8858649121530

Page 1

คูมือครู 㪌»ÃСͺ¡ÒÃÊ͹ËÇÁ¡Ñº

˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ©ºÑº »ÃСѹÏ

ภาพปกนี้มีขนาดเทากับหนังสือเรียนฉบับจริงของนักเรียน

กระบวนการสอนแบบ 5 Es ชวยสรางทักษะการเรียนรู กิจกรรมมุงพัฒนาทักษะการคิด คำถาม + แนวขอสอบเพื่อยกผลสัมฤทธิ์ O-NET กิจกรรมบูรณาการเตรียมพรอมสู ASEAN 2558


เอกสารประกอบคูมือครู

กลุมสาระการเรียนรู สุขศึกษาและพลศึกษา

สุขศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่

4

สําหรับครู

คูมือครู Version ใหม

ลักษณะเดน

ขยายพื้นที่รูปเลมใหญขึ้นกวาเดิม จัดแบงพื้นที่ออกเปนโซน เพื่อคนหาขอมูลไดงาย สะดวก รวดเร็ว และดูเปนระเบียบ กระตุน ความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู Explain

ขยายความเขาใจ Expand

ตรวจสอบผล

กระตุน ความสนใจ

Evaluate

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู Explain

ขยายความเขาใจ Expand

ตรวจสอบผล Evaluate

เปาหมายการเรียนรู สมรรถนะของผูเรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค

หน า

โซน 1 กระตุน ความสนใจ

Engage

สํารวจคนหา

Explore

อธิบายความรู

Explain

ขยายความเขาใจ

Expand

ตรวจสอบผล

หน า

หนั ง สื อ เรี ย น

โซน 1

หนั ง สื อ เรี ย น

Evaluate

ขอสอบเนน การคิด

แนว  NT  O-NE T

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

O-NET บูรณาการเชื่อมสาระ

เกร็ดแนะครู

ขอสอบ

โซน 2

โซน 3

กิจกรรมสรางเสริม กิจกรรมทาทาย

นักเรียนควรรู

โซน 3

โซน 2 บูรณาการอาเซียน มุม IT

No.

คูมือครู

คูมือครู

No.

โซน 1 ขั้นตอนการสอนแบบ 5Es

โซน 2 ชวยครูเตรียมสอน

โซน 3 ชวยครูเตรียมนักเรียน

เพื่อใหครูเตรียมจัดกิจกรรมการเรียน การสอน โดยแนะนําขั้นตอนการสอนและ การจัดกิจกรรมแบบ 5Es อยางละเอียด เพื่อใหนักเรียนบรรลุตามตัวชี้วัด

เพื่อชวยลดภาระครูผูสอน โดยแนะนํา เกร็ดความรูสําหรับครู ความรูเสริมสําหรับ นักเรียน รวมทั้งบูรณาการความรูสูอาเซียน และมุม IT

เพื่อใหครูสะดวกตอการจัดกิจกรรม โดย แนะนํากิจกรรมบูรณาการเชือ่ มระหวางสาระหรือ กลุมสาระการเรียนรู วิชา กิจกรรมสรางเสริม กิจกรรมทาทาย รวมถึงเนื้อหาที่เคยออกขอสอบ O-NET แนวขอสอบ NT/O-NET ทีเ่ นนการคิด พรอมเฉลยและคําอธิบายอยางละเอียด


ที่ใชในคูมือครู

แถบสีและสัญลักษณ

แถบสีแสดงขั้นตอนการสอนและการจัดกิจกรรม แบบ 5Es เพื่อใหครูทราบวาเปนขั้นการสอนขั้นใด

1. แถบสี 5Es สีแดง

สีเขียว

กระตุน ความสนใจ

เสร�ม

สํารวจคนหา

Engage

2

เปนขั้นที่ผูสอนเลือกใช เทคนิคกระตุน ความสนใจ เพื่อโยง เขาสูบทเรียน

สีสม

อธิบายความรู

Explore

เปนขั้นที่ผูสอน ใหผูเรียนสํารวจ ปญหา และศึกษา ขอมูล

สีฟา

Explain

เปนขั้นที่ผูสอน ใหผูเรียนคนหา คําตอบ จนเกิดความรู เชิงประจักษ

สีมวง

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Expand

Evaluate

เปนขั้นที่ผูสอน ใหผูเรียนนําความรู ไปคิดคนตอๆ ไป

เปนขั้นที่ผูสอน ประเมินมโนทัศน ของผูเรียน

2. สัญลักษณ สัญลักษณ

วัตถุประสงค

• เปาหมายการเรียนรู

• หลักฐานแสดง ผลการเรียนรู

• เกร็ดแนะครู

แทรกความรูเสริมสําหรับครู ขอเสนอแนะ ขอควรระวัง ขอสังเกต แนวทางการจัด กิจกรรมและอืน่ ๆ เพื่อประโยชนในการ จัดการเรียนการสอน ขยายความรูเพิ่มเติมจากเนื้อหา เพื่อให ครูนําไปใชอธิบายเพิ่มเติมใหนักเรียน ไดมีความรูมากขึ้น

ความรูห รือกิจกรรมเสริม ใหครูนาํ ไปใช เตรียมความพรอมใหกบั นักเรียนกอนเขาสู ประชาคมอาเซียนใน พ.ศ. 2558 โดย บูรณาการกับวิชาทีก่ าํ ลังเรียน

บูรณาการอาเซียน

คูม อื ครู

แสดงรองรอยหลักฐานตามภาระงาน ที่ครูมอบหมาย เพื่อแสดงผลการเรียนรู ตามตัวชี้วัด

• นักเรียนควรรู

มุม IT

แสดงเปาหมายการเรียนรูที่นักเรียน ตองบรรลุตามตัวชี้วัด ตลอดจนสมรรถนะ ที่จะตองมี และคุณลักษณะที่พึงเกิดขึ้น กับนักเรียน

แนะนําแหลงคนควาจากเว็บไซต เพื่อให ครูและนักเรียนไดเขาถึงขอมูลความรู ที่หลากหลาย ทั้งไทยและตางประเทศ

สัญลักษณ

ขอสอบ

วัตถุประสงค

O-NET

(เฉพาะวิชา ชัน้ ทีส่ อบ O-NET)

ขอสอบเนน การคิด

แนว  NT  O-NE T (เฉพาะระดับชัน้ มัธยมศึกษาตอนตน)

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET (เฉพาะระดับชัน้ มัธยมศึกษาตอนปลาย)

บูรณาการเชื่อมสาระ

กิจกรรมสรางเสริม

• ชีแ้ นะเนือ้ หาทีเ่ คยออกขอสอบ

O-NET โดยยกตัวอยางขอสอบ พรอมวิเคราะหคาํ ตอบ อยางละเอียด

• เปนตัวอยางขอสอบทีม่ งุ เนน

การคิดและเปนแนวขอสอบ NT/O-NET ในระดับมัธยมศึกษา ตอนตน มีทงั้ ปรนัย - อัตนัย พรอมเฉลยอยางละเอียด

• เปนตัวอยางขอสอบทีม่ งุ เนน

การคิดและเปนแนวขอสอบ O-NET ในระดับมัธยมศึกษา ตอนปลาย มีทงั้ ปรนัย - อัตนัย พรอมเฉลยอยางละเอียด

• แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม

เชือ่ มกับสาระหรือกลุม สาระ การเรียนรู ระดับชัน้ หรือวิชาอืน่ ทีเ่ กีย่ วของ

• แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม ซอมเสริมสําหรับนักเรียนทีค่ วร ไดรบั การพัฒนาการเรียนรู

• แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม กิจกรรมทาทาย

ตอยอดสําหรับนักเรียนทีเ่ รียนรู ไดอยางรวดเร็ว และตองการ ทาทายความสามารถในระดับ ทีส่ งู ขึน้


คําแนะนําการใชคูมือครู การออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอน คูม อื ครู รายวิชา สุขศึกษา ม.4 จัดทําขึน้ เพือ่ ใหครูผสู อนนําไปใชเปนแนวทางวางแผนการสอนเพือ่ พัฒนาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน และประกันคุณภาพผูเรียน ตามนโยบายของสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) โดยใช หนังสือเรียน สุขศึกษา ม.4 ของบริษัท อักษรเจริญทัศน อจท. จํากัด เปนสื่อหลัก (Core Material) ประกอบการสอนและ เสร�ม การจัดกิจกรรมการเรียนรูใ หสอดคลองกับมาตรฐานการเรียนรูแ ละตัวชีว้ ดั กลุม สาระการเรียนรู สุขศึกษาและพลศึกษา ตาม 3 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 โดยออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนตามหลักการสําคัญ ดังนี้ 1 ออกแบบการสอนเปนหนวยการเรียนรูอิงมาตรฐาน คูมือครู รายวิชา สุขศึกษา ม.4 วางแผนการสอนโดยแบงเปนหนวยการเรียนรูตามลําดับสาระ (Strand) และ หมายเลขขอของมาตรฐานการเรียนรูแ ละตัวชีว้ ดั แตละหนวยจะกําหนดเปาหมายการเรียนรูแ ละจุดประสงคการเรียนรู (Objective Learning) กิจกรรมการเรียนรู (Learning Activities) และแนวทางการประเมินผลการเรียนรู (Learning Evaluation) ไวชัดเจน ครูผูสอนสามารถจัดทําแผนการสอนใหครอบคลุมมาตรฐานการเรียนรู ตัวชี้วัด สมรรถนะ และคุณลักษณะ อันพึงประสงคที่เปนเปาหมายการเรียนรูตามที่กําหนดไวในสาระแกนกลาง (ตามแผนภูมิ) และสามารถบันทึกผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของผูเรียนแตละคนลงในเอกสาร ปพ.5 ไดอยางมั่นใจ แผนภูมิแสดงความสัมพันธขององคประกอบการออกแบบการเรียนรูอิงมาตรฐานและเนนผูเรียนเปนสําคัญ

พผ

ูเ

จุ ด ป ร

ะสง

คก า

ส ภา

รี ย น

รู ีเรยน

มาตรฐานการเรียนรู ตัวชี้วัดชวงชั้น

ทักษะการคิด การวัดประเมินผล การเรียนรู

กิจกรรมการเรียนรู

เทคนิคการสอน คูม อื ครู


2 การจัดการเรียนรูที่ยึดผูเรียนเปนสําคัญ แนวคิ ด ในการจั ด การเรี ย นการสอนที่ ยึ ด ผู  เ รี ย นเป น สํ า คั ญ พั ฒ นามาจากปรั ช ญาและทฤษฎี ก ารเรี ย นรู  Constructivism ที่เชื่อวา การเรียนรูเปนกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในสมองของผูเรียนแตละคน ผูเรียนเปนผูสรางความรู โดยการเชื่อมโยงระหวางสิ่งที่ไดเรียนรูจากบทเรียนใหมกับความรูหรือประสบการณเดิมที่มีอยู ทฤษฎีนี้มีความเชื่อวา ผูเรียนทุกคนไดเรียนรูและมีการสั่งสมความรูความเขาใจเกี่ยวกับสิ่งตางๆ ติดตัวมากอน ทีจ่ ะเขาสูห อ งเรียน ซึง่ เปนการเรียนรูท เี่ กิดจากประสบการณและสิง่ แวดลอมรอบตัวผูเ รียนแตละคน ดังนัน้ การจัดกิจกรรม เสร�ม การเรียนการสอนในแตละหนวยการเรียนรู ผูสอนจะตองคํานึงถึง

4

1. ความรูเดิมของผูเรียน วิธีการสอนที่ดีจะตองเริ่มตนจากจุดที่วา ผูเ รียนมีความรูอ ะไรมาบาง แลวจึงใหความรู หรือประสบการณใหม เพื่อตอยอดจาก ความรูเดิม นําไปสูการสรางความรู ความเขาใจใหม

2. ความรูเดิมของผูเรียนถูกตองหรือไม ผูส อนตองปรับเปลีย่ นความรูค วามเขาใจเดิม ของผูเรียนใหถูกตอง และเปนพฤติกรรม การเรียนรูใ หมทมี่ คี ณุ คาตอผูเรียน เพื่อสราง เจตคติหรือทัศนคติที่ดีตอการเรียนรู สิ่งเหลานั้น

3. ผูเรียนสรางความหมายสําหรับตนเอง ผูสอนตองสงเสริมใหผูเรียนนําความรู ความเขาใจที่เกิดขึ้นไปลงมือปฏิบัติ เพื่อขยายความรูใหลึกซึ้งและมีคุณคา ตอตัวผูเรียนมากที่สุด

แนวคิด Constructivism เนนใหผูเรียนสรางความรูโดยผานกระบวนการคิดและความอยากรูของตนเอง โดยมีผูสอนเปนผูสรางบรรยากาศ

การเรียนรูและกระตุนความสนใจ คอยจัดสถานการณใหผูเรียนเกิดความขัดแยงทางความคิดระหวางประสบการณเดิมกับประสบการณ ความรูใ หม เพือ่ กระตนุ ใหผเู รียนเชือ่ มโยงความรู ความคิด กับประสบการณทมี่ อี ยูเ ดิม แลวสังเคราะหเปนความรูห รือแนวคิดใหมๆ ไดดว ยตนเอง

3 การบูรณาการกระบวนการคิด การเรียนรูของผูเรียนแตละคนจะเกิดขึ้นที่สมอง ซึ่งเปนอวัยวะที่ทําหนาที่รูคิดภายใตสภาพแวดลอมที่เอื้ออํานวย และไดรบั การกระตนุ จูงใจอยางเหมาะสม สอดคลองกับสภาพจิตใจและความตองการของผูเ รียนแตละคน การจัดกิจกรรม การเรียนรูและสาระการเรียนรูที่สอดคลองกับความสนใจและมีความหมายตอผูเรียน จะชวยกระตุนใหสมองของผูเรียน สามารถรับรูและเรียนรูไดอยางมีประสิทธิภาพตามขั้นตอนการทํางานของสมอง ดังนี้ 1. สมองจะเรียนรูและสืบคน โดยการสังเกต คนหา ซักถาม และทดลอง ปฏิบัติ จนทําใหคนพบความรูความเขาใจ ไดอยางรวดเร็ว

2. สมองจะแยกแยะคุณคาของสิ่งตางๆ โดยการตัดสินใจวิพากษวิจารณ แสดง ความคิดเห็น ยอมรับหรือตอตานตาม อารมณความรูสึกที่เกิดขึ้นในขณะที่เรียนรู

3. สมองจะประมวลเนื้อหาสาระ โดยการสรุปเปนความคิดรวบยอดจาก เรื่องราวที่ไดเรียนรูใหมนําไปผสมผสานกับ ความรูห รือประสบการณเดิมทีถ่ กู จัดเก็บอยูใ น สมอง ผานการกลัน่ กรองเพือ่ สังเคราะหเปน ความรูค วามเขาใจใหมๆ หรือเปนทัศนคติใหม ที่จะเก็บบรรจุไวในสมองของผูเรียน

การเรียนรูที่มีประสิทธิภาพจึงตองเปนการเรียนรูที่เกิดจากกระบวนการคิดของผูเรียน เพราะการเรียนรูจะเกิดขึ้น เมื่อสมองรูคิด และตองเปนการคิดไดครบถวนตามขั้นตอนการทํางานของสมองผูเรียน โดยเริ่มตนจาก 1. ระดับการคิดพื้นฐาน ไดแก การสังเกต การจําแนก การคาดคะเน การสื่อความหมาย การรวบรวมขอมูล การสรุปผล เปนตน

คูม อื ครู

2. ระดับลักษณะการคิด ไดแก การคิดกวาง คิดลึกซึ้ง คิดไกล คิดหลากหลาย คิดคลอง คิดอยางมีเหตุผล เปนตน

3. ระดับกระบวนการคิด ไดแก กระบวนการคิดอยางมีวิจารณญาณ กระบวนการแกปญหา กระบวนการ คิดสรางสรรค กระบวนการคิดสังเคราะห เปนตน


5Es การจัดกิจกรรมตามขั้นตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es ขั้นตอนการสอนที่สัมพันธกับขั้นตอนการคิดและการทํางานทางสมองของผูเรียนที่นิยมใชอยางแพรหลาย คือ วัฏจักรการเรียนรู 5Es ซึ่งผูจัดทําคูมือครูไดนํามาใชเปนแนวทางออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนในแตละหนวย ตามลําดับขั้นตอนการเรียนรู ดังนี้ ขั้นที่ 1

กระตุนความสนใจ

(Engage)

เสร�ม

5

เปนขั้นที่ผูสอนนําเขาสูบทเรียน เพื่อกระตุนความสนใจของผูเรียนดวยเรื่องราวหรือเหตุการณที่นาสนใจโดยใชเทคนิควิธีการ และคําถามทบทวนความรูหรือประสบการณเดิมของผูเรียน เพื่อเชื่อมโยงผูเรียนเขาสูความรูของบทเรียนใหม ชวยใหผูเรียนสามารถ สรุปความสําคัญหัวขอและสาระการเรียนรูของบทเรียนได จึงเปนขั้นตอนการสอนที่สําคัญ เพราะเปนการเตรียมความพรอมและสราง แรงจูงใจใฝเรียนรูแกผูเรียน

ขั้นที่ 2

สํารวจคนหา

(Explore)

เปนขัน้ ทีผ่ สู อนเปดโอกาสใหผเู รียนลงมือศึกษา สังเกต หรือรวมมือกันสํารวจ เพือ่ ใหเห็นขอบขายของประเด็นหรือปญหา รวมถึง วิธีการศึกษาคนควา การรวบรวมขอมูลความรูที่จะนําไปสูการสรางความเขาใจประเด็นหรือปญหานั้นๆ เมื่อผูเรียนทําความเขาใจใน ประเด็นหรือปญหาที่จะศึกษาคนควาอยางถองแทแลว ก็ลงมือปฏิบัติเพื่อเก็บรวบรวมขอมูลความรู สํารวจตรวจสอบ โดยวิธีการตางๆ เชน สัมภาษณ ทดลอง อานคนควาขอมูลจากเอกสาร แหลงขอมูลตางๆ จนไดขอมูลความรูที่เกี่ยวของกับประเด็นหรือปญหาที่ศึกษา

ขั้นที่ 3

อธิบายความรู

(Explain)

เปนขั้นที่ผูสอนมีปฏิสัมพันธกับผูเรียน เชน ใหการแนะนํา ตั้งคําถามกระตุนใหคิด เพื่อใหผูเรียนคนหาคําตอบ และนําขอมูล ความรูจากการศึกษาคนควาในขั้นที่ 2 มาวิเคราะห สรุปผล และนําเสนอผลที่ไดศึกษาคนความาในรูปแบบสารสนเทศตางๆ เชน เขียนแผนภูมิ ผังมโนทัศน เขียนความเรียง เขียนรายงาน เปนตน ในขั้นตอนนี้ฝกใหผูเรียนใชสมองคิดวิเคราะหและสังเคราะห อยางเปนระบบ

ขั้นที่ 4

ขยายความเขาใจ

(Expand)

เปนขั้นที่ผูสอนเลือกใชเทคนิควิธีสอนตางๆ ที่สงเสริมใหผูเรียนนําความรูที่เกิดขึ้นไปคิดคนสืบคนตอๆ ไป เพื่อพัฒนาทักษะ การเรียนรูและการทํางานรวมกันเปนกลุม ระดมสมองเพื่อคิดสรางสรรครวมกัน ผูเรียนสามารถนําความรูที่สรางขึ้นใหมไปเชื่อมโยง กับประสบการณเดิมโดยนําขอสรุปทีไ่ ดไปใชอธิบายเหตุการณตา งๆ หรือนําไปปฏิบตั ใิ นสถานการณใหมๆ ทีเ่ กีย่ วของกับชีวติ ประจําวัน ของตนเอง เพื่อขยายความรูความเขาใจใหกวางขวางยิ่งขึ้น ในขั้นตอนนี้ฝกสมองของผูเรียนใหสามารถคิดริเริ่มสรางสรรคอยางมี คุณภาพ เสริมสรางวิสัยทัศนใหกวางไกลออกไป

ขั้นที่ 5

ตรวจสอบผล

(Evaluate)

เปนขัน้ ทีผ่ สู อนประเมินมโนทัศนของผูเ รียน โดยตรวจสอบจากความคิดทีเ่ ปลีย่ นไปและความคิดรวบยอดทีเ่ กิดขึน้ ใหม ตรวจสอบ ทักษะ กระบวนการปฏิบัติ การแกปญหา การตอบคําถามรวบยอด หรือการเคารพความคิดหรือยอมรับเหตุผลของคนอื่น เพื่อการ สรางสรรคความรูร ว มกัน ผูเ รียนสามารถประเมินผลการเรียนรูข องตนเอง เพือ่ สรุปผลวามีความรูอ ะไรเพิม่ ขึน้ มาบาง เกิดความเขาใจ มากนอยเพียงใด และจะนําความรูเหลานั้นไปประยุกตใชในการเรียนรูเรื่องอื่นๆ หรือในชีวิตประจําวันไดอยางไร ผูเรียนจะเกิดเจตคติ และเห็นคุณคาของตนเองจากผลการเรียนรูที่เกิดขึ้น ซึ่งเปนการเรียนรูที่มีความสุขอยางแทจริง

การจัดกิจกรรมการเรียนรูตามขั้นตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es จึงเปนรูปแบบการเรียนการสอนที่เนนผูเรียน เปนสําคัญอยางแทจริง เพราะสงเสริมใหผูเรียนไดเรียนรูตามขั้นตอนของกระบวนการสรางความรูดวยตนเอง และ ฝกฝนใหใชกระบวนการคิดและกระบวนการกลุมอยางชํานาญ กอใหเกิดทักษะชีวิต ทักษะการทํางาน และทักษะการ เรียนรูที่มีประสิทธิภาพ สงผลตอการยกระดับผลสัมฤทธิ์ของผูเรียน ตามเปาหมายของการปฏิรูปการศึกษาทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552-2561) ทุกประการ คูม อื ครู


O-NET การเพิ่มผลสัมฤทธิ์ O-NET

การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามขั้นตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es ในแตละหนวยการเรียนรู ทางผูจัดทํา จะเสนอแนะวิธีสอน รูปแบบกิจกรรมการเรียนรู พรอมทั้งออกแบบเครื่องมือวัดและประเมินผลที่สอดคลองกับตัวชี้วัด และสาระการเรียนรูแกนกลางไวทุกขั้นตอน โดยยึดหลักสําคัญ คือ หลักของการวัดและประเมินผล เสร�ม

6

1. การวัดและประเมินผลทุกครั้ง ควรนําผลมาปรับปรุงพัฒนาผูเรียน เปนรายบุคคล

2. การวัดและประเมินผลมี เปาหมาย เพื่อพัฒนาการเรียนรู ของผูเรียนจนเต็มศักยภาพ

3. การนําผลการวัดและประเมินผล ทุกครั้งมาวางแผนปรับปรุงกิจกรรม การเรียนการสอน การเลือกเทคนิค วิธีสอน และสื่อการเรียนรูให เหมาะสมกับสภาพจริงของผูเรียน

