คูมือครู 㪌»ÃСͺ¡ÒÃÊ͹ËÇÁ¡Ñº
˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ©ºÑº »ÃСѹÏ
ภาพปกนี้มีขนาดเทากับหนังสือเรียนฉบับจริงของนักเรียน
กระบวนการสอนแบบ 5 Es ชวยสรางทักษะการเรียนรู กิจกรรมมุงพัฒนาทักษะการคิด คำถาม + แนวขอสอบเพื่อยกผลสัมฤทธิ์ O-NET กิจกรรมบูรณาการเตรียมพรอมสู ASEAN 2558
เอกสารประกอบคูมือครู
กลุมสาระการเรียนรู สุขศึกษาและพลศึกษา
สุขศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่
4
สําหรับครู
คูมือครู Version ใหม
ลักษณะเดน
ขยายพื้นที่รูปเลมใหญขึ้นกวาเดิม จัดแบงพื้นที่ออกเปนโซน เพื่อคนหาขอมูลไดงาย สะดวก รวดเร็ว และดูเปนระเบียบ กระตุน ความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล
กระตุน ความสนใจ
Evaluate
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
เปาหมายการเรียนรู สมรรถนะของผูเรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค
หน า
โซน 1 กระตุน ความสนใจ
Engage
สํารวจคนหา
Explore
อธิบายความรู
Explain
ขยายความเขาใจ
Expand
ตรวจสอบผล
หน า
หนั ง สื อ เรี ย น
โซน 1
หนั ง สื อ เรี ย น
Evaluate
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
O-NET บูรณาการเชื่อมสาระ
เกร็ดแนะครู
ขอสอบ
โซน 2
โซน 3
กิจกรรมสรางเสริม กิจกรรมทาทาย
นักเรียนควรรู
โซน 3
โซน 2 บูรณาการอาเซียน มุม IT
No.
คูมือครู
คูมือครู
No.
โซน 1 ขั้นตอนการสอนแบบ 5Es
โซน 2 ชวยครูเตรียมสอน
โซน 3 ชวยครูเตรียมนักเรียน
เพื่อใหครูเตรียมจัดกิจกรรมการเรียน การสอน โดยแนะนําขั้นตอนการสอนและ การจัดกิจกรรมแบบ 5Es อยางละเอียด เพื่อใหนักเรียนบรรลุตามตัวชี้วัด
เพื่อชวยลดภาระครูผูสอน โดยแนะนํา เกร็ดความรูสําหรับครู ความรูเสริมสําหรับ นักเรียน รวมทั้งบูรณาการความรูสูอาเซียน และมุม IT
เพื่อใหครูสะดวกตอการจัดกิจกรรม โดย แนะนํากิจกรรมบูรณาการเชือ่ มระหวางสาระหรือ กลุมสาระการเรียนรู วิชา กิจกรรมสรางเสริม กิจกรรมทาทาย รวมถึงเนื้อหาที่เคยออกขอสอบ O-NET แนวขอสอบ NT/O-NET ทีเ่ นนการคิด พรอมเฉลยและคําอธิบายอยางละเอียด
ที่ใชในคูมือครู
แถบสีและสัญลักษณ
แถบสีแสดงขั้นตอนการสอนและการจัดกิจกรรม แบบ 5Es เพื่อใหครูทราบวาเปนขั้นการสอนขั้นใด
1. แถบสี 5Es สีแดง
สีเขียว
กระตุน ความสนใจ
เสร�ม
สํารวจคนหา
Engage
2
•
เปนขั้นที่ผูสอนเลือกใช เทคนิคกระตุน ความสนใจ เพื่อโยง เขาสูบทเรียน
สีสม
อธิบายความรู
Explore
•
เปนขั้นที่ผูสอน ใหผูเรียนสํารวจ ปญหา และศึกษา ขอมูล
สีฟา
Explain
•
เปนขั้นที่ผูสอน ใหผูเรียนคนหา คําตอบ จนเกิดความรู เชิงประจักษ
สีมวง
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Expand
•
Evaluate
เปนขั้นที่ผูสอน ใหผูเรียนนําความรู ไปคิดคนตอๆ ไป
•
เปนขั้นที่ผูสอน ประเมินมโนทัศน ของผูเรียน
2. สัญลักษณ สัญลักษณ
วัตถุประสงค
• เปาหมายการเรียนรู
• หลักฐานแสดง ผลการเรียนรู
• เกร็ดแนะครู
แทรกความรูเสริมสําหรับครู ขอเสนอแนะ ขอควรระวัง ขอสังเกต แนวทางการจัด กิจกรรมและอืน่ ๆ เพื่อประโยชนในการ จัดการเรียนการสอน ขยายความรูเพิ่มเติมจากเนื้อหา เพื่อให ครูนําไปใชอธิบายเพิ่มเติมใหนักเรียน ไดมีความรูมากขึ้น
•
ความรูห รือกิจกรรมเสริม ใหครูนาํ ไปใช เตรียมความพรอมใหกบั นักเรียนกอนเขาสู ประชาคมอาเซียนใน พ.ศ. 2558 โดย บูรณาการกับวิชาทีก่ าํ ลังเรียน
บูรณาการอาเซียน
•
คูม อื ครู
แสดงรองรอยหลักฐานตามภาระงาน ที่ครูมอบหมาย เพื่อแสดงผลการเรียนรู ตามตัวชี้วัด
• นักเรียนควรรู
มุม IT
แสดงเปาหมายการเรียนรูที่นักเรียน ตองบรรลุตามตัวชี้วัด ตลอดจนสมรรถนะ ที่จะตองมี และคุณลักษณะที่พึงเกิดขึ้น กับนักเรียน
แนะนําแหลงคนควาจากเว็บไซต เพื่อให ครูและนักเรียนไดเขาถึงขอมูลความรู ที่หลากหลาย ทั้งไทยและตางประเทศ
สัญลักษณ
ขอสอบ
วัตถุประสงค
O-NET
(เฉพาะวิชา ชัน้ ทีส่ อบ O-NET)
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T (เฉพาะระดับชัน้ มัธยมศึกษาตอนตน)
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET (เฉพาะระดับชัน้ มัธยมศึกษาตอนปลาย)
บูรณาการเชื่อมสาระ
กิจกรรมสรางเสริม
• ชีแ้ นะเนือ้ หาทีเ่ คยออกขอสอบ
O-NET โดยยกตัวอยางขอสอบ พรอมวิเคราะหคาํ ตอบ อยางละเอียด
• เปนตัวอยางขอสอบทีม่ งุ เนน
การคิดและเปนแนวขอสอบ NT/O-NET ในระดับมัธยมศึกษา ตอนตน มีทงั้ ปรนัย - อัตนัย พรอมเฉลยอยางละเอียด
• เปนตัวอยางขอสอบทีม่ งุ เนน
การคิดและเปนแนวขอสอบ O-NET ในระดับมัธยมศึกษา ตอนปลาย มีทงั้ ปรนัย - อัตนัย พรอมเฉลยอยางละเอียด
• แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม
เชือ่ มกับสาระหรือกลุม สาระ การเรียนรู ระดับชัน้ หรือวิชาอืน่ ทีเ่ กีย่ วของ
• แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม ซอมเสริมสําหรับนักเรียนทีค่ วร ไดรบั การพัฒนาการเรียนรู
• แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม กิจกรรมทาทาย
ตอยอดสําหรับนักเรียนทีเ่ รียนรู ไดอยางรวดเร็ว และตองการ ทาทายความสามารถในระดับ ทีส่ งู ขึน้
คําแนะนําการใชคูมือครู การออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอน คูม อื ครู รายวิชา สุขศึกษา ม.4 จัดทําขึน้ เพือ่ ใหครูผสู อนนําไปใชเปนแนวทางวางแผนการสอนเพือ่ พัฒนาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน และประกันคุณภาพผูเรียน ตามนโยบายของสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) โดยใช หนังสือเรียน สุขศึกษา ม.4 ของบริษัท อักษรเจริญทัศน อจท. จํากัด เปนสื่อหลัก (Core Material) ประกอบการสอนและ เสร�ม การจัดกิจกรรมการเรียนรูใ หสอดคลองกับมาตรฐานการเรียนรูแ ละตัวชีว้ ดั กลุม สาระการเรียนรู สุขศึกษาและพลศึกษา ตาม 3 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 โดยออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนตามหลักการสําคัญ ดังนี้ 1 ออกแบบการสอนเปนหนวยการเรียนรูอิงมาตรฐาน คูมือครู รายวิชา สุขศึกษา ม.4 วางแผนการสอนโดยแบงเปนหนวยการเรียนรูตามลําดับสาระ (Strand) และ หมายเลขขอของมาตรฐานการเรียนรูแ ละตัวชีว้ ดั แตละหนวยจะกําหนดเปาหมายการเรียนรูแ ละจุดประสงคการเรียนรู (Objective Learning) กิจกรรมการเรียนรู (Learning Activities) และแนวทางการประเมินผลการเรียนรู (Learning Evaluation) ไวชัดเจน ครูผูสอนสามารถจัดทําแผนการสอนใหครอบคลุมมาตรฐานการเรียนรู ตัวชี้วัด สมรรถนะ และคุณลักษณะ อันพึงประสงคที่เปนเปาหมายการเรียนรูตามที่กําหนดไวในสาระแกนกลาง (ตามแผนภูมิ) และสามารถบันทึกผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของผูเรียนแตละคนลงในเอกสาร ปพ.5 ไดอยางมั่นใจ แผนภูมิแสดงความสัมพันธขององคประกอบการออกแบบการเรียนรูอิงมาตรฐานและเนนผูเรียนเปนสําคัญ
พผ
ูเ
จุ ด ป ร
ะสง
คก า
ส ภา
รี ย น
ร
รู ีเรยน
มาตรฐานการเรียนรู ตัวชี้วัดชวงชั้น
ทักษะการคิด การวัดประเมินผล การเรียนรู
กิจกรรมการเรียนรู
เทคนิคการสอน คูม อื ครู
2 การจัดการเรียนรูที่ยึดผูเรียนเปนสําคัญ แนวคิ ด ในการจั ด การเรี ย นการสอนที่ ยึ ด ผู เ รี ย นเป น สํ า คั ญ พั ฒ นามาจากปรั ช ญาและทฤษฎี ก ารเรี ย นรู Constructivism ที่เชื่อวา การเรียนรูเปนกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในสมองของผูเรียนแตละคน ผูเรียนเปนผูสรางความรู โดยการเชื่อมโยงระหวางสิ่งที่ไดเรียนรูจากบทเรียนใหมกับความรูหรือประสบการณเดิมที่มีอยู ทฤษฎีนี้มีความเชื่อวา ผูเรียนทุกคนไดเรียนรูและมีการสั่งสมความรูความเขาใจเกี่ยวกับสิ่งตางๆ ติดตัวมากอน ทีจ่ ะเขาสูห อ งเรียน ซึง่ เปนการเรียนรูท เี่ กิดจากประสบการณและสิง่ แวดลอมรอบตัวผูเ รียนแตละคน ดังนัน้ การจัดกิจกรรม เสร�ม การเรียนการสอนในแตละหนวยการเรียนรู ผูสอนจะตองคํานึงถึง
4
1. ความรูเดิมของผูเรียน วิธีการสอนที่ดีจะตองเริ่มตนจากจุดที่วา ผูเ รียนมีความรูอ ะไรมาบาง แลวจึงใหความรู หรือประสบการณใหม เพื่อตอยอดจาก ความรูเดิม นําไปสูการสรางความรู ความเขาใจใหม
2. ความรูเดิมของผูเรียนถูกตองหรือไม ผูส อนตองปรับเปลีย่ นความรูค วามเขาใจเดิม ของผูเรียนใหถูกตอง และเปนพฤติกรรม การเรียนรูใ หมทมี่ คี ณุ คาตอผูเรียน เพื่อสราง เจตคติหรือทัศนคติที่ดีตอการเรียนรู สิ่งเหลานั้น
3. ผูเรียนสรางความหมายสําหรับตนเอง ผูสอนตองสงเสริมใหผูเรียนนําความรู ความเขาใจที่เกิดขึ้นไปลงมือปฏิบัติ เพื่อขยายความรูใหลึกซึ้งและมีคุณคา ตอตัวผูเรียนมากที่สุด
แนวคิด Constructivism เนนใหผูเรียนสรางความรูโดยผานกระบวนการคิดและความอยากรูของตนเอง โดยมีผูสอนเปนผูสรางบรรยากาศ
การเรียนรูและกระตุนความสนใจ คอยจัดสถานการณใหผูเรียนเกิดความขัดแยงทางความคิดระหวางประสบการณเดิมกับประสบการณ ความรูใ หม เพือ่ กระตนุ ใหผเู รียนเชือ่ มโยงความรู ความคิด กับประสบการณทมี่ อี ยูเ ดิม แลวสังเคราะหเปนความรูห รือแนวคิดใหมๆ ไดดว ยตนเอง
3 การบูรณาการกระบวนการคิด การเรียนรูของผูเรียนแตละคนจะเกิดขึ้นที่สมอง ซึ่งเปนอวัยวะที่ทําหนาที่รูคิดภายใตสภาพแวดลอมที่เอื้ออํานวย และไดรบั การกระตนุ จูงใจอยางเหมาะสม สอดคลองกับสภาพจิตใจและความตองการของผูเ รียนแตละคน การจัดกิจกรรม การเรียนรูและสาระการเรียนรูที่สอดคลองกับความสนใจและมีความหมายตอผูเรียน จะชวยกระตุนใหสมองของผูเรียน สามารถรับรูและเรียนรูไดอยางมีประสิทธิภาพตามขั้นตอนการทํางานของสมอง ดังนี้ 1. สมองจะเรียนรูและสืบคน โดยการสังเกต คนหา ซักถาม และทดลอง ปฏิบัติ จนทําใหคนพบความรูความเขาใจ ไดอยางรวดเร็ว
2. สมองจะแยกแยะคุณคาของสิ่งตางๆ โดยการตัดสินใจวิพากษวิจารณ แสดง ความคิดเห็น ยอมรับหรือตอตานตาม อารมณความรูสึกที่เกิดขึ้นในขณะที่เรียนรู
3. สมองจะประมวลเนื้อหาสาระ โดยการสรุปเปนความคิดรวบยอดจาก เรื่องราวที่ไดเรียนรูใหมนําไปผสมผสานกับ ความรูห รือประสบการณเดิมทีถ่ กู จัดเก็บอยูใ น สมอง ผานการกลัน่ กรองเพือ่ สังเคราะหเปน ความรูค วามเขาใจใหมๆ หรือเปนทัศนคติใหม ที่จะเก็บบรรจุไวในสมองของผูเรียน
การเรียนรูที่มีประสิทธิภาพจึงตองเปนการเรียนรูที่เกิดจากกระบวนการคิดของผูเรียน เพราะการเรียนรูจะเกิดขึ้น เมื่อสมองรูคิด และตองเปนการคิดไดครบถวนตามขั้นตอนการทํางานของสมองผูเรียน โดยเริ่มตนจาก 1. ระดับการคิดพื้นฐาน ไดแก การสังเกต การจําแนก การคาดคะเน การสื่อความหมาย การรวบรวมขอมูล การสรุปผล เปนตน
คูม อื ครู
2. ระดับลักษณะการคิด ไดแก การคิดกวาง คิดลึกซึ้ง คิดไกล คิดหลากหลาย คิดคลอง คิดอยางมีเหตุผล เปนตน
3. ระดับกระบวนการคิด ไดแก กระบวนการคิดอยางมีวิจารณญาณ กระบวนการแกปญหา กระบวนการ คิดสรางสรรค กระบวนการคิดสังเคราะห เปนตน
5Es การจัดกิจกรรมตามขั้นตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es ขั้นตอนการสอนที่สัมพันธกับขั้นตอนการคิดและการทํางานทางสมองของผูเรียนที่นิยมใชอยางแพรหลาย คือ วัฏจักรการเรียนรู 5Es ซึ่งผูจัดทําคูมือครูไดนํามาใชเปนแนวทางออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนในแตละหนวย ตามลําดับขั้นตอนการเรียนรู ดังนี้ ขั้นที่ 1
กระตุนความสนใจ
(Engage)
เสร�ม
5
เปนขั้นที่ผูสอนนําเขาสูบทเรียน เพื่อกระตุนความสนใจของผูเรียนดวยเรื่องราวหรือเหตุการณที่นาสนใจโดยใชเทคนิควิธีการ และคําถามทบทวนความรูหรือประสบการณเดิมของผูเรียน เพื่อเชื่อมโยงผูเรียนเขาสูความรูของบทเรียนใหม ชวยใหผูเรียนสามารถ สรุปความสําคัญหัวขอและสาระการเรียนรูของบทเรียนได จึงเปนขั้นตอนการสอนที่สําคัญ เพราะเปนการเตรียมความพรอมและสราง แรงจูงใจใฝเรียนรูแกผูเรียน
ขั้นที่ 2
สํารวจคนหา
(Explore)
เปนขัน้ ทีผ่ สู อนเปดโอกาสใหผเู รียนลงมือศึกษา สังเกต หรือรวมมือกันสํารวจ เพือ่ ใหเห็นขอบขายของประเด็นหรือปญหา รวมถึง วิธีการศึกษาคนควา การรวบรวมขอมูลความรูที่จะนําไปสูการสรางความเขาใจประเด็นหรือปญหานั้นๆ เมื่อผูเรียนทําความเขาใจใน ประเด็นหรือปญหาที่จะศึกษาคนควาอยางถองแทแลว ก็ลงมือปฏิบัติเพื่อเก็บรวบรวมขอมูลความรู สํารวจตรวจสอบ โดยวิธีการตางๆ เชน สัมภาษณ ทดลอง อานคนควาขอมูลจากเอกสาร แหลงขอมูลตางๆ จนไดขอมูลความรูที่เกี่ยวของกับประเด็นหรือปญหาที่ศึกษา
ขั้นที่ 3
อธิบายความรู
(Explain)
เปนขั้นที่ผูสอนมีปฏิสัมพันธกับผูเรียน เชน ใหการแนะนํา ตั้งคําถามกระตุนใหคิด เพื่อใหผูเรียนคนหาคําตอบ และนําขอมูล ความรูจากการศึกษาคนควาในขั้นที่ 2 มาวิเคราะห สรุปผล และนําเสนอผลที่ไดศึกษาคนความาในรูปแบบสารสนเทศตางๆ เชน เขียนแผนภูมิ ผังมโนทัศน เขียนความเรียง เขียนรายงาน เปนตน ในขั้นตอนนี้ฝกใหผูเรียนใชสมองคิดวิเคราะหและสังเคราะห อยางเปนระบบ
ขั้นที่ 4
ขยายความเขาใจ
(Expand)
เปนขั้นที่ผูสอนเลือกใชเทคนิควิธีสอนตางๆ ที่สงเสริมใหผูเรียนนําความรูที่เกิดขึ้นไปคิดคนสืบคนตอๆ ไป เพื่อพัฒนาทักษะ การเรียนรูและการทํางานรวมกันเปนกลุม ระดมสมองเพื่อคิดสรางสรรครวมกัน ผูเรียนสามารถนําความรูที่สรางขึ้นใหมไปเชื่อมโยง กับประสบการณเดิมโดยนําขอสรุปทีไ่ ดไปใชอธิบายเหตุการณตา งๆ หรือนําไปปฏิบตั ใิ นสถานการณใหมๆ ทีเ่ กีย่ วของกับชีวติ ประจําวัน ของตนเอง เพื่อขยายความรูความเขาใจใหกวางขวางยิ่งขึ้น ในขั้นตอนนี้ฝกสมองของผูเรียนใหสามารถคิดริเริ่มสรางสรรคอยางมี คุณภาพ เสริมสรางวิสัยทัศนใหกวางไกลออกไป
ขั้นที่ 5
ตรวจสอบผล
(Evaluate)
เปนขัน้ ทีผ่ สู อนประเมินมโนทัศนของผูเ รียน โดยตรวจสอบจากความคิดทีเ่ ปลีย่ นไปและความคิดรวบยอดทีเ่ กิดขึน้ ใหม ตรวจสอบ ทักษะ กระบวนการปฏิบัติ การแกปญหา การตอบคําถามรวบยอด หรือการเคารพความคิดหรือยอมรับเหตุผลของคนอื่น เพื่อการ สรางสรรคความรูร ว มกัน ผูเ รียนสามารถประเมินผลการเรียนรูข องตนเอง เพือ่ สรุปผลวามีความรูอ ะไรเพิม่ ขึน้ มาบาง เกิดความเขาใจ มากนอยเพียงใด และจะนําความรูเหลานั้นไปประยุกตใชในการเรียนรูเรื่องอื่นๆ หรือในชีวิตประจําวันไดอยางไร ผูเรียนจะเกิดเจตคติ และเห็นคุณคาของตนเองจากผลการเรียนรูที่เกิดขึ้น ซึ่งเปนการเรียนรูที่มีความสุขอยางแทจริง
การจัดกิจกรรมการเรียนรูตามขั้นตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es จึงเปนรูปแบบการเรียนการสอนที่เนนผูเรียน เปนสําคัญอยางแทจริง เพราะสงเสริมใหผูเรียนไดเรียนรูตามขั้นตอนของกระบวนการสรางความรูดวยตนเอง และ ฝกฝนใหใชกระบวนการคิดและกระบวนการกลุมอยางชํานาญ กอใหเกิดทักษะชีวิต ทักษะการทํางาน และทักษะการ เรียนรูที่มีประสิทธิภาพ สงผลตอการยกระดับผลสัมฤทธิ์ของผูเรียน ตามเปาหมายของการปฏิรูปการศึกษาทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552-2561) ทุกประการ คูม อื ครู
O-NET การเพิ่มผลสัมฤทธิ์ O-NET
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามขั้นตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es ในแตละหนวยการเรียนรู ทางผูจัดทํา จะเสนอแนะวิธีสอน รูปแบบกิจกรรมการเรียนรู พรอมทั้งออกแบบเครื่องมือวัดและประเมินผลที่สอดคลองกับตัวชี้วัด และสาระการเรียนรูแกนกลางไวทุกขั้นตอน โดยยึดหลักสําคัญ คือ หลักของการวัดและประเมินผล เสร�ม
6
1. การวัดและประเมินผลทุกครั้ง ควรนําผลมาปรับปรุงพัฒนาผูเรียน เปนรายบุคคล
2. การวัดและประเมินผลมี เปาหมาย เพื่อพัฒนาการเรียนรู ของผูเรียนจนเต็มศักยภาพ
3. การนําผลการวัดและประเมินผล ทุกครั้งมาวางแผนปรับปรุงกิจกรรม การเรียนการสอน การเลือกเทคนิค วิธีสอน และสื่อการเรียนรูให เหมาะสมกับสภาพจริงของผูเรียน
