๙ คำพ่อสอน BG Magazine#13

Page 1

๙ คําพอสอน |

MAGAZ INE

ฉบับที่ ๑๓ | พ.ย. - ธ.ค. ๒๕๕๙


๒ | ๙ คําพอสอน

ธ ส ถิ ต ใ น ด ว ง ใ จ ไ ท ย นิ รั น ด ร

ภาพ : จํานงค์ ภิรมย์ภกั ดี


๙ คําพอสอน พระราชประวั ติ |

พระราชประวัติ “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช”

ทรงพระราชสมภพ

ระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชสมภพเมื�อวันที� ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๐ ณ โรงพยาบาลเมานท์ออเบอร์ น รัฐแมสซาชูเสตต์ ประเทศ สหรัฐอเมริกา เป็ นพระราชโอรสองค์สดุ ท้ องในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดช วิกรม พระบรมราชชนก และสมเด็จพระศรี นคริ นทรา บรมราชชนนี ทรงพระนามเดิมว่า “พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้ าภูมพิ ลอดุลยเดช” เป็ นพระอนุชาใน พระบาทสมเด็จพระปรเมนทร มหาอานันทมหิดล และ สมเด็จพระเจ้ าพี�นางเธอ เจ้ าฟ้ากัลยาณิวฒ ั นา กรมหลวงนราธิวาส ราชนคริ นทร์ ทรงเข้ ารับการศึกษาที�โรงเรี ยนมาแตร์ เดอี เมื�อพระชนมายุได้ ๕ พรรษา จากนันเสด็ � จ ไปศึกษาต่อในชันประถมศึ � กษาที�โรงเรี ยนเมียร์ มองต์ และโรงเรี ยนเอคอล นูแวล เดอ ลา สวิส โรมองด์ ซึง� เป็ นโรงเรียนเอกชนทีร� ับนักเรียนนานาชาติ ณ เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์ แลนด์ ทรงได้ รับประกาศนียบัตรทางอักษรศิลป์ จากยิมนาส คลาซีค กองโตนาล แห่งเมืองโลซานน์ ก่อนทรงเข้ าศึกษาต่อในแผนกวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเมืองโลซานน์ ปี พ.ศ. ๒๔๘๑ พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้ าภูมิพลอดุลยเดช เสด็จนิวตั กลับประเทศไทย พร้ อมด้ วยพระบรมเชษฐาธิราช พระบรมราชชนนี และสมเด็จพระเจ้ าพี�นางเธอ ครองราชย

วันที� ๙ มิถนุ ายน พ.ศ. ๒๔๘๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้ าอยูห่ วั อานันทมหิดล เสด็จสวรรคต คณะรัฐมนตรี ได้ มีมติให้ กราบบังคมทูลอัญเชิญ สมเด็จพระเจ้ าน้ องยาเธอเจ้ าฟ้ า ภู มิ พ ล อดุล ยเดช เสด็ จ ครองราชสมบัติ ขึน� เป็ น พระมหากษั ต ริ ย์ อ งค์ ท� ี ๙ แห่ ง ราชวงศ์ จั ก รี ทรงมีพระนามว่า “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมพิ ลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรี นฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร” และรั ฐ บาลได้ แต่ ง ตั ง� ผู้ สํ า เร็ จ ราชการ บริ ห ารราชการแผ่ น ดิ น แทนพระองค์ เนื� อ งจากยังทรงพระเยาว์ และต้ องทรง ศึกษาต่อ ณ ต่างประเทศ เมื�อวันที� ๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ ได้ เสด็จพระราชดําเนินกลับ ไปทรงศึกษาต่อ ณ กรุงโลซานน์ แม้ พระองค์จะทรงโปรดวิชาวิศวกรรมศาสตร์ แต่เพือ� ประโยชน์ ในการปกครองประเทศได้ ทรงเปลี�ยนมาศึกษาวิชาการปกครองแทนเช่น วิชากฎหมาย อักษรศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ ภูมิศาสตร์ นอกจากนี � ทรงศึกษาและฝึ กฝนการ ดนตรี ด้วยพระองค์เองด้ วย ระหว่างที�ประทับอยูใ่ นต่างประเทศทรงหมันกั � บ หม่อมราชวงศ์สริ ิ กิต�ิ กิติยากร ธิดาใน พระวรวงศ์เธอ กรมหมื�นจันทบุรีสรุ นาถ และ หม่อมหลวงบัว กิติยากร และเมื�อเสด็จนิวตั พระนครทรงมีพระราชพิธีอภิเษกสมรสในปี พ.ศ. ๒๔๙๓ ก่อนที�จะสถาปนาหม่อมราชวงศ์ สิริกิติ� กิตยิ ากร ขึ �นเป็ น สมเด็จพระนางเจ้ าสิริกิติ� พระบรมราชินี


๔ | ๙ คําพอสอน

พระบรมราชาภิเษก

พระบาทสมเด็จพระเจ้ าอยูห่ วั ภูมพิ ลอดุลยเดช ทรงเข้ าพิธีบรมราชาภิเษก เมือ� วันที� ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ ณ พระทีน� งั� ไพศาลทักษิณในพระบรม มหาราชวัง เฉลิมพระนามาภิไธยตามที�จารึ กใน พระสุพรรณบัฏ ว่า “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา ภู มิ พ ลอดุ ล ยเดช มหิ ต ลาธิ เ บศรรามาธิ บ ดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร” ทรงมีพระปฐมบรมราชโองการ ว่า “เราจะ ครองแผ่ นดินโดยธรรม เพื�อประโยชน์ สุขแห่ ง มหาชนชาวสยาม” หลังเสร็จการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแล้ ว ได้ เสด็จพระราชดําเนินไปทรงรักษาพระสุขภาพ ณ เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์ แลนด์ ตามที� คณะแพทย์ถวายคําแนะนํา ในระหว่างที�ประทับ อยู่ ณ เมืองโลซานน์ นัน� สมเด็จพระนางเจ้ าสิริกิต�ิ พระบรมราชินี ได้ ทรงมีพระประสูตกิ าลพระราชธิดา พระองค์ แ รก คื อ สมเด็จพระเจ้ าลูก เธอ เจ้ า ฟ้า อุบลรัตนราชกัญญา สิริวฒ ั นาพรรณวดี ในวันที� ๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๔ เมื� อ พระบาทสมเด็จพระเจ้ าอยู่หัวภูมิพล อดุลยเดช เสด็จนิวตั พระนครในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๔ แล้ ว สมเด็จพระนางเจ้ าฯ พระบรม ราชิ นี ทรงมี พ ระประสูติ ก าลพระราชโอรสและ พระราชธิดา อีก ๓ พระองค์ คือ สมเด็จพระเจ้ าลูกเธอเจ้ าฟ้าวชิ ราลงกรณ์ ประสูติ เ มื� อ วัน ที� ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๕ ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้ าฯ สถาปนาขึ �นเป็ น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเจ้ าลูกเธอ เจ้ าฟ้าสิรินธรเทพรัตน สุ ด า กิ ติ วั ฒ นาดุ ล โสภาคย์ ประสู ติ เ มื� อ วั น ที� ๒ เมษายน พ.ศ.๒๔๙๘ ต่อมาทรงพระกรุ ณาโปรดเกล้ าฯ สถาปนา ขึ �นเป็ น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้ าฟ้ามหาจักรี สิรินธร รัฎสีมาคุณากรปิ ยชาติ สยามบรมราชกุมารี สมเด็ จ พระเจ้ าลู ก เธอ เจ้ าฟ้ า จุ ฬ าภรณ วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ประสูติเมื� อวันที� ๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๐


๙ คําพอสอน พระราชประวั ติ |

ทรงพระผนวช

วันที� ๒๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๙ พระบาทสมเด็จ พระเจ้ าอยู่ หั ว ภู มิ พ ลอดุ ล ยเดช ทรงพระผนวช ณ วั ด พระศรี รั ต นศาสดาราม ทรงจํ า พรรษา ณ พระตําหนักปัน� หย่า วัดบวรนิเวศวิหาร ปฏิบตั พิ ระศาสนกิจ เป็ นเวลา ๑๕ วัน ระหว่างนี �สมเด็จพระนางเจ้ าสิริกิต�ิ พระบรมราชิ นี ทรงปฏิ บัติ พ ระราชกรณี ย กิ จ แทน พระองค์ ต่อมาจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้ าฯ สถาปนา เป็ น สมเด็จพระนางเจ้ าสิริกิติ� พระบรมราชินีนาถ

พระราชกรณียกิจ

พระบาทสมเด็ จ พระเจ้ า อยู่หัว พระราชทาน โครงการนานัปการมากกว่า ๒,๐๐๐ โครงการ ทังการ � แพทย์สาธารณสุข การเกษตร การชลประทาน การ พัฒนาที�ดิน การศึกษา การพระศาสนา การสังคม วัฒ นธรรม การคมนาคม ตลอดจนการเศรษฐกิ จ

เพื�อประโยชน์สขุ ของพสกนิกรในชนบท ทรงตรากตรํ า พระวรกายทรงงานอย่ า งมิ ท รงเหน็ ด เหนื� อ ย เสด็จทุกพื �นทีท� วั� ประเทศไทย ยามประเทศประสบภาวะ เศรษฐกิ จ ก็ ได้ พระราชทานแนวทางดํ ารงชี พแบบ “เศรษฐกิจพอเพียง” และ “ทฤษฎีใหม่” ให้ ราษฎรได้ พงึ� ตนเอง ใช้ ผืนแผ่นดินให้ เกิดประโยชน์สงู สุด ซึง� ราษฎร ได้ ยดึ ถือปฏิบตั ิเป็ นผลดีอยูใ่ นปั จจุบนั แม้ ในยามทรง พระประชวร ก็ มิ ไ ด้ ท รงหยุด ยัง� พระราชกรณี ย กิ จ เพือ� ขจัดความทุกข์ผดุงสุขแก่พสกนิกร กลางแดดแผดกล้า พระเสโทหลัง� ชุ่มพระพักตร์ และพระวรกาย หยาดตก ต้ องผืนปฐพี ประดุจนํา� ทิพย์มนต์ชโลมแผ่นดินแล้ ง ร้ างให้ กลับคืนความอุดมสมบูรณ์นบั แต่เสด็จขึ �นครอง ราชย์ตราบจนเสด็จสวรรคต เสด็จสวรรคต

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมพิ ลอดุลยเดช เสด็ จ สวรรคต เมื� อ วั น พฤหั ส บดี ที� ๑๓ ตุ ล าคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ เวลา ๑๕ นาฬิกา ๕๒ นาที ณ โรงพยาบาลศิ ริ ร าช ด้ ว ยพระอาการสงบ สิ ริ พระชนมพรรษาปี ที� ๘๙ ทรงครองราชสมบัตไิ ด้ ๗๐ ปี ทรงได้ รับการเฉลิมพระเกียรติเป็ น “KING OF KINGS” ทรงเป็ น “พระมหากษั ตริ ย์ท� ีทรงครอง ราชย์ นานที�สุดในโลก” ทรงเป็ นพระมหากษัตริ ย์ที�มี พระอัจฉริ ยภาพหลายสาขา ทังดนตรี � กีฬา จิตรกรรม วรรณกรรม ทรงเป็ น “อัครศิลปิ น” และได้ รับการเทิด พระเกียรติเป็ น “พระมหากษัตริย์นักพัฒนา ที�ทรง งานหนักที�สุดในโลก” เพื�อพสกนิกรชาวไทย


๖ | ๙ คําพอสอน

“...ขาพเจาเปนกษัตริย แตหนาที่ของขาพเจาไมใชหนาที่ของกษัตริย เปนสิ่งยากที่จะระบุ ขาพเจาเพียงแคทําสิ่งตางๆ ที่ขาพเจาคิดวาจะเปนประโยชนตอประเทศไทย

ทานถามขาพเจาวา ขาพเจามีแผนไหม ขาพเจาไมมแ ี ผน ขาพเจารูแ  ควา  ขาพเจาตองทําอะไร แลวก็ลงมือทํา ขาพเจาไมรูวามันคืออะไรบาง แตมันจะตองเปนประโยชนตอประเทศชาติ...” พระราชดํารัส พระทานสัมภาษณแก BBC จากสารคดี Soul of Nation – The Royal Family of Thailand พ.ศ. ๒๕๒๓

ภาพ : นพพีระ โบศรี


๙ คําพ สอน ๑ ความรับผิดชอบต ออ หน าที่ |

ความรับผิดชอบ ตอหนาที่

“...เมื�อมีโอกาสและมีงานทํา ควรเต็มใจทําโดยไม่ จาํ เป็ นต้ องตัง� ข้ อแม้ หรื อเงื�อนไขอันใด ไว้ ให้ เป็ นเครื� องกีดขวาง คนที�ทาํ งาน ได้ จริงๆ นัน� ไม่ ว่าจะจับงานสิ�งใด ย่ อมทําได้ เสมอ ถ้ ายิ�งมีความ เอาใจใส่ มีความขยัน และความซื�อสัตย์ สุจริต ก็ย� งิ จะช่ วยให้ ประสบผลสําเร็จในงานที�ทาํ สูงขึน� ...” (พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร วิทยาลัยเทคโนโลยี และอาชีวศึกษา วันที� ๘ กรกฎาคม ๒๕๓๐)

“...การทํางานยากลําบากกว่าการเรี ยน การเรี ยนนันเรี � ยนตาม หลักสูตร หรือเรียนวิชาต่าง ๆ ตามทีท� างมหาวิทยาลัยจัดลําดับให้ แต่การทํางานไม่มีหลักสูตรวางไว้ จําจะต้ องให้ ความริ เริ� มและ ความคิดพิจารณาด้ วยตนเอง ในอันที�จะทําสิง� ใด อย่างไร เมื�อใด หากไม่ร้ ูจกั พิจารณาใช้ ให้ ถกู ช่องถูกโอกาส ถึงมีวชิ าอยู่ ก็ไม่เป็ น ผลแก่งานและแก่ตวั นัก....” (พระบรมราโชวาท ในพิ ธี พ ระราชทานปริ ญ ญาบัต ร จุ ฬ าลงกรณ์ มหาวิทยาลัย วันที� ๓ กรกฎาคม ๒๕๑๒)

“...การทํางานใหญ่ ๆ ทุกอย่าง ต้ องการเวลามากกว่าจะทําสําเร็จ ผู้ที�เริ� มโครงการอาจไม่ทนั ทําให้ สําเร็ จโดยตลอดด้ วยตนเองก็ได้ ต้ องมีผ้ อู นื� รับทําต่อไป ดังนัน� ไม่ควรยกเอาเรื�องใครเป็ นผู้เริ�มงาน ใครเป็ นผู้รับช่วงงานขึน� เป็ นข้ อสําคัญนัก จะต้ องถือผลสําเร็ จ ทีจ� ะเกิดจากงาน เป็ นใหญ่ยงิ� กว่าสิง� อืน� ...” (พระบรมราโชวาท ในพิ ธี พ ระราชทานปริ ญ ญาบัต ร มหาวิ ท ยาลัย ศิลปากร วันที� ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๔)

“...ผูหนักแนนในสัจจะ พูดอยางไร ทําอยางนั้น จึงจะไดรับความสําเร็จ พร อ มทั้ ง ความศรั ท ธาเชื่ อ ถื อ และความยกย อ งสรรเสริ ญ จากคน ทุกฝาย การพูดแลวทํา คือพูดจริงทําจริง จึงเปนปจจัยสําคัญในการ ส ง เสริ ม เกี ย รติ คุ ณ ของบุ ค คลให เ ด น ชั ด และสร า งเสริ ม ความดี ความเจริญใหเกิดขึ้นทั้งแกบุคคลและสวนรวม...” (พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที� ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๔๐)


๘ | ๙ คําพอสอน “...ปั ญ หาทุก อย่ า งไม่ ว่ า เล็ ก หรื อ ใหญ่ มี ท าง แก้ ไขได้ ถ้ ารู้ จกั คิดให้ ดี ปฏิบตั ิให้ ถกู การคิดได้ ดีนนั � มิใช่การคิดได้ ด้วยลูกคิด หรื อด้ วยสมองกล เพราะโลกเราในปั จ จุ บั น จะวิ วั ฒ นาการไป มากเพียงใดก็ตาม ก็ยังไม่มีเครื� องมืออันวิเศษ ชนิดใดสามารถขบคิดแก้ ไขปั ญหาต่างๆ ได้ อย่าง สมบูรณ์ การขบคิดวินิจฉัยปั ญหา จึงต้ องใช้ สติ ปั ญญา คือคิดด้ วยสติร้ ู ตวั อยู่เสมอ เพื�อหยุดยัง� และป้อ งกัน ความประมาทผิ ด พลาดและอคติ ต่างๆ มิให้ เกิดขึ �น ช่วยให้ การใช้ ปัญญาพิจารณา ปั ญหาต่างๆ เป็ นไปอย่างเที�ยงตรง ทําให้ เห็น เหตุเห็นผลที�เกี�ยวเนื�องกัน เป็ นกระบวนการได้ กระจ่างชัดทุกขันตอน…” � (พระบรมราโชวาท ในพิ ธี พ ระราชทานปริ ญ ญาบัต ร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วันที� ๑ สิงหาคม ๒๕๓๙)

“...ในการดําเนินชีวิตของเรา เราต้ องข่มใจไม่กระทําสิง� ใดๆ ที�เรา รู้ สึกด้ วยใจจริ งว่าชัว� ว่าเสื�อม เราต้ องฝื นต้ องต้ านความคิดและ ความประพฤติทกุ อย่างที�เรารู้สกึ ว่าขัดกับธรรมะ เราต้ องกล้ าและ บากบัน� ที�จะกระทําสิง� ที�เราทราบว่าเป็ นความดี เป็ นความถูกต้ อง และเป็ นธรรม ถ้ าเราร่วมกันทําเช่นนี �ให้ ได้ จริ งๆ ให้ ผลของความดี บังเกิดมากขึ �นๆ ก็จะช่วยคํ �าจุนส่วนรวมไว้ มิให้ เสื�อมลงไป และจะ ช่วยให้ ฟืน� คืนดีขึ �นเป็ นลําดับ...” (พระราชดํารัส พระราชทานเพื�อเชิญไปอ่านในพิธีเปิ ดการประชุมยุวพุทธิก สมาคมทัว� ประเทศครัง� ที� ๑๒ วันที� ๑๒ ธันวาคม ๒๕๑๓)

“...การที�จะร่วมมือกันทําให้ งานราบรื� น สําเร็ จ และดําเนินก้ าวหน้ าต่อเนื�องกันไปได้ นนั � นักปฏิบตั ิงานทุกคนจะต้ องมีวินยั สําหรับใช้ กบั ตนเอง คือ ต้ องไม่ประมาทปั ญญา ต้ องรักษาความจริ งใจ ต้ องสลัดทิ �งความคิดจิตใจที�ตํ�าทราม อ่อนแอ และต้ องทราบตระหนักในความ สํารวม ไม่ฟงุ้ เฟ้อ ซึง� เป็ นข้ อปฏิบตั ทิ ี�จะช่วยให้ งานเป็ นงาน และให้ ชีวิตมัน� คงเป็ นสุข...” (พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริ ญญาบัตร มหาวิทยาลัยศรี นคริ นทรวิโรฒ วันที� ๒๑ มิถนุ ายน ๒๕๒๑)

“...ความรู้ทศี� กึ ษามา ซึง� เป็ นความรู้ทางทฤษฎีนนคื ั � อรากฐานและต้ นทุนสําคัญสําหรับทีจ� ะนําไป ปฏิบตั งิ านการ ความรู้ทางทฤษฎีนี จํ� าเป็ นทีจ� ะต้ องทบทวนเสริมสร้ างอยูเ่ สมอ และนํามาประกอบ การปฏิบตั ิ เมื�อเอาความรู้ทางทฤษฎีมาประสมประสานปรุงแต่งกับความรู้จากการปฏิบตั อิ ย่าง สอดคล้ องเหมาะสมแล้ ว งานทีท� าํ ก็จะบรรลุผลทีจ� ะพึงภาคภูมใิ จได้ สมปรารถนา...” (พระบรมราโชวาท ในพิธพี ระราชทานปริญญาบัตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วันที� ๒๓ มิถนุ ายน ๒๕๑๙)

“...ความเจริ ญของประเทศชาติเป็ นความเจริ ญส่วนรวม ซึ�งเกิดจากผลงานหรื อผลของการ กระทําของคนทัง� ชาติ ถื อได้ ว่าทุกคนแบ่งหน้ าที�กันทําประโยชน์ ให้ แก่ชาติ ตามความถนัด และความสามารถ และต่างคนต่างก็ได้ เกื �อกูลกันและกัน ไม่มีผ้ ใู ดจะอยู่ได้ และทํางานให้ แก่ ประเทศชาติได้ โดยลําพังตนเอง...” (พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริ ญญาบัตร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที� ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๑๓)


๙ คําพ สอน ๑ ความรับผิดชอบต ออ หน าที่ |

“...ในการปฏิบตั ิราชการนัน� ขอให้ ทําหน้ าที�เพื�อหน้ าที� อย่านึกถึง บําเหน็จรางวัลหรื อผลประโยชน์ให้ มาก ขอให้ ถือว่าการทําหน้ าที�ได้ สมบู ร ณ์ เ ป็ น ทัง� รางวัล และประโยชน์ อ ย่ า งประเสริ ฐ จะทํ า ให้ บ้ านเมืองไทยของเราอยูเ่ ย็นเป็ นสุขและมัน� คง...” (พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่ข้าราชการพลเรือน วันที� ๑ เมษายน ๒๕๓๓)

“…จะทํางานทําการอะไรก็ตาม ถ้ าทําด้ วยร่ างกายมันก็เมื�อยกาย แต่ถ้าทําด้ วยใจจะว่าเมื�อยใจ มันหนักใจ มันเหนื�อยใจ มันเป็ นไปได้ ฉะนัน� การทํางานทําการ ถ้ าทําด้ วยความร่าเริงใจทีจ� ะทํางานทําการ ความเมื�อยนันจะหมดไป � ความเหนื�อยจะไม่มีหรื อมีแล้ วเราก็ไม่รับ เพราะว่าความเมื� อยของกายความเหนื� อยของใจนัน� มันมี เสมอ แต่ถ้าเราไม่รบั มันจะไปไหน มันก็ไม่มมี นั เกิดเมือ� ยขึ �นมาแล้ วก็หายไป ฉะนัน� การที�จะทํางานให้ ดีก็ต้องมีความร่ าเริ ง ความตังใจที � �จะทํา เมื�อมีความตังใจแล้ � ว ต้ องมีความอดทนเหนียวแน่น…” (พระราชดํารัส พระราชทานแก่คณะบุคคลที�เข้ าเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล เนื�องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที� ๔ ธันวาคม ๒๕๒๓)

“...แต่ละคนต้ องปฏิบตั งิ านของตนด้ วยความเข้ มแข็งที�สดุ โดยไม่เบียดเบียนผู้อื�น แล้ วพยายามร่วมมือกัน ถ้ าเห็นอะไรสิง� ใดที�ไม่ดีไม่งาม ให้ ชว่ ยกันปราบปราม หรื อช่วยกันแก้ ไขด้ วยความตังใจจริ � ง มิใช่วา่ แต่ละคนก็มีชีวติ ของตัว แล้ วก็ไม่ทกุ ข์ถงึ ความไม่สบาย หรื อความไม่ดี ความทุกข์ของผู้อื�น...” (พระราชดํารัส ในงานราชอุทยานสโมสร วันที� ๘ ธันวาคม ๒๕๑๑)

“...ทุกสิง� ทุกอย่าง ทีเ� กิดทีเ� ป็ นอยูแ่ ก่เราในวันนี ย่� อมมีต้นเรื�องมาก่อน ต้ นเรื�องนันคื � อ เหตุ สิง� ทีไ� ด้ รับคือ ผล และผลทีท� า่ นมีความรู้อยูข่ ณะนี � จะเป็ นเหตุให้ เกิดผลอย่างอื�นต่อไปอีก คือ ทําให้ สามารถใช้ ความรู้ ที�มีอยู่ทํางานที�ต้องการได้ แล้ วการทํางานของท่าน ก็จะเป็ นเหตุ ให้เกิดผลอืน� ๆ ต่อเนือ� งกันไปอีก ไม่หยุดยัง� ดังนันที � พ� ดู กันว่า ให้พจิ ารณา เหตุผลให้ ดีนนั � กล่าวอีกนัยหนึ�งก็คือ ให้ พิจารณาการกระทําหรื อ กรรมของตนให้ ดีนนั� เอง คนเราโดยมากมักนึกว่า อนาคตจะเป็ น อย่างไรเราทราบไม่ได้ แต่ที�จริ งเราย่อมจะทราบได้ บ้างเหมือนกัน เพราะอนาคต ก็คือ ผลของการกระทําในปั จจุบนั ...” (พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริ ญญาบัตร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที� ๘ กรกฎาคม ๒๕๑๙)

“…ในการดําเนินชีวิตและการประกอบกิจการงาน ย่อมจะต้ องมี ปั ญหาต่างๆ เป็ นอุปสรรคขัดขวางความสําเร็ จอยู่เสมอยากที�ผ้ ใู ด หรื อสิง� หนึง� สิง� ใด จะหลีกเลี�ยงพ้ นได้ คนก็มีปัญหาของคน สังคมก็ มีปัญหาของสังคม ประเทศก็มีปัญหาของประเทศ แม้ กระทัง� โลกก็ มีปัญหาของโลก ปั ญหาทีเ� กิดขึ �นในชีวติ และกิจการงาน จึงเป็ นเรื� อง ธรรมดา ข้ อสําคัญ เมื�อมีปัญหาเกิดขึ �นจะต้ องแก้ ไขให้ ลลุ ว่ งไปโดย ไม่ชกั ช้ า ผู้ใดมีสติปัญญาคิดได้ ดี ปฏิบตั ิได้ ถกู ผู้นนก็ ั � มีความหวัง บรรลุถงึ เป้าหมาย มีความสําเร็ จสูง ถ้ าเป็ นตรงกันข้ าม ก็ยากที�จะ ประสบความสําเร็ จสมหวังได้ …” (พระบรมราโชวาท ในพิ ธี พ ระราชทานปริ ญ ญาบัต รของมหาวิ ท ยาลัย ธรรมศาสตร์ วันที� ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๓๗)


๑๐ | ๙ คําพอสอน “…ในการสร้ างอนาคตที�มนั� คงรุ่งโรจน์นนั � นอกจากวิชาความรู้ที�เจนจัดแล้ ว บุคคลยังจําเป็ นต้ องอาศัยคุณสมบัตแิ ละความสามารถพิเศษ อีกหลายด้ าน เป็ นเครื� องอุดหนุนและส่งเสริ มความรู้ของตนด้ วย ข้ อแรก จะต้ องเป็ นคนที�ทําตัวทํางานอย่างมีหลักการ มีระเบียบ มีเหตุผล ที�ถกู ต้ อง เป็ นประโยชน์ เป็ นธรรม ข้ อสอง ต้ องมีความเพียรพยายามอย่างสมํ�าเสมอ ทังในการทํ � างานและการทําความดี แม้ จะมีความ เหนื�อยยาก หรื อมีอปุ สรรคขัดขวางมากมายเพียงใด ก็ไม่ยอ่ ท้ อถอยหลัง ข้ อมูล ต้ องเอาใจใส่ศกึ ษาค้ นคว้ าหาวิชาและความรู้ในเรื� องต่างๆ ให้ ลกึ ซึ �งและกว้ างขวางรอบด้ าน ไว้ สําหรับใช้ เทียบเคียง ประกอบการพิจารณาตัดสินปั ญหาต่างๆ ในการงาน ข้ อสี� ซึง� สําคัญที�สดุ ต้ อง สามารถควบคุมกายใจ คือการกระทําความคิดของตน ให้ สงบหนักแน่น แน่วแน่ในความเป็ นกลางอยูเ่ สมอ แม้ ในเวลามีเหตุชวนให้ วนุ่ วาย สับสน ความสามารถทํากายใจให้ สงบหนักแน่น เป็ นกลาง ห่างจากอคตินี � จะช่วยให้ เกิดสติระลึกรู้ถงึ เหตุถงึ ผล ถึงข้ อเท็จจริ ง และความ ถูกผิดของเรื� องทังปวง � จึงเป็ นอุปการะสําคัญของการคิดพิจารณาปั ญหาต่างๆ เพราะช่วยให้ มองเห็นปั ญหาได้ กระจ่างแจ่มชัด สามารถ ตัดสินชี �ขาดได้ โดยถูกต้ องเที�ยงตรง เป็ นธรรม เป็ นประโยชน์เสมอ ไม่อบั จน…” (พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริ ญญาบัตรแก่บณ ั ฑิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วันที� ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๒๖)

“...แตขอ  สําคัญทีอ ่ ยากจะพูดถึงคือ ถาเราทํา โครงการทีเ่ หมาะสม ขนาดทีเ่ หมาะสม อาจจะ ไมดู ห รู ห รา แต จ ะไม ล  ม หรื อ ถ า มี อั น เป น ไป ก็ไมเสียมาก...” (พระราชดํารัส พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที�เข้ าเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล เนื�องในโอกาส วันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที� ๔ ธันวาคม ๒๕๔๐)

“…งานทุกอย่างมีบุคคล ซึ�งมีชีวิตจิตใจ มีความนึกคิด เป็ นผู้กระทํา ถ้ าผู้ทํามีจิตใจไม่พร้ อม จะทํ า งาน เช่น ไม่ศ รั ทธาในงาน ไม่ส นใจผูก พันกับงาน ผลงานที� ทํ า ก็ ย่อมบกพร่ องไม่คงที� ต่อเมือ� ผู้ปฏิบตั มิ ศี รัทธา เข้ าใจซึ �งถึงประโยชน์ของงาน พร้ อมใจและพอใจทีจ� ะขวนขวายปฏิบตั งิ าน โดยเต็มกําลังความสามารถ งานจึงจะดําเนินไปได้ โดยราบรื�นและบรรลุผลตามทีม� งุ่ หมาย เห็นได้ วา่ การปฏิบตั ิงานทังใหญ่ � น้อย ทุกประเภท ทุกสาขา จําเป็ นต้ องอาศัยปั จจัยส่วนความรู้สกึ นึกคิด เข้ าประกอบเกื อ� กูลด้ วยเสมอ ท่านทัง� หลายจะต้ องทําการงานต่อไปอีกมากมายตลอดชี วิต ขอให้ พยายามขัดเกลานิสยั จิตใจให้ เข้ มแข็ง สุจริตเทีย� งตรง มีศรัทธาและคุณสมบัตขิ องนักปฏิบตั ิ งานพร้ อมสมบูรณ์ แล้ วท่านจะสามารถปฏิบตั ภิ าระหน้ าทีท� กุ อย่าง ให้ บรรลุผลสําเร็จได้ อย่างดีเลิศ สมความประสงค์…” (พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่บณ ั ฑิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที� ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๓๖)

“…การทํ า งานให้ ไ ด้ ยั�งยื นและมั�นคงก้ าวหน้ าไม่เลิก ราท้ อถอย เสียกลางคันนัน� เป็ นสิง� สําคัญอย่างหนึง� สําหรับผู้มหี น้ าทีส� ร้ างสรรค์ ความเจริ ญ ข้ อนี �ขึ �นอยูก่ บั การรักษาเจตนา รักษาความตังใจ � พอใจ และผูกใจในงาน ยิง� กว่าอืน� เพราะความแน่วแน่และพอใจในงานนัน� ย่อมทําให้ เกิดความพากเพียรและอดทนทีจ� ะกระทํางานให้ ตอ่ เนือ� งกัน ไปได้ โ ดยตลอด เมื� อ หมั�น ทํ า อยู่เ สมอ ก็ เ กิ ด ความชํ า นิ ชํ า นาญ และความชํา� ชองคล่องแคล่วช่วยให้ ทาํ งานได้ โดยสะดวก ด้ วยความ เบิกบาน เบาใจ เหมือนกับนักกีฬาที�หมัน� ฝึ กซ้ อม ยิ�งฝึ กได้ ก็ยิ�งได้ ทังกํ � าลัง และความเก่งกาจเพิม� ขึ �น สิง� ทีท� าํ ยาก ก็คอ่ ย ๆ กลายเป็ นง่าย จะทําอะไรก็ทําได้ รวดเร็ วและเหนียวแน่นจนสําเร็จ…” (พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริ ญญาบัตรแก่ผ้ ูสําเร็ จการศึกษา จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา วันที� ๒ สิงหาคม ๒๕๒๗)

“…คนเราถ้ ามีอนามัยแข็งแรง มีจติ ใจ ร่ า เริ ง ก็ ส ามารถที� จ ะทํ า งานได้ ดี มีประสิทธิภาพสูง ถ้ าหากว่าทํางาน เคร่ งเครี ยด ไม่มีความหย่อนใจบ้ าง หรื อไม่มีการปฏิบตั ิเล่นกีฬา ก็จะไม่ สามารถที�จะทํางานที�มีประสิทธิภาพ สูงและมีผลดีตอ่ ส่วนรวม…” (พระราชดํารัส ในโอกาสทีส� มุหราชองครักษ์ นําข้ าราชการสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวง กลาโหม กองบัญชาการทหารสูงสุด กองทัพบก กองทัพเรื อ กองทัพอากาศ และกรมตํารวจ เฝ้า ฯ น้ อมเกล้ า ฯ ถวายเรือใบ ณ พระตําหนัก จิตรลดารโหฐาน วันที� ๒๖ สิงหาคม ๒๕๓๐)


๙ คําพ อสอน ๑ ความรับผิดชอบต อหน าที่ |

๑๑

“…การทํางานอยูร่ ่ วมกับผู้อื�นนัน� ที�จะให้ เป็ นไปโดยราบรื� นปราศจากปั ญหา ข้ อขัดแย้ งย่อมเป็ นไปได้ ยาก เพราะคนจํานวนมากย่อมมี ความคิดความต้ องการที�แตกต่างกันไป มากบ้ างน้ อยบ้ าง ท่านจะต้ องรู้จกั อดทนและอดกลัน� ใช้ ปัญญา ไม่ใช้ อารมณ์ ปรึกษากัน และ โอนอ่อนผ่อนตามกันเหตุผลโดยถือว่าความคิดที�แตกต่างกันนัน� มิใช่เหตุที�จะทําให้ เป็ นข้ อขัดแย้ ง โต้ เถียง เพื�อเอาแพ้ เอาชนะกัน แต่เป็ น เหตุสําคัญที�จะช่วยให้ เกิดความกระจ่างแจ้ ง ทังในวิ � ถีทางและวิธีการปฏิบตั งิ าน…” (พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยขอนแก่น วันที� ๑๗ ธันวาคม ๒๕๔๑)

“...ทุกคนในชาติมหี น้าทีข� องตัว และถ้าแต่ละคน ทําให้ได้อย่างเข้มแข็ง ซือ� สัตย์ สุจริต ประเทศชาติ “…ในการปฏิบตั ทิ งปวง ั� ทังงานที � เ� ป็ นภาระทางโลก ทังงานที � เ� ป็ นการค้ นหาความจริงในทาง ก็ยอ่ มต้องปลอดภัยและก้ าวหน้ าไปอย่างดี...” ธรรม ถ้ าบุคคลระมัดระวังตังใจปฏิ � บตั งิ านให้ เป็ นกลาง โดยใช้ กาํ ลังกาย กําลังใจ และกําลัง (พระราชดํารัส พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ความเพียรให้ พอเหมาะกับงาน และกระทําโดยถูกต้ องเที�ยงตรงพร้ อมด้ วยสติสมั ปชัญญะ ที�เข้ าเฝ้าฯ ถวายชัยมงคล เนื�องในโอกาสวันเฉลิม ไม่ให้ เจือปนด้ วยอคติทงสามประการแล้ ั� ว บุคคลก็จะได้ รบั แต่ผลสําเร็จอันเลิศ ซึง� ประกอบด้ วย พระชนมพรรษา วันที� ๔ ธันวาคม ๒๕๓๓) ความสงบ สะอาด และสว่าง ทีว� า่ สว่างนัน� คือมีปัญญารู้เหตุร้ ูผล รู้ผดิ ชอบชัว� ดี โดยกระจ่าง ชัด เพราะมีใจเป็ นอิสระพ้ นอํานาจครอบงําของอคติ ทีว� า่ สะอาดนัน� คือไม่มคี วามทุจริตทังใน � “…การทํางานนี �ถ้ ามีความเครียดไม่สามารถ กายวาจาใจมาเกลือกกลัวเพราะเห็ � นจริงชัดในกุศลและอกุศล ทีว� า่ สงบนัน� คือเมือ� ไม่ประพฤติ ที� จ ะปฏิ บัติ ง านให้ สํ า เร็ จ ได้ เพราะว่ า ใน ทุจริตทุกๆ ทางแล้ ว ความเดือดร้ อนวุน่ วายจากบาปทุจริตก็ไม่เข้ ามาแผ้ วพาล คนทีป� ระพฤติ ตัวเองในงานการต้ องมีหลักวิชาและต้ องมี ปฏิบตั ติ นปฏิบตั งิ านเป็ นสายกลาง จึงประสบความสุขความร่มเย็นแต่ฝ่ายเดียว…” ร่ างกายที�แข็งแรง ถ้ าหากว่ามีความเครี ยด (พระราชดํารัส เพื�อเชิญไปอ่านในการประชุมสมาคมพุทธศาสนาทัว� ราชอาณาจักร ครัง� ที� ๒๑ ที�จงั หวัด ทํ า วิ ช านั น� ไม่ อ อก ร่ า งกายก็ ท รุ ด โทรม ในส่วนรวมถ้ ามีความเครี ยดก็มีอย่างหนึ�ง นครพนม ระหว่างวันที� ๑๕ – ๑๗ ธันวาคม ๒๕๒๑) ที�เขาเรี ยกว่าความตึงเครี ยด หรื อมีความ เสียดสีกนั มันก็ไม่เหมาะสม ทําให้ งานของ กิ จการใดที�ต้องร่ วมมือกันหลายฝ่ ายไม่มี ความสําเร็ จ ฉะนันการมี � ร่างกายที�แข็งแรง จิ ต ใจร่ า เริ ง ลดความตึ ง เครี ยดก็ ทํ า ให้ งานการทุกอย่างจนกระทัง� ถึงงานของส่วนรวม มิใช่เฉพาะในกองทัพ หรื อในส่วนราชการ สั ง กั ด แ ต่ ทั ง� ป ร ะ เ ท ศ มี ค ว า ม สํ า เ ร็ จ เรี ยบร้ อย…” (พระราชดํ า รั ส ในโอกาสที� ส มุ ห ราชองครั ก ษ์ นํ า ข้ าราชการสั ง กั ด สํ า นั ก งานปลั ด กระทรวง กลาโหมกองบัญชาการทหารสูงสุด กองทัพบก กองทัพเรื อ กองทัพอากาศ และกรมตํารวจเฝ้าฯ น้ อมเกล้ าฯ ถวายเรื อใบ วันที� ๒๖ สิงหาคม ๒๕๓๑)


๑๒ | ๙ คําพอสอน

ประโยชน แกสวนรวม

“...ผู้ท� ที าํ งานให้ เกิดประโยชน์ แก่ ส่วนรวมย่ อม ได้ รับประโยชน์ เป็ นส่ วนของตนด้ วย ผู้ท� ที าํ งาน โดยเห็นแก่ ตัว เบียดเบียนประโยชน์ ส่วนรวม ย่อมบั�นทอนทําลายความมั�นคงของประเทศชาติ และที�สุดตนเองก็จะเอาตัวไม่ รอด...” (พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริ ญญาบัตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ วันที� ๑๑ มกราคม ๒๕๑๒)

ภาพ : จํานงค์ ภิรมย์ภกั ดี

“...ถ้ าท่านเข้ าใจและปฏิบตั ิ ท่านจะเป็ นผู้ทไี� ด้ ชว่ ยประเทศชาติอย่างดี ได้ ทาํ หน้ าทีส� าํ หรับเป็ นตัวอย่างทําหน้ าทีส� าํ หรับเป็ นผู้ทเี� รียกว่าคนดี แล้ วก็ได้ ทาํ หน้ าทีด� ้ วยความดี เพือ� ทีจ� ะมีคนทีด� ี ท่านมีจาํ นวนไม่มาก แต่วา่ ผู้ทไี� ด้ เห็นได้ ทาํ ตาม มีจาํ นวนเป็ นหลายร้ อยหลายพันเป็ นหลายหมืน� แล้ วก็ถ้าทุกคนทําตาม ทําหน้ าทีต� ามวิธีทที� า่ นทํานัน� บ้ านเมืองก็อยูร่ อดได้ ไม่มปี ัญหา...” (พระราชดํารัส ในโอกาสทีป� ระธานศาลปกครองสูงสุดนําตุลาการศาลปกครองขันต้ � นเข้ าเฝ้าฯ เพือ� ถวายสัตย์ปฏิญาณ วันที� ๑๕ กันยายน ๒๕๕๑)

“...เวลานี � บ้ านเมืองของเรากําลังต้ องการการปรับปรุ งและการพัฒนาที�มีประสิทธิภาพ ทางที�เราจะช่วยกันได้ ก็คือ การที�ทําความคิดให้ ถกู และแน่วแน่ ในอันที�จะยึดถือประโยชน์ ของบ้ านเมืองเป็ นที�หมาย ต้ องเพลาการคิดถึงประโยชน์เฉพาะตัวและความขัดแย้ งกัน ในสิ� ง ที� มิ ใ ช่ ส าระลง ต้ อ งหัน หน้ า ปรึ ก ษากัน ด้ ว ยความรู้ คิ ด ด้ ว ยความเป็ น ญาติ มิ ต ร และเป็ นไทยด้ วยกัน...” (พระราชดํารัส พระราชทานแก่ประชาชนชาวไทย ในโอกาสขึ �นปี ใหม่ วันที� ๓๑ ธันวาคม ๒๕๔๒)

“...การยึดมัน� ในผลประโยชน์ ของแผ่นดิน และความถูกต้ องเป็ นธรรม เป็ นสิ�งสําคัญยิ�ง ในการปฏิบตั หิ น้ าทีข� องข้ าราชการเพราะการยึดมัน� ดังกล่าว จะทําให้ มจี ติ ใจมัน� คงเด็ดเดีย� ว ในอันที�จะพากเพียรปฏิบตั ิหน้ าที�ให้ จนบรรลุผลสําเร็ จและสามารถป้องกันความผิดพลาด เสียหายอันจะเกิดแก่งานได้ อย่างแท้ จริ ง...” (พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่ข้าราชการพลเรือน วันที� ๑ เมษายน ๒๕๓๙)


คํส าพ อสอน | ๒ ประโยชน๙ แก วนรวม

๑๓

“...งานของแผ่นดินนันเป็ � นงานส่วนรวม มีผลเกีย� วเนือ� งถึงความเจริญขึ �น หรือเสือ� มลงของบ้านเมือง และสุขทุกข์ของประชาชนทุกคน ข้ าราชการผู้ปฏิบตั ิ บริหารงานของแผ่นดิน จึงต้ องสํานึก ตระหนักในความรับผิดชอบทีม� อี ยูแ่ ละตังใจพยายามปฏิ � บตั หิ น้ าทีโ� ดยเต็มกําลังความสามารถ ด้วยความเข้มแข็งสุจริต และด้วยปัญญา รู้คดิ พิจารณาว่าสิง� ใดเป็นความเจริญ สิง� ใดเป็นความเสือ� ม อะไรเป็ นสิง� ทีต� ้ องทํา อะไรเป็ นสิง� ทีต� ้ องละเว้ นและกําจัด อย่างชัดเจน ถูก ตรง...” (พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่ข้าราชการพลเรือน วันที� ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๐)

“…ปั ญหาต่างๆ เกี�ยวกับสภาวะแวดล้ อม อันเนื�องมาจากมลพิษ หรื อความเสื�อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ ไม่ว่าจะเกิดขึ �นใน ทีห� นึง� ทีใ� ดก็ตาม ย่อมส่งผลกระทบต่อเนือ� งไปถึงทีอ� นื� ๆ ด้ วย เหตุนี � ทุกคนทุกประเทศในโลก จึง ย่อมมี ส่ว นรั บผิ ดชอบอยู่ด้ว ยกัน ทังในการแก้ � ไข ลดปัญหา และปรับปรุง สร้ างเสริมสภาวะแวดล้ อม ให้ กลับคืนมาสู่สภาพอันจะเอื อ� ต่อการมี ชีวิตอยู่อย่างเป็ นสุข ของตนเองและเพื�อนมนุษย์…” (พระราชดํ า รั ส พระราชทานเพื� อ เชิ ญ ลงพิ ม พ์ ใ นหนัง สื อ ที� ร ะลึก ในพิ ธี รับมอบเรื อขจัดคราบนํ �ามัน ซึง� รัฐบาลเดนมาร์ กน้ อมเกล้ าฯ ถวาย วันที� ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๓๗)

“…ชาตินนเปรี ั � ยบได้ กบั ชีวติ คน กล่าวตามหลัก ความจริงคนเราประกอบด้ วยร่างกายส่วนหนึง� จิตใจส่วนหนึ�ง ทังสองส่ � วนคุมกันอยู่บริ บูรณ์ ชี วิตก็คงอยู่ ส่วนใดส่วนหนึ�งทําลายไปชี วิต ก็ แ ตกดั บ เพราะอี ก ส่ ว นหนึ� ง จะต้ องแตก ทํ าลายไปด้ วย ชาติของเรานัน� มี ผืนแผ่นดิน และประชากรอันรวมกันอยู่เป็ นส่วนร่ างกาย มีศลิ ปวิทยา มีธรรมเนียมประเพณี มีความเชือ� ถือ และความคิดจิตใจที�สามัคคีกนั อยูเ่ ป็ นปึ กแผ่น ซึง� รวมเรี ยกว่า “ความเป็ นไทย” เป็ นส่วนจิตใจ ชาติไทยเราดํารงมัน� คงอยูก่ เ็ พราะยังมีทงบ้ ั � านเมือง และความเป็นไทยพร้ อมบริบรู ณ์ แต่ถ้าความเป็นไทย ของเรามีอนั เป็นต้องเสือ� มสลายไปด้วยประการใดแล้ว ชาติ ก็ ต้ อ งสิ น� สูญ เพราะถึ ง หากบ้ า นเมื อ ง และผู้ค นจะยัง อยู่ ก็ ไ ม่ มี สิ� ง ใดประสานยึ ด เหนี�ยวให้ รวมกันอยูไ่ ด้ จะต้ องแตกแยกจากกัน ไปในที�สดุ เหมือนส่วนต่างๆ ของร่างกายที�ต้อง แตกจากกันเมื�อสิ �นชีวิต…” (พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริ ญญาบัตร แก่ผ้ สู าํ เร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วันที� ๒๒ กันยายน ๒๕๒๑)