การทดสอบผูเรียน 1. การใชขอสอบอัตนัย เนนการอาน การคิดวิเคราะห และการเขียนเพิ่มมากขึ้น 2. การใชคําถามกระตุนการคิดควบคูกับการทําขอสอบที่เนนการคิดอยางตอเนื่องตามลําดับกิจกรรมการเรียนรู และตัวชี้วัด 3. การทดสอบตองดําเนินการทั้งกอนเรียน ระหวางเรียน และหลังเรียน การทดสอบควรใชขอสอบทั้งชนิดปรนัยและ อัตนัย และเปนการทดสอบเพื่อประเมินผลการเรียนของผูเรียนแตละคน เพื่อการสอนซอมเสริมใหบรรลุตัวชี้วัด ไดครบถวน 4. การสอบกลางภาค (ถามี) ควรนําแบบฝกหัดหรือขอสอบทีน่ กั เรียนสวนใหญไมสามารถตอบไดหรือไมครบถวนชัดเจน มา สรางเปนแบบทดสอบอีกครัง้ เพือ่ ตรวจสอบความรูค วามเขาใจทีถ่ กู ตอง และประเมินความกาวหนาของผูเ รียนแตละคน 5. การสอบปลายภาคเรียนเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามตัวชี้วัดที่สําคัญ ควรออกขอสอบใหมีลักษณะเดียวกับ ขอสอบ O-NET โดยเนนการคิดวิเคราะห สังเคราะห เชื่อมโยงประยุกตใช เพื่อสรางความคุนเคย และฝกฝน วิธีการทําขอสอบดวยความมั่นใจ 6. การนําผลการทดสอบของผูเรียนมาวิเคราะห โดยผลการสอบกอนการเรียนตองสามารถพยากรณผลการสอบ กลางภาค และผลการสอบกลางภาคตองทํานายผลการสอบปลายภาคของผูเ รียนแตละคน เพือ่ ประเมินพัฒนาการ ความกาวหนาของผูเรียนเปนรายบุคคล 7. ผลการทดสอบปลายป ปลายภาค ตองมีคาเฉลี่ยสอดคลองกับคาเฉลี่ยของการสอบ NT ที่เขตพื้นที่การศึกษา จัดสอบ รวมทั้งคาเฉลี่ยของการสอบ O-NET ชวงชั้นที่สอดคลองครอบคลุมมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดสําคัญ เพือ่ สะทอนประสิทธิภาพของครูผสู อนในการออกแบบการเรียนรูแ ละประกันคุณภาพผูเ รียนทีต่ รวจสอบผลไดชดั เจน การจัดการเรียนการสอนในแตละหนวยการเรียนรู ตองใหผูเรียนไดสั่งสมความรู ความเขาใจตามลําดับขั้นตอน ของกิจกรรมในวัฏจักรการเรียนรู 5Es เพื่อใหผูเรียนไดเติมเต็มองคความรูอยางตอเนื่อง จนสามารถปฏิบัติชิ้นงานหรือ ภาระงานรวบยอดของแตละหนวย ผานเกณฑประกันคุณภาพในระดับที่นาพึงพอใจ เพื่อรองรับการประเมินภายนอกจาก สมศ. ตลอดเวลา คูม อื ครู


ASEAN การเรียนรูสูประชาคมอาเซียน เพื่ออํานวยความสะดวกแกครูผูสอนในการจัดกิจกรรมการเรียนรูบูรณาการอาเซียนศึกษา ผูจัดทําไดวิเคราะห มาตรฐานการเรียนรู และตัวชี้วัดที่มีสาระการเรียนรูสอดคลองกับองคความรูเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนในแงมุมตางๆ ครอบคลุมทัง้ ประชาคมการเมืองและความมัน่ คงอาเซียน ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และประชาคมสังคมและวัฒนธรรม อาเซียน เพื่อสงเสริมการเรียนรูใหผูเรียนเกิดความตระหนัก มีความรูความเขาใจเหมาะสมกับระดับชั้นและกลุมสาระ การเรียนรู โดยเสนอแนะวิธีการจัดกิจกรรมบูรณาการเนื้อหาสาระตางๆ ที่เปนประโยชนตอผูเรียนและเปนการชวย เตรียมความพรอมผูเ รียนทุกคนทีจ่ ะกาวเขาสูก ารเปนสมาชิกของประชาคมอาเซียนไดอยางมัน่ ใจตามขอตกลงปฏิญญา เสร�ม ชะอํา-หัวหิน วาดวยความรวมมือดานการศึกษาเพือ่ บรรลุเปาหมายประชาคมอาเซียนทีเ่ อือ้ อาทรและแบงปน จึงกําหนด 7 เปนนโยบายใหกระทรวงศึกษาธิการจัดการเรียนรูเตรียมความพรอมผูเรียนเขาสูประชาคมอาเซียนภายในป พ.ศ. 2558 ตามแนวปฏิบัติที่สําคัญ ดังนี้

การจัดการเรียนรูส ู ประชาคมการเมืองและความมัน่ คงอาเซียน 1. การสรางความรูความเขาใจ และตระหนักถึงความสําคัญของ กฎบัตรอาเซียน และความรวมมือ ของ 3 เสาหลัก ซึง่ กฎบัตรอาเซียน ในขณะนี้มีสถานะเปนกฎหมายที่ ประเทศสมาชิกจะตองปฏิบัติตาม หลักการที่กําหนดไวเพื่อใหบรรลุ เปาหมายของกฎบัตรมาตราตางๆ

2. การสงเสริมหลักการ ประชาธิปไตยและการสราง สิ่งแวดลอมประชาธิปไตย เพื่อการอยูรวมกันอยางกลมกลืน ภายใตวิถีชีวิตอาเซียนที่มีความ หลากหลายดานสังคมและ วัฒนธรรม

4. การตระหนักในคุณคาของ สายสัมพันธทางประวัติศาสตร และมรดกทางวัฒนธรรมที่มี พัฒนาการรวมกัน เพื่อเชื่อม อัตลักษณและสรางจิตสํานึก ในการเปนประชากรของประชาคม อาเซียนรวมกัน

3. การสงเสริมการศึกษาดาน สิทธิมนุษยชน เพื่อสรางประชาคม อาเซียนใหเปนประชาคมเพื่อ ประชาชนอยางแทจริง สามารถ อยูรวมกันไดบนพื้นฐานการเคารพ ในคุณคาของศักดิ์ศรีแหงความ เปนมนุษยเทาเทียมกัน

5. การสงเสริมสันติภาพ ความ มั่นคง และความปรองดองในสังคม ทั้งระดับประเทศและภูมิภาคของ อาเซียนบนพื้นฐานสันติวิธีและการ อยูรวมกันดวยขันติธรรม

คูม อื ครู


การจัดการเรียนรูส ู ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน

เสร�ม

8

1. การพัฒนาทักษะการทํางาน เพื่อเสริมสรางผูเรียนใหมีทักษะ วิชาชีพที่จําเปนสอดคลองกับ ความตองการของตลาดแรงงาน และสถานประกอบการในอาเซียน สามารถเทียบโอนผลการเรียน และการทํางานตามมาตรฐานฝมือ แรงงานในภูมิภาคอาเซียน

2. การเสริมสรางวินัย ความรับผิดชอบ และเจตคติรักการทํางาน สามารถพึ่งพาตนเอง มีทักษะชีวิต ดํารงชีวิตอยางมีความสุข เห็นคุณคา และภูมิใจในตนเอง ในฐานะที่เปนพลเมืองไทยและ อาเซียน

3. การเรียนรูเพื่อพัฒนาตนเอง อยางตอเนื่องตลอดชีวิต ใหมี ทักษะการทํางานตามมาตรฐาน อาชีพ และคุณวุฒิของวิชาชีพสาขา ตางๆ เพื่อรองรับการเตรียมเคลื่อน ยายแรงงานมีฝมือและการเปน ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่ เขมแข็ง เพื่อสรางขีดความสามารถ ในการแขงขันในเวทีโลก

การจัดการเรียนรูส ู ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน 1. การเสริมสรางความรวมมือ ในลักษณะสังคมที่เอื้ออาทร ของประชากรอาเซียน โดยยึด หลักการสําคัญ คือ ความงดงาม ของประชาคมอาเซียนมาจาก ความแตกตางและหลากหลายทาง วัฒนธรรมที่ลวนแตมีคุณคาตอ มรดกทางวัฒนธรรมของอาเซียน ซึ่งประชาชนทุกคนตองอนุรักษ สืบสานใหยั่งยืน

2. การเสริมสรางคุณลักษณะ ของผูเรียนใหเปนพลเมืองอาเซียน ที่มีศักยภาพในการกาวเขาสู ประชาคมอาเซียนอยางมั่นใจ เปนผูที่มีสุขภาพสมบูรณแข็งแรง มีทักษะการสื่อสาร ทักษะการ ทํางาน ทักษะทางสังคม สามารถ ทํางานรวมกับผูอื่นไดอยาง สรางสรรค และมีองคความรู เกี่ยวกับอาเซียนที่จําเปนตอการ ดํารงชีวิตอยางมีคุณภาพ

4. การสงเสริมการเรียนรูดาน ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี วิถชี วี ติ ความเปนอยูข องเพือ่ นบาน ในอาเซียน เพื่อสรางจิตสํานึกของ ความเปนประชาคมอาเซียนและ ตระหนักถึงหนาที่ของการเปน พลเมืองอาเซียนรวมกัน

3. การสงเสริมการเรียนรูภาษา อังกฤษเพื่อการสื่อสารและการ ทํางานตามมาตรฐานอาชีพที่ กําหนดและสนับสนุนการเรียนรู ภาษาอาเซียนและภาษาเพื่อนบาน เพื่อชวยเสริมสรางสัมพันธภาพทาง สังคม และการอยูรวมกันอยางสันติ ทามกลางความหลากหลายทาง วัฒนธรรม

5. การสรางความรูและความ ตระหนักเกี่ยวกับดานสิ่งแวดลอม ปญหาและผลกระทบตอคุณภาพ ชีวิตของประชากรในภูมิภาค รวมทั้งแนวทางการพัฒนาอยาง ยั่งยืน ใหเปนมรดกสืบทอดแก พลเมืองอาเซียนในรุนหลังตอๆ ไป

กระทรวงศึกษาธิการจึงประกาศนโยบายการปฏิรูปการศึกษาทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552-2561) เพื่อเรงพัฒนาเด็ก และเยาวชนไทยใหเปนทรัพยากรมนุษยของชาติที่มีทักษะและความชํานาญ พรอมเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงและ การแขงขันทั้งในภูมิภาคอาเซียนและภูมิภาคอื่นๆ ของสังคมโลก ทั้งนี้ผูบริหารสถานศึกษา ครูผูสอน และผูปกครอง ควรรวมมือกันอยางใกลชิดในการดูแลชวยเหลือผูเรียนและจัดประสบการณการเรียนรูเพื่อพัฒนาผูเรียนจนเต็มศักยภาพ เพื่อกาวเขาสูการเปนพลเมืองอาเซียนอยางมีเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีความเปนมนุษยของตน คณะผูจัดทํา คูม อื ครู


ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง สาระที่ 1

สุขศึกษา (เฉพาะชั้น ม.4-6)*

การเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย

มาตรฐาน พ 1.1 เขาใจธรรมชาติของการเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย ตัวชี้วัด

สาระการเรียนรูแกนกลาง

1. อธิบาย • กระบวนการสรางเสริม กระบวนการสราง และดํารงประสิทธิภาพ เสริมและดํารง การทํางานของระบบ ประสิทธิภาพ อวัยวะตางๆ การทํางาน - การทํางานของระบบ ของระบบ อวัยวะตางๆ อวัยวะตาง ๆ - การสรางเสริมและ ดํารงประสิทธิภาพ ของอวัยวะตางๆ (อาหาร การออกกําลังกาย นันทนาการ การตรวจสุขภาพ ฯลฯ) 2. วางแผนดูแล • การวางแผนดูแล สุขภาพตาม สุขภาพของตนเองและ ภาวการณเจริญ บุคคลในครอบครัว เติบโตและ พัฒนาการของ ตนเองและบุคคล ในครอบครัว

หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน ชั้น ม.4

ชั้น ม.5

ชั้น ม.6

• หนวยการเรียนรูท ี่ 1 • หนวยการเรียนรูท ี่ 1 • หนวยการเรียนรูท ี่ 1 การทํางานของ ระบบหายใจ ระบบ ระบบประสาท ระบบผิวหนัง ไหลเวียนโลหิต ระบบสืบพันธุ และ ระบบกระดูก และระบบขับถาย ระบบตอมไรทอ และระบบ กลามเนือ้

• หนวยการเรียนรูท ี่ 2 • หนวยการเรียนรูท ี่ 2 การวางแผนดูแล การวางแผนดูแล สุขภาพของตนเอง สุขภาพของตนเอง และครอบครัว และครอบครัว

เสร�ม

9

-

หมายเหตุ : สําหรับสาระที่ 3 จะอยูในหนังสือเรียนพลศึกษา ม.4 ม.5 และ ม.6 ของ อจท. _________________________________ * สํานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, กระทรวงศึกษาธิการ. ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง กลุมสาระการเรียนรูสุขศึกษาและพลศึกษา. (กรุงเทพมหานคร : ชุมนุมสหกรณการเกษตรแหงประเทศไทย, 2551), หนา 7-47.

คูม อื ครู


สาระที่ 2

ชีวิตและครอบครัว

มาตรฐาน พ 2.1 เขาใจและเห็นคุณคาตนเอง ครอบครัว เพศศึกษา และมีทักษะในการดําเนินชีวิต ตัวชี้วัด

เสร�ม

10

1. วิเคราะหอิทธิพล ของครอบครัว เพื่อน สังคม และ วัฒนธรรมที่มี ผลตอพฤติกรรม ทางเพศและการ ดําเนินชีวิต 2. วิเคราะหคานิยม ในเรื่องเพศ ตาม วัฒนธรรมไทย และวัฒนธรรม อื่นๆ 3. เลือกใชทักษะ ที่เหมาะสมใน การปองกัน ลดความขัดแยง และแกปญหา เรื่องเพศและ ครอบครัว

สาระการเรียนรูแกนกลาง

ชั้น ม.5

ชั้น ม.6

• อิทธิพลของครอบครัว • หนวยการเรียนรูท ี่ 3 เพื่อน สังคม และ พฤติกรรมทางเพศ วัฒนธรรมที่มีตอ และการดําเนินชีวติ พฤติกรรมทางเพศ และ การดําเนินชีวิต

-

-

• คานิยมในเรื่องเพศ • หนวยการเรียนรูท ี่ 4 ตามวัฒนธรรมไทยและ คานิยมทางเพศกับ วัฒนธรรมอื่น ๆ วัฒนธรรม

-

-

-

• หนวยการเรียนรูท ี่ 3 ทักษะในการ ปองกัน ลดความ ขัดแยงและ แกปญ หาเรือ่ งเพศ และครอบครัว

-

• หนวยการเรียนรูท ี่ 5 สัมพันธภาพ ระหวางนักเรียน หรือเยาวชนใน ชุมชน

-

-

• แนวทางในการเลือก ใชทักษะตางๆ ในการ ปองกัน ลดความขัด แยง และแกปญหาเรื่อง เพศ และครอบครัว - ทักษะการสื่อสารและ สรางสัมพันธภาพ - ทักษะการตอรอง - ทักษะการปฏิเสธ - ทักษะการคิด วิเคราะห - ทักษะการตัดสินใจ และแกไขปญหา ฯลฯ 4. วิเคราะหสาเหตุ • ความขัดแยงที่อาจเกิด และผลของ ขึ้นระหวางนักเรียนหรือ ความขัดแยง เยาวชนในชุมชน ที่อาจเกิดขึ้น - สาเหตุของความขัดแยง ระหวางนักเรียน - ผลกระทบที่เกิดจาก หรือเยาวชนใน ความขัดแยงระหวาง ชุมชน และเสนอ นักเรียน หรือ แนวทางแกไข เยาวชนในชุมชน ปญหา - แนวทางในการแก ปญหาที่อาจเกิดจาก ความขัดแยงของ นักเรียนหรือเยาวชน ในชุมชน

คูม อื ครู

หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน ชั้น ม.4


สาระที่ 4

การสรางเสริมสุขภาพ สมรรถภาพและการปองกันโรค

มาตรฐาน พ 4.1 เห็นคุณคาและมีทักษะในการสรางเสริมสุขภาพ การดํารงสุขภาพ การปองกันโรค และการสรางเสริม สมรรถภาพเพื่อสุขภาพ ตัวชี้วัด

สาระการเรียนรูแกนกลาง

1. วิเคราะหบทบาท และความ รับผิดชอบของ บุคคลที่มีตอการ สรางเสริมสุข ภาพและการ ปองกันโรค ในชุมชน 2. วิเคราะห อิทธิพล ของสื่อโฆษณา เกี่ยวกับสุขภาพ เพื่อการเลือก บริโภค 3. ปฏิบัติตนตาม สิทธิของผูบริโภค

• บทบาทและความ รับผิดชอบของบุคคล ที่มีตอการสรางเสริมสุข ภาพและการปองกันโรค ในชุมชน

4. วิเคราะหสาเหตุ และเสนอแนวทาง การปองกันการ เจ็บปวยและการ ตายของคนไทย 5. วางแผนและ ปฏิบัติตาม แผนการพัฒนา สุขภาพของ ตนเองและ ครอบครัว

หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน ชั้น ม.4

ชั้น ม.5

ชั้น ม.6

-

-

• หนวยการเรียนรูท ี่ 2 การสรางเสริม สุขภาพและ การปองกันโรค ในชุมชน

-

• หนวยการเรียนรูท ี่ 4 สือ่ โฆษณากับ สุขภาพ

• อิทธิพลของสื่อโฆษณา เกี่ยวกับสุขภาพ • แนวทางการเลือก บริโภคอยางฉลาด และปลอดภัย • สิทธิพื้นฐานของผู บริโภคและกฎหมาย ที่เกี่ยวของกับการ คุมครองผูบริโภค • สาเหตุของการเจ็บปวย และการตายของคน ไทย เชน โรคจากการ ประกอบอาชีพ โรคทาง พันธุกรรม • แนวทางการปองกัน การเจ็บปวย • การวางแผนการพัฒนา • หนวยการเรียนรูท ี่ 2 สุขภาพของตนเอง การวางแผนดูแล ครอบครัว สุขภาพของตนเอง และครอบครัว

เสร�ม

11

• หนวยการเรียนรูท ี่ 4 • หนวยการเรียนรูท ี่ 4 สิทธิผบู ริโภค สือ่ โฆษณากับ สุขภาพ • หนวยการเรียนรูท ี่ 5 การเจ็บปวยและ การตายของ คนไทย

-

-

-

คูม อื ครู


ตัวชี้วัด

สาระการเรียนรูแกนกลาง

6. มีสวนรวมใน • การมีสวนรวมในการสง การสงเสริมและ เสริมและพัฒนาสุขภาพ พัฒนาสุขภาพ ของบุคคลในชุมชน ของบุคคลใน ชุมชน 7. วางแผนและ • การวางแผนพัฒนา ปฏิบัติตาม สมรรถภาพทางกาย แผนการพัฒนา และสมรรถภาพกลไก สมรรถภาพกาย และสมรรถภาพ กลไก

เสร�ม

12

สาระที่ 5

หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน ชั้น ม.4

ชั้น ม.5

ชั้น ม.6

• หนวยการเรียนรูท ี่ 2 การสรางเสริม สุขภาพและ การปองกันโรค ในชุมชน • หนวยการเรียนรูท ี่ 6 สมรรถภาพทาง กายและทางกลไก

-

-

-

ความปลอดภัยในชีวิต

มาตรฐาน พ 5.1 ปองกันและหลีกเลี่ยงปจจัยเสี่ยง พฤติกรรมเสี่ยงตอสุขภาพ อุบัติเหตุ การใชยา สารเสพติด และความ รุนแรง ตัวชี้วัด

1. มีสวนรวมในการ ปองกันความ เสี่ยงตอการใชยา การใชสารเสพติด และความรุนแรง เพื่อสุขภาพของ ตนเอง ครอบครัว และสังคม 2. วิเคราะหผล กระทบที่เกิดจาก การครอบครอง การใชและการ จําหนายสารเสพ ติด

คูม อื ครู

สาระการเรียนรูแกนกลาง

หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน ชั้น ม.4

ชั้น ม.5

ชั้น ม.6

• การจัดกิจกรรมปองกัน • หนวยการเรียนรูท ี่ 6 ความเสี่ยงตอการใชยา การใชยาและสาร สารเสพติด และความ เสพติด รุนแรง

-

-

• การวิเคราะหผลกระทบ • หนวยการเรียนรูท ี่ 6 ที่เกิดจากการครอบ การใชยาและสาร ครอง การใชและการ เสพติด จําหนายสารเสพติด (ตนเอง ครอบครัว เศรษฐกิจ สังคม) • โทษทางกฎหมายที่เกิด จากการครอบครอง การใชและการจําหนาย สารเสพติด

-

• หนวยการเรียนรูท ี่ 3 สารเสพติด


ตัวชี้วัด

สาระการเรียนรูแกนกลาง

3. วิเคราะหปจจัยที่ มีผลตอสุขภาพ หรือความรุนแรง ของคนไทยและ เสนอแนวทาง ปองกัน 4. วางแผน กําหนด แนวทางลด อุบัติเหตุ และ สรางเสริมความ ปลอดภัยใน ชุมชน 5. มีสวนรวมใน การสรางเสริม ความปลอดภัยใน ชุมชน 6. ใชทักษะการ ตัดสินใจ แกปญหาใน สถานการณที่ เสี่ยงตอสุขภาพ และความรุนแรง 7. แสดงวิธีการชวย ฟนคืนชีพอยาง ถูกวิธี

• ปจจัยที่มีผลตอสุขภาพ ของคนไทยและเสนอ แนวทางปองกัน

หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน ชั้น ม.4

ชั้น ม.5

ชั้น ม.6

-

• หนวยการเรียนรูท ี่ 7 ปจจัยทีม่ ผี ลตอ ความรุนแรงของ คนไทย

-

เสร�ม

13

• การวางแผน กําหนด แนวทางลดอุบัติเหตุ และสรางเสริมความ ปลอดภัยในชุมชน

-

-

• หนวยการเรียนรูท ี่ 5 การสรางเสริม ความปลอดภัย ในชุมชน

• กิจกรรมการสรางเสริม ความปลอดภัยในชุมชน

-

-

• ทักษะการตัดสินใจ • หนวยการเรียนรูท ี่ 7 แกปญ หาในสถานการณ ความรุนแรงใน ที่เสี่ยงตอสุขภาพ สังคม

-

• หนวยการเรียนรูท ี่ 5 การสรางเสริม ความปลอดภัย ในชุมชน -

• หนวยการเรียนรูท ี่ 8 การชวยฟน คืนชีพ

-

-

• วิธีการชวยฟนคืนชีพ อยางถูกวิธี

คูม อื ครู


จุดเนนการพัฒนาคุณภาพผูเรียน* การขับเคลื่อนหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2551 และการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษ ที่สอง (พ.ศ. 2552-2561) ใหประสบผลสําเร็จตามจุดเนนการพัฒนาคุณภาพผูเรียน โดยใหทุกภาคสวน รวมกันดําเนินการ กระทรวงศึกษาธิการไดกําหนดจุดเนนการพัฒนาคุณภาพผูเรียน ดังนี้ เสร�ม

14

ทักษะ ความสามารถ

คุณลักษณะ จุดเนนตามชวงวัย

ม. 4-6

แสวงหาความรู เพื่อแกปญหา ใชเทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู ใชภาษาตางประเทศ (ภาษาอังกฤษ) มีทักษะการคิดขั้นสูง ทักษะชีวิต ทักษะการสื่อสารอยางสรางสรรคตามชวงวัย

ม. 1-3

แสวงหาความรูดวยตนเอง ใชเทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู มีทักษะการคิดขั้นสูง ทักษะชีวิต ทักษะการสื่อสารอยางสรางสรรคตามชวงวัย

• อยูอยางพอเพียง

ป. 4-6

อานคลอง เขียนคลอง คิดเลขคลอง ทักษะการคิดขั้นพื้นฐาน ทักษะชีวิต ทักษะการสื่อสารอยางสรางสรรคตามชวงวัย

• ใฝเรียนรู

ป. 1-3

อานออก เขียนได คิดเลขเปน มีทักษะการคิดขั้นพื้นฐาน ทักษะชีวิต ทักษะการสื่อสารอยางสรางสรรคตามชวงวัย

• ใฝดี

• มุงมั่นในการศึกษา และการทํางาน

คุณลักษณะตามหลักสูตร

• รักชาติ ศาสน กษัตริย • ซื่อสัตยสุจริต • มีวินัย • ใฝเรียนรู • อยูอยางพอเพียง • มุงมั่นในการทํางาน • รักความเปนไทย • มีจิตสาธารณะ

* สํานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, กระทรวงศึกษาธิการ. แนวทางการนําจุดเนนการพัฒนาผูเรียน สูการปฏิบัติ. (กรุงเทพมหานคร : ชุมนุมสหกรณการเกษตรแหงประเทศไทย, 2553), หนา 3-10.

