นิทานเรื่อง...ตัดเท่าไรถึงจะพอ ความพอเพียง
นายชุ่มชื่นมีอาชีพขายฟืน อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งใกล้เชิงเขา ทุกวันเขาจะเก็บกิ่งไม้แห้งจากเชิงเขาเพื่อนาไปขายในตลาด ชาวบ้านซื้อกิ่งไม้ไปทาฟืนสาหรับหุงต้ม ฟืนของนายชุ่มชื่นขายดิบขายดี นายชุ่มชื่นได้เงินกลับบ้านมา ก็แบ่งให้ภรรยาไว้ใช้สอยประจาวัน
"..เล่เข้ามา เร่เข้ามา ไม่ซื้อไม่หาไม่ว่าอะไร ฟืนนายชื่นเนื้อไม้แห้งสนิท จุดง่ายติดง่ายใช้งานนานกว่าใคร"
วันหนึ่งภรรยานายชุ่มชื่นพูดกับสามีว่า..
ภรรยา...“เดินเก็บกิ่งไม้แห้งไปขายเมื่อไหร่จะร่ารวยสักที”
นายชุ่มชื่น..“ใช่นั่นสิ ทั้งๆที่ฟืนฉันก็ขายดิบขายดี” ภรรยา... “ฉันว่านะ แทนที่จะเก็บกิ่งไม้ เปลี่ยนเป็นไปตัดต้นไม้น่าจะดี”
รุ่งเช้านายชุ่มชื่นจึงออกตัดต้นไม้ที่ขึ้นรอบๆเชิงเขา ขณะที่นายชุ่มชื่นกาลังตัดต้นไม้ต้นหนึ่งอยู่ ก็มีแม่นกกางเขนตัวหนึ่งบินมาขอร้องไม่ให้ตัดต้นไม้ต้นนั้น
..แต่นายชุ่มชื่นก็ไม่สนใจ แล้วก็ลงมือตัดต้นไม้ต่อไป ได้ไม้กองใหญ่นาไปขายได้เงินมากกว่าเดิม
ฝ่ายภรรยาเมื่อเห็นสามีได้เงินมากขึ้นก็เกิดความโลภ จึงยุให้สามีไปตัดต้นไม้ให้หมดทั้งป่า นายชุ่มชื่นเห็นด้วย จึงเกณฑ์ญาติพี่น้องมาช่วยกันตัดต้นไม้
แล้วก็พบกับสัตว์ป่าฝูงหนึ่งมาขอร้องไม่ให้ตัดต้นไม้ เพราะจะทาลายที่อยูอ ่ าศัยและแหล่งอาหารของสัตว์เหล่านั้น แต่นายชุ่มชื่นก็ไม่สนใจและยังคงตัดต้นไม้ตอ ่ ไป
คลิกพวกของนายชุ่มชื่นโค่นป่า ..โค่น โค่น โค่น ตัด ตัด ตัด ไม้ใหญ่ ไม้เล็ก เรามาตัดกัน!!!
แล้วก็ถึงวันที่ธรรมชาติลงโทษ เมื่อป่าไม้เหลือแต่ตอไม่มต ี ้นไม้คอบโอบอุ้มซับน้าฝน พอเกิดพายุใหญ่ ลม และฝนก็โหมกระหน่า
น้าป่าไหลบ่าพัดพาเอาท่อนซุงที่กองไว้ ทับถมหมู่บ้านจนพังพินาท เกิดน้าท่วมใหญ่ ทั้งหมู่บ้านจมอยู่ใต้น้า นายชุ่มชื่นและภรรยาต้องไปอาศัยบนหลังคาบ้าน
นายชุ่มชื่น บ่นกับภรรยา ถึงความผิดพลาดจนก่อนให้เกิดความสูญเสียใหญ่หลวง
นิทานเรื่อง..คนขี้ลืม มีชายคนหนึ่งเป็นคนขีล้ ืม ขี้ลืมจริงๆ เรื่องอะไรจาได้ประเดี๋ยวเดียว แล้วก็ลืมหมดเขาจะทาอะไรไม่ได้เลย วันหนึ่งชายขี้ลืมคนนี้ถือมีดเข้าไปในป่าเพื่อจะไปตัดต้นไม้ เดินทางไปได้สักพักหนึ่ง เกิดปวดอุจจาระ จึงเอามีดฟัดติดกับต้นไม้ไว้ แล้วก็หาที่หลบไปถ่ายอุจจาระ
พอถ่ายอุจจาระเสร็จก็เดินออกมา เห็นมีดเล่มหนึง่ อยู่ที่ต้นไม้ เขาลืมไปว่าเป็นมีดของตัวเอง เขาดีใจมากจึงรีบวิ่งไปคว้ามีดมาถือไว้ แล้วจับมีดชูขึ้นพลางเต้นไปรอบๆ แล้วพูดว่า “วันนี้โชคดีแต่เช้าเลยมีดของใครก็ไม่รู้ยังใหม่อยู่ ลับเอาไว้คมกริบทีเดียวเจ้าของมีดนี้แย่มาก ของดีๆ อย่างนี้มาลืมไว้ได้ อ้ายคนไม่รู้จักรักษาของ คนอย่างนี้ทามาหากิน อะไรมีแต่จะล่มจม” เผอิญเขาเดินไปเหยียบเอาอุจจาระที่ตนเองถ่ายไว้เมื่อครู่นี้เข้า ลืมว่าเป็นของตัวเองจึงตะโกนด่าขึ้นว่า “อ้ายคนอุบาทว์ที่ไหนมาถ่ายไว้ได้ ที่ทั้งป่ากว้างใหญ่มาทาโสโครก เอาไว้ตรงนี้เอง อ้ายมนุษย์อัปรีย์”
ข้อคิดจากนิทานเรือ่ งนี้ : ขึ้นชื่อว่าคนขี้ลืมแล้ว มักจะลืมได้ทุกอย่าง ฉะนั้นจงทาอะไรด้วยความมีสติเสมอ (จากนิทานพื้นบ้านชุด ขาขัน)