๑๔ | ๙ คําพอสอน “…การที�เราจะฝึ กตัวสําหรับชีวิตเราจะต้ องรู้ ว่าคนเราอยู่คนเดียวไม่ได้ คนเราจะต้ องสามารถที�จะติดต่อกับคนอื�นร่ วมแรงกันเพื�อที� จะให้ แต่ละคนมีความมัน� คง ก็ต้องมีความมัน� คงของส่วนรวม ฉะนันการร่ � วมแรงนี �ก็เป็ นหลักอย่างหนึ�ง ที�ทกุ คนจะต้ องฝึ กหลักนี �ก็ได้ มีอยูใ่ นหลักการของวิทยาลัยทีจ� ะสอนให้ สามารถร่วมแรงกับผู้อนื� การไปพัฒนาก็ดี การอยูอ่ ย่างเช่นทีไ� ด้ เห็นในบ้ านอนาคตทีไ� ด้ มจี ดั อยูก่ ด็ ี เป็ นการฝึ กให้ สามารถเห็นทางว่าจะใช้ วิชาที�ได้ เรี ยนในทางใดที�จะเหมาะสมและปฏิบตั ิอย่างไรถึงจะเหมาะสม คนเราอยู่คนเดียวไม่ได้ เราจะต้ องฝึ กให้ สามารถที�จะเข้ ากับคนอื�นและร่ วมมือกับคนอื�น วิธีเข้ ากับคนอื�น และร่ วมกับคนอื�นจะต้ องพยายามที�จะเข้ าใจว่า สังคม...คํ าว่าสังคมนี� ก็ไม่ใช่หมายถึงสังคมที� จะไปเล่นสนุกๆ เป็ นสังคมหมายถึงชุมนุมหมู่ชนที� อยู่ด้วยกัน...จะอยู่กันได้ อย่างไร ก็ด้วยการช่วยเหลือซึง� กันและกันทางหลักวิชาสร้ างสรรค์ขึ �นมา และทังอยู � ่ด้วยความเห็นอกเห็นใจ ด้ วยความเมตตาซึง� กันและกัน…” (พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่นกั ศึกษาวิทยาลัยเกษตรกรรมแม่โจ้ เชียงใหม่ วันที� ๓ มกราคม ๒๕๑๖)

“...คนไมมีความสุจริต คนไม มี ค วามมั่ น คง ชอบแต มั ก ง า ย ไม มี วั น จ ะ ส ร  า ง ส ร ร ค  ประโยชน ส  ว นรวมที่ สํ า คั ญ อั น ใดได ผู  ที่ มี ความสุจริตและความ มุ  ง มั่ น เท า นั้ น จึ ง จะ ทํางานสําคัญยิ่งใหญ ที่ เ ป น คุ ณ ประโยชน แทจริงไดสําเร็จ...” (พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที� ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๒๒)

“…ในอันที�จะยึดถือประโยชน์ของชาติบ้านเมืองเป็ นที�หมายต้ องเพลาการคิดถึงประโยชน์ เฉพาะตัวและความขัดแย้ งกันในสิ�งที�มิใช่สาระลงให้ ได้ ผู้ใดที�มีภาระหน้ าที�อนั ใดอยู่ก็เร่ ง กระทําให้ สําเร็ จลุล่วงไปโดยเต็มกํ าลังความรู้ ความคิดและความสามารถ ด้ วยจริ งใจ ด้วยเมตตาปรองดองและความมุง่ มัน� ดีปรารถนาดีตอ่ กัน ผลงานของทุกคนจักได้ประมวลกันขึ �น เป็ นประโยชน์ สขุ ความมัน� คง และความวัฒนาถาวรของประเทศชาติ ซึ�งเป็ นจุดหมาย อันสูงสุดของเรา…” (พระราชดํ ารั ส พระราชทานแก่ ประชาชนชาวไทย ในโอกาสขึน� ปี ใ หม่ พุทธศัก ราช ๒๕๓๗ วันที� ๓๑ ธันวาคม ๒๕๓๖)


คํส าพ อสอน | ๒ ประโยชน๙ แก วนรวม

๑๕

“...ผู้ที�มีความอยู่ดีกินดีนนย่ ั � อมสามารถป้องกันเหตุร้ายต่าง ๆ ได้ ทังในยามปกติ � ทังในยามคั � บขัน เพราะว่าผู้ทมี� ชี วี ติ ทีด� มี อี าหารพอเพียง มี ฐานะมั�นคง ย่อมมี จิตใจแข็งแรง และทํ าให้ ร่างกายแข็งแรง ทําให้ เกิดความเข้ าใจความมัน� คง คือการรักษาความปลอดภัย ของประเทศ และหวงแหนแผ่นดินของตัว...” (พระราชดํารัส ในโอกาสทีผ� ้บู งั คับบัญชาการศูนย์การบินทหารบก นําผู้มจี ติ ศรัทธา เฝ้ า ฯ ทู ล เกล้ าฯ ถวายเงิ น สํ า หรั บ พระราชทานศู น ย์ ก ารบิ น ทหารบก จัดตังโรงสี � ข้าวตามพระราชดําริ วันที� ๑๔ ตุลาคม ๒๕๒๔)

“…ทุกวันนี �ประเทศไทยยังมีทรัพยากรพร้ อมมูล ทังทรั � พยากรธรรมชาติ และทรัพยากรบุคคล ซึง� เราสามารถนํามาใช้เสริมสร้ างความอุดมสมบูรณ์ และเสถียรภาพอันถาวรของบ้ านเมืองได้ เป็ นอย่างดี ข้ อสําคัญเรา จะต้ อ งรู้ จัก ใช้ ท รั พ ยากรนัน� อย่า งฉลาด คื อ ไม่นํ า มาทุ่ม เทใช้ ใ ห้ สิ �นเปลืองไปโดยไร้ ประโยชน์ หรือได้ประโยชน์ไม่ค้มุ ค่า หากแต่ระมัดระวัง ใช้ ด้วยความประหยัดรอบคอบ ประกอบด้ วยความคิดพิจารณา ตามหลักวิชาการ เหตุผล และความถูกต้ องเหมาะสม โดยมุ่งถึง ประโยชน์แท้ จริ งที�เกิดแก่ประเทศชาติ ทังในปั � จจุบนั และอนาคต อันยืนยาว…” (พระราชดํ า รั ส ในการเสด็ จ ออกมหาสมาคม ในงานพระราชพิ ธี เฉลิมพระชนมพรรษา พุทธศักราช ๒๕๒๙ วันที� ๕ ธันวาคม ๒๕๒๙)

“...ถ้ าท่านทังหลายช่ � วยกันคิดช่วยกันทํา แม้ จะมีการเถียงกันบ้ าง แต่ เ ถี ย งด้ วยรากฐานของเหตุ ผ ลและเมตตาซึ� ง กั น และกั น และสิง� ที�สงู สุดที�สดุ ก็คือประโยชน์ร่วมกัน คือ ความพอมี พอกิน พออยู่ ปลอดภัยของประเทศชาติ...” (พระราชดํารัส เนือ� งในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที� ๔ ธันวาคม ๒๕๑๗)


๑๖ | ๙ คําพอสอน “…สั ง คมใดก็ ต าม ถ้ ามี ค วามเอื อ� เฟื � อ เกื อ� กู ล กั น ด้ วยความมุ่งดี มุ่งเจริ ญต่อกัน สังคมนัน� ย่อมเต็มไป ด้ วยไมตรี จิตมิตรภาพ มีความร่มเย็นเป็ นสุข น่าอยู… ่ ” (พระราชดํ า รั ส พระราชทานเพื� อ เชิ ญ ลงพิ ม พ์ ใ นนิ ต ยสารที� ระลึกครบ ๓๖ ปี ของสโมสรไลออน์แห่งกรุงเทพฯ ในพระบรม ราชูปถัมภ์ วันที� ๓๑ มีนาคม ๒๕๓๘)

“…แต่ละคนก็มีแนวของชีวิตของตนเอง และแตกต่างกับผู้อื�น ฉะนันการที � �จะมา รวมทังหมดแล้ � วบอกว่าแนวของชีวิตคือ อย่างนี �ก็พดู ยาก เพราะแต่ละคนก็มีทาง ของตัว มีหน้ าที�ของตัว และมีนิสยั ใจคอ ความเป็ นอยู่ ข องตั ว แต่ ถ้ าพู ด รวมๆ แล้ วเราก็จะดูได้ ว่าแนวทางของชีวิตของ ทุกคนก็ มีว่า เกิ ดมาแล้ วจะต้ องฝึ กฝน ตนเองทัง� กายใจ เพื� อ ที� จ ะสามารถมี ชี วิตอยู่ได้ นันเป็ � นขันแรก � ขันต่ � อไปเมื�อ ฝึ กฝนตนเองพอสมควรแล้ ว หมายถึงว่า ได้ ฝึกหัดตัวแล้ วก็ได้ เรียนรู้วชิ าต่างๆ แล้ ว ก็ต้องไปปฏิบตั ิ ในทางการปฏิบตั ินนก็ ั � จะ ต้ องใช้ ความตั ง� ใจจริ ง ความซื� อ ตรง และการพิจารณาที�รอบคอบแนวต่อไป แนวสุดท้ายขันที � ส� ามก็คอื ตาย คือเกิดมาแล้ว เรี ยนรู้ ฝึ กตน ฟันฝ่ าอุปสรรคต่างๆ ปฏิบตั ิ การตามหน้ าที� และตาย ตายนี หมายถึ � งว่า ถ้ า อยากให้ เ ป็ น การดี ก็ ต้ อ งตายสบาย แต่ละคนก็ต้องการตายสบาย หมายความว่า ตายสบายใจที�ได้ ปฏิบตั หิ น้ าที�มา…” (พระบรมราโชวาท เนื�องในโอกาสเสด็จฯ ทรง ดนตรี เป็ นการส่วนพระองค์ วันที� ๔ มีนาคม ๒๕๑๕)

“...ผูท  ม ี่ ค ี วามสุจริตและบริสท ุ ธิใ์ จ แมจะมีความ รูน  อ  ยก็ยอ  มทําประโยชนใหแกสว  นรวมไดมากกวา ผูมีความรูมากแต ไ ม มี ค วามสุ จ ริ ต ไม มี ค วาม บริสุทธิ์ใจ...” (พระราชดํารั ส ในโอกาสที�คณะผู้อํานวยการและอาจารย์ ใหญ่ จากโรงเรี ยนต่างๆ ในเขตอําเภอดุสิต “กลุ่ ม จิ ต รลดา” เข้ าเฝ้ า ฯ ทู ล เกล้ า ฯ ถวายเงิ น โดยเสด็ จ พระราชกุ ศ ล ตามพระราชอั ธ ยาศั ย วันที� ๑๘ มีนาคม ๒๕๒๓)


คําพอสอน ๓ ความซื่อสัตย ๙ ความจริ งใจ |

๑๗

“...การดําเนินชีวิตโดย ใชวิชาการอยางเดียว ยังไมเพียงพอ จะตอง อาศั ย ความรู  ร อบตั ว แ ล ะ ห ลั ก ศี ล ธ ร ร ม ป ร ะ ก อ บ ด  ว ย ผู  ที่ มี ความรูดี แตขาดความ ยั้ ง คิ ด นํ า ความรู  ไ ปใช ในทางมิชอบ ก็เทากับ เปนบุคคลที่เปนภัยแก สังคมของมนุษย...”

ความซือ ่ สัตย ความจริงใจ

“...ความซื�อสัตย์สจุ ริตเป็ นพืนฐานของความดี � ทกุ อย่าง เด็กๆ จึงต้ องฝึ กฝนอบรมให้ เกิดมีขึน� ในตนเอง เพื�อจักได้ เติบโตขึน� เป็ นคนดีมปี ระโยชน์ และมีชวี ติ ที�สะอาด ที�เจริญมั�นคง...” (พระบรมราโชวาท พระราชทานเพือ� เชิญลงพิมพ์ในหนังสือวันเด็ก วันที� ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๓๐)

(พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วันที� ๑๘ กันยายน ๒๕๐๔)

“...การพิจารณานัน� เป็ นการหยุดยัง� ชั�งใจ ก่อนที�จะปฏิบตั ิการใดลงไป เสมือนกับได้ ปรึกษากับตนเองก่อน ถ้ าหากทําสิ�งใดโดย มิได้ พจิ ารณาแล้ ว ก็อาจจะตกเป็ นเหยือ� แห่ง อารมณ์ บังเกิดความประมาทขึ �น อันจะเป็ น ผลเสียหายแก่กิจการนันๆ � ได้ ฉะนัน� ขอให้ ทุ ก คนจงใช้ ความพิ จ ารณาให้ รอบคอบ ก่อนที�จะประกอบกิจใดๆ แม้ แต่ถ้อยคําที� ข้ าพเจ้ าได้ กล่าวมาแล้ วนัน� ก็ควรจะได้ รับ การพิจารณาเช่นเดียวกันด้ วย...” (พระบรมราโชวาท ในพิธพี ระราชทานประกาศนียบัตร นักเรียนวชิราวุธวิทยาลัย วันที� ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๐)

“...คนที�จะสามารถเหมาะจะทํางานให้ ชาตินนั � จําเป็ นต้ องมีใจตังมั � น� ในงาน มีความอดทนเสียสละ มีความอุตสาหะพยายามไม่ขาดสาย และสําคัญกว่าอื�น จะต้ องมีความคิดความเข้ าใจที�กระจ่าง แน่นอน และเที�ยงตรงตามเหตุผลและความจริ ง...” (พระบรมราโชวาท ในพิธพี ระราชทานปริญญาบัตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ วันที� ๒๔ มกราคม ๒๕๒๒)

“...รายการทีวีต่าง ๆ กระจายเสียงและการแพร่ ข่าวทางวิทยุ และยิง� ทางโทรทัศน์ ก็มบี ทบาทมีอทิ ธิพลต่อประชาชนไม่ใช่น้อย ถ้ าเป็ นทางรายการที�จะสัง� สอนหรื อชักจูงประชาชนโดยเฉพาะ ก็เป็ นสื�ออย่างหนึง� ที�สําคัญ เพราะว่าโทรทัศน์ทําให้ คนมองเห็น และเข้ า ใจได้ ง่ า ย แต่ท างอ้ อ มก็ ข อให้ ท่ า นพิ จ ารณาให้ ดี ว่า แม้ จะเป็ นรายการบันเทิงหรื อรายการที�ไม่ถือว่าเป็ นการชักจูง หรื อการสัง� สอนโดยตรง ก็ย่อมเป็ นการสัง� สอนอยู่ดี เพราะว่า เป็ นการแสดงมาให้ คนเห็นคนฟั ง...” (พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่คณะเจ้ าหน้ าที�ของสถานีวทิ ยุโทรทัศน์ ไทยทีวีสีชอ่ ง ๓ วันที� ๒๖ ตุลาคม ๒๕๑๔)


๑๘ | ๙ คําพอสอน “...ความสุจริตและความมุง่ มัน� จะบังเกิดยัง� ยืนอยูไ่ ด้ เพราะสติกบั ปัญญานัน� หมายความว่า เมื�อบุคคลมีสติร้ ูตวั มีปัญญารู้ชดั ในคุณค่าของความสุจริ ต และการสร้ างสรรค์ความเจริ ญ บนพื �นฐานของความสุจริ ตแล้ ว ก็จะเกิดเป็ นความนิยม เชื�อมัน� และพึงใจในความดี สิง� ดี และการกระทําดีแล้ว ความมัน� ใจพึงใจนันก็ � จะอุดหนุนประคองความสุจริตพร้ อมทังความมุ � ง่ มัน� ที�จะทําดี ให้ คงอยูไ่ ด้ ตลอดไปไม่เสื�อมถอย...” (พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที� ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๒๒)

“...ถ้ าคนเรารู้วา่ อะไรเลว อะไรคือเลว อะไรคือดี ก็สามารถที�จะแยกแยะและพยายามที�จะ ขัดเกลาตัวเองหรือปฏิบตั ติ นในงานการให้ดขี ึ �น คําว่าดีคําว่าชัว� นี �ยากที�จะวิเคราะห์ศพั ท์วา่ แปลว่าอะไร เพราะว่าความดีความชัว� นันรู � ้ ยาก แต่เมื�อทราบจากความคิดทัว� ๆ ไปว่าอันนี �ดี ก็น่าจะทําดี ทราบว่าอะไรอันนี �ไม่ดีก็น่าจะ พยายามปฏิบตั เิ ว้ น...” (พระราชดํารัส พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที� เ ข้ าเฝ้ า ฯ ถวายพระพรชั ย มงคล ในโอกาส วันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที� ๔ ธันวาคม ๒๕๒๙)

“...การปดทองหลังพระนั้น เมื่อถึงคราวจําเปน ก็ตอ  งปด วาทีแ ่ ทจริงแลวคนโดยมากไมคอ  ยชอบ ปดทองหลังพระกันนัก เพราะนึกวาไมมใี ครเห็น แตถาทุกคนพากันปดทองแตขางหนา ไมมีใคร ป ด ทองหลั ง พระเลย พระจะเป น พระที่ ง าม บริบร ู ณไมได...” (พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริ ญญาบัตร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที� ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๐๖)

“...คุณธรรมประการแรก คือ ความซื�อสัตย์ ประการที�สอง คือ การรู้จกั ข่มใจฝึ กใจตนเองให้ ประพฤติปฏิบตั อิ ยูใ่ นความสัตย์ความดีนนั � ประการทีส� าม คือ การอดทน อดกลัน� และอดออม ที�จะไม่ประพฤติลว่ งความสัตย์สจุ ริ ต ประการที�สี� คือ การรู้จกั ละวางความชัว� ความทุจริ ต และรู้ จักสละประโยชน์ ส่วนน้ อยของตน เพื� อประโยชน์ ส่วนรวม คุณธรรมสี�ประการนี � ถ้ าแต่ละคนพยายามปลูกฝังและบํารุงให้ เจริญงอกงามจะช่วยให้ ประเทศชาติบงั เกิดความสุข ความร่มเย็นและมีโอกาสที�จะปรับปรุงพัฒนาให้ มนั� คงก้ าวหน้ าต่อไป... (พระบรมราโชวาท ในพิธีบรวงสรวงสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้ า วันที� ๕ เมษายน ๒๕๓๕)


คําพอสอน ๓ ความซื่อสัตย ๙ ความจริ งใจ |

๑๙

“...การทํ า งานให สํ า เร็ จ นั้ น ขึ้ น อยู  กั บ ความสามารถสองอย า งเป น สํ า คั ญ คือสามารถในการใชวิชาความรูอยาง หนึ่ ง สามารถในการประสานสั ม พั น ธ กับผูอื่นอีกอยางหนึ่ง ทั้งสองประการ นี้ ต  อ งดํ า เนิ น คู  กั น ไป และจํ า เป น ต อ ง กระทํ า ด ว ยความสุ จ ริ ต กาย สุ จ ริ ต ใจ ดวยความคิดเห็น ที่เปนอิสระปราศจาก อคติ แ ละด ว ยความถู ก ต อ งตามเหตุ ตามผลด ว ย จึ ง จะช ว ยให ง านบรรลุ จุ ด หมาย และประโยชน ที่ พึ ง ประสงค โดยครบถวนแทจริง...” (พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่ข้าราชการพลเรือน วันที� ๑ เมษายน ๒๕๒๘)

“...ขอทุกคนจงตังใจทํ � าหน้ าที�ของตนด้ วย ความซื�อสัตย์สจุ ริ ตและบริ สทุ ธิ�ใจ จงเป็ นผู้ มีความสํานึกในความรับผิดชอบมัน� อยู่ใน ระเบียบวินยั และศีลธรรมอันดี รวมความว่า ขอทุกคนจงบําเพ็ญตนเพื�อเป็ นนายทหาร ที�ดีของชาติ ถ้ าท่านพยายามใช้ ความรู้ ที�ได้ รั บมาแล้ ว และที�จะขวนขวายให้ ได้ อีกใน โอกาสต่อไปด้ วยความตังใจดี � และบริ สทุ ธิ� ใจดัง� ว่านี � ก็จะเป็ นผลดีแก่หน้ าที�การงาน “…ผู้มจี ติ ใจเมตตากรุณา หมายถึงการทีจ� ะมีจติ ใจเห็นใจผู้อนื� มีจติ ใจทีจ� ะเห็นถึงความเดือดร้ อน เป็ น ทางนํ า ความเจริ ญ มาสู่ป ระเทศชาติ เราจะต้ องช่วยเหลือจิตใจนี �ก็เป็ นจิตใจที�กําลังมาก ทังอ่ � อนโยนมาก จิตใจนี �เป็ นปั จจัยที� และเกียรติคณ ุ มาสู่ตนเองและสกุลวงศ์...” ทํางานการทุกอย่างก้ าวหน้ าได้ เพราะว่า ถ้ าคนที�มีเมตตากรุณาในใจ และเผื�อแผ่ตอ่ ผู้อื�น หมายความว่าผู้นัน� เป็ นคนฉลาด หมายความว่าคนนัน� เป็ นคนที�อ่อนโยน ที�เห็นอะไรๆ (พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานกระบี�และ ได้ ชดั เมื�อคนเรามีความอ่อนโยนและมีความละเอียดอ่อน และเห็นอะไรได้ ชดั ก็ย่อมจะ ปริญญาบัตรแก่นกั เรี ยนนายร้ อย นักเรี ยนนายเรื อ และนักเรียนนายเรืออากาศ วันที� ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๑) ทํางานของตน ที�กําลังทําด้ วยความก้ าวหน้ านันสํ � าเร็จลุลว่ งไปได้ …” (พระราชดํารัส ในโอกาสที�สมาคมพ่อค้ าทราย เฝ้าฯ ทูลเกล้ าฯ ถวายเงินเพื�อโดยเสด็จพระราชกุศลตาม พระราชอัธยาศัย วันที� ๓๐ ตุลาคม ๒๕๒๔)

“…การฝึ กหัดทางใจนี �สําคัญอย่างยิ�งยวด จําเป็ นที�จะต้ องระมัดระวังฝึ กฝนอยู่เสมอ ตลอดชีวิต จึงจะคงความสุจริ ต เข้ มแข็ง และเป็ นระเบียบไว้ ได้ ไม่พ่ายแพ้ แก่ความ ลุ่มหลงลืมตัว…” (พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร และอนุปริ ญญาบัตรแก่ผ้ ูสําเร็ จการศึกษาจาก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประจําปีการศึกษา ๒๕๑๕ วันที� ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๑๖)


๒๐ | ๙ คําพอสอน “…ความซื� อ สัต ย์ สุจ ริ ต นัน� ขอวิ เ คราะห์ ศัพ ท์ ว่ า “…การสร้ างสรรค์ ค วามเจริ ญ มั� น คงนี � ความตรงไปตรงมาต่ อ สิ� ง ทั ง� หมดน้ อยใหญ่ นอกจากจะอาศัย ความรู้ ความสามารถ ส่ ว นงานของราชการ ส่ ว นงานของตัว เองเป็ น ในเชิงวิชาการแล้ ว ยังจะต้ องมีรากฐานที� ส่วนตั ว ทั ง� หมดคื อ ความซื� อ สั ต ย์ สุ จ ริ ต และ ดีหลายอย่างประกอบพร้ อมกันด้ วย จึงจะ � คํ า ว่ า สุจริ ตนี �ก็มาจากคําว่าการท่องเที�ยวของจิต สัมฤทธิผลที�แน่นอน รากฐานที�สําคัญที�สดุ ในทางที�ดี หรื อคิดให้ ดีคิดให้ สจุ ริ ต ทังฉลาดด้ � วย ประการหนึ�ง ก็คือใจ ทังนี � � เพราะใจเป็ นตัว ทังไม่ � เบียดเบียน ผู้อ�ืนหรื อการงานของตัว ทังไม่ � ต้ นเหตุแท้ ที�จะนําให้ เรากระทําการต่างๆ เบียดเบียนส่วนรวมด้ วย จึงจะเป็ นผู้สจุ ริ ต…” ด้ วยเหตุนี � ท่านจึงกล่าวว่า ทุกสิ�งทุกอย่าง มี ใจเป็ นใหญ่ เป็ นประธาน มี ใจประเสริ ฐ (พระราชดํารัส พระราชทานแก่ผ้ บู งั คับบัญชา อาจารย์ และ สุด สํ า เร็ จ ได้ ด้ ว ยใจ ถ้ า บุค คลมี ใ จดี แ ล้ ว นายทหารนักเรียน โรงเรียนเสนาธิการทหารบก ชุดที� ๕๗ ซึง� เดินทางมาศึกษาภูมิประเทศทัว� ๆ ไป ทางภาคใต้ ในโอกาส ความสุข ความเจริ ญ ย่ อ มเป็ น อัน หวัง ได้ เข้ าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท วันที� ๒๘ สิงหาคม ๒๕๒๒) แต่อย่างไรก็ดี ในชีวิตของคนเรานัน� ไม่มี ผู้หนึ�งผู้ใดจะอยู่เป็ นปรกติสขุ อย่างเดียวได้ ย่อมจะมีทงภั ั � ย ทังอุ � ปสรรค ทังเคราะห์ � ร้าย ผ่านเข้ ามาบ้ าง อย่างยากที� จะหลีกเลี�ยง พ้ น ข้ อสําคัญ เมื�อต้ องประสบเหตุอย่างใด อย่างหนึ�ง ที�บางครัง� ทําให้ ใจหายใจควํ�าได้ จะต้ องไม่ใจเสีย เพราะจะทําให้ เสียขวัญ เสียกํ าลังใจ ทําให้ จนปั ญญา คิดไม่ออก ทําไม่ถูก และที�สดุ ก็อาจผิดพลาดเสียหาย ได้ ต่างๆ ทางที�ถกู จะต้ องพยายามสงบใจ ทํ า ใจให้ ดี หายใจยาว เผชิ ญ หน้ ากั บ สถานการณ์ อย่า งที� เ รี ย กว่าทํ าใจดี ส้ ูเสือ ก็ จ ะทํ า ให้ เกิ ด สติ ร้ ู เท่ า ทั น สามารถใช้ ปั ญ ญ า พิ จ า ร ณ า เ ห็ น เ ห ตุ เ ห็ น ผ ล ไ ด้ “…ความกตัญ�ูกตเวทีคือสภาพจิตที�รับรู้ความดี และยินดีที�จะกระทําความดีโดยศรัทธา กระจ่ า งชัด หาทางปฏิ บัติ ไ ด้ ถูก ต้ อ งพอ มัน� ใจ คนที�กตัญ�ูจงึ ไม่ลบล้ างทําลายความดี และไม่ลบหลูผ่ ้ ทู ี�ได้ ทําความดีมาก่อน หาก เหมาะพอดี ไม่มีอบั จน…” เพียรพยายามรักษาความดีทงปวงไว้ ั� ให้ เป็ นพื �นฐานในความประพฤติปฏิบตั ิทกุ อย่างของ (พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ตนเอง เมื�อเต็มใจและจงใจกระทําทุกสิง� ทุกอย่างด้ วยความดีดงั นี � ก็ยอ่ มมีแต่ความเจริ ญ ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ วันที� ๒๔ มกราคม ๒๕๔๑) มัน� คงและรุ่งเรื องก้ าวหน้ ายิง� ๆ ขึ �น จึงอาจกล่าวได้ วา่ ความกตัญ�ูกตเวทีเป็ นคุณสมบัตอิ นั สําคัญยิ�งสําหรับนักพัฒนา และผู้ปรารถนาความเจริ ญก้ าวหน้ าทุกคน…” (พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่คณะกรรมการวันกตัญ�ูกตเวที สถาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย

“…ความจริ งใจต่อผู้อื�นเป็ นคุณธรรมสําคัญ เพื�อเชิญลงพิมพ์ในหนังสือที�ระลึกกตัญ�ูกตเวที และเชิญออกเผยแพร่แก่ประชาชนเป็ นแนวทางปฏิบตั ิ มากสํ า หรั บ ผู้ที� ต้ อ งการความสํ า เร็ จ และ วันที� ๘ เมษายน ๒๕๒๖) ความเจริ ญ เพราะช่วยให้ สามารถขจัดปั ด เป่ าปั ญหาได้ มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ�ง ปั ญหาอันเกิดจากความกินแหนงแคลงใจ และเอารั ดเอาเปรี ยบกัน นอกจากนัน� ยัง ทําให้ ได้ รับความเชื�อถือไว้ วางใจ และความ ร่วมมือสนับสนุนจากทุกคนทุกฝ่ าย ที�ถือมัน� ในเหตุผลและความดี ผู้ที�มีความจริ งใจจะ กระทําการสิง� ใดก็มกั สําเร็จได้ โดยราบรื�น…” (พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริ ญญา บัตรแก่บณ ั ฑิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที� ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๓๕)


คําพอสอน ๓ ความซื่อสัตย ๙ ความจริ งใจ |

๒๑

“…การจะคิดพิจารณาและวิเคราะห์ วิจารณ์ กรณี ต่างๆ ให้ ได้ ถูกถ้ วน ตามเหตุตามผล และความเป็นจริงนัน� บุคคลจําเป็นต้องฝึกจิตใจให้ มปี รกติ หนักแน่นและเป็นกลาง พร้ อมทังฝึ � ก กระบวนการคิ ด ให้ เ ป็ น ระเบี ย บให้ ไ ด้ ก่ อ น ทัง� นี เ� พราะจิ ต ใจที� ไ ม่ ห นัก แน่ น เป็ น กลาง เป็นเหตุให้ เกิดอคติหรือการปฏิบตั ทิ ไ�ี ม่ถกู ทาง อันเป็ นตัวการสําคัญทีน� าํ ความคิดวิจารณญาณ ของบุคคล ให้ มืดมน ผิดพลาดไปจากเหตุผลและความเป็ นจริ ง ส่วนความคิดอ่านที�ไม่เป็ น ระเบียบนัน� เป็ นต้ นเหตุของความลังเลสับสนวุน่ วายใจ ทําให้ บคุ คลไม่สามารถจะคิดอ่าน ทําการใดๆ ให้ ถกู ต้ องตามขันตอน � และสําเร็ จเรี ยบร้ อย โดยไม่ตดิ ขัดได้ …”

“ … ร า ก ฐ า น ที่ นั บ ว  า สํ า คั ญ คื อ ร า ก ฐ า น ท างจิ ต ใ จ อั น ได แ ก ความหนักแนน มั่นคง ในสุ จ ริ ต ธรรมอย า ง หนึ่ ง ในความมุ  ง มั่ น ที่ จะประกอบกิจการงาน ใหดีจนสําเร็จอีกอยาง หนึ่ ง เหตุ ใ ดจึ ง ต อ งมี ความสุจริตและความ มุ  ง มั่ น ก็ เ พราะความ สุ จ ริ ต นั้ น ย อ มกี ด กั้ น บุ ค คลออกจากความ ชั่วและความเสื่อมเสีย ทั้ ง หมดได จึ ง ช ว ยให บุคคลมีโอกาสใชความรู ความสามารถแต ใ น ทางที่ ถู ก ที่ เ จริ ญ แต เพียงทางเดียว…”

(พระบรมราโชวาทพิธพี ระราชทานปริญญาบัตรแก่บณ ั ฑิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที� ๒ สิงหาคม ๒๕๓๔)

“…ความจริ งใจอย่างสําคัญยังมีอีกส่วนหนึง� ได้ แก่ความจริ งใจต่อตนเอง เช่น เมื�อได้ ตงใจ ั� จะประพฤติปฏิบตั ิในความดีอย่างหนึง� อย่างใดแล้ ว จะต้ องติดตามรักษาความตังใจที � � จะ กระทําดังนันให้ � ได้ ตลอดไป คนเราที�รักษาความจริ งใจต่อตนเองไว้ ได้ มนั� คง จะไม่เป็ นคน สับปลับ หากแต่เป็ นคนทีห� นักแน่นเทีย� งตรงทําอะไรตามกฎเกณฑ์ตามระเบียบ ตามเหตุผล และความถูกต้ องเป็ นธรรม จึงเป็ นผู้ทสี� ามารถสร้ างสรรค์และสร้ างสมความดีความเจริญให้ งอกงามเพิ�มพูนยิ�งๆ ขึ �นได้ ไม่มีวนั ถอยหลัง…” (พระบรมราโชวาทในพิธพี ระราชทานปริญญาบัตรแก่บณ ั ฑิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที� ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๓๕)

“…วิถีชีวิตมนุษย์นนั � จะให้ มีแต่ความปรกติสขุ อย่างเดียวไม่ได้ จะต้ องมีทกุ ข์ มีภยั มีอปุ สรรค ผ่านเข้ ามาด้ วยเสมอยากจะหลีกเลี�ยงพ้ น ข้ อ สําคัญอยู่ที�ทกุ ๆ คนจะต้ องเตรี ยมกายเตรี ยมใจ และเตรี ยมการไว้ ให้ พร้ อมทุกเวลา เพือ� เผชิญและ แก้ ไขความไม่ปรกติเดือดร้ อนทังนั � นด้ � วยความไม่ ประมาท ด้ วยเหตุผลด้ วยหลักวิชา และด้ วยความ สามัคคีธรรม จึงจะผ่อนหนักให้ เป็ นเบาและกลับ ร้ ายให้ กลายเป็ นดีได้ …” (พระราชดํารัส พระราชทานแก่ประชาชนชาวไทยในโอกาส ขึ �นปีใหม่ พุทธศักราช ๒๕๒๘ วันที� ๓๑ ธันวาคม ๒๕๒๗)

“…การทีจ� ะให้ ปราศจากอคตินี �เป็ นสิง� ทีย� าก เพราะจะต้ องบังคับจิตใจของตัวเองอยูต่ ลอดเวลา ทัง� ในขณะที�ปฏิบัติงานทัง� นอกเวลาปฏิบัติงาน เพราะว่าจิตใจที�จะปราศจากอคตินัน� ต้ องฝึกฝนและมีอยูต่ ลอดเวลา เพือ� ทีจ� ะให้ ปราศจากอคติกจ็ ะต้ องอบรมจิตใจของตัวเองให้ ดี ให้ มี ค วามยุติ ธ รรมทุก เมื� อ การอบรมจิ ต ใจของตัว เองให้ มี ค วามยุติ ธ รรมทุก เมื� อ นัน� จะต้ องรักษาสติให้ มนั� ต้ องมีความรู้ทกุ อย่าง ได้ ประสบสิง� ใดจะต้ องรู้วา่ นีค� อื อะไร นีค� อื สิง� ทีค� วร และอาจจะเห็นด้ วยว่าสิง� ที�ไม่ควรมีอะไรบ้ าง ต้ องเลือกสิง� ที�ควรและละสิง� ที�ไม่ควร…”

(พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร (พระราชดํารัส พระราชทานในโอกาสทีค� ณะผู้พพิ ากษาประจํากระทรวงเฝ้า ฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที� ของมหาวิทยาลัยรามคําแหง วันที� ๑๑ มีนาคม ๒๕๒๔) วันที� ๒๘ ธันวาคม ๒๕๒๖)

“…จิตใจและความประพฤติที�สะอาดและมีระเบียบ เป็ นรากฐานสําคัญของชีวิต ทังจิ � ตใจทังความประพฤติ � ดังนันใช่ � จะเกิดมีขึ �นเองได้ หากแต่จําต้ องฝึ กหัดอบรมและสนับสนุนส่งเสริ มกันอย่างจริ งจังสมํ�าเสมอ นับตังแต่ � บคุ คลเกิด ดังที�มนุษย์ไม่ว่าชาติ ภาษาใดได้ เฝ้า พยายามกระทําสืบต่อกันมาทุกยุคทุกสมัย ทังนี � เ� พื�อให้ สามารถรักษาตัวและมีความสุขความสําเร็ จในการครองชีวิต ทังให้ � สามารถ อยูร่ ่วมกับผู้อนื� ได้ ด้วยความผาสุกสงบ ดังนันถึ � งแม้ เราจะอยูใ่ นท่ามกลางความเจริญรุดหน้ าแห่งยุคปั จจุบนั อย่างไร เราก็ทอดทิ �งการศึกษา ทางด้ านจิตใจและศีลธรรมจรรยาไปไม่ได้ ตรงข้ าม เราควรเอาใจใส่สงั� สอนกันให้ หนักแน่นทัว� ถึงยิง� ขึ �น เพือ� ให้ มคี วามคิดความเข้ าใจถูกต้ อง สอดคล้ องกับสภาพการณ์แวดล้ อมทังหลายที � �วิวฒ ั นาไปไม่หยุดยัง…” � (พระราชดํารัส พระราชทานเพื�อเชิญไปอ่านในพิธีเปิ ดสัมมนา เรื� อง “การพัฒนาสังคมในด้ านศีลธรรมและจิตใจ” ซึง� สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศจัดให้ มีขึ �น วันที� ๑๕ ธันวาคม ๒๕๑๖)


๒๒ | ๙ คําพอสอน

รูรักสามัคคี

“...จะต้ อง “รู้ รั กสามั ค คี ” หมายความว่ า รู้จกั การอะลุ่มอล่ วยกัน แม้ จะไม่ ใช่ ถกู ต้องเต็มที� คือหมายความว่า ไม่ถกู หลักวิชาเต็มที� ก็จะต้องใช้ เพราะถ้ าไม่ ใช้ ก็ไม่ มีอะไรใช้ อาจมีส� ิงที�มีอยู่ แล้วทีจ� ะใช้ไปได้ช�วั คราว คุณภาพอาจไม่ค่อยดีนกั ทุก สิ�ง ทุกอย่ า งไม่ มีอะไรที�ดีร้อยเปอร์ เซ็นต์ แต่ ว่าต้ องใช้ อะไรที�พอใช้ ได้ ไป ไม่ อย่ างนั น� ไม่ มีวันที�จะมีชีวติ รอดได้ ...” (พระราชดํา รั ส พระราชทานแก่ ค ณะบุ ค คลต่ า งๆ ที� เ ข้ า เ ฝ้ า ฯ ถ ว า ย พ ระพร ชั ย ม งคล ใน โอกา ส วันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที� ๔ ธันวาคม ๒๕๓๔)

ภาพ : จํานงค์ ภิรมย์ภกั ดี

“…การมีวนิ ยั มีความสามัคคี และรู้จกั หน้ าที� ถือกันว่าเป็ นคุณสมบัตสิ าํ คัญประจําตัว ของคนทุกคน แต่ในการสร้ างเสริ มคุณสมบัตสิ ามข้ อนี �จะต้ องไม่ลมื ว่า วินยั สามัคคี และหน้ าทีน� นั � เป็นไปได้ในทางบวกและทางลบ ซึง� ย่อมให้คณ ุ หรือให้โทษได้มากเท่าๆ กัน ทังสองทาง � เพราะฉะนัน� เมื�อจะอบรมจําเป็ นต้ องพิจารณา ให้ ถ่องแท้ แน่ชดั ก่อนว่า เป็นวินยั สามัคคีและหน้าทีท� ดี� ี คือปราศจากโทษ เป็นประโยชน์ เป็นธรรม ไม่เคลือบแฝงไว้ ด้ วยสิ�งชัว� ร้ าย เช่น วินยั ก็ต้องไม่ใช้ วินยั เพื�อตนเองเพื�อหมูค่ ณะของตนเองเท่านัน� ต้ องเป็ นวินยั เพื�อคนทุกคน เพื�อคนส่วนใหญ่ เป็ นวินยั ที�ถกู ต้ อง ที�เป็ นการสร้ างสรรค์ ทํานองเดียวกัน การสามัคคีกนั ทําการหรือทําหน้ าทีอ� ย่างใดอย่างหนึง� ก็จะต้ องเป็ นไป เพื�อประโยชน์เกื �อกูล มิใช่เพื�อการเพิ�มพูนประโยชน์เฉพาะพวกตน แล้ วเบียดเบียนผู้ อื�นให้ เดือดร้ อนเสียหาย จึงเห็นได้ วา่ การสร้ างวินยั สามัคคี และความรู้จกั หน้ าที�ให้ แก่เยาวชนต้ องกระทําด้ วยความเพ่งพินิจอย่างละเอียดถี�ถ้วนเป็ นพิเศษ มิฉะนันจะ � ไม่ บัง เกิ ด ผลที� พึง ประสงค์ หรื อ ซํ า� ราย อาจกลับ กลายเป็ น การทํ า ลายอนาคต และความเจริ ญมัน� คงของชาติไปก็ได้ ” (พระราชดํ า รั ส พระราชทานแก่ ผ้ ูบัง บัญ ชาลูก เสื อ ในโอกาสเข้ า เฝ้า ทูล ละอองธุ ลี พ ระบาท และรับพระราชทานเหรี ยญลูกเสือสดุดี วันที� ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๒๖)

“...ความสามัคคีนนอาจหมายความถึ ั� งเห็นชอบเห็น พ้ องกัน โดยไม่แย้ งกัน ความจริ งงานทุกอย่างหรื อ การอยูเ่ ป็ นสังคมย่อมต้ องมีความแย้ งกัน ความคิด ต่างกันซึง� ไม่เสียหาย แต่อยู่ที�จิตใจของเรา ถ้ าเรา ใช้ หลักวิชาและความปรองดองด้ วยการใช้ ปัญญา การแย้ งต่างๆ ย่อมเป็ นประโยชน์ ถ้ ามีรากฐาน ของความคิดอย่างเดียวกัน รากฐานของความคิด นันคื � อแต่ละคนจะต้ องทําบ้ านเมืองมีความสุขเป็ น ปึ กแผ่น...” (พระบรมราโชวาท พิธีพระราชทานปริ ญญาบัตรแก่บณ ั ฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวทิทยาลัย วันที� ๒ สิงหาคม ๒๕๓๔)


าพ อสอน ๔๙ รูคํ รัก สามั คคี |

๒๓

“…คนเราอยูค่ นเดียวไม่ได้ จะต้องอยูเ่ ป็นหมูเ่ ป็นคณะและถ้าหมูค่ ณะนัน� มีความสามัคคีคือเห็นอกเห็นใจซึ�งกันและกันช่วยเหลือในทุกเมื�อ ช่วยกันคิดว่าสิ�งใดสมควร สิ�งใดไม่สมควร สิ�งใดที�จะทําให้ นํามาสู่ ความเจริ ญ ความมั�น คง ความสุข ก็ ทํ า สิ� ง ใดที� นํ า มาซึ� ง หายนะ หรือเสียหายก็เว้น และช่วยกันปฏิบตั ทิ งหน้ ั � าทีท� างกาย ทังหน้ � าทีท� างใจ…” (พระราชดํารัส พระราชทานในพิธีพระราชทานธงประจํารุ่ นลูกเสือชาวบ้ าน จังหวัดสระบุรี วันที� ๑๖ เมษายน ๒๕๑๙)

“…เป็ น ความจริ ง อยู่โ ดยธรรมดา ที� บุค คลในสัง คมนัน� ย่อ มมี อัชฌาสัย จิตใจแตกต่างเหลือ� มลํ �ากันเป็นหลายระดับขึ �นอยูก่ บั พื �นฐาน ภูมิธรรมของตนๆ บางคนก็มีความคิดจิตใจสูงความประพฤติ ปฏิบตั ิดีงาม เป็ นคุณเป็ นประโยชน์อยู่แล้ วเป็ นปรกติ แต่บางคน ก็ไม่สามารถจะทําเช่นนันได้ � เพราะยังไม่เห็นคุณค่าของการปฏิบตั ดิ ี จึงมักก่อปั ญหาให้ เกิดแก่สงั คม คนเรานัน� สําคัญอยู่ที�ควรจะได้ ปรารภปรารถนาที�จะพัฒนาตัวเองให้ ดีขึ �นเป็ นลําดับ เพื�อให้ ชีวิต เป็ นสุขและเจริ ญรุ่งเรื อง…” (พระบรมราโชวาท พระราชทานเพือ� เชิญไปอ่านในพิธีเปิ ดการประชุมยุวพุทธิก สมาคมทัว� ประเทศ ครัง� ที� ๑๖ วันที� ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๒๔)

“...ปญหาทุกอยางมีทางทีจ ่ ะแกไขได ถาแกคนเดียวไมได ก็ชวยกันคิด ชวยกันแกหลาย ๆ คน หลายๆ ทาง ด ว ยความร ว มมื อ ปรองดองกั น ปญหาที่เกิดขึ้นนั้นจักไดไมกลาย เปนอุปสรรคขัดขวางและบัน ่ ทอน ทําลายความเจริญและความสําเร็จ...” (พระบรมราโชวาท ในพิ ธี พ ระราชทานปริ ญ ญาบั ต ร จุ ฬ าลงกรณ์ มหาวิทยาลัย วันที� ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๓๓)

“…วินยั นัน� เมือ� นํามาฝึ กหัดปฏิบตั จิ ะเป็ นดังข้ อบังคับทีค� วบคุมบุคคลให้ ประพฤติปฏิบตั เิ ป็ นระเบียบ จึงอาจทําให้ เกิดความอึดอัดลําบากใจ เพราะต้ องฝื นกระทํา แต่เมื�อปฏิบตั ิไปให้ ชิน จนรู้ สกึ ว่าเป็ นไปโดยอัตโนมัติแล้ ว ก็จะสําเร็ จผล ทําให้ เป็ นคนมีระเบียบและเป็ นระเบียบ คือ คิดก็เป็ นระเบียบ ทําก็เป็ นระเบียบ ตามลําดับขันตอน � ตามกาลเทศะ ตามความเหมาะสมพอควร หายสับสน หายลังเล และหายขัดแย้ ง ทังในความคิ � ดทังในการทํ � างาน สามารถนําวิชาความรู้และความชํานาญทุกๆ ประการไปใช้ ได้ อย่างถูกต้ องคล่องแคล่ว สําเร็จผลเต็มเม็ด เต็มหน่วยช่วยให้ เกิดประโยชน์สมบูรณ์บริ บรู ณ์ตามจุดหมาย ทังจะเกื � �อกูลรักษาผู้มีวินยั ให้ เจริ ญสวัสดีทกุ เมื�อ…” (พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริ ญญาบัตรแก่บณ ั ฑิตมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช วันที� ๓๑ มีนาคม ๒๕๒๗)


๒๔ | ๙ คําพอสอน

“...การที่ ใ นประเทศใด มีประชาชนทั้งหมดอยู รวมกันโดยสันติ ก็เปน สิ่ ง ที่ ป รารถนาของทุ ก คน ไม มี ใ ครอยากให มี ความวุน  วายในหมูค  ณะ ในประเทศชาติ เพราะ วาถามีความวุนวายนั้น เป น ความทุ ก ข ทุ ก คน ตองการความสุข หาก ความสุขนั้นก็จะมาจาก ความปรองดอง และ ความที่ทุกสิ่งทุกอยาง เปนไปโดยยุติธรรม...” (พระราชดํารัส ในโอกาสที�รองประธานศาลฎีกานํา ผู้พิ พ ากษาประจํ า กระทรวงเข้ าเฝ้ า ฯ วั น ที� ๒๑ ธันวาคม ๒๕๓๗)

“...ความสามัคคีนนเป็ ั � นการที�ทกุ คนเห็นใจกัน ซึ�งกันและกันและพร้ อมเพรี ยง ก็หมายความว่า ไม่ได้ ทําคนละทีสองที แต่ทําพร้ อมกัน ความสามัคคีและความพร้ อมเพรียงนี มี� ผลต่อเนือ� งอีกอย่างหนึง� อีกต่อไปว่า ทําให้ ทกุ คนมีความเข้ มแข็ง แข็งแรง ซึง� จะนํามาสูค่ วามสุขของ แต่ละคน เพราะว่าคนเรามีทงสุ ั � ขทังทุ � กข์ เมือ� มีความสุขก็อยากให้ คนอืน� มีความสุขด้ วย ทําให้ ความสุขของตัวใหญ่หลวงขึ �น เมือ� มีความทุกข์ มีคนอื�นมาช่วยทําให้ ความทุกข์น้อยลง ฉะนันความสามั � คคีและความพร้ อมเพรี ยงนัน� จึงเป็ นสิง� สําคัญ...” (พระราชดํารัส พระราชทานในพิธีพระราชทานธงประจํารุ่นลูกเสือชาวบ้ าน จังหวัดนครศรี ธรรมราช วันที� ๑๒ กันยายน ๒๕๒๑)

