สารบัญ
3 4 6 8 9 14 16 18 20
วิดีโอแนะนำ�สถานที่ แผนที่ และการเดินทาง เล่าเรื่องวัดสาขลา เปิดตำ�นานหลวงพ่อโต ลอดพระราหู ดูพระบัวเข็ม วันวาน บ้านสาขลา ส่องวิถี บ้านสาขลา โอ้โห... OTOP ตลาดโบราณบ้านสาขลา
3
สาขล
4
5
วัดสาขลา
6
เล่าเรื่องวัดสาขลา หลังจากที่เราได้ชมวิดีโอแนะนำ�สถานที่กันไปแล้ว ก่อนที่ เราจะไปเยี่ยมชมวัดสาขลานั้น เรามาทำ�ความรู้จักวัดนี้กันให้ มากขึ้นก่อนดีกว่าค่ะ วัดสาขลา สร้างเมื่อประมาณ พ.ศ.2325 สันนิฐานว่า ชาวบ้านช่วยกันสร้างเมื่อคราวรบชนะพม่า แต่เดิมหมู่บ้านที่ ตั้งวัดเรียกว่า หมู่บ้านสาวกล้า ต่อมาคำ�พูดเพี้ยนเป็นสาขลา ทำ�ให้ชื่อวัดเปลี่ยนมาเป็นวัดสาขลา จนถึงปัจจุบัน
7
วัดสาขลาได้รับพระราชทานนาม วิสุงคามสีมา เมื่อ พ.ศ. 2375 มีพระประธานในวิหาร นามว่า หลวงพ่อโต แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าสร้างเมื่อใด และใครเป็นผู้สร้าง เป็นพระพุทธรูป ศิลปะสมัยอู่ทอง ปางมารวิชัย เป็นที่เคารพบูชาของชาวบ้านสาขลา และประชาชนทั่วไป เมื่อ เข้ามาในวัดแล้วจะเห็นเจดีย์เก่าแก่ ตั้งอยู่ริมคลอง มีลักษณะเอียงซึ่งมีความโดดเด่นเป็นอย่าง มาก ก็คือ “พระปรางค์เอียง” ซึ่งเมื่อร้อยกว่าปีก่อนเกิดการทรุดตัวของแผ่นดินจากน้ำ�ท่วมขัง ทำ�ให้พระปรางค์เอียงแต่ก็ไม่ได้โค่นล้มแต่อย่างใด
วัดสาขลาตั้งอยู่เลขที่ 19 หมู่ 3 ต.นาเกลือ อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย มีที่ดิน 27 ไร่ 2 งาน
8
เปิดตำ�นาน หลวงพ่อโต
ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโต มีอยู่ว่า คืนวันที่ 6 มกราคม 2526 เวลาประมาณ 21.00 น. เศษ ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ในหมู่บ้าน ชาวบ้านต่างช่วยกันดับไฟ แต่ก็เป็นที่ยากลำ�บากเพราะ ไฟได้โหมกระหน่ำ�อย่างต่อเนื่อง แต่แล้วก็เกิดเหตุที่อัศจรรย์ขึ้น เมื่อชาวบ้านที่ออกไปหาปู หาปลาได้ เห็นองค์หลวงพ่อโตยืนเอาจีวรโบกไฟที่กำ�ลังไหม้ จนค่อยๆดับลง พร้อมกับได้ยินเสียงสวดมนต์อย่าง ต่อเนื่อง เมื่อถึงตอนเช้า ชาวบ้านที่ทราบข่าวว่ามีคนเห็น หลวงพ่อโตช่วยดับไฟ จึงพากันไปดูที่วัด ชาวบ้าน ทุกคนถึงกับน้ำ�ตาไหล เมื่อเห็นองค์หลวงพ่อโตดำ� เป็นเขม่าไปทั้งองค์ ผ้าที่ห่มองค์หลวงพ่อกรอบ เหมือนโดนไฟไหม้ ใบหน้าของท่านมีร่องรอยเหมือน น้ำ�ตาไหล ชาวบ้านถึงกับร้องไห้กันยกใหญ่ ชาวบ้าน จึงพร้อมใจกันทำ�บุญให้กับหลวงพ่อโตทุกวันที่ 6 มกราคม ของทุกปี
