอาไว้ด้วยกันในกรอบแห่งความรัก ความสามัคคี ชนิดที่ไร้หนทางที่ใครจะมายุแยงตะแคงให้รั่วได้ ไม่ว่าจะมีสักกี่ค�าบอกกล่าวของใครต่อใคร ก็คงไม่สามารถสะท้อนตัว ตนของความรักความสามัคคีของคนในชุมชนควนลังงาได้ดเี ท่ากับภาพทีป่ รากฏ ในพื้นที่ ณ เวลานี้ อันเกิดขึ้นจากรอยประสานระหว่างนิ้วของบรรพชนแต่ครั้ง หนหลัง ที่กลายเป็นการผูกโยงยึดสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นมาจนถึงคนรุ่นหลังที่ เกือ้ หนุนเป็นพลังทีส่ า� คัญให้แก่ชมุ ชนแห่งนี้ จนก่อเกิดเป็นเรือ่ งราวอันดีงามควร ค่าแก่การจดจ�า และบอกกล่าวเล่าขานให้ทกุ คนได้รบั รูถ้ งึ สายใยรักและสามัคคี ที่ไม่ว่าจะกี่ร้อน ฝน หนาว กาลเวลายาวนานผ่านไปเท่าใด ก็ยังคงผูกมัดเป็น หนึง่ เดียวมิแปรเปลีย่ น ปราศจากความรูส้ กึ แปลกแยกและแตกต่างในการนับถือ ศาสนา แต่กลับจะเดินเข้าหากันเพื่อร่วมประคับประคองให้ชุมชนก้าวผ่าน สถานการณ์ที่ร้อนระอุในดินแดนปลายด้ามขวานมุ่งสู่สันติสุข สิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในชุมชนควนลังงา หมู่บ้านเล็กๆ บนดินแดนปลาย ด้ามขวาน ที่ไม่ว่าวันข้างหน้าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร แต่เรื่องราวของพื้นที่ อันเปีย่ มสุขของผูค้ นต่างศาสนาทีใ่ ช้ชวี ติ ราวกับเป็นสมาชิกในครอบครัวเดียวกัน จะยังคงถูกบอกกล่าวออกไปในวงกว้างชนิดที่ใครได้ยินและได้ฟังล้วนอิ่มเอม ไปด้วยความประทับใจชนิดมิรู้ลืม


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

177

นิยายหนังกั้นจาก ความทรงจ�ำของแม่ นายประภาศ ปานเจี้ยง รางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๒ ระดับอุดมศึกษาและประชาชนทั่วไป

แม่เกิดปีกุน พ.ศ. ๒๔๖๖ ขณะนี้ในสามสี่หมู่บ้านละแวกเดียวกัน แม่ อายุมากที่สุด แม่อ่านหนังสือไม่ออกและเขียนหนังสือไม่ได้ สมัยแม่เป็นเด็กพอ มีโรงเรียนบ้างแล้ว แต่แม่บอกว่าเขาไม่นิยมให้เด็กผู้หญิงไปโรงเรียน เนื่องจาก ถ้าผูห้ ญิงเขียนหนังสือได้เกรงว่าจะเขียนเพลงยาวหรือจดหมายให้ผชู้ าย ซึง่ เป็น สิ่งที่สังคมไม่ยอมรับให้ท�ำ แม่จึงไม่ได้เรียนหนังสือ ในอดีตตัง้ แต่สมัยสาวๆ จนกระทัง่ อายุหกสิบปีกว่าๆ แม่เป็นนักดูหนัง ตะลุงชั้นยอด หนังตะลุงคณะดังๆ ในอดีตแม่บอกว่าเคยได้ดูมาหมดแล้ว เช่น หนังกั้น ทองหล่อ บ้านน�้ำกระจาย จังหวัดสงขลา หนังจูเลี่ยม กิ่งทอง จากจังหวัดชุมพร หนังจู่ลี่ เสียงเสน่ห์ จากจังหวัดตรัง หนังอิ่มเท่ง จากอ�ำเภอ ควนเนี ย ง จั ง หวั ด สงขลา หนั ง ฉิ้ น จากอ� ำ เภอสทิ ง พระ จั ง หวั ด สงขลา หนังจวนแม่นาง จากต�ำบลคูขุด จังหวัดสงขลา หนังประทิ่น หนังประทุม จาก จังหวัดนครศรีธรรมราช หนังกิ้มเนี่ยว เสียงชาย หนังพร้อมน้อย จากอ�ำเภอ บางแก้ว จังหวัดพัทลุง แต่หนังตะลุงที่แม่บอกว่าประทับใจมากที่สุดคือหนังกั้น ทองหล่อ แม่เล่าว่าเคยดูหนังกั้น ทองหล่อ หลายครั้ง ตั้งแต่สมัยที่ไม่มีไฟฟ้า และไม่มเี ครือ่ งขยายเสียง จนครัง้ สุดท้ายประมาณสามสิบกว่าปีมาแล้ว ช่วงนัน้ หนังกั้น ทองหล่อ สูงอายุมากแล้ว


178

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ผมศึกษาประวัตขิ องหนังกัน้ ทองหล่อ จากหนังสือทีต่ วั เองมี พบข้อมูล ว่าหนังกั้น ทองหล่อ เป็นชาวบ้านน�้ ำกระจาย ต� ำบลพะวง อ� ำเภอเมือง จังหวัดสงขลา เกิดเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๓ หากยังมีชีวิตอยู่ มีอายุรวม ๑๐๒ ปี หนังกั้น ทองหล่อได้รับการคัดเลือกเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (หนังตะลุง) ประจ�ำปี พ.ศ. ๒๕๒๙ เป็นศิลปินแห่งชาติสาขานี้คนแรกของ ประเทศไทย หนังกั้น ทองหล่อ เสียชีวิตเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๑ สิริรวมอายุ ๗๔ ปี ชั่วชีวิตที่เป็นนายหนังตะลุง หนังกั้น ทองหล่อ แสดงหนังตะลุงทั่วทุกจังหวัด ภาคใต้รวมทั้งสิ้นไม่ต�่ำกว่า ๕,๕๐๐ ครั้ง และแสดงที่ประเทศมาเลเซียอีก ไม่ตำ�่ กว่า ๖๐ ครัง้ เมือ่ ปี พ.ศ. ๒๕๐๒ แสดงหน้าพระทีน่ งั่ ถวายพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทอดพระเนตร ณ ต�ำหนักเขาน้อย จังหวัดสงขลา เนือ่ งในโอกาสทีเ่ สด็จพระราชด�ำเนินทรงเยีย่ ม พสกนิกรในภาคใต้เป็นครั้งแรก และเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๓ แสดงถวายสมเด็จ พระราชชนนีศรีสงั วาลย์ ทอดพระเนตรบนเรือพระทีน่ งั่ จันทบุรี ขณะทอดสมอ อยู่ ณ บริเวณเกาะหนูเกาะแมว ใกล้ฝั่งแหลมสมิหลา จังหวัดสงขลา หนังกั้น ทองหล่อมีลูกศิษย์เป็นนายหนังตะลุงประมาณ ๑๐๐ คน แม่บอกว่าหนังกั้น ทองหล่อ เป็นหนังที่แสดงดีแบบครบเครื่อง นั่นคือ กลอนดี เรื่องดี ตลกดี เสียงดี เสียงเจ้าเมือง เสียงพระมเหสี เสียงฤาษี เสียง พระ เสียงนาง เสียงยักษ์ ชัดเจนทุกตัว ใช้กลอนสมบุคลิกของตัวละคร ออกรูป เทวดาใช้กลอนกลบทสะบัดสะบิ้ง ออกรูปยักษ์ใช้กลอนค�ำตาย ตัวตลกทุกตัว เสียงแตกต่างกันอย่างชัดเจน การตลกของหนังกั้น ทองหล่อ เป็นการตลก ที่ ไ ม่ ห ยาบโยน มี รู ป แบบการตลกหลายแบบ หากตลกเกี่ ย วกั บ เรื่ อ งเพศ จะไม่พูดตรงๆ ให้รู้สึกน่าเกลียด แต่จะพูดเป็นนัยให้คนดูคิดเอง ตัวตลก ที่มีความโดดเด่นจนเป็นสัญลักษณ์ประจ�ำตัวหนังกั้น ทองหล่อ คือนายสะหม้อ เป็ น ชาวมุ ส ลิ ม มี คู ่ หู เ ป็ น ชาวพุ ท ธ ชื่ อ นายขวั ญ เมื อ ง นายสะหม้ อ และ


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

179

นายขวัญเมือง เป็นตัวตลกคู่หูที่หนังกั้น ทองหล่อ ตั้งใจให้ประชาชนในภาคใต้ เห็นตัวอย่างความเป็นเพื่อนที่ไม่รังเกียจเดียดฉันท์กันระหว่างชาวพุทธและ ชาวมุสลิม นายสะหม้อและนายขวัญเมืองเป็นตัวอย่างของความสมานฉันท์ ระหว่างศาสนิกชนของหนังกั้น ทองหล่อ ที่ส�ำคัญที่สุดที่แม่บอกว่าประทับใจมากคือ นิยายที่หนังกั้น ทองหล่อ น� ำ มาแสดง เป็ น เรื่ อ งที่ ส อนคุ ณ ธรรมจริ ย ธรรมแก่ ค นดู ให้ ข ้ อ คิ ด ในการ ด�ำเนินชีวติ นิยายเรือ่ งทีห่ นังกัน้ น�ำมาแสดงทีแ่ ม่บอกว่าประทับใจมากและจ�ำได้ มากที่ สุ ด เพราะเคยดู ด ้ ว ยตนเองสองครั้ ง และเคยฟั ง จากวิ ท ยุ ห นึ่ ง ครั้ ง นั่นก็คือเรื่อง “คมในฝักรักในฝัน” ความที่ผมอยากรู้มากว่าเรื่องราวนิยายหนังตะลุงชื่อ “คมในฝักรัก ในฝัน” เป็นอย่างไร ผมจึงค้นหาเนือ้ เรือ่ งนิยายหนังตะลุงเรือ่ งนีจ้ ากแหล่งต่างๆ ทั้งหนังสือที่เกี่ยวกับหนังตะลุงและข้อมูลในระบบอินเทอร์เน็ต ก็ไม่พบเจอ ข้อมูลในระบบอินเทอร์เน็ตเครือข่ายกูเกิล และเว็บไซต์ของสถาบันทักษิณคดี ศึกษา มหาวิทยาลัยทักษิณ บอกเพียงสั้นๆ ว่าเป็นชื่อนิยายหนังตะลุงของ คณะหนังกัน้ ทองหล่อ ไม่พบเจอตัวอย่างการแสดงครัง้ ใดๆ หรือนิยายเรือ่ งใดๆ ของหนังกัน้ ทองหล่อ ในอินเทอร์เน็ตเครือข่ายยูทปู ผมจึงตัดสินใจขอให้แม่เล่า จากความทรงจ�ำของแม่เอง น่าประหลาดใจมาก แม่จ�ำนิยายเรื่องนี้ของหนังกั้น ทองหล่อ ไว้ครบ เรื่องได้อย่างไร ทั้งๆ ที่เนื้อเรื่องค่อนข้างยาวและซับซ้อนพอสมควรตามรูปแบบ ของนิ ย ายหนั ง ตะลุ ง ที่ ต ้ อ งด� ำ เนิ น เรื่ อ งสลั บ ฉากไปมาระหว่ า งเมื อ งต่ า งๆ หรือระหว่างตัวละครตัวต่างๆ เพื่อให้เรื่องค่อยๆ เข้ามาต่อกัน และจบเรื่องลง ได้ในที่สุด ช่วงหยุดงานเนื่องจากเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ของผมเป็นช่วงเวลาที่มี คุณค่ามาก นอกจากผมได้ท�ำบุญสงกรานต์ตามประเพณีและได้รดน�้ำขอพรจาก


180

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

แม่แล้ว ผมยังได้ฟังนิยายหนังตะลุงคณะหนังกั้น ทองหล่อ ศิลปินแห่งชาติผู้ที่ ล่วงลับแล้ว แต่ผลงานที่ทรงคุณค่าของท่านยังอยู่ อย่างน้อยที่สุดก็อยู่ในความ ทรงจ�ำของหญิงชราชนบทวัยย่างเข้า ๙๐ ปี ที่ผมได้ฟังและบันทึกไว้ นิยายเรือ่ งคมในฝักรักในฝันตามที่แม่จ�ำได้มีอยู่วา่ มีเมืองอยู่สองเมือง เมืองแรกชื่อเมืองจันทราช พระราชาชื่อพระเจ้ากรุงจันทราช พระราชินีชื่อ พระนางทิพย์จินดา ส่วนอีกเมืองหนึ่งชื่อเมืองแสงทอง พระราชาชื่อพระเจ้า กรุงแสงทอง พระราชินชี อื่ พระนางเกษศิณี พระราชาและพระราชินผี คู้ รองเมือง ทัง้ สองเมืองเป็นเพือ่ นรักใคร่ชอบคอกันมายาวนานกัน และสัญญากันว่าจะหาก มีลูกเพศเดียวกันก็จะให้ลูกเป็นเกลอกัน ถ้าลูกต่างเพศกันก็จะเกี่ยวดองให้ลูก อภิเษกสมรสกัน ต่อมาพระเจ้ากรุงจันทราช และพระนางทิพย์จินดามีพระราช ธิดา ชื่อว่าเจ้าหญิงผกากรอง ส่วนพระเจ้ากรุงแสงทองและพระนางเกษศิณีก็มี พระราชโอรส ชื่อว่าเจ้าชายอโณทัย เมื่ อ เจ้ า ชายอโณทั ย เจริ ญ วั ย เป็ น หนุ ่ ม พระเจ้ า กรุ ง แสงทองและ พระนางเกษศณีก็เดินทางไปสู่ขอเจ้าหญิงผกากรองให้แก่เจ้าชายอโณทัย พระเจ้ากรุงจันทราชและพระนางทิพย์จินดาก็ยกให้ตามที่เคยสัญญากันเอาไว้ ทัง้ สองเมืองจึงนัดหมายกันว่าอีกหนึง่ ปีฝา่ ยเมืองแสงทองจะยกขันหมากและน�ำ ตัวเจ้าชายอโณทัยมาอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงผกากรองที่เมืองจันทราช เรือ่ งสลับมาเล่าถึงฤาษีวตั ทะกะทีเ่ ป็นเจ้าอาวาสของวัดเชตะวันนาราม ฤาษีวัตทะกะเลี้ยงดูลูกศิษย์ผู้หญิงไว้คนหนึ่งชื่อนางงามสวย นางงามสวย เป็นลูกสาวของพราหมณ์สามีภรรยาคูห่ นึง่ ทีพ่ ามาฝากไว้กบั ฤาษีวตั ทะกะตัง้ แต่ ยังเป็นทารกน้อยแบเบาะ ฤาษีเลีย้ งดูโดยการใช้คาถาอาคมเสกให้น�้ำนมไหลออก มาจากนิ้วชี้ของตนเอง เมื่อนางงามสวยโตเป็นสาวอายุได้สิบห้าปี นางงามสวย เป็นเด็กสาวที่มีหน้าตารูปร่างสวยงามมาก ใครพบเจอก็มักชมว่าเป็นเด็กสาว ที่สวยเกินกว่าที่จะหาลูกสาวของบ้านใดต�ำบลใดมาเทียบเทียม ฤาษีวัตทะกะ


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

181

เกรงว่ า หากขื น ปล่ อ ยชี วิ ต ของนางงามสวยให้ เ ป็ น ไปตามความจริ ง เช่ น นี้ ความสวยของนางงามสวยจะเป็นอันตรายต่อนางงามสวยได้ วันหนึ่งขณะที่ นางงามสวยเผลองีบหลับอยู่ข้างๆ ที่นั่งของฤาษีนั้น ฤาษีจึงเสกคราบของยาย แก่หน้าตาผิวหนังเยี่ยวย่นมาครอบตัวนางงามสวยไว้ เมื่อนางงามสวยตื่นขึ้นมา ก็พบว่าตนเองมีร่างกายเป็นยายแก่ จึงแปลกใจตนเอง ฤาษีวัตทะกะจึงเล่า ความจริงให้ฟัง และก�ำชับว่าอย่าได้เปิดเผยความจริงนี้ให้ใครฟัง เมื่อถึงเวลา ที่สมควรแล้วตนจะถอดคราบหญิงชรานี้ออกให้ ฤาษีวตั ทะกะสอนวิชาความรูท้ งั้ คาถาอาคม การสูร้ บ และการเหาะเหิน เดินอากาศ ให้แก่ยายงามสวยจนยายงามสวยมีความรู้เก่งกล้าสามารถเจนจบ จากนัน้ ฤาษีกใ็ ห้ชายอุบาสกชาวบ้านสองคนทีเ่ ข้ามาอาศัยอยูใ่ นวัดคือนายสีแก้ว และนายยอดทองเป็นพี่เลี้ยงคอยดูแลไปไหนมาไหนด้วยกัน นายสีแก้วและ นายยอดทองทราบแต่เพียงว่ายายงามสวยเป็นรูปคราบของยายแก่ที่ครอบร่าง ของหญิงสาวเอาไว้ แต่ไม่ทราบว่านางงามสวยตัวจริงนั้นรูปร่างหน้าตาสวยงาม เพียงใด คืนหนึ่งยายงามสวยฝันว่าในขณะที่ตนเดินทางอยู่ในป่าเพื่อเก็บหา ของป่ามาปรุงอาหารให้ฤาษี ตนได้เจอชายหนุม่ คนหนึง่ เมือ่ ได้ไถ่ถามธุระปะปัง และถิ่นฐานบ้านเกิดกันแล้ว ในใจตนรู้สึกนึกรักชายหนุ่นคนนั้น ยายงามสวย ได้เล่าเรื่องความฝันนี้ให้แก่นายสีแก้ว และนายยอดทองฟัง แต่ไม่กล้าบอกแก่ ฤาษี หลังจากเล่าเรื่องความฝันกันแล้วทั้งสามคนก็ไปพบฤาษีเพื่อจะล�่ำลา เดินทางเข้าป่าไปหาเผือกมัน และผลหมากรากไม้ไว้เป็นอาหารเหมือนทีป่ ฏิบตั ิ อยู่เสมอ คราวนี้ฤาษีทราบในญาณว่านางงามสวยอาจจะได้เจอชายที่เป็น เนื้อคู่กันตามวัยอันสมควรและตามธรรมชาติของมนุษย์ที่ครองเพศฆราวาส นิยายย้อนกลับมาเล่าถึงเจ้าชายอโณทัย เมื่อพระบิดาและพระมารดา นัดหมายการอภิเษกสมรสให้แล้วว่าอีกหนึ่งปีจะยกขันหมากไปอภิเษกสมรส


182

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

พระเจ้ากรุงแสงทองจึงส่งตัวให้ไปเรียนวิชากับทิศาปาโมกข์เพื่อเตรียมตัว สืบทอดราชบัลลังก์หลังจากอภิเษกสมรส เจ้าชายอโณทัยจึงปลอมตัวเป็นหนุม่ ชาวบ้านเดินทางไปหาทิศาปาโมกข์เพือ่ จะเรียนวิชาพร้อมด้วยพีเ่ ลีย้ งสองคนคือ นายเท่งและนายหนูนุ้ย ในขณะเดินทางอยู่กลางป่าเจ้าชายอโณทัยเดินทางมา พบกับนางยักษ์ตนหนึง่ ชือ่ นางยักษ์กาฬคีรี เมือ่ นางยักษ์เห็นรูปโฉมของเจ้าชาย อโณทัยเข้าก็รู้สึกชอบ เธอจึงบอกเจ้าชายอโณทัยว่าอยากได้เจ้าชายอโณทัย มาเป็นสามี และอยากได้ในทันทีตอนนัน้ เลย เจ้าชายอโณทัยปฏิเสธโดยพยายาม ชี้แจงว่า ตนเองเป็นมนุษย์ ส่วนนางกาฬคีรีนั้นเป็นยักษ์ จะรักและอยู่ร่วมกัน ได้อย่างไร และตัวเองก็ไม่ได้รักนางกาฬคีรี นางกาฬคีรีไม่ยอม โดยบอกกับ เจ้าชายว่าถ้าไม่ยอมเป็นสามี นางก็จะฆ่าให้ตาย เจ้าชายอโณทัยบอกว่าอย่างไร เขาก็ยอมเป็นสามีของนางยักษ์ไม่ได้ เจ้าชายอโณทัยพร้อมด้วยนายเท่ง และ นายหนูนุ้ยจึงวิ่งหนีนางยักษ์กาฬคีรี นางยักษ์กาฬคีรีไล่ตามเพื่อจะฆ่าให้ตาย ในขณะที่วิ่งหนีนางยักษ์กาฬคีรีนั้น เจ้าชายอโณทัย นายเท่ง และ นายหนูนุ้ย วิ่งมาเจอกับยายงามสวย นายสีแก้ว และนายยอดทอง เจ้าชาย อโณทัยเล่าให้ยายงามสวยฟังว่าตนก�ำลังวิ่งหนีนางยักษ์มา เนื่องจากนางยักษ์ จะบังคับให้ตนเป็นสามี แต่ตนไม่ยอม นางยักษ์จงึ จะฆ่าตนให้ตาย ยายงามสวย จึงให้ความคุ้มครองแก่เจ้าชายอโณทัย นางยักษ์โกรธเคืองยายงามสวยมาก ทีเ่ ข้ามาขวางหน้าตนเองไว้ นางยักษ์บอกแก่ยายงามสวยว่าให้หลีกไป เป็นหญิง ชาวบ้านแก่ๆ หนังเหี่ยว อย่ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ เดี๋ยวจะโดนตนฆ่าตายเสีย เปล่าๆ แต่ยายงามสวยไม่หลีกโดยให้เหตุผลว่าตนไม่ชอบการรังแกกัน ชายหนุม่ เขาไม่พอใจไยดีที่จะรักใคร่นางยักษ์จึงไม่ควรโกรธเคืองจนถึงขั้นจะเอาชีวิต นางยักษ์กาฬคีรคี วรถอยกลับไป นางยักษ์กาฬคีรไี ด้ฟงั เช่นนัน้ รูส้ กึ โกรธยายงาม สวยมากจึงหมายจะใช้กระบองตียายงามสวยให้ตาย แต่ยายงามสวยต่อสูโ้ ดยใช้


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

183

วิชาความรู้เรื่องการสู้รบที่ร�่ำเรียนมาจากฤาษีวัตทะกะ จนนางยักษ์บาดเจ็บ พ่ายแพ้ และหนีกลับไป เจ้าชายอโณทัยเห็นฝีมือการต่อสู้ของยายงามสวยแล้วตกตะลึงมาก และบอกกับยายงามสวยว่าตนจะให้สิ่งตอบแทนเพื่อแสดงความมีน�้ำใจตอบ ต่อยายงามสวยที่ได้ช่วยเหลือตนให้รอดพ้นจากการฆ่าของนางยักษ์กาฬคีรี ยายงามสวยย้อนถามว่าจะให้อะไรเป็นสิง่ ตอบแทน เจ้าชายอโณทัยตอบว่ายาย งามสวยต้องการอะไรก็ให้บอกมา ตนสามารถหามาให้ยายงามสวยได้ทั้งนั้น แก้วแหวนเงินทอง เพชรนิลจินดา ช้างม้าวัวควาย ยายงามสวยตัง้ ใจจะลองหยัง่ เชิงดูพฤติกรรมของเจ้าชายอโณทัย จึงย้อนถามเจ้าชายต่อว่า สิง่ ทีต่ นจะขอจาก เจ้าชายอโณทัยนัน้ เกรงว่าเจ้าชายจะให้ไม่ได้ เจ้าชายอโณทัยได้ยนิ ดังนัน้ จึงรีบ ตอบยายงามสวยอย่างมั่นใจว่า ตนสามารถให้ได้แน่นอน ไม่มีอะไรที่ตนจะหา มาตอบแทนคนทีช่ ว่ ยเหลือชีวติ ตนไม่ได้ ยกเว้นดาวเดือนบนฟากฟ้า ทีเ่ หลือตน หามาให้ได้ทั้งสิ้น ยายงามสวยจึงบอกกับเจ้าชายอโณทัยไปว่าสิ่งที่ตนต้องการ จากเจ้าชายอโณทัยนั้นคือต้องการได้เจ้าชายอโณทัยมาเป็นสามี โดยที่เป็นสามี เพียงในนามเท่านั้น ไปไหนมาไหนด้วยกัน ถ้าใครถามก็ให้ตอบอย่างเต็มปาก เต็มค�ำว่าตนเป็นภรรยา เจ้าชายอโณทัยตกใจมาก ด้วยคาดไม่ถึงว่ายายงามสวยจะพูดเช่นนั้น เจ้าชายอโณทัย นายเท่งและนายหนูนุ้ยรุมด่ายายงามสวยว่าไม่เจียมตัว ไม่ดู สารรูปตนเอง เป็นยายแก่หนังเหีย่ วย่น จะมาขอให้ชายหนุม่ เป็นสามีได้อย่างไร หน้าไม่อาย ยายงามสวยย้อนกลับเจ้าชายอโณทัยว่าเจ้าชายจะผิดค� ำพูดได้ อย่างไร ในเมื่อบอกตนเองว่าจะให้ได้ทุกอย่าง ยกเว้นดาวกับเดือนบนท้องฟ้า เท่านั้นที่ให้ไม่ได้ ส่วนสิ่งอื่นให้ได้ทั้งนั้น เพิ่งพูดไปหยกๆ เจ้าป่าเจ้าเขาก็เป็น พยานได้ จะมากลับค�ำพูดกันง่ายๆ ได้อย่างไร เสียความเป็นลูกผูช้ าย ใครทราบ ใครรู้ก็ไม่มีใครนับหน้าถือตา เสียเกียรติเสียศักดิ์ศรี


184

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

เจ้าชายอโณทัยถูกยายงามสวยตอบกลับเช่นนั้น เลยจ�ำนนต่อเหตุผล จึงจ�ำใจรับยายงามสวยเป็นภรรยา และทั้งหมดก็เดินทางร่วมกันต่อไป เวลาล่วงเลยไปเกือบสองปี เจ้าชายอโณทัยเรียนวิชาความรูส้ ำ� เร็จก็ไม่ ยอมกลับเมืองของตนตามทีบ่ อกแก่พระบิดาพระมารดาไว้ เนือ่ งจากอายทีต่ นเอง มีภรรยาเป็นยายงามสวย ผู้หญิงแก่รุ่นราวคราวยาย และอายที่จะต้องพายาย งามสวยไปพบพระบิดาพระมารดาของตน แม้ไม่ได้ได้เสียกันเป็นสามีภรรยากัน จริงๆ ก็ตาม ฝ่ายพระเจ้ากรุงจันทราช พระราชาแห่งเมืองจันทราช เมื่อเห็นว่า พระเจ้ากรุงแสงทองผิดสัญญา ไม่น�ำเจ้าชายอโณทัยและขบวนขันหมากมา อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงผกากรอง พระราชธิดาของตนเองจึงขุ่นเคืองมาก จึง ส่งทหารข่าวไปสืบเสาะหาข่าวว่าท�ำไมพระเจ้ากรุงแสงทองไม่ท�ำตามสัญญา เมือ่ ทหารข่าวกลับมารายงานว่า เจ้าชายอโณทัยไม่กลับบ้านกลับเมืองเนือ่ งจาก มีเจตนาหนีการอภิเษกสมรสกับพระธิดาของตน พระเจ้ากรุงจันทราชโกรธมาก กล่าวหาว่าเป็นการไม่ให้เกียรติ ท�ำให้บา้ นเมืองของตนซึง่ เป็นฝ่ายผูห้ ญิงเสียหาย พระธิดาของตนเองต้องตกเป็นหม้ายขันหมาก จึงประกาศการท�ำสงครามกับ เมืองแสงทอง และสั่งการให้ทหารจ�ำนวนสามกองพันยกทัพไปตีท�ำลายเมือง แสงทอง เรือ่ งด�ำเนินต่อมากล่าวถึงยักษ์ตนหนึง่ ชือ่ ว่างามสิน ยักษ์งามสินนีเ้ ป็น ยักษ์ฝ่ายดีถือศีล บ�ำเพ็ญเพียร ประกอบกรรมดี วันหนึ่งในขณะที่ยายงามสวย นายสีแก้ว และนายยอดทอง ปลีกตัวจากเจ้าชายอโณทัยไปเก็บเผือกมันและ ผลไม้อีกป่าหนึ่งใกล้เคียงกัน ยักษ์งามสินก็สบโอกาสแอบเข้าไปแจ้งข่าวแก่เจ้า ชายอโณทัยว่าขณะนี้พระเจ้ากรุงแสงทอง พระนางเกษศณี และชาวเมือง แสงทองก�ำลังเดือนร้อน เนื่องจากทหารเมืองจันทราชส่งข่าวมาบอกว่าจะยก ทัพมาบุกตี เหตุอนั เกิดจากการไม่รกั ษาสัจจะของเจ้าชายอโณทัยทีไ่ ม่ยอมกลับ


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

185

บ้านกลับเมืองและยกขันหมากไปอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงผกากรอง พระธิดา ของพระเจ้ากรุงจันทราช ตามที่เคยสัญญากัน เจ้าชายอโณทัยกล่าวแก่ยกั ษ์งามสินว่า ตนคิดไม่ตก ชีวติ มืดมน จะกลับ ไปก็อายชาวบ้านชาวเมืองทีต่ อ้ งบอกความจริงว่าตนมีภรรยาแล้ว เป็นผูห้ ญิงแก่ รุ่นยายรุ่นย่า นั่นคือยายงามสวย ยิ่งถ้าพระเจ้ากรุงจันทราชทราบความจริง เรื่องนี้ก็จะยิ่งรับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ พระเจ้ากรุงจันทราชต้องรับไม่ได้ที่คู่หมั้นคู่ หมายของพระธิดามีภรรยาแล้ว มิหน�ำซ�้ำมีภรรยาเป็นหญิงแก่หนังเหี่ยวย่น ยากจน และเป็นลูกศิษย์วัด ยักษ์งามสินกล่าวแก่เจ้าชายอโณทัยว่า การศึกสงครามเป็นเรื่องไม่ดี ท�ำให้ชาวบ้านชาวเมืองต้องเดือดร้อน ลูกเด็กเล็กแดงไม่รอู้ โี หน่อเี หน่ตอ้ งพลอย รับกรรมจากภัยสงคราม เจ้าชายอโณทัยจึงต้องกลับบ้านกลับเมืองไปยอมเผชิญ ปัญหาที่เกิดขึ้น ปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ เพียงแต่มนุษย์ต้องใช้คุณธรรมในการ แก้ปัญหา นั่นก็คือ ต้องมีสมาธิ ต้องมีสติ ต้องอาศัยการคิดอย่างใคร่ครวญ และมีความอดทน หากเจ้าชายยังหนีปัญหาอยู่แบบนี้ บ้านเมืองจะลุกเป็นไฟ ประชาชนจะเดือดร้อน เมือ่ แพ้สงครามแล้วอาจจะเกิดภาวะข้าวยากหมากแพง เจ้าชายได้ฟังยักษ์งามสินกล่าวเช่นนั้น ก็คิดได้ว่าตนต้องเดินทางกลับ เมืองแสงทองเพือ่ ไปเผชิญกับปัญหาทีเ่ กิดขึน้ จึงได้ขอบคุณยักษ์งามสินทีเ่ ตือน สติตนเอง คืนนั้นในขณะที่ยายงามสวย นายสีแก้ว และนายยอดทองหลับสนิท เจ้าชายอโณทัย นายเท่ง และนายหนูนุ้ย จึงหนีกลับเมืองแสงทอง โดยแอบหนี ไปสมทบกับยักษ์งามสิน และเดินทางกลับเมืองแสงทอง เจ้าชายอโณทัยเดินทางมาถึงเมืองแสงทอง เล่าเรือ่ งราวทีเ่ กิดขึน้ ทัง้ หมด ให้พระเจ้ากรุงแสงทอง และพระนางเกษศิณีฟัง พระราชาและพระราชินีเข้าใจ ในปัญหาที่เกิดขึ้น จึงให้ทหารข่าวเดินทางไปแจ้งข่าวแก่พระเจ้ากรุงจันทราช


186

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ว่าเจ้าชายเดินทางกลับมาจากร�่ำเรียนแล้ว ไม่ได้หนีไปไหน และตนจะส่งตัว เจ้าชายพร้อมขบวนขันหมากไปอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงผกากรอง เพียงแต่ ขอยืดเวลาออกไปอีกระยะหนึง่ เพือ่ เตรียมการต่างๆ สงครามทีจ่ ะเกิดขึน้ ระหว่าง เมืองทั้งสองนี้จึงยุติ เรื่องด�ำเนินมาเล่าต่อที่ยายงามสวย ยายงามสวยเสียใจมากที่เจ้าชาย อโณทัยหนีไป เข้าใจไปว่าการที่เจ้าชายอโณทัยหนีตนเองไปนั้น เนื่องจากการที่ ตนเองเป็นหญิงชรา ไม่สวย ไม่สาวเหมือนกับหญิงสาวทัว่ ไป เจ้าชายอโณทัยรับ เป็นสามีแค่เพียงหลอกให้ตายใจ เมื่อสบโอกาสจึงหนีไป แต่ด้วยบุญญาที่เป็น บุพเพสันนิวาสกันจึงมีจิตที่จะคิดตามหาเจ้าชายอโณทัย จึงได้สืบเสาะหา จนได้ ท ราบว่ า ชายคนที่ น างตามหาอยู ่ นั้ น เป็ น เจ้ า ชายของเมื อ งแสงทอง เมือ่ ทราบเช่นนัน้ ยายงามสวยจึงลังเลทีจ่ ะเดินทางไปตามหา เนือ่ งจากคนทีน่ าง จะเดินทางไปตามหานั้นเป็นเจ้าชาย มีสกุลรุนชาติ ตนเป็นสาวชาวบ้านจึงไม่ ควรใฝ่สูงที่จะเป็นคู่ครอง นายสีแก้วซึ่งมีบุคลิกเป็นคนฉลาดหลักแหลมได้ให้ ข้อคิดว่าควรจะเดินทางไปพบ แม้วา่ เขาจะเป็นเจ้าชาย เดินทางไปพบด้วยเหตุผล สองประการคือ ประการที่หนึ่งต้องไปทวงสัญญาตามสิทธิที่เจ้าชายอโณทัย สัญญาว่ายอมรับเป็นภรรยาตามที่ยายงามสวยได้ช่วยชีวิตไว้ แม้เขาไม่ยอมรับ ก็ไม่จำ� เป็นต้องไปเสียใจอันใด แต่ต้องไปทวงสัญญา เพื่อให้คนที่เป็นเจ้าชายซึ่ง จะเป็นผูค้ รองบ้านครองเมืองต่อไปในอนาคตได้ตระหนักในความเป็นคนมีสจั จะ ประการที่สองในเมื่อนางงามสวยมีใจรักให้แก่เจ้าชายอโณทัยบุรุษตามที่ตนเอง หลงรั ก ในความฝั น ก็ ต ้ อ งเดิ น ทางไปตามหา ไม่ ค วรตั ด สิ น ใจไปในทาง ที่ขัดต่อความรู้สึกของตนเอง หากเขาไม่ยอมรับและไม่รักจริงก็คิดเสียว่า ชีวติ จริงไม่ตรงกับชีวติ ในความฝัน ก็ไม่เสียหายอันใด เราก็สามารถมีชวี ติ ของเรา ในฐานะคนยากจนต่อไปได้


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

187

เมื่อนายสีแก้วให้เหตุผลเช่นนั้น ท�ำให้ยายงามสวยก็หมดความลังเล ไปได้ ยายงามสวยจึงเดินทางไปเมืองแสงทอง เมื่อไปถึงและได้แสดงตน ต่อพระเจ้ากรุงแสงทอง และพระนางเกษศิณีว่าตนเป็นผู้หญิงที่เจ้าชายอโณทัย สั ญ ญาว่ า จะรั บ เป็ น ภรรยา พระเจ้ า กรุ ง แสงทองไม่ ย อมรั บ ยายงามสวย พร้อมทั้งพยายามร้องขอว่าให้กลับวัดเชตะวันนารามไปเสีย จะเรียกร้องค่า ชดเชยเท่าไหร่ตนก็จะจัดการให้ ไม่ควรมาแสดงตนขอเป็นภรรยาของเจ้าชาย อโณทัย เจ้าชายมีคู่หมั้นคู่หมายแล้ว ส่วนพระนางเกษศิณีนั้น รู้สึกนิยมชมชอบ ในค�ำพูดค�ำจาและความฉลาดหลักแหลมในการแสดงเหตุผลของยายงามสวย มาก รวมทั้งกิริยามารยาทก็ดูมีความเป็นกุลสตรีมาก พระนางจึงเป็นฝ่ายพูดจา สนับสนุนให้พระเจ้ากรุงแสงทองรับยายงามสวยไว้เป็นลูกสะใภ้ เพือ่ ให้เจ้าชาย อโณทัยได้ตัดสินใจอีกครั้ง ทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้เจ้าชายอโณทัยไม่เสียสัจจะ ตามที่พูดไว้เมื่อคราวยายงามสวยช่วยเหลือชีวิต ส่วนเจ้าชายอโณทัยก็ไม่ยอม ออกมาพบหน้ายายงามสวย ให้ทหารออกมาบอกว่าให้ยายงามสวยกลับไปวัด เชตะวันนารามเสีย ต้องการทรัพย์สินเท่าไหร่ก็ให้พระเจ้ากรุงแสงทองจัดให้ ตนเองต้ อ งไปอภิ เ ษกสมรสกั บ เจ้ า หญิ ง ผกากรอง เพื่ อ รั ก ษาสั ญ ญาให้ กั บ พระเจ้ากรุงแสงทอง และเพื่อยุติสงครามที่จะเกิดขึ้น ยายงามสวยได้ยินทหารเอกของเจ้าชายอโณทัยออกมาบอกเช่นนั้นก็ เสียใจมากทีเ่ จ้าชายอโณทัยไม่ออกมาพบหน้า และไม่พดู ไม่กล่าวด้วยตนเอง จึง เดินทางกลับวัดเชตะวันนาราม และเล่าเรือ่ งราวทีเ่ กิดขึน้ กับตนเองให้แก่ฤาษีวตั ทะกะ ฤาษีได้ฟังเรื่องทั้งหมดที่ยายงามสวยเล่า จึงบอกแก่ยายงามสวยว่าตน จะถอดคราบหญิงชราให้แก่ยายงามสวย เพือ่ จะได้พสิ จู น์ให้คนทีร่ งั เกียจรูปร่าง ของนางงามสวยทราบว่าแท้ที่จริงนั้น ยายงามสวยเป็นหญิงสาวที่สวยมาก เมื่อฤาษีวัตทะกะบริกรรมคาถาแล้วก็ถอดคราบหญิงชราให้แก่ยาย งามสวย ยายงามสวยก็กลายเป็นหญิงสาววัยรุ่นที่สวยมาก นายสีแก้วและ นายยอดทองถึงกับตกตะลึงในความสวยของนางงามสวย ฤาษีกส็ อนคาถาสวม


188

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

และถอดคราบหญิงชราให้แก่นางงามสวยด้วย พร้อมทัง้ ก�ำชับว่าให้ใช้ยามจ�ำเป็น เท่านั้น ไม่ใช้ไปในทางที่จะท�ำให้ตนเองและครูบาอาจารย์เสื่อม นางงามสวยเดินทางกลับไปเมืองแสงทองอีกครั้งในรูปแท้ที่เป็นหญิง สาวผู้มีหน้าตารูปร่างสวยงาม เมื่อไปถึงประตูเมืองนางงามสวยแกล้งสนทนา เรื่องผู้หญิงแก่ที่ชื่อยายงามสวยกับนายพูนแก้วซึ่งเป็นนายทหารเฝ้าประตูวัง ปรากฏว่านายพูนแก้วนินทาว่าร้ายยายงามสวยสารพัด เช่น ไม่เจียมตัว ไม่เจียม สังขาร อ้อล้อ ท�ำตัวเป็นเด็กสาววัยรุ่น เป็นต้น โดยที่นายพูนแก้วไม่ทราบว่า ก�ำลังสนทนาอยู่กับนางงามสวยที่ถอดคราบหญิงแก่แล้ว นางงามสวยเข้ามาในวัง และได้พบกับพระเจ้ากรุงแสงทอง พระนาง เกษศิณีอีกครั้ง ในครั้งนี้เจ้าชายอโณทัยอยู่ด้วย เจ้าชายอโณทัยเมื่อเห็นหน้า นางงามสวยก็นึกรักในทันที รวมทั้งพระเจ้ากรุงแสงทองก็รู้สึกรักใคร่ชื่นชมว่า หญิงสาวคนนีม้ รี ปู ร่างหน้าตาและกิรยิ ามารยาทเป็นเบญจกัลยาณี การพูดการ จาก็หลักแหลมมีสมั มาคารวะ ส่วนพระนางเกษศิณนี นั้ ยิง่ รูส้ กึ ดีตอ่ นางงามสวย และปรารภออกมาว่าหญิงสาวคนนี้มีกิริยามารยาทเหมือนกับยายงามสวย ยายชราที่เพิ่งเจอกันเมื่อไม่กี่วันที่แล้ว นางงามสวยเปิดเผยตนเองให้ทุกคนทราบว่านางเป็นตัวจริงของยาย งามสวย ยายงามสวยที่เป็นหญิงชราหน้าเหี่ยวย่นนั้นเป็นคราบที่ฤาษีวัตทะกะ เสกขึ้นมาแล้วครอบตนเอาไว้ นางงามสวยได้พิสูจน์ความจริงโดยการสลับการ เปลี่ ย นร่ า งให้ เ ห็ น ทุ ก คนได้ เ ห็ น กั บ ตาจึ ง เข้ า ใจความจริ ง เกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง ยายงามสวยทั้งหมด เมื่อเปิดเผยความจริงให้ทุกคนทราบแล้ว นางงามสวย รีบสวมร่างหญิงชราแล้วรีบเหาะกลับวัดเชตะวันนารามทันที เพื่อให้เจ้าชาย อโณทัยรู้สึกได้ว่า นางเองก็รู้สึกว่าตนเองไม่เหมาะสมกับเจ้าชายอโณทัย เนือ่ งจากนางเป็นสาวชาวบ้าน และเป็นเพียงลูกศิษย์วดั แต่ทมี่ าคราวนีม้ าเตือน เรื่องสัจจะต่อเจ้าชายเป็นประเด็นหลัก


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

189

เรือ่ งทีแ่ ม่เล่ามีเพียงแค่นี้ แม่บอกว่าเวลารุง่ แจ้งเสียก่อนก่อนทีน่ ายหนัง ตะลุงจะแสดงจนจบเรือ่ ง การแสดงหนังตะลุงคณะใดๆ เพียงคืนเดียวไม่สามารถ แสดงได้จบเรื่อง เนื่องจากเวลาไม่พอ ถึงเวลารุ่งเช้าของวันใหม่เสียก่อน หากแสดงติดต่อกันสองคืนจะจบเรื่องพอดี แม่บอกว่าในชีวิตของแม่แม่เคยดู หนังฉิน้ จากอ�ำเภอสทิงพระ และหนังอิม่ เท่ง จากอ�ำเภอควนเนียง จังหวัดสงขลา แสดงติดต่อกันสองคืนจนจบเรื่อง เรื่องคมในฝักรักในฝันนี้ผมทราบว่านายหนังตะลุงรุ่นลูกศิษย์ของ หนังกัน้ ทองหล่อ น�ำมาแสดงด้วยเกือบทุกคณะ ผมเลยตัดสินใจเดินทางไปบ้าน นายหนังตะลุงคนหนึง่ ทีม่ ชี อื่ เสียงและได้รบั การยกย่องถึงขัน้ ศิลปินแห่งชาตินนั่ คือ นายหนังนครินทร์ ชาทอง ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (หนังตะลุง) ประจ�ำปี ๒๕๕๐ ซึ่งขณะนี้ท่านมีอายุหกสิบปีกว่าๆ พ�ำนักอยู่ที่บ้านโป๊ะหมอ เขตเทศบาลเมืองบ้านพรุ อ�ำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เพือ่ สัมภาษณ์เนือ้ เรือ่ ง คมในฝักรักในฝัน นายหนังนครินทร์ ชาทอง เล่าเรือ่ งคมในฝักรักในฝันย้อนต้นให้ผมฟัง อีกครั้งหนึ่ง เนื้อเรื่องโดยส่วนใหญ่ตรงกับที่แม่เล่า นายหนังนครินทร์ ชาทอง เล่าต่อว่า เมื่อยายงามสวยรีบเหาะกลับวัดเชตะวันนารามไปแล้ว พระเจ้ากรุง แสงทอง พระนางเกษศิณี และเจ้าชายอโณทัยแปลกใจในความสามารถของ นางงามสวยมาก จากนั้ น ต่ อ มาเจ้ า ชายอโณทั ย รู ้ สึ ก รั ก และคิ ด ถึ ง แต่ น างงามสวย จนไม่ เ ป็ น อั น กิ น ไม่ เ ป็ น อั น นอนทุ ก วั น หั ก ห้ า มใจเท่ า ไหร่ ก็ หั ก ห้ า มไม่ ไ ด้ มีความประสงค์จะได้นางงามสวยมาเป็นพระชายา และจัดพิธีอภิเษกสมรส เมื่อเป็นเช่นนั้นพระเจ้ากรุงแสงทอง เห็นใจและเข้าใจในความรักของพระโอรส จึงปรึกษากับยักษ์งามสิน ยักษ์งามสินออกอุบายว่า ให้นายเท่ง และนายหนูนุ้ย เดินทางไปวัดเชตะวันนาราม ไปแสร้งบอกแก่นางงามสวยว่าเจ้าชายอโณทัย


190

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

สิ้นพระชนม์ด้วยโรคภัย ได้สั่งเสียให้นางงามสวยมาร่วมพิธีศพ เพื่อจะได้เป็น การอโหสิกรรมต่อกัน ดวงวิญญาณของเจ้าชายอโณทัยจะได้ไปสู่สุคติ เมื่อนายเท่ง และนายหนูนุ้ยไปถึงวัดเชตะวันนารามและบอกกล่าวแก่ นางงามสวยเช่นนั้น นางงามสวยเข้าไปล�่ำลาฤาษีวัตทะกะ ฤาษีวัตทะกะทราบ ด้วยญาณว่านี่เป็นเพียงอุบายของฝ่ายเมืองแสงทองที่ต้องการให้นางงามสวย กลับไปเห็นใจและตกลงปลงใจรักเจ้าชายอโณทัย ฤาษีวัตทะกะจึงเห็นด้วย เนื่องจากรู้ด้วยญาณว่าทั้งสองเป็นบุพเพสันนิวาสกันมาแก่ชาติปางก่อน จึงไม่ หักห้ามนางงามสวยที่จะเดินทางไปเมืองแสงทอง และไม่กล่าวโทษฝ่ายเมือง แสงทองทีอ่ อกอุบายเช่นนี้ ทุกอย่างเป็นไปตามกรรมของมนุษย์ทไี่ ด้ประกอบไว้ แต่ชาติปางก่อนทั้งสิ้น เมือ่ นางงามสวยเดินทางมาถึงเมืองแสงทอง และได้เข้าพบพระเจ้ากรุง แสงทอง และพระนางเกษศิณี พระเจ้ากรุงแสงทอง และพระนางเกษศิณีกล่าว ขอบคุณนางงามสวยทีเ่ ดินทางกลับมา นางงามสวยแปลกใจทีบ่ า้ นเมืองรูส้ กึ เงียบ เหมือนไม่ใช่อยู่ในระหว่างงานบ�ำเพ็ญพระกุศลศพของรัชทายาท ประชาชน ก็ ไ ม่ เ ห็ น ว่ า ไว้ ทุ ก ข์ การแสดงมหรสพถวายพระเกี ย รติ แ ก่ พ ระศพต่ า งๆ ก็ไม่เห็นมี นายเท่ง และนายหนูนยุ้ แสร้งตอบว่าเป็นรับสัง่ ของเจ้าชายอโณทัย ที่รับสั่งเอาไว้ก่อนสิ้นพระชนม์ว่าไม่ประสงค์จะให้มีสิ่งนี้ ประสงค์แต่เพียงให้ นางงามสวยมาไหว้พระศพเพื่อแสดงถึงการอโหสิให้แก่พระองค์ที่ได้ประพฤติ สิ่งไม่ดีคือการเสียสัจจะต่อนางงามสวยไว้ นายเท่ง และนายหนูนุ้ย น�ำนางงามสวยเข้าไปในปราสาทส่วนตัวของ เจ้าชายอโณทัย เพือ่ ท�ำทีวา่ เข้าไปไหว้พระศพ เมือ่ เข้าไปถึงเจ้าชายอโณทัยออก มาจากห้องบรรทม แล้วสวมสอดกอดนางงามสวยไว้ นางงามสวยรู้สึกโกรธ เจ้าชายอโณทัยมากที่ออกอุบายหลอกนาง แต่เจ้าชายอโณทัยอธิบายและ เกี้ยวพาราสีนางงามสวยต่างๆ นานา จนนางงามสวยหายโกรธและใจอ่อน ยอมรับรักเจ้าชายอโณทัย


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

191

นายหนังนครินทร์ ชาทอง เล่าว่าก่อนจบเรือ่ งคมในฝักรักในฝัน พระเจ้า กรุงแสงทอง และพระนางเกษศิณีเดินทางไปยังเมืองจันทราช เพื่อขอโทษ พระเจ้ากรุงจันทราช และพระนางทิพย์จนิ ดาด้วยพระองค์เองว่า เจ้าชายอโณทัย พบรักกับนางงามสวยและตกลงปลงใจรักกันตามที่บุพเพสันนิวาสก�ำหนดไว้ ตนเองไม่สามารถห้ามและขัดขืนได้ พระเจ้ากรุงจันทราชและพระนางทิพย์จนิ ดา เข้าใจและรูส้ กึ ผิดทีเ่ คยถือโทษและเคยมีบญ ั ชาให้ทหารเตรียมก�ำลังยกทัพไปท�ำ สงคราม และทั้งพระเจ้ากรุงจันทราชและพระเจ้ากรุงแสงทองก็รู้สึกผิด ที่สัญญาว่าหากลูกต่างเพศกันก็จะเกี่ยวดองให้ลูกอภิเษกสมรสกัน เนื่องจาก ความรักและการตกลงปลงใจจะใช้ชีวิตร่วมกันเป็นเรื่องของความเต็มใจของคู่ สมรสตามที่บุพเพสันนิวาสก�ำหนด ไม่ควรมีการบงการบังคับด้วยพ่อแม่หรือ ผู้หลักผู้ใหญ่ จากนัน้ พระเจ้ากรุงแสงทองจึงจัดพิธอี ภิเษกสมรสให้แก่เจ้าชายอโณทัย และนางงามสวย เรื่องจึงจบบริบูรณ์ นายหนังนครินทร์ ชาทอง เล่าว่า นิยายหนังตะลุงเรื่องคมในฝักรัก ในฝันของหนังกัน้ ทองหล่อนี้ นายหนังตะลุงรุน่ หลังๆ น�ำไปแสดงกันหลายคณะ ทั้งนายหนังลูกศิษย์หนังกั้น และไม่ใช่ลูกศิษย์โดยตรงของหนังกั้น เนื่องจาก เป็นเรื่องที่สนุก และดีเด่นในการสอนคุณธรรมจริยธรรมแก่ผู้ชม ผมฟังนิยายหนังตะลุงเรือ่ งนีจ้ ากการเล่าของแม่และนายหนังนครินทร์ ชาทอง แล้วรู้สึกว่านิยายเรื่องนี้ดีเด่นทางด้านการสอนคุณธรรมจริยธรรม แก่ผู้ชม โดยเฉพาะที่ชัดเจนและทันสมัยตลอดกาลคือคุณธรรมที่สอนใจให้ผู้ชม เห็นคุณธรรมของความสวยความงามที่แท้จริง ว่าเป็นความงามที่จิตใจ ที่สติ ปัญญา และที่กิริยามารยาท ไม่ใช่ความงามที่เกิดจากรูป การที่ฤาษีวัตทะกะ ครอบรูปยายแก่ หนังเหี่ยวย่นปกคลุมรูปที่สาวและสวยของนางงามสวยเอาไว้ และตั้ งชื่อเรื่องนิยายโดยมีค� ำว่า “คมในฝัก” ซึ่งเป็นส� ำนวนที่มีที่มาจาก วัฒนธรรมของใช้ศาสตราวุธต่างๆ เช่น มีด ดาบ เป็นต้น ว่าคุณค่าทีแ่ ท้จริงของ


192

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ศาสตราวุธคือคม ไม่ใช่ฝัก ฝักเป็นเพียงรูปกายภายนอก มีนัยในการบอกแก่ ผูช้ มว่า “คม” หรือสิง่ ทีม่ คี ณ ุ ค่าทีแ่ ท้จริงของมนุษย์คอื สิง่ ทีอ่ ยูภ่ ายในคือ “จิตใจ” ไม่ใช่ “รูปร่างหน้าตา” หนังกั้น ทองหล่อให้ยายงามสวยเป็นตัวละครที่สะท้อน ถึงความดีงามที่แท้จริงของมนุษย์คือ งามที่จิตใจ ที่สติปัญญา ความกตัญญูต่อ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ และกิริยามารยาท หาใช่เปลือกนอกที่สัมผัสเห็นได้ง่ายๆ ด้วยตาไม่ ตัวละครทีน่ า่ สนใจมากอีกตัวหนึง่ ในเรือ่ งนีค้ อื ยักษ์งามสิน ซึง่ เป็นยักษ์ ฝ่ายดี ถือศีล บ�ำเพ็ญเพียร ประกอบกรรมดี ดูเหมือนว่าเป็นตัวละครที่หนังกั้น ทองหล่ อ น�ำเข้ามาเพื่อชี้ผิดชี้ถูกให้แก่มนุษย์ในยามที่เกิดภาวะวิกฤติขึ้น ดังกรณีทยี่ กั ษ์งามสินเตือนสติเจ้าชายอโณทัยว่า ควรทีจ่ ะเดินทางกลับบ้านกลับ เมืองไปเผชิญกับปัญหาทีเ่ กิดขึน้ ด้วยเหตุผลและความจริง ปัญหาทุกอย่างมีทาง แก้ เพียงแต่มนุษย์ตอ้ งใช้คณ ุ ธรรมในการแก้ปญ ั หา นัน่ ก็คอื ต้องมีสมาธิ ต้อง มีสติ ต้องอาศัยการคิดอย่างใคร่ครวญ และมีความอดทน พร้อมทั้งให้ภาพ ความโหดร้ายของสงครามว่า สงครามท�ำให้ชาวบ้านชาวเมืองต้องเดือดร้อน ลูกเด็กเล็กแดงไม่รู้อีโหน่อีเหน่ต้องพลอยรับกรรมจากภัยสงคราม บ้านเมือง จะลุกเป็นไฟ เมื่อแพ้สงครามแล้วอาจจะเกิดภาวะข้าวยากหมากแพง เนื้อเรื่องก่อนจบที่พระเจ้ากรุงแสงทองและพระนางเกษศิณีเดินทาง ไปขอโทษบอกความจริ ง เรื่ อ งเจ้ า ชายอโณทั ย ต่ อ พระเจ้ า กรุ ง จั น ทราช และพระนางทิพย์จินดา ก็เป็นอีกตอนหนึ่งของนิยาย “คมในฝักรักในฝัน” ที่น่าสนใจมาก เหมือนหนังกั้น ทองหล่อ เจตนาจะบอกว่า การขอโทษและการ ให้อภัยกันเป็นคุณธรรมขั้นสูงที่มนุษย์ควรปฏิบัติต่อกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคน ที่เป็นผู้น�ำ เนื่องจากการถือโทษและการถือมิจจาทิฐิของผู้น�ำ ย่อมน�ำมาถึง ความความเดือดร้อนและความไม่สงบสุขของสังคม รวมทัง้ การทีก่ ษัตริยผ์ คู้ รอง เมืองทัง้ สองรูส้ กึ ผิดทีส่ ญ ั ญากันว่าจะให้ลกู ทัง้ สองอภิเษกสมรสกัน ควรจะปล่อย


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

193

ให้เป็นเรื่องของความรักและบุพเพสันนิวาส การที่หนังกั้น ทองหล่อจบนิยาย เรื่องคมในฝักรักในฝันเช่นนี้ เป็นการชี้แนะให้ข้อคิดในการด�าเนินชีวิตแก่ผู้ชม หนังตะลุง การที่มนุษย์คิดได้ว่าตนเองผิด เป็นการคิดที่ใช้สติและสมาธิในการ ไตร่ตรอง เป็นคุณธรรมและข้อคิดที่ใช้ยุติปัญหาต่างๆ ในสังคมมนุษย์ได้ ผมไม่เคยดูหนังกัน้ ทองหล่อ แสดงหนังตะลุงเลย เนือ่ งจากผมเติบโต ในยุคสมัยที่หนังกั้น ทองหล่อ ชราภาพและล่วงลับแล้ว แต่ความทรงจ�าที่เป็น เลิศของแม่และความอนุเคราะห์เมตตาของหนังนครินทร์ ชาทอง ซึง่ ก็ชราภาพ และสังขารไม่เอื้ออ�านวยให้แสดงหนังตะลุงแล้ว เนื่องจากโรคภัยรุมเร้า เป็นสิ่ง ที่ผมขอบูชาไว้ตลอดชีวิต เป็นความทรงจ�าและเป็นความอนุเคราะห์ที่มีคุณค่า ยิง่ ทีท่ า� ให้ผมได้ซาบซึง้ กับนิยายหนังตะลุงของหนังกัน้ ทองหล่อ เป็นบุญของคน ไทยโดยแท้ที่ได้เกิดบนแผ่นประเทศนี้ แผ่นดินที่ศิลปะรุ่งเรือง โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งหนังตะลุง ซึ่งเป็นศิลปะที่เล่าเรื่องด้วยการใช้เงา ศิลปะสกุลการใช้เงาเป็น ศิลปะที่แสดงถึงความรุ่งเรืองของชนชาตินั้นๆ หนังตะลุงจึงเป็นศิลปะชั้นยอด ของโลกที่คนไทยรังสรรค์ไว้กับแผ่นดิน เรื่องราวของหนังกั้น ทองหล่อ และนิยายเรื่อง “คมในฝักรักในฝัน” เป็นเรื่องดีๆ ที่บ้านเราเรื่องหนึ่ง ที่เราน่าจะได้หวงแหน ภาคภูมิใจและซึมซับ สารัตถะร่วมกัน ผมดีใจที่ได้เล่าเรื่องนี้ต่อจากบรรพชนของเรา



เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

195

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา นางสาวณัชชา แจวิจารณ์

ฉันเกิดและเติบโตมาจากครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวหนึ่งในจังหวัด นราธิวาส เนื่องจากพ่อแม่ของฉันเสียชีวิตตั้งแต่ฉันยังเด็ก ย่าจึงต้องรับหน้าที่ เป็นทัง้ พ่อและแม่ของฉันในเวลาเดียวกัน อายุของย่าทีผ่ า่ นเรือ่ งราวต่างๆ มากว่า ๕ ทศวรรษ จึงมีเรื่องเล่ามากมาย เล่าให้ฉันฟังอยู่เสมอ ย่าจึงเปรียบเสมือน สารานุกรมประจ�ำตัวของฉัน ฉันจึงสามารถเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับบ้านเกิด ของฉันได้ทุกที่ทุกเวลา ตอนเด็กๆ ฉันมักจะต้องติดตามย่าไปไหนมาไหนอยูเ่ สมอ จึงเห็นความ สัมพันธ์ของคนในหมู่บ้านของเราอยู่เสมอ ครอบครัวของเรานับถือศาสนาพุทธ ฉันจึงพูดและฟังภาษามลายูท้องถิ่นของเราไม่ได้เลย เวลาไปไหนกับย่าและพบ กับเพื่อนๆ ย่าก็จะพูดภาษามลายู ซึ่งเป็นส�ำเนียงแปลกๆ ไม่เหมือนที่เพื่อนของ ย่าพูด ก็คงเหมือนกันที่เราพยายามพูดภาษาอังกฤษนั่นแหละ ถึงค�ำพูดหรือ ประโยคถูกต้องแต่สำ� เนียงของเราก็ไม่เหมือนเขาอยูด่ ี ย่ามีเพือ่ นเป็นทัง้ ไทยพุทธ และมุสลิม เมื่อหลายปีก่อนเวลาจะไปไหนมาไหนชาวบ้านจะใช้วิธีการเดิน เมื่อเจอกันก็จะทักทายกันและพูดคุยกันนานๆ แรกๆ ฉันกลัวเพื่อนของย่ามาก เพราะไม่รวู้ า่ เขาพูดอะไร บางครัง้ ก็หนั มามองฉันด้วย แต่พอแยกจากกันย่าก็จะ แปลให้ฉันฟัง ค�ำพูดส่วนใหญ่ก็จะเป็นการถามสารทุกข์สุกดิบกันเท่านั้น เมื่อผ่านไปนานๆ ฉันฟังภาษามลายูเข้าใจมากขึ้น ท�ำให้ความกลัวที่มีใน


196

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ตอนแรกหมดไป เมื่อไปไหนกับย่าแล้วเจอเพื่อนของย่า ย่าก็คุยกับเพื่อน ส่วน ฉันก็จะไปเล่นกับเด็กๆ ในวัยเดียวกัน ถึงจะพูดกันคนละภาษาก็เล่นด้วยกันได้ เวลาย่าน�ำของไปขายที่หมู่บ้าน ย่าก็จะเอาของไปฝากเพื่อนของย่าด้วย ย่าให้ ฉันเรียกเพื่อนของท่านว่า “เมาะ” ฉันถามท่านว่า ท�ำไมย่ามีแต่เพื่อนชื่อเมาะ ทั้งนั้นเลย ย่าบอกว่า เมาะ แปลว่าย่าหรือยาย จึงให้ฉันเรียกเพื่อนของท่านว่า เมาะ ย่าเกิดในครอบครัวเกษตรกร ครอบครัวใหญ่ครอบครัวหนึง่ ทวดฝึกให้ ลูกๆ ทุกคนเป็นคนขยัน ย่าเล่าว่า ย่าเกิดหลังการเปลีย่ นแปลงการปกครองเพียง ๘๕ วัน ในตอนนั้นการใช้ชีวิตของคนทั่วไปล�ำบากมากการคมนาคมก็ล�ำบาก อาหารการกินก็ล�ำบาก แต่ครอบครัวของย่าถือได้ว่าเป็นครอบครัวที่มั่งคั่งที่สุด ในหมูบ่ า้ น ไม่ใช่เพราะมีเงินมาก แต่เป็นเพราะมีอาหารการกินดีตลอดทัง้ ปี ต่าง จากบ้านอื่นๆ ที่ต้นฤดูเก็บเกี่ยวมีข้าวกิน แต่พอกลางปีเป็นต้นไปต้องหาเผือก หามันมากินแทนข้าวเพราะไม่มขี า้ วสาร และไม่มเี งินซือ้ ข้าวสารด้วย ฉันเคยถาม ย่าว่า แล้วท�ำไมเขาไม่ปลูกข้าวมากๆ เหมือนทวด ย่าบอกว่า เขาคงขี้เกียจ นี่คงเป็นค�ำตอบที่ดีที่สุดในขณะนั้นที่ย่าจะหามาตอบให้ฉันได้ ย่ า เป็นคนขยันท� ำงานเพราะได้รับการฝึกจากทวดมาตั้งแต่เด็กๆ ทวดบอกว่าถ้าเราปลูกข้าวปลูกมันเยอะๆ จะได้ไม่ต้องซื้อข้าวสารกินเหมือน บ้านอื่นๆ เมื่อว่างจากการท�ำนาท�ำไร่แล้ว ก็จะสานกระสอบกระจูดเอาไว้ขาย เพื่อน�ำเงินไปซื้อปลามาตากแห้ง ซื้อเกลือซื้อน�้ำตาลมาไว้กิน เมื่ออาหาร การกินดี เพื่อนบ้านก็จะแวะเวียนมาที่บ้านของทวดเสมอ ตอนเด็กๆ ฉันชอบนอนหนุนแขนย่าแล้วให้ย่าเล่านิทานให้ฉันฟัง จนกว่าฉันจะหลับ นิทานปรัมปรา ต�ำนานทีย่ า่ เคยได้ฟงั ตอนเด็กๆ หรือเรือ่ งราว ตอนย่าเด็กๆ ของย่าเองถูกน�ำมาถ่ายทอดให้ฉันฟังอีกครั้ง บางครั้งก็ร้องเพลง กล่อมเด็กให้ฉันฟัง น่าเสียดายที่ฉันไม่ใช่นักจ�ำที่ดีนัก นิทานหรือเรื่องเล่าต่างๆ