นิทานเรื่อง...พยานให้การ เมื่อนายทุยแกจะไปให้การเป็นพยานที่ศาลนั้น แกได้ตระเตรียมคาพูดไปอย่างดี ด้วยเกรงจะถูกหาว่าเป็นพยานเท็จ พอเข้า สู่คอกพยาน ศาลก็ถามว่า "ชื่ออะไร" "อ้า..อ้า..เกล้าชื่อว่าอ้ายทุย" ศาลถาม "อายุเท่าไหร่" "ก็เกิดปีจอ..ก็ 42 ปีครับ" พยานตอบ ศาลถาม "เป็นอะไรกับจาเลย" พยาน "เป็นพยานจาเลยครับ" ศาล "รู้แล้วว่าเป็นพยาน ต้องการรู้ว่า เป็นญาติโยมอะไรกันหรือเปล่า" พยาน "เมื่อเขาบวช เขาเรียกผมว่าโยม จนกระทั่งสึกออกมาก็ยังเรียก โยม ตลอดมา" ศาล "แล้วเป็นญาติกนั หรือเปล่า" พยาน "เอ..ญาติ หมายความว่าอย่างไรครับ" ศาล "เป็นพี่น้องกันหรือเปล่า" พยาน "เปล่าครับ" ศาล "เออ เท่านั้นเอง ถามเกือบตาย" พยาน "ครับผมก็ตอบเกือบตายเหมือนกัน" ศาล "แล้วแกทาอะไรกินล่ะ" พยาน "เมื่อเช้า ตาน้าพริกจิ้มผักบุง้ อร่อยไปเลยครับ กลางวันนี้ว่าจะ แกงปลาไหล" ศาล "เปล่าๆ ศาลถามว่าแกนะมีอาชีพอะไร" พยาน "อาชีพของผมทีเ่ ป็นล่าเป็นสันจริงๆ ก็คือการประมงครับ ศาล "เออ แกก็ดี มีอาชีพเป็นหลักเป็นฐาน จับโป๊ะลงอวน ได้ของทะเลทีละมากๆ หละสิ"
พยาน "เปล่าครับ..ผมเที่ยวช้อนลูกน้าขายให้ร้านตูป้ ลา" ศาลถึงกับหงานหลังผึ่งพิงพนักเก้าอี้!! นิทานเรื่อง... อยากอยู่กระท่อมสูง ๆ มีผัวเมียคูห่ นึ่ง เพิ่งจะแต่งงานกันใหม่ๆ พ่อแม่ก็ให้ไปปลูกกระท่อมอยู่กันที่ปลายนา เพื่อคอยดูแลข้าวปลาที่ทาไว้ แล้ว และกาลังงาม เกรงว่าวัว ควาย นก หนู จะมากัดกินข้าวเสียหาย ผัวเมียทั้งสองก็มิได้ขัดข้องหรือรังเกียจเกี่ยงงอนแต่ประการใด เมื่อพ่อแม่ให้ไปก็ไป เมื่อไปถึงก็ช่วยกัน ปลูกกระท่อมด้วยไม้ไผ่ และพยายามปลูกให้สูงที่สุดเท่าทีจ่ ะสูงได้ เพราะไม่ต้องการให้น้าท่วม
ผัวจึงไปตัดไม้ไผ่เอามาทาเสากระท่อม ตัดมามากมายก่ายกองเหลือประมาณ ปลูกกระท่อมจนเสร็จ กระท่อมนัน้ นับว่าสูงที่สุดเลยทีเดียว ครั้นเสร็จแล้วก็ขึ้นไปอยู่กนั นอนหลับสบายทั้งคืน จนรุ่งเช้าผัวตื่นขึ้นไม่เห็นเมียก็ตกใจ มองหาจนทั่วก็ไม่เห็น เมีย ผัวสงสัยคิดว่าเมียตกกระท่อม จึงก้มลงไปดูข้างล่าง เห็นเมียตกกระท่อม ร่างของเมียยังลอยอยู่ยังไม่ถึงพึ้น ยังสูง อีกมาก แล้วไม่รู้ว่าเมื่อไรจะตกถึงพื้นดิน เลยยังไม่รู้ว่าผลเป็นอย่างไร...
ข้อคิดที่ได้จากนิทานเรื่องนี้: การทาอะไรเกินพอดี อาจเกิดโทษภัยต่างๆ ขึ้นได้ฉะนั้นควรพิจารณาให้รอบคอบก่อนทา และควรทาแต่พอดี (จาก นิทานพื้นบ้าน สาหรับเด็ก และเยาวชน)
นิทานเรื่อง..สองพี่น้องแบ่งของ ชาวนาผู้หนึ่งมีบตุ รสาวอยู่สองคน วันหนึ่งอยากจะทดลองปัญญาของบุตรทัง้ สอง จึงส่งแตงโมให้บุตรทั้งสอง 1 ใบ โดยบอกว่าให้ทงั้ สองไปแบ่งกันกินให้เท่าๆกัน เพื่อจะได้ไม่ต้องโต้เถียงทะเลาะเบาะแว้งกันเรื่องได้มากได้น้อย ถ้าแบ่งไม่ได้เท่าๆกัน เกิดทุ่มเถียงกันขึ้นเมื่อใด ก็จะต้องถูกลงโทษทั้งสองคน เด็กทัง้ สอง เมื่อได้รับแตงโมมาแล้วไม่รู้ว่าจะผ่าแบ่งกันอย่างไรจึงจะได้ส่วนเท่าๆกัน ด้วยเกรงจะต้องถูกทาโทษ ในที่สุดจึงตกลงกันในวิธีการดังนี้ โดยที่เด็กทัง้ สอง เห็นว่า เป็นวิธีที่ยตุ ิธรรม คือ ถ้าหากใครเป็นผู้ผ่าแตงโมออกเป็นสองซีก ผู้นั้นจะต้องเป็นฝ่าย เลือกทีหลัง และจะต้องยอมให้ฝา่ ยที่ไม่ใช่เป็นคนผ่าเลือกก่อน ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ คนผ่าลาเอียง โดยผ่าเป็นชิ้นโตชิน้ หนึ่งและชิ้นเล็กชิ้นหนึ่ง แล้วคนผ่ารีบเลือกเอาชิ้นโต เป็นของตนเองเสียก่อน เมื่อเด็กทั้งสองได้ผ่าแตงโมแบ่งกันเสร็จแล้ว จึงรีบวิง่ ไปเล่าให้บิดาฟัง บิดามีความพอใจ ในสติปัญญาของเด็กทั้งสองนั้นมาก
นิทานเรื่อง...ใครโง่กว่ากัน