“...เมืองไทยนี �อยูไ่ ด้ ด้วยความสามัคคี ด้ วยความเข้ มแข็ง ด้ วยความเสียสละ ก็ขอให้ ทกุ คนช่วยกันรักษาความดีนี �ตลอดต่อไป ที�ต้องรักษา บ้ านเมืองไว้ ท่านทังหลายคงเข้ � าใจเพราะเราเห็นว่าบ้ านเมืองของเราอยูไ่ ด้ สบาย อาศัยความเห็นอกเห็นใจซึง� กันและกัน และถ้ ารักษา ความเห็นอกเห็นใจนี �แล้ ว ประเทศชาติของเราก็จะเป็ นที�อาศัยที�อดุ มสมบูรณ์และน่าสบายต่อไปชัว� กาลนาน...” (พระราชดํารัส พระราชทานในพิธีพระราชทานธงประจํารุ่นลูกเสือชาวบ้ าน จังหวัดขอนแก่น วันที� ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๙)


คํัก าพ อสอน ๔๙ รูร สามั คคี |

๒๕

“...คนเราอยูค่ นเดียวไม่ได้ จะต้ องอยูเ่ ป็ นหมูค่ ณะและถ้ าหมูค่ ณะ นันมี � ความสามัคคีคอื เห็นอกเห็นใจซึง� กันและกัน ช่วยเหลือในทุกเมือ� ช่วยกันคิดว่าสิง� ใดสมควร สิง� ใดไม่สมควร สิง� ใดที�จะทําให้ นํามา สูค่ วามเจริ ญ ความมัน� คง ความสุขก็ทํา สิง� ใดที�นํามาซึง� หายนะ หรื อเสี ย หายก็ เ ว้ นและช่ ว ยกั น ปฏิ บั ติ ทั ง� หน้ าที� ท างกาย ทังหน้ � าที�ทางใจ...” (พระราชดํารัส พระราชทานในพิธีพระราชทานธงประจํารุ่นลูกเสือชาวบ้ าน จังหวัดสระบุรี วันที� ๑๖ เมษายน ๒๕๑๙)

“...ตอนนี �ถ้ าราษฎร “รู้รักสามัคคี” เขาจะเข้ าใจว่า เมื�อเขามีรายได้ เขาก็จะยินดีเสียภาษี เพือ� ช่วยราชการให้ สามารถทําโครงการต่อไป เพื� อ ความก้ า วหน้ า ของประเทศชาติ ถ้ าราษฎร “รู้ รั ก สามัคคี ” และ รู้ ว่ า “การเสี ย คื อ การได้ ” ประเทศชาติ ก็ จ ะก้ าวหน้ า เพราะว่ า การที� ค นอยู่ดี มี ค วามสุข นัน� เป็ น กํ า ไรอี ก อย่ า งหนึ� ง ซึง� นับเป็ นมูลค่าเงินไม่ได้ ...” (พระราชดํารัส พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที�เข้ าเฝ้าฯ ถวายพระพร ชัยมงคล ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที� ๔ ธันวาคม ๒๕๓๔)

“...คนไทยนี้ ความจริง “รูร  ก ั สามัคคี” ถึงอยูไ ดจน ทุกวันนี้ ถาไมรู “รูรักสามัคคี” อยูไมได...” (พระราชดํารัส พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที�เข้ าเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล ในโอกาสวันเฉลิม พระชนมพรรษา วันที� ๔ ธันวาคม ๒๕๓๔)

“...เราประเทศไทยถ้ าสามัคคีกนั ดี ช่วยเหลือซึง� กันและกันในทางที�มีเหตุผล เราเองจะเป็ น ทีต� งของความมั ั� น� คงผาสุกของราษฎรทีเ� ป็นประชากรแห่งประเทศนี เป็ � นตัวอย่างแก่มวลมนุษย์ มวลมนุษย์กม็ นุษยชาตินเี� อง และประเทศอืน� ก็อาจเอาอย่างบ้ างก็เกิดความไม่เบียดเบียนขึ �น ความเป็ นอยู่ในโลกนี �อย่างสบายพอสมควรคือไม่ใช่หรู หรา ประเทศไทยเราจะอยู่ไม่ใช่ อย่างทุกคนอยู่ มีบ้านหรูหรากันทุกคน และรํ� ารวยกันทุกคน แต่วา่ ทุกคนก็พอมีพอกิน” (พระราชดํ า รั ส พระราชทานแก่ ค ณะกรรมการอํ า นวยการสั น นิ บ าตมู ล นิ ธิ แ ห่ ง ประเทศไทย วันที� ๑๙ ธันวาคม ๒๕๑๘)


๒๖ | ๙ คําพอสอน

“...คนก็ เ หมื อ นกั น ถ า หากว า คนหนึ่ ง มี ห น า ที่ อ ย า งหนึ่ ง อย า งใด ไมไดหมายความวาทุกคนจะตองมีหนาทีเ่ หมือนกัน แตกต ็ อ  งสอดคลองกัน เพื่ อ ให ง านส ว นรวมนั้ น ดํ า เนิ น ไปได ดี ถ า อยู  ใ นหมู  ค ณะเดี ย วกั น หรือในคณะทํางานเดียวกัน ก็จะตองใหสอดคลองกัน เพือ ่ ใหงานทีท ่ า ํ นัน ้ มีประสิทธิภาพสูงที่สุด เทาที่จะเปนได...” (พระราชดํารัส พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที�เข้ าเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที� ๔ ธันวาคม ๒๕๓๖)

“...ประเทศไทยเราอาจไม่เป็ นประเทศทีร� ุ่งเรืองทีส� ดุ ในโลกหรือรวยทีส� ดุ ในโลก หรือฟู่ ฟ่า ทีส� ดุ ในโลก แต่กข็ อให้เมืองไทยเป็นประเทศทีม� คี วามมัน� คง มีความสงบได้ เพราะว่าในโลกนี � หายากแล้ ว เราทําเป็ นประเทศที�สงบ ประเทศที�มีคนที�ช่วยเหลือซึ�งกันและกันจริ งๆ เราจะเป็ นที�หนึง� ในโลกในข้ อนี � แล้ วรู้สกึ ว่าที�หนึง� ในโลกในข้ อนี �จะดีกว่าผู้อื�น จะดีกว่า คนที�รวยที�สดุ ในโลก จะดีกว่าคนที�เก่งในทางอะไรก็ตามที�สดุ ในโลก ถ้ าเรามีความสงบ แล้ วมีความสบาย ความมัน� คงที�สดุ ในโลกนัน� รู้สกึ จะไม่มีใครสู้เราได้ ...” (พระราชดํารัส ในโอกาสทีป� ระธานมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ นําคณะกรรมการ บริ ห ารมู ล นิ ธิ ฯ และนั ก เรี ย นทุ น พระราชทาน เข้ าเฝ้ า ฯ ถวายพระพรชั ย มงคลในโอกาส ฉลองสิริราชสมบัตคิ รบ ๕๐ ปี วันที� ๒๒ เมษายน ๒๕๓๙ )

“...คนไทยนี� ฉ ลาด รู้ ว่ า ถ้ า หากเมื อ งไทยไม่ ใ ช้ ค วามสามัค คี ไม่ เ ห็ น อกเห็ น ใจกัน ไม่ ใ ช้ อะไรที� จ ะพอรั บ กั น ได้ พอที� จ ะใช้ ได้ ก็ ค งจะไม่ ไ ด้ ทํ า อะไร หมายความว่ า ทํามาหากินก็ไม่ได้ ทํามาหากิน เพราะว่าไม่มีอปุ กรณ์ ไม่มีความสงบ...” พระราชดํ ารั ส พระราชทานแก่ ค ณะบุค คลต่า งๆ ที� เข้ า เฝ้า ฯ ถวายพระพรชัย มงคล ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที� ๔ ธันวาคม ๒๕๓๔)


๙ คําพอสอน ๕ ความพอเพี ยง |

๒๗

ความพอเพียง

“…เศรษฐกิ จ พอเพี ย งที� ไ ด้ ยํ า� แล้ วยํ า� อี ก แปล เป็ นภาษาอังกฤษว่ า sufficiency economy ใครต่ อใคร ก็ต่อว่ า ว่ าไม่ มี sufficiency economy แต่ว่าเป็ นคําใหม่ ของเราก็ได้กห็ มายความว่า ประหยัด แต่ไม่ใช่ขเหนี ี � ยว ทําอะไร ด้ วยความอะลุ่มอล่ วยกัน ทําอะไรด้ วยเหตุ และผล จะเป็ นเศรษฐกิจพอเพียง แล้ วทุกคนจะมี ความสุขแต่ พอเพียง เศรษฐกิจพอเพียงนี � เป็ นสิ�ง ที�ปฏิบตั ยิ ากที�สุด…” (พระราชดํ า รั ส เนื� อ งในโอกาสวั น เฉลิ ม พระชนมพรรษา วันที� ๔ ธันวาคม ๒๕๔๔)

“...คําวา พอเพียง มีความหมายวา พอมีกน ิ เศรษฐกิจแบบพอเพียง หมายความวา ผลิตอะไรมีพอทีจ ่ ะใช ไมตอ  งขอยืมคนอืน ่ อยูไ ดดว  ยตนเอง แปลจากภาษาฝรัง ่ ไดวา  ใหยืนบนขาของตัวเอง หมายความวา สองขาของเรายืนบนพืน ้ ใหอยูไ ด ไมหกลม ไมตอ  งไปขอยืมของคนอืน ่ เพือ ่ ทีจ ่ ะยืนอยู คําวา พอ คนเราถาพอในความตองการ ก็มีความโลภนอย เมื่อมีความโลภนอย ก็เบียดเบียนคนอืน ่ นอยพอเพียงอาจมีมาก อาจมีของหรูหราก็ได แตวาตองไมไป เบียดเบียนคนอืน ่ ...” (พระราชดํ า รั ส พระราชทานแก่ คณะบุคคลต่า งๆ ที� เ ข้ า เฝ้า ฯ ถวายพระพรชัย มงคล ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที� ๔ ธันวาคม ๒๕๔๑)

“…ในการพัฒนาประเทศนันจํ � าเป็นต้องทําตามลําดับขัน� เริ�มด้วยการสร้ างพื �นฐาน คือความมีกนิ มีใช้ ของประชาชนก่อน ด้ วยวิธีการทีป� ระหยัดระมัดระวัง แต่ถกู ต้ องตามหลักวิชา เมือ� พื �นฐาน เกิดขึ �นมัน� คงพอควรแล้ ว จึงค่อยสร้ างเสริมความเจริญขันที � ส� งู ขึ �นตามลําดับต่อไป การถือหลัก ที�จะส่งเสริ มความเจริ ญ ให้ ค่อยเป็ นค่อยไปตามลําดับ…ด้ วยความรอบคอบระมัดระวัง และประหยัด นัน� ก็ เ พื� อ ป้ อ งกั น ความผิ ด พลาดล้ ม เหลวและเพื� อ ให้ บ รรลุผ ลสํ า เร็ จ ได้ แน่นอนบริ บรู ณ์…” (พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วันที� ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๑๗)

“...การใช้ จ่ายอย่างประหยัดนัน� จะเป็ นหลักประกันความสมบูรณ์พนู สุขของผู้ประหยัดเองและครอบครัว ช่วยป้องกันความขาดแคลน ในวันข้ างหน้ า การประหยัดดังกล่าวนี �จะมีผลดีไม่เฉพาะแก่ผ้ ทู ี�ประหยัดเท่านัน� ยังเป็ นประโยชน์แก่ประเทศชาติด้วย...” (พระราชดํารัส พระราชทานแก่คณะประชาชนชาวไทย ในโอกาสขึ �นปี ใหม่ วันที� ๓๑ ธันวาคม ๒๕๐๒)


๒๘ | ๙ คําพอสอน “...คําว่าพอเพียงมีความหมายอีกอย่างหนึง� มีความหมายกว้างออกไปอีก ไม่ได้ หมายถึงการมี พอสําหรั บใช้ เองเท่านัน� แต่มีความหมายว่า พอมีพอกิน พอมีพอกิน เมื�อปี ๒๕๑๗ ถึง ๒๕๔๑ ก็ ๒๔ ปี ใช่ไหม วันนันได้ � พดู ว่า เราควรจะปฏิบตั ใิ ห้ พอมี พอกิน พอมีพอกินนี �ก็แปลว่า เศรษฐกิจพอเพียงนัน� เอง ถ้ าแต่ละคนพอมีพอกินก็ใช้ ได้ ยิ�งถ้ าทัง� ประเทศพอมีพอกินก็ยิ�งดี และประเทศไทยเวลานันก็ � เริ� มจะไม่พอมี พอกิ น บางคนก็ มีมาก บางคนก็ ไ ม่มีเลย สมัย ก่ อ นนี � พอมี พอกิ น มาสมัยนีช� ักจะไม่พอมีพอกิน จึงต้ องมีนโยบายที�จะทําเศรษฐกิจ เพือ� ทีจ� ะให้ ทกุ คนมีพอเพียงได้ ให้ พอเพียงนี �ก็หมายความว่า มีกนิ มีอยู่ ไม่ฟมเฟื ุ่ อย ไม่หรูหราก็ได้ แต่วา่ พอ...” (พระราชดํารัส พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ทีเ� ข้ าเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที� ๔ ธันวาคม ๒๕๔๑)

“...เศรษฐกิจพอเพียง คือ ทําให้ พอเพียงถ้ าไม่พอเพียงไปไม่ได้ แต่ถ้า “…มี เ งิ น เดื อ นเท า ไร จะต อ งใช พอเพียงสามารถนําพาประเทศได้ ดี ก็ขอให้ ทกุ คนประสบความสําเร็จ ภายในเงิ น เดื อ น…การทํ า แชร นี้ พอเพียงและเพื�อให้ บ้านเมืองบรรลุความสําเร็จที�แท้ จริ ง...” เทากับเปนการกูเงิน การกูเงินนี้

(พระราชดํารัส เนือ� งในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที� ๔ ธันวาคม ๒๕๔๘)

นํามาใชในสิง ่ ทีไ่ มทา ํ รายไดนน ั้ ไมดี อันนีเ้ ปนขอสําคัญ เพราะวาถากูเ งิน และทํ า ให มี ร ายได ก็ เ ท า กั บ จะใช หนี้ได ไมตองติดหนี้ ไมตองเดือด รอน ไมตองเสียเกียรติ กูเงินนั้น เงินจะตองใหเกิดประโยชน มิใชกู สําหรับไปเลน ไปทําอะไรที่ไมเกิด ประโยชน…” (พระราชดํารัส ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที� ๔ ธันวาคม ๒๕๔๐)

“...เศรษฐกิจพอเพียง เป็ นการทัง� เศรษฐกิจหรื อความประพฤติ ที�ทําอะไรเพื�อให้ เกิดผลโดยมีเหตุและผล คือ เกิดผลมันมาจากเหตุ ถ้ าทําเหตุที�ดี ถ้ าคิดให้ ดีให้ ผลที�ออกมา คือสิ�งที�ติดตามเหตุ การกระทํา ก็จะเป็ นการกระทําที�ดี และผลของการกระทํานัน� ก็จะเป็ น การกระทําที�ดี ดีแปลว่ามีประสิทธิผล ดีแปลว่ามีประโยชน์ ดีแปลว่าทําให้ มีความสุข….” (พระราชดํารัส เนื�องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที� ๔ ธันวาคม ๒๕๔๓)


๙ คําพอสอน ๕ ความพอเพี ยง |

๒๙

“...ความพอเพียงนีไ้ มไดหมายความวาทุกครอบครัวจะตองผลิตอาหาร ของตัว จะตองทอผาใสเอง อยางนั้นมันเกินไป แตวาในหมูบานหรือ ในอําเภอ จะตองมีความเพียงพอสมควร บางสิ่งบางอยางที่ผลิตได มากกวาความตองการก็ขายได แตขายในทีไ่ มหา  งไกลเทาไหร ไมตอ  งเสีย คาขนสงมากนัก อยางนีท ้ า  นนักเศรษฐกิจตางๆ ก็มาบอกวาลาสมัยจริง อาจจะลาสมัย คนอืน ่ เขาตองเศรษฐกิจทีต ่ อ  งมีการแลกเปลีย ่ น เรียกวา เปนเศรษฐกิจการคา ไมใชเศรษฐกิจความพอเพียง เลยรูส  ก ึ วาไมหรูหรา แตเมืองไทยเปนประเทศทีม ่ บ ี ญ ุ อยูว  า  ผลิตใหพอเพียงได...” (พระราชดํ า รั ส พระราชทานแก่ ค ณะบุค คลต่ า งๆ ที� เ ข้ าเฝ้ า ฯ ถวายพระพรชั ย มงคล ในโอกาส วันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที� ๔ ธันวาคม ๒๕๔๐)

“...มี ค วามคิ ด ว่ า ทํ า อะไรต้ อ งพอเพี ย ง หมายความว่ า พอประมาณ ไม่ สุด โต่ ง ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยูเ่ ป็ นสุข พอเพียงนี �อาจจะมีมาก อาจจะมีของหรูหราก็ได้ แต่ว่าต้ องไม่ไปเบียดเบียนคนอื�น ต้ องให้ พอประมาณตามอัตภาพ พูดจาก็พอเพียง ทําอะไรก็พอเพียง ปฏิบตั ิตนก็พอเพียง ความพอเพียงนี �ก็แปลว่าความพอประมาณ และความมีเหตุผล…” (พระราชดํารัส เนื�องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที� ๔ ธันวาคม ๒๕๔๐)


๓๐ | ๙ คําพอสอน “...เศรษฐกิจพอเพียง เริ� มมีการนําไปประยุกต์ใช้ กบั “ภาคธุรกิจ” ได้ เช่นกัน โดยหัวใจอยูท่ ี� การครองตนของภาคธุรกิจในทางสายกลาง คือ พอประมาณ มีเหตุผล สร้ างภูมิค้ มุ กัน และมีบทบาทในการช่วยพัฒนาประเทศ... …การอยูพ่ อมีพอกิน ไม่ได้ หมายความว่า ไม่มีความก้ าวหน้ า มันจะมีความก้ าวหน้ าแค่พอประมาณ ถ้ าก้ าวหน้ าเร็วเกินไป ไปถึงขึ �นเขายัง ไม่ ถึ ง ยอดเขา หัว ใจวาย แล้ ว ก็ ห ล่ น จากเขา ถ้ า บุค คลหล่ น จากเขา ก็ ไ ม่ เ ป็ น ไร ช่ า งหัว เขา แต่ ว่ า ถ้ า คนๆ เดี ย วขึ น� ไปวิ� ง บนเขา แล้ วหล่นลงมา บางทีทบั คนอื�น ทําให้ คนอื�นต้ องหล่นไปด้ วย อันนี �เดือดร้ อน…” (พระราชดํารัส พระบาทสมเด็จพระเจ้ าอยูห่ วั วันที� ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๔๔)

“…ความสะดวกจะสามารถสราง อะไรไดมาก นีค ่ อ ื เศรษฐกิจพอเพียง สํ า คั ญ ว  า ต  อ ง รู  จั ก ขั้ น ต อ น ถ า นึ ก จะทําอะไรใหเร็วเกินไป ไม พอเพี ย ง ถ า ไม เ ร็ ว ช า ไป ก็ ไ ม พอเพี ย ง ต อ งให รู  จั ก ก า วหน า โดยไม ทํ า ให ค นเดื อ ดร อ น อั น นี้ เศรษฐกิ จ พอเพี ย งคงได ศึ ก ษา มานานแลว เราพูดมาแลว ๑๐ ป ตองปฏิบัติดวย…” (พระราชดํารัส เนือ� งในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที� ๔ ธันวาคม ๒๕๔๖)

“...ในเรื� องเศรษฐกิจพอเพียง พอเพียงคืออะไร ไม่ใช่เพียงพอ คือว่า ไม่ได้ หมายความว่า ให้ ทํากําไรเล็กๆ น้ อยๆ เท่านันเอง � ทํากําไรก็ทํา ถ้ าเราทํากําไรได้ ดี มันก็ดี แต่ว่าขอให้ มนั พอเพียง ถ้ าท่านเอากําไร หน้ าเลือดมากเกินไป มันไม่ใช่พอเพียง… ...ฟั งว่ารัฐบาลหรื อเมืองไทย ประชาชน มีเงินเยอะ มีเงินเกิน ก็ใช้ สิ เขาหาว่า เราเศรษฐกิ จพอเพี ย ง คํ าว่า พอเพี ย ง ถ้ ามี เงิ นก็ ต้ องใช้ ไม่ ใ ช่ ขี เ� หนี ย ว ถ้ ามี เ งิ น ไม่ ต้ องขี เ� หนี ย ว ซื อ� ไปเถอะ อะไรก็ ต าม เครื� อ งบิ น เรื อ รถถัง ซื อ� ถ้ ามี เ งิ น เยอะ ก็ ถื อ ว่ า สนับ สนุน ให้ จ่ า ย เดี�ยวนี �เขาบอกว่า ในหนังสือพิมพ์เห็นรึเปล่า ว่าเขาสนับสนุนให้ จา่ ย ถ้ ามีก็จา่ ย แต่ถ้าไม่มีก็ระงับหน่อย...” (พระราชดํารัส เนื�องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที� ๔ ธันวาคม ๒๕๕๐)


๙ คําาพ อสอน | ๖ ความสุขและการทํ ความดี

๓๑

ความสุข

และการทําความดี

“...ถ้ า เราแผ่ เ มตตาให้ ค นอื� น หรื อ มี ค วามปรารถนาดี ต่ อ ผู้ อ� ื น เข้ า ใจว่ า คนนั น� หรือบุคคลอื�นจะรู้สกึ ต้ องรู้สกึ ว่ ามีปรารถนาดีต่อผู้อ� นื ต่ อบุคคลนัน� ขึน� ในใจของเรา ก็ต้องรู้สกึ ว่ า มีคนอื�นมาปรารถนาดีต่อเรา ฉะนัน� เป็ นการยืนยันว่ า การปรารถนาดี ต่อผู้อ�นื ทําให้ผ้ อู �นื ปรารถนาดีต่อเรา และปรารถนาดีต่อเรา อันนีเ� องที�เป็ นความสุข...” (พระราชดํารัส พระราชทานแก่ ผ้ นู าํ ลูกเสือชาวบ้ าน กรุงเทพมหานคร วันที� ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๑)

“…ความสุขกับความทุกข์นนแต่ ั � ละคนก็มตี า่ งกัน บางคนเกิดมามีสมองทีด� ี บางคนเกิดมามี สมองทีว� า่ ง บางคนเกิดมามีร่างกายทีด� ี ทีจ� ะเติบโตจากทารกขึ �นมาเป็ นเด็ก ขึ �นมาเป็ นวัยรุ่น และขึ �นมาเป็ นผู้ใหญ่ รูปร่างหน้ าตา ความเฉลียวฉลาดก็แตกต่างกัน ฉะนันก็ � ต้องมีพทุ ธศาสนา หรือมีวธิ ปี ฏิบตั ติ อ่ กัน ทีจ� ะสอนเหมือนหมดทุกอย่าง ให้มคี วามเสมอภาคแท้กไ็ ม่ได้ มีตาํ ราเดียว ก็ไม่ได้ แต่ละคนต้ องมีตาํ ราของตนเพือ� ขัดเกลาตนให้ ดขี ึ �นในโลกนี �ในชาตินี หรื � อในชาติหน้ า ถึงทํ าให้ เราต้ องเชื� อว่ามี ชาตินี � ชาติหน้ าแต่ถ้าเราทํ าดี หมายถึงว่าเราขัดเกลาตัวเอง ให้ มี ค วามเฉลี ย วฉลาดและถู ก ธั ม มะให้ ดี เราก็ ส ามารถที� จ ะก้ าวไปสู่ ค วามดี ขึ น� สบายขึน� มีความสุขขึ �น…” (พระราชดํ า รั ส ในโอกาสที� พ ระครู วิ บู ล สารธรรม เจ้ าอาวาสวั ด คลอง ๑๘ และคณะ เฝ้ า ฯ วันที� ๒๐ มิถนุ ายน ๒๕๑๘)

“...ความสุขความเจริญทีแ ่ ทจริงอันควรหวังนัน ้ เกิดขึน ้ ไดจากการกระทํา และความประพฤติทเี่ ปนธรรม มีลก ั ษณะสรางสรรค คืออํานวยผลทีเ่ ปน ประโยชนทง ั้ แกตว ั แกผอ ู น ื่ ตลอดถึงประเทศชาติโดยสวนรวมดวย...” (พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริ ญญาบัตร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที� ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๑๘)


๓๒ | ๙ คําพอสอน “...ความสุขความสวัสดีของข้ าพเจ้ า จะเกิดมีขึ �นได้ ก็ด้วยบ้ านเมืองของเรามีความเจริ ญ มัน� คงเป็ นปรกติสขุ ความเจริญมัน� คงทังนั � น� จะสําเร็จผลเป็ นจริงได้ กด็ ้ วยทุกคนทุกฝ่ ายในชาติ มุง่ ที�จะปฏิบตั หิ น้ าที�ของตนให้ เต็มกําลัง ด้ วยสติร้ ูตวั ด้ วยปั ญญารู้คดิ และด้ วยความสุจริ ต จริ ง ใจ โดยเห็ น แก่ ป ระโยชน์ ส่ ว นรวมยิ� ง กว่ า ส่ ว นอื� น จึ ง ขอให้ ท่ า นทัง� หลายในที� นี � ซึง� มีตาํ แหน่งหน้าทีส� าํ คัญอยูใ่ นสถาบันหลักของประเทศ และชาวไทยทุกหมูเ่ หล่า ทําความเข้าใจ ในหน้ าที�ของตนให้ กระจ่าง แล้ วตังจิ � ตตังใจให้ � เที�ยงตรงหนักแน่น ที�จะปฏิบตั หิ น้ าที�ของตน ให้ ดีที�สดุ เพื�อให้ สําเร็ จประโยชน์ส่วนรวมอันไพบูลย์ คือชาติบ้านเมือง อันเป็ นถิ�นที�อยู่ที� ทํากินของเรา มีความเจริ ญมัน� คงยัง� ยืนไป...” (พระราชดํารัส ในการเสด็จออกมหาสมาคม ในงานพระราชพิธเี ฉลิมพระชนมพรรษา วันที� ๕ ธันวาคม ๒๕๕๒)

“ . . . คุ ณ ส ม บั ติ พื้ น ฐ า น ที่ จํ า เ ป  น สํ า หรั บ ทุ ก คนนั้ น ที่ สํ า คั ญ ได แ ก ความรูจ  ก ั ผิดชอบชัว ่ ดี ความละอาย ชั่ ว กลั ว บาป ความซื่ อ สั ต ย สุ จ ริ ต ทัง ้ ในความคิดและการกระทํา ความ ไม เ ห็ น แก ตั ว ไม เ อารั ด เอาเปรี ย บ ผู  อื่ น ความไม มั ก ง า ย หยาบคาย กับอีกอยางหนึ่งที่สําคัญเปนพิเศษ คือความขยันหมั่นเพียร...” (พระบรมราโชวาท ในพิ ธี พ ระราชทานปริ ญญาบั ต ร มหาวิ ท ยาลั ย ศรี นคริ นทรวิโรฒ วันที� ๒๒ มิถนุ ายน ๒๕๒๒)

“…ประเทศนี�ทาํ ไมอยูไ่ ด้ ก็เพราะพวกเราทุกคนถ้ าเราสร้ างความดี คือ ทําปฏิบตั ิในสิ�งที�บริ สทุ ธิใจที�สจุ ริ ต ที�ตงใจดี ั � มันอาจมีผิดพลาดบ้ าง แต่วา่ ไม่ได้ ตงใจผิ ั � ดพลาด ตังใจทํ � าดีกเ็ ป็ นการสร้ างกําลังของบ้ านเมือง ทํ า ให้ เ ป็ น เหมื อ นฉี ด ยาป้อ งกัน โรค ถ้ า เราฉี ด ยา ต้ อ งได้ ค รบโดส ถึง จะป้อ งกัน โรคภัย ไข้ เ จ็ บ ได้ การป้อ งกัน ให้ ค รบโดส เราต้ อ งทํ า ในสิ� ง ที� ดี ที� ช อบตลอดไปเป็ น เวลานานอาจน่ า เบื� อ แต่ แ ม้ ก ระนัน� อย่ า เพิ� ง ท้ อ ใจ แม้ ก ระนัน� บางที เ ราทํ า ตลอดชี วิ ต แล้ ว ก็ ยัง ไม่ พ อ แต่ทําไมเมืองไทยอยู่ได้ ก็เพราะว่าบรรพบุรุษของเราทํามาเป็ นแรมปี เป็ นร้ อยๆ ปี ทํามาด้ วยความสุจริ ตใจ…” (พระราชดํารัส พระราชทานแก่นกั ศึกษา พ่อค้ า ประชาชน มูลนิธิ องค์กรต่างๆ ที�เ ข้ าเฝ้ า ฯ ถวายพระพรชั ย มงคล เนื� อ งในโอกาสเฉลิ ม พระชนมพรรษา วันที� ๔ ธันวาคม ๒๕๑๘)

“…ความปี ติปลื �มใจนัน� นําไปสู่ความสุขคือความสุขที�ได้ ทําอะไรที�ดีที�ชอบ เมื�อมีความสุขในสิ�งที�ดีที�ชอบ จิตใจก็ปลอดโปร่ งผ่องใส เมื�อจิตใจผ่องใส ก็จะเห็นอะไรที�ถกู ต้ อง เมื�อเห็นอะไรที�ถกู ต้ องแล้ วก็เห็นความจริงที�แท้ ความจริงที�แท้ มีอย่างเดียวคือความบริสทุ ธิ�ผดุ ผ่อง คือความสุจริ ต หมายความว่า การที�ทําอะไรที�เกิดความปี ตยิ ินดีนนั � นับว่าเป็ นทางที�จะทําให้ แต่ละคนมีความสุขความเจริ ญได้ …” (พระราชดํารัส ในโอกาสทีป� ระธานกรรมการหาทุนสร้ างพระคัมภีร์นาํ คณะกรรมการ และผู้มจี ติ ศรัทธาบริจาคเงิน เฝ้าทูลละอองธุลพี ระบาท วันที� ๑๔ ตุลาคม ๒๕๒๔)


๙ คําาพ อสอน | ๖ ความสุขและการทํ ความดี

๓๓

“...ในบานเมืองนั้น มีทั้ง คนดี และคนไม ดี ไมมี ใครที่จะทําใหทุกคนเปน คนดีไดทง ั้ หมด การทําให บานเมืองมีความปรกติสข ุ เรี ย บร อ ย จึ ง มิ ใ ช ก าร ทํ า ใ ห  ทุ ก ค น เ ป  น ค น ดี หากแตอยูท  ก ี่ ารสงเสริม คนดี ให ค นดี ป กครอง บ า นเมื อ ง และควบคุ ม คนไม ดี ไม ใ ห มี อํ า นาจ “...การทําดีนนทํ ั � ายากและเห็นผลช้ า แต่กจ็ าํ เป็ นต้ องทํา เพราะหาไม่ความชัว� ซึง� ทําได้ งา่ ย ไมใหกอความเดือดรอน จะเข้ ามาแทนที�และจะพอกพูนขึ �นอย่างรวดเร็วโดยไม่ทนั รู้สกึ ตัว แต่ละคนจึงต้ องตังใจ � และเพียรพยายามให้ สดุ กําลังในการสร้ างเสริ มและสะสมความดี…” วุนวายได...” (พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่ผ้ สู ําเร็ จการศึกษา โรงเรี ยนนายร้ อยตํารวจ สวนอัมพร วันที� ๑๔ สิงหาคม ๒๕๒๕)

(พระบรมราโชวาท ในพิธีเปิ ดงานชุมนุมลูกเสือแห่งชาติ ค่ายลูกเสือวชิราวุธ จังหวัดชลบุรี วันที� ๑๑ ธันวาคม ๒๕๑๒)

“ความคิดนันสํ � าคัญมาก ถือได้วา่ เป็นแม่บทใหญ่ของคําพูดและการกระทําทังปวง � กล่าวคือ ถ้ าคนเราคิดดี คิดถูกต้ องทัง� ตามหลักวิชาและคุณธรรม คําพูด และการกระทําก็เป็ นไปในทางที�ดีที�เจริ ญ แต่ถ้าคิดไม่ดี ไม่ถูกต้ อง คําพูด และการกระทําก็อาจก่อให้ เกิดความเสือ� มเสียหาย ทังแก่ � ตวั เองและส่วนรวมได้ ด้ วยเหตุนี �ก่อนที�บคุ คลจะทําสิง� ใด จําเป็ นต้ องหยุดคิดเสียก่อนว่า กิจที�จะทํา คําทีจ� ะพูด ผิดหรือถูก เป็ นคุณประโยชน์หรือเป็ นโทษเสียหาย เป็ นสิง� ทีค� วรพูด ควรกระทํา หรื อควรงดเว้ น เมื�อคิดพิจารณาได้ ดงั นี �ก็จะสามารถยับยังคํ � าพูด ที�ไม่สมควร หยุดยังการกระทํ � าที�ไม่ถกู ต้ อง พูดและทําแต่สงิ� ที�จะสัมฤทธิ�ผล เป็ นคุณ เป็ นประโยชน์ และเป็ นความเจริ ญ” (พระบรมราโชวาท ในพิ ธี พ ระราชทานปริ ญ ญาบัต รของจุฬ าลงกรณ์ ม หาวิ ท ยาลัย วันที� ๙ กรกฎาคม ๒๕๔๐)

“…การคิดการปฏิบตั ิให้ ถูกให้ ดีนัน� ก็คือการคิดและปฏิบตั ิให้ ถูกต้ องตามหลักการ หลักวิชา หลั ก เหตุ ผ ล และหลั ก สุ จ ริ ต ธรรม ผู้ มุ่ ง หมายจะสร้ างสรรค์ ป ระโยชน์ แ ละความเจริ ญ จึงควรพยายามปฏิบตั ิฝึกฝนของตนเองให้ มีความคิดจิตใจที�เที�ยงตรง และมั�นคงเป็ นกลาง เป็ นอิสระจากอคติ ซึ�งมีหลักฝึ กหัดที�สําคัญประกอบส่งเสริ มกันอยู่สองข้ อ ข้ อแรก ให้ หัดพูด หัดทําหัดคิดด้ วยสติร้ ูตวั อยูเ่ สมอ เพื�อหยุดยังและป้ � องกันความประมาทพลาดผิดและอคติตา่ งๆ มิให้เกิดขึ �น ข้ อสอง ให้หดั ใช้ ปัญญาความฉลาดรู้เป็นเครื�องวิเคราะห์และวินจิ ฉัยเรื�องราว ปัญหาต่าง ๆ ทุกอย่างที�ต้องขบคิดแก้ ไข เพื�อช่วยให้ เห็นเหตุ เห็นสาระได้ ชดั และวินิจฉัยได้ ถกู ต้ องเที�ยงตรง ว่าข้ อ ที� เท็จ ที� จ ริ ง ที� ถูก ที� ผิด ที� เ ป็ นประโยชน์ ที� มิ ใ ช่ประโยชน์ อยู่ตรงไหน สติ และปั ญญา ที�ได้ ฝึกฝนใช้ จนคล่องแคล่วเคยชินแล้ ว จะรวมเข้ าเป็ นสติปัญญา ที�จะส่งเสริ มให้ บคุ คลสามารถ คิดอ่านและประพฤติปฏิบตั ไิ ด้ถกู ได้ดใี ห้เกิดประโยชน์แก่ตนเองแก่สว่ นรวม ได้สมบรูณพ์ ร้ อมทุกส่วน…” (พระบรมราโชวาท พิ ธีพระราชทานปริ ญญาบัตรแก่ ผ้ ูสําเร็ จการศึกษา จากสถาบันเทคโนโลยี ราชมงคล วันที� ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๓๓)


๓๔ | ๙ คําพอสอน “...ในการสร้ างตัวสร้ างฐานะนันจะต้ � องถือหลัก ค่ อ ยเป็ นค่ อ ยไป ด้ วยความรอบคอบ ระมัดระวังและความพอเหมาะพอดี ไม่ทาํ เกิน ฐานะและกํ า ลัง หรื อ ทํ า ด้ ว ยความเร่ ง รี บ เมื� อ มี พื น� ฐานแน่ น หนารองรั บ พร้ อมแล้ ว จึงค่อยสร้ างค่อยเสริ มความเจริ ญก้ าวหน้ า ในระดับ ที� สูง ขึน� ตามต่ อ กัน ไปเป็ น ลํ า ดับ ผลที� เ กิ ด ขึ น� จึ ง จะแน่ น อน มี ห ลัก เกณฑ์ เป็ นประโยชน์แท้ และยัง� ยืน...” (พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร มหาวิทยาลัยขอนแก่น วันที� ๑๘ ธันวาคม ๒๕๔๐)

“การทําดีนนมี ั � หลายอย่าง อย่างทีท� า่ นทําดีได้ โดยที�ได้ ร่วมกุศลเป็ นเงิน เพื�อที�จะแผ่ไปช่วย ผู้ที�ตกทุกข์ได้ ยากนัน� ก็เป็ นการกระทําที�ดี อย่างหนึง� การกระทําที�ดีอีกอย่างที�ได้ กล่าว ก็ คื อ มี ค วามปรองดองสามัค คี ช่ ว ยเหลื อ ซึง� กันและกัน อุดหนุนกันแล้วก็ไม่เบียดเบียนกัน โดยเฉพาะอย่างหมู่คณะที�ตงขึ ั � �นมาอย่างนี � ก็ช่ ว ยกั น ในทางวั ต ถุ แ ละในทางจิ ต ใจ ความสามัค คี นี ก� ็ เ ป็ น การทํ า ดี อ ย่ า งหนึ� ง การทําดีอกี อย่างซึง� จะดูลกึ ซึ �งกว่าคือปฏิบตั ิ ด้วยตนเอง ปฏิบตั ใิ ห้ตวั เองไม่มคี วามเดือดร้ อน คือพยายามหันเข้ าไปในทางปั จจุบนั ให้ มาก อย่างง่ายๆ ก่อน คือพิจารณาดูว่าตัวเอง กําลังคิดอะไร กําลังทําอะไร ให้ ร้ ูตลอดเวลา แล้ วรู้ ว่าทําอะไร อย่างนี เ� ป็ นวิธีอย่างหนึ�ง ที� จ ะทํ า ให้ ไ ม่มีภัย ถ้ า เราคอยระมัด ระวัง ตลอดเวลาให้ ร้ ูวา่ ตัวทําอะไร ให้ ร้ ูวา่ การทํานี � เราทํ า อะไรตลอดเวลาก็ จ ะไม่ ผิ ด พลาด เพราะว่า โดยมากความผิ ด พลาดมาจาก ความไม่ร้ ูปัจจุบนั ” (พระราชดํ า รั ส ในโอกาสที� ค ณะครู ใ บฎี ก าเล็ ก (ถานุตตฺ โร) และคณะเข้ าเฝ้าถวายเงินและต้ นเทียน พรรษา วันที� ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๒๔)

“การทํ า ดี นัน� คํ า รวมๆ นี ฟ� ั ง ดูแ ล้ ว ก็ ง่ า ย เพราะคําว่าดีมันสันมาก � แต่คําว่าดีนีต� ้ อง ตีความให้ กว้ างขวาง ถ้ าเขียนเป็ นหนังสือ ก็ ค งเขี ย นเป็ น เล่ม ใหญ่ แต่นึก ดูว่า ทุก คน ก็ ย่ อ มเข้ าใจว่ า ดี คื อ อะไร ชั� ว คื อ อะไร เพียงแต่บางทีกล็ มื ถ้ าไม่ลมื ก็นบั ว่าเป็ นคนดี ถ้าลืมก็อาจจะตกเป็นคนชัว� ได้ เพราะว่าเมือ� ลืม ความดีแล้ วความชัว� เข้ ามาแทนที� ฉะนัน� การ ฝึ กจิตให้ ทําแต่ความดีนนั � เบื �องต้ นก็จะต้ อง ตั ง� จิ ต ให้ ดี ตั ง� จิ ต ให้ ดี ห มายความว่ า คิดเป็ นกลาง อย่าเพิ�งนึกว่าตอนแรกจะต้ อง คิดทําโครงการอะไร ๆ ตังจิ � ตให้ เป็ นกลางก่อน แล้ วก็จะเห็นว่า อันไหนเป็ นของดี อันไหน เป็ นของไม่ดี เมื�อเห็นเป็ นของดีแล้ วก็จะต้ อง ปั กใจมุง่ ทําแต่ความดีนน” ั� (พระราชดํารัสในโอกาสทีผ� ้ บู งั คับบัญชาลูกเสือ พีทซี .ี สามั ญ รุ่ นใหญ่ ค่ า ยโรงเรี ยนสุ ร ศั ก ดิ� ม นตรี เข้ าเฝ้าฯ ทูลเกล้ าฯ ถวายเงินโดยเสร็ จพระราชกุศล ตามพระราชอัธยาศัย วันที� ๑๖ เมษายน ๒๕๒๔)

“...คนทํ า ดี ใ ห ค นอื่ น ดี ไ ด หมายความว า คนดี ทํ า ให เ กิ ด ความดี ใ นสั ง คม คนอื่ น ก็ ดี ไ ปด ว ย ความเลวนั้ น จะทํ า ให ค นดี เ ป น คนเลวก็ ย าก แตเปนไปได ถาคนดีเขมแข็งในความดี จะทําให คนเลวมาทําใหคนดีเปนคนเลวยาก สําคัญอยูท  ี่ ความเขมแข็งของคนดี...” (พระราชดํ า รั ส พระราชทานแก่ ค ณะบุ ค คลต่ า งๆ ที� เ ข้ าเฝ้ า ฯ ถวายพระพรชั ย มงคล ในโอกาส วันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที� ๔ ธันวาคม ๒๕๓๙)


๙ คําาพ อสอน | ๖ ความสุขและการทํ ความดี

๓๕

“ในสมัยปัจจุบนั นอกจากความรู้ในวิชาการซึง� สอนกันอยู่ ยังต้ องมีความรู้ในทางธัมมะ คือความเป็ นอยูใ่ นจิตใจของแต่ละคน การทีเ� ป็ นคนดี เป็ นคนที�มีความรู้ ในทางเหตุผลนี �สามารถที�จะทําให้ คนอยู่ด้วยการร่ วมกันอย่างดี ไม่ทะเลาะเบาะแว้ งกันช่วยเหลือสามัคคี นอกจากนี � จะช่วยให้ คนสามารถทีจ� ะเรี ยนวิทยาการได้ ผู้ใดทีเ� รี ยนวิทยาการแต่ฝ่ายเดียว จะไม่สามารถปฏิบตั ติ นเป็ นมนุษย์ ถ้ ามีศลี ธรรมอยูใ่ นจิตใจ ก็สามารถที�ปฏิบตั ติ นเป็ นมนุษย์ที�ดี เป็ นประโยชน์ตอ่ ตนเองและต่อผู้อื�น ฉะนัน� จึงเป็ นเหตุให้ เห็นความสําคัญของศีลธรรม มิใช่วา่ จะให้ คนทัว� ไป ทุกคนสนใจศาสนา ศึกษาศาสนาให้ มากจนเป็ นผู้ที�ได้ ชื�อว่า “ธัมมะธัมโม” แต่ตงใจที ั � �จะให้ ผ้ ทู ี�มีความรู้ ทางวิทยาการสามารถ ที�จะใช้ วิชานันให้ � เป็ นประโยชน์แก่ทกุ คน ถ้ าคนมีความข้ องใจ มีความไม่สบายใจ ธัมมะก็ปลอบใจ คนไหนที�มีความรู้ คนไหนที�มีธมั มะ แล้ วจึงมีความเจริ ญ และธัมมะจึงเป็ นสิง� สําคัญสําหรับชีวิต” (พระราชดํารัส พระราชทานแก่คณะกรรมการจัดตังโรงเรี � ยนสงเคราะห์เด็กยากจน วันที� ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๗)

“การทําความดีนั้น โดยมากเปนการเดินทวน กระแสความพอใจและความต อ งการของ มนุษย จึงทําไดยาก และเห็นผลชา แตกจ ็ า ํ เปน ต อ งทํ า เพราะหาไม ค วามชั่ ว ซึ่ ง ทํ า ได ง  า ย จะเข า มาแทนที่ แล ว จะพอกพู น ขึ้ น อย า ง รวดเร็วเร็วโดยไมทันรูสึกตัว” (พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานกระบีแ� ละปริญญาบัตรแก่วา่ ที�ร้อยตํารวจตรี ที�สาํ เร็จการศึกษา ชันสู � งสุดจากโรงเรี ยนนายร้ อยตํารวจ ประจําปี การศึกษา ๒๕๒๘ วันที� ๑๐ มีนาคม ๒๕๒๙ )

“การทําความดีนนั � สําคัญทีส� ดุ อยูท่ ตี� วั เอง ผู้อนื� ไม่สําคัญ และไม่มีความจําเป็ นอันใดที�จะต้ อง เป็ นห่วงหรื อต้ องรอคอยเขาด้ วย เมื�อได้ ลงมือ ลงแรงกระทําแล้ ว ถึงแม้ จะมีใครร่ วมมือด้ วย หรื อไม่ก็ตาม ผลดีที�ทําจะต้ องเกิดขึ �นแน่นอน และยิ�งทํามากเข้ านานเข้ า ยัง� ยืนเข้ า ผลดีก็ยิ�ง เพิ�มพูนมากขึ �น และแผ่ขยายกว้ างออกไปทุกที คนทีไ� ม่เคยทําดีเพราะเขาไม่เคยเห็นผล ก็จะได้ เห็นและหันเข้ ามาตามตัวอย่าง” (พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริ ญญาบัตร แก่ผ้ ูสําเร็ จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วันที� ๒๐ ตุลาคม ๒๕๒๑)

“ในภาษาทุกภาษาก็ต้องมีคําว่า เมตตา คือเอื �อเฟื อ� ซึง� กันและกัน มองคนอื�นในทางที�จะช่วยเหลือเขามากกว่าที�จะไปแย่งชิงเขา ทุกภาษา ทุกศาสนา ก็มจี ติ ใจนี หรื � อวิธกี ารนี ขอให้ � ทา่ นทังหลายทํ � าต่อไปด้วยความแน่วแน่ และด้วยความสุจริตใจจะเป็นทางทีจ� ะช่วยส่วนรวมให้อยูเ่ ป็นสุข” (พระราชดํารัส พระราชทานแก่คณะกรรมการอํานวยการสันนิบาตมูลนิธิแห่งประเทศไทย วันที� ๑๙ ธันวาคม ๒๕๑๘)

“การที่คนมีจิตใจกุศล จิตใจที่แสวงหาความดี ทําบุญ ทําทานนั้น เปนขั้น ที่สําคัญมากในการหาความสุข แตจะบรรลุผลเร็วหรือชาก็แลวแตจะ ปฏิบัติอยางไรตอไป” (พระราชดํารัส พระราชทานแก่คณะกรรมการมูลนิธิวดั วชิรธรรมสาธิต ฝ่ ายคฤหัสถ์ วันที� ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๒๒)