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

197

ที่ผ่านหูฉันไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในความทรงจ� ำของฉันทั้งหมด อาจเป็นเพราะ ตอนนั้นฉันยังเด็กมากหรืออาจเป็นเพราะเหตุการณ์ใหม่ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ได้เข้ามาแทนที่ความทรงจ�ำในอดีตจนแทบจะไม่เหลืออยู่เลย ในวันนี้ฉันมีเวลาว่างมากพอที่จะนั่งเปิดสารานุกรมประจ�ำตัวของฉัน ไม่ใช่ว่าไม่มีอะไรจะท�ำ แต่เป็นเพราะสถานการณ์บังคับให้ฉันต้องว่างมากกว่า แต่แทนที่สารานุกรมเล่มนี้จะบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฉันฟังเหมือนเช่นเคย ฉันกลับต้องมาเปิดความทรงจ�ำของฉันออกมาอีกครั้งด้วยตัวของฉันเอง ฉันจ�ำได้ว่าตอนเด็กๆ ฉันชอบตามย่าไปท�ำนาและปลูกผักที่ไร่ ไร่ของ ย่าไม่ใหญ่นกั แต่ยา่ ปลูกพืชหลายชนิดหมุนเวียนกันไปบางครัง้ ก็ปลูกมันเทศบ้าง แตงกวาบ้าง ถั่วบ้างตามฤดูกาล เมื่อได้ผลผลิตมาก็จะไป เดินขายตามหมู่บ้าน ย่าจะไม่ใช้ยาฆ่าแมลงที่ขายตามร้าน แต่จะใช้สมุนไพรมาท�ำเอง ที่ดินของย่า เมื่อเข้าหน้าฝนจะมีพื้นที่บางส่วนที่น�้ำท่วมถึงเมื่อฤดูกาลท�ำนาย่าก็จะใช้ที่ดิน ส่วนนั้นเพาะกล้าส�ำหรับปลูกข้าว ที่จังหวัดนราธิวาสนิยมปลูกข้าวแบบนาปี ปลูกตามธรรมชาติ ถ้าฝนมาเร็วก็ปลูกข้าวเร็ว ถ้าฝนมาช้าก็จะปลูกช้าออกไป ฉันเคยถามย่าว่า ท�ำไมทุกบ้านถึงต้องปลูกข้าว บางคนเป็นข้าราชการก็ปลูกข้าว ย่ า บอกว่าต้นตระกูลของเราเป็นชาวนามีวิถีชีวิตที่ผูกพันกับข้าวมาตั้งแต่ สมัยปู่ย่าตายาย ก็เลยท�ำต่อมาเรื่อยๆ ชาวบ้านทุกคนให้ความเคารพและ บูชาข้าวมาก เราถือว่าข้าวเกิดมาจากพระแม่โพสพซึ่งเป็นนางฟ้าอยู่บนสวรรค์ แต่นางได้เสียสละเนื้อของตนให้เป็นข้าวให้ชาวโลกกิน นางเสด็จลงมาหาฤาษี ตาไฟ โดยเก็บดอกไม้สวรรค์มาด้วย ฤาษีตนนี้ปกติจะนั่งหลับตาตลอดเวลา จะลืมตาเวลาที่ดอกไม้ในป่าหิมพานต์บานเพียงครั้งเดียวโดยออกจากฌานด้วย ถ้าไม่ได้ออกจากฌานแล้วลืมตาไฟก็จะลุกไหม้ เมื่อพระแม่โพสพเข้าไปหา ฤาษีนั้น กลิ่นดอกไม้ก็ไปเข้าจมูกฤาษี ฤาษีแปลกใจและสงสัยว่ากลิ่นอะไร ช่างหอมจริงๆ จึงลืมตาขึน้ มาดูโดยทีไ่ ม่ได้ออกจากฌาน ไฟจึงไหม้พระแม่โพสพ


198

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

จนเป็นเถ้า ฤาษีเห็นดังนั้นจึงชุบขึ้นมา พระแม่โพสพได้บอกวัตถุประสงค์ ของตน แล้วกลายรูปเป็นเมล็ดข้าว พระฤาษีจงึ ใช้ไม้เท้าตีลงบนข้าวและอธิษฐาน ข้าวแตกกระจายเป็นแมลงเม่าบินลงมาตกทั่วภาคพื้นดิน มนุษย์จึงเก็บพืชพันธ์ุ ไปปลูกกินด้วยความส�ำนึกในความเมตตากรุณาของนางจึงท�ำให้ชาวนาทุกคน บูชาข้าวในนา ดูแลรักษาเป็นอย่างดีตั้งแต่เริ่มปลูกจนถึงการเก็บเกี่ยว ที่นาของย่าบางแปลงก็อยู่ในหมู่บ้านของชาวมุสลิม ชาวมุสลิมบางคน ก็ต้องมาท�ำนาในหมู่บ้านของไทยพุทธ ต่างก็ให้การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เมื่อย่างเข้าสู่ฤดูฝน ชาวนาจะน�ำเมล็ดข้าวมาหว่านในแปลงเพาะกล้า เมื่อต้น กล้างอกงามและแข็งแรงพอ ทุกคนจะช่วยกันถอนกล้า ส่วนใหญ่จะใช้วิธีการ ลงแขก คือ การช่วยกันถอน โดยการรวมกลุ่มกันแล้วช่วยกันถอนกล้าของ แต่ละคนจนครบทุกคน ฉันชอบเวลานี้ที่สุด เพราะนอกจากจะได้เจอเพื่อนๆ ทีต่ ามผูใ้ หญ่มาลงแขกถอนกล้าแล้ว กลิน่ ไอดินทีถ่ กู น�ำ้ ท่วมใหม่ๆ ช่างหอมจริงๆ เด็กๆ จะลงไปนอนเล่นโคลนหรือเที่ยวจับลูกกบลูกปลาที่มากับหน้าฝนตาม คันนาก็ไม่มีผู้ใหญ่ห้าม แต่จะไปยุ่งกับต้นกล้าไม่ได้เลยทีเดียว เพราะถ้าถอน ไม่เป็นต้นกล้าก็จะช�้ำหรือไม่ต้นกล้าก็ขาดไปเลย การปลูกข้าวในสมัยนั้นถือว่าสะดวกสบายมากเลยทีเดียว เพราะใน หมู่บ้านมีรถไถใช้แล้ว ย่าเล่าว่า สมัยที่ยังไม่มีรถไถชาวนาจะต้องใช้จอบขุดดิน เพื่อให้ดินร่วนจึงจะสามารถด�ำนาได้ ถ้าขุดดินร่วนไม่พอ ก็จะปักข้าวยากต้อง กดจนบางครั้ง นิ้วแตก เล็บฉีกไปเลย การด�ำนานั้นชาวบ้านจะน�ำข้าวไปปักใน แปลงนา บางทีเ่ รียกลุม่ บางทีเ่ รียกกระบิง้ ฉันเคยสงสัยว่า กระบิง้ กับลุม่ ต่างกัน ตรงไหน แต่เมื่อสังเกตดีๆ กระบิ้งนั้นจะเป็นแปลงนาเล็กๆ มีคันนาล้อมรอบ น�้ำไม่สูงมาก ส่วนลุ่มที่เป็นนาที่กว้างๆ น�้ำลึก และดินอ่อนมาก หลังจากทุกครัวเรือนในหมูบ่ า้ นด�ำนาเสร็จหมดแล้ว ต่างพากันนัดแนะ ก�ำหนดวันและสถานที่ประกอบพิธีกรรมสวดนาเพื่อขอให้ข้าวกล้าและน�้ ำ


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

199

ในนาอุดมสมบูรณ์ดี พิธสี วดนาไม่มกี �ำหนดวันทีแ่ น่นอน ชาวบ้านจะหาวันทีเ่ ป็น ฤกษ์ดี ก่อนวันท�ำพิธี ชาวบ้านจะท�ำต้มห่อใบกะพ้อ เพื่อไปถวายพระและสวด นา วันประกอบพิธี ชาวบ้านจะมารวมตัวกันทีศ่ าลาพักร้อนกลางนาหรือปลายนา และนิมนต์พระสงฆ์มา ชาวบ้านจะน�ำต้มและอาหารคาวหวานที่เตรียมไว้มาใน งานเพือ่ ถวายพระเวลาเช้าและเพล ก่อนเวลาพระสงฆ์ฉนั เพล เตรียมหม้อน�ำ้ มนต์ ใบหมาก ใบเฉียงพร้าหรือใบเงินใบทอง ไว้สำ� หรับใช้พรมน�้ำมนต์ใส่ไว้ในหม้อ ด้วย หม้อน�้ำมนต์ที่ชาวบ้านจัดเตรียมไว้นี้ จะน�ำไปแขวนหรือวางไว้รอบศาลา ประกอบพิธี พิธที างศาสนาพุทธ เริม่ ด้วยพระสงฆ์โยงสายสิญจน์จากศาลาลงไป สูน่ าข้าวทีใ่ กล้ทสี่ ดุ จากนัน้ จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย อาราธนาศีล อาราธนา พระปริตร พระสงฆ์เจริญศีล เจริญพระพุทธมนต์ จากนั้นจะมีผู้ท�ำพิธีทางไสย คือไหว้พระภูมเิ จ้าที่ มีเครือ่ งเซ่นสังเวยขอให้ขา้ วกล้าในนาเติบโตแข็งแรง มีน�้ำท่า บริบรู ณ์เมือ่ เสร็จแล้วถวายเพลพระสงฆ์ จากนัน้ ชาวบ้านรับประทานอาหารร่วม กัน แล้วจึงน�ำหม้อน�ำ้ มนต์ทเี่ ตรียมไว้กอ่ นหน้านี้ แยกย้ายไปประพรมนาข้าวของ ตนทุกแปลง ตั้งแต่หัวนาถึงปลายนา เมื่อหมดแปลงสุดท้ายจะน�ำใบไม้ที่ใช้พรม น�ำ้ มนต์ปกั ในนาแปลงนัน้ การสวดนานัน้ เปรียบเหมือนการท�ำขวัญให้กบั นาข้าว นั่นเอง ช่วงที่ข้าวตั้งท้องนั้นเป็นช่วงเวลาที่สำ� คัญมาก ถ้าข้าวขาดน�ำ้ ในช่วงนี้ ก็จะท�ำให้ขา้ วลีบเสียหายทัง้ หมด แต่เราไม่คอ่ ยประสบปัญหานี้ เพราะเราท�ำนา ตามฤดูกาล ชาวนาจะช่วยกันดูแลข้าวในนาเป็นอย่างดี ฉันจ�ำได้ว่าตอนเด็กๆ ผู้ชายในหมู่บ้านจะรวมตัวกันตั้งแต่เช้าเพื่อไปช่วยกันดักและจับหนูในนาเพื่อ ไม่ให้มันมากัดกินข้าว โดยเฉพาะในช่วงที่ข้าวเริ่มสุก ทั้งหนูและสัตว์ต่างๆ ก็เริ่มมาหากินในนา สร้างความเสียหายให้กับข้าวอยู่เสมอ ถ้าใครเคยไปยืนตามคันนาในช่วงเวลาที่ข้าวสุกเหลืองเต็มท้องนา กางแขนให้กว้างที่สุด แล้วสูดหายใจให้เต็มปอดคงจะรู้ดีว่ากลิ่นข้าวในช่วง


200

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

เวลานี้ ห อมมากแค่ ไ หน ลองหลั บ ตาแล้ ว ฟั ง เสี ย งของต้ น ข้ า วที่ ถู ก ลมพั ด เสียดสีกัน ถึงจะไม่ได้เพราะเหมือนเสียงดนตรีแต่เป็นเสียงที่ฟังแล้วผ่อนคลาย ที่สุด ชาวนาในสมั ย นั้ น ก่ อ นที่ จ ะเก็ บ เกี่ ย วข้ า วในนานั้ น จะต้ อ งมี ก าร “แรกข้าว” ก่อน การแรกข้าว คือ การเชิญขวัญข้าวกลับบ้านนั่นเอง โดยการ สวดมนต์ แล้วเก็บข้าวในนาจ�ำนวนหนึ่ง หลังจากนั้นก็จะนับจ�ำนวนต้นข้าว และรวงข้าว ถ้าได้รวงข้าวน้อยกว่าต้นข้าวที่เก็บ ก็จะต้องเก็บใหม่ แต่ถ้าได้รวง ข้าวเท่ากับต้นข้าวหรือมากกว่าต้นข้าวก็แสดงว่าใช้ได้ ฉันยังสงสัยว่าจะเป็นไป ได้อย่างไรที่รวงข้าวจะมากกว่าต้นข้าวที่ตัดมา แต่ฉันหมดข้อโต้แย้งใดๆ เมือ่ ครัง้ แรกทีฉ่ นั ตามไปดู ย่าแรกข้าวด้วย ย่านับรวงข้าวได้มากกว่าต้นข้าวจริงๆ ซึ่งฉันก็แอบนับตามย่าด้วย ที่จริงมันอาจเป็นเพราะความบังเอิญที่ต้นข้าวอาจ จะล้มไป หรืออาจเป็นเพราะความเชื่อและแรงศรัทธาก็ได้ แต่จะมีประโยชน์ อะไรทีเ่ ราจะหาเหตุผลหรือหลักฐานมาโต้แย้งเพือ่ ท�ำลายความเชือ่ ความศรัทธา ของผูอ้ นื่ เมือ่ ความเชือ่ นัน้ ท�ำให้เขาตัง้ อยูใ่ นศีลธรรมและจารีตประเพณีอนั ดีงาม ของสังคมนั้นๆ เมื่อย่าได้ขวัญข้าวที่ต้องการแล้วก็จะมัดเป็นก�ำ แล้วน�ำมาใส่ “แคละ” คือน�ำผ้ามาผูกเฉียงบ่าแล้วน�ำข้าวมาใส่ไว้ดา้ นหน้า เหมือนกับก�ำลังอุม้ เด็กอ่อน กลับบ้าน ระหว่างทางย่าจะไม่พูดกับใครเลย และผู้คนที่ผ่านไปมาก็จะทราบ โดยปริยายว่าถ้าเห็นคนแคละข้าวกลับบ้านแบบนี้ แสดงว่าเขาก�ำลังเชิญขวัญ ข้าวกลับบ้าน ห้ามทักเด็ดขาด เมือ่ ถึงบ้าน ย่าจะน�ำขวัญข้าวไปเก็บใน “เรินข้าว” หรือ ยุ้งข้าว ชาวนราธิวาสจะเรียกยุ้งข้าวว่าเรินข้าว เป็นบ้านที่สร้างไว้ส�ำหรับ เก็บข้าวนั้นเอง บางบ้านสร้างเรินข้าวติดกับตัวบ้าน บางบ้านก็สร้างแยกออก จากตัวบ้าน


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

201

การเก็บข้าวของชาวนราธิวาสนั้น มีการลงแขกเก็บข้าวเหมือนกับ ที่อื่นๆ แต่อุปกรณ์ที่ใช้เก็บต่างจากที่อื่นเท่านั้นเอง คือเราจะใช้แกะเก็บข้าว โดยเก็บเฉพาะรวงข้าวมัดเป็นก�ำๆ การเก็บข้าวแบบนี้เป็นเรื่องที่ท้าทายความ สามารถของเด็กๆ มาก เมื่อเห็นผู้ใหญ่ท�ำก็อยากท�ำบ้าง แต่เมื่อได้ลองท�ำดูแล้ว รู้ได้เลยว่าไม่สนุกเลย ทั้งเหนื่อย ทั้งร้อน แล้วบางทียังโดนแกะบาดมืออีกด้วย การเก็บรักษาข้าวของเราก็ต่างจากที่อื่นเช่นกัน ฉันเคยดูโทรทัศน์ เห็นเขาเอาข้าวมาฟัดกับพื้นแล้วได้ข้าวเปลือกเอาไปเก็บในยุ้งข้าว แต่เราเก็บ ข้าวทีเ่ ก็บมาเป็นก�ำโดยการน�ำมาเรียงเป็นกองเป็นชัน้ ๆ ย่าจะมีมนต์ปดิ กองข้าว ทุกชั้น และถ้าจะน�ำข้าวออกไปก็จะต้องมีมนต์เปิดกองด้วย การกองข้าวนั้น นอกจากจะป้องกันไม่ให้สตั ว์มากินข้าวได้งา่ ยๆ แล้ว ยังท�ำให้สามารถเก็บรักษา ข้าวได้นานด้วย เมื่อจะน�ำข้าวไปสีก็จะเปิดกองข้าวทีละชั้นน�ำมานวด โดยการ ใช้เท้านวด แล้วใช้กระดงฟัดเอาข้าวลีบและเศษฟางข้าวออก ถ้าเป็นสมัยก่อน ก็จะต้องใช้ครกและสากต�ำข้าวมาต�ำข้าวเปลือก และฝัดอีกครัง้ เพือ่ ให้ได้ขา้ วสาร แต่พอมีโรงสี ก็น�ำไปสีที่โรงสีได้เลย ที่บ้านของฉันมีอุปกรณ์ต่างๆ เกือบครบ ขาดก็แต่ครกสีขา้ วเท่านัน้ ฉันเคยถามย่าว่าท�ำไมต้องเอากระด้ง สากต�ำข้าว และ ครกต�ำข้าวไว้ใต้ถนุ บ้านด้วย ท�ำไมไม่เอาไปไว้ในเรินข้าว ย่าบอกว่ากลัวขวัญข้าว ตกใจ เพราะสมัยที่แม่โพสพมาเกิดเป็นข้าวใหม่ๆ ข้าวจะมาอยู่ในยุ้งนั้นเอง แค่สร้างยุ้งเอาไว้ก็พอ แต่ข้าวจะไปในตอนกลางคืนเท่านั้น และมีตากับยายคู่ หนึ่ง สร้างยุ้งข้าวเอาไว้เหมือนบ้านอื่นๆ ตอนกลางคืนข้าวก็เข้ามาอยู่ในยุ้งเอง เมื่อเป็นแบบนี้ทุกคืนตากับยายรู้สึกร�ำคาญเพราะนอนไม่ได้ คืนหนึ่งตากับยาย ทนไม่ไหวเอาสากกับกระด้งมาไล่ตีข้าว ท�ำให้ข้าวตกใจหนีไป และไม่กล้าเข้าไป ในยุ้งเองอีก ดังนั้นเมื่อถึงฤดูเกี่ยวข้าว ชาวนาก็ต้องไปเกี่ยวข้าวเอง และต้อง เชิญขวัญข้าวมาเอง ดังนั้นชาวนาจะไม่นำ� กระด้งกับสากไปใกล้บริเวณเรินข้าว เด็ดขาด


202

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

หลังฤดูเก็บเกี่ยวในเดือน ๖ ชาวนาจะรวมตัวกันท�ำพิธีลาซัง จะท�ำแต่ จะเป็นวันใดแล้วแต่ชาวบ้านจะตกลงกัน การท�ำพิธีจะเริ่มด้วยการให้หมอ ไสยศาสตร์ เอาซังข้าวที่ชาวบ้านตัดหรือถอนมาจากนาที่เก็บเกี่ยวเป็นแปลง สุดท้ายบ้านละ ๒-๓ ซัง มารวมกัน ท�ำเป็นหุ่นผู้ชายและหุ่นผู้หญิง ให้มีหัว คอ ล�ำตัว แขน ขา ท�ำเป็นช่องกลวงตรงส่วนคอไว้ใส่อาหาร เรียกหุ่นนี้ว่า “ชุมพุก” หุน่ ผูช้ ายจะแต่งตัวหรือไม่กไ็ ด้ ส่วนหุน่ ผูห้ ญิงต้องแต่งกาย โดยนุง่ ผ้าถุง และสวมเสื้อ ท�ำผมเกล้ามวย ทัดดอกไม้ในส่วนที่สมมุติว่าเป็นหู เมื่อท�ำ “ชุมพุก” เสร็จเรียบร้อยผู้ร่วมพิธีจะช่วยกันจัดตั้งศาลเพียงตา ขึ้ น พร้ อ มตั้ ง เครื่ อ งเซ่ น ที่ เ ตรี ย มมาที่ ศ าลเพี ย งตา โดยวางดอกมะพร้ า ว และมะพร้าวอ่อน ๑ ผล น�้ำ และภาชนะทีจ่ ะใส่สงิ่ ของอืน่ ทีใ่ ช้เซ่นสรวงเจ้าทีน่ า และแม่โพสพ ประกอบด้วย ข้าวเจ้า ข้าวเหนียว แกงเป็ดแกงไก่ ปลามีหัวมีหาง อย่างละพอประมาณ จัดตัง้ ศาลเพียงตาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ปูเสือ่ จัดเชีย่ นหมาก หมอนส�ำหรับหนุน ธูปเทียนและส�ำรับกับข้าว ตั้งบนเสื่อ จากนั้นน�ำชุมพุก จัดท่านั่งคู่กันบนเสื่อ หุ่นผู้หญิงนั่งด้านซ้าย หุ่นผู้ชายนั่งด้านขวา เมื่อท� ำพิธี แต่งงานให้ชุมพุกแล้ว ผู้ร่วมพิธีจะช่วยกันอาบน�้ำ ทาแป้ง ประพรมน�้ำหอมอบ ร�ำ่ ให้ชมุ พุก จากนัน้ ช่วยกันหามชุมพุกไปริมป่าใกล้ๆ ท้องนาทีท่ ำ� พิธี (มักอยูใ่ กล้ วัด) ช่วยกันตัดเชือกที่มัดตัวชุมพุกให้ขาดเพื่อท�ำลายชุมพุก แล้วโยนซังจากตัว ชุมพุกขึ้นสู้ท้องฟ้าเป็นอันเสร็จพิธี พิธีลาซังนี้ถือเป็นสัญญาณว่าฤดูการท�ำนา ในปีนไี้ ด้สนิ้ สุดลงแล้ว ชาวนาและผืนนาได้พกั ผ่อนเพือ่ รอฤดูฝนรอบใหม่ทกี่ ำ� ลัง จะมาถึงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ย่าและชาวนาคนอื่นๆ มีชีวิตผูกพันอยู่กับข้าว ปีแล้วปีเล่าที่ผืนนาไม่เคยขาดข้าว ทุกคนต่างสอนให้ลูกหลานรักและบูชาข้าว บางครอบครัวเรียกข้าวว่า “แม่ทนู หัว” บางครอบครัวเรียกว่า “แม่เจ้าประคุณ” หรือชื่ออื่นๆ ตามความศรัทธา ถ้ามีใครมาเรียกเราอย่างอื่นนี้ก็เข้าใจได้ทันทีว่า ผู้เรียกคงก�ำลังประชดประชันเราอยู่ แต่การเรียกแม่โพสพอย่างนี้กลับเป็นการ


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

203

เรียกด้วยความเคารพบูชาสูงสุด ย่าสอนฉันว่าข้าว ๑ เมล็ดก็มีค่า เวลาตักต้อง ระวังไม่ให้หก และต้องทานให้หมดไม่ให้เหลือแม้แต่ครึ่งเมล็ด ถ้าท�ำข้าวหกบน พื้นก็ห้ามเหยียบ ต้องเก็บไปทิ้งเป็นทานให้สัตว์กิน ห้ามใช้ไม้กวาดข้าวโดยเด็ด ขาด ต้องเก็บกับมือเท่านัน้ และทีส่ ำ� คัญทีส่ ดุ คือห้ามเทข้าวทิง้ ตามพืน้ ดินเด็ดขาด ย่ามักจะยกตัวอย่างครอบครัวข้างๆ บ้านของเราให้ฟงั อยูเ่ สมอว่าเขาไม่ใช่ชาวนา ไม่รจู้ กั บุญคุณของแม่เจ้าประคุณ ชอบเทข้าวทิง้ ตามพืน้ ดิน ท�ำให้ซอื้ ข้าวสารกิน เท่าไหร่ก็ไม่พอ บางครั้งก็ไม่มีเงินซื้อข้าวกิน ต้องอดข้าวอยู่บ่อยๆ ตอนเด็กฉัน ท�ำตามค�ำสอนย่าเพราะกลัวว่าจะไม่มีข้าวกิน แต่พอโตขึ้นฉันไม่ได้ท� ำตาม ค�ำสอนย่าเพราะกลัวไม่มีข้าวกินเท่านั้น แต่เพราะฉันรู้ว่ากว่าจะมาเป็นข้าว ให้ฉันกินย่าต้องเหนื่อยแค่ไหน ไม่ว่าต�ำนานเรื่องพระแม่โพสพเป็นเรื่องจริง หรือไม่ แต่ข้าวที่เรากินอยู่นั้นมีบุญคุณต่อเรามาก ท�ำให้เราเติบโตมาได้จนถึง ทุกวันนี้ เวลาหมุนผ่านไปเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น แต่วิถีชีวิตของชาวนราธิวาส กลับเปลีย่ นไปรวดเร็วกว่าเวลาทีห่ มุนไปเสียอีก ไม่ตอ้ งมองอืน่ ไกล แม้แต่ตวั ฉัน ก็เปลี่ยนวิถีชีวิตของตัวเองจากครอบครัวชาวนามาเป็นข้าราชการรับเงินเดือน จากหลวง มีชีวิตแข่งกับโลกที่หมุนเร็วขึ้นทุกวัน ฉันนั้นเลิกเดินตามย่าไปนามา เกือบ ๒๐ ปีแล้ว เพราะต้องมาวิ่งตามความเจริญทางวัตถุแทน ย่าเลิกท�ำนามา เกือบ ๑๕ ปี เนื่องจากสุขภาพไม่อ�ำนวยให้ท�ำอีกต่อไป เหมือนกับหลายๆ ครอบครัวทีเ่ ลิกท�ำนาข้าว แล้วถมดินขุดดินเพือ่ ปลูกพืชเศรษฐกิจอืน่ ทีใ่ ห้ผลผลิต และผลก�ำไรมากกว่าข้าว วันนีเ้ มือ่ นัง่ รถผ่านสองข้างทางทีเ่ คยเป็นทุง่ นา แทนที่ จะเห็นท้องนาสีทองเป็นแนวยาวสุดลูกหูลูกตาเหมือนเมื่อไม่กี่ปีที่แล้วกลับเห็น แต่ที่นาว่างเปล่าหรือไม่ก็เปลี่ยนเป็นสวนปาล์ม สวนยางพาราแทน แต่อย่างไรก็ตาม แม้วิถีชีวิตของชาวนราจะเปลี่ยนไปอย่างไร แต่ มิตรภาพระหว่างคนในชุมชนก็ยังเหมือนเดิม วันนี้ฉันไม่ได้เดินเอาผักของย่า


204

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ไปขายในหมูบ่ า้ นเหมือนตอนเด็กๆ แต่ฉนั กลับต้องขับรถจักรยานยนต์ไปซือ้ ของ ในหมูบ่ า้ นแทน แต่เมาะเพือ่ นของย่าก็ยงั หยิบยืน่ ขนมทีเ่ มาะขายให้ฉนั กินเหมือน ตอนฉันยังเด็ก เพื่อนๆ ที่ไปเล่นในทุ่งนาด้วยกัน ต่างแยกย้ายไปท�างานที่ต่างๆ แต่เมื่อเจอกันเราก็ยังทักทายกันเหมือนกับตอนเด็กๆ ฉันเชื่ออย่างหนึ่งว่า กาลเวลาอาจจะสามารถเปลี่ยนโลกและวิถีชีวิตของคนได้ แต่ไม่อาจเปลี่ยน มิตรภาพที่ก่อเกิดขึ้นมาจากความจริงใจที่มีต่อกันไปได้ เวลาอาจหมุนผ่านไปเร็วมากเพียง ๒๐ ปี ฉันเติบโตและมีชีวิตอยู่ใน สังคมสมัยใหม่ที่ต้องมีการแก่งแย่งแข่งขันและน�าพาความชรามาสู่ย่าของฉัน วันนี้ย่าไม่ได้มานั่งบอกเล่าเรื่องราวมากมายที่ฉันอยากรู้หรือหลงลืมไปแล้ว เหมือนเมือ่ ก่อน เครือ่ งพันธนาการทีเ่ ทคโนโลยีสมัยใหม่ผลิตขึน้ มาก�าลังช่วยชีวติ ท่านอยู่ ฉันท�าอะไรไม่ได้เลยนอกจากนั่งมองบุคคลที่เปรียบเสมือนสารานุกรม ประจ�าตัวของฉันนอนหายใจนิ่งๆ อยู่บนเตียง ฉันไม่รู้ว่าสารานุกรมเล่มนี้จะตื่น ขึ้นมาเพื่อบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฉันฟังได้อีกหรือไม่ หรือจะต้องปิดลงอย่าง ถาวร แต่ฉนั ต้องขอบคุณย่าทีเ่ ลีย้ งฉันมาตามแบบวิถชี วี ติ ของชาวนาทีข่ ยันอดทน และไม่ฟงุ้ เฟ้อ ท�าให้ฉนั สามารถด�าเนินชีวติ ในแบบคนเมืองทีม่ คี วามสุขตามฐานะ ของตนเองได้ สิง่ ทีด่ ที สี่ ดุ ส�าหรับฉันไม่ใช่ทรัพย์สนิ เงินทองทีห่ าทีไ่ หนก็ได้ แต่เป็น ความทรงจ�าและค�าสอนดีๆ ของย่า ที่ท�าให้ฉันมีชีวิตที่ดีในวันนี้


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

205

ความสุขท่ามกลาง การผสมผสานวัฒนธรรม นางทิพยวรรณ นิลทยา

บทน�ำ วัฒนธรรมผสมผสานทีล่ งตัวของหมูบ่ า้ นในจังหวัดนราธิวาสถูกบรรยาย ผ่านมุมมองความสุข สนุกสนานของเด็กหญิงผู้หนึ่งกับเพื่อน แม้มีความ แตกต่างทางศาสนา กับเรื่องเล่าความทรงจ�ำที่ประทับใจเรื่องราวดีๆ ในอดีตสี่ สิบปีทผี่ า่ นมา ร้อยเรียงถ่ายทอดผ่านตัวอักษรให้อนุชนรุน่ หลังได้ซาบซึง้ กับความ งดงามของความเป็นอยูร่ ว่ มกันอย่างสันติสขุ และพอเพียงของชาวไทยในจังหวัด ชายแดนภาคใต้ บ้านบูรณาการ หมู่บ้านทุ่งคา ต�ำบลละหาร อ�ำเภอยี่งอ จังหวัดนราธิวาส มีต�ำนานเล่า สืบต่อกันมาว่า บรรพบุรุษเป็นเจ้าเมืองอยุธยา บ้างก็ว่าเป็นคนสุพรรณบุรี บ้างก็ว่าเป็นคนพม่า อพยพมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาแตก ครั้งที่สอง แล้วย้าย ถิ่นลงมาทางใต้บริเวณแหลมทอง จากล�ำดับการอพยพดังกล่าวจึงมีชื่อเรียก หมูบ่ า้ นของกลุม่ อพยพว่า หมูบ่ า้ นทุง่ คา ปรากฏในหลายจังหวัด นับตัง้ แต่จงั หวัด ชุมพร ภูเก็ต ปัตตานี และนราธิวาส ส�ำหรับหมู่บ้านทุ่งคา จังหวัดนราธิวาส มี หลักฐานชิ้นส�ำคัญที่ยังหลงเหลือปรากฏอยู่ในปัจจุบันคือ เจดีย์โบราณรูปทรง พม่าในบริเวณวัดทุ่งคา นอกจากนี้แล้ว มีตระกูลสองตระกูลคาดว่าปรากฏตาม ที่มาจากต�ำนาน คือ สุขสุพันธ์ (ท่านผู้เฒ่าเคยเล่าให้ฟังว่าแรกเริ่มเขียนเป็น


206

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

สุขสุพรรณ คือ ทวดสุขมาจากสุพรรณบุรี ) ซึง่ เป็นต้นตระกูลของเรือ่ งเล่าในครัง้ นี้ ส�ำหรับอีกตระกูลหนึง่ คือ ย่างกุง้ คาดว่า มีบรรพบุรษุ มาจากพม่า จากต�ำนาน ข้างต้นท�ำให้เป็นที่มาของภาษาพูดประจ�ำถิ่นที่บางครั้งฟังเหมือนภาษาใต้ บางครัง้ ฟังเหมือนภาษาอีสาน และมีการผสมผสานกับภาษายาวี(มลายูทอ้ งถิน่ ) จากภาพอดีตดังกล่าวย่อมแสดงให้เห็นว่า เมื่อมีภัยสงครามเกิดขึ้น บ้านเมืองระส�ำ่ ระสาย ผูค้ นต่างเอาตัวรอดหนีความตาย แม้วา่ จะมีความขัดแย้ง กันระหว่างเมือง(ไทยกับพม่า) แต่ประชาชนที่อพยพมาสามารถตั้งถิ่นฐาน และอยู่ร่วมกันได้ ปี พ.ศ.๒๕๑๔ หมูบ่ า้ นทุง่ คาแห่งนีม้ ที งั้ ชาวไทยพุทธ ไทยมุสลิม ทีม่ กี าร ไปมาหาสู่ มีความเป็นญาติ เนื่องจากมีการแต่งงานกัน จึงมีวัฒนธรรมกินกื้อ เหนียว(ขนมงานแต่งงาน)และมาแกปูโล๊ะ(ขนมงานแต่งงาน)ที่คล้ายคลึงกัน คือ มีขา้ วเหนียวสีขาวหน้ามะพร้าวกวนเหมือนกัน ในขณะทีเ่ ทศกาลต่างๆทีเ่ ป็นการ ท�ำบุญหรือฉลอง ชาวบ้านจะมีการท�ำกื่อต้ม (ข้าวต้มสามเหลี่ยม) และตูปะ (ขนมงานแต่งงาน) มาแจกกัน ส�ำหรับวัฒนธรรมการแต่งกายนั้นจะมีความ เหมือนกัน คือ สวมเสื้อผ้าลูกไม้ นุ่งโสร่งปาเต๊ะ เมื่อออกจากบ้านจะมีผ้าคลุม ศีรษะบางๆ สีเดียวกับเสื้อผ้า ไว้ส�ำหรับกันแดดกันลม บางครั้งไว้ส�ำหรับรอง ศีรษะที่ทูน(เทิน)ของเหนือศีรษะ หรือไทยพุทธใช้ผ้านี้ในการเป็นสไบส�ำหรับ กราบพระ ภาษาทีใ่ ช้เป็นภาษาใต้เจ๊ะเห และภาษามลายูทอ้ งถิน่ ทีผ่ สมผสานกัน วัยเด็กเป็นวัยที่ซึมซับวัฒนธรรมและวิถีชีวิตท้องถิ่นเข้าอยู่ภายในโดย ไม่รู้ตัว ความแตกต่างทางศาสนาไม่เคยมีอยู่ในความคิด เพราะเพื่อนบ้านที่อยู่ รั้วติดกัน คือ บ้านเปาะนิ เป็นครูสอนศาสนาอิสลาม มีลูกศิษย์ลูกหามาร�่ำเรียน ทุกวันเสาร์ อาทิตย์ ร้านของช�ำที่เป็นศูนย์รวมของสินค้าของแม่แก่ (ย่า) ท�ำให้ ได้พบปะกับบุคคลต่างๆที่มาซื้อหาสินค้าที่จ�ำเป็น ตลอดจนสถานผดุงครรภ์ที่มี แม่เป็นข้าราชการเพียงคนเดียวใช้เนือ้ ทีบ่ า้ นห้องแถวทีเ่ ป็นของแม่แก่ตดิ กับร้าน


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

207

ของช�ำเป็นส�ำนักงานผดุงครรภ์ ให้บริการลูกค้าตลอดยีส่ บิ สีช่ วั่ โมงไม่เว้นแม้เวลา ดึกดืน่ เทีย่ งคืน ถัดจากนัน้ เป็นคนจีนอีกครอบครัวหนึง่ ทีม่ อี าชีพรับซือ้ ขีย้ าง ห้อง แถวหลังสุดท้ายคือพี่ชายของย่า ที่เด็กหญิงเรียกว่า “พ่อเจ๊ะ” หรืออดีตก�ำนัน ชุม นามสกุล สุขสุพันธ์ ที่มีผู้คนเคารพนับถือ ทั้งพุทธและมุสลิม นอกจากเป็น ก�ำนันแล้วยังเป็นหมอบ้านท�ำพิธีปัดเป่าพิษงู ซึ่งสมัยก่อนมีงูชุกชุม ชาวบ้านมัก ถูกงูกดั โดยเฉพาะงูเห่าและงูกะปะ มีผปู้ ว่ ยมารับการรักษาอยูท่ บี่ า้ นไม่เว้นแต่ละ วัน ล้วนเป็นวิถีชีวิตที่เด็กหญิงต้องพบเจอ จึงท�ำให้ชีวิตในวัยเยาว์ของเด็กหญิง ชนบทชายแดนไทย-มาเลเซีย ได้เรียนรู้อย่างมากมาย เสียงลูกค้าไทยพุทธ มุสลิมเข้าร้านขายของช�ำ เป็นสิ่งที่พบเห็นอยู่ ทุกเมื่อเชื่อวัน ด้วยเป็นร้านของแม่แก่มีสิ่งต่างๆครบวงจร ส�ำหรับในสมัย เมื่อ ๔๐ ปีล่วงมาแล้ว นับตั้งแต่ข้าวสาร น�้ำตาล เกลือ ฯลฯ อยู่ในกระสอบป่าน หลายครั้งเด็กหญิงเล็กๆ ผอมสูง ผมเปียยาว จะช่วยที่ร้านตวงสิ่งต่างๆ เช่น ข้าวสาร น�้ำตาลเพื่อแบ่งขายเป็นกิโล เสียงแม่แก่สั่งการมาเป็นระยะ เด็กหญิง เดินไปหยิบของตามที่แม่แก่บอก “โล๋กหยิบน�ำ้ ผึ้งทรายฮ้ายกี้โลนึ๊ง (ลูกหยิบน�ำ้ ตาลทรายให้หนึ่งกิโล)” แม่แก่ละจากการชัง่ ยางแผ่นหันมาบอกเด็กหญิง เด็กหญิงวิง่ ไปหยิบน�ำ้ ตาลทราย เท้าก็พลันเหยียบแผละเข้ากับสิ่งหนึ่ง น�้ำตาลทรายหล่นโผละลงพื้นทั้งถุง “แม่แก่....เหยียบขีแ้ มว” แม่แก่เดินมาหา ก้มลงดูถงุ น�ำ้ ตาลทรายทีแ่ ตก กระจายอยูใ่ นพืน้ พร้อมกับหยิบถุงน�ำ้ ตาลทรายใหม่ให้กบั ลูกค้าชาวมุสลิมซึง่ มา พร้อมกับบุตรสาวตาโต จมูกโด่งเป็นสัน เด็กหญิงยิ้มให้เพื่อนต่างศาสนาซึ่งได้ รับการยิ้มตอบเป็นมิตรภาพครั้งแรกที่เจอกัน ทั้งที่เท้าของเด็กหญิงยังเปื้อน สิง่ สกปรก แม่แก่บอกให้เด็กหญิงไปล้างเท้า เด็กหญิงเดินเข้าบ้านตรงไปยังบ่อน�้ำ อยู่ตรงกลางบ้าน ตักน�้ำจากบ่อโดยใช้ ตือหมา(ถังตักน�้ำที่ท�ำจากกาบหมาก) ขึ้นมาล้างเท้าตนเอง


208

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ทุกวันเพื่อนใหม่จะมาหาและเล่นกับเด็กหญิง ขณะที่แม่ก�ำลังตรวจ ครรภ์ให้กับผู้มารับบริการซึ่งเป็นชาวมุสลิม เด็กหญิงและเพื่อนใหม่จึงต้องเดิน ผ่านเข้าบ้านทางด้านร้านขายของช� ำ เสียงลูกสาวของผู้มารับบริการร้อง กระจองอแงเป็นเด็กวัยประมาณ ๒ ขวบ เมือ่ แม่ตอ้ งขึน้ เตียงตรวจ เด็กหญิงและ เพื่อนจึงพยายามชวนน้องตัวเล็กออกมาเล่นหน้าบ้าน สิ่งที่ปรากฏอยู่ข้างบ้าน คือเสียงร้องครวญครางของผูม้ าปัดเป่าพิษงูบา้ นพ่อเจ๊ะทีท่ กุ ข์ทรมานด้วยความ เจ็บปวด ขณะนั้นพ่อเจ๊ะก�ำลังเคี้ยวข้าวสารพ่นใส่ขาบริเวณที่บวมเป็นระยะๆ และใช้ใบหมากผูป้ ดั เป่าให้กบั ผูป้ ว่ ย เด็กหญิงทัง้ สามหยุดยืนมองด้วยความสนใจ เวลาผ่านไปหญิงตั้งครรภ์ออกมา แม่ตรวจครรภ์เสร็จแล้ว ท�ำให้เด็กหญิงได้ โอกาสที่จะแสดงความเป็นลูกสาวผดุงครรภ์ให้เพื่อนเห็น จึงชวนเพื่อนไปคว้าหู ฟังของแม่ เลียนแบบการตรวจครรภ์ของแม่เพื่ออธิบายเพื่อนใหม่ แต่แม่มาพบ เข้าบอกให้เด็กหญิงวางหูฟงั ลง โดยให้เหตุผลว่าสกปรก เป็นของใช้กบั คนไข้แล้ว กลัวลูกๆ จะติดเชื้อโรค นอกจากนี้เด็กหญิงและเพื่อนใหม่จึงได้เรียนรู้ซึ่งกันและกันผ่านการ ละเล่น โดยเฉพาะการเล่น ขายของส่วนใหญ่จะเป็นการเด็ดใบไม้ขา้ งบ้านมาหัน่ เป็นผักข้าวย�ำ และขย�ำดอกเฟื่องฟ้าเพื่อท�ำเป็นน�้ำหวาน ภาษาถิ่นทั้งสองถูก ถ่ายทอดทั้งภาษาเจ๊ะเห และภาษามลายูท้องถิ่น เด็กหญิงได้เรียนรู้ภาษามลายู ท้องถิ่น โดยการซึมซับแบบไม่รู้ตัว และได้น�ำไปใช้ในชีวิตประจ�ำวัน โดยทุกวัน เด็กหญิงจะพบสภาพที่คนในหมู่บ้านมาหาแม่ ทั้งในเวลาราชการและนอกเวลา ราชการและแม่ก็ให้บริการทั้งการตรวจร่างกาย การตรวจครรภ์ การจ่ายยา การฉีดยาทั้งที่สถานผดุงครรภ์(บ้าน) และออกไปช่วยเหลือชาวบ้านถึงบ้าน ทีผ่ ปู้ ว่ ยไม่สามารถลุกมายังสถานผดุงครรภ์ได้ โดยมีพอ่ พนักงานอนามัยจังหวัด เป็นผู้ปั่นจักรยานไปส่งแม่รักษาตามสถานที่ต่างๆทั้งในต� ำบลที่รับผิดชอบ


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

209

และต่างต�ำบลด้วยความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อ “บอมอ” (ค�ำเรียกของ ชาวมุสลิมที่นับถือผู้มีความรู้เรื่องการรักษาพยาบาล น่าจะมาจากค�ำว่าหมอ) สมัยนัน้ เด็กไทยพุทธเกือบทัง้ หมูบ่ า้ นจึงเป็นฝีมอื ท�ำคลอดของแม่ ในขณะทีไ่ ทย มุสลิมเป็นฝีมอื ของโต๊ะบีแต (หมอต�ำแย) หากมีปญ ั หาจากโต๊บแี ด จึงมาตามแม่ ไปช่วย ซึ่งครั้งนี้แม่ออกไปรักษานอกบ้านกับพ่อเป็นปกติ เด็กหญิงนั่งรอเวลา ที่พ่อและแม่จะกลับมา “บอมอ บอมอ” เด็กหญิงตื่นจากภวังค์ เปิดประตูออกไปดู “หมอไม่อยู่” เด็กหญิงตอบเป็นภาษาไทยกลาง “บอมอ ฆีมานอ (หมอไปไหน) ” เปาะจิ (ลุง) ผู้มาหาพูดภาษามลายู ท้องถิ่น “ไปฉีดยาที่ฆาเด็ง”เด็กหญิงตอบเป็นภาษาไทยกลาง “อัลเลาะห์ เมียมันจะออกเด็กแล้วนิ” (โอว อัลเลาะห์ ท�ำไงดีภรรยา ท้องแก่ก�ำลังจะคลอดบุตร) ส�ำเนียงส่อภาษาทีส่ อื่ ถึงกันนี้ แม้วา่ ต่างฝ่ายไม่สามารถสือ่ สารด้วยภาษา ของอีกฝ่ายหนึ่งได้ แต่ ใช่ ว ่ า จะขาดความเข้ า ใจเสี ย เลยที เ ดี ย ว แม้ เ ด็ ก น้ อ ยจะพู ด จา ภาษาไทยกลาง แต่ก็สามารถเข้าใจภาษาที่สื่อสารถึงกันได้ ในขณะเดียวกัน เปาะจิเองก็รับรู้และเข้าใจภาษาที่เด็กหญิงพูด แม้ว่าจะอยู่ในภาวะวิกฤติ ต้องตามผดุงครรภ์ไปท�ำคลอดภรรยา ซึ่งก�ำลังเจ็บท้องคลอดก็ยังมีความ เข้าใจกัน เหตุการณ์ในวันนั้น เปาะจิได้ออกตามหาบอมอ (แม่ของเด็กหญิง) ที่บ้านของผู้ป่วยคนหนึ่ง วันนั้นบอมอได้ออกไปท� ำคลอดร่วมกับโต๊ะบีแด ตามหลักการทางศาสนาอิสลาม


210

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ตกเย็นเด็กหญิงนั่งรอพ่อกับแม่ที่กลับมาจากท�ำคลอดภรรยาของ เปาะจิ เมื่อเห็นรถจักรยานปั่น เข้ามาใกล้ เด็กหญิงวิ่งถลาออกไปบอกแม่ว่ามี แขกมาหา แม่ซักถามอยู่สักครู่จึงทราบว่าเป็นคนเดียวกับที่ไปท�ำคลอดมา จึงบอกเด็กหญิงว่าไปมาแล้ว “อย่าเรียกเปาะจิว่าแขกนะลูกเดี๋ยวเขาจะโกรธ ให้เรียกว่าไทยมุสลิม” แม่สอน “ค่ะ เด็กผู้หญิงหรือผู้ชายละแม่” เด็กหญิงถาม “ผู้หญิง ช่วงนี้เด็กที่คลอดมักเป็นเด็กหญิง” แม่ตอบ “ไชโย” เด็กหญิงดีใจในใจคิดว่าดีแล้วที่มีเพศหญิงเกิดเพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง คนในโลกนี้เท่ากับเธอมีเพื่อนเพิ่มอีกหนึ่งคนที่เป็นเพศเดียวกัน สิ่งที่ได้รับวันนี้ คือค�ำเรียกที่ถูกต้องใช้เรียกชาวไทยมุสลิม แล้ววิ่งออกไปบอกน้องชายที่กำ� ลัง เล่นซุกซนอยู่ ความสงสัยพิธีกรรมทางศาสนา ทุกวันแม่แก่จะให้เด็กหญิงได้ใส่บาตรพระทีอ่ อกมาบิณฑบาต เด็กหญิง จ�ำได้ว่า มีครั้งหนึ่งหยิบไข่ต้มผิด โดยหยิบไข่ดิบใส่บาตร พ่อต้องปั่นจักรยานไป วัดเพื่อขอโทษพระซึ่งก�ำลังจะฉันพอดี ท�ำให้เป็นที่ขบขันกันในบรรดาญาติๆ ช่วงกลางวันกิจวัตรของเด็กหญิงและเพื่อนๆ จะซุกซนโดยเฉพาะช่วงปิดเทอม วันนั้นเพื่อนใหม่ไม่ได้มาเล่นด้วยกัน บอกเด็กหญิงว่าจะไปเรียนศาสนาที่บ้าน เปาะนิ สมัยก่อนไม่มีอาหารว่างขบเคี้ยวมากนัก เด็กๆต้องอาศัยผลไม้ที่มีอยู่ รอบบ้าน ทุกคนปีนขึ้นไปเก็บลูกกือมู (ฝรั่ง) ใกล้ๆกับบ้านเปาะนิที่เป็นโต๊ะครู เหมือนทุกวันที่ผ่านมา เป็นฝรั่งขี้นก ผลเล็กๆเมล็ดจะมีสีแดง ฝรั่งพันธ์ุนี้จะอยู่ ตอนปลายๆ กิ่ง นอกจากรับประทานข้าวจากที่บ้านแล้วก็ได้ผลไม้สดจาก


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

211

ต้นฝรั่งขี้นกมารับประทานกัน การปีนป่ายเป็นไปอย่างช�ำนาญอย่างช�ำนาญจึง จะได้รับประทานผลสุก ขณะที่ก�ำลังปีนสู่ยอดต้นฝรั่งที่สูงนั้น เพื่อนไทยพุทธ ตกใจแล้วร้องว่า “ผี” เด็กหญิงกับเพือ่ นๆตกใจหันไปดูตามทีเ่ พือ่ นชี้ เห็นลักษณะ คล้ายคนคลุมผ้าขาวก�ำลังก้มๆเงยๆ เด็กๆต่างคนต่างตกใจไม่คิดว่าจะเห็นสิ่งที่ ไม่คาดฝันตอนกลางวัน รีบกระโดดลงจากต้นไม้ บางคนขาเพลง บางคนมีอาการ จุกแน่นหน้าอกเนื่องจากตกต้นไม้ ทุกคนวิ่งหนีกระหืดกระหอบเข้าบ้านตนเอง “แล่นแอไหร๋มาโล๋ก (หนีอะไรมาลูก)” แม่ถาม “ผีค่ะแม่” เด็กหญิงตอบ “แหล่วพอบคื่อไหน (แล้วเจอที่ไหน)” แม่ถาม “เท่บานเปาะนิ แม่ (ที่บ้านของเปาะนิ แม่)” เด็กหญิงตอบ “เป๋นพันไหน๋ (ลักษณะอย่างไร) ” แม่ถาม “ส่ายผ้าคลุมสีขาว(สวมผ้าคลุมสีขาว)” เด็กหญิงตอบ “ท่าพันนั่น โล๋กม่ายต้องกลั๋ว เค๊าละหมาด ส๊วดมนอิดซาลามยา (เช่น นั้นลูกไม่ต้องกลัว เขาท�ำละหมาดเป็นการสวดมนต์ของอิสลาม) ” แม่ตอบ พร้อมอธิบายต่อว่า “โล๋กหญาป๋ายรบก๋วนเค๊า ลองป๋ายถามโล๋กๆ เปาะนิแลเหรอว่าถามเพื้อนก้าด้าย (ลูกอย่าไปรบกวนเขา ลองสอบถามราย ละเอียดจากลูกของเปาะนิดูหรือถามเพื่อนก็ได้) ” เด็ ก หญิ ง รั บ ค� ำ เมื่ อ เจอเพื่ อ นใหม่ จึ ง สอบถามได้ ค วามรู ้ ม ากมาย ในพิธีกรรมทางศาสนาที่เพื่อนต้องปฏิบัติทุกวัน จึงน� ำไปเล่าให้เพื่อนๆ ฟัง เพื่อนๆหายกลัวและหายสงสัยในกิจกรรมทางศาสนาที่มีความแตกต่างกัน ทุกคนยังคงขึ้นต้นฝรั่งเหมือนเดิม คราวนี้ชวนเพื่อนใหม่และลูกๆของเปาะนิมา ด้วยหลังจากเรียนรู้ว่าเวลาใดควรจะปีนต้นไม้ที่จะไม่รบกวนการสวดมนต์ ตามศาสนาอิสลาม


212

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

พนักงานส�ำนักงานผดุงครรภ์ที่ไม่มีค่าจ้าง เมือ่ แม่ใช้บา้ นห้องแถวห้องหนึง่ เป็นส�ำนักงานผดุงครรภ์ โดยไม่มคี า่ เช่า ด้านหน้าของห้องแถว ส่วนนี้ได้จัดเป็นส�ำนักงานที่มีโต๊ะซักประวัติ ตู้เย็นแก๊ส ส�ำหรับแช่วคั ซีนชนิดต่างๆทีไ่ ด้รบั มาจากสถานีอนามัยอ�ำเภอ เตียงตรวจผูป้ ว่ ย ทีพ่ อ่ แก่ (ตา) เป็นผูล้ งมือท�ำให้ลกู สาวไว้ตรวจท้องคนไข้ ตูย้ าซึง่ ภายในประกอบ ด้วยยาสามัญประจ�ำบ้าน จริงๆ แล้วแม่ แม้จะเป็นเด็กชนบทที่เกิดในหมู่บ้านแห่งนี้ เมื่อจบ การศึกษามัธยมสามจากโรงเรียนสตรีประจ�ำจังหวัดแล้ว แม่ก็เข้าเรียนต่อ ผดุงครรภ์ที่ต้องไปเรียนถึงกรุงเทพฯ แม่เล่าว่าคนในหมู่บ้านสมัยนั้นไม่นิยม ส่งลูกหลานเรียนไกลๆ เพราะเกรงว่าลูกสาวที่ออกไปอยู่ไกลๆ จะอุ้มท้อง ไม่มีพ่อกลับมาเป็นที่อับอายขายหน้าชาวบ้าน เมื่อแม่ต้องเดินทางไปเรียน ผดุงครรภ์ ถึงวชิระพยาบาล กรุงเทพฯ หลายๆคนเฝ้ารอความส�ำเร็จโดยเฉพาะ พ่อแก่ (ตา) กับแม่แก่ (ยาย) และญาติๆ ขณะเดียวกันบางคนก็ยังมีความคิดใน แง่ลบดังกล่าวอยู่ เมื่อแม่จบมาและได้ทำ� งานด้านสาธารณสุขเป็นคนแรกของ หมูบ่ า้ น นับเป็นจุดตัง้ ต้นของคนในหมูบ่ า้ นของเราทีห่ นั มาให้ความสนใจในการ เรียนทางด้านสาธารณสุข พยาบาลกันมากขึน้ จนแทบกล่าวได้วา่ ลูกหลานเกือบ ทุกบ้านในขณะนี้เรียนด้านสาธารณสุข เช่น ผดุงครรภ์ พยาบาล เจ้าพนักงาน สาธารณสุข รวมทั้งแพทย์ ไม่เว้นแม้กระทั่งลูกสาวของแม่เอง ปิดเทอมใหญ่ เด็กหญิงตัวน้อยง่วนอยูก่ บั การเรียงยาทีบ่ รรจุขวดให้เป็น ระเบียบในตูย้ า ทีเ่ พือ่ นหลายๆคนรูส้ กึ รังเกียจกลิน่ ของยาทีต่ ลบอบอวลภายใน บ้าน ในขณะที่แม่ก�ำลังเตรียมการเพื่อฉีดวัคซีนป้องกันโรคระบาด ซึ่งเด็กหญิง ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้จดชื่อผู้มารับบริการ ลงในสมุดเพื่อให้บริการกับผู้มา รับบริการในสมัยนั้นซึ่งไม่สามารถเขียนชื่อตนเองได้ และเนื่องจากสถาน


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

213

ผดุงครรภ์แห่งนี้มีแม่ที่เป็นทั้งหัวหน้าและทุกหน้าที่เบ็ดเสร็จ ดังนั้นทุกคน ในครอบครัวจึงเป็นเจ้าหน้าที่ประจ�ำสถานผดุงครรภ์โดยไม่รู้ตัว “นามอ อาปอ” เด็กหญิงถามชื่อของผู้มารับบริการที่เป็นไทยมุสลิม โดยมีเพื่อนใหม่คอยบอกเรื่องภาษายาวี อยู่ใกล้ๆ “ดอเลาะ” เสียงตอบจากผู้รับบริการ ด้วยความคุ้นเคยชื่อเพื่อนๆที่อยู่ในชั้นเรียนเด็กหญิงจึงบันทึกอย่าง ถูกต้องลงในสมุดว่า นายดอเลาะห์ “นามอ อาปอ” เสียงเล็กๆแจ๋วๆของเด็กหญิงยังดังเป็นระยะๆ กิ จ กรรมที่ ไ ด้ รั บ มอบหมายจากแม่ เป็ น กิ จ กรรมที่ เ ด็ ก หญิ ง รู ้ สึ ก ภาคภู มิ ใจ รายชื่ อ ของผู ้ ม ารั บ วั ค ซี น ในวั น นั้ น จึ ง เป็ น ลายมื อ ของเด็ ก หญิ ง เกือบทั้งหมดโดยการช่วยเหลือของเพื่อนใหม่ งานที่ได้รับมอบหมายจึงลุล่วง ตามที่หัวหน้าส�ำนักงานผดุงครรภ์ต้องการ สร้างความภาคภูมิใจในการมีส่วน ร่วมให้กับเด็กหญิงยิ่งนัก แต่ยิ่งกว่านั้นคือสิ่งที่ผู้เป็นแม่ได้สร้างกับเด็กตัวน้อย ในการสร้างความคุ้นเคยกับผู้รับบริการโดยไม่มีแบ่งชนชั้น หรือความแตกต่าง ทางการนั บ ถื อ ศาสนาที่ ห ล่ อ หลอมอยู ่ ใ นจิ ต ใจบนพื้ น ฐานความเข้ า ใจใน ความแตกต่างระหว่างบุคคลโดยปราศจากทฤษฎีรองรับ ตะเกียงรวมใจ ก่อนปี ๒๕๑๗ บ้านทุ่งคายังใช้ตะเกียงน�้ำมันก๊าดตะเกียงมีขนาด เท่ากระป๋องนมข้นหวาน ท�ำด้วยอลูมิเนียมเคลือบสีมี ๒ สีคือ สีเขียวกับสีแดง ไฟของตะเกียงชนิดนี้เกิดจากน�้ำมันที่หล่อเลี้ยงไส้ตะเกียง ชาวบ้านจึงต้องซื้อ น�้ำมันก๊าดมาส�ำรองไว้ใส่ตะเกียง เมื่อไส้ตะเกียงซึ่งเป็นเกลียวเชือกใกล้หมด ต้องหาซื้อมาเปลี่ยน แสงไฟจากตะเกียงที่สว่างไม่มาก ท�ำให้เด็กหญิงต้องท�ำ


214

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

การบ้านตั้งแต่กลับจากโรงเรียน แต่บางครั้งแม่และพ่อต้องไปเยี่ยมติดตาม การเจ็บป่วยของผู้ป่วยที่บ้าน จึงต้องท�ำการบ้านในเวลากลางคืน แสงจาก ตะเกียงสีเขียวสว่างพอควร ทุกคนในบ้านรวมกันอยู่ใกล้ๆตะเกียงเพื่ออาศัย แสงสว่างในยามค�่ำคืน กลิ่นน�้ำมันก๊าดลอยมาแตะจมูก ผู้ใหญ่ต่างรวมกันฟัง รายการวิทยุจากวิทยุทรานซิสเตอร์ที่ใส่ถ่านไฟฉายตราแมวลอดห่วง ในขณะที่ เด็กหญิงก�ำลังนอนคว�ำ่ ท�ำการบ้านใกล้ตะเกียง หูเงีย่ ฟังเสียงละครคณะเกศทิพย์ จากวิทยุ บางครั้งเผลอก้มหรือโงกหลับ จะได้ยินเสียงชิว ชิวพร้อมกับกลิ่นไหม้ ของเส้นผมทีห่ งิกงอจากการถูกไฟเผา เสียงหัวเราะจากผูใ้ หญ่กด็ งั มาพร้อมเตือน ด้วยความห่วงใย “หญาเอาหัว๊ ไปแค่ตอื๋ เกีย๋ งโล๋ก มันจีห๊ ม่ายผมหม๋อดน่าน (อย่าเอาศีรษะ ไปใกล้ตะเกียง จะไหม้ผมหมด)” เสียงแม่แก่แว่วมา “ค่ะ แม่แก่ ท�ำแอ๋หร่ายน่าน (ค่ะ ย่าท�ำอะไรคะ)”เด็กหญิงถาม เมื่อเหลือบตาไปเห็นผู้เป็นย่าก�ำลังรูดใบไม้บางอย่าง “ท�ำสาดเอ๊าว๋ายช่าย (สานเสื่อเอาไว้ใช้)”แม่แก่ตอบ “ท�ำกั๋บแอ๋ไหร๋ (ท�ำจากวัสดุใด)” เด็กหญิงถามต่อ “ใบ๋เต๋ย (ใบเตย)”แม่แก่ตอบ เด็กหญิงเริม่ เปลีย่ นความสนใจมาทีย่ า่ ซึง่ ใช้ผา้ พันมือทัง้ สองข้างใช้เชือก เส้นเล็กๆลากผ่านใบเตยหนามที่มีหนามแหลมบริเวณกลางใบออกทีละใบ ย่าเล่าว่าใบเตยชนิดนี้ขึ้นอยู่ตามพรุ ต้องเดินเข้าไปตัดทีละใบ ที่ต้องระวังคือ หนามแหลมคมของใบเตยที่เมื่อโดนแล้วเจ็บมาก เมื่อเอาหนามแหลมออกหมด แล้วย่าจะน�ำไปตากแดดเพื่อให้ใบนิ่ม จากนั้นก็จะเริ่มสานเสื่อ ขนาดเล็กใหญ่ ขึ้นอยู่กับความต้องการเสื่อนี้ไร้สารพิษเพราะไม่มีการย้อมสี เมื่อเสร็จแล้วจะมี สีเหลืองอ่อนพร้อมกับกลิน่ หอมอ่อนๆของใบเตย ใบเตยทีเ่ หลือจากการสานเสือ่