มีชายสองคนพี่น้อง คนพี่ชื่อดาเป็นคนขยันทามาหากิน เงินทองทีห่ ามาได้ก็รู้จักใช้จ่าย จนมีเงินเก็บอยู่บ้าง ส่วนคนน้องชื่อแดงเป็นคนเกียจคร้าน ไม่เอาใจใส่ต่อการทางาน ได้เงินมา ก็ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ไม่มีเงินเก็บหอมรอมริบ คอยแต่เบียดเบียนนายดาผู้พี่ ยิ่งไปกว่านั้นถ้านายดา เผลอเมื่อไหร่ เป็นอันต้องถูกนายแดงขโมยเงินเสมอ ไม่ว่านายดาจะซุกซ่อนเงินไว้ตรงไหน อยู่มาวันหนึ่งนายดาต้องออกไปทาธุระนอกบ้าน จึงคิดหาวิธีที่จะซ่อนเงินที่มีอยู่หนึง่ พันบาท ให้มิดชิดที่สุด คิดอยู่นานก็หาที่ซอ่ นไม่ได้ จะเอาซ่อนตรงไหนๆ ก็เกรงว่านายแดงจะมาขโมยไป ในที่สุดก็ตดั สินใจขุดหลุมฝังซ่อนไว้ดีกว่า จึงลงจากเรือนคว้าจอบใส่บ่าเดินออกหลังบ้าน
แล้วขุดหลุมเอาเงินห่อกระดาษใส่ลงก้นหลุม เอาดินกลบและดูความเรียบร้อย ดูไปดูมานายดาก็คิดว่า "นี่ถ้านายแดงมาเห็นรอยเรากลบหลุมไว้อย่างนี้ คงต้องรู้ว่าเราฝังเงินเอาไว้แน่" พลันความคิดของนายดาก็เกิดขึ้น เอาอย่างนี้ดีกว่าเราเขียนป้ายมาปักไว้ที่หลุมนี้ว่า "เงินหนึ่งพันบาทของนายดา ไม่ได้อยู่ในหลุมนี้" นายแดงก็คงจะไม่สงสัยเป็นแน่ คิดแล้วนายดาก็จัดการเขียนป้ายดังกล่าวมาปักไว้ที่หลุม เสร็จแล้วก็จัดแจงแต่งตัวออกจากบ้านไป ฝ่ายนายแดงหลังจากเที่ยวเตร็ดเตร่อยู่หลายวัน จนเงินหมดจึงกลับบ้าน ไม่พบพี่ชาย จึงได้โอกาสเหมาะเที่ยวค้นหาเงิน เชื่อว่าพี่ชายจะต้องซ่อนไว้ที่ไหนซักแห่งแน่ ค้นหาบนบ้านอยูน่ าน ก็ไม่พบ จึงเดินลงจากเรือนไปค้นตามหลังบ้าน ก็พบป้ายหนึ่งเขียนไว้ว่า "เงินหนึ่งพันบาทของนายดาไม่ได้อยู่ในหลุมนี"้ เมื่อนายแดงอ่านป้ายดูแล้วก็เกิดความสงสัยว่า เมื่อไม่มีเงินแล้วจะเขียนป้ายบอกไว้ทาไม จึงลงมือขุดดู ก็พบเงินที่ซ่อนไว้ เมื่อได้เงินมาแล้วนายแดงเกิดนึกขึน้ ได้ว่า ถ้าพี่ชายกลับมาเห็น เงินในหลุมหายไปก็คงโทษเราแน่ อย่ากระนั้นเลยเราเขียนป้ายปักไว้ดีกว่า เมื่อพี่ชายมาเห็นจะได้ คิดว่าเราไม่ได้เอาไป คิดดังนั้นแล้วนายแดงก็จัดการเขียนป้ายมาปักไว้ที่หลุมว่า "เงินหนึ่งพันบาทในหลุมนีน้ ายแดงไม่ได้เอาไป"
นิทานเรื่อง....ศิลปะในการขอทาน ชายคนหนึ่งขับรถเข้าไปในเมืองซึ่งเป็นเวลาพลบค่า ขณะทีข่ ับรถมานั้นเขาสังเกตุเห็น หญิงชราคนหนึ่งกาลังถือตะเกียงเดินก้มๆ เงยๆอยู่ เหมือนจะหาอะไรในพงหญ้าข้างถนนนั้น ด้วยความสนใจ เขาจึงหยุดรถแล้วเดินตรงเข้าไปถามหญิงชรานั้นว่า "นี่ยาย ยายกาลังก้มหาอะไรอยู่หรือ" "อ๋อ...ยายกาลังหาเหรียญบาทที่ทาตกลงไปในพงหญ้านี้ ยายหามาตั้งครึ่งชั่วโมงแล้ว หาเท่าไรก็หาไม่เจอสักที พ่อหนุ่มจะช่วยยายหาหรือ" หญิงชราพูด
ด้วยความสงสารชายหนุ่มจึงควักเงิน 10 บาทออกมา แล้วยื่นให้แก่หญิงชรา พร้อมกับพูดขึ้นว่า "เอาเงิน 10 บาทนี้ไปก็แล้วกันนะยาย เหรียญบาทคงหาไม่เจอแล้ว" เมื่อรับเงินจากชายหนุ่ม หญิงชรากล่าวขอบใจแล้วก็ดับตะเกียงจากไป ชายหนุ่มคนนั้นก็ขบั รถเข้าไปทาธุระในเมือง เมื่อทาธุระเสร็จแล้วเขาก็ขบั รถออกมา ตามเส้นทางเดิม เขาประหลาดใจมากที่ได้เห็นหญิงชราคนหนึ่ง กาลังจุดตะเกียงส่องหา อะไรบางอย่างในพงหญ้าข้างถนน ด้วยความสงสัยเขาจึงหยุดรถแล้วเดินเข้าไปดูใกล้ๆ เขาก็จาได้ทันทีว่า หญิงชราคนนี้ ก็คือหญิงชราคนเดิมที่เขาให้เงินไป 10 บาท เมื่อตอนหัวค่านั่นเอง เขาจึงถามหญิงชรานั้นว่า "นี่ยาย...ยายทาเงินตกหายอีกแล้วรึ" หญิงชราเงยหน้าขึน้ ก็จาชายหนุม่ ผู้ใจดีคนนี้ได้ จึงตอบไปว่า "ใช่แล้วหลาน...แต่หลานชายไม่ต้องควักเงินให้ยายอีกนะ" "ทาไมละยาย" ชายหนุ่มสงสัย "นี่มันเป็นกลวิธีในการขอทานทีไ่ ด้ผลดีที่สุด...ขอบใจสาหรับเงิน 10 บาทนะหลานเอ๊ย"
พูดจบหญิงชราก็เดินจากไป ทิ้งให้ชายหนุ่มมึนงงอยู่ตรงนั้นเอง