๗ ความมีสติ ๓๖ | ๙ คําพอสอน

“…สติ คือความรู้ สึกได้ ว่าอะไรเป็ นอะไรนัน� สําคัญมากที�จะช่ วยให้ บุคคลหยุดคิดพิจารณาก่อนที�จะพูด จะทํา หรือแม้จะคิดอ่านในเรื�องใดๆ อีกข้ อหนึ�งที�จะช่ วยให้ ระลึกได้ คิดอ่ านได้ ถูกจุดและถูกต้ อง ก็คือ จิ ต ใจที� ตั ง� มั� น และหนั ก แน่ นเป็ นกลางเพราะไม่ อ คติ สองสิ� ง นี � เป็ นคุณสมบัตทิ � สี าํ คัญที�สุดของการศึกษาดี มีหน้ าที�สูง ที�จะต้ องเป็ น บุคคลชัน� นําในวงงานต่ างๆ ทัง� ในปั จจุบนั และอนาคต…” (พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่ ส ามั ค คี ส มาคม ในพระบรมราชู ป ถั ม ภ์ เพื�อเชิญไปอ่ านในการประชุมสามัญประจําปี ระหว่ างวันที� ๗ – ๘ เมษายน ๒๕๒๗)

“…ความรู้สกึ ระลึกได้ วา่ อะไรเป็ นอะไร หรื อเรี ยกสันๆ � ว่า “สติ” นัน� เป็ นสิง� สําคัญที�สดุ อย่างหนึง� ที�จะทําให้ บคุ คลหยุดคิดพิจารณาก่อนที�จะทํา จะพูด และแม้ แต่ จ ะคิ ด สิ� ง ใดสิ� ง หนึ� ง ว่ า สิ� ง นั น� ดี ห รื อชั� ว มี คุ ณ มี ป ระโยชน์ หรื อเสียหาย ควรกระทําหรื อควรงดเว้ นอย่างไร เมื�อยังคิ � ดได้ ก็จะช่วยให้ พิจารณาทุกสิ�งทุกอย่างอย่างละเอี ยดประณี ต และสามารถกลั�นกรอง เอาสิ�ง ที� ไ ม่เ ป็ น สาระ ไม่เป็ นประโยชน์ อ อกได้ หมด คงเหลื อแต่เ นื อ� แท้ ที�ถกู ต้ องและเป็ นธรรม ซึง� เป็ นของควรคิดควรพูดควรทําแท้ ๆ …” (พระบรมราโชวาท พระราชทานสามัคคีสมาคม ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื�อเชิญไปอ่าน ในการประชุมสามัญประจําปี ระหว่างวันที� ๑๖ – ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๒๐)

“…อยากจะแนะนําข้ อคิดอันหนึง� ซึง� เป็ นทางแห่งความเจริญ คือ การพิจารณา การพิจารณานัน� เป็ นการหยุดยังชั � ง� ใจก่อนทีจ� ะปฏิบตั กิ ารใด ลงไปเสมือนกับได้ ปรึกษากับตนเองก่อน ถ้ าหากทําสิง� ใดโดยมิได้ พิจารณาแล้ ว ก็อาจะตกเป็ นเหยื�อแห่งอารมณ์บงั เกิดความประมาทขึ �น อันจะเป็ นผลเสียหายแก่กิจการนัน� ๆ ได้ ฉะนัน� ขอให้ ทุกคนจงใช้ ความพิจารณาให้ รอบคอบ ก่อนที�จะประกอบกิจใดๆ แม้ แต่ถ้อยคํา ที�ข้าพเจ้ าได้ กล่าวมาแล้ วนันก็ � ควรได้ รับการพิจารณาเช่นเดียวกันด้ วย…” (พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานประกาศนียบัตรนักเรี ยนวชิราวุธวิทยาลัย วันที� ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๑)

“…จิ ตใจที� ตํ�าทรามนัน� เป็ นจิ ตใจที� อ่อนแอ ไม่กล้ าและไม่อดทนที� จะเพี ยรพยายาม สร้ างสมความดีงาม ความเจริญ ความสําเร็จ ในทางทีถ� กู ต้ อง เป็ นธรรม มีแต่คดิ จะให้ ได้ มาโดยสะดวกง่ายดาย โดยไม่คํานึงถึงผิดชอบชั�วดี จิตใจดังนี � ถ้ าปล่อยให้ เกิดมีขึน� จนเคยชิน อย่างน้ อยที�สดุ ก็ทําให้ เป็ นคนมักง่าย ทํางานบกพร่ องเสียหายอย่างมาก ก็ทาํ ให้ เป็ นคนด้ านหนาไร้ ความอาย หยาบคาย ละโมบ ทําอะไรทีไ� หน ก็เกิดอันตรายทีน� นั� ท่านจึงสอนให้ สงั วรระวังใจของตนให้ ดี อย่าให้ ความชั�วเกิดขึน� และหากเกิดขึน� แล้ ว ก็ให้ กําจัดเสียทันที นอกจากนี �ก็ตงฝึ ั � กหัดบํารุงใจให้ เข้ มแข็งและประณีตขึ �น เพื�อรับเอา ความดี ซึง� เป็นปัจจัยทีจ� ะช่วยให้ก้าวถึงความสุขและความเจริญมัน� คง การฝึกใจให้เข้มแข็งนี � ถึงหากรู้ สกึ ว่าเป็ นการเหนื�อยยาก แต่ถ้าฝึ กได้ ตงใจฝึ ั � กฝนโดยสมํ�าเสมอให้ เพิ�มพูนขึ �น โดยลําดับ ไม่ช้านานก็จะเกิดกําลังแข็งแรงเกิดความชํานาญ คล่องแคล่ว จนสามารถ ทําความดีได้ งา่ ยขึ �น ไม่เหนื�อยยากเลย…” (พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยรามคําแหง วันที� ๑๖ มีนาคม ๒๕๒๔)


๙ ความมี คําพอสอน ๗ สติ |

๓๗

“…คนเราที�ฟงุ้ เฟ้อ ไม่มีทางที�จะหาทรัพย์มาป้อนความฟุง้ เฟ้อได้ ความฟุง้ เฟ้อนี �เป็ นปากหรื อเป็ นสัตว์ที�หิวไม่หยุด ความฟุง้ เฟ้อนี �อ้ าปาก ตลอดเวลา จะป้อนไปเท่าไรๆ ก็ไม่พอ เมื�อป้อนเท่าไรๆ ไม่พอแล้ ว ก็หาเท่าไรๆ ก็ไม่พอ ความไม่พอนี �ไม่สามารถที�จะหาอะไรมาป้อนเป็ น ความฟุง้ เฟ้อนี �ได้ ฉะนัน� ถ้ าจะต่อต้ านความเดือดร้ อน ไม่ใช่วา่ จะต้ องประหยัดมัธยัสถ์ จะต้ องป้องกันความฟุง้ เฟ้อ และป้องกันวิธีการที� มักใช้ เพื�อที�จะมาป้อนความฟุง้ เฟ้อนี � คือ ความทุจริ ต ฉะนันการที � �จะรณรงค์ที�จะต่อสู้ เพื�อให้ คนที�มธั ยัสถ์และประหยัดนันก็ � อยูท่ ี�ตวั เอง ไม่ใช่อยูท่ คี� นอืน� การรณรงค์โดยมากมักออกไปข้ างนอก จะไปชักชวนคนโน้ นชักชวนคนนี �ให้ ทาํ โน่นทํานี� ทีจ� ริงตัวเองต้ องทําเอง ถ้ าจะใช้ คาํ ว่า รณรงค์ก็ต้องรณรงค์กบั ตัวเอง ต้ องฝึ กตัวให้ ร้ ูจกั ความพอดีพอเหมาะ ถ้ าไม่พอดีไม่พอเหมาะ มันจะเกิดทุจริ ตในใจได้ ” (พระราชดํ ารั ส พระราชทานแก่ ค ณะลูกเสื อชาวบ้ า นที� ม าเฝ้า ทูล ละอองธุลี พ ระบาท ในโอกาสเสด็จ ฯ กลับ จากแปรพระราชฐานจากจัง หวัด สกลนคร วันที� ๒ ธันวาคม ๒๕๒๗)

“…คนเราตองเตรียมตัวเพือ ่ ที่จะเผชิญปญหาตางๆ ใน ชีวิต แตการเตรียมตัวนั้น ก็ตอ  งมีความรูป  ระกอบดวย มีการฝกนิสย ั ใจคอของตน ใหสามารถฟนฝาอุปสรรค ไดดวย สิ่งที่สําคัญในการ ฟนฝาอุปสรรคในชีวิตคือ ต อ งรู  จั ก ตนเอง รู  ว  า ตั ว กํ า ลั ง ทํ า อ ะ ไ ร รู  ว  า ตั ว ตองการอะไร…” (พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่ นัก ศึก ษาวิ ท ยาลัย เกษตรกรรมแม่โจ้ เชียงใหม่ วันที� ๓ มกราคม ๒๕๑๖)

“…ถ้ าถูกแดดถูกฝน อนามัยแข็งแรงก็ไม่เป็ นอะไร ทําให้ แข็งแกร่ง จิตใจก็เหมือนกัน เมื�อประสบอุปสรรคและสิง� ที�ไม่พงึ� ประสงค์ปรารถนา เราก็ขนุ่ หมอง แต่ถ้าจิตใจเราแข็งแรง แข็งแกร่งดี อุปสรรคนันจะทํ � าให้ สามารถทีจ� ะทําให้ มอี าํ นาจจิตดีขึ �น มีกาํ ลังใจมากขึ �น สิง� ทีเ� ป็ นอุปสรรค สิง� ที�ทําให้ เราขุน่ เคืองใจ ไม่เป็ นผลร้ ายต่อตัวเรา กลับทําให้ ใจเราแข็งแกร่ง แข็งแรง…” (พระบรมราโชวาท ในโอกาสเสด็จพระราชดําเนินไปทรงเยี�ยมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และทรงดนตรี เป็ นการส่วนพระองค์ วันที� ๗ มีนาคม ๒๕๑๓)


๓๘ | ๙ คําพอสอน “…ความสงบนันภายนอก � ได้ แก่สภาวการณ์ที�เรี ยบร้ อยเป็ นปรกติ ไม่ มี ค วามวุ่ น วายขั ด แย้ ง ไม่ มี ก ารเอาเปรี ยบเบี ย ดเบี ย น หรื อมุ่งทําลายกันภายใน ได้ แก่ความคิดจิตใจที�ไม่ฟ้งุ ซ่านหวัน� ไหว หรื อเดือดร้ อนกระวนกระวายด้ วยอํ านาจความมักได้ เห็นแก่ตัว ความร้ ายกาจเพ่ง โทษ ความหลงใหลเห่อ เหิ ม อันเป็ น ต้ น เหตุ ของอกุศลทุจริ ตทังหมด � การทําความสงบนันต้ � องเริ� มที�ภายในตัว ในใจก่ อ น เมื� อ ภายในสงบ ความคิด จิ ต ใจก็ ตัง� มั�นสามารถคิด อ่ า นด้ ว ยเหตุผ ล ความละเอี ย ดรอบคอบ และสามารถค้ น หา จําแนกข้ อเท็จจริ ง ถูกผิด ดีชวั� ได้ โดยกระจ่างและถูกต้ อง จึงเกื �อกูล ให้ บุ ค คลประพฤติ ป ฏิ บัติ ใ นสิ� ง ที� ดี ที� ง ามตามแนวทางที� สุจ ริ ต เหมาะสมได้ และย่อมจะส่งผลสะท้ อนถึงภายนอก ให้ มีความปรกติ เรี ย บร้ อยด้ ว ย…”

“…เทคโนโลยีชนสู ั � งนี � คนส่วนมาก เดี�ยวนี �ก็เข้ าใจว่ามีโทรทัศน์ มี ดาวเทียม มีเครื� องคอมพิวเตอร์ แต่ว่าเครื� องเหล่านี �หรื อสิ�งเหล่านี � เป็ นสิง� ที�ไม่มีชีวติ ดูรูปร่างท่าทางเหมือนมีชีวติ แต่อาจจะไม่มีชีวติ มี สีก็มีสไี ด้ แต่วา่ ไม่มีสสี นั คือสีสนั นัน� รวมแล้ วมันครบถ้ วน และยังไม่ ครบ ยังไม่มีจิตใจ อาจจะทําให้ คนที�มีจิตใจอ่อนเปลี�ยนเป็ นคนละ คนก็ได้ แต่วา่ ที�จะอบรมบ่มนิสยั ด้ วยเครื� องเหล่านี � ฉะนัน� ไม่มีอะไร แทนคนสอนคน คนสอนคนนีม� ที เี� ขาใช้ ดาวเทียม คนเดียวสอนเป็ นพัน เป็ นหมื�น ในคราวเดียวกัน แต่ถ่ายทอดความดีนี �ยาก ถ้ าถ่ายทอด จะว่าไป อาจจะต้ องถ่ายทอดตัวต่อตัว ฉะนันการที � �มีความก้ าวหน้ า เปลี�ยนแปลงในประเทศ ในสังคมไทย ก็ไม่ได้ หมายความว่า จะ เปลี�ยนแปลงในทางดี นอกจากต้ องหาวิธีให้ มีการถ่ายทอดโดยใช้ ตํารา หรื อใช้ หลักสูตรที�เหมาะสมที�ทําให้ คนเป็ นคน…”

(พระบรมราโชวาท พระราชทานเพือ� เชิญไปอ่านในพิธีเปิ ดการประชุมยุวพุทธิก สมาคมทัว� ประเทศ ครัง� ที� ๑๘ วันที� ๓๑ มกราคม ๒๕๓๐)

(พระราชดํารัส พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ทีเ� ข้ าเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล เนื�องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที� ๔ ธันวาคม ๒๕๓๙)

“…เรือ ่ งการฝกฝนกายและจิตใจให ดีนี้ โรงเรียนไดใหโอกาสแกทุกคน ใหทํา แตแตละคนที่เปนนักเรียนจะ ตองทําดวยตัวเอง อาศัยความฉลาด ของตนแต ล ะคนที่ จ ะเห็ น ทางที่ ดี ทีช ่ อบ มาผลักนําตัวใหไปในทางทีด ่ ี ที่ชอบ และรูวาเปนอยางไร…” (พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่คณะครู นักเรี ยนวชิราวุธวิทยาลัย ในโอกาส ที�ได้ เข้ าเฝ้าฯ กราบถวายบังคมลาไปแข่งขันรักบี �ฟุตบอลที�ประเทศมาเลเซีย วันที� ๘ สิงหาคม ๒๕๑๘)

“ความสบายใจของคนเป็ นของที�หายาก คนเราต้ องมีความสบายใจ จึงจะมีชีวิตที�ราบรื� นได้ ” (พระราชดํารัส พระราชทานแก่คณะกรรมการจัดงาน “๕ ธันวาวันมหาราช” วันที� ๕ เมษายน ๒๕๒๑)

“…บางทีเมื�อเราไปเจอสถานการณ์ อะไรอย่างหนึ�ง ปวดหัวมีใคร มาพูดเรื� องราวอะไรต่างๆ ให้ ขดั ใจเรา เราคิดไม่ออก ปวดหัวโมโห ไม่สบายใจ ไม่ร้ ูจะตอบอะไร อันนี �ถ้ าเราฝึ กจิตใจให้ หาเหตุผลโดยเร็ว เราก็ร้ ูแน่นอนว่าเขาพูดอะไร อย่าเพิ�งท้ อใจ มาอย่างไหน มาท่าไหน เรามองเห็น ก็เท่ากับขึ �นไปสูค่ วามรู้ รู้ไส้ เขา รู้โปร่งในความคิดของเขา เขามาอย่างไรเรารู้หมด ฉะนัน� ถ้ าเราฝึ กดีแล้ วเราก็ได้ เปรี ยบโดยเร็ว ใครมาพูดหรื อมาทําอะไรก็ร้ ูเท่าทัน…” (พระราชดํ ารั ส พระราชทานแก่ คณะชาวพุทธแขวงห้ วยขวางเขตพญาไท วันที� ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๑๘)


๙ ความมี คําพอสอน ๗ สติ |

๓๙

“…ขอใหพิจารณาใหดี ๆ วา ถาเรามีความระวังตัวอยูเสมอในการทํา อะไร ด ว ยกาย ด ว ยการพู ด อะไรด ว ยวาจา และแม แ ต คิ ด ด ว ยใจ ให สํารวมกายวาจาใจใหดี และปฏิบัติตอไปในทางที่เจริญ ในทางที่เกื้อกูล ตอผูอื่น ก็เปนการประกันวาอนาคตของทานจะรุงเรืองขึ้น ทั้งในกาย ทั้ ง ในใจ โดยเฉพาะทางใจนี่ ก็ จ ะรุ  ง เรื อ ง เพราะว า จิ ต ใจก็ จ ะผ อ งใสมี ความสบายแนนอน…” (พระราชดํารัส ในโอกาสที�คณะครูใบฎีกาเล็ก (ถานุตฺตโร) และคณะ เฝ้าถวายเงินและต้ นเทียนพรรษา วันที� ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๒๕)

“…ความสงบร่มเย็น อาจพูดได้ วา่ มีเป็ นสองส่วน คือ ความสงบภายนอกกับความสงบภายใน ภายนอก ได้ แ ก่ ส ภาวะแวดล้ อ ม หรื อ สภาวะความเป็ น อยู่ ที� เ ป็ น ปรกติ ปลอดโปร่ ง จากสิง� รบกวนทีท� าํ ให้ เกิดภัยอันตราย หรือเกิดความกระวนกระวายเดือดร้ อนต่างๆ เช่น นํ �าท่วม ไฟไหม้ หรือความขัดแย้ งวุน่ วาย ความมุง่ ร้ ายทําลายกัน ภายใน ได้ แก่จติ ใจทีส� ะอาดแจ่มใส อิม� เอิบสบาย ไม่มกี งั วล ไม่มคี วามขุน่ เคืองขัดข้ องใจ ความสงบภายในหรือจิตใจทีป� ลอดโปร่ง จากสิง� รบกวนนี �สําคัญมาก ควรจะทําให้ มขี ึ �นเพราะผู้ทมี� จี ติ ใจสงบ จะใช้ ความคิดพิจารณา ของตนได้อย่างกว้างขวาง และถูกต้องดีขึ �น ความคิดทีป� ระกอบไปด้วยความสงบนี �มีศกั ยภาพสูง อาจนําไปใช้ คิดอ่านสร้ างสรรค์สงิ� ทีจ� ะอํานวยความสุข ความเจริญก้ าวหน้ า ตลอดจนชือ� เสียง เกียรติคณ ุ อันเป็ นสิง� ทีแ� ต่ละคนปรารถนา ให้ สมั ฤทธิ�ผลได้ …”

“…คนโดยมาก แม้ ผ้ ทู เี� คยฝึกฝนมาให้ เป็ นคน หนักแน่นแล้วก็ตาม บางครังเมื � อ� ต้องประสบเหตุ ประสบปัญหากระทบกระเทือนอย่างหนักเข้ า ก็อาจบังเกิดความหวัน� ไหว หรือสับสนฟุง้ ซ่านได้ และเมื� อ เกิ ด หวั� น ไหวฟุ้ ง ซ่ า น ความคิ ด สติปัญญาก็จะสันลง � หรือดับวูบลง ความหลง และอคติ ก็ เ ข้ า มาแทนที� ทํ า ให้ จ นปั ญ ญา คิดไม่ออก ทําไม่ถกู และทีส� ดุ ก็อาจผิดพลาด เสียหายได้ ต่างๆ ท่านจึงสอนให้ ทุกคนรู้ จกั สงบใจ คือบังคับใจให้ หยุดคิดเรื�องทีก� าํ ลังคิด และกํ า ลัง ทํ า ให้ ฟุ้ง ซ่ า นหรื อ สับ สนอยู่นัน� เสียชัว� ขณะเมือ� หยุดคิดสับสนได้ ก็จะอํานวย โอกาสอัน ประเสริ ฐ ให้ สติ ค วามระลึ ก รู้ และปัญญาความเฉลียวฉลาด กลับคืนมาใหม่ ช่ ว ยให้ ใ จแจ่ ม ใส หนัก แน่ น เข้ ม แข็ ง เข้ า ความคิดเห็นก็เข้ารูปเข้ารอย คือมีความเทีย� งตรง เป็นกลาง สุขมุ ปราศจากอคติ สามารถพิจารณา เห็นเหตุ เห็นผลได้กระจ่างแจ่มชัด หาทางปฏิบตั ิ ได้ถกู ต้องพอเหมาะพอดี ถึงขันนี � ปั� ญหาทังปวง � ก็จะคลีค� ลาย เรื�องทีจ� ะเสียหายก็จะแก้ ไขได้ตก กลับกลายเป็ นดีโดยตลอด”

(พระราชดํ ารั ส พระราชทานแก่ ประชาชนชาวไทย ในโอกาสขึน� ปี ใ หม่ พุทธศัก ราช ๒๕๓๐ วันที� ๓๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๒๙)

(พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ของมหาวิทยาลัยรามคําแหง วันที� ๑๗ มีนาคม ๒๕๒๔)

“…ความเข้ มแข็งในจิตใจนี �เป็ นสิง� สําคัญทีจ� ะต้ องฝึกฝนแต่เล็ก เพราะว่าต่อไป ถ้ ามีชวี ติ ทีล� าํ บาก ไปประสบอุปสรรคใดๆ ถ้ าไม่มคี วามแข็งแรง ไม่มีความรู้ ไม่มีทางที�จะผ่านอุปสรรคนันได้ � เพราะว่าถ้ าไปเจออุปสรรคอะไร ก็ไม่มีอะไรที�จะมาช่วยเราได้ แต่ถ้ามีความรู้ มีอธั ยาศัยที�ดี และมีความเข้ มแข็งในกาย ในใจ ก็จะสามารถทีจ� ะผ่านพ้ นอุปสรรคต่างๆ นันได้ � …” (พระราชดํารัส พระราชทานแก่คณะครูและนักเรี ยนโรงเรี ยนราชวินิต วันที� ๓๑ ตุลาคม ๒๕๑๘ )

“…ความสงบหนักแน่นเป็ นเครื� องผ่อนปรนระงับความรุนแรง ความขัดแย้ ง ความไม่เข้ าใจในกันและกันได้ ทกุ กรณี โดยเฉพาะความสงบ หนักแน่นในจิ ตใจนัน� ทํ าให้ เกิ ดความยัง� คิดพิจารณาตามเหตุตามผล จึงช่วยให้ สามารถขบคิดวินิจฉัยเรื� องราวปั ญหาและกระทํ า ได้ ถกู ต้ องพอเหมาะพอดี มีประสิทธิผล…” (พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริ ญญาบัตรของมหาวิทยาลัยมหิดล วันที� ๒ กรกฎาคม ๒๕๓๕)


๔๐ | ๙ คําพอสอน

“…ทานทั้งหลายควรจักไดเตรียมตัวเตรียมใจใหพรอม ที่จะปฏิบัติงาน ประสานกับบุคคลอืน ่ ฝายอืน ่ อยางขะมักเขมนและฉลาดเหมาะสม ในการนี้ ทานจะตองทําความคิดและจิตใจใหเปดกวาง แตหนักแนน มีเหตุผล มีวิจารณญาณ พรอมกันนั้น ก็ตองมีความจริงใจ เห็นใจ และเมตตา ปรองดองกัน โดยถือประโยชนสวนรวมรวมกันเปนวัตถุประสงคเอก ทีส ่ าํ คัญอีกขอหนึง ่ จะตองพยายามขจัดความดือ ้ รัน ้ ถือตัว ความเห็นแกตว ั เห็นแกประโยชนสวนนอยออกใหได ไมปลอยใหเขามาครอบงําทําลาย ความคิ ด จิ ต ใจที่ ดี ง ามของตน แล ว ท า นจะสามารถปฏิ บั ติ ก ารงาน ทุกอยางไดดว  ยความราบรืน ่ เบิกบานใจ อยางมีประสิทธิภาพและประสบผล สําเร็จตามที่ปรารถนาทุกสิ่งในที่สุด…” (พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริ ญญาบัตร แก่บณ ั ฑิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที� ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๒๙)

“…คนเราถ้ าท้ อใจแล้ วเป็ นคนอันตราย เพราะว่าถ้ าเป็ นคนที�มีความรู้แล้ ว ท้ อใจ ความท้ อใจนันทํ � าให้ การควบคุมจิตใจสติ ของตัวน้ อยลง เพราะว่าท้ อ ความท้ อใจนี � เป็ นสิง� กีดขวางความดีไปได้ มาก เพราะว่า ไม่ระวังตัว เวลาท้ อใจก็เกิดน้ อยใจ น้ อยใจ ก็เกิดประชด เปิ ดโอกาสให้ จิตใจรับสิ�งที� ไม่ดีเข้ ามาในจิตใจได้ เพราะว่ามีความ ฟุง้ ซ่าน คนไหนถ้าท้อใจสังเกตดีๆ พวกเพือ� นๆ ที� ท้อใจ บางคนนัน� พูดฟุ้งซ่าน พูดอะไร ไม่ได้ เรื� องแล้ วถ้ าใครมาชักชวนให้ ทําอะไร ก็อาจจะเป็ นผู้ร้ายไปก็ได้ ทําให้ ขาดการ พิจารณา คือขาดสตินนั� เอง…” (พระราชดํารัส พระราชทานแก่บณ ั ฑิตอาสาสมัคร รุ่นที� ๑๓ และคณะกรรมการประจําสํานักบัณฑิต อาสาสมัคร วันที� ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๒๔)

“…สภาวะที� บีบรั ดความเป็ นอยู่ของเราที� เกิ ดขึน� นี � เป็ นผลกระเทื อนมาจากความวิปริ ต ของวิถีความเปลี�ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเมือง และทางอื�นๆ ของโลก เราจึงไม่สามารถ ทีจ� ะหลีกพ้ นได้ หากแต่จะต้ องเผชิญปัญหาอย่างผู้มสี ติ มีปัญญา มีความเข้ มแข็งและกล้ าหาญ เพื�อเราจักได้ รวมกันอยูอ่ ย่างมัน� คงไพบูลย์…” (พระราชดํารัส พระราชทานแก่ประชาชนชาวไทย ในโอกาสขึ �นปีใหม่ พุทธศักราช ๒๕๒๒ วันที� ๓๑ ธันวาคม ๒๕๒๑)


๙ คําพญ อสอน ๘ ความเพียรและป ญา |

๔๑

“…ความเพี ย รนี� ห มายความว่ า ไม่ ใ ช่ ความเพี ย รในการทํ า งานเท่ า นั น� เอง หมายถึงความเพียรที�จะข่มใจตัวเองด้ วย ความกล้ าหาญที�จะข่มใจตัวเองให้ อดทน ไม่ใช่อดทนแล้ วก็เหมือนว่าใครทําก็ทํา ไป เราทนเอาไว้ เท่ากับคนอื� นเขาเอา เปรี ยบเรา ไม่ใช่อดทนที�จะยังไม่เห็นผล อดทนที� จ ะทราบว่ า สิ� ง ใดที� เ ราต้ อ งใช้ เวลาถ้ าเราอดทน หรื อถ้ าพูดตามธรรมดา ว่า “เหนียว” ไว้ อดทนในความดี ทําให้ ดี เหนี ยวไว้ ในความดีแล้ ว ภายภาคหน้ า ได้ ผลแน่…”

“…ความรู้ นนแบ่ ั � งเป็ น ๒ อย่าง ความรู้ เกีย� วข้ องกับกายและความรู้ทเี� กีย� วข้ องกับ ใจ ความรู้เกีย� วข้ องกับกายทีไ� ด้ ฝึกและทีไ� ด้ มาเรียนรู้กค็ อื วิธีรกั ษาตัวให้ แข็งแรง รักษา สิง� ของตัวให้ อยู่ ให้ ดี และสร้ างสรรค์ให้ สง�ิ ทีใ� ช้ หรือสิง� ทีม� ใี ห้ อยูด่ แี ละให้ ดขี ึ �น และทาง จิตใจทุกคนมีความปรารถนาทีจ� ะมีความ สุข ต้ องการมีความสงบ ต้ องการมีความรู้ ความสามารถ ก็ได้ ฝึกได้ เรี ยนรู้ จากการ พบปะกันในหมูล่ กู เสือชาวบ้ าน และได้ รับ ความรู้จากวิทยากร ความรู้ทงหลายทั ั� งกาย � ทังใจนี � � ก็เกิดประโยชน์แก่ตวั …”

“…ผู้ที�มุ่ง หวัง ความดี แ ละความเจริ ญ มั�น คง ในชีวิต จะต้ องไม่ละเลยการศึกษา ความรู้ที�จะ ศึกษามีอยูส่ ามส่วน คือความรู้วิชาการ ความรู้ ปฏิ บั ติ ก ารและความรู้ คิ ด อ่ า นตามเหตุ ผ ล ความเป็ นจริ ง ซึ�งแต่ละคนควรเรี ยนรู้ ให้ ครบ เพื� อ สามารถนํ า ไปใช้ ประกอบกิ จ การงาน และแก้ ไขปั ญหาทังปวงได้ � อย่างมีประสิทธิภาพ อีกประการหนึง� จะต้องมีความจริงใจและบริสทุ ธิใ� จ ไม่วา่ ในการงาน ในผู้ร่วมงาน หรื อในการรักษา ระเบียบแบบแผนความดีงาม ความถูกต้องทุกอย่าง เพราะความจริงใจนี �เป็นปัจจัยสําคัญยิง� ในการผดุง และสร้ างเสริมความมีสมานฉันท์ ความประสาน สามัคคี และความเป็ นปึกแผ่นมัน� คงของส่วนรวม ประการทีส� าม จําเป็ นต้ องสํารวจดูความบกพร่อง ของตนเองอยู่สมํ�าเสมอแล้ วพยายามปฏิบัติ แก้ ไขเสียโดยเร็ว ไม่ปล่อยให้ เจริญเติบโต ทําความ เสื� อ มเสี ย แก่ ก ารกระทํ า และความคิ ด ประการที�สี�ต้องฝึ กฝนให้ มีความสงบหนักแน่น ทัง� ในกาย ในใจ ในคํ า พูด เพราะความสงบ หนักแน่นเป็ นเครื� องผ่อนปรนระงับความรุนแรง ความขัดแย้ง ความไม่เข้าใจในกันและกันได้ทกุ กรณี โดยเฉพาะความสงบหนัก แน่ น ในจิ ต ใจนัน� ทําให้ เกิดความยังคิ � ดพิจารณาตามเหตุตามผล จึงช่วยให้ สามารถขบคิดวินิจฉัยเรื� องราวปั ญหา และกระทํ า ได้ ถู ก ต้ อง พอเหมาะ พอดี มี ประสิทธิผล…”

(พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่นกั เรี ยน นักศึกษา ครู อาจารย์ ในโอกาสเข้ าเฝ้าฯ วันที� ๒๗ ตุลาคม ๒๕๑๖)

(พระราชดํารัส พระราชทานในพิธีพระราชทาน ธงประจํารุ่นลูกเสือชาวบ้ าน จังหวัดสระบุรี วันที� ๑๖ เมษายน ๒๕๑๙)

(พระบรมราชาวาท ในพิธพี ระราชทานปริญญาบัตรกิตติมศักดิ� และพระราชทานปริ ญญาบัตร แก่ผ้ ูสําเร็ จการศึกษา ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ วันที� ๒๔ มกราคม ๒๕๓๐)

ความเพียร และปญญา

“…ความเพียรนัน� คือไม่ ท้อถอยในการฝึ กตนเอง ไม่ ท้อถอยในการแผ่ ความรู้ ไม่ ท้อถอยในการช่ วยเหลือผู้อ� ืน วินัยก็คือระเบียบที�มีในใจของตัวเอง เพื�อที�จะ เลือกเฟ้ นวิชาการมาใช้ ในที�ๆ เหมาะสม ที�ถูกต้ อง และวินัยคือควบคุมตัวเอง ให้ อยู่ในร่ องในรอย ไม่ ทาํ ให้ เกิดความเสียหายต่ อตนเอง…” (พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่คณะครูฝึกตํารวจตระเวนชายแดน วันที� ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๑๘)


๔๒ | ๙ คําพอสอน “…วิชาความรู้ ที�แต่ละคนมีอยู่เป็ นปั จจัยสําคัญสําหรับการทํางานสร้ าง ฐานะความเจริ ญมัน� คงของตนเองและบ้ านเมือง แต่นอกจากนัน� บุคคล ยังต้ องอาศัยคุณธรรมอีกหลายอย่างเป็ นพื �นฐานรองรับและส่งเสริมวิชาการ เพื�อให้ สําเร็ จความมุ่งหมายได้ โดยสมบูรณ์ คุณธรรมข้ อแรก คือการ ระมัดระวังพิจารณาเรื� องราว และปั ญหาทุกอย่างด้ วยจิตใจที�มนั� คง และ เป็ นกลางปราศจากอคติ ซึง� จะช่วยให้ มองเห็นเหตุ เห็นผล เห็นสาระของ เรื� องได้ อย่างถูกต้ อง ทําให้ สามารถจําแนกความถูกผิด ดีชวั� และปฏิบตั ิ ตรงปฏิบตั งิ านได้ ถกู ถ้ วน เที�ยงตรง พอเหมาะพองาม ข้ อที�สอง คือความ จริงใจต่อฐานะหน้ าทีข� องตน ไม่หลอกลวงตนเอง ไม่หลอกลวงกันและกัน อันเป็ นมูลเหตุสําคัญของความผิ ดพลาดล้ มเหลวของภารกิ จทัง� ปวง ความจริ งใจนี �ทําให้ บคุ คลเข้ าถึงกัน เข้ าถึงงาน เข้ าถึงเป้าหมายประสงค์ ได้ โดยตรง และช่วยให้ สามารถสร้ างสรรค์ความดีความเจริญได้ โดยอิสระ คล่องตัวและมีประสิทธิภาพ…” (พระบรมราโชวาท ในพิธพี ระราชทานปริญญาบัตรแก่นสิ ติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที� ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๒๖)

“…การศึกษาในมหาวิทยาลัย ที�มงุ่ เน้ นให้ บคุ คลมีความรู้ความ สามารถด้ านวิชาการเป็ นพื �นฐานสําหรับการประกอบการงาน ในชีวติ นัน� ถือว่าเป็ นการศึกษาในระบบ ผู้ศกึ ษาจะได้ รบั ความรู้ ถ่ายทอดจากครู บาอาจารย์ และจากการศึกษาค้ นคว้ าทาง ตํารับตําราเป็ นหลัก ต่อเมื�อได้ ออกไปทําการงานได้ ประสบ เหตุการณ์และปั ญหาต่างๆ ให้ ต้องขบคิดมากมายแล้ ว จึงเกิด ความรู้ความเข้ าใจทีถ� อ่ งแท้ ในสิง� ทังปวง � ทีเ� รียกว่าประสบการณ์ ในชีวิตเพิ�มขึ �น ประสบการณ์ในชีวิตนี �เป็ นบ่อเกิดแห่งความ รอบรู้และความจัดเจนที�มีคา่ ซึง� ถ้ าได้ ร้ ูจกั นํามาใช้ ด้วยความ รู้เท่าถึงเหตุผล และด้ วยความรอบคอบระมัดระวังแล้ ว จะยัง ประโยชน์ให้ แก่ตนเองและสังคมอย่างวิเศษสุด…” (พระบรมราโชวาท พิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่บณ ั ฑิตมหาวิทยาลัย ขอนแก่น วันที� ๑๖ ธันวาคม ๒๕๓๖)

“…ทุกคนจําเปนตองหมั่นใชปญญาพิจารณา การกระทําของตนเองใหรอบคอบอยูเสมอ ระมัดระวังทําการทุกอยางดวยเหตุผลดวย ความมีสติ และดวยความรูตัว เพื่อเอาชนะ ความชัว ่ รายทัง ้ มวลใหไดโดยตลอด และสามารถ กาวไปถึงความสําเร็จที่แทจริงทั้งในการงาน และการครองชีวิต…”

(พระบรมราโชวาท พิ ธี พ ระราชทานปริ ญ ญาบัต รและอนุป ริ ญ ญาบัต รแก่ ผ้ ูสํ า เร็ จ การศึก ษา จากจุฬ าลงกรณมหาวิ ท ยาลัย วัน ที� ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๑๖)

“…ในชีวติ ทุกวันๆ ก็ได้ มีโอกาสเข้ าโรงเรี ยน ก็หาความรู้แล้ วมีโอกาสที�จะได้ เห็นชีวติ ของ ตัวเองและของคนอื�น ขอให้ ถือว่าเป็ นอาหารทังนั � น� เป็ นอาหารสมอง และเมื�อได้ รับอาหาร แล้ วให้ ไปพิจารณา คือไปไตร่ตรอง ไปคิดให้ ดี ถ้ าทําเช่นนี �แล้ ว ทุกคนจะสามารถที�จะ สร้ างตัวเองให้ แข็งแรง เพื�อที�จะทําประโยชน์แก่ตนเอง สร้ างบ้ านเมือง สร้ างท้ องที�ของ ตัว สร้ างตนเองให้ เจริ ญตามที�ทกุ คนต้ องการ…” “…ความรู้ในวิชาการเป็ นสิง� หนึง� ทีจ� ะทําให้ สามารถ ฟันฝ่ าอุปสรรคได้ และทําให้ เป็ นคนทีม� เี กียรติ เป็ น คนที�สามารถเป็ นคนที�จะมีความพอใจได้ ในตัว ว่า ทําประโยชน์แก่ตนเองและแก่สว่ นรวม นอกจาก วิชาความรู้กจ็ ะต้ องฝึกฝนในสิง� ทีต� วั จะต้ องปฏิบตั ิ ให้ สอดคล้ องกับสังคม สอดคล้ องกับสมัย และ สอดคล้ องกับศีลธรรมที�ดีงาม ถ้ าได้ ทงวิ ั � ชาการ ทังความรู � ้ รอบตัวและความรู้ในชีวติ ก็จะทําเป็ น คนทีค� รบคน ทีจ� ะภูมใิ จได้ …”

(พระราชดํารัส พระราชทานแก่คณะเยาวชนชายหญิงจากถิ�นทุรกันดารในเขตปฏิบตั ิการของหน่วย พัฒนาการเคลื�อนที�ตา่ งๆ รวม ๒๔ จังหวัด พร้ อมด้ วยพี�เลี �ยงและเจ้ าหน้ าที� วันที� ๖ เมษายน ๒๕๑๖)

“…คําทีช� อบมากในพระพุทธศาสนาคือ “วิริยะ” วิริยะนี �ออกมาในรูปภาษาพูดธรรมดาก็ หมายถึงความอุตสาหะ เพราะเขาใช้คาํ ว่าวิรยิ ะอุตสาหะ คนนันมี � ความวิรยิ ะมาก หมายความว่า มีความอุตสาหะมาก มีความขยัน มีความอดทนมาก แต่วริ ิยะกลายมาเป็ นคนทีม� วี รี ะ เป็ น คนทีก� ล้ า อย่างเช่นคําว่า วีระบุรุษ วีรชน คนทีก� ล้ าก็วริ ิยะนี � ความอุตสาหะหรือความกล้ า ก็เป็ นคําที�สําคัญ ต้ องกล้ าที�เผชิญตัวเอง เมื�อกล้ าเผชิญตัวเอง กล้ าที�จะลบล้ างความ ขี �เกียจเกียจคร้ านในตัว หันมาพยายามคุยอุตสาหะก็ได้ เป็ นวิริยะอุตสาหะ วิริยะในทางที� กล้าทีค� ้านตัวเองในความคิดพิเรนทร์ ก็เป็นคนทีม� เี หตุผล เป็นคนทีล� ะอคติตา่ ง ๆ ก็หมายความว่า เป็ นคนทีม� คี วามคิดดีทฉี� ลาด วิริยะในทางทีไ� ม่ยอมแม้ แต่ความเจ็บปวด ความกลัว จะมา คุกคามก็ทาํ สิง� ทีถ� กู ต้ อง ก็เป็ นคนกล้ า ถึงชอบคําวิริยะ…” (พระบรมราโชวาท พระราชทานเนื�องในโอกาสวันปิ ด ภาคเรี ยนของโรงเรี ยนจิตรลดา ปี การศึกษา ๒๕๑๔ (พระราชดํ า รั ส ในโอกาสที� พ ระครู วิ บูล สารธรรม เจ้ า อาวาสวัด คลอง ๑๘ และคณะเฝ้า ฯ วันที� ๒๕ มีนาคม ๒๕๑๕) วัน ที� ๒๐ มิ ถุน ายน ๒๕๑๘)


๙ คําพญ อสอน ๘ ความเพียรและป ญา |

๔๓

“…การรู้จกั ประมาณตน ได้ แก่การรู้จกั และ ยอมรับว่าตนเองมีภมู ิปัญญา และความ สามารถในด้ านไหน เพียงใด และควรทํางาน ด้ านไหน อย่างไร การรู้จกั ประมาณตนนี � จะทําให้ คนเรารู้จกั ใช้ ความรู้ความสามารถ ทีม� อี ยูไ่ ด้ ถกู ต้ องเหมาะสมกับงาน และได้ ประโยชน์ สูง สุด เต็ ม ตามประสิ ท ธิ ภ าพ ทังยั � งทําให้ ร้ ูจกั ขวนขวายศึกษาหาความรู้ และเพิ� ม พู น ประสบการณ์ อ ยู่ เ สมอ เพื�อปรั บปรุ งส่งเสริ มศักยภาพที�มีอยู่ใน ตนเองให้ ยงิ� สูงขึ �น ส่วนการรู้จกั ประมาณ สถานการณ์ นนั � ได้ แก่การรู้ จกั พิจารณา สถานการณ์ตา่ งๆ ทีเ� กิดขึ �นให้ ทราบชัดถึง ความเป็ นมา และทีเ� ป็ นอยู่ รวมทังที � ค� าดว่า จะเป็ นไปในอนาคต การรู้ จักประมาณ สถานการณ์ได้ นี จะทํ � าให้ สามารถวางแผน งานและปฏิบตั ิการได้ ถูกตรงกับปั ญหา ทันแก่สถานการณ์ และความจําเป็ น อันจะ ทํ า ให้ ง านที� ทํ า ได้ ป ระโยชน์ ที� ส มบูร ณ์ คุ้มค่า การรู้จกั ประมาณตนและรู้จกั ประมาณ สถานการณ์ จึงเป็ นอุปการะสําคัญ ที�จะ “…การศึ ก ษาเป น เรื่ อ งใหญ แ ละสํ า คั ญ ยิ่ ง ของ เกื �อกูลให้ บคุ คลดําเนินชีวติ และกิจการงาน มนุษย คนเราเมื่อเกิดมา ก็ไดรับการสั่งสอนจาก ไปได้ อย่างราบรื�นและก้ าวหน้ า…” บิดามารดา อันเปนความรูเบื้องตน เมื่อเจริญ (พระบรมราโชวาท พระราชทานเพื�อเชิญไปอ่าน ในพิธีพระราชทานปริ ญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย วันที� ๑๘ กรกฎาคม ๒๖๔๑)

เติบโตขึน ้ ก็เปนหนาทีข ่ องครูและอาจารยสง ั่ สอน ใหไดรบ ั วิชาความรูส  ง ู และอบรมจิตใจ ใหถง ึ พรอม “…ความรู้ ทางวิชาการและทางปฏิบตั ิที� ดวยคุณธรรม เพื่อจะไดเปนพลเมืองดีของชาติ สอนในโรงเรี ยนเป็ นรากฐานและปั จจัยที� สืบตอไป…” สําคัญยิง� ของทุกคน เพราะบุคคลได้ อาศัย ความรู้เป็ นกําลัง ทีจ� ะนําพาตัวให้ ก้าวไปสู่ ความสําเร็ จ ความสุข และความเจริ ญ ทังปวง � และความรู้ ดังกล่าวนี �ไม่ขดั กับ ศาสนา ไม่ ว่ า ศาสนาใด ตรงข้ า มกลับ สนับสนุนกัน กล่าวคือ ความรู้ชว่ ยให้ เรียน รู้ศาสนาได้ โดยกว้ างขวาง และศาสนาช่วย ให้ เรี ยนความรู้ ได้ โดยลึกซึง� และชัดแจ้ ง เพราะฉะนันทั � งวิ � ชาและศาสนาจึงดําเนิน ควบคูก่ นั เป็ นสิง� สําคัญสําหรับชีวติ ด้ วยกัน ผู้ใดมีหลักวิชาทังหลั � กศาสนา ย่อมดําเนิน ถึงความสําเร็จในชีวติ ได้ ไม่พลาดพลัง…” �

(พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริ ญญาบัตรแก่นิสติ และนักศึกษาวิทยาลัยวิชาการศึกษา วันที� ๑๓ ธันวาคม ๒๕๐๕)

“…หน้ าที�ของผู้จดั และผู้ให้ การศึกษานัน� กล่าวอย่างสันที � �สดุ ก็คือการ “ให้ คนได้ เรี ยนดี” เพื�อ ที�จะสามารถทําการงานสร้ างตัวและดํารงตัวให้ เป็ นหลัก เป็ นประโยชน์แก่สว่ นรวมได้ การให้ เรี ยนดีนนจะทํ ั� าอย่างไร ข้ อแรกจะต้ องสอนให้ มีวิชาการที�ดีที�ถกู ต้ องแน่นแฟ้น ให้ มีความ สามารถและมีหลักการในการปฏิบตั ิ ข้ อสอง ต้ องฝึ กหัดอบรมในจิตใจและความประพฤติ ปฏิบตั ิ ให้ ร้ ูเหตุร้ ูผล และความผิดชอบชัว� ดี เพื�อมิให้ นําความรู้ไปใช้ ในทางเบียดเบียนซึง� กัน และกัน ข้ อที�สาม ต้ องให้ มีกําลังและสุขภาพสมบูรณ์ทงทางกายทางใจ ั� ผู้ที�ได้ รับการศึกษา ครบถ้ วนเหมาะส่วนกันทุกด้ านดังนี � เชื�อได้ ว่าจะเป็ นผู้เข้ มแข็งสามารถเต็มที�ในการปฏิบตั ิ ทังทางกายและทางความคิ � ดจิตใจ จะกระทําหน้ าที�การงานใด ก็จะมุง่ หวังผลหวังประโยชน์ (พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่ครูใหญ่โรงเรียน ทีแ� ท้ จริงของหน้ าทีก� ารงานนันเป็ � นใหญ่ ไม่หลงทาง ทังสามารถปฏิ � บตั บิ ริหารอย่างมีประสิทธิภาพ และนักเรียนทีส� มควรได้ รบั พระราชทานรางวัลตาม ให้ บรรลุผลอันสมบูรณ์ได้ ด้วย” ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ประจําปี การศึกษา ๒๕๑๕ และครูและนักเรี ยนโรงเรี ยนราษฎร์ สอน (พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริ ญญาบัตรแก่ผ้ สู าํ เร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยศรี นคริ นทรวิโรฒ ศาสนาอิสลามภาคใต้ วันที� ๑ ธันวาคม ๒๕๑๖) ประจําปี การศึกษา ๒๕๒๐ – ๒๕๒๑ วันที� ๒๕ กันยายน๒๕๒๑)