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

215

ย่าจะน�ำใบใช้สานเป็นตะกร้าเล็กๆ ใส่ของหลากหลายขนาด เด็กหญิงเองใช้ เสื่อชนิดนี้ในการนอนเกลือกกลิ้งท�ำการบ้านอยู่นั่นเอง เก็บข้าว นวดข้าว ตากข้าว ทิ่มข้าว วันหนึง่ แม่แก่สงั่ ไก่บา้ นทีช่ าวบ้านเลีย้ งในหมูบ่ า้ นมาถึง ๒ ตัว ซึง่ นานๆ ครั้งที่มีเทศกาลเราจึงจะได้รับประทานไก่กัน พ่อเป็นผู้ลงมือช�ำแหละไก่ด้วย ตนเอง สมัยก่อนหากไม่ฆา่ เองจะไม่มไี ก่ขายตามท้องตลาด เด็กหญิงถูกห้ามมอง เมือ่ พ่อช�ำแหละไก่ มาทราบภายหลังว่าผูใ้ หญ่ไม่อยากให้เด็กๆเป็นคนทีโ่ หดเหีย้ ม จึงไม่ให้ดู ซึง่ เมือ่ ช�ำแหละเสร็จพ่อจะน�ำไก่ไปจุม่ ในน�ำ้ ร้อนทีแ่ ม่ตม้ ด้วยเตาไม้ฟนื เตรียมไว้ในโคม(กาละมัง)เรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นพ่อจะลองถอนขนไก่ดูว่า สามารถถอนออกจากตัวไก่ได้หรือยัง เด็กหญิงที่ช่างสงสัยเข้าไปดูใกล้ๆ เมื่อพ่อ ถอนไปซักพักหนึ่ง กะว่าความร้อนลดลงจึงเรียกเด็กหญิงมาช่วย เด็กหญิงรู้สึก สนุกมาก เสียงพ่อบอกให้ค่อยๆถอนเดี๋ยวหนังไก่หลุดตามมือ จากนั้นพ่อผ่าเอา เครือ่ งในไก่ออกมา คราวนีเ้ ด็กหญิงยิง่ อยากรูม้ ากกว่าเดิม ได้ศกึ ษาตับ ไต ไส้พงุ จากเครือ่ งในไก่ไปด้วย ทีน่ า่ ตืน่ เต้นคือ เครือ่ งในไก่ทมี่ ไี ข่ฟองเล็กๆ อยูใ่ นท้องไก่ ตัวเมีย จากนัน้ แม่แก่กบั แม่เอาไก่ทพี่ อ่ หักบริเวณเท้าทัง้ สองข้างเข้าไปข้างในตัว บริเวณก้น เพื่อน�ำไปต้มต่อไป แม่บอกเด็กหญิงว่าเดี๋ยวจะน�ำไก่ที่ต้มมาฉีก เพื่อท�ำข้าวต้มไก่เลี้ยงคนที่มาช่วยเก็บข้าว(เกี่ยวข้าว) อาหารคาวคือข้าวต้มไก่ อาหารหวานทีแ่ ม่แก่เตรียมคือ ข้าวเปียก (ขนม ปลากริม) เด็กหญิงเห็นแม่แก่กับแม่ก�ำลังหมุนอะไรบางอย่างจึงเข้าไปถาม แม่แก่เล่าว่าก�ำลังบดข้าวจ้าวเพื่อท�ำแป้งขนม ซึ่งเครื่องบดนั้นเป็นหินเรียกว่า ครกบด มีหลุม ส�ำหรับใส่ขา้ วทีจ่ ะบดขนาดเล็กเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดประมาณ หนึ่งนิ้วครึ่ง จะต้องใส่ข้าวพร้อมน�้ำลงไปทีละช้อนในช่องแล้วอีกคนจะหมุน


216

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

เครื่ อ งบดไปในทิ ศ ทางเดี ย วกั น บดไปเรื่ อ ยๆจนกว่ า ข้ า วจะหมดหลุ ม จึ ง หยอดใหม่ แป้งผสมน�้ำจะตกลงไปในถุงผ้าด้ายดิบที่น�ำมาผูกไว้ เด็กหญิงนั่งดู ซักพัก แม่จึงสอนให้ลองตักข้าวผสมน�้ำ บางครั้งหยอดไม่ตรงหลุมก็จะมีเสียง หัวเราะตามมา หลังจากบดแป้งเสร็จมัดปากถุงผ้าก็น�ำครกบดยกขึ้นทับแป้งที่ บดทั้งถุงเพื่อไล่น�้ำ จากนั้นแม่แก่จึงนวดและผสมแป้ง ขณะนั้นแม่น�ำมะพร้าว จากสวนมาปอกแล้วขูดด้วยเหล็กขูด(กระต่ายขูดมะพร้าว)เพื่อคั้นเอาน�้ำกะทิ ขนมชนิดนี้จะกดขนมผ่านกะลามะพร้าวที่เจาะรูลงในน�้ำกะทิที่ก�ำลังเดือด ฤดูกาลเก็บเกี่ยวข้าวเป็นช่วงที่เด็กหญิงปิดเทอมใหญ่เป็นช่วงฤดูร้อน แม้อากาศภายนอกจะร้อนมาก แต่น�้ำใจของคนที่มารวมกันในทุ่งนาของแม่แก่ ท�ำให้ทกุ คนลืมความร้อนของอากาศไปได้ คนทุกวัยชายหญิงไม่มแี ยกไทยพุทธ มุสลิมร่วม “ปะก๊ะกั๋นแก๊บข้าว”(ลงแขกเกี่ยวข้าว)โดยใช้แกะ ในวันนั้นทุกคน สวมเครื่องแต่งกายที่เหมือนกัน คือ หมวกปีกกว้าง เสื้อแขนยาว มีผ้าคลุม ศีรษะกันความร้อน และสวมผ้าถุงปาเต๊ะกัน เด็กหญิงเข้าใจแล้วว่าท�ำไมที่นี่ใช้ ค�ำว่าเก็บข้าวแทนค�ำว่าเกี่ยวข้าวของภาคกลาง เพราะแกะสามารถเก็บข้าว ได้ทีละรวงอย่างประณีต แม่แก่ได้สอนให้เด็กหญิงและเพื่อนใหม่ได้ทดลองเก็บ ข้าว คราวนี้เด็กหญิงได้ความรู้สึกว่ากว่าจะได้ข้าวสักรวงดูช่างยากเย็นแถมยัง ต้องระวังนิ้วกลางที่อาจถูกแกะที่คมบาด ช่วงเที่ยงข้าวทั้งท้องทุ่งที่เหลืองไสว ได้ถูกมัดเป็นก�ำบรรจุในกื้อสอบฆุนี(กระสอบป่าน)และกื้อสอบกื้อจู๊ด (กระสอบ กระจูด)ท�ำล�ำเลียงโดยชายหนุม่ เพือ่ เก็บไว้ในเรินข้าว (ยุง้ ข้าว) แม่แก่ได้เชิญชวน ทุกคนให้รับประทานอาหารคาวหวานที่ได้เตรียมมา การลงแขกจึงไม่มีค่าจ้าง วานแต่มีน�้ำใจเป็นอาหารรับประทานจากเจ้าของข้าวตอบแทนน�ำ้ ใจที่ทุกคน ช่วยกัน “ดือ่ กัน๋ มากิน๋ ข้าวต้มเสียก๋อน หญาพึง่ หลบนัน่ (เชิญทุกคนรับประทาน ข้าวต้มก่อน อย่าเพิ่งกลับบ้าน) มาแกนาซิอาย(เชิญรับประทานข้าวต้ม)” เสียงแม่แก่ตะโกนเชื้อเชิญ


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

217

“อิ๊ ด้ายแหละ จี้ไป๋แลงัวเหลย (ไม่เป็นไร จะต้องไปดูวัวอีก)”ชาวบ้าน คนหนึ่งบอก “ท่าพันนั่นกาเอ๋าส่ายถุงหลบป๋ายกิ๋นเรินก่าด้าย (เช่นนั้นเอาข้าวต้ม ใส่ถุงกลับไปกินที่บ้าน)” แม่แก่ตอบ หลังจากนั้นข้าวจากเรินข้าวจะถูกน�ำมานวด เด็กหญิงเห็นแม่น�ำเสื่อ ใบเตยมาปูที่พื้นแล้วน�ำข้าวเป็นก�ำที่เก็บไว้มาวาง จากนั้นขึ้นไปใช้เท้าเหยียบ นวดให้เมล็ดข้าวหลุดออกจากรวง แล้วน� ำใส่กระด้งฝัดเพื่อให้เหลือเฉพาะ เมล็ดข้าว จากนั้นต้องน�ำเมล็ดข้าวที่ได้ไปตากแดดในเสื่อกระจูดที่เตรียมไว้ กลางลานบ้าน เกลี่ยเมล็ดข้าวเปลือกให้ทั่วเสื่อ คราวนี้เป็นหน้าที่โดยตรงของ เด็กหญิงที่จะต้องเฝ้าข้าวเปลือกไม่ให้เป็ด ไก่ หรือนกมากินข้าวเปลือกที่ตากไว้ เวลาผ่านไปแม่ก็จะออกไปคนข้าวให้ได้รับความร้อนถ้วนทั่วก่อนน�ำไปทิ่ม (ต�ำ) โดยใช้ครกต�ำข้าว ข้าวสารหลังต�ำต้องน�ำมาเลือกกรวด ทราย เปลือกออกอีก ครั้งหนึ่ง แล้วแม่จะฝัด เอาฝุ่นจากข้าวเปลือกออกอีกครั้งหนึ่งจึงเก็บไว้ใน ถังข้าวเพื่อน�ำไปหุงต่อไป หลังฤดูเก็บเกีย่ วของหมูบ่ า้ นแห่งนีจ้ ะมีการน�ำข้าวใหม่ไปรวมกันท�ำบุญ เพือ่ ถวายพระสงฆ์และอุทศิ ส่วนบุญไปให้ญาติทไี่ ด้ลว่ งลับไปแล้ว เรียกพิธกี รรม นี้ว่าตักบาตรหน้าบ้าน ซึ่งก็คือหน้าวัดทุ่งคา บริเวณศาลาทรงปั้นหยา ชาวบ้าน ทุกคนจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่สวยงามสะอาดตา น� ำข้าวใหม่ที่หุงไว้ไปใส่ บาตรพระจะเจริญพระพุทธมนต์เพื่อเป็นสิริมงคล ในขณะที่เด็กๆ มีโอกาส พบเจอกันทั้งเพื่อนทั้งญาติ วิ่งเล่นกันฝุ่นตลบในลานวัดนั่นเอง รับเสด็จ รับเสด็จๆ เด็กหญิงท่องอยู่ในใจ ดังนั้นหลังกลับจากโรงเรียน เด็กหญิงรีบอาบน�ำ้ ท�ำการบ้านอย่างเร่งด่วน เพือ่ จะได้ออกไปบริเวณสนามหญ้า ใกล้ถนนสายเอเชียทางเข้าหมู่บ้าน ซึ่งที่นั่นจะมีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ทุกเพศวัยทั้ง


218

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ไทยพุทธ ไทยมุสลิมไปรวมกัน ทุกคนจะรอคอยรถขบวนเสด็จผ่าน พระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์เสด็จแปรพระราชฐานมาประทับ แรมที่พระต�ำหนักทักษิณราชนิเวศน์เพื่อปฏิบัติพระราชกรณียกิจในจังหวัด ชายแดนใต้ หมู่บ้านแห่งนี้จะเป็นหนึ่งในหลายหมู่บ้านที่โชคดี เนื่องจากไม่ว่า พระองค์ท่านจะเสด็จพระราชด�ำเนินจังหวัดปัตตานี ยะลา หรือในนราธิวาสจะ ต้องเสด็จผ่านเส้นทางสายเอเชียนี้ เมื่อได้ยินเสียงไซเรนของรถฉลามบก ทุกคน จะออกไปยืนเป็นแถวหน้ากระดานเพื่อรับเสด็จรวมทั้งเด็กหญิงและเพื่อนใหม่ เด็กหญิงได้รับค�ำบอกจากผู้ใหญ่ว่าให้สังเกตรถที่มีธงเพราะท่านคือพระเจ้า แผ่นดินและพระราชินี แผ่นดินที่เราอยู่นี้เป็นของท่าน ขอให้เราถอนสายบัว เพื่อถวายความเคารพเมื่อขบวนรถพระที่นั่งเสด็จผ่าน เด็กหญิงจึงได้โอกาสใน การสอนเพื่อนใหม่ถอนสายบัว เมื่อขบวนเสด็จมาถึงเด็กหญิงและเพื่อนใหม่ จะเห็นพระองค์ท่านทรงโบกพระหัตถ์ให้กับประชาชนของพระองค์ทุกครั้ง ทั้ง เด็กหญิงและเพื่อนใหม่จึงถวายความเคารพด้วยการถอนสายบัว ในขณะที่เด็ก ชายที่ยืนอยู่ข้างๆก็ทำ� ตาม ผู้ใหญ่จึงบอกเด็กชายผู้นั้นให้โค้งค�ำนับ หากไม่ดึก นักเด็กหญิงและเพื่อนใหม่จะรอจนกว่าขบวนเสด็จกลับ ภาพเช่นนี้จะเกิดเป็น ประจ�ำทุกวันในหมูบ่ า้ นแห่งนี้ ยกเว้นบางวันทีเ่ สด็จไกลๆ ผูใ้ หญ่จะให้เด็กๆกลับ เข้าบ้านก่อนเพราะยุงชุม บางคืนเด็กหญิงจะได้ยินเสียงรถขบวนเสด็จกลับ ดึกมาก วันหนึ่งก�ำนันซึ่งเป็นลุงเขยแจ้งให้ลูกบ้านทราบว่า ในหลวงจะเสด็จ ที่วัดบ้านเรา ชาวบ้านทุกคนตื่นเต้นมาก เด็กหญิงก็ดีใจไปกับเขาด้วยเพราะ จะได้ชมพระบารมีใกล้ๆ ชาวบ้านทัง้ ไทยพุทธ ไทยมุสลิม มีการเตรียมตัวพัฒนา หมู่บ้านกันใหญ่ ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ทั้งถากหญ้าข้างถนนซึ่งสมัยนั้นเป็น ถนนดินแดงหน้าร้อนฝุ่นตลบ หน้าฝนถนนเป็นโคลนตม ถางป่าข้างทาง ท�ำรั้ว บ้านด้วยไม้ไผ่ไขว้ดูสวยงาม เมื่อถึงวันที่ท่านเสด็จทุกคนต่างมารอรับเสด็จ เด็กหญิงพับเพียบนั่งอยู่กับแม่แก่ บริเวณหน้าโบสถ์ในขณะที่เพื่อนใหม่นั่งกับ


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

219

โต๊ะ(ยาย)ของเขาเช่นกัน ทั้งคู่ดูไม่ซุกซนได้แต่ส่งรอยยิ้มให้กัน เมื่อเห็นพระองค์ ท่านไกลๆ เด็กหญิงรู้สึกขนลุกซู่อย่างบอกไม่ถูก ภาพลุงเขยที่กล่าวรายงาน ป้าที่ถวายมาลัยข้อพระกรยังตรึงในใจ คิดว่าท�าอย่างไรจะได้มีโอกาสเข้าไปใกล้ ท่านบ้าง และเมื่อพระราชินีและพระราชธิดาองค์เล็กเสด็จพระราชด�าเนินมา ใกล้ จนกระทั่งถึงตรงที่เด็กหญิงนั่งอยู่ เด็กหญิงใจเต้นระทึก เมื่อพระราชินี ทรงตรัสกับแม่แก่พระสุรเสียงท่านไพเราะกังวานท่านตรัสว่า สบายดีไหมจ๊ะ ตอนนี้อายุเท่าไรแล้วจ๊ะ มารอนานหรือยังจ๊ะ เด็กหญิงมัวแต่ตื่นเต้นจนไม่ได้ยิน ว่าแม่แก่ตอบว่าอย่างไร บทสรุป สี่สิบปีล่วงมาเวลาผ่าน ความเป็นอยู่ร่วมกันประทับใจ ความงดงามทางด้านภาษา ก่อเกิดความเข้าใจกันและกัน ความงดงามทางด้านความเป็นอยู่ รู้แนวทางด�าเนินเหินมาจร ความงดงามทางด้านวัฒนธรรม บรรพชนสร้างไว้ให้พวกเรา ความงดงามทางด้านศูนย์รวมใจ เป็นแสงสว่างทั่วไทยดุจแสงเทียน ความสุขท่ามกลางผสมผสาน การอยู่ร่วมสันติสุขทุกโมงยาม

ใช่เนิ่นนานเกินกว่าน่าหวั่นไหว พุทธมุสลิมคือไทยเราด้วยกัน เป็นคุณค่าควรสอนวอนลูกหลาน ไม่มีวันที่ใครมาบั่นทอน เป็นดั่งครูชีวิตคิดสั่งสอน รูจ้ กั ผ่อนความหนักและความเบา ที่เลิศล�้าที่ฉลาดขาดความเขลา ให้เข้าใจที่มาและบทเรียน ที่ยิ่งใหญ่ควรบันทึกไว้อ่านเขียน ตามรอยพระบาทเพียรพยายาม วัฒนธรรมบันดาล ใช่ขวากหนาม ความงดงามที่รอวันหวนกลับคืน


220

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา นายยะยา โล๊ะนิโย

คิดถึง...รองเง็ง (หล้อแหง็ง) บูลัน จือระฮ์ ชาฮายา ปูเตะฮ์ ออรัง เบอร์ฆาลา มึนญาเดาะ ตือบิง บูกันมูเดาะฮ์ เบอร์จือรัย กาเซะฮ์ ซือเปอรตี ดาระฮ์ มือนิงฆัล ดาฆิง ดวงจันทร์เพ็ญ เด่นพราว สกาวแสง คันไถแรง แทงพล�้ำ ถล�ำดิน ให้ตัดรัก หักใจ อาลัยสิ้น สุดถวิล ดั่งเลือดเนื้อ จะตัดไย

ราวกับแว่วยินเสียงแหบแห้ง หากยังคงทอดไปด้วยอารมณ์ของบทเพลง “ปูโจ๊ะปีซัง” บทเพลงพื้นบ้านแห่งท้องถิ่นภาษามลายู ซึ่งหากว่าเพียงแค่อ่าน แม้ท่วงท�ำนองร้อยแก้ว คนเฒ่าคนแก่ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ อาจยังคงปรากฏรอยยิ้มด้วยความสุขสดชื่นไปพร้อมรอยร�ำลึกแห่งกาลเวลา... เสมือนคุณยายของข้าพเจ้า เมาะบูงอ


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

221

ตั้งแต่ข้าพเจ้าจ�ำความได้และอยู่ในวัยที่สามารถเรียนรู้ภาษาพูดได้แล้วนั้น ข้าพเจ้าเคยนึกขันชื่อของคุณยายอยู่หลายครั้งหลายครา อีกทั้งให้นึกสงสัยอยู่ ครามครันว่า คนอื่นๆได้เห็นว่าชื่อของคุณยายนั้นฟังไพเราะไปได้อย่างไร เนื่องจากในสมัยปัจจุบันนี้จะหาใครสักคนที่มีชื่อว่า “บูงอ” ก็ยากหา แม้ว่าค�ำ นีจ้ ะหมายความถึง “ดอกไม้” ก็ตามที จนเมือ่ ท่านได้เล่าสูก่ นั ฟังให้ลกู หลานด้วย ภาษามลายู ที่ให้ฟังอย่างไร ก็ยังเหลือเค้าส�ำเนียงไทยใต้อยู่นั่นเองว่า “ฉันชื่อ บุหงา เป็นคนสงขลา พอมาอยู่นราฯ ใครๆก็เรียก บูงอ!” และเมื่อคุณยายเริ่มต้นเท้าความประวัติของตนเองตรงนี้ ความทรงจ�ำ ในคืนวันเก่าก่อนก็จะถูกพัดพาราวกับลมตะเภาในฤดูเกี่ยวข้าวยามโพล้เพล้ ของวัน ที่ถึงแม้จะอ่อนแสงร�ำไร หากก�ำลังลมยังคงพัดเสมอต้นเสมอปลาย จนให้รู้สึกได้ถึงความอ่อนโยน “วั น นั้ น ที่ จั ง หวั ด นราธิ ว าสท้ อ งฟ้ า แจ่ ม ใส ในหลวงท่ า นเสด็ จ มา พระราชทานรางวัล ๑...” ข้าพเจ้ายังจ�ำได้ว่า พอเล่ามาถึงตอนนี้คุณยายบูงอก็ ประนมมือ ก่อนที่ท่านจะพูดต่อด้วยน�้ำเสียงแจ่มใสแม้แหบแห้ง แววตาฝ้าฟาง ในกรอบตาเหี่ยวย่นยังสะท้อนถึงความอิ่มเอมเป็นประกาย “ยายร�ำรองแง็ง...” รองแง็ง หรือ รองเง็ง (ภาษาไทยถิน่ ใต้เรียก หล้อแหง็ง) ทีค่ ณ ุ ยายร�ำลึก ถึงนั้น เป็นศิลปะการร่ายร�ำในแบบพื้นเมืองของชาวไทยมุสลิมในพื้นที่จังหวัด ชายแดนภาคใต้ ทีส่ บื ทอดมายาวนานตัง้ แต่ครัง้ อดีตจนถึงปัจจุบนั แม้วา่ ปัจจุบนั นีจ้ ะไม่คอ่ ยได้เห็นศิลปะการแสดงรูปแบบนีบ้ อ่ ยนัก แต่ขา้ พเจ้าก็เชือ่ มัน่ ว่าคนใน พื้นที่นี้คงไม่มีใครปฏิเสธว่าไม่รู้จัก และคงไม่มีใครปฏิเสธถึงความมีอยู่ของสิ่งที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯได้เสด็จพระราชทานโล่เกียรติคุณและเงินรางวัล แก่โต๊ะอิหม่ามผู้ปฏิบัติงานดีเด่น ประจ�ำปี ๒๕๒๗ ณ อาคารมัสยิดกลาง จังหวัดนราธิวาส (ข้อมูลจากภาพข่าวทักษิณ ปีที่ ๒๕ ฉบับที่ ๑ ประจ�ำเดือน ตุลาคม ๒๕๒๗)


222

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

สะท้อนให้เห็นถึงศิลปวัฒนธรรมอันสูงค่าของ รองแง็ง... “การร�ำรองเง็ง มีจังหวะการเคลื่อนย้ายแบบลีลาศอยู่หลายจังหวะ เช่นจังหวะทูเสต็ป(Two step) จังหวะบีกิน (Beguine) ซึ่งดิฉันจะให้นักเรียน เข้าใจจังหวะรูปแบบนี้ก่อนเป็นล�ำดับแรก เพราะรองเง็งจะใช้การสลับเท้าเป็น ส�ำคัญ เมื่อเท้ามีชีวิต มือไม้ก็จะพลอยมีชีวิตไปด้วย ยกตัวอย่างดนตรีจังหวะบี กินจะเป็นแบบ ๔/๔ คือ มี ๔ จังหวะใน ๑ ห้องเพลง โดยที่สามจังหวะแรกจะ เป็นเสียงหนัก และจังหวะที่สี่จะเป็นเสียงเบา และทุก ๆ จังหวะจะมีความเร็ว ช้าเท่ากันหมด การนับจังหวะจะนับ ๑,๒,๓, พัก, ๑,๒,๓,พัก ต่อเนือ่ งกันไป การ ก้าวเท้าทุกๆ ก้าวไม่ว่าจะเป็นการเดินไปข้างหน้าหรือถอยหลังก็ตามต้องให้ ฝ่าเท้าถึงพืน้ ก่อนเสมอ แล้วจึงราบลงเต็มเท้า ในขณะทีเ่ ดินนัน้ เข่าจะงอเล็กน้อย และตึงเข่าเมื่อวางเท้าถึงพื้นเพื่อรับน�ำ้ หนักตัว หลักการก้าวเท้า คือ เข่าจะงอ ข้างหนึ่ง และตั้งข้างหนึ่งสลับกันไปมา ซึ่งจะท�ำให้สะโพกบิดไปมาอย่างเป็น ธรรมชาติและสวยงาม” นัน่ คือการให้คำ� อธิบายในแบบบูรณาการ ของนางวรนาถ มาหะมะ ครู คศ.๒ โรงเรียนบ้านรือเปาะ อ�ำเภอจะแนะ จังหวัดนราธิวาส ที่มักจะฝึกสอน รองเง็งให้แก่นกั เรียนในชัว่ โมงวิชาศิลปะและดนตรี ทีน่ อกจากจะเป็นการฝึกให้ นักเรียนได้เรียนรูจ้ งั หวะของดนตรีและการเคลือ่ นไหวอย่างสร้างสรรค์แล้ว หาก พิจารณาให้ลึกซึ้ง ยังเป็นการสืบทอดค่านิยมในวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงามของ ท้องถิ่นไว้ให้เยาวชนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้และเข้าใจอีกด้วย ซึ่งการร่ายร�ำรองเง็งนั้น จะมีความสวยงามพร้อมเพรียง ก็ด้วยการเคลื่อนไหวของเท้า มือ ล�ำตัว ตลอด จนการแต่งกายของคู่ชายหญิงในแบบพื้นเมืองสีสันสดใส ซึ่งเมื่อประสานด้วย บทเพลงและดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะแล้วก็ท�ำให้สามารถตราตรึงผู้ชมให้ สะกดแต่ท่วงท่าร่ายร�ำไม่วางตา ท�ำให้รองแง็งของโรงเรียนบ้านรือเปาะเป็นที่ รู้จักของประชาชนในอ�ำเภอจะแนะและบ่อยครั้งที่รองเง็งของที่นี่ได้รับการ


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

223

เชือ้ เชิญให้แสดงเพือ่ เปิดงานเป็นปฐมพิธใี นรูปแบบศิลปวัฒนธรรมหรือมหกรรม วิชาการระดับจังหวัดอยู่เสมอ ศิลปะการร�ำรองเง็งนัน้ เป็นทีร่ จู้ กั อย่างกว้างขวางในประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย บรูไนและหลายประเทศในแถบนี้รวมทั้งตอนใต้ของประเทศไทย โดยได้มีผู้สันนิษฐานกันว่า การร�ำรองเง็งน่าจะมาจากวัฒนธรรมตะวันตกซึ่ง เมื่อพิจารณาจากลักษณะจังหวะการเต้น โดยว่ากันว่า ชาวโปรตุเกสหรือ ฮอลันดาในอดีตได้น�ำมาเผยแพร่ในประเทศชวา มลายู โดยเฉพาะเมื่อถึงวัน รื่นเริงหรือวันขึ้นปีใหม่โดยจะมีการผสมผสานให้เข้ากับบทเพลงพื้นเมืองและมี การเปลี่ยนท่วงท่าให้ง่ายขึ้น ท�ำให้ชาวพื้นเมืองเกิดความสนใจและได้ท�ำการ ฝึกซ้อมกันมาจนกระทั่งเกิดเป็นศิลปะการร่ายร�ำประเภทนี้ขึ้น ส�ำหรับใน ประเทศไทยนั้น ด้วยความใกล้ชิดและสัมพันธ์กันของลักษณะภูมิศาสตร์ และวัฒนธรรมประเพณี ท�ำให้จังหวัดทางภาคใต้ของประเทศไทยสามารถรับ เอาวัฒนธรรมรูปแบบนี้เข้ามาอย่างง่ายดาย คุณยายบูงอ เล่าว่า ในอดีตนั้น รองเง็ง นิยมแสดงกันในบ้านเจ้าเมือง หรือขุนนางมุสลิมโดยอาศัยการคั่นจังหวะระหว่างการแสดง มะโย่ง๒ ซึ่งในการ ร่ายร�ำจะไม่มีการถูกเนื้อต้องตัวกันระหว่างคู่ชายหญิงเพราะจะดูไม่เหมาะสม (ซึ่งข้าพเจ้าสันนิษฐานว่า น่าจะเป็นเพราะอิทธิพลของบทบัญญัติทางศาสนา อิสลาม) คุณยายเล่าต่อว่า ผูแ้ สดงรองเง็งจะแต่งตัวอย่างสวยงาม พริง้ เพรา โดย ฝ่ายชายจะสวมชุดแขนยาวติดกระดุมถึงคอ กางเกงขายาวหลวมโพรกคล้าย กางเกงจีนสีสนั สดใส ซึง่ คุณยายส�ำทับว่า การแต่งตัวของนักแสดงนี้ สามารถบ่ง ถึง “ฐานะ” ทางสังคมได้อีกทางหนึ่ง โดยผู้แสดงชายที่เป็นผู้ดีมีเงิน จะคาดทับ กางเกงด้วยผ้าไหมปักดิ้นยาวประมาณศอก สีทองบ้างสีเงินบ้างเป็นลายกนก มะโย่ง คือการแสดงรูปแบบหนึง่ ในท้องถิน่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีรปู แบบการแสดงเป็นละครร�ำคล้ายการแสดง โนราห์ เช่นเดียวกับการแสดงดิเกร์ฮูลู ที่มีส่วนคล้ายลิเก/ล�ำตัด


224

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

มีกริชในฝักสวยเหน็บเข้าทีส่ ะเอว หากฐานะรองลงมาก็ใช้ผา้ ฝ้ายธรรมดา ถักตา โตๆ ส่วนผูห้ ญิงทีม่ ฐี านะก็ยงิ่ วับวาวยิง่ กว่าชายโดยใช้ผา้ ไหมเช่นเดียวกัน แต่การ ตกแต่งจะยิ่งเพิ่มความละเอียดลออ ซึ่งลักษณะชุดเป็นแบบเข้ารูปปิดสะโพก ผ่าอกตลอด ติดกระดุมทองเป็นระยะ ผ้านุ่งจะยาวกรอมเท้า และยังมีผ้าคลุม ไหล่บางๆ ปักลวดลายดอกไม้สีอ่อนบาง “วันนั้นเขาก่อปะร�ำขึ้นที่ริมหาดนราทัศน์ ตลอดถนนมีเพิงการแสดง มากมายทั้งมะโย่ง ดิเกร์ฮูลู ตกกลางคืนมีหนังตะลุง...ยายยังเห็นคุณตาของหลานอยู่ไกลๆรวมอยู่ กับคนอื่นๆดูมีเกียรติ และเต็มไปด้วยยศศักดิ์...บูลัน จือระฮ์ ชาฮายา ปูเตะฮ์... ออรัง เบอร์ฆาลา มึนญาเดาะ ตือบิง” ข้าพเจ้าแอบยิ้มอย่างขวยเขิน เมื่อคุณยายเล่ามาถึงตรงนี้ เพราะถ้า หากว่าเป็นภาพยนตร์รักหรือในบทประพันธ์ประเภทนวนิยายรักขนาดยาวๆ ก็คงจะเป็นบทเข้าพระเข้านางอย่างแน่แท้ ในเรื่องนี้ข้าพเจ้าย่อมรู้อยู่แก่ใจดีว่า ครอบครัวของคุณตานั้นเป็น ครอบครัวใหญ่ที่มีฐานะและเกียรติศักดิ์มั่นคง ด้วยผู้น�ำครอบครัวได้สืบทอด ต�ำแหน่งผู้น�ำศาสนาหรือ “โต๊ะอิหม่าม๓ ” มาหลายชั่วอายุคน ซึ่งอาจเป็น ธรรมเนียมทีถ่ อื ปฏิบตั ไิ ด้วา่ การรักษาต�ำแหน่งทีส่ งู ค่านัน้ ควรสงวนไว้ในตระกูล ทีเ่ คยด�ำรงต�ำแหน่งนีเ้ ท่านัน้ จนกระทัง่ มาถึงคราวคุณตาของข้าพเจ้า ด้วยคุณวุฒิ ด้านวิชาการศาสนา ด้วยวัยวุฒิที่เพียบพร้อม คงไม่มีใครปฏิเสธได้ถึงความ เหมาะสมในต�ำแหน่งผูน้ ำ� ศาสนาของหมูบ่ า้ น เพียงสิง่ เดียวทีอ่ าจถูกสังคมกระซิบ กระซาบและนินทาค่อนข้างหนักหนาสาหัสทีเดียวนั่นคือ การรับเอาหญิงสาว นางร�ำรองเง็งมาเป็นศรีภรรยา โต๊ะอิหม่าม เป็นต�ำแหน่งผูน้ ำ� ทางศาสนาอิสลาม ในการเป็นผูน้ ำ� /ผูแ้ ทน ปฏิบตั ศิ าสนกิจ หรือพิธกี รรมอืน่ ทางศาสนา โดยอาศัยหลักปฏิบัติหรือบทบัญญัติทางศาสนา


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

225

แต่สัจธรรมอย่างหนึ่งที่มุสลิมทุกคนต่างต้องส�ำนึกคือ ชะตาชีวิตทั้ง หลายนี้ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ย่อมล้วนมาจากการลิขิตชะตาของอัลลอฮ์! ก็อย่าง ที่คุณยายเปรยต่อมาในท่อนท้ายของบทเพลงว่า... บูกันมูเดาะฮ์ เบอร์จือรัย กาเซะฮ์... ซือเปอรตี ดาระฮ์ มือนิงฆัล ดาฆิง” ส�ำหรับข้าพเจ้านั้น เมื่อได้ฟังท่วงท�ำนองถ้อยค�ำในบทเพลง ก็ท�ำให้อด นึกถึงความคล้องจองของบทเพลงในแต่ละวรรคเสียมิได้ จึงก่อให้เกิดความสนใจ และใคร่อยากจะเรียนรูบ้ ทเพลงท้องถิน่ ภาษามลายูทใี่ ช้ประกอบการร่ายร�ำรอง แง็งเพิ่มขึ้น ในสมัยทีค่ ณ ุ ตายังมีชวี ติ อยู่ ข้าพเจ้าเคยมีโอกาสไต่ถามท่าน ในฐานะที่ ท่านมีความช�ำนาญด้านภาษาและวรรณกรรมภาษามลายู ท่านได้อธิบาย แก่ข้าพเจ้าว่า ภาษามลายูถิ่นที่เราใช้ส่งภาษากันนั้น ก็มีโครงสร้างเหมือน อย่างภาษาอื่น ไม่ว่าจะเขียนหรือพูดในรูปแบบร้อยแก้ว หรือส่งท�ำนองกัน ในรูปแบบร้อยกรองก็ตามที ซึง่ สอดคล้องกับท�ำนองเพลงพืน้ บ้านทีใ่ ช้ขบั ร้องกัน ทั่วไปทั้งในการแสดงมะโย่ง ดิเกร์ฮูลู หรือแม้กระทั่งรองเง็ง ซึ่งมักมีรูปแบบ ฉันทลักษณ์ อันเป็นกฏตายตัวอยู่เพียงสองถึงสามรูปแบบเท่านั้น ยกตัวอย่าง รูปแบบหนึ่ง เป็นดังนี้

วรรคที่ ๑.....................

วรรคที่ ๒.....................

วรรคที่ ๓.....................

วรรคที่ ๔.....................

เสียงค�ำท้ายของวรรคที่ ๑ สัมผัสหรือคล้องจองกับเสียง ค�ำท้ายของวรรคที่ ๓ และเสียงค�ำท้ายของวรรคที่ ๒ สัมผัสหรือคล้องจองกับเสียงค�ำ ท้ายของวรรคที่ ๔


226

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

จากรูปแบบในฉันทลักษณ์ สามารถอธิบายได้วา่ กลอนภาษามลายูหรือ ที่เรียกว่า “ชาอิร๔ ” นั้น หนึ่งบทประกอบด้วยสี่วรรค ในแต่ละวรรคจะมีคำ� อยู่กี่ค�ำก็ได้เพียงแต่อาจไม่ยาวจนเกินไปนัก โดยรูปแบบการสัมผัสนอกจะเน้น ที่ค�ำหรือพยางค์ท้ายวรรค ซึ่งเสียงค�ำท้ายของวรรคที่ ๑ สัมผัสหรือคล้องจอง กับเสียงค�ำท้ายของวรรคที่ ๓ และเสียงค�ำท้ายของวรรคที่ ๒ สัมผัสหรือ คล้องจองกับเสียงค�ำท้ายของวรรคที่ ๔ ดังเช่น ตัวอย่าง บทเพลงปูโจ๊ะปีซัง บูลัน จือระฮ์ ชาฮายา ปูเตะฮ์ ออรัง เบอร์ฆาลา มึนญาเดาะ ตือบิง บูกันมูเดาะฮ์ เบอร์จือรัย กาเซะฮ์ ซือเปอรตี ดาระฮ์ มือนิงฆัล ดาฆิง ดวงจันทร์เพ็ญเด่นพราวสกาวแสง คันไถแรงแทงพล�้ำถล�ำดิน ให้ตัดรักหักใจอาลัยสิ้น สุดถวิลดั่งเลือดเนื้อจะตัดไย แต่คุณยายบูงอนั้น ท่านมักจะมีเนื้อเพลงเป็นของตนเองเสมอ ซึ่ง ข้าพเจ้าเคยได้ยนิ อยูบ่ อ่ ยๆยามเมือ่ ท่านไกวเปลขึน้ ลง รับกับท่วงท�ำนองทีข่ นึ้ ต้น สุขซึ้งระคนเคล้าเศร้าว่า “บุหงาตันหยง... หยงไหรละน้อง หยงดอกขี้เตรย คิดแล้วสงสารตัวเราเอย ขี้เตรยเลื้อยลามมา ตามติด ลูกเขาเมียเขามาผูกรักกับเราไม่ใคร่คิด ขี้เตรยเลื้อยลามมาตามติด ยังไม่หนิดน้องหนอ...เหมือนเมียเอง” ชาอิร(syair) หรือออกเสียงเป็นภาษามลายูถิ่นว่า แสะแอ หมายถึงกวีนิพนธ์ประเภทร้อยกรองในภาษามลายู (ข้อมูล จากสารวัฒนธรรม ฉบับที่ ๒ ของศูนย์วัฒนธรรมชายแดนภาคใต้) ๔


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

227

ภายหลังจากทีค่ ณ ุ ตาได้พบกับคุณยายในงานฉลองรืน่ เริงวันนัน้ ในเดือน ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๗ น่าแปลกที่ราวเพียงสามเดือนให้หลัง คุณตาก็ได้รับการเชื้อเชิญให้ไป สอนหนังสือวิชาศาสนาที่โรงเรียนปอเนาะในจังหวัดสงขลา ข้าพเจ้าได้แต่ สันนิษฐานอย่างทีเล่นทีจริง...หากแม้นว่า คุณยายบูงอ ในสมัยนั้นเกิดเป็น นางสาวบุหงาในสมัยนีค้ งอาจเรียกได้วา่ เป็นสาว “เปรีย้ ว” พอดู เพราะแท้ทจี่ ริง แล้ว นางสาวบุหงาเป็นบุตรีของผูน้ �ำศาสนาหรือ “โต๊ะอิหม่าม” ทีม่ ชี อื่ เสียงท่าน หนึ่งในจังหวัดสงขลา และได้แอบสมัครเข้าร่วมกิจกรรมการร่ายร�ำของชมรม แห่งหนึ่งอย่างลับๆมิให้ผู้เป็นบิดาล่วงรู้เพราะเกรงจะถูกดุด่า หรือร้ายไปอีก ก็อาจถูกลงโทษ (เพราะหญิงสาวมุสลิมที่ดีไม่พึงเปิดเผยหน้าตาหรือจริตกริยา ต่อหน้าสาธารณชนโดยไม่จ�ำเป็น) และสืบเนื่องจากทางชมรมแห่งนั้นได้รับการ เชื้อเชิญให้น�ำการแสดงรองแง็งเพื่อน�ำไปแสดงในงานกาชาดและงานรื่นเริง ของจังหวัดนราธิวาสในปีนั้น นางสาวบุหงาจึงได้มีโอกาสแต่งองค์ทรงเครื่องอย่างสวยสดงดงาม ตอนเปิดโรงรองเง็ง...และยามเครือ่ งดนตรีบรรเลงขับขาน นางสาวบุหงาในแถว ตอนหน้าของนักร่ายร�ำสตรีก็เยื้องย้ายออกมา ความสวยงามและความน่าดู ของบรรดานางร�ำรองเง็งนั่นคือ การร่ายร�ำอย่างเข้าจังหวะจะโคนรับกับดนตรี บรรเลง อันประกอบด้วยเครื่องดนตรีน้อยชิ้นแต่หากยามใดที่โหมโรงกันเข้าก็ดู เหมื อ นเสียงบรรเลงจะมีอ�ำนาจดลจิตดลใจให้ตราตรึงหลงใหลอยู่มิรู้วาย ทัง้ ร�ำมะนา (ภาษาพืน้ เมืองเรียกว่า บานอ) ฆ้อง ไวโอลิน แทมโบลินและปัจจุบนั ยังมีเสียงของกีตาร์ ไว้เพิ่มความนุ่มนวลขึ้นอีก ซึ่งเพลงจังหวะรองเง็งมีผู้รู้จัก และนิยมท�ำการร่ายร�ำ ส่วนใหญ่มีอยู่ ๗ เพลง คือ ๑. เพลงลาฆูดูวอ (หมายถึง บทเพลงที่สอง) ๒. เพลงลานัง หรือเลนังเลนัง (หมายถึง น�้ำใสสะอาดที่ไหลหยด) ๓. เพลงปูโจ๊ะปีซัง (หมายถึง ยอดใบตองอ่อน)


228

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

๔. เพลงจินตาซายัง (หมายถึง ด้วยรักและคิดถึง) ๕. เพลงอาเนาะดีดี๊ (หมายถึง ลูกสุดที่รัก) ๖. เพลงมะอินังชวา (หมายถึง แม่นมหรือพี่เลี้ยงชาวชวา) ๗. เพลงมะอินังลามา (หมายถึง แม่นมหรือพี่เลี้ยงเก่าแก่) เพลงทีย่ นื โรงและมักเป็นทีร่ จู้ กั ของคนเฒ่าคนแก่ มี ๒ บทเพลงคือ ลาฆู ดูวอ และเพลงมะอินังลามา ซึ่งเป็นบทเพลงที่ใช้ประกอบการร่ายร�ำรองเง็งกัน มาแต่โบราณ นอกเหนือจากนีก้ เ็ ป็นบทเพลงทีเ่ หมาะแก่การร่ายร�ำเป็นหมูค่ ณะ เช่น เพลงปูโจ๊ะปีซัง เป็นต้น ข้าพเจ้าใคร่ขอให้ตัวอย่างจังหวะการร่ายร�ำรองเง็งในบางเพลง ซึ่ง ข้าพเจ้าได้คัดข้อมูลบางส่วนในสารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต้ โดยเสนอในรูป แบบตารางดังนี้


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

บทเพลงประกอบ เพลงลาฆูดูวอ ฮาตู ชัยตัน มูกอปิรู ตูรนกือตาเนาะห์ ซูกอมืองารู ซายะปากัย จือปากอบีรู ซูติงดีซานอ ซินิงบรือบาฮู ภูตพรายหน้าตาฉาบสีขาบข้น สูดินดลหวังหมายท�ำลายสิ้น ดอกจ�ำปาสีน�้ำเงินเป็นปีกบิน อยู่ถิ่นนั้นหอมกลิ่นมาถิ่นนี้ เพลงลานัง ลานัง ซีปากู ลานัง ลานังมารี เบอร์รามัย-รามัย บูกันซายอ ซีมาโบะปีนัง ซายอมาโบะ กืออาเดะ ซาออรัง กระโดดเชือกเริงเล่นเต้นกระโดด มาเล่นโลดกระโดดกันขยันเต้น ฉันวิงเวียนใช่กนิ หมากเมายากเย็น ที่เมาเป็นเมากมลน้องคนเดียว เพลงปูโจ๊ะปีซัง บูลันจือระฮ์ ชาฮายา ปูเตะฮ์ ออรังเบอร์ฆาลามึนญาเดาะ ตือบิง บูกันมูเดาะฮ์ เบอร์จือรัย กาเซะฮ์ ซือเปอรตี ดาระฮ์ มือนิงฆัล ดาฆิง ดวงจันทร์เพ็ญเด่นพราวสกาวแสง คันไถแรงแทงพล�้ำถล�ำดิน ให้ตัดรักหักใจอาลัยสิ้น สุดถวิลดั่งเลือดเนื้อจะตัดไย

ท่วงท่าการร่ายร�ำ เมื่อดนตรีบรรเลงฝ่ายชายจะโค้งให้ ฝ่ายหญิง สองฝ่ายเดินเข้าหากันกลาง วง เริ่มด้วยการเล่นเท้ากับที่ ฝ่ายชาย ตามฝ่ายหญิงรุกชิดๆ ฝ่ายหญิงจะถอย และหมุ น เมื่ อ จบเพลงและเพลงจะ เปลี่ยนเป็นจังหวะเร็ว ทุกคู่เปลี่ยนท่า เต้นให้เร็วตาม จังหวะการเต้นมีทั้งช้าและเร็ว โดย จังหวะช้าทัง้ หญิงชายเข้าหากันและนัง่ ลง ส่วนจังหวะเร็วให้สลับกัน ฝ่ายชาย นั่งตบมือหญิงนาดแขนแล้วหมุนกลับ ให้ทันในจังหวะเร็ว จบจังหวะเร็วแล้ว เต้นจังหวะช้าสวนกันไปมานัง่ สลับกัน จนจบเพลง

เมื่อดนตรีบรรเลงฝ่ายชายจะโค้งฝ่าย หญิงและเท้ากับที่ จากนั้นฝ่ายชาย หมุ น ตั ว หั น หลั ง ไปคนละฟากจนถึ ง จังหวะเล่นเท้ากับที่ ทัง้ สองฝ่ายจะเล่น เท้าพร้อมกัน ใกล้จบเพลงจะหมุนตัว เต้นสวนกันไปมา และเล่นเท้าในระยะ ชิดกันสลับกันจนจบเพลง

229

ตัวอย่างภาพประกอบ


230

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

จากข้อมูลในตัวอย่างตารางเปรียบเทียบลักษณะการร่ายร�ำของแต่ละ บทเพลงจะพบว่า มีทั้งลักษณะที่เหมือนและแตกต่างกันไม่ว่าจะเป็นบทเพลง จังหวะช้าหรือเร็ว ในส่วนที่แตกต่างกันนั้นจะปรากฏในตอนเริ่มต้น และจังหวะ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของแต่ละบทเพลงเท่านั้น เช่น การหมุนตัว การปรบมือ การนาดแขนฯลฯ หากในส่วนทีเ่ หมือนกันคือ จังหวะการเล่นเท้านัน่ เอง จึงอาจ เป็นการตั้งข้อสังเกตได้ทีเดียวว่า ในการร่ายร�ำรองเง็งนั้น การฝึกจังหวะเท้าให้ พร้อมเพรียงอย่างเข้าจังหวะจะโคนนั้นเป็นสิ่งที่ส�ำคัญเป็นอันดับแรก เพราะ ถ้าไล่จังหวะเท้าได้แม่นย�ำ จากนั้น ไม่ว่าจะเดินวน เดินไล่ ฉวัดเฉวียน ก็ท�ำได้ อย่างเป็นธรรมชาติ ถ้าหากถามว่าข้าพเจ้านั้นชื่นชอบบทเพลงไหนมากที่สุดของเพลง ประกอบการร่ายร�ำรองเง็ง ก็อาจตอบยากอยูเ่ อาการ แต่บทเพลงทีถ่ กู ใจข้าพเจ้า ด้ ว ยเนื้ อ หา ลักษณะการเปรียบเปรยในเชิงอุปมาอุปมัย คงจะต้องยกให้ เพลง ปูโจ๊ะปีซงั หรือแปลเป็นภาษาไทยได้วา่ “ยอดใบตองอ่อน” ซึง่ ในวัฒนธรรม ทางภาษาจะถูกเปรียบเทียบว่าด้วยความรักของหนุ่มสาวเสมือนยอดตองอ่อน ที่ก�ำลังจะโผล่ปล้องล�ำต้น สวยงาม อ่อนใส บริสุทธิ์...ก็คงเหมือนดั่งความรัก ระหว่างคุณยายบูงอกับคุณตาโต๊ะอิหม่ามชาริฟนั่นเอง ซึ่งนอกจากจะอุปมา ดัง่ บทเพลงเสมือนดังทีเ่ ป็นบทเพลงแห่งชีวติ กระนัน้ แล้ว ยังประกอบด้วยความ อดทน อดกลั้น และกล้าหาญ...ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าร�ำลึกถึงคุณตาและคุณยาย ก็พลันให้นกึ ถึงถ้อยค�ำส�ำนวนหนึง่ ในภาษาอังกฤษทีว่ า่ Chance begets love… โชคชะตาน�ำมาซึ่งความรัก แรงบันดาลใจทั้งหมดทั้งมวลที่ข้าพเจ้าร�ำลึกถึงคุณยายบูงอ ก็เมื่อ ข้าพเจ้าได้มีโอกาสขึ้นบนเรือนปั้นหยาหลังน้อยที่ท้ายสวนของคุณยายเมื่อวัน หนึ่ง เรือนหลังเก่าที่ข้าพเจ้าเคยเห็นว่าน่าจะเป็นสมบัติโบราณเก่าแก่ที่ยัง เหลืออยู่ที่ถูกทิ้งให้รกร้างตั้งแต่ครั้งที่คุณยายจากไปอย่างไม่มีวันกลับ


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

231

ข้าพเจ้านัง่ ดูรปู คุณยายในสมัยทีย่ งั เป็นนางสาวบุหงาคนงามด้วยความ ระลึกถึง เพราะอย่างน้อยทีส่ ดุ ข้าพเจ้าก็เคยเป็นเด็กน้อยคนหนึง่ ทีท่ า่ นเคยไกว เปล...รูปขาวด�ำซีดเซียว เหลืองคร�่ำคร่านั้น บางจุดบนรูปลอกที่กรอบด้านล่าง ของรูปสลักตัวอักษรนูนเป็นลายไทยเล็กๆ...วรินทร์โฟโต้ นราธิวาส เมื่อย้อนไปในปี พ.ศ. ๒๕๒๗ ครั้งที่คุณตาไปสอนหนังสือที่โรงเรียน ปอเนาะแห่ ง หนึ่ งที่ จั ง หวั ด สงขลาโดยมีโ ต๊ ะ อิห ม่ า มเจ้ า ของปอเนาะเป็ นผู ้ เชือ้ เชิญ... เมือ่ คุณตาก้าวขึน้ บนเรือนท่านโต๊ะอิหม่าม เครือ่ งเชีย่ นหมากพลูทอง เหลืองวาววับก็ถูกยื่นให้ท่านเป็นการรับรองในฐานะอาคันตุกะที่มีเกียรติ... นั่นคือสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมโบราณอันสูงค่าของชาวไทยมุสลิม ในจังหวัดภาคใต้ ที่อุปมาดั่งเครื่องเชี่ยนหมากนั้นก�ำลังเอื้อนเอ่ยวาจาว่า “ข้าแต่ท่าน! ด้วยความจริงใจ ด้วยความถ่อมตน ข้านี้หวังเป็นอย่างยิ่ง ว่า ท่านจะได้น�ำความดีงามมาสู่เรา แต่ท่านอย่าได้ดูหมิ่นตัวข้า จากการกระท�ำ ของข้า ด้วยเหตุนี้หากข้าจ�ำเป็น ข้าย่อมมีสิทธิ์ที่จะปกป้องเกียรติแห่งข้า จึงแล้วแต่ท่านเถิดเอ๋ย ว่าจะเลือกสิ่งใด ระหว่างสิ่งดีหรือสิ่งเลว” คุณตาไม่เอ่ยอะไรทัง้ สิน้ เพราะเมือ่ ท่านเลือกทีจ่ ะหยิบใบพลูแล้วลงมือ ป้ายปูนลงบนใบพลูนนั้ ก่อนจะม้วนส่งใส่ปากเป็นค�ำแรก...ใบพลูกด็ งั่ จะบอกว่า “ฉันเป็นเพียงไม้เถา ต้องหมายปองสิง่ อืน่ แต่ฉนั ก็ไม่เคยท�ำให้สงิ่ ทีฉ่ นั หมายปอง นั้นเสียหาย เสื่อมเกียรติ ฉันพร้อมที่จะให้เกียรติ ถ่อมตน รู้คุณและกล้าหาญ ชาญชัย” หลังจากนัน้ อีกเพียงปีเดียว คุณตาก็เข้าพิธนี กิ ะห์ (พิธแี ต่งงานตามหลัก ศาสนาอิสลาม) กับคุณยาย...นางสาวบุหงา บุตรีโต๊ะอิหม่ามเจ้าของโรงเรียน ปอเนาะแห่งนั้น ข้าพเจ้าเคยได้ยินคนในครอบครัวพูดกันว่า คุณตาชอบล้อคุณยาย จนคุ ณ ยายหั ว เราะจนน�้ำ หมากหกว่ า “ผู ้ ห ญิ ง อะไร...ขอผู ้ ช ายแต่ ง งาน!”


232

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ข้าพเจ้าเองก็อดทีจ่ ะข�ำเสียไม่ได้ เพราะความจริงก็คงไม่ผดิ ไปจากค�ำพูดล้อเล่น ของคุณตาเท่าไหร่นัก ด้วยหลังจากที่นางสาวบุหงาประสบพบกับโต๊ะอิหม่าม หนุ่มน้อยที่ชื่อ ชาริฟ ในงานรื่นเริงของจังหวัดนราธิวาสในปีนั้น จะด้วยแรง โหมโรงของบทเพลงปูโจ๊ะปีซงั ทีก่ ระทบจิตใจอันอ่อนไหวของทัง้ คู่ หรือชะตาดล บันดาลก็สดุ รู้ นางสาวบุหงาเดินทางกลับบ้านหลังจากวันนัน้ ก็รอ้ งห่มร้องไห้กบั ผู้เป็นบิดา ไม่ยอมแตะน�้ำแตะข้าว (คุณยายคงจะกลบเกลื่อนที่ตัวเองหนีเที่ยว ด้วยเสียก็ไม่ร)ู้ หลังจากนัน้ ไม่นาน ผูเ้ ป็นบิดาก็เขียนจดหมายถึงโต๊ะอิหม่ามหนุม่ ชาริฟ ให้ช่วยมาอนุเคราะห์สอนหนังสือที่โรงเรียนปอเนาะของตน ผู้เป็นบิดานั้น มิได้หวังสิ่งใดมากไปกว่าต้องการฝากฝังลูกสาวแสนซน คนหนึง่ ให้หนุม่ น้อยและครอบครัวของเขาเป็นผูด้ แู ละช่วยว่ากล่าวตักเตือนด้วย ความรักความเอ็นดู หากสิง่ ทีพ่ อ่ หนุม่ คนนัน้ ได้พสิ จู น์ให้บดิ าฝ่ายหญิงได้ประจักษ์ คือ ความดี ความเป็นคนอ่อนน้อม กตัญญู และกล้าหาญสมชาย ที่เขาแสดงให้ เห็นอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ท�ำให้ผเู้ ป็นพ่อคนคนหนึง่ ย่อมรูส้ กึ ยินดีปลาบปลืม้ และโล่งใจ...นับจากนั้นมา คุณยายไม่เคยร้องเพลงรองเง็งอีกเลย คงมีบ้างยาม ที่ท่านว่างจากงานบ้านงานเรือน เช่นยามที่ท่านไกวเปลให้ลูกหลาน ยามนั้นคน ที่เดินผ่านไปมาบริเวณใต้ถุนเรือนปั้นหยาและเผลอได้ยินเข้าก็อดที่จะแสดง ความเห็นเสียไม่ได้ว่า “ยายบูงอแกนางร�ำรองแง็งเก่า...” ข้าพเจ้าพลิกดูดา้ นหลังรูปถ่ายใบเก่าของคุณยายก่อนจะวางกลับเข้าที่ เดิม ก็อดยิ้มอย่างเสียไม่ได้ เมื่อปรากฏลายมือหยักๆภาษามลายู ที่ตัวอักษรนั้น ตวัดและสะบัดปลาย ซึ่งข้าพเจ้าจ�ำได้ว่าเป็นลายมือของคุณตา ท่านได้เขียนลง ไปว่า


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

233

บูลัน จือระฮ์ ชาฮายา ปูเตะฮ์ ออรัง เบอร์ฆาลา มึนญาเดาะ ตือบิง บูกันมูเดาะฮ์ เบอร์จือรัย กาเซะฮ์ ซือเปอรตี ดาระฮ์ มือนิงฆัล ดาฆิง แหล่ง/ข้อมูลอ้างอิง ---ค�าสัมภาษณ์ ของนางวรนาถ มาหะมะ ต�าแหน่งครู คศ. ๒ โรงเรียน บ้านรือเปาะ สังกัดส�านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานราธิวาสเขต ๓ ---บันทึกความทรงจ�าของนายอับดุลรอนิง โล๊ะนิโย อดีตโต๊ะอิหม่าม บ้านมะนังปันยัง หมู่ ๒ ต.สามัคคี อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส (ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๑) ---นิตยสารภาพข่าวทักษิณ-รายเดือน ประจ�าเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ปี ที่ ๒๕ ฉบับที่ ๑ ---ศูนย์วัฒนธรรมชายแดนภาคใต้,สารวัฒนธรรม(suara budaya) สืบสานวัฒนธรรมชายแดนภาคใต้ ฉบับที่ ๒ ---สถาบันทักษิณคดีศึกษา,สารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต้ เล่ม ๘ หน้า ๓๐๐๔-๓๐๑๓


234

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา นายรุสตานมัยดิน สา

เวลาที่รถไฟออกจากชานชาลามันจะมีเสียงหวูดยาวๆ อยู่เสียงหนึ่ง ได้ยนิ แล้วรูส้ กึ เหมือนโดนมีดกรีดหัวใจ ดัง่ ใจจะขาด ปานกับไปแล้วจะไม่ได้กลับ มาอีก หลายคนอาจจะเคยมีความทรงจ�ำในอดีตฝังใจเกิดขึ้นที่สถานีรถไฟ เพราะมันเป็นที่พบที่จากของใครหลายๆ คน เสี ย งหวู ด รถไฟปลุ ก ให้ ผ มตื่ น ขึ้ น มาในตู ้ โ บกี้ ชั้ น สามที่ ส ถานี ร ถไฟ หาดใหญ่ด้วยอาการงัวเงีย บานหน้าต่างที่เปิดโล่งเอาไว้ เป็นช่องทางให้ลมตี เข้ามาโดนใบหน้าจนรู้สึกชา พอออกจากสถานีรถไฟหาดใหญ่ รถไฟก็มุ่งหน้าลงใต้ต่อไป เริ่มเข้าสู่ เขตจังหวัดปัตตานี ลมพัดเอากลิ่นไอธรรมชาติจากผืนป่าฮาลาบาลาล่องลอย เข้ามาทางหน้าต่าง ท�ำให้รู้สึกสดชื่น พิทักษ์ เพื่อนของผม ตื่นขึ้นมาสูดอากาศ หายใจบริสุทธิ์ในยามเช้า หลังจากหลับใหลไปนานบนรถไฟขบวนนี้มาตั้งแต่ เมือ่ คืน รถไฟขบวนนีเ้ ป็นรถเร็วขบวนที่ ๑๖๙ ออกจากต้นทางทีส่ ถานีกรุงเทพฯ จะไปสิ้นสุดปลายทางที่สถานียะลา ห้าปีมาแล้วทีผ่ มก้าวเท้าออกจากบ้านไปเรียนหนังสือและท�ำงานอยูใ่ น กรุงเทพฯ มันเหมือนก้าวข้ามจากโลกหนึ่งไปสู่อีกโลกหนึ่ง ผมได้เรียนรู้อะไร มากขึ้น ผมเห็นโลกในมุมมองที่กว้างขึ้น ความคิดความอ่านของผมเปิดกว้าง ทัศนคติของผมเปลี่ยนไป มุมมองใหม่ๆ ที่เข้ามาในชีวิตนั้นส่วนหนึ่งมาจาก ‘พิทักษ์’ เพื่อนสนิทของผมสมัยเรียนมหาวิทยาลัย


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

235

พิทักษ์เป็นคนพุทธที่ผมไว้ใจมากที่สุด เพราะตอนเรียนเราเรียนวิศวะ เรามักจะโดนรับน้องด้วยวิธโี หดๆ บางครัง้ ถูกรุน่ พีบ่ งั คับให้ดมื่ เหล้า พิทกั ษ์กจ็ ะ ดื่มแทนผม พิทักษ์มักจะเป็นคนที่คอยปกป้องผมเสมอ พิทักษ์เป็นนักเดินทาง ที่พเนจรไปทั่ว เพื่อนของเขามีหลายเชื้อชาติศาสนา เขามักจะเดินทางไปยัง จังหวัดต่างๆ ที่เขามีเพื่อนอยู่ เขาเป็นคนที่เห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์และให้ ความส�ำคัญกับคนทุกศาสนาเท่าเทียมกัน สมัยก่อนผมไม่เข้าใจว่าท�ำไมชาวพุทธถึงดื่มสุรา ทั้งๆ ที่รู้ว่าผิดหลัก ของศาสนา พิทักษ์อธิบายให้ผมเข้าใจง่ายๆ ว่าศาสนาอิสลามเปรียบเสมือน กฎระเบียบอันเคร่งครัดทีผ่ นู้ บั ถือจะต้องให้ความเคารพย�ำเกรง แต่ศาสนาพุทธ เปรียบเสมือนข้อแนะน�ำข้อเสนอแนะ ผูท้ นี่ บั ถือจะปฏิบตั ติ ามหรือไม่ปฏิบตั ติ าม ก็ได้ ส่วนตัวพิทักษ์เองนั้นเขาเป็นคนไม่ชอบดื่มเหล้า แต่เขาบอกว่าเขาจ�ำเป็น ต้องดื่มเป็นบางครั้งเพื่อเข้าสังคม นอกจากพิทักษ์จะเป็นนักเดินทางแล้วเขายังเป็นนักอนุรักษ์ เขามีความ สนใจอยากจะมาศึกษาชีวิตนกเงือก โดยเฉพาะนกเงือกที่เทือกเขาบูโด จังหวัด นราธิวาส พิทักษ์จึงขอติดตามมาด้วยตอนผมกลับบ้าน เราจึงวางแผนกันว่าจะ มาแวะพักบ้านผมที่จังหวัดยะลาก่อน แล้วค่อยไปจังหวัดนราธิวาส บ้านเกิดของผมอยู่ที่หมู่บ้านปะแต อ�ำเภอยะหา จังหวัดยะลา สมัยก่อน นับตั้งแต่จ�ำความได้ เส้นทางเข้าออกหมู่บ้านยังเป็นดินลูกรัง ผ่านป่ารกร้าง และห่างไกลจากตัวเมือง คนในหมู่บ้านสมัยก่อนยังใช้ชีวิตอยู่กันแบบปกติสุข แม้จะมีกลุม่ ก่อความไม่สงบเกิดขึน้ ในพืน้ ทีช่ ายแดนใต้มาตัง้ แต่ไหนแต่ไรมาแล้ว แต่เรื่องมันก็ไม่ได้รุนแรงเหมือนอย่างสมัยนี้ เมื่อก่อนจะออกจากบ้านไปท�ำมา หากินที่ไหนก็สบายใจ แต่เดี๋ยวนี้ต้องระวังซ้ายระวังขวา ระมัดระวังตัวจนแทบ ไม่เป็นอันท�ำมาหากิน ชาวบ้านก็หวาดกลัว เจ้าหน้าที่ก็หวั่นเกรง เกิดความ หวาดระแวง ไม่ไว้ใจซึ่งกันและกัน


