คูมือครู 㪌»ÃСͺ¡ÒÃÊ͹ËÇÁ¡Ñº
˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ©ºÑº Í- .
ภาพปกนี้มีขนาดเทากับหนังสือเรียนฉบับจริงของนักเรียน
กระบวนการสอนแบบ 5 Es ชวยสรางทักษะการเรียนรู กิจกรรมมุงพัฒนาทักษะการคิด คำถาม + แนวขอสอบเพื่อยกผลสัมฤทธิ์ O-NET กิจกรรมบูรณาการเตรียมพรอมสู ASEAN 2558
เอกสารประกอบคูมือครู
กลุมสาระการเรียนรู ภาษาไทย
ภาษาไทย
หลักภาษาและการใชภาษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่
4
สําหรับครู
คูมือครู Version ใหม
ลักษณะเดน
ขยายพื้นที่รูปเลมใหญขึ้นกวาเดิม จัดแบงพื้นที่ออกเปนโซน เพื่อคนหาขอมูลไดงาย สะดวก รวดเร็ว และดูเปนระเบียบ กระตุน ความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล
กระตุน ความสนใจ
Evaluate
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
เปาหมายการเรียนรู สมรรถนะของผูเรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค
หน า
โซน 1 กระตุน ความสนใจ
Engage
สํารวจคนหา
Explore
อธิบายความรู
Explain
ขยายความเขาใจ
Expand
ตรวจสอบผล
หน า
หนั ง สื อ เรี ย น
โซน 1
หนั ง สื อ เรี ย น
Evaluate
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T
ขอสอบ
โซน 2
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
เกร็ดแนะครู
O-NET
บูรณาการเชื่อมสาระ
โซน 3
กิจกรรมสรางเสริม กิจกรรมทาทาย
นักเรียนควรรู
โซน 3
โซน 2 บูรณาการอาเซียน มุม IT
No.
คูมือครู
คูมือครู
No.
โซน 1 ขั้นตอนการสอนแบบ 5Es
โซน 2 ชวยครูเตรียมสอน
โซน 3 ชวยครูเตรียมนักเรียน
เพื่อใหครูเตรียมจัดกิจกรรมการเรียน การสอน โดยแนะนําขั้นตอนการสอนและ การจัดกิจกรรมแบบ 5Es อยางละเอียด เพื่อใหนักเรียนบรรลุตามตัวชี้วัด
เพื่อชวยลดภาระครูผูสอน โดยแนะนํา เกร็ดความรูสําหรับครู ความรูเสริมสําหรับ นักเรียน รวมทั้งบูรณาการความรูสูอาเซียน และมุม IT
เพื่อใหครูสะดวกตอการจัดกิจกรรม โดย แนะนํากิจกรรมบูรณาการเชือ่ มระหวางสาระหรือ กลุมสาระการเรียนรู วิชา กิจกรรมสรางเสริม กิจกรรมทาทาย รวมถึงเนื้อหาที่เคยออกขอสอบ O-NET แนวขอสอบ NT/O-NET ทีเ่ นนการคิด พรอมเฉลยและคําอธิบายอยางละเอียด
ที่ใชในคูมือครู
แถบสีและสัญลักษณ
แถบสีแสดงขั้นตอนการสอนและการจัดกิจกรรม แบบ 5Es เพื่อใหครูทราบวาเปนขั้นการสอนขั้นใด
1. แถบสี 5Es สีแดง
สีเขียว
กระตุน ความสนใจ
เสร�ม
สํารวจคนหา
Engage
2
•
เปนขั้นที่ผูสอนเลือกใช เทคนิคกระตุน ความสนใจ เพื่อโยง เขาสูบทเรียน
สีสม
อธิบายความรู
Explore
•
เปนขั้นที่ผูสอน ใหผูเรียนสํารวจ ปญหา และศึกษา ขอมูล
สีฟา
Explain
•
เปนขั้นที่ผูสอน ใหผูเรียนคนหา คําตอบ จนเกิดความรู เชิงประจักษ
สีมวง
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Expand
•
Evaluate
เปนขั้นที่ผูสอน ใหผูเรียนนําความรู ไปคิดคนตอๆ ไป
•
เปนขั้นที่ผูสอน ประเมินมโนทัศน ของผูเรียน
2. สัญลักษณ สัญลักษณ
วัตถุประสงค
• เปาหมายการเรียนรู
• หลักฐานแสดง ผลการเรียนรู
• เกร็ดแนะครู
แทรกความรูเสริมสําหรับครู ขอเสนอแนะ ขอควรระวัง ขอสังเกต แนวทางการจัด กิจกรรมและอืน่ ๆ เพื่อประโยชนในการ จัดการเรียนการสอน ขยายความรูเพิ่มเติมจากเนื้อหา เพื่อให ครูนําไปใชอธิบายเพิ่มเติมใหนักเรียน ไดมีความรูมากขึ้น
•
ความรูห รือกิจกรรมเสริม ใหครูนาํ ไปใช เตรียมความพรอมใหกบั นักเรียนกอนเขาสู ประชาคมอาเซียนใน พ.ศ. 2558 โดย บูรณาการกับวิชาทีก่ าํ ลังเรียน
บูรณาการอาเซียน
•
คูม อื ครู
แสดงรองรอยหลักฐานตามภาระงาน ที่ครูมอบหมาย เพื่อแสดงผลการเรียนรู ตามตัวชี้วัด
• นักเรียนควรรู
มุม IT
แสดงเปาหมายการเรียนรูที่นักเรียน ตองบรรลุตามตัวชี้วัด ตลอดจนสมรรถนะ ที่จะตองมี และคุณลักษณะที่พึงเกิดขึ้น กับนักเรียน
แนะนําแหลงคนควาจากเว็บไซต เพื่อให ครูและนักเรียนไดเขาถึงขอมูลความรู ที่หลากหลาย ทั้งไทยและตางประเทศ
สัญลักษณ
ขอสอบ
วัตถุประสงค
O-NET
(เฉพาะวิชา ชัน้ ทีส่ อบ O-NET O-NET)
ขอสอบเนน การคิด
แนว NT O-NE T (เฉพาะระดับชัน้ มัธยมศึกษาตอนตอนตน)
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET (เฉพาะระดับชัน้ มัธยมศึกษาตอนปลาย)
บูรณาการเชื่อมสาระ
กิจกรรมสรางเสริม
กิจกรรมทาทาย
• ชีแ้ นะเนือ้ หาทีเ่ คยออกขอสอบ
O-NET โดยยกตัวอยางขอสอบ พรอมวิเคราะหคาํ ตอบ อยางละเอียด
• เปนตัวอยางขอสอบทีม่ งุ เนน
การคิดและเปนแนวขอสอบ NT/O-NET ในระดับมัธยมศึกษา ตอนตน มีทงั้ ปรนัย - อัตนัย พรอมเฉลยอยางละเอียด
• เปนตัวอยางขอสอบทีม่ งุ เนน
การคิดและเปนแนวขอสอบ O-NET ในระดับมัธยมศึกษา ตอนปลาย มีทงั้ ปรนัย - อัตนัย พรอมเฉลยอยางละเอียด
• แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม
เชือ่ มกับสาระหรือกลุม สาระ การเรียนรู ระดับชัน้ หรือวิชาอืน่ ทีเ่ กีย่ วของ
• แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม ซอมเสริมสําหรับนักเรียนทีค่ วร ไดรบั การพัฒนาการเรียนรู
• แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม ตอยอดสําหรับนักเรียนทีเ่ รียนรู ไดอยางรวดเร็ว และตองการ ทาทายความสามารถในระดับ ทีส่ งู ขึน้
คําแนะนําการใชคูมือครู การออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอน คูม อื ครู รายวิชา ภาษาไทย หลักภาษาและการใชภาษา ม.4 จัดทําขึน้ เพือ่ ใหครูผสู อนนําไปใชเปนแนวทางวางแผน การสอนเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และประกันคุณภาพผูเรียน ตามนโยบายของสํานักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) โดยใชหนังสือเรียน ภาษาไทย หลักภาษาและการใชภาษา ม.4 ของบริษัท อักษรเจริญทัศน เสร�ม อจท. จํากัด เปนสื่อหลัก (Core Material) ประกอบการสอนและการจัดกิจกรรมการเรียนรูใหสอดคลองกับมาตรฐาน 3 การเรียนรูแ ละตัวชีว้ ดั กลุม สาระการเรียนรู ภาษาไทย ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน พ.ศ. 2551 โดยออกแบบ กิจกรรมการเรียนการสอนตามหลักการสําคัญ ดังนี้ 1 ออกแบบการสอนเปนหนวยการเรียนรูอิงมาตรฐาน คูมือครู รายวิชา ภาษาไทย หลักภาษาและการใชภาษา ม.4 วางแผนการสอนโดยแบงเปนหนวยการเรียนรู ตามลําดับสาระ (strand) และหมายเลขขอของมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัด แตละหนวยจะกําหนดเปาหมาย การเรียนรูและจุดประสงคการเรียนรู (Objective Learning) กิจกรรมการเรียนรู (Learning Activities) และแนวทาง การประเมินผลการเรียนรู (Learning Evaluation) ไวชัดเจน ครูผูสอนสามารถจัดทําแผนการสอนใหครอบคลุมมาตรฐาน การเรียนรู ตัวชี้วัด สมรรถนะ และคุณลักษณะอันพึงประสงคที่เปนเปาหมายการเรียนรูตามที่กําหนดไวในสาระแกนกลาง (ตามแผนภูมิ) และสามารถบันทึกผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผูเรียนแตละคนลงในเอกสาร ปพ.5 ไดอยางมั่นใจ แผนภูมิแสดงความสัมพันธขององคประกอบการออกแบบการเรียนรูอิงมาตรฐานและเนนผูเรียนเปนสําคัญ
พผ
ูเ
จุดปร
ะสง
คก า
ส ภา
รียน
ร
รู ีเรยน
มาตรฐานการเรียนรู ตัวชี้วัดชั้นป
ทักษะการคิด การวัดประเมินผล การเรียนรู
กิจกรรมการเรียนรู
เทคนิคการสอน คูม อื ครู
2 การจัดการเรียนรูที่ยึดผูเรียนเปนสําคัญ แนวคิ ด ในการจั ด การเรี ย นการสอนที่ ยึ ด ผู เ รี ย นเป น สํ า คั ญ พั ฒ นามาจากปรั ช ญาและทฤษฎี ก ารเรี ย นรู Constructivism ที่เชื่อวา การเรียนรูเปนกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในสมองของผูเรียนแตละคน ผูเรียนเปนผูสรางความรู โดยการเชื่อมโยงระหวางสิ่งที่ไดเรียนรูจากบทเรียนใหมกับความรูหรือประสบการณเดิมที่มีอยู ทฤษฎีนี้มีความเชื่อวา ผูเรียนทุกคนไดเรียนรูและมีการสั่งสมความรูความเขาใจเกี่ยวกับสิ่งตางๆ ติดตัวมากอน ทีจ่ ะเขาสูห อ งเรียน ซึง่ เปนการเรียนรูท เี่ กิดจากประสบการณและสิง่ แวดลอมรอบตัวผูเ รียนแตละคน ดังนัน้ การจัดกิจกรรม เสร�ม การเรียนการสอนในแตละหนวยการเรียนรู ผูสอนจะตองคํานึงถึง
4
1. ความรูเดิมของผูเรียน วิธีการสอนที่ดีจะตองเริ่มตนจากจุดที่วา ผูเ รียนมีความรูอ ะไรมาบาง แลวจึงใหความรู หรือประสบการณใหม เพื่อตอยอดจาก ความรูเดิม นําไปสูการสรางความรู ความเขาใจใหม
2. ความรูเดิมของผูเรียนถูกตองหรือไม ผูส อนตองปรับเปลีย่ นความรูค วามเขาใจเดิม ของผูเรียนใหถูกตอง และเปนพฤติกรรม การเรียนรูใ หมทมี่ คี ณุ คาตอผูเรียน เพื่อสราง เจตคติหรือทัศนคติที่ดีตอการเรียนรู สิ่งเหลานั้น
3. ผูเรียนสรางความหมายสําหรับตนเอง ผูสอนตองสงเสริมใหผูเรียนนําความรู ความเขาใจที่เกิดขึ้นไปลงมือปฏิบัติ เพื่อขยายความรูใหลึกซึ้งและมีคุณคา ตอตัวผูเรียนมากที่สุด
แนวคิด Constructivism เนนใหผูเรียนสรางความรูโดยผานกระบวนการคิดและความอยากรูของตนเอง โดยมีผูสอนเปนผูสรางบรรยากาศ
การเรียนรูและกระตุนความสนใจ คอยจัดสถานการณใหผูเรียนเกิดความขัดแยงทางความคิดระหวางประสบการณเดิมกับประสบการณ ความรูใ หม เพือ่ กระตนุ ใหผเู รียนเชือ่ มโยงความรู ความคิด กับประสบการณทมี่ อี ยูเ ดิม แลวสังเคราะหเปนความรูห รือแนวคิดใหมๆ ไดดว ยตนเอง
3 การบูรณาการกระบวนการคิด การเรียนรูของผูเรียนแตละคนจะเกิดขึ้นที่สมอง ซึ่งเปนอวัยวะที่ทําหนาที่รูคิดภายใตสภาพแวดลอมที่เอื้ออํานวย และไดรบั การกระตนุ จูงใจอยางเหมาะสม สอดคลองกับสภาพจิตใจและความตองการของผูเ รียนแตละคน การจัดกิจกรรม การเรียนรูและสาระการเรียนรูที่สอดคลองกับความสนใจและมีความหมายตอผูเรียน จะชวยกระตุนใหสมองของผูเรียน สามารถรับรูและเรียนรูไดอยางมีประสิทธิภาพตามขั้นตอนการทํางานของสมอง ดังนี้ 1. สมองจะเรียนรูและสืบคน โดยการสังเกต คนหา ซักถาม และทดลอง ปฏิบัติ จนทําใหคนพบความรูความเขาใจ ไดอยางรวดเร็ว
2. สมองจะแยกแยะคุณคาของสิ่งตางๆ โดยการตัดสินใจวิพากษวิจารณ แสดง ความคิดเห็น ยอมรับหรือตอตานตาม อารมณความรูสึกที่เกิดขึ้นในขณะที่เรียนรู
3. สมองจะประมวลเนื้อหาสาระ โดยการสรุปเปนความคิดรวบยอดจาก เรื่องราวที่ไดเรียนรูใหมนําไปผสมผสานกับ ความรูห รือประสบการณเดิมทีถ่ กู จัดเก็บอยูใ น สมอง ผานการกลัน่ กรองเพือ่ สังเคราะหเปน ความรูค วามเขาใจใหมๆ หรือเปนทัศนคติใหม ที่จะเก็บบรรจุไวในสมองของผูเรียน
การเรียนรูที่มีประสิทธิภาพจึงตองเปนการเรียนรูที่เกิดจากกระบวนการคิดของผูเรียน เพราะการเรียนรูจะเกิดขึ้น เมื่อสมองรูคิด และตองเปนการคิดไดครบถวนตามขั้นตอนการทํางานของสมองผูเรียน โดยเริ่มตนจาก 1. ระดับการคิดพื้นฐาน ไดแก การสังเกต การจําแนก การคาดคะเน การสื่อความหมาย การรวบรวมขอมูล การสรุปผล เปนตน
คูม อื ครู
2. ระดับลักษณะการคิด ไดแก การคิดกวาง คิดลึกซึ้ง คิดไกล คิดหลากหลาย คิดคลอง คิดอยางมีเหตุผล เปนตน
3. ระดับกระบวนการคิด ไดแก กระบวนการคิดอยางมีวิจารณญาณ กระบวนการแกปญหา กระบวนการ คิดสรางสรรค กระบวนการคิดสังเคราะห เปนตน
5Es การจัดกิจกรรมตามขั้นตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es ขั้นตอนการสอนที่สัมพันธกับขั้นตอนการคิดและการทํางานทางสมองของผูเรียนที่นิยมใชอยางแพรหลาย คือ วัฏจักรการเรียนรู 5Es ซึ่งผูจัดทําคูมือครูไดนํามาใชเปนแนวทางออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนในแตละหนวย ตามลําดับขั้นตอนการเรียนรู ดังนี้ ขั้นที่ 1
กระตุนความสนใจ
(Engage)
เสร�ม
5
เปนขั้นที่ผูสอนนําเขาสูบทเรียน เพื่อกระตุนความสนใจของผูเรียนดวยเรื่องราวหรือเหตุการณที่นาสนใจโดยใชเทคนิควิธีการ และคําถามทบทวนความรูหรือประสบการณเดิมของผูเรียน เพื่อเชื่อมโยงผูเรียนเขาสูความรูของบทเรียนใหม ชวยใหผูเรียนสามารถ สรุปความสําคัญหัวขอและสาระการเรียนรูของบทเรียนได จึงเปนขั้นตอนการสอนที่สําคัญ เพราะเปนการเตรียมความพรอมและสราง แรงจูงใจใฝเรียนรูแกผูเรียน
ขั้นที่ 2
สํารวจคนหา
(Explore)
เปนขัน้ ทีผ่ สู อนเปดโอกาสใหผเู รียนลงมือศึกษา สังเกต หรือรวมมือกันสํารวจ เพือ่ ใหเห็นขอบขายของประเด็นหรือปญหา รวมถึง วิธีการศึกษาคนควา การรวบรวมขอมูลความรูที่จะนําไปสูการสรางความเขาใจประเด็นหรือปญหานั้นๆ เมื่อผูเรียนทําความเขาใจใน ประเด็นหรือปญหาที่จะศึกษาคนควาอยางถองแทแลว ก็ลงมือปฏิบัติเพื่อเก็บรวบรวมขอมูลความรู สํารวจตรวจสอบ โดยวิธีการตางๆ เชน สัมภาษณ ทดลอง อานคนควาขอมูลจากเอกสาร แหลงขอมูลตางๆ จนไดขอมูลความรูที่เกี่ยวของกับประเด็นหรือปญหาที่ศึกษา
ขั้นที่ 3
อธิบายความรู
(Explain)
เปนขั้นที่ผูสอนมีปฏิสัมพันธกับผูเรียน เชน ใหการแนะนํา ตั้งคําถามกระตุนใหคิด เพื่อใหผูเรียนคนหาคําตอบ และนําขอมูล ความรูจากการศึกษาคนควาในขั้นที่ 2 มาวิเคราะห สรุปผล และนําเสนอผลที่ไดศึกษาคนความาในรูปแบบสารสนเทศตางๆ เชน เขียนแผนภูมิ ผังมโนทัศน เขียนความเรียง เขียนรายงาน เปนตน ในขั้นตอนนี้ฝกใหผูเรียนใชสมองคิดวิเคราะหและสังเคราะห อยางเปนระบบ
ขั้นที่ 4
ขยายความเขาใจ
(Expand)
เปนขั้นที่ผูสอนเลือกใชเทคนิควิธีสอนตางๆ ที่สงเสริมใหผูเรียนนําความรูที่เกิดขึ้นไปคิดคนสืบคนตอๆ ไป เพื่อพัฒนาทักษะ การเรียนรูและการทํางานรวมกันเปนกลุม ระดมสมองเพื่อคิดสรางสรรครวมกัน ผูเรียนสามารถนําความรูที่สรางขึ้นใหมไปเชื่อมโยง กับประสบการณเดิมโดยนําขอสรุปทีไ่ ดไปใชอธิบายเหตุการณตา งๆ หรือนําไปปฏิบตั ใิ นสถานการณใหมๆ ทีเ่ กีย่ วของกับชีวติ ประจําวัน ของตนเอง เพื่อขยายความรูความเขาใจใหกวางขวางยิ่งขึ้น ในขั้นตอนนี้ฝกสมองของผูเรียนใหสามารถคิดริเริ่มสรางสรรคอยางมี คุณภาพ เสริมสรางวิสัยทัศนใหกวางไกลออกไป