9
ลอดพระราหู ดูพระบัวเข็ม ไฮไลท์สำ�คัญของที่นี่ ที่ใครมาเยือนต่างก็ต้องแวะมา เรียกได้ว่า เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่พลาดไม่ได้เลย ซึ่งนั่นก็คือ‘การลอดโบสถ์’ค่ะ แต่บอกไว้เลยว่าลอดโบสถ์ที่วัดนี้ไม่เหมือนที่อื่นแน่นอนค่ะ แต่จะ แตกต่างยังไงนั้น ไปดูกันเลยดีกว่า ก่อนที่เราจะลอดโบสถ์ เราก็มาหยิบดอกไม้ ธูป เทียน โดยมีตู้รับทำ�บุญให้เราหยอดเงินได้ตาม กำ�ลังศรัทธา มาจุดธูป เทียน ไหว้พระราหูกันก่อน ค่ะ จากนั้นก็เตรียมตัวลอดโบสถ์กันเลย แต่ที่วัด สาขลาแห่งนี้มีทางเข้าลอดโบสถ์ที่ถือว่าเป็นอันซีน ของที่นี่เลย เพราะเป็นซุ้มพระราหูที่อาจจะดูน่าเกรงขาม แต่พระราหูนั้นก็แสดงถึงการปัดเป่า และป้องกันสิ่งชั่วร้าย เมื่อเราลอดซุ้มประตูมาแล้วก็จะมาพบกับ ลูกนิมิต ลูกเอก ที่ทำ�จากศิลาแลงอายุหลายร้อย ปี มีลักษณะเป็นทรงเหลี่ยม ซึ่งมีลักษณะต่างจากวัดอื่นๆ ลูกนิมิตที่วัดสาขลาแห่งนี้มีด้วยกัน ทั้งหมด 9 ลูก ซึ่งลูกเอกนั้นถูกวางไว้ใต้โบสถ์เพื่อให้พวกเราพุทธศาสนิกชนได้สักการะกัน เมื่อเดินถัดมานิดนึงเราจะพบกับ พระบัวเข็ม ซึ่ง ประดิษฐานอยู่ท่ามกลางเหล่าดอกบัวมากมาย ซึ่งเปิด ให้สาธุชนสามารถเข้ามาลอยบัวขอพรพระบัวเข็มได้อีก ด้วย ส่วนด้านข้างของพระบัวเข็มนั้น มีพระเกจิอาจารย์ ชื่อดังให้เราได้สักการะมากมายไม่ว่าจะเป็น หลวงพ่อโต หลวงปู่มั่น หลวงพ่อสด หลวงปู่ศุข หลวงพ่อเงิน เรียก ได้ว่ารวมพระเกจิทั่วทุกภูมิภาคของไทยไว้เลยค่ะ
10
ถัดมาเราก็จะพบกับ “พระสองพี่น้อง” มี ลักษณะครึ่งองค์หันหลังชนกัน เป็นปางห้ามญาติ และปางห้ามสมุทร ซึ่งเป็นพระพุทธรูปเก่าแก่สมัย อยุธยา ได้ขุดพบบริเวณบ่อน้ำ�จืดภายในวัดสาขลา นอกจากนี้ก่อนที่เราจะเดินออกประตูนั้น เราจะพบ กับ ฐานหลวงพ่อโตศักดิ์สิทธิ์ให้ได้ขอพรกันอีกด้วย จากนั้นก็ออกจากประตู แต่ประตูทางออกของที่ นี่ก็ไม่แพ้ทางเข้าเลยค่ะ เพราะต้องลอดท้องช้างออก จากใต้โบสถ์กันเลยทีเดียว เพื่อความเป็นสิริมงคล บางคนถึงกับเปิดกระเป๋าตังค์รับทรัพย์ระหว่างลอด กันเลย
หลังจากลอดโบสถ์ออกมา ตามทางเดินมีสิ่งศักดิ์ให้ได้สักการะ เช่น แม่นางไม้ เทวดา ประจำ�วันเกิด บรมครูปู่ชีวกโกมารภัจ และนอกจากนี้ยังมี สถานที่ๆ น่าสนใจอีกมากมายไม่ว่า จะเป็น พิพิธภัณฑ์เทพศรีสาขลา เป็นที่รวบรวมเอามหาเทพจากศาสนาฮินดูมาไว้ที่นี่