236

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ขบวนการแบ่งแยกดินแดนสมัยก่อนยังเป็นเพียงแค่กลุ่มเล็กๆ มีการ รวมตัวกันฝึกอาวุธอยู่ในป่าในเขา นานๆ ทีจะออกมาปะทะกับเจ้าหน้าที่ทหาร ต�ำรวจ นับวัน ยิ่งปะทะก็ยิ่งลุกลามหนักขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น เรื่อยๆ จากขบวนการกลุ่มเล็กๆ เพิ่มจ�ำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนดอกเห็ด นี่คือสาเหตุที่พ่อไม่อยากให้ผมกลับมาอยู่บ้าน เพราะกลัวจะถูกดึงเข้าไปร่วม พัวพัน ผมไม่อยากเรียกคนเหล่านั้นว่า “โจรใต้” เพราะพวกนั้นไม่ใช่โจร เขาไม่ได้ปล้นเพื่อเอาเงินทองของชาวบ้าน ถึงเวลาแล้วที่สังคมควรจะยอมรับ ความจริ ง ว่ า การกระท� ำ ของขบวนการแบ่ ง แยกดิ น แดนนั้ น คื อ อุ ด มการณ์ เพียงแต่อดุ มการณ์นนั้ เป็นอุดมการณ์ของคนทีห่ ลงผิด ผมเชือ่ ว่าเป็นอุดมการณ์ ที่ไม่ถูกต้องอย่างแน่นอน เพราะศาสนาไม่เคยสอนให้เราฆ่าคน แม้แนวคิดจะ แตกต่างกันอย่างไรก็ตาม แต่เราก็ไม่มีสิทธิ์ตัดสินชีวิตผู้อื่น พระอัลเลาะห์ท่าน ประสงค์ให้คนในสังคมโลกอยู่กันอย่างสงบสุข ท่านไม่ประสงค์ให้คนในสังคม ต้องเป็นทุกข์อย่างแน่นอน ผมเรียนศาสนามาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก จึงไม่แปลกที่ผมจะผูกพันกับ เรื่องศาสนามากเป็นพิเศษ ครอบครัวของผมและคนในหมู่บ้านของผมทุกครัว เรือนเป็นมุสลิม คนแถวบ้านผมทุกคนจะพูดภาษายาวีเป็นหลัก เด็กๆ แถวบ้าน เวลาเป็นหนุ่มเป็นสาว จะเข้าไปเรียนต่อในกรุงเทพฯ มักจะประสบปัญหา เรื่องการสื่อสารเพราะพูดภาษากลางไม่ค่อยชัด ตอนเข้ากรุงเทพฯ ใหม่ๆ ผมเองก็สื่อสารกับเพื่อนในห้องเรียนไม่ค่อย รูเ้ รือ่ ง บางค�ำทีเ่ ราพูดออกไปแล้วออกเสียงไม่คอ่ ยถูก อาจจะฟังดูตลก ก็จะโดน ล้อกลับมา แต่ก็ไม่เคยคิดน้อยใจ กลับรู้สึกสนุกสนานที่มีเพื่อนคุยด้วยเยอะ เพราะเขาเห็นว่าเราแปลกไปจากเขา ไม่เหมือนเขา ก็เลยมีคนอยากฟังอยากคุย


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

237

กับเราเยอะ สิง่ ทีท่ กุ คนจะถามถึง คือ เรือ่ งราวความเป็นอยูข่ องคนทีส่ ามจังหวัด ชายแดนภาคใต้ ซึ่งผมได้เล่าไปแล้วมากมายหลายรอบให้หลายคนที่อยากรู้ อยากเห็น แต่ไม่มีโอกาสได้มาสัมผัส ช่างน่าเสียดายที่เขาไม่มีโอกาสได้มารับรู้เรื่องราวอีกด้านหนึ่งซึ่งเป็น เรื่องราวดีๆ ของท้องถิ่นเรา สิ่งที่ขวางกั้นอยู่มันคือความไม่เชื่อใจ ความไม่ ปลอดภัย ความไม่ไว้ใจ ความกลัวในจิตใจ คนที่จะมาที่นี่ได้ต้องกล้าพอที่จะพัง ทลายสิ่งที่ขวางกั้นอยู่ในจิตใจ นั่นคือ ต้องเป็นคนใจกล้า ไม่กลัวตาย เหมือน อย่างพิทักษ์เท่านั้น ถึงจะมาที่นี่ได้ ในเมื่อเขาให้ความไว้วางใจพวกเรา เขาก็จะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดจาก พวกเรา ผมจะพยายามไม่ท�ำให้เขาผิดหวัง ผมจะต้องท�ำให้เพื่อนของผมคนนี้ ได้รับความประทับใจกลับไปให้ได้ ทันทีที่มาถึงสถานีรถไฟยะลา อาบีดีนก็เอารถมอเตอร์ไซค์มารอรับเรา สองคน ผมแนะน�ำให้พทิ กั ษ์รจู้ กั กับอาบีดนี เพือ่ นสมัยเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น รถมอเตอร์ไซค์ของดีนเป็นรถคันเก่าแต่เครื่องอย่างแรง เสียอยู่อย่างเดียวตรงที่ ยางเก่าไปหน่อย ยังไม่ทันจะถึงบ้านก็ยางรั่วเสียก่อน ก็เลยต้องเข็นเข้าร้าน ปะยาง กว่าจะกลับถึงบ้านก็ตกเย็นพอดี นานแล้วที่ผมไม่ได้กลิ่นน�้ำบูดู วันแรกที่มาถึงบ้าน ผมกับพิทักษ์ถูก ต้อนรับด้วยวงอาหารมื้อใหญ่ มีทั้งแกงส้มปลาทู ส้มต�ำมะก๊ะ และหอยจ๊อ ส่วนของหวานมีซาลาเปากับอินทผาลัม ทั้งพ่อ แม่ พี่ น้อง ลุง ป้า น้า อา นั่ง ล้อมวงกัน ๑๑ คน เป็นการต้อนรับการกลับสู่บ้านเกิดที่อบอุ่นที่สุดในชีวิต ของผม พิทกั ษ์เป็นแขกคนส�ำคัญทีส่ ดุ เท่าทีบ่ า้ นเราเคยมีมา เพราะเขาเป็นเพือ่ น ต่างศาสนาคนแรกที่มาบ้านเรา ในวงอาหารมีค�ำถามเกิดขึ้นมากมายจากญาติพี่น้องของผมที่รุมถาม พิทักษ์ เหมือนแบบเดียวกันกับที่ผมถูกรุมถามตอนที่อยู่กรุงเทพฯ


238

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

หลังจากจบการเสวนารอบส�ำรับกับข้าวมื้อเย็นวันนี้ ทุกคนก็แยกย้าย กันไปอาบน�้ำอาบท่า พวกเราจัดห้องว่างให้พิทักษ์ห้องหนึ่งเพราะคิดว่าเขาอาจ จะต้องการเวลาเป็นส่วนตัวบ้าง ผมบอกให้พิทักษ์จัดเตรียมสิ่งของสัมภาระให้พร้อม เพราะพรุ่งนี้เช้า เราจะเดินทางไกลกันอีกครั้ง ผมรู้ว่าเขามีความกังวลใจอยู่บ้างเพราะผมได้ยิน เสียงสวดมนต์ของเขาแว่วมาตอนที่ผมก�ำลังละหมาด ปกติพิทักษ์จะไม่ค่อยสวดมนต์ก่อนนอนเหมือนชาวพุทธคนอื่นๆ แต่เขาจะสวดมนต์เฉพาะเมื่อตอนที่ต้องการความมั่นใจ ต้องการที่พึ่งทางใจ ต้องการที่จะขอพรให้ตนเองแคล้วคลาดปลอดภัย การมาอยู่ที่นี่อาจไม่ใช่ปัญหาส�ำหรับเขา แต่ปัญหาคือการที่เขาจะต้อง เดินทางออกจากชายคาบ้านหลังนี้ออกไป ไม่ว่าจะเป็นใครก็ต้องกลัวกันทั้งนั้น แม้แต่ผม ยังไม่ทันที่พระอาทิตย์จะโผล่พ้นขอบฟ้า ฟาติมะฮ์ก็ออกไปกรีดยาง แต่เช้าตรู่ การท�ำสวนยางพารานั้นจะต้องออกไปกรีดยางตื่นตั้งแต่ตีสี่ตีห้า เพื่อให้ได้คุณภาพของน�้ำยางที่ดี พูดถึงเรื่องยางพาราแล้วยังงงกับชีวิตตัวเอง ไม่หาย เพราะเพิง่ รูเ้ มือ่ ไม่นานมานีว้ า่ ประเทศไทยส่งออกยางดิบเป็นอันดับหนึง่ ของโลก สมัยก่อนนั้นยางพาราจะปลูกได้ดีเฉพาะพื้นที่ภาคใต้ของประเทศ แต่ตอนนีภ้ มู อิ ากาศมันเปลีย่ นไป ภาคเหนือกับภาคใต้ภมู อิ ากาศต่างกันน้อยลง มันคงเป็นข้อดีเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับข้อเสียที่ว่าโลกเราทุกวันนี้มันร้อนขึ้น มาก “จะไม่ให้ร้อนได้อย่างไร ในเมื่อป่าไม้ถูกท�ำลายจนเกือบหมดสิ้น” บางคนอาจจะแปลกใจว่าผมกลายเป็นพวกหัวอนุรกั ษ์ไปตัง้ แต่เมือ่ ไหร่ บางทีผมอาจจะอยู่กับพิทักษ์มากเกินไป จนกลายเป็นนักอนุรักษ์ไปโดยไม่รู้ตัว


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

239

หลังจากทานมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อย เราทั้งสองก็ควบมอเตอร์ไซค์คู่ใจ ออกจากบ้านโดยมีเป้สะพายหลัง มันอาจจะไม่ไกลมากนักเมื่อเทียบกับระยะ ทางที่รถไฟวิ่งลงมาจากกรุงเทพฯ แต่มันก็ไกลพอส�ำหรับเครื่องยนต์สองล้อ เพราะมันเป็นการเดินทางข้ามจังหวัด ม้าเหล็กของผมก็พาเราสวมวิญญาณ นักเดินทาง ณ แผ่นดินทองทางตอนใต้ของประเทศไทย สองนักเดินทางควบทะยาน ม้าเหล็กไปตามเส้นทางที่เขาคุ้นเคย ถนนสีขาวลาดยางตัดผ่านผืนป่าเขตร้อน ดวงตะวันส่องแสงแผดกล้า เผาผลาญให้ไอน�ำ้ ระเหยขึน้ จากดินมาปรากฏให้เห็น ในระยะไกล ถ้ารถมันพูดได้มันคงจะบอกว่า “หยุดพักกันก่อนเถอะ” เราพารถเข้าไปหลบแดดในร้านน�้ำชา เสียงผู้คนพูดคุยกันถึงเรื่อง เหตุการณ์ระเบิด ทีเ่ คยเป็นข่าวลงหนังสือพิมพ์หน้าหนึง่ เสียงคุยโวนัน้ ดังเข้ามา ถึงในร้าน จนเจ้าของร้านต้องออกไปแจมกับเขาอีกคน พอมีเวลาได้นงั่ จิบน�้ำชา ให้คอชุ่มมาบ้างก็เลยถือโอกาสอัพเดทข่าวสาร ติดตามเหตุบ้านการเมือง ในหนังสือพิมพ์รายวัน วันนี้ไม่มีข่าวอะไรดังไปกว่าการเมือง ข่าวเหตุการณ์ ความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนใต้กลายเป็นเรื่องเคยชินส�ำหรับคนไทย ไปแล้ว นอกซะจากว่าจะเป็นเหตุใหญ่จริงๆ พักนานเกินไปไม่ได้ต้องรีบออกเดินทางต่อ เพราะเส้นทางยังอีก ยาวไกล ยังไม่ทันที่ผมจะลุกขึ้นยืน พิทักษ์ก็ควักเงินออกจากกระเป๋าสตางค์ วางลงบนโต๊ะแล้วพูดว่า “วันนี้เราเลี้ยงนายเอง” และแล้วเราทั้งสองก็ออกเดินทางรอนแรมไปจนถึงทางเข้าน�ำ้ ตกปาโจ และรับประทานข้าวหมกไก่เป็นมื้อเที่ยง น�้ำตกปาโจในสมัยก่อนนั้นไม่ใช่ สถานที่ท่องเที่ยว แถวนี้เป็นทางวัวผ่าน ไม่เจริญและอันตรายมาก ในอดีตที่นี่ เป็นสถานที่สู้รบกันระหว่างขบวนการแบ่งแยกดินแดนกับทหาร ต�ำรวจ บนเขา แห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งฐานก�ำลังของทั้งสองฝ่าย


240

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

กล่าวกันว่าสมัยก่อน เวลาทหาร ต�ำรวจ จับตายคนร้ายได้ก็จะตัดหัว หิ้วลงมาจากบนเขา เอามาประจานกลางตลาดเพื่อระบายความแค้นที่สูญเสีย พรรคพวกไปเยอะจากการถูกลอบยิง สมัยนี้ การรบตามแบบมันจบไปนานแล้ว ฐานทัพของฝ่ายแบ่งแยกดิน แดนถูกตีแตก พวกที่รอดเหลืออยู่ก็แยกย้ายกระจายกันไป บางคนก็ทยอย มอบตัว บางคนก็หันมาประกอบอาชีพสุจริต บางคนก็กลายเป็นอาสาสมัคร ป้องกันหมูบ่ า้ น แต่กย็ งั มีอกี หลายคนทีย่ งั ไม่ยอมยุติ เกิดเป็นขบวนการต่างๆ ขึน้ มามากมายทั้งพูโล บีอาร์เอ็น อาร์เคเค กลายเป็นสงครามนอกแบบไม่รู้จักจบ จักสิ้น หรือเรียกอีกอย่างว่าสงครามกองโจร หลายปีต่อมา คณะนักวิจัยนกเงือกค้นพบว่าเขาบูโดเป็นที่อยู่อาศัย ส�ำคัญของนกเงือกหายากหลายชนิด อาทิ นกเงือกหัวแรด นกเงือกหัวหงอก นก เงือกชนหิน จึงเกิดเป็นโครงการศึกษานิเวศวิทยาของนกเงือกขึ้นมา เสียงระเบิดในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังไม่จบสิ้น ขณะที่การอนุรักษ์ นกเงือกบนเทือกเขาบูโด ยังคงด�ำเนินต่อไป โดยเฉพาะความพยายามให้ ชาวบ้านที่เคยขโมยลูกนกเงือกไปขายมาร่วมกันเป็นผู้ดูแลนกเงือก และก่อตั้ง หมู่บ้านนกเงือกขึ้นในเวลาต่อมา ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องนกเงือก แต่ผมรู้เรื่องของนกเงือกมากมาย จากพิทักษ์ ชายผู้ไม่เคยเห็นนกเงือกในธรรมชาติจริงๆ กับตาตัวเองด้วยซ�้ำ เพียงแต่เขาศึกษาหาข้อมูลมาก่อน ผู้ที่จะให้ข้อมูลเฉพาะพื้นที่ได้ มากขึ้น นอกจากฮาเร็ม ชายสติไม่สมประกอบที่อยู่ที่นี่มานานแล้ว ยังมีลุงหนอบ ชาวนครศรีธรรมราชที่มาขายของอยู่ ส�ำเนียงแกจะฟังยากเพราะเป็นภาษา ปักษ์ใต้ คนมุสลิมอย่างผมถึงจะอยู่ใต้ก็ฟังไม่ออก เวลาพิทักษ์คุยกับแกพิทักษ์ ก็มักจะเผลอท�ำเสียงแหลงใต้ตามไปด้วย ลุงหนอบไม่เพียงแต่ชี้ทางสว่างให้เรา


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

241

เดิ น ทางขึ้ น ไปส� ำ รวจ แต่ เขายั ง ใจดี ใ ห้ ส ะตอมาฝั ก หนึ่ ง เดิ น ไปแกะกิ น ไป ระหว่างทาง ผมเดินน�ำในฐานะเจ้าบ้านถึงแม้จะไม่ใช่คนนราธิวาสแต่อย่างน้อยผม ก็เป็นเด็กใต้ แต่ในใจนัน้ รูด้ วี า่ ไม่อาจเทียบความช�ำนาญในการเดินป่ากับพราน เก่าอย่างพิทักษ์ได้ อาบีดีนถือเต็นท์หลังเดียวเดินตามหลังมาในขณะที่ผมสอง คนแบกเป้ใบใหญ่อันหนักอึ้ง บางครั้งเวลาเราหยุดพัก นานมากกว่าที่อาบีดีน จะตามหลังโผล่มาให้เห็น เพราะเขาเดินช้าเอามากๆ พอเดินเข้ามาใกล้พวกเรา เขาก็นั่งทรุดเข่าลง เพราะเดินต่อไปไม่ไหว พิทักษ์กวาดสายตามองดูรอบๆ แล้วนั่งยองๆ ย่อตัวลง ในใจเขาคงคิดว่าบริเวณ นี้มันดูเงียบสงบและมีที่ก�ำบังปลอดภัยดีจึงบอกให้เรานั่งพักกันตรงนี้ ผมกับ พิทักษ์เอากระเป๋าเป้หนุนหลังแล้วเอนกายลงนอน แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า มองทะลุผ่านใบไม้ขึ้นไป เห็นเมฆเป็นริ้วบางๆ เคลื่อนตัวไปช้าๆ วันนี้คงไม่มีฝน ตกแน่นอน เมื่อรู้สึกว่าหายเหนื่อยจึงดีดตัวขึ้นมานั่งเก็บของใส่กระเป๋าเตรียมเดิน กันต่อ จังหวะนั้นมีเหยี่ยวรุ้งขนาดใหญ่บินข้ามหัวเราไปโดยที่ไม่มีใครทันที่จะ ยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูป พิทักษ์บ่นพึมพ�ำด้วยความเสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปเหยี่ยว ตัวนั้น จุดประสงค์ของการมาครั้งนี้ คือ การมาถ่ายรูปนกเงือก พิทักษ์เป็นคน ชอบที่จะเก็บบันทึกภาพและข้อมูลสัตว์น�ำไปประกอบบทความเผยแพร่ทาง อินเตอร์เน็ต มันเป็นสิ่งหนึ่งที่เขาท�ำแล้วมีความสุข เราสามคนเดินแถวเรียงหนึง่ ตามกันไปบนเส้นทางอันสูงชัน เสียงน�้ำตก ลงมากระทบหินนั้นได้ยินดังขึ้นเรื่อยๆ เป็นก�ำลังใจว่าจะได้หยุดพักที่แหล่งน�้ำ


242

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

เย็นๆ พอขึน้ มาถึงชัน้ บนพวกเราก็เดินผ่านต้นดาหลา ตรงไปทีล่ ำ� ธารเพือ่ ล้างมือ ล้างไม้ ล้างหน้าล้างตา ผ่อนคลายความร้อน น�้ำใสไหลเย็นในล�ำธารนี้จะไหลไป จนหล่นจากหน้าผา กลายเป็นน�้ำตกปาโจที่สวยงาม ขณะที่เราหันหน้าเข้าหาล�ำธาร ด้านหลังเรามีตะขบป่าผลไม้รสหวาน สีแดงก�ำลังสุกได้ที่พอดี อาบีดีนสังเกตเห็นก่อนใครเพื่อนจึงเดินตรงเข้าไปเก็บ มากินเล่น ไม่ไกลจากตรงนีม้ ตี น้ ไทร บริเวณใต้ตน้ มีลกู ไทรสุกหล่นเรีย่ ราดเกลือ่ น กลาดตามพืน้ ดิน เห็นแล้วไม่แปลกใจเลยว่าท�ำไมทีน่ จี่ งึ มีนกเงือกอาศัยอยูเ่ ยอะ เพราะป่านี้มีแหล่งอาหารอุดมสมบูรณ์เหมาะส� ำหรับเป็นสวรรค์ของนกป่า นานาชนิด คนทีม่ คี วามช�ำนาญป่าอย่างพิทกั ษ์อาจจะแยกเสียงออกว่าเสียงทีไ่ ด้ยนิ เป็นเสียงของนกชนิดไหน ในเสียงหลายเสียงที่เราได้ยิน พิทักษ์พาเราตามเสียง หนึง่ ไปช้าๆ เรามาถึงต้นไม้ใหญ่ตน้ หนึง่ ก่อนทีเ่ สียงนัน้ จะเงียบหายไป ต้นไม้ตน้ นีข้ นาดใหญ่และเป็นต้นทีแ่ ก่มาก บนต้นเหมือนมีโพรงใหญ่ๆ เหมาะส�ำหรับเป็น รังฟักไข่ส�ำหรับนกเงือก นกเงือกเป็นนกที่รักเดียวใจเดียว ในชีวิตของมันจะมีการเลือกคู่แค่ ครัง้ เดียวเท่านัน้ ในชีวติ โดยจะอยูก่ นั แบบคูผ่ วั ตัวเดียวไม่มกี ารเปลีย่ นคูโ่ ดยเด็ด ขาด ถึงแม้ตัวใดตัวหนึ่งจะตายจากกันไปแล้วก็ตาม ในการฟักไข่ นกตัวเมีย จะขั ง ตั ว เองอยู ่ ใ นรั ง นกตั ว ผู ้ จ ะออกไปหาอาหารเอามาให้ แ ม่ น กป้ อ นให้ ลูกนกกิน สาเหตุที่นกเงือกสูญพันธ์ุง่ายเพราะด้วยความที่มันเป็นสัตว์รักเดียว ใจเดียว เมื่อนกเงือกตัวผู้ถูกล่าตัดเอาหัวไปขาย นกเงือกตัวเมียและลูกน้อย ก็จะรอคอยอยู่ที่รัง รอจนอดอาหารตาย พิทกั ษ์บอกว่าเราไม่ควรทีจ่ ะปีนขึน้ ไปดู เพราะหากเกิดบนนัน้ มีนกเงือก จริงๆ ขึน้ มา นกอาจจะตกใจ ทิง้ รังหนี เราจึงสังเกตดูบริเวณโดยรอบเพือ่ หาร่อง


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

243

รอยต่างๆ เช่น ขนนก แต่ก็ไม่พบ จึงออกเดินทางต่อ เดินทางลัดเลาะขึ้นเขาลง ห้วยพอสมควร ออกจากป่าดิบก็เข้าสู่พื้นที่สวนยางพาราของชาวบ้าน แล้วยังมี สวนทุเรียนกับสวนลองกองด้วย “อัสลาโมไลกุม” ผมกล่าวทักทายผู้เฒ่าที่นุ่งโสร่งวัยประมาณหกสิบ แกมองดู เราด้ ว ยความสงสั ย คงจะเป็ น ชาวบ้ า นผู ้ เ ป็ น เจ้ า ของสวนแถวนี้ ผมจึงพาพิทักษ์กับอาบีดีนเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อไปหาที่พัก เผื่อคืนนี้อาจจะ ไม่ต้องนอนค้างอ้างแรมในป่า พอมีโอกาสได้เข้ามาถึงหมู่บ้านก็ได้ทักทายท�ำความรู้จักกับชาวบ้าน พิทักษ์ถือโอกาสสัมภาษณ์เก็บข้อมูลจากชาวบ้าน โดยมีผมเป็นล่ามแปลให้ จากการสอบถามจึงพบว่าสมัยก่อนชาวบ้านที่นี่จับลูกนกขาย ลูกนก กกขายได้ตัวละ ๕๐๐ บาท ลูกนกเงือกหัวแรดขายได้ตัวละ ๑,๕๐๐ บาท ยิ่งถ้าเป็นนกเงือกหัวหงอกกับนกชนหิน ขายได้ตัวละเป็นหมื่น แต่สมัยนี้ชาว บ้านเลิกจับนกไปขายแล้ว ตั้งแต่ทางการมีนโยบายให้อนุรักษ์นกเงือก ปัจจุบัน ชาวบ้านเป็นผู้มีส่วนร่วมในโครงการอนุรักษ์นกเงือก โดยช่วยในเรื่องของการ เก็บข้อมูล พิทกั ษ์บอกว่านกเงือกเป็นตัวบ่งชีค้ วามอุดมสมบูรณ์ของป่า ทีไ่ หนมีนก เงือกอาศัยอยู่ตามธรรมชาติ แสดงว่าที่นั่นมีความอุดมสมบูรณ์ นอกจากนี้นก เงือกยังมีบทบาทส�ำคัญในเรือ่ งการขยายพันธ์พุ ชื เพราะอาหารหลักของนกชนิด นี้คือ ลูกไทร ลูกหว้า และผลไม้ขนาดเล็กต่างๆ เมื่อนกเงือกกินเข้าไปเมล็ดพืช เหล่านัน้ จะถูกขับถ่ายออกมากับมูลนก ท�ำให้พนั ธ์ไุ ม้นนั้ ได้กระจายออกไปเจริญ เติบโตในที่ห่างไกล ได้คุยกับคนในหมู่บ้านพอหอมปากหอมคอ จึงออกมาจากหมู่บ้านมา โดยเราจะไปกางเต็นท์นอนกันตามไหล่เขา ก่อนจะจากไปเราก็ยืนบนเนินเตี้ยๆ ที่ชาวบ้านบอกว่ามันจะมีเพิงพักไว้ส�ำหรับดูนกเงือก


244

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ภาพเบื้องหน้าที่เราเห็นมีต้นกาลอสูงใหญ่อยู่ต้นหนึ่งคาดว่าน่าจะเป็น รังของนกเงือก ถัดจากต้นกาลอ มีต้นมะไฟและมีนกเงือกเกาะอยู่บนนั้น พวกเราเฝ้ามองดูดว้ ยความตืน่ เต้น แล้วเจ้านกเงือกก็กระพือปีกผับๆ บินจากต้น มะไฟไปยังต้นกาลอ ช่วยเพิ่มความตื่นเต้นและความประทับใจให้ผู้เฝ้ารอเป็น อย่างยิ่ง นับว่าการเดินทางมาของพวกเราในครั้งนี้ไม่สูญเปล่าแล้วที่ได้เห็น นกเงือกเป็นบุญตาสักครั้งในชีวิต หลังจากรอพิทักษ์ถ่ายภาพและเก็บบันทึกข้อมูลจนเสร็จ เราจึงออก เดินทางกันต่อ เพื่อสร้างที่พักแรม เตรียมฉลองรอบกองไฟให้กับความส�ำเร็จ ในครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่ผมเดินทางเข้าป่ากับเพื่อน ก่อนหน้านี้ เวลามีเรื่อง ไม่สบายใจ ผมจะชอบเดินทางเข้ามาในป่าคนเดียว ยิง่ เข้ามาลึกมากเท่าไหร่ความ หลากหลายของสรรพส�ำเนียงก็ยิ่งหลากหลายขึ้น ผมได้ยินเสียงนกกะปูดร้อง หวูดๆ เสียงนกกระรางร้องหร่างๆ เสียงจักจั่นเรไรกรีดปีกดังซี๊ด... แทรกเข้ามา ในหัว ลอยมาไกลๆ คือเสียงลิง ค่าง บ่าง ชะนีกู่ร้องหาคู่โหยหวน เยือกเย็น แล้ว ความเหงาก็ซึมเข้าถึงผิวหนังชั้นใน ความไม่เข้าใจอะไรบางอย่างผุดขึ้นมาใน สมองว่าท�ำไมเราจึงรู้สึกเหงาทั้งๆ ที่อยู่ท่ามกลางสรรพชีวิตมากมาย ผมค้นพบ ค�ำตอบจากการเดินทางมาครั้งนี้ ซึ่งมันต่างจากทุกครั้งคือผมมีเพื่อนมาด้วย ผมไม่ได้มาคนเดียว ค�ำตอบของตัวเองดังขึ้นในหัวใจว่า “เพราะเราคือมนุษย์ ที่ต้องการเพื่อน ต้องการการยอมรับ ต้องการความเห็นใจ และต้องการที่จะอยู่ ร่วมกับผู้อื่น” แม้เราจะมีแนวคิดทีห่ นักแน่นของเรา แต่ถงึ อย่างไรเราก็ไม่สามารถหนี พ้นอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา เราไม่สามารถที่จะปิดตายสังคมของคน กลุ่มเรา หมู่บ้านเรา เมืองเรา เพราะโลกนี้ไม่ได้มีแต่เรา แต่ละระบบนิเวศ แต่ละ ระบบสังคม ย่อมมีการแลกเปลี่ยน ถ่ายทอด เชื่อมโยงกับระบบอื่นๆ ในสังคม


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

245

มนุษย์ไม่ว่าจะนับถือสิ่งใดเป็นที่ยึดเหนี่ยวสูงสุดในชีวิต ยังไงเราก็ต้องเปิดใจ ยอมรับที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่น แม้ว่าจะต่างชาติพันธ์ุ ต่างความเชื่อ ต่างศาสนา ก็ ต้องยอมรับที่จะอยู่ร่วมกับคนที่ไม่ได้นับถือเหมือนเรา หรือไม่ได้เชื่อเหมือนเรา ในสังคมใหญ่ทปี่ ระกอบไปด้วยสังคมย่อย สังคมย่อยทีม่ จี �ำนวนคนน้อย กว่ า ต้ อ งเปิ ด ใจยอมรั บ ที่ จ ะอยู ่ ร ่ ว มกั บ สั ง คมย่ อ ยที่ มี จ� ำ นวนคนมากกว่ า สังคมย่อยที่มีจ�ำนวนคนมากที่สุด หรือที่เรียกว่าเสียงส่วนใหญ่ในสังคม ก็ต้อง ไม่ฉวยโอกาส ไม่ยึดเอาอ�ำนาจประกาศตัวเองเป็นเจ้าของประเทศ หรือน�ำเอา เอกลักษณ์เฉพาะกลุ่มมาเป็นตัวแทนของทั้งประเทศ หากจะใช้คำ� ว่าเสรีภาพ ความเสมอภาค และความเท่าเทียมกัน เราควรให้ความส�ำคัญกับทุกเชื้อชาติ ศาสนาเท่าเทียมกัน เพื่อให้ทุกคนที่อยู่ในประเทศนั้นมีความรู้สึกว่าเขาก็เป็น เจ้าของประเทศนีเ้ หมือนกัน มีสทิ ธิ มีเสรีภาพ มีความส�ำคัญเท่ากับคนกลุม่ ใหญ่ ในประเทศ ประเทศไทยไม่ได้เป็นประเทศไทยมาตั้งแต่ก�ำเนิดโลก ทุกประเทศ เกิดจากการรวมตัวกันของอาณาจักรน้อยใหญ่ หลากหลาย รวมเข้าด้วยกัน หากมีระบบการปกครองที่ดี มีความเป็นธรรม ท�ำให้คนในประเทศ ไม่ว่าจะมาจากกลุ่มชาติพันธ์ุไหนๆ เกิดความรู้สึกว่าพวกเขาที่แตกต่างกัน สามารถอยู่รวมกันได้ในประเทศที่มีความเสมอภาค เขาก็จะเกิดความรักและ หวงแหนต่อแผ่นดินทีเ่ ขาอยู่ แต่หากมีระบบการปกครองทีไ่ ม่ดี ท�ำให้เขามองว่า เขาถูกกดขี่ ไม่ได้รับสิทธิ ความเสมอภาค ความเท่าเทียมกับคนส่วนใหญ่ ในประเทศ หรื อ รู ้ สึ ก ว่ า เขาอาศั ย อยู ่ ป ระเทศนี้ ใ นฐานะพลเมื อ งชั้ น สอง ความน้อยเนื้อต�่ำใจ ความไม่ภาคภูมิใจ ก็จะเกิดขึ้น แล้วความรู้สึกที่ว่าอยากจะ แยกตัวออกไป กลับไปสู่ความเป็นชาติพันธ์ุเดิมก็จะตามมา พอเกิดขึ้นมาแล้ว มันก็ยากที่จะเกิดการให้ความร่วมมือ และความเต็มใจในการให้ความร่วมมือ ในการแก้ไขปัญหา หรือพัฒนาสิ่งต่างๆ ให้เป็นไปในแนวทางที่ดีขึ้น


246

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

“เพราะว่าโลกเรานี้ มีเส้นแบ่ง แบ่งแยกเขา แยกเรา หากเอาสิ่งเหล่า นี้ โยนทิ้งไป โลกก็สดใสสวยงาม” เสียงเพลงที่พิทักษ์ร้อง เรียกลมเย็นให้โชย มาเบาๆ เสียงกิ่งไม้และใบไม้กระทบกันดังเสาะแสะ ต้นไม้ไหวเอนไปตามลม ซ้าย – ขวา ราวกับโยกตัวไปตามจังหวะเพลง พรุง่ นีเ้ ช้าเราจะออกจากป่าแห่งนี้ เดินทางไปจนสุดเขตแดนประเทศไทย ผมจะพาพิทกั ษ์ไปเทีย่ วเบตง คืนนีย้ าวนานกว่าจะถึงเช้า เหมือนเราจะนอนเร็ว กันเกินไป ผมลุกขึ้นมานั่งข้างๆ กองไฟที่ก�ำลังจะมอดดับเพื่อเขี่ยขี้เถ้าแล้วเป่า ให้เปลวไฟลุกโชนขึน้ มาอีกครัง้ แต่กอ่ นทีเ่ ปลวไฟจะลุกพรึบ ควันขโมงก็พวยพุง่ ออกไปก่อนแล้ว ท�ำให้สหายของผมทั้งสองไอเพราะส�ำลักควัน พิทักษ์หยิบ กระติกน�ำ้ ขึน้ มาดืม่ แล้วลุกเดินมานัง่ รอบกองไฟ แล้วอาบีดนี ก็ลกุ ขึน้ มานัง่ ตาม อีกคน คืนนี้คงจะนอนไม่หลับถ้าไม่ได้คุยกัน พิทักษ์เป็นคนเริ่มก่อน โดยเล่า เรื่องประสบการณ์ของเขาที่เคยเดินทางไปท่องเที่ยว ไปออกค่ายต่างๆ นานา มาจนเกือบทั่วประเทศ ท�ำให้เขามีเพื่อนทั้งเหนือ กลาง ใต้ อีสาน ตะวันออก ตะวันตก มีทั้งม้ง เย้า กระเหรี่ยง มูเซอ อาข่า คะฉิ่น ฯลฯ มีทั้งไทย จีน เขมร ลาว มีทั้งพุทธ คริสต์ อิสลาม ฯลฯ เขาน�ำเอากิจกรรมต่างๆ ที่เคยท�ำตอนไป ค่ายมาใช้กับพวกเราในคืนนี้ มีเรื่องเล่าเกิดขึ้นมากมายรอบกองไฟ ผมเล่าถึงเรื่องประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของรัฐปัตตานี โดยมีพทิ กั ษ์เล่าเรือ่ งของอาณาจักรศรีวชิ ยั สอดคล้อง กันไป อาบีดีนนั่งกระพริบตาฟังด้วยความตื่นเต้น พิทกั ษ์ถอื กิง่ ไม้อยูใ่ นมือท�ำท่าทางเหมือนครุน่ คิดอะไรบางอย่าง เขาก�ำ กิ่งไม้ในมือไว้แน่น ก่อนที่จะตัดสินใจลากเส้นลงบนพื้นดิน แสงสว่างจากกองไฟ ช่วยให้เรามองเห็นกระดานพื้นดินที่พิทักษ์ก�ำลังจะบรรยายให้ฟังแจ่มชัดขึ้น “ย้อนไปสมัยก่อน ไม่มีประเทศไทย” พิทักษ์เริ่มพูดประโยคแรกหลัง จากเงียบไปนาน


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

247

“เมื่อย้อนไปอีกก็ไม่มีรัฐปัตตานี และไม่มีศรีวิชัย” ผมกับอาบีดีนตั้งใจ ฟังสิ่งที่เขาจะพูดต่อ “ก่อนทีม่ นุษย์จะเริม่ รวมกลุม่ เป็นเผ่าพันธ์ุ สร้างบ้านเมืองขึน้ มา มนุษย์ ก็ได้กระจัดกระจายอยูท่ วั่ โลก หาของป่าล่าสัตว์อยูต่ ามธรรมชาติเฉกเช่นสัตว์ปา่ แต่ถา้ ย้อนไปอีกไปจนถึงยุคดึกด�าบรรพ์ ก็ยงั ไม่มมี นุษย์ แล้วใครล่ะ เป็นเจ้าของ แผ่นดินที่แท้จริง” พิทักษ์ขอให้พวกเรานั่งล้อมกันเป็นวง จับมือกันแล้วหลับตา ตั้งจิต ภาวนาอธิษฐาน พร้อมกับนึกตามในสิ่งที่เขาพูด “มนุษย์เกิดมาจากธรรมชาติ มนุษย์รวมกลุม่ กันประกาศความเป็นเผ่า พันธ์ุ ประกาศความเป็นเมือง ประกาศอาณาเขต ประกาศตัวเป็นเจ้าของแผ่นดิน ความจริงแล้ว ไม่มีใครเป็นเจ้าของแผ่นดินใดโดยแท้จริง มนุษย์เป็นส่วนหนึ่ง ของธรรมชาติ ทั้งมนุษย์และสิ่งมีชีวิตทั้งมวลมีสิทธิ์ที่จะอยู่ในทุกผืนแผ่นดิน บนโลก มนุษย์รกุ ราน รบราฆ่าฟันกับเผ่าพันธ์มุ นุษย์ดว้ ยกันเอง โดยลืมนึกไปว่า ทุกเผ่าพันธ์มุ นุษย์ได้รกุ รานเผ่าพันธ์อุ นื่ ๆ ทีไ่ ม่ใช่มนุษย์ มนุษย์ทา� ลายป่า ท�าลาย สัตว์ ท�าลายธรรมชาติ ท�าลายโลก ท�าลายแม้กระทั่งพวกเดียวกันเอง ขอให้ พวกเราตั้งจิตอธิษฐาน ระลึกถึงสิ่งที่ตนเองนับถือ ขอพรให้มนุษย์หยุดท�าลาย ธรรมชาติ หยุดท�าลายโลก หยุดท�าลายเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง ขอให้พรุ่งนี้ และวันต่อๆ ไป มีคนขอในสิ่งที่เราขอเพิ่มมากขึ้น”


248

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

อดีต ประเพณี วิถีชน และกลุ่มคนรักษ์สายน�้ำ นายวินัย เพชรอุไร

๑. บทเกริ่นน�ำ ยามเช้า แสงอาทิตย์ให้ไออุ่น สะแปอิง ยืนอยู่คู่กับภรรยา ทอดสายตา มองดูแผงตากปลา รอเวลา ไอแดดอบแห้งอย่างมีความหวัง แผงนั้นเรียงราย มากมายตลอดชายฝั่งแหลมตาชี อันเกิดจากสัมมาชีพของผู้คนพื้นถิ่น ทิวมะพร้าวยืนต้นวางระยะ ถูกสายลมพัดใบพลิ้ว ถัดไปที่ปลายแหลม สนทะเลจับจองเขตแดนดูรม่ รืน่ แว่วเสียงใบสนเสียดสีลมคราง แข่งกับคลืน่ ยาม รัญจวนฝั่งดังระรี้ระริก หมู่เมฆขาวลอยฟ่องบางเบาขนานกับท้องน�้ำไปบรรจบ กันที่ปลายฟ้า พาให้ใจคนทั้งคู่สุขใจ ภวังค์แห่งความคิดของสะแปอิง คล้ายย้อนเวลากลับไปดูหนังเงียบ ประดังมาทั้งสุขทุกข์ หลายช่วงเวลาผู้คน --- --- สายลมแห่ ง การเปลี่ ย นแปลงและกาลเวลา ได้ พั ด พาเสี ย งเพลง พื้นบ้าน, เพลงกล่อมเด็กเก่าก่อนของเมืองปัตตานี อีกทั้งเพลงมะอีนังลามา หรือมะอีนังชวา ไปจากความทรงจ�ำของผู้คนในภูมิภาคแห่งนี้ แม้แต่การแสดง “มะโย่ง”ซึง่ กลายมาเป็นการละเล่นต้องห้ามของวิถอี สิ ลามในปัจจุบนั บทเพลง


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

249

รองเง็งลาฆูดูวอดั้งเดิม ลานัง, ปูโจ๊ะปีซัง, จินดาซายัง ฯลฯ เนื้อเพลงและ ท่วงท�ำนองเหล่านั้น น้อยคนที่ยังจดจ� ำ มีแต่ค่อยๆ ลดความส� ำคัญลงไป ตามยุคสมัย จนคนรุ่นใหม่ไม่รู้จักรากเหง้าชุมชน สรรพส�ำเนียงฆ้อง ไวโอลิน กีตาร์ และปี่กลองร�ำมะนา แผ่วเบา ตามสังคมยุคโลกาภิวัตน์ มีดนตรีตะวันตกมาแทนที่ เวลานีล้ มหายใจของสีละ,มะโย่ง,ดิเกร์ฮลู ,ู มโนห์รา,รองเง็ง ก�ำลังรวยริน แม้การแต่งกายชุดพื้นเมืองของชายในชุดรองเง็ง อันมีหมวกแขกสีด�ำ สวมเสือ้ แขนยาวคอกลมผ่าครึง่ อก กางเกงขายาวคล้ายกางเกงจีนสีเดียวกับเสือ้ มีโสร่งสวมเหนือเข่าทับกางเกงที่เรียกว่า “ซอแก๊ะ” หรื อ การแต่ ง กายของหญิ ง สาวที่ เ คยสวมเสื้ อ บั น ดงแขนกระบอก ลักษณะเสื้อแบบเข้ารูป คลุมสะโพก ผ่าอกยาวตลอด ติดกระดุมทองเป็นระยะ สีสวยสดเช่นเดียวกับผ้านุง่ ซึง่ กรอมเท้า มีผา้ บางๆ สีสวยงามคลุมไหล่หรือศีรษะ ...นั่นก็เป็นอีกภาพที่ปรากฏในความทรงจ�ำ เวลานีช้ ดุ แต่งกายอันทรงคุณค่าของหญิงสาวทีย่ งั พอเห็นอยูด่ จู ะเหลือ เพียงชุดกุรงและชุดบานง ซึ่งผู้คนส่วนหนึ่งนิยมสวมใส่แค่ในเทศกาลส� ำคัญ แม้ชายเองก็เปลี่ยนจากการนุ่งโสร่งตามปกติไปเป็นชุดสามัญเช่นผู้คนทั่วไปใน ภูมิภาค จนในวิถีประจ�ำวัน เราอาจแยกไม่ออกว่า หญิงชายใดเคยเป็นเจ้าของ วัฒนธรรมเก่าก่อน ๒. อดีตที่พ่อเล่า ผู้เขียนเองก็เป็นคนปัตตานีโดยก�ำเนิด เช่นเดียวกับสะแปอิง และอีก หลากหลายผู้คนซึ่งเลือกเดินบนเส้นทางและวิถีชีวิตต่างกันไปตามความชอบ มาตุภมู นิ คี้ อื แหล่งท�ำกิน มีเบือ้ งหลังการต่อสูข้ องผูค้ นร่วมกันมา ลองติดตามมา สิครับ


250

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ปี พ.ศ.๒๔๘๔ เมื่อควันแห่งสงครามโลกครั้งที่ ๒ เริ่มคุกรุ่นขึ้นนั้น พ่อ รับราชการเป็นข้าราชการต�ำรวจชั้นผู้น้อย ท�ำหน้าที่ประดุจเฟืองจักรชิ้นเล็กๆ ซึง่ อาจไม่สลักส�ำคัญเท่าใดนัก แต่หลายๆ ฟันเฟืองนีแ่ หละทีท่ ำ� หน้าทีข่ บั เคลือ่ น กลไกจักรใหญ่ให้ท�ำงาน ก่อนหน้านั้นรัฐบาลไทยรู้ดีว่า ควันไฟแห่งสงครามจะต้องรุกคืบมาสู่ ประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ “แม้หวังตั้งสงบ จงเตรียมรบให้พร้อมสรรพฯลฯ” ทหาร ต�ำรวจ ข้าราชการพลเรือนทุกหมู่เหล่า รวมทั้งยุวชนทหาร และราษฎรต่างรู้ดี โดยเฉพาะเป้าหมายพื้นที่ชายฝั่งทะเลไทยอันเป็นเขต อ่อนไหว ถูกสั่งให้จับตาเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด คืนนั้น แรม ๕ ค�่ำ เดือนธันวาคม ช่วงปลายมรสุม ชาวประมงพื้นบ้าน ต�ำบลรูสะมิแลกลุ่มหนึ่งออกไปลอยเรือตกปลาอยู่ในทะเลหลวง ผู้คนเหล่านี้ ได้แก่ ยูน,ุ มูดอ,ยะโกะและมะมิง ได้กลายมาเป็นบุคคลส�ำคัญโดยไม่ทนั รูเ้ นือ้ รูต้ วั นั่นเพราะพวกเขาเป็นผู้เผชิญเหตุ การยกพลขึ้นบกของกองทัพลูกพระอาทิตย์ ภาพเรื อ รบข้ า ศึ ก จ�ำ นวนมหาศาลในรั ต ติ ก าลกลางทะเลอ่ า วไทย ท�ำให้ต่างรู้ดีว่า สงครามได้เปิดฉากแรกขึ้นแล้ว เรือหาปลารีบกลับล�ำสู่แผ่นดิน ต่างรีบกระจายข่าวให้ผู้คนในหมู่บ้านได้รู้กันทั่ว นั่นเป็นเพราะฟันเฟืองเล็กๆ ของผู้คน จึงเป็นผลให้ทางการไทยสามารถมีเวลาเตรียมตัว ตั้งรับข้าศึกศัตรูได้ ทันท่วงที โดยไม่มีเวลาหยุดพักเหนื่อย มูดอรีบน�ำรถจักรยานออกจากบ้าน โดยมียนู เุ กาะติดท้าย ปัน่ สุดแรงน่อง ตรงไปยังบ้านปลัดละมุนทีเ่ ขารูจ้ กั แล้วจึง น�ำความไปบอกต่อกับนายอ�ำเภอ ส�ำราญ พจนสุภาณ ที่บ้านพัก จากนั้นทุกคน มุ่งตรงไปรายงานเรื่องราวต่อ หลวงสุนาวินวิวัฒน์ ร.น.ข้าหลวงประจ�ำจังหวัด ท่านข้าหลวงเมือ่ รับรูร้ ายละเอียดแล้ว รีบขับรถประจ�ำต�ำแหน่งตรงไป ยัง สภ.อ.เมืองปัตตานี เพื่อเรียกระดมพลทันที


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

251

“ปรี๊ดๆ ปรี๊ดๆ ปรี๊ดๆ”เสียงนกหวีดดังขึ้นในยามดึก ปลุกให้ชาวบ้าน ชาวเมืองตื่นขึ้นจากหลับ และเมื่อรู้ว่าต้องเผชิญกับสิ่งใด อารมณ์ของผู้คน ก็ฮึกเหิม และพร้อมสู้กับผู้บุกรุกดินแดน อาวุธปืนและเครื่องกระสุนถูกแจกออกไปพร้อมก� ำลังพล ราษฎร ยุวชนและอาสาสมัครกระจายตัวออกไปตั้งรับตามแผนเผชิญเหตุที่เคยซักซ้อม กันไว้ โทรศัพท์ถกู ต่อสายถึงกองพันที่ ๔๒ ค่ายอิงคยุทธบริหาร ต�ำบลบ่อทอง อ�ำเภอหนองจิก ให้ส่งก�ำลังมาสมทบโดยรีบด่วน ทัพญี่ปุ่นเริ่มขึ้นบกที่ฝั่งบางตาวา อ�ำเภอหนองจิก เพื่อหวังตัดเส้นทาง เดินทัพมาช่วยของกองพันที่ ๔๒ กองก�ำลังหนึ่งยกพลขึ้นที่ ต�ำบลบานา อ�ำเภอ เมื อ งปั ต ตานี เพื่ อ เคลื่ อ นทั พ สู ่ ตั ว ตลาด อี ก ชุ ด หนึ่ ง ขึ้ น ที่ ต� ำ บลรู ส ะมิ แ ล และต�ำบลสะบารัง หวังโอบทัพเป็นปีกกาล้อมเมืองปัตตานี ในที่สุดการปะทะก็เกิดขึ้น จนถึงขั้นตะลุมบอนกันด้วยดาบปลายปืน และมีดสัน้ แบบใครดีใครอยู่ ข้าศึกและฝ่ายเราต่างล้มตายไปตามกัน เลือดสีแดง ฉานหลั่งนองไปทั่วทุกหนแห่ง ไม่ต่างกับการสาดน�ำ้ เข้าหากัน ย่อมเปียกปอน กันไปทัง้ สองฝ่าย ทีแ่ น่ๆ ฝ่ายข้าศึกสูญเสียก�ำลังพลไปมากกว่าฝ่ายเราหลายเท่า นัก แต่ยังไม่มีฝ่ายใดเพลี่ยงพล�้ำ จวบจนเช้าของวันใหม่ ขณะเวลาล่วงมาถึง ๑๐.๐๐ น. จึงมีค�ำสั่งแจ้ง มาว่า “รัฐบาลไทยโดยฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ได้เจรจากับกองทัพญี่ปุ่นแล้ว ขอให้หยุดยิง” เมื่อมีการส�ำรวจ ปรากฏว่าเราสูญเสียยุวชนทหารไป ๕ นาย ต�ำรวจ ๕ นาย ข้าราชการพลเรือน ๙ นาย และยังมีราษฎรอีกหลายชีวิต ที่สูญเสียก�ำลัง พลไปมากที่สุดได้แก่ทหารจากค่าย ร.พัน ๔ มีจ�ำนวนถึง ๒๔ ชีวิต จากการ ถูกซุ่มโจมตีแบบไม่รู้ตัวขณะส่งก�ำลังมาช่วยในตัวเมือง บุคคลส�ำคัญผู้จากไป ที่ควรยกย่องคือ พ.อ.ขุนอิงคยุทธบริหาร ซึ่งเป็น ผบ.กองพันทหารราบที่ ๔๒


252

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

การต่ อ สู ้ ค รั้ ง นั้ น พ่ อ ไม่ ไ ด้ รั บ บาดเจ็ บ จากการปะทะ แต่ สู ญ เสี ย เพื่อนสนิทอันเป็นที่รักไปโดยไม่มีวันหวนคืนกลับ แน่นอนว่าเขาเหล่านั้นคือ วีรบุรุษผู้ปกป้องผืนแผ่นดินไทย ซึ่งยังอยู่ในความทรงจ� ำของพ่อและผู้คน ตลอดไป ๓. แผ่นดินแห่งโอกาส ท้องทะเลอันอุดม โชคดีที่ผู้เขียนเกิดและเติบโตมาในแผ่นดินแห่งโอกาสและทรัพยากร อันอุดม วัยเด็กที่โลดแล่นไปโดยไม่วิตกทุกข์ร้อน ในทุ่งนาป่าเขาล�ำเนาไพร ล้วนร่มรืน่ อุดมไปด้วยข้าวกล้านาไร่ไม้ผล ทรัพยากรมากมี ระบบนิเวศชีวมณฑล ยังสมดุล ท้องทะเลเวิง้ อ่าวปัตตานี มากมายด้วยฝูงปลานานาชนิด เมืองนีจ้ งึ เป็น ทั้งอู่ข้าวและอู่น�้ำอันบริบูรณ์ ยามน�้ำลด ผู้เขียนเคยตกตะลึงกับฝูงปลากระบอกวัยอ่อน จ�ำนวนนับ พันนับหมืน่ ตัวติดค้างแอ่งเลนและท้องร่องละลานสุดสายตา เห็นเกล็ดสีเงินต้อง แสงอาทิตย์วับวาว ด้วยฝูงปลามัวหลงระเริงเล่นน�ำ้ จนกลับคืนท้องทะเลไม่ทัน ปรากฏการณ์นี้เป็นสิ่งปกติเจนตาผู้คนเสมอมา ปลาดุกทะเลมีในอ่าวและทุกทะเลโคลนชายขอบ ตัวอวบอ้วน และแทบ ไม่มีผู้คนใส่ใจจับมาท�ำเป็นอาหาร เว้นแต่ผู้คนต่างพื้นที่ จ�ำได้ว่าทุกคราวที่เรา จ้วงสวิงลงไปในท้องน�้ำ ไม่มีครั้งใดที่ไม่ได้ตัวปลา หอยแครงที่นี่ตัวโตส่งไปขายแทบทุกทิศ แต่คนปัตตานีกลับไม่ชายตา มอง มีหอยอีกชนิดหนึ่งที่รูปลักษณ์คล้ายหอยแครง เรียกว่า หอยคราง น่าจะมี อยู่แหล่งเดียวที่อ่าวปัตตานีแห่งนี้เท่านั้น มีขนาดใหญ่กว่าหอยแครงที่ว่าใหญ่ แล้วเป็นไหนๆ หอยฝาเดียวและหอยสองฝายังมีจ�ำนวนอีกมากมาย จนไม่อาจคาดเดา เช่นหอยลาย หอยขาว หรือที่เรียกว่าหอยตลับลาย แค่งมกันเล่นๆ ในทุกพื้นที่


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

253

ชายน�้ำ ก็ได้เป็นปี๊บ ส่วนตัวผู้เขียนเองชอบหอยเชลล์ย่างไฟ เพราะเพียงเก็บ จากชายน�้ำ โยนร่อนเข้ากองไฟ ไม่ต้องอาศัยเครื่องปรุงรสใดๆ แค่นี้อร่อย สุดจะพรรณนาแล้ว ปูด�ำปูมา้ ก็หาได้งา่ ยได้มาตัวสองตัวก็เกินกิน และคงไม่ตอ้ ง ถามหากันถึงปูแสม ที่ผู้คนชอบน�ำมาท�ำปูเค็ม มันมีกล่นเกลื่อนเป็นล้านๆ ตัว ดาษดื่นอยู่ตามผิวพื้นทั่วไป ปูชนิดนี้มักอาศัยอยู่ตามป่าริมน�้ำ ช่วงน�้ำหลากมัน มีมากถึงขนาดเกาะกิง่ ไม้หอ้ ยกระจุกตัวเป็นพวงๆ เรีย่ น�ำ้ ไร้คนสนใจ แต่ปจั จุบนั ปู ช นิ ด นี้ ก ลั บ ลดจ� ำ นวนลงไป และกลายมาเป็ น อาหารยอดนิ ย มคู ่ กั บ ส้มต�ำไทย-ลาว ย้อนกลับไปถึงเรื่องราวในประวัติศาสตร์ ก่อนหน้านี้นักเดินทางจาก ทุกมุมโลกเคยบันทึกไว้ คราวมาเยือนแดนดินถิ่นปัตตานี ว่าเป็นอู่วัฒนธรรม เทียบได้กับระเบียงแห่งมักกะฮ์ มี “อูลามะ”ปราชญ์ เลื่องชื่อลือนาม ราวพุ ท ธศตวรรษที่ ๒๒ - ๒๓ เมื อ งปั ต ตานี เจริ ญ รุ ่ ง เรื อ งสู ง สุ ด กลายมาเป็นศูนย์กลางการค้าขายระดับภูมภิ าคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัตตานี มีราชาปกครองต่อเนื่องกว่า ๓ ศตวรรษ ในตัวเมืองมีพลเมืองหลากหลาย มีทั้ง ชาวจีน สยาม มลายู รวมทั้งชาวต่างประเทศอื่นเช่น ญี่ปุ่น โปรตุเกส ฮอลันดา และอังกฤษ ส่วนชาวอาหรับและเปอร์เซีย ซึง่ เข้ามาก่อนหน้าเป็นเวลานาน บาง คนได้กลายมาเป็นพลเมืองของปัตตานีในที่สุด สินค้าที่ส�ำคัญ ได้แก่ เครื่องเทศ ไม้หอม จ�ำพวกกฤษณา การบูร และผลิตภัณฑ์อื่นๆ จากป่า มีเหมืองทองค�ำขนาดใหญ่ บริเวณภูเขาต้นน�้ำ จนได้ชื่อว่า แผ่นดินทอง (land of gold) ตามค�ำบอกเล่าของคนรุ่นก่อนที่มี บันทึกไว้ (curtius,Strabo,pomponius,mela ฯลฯ) ก่อนมาเป็นรัฐปัตตานี ที่นี่คืออาณาจักรลังกาสุกะ ชื่อเสียงนั้นขจรไกล เมืองโกตามหลิฆัย(ปัจจุบันเป็นเมืองโบราณ ตั้งอยู่ที่ อ.ยะรัง) ยังเป็นที่ประจักษ์ ปืนใหญ่ ศรีปัตตานี ศรีนครี และมหาลีลา คืออาวุธอันเกรียงไกร


254

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

แม้ปัจจุบันยังระบือไกลด้วยบารมีเกียรติคุณหลวงพ่อทวด (วัดช้างให้) มีสุสานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ศูนย์รวมศรัทธา อีกทั้งมัสยิด (โบราณ) กรือเซะ เป็นปูชนียสถานอันควรบูชา ห้วงเวลาแห่งความอุดมสมบูรณ์นั้นย้อนยุคไปไกล น�ำพาผู้คนมาจาก ทุกสารทิศ ความอุดมนั้นถึงขั้นมีค�ำเปรียบเปรยว่า “ที่เมืองปัตตานีนี้ แม้แต่ เป็ด,ไก่ ยังไข่ถึงวันละสองหน” ปัตตานียังมีแหล่งเกลือทะเลชั้นดี มีความเค็ม เหมาะสม จึงเป็นสินค้าส่งออกไปขายทั้งเมืองมลายูและต่างประเทศ เป็นเกลือ ทะเลที่สร้างความโอชะให้แก่น�้ำปรุงรส (บูดู) เป็นสินค้ามีชื่อที่แพร่หลายไปทั่ว ทุกแห่งหน พื้นดินอุดม ข้าวกล้านาไร่สมบูรณ์ ธรรมชาติเกื้อกูลไปทุกถิ่นสถาน --- และเหมือนดังหนังเปลี่ยนม้วนขึ้นเรื่องใหม่ ผ่านเวลา ผ่านวันที่บริบท ของผู้คนเปลี่ยน ไม่เพียงทรัพยากรสัตว์น�้ำที่ร่อยหรอ แม้ระบบนิเวศก็ขาด ความสมดุล นั่นเพราะผู้คนท�ำลายห่วงโซ่อาหาร แหล่งอนุบาล แหล่งปากท้อง ของตัวเอง ไม่ค�ำนึงถึงสิ่งใดควรเก็บ ควรฟื้นฟู และควรอนุรักษ์ หลากหลายเรือ่ งราวทีโ่ หมกระหน�ำ่ ท้องทะเลปัตตานี คล้ายเหลือเพียง ลมหายใจที่รวยริน ๔. กลุ่มคนและสิ่งดีๆ ยังมีอยู่ ตรงข้ามทะเลเทือกเขาสันกาลาคีรียังทอดตัวตระหง่าน เป็น“ปราการ แผ่นดิน” ป้องภัยแก่ผู้คนมาหลายศตวรรษ ในปากอ่าวปัตตานี มีแหลมตาชี (ชาวพืน้ เมืองเรียกแหลมบูดี หรือโพธิ) คงท�ำหน้าที่เป็น “ครรโภทร” อู่ข้าวอู่น�้ำ มีฝูงสัตว์น�้ำปูปลาให้ผู้คนพื้นถิ่น ขณะ ที่ชาวประมงพื้นบ้านน�ำเรือกอและออกทะเล แต่บรรดาพ่อค้านายทุนมีทั้งเรือ ใหญ่ อุปกรณ์เทคโนโลยี ระบบโซนา,ซาวน์เดอร์ และหรือ จีพีเอส รวมถึงพวก


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

255

อวนรุน อวนลากที่รุกคราดท้องน�้ำไปทั่ว และเพียงรู้คู่ต่อกร ไม่ต้องบอกก็รู้แล้ว ว่าผู้ใดจะก�ำชัย ใครคือผู้ที่จะถูกต้อนเข้าตาจน เวลานีเ้ ส้นทางของผูค้ นชายขอบ ถูกเบียดถูกกระชับพืน้ ทีเ่ หลือน้อยลง ทุกขณะ หลายคนคิดตรงกันและเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า ทรัพยากรของพวกเขา จะมีโอกาสหลงเหลือรอดไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลานได้หรือไม่ ดังนั้นด้วยส�ำนึกรักษ์ บ้านเกิด หวงแหนทรัพยากร จึงเริ่มก่อตัวจากปัจเจกชนชาวประมงพื้นบ้าน ผู้ซึ่งไม่จ�ำนนต่อชะตากรรม เริ่มจากผู้คนเพียงหนึ่ง เพิ่มขึ้นเป็นสอง เป็นสามสี่ ห้า ที่ตกผลึกความคิด และเกิดเบ่งบานงอกงามขึ้นในจิตใจผู้คน คล้ายดอกเห็ด ยามถึงเวลาเบ่งบาน จากนั้นจึงขยับขยาย มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ จากกลุ่มคน พัฒนาเป็นชมรม และสุดท้ายเชื่อมโยงกับกลุ่มอื่น เป็นพันธมิตร เป็นเครือข่าย กระจายไปทุกหย่อมย่านทั่วทั้งจังหวัด เพื่อความมั่นคงยั่งยืน การหาแนวร่วมเครือข่ายให้สังคมยอมรับ ได้พัฒนาออกไปสู่การปลูกป่าชายเลน เพราะต่างรู้ดีว่าป่าชายเลนคือโรงงาน ผลิตออกซิเจนให้แก่ผู้คน ป่าชายเลนเป็นตัวสร้างแผ่นดิน ป่าชายเลนเป็นแหล่ง อนุบาลและพักพิงของสิ่งมีชีวิตสัตว์น�้ำวัยอ่อน ป่าชายเลนยังเป็นปราการ ด่านแรกที่ป้องกันพิบัติภัยไว้ก่อนถึงผู้คน กิจกรรมอืน่ ทีข่ บั เคลือ่ นตามมา ได้แก่ การก่อตัง้ เขตอนุรกั ษ์พนั ธ์สุ ตั ว์นำ�้ การท�ำซั้งตามแบบภูมิปัญญาชาวบ้าน รวมทั้งปะการังเทียม เครือข่ายและแนวร่วมของผูค้ นตัวเล็กๆ เป็นส�ำนึกพลเมืองทีเ่ ริม่ ถักทอ สายใยเชื่อมโยงไปไม่ขาดสาย เริ่มต้นขึ้นแล้ว เรือ่ งราวของการปกป้องหวงแหนทรัพยากรของผูค้ นประมงพืน้ บ้านเริม่ เป็นทีใ่ ส่ใจมองจากภาครัฐ แต่กย็ งั ช้าไปกว่าสายพระเนตรอันยาวไกลของสมเด็จ พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงมีพระราชเสาวนีย์ให้หน่วยงานภาครัฐ ผูเ้ กีย่ วข้องเข้าไปจัดหาสนับสนุนการท�ำปะการังเทียมด้วยวัสดุเหลือทิง้ อันได้แก่


256

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ยุทโธปกรณ์ทางทหาร ตู้คอนเทนเนอร์ ตู้ขบวนรถไฟ รถบรรทุก และเรือเก่า รวมทั้งท่อปูนซิเมนต์ ฯลฯ เพิ่มเติมตลอดชายฝั่งตั้งแต่จังหวัดสงขลา ปัตตานี ไปสุดที่นราธิวาส เวลานีก้ ล้าพันธ์อุ นุรกั ษ์กำ� ลังเบ่งบานความอุดมของทรัพยากรสัตว์เริม่ ฟื้นคืน เริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์รวมทั้งใบหน้าอันเปื้อนยิ้มของผู้คน กล้าพันธ์ุอนุรักษ์ก�ำลังเบ่งบาน สืบทอดไปยังผู้คนรุ่นหลัง เพราะความเชื่ อ ที่ ว ่ า คนเป็ น องค์ ร วมของทุ ก สรรพสิ่ ง เมื่ อ คนดี สิ่งแวดล้อมทั้งเศรษฐกิจย่อมดีตาม สังคมไม่มีปัญหา เมื่อนั้นสันติสุขก็จะกลับ คืนมา กว่ า สิ บ ปี แ ห่ ง การต่ อ สู ้ ดิ้ น รนของประมงพื้ น บ้ า นเริ่ ม มี ค วามหวั ง อ่าวปัตตานีเวลานีม้ ฝี งู โลมาหวนคืนกลับมาเริงเล่นน�้ำสอดส่ายงมหาปลาหน้าดิน ให้เห็น ในอ่าวมีหอยแมลงภูห่ นาตามาทดแทนหอยแครงทีเ่ คยครอบครองทะเล โคลนมาก่อน หอยกะพงยังหลงเหลืออีกมากมาย ยังมีทั้งสาหร่ายผมนาง อันอุดม มีปลาเก๋า ปลากะพง ทั้งหอยเป๋าฮื้อ,หอยหวานที่ผู้คนเพาะเลี้ยง ฝูงปลาบิลิ(ปลาชิ้งชั้ง)ยังมีสืบทอดเผ่าพันธ์ุให้จับมาท�ำเป็นน�้ำบูดูและ ตากแห้งออกจ�ำหน่าย แม้ฝูงกุ้งเคยก็กลับคืนมาใหม่ให้ผู้คนมีไว้ท�ำกะปิน�้ำปลา ผู้เขียนไม่อาจละเลยเอ่ยนามบุคคลจริงและนามสมมติ ที่เป็นต้นแบบ เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนอีกหลายถิ่นที่หยัดยืนขึ้นสู้ เขาเหล่านั้นได้แก่ เปาะซูแอ,มูหามะสุกรี จากบ้านตันหยงเปาว์,ดาโอะ แห่งบ้านสายหมอ อ�ำเภอหนองจิก ดอเลาะ แห่งบ้านตันหยงลูโละ อ.เมืองปัตตานี สะแปอิง แห่งบ้านบูดี อ.ยะหริ่ง สาและแห่งบ้านแฆแฆ อ.ปะนาเระ, มูดอ แห่งบ้านบาง เก่า เป๊าะจิเดร์,อับดุลเล๊าะ แห่งบ้านปะเสยะวอ ,สาและแห่งบ้านลุ่ม อ.สายบุรี และสุดท้าย กาเดร์แห่งบ้านไม้แก่น อ.ไม้แก่น และรวมถึงบุคคลนิรนามอีก นานับ ที่ไม่เปิดเผยตัวตน สัดส่วนของผู้คนเหล่านี้ดูไปไม่ต่างไปจากยอด


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

257

ภูเขาน�ำ้ แข็งทีผ่ งาดอยูเ่ หนือผืนน�ำ้ ให้มองเห็นแค่นอ้ ยนิด ขณะทีฐ่ านพลังส�ำคัญ ผลักดันอยู่ภายใต้ท้องทะเลชีวิต หยัดยืนสู้ โดยไม่เผยตัวตน ย้อนไปในอดีตเราเคยมีวีรชนที่เคยปกป้องมาตุภูมิมาแล้ว การต่อสู้ ของวีรชนรุน่ ใหม่ในครัง้ นี้ คือการต่อสูค้ รัง้ สุดท้าย ทีแ่ พ้ไม่ได้ การต่อสูด้ นิ้ รนของ พวกเขาคือการปรับตัว คือการเรียนรู้ คือการปฏิบัติจริง ไม่เคยหวังผลให้มีผู้คน มายกย่อง ไม่หวังได้รับโล่รางวัลเพื่อความเด่นดัง แต่เพื่อปากท้องของผู้คน ทั้งมวล นั่นเพราะเขาส�ำนึกว่าทะเลมีชีวิตมีลมหายใจได้ ต้องเป็นไปอย่างยั่งยืน ร่วมกันทั้งผู้คน พืชพันธ์ุ ส�่ำสัตว์และสายน�้ำ ๕. บทอ�ำลา ใกล้ค�่ำ สายลมตะวันออกพัดกลิ่นอายทะเลมาสัมผัส อาทิตย์ดวงโต ก�ำลังลับไปจากฟากฟ้า เงาของหมูส่ นริมหาดแหลมตาชีทอดยาวออกไปทุกขณะ แสงอาทิตย์อาบประกายฉาบทับเหนือท้องน�้ำอันอุดม สะท้อนท้องน�้ำเป็นสีเงิน ระยิบ เรือกอและหลายล�ำยังทระนงโต้คลื่นอยู่ริมหาด สะแปอิ ง หลั บ ตาลง บั น ทึ ก ความงามของภู มิ ทั ศ น์ โ ดยรอบไว้ ใ น ความทรงจ�ำ เมฆหมอกร้ายก�ำลังจางลง หนทางก้าวพ้นทุกข์สสู่ นั ติสขุ ยังมีความ หวัง เมื่อทะเลมีลมหายใจ ชีวิตของกลุ่มคนพวกเขาต้องมีอยู่ หอมกลิน่ ดอกคนทีเขมา อันงอกงามขึน้ อยูร่ มิ น�ำ้ ไม้ดอกนีช้ าวพืน้ เมือง เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “กูโนกามอ”มีนัยถึงเสน่ห์อันดึงดูดใจผีเสื้อ มาดอมดม แท้จริงความงามของแดนดินถิ่นนี้ คงไม่ต่างไปจากเสน่ห์ของบุหงา ปัตตานี ที่มีมนต์ขลังดึงดูดโน้มน�ำผู้คนเช่นกัน ขณะสองชายหญิงเดินเกี่ยวก้อยกลับไปยังทับกระท่อม แสงสุดท้าย ของมาตาฮารี ดวงตาแห่งวันก�ำลังรอนแสงใกล้ลาลับ ดวงบุหลันก�ำลังไต่ฟ้ามา


258

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ท�าหน้าที่ยามราตรีแทน ส�าเนียงเพลงมะอีนังลามาบทหนึ่งล่องลอยฝากกับ สายลมค�่ามาจากที่ใดที่หนึ่ง สะแปอิงจ�าได้ดีว่าเพลงนี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “กืมบังจีนา” หมายถึง ดอกพุดทีก่ า� ลังบานแย้ม ยิง่ สอดรับกับเรือ่ งราวความหวัง ความสันติสขุ ของผูค้ น ชาวปัตตานีใกล้เป็นจริง... “ตือนัง..ตือนัง...ยาแลฆี ลาโอะ ฮาตี เตอร์กือนัง มูโละละห์ เตอร์ซือโบะ “แสนเพลินใจ แล่นเรือไปในทะเล บูดี(โพธิ)ตาชี ต้นสนแซม

ข�าปันละห์ กอและ มูดิก กือตันญง* บูดีละห์ บาเอะ ราชา เนาะ ญุณญง” กอและเหเร่ไปสู่ปลายแหลม ยามรอนแรม ราษฎร์ราชา ผาสุกใจ”

เนื้อความที่เรียบเรียงมาทั้งหมดนี้ เป็นเพียงเรื่องราวดีๆ บางส่วนของ ปัตตานี ที่เคยมีและด�ารงอยู่ เป็นบางส่วนเสี้ยวมรดกแห่งผู้คน วัฒนธรรม “เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา”และนี่คือ“อดีต ประเพณี วิถีชน และกลุ่มคนรักษ์สายน�้า” ที่น�ามาเขียนไว้.