ขั้นที่ 5
ตรวจสอบผล
(Evaluate)
เปนขัน้ ทีผ่ สู อนประเมินมโนทัศนของผูเ รียน โดยตรวจสอบจากความคิดทีเ่ ปลีย่ นไปและความคิดรวบยอดทีเ่ กิดขึน้ ใหม ตรวจสอบ ทักษะ กระบวนการปฏิบัติ การแกปญหา การตอบคําถามรวบยอด หรือการเคารพความคิดหรือยอมรับเหตุผลของคนอื่น เพื่อการ สรางสรรคความรูร ว มกัน ผูเ รียนสามารถประเมินผลการเรียนรูข องตนเอง เพือ่ สรุปผลวามีความรูอ ะไรเพิม่ ขึน้ มาบาง เกิดความเขาใจ มากนอยเพียงใด และจะนําความรูเหลานั้นไปประยุกตใชในการเรียนรูเรื่องอื่นๆ หรือในชีวิตประจําวันไดอยางไร ผูเรียนจะเกิดเจตคติ และเห็นคุณคาของตนเองจากผลการเรียนรูที่เกิดขึ้น ซึ่งเปนการเรียนรูที่มีความสุขอยางแทจริง
การจัดกิจกรรมการเรียนรูตามขั้นตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es จึงเปนรูปแบบการเรียนการสอนที่เนนผูเรียน เปนสําคัญอยางแทจริง เพราะสงเสริมใหผูเรียนไดเรียนรูตามขั้นตอนของกระบวนการสรางความรูดวยตนเอง และ ฝกฝนใหใชกระบวนการคิดและกระบวนการกลุมอยางชํานาญ กอใหเกิดทักษะชีวิต ทักษะการทํางาน และทักษะการ เรียนรูที่มีประสิทธิภาพ สงผลตอการยกระดับผลสัมฤทธิ์ของผูเรียน ตามเปาหมายของการปฏิรูปการศึกษาทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552-2561) ทุกประการ คูม อื ครู
O-NET การเพิ่มผลสัมฤทธิ์ O-NET
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามขั้นตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es ในแตละหนวยการเรียนรู ทางผูจัดทํา จะเสนอแนะวิธีสอน รูปแบบกิจกรรมการเรียนรู พรอมทั้งออกแบบเครื่องมือวัดและประเมินผลที่สอดคลองกับตัวชี้วัด และสาระการเรียนรูแกนกลางไวทุกขั้นตอน โดยยึดหลักสําคัญ คือ หลักของการวัดและประเมินผล เสร�ม
6
1. การวัดและประเมินผลทุกครั้ง ควรนําผลมาปรับปรุงพัฒนาผูเรียน เปนรายบุคคล
2. การวัดและประเมินผลมี เปาหมาย เพื่อพัฒนาการเรียนรู ของผูเรียนจนเต็มศักยภาพ
3. การนําผลการวัดและประเมินผล ทุกครั้งมาวางแผนปรับปรุงกิจกรรม การเรียนการสอน การเลือกเทคนิค วิธีสอน และสื่อการเรียนรูให เหมาะสมกับสภาพจริงของผูเรียน
การทดสอบผูเรียน 1. การใชขอสอบอัตนัย เนนการอาน การคิดวิเคราะห และการเขียนเพิ่มมากขึ้น 2. การใชคําถามกระตุนการคิดควบคูกับการทําขอสอบที่เนนการคิดอยางตอเนื่องตามลําดับกิจกรรมการเรียนรู และตัวชี้วัด 3. การทดสอบตองดําเนินการทั้งกอนเรียน ระหวางเรียน และหลังเรียน การทดสอบควรใชขอสอบทั้งชนิดปรนัยและ อัตนัย และเปนการทดสอบเพื่อประเมินผลการเรียนของผูเรียนแตละคน เพื่อการสอนซอมเสริมใหบรรลุตัวชี้วัด ไดครบถวน 4. การสอบกลางภาค (ถามี) ควรนําแบบฝกหัดหรือขอสอบทีน่ กั เรียนสวนใหญไมสามารถตอบไดหรือไมครบถวนชัดเจน มา สรางเปนแบบทดสอบอีกครัง้ เพือ่ ตรวจสอบความรูค วามเขาใจทีถ่ กู ตอง และประเมินความกาวหนาของผูเ รียนแตละคน 5. การสอบปลายภาคเรียนเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามตัวชี้วัดที่สําคัญ ควรออกขอสอบใหมีลักษณะเดียวกับ ขอสอบ O-NET โดยเนนการคิดวิเคราะห สังเคราะห เชื่อมโยงประยุกตใช เพื่อสรางความคุนเคย และฝกฝน วิธีการทําขอสอบดวยความมั่นใจ 6. การนําผลการทดสอบของผูเรียนมาวิเคราะห โดยผลการสอบกอนการเรียนตองสามารถพยากรณผลการสอบ กลางภาค และผลการสอบกลางภาคตองทํานายผลการสอบปลายภาคของผูเ รียนแตละคน เพือ่ ประเมินพัฒนาการ ความกาวหนาของผูเรียนเปนรายบุคคล 7. ผลการทดสอบปลายป ปลายภาค ตองมีคาเฉลี่ยสอดคลองกับคาเฉลี่ยของการสอบ NT ที่เขตพื้นที่การศึกษา จัดสอบ รวมทั้งคาเฉลี่ยของการสอบ O-NET ชวงชั้นที่สอดคลองครอบคลุมมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดสําคัญ เพือ่ สะทอนประสิทธิภาพของครูผสู อนในการออกแบบการเรียนรูแ ละประกันคุณภาพผูเ รียนทีต่ รวจสอบผลไดชดั เจน การจัดการเรียนการสอนในแตละหนวยการเรียนรู ตองใหผูเรียนไดสั่งสมความรู ความเขาใจตามลําดับขั้นตอน ของกิจกรรมในวัฏจักรการเรียนรู 5Es เพื่อใหผูเรียนไดเติมเต็มองคความรูอยางตอเนื่อง จนสามารถปฏิบัติชิ้นงานหรือ ภาระงานรวบยอดของแตละหนวย ผานเกณฑประกันคุณภาพในระดับที่นาพึงพอใจ เพื่อรองรับการประเมินภายนอกจาก สมศ. ตลอดเวลา คูม อื ครู
ASEAN การเรียนรูสูประชาคมอาเซียน เพื่ออํานวยความสะดวกแกครูผูสอนในการจัดกิจกรรมการเรียนรูบูรณาการอาเซียนศึกษา ผูจัดทําไดวิเคราะห มาตรฐานการเรียนรู และตัวชี้วัดที่มีสาระการเรียนรูสอดคลองกับองคความรูเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนในแงมุมตางๆ ครอบคลุมทัง้ ประชาคมการเมืองและความมัน่ คงอาเซียน ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และประชาคมสังคมและวัฒนธรรม อาเซียน เพื่อสงเสริมการเรียนรูใหผูเรียนเกิดความตระหนัก มีความรูความเขาใจเหมาะสมกับระดับชั้นและกลุมสาระ การเรียนรู โดยเสนอแนะวิธีการจัดกิจกรรมบูรณาการเนื้อหาสาระตางๆ ที่เปนประโยชนตอผูเรียนและเปนการชวย เตรียมความพรอมผูเ รียนทุกคนทีจ่ ะกาวเขาสูก ารเปนสมาชิกของประชาคมอาเซียนไดอยางมัน่ ใจตามขอตกลงปฏิญญา เสร�ม ชะอํา-หัวหิน วาดวยความรวมมือดานการศึกษาเพือ่ บรรลุเปาหมายประชาคมอาเซียนทีเ่ อือ้ อาทรและแบงปน จึงกําหนด 7 เปนนโยบายใหกระทรวงศึกษาธิการจัดการเรียนรูเตรียมความพรอมผูเรียนเขาสูประชาคมอาเซียนภายในป พ.ศ. 2558 ตามแนวปฏิบัติที่สําคัญ ดังนี้
การจัดการเรียนรูส ู ประชาคมการเมืองและความมัน่ คงอาเซียน 1. การสรางความรูความเขาใจ และตระหนักถึงความสําคัญของ กฎบัตรอาเซียน และความรวมมือ ของ 3 เสาหลัก ซึง่ กฎบัตรอาเซียน ในขณะนี้มีสถานะเปนกฎหมายที่ ประเทศสมาชิกจะตองปฏิบัติตาม หลักการที่กําหนดไวเพื่อใหบรรลุ เปาหมายของกฎบัตรมาตราตางๆ
2. การสงเสริมหลักการ ประชาธิปไตยและการสราง สิ่งแวดลอมประชาธิปไตย เพื่อการอยูรวมกันอยางกลมกลืน ภายใตวิถีชีวิตอาเซียนที่มีความ หลากหลายดานสังคมและ วัฒนธรรม
4. การตระหนักในคุณคาของ สายสัมพันธทางประวัติศาสตร และมรดกทางวัฒนธรรมที่มี พัฒนาการรวมกัน เพื่อเชื่อม อัตลักษณและสรางจิตสํานึก ในการเปนประชากรของประชาคม อาเซียนรวมกัน
3. การสงเสริมการศึกษาดาน สิทธิมนุษยชน เพื่อสรางประชาคม อาเซียนใหเปนประชาคมเพื่อ ประชาชนอยางแทจริง สามารถ อยูรวมกันไดบนพื้นฐานการเคารพ ในคุณคาของศักดิ์ศรีแหงความ เปนมนุษยเทาเทียมกัน
5. การสงเสริมสันติภาพ ความ มั่นคง และความปรองดองในสังคม ทั้งระดับประเทศและภูมิภาคของ อาเซียนบนพื้นฐานสันติวิธีและการ อยูรวมกันดวยขันติธรรม
คูม อื ครู
การจัดการเรียนรูส ู ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
เสร�ม
8
1. การพัฒนาทักษะการทํางาน เพื่อเสริมสรางผูเรียนใหมีทักษะ วิชาชีพที่จําเปนสอดคลองกับ ความตองการของตลาดแรงงาน และสถานประกอบการในอาเซียน สามารถเทียบโอนผลการเรียน และการทํางานตามมาตรฐานฝมือ แรงงานในภูมิภาคอาเซียน
2. การเสริมสรางวินัย ความรับผิดชอบ และเจตคติรักการทํางาน สามารถพึ่งพาตนเอง มีทักษะชีวิต ดํารงชีวิตอยางมีความสุข เห็นคุณคา และภูมิใจในตนเอง ในฐานะที่เปนพลเมืองไทยและ อาเซียน
3. การเรียนรูเพื่อพัฒนาตนเอง อยางตอเนื่องตลอดชีวิต ใหมี ทักษะการทํางานตามมาตรฐาน อาชีพ และคุณวุฒิของวิชาชีพสาขา ตางๆ เพื่อรองรับการเตรียมเคลื่อน ยายแรงงานมีฝมือและการเปน ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่ เขมแข็ง เพื่อสรางขีดความสามารถ ในการแขงขันในเวทีโลก
การจัดการเรียนรูส ู ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน 1. การเสริมสรางความรวมมือ ในลักษณะสังคมที่เอื้ออาทร ของประชากรอาเซียน โดยยึด หลักการสําคัญ คือ ความงดงาม ของประชาคมอาเซียนมาจาก ความแตกตางและหลากหลายทาง วัฒนธรรมที่ลวนแตมีคุณคาตอ มรดกทางวัฒนธรรมของอาเซียน ซึ่งประชาชนทุกคนตองอนุรักษ สืบสานใหยั่งยืน
2. การเสริมสรางคุณลักษณะ ของผูเรียนใหเปนพลเมืองอาเซียน ที่มีศักยภาพในการกาวเขาสู ประชาคมอาเซียนอยางมั่นใจ เปนผูที่มีสุขภาพสมบูรณแข็งแรง มีทักษะการสื่อสาร ทักษะการ ทํางาน ทักษะทางสังคม สามารถ ทํางานรวมกับผูอื่นไดอยาง สรางสรรค และมีองคความรู เกี่ยวกับอาเซียนที่จําเปนตอการ ดํารงชีวิตอยางมีคุณภาพ
4. การสงเสริมการเรียนรูดาน ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี วิถชี วี ติ ความเปนอยูข องเพือ่ นบาน ในอาเซียน เพื่อสรางจิตสํานึกของ ความเปนประชาคมอาเซียนและ ตระหนักถึงหนาที่ของการเปน พลเมืองอาเซียนรวมกัน
3. การสงเสริมการเรียนรูภาษา อังกฤษเพื่อการสื่อสารและการ ทํางานตามมาตรฐานอาชีพที่ กําหนดและสนับสนุนการเรียนรู ภาษาอาเซียนและภาษาเพื่อนบาน เพื่อชวยเสริมสรางสัมพันธภาพทาง สังคม และการอยูรวมกันอยางสันติ ทามกลางความหลากหลายทาง วัฒนธรรม
5. การสรางความรูและความ ตระหนักเกี่ยวกับดานสิ่งแวดลอม ปญหาและผลกระทบตอคุณภาพ ชีวิตของประชากรในภูมิภาค รวมทั้งแนวทางการพัฒนาอยาง ยั่งยืน ใหเปนมรดกสืบทอดแก พลเมืองอาเซียนในรุนหลังตอๆ ไป
กระทรวงศึกษาธิการจึงประกาศนโยบายการปฏิรูปการศึกษาทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552-2561) เพื่อเรงพัฒนาเด็ก และเยาวชนไทยใหเปนทรัพยากรมนุษยของชาติที่มีทักษะและความชํานาญ พรอมเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงและ การแขงขันทั้งในภูมิภาคอาเซียนและภูมิภาคอื่นๆ ของสังคมโลก ทั้งนี้ผูบริหารสถานศึกษา ครูผูสอน และผูปกครอง ควรรวมมือกันอยางใกลชิดในการดูแลชวยเหลือผูเรียนและจัดประสบการณการเรียนรูเพื่อพัฒนาผูเรียนจนเต็มศักยภาพ เพื่อกาวเขาสูการเปนพลเมืองอาเซียนอยางมีเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีความเปนมนุษยของตน คณะผูจัดทํา คูม อื ครู
ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง สาระที่ 1
ภาษาไทย หลักภาษาและการใชภาษา (เฉพาะชัน้ ม.4)*
การอาน
มาตรฐาน ท 1.1 ใชกระบวนการอานสรางความรูและความคิดเพื่อนําไปใชตัดสินใจ แกปญหาในการดําเนินชีวิต และมีนิสัยรักการอาน ชั้น
ตัวชี้วัด
ม.4-6 1. อานออกเสียง บทรอยแกวและ บทรอยกรองไดอยาง ถูกตอง ไพเราะ และ เหมาะสมกับเรื่อง ที่อาน 2. ตีความ แปลความ และขยายความเรื่อง ที่อาน 3. วิเคราะหและ วิจารณเรื่องที่อาน ในทุกๆ ดานอยางมี เหตุผล 4. คาดคะเนเหตุการณ จากเรื่องที่อาน และ ประเมินคาเพื่อนํา ความรู ความคิดไป ใชตัดสินใจแกปญหา ในการดําเนินชีวิต
สาระการเรียนรูแกนกลาง
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
• การอานออกเสียงประกอบดวย • ตอนที่ 1 หนวยการเรียนรูท ี่ 1 - บทรอยแกวประเภทตางๆ เชน บทความ นวนิยาย และความเรียง - บทรอยกรอง เชน โคลง ฉันท กาพย กลอน ราย และลิลิต
เสร�ม
9
• ตอนที่ 1 หนวยการเรียนรูท ี่ 3 • การอานจับใจความจากสื่อตางๆ เชน - ขาวสารจากสื่อสิ่งพิมพ สื่ออิเล็กทรอนิกสและ แหลงเรียนรูตางๆ ในชุมชน - บทความ - นิทาน - เรื่องสั้น - นวนิยาย - วรรณกรรมพื้นบาน - วรรณคดีในบทเรียน - บทโฆษณา - สารคดี - บันเทิงคดี - ปาฐกถา - พระบรมราโชวาท - เทศนา 5. วิเคราะห วิจารณ • ตอนที่ 1 หนวยการเรียนรูท ี่ 4 แสดงความคิดเห็น - คําบรรยาย โตแยงกับเรื่องที่อาน - คําสอน - บทรอยกรองรวมสมัย และเสนอความคิด - บทเพลง ใหมอยางมีเหตุผล 6. ตอบคําถามจากการ • ตอนที่ 1 หนวยการเรียนรูท ี่ 1 อานประเภทตางๆ • ตอนที่ 1 หนวยการเรียนรูท ี่ 2 ภายในเวลาที่กําหนด • ตอนที่ 1 หนวยการเรียนรูท ี่ 3 • ตอนที่ 1 หนวยการเรียนรูท ี่ 4
_________________________________ *สํานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, กระทรวงศึกษาธิการ. ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง กลุมสาระการเรียนรูภาษาไทย. (กรุงเทพมหานคร : ชุมนุมสหกรณการเกษตรแหงประเทศไทย, 2551), หนา 21-52. หมายเหตุ : สําหรับสาระที่ 4 (วรรณคดีและวรรณกรรม) จะอยูในหนังสือเรียนภาษาไทย วรรณคดีและวรรณกรรม ม.4 ของ อจท. ซึ่งเปนหนังสือที่จัดทํา ควบคุูกับหนังสือเรียนภาษาไทย หลักภาษาและการใชภาษา เลมนี้
คูม อื ครู
ชั้น
เสร�ม
10
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
ม.4-6 7. อานเรื่องตางๆ แลว - บทอาเศียรวาท (ตอ) เขียนกรอบแนวคิด - คําขวัญ ผังความคิด บันทึก ยอความ และ รายงาน 8. สังเคราะหความรูจ าก การอาน สื่อสิ่งพิมพ สือ่ อิเล็กทรอนิกส และ แหลงเรียนรูต า งๆ มา พัฒนาตน พัฒนาการ เรี ย น และพั ฒ นา ความรูทางอาชีพ 9. มีมารยาทในการอาน • มารยาทในการอาน
สาระที่ 2
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
• ตอนที่ 1 หนวยการเรียนรูท ี่ 2 • ตอนที่ 1 หนวยการเรียนรูท ี่ 3 • ตอนที่ 1 หนวยการเรียนรูท ี่ 4 • ตอนที่ 1 หนวยการเรียนรูท ี่ 2 • ตอนที่ 1 หนวยการเรียนรูท ี่ 3
• ตอนที่ 1 หนวยการเรียนรูท ี่ 2 • ตอนที่ 1 หนวยการเรียนรูท ี่ 4
การเขีียน
มาตรฐาน ท 2.1 ใชกระบวนการเขียนเขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ยอความ และเขียนเรื่องราวในรูปแบบตางๆ เขียนรายงานขอมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาคนควาอยางมีประสิทธิภาพ ชั้น