11
ห้องถัดมาคือห้องพระเกจิอาจารย์ทั่วประเทศไทย ที่รวบรวมเอาพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง ทั่วทุกมุมของประเทศไทยมาไว้ที่นี่ที่เดียว ไม่ว่าจะเป็น หลวงพ่อคูณ หลวงปู่มั่น หลวงปู่ศุข หลวงปู่แหวน หลวงปู่ทวด หลวงพ่อเงิน หลวงพ่อแช่ม เป็นต้น ซึ่งพระเกจิอาจารย์เหล่านี้เป็น พระที่ชาวบ้านร่วมกันจัดสร้างถวายวัดด้วยจิตศรัทธาทั้งสิ้น
ตลอดทางเดินเราจะพบคำ�คม คติสอนใจอยู่ทั่วทุกที่ทุกมุม มีมากมายหลายคำ�คม บาง คำ�อ่านแล้วถึงกับต้องหลั่งน้ำ�ตากันเลยทีเดียว ก็มันกินใจจริงๆนะค่ะ ไม่เชื่อลองไปอ่านกันได้ อ่านแล้วก็อย่าลืมเก็บมาคิด แล้วนำ�มาใช้นะคะทุกคน
12
หลังจากอิ่มบุญกันเสร็จแล้ว ออกมาเดินสูดอากาศสดชื่นไปเรื่อยๆ แล้วเราก็จะไปต่อกันที่ ‘พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านสาขลา’ จะพบกับเรือนไม้หลังใหญ่สองชั้น ด้านล่างจะเป็นรูปวิถีชีวิตเก่าๆ ของชาวบ้านในแถบนั้นนับสิบๆรูป ดูแล้วทำ�ให้นึกถึงวันเก่าๆ ขึ้นมาทันทีเลยค่ะ เมื่อเราเดินขึ้นบันไดไม้ไปบนชั้นที่สองจะพบกับ พิพิธภัณฑ์บ้านสาขลา ซึ่งด้านในเป็นที่ เก็บรวบรวมของเก่าหายาก ไม่ว่าจะเป็น ถ้วย จาน ชาม โบราณ พระพุทธรูป และรวบรวม เอาอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้การหาเลี้ยงชีพของชาวบ้านในสมัยก่อน ทั้ง ตะคร้อง สลักแทงปู ตะเกียงแก๊ส ไห เรียกได้ว่าอายุของอุปกรณ์ทุกชิ้นรวมกันเกินพันปีอย่างแน่นอนค่ะ
13
ชุมชนบ้านสาขลา
14
วันวาน บ้านสาขลา
บ้านสาขลานั้น เป็นหมู่บ้านหนึ่งที่ตั้ง อยู่ใน ตำ�บลนาเกลือ อำ�เภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ สันนิษฐานว่าเป็น หมู่บ้านใหญ่มาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น มีพระปรางค์องค์หนึ่งบริเวณหน้าวัด เข้าใจกัน ว่าสร้างในสมัยอยุธยา รูปทรงเป็นเจดีย์ยอด ปรางค์ ย่อมุมไม้สิบสอง เป็นพระปรางค์ที่ยอด เอนจากจุดตั้งฉากไปทางทิศตะวันตกประมาณ ๑๕ องศา
15
วิถีชีวิตชาวบ้านสาขลา เป็นชุมชนชาวประมง อาชีพส่วนใหญ่ทำ�การประมงและ ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ทะเล เช่น กะปิ กุ้งเหยียด ฯลฯ แต่สิ่งที่น่าสนใจของบ้านสาขลา คือ ความแตกต่างระหว่างชุมชนเมือง และวิถีชีวิตเรียบง่ายแบบชนบทดั้งเดิม