การทดสอบผูเรียน 1. การใชขอสอบอัตนัย เนนการอาน การคิดวิเคราะห และการเขียนเพิ่มมากขึ้น 2. การใชคําถามกระตุนการคิดควบคูกับการทําขอสอบที่เนนการคิดอยางตอเนื่องตามลําดับกิจกรรมการเรียนรู และตัวชี้วัด 3. การทดสอบตองดําเนินการทั้งกอนเรียน ระหวางเรียน และหลังเรียน การทดสอบควรใชขอสอบทั้งชนิดปรนัยและ อัตนัย และเปนการทดสอบเพื่อประเมินผลการเรียนของผูเรียนแตละคน เพื่อการสอนซอมเสริมใหบรรลุตัวชี้วัด ไดครบถวน 4. การสอบกลางภาค (ถามี) ควรนําแบบฝกหัดหรือขอสอบทีน่ กั เรียนสวนใหญไมสามารถตอบไดหรือไมครบถวนชัดเจน มา สรางเปนแบบทดสอบอีกครัง้ เพือ่ ตรวจสอบความรูค วามเขาใจทีถ่ กู ตอง และประเมินความกาวหนาของผูเ รียนแตละคน 5. การสอบปลายภาคเรียนเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามตัวชี้วัดที่สําคัญ ควรออกขอสอบใหมีลักษณะเดียวกับ ขอสอบ O-NET โดยเนนการคิดวิเคราะห สังเคราะห เชื่อมโยงประยุกตใช เพื่อสรางความคุนเคย และฝกฝน วิธีการทําขอสอบดวยความมั่นใจ 6. การนําผลการทดสอบของผูเรียนมาวิเคราะห โดยผลการสอบกอนการเรียนตองสามารถพยากรณผลการสอบ กลางภาค และผลการสอบกลางภาคตองทํานายผลการสอบปลายภาคของผูเ รียนแตละคน เพือ่ ประเมินพัฒนาการ ความกาวหนาของผูเรียนเปนรายบุคคล 7. ผลการทดสอบปลายป ปลายภาค ตองมีคาเฉลี่ยสอดคลองกับคาเฉลี่ยของการสอบ NT ที่เขตพื้นที่การศึกษา จัดสอบ รวมทั้งคาเฉลี่ยของการสอบ O-NET ชวงชั้นที่สอดคลองครอบคลุมมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดสําคัญ เพือ่ สะทอนประสิทธิภาพของครูผสู อนในการออกแบบการเรียนรูแ ละประกันคุณภาพผูเ รียนทีต่ รวจสอบผลไดชดั เจน การจัดการเรียนการสอนในแตละหนวยการเรียนรู ตองใหผูเรียนไดสั่งสมความรู ความเขาใจตามลําดับขั้นตอน ของกิจกรรมในวัฏจักรการเรียนรู 5Es เพื่อใหผูเรียนไดเติมเต็มองคความรูอยางตอเนื่อง จนสามารถปฏิบัติชิ้นงานหรือ ภาระงานรวบยอดของแตละหนวย ผานเกณฑประกันคุณภาพในระดับที่นาพึงพอใจ เพื่อรองรับการประเมินภายนอกจาก สมศ. ตลอดเวลา คูม อื ครู
ASEAN การเรียนรูสูประชาคมอาเซียน เพื่ออํานวยความสะดวกแกครูผูสอนในการจัดกิจกรรมการเรียนรูบูรณาการอาเซียนศึกษา ผูจัดทําไดวิเคราะห มาตรฐานการเรียนรู และตัวชี้วัดที่มีสาระการเรียนรูสอดคลองกับองคความรูเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนในแงมุมตางๆ ครอบคลุมทัง้ ประชาคมการเมืองและความมัน่ คงอาเซียน ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และประชาคมสังคมและวัฒนธรรม อาเซียน เพื่อสงเสริมการเรียนรูใหผูเรียนเกิดความตระหนัก มีความรูความเขาใจเหมาะสมกับระดับชั้นและกลุมสาระ การเรียนรู โดยเสนอแนะวิธีการจัดกิจกรรมบูรณาการเนื้อหาสาระตางๆ ที่เปนประโยชนตอผูเรียนและเปนการชวย เตรียมความพรอมผูเ รียนทุกคนทีจ่ ะกาวเขาสูก ารเปนสมาชิกของประชาคมอาเซียนไดอยางมัน่ ใจตามขอตกลงปฏิญญา เสร�ม ชะอํา-หัวหิน วาดวยความรวมมือดานการศึกษาเพือ่ บรรลุเปาหมายประชาคมอาเซียนทีเ่ อือ้ อาทรและแบงปน จึงกําหนด 7 เปนนโยบายใหกระทรวงศึกษาธิการจัดการเรียนรูเตรียมความพรอมผูเรียนเขาสูประชาคมอาเซียนภายในป พ.ศ. 2558 ตามแนวปฏิบัติที่สําคัญ ดังนี้
การจัดการเรียนรูส ู ประชาคมการเมืองและความมัน่ คงอาเซียน 1. การสรางความรูความเขาใจ และตระหนักถึงความสําคัญของ กฎบัตรอาเซียน และความรวมมือ ของ 3 เสาหลัก ซึง่ กฎบัตรอาเซียน ในขณะนี้มีสถานะเปนกฎหมายที่ ประเทศสมาชิกจะตองปฏิบัติตาม หลักการที่กําหนดไวเพื่อใหบรรลุ เปาหมายของกฎบัตรมาตราตางๆ
2. การสงเสริมหลักการ ประชาธิปไตยและการสราง สิ่งแวดลอมประชาธิปไตย เพื่อการอยูรวมกันอยางกลมกลืน ภายใตวิถีชีวิตอาเซียนที่มีความ หลากหลายดานสังคมและ วัฒนธรรม
4. การตระหนักในคุณคาของ สายสัมพันธทางประวัติศาสตร และมรดกทางวัฒนธรรมที่มี พัฒนาการรวมกัน เพื่อเชื่อม อัตลักษณและสรางจิตสํานึก ในการเปนประชากรของประชาคม อาเซียนรวมกัน
3. การสงเสริมการศึกษาดาน สิทธิมนุษยชน เพื่อสรางประชาคม อาเซียนใหเปนประชาคมเพื่อ ประชาชนอยางแทจริง สามารถ อยูรวมกันไดบนพื้นฐานการเคารพ ในคุณคาของศักดิ์ศรีแหงความ เปนมนุษยเทาเทียมกัน
5. การสงเสริมสันติภาพ ความ มั่นคง และความปรองดองในสังคม ทั้งระดับประเทศและภูมิภาคของ อาเซียนบนพื้นฐานสันติวิธีและการ อยูรวมกันดวยขันติธรรม
คูม อื ครู
การจัดการเรียนรูส ู ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
เสร�ม
8
1. การพัฒนาทักษะการทํางาน เพื่อเสริมสรางผูเรียนใหมีทักษะ วิชาชีพที่จําเปนสอดคลองกับ ความตองการของตลาดแรงงาน และสถานประกอบการในอาเซียน สามารถเทียบโอนผลการเรียน และการทํางานตามมาตรฐานฝมือ แรงงานในภูมิภาคอาเซียน
2. การเสริมสรางวินัย ความรับผิดชอบ และเจตคติรักการทํางาน สามารถพึ่งพาตนเอง มีทักษะชีวิต ดํารงชีวิตอยางมีความสุข เห็นคุณคา และภูมิใจในตนเอง ในฐานะที่เปนพลเมืองไทยและ อาเซียน
3. การเรียนรูเพื่อพัฒนาตนเอง อยางตอเนื่องตลอดชีวิต ใหมี ทักษะการทํางานตามมาตรฐาน อาชีพ และคุณวุฒิของวิชาชีพสาขา ตางๆ เพื่อรองรับการเตรียมเคลื่อน ยายแรงงานมีฝมือและการเปน ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่ เขมแข็ง เพื่อสรางขีดความสามารถ ในการแขงขันในเวทีโลก
การจัดการเรียนรูส ู ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน 1. การเสริมสรางความรวมมือ ในลักษณะสังคมที่เอื้ออาทร ของประชากรอาเซียน โดยยึด หลักการสําคัญ คือ ความงดงาม ของประชาคมอาเซียนมาจาก ความแตกตางและหลากหลายทาง วัฒนธรรมที่ลวนแตมีคุณคาตอ มรดกทางวัฒนธรรมของอาเซียน ซึ่งประชาชนทุกคนตองอนุรักษ สืบสานใหยั่งยืน
2. การเสริมสรางคุณลักษณะ ของผูเรียนใหเปนพลเมืองอาเซียน ที่มีศักยภาพในการกาวเขาสู ประชาคมอาเซียนอยางมั่นใจ เปนผูที่มีสุขภาพสมบูรณแข็งแรง มีทักษะการสื่อสาร ทักษะการ ทํางาน ทักษะทางสังคม สามารถ ทํางานรวมกับผูอื่นไดอยาง สรางสรรค และมีองคความรู เกี่ยวกับอาเซียนที่จําเปนตอการ ดํารงชีวิตอยางมีคุณภาพ
4. การสงเสริมการเรียนรูดาน ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี วิถชี วี ติ ความเปนอยูข องเพือ่ นบาน ในอาเซียน เพื่อสรางจิตสํานึกของ ความเปนประชาคมอาเซียนและ ตระหนักถึงหนาที่ของการเปน พลเมืองอาเซียนรวมกัน
3. การสงเสริมการเรียนรูภาษา อังกฤษเพื่อการสื่อสารและการ ทํางานตามมาตรฐานอาชีพที่ กําหนดและสนับสนุนการเรียนรู ภาษาอาเซียนและภาษาเพื่อนบาน เพื่อชวยเสริมสรางสัมพันธภาพทาง สังคม และการอยูรวมกันอยางสันติ ทามกลางความหลากหลายทาง วัฒนธรรม
5. การสรางความรูและความ ตระหนักเกี่ยวกับดานสิ่งแวดลอม ปญหาและผลกระทบตอคุณภาพ ชีวิตของประชากรในภูมิภาค รวมทั้งแนวทางการพัฒนาอยาง ยั่งยืน ใหเปนมรดกสืบทอดแก พลเมืองอาเซียนในรุนหลังตอๆ ไป
กระทรวงศึกษาธิการจึงประกาศนโยบายการปฏิรูปการศึกษาทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552-2561) เพื่อเรงพัฒนาเด็ก และเยาวชนไทยใหเปนทรัพยากรมนุษยของชาติที่มีทักษะและความชํานาญ พรอมเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงและ การแขงขันทั้งในภูมิภาคอาเซียนและภูมิภาคอื่นๆ ของสังคมโลก ทั้งนี้ผูบริหารสถานศึกษา ครูผูสอน และผูปกครอง ควรรวมมือกันอยางใกลชิดในการดูแลชวยเหลือผูเรียนและจัดประสบการณการเรียนรูเพื่อพัฒนาผูเรียนจนเต็มศักยภาพ เพื่อกาวเขาสูการเปนพลเมืองอาเซียนอยางมีเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีความเปนมนุษยของตน คณะผูจัดทํา คูม อื ครู
ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง สาระที่ 1
สุขศึกษา (เฉพาะชั้น ม.4-6)*
การเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย
มาตรฐาน พ 1.1 เขาใจธรรมชาติของการเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
1. อธิบาย • กระบวนการสรางเสริม กระบวนการสราง และดํารงประสิทธิภาพ เสริมและดํารง การทํางานของระบบ ประสิทธิภาพ อวัยวะตางๆ การทํางาน - การทํางานของระบบ ของระบบ อวัยวะตางๆ อวัยวะตาง ๆ - การสรางเสริมและ ดํารงประสิทธิภาพ ของอวัยวะตางๆ (อาหาร การออกกําลังกาย นันทนาการ การตรวจสุขภาพ ฯลฯ) 2. วางแผนดูแล • การวางแผนดูแล สุขภาพตาม สุขภาพของตนเองและ ภาวการณเจริญ บุคคลในครอบครัว เติบโตและ พัฒนาการของ ตนเองและบุคคล ในครอบครัว
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน ชั้น ม.4
ชั้น ม.5
ชั้น ม.6
• หนวยการเรียนรูท ี่ 1 • หนวยการเรียนรูท ี่ 1 • หนวยการเรียนรูท ี่ 1 การทํางานของ ระบบหายใจ ระบบ ระบบประสาท ระบบผิวหนัง ไหลเวียนโลหิต ระบบสืบพันธุ และ ระบบกระดูก และระบบขับถาย ระบบตอมไรทอ และระบบ กลามเนือ้
• หนวยการเรียนรูท ี่ 2 • หนวยการเรียนรูท ี่ 2 การวางแผนดูแล การวางแผนดูแล สุขภาพของตนเอง สุขภาพของตนเอง และครอบครัว และครอบครัว
เสร�ม
9
-
หมายเหตุ : สําหรับสาระที่ 3 จะอยูในหนังสือเรียนพลศึกษา ม.4 ม.5 และ ม.6 ของ อจท. _________________________________ * สํานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, กระทรวงศึกษาธิการ. ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง กลุมสาระการเรียนรูสุขศึกษาและพลศึกษา. (กรุงเทพมหานคร : ชุมนุมสหกรณการเกษตรแหงประเทศไทย, 2551), หนา 7-47.
คูม อื ครู
สาระที่ 2
ชีวิตและครอบครัว
มาตรฐาน พ 2.1 เขาใจและเห็นคุณคาตนเอง ครอบครัว เพศศึกษา และมีทักษะในการดําเนินชีวิต ตัวชี้วัด
เสร�ม
10
1. วิเคราะหอิทธิพล ของครอบครัว เพื่อน สังคม และ วัฒนธรรมที่มี ผลตอพฤติกรรม ทางเพศและการ ดําเนินชีวิต 2. วิเคราะหคานิยม ในเรื่องเพศ ตาม วัฒนธรรมไทย และวัฒนธรรม อื่นๆ 3. เลือกใชทักษะ ที่เหมาะสมใน การปองกัน ลดความขัดแยง และแกปญหา เรื่องเพศและ ครอบครัว
สาระการเรียนรูแกนกลาง
ชั้น ม.5
ชั้น ม.6
• อิทธิพลของครอบครัว • หนวยการเรียนรูท ี่ 3 เพื่อน สังคม และ พฤติกรรมทางเพศ วัฒนธรรมที่มีตอ และการดําเนินชีวติ พฤติกรรมทางเพศ และ การดําเนินชีวิต
-
-
• คานิยมในเรื่องเพศ • หนวยการเรียนรูท ี่ 4 ตามวัฒนธรรมไทยและ คานิยมทางเพศกับ วัฒนธรรมอื่น ๆ วัฒนธรรม
-
-
-
• หนวยการเรียนรูท ี่ 3 ทักษะในการ ปองกัน ลดความ ขัดแยงและ แกปญ หาเรือ่ งเพศ และครอบครัว
-
• หนวยการเรียนรูท ี่ 5 สัมพันธภาพ ระหวางนักเรียน หรือเยาวชนใน ชุมชน
-
-
• แนวทางในการเลือก ใชทักษะตางๆ ในการ ปองกัน ลดความขัด แยง และแกปญหาเรื่อง เพศ และครอบครัว - ทักษะการสื่อสารและ สรางสัมพันธภาพ - ทักษะการตอรอง - ทักษะการปฏิเสธ - ทักษะการคิด วิเคราะห - ทักษะการตัดสินใจ และแกไขปญหา ฯลฯ 4. วิเคราะหสาเหตุ • ความขัดแยงที่อาจเกิด และผลของ ขึ้นระหวางนักเรียนหรือ ความขัดแยง เยาวชนในชุมชน ที่อาจเกิดขึ้น - สาเหตุของความขัดแยง ระหวางนักเรียน - ผลกระทบที่เกิดจาก หรือเยาวชนใน ความขัดแยงระหวาง ชุมชน และเสนอ นักเรียน หรือ แนวทางแกไข เยาวชนในชุมชน ปญหา - แนวทางในการแก ปญหาที่อาจเกิดจาก ความขัดแยงของ นักเรียนหรือเยาวชน ในชุมชน
คูม อื ครู
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน ชั้น ม.4
สาระที่ 4
การสรางเสริมสุขภาพ สมรรถภาพและการปองกันโรค
มาตรฐาน พ 4.1 เห็นคุณคาและมีทักษะในการสรางเสริมสุขภาพ การดํารงสุขภาพ การปองกันโรค และการสรางเสริม สมรรถภาพเพื่อสุขภาพ ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
1. วิเคราะหบทบาท และความ รับผิดชอบของ บุคคลที่มีตอการ สรางเสริมสุข ภาพและการ ปองกันโรค ในชุมชน 2. วิเคราะห อิทธิพล ของสื่อโฆษณา เกี่ยวกับสุขภาพ เพื่อการเลือก บริโภค 3. ปฏิบัติตนตาม สิทธิของผูบริโภค
• บทบาทและความ รับผิดชอบของบุคคล ที่มีตอการสรางเสริมสุข ภาพและการปองกันโรค ในชุมชน
4. วิเคราะหสาเหตุ และเสนอแนวทาง การปองกันการ เจ็บปวยและการ ตายของคนไทย 5. วางแผนและ ปฏิบัติตาม แผนการพัฒนา สุขภาพของ ตนเองและ ครอบครัว
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน ชั้น ม.4
ชั้น ม.5
ชั้น ม.6
-
-
• หนวยการเรียนรูท ี่ 2 การสรางเสริม สุขภาพและ การปองกันโรค ในชุมชน
-
• หนวยการเรียนรูท ี่ 4 สือ่ โฆษณากับ สุขภาพ
• อิทธิพลของสื่อโฆษณา เกี่ยวกับสุขภาพ • แนวทางการเลือก บริโภคอยางฉลาด และปลอดภัย • สิทธิพื้นฐานของผู บริโภคและกฎหมาย ที่เกี่ยวของกับการ คุมครองผูบริโภค • สาเหตุของการเจ็บปวย และการตายของคน ไทย เชน โรคจากการ ประกอบอาชีพ โรคทาง พันธุกรรม • แนวทางการปองกัน การเจ็บปวย • การวางแผนการพัฒนา • หนวยการเรียนรูท ี่ 2 สุขภาพของตนเอง การวางแผนดูแล ครอบครัว สุขภาพของตนเอง และครอบครัว
เสร�ม
11
• หนวยการเรียนรูท ี่ 4 • หนวยการเรียนรูท ี่ 4 สิทธิผบู ริโภค สือ่ โฆษณากับ สุขภาพ • หนวยการเรียนรูท ี่ 5 การเจ็บปวยและ การตายของ คนไทย
-
-
-
คูม อื ครู
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
6. มีสวนรวมใน • การมีสวนรวมในการสง การสงเสริมและ เสริมและพัฒนาสุขภาพ พัฒนาสุขภาพ ของบุคคลในชุมชน ของบุคคลใน ชุมชน 7. วางแผนและ • การวางแผนพัฒนา ปฏิบัติตาม สมรรถภาพทางกาย แผนการพัฒนา และสมรรถภาพกลไก สมรรถภาพกาย และสมรรถภาพ กลไก
เสร�ม
12
สาระที่ 5
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน ชั้น ม.4
ชั้น ม.5
ชั้น ม.6
• หนวยการเรียนรูท ี่ 2 การสรางเสริม สุขภาพและ การปองกันโรค ในชุมชน • หนวยการเรียนรูท ี่ 6 สมรรถภาพทาง กายและทางกลไก
-
-
-
ความปลอดภัยในชีวิต
มาตรฐาน พ 5.1 ปองกันและหลีกเลี่ยงปจจัยเสี่ยง พฤติกรรมเสี่ยงตอสุขภาพ อุบัติเหตุ การใชยา สารเสพติด และความ รุนแรง ตัวชี้วัด
1. มีสวนรวมในการ ปองกันความ เสี่ยงตอการใชยา การใชสารเสพติด และความรุนแรง เพื่อสุขภาพของ ตนเอง ครอบครัว และสังคม 2. วิเคราะหผล กระทบที่เกิดจาก การครอบครอง การใชและการ จําหนายสารเสพ ติด
คูม อื ครู
สาระการเรียนรูแกนกลาง
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน ชั้น ม.4
ชั้น ม.5
ชั้น ม.6
• การจัดกิจกรรมปองกัน • หนวยการเรียนรูท ี่ 6 ความเสี่ยงตอการใชยา การใชยาและสาร สารเสพติด และความ เสพติด รุนแรง
-
-
• การวิเคราะหผลกระทบ • หนวยการเรียนรูท ี่ 6 ที่เกิดจากการครอบ การใชยาและสาร ครอง การใชและการ เสพติด จําหนายสารเสพติด (ตนเอง ครอบครัว เศรษฐกิจ สังคม) • โทษทางกฎหมายที่เกิด จากการครอบครอง การใชและการจําหนาย สารเสพติด
-
• หนวยการเรียนรูท ี่ 3 สารเสพติด
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
3. วิเคราะหปจจัยที่ มีผลตอสุขภาพ หรือความรุนแรง ของคนไทยและ เสนอแนวทาง ปองกัน 4. วางแผน กําหนด แนวทางลด อุบัติเหตุ และ สรางเสริมความ ปลอดภัยใน ชุมชน 5. มีสวนรวมใน การสรางเสริม ความปลอดภัยใน ชุมชน 6. ใชทักษะการ ตัดสินใจ แกปญหาใน สถานการณที่ เสี่ยงตอสุขภาพ และความรุนแรง 7. แสดงวิธีการชวย ฟนคืนชีพอยาง ถูกวิธี
• ปจจัยที่มีผลตอสุขภาพ ของคนไทยและเสนอ แนวทางปองกัน
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน ชั้น ม.4
ชั้น ม.5
ชั้น ม.6
-
• หนวยการเรียนรูท ี่ 7 ปจจัยทีม่ ผี ลตอ ความรุนแรงของ คนไทย
-
เสร�ม
13
• การวางแผน กําหนด แนวทางลดอุบัติเหตุ และสรางเสริมความ ปลอดภัยในชุมชน
-
-
• หนวยการเรียนรูท ี่ 5 การสรางเสริม ความปลอดภัย ในชุมชน
• กิจกรรมการสรางเสริม ความปลอดภัยในชุมชน
-
-
• ทักษะการตัดสินใจ • หนวยการเรียนรูท ี่ 7 แกปญ หาในสถานการณ ความรุนแรงใน ที่เสี่ยงตอสุขภาพ สังคม
-
• หนวยการเรียนรูท ี่ 5 การสรางเสริม ความปลอดภัย ในชุมชน -
• หนวยการเรียนรูท ี่ 8 การชวยฟน คืนชีพ
-
-
• วิธีการชวยฟนคืนชีพ อยางถูกวิธี
คูม อื ครู
จุดเนนการพัฒนาคุณภาพผูเรียน* การขับเคลื่อนหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2551 และการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษ ที่สอง (พ.ศ. 2552-2561) ใหประสบผลสําเร็จตามจุดเนนการพัฒนาคุณภาพผูเรียน โดยใหทุกภาคสวน รวมกันดําเนินการ กระทรวงศึกษาธิการไดกําหนดจุดเนนการพัฒนาคุณภาพผูเรียน ดังนี้ เสร�ม
14
ทักษะ ความสามารถ
คุณลักษณะ จุดเนนตามชวงวัย
ม. 4-6
แสวงหาความรู เพื่อแกปญหา ใชเทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู ใชภาษาตางประเทศ (ภาษาอังกฤษ) มีทักษะการคิดขั้นสูง ทักษะชีวิต ทักษะการสื่อสารอยางสรางสรรคตามชวงวัย
ม. 1-3
แสวงหาความรูดวยตนเอง ใชเทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู มีทักษะการคิดขั้นสูง ทักษะชีวิต ทักษะการสื่อสารอยางสรางสรรคตามชวงวัย
• อยูอยางพอเพียง
ป. 4-6
อานคลอง เขียนคลอง คิดเลขคลอง ทักษะการคิดขั้นพื้นฐาน ทักษะชีวิต ทักษะการสื่อสารอยางสรางสรรคตามชวงวัย
• ใฝเรียนรู
ป. 1-3
อานออก เขียนได คิดเลขเปน มีทักษะการคิดขั้นพื้นฐาน ทักษะชีวิต ทักษะการสื่อสารอยางสรางสรรคตามชวงวัย
• ใฝดี
• มุงมั่นในการศึกษา และการทํางาน
คุณลักษณะตามหลักสูตร
• รักชาติ ศาสน กษัตริย • ซื่อสัตยสุจริต • มีวินัย • ใฝเรียนรู • อยูอยางพอเพียง • มุงมั่นในการทํางาน • รักความเปนไทย • มีจิตสาธารณะ
* สํานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, กระทรวงศึกษาธิการ. แนวทางการนําจุดเนนการพัฒนาผูเรียน สูการปฏิบัติ. (กรุงเทพมหานคร : ชุมนุมสหกรณการเกษตรแหงประเทศไทย, 2553), หนา 3-10.