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง • การเขียนสื่อสารในรูปแบบตางๆ เชน ม.4-6 1. เขียนสื่อสารใน รูปแบบตางๆ ได - อธิบาย ตรงตามวัตถุประสงค - บรรยาย โดยใชภาษาเรียบ - พรรณนา เรียงถูกตอง มีขอมูล - แสดงทรรศนะ และสาระสําคัญ - โตแยง ชัดเจน - โนมนาว - เชิญชวน - ประกาศ - จดหมายกิจธุระ - โครงการและรายงานการดําเนินโครงการ - รายงานการประชุม - การกรอกแบบรายการตางๆ
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
• ตอนที่ 2 หนวยการเรียนรูท ี่ 2 • ตอนที่ 2 หนวยการเรียนรูท ี่ 3 • ตอนที่ 2 หนวยการเรียนรูท ี่ 4
2. เขียนเรียงความ • การเขียนเรียงความ • ตอนที่ 2 หนวยการเรียนรูท ี่ 2 3. เขียนยอความจาก • การเขียนยอความจากสื่อตางๆ เชน • ตอนที่ 2 หนวยการเรียนรูท ี่ 2 สื่อที่มี รูปแบบ และ - กวีนิพนธ และวรรณคดี เนื้อหาหลากหลาย - เรื่องสั้น สารคดี นวนิยาย บทความทางวิชาการ และวรรณกรรมพื้นบาน
คูม อื ครู
ชั้น ตัวชี้วัด ม.4-6 4. ผลิตงานเขียนของ (ตอ) ตนเองในรูปแบบ
ตางๆ
5. ประเมินงานเขียน ของผูอื่น แลวนํามา พัฒนางานเขียนของ ตนเอง
สาระการเรียนรูแกนกลาง
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
• การเขียนในรูปแบบตางๆ เชน - สารคดี - บันเทิงคดี • การประเมินคุณคางานเขียนในดานตางๆ เชน - แนวคิดของผูเขียน - การใชถอยคํา - การเรียบเรียง - สํานวนโวหาร - กลวิธีในการเขียน
เสร�ม
11
6. เขี ย นรายงานการ • การเขียนรายงานเชิงวิชาการ ศึ ก ษาค น คว า เรื่ อ ง • การเขียนอางอิงขอมูลสารสนเทศ ที่สนใจตามหลักการ เขียนเชิงวิชาการ และ ใชขอมูลสารสนเทศ อางอิงอยางถูกตอง 7. บันทึกการศึกษา • การเขียนบันทึกความรูจากแหลงเรียนรูที่ คนควาเพื่อนําไป หลากหลาย พัฒนาตนเองอยาง สมํ่าเสมอ 8. มีมารยาทในการ เขียน
สาระที่ 3
• มารยาทในการเขียน
• ตอนที่ 2 หนวยการเรียนรูท ี่ 1
• ตอนที่ 2 หนวยการเรียนรูท ี่ 1
การฟง การดู และการพูด
มาตรฐาน ท 3.1 สามารถเลือกฟงและดูอยางมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู ความคิด และความรูสึกในโอกาสตางๆ อยางมีวิจารณญาณและสรางสรรค ชั้น
ตัวชี้วัด
ม.4-6 1. สรุปแนวคิด และ
แสดงความคิดเห็น จากเรื่องที่ฟงและดู
2. วิเคราะห แนวคิด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
• การพูดสรุปแนวคิด และการแสดงความคิดเห็น จากเรื่องที่ฟงและดู
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
• ตอนที่ 3 หนวยการเรียนรูท ี่ 2
• การวิเคราะหแนวคิด การใชภาษา และความ
การใชภาษา และ นาเชื่อถือจากเรื่องที่ฟงและดู ความนาเชื่อถือจาก เรื่องที่ฟงและดูอยางมี เหตุผล
คูม อื ครู
ชั้น
ตัวชี้วัด ม.4-6 3. ประเมินเรื่องที่ฟง (ตอ) และดู แลวกําหนด แนวทางนําไป ประยุกตใชในการ ดําเนินชีวิต
เสร�ม
12
สาระการเรียนรูแกนกลาง
• การเลือกเรื่องที่ฟงและดูอยางมีวิจารณญาณ
• การประเมินเรื่องที่ฟงและดูเพื่อกําหนดแนวทาง นําไปประยุกตใช
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
• ตอนที่ 3 หนวยการเรียนรูท ี่ 2
4. มีวิจารณญาณในการ
• ตอนที่ 3 หนวยการเรียนรูท ี่ 1 • ตอนที่ 3 หนวยการเรียนรูท ี่ 2
5. พูดในโอกาสตางๆ พูด • การพูดในโอกาสตางๆ เชน
• ตอนที่ 3 หนวยการเรียนรูท ี่ 3
6. มีมารยาทในการฟง • มารยาทในการฟง การดู และการพูด การดู และการพูด
• ตอนที่ 3 หนวยการเรียนรูท ี่ 1 • ตอนที่ 3 หนวยการเรียนรูท ี่ 2 • ตอนที่ 3 หนวยการเรียนรูท ี่ 3
เลือกเรื่องที่ฟงและดู
แสดงทรรศนะ โตแยง โนมนาวใจ และเสนอ แนวคิดใหมดวยภาษา ถูกตองเหมาะสม
สาระที่ 4
- การพูดตอที่ประชุมชน - การพูดอภิปราย - การพูดแสดงทรรศนะ - การพูดโนมนาวใจ
หลักการใชภาษาไทย
มาตรฐาน ท 4.1 เขาใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษาและพลังของภาษา ภูมิปญญา ทางภาษา และรักษาภาษาไทยไวเปนสมบัติของชาติ ชั้น
ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรูแกนกลาง
ม.4-6 1. อธิบายธรรมชาติ • ธรรมชาติของภาษา ของภาษา พลังของ • พลังของภาษา ภาษา และลักษณะ • ลักษณะของภาษา ของภาษา - เสียงในภาษา - สวนประกอบของภาษา - องคประกอบของพยางคและคํา 2. ใชคําและกลุมคํา • การใชคําและกลุมคําสรางประโยค สรางประโยคตรงตาม วัตถุประสงค
คูม อื ครู
- คําและสํานวน - การรอยเรียงประโยค - การเพิ่มคํา - การใชคํา - การเขียนสะกดคํา
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
• ตอนที่ 4 หนวยการเรียนรูท ี่ 1 • ตอนที่ 4 หนวยการเรียนรูท ี่ 2
• ตอนที่ 4 หนวยการเรียนรูท ี่ 2
ชั้น
ตัวชี้วัด สาระการเรียนรูแกนกลาง ม.4-6 3. ใชภาษาเหมาะสมแก • ระดับของภาษา (ตอ) โอกาส กาลเทศะ และ • คําราชาศัพท บุคคล รวมทั้ง คําราชาศัพทอยาง เหมาะสม
4. แตงบทรอยกรอง
• กาพย โคลง ราย และฉันท
หนวยการเรียนรูในหนังสือเรียน
• ตอนที่ 4 หนวยการเรียนรูท ี่ 3
เสร�ม • ตอนที่ 4 หนวยการเรียนรูท ี่ 4
13
5. วิเคราะหอิทธิพลของ • อิทธิพลของภาษาตางประเทศและภาษาถิ่น ภาษาตางประเทศและ ภาษาถิ่น
6. อธิบายและวิเคราะห • หลักการสรางคําในภาษาไทย หลักการสรางคําใน ภาษาไทย
7. วิเคราะหและประเมิน • การประเมินการใชภาษาจากสื่อสิ่งพิมพและสื่อ การใชภาษาจาก สื่อสิ่งพิมพและสื่อ อิเล็กทรอนิกส
อิเล็กทรอนิกส
• ตอนที่ 1 หนวยการเรียนรูท ี่ 2
คูม อื ครู
คําอธิบายรายวิชา รายวิชา ภาษาไทย หลักภาษาและการใชภาษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 รหัสวิชา ท…………………………………
กลุมสาระการเรียนรู ภาษาไทย ภาคเรียนที่ 1-2 เวลา 60 ชั่วโมง/ป
ฝกทักษะการอาน การเขียน การฟง การดู และการพูด การวิเคราะหและประเมินคาวรรณคดีและ เสร�ม วรรณกรรมโดยฝกทักษะเกี่ยวกับการอานออกเสียง ตีความ แปลความ และขยายความ คาดคะเนเหตุการณ 14 เรื่องที่อาน วิเคราะหวิจารณ แสดงความคิดเห็น โตแยงเกี่ยวกับเรื่องที่อาน และเสนอความคิดใหมอยางมี เหตุผล ฝกทักษะการเขียนบรรยาย เขียนพรรณนา เขียนโนมนาว เขียนโครงการและรายงานการดําเนิน โครงการ เขียนรายงานการประชุม ประเมินคุณคางานเขียนในดานตางๆ ฝกทักษะการพูดสรุปแนวคิดและ แสดงความคิดเห็นจากเรื่องที่ฟงและดู ประเมินเรื่องที่ฟงและดู และศึกษาเกี่ยวกับระดับของภาษา วิเคราะหวถิ ไี ทย ประเมินคา ความรูแ ละขอคิดจากวรรณคดีและวรรณกรรม ทองจําบทอาขยานทีก่ าํ หนด และบทรอยกรองที่มีคุณคาตามความสนใจ โดยใชกระบวนการอานเพื่อสรางความรูความคิดนําไปใชตัดสินใจ แกปญหาในการดําเนินชีวิต กระบวนการเขียน เขียนสื่อสารอยางมีประสิทธิภาพ กระบวนการฟง การดู และการพูด สามารถเลือกฟง ดู และพูดแสดงความรูค วามคิดอยางมีวจิ ารณญาณและสรางสรรค เพือ่ ใหเขาใจ ธรรมชาติภาษาและหลักภาษาไทย การเปลีย่ นแปลงของภาษา ภูมปิ ญ ญาทางภาษา วิเคราะหวจิ ารณวรรณคดี และวรรณกรรมอยางเห็นคุณคาและนํามาประยุกตใชในชีวิต รักษาภาษาไทยไวเปนสมบัติของชาติและมีนิสัย รักการอาน การเขียน มีมารยาทในการอาน การเขียน การฟง การดู และการพูด ตัวชี้วัด ท 1.1 ท 2.1 ท 3.1 ท 4.1
คูม อื ครู
ม.4-6/1 ม.4-6/1 ม.4-6/1 ม.4-6/1
ม.4-6/2 ม.4-6/2 ม.4-6/2 ม.4-6/2
ม.4-6/3 ม.4-6/5 ม.4-6/6 ม.4-6/7 ม.4-6/8 ม.4-6/9 ม.4-6/3 ม.4-6/7 ม.4-6/8 ม.4-6/3 ม.4-6/5 ม.4-6/6 ม.4-6/3 รวม 21 ตัวชี้วัด
วิเคราะหมาตรฐานการเรียนรูแ ละตัวชีว้ ดั รายวิชา ภาษาไทย หลักภาษาและการใชภาษา ม. 4
มาตรฐาน ท 2.1 ตัวชี้วัด
มาตรฐาน ท 1.1 ตัวชี้วัด
ตัวชี้วัด
มาตรฐาน ท 3.1
สาระที่ 3
ตัวชี้วัด
มาตรฐาน ท 4.1
สาระที่ 4
✓ ✓
✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓
✓ ✓
✓ ✓
หมายเหตุ ✓ เฉพาะที่สอดคลองกับตัวชี้วัดชั้น ม.4 เทานั้น ตัวชี้วัดที่เหลือจะจัดการเรียนการสอนในชั้น ม.5 และ ม.6
✓
✓
หนวยการเรียนรูที่ 4 : การกรอกแบบรายการ
✓ ✓ ✓
✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓
✓ ✓ ✓ ✓
✓
✓
✓
✓
1 2 3 4 5 6 7 8 9 1 2 3 4 5 6 7 8 1 2 3 4 5 6 1 2 3 4 5 6 7
สาระที่ 2
สาระที่ 1
หนวยการเรียนรูที่ 3 : การเขียนอธิบาย
ตอนที่ 1 : การพัฒนาทักษะการอาน หนวยการเรียนรูที่ 1 : การอานออกเสียงบทรอยแกว และบทรอยกรอง หนวยการเรียนรูที่ 2 : การอานสื่อสิ�งพิมพและสื่อ อิเล็กทรอนิกส หนวยการเรียนรูที่ 3 : การอานแปลความ ตีความ และขยายความ หนวยการเรียนรูที่ 4 : การอานเพื่อแสดง ความคิดเห็น ตอนที่ 2 : การพัฒนาทักษะการเขียน หนวยการเรียนรูที่ 1 : การเขียนบันทึกความรู หนวยการเรียนรูที่ 2 : การเขียนเรียงความ ยอความ จดหมาย
หนวยการเรียนรู
มาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัด
คําชี้แจง : ใหผูสอนใชตารางน�้ตรวจสอบวา เน�้อหาสาระการเรียนรูในหนวยการเรียนรูสอดคลองกับมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดชั้นปในขอใดบาง
ตาราง
เสร�ม
15
คูม อื ครู
คูม อื ครู
หนวยการเรียนรูที่ 4 : การแตง คําประพันธ ประเภทกาพยและ โคลง
หนวยการเรียนรูที่ 3 : คําราชาศัพท
หนวยการเรียนรูที่ 2 : ลักษณะของ ภาษาไทย
ตอนที่ 4 : หลักการใชภาษา หนวยการเรียนรูที่ 1 : ธรรมชาติและพลัง ของภาษา
หนวยการเรียนรูที่ 3 : การพูดตอที่ ประชุมชน
หนวยการเรียนรูที่ 2 : การสรุปความจาก การฟง การดู
มาตรฐาน ท 2.1 ตัวชี้วัด
มาตรฐาน ท 1.1 ตัวชี้วัด
ตัวชี้วัด
มาตรฐาน ท 3.1
สาระที่ 3 ตัวชี้วัด
มาตรฐาน ท 4.1
สาระที่ 4
✓
✓
✓ ✓
✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓
✓
✓
✓ ✓
✓ ✓ ✓
✓ ✓
✓
1 2 3 4 5 6 7 8 9 1 2 3 4 5 6 7 8 1 2 3 4 5 6 1 2 3 4 5 6 7
สาระที่ 2
สาระที่ 1
16
ตอนที่ 3 : การพัฒนาทักษะการฟง การดู และการพูด หนวยการเรียนรูที่ 1 : หลักการฟงและ การดูสื่อ
หนวยการเรียนรู
มาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัด
เสร�ม
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ÃÒÂÇÔªÒ¾×é¹°Ò¹
ภาษาไทย
หลักภาษาและการใชภาษา ม.๔ ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๔
กลุมสาระการเรียนรูภาษาไทย ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ผูเรียบเรียง
นายภาสกร เกิดออน นางสาวระวีวรรณ อินทรประพันธ นางฟองจันทร สุขยิ่ง นางกัลยา สหชาติโกสีย นางสาวศรีวรรณ ชอยหิรัญ
ผูตรวจ
นางบุญลักษณ เอี่ยมสําอางค นางเกื้อกมล พฤกษประมูล นางสาวโสภิต พิทักษ
บรรณาธิการ
นายเอกรินทร สี่มหาศาล พิมพครั้งที่ ๘
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ รหัสสินคา ๓๔๑๑๐๐๓
¤Œ¹¤ÇÒÁÃÙŒ¢ÂÒ¤ÇÒÁ¤Ô´¨Ò¡
¾ÔÁ¾ ¤ÃÑ駷Õè 1 ÃËÑÊÊÔ¹¤ŒÒ 3441011
EB GUIDE
ที่พิมพกํากับหัวขอสําคัญในหนังสือเรียนหลักสูตรแกนกลางฯ ผาน www.aksorn.com ไปยังแหลงความรูทั่วไทย-ทั่วโลก
คณะผูจัดทําคูมือครู ประนอม พงษเผือก นงลักษณ เจนนาวี สมปอง ประทีปชวง
กระตุน ความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
¤íÒá¹Ð¹íÒ㹡ÒÃ㪌˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน หลักภาษาและการใชภาษาเลมนี้ สรางขึ้นเพื่อใหเปนสื่อสําหรับ ใชประกอบการเรียนการสอนในรายวิชาพืน้ ฐาน กลุม สาระการเรียนรูภ าษาไทย ชัน้ มัธยมศึกษาปท่ี ๔ โดยเนื้อหาตรงตามสาระการเรียนรูแกนกลางขั้นพื้นฐาน อานทําความเขาใจงาย ใหท้ังความรูและ ชวยพัฒนาผูเรียนตามหลักสูตรและตัวชี้วัด เนื้อหาสาระแบงออกเปนหนวยการเรียนรูตามโครงสรางรายวิชา สะดวกแกการจัดการเรียนการสอนและการวัดผลประเมินผล พรอมเสริมองคประกอบอื่นๆ ที่จะชวยทําให ผูเ รียนไดรบั ความรูอ ยางมีประสิทธิภาพ »¡Ô³¡Ð໚¹¤ÇÒÁÃÙŒà¾ÔèÁàµÔÁ¨Ò¡à¹×éÍËÒ â´ÂÁÕá·Ã¡à»š¹ÃÐÂÐæ
à¡ÃÔè¹¹íÒà¾×èÍãˌࢌÒ㨶֧ÊÒÃÐÊíÒ¤ÑÞ ã¹Ë¹‹Ç·Õè¨ÐàÃÕ¹
¨Ñ´¡ÅØ‹Áà¹×éÍËÒ໚¹Ë¹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ Êдǡᡋ¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹
ปกิณกะ
๕. กลวิธีการเขียนอธิบาย ตอนที่ ๒
¡ÒÃà¢Â Õ ¹ º¹ Ñ ·¡ Ö ¤ÇÒÁà ٌ
หนวยการ
เรียนรูท ี่
๑
ตัวชี้วัด ท ๒.๑ ม.๔-๖/๗ ,๘ • บันทึกการ ศึกษาคน ตนเองอยางสม ควาเพื่อนำไปพัฒนา • มีมารยาทใ ่ำเสมอ สาระการเรียนรู นการเขียน แกนกลาง • การเขียนบั นทึกความรูจ ากแหลงเรียนรู ที่หลากหลาย • มารยาทในก ารเขียน
¡ÒÃà¢Õ¹ ¤× Í ¡Òö‹ÒÂ·Í ¤ÇÒÁÃÙŒÊÖ¡ ¨Ô ´¤ÇÒÁÃÙŒ ¤ÇÒ ¹µ¹Ò¡Òà áÅ Á¤Ô´ ФÇÒÁµŒÍ§¡Ò ÊÒÃÍÍ¡ÁÒà âͧ¼ÙŒÊ‹§ »š¹ÅÒ ÊÒÁÒö͋ҹࢠÅѡɳ ÍÑ¡Éà à¾×èÍãËŒ ¼ÙŒÃѺÊÒà ŒÒ㨵çµÒÁ· ¼ è Õ à Œ Ù ¢Õ  ¹µ ¡ÒÃà¢Õ¹ãË ŒÍ§¡ÒÃä´Œ µŒÍ§¡ÒÃä´Œ¹ Œ¼ÙŒÍ‹Ò¹à¢ŒÒã¨ÊÒõçµÒÁ· Ñé¹ ¢Öé¹ÍÂÙ‹¡Ñº Õè¼ÙŒà¢Õ¹ ͧ¤ 䴌ᡋ »ÃРʺ¡Òó áÅÐÊ »ÃСͺËÅÒÂÍ‹ҧ Ôè§áÇ´ÅŒÍÁ¢ ¡Ñº¼ÙŒÍ‹Ò¹ ·Ñ ͧ¼ÙŒ ¡ÉзҧÀÒÉ Ò Ãкº¤ÇÒÁ à¢Õ¹ ¼ÙŒà¢Õ¹áÅм ¤Ô´¢Í§ ٌ͋ҹ
µÑǪÕéÇÑ´áÅÐÊÒÃСÒÃàÃÕ¹Ãٌ᡹¡ÅÒ§ µÒÁ·ÕèËÅÑ¡ÊٵáíÒ˹´ à¾×èÍãËŒ·ÃÒº¶Ö§à»‡ÒËÁÒÂã¹ ¡ÒÃÈÖ¡ÉÒ Design ˹ŒÒẺãËÁ‹ ÊǧÒÁ ¾ÔÁ¾ ô ÊÕ µÅÍ´àÅ‹Á ª‹ÇÂãˌ͋ҹ·íÒ¤ÇÒÁࢌÒã¨ä´Œ§‹Ò ตอนที่ ๔
าษา หลักภาษาและการใชภ