คูม อื ครู


คําอธิบายรายวิชา รายวิชา สุขศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 รหัสวิชา พ…………………………………

กลุมสาระการเรียนรู สุขศึกษาและพลศึกษา ภาคเรียนที่ 1-2 เวลา 40 ชั่วโมง/ป

ศึกษา วิเคราะห และอธิบายกระบวนการสรางเสริมและดํารงประสิทธิภาพการทํางานของระบบอวัยวะตางๆ วางแผน การดูแลสุขภาพตามภาวะการเจริญเติบโตและพัฒนาการของตนเองและบุคคลในครอบครัว วิเคราะหอิทธิพลของครอบครัว เสร�ม เพื่อน สังคม และวัฒนธรรมที่มีผลตอพฤติกรรมทางเพศและการดําเนินชีวิต คานิยมในเรื่องเพศตามวัฒนธรรมไทยและ 15 วัฒนธรรมอื่นๆ วิเคราะหสาเหตุและผลของความขัดแยงทีเ่ กิดขึน้ ระหวางนักเรียนหรือเยาวชนในชุมชน เพือ่ หาแนวทางและเลือกใช ทักษะที่เหมาะสมในการปองกันและลดความขัดแยง การแกปญหาเรื่องเพศและครอบครัวไดอยางมีประสิทธิภาพ วางแผน และปฏิบัติตามแผนการพัฒนาสุขภาพของตนเองและครอบครัว วิเคราะหผลกระทบที่เกิดจากการครอบครัว การใชและการ จําหนายสารเสพติด มีสวนรวมในการปองกันความเสี่ยงตอการใชยา การใชสารเสพติด และความรุนแรงเพื่อสุขภาพของ ตนเอง ครอบครัว และสังคม สามารถใชทกั ษะการตัดสินใจแกปญ หาในสถานการณทเี่ สีย่ งตอสุขภาพและความรุนแรง แสดง วิธีการชวยฟนคืนชีพอยางถูกวิธี เพื่อใหมีความรูความเขาใจ นําหลักการ แนวคิดไปปรับปรุงและนําไปปฏิบัติในการดูแลรักษาสุขภาพเพื่อพัฒนา คุณภาพชีวิตของตนเองและครอบครัว

ตัวชี้วัด พ 1.1 พ 2.1 พ 4.1 พ 5.1

ม.4-6/1 ม.4-6/1 ม.4-6/5 ม.4-6/1

ม.4-6/2 ม.4-6/2

ม.4-6/4

ม.4-6/2

ม.4-6/6

ม.4-6/7

รวม 10 ตัวชี้วัด

คูม อื ครู


ตาราง

วิเคราะหมาตรฐานการเรียนรูแ ละตัวชีว้ ดั รายวิชา สุขศึกษา ม.4

คําชี้แจง : ใหผูสอนใชตารางนี้ตรวจสอบความสอดคลองของเนื้อหาสาระการเรียนรูในหนวยการเรียนรูกับมาตรฐาน การเรียนรูและตัวชี้วัดชวงชั้น เสร�ม

16

มาตรฐานการเรียนรู สาระที่ 1 และตัวชี้วัด มาตรฐาน พ 1.1 ตัวชี้วัด หนวยการเรียนรู 1

หนวยการเรียนรูที่ 1 : การทํางานของระบบผิวหนัง ระบบกระดูกและระบบ กลามเน�้อ หนวยการเรียนรูที่ 2 : การวางแผนดูแลสุขภาพของ ตนเองและครอบครัว หนวยการเรียนรูที่ 3 : พฤติกรรมทางเพศ และการดําเนินชีวิต หนวยการเรียนรูที่ 4 : คานิยมทางเพศ กับวัฒนธรรม หนวยการเรียนรูที่ 5 : สัมพันธภาพระหวางนักเรียน หรือเยาวชนในชุมชน

2

สาระที่ 2 มาตรฐาน พ 2.1 ตัวชี้วัด 1

2

3

สาระที่ 4 มาตรฐาน พ 4.1 ตัวชี้วัด 4

1

2

3

4

สาระที่ 5 มาตรฐาน พ 5.1 ตัวชี้วัด 5

6

1

2

3

4

5

6

7

หนวยการเรียนรูที่ 6 : การใชยาและสารเสพติด

✓ ✓

หนวยการเรียนรูที่ 7 : ความรุนแรงในสังคม

หนวยการเรียนรูที่ 8 : การชวยฟนคืนชีพ

หมายเหตุ ✓ เฉพาะที่สอดคลองกับตัวชี้วัด ม.4 เทานั้น ตัวชี้วัดที่เหลือจะจัดการเรียนการสอนในชั้น ม.5 และ ม.6

คูม อื ครู

7


กระตุน ความสนใจ Engage

สํารวจคนหา Explore

อธิบายความรู Explain

ขยายความเขาใจ Expand

ตรวจสอบผล Evaluate

˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ÃÒÂÇÔªÒ¾×é¹°Ò¹

สุขศึกษา ม.๔ ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔

กลุมสาระการเรียนรูสุขศึกษา และพลศึกษา ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ผูเรียบเรียง

รศ.ดร. พรสุข หุนนิรันดร รศ.ดร. ประภาเพ็ญ สุวรรณ ผศ.ดร. สุรียพันธุ วรพงศธร ดร. อนันต มาลารัตน

ผูตรวจ

ผศ.ดร. ทรงพล ตอนี ผศ. รัตนา เจริญสาธิต นางสาวกัญจนณัฏฐ ตะเภาพงษ

บรรณาธิการ

รศ.ดร. จุฬาภรณ โสตะ นายสมเกียรติ ภูระหงษ พิมพครั้งที่ ๑๐

สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ ISBN : 978-616-203-087-1 รหัสสินคา ๓๔๑๔๐๐๓

¤Œ¹¤ÇÒÁÃÙŒ¢ÂÒ¤ÇÒÁ¤Ô´¨Ò¡

¾ÔÁ¾ ¤ÃÑ駷Õè ñ ÃËÑÊÊÔ¹¤ŒÒ óôôôððõ

EB GUIDE

ที่พิมพกํากับหัวขอสําคัญในหนังสือเรียนหลักสูตรแกนกลางฯ ผาน www.aksorn.com ไปยังแหลงความรูทั่วไทย-ทั่วโลก

( ดูผงั มโนทัศน ไดทปี่ กหลังดานใน)

คณะผูจัดทําคูมือครู เบญจพร ทองมาก ธงชัย หวลถึง


กระตุน ความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู

ขยายความเขาใจ

Explain

ตรวจสอบผล

Expand

Evaluate

¤íÒá¹Ð¹íÒ㹡ÒÃ㪌˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน สุขศึกษาเลมนี้ สรางขึ้นเพื่อใหเปนสื่อสําหรับใชประกอบการเรียน การสอนในรายวิชาพืน้ ฐาน กลุม สาระการเรียนรูส ขุ ศึกษาและพลศึกษา ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ ๔ โดยเนือ้ หาตรงตามสาระการเรียนรูแ กนกลางขัน้ พืน้ ฐาน อานทําความเขาใจงาย ใหทงั้ ความรูแ ละชวย พัฒนาผูเ รียนตามหลักสูตรและตัวชีว้ ดั เนือ้ หาสาระแบงออกเปนหนวยการเรียนรูต ามโครงสรางรายวิชา สะดวก แกการจัดการเรียนการสอนและการวัดผลประเมินผล พรอมเสริมองคประกอบอืน่ ๆ ทีจ่ ะชวยทําใหผเู รียนไดรบั ความรูอ ยางมีประสิทธิภาพ เนื้อหาตรงตามสาระการเรียนรู้แกนกลาง ให้ความรู้และเอื้อต่อการนíาไปใช้สอนเพื่อ ให้บรรลุตัวชี้วัด และสร้างคุ³ลักɳะ อันพÖงประสงค

ตัวชีว้ ดั และสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ตามทีห่ ลักสูตร จัดกลุ่มเนื้อหาเปšนหน่วยการเรียนรู้ กíาหนด เพื่อให้ทราบ¶Öงเป้าหมายในการÈÖกÉา สะดวกแก่การจัดการเรียนการสอน

ñ ¡Ò÷íÒ§Ò¹¢Í§Ãкº หน ว ยที่

ò. Ãкº¼ÔÇ˹ѧ

¼ÔÇ Ù¡ áÅÐÃÐ˺¹Ñ§ º¡

Ãкº¡Ãд

ÅŒÒÁà¹×éÍ

ตัวชี้วัด พ ๑.๑ ม.๔■

๖/๑ อธิ บ ายก ระบ ดํารงประสิท วนก ารส ร า งเสริ ม และ ธิ อวัยวะตางๆ ภาพการทํางานของระบบ

สาระการเรียนรู ■

แกนกลาง

กระ บวน การ ประ สิ ท ธิ ภ าพกสร า งเสริ ม และ ดํ า รง อวัยวะตางๆ ารทํ า งาน ของ ระบ บ - การทํางานข องระ - การสรางเสร บบอวัยวะตางๆ ิม ประสิทธิภาพขอและดํารง (อาหาร การอ งอวัยวะตางๆ นันทนาการ อกกําลังกาย การตรวจสขุ ภาพ ฯลฯ)

การเจริญเติบโตแ ละพฒ อยางครบถ ั นาการของ วนแ มนษุ ย เกิดจาก ประสานสัม ละสมบูรณ โดยรางก ปจจัยตางๆ พันธกัน อัน ายคนเราป หลายดา นซ ระกอบไปด ไดแ งึ่ สัมพันธกนั ระบบขับถา วยระบบ ย ระบบหายใ ก ระบบผิวหนัง ระบบก ระดูก ระบบก อวัยวะตางๆ ที่ทํางาน จ ระบบไห ตอมไรทอ ลเวียนโลหิ ซึ่งจะมีผลต ต ระบบประส ลามเนื้อ ระบบยอยอ อการเจริญ วัยทารก วัย าหาร เติ าท บ โตและพัฒนา เด็ก วัยรุ ระบบสืบพั นธุ และระ การของรา ระบบทุกระบ น วัยผูใหญ และวัยสูง บบ งกายในทุก อายุ บในรางกาย ๆ วัย ไมวา ชั้นนี้ จะกล จะเปน ลวนแตมีค าวเฉพาะระ วาม สํ า บบ คั ญต อวัยวะที่มีก ผิวหนัง ระบ ารทํางานสั บโครงกระด อรางกายดวยกันทั้งสิ มพันธกันอย ้น ในระดับ ูก และระบบ างเห็นไดชัด กลามเนื้อ ซึ่งเปนระบ บ

วย ผิวหนัง เล็บ และขน ซึ่งเปนอวัยวะ ระบบผิวหนังหรือระบบหอหุมรางกาย ประกอบด งเปนอวัยวะทีม่ พี นื้ ทีใ่ หญทสี่ ดุ ในรางกาย ซึง่ เมือ่ ทีท่ าํ หนาทีป่ กคลุมและปองกันรางกาย โดยผิวหนั และมีความหนาตางกันขึ้นอยูกับตําแหนงและ นํามาตอกันจะมีพื้นที่ประมาณ ๒ ตารางเมตร าก สวนบริเวณที่ใชงานนอยจะบางและ ลักษณะการใชงาน บริเวณที่ใชงานมากจะมีความหนาม ไวตอความรูสึก

๒.๑ โครงสรางของผิวหนัง

ยวะที่ประกอบดวยผิวหนัง (Skin) ระบบผิวหนัง หรือระบบหอหุมรางกาย เปนระบบอวั วะทีม่ ขี นาดมากทสี่ ดุ ในรางกาย ครอบคลุมพืน้ ที่ และอนุพนั ธของผิวหนัง โดยทีผ่ วิ หนังนัน้ เปนอวัย างกายมีความหนาประมาณ ๑-๒ มิลลิเมตร ซึ่ง ประมาณ ๒ ตารางเมตร ผิวหนังสวนใหญของร ประกอบดวย ง

แผนผังแสดงโครงสรางของระบบผิวหนั

ะมีการ หนังกําพรา (Epidermis) ผิวหนังชั้นนี้จ หลุดลอกเปนขีไ้ คล แลวมีการสรางใหมขนึ้ มาทดแทน างกัน เรื่อยๆ ซึ่งผิวหนังของแตละคนจะมีสีที่แตกต า กกันว โดยที่ปจจัยหนึ่งนั้นขึ้นอยูกับเซลลเม็ดสีที่เรีย “เมลานิน” ซึ่งอยูในชั้นผิวหนังสวนนี้

ตอมไขมัน (Sebaceous gland) ทําหนาที่สรางไขมัน ชวยทําใหเสนผม เสนขน เปนมันเงางาม ผิวหนังชุมชื้น ไมแตกกระดาง ปองกันการระเหยของนํ้า ออกจากรางกาย

EB GUIDE

Design หน้าแบบใหม่ สวยงาม พิมพ ๔ สี ตลอดเล่ม ช่วยให้อ่านทíาความเข้าใจได้ง่าย ๑. องค์ประกอบของร่างกายมนุษย์

่มจากระดับโมเลกุล ระดับเซลล์ มนุษย์มีโครงสร้างการท�างานของร่างกายที่ซับซ้อน โดยเริ นว่า “ระบบอวัยวะ” ซึง่ ประกอบ ระดับเนือ้ เยือ่ และระดับอวัยวะ โดยโครงสร้างทุกระดับนีเ้ รียกรวมกั ด้วยหน่วยย่อยหลายอย่าง

๑.๑ โครงสร้างของร่างกาย

ซึ่งยึดเข้ากันด้วยพันธะ ร่างกายมนุษย์ประกอบขึ้นจากส่วนที่เล็กที่สุด คือ “อะตอม” โครงสร้างของเซลล์ วกันเป็น ต่างๆ กลายเป็นโมเลกุล และแต่ละโมเลกุลก็จะมีการจัดรวมตั เหล่านี้จะมีทั้งที่ โดยเซลล์ ย์ ษ ซึ่งถือว่าเป็นหน่วยที่เล็กที่สุด เป็นตัวก�าหนดการมีชีวิตของมนุ วนใหญ่ไม่ได้อยูอ่ ย่างอิสระ หาก ท�าหน้าทีเ่ หมือนกัน และแตกต่างกันออกไป แต่เซลล์ของร่างกายส่ โดยกลุม่ เซลล์ เซลล์ ่ ม กลุ น เป็ น กั ด ติ ด จะยึ น กั ง ยคลึ า เป็นเซลล์ทมี่ โี ครงสร้าง หน้าที ่ และต้นก�าเนิดคล้ ียกว่า “เนื้อเยื่อ” ซึ่งมี ๔ ชนิด คือ ที่ท�าหน้าที่เหมือนกันหรือท�าหน้าที่อย่างเดียวกัน เราจะรวมเร

๓. เนื้ อ เยื่ อ กล้ า มเนื้ อ ท� ำ หน้ ำ ที่ เ กี่ ย วกั บ กำร เคลื่อนไหวของร่ำงกำยและอวัยวะต่ำงๆ ซึ่งเกิด จำกกำรหดตัวและคลำยตัวของกล้ำมเนื้อ

ต อ มเหงื่ อ (Sweat gland) ทําหนาทีส่ รางเหงือ่ ทีป่ ระกอบไปดวยนํา้ และเกลือแร เพือ่ ชวยระบายความรอนภายใน รางกายใหสมดุล

http://www.aksorn.com/LC/He/M4/01

๑) การออกก�าลังกาย การออกก�าลังกายเป็นสิ่งที่ส�าคัญส� าหรับมนุษย์ เพราะจะ ช่วยท�าให้รา่ งกายแข็งแรงและพัฒนาทั ง้ ในส่วนของความทนทานของกระดู ก รวมถึงการพัฒนาใน ส่วนของกล้ามเนือ้ และช่วยท�าให้หวั ใจและป แข็งแรงขึน้ ด้วย การออกก�าลังกายสาม อด ารถทีจ่ ะ หัดได้ตั้งแต่ในวัยทารก โดยอาจให้ท ารกเล่นใน สนามเด็กเล่น หรือบนพื้นที่ที่สามารถ ดูแลได้ ทั่ ว ถึ ง เมื่ อ อยู ่ ใ นวั ย เด็ ก เล็ ก ก็ ใ ห้ เ ล่ น เครื่ อ ง เล่นต่างๆ นอกบ้าน และเมื่อโตขึ้น ก็ควรออก ก�าลังกายโดยเล่นกีฬาประเภทต่างๆ ให้ มากขึน้ โดยเฉพาะการเล่นกีฬากลางแจ้ง ในช่วงเช้า ซึ่งจะท�าให้ร่างกายได้รับวิตามินดีอีก ด้วย ๒) กา รบริ โ ภคอา หารที ่มีสาร อาหารครบถ้วนและถกู ต้อง โดยเฉพาะอาหา ร ที่มีวิตามินดีและแคลเซียม ตลอดจ นโปรตีน ปลาเล็กปลาน้อยที่สามารถรับประทาน ได้ทั้งตัว เป็น ซึ่งเป็นสารอาหารที่จ�าเป็นต่อการเจร ิญเติบโต แหล่งอาหารที่มีแคลเซียมสูง และการด�ารงชีวติ ของมนษุ ย์ ส�าหรับ ในวัยทารก อาหารทมี่ คี ณุ ค่ามากทีส่ ดุ คือ น�า้ นมแม่ และเมือ่ เติบโตขึน้ ก็ควรรับประทานอาหารใ โดยพบว่าอาหารที่มีสารอาหารประเ ห้ครบทุกประเภท ภทโปรตีนและแคลเซียมสูง จะมีส่ว นในการเจริญเติบโตและ สร้างความแข็งแรงของเซลล์กระดูก ได้มาก

เกร็ดน่ารู้ ตากแดดวันละนิดพิชิตกระดูก พรุน การตากแดดเป็นการสร้างวิตามิ นดีให้กับร่างกาย เพราะในแสงแดด ฮอร์โมนพาราไทรอยด์ (Parathy จะมีวิตามินดีที่ไปช่วยยับยั้งการหลั roid) ซึ่งเป็นฮอร์โมนอันตรายที ่ง ่จะไปสลายแคลเซียมออกจากกระดู สร้างสารออสธีโอแคลซิน (Osteoc ก และช่วย alcin) ที่จะไปช่วยดึงแคลเซียมเข้ ามาในกระดูก รวมถึงช่วยสร้างกล้ ให้ แข็ ง แรง อี ก ทั้ ง ยั ง ช่ ว ยป้ อ งกั ามเนื้อ น โรคกระดู ก พรุ น และช่ ว ยลดควา มเสี่ ย งของกา รหกล้ ม เมื่ อ เติ บ โตเป็ สูงวัยต่อไปได้อีกด้วย น ผู ้ ใ หญ่ ส�าหรับช่วงเวลาทีเ่ หมาะสมต่อการรั บแสงแดด คือ ช่วงเวลาตัง้ แต่ ๐๖.๐๐ เพราะเป็นช่วงเวลาที่แสงแดดไม่จ - ๐๘.๐๐ น. และ ๑๖.๐๐ - ๑๘.๐๐ ัดและไม่เป็นอันตรายต่อผิวหนังมากเกิ น. นไป

Web guide แนะนíาแหล่งค้นคว้าข้อมูล เพิ่มเติมผ่านระบบ Online

เกริ่นนíาเพื่อให้เข้าใจ¶Öงสาระสíาคัญ ในหน่วยที่จะเรียน

๑. เนื้อเยื่อบุผิว เป็นเนื้อเยื่อที่บุผิวด้ำนนอกของ ร่ำงกำย หรือบุผวิ ของอวัยวะต่ำงๆ มีหน้ำทีป่ อ้ งกัน อวัยวะต่ำงๆ จำกสิ่งแวดล้อมภำยนอก

ชั้น หนังแท (Dermis) ผิวหนังชั้นนี้จะอยูภายใต ชั้ น ของ ของหนั ง กํ า พร า และมี ค วามหนามาก กว า ีลักษณะ หนังกําพรามาก โดยจะมีเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่ม วหนังไว ของผิ งๆ า นประกอบต ว ส ด คอยยึ ว ย เหนี สึกตางๆ เชน หลอดเลือดฝอย เสนประสาทรับความรู เปนตน รากขนหรือรากผม ตอมเหงื่อ ตอมไขมัน จะเปน โดยทั่วไปแลวพบวาบริเวณฝามือและฝาเทา บริเวณที่ผิวหนังมีความหนามากกวาสวน อื่นๆ ของรางกาย

เกรçดน่ารู้เพิ่มเติมจากเนื้อหา มีแทรกเปšนระยะæ

๒. เนือ้ เยือ่ เกีย่ วพัน ประกอบด้วยเซลล์หลำยชนิด เรียงตัวกันอย่ำงหลวมๆ แต่มเี ส้นใยมำประสำน กันท�ำให้เกิดควำมแข็งแรงขึ้น

๔. เนื้ อ เยื่ อ ประสาท ท� ำ หน้ำ ที่ เ กี่ ย วกั บ กำรรั บ ควำมรู้สึก กำรตอบสนองต่อสิ่งเร้ำ และควบคุม กำรท�ำงำนของอวัยวะต่ำงๆ

เสริมสาระจากเนือ้ หานอกเหนือจาก ทีม่ ใี นสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง เพือ่ เพิม่ พูนและขยายพรมแดนความรูใ้ ห้ กว้างขวางออกไป

คíา¶ามประจíาหน่วยการเรียนรู้และกิจกรรม สร้างสรรค พั²นาการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียน มีคุ³ภาพบรรลุมาตร°านและตัวชี้วัด