คูม อื ครู
คําอธิบายรายวิชา รายวิชา สุขศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 รหัสวิชา พ…………………………………
กลุมสาระการเรียนรู สุขศึกษาและพลศึกษา ภาคเรียนที่ 1-2 เวลา 40 ชั่วโมง/ป
ศึกษา วิเคราะห และอธิบายกระบวนการสรางเสริมและดํารงประสิทธิภาพการทํางานของระบบอวัยวะตางๆ วางแผน การดูแลสุขภาพตามภาวะการเจริญเติบโตและพัฒนาการของตนเองและบุคคลในครอบครัว วิเคราะหอิทธิพลของครอบครัว เสร�ม เพื่อน สังคม และวัฒนธรรมที่มีผลตอพฤติกรรมทางเพศและการดําเนินชีวิต คานิยมในเรื่องเพศตามวัฒนธรรมไทยและ 15 วัฒนธรรมอื่นๆ วิเคราะหสาเหตุและผลของความขัดแยงทีเ่ กิดขึน้ ระหวางนักเรียนหรือเยาวชนในชุมชน เพือ่ หาแนวทางและเลือกใช ทักษะที่เหมาะสมในการปองกันและลดความขัดแยง การแกปญหาเรื่องเพศและครอบครัวไดอยางมีประสิทธิภาพ วางแผน และปฏิบัติตามแผนการพัฒนาสุขภาพของตนเองและครอบครัว วิเคราะหผลกระทบที่เกิดจากการครอบครัว การใชและการ จําหนายสารเสพติด มีสวนรวมในการปองกันความเสี่ยงตอการใชยา การใชสารเสพติด และความรุนแรงเพื่อสุขภาพของ ตนเอง ครอบครัว และสังคม สามารถใชทกั ษะการตัดสินใจแกปญ หาในสถานการณทเี่ สีย่ งตอสุขภาพและความรุนแรง แสดง วิธีการชวยฟนคืนชีพอยางถูกวิธี เพื่อใหมีความรูความเขาใจ นําหลักการ แนวคิดไปปรับปรุงและนําไปปฏิบัติในการดูแลรักษาสุขภาพเพื่อพัฒนา คุณภาพชีวิตของตนเองและครอบครัว
ตัวชี้วัด พ 1.1 พ 2.1 พ 4.1 พ 5.1
ม.4-6/1 ม.4-6/1 ม.4-6/5 ม.4-6/1
ม.4-6/2 ม.4-6/2
ม.4-6/4
ม.4-6/2
ม.4-6/6
ม.4-6/7
รวม 10 ตัวชี้วัด
คูม อื ครู
ตาราง
วิเคราะหมาตรฐานการเรียนรูแ ละตัวชีว้ ดั รายวิชา สุขศึกษา ม.4
คําชี้แจง : ใหผูสอนใชตารางนี้ตรวจสอบความสอดคลองของเนื้อหาสาระการเรียนรูในหนวยการเรียนรูกับมาตรฐาน การเรียนรูและตัวชี้วัดชวงชั้น เสร�ม
16
มาตรฐานการเรียนรู สาระที่ 1 และตัวชี้วัด มาตรฐาน พ 1.1 ตัวชี้วัด หนวยการเรียนรู 1
หนวยการเรียนรูที่ 1 : การทํางานของระบบผิวหนัง ระบบกระดูกและระบบ กลามเน�้อ หนวยการเรียนรูที่ 2 : การวางแผนดูแลสุขภาพของ ตนเองและครอบครัว หนวยการเรียนรูที่ 3 : พฤติกรรมทางเพศ และการดําเนินชีวิต หนวยการเรียนรูที่ 4 : คานิยมทางเพศ กับวัฒนธรรม หนวยการเรียนรูที่ 5 : สัมพันธภาพระหวางนักเรียน หรือเยาวชนในชุมชน
2
สาระที่ 2 มาตรฐาน พ 2.1 ตัวชี้วัด 1
2
3
สาระที่ 4 มาตรฐาน พ 4.1 ตัวชี้วัด 4
1
2
3
4
สาระที่ 5 มาตรฐาน พ 5.1 ตัวชี้วัด 5
6
1
2
3
4
5
6
7
✓
✓
✓
✓
✓
✓
หนวยการเรียนรูที่ 6 : การใชยาและสารเสพติด
✓ ✓
หนวยการเรียนรูที่ 7 : ความรุนแรงในสังคม
✓
หนวยการเรียนรูที่ 8 : การชวยฟนคืนชีพ
หมายเหตุ ✓ เฉพาะที่สอดคลองกับตัวชี้วัด ม.4 เทานั้น ตัวชี้วัดที่เหลือจะจัดการเรียนการสอนในชั้น ม.5 และ ม.6
คูม อื ครู
7
✓
✓
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ÃÒÂÇÔªÒ¾×é¹°Ò¹
สุขศึกษา ม.๔ ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
กลุมสาระการเรียนรูสุขศึกษา และพลศึกษา ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ผูเรียบเรียง
รศ.ดร. พรสุข หุนนิรันดร รศ.ดร. ประภาเพ็ญ สุวรรณ ผศ.ดร. สุรียพันธุ วรพงศธร ดร. อนันต มาลารัตน
ผูตรวจ
ผศ.ดร. ทรงพล ตอนี ผศ. รัตนา เจริญสาธิต นางสาวกัญจนณัฏฐ ตะเภาพงษ
บรรณาธิการ
รศ.ดร. จุฬาภรณ โสตะ นายสมเกียรติ ภูระหงษ พิมพครั้งที่ ๑๐
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ ISBN : 978-616-203-087-1 รหัสสินคา ๓๔๑๔๐๐๓
¤Œ¹¤ÇÒÁÃÙŒ¢ÂÒ¤ÇÒÁ¤Ô´¨Ò¡
¾ÔÁ¾ ¤ÃÑ駷Õè ñ ÃËÑÊÊÔ¹¤ŒÒ óôôôððõ
EB GUIDE
ที่พิมพกํากับหัวขอสําคัญในหนังสือเรียนหลักสูตรแกนกลางฯ ผาน www.aksorn.com ไปยังแหลงความรูทั่วไทย-ทั่วโลก
( ดูผงั มโนทัศน ไดทปี่ กหลังดานใน)
คณะผูจัดทําคูมือครู เบญจพร ทองมาก ธงชัย หวลถึง
กระตุน ความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
Explain
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
¤íÒá¹Ð¹íÒ㹡ÒÃ㪌˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน สุขศึกษาเลมนี้ สรางขึ้นเพื่อใหเปนสื่อสําหรับใชประกอบการเรียน การสอนในรายวิชาพืน้ ฐาน กลุม สาระการเรียนรูส ขุ ศึกษาและพลศึกษา ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ ๔ โดยเนือ้ หาตรงตามสาระการเรียนรูแ กนกลางขัน้ พืน้ ฐาน อานทําความเขาใจงาย ใหทงั้ ความรูแ ละชวย พัฒนาผูเ รียนตามหลักสูตรและตัวชีว้ ดั เนือ้ หาสาระแบงออกเปนหนวยการเรียนรูต ามโครงสรางรายวิชา สะดวก แกการจัดการเรียนการสอนและการวัดผลประเมินผล พรอมเสริมองคประกอบอืน่ ๆ ทีจ่ ะชวยทําใหผเู รียนไดรบั ความรูอ ยางมีประสิทธิภาพ เนื้อหาตรงตามสาระการเรียนรู้แกนกลาง ให้ความรู้และเอื้อต่อการนíาไปใช้สอนเพื่อ ให้บรรลุตัวชี้วัด และสร้างคุ³ลักɳะ อันพÖงประสงค
ตัวชีว้ ดั และสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ตามทีห่ ลักสูตร จัดกลุ่มเนื้อหาเปšนหน่วยการเรียนรู้ กíาหนด เพื่อให้ทราบ¶Öงเป้าหมายในการÈÖกÉา สะดวกแก่การจัดการเรียนการสอน
ñ ¡Ò÷íÒ§Ò¹¢Í§Ãкº หน ว ยที่
ò. Ãкº¼ÔÇ˹ѧ
¼ÔÇ Ù¡ áÅÐÃÐ˺¹Ñ§ º¡
Ãкº¡Ãд
ÅŒÒÁà¹×éÍ
ตัวชี้วัด พ ๑.๑ ม.๔■
๖/๑ อธิ บ ายก ระบ ดํารงประสิท วนก ารส ร า งเสริ ม และ ธิ อวัยวะตางๆ ภาพการทํางานของระบบ
สาระการเรียนรู ■
แกนกลาง
กระ บวน การ ประ สิ ท ธิ ภ าพกสร า งเสริ ม และ ดํ า รง อวัยวะตางๆ ารทํ า งาน ของ ระบ บ - การทํางานข องระ - การสรางเสร บบอวัยวะตางๆ ิม ประสิทธิภาพขอและดํารง (อาหาร การอ งอวัยวะตางๆ นันทนาการ อกกําลังกาย การตรวจสขุ ภาพ ฯลฯ)
การเจริญเติบโตแ ละพฒ อยางครบถ ั นาการของ วนแ มนษุ ย เกิดจาก ประสานสัม ละสมบูรณ โดยรางก ปจจัยตางๆ พันธกัน อัน ายคนเราป หลายดา นซ ระกอบไปด ไดแ งึ่ สัมพันธกนั ระบบขับถา วยระบบ ย ระบบหายใ ก ระบบผิวหนัง ระบบก ระดูก ระบบก อวัยวะตางๆ ที่ทํางาน จ ระบบไห ตอมไรทอ ลเวียนโลหิ ซึ่งจะมีผลต ต ระบบประส ลามเนื้อ ระบบยอยอ อการเจริญ วัยทารก วัย าหาร เติ าท บ โตและพัฒนา เด็ก วัยรุ ระบบสืบพั นธุ และระ การของรา ระบบทุกระบ น วัยผูใหญ และวัยสูง บบ งกายในทุก อายุ บในรางกาย ๆ วัย ไมวา ชั้นนี้ จะกล จะเปน ลวนแตมีค าวเฉพาะระ วาม สํ า บบ คั ญต อวัยวะที่มีก ผิวหนัง ระบ ารทํางานสั บโครงกระด อรางกายดวยกันทั้งสิ มพันธกันอย ้น ในระดับ ูก และระบบ างเห็นไดชัด กลามเนื้อ ซึ่งเปนระบ บ
วย ผิวหนัง เล็บ และขน ซึ่งเปนอวัยวะ ระบบผิวหนังหรือระบบหอหุมรางกาย ประกอบด งเปนอวัยวะทีม่ พี นื้ ทีใ่ หญทสี่ ดุ ในรางกาย ซึง่ เมือ่ ทีท่ าํ หนาทีป่ กคลุมและปองกันรางกาย โดยผิวหนั และมีความหนาตางกันขึ้นอยูกับตําแหนงและ นํามาตอกันจะมีพื้นที่ประมาณ ๒ ตารางเมตร าก สวนบริเวณที่ใชงานนอยจะบางและ ลักษณะการใชงาน บริเวณที่ใชงานมากจะมีความหนาม ไวตอความรูสึก
๒.๑ โครงสรางของผิวหนัง
ยวะที่ประกอบดวยผิวหนัง (Skin) ระบบผิวหนัง หรือระบบหอหุมรางกาย เปนระบบอวั วะทีม่ ขี นาดมากทสี่ ดุ ในรางกาย ครอบคลุมพืน้ ที่ และอนุพนั ธของผิวหนัง โดยทีผ่ วิ หนังนัน้ เปนอวัย างกายมีความหนาประมาณ ๑-๒ มิลลิเมตร ซึ่ง ประมาณ ๒ ตารางเมตร ผิวหนังสวนใหญของร ประกอบดวย ง
แผนผังแสดงโครงสรางของระบบผิวหนั
ะมีการ หนังกําพรา (Epidermis) ผิวหนังชั้นนี้จ หลุดลอกเปนขีไ้ คล แลวมีการสรางใหมขนึ้ มาทดแทน างกัน เรื่อยๆ ซึ่งผิวหนังของแตละคนจะมีสีที่แตกต า กกันว โดยที่ปจจัยหนึ่งนั้นขึ้นอยูกับเซลลเม็ดสีที่เรีย “เมลานิน” ซึ่งอยูในชั้นผิวหนังสวนนี้
ตอมไขมัน (Sebaceous gland) ทําหนาที่สรางไขมัน ชวยทําใหเสนผม เสนขน เปนมันเงางาม ผิวหนังชุมชื้น ไมแตกกระดาง ปองกันการระเหยของนํ้า ออกจากรางกาย
EB GUIDE
Design หน้าแบบใหม่ สวยงาม พิมพ ๔ สี ตลอดเล่ม ช่วยให้อ่านทíาความเข้าใจได้ง่าย ๑. องค์ประกอบของร่างกายมนุษย์
่มจากระดับโมเลกุล ระดับเซลล์ มนุษย์มีโครงสร้างการท�างานของร่างกายที่ซับซ้อน โดยเริ นว่า “ระบบอวัยวะ” ซึง่ ประกอบ ระดับเนือ้ เยือ่ และระดับอวัยวะ โดยโครงสร้างทุกระดับนีเ้ รียกรวมกั ด้วยหน่วยย่อยหลายอย่าง
๑.๑ โครงสร้างของร่างกาย
ซึ่งยึดเข้ากันด้วยพันธะ ร่างกายมนุษย์ประกอบขึ้นจากส่วนที่เล็กที่สุด คือ “อะตอม” โครงสร้างของเซลล์ วกันเป็น ต่างๆ กลายเป็นโมเลกุล และแต่ละโมเลกุลก็จะมีการจัดรวมตั เหล่านี้จะมีทั้งที่ โดยเซลล์ ย์ ษ ซึ่งถือว่าเป็นหน่วยที่เล็กที่สุด เป็นตัวก�าหนดการมีชีวิตของมนุ วนใหญ่ไม่ได้อยูอ่ ย่างอิสระ หาก ท�าหน้าทีเ่ หมือนกัน และแตกต่างกันออกไป แต่เซลล์ของร่างกายส่ โดยกลุม่ เซลล์ เซลล์ ่ ม กลุ น เป็ น กั ด ติ ด จะยึ น กั ง ยคลึ า เป็นเซลล์ทมี่ โี ครงสร้าง หน้าที ่ และต้นก�าเนิดคล้ ียกว่า “เนื้อเยื่อ” ซึ่งมี ๔ ชนิด คือ ที่ท�าหน้าที่เหมือนกันหรือท�าหน้าที่อย่างเดียวกัน เราจะรวมเร
๓. เนื้ อ เยื่ อ กล้ า มเนื้ อ ท� ำ หน้ ำ ที่ เ กี่ ย วกั บ กำร เคลื่อนไหวของร่ำงกำยและอวัยวะต่ำงๆ ซึ่งเกิด จำกกำรหดตัวและคลำยตัวของกล้ำมเนื้อ
ต อ มเหงื่ อ (Sweat gland) ทําหนาทีส่ รางเหงือ่ ทีป่ ระกอบไปดวยนํา้ และเกลือแร เพือ่ ชวยระบายความรอนภายใน รางกายใหสมดุล
http://www.aksorn.com/LC/He/M4/01
๑) การออกก�าลังกาย การออกก�าลังกายเป็นสิ่งที่ส�าคัญส� าหรับมนุษย์ เพราะจะ ช่วยท�าให้รา่ งกายแข็งแรงและพัฒนาทั ง้ ในส่วนของความทนทานของกระดู ก รวมถึงการพัฒนาใน ส่วนของกล้ามเนือ้ และช่วยท�าให้หวั ใจและป แข็งแรงขึน้ ด้วย การออกก�าลังกายสาม อด ารถทีจ่ ะ หัดได้ตั้งแต่ในวัยทารก โดยอาจให้ท ารกเล่นใน สนามเด็กเล่น หรือบนพื้นที่ที่สามารถ ดูแลได้ ทั่ ว ถึ ง เมื่ อ อยู ่ ใ นวั ย เด็ ก เล็ ก ก็ ใ ห้ เ ล่ น เครื่ อ ง เล่นต่างๆ นอกบ้าน และเมื่อโตขึ้น ก็ควรออก ก�าลังกายโดยเล่นกีฬาประเภทต่างๆ ให้ มากขึน้ โดยเฉพาะการเล่นกีฬากลางแจ้ง ในช่วงเช้า ซึ่งจะท�าให้ร่างกายได้รับวิตามินดีอีก ด้วย ๒) กา รบริ โ ภคอา หารที ่มีสาร อาหารครบถ้วนและถกู ต้อง โดยเฉพาะอาหา ร ที่มีวิตามินดีและแคลเซียม ตลอดจ นโปรตีน ปลาเล็กปลาน้อยที่สามารถรับประทาน ได้ทั้งตัว เป็น ซึ่งเป็นสารอาหารที่จ�าเป็นต่อการเจร ิญเติบโต แหล่งอาหารที่มีแคลเซียมสูง และการด�ารงชีวติ ของมนษุ ย์ ส�าหรับ ในวัยทารก อาหารทมี่ คี ณุ ค่ามากทีส่ ดุ คือ น�า้ นมแม่ และเมือ่ เติบโตขึน้ ก็ควรรับประทานอาหารใ โดยพบว่าอาหารที่มีสารอาหารประเ ห้ครบทุกประเภท ภทโปรตีนและแคลเซียมสูง จะมีส่ว นในการเจริญเติบโตและ สร้างความแข็งแรงของเซลล์กระดูก ได้มาก
เกร็ดน่ารู้ ตากแดดวันละนิดพิชิตกระดูก พรุน การตากแดดเป็นการสร้างวิตามิ นดีให้กับร่างกาย เพราะในแสงแดด ฮอร์โมนพาราไทรอยด์ (Parathy จะมีวิตามินดีที่ไปช่วยยับยั้งการหลั roid) ซึ่งเป็นฮอร์โมนอันตรายที ่ง ่จะไปสลายแคลเซียมออกจากกระดู สร้างสารออสธีโอแคลซิน (Osteoc ก และช่วย alcin) ที่จะไปช่วยดึงแคลเซียมเข้ ามาในกระดูก รวมถึงช่วยสร้างกล้ ให้ แข็ ง แรง อี ก ทั้ ง ยั ง ช่ ว ยป้ อ งกั ามเนื้อ น โรคกระดู ก พรุ น และช่ ว ยลดควา มเสี่ ย งของกา รหกล้ ม เมื่ อ เติ บ โตเป็ สูงวัยต่อไปได้อีกด้วย น ผู ้ ใ หญ่ ส�าหรับช่วงเวลาทีเ่ หมาะสมต่อการรั บแสงแดด คือ ช่วงเวลาตัง้ แต่ ๐๖.๐๐ เพราะเป็นช่วงเวลาที่แสงแดดไม่จ - ๐๘.๐๐ น. และ ๑๖.๐๐ - ๑๘.๐๐ ัดและไม่เป็นอันตรายต่อผิวหนังมากเกิ น. นไป
Web guide แนะนíาแหล่งค้นคว้าข้อมูล เพิ่มเติมผ่านระบบ Online
เกริ่นนíาเพื่อให้เข้าใจ¶Öงสาระสíาคัญ ในหน่วยที่จะเรียน
๑. เนื้อเยื่อบุผิว เป็นเนื้อเยื่อที่บุผิวด้ำนนอกของ ร่ำงกำย หรือบุผวิ ของอวัยวะต่ำงๆ มีหน้ำทีป่ อ้ งกัน อวัยวะต่ำงๆ จำกสิ่งแวดล้อมภำยนอก
ชั้น หนังแท (Dermis) ผิวหนังชั้นนี้จะอยูภายใต ชั้ น ของ ของหนั ง กํ า พร า และมี ค วามหนามาก กว า ีลักษณะ หนังกําพรามาก โดยจะมีเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่ม วหนังไว ของผิ งๆ า นประกอบต ว ส ด คอยยึ ว ย เหนี สึกตางๆ เชน หลอดเลือดฝอย เสนประสาทรับความรู เปนตน รากขนหรือรากผม ตอมเหงื่อ ตอมไขมัน จะเปน โดยทั่วไปแลวพบวาบริเวณฝามือและฝาเทา บริเวณที่ผิวหนังมีความหนามากกวาสวน อื่นๆ ของรางกาย
เกรçดน่ารู้เพิ่มเติมจากเนื้อหา มีแทรกเปšนระยะæ
๒. เนือ้ เยือ่ เกีย่ วพัน ประกอบด้วยเซลล์หลำยชนิด เรียงตัวกันอย่ำงหลวมๆ แต่มเี ส้นใยมำประสำน กันท�ำให้เกิดควำมแข็งแรงขึ้น
๔. เนื้ อ เยื่ อ ประสาท ท� ำ หน้ำ ที่ เ กี่ ย วกั บ กำรรั บ ควำมรู้สึก กำรตอบสนองต่อสิ่งเร้ำ และควบคุม กำรท�ำงำนของอวัยวะต่ำงๆ
เสริมสาระจากเนือ้ หานอกเหนือจาก ทีม่ ใี นสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง เพือ่ เพิม่ พูนและขยายพรมแดนความรูใ้ ห้ กว้างขวางออกไป
คíา¶ามประจíาหน่วยการเรียนรู้และกิจกรรม สร้างสรรค พั²นาการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียน มีคุ³ภาพบรรลุมาตร°านและตัวชี้วัด