" ทุกอาชีพต่างก็มีกลวิธีในการทามาหากินของตนเอง
แล้วแต่ใครจะใช้ช่องทางใด แต่กค็ วรใช้วิธีที่สุจริต...นะจ๊ะ นะจ๊ะ "
นิทานรื่อง.....หนูกัดเหล็ก ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเศรษฐีคนหนึ่งมีลูกชายเป็นคนไม่รักดี ได้แต่ใช้จ่ายทรัพย์ เที่ยว กิน เล่น เลี้ยงเพื่อนฝูง ไม่นึกทามาหากิน พ่อแม่จะว่ากล่าวตักเตือนอย่างไร ก็ไม่เชื่อฟัง ในที่สุดเศรษฐีก็ตรอมใจตาย แต่ก่อนตายได้เอาเงินกับทองใส่ตมุ่ อย่าง ละตุ่มฝังไว้ และด้วยความดีที่ได้กระทามา ส่งผลให้เศรษฐี ไปเกิดเป็นเทวดา ฝ่ายลูกเศรษฐีเมื่อพ่อแม่ตายแล้วก็ยิ่งกาเริบ ใช้เงินเลี้ยงเพื่อน เที่ยวเตร่เสเพล ไม่นานเงินก็หมด เพื่อนฝูงทีเ่ คยล้อมหน้าล้อมหลัง ก็หายหน้าไปทีละคน อยู่มาวันหนึ่งเพื่อนชวนไปกินเลี้ยงกันตามเคย โดยสั่งลูกเศรษฐีตกยากว่า ถ้าคิดจะไปกินเลี้ยง ก็ให้เอาไก่ไปร่วมในการกินเลี้ยงด้วยหนึ่งตัว ลูกเศรษฐีอยากกินเลี้ยงมาก ถึงแม้จะไม่มีเงินแล้ว ก็ยังขวนขวายหาไก่ ได้ตัวหนึ่ง จึงจัดการลวกน้าร้อนถอนขน แล้วผูกห่อใบตองเตรียมที่จะไป ร่วมงานกินเลี้ยง
ครั้นเดินมาตามทาง เพราะความเหนื่อยจึงแวะพักใต้ตน้ ไม้ข้างทาง แล้วม่อยหลับไป บังเอิญมีอีกาตัวหนึ่งเกาะอยูบ่ นต้นไม้นั้น ได้กลิ่น เนื้อโชยมาจากใบตอง จึงบินโฉบลงมาคาบห่อใบตองไป เขาจึงต้องไปงานกินเลี้ยงมือเปล่า
พอถึงบ้านเพื่อนที่นัดกินเลี้ยงก็เล่าให้เพื่อนฟัง แต่ไม่มีใครเชื่อในคาพูดของเขาเลย ต่างคิดว่าเขาคงไม่มปี ัญญาหาไก่มา จึงกุเรื่องแก้เก้อ แถมยังพูดจาเยาะเย้ยถากถาง ว่าไม่มีปัญญาหาไก่มา แล้วยังไปโทษอีกาอีก
ลูกเศรษฐีทั้งเจ็บทั้งอายตัดสินใจไม่ร่วมวงกินเลี้ยงด้วย รีบเดินทางกลับบ้าน เมื่อถึงบ้านแล้วก็ยังน้อยใจไม่หาย นึกถึงความหลังที่ตนมัง่ มีเงินทอง ผู้คนล้อมหน้า ล้อมหลัง เสียใจกินไม่ได้ นอนไม่หลับ ร่างกายก็ผ่ายผอมลง ฝ่ายเทวดาพ่อแม่เห็นอาการของลูกก็อดสงสารเสียมิได้ จึงมาเข้าฝันลูกว่า "นั่นแหละลูกเอ๋ย เมื่อพ่อแม่ยังอยู่ก็ได้สอนเจ้านักหนาเรื่องการใช้เงินทอง เมื่อยามลาบากยากจน ใครเขาจะมานับถือ พูดจริงก็เป็นหลอกไปได้ ขอให้เจ้ารู้สึกตัว และทาตัวเสียใหม่ พ่อแม่จะช่วย" ในฝันนั้นเองลูกเศรษฐีก็คดิ ได้ จึงสัญญากับพ่อแม่ว่า ต่อไปจะเลิกความประพฤติเดิม จะตั้งใจทามาหากิน เลี้ยงตัวให้มีเงินพอ จะไม่ให้ใครมาดูถกู ได้อีกต่อไป เมื่อเทวดาพ่อแม่ได้รบั คาสัญญาจากลูกเช่นนั้นก็พอใจยิ่งนัก เมือ่ ลูกสัญญาว่าจะกลับตัว เป็นคนดีจึงได้บอกที่ซ่อนตุ่มเงินและตุ่มทองให้ในฝันนั้นเอง
พอตื่นขึ้นมาลูกเศรษฐีก็รบี ไปขุดหาตุ่มเงินตุ่มทอง ก็พบจริงตามฝัน จึงนาเงินในตุ่ม มาทาทุนตั้งหน้าตั้งตาทามาหากิน ไม่นานก็กลับฟื้นตัว พอมีฐานะขึ้นอีก เพื่อนทีเ่ คยหนีหาย ก็เริ่มกลับมาคบหาเพิ่มขึ้นทุกวัน
ลูกเศรษฐียังจาวันทีเ่ พื่อนฝูงเยาะเย้ยได้ไม่ลืม วันหนึ่งลูกเศรษฐีเห็นได้โอกาสจึงชวนเพื่อน มากินเลี้ยงกันอีกเหมือนเมื่อยังร่ารวยหนก่อน เพือ่ นฝูงต่างก็มากันพร้อมหน้าพร้อมตาขณะที่
กินเลี้ยงอย่างครึกครื้นเฮฮาอยู่นั้น พลางพูดขึ้นว่า
ลูกเศรษฐีได้นามีดเหี้ยนๆ
เล่มหนึ่งมาให้เพื่อนดู
"อัศจรรย์จริงๆ มีดเล่มนีเ้ พิ่งซื้อมาใหม่ๆ แท้ๆ ทิ้งไว้คนื เดียวหนูมากัดเสียจนเหี้ยนหมดเหลือเท่านี้เอง" เพื่อนฝูงทั้งหลายเมื่อได้ยินก็รับคาเชื่อตามคาพูด บางคนก็ประสมโรงพูดว่า "จริงเหมือนเพื่อนว่าหนูมนั ร้ายนัก มีดของเราก็เคยโดนเหมือนกัน เหี้ยนเหมือนอย่างนี้ไม่มผี ดิ " เพื่อนคนอื่นก็พูดว่า "ใช่ๆ" คนละคาสองคา