๔๔ | ๙ คําพอสอน

“...ปญญานีไ้ มไดหมายถึงความเฉลียวฉลาด เทานั้นเอง คือไมไดหมายถึงเฉลียวฉลาดใน ทางวิชาการ แตเฉลียวฉลาดในทางธรรมะ คือมีความรูว  า อะไรควรอะไรไมควรเห็นการณไกล เกื อ บจะเป น ผู  ที่ มี ป  ญ ญาเห็ น ทางสว า ง แทบจะมองอนาคตไดเพราะวาใชปญ  ญาสอง วิธจ ี ะใชปญ  ญามาสองทางของตนคือ อาศัย เหตุผล ถาเราใชปญ  ญาในทางทีถ ่ ก ู เทากับจะ (พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริ ญญาบัตรแก่ เห็ น อนาคตได เพราะเราเห็ น ที่ ผ  า นมาเป น นิ สิตและนักศึกษาวิทยาลัยวิชาการศึกษา วันที� ๑๕ อยางไร มีกฎเกณฑอยางไร แลวก็คนมีความ ธันวาคม ๒๕๐๓) “…เมื�อก่อนนี � ด้ านการศึกษาคนในเมืองไทยนี� สามารถอยางไร ปญหาเปนอยางไร เราสามารถ มีความรู้การอ่านหนังสือ เขียนหนังสือเป็ น มีมาก ที่จะดูวาตอไปเปนอยางไร...” “…ผู้ที�เป็ นครูอาจารย์นนั � ใช่วา่ แต่จะมีความรู้ใน ทางวิชาการและในทางการสอนเท่านันหาไม่ � จะ ต้ องรู้จกั อบรมเด็กทังในด้ � านศีลธรรมจรรยาและ วัฒนธรรม รวมทังให้ � มีความสํานึกรับผิดชอบใน หน้ าที� และฐานะที�จะเป็ นพลเมืองดีของชาติตอ่ ไปข้ างหน้ า การให้ ความรู้หรื อที�เรี ยกว่าการสอน นัน� ต่างกับการอบรม การสอนคือการให้ ความรู้ แก่ผ้ เู รี ยน ส่วนการอบรมเป็ นการฝึ กจิตใจของผู้ เรียนให้ ซมึ ซาบจนติดเป็ นนิสยั ขอให้ ทา่ นทังหลาย � จงอย่าสอนแต่อย่างเดียวให้ อบรมให้ ได้ รบั ความรู้ ดังกล่าวมาแล้ วด้ วย…”

เปรี ยบเทียบกับประเทศอื�นค่อนข้ างจะสูง คือมี (พระราชดํารัส พระราชทานแก่คณะกรรมการเนติบณ ั ฑิต วันที� ๕ มีนาคม ๒๕๑๗) การอ่านเขียนได้ เปอร์ เซ็นต์สงู แต่มาปั จจุบนั นี � น้ อยลง เพราะว่าคนเพิม� โรงเรียนหรือผู้ทม�ี หี น้ าที� สอนน้ อยลง เปรียบเทียบกัน อาจจะแย้ งว่าสมัยนี � มี เทคโนโลยี สูง ทํ าให้ สามารถที� จะทํ ากิ จการ โรงเรี ยน กิจการสัง� สอนแพร่ ออกไปได้ มากกว่า แต่ไม่มีอะไรแทนการอบรม ไม่มีอะไรแทนการบ่ม นิสยั คือการสอนนี�มีแบ่งเป็ นอบรม แล้ วก็บม่ นิสยั แต่ถ้าไม่มีผ้ ทู ี�อบรม ไม่มีผ้ ทู ี�บม่ นิสยั หรื อผู้ที�อบรม หรื อผู้ท�ีบ่มนิสยั เป็ นคนที�คณ ุ ภาพตํ�า ผู้ที�ได้ รับ อบรมบ่มนิสยั ย่อมคุณภาพตํ�าเหมือนกัน อาจจะ ร้ ายยิ�งกว่า แม้ จะมีเทคโนโลยีชนสู ั � ง…” (พระราชดํารัส พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที�เข้ า เฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล เนื� องในโอกาสวันเฉลิม พระชนมพรรษา วันที� ๔ ธันวาคม ๒๕๓๙)

“…การศึกษาด้ านศิลปวัฒนธรรม เป็ นการศึกษา ที�สําคัญและควรจะดําเนินควบคู่กันไปกับการ ศึกษาด้ านวิทยาศาสตร์ เพราะความเจริ ญของ บุคคล ตลอดจนถึงความเจริ ญของประเทศ และ ของโลกโดยส่วนรวมด้ วยนัน� มีทงทางวั ั� ตถุและ จิตใจ ความเจริญทังสองอย่ � างนี จะต้ � องมีประกอบกัน เกื �อกูลและส่งเสริ มกันพร้ อมมูล จึงจะเกิดความ เจริญทีแ� ท้ จริงได้ ประเทศทังหลายจึ � งต่างพยายาม ส่งเสริ มการศึกษาด้ านศิลปวัฒนธรรมนี � พร้ อม กันไปกับการศึกษาด้ านวิทยาศาสตร์ …” (พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริ ญญาบัตรและ อนุปริ ญญาบัตรของมหาวิทยาลัยศิลปากร วันที� ๑๒ ตุลาคม ๒๕๑๐)

“…คุณสมบัติ หรื อเรี ยกให้ ตรงว่าคุณธรรม ที�ทกุ คนควรจะตังไว้ � ประจําตัวประจําใจ ให้ มนั� เสมอประการหนึง� ก็คือการรู้จกั คิดพิจารณาให้ จนกระจ่างชัด ไม่วา่ จะพิจารณา เรื� องราวปั ญหา สถานการณ์ หรื อแม้ บคุ คลใดๆ ก็ตาม ก็พยายามพิจารณาด้ วยจิตใจ ที�มนั� คงเป็ นกลาง ไม่หวัน� ไหว ไม่สะเทือนด้ วยอคติ เพื�อจิตใจที�มงั� คงเป็ นกลางนัน� จักได้ ประคับประคองความคิดความเห็นให้ พงุ่ ตรงเข้ าสูส่ าระ คือแก่นและความสําคัญ ของเรื� องทังจั � บเหตุจบั ผลของเรื� องนันๆ � ซึง� เกี�ยวเนื�องถึงกันและกันเป็ นกระบวนการ ได้ ทงหมดทุ ั� กขันตอน � ทําให้ ความรู้ความเห็นในเรื� องที�พิจารณากระจ่างแจ่มแจ้ ง และ สามารถจําแนกแจกแจงประเด็นได้ โดยถูกต้ องแม่นยํา ว่าสิง� ใดผิดสิง� ใดถูก สิง� ใดดี สิง� ใดชัว� สิง� ใดควรทําไม่ควรทําอย่างไร เพียงใด การทําความรู้ความคิดให้ แจ้ งนี �คือ ปัญญา ซึง� มีอปุ การะแก่การปฏิบตั ติ วั ปฏิบตั งิ านเป็ นอันมาก เพราะเป็ นปัจจัยสร้ างสรรค์ ความคิดความเจริ ญทุกอย่างได้ อย่างวิเศษสุด…” (พระบรมราโชวาท ในพิ ธี พ ระราชทานปริ ญญาบั ต รแก่ นิ สิ ต จุ ฬ าลงกรณ์ ม หาวิ ท ยาลั ย วันที� ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๒๖)


๙ คําพอสอน ๙ สุขภาพกายและจิ ตใจ |

๔๕

สุขภาพกาย และจิตใจ

“…การกีฬานัน� ย่ อมเป็ นที�ทราบกันอยู่โดยทั�วไปแล้ วว่ าเป็ นปั จจัยในการบริหารร่ างกาย ให้ แข็งแรง และฝึ กอบรมจิตใจให้ ผ่องแผ้ วร่ าเริง รู้จกั แพ้ และชนะ ไม่ เอารัดเอาเปรียบ กัน มีการให้ อภัยซึ�งกันและกัน สามัคคีกลมเกลียวกัน อย่ างที�เรียกกันว่ า มีนาํ � ใจเป็ น นักกีฬา รวมความว่ า ผลของการกีฬา คือ ผลทางร่ างกายและจิตใจ…” (พระบรมราโชวาท ในวั น เปิ ดการแข่ ง ขั น กรี ฑ านั ก เรี ย นประจํ า ปี ของกระทรวงศึ ก ษาธิ ก าร วันที� ๑ ธันวาคม ๒๔๘๙)

“…ร่างกายของเรานัน� ธรรมชาติสร้ างมาสําหรับให้ ออกแรงใช้ งาน มิใช่ให้ อยูเ่ ฉยๆ ถ้ าใช้ แรงให้ พอเหมาะพอดี โดยสมํ�าเสมอ ร่างกายก็ เจริ ญแข็งแรง คล่องแคล่ว และคงทนยัง� ยืน ถ้ าไม่ใช้ แรงเลย หรื อใช้ ไม่เพียงพอ ร่างกายก็จะเจริ ญแข็งแรงอยูไ่ ม่ได้ แต่จะค่อยๆ เสื�อมไป เป็ นลําดับ และหมดสมรรถภาพไปก่อนเวลาอันสมควร ดังนัน� ผู้ที�ปรกติทําการงานโดยไม่ได้ ใช้ กําลัง หรื อใช้ กําลังแต่น้อย จึงจําเป็ นต้ องหา เวลาออกกําลังกายให้ พอเพียงกับความต้ องการตามธรรมชาติเสมอทุกวัน มิฉะนัน� จะเป็ นที�น่าเสียดายอย่างยิ�ง ที�เขาจะใช้ สติปัญญา ความสามารถของเขาทําประโยชน์ให้ แก่ตนเองและแก่สว่ นรวมได้ น้อยเกินไป เพราะร่ างกายอันกลับกลายอ่อนแอลงนัน� จะไม่อํานวย โอกาสให้ ทําการงานโดยมีประสิทธิภาพได้ …” (พระราชดํารัส เพื�อเชิญไปอ่านในการประชุมสัมมนาเรื� องการออกกําลังกายเพื�อสุขภาพ วันที� ๑๗ ธันวาคม ๒๕๒๓)

“…ทุกคนมีจิตใจที�ปรารถนาความสุข หรื อ ความสําเร็ จ แต่การหาความสุข หรื อความ สําเร็จเช่นนี � ย่อมต้ องเหนื�อย เหนื�อยแน่ ไม่มีใครที�มีความสุข หรื อมีความสําเร็จได้ โดยที� ไม่เหนื�อย ถ้ าไม่อยากที�จะเหนื�อยก็ต้องฝึ กฝนกําลัง กําลังกายก็ต้องฝึ ก คนที�นอนอยูเ่ ฉยๆ แม้ จะสมมุตวิ า่ นอนอยูเ่ ฉยๆ ไม่ได้ เดิน ไม่ได้ ไปไหน เป็ นเวลาสัก ๑๐ วัน รับรองได้ วา่ เวลา ลุกขึ �น ไม่มีกําลัง คือกําลังไม่ได้ มาจากการพักผ่อน กําลัง มาจากความพากเพียร การฝึ ก เช่น คนที�ได้ ออกกําลังลุกขึน� เดินทุกวัน ขยับกายให้ ได้ เป็ นการฝึ กกายย่อมมีกําลังกาย ผู้ที�เป็ นนักกีฬาเขาต้ องฝึ ก การฝึ กนันเหนื � �อย เหนื�อยแต่วา่ เมื�อเหนื�อยแล้ วสร้ างกําลังขึ �นมา มันค่อยๆ หายเหนื�อย ถ้ าสมมุตวิ า่ เราไม่ได้ สร้ างกําลัง เราไม่ได้ ฝึกกายให้ มีกําลัง เดินเพียง ๕๐ เมตร ก็เหนื�อยแล้ ว แต่ถ้าฝึ กร่างกายให้ ดี เดินหลายกิโลเมตรก็ไม่ส้ จู ะเหนื�อยนัก จิตใจ ก็เหมือนกัน จะต้ องมีกําลัง และกําลังนันเพื � �อความสุข ความสําเร็จ ไม่ใช่วา่ ไม่เหนื�อย ต้ อง เหนื�อย ต้ องฝึ กจิตใจให้ ดี ถ้ าฝึ กจิตใจให้ ดี ไม่ให้ ขี �เกียจ ให้ ร้ ูจกั ว่า งานเป็ นอย่างไร แล้ วก็ เชื�อว่าถ้ าทํางานอย่างนันก็ � จะได้ ผลดี เป็ นต้ น ก็จะทําให้ มีความสําเร็ จ ร่างกายและจิตใจ จะแข็งแรงพร้ อมกัน…” (พระราชดํารัส พระราชทานแก่นกั ศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สงขลา วันที� ๒๕ กันยายน ๒๕๒๓)

“…ถ้ าเรามาดูในตัวเราเอง ร่างกายของเรา เรามีแขน มีขา มีหวั มีลาํ ตัว มีอวัยวะต่างๆ ทังภายนอก � ภายใน ถ้ าส่วนใดไม่สอดคล้ องกันเราก็บอกว่าไม่สบาย ป่ วย แล้ วคน เราที�จะมีความสบายจริ งๆ ก็หาเวลาน้ อย ต้ องนึกถึงว่าทุกส่วนของร่างกายของเรา จะต้ องทํางานให้ พร้ อมกัน ให้ มีความสามัคคีกนั ถ้ าไม่มีความสามัคคีกนั ร่างกาย ของเราต่างคนต่างทํางาน หรือต่างส่วนต่างทํางานของตัว ก็ไม่สามารถทีจ� ะทํางานได้ ถ้ าดูเฉพาะกายแต่วา่ อีกส่วนก็มีใจ คือจิตใจของเรา ซึง� จะต้ องทํางานเหมือนกัน เพื�อ ที�จะสอดคล้ องกับร่างกาย…” (พระราชดํ า รั ส พระราชทานแก่ ค ณะบุค คลที� เ ฝ้า ฯ ถวายพระพรชัย มงคล เนื� อ งในโอกาส วันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที� ๔ ธันวาคม ๒๕๒๓)

“…สุขภาพจิตและสุขภาพ ทางกายนี้ มีความสัมพันธ ที่จะโยงกันอยางยิ่ง…” (พระราชดํารั ส ในโอกาสที�คณะจิตแพทย์ นักวิชาการ สุขภาพจิตอาจารย์จากมหาวิทยาลัย และผู้ทรงคุณวุฒิ จากสถาบั น ต่ า งๆ เข้ าเฝ้ า ทู ล ละอองธุ ลี พ ระบาท วันที� ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐)


๔๖ | ๙ คําพอสอน

“…ผู้ที�จะปฏิบตั ิทงั � ในด้ านที�จะรักษาร่ างกายหรื อปราบโรคในหน้ าที�ของแพทย์ พยาบาล แต่ใช้ สขุ ภาพจิตด้ วย ย่อมจะมีความสําเร็ จได้ มาก ฉะนัน� ที�ว่าใช้ สขุ ภาพจิตก็หมายความ ว่าตนเองหรื อผู้ที�ปฏิบตั ินัน� จะต้ องมีสขุ ภาพจิตที�ดี ผู้ท�ีจะสอนในวิชาอื�น หรื อปฏิบตั ิงาน อย่างอื�นนอกจากการรักษาพยาบาล ก็ย่อมต้ องมีสขุ ภาพจิตที�ดี อย่าเพิ�งไปสอนสุขภาพ จิต สอนตัวเองถึงสุขภาพจิตที�ดี หรื อสภาพจิตที�ถูกต้ องและความเห็นที�ถูกต้ องก่อนจึง จะสอนได้ ดี ยังในด้ านการรั กษาร่ างกาย ถ้ าสมมุติว่าให้ ยาที�ถูกต้ อง แต่ด้วยวิธีที�ผ้ ูที�ให้ สุขภาพจิตไม่ส้ ูดีนัก หมายความว่าโยนให้ หรื อในเวลาที�คนไข้ มาหานายแพทย์ ก็ด่า เสียหน่อย คือ กล่าวว่าทําไมจึงต้ องมากวน ก็หมายความว่าสุขภาพจิตของผู้เป็ นแพทย์ ไม่ส้ ดู ีนัก การพัฒนาสุขภาพจิตจึงต้ องพัฒนาที�ตวั ผู้ปฏิบตั ิ ไม่ใช่ว่าจะมาศึกษาสุขภาพ จิตเฉยๆ การที�จะปฏิบตั ิด้วยสุขภาพจิตที�ดีก็หมายถึงว่าจะต้ องอบรมตนเอง ให้ มีสขุ ภาพ จิตที�ดี ไม่ใช่ว่าจะไปสอนคนอื�น ผู้ที�มีสุขภาพจิตที�ดีแล้ วอาจจะสอนคนอื�นได้ ชักชวนผู้ อื�นให้ มีสขุ ภาพจิตที�ดี จนกระทัง� งานที�ทํามีความสําเร็ จที�ดีได้ เช่นเวลารักษาผู้ป่วยก็ทํา ด้ วยความละมุนละไม ทําให้ ผ้ ูมีโรคสบายใจขึน� คือไว้ ใจแพทย์ ได้ และก็มีกําลังใจขึน� มาย่อมทําให้ ร่างกายนัน� รับการรักษาได้ อย่างเต็มที� และทําให้ กายนัน� หายจากโรคภัย ได้ สะดวก…” (พระราชดํารัสในโอกาสที�คณะจิตแพทย์ นักวิชาการสุขภาพจิตอาจารย์จากมหาวิทยาลัย และผู้ทรงคุณวุฒิ จากสถาบันต่างๆ เข้ าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท วันที� ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐)

“…ด้ วยเจตนาดีของท่านและโดยกุศลเจตนา ทุกอย่างที�ทา่ นทําและปฏิบตั ทิ างใจ ขอให้ เป็ นกําลังเป็ นพรให้ ทกุ คนมีสขุ ภาพอนามัย แข็งแรง มีจิตใจเข้ มแข็ง สําเร็จในความคิด สําเร็จในการงานทีต� นทํา โดยเฉพาะในเรื�อง ที� จ ะให้ ห ลัก ธรรมะที� ดี ที� ง ามของแต่ ล ะ ศาสนา ขอให้ ประสบชัยชนะ เป็ นประโยชน์ ต่อส่วนรวม เพื�อที�จะให้ สว่ นรวมคือสังคม ของคนไทยและประเทศไทยยัง� ยืน มีความ ก้ าวหน้ ารุ่ งเรื องทัง� ทางวัตถุทงั � ทางจิตใจ ให้ ได้ ชื�อว่าประเทศไทยนี �เป็ นที�อยูอ่ าศัยที� น่าอยู่ เป็ นที�มีชื�อเสียงว่าเป็ นประเทศที�รัก สงบ และในเวลาเดียวกัน ก็หวงแหนความ เรี ยบร้ อยความสงบนี �…” (พระบรมราโชวาท ในโอกาสทีส� ถาบันและองค์การ ที�เกี�ยวกับศาสนาเข้ าเฝ้า ฯ ถวายพระพรชัยมงคล วันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที� ๔ ธันวาคม ๒๕๑๑)


๙ คําพอสอน ๙ สุขภาพกายและจิ ตใจ |

๔๗

“…กายที่มีสุขภาพดีก็หมายความวากายที่ แข็งแรง ที่เดินไดยืนได นั่งได มีกําลัง มีทุก อยาง รวมทั้งมีความคิดที่ดี ถามีสุขภาพ จิ ต ที่ ดี ก็ มี กํ า ลั ง เป น กํ า ลั ง ที่ จ ะแผ ค วาม เมตตาใหแกคนอื่น มีกําลังที่จะคิดในสิ่งที่ ถูกตอง ที่จะทําใหมีความเจริญรุงแกตัว และความเจริญรุงเรืองในสังคม…” (พระราชดํารัส ในโอกาสที�คณะจิตแพทย์ นักวิชาการสุขภาพจิตอาจารย์จากมหาวิทยาลัย และ ผู้ทรงคุณวุฒิจากสถาบันต่างๆ เข้ าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท วันที� ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐)

“…ขอให้ ทกุ คนมีพลานามัยแข็งแรง มีจิตใจเข้ มแข็ง และมีความเจริ ญรุ่งเรื องทัง� ในหน้ าที�การงานที�ดีและในส่วนตัว เพื�อจะได้ มีความเจริ ญก้ าวหน้ า มีความสุขใจ สุขกายตลอดไปชัว� กาลนาน ส่วนรวมจะได้ เป็ นปึ กแผ่น เราจะได้ อยู่ในสังคมที� เรี ยบร้ อยอยู่ในประเทศที�มนั� คงที�มีความก้ าวหน้ า ขอให้ ทกุ คนประสบแต่โชคดี มีความสุขความเจริ ญ ความก้ าวหน้ าและมีความสุขทัว� กัน…” (พระราชดํารัส พระราชทานแก่คณะกรรมการการจัดการแข่งขันฟุตบอลและรักบี �ฟุตบอลหา รายได้ สมทบทุนมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ และมูลนิธิสง่ เสริมความสะอาดและสุขภาพนักเรียน วันที� ๒๔ ธันวาคม ๒๕๑๑)

“…สุข ภาพจิ ต นี ข� ายไม่ ไ ด้ แม้ แต่ ใ ห้ ก็ ย าก แต่ ว่ า จะต้ องเพาะ…” (พระราชดํารัส ในโอกาสทีค� ณะจิตแพทย์ นักวิชาการสุขภาพจิต อาจารย์จากมหาวิทยาลัย และผู้ทรงคุณวุฒจิ ากสถาบันต่างๆ เข้ าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท วันที� ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐)

“…ชีวติ ของแต่ละคนจะต้ องประกอบด้ วยสิง� ใดสําหรับให้ มีชีวติ อยูไ่ ด้ ถ้ าคิดสักหน่อยว่าเรามีร่างกายที�จะต้ องอุ้มชูตนเองคือหมายความ ว่าทุกวันนี �เราจะต้ องหาอาหารมาเลี �ยง ถ้ าไม่มีอาหารเลี �ยงร่างกายนี �เป็ นเวลาหนึง� ก็ทําให้ ร่างกายซูบผอมและอ่อนเพลียลงไป ไม่มีทาง ที�จะทํางานทําการใดๆ หรื อแม้ จะทํางานที�ไม่ใช่เป็ นงานคือเล่นสนุกอะไรก็ตาม ก็ไม่ได้ ทงนั ั � น� คิดอะไรก็ไม่ออก ดําเนินชีวิตไม่ได้ ถ้ าไม่มี อาหาร ถ้ ามองดูในแง่นี �เพียงอาหารที�มาใส่ท้อง ก็เป็ นกิจการที�กว้ างขวางอย่างมากมาย ทีนี �พูดกันว่าคนเราต้ องทํามาหากิน ดูเป็ นข้ อที� สําคัญที�สดุ เพราะว่าถ้ าไม่ทํามาหากินก็ไม่มีชีวิตอยู่ได้ หรื อมีชีวิตก็แร้ นแค้ นและทุกข์ทรมานอย่างยิ�ง นอกจากนี �ก็ยงั มีอาหารใจอีก ถ้ าคนเราไม่มีอาหารใจ ไม่ขวนขวายหาความรู้ จะไม่สบายใจ และจะไม่เป็ นคนที�เจริ ญ ฉะนันทุ � กคนที�ต้องการที�จะมีชีวิตอยู่ และมีชีวิต อยูอ่ ย่างดี ก็ต้องอุ้มชูให้ อาหารแก่ตาและหาทางที�จะมีอาหารของใจด้ วย…” (พระราชดํารัส พระราชทานเนื�องในการฉลองครบครอบ ๕๐ ปี ของสโมสรโรตารี� ในประเทศไทย วันที� ๑๕ ธันวาคม ๒๕๒๓)

“…ที� ทุกคนมาให้ พรนี � สรุ ปได้ ว่า ขอให้ สุขภาพจิตดีขึ �น การทําให้ สขุ ภาพจิตดีขึ �น ก็คือช่วยกันขจัดปั ญหาต่างๆ ที�จะเกิดขึ �น ด้ วยการปฏิบตั ิตนให้ ดีตามหน้ าที�ของตน คือตังใจที � �จะเป็ นคนดี ถ้ าเป็ นนักเรี ยนก็ให้ เล่าเรี ยนให้ ดี เป็ นครูพยาบาล เป็ นอะไรก็ ทําหน้ าที�ให้ ดีที�สดุ การช่วยขจัดปั ญหา ต่างๆ ที�จะเกิดขึ �นด้ วยความตังใจแท้ � จริ ง เพือ� ส่วนรวมนัน� จะเป็ นการให้ พรทีป� ระเสริฐ ที�สดุ …” (พระราชดํารัส พระราชทานแก่ครูและนักเรี ยนที� เข้ าเฝ้าฯ ถวายพระพร เนื�องในโอกาสวันเฉลิม พระชนมพรรษา วันที� ๕ ธันวาคม ๒๕๑๑)


๔๘ ||๙๙คํคําพาพอสอน อสอน

“…สรรพสิ่งทั้งหลายดํารงอยูพรอมกับเจริญ ยัง ่ ยืนไปไดเพราะมีความสมดุลในตัวเอง อยาง ชีวิตมนุษยเรานี้ดํารงอยูไดเพราะมีออกซิเจน ไฮโดรเจน และคารบอน อันเปนสวนประกอบ สําคัญของชีวต ิ ไดสด ั สวนกัน เมือ ่ ใดสวนประกอบ อันเปนแกนของชีวต ิ สวนใดสวนหนึง ่ บกพรอง ขาดหายไป ไมอาจแกไขใหคงคืนสมดุลได เมือ ่ นัน ้ ชีวต ิ ก็เสือ ่ มโทรมแตกดับ ธรรมชาติอน ื่ ๆ ตลอด จนสิ่ ง ที่ ม นุ ษ ย ป รุ ง แต ง สรรค ส ร า งขึ้ น เช น เครือ ่ งจักร โรงงาน อาคาร บานเรือน แมกระทัง ่ เศรษฐกิจ กฎหมาย และทฤษฎีตา  งๆ ก็เหมือนกัน ลวนตองมีสว  นประกอบทีส ่ มดุลทัง ้ สิน ้ …” (พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริ ญญาบัตรของมหาวิทยาลัยมหิดล วันที� ๘ สิงหาคม ๒๕๓๔)

ภาพ : จํานงค์ ภิรมย์ภกั ดี

“…สุขภาพจิ ตและสุขภาพกายนัน� พูดได้ ว่าสุขภาพจิ ตสําคัญกว่าสุขภาพกายด้ วยซํา� เพราะว่าคนไหนที�ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงแต่จิตใจฟั� นเฟื อนไม่ได้ เรื� องนัน� ถ้ าทําอะไรก็จะ ยุ่งกันได้ กายที�แข็งแรงนันก็ � จะไม่เป็ นประโยชน์ต่อตนเองหรื อสังคมอย่างใด ส่วนคนที� สุขภาพกายไม่ส้ ูจ ะแข็งแรงแต่สุขภาพจิ ต ดี หมายความว่า จิ ตใจดี รู้ จักจิ ตใจของตัว และรู้ จกั ปฏิบตั ิให้ ถกู ต้ อง ย่อมเป็ นประโยชน์ต่อตัวเองมาก และเป็ นประโยชน์ต่อสังคม ได้ มาก ในที�สดุ สุขภาพจิตที�ดีก็อาจจะพามาซึ�งสุขภาพทางกายได้ หรื อถ้ าสุขภาพกาย ไม่ดีนกั ก็ไม่ต้องนึกว่าเป็ นของสําคัญ…” (พระราชดํารั ส ในโอกาสที�คณะจิตแพทย์ นักวิชาการสุขภาพจิต อาจารย์ จากมหาวิทยาลัย เข้ าเฝ้า ทูลละอองธุลีพระบาท วันที� ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐)

“…เราหิวเราก็ควรจะรับประทานเพือ� ประทัง เพือ� แก้ ความหิวนันเป็ � นของธรรมดาของโลก แล้ วร่างกายเราทุกคนถ้ าไม่มอี าหารละก็ จะ รักษาร่างกายเอาไว้ ไม่ได้ จําเป็ นต้ องมีอาหาร บริโภคแต่วา่ ถ้ าเห็นแล้ วก็เกิดความอยากรับ ประทาน เพือ� ทีจ� ะพอประทังชีวติ ก็ยงั ไม่เป็ น ทุกข์ แต่วา่ ถ้ าเห็นว่าน่ารับประทาน แล้ วก็เกิด ลงมือรับประทานจนมากเกินไป เกินความ จําเป็ นเพราะมันอยากนี �เกิดเป็ นทุกข์แล้ ว เป็ น ทุกข์ได้ เพราะเรารับประทานมากเกินไปมันก็ ไม่ดี ทําให้ ร่างกายเราเสียได้ เหมือนกัน อาจ จะท้ องเสียได้ อาจจะไม่ถกู กับร่างกาย หรือ แม้ แต่เรารู้วา่ เรารับประทานมากเกินไปเฉยๆ ก็อาจจะจุกได้ ก็อาจจะไม่สบายได้ อันนี �พูด อย่างง่ายๆ เฉพาะเรื�องทีว� า่ ถ้ ารับประทาน มากไปก็อาจจะไม่สบายได้ เราก็ชอบของ อย่างนี แต่ � วา่ ร่างกายเราไม่ชอบ หมายความ ว่าร่างกายเราไม่ถกู กับอาหารอย่างนี ก็� ทาํ ให้ เป็นทุกข์ มันก็เกิดทุกข์ แล้วเราไปบ่นได้อย่างไรว่า ทําไมปวดท้ อง ทําไมถึงปวดท้ อง มันเป็ นทุกข์ ทําไม ก็เพราะว่า เราปล่อยตามความอยาก ของเราทีร� บั ประทานได้ มากเกินไป ไม่ได้ สาํ รวม จิตใจ คือไม่ได้ ระวัง ไม่ได้ ร้ ูวา่ อะไรเป็ นอะไร อันนี �ก็เป็ นตัวอย่างทีพ� ดู โดยเฉพาะเป็ นอย่างๆ แต่ความจริงการเกิดทุกข์หรือเกิดอยากนี สลั � บ ซับซ้ อนกว่ามาก แต่วา่ ถ้ าเราอยากทีจ� ะทราบ ด้ วยปั ญ ญา จะต้ องดู จะต้ องแยกธาตุ ออกมา ต้ องศึกษาทุกสิง� ทุกอย่าง แล้ วอย่าง นี �ก็จะไปสูส่ ง�ิ ทีด� … ี ” (พระราชดํารัส ในโอกาสทีค� ณะชาวห้ วยขวาง พญาไท เฝ้าฯ ทูลเกล้ าฯ ถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศล และต้ นเทียนพรรษา วันที� ๕ กรกฎาคม ๒๕๒๑)


๙ คําพอสอน |

สถิตในดวงใจตราบนิจนิรันดร นอมศิระกราน กราบแทบพระยุคลบาท

ดวยสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณเปนลนพนอันหาที่สุดมิได ขาพระพุทธเจา คณะผูบริหารและพนักงาน กลุมบริษัทในเครือบางกอกกลาส

ปวิณ ภิรมย์ภกั ดี / อัมรัตน์ ภูววีรานินทร์ / ศุภสิน ลีลาฤทธิ� / สมพร เต็มอุดมสมบูรณ์ / สุจิตรา ชูพิทกั ษ์ สิน / สุรศักดิ� เดชะริ นทร์ / ลักษณา วงศ์รุ่ งโรจน์กิจ / นริ ศ ไกรลาศศิริ / มนัส พ่วงแจงงาม / ภควรรณ วาดรักชิต / บุญเชิด สุขีภาพ / จักรพันธุ์ จิราธร / จินตนา จันทเลิศ / วิศาล ลออเสถียรกุล / อดิศกั ดิ� สุขประเสริฐ / สมชาย นิยมค้ า / กิฬา สุขประสงค์ / โกศัย พลานนท์ / สยาม เศรษฐบุตร / วรภพ ทักษพันธุ์ / วิภาวี เขียวโสภณ / วิสตู ร เครือกนก / นุดี จีรงั พิทกั ษ์กลุ / ศิริกลุ มังกรกนก / ประสพ ชินอ่อน / โชคชัย ศรีสนุ ทรพาณิชย์ / วรวัฒน์ บูรณากาญจน์ / อริยะ ธนานุกลู กิจ / นิมมิตา ไทยานนท์ / ยุทธนา สุวรรณศร / อมรพัฐ เกียรติเถลิงฤทธิ� / ทองสุข ศิริพฤกษ์ / ฤดี เอีย� มเกื �อกูล / จิตติมา จิราธร / ภัทรวดี ดวงตา / เพลินพิศ เทียนสว่าง / เกรี ยงศักดิ� สัมมามิตร / บุญสิน พรปั ญญาเลิศ / สุรัชนี เบญจจินดา / ประกอบ ยาหมื�นไวย์ / ปทุมพร สุภาจักร์ / สุรชัย ศรี เกษมวัชรกุล / ทิฆมั พร มหาวัตร / เพราพริ ง� รุจิรเสรี ชยั / พัฒนศักดิ� สายแสงจันทร์ / โภคทรัพย์ พุม่ พวง / ทวีศกั ดิ� ศรี ภสู ติ โต / ดุลยทัศน์ ปราบพาล / ศิริพร ไกรลาศศิริ / วรเดช กฤตยาเกียรณ / เก่งวิช แสนรักษ์ / เพิม� เกียรติ พิกลุ / สมบัติ อุน่ สุนทรพิทกั ษ์ / แมน สุวรรณปิ นฑะ / มนต์สทิ ธิ� สันติภาพมณฑล / กรกฎ แสงจันทร์ / สมบัติ เนื�องจากจ้ อย / ภิรมย์ ฉันท์ทอง / วรณัน ลีลาฤทธิ� / อานัด ปิ ยะจิตติ / ดวงกมล อมิตรพ่าย / ปิ ยนุช บุญประคอง / วีระชัย นพปราชญ์ / Philip Tan / เทิดพร พรทวีทรัพย์ / พงษ์ นภา ลิ �มจํารูญ / ดารณี ม่วงอยู่ / รุ่งทิพย์ นาคอ่วม / พนัสดา ทองจาด / กมลพร สุขสวัสดิ� / กัลยา อุน่ ใจ / วิลาวัลย์ นาวีวิตรผดุง / สุทธิดา ทองจํารัส / วิสทุ ธิ� สุรเสียง / กฤษทิชา แสงวงค์ / วรรณวิมล หมื�นเจริ ญ / ไพรัช เสรี วาทมงคล / นันทนา หงษ์ ทอง / ภาวินี นารถเหนือ / ฌานิสา แซ่โง้ ว / สมศักดิ� พานเงิน / ชูเกียรติ ยิ �มพวง / ประณม ศิริพราหมณกุล / จักษ์รินทร์ มุสกิ ะสังข์ / อานุภาพ จัตรุ งค์ / ประเสริฐ เพ็งเปิ น� / ชูศกั ดิ� เรณูรส / ภารดี ลีรุ่งนาวารัตน์ / นิรุทธ์ ผิวอ่อน / ภาณุเดช วิศษิ ฎ์กลุ / สุรวิช ยิง� สิทธิสวัสดิ� / ศิวะ สุรชาติ / กิตติศกั ดิ� จิรภาสุขสกุล / พงษ์เอก ศรี สทุ ธางกูร / พัณณิตา พิศาลกิตติคณ ุ / วรรณา รุ่งทิพย์เจริ ญ / สุภาพร รัตนไพบูลย์ / รติกร มงคลชินวุฒิ / กฤษฎาวรรณ วรรณปกะ / รัชนีพร อนันตกูล / ป.วีณ พูลจันทร์ / กริ นทร์ งามขจรวิวฒ ั น์ / ปวีณา เขียวรัตน์ / กมลวรรณ นิ�มนวล / มัณฑนา ธิตธิ นลักษณ์ / เสาวลักษณ์ จิตต์อารี / วิรชาดา แสงชาติ / รัชดา เทียนทอง / ประพนธ์ ชลศึกษ์ / อรรถวุฒิ สะสม / สมโภชน์ พานิช / พจนาท แจ้ งสว่าง / กรรณิกา ปิ� นมณี / วิศษิ ฎ์ เกษร / อานนท์ บุญมาตุน่ / ดํารงศักดิ� เจษฎาภัทรกุล � � / เกรียงสิทธิ สะสมสิน / อนงค์ภทั ร์ หมืน� ศรี / รณกร โสชาลี / อนิรุตติ อย่างรัตนโชติ / รัตนจิตต์ อัตราชีวะ / ชัยวัฒน์ รติรังสี / อายุทธ ภมรพล / อภิชาติ ดีสงคราม / สุนตั ร์ จันทร์ ราษฎร์ / สันติกร มาลัยพันธ์ / จิตติพล ชูรัตน์ / ยุทธพงศ์ สัจจาพันธ์ / นุชนาฎ อรุณเสถียร / บุญเรื อน ทุมลา / พงศักดิ� สุดบ้ านเสื�อ / วิรุฬห์ พูนลาภทวี / ปั ณณธร งามแสง / ภาณุวฒ ั น์ สุพรรณพงศ์ / ภัสสร ศิริ / สุชาติ จอมทอง / รัญชน์ ศรี ธนภพสุข / ชินณะราช มีสงิ ห์ / อุษา มีสงิ ห์ / จํารัส ใยเทศ / พิน นุม่ โต / สุรพล แสงนํ �า / ชัยนริ นทร์ ไชยริ นทร / ไชยทัศน์ เจษฎางกูร ณ อยุธยา / จรรยา สูญยี�ขนั ธ์ / ไพรัช ฟูรังษี โรจน์ / ศราวุธ บุญยอด / ปั จจะ นํ �าฟ้า / ธนะชิต สาสะเน / จักรกฤษณ์ ตรี เหรา / สัญญา อุปนันท์ / วิวฒ ั น์ ไวกสิกรณ์ / คุณาธร � ตระกูลชินสารภี / พิทกั ษ์ วรกัลยากุล / ณัฐพล ศรี ทอง / วุฒิชยั แสนพล / ประภาพรรณ ปลาอ่อน / จิระศักดิ ศรี รัตน์ / มาเลียม ภูเ่ นตร / สุวรรณ สมบูรณ์ดี / นคร เรื องบุตร / ณัฏฐ์ ระพี มาลินนั ท์ / สุรินทร์ พิมพ์ทอง / อนันท์ บุนนาค / อนนต์ � � บุญมี / เขมจิรา เหง่าวังจาน / ทวีศกั ดิ บัวจูม / ธนวัฒน์ รุ่งสันเทียะ / รุ่ง แก้ วมาลา / กฤตยา สิงห์ทอง / ลําพัน เหง่าวังจาน / สุทธิกาญจน์ จินดาเพชร / ปิ ยกิจ ฟางทสวัสดิ / อนุตรา สุขรื�น / สรวิชญ์ ธรรมชาติ / ประเสริฐ สายันหรรษา / คฑาวุฒิ อุทยานิน / ภัทร จิตโศภิษฐ์ / สุภาวดี สุระพินิจ / สงบ เกตุหริ ัญ / อัญชิสา กําแพงพันธ์ / กรรณิการ์ จุมมี / สุกญ ั ญา วิจารณ์อกั ษรสิทธิ� / ชมัยพร บุญสิทธิ� / นํ �าผึ �ง จันทร์ หอมเกษร / สุธนาภรณ์ บุตษบุญ / พิเชษฐ์ สุพรรณเนียม / ทรงพล ผลวุฒิ / วสันต์ ศานติวิวฒ ั น์กลุ / พิมพ์พร ภูด่ ้ วง / จริ ยา โป๊ ะอ้ น / สุทธิพงษ์ สุทธิสาคร / นคริ นทร์ สาดศรี / MAY THANT SIN / ฤทธิ�พร แจ่มจันทร์ / อธิชยั สุขีภาพ / ศุภชัย คมศิลป์ / ธนากร ปั นทวังกูร / สุรชัย จตุรภัทรพงศ์ / อํานาจ แก้ วเขียว / ชาตรี ฉิมทะเล / สุรชัย สานนท์ / ณัฐนนท์ เซีย� งช่าย / อภินนั ท์ อภิบาลศรี / ศุภฤกษ์ สีทองเขียว / ธนพล สิงหวัฒนะ / ชรินทร์ เณรตาก้ อง / ณวัฒน์ ไชยองค์การ / ณรงค์กร วันดี / กิตติ กุลธรรมโยธิน / ธนวัฒน์ สันดุสติ / นนท์ธวัช เรืองชัยวรสิทธิ� / ปราการ เอี�ยมมาตย์ / ธีรพงศ์ กลับแก้ ว / ธนาวิทย์ ด้ วงคง / ชิดชัย ศรี ภิรมย์ / สิรภพ คุณโชติ / เจนจิรา แซ่จิว / กันตพล เลิศลํ �าสกุลการ / พรพิพฒ ั น เมืองหงษ์ / อนุรักษ์ ศรี เกิด / อดิศกั ดิ� พางาม / กฤษณะ จําปาอ่อน / จิระวัฒน์ เลื�อนวิชยั / พีรพงศ์ พิชติ โชติรัตน์ / อรุชดิ า บุษพันธ์ / ภูริทตั สืบภา / สําราญ ศรีรัตนโชติชยั / ทรงวุฒิ จุลละนันท์ / ภาสวัชร์ คล้ ายรัศมี / จักรพันธ์ มาลาศรี / จักรกฤษณ์ ระวีศรี / กัญญาภัค หัตถกรรม / กิตติพงศ์ วรรณราช / ชนาภา สีดี / มัณฑนา ขวัญเนตร / ไพวรรณ มะละ / สิทธิชยั เรื องรัตน์ / ปิ ยวัชร์ ปราชญ์ศิลป์ / นิคม นารถเหนือ / ธนิต พัฒนชัยวิทย์ / แสงเดือน เพ็ชร์ นํ �าดี / วิไลภรณ์ ทองเมืองหลวง / ภัทราพร โพธิ�สงู / ธิดารัตน์ จิรมรุตพงศ์ / ชฎาพร บานแย้ ม / ชิดชนก บูรณกิจยานนท์ / ศิรินภา ช่างโทรเลข / อุมาพร เจากสิกร / ภุมมรินทร์ ขุนทอง / พรทิพย์ ร่มเกษแก้ ว / ปิ ยนุช วินทะไชย / ธัญญลักษณ์ วิโรจน์พพิ ฒ ั น์กลุ / กิตติพชิ ญ์ อภิวฒ ั น์ศริ ิ / ปัณชญา พึง� สุข / อสมาภรณ์ เหรียญราชา / อัมพิกา สิทธิเพียร / ศศิกานต์ หาผลดี / บุรินทร์ ไชยพัฒนะพฤกษ์ / รมิตา หิรัญกาญจน์ / ภัทรวีร์ นวภัทรพันธุ์ / ศุภวรรณ บุญปราณีวงศ์ / ศักดิพฒ ั น์ ธนพงศ์รพี / ปิ� นกนก ไฝเป็ นคง / ชนินทร์ ไกรธิตสิ วุ รรณ / ภัทรานิษฐ์ อิฏฐะพงศ์ / ANIL KUMAR SHRESTHA / ภูมิ สาตร์ เพ็ชร / เพชรสุก เลิศลิมปิ ยะรัตน์ / ชนะ เจริญพัฒนไพศาล / จารุวฒ ั น์ ปิ ยสั สพันธุ์ / เวียน พูลเลิศ / สุวชิ สุขหนา / กัณฐิ กา คงคา / ชยางกูร เจริญสุข / ผาณิตา ฉัตรบรรยงค์ / ไกรฤกษ์ คงรุ่ง / จิรวัชร์ เฉลิมสุข / นก โพธิ�แก้ ว / พฤษภา พาณิชย์ชาญชัย / ศิริวรรณ ฟุง้ เฟื� อง / กิ�งกาญจน์ เพชรวารี / พชรพร บุญยะโภคา / สุรเชษฐ ศรี แก้ ว / พนัชกร มาศมัณฑนะ / กัณฑ์พิชญา พินิจจันทร์ / อุไรรัศมิ� เฮ่าบุญ / สริ นยา ตันติกลุ / กอบกาญจน์ หว่างสุภาพ / ธนวรรณ พัฒนพิบลู / จรัล จันทร์ เรื อง / ศุภชัย นันทนาท / ชัยยะ สุนทรอนันตกุล / ปิ ยเกียรติ ศรี รินทร์ / จิรพงศ์ บํารุงชาติอดุ ม / วีรินทร์ นันท์ธนรักษ์ / พักตร์ ชนก คงสมกัน / อาทิตย์ คงสมกัน / ศรัณย์ หวังชิงชัย / สิทธิชยั ปั ดภัย / ธัญญรัตน์ เนาว์ประดิษฐ์ / มุกดา ชัยธีระสุเวท / ก้ องเกียรติ แก้ วสวี / ธีรัตน์ จันทโรจวงศ์ / พัชดาพร แพทย์จตั รุ ัส / ยุวเรศ พิริยอกุล / ชยภัทร เสรีเผ่าวงษ์ / จามจุรี สุขขีวงษ์ / ศศิมา รังษะพรหม / ประสิทธิ� เหมือนวงษ์ ธรรม / นฤมล กล่อมวิญญา / เสาวลักษณ์ จ้ อยกันเจียก / จีระศักดิ� สายทิพย์ / เทิดบพิตร ศิริมงคล / สรสิช ร่องมะรุด / พนมกร ประสานเกตุ / ปุณยนุช รักษ์ ธรรม / สุทธิพงษ์ หมื�นยา / ประวิทย์ จานทอง / ทรงพล รักพุดซา / คํารณ สนเผือก / นําพล อ่อนละออ / มนัส พจนารถ / ศักดา กตาภินิหาร / ฐิ ตพิ งษ์ เพิ�มวิชา / ปฐมพงษ์ พูลเพิ�ม / นพพร ดํารงค์ศกั ดิ� / ชาญวิทย์ ธนานุประดิษฐ์ / พิมพ์ลดา จรูญสันต์ศริ ิ / วินยั ธร ใจแก้ ว / วริ นทร์ ธร เอื �ออังกูรชัยศรี / วลัยภรณ์ อยูผ่ าสุข / พรรษา สมชัยขจรเดช / วันดล ศรี เสนาะ / นันท์นภัส วรรธนานันต์ / เจญศักดา แจงบํารุง / ชมพู่ เอีย� มจะโร / ปริญญา กรรณสูต / ชาตรี ศรีจนั ทร์ / ธนัญชกร จุลกัลป์ / อนิรุตร์ ทัศดีทณ ั ฑ์ / เชาว์ มาลินนั ท์ / วราภรณ์ วิบลุ ศิลป์ / สภารัตน์ คําเงิน / สันติชยั แสงพระพาย / บงกช บุญกล้ า / มนัสนันท์ สรรพัชญา / ชยากร โตวิวฒ ั น์ / ณัชภาสร ราชวงศ์ / พิชญา ยงดี / ดนัย ดีแจ่ม / วิทยา สอนละ / นทีธร ปรี ชาบุญฤทธิ� / ธเนส จูเจียม / อภิญญา ญาญีเนตร / วันวิสาข์ วิวฒ ั นางกูร / สุวรรณ งามละมัย / มณี ประทุม / ธนัยนันท์ เตชะพิริยานนท์ / ฌณิษตา เปี ยเนตร / ศรกมล ศิริมงคล / สิริน รัตนประภาวุฒิ / ออมสิน ดําริห์ / ปิ ณศิกา ศรีโกมุท / อุมาภรณ์ สุกโนรีกลู / ทิพาพร ศรีภกั ดี / ปทุมรัตน์ แก้ วปาน / จุฑามาศ คมคาย / ศศิธร กําแหงรส / SMRITI MALLA / ดลนภา อินทรประเสริฐ / หงส์หยก สิงห์สาธร / ศรัณยา เอี�ยมเนตร / พรรษมณฑ์ ผดุงนึก / จุไรรัตน์ ยิ �มบุญนะ / ชัชชญา คงธนบวรกุล / ศุภาภร ไชยสุทธิ / อมรรัตน์ นกแช่ม / ศึกษา วงศ์บญ ุ เรื อง / นิตยา แก้ วสืบ / มนสิชา เกตุสขุ / กัมปนาท ฉายศิริ / อังสนา ทับบัณฑิต / มารี นา เพ็งสะและ / เพ็ญนภา ศรี เมือง / พชรพรรณ เขียวงาม / กรรณิการ์ องค์ชมภู / กรรณิการ์ อมาตยกุล / ศศิประภา ปานเดย์ / รังสิมา รุ่งนภา / อัญชลี ชูดวง / เสาวนีย์ นุชสี / เกศมณี ศิริสวุ รรณ / เทวัญ จองลีพนั / เซียนเอ๋อ รุ่งอัญมณี / รัตนา � พิมพา / จริยา โกมินทร์ / ปนิดา แก้ วเงิน / วราพรรณ ภูมงิ� คํา / ศักดินรินทร์ ทับบุรี / สายชล สันติภาพมณฑล / วราภรณ์ พูลประเสริฐ / เตือนจิต พฤกษชาติ / ทิพวรรณ มูลเสน / วรลักษณ์ รุจิยมงคลกุล / อุบลรัตน์ เกตุผอ่ ง / พจนารถ แก้ วแดง / ปิ ยะพร ตังธี � ระชัยสวัสดิ� / จันทรัตน์ ใยมะเดือ� / ปิ ยะมาศ ใยเจริญ / มนัญญา บัวเผือ� นหอม / มยุรี ทิพพอาจ / ลักษณพร ชาลีสี / สุนารี ทองศิริ / อุทมุ พร เทวงษา / ณปภา ศรีสกุล / กาญจนา ธนัญชิษณุพงศ์ / อารญา สินแจ่ม / เกศินี แก้ วกิริยา / รัตนา สุดสะอาด / อรภัทร ซื�อจิตต์ / ดลนภัส วีระนนท์ / สุชาดา วินธิมา / ดวงหทัย สืบเทพ / นภาพร สูงสันเขต / พุทธชาติ ศุภนาม / เบญจวรรณ โกญจนาวรรณ / ขนิษฐา จอมพุดซา / มณีรัตน์ พูลนาผล / กรองทอง เจริ ญจันทร์ / แสงทิพย์ สืบศิริ / ชนัฐจิตต์ ประจักษ์ สวุ ิถี / อนุชธิดา สว่าง / โชติกา ยังทน / ศิริพร สระกิจ / ASHIM NEUPANE / สิทธิชยั แซ่ตงั � / ปกรณ์ เดชประยูร / เสกศักดิ� เสนาขันธ์ / นคร จันทร์ เมืองปั ก / สุรชา ประมูลมาก / ฐิ ตริ ัตน์ เทียบรัตน์ / มณธกร ลํ�างาม / ปราณี เวฬุวนารักษ์ / เอกชัย สุวรรณชาติ / อรรถพล อุทศิ ผล / ณรงค์ สุขณะ / อนนต์ เสือเหลือง / สดชาย เหล็กกล้ า / มณีมณฑ์ ฉายศิริ / วีรชน ศิริปัญญา / วรวรรณ เพลิงน้ อย / จารุณี เสือสวัสดิ� / พรพิมล ดิลกอุดมฤกษ์ / นวโรจน์ รุญจํารัส / จิรณัฏฐ์ พัทธนันท์กลู / พนิดา ผูกพัน / ธัญลักษณ์ ทองสิงห์ / วิทวัส ศรี สพุ รรณ์ / CATHERINE JOY LATOSA ALMENANA / สุภทั รา พลอยแดง / สุนิสา จันทร์ เที�ยง / นุชริ นทร์ พุทธานุ / บัณฑิต นามบุญชู / สมคิด เปี� ยมสุวรรณ / โชติกา ลันขุนทด / อุไร จันทะชารี / กันดิศพงษ์ ปลื �มจิตร์ กมล / อมรรัตน์ อุดม / เชิง ใจปทุม / ชัชชัย ใจปทุม / เดวีนา เนิดน้ อย / ชรินทร์ ภูมทิ อง / สมบัติ พันธนาเสวี / สุภฤกษ์ บุญกอง / สุจติ รัตน์ ทิพย์ธารัตน์ / อาทิตย์ ไพบูลย์จฑุ ามาศ / พัชรี ใจประดิษฐ์ / ชนน คุ้มมะณี / อมรศักดิ� ศรี ประเสริ ฐ / NGUYEN NGOC THANH TAM / เอกบดินทร์ ตาปราบ / ฐาปกรณ์ เกตุแย้ ม / สุขสันต์ ฤทธิ�เดช / สมเกียรติ สิทธิธรรม / ประจักษ์ เหมปิ ลนั ธน์ / คณาธิป ชัยพรมวงศ์ / ภัทรภรณ์ แสงจันทร์ / นัดดา วรรณสูญ / อดิภทั ร เพชรมโนมัย / สุมน เผือ� นบัวผัน / สุทธิรักษ์ มาหนูพนั ธ์ / สายใจ โชติกะคาม / วาสนา พยุงกิจ / ประดิษฐ์ มาลัยสิริมงคล / วิลาวรรณ เพียรพึง� / สุรวัฒน์ น้ อยศรี / ลักษิกา จันทร์ เฑียร / วัชรทนต์ มหคุณวรรณ / ยุทธชัย โกสิงห์ / นัยนา ชุมคง / นํ �าผึ �ง ประมูลมาก / อุไรวรรณ สีลกู หว้ า / ชยานัฐ น้ อมสูงเนิน / กันติพงศ์ ตังศิ � ริพฒ ั น์ภรณ์ / ชญาณี มาลากุล ณ อยุธยา / วิไลวรรณ ไชยเดช / อุทยั รัตน์ ธรรมอินทร์ / อุ้มยศ เรี ยงแก้ ว / ศิรินาฏ ฮ้ อรอด / พรพรรณ ปราณีโชติรส / อานนท์ หนูน้อย / วรัญญา อาสาณรงค์ / วราภรณ์ เรืองบุญ / พิกลุ สีมว่ ง / วีรวิทย์ สุวรรณอินทร์ / เอกภพ หัวดอน / ทวีศกั ดิ� พลอยเจริญกิจ / เจนจิรา เอื �อศรีธนากร / ศุภานัน เปาวิมาน / เสริม มณีทอง / ณัฐกฤตา คําคัน / พัชราวุฒิ เพ็งกลัน� / LOUELLE FUENTES MARTIN / นันทภพ หินสูงเนิน / ประวิทย์ จิรัตนานนท์ / พงศา แช่มช้ อย / วันชัย ธรรมเนียมงาม / ปรัชญา กันอุปัทว์ / พงษ์ ศกั ดิ� อารี ประยูรกิจ / วรวุฒิ จุฑาฤทธิ� / สุรเชษฐ์ วงษ์ รักษา / ไกรกาญจน์ วาทิตาพร / ศิรินภา กะลาทอง / สุพจน์ ยางเงิน / สุรศักดิ� มีศิล / บํารุ ง สีพราย / ชํานาญ ขวัญวิชา / พงศกร เพ็ญจันทร์ / ฉัตรชัย บุญสมบัติ / สกุญญา กลิ�นมณฑา / วาเศรษฐ ศรขวัญ / มานนท์ หมื�นสีพรม / นิติวธุ พุฒแทน / กรกฎ ทองวันดี / อภิทกั ษ์ สังขพันธ์ / คมกฤษ ประพิตรภา / ปิ ยะณัฐ ควรชม / โกสิน พินนุช / ทวีวฒ ุ ิ วันทะวงค์ / กฤษณะ สืบจากอินทร์ / เชิดศักดา พลเสน / ชัยณรงค์ สุขสวัสดิ� / สุรธวัช มหายศ / วรพล ไชยบุตร / ฤทธิกร ปากหวาน / ศริ นทร์ ขอถาวรวงศ์ / ณัฐวัฒน์ วัตถโกวิท / จุฑามาศ มงคลธง / พชร หีตช่วย / ฐานพันธ์ สร้ อยศรี / ปาณัสม์ กันยาสนธิ� / ชลัมพล จงกลวดี / โสภณัฐ ทองยีส� นุ่ / ประสงค์ โพธิเปรม / รุ่ง ปุกคําดี / จักรภพ ลภะวงศ์ / ชยพล แก้ วเนตร / จักรกฤษณ์ เรียงขันธ์ / ทรงพล สังวาลย์สวย / อุดม ขันติพงษ์ / วีรวัฒน์ พายัพสุนทร / วรรณกิติ� พาหะมาก / ปั ญญา ปาละนิตย์ / ฉัตรมงคล จันทะบูรณ์ / วิรัช เปี ยนาค / เดชาธร ทองเกลี �ยง / วิมล วงค์เมือง / ปฏิพล บัวทอง / ณัฐพงษ์ ป้องศรี / วิรดา เที�ยงธรรม / ชวลิต บุญชม / สุรศิษฎ์ ตังเติ � มทอง / พจนภรณ์ แฉ่งฉวี / ชัยณรงค์ ศิริทรัพย์ / วาทิต ภูสวุ รรณ / วรายุทธ พวงมีสี / อนุสทิ ธิ� พูลสมบัติ / พัชรินทร์ กิตวิ งศ์ / ชัยมงคล วงค์ญาติ / ศิริพงษ์ ลาภนิตยพันธ์ / สุรวงค์ โสปัญหริ / ธนสิน ศรีแตงอ่อน / สุกญ ั ญา สุดารักษ์ / กมลตรี ช่วยนุกลู / ธนัชพงศ์ วิชยั ถาวรวัฒน์ / อนุสรณ์ สุวรรณปิ นฑะ / นัฐพล อยูพ่ ลู / ชนาวุธ จ่าดา / อาลี จินดาสุ / อดิลก คําเหลา / ไพฑูรย์ เลาะสันเทียะ / สรรเสริญ แจ้ งสว่าง / คมศักดิ� โกมลจินดากุล / อานนท์ นิตย์โฆษกุล / สรศักดิ� อึง� มงคลมณี � / ญาดา มาตย์นอก / วันเฉลิม พิมพ์โคตร / ฐกร ด้ วงชนะ / สงัด ใยเทศ / ศุภกิจ เบญจศีลวัต / กัลยา อินทรประสิทธิ / ลือชัย ศรี มหาดไทย / สุรีพงศ์ เทพพิทกั ษ์ / ณินทร์ ลดา โนพวน / เจตน์จกั ร เนตรสุวรรณ / สุริยา ไต่เมฆ / บัณฑิต วงศ์วาส / สุนทร สนธิวา / เฉลิมพล แบ่งส่วน / บอล เสภา / กฤษดา แจ้ งจิตร์ / สุพจน์ โพธิ�เพ็ชร / สัญญา เสือหิน / ชนนิกานต์ เป้าทอง / เจตริ น จันทร์ หอม / วาริ ชนันท์ สําเนียง / ลีนวัตร การมงคล / หลง แช่มสร้ อย / สุรชัย สันประเสริ ฐ / เดช วิเศษบาเรื อง / บุญส่ง แสงทรัพย์ / อธิวฒ ั น์ ฟั กทอง / กิติศกั ดิ� การประดิษฐ / โฆษิต พวงคํา / วีระพงษ์ มูลโฑ / เบญจวรรณ มานิตยกุล / ธนกร เชิดฉาย / วิภา สุวรรณทัศน์ / ลักษ์ คณา ธนะโชติ / อมร สมพล / พรทิพย์ บุญยะสินธุ์ / วันวิสาข์ เข็มเงิน / ธีรวัฒน์ ตระกูลไพบูลย์กิจ / พนม คําโนนงิ �ว / กานดา ขันธราม / ณรงค์ศกั ดิ� ยงจอหอ / ชุตมิ า เรื องชัยรัตนกุล / วิศษิ ฏ์ ผ่องโสภณ / ธนา ลีธีระประเสริ ฐ / อุไรพร จันทร์ ทอง / น้ อยหน่า ประไพศรี / คัทลียา วามะลุน / นีรนุช พิสสวง / ZHAO MIN / ธนกมล แสงพิทกั ษ์ วงศ์ / คมกฤษณ์ ช่วยเหลือ� ม / รชตะ จันทร์ สมวงศ์ / วิไล เกตไทยสงค์ / อภิวฒ ั น์ มีดี / ชลธิชา ดาเอก / พนธกร จันทระ / เนตรนภา ศรีคราม / สุชาดา สุปัดคํา / จตุพร ญาณิศาสฤษฏ์ / เกษม จันทนานุวฒ ั น์กลุ / ธนดล จิ�วใจธรรม / สิริรัศมี พันธุ์ไพโรจน์ / ประมวล ถนอมจิตร์ / ชัชฎาภรณ์ เอี�ยมเนตร / ชาญชัย แสงพรหม / วนิดา เมืองสง่า / เบญญา พิกุล / จันทร์ เพ็ญ แสงสาย / ตรี รัช พรหมนิมิตร / นํ �าอ้ อย คุชิตา / ชาครี ย์ จารุ พกั ตรานนท์ /