งการ บวัย ความตอ ตละวัยมี ยแนวทาง เหมาะกั โด ะคนในแ าหารให ญ เพรา างกายแข็งแรง นสิ่งสําคั กับวัยเป ็จะทําใหสุขภาพร สม าะ เหม ี่ดีก อาหารให ะทานอาหารท ับประทาน กรับปร การเลือกร ัน ดังนั้นถาเลือ มีดังนี้ ยางสังเขป ี่แตกตางก ปขึ้นไป พลังงานท ประทานอาหารอ อายุตั้งแต ๑๐ ิบโต ับ เต ๑ การเลือกร ึ้นตนดวยเลข างกายและเจริญ มาก วัยที่ข าหาร งทางร ลี่ยนแปล ายตองการสารอ วรเลือก ี่ค ่มีการเป เปนวัยที ว ในวัยนี้รางก ตางๆ อาหารท ละ แป ง เร็ แ ลล ว วด ต งเซ งร สั ั้ง สรา อยา เนื้ อ ก คื อ ใชในการ มัน รวมท ภาพดี เพื่อนําไป เป น อั น ดั บ แร ดับสาม คือ ไข ยางเต็มที่ นเรามีสขุ ี่ เ ป น าน อ ัน ช่ ว ยใหค รั บ ปร ะท คือ นม และอ ําพลังงานไปใชได ไป เปน จัยหนงึ่ ที ปร ะท าน อา หา รท ง ขึ้น รเปน ปจ น ับ อันดับสอ ื่อที่รางกายจะได อายุตั้งแต ๒๐ ป รที่ควร อาหานั้ น จึ ง ต อ งเลื อ กร ๒ ดั ง เพ ย ่ อาหา รางกาย ผักผลไม ที่ขึ้นตนดวยเลข มองที่ชว โตเต็มที ข า ว แป ง ประโยชนตอ อาหารส วัย และเติบ ว ปลาเปน ชวยบํารุงสายตา ารพัฒนา ก คื อ เนื้ อ สั ต ะอาหารที่ ู อ ไขมัน นา งกายมีก ชวงที่รา ะท าน อั น ดั บ แร บสาม คือ นมแล ันดับสุดทาย คื กกระเฉด ผักคะ พลังงานยังคงอย ะอ าร ปร ง ผั นดั บ ั บุ อั งก แล ก ั อ ซึ กร หู งผ ไม อ ื มต า า ย เล อล ่งจะ ผล วา เต ง คือ ผัก าเล็กปลานอย ง และผักสีเขียวอ วงเริ่มวัยผูใหญค และคอเลสเทอร าทะเล อันดับสอ เชน ปล ยใหสมองแข็งแร ไป ในช ในเรื่องของไขมัน อรอล เชน ปล ัวใจ น ้ ึ ข ม ย ี ป เซ อเลสเท สี่ยงจากโรคห สาทชว ใหแคล ั้งแต ๓๐ ามระมัดระวัง มเ ๓ อายุต ขมันและค คว ังเซลลประ รักษาผน ที่ขึ้นตนดวยเลข น แตตองเพิ่ม อาหารที่ชวยลดไ ลือง ชวยลดควา หอิ่มทองไดนาน วัย าน ทํางา วาม ถั่วเห วยใ ิตของการ ควรเลือกรับประท ั่วแดง ถั่วเขียว ธัญพืชไมขัดสี ช ังงานลดลง แตค มี นชวงชีว เพราะเป ภาพในอนาคต เมล็ดแหงอยางถ หารจําพวกขาว วามตองการพล รสูง และยังจะ ั่ว อา หา นี ้มีค สุข สงผลตอ มดันโลหิต พวกถ นแทนเนื้อสัตวได ขึ้นไป ชวงวัยนี ไมที่มีกากใยอา ะทานเตา หู โปรต ป วา งา กผล รับปร ้น เชน วร ขึ ้ ค ว ร็ นี ชวยลดค นสูง เพื่อใหพลัง อายุตั้งแต ๔๐ ่งจะไดรับจากผั เ ๔ ซึ ตี ามแกให าย ย นอกจาก และมีโปร ที่ขึ้นตนดวยเลข ตางๆ เพิ่มขึ้น บั ประทานไดง า ารที่เปนตัวเรงคว มื่ คาเฟอีนทัง้ หล ิน าร งด วัย ๑๒ ่ ี ห าห ่ อ าม รื ต รท ๘งอ วิ ย ่ ี ะเค หา อา ันละ ีกเล แล มและ างนอยว ลกอฮอล ามนิ ซีจาก แคลเซีย างอื่น หล ตองการ มลู อิสระอยา งวติ กวาเนื้อสัตวอย กๆ เครือ่ งดมื่ แอ ้าใหสมํ่าเสมอ อย ไมขัดสี ด นํ นุ มา าก นิ ม ่ ื น การ นอ มั กช รด มม า้ สารตา แคลเซีย กรอบหรอื ผัดนํ ปเปนตนไป คว ละพยายามเลือ ีการเพิ่มกิจกรรม ให ง ่ ซึ ไขมันตํ่า สูงประเภททอด อายุตั้งแต ๕๐ ดรตใหนอยลงแ ลอดเวลา ควรม นั ฮเ ูต ๕ อาหารไขม ที่ขึ้นตนดวยเลข บประทานคารโบไ ลเรื่องการกินอย ภาพดีมากยิ่งขึ้น ูแ ุข รั วัย รขาดนํ้า นชวงวัยใดควรด นิสัย จะชวยใหส ูใ ปองกันกา เปน แกว เพื่อ สําคัญไมวาจะอย ทําบอยๆ จนติด สิ่ง ันใหมาก ระหวางว เคลื่อนไหว
ะ
เสริมสาร
วิธีเลือกอ
¤Ò¶ÒÁ»ÃШíÒ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ ๑. ระบบผิวหนังมีความสําคัญตอการปองกันโรคอยางไร ๒. กระดูกในรางกายของคนเรามีหนาที่ใด ๓. ถาจะใหระบบผิวหนัง ระบบกระดูก และระบบกลามเนื้อทํางานไดอยางมีประสิทธิภาพ ควรสรางเสริมและดํารงประสิทธิภาพอยางไร ๔. จงอธิบายกระบวนการการทํางานของระบบผิวหนัง ระบบกลามเนือ้ และระบบกระดูกทีป่ ระสานสัมพันธกนั มาพอสังเขป ๕. ระบบผิวหนัง ระบบกระดูก และระบบกลามเนื้อ มีหนาที่อยางไรในรางกาย
¡Ô¨¡ÃÃÁÊÌҧÊÃä ¾Ñ²¹Ò¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ กิจกรรมที่
๑
กิจกรรมที่
๒
กิจกรรมที่
๓
ครูจัดทําบัตรรายการ ๓ ชุด ประกอบดวย ชุดที่ ๑ ชื่อระบบอวัยวะ ๓ ระบบ คือ ระบบผิวหนัง ระบบกระดูก และระบบกลามเนื้อ ชุดที่ ๒ บัตรรายการของอวัยวะ ตางๆ ที่อยูในระบบทั้ง ๓ ระบบ ชุดที่ ๓ บัตรรายการแนวทาง/วิธีการปฏิบัติตน เพื่อสรางเสริมและดํารงประสิทธิภาพการทํางานของระบบทั้ง ๓ ระบบ แลวให นักเรียนแบงกลุม ชวยกันเรียง/จัดกลุมบัตรรายการทั้ง ๓ ชุดใหถูกตอง ใหนักเรียนแบงออกเปนกลุมยอย และใหชวยกันศึกษาถึงโครงสราง หนาที่และ การทํางานของระบบผิวหนัง ระบบกระดูก และระบบกลามเนื้อวาเปนอยางไร แลวนําเสนอในหองเรียน ใหนักเรียนแบงกลุมยอย และชวยกันศึกษาและนําเสนอปญหาที่อาจเกิดขึ้นได กับระบบผิวหนัง ระบบกระดูก และระบบกลามเนื้อวามีปญหาใดบางและ จะมีแนวทางในการแกไขปญหาดังกลาวไดอยางไร แลวนําเสนอในหองเรียน
ò
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
ÊÒúÑÞ หน่วยที่
๑
¡Ò÷íÒ§Ò¹¢Í§Ãкº¼ÔÇ˹ѧ Ãкº¡Ãд١ áÅÐÃкº¡ÅŒÒÁà¹×éÍ ● ● ● ●
หน่วยที่
๒
¡ÒÃÇҧἹ´ÙáÅÊØ¢ÀÒ¾¢Í§µ¹àͧ และครอºครัว ● ● ● ● ●
หน่วยที่
หน่วยที่
๓ ๔
องค ประกอบของร่างกายมนุÉย ระบบผิวหนัง ระบบกระดูก ระบบกล้ามเนื้อ
●
การดูแลสุขภาพของบุคคลแต่ละวัย การดูแลสุขภาพของตนเองและครอบครัว กระบวนการในการดูแลสุขภาพของตนเองและครอบครัว การวางแผนดูแลสุขภาพของตนเองและครอบครัว งานสาธาร³สุขมูล°านกับการดูแลสุขภาพของ ของตนเองและครอบครัว ข้อมูลข่าวสารและแหล่งการเรียนรู้ทางสุขภาพ
๑-๑๖ ๒ ๔ ๘ ๑๒
๑๗-๓๖ ๑๘ ๑๙ ๒๒ ๒๔ ๒๗ ๒๙
¾ÄµÔ¡ÃÃÁ·Ò§à¾ÈáÅСÒôíÒà¹Ô¹ªÕÇÔµ
๓๗-๕๖
การเจริญเติบโตและพั²นาการทางเพÈของวัยรุ่น พÄติกรรมทางเพÈ ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพÄติกรรมทางเพÈของวัยรุ่น
๔๑ ๔๔
● ● ●
ค่านิยม·างเพÈกัºวั²นธรรม ● ● ● ● ●
ค่านิยมทางเพÈของวัยรุ่น อิทธิพลที่มีผลต่อค่านิยมทางเพÈ ค่านิยมทางเพÈตามวั²นธรรมของวัยรุ่น ค่านิยมทางเพÈที่เหมาะสมของวัยรุ่น แนวปฏิบัติตามค่านิยมทางเพÈที่เหมาะสม
๓๘
๕๗-๗๐ õ๘ ๖๑ ๖๒ ๖๖ ๖๘
กระตุน ความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
หน่ วยที่
Explore
๕
● ●
●
หน่วยที่
หน่วยที่
Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล
สัมพันธภาพระหว่างนักเรียน หรือเยาวชนในชุมชน ●
หน่วยที่
อธิบายความรู
การสร้างสัมพันธภาพที่ดี การปรับตัวให้เข้ากับผู้อื่น ความขัดแย้งระหว่างนักเรียนและเยาวชน ความขัดแย้งและความรุนแรงในวัยรุ่น
๖
การใช้ยาและสารเสพติด
๗
ความรุนแรงในสังคม
๘
การช่วยฟื้นคืนชีพ
● ●
● ● ●
● ● ● ● ●
ยาและการใช้ยา สารเสพติด
๗๑-๙๒ ๗๒ ๗๙ ๘๒ ๘๙
๙๓-๑๒๔ ๙๔ ๑๐๒
ความรุนแรงและแนวทางแก้ไขปัญหาความรุนแรง การจัดกิจกรรมป้องกันความเสี่ยงต่อการใช้ความรุนแรง หลักการปฏิบัติตนเพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อการใช้ความรุนแรง
ความหมายและการช่วยฟื้นคืนชีพ ขั้นตอนปฏิบัติในการช่วยฟื้นคืนชีพ หลักปฏิบัติโดยทั่วไปในการช่วยฟื้นคืนชีพ การห้ามเลือด การเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
บรรณานุกรม
Evaluate
๑๒๕-๑๔๐ ๑๒๖ ๑๓๔ ๑๓๘
๑๔๑-๑๕๓ ๑๔๒ ๑๔๒ ๑๔๔ ๑๔๕ ๑๔๘
๑๕๔
กระตุน ความสนใจ
ñ
กระตุEngage นความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Expand
Evaluate
หน่ ว ยที่
อธิบายกระบวนการสรางเสริมและดํารง ประสิทธิภาพการทํางานของระบบอวัยวะ ตางๆ ได
¡Ò÷íÒ§Ò¹¢Í§Ãкº¼ÔÇ˹ѧ Ãкº¡Ãд١ áÅÐÃкº¡ÅŒÒÁà¹×éÍ
สมรรถนะของผูเรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใชทกั ษะชีวิต
ตัวชี้วัด พ ๑.๑ ม.๔-๖/๑ ■ อธิ บ ำยกระบวนกำรสร้ ำ งเสริ ม และ ด�ำรงประสิทธิภำพกำรท�ำงำนของระบบ อวัยวะต่ำงๆ
คุณลักษณะอันพึงประสงค
สาระการเรียนรู้แกนกลาง ■
กระบวนกำรสร้ ำ งเสริ ม และด� ำ รง ประสิ ท ธิ ภ ำพกำรท� ำ งำนของระบบ อวัยวะต่ำงๆ - กำรท�ำงำนของระบบอวัยวะต่ำงๆ - กำรสร้ำงเสริมและด�ำรง ประสิทธิภำพของอวัยวะต่ำงๆ (อำหำร กำรออกก�ำลังกำย นันทนำกำร กำรตรวจสุขภำพ ฯลฯ)
การเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย เกิดจากปจจัยตางๆ หลายดานซึง่ สัมพันธกนั อยางครบถวนและสมบูรณ โดยรางกายคนเราประกอบไปดวยระบบอวัยวะตางๆ ที่ทํางาน ประสานสัมพันธกัน อันไดแก ระบบผิวหนัง ระบบกระดูก ระบบกลามเนื้อ ระบบยอยอาหาร ระบบขับถาย ระบบหายใจ ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบประสาท ระบบสืบพันธุ และระบบ ตอมไรทอ ซึ่งจะมีผลตอการเจริญเติบโตและพัฒนาการของรางกายในทุกๆ วัย ไมวาจะเปน วัยทารก วัยเด็ก วัยรุน วัยผูใหญ และวัยสูงอายุ ระบบทุกระบบในรางกาย ลวนแตมีความสําคัญตอรางกายดวยกันทั้งสิ้น ในระดับ ชั้นนี้ จะกลาวเฉพาะระบบผิวหนัง ระบบโครงกระดูก และระบบกลามเนื้อ ซึ่งเปนระบบ อวัยวะที่มีการทํางานสัมพันธกันอยางเห็นไดชัด
เปาหมายการเรียนรู
1. ใฝเรียนรู 2. อยูอ ยางพอเพียง
กระตุน ความสนใจ
Engage
ใหนักเรียนดูภาพหนาหนวย แลวตั้งคําถาม โดยใหนักเรียนไดแสดงความคิดเห็นอยางอิสระ • จากภาพ นักเรียนคิดวา บุคคลในภาพ กําลังทําอะไร • นักเรียนคิดวา รางกายของเราสามารถ เคลื่อนไหวไดอยางไร • นักเรียนคิดวา รางกายของเราประกอบ ไปดวยอะไรบาง และมีการทํางานรวมกัน อยางไร
เกร็ดแนะครู เนื่องจากหนวยการเรียนรููนี้เปนเรื่องเกี่ยวกับระบบตางๆ ของรางกาย ซึ่งมี เนื้อหาที่คอนขางทําความเขาใจไดยาก ดังนั้น ครูจึงควรนําสื่อจําพวกคลิปวิดีโอ หรือโมเดลจําลองตางๆ มาใชในการจัดการเรียนการสอน เพราะจะชวยใหนักเรียน มีความรู ความเขาใจมากยิ่งขึ้น เนื่องจากการใชสื่อดังกลาวสามารถทําใหนักเรียน เห็นภาพไดอยางชัดเจน เชน การทํางานของระบบตางๆ ในรางกาย ลักษณะของ ชั้นผิวหนัง เปนตน
คูมือครู
1
กระตุน ความสนใจ
สํารวจคนหา Exploreนหา สํารวจค
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Expand
Evaluate
กระตุEngage นความสนใจ
กระตุน ความสนใจ
Engage
ครูนําภาพโครงสรางของรางกายและระบบ อวัยวะมาใหนักเรียนดู จากนั้นครูตั้งคําถาม กระตุนความสนใจของนักเรียนโดยใหนักเรียน สามารถแสดงความคิดเห็นไดอยางอิสระ • นักเรียนคิดวา รางกายของมนุษยเกิดขึ้น ไดอยางไร (แนวตอบ รางกายของมนุษยประกอบขึ้นจาก สวนที่เล็กที่สุดคือ อะตอม ซึ่งยึดเขากันดวย พันธะตางๆ เปนโมเลกุล โมเลกุลจะรวมกัน เปนเซลล (Cell) เซลลหลายๆ เซลลจะ รวมกันเปนเนื้อเยื่อ (Tissue) เพื่อทําหนาที่ เฉพาะอยาง เนื้อเยื่อหลายชนิดจะรวมกัน เปนอวัยวะ (Organ) เพื่อทําหนาที่อยางใด อยางหนึ่ง อวัยวะหลายอวัยวะ ทําหนาที่ ประสานกันและรวมกลุมกันเปนระบบ (System) โดยระบบจะทํางานประสาน สัมพันธกัน เรียกวา รางกาย (Body)) • ระบบอวัยวะมีความสําคัญอยางไรตอรางกาย ของมนุษย (แนวตอบ อวัยวะในรางกายของมนุษยนั้น จะทํางานประสานกันเปนระบบ ถาอวัยวะใด ทํางานผิดปกติไปอาจสงผลกระทบตอ การดํารงชีวิตของมนุษย)
สํารวจคนหา
๑. องค์ประกอบของร่างกายมนุษย์
1 มนุษย์มีโครงสร้างการท�างานของร่างกายที่ซับซ้อน โดยเริ่มจากระดับโมเลกุล ระดับเซลล์ ระดับเนือ้ เยือ่ และระดับอวัยวะ โดยโครงสร้างทุกระดับนีเ้ รียกรวมกันว่า “ระบบอวัยวะ” ซึง่ ประกอบ ด้วยหน่วยย่อยหลายอย่าง
๑.๑ โครงสร้างของร่างกาย ร่างกายมนุษย์ประกอบขึ้นจากส่วนที่เล็กที่สุด คือ “อะตอม” ซึ่งยึดเข้ากันด้วยพันธะ ต่างๆ กลายเป็นโมเลกุล และแต่ละโมเลกุลก็จะมีการจัดรวมตัวกันเป็นโครงสร้างของเซลล์ ซึ่งถือว่าเป็นหน่วยที่เล็กที่สุด เป็นตัวก�าหนดการมีชีวิตของมนุษย์ โดยเซลล์เหล่านี้จะมีทั้งที่ ท�าหน้าทีเ่ หมือนกัน และแตกต่างกันออกไป แต่เซลล์ของร่างกายส่วนใหญ่ไม่ได้อยูอ่ ย่างอิสระ หาก เป็นเซลล์ทมี่ โี ครงสร้าง หน้าที ่ และต้นก�าเนิดคล้ายคลึงกัน จะยึดติดกันเป็นกลุม่ เซลล์ โดยกลุม่ เซลล์ ที่ท�าหน้าที่เหมือนกันหรือท�าหน้าที่อย่างเดียวกัน เราจะรวมเรียกว่า “เนื้อเยื่อ” ซึ่งมี ๔ ชนิด คือ
๑. เนื้อเยื่อบุผิว เป็นเนื้อเยื่อที่บุผิวด้ำนนอกของ ร่ำงกำย หรือบุผวิ ของอวัยวะต่ำงๆ มีหน้ำทีป่ อ้ งกัน อวัยวะต่ำงๆ จำกสิ่งแวดล้อมภำยนอก
๒. เนือ้ เยือ่ เกีย่ วพัน ประกอบด้วยเซลล์ 2 หลำยชนิด เรียงตัวกันอย่ำงหลวมๆ แต่มเี ส้นใยม ใยมำประสำน กันท�ำให้เกิดควำมแข็งแรงขึ้น
๓. เนื้ อ เยื่ อ กล้ า มเนื้ อ ท� ำ หน้ ำ ที่ เ กี่ ย วกั บ กำร เคลื่อนไหวของร่ำงกำยและอวัยวะต่ำงๆ ซึ่งเกิด จำกกำรหดตัวและคลำยตัวของกล้ำมเนื้อ
๔. เนื้ อ เยื่ อ ประสาท ท� ำ หน้ำ ที่ เ กี3่ ย วกั บ กำรรั บ รตอบสนองต่อสิ่งเร้ำ และควบคุม ควำมรู้สึก กำรตอบสนองต่ กำรท�ำงำนของอวัยวะต่ำงๆ
Explore
ใหนักเรียนศึกษาเรื่อง องคประกอบของรางกาย มนุษย จากหนังสือเรียน และแหลงเรียนรูอื่นๆ เพิ่มเติม เชน หองสมุด สื่ออินเทอรเน็ต เปนตน โดยใหสรุปสาระสําคัญเพื่อเตรียมนําเสนอ
๒
นักเรียนควรรู 1 เซลล เปนหนวยที่เล็กที่สุดของรางกาย ชวยในการสรางผิวหนัง กลามเนื้อ กระดูก รวมถึงอวัยวะตางๆ ที่อยูภายในเซลล 2 เสนใย พบในเนื้อเยื่อเกี่ยวพันชนิดหนึ่ง มีลักษณะเปนเสนเล็ก บาง และมีความออนนุม เรียงตัวประสานกันเปนสวนประกอบของอวัยวะตางๆ ภายในรางกาย 3 สิ่งเรา สิ่งที่มากระตุนทําใหรางกายเกิดปฏิกิริยาตอบสนอง
มุม IT ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับรางกายมนุษยไดจาก http://www.youtube.com/ watch?v=H8yt3Jznx_k
2
คูมือครู
ขอสอบ
O-NET
ขอสอบป ’ 52 ออกเกี่ยวกับองคประกอบของรางกายมนุษย ขอใดเปนองคประกอบของรางกาย (Body Composition) ที่มีมากที่สุด 1. นํ้าในรางกาย 2. กลามเนื้อ 3. ไขมัน 4. กระดูก วิเคราะหคําตอบ องคประกอบของรางกายมนุษยที่มีมากที่สุด คือ นํ้าในรางกาย ซึ่งรางกายมนุษยจะมีนํ้าเปนสวนประกอบอยูประมาณ รอยละ 70 ซึ่งมีหนาที่เปนตัวกลางในการเกิดปฏิกิริยาเคมีทุกชนิด สงผล ใหเซลลตางๆ ในรางกายทํางานไดอยางปกติ ตอบขอ 1.