ลูกเศรษฐีเมื่อได้ยินดังนั้น ก็คิดได้ว่า "ยามเมื่อเรายากจนคนดูถูก ถ้อยคาที่พูดไม่มีน้าหนัก ถึงพูดความจริงก็ยังไม่มีคนเชื่อ แต่เมื่อยามมั่งมีเงินทอง จะพูดอย่างไรจริงหรือเท็จไม่สาคัญ คนย่อมยอมรับเชื่อถือ"
ยามมั่งมี ยามมัวหมอง ยามไม่มี ยามมอดม้วย
มากมาย มิตรมอง มิตรเมิน หมูหมา
มิตรหมายมอง เหมือนหมูหมา ไม่มองมา ไม่มามอง
นิทานเรื่อง...ค่าของคน ในกาลครั้งหนึ่งยังมียายแก่คนหนึง่ สามีเสียชีวิต ส่วนลูกหลานก็แยกย้ายกันไปอยู่ที่อื่น ยายแก่ทามาหากินอยู่ตัวคนเดียวด้วยความขยันขันแข็งมาตลอด แกเก็บเล็กผสมน้อย ใช้จ่ายอย่าง กระเหม็ดกระแหม่ จึงสะสมเงินทองไว้ได้พอสมควร แกจึงไปซื้อไหเก่าใบหนึ่งมาใส่เงินนัน้ ไว้ จะไปไหนก็จะอุ้มไหติดตัวไปด้วย และไม่เคยเปิดไหอวดใครเลย ครั้นเมื่อยายอายุมากขึ้นๆ ทางานอย่างเดิมไม่ไหว ลูก หลาน ซึ่งพากันคิดว่ายายแก่ คงจะต้องมีทรัพย์สมบัติมาก จึงพากันมารับยายแก่ไปอยู่ด้วย ยายแก่ก็รู้เท่าทันแต่กท็ าเฉยเสีย ช่วยลูกหลานทางานสุดกาลัง เพื่อไม่ให้ลูกหลานดูถูกได้ว่าเสียข้าวสุกเปล่า หรือเกาะเขากิน จนวันหนึ่งแกลงไปดายหญ้าทาสวนอยู่คนเดียว แดดก็จดั แกรู้สึกปวดหลังเป็นกาลัง ถึงกับล้มฟาดไปไม่รู้ตัว หมดสติอยู่กลางแดดเป็นเวลานานกว่าลูกหลานจะมาพบ และช่วยกัน อุ้มเข้าบ้าน เมื่อแกฟื้นขึน้ มาปรากฏว่าแกเป็นอัมพาตพอจะพูดและเคลื่อนไหวได้บ้าง รักษาอยู่ เป็นเวลานานก็ไม่ทุเลา แกใช้เงินที่แกสะสมไว้เป็นค่ารักษาจนหมด ลูกหลานทั้งหลาย พากันเดาว่ายายแก่คงใช้เงินรักษาจนหมดตัวแล้ว จึงพากันตีตัวออกห่าง ในที่สุดเพื่อนบ้านแถวนัน้ ทนไม่ได้จึงผลัดกันมาดูแลยายแก่ แต่ทกุ คนก็มีหน้าที่การงานต้องทา จะมาพยาบาลอยู่นานก็ไม่ได้ ยายแก่จึงต้องช่วยตัวเองซะส่วนมาก จะไปถ่ายอุจระก็ไม่ได้ ไหของแก เมื่อเงินทองหมดก็ยังว่างเปล่าอยู่ แกจึงถ่ายอุจระไว้ในไหนั้นทุกวัน แล้วก็ปิดฝาไว้ เมื่อมีชาวบ้านมาเยี่ยม แกก็เริ่มคุยอวดชาวบ้านว่าความจริงเงินของแกก็ยังพอจะมีเหลือ "ฉันกันเงินของฉันไว้ส่วนหนึ่ง เอาไว้ตอนเข้าตาจน ไม่เชื่อลองโยกไหดูสิ" ชาวบ้านต่างก็ลองเอามือผลักไหดู ก็เชื่อว่ามีเงินอยู่ในนั้นแน่ พอกลับบ้านต่างคนก็ต่างไปเล่าต่อๆกัน "ยายแก่ แกยังมีเงินเหลืออยู่ไม่นอ้ ยเลย ไหที่ใส่ไว้หนักอึ้งทีเดียว" ความนี้ในที่สุดก็ไปเข้าหูหลานๆของยายแก่ ด้วยความละโมบจึงพากันกลับมาคอยรับใช้ยายแก่อีก ต่างคนก็ชิงกันเอาใจยายแก่ เพราะหวังจะครอบครองทั้งทองและเงินในไห ต่อมาไม่นานยายแก่ก็ถึง อายุขัย หลานๆก็จดั งานศพเสียงดงาม เมื่อเสร็จจากงานศพแล้ว ลูกหลานทุกคนก็ต่างคิดบัญชีค่าใช้จ่าย เพื่อจะได้แบ่งเงินในไหว่า ใครได้ส่วนแบ่งมาก ใครได้น้อย พอคิดบัญชีเสร็จแล้วก็ยังทะเลาะกันจนยุติไม่ได้ เพราะต่างคนก็อยาก จะได้มาก ไม่มีใครยอมใคร ในทีส่ ุดก็ตกลงให้เปิดไหก่อนเพื่อจะนับเงินทอง แต่แล้วทุกคนก็ต้องผิดหวัง เพราะพอเผยอฝาไหออก กลิ่นอุจระก็เหม็นคลุ้ง จนทุกคนผงะหงาย ลูกหลานทุกคนเสียรู้ยายแก่เสียแล้ว
มีชายคนหนึ่งมีอาชีพตัดฟืน ระหว่างเดินทางไปตัดฟืนได้เดินผ่านบ้าน ของชายผู้หนึ่งซึ่งเลี้ยงสุนขั เอาไว้ จู่ๆสุนขั ได้กระโจนเข้าใส่เขา เขาจึง ใช้ขวานจามสุนัขตาย เจ้าของสุนัขจึงได้ยื่นฟ้องต่อศาล ผู้พิพากษาถามชายตัดฟืน: "ทาไมท่านถึงฆ่าหมาตาย?" "เพราะว่าหมามันโถมเข้าหาข้า ข้าจาเป็นต้องป้องกันตัว ขวานแล้วจามมันตาย" ชายตัดฟืนตอบ
ข้าจึงควง
ผู้พิพากษาถามอีก: "แล้วทาไมท่านไม่หัน ด้ามขวานไปข้างหน้า ละ?"