งการ บวัย ความตอ ตละวัยมี ยแนวทาง เหมาะกั โด ะคนในแ าหารให ญ เพรา างกายแข็งแรง นสิ่งสําคั กับวัยเป ็จะทําใหสุขภาพร สม าะ เหม ี่ดีก อาหารให ะทานอาหารท ับประทาน กรับปร การเลือกร ัน ดังนั้นถาเลือ มีดังนี้ ยางสังเขป ี่แตกตางก ปขึ้นไป พลังงานท ประทานอาหารอ อายุตั้งแต ๑๐ ิบโต ับ เต ๑ การเลือกร ึ้นตนดวยเลข างกายและเจริญ มาก วัยที่ข าหาร งทางร ลี่ยนแปล ายตองการสารอ วรเลือก ี่ค ่มีการเป เปนวัยที ว ในวัยนี้รางก ตางๆ อาหารท ละ แป  ง เร็ แ ลล ว วด ต งเซ งร สั ั้ง สรา อยา เนื้ อ ก คื อ ใชในการ มัน รวมท ภาพดี เพื่อนําไป เป  น อั น ดั บ แร ดับสาม คือ ไข ยางเต็มที่ นเรามีสขุ ี่ เ ป น าน อ ัน ช่ ว ยใหค รั บ ปร ะท คือ นม และอ ําพลังงานไปใชได ไป เปน จัยหนงึ่ ที ปร ะท าน อา หา รท ง ขึ้น รเปน ปจ น ับ อันดับสอ ื่อที่รางกายจะได อายุตั้งแต ๒๐ ป รที่ควร อาหานั้ น จึ ง ต อ งเลื อ กร ๒ ดั ง  เพ ย ่ อาหา รางกาย ผักผลไม ที่ขึ้นตนดวยเลข มองที่ชว โตเต็มที ข า ว แป  ง ประโยชนตอ อาหารส วัย และเติบ ว ปลาเปน ชวยบํารุงสายตา ารพัฒนา ก คื อ เนื้ อ สั ต ะอาหารที่ ู อ ไขมัน นา งกายมีก ชวงที่รา ะท าน อั น ดั บ แร บสาม คือ นมแล ันดับสุดทาย คื กกระเฉด ผักคะ พลังงานยังคงอย ะอ าร ปร ง ผั นดั บ ั บุ อั งก แล  ก ั อ   ซึ กร หู งผ ไม อ ื มต า  า ย เล อล ่งจะ ผล วา เต ง คือ ผัก าเล็กปลานอย ง และผักสีเขียวอ วงเริ่มวัยผูใหญค และคอเลสเทอร าทะเล อันดับสอ เชน ปล ยใหสมองแข็งแร ไป ในช ในเรื่องของไขมัน อรอล เชน ปล ัวใจ น ้ ึ ข ม ย ี ป เซ อเลสเท สี่ยงจากโรคห สาทชว ใหแคล ั้งแต ๓๐ ามระมัดระวัง มเ ๓ อายุต ขมันและค คว ังเซลลประ รักษาผน ที่ขึ้นตนดวยเลข น แตตองเพิ่ม อาหารที่ชวยลดไ ลือง ชวยลดควา หอิ่มทองไดนาน วัย าน ทํางา วาม ถั่วเห วยใ ิตของการ ควรเลือกรับประท ั่วแดง ถั่วเขียว ธัญพืชไมขัดสี ช ังงานลดลง แตค มี นชวงชีว เพราะเป ภาพในอนาคต เมล็ดแหงอยางถ หารจําพวกขาว วามตองการพล รสูง และยังจะ ั่ว อา หา นี ้มีค สุข สงผลตอ มดันโลหิต พวกถ นแทนเนื้อสัตวได ขึ้นไป ชวงวัยนี ไมที่มีกากใยอา ะทานเตา หู โปรต ป วา งา กผล รับปร ้น เชน วร ขึ ้ ค ว ร็ นี ชวยลดค นสูง เพื่อใหพลัง อายุตั้งแต ๔๐ ่งจะไดรับจากผั เ ๔ ซึ ตี ามแกให าย ย นอกจาก และมีโปร ที่ขึ้นตนดวยเลข ตางๆ เพิ่มขึ้น บั ประทานไดง า ารที่เปนตัวเรงคว มื่ คาเฟอีนทัง้ หล ิน าร งด วัย ๑๒ ่ ี ห าห ่ อ าม รื ต รท ๘งอ วิ ย ่ ี ะเค หา อา ันละ ีกเล  แล มและ างนอยว ลกอฮอล ามนิ ซีจาก แคลเซีย างอื่น หล ตองการ มลู อิสระอยา งวติ กวาเนื้อสัตวอย กๆ เครือ่ งดมื่ แอ ้าใหสมํ่าเสมอ อย ไมขัดสี ด นํ นุ มา าก นิ ม ่ ื น การ นอ มั กช รด มม า้ สารตา แคลเซีย กรอบหรอื ผัดนํ ปเปนตนไป คว ละพยายามเลือ ีการเพิ่มกิจกรรม ให ง ่ ซึ ไขมันตํ่า สูงประเภททอด อายุตั้งแต ๕๐ ดรตใหนอยลงแ ลอดเวลา ควรม นั ฮเ ูต ๕ อาหารไขม ที่ขึ้นตนดวยเลข บประทานคารโบไ ลเรื่องการกินอย ภาพดีมากยิ่งขึ้น ูแ ุข รั วัย รขาดนํ้า นชวงวัยใดควรด นิสัย จะชวยใหส ูใ ปองกันกา เปน แกว เพื่อ สําคัญไมวาจะอย ทําบอยๆ จนติด สิ่ง ันใหมาก ระหวางว เคลื่อนไหว

เสริมสาร

วิธีเลือกอ

¤Ò¶ÒÁ»ÃШíÒ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ ๑. ระบบผิวหนังมีความสําคัญตอการปองกันโรคอยางไร ๒. กระดูกในรางกายของคนเรามีหนาที่ใด ๓. ถาจะใหระบบผิวหนัง ระบบกระดูก และระบบกลามเนื้อทํางานไดอยางมีประสิทธิภาพ ควรสรางเสริมและดํารงประสิทธิภาพอยางไร ๔. จงอธิบายกระบวนการการทํางานของระบบผิวหนัง ระบบกลามเนือ้ และระบบกระดูกทีป่ ระสานสัมพันธกนั มาพอสังเขป ๕. ระบบผิวหนัง ระบบกระดูก และระบบกลามเนื้อ มีหนาที่อยางไรในรางกาย

¡Ô¨¡ÃÃÁÊÌҧÊÃä ¾Ñ²¹Ò¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ กิจกรรมที่

กิจกรรมที่

กิจกรรมที่

ครูจัดทําบัตรรายการ ๓ ชุด ประกอบดวย ชุดที่ ๑ ชื่อระบบอวัยวะ ๓ ระบบ คือ ระบบผิวหนัง ระบบกระดูก และระบบกลามเนื้อ ชุดที่ ๒ บัตรรายการของอวัยวะ ตางๆ ที่อยูในระบบทั้ง ๓ ระบบ ชุดที่ ๓ บัตรรายการแนวทาง/วิธีการปฏิบัติตน เพื่อสรางเสริมและดํารงประสิทธิภาพการทํางานของระบบทั้ง ๓ ระบบ แลวให นักเรียนแบงกลุม ชวยกันเรียง/จัดกลุมบัตรรายการทั้ง ๓ ชุดใหถูกตอง ใหนักเรียนแบงออกเปนกลุมยอย และใหชวยกันศึกษาถึงโครงสราง หนาที่และ การทํางานของระบบผิวหนัง ระบบกระดูก และระบบกลามเนื้อวาเปนอยางไร แลวนําเสนอในหองเรียน ใหนักเรียนแบงกลุมยอย และชวยกันศึกษาและนําเสนอปญหาที่อาจเกิดขึ้นได กับระบบผิวหนัง ระบบกระดูก และระบบกลามเนื้อวามีปญหาใดบางและ จะมีแนวทางในการแกไขปญหาดังกลาวไดอยางไร แลวนําเสนอในหองเรียน

ò


กระตุน ความสนใจ Engage

สํารวจคนหา Explore

อธิบายความรู Explain

ขยายความเขาใจ Expand

ตรวจสอบผล Evaluate

ÊÒúÑÞ หน่วยที่

¡Ò÷íÒ§Ò¹¢Í§Ãкº¼ÔÇ˹ѧ Ãкº¡Ãд١ áÅÐÃкº¡ÅŒÒÁà¹×éÍ ● ● ● ●

หน่วยที่

¡ÒÃÇҧἹ´ÙáÅÊØ¢ÀÒ¾¢Í§µ¹àͧ และครอºครัว ● ● ● ● ●

หน่วยที่

หน่วยที่

๓ ๔

องค ประกอบของร่างกายมนุÉย ระบบผิวหนัง ระบบกระดูก ระบบกล้ามเนื้อ

การดูแลสุขภาพของบุคคลแต่ละวัย การดูแลสุขภาพของตนเองและครอบครัว กระบวนการในการดูแลสุขภาพของตนเองและครอบครัว การวางแผนดูแลสุขภาพของตนเองและครอบครัว งานสาธาร³สุขมูล°านกับการดูแลสุขภาพของ ของตนเองและครอบครัว ข้อมูลข่าวสารและแหล่งการเรียนรู้ทางสุขภาพ

๑-๑๖ ๒ ๔ ๘ ๑๒

๑๗-๓๖ ๑๘ ๑๙ ๒๒ ๒๔ ๒๗ ๒๙

¾ÄµÔ¡ÃÃÁ·Ò§à¾ÈáÅСÒôíÒà¹Ô¹ªÕÇÔµ

๓๗-๕๖

การเจริญเติบโตและพั²นาการทางเพÈของวัยรุ่น พÄติกรรมทางเพÈ ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพÄติกรรมทางเพÈของวัยรุ่น

๔๑ ๔๔

● ● ●

ค่านิยม·างเพÈกัºวั²นธรรม ● ● ● ● ●

ค่านิยมทางเพÈของวัยรุ่น อิทธิพลที่มีผลต่อค่านิยมทางเพÈ ค่านิยมทางเพÈตามวั²นธรรมของวัยรุ่น ค่านิยมทางเพÈที่เหมาะสมของวัยรุ่น แนวปฏิบัติตามค่านิยมทางเพÈที่เหมาะสม

๓๘

๕๗-๗๐ õ๘ ๖๑ ๖๒ ๖๖ ๖๘


กระตุน ความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

หน่ วยที่

Explore

● ●

หน่วยที่

หน่วยที่

Explain

ขยายความเขาใจ Expand

ตรวจสอบผล

สัมพันธภาพระหว่างนักเรียน หรือเยาวชนในชุมชน ●

หน่วยที่

อธิบายความรู

การสร้างสัมพันธภาพที่ดี การปรับตัวให้เข้ากับผู้อื่น ความขัดแย้งระหว่างนักเรียนและเยาวชน ความขัดแย้งและความรุนแรงในวัยรุ่น

การใช้ยาและสารเสพติด

ความรุนแรงในสังคม

การช่วยฟื้นคืนชีพ

● ●

● ● ●

● ● ● ● ●

ยาและการใช้ยา สารเสพติด

๗๑-๙๒ ๗๒ ๗๙ ๘๒ ๘๙

๙๓-๑๒๔ ๙๔ ๑๐๒

ความรุนแรงและแนวทางแก้ไขปัญหาความรุนแรง การจัดกิจกรรมป้องกันความเสี่ยงต่อการใช้ความรุนแรง หลักการปฏิบัติตนเพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อการใช้ความรุนแรง

ความหมายและการช่วยฟื้นคืนชีพ ขั้นตอนปฏิบัติในการช่วยฟื้นคืนชีพ หลักปฏิบัติโดยทั่วไปในการช่วยฟื้นคืนชีพ การห้ามเลือด การเคลื่อนย้ายผู้ป่วย

บรรณานุกรม

Evaluate

๑๒๕-๑๔๐ ๑๒๖ ๑๓๔ ๑๓๘

๑๔๑-๑๕๓ ๑๔๒ ๑๔๒ ๑๔๔ ๑๔๕ ๑๔๘

๑๕๔


กระตุน ความสนใจ

ñ

กระตุEngage นความสนใจ

สํารวจคนหา

อธิบายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Engage

Explore

Explain

Expand

Evaluate

หน่ ว ยที่

อธิบายกระบวนการสรางเสริมและดํารง ประสิทธิภาพการทํางานของระบบอวัยวะ ตางๆ ได

¡Ò÷íÒ§Ò¹¢Í§Ãкº¼ÔÇ˹ѧ Ãкº¡Ãд١ áÅÐÃкº¡ÅŒÒÁà¹×éÍ

สมรรถนะของผูเรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใชทกั ษะชีวิต

ตัวชี้วัด พ ๑.๑ ม.๔-๖/๑ ■ อธิ บ ำยกระบวนกำรสร้ ำ งเสริ ม และ ด�ำรงประสิทธิภำพกำรท�ำงำนของระบบ อวัยวะต่ำงๆ

คุณลักษณะอันพึงประสงค

สาระการเรียนรู้แกนกลาง ■

กระบวนกำรสร้ ำ งเสริ ม และด� ำ รง ประสิ ท ธิ ภ ำพกำรท� ำ งำนของระบบ อวัยวะต่ำงๆ - กำรท�ำงำนของระบบอวัยวะต่ำงๆ - กำรสร้ำงเสริมและด�ำรง ประสิทธิภำพของอวัยวะต่ำงๆ (อำหำร กำรออกก�ำลังกำย นันทนำกำร กำรตรวจสุขภำพ ฯลฯ)

การเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย เกิดจากปจจัยตางๆ หลายดานซึง่ สัมพันธกนั อยางครบถวนและสมบูรณ โดยรางกายคนเราประกอบไปดวยระบบอวัยวะตางๆ ที่ทํางาน ประสานสัมพันธกัน อันไดแก ระบบผิวหนัง ระบบกระดูก ระบบกลามเนื้อ ระบบยอยอาหาร ระบบขับถาย ระบบหายใจ ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบประสาท ระบบสืบพันธุ และระบบ ตอมไรทอ ซึ่งจะมีผลตอการเจริญเติบโตและพัฒนาการของรางกายในทุกๆ วัย ไมวาจะเปน วัยทารก วัยเด็ก วัยรุน วัยผูใหญ และวัยสูงอายุ ระบบทุกระบบในรางกาย ลวนแตมีความสําคัญตอรางกายดวยกันทั้งสิ้น ในระดับ ชั้นนี้ จะกลาวเฉพาะระบบผิวหนัง ระบบโครงกระดูก และระบบกลามเนื้อ ซึ่งเปนระบบ อวัยวะที่มีการทํางานสัมพันธกันอยางเห็นไดชัด

เปาหมายการเรียนรู

1. ใฝเรียนรู 2. อยูอ ยางพอเพียง

กระตุน ความสนใจ

Engage

ใหนักเรียนดูภาพหนาหนวย แลวตั้งคําถาม โดยใหนักเรียนไดแสดงความคิดเห็นอยางอิสระ • จากภาพ นักเรียนคิดวา บุคคลในภาพ กําลังทําอะไร • นักเรียนคิดวา รางกายของเราสามารถ เคลื่อนไหวไดอยางไร • นักเรียนคิดวา รางกายของเราประกอบ ไปดวยอะไรบาง และมีการทํางานรวมกัน อยางไร

เกร็ดแนะครู เนื่องจากหนวยการเรียนรู​ูนี้เปนเรื่องเกี่ยวกับระบบตางๆ ของรางกาย ซึ่งมี เนื้อหาที่คอนขางทําความเขาใจไดยาก ดังนั้น ครูจึงควรนําสื่อจําพวกคลิปวิดีโอ หรือโมเดลจําลองตางๆ มาใชในการจัดการเรียนการสอน เพราะจะชวยใหนักเรียน มีความรู ความเขาใจมากยิ่งขึ้น เนื่องจากการใชสื่อดังกลาวสามารถทําใหนักเรียน เห็นภาพไดอยางชัดเจน เชน การทํางานของระบบตางๆ ในรางกาย ลักษณะของ ชั้นผิวหนัง เปนตน

คูมือครู

1


กระตุน ความสนใจ

สํารวจคนหา Exploreนหา สํารวจค

อธิบายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Engage

Explore

Explain

Expand

Evaluate

กระตุEngage นความสนใจ

กระตุน ความสนใจ

Engage

ครูนําภาพโครงสรางของรางกายและระบบ อวัยวะมาใหนักเรียนดู จากนั้นครูตั้งคําถาม กระตุนความสนใจของนักเรียนโดยใหนักเรียน สามารถแสดงความคิดเห็นไดอยางอิสระ • นักเรียนคิดวา รางกายของมนุษยเกิดขึ้น ไดอยางไร (แนวตอบ รางกายของมนุษยประกอบขึ้นจาก สวนที่เล็กที่สุดคือ อะตอม ซึ่งยึดเขากันดวย พันธะตางๆ เปนโมเลกุล โมเลกุลจะรวมกัน เปนเซลล (Cell) เซลลหลายๆ เซลลจะ รวมกันเปนเนื้อเยื่อ (Tissue) เพื่อทําหนาที่ เฉพาะอยาง เนื้อเยื่อหลายชนิดจะรวมกัน เปนอวัยวะ (Organ) เพื่อทําหนาที่อยางใด อยางหนึ่ง อวัยวะหลายอวัยวะ ทําหนาที่ ประสานกันและรวมกลุมกันเปนระบบ (System) โดยระบบจะทํางานประสาน สัมพันธกัน เรียกวา รางกาย (Body)) • ระบบอวัยวะมีความสําคัญอยางไรตอรางกาย ของมนุษย (แนวตอบ อวัยวะในรางกายของมนุษยนั้น จะทํางานประสานกันเปนระบบ ถาอวัยวะใด ทํางานผิดปกติไปอาจสงผลกระทบตอ การดํารงชีวิตของมนุษย)

สํารวจคนหา

๑. องค์ประกอบของร่างกายมนุษย์

1 มนุษย์มีโครงสร้างการท�างานของร่างกายที่ซับซ้อน โดยเริ่มจากระดับโมเลกุล ระดับเซลล์ ระดับเนือ้ เยือ่ และระดับอวัยวะ โดยโครงสร้างทุกระดับนีเ้ รียกรวมกันว่า “ระบบอวัยวะ” ซึง่ ประกอบ ด้วยหน่วยย่อยหลายอย่าง

๑.๑ โครงสร้างของร่างกาย ร่างกายมนุษย์ประกอบขึ้นจากส่วนที่เล็กที่สุด คือ “อะตอม” ซึ่งยึดเข้ากันด้วยพันธะ ต่างๆ กลายเป็นโมเลกุล และแต่ละโมเลกุลก็จะมีการจัดรวมตัวกันเป็นโครงสร้างของเซลล์ ซึ่งถือว่าเป็นหน่วยที่เล็กที่สุด เป็นตัวก�าหนดการมีชีวิตของมนุษย์ โดยเซลล์เหล่านี้จะมีทั้งที่ ท�าหน้าทีเ่ หมือนกัน และแตกต่างกันออกไป แต่เซลล์ของร่างกายส่วนใหญ่ไม่ได้อยูอ่ ย่างอิสระ หาก เป็นเซลล์ทมี่ โี ครงสร้าง หน้าที ่ และต้นก�าเนิดคล้ายคลึงกัน จะยึดติดกันเป็นกลุม่ เซลล์ โดยกลุม่ เซลล์ ที่ท�าหน้าที่เหมือนกันหรือท�าหน้าที่อย่างเดียวกัน เราจะรวมเรียกว่า “เนื้อเยื่อ” ซึ่งมี ๔ ชนิด คือ

๑. เนื้อเยื่อบุผิว เป็นเนื้อเยื่อที่บุผิวด้ำนนอกของ ร่ำงกำย หรือบุผวิ ของอวัยวะต่ำงๆ มีหน้ำทีป่ อ้ งกัน อวัยวะต่ำงๆ จำกสิ่งแวดล้อมภำยนอก

๒. เนือ้ เยือ่ เกีย่ วพัน ประกอบด้วยเซลล์ 2 หลำยชนิด เรียงตัวกันอย่ำงหลวมๆ แต่มเี ส้นใยม ใยมำประสำน กันท�ำให้เกิดควำมแข็งแรงขึ้น

๓. เนื้ อ เยื่ อ กล้ า มเนื้ อ ท� ำ หน้ ำ ที่ เ กี่ ย วกั บ กำร เคลื่อนไหวของร่ำงกำยและอวัยวะต่ำงๆ ซึ่งเกิด จำกกำรหดตัวและคลำยตัวของกล้ำมเนื้อ

๔. เนื้ อ เยื่ อ ประสาท ท� ำ หน้ำ ที่ เ กี3่ ย วกั บ กำรรั บ รตอบสนองต่อสิ่งเร้ำ และควบคุม ควำมรู้สึก กำรตอบสนองต่ กำรท�ำงำนของอวัยวะต่ำงๆ

Explore

ใหนักเรียนศึกษาเรื่อง องคประกอบของรางกาย มนุษย จากหนังสือเรียน และแหลงเรียนรูอื่นๆ เพิ่มเติม เชน หองสมุด สื่ออินเทอรเน็ต เปนตน โดยใหสรุปสาระสําคัญเพื่อเตรียมนําเสนอ

นักเรียนควรรู 1 เซลล เปนหนวยที่เล็กที่สุดของรางกาย ชวยในการสรางผิวหนัง กลามเนื้อ กระดูก รวมถึงอวัยวะตางๆ ที่อยูภายในเซลล 2 เสนใย พบในเนื้อเยื่อเกี่ยวพันชนิดหนึ่ง มีลักษณะเปนเสนเล็ก บาง และมีความออนนุม เรียงตัวประสานกันเปนสวนประกอบของอวัยวะตางๆ ภายในรางกาย 3 สิ่งเรา สิ่งที่มากระตุนทําใหรางกายเกิดปฏิกิริยาตอบสนอง

มุม IT ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับรางกายมนุษยไดจาก http://www.youtube.com/ watch?v=H8yt3Jznx_k

2

คูมือครู

ขอสอบ

O-NET

ขอสอบป ’ 52 ออกเกี่ยวกับองคประกอบของรางกายมนุษย ขอใดเปนองคประกอบของรางกาย (Body Composition) ที่มีมากที่สุด 1. นํ้าในรางกาย 2. กลามเนื้อ 3. ไขมัน 4. กระดูก วิเคราะหคําตอบ องคประกอบของรางกายมนุษยที่มีมากที่สุด คือ นํ้าในรางกาย ซึ่งรางกายมนุษยจะมีนํ้าเปนสวนประกอบอยูประมาณ รอยละ 70 ซึ่งมีหนาที่เปนตัวกลางในการเกิดปฏิกิริยาเคมีทุกชนิด สงผล ใหเซลลตางๆ ในรางกายทํางานไดอยางปกติ ตอบขอ 1.