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ Expand าใจ ขยายความเข
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
อธิบExplain ายความรู
อธิบายความรู
ครูสุมนักเรียน 2-3 คน ออกมานําเสนอสาระ สําคัญเรื่อง องคประกอบของรางกายมนุษย จากที่ไดทําการศึกษา โดยครูและนักเรียนคนอื่นๆ รวมกันเสนอแนะเพิ่มเติม เพื่อใหไดขอสรุป ที่ถูกตองรวมกัน
หากมีเนื้อเยื่อหลายๆ เนื้อเยื่อที่ท�างานหรือท�าหน้าที่อย่างเดียวกัน เราจะเรียกกลุ่ม ของเนื้อเยื่อนั้นว่า “อวัยวะ” เช่น ปอด หัวใจ สมอง ตับ ม้าม เป็นต้น และอวัยวะหลายๆ อวัยวะ ที่ร่วมท�าหน้าที่อย่างเดียวกัน ก็จะเรียกว่า “ระบบอวัยวะ” เช่น ระบบกล้ามเนื้อ ระบบประสาท ระบบหายใจ ระบบสืบพันธุ์ เป็นต้น โดยระบบอวัยวะแต่ละระบบก็จะมีหน้าที่ของตัวเองและ ท�างานประสานสัมพันธ์กัน ซึ่งรวมเรียกว่า “ร่างกาย” การท�างานของระบบอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายของคนเรานั้น จะต้องมีการประสาน สัมพันธ์กันอยู่เสมอ ถ้าหากไม่ท�างานประสานสัมพันธ์กันก็จะก่อให้เกิดปัญหาในการด�ารงชีวิต ซึ่งระบบหายใจและระบบไหลเวียนโลหิตประกอบด้วยอวัยวะที่ส�าคัญ คือ ปอดและหัวใจ 1โดยที่ หัวใจมีหน้าที่สูบฉีดเลือดที่ผ่านการฟอกจนได้เลือดที่สะอาด (มี งพอ) จาก (มีปริมาณออกซิเจนที่เพียงพอ) ปอด เพื่อน�าไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย แต่หากต่อมาปอดเกิดท�างานได้ไม่ดี ไม่สามารถที่จะ ฟอกเลือดให้สะอาดเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายได้ หัวใจก็จะต้องท�างานหนักขึ้น โดย จะต้องสูบฉีดเลือดให้ถี่ขึ้น เพื่อที่จะให้ได้ปริมาณของเลือดที่เพียงพอต่อการน�าไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งหากเป็นเช่นนี้เป็นระยะเวลานานๆ ก็จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของร่างกาย ก่อให้เกิดการเจ็บป่วย หรืออาจจะถึงแก่ความตายในที่สุด ร่างกายของเราประกอบด้วยอวัยวะ ต่างๆ มาท�างานประสานกันเป็นระบบ ถ้าอวัยวะ หนึ่งอวัยวะใดท�างานผิดปกติไปจะมีผลกระทบ ต่อการด�ารงชีวิตของเรา นอกจากการท�างานที่ ประสานกันภายในระบบนั้นๆ แล้ว ระบบต่างๆ ของร่างกายไม่ว่าจะเป็นระบบประสาท ระบบ กระดูก ระบบกล้ามเนื้อ ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบหายใจ ระบบย่อยอาหาร ระบบขับถ่าย ระบบภูมิคุ้มกัน และระบบสืบพันธุ์ แต่ละระบบ ยั ง ท� า งานประสานกั น เพื่ อ ให้ สิ่ ง มี ชี วิ ต นั้ น ๆ ด�ารงอยู่ได้ แต่ละระบบจะประกอบด้วยอวัยวะ ต่างกันและมีหน้าที่แตกต่างกันไป ซึ่งในหน่วย การเรียนนีจ้ ะกล่าวถึง ๓ ระบบ คือ ระบบผิวหนัง ระบบกระดูก และระบบกล้ามเนื้อ
ขยายความเขาใจ
Expand
ใหนักเรียนศึกษาเพิ่มเติมเรื่อง องคประกอบของรางกายมนุษย แลวนํามาเขียน สรุปเปนผังความคิดสงครูผูสอน จากนั้นให นักเรียนทําใบงานจากแผนการสอน ใบงานที่ 1.1 ✓ ใบงาน แบบวัดฯ แบบฝกฯ สุขศึกษา ม.4 ใบงานที่ 1.1 หนวยที่ 1 การทํางานของระบบบผิวหนัง ระบบกระดูก และระบบกลามเนือ้
ระบบประสำท
๑.๒ ระบบอวัยวะของร่างกาย
Explain
ก1กกกก 1กก
ระบบหำยใจ
ระบบไหลเวียนโลหิต
. กก
1. กกก
ระบบต่อมไร้ท่อ
ก4กกก
2. กกกกก
ระบบขับถ่ำยปัสสำวะ ระบบสืบพันธุ์ ระบบกระดูก
กกก
2
ระบบย่อยอำหำร
3. กกก
ระบบผิวหนัง
กกกก กก
4. กกก
ระบบกล้ำมเนื้อ
กกกก ก
5. กก
แผนภำพแสดงระบบอวัยวะต่ำงๆ ในร่ำงกำยมนุษย์
(ก )
16
ก.4
๓
บูรณาการเชื่อมสาระ
สามารถนําเนื้อหาเรื่อง องคประกอบของรางกายมนุษยไปบูรณาการ เชื่อมโยงกับกลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตร วิชาวิทยาศาสตร เรื่อง การจัด ระบบในรางกาย
เกร็ดแนะครู ครูควรนําภาพโครงสรางของรางกายมาใชประกอบในการอธิบายและเสนอแนะ เพิ่มเติม เพื่อใหนักเรียนเกิดความเขาใจมากยิ่งขึ้น
นักเรียนควรรู 1 ปริมาณออกซิเจนที่เพียงพอ การหายใจอยางถูกวิธีเพื่อใหไดรับปริมาณ ออกซิเจนที่เพียงพอนั้น เปนวิธีที่ชวยใหปอดขับคารบอนไดออกไซดออกจาก รางกายได และชวยใหเซลลทําหนาที่ไดดียิ่งขึ้น 2 ตอมไรทอ ตอมที่ผลิตสารเคมี และลําเลียงสารทางกระแสเลือดไปยังอวัยวะ ตางๆ ของรางกาย เชน ตับออน ตอมหมวกไต เปนตน
คูมือครู
3
กระตุน ความสนใจ
สํารวจคนหา Exploreนหา สํารวจค
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Expand
Evaluate
กระตุEngage นความสนใจ
กระตุน ความสนใจ
Engage
ใหนักเรียนสํารวจรางกายของตนเอง จากนั้น ครูตั้งคําถามกระตุนความสนใจของนักเรียน โดยนักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็นไดอยาง อิสระ • นักเรียนคิดวา เพื่อนคนไหนผิวสวยบาง (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ไดอยางอิสระ) • ทําไมรางกายเราตองมีผิวหนัง (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ไดอยางอิสระ โดยอาจตอบวา เพื่อปกคลุม รางกาย รักษาอุณหภูมิของรางกาย และ รับความรูสึกจากสิ่งเราตางๆ)
สํารวจคนหา
๒. ระบบผิวหนัง ระบบผิวหนังหรือระบบห่อหุ้มร่างกาย ประกอบด้วย ผิวหนัง เล็บ และขน ซึ่งเป็นอวัยวะ ทีท่ า� หน้าทีป่ กคลุมและป้องกันร่างกาย โดยผิวหนังเป็นอวัยวะทีม่ พี นื้ ทีใ่ หญ่ทสี่ ดุ ในร่างกาย ซึง่ เมือ่ น�ามาต่อกันจะมีพื้นที่ประมาณ ๒ ตารางเมตร และมีความหนาต่างกันขึ้นอยู่กับต�าแหน่งและ ลักษณะการใช้งาน บริเวณที่ใช้งานมากจะมีความหนามาก ส่วนบริเวณที่ใช้งานน้อยจะบางและ ไวต่อความรู้สึก
๒.๑ โครงสร้างของผิวหนัง ระบบผิวหนัง หรือระบบห่อหุ้มร่างกาย เป็นระบบอวัยวะที่ประกอบด้วยผิวหนัง (Skin) และอนุพนั ธ์ของผิวหนัง โดยทีผ่ วิ หนังนัน้ เป็นอวัยวะทีม่ ขี นาดมากทีส่ ดุ ในร่างกาย ครอบคลุมพืน้ ที่ ประมาณ ๒ ตารางเมตร ผิวหนังส่วนใหญ่ของร่างกายมีความหนาประมาณ ๑-๒ มิลลิเมตร ซึ่ง ประกอบด้วย
Explore
แผนผังแสดงโครงสร้างของระบบผิวหนัง
ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน ศึกษา เรื่อง โครงสรางและหนาที่ของผิวหนัง และวิธีการ สรางเสริมดํารงประสิทธิภาพการทํางานของผิวหนัง จากหนังสือเรียน และแหลงเรียนรูอื่นๆ เพิ่มเติม
๔
หนังก�าพร้า (Epidermis) ผิวหนังชั้นนี้จะมีกำร หลุดลอกเป็นขีไ้ คล แล้วมีกำรสร้ำงใหม่ขนึ้ มำทดแทน เรื่อยๆ ซึ่งผิวหนังของแต่ละคนจะมีสีที่แตกต่ำงกัน โดยที่ปัจจั1ยหนึ่งนั้นขึ้นอยู่กับเซลล์เม็ดสีที่เรียกกันว่ำ “เมลำนิน” ซึ่งอยู่ในชั้นผิวหนังส่วนนี้
หนังแท้ (Dermis) ผิวหนังชั้นนี้จะอยู่ภำยใต้ชั้น ของหนั ง ก� ำ พร้ ำ และมี ค วำมหนำมำกกว่ ำ ชั้ น ของ หนังก�ำพร้ำมำก โดยจะมีเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่มีลักษณะ เหนียว คอยยึดส่ว2นประกอบต่ำงๆ ของผิวหนังไว้ เช่น หลอดเลือดฝอย เส้นประสำทรับควำมรู้สึกต่ำงๆ รำกขนหรือรำกผม ต่อมเหงื่อ ต่อมไขมัน เป็นต้น โดยทั่วไปแล้วพบว่ำบริเวณฝ่ำมือและฝ่ำเท้ำ จะเป็น บริเวณที่ผิวหนังมีควำมหนำมำกกว่ำส่วน อื่นๆ ของร่ำงกำย
ต่อมไขมัน (Sebaceous gland) ท�ำหน้ำที่สร้ำงไขมัน ช่วยท�ำให้เส้นผม เส้นขน เป็นมันเงำงำม ผิวหนังชุ่มชื้น ไม่แตกกระด้ำง ป้องกันกำรระเหยของน�้ำ ออกจำกร่ำงกำย
ต่ อ มเหงื่ อ (Sweat gland) ท�ำหน้ำ3ทีส่ ร้ำงเหงือ่ ทีป่ ระกอบไปด้วยน�ำ้ และเกลือแร่ เพือ่ ช่วยระบำยควำมร้อนภำยใน ร่ำงกำยให้สมดุล
EB GUIDE
เกร็ดแนะครู ครูควรนําโครงสรางจําลองระบบผิวหนังมาใหนักเรียนดู เพื่อใหเห็นความ แตกตางของผิวหนังแตละชั้นไดชัดเจนมากยิ่งขึ้น
นักเรียนควรรู 1 เมลานิน เซลลเม็ดสีขนาดเล็กที่ถูกสรางจากชั้นผิวหนัง มีลักษณะเปน เม็ดกลมสีนํ้าตาล ซึ่งทําใหผิวหนังมีสี ทําหนาที่ปองกันผิวหนังจากแสงแดด 2 หลอดเลือดฝอย หลอดเลือดขนาดเล็กที่แตกแขนงมาจากหลอดเลือดใหญ กระจายไปตามเนื้อเยื่อตางๆ 3 เกลือแร สารอาหารจําพวกแรธาตุที่สําคัญตอรางกาย ทําหนาที่ควบคุม การทํางานของกลามเนื้อในทุกอวัยวะ
4
คูมือครู
http://www.aksorn.com/LC/He/M4/01
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
เพราะเหตุใด ผิวหนังกําพราบริเวณฝามือและฝาเทาจึงมีความหนา มากที่สุด 1. เปนอวัยวะที่ตองใชงานมากที่สุด 2. ปองกันไมใหกระดูกออนแตก 3. เปนที่ยึดเกาะของเนื้อเยื่อตางๆ 4. ปองกันการถูกกระแทก วิเคราะหคําตอบ เนื่องจากฝามือและฝาเทา เปนอวัยวะที่ตองใชงาน มากที่สุด จึงตองมีความหนามาก เพราะฝามือจะตองใชในการหยิบจับ สิ่งของ สวนฝาเทาใชสําหรับเดิน ตอบขอ 1.
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
อธิบายความรู
ครูสุมนักเรียน 2-3 กลุม ออกมานําเสนอ ผลการศึกษา เรื่อง โครงสรางและหนาที่ของ ผิวหนัง โดยครูและนักเรียนคนอื่นๆ รวมกัน เสนอแนะเพิ่มเติม และตั้งคําถามเพื่อใหไดขอสรุป ที่ถูกตองรวมกัน • ผิวหนังของรางกายแบงไดเปนกี่ประเภท และมีลักษณะอยางไร (แนวตอบ 2 ประเภท ไดแก หนังกําพรา (Epidermis) ผิวหนังชั้นนี้เราสามารถมอง เห็นได และจะมีการหลุดลอกเปนขี้ไคล แลวมีการสรางใหมขึ้นมาทดแทน สวน หนังแท (Dermis) ผิวหนังชั้นนี้ไมสามารถ มองเห็นได เนื่องจากอยูภายใตชั้นของ หนังกําพรา และมีความหนามาก โดยจะมี เนื้อเยื่อเกี่ยวพันคอยยึดสวนประกอบตางๆ ของผิวหนังไว) • หนาที่ของผิวหนัง นอกจากจะมีไวปกคลุม รางกายแลว นักเรียนคิดวา ผิวหนังยังมี หนาที่ใดอีก (แนวตอบ เชน รักษาอุณหภูมิของรางกาย รับความรูสึกจากสิ่งเราตางๆ ขับของเสีย ออกตามรูขุมขน เปนตน)
๒.๒ หน้าที่ของผิวหนัง ผิวหนังมีหน้าที่ดังต่อไปนี้ (๑) ปกคลุ ม ร่ า งกายและห่ อ หุ ้ ม เนื้อเยื่อ เพื่อรองรับการแพร่ 1 เข้ามาของเชื้อโรค ต่างๆ รวมถึงป้องกันรังสีอันตรายไม่ให้เข้ามา ท�าลายเนื้อเยื่อภายในร่างกาย โดยปกติแล้ว เชื้อโรคจะไม่สามารถเข้าทางผิวหนังได้ ถ้า ผิวหนังบริเวณนั้นไม่มีบาดแผลหรือรอยถลอก นอกจากนี้ ผิวหนังยังช่วยป้องกันไม่ให้เนื้อเยื่อ แห้ง รวมทั้งช่วยไม่ให้อวัยวะภายในถูกท�า อันตรายได้ง่ายอีกด้วย (๒) รั ก ษาอุ ณ หภู มิ ข องร่ า งกาย โดยผิ ว หนั ง จะท� า หน้ า ที่ ใ นการระบายความ 2 ร้อนส่วนเกินของร่างกายออกทางรูขุมขนที่อยู่ ตามผิวหนัง เพื่อรักษาอุณหภูมิของร่างกาย ให้เป็นปกติที่ ๓๗ องศาเซลเซียส กล่าวคือ
กำรได้รับแสงแดดอ่อนๆ ในยำมเช้ำ หรือยำมเย็น จะ ท�ำให้ผวิ หนังได้รบั วิตำมินดี ซึง่ มีควำมจ�ำเป็นต่อร่ำงกำย
Explain
ผิวหนังแต่ละบริเวณของร่ำงกำยจะมีควำมหนำบำง ไม่เท่ำกัน เช่น บริเวณใบหน้ำจะมีควำมบอบบำงมำก จึงต้องหมั่นเอำใจใส่ดูแลเป็นพิเศษ
3 เมือ่ ร่างกายต้องท�างานหนัก เป็นไข้ หรืออากาศ ภายนอกร่างกายร้อนอบอ้าวเกินไป ก็จะส่งผล ให้อุณหภูมิภายในร่างกายสูงขึ้นผิดปกติ และ ร่างกายจะระบายความร้อนส่วนเกินดังกล่าว ออกมาทางรูขมุ ขน เพือ่ ให้อณุ หภูมขิ องร่างกาย ลดลงจนอยู่ในภาวะปกติ (๓) รับความรู้สึกจากสิ่งเร้าต่างๆ ผิวหนังจะส่งผ่านความรู้สึกที่ได้รับ เช่น ความ ร้อน ความเย็น ความเจ็บปวด เป็นต้น ไปยัง เส้นประสาทใต้ผวิ หนัง เพือ่ รายงานไปยังสมอง หรือระบบประสาทอัตโนมัติ จากนั้นสมองก็จะ สั่งการเพื่อให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้า เหล่านั้น ๕
กิจกรรมสรางเสริม ใหนักเรียนสังเกตผิวหนังของบุคคลในครอบครัวมา 1 คน แลววิเคราะห วาสุขภาพผิวของบุคคลดังกลาวเปนอยางไรบาง
กิจกรรมทาทาย ใหนักเรียนวิเคราะหความแตกตางระหวางผิวหนังที่มีสุขภาพดีและไมดี วาเปนอยางไร โดยนํามาสรุปผลในรูปแบบของตารางการวิเคราะห
นักเรียนควรรู 1 รังสี แสง หรือคลื่นแมเหล็กไฟฟาที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และจากการ กระทําที่มนุษยสรางขึ้น ซึ่งรังสีที่พบมากที่สุดนั้นเกิดจากธรรมชาติ คือ รังสีจาก ดวงอาทิตย 2 รูขุมขน ทอบริเวณผิวหนัง ซึ่งเปนตําแหนงที่มีขนงอกขึ้นมา ทําหนาที่ขับ ของเสีย เชน เหงื่อ และความมันออกนอกรางกาย เปนตน 3 เปนไข เมื่อปวยเปนไข ควรดื่มนํ้าประมาณ 1 แกว ทุกๆ 2 ชั่วโมง อาจจะ เปนนํ้าเปลา นํ้าผลไม หรือนํ้าอื่นๆ ที่ไมมีแอลกอฮอล เพื่อชดเชยนํ้าที่สูญเสียไป กับเหงื่อ ควรเช็ดตัวดวยผาชุบนํ้าบอยๆ เพราะจะทําใหอุณหภูมิรางกายลดลง และทานยาลดไขทุก 4-6 ชั่วโมง นอกจากนี้ไมควรหอหุมรางกายมากเกินไป เพราะจะไปขัดขวางการระบายความรอนและการลดอุณหภูมิของรางกาย
คูมือครู
5
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Engage
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ
Expand าใจ ขยายความเข
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
Expand
หลังจากการนําเสนอเรื่อง โครงสรางและหนาที่ ของผิวหนัง ครูใหนักเรียนรวมกันเสนอแนะแนวทาง การสรางเสริมดํารงประสิทธิภาพการทํางานของ ผิวหนัง โดยครูรวมเสนอแนะเพิ่มเติม จากนั้น ใหนักเรียนทําใบงานจากแผนการสอน ใบงานที่ 1.2
1 (๔) ขับน�้า เกลือแร่ต่างๆ และสารอินทรีย์หลายชนิดออกจากร่างกาย งกาย เพื่อให้ร่างกาย ด�ารงสภาพสมดุล และสามารถท�าหน้าที่ได้ตามปกติ (๕) สังเคราะห์วิตามินดี ผิวหนังจะท�าหน้าที่ดูดซับรังสีอัลตราไวโอเลตจากแสงแดด เพื่อน�ามาใช้เปลี่ยนสารเคมีให้เป็นวิตามินดี ซึ่งเป็นวิตามินที่มีความจ�าเป็นต่อร่างกายในการน�า แคลเซียมมาใช้ประโยชน์ และช่วยในการสร้างความแข็งแรงของกระดูกให้มากขึ้น (๖) ช่วยขับไขมันออกมาตามรูขุมขน เพื่อหล่อเลี้ยงเส้นขนและเส้นผมให้เงางาม (๗) ช่วยแสดงอาการผิดปกติทเี่ กิดขึน้ จากสาเหตุภายในร่างกายให้ทราบ เช่น หน้าแดง เมื่อเป็นลมแดด หรือเมื่อมีอาการของผื่นแพ้ต่างๆ เกิดขึ้น เป็นต้น
✓ ใบงาน แบบวัดฯ แบบฝกฯ สุขศึกษา ม.4 ใบงานที่ 1.2 หนวยที่ 1 การทํางานของระบบบผิวหนัง ระบบกระดูก และระบบกลามเนือ้
๒.๓ การสร้างเสริมและด�ารงประสิทธิภาพการท�างานของผิวหนัง
ก1กกกก 2
การสร้างเสริมและด�ารงประสิทธิภาพการท�างานของผิวหนัง สามารถปฏิบัติได้ดังนี้ (๑) อาบน�้าช�าระร่างกาย อย่างน้อยวันละ ๑ ครั้ง เพื่อเป็2นการชะล้างฝุ่นละออง และสิ่งสกปรกออกจากผิวหนัง โดยการอาบน�้าควรใช้สบู่อ่อนที่มีค่า pH ๕ และหลังจากอาบน�้า เสร็จควรจะทาครีมบ�ารุงผิวให้ทั่วร่างกาย เพื่อเป็นการเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว เนื่องจากผิว มีการสูญเสียความชุ่มชื้นออกจากร่างกายในขณะที่อาบน�้า (๒) สวมใส่ เ สื้ อ ผ้ า ที่ ส ะอาด ควรสวมใส่ เ สื้ อ ผ้ า ที่ ส ะอาดและควรเลื อ กเสื้ อ ผ้ า ที่ มี ความหนาบางให้เหมาะสมกับสภาพอากาศ เพราะเสื้อผ้าจะมีส่วนช่วยในการระบายความร้อน ให้กบั ผิวหนัง (๓) การรับประทานผักและผลไม้ รวมทั้งดื่มน�้าเป็นประจ�าทุกวัน เพราะในผักและ ผลไม้จะมีวิตามิ3 นและเกลือแร่ ที่ช่วยบ�ารุงผิว อีกทัง้ การดืม่ น�า้ เป็นประจ�าทุกวัน วันละ ๖-๘ แก้ว จะมีส่วนช่วยท�าให้ผิวพรรณสดใส (๔) ออกก� า ลั ง กายและพั ก ผ่ อ น ให้ เ พี ย งพอ ควรออกก� า ลั ง กายสั ป ดาห์ ล ะ ๒-๓ ครั้ง และพักผ่อนให้เพียงพอ ซึ่งจะช่วย ให้การท�างานของระบบผิวหนังมีประสิทธิภาพ ที่ดี (๕) ควบคุ ม สภาพอารมณ์ โดย การท�าให้ตนเองเป็นคนอารมณ์ด ี ไม่เครียด มอง กำรดื่มน�้ำ วันละ ๖-๘ แก้ว จะท�ำให้ผิวพรรณดูชุ่มชื่น โลกในแง่ดี จะท�าให้จิตใจสดใส ซึ่งจะส่งผลต่อ และเปล่งปลั่ง การมีสุขภาพผิวที่ดี
. ก
กก ก ก .
ขยายความเขาใจ
.