ชายตัดฟืนตอบ "ถ้าหมามันคิดจะกัดข้าด้วยหางของมัน ข้าก็ควรหันด้ามขวานไปข้างหน้า แต่มันแยกเขี้ยวกระโจนเข้าใส่ข้า ข้าหันคมขวานเข้ารับมันจึงเป็นเรื่องสมเหตุสมผลแล้วนีท่ ่าน"
นิทานเรื่อง....เสือตีนโต
มีสามีภรรยาคู่หนึ่งอาชีพทาไร่ อยู่มาวันหนึ่งทัง้ สองคนต่างก็ไปช่วยกัน ทาไร่เหมือนเคย เผอิญวันนั้นไม่ได้ห่อข้าวไปกิน คิดว่าจะกลับไปกินกันที่บ้าน พอตกบ่าย สองสามีภรรยาก็ชวนกันกลับบ้าน เมื่อถึงบ้านสามีจึงพูดกับภรรยาว่า "นี่น้อง ไปหุงหาอาหารมากินกันเถอะ วันนี้ไม่รู้เป็นอะไรพี่หิวจังเลย" ฝ่ายภรรยานั้นเป็นคนเกียจคร้านไม่ชอบหุงหาอาหารอยู่แล้ว เมื่อได้ยินสามีพูดดังนัน้ จึงตรงไปยังห้องครัว เข้าไปเปิดหม้อข้าวดู ก็เห็นมีข้าวเหลืออยู่ น่าจะพอแบ่งกันกินได้ จึงบอกกับสามีไปว่า "ข้าวมีอยู่แล้วพี่ กับข้าวเมื่อเช้านีก้ ็ยังเหลือ พี่หิวก็มากินได้เลย" "เอ้างั้นก็ตกลง น้องก็มากินพร้อมกันเลยซิ" สามีพูด สามีภรรยาต่างก็แบ่งข้าวกันกินคนละจาน ข้าวในหม้อจึงเหลืออีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เผอิญมีเพื่อนคนหนึง่ มาที่บ้าน "เอ้ากาลังทาอะไรอยู่ละ" เพื่อนเอ่ยถาม "กาลังจะกินข้าวกลางวันกัน มาๆ มานั่งกินข้าวด้วยกัน" สามีกล่าวเชิญชวนเพื่อน ที่มาเยี่ยมตามธรรมเนียมไทยแท้ของคนไทย "แหม กินสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน กาลังหิวอยู่พอดีเชียว" เพื่อนก็มานั่งร่วมวงกินข้าวด้วย ภรรยาจึงตักข้าวที่เหลืออยู่ในหม้อ ให้แขกที่มาเยี่ยมเยือน ข้าวที่มีเหลืออยู่ในหม้อเพียงน้อยนิดก็หมดลง ทั้งสามคนต่างกินกันไปคุยกันไป ข้าวในจานแต่ละคนก็ร่อยหรอทีละนิด เผอิญข้าวในจาน ของเพื่อนหมดก่อน เพื่อนก็คอยโอกาสให้เจ้าของบ้านคดข้าวให้ตนเพิ่ม แต่ก็ไม่ตักให้เสียที ฝ่าย เพื่อน ยังไม่อิ่ม จึงคิดหาอุบายที่จะบอกให้เจ้าของบ้านคดข้าวให้ จึงพูดขึน้ ว่า "เมื่อวานนี้ เราไปเที่ยวในป่ามา โอ้โฮเพื่อนเอ๋ยเราไปเจอเสือตัวหนึ่งรอยตีนโตขนาดจานข้าวนี่
เลย" เพื่อนพูดพร้อมกับเอียงจานให้เจ้าของบ้านดู เจ้าของบ้านเมื่อเห็นดังนี้ ก็ถือโอกาสเล่าต่อว่า "เมื่อวานนี้เหมือนกันนั่นแหละ เราก็ไปเที่ยวป่ามาเหมือนกัน โอ้โฮเพื่อนเอ๋ย เราไปเจอช้างรอยตีนโตขนาดหม้อนี่แหละ" พูดพร้อมเอียงหม้อให้ดู เพราะข้าวก็หมดหม้อแล้วเหมือนกัน
| การจะพูดบอกอะไรใครนั้น ในบางครั้งเราจะพูดบอกตรงๆไม่ได้ เพราะอาจเป็นการเสียมารยาท ผู้ฉลาดมักจะหาวิธีการบอกให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้ได้โดยอ้อม นิทานเรื่อง...เหลือเชือ่ มีผัวเมียคูห่ นึ่ง เพิ่งจะแต่งงานกันใหม่ๆ พ่อแม่ก็ให้ไปปลูกกระท่อมอยู่กันทีป่ ลายนา เพื่อคอยดูแลข้าวปลาที่ทาไว้แล้ว และกาลังงาม เกรงว่าวัวควายนกหนูจะมากัดกินข้าวเสียหาย ผัวเมียทั้งสองก็มิได้ขัดข้องหรือรังเกียจเกี่ยงงอนแต่ประการใด เมื่อพ่อแม่ให้ไปก็ไป เมื่อไปถึงก็ช่วยกันปลูกกระท่อมด้วยไม้ไผ่ และพยายามปลูกให้สูงที่สุดเท่าทีจ่ ะสูงได้ เพราะไม่ต้องการให้นาท่ ้ วม ผัวจึงไปตัดไม้ไผ่เอามาทาเสากระท่อม ตัดมามากมายก่ายกองเหลือประมาณ ปลูกกระท่อมจนเสร็จ กระท่อมนั้นนับว่าสูงมาก สูงที่สุดเลยทีเดียว ครั้นเสร็จแล้วก็ขึ้นไปอยู่กนั นอนหลับสบายทั้งคืน จนรุ่งเช้าผัวตื่นขึน้ ไม่เห็นเมียก็ตกใจ มองหาจนทั่วก็ไม่เห็นเมีย ผัวสงสัยคิดว่าเมียตกกระท่อม จึงก้มลงไปดูข้างล่าง เห็นเมียตกกระท่อมร่างของเมียยังลอยอยู่ยังไม่ถึงพื้น ยังสูงอีกมาก
แล้วไม่รู้ว่าเมื่อไรจะตกถึงพื้นดิน
ข้อคิดที่ได้จากนิทานเรื่องนี้ การทาอะไรเกินพอดี อาจเกิดโทษภัยต่างๆขึ้นได้ ฉะนั้นควรพิจารณาให้รอบคอบก่อนทา และควรทาแต่พอดี
ห ม อ น วิ เ ศ ษ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในประเทศจีนมีชายชาวนาคนหนึง่ ชื่อ "อาเฉิน" กาลังนั่งกินอาหารอยู่ในโรงเตี๊ยม ก็ได้มีพ่อค้าเร่คนหนึ่ง เข้ามาทักทายเขาว่า "พ่อหนุ่ม ทามาหากินเป็นอย่างไรบ้าง"