* ถอดความใหม่โดยผู้เขียน


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

259

ความสุข นายวิหาร ขวัญดี

ผู้เขียนเกิดและเติบโตที่ต�ำบลหน้าถ�้ำ เป็นคนที่นี่โดยก�ำเนิด จนวันนี้ อายุล่วง ๕๐ ปีแล้ว ความผูกพันกับถิ่นฐานบ้านเกิด ยากที่จะเปลี่ยนใจให้โยก ย้ายครอบครัวไปอยู่ที่อื่น ยังคงมี “ความสุข” กับสิ่งดี ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ในทุกช่วงวัย ชีวิตในวัยเด็กที่ผ่านมาเนิ่นนานแล้ว แต่กลิ่นอายความสุขสนุกยัง คงคุกรุ่น เหมือนเพิ่งเกิดมาเมื่อไม่นานนี่เอง หวนนึกถึงทีไรอดปลื้มใจและ แอบอมยิ้มอยู่คนเดียวไม่ได้ ความสุขยังเต็มเปี่ยมล้นในหัวใจเสมอ... ความสุข จากการใช้ชีวิต...ปัญหาและอุปสรรคที่ผ่านพบ กลับเป็นแรงบันดาลและ ความประทับใจ ถึงแม้จะเป็นเพียงความสุขในอดีต แต่ในอนาคตก็เชื่อว่ายังคง มีความสุขต่อไป ชีวิตความเป็นอยู่ในชนบท มีความเรียบง่าย ไม่เร่งรีบ ไม่เร่งร้อน สภาพแวดล้อมมองไปทางไหน พบเจอสิ่งสวยงามระรื่นหูสบายตา เสียงนกร้อง ในยามฟ้าสาง ดังแข่งกันหลายส�ำเนียงจนน่าร�ำคาญ แต่ก็อดดีใจกับธรรมชาติ ผืนป่ารอบๆ บ้านไม่ได้ ที่มอบให้แทนเสียงนาฬิกาปลุก ในขณะที่ท้องฟ้าเหนือ ทิวเขาผืนป่าทิศตะวันออก ส่องแสงสีเหลืองระเรื่อ ค่อยๆ เปล่งแสงชัดขึ้นๆ ลมเย็นจากป่ารอบๆ บ้านพัดโชยกระทบผิวกายพลอยท�ำให้กายตื่นภวังค์จาก การหลับใหลมาทั้งคืน...อากาศยามเช้าช่างแสนสดชื่นเสียจริงๆ...จิตใจว่างพอ ที่จะล�ำดับนึกถึงความสุขเมื่อครั้งวันวาน...


260

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ครอบครัวผู้เขียน พ่อแม่มีอาชีพท�ำนา มาตั้งแต่วัยหนุ่มสาว พ่อแม่มี ความขยันและอดออม ซึ่งลูกๆ ซึมซับสิ่งเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี ถึงแม้พ่อจากลูก ไปแล้วเป็น ๘ ปี แต่จิตวิญญาณของพ่อยังหยั่งรากลึกอยู่ในใจลูกๆ เสมอ... พ่อมีความขยัน ความอดทนเป็นเลิศ พ่อไม่อายเมื่อเที่ยวเดินหิ้วผักไปขาย ตามหมู่บ้าน พ่อไม่ละอายที่จะท�ำความดี ความเป็นนักศิลปะ พ่อมักดัดแปลง สิ่งของเครื่องใช้ที่เสียและเสื่อมกลับมาใช้งานได้ใหม่ วันนี้แม่อายุ ๙๓ ปีแล้ว อยูก่ บั ลูกๆ โดยผลัดเปลีย่ นหมุนเวียน มาอยูด่ แู ลแม่คนละหนึง่ วัน ลูกชายผูเ้ ขียน จัดตารางเวรให้คุณลุงคุณป้ามาอยู่กับย่า โดยเรียงจากลูกคนโต ดังนี้ วันจันทร์ ป้าลออ มณีนิยม วันอังคารลุงพิบูลย์ ขวัญดี วันพุธป้าประจักษ์ ทองอ่อน วันพฤหัสบดีป้าประภา เพ็ชรรัตน์ วันศุกร์ลุงศิริ ขวัญดี ส่วนลุงกิตติ ขวัญดี อาชีพรับราชการและอยูต่ วั คนเดียวให้มาอยูด่ แู ลย่าเฉพาะวันเสาร์กบั วันอาทิตย์ ส่วนพ่อ (ผู้เขียน) รับราชการและอยู่กับย่าทุกวันเป็นปกติอยู่แล้ว... ส่วนแม่ นิสยั ต่างจากพ่อมาก แม่เป็นคนรักศักดิศ์ รีไม่ใคร่จะยอมใครง่ายๆ ถ้าไม่มเี หตุผล ประเภทถึงลูกถึงคน ถึงท่านทั้งสองจะมีความเห็นไม่ตรงกันบ้าง แต่ครองรัก ครองเรือนเลี้ยงลูกด้วยความรักมาตลอด มาวันนี้วันที่คุณแม่ความจ�ำเริ่มจะ ไม่สู้ดีนัก จ�ำถูก จ�ำผิด บ้างบางครั้ง พูดถึงเรื่องราวของพ่อทีไร แม่จะยิ้ม ด้วยความสุข แต่มีบางครั้ง เหมือนกันเมื่อลูกๆ พูดถึงพ่อ แม่เผลอนั่งเหม่อลอย หงอยเหงา คงใจหายบ้ า งเป็ น ธรรมดา...แต่ ไ ด้ ลู ก หลานมาคอยปลอบใจ ลูกๆ หลานๆ แวะเวียนมาเยี่ยมถามข่าวคราว ซื้อขนมเล็กๆ น้อยๆ ติดมือมา ฝากแม่ยิ้มอย่างดีใจ แต่ถ้าลูกหลานห่างหายไปนานๆ แม่มักนั่งคอยเหลือบมอง ไปทางถนนหน้าบ้านเป็นประจ�ำด้วยสายตาที่รอคอย...ผู้สูงอายุยังคงต้องการ การดูแลเอาใจใส่จากลูกๆ หลานๆ เสมอ...อย่าลืมหันกลับไปมองและปรนนิบัติ ท่านบ้าง รีบปรนนิบัติรับใช้ท่านตอนที่ท่านยังมีลมหายใจอยู่ ดีกว่าที่จะยก ถาดอาหารไปวางไว้หน้ารูปถ่ายของท่านนะครับ...ผู้เขียนเชื่อว่ าบุญบารมี


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

261

จากการเลี้ยงดูปรนนิบัติพ่อแม่นั้นยิ่งใหญ่นัก...สมัยก่อนชีวิตความเป็นอยู่ ไม่สะดวกสบายเหมือนปัจจุบัน ข้าวปลาอาหารล้วนได้มาจากธรรมชาติ ผืนป่า และท้องทุ่ง เป็นส่วนใหญ่ เสื้อผ้าพอมีพอใช้สวมใส่ปกคลุมร่างกายกันหนาว ไม่ประเจิดประเจ้อเพียงพอแล้ว ไม่รู้จะเอาเงินที่ไหนมาซื้อเสื้อผ้าสวยๆ สวมใส่ เพราะมีราคาแพง และไม่รู้จะใส่ไปอวดกันท�ำไม ไร้สาระ สภาพบ้านเรือนทรง โบราณยกพื้นสูง หลังคามุงจาก พื้นฟากไม้ไผ่ ฝาบ้านใช้ไม้ไผ่ส านกับไม้ ไม้กระดานทีพ่ อ่ ตัดและเลือ่ ยเองสะสมไว้ หรือถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็จ้างคนแถวบ้าน มาตัดเลื่อยไม้เก็บไว้ พ่อสร้างบ้านจากการขอแรงญาติพี่นอ้ งเพือ่ นฝูงมาช่วยกัน และจัดหาอาหารการกินให้ตอบแทน ผลัดเปลี่ยนเวียนกัน ช่วยเหลือกันอย่างนี้ เป็นสังคมช่วยเหลือเกื้อกูล พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน... ส่วนไฟฟ้าส่องสว่าง ไม่มีให้ใช้ มีเพียงตะเกียงที่น�ำขวดไม่ใช้งานมาใส่ไส้ “ผ้าควั่น” (ฉีกเศษผ้ากว้าง ประมาณ ๑ เซนติเมตร พับเป็นสองเส้นให้ความยาวเท่ากัน น�ำมาม้วนบนหน้าขา ให้สองเส้นพันเป็นเกลียวเชือก ต้องให้พอดีกับ “พวยตะเกียง”) เติมด้วยน�้ำมัน ก๊าด ซึ่งผู้เขียนยังได้ใช้ประโยชน์กับมันสมัยเรียนชั้นประถมศึกษาอยู่บ่อยๆ เหมือนกัน แต่จะมีน�้ำมันโซล่า(ดีเซลล์) มาให้ใช้ มีราคาที่ถูกกว่าแต่กลิ่นควัน เหม็นด�ำปี๋ ให้แสงสว่างดีกบั การใช้งานทัว่ ๆไป ถ้าเด็กๆ เผลอไปจับเล่นโดนเขม่า ตะเกียงขวดเข้า รับรองถูกจับแก้ผ้าอาบน�ำ้ กันยกใหญ่ เข้าท�ำนอง “ตะเกียงควัน ด�ำท�ำเหตุ” พ่อแม่เลี้ยงลูกถึง ๗ คน ต้องต่อสู้ดิ้นรนกับความยากล�ำบาก เลี้ยงลูก ส่งเสียให้ได้เรียนตามก�ำลัง ลูกชายให้เดินตามรอยองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัจจุบันลูกชายทั้งสามบวชเรียน รับราชการและมีครอบครัวกันหมดแล้ว อาชีพรับราชการไม่ร�่ำรวย แต่มั่นคง พอมีพอใช้ พอกินพอเก็บ ถ้ารู้จักด�ำเนิน ชีวิต “แบบพอเพียง” แม่บอกว่าสมัยก่อนครอบครัวค่อนข้างล�ำบาก ต้องช่วย กันท�ำงานกันทุกคน เงินทองที่น�ำมาใช้จ่ายในครอบครัวมาจาก...การขายผัก


262

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ขายปลา ขายผลไม้ พีส่ าวช่วยกันท�ำขนมขายกันตามหมูบ่ า้ น บริการถึงหัวบันได บ้านกันเลยทีเดียว พี่สาว “ประจักษ์ ทองอ่อน” ต้องช่วยแม่น�ำของไปขาย ที่โรงเรียน ขณะเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนวัดหน้าถ�้ำ ราวปี พ.ศ.๒๔๙๙ (ที่ตั้งโรงเรียนในปัจจุบัน เป็นที่ตั้งของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ต� ำ บลหน้ า ถ�้ ำ ) สิ น ค้ า ที่ น� ำ ไปขายมี ถั่ ว ลิ ส งต้ ม (ห่ อ ละ ๕๐ สตางค์ ) กล้วยต้ม ขนมแห้ง อะไรพอจะขายได้ก็ขายทุกวัน มีรายได้จากการขายขนม วันละ ๕ - ๖ บาท ข้าวสารที่เหลือกินเหลือเก็บ แม่ก็แบ่งไปขายบ้าง แต่ข้าวสาร ต้องน�ำไปขายที่ “ตลาดนัดสามแยกบ้านเนียง” ซึ่งเป็นตลาดนัดวันอาทิตย์ ตั้งอยู่ต�ำบลเปาะเส้ง อ�ำเภอเมือง จังหวัดยะลา ห่างจากต�ำบลหน้าถ�้ำไปทาง อ�ำเภอยะหาประมาณ ๒ กิโลเมตร การไปขายของทีต่ ลาดนัดสามแยกบ้านเนียง ต้องนัดหมายรวมกันไปหลายๆ คน การเดินด้วยเท้าแม่บอกจะได้ประหยัด ค่ า รถ ถึ ง มี ร ถสั ญ จรไปกลั บ ท่า แพท่ า สาป - บ้ า นเนี ย ง ผ่ า นหน้ า ถ�้ ำ มี ถึ ง ๒ - ๓ คัน แต่กว่ารถโดยสาร (ยี่ห้อโตโยเป็ด) จะมาแต่ละเที่ยวรอกันจนเบื่อ สู้เดินกันไปเองดีกว่า เดินคุยกันไปสักประเดี๋ยวก็ถึง ของที่น�ำไปขายใส่ถุงผ้าได้ ก็ใส่ไป หรือไม่ก็ใส่ตะกร้า ส่วนข้าวสารใส่กระสอบแล้วเทินไว้บนศีรษะ (เทินคือ การเอาของวางไว้บนศีรษะ ใช้ผ้าขาวม้าม้วนให้กลมแล้ววางใต้กระสอบ เพือ่ กัน กระสอบสัมผัสศีรษะโดยตรง ลดความเจ็บปวด) เส้นทางไปสามแยกบ้านเนียง (ถนนสาย๔๐๙ ในปัจจุบนั ) เป็นถนนดินแดงยังไม่ได้ลาดยาง วันไหนฝนตกหนัก ถนนแฉะไปด้วยน�ำ้ ต้องย�ำ่ เดินไปบนโคลน รองเท้าทีส่ วมใส่ตอ้ งหิว้ ถือไปแทน... พี่กิตติพี่ชายบอกว่า “ครั้งสมัยไปเรียนหนังสือชั้นประถมศึกษาตอนปลาย ที่โรงเรียนสามแยกบ้านเนียง (โรงเรียนวัดหน้าถ�้ำเปิดสอนแค่ชั้นประถมศึกษา ปีที่ ๔) ตลอดเส้นทางไปโรงเรียนสามแยกบ้านเนียง มีสะพานข้ามคลองคั่นอยู่ สองสะพาน ชาวบ้านแถบนั้นเรียกว่า “สะพานตาอิน”กับ “สะพานสามพี่น้อง” สะพานไม่สะดวกปลอดภัยเหมือนปัจจุบัน เพียงแต่ใช้ไม้ซุงวางพาดจากฝั่งหนึ่ง ไปยังอีกฝั่งหนึ่ง จ�ำนวน ๖ ต้น โดยให้พอดีกับล้อรถข้างละ ๓ ต้น แต่ละต้น


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

263

จะใช้เหล็กที่ชาวบ้านเรียกว่า “เหล็กปลิง” (คงจับยึดเกาะแน่นเหมือนปลิงดูด เลือด) ตอกยึดแต่ละต้นไม่ให้ขยับเขยื้อนเคลื่อนที่ไปไหน ทั้งรถทั้งคนใช้ถนน ต้องเดินผ่านไปบนสะพานนี้เหมือนกัน ตลอดเส้นทางพวกเรามักเดินเล่นกันไป เรื่อยเปื่อย เพราะบางช่วงถนน ยังมีร่มเงาจากต้นไม้ที่ขึ้นริมถนนสองข้าง บางวันเดินเล่นกันเพลิน จนเกือบลืมเวลาเข้าแถวหน้าเสาธง หลังจากเลิกเรียน มีอกี หนึง่ กิจกรรมทีพ่ วกเราโปรดปรานเป็นชีวติ จิตใจ นัน่ คือกิจกรรมแข่งกระโดด น�้ำลงคลองที่ “สะพานตาอิน” กับ “สะพานสามพี่น้อง” พี่ชายบอก “อารมณ์ ความมันอยู่ที่ช่วงถีบสปริงตัวลอยกลางอากาศ แล้วลงมากระแทกผิวน�้ำ” บางจังหวะลงผิดคิวเอาหน้าท้องกระแทกผิวน�้ำเสียงดัง “เพี้ยะ” เล่นเอาปวด แสบแน่นจุกไปเลยทีเดียว แต่ลูกผู้ชาย “เจ็บแล้วไม่จ�ำ” ยังคงวิ่งแข่งแซงหน้า กันกระโจนลงน�้ำ ไม่มีใครยอมใคร กว่าจะกลับถึงบ้านเกือบเย็นย�่ำค�่ำก็เคยมี” วันไหนเป็นวันเสาร์อาทิตย์พชี่ ายก็มกั ตามพ่อไปไถนา ซึง่ แปลงนาอยูไ่ ม่ไกลจาก บ้านสักเท่าไหร่นัก ได้ช่วยถือหอบหิ้วสัมภาระบางอย่างให้พ่อ...ส่วนแม่นั้นต้อง ตื่นนอนก่อนสว่าง ตี ๔ ตี ๕ เพื่อเตรียมหุงหาอาหารไปให้พ่อในแปลงนายาม สาย ๆ ของวัน พี่ชายกับพ่อจูงวัวแบกไถออกกันไปตั้งแต่พอเห็นทางเดิน พี่ชาย ไปช่วยพ่อดึงวัวสวมแอกวางไถ พ่อจะได้ไถนาเร็วขึ้นเพราะถ้าช้าจะไม่ทันเวลา พระอาทิตย์ขึ้นตรงหัว จ�ำเป็นต้องหยุดพักกลางวัน กลัวว่าทั้งวัวทั้งคนเป็นลม ล้มลงไปดิน้ เสียก่อน การไถนายิง่ เวลาเช้ายิง่ ดีจะได้พนื้ ทีเ่ ยอะ ทัง้ วัวทัง้ คนไม่รอ้ น และไม่เหนื่อยง่าย ชาวนาจึงมักไถนากันในช่วงครึ่งวันเช้าเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่นิยมไถนาในช่วงครึ่งวันเย็น เสน่ห์อีกอย่างหนึ่งที่ลูกๆ ชอบตามพ่อไปที่ แปลงนา เพราะเวลาพ่อคราดนา เตรียมดินก่อนปักด�ำกล้า นาแปลงไหนมีน�้ำ เวลาเดินตามหลังพ่อคราดนา ได้จับปลาที่ติดมากับเศษดินเศษหญ้ากันสนุก บางครั้งได้มากพอที่จะน�ำไปปรุงเป็นอาหารในมื้อถัดไป ท�ำให้นึกถึงเพลงเก่า ในอดีตที่มีเนื้อร้องว่า “เมืองไทยเรานี้ แสนดีหนักหนา ในน�้ำมีปลา ในนามีข้าว ท�ำมาหากิน แผ่นดินของเรา ปลูกเรือนสร้างเหย้า อยู่ร่วมกันไป เราอยู่เป็นสุข


264

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

สนุกสนาน เราตั้งถิ่นฐาน ไปจนยิ่งใหญ่ เมืองไทยเรานี้ แสนดีกระไร เรารัก เมืองไทย ยิ่งชีพเราเอย” จริงอย่างเนือ้ เพลงว่า ในน�ำ้ มีปลา ในนามีขา้ ว เมือ่ ก่อนข้าวปลาหาง่าย มาก คืนไหนฝนตก พอน�้ำติดแปลงนา พี่ชายทั้งสามจะชวนกันออกไปหาปลา “น�้ำมาปลาขึ้น” ออกไปในแปลงนา ไม่นานสักพักใหญ่ๆ ก็กลับมาพร้อมเสียง คุยโขมงโฉงเฉง กับปลาที่อัดแน่นอยู่ในข้องใบโต เปิดดูข้องทีไรเห็น ปลาดุก ปลาช่อน ปลาหมอ นอนสะบัดหางสะบัดหัวตัวเขื่องๆ ...พรุ่งนี้จะได้กินปลาดุก คลุ ก ขมิ้ น ทอดอี ก แล้ ว ...เวลาประมาณ ๐๘.๐๐ น. ผู ้ เขี ย นกั บ แม่ น� ำ ข้ า ว พร้อมกับข้าว ใส่หม้อเคลือบหูหิ้วไปให้ที่แปลงนา กับข้าวง่ายๆ แกงส้ม ปลา ช่อนคลุกขมิ้นทอดกรอบ ยอดจิก ยอดมะกอก ยอดมะม่วงหิมพานต์ ริมรั้วเป็น ผักจิ้มน�้ำพริกชั้นดี ในระหว่างพ่อกับพี่ชายก�ำลังกินข้าวกันอย่างเอร็ดอร่อย แม่ไม่ยอมเสียเวลา รีบจ�้ำอ้าว ลงแปลงนาปักด�ำต้นกล้าที่พ่อและพี่ชายแบกมา แช่น�้ำไว้ตั้งแต่เมื่อวาน พ่อกินข้าวเสร็จแล้วรีบลงไปไถนาต่อ...ภาพพ่อไถนาใน แปลงนา ในขณะที่แม่ก้มหน้าก้มตาปักด�ำต้นกล้าอย่างขะมักเขม้น เป็นภาพ ที่ผู้เขียนเห็นจนชินตา...จนเวลาเกือบเที่ยงพ่อหยุดไถนา และน�ำวัวออกจาก แปลงนา ไปหลบแดดใต้ร่มเงาไม้ที่มีหญ้าอ่อนๆ พอได้และเล็ม ส่วนอุปกรณ์ใน การไถนา พ่อกับพีช่ ายช่วยกันยกหามไปเก็บใต้รม่ เงาไม้ พ่อไม่ยอมให้แช่นำ�้ หรือ วางทิ้งไว้กลางแดด กลัวจะเสียหาย ไม่อยากเสียเวลาท�ำมันขึ้นมาใหม่ (คันไถ คราดและอุปกรณ์ในการท�ำนา พ่อเป็นคนท�ำเอง) การไถนากับวัวควายนิยม เฉพาะไม่เกินครึง่ วันเช้า ส่วนในตอนเย็นจะปล่อยให้ววั ได้พกั กล้ามเนือ้ กินหญ้า ตามสบาย เพราะพรุ่งนี้เช้าต้องออกไปท�ำหน้าที่ “ไถนา” กันแต่เช้ามืด...พ่อแม่ ใช้เวลาหยุดพักกลางวัน ภาษาชาวบ้านมักเรียกว่า “ขึ้นเที่ยง” (ถึงเวลาเที่ยงขึ้น จากแปลงนา พักกินข้าวเที่ยงที่บ้านหรือที่นา) เวลาประมาณบ่ายโมง พ่อกับแม่ กลับลงแปลงนาปักด�ำกล้าอีกรอบ ถ้าพี่สาวว่างจากงานบ้านก็ลงไปช่วยอีกแรง แปลงนาไม่ใหญ่มากนัก ใช้เวลาปักด�ำ ๒ - ๓ วันจึงแล้วเสร็จ


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

265

พี่ประจักษ์ ทองอ่อน พี่สาวเล่าให้ฟังว่า ปี พ.ศ.๒๕๐๑ การจะได้ ดู”หนัง” (หนังคือภาพยนตร์ที่ฉายในโรงภาพยนตร์) สักครั้งต้องเดินทางไปดูที่ ต�ำบลท่าสาป เพราะที่ต�ำบลหน้าถ�้ำไม่มีโรงหนัง (โรงภาพยนตร์) โดยเดินทาง เข้าเมืองยะลา มาตามเส้นทางหน้าถ�้ำ-ท่าแพท่าสาป เป็นระยะทางประมาณ ๓ กิโลเมตร โรงหนังเป็นของเฒ่าแก่ ในพื้นที่ชื่อโรงหนัง “เล่งซ่าน” โรงหนังบาง ที่ชาวบ้านเรียก “วิกหนัง” ราคาค่าตั๋วแต่ละรอบแต่ละเรื่อง ๓ บาท (เงินที่พา ไปกินข้าวที่โรงเรียนวันละ ๓ บาท) การไปดูหนังไปกันหลายๆ คน ซ้อนท้าย จักรยานกันไป ขากลับคืนไหนโชคไม่ดีฝนเทลงมาน�้ำนองถนน ต้องเดินจูง จั ก รยานกั น เป็ น แถว กว่ า จะถึ ง บ้ า นใช้ เวลาไปนานเหมื อ นกั น ระยะทาง ๒ - ๓ กิโลเมตร ถือเป็นเรื่องจิ๊บๆ ในสมัยนั้น ถนนหนทางยังไม่มีไฟฟ้าใช้ ไฟส่องสว่างน�ำทางพากันไปเอง ถ้าคืนไหนพระจันทร์เต็มดวง พอมองเห็นอะไร ชัดเจนขึ้นมาหน่อย โตขึ้นมาราวอายุ ๑๕ - ๑๖ ปี เริ่มมีภาพยนตร์กลางแปลง มาฉายให้ดูในหมู่บ้าน ภาพยนตร์กลางแปลงชาวบ้ านเรียกกันติดปากว่ า “หนังขายยา” (คิดว่าภาพยนตร์กลางแปลงทีเ่ ริม่ เข้ามาฉายในหมูบ่ า้ นครัง้ แรกๆ มาพร้อมกับการขายยา) แท้จริงแล้วภาพยนตร์กลางแปลง ทีเ่ ข้ามาฉายไม่ได้ขาย ยาเพียงอย่างเดียว แต่มีสินค้าอื่นเข้ามาขายด้วย ยาที่น�ำมาขายมียาแก้ปวด ลดไข้ ที่รู้จักกันดีเช่น ยาแก้ปวดลดไข้ทันใจ (ตอนหลังเปลี่ยนเป็นทัมใจ) ยาแก้ ปวดลดไข้ประสระนอแรด (ตอนหลังเปลี่ยนเป็นประสระบอแรด) ยาบ�ำรุงเลือด ตราหัวสิงห์ ยาอมโบตัน มีเนื้อเพลงมาให้ด้วยครับ เป็นอะไรที่คลาสสิกมาก (ต้องฟังเพลงจะรู้ว่าคลาสสิกจริงๆ)...ยามคุณจะไปครั้งใด คุณจงอมโบตัน อีตอนกระจู๋กระจี๋กัน คุณจงอมโบตัน โบตัน...โบตัน ก�ำจัดกลิ่นเหม็นฟัน และปากหอมทุกทิวา โบตัน...โบตัน จะท�ำให้รกั นัน่ มัน่ เกาะกันไม่มเี บือ่ นอกจาก จะอมให้ปากหอมชื่นใจ โบตันยังแก้ไอ แก้เมารถและเมาเรือ จะไปไหนเอาติด ไปทุกเมื่อ มีคุณอันเหลือเฟือเชื่อแต่อมโบตัน (โฆษกพูด) ดูกรมานพหนุ่ม


266

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ทั้งหลาย สูเจ้าอย่าส�ำคัญผิดคิดว่า ที่แม่นางมาเกิดอาการเหนียมอายเมื่อยาม สูเจ้าเข้าไปสาธยายบทรักนั้น แท้ที่จริงแม่นางเบือนหน้าหนี เพราะว่าทนดม คารมรักที่มีกลิ่นอันพิลึกกึกกือ จากสูเจ้ามิได้ ถ้าหากสูเจ้าใช้โบตันสิ ฮ่ะ ฮ่า ฮ่า โลกทั้งโลกจะเป็นของสูเจ้าแต่ผู้เดียว... ยาสตรีเพ็ญภาคตราพญานาค รวมทั้งเครื่องส�ำอาง เครื่องดื่มเพื่อ สุขภาพ (โอวัลติน, ไมโล) นมข้นหวาน (นมข้นหวานตราเด็กอนามัย) ถ่ายไฟฉาย ตรา ๕ แพะ ถ่ายไฟฉายตรากบ มีเพลงโฆษณาถ่านไฟฉายตรากบ มาให้ดังมาก ครับ เพลงนี้... (เพลง) ต้นตระกูลผมแต่ปางบรรพ์ หลังย�ำ่ สายัณห์ดวงตะวันเลีย่ งหลบ จะเดินทางเยื้องย่างไปไหนจ�ำเป็นต้องใช้จุดไต้จุดคบ ปัจจุบันเห็นจะไม่ดี ขืนจุด ไต้ซีถ้ามีใครพบ อาจจะอายขายหน้าอักโขเขาต้องฮาต้องโห่ว่าผมโง่บัดซบ ยุคนี้ มันต้องทันสมัย เพื่อนผมทั่วไปใช้ถ่านตรากบ ทั้งวิทยุและกระบอกไฟฉาย คุณภาพมากมายสะดวกสบายครันครบ ถ่านเขามีหลายอย่างวางกอง เขากลับ รับรองต้องแพ้ตรากบ เหตุและผลเขาน่าฟังครับ ขอให้ลองสดับนะท่านทีเ่ คารพ... (พูด) คือเขาบอกว่าถ่านไฟฉายตรากบ ไม่ใช่ของนอกส่งมาขยอกเงินไทย และ ไม่ใช่ของท�ำภายในทีโ่ กยก�ำไรส่งออกนอก ถ่านไฟฉายตรากบท�ำในเมืองไทย โดย ให้เงินก�ำไรหมุนเวียนอยู่ในเมืองไทย ท�ำให้ดุลการค้าของไทยดีขึ้น ฉะนั้น นอกจากผมจะเคยชอบตีกบ ชอบกินกบ ชอบเพลงพม่าแทงกบ และชอบเล่น ไพ่กบแล้ว เดี๋ยวนี้ผมยังชอบถ่านไฟฉายตรากบอีกด้วย อ๊บ อ๊บ... “หนังขายยา” จะใช้รถยนต์เป็นพาหนะในการเดินทาง เอาความบันเทิง มาให้ชาวบ้านได้ดูกัน รถที่น�ำมาฉายให้ดูส่วนมากจะเป็นรถตู้ รอบๆ ข้างรถทั้ง สองด้านจะมีขอ้ ความ และภาพทีเ่ ป็นสินค้าทีน่ ำ� มาขายในคืนนัน้ ด้านบนหลังคา รถจะติดล�ำโพงฮอร์นไว้ ๒ ตัว (ด้านหน้า ด้านหลัง บางคันติด ๔ ตัวก็มี) ส่วนเครื่องขยายเสียง เครื่องปั่นไฟ หม้อแปลงไฟ เครื่องฉาย (๑๖ มิลลิเมตร) ม้วนหนัง จอหนัง สินค้า จะจัดวางพร้อมสรรพตามความเหมาะสมไว้ในรถ


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

267

ในตอนกลางวันมีประกาศโฆษณาประชาสัมพันธ์ ให้ชาวบ้านได้รบั รูว้ า่ หนังทีม่ า ฉายเรื่องอะไรบ้าง ที่ขาดเสียไม่ได้ คือดาราน�ำชายหญิง พี่สาวบอกว่าดาราที่จ�ำ ได้มีดาราคู่ขวัญ สมควร กระจ่างศาสตร์ รัตนาพร อินทรก�ำแหง สมพงษ์ พงษ์มติ ร -ปรียา รุง่ เรือง,เสน่ห์ โกมารชุน – ปรียา รุง่ เรือง ดาราตลกมี ล้อต๊อก... รถหนังจะวนเวียนส่งเสียง ผ่านล�ำโพงฮอร์นไปรอบๆ หมู่บ้านว่าคืนนี้จะมีหนัง มาฉายให้ดู ในระหว่างนั้นก็จะโปรยแผ่นปลิวใบเล็กๆ รายละเอียดของหนัง เรื่องที่ฉาย บอกชื่อเรื่อง และดาราที่ร่วมแสดง... เด็กๆ ตื่นเต้นดีใจกันยกใหญ่ ถือว่าเป็นความบันเทิงทีท่ กุ คนอยากดู ในสมัยนัน้ โทรทัศน์ไม่มใี ห้ดู ได้เห็นเพียง แต่ผใู้ หญ่เขาฟังละครจากวิทยุทรานซิสเตอร์เครือ่ งเล็กๆ เท่านัน้ แต่หนังขายยา มีทั้งภาพทั้งเสียง น่าตื่นเต้นขนาดไหน... คิดดูก็แล้วกัน ส่วนผู้ใหญ่หนุ่มๆ สาวๆ ตื่ น เต้ น เช่ น กั น เพราะมี โ อกาสได้ พ บเจอพู ด คุ ย บอกความในใจกั น เป็ น “บรรยากาศรัก” หนุ่มสาวบ้านทุ่งสมัยก่อน มีหลายคู่เหมือนกัน ที่ตกลงปลงใจ ร่วมหอลงโรงกันเพราะ “หนังขายยาหารัก” แต่มีหลายคู่เช่นกัน ได้เพียงแต่พา แห้วกลับบ้านเพราะ “หนังขายยาพาแห้ว” หรือไม่อย่างนั้นก็เป็นงานบุญงาน วัด ที่มีโอกาสได้เชื่อมความสัมพันธ์กัน ไม่มีการพบเจอกันวันนี้ พรุ่งนี้จูงมือกัน ไปเที่ยวเหมือนปัจจุบัน คนสมัยก่อนให้ความส�ำคัญกับจารีตประเพณีอันดีงาม ถือเป็นเกียรติศักดิ์ศรีของวงศ์ตระกูล... พี่สาวเองก็เตรียมตัวท�ำ “ขนมถาด” (ขนมไทยใส่ถาดตัดขายเป็นชิ้นๆ ละ ๑ บาท) ขนมที่ขายประจ�ำมี ขนมชั้น ขนมหม้อแกง ขนมเปียกปูน ขนมเม็ด ขนุน ขนมกรวย ขนมถัว่ แปบ พีส่ าวสองสามคนรวมทัง้ แม่กลุ กี จุ อช่วยกันท�ำขนม เพื่อให้ทันได้ขายหน้าโรงหนังในค�่ำคืนนี้ ช่วงหลังๆ ที่ผู้เขียนพอจ�ำความได้ มีสว่ นช่วยงานบ้านพีๆ่ เหมือนกัน ช่วยตักน�ำ้ ใส่โอ่ง ต�ำหยวกกล้วยให้อาหารหมู ล้างจาน ให้อาหารไก่ ตั้งแต่ยังไม่มืดค�่ำ ส่วนกิจวัตร ส่วนตัวจัดการเองหมด ไม่ต้องรอ “ค�ำสั่ง” จากแม่หรือพี่สาวเพราะตื่นเต้นดีใจ ที่จะได้ไปดูหนังขายยา คืนนี้ ตกเย็น พี่สาวเริ่มเตรียมของที่น�ำไปขายจัดใส่รถเข็น ผู้เขียนช่วยจับหยิบ


268

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

อีกแรง แล้วจึงช่วยกันเข็นไปยังหน้าโรงหนังบริเวณทีม่ ลี านกว้างหรือทีโ่ ล่งเตียน มักจะถูกเลือกปักเสาขึงจอผ้าสีขาวขนาด ๔ – ๕ เมตร โดยมีเสาเหล็กสองต้น ซ้ายขวา ใช้เชือกผูกมัดให้ตึงทั้งสองเสา พร้อมกันนั้นจะใช้เชือกดึงที่ปลายเสา เหล็กข้างละสองเส้น ยึดปักลงดินเพื่อความมั่นคงอีกชั้นหนึ่ง...เมื่อรถเข็นขนม พี่สาวมาถึงบริเวณรถหนังขายยา จึงรีบจัดแจงเลือกหาท�ำเลเหมาะๆ เพื่อวาง โต๊ะเก้าอี้ วางถาดขนม ขณะที่เด็ก ๆ พากันวิ่งเล่นป้วนเปี้ยนวนเวียนใกล้ๆ กับ รถหนังขายยา ยิ่งเวลา“คนฉายหนัง”ดูความเรียบร้อยของฟิล์มหนังที่จะฉาย ในคืนนี้ คนฉายหนังต่อม้วนหนัง ต่อกลับหัวเรียกเสียงเฮจากคนดูเลยทีเดียว... ส่วนเด็ก ๆ สายตาคอยชะเง้อแหงนคอดูฟิล์มหนังที่มีภาพเล็กๆ เรียงต่อกันเป็น แถวท�ำให้อยากเห็นภาพเหล่านั้นมาโลดแล่นบนจอใจแทบจะขาด...ถ้าเวลายัง ไม่มดื ค�ำ่ เด็กๆ มักวิง่ เล่น อยูใ่ กล้รถฉายหนังนัน้ แหละไม่ไปไหนไกล ในใจยังคอย ภาวนาให้พระอาทิตย์ตกจมหายไปทางหลังเขาทางทิศตะวันตกเร็วๆ เมื่อดวง อาทิตย์ลับเหลี่ยมเขาไป พร้อมๆ กับเสียงเครื่องปั่นไฟก็ดังขึ้น ไฟฟ้าส่องสว่าง จากรถหนังขายยา สาดส่องไปทั่วบริเวณ แข่งกับแสงตะเกียงดวงเล็กดวงน้อย ของแม่คา้ แม่ขาย การฉายหนังจะฉายออกทางหน้าต่างรถ หรือไม่กเ็ ปิดไฟสว่าง พักขายยา (สินค้า) ช่วงนี้โฆษกจะพูดบอกสรรพคุณสินค้าของตน โฆษกยืนพูด ใกล้ ๆ กับรถซึง่ มีการจัดโต๊ะวางสินค้าทีน่ ำ� มาขาย โฆษกมาพูดโน้มน้าวให้คนมา ซือ้ สินค้า ในขณะทีม่ อื หนึง่ จับไมโครโฟน อีกมือถือสินค้าชูขนึ้ ปากก็พร�ำ่ บรรยาย สรรพคุณความดีของสินค้า ระหว่างนี้เด็กๆ แย่งกันมายืนชะเง้ออยู่รอบๆ โต๊ะขายสินค้า สายตา คอยจับจ้องอยู่ที่ปากของโฆษก ว่าจะพูดอะไรต่อไป ในขณะที่ลูกค้าหนุ่มน้อย หนุม่ ใหญ่ของแม่คา้ ขนมถาด วนเวียนซือ้ ขนมกินกันอย่างสุขส�ำราญ เมือ่ ซือ้ ขนม ถาดแล้วก็ขาย “ขนมจีบ” ของตนกลับคืนไปให้แม่ค้า ด้วยบรรยากาศชื่นมื่นไป ตามประสา...การขายสินค้าของโฆษก จะไม่ก�ำหนดเวลาแน่นอน เมื่อคิดว่าพอ


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

269

สมควรก็จะฉายหนังม้วนต่อไป...ประโยคหนึ่งที่โฆษกมักพูดเสมอว่า “หมดยา ๕ ชุดสุดท้ายนี้แล้ว จะได้ชมภาพยนตร์กันต่อ...ยกมือฉายไฟเลยครับ เรามี พนักงานบริการถึงที่ (เสื่อ)” มีเรื่องสนุกๆอยู่เหมือนกัน กับค�ำพูดของโฆษก ที่มักจะพูดว่า “เอ้า!พนักงานของเราไปส่งหน่อยครับ ข้างหน้า ๕ ชุด ด้านหลัง อีก ๒ ชุด ด้านซ้ายอีก ๓ ชุด และด้านขวาอีก ๒ ชุด ตรงหน้าโต๊ะอีก ๕ ชุด พนักงานบริการพ่อแม่พนี่ อ้ งหน่อยครับ...ขอบคุณครับ”...แท้จริงแล้วไม่มคี นซือ้ สักชุดเดียว น่าข�ำเป็นที่สุด (เป็นจิตวิทยาในการขาย) การฉายหนังก็สลับสับ เปลี่ยนกับการขายสินค้าไปอย่างนี้จนจบเรื่อง ก็ราวๆ เที่ยงคืนหรือดึกกว่านั้น ขึน้ อยูก่ บั ความยาวของหนัง หนังไทยสมัยก่อนผูช้ มทราบได้ทนั ที ว่าหนังใกล้จบ เรือ่ ง ก็ราว ๆ เทีย่ งคืนหรือดึกกว่านัน้ ขึน้ อยูก่ บั ความยาวของหนัง หนังไทยสมัย ก่อนผู้ชมทราบได้ทันทีว่าหนังใกล้จบเรื่อง เมื่อได้เสียงหวอรถต�ำรวจดังพร้อมๆ กับเสียงปรบมือจากนอกจอก็ดังขึ้น ถือเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของหนังไทย ในยุคสมัยนั้นเลยทีเดียว...ทุกคนเตรียมม้วนเสื่อกลับบ้าน ส่วนตัวผู้เขียน แม่เล่าว่า ขากลับหนังเลิกมีเพื่อนพี่ชายที่ไปมาหาสู่กันเป็นประจ�ำที่บา้ น ชื่อพี่ สนิท สุขาเขิน (ปัจจุบันครอบครัวย้ายไปท�ำสวนที่ต�ำบลล�ำพะยา อ�ำเภอเมือง จังหวัดยะลา) เป็นคนที่มีหน้าที่ “อุ้มขึ้นบ่าพากลับบ้าน” ไม่อุ้มได้อย่างไรละ ในเมือ่ ผูเ้ ขียนนอนหลับตัง้ แต่หนังฉายยังไม่ถงึ ครึง่ เรือ่ ง (โฆษกมัวแต่พดู ขายสินค้า อยู่นั่นแหละไม่ยอมฉายหนังสักที) สัมผัสแรกกับการได้ชมภาพยนตร์จอเล็ก สมัยเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ ๖ (พ.ศ.๒๕๑๗) ตื่นเต้นระคนปนความอยากรู้อยากเห็น ความแปลกใหม่ ส�ำหรับเด็กบ้านนอกอย่างพวกเรา ( ผู้เขียนและเพื่อนร่วมห้องเรียน) จอหนัง อะไรไม่รู้ เล็กนิดเดียวอยูใ่ นตูไ้ ม้มี ๔ ขา ตัง้ ให้จอสูงขึน้ เวลาฉายไม่มสี สี นั สวยงาม เห็นสีขาวกับด�ำเท่านัน้ ตลกเช่นเดิมกว่าจะรูจ้ กั โทรทัศน์ เล่นเอาเฉิม่ ไปหลายวัน เหมือนกัน โทรทัศน์ขาวด�ำเครื่องแรกที่เข้ามาในต�ำบลหน้าถ�้ำ ณ บ้านเลขที่ ๑


270

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

“ลูกต้อง” นายนิยม คูหามุข ก�ำนันต�ำบลหน้าถ�้ำในสมัยนั้น ทางอ�ำเภอต้องการ ให้ประชาชนได้รับทราบข่าวสารของบ้านเมือง จึงได้มอบโทรทัศน์ขาวด�ำให้ ต�ำบลละ ๑ เครื่อง ตลอดทั้งวัน มีลูกบ้านวนเวียนผลัดเปลี่ยนกันไปชื่นชม “ความมหัศจรรย์” ของโทรทัศน์กันไม่ว่างเว้น ผู้เขียนและผองเพื่อนมีโอกาส ชืน่ ชมความบันเทิงรูปแบบใหม่ในช่วงเวลาหลังเลิกเรียนและช่วงหัวค�ำ่ หลังเลิก เรียนถึงบ้านจัดการภาระหน้าทีจ่ นแล้วเสร็จ ขออนุญาตแม่ไปดูโทรทัศน์บ้านลุง ก�ำนัน เดินทางจากบ้านพร้อมกับเพื่อนๆ มาตามถนนลูกรังในหมู่บ้านมาถึงครึ่ง ทาง ต้องเดินลัดเลาะข้ามทุ่งนาไปขึ้นถนนใหญ่ (เพชรเกษม) แล้วเดินต่ออีก ๑๐๐ เมตร เวลา ๖ โมงครึ่ง บ้านลุงก�ำนันคลาคล�่ำไปด้วยผู้คนมากหน้าหลาย ตา เด็กเล็กเด็กอ่อนๆ พ่อแม่ก็กระเตงผลัดกันอุ้ม ใครมาหลังอยู่ไกลหน่อย ต้องคอยเขย่งส้นเท้าให้ความสูงเพิ่มขึ้น แต่ยืนดูได้ไม่นานหรอกก็มัน “เมื่อย” ตอนนี้ตัวใครตัวมัน ถ้ามองไม่เห็นก็ต้องมุดแงะแกะดันกันเอาเอง ภาพยนตร์ ญี่ปุ่นที่สู้พยายามเดินทาง เสียเวลามาเฝ้าดูคือเรื่อง “กาโม่” กาโม่เป็นฮีโร่ ฝ่ายธรรมะของเด็กๆ ทุกคน กาโม่จะท�ำลายล้างความชัว่ ร้าย จนย่อยยับราบคาบ ทุกครั้ง หนังฉายจบวันละ ๑ ตอนมีให้ชมเฉพาะวันไหน ผู้เขียนพยายามนึก อยู ่ ห ลายเที่ ย วแต่ นึ ก ไม่ อ อกสั ก ที ใช้ เวลาแต่ ล ะตอนประมาณครึ่ ง ชั่ ว โมง หลังจากนั้นเป็นรายการข่าว ๑ ทุ่ม การเสนอข่าวของโทรทัศน์สมัยนั้น มีเฉพาะ ผู้ประกาศข่าวอย่างเดียว ไม่มีภาพประกอบการเสนอข่าวปัจจุบัน พวกเราดู เฉพาะหนังไม่ได้ดูข่าว เพราะจะมืดค�่ำดึกดื่นเกินไป พ่อกับแม่เป็นห่วงมาก ท่านก�ำชับว่าดูหนังจบให้รีบกลับบ้านทันที อย่าเถลไถลไปไหนอีก ถ้าไม่เชื่อฟัง คราวหลังจะไม่ให้ไปดูโทรทัศน์อีก ขากลับพวกเรามาตามเส้นทางเดิม ผู้เขียน พอจ�ำได้วา่ มีไฟฟ้าส่องสว่างบนถนนแล้ว แต่เป็นบางช่วงถนน ก่อนถึงบ้านผูเ้ ขียน อีก ๓๐๐ เมตรเส้นทางยังมืดอยู่ (นายพิศาล คูหามุข รุ่นพี่ผู้เขียนบอกว่า ไฟเข้าหมูบ่ า้ นต่อมาจากวัดหน้าถ�ำ้ ) พวกเราแยกย้ายกันบริเวณสามแยก ตรงเสา


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

271

ไฟฟ้าต้นสุดท้าย ค่อยๆ แยกย้ายทีละคนสองคน ผู้เขียนรวบรวมทั้งความกล้า และก�ำลัง สูดลมหายใจเข้าปอดอย่างรุนแรง... วิ่งครับ วิ่งๆๆๆๆๆ ถึงบ้านหอบ แฮ่กๆ เสื้อคอกลมเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อทั้งตัว ไม่ให้วิ่งอย่างไรเพราะเส้นทางมืด เหลือเกินถึงจะเป็นถนนก็เถอะ สองข้างทางจ�ำได้แม่นว่าไม่ได้โล่งเตียน แต่กลับ รกครึ้มไปด้วยต้นไม้นานาพันธ์ุ กอต้นหลาวชะโอนสูงชะลูดที่ยืนตระหง่านอยู่ ในความมืดตรงสามแยก และต้องผ่านสระน�้ำขนาดใหญ่ที่ขนานไปกับถนนยาว ๒๐๐ เมตร ซึ่งรกครึ้มแน่นหนาไปด้วยต้นสาคูใหญ่ที่ยืนต้นชูใบตัดกับท้องฟ้า สว่างในยามค�่ำคืน ใบโอนเอนไปตามแรงลมที่พัดมาเอื่อยๆ เรื่อยๆ เหมือนกับ ใครคอยยืนโบกมือทักทายอยูต่ รงหน้า...บรือ๋ ...แหนหน้ามองทีไ่ รท�ำเอา “ใจหวิวๆ ” ผ่านป่าสาคูมาครึ่งทาง ถึงจุดไคลแม็กซ์ของเส้นทางเสียที “ต้นมะม่วงใหญ่” จุดทีถ่ กู ใครหลายคนเล่าขานถึงสารพัดเรือ่ งราวแปลกเร้นลับมหัศจรรย์เหลือเชือ่ ซึ่งพิสูจน์ไม่ได้ ภาพต่างๆ ผุดวาบขึ้นในสมอง ความรู้สึกเย็นวูบชา ผสานกับ จังหวะเต้นถี่ของหัวใจ... อะไรจะขนาดนั้น รวมแล้วเรียกว่า “กลัว” ครับ... บางค�่ ำ คื น มี ค วามรู ้ สึ ก เหมื อ นได้ ยิ น ฝี เ ท้า ใครไม่ รู ้ ข ยั บ ตามหลั ง ผู ้ เขี ย นมา ทีละก้าวๆ ผู้เขียนไม่กล้าเหลียวหลังกลับไปมอง แต่กลับรีบเร่งสับฝีเท้าเร็วขึ้น สุดชีวิต... เส้นทางนี้ผู้เขียนยังคงใช้สัญจรอยู่เป็นประจ�ำจนอายุประมาณ ๑๔ – ๑๕ ปี ภาพจากเรื่องเล่าขานต่างๆ ค่อยๆ เลือนรางจากหายไปเหลือเพียง ภาพแห่งความจริงทีช่ ดั เจนขึน้ แท้จริงแล้วเป็น “จินตนาการ” กับเรือ่ งเล่าจดจ�ำ ครุ่นคิด เรื่อยเปื่อยจนเกิดเป็น “มโนภาพ” ขึ้นในสมอง สั่งใจให้คิดอย่างนั้น เหมือนกับเป็นเรือ่ งจริง ผสมผสานกับบรรยากาศ ความเงียบ ความมืด และการ เคลื่ อ นไหว...ประสาทตาเห็ น ภาพอย่ า งที่ ส มองสั่ ง ...เป็ น ธรรมดาของ ประสบการณ์และอายุที่เพิ่มขึ้น ท�ำให้เรามีสมาธิ มีจิตเข้มแข็งขึ้น และมีเหตุ มีผลเพิ่มมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ผู้เขียนมีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า คนเราถ้า ด�ำเนินชีวิตบนพื้นฐานของความถูกต้อง มีเหตุมีผล เข้าใจธรรมชาติของชีวิต


272

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ต้ อ งรู ้ จั ก ใช้ ใจ “แก้ ป ั ญ หา” ไม่ ใช่ “หนี ป ั ญ หา” ดั่ ง ค� ำ พระมหาสมปอง ตาลปุตโต ท่านพูดไว้ว่า “ปัญหามีไว้แก้ไม่ใช่มีไว้กลุ้ม” ชีวิตก็นา่ จะด�ำเนินไป อย่างมีความสงบสุขได้ในระดับหนึ่ง นอกจากความสุขสนุกสนานจากการได้ดูโทรทัศน์ที่บ้านลุงก�ำนัน “ต้อง” แล้ว ทางบ้านฝั่งตรงกันข้ามกับบ้านลุงก�ำนัน เป็นบ้านของลุงประดิษฐ์ เฉียงตะวัน ท�ำไมต้องเป็นบ้านลุงประดิษฐ์ละ่ บ้านอืน่ ได้ไหม ตอบอย่างมัน่ ใจว่า ไม่ได้ เพราะบ้านอื่นไม่มี “ตู้เพลง” เป็นตู้เพลงเครื่องแรกในต�ำบลหน้าถ�้ำ อี ก แล้ ว ) น่า จะประมาณช่ ว งชั้ น ประถมศึ ก ษาปี ที่ ๔-๕ (๒๕๑๕-๒๕๑๖) นายพัฒนา เฉียงตะวัน ลูกชายของลุงประดิษฐ์ เฉียงตะวัน เล่าให้ฟังถึงตู้เพลง ที่ร้านในอดีต ด้วยสีหน้าระลึกถึงความหลังอย่างตั้งใจ “เป็นตู้เพลงจากร้านโก้ พงษ์ในเมืองยะลา เอามาฝากตัง้ ไว้โดยให้เปอร์เซ็นต์รอ้ ยละ ๒๐ แก่เจ้าของร้าน” (บ้านขายขนมและน�้ำ) ตู้เพลงมีรูปร่างรูปทรงสี่เหลี่ยมหนักแน่น ภายในน่าจะ บรรจุเครื่องจักรกลไกในการหยิบยกสอดใส่แผ่นเสียงเพลงต่างๆ ที่คนหยอด เหรียญหนึง่ บาทเข้าไป หยอดเหรียญแล้วต้องกดรหัสหน้าเพลงทีเ่ ลือกซึง่ ต้องใช้ เวลารอสักครู่จะมีเสียงดัง “ฟีดๆ ฟาดๆ” คงเป็นกลไกของระบบท�ำงานภายใน พร้อมๆ กับเสียงจากล�ำโพงทีต่ ดิ ตัง้ อยูภ่ ายในก็ดงั ขึน้ ตอนนีค้ นหยอดเหรียญยิม้ กริ่มได้เลย “เพลงนี้เสร็จเรา” ใครกล้าพอที่จะขยับแข้ง ขยับขา ส่ายสะเอว สะบัดหัว ไปด้วยก็ว่ากันไป “มันส์เขาละ” ส่วนผู้เขียน “ใจไม่ถึง” ได้แต่ยืนมอง อยู่ห่างๆด้วยสายตาละห้อย ใจหนึ่งก็อยากจะร่วมมันส์กับเขาด้วย แต่ก้าวขา ไม่ อ อก “ชี พ จรยั ง ไม่ ล งเท้า ” ได้ แ ต่ เ พี ย งรอจั ง หวะตู ้ ว ่า ง ก็ พ อได้ ห ยอด เหรียญบ้าง วันละเพลงสองเพลงเพราะไม่ค่อยจะทันขาโจ๋เจ้าประจ�ำที่ไม่ค่อย แบ่งคิว ให้คนอื่นเลย เพลงมีให้เลือกน่าจะเกินร้อยเพลง รายชื่อเพลงทั้งไทย ลูกทุ่ง ไทยสากล และสากล เรียงเป็นแถวเป็นตับ เต็มแผงหน้าตู้ซึ่งถ้ายังนึก ไม่ออก ให้นึกถึงภาพของตู้ไอศกรีมส่วนที่เป็นแผงฝาปิดตู้นั่นแหละ และริม ขอบบนด้านหน้าของตู้เนื้อที่กว้าง ๕ - ๖ นิ้ว จะมีปุ่มการปรับเสียงเรียงกัน


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

273

เป็นแถว แต่ชอ่ งหยอดเหรียญ ผูเ้ ขียนนึกไม่เห็นภาพว่าอยูต่ รงส่วนไหนของเครือ่ ง เหมือนกัน เพลงทีเ่ ป็นยอดฮิตใน พ.ศ. นัน้ ผูเ้ ขียนฟังทุกวัน จนจ�ำเนือ้ ร้องได้ดจี น มาถึงปัจจุบัน คือเพลง “สั่งนาง” ของนักร้องลูกทุ่ง สัญญา พรนารายณ์ (คนเดียวกับสัญญา สายัณห์ ไม่ใช่สายัณห์ สัญญานะครับ ชือ่ สองคนนีส้ บั สนกัน ช่วงหนึง่ ) เนือ้ เพลง.... “จ�ำใจลาน�ำ้ ตาริน ลาแล้วลาถิน่ ทีเ่ กิดกาย ทนแหนงหน่าย หนักหนา พี่คนจนจึงต้องจร ลาแล้วลาก่อนไม่กลับมา จากด้วยน�้ำตาลาไกล คงมีวันเราร�่ำรวยโชคหนุนบุญช่วยให้สุขใจ รวยเมื่อไหร่จะมา เสียดายนงคราญ บ้านเรา คนรักคนเก่าอยู่บ้านนา หากเหมือนสัญญาจงอยู่รอ เตือนแก้วตา อย่าเปลี่ยนใจ ถ้าแม้นมีใครมาสู่ขอ จริงแล้วก็จงคอย เสียงเพลงบรรเลงแว่วมา ฝากสายลมพาล่องลอย บอกน้องจงคอยอยู่บ้านนา และมีอีกหลายเพลงดัง ของนักร้องคนนี้เช่น เพลงฟ้าหม่นพี่หมอง สัญญาเมื่อสายัณห์ รักแรกพบ ทหารบกพ่ายรัก รักถูกสไตรค์ ฯลฯ ความประทับใจในครั้งแรก จึงท�ำให้ เพลงลูกทุ่งเข้าไปอยู่ในใจผู้เขียน ตั้งแต่บัดนั้นจนถึงทุกวันนี้ มิเสื่อมคลาย “ทุกคนกลัวความตายและไม่อยากตาย แต่ทกุ คนก็ตอ้ งตาย เมือ่ ทุกคน สุขสบาย ไม่ค่อยได้นึกถึงความตายกันสักเท่าไหร่” ตอนหนึ่งที่พระท่านเทศนา ให้ญาติโยมที่มาร่วมงานฌาปนกิจศพของพ่อผู้เขียน ในวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๗...ผู้เขียนคิดว่า ท่านก็พูดถูกต้อง ไม่มีใครคิดถึงเรื่องตายกันหรอก... ทุกคนมุ่งคิดถึงแต่ลาภยศ ทรัพย์ กันมากเกินไป จนบางครั้งอาจจะลืมความสุข ที่แท้จริงของชีวิตไป ความสุขอยู่ที่ไหน...ความสุขอยู่ที่ใจ ใจที่นิ่งสงบ...สงบด้วย ธรรมะที่สามารถ ลด ละ เลิก...รัก โลภ โกรธ หลงได้...แต่ชาวบ้านหน้าถ�้ำ (ประชากรหมู่ที่ ๑) หลายคนร่วมกันคิดว่า ตายแล้วไม่อยากให้คนอยู่ขา้ งหลัง ล�ำบากกายและเป็นทุกข์ใจ ตายแล้วหมดทุกข์สุขใจทั้งคนตายและญาติพี่น้อง จึงได้เกิด “สมาชิกสงเคราะห์ศพบ้านหน้าถ�ำ้ ” ขึน้ มา นางศรีสมหมาย ทองอ่อน หรือ “ป้าอี๊ด” ของเด็กๆ บอกว่า “มีความสุขที่ได้ตายที่หน้าถ�้ำ” ป้าอี๊ดยังบอก ต่ออีกว่า ไม่มีความสุขอย่างไร เพราะพื้นฐานการด�ำรงชีวิตของชาวบ้านหน้าถ�้ำ