16
ส่องวิถี บ้านสาขลา สภาพแวดล้อมที่หมู่บ้านสาขลานั้น ตั้งอยู่ท่ามกลาง ป่าชายเลน จะมีความแปลกกว่าที่อื่นอย่างเห็นได้ชัด เพราะบ้านสาขลาเป็นบ้านสามน้ำ� สามป่า สามนา และ สามหอย โดยมีความหมายมาจากทรัพยากรต่างๆ ที่เป็น องค์ประกอบของบ้านสาขลา ดังนี้
สามน้ำ� คือ มีทั้ง น้ำ�จืด น้ำ�กร่อย และน้ำ�เค็ม สามป่า คือ ป่าแสม ป่าจาก ป่าโกงกาง และยังมี ป่าอีกส่วนหนึ่งซึ่งแต่เดิมเป็นเส้นทางการ เดินทางจากบ้านสาขลาออกมาด้านคลอง บางปลากด เป็นป่าที่มีสัตว์ป่า เช่น เก้ง สมัน เนื้อ เสือ ส่วนในน้ำ�มีจระเข้น้ำ�จืด สามนา คือ นาข้าว นากุ้ง ปลา และนาเกลือ สามหอย ได้แก่ หอยแครง หอยแมลงภู่ หอยนางรม และหอยกระพง
17
การทำ�นาเกลือเป็นอาชีพหลักของชาวสาขลามาตั้งแต่ครั้งดึกดำ�บรรพ์ ทำ�เฉพาะในฤดู แล้งกับฤดูหนาว พอถึงฤดูฝนก็ต้องเลิกทำ�เพราะฝนตกมากทำ�นาเกลือไม่ได้ผล ชาวนาเกลือก็ จะเปลี่ยนอาชีพไปทำ�การประมง เพื่อหารายได้มาเลี้ยงครอบครัว แต่นาเกลือของชาวสาขลา นั้น คุณภาพของเกลือที่ได้ยังสู้ที่อื่นไม่ได้ ซึ่งชาวสาขลาส่วนใหญ่จึงเปลี่ยนอาชีพใหม่ หันมา ทำ�นากุ้งนาปูกันมากขึ้น นาเกลือจึงเปลี่ยนสภาพเป็นวังกุ้งเสียเป็นส่วนมาก เพราะพื้นที่ทำ�นา เกลือกักขังน้ำ�ไม่ให้รั่วไหลอยู่แล้ว การทำ�วังกุ้งต้องขังน้ำ�ในนาให้อยู่ และทำ�ประตูน้ำ�สำ�หรับ ระบายน้ำ�เข้า-ออก เพื่อไขน้ำ�ทะเลเข้าในนา
18
โอ้โห... OTOP ก่อนกลับจากที่นี่!! ขอบอกเลยว่าทุกสายตาจะต้องจับจ้อง บางคนอาจจะเห็นตั้งแต่ตอนเข้ามาแล้ว กองส้มๆหอมๆน่ากินๆ ซึ่งนั่นก็คือ “กุ้งเหยียด” สินค้า OTOP ขึ้นชื่อของบ้านสาขลา ซึ่งว่ากันว่าถ้าใครไม่กินถือว่ามาไม่ถึง ไหนๆก็มาถึงแล้วก็ขอแวะ ชิมสักหน่อย กุ้งเหยียดนั้นถือเป็นของขึ้นชื่อของบ้านสาขลา เป็น ภูมิปัญญาของชาวบ้าน โดยเริ่มจากการทำ�กินกันเองในครัวเรือน แล้วพอถูกใจในรสชาติจึงได้สอนเพื่อนบ้านทำ�จนแพร่หลายมา จนถึงปัจจุบัน ร้านกุ้งเหยียดมีให้เลือกซื้อเป็นของฝากอยู่หลายร้าน แต่ร้านที่ขอแนะนำ�นั้น คือ ‘ร้านกุ้งเหยียด ป้าสุนทร’ค่ะ เพราะเป็นร้านที่ได้รับรางวัลต่างๆมากมาย อีกทั้งป้าสุนทรเจ้าของร้านยังอัธยาศัยดี แถมยังแบ่งปันเคล็ดลับรสชาติความอร่อยและกรรมวิธีในการทำ�กุ้งเหยียดให้แก่ผู้ที่สนใจอีกด้วยค่ะ ผ่านไปผ่านมาก็อย่าลืมแวะไปอุดหนุนกันนะคะ
19
How to cook
!