กลวิธีในการเขียนอธิบาย ที่พบเห็นเสมอๆ ไดแก การเขียนแสดงขั้นตอนเปนระยะๆ หรือ ๑) การเขียนอธิบายตามลำดับขั้นตอน เปน องลำดับขั้นตอนกอนหลังเชนนั้น และขั้นตอน เปนลำดับอยางสมเหตุสมผล และชี้ใหเห็นวาทำไมต การเขียนอธิบายจะทำใหเขาใจชัดเจนยิ่งขึ้น ตั้งแตตนจนจบสัมพันธกันอยางไร ถามีภาพประกอบ ใ นการอธิ บ ายหลั ก การหรื อวิ ธี การหรื อ ๒) การเขียนอธิบายโดยใชตัวอยาง มั ก ใช วยวิธีนี้มักมีการใชคำวา “ตัวอยาง” หรือ ขอความรูบางอยางที่เขาใจยาก การเขียนอธิบายด “เชน” อยูในขอเขียน มือนกันและตางกัน เปนวิธีการ ๓) การเขียนอธิบายโดยการเปรียบเทียบความเห ่งที่ผูฟงยังไมคุนเคย หรืออธิบายขอดี ขอเสีย เขียนที่เหมาะสำหรับอธิบายสิ่งแปลกใหม หรือสิ ตารางก็ได ของสิ่งใดสิ่งหนึ่งใหเห็นชัดเจน อาจทำเปนรูปหรือ ธที่สัมพันธกัน เปนการเขียนอธิบายที่ ๔) การเขียนอธิบายโดยชี้สาเหตุและผลลัพ ความสัมพันธกันในลักษณะใด ชี้ใหเห็นวา อะไรเปนเหตุ อะไรเปนผลลัพธ และมี คือ การเขียนอธิบายความหมายของคำ าม ย ิ น การให าม ย ิ น ายโดยให บ ๕) การเขียนอธิ ยนนิยามศัพทในงานวิจัยหรือการใหคำจำกัด ศัพทเพื่อใหเกิดความเขาใจตรงกัน เชน การเขี พื่อใหเขาใจไดชัดเจนขึ้น งประกอบเ า อย ว ั ต าจมี อ ้ ามนี ย ิ น การให ความในพจนานุกรม ใจในเรื่องที่ตนจะอธิบาย โดยอาศัยการ สิ่งจำเปนสำหรับผูอธิบาย คือ มีความรู ความเขา ยาวนาน ทั้งนี้จะตองรวบรวมความรู ระยะเวลา น เป น งกั อ ่ เนื อ ต ่ ี ท การณ สะสมความรูและประสบ ่จะถายทอดใหผูอื่นรู รูจักการสังเกตวิธีอธิบาย และความคิดของตนใหเปนระเบียบ แมนยำ กอนที กฝนใหถูกวิธีและสม่ำเสมอ ของผูอื่นอยูเสมอทั้งโดยการอานและการฟง หาโอกาสฝ ÇÔµ»ÃШÓÇѹ¢Í§
¹·Õè㪌ÁÒ¡·ÕèÊØ´ã¹ªÕ ¡ÒÃà¢Õ¹͸ԺÒ ໚¹¡ÒÃÊ×èÍÊÒôŒÇ¡ÒÃà¢Õ Ò¡ÒÃ Ò§æ ¡ÒÃ͸ԺÒ¶×Í໚¹ËÑÇ㨢ͧ§Ò¹·Ò§ÇÔª Á¹ØÉ â´Â੾ÒТŒÍà¢Õ¹㹵ÓÃÒÇÔªÒ¡Òõ‹ Œ¨Ñ¡ãªŒ¤ÓµÃ§¤ÇÒÁËÁÒ 㪌ÀÒÉÒ·Õè ¡ÒÃÃÙ Â §ÍÒÈÑ Í µŒ ᵋ¡ÒÃà¢Õ¹͸ԺÒ¨ÐÊÑÁÄ·¸Ô¼ÅËÃ×ÍäÁ‹¹Ñé¹ ²¹Ò ¾Ñ Í è ¼ÙŒà¢Õ¹¨Ö§¤Çýƒ¡»¯ÔºÑµÔÍ‹ҧÊÁèÓàÊÁÍà¾× §‹ÒÂáÅÐÊÒÁÒöࢌÒã¨ä´ŒªÑ´à¨¹ ´Ñ§¹Ñé¹ é¹áÅÐà¾×èÍãËŒÊÒÁÒö¹Óä»ãªŒã¹¡ÒÃÊ×èÍÊÒÃä´Œ ·Ñ¡ÉСÒÃà¢Õ¹͸ԺÒÂãËŒÁÕ¤ÇÒÁªÓ¹ÒÞÁÒ¡¢Ö Í‹ҧÁÕ»ÃÐÊÔ·¸ÔÀÒ¾
http://www.aksorn.com/LC/Thai_Gra/M4/06
29
Web Guide á¹Ð¹íÒáËÅ‹§¤Œ¹¤ÇŒÒ¢ŒÍÁÙÅ à¾ÔèÁàµÔÁ¼‹Ò¹Ãкº Online ÊÃþ ÊÒÃР໚¹ÊÒÃШҡà¹×éÍËÒ ¹Í¡à˹×ͨҡ·ÕèÁÕ ã¹ÊÒÃСÒÃàÃÕ¹Ãٌ᡹¡ÅÒ§ à¾×èÍà¾ÔèÁ¾Ù¹áÅТÂÒ ¾ÃÁá´¹¤ÇÒÁÃÙŒãËŒ¡ÇŒÒ§¢ÇÒ§ÍÍ¡ä» ดูจึง ังและการ ื่อ ื่น การฟ กเกณฑ์การ กษะอย่างอ มีหลั มากกว่าทั เวลาที่เสียไป จึง ง ั รฟ กา ษะใน ุ้มค่า างๆ ุษย์ใช้ทัก ดูบางอย่างไม่ค ๖. ก รายการต่ ะการ ะจำวัน มน ้ดูควรศึกษา อากาศนั้นๆ ในชีวิตปร เพราะการฟังแล ัน ผู้ฟังผู ีในแต่ละว ตรงกับสื่อที่จะออก ้เพื่อพิจารณา ีพิถัน ถ ิ าน งพ สถ อ ต้ จำ รประ วลาให้ รจดบันทึกไว จำเป็น ะดูสื่อ ดังนี้ คว อกจัดสรรเ จะมีรายกา เลือกฟังแล ื่อวิทยุโทรทัศน์ สถานีใด และเลื ที่แปลก สะดุดหู ด งให้ ๑. ส ลาใด ของเครื่อ ำพูด ใช้คำใ ากาศในเว การใดแล้วพบค าไม่ถูกต้องควรจะ ้เครื่องมือต่างๆ กอ ออ จะ ก่อนว่า เมื่อฟังหรือดูราย เพราะเหตุใด ถ้ งศึกษาวิธีการใช ธีใช้ที่ถูกต้อง รรู้จัก คว ๒. งหรือไม่ ถบบันทึกเสียงต้อ ต่างๆ และศึกษาวิ ่น อินเทอร์เน็ต นั้นถูกต้อ รม ์ เช กแ ว่าข้อความ ถ้าเป็นการฟังจา งรู้จักวิธีใช้โปรแก เภทคอมพิวเตอร าภาษา ณ อ ระ ต้ าร ๓. ์ รพิจ ิวเตอร อิเล็กทรอนิกส์ป ความรู้ ามาก คว ูน ่อ เป็นคอมพ เข้าใจ ถ้า ถ้าเป็นการดูจากสื รรค์ เกิดการเพิ่มพ ารายการใดมีโฆษณ ถ้ งส ๔. า ้ ด ู น ั สร ะพ ระ ด ะจำว ามที่ฟังแล ในชีวิตปร ื่อถือเพียงใ ี่มีเนื้อหาสา เว็บไซต์ท รู้จักวิเคราะห์ข้อคว าะสม และน่าเช ค่าในการนำไปใช้ ๕. วามเหม ะให้คุณ สนอว่ามีค ี่เหมาะกับวัย แล ์ ำเ รน กา ภาพยนตรน ภาพ ายการท มเป็ ๖. เลือกร ความนิย
¤íÒ¶ÒÁ»ÃШíÒ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒáÅСԨ¡ÃÃÁÊÌҧÊÃä ¾Ñ²¹Ò¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒà¾×èÍãËŒ¼ÙŒàÃÕ¹ÁդسÀÒ¾ºÃÃÅØÁҵðҹ áÅеÑǪÕéÇÑ´
ือกดูส
และเล
กฟัง ารเลือ
่งได้รับ ตนาการให้ ภทหนึ่งซึ จิน ่ออีกประเ ามารถถ่ายทอด ารถเข้าใจใน ร์ เป็นสื ที่ส าม ภาพยนต เนื่องจากเป็นสื่อ รู้ บั สือ่ หรอื ผูช้ มส ปัจจุบัน สียง จึงทำใหผ้ ือ ใน าก ผู้สร้างค อย่างม ว้ ยภาพและเ วสุวรรณ ด้ ป็น รูปธรรม เปน็ จรงิ ได งๆ ไดอ้ ย่างเปน็ รกคือเรื่องนางสา ช้ผู้แสดงทั้งหมดเ ร ี้ใ กา งแ ต่า เรอื่ งราว พยนตร์ไทยเรื่อ ภาพยนตร์เรื่องน นตร์ไทยที่ได้รับ ศ. พย ภา พ. ัล ูนิเวอร์ซ ชคสองชั้นเป็นภา งโดยคนไทยใน พยนตร์ย งโ ร้า บริษัทภา นภาพยนตร์เรื่อ รคา้ เรอื่ งแรกทีส่ ส่ว กา ู่บนตาราง คนไทย นภาพยนตร์เพือ่ อย ไป น ้ ึ ถข เ้ ป็ ามาร ชอบและ ยอมรบั ให ลกและส เรื่องที่เป็นที่ชื่น าย ุ่งสู่ตลาดโ ๒๔๗๐ ยนตร์ที่ม ยนตร์ไทยอีกหล ไทยมีภาพ มีภาพ ประเทศ มริกา และยัง น ั บ จุ จ รัฐอเ ในปั ะเทศสห ร์นานาชาติ ฟิศในปร นต บ็อกซ์ออฟ ในเทศกาลภาพย ลั ไดร้ บั รางว
าระ สรรพส์
บการดำเนิน ภาษาเปนสื่อสำคัญในการสื่อสารและเกี่ยวของกัประสบควา ม ่จะชวยใหชีวิต ชีวิตของมนุษย ถือเปนสวนสำคัญสวนหนึ่งที วิธีการ และได เกณฑ ก ใจในหลั า วามเข ค วามรู ค าษามี ภ ช ใ สำเร็จ หากผู ่ง ซึ งดี า อย น าษาเป ภ ษะในการใช ฝกฝนอยางถูกตอง ยอมชวยใหผูนั้นมีทัก เปนคนมีเหตุผลและมีความ การมีพัฒนาทางภาษาที่ดีสงผลใหบุคคลนั้น สารเกิดประสิทธิภาพ อ ่ ารสื ก และทำให ี ด ่ ี ท ธ น พั ม ั ส ย ษ นุ ม มี เชื่อมั่นในตนเอง
EB GUIDE
เรื่องสั้นและนวนิยาย
เรื่องสั้นและนวนิยายในประเทศไท ยเกิดขึ้นพร้อมๆ กับการรับอิทธิพลทางวัฒนธรรม จากชาติตะวันตก โดย เฉพาะเมื่อมิชชันนารีอเมริกันได้น ำวิทยาการการพิมพ์เข้ามา ประเทศไทยใน พ.ศ. ๒๓๗๘ สำหรับการแต่งนวนิยายเรื่อ กล่าวว่าเรื่อง สนุกนิ์นึก บทพระนงแรก ผู้รู้หลายท่านจะ ปรีชากร อาจจะเป็นนวนิยายเรื ิพนธ์ในกรมหลวงพิชิต ่องแรกของไทยที่แต่งเลียน แบบนวนิยายตะวันตก อย่างไรก็ ตามเรื ตอนเดี ย วก็ ถู ก ระงั บ เนื่ อ งจากถู ่องนี้ก็แต่งได้เพียง ก กระทบกระเทือนวงการศาสนาในสมั กล่ า วหาว่ า มี เ นื้ อ หา ยนั้น ส่วนนวนิยายเต็มเรื่องเรื่องแรกขอ งไทยเป ็ น นวนิยาย แปลเรื่อง ความพยาบาท ที่ “แม่ วัน” แปลมาจากหนังสือชื่อ Vandetta ของ Marie Corelli หลั ให้ “ครูเหลี่ยม” เขียนนวนิยายไทยทงจากนั้นก็สร้างแรงจูงใจ ี่มีเนื้อเรื่องแบบไทยล้อ เลียนเรื่องแปลของแม่วัน โดยใช้ ชื่อเรื่องว่า ความไม่พยาบาท ใน พ.ศ. ๒๔๕๘ งานเขียนเรื่องสั้นและนวนิยายไทยม ีวิวัฒนาการเรื่อย มาจนกระทั่งช่วง พ.ศ. ๒๔๗๑๒๔๗๒ ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่ สำคัญของประวัติวรรณคดีไทย เนื นักเขียนซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้ม ่องจากเป็นช่วงเวลาที่เกิด ีการเขียนเรื่องสั้นและนวนิยายในยุ คต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๗๑ กุหลาบ สายประ ดิษ แต่งนวนิยายเรื่อง ลูกผู้ชาย ซึ่งได้ ฐ์ หรือ “ศรีบูรพา” รับ พ.ศ. ๒๔๗๒ “ดอกไม้สด” แต่ ความนิยมอย่างมาก ง และหม่อมเจ้าอากาศดำเกิง รพี ศัตรูของเจ้าหล่อน พัฒ ชีวิต นักเขียนทั้งสามท่านเขียนนวนิ น์ แต่ง ละครแห่ง ย เรื่องแตกต่างจากนวนิยายต่างประเท ายออกมาโดยมีแนว สามท่ า นได้ รั บ การยอ มรั บ และเป็ ศ ทำให้นักเขียนทั้ง น ต้ น แบบกา รเขี ย น นวนิยายเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน แม้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจิ ใหญ่ แต่ก็มีประโยชน์และคุณค่ นตนาการเป็นส่วน าในตัวเอง เนื่องจากมี เนื้อหาที่สามารถบอกเรื่องราวแล ะความนึกคิดของผู้คนในยุคสมัย ต่างๆ ได้ เช่น เรื่องสี่แผ่นดิน ของ ม.ร.ว. คึก ชีวิตไทยในอดีต หรือเรื่องราวขอ ฤทธิ์ ปราโมช ที่สะท้อนเรื่องราวของ งสงครามโลกครั้งที่สองในเรื่อง คู ่กรรม ของ “ทมยันตี” เป็นต้น
102
คำถามประจำหน่วยการเรียนรู้
๑. การรับสารด้วยการฟังและการดูมีความสำคัญอย่างไร ๒. การฟังปาฐกถา ผู้ฟังมีจุดมุ่งหมายในการฟังอย่างไร ๓. หากนักเรียนต้องการฟังหรือดูสื่อเพื่อให้ได้ข้อคิด คติชีวิต ควรเลือกฟังและดูสื่อ ประเภทใด ๔. การฟังหรือการดูข่าวสารต่างๆ มีประโยชน์อย่างไร ๕. การฟัง การดูสื่อต่างๆ เหตุใดจึงต้องเลือกให้เหมาะกับวัย จงอธิบายและยกตัวอย่าง ประกอบ
๑. ให้นักเรียนเลือกฟังหรือดูสื่อ ๑ รายการ แล้วนำเสนอหน้าชั้นเรียนตามหัวข้อที่ กำหนด - หลักการเลือกฟังหรือดู - คุณค่าที่ได้รับจากการฟังหรือการดู ๒. ให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับสื่อต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อผู้ฟังหรือผู้ดู พร้อมเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสม ๓. ให้นักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้ภาษาของสื่อโฆษณาทาง โทรทัศน์ว่ามีลักษณะอย่างไร มีผลดีหรือผลเสียต่อผู้รับสื่ออย่างไร
กิจกรรมสร้างสรรค์พัฒนาการเรียนรู้
104
กระตุน ความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ÊÒúÑ๑
หนา
ตอนที่ การอาน ๑ - ๕๔ หนวยการเรียนรูที่ ๑ การอานออกเสียงบทรอยแกวและบทรอยกรอง ๒ หนวยการเรียนรูที่ ๒ การอานสื่อสิ่งพิมพและสื่ออิเล็กทรอนิกส ๑๙ หนวยการเรียนรูที่ ๓ การอานแปลความ ตีความ และขยายความ ๔๑ หนวยการเรียนรูที่ ๔ การอานเพื่อแสดงความคิดเห็น ๔๙ ตอนที่ การเขียน ๕๕ - ๙๙ หนวยการเรียนรูที่ ๑ การเขียนบันทึกความรู ๕๖ หนวยการเรียนรูที่ ๒ การเขียนเรียงความ ยอความ จดหมาย ๖๗ หนวยการเรียนรูที่ ๓ การเขียนอธิบาย ๘๘ หนวยการเรียนรูที่ ๔ การกรอกแบบรายการ ๙๙
๒
ตรวจสอบผล Evaluate
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
๓
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Expand
หนา
ตอนที่ การฟง การดู และการพูด ๑๐๗ - ๑๒๘ หนวยการเรียนรูที่ ๑ หลักการฟงและการดูสื่อ ๑๐๘ หนวยการเรียนรูที่ ๒ การสรุปความจากการฟง การดู ๑๑๕ หนวยการเรียนรูที่ ๓ การพูดตอที่ประชุมชน ๑๒๐ ตอนที่ หลักภาษาและการใชภาษา ๑๒๙ - ๑๘๖ หนวยการเรียนรูที่ ๑ ธรรมชาติและพลังของภาษา ๑๓๐ หนวยการเรียนรูที่ ๒ ลักษณะของภาษาไทย ๑๔๔ หนวยการเรียนรูที่ ๓ คำราชาศัพท ๑๕๖ หนวยการเรียนรูที่ ๔ การแตงคำประพันธประเภทกาพยและโคลง ๑๗๑ บรรณานุกรม ๑๘๗
๔
ตรวจสอบผล Evaluate
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explore
Explain
Expand
Evaluate
กระตุน ความสนใจ
ตอนที่ ๑
¡ÒÃÍ‹Ò¹
การอานเปนเครื่องมือที่สำคัญอยางหนึ่งในการแสวงหาความรู
เพื่อพัฒนาตนเองใหเปนคนรอบรู ทันเหตุการณและสามารถอานสารตางๆ ไดอยางแตกฉาน ถูกตองตามอักขรวิธี ซึ่งปจจุบันมีสื่อตางๆ ใหเลือกอยาง หลากหลายทั้งประเภทรอยแกวและรอยกรอง หากผูอานเขาใจหลักการ อานและมีวิจารณญาณในการเลือกอานสารที่มีคุณคา ยอมสงผลใหการ อานเกิดประโยชนและผูอานไดรับอรรถรสจากการอาน
Engage
ครูสนทนาซักถามกระตุนความสนใจ ดังตอไปนี้ • นักเรียนรูจักหนังสือที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร บาง พรอมยกตัวอยางรายชื่อหนังสือที่ นักเรียนรูจัก (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ไดอยางหลากหลายขึ้นอยูกับเหตุผลของ นักเรียน เปนตนวา นวนิยาย เชน ลับแล, แกงคอย ความสุขของกะทิ คําพิพากษา เปนตน วรรณกรรมเยาวชน เชน แฮรี่ พอตเตอร แมงมุมเพื่อนรัก เปนตน รวมถึง หนังสือประเภทสารคดี และนิตยสาร) • หนังสือเลมใดที่นักเรียนชอบมากที่สุด เพราะเหตุใดนักเรียนจึงชอบอานหนังสือ เลมนั้น (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบไดอยาง หลากหลายขึ้นอยูกับเหตุผลของนักเรียน เปนตนวา แฮรี่ พอตเตอร เนื่องจากมีเนื้อหา สนุกสนานสงเสริมจินตนาการสรางสรรค และใหขอคิดที่ดีโดยเฉพาะขอคิดเกี่ยวกับ การเสียสละ) • นักเรียนมีวิธีการเลือกอานหนังสืออยางไร และหนังสือแตละประเภทมีจุดมุงหมายใน การอานและการทําความเขาใจแตกตางกัน หรือไมอยางไร (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบไดอยาง หลากหลายขึ้นอยูกับเหตุผลของนักเรียน)
เกร็ดแนะครู ในการจัดการเรียนการสอนเนื้อหาเกี่ยวกับการอานนั้น ครูควรเนนทบทวนความรู และประสบการณเดิมของนักเรียนเปนหลัก รวมถึงเพิ่มเติมความรูเกี่ยวกับหลักการ พิจารณาเลือกอานหนังสือ โดยกลาวถึงลักษณะของหนังสือแตละประเภทมีการนําเสนอ เนื้อหาที่มีความแตกตางกัน การกําหนดวัตถุประสงคในการอานยอมมีความแตกตาง กันไปดวย สงผลตอวิธีการอาน และการเลือกอานหนังสือเพื่อตอบสนองวัตถุประสงค ของแตละคน ความรูดังกลาวยอมเปนพื้นฐานในการเลือกอานหนังสือใหสอดคลอง กับจุดมุงหมายของนักเรียน และนักเรียนสามารถนําขอมูลความรูที่ไดไปประยุกตทั้ง ในดานการเลือกอานหนังสือและการสืบคนขอมูลความรูได นอกจากนี้ ครูผูสอนควร พิจารณาความสามารถในการอานของนักเรียนแตละคนวา นักเรียนแตละคนมีพื้นฐาน การอานในระดับใด อยางไร เนื่องจากยังมีการอานในอีกลักษณะหนึ่งซึ่งมีจุดมุงหมาย ในการอานเพื่อการสงสาร คือ การอานออกเสียง ทั้งการอานออกเสียงบทรอยแกว และบทรอยกรอง ครูผูสอนจึงควรเนนใหนักเรียนทําความเขาใจเนื้อหารวมถึงอรรถรส ของสารจากบทประพันธกอนเปนอันดับแรก จากนั้นจึงสื่อสารเนื้อหาในบทประพันธ ถายทอดสูผูอานดวยวิธีการอานออกเสียง คูมือครู 1
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explore
Explain
Expand
Evaluate
เปาหมายการเรียนรู
1. อานออกเสียงบทรอยแกวและบทรอยกรองได อยางถูกตอง ไพเราะ และเหมาะสมกับเรื่องที่ อาน 2. ตอบคําถามจากการอานงานเขียนประเภท ตางๆ ภายในเวลาที่กําหนด
ตอนที่ ๑
สมรรถนะของผูเรียน 1. 2. 3. 4.