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู

ขยายความเขาใจ Expand าใจ ขยายความเข

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

อธิบExplain ายความรู

อธิบายความรู

ครูสุมนักเรียน 2-3 คน ออกมานําเสนอสาระ สําคัญเรื่อง องคประกอบของรางกายมนุษย จากที่ไดทําการศึกษา โดยครูและนักเรียนคนอื่นๆ รวมกันเสนอแนะเพิ่มเติม เพื่อใหไดขอสรุป ที่ถูกตองรวมกัน

หากมีเนื้อเยื่อหลายๆ เนื้อเยื่อที่ท�างานหรือท�าหน้าที่อย่างเดียวกัน เราจะเรียกกลุ่ม ของเนื้อเยื่อนั้นว่า “อวัยวะ” เช่น ปอด หัวใจ สมอง ตับ ม้าม เป็นต้น และอวัยวะหลายๆ อวัยวะ ที่ร่วมท�าหน้าที่อย่างเดียวกัน ก็จะเรียกว่า “ระบบอวัยวะ” เช่น ระบบกล้ามเนื้อ ระบบประสาท ระบบหายใจ ระบบสืบพันธุ์ เป็นต้น โดยระบบอวัยวะแต่ละระบบก็จะมีหน้าที่ของตัวเองและ ท�างานประสานสัมพันธ์กัน ซึ่งรวมเรียกว่า “ร่างกาย” การท�างานของระบบอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายของคนเรานั้น จะต้องมีการประสาน สัมพันธ์กันอยู่เสมอ ถ้าหากไม่ท�างานประสานสัมพันธ์กันก็จะก่อให้เกิดปัญหาในการด�ารงชีวิต ซึ่งระบบหายใจและระบบไหลเวียนโลหิตประกอบด้วยอวัยวะที่ส�าคัญ คือ ปอดและหัวใจ 1โดยที่ หัวใจมีหน้าที่สูบฉีดเลือดที่ผ่านการฟอกจนได้เลือดที่สะอาด (มี งพอ) จาก (มีปริมาณออกซิเจนที่เพียงพอ) ปอด เพื่อน�าไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย แต่หากต่อมาปอดเกิดท�างานได้ไม่ดี ไม่สามารถที่จะ ฟอกเลือดให้สะอาดเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายได้ หัวใจก็จะต้องท�างานหนักขึ้น โดย จะต้องสูบฉีดเลือดให้ถี่ขึ้น เพื่อที่จะให้ได้ปริมาณของเลือดที่เพียงพอต่อการน�าไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งหากเป็นเช่นนี้เป็นระยะเวลานานๆ ก็จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของร่างกาย ก่อให้เกิดการเจ็บป่วย หรืออาจจะถึงแก่ความตายในที่สุด ร่างกายของเราประกอบด้วยอวัยวะ ต่างๆ มาท�างานประสานกันเป็นระบบ ถ้าอวัยวะ หนึ่งอวัยวะใดท�างานผิดปกติไปจะมีผลกระทบ ต่อการด�ารงชีวิตของเรา นอกจากการท�างานที่ ประสานกันภายในระบบนั้นๆ แล้ว ระบบต่างๆ ของร่างกายไม่ว่าจะเป็นระบบประสาท ระบบ กระดูก ระบบกล้ามเนื้อ ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบหายใจ ระบบย่อยอาหาร ระบบขับถ่าย ระบบภูมิคุ้มกัน และระบบสืบพันธุ์ แต่ละระบบ ยั ง ท� า งานประสานกั น เพื่ อ ให้ สิ่ ง มี ชี วิ ต นั้ น ๆ ด�ารงอยู่ได้ แต่ละระบบจะประกอบด้วยอวัยวะ ต่างกันและมีหน้าที่แตกต่างกันไป ซึ่งในหน่วย การเรียนนีจ้ ะกล่าวถึง ๓ ระบบ คือ ระบบผิวหนัง ระบบกระดูก และระบบกล้ามเนื้อ

ขยายความเขาใจ

Expand

ใหนักเรียนศึกษาเพิ่มเติมเรื่อง องคประกอบของรางกายมนุษย แลวนํามาเขียน สรุปเปนผังความคิดสงครูผูสอน จากนั้นให นักเรียนทําใบงานจากแผนการสอน ใบงานที่ 1.1 ✓ ใบงาน แบบวัดฯ แบบฝกฯ สุขศึกษา ม.4 ใบงานที่ 1.1 หนวยที่ 1 การทํางานของระบบบผิวหนัง ระบบกระดูก และระบบกลามเนือ้

ระบบประสำท

๑.๒ ระบบอวัยวะของร่างกาย

Explain

ก1กกกก  1กก

ระบบหำยใจ

ระบบไหลเวียนโลหิต

.  กก

 1. กกก

ระบบต่อมไร้ท่อ

  

 ก4กกก  

  

  2. กกกกก 

ระบบขับถ่ำยปัสสำวะ ระบบสืบพันธุ์ ระบบกระดูก



  กกก

2

ระบบย่อยอำหำร

  

   

  

  3. กกก

ระบบผิวหนัง

  

  กกกก   กก   

  4. กกก   

ระบบกล้ำมเนื้อ

  กกกก  ก   

  5. กก   

แผนภำพแสดงระบบอวัยวะต่ำงๆ ในร่ำงกำยมนุษย์

   (ก )

  

16

ก.4

บูรณาการเชื่อมสาระ

สามารถนําเนื้อหาเรื่อง องคประกอบของรางกายมนุษยไปบูรณาการ เชื่อมโยงกับกลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตร วิชาวิทยาศาสตร เรื่อง การจัด ระบบในรางกาย

เกร็ดแนะครู ครูควรนําภาพโครงสรางของรางกายมาใชประกอบในการอธิบายและเสนอแนะ เพิ่มเติม เพื่อใหนักเรียนเกิดความเขาใจมากยิ่งขึ้น

นักเรียนควรรู 1 ปริมาณออกซิเจนที่เพียงพอ การหายใจอยางถูกวิธีเพื่อใหไดรับปริมาณ ออกซิเจนที่เพียงพอนั้น เปนวิธีที่ชวยใหปอดขับคารบอนไดออกไซดออกจาก รางกายได และชวยใหเซลลทําหนาที่ไดดียิ่งขึ้น 2 ตอมไรทอ ตอมที่ผลิตสารเคมี และลําเลียงสารทางกระแสเลือดไปยังอวัยวะ ตางๆ ของรางกาย เชน ตับออน ตอมหมวกไต เปนตน

คูมือครู

3


กระตุน ความสนใจ

สํารวจคนหา Exploreนหา สํารวจค

อธิบายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Engage

Explore

Explain

Expand

Evaluate

กระตุEngage นความสนใจ

กระตุน ความสนใจ

Engage

ใหนักเรียนสํารวจรางกายของตนเอง จากนั้น ครูตั้งคําถามกระตุนความสนใจของนักเรียน โดยนักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็นไดอยาง อิสระ • นักเรียนคิดวา เพื่อนคนไหนผิวสวยบาง (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ไดอยางอิสระ) • ทําไมรางกายเราตองมีผิวหนัง (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ไดอยางอิสระ โดยอาจตอบวา เพื่อปกคลุม รางกาย รักษาอุณหภูมิของรางกาย และ รับความรูสึกจากสิ่งเราตางๆ)

สํารวจคนหา

๒. ระบบผิวหนัง ระบบผิวหนังหรือระบบห่อหุ้มร่างกาย ประกอบด้วย ผิวหนัง เล็บ และขน ซึ่งเป็นอวัยวะ ทีท่ า� หน้าทีป่ กคลุมและป้องกันร่างกาย โดยผิวหนังเป็นอวัยวะทีม่ พี นื้ ทีใ่ หญ่ทสี่ ดุ ในร่างกาย ซึง่ เมือ่ น�ามาต่อกันจะมีพื้นที่ประมาณ ๒ ตารางเมตร และมีความหนาต่างกันขึ้นอยู่กับต�าแหน่งและ ลักษณะการใช้งาน บริเวณที่ใช้งานมากจะมีความหนามาก ส่วนบริเวณที่ใช้งานน้อยจะบางและ ไวต่อความรู้สึก

๒.๑ โครงสร้างของผิวหนัง ระบบผิวหนัง หรือระบบห่อหุ้มร่างกาย เป็นระบบอวัยวะที่ประกอบด้วยผิวหนัง (Skin) และอนุพนั ธ์ของผิวหนัง โดยทีผ่ วิ หนังนัน้ เป็นอวัยวะทีม่ ขี นาดมากทีส่ ดุ ในร่างกาย ครอบคลุมพืน้ ที่ ประมาณ ๒ ตารางเมตร ผิวหนังส่วนใหญ่ของร่างกายมีความหนาประมาณ ๑-๒ มิลลิเมตร ซึ่ง ประกอบด้วย

Explore

แผนผังแสดงโครงสร้างของระบบผิวหนัง

ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน ศึกษา เรื่อง โครงสรางและหนาที่ของผิวหนัง และวิธีการ สรางเสริมดํารงประสิทธิภาพการทํางานของผิวหนัง จากหนังสือเรียน และแหลงเรียนรูอื่นๆ เพิ่มเติม

หนังก�าพร้า (Epidermis) ผิวหนังชั้นนี้จะมีกำร หลุดลอกเป็นขีไ้ คล แล้วมีกำรสร้ำงใหม่ขนึ้ มำทดแทน เรื่อยๆ ซึ่งผิวหนังของแต่ละคนจะมีสีที่แตกต่ำงกัน โดยที่ปัจจั1ยหนึ่งนั้นขึ้นอยู่กับเซลล์เม็ดสีที่เรียกกันว่ำ “เมลำนิน” ซึ่งอยู่ในชั้นผิวหนังส่วนนี้

หนังแท้ (Dermis) ผิวหนังชั้นนี้จะอยู่ภำยใต้ชั้น ของหนั ง ก� ำ พร้ ำ และมี ค วำมหนำมำกกว่ ำ ชั้ น ของ หนังก�ำพร้ำมำก โดยจะมีเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่มีลักษณะ เหนียว คอยยึดส่ว2นประกอบต่ำงๆ ของผิวหนังไว้ เช่น หลอดเลือดฝอย เส้นประสำทรับควำมรู้สึกต่ำงๆ รำกขนหรือรำกผม ต่อมเหงื่อ ต่อมไขมัน เป็นต้น โดยทั่วไปแล้วพบว่ำบริเวณฝ่ำมือและฝ่ำเท้ำ จะเป็น บริเวณที่ผิวหนังมีควำมหนำมำกกว่ำส่วน อื่นๆ ของร่ำงกำย

ต่อมไขมัน (Sebaceous gland) ท�ำหน้ำที่สร้ำงไขมัน ช่วยท�ำให้เส้นผม เส้นขน เป็นมันเงำงำม ผิวหนังชุ่มชื้น ไม่แตกกระด้ำง ป้องกันกำรระเหยของน�้ำ ออกจำกร่ำงกำย

ต่ อ มเหงื่ อ (Sweat gland) ท�ำหน้ำ3ทีส่ ร้ำงเหงือ่ ทีป่ ระกอบไปด้วยน�ำ้ และเกลือแร่ เพือ่ ช่วยระบำยควำมร้อนภำยใน ร่ำงกำยให้สมดุล

EB GUIDE

เกร็ดแนะครู ครูควรนําโครงสรางจําลองระบบผิวหนังมาใหนักเรียนดู เพื่อใหเห็นความ แตกตางของผิวหนังแตละชั้นไดชัดเจนมากยิ่งขึ้น

นักเรียนควรรู 1 เมลานิน เซลลเม็ดสีขนาดเล็กที่ถูกสรางจากชั้นผิวหนัง มีลักษณะเปน เม็ดกลมสีนํ้าตาล ซึ่งทําใหผิวหนังมีสี ทําหนาที่ปองกันผิวหนังจากแสงแดด 2 หลอดเลือดฝอย หลอดเลือดขนาดเล็กที่แตกแขนงมาจากหลอดเลือดใหญ กระจายไปตามเนื้อเยื่อตางๆ 3 เกลือแร สารอาหารจําพวกแรธาตุที่สําคัญตอรางกาย ทําหนาที่ควบคุม การทํางานของกลามเนื้อในทุกอวัยวะ

4

คูมือครู

http://www.aksorn.com/LC/He/M4/01

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

เพราะเหตุใด ผิวหนังกําพราบริเวณฝามือและฝาเทาจึงมีความหนา มากที่สุด 1. เปนอวัยวะที่ตองใชงานมากที่สุด 2. ปองกันไมใหกระดูกออนแตก 3. เปนที่ยึดเกาะของเนื้อเยื่อตางๆ 4. ปองกันการถูกกระแทก วิเคราะหคําตอบ เนื่องจากฝามือและฝาเทา เปนอวัยวะที่ตองใชงาน มากที่สุด จึงตองมีความหนามาก เพราะฝามือจะตองใชในการหยิบจับ สิ่งของ สวนฝาเทาใชสําหรับเดิน ตอบขอ 1.


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

อธิบายความรู

ครูสุมนักเรียน 2-3 กลุม ออกมานําเสนอ ผลการศึกษา เรื่อง โครงสรางและหนาที่ของ ผิวหนัง โดยครูและนักเรียนคนอื่นๆ รวมกัน เสนอแนะเพิ่มเติม และตั้งคําถามเพื่อใหไดขอสรุป ที่ถูกตองรวมกัน • ผิวหนังของรางกายแบงไดเปนกี่ประเภท และมีลักษณะอยางไร (แนวตอบ 2 ประเภท ไดแก หนังกําพรา (Epidermis) ผิวหนังชั้นนี้เราสามารถมอง เห็นได และจะมีการหลุดลอกเปนขี้ไคล แลวมีการสรางใหมขึ้นมาทดแทน สวน หนังแท (Dermis) ผิวหนังชั้นนี้ไมสามารถ มองเห็นได เนื่องจากอยูภายใตชั้นของ หนังกําพรา และมีความหนามาก โดยจะมี เนื้อเยื่อเกี่ยวพันคอยยึดสวนประกอบตางๆ ของผิวหนังไว) • หนาที่ของผิวหนัง นอกจากจะมีไวปกคลุม รางกายแลว นักเรียนคิดวา ผิวหนังยังมี หนาที่ใดอีก (แนวตอบ เชน รักษาอุณหภูมิของรางกาย รับความรูสึกจากสิ่งเราตางๆ ขับของเสีย ออกตามรูขุมขน เปนตน)

๒.๒ หน้าที่ของผิวหนัง ผิวหนังมีหน้าที่ดังต่อไปนี้ (๑) ปกคลุ ม ร่ า งกายและห่ อ หุ ้ ม เนื้อเยื่อ เพื่อรองรับการแพร่ 1 เข้ามาของเชื้อโรค ต่างๆ รวมถึงป้องกันรังสีอันตรายไม่ให้เข้ามา ท�าลายเนื้อเยื่อภายในร่างกาย โดยปกติแล้ว เชื้อโรคจะไม่สามารถเข้าทางผิวหนังได้ ถ้า ผิวหนังบริเวณนั้นไม่มีบาดแผลหรือรอยถลอก นอกจากนี้ ผิวหนังยังช่วยป้องกันไม่ให้เนื้อเยื่อ แห้ง รวมทั้งช่วยไม่ให้อวัยวะภายในถูกท�า อันตรายได้ง่ายอีกด้วย (๒) รั ก ษาอุ ณ หภู มิ ข องร่ า งกาย โดยผิ ว หนั ง จะท� า หน้ า ที่ ใ นการระบายความ 2 ร้อนส่วนเกินของร่างกายออกทางรูขุมขนที่อยู่ ตามผิวหนัง เพื่อรักษาอุณหภูมิของร่างกาย ให้เป็นปกติที่ ๓๗ องศาเซลเซียส กล่าวคือ

กำรได้รับแสงแดดอ่อนๆ ในยำมเช้ำ หรือยำมเย็น จะ ท�ำให้ผวิ หนังได้รบั วิตำมินดี ซึง่ มีควำมจ�ำเป็นต่อร่ำงกำย

Explain

ผิวหนังแต่ละบริเวณของร่ำงกำยจะมีควำมหนำบำง ไม่เท่ำกัน เช่น บริเวณใบหน้ำจะมีควำมบอบบำงมำก จึงต้องหมั่นเอำใจใส่ดูแลเป็นพิเศษ

3 เมือ่ ร่างกายต้องท�างานหนัก เป็นไข้ หรืออากาศ ภายนอกร่างกายร้อนอบอ้าวเกินไป ก็จะส่งผล ให้อุณหภูมิภายในร่างกายสูงขึ้นผิดปกติ และ ร่างกายจะระบายความร้อนส่วนเกินดังกล่าว ออกมาทางรูขมุ ขน เพือ่ ให้อณุ หภูมขิ องร่างกาย ลดลงจนอยู่ในภาวะปกติ (๓) รับความรู้สึกจากสิ่งเร้าต่างๆ ผิวหนังจะส่งผ่านความรู้สึกที่ได้รับ เช่น ความ ร้อน ความเย็น ความเจ็บปวด เป็นต้น ไปยัง เส้นประสาทใต้ผวิ หนัง เพือ่ รายงานไปยังสมอง หรือระบบประสาทอัตโนมัติ จากนั้นสมองก็จะ สั่งการเพื่อให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้า เหล่านั้น ๕

กิจกรรมสรางเสริม ใหนักเรียนสังเกตผิวหนังของบุคคลในครอบครัวมา 1 คน แลววิเคราะห วาสุขภาพผิวของบุคคลดังกลาวเปนอยางไรบาง

กิจกรรมทาทาย ใหนักเรียนวิเคราะหความแตกตางระหวางผิวหนังที่มีสุขภาพดีและไมดี วาเปนอยางไร โดยนํามาสรุปผลในรูปแบบของตารางการวิเคราะห

นักเรียนควรรู 1 รังสี แสง หรือคลื่นแมเหล็กไฟฟาที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และจากการ กระทําที่มนุษยสรางขึ้น ซึ่งรังสีที่พบมากที่สุดนั้นเกิดจากธรรมชาติ คือ รังสีจาก ดวงอาทิตย 2 รูขุมขน ทอบริเวณผิวหนัง ซึ่งเปนตําแหนงที่มีขนงอกขึ้นมา ทําหนาที่ขับ ของเสีย เชน เหงื่อ และความมันออกนอกรางกาย เปนตน 3 เปนไข เมื่อปวยเปนไข ควรดื่มนํ้าประมาณ 1 แกว ทุกๆ 2 ชั่วโมง อาจจะ เปนนํ้าเปลา นํ้าผลไม หรือนํ้าอื่นๆ ที่ไมมีแอลกอฮอล เพื่อชดเชยนํ้าที่สูญเสียไป กับเหงื่อ ควรเช็ดตัวดวยผาชุบนํ้าบอยๆ เพราะจะทําใหอุณหภูมิรางกายลดลง และทานยาลดไขทุก 4-6 ชั่วโมง นอกจากนี้ไมควรหอหุมรางกายมากเกินไป เพราะจะไปขัดขวางการระบายความรอนและการลดอุณหภูมิของรางกาย

คูมือครู

5


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

อธิบายความรู

Engage

Explore

Explain

ขยายความเขาใจ

Expand าใจ ขยายความเข

ตรวจสอบผล

Expand

Evaluate

Expand

หลังจากการนําเสนอเรื่อง โครงสรางและหนาที่ ของผิวหนัง ครูใหนักเรียนรวมกันเสนอแนะแนวทาง การสรางเสริมดํารงประสิทธิภาพการทํางานของ ผิวหนัง โดยครูรวมเสนอแนะเพิ่มเติม จากนั้น ใหนักเรียนทําใบงานจากแผนการสอน ใบงานที่ 1.2

1 (๔) ขับน�้า เกลือแร่ต่างๆ และสารอินทรีย์หลายชนิดออกจากร่างกาย งกาย เพื่อให้ร่างกาย ด�ารงสภาพสมดุล และสามารถท�าหน้าที่ได้ตามปกติ (๕) สังเคราะห์วิตามินดี ผิวหนังจะท�าหน้าที่ดูดซับรังสีอัลตราไวโอเลตจากแสงแดด เพื่อน�ามาใช้เปลี่ยนสารเคมีให้เป็นวิตามินดี ซึ่งเป็นวิตามินที่มีความจ�าเป็นต่อร่างกายในการน�า แคลเซียมมาใช้ประโยชน์ และช่วยในการสร้างความแข็งแรงของกระดูกให้มากขึ้น (๖) ช่วยขับไขมันออกมาตามรูขุมขน เพื่อหล่อเลี้ยงเส้นขนและเส้นผมให้เงางาม (๗) ช่วยแสดงอาการผิดปกติทเี่ กิดขึน้ จากสาเหตุภายในร่างกายให้ทราบ เช่น หน้าแดง เมื่อเป็นลมแดด หรือเมื่อมีอาการของผื่นแพ้ต่างๆ เกิดขึ้น เป็นต้น

✓ ใบงาน แบบวัดฯ แบบฝกฯ สุขศึกษา ม.4 ใบงานที่ 1.2 หนวยที่ 1 การทํางานของระบบบผิวหนัง ระบบกระดูก และระบบกลามเนือ้

๒.๓ การสร้างเสริมและด�ารงประสิทธิภาพการท�างานของผิวหนัง

ก1กกกก  2

การสร้างเสริมและด�ารงประสิทธิภาพการท�างานของผิวหนัง สามารถปฏิบัติได้ดังนี้ (๑) อาบน�้าช�าระร่างกาย อย่างน้อยวันละ ๑ ครั้ง เพื่อเป็2นการชะล้างฝุ่นละออง และสิ่งสกปรกออกจากผิวหนัง โดยการอาบน�้าควรใช้สบู่อ่อนที่มีค่า pH ๕ และหลังจากอาบน�้า เสร็จควรจะทาครีมบ�ารุงผิวให้ทั่วร่างกาย เพื่อเป็นการเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว เนื่องจากผิว มีการสูญเสียความชุ่มชื้นออกจากร่างกายในขณะที่อาบน�้า (๒) สวมใส่ เ สื้ อ ผ้ า ที่ ส ะอาด ควรสวมใส่ เ สื้ อ ผ้ า ที่ ส ะอาดและควรเลื อ กเสื้ อ ผ้ า ที่ มี ความหนาบางให้เหมาะสมกับสภาพอากาศ เพราะเสื้อผ้าจะมีส่วนช่วยในการระบายความร้อน ให้กบั ผิวหนัง (๓) การรับประทานผักและผลไม้ รวมทั้งดื่มน�้าเป็นประจ�าทุกวัน เพราะในผักและ ผลไม้จะมีวิตามิ3 นและเกลือแร่ ที่ช่วยบ�ารุงผิว อีกทัง้ การดืม่ น�า้ เป็นประจ�าทุกวัน วันละ ๖-๘ แก้ว จะมีส่วนช่วยท�าให้ผิวพรรณสดใส (๔) ออกก� า ลั ง กายและพั ก ผ่ อ น ให้ เ พี ย งพอ ควรออกก� า ลั ง กายสั ป ดาห์ ล ะ ๒-๓ ครั้ง และพักผ่อนให้เพียงพอ ซึ่งจะช่วย ให้การท�างานของระบบผิวหนังมีประสิทธิภาพ ที่ดี (๕) ควบคุ ม สภาพอารมณ์ โดย การท�าให้ตนเองเป็นคนอารมณ์ด ี ไม่เครียด มอง กำรดื่มน�้ำ วันละ ๖-๘ แก้ว จะท�ำให้ผิวพรรณดูชุ่มชื่น โลกในแง่ดี จะท�าให้จิตใจสดใส ซึ่งจะส่งผลต่อ และเปล่งปลั่ง การมีสุขภาพผิวที่ดี



.  ก

  กก ก    ก   .             

ขยายความเขาใจ

 .