1.
4-5
2.
3.
5. 1.30 .
4.
finish!
"
"
20
“ตลาดโบราณ บ้านสาขลา”
หลังจากที่อิ่มกับการทำ�บุญมาแล้วก็มาอิ่มท้องกันที่ “ตลาดโบราณ บ้านสาขลา” ยิ่งถ้าคุณเป็นคนที่ชอบเดินตลาดชมวิถีชีวิตที่แสนเรียบง่าย และสงบของคนในชุมชน ดิฉันรับรองว่ายิ่งต้องชอบที่นี่แน่นอน กับ “ตลาดโบราณบ้านสาขลา” ซึ่งตลาดโบราณ บ้านสาขลานี้ เพิ่งได้ฤกษ์งามยามดีเปิดตลาดไปเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2558 นี่เองค่ะ ตลาดโบราณบ้านสาขลานั้นเกิดขึ้นจากความร่วมมือจากส่วนราชการ ท่านเจ้า อาวาสวัดสาขลา ผู้นำ�ชุมชนสาขลา และชาวบ้านในชุมชนสาขลา ที่จะต้องการปักหมุด บ้านสาขลาให้เป็นจุดในการท่องเที่ยว และด้วยวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวสาขลา ที่มีการ ค้าขายของกินของใช้กันในชุมชนกันมานาน แต่มาคราวนี้ได้เปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวที่ เสาะแสวงหาวิถีชีวิตพื้นบ้านแบบชุมชนเรียบง่าย ตลาดโบราณบ้านสาขลา เปิดเสาร์-อาทิตย์ 07.00 -18.00น. แต่ต้องรีบมากันนะ เพราะตอนบ่ายๆตลาดก็วายซะแล้ว ซึ่งในตลาดนั้นมีของขายมากมาย อาทิ ขนมไทย อาหารคาวหวาน ของเล่น ของเครื่องใช้และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งภายในตลาดนั้นมีร้านที่ ถือว่าขาชิมไม่ควรพลาด แต่จะเป็นร้านไหนบ้างนั้น เราไปดูกันเลยดีกว่าค่ะ
21
มาที่ร้านแรก คือ ‘ร้านลุงชอุ่ม’ ถ้าใครไม่ไปกินถือว่าพลาดมาก เพราะอาหารอร่อยมาก ซึ่งในร้านลุงชอุ่มนั้นขายอาหารตามสั่ง มีทั้งก๋วยเตี๋ยว หอยทอด ผัดไท และน้ำ�แข็งใส แต่ แต่ แต่ แต่... ไฮไลท์ที่ทุกคนต้องลองนั้น ที่เรียกได้ว่าเป็นพระเอกของร้านนี้ก็คือ “ผัดไท” เพราะ อร่อยจนไม่ต้องปรุงกันเลยทีเดียว เมนูนี้ดิฉันรับประกันค่ะ และบวกกับบรรยากาศในร้านที่ ติดกับริมคลอง และบรรยากาศในร้านที่คลาสสิกสุดๆ เหมาะสำ�หรับคนชิคๆเลยก็ว่าได้ ที่เด็ด สุดคืออาหารก็ไม่แพง อร่อย ปรุงกันในร้านให้เห็นๆเลย ถัดจากร้านลุงชอุ่มมาเล็กน้อยก็พบกับร้าน ขนมหวานชื่อร้านว่า ‘ร้านป้าอ้อย’ ซึ่งในร้านป้า อ้อยนะมีของหวานเยอะมาก เช่น ขนมหม้อแกง ข้าวเหนียวตัด ทองหยิบ ทองหยอด ขนมเปียกปูน ขนมชั้น และอีกมากมาย ที่สำ�คัญที่สุดคือป้าอ้อย เป็นคนทำ�เอง ขายเอง ขอการันตีเลยว่าอร่อยจริง ขอบอก เลยจากร้านป้าอ้อยมานิดเดียว เราจะมาเจอกับร้านๆหนึ่ง คือ ‘ร้านข้าวต้มน้ำ�แดง’ ที่หาทานที่ไหนไม่ได้เลยต้องที่นี่เท่านั้น บ้านสาขลา แต่ถ้าใครอยากกินต้องรีบมากันหน่อยเพราะขายดี สุดๆ ขนาดไปตั้งแต่เช้าก็ยังหมดเกลี้ยง เรียกได้ว่าขายดีจริงๆ