๔๙

นัสสรณ์ เกียรติเถลิงฤทธิ� / ชญานี เล้ าสุขสุวรรณ์ / จีระอร บุญสงค์ / ปรารถณา ปาระมีศรี / สิทธิศกั ดิ� จุลเชาว์ / ศุภชัย หมอนอิง / เมธาวุฒิ มังกโรทัย / พัชรา เมืองทอง / สิรินนั ท์ โชครัตนพร / ณัฏฐนันท์ เพ็ชรวารี / สุรสิทธิ� จิตรศิริ / สมหมาย อาธิเวช / พิราม ม่วงศรี / ธนวัฒน์ แสนภูวา / กานดา เกาะสระน้ อย / ธรรมรัตน์ โพธิ�น้อย / บุญฤทธิ� ญาณยุทธ / รัศมี ชอบระเบียบ / อุทิตย์ แสนเสนา / วิภาพร ขุนทอง / รัชตะ ธิตธิ นลักษณ์ / รณชัย สังเกตุการณ์ / ภูมิชาย คชแก้ ว / พิสมัย ม่วงงาม / ประพิษ ศิริพงษ์ / ประพันธ์ ทรัพย์สนิ / เทียนทอง มนตรี / ชญาดา คําลอย / ฉัตรชัย สุทธิพงษ์ วิจิตร / กฤติยาภรณ์ อ่องสิทธิ / นัฐพงษ์ ผาบุญมี / สิริพรรณ แสงจันทร์ / เฉลิมเกียรติ บุญแสง / อรัญญา เกรงชื�อ / ศิริกาญจน์ ฝาเงิน / พนมเดช สิงหลสาย / เจนจิรา แย้ มสว่าง / ประเสริ ฐ ทรัพย์ประเสริ ฐ / ธงชัย สืบสิงห์ / เฉลา พรมมินทร์ / บุญสนอง ซ่อนกลิน� / สุชาติ เงินกระแชง / อยู่ เนตร์ นพ / สําเริ ง เกตุเจริ ญ / จันทร์ หะจางกูล / พเยาว์ ครามเขียว / รํ าไพ บุญเสริ ม / เนตร ดิษฐศร / เฮ็งเสียง นาคนิกร / บุญมี เอกจํานงค์ / พงษ์ เทพ เย็นจะบก / บุญสม นาคกัน / เอกพล พันธ์มาลี / สายหยด เอี�ยมรอด / ปราณี โพธิ�ทอง / สมบูรณ์ ราชโรจน์ / จงรักษ์ ผไทฤกษ์ รุ่งเรื อง / สุรัตน์ ทับทิมเงิน / สมพงษ์ คงกะพันธ์ / ยุพิน อยู่ผาสุข / มานพ เนียมหอม / บัวพันธุ์ เกตไทยสงค์ / นงนุช บุญศรี จนั ทร์ / กุหลาบ ทับทิมเงิน / พรพรรณ์ ชัยสุริยะพันธ์ / ชนิสรา บุญจันทร์ / ประเสริ ฐ บุญสมพงษ์ / สุวิทย์ แพงศรี / ศิริวฒ ั น์ ทิพย์มี / ประสิทธิ� โอรักษ์ / ประทีป หวังปั ญญา / ภัคภิญญา เที�ยงวัน / ธนเดช ดวงสุวรรณ / นรากร จุทะแสง / ชํานาญ นามประสพ / ดวงดาว รอดทอง / สัจจา ดํานอก / สมปอง เหมือนนนท์ / ศุภณัฐ์ หมวดนุม่ / สุธีรา สีลาบุตร / อํานวย แซ่เฮง / คมสัน ช่วยไธสง / นิพนธ์ คณฑีวงษ์ / ภานุวฒ ั น์ ศาสตรประเสริ ฐ / ชนะ วัฒนะธํารงค์ / เกษม สุวรรณสิงห์ / ประสาร จี �เพชร / สุระ ศิริอเุ ทน / นิรันตน์ อยูผ่ าสุข / สุดใจ นาคทอง / สัจจะ เหรี ยญณรงค์ / พิชิต เหมือนอินทร์ / เทียนชัย ช่างปั น� / บุญเลิศ เงินยวง / วัชรี คํางาม / สมยศ วรรณาเจริ ญ / มงคล กลิ�นทรัพย์ / โกสุมภ์ ถาดทอง / มนตรี ปานแดง / สมหมาย จันทร์ ประเสริ ฐ / สุทธิพร ทัดสะวอน / วรรณา บุญสนอง / สุรศักดิ� คงคาหลวง / ศุภชัย ทับวันนา / สุวิช เดชมา / ณรงค์ ยอดพิกลุ / ทรงชัย เปรุนาวิน / สมหมาย เอีย� มท้ วม / วินยั พูลนาผล / ทรงพล ตุ้ยหล้ า / สิทธิชยั กาญจนพันธ์ประภา / ธงชัย ช้ างงาม / ประเทือง เนตรนพรัตน์ / สวง บุมี / อุไร ยันระหา / สมชัย งามล้ น / อุดม จัน� เล็ก / ดวงใจ ขําแจ้ ง / สนธิชยั กาญจนพันธ์ประภา / อาคม มัคลา / เทวิน นวมงาม / จําเนียร สายพินทอง / วรวุธ จันทร์ ปรี / มานัส แตงหนู / สมศักดิ� ธงชัย / สมนึก คงอริ ยะทรัพย์ / วีระพงษ์ กันเกตุ / นพธนินทร์ อารี วฒ ั นากุล / บัวทอง ใสงาม / พิกลุ จันทร์ ทอง / มนต์ชยั ปั น� ทอง / ไกรสร นุม่ เอีย� ม / อนุรักษ์ เรืองหิรัญ / ทรงชัย ช้ างงาม / บัณฑิต พลวงค์ษา / วุฒิ พุทธเสน / สุทธิเดช งามสอน / พิริยะ เลิศประภาพร / บัญชา เกตุพรม / ทศพล กองสําลี / รุ่งโรจน์ โชติพรม / ภานุพนั ธ์ คํ �าจุน / มานิตย์ ศักดิส� วัสดิ� / โอภาส กลิน� ปทุมรัตน์ � / สมควร ทองธรรมชาติ / วิชยั มงคล แจ้ งหิรัญ / ชาญยุทธ สุกใส / ชัยชนะ ดิษฐศร / สมศักดิ ลอยลม / สําเร็ จ โชตินอก / สุธน สุนทรศารทูล / สมยศ เอี�ยมใจกล้ า / แสวง ชูเทียน / พิชยั ชัยยานิตกิ ร / พรชัย ศุภสมภพ / จรัญ ใจปทุม / สมเกียรติ นาคกัน / สม ช้ างขุนเทียน / สมชาย ช้ างงาม / เสถียร ปานแดง / ราม เฉลิมพันธ์ / สมศักดิ� คงวงษ์ / ประดับ ศรี สนุ ทร / สมาน ปรางค์มณี / ไฉน ขวัญเจริ ญ / สุรินทร์ ตองอ่อน / วิชยั อุบลเม้ า / สมนึก สมบูรณ์พร้ อม / บุญพร้ อม ประเสริ ฐวงษ์ / เฉลิมชัย สรวลใจชื�น / เชาวลิต ศรีแสงฉาย / ธีระเดช ฤทธิ�ชาวนา / สนธยา ถาวงษ์ กลาง / ธนิตศักดิ� วรสัจจาสิทธิ� / สมศักดิ� ล้ วนพร / ประทีป สว่างพงษ์ / ยงยุทธ จันทร์ แจ่มใส / ภูวดล ธรรมสิน / วิเชลล์ อินทสิทธิ� / ประโยชน์ ละม้ าย / รัตนชัย โมกข์งาม / ชาตรี อินอัญชัน / นฤพนธ์ สุขสมทรง / บุญชัย กรดนวม / อนุวตั ิ คงเกลี �ยง / อาทร ช่างเฮง / สุริยา แถบทอง / เกรี ยงศักดิ� โฉมพระกลับ / ประวิทย์ จับแสงจัน / ธีรวัฒน์ กล่อมเชื �อ / ภารดร โตกําแพง / ธนวัฒน์ บุญยโรจน์ / วิฑรู ย์ พ่วงบางยาง / อภิสร ภูส่ ะอาด / ประเสริ ฐ ภูส่ ะอาด / ณัฐวุฒิ แสงอรุณ / วิโรจน์ สิงห์ทอง / กิตติพงษ์ พลับพลาไชย / สกล วงศ์สว่าง / สุฤทธิ� แซ่อึ �ง / เกียรติศกั ดิ� คงสวัสดิ� / โกเมศ เลขะจิต / เกรี ยงไกร ขันธราม / ปรี ชา นุม่ โต / ปรี ชา ทับทอง / เจริ ญ พันดําริ ห์ / ยุทธนา ดีสงู เนิน / ธิติ อินทร์ แพร / ศักดิ�ดา คําหนุน / อาคม สัจจะเขต / วัชรพงษ์ วงษ์ ยืน / วัชรพล วงษ์ ผงึ� / ทศพร เรื องซื�อ / สุชิน บุญเผือก / ธภัทร นิลสุวรรณ์ / สมเกียรติ มณีวงษ์ / จามร บุษมาลี / อานนท์ ศรี ภทู่ อง / แสนยานุภาพ ภูแสนเภา / ศิริชยั วงศ์ประเทศ / ศักดิช� ยั จีนรัมย์ / อนุรักษ์ ด้ วงวงศ์ / ธีรพล วงมัน� / นภดล อ่วมจ่า / ธนะชัย ชัยยานิตกิ ร / นนท์กฤช เสลาหอม / ปวิญ ยืนยงค์ / นิรันดร์ คูณมา / เมธี สําลีทอง / สัญญา ปลัง� กลาง / สุชาติ ไชยโย / คมกริ ช เสนาะคํา / ศรัณยู โพธิ�อยู่ / เจนณรงค์ โชคศิริ / ชัยสิงห์ ธรรมราช / อภิวฒ ั น์ เที�ยงแท้ / ยงยุทธ สร้ อยสะอาด / ภัทระ อ่วมทร / ประภาส วันมี / มนัส จันทร์ หอม / ไพรัชต์ มากจังหวัด / มนัส ศรี สมพงษ์ / พรชัย ขมประเสริ ฐ / บุญเรื อง พานทอง / สําราญ อูค่ ชสาร / สราวุธ แสงวิลยั / ประสิทธิ� สันทบ / อเนก ศรี สวัสดิ� / ธัญญะ แจ้ งประดิษฐ์ / ณรงค์ สุระทศ / วิระ ทานเศษฐี / อัฑฒวีร์ ศรี ภธู ร / กวี แสงย้ อย / วสันต์ ธรรมเกษร / สําเริ ง พิมพ์ผนั / ชวทัศน์ ธรรมฉวี / ประโยชน์ อูค่ ชสาร / สมพงษ์ มัน� เพียร / สุพจน์ ขันตี / ตระกูล พูลประดิษฐ์ / วิชยั แซ่อึ �ง / สันติ พรหมปฏิมา / อรุณศักดิ� ศรีปัตเนตร / อเนก เวียงจันทร์ / เอกสิทธิ� ไพศาล / จุฑามาศ จันโท / วรพงษ์ สมบูรณ์ / มนัส พงษ์ สนาม / สิทธิชยั ราชโรจน์ / กฤษดา เกาะกาเหนือ / ธันนวัฒน์ อู่คชสาร / อนิรุทธิ� ทองใบ / ธนพงษ์ บุญยอด / วัชริ นทร์ อินธิแสง / ประสบ สารกุล / เสน่ห์ ศรี ดาว / ปั ญญา พ่วงทอง / สุบิน เที�ยงบางหลวง / วิเชียร อรัญญา / ไพโรจน์ เงินยวง / กมลดิตถ์ โพธิสระ / ณรงค์กร ทองปั ชโชติ / กลยุทธ วรรณภักดี / สุชาติ ฤทธิ�มาก / สมัย ชํานาญพนา / สนธยา แจ้ งจิตร์ / สมรัก ศรี สวัสดิ� / ชัยรัตน์ สายบัว / ประยูร บุญยอด / สมชาย ลาดมี / อภิชาติ สาวสุดชาติ / ดิเรก ใยมะเดื�อ / สมชาย ศรี ษะเสือ / วีระ พุทธรรม / จรู ญ พัดเพ็ง / สําเนา มีศิล / วัชรากรณ์ กางโหลน / ภูมิ หนูใจหาญ / สายชล เสวกวงษ์ / เบญจา วงษ์ พา / จเร เที�ยงบางหลวง / โกวิท ปิ� นแก้ ว / อนุชิต เทศนีย์ / นฤดล ใจเด็ด / สุนิสา มีโพธิ�งาม / ชลอ เจริ ญพันธุ์ / วิมล สิงห์วิโรจน์ / ดุสิต แก้ วคําจันทร์ / ชมพร พรหมประดิษฐ์ / นิตธิ ร บุตรศรี / สมชาย ร่วมสําลี / พรศิลป์ อําภาพร้ อม / วีรสิทธิ� บัวทิพย์ / ขวัญตา นิม� นวล / เอกพจน์ เกาะโพธิ� / ทศพร อิม� พร / เสน่ห์ มัคเจริญ / ปรียกร ทองใบ / อดุลศักดิ� นพศรี / สมบัติ แก้ วเลิศดิลก / ณัฐวัฒน์ ฑีฆายุวฒ ั น์ / มานะ นาคา / ธนกฤต ชีวะธรรม / ภิญโญ กรุณานนท์ / ภูวนาท กลํ�าฮุ้ย / มารุต แจ้ งสว่าง / บรรเทิง สัมพันธ์เวชกุล / วิโรจน์ ชลพัฒนา / ณัฐพล แก้ วไพฑูรย์ / สรพงศ์ ศรี นามบุรี / พิทกั ษ์ ก่อแก้ ว / สุเมธ แสนหาญ / ชยณัฐ ปางปั ญญากุลชัย / ศักดิ�กมนต์ บุญดี / ปิ ยะพงษ์ ทองสีสงั ข์ / อธิพร พันธ์แตง / สิทธิชยั ธิระมาน / เฉลิมชัย กังขอนนอก / ทศพล พรมหู / ภานุพงศ์ สระบัว / ภูเมศวร์ ทิวนั ปลูก / วีรยุทธ นุกลู ทอง / วิรัช บุญสนอง / จีรศักดิ� บุญมี / สมเกียรติ คิดเกิด / เด่น ณัฐวุฒิศกั ดิ� / ประภาศ ชีวจําเริ ญ / ศิวะณัฐ แสวง / สมศักดิ� ปราบพาล / ศักดิ�ดา สบูม่ ว่ ง / ปกาศิต แก้ วหานาม / สุรเชษฐ์ มานมณี / รุ่งธรรม นุ้ยจํานัล / มาลี เชื�อมฉิม / สวัสดิ� เกตุนชุ / ประนอม ห่วงรัก / เสรี พุม่ พวง / สมใจ วงษ์ สายสินธิ� / บรรจง แจ้ งจิตร์ / พัชรกุล โฉมงาม / ยุพา พันธ์ใจธรรม / สายทิ �ง วิเศษสุข / จําลอง รัตนสุขสกุล / รัตนา ทัตบูรณะ / ละออ บัวกลํ�า / สิริรัตน์ ถาวงษ์ กลาง / ปรี ชา ดอกไม้ ทอง / ภิรมย์ นกแก้ ว / รัตนกานต์ สารกุล / บัวลม เกตุนชุ / สุมาลี ธรรมจิต / พลอย ตุ้ยหล้ า / สุทิน นพศรี / อมรรัตน์ ยิ �มพวง / กัลยา แซ่เล้ า / อมรรัตน์ ศิริไพบูลย์ตระกูล / วนิดา เกษชฎา / พัชริ นทร์ บัวเผื�อนหอม / บําเพ็ญ ณัฐวุฒิศกั ดิ� / มาลี กอไธสง / นันท์นิชา นกแก้ ว / สายฝน กาชัย / กรรณิกา อินทราเวช / อัญชลี พงษ์ ไพร / ณัฏฐนันท์ บุญศักดิ� / ศิริวรรณ ทองใบ / จินตนา หวังจิตร์ / ศุภารัตน์ ฤทธิ�ชาวนา / ณัฐมน พิริยอกุล / วิลาศ เกตุเจริ ญ / อโนชา มีศิริ / ยุพิน จาบจันทึก / เยาวเรศ พันธเสน / พิกลุ ใจปทุม / พรเพ็ญ แก้ วเลิศดิลก / อุรารักษ์ ศรี ดาว / ยลรดี หมอดี / สมคิด เกิดสุข / ลาวรรณ์ ชูเมือง / ลัดดาวรรณ มหาบรรทุ / อมร แก้ วเนตร / สายทอง สุดใจ / พุ่มพวง บุญน้ อม / สุขกัลยา สันทบ / ยุวดี อรพันธุ์เศรษฐ์ / สมคิด พิมพา / นภัสสร สุขประสิทธิ� / พิสมัย นุ้ยจํานัล / ทิมาพร เกตุเจริ ญ / เพลินพิศ เนาวบุตร / ธัญธิตา หินสูงเนิน / ประยูรศรี ปานแดง / สมพิศ ศรี แสงฉาย / ลําเทียน สมพืช / วิรัช จงดี / รุ้งอาทิตย์ อครรคบุตร / อภิวรรณ ไกรสุนทรเลิศภพ / สุนนั ทา ไหวติง / จําเนียร แสวงสาย / ต่อ มาประสพ / สุพรทิพย์ อุบลเม้ า / กุลธิดา ศิริอเุ ทน / ศจินญา ทินปราณี / บุญยืน นวลปลัง� / ขวัญแก้ ว ปิ� นแหลม / กัลยาพร ผลสุข / วรรณา บุญสนอง / ธนภรณ์ สวยรูป / สุวรรณา กันสุข / นวพร เจริ ญลา / สมพิศ ชมชื�น / บุญมี เขียวปั ด / สรรยา ใยสามเสน / อารี ย์ อ่วมจ่า / คณารักษ์ เนาวสัยศรี / บังออน พันเหลา / ฤทัยรัตน์ กลมกล่อม / สุภาพร เลขะจิต / อุบลรัตน์ ฝ้ายไทย / จันทิมา ศรี เพ็ชร์ / เนตร์ ชนก คงสวัสดิ� / ธัญญา คงเกลี �ยง / สมหมาย เที�ยงบางหลวง / นพาพร นนทรี ย์ / วิไลวรรณ ระเบียบดี / จันทนา ศรี มณี / วราภรณ์ แซ่องึ� / นํ �าฝน มารศรี / นุสรา นุ้ยจํานัล / สุกญ ั ญา กลัน� สุข / นที ระเบียบดี / พเยาว์ ปุกคําดี / มลธิลา ทัดสะวอน / วรรณนิษา มะโน / มาลี จันทร์ พิทกั ษ์ / บุญเรื อน ชิวหะ / พัชนีวรรณ ไตรต่อผล / ชณิตรา แซ่ซิ �ม / กัญญาภัทร ยิ �มใหญ่ / อารี รัตน์ ศุภสมภพ / อิทธิพล จันทร์ ฤทธิ� / ประภัสสร กล้ วยนิจ / สายฝน คงกะพันธ์ / พรรัตน์ ชาติชํานิ / ชยชน อานามวัฒน์ / นันท์นภัส เปี ยไพบูลย์ / อนุสรา ผาใต้ / สาริ ศ ปั ทมดิษฐ / นิศานาถ พลชนะ / กัญญา สร้ อยมหาเวก / เทียมจันทร์ กองพล / ชลอ ศรี ษะเสือ / ศิริพร ทับวงษ์ / สวลี เกษสุภาพ / สุรีวรรณ นามวิจิตร / นิภาพร พิทกั ษ์ แดนไทย / สายสุนีย์ บุญยัง / อัจฉรา เอี�ยมสะอาด / วันเพ็ญ น้ อยเรื อง / รัชนก อุ่นอก / นํ �าผึ �ง ราศรี เกตุ / อุไรพร ประทุม / อภิญญา พลสมัคร / ลัดดาวัลย์ นาคใหญ่ / เบญจมาศ ทัพเมฆา / ณัฐธิดา บุตรลักษณ์ / สุพตั รา หมัน� คง / แสงเดือน กุลไพศาล / วราพร เอกชาตรี / เกษร ดาเอก / สมศักดิ� บัวเผื�อนหอม / ทัศนา เผื�อนบัวผัน / ชูชอ่ ผ่องพันธุ์ / พารดา โพธิ�สงู / สุวรรณา ศรี วงศ์พรหม / คําพอง อ้ นอมร / น้ อม สังวาลย์สวย / ขนบ ผันพงษ์ พฒ ั น์ / ศรชัย อ่วมจ่า / ชูศกั ดิ� เมืองสง่า / คํานึง คงสืบ / เอื �อง ชัยยานิตกิ ร / วันเพ็ญ พุทธนะศิริ / ฉอ้ อน เซ็งเพรี ยว / สํารวย เกตุเจริ ญ / การะเวก อ่วมจ่า / วิชาญ เงินประเสริ ฐ / อุษา นาคสุข / อรทัย มาหนูพนั ธ์ / สุภาวดี สังวาลย์สวย / จันทร์ ทิพย์ เกตุเจริ ญ / ท้ าย ปั ญญาสา / วาสนา ทับทิมเทศ / สุดารัตน์ ชูวงศ์วฒ ุ ิ / นุช เกตุมี / ธงไชย ห่วงรัก / สวง พลับพลาไชย / เตือน ดูออ่ น / สงัด นุ้ยจํานัล / สุรินทร์ ช่างหลอม / อํานวย ยอดแก้ ว / นพดล สุขจิตต์กลม / ธงชัย บัวกลํ�า / เสกสันต์ ตระกูลสุนทรชัย / จกฤตย์ เรื องมาก / ดวงดาว ยิ �มละมัย / วินยั พิกลุ / เชาว์ ศรี แช่มช้ อย / � รังสรรค์ ไหวติง / ลินจง บูรณานนท์ / สมบูรณ์ ด้ วงใย / พรพจน์ วารี สมบูรณ์ / โชคชัย สมสีไสย / จารุวฒ ั น์ สมภารเพียง / ประดิษฐ์ โพธิรอด / วราวุธ ดัสกร / อดุลย์ ศรี คํา / เฉลิม ชัยอนงค์ / พิชิต ศรี ประทุมมานุรัตน์ / ประเมิน จันทรโชติ / วราภรณ์ อยู่จําเนียร / สุพจน์ มาประสพ / กิติศกั ดิ� หวังจิตร์ / วิชยั ฤทธิ�มาก / อํานาจ ปรางศร / สมศักดิ� วรรณา / สําเริ ง กลํ�าแกล้ วกิจ / สาคร บัวขาว / รังสรรค์ ประทุมมา / บุญธรรม หาญโงน / รุ่ งโรจน์ วงษ์ ภา / พินิจ คูหธนเสถียร / วิรัช คงวิจิตร / ธวัชพงษ์ สหัสรังสีสกุล / วิเชียร สอาดจํา / อาวุธ พูดเพราะ / รุ่ง ขําทอง / ธีรโชติ พวงโสภา / เบ็นรี� สมสวย / อํานาจ ทองถนอม / พูลศักดิ� คงกะพันธ์ / สุพจณ์ แสวงผล / อนุพงษ์ เจ้ าสุวรรณ / วิชยั เคนไธสง / พิชาภพ ชมมาลา / พงศกร พลเยี�ยม / มนตรี ปิ� นมณี / นิวฒ ั น์ บูรณะกนิษฐ / เอกมงคล เอื �อการณ์ / ชุมพล หม้ อสุวรรณ / อาทิตย์ นพขํา / ชัน� เฉลิมสุข / บรรจง ตันประสิทธิ� / พงษ์ สวัสดิ� พรหมพินิจ / ธเนศ สิงห์สาด / สมชาย มากพิน / เมืองพล นนทวงษ์ / เมธี จ้ อยจุ้ย / อภิชาติ คงยอด / อนุชา เชื�อมฉิม / สุพจน์ เกิดโอภาส / ภูมินทร์ พัว� เหล็ก / อธิบดี พระคุณ / ณัฐพงศ์ จาบจันทึก / จักรนริ นทร์ สมณะ / อุไรวรรณ เกษร / ปณิตา ดิษฐระหาญ / วิเชียร เกตุแก้ ว / สํารวย ฤทธิ�มาก / ฉวีวรรณ์ ไหวติง / ปราณี จงภูเขียว / เอื �องพร นามสุโพธิ� / ประไพ ปรางศร / ธันยาวรรณ์ พันธ์วไิ ล / เนตรดาว บุญมี / นันทนา อํา� เจริญ / ธนิสรณ์ สุขหน้ าไม้ / บุษบา ไชยสงค์ / ณัชชา เพ็งแป้น / สายสุณี วงละคร / อนุชา กงถัน / มุจลินท์ นิม� นวล / วันวิสา ชวดนันท์ / อุษณี จัน� พานทอง / ประสิทธิ� ธรรมจิต / ณัฐภรณ์ พรมบุ / ธนสาร กาชัย / วุฒิชยั เปี� ยมแสง / ประเสริ ฐ เทศดี / ลัดดา เชิดฉาย / บุปผา ตามประดับ / ถาวร หวะสุวรรณ / นุชา กรัดศิริ / อนุทิน เอี�ยมท้ วม / ประเสริ ฐ ขันธสิทธิ� / พูนศักดิ� การุญ / ดวงนภา มีอสุ าห์ / แสงฟ้า เชิดสติ / ฉัตรชัย ปรี ชาธรรมยุทธ / อภัย สุขโข / รังสันต์ ฤกษ์ สว่าง / ดนตรี ช่วยคูณ / อ้ อ จานนอก / ปรี ชา โมงการ / ประสิทธิ� ทองใบน้ อย / ประภาส อรหันต์ / กิตคิ ณ ุ จงดี / พราวภิวลั ย์ นาคทอง / วิง นกกาศักดิ� / สุทธิพงศ์ เกลื�อนกระโทก / พวงทอง แปลงทุน / สันติ กุลเกษตร / วีระยุทธ วังแก้ ว / วิชาญ ทองอินทร์ / ศิริธน ไชยเสนา / กฤษฎา อินทราเวช / พรทิพย์ กันทะปั น / ธมลวรรณ แดนกาไสย / อนุวฒ ั น์ คูณทองคํา / รัฐพล เกตุเจริ ญ / วิศลั ยา พานทอง / วิเรื องรอง บุญทอง / อนุสรา หงษ์ ผ้วย / สุนทร ธานู / เอกภพ ชายขุนทด / นพดล เล่ายี / สุมาลี กรอบทอง / มาลี สมประสงค์ / ไพบูลย์ เคนขาว / สุภา ร่ วมใจทิพย์ / กัลยา อาจดี / ศิริรัตน์ แก้ วประไพ / สุธีรา ถนอมจิตร์ / อมร � � ชอบสาร / อพิเชษฐ อ่อนคล้ าย / มนตรี สายสมิง / เกรี ยงศักดิ รุ่ งเรื อง / ชูชีพ บางม่วง / นุ่มนวล หนองผือ / อดิสรณ์ กรัดศิริ / สังวร จันทะใส / ถวิล ฤทธิมาก / อานนท์ จันทร์ แก้ ว / ณรงค์ศกั ดิ� ช่วงมณีโชติ / ประทุม นุ้ยเพียร / เรื องชัย มณีธรรม / สุชาติ โตมา / นิพนธ์ บริ สทุ ธิ� / ณรงค์ชยั ทัตบูรณะ / น้ อย เนาวบุตร / พรชัย พุม่ ประยูร / สมพงษ์ คงสืบ / เสน่ห์ พุทธนะศิริ / นาญ ใจปทุม / ชัยบรรชา มีชยั / มนัส ปิ� นแก้ ว / ทองล้ น จันทร์ แก้ ว / สมชาย ชมดง / ชวัลรัตน์ ภูอ่ ําไพ / ชมมณี ลภะวงศ์ / สมพิศ คงสืบ / สุนทร เหมือนคํา / สมบุญ ศรี พะวงค์ / พิศมัย ปั ททุม / ประเสริ ฐ หมอดี / ประสิทธิ มณีธรรม / นิต เคนขาว / นิพนธ์ บรรจุ / สําเริ ง กรุดประเสริ ฐ / โสภณ กลิน� ทรัพย์ / ขันชัย บุญจันทร์ / ศศวัต ภูมิโคกรักษ์ / ฉันทะ ทวานนท์ / อังคาร ศรี วาท / โสภณ พึง� ทรัพย์ / ชาติชยั การุญวงศ์ / ประเทือง รสหอม / ธีรพันธ์ นาคอุไร / นารี รัตน์ แก้ วสี / ปภพ สมแก้ ว / อัครเดช เทียรจักร์ / สัมพันธ์ วรภาษี / พิเชษฐ โตมา / ศิริรัตน์ พรหมพินิจ / วีรพงศ์ หัดทวี / บัณฑิต รัตนสุขสกุล / ศรันต์ ดาวัลย์ / สรพงษ์ เซ็งเพรี ยว / นริ ส อินอัญชัน / เอกนริ นทร์ มากโฉม / ศิวกร วรรณวิจิตร / นนท์ ศิลปชัย / วิษณุ อาสากุล / วัฒนา สาขา / คมสัน สวนมี / ภูมินท์ ลักษมีมงคลชัย / เดชาวัจน์ อยูค่ งวสุสริ ี / ประจักร์ สีหมากสุข / จุรีวรรณ สิงห์ทอง / โสภน กรุ ดทอง / วรรณภา กัลยาณวัฒน์ / เบญจวรรณ ศรี พิสทุ ธิ� / พิศมัย ทับศัพย์ / กิ�งแก้ ว คงแสงศักดิ� / จันทร์ จิรา คชสิทธิ� / นิรันดร์ กลิ�นชะเอม / ชาญณรงค์ ชาญชัยศรี / สมนึก บุญเขต / ไชยวัฒน์ กัณฑภัย / วิรัตน์ หวังเชื �อ / ปิ ยะพงษ์ ปลัง� กลาง / ศุภรัตน์ แกล้ วสาริ กรณ์ / ภาวิศ รัตนรัตน์ / สมประสงค์ คงสมทอง / เจษฎา สว่างพงษ์ / นิคม แสนสุข / อธิบดี สําเภาทอง / จิรศักดิ� เพ็งรุ่ง / สมบูรณ์ เที�ยงบางหลวง / ขวัญชัย รัตนวิเศษศรี / นิตศิ าสตร์ ภูมโิ คกรักษ์ / จุมพล แก้ วทองดี / จิระพัฒน์ สุระพันธ์ / ศุภชาติ นาโควงค์ / อมรเทพ แสงธรรม / ไปรเวทย์ ณรงค์เปลีย� น / อรงกรณ์ พานทอง / ณัฐวุฒิ โพชาวนา / ดํารงค์ สุขพลัม / วุฒเิ ดช ปัททุม / ศุภชัย แนวโสภี / อนุวฒ ั น์ เศรษฐพงษ์ / ธนกร นิ�มโชคชัยเจริ ญ / กมล ผู้ทรงศิลป์ / วิทวัส จินต์ดี / กฤษณะ นามวงษ์ / นนท์ปวิธ สะราคํา / ณรงค์ฤทธิ� ทองเงิน / รัตนพล พงษ์ บวั / สุริยพงษ์ เถื�อนมา / นิคม อินตะมะ / ไอยเรศ เรื องรุ่ง / ประสพโชค ผาสุขศาสตร์ / สนธยา เกตุนาวี � � � / สถิต เขียมสุวรรณ์ / ทศพร บัวหลวง / ชวฤทธิ เสมอเหมือน / วันเฉลิม จันทร์ น้อย / เกรี ยงศักดิ พรมชาติ / ธนดล ศิริยศ / เพชรหนึง� ศักดาศักดิ / ชาตรี ภักดีรักษ์ / สุรัชชัย เขียวสี / ยุทธพล ทิพย์สงิ ห์ / สมมารถ สาระสันต์ / จิณณวัตน์ พัฒศรี / ชนะชัย ทาเอื �อ / ณัฐวุฒิ คําแพง / สุรศักดิ� พบพิพกั / รุจิภาส ทิมภู่ / ยงยุทธ์ จันทะปั น / อรดา จันทร์ สอน / เมธาวี แจ้ งจิตร์ / เอนก ศรี เกษม / บรรจบ ปั ญญาอุด / สมบัติ บุญจันทร์ / สุเทพ โชติตนั ติพงศ์ / มนตรี คําดี / นฤนาท เนื�องน้ อย / นันทวุฒ แตงโสภา / พรพงษ์ แสงงาม / พรพิมล แก้ วมุกดา / ณัฐพงศ์ ไพรวัน / กรกฎ สกุลดี / อํานาจ ประทุมมา / มงคล กลิน� ธูป / การัณย์ แสงเดือนฉาย / วิทยา การสังเวช / ธงชัย ทองเกษ / ถนอมทรัพย์ ส้ มเช้ า / กฤตยชญ์ เหล่าเขตรการ / สมคิด โยธี / ธาดา ใจดี / วีระวัช ลักขษร / โกเมนทร์ ลวดเงิน / ชาคริ ต แก่นแก้ ว / กิตติชยั ไชยเกิด / กมลศักดิ� สําราญใจ / เอกพันธุ์ ดีวงษ์ / อนุพงษ์ ศรี สขุ / ประทวน สุวรรณจันทร์ / เจริ ญชัย มีบญ ุ / กฤษดา กองวารี / สุรศักดิ� อุปทุม / อนุสอน วันนาวง / ตัก สุลมิ น / วัชระพงศ์ อุย่ ประเสริ ฐ / ศราวุฒิ วรรณทวี / ธนวัฒน์ บุญรอด / สวาโย ชาติ / ธนวัฒน์ สืบไทย / นิธินนั ท์ อินตา / อุไรรัตน์ วงษ์ มาลีวฒ ั นา / เอกรัฐ อรรถศิริ / ชาติ มีชเู ชาว์ / ฐิ ตาภา สันติวงษ์ / ชาลิสา เรื องเกษม / สุดเขตร ศรี สงคราม / กุลฑีรา ประทุมสูตร์ / เอกธวัช ชุมรัมย์ / สาโรจน์ บุญน้ อม / นิยม แถบทอง / สุริยา นวลโกฎ / พยุงศักดิ� ไชยวรรณ / ยุทธนา บุตดาวงษ์ / จรัญ บัวฝรั�ง / วินยั หล้ าลุน / ชัยธภณ บุญเล่า / บุญลือ สว่างวงศ์ / ประมวล ลอยลม / สมศักดิ� ภิรมรัก / สุภชัย ชาติชํานิ / สมเจตน์ ฤทธิ�ชาวนา / นริ นธรณ์ บุญน้ อม / ไพบูลย์ วันศรี / จิระเดช รู้รักตน / ศรัณยู ชัยภูมิ / ปฏิภาณ ภูข่ าว / สรวุฒิ ชีวินวิภาส / อธิปัตย์ นุม่ ฤทธิ�สถาน / ศักดิ�ดา กําเนิดศรี / สมพร ศรี สวัสดิ� / สุลกั ษณ์ ภักดีจอหอ / รังสิต เหลืองพีระชัย / นิพนธ์ เอกเจริ ญ / วิชษรุธ ม่วงเปลี�ยน / ภิญโญ ธัญญาโภชน์ / อานนท์ องอาจอิทธิชยั / สมศักดิ� กองพันธ์ / ธีรพงษ์ ภูกาบเพชร / พงศ์พฒ ั น์ ประไพศาล / ภาณุวฒ ั น์ นามบุญ / ธีรธัชช์ ดีวงษ์ / เอกชัย บุญเกิด / สมคิด กอไธสง / นพดล เหลี�ยมไทย / ยิ�งยศ ยอดโพธิ� / วิทยา กาชัย / ธนากร แฟมไธสง / อนุรักษ์ สว่างอรุ ณ / อภิลาภ ญาณวารี / เก่ง ยนจําเริ ญ / ทวี สุนา / สุธี ก่อแก้ ว / เฉลิมชัย กระต่ายเทศ / วิชา แก้ วนิล / ทศพร คชกฤษ / ศราวุธ เย็นใจ / ศิริพงค์ เพ็ชณี / จักรพันธ์ ละอินทร์ / ธนาทิพย์ ดานขุนทด / ตรี ยทุ ธ์ นามประเสริ ฐ / เดชา แสนไทย / สุวรรณ การี โรจน์ / จักรพงษ์ ตรี ศรี / วัลลภ สว่างอรุณ / สุนนั ท์ อยูส่ ําราญ / ไกรสิทธิ� ศรี รักษ์ / เอกชัย เทียนมาลี / ธงชัย สันติวงษ์ / วิรุช พาลีขํา / สัญชัย ธูปนาค / มนตรี กลีบจันทร์ / วิวฒ ั น์ ขันนาค / สมพร โนนจุ้ย / สุชาติ พุกสอาด / ณัฐพงษ์ นกจัน� / อิสรา กาศนอก / วีรพงษ์ สัตย์ส่วย / มาโนต งามคณะ / เกรี ยงไกร ดีรักษา / มีโชค คอยตะคุ / เจนศิรา รื� นยศ / อนุชิต วิสกิ สิวิทย์ / พิทกั ษ์ คําฤทธิ� / สมชาย ทรงธรรม / ปิ ยะพงษ์ ผูกพันธ์ / บุญเรื อง จันทะมี / สันติ สุขจรัส / จตุพร อ่อนทา / เสกสรรค์ แสงปานแก้ ว / ศราวุธ สุขอร่าม / กมลภพ ทองยัง� ยืน / ธเนตร ภูกาบเพชร / กิตติศกั ดิ� คุ้มคลอง / สมภพ เริ งสุชล / พงษ์ พนั ธ์ มามี / วีระยุทธ พันอ้ ม / ศรพิชญ์ เสนาฤทธิ� / สมศักดิ� รารามนัส / อํานาจ โพธิรัตน์ / วิทรู ย์ เกษสมบัติ / พงษ์ พฒ ั น์ กันหนาด / เอกริ นทร์ แสงสว่าง / วริ ศรา เพชรดี / เอกชัย บุญเอื �อ / มงคล ดิษดี / อดิศกั ดิ� ฉันสูงเนิน / ไพโรจน์ จํานงคุณ / ณัฐวุฒิ ไหมสมบูรณ์ / สําเริ ง เอกเจริ ญ / อุทิศ ไชยกุดสิม / ชานนท์ ขันธรู จี / ประกานต์ แสงศาสตรา / ยุทธณาชัย เนตกาฬ / ประเสริ ฐ กองแก / อัตตพงษ์ อภิวาท / บัณฑิต ศรี สําราญ / นวพล ชนไพโรจน์ / เดชา ชาวสวน / อรัญ มาตรไตร / สําราญ เพิ�มมี / สุวิทย์ เฉลยวาเรศ / พิทกั ษ์ ขวัญเมือง / อาทิตย์ บุญเนตร / สรวิชญ์ พันธ์โคกกรวด / จารุวฒ ั น อุน่ เรื อน / ธีรวัฒน์ รื� นภาคบุตร / นคร ศรี สงวน / สรายุ ตอพล / ภานุวฒ ั น์ เย็นใจ / นัฐกร คํ �าชู / วรวิทย์ กันแคล้ ว / วุฒิพงษ์ กลํ�าถึก / อดิศร อ่อนนวน / ศุภกิตติ� สอนคํา / ณพัชร์ ปฏิโภคสุทธิ� / สรายุธ ปั น� เชาว์ / กิตติพงษ์ เหล่าสีคู / รักพงษ์ คําชนะ / วีรยุทธ สันติวงษ์ / ธวัชชัย เกตุพกุ / อนุสรณ์ เที�ยงตรง / ธิดารัตน์ มัน� ฤทัย � / จตุรงค์ โฉมตระการ / สดายุ ดีพิจารณ์ / อานนท์ วงษ์ แสงทอง / อัศวิน เลือกกลิน� / วุธณากร คงยิ�ง / อนิรุตน์ คงศิริ / ณัฐวุฒิ โพพุฒ / นเรศ เข็มวรรณ์ / ณัฐกรณ์ อ่างทอง / ธีระยุทธ รื� นเมธี / อานนท์ โพธิศรี / มาโนช สุนทรสุข / สุพศิน ทับทอง / อัศนี พากเพียร / สุรเชษฐ มงคลสระ / นรินทร์ บุญส่ง / สหรัฐ เฉพาะตรง / พิษณุ สกุลอินทร์ / ประกาย แก้ วเพชร / ธารา พานทอง / ธวัชชัย จันทร์ เรือง / ทวีป เกตุพนั ธ์ / ทศพล ทวนทอง / นพดล รื�นยศ / ธนานุกลุ พุม่ เผย / ธนวัฒน์ ดามาพงษ์ / เจนณรงค์ อยู่เรื องเดช / สิทธิโชค ชูชม / กิตตินนั ท์ ศรัทธา / สื�อพงษ์ มาตรา / ปั ตย์ทวี สอนประดิษฐ์ / ทรงพล เจริ ญสุข / นพนัย สุขเสมอ / ภาณุพงศ์ มหาวรรณ์ / ชลธร รุจีกลุ รัตน์ / อุทยั งามพร้ อม / เอกราช สวัสดี / ภูวนันท์ ดีคําพันธุ์ / ฐิ ตวิ ฒ ั น์ อินทปั ญญา / อุไรวรรณ หะหาญ / เฉลิมพล มงคลเคหา / วิราภรณ์ ชนังกลาง / เสริ มศักดิ� กระจ่างโรจน์ / ธัญญาภรณ์ จันทร์ แก้ ว / เบญจรงค์ กลิน� แก้ ว / นภัทร เทียนสว่าง / พรทิพย์ ประตูนิล / ดิศริ นทร์ แสงจันทร์ / สันติสขุ ชลคีรี / อัจฉริ ยะ หินเมืองเก่า / ชาลี สุดมี / ทศพร สะท้ านอาจ / สิทธิโชค มีสวนนิล / สุมิตร ศรี นนชัย / ปราโมช ดงศิริ / ศุภณัฐ พรหมอินทร์ / วัลลภ บุญน้ อม / อทิวฒ ั น์ จุ้ยม่วงศรี / สําราญศักดิ� พิมพ์ทอง / ธนณัฐ สุกใส / กิจเกษม หู้คี � / เอกชัย กล่อมเชื �อ / วิวฒ ั น์ กิ�งเกษม / ภมริ นทร์ ดอกเข็ม / ทัศกร บุตรดี / ยุทธิศกั ดิ� คํามี / สยาม ด้ วงศาลเจ้ า / อภิชาติ บุญเล็ก / ภาณุวฒ ั น์ นิ�มนวล / สุระ พลัดเสนาะ / พิชยั ชาญชัยศรี / ธนเดช สิงห์ค้ มุ / วรวุฒิ ปั น� ทอง / ประหยัด ศาลารัตน์ / วัลลพ แพ่งสวัสดิ� / ภาณุเดช บุญโกสุม / นิรันดร์ ศรีเมือง / วิมพ์วภิ า ดํารงเชื �อ / จักรกฤษณ์ ดวงแข / เอกชัย จันทรโชติ / นิทศั น์ อินทร์ เขียว / ทรงพล ปลอดฤทธิ� / ศิวนาถ คุณาทัย / ณัฐพล คงสมกาย / ศรศักดิ� ศรีเดช / อนุวฒ ั น์ สวัสดี / นพพร ทองเปี� ยม