274

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ในสมัยก่อน พอมีพอกิน ไม่รำ�่ รวยอะไรมากมาย เมือ่ ญาติพนี่ อ้ งเสียชีวติ ลงก็ตอ้ ง “จ�ำน�ำนาข้าวที่ท�ำกิน” จึงจะมีเงินมาด�ำเนินการเรื่องศพคนตาย มีบางคน เหมือนกัน ที่ล�ำบากยากจนเอานาไปจ�ำน�ำ ไม่มีใครรับจ�ำน�ำ เพราะกลัวว่าไม่มี เงินมาไถ่ถอนนาคืน จึงจ�ำต้องจัดการเรื่องศพไปตามยถากรรม จากปัญหา อุปสรรคดังกล่าว จึงเกิดมีกลุ่มคนที่เห็นความจ�ำเป็นต้องด�ำเนินการช่วยเหลือ โดยเร่งด่วนจึงเกิด “คณะกรรมการสมาชิกสงเคราะห์ศพบ้านหน้าถ�้ำ” ชุดแรก จึงประกอบด้วย นายคิด เพชรกล้า นายเลื่อน ขวัญมงคล นายเลี่ยม คูหามุข (ก� ำ นั น ในยุ ค นั้ น ) นายประดิ ษ ฐ์ เฉี ย งตะวั น โดยมี นายชม สุ ว รรณโพธิ์ (เป็นเหรัญญิกและร่างระเบียบข้อตกลง) ข้อตกลงของสมาชิกสงเคราะห์ศพบ้าน หน้าถ�้ำ เมื่อมีสมาชิกเสียชีวิตลงจะต้องปฏิบัติดังนี้ ๑. มอบข้าวสาร ๓ ลิตรกับเงิน ๕ บาท ให้กับสมาชิกที่เสียชีวิตลง (ถ้าไม่มีข้าวสารต้องจ่ายเป็นเงิน ๒๐ บาท) ๒. เป็นคนที่มีภูมิล�ำเนาอยู่ในต�ำบลหน้าถ�้ำ ถ้าเป็นคนนอกพื้นที่ ต้องเข้ามาอาศัยอย่างน้อย ๓ ปี ๓. การสมัครเป็นสมาชิกสงเคราะห์ศพบ้านหน้าถ�้ำ ให้เก็บเป็นคู่ แต่งงาน จะจดทะเบียนสมรสหรือไม่จดทะเบียนสมรสก็ได้ เข้าเป็นสมาชิกใหม่ เมือ่ มีการตายเกิดขึน้ เท่านัน้ และต้องจ่ายไปตามเงือ่ นไข จะไม่มกี ารสมัครสมาชิก ในเวลาอื่นๆ ๔. ถ้าคู่แต่งงานขาดการจ่ายตามเงื่อนไข ๑ ศพ จะถือว่าขาดจาก สมาชิกสงเคราะห์ศพบ้านหน้าถ�้ำทันที ๕. จ่ายเงินตอบแทนเหรัญญิกศพละ ๒๐๐ บาท มีการใช้กติกานีม้ าระยะหนึง่ ต่อมาได้มกี ารเปลีย่ นแปลงกติกาข้อตกลง บางอย่าง เพื่อให้เกิดความเหมาะสมตามข้อที่ ๑. ต้องมอบข้าวสาร ๓ ลิตร


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

275

กับเงิน ๕ บาท ให้กับสมาชิกที่เสียชีวิตลง (ถ้าไม่มีข้าวสารต้องจ่ายเป็นเงิน ๒๐ บาท) ปรับแก้เป็น ถ้าจ่ายเป็นเงิน ๒๐ บาท ต้องเพิ่มมะพร้าวแกง ๒ ลูก ใช้มา อีกสักระยะเจอปัญหาใหม่ อยู่ที่ว่าข้าวสารที่สมาชิกต่างคนต่างน�ำมาให้สมาชิก ที่เสียชีวิตนั้น เป็นข้าวสารคนละชนิด เมื่อน�ำมาหุงรวมกัน เวลารับประทาน รสชาติไม่ถูกปาก รับประทานกันไม่ค่อยได้ เปียกบ้างหรือแข็งจนฝืดคอ จึง ปรับเปลี่ยนกติกาในข้อที่ ๑. เป็นจ่ายเงินเพียงอย่างเดียวคู่ละ ๓๐ บาท แล้วไป ยืดหยุ่นกติกาในข้อ ๔. ถ้าคู่แต่งงานขาดการจ่ายตามเงื่อนไขเพียง ๑ ศพ จะ ถือว่าขาดจากสมาชิกสงเคราะห์ศพบ้านหน้าถ�้ำทันที ให้ปรับเปลี่ยนกติกาดังนี้ ข้อ ๔. ถ้าคู่แต่งงานขาดการจ่ายตามเงื่อนไข ๓ ศพ จะถือว่าขาดจากสมาชิก สงเคราะห์ศพบ้านหน้าถ�้ำทันที โดยเพิ่มเติมต่อท้ายว่า ถ้ามีความต้องการ ขอสมัครเข้าเป็นสมาชิกสงเคราะห์ศพบ้านหน้าถ�้ำครั้งใหม่ จะต้องจ่ายเงิน เป็นค่าปรับ ๓๐๐ บาท และกติกาข้อตกลง ปรับเปลีย่ นครัง้ ล่าสุดทีใ่ ช้ในปัจจุบนั จ่ายเงินคู่ละ ๕๐ บาท ไม่มีการปรับ ๓๐๐ บาท... การสมัครเป็นสมาชิกสงเคราะห์ศพบ้านหน้าถ�้ำ ก่อให้เกิดกิจกรรม ร่วมคิด ร่วมท�ำ และรับผลประโยชน์ร่วมกัน (เมื่อสมาชิกเสียชีวิต) ก่อให้เกิด ความสามัคคีในหมู่คณะ มีมิตรไมตรีที่ดีต่อกัน เพราะเมื่อสมาชิกเสียชีวิตลง ทุกคนจะต้องไปร่วมงาน พูดติดในภาษาชาวบ้านว่า “ไปเสียสมาชิก” (คือจ่าย เงิน ๕๐ บาท) ไปจ่ายที่วัดหรือที่บ้าน เป็นการตัดสินใจของเจ้าภาพจัดงานศพ ว่าจะตั้งศพบ�ำเพ็ญกุศลที่ไหน ถ้าเลือกตั้งศพบ�ำเพ็ญกุศลที่บ้าน ส่วนใหญ่เป็น บ้านผูต้ ายหรือเลือกตัง้ ศพบ�ำเพ็ญกุศลทีว่ ดั หน้าถ�ำ้ (วัดคูหาภิมขุ ) ก่อนทีส่ มาชิก ไปจ่ายเงิน จ�ำเป็นต้องทราบก่อนว่า ตั้งศพบ�ำเพ็ญกุศลกี่วัน จะมีการฌาปนกิจ ศพวันไหน สมาชิกจะได้บริหารเวลาได้ถูกต้อง จะได้ไม่ตกหล่นขาดจาก ความเป็นสมาชิกสงเคราะห์ศพบ้านหน้าถ�ำ้ การตัง้ ศพบ�ำเพ็ญกุศลเจ้าภาพมีการ เลี้ยงอาหาร ทั้งกลางวันและกลางคืน มีทั้งอาหารคาวหวาน เรื่องอาหารการกิน


276

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ตั้งแต่ซื้ออาหารสด การปรุง การบริการถึงโต๊ะล้วนเป็นการช่วยเหลือ ออกแรง ออกความคิดของสมาชิกกันเอง แต่สมาชิกส่วนใหญ่จะไปร่วมงานในเวลาเย็น เลยไปจนมืดค�่ำ สมาชิกเลือกรับประทานอาหารก่อน แล้วจ่ายเงินทีหลัง หรือจ่ายเงินก่อน แล้วรับประทานอาหารทีหลังอยูท่ คี่ วามสะดวก ในบริเวณงาน เลี้ยงอาหารสมาชิก มีการจัดโต๊ะ และคนรับเงินบริการสมาชิกตลอดเวลา (คนรับเงินเป็นคนของเจ้าภาพ พร้อมรับเงิน ๒๐๐ บาท จากเจ้าภาพด้วย) รายชื่อสมาชิกแยกจ่ายเป็นกลุ่มบ้าน (ประชากรหมู่ที่ ๑ และหมู่ที่ ๔) มีบ้าน มะพร้าว บ้านม่วงคู้ บ้านหว่างเขา บ้านหน้าถ�้ำ (บริเวณหน้าวัด) และบ้านมะหะ (ผู้เขียนอยู่กลุ่มนี้) ป้าอี๊ดบอกว่า...สมัยนายชม สุวรรณโพธิ์เป็นเหรัญญิกอยู่นั้น ในวัน ฌาปนกิ จ ศพเมื่ อ ท� ำ พิ ธี ท างพระเสร็ จ สมบู ร ณ์ ก ่ อ นน� ำ ศพขึ้ น เชิ ง ตะกอน นายชม สุวรรณโพธิจ์ ะประกาศรายชือ่ ให้สมาชิกสงเคราะห์ศพบ้านหน้าถ�ำ้ ทราบ ว่าใครจ่าย ใครค้างช�ำระเงินค่าสมาชิกบ้าง บางครั้งญาติที่มาร่วมงานช่วยจ่าย ทดแทนให้ ท�ำให้สมาชิกค่อนข้างจ่ายครบทุกคู่ แต่ในปัจจุบนั ป้าอีด๊ เพียงโทรศัพท์ ไปแจ้งผู้ที่ค้างช�ำระเงินค่าสมาชิกเป็นการส่วนตัวเท่านั้น เมื่อสมาชิกรับทราบ ก็น�ำเงินมาจ่ายที่บ้านป้าอี๊ด เงินที่ได้รับมาภายหลังป้าอี๊ดจะน�ำไปมอบให้กับ เจ้าภาพจัดงานศพอีกที ป้าอี๊ดมารับช่วงสานต่อจากนายชม สุวรรณโพธิ์ เป็นศพล�ำดับที่ ๓๐๒ ของนางอัมพร เพชรกล้า นับจ�ำนวนสมาชิกสงเคราะห์ศพ บ้านหน้าถ�้ำที่เสียชีวิตจากอดีต (ร่วม๔๐ปี) ถึงปัจจุบันมีจ�ำนวน ๔๐๐ ราย และสมาชิกสงเคราะห์ศพบ้านหน้าถ�้ำ ในปัจจุบันมีทั้งหมด ๖๒๐ คู่ (ข้อมูล ๑๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๕) ป้าอี๊ดยังบอกต่ออีก “งานที่ท�ำต้องเสียสละเวลา อย่างน้อยถือว่า ได้ชว่ ยเหลือคนในหมูบ่ ้าน เผือ่ เราจะได้อานิสงส์ผลบุญอันนีบ้ า้ ง การได้ชว่ ยเหลือ เพื่อนมนุษย์ ถือเป็นการสร้างบุญกุศลอันยิ่งใหญ่” ผู้เขียนเห็นตรงกับป้าอี๊ด เพราะผู ้ เขี ย นได้ รั บ ทราบเรื่ อ งสมาชิ ก สงเคราะห์ ศ พบ้ า นหน้ า ถ�้ ำ มาตลอด


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

277

งานที่ต้องท�ำมีรายละเอียดหลายอย่าง ชื่อข้อมูลของสมาชิก สมาชิกมีเข้าบ้าง ออกบ้าง เมือ่ โทรไปบอกเจ้าตัวกลับหาว่า ป้าอีด๊ โทรไปทวงถาม อีกอย่างต้องน�ำ เงินที่สมาชิกจ่ายภายหลัง ไปให้เจ้าภาพศพทีละคนสองคน โดยขี่มอเตอร์ไซค์ วนเวียน มากมายหลายเรื่อง และรายละเอียดเรื่องอื่นอีกจิปาถะ จึงนับได้ว่า ป้าอี๊ดเป็นบุคคลตัวอย่างที่เสียสละความสุขเพื่อส่วนรวมจริงๆ... ผู้เขียนโชคดีที่เกิดมาในครอบครัวที่มีความรักความอบอุ่น ถึงแม้ ฐานะเศรษฐกิจทางบ้านไม่ค่อยราบรื่นนักแต่ทุกคนมีพลังกายและพลังใจให้ ซึ่ ง กั น และกั น “พลั ง รั ก ” ที่ ท� ำ ให้ ค นในครอบครั ว อยู ่ ไ ด้ อ ย่ า งมี ค วามสุ ข ความสุขในครอบครัวเป็นพื้นฐานของชีวิตที่ดี ความรักความเข้าใจในบทบาท หน้าที่ของตนเอง ผู้ใหญ่ในครอบครัวจึงควร “ท�ำตัวอย่างที่ดีให้ลูกเห็น ดีกว่า เป็นได้แต่พูด” เหมือนใครหลายคน... ความสุขในวัยเด็กเป็นเวลาแห่งความสุข สนุกสนานที่สุดของชีวิต ความอยากรู้อยากเห็นย่อมท�ำให้เกิดการแสวงหา ดิ้นรนค้นหา วันๆ เที่ยวๆ เล่นๆ เป็นประจ�ำกับเพื่อน มีอะไรใหม่แลกเปลี่ยนกัน เมื่ อ โตเป็ น ผู ้ ใ หญ่ จึ ง เข้ า ใจได้ ดี ว ่ า นั่ น คื อ “การเรี ย นรู ้ ” ที่ มี ค วามสุ ข ... ความสุขในชุมชน สังคมที่อยู่อาศัยของผู้เขียนเต็มไปด้วย “วิถีแห่งธรรม” พอเริม่ จ�ำความได้ มีโอกาสได้รว่ มกิจกรรมทีต่ อ้ งร่วมกันท�ำ กับคนหมูม่ ากหลายๆ คนในหมู่บ้าน กิจกรรมของหมู่บ้านที่เชื่อมโยงน�ำเข้าไปสู่ศาสนา ท�ำให้ใกล้ชิด หลักค�ำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีหลักค�ำสอนให้ทุกคนเป็นคนดี คนดีย่อมได้รับผลตอบแทนคือ “ความสุข” ความสุขเป็นผลกรรมของคนที่ ท�ำความดีเท่านั้น


278

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

279


280

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

คิดถึงคุณตา นายฉัตรปกรณ์ ก�ำเหนิดผล

เสียงดนตรีพื้นบ้านที่ประสานด้วยดนตรีสากล ได้สร้างความบันเทิง เริงใจให้แก่บรรดาพี่น้องชาวปักษ์ใต้อยู่หลายสมัย หลังดวงอาทิตย์อัสดงเครื่อง ดนตรีเก่าใหม่ถกู จัดวางอย่างเป็นระเบียบ เพือ่ ท�ำหน้าทีม่ อบความบันเทิงในยาม ราตรี จอผ้าขาวถูกขึงด้วยหนวดพราหมณ์จนตึงราวกับเพดานผ้า ไฟสีส้มเปล่ง รัศมีไล่ความมืดเท่าที่พอจะท�ำได้ แผงไม้ไผ่สานเก่าๆ รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่หนีบ ด้วยไม้แข็งจากภูมิปัญญาถูกเปิดออก ชายวัยชราประนมมือขึ้นทูนหัวอย่าง ศรัทธา แล้วเอื้อมมือด้วยอาการส�ำรวมหยิบรูปฤาษีหัวค�่ำไปปักที่หยวกกล้วย หลังจอผ้าขาว จากนั้นรูปหนังหลายๆตัว ถูกวางเรียงอย่างเป็นระเบียบไล่ไป ตั้งแต่รูปเจ้าเมือง รูปนางเมือง รูปกุหมาน(กุมาร) รูปนาง และปิดท้ายด้วย รูปกาก ตานุ้ย ตาเท่ง และสหายอีกหลายๆ รูป เตรียมตัวที่จะมอบความสุข ความบันเทิงให้กับผู้ชมหน้าโรง ด้วยการยืนรออยู่หลังจอผ้าขาวอย่างมั่นใจ ขันหมากเบิกโรงท�ำหน้าทีเ่ ปิดการแสดงได้ถกู ต้องตามค�ำสอนของครูสมัยโบราณ เมื่อเครื่องดนตรีประโคมขึ้นพร้อมกันเป็นเพลงไทยเดิมส่งสัญญาณว่าหนัง ลงโรงแล้ว พ่อเฒ่าจูงหลานชายหญิงน�ำสาดมาปูหน้าโรงเพื่อรอชมการแสดง อย่างตื่นเต้น ทั้งที่ไม่ใช่การแสดงที่แปลกใหม่เลย หลังจากที่ฤาษีหัวค�่ำท่องโรง ไปมา แล้ ว มาวุ ่ น อยู ่ กั บ การขุ ด หั ว มั น จากนั้ น มาท่ อ งมนต์ อ ย่ า งเข้ ม ขลั ง แล้วพระยาโคตัวใหญ่ก็วิ่งเต้นอย่างที่ไม่กลัวว่าพระอิศวรเจ้าจะตกลงมาจากลัง


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

281

ของมัน หลานบ่าวของพ่อเฒ่าก็ลุกขึ้นเต้นหน้าโรงตามจังหวะเพลงโค ท�ำให้น้า หลวงที่นั่งอยู่ข้างหลังอดอมยิ้มไม่ได้ รูปโคเต้นได้อยู่เพลงหนึ่ง ก็เป็นหน้าที่ของ ปรายหน้าบททีอ่ อกมาท�ำหน้าทีแ่ ทนตัวนายหนังบูชาครูบาอาจารย์ และขอบคุณ เจ้าภาพ จากนัน้ ตาขวัญเมืองก็มาเล่าเรือ่ งการแสดงของคืนนี้ หลานบ่าวพ่อเฒ่า หลับไม่ทันรู้ตัวแต่ใบหน้าก็ยังแฝงด้วยรอยยิ้ม พ่อเฒ่าลูบผมหลานบ่าวเบาๆ คลอไปตามจังหวะดนตรีที่ประโคมดังอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับกระซิบข้างหูว่า “ตานุ้ย ตาเท่งไม่ทันออกที หลับเสียแล้วไอ้ลูกหมา” เพลงค� ำ วอนก่ อ นลาบรรเลงขึ้ น เป็ น สั ญ ญาการสิ้ น สุ ด การแสดง บรรดาแฟนพันธ์แุ ท้ทนี่ งั่ ชมการแสดงตัง้ แต่หวั ค�ำ่ ลุกขึน้ จากสาดทีช่ มุ่ ด้วยน�ำ้ ค้าง ยอดหญ้าแยกย้ายกันกลับบ้าน รูปหนังทุกรูปถูกน�ำกลับมานอนเรียงในแผงไม้ไผ่ ภายใต้การควบคุมของฤาษีหัวค�่ำที่ถูกจัดวางไว้บนสุด จอผ้าขาวถูกปลดจาก สีม่ มุ โรง เครือ่ งดนตรีถกู เก็บเข้าลังเหล็กเก่าๆ รถกระบะคันผุได้บรรทุกสัมภาระ ทัง้ หมดอย่างมัน่ คงน�ำทุกสิง่ จากไปทิง้ ไว้แต่เพียงความทรงจ�ำและความภาคภูมใิ จ ในการแสดงพื้นบ้านที่เรียกว่า “หนังตะลุง” กระผมเกิดในท่ามกลางความสับสนของตัวเองว่าจะเดินไปตามกระแส สังคม หรือจะย้อนทวนไปอยู่กับอดีต หรือจะด�ำรงตัวอย่างไรดี เพราะเป็น ความหวังของครอบครัวในฐานะที่เป็นลูกชายคนโต เป็นปกติของพ่อแม่ที่หวัง ให้ลกู เป็นคนเก่ง คนดีทที่ นั ยุคทันสมัย แต่ทว่าคุณตา (น้องของปู)่ อยากให้เรียน รู้วิชาการแสดงหนังตะลุงเพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ของบรรพชน ท�ำให้เกิดความ ขัดแย้งอยู่ภายในใจของเด็กชายชั้น ป.๒ แต่อย่างไรก็ตามกระผมก็ได้ท�ำตาม ค�ำสั่งสอนของทั้งพ่อแม่ที่ให้ตั้งใจเรียนเพื่อเป็นคนยุคใหม่ที่มีความรู้และตั้งใจ ฝึกฝนวิชาหนังตะลุงที่สืบทอดกันมานับร้อยปี เล่ากันว่าแม่ของกระผมเจ็บท้องจวนจะคลอดในพิธีพระราชทาน เพลิงศพหนังกัน้ ทองหล่อ ซึง่ เป็นความบังเอิญทีเ่ ป็นแรงบันดาลใจให้กระผมนัน้


282

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ตั้งใจฝึกฝนวิชาหนังตะลุง เพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษ ในฐานะที่ หนังกั้น ทองหล่อ (ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดงหนังตะลุง) เป็นญาติ ห่างๆ ของครอบครัวฝ่ายคุณพ่อ ที่เป็นชาวบ้านพื้นเพในหมู่บ้านน�้ำกระจาย อ�ำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา กระผมเริม่ ฝึกหัดการแสดงหนังตะลุงจากคุณตา (นายถวิล ก�ำเหนิดผล ครูภูมิปัญญาไทย รุ่นที่ ๕ ด้านภาษาและวรรณกรรม ) ซึ่งเป็นน้องของคุณปู่ ตั้งแต่เรียนชั้นป. ๒ โดยมีลูกพี่ลูกน้องอีก ๒ คน ร่วมฝึกด้วย เริ่มจากการเชิดรูป พระฤาษี พระอิศวร และปรายหน้าบทในเวลาตอนเย็นหลังเลิกเรียนทุกวันเป็น เวลาเกือบ ๓ เดือน จากนัน้ เหลือแค่เพียงกระผมคนเดียวเพราะคนอืน่ ๆ เขาเบือ่ และไม่สนใจในการแสดงแขนงนี้ จากนั้นคุณตาได้ไปติดต่อโรงเรียนบ้านน�้ำ กระจาย ซึง่ เป็นโรงเรียนทีผ่ มเรียนอยูเ่ พือ่ ขอเข้าไปสอนวิชาหนังตะลุงในโรงเรียน โดยโรงเรียนอนุญาตให้ตาไปสอนวิชาหนังตะลุงโดยไม่มีค่าตอบแทนให้ คุณตา ก็ยนิ ดีทจี่ ะสอนแม้หลายครัง้ ต้องใช้จ่ายเงินส่วนตัวเพือ่ จัดหาอุปกรณ์การเรียนรู้ ต่างๆ โดยเปิดสอนเป็นกิจกรรมชุมนุม สอนเฉพาะนักเรียนที่สนใจ ซึ่งสอนการ เชิดหนัง การแกะสลักตัวหนัง และการเขียนกลอน ซึ่งมีนักเรียนบางส่วนสนใจ มาเรียนรู้จนสามารถสร้างผลงานให้แก่โรงเรียนได้ระยะหนึ่ง โครงการสอนหนัง ตะลุงในโรงเรียนได้ด�ำเนินการอยู่หลายปีก็ปิดตัวลงหลังจากเปลี่ยนแปลง คณะผูบ้ ริหารโรงเรียน แต่อย่างไรก็ตาม คุณตาก็ได้เปิดสอนวิชาหนังตะลุงทีบ่ า้ น อยู่ตลอดเวลา มีเด็กๆ ในละแวกหมู่บ้านไปเรียนรู้อยู่เป็นระยะ และยังมีผู้สนใจ จากภายนอกไปขอข้อมูลต่างๆ มากมาย ทั้งนักเรียน นักศึกษา ที่น�ำข้อมูลไปท�ำ รายงาน แม้แต่วิจัยระดับปริญญาโท ครัง้ หนึง่ สมาพันธ์หนังตะลุงจังหวัดสงขลาได้จดั ประชุมบรรดานายหนัง ณ วัดน�้ำกระจาย คุณตาเมื่อเห็นว่ากระผมพอที่จะเชิดรูปหนังได้แล้ว ก็ได้สั่ง รูปพระฤาษีหัวค�่ำให้กับกระผมเพื่อที่จะได้มีรูปหนังเป็นของตัวเอง คุณตาบอก ว่าให้ไปบอกคุณแม่ว่าให้น�ำเงิน ๓๐๐ บาทเพื่อจ่ายให้แก่นายช่างตัดรูปหนัง


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

283

เมื่อวันประชุมมาถึง คุณแม่ก็เป็นทุกข์ใจมากเพราะไม่มีเงินมาจ่ายค่ารูปหนัง ราคา ๓๐๐ บาท หลังจากเลิกงานที่โรงงานปลากระป๋องใกล้บ้านคุณแม่ก็เดิน ร�ำพึงร�ำพันกับตัวเองว่าไม่รู้จะไปหยิบยืมเงินใครที่ไหนมาได้บ้างเพื่อเป็นค่ารูป หนังให้กับกระผม คุณแม่เดินจนใกล้จะถึงวัดน�้ำกระจายแล้วก็ยังนึกไม่ออกว่า จะเอาเงินมาจากไหน เหมือนฟ้าเมตตาเกิดปาฏิหาริย์ขึ้นเมื่อมีธนบัตรใบละ ๑๐๐ บาท ๓ ใบวางอยู่ตรงหน้า ท�ำให้คุณแม่ดีใจมากและรีบเดินเข้าวัดน�้ำ กระจายเพื่อน�ำเงินมาให้กระผมเพื่อจ่ายเป็นค่ารูปหนัง ท�ำให้ผมรู้สึกประทับใจ มากที่อย่างน้อยๆ ฟ้าก็ยังเมตตาเด็กจนๆ อย่างกระผมที่ตั้งใจจะท�ำดี เวลาผ่านไปหลายปี คุณตาบอกว่าถึงเวลาแล้วทีล่ กู จะต้องท�ำพิธขี นึ้ โรง เพื่อแสดงความเป็นนายหนังให้เป็นที่ประจักษ์แก่ญาติพี่น้อง วันนั้นเป็นวันที่ กระผมจ�ำได้ดีเพราะเป็นวันส�ำคัญมาก เป็นวันแรกที่จะต้องแสดงหนังตะลุง อย่างเต็มรูปแบบ เพราะต้องใช้อปุ กรณ์ทกุ อย่างทีเ่ ป็นของจริงทัง้ หมด จากหน้า จอหนังที่เปลี่ยนจากฝาประตูบ้านเป็นจอผ้าขาวของจริง จากรูปหนังตัวเล็กๆ ขาดๆ เป็นรูปหนังตัวโตสวยงาม จากกระป๋องนมลูกผุกลายเป็นกลองชุดเครื่อง ใหญ่ ผมยังจดจ�ำวันนั้นไม่เคยเลือน หลังจากพระสวดให้พร ท่านผู้อ�ำนวยการ โรงเรียนบ้านน�ำ้ กระจายได้เมตตาจูงกระผมขึน้ โรงหนัง นับเป็นความประทับใจ ทีย่ งั อยูใ่ นดวงใจเสมอ หลังจากนัน้ ญาติพนี่ อ้ งและผูค้ นละแวกบ้านก็เรียกผมว่า “นายหนัง” แม้ว่าบางครั้งค�ำๆนี้จะเป็นค�ำล้อเลียนก็ตาม แต่กระผมก็ยินดี ที่จะน้อมรับและรู้สึกภูมิใจทุกครั้งในความเป็นนายหนังของตัวกระผม เป็นภาพที่คุ้นตาของคนในละแวกหมู่บ้านและคนในกลุ่มนายหนัง ที่มี คนแก่คนหนึ่งจูงเด็กๆ หญิงชายสามสี่คนที่ไม่ใช่สายเลือดของตัวเอง คุณตา มักพากระผมและรุน่ น้องทีฝ่ กึ หัดหนังไปชมการแสดงหนังตะลุงของบรรดาลุงๆ นายหนังที่มาแสดงในที่ต่างๆ บางครั้งคุณตาก็มีงานแสดงหนังตะลุงแก้บน โดยการเปิดเทปการแสดงของหนังกั้น ทองหล่อ คุณตาก็จะหิ้วพวกเราไปด้วย


284

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

หลายครั้งที่จะต้องไปแสดงสองสามคืนติดกัน กระผมจ�ำได้ว่าพวกเราสนุกมาก ได้ไปวิง่ เล่นในวัดไกลบ้าน และได้นอนหลับบนโรงหนังตะลุง ผูค้ นมักมามุงดูเวลา พวกเราเชิดรูปหนัง โดยกระผมเชิดรูปพระฤาษีหวั ค�ำ่ และน้องๆ ก็เชิดรูปโคและ รูปปรายหน้าบท จากนัน้ ก็เป็นหน้าทีข่ องคุณตาทีจ่ ะแสดงเรือ่ งตามเทปและท�ำ พิธีแก้สินบนตามพิธีกรรม ในช่วงค�่ำๆ พวกเราก็จะวุ่นอยู่กับการจัดรูปหนังใน แต่ละฉากให้คุณตา หลังจากนั้นก็มานั่งดูคุณตาแสดงอยู่ข้างหลัง และทุกคน ก็จะหลับไปโดยไม่รตู้ วั คุณตาก็จะมาปลุกในตอนรุง่ เช้า พาพวกเราไปกินข้าวต้ม และน�้ำชาตอนเช้า ทั้งๆ ที่คุณตายังไม่ได้นอนเลย นับเป็นช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต ที่กระผมได้สัมผัส ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด เมือ่ ทุกคนต้องแยกย้ายไปศึกษาเล่าเรียนตามวิถขี องตัวเอง ความผูกพัน ก็เลือนไปตามกาลเวลาแต่กระผมก็ไม่เคยลืมคุณตาและวิชาหนังตะลุง ยังแวะ ไปเยีย่ มท่านอยูเ่ นืองๆ ขณะนัน้ ผมเรียนอยูช่ นั้ ม.๓ คุณตาก็มาบอกว่ามีงานแสดง หนังตะลุงที่กรุงเทพฯ กระผมดีใจมาก คุณตาได้พากระผมไปกรุงเทพฯโดยขึ้น รถทัวร์ที่สถานีขนส่งหาดใหญ่ทั้งที่คุณตาทั้งชีวิตก็ไม่เคยไปกรุงเทพฯ แต่ด้วย ความตัง้ ใจทีอ่ ยากให้กระผมได้แสดงหนังตะลุงจึงได้ตดั สินใจไปทัง้ ทีไ่ ม่รจู้ กั ทีต่ งั้ ของโรงแรมที่แสดงเลย หลังจากแสดงก็ได้รับความสนใจจากสื่อต่างๆ กระผม ดีใจมากทีม่ คี นสนใจการแสดงหนังตะลุงศิลปะการแสดงของชาวปักษ์ใต้แต่ดใี จ มากกว่าที่คุณตารักและเมตตากระผม ข่าวร้ายได้ทำ� ร้ายหัวใจดวงน้อยของกระผมเมือ่ ลูกของคุณตาโทรศัพท์ มาบอกว่า คุณตาไม่สบายนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลสงขลา เมื่อทราบข่าว กระผมได้ไปเยี่ยมอาการคุณตาก็มีอาการดีขึ้นและได้กลับมานอนพักรักษาตัว ที่บ้าน กระผมจ�ำได้ว่าวันนั้นมีงานแสดงหนังตะลุงของกระผม จึงได้ถามคุณตา ว่าคุณตาจะไปด้วยกันไหม คุณตาตอบว่าค่อยไปงานหลังดีกว่าแต่ตาได้เขียน กลอนบทหนึ่งให้ผมไปประกอบการแสดงในวันนั้นด้วย เมื่อแสดงเสร็จกระผม ก็กลับบ้านและฟ้าได้ผ่ากลางหัวใจผมอีกครั้งเมื่อทราบข่าวคุณตาไม่สบายหนัก


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

285

เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลอีกครั้ง เมื่อกระผมไปเยี่ยมแทบจะล้มทั้งยืนเมื่อ ภาพคุณตาทีน่ อนอยูบ่ นเตียงคนไข้ ทุกส่วนของร่างกายพันธนาการด้วยอุปกรณ์ การรักษาผู้ป่วย กระผมไม่สามารถทนดูคุณตาในสภาพนั้นได้จึงรีบกลับบ้าน ไม่นานคุณตาก็เสียชีวิต นับว่าเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของกระผม เปรียบไปผมก็คล้ายลูกก�ำพร้าไม่มีใครคอยช่วยเหลือเกื้อหนุนในด้านหนังตะลุง แต่กระผมก็ตั้งใจแสดงหนังตะลุงต่อไปเพื่อสืบสานเจตนารมณ์ของคุณตา จากนัน้ กระผมก็อยูใ่ นวงการหนังตะลุงแต่เพียงล�ำพัง ไม่มใี ครคอยชีแ้ นะ แนวทางต่างๆ เหมือนอย่างเก่า โลกใบนี้ดูเศร้าเหลือเกิน ลูกนกยามไร้แม่ ป้อนอาหารไม่นานคงสิ้นชีพ แต่กระผมยังได้รับการช่วยเหลือจากนายหนัง ท่านต่างๆ โดยเฉพาะอาจารย์นครินทร์ ชาทอง ผู้ใหญ่ใจดีที่คอยเป็นก�ำลังใจ ให้กระผมเสมอ ถึงอย่างไรก็ตามกระผมก็ยังคิดถึงวันเก่าๆ ที่มีคุณตาคอย เคียงข้าง เสียงโนราโรงครูดงั ก้องตัง้ แต่คำ�่ วันพุธ บรรดาญาติพนี่ อ้ งนัง่ ยืนเต็มหน้า โรงโนราเพื่อที่จะได้ขอศีลขอพรจากครูหมอโนราและคุณทวดที่ได้จากพวกเรา เมื่อหลายปีก่อน ทุกคนตั้งตารอที่จะได้ชมบารมีคุณทวดที่จะได้สัมผัสกับท่าน อีกครั้ง แต่ในครั้งนี้คุณทวดของเราจะสถิตอยู่ในร่างของหลานสาวท่าน เมื่อ คุณทวดประทับร่างแล้วบรรดาลุงๆ ป้าๆ ก็ได้เข้าไปกราบและสอบถามสารทุกข์ สุขดิบของคุณทวดราวกับท่านยังอยู่ในภพภูมิของเราเช่นแต่ก่อน หลายคนก็ถึง กับน�้ำตาร่วงเมื่อได้สัมผัสและรู้ว่าเป็นคุณทวดของเราจริงๆ จากนั้นไม่นาน คุณท่านในร่างของน้าสาวก็ได้เรียกกระผมเข้าไปหาในโรงโนรา กระผมตกใจมาก เพราะกระผมกับน้าสาวทีเ่ ป็นร่างทรงก็ไม่ได้สนิทสนมกันมาก เมือ่ กราบลงทีต่ กั คุณทวดแล้วค�ำแรกทีค่ ณ ุ ทวดกล่าวคือ “ตาหมึงข้องใจหมึงแหละโลก วิชาทีห่ มัน ให้หมึงนั้น อย่าทุ่มของหมันน่ะโลก ตาหมึงหมันข้องใจหนักแหละกับหมึง” เมื่อสิ้นเสียงของคุณทวด กระผมกราบลงที่ตักอีกครั้งแล้ววิ่งออกจากโรงโนรา ทันที ตั้งแต่วันที่คุณตาเสียชีวิตกระผมไม่เคยร้องไห้ด้วยความอาลัยหาท่านเลย


286

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

แต่ครั้งนี้กระผมไม่สามารถกลั้นน�้ำตาเอาไว้ได้ กระผมสะอึกสะอื้นราวกับเด็กที่ โดนแม่ทิ้ง นั่งร้องไห้โดยไม่สนใจใครและไม่อายที่จะหลั่งน�้ำตาออกมา เพราะ กระผมซึ้งใจกับความรักความเมตาที่คุณตาได้มอบให้กับกระผม แม้ว่าวันนั้น คุณตาจะไม่มีร่างกายให้กระผมได้สัมผัสแล้ว แต่ดวงจิตที่เปี่ยมไปด้วยความ เมตาของคุณตายังห่วงหากระผมอยู่เสมอ แม้ว่าจะคนละภพภูมิกัน แต่ทว่า ความห่วงใยของคุณตาไม่เคยหายไปจากมโนส�ำนึกของคุณตาเลย ร้อยกรองทีป่ ระพันธ์ขนึ้ จากความผูกพันและความรักในคุณตา บรรดา นายหนังรุ่นน้องๆบรรจงประดิษฐ์ประดอยถ้อยค�ำเพื่อแสดงจิตคารวะในงาน ฌาปนกิจศพคุณตา ซึ่งมีหลายบทหลายตอนด้วยกัน แต่ทว่าร้อยกรองบทหนึ่ง มิได้เพียงแต่อยูใ่ นหนังสือทีร่ ะลึกเท่านัน้ เพราะได้บนั ทึกลงในใจกระผมในยาม ทีถ่ วิลถึงคุณตาถวิลคราใด กระผมก็จะนึกถึงบทร้อยกรองนัน้ ทุกครัง้ ซึง่ ประพันธ์ โดย ประเสริฐ รักษ์วงศ์ เลขาสมาพันธ์หนังตะลุงจังหวัดสงขลา โดยถ้อยค�ำ ที่ร้อยเรียงกันอย่างไพเราะ สละสลวย และมีความหมายที่สื่อให้หวนระลึก คุณตานั้น มีความว่า สิ้นเสียงพิณมนต์กลอนอักษรศรี “ถวิลลับลาโลกโศกถวิล

ถวิลเอยเคยกล่อมโลกยามราตรี ถวิลหาอาลัยใจถวิล ถวิลครูดุจเทพประทานพร ถวิลวอนกลอนหนังสั่งวงศา ถวิลหวังเมื่อชีพลับหลับตาลง

มาบัดนี้เหลือผลงานด้านบทกลอน ศิลปินได้ครูเป็นผู้สอน ร่ายเพลงกลอนกล่อมโลกสิ้นโศกลง ให้คุณค่าคารมศิลป์อันสูงส่ง ถวิลคงสู่สถานพิมานแมน”

สิ่งที่กระผมจะท�ำเพื่อทดแทนพระคุณของคุณตาได้คือ ตั้งใจที่จะ สืบทอดและสืบสานศิลปะการแสดงหนังตะลุงเอาไว้ให้เคียงคู่บ้านน�้ำกระจาย และเคียงคูป่ กั ษ์ใต้สบื ไป แม้ว่ากระผมจะแสดงหนังตะลุงได้ไม่ดที สี่ ดุ แต่กระผม ก็ตั้งใจแสดงหนังตะลุงอย่างที่สุด อย่างไรก็ตาม หนังตะลุงก็ได้ลดบทบาทลง


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

287

ตำมกำลเวลำและกระแสแห่งสังคมปัจจุบันที่มีพัฒนำกำรอย่ำงไม่เคยหยุดนิ่ง หนังตะลุงทีเ่ คยเป็นชีวติ จิตใจของชำวปักษ์ใต้กลำยเป็นเพียงกำรแสดงทีล่ ำ้ สมัย ชนิดหนึ่ง จึงเป็นหน้ำที่ของทุกคนที่ควรใส่ใจกับมรดกทำงวัฒนธรรมชนิดนี้เพื่อ ไม่ให้เลือนหำยไปตำมกำลเวลำ เมื่อนำยหนังไม่ได้มีบทบำทในสังคมดังอดีต กระผมจึงหำวิถีแห่ง กำรสืบสำนกำรแสดงชนิดนี้ให้คงอยู่สืบไป คือได้เลือกเรียนคณะศึกษำศำสตร์ เพือ่ จะเป็นครูเพรำะมีควำมเชือ่ ว่ำวิชำชีพครูจะสำมำรถสอดแทรกวิชำหนังตะลุง ให้กับนักเรียนและเยำวชนซึ่งเป็นลุกหลำนชำวปักษ์ใต้ ให้ได้มีควำมภำคภูมิใจ ในมรดกทำงวัฒนธรรมของบรรพบุรุษที่ไม่ได้น้อยหน้ำไปกว่ำภูมิภำคอื่นๆ เลย เมือ่ เสียงดนตรีพนื้ บ้ำนทีป่ ระสำนด้วยดนตรีสำกลได้สร้ำงควำมบันเทิง เริงใจให้แก่บรรดำพี่น้องชำวปักษ์ใต้ท่ำมกลำงเสียงเพลงร้องท�ำนองเกำหลี ในยำมที่ดวงอำทิตย์อัสดง เครื่องดนตรีเก่ำใหม่ถูกจัดวำงอย่ำงเป็นระเบียบอีก ครัง้ เพือ่ ท�ำหน้ำทีม่ อบควำมบันเทิงในยำมโลกเต็มไปด้วยควำมบันเทิงหลำกรูป แบบ จอผ้ำขำวผืนใหม่ถูกขึงด้วยหนวดพรำหมณ์จนตึงอีกวำระหนึ่ง ไฟสีส้ม เปล่งรัศมีไล่ควำมมืดบนจอผ้ำขำวแข่งกับดวงไฟหลำกสีหลำยขนำดที่แข่งกัน เปล่งแสงในยำมค�่ำคืน แผงไม้ไผ่สำนเก่ำๆ รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ำที่หนีบด้วยไม้แข็ง จำกภูมิปัญญำถูกเปิดออกหลังจำกที่ถูกปิดตำยอยู่หลำยรำตรี เด็กหนุ่มประนม มือขึ้นทูนหัวอย่ำงศรัทธำ แล้วเอื้อมมือด้วยอำกำรส�ำรวม หยิบรูปฤำษีหัวค�่ำไป ปักที่หยวกกล้วยหลังจอผ้ำขำว จำกนั้นรูปหนังหลำยๆ ตัวถูกวำงเรียงอย่ำงเป็น ระเบียบ ไล่ไปตั้งแต่รูปเจ้ำเมือง รูปนำงเมือง รูปกุหมำน (กุมำร) รูปนำง และปิดท้ำยด้วยรูปกำกที่แกะสลักเป็นรูปมอเตอร์ไซค์ รูปโทรทัศน์ และรูป โทรศัพท์มือถือ


288

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา นายสะอูดี ดือเร๊ะ

เสียงลมพัดพลิ้วๆ บวกกับเสียงนกร้องแจ้วจ้าวบนต้นไม้ มองออกไป ข้างหน้าไม่ไกลนักเห็นแม่น�้ำใสๆ ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายที่เราจะเดินทางในวันนี้… วันนีก้ เ็ หมือนกับทุกๆ วันในช่วงปิดเทอมทีผ่ มกับเพือ่ นๆ ร่วมกันสมทบ เงินคนละสิบบาทเพื่อที่จะน�ำมาซื้อไข่ไก่กับปลากระป๋องมาปรุงเป็นอาหาร ในมือ้ เทีย่ ง ส่วนข้าวสารเราจะน�ำมาจากบ้านคนละหนึง่ ก�ำมือแล้วมารวมกันเป็น อันหนึง่ อันเดียวกัน จากนัน้ ก็จะแยกกันไปส�ำรวจพืน้ ทีห่ าท�ำเลดีๆ ริมแม่นำ�้ สาย นี้เพื่อจะเป็นแหล่งพักผ่อนและหุงหาอาหารในมื้อเที่ยงที่จะถึงนี้ ผมและเพื่อนใช้เวลาเดินทางออกจากบ้านเพื่อจะมาเที่ยวที่แม่น�้ำ สายบุรแี ห่งนีป้ ระมาณครึง่ ชัว่ โมง โดยแต่ละคนก็จะแบกสัมภาระตามทีไ่ ด้ตกลง กันไว้เมื่อตอนออกจากบ้าน ส่วนการเดินทางก็จะใช้การเดินเท้าซึ่งมีระยะทาง ประมาณสี่กิโลเมตร แต่ก็ต้องมีผู้ใหญ่ร่วมเดินทางไปกับเราด้วย เพราะถ้าไม่ อย่างนัน้ ก็จะท�ำให้เราหลงทางได้ ประกอบกับระหว่างทางมีสตั ว์ดรุ า้ ยอย่างควาย ป่าเต็มไปหมด นอกจากควายป่าแล้วที่อันตรายที่สุดก็จะเป็นงูตัวใหญ่ๆที่ซ่อน อยูใ่ นซอกไม้รมิ ทางเดิน หากไม่มผี ใู้ หญ่คอยดูแลและร่วมเดินทางไปด้วยก็คงจะ ไปไม่ถึงที่หมาย เม็ดทรายขาวๆ มองดูแล้วสะอาดตา เงยหน้ามองดูขา้ งบนเห็นแสงจาก พระอาทิตย์ระยิบระยับเล็กน้อยส่องลงมาผ่านช่องรูของใบไม้ทกี่ ำ� ลังแกว่งไปมา


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

289

ตามทางลมที่พัดพาไป แต่มองดูภาพรวมแล้ว ที่ๆ เรายืนอยู่สามารถให้ร่มเงา และสัมผัสสายลมเย็นๆ ได้เป็นอย่างดี เราจึงตัดสินใจเลือกใต้ต้นไม้ต้นนี้ เป็นที่พักพิงหุงหาอาหาร จากนั้นแต่ละคนก็จะท�ำหน้าที่ในด้านที่ตัวเองถนัด ผมเริ่มเดินออกไปหาไม้ฟืนแห้งๆ เพื่อจะน�ำมาก่อไฟหุงหาอาหาร ในขณะที่เพื่อนบางคนได้ถอดเสื้อ วิ่งตรงไปด้านหน้าแล้วกระโดดลงแม่น�้ำ เพือ่ จะจับปลาน�ำมาย่างสมทบกับไข่ไก่และปลากระป๋องทีเ่ ราเตรียมมาจากบ้าน ส่วนเพือ่ นอีกคนก็ไปเก็บผักกูดสีเขียวอ่อนๆ มาล้างน�ำ้ เพือ่ จะน�ำมาจิม้ กับน�ำ้ บูดู แล้วกินกับข้าวสวยร้อนๆ ที่ผมก�ำลังหุงอยู่ สักพัก พอทุกอย่างเรียบร้อย พวกเราสี่ห้าคนก็มานั่งล้อมวงกินข้าว ในแบบฉบับบ้านๆท่ามกลางบรรยากาศทีแ่ วดล้อมไปด้วยต้นไม้ตน้ น้อยต้นใหญ่ และภาพทิวทัศน์อันสวยงามที่สุด ณ จุดๆ หนึ่งในหมู่บ้านที่เราอาศัยอยู่ พวกเราโชคดีมากที่ได้เกิดมาอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ บ้าน...ที่แวดล้อม ไปด้วยสวนยางพารา บ้าน...ที่แวดล้อมไปด้วยแม่น�้ำ ต้นไม้ และภูเขา บ้าน... ที่แวดล้อมไปด้วยวัฒนธรรมที่หลากหลาย บ้าน...ที่แวดล้อมไปด้วยรอยยิ้ม ของผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ ศาสนา มาอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข เพราะบ้าน หลังนี้ตั้งอยู่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้... หากจะย้อนเวลานึกถึงหมูบ่ า้ นของเราในสมัยห้าสิบกว่าปีกอ่ น เท่าทีไ่ ด้ ผมได้คุยกับผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านมาหลายต่อหลายคนแล้ว ผมแทบมีความรู้สึก ว่า ถ้าเลือกเกิดได้ ผมเลือกที่จะเกิดในช่วงเวลานั้น ทุกครั้งที่ได้ฟังพวกท่านเล่า เรื่องราวในอดีต ผมมักจะจินตนาการว่าตัวเองได้เข้าไปอยู่ในส่วนหนึ่งของ เหตุการณ์ในวันนัน้ จนลืมไปเลยว่า จริงๆแล้ว ตัวเองได้อยูท่ า่ มกลางสถานการณ์ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน “หมูบ่ า้ นของเราอยูห่ า่ งจากตัวอ�ำเภอประมาณยีส่ บิ กิโลเมตร ล้อมรอบ ด้วยผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์เป็นแหล่งพักพิงของสัตว์ป่านานาชนิด ไม่ว่าจะเป็น


290

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ไก่ป่า เก้ง กวาง ช้าง และเสือ เป็นต้น ชาวบ้านสร้างบ้านพักอาศัยแบบง่ายๆ ด้วยไม้ไผ่ มุงหลังคาใบจาก ตัง้ อยูก่ ระจัดกระจายตามสวนไร่ของตัวเอง การเดิน ทางใช้การเดินเท้าเป็นหลัก เพราะสมัยนัน้ ถนนและไฟฟ้ายังเข้ามาไม่ถงึ ถ้าหาก เป็นการเดินทางไกลหรือออกไปในตัวอ�ำเภอก็จะใช้เรือ ผ่านแม่น�้ำสายบุรีที่อยู่ หลังหมู่บ้าน หรือไม่ก็จะขี่หลังช้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาก็ไม่ค่อยที่จะออก เดินทางไกลนัก เพราะในหมูบ่ า้ นมีทรัพยากรธรรมชาติทสี่ มบูรณ์ อาหารการกิน ก็ไม่ต้องเสียเงินสักบาท ชาวบ้านจะปลูกข้าว ปลูกผักด้วยตัวเอง ส่วนกับข้าว ก็จะล่าสัตว์ป่าและหาปลาในแม่น�้ำสายบุรี บ้านไหนขาดอะไรก็จะใช้วิธีแลก เปลี่ยนกัน ใครจับปลาได้เยอะก็จะแลกกับผัก ใครมีข้าวสารก็จะแลกกับน�้ำบูดู ชาวบ้านจึงรู้จักกับค�ำว่า ให้ โดยอัตโนมัติ ถึงแม้วา่ ในหมูบ่ า้ นจะมีทงั้ คนทีน่ บั ถือศาสนาอิสลามและนับถือศาสนา พุทธอยู่ด้วยกัน แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาในเรื่องการด�ำเนินชีวิต เพราะไทยพุทธที่นี่ เขาไม่กินหมูและไม่ดื่มเหล้ากันในหมู่บ้าน วันไหนถ้ามีการจัดงานก็จะมีคน อิสลามเข้ามาร่วมด้วย หรือถ้าวันไหน คนอิสลามจะจัดงานก็จะเชิญไทยพุทธมา ร่วมงานและมาช่วยงานด้วยทุกครั้ง ส่วนทางด้านการสื่อสารก็ไม่เป็นอุปสรรค เพราะคนพุทธทีน่ จี่ ะพูดภาษามลายูได้ชดั ถ้อยชัดค�ำ พวกเราสามารถทีจ่ ะอยูร่ ว่ ม กันแบบถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกันได้อย่างลงตัว...” หลังจากที่พวกเราได้กินข้าวและลงเล่นน�้ำในแม่น�้ำเสร็จก็เตรียมเดิน เท้ากลับบ้าน แต่ระหว่างทางทุกคนต่างพากันเก็บผักกูดและพริกขีห้ นูทอี่ ยูข่ า้ งๆ ทาง น�ำมาห่อกับใบตองที่เตรียมไว้คนละหนึ่งห่อเพื่อจะเป็นของฝากให้กับพ่อ แม่ เพื่อนบางคนที่พกหนังสติ๊กอยู่ที่มือ ระหว่างทางก็จะยิงนกกลับไปให้แม่ท�ำ เมนู นกทอดขมิ้น เป็นกับข้าวมื้อเย็นในวันนี้ต่อไป... “การใช้ชวี ติ อย่างง่ายๆ ในหมูบ่ า้ นทีผ่ มอาศัยอยูว่ นั แล้ววันเล่า แล้วพบ อยู่กับกิจวัตรประจ�ำวันที่ไม่เคยซ�้ำซาก จ�ำเจ จนบางครั้ง ผมกลับรู้สึกว่า


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

291

สนุกกับการอยู่ที่นี่ รู้สึกดีที่มีธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ ไม่อยากให้วันเวลา ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็วเพราะกลัวหมู่บ้านจะเปลี่ยนแปลง กลัวความเจริญ จะน�ำหน้าการพัฒนา” หมู่บ้านเราไม่มีโรงภาพยนตร์ แต่ค�่ำคืนนี้จะมีหนังตะลุงมาแสดง ในหมูบ่ า้ น ผมและเพือ่ นๆต่างพากันดีใจรีบอาบน�ำ้ แต่งตัวเพือ่ ทีจ่ ะออกไปรอกัน ที่สนามโรงเรียน ถึงแม้ว่าการแสดงหนังตะลุงมักจะเริ่มท�ำการแสดงตอนสี่ทุ่ม ก็ตาม แต่ด้วยความที่ดีใจพวกผมมักจะออกไปรอตั้งแต่หัวค�่ำ เพราะทุกครั้งที่มี การแสดงหนังตะลุง คืนนั้นก็จะมีแม่ค้ามาขายขนมเยอะแยะไปหมด อีกอย่าง ทุกคนชอบดูหนังตะลุงเพราะในหนังตะลุงจะมีตวั ตลกหลายตัวทีท่ ำ� มาจากหนัง วัวตากแห้ง แล้วแกะสลักเป็นหุ่นคนและสิ่งของต่างๆ แล้วจะมีคนที่ท�ำหน้าที่ พากย์เพียงคนเดียว แต่จะใช้นำ�้ เสียงแตกต่างตามบทบาทของตัวละครแต่ละตัว ซึ่ ง ไม่ ว ่ า จะเป็ น เด็ ก หรื อ ผู ้ ใ หญ่ ผู ้ ห ญิ ง หรื อ ผู ้ ช ายก็ ส ามารถดู ไ ด้ กั น ทุ ก คน หนังตะลุงจะสอดข้อคิดดีๆ ในชีวติ ประจ�ำวันและจะแทรกค�ำพูดตลกๆ ทีท่ กุ คน ก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้ ส่วนใหญ่ก็จะมาแสดงนานๆ ครั้งในช่วงที่มีการจัดงาน มาแกปูโละในหมู่บ้าน เช่น งานเข้าสุนัต หรืองานแต่งงานของคนในหมู่บ้าน เหมือนอย่างวันนี้ นึกถึงงานมาแกปูโละในหมู่บ้านผมและเด็กคนอื่นๆ จะดีใจเป็นพิเศษ เพราะในวันนัน้ จะมีการแสดงทีน่ า่ ตืน่ เต้นทัง้ ในช่วงตอนกลางวันและตอนกลาง คืน อย่างเช่นวันนี้ มีงานมาแกปูโละที่บ้านหลังหนึ่งข้างๆ โรงเรียน ในช่วงบ่าย ทีผ่ า่ นมาเราได้ไปดูการแสดงสีละ ซึง่ เป็นศิลปะการป้องกันตัวโดยใช้รา่ งกายเป็น อาวุธ บรรเลงด้วยเสียงปี่และกลองเป็นหลัก การต่อสู้จะมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น ในตัวตามจังหวะดนตรี มองดูเผินๆ ก็คล้ายกับการเต้นร�ำแต่กส็ ร้างความตืน่ เต้น และเร้าใจให้พวกเราเป็นอย่างมาก


292

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ส่วนการแสดงในภาคกลางคืน นอกจากจะมีหนังตะลุงให้ชมแล้ว บางคนก็ จ ะน� ำ การแสดงอี ก ชุ ด หนึ่ ง ที่ ไ ด้ รั บ ความนิ ย มไม่ แ พ้ กั น นั่ น ก็ คื อ “ดิเกร์ฮูลู” จุดเด่นของดิเกร์ฮูลูก็คล้ายๆ กับการร้องเพลงคู่โต้ตอบกันไปมา ส่วนใหญ่ก็จะน�ำเรื่องราวในชีวิตประจ�ำวันมาเป็นเนื้อร้อง บ้างก็จะแทรกข้อคิด ดีๆ บ้างก็จะแทรกมุขตลกๆ เข้าไปในเนื้อร้อง จากนั้นก็จะต่อด้วยการร้องเพลง เดีย่ ว ส่วนเครือ่ งดนตรีกจ็ ะใช้ชนิดเดียวกันกับหนังตะลุง แต่จะเพิม่ เสียงปรบมือ ของลูกทีมตามจังหวะ พร้อมๆ กับการเคลื่อนไหวในลักษณะต่างๆ โดยพร้อม เพรียงกัน การแสดงดิเกร์ฮูลูส่วนใหญ่จะหาชมได้ง่าย เพราะเกือบทุกหมู่บ้าน ก็จะมีคณะเป็นของตัวเอง บางคณะมีไว้เพื่อไปแสดงในงานต่างๆ บางคณะมีไว้ เพื่ อ ประกวดแข่งขัน แต่คณะของหมู่บ้านเรา ส่วนใหญ่จะเล่นเพื่อความ สนุกสนานเท่านั้น ทุกๆ คืน พอได้เวลาอันเหมาะสม ทุกคนก็จะรวมตัวกันมา เล่น ใครถนัดเครื่องดนตรีชนิดไหนก็จะหยิบมาเล่น ใครชอบร้องเพลงก็จะท�ำ หน้าที่เป็นนักร้องสลับกันไป ส่วนที่เหลือก็จะเป็นลูกทีมท�ำหน้าที่คอยปรบมือ ประกอบตามเสียงกลองที่บรรเลงไปพร้อมๆกัน... เสียงกลองดังกึกก้องมาจากไกล เริ่มจากดังไปหาเบา สลับกับเสียงไก่ ขันเป็นระยะๆ ท้องฟ้าอันมืดสนิท ดวงดาวฉายแสงระยิบระยับเริม่ จางหายไปที ละดวงๆ บ่งบอกว่า ช่วงเวลาที่ใกล้สว่างก�ำลังจะมาถึง เสียงกลองทีผ่ มได้ยนิ มาไม่ใช่เสียงทีม่ าจากการแสดงดิเกร์ฮลู ู ไม่ใช่เสียง ทีม่ าจากงานมาแกปูโละ แต่เป็นเสียงทีส่ ามารถดังขึน้ ในทุก ๆ วัน วันละห้าเวลา แม้จะไม่ใช่งานมาแกปูโละก็ตาม เพราะเสียงๆ นีด้ งั ออกมาจากบาลาเซาะห์หรือ สุเหร่า เป็นเสียงที่โตะอีหม่ามตีขึ้นมาเพื่อที่จะเรียกปลุกทุกคนให้ออกมา ละหมาดพร้อมกันที่สุเหร่า ส่วนใครที่ไม่สามารถออกไปสุเหร่าได้ก็จะตื่นขึ้นมา ท�ำการละหมาดทีบ่ า้ น จากนัน้ ทุกคนก็จะออกจากบ้านเพือ่ เริม่ ท�ำงานเหมือนดัง่


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

293

ตอนเช้าของทุกๆ วัน ยกเว้น วันไหน ถ้าหากว่าฝนตก วันนัน้ ไม่ตอ้ งออกไปท�ำงาน หลัก แต่จะออกไปท�ำงานเสริมที่มิได้มุ่งรายได้ตามท้องไร่ท้องนาของตัวเอง ดั่งที่เคยท�ำมาอยู่ทุกวัน สวนยางคืออาชีพหลักของคนที่นี่ ทุกคนจะเริ่มออกไปกรีดยางตั้งแต่ เช้ามืด ส่วนใหญ่กจ็ ะใช้เวลาไม่เกินตอนเทีย่ งของวันนัน้ ภารกิจก็จะเสร็จสมบูรณ์ ใครที่ขยันก็จะเก็บน�้ำยางท�ำเป็นยางแผ่น ใครที่ขี้เกียจก็จะกรีดยางอย่างเดียว แล้วจะปล่อยทิ้งไว้เพื่อให้น�้ำยางแข็งจนกลายเป็นขี้ยางและจะเก็บขี้ยางในวัน ต่อๆ ไป เพื่อน�ำไปขายหรือไปแลกกับสิ่งของต่างๆ ที่เคยปฏิบัติกันอยู่ ผมตืน่ แต่เช้าเพือ่ จะรีบออกไปช่วยพ่อแม่เก็บน�ำ้ ยางเพราะวันนีเ้ ป็นช่วง ปิดเทอม เพื่อนคนอื่นๆ ก็ต้องออกไปช่วยครอบครัวเก็บยางเพื่อจะน�ำไปขายที่ ตลาด เพราะอีกไม่กี่วันข้างหน้าก็จะถึงวันฮารีรายอ หรือวันเฉลิมฉลองอิลดิล ฟิตรี ซึง่ ในวันนัน้ ทุกคนจะต้องสวมใส่เสือ้ ผ้าใหม่ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นเสือ้ ผ้าทีต่ อ้ ง ซือ้ มาใส่ในวันนัน้ โดยเฉพาะเท่านัน้ ใครทีม่ ฐี านะก็ตอ้ งบริจาคเงินหรือสิง่ ของให้ กับคนที่มีน้อยกว่า ในวันฮารีรายอจะเป็นวันที่พวกเราสนุกสนานที่สุดเพราะมี แต่ได้ ได้กินตูปะ ได้กินไอศกรีม ได้กินขนมต่างๆที่มีเฉพาะในวันรายอเท่านั้น นอกจากจะได้กินฟรีแล้วยังจะได้เงินจากผู้ใหญ่ในหมู่บ้านที่เตรียมมอบให้กับ เด็กๆ ซึ่งในปีหนึ่ง ๆ ก็จะมีแค่สองครั้งเท่านั้น คือ รายอปอซอ กับรายอฮัจยี หากจะพูดถึงวันฮารีรายอ เด็กๆ อย่างพวกเราจะชอบวันรายอปอซอ มากกว่าเพราะก่อนจะถึงวันฮารีรายอ พวกเราจะต้องอดอาหารในช่วงกลางวัน เป็นเวลาหนึ่งเดือน คือจะกินอะไรไม่ได้แม้แต่น�้ำหยดเดียวก็ไม่เว้น นอกจาก น�้ำลายของตัวเอง แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องแปรงฟันให้สะอาดก่อนจึงจะกลืนได้ เดือนนั้นเขาจึงเรียกว่า เดือนปอซอ เดือนที่ทุกคนที่มีร่างกายแข็งแรงต้องถือ ศีลอดด้วยการอดอาหารในช่วงเช้าตรู่จนถึงพระอาทิตย์ตกดิน...


294

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ตลอดสามสิบวันในเดือนรอมฎอนหรือว่าเดือนปอซอนั้น ในช่วงที่ พระอาทิตย์ตกตอนเย็น พวกเราจะได้กินขนมหวานที่หลากหลายและดูแปลก ตาที่ได้มาจากบ้านข้างๆ บ้านไหนที่ท�ำสาคูก็จะแบ่งให้กับบ้านข้างๆ แล้วบ้าน ข้างๆ ก็จะตอบแทนด้วยขนมลอดช่อง บ้านไหนมีปลาย่างก็จะแบ่งปันให้กบั บ้าน ข้างๆ เราก็จะได้ต้มย�ำไก่เพื่อเป็นการตอบกลับเรื่องน�้ำใจ ถ้าเราแบ่งปันให้กับ เพื่อนห้าคน เราก็จะได้กินกับข้าวหกอย่างในเวลาเดียวกัน... ในช่วงค�่ำคืนของเดือนปอซอเป็นช่วงเวลาที่ผู้ใหญ่รอคอย เพราะเป็น เวลาที่พวกเขาจะได้ละศีลอดและเดินทางไปยังมัสยิดเพื่อจะมาละหมาดตารอ แวะห์ซงึ่ เป็นการละหมาดทีน่ อกเหนือไปจากการละหมาดทัว่ ๆ ไป การละหมาด ตารอแวะห์จะมีเฉพาะเดือนนี้เท่านั้น ส่วนเด็กๆ ก็จะออกไปซื้อขนมหวานมา กินหรือไม่กจ็ ดั กลุม่ นัง่ กินทีร่ ้าน เพราะในเดือนนี้ เขาจะขายเฉพาะช่วงกลางคืน เท่านัน้ ส่วนกลางวันก็จะปิดร้านเนือ่ งจากเหน็ดเหนือ่ ยทีต่ อ้ งอดอาหาร ประกอบ กับช่วงกลางวันเขาห้ามกิน ทุกคนจึงถือโอกาสส�ำหรับการนอนเป็นส่วนใหญ่... ผมเงยหน้ามองดูนาฬิกา ไม่ใช่เพราะว่าเตรียมตัวที่จะไปละศีลอด แต่เพราะรูส้ กึ ว่าตัวเองเริม่ ตาลาย คงจะได้เวลานอนพักผ่อน เลยตัดสินใจเอามือ ไปจับเมาส์เลื่อนไปมาพร้อมๆ กับอ่านทบทวนทีละหน้าๆ เพื่อจะดูว่า “เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา” ผมเขียนไปถึงไหนแล้ว สุดท้ายจึงตัดสินใจบอกเหตุผลของการส่ง ประกวดเรียงความครั้งนี้ว่าไม่ได้หวังรางวัลที่หนึ่ง เพราะไม่ได้เป็นนักเขียน เพียงแต่จะมาบอกสั้นๆว่า “ จากวันนั้นมาถึงวันนี้ทุกอย่างได้เริ่มเปลี่ยนแปลงไป ขนมตูปะที่เรา เคยกินกลับถูกแทนที่ด้วยเคเอฟซี หนังตะลุงที่เราเคยดูกลับถูกแทนที่ด้วย คอมพิวเตอร์ เสียงกลองจากดิเกร์ฮูลูที่เราเคยได้ยินกลับถูกแทนที่ด้วยเสียงปืน ไทยพุทธที่เคยอยู่ร่วมกันกลับถูกแทนที่ด้วยความหวาดระแวง คนในหมู่บ้าน


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

295

ต่ำงคนต่ำงอยู่ ควำมเห็นแก่ตัวเริ่มเห็นได้ชัด ควำมเหลื่อมล�้ำเริ่มแทรกเข้ำมำ เรือ่ งรำวทีเ่ รำได้เขียนจึงกลำยเป็นแค่ควำมรูส้ กึ ดีๆ ทีย่ งั หลงเหลืออยู่ จะให้กลับ มำเป็นเหมือนเดิมก็คงจะเป็นได้แค่ควำมฝัน และถึงแม้ว่ำควำมฝันของเรำยำกที่จะเกิดขึ้น และคงเป็นไปไม่ได้ เพรำะมันใหญ่ เรำฝันอยำกให้ทนี่ กี่ ลับมำมีรอยยิม้ เรำฝันอยำกให้ชมุ ชนกลับมำ มีควำมสุข เรำฝันอยำกให้หมู่บ้ำนปลอดยำเสพติด เรำฝันอยำกให้ที่นี่สงบ... แต่เรำก็แอบรูส้ กึ ภูมใิ จในตัวเองว่ำ ควำมรูส้ กึ ดีๆ เหล่ำนีเ้ กิดขึน้ จริงในจิตใต้สำ� นึก ของเรำ...”