กก กกกก กก
กก กกกกกก ก
29
ก.4
๖
นักเรียนควรรู
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
1 สารอินทรีย สารประกอบทางเคมีที่ประกอบดวยธาตุหลายชนิด โดยมีธาตุ คารบอน และไฮโดรเจนเปนองคประกอบหลัก
หากนักเรียนตองการมีผิวพรรณที่สดใส เปลงปลั่ง นักเรียนจะมีวิธีการ ปฏิบัติตนอยางไรบาง
2 pH คาที่ใชวัดความเปนกรด-เบส ของสารละลายมีคาตั้งแต 0 ถึง 14 ซึ่งสารละลายที่เปนกรดจะมีคา pH อยูระหวาง 1- 6 และสารละลายที่เปนเบส จะมีคา pH อยูระหวาง 8 -14 สําหรับ pH 7 เปนคาของสารละลายที่เปนกลาง คือ นํ้าบริสุทธิ์
แนวตอบ ควรดื่มนํ้าเปนประจําทุกวันอยางนอยวันละ 6-8 แกว รับประทานผักและผลไม เพราะจะมีวิตามินและเกลือแรที่ชวยบํารุงผิว ออกกําลังกายอยางสมํ่าเสมอสัปดาหละ 2-3 ครั้ง ครั้งละประมาณ 20-30 นาที พักผอนใหเพียงพอ และไมเสพสิ่งเสพติดตางๆ
3 การดื่มนํ้า เปนประจําทุกวันและเพียงพอจะชวยใหใบหนาและผิวพรรณ สดใส ชวยใหเลือดไหลเวียนไดดี บงบอกถึงความเปนคนที่มีสุขภาพดี เพราะนํ้าจะ ชวยสรางภูมิคุมกันใหกับผิวหนัง และยังชวยปองกันไมใหเชื้อโรคเขาสูรางกาย
6
คูมือครู
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Engage
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ Expand าใจ ขยายความเข
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
ขยายความเขาใจ
Expand
ใหนักเรียนศึกษาเพิ่มเติมถึงการดูแลรักษา ผิวหนังของตนเองในชวงฤดูฝนจากเสริมสาระ จากนั้นใหนักเรียนรวมกันอภิปรายวาโรคที่เกิดจาก ชวงฤดูฝนนั้นมีอะไรบาง และมีสาเหตุมาจากอะไร โดยครูตั้งคําถามเพื่อขยายความเขาใจของ นักเรียน • โรคที่พบไดบอยในฤดูฝน มีอะไรบาง (แนวตอบ ไดแก วงดางๆ สีขาวหรือสีเนื้อ โรคนํ้ากัดเทา โรคเทาเหม็น และโรคที่เกิด จากพยาธิปากขอ) • โรคดังกลาวมักเกิดมาจากสาเหตุใด (แนวตอบ เกิดจากเชื้อรา ซึ่งมักจะเจริญ เติบโตไดดีในภาวะชื้นแฉะ โดยเฉพาะใน ฤดูฝน) จากนั้นใหนักเรียนทําแผนปายความรู เกี่ยวกับวิธีการดูแลผิวหนังใหสดใสเปลงปลั่ง เพื่อเผยแพรความรูแกนักเรียนคนอื่นๆ โดยนํา ไปติดไวตามอาคารตางๆ ภายในโรงเรียน
เสริมสาระ หน้าฝนอันตราย!! โรคภัยสู่ผิวพรรณ เมื่อเข้ำสู่หน้ำฝน ภำวะหนึ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยำกเมื่อฝนตก คือ อำกำศที่อับชื้น ท�ำให้บำงครั้ง อำจเกิดผื่นขึ้นบนผิวหนังได้ โดยสำเหตุมำจำกเชื้อรำที่มักเจริญเติบโตได้ดีในภำวะชื้นแฉะ โรคที่พบ ได้บ่อยๆ นั้น มีดังนี้ วงด่างๆ สีขาวหรือสีเนื้อ ในบำงคน อำจขึ้ น เป็ น วงสี น�้ ำ ตำล ร่ ว มกั บ มี ขุ ย สี ข ำวเล็ ก ๆ มักเกิดขึน้ บนผิวหนังบริเวณหน้ำอกและล�ำตัว อำจมี อำกำรคั น ร่ ว มด้ ว ย โดยผื่ น ชนิ ด นี้ เ ป็ น ลั ก ษณะ ของโรคเกลื้ อ นซึ่ ง พบได้ บ ่ อ ยในเด็ ก และวั ย รุ ่ น ที่ สุ ข อนำมั ย ไม่ ค ่ อ ยดี ไ ม่ ช อบอำบน�้ ำ เช่ น คนที่ ออกก�ำลังกำยเหงื่อออกหรือตำกฝน แล้วไม่ยอม อำบน�้ำ ร่ำงกำยชื้นแฉะอยู่เป็นเวลำนำน ท�ำให้ กำรช�ำระล้ำงท�ำควำมสะอำดผิวพรรณให้หมดจด เป็นสิง่ เชื้อรำเพิ่มจ�ำนวนมำกท�ำให้เกิดผื่นขึ้น เป็นต้น ส�ำคัญพื้นฐำนของกำรมีผิวสวยใสสุขภำพดี โรคน�้ า กั ด เท้ า ช่ ว งที่ ฝ นตกมำกๆ บำงพื้นที่อำจมีน�้ำท่วมขัง หรือเวลำฝนตกนำนเป็นชั่วโมงๆ ท�ำให้ต้องเดินย�่ำน�้ำชื้นแฉะเป็นเวลำนำน อย่ำงหลีกเลี่ยงไม่ได้ และหำกยังไม่รีบท�ำควำมสะอำดเท้ำ ผ่ำนไปสักระยะหนึ่งอำจพบว่ำผิวตำมซอก นิ้ ว เท้ ำ ลอกเป็ น ขุ ย ขำวๆ หรื อ เปี ย กยุ ่ ย หรื อ อำจถึ ง ขั้ น เป็ น แผล มี น�้ ำ เหลื อ งแฉะที่ ผิ ว เรี ย กว่ ำ โรค น�้ำกัดเท้ำ เกิดจำกเชื้อรำซึ่งอยู่ตำมสิ่งแวดล้อม ได้แก่ หิน ดิน ทรำย และในสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัขและแมว เป็นต้น โดยผื่นที่เท้ำอำจจะลำมไปที่ล�ำตัวส่วนอื่นได้ ซึ่งที่พบบ่อย คือ ผื่นบริเวณขำหนีบ เรียกว่ำ “สังคัง” โรคเท้ าเหม็ น เวลำถอดรองเท้ ำ บำงคนอำจมีกลิ่นเหม็นโชยออกมำ เมื่อก้มดูที่ฝ่ ำเท้ ำ จะเห็นเป็นรูพรุนเล็กๆ หรือเป็นแอ่งเว้ำแหว่งตื้นๆ เรียกว่ำ โรคเท้ำเหม็น สำเหตุเกิดจำกกำรติดเชื้อ แบคทีเรียชนิดหนึ่ง มักพบในผู้ชำยที่ใส่ถุงเท้ำที่ท�ำจำกใยสังเครำะห์หนำๆ ซึ่งมักจะแห้งยำกในหน้ำฝน โรคที่เกิดจากพยาธิปากขอ ในน�้ำที่ขังตำมพื้นถนนอำจมีพยำธิ 1 บำงชนิด เช่น พยำธิปำกขอ ซึ่งสำมำรถชอนไชเข้ ำ สู ่ ผ ิ ว หนั ง ได้ โ ดยตรง เป็ น ต้ น ท� ำ ให้ เ กิ ด โรคโลหิ ต จำงได้ หรือหำกได้ ห รับเชื้อที่ท�ำให้ 2 เกิดโรคฉี่หนูเข้ำไปตำมรอยแผลเล็กๆ บริเวณเท้ำ ก็อำจถึงขั้นเสียชีวิตได้ ดังนัน้ กำรป้องกันอันดับแรก คือ หลีกเลีย่ งกำรเหยียบย�ำ่ น�ำ้ หรือตำกฝน ถ้ำหลีกเลีย่ งไม่ได้ เมือ่ กลับถึงทีพ่ กั ควรรีบถอดเสือ้ ผ้ำ แล้วอำบน�ำ้ ท�ำควำมสะอำดร่ำงกำย โดยใช้สบูห่ รือสำรท�ำควำมสะอำดทัว่ ไป เสร็จแล้วใช้ผ้ำสะอำดซับอำจช่วยให้แห้งเร็วขึ้นโดยใช้พัดลมเป่ำ ทั้งนี้กำรโรยแป้งฝุ่นจะสำมำรถช่วยลด ควำมชื้นได้ เสื้อผ้ำที่ใช้ ควรท�ำจำกวัสดุธรรมชำติ เช่น ผ้ำฝ้ำยที่มีเนื้อผ้ำบำงเบำเพื่อให้ระบำยอำกำศได้ดี และกำรสวมรองเท้ำแตะก็ช่วยลดโอกำสกำรติดเชื้อรำที่เท้ำได้ เป็นต้น ■
■
■
■
7
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
ขอใดไมใชวิธีปฏิบัติตนที่ถูกตองหลังจากการตากฝน 1. เมื่อตากฝนแลวควรรีบทําความสะอาดเทาทันที 2. เมื่ออาบนํ้าแลวควรโรยแปงฝุนเพื่อลดความชื้น 3. เมื่อตากฝนแลวไมควรรีบอาบนํ้าทันที 4. ควรรีบถอดเสื้อผาทันทีเมื่อกลับถึงที่พัก
วิเคราะหคําตอบ หลังจากการตากฝนควรรีบอาบนํ้าทันที เพราะเมื่อ รางกายเปยกชื้นอาจสงผลใหเปนโรคหวัดได และถาหากปลอยใหรางกาย เปยกชื้นเปนเวลานานอาจจะทําใหผิวหนังเกิดการอับชื้นจนเกิดเปนเชื้อรา ขึ้นไดและอาจสงผลใหเกิดผื่นขึ้นที่ผิวหนัง ตอบขอ 3.
เกร็ดแนะครู ครูควรนํารูปภาพของโรคที่เกิดจากเชื้อราตามผิวหนังมาใหนักเรียนดู พรอมกับ อธิบายและเสนอแนะเพิ่มเติม เพื่อใหนักเรียนตระหนักและเห็นความสําคัญของ การดูแลรักษารางกายและผิวหนังของนักเรียนใหสะอาดอยูเสมอ
นักเรียนควรรู 1 โรคโลหิตจาง สภาวะที่รางกายมีเม็ดเลือดแดงในกระแสเลือดไมเพียงพอ ทําใหเกิดอาการตัวซีดเหลือง เหนื่อยงาย และออนเพลีย 2 โรคฉี่หนู เปนโรคที่รางกายไดรับเชื้อมาจากสัตวบางชนิดที่เปนพาหะนําโรค เชน หนู โค สุกร เปนตน เชื้อโรคสามารถเขาสูรางกายไดทางผิวหนังหรือสัมผัส ถูกปสสาวะของสัตวที่มีโรค คูมือครู
7
กระตุน ความสนใจ
สํารวจคนหา Exploreนหา สํารวจค
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Expand
Evaluate
กระตุEngage นความสนใจ
กระตุน ความสนใจ
Engage
ครูนําหุนจําลองโครงสรางของกระดูกใน รางกายมนุษยมาใหนักเรียนดู จากนั้นตั้งคําถาม กระตุนความสนใจ โดยใหนักเรียนสามารถแสดง ความคิดเห็นไดอยางอิสระ • นักเรียนคิดวา กระดูกของมนุษยนั้นแตกตาง จากกระดูกของสัตวอยางไร (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ไดอยางอิสระ โดยครูอาจเสนอแนะเพิ่มเติมวา กระดูกของมนุษยจะมีอวัยวะจําพวกกระดูก มากมาย เชน กระดูกสะบัก กระดูกไหปลารา กระดูกเชิงกราน เปนตน แตสําหรับสัตวนั้น กระดูกจะมีลักษณะโคงงอมากกวามนุษย ซึ่งจะมีกระดูกสันหลังเพื่อชวยในการ เคลื่อนไหว แตสําหรับสัตวบางชนิดจะไมมี กระดูกสันหลัง ทําใหเคลื่อนที่ไดยากจึงตอง อาศัยการทํางานรวมกันของกลามเนื้อและ ระบบประสาท เชน หนอน กุง ปู แมลง เปนตน) • กระดูกของมนุษย ประกอบดวยอะไรบาง และมีทั้งหมดกี่ชิ้น (แนวตอบ ประกอบดวย กระดูก กระดูกออน เอ็น และขอตอ รวมทั้งหมดมี 206 ชิ้น)
สํารวจคนหา
๓. ระบบกระดูก ระบบกระดูกประกอบไปด้วยอวัยวะจ�าพวกกระดูก กระดูกอ่อน เอ็น และข้อต่อ เป็นระบบ อวัยวะที่มีหน้าที่ในการค�้าจุนโครงสร้างของร่างกาย โดยเป็นที่ยึดเกาะของกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อ ช่วยในการป้องกันอันตรายที่จะกระทบกระเทือนต่ออวัยวะภายใน เช่น สมอง หัวใจ ตับ ปอด ม้าม เป็นต้น ร่างกายของมนุษย์เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่จะประกอบด้วยกระดูกทั้งหมด ๒๐๖ ชิ้น แบ่งเป็น1 กระดูกรยางค์ กระดูกแกน ๘๐ ชิน้ เช่น กะโหลกศีรษะ กระดูกสันหลัง กระดูกก้นกบ กระดูกซีโ่ ครง กระดู จ�านวน ๑๒๖ ชิ ้น เช่น กระดูกแขนขา สะบัก 2 ไหปลาร้า เชิงกราน เป็นต้น ทารกช่วงแรกเกิด กะโหลกศีรษะ จะมีกระดูกถึง ๓๐๐ ชิน้ เนือ่ งจากกระดูกอ่อนยัง กระดูก ไม่ตดิ กัน แต่เมือ่ เจริญเติบโตขึน้ กระดูกจะค่อยๆ ไหปลำร้ำ ติดเป็นชิ้นเดียวกัน จึงท�าให้มีจ�านวนกระดูก กระดูกต้นแขน ลดลง ซึง่ การเจริญเติบโตของกระดูกจะมีขนาด กระดูกซี่โครง ใหญ่ขึ้นตามอายุ ข้อต่อตามส่วนต่างๆ ของ กระดูกสันหลัง ร่างกายจะเป็นตัวการส�าคัญในการเคลื่อนไหว กระดูกเชิงกรำน ของร่างกาย โดยอาศัยการท�างานที่ประสาน กระดูกปลำยแขน ท่อนนอก สัมพันธ์กันของกระดูก กล้ามเนื้อ ข้อต่อ และ กระดูกปลำยแขน ประสาทสั่งงานจากสมอง ท่อนใน
๓.๑ โครงสร้างของกระดูก
กระดูกต้นขำ 4 กระดูกใต้กระเบนเหน็บ
5
Explore
สะบ้ำ
ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน ศึกษา เรื่องโครงสรางของกระดูก หนาที่ของกระดูก และ วิธีการสรางเสริมดํารงประสิทธิภาพการทํางานของ กระดูก จากคลิปวิดีโอ
กระดูกหน้ำแข้ง กระดูกน่อง
แผนภำพแสดงโครงสร้ำงของกระดูกในร่ำงกำยมนุษย์
กระดูกเป็นส่วนที่มีความแข็งแรง ที่เกิดจากการจัดเรียงตัวของเซลล์เป็นแท่งๆ นับพันเซลล์ และภายในช่อ3งโพรงกระดูกจะ มีส่วนที่เราเรียกว่า ไขกระดู ไขกระดูก ซึ่งเป็นส่วนของ ไขมันอยูต่ รงกลาง ลักษณะของกระดูกโดยทัว่ ไป นั้น สามารถแบ่งออกได้เป็น ๔ ชนิด คือ ๑) กระดูกยาว (Long Bones) เป็นกระดูกที่มีลักษณะรูปยาว ส่วนตรงกลาง เรียวคอด ตอนปลายทัง้ สองข้างโตออกเล็กน้อย เช่น กระดูกแขน กระดูกขา เป็นต้น
8
นักเรียนควรรู 1 กระดูกรยางค กระดูกที่ยื่นออกจากโครงสรางหลักของรางกาย ซึ่งจะอยู ในสวนของแขนและขา ไดแก กระดูกสวนไหล กระดูกแขน กระดูกมือ กระดูก เชิงกราน กระดูกขา และกระดูกขอเทา มีหนาที่ชวยในการเคลื่อนไหว 2 ไหปลารา กระดูกแบบยาวชิ้นหนึ่งที่เปนสวนประกอบของกระดูกสวนไหล 3 ไขกระดูก เนื้อเยื่อชนิดหนึ่งที่พบไดในโพรงกระดูก มีลักษณะเปนของ เหลวขน คลายเจลหรือวุนสอดแทรกอยูในกระดูก ภายในมีเสนเลือดหลอเลี้ยง มากมาย ทําหนาที่ผลิตเซลลเม็ดเลือดทุกชนิดใหแกรางกาย 4 กระดูกใตกระเบนเหน็บ ประกอบดวยกระดูก 5 ชิ้น เชื่อมเขาดวยกันและ ตอเขากับกระดูกเชิงกรานเพื่อเปนทางผานของเสนประสาทไปยังบริเวณขา 5 สะบา กระดูกหนาที่อยูภายในเอ็นกลามเนื้อที่มีขนาดใหญที่สุดซึ่งหอหุมอยู ทางดานหนาของขอเขา
8
คูมือครู
ขอสอบ
O-NET
ขอสอบป ’ 52 ออกเกี่ยวกับการเสริมสรางกระดูก การวางแผนดูแลสุขภาพเพื่อใหมีสุขภาพดี ดวยการรับประทานอาหาร ครบทุกหมู และออกกําลังกายดวยการเดินจะไดประโยชนมากที่สุดขอใด 1. กระดูกยาวขึ้น 2. มวลกระดูกมากขึ้น 3. กลามเนื้อแข็งแรงขึ้น 4. เอ็นและขอตอแข็งแรงขึ้น วิเคราะหคําตอบ การสรางเสริมกระดูกใหแข็งแรงนั้น สามารถทําได โดยการทานอาหารใหครบ 5 หมู โดยเฉพาะอาหารที่มีวิตามินดีและ แคลเซียม ตลอดจนโปรตีน นอกจากนี้การออกกําลังกายดวยการเดิน ยังสงผลใหกระดูกและขอตอมีความแข็งแรงและมีความทนทานมากขึ้น เนื่องจากรางกายไดมีการเคลื่อนไหว ตอบขอ 4.
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
อธิบายความรู
ครูสุมนักเรียน 2-3 กลุม ออกมาสรุปความรู ที่ไดจากการดูคลิปวิดีโอ โดยครูและนักเรียน คนอื่นๆ รวมเสนอแนะเพิ่มเติมและตั้งคําถาม เพื่อใหไดขอสรุปที่ถูกตองรวมกัน • นักเรียนคิดวา ไขกระดูก มีความสําคัญ อยางไรกับรางกายของเรา (แนวตอบ เปนแหลงผลิตเซลลตนกําเนิดของ เม็ดเลือดชนิดตางๆ คือ เม็ดเลือดแดง และเม็ดเลือดขาว) • ทารกชวงแรกเกิดจะมีกระดูกถึง 300 ชิ้น แตเมื่อเติบโตเต็มที่จะเหลือเพียง 206 ชิ้น เปนเพราะเหตุใด (แนวตอบ เนื่องจากกระดูกออนของทารก แรกเกิดยังไมติดกัน แตเมื่อเติบโตเต็มที่ กระดูกออนเหลานั้นจะคอยๆ ติดเปน ชิ้นเดียวกัน จึงทําใหมีจํานวนกระดูกลดลง) • กระดูกในรางกายของเรามีความสําคัญ อยางไร (แนวตอบ ชวยพยุงรางกายใหสามารถดํารง อยูได มีสวนชวยในการเคลื่อนไหว เปนแหลงเก็บแคลเซียมและฟอสฟอรัส เพื่อชวยรักษาปริมาณแรธาตุที่จําเปนของ รางกายใหอยูในระดับปกติ นอกจากนี้ยัง ชวยปองกันการกระทบกระเทือนที่อาจกอให เกิดอันตรายตออวัยวะภายในที่สําคัญ เชน กะโหลกศีรษะ ทรวงอก ชองทอง เปนตน)
๒) กระดูกสั้น (Short Bones) มีลักษณะสั้น และมีขนาดต่างๆ กันออกไป โดย ส่วนใหญ่จะมีเยื่อหุ้มบางๆ หุ้มอยู่ เช่น กระดูกข้อมือ เป็นต้น ๓) กระดูกแบน (Flat Bones) กระดู 1 กชนิดนี้มีลักษณะแบนและบาง ด้านนอกหุ้ม ด้วยเยื่อบางๆ เช่น กระดูกซี่โครง กระดูกสะบัก กระดูกกะโหลกศีรษะ เป็นต้น ๔) กระดูกรูปแปลกๆ (Irregular Bones) กระดูกพวกนี้มีรูปร่างต่างๆ กัน ซึ่ง แตกต่างจาก ๓ พวกแรก เช่น กระดูกกะโหลกศีรษะบางชิ้น กระดูกสันหลัง เป็นต้น เราสามารถแบ่งโครงสร้างของกระดูก ในผู้ใหญ่ออกเป็น ๒ ส่วน ดังนี้ (๑) กระดูกแกนกลาง (Axial Skeletal Bones) จ�านวน ๘๐ ชิ้น ได้แก่ ๑. กระดูกศีรษะ และกระดูกหน้า จ�านวน ๒๘ ชิ้น ๒. กระดูกโคนลิ้น จ�านวน ๑ ชิ้น ๓. กระดูกสันหลัง จ�านวน ๒๖ ชิ้น ๔. กระดูกทรวงอก จ�านวน ๒๕ ชิ้น (๒) กระดู ก รยางค์ (Appendicular Bones) ประกอบด้ ว ยกระดู ก จ� า นวน ๑๒๖ ชิ้น ได้แก่ ๑. กระดูกแขนและข้2 อมือ จ�านวน ๖๔ ชิ้น ๒. กระดูกเชิงกราน จ�านวน ๒ ชิ้น ๓. กระดูกขาและเท้า จ�านวน ๖๐ ชิ้น
๓.๒ หน้าที่ของกระดูก กระดูกเป็นอวัยวะส�าคัญที่ช่วยใน การพยุงร่างกายให้สามารถด�ารงอยู่ได้ ขณะ เดียวกันก็เป็นโครงร่างที่ส�าคัญในการยึดเกาะ ของกล้ามเนื้อ และเป็นโครงของร่างกายด้วย นอกจากนี้กระดูกยังมีหน้าที่ส�าคัญในการช่วย ป้องกันการกระทบกระเทือนที่อาจก่อให้เกิด อันตรายต่ออวัยวะทีส่ า� คัญภายในกะโหลกศีรษะ ทรวงอก และช่องท้อง ร่างกายของคนเรานัน้ เมือ่ แรกเกิด กระดู ก ทั้ ง หมดยั ง เป็ น กระดู ก อ่ อ นอยู ่ และ ประกอบด้วยเนื้อเยื่อที่เป็นเส้นใยและความ ยืดหยุ่น ซึ่งจะท�างานประสานกันเป็นโครงสร้าง
Explain
กระดู ก และกล้ ำ มเนื้ อ จะท� ำ งำนร่ ว มกั น เมื่ อ เกิ ด กำร เคลื่อนไหว
http://www.aksorn.com/LC/He/M4/02
EB GUIDE
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
การออกกําลังกายในขอใดกอใหเกิดอันตรายตอกระดูกนอยที่สุด 1. ยกนํ้าหนัก 2. ยิมนาสติก 3. เตนแอโรบิก 4. บารเดี่ยวตางระดับ
วิเคราะหคําตอบ การออกกําลังกายที่กอใหเกิดอันตรายตอกระดูกนอย ที่สุด ควรเปนการออกกําลังกายที่เบาๆ ไมหนัก และไมโลดโผนจนเกินไป จึงจะปลอดภัยตอกระดูกมากที่สุด ตอบขอ 3.