"ไม่ไหวเลยครับ ชีวิตของข้าอับจนสิ้นดี" อาเฉินตอบอย่างเศร้าสร้อย "เจ้าไม่พอใจในวิถีชีวิตของตนเองดอกหรือ?" พ่อเฒ่าสอบถาม "จะให้ข้าพอใจได้อย่างไรในเมื่อข้าต้องทางานหนักทั้งวัน ถ้าข้าได้เป็นเศรษฐี ข้าจึงจะพอใจ" อาเฉินกล่าว พ่อเฒ่านิ่งงันไม่พดู อะไร
ก่อนจากกันพ่อเฒ่าได้ยื่นห่อผ้าในมือให้อาเฉิน และพูดขึ้นว่า "พ่อหนุ่ม ข้าต้องเดินทางไปหมูบ่ ้านข้างเคียง พรุ่งนี้เช้าจึงจะกลับ เจ้าจะเก็บรักษาหมอนใบนี้ไว้ให้ข้าได้หรือไม่? หมอนใบนีห้ นุนนอนสบายดี เจ้าจะใช้หมอนใบนี้หนุนหัวในคืนนี้ก็ได้" อาเฉินรับคาจะเก็บรักษาหมอนไว้ให้ ทั้งสองจึงแยกทางกัน
ในคืนนั้น อาเฉินใช้หมอนของพ่อเฒ่าหนุนนอน
เมื่ออาเฉินตืน่ ขึ้นมาก็พบว่ามีแท่งเงิน แท่งทองเต็มไปหมด "รวยแล้ว ในที่สุดเราก็รวยสมใจนึก" อาเฉินตะโกนสุดเสียงด้วยความดีใจ "ข้าจะสร้างคฤหาสน์หลังงาม ข้าจะซื้อทุกอย่างทีข่ ้าต้องการ"
อีกไม่นานคฤหาสน์ของเขาก็สร้างเสร็จ ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขา อาเฉินเป็นมหาเศรษฐีไปแล้ว เขาไม่ปราถนาจะลดตัวลงไปเสวนากับคนจน ดังนั้นเขาจึงปิดคฤหาสน์อาศัยอยูใ่ นนั้นตามลาพัง อยู่มาไม่นานอาเฉินก็เบื่อหน่าย "ขาดอะไรไปสักอย่าง? อ้อรู้แล้ว สวนของข้าว่างเปล่านัน่ เอง" เขาจึงสั่งให้คนงานหาดอกไม้หลากสีสัน งดงามที่สุดเท่าทีจ่ ะหาได้ และไม้ใหญ่มาปลูกไว้ในสวน และขุดสระเลี้ยงปลา
แต่แล้ว อาเฉินยังรู้สึกเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว "จะต้องขาดอะไรไปสักอย่าง อ้อรู้แล้ว บ้านหลังนีเ้ งียบเกินไป" อาเฉินจึงว่าจ้างนักดนตรี นักรามาขับกล่อมให้ความบันเทิง แต่แล้วต่อมาไม่นาน อาเฉินก็รู้สึกเบื่อกับการร้องรา เขาจึง ไล่นักดนตรี นักราออกจากบ้านไป อาเฉินรู้สึกเหงาหงอยอ้างว้าง "อ้า...สิ่งที่ข้าต้องการคือ ภรรยาสักคน...ใช่แล้ว"
อาเฉินส่งคนรับใช้ไปป่าวประกาศกลางหมู่บ้านว่า หญิงใดที่ยังเป็นโสด ขอให้มาชุมนุมที่หน้าคฤหาสน์ของเขาในเช้าวันรุ่งขึน้ เพื่อให้เขาเลือกเป็นภรรยา แต่ ไม่มีหญิงใดโผล่หน้ามาให้เห็นในเช้าวันถัดมา อาเฉินรู้สึกแค้นเคืองฉุนเฉียว "เฮอะ ชาวนาโง่เง่า ข้าไม่เห็นจะต้องการเลย อยู่คนเดียวก็ได้"
อยู่มาวันหนึ่ง อาเฉินตัดสินใจลงจากเขา อาเฉินนั่งเกี้ยวงดงาม มีคนรับใช้สี่คนหาม มาดโอ่อ่าภูมิฐานยิ่งนัก แต่อาเฉินก็ต้องประหาดใจ เมื่อผู้คนในหมู่บ้านไม่มใี ครให้ความสนใจเขาเลย เมื่อเขาผ่านโรงเตี๊ยมเก่า เขาได้ยินเสียงผู้คนทักทายกัน สลับกับเสียงหัวเราะเป็นระยะ เขามองเห็น เพื่อนเก่าซดข้าวต้มร่วมกัน แม้คนเหล่านัน้ จะยากไร้ แต่ก็มีความสุขยิ่ง
อาเฉินหวนกลับมายังคฤหาสน์อ้างว้าง นั่งครุ่นคิดอยูเ่ ป็นนาน เขากลายเป็นมหาเศรษฐีแล้ว แต่ก็ไม่มีความสุข ชีวิตแสนสบายแต่อ้างว้าง อาเฉินอยากจะกลับไปเป็นชาวนาสามัญเช่นเดิม แล้วเขาก็เผลอหลับไป
เมื่ออาเฉินลืมตาขึน้ มาอีกครั้ง ก็พบว่าตนเองอยูใ่ นห้องเก่าซอมซ่อ
ทุกอย่างอยู่ในสภาพเดิม อาเฉินเพิ่งรู้ว่าตัวเองฝันไป เขาวิ่งออกจากกระท่อม หัวเราะร่าด้วยความยินดี อาเฉินร้องทักทายชาวนาที่เดินผ่านบ้าน เหมือนกับ เพื่อนรักทีห่ ายหน้าไปนาน และพอถึงตอนสายของวันชายชราเจ้าของหมอน ก็ได้มาหาอาเฉิน "เป็นอย่างไรพ่อหนุ่ม เมื่อคืนหลับฝันดีหรือไม่"
อาเฉินวิ่งกลับเข้าบ้าน หยิบเอาหมอนห่อผ้าให้เรียบร้อย ยื่นคืนให้เจ้าของ "ขอบพระคุณท่านผู้เฒ่าเป็นอย่างมาก ที่ให้ยืมหมอนวิเศษใบนี้ ข้าเพิ่งได้บทเรียนล้าค่าของชีวิต...ไม่มีสุขใดใหญ่หลวงเกินไปกว่า ความพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยูอ่ ีกแล้ว"
อาเฉินหยิบจอบขึน้ พาดบ่า เดินผิวปากออกจากบ้าน มุ่งหน้าไปยังท้องนา พ่อเฒ่าอมยิ้ม และออกเดินทางต่อไป
โอ่งวิเศษ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายผู้ยากไร้กับภรรยาอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน ชายผู้นี้มีนามว่า "อาเหลา" อาเหลามีปู่สูงอายุอาศัยร่วมอยู่ในบ้าน คุณปู่อายุมากแล้ว ไม่มีใครทราบอายุของคุณปู่ แม้ตวั คุณปู่เองก็จาไม่ได้
บุตรหลานที่ดคี วรจะดูแลเลี้ยงดูบรรพบุรุษ แต่อาเหลาและภรรยา ไม่ได้สนใจดูแล จัดหาอาหารการกินให้เพียงเล็กน้อย ซ้ายังให้ทางานหนัก แม้ว่าคุณปู่จะผอมแห้งไร้เรี่ยวแรงแล้ว