296

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา นายอาดีลัน สมาแอ

ดินแดน ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้คงจะไม่มใี ครปฏิเสธว่ามีหลากหลาย วัฒนธรรม คนทีน่ จี่ ะยึดติดกับเรือ่ งศาสนาเป็นส�ำคัญ ไม่วา่ จะเป็นเรือ่ งวัฒนธรรม และวิถีในการด�ำเนินชีวิต วัฒนธรรมมุสลิมเป็นวัฒนธรรมที่อยู่คู่กับคนที่นี่ เป็นเรื่องดีๆ ที่รัฐจะต้องเข้าใจและสนับสนุน ซึ่งในแต่ละเรื่องก็จะเชื่อมโยงกับ พฤติกรรมศาสนาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งถ้าจะเขียนถึงนั้นมีมากมายหลายเรื่อง เป็นวิธีในการด�ำเนินชีวิตที่มีมาตั้งแต่อดีต ตั้งแต่เกิดจนตาย ปฏิบัติสืบต่อกันมา จนปัจจุบันและสู่อนาคต ผมเป็นหนุ่มใต้โดยก�ำเนิด พ�ำนักที่บ้านเลขที่ ๒๐-๒ ม.๑ ซอยละหาร ต�ำบลแว้ง อ�ำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส ซึง่ เป็นดินแดนทีเ่ รียกว่าปลายด้ามขวาน ของประเทศ บ้านแว้งแห่งนี้ถ้าจะเล่าถึงความหลังมีที่มา คือ ชาวปัตตานีท่าน หนึ่งหนีกองทัพไทย เมื่อ ๒๐๐ ปีมาแล้ว ตั้งรกรากเป็นคนแรกชื่อว่า โต๊ะเวง แว้ง มาจากค�ำว่า เวง ปัจจุบันเป็น กูโบร์ หรือสุสานโต๊ะเวง ปรากฏอยู่บริเวณ รั้วด้านหลังสถานีต�ำรวจภูธรแว้ง ปัจจุบันแว้งเป็นศูนย์กลางของอ�ำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส ผมได้ทราบเรื่องราววิถีชีวิต วัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นที่นี่ จากการ เล่าของคุณพ่อคุณแม่คณ ุ ย่า ซึง่ คุณแม่บอกว่า บางเรือ่ งก็ได้รบั การถ่ายทอดจาก คุณปู่ตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ คุณปู่เป็นคนชอบเล่าเรื่อง แม้กระทั่งชีวิตท่านก็ยัง มาจากต่างถิ่น (มาเลย์) ดั้นด้นหนีทหารญี่ปุ่นตอนสงครามโลกครั้งที่ ๒ ตอนนั้น


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

297

ท่านต้องพรากจากพ่อ แม่ ถูกทหารญี่ปุ่นจับตัว ต้องเป็นทาสทหารญี่ปุ่น ช่วงสงครามล�ำบากล�ำบน ถูกทรมานด้วยการถูกทุบตีบ้าง ให้กินอาหารบูดบ้าง ได้โอกาสหนีข้ามแดน มาพบคุณย่าที่เป็นหม้ายลูกสามที่แว้ง ตกลงปลงใจ แต่งงานมีลกู หนึง่ คน ก็คอื คุณพ่อของผมในปัจจุบนั แม่บอกว่าปูเ่ ป็นคนใจดีมาก เลี้ยงลูกเลี้ยงเสมือนลูกตนเองทุกคน ตอนที่พบกับคุณย่าลูก ๆ ยังเล็กมาก ได้คณ ุ ปูด่ แู ลท�ำให้ชวี ติ ครอบครัวมีความสุข คุณปูจ่ ากไปตัง้ แต่ผมยังเล็กมาก ผม จ�ำไม่ได้เพียงแต่ดูรูปและได้รับรู้เรื่องราวจากย่า พ่อ แม่ ลุง ป้า พี่สาวเล่าให้ฟัง ผมได้รู้ว่ าเมื่อก่อน ชีวิตของคนที่นี่จะผูกพันกับธรรมชาติและสิ่ง แวดล้อมที่เรียบง่าย เคร่งครัดในเรื่องศาสนา โดยเฉพาะชาวไทยมุสลิม ถึงเวลา ปฏิบัติศาสนกิจประจ�ำวัน หยุดภารกิจต่างๆ เพื่อละหมาด ต้องท�ำให้ครบทั้ง ๕ เวลา พอถึงวันศุกร์จะละหมาดร่วมกันที่มัสยิด เพื่อแสดงพลังสามัคคี ชีวิตจึง อยู่อย่างสงบสุข ร่มเย็น คนไทยพุทธ ไทยมุสลิม ไทยจีน อยู่ด้วยกันด้วย ความรัก ความสามัคคี เอื้ออาทรต่อกัน คนไทยพุทธ ไทยจีน ยังพูดภาษา ท้องถิ่น (มลายู) ไม่ผิดเพี้ยนเลย ผู้ใหญ่เล่าว่าสมัยโบราณ บริเวณที่ตั้งของแว้งเป็นที่ราบในอุ้งภูเขาสูง เพราะมีเทือกเขาใหญ่กนั้ เขตแดนระหว่างประเทศไทยกับมาเลเซีย คือทิวเขาสัน กาลาคีรี พืน้ ราบทีเ่ ป็นอ�ำเภอแว้งอุดมด้วยพืชพันธ์นุ านาชนิด มีละหาน มีบงึ คือ แหล่งน�ำ้ ทีเ่ หมาะกับการเกษตร ทีส่ ำ� คัญคือกลางอ�ำเภอแว้ง มีลำ� คลองทีไ่ หลมา จากภูเขาสูง เรียกว่า คลองแว้ง มันไหลไปลงสู่แม่น�้ำสุไหโก-ลก ซึ่งกั้นเขตแดน อีกด้านหนึ่งแล้วไปออกที่ตากใบ กล่าวถึงคลองแว้ง ชาวบ้านจะเรียกว่า ซูงาแว้ง เมื่ออดีตนั้น ย่าเคย เล่าว่าเป็นเส้นทางการเดินเรือไปยังสุไหงโก-ลก และยังมีพ่อค้าแม่ค้ามาจาก ตากใบ จากสุไหงโก-ลก ล่องเรือมาขายสินค้าให้แก่ชาวแว้งด้วย สินค้าที่น�ำมา ขายส่วนใหญ่จะเป็นอาหาร ของจ�ำเป็นในครัว เช่น น�้ำบูดูจากตากใบ เกลือ น�ำ้ ตาล หอม กระเทียม ชาวบ้านทีอ่ ยูร่ มิ คลองก็ออกมาซือ้ กัน บรรยากาศคึกคัก


298

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

มาก ปลาทูตม้ แห้ง จะขายดีมาก เป็นกับข้าวทีล่ อื ชือ่ ในสมัยนัน้ ปัจจุบนั นี้ คุณย่า ยังต้มให้ผมกินบ่อยๆ วิธกี ารท�ำปลาต้มแห้งก็ไม่ยาก เพียงแต่เตรียมน�ำปลาทูมา เอาไส้ออก ล้างให้สะอาด ใส่ในหม้อ ใส่เกลือ ส้มแขก ตามด้วยน�้ำตาลแว่น ใส่น�้ำนิดหน่อย แล้วน�ำไปตั้งบนเตา ปล่อยให้น�้ำเดือดจนแห้ง (อย่าให้ไหม้) เป็นอาหารที่มีรสชาติ ๓ รส คือ เค็ม หวาน เปรี้ยว กินกับข้าวร้อนๆ อร่อยนัก ฤดูฝนน�้ำหลากเมื่อไหร่ คนที่มีบ้านอยู่ริมคลองต้องยกของหนีน�้ำทุกที บ้านเดิมที่คุณย่าอาศัยคือบ้านคุณทวดเดิม อยู่ใกล้ๆ กับคลอง ก็โดนน�้ำท่วม ทุกปี มีอยู่ครั้งหนึ่งน�้ำท่วมหนักมาก ย่าต้องหอบลูกจูงหลานเล็กๆ ฝ่าสายน�้ำมา พักบ้านญาติที่อยู่ที่สูง หมู่บ้านละหารในปัจจุบัน ปล่อยให้ผู้ชายหนุ่มๆ อยู่เฝ้า บ้าน เฝ้าหัวมันเทศ มันส�ำปะหลัง มันขี้หนู มันหัวแรด (ฮูบีบาเดาะ) ไว้ต้มกิน ยามหน้าฝน พูดเรื่องหัวมัน คือ ชาวบ้านที่นี่จะปลูกมันหลายชนิดเพื่อเก็บไว้กิน ในยามหน้าฝน รับประทานแทนข้าว เป็นการประหยัด เป็นอาหารทีม่ ปี ระโยชน์ มาก มีพลังงานสูง ช่วยท�ำให้ร่างกายอบอุ่น มีรสชาติอร่อย หลายๆ คนจะชอบ กินมากหรือบางครั้งแขกไปใครมา นอกจากจะยกเชี่ยนหมากพลูให้เคี้ยวเล่น ไม่มสี งิ่ ใดจะให้กใ็ ห้ “มัน” ทีม่ ใี นครัวเรือนนัน่ แหละกลับไปติดไม้ตดิ มือไปต้มกิน ที่บ้านเป็นสินน�้ำใจที่ชาวบ้านที่นี่มีอยู่อย่างเหลือเฟือ พอน�้ำลด คุณย่าพาลูกหลานกลับบ้าน ช่วยกันท�ำความสะอาดบ้าน จะเป็นเช่นนีเ้ กือบทุกปี ซึง่ ตอนหลัง คุณปูค่ ดิ จะย้ายทีอ่ ยู่ สงสารลูกๆ จึงซือ้ ทีด่ นิ แปลงหนึ่ง ราคา ๑,๐๐๐ บาทในสมัยนั้น อยู่สุดซอย สร้างบ้านพออยู่ได้ ตอนหลังได้ขยับขยายต่อเติม ผมจ�ำได้ว่าอยู่บ้านนี้ตั้งแต่เกิดแล้ว ในระยะหลังๆ นี้บ้านนี้ก็โดนน�้ำท่วมอีกเช่นกัน คุณย่าก็สร้างบ้านใหม่อีก เพราะลูกๆ ก็โต มีครอบครัวแล้ว จึงขยับขยายครอบครัว โดยบ้านหลังที่ปู่สร้างให้ก็ยังอยู่ ผมก็ไปๆ มาๆ ทุกวันอยู่ทั้งสองบ้ าน เพราะย่ายังอยู่ที่นี่ต้องช่วยกันดูแล บ้านใหม่ไม่โดนน�ำ้ ท่วม อยูใ่ นแว้งเหมือนเดิม หลังบ้านมีตน้ ไม้มากมาย เป็นสวน ของชาวบ้านที่ติดกัน จากเดิมเป็นที่นา ถัดไปมีป่าสาคูเป็นทิวแถว ดูแล้วนึกถึง


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

299

บรรยากาศเก่ า ๆ ที่ ย ่ า เคยเล่ า ให้ ผ มฟั ง เมื่ อ ก่ อ นปู ่ น� ำ ใบสาคู ท� ำ จากเป็ น หลังคาบ้าน บ้านที่มุงด้วยจากจะไม่ร้อน อยู่สบาย ริมฝั่งคลองแว้ง เมื่อก่อนจะมีบ้านเรือน ๒ ฟากฝั่ง มีต้นผลไม้ ทั้งต้น ทุเรียน มังคุด ลางสาด เงาะ กระท้อน เป็นต้น ยามหน้าร้อน น�้ำจะตื้น บ้านใคร ที่อยู่ที่ริมคลอง สบายที่สุด ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ได้เล่นน�้ำคลอง เป็นครึ่งๆ วัน ว่ายน�้ำกันไปมา กระโดดน�ำ้ กันสนุก น�้ำใสสะอาด หาดทรายก็มี ส่วนที่ลกึ หน่อย มีดนิ เหนียวสีนำ�้ เงิน มันเงา ตอนพ่อเด็กๆ พ่อและเพือ่ นๆ เอาดินเหนียวทีค่ ลอง นี่แหละน�ำไปโรงเรียน เวลาครูจะสอนปั้นรูปดินน�้ำมัน แต่ก็มีเด็กๆ บางส่วนหา กุ้งหาปลาตามประสา ย่างกินที่ริมคลองนั้น บางคนหามุมเงียบๆ นั่งใต้ต้นไม้ ตกปลาอย่างสบายอารมณ์ บางทีก่ ม็ สี ะพานข้ามไปมาระหว่างสองฟาก ชาวบ้าน เขาใช้ต้นมะพร้าวสองต้น เอาหวายเหนียวขนาดใหญ่หลายๆ เส้นมัดกัน แล้วพาดข้ามคลองที่ตลิ่งสูงขึ้น เขาท�ำราวไว้ให้คนที่กลัวตกคลองจับไต่ไปด้วย ชาวบ้านและเด็กๆ ที่นี่ไม่กลัวตกคลองอยู่แล้ว ต่อให้วิ่งข้ามคลองก็ยังท�ำได้ บรรยากาศริมฝั่งคลองแต่ก่อนน่าอยู่มาก สมัยผมยังเล็กก็เคยแอบไปเล่นน�้ำ ถึงตอนนี้บรรยากาศเช่นนี้ก็ยังคงอยู่ ที่ท้ายบ้านถัดไปจากป่าสาคู แต่ก่อนนั้นจะเป็นที่นา ชาวบ้านในแว้งมี อาชีพท�ำนา ท�ำสวนยาง แต่สวนยางจะอยู่นอกเขตหมู่บ้านแว้ง แต่อยู่ในอ�ำเภอ แว้งเหมือนกัน ในหมู่บ้านแว้งเดิมนั้นจะมีที่นา ปู่ย่าก็มีอาชีพท�ำนาเช่นกัน คันไถของปูก่ ย็ งั มีอยูเ่ ก็บไว้ใต้ถนุ บ้าน ข้าวไม่ตอ้ งซือ้ แม่มาอยูท่ แี่ ว้งใหม่ๆ ยังตาม ปู่ย่าไปเกี่ยวข้าวที่นา หลังจากเสร็จเก็บเกี่ยวข้าว ก็มีการท�ำบุญกินข้าวใหม่ เชิญชาวบ้านใกล้เคียงมาท�ำแกงปลาที่หามาได้ในนาในคลอง และหุงข้าวใหม่ ทีต่ ำ� ด้วยมือ มาเลีย้ งกิน ผมได้แต่เสียดายไม่ทนั ได้เห็นควายไถนา ชาวนาต�ำข้าว เมื่อก่อน หลังจากหมดฤดูท�ำนาแล้ว มีเวลาไปกรีดยาง สวนยางจะอยู่ไกลจาก หมู่บ้านหลายกิโลเมตร เวลาตี ๑ ตี ๒ เดินเท้าไปเพื่อกรีดยางของเถ้าแก่ บางคนก็กรีดยางของตนเอง ในการเดินทาง ทุกคนต้องมีตะเกียงส�ำหรับส่องทาง


300

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

และส่องร่องต้นยาง ตะเกียงนี้ติดที่หน้ าผาก ย่าบอกว่าสะดวกดี เพราะ ไม่ต้องถือ สามารถใช้มือทั้งสองจับมีดตัดยางได้รวดเร็วขึ้น การตัดยางนั้น ย่าเล่าว่าต้องใช้มีดที่คม ตัดยางเซาะเนื้อไม้และแตะ น�้ำนมยางที่แห้งติดในร่องออกก่อน น�้ำนมยางจากร่องแผลที่ตัดหรือกรีดใหม่ ไหลมาบรรจบกันตรงกลางเป็นรูปเหมือนลูกศร ตรงนั้นเขาจะเอาซูดู หรือช้อน ยางที่ท�ำด้วยสังกะสีเสียบไว้กับล�ำต้น ให้น�้ำยางไหลลงสู่กะลาหรือชามยางที่ วางไว้หรือจะเอากะลา หรือชามยาง (พรกหรือมาโกะ) วางบนง่ามที่ยันล�ำต้น น�้ำยางจะไหลดี ถ้าเรากรีดในเวลากลางวัน ความร้อนของดวงอาทิตย์ท�ำให้น�้ำ ยางแห้งไป ดังนั้น การกรีดยางต้องท�ำในเวลากลางคืน ตอนเช้า น�้ำยางจะไหล ไม่มากแล้ว พอกรีดยางหมดทัง้ สวนแล้วก็เกือบรุง่ เช้า หลังจากนัน้ ก็จะนัง่ พักรับ ประทานอาหารที่เตรียมไว้จากบ้าน มีข้าวกับปลาเค็ม พอประทังความหิว ถึงเวลาเก็บน�้ำยางแล้วก็ต้องตามเก็บทุกต้นจนกว่าจะหมด ใส่ลงไปในถัง บางต้นก็ต้องลอกเอาเศษยางที่แห้งค้างอยู่ในกะลาออกมาใส่ถัง จนหมดทุกต้น แล้วตั้งหน้าตั้งตาหาบไปรวมกันในถัง ที่เพิงพักเพื่อท�ำยางแผ่นต่อไป วิธีท�ำยางแผ่นนั้นก็ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ ย่าบอกว่า เริ่มแรกต้องจัดการ กรองน�ำ้ ยางผ่านกระชอนทีท่ ำ� ด้วยไม้ไผ่สานหรือใช้ตะแกรงถีท่ สี่ ดุ หรืออาจจะใช้ ฟางรองก้นถังทีร่ วั่ น�ำ้ ยางทีก่ รองจะใสสะอาดเหมือนน�ำ้ นม เรียกว่า ซูซกู อื เต๊าะ ในภาษาไทย เรียกว่า น�ำ้ นมนาง ทีนถี้ งึ เวลาใส่ตากง (ตากงทีว่ า่ ท�ำด้วยปีบ๊ น�ำ้ มัน ก๊าด ปี๊บ ๑ ใบผ่าตามยาวให้เท่าๆ กัน จะได้ตากง ๒ ใบ) หรือกระบะที่วางเรียง ไว้เป็นแถวให้เท่ากันทุกตากง ตวงน�ำ้ นมยางใส่ลงไปตวงน�ำ้ สะอาดผสมลงไปด้วย พอประมาณ ทั้งสองอย่างรวมกันให้ได้เกือบเต็มตากง หลังจากนั้นก็ตวงน�้ำส้มยาง (น�้ำกรดที่ผสมน�้ำหลายๆ เท่า) ผสมลงไป ในน�ำ้ ยางแล้วคนให้เข้ากัน การผสมน�ำ้ กรดต้องระมัดระวัง เพราะอาจจะโดนมือ เป็นแผลเหวอะหวะได้ ย่าบอกว่าแต่ก่อนนั้นจะใช้น�้ำส้มธรรมชาติด้วยการดอง เปลือกผลไม้หรือผลไม้ต่างๆ แต่ตอนหลังมีน�้ำกรดขายก็ใช้น�้ำกรด เพื่อความ


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

301

สะดวกและไม่เสียเวลา หลังจากนั้นไม่นาน น�้ำยางก็จะจับตัวเป็นรูปสี่เหลี่ยมสี ขาวนุ่มนิ่ม ถึงเวลาที่จะได้เอาออกจากตากง รีดให้แบนด้วยมือก่อนที่จะรีดด้วย จักรรีดยาง เสร็จแล้วไปตากไว้ให้แห้งบนราวไม้ไผ่ที่เตรียมไว้ พอแห้งดีแล้วก็น�ำ ไปเก็บ อาจจะเก็บที่ใต้ถุนบ้านที่ท�ำราวด้วยไม้เตรียมแล้ว รวบรวมหลายๆ วัน จนกว่าต้องการทีจ่ ะขาย เพือ่ เอาเงินมาเลีย้ งชีพเลีย้ งครอบครัวของแต่ละคน เงิน ที่ได้ก็มาแบ่ง ๒ ส่วน เจ้าของ ๑ ส่วน ลูกจ้าง ๑ ส่วน ส�ำหรับปู่และย่าบอกว่า การกรีดยางในแต่ละครั้งนั้น เถ้าแก่ให้เงินเพิ่มเป็นพิเศษเสมอ เพราะเขาเห็น ความซื่ อ สั ต ย์ ค วามประณี ต เรี ย บร้ อ ยในการกรี ด ยาง หน้ า ต้ น ยางไม่ เ สี ย ตัดได้เป็นเวลานาน แม่ของผม ช่วงที่มาอยู่แว้งใหม่ๆ ก็กรีดยางไม่เป็นจึงไปช่วยย่าเก็บน�้ำ ยาง ตอนหลัง เริ่มฝึกกรีดยาง แรกๆ ก็กรีดจนถึงแก่นของไม้ยาง ตอนหลัง ย่าสอนวิธกี รีดทีถ่ กู ต้องก็กรีดได้ แม่เล่าอีกว่าปูข่ ายยางแล้วให้เงินเขา ๔๐๐ บาท เป็นครั้งแรก แม่ดีใจมากได้ซื้อขนมให้ลูก ตอนหลังแม่ได้เรียนต่อจนจบปริญญา ตรีพร้อมๆ กับเลี้ยงลูก ท�ำงานอาชีพครูจนถึงปัจจุบัน แต่คุณแม่ก็ไม่ลืมอาชีพ ชาวสวน วันหยุดเสาร์ อาทิตย์ มักจะชวนผมเข้าสวนเพื่อดูต้นยางที่ก�ำลังเจริญ เติบโตและฝากความหวังไว้วา่ ต่อไปลูกหลานไม่มงี านอย่างอืน่ ท�ำก็ยงั มีสวนยาง ถึงแม้จะไม่มากแต่ก็สามารถเลี้ยงชีวิตได้ ดูตัวอย่างปู่ย่า ไม่มีสวนยางเป็น ของตัวเองเลย กรีดยางของคนอื่นยังสามารถเลี้ยงลูกหลานหลายคนได้ ผมได้ฟังย่าเล่าแล้วรู้สึกภูมิใจและชื่นชมในความอดทนที่อดหลับอด นอนเดินทางไกลกว่าจะถึงทีท่ ำ� งานขยันหมัน่ เพียร และมีความซือ่ สัตย์ตอ่ อาชีพ ตนจนเถ้าแก่ไว้วางใจ สามารถเลี้ยงครอบครัวใหญ่ได้ พ่อได้เรียนหนังสือ จนมีอาชีพรับราชการ จากที่ตอนแรกที่ไม่ค่อยเข้าใจว่า ท�ำไมคนสมัยก่อน จะปล่อยให้ลูกๆ ช่วยตัวเองตั้งแต่เล็กๆ ปล่อยให้ลูกอยู่บ้าน พอตื่นเช้าขึ้นมา ก็ต้องจัดการตัวเองอาบน�้ำ แต่งตัว เพื่อไปโรงเรียน โดยไม่มีใครดูแลเป็นพิเศษ


302

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ถึงตอนนี้เข้าใจแล้วว่าความรับผิดชอบต่อครอบครัวที่จะให้สมาชิก ในครอบครัวมีกินมีใช้ ได้เรียนหนังสือ ต้องอาบเหงื่อต่างน�้ำ กว่าจะได้เงินมา ผมรู้สึกได้ว่าความเหนื่อยยากนั้น แท้จริงท่านมีความสุข ผมตั้งใจว่า สักวันหนึ่ง ผมจะต้องหาโอกาสท�ำอาชีพชาวสวนยางบ้าง ต้นยางที่พ่อปลูกไว้ ไม่นานเกิน รอ สามารถให้น�้ำยางได้ ตอนอายุ ๗ ปี ก็กรีดได้ ผมจะคอยถึงวันนั้น หลังจาก ผมเรียนจบ ช่วงปิดภาคเรียนนี้ก็ช่วยถางหญ้าใส่ปุ๋ยก่อน ต้นยางจะได้โตไวๆ พอเห็นช่องทางประกอบอาชีพในอนาคตแล้ว ย่ า เล่ า ว่ า สมั ย ที่ ปู ่ ยั ง มี ชี วิ ต อยู ่ ที่ บ ้ า นเมนั้ น เป็ น ที่ ฝ ึ ก ซ้ อ มศิ ล ปะ ป้องกันตัว เช่น ซีละ (ปันจักสีลัต) มวยไทยสมัยพ่อยังเด็ก เคยฝึกมวยไทย และซี ล ะร่ ว มกั บ ชาวบ้ า นที่ ส นใจและคอยชกมวยไทยบนเวที ใ หญ่ ม าแล้ ว ส่วนการละเล่นต่างๆ เช่น ซีละ ตีบานอ กรือโต๊ะ หลังละมาด ก็มชี าวบ้านในแว้ง ที่สนใจมาร่วมกันท�ำเครื่องตีหรืออุปกรณ์บานอ กรือโตะ จนดึกดื่น ซ้อมตีกัน เสียงกระหึม่ พอมีงานแสดงทีท่ างอ�ำเภอจัด จะแสดงพลังเสียงโชว์ให้แขกเหรือ่ ดู ดิเกร์ฮูลูก็มี ปัจจุบันได้มีวิทยากรในหมู่บ้านที่เก่งด้านนี้ฝึกซ้อมนักเรียนประถม ศึกษาในเรื่องการแสดงดิเกร์ฮูลู จนสามารถออกแสดงบนเวที ได้รับรางวัลใน ระดับภาคใต้ แม่ผมภูมใิ จหนักหนาทีล่ กู ศิษย์ของเขามีสว่ นในการเชิดชูวฒ ั นธรรม ซึ่งเป็นมรดกตกทอดล�้ำค่า สวยงามแบบหนึ่งที่คนรุ่นหลังควรจะอนุรักษ์ไว้ ตลอดไป วิถีชีวิตและสภาพความเป็นอยู่ในปัจจุบันไม่เปลี่ยนแปลงสักเท่าใดนัก สถานที่ ต ่ า งๆ ก็ มี ม านานแล้ ว ในแว้ ง มี ส นามกี ฬ าตั้ ง อยู ่ ที่ ว ่ า การอ� ำ เภอ เป็นสนามใหญ่ ใช้เป็นที่จัดงานส�ำคัญๆ ถ้าไม่มีงานพวกหนุ่มๆ และเยาวชน ในอ�ำเภอแว้งมาซ้อมฟุตบอลที่นี่และเป็นที่แข่งขันกีฬาประเภทต่างๆ ทุกปีจะมี การแข่งขันกีฬา อบต. กีฬานักเรียน และข้างสนามฟุตบอลกีฬา มีสนามเทนนิส สนามเด็กเล่น และยังมีสถานีต�ำรวจภูธร ที่ว่าการอ�ำเภอแว้ง โรงเรียนบ้านแว้ง ซึง่ เมือ่ ก่อนเรียกว่าโรงเรียนประชาบาล ปัจจุบนั เป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ มีวดั เขา


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

303

เข็มทองเป็นศูนย์รวมใจของคนไทยพุทธ มีมสั ยิดตามรามเป็นศูนย์กลางพิธกี รรม ทางศาสนาอิสลาม ตลาดนัดเทศบาลแว้ง ที่ท�ำการเทศบาลแว้ง ปัจจุบันก็มีอยู่ ในที่เดิม แต่มีการพัฒนา ทาสี ปรับปรุงให้มันดีขึ้นเท่านั้น อาหารการกิน ไปที่แว้งไม่มีค�ำว่า อด ที่นี่ ตอนเช้าตื่นมาจะกินอาหาร อะไรก็มีให้ซื้อหา นาซิดาแฆ นาซิลือเมาะ ปูโละกายอ ข้าวย�ำ ย�ำผักกูด แกงขี้เหล็ก ยิ่งในช่วงการถือศีลอด จะมีบริการขายอาหารมากเป็นพิเศษ ข้าวย�ำบก (นาซิราบูดาระ) ส่วนผสมคล้ายข้าวย�ำ แต่จะมีสว่ นผสมของสมุนไพร หลายๆ อย่าง เป็นอาหารที่ย่าชอบ เป็นอาหารโบราณ ในเดือนถือศีลอด ย่าจะละศีลอดด้วยการกินข้าวย�ำบกเสมอ เพราะจะรู้สึกอิ่ม ไม่แน่นท้อง จะได้ ไปละหมาดตะราแวะห์ที่มัสยิดอย่างสบายใจ เมื่อก่อนในแว้งจะมีร้านค้า ร้านอาหารขายน�้ำชากาแฟ ไม่กี่ร้าน แต่ที่ ขึ้นชื่อมีอยู่ ๒ ร้านคือ ร้านโกฟุก เป็นคนเชื้อสายจีน กับร้านอาลี (กลิงค์) แขกด�ำ รูปร่างเล็กแกร็นผิวด�ำ เขาอพยพมาอย่างไรไม่ทราบได้ แต่ทั้งสองร้านนี้จะขาย น�ำ้ ชากาแฟ อร่อยมาก ร้านอาลีจะมีชาวบ้านมาอุดหนุนกันแน่นขนัด โดยเฉพาะ ร้านอาลี จะมีโรตีจานาขาย ถ้าโรตีจานาไม่ใส่ไข่ ราคาถูกมาก ถ้าใส่ไข่ก็จะแพง หน่อย แต่คนก็ซื้อกินจนท�ำแทบไม่ทัน นอกจากนั้นที่ร้านอาลีก็ยังมีข้าวย�ำ ข้าวเหนียวหวาน นาซิดาแฆ แกงไก่ แกงปลา ส่วนร้านโกฟุก จะมีข้าราชการไป กินเสียส่วนมาก ชาวบ้านไม่ค่อยมี นอกจากนี้แล้วการเร่ขายอาหาร โดยเฉพาะ ไก่กอและ ของเมาะซง ของโต๊ะยีแต อร่อยมาก ข้าวต้มมัด ขนมสอดไส้ ข้าวเม่า ของโต๊ะเมาะเย๊าะ ตอนนั้นซื้อ ๑ สลึง ๕๐ สตางค์ ก็อิ่มแล้ว ย่าบอกว่าพ่อ ตอนเล็กๆ ร้องเรียกแต่จะกินขนมเหล่านั้น ปัจจุบันนี้ร้านอาลี กับร้านโกฟุกได้ปิดตัวลงเพราะได้เสียชีวิตไปนาน แล้ว แต่ก็ยังมีร้านอื่นที่ผุดขึ้นมาสืบทอดเป็นร้านน�้ำชากาแฟ ขายโรตีจานา ขายข้าวแกง ข้าวย�ำ นาซิดาแฆ ปูโละกายอ สารพัด อาหารมีให้ชิมลิ้มรส ในยามเช้า หลายร้าน ล้วนแต่มีชื่อเสียงเพราะขายมานาน แสดงถึงความอร่อย


304

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ของรสชาติที่ยังขายได้ตลอดเวลาผู้คนอุดหนุนกันเนืองแน่นเป็นความชินตา ที่เห็นกันทุกวันในยามเช้าและยามเย็น เพียงแต่ราคาจะแพงขึ้นตามภาวะ เศรษฐกิจ แต่บางครอบครัวจะท�ำกินเอง เพราะสมาชิกในครอบครัวหลายคน เป็นการประหยัดรายจ่าย ช่วงนี้การประหยัดด้วยการหัดท�ำอาหารกินเอง ปลู ก ผั ก เลี้ ยงเป็ด เลี้ยงไก่ เลี้ยงปลา ตามทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นการดี ไม่มีวันอับจนและปลอดภัย ผมยังคิด เลยว่า ข้างๆ บ้านมีที่ว่าง จะต้องปลูกผักเพิ่มอีก จากที่ปลูกอยู่แล้วหลายชนิด พ่อแม่ ย่าคงดีใจและภาคภูมิใจในตัวผม แว้ ง จากเดิ ม เป็ น หมู ่ บ ้ า นเล็ ก ๆ ขยั บ ขยายได้ ชื่ อ ว่ า เป็ น เทศบาล อ�ำเภอ แต่เต็มไปด้วยผู้คนหลายเผ่าพันธ์ุอยู่รวมกันอย่างสงบสุข แบ่งกันด้วย ภาษาเป็นส�ำคัญ ตามด้วยศาสนาที่นับถือ การแต่งกาย แล้วก็อาชีพ ข้าราชการ พ่อค้า เกษตรกร ขายของในตลาด หลากหลายวัฒนธรรมจริงๆ สมัยก่อน เด็กๆ ที่นี่จะมองความแตกต่างๆ ทางเชื้อสาย ภาษาพูด เด็กมุสลิมจะพูดภาษา ถิ่น (มลายู) แต่เด็กไทยพูดภาษาปักษ์ใต้ ปัจจุบันนี้ทั้งเด็กไทยพุทธ ไทยมุสลิม ถ้าพบหน้ากันก็จะกล่าวทักทายกัน เป็นภาษาไทยกลางหรือภาษามลายูถิ่น หน้าตาคนไทยมุสลิมก็จะหน้าตาคมเข้มกว่าคนไทยพุทธ การแต่งกายถ้าสมัยก่อนการแต่งกายจะต่างกันมา มุสลิมจะแต่งผ้า ปาเต๊ะ ยาวกรอมเท้า ผ้าปาเต๊ะเป็นผ้าซิ่นพิมพ์ลายดอกไม้ ใบไม้ ด้วยวิธีย้อม ขี้ผึ้ง (ปาเต๊ะลีเล็ง) ถ้าจะเป็นอย่างดี ต้องปาเต๊ะยาวอ สวมเสื้อแขนยาว ผ่าอก แบบเดียวกันหมดแต่ต่างสีกัน ติดเข็มกลัด แทนกระดุมเป็นรูปต่างๆ ทั้งรูปเงิน รูปเหรียญ ผีเสื้อ นก มีสร้อยร้อยติดกันเป็นแถวจากบนลงล่าง (ของย่าก็ยังมีอยู่ เป็นรูปเงิน) ส่วนเด็กไทยนั้นแต่งแบบใดก็ได้ ทรงผม เด็กไทยมุสลิมจะไว้ผมยาว ถ้าปล่อยก็สลวยด�ำสนิท ชโลมด้วย น�้ำมันมะพร้าว เกล้าเป็นมวยต�่ำไว้ที่ท้ายทอย ส่วนเด็กหญิงไทยจะตัดผมสั้นไว้ ผมหน้าม้า ย่าบอกว่าเด็กๆ ในหมู่บ้าน สมัยก่อนส่วนมากจะมีเหากันมาก


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

305

เวลาจะก�ำจัดเหา ก็จะใช้มือแหวกผมหาเหาให้กัน พอแหวกผม พบตัวเหาหรือ รูดไข่เหาได้ ก็จะเอามันออกมาวางบนเล็บหัวแม่มือข้างหนึ่งใช้เล็บหัวแม่มืออีก ข้างเด็ด จะเพลิดเพลินมาก ทั้งผู้หาเหาและผู้ที่โดนจับเหา สงสัยจะหลับคามือ พอถึงวัยแก่ๆ มีหงอกก็มักจะให้ลูกหลานถอนหงอก การถอนหงอก ย่าบอกว่าจะใช้ปูนกินหมากของทวด ในเต้าปูนแตะเข้าที่นิ้วชี้ และนิ้วหัวแม่มือ พอปูนหมาด นิ้วก็จะสาก จับเส้นหงอกได้แน่นและดึงออกมาได้ง่าย หรือบาง ครัง้ จะใช้เมล็ดข้าวเปลือกถอนหงอกได้สะดวกเหมือนกัน ปัจจุบนั มิใช่ปญ ั หาแล้ว ยาก�ำจัดเหา ใบน้อยหน่าก็ใช้ได้ รักษาความสะอาด สระผมด้วยแชมพู เหาก็ไม่มี ตอนนี้ผมหงอกก็ย้อมผม จะย้อมเป็นสีน�้ำตาล สีขาวเท่ไปอีกแบบ พูดถึงการสระผมของคนสมัยก่อน ย่าเล่าว่า เขาจะขูดมะพร้าวมาคั้น เป็นกะทิ ใส่ในภาชนะเป็นกะลามะพร้าว ทิ้งค้างคืนไว้ก่อน พอถึงรุ่งเช้า กะทิจะ ข้นและมีกลิ่นเหม็น เปรี้ยว เขาจะเอากะทิข้นเหม็นนี้ นวดผมให้ทั่ว ทิ้งไว้หลาย ชั่วโมงก่อนถึงจะสระออก ผมสงสัย จึงถามว่าท�ำไมต้องกะทิค้างคืนมาหมักผม ย่าอธิบายว่า การค้างคืนนั้นจะดีกว่าไม่ค้างคืน ถึงแม้จะเหม็นเปรี้ยวก็ตาม จะท�ำให้ผมด�ำสนิท ไม่หงอกเร็ว นี่คือเคล็ดที่ไม่ลับของคนโบราณ ถ้ามาสมัยนี้ จะใช้แชมพู สะดวกสบาย กลิ่นก็ไม่เหม็น นอกจากนี้แล้ว ยังมี กูเร็ง (สะบ้า) จะใช้เปลือกหรือรากของต้นสะบ้า ชาวบ้านจะน�ำเปลือกและรากสะบ้าไปตาก แดดจนแห้งสนิท เก็บไว้ใช้ได้นาน เวลาที่จะใช้ก็จะเอามาทุบให้แตกยุ่ย เป็นเส้น เล็กๆ แช่น�้ำเข้ามันจะเป็นฟอง เหมือนสบู่ ใช้สระผมได้ทันที นอกจากเอากะทิ ค้างคืนเปลือกและรากสะบ้า น�ำ้ ซาวข้าว มะกรูด มะนาว ก็ใช้ได้ นอกจากใช้กะทิ ในการหมั ก ผมแล้ ว ยั ง ใช้ น�้ ำ มั น มะพร้ า วไว้ ใช้ รั บ ประทานในครั ว เรื อ น และทาผมด้วย ย่าบอกว่า สมัยก่อนชาวแว้งทุกครัวเรือนจะปลูกต้นมะพร้าวและน�ำ มะพร้าวที่ได้ท�ำสารพัดประโยชน์มาขูดด้วยเหล็กขูดแล้ว จะคั้นกะทิ ใส่กระทะ ตั้งไฟ เคี่ยวเป็นน�้ำมัน ในการคั้นกะทินั้น จะต้องนวดมะพร้าวที่ขูดแล้วด้วยน�้ำ


306

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

อุ่นทีละน้อยในอ่างดินเสียก่อน เพื่อให้น�้ำมันมะพร้าวออกมาเป็นกะทิให้หมด เหลือกากไว้ให้เป็ดกินผสมกับสาคู กว่าจะได้ลกู มะพร้าวให้พวกเราได้กนิ ก็มหี ลายวิธี อาจจะขึน้ ไปเก็บเอง สอย หรือคอยให้มันหล่น หรือ ถ้ามีมากจะให้ลิงขึ้น หรือจ้างคนไต่ไปเก็บ ลิงถูกฝึกให้ดูว่า ลูกไหนสุกจนห้าว ลูกไหนยังอ่อนอยู่ แต่บางทีเจ้าของก็มีส่วน ช่วยเลือกด้วย พอเห็นลูกมะพร้าวที่ต้องการเขาจะร้องฮอๆ เป็นการบอกลิงให้ ปลิดออกจากเครือได้ ส่วนการเก็บด้วยคนนั้น พ่อบอกว่า ในแว้ง คนที่มีอาชีพ เก็บมะพร้าวหลายคน แต่ที่เห็นขึ้นเก็บมะพร้าวที่บ่อยที่สุดชื่อว่าเปาะเป็ง ผมก็ยังทันได้เห็นเขาไต่ต้นมะพร้าว ตอนนี้ได้เสียชีวิตมาหลายปีแล้ว ถ้าต้นมะพร้าวไม่สูง ก็จะใช้ไม้ไผ่สอย ลุงของผมจะถนัดวิธีนี้ แต่ถ้าสูง จะไต่เท่านั้น เขาจะปั้นเตี่ยวด้วยผ้าที่นุ่งอยู่นั้น แล้วก็ไต่ขึ้นไปอย่างรวดเร็ว โดย การโก่งตัวยึดแขนขาออกไปจนสุด แล้วกระโดดกระดึ๊บๆ ขื้นไปอย่างรวดเร็ว เหลือเชื่อ ดูเหมือนเขาไต่ไปง่ายดาย ราวกับเดินอยู่บนล�ำต้นของต้นมะพร้าวที่ สูงลิว่ อย่างนัน้ เวลาขึน้ ต้นหมากเขาก็ทำ� เช่นนีเ้ หมือนกัน แม่บอกว่าต้นมะพร้าว บางต้นมีการบากให้เป็นรอยอย่างตื้นๆ เหมือนขั้นบันได ส�ำหรับให้คนไต่ขึ้นไป ใช้เท้าเกาะไปได้เร็ว ไม่ลื่น และใช้ห่วงหวายก็จะยิงเร็วขึ้น เป็นความสามารถ พิเศษส�ำหรับเขาโดยเฉพาะที่ท�ำได้ ส่วนผมนั้นไม่เคยปีนต้นมะพร้าวส�ำเร็จเลย ครั้งหนึ่งตอนเด็กๆ ปีนต้นหมากเตี้ยๆ หลังบ้านเพื่อดูรังนก ปรากฏว่าลงมา ไม่ได้ หวาดเสียว เดือดร้อนถึงพ่อต้องช่วยให้ลงมา แต่ต้นเงาะต้นมังคุดปีนได้ เพราะมีกิ่งมีง่ามเยอะ นั่งบนกิ่งบนง่าม ร้องเพลง สบายอารมณ์ เทศกาลวันรายออิดลิ ฟิตรีและรายออิดลิ อัดฮา ก่อนทีจ่ ะถึงเทศกาลวัน รายออิ ดิ ล ฟิ ต รี แ ละอิ ดิ ล อั ด ฮา ทุ ก คนจะตื่ น เต้ น กั น มาก โดยเฉพาะเด็ ก ๆ ถ้าวันนั้นมาถึง จะเป็นวันที่พวกเขามีความสุขที่สุด ได้กินขนมอร่อยได้เงินที่ ผู้ใหญ่หยิบยื่นให้ ทุกคนตั้งหน้าตั้งตาที่จะให้ถึงวันนี้ ผู้ใหญ่ก็เช่นกัน จะได้ท�ำ ของกินอร่อยๆ แจกกันทุกบ้าน ทุกบ้านจะได้ขนมทีต่ า่ งคนก็ตา่ งให้แก่กนั ตุมปัต


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

307

(ข้าวต้มมัดทีห่ อ่ หุม้ ด้วยใบพ้อ) นัน้ จะท�ำกันทุกบ้านอยูแ่ ล้ว แบ่งปันกัน ใครทีย่ งั ไม่มีเสื้อผ้าใหม่ๆ ก็จัดการตัดเย็บซื้อหามาเป็นการใหญู่ ถ้าไม่มีก็เลือกเอาที่คิด ว่าสะอาดและดูดีที่สุด ยิ่งตอนไปที่มัสยิดหรีอสุเหร่า ทุกคนดูสะอาดเอี่ยม พร้อมทั้งบ้านเรือนก็ต้องสะอาด เพราะฉะนั้นบ้านใครที่ยังไม่สะอาดไม่เป็น ระเบียบก็จะถูกจัดใหม่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ปัจจุบันนี้ก็ยังคงปฏิบัติ เหมือนเดิมทุกประการ สมัยก่อนย่าเล่าว่า เสื้อผ้าไม่ค่อยมีใช้ หลังสงครามโลกจะขัดสนมาก ได้แค่ผ้าโสร่งเก่าๆ ก็พอแล้ว เสื้อสวมบ้างไม่สวมบ้าง ผ้าขาวม้า ที่ใช้สารพัด ประโยชน์ แต่อย่างเดียวที่ขาดไม่ได้คือกริช ผู้ชายจะมีกริช หรือไม่ก็ขวาน จะเหน็บที่เอวไว้เสมอ ส่วนผู้หญิงจะดีหน่อย ถึงไม่หรูหรา ก็มิดชิด ครบถ้วนทั้ง ผ้านุ่ง เสื้อแขนยาว และผ้าคลุมศีรษะ ต่อมาบ้านเมืองสงบเศรษฐกิจดีขึ้น เสื้ อ ผ้ า ก็ มี ข าย ผู ้ ช ายจะสวมกางเกงขายาวสวมเสื้ อ แขนยาวสี อ ่ อ นคอปิ ด แถมยังนุ่งผ้าทับนอกกางเกงและเสื้ออีกชั้นหนึ่ง สวมหมวกบนศีรษะ ถ้าหาก ประกอบพิธฮี จั ญ์แล้ว จะสวมหมวกกลมสีขาว หมวกหนีบสีดำ� สีนำ�้ ตาล ส�ำหรับ บุคคลทั่วไป ถ้าบุคคลใดไม่มีแล้วแต่ความสะดวกจะโพกศีรษะก็ได้ ส่วนผู้หญิง จะยิ่งสวยเป็นพิเศษ รูปร่างหน้าตาสวยไม่สวยไม่ส�ำคัญ แต่วันนี้ดูสวยทุกคน เพราะเสื้อผ้าใหม่เอี่ยมสะอาดสะอ้านจริงๆ หลังจากได้ แต่งตัวสวยๆ ด้วยชุดหลากหลายสีล้วนสวยงามแล้ว ใครที่ มีทองก็จะเอาออกมาใช้ สวมใส่ทั้งสร้อยคอ สร้อยข้อมือ ตุ้มหู ก�ำไล แหวนรวม ทั้งเข็มกลัด สวยอร่ามทั้งตัว ช่วงนี้ ร้านค้าในตลาดจะคึกคักด้วยผู้คนที่ออกมา หาซื้อของเพื่อเฉลิมฉลองในวันฮารีรายอ พร้อมที่จะต้อนรับญาติมิตรสหาย ที่จะมาเยือน หลังจากทุกคนไปละหมาดอิดิลฟิตรีร่วมกันที่มัสยิดเสร็จแล้ว ก็ทักทายขออภัยซึ่งกันและกัน ถ้ าที่ผ่านมามีเรื่องที่รู้สึกขุ่นเคีอง ในวันนึ้ ความรู้สึกไม่ดีต่อกันก็จะลบเลือนหายไปในท้องฟ้ายามเย็นเป็นช่วงเวลาที่ สมาชิกในครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า พ่อเคยเล่าให้ผมฟังว่า ปู่ชวนพ่อและ


308

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

เพื่อนๆ ซึ่งอยู่ในวัยเดียวกันกับพ่อไปเล่นว่าวในทุ่งนา พอเล่าว่า ที่สนามหน้า อ�ำเภอ มีการประกวดแข่งว่าว(ชักว่าว) เกือบทุกปี คนในหมูบ่ ้านแว้ง จากถิน่ อืน่ เข้าร่วมแข่งขันกันมาก ปู่ของผมเก่งมาก สามารถประดิษฐ์ว่าวเป็นรูปต่างๆ ว่าวจุฬา ว่าวดวงเดือน ตอนผมยังเด็กเคยเห็นว่าวของปู่แขวนไว้ที่ผนังบ้าน ปัจจุบันไม่มีแล้วหลังจากที่รื้อบ้านไป ตอนนั้นผมสนใจการประดิษฐ์ว่าวมาก ให้พ่อช่วยสอนวิธีการท�ำ แต่พ่อไม่เก่งเหมือนปู่ ผลออกมาไม่ค่อยสวยและ ชั ก ไม่ ขึ้ น ต่ อ มา พยายามแก้ ไข สุ ด ท้ า ยส� ำ เร็ จ น� ำ ว่ า วไปเล่ น กั บ เพื่ อ นๆ สนุกสนานมาก ปัจจุบันการเล่นว่าวก็ยังมีให้เห็น หลานเล็กๆ ของผมดูว่าวที่ลอยอยู่ บนฟ้า จะตืน่ เต้นมาก อยากไปดูใกล้ๆ ยอมรับว่าว่าวเป็นแรงบันดาลใจให้ผมคิด ประดิษฐ์จรวดน�้ำ และเครื่องบินบังคับ และเรือยนต์เล็กๆ ในเวลาต่อมา สมัยผมเรียนประถมและมัธยมต้น เคยส่งเข้าประกวดระดับเขตได้รางวัล ซึง่ เป็น ความรูส้ กึ ทีผ่ มภาคภูมใิ จสามารถประดิษฐ์ของเล่นชิน้ ใหม่ทมี่ วี ่าวเป็นจุดเริม่ ต้น ชาวแว้งส่วนใหญ่ชอบการเล่นกีฬา ฟุตบอลเป็นกีฬายอดนิยมของคน ที่นี่ ปู่เคยเล่าให้แม่ผมฟังว่า เมื่อก่อนฟุตบอลแว้งจะมีชื่อเสียงมาก จะแข่งขัน ตลอดและชนะทุกครั้ง ระยะหลัง พ่อก็เป็นนักฟุตบอลที่มีฝีเท้าดีคนหนึ่ง ซึ่งต่อ มาได้รับเชิญไปแข่งระดับจังหวัด ระดับเขตหลายครั้ง มีการแข่งฟุตบอลเมื่อไร ชาวบ้านออกมาดูฟุตบอลเต็มขอบสนามทุกที มาถึงรุ่นผม ผมเล่นในต�ำแหน่ง ผู้รักษาประตู ปัจจุบันกีฬาฟุตบอลก็ยังเป็นชีวิตจิตใจของคนที่นี่เหมือนเดิม นอกจากวิถีชีวิตที่เรียบง่า ยที่เห็นจนชินตาแล้ว ยังมีเรื่องแปลกๆ หมอวิเศษรักษาก้างปลาติดคอได้ สมัยนี้ใครจะเชื่อไม่เชื่ออย่างไรก็สุดแล้วแต่ สมัยก่อน เมาะซูอยู่ฝั่งฟากคลอง ถ้าจะไปหาท่าน ต้องผ่านบิ้งนาสองสามบิ้ง ก็จะถึงบ้านเมาะซู ใครติดก้างปลา ถ้าพยายามเอาออกด้วยตัวเองไม่ได้ต้องพา ไปหาเขา เพียงท�ำไอตาวา (น�้ำมนต์) โดยเมาะซูหยิบฝาหม้อทองเหลืองออกมา ตักน�้ำในโอ่ง เทลงไปสักครึ่งแก้ว แล้วอ่านคาถาสักครู่หนึ่ง แล้วยื่นให้ดื่ม


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

309

เพียงอึดใจก้างที่ติดคอก็จะหลุดไป ย่าบอกว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ท่านก็ท�ำได้ ผมก็ ถ ามพ่ อ ว่ า จริ ง หรื อ ไม่ พ่ อ บอกว่า ย่ า ก็ เ ป็ น หมอรั ก ษาก้ า งปลาติ ด คอ เหมือนกัน วัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่ดีๆ ที่ผมได้เขียนตามค�ำบอกเล่าของผู้ใหญ่ ทีผ่ มจดจ�ำดังกล่าวแล้ว ยังมีวฒ ั นธรรมประเพณีทเี่ กีย่ วข้องกับศาสนา สมัยก่อน นั้ น คุ ณ ยายผมบอกว่ า พิ ธี รี ต องมากมายเกี่ ย วกั บ เด็ ก เกิ ด ใหม่ การโกนผม ทารกนั้น มักนิยมให้ผู้อาวุโสในหมู่บา้ นหรือโต๊ะบีแด หรือผู้ที่ท�ำคลอดมาขลิบ ผมให้ หลังจากนั้นก็จะมีการเปิดปากเด็กทารก แล้วจะป้อนน�้ำตาลทราย ก้อนเล็กๆ น�้ำซัมซัมและใส่อุปกรณ์ต่างๆ ตามความเหมาะสม องุ่นแห้งของ ทัง้ หมดนีไ้ ด้มาจากมักกะฮ์ โดยเฉพาะน�ำ้ ซัมซัมซึง่ เป็นน�ำ้ ทีไ่ ด้จากบ่อน�ำ้ ซัมซัมที่ มักกะฮ์ นอกจากนี้มีเกลือ มะนาว ผู้ท�ำพิธีจะหยิบของเปรี้ยว เค็ม หวานแตะที่ ริมฝีปากเด็กด้วยต่อจากนั้นน�ำเด็กใส่ในกระด้งและใส่อุปกรณ์ต่างๆตามความ เหมาะสม การท�ำเช่นนี้เป็นการคาดหวังว่าเมื่อเติบโตขึ้นจะเป็นคนที่พูดเก่ง เป็นที่เชื่อถือของคนอื่นหรือการยกเด็กให้เป็นลูกคนอื่น บางทีเมื่อลูกมีอาการ เจ็บป่วย เลี้ยงยากก็จะเปลี่ยนชื่อโดยคิดว่าตัวอักษร หรือสระที่สะกดเป็น อัปมงคล การปฏิบัติตามรูปแบบที่เขียนมานี้ ปัจจุบันก็ยังมีบ้าง แต่รายละเอียด ขั้นตอนไม่มากเหมือนสมัยก่อนแล้วแต่ยังด�ำรงอยู่ในวิถีแบบมุสลิมจริงๆ คือ มีการอากีเกาะฮ์ โกนผม และตั้งชื่อ นั่นก็คือเมื่อมีทารกเกิดมาพ่อแม่ที่มีฐานะ พอจะปฏิบัติได้จะท�ำอากีเกาะฮ์ให้แก่ลูกในวันที่ ๗ โดยการเชือดสัตว์เป็นพลี ซึ่งถ้าเป็นลูกชายก็จะเชือดแพะหรือแกะ ๒ ตัว ถ้าเป็นเด็กหญิง ๑ ตัว ส่วนเนื้อของสัตว์ที่เชือดแล้วควรแบ่งออกเป็น ๓ ส่วน คือ ครอบครัว ไว้รับประทานเอง ๑ ส่วน แจกญาติพี่น้อง ๑ ส่วน และน�ำไปบริจาคให้คนยาก คนจนอีก ๑ ส่วน การโกนผมก็ควรท�ำในวันที่ ๗ เช่นกันพร้อมกันกับการตั้งชื่อที่เป็น


310

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

สิ ริ ม งคล ไม่ เรี ย กชื่ อ ที่ ไ ม่ เ ป็ น มงคล โดยทั่ ว ไปมุ ส ลิ ม มั ก นิ ย มน� ำ ชื่ อ ท่ า น ศาสดาต่างๆ มาตัง้ ชือ่ ลูกชาย เช่น อาดัม มูฮมั หมัด อิดรีส อีซา ซาการียา เป็นต้น ส่วนลูกหญิง เช่น คอดียะฮฺ อาอีซะอฺ ฟาตีมะฮฺ นัสรีน ตัสนีม ในอิ ส ลามนั้ น ลู ก เป็ น เสมื อ นเครื่ อ งทดสอบความรั บ ผิ ด ชอบเป็ น จริยธรรมอันสูงส่งประการหนึง่ ของมนุษย์ในสภาพของความเป็นพ่อแม่ และเด็ก ที่เกิดมาจากพ่อแม่ที่มีความศรัทธาจะวิงวอนขอจากพระเจ้าเพื่อให้ได้มาซึ่งลูก ที่ดี เพื่อเป็นการขอบคุณต่อพระผู้เป็นเจ้าที่ประทานทารกนี้มาและขอให้ พระองค์ทรงคุ้มครองรักษาทารกนี้สืบต่อไป การอ่านคัมภีร์อัลกุรอาน กิจกรรมนี้ผมรู้สึกทึ่งมากในความพยายาม ของมุสลิมทุกคน เริม่ จากเด็กเล็กจนโตเป็นผูใ้ หญ่ คนแก่ ต้องอ่านอัลกุรอานออก และอ่านให้ได้ อย่างน้อยที่สุดก็เพื่อใช้ในการละหมาด ผมจ�ำได้ว่าตั้งแต่ผมอายุ ๔ ปี ผมถูกพ่อแม่ปู่ย่าตายายเคี่ยวเข็ญ สอนพยั ญ ชนะอั ล กุ ร อานแล้ ว ก็ ต ้ อ งอ่า นให้ ไ ด้ ในเวลาค�่ ำ คื น หลั ง จากการ ละหมาดมัฆริบ (ละหมาดเวลาค�่ำ) ยกเว้นคืนวันศุกร์ ซึ่งหยุดได้ ๑ วันในรอบ สัปดาห์ ซึง่ ตอนหลังผมจึงได้รวู้ ่าท�ำไมต้องอ่านและบังคับกันอย่างนี้ ก็เป็นเพราะ ว่าการสอนอ่านอัลกุรอานนั้นเป็นหน้าที่ของพ่อแม่หรือผู้ปกครองจะต้องให้ ความรูแ้ ก่บตุ รหลานหรือถ้าสอนไม่ได้กต็ อ้ งให้ครูมาสอนหรือจะส่งไปยังสถาบัน การศึกษาหรือที่ใดก็ได้ที่มีสอน ถ้าพาบุตรไปเรียนที่บ้านโต๊ะครูหรือสถาบันอื่น จะมีการน�ำข้าวเหนียว ไก่ย่าง หรือกล้วยสุกไปด้วย ผมฝึกอ่านอัลกุรอานตั้งแต่ เล็กเหมือนกับเด็กทั่วไปในหมู่บ้าน แต่ผมเรียนที่บ้านพร้อมกับพี่สาวสองคน แม่ผมเป็นคนสอนเอง ผมเรียนอัลกุรอานเล่มเล็กก่อน พอจบเล่มเล็กก็ต่อเล่ม ใหญ่ ผมอายุสบิ ปี ผมเรียนจบเล่มใหญ่ คิดถึงบรรยากาศการเรียนอัลกุรอานแล้ว พลางก็คิดถึงเรื่องราวที่คุณย่าคุณยาย กระทั่งคุณพ่อคุณแม่ได้เล่าเรื่องเมื่อ สมัยก่อน สนุกดี บรรยากาศแบบนั้น คงจะแตกต่างกับสมัยนี้มาก


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

311

ย่าบอกว่าสมัยก่อนไม่มีไฟฟ้าใช้อย่างปัจจุบัน สิ่งที่เป็นเครื่องมือให้ ความร้อนหรือให้ความสว่าง ในหมูบ่ า้ นนีม้ หี ลายอย่าง ย่าเล่าว่า ผูช้ ายไทยมุสลิม ที่ แว้ ง แทบทุ ก คนจะพกพาบาตู อ าปี ห รื อ ที่ เรี ย กว่ า หิ น เหล็ ก ไฟ ติ ด ตั ว ไว้ ในกระเป๋าเสื้อ หรือไม่ก็ที่ชายพก เป็นหินจริงๆมีลักษณะค่อนข้างแบนสีเทาอม น�้ำตาล เนื้อละเอียดดูโปร่งใส วิธีการใช้คือต้องเอาหินตีแฉลบกัน เหมือนเราใช้ ไม้ ขี ด ในปั จ จุ บั น เมื่ อ หิ น เสี ย ดสี กั น อย่ า งรวดเร็ ว ก็ จ ะเกิ ด ประกายไฟขึ้ น พอประกายไฟนัน้ ไปติดอย่างรวดเร็ว ก็จะเกิดประกายไฟขึน้ พอประกายไฟนัน้ ไปติดทีเ่ ชือ้ ก็เป็นอันใช้ได้ อีกอย่างหนึง่ คือฆอแบะอะปีหรือตะบันไฟ ท�ำด้วยเขา สัตว์ รูปร่างเหมือนตะบันหมากของย่า แต่เล็กกว่า พกพาสะดวก เวลาต้องการ ตะบันเพื่อเอาไฟมาใช้ เขาจะใช้นุ่นแห้ง ๆ ใส่เข้าไปในรูกระบอกตะบัน จากนั้น ก็ตบข้างบนอย่างแรง ตบปุ๊บรีบดึงออกมาปั๊บ ไฟก็จะติดออกมากับนุ่น ย่าเล่า อีกว่าสมัยโบราณการท�ำไฟและรักษาไฟยากมาก บรรพบุรษุ ของเราจะเก็บขีช้ า้ ง ก้อนโต ๆ เอามาตากแดด แต่ไม่ต้องให้แห้งสนิทนัก จุดไฟไว้ให้คุอยู่ตลอดเวลา เพื่อเตรียมพร้อมที่จะใช้ตอนไหนก็ได้ ในเวลาต่อมาจะใช้ตะเกียงกระป๋องหรือขวดใส่น�้ำมันก๊าด แล้วท�ำไส้ ด้วยเชือกป่าน โดยพันเป็นเกลียวกลมยาว ๆ หยอดลงในน�้ำมันก๊าด ตั้งเรียงราย ไว้ข้างหน้าใช้ส่องเมื่อจะอ่านอัลกุรอาน กล่าวถึงสิ่งที่ให้ความร้อนหรือให้ ความสว่าง ย่าเล่าว่า หมู่บ้านหนึ่งจะมีที่เรียนหลายแห่ง ก็คือที่บาลาเซาะ หรือ มัดราซะห์ หรือที่บา้ นโต๊ะกูรู (ครู) เด็กมักจะไปเรียนกันพร้อมกับดวงตะเกียง ระยิบระยับในเวลาหลังละหมาดมัฆริบ หลังจากนัน้ ถึงเวลากลับบ้าน เวลาเดือน มืดก็มักจะใช้กาเฆาะ แต่แม่ผมบอกว่า ยาม๊อง ที่บ้านแม่ผมที่กาลูปัง อ.รามัน จ.ยะลา เรียกยาม๊องแม่บอกว่า เขาก็ยังเกิดทัน บ้านชนบท บ้านเรือนมีไม่กี่หลัง ปลูกห่างๆ สมัยก่อนต้นไม้เยอะ ทางก็แคบๆ ริมทางมีป่าสาคู (ยามองหรือ กาเราะทีว่ า่ นัน้ ) ย่าผมบอกว่า จะใช้ใบมะพร้าวแล้วมารวบมัดจะได้อนั ยาว แล้ว