๕๐ | ๙ คําพอสอน / พิพฒ ั น์พล บุญคง / โกเมน น้ อยคํามูล / โสภณ สุดแท้ / รัตนโชติ อยูค่ ง / สัมพันธ์ หงษ์ ทอง / วีระยุทธ สอดส่องกิจ / สุวรรณ พระนอนข้ าม / สุรเชษฏร์ บัวพิมพ์ / จตุพล แก้ วยา / ชาวลี จิตตะวง / ณัฐพงษ์ ภาคอินทรี ย์ / ภานุพงศ์ มีชเู ชาว์ / อภิสทิ ธิ� พุม่ จําปา / อุดมเดช พันธ์ชาตรี / นิวฒ ั น์ บุสบงค์ / ชิษณุพงศ์ คัตสงค์ / ศรราม คําอยู่ / จักรินทร์ ไวยสุรา / กฤษณะ กิจไพบูลย์สมบัติ / วราวุธ เกตุศรี ะ / พิเชฐ ทองสาร์ / เอกชาติ สุขเทวี / สาธิต พันแจ่ม / นิคม บัวทอง / รวิษฎา พงษ์ นชุ / สุชาลี บุญพิทกั ษ์ / ลองฤทธิ� เฮงตระกูล / นิยม ผ่องแผ้ ว / ชวลิต เขียวตอง / ณรงค์ ขําแจ้ ง / สายชล บัวกลํา� / นันทพันธ์ สิงหเดชธีรโชต / นิพนธ์ ซามาตร / นพพร โพธิ�ชยั / สิริโชค คูหาเรืองรอง / สุรสิทธิ� ช่างหล่อ / นิกร แสงโพธิ� / ณรงค์เกียรติ � เพ็งรุ่ง / ธีรพัฒน์ อบพล / มนัสนันท์ สุทธิบ้านเสื�อ / พุฒิรักษ์ กรมเหลี�ยมสาระ / อธิษฐ์ พฒ ั น์ บวรนิธิชยั กุล / พงศกร ฤทธิเดช / นิภทั ร์ รื� นเมธี / สันติภาพ ขําทอง / กิตติศกั ดิ� สุระเสนา / สุขสัน ประไพพงษ์ / เรื องศักดิ� แหล่งสนาม / ณรัธน์นนั ท์ เอี�ยมสอาด / สมชาย เอี�ยมสอาด / ดิฐษพงษ์ มะหะหมัด / เชาวน์วตั ิ สภาพพร / สิทธิโชค สุวรรณแขก / สาทิตย์ เฉลิมนัย / วัฒนา สิงห์ขนุ ทด / นิกร สิงห์สงั ข์ / สิทธิศกั ดิ� แจ่มจันทร์ / พรชัย กระจังทอง / อนุสรณ์ พงษ์ เสือ / ดนัย หอมสุดชา / วีรวรรณ ดวงแข / พัฒนา ฆ้ องทอง / รุ่งทิวา จันทฤก / ธีรวัฒน์ หาเพ็ชร์ / สุรชัย บัวกลํ�า / กฤษณะ อูศ่ ริ ิ / ราเชนทร์ โสมภีร์ / วิโรจน์ วงษ์ วิไล / ดุลยพัฒน์ สบายทรัพย์ / จักรกฤษ เอี�ยมท้ วม / ศรี ชยั ปล้ องกลาง / จักรพงษ์ โลสันตา / รนณกร มณฑาทอง / สมชาย คนทัตย์ / กรัญญ์กรณ์ แป้งสน / นิรุต ปานคํา / ธีรพล ทองสุข / เชาวลิต สังข์ทอง / อภิเชษฐ ภูมิพฒ ั น์ / ประกิจ ปิ� นกุมภีย์ / สมาน ดีวาจา / อนุกลู พระศรี / สมบูรณ์ อารี ล้อม / วุฒิญา คงสุโข / ธีรเดช เรณุมาร / อมรเทพ มูลอัด / นริ นทร์ บุตรพรม / กวิน เสียงสนัน� / พิมขุ พึ�งสี / จักรพงศ์ ธาราวุฒิ / อรุ ฒิชยั แก้ วศรี ลอง / ศุภชัย แก้ วมณี / อานนท์ เผือกเกษม / อนิรุช ปั ตตะเขสูง / วงศรณ ส่งแสง / ภานุวฒ ั น์ ปานแดง / อนันต์ เตชะมโนรมย์ / เลอศักดิ� ด่านตระกูล / ปั ญญา บุตรพิมพ์ / สมรัตน์ บุรานนท์ / คณิต แจ่มแจ้ ง / อนุชา เต่าจีน / สุทธิพงษ์ งามสอน / ประจวบ เขียวเล็ก / สิทธิพร โพนแก้ ว / อํานาจ อยูไ่ ชย / ชาญชัย บุญสนอง / สุพจน์ เที�ยงแท้ / ณัฐพล ทองแคล้ ว / ชัยรัตน์ คงสมเพียร / มนตรี สีมว่ งพันธุ์ / อรรถพล หนูจ้อย / วทัญ�ู ธัญญพันธ์ / ศรายุทธ ทิมเปี ย / นิวตั ิ ทรงพระทัย / พัทยา เชื�อมาก / ประจักษ์ ไชยกา / อนุสรณ์ แนะนํา / กิตติ หนูแสง / สายันต์ ขุนสันเทียะ / ศศิธร แสนเนตร / เชิงชาย กาแก้ ว / สุบนิ แจ้ งจิตร์ / ชาญณรงค์ อรรถจรูญ / กิตติศกั ดิ� รอดแจ่ม / สายชล แก้ วดี / สมบูรณ์ ท้ วมสมบูรณ์ / บุญรัตน์ ภาคสุข / วิโรจน์ ทวีทรัพย์สมบัติ / เอกริ นทร์ ท้ วมใหญ่ / อ๊ อด ปั กการะนัง / สงกรานต์ ตาศิริ / พิษณุ เอี�ยมสําอางค์ / อาทิตย์ สมขุม / อดุลย์ จันทร์ อิน / วุฒิชยั ปิ� นตา / วิษณุ สุขเกิด / สุวรรณ์ ถินคําเชิด / มรกต โพธิ�เจริ ญศรี / พนัส งามสมพล / สุขสันต์ สมบูรณ์ / เปรม กลิน� ลอง / ธนะชัย วัฒนาธร / ชูเกียรติ แซ่ลิ �ม / วัฒนศักดิ� คีรี / ภูวเนศน์ ศรี สงั วรณ์ / มกรธวัช คันธะมาลา / โสพิศ มูลอา / ณรงค์ศกั ดิ� บุญมา / กิตตินนั ท์ ตรี จิตร์ / พงศกร แสงสว่าง / ภูธร ปั น� ทอง / กิตติพงษ์ เชื �อหมอ / ชาคริ ต สุ่มนิล / วิทวัส สุ่มนิล / สัญญา น้ อยพุก / ประเทือง ดวงกาญจนา / นิกร เทียบปั ด / ชัยรัตน์ กาสา / อาณัติ โตปาน / นิกร คําประสาร / ยุทธนา เกิดมี / เอกริ นทร์ หอยสังข์ / ปวีร์ธร กุลวราเกษมศิลป์ / ภุชงค์ สุขสมบุญ / กมลชนก บุษปฤกษ์ / อิศรา ยีมะเฟื อง / นพดล ปราโมทย์เมือง / วิษณุ เสนทอง / ชนินทร์ คล้ ายอ่อน / ธนกฤต ครุสกุล / วรเทพ นันทะสี / ปริ ญญา ดวงไทย / ศักดิ�ชยั วิลามาศ / สถาพร เปี� ยมบุญ / ภาสกร พรไพบูลย์ / กิตติพงษ์ แสงสว่าง / เสกสรร สังข์ทบั / สมเพ็ด แก้ ววงสา / สปั น พรสุขภาพ / ฤทธิชยั แป้นน้ อย / ธวัชชัย มาคํา / เดชชัย สุดถวิล / ชัชวาลย์ มีชกู ฤษณ์ / ณิชกานต์ ศรี สวุ รรณ / กิตติยา สามารถ / มยุรี ใยสําลี / ทัศวัสส์ บุญธนาธิปพงศา / นฤเบศร์ วงษ์ เนียม / อัศวิน วงษ์ เนียม / สมเจตน์ แอร่ มหล้ า / ณรงค์ เทียนเลียว / วิเชียร พึง� ศรี / ปราโมทย์ ตุลาทอง / พิพฒ ั น์ คําภูแสน / นิวฒ ั น์ ศรี หงส์ / สุรพล ควรสมบัติ / อภิชาติ ตุ้ยหนิ �ว / เสกสรรค์ โพธิ�พนั ธุ์ / พายัพ เหมือนจิตร์ / อรรถพล แก้ วเขียว / ไพรทูรย์ วงอามาตย์ / เอกชัย ครุฑแสง / พรยุภา จิตเจริญ / ฝนทิพย์ รองจะโป๊ ะ / ธานี ราชบุญศึก / ธีรเดช โสดามุข / จํารัส อุโคตร / ชโยดม ประเสริฐผล � � / อําพร ชื�นบุญ / อัศวิน อุตอามาตย์ / รุ่งนิรันดร์ กาญจนประเสริ ฐ / นพพร กลิน� ด้ วง / ไผ่ศรี ทอง กมลฤกษ์ / พงศ์พาณิชย์ นิ�มนวล / รุ่งเรื อง ถนอมวงษ์ / ศักดิชวาลย์ ชัยยงค์ / อภิสทิ ธิ แสงทิพย์ / นพดล ประทุมอ่อน / ชาติชาย เข็มเพ็ชร์ / ดุษฎี ถนอมจิตร์ / พนม บุญมา / บุญรอด จินดาวงค์ / หมวดพล สําเนียงใหม่ / สุริยนั ต์ ลุนระบุตร / ศราวุฒิ อูช่ มภูทอง / รุ่งนิรันดร์ โกมุท / ทรงวุฒิ นางงาม / มงคล สุดลาภา / สงกรานต์ สุดรัมย์ / นิรันดร์ ตะวันเที�ยง / ทวิทย์ นุวรรณ์โน / นพนนท์ ศรี สขุ / ยุทธนันท์ บัวชุม / จเร บุญมาทัน / อารักษ์ ศรี นะภา / มาโนช คําอินทร์ / ภิญโญ สาสะเดาะห์ / อภิชยั สุขโต / รักใจ วัดเข้ าหลาม / นัฐพงษ์ ปลัง� กลาง / รุ่ง ธงชัย / โอภาส ภาระภักดี / วันชัย ชํานาญไพร / สะอาด ชามเกษม / ณรงค์ศกั ดิ� พราหมณ์โสภา / กฤษณะ ปั น� ห่วง / ปรี ดี สุขสมนาวุฒิ / มนัสพล คงปราโมทย์ / ชนาธิป วิเชียนเทียบ / อนิรุทธ์ นํ �าเหนือ / ทวีชยั เนตรแสง / มานะ จารุรัชตเมธา / สมบูรณ์ โถดาสา / ศราวุฒิ รุนจํารัส / โสภณ อินทรชู / สุวฒ ั น์ ศรีประสงค์ / จักรพันธ์ ศรีอบุ ล / พหล สาระจันทร์ / สราวุธ พูรักษา / วุฒไิ กร ศรีนวล / สุรเดช ทองดี / จตุรงค์ โสดามุข / พลังจิต จินเริง / ลิขติ สมบุญ / ประภาส สาตร์ สงู เนิน / วันชนะ นิตทุ ร / อรรถพล ศรีนาทม / เมธี เทียมเลิศ / ทวีรัตน์ รัตนชล � / ณรงค์ จุฬาพันศรี / อภิศกั ดิ คามพินิจ / อภิชาติ ณ จันทึก / อานนท์ นิลกลํา� / อัษฎายุธ เลิศจริ ยา / จุมพล สายทอง / ธีรพงษ์ พระจันทร์ / สุเรต เกือกรัมย์ / สมชาย ยงปั ญญา / ณรงค์ ทองสุข / อนุรักษ์ ลักษณะ / ทศพร สมจิตร์ / นิวตั กิจแพ / รชานนท์ แป้นพรม / วันเฉลิม แสนสุข / มานนท์ มัง� มี / ศศิธร พ่วงแจงงาม / นพมาศ รองจะโป๊ ะ / สมภพ ปานทอง / อมิตา บุญมาก / วิมลมาศ กมุทชาติ / สุดารัตน์ เจริ ญผาสุข / นิสารัตน์ เพ็งมณี / สุวิทย์ มัน� คง / ศิริพร สุทธิพฒ ั นางกูร / อภิชาติ อภัยฤกษ์ / ส้ มลิ �ม เมรี ศรี / แดงต้ อย นวลโกฎ / ธัญลักษณ์ สุวรรณชนะ / พงศ์พล แก่นจําปา / อรนุช บุตรดี / ปราณี รักสงบ / วันวิสา คงประโยชน์ / รัชตณา จําปาทอง / ปิ ยวรรณ จีนเสวก / กชพรรณ รักสงบ / สายฝน เชิดชู / อภิณห์ธนชา ชาติ / ธัญชนก ศรี สงคราม / สิริขวัญ แย้ มสมพงษ์ / วัลนิภา คงสุโข / ภานริ นทร์ กวระสูตร์ / ฐปนัท แย้ มเพชร / วิลาวัลย์ เชื�อมฉิม / กลิน� กัญญา ขําวงษ์ / มุทิตา หาญเชิงชัย / ภาคินี พงษ์ ภมร / วีระยา ลําดวนหอม / กัลยรัตน์ อินเหมือน / นะหทัย คงไพศาล / วันเพ็ญ พุม่ พินิจ / อลิษา ลาภสาร / ยุพิน เกตุแก้ ว / นิตยา รอฮีม / ปวีณา ศรี ชาย / สุชาดา ปานขลิบ / ณัฏฐนันท์ พุม่ พึง� ศรี / ธนาภา ชิดทองสกุณี / กัญญารัตน์ ท้ วมสน / สมปอง ทรัพย์สรุ ิ จ / ปรี ยา ไฝเพชร / ปณัฐภรณ์ กึง� กลาง / นุชฎา ศรี คต / ปิ ยะฉัตร กรอบทอง / อรุณรัตน์ ชนแก้ วพลอย / สุจิตรา ถึงทรัพย์ / จันทรา ท้ าวคาม / สุนารี พวงกุหลาบ / ปิ ยะวรรณ กาแก้ ว / ขวัญชนก แก่นจันทร์ / เกตณริ นทร์ หนูสขุ / กรกมล บัวขาว / จุฑารัตน์ กระจ่างรัตน์ / วิภาวรรณ จอมทอง / วันทนา ภูช่ ื�น / ณัฐภรณ์ กลิน� ขวัญ / นุสรา พึง� แย้ ม / นิลเนตร อินทรสูงเนิน / มาริ สา กุหลาบประเสริ ฐ / กนกวรรณ ศรประจักร์ ชยั / ปุณิกา เหรี ยญแพคงคา / ปพิชญา พุกสุข / จิราพร ยินดีทีป / ธันย์ชนก ชูรัศมี / สรัลรัตน์ แก้ วแสง / ชุติมา สุขพันธุ์ / แสงระวี นํ �าไส / ดารุณี เรื องปราชญ์ / นํ �าฝน เจริ ญ / ฐิ ติกาญจน์ ศรี สวัสดิ� / เดือนเพ็ญ มูลละ / สายธาร จันทร / กมลวรรณ แก้ วอู๋ / หทัยรัตน์ พันทะวงษ์ / ศิริพร กลิ�นจันทร์ / สมหญิง ยุพาพิน / สุกานดา โพพุฒ / ดวงพร บัวอาจ / รพัธรดา ศรี มาวงศ์ / ทิพย์วภิ า ศรี สาํ ราญ / ณัฏฐณิชา ปากเกล็ด / โสมฤทัย บุตรสา / พรนภา เนียมบุญเจือ / จันทร์ จิรา พุฒดํา / กาญจนา เฉลิมสุข / กิตติโชค เอี �ยประสิทธิ� / จินตนา สว่างพงษ์ / ชณรรทน์ สระบัว / กวิตา กลมกล่อม / สุนทรี บุญคําภาว์ / ธนวรกฤต จรรยาวิภา / ประวิตร จิราธร / จุลทิตย์ เที�ยงผดุง / ถาวร คําภูแสน / อรัญญา ควรสมบัติ / มยุรี ผักบัวคํา / ประภาศรี บัวยัง / รัตดา โตพังเทียม / สายสมอน ขุนพิลกึ / อัถวลากร ลินลา / รวิสรา ภูมิเรศสุนทร / ภริ ตา สวัสดิเวทิน / จิตรา ณ สงขลา / วีระ สุขปานแก้ ว / วิระพรรณ อนุมาตย์ / ศรี วรรณ ศรี ดาว / ศรี สดุ า แอร่มหล้ า / บุญมี มัน� คง / ธมกร เพ็งจันทร์ / อิชยาพร บริ สทุ ธิ� / ศรี วิลยั เนียมแย้ ม / ชลธิชา ประสงค์ / ราตรี ตรี สวุ รรณ / พรนริ นทร์ เถาว์พนั ธ์ / สุภาพร แสงมาศ / สุดาทิพย์ เจริ ญดี / พัชริ นทร์ พันธ์ยาง / วิไลวรรณ ไชยสาร / ทัศนีย์ ชมชื�น / อรอนงค์ อ่อนรัศมี / ดวงฤดี สมร่าง / สุวิมล มาปะเต / ธันยนันท์ เจือจันทร์ / ภัทรวดี อนุเวช / สมพร ไชยสี / ศิริกญ ั ญา ชมเงิน / จิตสุภา บุญชาวนา / วาสนา ศิริสม / ทิณภร แก้ วสาธร / นฤมล พึ�งโพธิ� / สุดาวดี ชุมชื�น / นวลฤดี เรื องเดช / รุ่ งนภา มณีเทศ / วรรณกร เพ็งอาทิตย์ / กาญจนา กาญจนประเสริ ฐ / ขวัญเรื อน โอกาศ / ปิ ตพุ ร จันทอินทร์ / ศุภลักษณ์ ปิ� นระฤก / ศศิธร อ่อนอาด / สาวิตรี เพ็ชร์ ศริ ิ / ธัญสินี พงศ์หวั เกาะ / ชาตรี พนาริ นทร์ / อิทธิพล มีสวุ รรณ์ / ภัทรวดี รื� นเมธี / จินต์จฑุ า อุคําพันธ์ / จุฑามาศ ระบอบ / อารี ตามเพิ�ม / พิศมัย พูลเพิ�ม / ธิดารัตน์ อ่อนย่อง / วนัทปรี ยา วิเชียนเทียบ / สมคิด เฉลิมสุข / จรัสศรี ศรี แช่มช้ อย / พัชรี ทาสีทอง / วีณา สิงห์ทิศ / พูลสมบัติ พานเยือง / รุ้ งทราย ชื�นจินดา / พัชริ นทร์ วรรณพรชัยกุล / ณัฐนันท์ บุญคําภาว์ / หทัยพร เกาะสมบัติ / เกศศิริ ประเสริ ฐผล / สุกญ ั ญา ภาคบัว / ภิรมย์ญา โต๊ ะศิลา / ศิริพร กาญจนประเสริ ฐ / สุกญ ั ญา มโนสา / ปุณยรัญชน์ รักษาธรรม / วาสนา คงประโยชน์ / วชิราภรณ์ ทองสร้ อย / ลลิตา ห้ วยทราย / อมรรัตน์ คุลีพนั ธ์ / รวงทอง มีมณี / มุฑิตา จําปานาค / นราพร พรมสาร / ไพลิน ก้ อนทอง / ทิพย์พาภรณ์ ธนานนท์นิวาส / อมรรัตน์ สันติวงษ์ / ดวงพร หยาดนํ �าค้ าง / อรุณรัตณ์ พูลโภค / สุรีรัตน์ อินทรศักดิ� / นิตย์ตยิ า โสรัตน์ / ธนัชพร กุลชา / กาญจนา สารี / เยาวลักษณ์ ไพรพนม / ปาณิศรา รักเพชร / รัชณู ผลหมู่ / สิริกร ศรศิลป์ / ลัดดา น้ อยยะ / ฝาตี �ม๊ ะ แก้ วสา / พรทิพย์ เวชการี / พันธ์ นิกา กองอินตา / อรัญญา ริ นโพคา / วันทณี อํ�าอําไพ / กนกพร คล้ ายพงษ์ / สินีนาถ ดีศิริ / กมลรัตน์ ธนันชัย / อารี รัตน์ เสียมขุนทด / พินทอง คงประโยชน์ / ฐิ ตาภา คิลี / มยุรี ภักดีกลุ / สุวลั ญา งามสมบุญ / มยุรี ขึ �นเสียง / ปภาภรณ์ โตโส / ลัดดา ผลสวัสดิ� / วรรณพร อินทปั ญญา / แสงเดือน เนื�องดิถี / ปราณิสา หามนตรี / ชไมพร พุทธรักษา / สุรีพร คงเจริ ญพร / เสาวภา คชาผล / วีนา มงคลยุท / สุทตั ตา สัจจธรรม / หนึ�งฤทัย สุขอร่ าม / เสาวลักษณ์ นุ่มอนงค์ / ประภาพร มูลสิงห์ / ดาวใจ สิงคํามา / จันทิมา ซื�อค้ า / สาฬิกา สุดจีวรณ์ / ไพบูลย์ บุญศรี / ชโลทัย พรมสืบ / นพรัตน์ ทองประเสริ ฐ / จินดาพร นาคขํา / สุกญ ั ญา วงค์นอก / วิไลพร วิลนุ ดก / นํ �าฝน ธัญญานนท์ / ภัทรพร ธาระสังข์ / วันวิสา กรี ฤกษ์ ศรี / สุชญ ั ญา จารุสาร / นิตยา อรุณเจริ ญ / เพียงใจ หาวิธี / นิชา คงเจริ ญถิ�น / พรรณิภา แก้ วพิกลุ / กัลยาณี อินปั ญญา / สุรัตนา มัง� มี / สาวิตรี ศรี เสริ ม / มลัยพร บรรยงค์ / สาธรา ไวยวุฒิ / รัดดา รัตนะพิมพ์ / อรอนงค์ รื� นกิจ / จิราพัชร ป้องหม้ าย / สุนนั ทา สิงทอง / ชลธิชา มีดี / กรุณา พูลทรัพย์ / กาญจนา แสงทอง / เนตรนภา อํานาจเจริ ญ / สุรีฉาย ดียางหวาย / ปภัสรา ชมภูแดง / สุภาวรรณ สิงห์ทอง / ภคพรรณ ศีลาพัฒน์ / ชลาลัย สายบัว / ขวัญชนก ราตรี / กนกวรรณ มีพร / ภัสราภรณ์ ศรี สงิ ห์ / นาดา นุตมะหมัด / สุวิมล กรมนา / นารี นาฎ เบ้ าทอง / นาฎนารี เบ้ าทอง / จิตสุภา เอกปั จชา / สุกญ ั ญา จันดากุล / ปณิดา จรัสสัน / ณัฐการณ์ รุนจํารัส / รัตน์ตกิ าล รอตแก้ ว / สุพตั รา การฤกษ์ / อัณทิษา จันทร์ คํา / นนทวรรณ์ ขันธสิทธิ� / นงลักษณ์ จันทศร / รุ่งนภา ฉัตรเงิน / พเยาว์ ใจกว้ าง / อัจฉรา ลานเจริ ญ / ธัญสุดา บุญเกิด / พจงพร การสังเวชน์ / � สุวิมล แซ่เจียม / รภัสสรณ์ สอนวงศ์ / นิลาวัลย์ ทาทอง / มลฤดี เหรี ยญทอง / โสภา ศรี พิทกั ษ์ / สุชานันท์ แซ่เล้ า / กรรณิการ์ อินสว่าง / ทรงสิทธิ สมบัติ / พัชรี พร ถวิล / นํ �าฝน สินทรัพย์ / สุวรรณา ใจถวิล / อติกานต์ กุมารเพชร / อนุสรณ์ อุบลแย้ ม / นภัสรดา พจนเรขา / สุพงศ์กาญจน์ ขวัญวงศ์ / อนงค์ พวงขจร / สุกญ ั ญา สําราญมาก / ณัฐทิกา ทังเมฆ � / อรยา ครึม� ค้ างพลู / สุภวรรณ กิจจันทึก / รัตนาพร ศรี นาทม / นาตยา ปานเพชร / จักรพันธุ์ ยอดใสย์ / วิจิตรา โกไสยสิทธิ� / จิราภรณ์ ชีวะเวช / ชูศกั ดิ� ผิวสุพรรณ / สาวิตรี ขําดวง / ลัดดาวรรณ บุญจอง / ลลิตา สุขทัว� / สุปรียา ฝ่ ายพนอม / จิดาภา สุนทรพฤกษ์ / รุ่งอรุณ เนตรไทย / พรรณทิภา สีดาหลง / พรศักดิ� ศรีเดช / ลําพร คํามี / นีรชา ชาลุน / นิพอน อังสิงทอง / สุกญ ั ญา ทองอร่าม / สุริยา นะมิดรัมย์ / พิสมัย บุตรนํ �าเพชร / สุพตั รา ยุตธิ รรม / นัฐพร บัวจีบ / อรพรรณ เขียวชอุม่ / เอกชัย จันดี / นันทนา กวดขุนทด / วาสนา คงเจริ ญพร / บรรจง เกตุหอม / บุญรัตน์ เชียงสา / จิรภัทร สังข์จีน / หฤทัย ยอดสุทธิ / กรรณิกา พูลสวัสดิ� / สายฝน เสือสง่า / กมลพร ประภัสสรณ์ / ดวงสมร หนูชว่ ย / จิตราพร สอนวะดี / นํ �าฝน หอมตา / อุไรวัลย์ ทิพย์ทอง / ธนพร คงสุวรรณ / พัชนี ขันทะชา / นฤมล ศรี อนันต์ / ณัฎฐนิชา ชื�นพอใจ / จริ ยา อาจหาญ / ธนภัทร โสมเสาร์ / อุษา จงกลนี / สุชาดา กัญญาสาย / วายุกต์ ห้ าวสาย / อรพรรณ ท้ าวสูงเนิน / แพรวไพลิน แสงเพชร / มาลัยวรรณ อาจปรุ / อนุกลู บุญเก๊ ะ / ณัจฉรี ยา เปลี�ยนสุภาพ / เกศวดี บุญศิริ / ชยกร ดินดํารงกุล / วันทนีย์ ดีโก๋ / มงคล ไตรลึก / พิเชษฐ์ ตรี โชติ / นิเวศน์ ยาตรา / สมภพ นราจันทร์ / วงจันทร์ สารมโน / อําพล สร้ อยทอง / เฉลิมพงศ์ ศิริชาติ / สุดารัตน์ ปั ตเนตร / จุฑามาศ นาโสม / ธนงค์ศกั ดิ� สิงห์น้อย / ธัญญรัตน์ สบายวัน / พิษณุ ชุ่มชวย / สุณิสา พุกวงษ์ / วิทยา ชังชัว� / สังวรณ์ เมรี ศรี / ประยูร สาระคนธ์ / มานิจ ปวนแก้ ว / ศุภมงคล คงสุวรรณ / ชาติชาย คํามูลศรี / สุริยา โสดา / ธํารงค์ศกั ดิ� ศีลโสภณ / วินยั จินา / อุลยั บุดดีคํา / ธีรพงษ์ วงษ์ ขํา / วันชัย แซ่ลิ �ม / คุณวุฒิ ลาภี / นเรศ มหานิยม / ธวัช ไชยภักดิ� / ชินกร บุญจรัญ / ประสิทธิ� สายทองเย็น / ณรงค์ ตรีรส / นวพล ชื�นแช่ม / ภิญโญ แสนวงค์ / คมสันติ� โยธา / อนุศกั ดิ� เสียงใส / ชัชชัย ดารา / ชิษณุพงศ์ ฉัตรเงิน / ขวัญเมือง อุน่ นา / ยุทธนา สุภาผล / วินยั รอดงามเลิศ / โสพล วงประเสริ ฐ / ขจร กล่อมประเสริ ฐ / อภิสทิ ธิ� เกษศิริ / อนุวฒ ั น์ ประสงค์พนั ธ์ / เอก โสดา / ศิริวฒ ั น์ สืบแสนศรี / นิรุทธิ� บํารุงกิจ / จตุรงค์ ศรี วิลยั / รุ่งสิน ศรี ทอง / อรุโณทัย ทัพพเศรณี / กิตติศกั ดิ� ไมตระรัตน์ / อรรณพพล แจเกาะ / ณรงค์ฤทธิ� เทียนเล็ก / เดชอนันต์ สุคนธี / ธีรภัทร บุญปากดี / ปิ ยะพัฒน์ จุ้ยม่วงศรี / นพคุณ ฤทธิ�เดช / สรณัฐ โพธิ�จนั ทร์ / ประมุข ภักดีงาม / ชาญวิทย์ สุวรรณรัตน์ / อัญชนา ใยเทศ / ฐิ ติวชั ร์ ใจดี / ลาวัลย์ ช้ างงาดี / กฤษดา สมคิด / สุกญ ั ญา สนาท / ชลาไล ทองวันดี / สาวิตรี คํ �าชู / ชลอ กันเกตุ / วิฑรู ย์ หน่อแก้ ว / บุญญาฤทธิ� คันธะทรัพย์ / ไพศาล เพียรชอบ / วงค์ลกั ษณ์ ปราณีคณ ุ ากร / มาลินี กันเกตุ / สถาพร คงทน / วาสนา พงศาวิภาวัฒน์ / กนกวรรณ หอมหวาน / พิพฒ ั น์ วงศ์ทางประเสริ ฐ / ยุรนันท์ วินทะไชย์ / ศรศรี เสาะแสวง / ราตรี มงคลเอี�ยม / ลําใย แสงสุริย์ / สมศักดิ� ประไพ / สงัด เพ็ญการ / นงเยาว์ สอาด / สําอางค์ อุดมศิลป์ / ธนาภา วงศ์เนียม / สมชาย บุญโกย / สมบูรณ์ ถาดา / นิพพา � � � � สิงห์กนั ยา / เฉลา ลือชา / สมศักดิ ไตรวงศ์ / วิสทิ ธิศกั ดิ คําเงิน / พงษ์ เทพ พวงสด / ศักดิสทิ ธิ สง่าเมือง / นิธิวิทย์ สิงห์ปภาวสุ / กัลยารัตน์ สิงห์ปภาวสุ / บรรจบ สุทธิกิจรุ่งโรจน์ / สวรรค์ นาเตย / สุภทั ร์ เสาทองหลาง / ถาวร ทองทวี / ปฏิญญา แข็งแรง / พระลักษณ์ ศรีถนัด / อนุกลุ บัวบานตรู่ / พลสิงห์ แสงสุกใส / ประสิทธิ� ขําวงษ์ / พงษ์ ศกั ดิ� ดีหมัน� / ณรงค์ ต่างใจ / เกียรติศกั ดิ� ม่วงสนธิ� / สราวุฒิ เกตุสวุ รรณ / ยุทธนา บัณฑิต / วิชยั ฐานหมัน� / สุนนั ท์ เฉลิมฉัตร์ / อนุชา สุวรรณปิ นฑะ / มงคล คุดฉา / นิรันร์ สุขสารดิษฐ / ประสงค์ จุลวรรณ / บํารุง คร้ ามอํ�า / อํานวย ใจปทุม / พัชพงษ์ นันทยา / เนรมิต วงศ์ราษฎร์ / ไกรเดช แสงสมัย / โชคชัย ยินดี / พิเชษฐ คล้ ายผูก / ตรี วชั ร เตชะพะโลกุล / สุมิตร์ จําปาถะ / สุรชัย ทะริ ยะ / สุริยา บุญช่วย / ฤกษ์ ชยั ทิพวารี / ชโยดม บูรณยาพร / ธีระชัย ดิ �นสวัสดิ� / สมภพ วงศ์เนียม / ไพศาล กองแก / มนต์ชยั วงศ์ตรุษ / สิทธิชยั ชิดเชื �อ / ขจรศักดิ� ศิริเวช / แสงโสม บุญช่วย / ยรรยง ทองชํานาญ / เกียรติศกั ดิ� รุ่งเขียน / หฤษฏ์ ทวีทํานุสนิ / วัลลภ จริ ยพิสทุ ธิกลุ / บุรกฤดิ ป้องกัน / แรม สุทธิมาลย์ / วิฑรู ย์ แก้ วโมลา / เอกรัฐ หวลคิด / เกียรติศกั ดิ� เย็นฉํ�า / อุรุพงษ์ ศรประดิษฐ์ / นัทธี ชูเวช / วรวุธ แจ้ งสว่าง / ประพันธ์ เล็กเจริ ญ / ทรงยุติ ผังรักษ์ / ทวีศกั ดิ� เชื �อพลบ / เชาวลิตร บุญยืน / นิรุทธ์ วงศ์พงึ� / สิริวฒ ั น์ ปลื �มผล / ทวีวฒ ั น์ บุญยิ�ง / ภาคภูมิ วงศ์เมือง / เฉลิมพันธ์ โพธิ�สวุ รรณ / สานุพงษ์ ยาทองไชย / สรพงษ์ วงศ์เนียม / กรวิทย์ เผ่าพันธุ์ดี / วิลาศ พลับพลาไชย / สุวฒ ั น์ สุขประเสริ ฐ / ชุตพิ งศ์ ขาลอยู่ / ชิษณุพงศ์ โพธิ�ศรี / ภาณุวฒ ั น์ อุดมศิลป์ / จินดารัตน์ จินตนา / เตรี ยมจิตต์ มะลิซ้อน / ประพันธ์ มะลิซ้อน / จักรกฤษณ์ ยวงสอาด / เทียนชัย เรื องขจิตร / วัลลภ วรรณศิริ / นริ นทร์ อาจศรี / ธีรพงศ์ แกล้ วกล้ า / หลอด เที�ยงไธสงค์ / ปฏิภมู ิ � � โมรัตน์ / ธีรพงษ์ การุณ / สถาพร มะลิวลั ย์ / นันทพร ป้องกัน / วิรัตน์ สืบสุกใส / สมเกียรติ ทาจ๋อย / อํานาจ คงเจริ ญ / สุริยนั ชัยพงษ์ / รุ่งศักดิ แสงสุริย์ / ธนวุฒิ วุฒิธรรม / สุพจน์ ในชัยภูมิ / นิรุตติ ดิษฐสอน / อุเทน วงค์ชา่ ง / ถนอมศักดิ� เอ็นดูราษฎร์ / ดาวยศ เอ็นดูราษฎร์ / อรรถพร วงศ์สา / วิชาชาญ สุนทรโชติ / ศราวุธ บุตรพรม / ฐิ ตกิ ร กนกมณี / อนุรักษ์ โปร่งจิตร / สถาพร บุญยัง� ยืน / คเณศ ยอดกระโทก / ณัฐพล ชลเขตต์ / ปราโมทย์ ชายทองแก้ ว / ดํารงฤทธิ� เกตุมาลา / วุฒิพงษ์ เครื อสินธุ / อธิราช สู้เหิม / อรรถพล ภูมิใจ / พงศ์ศกั ดิ� ใจดี / รณชัย หล่มเหลา / พัฒนพงษ์ คําซ้ อน / ณัฐพงศ์ แสวงการ / เกษมศักดิ� ปลายเนิน / ประเสริ ฐ ไตรวงศ์ / จํารูญ แท่งทอง / สัมพันธ์ ล้ อมพงษ์ / พิสษิ ฐ์ ครวญหา / ณรงค์ สุวรรณโชติ / กรกมล นุกลู ราษฎร์ / อาวุธ แซงราชา / ธนากร วงศ์พงึ� / สหรัฐ ชวนชื�น / ศักดิ�เกษม บัวสวัสดิ� / วิทวัส ทองเกลี �ยง / เกรี ยงไกร ธัญญะชาติ / อาทิตย์ นามพรมมา / วินยั ไหลอ่อน / ธิฏิณนั ท์ เอี�ยมประมูล / สถาพร กายฤทธิ� / นปภา น้ อยคงคา / กมลเดช ถาวรวงศ์สกุล / สันติสขุ เงินมา / ธวัช บัวทอง / สมชาย ศรี ผดุงเจริญ / อนุชิต ศิริโชติ / พงษ์ ศกั ดิ� สําเร็จกิจ / ทินกร บรรจง / ประดับ โพธิ�ศรี / ราชันย์ บุตรสุริย์ / ธีรพล โสบุญ / พุธ จันทร์ อนิ ทร์ / สืบศักดิ� สุวรรณโชติ / จักรกฤษณ์ เจริ ญผล / วิวฒ ั น์ ขําบ้ านหลวง / อรรถพร โศธนะ / สัมฤทธิ� วงศ์อยู่ / คณิศร รอดทา / พงศกร แกล้ วกล้ า / จักรกฤษ ศรประดิษฐ์ / จตุรวิทย์ โคม่วง / สมชาย คงเกตุ / วิโรจน์ พิศพรรณ / ธีรญาณ วงหาแทน / รัชฎาริ น วงศ์เนียม / นพรัตน์ เถื�อนวิถี / อธิป นาคทอง / วสันต์ จิ�มอาษา / พงศ์ศริ ิ ลํ �าเลิศ / อดิเรก ปลอดภัย / อังกฤษ เครื อวัลย์ / ชุมพล เจริ ญผล / อุเทน โอทาน / เจษฎา ทักษ์ ครี ี / สุบนิ ณรังษี / ทรงพล คํ �าชู /ศุภสิทธิ� มดศรี แก้ ว / ชัชชัย บํารุง / ยงยุทธ บุตรพรม / ศศิธร ซื �อค้ า / พรเพ็ญ ดิษยนันทน์ / ยุพา คร้ ามอํ�า / กนต์ธร สุขราช / สายหยุด ฐานหมัน� / จีราภา อันชาลี / ทวีวรรณ พลับพลาไชย / ธรรมรงค์ นาเวศรัตนากร / วัลยาภรณ์ ดําอ่อน / จงกลณี จรูญสูงเนิน / วิไล เกิดโห้ / ละมุล สมจันทึก / รุ่งรัตน์ ศรีผดุงเจริญ / นัธทวัฒน์ ธนนันท์หริ ัญ / ธิตกิ าญจน์ อนุเวช / ทิพมาศ หนูเย็น / วาสนา อารีรักษ์ / เรียม เล็กลาด / ปริยากร ครบกลาง / วรรณา บุญสุข / สิทธิศกั ดิ� ธนาธรรมรัตน์ / รุ่งระพี วรรณพรชัยกุล / บังอร เฉลิมฉัตร์ / สมดี เบ้ าสูงเนิน / อุไรวัลย์ สําเร็จกิจ / ปั ญจา ฤกษ์ ชยั / ธเนศ นิยม / ทิพรดา นาเตย / ยุพดี ฤทธาพรม / อุบล ธนาธรรมรัตน์ / จินตนา ลอยประดิษฐ / พิมย์ใจ แย้ มประเสริ ฐ / สายทอง จินตนา / นํ �าฝน บุญยัง� ยืน / ดวงชีวนั แก้ วโมลา / อารี ใจปทุม / อัญชนา กาญจนโกศล / มลพิลา ปั ดถาวะโร / สุภาพร ศิริเวช / บังอร กองแก / กาญจนา บุญประเสริ ฐ / นพวรรณ จุตวิ ฒ ั นนุกลุ / สิริรัตน์ ม่วงแจ่ม / อรอุมา จําปาทอง / ขวัญยืน บุญยัง� ยืน / พิมลรัตน์ ชูเวช / อนงค์ จริ ยพิสทุ ธิกลุ / จรรยา หัตถบูรณ์ / นาตยา ปั ตตาเนย์ / สายสุนีย์ วงศ์นาค / นวลจันทร์ คงมาก / จันทิมา สอนสกุล / ตติยา คุ้มพวก / กัลยา แข็งแรง / รัตติยา อารี ย์ / พรทิพย์ พงษ์ ทอง / พัฒนริ น นาเตย / อรวรรณ วงศ์นาค / สุมลธา ธุรารัตน์ / กุสมุ า เอมระดี / สิวินีย์ บุญเหมาะ / กําไร ศรีมาก / กระแสร์ อินทร์ ธิราช / วรัชยา ใต้ หล้ า / ศรัญ�ู อินทชัย / วาสนา อุบลโชติ / ศศิญาภรณ์ ซือ� ตรง / กัลญา อ้ วนเสมอ / เขมณัฎฐ์ ต่างหู / นํ �าผึ �ง รุ่งรักษา / จิตตกานต์ เอมจิตต์ / ร่มฉัตร แสงสุขดี / อนุวตั ร ชูแก้ ว / ประครอง ไชยเสริม / ณัฐริ นีย์ จันทร์ เจ๊ ก / ปริ ยกร เขียวสด / อรทัย จันทร์ ไทย / วรรณา สินลือนาม / ธรรมสพรรณ สอนชาติ / กนกรัตน์ ชื�นชม / ปิ ยะมาศ ลอยประดิษฐ์ / นุชนาถ ดียืด / ศศิธร วงค์ชโยประสิทธิ� / เนตรนภา สัมมะจาริ นทร์ / ศิริรัตน์ วงศ์คง / อภิศกั ดิ� ปิ� นทอง / เกษร ไชยโยธา / ไพลิน ในทอง / พิเชฐ อุบลโชติ / พัชรี เชื �อรัมย์ / วิเชียร พรมจักร์ / วัทนะพล พิบลู ศรี / ธิดาวดี วงษ์ ทองลอย / สุปราณี อําฆาริ ส / สุภาวดี อําฆาริ ส / จันทร์ จิรา แก้ วสิมมา / เอกพจน์ สร้ อยสังวาลย์ / สุวรี ย์ อาฌาสัย / สุภาวดี หาญเสมอ / ปาริ ชาติ วิชาฤทธิกลุ / อารี รัตน์ พรหมแสง / วันดี พนาสนธิ� / วาสนา ปั� นจัน� / สาวิตรี สุริยกุลวงษ์ / ยุวธิดา นาดี / มณีรัตน์ สุขเจริ ญ / เอมอร กุลดั นาม / อัจฉรา คมสัน / ชลลดา วงศ์เนียม / อภิญญา กอแก้ ว / นันทิภา อานนท์ / พรทิพา อันชาลี / สุนิสา แกล้ วกล้ า / ประนอม พวงสด / นิชาภา สรแสง / ปาริ ฉตั ร วงศ์ยงั / รักพงษ์ สูญญาจารย์ / อรวรรณ ชุมคง / อภิรักษ์ ชามประโคน / นําโชค เกิดโห้ / สุเทพ ฟั กทอง / สมพงษ์ เบ้ าสูงเนิน / สมยศ ปานพันธ์ / วิโรจน์ สมจันทึก / ศักริ นทร์ ถาวร / มลฤดี วรนาม / วรนาม แบบอย่าง / กานต์ นามกิ�ง / พีระ ยิ�งเจริ ญ / นฤชัย ใจเรื อง / สันติชยั คําสวัสดิ� / อังคาร จําปาทอง / สันติ คืนดี / อนึง� เจริ ญขํา / ลัทธิ ถวายทรัพย์ / ประคอง ลํ �าเลิศ / ชํานิ รัตนะ / ทนงศักดิ� สงวนญาติ / ยุทธพงศ์ โพธิสาราช / สมภพ สิงห์โต / นพศูล ฤทธาพรม / เอกพล มูลเหลา / จักรี วาจารี / บุญเหลือ เปรมพงษ์ / อนันต์ พันธ์หลา / ธเนศ นําไทย / จิรเดช ครองสวัสดิ� / คํารณ พละการ / วาริ ช ฟุง้ มาก /