อยู่มาวันหนึ่ง อาเหลาขุดพบโอ่งเก่าคร่าคร่าในทุ่งนา "โอ่งใบนี้น่าจะใช้เก็บน้าได้" อาเหลาครุ่นคิดในใจ จึงแบกกลับบ้าน พอถึงบ้านก็ให้ภรรยาใช้แปรงขัดทาความสะอาดโอ่ง พอดีแปรง หลุดจากมือหล่นลงไปในโอ่ง ในทันใดนั้นเองโอ่งก็มีแปรงเต็มอัดแน่น ไม่ว่าเธอจะกอบและโกยแปรงออกมามากเท่าใด ในโอ่งก็ยังมีแปรงเต็มแน่นเสมอ "เราน่าจะเอาแปรงไปขายที่ตลาด" อาเหลาบอกกับภรรยา
อาเหลาเอาแปรงไปวางขายในตลาด ไม่ช้าไม่นานก็เก็บเงินได้มากมาย เมื่อมีเงินทองมากมาย ก็จับจ่ายซื้ออาหารรสเลิศ และเสื้อผ้าแพรพรรณงดงามมากมาย แต่ทั้งสองก็ไม่เคยนึกถึงคุณปู่แม้แต่น้อยนิด อยู่มาวันหนึ่ง อาเหลาทาแท่งทองหล่นลงไปในโอ่ง แปรงหายวับไปจากโอ่ง อาเหลาใจหายวาบเมื่อมองเห็นโอ่งว่างเปล่า แต่ทว่าในนาทีถัดมาโอ่งวิเศษก็มีแท่งทอง เต็มอัดแน่น อาเหลาตะโกนเรียกภรรยาเสียงหลง "มาดูอะไรนี่ มาดูนี่ นี่ไง" เมี่อผู้เป็นภรรยามองเห็นทองอัดแน่นอยู่ในโอ่งวิเศษ เธอสุดแสนจะดีใจ
อาเหลาขนทองคาออกจากโอ่งวิเศษได้ไม่รจู้ บ อาเหลาสร้างบ้านหลังใหญ่ ใช้ชีวิตหรูหราสุขสบายประดุจเจ้าผู้ครองนคร อาเหลาบังคับให้ปู่เป็นผู้ตักแท่งทองออกจากโอ่งวิเศษเพื่อให้ทองคา ผุดขึน้ มาอัดแน่นเต็มโอ่งอยูเ่ สมอ เมื่อใดที่พ่อเฒ่าเหน็ดเหนื่อยรามือพักหอบหายใจ อาเหลาจะตะคอกดุด่าให้ทางานต่อไป อยู่มาวันหนึ่ง คุณปู่พลัดตกลงไปในโอ่งวิเศษ ทองแท่งในโอ่งหายวับไป อีกไม่กี่อึดใจ คุณปู่แก่หง่อมก็ค่อยๆปีนออกจากโอ่งวิเศษ ทีละคนสองคน เมื่ออาเหลากับภรรยามองเห็นเรื่องที่เกิดขึ้น ฝ่ายภรรยาก็กรีดร้องออกมาสุดเสียง "รีบทาอะไรสักอย่างซิ ก่อนจะมีตาแก่โผล่ออกมาอีก"
อาเหลาจึงรีบหยิบพลั่วหวดใส่โอ่งวิเศษเต็มแรง จนแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่ก็สายเกินไปแล้ว อาเหลามีคุณปู่ถึง 6 คน แล้วอาเหลาก็ตะคอกดุด่า คุณปู่ทุกคนด้วยเสียงอันดัง แต่คณ ุ ปู่ทั้งหกไม่เกรงกลัวอาเหลาอีกต่อไปแล้ว คุณปู่ช่วยกันขับไล่สองสามีภรรยาให้ออกนอกบ้านไป
อากาศนอกบ้านหนาวเหน็บลมเย็นยะเยือกพัดกระโชก สองสามีภรรยาหนาวสั่น และเริ่มรู้สึกหวาดกลัวความมืดนอกบ้าน อาเหลาและภรรยาจึงเคาะประตูร้องวิงวอนว่า "ได้โปรดเถิดคุณปู่ เปิดประตูรบั พวกเราด้วย อย่าปล่อยให้เราหนาวตายอยู่นอกบ้านเลย" คุณปู่ในบ้านส่งเสียงตอบ "มีกี่ครั้งที่ข้าร้องขอความกรุณาจากเจ้าทั้งสอง แต่เจ้าไม่เคยเปิดหูรบั ฟังเลย" "ได้โปรดเถิดคุณปู่ เราทั้งสองสานึกและเสียใจแล้ว ขอได้โปรดอภัยให้เราสองคนด้วย" อาเหลาร้องวิงวอนเสียงกระเส่า ท้ายที่สุด คุณปู่ก็เปิดประตูรับทั้งสองเข้าบ้านด้วยความสงสาร
นับจากวันนัน้ เป็นต้นมา อาเหลากับภรรยากลายเป็นคนใหม่ เอาใจใส่ดูแล เลี้ยงดูคุณปู่ทั้งหกเป็นอย่างดี
หมาป่า กับ หมาจิ้งจอก หมาป่า กับหมาจิง้ จอกในป่าสูงแห่งหนึ่งนั้น เมื่อมันได้สาบานตัวเป็นเพื่อนตาย ไม่ทาอันตรายต่อกันและช่วยกันทามาหากิน โดยหมาจิ้งจอกมีหน้าที่ไล่ต้อนสัตว์ป่าที่จะมาเป็นอาหาร ส่วนหมาป่าร่างใหญ่ ก็คอยจับสัตว์ป่าเหล่านั้น แล้วแบ่งกันกินอย่างอิ่มหนาสาราญทุกวันไป สมเป็นเพื่อนตายโดยแท้
แต่อยู่มาไม่ช้าไม่นาน ก็ถึงฤดูกาลอันบังเกิดความแห้งแล้งกันดารทั่วไปในป่านั้น บรรดาสัตว์ป่าทั้งหลายเดือดร้อนเหลือประมาณ เพราะอาหารหายากยิ่งขึ้นทุกวัน หมาป่า กับหมาจิ้งจอกนั้น ถึงกับอดอาหารสองวันสามวันบ่อยๆ ตลอดมา ในที่สุดหมาป่าไม่สามารถทนหิวได้ จึงกระโจนเข้ากัดหมาจิ้งจอก เพื่อนตายของมันเพื่อหวังกินเป็นอาหารจะได้พ้นจากความตายเพราะไม่มีอะไรจะกิน หมาจิ้งจอกก็ดิ้นร้องขึ้น ก่อนจะกลายเป็นอาหารของหมาป่า ว่า... "เจ้าเพื่อนตายของข้า คาสาบานของเจ้าเอาไปทิ้งเสียที่ไหนเล่า?"
"เจ้าหน้าโง่ เจ้าเคยเห็นคาสาบานหรือไฉน... ใครบอกเจ้าว่าโลกนี้มีคาสาบาน คาสาบานเป็นเพียงคาพูดเท่านั้น ครั้นพูดออกไปแล้วก็ไม่มีตัวตน หรือแม้แต่เงาก็ไม่มี"
ว่าแล้วหมาป่าก็กินหมาจิ้งจอก เป็นอาหารแก้หิวในมื้อนั้นเอง นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "ไม่มีคามั่นสัญญาในหมู่โจร"