ความสามารถในการสื่อสาร ความสามารถในการคิด ความสามารถในการใชทักษะชีวิต ความสามารถในการใชเทคโนโลยี
คุณลักษณะอันพึงประสงค
¡ÒÃÍ‹Ò¹ÍÍ¡àÊÕ§ º·ÃŒÍÂá¡ŒÇáÅÐ º·ÃŒÍ¡Ãͧ
1. ใฝเรียนรู 2. มุงมั่นในการทํางาน 3. รักความเปนไทย
หนวยการเรียนรูที่
กระตุน ความสนใจ
Engage
ครูสนทนาซักถามกระตุนความสนใจ ดังตอไปนี้ • เมื่อนักเรียนอานวรรณคดีไทยเรื่องตางๆ อาทิ ขุนชาง ขุนแผน พระอภัยมณี อิเหนา นักเรียน เคยสังเกตบางหรือไมวา การอานออกเสียง ชวยใหวรรณคดีมีความไพเราะยิ่งขึ้น นักเรียน คิดวา เหตุใดจึงเปนเชนนั้น (แนวตอบ การอานออกเสียงมีความไพเราะจาก สัมผัส การเลนเสียง เลนคํา) • นักเรียนคิดวา การอานออกเสียงมีความสําคัญ อยางไร (แนวตอบ นักเรียนตอบไดหลากหลาย เปนตนวา เปนการสื่อสารกับบุคคลอื่นผานการอาน)
ตัวชี้วัด ท ๑.๑ ม.๔-๖/๑, ๖ • อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรอง ได้อย่างถูกต้อง ไพเราะ และเหมาะสมกับ เรื่องที่อ่าน สาระการเรียนรู้แกนกลาง • การอ่านออกเสียงบทร้อยแก้ว • การอ่านออกเสียงบทร้อยกรอง
เกร็ดแนะครู ครูควรเนนทบทวนความรูและประสบการณเดิมของนักเรียนเปนหลัก และครูควร เพิ่มเติมความรูเกี่ยวกับหลักการสื่อสารผานการอานออกเสียง ซึ่งเปนการสื่อสารกับ บุคคลอื่น หากนักเรียนเปนบุคคลที่กําลังทําหนาที่ถายทอดสารผานการอานออกเสียง นักเรียนตองคํานึงถึงมารยาทในการอาน รวมถึงหลักการอานออกเสียงที่ดี นอกจากนี้ ในการจัดการเรียนการสอนเกี่ยวกับการอานออกเสียง ครูผูสอนควรคํานึงถึงความ สามารถเฉพาะตัวของนักเรียนแตละคน เนื่องจากนักเรียนแตละคนมีความสามารถ เฉพาะตัวแตกตางกัน เชน ความสามารถในการใชเสียง ไมวาจะเปนการเอื้อนเสียง ทอดเสียง การใสอารมณความรูสึกในบทประพันธ เปนตน ครูผูสอนจึงไมควรบังคับ นักเรียนใหอานออกเสียงใหมีความไพเราะเพียงอยางเดียว แตครูควรเนนทักษะการ พิจารณาบทประพันธ การทําความเขาใจเนื้อหา อารมณ และความรูสึกในบทประพันธ ดวย เพื่อใหนักเรียนไดเรียนรูทักษะอยางอื่นพรอมกัน การเรียนรูทักษะการอานให ไพเราะเพียงอยางเดียว อาจสงผลใหนักเรียนเกิดความรูสึกที่ไมดีทั้งตอครูผูสอนและ วิชาภาษาไทย จนอาจนําไปสูอคติตอการเรียนการสอนวิชาภาษาไทยไดในทายที่สุด
2
คูมือครู
๑
¡ÒÃÍ‹Ò¹ ໚¹·Ñ¡ÉзÕèÊÓ¤ÑÞ㹡ÒÃÃѺÊÒà áÅÐÁÕ¤ÇÒÁ¨Ó໚¹ã¹ªÕÇµÔ »ÃШÓÇѹ äÁ‹ÇÒ‹ ¨Ð໚¹¡Òà ͋ҹÍÍ¡àÊÕ§ËÃ×ÍÍ‹Ò¹ã¹ã¨ â´Â੾ÒСÒÃÍ‹Ò¹ ÍÍ¡àÊÕ Â §¨Ó໚ ¹ Í‹ Ò §ÂÔè § ·Õè ¨ еŒ Í §ÈÖ ¡ ÉÒáÅÐ·Ó ¤ÇÒÁࢌÒã¨à¡ÕèÂǡѺÃٻẺ ¨Ñ§ËÇÐ áÅз‹Ç§ ·Ó¹Í§ã¹¡ÒÃÍ‹Ò¹ãˌࢌÒã¨áÅнƒ¡¡ÒÃÍ‹Ò¹ãËŒ¶¡Ù µŒÍ§ áÅЪѴਹ ¨Ö§¨Ð·ÓãËŒ¡ÒÃÍ‹Ò¹ÊÑÁÄ·¸Ô¼ÅáÅÐ à¡Ô´»ÃÐ⪹ ʧ٠ÊØ´
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
กระตุน ความสนใจ
๑. การอ่านบทร้อยแก้ว ร้อยแก้ว หมายถึง บทประพันธ์ที่เรียบเรียงตามภาษาที่ใช้เขียนหรือพูดกันทั่วไป ภาษาที่ ใช้สำหรับร้อยแก้วไม่มีการบังคับสัมผัสหรือกำหนดจำนวนคำแต่อย่างใด เป็นภาษาที่ใช้สื่อสาร เพื่อให้เกิดความเข้าใจเป็นสำคัญ รูปแบบของงานเขียนประเภทร้อยแก้ว แบ่งออกได้เป็น ๒ ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้ ๑. บั น เทิ ง คดี เป็ น ลั ก ษณะงานประพั น ธ์ ที่ มี เ นื้ อ หามุ่ ง จะเสนอเรื่ อ งที่ แ ต่ ง ขึ้ น จาก จินตนาการเพื่อความเพลิดเพลินเป็นหลัก งานประพันธ์ประเภทบันเทิงคดี ได้แก่ นิทาน เรื่องสั้น นวนิยาย นิยายอิงพงศาวดาร และนิทานชาดก ๒. สารคดี เป็นลักษณะงานประพันธ์ที่มีเนื้อหามุ่งเสนอข้อเท็จจริงที่เป็นความรู้ ข้อคิด เป็นหลัก งานประพันธ์ประเภทสารคดี ได้แก่ ความเรียง บทความ สารคดี รายงาน ตำรา พงศาวดาร กฎหมาย จดหมายเหตุ พระราชหัตถเลขา จารึก และคัมภีร์ศาสนา
๑.๑ หลักการอ่านออกเสียงบทร้อยแก้ว
▼
เป็นการอ่านออกเสียงธรรมดาหรือสื่อสารให้ผู้อื่นเข้าใจเรื่องราวที่อ่านได้ มีหลักใน การอ่าน ดังนี้ ๑. ก่อนอ่านควรศึกษาเรื่องที่อ่านให้เข้าใจโดยตลอดเสียก่อน โดยเข้าใจทั้งสาระสำคัญ ของเรื่องและข้อความทุกข้อความ เพื่อจะแบ่งวรรคตอนในการอ่านได้อย่างเหมาะสม ๒. อ่านให้ถูกต้องตามอักขรวิธีในภาษา ทั้งภาษาไทยและภาษาที่ยืมมาจากภาษาอื่นๆ เช่น บาลี สันสกฤต เขมร เป็นต้น รวมทั้งคำที่ถูกต้องตามความนิยม โดยอาศัยหลักการอ่าน จากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานเป็นสำคัญ ๓. ผู้ อ่ า นต้ อ งมี ส มาธิ แ ละความ มั่นใจในการอ่าน ไม่อ่านผิด อ่านตก หรือ อ่านเติมเวลาอ่านต้องควบคุมสายตาให้ไล่ ไปตามตัวอักษรทุกตัวในแต่ละบรรทัดจาก ซ้ายไปขวาด้วย ความรวดเร็วว่องไวและ รอบคอบ แล้ ว ย้ อ นสายตากลั บ ลงไปยั ง บรรทัดถัดไปอย่างแม่นยำ ๔. อ่ า นออกเสี ย งให้ เ ป็ น เสี ย งพู ด อย่างธรรมชาติ โดยเน้นเสียงหนัก เบา สูง การอานออกเสียงที่ถูกตองชัดเจนเกิดจากการปลูกฝงการอาน ที่ดี และฝกอานจนเกิดทักษะ ต่ำ ตามลักษณะการพูดโดยทั่วไป 3
กิจกรรมสรางเสริม นักเรียนอานลักษณะของงานเขียนรอยแกวจากแหลงเรียนรูตางๆ จากนั้น ใหนักเรียนรวบรวมงานเขียน 10 ประเภท มาพิจารณาจัดแบงวา เปนงานเขียนประเภทใด โดยบอกเกณฑในการแบง จากนั้นบันทึกลงในสมุด
กิจกรรมทาทาย นักเรียนศึกษาหลักการอานออกเสียงรอยแกวจากแหลงเรียนรูตางๆ เพื่อ ใชเปนแนวทางในการคัดเลือกงานวรรณกรรมประเภทรอยแกวสําหรับอาน วิเคราะหสาร นักเรียนสรุปสาระสําคัญของเรื่องที่อานลงในสมุด
Engage
ครูนําตัวอยางวีดิทัศนที่มีการนําเสนอขาวมา เปดใหนักเรียนชม จากนั้นนักเรียนรวมกันถายทอด ประสบการณ โดยครูใชคําถามกระตุนความสนใจ ดังตอไปนี้ • นักเรียนคิดวา วีดิทัศนที่นักเรียนไดรับชม ขางตน หากพิจารณาในดานของเนื้อหา วีดิทัศนดังกลาวจัดเปนผลงานประเภท บันเทิงคดีหรือสารคดี (แนวตอบ ผลงานสารคดี)
สํารวจคนหา
Explore
นักเรียนศึกษารูปแบบงานเขียนประเภท รอยแกวทั้งงานเขียนประเภทบันเทิงคดีและ งานเขียนประเภทสารคดี พรอมศึกษาหลักการ อานออกเสียงรอยแกวและหลักการอานในใจ
อธิบายความรู
Explain
1. นักเรียนจัดกลุม กลุมละ 4 - 5 คน พรอม รวมกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากประเด็น คําถาม ดังตอไปนี้ • นักเรียนคิดวา รูปแบบงานเขียนประเภท สารคดีและบันเทิงคดีมีความเหมือนและ ความแตกตางกันอยางไร (แนวตอบ มีความแตกตางในดานเนื้อหา และกลวิธีการนําเสนอ โดยบันเทิงคดีมี การนําเสนอดวยการผูกเรื่องราว ไมเนน สาระหรือขอเท็จจริง สวนสารคดีเนน ขอเท็จจริงเปนหลัก ในสวนของเปาหมาย การสื่อสารก็แตกตางกัน โดยบันเทิงคดี เนนความเพลิดเพลิน สวนสารคดีเนนสาระ ความรูเปนหลัก) 2. นักเรียนบันทึกความเขาใจลงในสมุด
เกร็ดแนะครู ครูควรเพิ่มเติมความรูเกี่ยวกับวิธีการจําแนกงานทั้งสองประเภทระหวางงาน สารคดีและงานบันเทิงคดี ซึ่งเปนการจําแนกตามประเภทของเนื้อหา โดยงาน ประเภทสารคดีใหความสําคัญกับเนื้อหา ขอเท็จจริง ซึ่งแตกตางจากงานบันเทิงคดี ที่เนนกลวิธีการนําเสนอเพื่อใหเกิดความบันเทิง ความแตกตางของเนื้อหาจึงนําไปสู กลวิธีการนําเสนอที่มีความแตกตางกัน การอานงานเขียนทั้งสองประเภทไมวาจะเปน งานสารคดีหรือบันเทิงคดีในขณะที่อาน นักเรียนควรพิจารณาเนื้อหารวมถึงประเมินคา สารจากบทอาน เพื่อใหนักเรียนเกิดการตีความเนื้อหา นอกจากจะเปนการสราง ความเขาใจเนื้อหาจากบทอานแลว เมื่อนักเรียนตองการอานออกเสียง ซึ่งเปนการ อานเพื่อสงสารใหผูอานเกิดความเขาใจ ยังกอใหเกิดอรรถรสในการสื่อสารไดเปน อยางดี นอกจากนี้ ครูควรเพิ่มเติมความรูความเขาใจเกี่ยวกับทักษะการอานเพื่อ ทําความเขาใจสารใหมีความลึกซึ้ง เพื่อใหนักเรียนสามารถตีความอารมณความรูสึก และจุดมุงหมายในการสื่อสารไดดียิ่งขึ้น ชวยใหนักเรียนเลือกใชนํ้าเสียง จังหวะลีลา ในการอานไดสอดคลองกลมกลืนกับเนื้อหาที่นําเสนอ คูมือครู
3
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู
Expand
1. นักเรียนยกตัวอยางงานเขียนประเภทบันเทิงคดี และสารคดีคนละ 2 ตัวอยาง 2. นักเรียนคนควางานเขียนประเภทบันเทิงคดี และสารคดี ประเภทละ 1 ตัวอยาง พรอมสรุป เนื้อหาที่ไดจากการอาน จากนั้นรวมกันอภิปราย วางานเขียนทั้งสองประเภทมีความแตกตางกัน อยางไร
ตรวจสอบผล
Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
Explain
1. นักเรียนรวมกันตอบคําถาม ตอไปนี้ • นักเรียนคิดวา การอานออกเสียงและการอาน ในใจมีเปาหมายในการสื่อสารที่แตกตางกัน หรือไม อยางไร (แนวตอบ มีเปาหมายในการสื่อสารที่แตกตาง กัน โดยการอานในใจเปนการมุงสื่อสารกับ ตนเอง จึงเนนความเขาใจเนื้อหาของเรื่องเปน หลัก สวนการอานออกเสียงมุงสื่อสารกับผูอื่น การอานจึงตองเนนนํ้าเสียงที่มีความชัดเจน เพื่อสื่อเนื้อหาที่เดนชัด) • นักเรียนคิดวา จุดมุงหมายในการอานที่มี ความแตกตางกันสงผลตอหลักการอานที่มี ความแตกตางกันหรือไม อยางไร (แนวตอบ สงผลตอวิธีการอานที่แตกตางกัน เนื่องจากการอานออกเสียงตองคํานึงถึงปจจัย หลายอยาง โดยเฉพาะอยางยิ่งความชัดเจน ของนํ้าเสียง นักเรียนสามารถยกหลักการอาน ออกเสียงบทรอยแกวในหนา 3 และ 4 มา ประกอบการอธิบายเพิ่มเติมได) 2. นักเรียนบันทึกความเขาใจลงในสมุด
ขยายความเขาใจ
อธิบายความรู
Evaluate
๕. อ่านออกเสียงให้ดังพอสมควร ให้เหมาะกับสถานที่และจำนวนผู้ฟัง ไม่ดังหรือค่อย จนเกินไป จะทำให้ผู้ฟังเกิดความรำคาญและไม่สนใจ ๖. กำหนดความเร็วให้เหมาะสมกับผู้ฟังและเรื่องที่อ่าน ไม่อ่านเร็วหรือช้าเกินไป การ อ่านเร็วเกินไปทำให้ผู้ฟังจับใจความไม่ทัน แต่การอ่านช้าเกินไปทำให้ผู้ฟังเกิดความรำคาญได้ ผู้ อ่านจึงต้องพิจารณาพื้นความรู้ของผู้ฟังและพิจารณาประเภทของเรื่องที่อ่านด้วย ๗. อ่านให้ถูกจังหวะวรรคตอน ต้องอ่านให้จบคำและได้ใจความ ถ้าเป็นคำยาวหรือคำ หลายพยางค์ ไม่ควรหยุดกลางคำหรือตัดประโยคจนเสียความ ๘. มีการเน้นคำที่สำคัญและคำที่ต้องการ เพื่อให้เกิดจินตภาพที่ต้องการ ควรเน้นเฉพาะ คำ ไม่ใช่ทั้งวรรคหรือทั้งประโยค เช่น “พิมนิ่งงัน คำพูดของแม่บาดลึกเข้าไปในความรู้สึก”
๙. เมื่ออ่านข้อความที่มีเครื่องหมายวรรคตอนกำกับ ควรอ่านให้ถูกต้องตามหลักภาษา ส่วนคำที่ใช้อักษรย่อต้องอ่านให้เต็มคำ เช่น ทูลเกล้าฯ พ.ศ.
อ่านว่า อ่านว่า
ทูน - เกล้า- ทูน - กระ - หม่อม พุด - ทะ - สัก - กะ - หราด
๑๐. เมื่ออ่านจบย่อหน้าหนึ่งควรผ่อนลมหายใจและเมื่อขึ้นย่อหน้าใหม่ควรเน้นเสียงและ ทอดเสียงให้ช้าลงกว่าปกติเล็กน้อย เพื่อดึงความสนใจจากผู้ฟัง จากนั้นจึงใช้เสียงในระดับปกติ
๑.๒ การอ่านในใจ การอ่านในใจ เป็นการทำความเข้าใจสัญลักษณ์ที่มีผู้บันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร รูปภาพ และเครื่องหมายต่างๆ แล้วผู้อ่านจะต้องทำความเข้าใจโดยแปลสัญลักษณ์ที่บันทึกไว้นั้น ให้ตรงตามความต้องการของผู้บันทึก การอ่านในใจจึงใช้เพียงสายตากวาดไปตามตัวอักษรหรือ สัญลักษณ์ต่างๆ แล้วใช้ความคิดแปลความ ตีความ รับสารต่างๆ ที่อ่านนั้น ทำให้ผู้อ่านได้รับ ความรู้ ความคิด และความบันเทิง อันเป็นจุดมุ่งหมายของการอ่านโดยทั่วไป การอ่านที่จะช่วยให้ผู้อ่านสามารถบรรลุจุดมุ่งหมายในการอ่านไม่ว่าจะเป็นการอ่านเพื่อ ศึกษาหาความรู้ เพื่อหาคำตอบ หรือเพื่อความบันเทิงนั้น ผู้อ่านต้องอ่านอย่างมีประสิทธิภาพ วิธี ที่จะช่วยให้อ่านอย่างมีประสิทธิภาพได้นั้น ผู้อ่านต้องสามารถจับใจความสำคัญของเรื่องที่อ่านได้ ต้องรู้ว่าเรื่องที่ตนอ่านนั้นผู้เขียนกล่าวถึงอะไร มุ่งเสนอความคิดหลักว่าอย่างไร และฝึกอย่าง สม่ำเสมอ เพื่อให้สามารถจับใจความจากข้อความหรือเรื่องราวที่อ่านได้อย่างรวดเร็ว อันจะเป็น ประโยชน์อย่างยิ่งในการแสวงหาความรู้หรือความบันเทิงในเวลาอันจำกัด 4
นักเรียนสามารถบอกความแตกตางระหวางงาน บันเทิงคดีและสารคดี พรอมยกตัวอยางประกอบได
เกร็ดแนะครู ครูควรเพิ่มเติมความรูเกี่ยวกับการอานและการประเมินคางานเขียนประเภท บันเทิงคดีและงานเขียนประเภทสารคดี เมื่อนักเรียนมีความรูความเขาใจเกี่ยวกับงาน เขียนแตละประเภท รวมถึงเขาใจจุดมุงหมายของงานเขียนแตละประเภทแลว นักเรียน สามารถนําความรูดังกลาวมาเปนพื้นฐานในการอานและการทําความเขาใจเนื้อหาใน บทอานได โดยการอานแบบประเมินคาเปนการตัดสินความถูกตอง เที่ยงตรง และ คุณคาของเรื่องที่อานวามีความชัดเจนหรือไม มากนอยเพียงไร มีความนาเชื่อถือใน ระดับใด มีคุณคาหรือไม อยางไร โดยพิจารณาเนื้อหา วิธีการนําเสนอ และการใช ภาษา การประเมินคางานเขียนจึงตองอาศัยการพิจารณาไตรตรองอยางละเอียดถี่ถวน โดยอาศัยขอมูล หลักเกณฑ และเหตุผล นอกจากนี้ การอานเพื่อพิจารณาประเมินคา งานเขียนแตละประเภท ยังตองพิจารณาตามประเภทของงานเขียนเปนหลัก โดยมี รายละเอียด ดังนี้ 1. สารคดี พิจารณาเนื้อหาวา มีการนําเสนอความรูที่นาสนใจ มีความถูกตอง และนาเชื่อถือ 2. บันเทิงคดี พิจารณาจากองคประกอบของเรื่องเปน สําคัญ เพื่อใหนักเรียนเกิดความเขาใจและถายทอดเนื้อหาไดอยางชัดเจน
4
คูมือครู
ขอสอบ
O-NET
ขอสอบป ’ 51 ออกเกี่ยวกับการจับสาระสําคัญของเรื่อง ขอใดเปนสาระสําคัญของขอความตอไปนี้ คนสวนใหญไมคอยรูตัว ยังคงอยากไดอะไรที่มากขึ้นๆ ไมวาจะเปน เงินทอง เกียรติยศชื่อเสียง หรือความรัก และก็มักจะไมไดดังใจนึก ความทุกขก็ยิ่งมีมากขึ้นตามวัยที่มากขึ้นดวย 1. คนเราเมือ่ อายุมากขึน้ ก็ยอ มมีความอยากไดมากขึน้ ตามวัย 2. ถาคนเรามีความอยากไดไมมที สี่ นิ้ สุดก็จะยิง่ มีความทุกข 3. คนสวนใหญอยากไดของบางอยางแลวไมได จึงเกิดความทุกขใจ 4. สวนใหญความทุกขของคนเกิดจากความอยากไดเงินทองเกียรติยศ วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. ถาคนเรามีความอยากไดไมมีที่สิ้นสุดก็ จะยิ่งมีความทุกข พิจารณาจากขอความที่วา “...อยากไดอะไรที่มากขึ้นๆ... ความทุกขก็ยิ่งมีมากขึ้น...”
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Explain
Expand
Evaluate
กระตุน ความสนใจ
๒. การอ่านบทร้อยกรอง คนไทยมีนิสัยเจ้าบทเจ้ากลอนมาตั้งแต่โบราณ ด้วยเหตุนี้ ถ้อยคำสำนวนที่เราได้ยินได้ฟัง อยู่เสมอจึงมักมีเสียงสัมผัสคล้องจองกัน เช่น ก่อร่างสร้างตัว ข้าวยากหมากแพง คดในข้องอใน กระดูก จองหองพองขน แม้แต่เพลงสำหรับเด็กร้องเล่น เช่น รีรีข้าวสาร สองทะนานข้าวเปลือก เลือกท้องใบลาน คดข้าวใส่จาน เป็นต้น ภาษาไทยเป็นภาษาดนตรีมีเอกลักษณะเฉพาะตัว คือ มีเสียงวรรณยุกต์ ๕ ระดับเสียง เมื่อนำถ้อยคำมาเรียงร้อยเข้าด้วยกันแล้วจะก่อให้เกิดบทร้อยกรองหลายลักษณะ เช่น กาพย์ กลอน โคลง ร่าย ฉันท์ นอกจากนั้น ยังมีการนำบทร้อยกรองบางรูปแบบมาประสมประสานกัน แล้วเรียกว่า กาพย์ห่อโคลงบ้าง กาพย์เห่บ้าง ลิลิตบ้าง บทร้อยกรองที่คนไทยได้สร้างสรรค์มาแต่ โบราณนี้ล้วนงดงามด้วยวรรณศิลป์ทั้งสิ้น๑ ดังนั้น การอ่านบทร้อยกรองให้มีความไพเราะ เกิดความซาบซึ้งและมีอารมณ์ร่วมนั้น ผู้อ่านต้องอ่านบทร้อยกรองทั้งอ่านออกเสียงเป็นทำนองต่างๆ ตามลักษณะฉันทลักษณ์อันเป็นสิ่ง กำหนดทำนองให้แตกต่างกันออกไป
๒.๑ ลักษณะของบทร้อยกรองประเภทต่างๆ บทร้อยกรองแต่ละประเภทมีลักษณะแตกต่างกัน จึงมีวิธีการอ่านที่ต่างกันโดยขึ้นอยู่กับ บทร้อยกรองประเภทนั้นๆ ซึ่งสามารถแบ่งประเภทการอ่านบทร้อยกรองได้ ดังนี้ ๑. โคลง เป็นคำประพันธ์ดั้งเดิมของไทย นิยมแต่งกันอย่างแพร่หลายในสมัยโบราณ จนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะคำประพันธ์ประเภทโคลงสี่สุภาพ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำหรับการอ่านโคลง กระทู้ โคลงดั้น ที่มีลีลาและท่วงทำนองที่คล้ายคลึงกัน ๒. ฉันท์ เป็นคำประพันธ์ประเภทหนึ่ง ที่กำหนดบังคับเสียงหนัก เสียงเบา (ครุ-ลหุ) อย่างเคร่งครัดในการแต่ง คำที่ใช้แต่งจึงเน้นที่ภาษาบาลีและภาษาสันสกฤตเป็นหลัก เพราะคำที่ มีเสียงเป็นลหุในภาษาไทยเรามีน้อยมาก การฝึกอ่านฉันท์ จะต้องเริ่มฝึกจากการอ่านเป็นร้อยแก้ว เพื่อให้แม่นยำ คำครุ คำลหุ และจังหวะ ผู้อ่านจะต้องจดจำจังหวะให้แม่นยำ เพราะฉันท์บางชนิดแบ่งจังหวะเท่ากัน แต่ จำนวนพยางค์ในแต่ละจังหวะอาจไม่เท่ากัน ๓. กาพย์ เป็นคำประพันธ์ร้อยกรองประเภทหนึ่งของไทย ที่นิยมแต่งมี ๓ ประเภท คือ กาพย์ยานี ๑๑ กาพย์ฉบัง ๑๖ และกาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ ในสมัยโบราณนิยมแต่งกาพย์ทั้ง ๓ ประเภทนี้สลับกัน ๑
กรมวิชาการ, กระทรวงศึกษาธิการ, อ่านอย่างไรให้ได้รส (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, มปป.), หน้า ๓๐.