9
นักเรียนควรรู 1 กระดูกสะบัก กระดูกแบบแบนชิ้นหนึ่งที่เปนสวนประกอบของกระดูกไหล ซึ่งเปนที่ยึดเกาะกับเอ็น เพื่อประกอบเปนขอตอที่มีความสําคัญในการเคลื่อนไหว ของรางกาย 2 กระดูกเชิงกราน โครงสรางของกระดูกที่อยูตรงสวนลางของกระดูกสันหลัง ซึ่งประกอบดวยกระดูกสะโพก และกระดูกกนกบ
มุม IT สามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบกระดูกไดจาก http://www.youtube. com/watch?v=oyvGVhhMEro
คูมือครู
9
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู
อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
Explain
ใหนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับการ สรางเสริมดํารงประสิทธิภาพการทํางานของกระดูก โดยครูเสนอแนะเพิ่มเติม และตั้งคําถามเพื่อใหได ขอสรุปที่ถูกตองรวมกัน • การสรางเสริมการทํางานของกระดูกใหมี ประสิทธิภาพในการทํางานที่ดี เกิดจาก ปจจัยใดเปนสําคัญ (แนวตอบ การออกกําลังกายและการบริโภค อาหารที่มีสารอาหารครบถวนและถูกตอง) • การออกกําลังกายดวยการเดินเร็ว มีสวนชวย ใหกระดูกมีความแข็งแรงหรือไม อยางไร และควรออกกําลังกายดวยการเดินเร็วนาน เทาใดจึงจะเหมาะสมที่สุด (แนวตอบ การออกกําลังกายดวยการเดินเร็ว จะชวยถนอมหัวเขาและสรางความแข็งแรงให กับกระดูก โดยการเดินเร็วที่เหมาะสมนั้น ควรเดินเร็ว 3-4 ครั้งตอสัปดาห ครั้งละ ประมาณ 15-20 นาที) • การทานอาหารประเภทใดที่มีสวนชวยใน การเจริญเติบโตและสรางความแข็งแรงของ เซลลกระดูก (แนวตอบ โปรตีน เชน เนื้อสัตว นม ไข ถั่วตางๆ เปนตน และแคลเซียมเชน นม ปลาเล็กปลานอย เปนตน)
ที่มีความแข็งแรงสมบูรณ์เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ โดยในช่วงแรกเกิดนั้น พบว่ามนุษย์จะมีจ�านวน กระดูก มากถึง ๓๐๐ ชิ้น แต่ก ระดูก หลายชิ้น จะเชื่อมติดกัน ในระหว่างวัยเด็ก จนเมื่อ โต เป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็จะมีกระดูกในร่างกายทั้งสิ้น จ�านวน ๒๐๖ ชิ้น ซึ่งการที่ร่างกายมีกระดูก หลายๆ ชิ้นมาต่อกันนี้ จะก่อให้เกิดเป็นข้อต่อ ขึ้น และข้อต่อเหล่านี้มีส่วนช่วยให้เกิดการ เคลือ่ นไหวของร่างกาย โดยมีกล้ามเนือ้ ท�าหน้าที่ เป็นตัวให้พลัง ซึ่งการเคลื่อนไหวของร่างกาย จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการประสานสัมพันธ์กัน ระหว่างระบบกระดูก ระบบกล้ามเนื้อ รวมถึง ระบบประสาทอีกด้วย นอกจากนี้หน้าที่ส�าคัญ ของกระดูกอีกอย่างหนึ่ง คือ ภายในช่องโพรง ภำพเอกซเรย์ลกั ษณะภำยในกระดูกซึง่ เต็มไปด้วยรูพรุน กระดูกจะมีไขกระดูก ซึ่งจะมีหน้าที่ช่วยสร้าง เนื่องจำกกำรขำดแคลเซียม เม็ดเลือดแดงให้กับร่างกาย 1 กระดูกจะท�าหน้าที่เป็นแหล่งเก็บและจ่ายแคลเซียม ฟอสเฟต และแมกนีเซียม โดยประมาณร้อยละ ๙๙ ของแคลเซียมทั้งร่างกายมนุษย์จะอยู่ในกระดูก ซึ่งถ้าร่างกายขาด แคลเซียมก็จะส่งผลให้เกิดความผิดปกติของเนื้อเยื่อหลายชนิด กระดูกจะเป็นตัวที่ช่วยในการ ควบคุมปริมาณของของเหลวภายนอกเซลล์ให้คงที่ โดยการเติมหรือเอาแคลเซียมออกไป กล่าวคือ ถ้าร่างกายมีแคลเซียมไม่พอกระดูกก็จะจ่ายแคลเซียมออกมามาก และถ้ามีแคลเซียม มากเกินไปในร่างกาย กระดูกก็จะเก็บแคลเซียมไว้เพื่อที่จะรักษาภาวะสมดุล การลดลงของ แคลเซียมในเลือดและของเหลวภายนอกเซลล์ เพียงเล็กน้อย สามารถท�าให้ระบบประสาท 2 ท�างานมากผิดปกติ จนเกิดอาการชักได้ ดังนั้น การควบคุมระดับของแคลเซียมในเลือดจึงมีความ ส�าคัญอย่างมาก และกระดูกก็นับว่ามีส่วนส�าคัญที่ช่วยท�าให้ภาวะสมดุลดังกล่าวเกิดขึ้นได้
๓.๓ การสร้างเสริมและด�ารงประสิทธิภาพการท�างานของกระดูก การที่จะสร้างเสริมการท�างานของกระดูกให้มีประสิทธิภาพในการท�างานที่ดีได้นั้น จะต้องเน้นให้เกิดความแข็งแรงของกระดูกขึ้น โดยพบว่าการที่กระดูกจะแข็งแรงได้นั้นเกิดจาก ปัจจัยส�าคัญ ๒ ประการ ดังนี้ ๑0
เกร็ดแนะครู ครูควรแนะนํานักเรียนเกี่ยวกับอาหารที่ชวยเสริมสรางการทํางานของระบบ กระดูกใหแข็งแรง
นักเรียนควรรู 1 แมกนีเซียม เปนสารอาหารประเภทเกลือแรชนิดหนึ่ง มีหนาที่ชวยสังเคราะห โปรตีนใหกับรางกาย ชวยควบคุมการทํางานของกลามเนื้อตางๆ และทําให รางกายเก็บสะสมแคลเซียมไดดีขึ้น 2 อาการชัก อาการที่กลามเนื้อเกิดการกระตุกอยางรุนแรงและเฉียบพลัน โดยมักจะมีอาการมือเทาเกร็งและอาจถึงขั้นหมดสติได
10
คูมือครู
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
การเสริมสรางระบบกระดูกดวยวิธีใดที่มีสวนชวยใหระบบกระดูก มีความแข็งแรง 1. การอยูในที่รมเปนประจํา 2. การทานปลาเล็กปลานอย 3. การยกของหนักๆ 4. การเลนโลดโผน วิเคราะหคําตอบ การทานปลาเล็กปลานอย จะชวยใหกระดูกแข็งแรง เนื่องจากเปนแหลงอาหารที่มีแคลเซียมสูงซึ่งสามารถรับประทานไดเนื้อ และกางหมดทั้งตัว โดยแหลงแคลเซียมจะอยูที่หัวปลา และกางปลา
ตอบขอ 2.
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Engage
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ Expand าใจ ขยายความเข
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
ขยายความเขาใจ
Expand
ใหนักเรียนรวมกันศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่อง ตากแดดวันละนิด พิชิตกระดูกพรุน จากเกร็ดนารู จากนัน้ ใหนกั เรียนรวมกันเสนอแนะวา การตากแดด มีสวนชวยในการปองกันโรคกระดูกพรุนได อยางไร โดยครูตั้งคําถามเพื่อขยายความเขาใจ ของนักเรียน • เพราะเหตุใด การตากแดดในชวงเชา และชวงเย็นจึงชวยปองกันการเกิดโรค กระดูกพรุนได (แนวตอบ เพราะแสงแดดในชวงเชา และ ชวงเย็นจะมีวิตามินดีที่ชวยเสริมสรางกระดูก ใหแข็งแรง สามารถปองกันโรคกระดูกพรุน และสามารถลดความเสี่ยงของการหกลม เมื่อเติบโตเปนผูใหญตอไปได) จากนั้นใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4 - 5 คน รวมกันคิดทาทางการออกกําลังกายประกอบ จังหวะ กลุมละ 3 - 5 นาที แลวใหนักเรียน บอกถึงประโยชนที่ไดจากการออกกําลังกายที่มี สวนชวยในการเสริมสรางระบบกระดูกใหแข็งแรง
๑) การออกก�าลังกาย การออกก�าลังกายเป็นสิ่งที่ส�าคัญส�าหรับมนุษย์ เพราะจะ ช่วยท�าให้รา่ งกายแข็งแรงและพัฒนาทัง้ ในส่วนของความทนทานของกระดูก รวมถึงการพัฒนาใน ส่วนของกล้ามเนือ้ และช่วยท�าให้หวั ใจและปอด แข็งแรงขึน้ ด้วย การออกก�าลังกายสามารถทีจ่ ะ หัดได้ตั้งแต่ในวัยทารก โดยอาจให้ทารกเล่นใน สนามเด็กเล่น หรือบนพื้นที่ที่สามารถดูแลได้ ทั่ ว ถึ ง เมื่ อ อยู ่ ใ นวั ย เด็ ก เล็ ก ก็ ใ ห้ เ ล่ น เครื่ อ ง เล่นต่างๆ นอกบ้าน และเมื่อโตขึ้นก็ควรออก ก�าลังกายโดยเล่นกีฬาประเภทต่างๆ ให้มากขึน้ โดยเฉพาะการเล่นกีฬากลางแจ้งในช่วงเช้า ซึ่งจะท�าให้ร่างกายได้รับวิตามินดีอีกด้วย ๒) การบริ โ ภคอาหารที่ มี ส าร อาหารครบถ้วนและถูกต้อง โดยเฉพาะอาหาร ที่มีวิตามินดีและแคลเซียม ตลอดจนโปรตีน ปลำเล็กปลำน้อยที่สำมำรถรับประทำนได้ทั้งตัว เป็น ซึ่งเป็นสารอาหารที่จ�าเป็นต่อการเจริญเติบโต แหล่งอำหำรที่มีแคลเซียมสูง และการด�ารงชีวติ ของมนุษย์ ส�าหรับในวัยทารก อาหารทีม่ คี ณุ ค่ามากทีส่ ดุ คือ น�า้ นมแม่ และเมือ่ เติบโตขึน้ ก็ควรรับประทานอาหารให้ครบทุกประเภท โดยพบว่าอาหารที่มีสารอาหารประเภทโปรตีนและแคลเซียมสูง จะมีส่วนในการเจริญเติบโตและ สร้างความแข็งแรงของเซลล์กระดูกได้มาก
เกร็ดน่ารู้ ตากแดดวันละนิดพิชิตกระดูกพรุน กำรตำกแดดเป็นกำรสร้ำงวิตำมินดีให้กับร่ำงกำย เพรำะในแสงแดดจะมีวิตำมินดีที่ไปช่วยยับยั้งกำรหลั่ง ฮอร์โมนพำรำไทรอยด์ (Parathyroid) ซึ่งเป็นฮอร์โมนอันตรำยที่จะไปสลำยแคลเซียมออกจำกกระดูก และช่วย สร้ำงสำรออสธีโอแคลซิน (Osteocalcin) ที่จะไปช่วยดึงแคลเซียมเข้ ำมำในกระดูก รวมถึงช่วยสร้ำงกล้ำมเนื้อ ให้ แข็ ง แรง อี ก ทั้ ง ยั ง ช่ ว ยป้ อ งกั น โรคกระดู ก พรุ น และช่ ว ยลดควำมเสี่ ย งของกำรหกล้ ม เมื่ อ เติ บ โตเป็ น ผู ้ ใ หญ่ สูงวัยต่อไปได้อีกด้วย ส�ำหรับช่วงเวลำทีเ่ หมำะสมต่อกำรรับแสงแดด คือ ช่วงเวลำตัง้ แต่ ๐๖.๐๐ - ๐๘.๐๐ น. และ ๑๖.๐๐ - ๑๘.๐๐ น. เพรำะเป็นช่วงเวลำที่แสงแดดไม่จัดและไม่เป็นอันตรำยต่อผิวหนังมำกเกินไป
๑๑
กิจกรรมสรางเสริม ใหนักเรียนศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคที่เกิดจากระบบกระดูก แลวสรุป เปนแผนพับความรู เพื่อนําไปเผยแพรแกบุคคลตางๆ ภายในโรงเรียน
กิจกรรมทาทาย ใหนักเรียนเลือกศึกษาโรคที่เกิดจากระบบกระดูกมา 1 โรค แลวนํา มาจัดทําเปนรายงานรูปเลม โดยหัวขอสําหรับการทํารายงานนั้นจะตอง ประกอบดวย ดังนี้ • สาเหตุ • ลักษณะอาการ • แนวทางการปฏิบัติเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดโรคดังกลาว
เกร็ดแนะครู ครูควรอธิบายเพิ่มเติมเรื่อง อันตรายหรือโรคที่เกิดจากการขาดแคลเซียม ที่มีผลกระทบตอระบบกระดูก เชน โรคกระดูกพรุน โรคกระดูกออน และโรค ปวดขอรูมาตอยด เปนตน โดยอธิบายถึงสาเหตุ ลักษณะอาการ และความรุนแรง ของโรคดังกลาว
มุม IT ศึกษาเพิ่มเติมเรื่อง กระดูกและขอ โรคที่เกิดจากระบบกระดูก ไดจากเว็บไซต เสนทางสุขภาพ http://www.yourhealthyguide.com
คูมือครู
11
กระตุน ความสนใจ กระตุEngage นความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Engage
Explore
Explain
Expand
Evaluate
กระตุน ความสนใจ
Engage
ใหนักเรียนงอแขน งอนิ้ว และงอขา จากนั้นครู ตั้งคําถามกระตุนความสนใจของนักเรียน โดยให นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็นไดอยางอิสระ • เพราะเหตุใด แขน นิ้ว และขา ถึงขยับและ งอได (แนวตอบ เกิดจากการหดตัวและคลายตัวของ กลามเนื้อ) • นักเรียนเคยปวดเมื่อยตามรางกายหรือไม ถาเคยนักเรียนคิดวา เกิดมาจากสาเหตุใด (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ไดอยางอิสระ) • นักเรียนคิดวา การปวดเมือ่ ยนัน้ เปนผลมาจาก ระบบใดของรางกาย เพราะเหตุใด (แนวตอบ ระบบกลามเนื้อ เพราะเมื่อกลามเนื้อ ถูกใชงานอยางหนัก และไมไดผอนคลาย จึงอาจทําใหเกิดอาการปวดเมื่อยตาม รางกายได) • นักเรียนทราบหรือไมวา กลามเนื้อสามารถ แบงออกไดเปนกี่ประเภท อะไรบาง (แนวตอบ 3 ประเภท ไดแก กลามเนื้อลาย กลามเนื้อเรียบ และกลามเนื้อหัวใจ ซึ่งนักเรียนจะไดศึกษาในเนื้อหาตอไป)
๔. ระบบกล้ามเนืéอ กล้ามเนื้อเป็นเนื้อเยื่อที่มีหน้าที่โดยตรงเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของมนุษย์ โดยทั่วไปร่างกาย มนุษย์จะประกอบด้วยกล้ามเนื้อประมาณ ๖๕๖ มัด และมีน�้าหนักรวมกันประมาณครึ่งหนึ่งของ น�้าหนักร่างกาย การเคลื่อนไหวของอวัยวะต่างๆ ภายใน ร่างกายเป็นผลจากการท�างานทีป่ ระสานสัมพันธ์ ล�ำไส้เล็ก กันของกระดูกและกล้ามเนือ้ เช่น การเดิน การ วิ่ง การกระโดด เป็นต้น แต่บางทีก็อาจเกิดจาก ล�ำไส้ใหญ่ การยืด-หดตัวของกล้ามเนื้อเพียงอย่างเดียว เช่น การเต้นของหัวใจ การบีบตัวของปอด การ เคลื่อนไหวและบีบตัวในการย่อยอาหารของ กระเพาะอาหาร การไหลเวียนของเลือดและ ไส้ติ่ง 1 น�้าเหลือง เป็นต้น
๔.๑ โครงสร้างของกล้ามเนื้อ
กล้ำมเนือ้ ล�ำไส้ มีลกั ษณะเป็นกล้ำมเนือ้ เรียบทีส่ ำมำรถ ยืดหยุ่นได้ดีกว่ำกล้ำมเนื้อลำย
กล้ า มเนื้ อ จะประกอบไปด้ ว ยน�้ า ร้อยละ ๗๕ โปรตีนร้อยละ ๒๐ อีกร้อยละ ๕ เป็นคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และเกลือของ อนินทรียสาร โดยกล้ามเนื้อสามารถแบ่งออกได้เป็น ๓ ประเภท ดังนี้ ๑) กล้ามเนื้อลาย (Skeletal Muscle) เป็นเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อที่มีเซลล์ยาวๆ ที่เรียกว่าเส้นใยกล้ามเนื้อ รวมตัวกันเป็นมัด ไฟบริน กล้ามเนื้อ และเส้นใยกล้ามเนื้อแต่ละเส้นจะ (ไมโอไฟบริน) มีลักษณะเป็นทางยาว โดยส่2วนที่เหมือนทรง กระบอกเล็กๆ เรียกว่า ไฟบริน หรือไมโอไฟบริน เป็นส่วนที่ท�าให้เกิดการหดตัวเมื่อเส้นใยได้รับ การกระตุ้นจากกระแสประสาท และในไฟบริน ไมโอฟิลำเมนต์ นั้นจะประกอบไปด้วยเส้น3ใยเล็กๆ จ�านวนมาก เรียกว่า ไมโอฟลาเมนต์ (Myofilament) (Myofilament) ซึ่ง ลักษณะภำยในกล้ำมเนื้อลำย ประกอบด้วยเส้นใย กล้ำมเนือ้ ทีส่ ำมำรถยืดหยุน่ หดตัวได้ มีสว่ นช่วยในกำร ประกอบด้วยโปรตี แอกทิน (Actin) 4 น ๒ ชนิด คือ แอกทิ เคลื่อนไหวร่ำงกำย และไมโอซิน (Myosin) ๑๒
นักเรียนควรรู 1 นํ้าเหลือง ของเหลวในรางกายที่ประกอบไปดวยโปรตีน โดยจะซึมผาน ผนังเสนเลือดฝอยเพื่อหลอเลี้ยงระหวางเซลล 2 ไฟบริน เนื้อเยื่อที่มีลักษณะเปนเสนใยเหนียว อุดตรงรอยฉีกขาดของเสนเลือด ทําใหเลือดหยุดไหล 3 ไมโอฟลาเมนต เสนใยเสนเล็กๆ ที่ประกอบไปดวยโปรตีนภายในมัดกลามเนื้อ มีหนาที่ควบคุมการหดหรือคลายตัวของเซลลกลามเนื้อ 4 แอกทินและไมโอซิน ไมโอซินมีลักษณะเปนเสนใยหนา สวนแอกทินมีลักษณะ เปนเสนใยที่บางกวา ซึ่งเนื้อเยื่อทั้งสองชนิดนี้จะเรียงตัวขนานกัน เพื่อชวยในการหด และคลายตัวของกลามเนื้อ
12
คูมือครู
ขอสอบ
O-NET
ขอสอบป ’ 52 ออกเกี่ยวกับโครงสรางของกลามเนื้อ คุณสมบัติของกลามเนื้อหัวใจ คือขอใด 1. มีลักษณะคลายกลามเนื้อลาย 2. มีลักษณะคลายกลามเนื้อเรียบปนกลามเนื้อลาย 3. ทํางานใตอํานาจจิตใจ 4. ทํางานนอกอํานาจจิตใจ วิเคราะหคําตอบ กลามเนื้อหัวใจ มีลักษณะคลายกลามเนื้อลาย มีการทํางานนอกอํานาจจิตใจ ซึ่งจะถูกควบคุมโดยระบบประสาทอัตโนมัติ มีหนาที่ในการสูบฉีดเลือดไปยังระบบไหลเวียนโลหิต โดยเกิดจากการหดตัว ของกลามเนื้อ ตอบขอ 4.