วสันต์ ศรี สว่าง / รชฏ มีมณี / องอาจ อินทรประเสริ ฐ / นิวฒ ั น์ นาครอด / วิษณุ ดีทบั ไทย / อิทธิเทพ ใบงาม / ศรัณย์ พลเคน / ปิ ยะ หวานเสนาะ / รุ่ งทิวา กิตติวรคุณ / ชัชวาล จูงใจชูวงศ์ / บุศราริ นทร์ ธนเจริ ญวณิชย์ / สุกลั ยา ฟั กเจริ ญ / อธิตยา คร้ ามบุญลือ / เฉลียวรัตน์ คําแก้ ว / สุวรรณา วงศ์สา / สุพตั รา นามพรมมา / ชณัญชิดา คาบพิมาย / ปิ ยพล คล้ ายวงษ์ / ปิ ยพรรณ คล้ ายวงษ์ / กาญจนา ประกอบกิจ / ทัชชา แซ่ตนั / ศิริพร ขานภูเขียว / สุพรรณี นามวิชา / สังวาลย์ สืบสุกใส / สุกญ ั ญา ห้ วงศิลา / เนาวรัตน์ ชามประโคน / ธนวัฒน์ นิยม / ธันย์จิรา ทองคํา / ศรัณย์ สมดี / สุเทพ ทองคํา / ศิริชยั เรื องสวัสดิ� / วันเพ็ญ เวียนหาผล / วิไลพร อุ้ยเพชร / นภดล บุญช่วย / พรเทพ ขันธธน / วินยั ราชบัวโคตร / จีรพา สมรมิตร / สามภพ วงศ์ยงั / ภิรมย์ มีชยั / ทองคูณ นาดี / สมชาย ปรากฎ / มนตรี บัวคลี� / บุญจู ปิ นทรายมูล / สมนึก ตามประหัตถ์ / อุเทน ลํามะนา / สุรชัย คงสุข / วิชยั แสนทวีสขุ / ปรารถนา คร้ ามบุญลือ / สุรพงษ์ ชัยวิชิตชลกุล / ภีรพัฒน์ พานทอง / สุรศักดิ� จงหาญ / ประสิทธิ� ดันนอก / พิทกั ษ์ แก้ วแจ่มแสง / ณรงค์ มะลิวลั ย์ / ปนัดดา สินภักดี / พัชราพร ธนะภูมิชยั / สิทธิกร อินคง / เม่งเหล็ง เสนีย์ศรี สกุล / เอกชัย บุญลํ �า / วิชยั ศรี จนั ทร์ / จักรกฤษณ์ เรื อนน้ อย / สุขเกษม อินคง / ปริ วฒ ั ม์ มัจฉา / พรชัย โฉมสอาด / ยิ�งยง ดอกกะฐิ น / โชคชัย แช่มสา / ทวิช สมวงศ์ / ปั ญญา เอี �ยววัฒนา / ปิ ยวุฒิ พูลพิมมะ / จักรพันธ์ แสงทอง / นที ชูศรี / อรอุษา พงษา / ฐิ ติยา เจริ ญรัตน์ / ขวัญอยู่ บุญคง / ธนวัต โสภาพันธ์ / ภาณุพนั ธ์ มัง� เจริ ญ / ปรี ชา ภูทิพย์ / บุญลาภ ขมงาม / ขวัญชัย สังข์สี / ประวิตร แสงลอย / สุพจน์ สาระพันธุ์ / กิตติ เพชรเลียบ / ปรัชญา อินทปั ชฌาย์ / คมณัฐพัฒน์ ครุฑสิงห์ / จิระวัฒน์ หอมเกษร / สมบัติ แป้นเกตุ / มานะชัย ประไพ / พิเชษฐ น้ อยศิริ / โชคทวี อุทยั พิศ / จริ นทร์ บัวศรี / จํานงค์ ทุมทอง / สมทรง จูหมื�นไวย์ / จักรกริ ศน์ พ่วงพงษ์ / สราวุฒิ กุลบุตร / เชาวลิต เอี�ยมละออ / ทํานุ ธนะโชติ / พวงเงิน อนงค์รัศมี / วิทยา บุญคง / อุทมุ พร ชลารักษ์ / ภัทราวดี แก้ วเกตุ / พีรณัฐ วิรุณราช / เกรี ยงไกร ฮะซิ �ม / ปั ญญา บุญกลิน� / เสกสรร สิงห์ดี / สานิต เสือนาค / ธนาพงษ์ จันทวาด / สุภชัย พงษ์ เฉย / ส่งเสริ ม บุญทะลา / สิงหา เสียงเย็น / สุรเดช หิรัญวัฒนะ / เพชรัตน์ ผิวคลํ �า / เกียรติศกั ดิ� ภูทอง / อรุณวัฒน์ สุดตา / จิรารัตน์ วงศ์ยงั / วิรัตน์ แก้ วทอง / ธัญญะ อุดทาสุข / อัศนัย สอาดเอี�ยม / ชุตเิ ดช สอนบุญ / อํานวย บุญงาม / เอกรักษ์ รังผึ �ง / สุเมธ ศรี จู / ธีระยุทธ์ กันหะ / สุวิทย์ แก่นจันทร์ / ชรัณ เกตานนท์ / สุเทพ สมพงษ์ / ยุทธศาสตร์ ทองกรอย / นพรัตน์ ยังประโยชน์ / มนตรี แช่มสาคร / วัชรพงษ์ เกิดศรี / ศุภชัย สังข์ทอง / จิตชนัย ลํานุวา / กฤษฎา ทองสุข / ธีรชาติ บุญลํ �า / ธีรภัทร์ โจกตะคุ / กฤษกร ถาวร / ไพโรจน์ อินคง / วิฑรู ย์ อาจวงษ์ / วินิตย์ จันเสน / สมพงษ์ รอดพร / วีรชัย มาลัย / ไกรสร ยศศรี / ธนา บุญชื�น / วีรยุทธ แก้ วเนตร / สิทธิชยั เสือจันทร์ / สุชน พรหมพันธกรณ์ / อนุชยั เตียงกูล / วราศักดิ� ช้ างขนุน / กิตพิ จน์ แจ้ งเจริ ญ / ชาลี เอการัมย์ / เอกวีร์ เทศฉิม / จีรวัฒน์ ฉุนตู / จักรพงศ์ โหงวลิ �น / ไพโรจน์ อินเจริ ญ / สุทธิ ทรัพย์สนอง / สิทธิพร สังข์ทอง / สุชาติ บุตรศรี / สุวิชยั บัวศรี / สิทธิศกั ดิ� ชายฉลาด / เอกพจน์ จําปาศรี / เกศิณี ผิวคลํ �า / วิทวัส บุญยัง / วิไลวรรณ โห่ศริ ิ / สายทอง ไตรยางศ์ / สัณษณีย์ พูลสวัสดิ� / กรรณิการ์ ขมงาม / ศิรินทร์ ทิพย์ บัวศรี / อนุรักษ์ ณ นคร / สุพรรณษา งามประยูร / อุไร สุดตา / ธัญวรัตม์ โชคชัย / สนัน� บานไธสง / วันดี เอี�ยมละออ / ปวีณา โหงวลิ �น / กัญญาภัทร บัวศรี / อรอุษา สมบัติมีมาก / จันทร์ พิลา ไชยศรี / แสงเดือน ดวงจันทร์ / จีรภา ไพริน / พิมพ์ศริ ิ นิ�มสาย / ลัดดา อินคง / สุมาลา โหงวลิ �น / อรสา ทับทิมทอง / เอื �อมพร ลัดลอย / สุดารัตน์ อุตระ / กนกพร สถานุทศั น์ / สุวรรณี มัง� เจริญ / รุจิราภรณ์ ดีประเสริฐ / วาสนา กัณหะ / รัตนพร สอนสุข / จันทรา อินคง / กาญจนา ภูทิพย์ / สํารวย ทองพูล / ลัดดาวัลย์ นวลสุวรรณ์ / รุ่ งอรุ ณ โสมดี / สุพรรณี หอมเกษร / สิริญญา อินภิรมย์ / อนัญญา บางระหัด / สุชาดา จําปาเทศ / ณัฐรดา จันทร์ พงษ์ / กุลธิดา บัวศรี / สุภตั รา เข็มกลัด / นันท์นภัส อินทปั ชฌาย์ / อนุสรา ผาลี / มุจริ นทร์ พึง� เจริ ญ / รพีพรรณ ด้ วงทอง / ศศิวิมล แคล้ วภัย / วัลภา ไสลจักร์ / นภาพร จันทรสุข / พลอยปภัส อินคง / กรรณิกา ผลโชค / ไอลดา อินคง / สายชล พึง� พันธ์ / อรภา แจ่มแจ้ ง / เอกพันธ์ ม.ว. / อุบลวรรณ บัวศรี / ศิริรตั น์ เพชรเลียบ / สุวมิ ล โตเป้า / ชนกภรณ์ พรบุญ / สุธิดา อารีรกั ษ์ / อัมรินทร์ บุญคง / โชติรส หอมชิต / นิตยา ไม้ โอชา / สุธิดา ศิริเจริญ / วุฒกิ ร สังข์ทอง / ธีรวุฒิ เกื �อทาน / อรณี ไผ่นอก / ชูชาติ เกตุสวัสดิ� / สมเกียรติ บัวศรี / วีระพล เขียวขัน / นพดล ทองสุข / สิทธิชยั ฉัตรแก้ ว / ชูศกั ดิ� คํารอด / เกศราภรณ์ อินคง / จิรดา ช่วงจัน� / ยุพนิ ศรีจรุญ / สุธาทิพย์ บัวศรี / ศราวุธ สมเชื �อ / สุริยะ บุญคง / นิลบุ ล ชนะอุดม / คณิศร คําภิระ / อรอนงค์ หงษ์ ทอง / ปรีชา เสมเหลา / ศุภกิจ คํามณีจนั ทร์ / นริ นทร์ วฒ ั น์ ซาซุม / ศักดา ศรี หนองกุง / วีระพงษ์ สีโสภา / เกียรติพงษ์ ลุนลา / พงศ์วรัญกรณ์ ศรี วิชา / อุทยั สุดาอิ �ง / อลงกรณ์ สาเสน / พิทกั ษ์ ศักดิ�สร้ อย / วรวุธ แสงครจิตต์ / ศุภสิทธิ� กุมพล / จิรวัฒน์ เถื�อนพาชิน / ณัฐวุฒิ ชาสุด / ภิญโญ นาถมทอง / ศรชัย มาลาวัลย์ / สุวรรณ คล้ องชัยภูมิ / สุรชัย ช่างทองมะดัน / ณรงศ์เดช สดีวงค์ / ศราวุธ เต่าเถื�อน / ชัยวัฒน์ มิตะนุ / กิตติศกั ดิ� ศรี ษะโคตร / สุทร จันทรแสง / ณิชานันท์ มีศรี / ชิตพล คําสุพรม / ไชยวุฒิ บุญช่วย / บุญประเสริฐ โสติกะพันธ์ / ณัฐวุฒิ เฉลิมสินสุวรรณ / กฤษฐชาญชัย ศรีสริ ิชยั กุล / นราวุฒิ แต่งสุวรรณ / นิรันดร์ เจริญศรี / อภิชาติ ทองป้อง / เกรี ยงศักดิ� สุนทร / วิรัตน์ จัตชุ ยั / วิทยา ปองดี / วิชติ กองโคตร / อรชุน ศรี สกุ อง / ไพฑูรย์ อับไพชา / สุรชัย มะลิเวช / สุริยา พุทธซ้ าย / พิเชษฐ์ ทองศรี / ต้ องตา แก้ วกัณหา / อัศนัย วันเวช / พบพล มาป้อม / ราเมศร์ แสนจํ �า / สุวชั ชัย สีหาบัตร / นราศักดิ� ศรี สกุ อง / อดิศร ราชสีเมือง / อภิสทิ ธิ� แต่งตังลํ � า / อุทยั ศรี สขุ / ยุทธนา สายใจ / อธิปติ จ้ ายนอก / นริ นทร์ สมอหมอบ / แอ๊ ด พันนา / ทรงกลด บุญยืน / ธีรศักดิ� แสนโคต / ประวิทย์ อุ่นผาง / สราวุฒิ ครองสนัน� / ประจักร์ ปะวันโน / ทวีชยั พันธุวงศ์ / กีรยุทธ จันทํามา / อิทธิพล โยธาทูน / วุฒิพงษ์ / � แสนหอม / ธงชัย งามเขียว / วุฒิพงศ์ แดงขันตี / โชคสมบูรณ์ สุดไกร / พงษ์ วิวฒ ั น์ มาซา / ธเนศ พลทะจักร์ / กิตติชยั ภาวะโคตร / นพประกาศ ลุนใต้ / ศิรวุฒิ วงษ์ เบาะ / รัตนศักดิ สมศรี / กฤษดา วิเศษดี / อําพล ถีทนั / ปองพล วิสาสังข์ / ชัยประพัฒน์ สมวงศ์ / ณัฐพล สุนทรพิทกั ษ์ / อาทิตย์ จันทา / ผดุงเกียรติ ดิษเจริ ญ / ภัทระ คําเกิดภูมี / ปราโมทย์ พุ้ยมอม / พันนา ซื�อตรง / ฉัตรมงคล เทวะเส / อนิรุทธ์ คลีบงึ พร้ าว / เสกสรร จันทะสอน / กชพร โสภา / ศรายุทธ สิงห์จินดา / มานัส ยอดถา / วราวุธ ลาภทวี / สุวิทย์ พันธ์สรุ ิ นทร์ / เบญจพร โตกลาง / ประกาศิต วงษ์ ปัจฉิม / พรเทพ ชนะอุดม / นริ นทร์ วิลาจันทร์ / อิทธิพล หวังกันกลาง � / ศรายุทธ พระธานี / ปรี ชา ไกรรัตน์ / สุทธิพงษ์ แสนวงษ์ / อวยชัย แพงงา / สุพจน์ เมฆวัล / ชาญยุทธ แสนเมือง / จีรวัฒน์ คําโม / วรวุฒิ ปั ทถาพงษ์ / สันติ ทองสมบัติ / กรี ฑาวุธ ดอนมะยา / กรอง วงษโชติ / รักขิต โฟฟูม / สุขสันต์ ดรเหล่า / ทัศพล ไชยศรี สงั / พงษ์ ศธร นามมุงคุณ / ธนภูมิ คาดหมาย / สุภาวดี สีหามัด / สโรชา นิลดี / วนิดา โนนสา / พัชรากร เมฆอรุณ / ปริ ญญา เกษมาลา / ธนาธิป สายทอง / หาญบัญชา ทานะเวช / วิฑรู ย์ จันทะ / อภิชาติ โง่นชาลี / อุธร ศรี คําม้ วน / ประดิษฐ์ คําภูมิหา / ปริ ญญา นพวาฬ / ยุทธศักดิ� นามทะจักร์ / ประสิทธิ� มาตรวิเศษ / จิรายุทธ ศรี แสง / อุทยั ชัยปั ญญา / สุทธิชยั ชัยสงคราม / ณัฐพงษ์ ใจอ่อน / ปิ ยรังสิต ภูครองจิตร / เอกสิทธิ� จิตรวรกุล / คมกริ ช จําปาบุญ / อดุลย์ จันทร์ คํา / บัณฑิตย์ ชานนท์ / อติชาต ยาคํา / เดชาวัฒน์ โกตาล / วัชรพงษ์ งามมาก / รณภพ สมปราชญาชัยกุล / ราชวัฒน์ เทวะภิทกั ษ์ / ใหม่ ประโลม / ณัฐพงษ์ วงศ์สวุ รรณ / กฤษณพล โสภากา / สันทัศน์ ท่าโพนทอง / ประณต คงเทพ / ชินวัตร วงษ์พมิ พ์ / นราวุฒิ โสโท / ภัคพล ฤทธิ�จรูญ / ชัยยันต์ ทองแสง / กล้ าณรงค์ คําสมบัติ / เจตสมบูรณ์ คําเกิดภูมี / นริ นทร์ สมบูรณ์ / ดเรศ มาตย์นอก / สมนึก กงวงษ์ / สายชล กงวงษ์ / นพรัตน์ มาธุระ / ศรัญ�ู ดรปั ญญา / ศุภชัย จังพล / บดินทร์ สีหาบุญทอง / ณัฐพล จันพุฒ / ภาณุพงศ์ จันทร์ ราษฎร์ / นันทวุฒิ ชินอ่อน / วิรพงษ์ บุบผาแสง / เทียนชัย ปั ฐวี / จรัล ศรี สกุ อง / ประสิทธิ� พระลับรักษา / ธยา จันหานาม / ชัยณรงค์ สีเทพสวด / สิวนัต วงษ์ หมัน� / ทนงศักดิ� ทับลา / อรรคเดช แสนบัณฑิต / ศักดิ�ดา สอปั ญญา / อานัน โปร่งจิต / วาฑิต ต่อชาติ / อภิเดช ดอนมะยา / กายะสิทธิ� โคโตสี / ศุภกิจ มาลาโคตร / ภิญโญ นักร้ อง / กัญญาพัชญ์ วงศ์ภกั ดี / ชัชชษา พันธโคตร / ปรี ชา แสนเสนา / พรทิพย์ ประเสริ ฐกลาง / นิธิพงศ์ พรมสาร / สุรีรัตน์ จัตชุ ยั / ชลทิฌา นํ �าแก้ ว / เนาวรัตน์ อ่อนโพธา / ชูชาติ ดินเมืองชน / วิษณีย์ จันทร์ ปรี ดา / รัตติกาล ใสขาว / ปาริชาติ พิลาชื�น / อาภาพร ราชธา / นุชจรี นามเกาะ / จตุพร ทองวิสงู / อภิรักษ์ เหล่าสุริยะพงษ์ ชยั / ธันยพร อัดโดดดร / สําราญ มงคลมะไฟ / เกศรา บัวจันทร์ / ธนัชชนม์ โชตินอก / จารุ ณี ทองสมุด / วารุ ณี ชัยปลื �ม / สุนฐั ดา สุระโชติ / ยุพิณ แสวงผล / ลําดวน โสภารัตน์ / คําพอง สมโชค / วันทนา วันเวช / อาภัชรี ภร ต้ นกันยา / พรวิภา สิงห์ประเสริ ฐ / สุปราณี นามพวน / สุลยั ลักษณ์ ศิริโอตร / สุธาภรณ์ คุณแสง / ประทุมทอง ลุนลา / สุมาลี วงษ์ เบาะ / สุจิตรา อับไพชา / มัทธนา ลาปละ / วิภาภรณ์ โพธิ�โน / สุชาดา ศรี สขุ / วาสนา เจริ ญศรี / ริ นทร์ ดา นพคุณ / ปกาสิต ลาปละ / อรุณี สมศรี / วิภา เย็นกลม / จันทร์ ดา วงษ์ คําจันทร์ / ณัทพัทธ์ ณัชนันทิพฒ ั น์ / ทองใส สิงห์สวุ รรณ / จิราภา ศิริทาเม็ง / พรทิวา แก้ วตีนแท่น / บุญมี ภูจอมพลอย / อัญรัตน์ ตังทะนาม / สุรีย์ แพงพันตอง / วัชราภรณ์ จันทร์ คาํ / ยุวดี ทุลลี / เกวลี สมศรี / มนต์ทา แสนสมบัติ / วราพร ดวงแสนพุธ / วิไลวรรณ สงนอก / อลิษา เครื อขํา / สมคิด ดวงพิมพ์ / ปนัดดา ชินวงค์ / ประภาพร สิทธิขวา / นํ �าฝน ดรนาม / ศิริประภา นีรนนท์ / เบ็ญจวรรณ์ สมศรี / ปริ มประภา ชนะไชย / สุภาพร ซาตุ้ย / เทวานพ ดวงแสนพุธ / เทวินทร์ สอนทา / สรรพชัย แสนนุภาพ / วรวุฒิ นาใจเย็น / จารุวรรณ์ คําภูแสน / บรรจง ศิริทาเม็ง / อําพล นพคุณ / ดาริ น วรวุธ / ชนาภา มัง� มา / สุมาลี คุ้มวงษ์ / มณธิดา นาดี / พนิดา บุดดีต้ ยุ / วิลาวัลย์ หารอ่อนตา / จารุวรรณ นามบุดดี / อรุณี สายสิงห์ / สุภา พิมโคตร / อรอุมา พุทธซ้ าย / ธิราภรณ์ จิตรี โภชน์ / สิทธาภรณ์ อุดน้ อย / มณฑิรา หล้ าสีดา / พรรณทิภา จันพุฒ / ธนาภรณ์ แก่นนาคํา / ดอกช้ อน หมายติดกลาง / ปิ ยาภรณ์ มูลศรี ติ / วนิดา แก้ วขันตี / อุษา พรมทอง / กานดา สิงห์ดํา / ทาลินี สมศรี / รจนา มีนา / พรทิวา หลักทอง / จิราธร พรมเวินโขง / วนิดา / แก้ วตีนแท่น / ณฐพร แป้นแก้ ว / ศิริพร สมบัติ / สมใจ แสนบุญ / สมจิตร สมศรี / วรารัตน์ วรรณวาส / วงเดือน เวียนเทียน / มลิวรรณ ดวงไกรวงษ์ / อรวรรณ ลาดพล / อารี ยา ชาภูวงษ์ / พรพรรณ ดีเจริ ญ / พัชรา แสนสุทรวิจิตร / ลัดดาวัลย์ แสงชาติ / นภาพร อภิรมยานนท์ / สุพรรษา โชติกคาม / สุดธิดา ดีเจริ ญ / ตวงทิพย์ โสมศรี / พัฒณี พลบํารุง / เย็นฤดี ศรี ชาติ / วชิรา เคนหล้ า / ลัดดาพร จันทาสี / ยุพารัตน์ ข่วงสิมมา / นิรัน ประกอบกิจ / สุธาวรรณ จันทร์ พฒ ุ / พุธระชาติ รัต สวนจิก / นิรุจน์ ปะสังขีนี / ชุติพนั ธุ์ น่วมดี / วัชรพงษ์ จันทวงค์ / สถาพร เย็นกลม / ชัยยันต์ บุญจอม / สมพงษ์ แซ่นพิมาย / อาทิตย์ ลื �อเพ็ง / สุทิน ผิวฝ้าย / สุรชัย นนทะศรี / สุรสิทธิ� บุบผาแสง / วิเชียร สมศรี / สุริยนั สารทอง / อดิศร โพธิ�โน / เจษฎา มีทา / สยุมภู บุญสม / ชัยรัตน์ แสนวิชยั / สุริยวงศ์ กลิ�นโอชา / นิรชร ทองแท้ / จีระศักดิ� บุญสมัย / ธันวา ลิ �มประเสริ ฐ / อุมาพร เมืองสอน / � เจษฎา แสนสุทรวิจติ ร / ยุทธศักดิ ลาภทวี / สิทธิพร พลเขตต์ / ปิ ยวัฒน์ สีเกิน / ชัยฤทธิ� ศรีอาษา / สันธาน สิงบุญมา / ฐิตกิ ลู สิทธิเกษร / ประมวล ศรีทะโคตร / วิรัตน์ ระวีวฒ ั นา / เจตจันทร์ แก้ วโกมุด / เกียรติศกั ดิ� อ่อนบัวขาว / ทศพล ยงปัชชา / ศิริพงษ์ แสนจันทร์ วจิ ิตร / เทพรัตน์ เดชโม / พรศักดิ� สุดดี / วสันต์ รองคํา / มัยตรี เพชรเสถียร / สมบูรณ์ สนาม / ธวัชชัย ปั ตตาเคนัง / แสงเทียน พูดเพราะ / นรินทร์ สมศรี / วีระเดช สมชัยมาตย์ / สมเจตน์ กระจ่างเสน / สุพรรณ์ ดอนบันเทา / ชัยวิวฒ ั น์ จันทร์ ประทัด / สันติกร มาลัยพันธ์ / เชิดชัย จันทร์ โท / ชํานาญ พันธ์เลิศ / กัลยาณี อุน่ สุนทรพิทกั ษ์ / บรรจง พระโบราณ / ธวัช สง่าทรัพย์ / รุ่งเรื องเดช ปวิณกมล / พชรกมล จันทะโยธา / ณัฐพรเศรษฐ์ เพียช่อ / สว่าง คูนาคํา / บุญช่วย มัน� ดี / พรอรุณ มุง่ ดี / ละอองดาว ธุระทํา / สุพดั ริตา / เพียงเพ็ญ โยธิไกร / เหนือฝัน ตันประเสริฐ / ธนิกา ไกยสวน / สมศักดิ� ไชยการ / รัตศาสตร์ คํามี / อัญชนา ทองยศ / อมรรัตน์ ชารี / กรรณิการ์ ภักดีบรรณดิษฐ / ณัฐวุฒิ อุดมศิลป์ ิ ี พันสีเลา / กนกพล รองจ่าเมือง / พงศกร เพ็ชรนาดี / อภิสทิ ธิ� พันธ์เขียน / แสงเดือน ศิลา / ขวัญเมือง พลอยดี / อังคณา กันยา / พงษ์ศกั ดิ� อัคคะวงษา / บรรจง จันทร์ แสง / ทรงศักดิ� แฝงโยธา / ครรชิต สีดามาย์ / อิสราภรณ์ ศรีไชยวัฒน์ / สุธาฬณ / คําฝน พิมพ์สาร / สมเพชร หาญอ่อนตา / ไพจิตร ไชยยงค์ / ปิ ยะนุช คาดหมาย / วัชระ กันหา / ปกรณ์ ชาญเดชสิทธิกลุ / Suresh Babu Elngo / อภิเชษฐ์ สงวนทรัพย์ / ชวลิต แสงท้ าว / ประจวบ แก้ วทองดี / ประสิทธิ� ศิริวฒ ั นาสุนทร / สถิตย์ ยะถาคาร / จารุกิตติ� ปิ� นสกุล / โกวิท อรรคบุตร / กิตติธชั ฮวบน้ อย / สมฤทัย หันทะยุง / ศุภวิชณ์ หาญณรงค์ / จักรกฤษณ์ จันทะเสน / ชนายุส พุทธาวรางค์ / ศุภร บุญช่วย / ชนะชัย โพธิ�สริ ิ / จิรยุทธ์ พ่วงรอด / วรากร เกตุกาญจนาสกุล � � / วิศษิ ฎ์ ลุนแสง / เด่น มุกดาราช / อนุวฒ ั น์ ต่างพันธ์ / อภิวฒ ั น์ บุญมาโค / สมโภชน์ ปรี ชานนท์ / สุรศักดิ พวงทวาย / ทองเจิม แสงสุทธิ / สหชาติ ติโลกวิชยั / มานิต จิตต์วิโชติ / นริ นทร์ ทารี โฉม / วีลชล พายัพ / วน ช่วงโพธิ / นิรุช บุญนิยม / สุพรรณ โสพรม / ยอดนภา เชื �อคําฮด / สมภาค จินดาไทย / สัมฤทธิ� อิม� อุรา / สุรภา หมื�นที / เอกรักษ์ บุญเรื อง / วัชรี เจนเขา / อภิสทิ ธิ� อุปัชฌาย์ / อนุช นิทเิ ดช / หาร วรรณมาตร / ณัฏฐชยา แสงจันทร์ / สุพตั รา ปั ญญาวิเศษ / ชิ �น กลิน� ด้ วง / อุบล มหธราดล / มานะ จันทร์ แก้ ว / จิตติ ศรี ประทุม / จริ ยา ดีเอี�ยม / อํานาจ สิงห์เกตุ / สมยงค์ ปั ดชา / นิยม ทับทิมโต / บุญเสริ ม บุตรสอน / ธงชัย บุญอ่อน / อนุชิต ไชยสีหา / ประวีณา สระทองอยู่ / ชัยชาญ เกิดพันธุ์ / ไพโรจน์ สุนทรา / เกียรติศกั ดิ� สุขประเสริฐ / ลําใย นุม่ สุข / กรรณิกา ปั ดถา / กําพล ผลดี / คฑาวุฒิ ศิริชยั / สุรชัย สายะพันธุ์ / เอียด โมกข์งาม / รุ่งโรจน์ สุขเนตร / สุดาพร จักรพัด / คํารณ ศรี นวล / ทองหยิบ พิมพ์ทอง / สมเพียร เกษรทอง / รสสุคนธ์ เงินทอง / หนูกาน เชื �อทอง / ณัฏฐพล ควรขุนทด / อดิศร ชาติแดง / บุญสี ดารมย์ / พิมพ์ใจ แสงสุทธิ / จันทร์ ดี กุดนอก / ณัฐวุฒิ สาระบุตร / จุฬาลักษณ์ เณรคล้ าย / นพรัตน์ นนทวงศ์ / อนันต์ จอมอินทร์ / รัชนี ลีเ� ส็ง / ณัฐพล บุญคุ้ม / สนธิยา อุปพงษ์ / ณัฐวุฒิ ศรี ศิลป์ / นิโรจน์ ผ่านสถิน / วัชรพงษ์ ร่วมรักษ์ / ลลิตา คําสงค์ / เพ็ญรัตน์ สิริประเสริ ฐผล / แสงดาว ศูนย์สทิ ธิ� / นันทิดา สรรพสมบูรณ์ / ปณิดา ประคะนัง / อุทยั วรรณ นครเขต / สมยศ สิริประเสริ ฐผล / ภณิตา อุตโรกุล / ไพริ นทร์ แก้ วโสม / องอาจ สวัสดิ�นํา / สบาย เศวตวงษ์ / เรวัต ขําศรี / อัมพวา จิตตะปั ญญา / สุกลั ยา เอี�ยมท้ วม / บุญสม พุทธรังษี / ชาติชาย คงทน / วันชัย ร่มรื� น / สุนี ผดุงชาติ / วุฒิ นิทิเดช / ประสิทธิ� โตชัย / มุตฑิตา ติโลกวิชยั / วงศพัทธ์ บุญคง / ผาด ช้ อยผดุงศักดิ� / ประสิทธิ� เพาพาน / วิทยา พวงธรรม / วิเชียร ศรี จนั ทร์ / ปรี ชา วรรณชัย / วีระยุทธ สุตะภักดิ� / วิเชียร ดารมย์ / สมยศ สวยสินธุ์ / สมบัติ ไวจรา / ปราโมทย์ สุขประสิทธิ� / สายชล เลิศสระน้ อย / วีระยุทธ เบียดนอก / อาทิตย์ บุตรชา / นิกร หงษาวงค์ / จําเนียร สมบุตร์ / ปรีชา ติสนิ / ตุ้ม โฉมฉิน / สินทอง บารมีไพศาล / สมหมาย สาโสภา / สุนทร บุญตา / วีรพล ศรีดี / ชุมพล บุญยินทุ / มาโนช สวนพลู / วรวุฒิ ซ่อนคม / อภินนั ท์ จันทศิริ / มนตรี เจริญสุรสกล / ภัทรพล นพสี / สุวชั ร จิตต์แจ่ม / สมาน ภูโ่ ค / วิชาติ วิชกําจร / นพดล จีนย้ าย / สุรพล ปิ� นทอง / เนวิน พิมพ์ทอง / ไกรลาศ สุกสะอาด / สุริยนต์ มิตรชอบ / บุญเกิด ดาวสุข / นิตย์ ปอน้ อย / ไมตรี ควรขุนทด / โชคชัย ใจมัน� / นิพล ผดุงชาติ / ชุมนุม นุชบาง / ไพฑูล ปอน้ อย / สมบัติ ชุม่ ปก / วินยั เทียบษา / อภิวฒ ั น์ บริ พนั ธ์ / หนึง� คําภาวินิจ / คุณากร จําชาติ / อภิชยั สิงหชาติ / ปรเมศวร์ จิ �วโว / ครรชิต นันอุดร / พัฒนกุล ดอบุตร / อวน ขอนบกลาง / สุพจ รุณอากาศ / กิตติพงษ์ ไกรเพชร / ชัยชนะ พรมประเสริ ฐ / เอกชัย เอิบทวี / พล เพียรวิชา / สุดใจ ไชยยา / เสกน รูปจันทร์ / ปรี ชา รัตนโคตร / ธีรพล ดีทา่ โพธิ� / อดิเรก ผะอบสวรรค์ / รณฤทธิ� ม่วงไข่ / ประจวบ แสงสุทธิ / จารุภา พรหมสิทธิ� / อรอินทร์ แก้ วมุระสิวะ / � � รังสรรค์ กันมี / ยุทธศักดิ อัครพิน / ยุรเวท สวัสดินํา / มานู คชวงษ์ / ศักดิ�กมล ชลวานิช / สมชาย สารี วงษ์ / จักรกฤษ เณรเถา / ดิลก ทองฉอ้ อน / ธีรวัต ศรี อนุ่ ดี / วรรณารัตน์ อัจฉรารักษ์ / สาธินา เข้ มอาจ / สุภาภรณ์ คํามาก / จริ ยา บัวพันธ์ / เพชรปั ญญา ทุริดไธสง / วิเชียร มูฮําหมัดรอโซล / วัลลภ กุมภา / อนุรักษ์ พูนดังหวัง / อาคม พิมพา / สินธรรม สมพมิตร / พัฒนศักดิ� ใยขม / วัฒนา คลังแสง / อรรถพล ช้ อยเพ็ง / ธีระยุทธ มาลีคล้ าย / อธิพนั ธ์ ขวัญเจริ ญ / โชค พรหมมณี / นครินทร์ ลิ �มประภาศิริ / พิษณุ ชูใจ / พงศ์ดนัย กลํา� เทพ / พิมพ์วภิ า เอีย� มใจกล้ า / อารีรัตน์ ลิ �มประภาศิริ / จิรัชยา วังเสาร์ / วีระยุทธ กระเทศ / ธนดล เพ็ชร์ น้อย / พิษณุ สุวรรณสิงห์ / สุรสิทธิ� ยิง� ใจกล้ า / ธิตพิ นั ธุ์ อินทร์ งาม / สมนึก สายสุรินทร์ / พัฒนพงษ์ พลายเปี ย / ศุภชัย นิยมมาก / ธีรพงษ์ ศรี ระอุดม / สุริยาวุธ บุญมี / เอื �อมพร ชัยสุริยะพันธ์ / สุรศักดิ� เวลาเกิด / เชิดชัย ฉายเพ็ชร / วิรัตน์ ทองคําสุก / ชัยวัฒน์ โลมาธร / ปานทิพย์ ป้ายจัตรุ ัส / กําธร จรหนู / สถาพร เผือกสมจิตร์ / วงศกร พรรณา / เสาวลักษณ์ เสวิสทิ ธิ� / ณัฐพล รสชเอม / วิทยา ภักดีพนั ธ์ / ธงชัย สาระรัตน์ / ประกรศักดิ� นเรศร์ / อุบล โสดา / อมร พรมทอง / เอกพณธ์ ชนะภัย / นิกร มะลี / ทวีศกั ดิ� พระเวียงคํา / นรากร กางร่มกลาง / วันชัย เดชฤทธิ� / อรรถพล ถุงทรัพย์โต / สุนยี ์ สมรุด / วรายุทธ์ บุญเวียง / จิระพร กลัน� สวน / สุดารัตน์ ภูส่ งู / การะเกด นิยะนัน / คุณากรณ์ เสือเทศ / ศรายุทธ โคธิเสน / สุพฌ ิ า เกิดพุม่ / จตุพร พันธิทกั ษ์ / มานะชัย บุ้งทอง / ศรีวลี ประทุมเมศร์ / ชยพล กล่อมเจริญ / ธีระภัส รักหนองเป็ ด / ชูยศ โหมดเจริ ญ / อัมพันธ์ เหลาโชติ / สรศักดิ� อนุพนั ธ์ / ขวัญฤทัย คําผง / อารี รัตน์ วงษ์ ใหญ่ / สิรินทร พรมดวง / สมโชค ขาวรามัญ / รุ่งนภา พ่วงสกุล / ธมนรัชต์ ทองสุขอําไพ / ชุตมิ า แช่มรักษา / สมโชค ปานเจริ ญ � / ปรี ยะนัส ปิ ยมาตย์ / ทรงพล ป่ าไม้ / อธิกฤตดิ ชัยไพริ นศิริ / ตะวันนา แหวนทอง / ธิตพิ งษ์ บ่มกลาง / ฉันทนา เซ็งเพรี ยว / ละมุน อุตตราช / อุไร ป้อมทอง / สมาน กันหา / อัมพร กลิน� ช้ อย / อรสา คําเขียว / นํ �าฝน สายสุรินทร์ / นิสา มีคล้ าย / พันทิชา บานเย็น / ภาคภูมิ จิตชุม่ / ธงไชย โพธิ�วรรณ / ปภัสสร โพธิเปรม / วันชัย ตามสมัย / ธิดาพร ดูเหมาะ / สิทธิชยั สี�เกษร / รุ่งฤดี วุฒิชา / ทองลา วงษ์ วนั / ชฎาภรณ์ ภูส่ งู / ภัทราภรณ์ ญญาโภชน์ / สุพรรษา สีหะจันทร์ / ดอกเตย จันทร์ เพ็ง / สิทธิชยั เกริ กมณี / ชูเกียรติ กิจเจริ ญโชค / สุชาติ คํามูล / พรสุดา สุมงั ฆะเศษ / วีรเทพ ขวัญวงศ์ / ศุภกิจ ปิ� นสุวรรณ / มนัสนันท์ ลิ �มประภาศิริ / ณัฐวุฒิ สิริจิตตานนท์ / เสถียร จันทนานุวฒ ั น์กลุ / พัชราวรรณ เขตรจันทึก / สรพงศ์ ลอยสูงเนิน / ทวีป เสมศรี / มานะชัย พาเที�ยง / ดํารงศักดิ� จันทนานุวฒ ั น์กลุ / ถิรศักดิ� คงเพชร / พิลาศลักษณ์ ด้ วงพิบลู ย์ / ศักดิ�ดา เทพธานี / นิภาวรรณ คารมสม / จิราภรณ์ นวลปลัง� / พัชริ นทร์ สังข์ประเสริ ฐ / ชลธิชา สังข์สําราญ / บังเอิน ผิวอ่อน / ชญาดา พงษ์ โอสถ / สุวิมล จิตต์ชมุ่ / ศุจีภรณ์ สกุลเจริ ญพร / นนทนันท์ กุลหอม / กนิษฐ์ นนั ท์ ชื�นสว่าง / บุญสม ปิ� นแก้ ว / วิชชุดา หน่อยศ / แมน หินสุข / สราวุธ วะเรื อนไธสง / จารุวิทย์ วิจิตรประชา / สุริยนั ญ์ มงคลเกิด / นฤชล อรรถโสภา / ขนิษฐา โพธิรังสกุล / นิพฒ ั น์ ดียิ�ง / บัญชา ค่อนดี / สิทธิชยั อรรถโสภา / พลประสิทธิ� วนสินธุ์ / วุฒิพนั ธ์ จันทะวงค์ / สัมพันธ์ อินทสังข์ / บุญธรรม ห่วงรัก / พงษ์ ธร น้ อยเทียม / ณัฐชา แสนสําอางค์ / งามจิต บอยขุนทด / มาริ สา ศรี ตะนัย / รุ่งนภา ชากุทน / ปั ทมา เทศเพ็ญ / อํานวย ทองเหลือง / อัมพรรัตน์ อยูเ่ ย็น / สุทศั น์ ชะเอม / พิสมัย ฮมภาลาด / ระพิน สุดเลี�ยม / ศักดา มัจจุรัง / กุลสิ รา นาร่อง / สมชาย ชํานาญกิจ / ธิดารัตน์ โคตุทา / วิโรจน์ โพธิ�น้อย / ณรงค์ ดัสกร / เดชา ตาคํา / ศราวุฒิ พูลถม / ดํารงค์ฤทธิ� โพธิโชติ / อําพร คําฝอย / นงค์นชุ ดาเอก / มัตธุลดา ปลื �มกมล / บุษกร เกลี �ยงหนามเตย / สปั นนา บุญเดช / อุทยั วรรณทอง / อพัชชา จักรเพ็ชร / สมัย กาวี / วิราสินี หลอดแก้ ว / มีนา พระงาม / ลําเพย แพประจักษ์ / สุภสั สร สวัสดิสขุ / วิชาญ แก้ วไทรหาญ / สุมาลี พักโพธิ� / สันติ พักโพธิ� / สิทธิศกั ดิ� รักษ์ ธรรม / ลําเพย มหานิยม / วนิดา ใจธรรม / ปราณี ชีกรรแสง / สุรสิทธิ� สุวงศ์ / นันทนา ค่อนดี / นิภาพร จันทําโรง / สมพร งามบุญรัตน์ / นฤพร ประสงค์ / เจนจิรา แสงศรี / จินต์จฑุ า สัมมามิตร์ / เสกสิทธิ� พรมหาญ / ประภาพร พรมชมภู / สุภาพร สันติวงษ์ / วิโรจน์ อนุรัตน์ / ลักขณา ปั ญญาแก้ ว / สุกญ ั ญา พลวงศรี / วิลาวรรณ บุญมัน� / มยุรา เขื�อนแก้ ว / ภูวนาถ บุญสม / นันทวรรณ ปรัชญาวิวฒ ั น์ / จิราภรณ์ ลาภบรรเทิง / นงลักษณ์ งามสมเกล้ า / สุชนิ กบเผือก / ยุลี บุตรพรม / เสาวลักษณ์ ฤาษีประสิทธิ� / บังอร ราชภักดี / นุสรา ภูร่ ะย้ า / นวล ศรีโกศล / สายทอง ประชุม / นฤนาท อินทร์ พรมราช � � / ปรางทิพย์ จิตเฉลียว / มาริสา บุญอุน่ / เพลินทิพย์ คําสุก / กชพร แก้ วนํ �าอ่าง / บัวใหล ค้ าขาย / ณัฐรัตน์ อยูเ่ ปรม / เสริมศักดิ ลายบัว / มนตรี ศรสิทธิ / แสวง เขาวงษ์ / ธนะชัย บุญแก้ ว / สมภพ สุขอารมย์ / สุรพงค์ ทองใบ / มานัต พวงขจร / อัศนัย สมพิศ / พงศกร เจริ ญมี / ศักดิ�ดา ทองแดงล้ วน / จักรพงษ์ ภูผา / สุกฤษฎิ� เจตานนท์ / ปนิชา พราหมณี / สุปราณี ร่าหมาน / ภัทรพร อธิวงศ์ / ธัญรัตน์ เทพสุวรรณ / อิสราภรณ์ หะนุการ / ดวงดาว ชูมณี / พงษ์ นเรศ ศรี แสนงาม / พงศกร ชุมจันทร์ / อนุชา ตรี สขุ / วัชริ นทร์ เผือกภูมิ / ลิลฎา คงขันธ์


๙ คําพอสอน |

๕๑

“ชีวิตของคนเราก็ตาม ชีวิตของหมูคณะก็ตาม หรือประเทศชาติก็ตาม ก็ยอมตองประสบความเจริญและความเสื่อม สลับกันไปเปนธรรมดา ทุกคนก็ทราบดีวา ในชีวิตของแตละคนก็ผานเวลาที่เปนสุขและบางทีก็มีความทุกข อันนี้เปนประเทศชาติก็เชนเดียวกัน ก็มีความสุขบาง มีความทุกขบาง แตก็ขออยาใหมากเกินไป เพราะถามากเกินไป แมสุขมากเกินไปก็ทําใหคนเราไมสบายไดเหมือนกัน แตวาถาทุกขมาก ความเปนอยูของคนเราอยูไมได มันตรอมใจ ไมมีกําลังใจ ลงทายก็ลมจม” พระราชดํารัส พระราชทาน เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๔ ธันวาคม ๒๕๓๖


๕๒ | ๙ คําพอสอน

“รักที่มีใหพอ...มากมายขนาดไหน

ก็ไมถึงเสี้ยวหนึ่ง...ที่พอรักเรา”


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.