5
บูรณาการเชื่อมสาระ
ครูสามารถนําเนื้อหาเรื่อง การอานทํานองเสนาะ บูรณาการเชื่อมโยงกับ กลุมสาระการเรียนรู ศิลปะ รายวิชาดนตรี-นาฏศิลป เนื้อหาเกี่ยวกับการขับ รองเพลงไทย โดยนักเรียนสามารถทําความเขาใจหลักการและขั้นตอนการ ขับรองเพลงไทย และสามารถนําองคความรูจากรายวิชาดังกลาวมาฝกฝน เพื่อใหเกิดการอานบทประพันธโดยใชทํานองเสนาะไดอยางเหมาะสม
Engage
ครูนําตัวอยางวีดิทัศนที่มีการอานบทรอยกรอง แบบใสทํานอง และการอานแบบไมใสทํานอง มาเปดใหนักเรียนฟง หรือครูอานบทรอยกรอง แบบไมใสทํานองและบทรอยกรองแบบใสทํานอง ใหนักเรียนฟง โดยใชบทประพันธใดก็ได ซึ่งบท ประพันธที่นํามาอานหรือเปดใหนักเรียนฟงตอง เปนบทประพันธเดียวกัน จากนั้นนักเรียนรวมกัน ถายทอดประสบการณ โดยครูใชคําถามกระตุน ความสนใจ ดังตอไปนี้ • นักเรียนคิดวา การอานบทรอยกรองแบบ ใสทํานองมีความแตกตางจากการอานบท รอยกรองดวยเสียงธรรมดาโดยไมมีการใส ทํานองหรือไม อยางไร • นักเรียนรูสึกชื่นชอบการอานบทรอยกรอง แบบใดมากกวากัน ระหวางการอานบท รอยกรองแบบใสทํานองและการอานบท รอยกรองดวยเสียงธรรมดา • นักเรียนคิดวา หากคนอานบทรอยกรอง เปนคนละคนกันจะสงผลตอทวงทํานองของ บทรอยกรองที่มีความแตกตางกันหรือไม อยางไร (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิด เห็นไดอยางหลากหลายขึ้นอยูกับเหตุผลของ นักเรียน)
สํารวจคนหา
Explore
นักเรียนสืบคนขอมูลเกี่ยวกับการอาน บทรอยกรองใน 2 ลักษณะ คือ การอานออกเสียง ธรรมดาและการอานทํานองเสนาะ พรอมศึกษา คุณสมบัติของผูอานบทรอยกรองและหลักเกณฑ ในการอานบทรอยกรอง
บูรณาการอาเซียน ครูชี้ใหนักเรียนเห็นความสําคัญของการอาน โดยยกโครงการอุทยานการเรียนรู TK park มาเปนตัวอยาง ซึ่งเริ่มจัดประชุมวิชาการประจําป 2554 เพื่อแลกเปลี่ยน ประสบการณโครงการสงเสริมการอานในระดับอาเซียน จากสิงคโปร ลาว และ เวียดนาม เพื่อเตรียมความพรอมกอนเขาสูเวทีอาเซียนในป 2558 ความสําเร็จในการ รณรงคการอานเมื่อป 2548 กับโครงการ Read Singapore การจัดกิจกรรมสงเสริม การอาน 1,600 ครั้งตอป สามารถผลักดันการอานเปนวาระของชาติไดสําเร็จ ปจจุบัน ประเทศสิงคโปรจึงเปนประเทศตนแบบในการรณรงคการอานในภูมิภาคอาเซียน นอกจากความสําเร็จของประเทศสิงคโปรแลว ยังมีประเทศเวียดนามและสาธารณรัฐ ประชาชนลาว มาแลกเปลี่ยนประสบการณและแนวทางการแกไขปญหาการรณรงค การอาน จากสถานการณการอานในเวียดนาม ภาครัฐสงเสริมการสรางหองสมุด 100 แหงภายใน 1 ป แตสําหรับสาธารณรัฐประชาชนลาว มีเพียงองคกร “ฮักอาน” ที่ ขับเคลื่อนแนวคิดนี้ และยังมีปญหาขาดแคลนหองสมุด และหนังสือ ซึ่งประเทศไทย สามารถนําบทเรียนจากการแกไขปญหาของประเทศเพื่อนบานมาเปนแนวทางในการ สงเสริมการอาน เพื่อพัฒนาการอานของประชาชนตอไป คูมือครู 5
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
Explain
1. ครูเปดวีดิทัศนเกี่ยวกับการอานบทรอยกรองใน สองลักษณะ คือ การอานออกเสียงธรรมดาและ การอานทํานองเสนาะใหนักเรียนฟง จากนั้น นักเรียนรวมกันตอบคําถาม ตอไปนี้ • บทรอยกรองที่นักเรียนไดฟงขางตน มีลักษณะคําประพันธประเภทใด (แนวตอบ คําตอบขึ้นอยูกับบทรอยกรองที่ครู ยกมาใหนักเรียนฟง) • นักเรียนคิดวา การอานบทรอยกรองทั้งสอง ประเภทมีความแตกตางกันอยางไร (แนวตอบ การอานทั้งสองแบบขางตนมีความ แตกตางกัน โดยการอานแบบใสทํานองหรือ การอานทํานองเสนาะ เนนความไพเราะของ เสียง ทั้งสําเนียงสูง ตํ่า หนัก เบา ยาว สั้น ทอดเสียง เอื้อนเสียง เนนจังหวะ เนนสัมผัส ในที่มีความไพเราะ ชัดเจน และทําใหเกิด อารมณคลอยตาม ผูอานจึงตองมีสําเนียงและ นํ้าเสียงเหมาะสมกับลักษณะเนื้อความที่อาน สวนการอานออกเสียงธรรมดาเนนจังหวะและ การแบงวรรค สามารถเพิ่มความไพเราะดวย การใสอารมณในบทประพันธได) 2. นักเรียนบันทึกความเขาใจลงในสมุด
๔. กลอน เป็นคำประพันธ์ที่เกิดหลังสุด แต่งง่ายที่สุด และเป็นที่นิยมแพร่หลายมาก ที่สุด ด้วยกลอนจะมีจังหวะและทำนองเฉพาะตัว คือ กลอน ๑ บท มี ๔ วรรค ได้แก่ วรรคสดับ วรรครับ วรรครอง และวรรคส่ง การอ่านคำกลอนจะเน้นให้เห็นสัมผัสนอกที่ถูกต้องชัดเจน และถ้ามีสัมผัสในเพิ่มด้วยจะช่วยให้คำกลอนมีความไพเราะมากยิ่งขึ้น ๕. ร่าย เป็นคำประพันธ์ที่เก่าแก่ที่สุดของไทย ข้อบังคับต่างๆ มีเพียงคำสุดท้ายส่ง สัมผัสไปยังวรรคถัดไป จะมีกี่วรรคก็ได้ ร่ายสุภาพจะมีวรรคละ ๕ คำ ส่วนร่ายยาวเป็นร่ายที่ไม่ กำหนดจำนวนคำในวรรคหนึ่งๆ แต่ละวรรคอาจมีคำน้อยมากแตกต่ 1 างกันไป ถ้าเป็นร่ายสุภาพจะ จบด้วยโคลงสองสุภาพหรือโคลงสามสุภาพ หากเป็นร่ายดั้นจะจบด้วยโคลงสองดั้นหรือโคลงสาม ดั้น การกำหนดจังหวะในการอ่านร่ายชนิดต่างๆ นั้น จึงไม่แน่นอน 2ทั้งนี้เพราะมีจำนวนคำไม่ แน่นอน คำประพันธ์ประเภทร่าย ประกอบด้วย ร่ายสุภาพ ร่ร่ายโบราณ ยโบราณ ร่ายดั้น และร่ายยาว
๒.๒ การอ่านบทร้อยกรอง3
บทร้อยกรองหรือกวีนิพนธ์ มีวิธีการอ่านได้ ๒ ลักษณะ กล่าวคือ อ่านออกเสียงธรรมดา โดยอ่านออกเสียงเช่นเดียวกับการอ่านร้อยแก้ว และการอ่านทำนองเสนาะ คือ อ่านเป็นทำนอง เพื่อความไพเราะ อ่านออกเสียงธรรมดา เป็นการอ่านออกเสียงพูดธรรมดาเหมือนอ่านออกเสียงร้อยแก้ว แต่ต้องเว้นจังหวะวรรคตอนให้ถูกต้องตามลักษณะบังคับของคำประพันธ์แต่ละชนิด มีการเน้นคำ รับสัมผัสเพื่อเพิ่มความไพเราะ รวมทั้งสามารถใส่อารมณ์ให้เหมาะสมสอดคล้องกับเนื้อหาที่อ่านได้ อ่านทำนองเสนาะ นทำนองเสนาะ เป็ เป็นการอ่านที่มีสำเนียงสูง ต่ำ หนัก เบา ยาว สั้น ทอดเสียง เอื้อน หวะ เน้นสัมผัสในชัดเจนไพเราะ เจนไพเราะ และทำให้เกิดอารมณ์คล้อยตาม ดังนั้น ผู้อ่าน เสียง เน้นจังหวะ ง น้ำเสียงที่เหมาะสมกับลักษณะเนื้อความที่อ่าน เช่ น น บทเล้าโลม เกี้ยวพาน ตัดพ้อ ต้องมีสำเนียง น้ ว คร่ำครวญโศกเศร้า ซึซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องฝึกฝนโดยเฉพาะ โกรธเกรี้ยว คร่
๑) คุณสมบัติของผู้อ่าน
๑. มีความรู้เรื่องฉันทลักษณ์ของบทร้อยกรองที่จะอ่านน เพื่อให้สามารถอ่านได้อย่าง ถูกต้องแม่นยำ ยำ ๒. มีความช่างสังเกต รอบคอบ ปฏิภาณไหวพริบดี เกต รอบคอบ ปฏิ ๓. มีทักษะและสมาธิในการอ่านน ไม่อ่านผิด อ่านตกหล่น หรือต่อเติม ทำให้เสีย ความไพเราะ ความไพเราะ ๔. มีความเพียรพยายาม รพยายาม มีความอดทนในการฝึกฝนการอ่านอย่างสม่ำเสมอ ๕. มีความรักและสนใจการอ่านอย่างแท้จริง อันจะนำไปสู่ความแตกฉานในการอ่าน ในตนเอง กล้ ๖. มีความเชื่อมั่นในตนเอง กล้าแสดงออก แสดงออก ๗. มีสุขภาพดี ๘. มีน้ำเสียงแจ่มใส อวัยวะในการออกเสียงไม่ผิดปกติ 6
นักเรียนควรรู 1 รายดั้น ชื่อรายชนิดหนึ่ง บทหนึ่งมี 5 วรรคขึ้นไป วรรคหนึ่งใชตั้งแต 5 - 7 คํา และจะตองจบดวยบาทที่ 3 และที่ 4 ของโคลงดั้นวิวิธมาลี นอกนั้นเหมือนรายสุภาพ 2 รายโบราณ ชื่อรายชนิดหนึ่ง นิยมใชในวรรณคดีโบราณ ไมนิยมคําเอกคําโท ไมจํากัดวรรคและคํา แตมักใชวรรคละ 5 คําและใชคําเทากันทุกวรรค 3 กวีนิพนธ คําประพันธที่กวีแตงขึ้นอยางมีศิลปะ งานประเภทกวีนิพนธในปจจุบัน มิไดจํากัดเฉพาะบทประพันธที่มีการแตงสอดคลองกับฉันทลักษณในบทประพันธ เทานั้น แตงานกวีนิพนธยังมีความหมายรวมถึงบทประพันธที่ไมบังคับฉันทลักษณ อยางกลอนเปลาอีกดวย การอานบทกวีนิพนธผูอานจึงควรพินิจพิจารณาคุณคาดวย การเปดประสาทสัมผัสตางๆ ไดแก หู ตา จมูก ลิ้น กาย รวมถึงใจของผูอาน เพื่อให เกิดการรับรูและเขาถึงอรรถรสที่อยูในบทกวี เชน เมื่อผูอานอานแลวเกิดจินตภาพเห็น แสงหรือภาพอยางไร ไดยินเสียงเชนใด ไดกลิ่นใด ไดลิ้มรสหรือสัมผัสอยางไร ผูอาน ควรใชวิธีการอานออกเสียง เพื่อฝกใหประสาทสัมผัสไดรับรูอยางเต็มที่
6
คูมือครู
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
คําประพันธที่กําหนดเสียงบังคับเสียงหนัก เสียงเบา ใชภาษาบาลีสันสกฤต เปนพื้นในการแตง ผูอานจะตองจดจําจังหวะใหแมนยํา ขอความขางตนเปนการอานคําประพันธประเภทใด 1. โคลง 2. ฉันท 3. กาพย 4. ราย วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. ฉันท เพราะฉันทเปนคําประพันธที่เครงครัด เสียงหนัก-เสียงเบา หรือคําครุ-ลหุ และดวยเหตุที่ฉันทเปนคําประพันธที่ บัญญัติใหใชคําครุ-ลหุทุกบททุกบาท จึงยากที่จะใชคําไทยมาแตง เพราะ คําลหุในภาษาไทยมีนอย จึงตองอาศัยภาษาบาลีสันสกฤตเปนพื้นในการแตง
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
อธิบายความรู
๒) หลักเกณฑ์ในการอ่าน
๑. ศึกษาคำประพันธ์ชนิดต่างๆ ให้เข้1าใจถ่องแท้ จดจำรูปแบบ และข้อบังคับของบท ร้อยกรองให้แม่นยำ ถ้าจำเป็นสามารถเขียนคณะ จำนวนคำ ครุ ลหุ กำกับลงในบทร้อยกรองได้ ๒. อ่านบทร้อยกรองเป็นสำเนียงการอ่านร้อยแก้วธรรมดา อ่านออกเสียงดังชัดเจน ให้ได้จังหวะหรือช่วยเสียงตามรูปแบบร้อยกรองชนิดนั้นๆ ออกเสียงคำต่างๆ ให้ถูกต้องชัดเจน โดยเฉพาะการอ่านตัว ร ล ตัวควบกล้ำ และออกเสียงให้ถูกต้องตามระดับเสียงวรรณยุกต์ ๓. ฝึกอ่านทอดเสียงโดยอ่านผ่อนเสียงและผ่อนจังหวะให้ช้าลง เป็นขั้นตอนที่ต่อ เนื่องจากการอ่านคำแต่ละคำให้ชัดเจน โดยให้ผู้ฝึกอ่านลากเสียงให้ยาวออกไปเล็กน้อยแล้วจึง อ่านทอดเสียงนั้น 2 ๔. อ่านใส่ทำนองเสนาะ ซึ่งมีลักษณะสำคัญ คือ การแบ่งช่วงเสียงของคำในวรรค ในบาท ในบทได้ถูกต้อง สอดคล้องกับลักษณะวรรณศิลป์ที่มีอยู่ในบทร้อยกรองนั้นๆ การใส่ ทำนองเสนาะนี้ให้เลือกแบบแผนที่นิยมกันมาก ผู้อ่านต้องใช้ความสามารถเฉพาะตัวในการอ่าน โดยคำนึงถึงความไพเราะเป็นสำคัญ ๕. ฝึกอ่านบทร้อยกรองชนิดต่างๆ เพื่อให้รู้จังหวะ วรรคตอน ท่วงทำนอง ลีลา จนเกิดความแม่นยำในทำนองแล้ว จึงเพิ่มศิลปะในการอ่านที่จะทำให้การอ่านทำนองเสนาะ เกิดความไพเราะยิ่งขึ้น โดยมีวิธีการ ดังนี้ การทอดเสียง คือ วิธีการอ่านโดยผ่อนเสียง ผ่อนจังหวะให้ช้าลง การเอื้อนเสียง คือ การลากเสียงช้าๆ เพื่อให้เข้าจังหวะและไว้หางเสียงเพื่อ ความไพเราะ 3 การครั่นเสียง คือ การทำ เสียงให้สะดุดสะเทือน เพื่อความไพเราะ เหมาะสมกับบทร้อยกรองบางตอน การครวญเสียง คือ การ สอดแทรกเสียงเอื้อนหรือสำเนียงครวญคร่ำ รำพั น ใช้ ไ ด้ ทั้ ง กรณี ที่ ต้ อ งการขอร้ อ ง วิงวอน หรือสำหรับอารมณ์โศก การหลบเสี ย ง คื อ การ เปลี่ยนเสียงหรือหักเสียงหลบจากสูงลงไป เอวิหารรายเปนลักษณะของเสียงเสนาะไทยหนึ่งในเกา ต่ำหรือจากเสียงต่ำขึ้นไปสูง เป็นการหลบ ชนิการสวดโอ ด คือ การสวด การขับ การเห การกลอม การพากย การวา จากการออกเสียงที่เกินความสามารถ การแหล การรองและการอาน ซึ่งไดรับความนิยมมาตั้งแตสมัย ●
●
●
●
●
Explain
1. นักเรียนรวมกันระดมความคิดดวยการ ตอบคําถาม ตอไปนี้ • นักเรียนคิดวา นักเรียนมีวิธีการฝกฝนตนเอง อยางไร เพื่อใหนักเรียนมีคุณสมบัติในการ อานออกเสียงที่ดี (แนวตอบ นักเรียนสามารถนําเสนอไดอยาง หลากหลาย เปนตนวา นักเรียนตองศึกษา คนควาขอมูลเกี่ยวกับฉันทลักษณ สราง พื้นฐานในการอาน ดวยการฝกฝนอยาง สมํ่าเสมอเพื่อใหมีความเชี่ยวชาญจนเกิด ความกลาแสดงออกและมีความเชื่อมั่นใน ตนเอง) • นักเรียนคิดวา การอานออกเสียงธรรมดา และการอานทํานองเสนาะมีหลักเกณฑใน การอานอยางไร ผูอานตองคํานึงถึงประเด็น ใดบาง อยางไร (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบไดอยาง หลากหลาย โดยผูอานตองมีความรูทั้ง ฉันทลักษณและการใชเสียง ตลอดจน มีความเขาใจเนื้อหาและสามารถใสอารมณ ในการอานได) 2. นักเรียนบันทึกความเขาใจลงในสมุด
ขยายความเขาใจ
Expand
นักเรียนฝกการอานออกเสียง โดยเริ่มตน จากการอานออกเสียงธรรมดาจากนั้นจึงเปลี่ยน เปนการอานออกเสียงทํานองเสนาะ โดยฝกฝนการ อานตามบทประพันธในวีดิทัศนที่ครูนํามาเปดให นักเรียนฟง
อยุธยาจนถึงปจจุบัน
๗
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
โออกเรามีกรรมจะทําไฉน จึงจะไดแนบชิดขนิษฐา คําที่ขีดเสนใตอานอยางไรจึงจะไพเราะ 1. อานทอดเสียงแลวปลอยใหหางเสียงผวนขึ้นจมูก 2. อานครั่นเสียงใหนํ้าเสียงติดขัดสะเทือนอารมณ 3. อานเปลี่ยนเสียงจากเสียงตํ่าขึ้นไปเสียงสูง 4. อานหลบเสียงจากเสียงสูงลงไปเสียงตํ่า
วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 1. การอานพยางคสุดทายของวรรคดวยการ ทอดเสียงแลวปลอยใหหางเสียงผวนขึ้นจมูกเปนเสียง ฮื้อ ฮือ เบาๆ คลาย เสียงคราง ไหน-ฮื้อ หรือ ไหน-ฮึ ซึ่งจะทําใหบทรอยกรองมีความไพเราะ
นักเรียนควรรู 1 คณะ กลุมคําที่จัดใหมีลักษณะเปนไปตามรูปแบบของรอยกรองแตละประเภท ประกอบดวยบท บาท วรรค และคํา ตามจํานวนที่กําหนด กลาวไดวา คณะ ซึ่ง เปนขอกําหนดเกี่ยวกับรูปแบบของรอยกรองแตละประเภทจะตองประกอบดวย บท บาท วรรค และคําจํานวนเทาใด นอกจากนี้ ยังสื่อถึงหลักเกณฑที่ใชในการแตง ฉันทวรรณพฤติ มี 8 คณะ คือ ช คณะ ต คณะ น คณะ ภ คณะ ม คณะ ย คณะ ร คณะ ส คณะ แตละคณะมี 3 คํา หรือ 3 พยางค โดยถือครุและลหุเปนหลัก 2 ทํานองเสนาะ วิธีการอานออกเสียงอยางไพเราะตามลีลาของบทรอยกรอง ประเภทโคลง ฉันท กาพย กลอน เปนการอานคําประพันธที่มีทํานองเสียงสูง-ตํ่า มีจังหวะลีลาและการเอื้อนเสียงเปนทํานองแตกตางกันไปตามลักษณะชนิดของ คําประพันธนั้น มีจุดมุงหมายเพื่อใหเกิดความไพเราะเปนสําคัญ 3 การครั่นเสียง เทคนิคอยางหนึ่งในการขับรองเพลงใหมีความไพเราะโดยการ ทําใหเสียงสั่นสะเทือนภายในลําคอ คูมือครู
7
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
Engage
สํารวจคนหา
Explore
นักเรียนแบงกลุมออกเปน 5 กลุม จากนั้นให นักเรียนจับสลาก เพื่อศึกษาลักษณะเดนและวิธี การอานบทประพันธ 5 ประเภท ไดแก โคลง ฉันท กาพย กลอน และราย พรอมฝกอานบทประพันธ แตละประเภทในหนังสือเรียน จากนั้นนักเรียนนํา เสนอหนาชั้นเรียน
อธิบายความรู
Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 1 นําเสนอวิธีการอานกลอน สุภาพ โดยนักเรียนนําเสนอแผนผังบทประพันธ พรอมยกตัวอยางประกอบจากหนา 8 2. สมาชิกกลุมที่ 1 รวมกันตอบคําถามในประเด็น ตอไปนี้ • คําประพันธประเภทกลอนสุภาพมีลักษณะ เดนอยางไร (แนวตอบ ลักษณะเดน คือ มีจังหวะและ ทวงทํานองเฉพาะตัว คือ กลอน 1 บท มี 4 วรรค ไดแก วรรคสดับ วรรครับ วรรครอง และวรรคสง การอานคําประพันธประเภท กลอนจะเนนสัมผัสนอกชัดเจน หากมีสัมผัส ในความไพเราะจะเพิ่มขึ้นดวย) • นักเรียนคิดวา การอานคําประพันธประเภท กลอนสุภาพแบบทํานองเสนาะมีขอควรคํานึง ในการอานอยางไร (แนวตอบ เปนตนวา อานถูกทวงทํานอง อักขรวิธี ใสอารมณใหสอดคลองกับบท ประพันธ อานใหถูกชวงจังหวะของบท ประพันธ) 3. นักเรียนบันทึกความเขาใจลงในสมุด
การกระแทกเสียง คือ การลงเสียงในแต่ละคำหนักเป็นพิเศษ มักใช้บรรยาย ความโกรธ ความเข้มแข็ง หรือตอนที่ต้องการความศักดิ์สิทธิ๒์ ๖. ฝึ ก การใส่ อารมณ์ ใ ห้ เ หมาะสมสอดคล้ อ งกั บ เนื้ อ ความที่ อ่ า น การใส่ อารมณ์ ความรู้สึกลงในการอ่านบทร้อยกรอง ทำได้โดยการออกเสียงหนักเบา อ่อนโยน ช้าเร็ว กระแทก กระทั้น ทอดเสียงเนิบช้า ละมุนละไม เสียงสูงต่ำ โดยเปลี่ยนแปลงเสียงไปตามอารมณ์ความรู้สึก ของบทร้อยกรองแต่ละวรรคแต่ละตอน ●
๓) วิธีการอ่าน
ในการอ่านทำนองเสนาะของคำประพันธ์แต่ละชนิดจะมีความแตกต่างกันด้านทำนอง ลีลา การทอดเสียงและความสามารถของผู้อ่าน ส่วนจังหวะจะคล้ายคลึงกัน ส่วนมากจะอ่านตาม ทำนองลีลาที่ ได้รับการสั่งสอนกันมา การอ่านจะไพเราะหรือไม่ ขึ้นอยู่กับน้ำเสียงและความ สามารถของผู้อ่าน โดยมีเครื่องหมายวรรคตอนในการอ่าน ดังนี้ เครื่องหมาย / หมายถึง การหยุดเว้นช่วงจังหวะสั้นๆ เครื่องหมาย // หมายถึง การหยุดเว้นช่วงจังหวะที่ยาวกว่าเครื่องหมาย / ๓.๑) การอ่านกลอนสุภาพ ๑. การแบ่งช่วงเสียง หรือจังหวะกลอนของกลอนสุภาพ โดยมีลีลาการอ่าน ดังนี้ หลวงธรรมาภิมณฑ์ (ถึก จิตรกถึก) นักเลงกลอนในสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้ กล่าวถึงลีลาของกลอนสุภาพไว้ ดังนี้ กลอนสุภาพ/แปดคำ/ประจำบ่อน// ตอนต้นสาม/ตอนสอง/ต้องแสดง// กำหนดบท/ระยะ/กะสัมผัส// 2 วางจังหวะ/กะทำนอง/ต้องกระบวน//
อ่านสามตอน/ทุกวรรค/ประจักษ์แถลง// ตอนสามแจ้ง/สามคำ/ครบจำนวน//1 ให้ฟาดฟัด/ขัดความ/ตามกระสวน// จึงจะชวน/ฟังเสนาะ/เพราะจับใจ// (ประชุม ลำนำ : หลวงธรรมาภิมณฑ์ (ถึก))
เนื่องจากกลอนสุภาพวรรคหนึ่งอาจมีจำนวนคำ ๖-๙ คำ มิได้มี ๘ คำเสมอ ไป ดังนั้นถ้าจะอ่าน “ตอนต้นสาม ตอนสอง ต้องแสดง ตอนสาม แจ้งสามคำ ครบจำนวน” ก็ คงจะไม่ได้ “ต้องกำหนดบทระยะกะสัมผัส” และวาง “จังหวะ กะทำนอง ต้องกระบวน” จึงจะชวน ฟังเสนาะเพราะจับใจ ๒. การเอื้อนเสียงทอดเสียง การอ่านทำนองเสนาะ นิยมอ่านเสียงสูง ๒ วรรค ในวรรคที่ ๑ และ ๒ ลดเสียงต่ำลงในวรรคที่ ๓ และลดเสียงต่ำลงไปอีกจนเป็นเสียงพื้นระดับต่ำ ในต้นวรรคที่ ๔ การทอดเสียง นิยมทอดเสียงระหว่างวรรคไปยังคำรับสัมผัสซึ่งเป็นตำแหน่งที่ ๒
๓๔-๓๙.