312

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

จุดไฟ ส่องทางสว่างไสวทันถึงบ้าน เด็กบางคนชอบแกล้งท�ำเสียงแปลกๆ พูดว่า ผีหลอกบ้าง ผีดุบ้าง ก็วิ่งหนีกันจ้าละหวั่นเดือดร้อนถึงผู้ใหญ่ วันถัดไปแม่ผม บอกว่า คุณตาต้องไปนัง่ เฝ้าและคอยรับกลับบ้าน และยิง่ ไปกว่านัน้ ขีห่ ลังคุณตา อีกต่างหาก แม่ผมเล่าสนุกดี ชีวิตในอดีต แต่มาในสมัยผมก็เรียนอัลกุรอาน ที่เรียนกับคุณแม่ แม่ผมสอนเก่ง พ่อก็สอนได้ ทุกคนในบ้านอ่านอัลกุรอานกัน เป็นทุกคน แต่ความหมายต้องอ่านฉบับแปลเป็นภาษาไทยและภาษามลายูถึง จะทราบ เพราะผมไม่ได้เรียนภาษาอาหรับโดยตรง แต่ก็พยายามที่จะศึกษา เพื่อความเข้าใจให้ลึกซึ้งและมีเหตุผล การเรียนอัลกุรอานนั้น เริ่มต้นจากการอ่านให้ผู้เรียนได้รู้จักพยัญชนะ สระ การประสมค�ำเช่นเดียวกับการเรียนภาษาไทย ด้วยเหตุนี้จึงมีการรวบรวม พยัญชนะ สระ วิธีประสมค�ำ และโครงสร้างจากอัลกุรอานบทท้ายๆซึ่งมัก เป็ น บทสั้ น ๆ รวมพิ ม พ์ เ ป็ น เล่ ม ต่ า งหาก เรี ย กกั น ไปทั่ ว ไปว่ า เล่ ม หั ว เล็ ก ส่วนฉบับสมบูรณ์เรียกกันว่าหัวใหญ่ สมัยก่อนเมื่อเรียนหัวเล็กจบจะขึ้นหัวใหญ่ มักจะน�ำข้าวเหนียวเหลือง หน้าไก่ ไก่ย่าง ไปให้ครูผู้สอนเหมือนกับเริ่มต้นฝึกอ่านเช่นกัน แต่ก็มีพิเศษกว่า ที่มีเสื้อผ้า ชุดละหมาด เสื่อ หมอน ที่ซื้อใหม่ๆไปให้ด้วย ฉะนั้นจึงเป็นเพียง ประเพณีทบี่ รรพบุรษุ ท�ำขึน้ ไม่ได้เกีย่ วกับศาสนาโดยตรง เป็นสินน�ำ้ ใจทีล่ กู ศิษย์ มอบให้แก่ครูที่ปฏิบัติให้ขึ้นมาเพื่อขอบคุณครูที่สอนให้โดยไม่คิดเงิน เมื่อเรียน อัลกุอานจบหรือจบหัวใหญ่ ก็จะมีพิธีการคอตัมอัลกุรอานมีการเลี้ยงอาหาร เชิ ญ แขกเหรื่ อ มาร่ ว มรั บ ประทานอาหาร แสดงถึ ง ความส� ำ เร็ จ ในการ อ่านอัลกุรอาน ปัจจุบนั การเรียนอัลกุรอานเป็นสิง่ ทีส่ ำ� คัญทีส่ ดุ จะเห็นได้ในทุกที่ ไม่ใช่ เฉพาะที่หมู่บ้านแว้ง ทุกที่ที่มีมุสลิม เพราะอัลกุรอานเป็นธรรมนูญแห่งชีวิต เป็นค�ำพูดของพระเจ้าทีบ่ รรจุคำ� สัง่ สอนทุก ๆอย่างในนัน้ ทัง้ นีใ้ นคัมภีรอ์ ลั กุรอาน


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

313

ประกอบด้วยสำระของวิทยำกำรแขนงต่ำงๆเป็นจ�ำนวนมำกและมุสลิมจะต้อง ยึดถือปฏิบัติ ถึงแม้ปัจจุบันนี้จะมีเหตุกำรณ์เลวร้ำยที่เกิดขึ้นในดินแดนแห่งนี้ แต่ก็ ยังมีเรื่องดี ๆ อีกมำกมำยที่สะท้อนควำมรู้สึกภำพแห่งอดีตที่มีควำมสงบสุข ร่มเย็น เรื่องเหล่ำนี้สมควรเป็นอย่ำงยิ่งที่ภำครัฐและทุกฝ่ำยจะต้องเข้ำใจและ ยอมรับในควำมหลำกหลำยทำงวัฒนธรรม ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นไปตำมวิถีกำร ด�ำเนินชีวิตแบบมุสลิม เป็นเรื่องละเอียดอ่อนมำก ถ้ำไม่ศึกษำให้เข้ำใจ จะไม่มี ทำงรู้ว่ำเพรำะเหตุใดเขำปฏิบัติเช่นนั้น แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยำกที่จะปรับควำมเข้ำใจ เพียงแค่เข้ำใจ ยอมรับในควำมเป็นอยู่ และไม่ก้ำวก่ำยในสิทธิและเสรีภำพที่เขำ พึงมี ปัญหำต่ำงๆ ก็คงจะคลี่คลำยลงได้ในที่สุดเพรำะนี่คือวัฒนธรรมประเพณี และวิถีชีวิตของคนที่นี่อย่ำงแท้จริง ทุกวันนี้ผมดีใจและภูมิใจที่เกิดมำเป็นคนไทย แม้ผมจะนับถือศำสนำ อิสลำม แต่กำรที่ผมยืนหยัดอยู่บนผืนแผ่นดินไทย ผมก็เป็นคนไทยคนหนึ่งที่มี สิทธิรักและหวงแหนแผ่นดินนี้ เรื่องรำวอดีตเป็นสิ่งสะท้อนถึงปัจจุบันว่ำ วัฒนธรรมประเพณีที่มีมำยำวนำนนั้น ต้องผ่ำนบรรพบุรุษของเรำคนไทยกี่รุ่น กี่สมัย ถ้ำชีวิตนี้เรำสำมำรถย้อนเวลำหำอดีตได้ ทุกคนก็คงจะท�ำเช่นนั้น เพรำะอดีตท�ำให้ชีวิตนี้ปลอดภัยกว่ำปัจจุบันมำกนัก อยำกให้คนไทยในวันนี้ ส�ำนึกบุญคุณแห่งควำมเป็นอดีต วัฒนธรรม วิถีกำรด�ำเนินชีวิตของคนรุ่นก่อน ที่เป็นเสมือนครูที่ส่องน�ำทำงให้คนรุ่นหลังได้รู้จักวัฒนธรรมอันสวยงำม วิถีชีวิต ที่เรียบง่ำยและรู้สึกซำบซึ้งในภูมิปัญญำของบรรพบุรุษที่สั่งสมมำนับร้อยปี ท�ำให้ชนรุน่ หลังหวงแหนแดนดินบ้ำนเกิด มีกำรอนุรกั ษ์และรูจ้ กั พัฒนำประโยชน์ ให้แก่ภูมิล�ำเนำตนเอง สังคม ประเทศชำติ โดยไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่ำย มีควำม สมัครสมำนสำมัคคีกนั เพือ่ ให้วนั นีแ้ ละวันหน้ำคนไทยทุกคนอยูร่ ว่ มกันได้อย่ำง มีควำมสุข


314

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

เด็กชายอาราฟัต กับกระออมของโต๊ะ นางสาวอ�ำภา ด่อล๊ะ

น�ำเรื่องดีเรื่องเก่ามาเล่าขาน

แม้มิใช่ต�ำนานในหนังสือ หรือเป็นเสียงกล่าวอ้างต่างเล่าลือ แต่เพราะคือเรื่องจริงทุกสิ่งไป เรื่องดีดีมีมาแต่ช้านาน มีหมู่บ้านเล็กเล็กในป่าใหญ่ ประชากรอยู่กันอย่างสุขใจ ต่างพึ่งพาอาศัยสามัคคี คือหมู่บ้านย่านซื่อชื่อไพเราะ คนพูดเพราะยิ้มแย้มกันสุขี ใครได้ผ่านมาพบคนบ้านนี้ ต่างยินดีปรีดาได้มาเยือน มีเครื่องปั้นดินเผาอันขึ้นชื่อ งานฝีมือหลายรุ่นหลากความเหมือน เป็นเรื่องราวดีดีเกือบลืมเลือน แม้กี่เดือนกี่ปียังจดจ�ำ จะมาย้อนวันวานที่เลือนหาย ให้หัวใจแห้งเหี่ยวได้ชุ่มฉ�่ำ บ้านหลังนี้มีเรื่องราวน่าจดจ�ำ มาช่วยย�้ำลูกหลานให้ได้ฟัง ล้อมวงกันเข้ามาอย่ารีรอ เพราะนับต่อจากนี้อาจหมดหวัง หากเราร่วมรวมใจรวมพลัง คงจะยังมีเรื่องดีให้ชื่นชม

อากาศยามบ่ายวันหนึง่ ช่วงเดือนเมษายนช่างร้อนอบอ้าวเหลือเกินจน บอกไม่ถกู ข้าพเจ้าออกมานัง่ เล่นบนแคร่ไม้ไผ่หน้าบ้านเพือ่ ให้ความร้อนได้ผอ่ น บรรเทาลงบ้าง ช่วงสองสามปีที่ผ่านมานี้ข้าพเจ้าสังเกตได้ถึงความเปลี่ยนแปลง ของสภาพภูมอิ ากาศทีห่ นักขึน้ ทุกปี แม้ชว่ งหน้าร้อนอากาศยังแปรปรวนได้โดย


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

315

ไม่สนใจสัตว์โลกว่าจะมีการเตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้มากน้อย เพียงใด ข้าพเจ้ามองย้อนกลับไปว่านี่คงจะเป็นผลกระทบที่เกิดมาจากการ กระท�ำของมนุษย์เราแท้ๆ ไม่ใช่จากใครอื่น มนุษย์ได้ท�ำลายธรรมชาติเหล่านี้ มากมายคณานั บ เพื่ อ ความก้ า วล�้ ำ ในยุ ค เทคโนโลยี ใ หม่ ๆ ที่ เข้ า มาแทนที่ อย่างรวดเร็ว ชีวิตความเรียบง่ายแบบพอเพียงในยุคก่อนสามสิบปีที่ผ่านมานี้ แทบจะหายไปจากสังคมชนบทบ้านเราจนหมดสิ้น ข้าพเจ้ายังแอบนึกเสียดาย สิง่ ดี ๆหลายอย่างอยูล่ กึ ๆ ก่อนหน้าทีว่ ฒ ั นธรรมใหม่ๆ จะเข้ามาแทนที่ ข้าพเจ้า เคยได้ใช้ชีวิตท�ำสวน ท�ำนา (เกี่ยวข้าว ต�ำข้าว นวดข้าว ฝัดข้าว ตากข้าว) ได้เล่นว่าวกันสนุกสนานทั้งหมู่บ้านเมื่อช่วงหลังเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จสิ้น ได้ลงเล่น น�้ำคลอง หากุ้ง หาหอย หาปลามาท�ำกับข้าวแล้วล้อมวงกินกันที่หาดทราย ในคลองสายเล็กๆนี้กันอย่างมีความสุขเกือบจะทุกวันหยุด วิถีชีวิตหลายอย่าง ท�ำให้ข้าพเจ้าแอบยิ้มในใจเมื่อได้นึกถึง แต่บางอย่างกลับท�ำให้ข้าพเจ้ากลับยิ่ง เศร้ามากขึ้นพอนึกไปว่าจะไม่มีโอกาสเห็นภาพดีๆ เหล่านั้นในความเป็นจริงอีก แล้ ว ข้ า พเจ้ า ใฝ่ ฝ ั น เหลื อ เกิ น ให้ ไ ด้ มี ก ารเผยแพร่ สิ่ ง ดี ๆ เหล่ า นี้ จ ากคนรุ ่ น “โต๊ะแนแนะ”(รุ่นทวดๆ) ที่ยังมีชีวิตอยู่มาบอกกล่าวเรื่องราวให้แก่ลูกหลาน ในหมู่บ้านได้รับรู้ถึงความเป็นอยู่อันดีงามที่ท�ำให้ชุมชนในบ้านของเราอยู่กัน อย่างเป็นสุขตลอดมา ข้าพเจ้าต้องตื่นจากภวังค์เมื่อมือเล็กๆ ของใครคนหนึ่งมาสะกิดเข้าที่ แขนข้าพเจ้าเบาๆ “เหม่อลอยแบบนี้ ก�ำลังนึกถึงใครอยูเ่ หรอฉู” อาราฟัตหลาน ชายวัยสิบขวบของข้าพเจ้านั่นเองที่มานั่งอยู่ข้างๆ ข้าพเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทัน สังเกต (ฉูหรือจู หรือเรียกอีกอย่างว่า สู หมายถึงน้องคนสุดท้องของพ่อหรือแม่) “อาการแบบนีผ้ มไม่ชอบเลยเพราะเห็นโต๊ะทีบ่ า้ นผมก็เป็นบ่อยเหมือน กัน” (ค�ำว่า “โต๊ะ”ในที่นี้เป็นค�ำนามที่ใช้เรียกแทนย่าหรือยาย) ข้าพเจ้าเริ่มหัน มาให้ความสนใจประโยคสุดท้ายที่หลานพูดมาอย่างตั้งใจ “มีเรื่องอะไรเกี่ยว กับโต๊ะเหรอ เล่าให้ฉูฟังได้ไหม”


316

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

อาราฟัตเริ่มระบายความอัดอั้นใจให้ข้ าพเจ้าฟังด้วยสีหน้ าจริงจัง ไม่แพ้กัน “นานหลายปีมาแล้วที่ผมเห็นโต๊ะเอาแต่นั่งเหม่อลอย ดูเหมือนก�ำลัง เศร้าเรือ่ งอะไรสักอย่าง ผมรูส้ กึ ไม่มคี วามสุขเลยทีใ่ นแววตาของโต๊ะเวลามองผม เหมือนก�ำลังปกปิดอะไรอยู่ ผมได้แต่เก็บความสงสัยนี้ไว้มานานแล้ว ฉูพอจะมี หนทางที่จะท�ำให้ผมรู้ได้ไหมครับว่าเกิดอะไรขึ้นกับโต๊ะของผม” ได้ฟังเช่นนั้นแล้วผู้เป็นน้าอย่างข้าพเจ้าก็ยากเหลือเกินที่จะไปตอบ ค�ำถามอันลึกซึง้ ข้อนีไ้ ด้โดยไม่รขู้ อ้ มูลอะไรล่วงหน้ามาเลยสักอย่าง และเนือ่ งจาก “โต๊ะ”ที่หลานชายก�ำลังร�ำพันถึงอยู่นั้นหมายถึงย่าของเขา ซึ่งถ้าเป็นยายแล้ว ข้าพเจ้าคงจะหาค�ำตอบนีไ้ ด้ไม่ยาก เพราะยายของอาราฟัตก็คอื แม่ของข้าพเจ้า เอง แต่เมื่อเป็นความทุกข์ของหลานที่มีความไว้วางใจมาปรึกษาข้าพเจ้า มีหรือ ทีข่ า้ พเจ้าจะนิง่ นอนใจ อยูเ่ ฉย ท�ำเป็นไม่สนใจเด็กน้อยผูไ้ ร้เดียงสาคนหนึง่ ทีเ่ ป็น หลานแท้ๆ และด้วยความที่ข้าพเจ้าเองมีอาชีพเป็นครูท�ำให้หลานเลือกที่จะมา ขอความช่วยเหลืออยู่เสมอ ถ้าเขาเป็นอะไรก็จะบอกครูเป็นคนแรกเพราะเชื่อ มั่นว่าครูจะช่วยเหลือเขาได้เสมอทั้งที่โรงเรียนและที่บ้าน โดยผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น ครูเองก็มักจะมีความมุ่งมั่นอยู่คล้ายๆกันเกือบจะทุกคนคือ ต้องหาหนทางที่ดี ที่สุดให้กับลูกศิษย์ให้จงได้เช่นกัน ดังนั้นข้าพเจ้าจึงไม่รอช้าที่จะซักถามต่อ ถึงที่มาที่ไป “เป็นระยะเวลานานเท่าไหร่แล้วทีโ่ ต๊ะเป็นแบบนี้ และหลานเคยสังเกต เห็นอาการอื่นๆ ของโต๊ะอีกหรือเปล่า?” เด็กชายท�ำท่าใช้ความคิดเพียงไม่นานก็ได้มีการวิเคราะห์เหตุการณ์ เป็นล�ำดับ “จะบอกว่าเศร้าเรื่องที่โต๊ะชายเสียก็คงจะไม่ใช่เพราะตอนที่โต๊ะชาย เสียนั้นผมยังไม่เกิดด้วยซ�้ำ และผมก็ได้เห็นรอยยิ้มของโต๊ะมาตลอดระยะเวลา


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

317

ตั้งแต่ที่ผมจ�ำความได้ ตอนที่ผมยังไม่เข้าเรียน โต๊ะก็เป็นคนเลี้ยงผม เพราะป๊ะ กับมะต้องไปท�ำงานตัง้ แต่เช้ามืดกว่าจะกลับมาบางทีผมก็นอนหลับไปพร้อมกับ โต๊ะเสียแล้ว โต๊ะไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย” (ป๊ะกับมะหมายถึงพ่อกับแม่) ได้ฟังหลานพูดมาอย่างนี้แล้ว ข้าพเจ้ายิ่งสงสารหลานเข้าไปอีก และ แอบชืน่ ชมอยูล่ กึ ๆ ว่าหลานช่างเป็นคนสังเกตดีเสียจริงทัง้ ทีอ่ ายุยงั น้อยก็ยงั รูจ้ กั ทีจ่ ะคิดเรือ่ งแบบนีไ้ ด้ แล้วตัวข้าพเจ้าเองจะไปหาค�ำตอบจากไหนทีจ่ ะไม่รสู้ กึ ว่า เข้ า ไปก้ า วก่ า ยเรื่ อ งส่ ว นตั ว ในครอบครั ว ของหลาน แต่ เ มื่ อ คิ ด ดู ดี ๆ แล้ ว เรื่ อ งในครอบครั ว ของหลานก็ เ ป็ น เรื่ อ งในครอบครั ว ข้ า พเจ้ า เช่ น เดี ย วกั น จึงไม่แปลกอะไรทีข่ า้ พเจ้าจะหาค�ำตอบให้กบั หลานชาย แม้มนั อาจจะดูยากเย็น แสนเข็ญก็ตาม เมื่อนึกถึงโต๊ะของอาราฟัตแล้ว ภาพหญิงวัยสูงอายุคนหนึ่ง ผุดขึ้นมา ในหัวสมองของข้าพเจ้า โต๊ะสีม๊ะเป็นคนเก่าคนแก่ของหมู่บ้านย่านซื่อที่ใครๆ ต่างก็ให้ความนับถือ ด้วยอุปนิสยั ทีเ่ ป็นมิตรและความขยันขันแข็ง มุมานะ ท�ำให้ เป็นที่รักใคร่ของผู้พบเห็น ยิ่งถ้ามีงานที่ไหนก็จะช่วยเหลือทุกงานไม่เคยรู้จัก เหน็ดเหนื่อย และสิ่งที่ท�ำให้โต๊ะสีม๊ะเป็นที่รู้จักของคนต่างหมู่บา้ น ต่างอ�ำเภอ นัน่ ก็คอื การผลิตภาชนะดินเผาทีท่ ำ� ให้จงั หวัดสตูลมีสนิ ค้าส่งออกไปขายยังต่าง จังหวัดและประเทศใกล้เคียง แต่ก่อนข้ าพเจ้ายังได้มีโอกาสแวะเวียนไปหา พูดคุยทักทายถามสารทุกข์สุขดิบอยู่บ้าง ยังแอบชื่นชมโต๊ะสีม๊ะมาตลอดและ เคยยึดถือเป็นแบบอย่างในหลายๆ เรื่อง แต่ตอนนี้ข้าพเจ้ามัวแต่ยุ่งวุ่นวายกับ งานจนไม่ค่อยมีเวลาหรือโอกาสไปเยี่ยมเยียนท่านดังเช่นที่ผ่านมา และเท่าที่ จ�ำได้ ก็เป็นเรือ่ งจริงอย่างทีห่ ลานบอกว่าหลานอยูก่ บั โต๊ะมาตัง้ แต่ยงั เล็ก จึงท�ำให้ ชีวติ ส่วนใหญ่ของหลานเติบโตมากับกิจวัตรประจ�ำวันของโต๊ะเกือบทุกวันตัง้ แต่ ไก่ขันยันไก่หลับ คงไม่แปลกเลยที่หลานจะรู้สึกผูกพันและจดจ�ำสิ่งดีๆ ของโต๊ะ


318

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ได้อย่างแม่นย�ำ อะไรกันหนอที่ท�ำให้หญิงแกร่งคนนี้เป็นกังวลจนท�ำให้เกิด ความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ผู้เป็นหลานต้องเอามาไขปัญหากันอยู่ในตอนนี้ ข้าพเจ้าลองตั้งสมมติฐานและคาดการณ์ล่วงหน้าไว้อย่างคร่าวๆ ส�ำหรับการหา ค�ำตอบให้กบั หลานชายว่าคงจะเป็นเรือ่ งส่วนตัวลึกๆ ทีอ่ ยูภ่ ายในใจแต่คงไม่อาจ จะบอกให้ใครฟังได้แม้แต่ลูกหลานของตัวเองเป็นแน่ เมฆหนาครึ้มปกคลุมทั่วทั้งฟ้า ภายในเวลาไม่นานนี้ ข้าพเจ้าคิดว่าฝน คงจะเทกระหน�่ำลงมาอย่างหนักแน่นอน เพราะความร้อนที่อบอ้าวเหลือเกิน เมือ่ ไม่กชี่ วั่ โมงทีผ่ า่ นมาท�ำให้วเิ คราะห์ได้ไม่ยากเลยกับความแปรปรวนทีม่ นั ซ�ำ้ ๆ จ�ำเจ อันจะมีแต่เพิ่มความรุนแรงเป็นทวีคูณ ฤดูร้อน ฤดูฝน และฤดูหนาวรวม เข้าด้วยกันแทบจะแยกไม่ออกว่าช่วงนีเ้ ป็นฤดูไหนกันแน่ ข้าพเจ้าไม่รอช้าจึงรีบ ชวนหลานชายเข้าไปในบ้านก่อนที่เราสองคนน้าหลานจะเปียกปอนกันทั้งคู่ “เดี๋ยวก่อนสิ ฉูต้องสัญญากับผมก่อนนะ ว่าจะท�ำให้โต๊ะของผม กลับมายิ้มได้เหมือนเดิม” แววตาอ้อนวอนเชิงขอร้องท�ำให้ข้าพเจ้ารวบรัดเวลาด้วยการจบบท สนทนาไว้แค่ประโยคสั้นๆ ที่ไม่ต้องคิดอะไรให้ยุ่งยากมากมาย “ฉูสัญญา” สายฝนทีเ่ ทกระหน�ำ่ ลงมาอย่างไม่ขาดสาย แม้จะท�ำให้อณ ุ หภูมภิ ายใน ร่างกายเย็นชุม่ ฉ�ำ่ ขึน้ มาบ้าง แต่กลับท�ำให้ขา้ พเจ้ารับรูไ้ ด้ถงึ ความร้อนรุม่ ในหัวใจ ของเด็กชายคนหนึ่งที่มองไปนอกหน้าต่างอย่างจดจ่อ ค�ำสัญญาที่ผู้เป็นน้าได้ ให้ไว้เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมานี้ คงจะไม่ใช่สัญญาเพียงลมปากที่ให้ไว้ผ่านๆ กับเขา อย่างแน่นอน ข้าพเจ้าแอบยิ้มดีใจเล็กน้อยเมื่อหลานชายหันมาสบตา ข้าพเจ้า ต้องการเห็นแววตาแห่งความมุ่งมั่นจากลูกๆ หลานๆ ในหมู่บ้านของเราแบบนี้ อย่างน้อยความหวังในการสานต่อเรื่องราวดีๆ ในวันวานคงไม่ต้องเริ่มจากคน


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

319

อื่นไกล แต่เริ่มต้นที่ครอบครัวเล็กๆ ของข้าพเจ้าเองนี่แหล่ะ คงจะพอมีหนทาง เป็นไปได้อยู่บ้างไม่มากก็น้อย หลังจากนอนเล่นกันนานร่วมสองชั่วโมงเพื่อรอให้ฝนหยุดตก เมื่อฟ้า หลังฝนเริ่มสดใสขึ้น เด็กชายอาราฟัตผู้เป็นหลานได้จูงจักรยานคันเล็กเดินออก ไปบนถนนหน้าบ้าน “รอฉูด้วยฉูจะไปบ้านหลานอยู่พอดี” ข้าพเจ้ารีบเดินไปหยิบขนม “รังต่อ” ที่แม่ท�ำใส่ไว้ในถุงเรียบร้อยเตรียมส�ำหรับเป็นของฝากและพร้อมทาน ได้ตลอดเวลา (ขนมรังต่อ หรือเรียกอีกอย่างว่า ขนมดอกจอก ท�ำจากแป้ง ข้าวจ้าว ไข่และน�้ำตาล เป็นขนมที่นิยมท�ำกินกันในครัวเรือนหรือช่วงวันส�ำคัญ) แล้วจักรยานคันที่สองก็ถูกข้าพเจ้าจูงออกมาจากโรงเก็บรถเดินมา สมทบกับหลานชายอย่างไม่รอช้า การเดินทางออกไปสู่โลกภายนอกบ้างคง จะท�ำให้ขา้ พเจ้าได้เรียนรูส้ งิ่ ใหม่ๆ หรืออาจจะไขปัญหาอันมืดแปดด้านทีม่ อี ยูไ่ ด้ ในสักวันหนึ่ง จักรยานสองคันขี่ผ่านสวนยางพาราที่เขียวขจี แลดูชุ่มฉ�่ำจากเม็ดฝน ที่ตกลงมาเมื่อไม่นานมานี้เพื่อให้ต้นไม้ใบหญ้าตามธรรมชาติได้เติบโตกันต่อไป รถราบนถนนสายในหมู่บ้านเช่นเวลานี้น้อยคนนักที่จะออกมาขับรถเล่นกินลม ชมวิว จึงน่าเสียดายทีห่ ลายคนเลือกทีจ่ ะนอนอยูท่ บี่ ้านของตนเองมากกว่าออก มาย�่ำความชื้นแฉะของท้องถนนให้ได้ความสกปรกกลับบ้านไป ทั้งที่ยังมีสิ่ง สวยงามตามธรรมชาติรอให้เราได้ชื่นชมอยู่มากมาย ความงามของธรรมชาติ เหล่านีย้ งั พอมีเหลืออยูใ่ นหมูบ่ า้ นของเรา เมือ่ ข้าพเจ้าได้ขจี่ กั รยานมาถึงสามแยก ก็ได้เห็นป้ายบอกเส้นทางการไปยังสถานที่ท่องเที่ยวในหมู่บ้าน ทั้งถ�้ำน�้ำผุด และเขาพญาบังสา มีป้ายชี้ไปทางทิศตะวันตก เมื่อขับรถผ่านสะพานข้ามคลอง ไปก็จะได้พบกับความสวยงามของหินงอกหินย้อยแห่งภูเขาพญาบังสา และการ


320

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ค้นพบถ�้ำที่มีน�้ำผุดขึ้นมาจากหินเรียกว่า ถ�้ำน�้ำผุด นอกจากนี้ ยังมีเส้นทางให้ได้ ปีนเขาขึ้นไปชมความงามของหมู่บ้านย่านซื่อและหมู่บ้านใกล้เคียงได้อีกด้วย ข้าพเจ้าหยุดมองป้ายบอกทางสักครู่ จึงได้เห็นอีกหนึ่งป้ายแสดงลูกศรชี้ไปทาง ทิศตะออกมีข้อความเขียนไว้ว่า “ศูนย์ผลิตเครื่องปั้นดินเผา อีกสองร้อยเมตร” หมู่บ้านเล็กๆ ของเรานี้เป็นหมู่บ้านที่เคยขึ้นชื่อของจังหวัดสตูลในเรื่องของ เครื่องปั้นดินเผาแบบโบราณ ท�ำให้ข้าพเจ้าได้นึกไปถึง ผู้ที่ได้สืบทอดงาน เครื่องปั้นดินเผาดังกล่าว ซึ่งเป็นบุคคลที่ข้าพเจ้าก�ำลังเดินทางไปหา นั่นคือ “โต๊ะของหลานชายอาราฟัต”นั่นเอง ข้าพเจ้าแอบยิ้มในใจเมื่อวันนี้จะได้มีเรื่อง ราวให้พูดคุยซักถามถึงความเป็นมาของงานหัตถกรรมชิ้นนี้ในหมู่บ้านของเรา อีกทัง้ อาจจะยังได้ขอ้ มูลดีๆ จากการพูดคุยให้ได้รกู้ นั ถึงบางเรือ่ งราวทีย่ งั ค้างคา อยู่ในใจของหลานชายข้าพเจ้าได้บ้างไม่มากก็น้อย ใช้เวลาเพียงไม่นาน ข้าพเจ้าก็ได้มาถึงบ้านอันเป็นจุดหมายปลายทาง ส�ำคัญในการเดินทางครั้งนี้ “โต๊ะสีม๊ะ”เดินออกมาต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แจ่มใส ข้าพเจ้าลองมองหาแววตาอันเป็นกังวลที่หลานชายบอกมา ก็ยังไม่ สามารถเห็นได้ชัดเจนส�ำหรับแขกที่มาเยือนไม่บ่อยครั้งนักอย่างตัวข้าพเจ้า แต่ส�ำหรับหลานชายแล้ว ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าต้องสังเกตอยู่เป็นประจ�ำถึงการ เปลี่ยนแปลงในจิตใจ ซึ่งข้าพเจ้าเองก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยเหลือหรือ แบ่งเบาความทุกข์ในใจของโต๊ะสีม๊ะให้คลายลงได้บ้างหากมันเป็นจริงอย่างที่ หลานชายบอกมา “ขนมรังต่อ”ถูกจัดใส่จานอย่างเรียบร้อย เมื่อเราต่างพากันมานั่งที่ ระเบียงเล็ก ๆ หน้าบ้าน เสื่อจาก “ต้นคล้า”ที่โต๊ะสีม๊ะเป็นคนท�ำเองกับมือถูก น�ำมาปูให้แขกอย่างข้าพเจ้าได้นั่งอย่างเป็นกันเอง และแล้วบทสนทนาก็เริ่มขึ้น “มีการท�ำป้ายแสดงเส้นทางไปยังสถานทีท่ อ่ งเทีย่ วในหมูบ่ า้ น และศูนย์ เครือ่ งปัน้ ดินเผาตัง้ แต่เมือ่ ไหร่เหรอคะ หนูไม่เคยสังเกตเห็นเลย เพราะส่วนใหญ่


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

321

ไม่ค่อยใช้เส้นทางนี้” ข้าพเจ้าเริ่มต้นค�ำถาม “ท�ำมานานแล้ว แต่พอถึงเวลาจริงๆ ก็ยังไม่มีการเปิดใช้อย่างเป็น ทางการสักที ไม่รู้ท�ำไม และตอนนี้หญ้าก็ขึ้นรกหมดแล้วด้วย น่าเสียดาย” โต๊ะสีม๊ะเล่าพลางเคี้ยวหมากไปด้วย “แล้วศูนย์เครือ่ งปัน้ ดินเผานีม่ นั อยูท่ ไี่ หนเหรอคะ ทางทีห่ นูขรี่ ถผ่านมา ไม่เห็นมีเลยค่ะ” “ตั้งอยู่ในทุ่งนานั่นแหละ ลองหันไปดูสิ อย่าให้เล่าเลย มันคับแค้นใจ จนพูดไม่ออก ถ้าจะให้พูดถึง” โต๊ะสีม๊ะพูดพลางชี้มือไปยังอาคารเล็กๆ ที่สร้าง อยู่ริมทุ่งนา “เล่าให้หนูฟังก็ได้นี่คะ เผื่อความอัดอั้นใจจะได้บรรเทาลงบ้าง” ข้าพเจ้าพยายามต่อรอง “จะเริ่มเล่าจากตรงไหนก่อนดีล่ะ เรื่องมันสลับซับซ้อน อย่าพูดถึงมัน เลยนะ” ว่าแล้วโต๊ะสีม๊ะก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เอาแบบนี้ดีกว่าค่ะ ถ้ายังไม่อยากเล่าตอนนี้ หนูอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับ การท�ำภาชนะเครื่องปั้นดินเผาที่เป็นเรื่องขึ้นชื่อของจังหวัดสตูลเราแต่ก่อนมา จุดเริ่มต้นมีมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ” “มีน้อยคนนักที่จะให้ความส�ำคัญกับเรื่องนี้ ในเมื่อหนูสนใจก็เป็นเรื่อง ที่ดีนะเพราะหาคนที่จะมาฟังเรื่องแบบนี้ยากเหลือเกิน แต่ละคนเฝ้าแต่จะฟัง ข่าวสารและดูแต่ละครในทีวีกันทั้งนั้น ตัวโต๊ะเองก็เคยมีความหวังในการจะ ถ่ายทอดความรูน้ ใี้ ห้แก่ลกู ๆ หลานๆ แต่ไม่มใี ครหันหน้ามาฟังเลยสักคน พูดแล้ว น�้ำตาจะไหล แต่ก็เป็นความรู้นะ โต๊ะจะเล่าให้ฟังเท่าที่พอจะเล่าได้แล้วกัน” แล้วโต๊ะสีม๊ะก็ได้เล่าถึงความเป็นมาตั้งแต่แรกเริ่มที่มีการคิดค้นท�ำ เครื่องปั้นดินเผาขึ้นมาในหมู่บ้านย่านซื่อแห่งนี้ อันเนื่องมาจากชีวิตความเป็น


322

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

อยู่ในแต่ละวันของคนในชุมชนผูกพันอยู่กับแม่น�้ำล�ำคลองสายหลักที่ไหลผ่าน ตลอดกลางหมูบ่ า้ น มีความร่มรืน่ ของป่าไม้และภูเขาพญาบังสาทีท่ อดขนานยาว ตั้งแต่ทิศเหนือจรดไปทางทิศใต้ของหมู่บ้าน ท�ำให้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชผัก ผลไม้นานาชนิด แม่น�้ำล�ำคลองสายนี้เปรียบเสมือนหัวใจที่ท�ำให้ความเป็นอยู่ ของในชุ ม ชนอยู ่ ไ ด้ อ ย่า งมี ค วามสุ ข ล� ำ คลองสายนี้ นอกจากเราจะใช้ มั น ในการเกษตรเป็นหลักแล้ว แหล่งน�้ำแห่งนี้ยังอุดมไปด้วยกุ้ง หอย ปู ปลา ให้ชาวบ้านได้อยู่กินกันไม่เคยอดเลยสักมื้อ กลับมาเข้าเรื่องเครื่องปั้นดินเผา กันต่อดีกว่า ความเกี่ยวโยงกันของแม่น�้ำสายนี้กับอาชีพหัตถกรรมท�ำภาชนะ ดินเผาได้เริ่มขึ้นจากการที่ในล�ำคลองอันใสสะอาดนี้มีดินเหนียวอยู่มากมาย ต่อมามี “โต๊ะแนแนะ”คนหนึ่ง(รุ่นทวดๆ) ไปนั่งซักผ้า อาบน�้ำอยู่ในคลอง ก็ได้พบแหล่งดินเหนียวที่ขาวสะอาดจึงได้เก็บตัวอย่างกลับมาตากไว้ที่บ้าน หลังจากนัน้ เมือ่ เห็นว่าดินเหนียวทีม่ อี ยูใ่ นคลองแห่งนีเ้ ป็นดินเหนียวเนือ้ ดีจงึ ได้ คิ ด ที่ จ ะน� ำ มาทดลองปั ้ น ท� ำ เป็ น ภาชนะดิ น เผา จึ ง ไปชั ก ชวนโต๊ ะ แนแนะ หลายคนในหมู่บ้านให้มาช่วยกัน น�ำดินเหนียวที่ตากไว้ มาทุบด้วยไม้ให้ดิน เหนียวแตก หลังจากนั้นก็พรมน�้ำให้เปียกชุ่มอีกทีแล้วนวดดินโดยวิธีการใช้มือ บ้างใช้เท้าเหยียบบ้าง จนเนื้อดินเป็นก้อนเดียว หลังจากนั้นก็ตั้งค้างคืนไว้ พอรุง่ เช้ามาจึงได้ชว่ ยกันปัน้ ภาชนะชิน้ แรกทีช่ อื่ ว่า “กระออม” ซึง่ เป็นโอ่งใส่นำ�้ ใบเล็กมีลักษณะคล้ายลูกฟักทองขนาดใหญ่ เมื่อปั้น “กระออม”ได้ชุดแรก ประมาณสี่ห้าใบ แล้วจึงน�ำไปตากแดดให้แห้ง ความรู้สึกของ “โต๊ะแนแนะ” ในตอนนั้นตื่นเต้นกันมากหลังจากที่ได้ทดลองฝึกฝีมือในการปั้นภาชนะแล้ว และพอจะมีความรู้อยู่บ้างในเรื่องการเผาภาชนะเครื่องปั้น จึงมีการเตรียมฟืน กองใหญ่ที่เพียงพอส�ำหรับระยะเวลาสองคืนในการเผาภาชนะที่ตากแห้งดีแล้ว การเฝ้ารอคอยอย่างใจจดใจจ่อกับการได้เห็นผลิตภัณฑ์สีส้มสวยงามดังภาพที่ คิดไว้ของ “โต๊ะแนแนะ” ผู้มีความมุ่งมั่น


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

323

แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึน้ เมือ่ “กระออม”ที่ “โต๊ะแนแนะ” ต่างช่วยกันปัน้ มาด้วยความตัง้ ใจกลับแตกดัง “โพล๊ะ”ลงในเวลาเพียง ไม่กชี่ วั่ โมง เสียงที่ดังมาจากเตาเผาเหมือนเสียงหัวใจที่แตกสลายของ “โต๊ะแนแนะ” ที่เฝ้า พยายามมาหลายวัน เมื่อมีการนั่งพิจารณาดูถึงความล้มเหลวในครั้งนั้นกลับพบว่า มีทราย เม็ดเล็กเม็ดน้อยแอบซ่อนอยู่ในดินเหนียวมากมาย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ “โต๊ะแน แนะ”ยังบอกว่ าเป็นดินเหนียวเนื้อขาวเนียน ไม่มีเศษทรายปะปนอยู่เลย ที่แท้แล้วเป็นทรายที่เรามองไม่ค่อยจะเห็นเพราะขนาดของมันเล็กมาก ดังนั้น ความคิดในการท�ำเครื่องปั้นดินเผาจึงได้ชะงักไปด้วยเหตุนี้ ผู้เล่าถึงเรื่องราวดังกล่าวก็หยุดชะงักไปด้วยเช่นกันเมื่อถึงตอนส�ำคัญ ข้าพเจ้าสังเกตเห็นได้วา่ การพูดด้วยประโยคทีย่ าวๆ ของผูส้ งู อายุกค็ งต้องเหนือ่ ย กันบ้างเป็นธรรมดา จึงได้ยื่นน�้ำให้ดื่มเพื่อเป็นการบอกให้หยุดพักเหนื่อยก่อน โต๊ะสีม๊ะรับแก้วน�้ำมาดื่มเพียงนิดเดียว แล้วจึงหันไปพูดกับหลานชายที่นั่งฟัง อย่างใจจดใจจ่ออีกคนไม่น้อยไปกว่าน้าของเขาเลย “จะไปเล่นกับเพื่อนก็ไปเถอะอาราฟัต” หลานชายกลับนั่งนิ่งไม่มี การโต้ตอบใดๆทั้งสิ้น “ให้หลานนั่งฟังด้วยก็ได้เพราะอย่างน้อยต่อไปในอนาคต หลาน อาจจะได้นึกถึงค�ำบอกเล่าดีๆ เหล่านี้จะได้น�ำความรู้ไปสานต่อก็อาจเป็นได้” ข้ า พเจ้ า แอบเห็ น สี ห น้า ของโต๊ ะ ที่ ม องหลานแล้ ว ก็ ส ่า ยหน้า ไปมา เหมือนก�ำลังจะบอกว่า “เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน” ข้าพเจ้าเองก็ไม่ได้พูดต่อความยาวสาวความยืดให้มากมาย เนื่องจาก ตอนนีอ้ ยากจะฟังเรือ่ งเล่าของเครือ่ งปัน้ ดินเผาในหมูบ่ า้ นของเรากันต่อจนใจจะ ขาดอยูแ่ ล้ว ซึง่ โต๊ะสีมะ๊ เองก็ไม่ได้เว้นระยะการเล่านานเกินไปเนือ่ งจาก คงจะ พอสังเกตเห็นอาการ “อยากรู้” ของข้าพเจ้าเพิ่มขึ้นมาในแววตาดวงนี้ ส�ำหรับ


324

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ค�ำพูดของคนทีม่ อี ายุมากกว่าทีว่ า่ “อาบน�ำ้ ร้อนมาก่อน”คงจะจริงซะแล้วกระมัง เรื่องเล่าเครื่องปั้นดินเผายังไม่จบแค่นั้น เมื่อวันหนึ่ง “โต๊ะแนแนะ” คนเดิมได้น�ำวัวไปล่ามที่ในทุ่งนา เกิดรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาเลยไปนั่งพักที่ใต้ร่มไม้ ข้างจอมปลวก เมือ่ เอามือไปจับจอมปลวกกลับเห็นดินทีเ่ นียนละเอียด ใจก็ยอ้ น กลับไปนึกถึงเมือ่ ครัง้ ทีเ่ คยท�ำเครือ่ งปัน้ ดินเผาแล้วไม่ประสบความส�ำเร็จมาแล้ว ครัง้ หนึง่ และดินจอมปลวกนีก้ อ็ าจจะพอมีคณ ุ สมบัตใิ นการท�ำเครือ่ งปัน้ ดินเผา ได้เช่นกัน คิดได้ดงั นัน้ แล้ว “โต๊ะแนแนะ”ก็ได้เรียกสมาชิกกลุม่ เดิมมานัง่ ล้อมวง กันอีกหน คราวนี้ก็ยังมีความหวังว่าจะได้ “กระออม”เหมือนเช่นที่เคยคิดไว้ ดินจอมปลวกหรือที่เรียกสั้นๆ ว่า “ดินปลวก” ถูกน�ำมาทุบ และต�ำ ให้แตก เห็นเนื้อดินที่ละเอียดแล้วยิ่งเพิ่มความดีใจให้กับ “โตะแนแนะ” ยิ่งนัก ขั้นตอนการท�ำยังเหมือนเดิม และแล้วครั้งนี้ความฝันก็กลายเป็นจริงจนได้ เมื่อเสร็จสิ้นจากการเผาในเตาเผาอยู่นานร่วมสองคืน ก็ได้“กระออม”สีเหลือง อมส้ม ซึง่ เป็นสีทเี่ กิดจากการน�ำดินเหนียวมาเผาไฟดูมสี สี นั สวยงามและแข็งแรง แต่เพื่อความแน่ใจว่า “กระออม”ที่ได้ พร้อมจะน�ำไปใช้งานได้จริงแล้วนั้น ต้องเอากระออมมาลองใส่น�้ำแล้วแช่ทิ้งไว้สักหนึ่งถึงสองคืนว่าน�้ำจะไม่ซึม ออกมา อีกทั้งยังเป็นการลบล้างกลิ่นดินเหนียว กลิ่นจากการเผาไหม้ให้หมดไป ต้องใส่น�้ำขังเอาไว้ในกระออมต่ออีกสักสามถึงห้าวันจนแน่ใจว่าไม่มีกลิ่นแล้ว ก็เทน�้ำออก แค่นี้ก็จะได้กระออมที่พร้อมจะใส่น�้ำเพื่อน�ำไปดื่มได้แล้ว น�้ำที่ใส่ เก็บไว้ในกระออมก็เย็นชื่นใจ ถ้าดื่มดับกระหายรสชาติก็ไม่แพ้น�้ำที่แช่ในตู้เย็น เป็นแน่ แถมไม่เย็นจัด ไม่มีโทษเหมือนน�้ำแช่เย็นแบบสมัยใหม่นี้อย่างแน่นอน คนสมัยก่อนมักจะน�ำกระออมมาตั้งไว้ในครัวเพื่อใส่น�้ำไว้ดื่มกิน ไว้คอยต้อนรับ แขกผู้มาเยือน หรือบางบ้านจะน�ำกระออมใส่น�้ำมาวางไว้หน้าบ้าน เพื่อบริการ ให้กบั ผูค้ นทีเ่ ดินผ่านไปมา เกิดอาการหิวน�ำ้ ก็สามารถตักดืม่ ได้เลย เพราะถือว่า เป็นที่รู้กันถึงความมีน�้ำใจของคนบ้านเราที่มีมานานแล้ว สมัยนี้แทบหาความมี


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

325

น�้ำใจแบบนั้นได้ยากเหลือเกิน ใครหิวน�้ำก็แวะหาซื้อตามร้านสะดวกซื้อกันเอง จนท�ำให้เด็กสมัยใหม่นี้ไม่รู้จักว่ากระออมคืออะไร ท�ำจากอะไร ท�ำแบบไหน ท�ำเพื่ออะไร ซึ่งเป็นเรื่องน่าเศร้าที่ไม่มีใครสนใจจะเรียนรู้ที่จะใช้ภูมิปัญญา ท้องถิ่นของเราให้เกิดประโยชน์ขึ้นมาอีกครั้ง ข้าพเจ้าตัง้ ใจฟังด้วยความดีใจเป็นอย่างยิง่ ทีไ่ ด้มคี วามรูเ้ รือ่ งดีๆ แบบนี้ แม้จะเป็นเรื่องราวที่ก�ำลังจะถูกลืมหายไปกับกาลเวลาก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ได้ รู้อีกว่าเรื่องดีๆ ที่มีอยู่ที่บ้านเรานี้เป็นเรื่องดีที่ข้าพเจ้าต้องน�ำไปเผยแพร่ ให้ลูกหลานของหมู่บ้านเราได้รับรู้ต่อไปอย่างแน่นอน “หลังจากนัน้ ก็มกี ารท�ำเครือ่ งปัน้ ดินเผากันหลายครัวเรือน มีการคิดค้น รูปแบบและเพิ่มลวดลายให้ดูสวยงามตามความชอบ จึงได้กลายเป็นสินค้า คุณภาพดีทนี่ ำ� ไปจ�ำหน่ายทัง้ ในและต่างจังหวัด ทุกบ้านจะต้องมีกระออมเก็บไว้ ใช้งานตั้งแต่สองใบขึ้นไป การผลิตเครื่องปั้นดินเผามีสืบเนื่องกันมาหลายรุ่น จนถึงตอนนี้ก็ยังมีคนในหมู่บ้านเราเพียงไม่กี่คนที่ยังพอมีความรู้ในเรื่องนี้ อยู่บ้าง” “แล้วศูนย์ผลิตเครื่องปั้นดินเผาที่มีอยู่ในหมู่บ้านของเราล่ะ ได้ใช้งาน กันอยู่หรือเปล่าคะ” ข้าพเจ้าวกกลับมาถามเรื่องเดิมอีกครั้ง “ความจริงแล้วสิ่งที่ก�ำลังจะเลือนหายไปนี้ ได้มีกลุ่มคนบางส่วนที่ยัง เห็นความส�ำคัญอยู่บ้าง จึงร่วมมือกันจัดตั้งศูนย์ผลิตเครื่องปั้นดินเผาขึ้นมา มีการจัดซื้อเครื่องจักรส�ำหรับไว้ผลิตและต้องการเปิดให้ผู้ที่สนใจได้มาศึกษา หาความรู้จากภูมิปัญหาท้องถิ่นในชุมชนของเรานี้ โต๊ะเองก็ถูกทาบทามให้เป็น ผู้ให้ความรู้และผู้คอยสอนอาชีพให้แก่ลูกหลานของเรา แต่ด้วยความผิดพลาด ประการใดไม่อาจรูไ้ ด้ ศูนย์ผลิตเครือ่ งปัน้ ดินเผาเกิดการชะงักไม่มกี ารเปิดอย่าง เป็นทางการ จากวันนั้นเลยมาจนถึงวันนี้ โต๊ะจึงได้แต่นึกเสียดายและรู้สึกหดหู่ อยู่ในใจมาตลอด เพราะมันเป็นสิ่งที่อยู่กับโต๊ะมานานแล้ว โต๊ะจึงรักงานนี้มาก


326

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

และไม่อยากให้มนั เป็นเรือ่ งทีถ่ กู ลืมไปอย่างง่ายดายเช่นนี้ ความยากล�ำบากของ โต๊ะแนแนะ เมื่อครั้งที่ยังไม่รู้จักผลิตเครื่องปั้นดินเผา แต่ก็ยังพยายามค้นหาวิธี และสืบสานต่อมาถึงรุ่นโต๊ะได้นั้นเป็นเรื่องที่ดีแค่ไหน สุดท้ายโต๊ะก็จะทิ้งสิ่งดีๆ เหล่านี้ไว้ให้อยู่แค่รุ่นโต๊ะจริง ๆ อย่างนั้นเหรอ” ข้าพเจ้าได้ยินน�้ำเสียงที่โต๊ะสีม๊ะพูดแล้วพาให้นึกถึงค�ำพูดที่หลานชาย ได้ไปปรึกษาหารือเมือ่ ช่วงบ่ายทีผ่ า่ นมา หรือจะเป็นสาเหตุนที้ ที่ ำ� ให้ผหู้ ญิงแกร่ง คนหนึ่งต้องเศร้าใจ ดูเหม่อลอย ไม่มีความสุข เพราะการหายไปของสิ่งของอัน เป็นทีร่ กั มากอย่างนัน้ หรือ ข้าพเจ้าคิดในใจแล้วหันไปมองหน้าหลานชายทีต่ อน นี้ก�ำลังใช้ความคิดอะไรสักอย่าง แต่แล้วจู่ ๆ ก็เดินออกไปจากวงสนทนาโดย ไม่บอกกล่าวอะไรเลย เรื่องราวดีๆ เหล่านี้จะท�ำอย่างไรให้มันคงอยู่กับเราต่อไป ข้าพเจ้าก็ได้ แต่ ห วั ง ว่ า วั น หนึ่ ง ความหวั ง ของโต๊ ะ สี ม ๊ ะ คงจะกลั บ มาสู ่ ห มู ่ บ ้ า นของเรา อย่างแน่นอน อย่างน้อยข้าพเจ้าก็เป็นคนหนึ่งที่ได้รับรู้เรื่องราวดีๆ เหล่านี้แล้ว หากมีโอกาส ข้าพเจ้าจะขอเป็นส่วนหนึ่งที่จะท�ำให้ความหวังอันริบหรี่น้อยนิด กลับมาสว่างไสวได้อีกครั้งหนึ่ง ความหวังของข้าพเจ้าคงจะยังไม่สายเกินไป ถ้าจะท�ำให้มันเป็นจริงขึ้นมา โต๊ะสีมะ๊ เดินน�ำหน้าพาข้าพเจ้าเดินออกไปจากตัวบ้านทางทิศตะวันตก เพื่อมุ่งหน้าไปสู่ศูนย์ผลิตเครื่องปั้นดินเผาที่ตั้งอยู่บริเวณทุ่งนาห่างจากตัวบ้าน ไปประมาณห้าสิบเมตร ทางเดินมีหญ้าขึ้นรกเต็มไปหมดแม้กระทั่งตัวอาคาร หลังเล็กซึง่ เป็นทีต่ งั้ ของศูนย์ผลิตเครือ่ งปัน้ ดินเผาก็ดรู กร้างวังเวงยิง่ นัก โต๊ะสีมะ๊ เดินไปรอบๆ พลางเอามือไปดึงเถาวัลย์ทเี่ ลือ้ ยขึน้ ไปยังหลังคาออก ข้าพเจ้าเดิน เข้าไปด้านใน ไม่มีเครื่องจักรใดให้เห็น นอกจากเศษไม้ผุพังที่น�ำมาตั้งกองรวม ไว้อย่างไม่เป็นระเบียบนัก ข้าพเจ้าเองยังนึกเสียดายอยูไ่ ม่นอ้ ย แต่ความเสียดาย


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

327

คงไม่มากมายเท่ากับคนทีอ่ ยูต่ รงหน้าข้าพเจ้าทีอ่ ยูก่ บั สิง่ นีม้ านานจนรูส้ กึ ผูกพัน เข้าไปแล้วเต็มหัวใจ เสียงคนเดินอย่างช้าๆ ดังเข้ามาในความเงียบ ข้าพเจ้ารีบหันไปมองดู ถึงที่มาของเสียงนั้นทันที พอดีกับที่โต๊ะสีม๊ะก็หันไปอย่างรวดเร็ว และแล้วภาพ ทีเ่ ราเห็นคือเด็กชายวัยสิบขวบทีค่ นุ้ หน้ากันเป็นอย่างดีเดินมาพร้อมกับกระออม ใบหนึง่ ทีม่ องดูกร็ ทู้ นั ทีวา่ ผ่านการแตกมาแล้วไม่นอ้ ยกว่าห้าชิน้ แต่ถกู สก็อตเทป ทั้งสีใส สีขาว สีแดง น�ำมาแปะไว้รอบๆ เพื่อให้คงรูปเดิมไว้ให้มากที่สุด ทั้งโต๊ะ สีม๊ะและข้าพเจ้าพูดออกมาแทบจะพร้อมกัน “อาราฟัตไปเอากระออมมาจากไหน” แทนค�ำตอบอาราฟัตยื่นกระออมในมือให้โต๊ะสีม๊ะด้วยความทุลักทุเล กลัวว่าชิ้นส่วนจะหลุดออกจากกัน หลังจากที่พยายามถือมาด้วยความล�ำบาก โต๊ะสีมะ๊ รับมาด้วยใบหน้าทีย่ มิ้ แย้ม แม้ในดวงตาจะมีนำ�้ ใสๆ ปริม่ พร้อม จะเอ่อล้นได้ทุกเมื่อ “ผมเห็นมันอยู่ในยุ้งข้าวมานานแล้ว มันบาดเจ็บ ผมจึงช่วยรักษา ให้มันหายเจ็บ” ข้าพเจ้าฟังแล้วพาลท�ำให้น�้ำตาไหล หลานชายช่วยรักษากระออม ที่บาดเจ็บเท่ากับได้รักษาแผลในหัวใจที่หดหู่มาโดยตลอดของโต๊ะที่เขารัก กระออมของโต๊ะที่โต๊ะรักกลับมาแล้ว แม้มันจะไม่สามารถท�ำงานให้กับโต๊ะ ได้เหมือนเดิมก็ตาม แต่อย่างน้อยสิง่ ทีท่ ำ� ให้โต๊ะสีมะ๊ กลับมามีรอยยิม้ อย่างเป็นสุข ได้อีกครั้ง ในวันนี้ก็คือ กระออมของโต๊ะใบนี้นี่เอง “ขอบคุณฉูมากเลยนะครับ ที่ฉูท�ำตามค�ำสัญญาที่ให้ไว้กับผมในวันนี้ ผมดีใจมากทีส่ ดุ เลยทีว่ นั นีผ้ มได้เห็นรอยยิม้ ของโต๊ะเหมือนทีผ่ มเคยเห็น รอยยิม้ ที่มีความสุขครั้งนี้ผมจะไม่มีวันลืมได้เลย”


328

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

ข้าพเจ้ายิม้ ให้แทนค�ำตอบ และด้วยความปลาบปลืม้ ใจจึงได้แต่โบกมือ ให้หลานชายในขณะที่มืออีกข้างหนึ่งของข้าพเจ้าพยายามบังคับหัวรถจักรยาน ให้ตรง แม้จะมีอีกหลายค�ำพูดที่อยากจะเอ่ยออกมา แต่มันพูดไม่ออกจริงๆ กระออมออมรอยยิ้ม ที่ล้นปริ่มพร้อมแจกจ่าย ความสุขของผู้ให้ คือการได้นึกถึงกัน ได้คิดถึงบางสิ่ง ที่ถูกทิ้งไปพร้อมฝัน มีคนร่วมแบ่งปัน ถ่ายทอดวันอันสวยงาม กระออมใบแล้วเล่า ที่ใครเขาต่างลืมถาม ได้เห็นเป็นแค่นาม ที่บอกความให้ได้ยิน กระออมของบ้านเรา ช่วยบอกเล่าช่วยตัดสิน จะให้ค�ำว่าดิน มีค่าต่อหรือพอที ข้าพเจ้าเองเป็นเพียงผูห้ ญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึง่ ทีไ่ ม่สามารถแก้ปญ ั หาอัน หนักอึ้งได้หมดทุกเรื่อง แต่ขา้ พเจ้ามีความเชื่ออย่างหนึ่งว่า ปัญหาทุกอย่างมี หนทางแก้ไขได้เสมอขึ้นอยู่กับก�ำลังใจที่เข้มแข็งและความอดทนของผู้ที่พบกับ ปัญหา ข้าพเจ้าได้เห็นแล้วว่าสิ่งดี ๆมีอยู่ทุกที่และทุกก้าวที่เราเดิน ขึ้นอยู่กับ ว่าวันนี้เราเดินไปทางไหนและได้เจอกับอะไรบ้าง ก็จงเก็บเกี่ยวสิ่งดี ๆ ในเส้น ทางที่เราเดินไปให้ได้มากที่สุด อย่างเช่นในวันนี้ ข้าพเจ้าได้กลายเป็นฮีโร่ใน ความคิดของหลานชาย โดยทีจ่ ริง ๆแล้วข้าพเจ้าไม่ได้ลงมือท�ำอะไรเลยสักอย่าง แต่เรื่องดีๆ ก็เกิดขึ้นมาจากความรักของหลานที่มีต่อผู้เป็นย่า และความผูกพัน ของผู้เป็นย่าที่มีให้กับงานที่ตนเองรัก ท�ำให้ข้าพเจ้าได้เห็นภาพแห่งความ ประทับใจที่มีอยู่ภายในบ้านของเรานี้เอง และยังได้ความรู้มากมาย เพียงแค่ ตัดสินใจก้าวเดินออกมาจากบ้านเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นเอง ออกมาเพื่อให้


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

329

ได้มีเรื่องรำวดี ๆ กลับไปฝำกคนในบ้ำนให้ได้เล่ำสู่กันฟังเพื่อช่วยย�้ำเตือน เรื่องดีๆ ในวันวำนด้วยกัน วันนีค้ งเป็นอีกหนึง่ วันทีข่ ำ้ พเจ้ำมีควำมสุขทีส่ ดุ เมือ่ เทียบกับหลำยๆ วัน ทีผ่ ำ่ นมำ อำกำศจะร้อนอบอ้ำวหรือหนำวจับใจ ก็มไิ ด้ทำ� ให้ขำ้ พเจ้ำหวัน่ ไหวอีก ต่อไปแล้ว ขอเพียงมีจิตใจที่มั่นคงในกำรกระท�ำสิ่งดีๆ ให้กับโลกใบนี้ของเรำได้ ก็น่ำจะเพียงพอแล้ว มีหลำยสิ่งหลำยอย่ำงเป็นเรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นที่บ้ำนของเรำ บ้ำนหลังเล็กๆ ที่รวมกันอยู่ด้วยควำมสงบร่มเย็นเรื่อยมำ แม้จะมีบำงอย่ำง เปลี่ยนแปลงไปบ้ำงตำมกำลเวลำ แต่สิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของทุกคนในหมู่บ้ำน ไว้ให้มีควำมรัก สำมัคคี นั่นก็คือ ชำติ ศำสนำ และพระมหำกษัตริย์ บ้ำนทุก หลังล้วนมีควำมรัก บ้ำนทุกหลังล้วนมีปัญหำ และคงไม่มีใครหลีกหนีกฎเกณฑ์ ธรรมชำตินี้ไปได้ กำรเกิด แก่ เจ็บ ตำย ย่อมเป็นสัจธรรม สิ่งที่พอจะท�ำได้ในวัน นีค้ อื เก็บเรือ่ งรำวดีๆ เอำไว้บอกต่อให้คนรุน่ หลังได้รถู้ งึ เรือ่ งดีงำม กำรถือปฏิบตั ิ ที่ท�ำให้สังคมมีควำมสุข ขนบธรรมเนียม ประเพณีดีๆ ที่สืบทอดต่อกันมำ อย่ำ ให้ได้หำยไปพร้อมกับกำลเวลำ คงไม่ยำกเกินไปส�ำหรับกำรช่วยแบ่งปันเรือ่ งรำว ดี ๆที่มีอยู่ และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในกำรรักษำไว้ซึ่งสิ่งดีงำมให้คงอยู่คู่กับสังคม ในบ้ำนอันอบอุ่นของเรำนี้ไปอีกนำนแสนนำน


330

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

รายชื่อคณะกรรมการโครงการประกวดเรียงความ “คิดถึงเรื่องดี ๆ ที่น่าจดจ�ำ” คณะกรรมการคัดสรรผลงานเรียงความ ๑. นายชาย นครชัย ที่ปรึกษา ผู้อ�ำนวยการส�ำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ๒. นายจรูญ หยูทอง ประธานกรรมการ รองผู้อ�ำนวยการสถาบันทักษิณคดีศึกษา ๓. นางสาวนาถนิศา สุขจิตต์ รองประธานกรรมการ ผู้อ�ำนวยการศูนย์เครือข่ายสัมพันธ์และแหล่งทุน ส�ำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ๔. นายนิพล รัตนพันธ์ กรรมการ นักเขียน นามปากกา “สายธารสิโป” และครูต้นแบบ จังหวัดนราธิวาส ๕. นายมานพ แก้วสนิท กรรมการ นักเขียนวรรณกรรมเยาวชน ๖. ดร.มาโนช ดินลานสกูล กรรมการ อาจารย์ประจ�ำสาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ ๗. ดร.วิมลมาศ ปฤชากุล กรรมการ หัวหน้าภาควิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ๘. นายชุมศักดิ์ นรารัตน์วงศ์ กรรมการ นักเขียนสารคดี


เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

331

๙. นายอภิชาติ จันทร์แดง กรรมการ นักเขียน และอาจารย์ประจ�ำสถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ๑๐. นายอับดุลสุโก ดินอะ กรรมการ ผู้ช่วยผู้จัดการโรงเรียนจริยธรรมศึกษามูลนิธิ จังหวัดสงขลา ๑๑. นางสาววนิดา เต๊ะหลง กรรมการ อาจารย์ประจ�ำคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ๑๒. นางสุจิตรา พีระพงศ์ กรรมการและ นักวิชาการวัฒนธรรมช�ำนาญการ เลขานุการ ส�ำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดสงขลา ๑๓. นางสาวแสงทิวา นราพิชญ์ กรรมการและ นักวิชาการวัฒนธรรมช�ำนาญการ ผู้ช่วยเลขานุการ ส�ำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย คณะกรรมการตัดสินผลงานเรียงความ ๑. นายชาย นครชัย ที่ปรึกษา ผู้อ�ำนวยการส�ำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ๒. นายสถาพร ศรีสัจจัง ประธานกรรมการ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ๓. นางสาววิมลลักษณ์ ชูชาติ รองประธานกรรมการ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านส่งเสริมงานวิจิตรศิลป์ (ทัศนศิลป์) ๔. รศ.ดร.ดวงมน จิตร์จ�ำนงค์ กรรมการ อาจารย์ประจ�ำภาควิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี


332

เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา

๕. นายประภัสสร เสวิกุล ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ และอดีตนายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย ๖. นายเจน สงสมพันธ์ุ นายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย ๗. นายวิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง ผู้ก�ำกับภาพยนตร์และนักเขียนบทภาพยนตร์ ๘. นายวุฒิชาติ ชุ่มสนิท นักเขียน และบรรณาธิการนิตยสารไรเตอร์ ๙. นางสาวนาถนิศา สุขจิตต์ ผู้อ�ำนวยการศูนย์เครือข่ายสัมพันธ์และแหล่งทุน ส�ำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ๑๐. นางสาวแสงทิวา นราพิชญ์ นักวิชาการวัฒนธรรมช�ำนาญการ ส�ำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย

กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการและ เลขานุการ กรรมการและ ผู้ช่วยเลขานุการ



Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.