กก กกกก กก  

   

 กก กกกกกก ก  

  

29

ก.4

นักเรียนควรรู

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

1 สารอินทรีย สารประกอบทางเคมีที่ประกอบดวยธาตุหลายชนิด โดยมีธาตุ คารบอน และไฮโดรเจนเปนองคประกอบหลัก

หากนักเรียนตองการมีผิวพรรณที่สดใส เปลงปลั่ง นักเรียนจะมีวิธีการ ปฏิบัติตนอยางไรบาง

2 pH คาที่ใชวัดความเปนกรด-เบส ของสารละลายมีคาตั้งแต 0 ถึง 14 ซึ่งสารละลายที่เปนกรดจะมีคา pH อยูระหวาง 1- 6 และสารละลายที่เปนเบส จะมีคา pH อยูระหวาง 8 -14 สําหรับ pH 7 เปนคาของสารละลายที่เปนกลาง คือ นํ้าบริสุทธิ์

แนวตอบ ควรดื่มนํ้าเปนประจําทุกวันอยางนอยวันละ 6-8 แกว รับประทานผักและผลไม เพราะจะมีวิตามินและเกลือแรที่ชวยบํารุงผิว ออกกําลังกายอยางสมํ่าเสมอสัปดาหละ 2-3 ครั้ง ครั้งละประมาณ 20-30 นาที พักผอนใหเพียงพอ และไมเสพสิ่งเสพติดตางๆ

3 การดื่มนํ้า เปนประจําทุกวันและเพียงพอจะชวยใหใบหนาและผิวพรรณ สดใส ชวยใหเลือดไหลเวียนไดดี บงบอกถึงความเปนคนที่มีสุขภาพดี เพราะนํ้าจะ ชวยสรางภูมิคุมกันใหกับผิวหนัง และยังชวยปองกันไมใหเชื้อโรคเขาสูรางกาย

6

คูมือครู


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

อธิบายความรู

Engage

Explore

Explain

ขยายความเขาใจ Expand าใจ ขยายความเข

ตรวจสอบผล

Expand

Evaluate

ขยายความเขาใจ

Expand

ใหนักเรียนศึกษาเพิ่มเติมถึงการดูแลรักษา ผิวหนังของตนเองในชวงฤดูฝนจากเสริมสาระ จากนั้นใหนักเรียนรวมกันอภิปรายวาโรคที่เกิดจาก ชวงฤดูฝนนั้นมีอะไรบาง และมีสาเหตุมาจากอะไร โดยครูตั้งคําถามเพื่อขยายความเขาใจของ นักเรียน • โรคที่พบไดบอยในฤดูฝน มีอะไรบาง (แนวตอบ ไดแก วงดางๆ สีขาวหรือสีเนื้อ โรคนํ้ากัดเทา โรคเทาเหม็น และโรคที่เกิด จากพยาธิปากขอ) • โรคดังกลาวมักเกิดมาจากสาเหตุใด (แนวตอบ เกิดจากเชื้อรา ซึ่งมักจะเจริญ เติบโตไดดีในภาวะชื้นแฉะ โดยเฉพาะใน ฤดูฝน) จากนั้นใหนักเรียนทําแผนปายความรู เกี่ยวกับวิธีการดูแลผิวหนังใหสดใสเปลงปลั่ง เพื่อเผยแพรความรูแกนักเรียนคนอื่นๆ โดยนํา ไปติดไวตามอาคารตางๆ ภายในโรงเรียน

เสริมสาระ หน้าฝนอันตราย!! โรคภัยสู่ผิวพรรณ เมื่อเข้ำสู่หน้ำฝน ภำวะหนึ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยำกเมื่อฝนตก คือ อำกำศที่อับชื้น ท�ำให้บำงครั้ง อำจเกิดผื่นขึ้นบนผิวหนังได้ โดยสำเหตุมำจำกเชื้อรำที่มักเจริญเติบโตได้ดีในภำวะชื้นแฉะ โรคที่พบ ได้บ่อยๆ นั้น มีดังนี้ วงด่างๆ สีขาวหรือสีเนื้อ ในบำงคน อำจขึ้ น เป็ น วงสี น�้ ำ ตำล ร่ ว มกั บ มี ขุ ย สี ข ำวเล็ ก ๆ มักเกิดขึน้ บนผิวหนังบริเวณหน้ำอกและล�ำตัว อำจมี อำกำรคั น ร่ ว มด้ ว ย โดยผื่ น ชนิ ด นี้ เ ป็ น ลั ก ษณะ ของโรคเกลื้ อ นซึ่ ง พบได้ บ ่ อ ยในเด็ ก และวั ย รุ ่ น ที่ สุ ข อนำมั ย ไม่ ค ่ อ ยดี ไ ม่ ช อบอำบน�้ ำ เช่ น คนที่ ออกก�ำลังกำยเหงื่อออกหรือตำกฝน แล้วไม่ยอม อำบน�้ำ ร่ำงกำยชื้นแฉะอยู่เป็นเวลำนำน ท�ำให้ กำรช�ำระล้ำงท�ำควำมสะอำดผิวพรรณให้หมดจด เป็นสิง่ เชื้อรำเพิ่มจ�ำนวนมำกท�ำให้เกิดผื่นขึ้น เป็นต้น ส�ำคัญพื้นฐำนของกำรมีผิวสวยใสสุขภำพดี โรคน�้ า กั ด เท้ า ช่ ว งที่ ฝ นตกมำกๆ บำงพื้นที่อำจมีน�้ำท่วมขัง หรือเวลำฝนตกนำนเป็นชั่วโมงๆ ท�ำให้ต้องเดินย�่ำน�้ำชื้นแฉะเป็นเวลำนำน อย่ำงหลีกเลี่ยงไม่ได้ และหำกยังไม่รีบท�ำควำมสะอำดเท้ำ ผ่ำนไปสักระยะหนึ่งอำจพบว่ำผิวตำมซอก นิ้ ว เท้ ำ ลอกเป็ น ขุ ย ขำวๆ หรื อ เปี ย กยุ ่ ย หรื อ อำจถึ ง ขั้ น เป็ น แผล มี น�้ ำ เหลื อ งแฉะที่ ผิ ว เรี ย กว่ ำ โรค น�้ำกัดเท้ำ เกิดจำกเชื้อรำซึ่งอยู่ตำมสิ่งแวดล้อม ได้แก่ หิน ดิน ทรำย และในสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัขและแมว เป็นต้น โดยผื่นที่เท้ำอำจจะลำมไปที่ล�ำตัวส่วนอื่นได้ ซึ่งที่พบบ่อย คือ ผื่นบริเวณขำหนีบ เรียกว่ำ “สังคัง” โรคเท้ าเหม็ น เวลำถอดรองเท้ ำ บำงคนอำจมีกลิ่นเหม็นโชยออกมำ เมื่อก้มดูที่ฝ่ ำเท้ ำ จะเห็นเป็นรูพรุนเล็กๆ หรือเป็นแอ่งเว้ำแหว่งตื้นๆ เรียกว่ำ โรคเท้ำเหม็น สำเหตุเกิดจำกกำรติดเชื้อ แบคทีเรียชนิดหนึ่ง มักพบในผู้ชำยที่ใส่ถุงเท้ำที่ท�ำจำกใยสังเครำะห์หนำๆ ซึ่งมักจะแห้งยำกในหน้ำฝน โรคที่เกิดจากพยาธิปากขอ ในน�้ำที่ขังตำมพื้นถนนอำจมีพยำธิ 1 บำงชนิด เช่น พยำธิปำกขอ ซึ่งสำมำรถชอนไชเข้ ำ สู ่ ผ ิ ว หนั ง ได้ โ ดยตรง เป็ น ต้ น ท� ำ ให้ เ กิ ด โรคโลหิ ต จำงได้ หรือหำกได้ ห รับเชื้อที่ท�ำให้ 2 เกิดโรคฉี่หนูเข้ำไปตำมรอยแผลเล็กๆ บริเวณเท้ำ ก็อำจถึงขั้นเสียชีวิตได้  ดังนัน้ กำรป้องกันอันดับแรก คือ หลีกเลีย่ งกำรเหยียบย�ำ่ น�ำ้ หรือตำกฝน ถ้ำหลีกเลีย่ งไม่ได้ เมือ่ กลับถึงทีพ่ กั ควรรีบถอดเสือ้ ผ้ำ แล้วอำบน�ำ้ ท�ำควำมสะอำดร่ำงกำย โดยใช้สบูห่ รือสำรท�ำควำมสะอำดทัว่ ไป เสร็จแล้วใช้ผ้ำสะอำดซับอำจช่วยให้แห้งเร็วขึ้นโดยใช้พัดลมเป่ำ ทั้งนี้กำรโรยแป้งฝุ่นจะสำมำรถช่วยลด ควำมชื้นได้ เสื้อผ้ำที่ใช้ ควรท�ำจำกวัสดุธรรมชำติ เช่น ผ้ำฝ้ำยที่มีเนื้อผ้ำบำงเบำเพื่อให้ระบำยอำกำศได้ดี และกำรสวมรองเท้ำแตะก็ช่วยลดโอกำสกำรติดเชื้อรำที่เท้ำได้ เป็นต้น ■

7

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

ขอใดไมใชวิธีปฏิบัติตนที่ถูกตองหลังจากการตากฝน 1. เมื่อตากฝนแลวควรรีบทําความสะอาดเทาทันที 2. เมื่ออาบนํ้าแลวควรโรยแปงฝุนเพื่อลดความชื้น 3. เมื่อตากฝนแลวไมควรรีบอาบนํ้าทันที 4. ควรรีบถอดเสื้อผาทันทีเมื่อกลับถึงที่พัก

วิเคราะหคําตอบ หลังจากการตากฝนควรรีบอาบนํ้าทันที เพราะเมื่อ รางกายเปยกชื้นอาจสงผลใหเปนโรคหวัดได และถาหากปลอยใหรางกาย เปยกชื้นเปนเวลานานอาจจะทําใหผิวหนังเกิดการอับชื้นจนเกิดเปนเชื้อรา ขึ้นไดและอาจสงผลใหเกิดผื่นขึ้นที่ผิวหนัง ตอบขอ 3.

เกร็ดแนะครู ครูควรนํารูปภาพของโรคที่เกิดจากเชื้อราตามผิวหนังมาใหนักเรียนดู พรอมกับ อธิบายและเสนอแนะเพิ่มเติม เพื่อใหนักเรียนตระหนักและเห็นความสําคัญของ การดูแลรักษารางกายและผิวหนังของนักเรียนใหสะอาดอยูเสมอ

นักเรียนควรรู 1 โรคโลหิตจาง สภาวะที่รางกายมีเม็ดเลือดแดงในกระแสเลือดไมเพียงพอ ทําใหเกิดอาการตัวซีดเหลือง เหนื่อยงาย และออนเพลีย 2 โรคฉี่หนู เปนโรคที่รางกายไดรับเชื้อมาจากสัตวบางชนิดที่เปนพาหะนําโรค เชน หนู โค สุกร เปนตน เชื้อโรคสามารถเขาสูรางกายไดทางผิวหนังหรือสัมผัส ถูกปสสาวะของสัตวที่มีโรค คูมือครู

7


กระตุน ความสนใจ

สํารวจคนหา Exploreนหา สํารวจค

อธิบายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Engage

Explore

Explain

Expand

Evaluate

กระตุEngage นความสนใจ

กระตุน ความสนใจ

Engage

ครูนําหุนจําลองโครงสรางของกระดูกใน รางกายมนุษยมาใหนักเรียนดู จากนั้นตั้งคําถาม กระตุนความสนใจ โดยใหนักเรียนสามารถแสดง ความคิดเห็นไดอยางอิสระ • นักเรียนคิดวา กระดูกของมนุษยนั้นแตกตาง จากกระดูกของสัตวอยางไร (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ไดอยางอิสระ โดยครูอาจเสนอแนะเพิ่มเติมวา กระดูกของมนุษยจะมีอวัยวะจําพวกกระดูก มากมาย เชน กระดูกสะบัก กระดูกไหปลารา กระดูกเชิงกราน เปนตน แตสําหรับสัตวนั้น กระดูกจะมีลักษณะโคงงอมากกวามนุษย ซึ่งจะมีกระดูกสันหลังเพื่อชวยในการ เคลื่อนไหว แตสําหรับสัตวบางชนิดจะไมมี กระดูกสันหลัง ทําใหเคลื่อนที่ไดยากจึงตอง อาศัยการทํางานรวมกันของกลามเนื้อและ ระบบประสาท เชน หนอน กุง ปู แมลง เปนตน) • กระดูกของมนุษย ประกอบดวยอะไรบาง และมีทั้งหมดกี่ชิ้น (แนวตอบ ประกอบดวย กระดูก กระดูกออน เอ็น และขอตอ รวมทั้งหมดมี 206 ชิ้น)

สํารวจคนหา

๓. ระบบกระดูก ระบบกระดูกประกอบไปด้วยอวัยวะจ�าพวกกระดูก กระดูกอ่อน เอ็น และข้อต่อ เป็นระบบ อวัยวะที่มีหน้าที่ในการค�้าจุนโครงสร้างของร่างกาย โดยเป็นที่ยึดเกาะของกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อ ช่วยในการป้องกันอันตรายที่จะกระทบกระเทือนต่ออวัยวะภายใน เช่น สมอง หัวใจ ตับ ปอด ม้าม เป็นต้น ร่างกายของมนุษย์เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่จะประกอบด้วยกระดูกทั้งหมด ๒๐๖ ชิ้น แบ่งเป็น1 กระดูกรยางค์ กระดูกแกน ๘๐ ชิน้ เช่น กะโหลกศีรษะ กระดูกสันหลัง กระดูกก้นกบ กระดูกซีโ่ ครง กระดู จ�านวน ๑๒๖ ชิ ้น เช่น กระดูกแขนขา สะบัก 2 ไหปลาร้า เชิงกราน เป็นต้น ทารกช่วงแรกเกิด กะโหลกศีรษะ จะมีกระดูกถึง ๓๐๐ ชิน้ เนือ่ งจากกระดูกอ่อนยัง กระดูก ไม่ตดิ กัน แต่เมือ่ เจริญเติบโตขึน้ กระดูกจะค่อยๆ ไหปลำร้ำ ติดเป็นชิ้นเดียวกัน จึงท�าให้มีจ�านวนกระดูก กระดูกต้นแขน ลดลง ซึง่ การเจริญเติบโตของกระดูกจะมีขนาด กระดูกซี่โครง ใหญ่ขึ้นตามอายุ ข้อต่อตามส่วนต่างๆ ของ กระดูกสันหลัง ร่างกายจะเป็นตัวการส�าคัญในการเคลื่อนไหว กระดูกเชิงกรำน ของร่างกาย โดยอาศัยการท�างานที่ประสาน กระดูกปลำยแขน ท่อนนอก สัมพันธ์กันของกระดูก กล้ามเนื้อ ข้อต่อ และ กระดูกปลำยแขน ประสาทสั่งงานจากสมอง ท่อนใน

๓.๑ โครงสร้างของกระดูก

กระดูกต้นขำ 4 กระดูกใต้กระเบนเหน็บ

5

Explore

สะบ้ำ

ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน ศึกษา เรื่องโครงสรางของกระดูก หนาที่ของกระดูก และ วิธีการสรางเสริมดํารงประสิทธิภาพการทํางานของ กระดูก จากคลิปวิดีโอ

กระดูกหน้ำแข้ง กระดูกน่อง

แผนภำพแสดงโครงสร้ำงของกระดูกในร่ำงกำยมนุษย์

กระดูกเป็นส่วนที่มีความแข็งแรง ที่เกิดจากการจัดเรียงตัวของเซลล์เป็นแท่งๆ นับพันเซลล์ และภายในช่อ3งโพรงกระดูกจะ มีส่วนที่เราเรียกว่า ไขกระดู ไขกระดูก ซึ่งเป็นส่วนของ ไขมันอยูต่ รงกลาง ลักษณะของกระดูกโดยทัว่ ไป นั้น สามารถแบ่งออกได้เป็น ๔ ชนิด คือ ๑) กระดูกยาว (Long Bones) เป็นกระดูกที่มีลักษณะรูปยาว ส่วนตรงกลาง เรียวคอด ตอนปลายทัง้ สองข้างโตออกเล็กน้อย เช่น กระดูกแขน กระดูกขา เป็นต้น

8

นักเรียนควรรู 1 กระดูกรยางค กระดูกที่ยื่นออกจากโครงสรางหลักของรางกาย ซึ่งจะอยู ในสวนของแขนและขา ไดแก กระดูกสวนไหล กระดูกแขน กระดูกมือ กระดูก เชิงกราน กระดูกขา และกระดูกขอเทา มีหนาที่ชวยในการเคลื่อนไหว 2 ไหปลารา กระดูกแบบยาวชิ้นหนึ่งที่เปนสวนประกอบของกระดูกสวนไหล 3 ไขกระดูก เนื้อเยื่อชนิดหนึ่งที่พบไดในโพรงกระดูก มีลักษณะเปนของ เหลวขน คลายเจลหรือวุนสอดแทรกอยูในกระดูก ภายในมีเสนเลือดหลอเลี้ยง มากมาย ทําหนาที่ผลิตเซลลเม็ดเลือดทุกชนิดใหแกรางกาย 4 กระดูกใตกระเบนเหน็บ ประกอบดวยกระดูก 5 ชิ้น เชื่อมเขาดวยกันและ ตอเขากับกระดูกเชิงกรานเพื่อเปนทางผานของเสนประสาทไปยังบริเวณขา 5 สะบา กระดูกหนาที่อยูภายในเอ็นกลามเนื้อที่มีขนาดใหญที่สุดซึ่งหอหุมอยู ทางดานหนาของขอเขา

8

คูมือครู

ขอสอบ

O-NET

ขอสอบป ’ 52 ออกเกี่ยวกับการเสริมสรางกระดูก การวางแผนดูแลสุขภาพเพื่อใหมีสุขภาพดี ดวยการรับประทานอาหาร ครบทุกหมู และออกกําลังกายดวยการเดินจะไดประโยชนมากที่สุดขอใด 1. กระดูกยาวขึ้น 2. มวลกระดูกมากขึ้น 3. กลามเนื้อแข็งแรงขึ้น 4. เอ็นและขอตอแข็งแรงขึ้น วิเคราะหคําตอบ การสรางเสริมกระดูกใหแข็งแรงนั้น สามารถทําได โดยการทานอาหารใหครบ 5 หมู โดยเฉพาะอาหารที่มีวิตามินดีและ แคลเซียม ตลอดจนโปรตีน นอกจากนี้การออกกําลังกายดวยการเดิน ยังสงผลใหกระดูกและขอตอมีความแข็งแรงและมีความทนทานมากขึ้น เนื่องจากรางกายไดมีการเคลื่อนไหว ตอบขอ 4.


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

อธิบายความรู

ครูสุมนักเรียน 2-3 กลุม ออกมาสรุปความรู ที่ไดจากการดูคลิปวิดีโอ โดยครูและนักเรียน คนอื่นๆ รวมเสนอแนะเพิ่มเติมและตั้งคําถาม เพื่อใหไดขอสรุปที่ถูกตองรวมกัน • นักเรียนคิดวา ไขกระดูก มีความสําคัญ อยางไรกับรางกายของเรา (แนวตอบ เปนแหลงผลิตเซลลตนกําเนิดของ เม็ดเลือดชนิดตางๆ คือ เม็ดเลือดแดง และเม็ดเลือดขาว) • ทารกชวงแรกเกิดจะมีกระดูกถึง 300 ชิ้น แตเมื่อเติบโตเต็มที่จะเหลือเพียง 206 ชิ้น เปนเพราะเหตุใด (แนวตอบ เนื่องจากกระดูกออนของทารก แรกเกิดยังไมติดกัน แตเมื่อเติบโตเต็มที่ กระดูกออนเหลานั้นจะคอยๆ ติดเปน ชิ้นเดียวกัน จึงทําใหมีจํานวนกระดูกลดลง) • กระดูกในรางกายของเรามีความสําคัญ อยางไร (แนวตอบ ชวยพยุงรางกายใหสามารถดํารง อยูได มีสวนชวยในการเคลื่อนไหว เปนแหลงเก็บแคลเซียมและฟอสฟอรัส เพื่อชวยรักษาปริมาณแรธาตุที่จําเปนของ รางกายใหอยูในระดับปกติ นอกจากนี้ยัง ชวยปองกันการกระทบกระเทือนที่อาจกอให เกิดอันตรายตออวัยวะภายในที่สําคัญ เชน กะโหลกศีรษะ ทรวงอก ชองทอง เปนตน)

๒) กระดูกสั้น (Short Bones) มีลักษณะสั้น และมีขนาดต่างๆ กันออกไป โดย ส่วนใหญ่จะมีเยื่อหุ้มบางๆ หุ้มอยู่ เช่น กระดูกข้อมือ เป็นต้น ๓) กระดูกแบน (Flat Bones) กระดู 1 กชนิดนี้มีลักษณะแบนและบาง ด้านนอกหุ้ม ด้วยเยื่อบางๆ เช่น กระดูกซี่โครง กระดูกสะบัก กระดูกกะโหลกศีรษะ เป็นต้น ๔) กระดูกรูปแปลกๆ (Irregular Bones) กระดูกพวกนี้มีรูปร่างต่างๆ กัน ซึ่ง แตกต่างจาก ๓ พวกแรก เช่น กระดูกกะโหลกศีรษะบางชิ้น กระดูกสันหลัง เป็นต้น เราสามารถแบ่งโครงสร้างของกระดูก ในผู้ใหญ่ออกเป็น ๒ ส่วน ดังนี้ (๑) กระดูกแกนกลาง (Axial Skeletal Bones) จ�านวน ๘๐ ชิ้น ได้แก่ ๑. กระดูกศีรษะ และกระดูกหน้า จ�านวน ๒๘ ชิ้น ๒. กระดูกโคนลิ้น จ�านวน ๑ ชิ้น ๓. กระดูกสันหลัง จ�านวน ๒๖ ชิ้น ๔. กระดูกทรวงอก จ�านวน ๒๕ ชิ้น (๒) กระดู ก รยางค์ (Appendicular Bones) ประกอบด้ ว ยกระดู ก จ� า นวน ๑๒๖ ชิ้น ได้แก่ ๑. กระดูกแขนและข้2 อมือ จ�านวน ๖๔ ชิ้น ๒. กระดูกเชิงกราน จ�านวน ๒ ชิ้น ๓. กระดูกขาและเท้า จ�านวน ๖๐ ชิ้น

๓.๒ หน้าที่ของกระดูก กระดูกเป็นอวัยวะส�าคัญที่ช่วยใน การพยุงร่างกายให้สามารถด�ารงอยู่ได้ ขณะ เดียวกันก็เป็นโครงร่างที่ส�าคัญในการยึดเกาะ ของกล้ามเนื้อ และเป็นโครงของร่างกายด้วย นอกจากนี้กระดูกยังมีหน้าที่ส�าคัญในการช่วย ป้องกันการกระทบกระเทือนที่อาจก่อให้เกิด อันตรายต่ออวัยวะทีส่ า� คัญภายในกะโหลกศีรษะ ทรวงอก และช่องท้อง ร่างกายของคนเรานัน้ เมือ่ แรกเกิด กระดู ก ทั้ ง หมดยั ง เป็ น กระดู ก อ่ อ นอยู ่ และ ประกอบด้วยเนื้อเยื่อที่เป็นเส้นใยและความ ยืดหยุ่น ซึ่งจะท�างานประสานกันเป็นโครงสร้าง

Explain

กระดู ก และกล้ ำ มเนื้ อ จะท� ำ งำนร่ ว มกั น เมื่ อ เกิ ด กำร เคลื่อนไหว

http://www.aksorn.com/LC/He/M4/02

EB GUIDE

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

การออกกําลังกายในขอใดกอใหเกิดอันตรายตอกระดูกนอยที่สุด 1. ยกนํ้าหนัก 2. ยิมนาสติก 3. เตนแอโรบิก 4. บารเดี่ยวตางระดับ

วิเคราะหคําตอบ การออกกําลังกายที่กอใหเกิดอันตรายตอกระดูกนอย ที่สุด ควรเปนการออกกําลังกายที่เบาๆ ไมหนัก และไมโลดโผนจนเกินไป จึงจะปลอดภัยตอกระดูกมากที่สุด ตอบขอ 3.