กรมวิชาการ, กระทรวงศึกษาธิการ, อ่านอย่างไรให้ได้รส (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, มปป.), หน้า
8
เกร็ดแนะครู ในการนําเสนอผลงานหนาชั้นเรียน ครูควรกระตุนใหนักเรียนตอบคําถามโดย ใชแผนผังหรือตัวอยางบทประพันธที่นักเรียนเตรียมมา เพื่อใชในการอธิบายใหเกิด ความเขาใจอยางชัดเจนและชวยใหผูฟงสามารถเห็นภาพจากแผนผังที่นําเสนอได
นักเรียนควรรู 1 กระสวน แบบ เชน อยาคบพวกหญิงพาลสันดานชั่ว ที่แตงตัวไวจริตผิดกระสวน (สุภาษิตสุนทรภู) ถึงแบบตัวอยางสําหรับสรางหรือทําของจริง เชน กระสวนเรือน กระสวนเสื้อ เปนตน 2 กระบวน ขบวน แบบแผน เชน กระบวนหนังสือไทย ชั้นเชิง เชน ทํากระบวน งามกระบวนเนตรเงาเสนหงํา หรือหมายถึงลําดับ เชน แลขุนหมื่นชาวสานทั้งปวงเฝา ตามกระบวน สวนในกฎหมายตราสามดวง หมายถึง วิธีการ เชน จัดกระบวนพิจารณา
8
คูมือครู
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
ขอใดอานจังหวะวรรคตอนไดถูกตอง 1. ทั้งองค/ฐานรานราวถึง/เกาแฉก 2. โอเจดีย/ที่สรางยัง/ราง/รัก 3. กระนี้หรือ/ชื่อเสียง/เกียรติยศ 4. เปนผูดีมี/มากแลว/ยากเย็น
เผยอแยกยอด/ทรุดก็/หลุดหัก เสียดายนัก/นึกนานํ้าตา/กระเด็น จะมิหมด/ลวงหนา/ทันตาเห็น คิดก็เปน/อนิจจังเสีย/ทั้งนั้น
วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. กลอนสุภาพที่มีจํานวนวรรคละ 8 คํา จะแบง จังหวะการอานเปน 3-2-3 ซึ่งก็คือ กระนี้หรือ/ชื่อเสียง/เกียรติยศ จะมิหมด/ลวงหนา/ทันตาเห็น
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Expand
Evaluate
อธิบายความรู ที่แบ่งช่วงเสียงด้วย นอกจากนี้การออกเสียงสูงต�่า สั้นยาว หนักเบา และการทอดเสียง ต้อง พิจารณาลีลาและเนื้อความของบทร้อยกรองประกอบด้วย ข้อควรค�ำนึงในกำรอ่ำนท�ำนองเสนำะประเภทกลอน ๑. อ่านให้ถูกท�านองของกลอนประเภทนั้นๆ ๒. อ่านออกเสียงค�าให้ถูกต้องตามอักขรวิธี ออกเสียงตัว ร ล ตัวควบกล�้า และเสียงวรรณยุกต์ให้ถูกต้อง ๓. อ่านค�าให้เอื้อสัมผัสในเพื่อเพิ่มความไพเราะ เช่น คิดถึงบาทบพิตรอดิศร อ่านว่า อะ - ดิด - สอน เพื่อเอื้อสัมผัสกับค�าว่า บพิตร ข้าอุตส่าห์มาเคารพอภิวันท์ อ่านว่า อบ - พิ - วัน เพือ่ เอื้อสัมผัสกับค�าว่า เคารพ บุญบันดาลดลจิตพระธิดา อ่านว่า ทิด - ดา เพือ่ เอื้อสัมผัสกับค�าว่า จิต
๔. ต้องใส่อารมณ์ให้เหมาะสมกับเนื้อความ หากผู้อ่านเข้าใจเนื้อความของ เรื่องทั้งหมด หรือเนื้อความในตอนที่อ่าน และมีลีลาอารมณ์ตามนั้น เช่น เนื้อความบรรยาย ธรรมชาติควรอ่านด้วยเสียงเนิบนุม่ กังวาน แจ่มใส ชัดเจน ความดังของเสียงประมาณ ๓ ใน ๔ ของเสียงตน ส่วนบทตื้นตันต้องอ่านด้วยลีลาช้าบ้าง เร็วบ้าง ดังบ้าง ค่อยบ้าง เพื่อให้ตื่นเต้น เร้าใจตามความหมายของเนื้อความ ทั้งนี้เพื่อให้กระทบอารมณ์ของผู้ฟัง ๕. อ่านให้ถูกช่วงเสียงหรือจังหวะของกลอน และต้องค�านึงถึงความเหมาะสม ความถูกต้องตามความหมายและเนื้อความของบทกลอนที่อ่านด้วย มิฉะนั้นอาจสื่อความหมาย ผิดพลาดได้ เช่น แขกเต้าจับเต่าร้างร้อง ควรอ่าน แขกเต้า/จับเต่าร้าง/ร้อง
เหมือนร้างห้องมาหยารัศมี
จึงจะได้ความ เพราะเต่าร้างเป็นชื่อของต้นไม้ ชนิดหนึ่ง ถูกตามจังหวะของกลอน แต่ความหมายจะผิดไป
หากอ่าน แขกเต้า/จับเต่า/ร้างร้อง ๓.๒) กำรอ่ำนกำพย์ ๑. กาพย์ยานี ๑๑ (๑) การแบ่ ารแบ่งช่วงเสียง หรือจังหวะของกาพย์ยานี ๑๑ วรรคหน้า ๕ ค�า อ่านแบ่งเสียง ๒ ช่วง เป็น ๐๐/๐๐๐ วรรคหลัง ๖ ค�า อ่านแบ่งเสียง ๒ ช่วง เป็น ๐๐๐/๐๐๐
พระเสด็จ/โดยแดนชล// กิ่งแก้ว/แพร้วพรรณราย// นาวา/แน่นเป็นขนัด// เรือริ้ว/ทิวธงสลอน//
ตรวจสอบผล
Explain
1. สมาชิกกลุมที่ 1 รวมกันตอบคําถาม ตอไปนี้ • นักเรียนคิดวา คําประพันธประเภทกลอน สุภาพมีหลักการแบงวรรคตอนและการ เอื้อนเสียงอยางไร (แนวตอบ เปนตนวา 1. การแบงชวงเสียง เนื่องจากจํานวนคําในแตละวรรค อาจมี 6-9 คํา มิใชมี 8 คําเสมอ การอานจึงตอง วางจังหวะและทํานองใหมีความเหมาะสม 2. หลักการเอื้อนเสียงทอดเสียง นิยมอาน เสียงสูง ในวรรคที่ 1 และ 2 ลดเสียงตํ่าลง ในวรรคที่ 3 และลดเสียงตํ่าลงไปอีกจนเปน เสียงพื้นระดับตํ่าในตนวรรคที่ 4 นอกจากนี้ ยังนิยมทอดเสียงระหวางวรรคไปยังคํารับ สัมผัสในวรรคตอไป ทั้งนี้ ตองพิจารณาลีลา และเนื้อความของบทรอยกรองประกอบดวย) 2. สมาชิกในกลุมที่ 1 สาธิตวิธีการแบงวรรคตอน การอาน พรอมสาธิตวิธีการอานออกเสียง บทรอยกรองดวยเสียงธรรมดาและการอาน ทํานองเสนาะ 3. นักเรียนบันทึกความเขาใจลงในสมุด
ขยายความเขาใจ
Expand
1. ครูนําบทประพันธประเภทกลอนสุภาพ เรื่อง อิเหนา จากหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย วรรณคดีและวรรณกรรม ม.4 หนา 246 มาใหนักเรียนพิจารณาบนกระดาน 2. ครูสุมนักเรียน 1-2 คนใหออกมาชวยกันแบง วรรคตอนในการอานบทประพันธ 3. นักเรียนในหองอานบทรอยกรองโดยไมใส ทํานองพรอมกัน
ทรงเรือต้น/งามเฉิดฉาย// พายอ่อนหยับ/จับงามงอน// ล้วนรูปสัตว์/แสนยากร// สาครลั่น/ครั่นครื้นฟอง// (กาพย์เห่เรือ : เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร)
9
ขอใดอานออกเสียงสัมผัสไมถูกตอง 1. คิดถึงบาทบพิตรอดิศร อานวา 2. ขาขอเคารพอภิวันท อานวา 3. ขาขอคํานับอภิวาท อานวา 4. ขาขอเคารพอภิวันท อานวา
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET อะ- ดิด- สอน อะ-พิ-วัน อับ- พิ-วาด อบ-พิ-วัน
วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. การอานคําประพันธใหไพเราะตองอานให คําในวรรคมีเสียงสัมผัสกับคําที่อยูติดกัน ดังนี้ ขอ 1. อานวา อะ- ดิด- สอน สัมผัสกับคําวา พิตร ขอ 3. อานวา อับ- พิ-วาด สัมผัสกับคําวา นับ ขอ 4. อานวา อบ-พิ-วัน สัมผัสกับคําวา เคารพ ขอที่ไมมีเสียงสัมผัสกันจึงอาน ไมถูกตอง
เกร็ดแนะครู ในการจัดการเรียนการสอนเกี่ยวกับกลวิธีการอานทํานองเสนาะจากบทประพันธ นอกจากครูผูสอนจะใหความรูความเขาใจเกี่ยวกับฉันทลักษณในบทประพันธ รวมถึง กลวิธีการอานและการออกเสียงบทประพันธแลว ครูผูสอนควรเพิ่มเติมความรูความ เขาใจเกี่ยวกับการทําความเขาใจสารในบทอานอยางชัดเจนถองแท ครูผูสอนควรชี้แนะ นักเรียนวา การที่นักเรียนจะสามารถสื่อสารความคิดและประสบการณที่ปรากฏในบท อานไดอยางเหมาะสมหรือถูกตองตามเจตนาของผูแตงไดนั้น ผูอานตองทําความเขาใจ เนื้อหาในบทอานอยางถองแทเสียกอน ดวยการพิจารณาความหมายนับตั้งแตระดับคํา ตลอดจนจุดมุงหมาย ทัศนคติ และนํ้าเสียงของผูแตง การทําความเขาใจดังกลาวควร มีความชัดเจน ผูอานตองสรางจินตภาพจากการอาน เชน การทําความเขาใจสีหนา ทาทาง อารมณ ความรูสึกของตัวละครในบทประพันธที่อาน ฉากที่ปรากฏ รวมทั้ง องคประกอบอื่นที่ปรากฏจากประสาทสัมผัส ไมวาจะเปน รูป รส กลิ่น เสียง หรือ บรรยากาศ ความทุกข เศรา เจ็บปวด เปนตน เพื่อใหผูอานสามารถถายทอดอารมณ ความรูสึกจากบทประพันธผานการอานไดอยางกระจางชัด นอกจากนี้ สิ่งที่ผูอานควร คํานึงถึงเปนสําคัญ คือ การเคารพจุดมุงหมายเดิมของผูแตง คูมือครู 9
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู
Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 2 นําเสนอวิธีการอานกาพย โดยนักเรียนเลือกนําเสนอแผนผังฉันทลักษณ ของบทประพันธประเภทกาพยฉบัง 16 พรอม ยกตัวอยางบทประพันธประกอบ จากนั้นสาธิต วิธีการแบงวรรคตอน และอานออกเสียง 2. สมาชิกกลุมที่ 2 รวมกันตอบคําถาม ตอไปนี้ • คําประพันธประเภทกาพยมีลักษณะเดน อยางไร (แนวตอบ มีระเบียบบังคับคลายฉันท) • นักเรียนคิดวา คําประพันธประเภทกาพย ฉบัง 16 มีการแบงวรรคตอนและการเอื้อน เสียงอยางไร (แนวตอบ 1. การแบงชวงเสียง เนื่องจากวรรค ที่ 1 และ 3 มีวรรคละ 6 คํา อานแบงเสียง เปน 3 ชวง ชวงละ 2 คํา สวนวรรคที่ 2 มี 4 คํา อานแบงเสียง 2 ชวง 2. นิยมอาน ทอดเสียงตามตําแหนงที่สงรับสัมผัสและ เอื้อนทายวรรค และทอดเสียงกอนจบบท) • นักเรียนคิดวา การอานทํานองเสนาะในบท ประพันธประเภทกาพยมีขอควรคํานึงในการ อานอยางไร (แนวตอบ พิจารณาคําตอบในหนา 10 เรื่อง ขอควรคํานึงในการอานกาพย
ขยายความเขาใจ
อธิบายความรู
Expand
1. ครูนําบทประพันธประเภทกาพยฉบัง 16 เรื่อง คํานมัสการพระธรรมคุณ มาใหนักเรียน พิจารณาบนกระดาน 2. ครูสุมนักเรียน 1-2 คนใหออกมาชวยกันแบง วรรคตอน นักเรียนอานออกเสียงพรอมกัน
(๒) การเอื้อนเสียงทอดเสียง การอ่านนิยมอ่านทอดเสียงตามตำแหน่งที่ส่ง รับสัมผัสและเอื้อนระหว่างท้ายวรรค ๒. กาพย์ฉบัง ๑๖ (๑) การแบ่งช่วงเสียง หรือจังหวะของกาพย์ฉบัง ๑๖ วรรคที่ ๑ และ ๓ มีวรรคละ ๖ คำ อ่านแบ่งเสียง ๓ ช่วง เป็น ๐๐/๐๐ /๐๐ วรรคที่ ๒ มี ๔ คำ อ่านแบ่งเสียง ๒ ช่วง เป็น ๐๐/๐๐ กลางไพร/ไก่ขัน/บรรเลง// ซอเจ้ง/จำเรียง/เวียงวัง// ยูงทอง/ร้องกะโต้ง/โห่งดัง// แตรสังข์/กังสดาล/ขานเสียง//
ฟังเสียง/เพียงเพลง// เพียงฆ้อง/กลองระฆัง// (กาพย์พระไชยสุริยา : สุนทรภู่)
(๒) การเอื้อนเสียงทอดเสียง การอ่านนิยมอ่านทอดเสียงตามตำแหน่งที่ส่ง รับสัมผัสและเอื้อนระหว่างท้ายวรรค ๓. กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ (๑) การแบ่งช่วงเสียง หรือจังหวะของกาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ มี ๗ วรรค วรรคละ ๔ คำ อ่านแบ่งเสียง ๒ ช่วง เป็น ๐๐/๐๐ มีดารากร// เห็นสิ้น/ดินฟ้า// มาลี/คลี่บาน//
วันนั้น/จันทร// เป็นบริวาร// ในป่า/ท่าธาร// ใบก้าน/อรชร// (กาพย์พระไชยสุริยา : สุนทรภู่)
(๒) การเอื้อนเสียงทอดเสียงง นิยมเอื้อนเสียงท้ายวรรค ยวรรค โดยเฉพาะท้าย วรรคที่ ๖๖ และทอดเสี และทอดเสียงรับส่งสัมผัสกับทอดเสียงเมื่อจบบทหนึ่งจะขึ้นบทใหม่ ข้อควรคำนึงในการอ่านกาพย์ ๑. อ่านให้ถูกต้องตามอักขรวิธี เช่น การอ่ า นคำที่ ป ระสมด้ ว ยสระเสี ย งสั้ น และสระเสี ย งยาว งยาว อย่ า อ่ า น ผิดเพี้ยนน การอ่านพยัญชนะบางตัว เช่น ฤ ฑ ร ล และคำควบกล้ำ ควรศึกษา ให้ดีว่าอ่านออกเสียงอย่างไร งไร ทัทั้งต้องพิจารณาเรื่องการอ่านเอื้อสัมผัสและรับสัมผัส การอ่ า นให้ ถู ก ต้ อ งตามเสี ย งวรรณยุ ก ต์ เช่ น เมื่ อ ไร ไม่ อ่ า นเป็ น เมื่อไหร่ ●
●
●
10
เกร็ดแนะครู ในการจัดการเรียนการสอนเกี่ยวกับกลวิธีการอานทํานองเสนาะจากบทประพันธ นอกจากครูผูสอนจะใหความรูความเขาใจเกี่ยวกับจินตภาพในการสื่อสารจากบท ประพันธแลว ครูผูสอนควรเพิ่มเติมความรูความเขาใจเกี่ยวกับวิธีการถายทอดสาร จากบทอาน ดวยการนําประสบการณจากบทอานมารวมพิจารณาสารจากบทอาน ดวย ทั้งในดานความคิดและอารมณความรูสึก ครูผูสอนควรชี้แนะนักเรียนวา การ สรางสรรคบทประพันธของกวีในแตละบทหรือคําพูดของตัวละครนั้น เกิดจากการ ผสมผสานความคิดและอารมณความรูสึกจากบทประพันธนํามาผนวกรวมกับบท ประพันธ เพื่อสื่อสารเนื้อหาสูผูอาน ผูอานจึงควรพินิจพิจารณานํ้าเสียงในบทกวีวา กวีนําเสนอในลักษณะเชนไร เนื่องจากการนําเสนอในบทประพันธแตละบทยอมมี ความแตกตางกันไปตามบริบทของผูพูด และในการถายทอดความรูสึกจากภาษา เขียนสูภาษาพูด ผูอานตองนําเอาอารมณความรูสึกจากประสบการณของตนมา ถายทอดผานทางนํ้าเสียงดวย
10
คูมือครู
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
ยูงทองรองกะโตงโหงดัง แตรสังขกังสดาลขานเสียง คําประพันธขางตนตองอานตามขอใด 1. ยูงทองรอง/กะโตงโหงดัง แตรสังข/กังสดาลขานเสียง// 2. ยูงทอง/รองกะโตง/โหงดัง แตรสังข/กังสดาล/ขานเสียง// 3. ยูงทอง/รองกะโตงโหงดัง แตรสังข/กังสดาลขานเสียง// 4. ยูงทอง/รองกะโตงโหงดัง แตรสังข/กังสดาล/ขานเสียง//
เพียงฆองกลองระฆัง เพียงฆอง/กลองระฆัง// เพียงฆอง/กลอง/ระฆัง// เพียงฆอง/กลองระฆัง// เพียงฆอง/กลองระฆัง//
วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 4. แบงจังหวะการอานวรรคที่มี 6 คํา ปกติแบง เปน 2/2/2 แตวรรคแรกอาน 2/4 พิจารณาเนื้อความเปนหลัก เพราะคําที่กวี ใชเปนคําที่ควรอานใหเสียงตอเนื่องกัน
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
อธิบายความรู ๒. อ่านให้ถูกต้องตามฉันทลักษณ์ของกาพย์แต่ละประเภท เพราะจังหวะ ทำนองของกาพย์แต่ละประเภทจะแตกต่างกัน จึงควรศึกษาให้เข้าใจเพื่ออ่านได้อย่างถูกต้อง ๓. ใช้น้ำเสียงในการอ่ 1 านให้สอดคล้องกับคำและเนื้อความ เพื่อให้ผู้อ่านเกิด ความรู้สึกคล้อยตามและเกิดจินตภาพ เช่น เนื้อความบรรยายธรรมชาติ ควรอ่านด้วยเสียงนุ่ม กังวาน แจ่มใส ชัดเจน เนื้อความตื่นเต้น ควรอ่านด้วยลีลาช้าบ้าง เร็วบ้าง ดังบ้าง ค่อยบ้าง เพื่อให้ตื่นเต้น เป็นต้น ๔. ใช้เสียงในการอ่านอย่างมีศิลปะ เช่2น 3 การเอื้อนเสียง ทั้งเสียงคำเป็นและเสียงคำตาย ควรลากเสียงให้เข้า จังหวะและไว้หางเสียงให้ไพเราะ การทอดเสียง เพื่อให้เกิดความไพเราะ หรือเพื่อให้ทราบว่าบทที่อ่าน กำลังจะจบ ควรฝึกออกเสียงให้แนบเนียน การรวบคำ ควรฝึกให้ลงจังหวะได้พอดี 4 การเชื่อมเสียง ในกรณีที่บทอ่านมีคำยัติภังค์ ควรฝึกการอ่านออกเสียง ต่อเนื่องกัน ผู้ฟังจะได้ทราบว่าคำที่อ่านคือคำว่าอะไร ๓.๓) การอ่านโคลงสี่สุภาพ ๑. การแบ่งช่วงเสียง หรือจังหวะของโคลงสี่สุภาพ วรรคหน้า ๕ คำ อ่านแบ่งเสียง ๒ ช่วง เป็น ๐๐/๐๐๐ หรือ ๐๐๐/๐๐ วรรคหลัง ๒ คำ อ่าน ๑ ช่วง ถ้ามีคำสร้อยอ่านเพิ่มอีก ๑ ช่วง เป็น ๒ ช่วง วรรคหลังบาทที่ ๔ มี ๔ คำ อ่านแบ่งเสียง ๒ ช่วง เป็น ๐๐/๐๐ ●