22
ถ้าใครยังไม่มีของฝากต้องที่นี่เลย ‘ชุมชนรามเกียรต์’ เพราะมีของฝากมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพวงกุญแจ กล้ามปู ซึ่งราคาไม่แพงอันละ 10 บาทเท่านั้นเอง แต่ถ้าใครอยากได้ชิ้นใหญ่ก็มี กระดองปูรามเกียรติ์ เป็นการนำ�เอากระดองปูทะเลมาตากแห้ง จากนั้น นำ�มาเคลือบแล้วทำ�การเพ้นท์ลายรามเกียรติ์ลงบน กระดองปูให้สวยงาม ซึ่งราคาจะมีตั้งแต่หลักร้อย จนถึงหลักพันเลยทีเดียว และที่สำ�คัญเป็นสินค้า OTOP ระดับ 4 ดาว เลย ทุกคนที่เข้ามาตลาดโบราณบ้านสาขลาจะต้องมาที่นี่ให้ได้ คือ ‘พิพิธภัณฑ์บ้านโบราณ’ เพราะเป็นไฮไลท์ชุมชนนี่เลย ซึ่งในบ้านโบราณนั้นเต็มไปด้วยของเก่าหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น กระดองปู กุ้งมังกร ตัวนาก ตัวเงินตัวทอง และปลาชนิดต่างๆ แต่ที่พีคสุดๆเลยที่นี่ก็คืองู แต่ไม่ต้องตกใจนะค่ะ เขาสตาฟไว้หมดแล้ว ที่บอกว่าพีคเพราะมีงูเยอะมากๆ และมีหลายขนาด หลายท่าทาง ซึ่งบางตัวนี่ใหญ่กว่าตัวคนอีก และงูบางชนิดนั้นก็เอาแค่ลำ�ตัวมา ส่วนหัวงูที่แผ่ แม่เบี้ยนั้นจะทำ�ขึ้นมาเองเพราะหัวงูนั้นมีพิษ และในบ้านโบราณยังมีของขายด้วยนะคะ พวก แหวน สร้อย ที่ราคาถูกแถมสวยอีกด้วย และเจ้าของบ้านโบราณก็เฟรนลี่สุดๆเลย ถึงขั้นจับงูที่ สตาฟไว้แล้วให้มาเป็นพร็อพในการถ่ายรูปอีกด้วย ถือว่าเป็นการเซลฟี่เสียวๆไปอีกแบบ ใครที่ ชอบของเก่าของบอกเลยว่าบ้านโบราณนี่ห้ามพลาดเด็ดขาดของเขาดีจริงๆ
23
เดินผ่านไปผ่านมาก็มาเจอเจ้าตูบนางนี้ นางมีชื่อว่า “ติงต๊อง” เป็นเซเลปตัวดังของที่นี่ค่ะ ไม่ว่านางจะหลบร้อนอยู่บ้านไหน เพียงแค่ตะโกน ดังๆว่า ต๊อง !! ก็จะวิ่งออกมาตามหาเจ้าของเสียง อย่างด่วน แต่ใครที่อยากเซลฟี่สวยๆกับต๊อง บอกเลยว่าต้องมีของหวานมาหลอกล่อนะคะ เพราะนางโปรดปรานที่สุด
ผู้จัดทำ�
ดวงกมล ตั้งจิตเพียรโชค - เบลล์ -
รัชดากร พึ่งสาย - ครีม -
Editor & Art Director
P h o t o g r a p h e r
นพรัตน์ กลับศรี - อาม Writer
ลดากร ยี่สุ้นแสง - คะแนน -
อรพรรณ สวัสดีผล - แอน -
Illustrator
Illustrator
เสาวลักษณ์ บุญเกิด - หญิง Writer & Proofreader