9

นักเรียนควรรู 1 กระดูกสะบัก กระดูกแบบแบนชิ้นหนึ่งที่เปนสวนประกอบของกระดูกไหล ซึ่งเปนที่ยึดเกาะกับเอ็น เพื่อประกอบเปนขอตอที่มีความสําคัญในการเคลื่อนไหว ของรางกาย 2 กระดูกเชิงกราน โครงสรางของกระดูกที่อยูตรงสวนลางของกระดูกสันหลัง ซึ่งประกอบดวยกระดูกสะโพก และกระดูกกนกบ

มุม IT สามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบกระดูกไดจาก http://www.youtube. com/watch?v=oyvGVhhMEro

คูมือครู

9


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

Explain

ใหนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับการ สรางเสริมดํารงประสิทธิภาพการทํางานของกระดูก โดยครูเสนอแนะเพิ่มเติม และตั้งคําถามเพื่อใหได ขอสรุปที่ถูกตองรวมกัน • การสรางเสริมการทํางานของกระดูกใหมี ประสิทธิภาพในการทํางานที่ดี เกิดจาก ปจจัยใดเปนสําคัญ (แนวตอบ การออกกําลังกายและการบริโภค อาหารที่มีสารอาหารครบถวนและถูกตอง) • การออกกําลังกายดวยการเดินเร็ว มีสวนชวย ใหกระดูกมีความแข็งแรงหรือไม อยางไร และควรออกกําลังกายดวยการเดินเร็วนาน เทาใดจึงจะเหมาะสมที่สุด (แนวตอบ การออกกําลังกายดวยการเดินเร็ว จะชวยถนอมหัวเขาและสรางความแข็งแรงให กับกระดูก โดยการเดินเร็วที่เหมาะสมนั้น ควรเดินเร็ว 3-4 ครั้งตอสัปดาห ครั้งละ ประมาณ 15-20 นาที) • การทานอาหารประเภทใดที่มีสวนชวยใน การเจริญเติบโตและสรางความแข็งแรงของ เซลลกระดูก (แนวตอบ โปรตีน เชน เนื้อสัตว นม ไข ถั่วตางๆ เปนตน และแคลเซียมเชน นม ปลาเล็กปลานอย เปนตน)

ที่มีความแข็งแรงสมบูรณ์เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ โดยในช่วงแรกเกิดนั้น พบว่ามนุษย์จะมีจ�านวน กระดูก มากถึง ๓๐๐ ชิ้น แต่ก ระดูก หลายชิ้น จะเชื่อมติดกัน ในระหว่างวัยเด็ก จนเมื่อ โต เป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็จะมีกระดูกในร่างกายทั้งสิ้น จ�านวน ๒๐๖ ชิ้น ซึ่งการที่ร่างกายมีกระดูก หลายๆ ชิ้นมาต่อกันนี้ จะก่อให้เกิดเป็นข้อต่อ ขึ้น และข้อต่อเหล่านี้มีส่วนช่วยให้เกิดการ เคลือ่ นไหวของร่างกาย โดยมีกล้ามเนือ้ ท�าหน้าที่ เป็นตัวให้พลัง ซึ่งการเคลื่อนไหวของร่างกาย จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการประสานสัมพันธ์กัน ระหว่างระบบกระดูก ระบบกล้ามเนื้อ รวมถึง ระบบประสาทอีกด้วย นอกจากนี้หน้าที่ส�าคัญ ของกระดูกอีกอย่างหนึ่ง คือ ภายในช่องโพรง ภำพเอกซเรย์ลกั ษณะภำยในกระดูกซึง่ เต็มไปด้วยรูพรุน กระดูกจะมีไขกระดูก ซึ่งจะมีหน้าที่ช่วยสร้าง เนื่องจำกกำรขำดแคลเซียม เม็ดเลือดแดงให้กับร่างกาย 1 กระดูกจะท�าหน้าที่เป็นแหล่งเก็บและจ่ายแคลเซียม ฟอสเฟต และแมกนีเซียม โดยประมาณร้อยละ ๙๙ ของแคลเซียมทั้งร่างกายมนุษย์จะอยู่ในกระดูก ซึ่งถ้าร่างกายขาด แคลเซียมก็จะส่งผลให้เกิดความผิดปกติของเนื้อเยื่อหลายชนิด กระดูกจะเป็นตัวที่ช่วยในการ ควบคุมปริมาณของของเหลวภายนอกเซลล์ให้คงที่ โดยการเติมหรือเอาแคลเซียมออกไป กล่าวคือ ถ้าร่างกายมีแคลเซียมไม่พอกระดูกก็จะจ่ายแคลเซียมออกมามาก และถ้ามีแคลเซียม มากเกินไปในร่างกาย กระดูกก็จะเก็บแคลเซียมไว้เพื่อที่จะรักษาภาวะสมดุล การลดลงของ แคลเซียมในเลือดและของเหลวภายนอกเซลล์ เพียงเล็กน้อย สามารถท�าให้ระบบประสาท 2 ท�างานมากผิดปกติ จนเกิดอาการชักได้ ดังนั้น การควบคุมระดับของแคลเซียมในเลือดจึงมีความ ส�าคัญอย่างมาก และกระดูกก็นับว่ามีส่วนส�าคัญที่ช่วยท�าให้ภาวะสมดุลดังกล่าวเกิดขึ้นได้

๓.๓ การสร้างเสริมและด�ารงประสิทธิภาพการท�างานของกระดูก การที่จะสร้างเสริมการท�างานของกระดูกให้มีประสิทธิภาพในการท�างานที่ดีได้นั้น จะต้องเน้นให้เกิดความแข็งแรงของกระดูกขึ้น โดยพบว่าการที่กระดูกจะแข็งแรงได้นั้นเกิดจาก ปัจจัยส�าคัญ ๒ ประการ ดังนี้ ๑0

เกร็ดแนะครู ครูควรแนะนํานักเรียนเกี่ยวกับอาหารที่ชวยเสริมสรางการทํางานของระบบ กระดูกใหแข็งแรง

นักเรียนควรรู 1 แมกนีเซียม เปนสารอาหารประเภทเกลือแรชนิดหนึ่ง มีหนาที่ชวยสังเคราะห โปรตีนใหกับรางกาย ชวยควบคุมการทํางานของกลามเนื้อตางๆ และทําให รางกายเก็บสะสมแคลเซียมไดดีขึ้น 2 อาการชัก อาการที่กลามเนื้อเกิดการกระตุกอยางรุนแรงและเฉียบพลัน โดยมักจะมีอาการมือเทาเกร็งและอาจถึงขั้นหมดสติได

10

คูมือครู

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

การเสริมสรางระบบกระดูกดวยวิธีใดที่มีสวนชวยใหระบบกระดูก มีความแข็งแรง 1. การอยูในที่รมเปนประจํา 2. การทานปลาเล็กปลานอย 3. การยกของหนักๆ 4. การเลนโลดโผน วิเคราะหคําตอบ การทานปลาเล็กปลานอย จะชวยใหกระดูกแข็งแรง เนื่องจากเปนแหลงอาหารที่มีแคลเซียมสูงซึ่งสามารถรับประทานไดเนื้อ และกางหมดทั้งตัว โดยแหลงแคลเซียมจะอยูที่หัวปลา และกางปลา

ตอบขอ 2.


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

อธิบายความรู

Engage

Explore

Explain

ขยายความเขาใจ Expand าใจ ขยายความเข

ตรวจสอบผล

Expand

Evaluate

ขยายความเขาใจ

Expand

ใหนักเรียนรวมกันศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่อง ตากแดดวันละนิด พิชิตกระดูกพรุน จากเกร็ดนารู จากนัน้ ใหนกั เรียนรวมกันเสนอแนะวา การตากแดด มีสวนชวยในการปองกันโรคกระดูกพรุนได อยางไร โดยครูตั้งคําถามเพื่อขยายความเขาใจ ของนักเรียน • เพราะเหตุใด การตากแดดในชวงเชา และชวงเย็นจึงชวยปองกันการเกิดโรค กระดูกพรุนได (แนวตอบ เพราะแสงแดดในชวงเชา และ ชวงเย็นจะมีวิตามินดีที่ชวยเสริมสรางกระดูก ใหแข็งแรง สามารถปองกันโรคกระดูกพรุน และสามารถลดความเสี่ยงของการหกลม เมื่อเติบโตเปนผูใหญตอไปได) จากนั้นใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4 - 5 คน รวมกันคิดทาทางการออกกําลังกายประกอบ จังหวะ กลุมละ 3 - 5 นาที แลวใหนักเรียน บอกถึงประโยชนที่ไดจากการออกกําลังกายที่มี สวนชวยในการเสริมสรางระบบกระดูกใหแข็งแรง

๑) การออกก�าลังกาย การออกก�าลังกายเป็นสิ่งที่ส�าคัญส�าหรับมนุษย์ เพราะจะ ช่วยท�าให้รา่ งกายแข็งแรงและพัฒนาทัง้ ในส่วนของความทนทานของกระดูก รวมถึงการพัฒนาใน ส่วนของกล้ามเนือ้ และช่วยท�าให้หวั ใจและปอด แข็งแรงขึน้ ด้วย การออกก�าลังกายสามารถทีจ่ ะ หัดได้ตั้งแต่ในวัยทารก โดยอาจให้ทารกเล่นใน สนามเด็กเล่น หรือบนพื้นที่ที่สามารถดูแลได้ ทั่ ว ถึ ง เมื่ อ อยู ่ ใ นวั ย เด็ ก เล็ ก ก็ ใ ห้ เ ล่ น เครื่ อ ง เล่นต่างๆ นอกบ้าน และเมื่อโตขึ้นก็ควรออก ก�าลังกายโดยเล่นกีฬาประเภทต่างๆ ให้มากขึน้ โดยเฉพาะการเล่นกีฬากลางแจ้งในช่วงเช้า ซึ่งจะท�าให้ร่างกายได้รับวิตามินดีอีกด้วย ๒) การบริ โ ภคอาหารที่ มี ส าร อาหารครบถ้วนและถูกต้อง โดยเฉพาะอาหาร ที่มีวิตามินดีและแคลเซียม ตลอดจนโปรตีน ปลำเล็กปลำน้อยที่สำมำรถรับประทำนได้ทั้งตัว เป็น ซึ่งเป็นสารอาหารที่จ�าเป็นต่อการเจริญเติบโต แหล่งอำหำรที่มีแคลเซียมสูง และการด�ารงชีวติ ของมนุษย์ ส�าหรับในวัยทารก อาหารทีม่ คี ณุ ค่ามากทีส่ ดุ คือ น�า้ นมแม่ และเมือ่ เติบโตขึน้ ก็ควรรับประทานอาหารให้ครบทุกประเภท โดยพบว่าอาหารที่มีสารอาหารประเภทโปรตีนและแคลเซียมสูง จะมีส่วนในการเจริญเติบโตและ สร้างความแข็งแรงของเซลล์กระดูกได้มาก

เกร็ดน่ารู้ ตากแดดวันละนิดพิชิตกระดูกพรุน กำรตำกแดดเป็นกำรสร้ำงวิตำมินดีให้กับร่ำงกำย เพรำะในแสงแดดจะมีวิตำมินดีที่ไปช่วยยับยั้งกำรหลั่ง ฮอร์โมนพำรำไทรอยด์ (Parathyroid) ซึ่งเป็นฮอร์โมนอันตรำยที่จะไปสลำยแคลเซียมออกจำกกระดูก และช่วย สร้ำงสำรออสธีโอแคลซิน (Osteocalcin) ที่จะไปช่วยดึงแคลเซียมเข้ ำมำในกระดูก รวมถึงช่วยสร้ำงกล้ำมเนื้อ ให้ แข็ ง แรง อี ก ทั้ ง ยั ง ช่ ว ยป้ อ งกั น โรคกระดู ก พรุ น และช่ ว ยลดควำมเสี่ ย งของกำรหกล้ ม เมื่ อ เติ บ โตเป็ น ผู ้ ใ หญ่ สูงวัยต่อไปได้อีกด้วย ส�ำหรับช่วงเวลำทีเ่ หมำะสมต่อกำรรับแสงแดด คือ ช่วงเวลำตัง้ แต่ ๐๖.๐๐ - ๐๘.๐๐ น. และ ๑๖.๐๐ - ๑๘.๐๐ น. เพรำะเป็นช่วงเวลำที่แสงแดดไม่จัดและไม่เป็นอันตรำยต่อผิวหนังมำกเกินไป

๑๑

กิจกรรมสรางเสริม ใหนักเรียนศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคที่เกิดจากระบบกระดูก แลวสรุป เปนแผนพับความรู เพื่อนําไปเผยแพรแกบุคคลตางๆ ภายในโรงเรียน

กิจกรรมทาทาย ใหนักเรียนเลือกศึกษาโรคที่เกิดจากระบบกระดูกมา 1 โรค แลวนํา มาจัดทําเปนรายงานรูปเลม โดยหัวขอสําหรับการทํารายงานนั้นจะตอง ประกอบดวย ดังนี้ • สาเหตุ • ลักษณะอาการ • แนวทางการปฏิบัติเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดโรคดังกลาว

เกร็ดแนะครู ครูควรอธิบายเพิ่มเติมเรื่อง อันตรายหรือโรคที่เกิดจากการขาดแคลเซียม ที่มีผลกระทบตอระบบกระดูก เชน โรคกระดูกพรุน โรคกระดูกออน และโรค ปวดขอรูมาตอยด เปนตน โดยอธิบายถึงสาเหตุ ลักษณะอาการ และความรุนแรง ของโรคดังกลาว

มุม IT ศึกษาเพิ่มเติมเรื่อง กระดูกและขอ โรคที่เกิดจากระบบกระดูก ไดจากเว็บไซต เสนทางสุขภาพ http://www.yourhealthyguide.com

คูมือครู

11


กระตุน ความสนใจ กระตุEngage นความสนใจ

สํารวจคนหา

อธิบายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Engage

Explore

Explain

Expand

Evaluate

กระตุน ความสนใจ

Engage

ใหนักเรียนงอแขน งอนิ้ว และงอขา จากนั้นครู ตั้งคําถามกระตุนความสนใจของนักเรียน โดยให นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็นไดอยางอิสระ • เพราะเหตุใด แขน นิ้ว และขา ถึงขยับและ งอได (แนวตอบ เกิดจากการหดตัวและคลายตัวของ กลามเนื้อ) • นักเรียนเคยปวดเมื่อยตามรางกายหรือไม ถาเคยนักเรียนคิดวา เกิดมาจากสาเหตุใด (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ไดอยางอิสระ) • นักเรียนคิดวา การปวดเมือ่ ยนัน้ เปนผลมาจาก ระบบใดของรางกาย เพราะเหตุใด (แนวตอบ ระบบกลามเนื้อ เพราะเมื่อกลามเนื้อ ถูกใชงานอยางหนัก และไมไดผอนคลาย จึงอาจทําใหเกิดอาการปวดเมื่อยตาม รางกายได) • นักเรียนทราบหรือไมวา กลามเนื้อสามารถ แบงออกไดเปนกี่ประเภท อะไรบาง (แนวตอบ 3 ประเภท ไดแก กลามเนื้อลาย กลามเนื้อเรียบ และกลามเนื้อหัวใจ ซึ่งนักเรียนจะไดศึกษาในเนื้อหาตอไป)

๔. ระบบกล้ามเนืéอ กล้ามเนื้อเป็นเนื้อเยื่อที่มีหน้าที่โดยตรงเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของมนุษย์ โดยทั่วไปร่างกาย มนุษย์จะประกอบด้วยกล้ามเนื้อประมาณ ๖๕๖ มัด และมีน�้าหนักรวมกันประมาณครึ่งหนึ่งของ น�้าหนักร่างกาย การเคลื่อนไหวของอวัยวะต่างๆ ภายใน ร่างกายเป็นผลจากการท�างานทีป่ ระสานสัมพันธ์ ล�ำไส้เล็ก กันของกระดูกและกล้ามเนือ้ เช่น การเดิน การ วิ่ง การกระโดด เป็นต้น แต่บางทีก็อาจเกิดจาก ล�ำไส้ใหญ่ การยืด-หดตัวของกล้ามเนื้อเพียงอย่างเดียว เช่น การเต้นของหัวใจ การบีบตัวของปอด การ เคลื่อนไหวและบีบตัวในการย่อยอาหารของ กระเพาะอาหาร การไหลเวียนของเลือดและ ไส้ติ่ง 1 น�้าเหลือง เป็นต้น

๔.๑ โครงสร้างของกล้ามเนื้อ

กล้ำมเนือ้ ล�ำไส้ มีลกั ษณะเป็นกล้ำมเนือ้ เรียบทีส่ ำมำรถ ยืดหยุ่นได้ดีกว่ำกล้ำมเนื้อลำย

กล้ า มเนื้ อ จะประกอบไปด้ ว ยน�้ า ร้อยละ ๗๕ โปรตีนร้อยละ ๒๐ อีกร้อยละ ๕ เป็นคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และเกลือของ อนินทรียสาร โดยกล้ามเนื้อสามารถแบ่งออกได้เป็น ๓ ประเภท ดังนี้ ๑) กล้ามเนื้อลาย (Skeletal Muscle) เป็นเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อที่มีเซลล์ยาวๆ ที่เรียกว่าเส้นใยกล้ามเนื้อ รวมตัวกันเป็นมัด ไฟบริน กล้ามเนื้อ และเส้นใยกล้ามเนื้อแต่ละเส้นจะ (ไมโอไฟบริน) มีลักษณะเป็นทางยาว โดยส่2วนที่เหมือนทรง กระบอกเล็กๆ เรียกว่า ไฟบริน หรือไมโอไฟบริน เป็นส่วนที่ท�าให้เกิดการหดตัวเมื่อเส้นใยได้รับ การกระตุ้นจากกระแสประสาท และในไฟบริน ไมโอฟิลำเมนต์ นั้นจะประกอบไปด้วยเส้น3ใยเล็กๆ จ�านวนมาก เรียกว่า ไมโอฟลาเมนต์ (Myofilament) (Myofilament) ซึ่ง ลักษณะภำยในกล้ำมเนื้อลำย ประกอบด้วยเส้นใย กล้ำมเนือ้ ทีส่ ำมำรถยืดหยุน่ หดตัวได้ มีสว่ นช่วยในกำร ประกอบด้วยโปรตี แอกทิน (Actin) 4 น ๒ ชนิด คือ แอกทิ เคลื่อนไหวร่ำงกำย และไมโอซิน (Myosin) ๑๒

นักเรียนควรรู 1 นํ้าเหลือง ของเหลวในรางกายที่ประกอบไปดวยโปรตีน โดยจะซึมผาน ผนังเสนเลือดฝอยเพื่อหลอเลี้ยงระหวางเซลล 2 ไฟบริน เนื้อเยื่อที่มีลักษณะเปนเสนใยเหนียว อุดตรงรอยฉีกขาดของเสนเลือด ทําใหเลือดหยุดไหล 3 ไมโอฟลาเมนต เสนใยเสนเล็กๆ ที่ประกอบไปดวยโปรตีนภายในมัดกลามเนื้อ มีหนาที่ควบคุมการหดหรือคลายตัวของเซลลกลามเนื้อ 4 แอกทินและไมโอซิน ไมโอซินมีลักษณะเปนเสนใยหนา สวนแอกทินมีลักษณะ เปนเสนใยที่บางกวา ซึ่งเนื้อเยื่อทั้งสองชนิดนี้จะเรียงตัวขนานกัน เพื่อชวยในการหด และคลายตัวของกลามเนื้อ

12

คูมือครู

ขอสอบ

O-NET

ขอสอบป ’ 52 ออกเกี่ยวกับโครงสรางของกลามเนื้อ คุณสมบัติของกลามเนื้อหัวใจ คือขอใด 1. มีลักษณะคลายกลามเนื้อลาย 2. มีลักษณะคลายกลามเนื้อเรียบปนกลามเนื้อลาย 3. ทํางานใตอํานาจจิตใจ 4. ทํางานนอกอํานาจจิตใจ วิเคราะหคําตอบ กลามเนื้อหัวใจ มีลักษณะคลายกลามเนื้อลาย มีการทํางานนอกอํานาจจิตใจ ซึ่งจะถูกควบคุมโดยระบบประสาทอัตโนมัติ มีหนาที่ในการสูบฉีดเลือดไปยังระบบไหลเวียนโลหิต โดยเกิดจากการหดตัว ของกลามเนื้อ ตอบขอ 4.