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explore
Explain
Expand
Evaluate
สํารวจค Exploreนหา
Engage
สํารวจคนหา
Explore
ใหนักเรียนศึกษาเรื่อง ระบบกลามเนื้อ จากสื่อโปสเตอรของครู โดยจัดทําเปนฐาน ความรู ซึ่งมีทั้งหมด 3 ฐาน โดยแตละฐานนั้น จะมีสื่อโปสเตอรทั้งหมด 2 แผน ประกอบดวย • โครงสรางของกลามเนื้อ • หนาที่และการทํางานของกลามเนื้อ • การสรางเสริมดํารงประสิทธิภาพการทํางาน ของกลามเนื้อ จากนั้นใหนักเรียนแบงกลุมออกเปน 6 กลุม กลุมละ 5 - 6 คน เพื่อใหศึกษาขอมูล โดยจะให แตละกลุมศึกษาประมาณ 5 นาที เมื่อหมดเวลา นักเรียนจะตองเปลี่ยนฐานไปเรื่อยๆ จนกวาจะ ครบทั้ง 3 ฐาน พรอมกับทําใบงานเพื่อเตรียม นําเสนอ
การเรียงตัวของใยกล้ามเนื้อในมัดกล้ามเนื้อลายมีหลายแบบ เมื่อกล้ามเนื้อลายหดตัว จะส่งแรงผ่านไปยังกระดูก ท�าให้เกิดการท�างานของข้อต่อขึ้น ปกติกล้ามเนื้อลายภายในร่างกาย จะมีทั้งหมดประมาณ ๖๐๐ มัด และแบ่งออก ตามบริเวณของร่างกายได้เป็น ๔ กลุ่มใหญ่ หลอดโลหิตแดงใหญ่ คือ กล้ามเนือ้ ของศีรษะ กล้ามเนือ้ บริเวณล�าคอ กล้ามเนือ้ ของล�าตัว และกล้ามเนือ้ รยางค์ โดยที่ แต่ละกลุ่มของกล้ามเนื้อนั้น ยังสามารถที่จะ แบ่งออกเป็นกลุม่ ย่อยๆ ได้อกี มากมาย ส่งผลให้ ทุกส่วนของร่างกายสามารถทีจ่ ะเคลือ่ นไหวและ ท�างานได้อย่างละเอียดอ่อนและถูกต้องแม่นย�า หลอดโลหิตด�ำ ๒) กล้ามเนื้อเรียบ (Smooth Muscle) เป็นเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อชนิดหนึ่งที่ ประกอบเป็นส่วนของกล้ามเนื้ออวัยวะภายใน กล้ำมเนื้อหัวใจ มีลักษณะคล้ำยกล้ำมเนื้อลำย แต่กำร 1 เรีียงตัวของแต่ละเซลล์จะเชื่อมต่อกันเป็นร่ำงแห โดยมีรูปร่างคล้ายกระสวยและสั้นกว่าเส้นใย กล้ามเนื้อของกล้ามเนื้อลาย ประกอบด้วยเส้นใยของโปรตีนชนิดแอกทินและไมโอซินเหมือนกับ กล้ามเนื้อลาย ซึ่งพบว่ากล้ามเนื้อเรียบก็จะถูกกระตุ้นด้วยกระแสประสาทเช่นเดียวกัน ๓) กล้ามเนื้อหัวใจ (Cardiac Muscle) เป็นเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อลายชนิดพิเศษ โดย กล้ามเนือ้ หัวใจจะมีจงั หวะการเต้นของหัวใจทีส่ ม�า่ เสมอ ซึง่ เกิดจากการกระตุน้ ทีบ่ ริเวณเฉพาะของ 2 3 กล้ามเนื้อนี้ และจะสร้างกระแสประสาทในรูปของคลื่นไฟฟ้า ท�าให้อัตราการเต้นของหัวใจต�่าลง หรือเพิ่มขึ้น
อธิบายความรู
Explain
ครูสุมนักเรียน 2 คน ออกมานําเสนอขอมูล โดยใชใบงานประกอบการนําเสนอ จากนั้นให นักเรียนรวมกันอภิปรายโดยครูตั้งคําถามเชื่อมโยง ความรู • กลามเนื้อ ประกอบไปดวยอะไรบาง (แนวตอบ ประกอบดวยนํ้ารอยละ 75 โปรตีน รอยละ 20 อีกรอยละ 5 เปนคารโบไฮเดรต ไขมัน และเกลือของอนินทรียสาร)
๔.๒ หน้าที่และการท�างานของกล้ามเนื้อ การที่ ม นุ ษ ย์ ส ามารถเคลื่ อ นไหวอวั ย วะต่ า งๆ ในร่ า งกาย เพื่ อ ที่ จ ะปรั บ ตั ว หรื อ เปลี่ยนแปลงตามสภาพของสิ่งแวดล้อมได้นั้น นอกจากจะอาศัยการเคลื่อนไหวของข้อต่อต่างๆ ของกระดูกแล้ว ยังต้องอาศัยการท�างานของกล้ามเนือ้ ด้วย โดยกระดูกนัน้ เป็นโครงร่างของร่างกาย แต่ถ้าหากปราศจากกล้ามเนื้อแล้ว กระดูกและข้อต่อต่างๆ จะไม่สามารถเคลื่อนไหวท�างานได้เลย ดังนั้น จึงพบว่าระบบกระดูกและระบบกล้ามเนื้อท�าหน้าที่ประสานงานร่วมกันเสมอ โดยอาศัยการ ท�างานของเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อที่มีการหดตัวและขยายตัว ๑๓
ขอสอบ
O-NET
ขอสอบป ’ 52 ออกเกี่ยวกับหนาที่และการทํางานของกลามเนื้อ ขอใดไมใช คุณสมบัติของกลามเนื้อ 1. มีการตอบสนองตอสิ่งเรา 2. มีความสามารถยืดตัวและหดตัวได 3. มีจํานวนเสนใยคงที่ 4. ทําหนาที่ยึดโครงรางของรางกาย วิเคราะหคําตอบ การตอบสนองตอสิ่งเรา เปนคุณสมบัติของผิวหนัง ที่รับความรูสึกตางๆ เชน ความรอน ความเย็น ความเจ็บปวด เปนตน
ตอบขอ 1.
นักเรียนควรรู 1 กระสวย อุปกรณที่มีลักษณะปลายทั้งสองขางเรียวตรงกลางใหญ ใชสําหรับ ทอผา ดังรูป
2 กระแสประสาท สัญญาณไฟฟาออนๆ ที่ถูกสรางขึ้นในระบบประสาทของ รางกายเมื่อมีสิ่งเรามากระตุน สมองจะสั่งการผานทางเสนประสาท กอใหเกิด กระแสประสาทเปนลําดับตอเนื่องไปยังเสนประสาทของรางกาย ทําใหสามารถ ตอบสนองตอสิ่งเราไดอยางถูกตอง 3 อัตราการเตนของหัวใจ ปกติจะอยูที่ 60-100 ครั้ง/นาที หากมีอาการ ผิดปกติไปจากนี้ คือมีอัตราการเตนของหัวใจตํ่ากวาหรือมากกวา 60 ครั้ง/นาที อาจเกิดอาการของโรคหัวใจเตนผิดจังหวะได คูมือครู
13
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู
อธิบายความรู อธิบExplain ายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
Explain
ครูสมุ นักเรียน 2 คน ออกมานําเสนอขอมูลตอ โดยใชใบงานประกอบการนําเสนอ จากนั้นให นักเรียนรวมกันอภิปรายโดยครูตั้งคําถามเชื่อมโยง ความรู • กลามเนื้อมีสวนชวยทําใหรางกายเคลื่อนไหว หรือไม เพราะเหตุใด (แนวตอบ มีสวนชวยในการเคลื่อนไหว เพราะรางกายจะสามารถเคลื่อนไหวได ก็ตอเมื่อกลามเนื้อและกระดูกทํางานอยาง ประสานสัมพันธกัน) • ในขณะที่เราเดิน วิ่ง ยืน หรือแสดงทาทาง ตางๆ นั้น เกิดมาจากปฏิกิริยาใด (แนวตอบ เกิดจากกลามเนื้อโครงรางมีการ หดตัวอยางตอเนื่อง ทําใหสามารถที่จะดํารง รูปรางลักษณะของรางกายใหคงที่อยูได) • นักเรียนเชื่อหรือไมวา กลามเนื้อสามารถ ผลิตความรอนได (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ไดอยางอิสระ โดยครูอธิบายเพิ่มเติมวา กลามเนื้อสามารถที่จะผลิตความรอนได ตลอดเวลา โดยเฉพาะเมื่อเวลาออกกําลังกาย กลามเนื้อจะระบายความรอนออกมาทาง ตอมเหงื่อ สงผลใหรางกายมีเหงื่อออกมาก เนื่องจากเกิดการสูญเสียนํ้า และเกลือแรใน รางกายไป)
การท�างานของระบบกล้ามเนื้อไม่ไ ด้หมายถึงการเคลื่อนไหวของร่ า งกายที่สังเกต เห็นได้จากภายนอกเท่านั้น หากแต่ยังหมายถึงการท�างานของอวัยวะภายในร่างกาย เช่น การท�างานของปอด การเต้นของหัวใจ การ ที่ล� าไส้บีบ รัดตัวเพื่อให้อาหารที่รับประทาน ไบเซ็ปส์หดตัว ไบเซ็ปส์คลำยตัว เข้าไปสามารถเคลื่อนผ่านไปได้ รวมถึงการที ่ หลอดเลื อ ดมี ก ารหดรั ด ตั ว เพื่ อ ให้ เ กิ ด การ ไหลเวียนของโลหิต เป็นต้น การหดตั ว ของกล้ า มเนื้ อ นั้ น ถู ก ควบคุมโดยระบบประสาท ซึง่ ส่งกระแสประสาท ไตรเซ็ปส์คลำยตัว ผ่านเส้นใยประสาทที่มาเกาะกับใยกล้ามเนื้อ โดยพบว่าการที่กล้ามเนื้อลายสามารถหดตัว ได้นั้น เพราะมีไมโอฟิลาเมนต์ กล่าวคือ กลไก ไตรเซ็ปส์หดตัว ในการหดตัวของกล้ามเนื้อลาย ท�าให้เกิดการ กล้ำมเนื้อจะหนำขึ้น เมื่อมีกำรหดตัวหรือเกร็งตัว และ เลือ่ นตัวซ้อนกันของไมโอฟิลาเมนต์ ในระหว่าง จะแบนรำบเมื่อคลำยตัว ที่มีการหดตัวของกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อจะโตขึ้น และสั้นลงประมาณร้อยละ ๑๕ กล้ามเนื้อที่หดตัวนี้จะถูกน�ากลับเข้าสู่สภาพเดิมโดยการหดตัวของ กล้ามเนื้อในชุดตรงกันข้าม และการเคลื่อนที่แบบเลื่อนผ่านกันของเส้นใยไมโอฟิลาเมนต์นี้เอง ที่ท�าให้เกิดการหดตัวของกล้ามเนื้อขึ้น การที่กล้ามเนื้อมีการหดตัวอย่างต่อเนื่องกัน โดยเฉพาะในส่วนของกล้ามเนื้อโครงร่าง ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากภายนอกร่างกาย ท�าให้สามารถที่จะด�ารงรูปร่าง ลักษณะของร่างกายให้คงที่อยู่ได้ เช่น การยืน การเดิน เป็นต้น ในขณะที่เราแสดงท่าทางต่างๆ อยู่นั้น ระบบกล้ามเนื้อจะมีการท�างานอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้กล้ามเนื้อยังมีหน้าที่ที่ส�าคัญ อีกประการหนึ่ง คือ การผลิตความร้อน ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ซึ 1 ่งการผลิตความร้อนเหล่านี้ เกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อ แล้วเกิดผลทางปฏิกิริยาเคมี ก่อให้เกิดความร้อนแก่ร่างกาย เช่น ในฤดูหนาวจะพบว่ากล้ามเนื้อมีการหดตัว ซึ่งท�าให้เกิดอาการหนาวสั่น ขนลุกชัน เป็นต้น
๔.๓ การสร้างเสริมและด�ารงประสิทธิภาพการท�างานของกล้ามเนือ้ การท�างานของระบบกล้ามเนื้อนั้น จะท�างานได้อย่างดีหากมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรง สมบูรณ์ ซึ่งในประเด็2นของขนาดและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อนั้น พบว่ามีปัจจัยหนึ่งที่ส่งผล คือ ระดั ระดับของฮอร์โมนในร่างกาย งกาย โดยฮอร์โมนที่มีสว่ นช่วยในการเพิม่ ขนาดและความแข็งแรงของ ๑๔
นักเรียนควรรู 1 ปฏิกิริยาเคมี การเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีของสาร เชน สี กลิ่น ลักษณะ ของสาร เปนตน 2 ฮอรโมน สารเคมีชนิดหนึ่งที่รางกายสรางขึ้นและสงไปตามกระแสเลือด เพื่อควบคุมการทํางานของอวัยวะตางๆ ของรางกาย
มุม IT สามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบกลามเนื้อไดจาก http://www.youtube. com/watch?v=oyvGVhhMEro
14
คูมือครู
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
กลามเนื้อมีหนาที่และการทํางานคลายกระดูกในเรื่องใด 1. การทํางานของกลามเนื้อและกระดูกสามารถสังเกตเห็นไดจากภายนอก เทานั้น 2. มีสวนชวยในการเคลื่อนไหวอวัยวะตางๆ ในรางกาย 3. สามารถผลิตความเย็นใหแกรางกายได 4. รักษาอุณหภูมิของรางกาย วิเคราะหคําตอบ กลามเนื้อมีสวนชวยในการเคลื่อนไหวอวัยวะตางๆ ในรางกาย โดยอาศัยการเคลื่อนไหวขอตอตางๆ ของกระดูก ตอบขอ 2.
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Engage
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ Expand าใจ ขยายความเข
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
ขยายความเขาใจ
Expand
ใหนักเรียนรวมกันเสนอแนวทางการ สรางเสริมการทํางานของกลามเนื้อวามีวิธีการ อยางไรบาง เพื่อชวยใหกลามเนื้อมีความแข็งแรง และทนทาน จากนั้นใหนักเรียนประเมินตนเองวานักเรียน มีวธิ กี ารสรางเสริมการทํางานของกลามเนือ้ ใหแข็งแรงอยางไรบาง เปนเวลา 1 สัปดาห และใหบอกถึงประโยชนที่ไดรับ โดยมีรูปแบบดังนี้
1 กล้ามเนื้อ คืคือ ฮอร์โมนเพศชาย ท�าให้พบว่าในช่วงวัยรุ่นนั้น เพศชายจะมีกล้ามเนื้อที่เจริญเติบโต และแข็งแรงมากกว่าในเพศหญิง ซึ่งการที่จะสร้างเสริมและด�ารงประสิทธิภาพการท�างานของ ระบบกล้ามเนื้อเพื่อให้กล้ามเนื้อมีความแข็ง แรงสมบูรณ์นั้นสามารถปฏิบัติได้ ดัง2นี้ ๑) การออกก�าลังกาย การออก ก�าลังกายเป็นประจ�าและสม�า่ เสมอ จะช่วยท�าให้ กล้ามเนื้อเจริญเติบโตและแข็งแรง ถ้าร่างกาย ไม่ได้ออกก�าลังกายเลย กล้ามเนื้อจะลีบเล็ก ซึ่งจะพบว่า บุคคลที่ออกก�าลังกายสม�่าเสมอ จะมีสุขภาพดี และแข็งแรงกว่าบุคคลที่ไม่ได้ ออกก�าลังกาย 3 ๒) การบริโภคอาหาร สารอาหาร ที่มีผลในการสร้างความเติบโตของกล้ามเนื้อ คือ สารอาหารประเภทโปรตีน ดังนัน้ ในช่วงวัย กำรออกก�ำลังกำยเป็นกำรช่วยให้กล้ำมเนือ้ แข็งแรงและ ที่ร่างกายก�าลังมีการเจริญเติบโต จึงควรเลือก มีประสิทธิภำพในกำรท�ำงำนต่ำงๆ ได้ดี รับประทานอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน โดย เฉพาะอย่างยิ่งสารอาหารประเภทโปรตีนทั้ง จากเนื้อสัตว์และเมล็ดถั่วต่างๆ
วัน/เดือน/ป
วิธีการ สรางเสริมสุขภาพ
ประโยชน ที่ไดรับ
สรุป
การดํารงอยูของรางกายมนุษยเกิดขึ้นเนื่องจากการทํางานที่ประสานสอดคลอง สัมพันธกันของระบบตางๆ ภายในรางกาย โดยระบบผิวหนังมีหนาที่สําคัญในการปกคลุม รางกาย และปองกันอันตรายอันอาจจะเกิดขึน้ กับรางกาย ในขณะทีร่ ะบบกระดูกจะเปนสวนของ โครงรางที่สําคัญของรางกาย และชวยปกปองอวัยวะตางๆ ที่สําคัญของรางกายไมใหเกิด อันตรายไดโดยงาย สวนระบบกลามเนื้อจะมีหนาที่ในการเคลื่อนไหวของรางกาย โดยทํางาน ประสานสั ม พั น ธ กั น กั บ ระบบกระดู ก และระบบประสาท ซึ่ ง การที่ จ ะสร า งเสริ ม และดํ า รง ประสิทธิภาพการทํางานของระบบตางๆ ทั้ง ๓ ระบบดังที่กลาวมานั้น ปจจัยสําคัญก็คือ การรั บ ประทานอาหารที่ มี ส ารอาหารครบถ ว น เหมาะสมกั บ ความต อ งการของร า งกาย ในแตละชวงวัย รวมถึงการออกกําลังกายอยางสมํ่าเสมอ จะชวยใหระบบตางๆ ภายในรางกาย ทํางานไดอยางมีประสิทธิภาพ
๑๕
ขอสอบ
O-NET
ขอสอบป ’ 52 ออกเกี่ยวกับระบบกลามเนื้อ ในขณะเลนกีฬา นักกีฬาใชกลามเนื้อชนิดใดมากที่สุด 1. กลามเนื้อเรียบ 2. กลามเนื้อลาย 3. กลามเนื้อหัวใจ 4. กลามเนื้อแดง วิเคราะหคําตอบ การเลนกีฬา รางกายจะตองเคลื่อนไหวอยูตลอดเวลา ซึ่งกลามเนื้อลายนั้น จะเปนกลามเนื้อที่สามารถยืดหยุนหดตัวได และมี สวนชวยในการเคลื่อนไหวรางกาย ตอบขอ 2.
นักเรียนควรรู 1 ฮอรโมนเพศชาย มี 2 ชนิด คือ ฮอรโมนแอนโดรเจน และฮอรโมนเทสโทส เทอโรน ทําใหมีลักษณะของเพศเกิดขึ้น เชน มีหนวดเครา มีขนที่หนาแขงและ ที่อวัยวะเพศ เปนตน 2 การออกกําลังกาย อยางสมํ่าเสมอ หรือการเปลี่ยนพฤติกรรมการดํารงชีวิต เชน การเดิน การเตนรํา การทําสวน เปนตน สามารถลดอัตราการเกิดโรคหัวใจได โดยการออกกําลังกายที่เหมาะสมนั้น ควรออกกําลังกายอยางนอยสัปดาหละ 2-3 ครั้ง ครั้งละประมาณ 20-30 นาที 3 สารอาหาร สารประกอบทางเคมีของธาตุตางๆ ที่มีอยูในอาหารที่เรา รับประทานเขาไป ไดแก คารโบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน วิตามินและเกลือแร
คูมือครู
15
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
Engage
Explore
Explain
Expand
ตรวจสอบผล
ตรวจสอบผล Evaluate ตรวจสอบผล Evaluate
Evaluate
1. การเขียนสรุปผังความคิด เรื่อง องคประกอบ ของรางกายมนุษย 2. การทําใบงาน 3. การทําแผนปายความรูเรื่อง วิธีการดูแลผิวหนัง 4. การเขียนแบบประเมินตนเอง เรื่อง วิธีการ สรางเสริมการทํางานของกลามเนื้อ
หลักฐานแสดงผลการเรียนรู 1. ผังความคิด เรื่อง องคประกอบของรางกาย มนุษย 2. ใบงาน 3. แผนปายความรูเรื่อง วิธีการดูแลผิวหนัง 4. แบบประเมินตนเอง เรื่อง วิธีการสรางเสริม การทํางานของกลามเนื้อ
คา¶ามประจ�าหน่วยการเรียนรู้ ๑. ระบบผิวหนังมีความส�าคัญต่อการป้องกันโรคอย่างไร ๒. กระดูกในร่างกายของคนเรามีหน้าที่ใด ๓. ถ้าจะให้ระบบผิวหนัง ระบบกระดูก และระบบกล้ามเนื้อท�างานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรสร้างเสริมและด�ารงประสิทธิภาพอย่างไร ๔. จงอธิบายกระบวนการการท�างานของระบบผิวหนัง ระบบกล้ามเนือ้ และระบบกระดูกทีป่ ระสานสัมพันธ์กนั มาพอสังเขป ๕. ระบบผิวหนัง ระบบกระดูก และระบบกล้ามเนื้อ มีหน้าที่อย่างไรในร่างกาย
กิจกรรมสร้างสรรค์พัฒนาการเรียนรู้ กิจกรรมที่
๑
กิจกรรมที่
๒
กิจกรรมที่
๓
ครูจัดท�าบัตรรายการ ๓ ชุด ประกอบด้วย ชุ ย ดที่ ๑ ชื่อระบบอวัยวะ ๓ ระบบ คือ ระบบผิวหนัง ระบบกระดูก และระบบกล้ามเนื้อ ชุดที่ ๒ บัตรรายการของอวัยวะ ต่างๆ ที่อยู่ในระบบทั้ง ๓ ระบบ ชุดที่ ๓ บัตรรายการแนวทาง/วิธีการปฏิบัติตน เพื่อสร้างเสริมและด�ารงประสิทธิภาพการท�างานของระบบทั้ง ๓ ระบบ แล้วให้ นักเรียนแบ่งกลุ่ม ช่วยกันเรียง/จัดกลุ่มบัตรรายการทั้ง ๓ ชุดให้ถูกต้อง ให้นักเรียนแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อย และให้ช่วยกันศึกษาถึงโครงสร้าง หน้าที่และ การท�างานของระบบผิวหนัง ระบบกระดูก และระบบกล้ามเนื้อว่าเป็นอย่างไร แล้วน�าเสนอในห้องเรียน ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มย่อย และช่วยกันศึกษาและน�าเสนอปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ กับระบบผิวหนัง ระบบกระดูก และระบบกล้ามเนื้อว่ามีปัญหาใดบ้างและ จะมีแนวทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้อย่างไร แล้วน�าเสนอในห้องเรียน
๑๖
แนวตอบ คําถามประจําหนวยการเรียนรู 1. ผิวหนังมีหนาที่ปกคลุมรางกายและหอหุมเนื้อเยื่อ เพื่อรองรับการแพรเขามาของเชื้อโรคตางๆ รวมถึงปองกันรังสีอันตรายไมใหเขามาทําลายเนื้อเยื่อภายในรางกาย 2. กระดูกมีหนาที่ชวยพยุงรางกายใหสามารถดํารงอยูได ชวยใหรางกายมีการเคลื่อนไหว และปองกันการกระทบกระเทือนที่อาจกอใหเกิดอันตรายตออวัยวะที่สําคัญ ภายใน เชน ทรวงอก กะโหลกศีรษะ ชองทอง เปนตน 3. ควรออกกําลังกายสัปดาหละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ ประมาณ 20-30 นาที รับประทานอาหารที่มีสารอาหารครบถวนและหลากหลาย รับประทานผักและผลไม และดื่มนํ้า เปนประจําทุกวันอยางนอยวันละ 6-8 แกว 4. รางกายจะมีกลามเนื้อที่เปนเนื้อเยื่อ ซึ่งถูกหอหุมดวยผิวหนัง การที่รางกายสามารถเคลื่อนไหวอวัยวะตางๆ ไดนั้น เปนผลมาจากการทํางานที่ประสานสัมพันธกัน ของกระดูกและกลามเนื้อ 5. ระบบผิวหนัง มีหนาที่ปกคลุมรางกายและหอหุมเนื้อเยื่อรับความรูสึกทางสิ่งเรา รักษาอุณหภูมิของรางกาย และขับของเสียออกตามรูขุมขน ระบบกระดูก มีหนาที่ชวยพยุงรางกายใหสามารถดํารงอยูได เปนที่ยึดเกาะของกลามเนื้อมีสวนชวยในการเคลื่อนไหว เปนแหลงเก็บแคลเซียม และฟอสฟอรัส เพื่อ ชวยรักษาปริมาณแรธาตุที่จําเปนของรางกายใหอยูในระดับปกติ นอกจากนี้ยังชวยปองกันการกระทบกระเทือนที่อาจกอใหเกิดอันตรายตออวัยวะภายในที่สําคัญ เชน กะโหลกศีรษะ ทรวงอก ชองทอง เปนตน ระบบกลามเนื้อ มีหนาที่ดํารงรูปรางลักษณะของรางกายใหคงที่อยูได มีสวนชวยใหรางกายเคลื่อนไหวและผลิตความรอน เพื่อใหความอบอุนแกรางกาย
16
คูมือครู