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explore

Explain

Expand

Evaluate

สํารวจค Exploreนหา

Engage

สํารวจคนหา

Explore

ใหนักเรียนศึกษาเรื่อง ระบบกลามเนื้อ จากสื่อโปสเตอรของครู โดยจัดทําเปนฐาน ความรู ซึ่งมีทั้งหมด 3 ฐาน โดยแตละฐานนั้น จะมีสื่อโปสเตอรทั้งหมด 2 แผน ประกอบดวย • โครงสรางของกลามเนื้อ • หนาที่และการทํางานของกลามเนื้อ • การสรางเสริมดํารงประสิทธิภาพการทํางาน ของกลามเนื้อ จากนั้นใหนักเรียนแบงกลุมออกเปน 6 กลุม กลุมละ 5 - 6 คน เพื่อใหศึกษาขอมูล โดยจะให แตละกลุมศึกษาประมาณ 5 นาที เมื่อหมดเวลา นักเรียนจะตองเปลี่ยนฐานไปเรื่อยๆ จนกวาจะ ครบทั้ง 3 ฐาน พรอมกับทําใบงานเพื่อเตรียม นําเสนอ

การเรียงตัวของใยกล้ามเนื้อในมัดกล้ามเนื้อลายมีหลายแบบ เมื่อกล้ามเนื้อลายหดตัว จะส่งแรงผ่านไปยังกระดูก ท�าให้เกิดการท�างานของข้อต่อขึ้น ปกติกล้ามเนื้อลายภายในร่างกาย จะมีทั้งหมดประมาณ ๖๐๐ มัด และแบ่งออก ตามบริเวณของร่างกายได้เป็น ๔ กลุ่มใหญ่ หลอดโลหิตแดงใหญ่ คือ กล้ามเนือ้ ของศีรษะ กล้ามเนือ้ บริเวณล�าคอ กล้ามเนือ้ ของล�าตัว และกล้ามเนือ้ รยางค์ โดยที่ แต่ละกลุ่มของกล้ามเนื้อนั้น ยังสามารถที่จะ แบ่งออกเป็นกลุม่ ย่อยๆ ได้อกี มากมาย ส่งผลให้ ทุกส่วนของร่างกายสามารถทีจ่ ะเคลือ่ นไหวและ ท�างานได้อย่างละเอียดอ่อนและถูกต้องแม่นย�า หลอดโลหิตด�ำ ๒) กล้ามเนื้อเรียบ (Smooth Muscle) เป็นเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อชนิดหนึ่งที่ ประกอบเป็นส่วนของกล้ามเนื้ออวัยวะภายใน กล้ำมเนื้อหัวใจ มีลักษณะคล้ำยกล้ำมเนื้อลำย แต่กำร 1 เรี​ียงตัวของแต่ละเซลล์จะเชื่อมต่อกันเป็นร่ำงแห โดยมีรูปร่างคล้ายกระสวยและสั้นกว่าเส้นใย กล้ามเนื้อของกล้ามเนื้อลาย ประกอบด้วยเส้นใยของโปรตีนชนิดแอกทินและไมโอซินเหมือนกับ กล้ามเนื้อลาย ซึ่งพบว่ากล้ามเนื้อเรียบก็จะถูกกระตุ้นด้วยกระแสประสาทเช่นเดียวกัน ๓) กล้ามเนื้อหัวใจ (Cardiac Muscle) เป็นเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อลายชนิดพิเศษ โดย กล้ามเนือ้ หัวใจจะมีจงั หวะการเต้นของหัวใจทีส่ ม�า่ เสมอ ซึง่ เกิดจากการกระตุน้ ทีบ่ ริเวณเฉพาะของ 2 3 กล้ามเนื้อนี้ และจะสร้างกระแสประสาทในรูปของคลื่นไฟฟ้า ท�าให้อัตราการเต้นของหัวใจต�่าลง หรือเพิ่มขึ้น

อธิบายความรู

Explain

ครูสุมนักเรียน 2 คน ออกมานําเสนอขอมูล โดยใชใบงานประกอบการนําเสนอ จากนั้นให นักเรียนรวมกันอภิปรายโดยครูตั้งคําถามเชื่อมโยง ความรู • กลามเนื้อ ประกอบไปดวยอะไรบาง (แนวตอบ ประกอบดวยนํ้ารอยละ 75 โปรตีน รอยละ 20 อีกรอยละ 5 เปนคารโบไฮเดรต ไขมัน และเกลือของอนินทรียสาร)

๔.๒ หน้าที่และการท�างานของกล้ามเนื้อ การที่ ม นุ ษ ย์ ส ามารถเคลื่ อ นไหวอวั ย วะต่ า งๆ ในร่ า งกาย เพื่ อ ที่ จ ะปรั บ ตั ว หรื อ เปลี่ยนแปลงตามสภาพของสิ่งแวดล้อมได้นั้น นอกจากจะอาศัยการเคลื่อนไหวของข้อต่อต่างๆ ของกระดูกแล้ว ยังต้องอาศัยการท�างานของกล้ามเนือ้ ด้วย โดยกระดูกนัน้ เป็นโครงร่างของร่างกาย แต่ถ้าหากปราศจากกล้ามเนื้อแล้ว กระดูกและข้อต่อต่างๆ จะไม่สามารถเคลื่อนไหวท�างานได้เลย ดังนั้น จึงพบว่าระบบกระดูกและระบบกล้ามเนื้อท�าหน้าที่ประสานงานร่วมกันเสมอ โดยอาศัยการ ท�างานของเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อที่มีการหดตัวและขยายตัว ๑๓

ขอสอบ

O-NET

ขอสอบป ’ 52 ออกเกี่ยวกับหนาที่และการทํางานของกลามเนื้อ ขอใดไมใช คุณสมบัติของกลามเนื้อ 1. มีการตอบสนองตอสิ่งเรา 2. มีความสามารถยืดตัวและหดตัวได 3. มีจํานวนเสนใยคงที่ 4. ทําหนาที่ยึดโครงรางของรางกาย วิเคราะหคําตอบ การตอบสนองตอสิ่งเรา เปนคุณสมบัติของผิวหนัง ที่รับความรูสึกตางๆ เชน ความรอน ความเย็น ความเจ็บปวด เปนตน

ตอบขอ 1.

นักเรียนควรรู 1 กระสวย อุปกรณที่มีลักษณะปลายทั้งสองขางเรียวตรงกลางใหญ ใชสําหรับ ทอผา ดังรูป

2 กระแสประสาท สัญญาณไฟฟาออนๆ ที่ถูกสรางขึ้นในระบบประสาทของ รางกายเมื่อมีสิ่งเรามากระตุน สมองจะสั่งการผานทางเสนประสาท กอใหเกิด กระแสประสาทเปนลําดับตอเนื่องไปยังเสนประสาทของรางกาย ทําใหสามารถ ตอบสนองตอสิ่งเราไดอยางถูกตอง 3 อัตราการเตนของหัวใจ ปกติจะอยูที่ 60-100 ครั้ง/นาที หากมีอาการ ผิดปกติไปจากนี้ คือมีอัตราการเตนของหัวใจตํ่ากวาหรือมากกวา 60 ครั้ง/นาที อาจเกิดอาการของโรคหัวใจเตนผิดจังหวะได คูมือครู

13


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

Engage

Explore

อธิบายความรู

อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู

ขยายความเขาใจ

ตรวจสอบผล

Explain

Expand

Evaluate

Explain

ครูสมุ นักเรียน 2 คน ออกมานําเสนอขอมูลตอ โดยใชใบงานประกอบการนําเสนอ จากนั้นให นักเรียนรวมกันอภิปรายโดยครูตั้งคําถามเชื่อมโยง ความรู • กลามเนื้อมีสวนชวยทําใหรางกายเคลื่อนไหว หรือไม เพราะเหตุใด (แนวตอบ มีสวนชวยในการเคลื่อนไหว เพราะรางกายจะสามารถเคลื่อนไหวได ก็ตอเมื่อกลามเนื้อและกระดูกทํางานอยาง ประสานสัมพันธกัน) • ในขณะที่เราเดิน วิ่ง ยืน หรือแสดงทาทาง ตางๆ นั้น เกิดมาจากปฏิกิริยาใด (แนวตอบ เกิดจากกลามเนื้อโครงรางมีการ หดตัวอยางตอเนื่อง ทําใหสามารถที่จะดํารง รูปรางลักษณะของรางกายใหคงที่อยูได) • นักเรียนเชื่อหรือไมวา กลามเนื้อสามารถ ผลิตความรอนได (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ไดอยางอิสระ โดยครูอธิบายเพิ่มเติมวา กลามเนื้อสามารถที่จะผลิตความรอนได ตลอดเวลา โดยเฉพาะเมื่อเวลาออกกําลังกาย กลามเนื้อจะระบายความรอนออกมาทาง ตอมเหงื่อ สงผลใหรางกายมีเหงื่อออกมาก เนื่องจากเกิดการสูญเสียนํ้า และเกลือแรใน รางกายไป)

การท�างานของระบบกล้ามเนื้อไม่ไ ด้หมายถึงการเคลื่อนไหวของร่ า งกายที่สังเกต เห็นได้จากภายนอกเท่านั้น หากแต่ยังหมายถึงการท�างานของอวัยวะภายในร่างกาย เช่น การท�างานของปอด การเต้นของหัวใจ การ ที่ล� าไส้บีบ รัดตัวเพื่อให้อาหารที่รับประทาน ไบเซ็ปส์หดตัว ไบเซ็ปส์คลำยตัว เข้าไปสามารถเคลื่อนผ่านไปได้ รวมถึงการที ่ หลอดเลื อ ดมี ก ารหดรั ด ตั ว เพื่ อ ให้ เ กิ ด การ ไหลเวียนของโลหิต เป็นต้น การหดตั ว ของกล้ า มเนื้ อ นั้ น ถู ก ควบคุมโดยระบบประสาท ซึง่ ส่งกระแสประสาท ไตรเซ็ปส์คลำยตัว ผ่านเส้นใยประสาทที่มาเกาะกับใยกล้ามเนื้อ โดยพบว่าการที่กล้ามเนื้อลายสามารถหดตัว ได้นั้น เพราะมีไมโอฟิลาเมนต์ กล่าวคือ กลไก ไตรเซ็ปส์หดตัว ในการหดตัวของกล้ามเนื้อลาย ท�าให้เกิดการ กล้ำมเนื้อจะหนำขึ้น เมื่อมีกำรหดตัวหรือเกร็งตัว และ เลือ่ นตัวซ้อนกันของไมโอฟิลาเมนต์ ในระหว่าง จะแบนรำบเมื่อคลำยตัว ที่มีการหดตัวของกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อจะโตขึ้น และสั้นลงประมาณร้อยละ ๑๕ กล้ามเนื้อที่หดตัวนี้จะถูกน�ากลับเข้าสู่สภาพเดิมโดยการหดตัวของ กล้ามเนื้อในชุดตรงกันข้าม และการเคลื่อนที่แบบเลื่อนผ่านกันของเส้นใยไมโอฟิลาเมนต์นี้เอง ที่ท�าให้เกิดการหดตัวของกล้ามเนื้อขึ้น การที่กล้ามเนื้อมีการหดตัวอย่างต่อเนื่องกัน โดยเฉพาะในส่วนของกล้ามเนื้อโครงร่าง ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากภายนอกร่างกาย ท�าให้สามารถที่จะด�ารงรูปร่าง ลักษณะของร่างกายให้คงที่อยู่ได้ เช่น การยืน การเดิน เป็นต้น ในขณะที่เราแสดงท่าทางต่างๆ อยู่นั้น ระบบกล้ามเนื้อจะมีการท�างานอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้กล้ามเนื้อยังมีหน้าที่ที่ส�าคัญ อีกประการหนึ่ง คือ การผลิตความร้อน ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ซึ 1 ่งการผลิตความร้อนเหล่านี้ เกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อ แล้วเกิดผลทางปฏิกิริยาเคมี ก่อให้เกิดความร้อนแก่ร่างกาย เช่น ในฤดูหนาวจะพบว่ากล้ามเนื้อมีการหดตัว ซึ่งท�าให้เกิดอาการหนาวสั่น ขนลุกชัน เป็นต้น

๔.๓ การสร้างเสริมและด�ารงประสิทธิภาพการท�างานของกล้ามเนือ้ การท�างานของระบบกล้ามเนื้อนั้น จะท�างานได้อย่างดีหากมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรง สมบูรณ์ ซึ่งในประเด็2นของขนาดและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อนั้น พบว่ามีปัจจัยหนึ่งที่ส่งผล คือ ระดั ระดับของฮอร์โมนในร่างกาย งกาย โดยฮอร์โมนที่มีสว่ นช่วยในการเพิม่ ขนาดและความแข็งแรงของ ๑๔

นักเรียนควรรู 1 ปฏิกิริยาเคมี การเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีของสาร เชน สี กลิ่น ลักษณะ ของสาร เปนตน 2 ฮอรโมน สารเคมีชนิดหนึ่งที่รางกายสรางขึ้นและสงไปตามกระแสเลือด เพื่อควบคุมการทํางานของอวัยวะตางๆ ของรางกาย

มุม IT สามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบกลามเนื้อไดจาก http://www.youtube. com/watch?v=oyvGVhhMEro

14

คูมือครู

ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET

กลามเนื้อมีหนาที่และการทํางานคลายกระดูกในเรื่องใด 1. การทํางานของกลามเนื้อและกระดูกสามารถสังเกตเห็นไดจากภายนอก เทานั้น 2. มีสวนชวยในการเคลื่อนไหวอวัยวะตางๆ ในรางกาย 3. สามารถผลิตความเย็นใหแกรางกายได 4. รักษาอุณหภูมิของรางกาย วิเคราะหคําตอบ กลามเนื้อมีสวนชวยในการเคลื่อนไหวอวัยวะตางๆ ในรางกาย โดยอาศัยการเคลื่อนไหวขอตอตางๆ ของกระดูก ตอบขอ 2.


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

อธิบายความรู

Engage

Explore

Explain

ขยายความเขาใจ Expand าใจ ขยายความเข

ตรวจสอบผล

Expand

Evaluate

ขยายความเขาใจ

Expand

ใหนักเรียนรวมกันเสนอแนวทางการ สรางเสริมการทํางานของกลามเนื้อวามีวิธีการ อยางไรบาง เพื่อชวยใหกลามเนื้อมีความแข็งแรง และทนทาน จากนั้นใหนักเรียนประเมินตนเองวานักเรียน มีวธิ กี ารสรางเสริมการทํางานของกลามเนือ้ ใหแข็งแรงอยางไรบาง เปนเวลา 1 สัปดาห และใหบอกถึงประโยชนที่ไดรับ โดยมีรูปแบบดังนี้

1 กล้ามเนื้อ คืคือ ฮอร์โมนเพศชาย ท�าให้พบว่าในช่วงวัยรุ่นนั้น เพศชายจะมีกล้ามเนื้อที่เจริญเติบโต และแข็งแรงมากกว่าในเพศหญิง ซึ่งการที่จะสร้างเสริมและด�ารงประสิทธิภาพการท�างานของ ระบบกล้ามเนื้อเพื่อให้กล้ามเนื้อมีความแข็ง แรงสมบูรณ์นั้นสามารถปฏิบัติได้ ดัง2นี้ ๑) การออกก�าลังกาย การออก ก�าลังกายเป็นประจ�าและสม�า่ เสมอ จะช่วยท�าให้ กล้ามเนื้อเจริญเติบโตและแข็งแรง ถ้าร่างกาย ไม่ได้ออกก�าลังกายเลย กล้ามเนื้อจะลีบเล็ก ซึ่งจะพบว่า บุคคลที่ออกก�าลังกายสม�่าเสมอ จะมีสุขภาพดี และแข็งแรงกว่าบุคคลที่ไม่ได้ ออกก�าลังกาย 3 ๒) การบริโภคอาหาร สารอาหาร ที่มีผลในการสร้างความเติบโตของกล้ามเนื้อ คือ สารอาหารประเภทโปรตีน ดังนัน้ ในช่วงวัย กำรออกก�ำลังกำยเป็นกำรช่วยให้กล้ำมเนือ้ แข็งแรงและ ที่ร่างกายก�าลังมีการเจริญเติบโต จึงควรเลือก มีประสิทธิภำพในกำรท�ำงำนต่ำงๆ ได้ดี รับประทานอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน โดย เฉพาะอย่างยิ่งสารอาหารประเภทโปรตีนทั้ง จากเนื้อสัตว์และเมล็ดถั่วต่างๆ

วัน/เดือน/ป

วิธีการ สรางเสริมสุขภาพ

ประโยชน ที่ไดรับ

สรุป

การดํารงอยูของรางกายมนุษยเกิดขึ้นเนื่องจากการทํางานที่ประสานสอดคลอง สัมพันธกันของระบบตางๆ ภายในรางกาย โดยระบบผิวหนังมีหนาที่สําคัญในการปกคลุม รางกาย และปองกันอันตรายอันอาจจะเกิดขึน้ กับรางกาย ในขณะทีร่ ะบบกระดูกจะเปนสวนของ โครงรางที่สําคัญของรางกาย และชวยปกปองอวัยวะตางๆ ที่สําคัญของรางกายไมใหเกิด อันตรายไดโดยงาย สวนระบบกลามเนื้อจะมีหนาที่ในการเคลื่อนไหวของรางกาย โดยทํางาน ประสานสั ม พั น ธ กั น กั บ ระบบกระดู ก และระบบประสาท ซึ่ ง การที่ จ ะสร า งเสริ ม และดํ า รง ประสิทธิภาพการทํางานของระบบตางๆ ทั้ง ๓ ระบบดังที่กลาวมานั้น ปจจัยสําคัญก็คือ การรั บ ประทานอาหารที่ มี ส ารอาหารครบถ ว น เหมาะสมกั บ ความต อ งการของร า งกาย ในแตละชวงวัย รวมถึงการออกกําลังกายอยางสมํ่าเสมอ จะชวยใหระบบตางๆ ภายในรางกาย ทํางานไดอยางมีประสิทธิภาพ

๑๕

ขอสอบ

O-NET

ขอสอบป ’ 52 ออกเกี่ยวกับระบบกลามเนื้อ ในขณะเลนกีฬา นักกีฬาใชกลามเนื้อชนิดใดมากที่สุด 1. กลามเนื้อเรียบ 2. กลามเนื้อลาย 3. กลามเนื้อหัวใจ 4. กลามเนื้อแดง วิเคราะหคําตอบ การเลนกีฬา รางกายจะตองเคลื่อนไหวอยูตลอดเวลา ซึ่งกลามเนื้อลายนั้น จะเปนกลามเนื้อที่สามารถยืดหยุนหดตัวได และมี สวนชวยในการเคลื่อนไหวรางกาย ตอบขอ 2.

นักเรียนควรรู 1 ฮอรโมนเพศชาย มี 2 ชนิด คือ ฮอรโมนแอนโดรเจน และฮอรโมนเทสโทส เทอโรน ทําใหมีลักษณะของเพศเกิดขึ้น เชน มีหนวดเครา มีขนที่หนาแขงและ ที่อวัยวะเพศ เปนตน 2 การออกกําลังกาย อยางสมํ่าเสมอ หรือการเปลี่ยนพฤติกรรมการดํารงชีวิต เชน การเดิน การเตนรํา การทําสวน เปนตน สามารถลดอัตราการเกิดโรคหัวใจได โดยการออกกําลังกายที่เหมาะสมนั้น ควรออกกําลังกายอยางนอยสัปดาหละ 2-3 ครั้ง ครั้งละประมาณ 20-30 นาที 3 สารอาหาร สารประกอบทางเคมีของธาตุตางๆ ที่มีอยูในอาหารที่เรา รับประทานเขาไป ไดแก คารโบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน วิตามินและเกลือแร

คูมือครู

15


กระตุนความสนใจ

สํารวจคนหา

อธิบายความรู

ขยายความเขาใจ

Engage

Explore

Explain

Expand

ตรวจสอบผล

ตรวจสอบผล Evaluate ตรวจสอบผล Evaluate

Evaluate

1. การเขียนสรุปผังความคิด เรื่อง องคประกอบ ของรางกายมนุษย 2. การทําใบงาน 3. การทําแผนปายความรูเรื่อง วิธีการดูแลผิวหนัง 4. การเขียนแบบประเมินตนเอง เรื่อง วิธีการ สรางเสริมการทํางานของกลามเนื้อ

หลักฐานแสดงผลการเรียนรู 1. ผังความคิด เรื่อง องคประกอบของรางกาย มนุษย 2. ใบงาน 3. แผนปายความรูเรื่อง วิธีการดูแลผิวหนัง 4. แบบประเมินตนเอง เรื่อง วิธีการสรางเสริม การทํางานของกลามเนื้อ

คา¶ามประจ�าหน่วยการเรียนรู้ ๑. ระบบผิวหนังมีความส�าคัญต่อการป้องกันโรคอย่างไร ๒. กระดูกในร่างกายของคนเรามีหน้าที่ใด ๓. ถ้าจะให้ระบบผิวหนัง ระบบกระดูก และระบบกล้ามเนื้อท�างานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรสร้างเสริมและด�ารงประสิทธิภาพอย่างไร ๔. จงอธิบายกระบวนการการท�างานของระบบผิวหนัง ระบบกล้ามเนือ้ และระบบกระดูกทีป่ ระสานสัมพันธ์กนั มาพอสังเขป ๕. ระบบผิวหนัง ระบบกระดูก และระบบกล้ามเนื้อ มีหน้าที่อย่างไรในร่างกาย

กิจกรรมสร้างสรรค์พัฒนาการเรียนรู้ กิจกรรมที่

กิจกรรมที่

กิจกรรมที่

ครูจัดท�าบัตรรายการ ๓ ชุด ประกอบด้วย ชุ ย ดที่ ๑ ชื่อระบบอวัยวะ ๓ ระบบ คือ ระบบผิวหนัง ระบบกระดูก และระบบกล้ามเนื้อ ชุดที่ ๒ บัตรรายการของอวัยวะ ต่างๆ ที่อยู่ในระบบทั้ง ๓ ระบบ ชุดที่ ๓ บัตรรายการแนวทาง/วิธีการปฏิบัติตน เพื่อสร้างเสริมและด�ารงประสิทธิภาพการท�างานของระบบทั้ง ๓ ระบบ แล้วให้ นักเรียนแบ่งกลุ่ม ช่วยกันเรียง/จัดกลุ่มบัตรรายการทั้ง ๓ ชุดให้ถูกต้อง ให้นักเรียนแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อย และให้ช่วยกันศึกษาถึงโครงสร้าง หน้าที่และ การท�างานของระบบผิวหนัง ระบบกระดูก และระบบกล้ามเนื้อว่าเป็นอย่างไร แล้วน�าเสนอในห้องเรียน ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มย่อย และช่วยกันศึกษาและน�าเสนอปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ กับระบบผิวหนัง ระบบกระดูก และระบบกล้ามเนื้อว่ามีปัญหาใดบ้างและ จะมีแนวทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้อย่างไร แล้วน�าเสนอในห้องเรียน

๑๖

แนวตอบ คําถามประจําหนวยการเรียนรู 1. ผิวหนังมีหนาที่ปกคลุมรางกายและหอหุมเนื้อเยื่อ เพื่อรองรับการแพรเขามาของเชื้อโรคตางๆ รวมถึงปองกันรังสีอันตรายไมใหเขามาทําลายเนื้อเยื่อภายในรางกาย 2. กระดูกมีหนาที่ชวยพยุงรางกายใหสามารถดํารงอยูได ชวยใหรางกายมีการเคลื่อนไหว และปองกันการกระทบกระเทือนที่อาจกอใหเกิดอันตรายตออวัยวะที่สําคัญ ภายใน เชน ทรวงอก กะโหลกศีรษะ ชองทอง เปนตน 3. ควรออกกําลังกายสัปดาหละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ ประมาณ 20-30 นาที รับประทานอาหารที่มีสารอาหารครบถวนและหลากหลาย รับประทานผักและผลไม และดื่มนํ้า เปนประจําทุกวันอยางนอยวันละ 6-8 แกว 4. รางกายจะมีกลามเนื้อที่เปนเนื้อเยื่อ ซึ่งถูกหอหุมดวยผิวหนัง การที่รางกายสามารถเคลื่อนไหวอวัยวะตางๆ ไดนั้น เปนผลมาจากการทํางานที่ประสานสัมพันธกัน ของกระดูกและกลามเนื้อ 5. ระบบผิวหนัง มีหนาที่ปกคลุมรางกายและหอหุมเนื้อเยื่อรับความรูสึกทางสิ่งเรา รักษาอุณหภูมิของรางกาย และขับของเสียออกตามรูขุมขน ระบบกระดูก มีหนาที่ชวยพยุงรางกายใหสามารถดํารงอยูได เปนที่ยึดเกาะของกลามเนื้อมีสวนชวยในการเคลื่อนไหว เปนแหลงเก็บแคลเซียม และฟอสฟอรัส เพื่อ ชวยรักษาปริมาณแรธาตุที่จําเปนของรางกายใหอยูในระดับปกติ นอกจากนี้ยังชวยปองกันการกระทบกระเทือนที่อาจกอใหเกิดอันตรายตออวัยวะภายในที่สําคัญ เชน กะโหลกศีรษะ ทรวงอก ชองทอง เปนตน ระบบกลามเนื้อ มีหนาที่ดํารงรูปรางลักษณะของรางกายใหคงที่อยูได มีสวนชวยใหรางกายเคลื่อนไหวและผลิตความรอน เพื่อใหความอบอุนแกรางกาย

16

คูมือครู


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.