●
●
●
เสียงลือ/เสียงเล่าอ้าง// เสียงย่อม/ยอยศใคร// สองเขือ/พี่หลับใหล// สองพี่/คิดเองอ้า//
อันใด/พี่เอย// (คำสร้อย) ทั่วหล้า// ลืมตื่น// //ฤา ฤฤา พี่// (คำสร้อย) อย่าได้/ถามเผื 5 อ//
บาทที่ ๑ บาทที่ ๒ บาทที่ ๓ บาทที่ ๔
(ลิลิตพระลอ : ไม่ปรากฏนามผู้แต่ง)
๒. การเอื้อนเสียงทอดเสียง นิยมอ่านเอื้อนเสียงท้ายวรรคแรกของแต่ละบาท และในบทที่ ๒ อาจเอื้อนเสียงได้ถึงคำที่ ๑ คำที่ ๒ ของวรรคที่ ๒ และบาทที่ ๔ ระหว่างคำที่ ๒ กับคำที่ ๓ ของวรรคที่ ๒ และทอดเสียงตามตำแหน่งรับสัมผัส ข้อเสนอแนะการอ่านโคลงสี่สุภาพให้เสนาะ ๑. อ่านให้ถูกต้องตามข้อบังคับของคำเอกและคำโท โคลงสี่สุภาพมีคำเอก ๗ แห่ง คำโท ๔ แห่ง คำเอกนั้นสามารถใช้คำตายแทนได้ เวลาอ่านผู้อ่านต้องคำนึงถึงตำแหน่งของ คำเอกและคำโทให้ได้ แล้วตรวจสอบว่าคำในตำแหน่งนั้นจะอ่านอย่างไรจึงจะถูกฉันทลักษณ์ เช่น
Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 3 นําเสนอวิธีการอาน โคลงสี่สุภาพ โดยนักเรียนนําเสนอแผนผัง ฉันทลักษณของบทประพันธ พรอมยกตัวอยาง บทประพันธประกอบ สามารถพิจารณาไดจาก หนังสือเรียนหนา 11 จากนั้นสาธิตวิธีการแบง วรรคตอนการอาน และอานออกเสียง 2. สมาชิกกลุมที่ 3 รวมกันตอบคําถามในประเด็น ตอไปนี้ • คําประพันธประเภทโคลงสี่สุภาพมีลักษณะ เดนอยางไร (แนวตอบ โคลงเปนรอยกรองที่มีระเบียบ บังคับคณะ คําเอก คําโท และสัมผัสเปน สําคัญ) • นักเรียนคิดวา คําประพันธประเภทโคลงสี่ สุภาพ มีหลักการแบงวรรคตอนและการ เอื้อนเสียงอยางไร (แนวตอบ 1. การแบงชวงเสียง แบงเปน 2 ชวง คือ ชวงแรก 2 คํา ชวงที่สอง 3 คํา หรืออาจสลับกันได สวนวรรคหลัง แบงการ อานชวงละ 2 คํา ถามีคําสรอยอานเพิ่มเปน อีกหนึ่งชวง 2. นิยมเอื้อนเสียงทายวรรค แรกของแตละบาท และในบทที่ 2 อาจ เอื้อนเสียงคําอื่นๆ ได และสามารถ ทอดเสียงตามตําแหนงรับสัมผัสได เมื่อจบ ตอนสุดทายตองชะลอจังหวะใหชาลงกวา เดิม ทอดเสียงยาวตรงคํารองสุดทายและ คําสุดทาย) 3. นักเรียนบันทึกความเขาใจลงในสมุด
11
กิจกรรมสรางเสริม นักเรียนเลือกบทประพันธที่นักเรียนชื่นชอบมา 1-2 บท บันทึกลงในสมุด และระบุวาเปนคําประพันธชนิดใด นักเรียนอธิบายลักษณะคําประพันธนั้น
นักเรียนควรรู 1 จินตภาพ ภาพที่เกิดจากความนึกคิดหรือที่คิดวาควรจะเปนเชนนั้น ภาพลักษณ ก็วา ภาษาอังกฤษใชวา image 2 คําเปน คําสระยาวที่ไมมีตัวสะกด และคําในมาตรา กง กน กม เกย เกอว
กิจกรรมทาทาย นักเรียนรวบรวมตัวอยางคําประพันธชนิดตางๆ ไดแก โคลง ฉันท กาพย กลอน และราย ชนิดละ 1-2 บท จากวรรณคดีเรื่องตางๆ
3 คําตาย คําสระสั้นที่ไมมีตัวสะกดพวกหนึ่ง และคําในมาตราแม กก กด กบ 4 คํายัติภังค เครื่องหมายวรรคตอนสากลอยางหนึ่ง ใชสัญลักษณขีดแนวนอนสั้นๆ กลางบรรทัด ( - ) 5 ลิลิตพระลอ ลิลิตเปนชื่อคําประพันธประเภทรอยกรองแบบหนึ่ง ซึ่งใชโคลงและ รายแตงตอกันเปนเรื่องยาว วรรณคดีที่แตงตามแบบแผนลิลิต มักจะใชรายและโคลง สลับกันเปนชวงๆ ตามจังหวะ ลีลา และทวงทํานอง และความเหมาะสมของเนื้อหา ในชวงนั้นๆ ลิลิตที่ไดรับการยกยองจากวรรณคดีสโมสรวา เปนยอดของกลอนลิลิต คือ ลิลิตพระลอ เมื่อ พ.ศ. 2459 แตงขึ้นอยางประณีต งดงาม มีความไพเราะของถอยคํา และเต็มไปดวยสุนทรียทางภาษา พรรณนาเรื่องดวยอารมณที่หลากหลาย คูมือครู 11
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู
Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
Explain
1. สมาชิกกลุมที่ 3 รวมกันตอบคําถามในประเด็น ตอไปนี้ • นักเรียนคิดวา การอานทํานองเสนาะใน บทประพันธประเภทโคลงสี่สุภาพ มีขอควร คํานึงในการอานอยางไร (แนวตอบ อานใหถูกฉันทลักษณโดยเฉพาะ บังคับฉันทลักษณคําเอกคําโท ไมอานฉีกคํา ใชนํ้าเสียงใหสอดคลองกับบทประพันธ เพื่อ ดึงดูดใหผูฟงคลอยตาม เมื่อจบตอนสุดทาย ตองชะลอจังหวะใหชาลงกวาเดิม ทอดเสียง ยาวตรงคํารองสุดทายและคําสุดทาย) 2. นักเรียนที่เปนสมาชิกในกลุมที่ 3 สาธิตวิธีการ แบงวรรคตอนการอาน พรอมสาธิตวิธีการอาน ออกเสียงบทรอยกรองดวยเสียงธรรมดาและ การอานทํานองเสนาะ 3. นักเรียนบันทึกความเขาใจลงในสมุด
ขยายความเขาใจ
อธิบายความรู
Expand
1. ครูนําบทประพันธประเภทโคลงสี่สุภาพ เรื่อง นิราศนรินทรคําโคลง จากหนังสือเรียนรายวิชา พื้นฐาน ภาษาไทย วรรณคดีและวรรณกรรม ม.4 หนา 249 มาใหนักเรียนพิจารณาบนกระดาน 2. ครูสุมนักเรียน 1-2 คน ออกมาชวยกันแบงวรรค ตอนในการอานบทประพันธ 3. นักเรียนในหองอานบทรอยกรองพรอมกันโดย ไมตองใสทํานอง
นกแรงบินได้เพื่อ หมู่จระเข้เต่าปลา เข็ญใจพึ่งราชา ลูกอ่อนอ้อนกลืนกล้ำ
เวหา พึ่งน้ำ จอมราช เพื่อน้ำนมแรง (โคลงโลกนิติ : สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร)
คำว่า จระเข้ อยู่ในตำแหน่งคำเอก ในที่นี้ต้องอ่านว่า “จะ-เข้” ๒. อ่านให้ถูกต้องตามลักษณะของการใช้คำยัติภังค์ มีโคลงหลายบทที่ใช้คำ ยัติภังค์ ทั้งที่ปรากฏและไม่ปรากฏเครื่องหมาย ผู้อ่านจึงต้องพิจารณาคำที่ใช้ในโคลงให้เข้าใจ หากพบคำเดียวกันเขียนแยกวรรคกัน จะต้องอ่านคำที่แยกนั้นให้ผู้ฟังทราบว่าเป็นคำใดแน่ เช่น ลำพูดูหิ่งห้อย 1 เหมือนเม็ดเพชรรัตน์ราย วับวับจับเนตรสายวับเช่นเห็นหิ่งห้อย
พรอยพราย รอบก้อย สวาทสบ- เนตรเอย หับหม้านนานเห็น (นิราศสุพรรณ : สุนทรภู่)
บาทที่ ๓ มีคำยัติภังค์ ๒ คำ คือ “สายสวาท” และ “สบเนตร” ดังนั้น จังหวะที่ ตกหลังคำว่า “สาย” และคำว่า “สบ” จึงทอดเสียงได้น้อยที่สุด เพราะต้องอ่านคำถัดไปให้ผู้ฟัง ทราบว่าคำคู่นี้คืออะไร ๓. ใช้น้ำเสียงในการอ่านให้เหมาะสมสอดคล้องกับเนื้อความ เพื่อดึงดูดให้ผู้ฟัง คล้อยตามบทประพันธ์ ทั้งยังทำให้ผู้ฟังเกิดภาพพจน์ 2 และอารมณ์ร่วมได้ง่าย ดังเช่น การอ่านบทรัก บทนิราศ ควรปรับเสียงให้นุ่มนวลและเบากว่าเสียงปกติ การอ่านบทเศร้า ควรครั่นเสียง เครือเสียง อ่านช้า และเนิบกว่าปกติ การอ่านบทตลกขบขัน ควรใช้เสียงให้มีชีวิตชีวา เน้นบางคำหรือเน้น ความสำคัญให้เด่นชัด การอ่านบทกล่าวเกินจริง ควรใช้เสียงปกติ เน้นคำให้ความหมายเกินจริง ๔. เมื่อจะจบตอนที่อ่านต้องชะลอจังหวะให้ช้าลงกว่าเดิม แล้วทอดเสียงยาวกว่า ทุกครั้งตรงคำรองสุดท้ายและคำสุดท้าย เพื่อให้ผู้ฟังทราบว่ากำลังจะสิ้นกระแสความที่อ่าน ๓.๔) การอ่านฉันท์ ๑. อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ (๑) ผังภูมิอินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ ุ ุ ุ ุ บาทเอก ั ุั ั ั ั ุ ั ั ุ ุ บาทโท ั ั ั ั ั ั ั ●
●
●
●
12
นักเรียนควรรู 1 เพชรรัตน แกวที่มีความแข็งแรงที่สุดและมีนํ้าแวววาวมากกวาพลอยอื่น 2 นิราศ เปนลักษณะคําประพันธชนิดหนึ่ง โดยลักษณะคําประพันธดังกลาว เปนการแบงประเภทของคําประพันธตามลักษณะของเนื้อหาในบทประพันธ ซึ่ง ประกอบดวยลักษณะสําคัญ 3 ประการ ดังตอไปนี้ 1. การเคลื่อนที่ เปนการเคลื่อนที่ ของบุคคลและเวลา โดยการเคลื่อนที่ของบุคคล คือ การเดินทางพรากจากสถานที่ ที่เคยอยูอาศัย พบไดในวรรณคดีนิราศทั่วไป สวนการเคลื่อนที่ของเวลา เชน การ เปลี่ยนแปลงของฤดูกาลตางๆ พบไดในวรรณคดีเรื่อง โคลงทวาทศมาส 2. การ ครํ่าครวญ อาจเปนการครํ่าครวญถึงนางอันเปนที่รัก ซึ่งพบในวรรณคดีทั่วไป หรือ อาจครํ่าครวญถึงพระมหากษัตริย เชน นิราศกวางตุง เปนตน และ 3. การใช ธรรมชาติที่พบเห็นตลอดการเดินทางเปนสื่อเปรียบเทียบ พรรณนาความรักความ อาลัย ลักษณะเดนอยางหนึ่งของบทประพันธประเภทนิราศ โดยสวนใหญมักมีความ เศราเพราะรางรักเปนแกนเรื่อง ปรากฏนางในนิราศซึ่งเปนอุปมานิทัศนของความสุข
12
คูมือครู
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
คําประพันธในขอใดตองอานทอดเสียงใหนอยที่สุด 1. ทนุสนธิ์ซึ่งนานนํ้า นองพนา สณฑเฮย 2. หนปจฉิมทิศา ทวมไซร 3. คือทัพอริรามัญหมู นี้นา 4. สมดั่งลักษณฝนไท ธเรศนั้นอยาแหนง มัญหมู นี้นา วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. คือทัพอริราตองอานรวบเสียงคําวา “รามัญ” แมจะเขียนแยกกันดวยเครื่องหมายยัติภังค ( - ) แตเวลาอานตองอานคําใหมีเสียงตอกันเพื่อใหผูฟงรูวาเปนคําเดียวกัน
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ
ตรวจสอบผล
Expand
Evaluate
อธิบายความรู
(๒) การแบ่งช่วงเสียงหรือจังหวะ วรรคหน้า ๕ คำ อ่านแบ่งเสียง ๒ ช่วง เป็น oo/ooo วรรคหลัง ๖ คำ อ่านแบ่งเสียง ๒ ช่วง เป็น ooo/ooo 1
บงเนื้อ/ก็เนื้อเต้น// ทั่วร่าง/และทั้งตัว// แลหลั3ง/ละลามโล// เพ่งผาด/อนาถใจ//
พิศเส้น/สรีร์รัว// ก็ระริก/ระริวไหว// 2 หิตโอ้/เลอะหลั่งไป// ระกะร่อย/เพราะรอยหวาย// (สามัคคีเภทคำฉันท์ : ชิต บุรทัต)
(๓) การเอื้อนเสียงทอดเสียง นิยมเอื้อนที่ ๒ คำ ท้ายวรรคที่ ๒ ของบาทที่ ๑ และท้ายวรรคที่ ๑ ของบาทที่ ๒ แต่ทั้งนี้ต้องดูความเหมาะสมของเสียงของคำในแต่ละวรรคด้วย ๒. วสันตดิลกฉันท์ ๑๔ (๑) ผังภูมิวสันตดิลกฉันท์ ๑๔ ุ ุ ุ ุ ุ ุ ุ บาทเอก ั ั ั ั ั ั ั ุ ุ ุ ุ ุ ุ ุ บาทโท ั ั ั ั ั ั ั (๒) การแบ่งช่วงเสียงหรือจังหวะ วรรคหน้ามี ๘ คำ อ่านแบ่งเสียง ๓ ช่วง เป็ เป็น oo/oo/oooo oo/oo/oooo วรรคหลังมี ๖ คำ อ่านแบ่งเสียง ๒ ช่ช่วงง เป็ เป็น ooo/ooo ooo/ooo เรืองรอง/พระมน/ทิรพิจิตร// ก่องแก้ว/และกาญ/จนระคน// ช่อฟ้า/ก็เฟื้อย/กลจะฟัด// บราลี/พิไล/พิศบวร//
กลพิศ/พิ 4 มานบน// รุจิเรข/อลงกรณ์/5/ ดลฟาก/ทิฆัมพร// นภศูล/สล้างลอย// (อิลราชคำศัพท์ : สุนทรภู่)
(๓) การเอื้อนเสียงทอดเสียง การอ่านให้ทอดเสียงไปยังคำรับสัมผัสตาม และระหว่างคำที่ ๕ คำที ๕ คำที่ ๖ ของวรรคที ๖ ของวรรคที่ ๒ ตำแหน่งนิยมเอื้อนเสียงที่ท้ายวรรคที่ ๒ ของบาทโท และระหว่ บาทที่ ๑ และบาทที่ ๒ ข้อควรคำนึงในการอ่านฉันท์ ใจ ต้องรู้คำครุ คำลหุ และคณะ และคณะ ๑. ต้องศึกษาลักษณะของฉันทลักษณ์ให้เข้าใจ ต้ ของฉันท์แต่ละประเภท
Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 4 นําเสนอวิธีการอานฉันท โดยนักเรียนนําเสนอแผนผังฉันทลักษณของ บทประพันธ ครูใหนักเรียนเลือกบทประพันธ ประเภทอินทรวิเชียรฉันท พรอมยกตัวอยาง บทประพันธประกอบ นักเรียนสามารถ พิจารณาตัวอยางไดจากหนังสือเรียน 2. นักเรียนที่เปนสมาชิกกลุมที่ 4 รวมกันตอบ คําถามในประเด็น ตอไปนี้ • คําประพันธประเภทอินทรวิเชียรฉันทมี ลักษณะเดนอยางไร (แนวตอบ มีการกําหนดบังคับเสียงหนักเบา (ครุ-ลหุ) อยางเครงครัด จึงใชคําภาษาบาลี สันสกฤตเปนหลัก) • นักเรียนคิดวา คําประพันธประเภทฉันทมี หลักการแบงวรรคตอนและการเอื้อนเสียง อยางไร (แนวตอบ 1. การแบงชวงเสียง หรือจังหวะ เนื่องจากวรรคหนามี 5 คํา การอานแบงเปน 2 ชวง คือ ชวงแรก 2 คํา ชวงที่สอง 3 คํา สวนวรรคหลัง 6 คํา แบงการอานเปน 2 ชวง ชวงละ 3 คํา 2. การเอื้อนเสียงทอด เสียง นิยมทอดเสียงไปยังคํารับสัมผัส หาก พิจารณาตามตําแหนงของคํานิยมเอื้อนเสียง ที่ทายวรรคที่ 2 ของบาทโท และระหวาง คําที่ 5 คําที่ 6 ของวรรคที่ 2 บาทที่ 1 และ บาทที่ 2) 3. นักเรียนบันทึกความเขาใจลงในสมุด
13
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
คําประพันธในขอใดมิไดแสดงอารมณเกรี้ยวกราดกระแทกนํ้าเสียง 1. เอออุเหมอิลลาชะลาไฉน ประพาสบเกรงบกลัวกระทํา อุกอาจ อหังการ 2. เรานี่แหละจะสาปจะสรรใหสาแกใจ นะเจาแนะนางอิลลา จะทําไฉน 3. แสงสกาววิโรจนนภาประจักษ แฉลมเฉลาและโสภิตนัก ณ ฉันใด 4. กลกะกากะหวาดขมังธนู บหอนจะเห็นธวัชริปู สีลาถอย
วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. เปนตอนที่นางมัทนารําพึงรําพันกับดวงดาว ที่สองแสงสกาวบนทองฟา ไมมีนํ้าเสียงเกรี้ยวกราด ซึ่งตางจากขออื่นที่ใช คําตายในคําประพันธที่จะใหเสียงสั้น ติดขัด ทําใหเสียงรูสึกถึงอารมณโกรธ เกรี้ยวกราด
นักเรียนควรรู 1 สรีร รากศัพทมาจากภาษาบาลี แปลวา รางกาย 2 แลหลัง/ละลามโล// หิตโอ/เลอะหลั่งไป// บทประพันธบทนี้มีความดีเดนดาน การเลนเสียงสัมผัสอักษรหรือสัมผัสพยัญชนะ คือ ล จากคําวา แล หลัง ละ ลาม โล เลอะ หลั่ง ในการอานทํานองเสนาะบทประพันธที่มีเสียงสัมผัสอักษรเสียงเดียวกัน ดังตัวอยางขางตน นักเรียนควรระมัดระวังในการอานโดยอานออกเสียงใหถูกตอง ชัดเจนตามฉันทลักษณ โดยไมกลืนเสียง ขณะเดียวกันนักเรียนควรอานบทประพันธ ใหสอดคลองกับอารมณความรูสึกในบทประพันธดวย เพื่อใหผูฟงเขาใจเนื้อหาจาก บทประพันธไดอยางชัดเจน 3 ผาด คําวิเศษณ ผานหรือเคลื่อนไปเร็ว (มักใชแกกริยาเห็น) มองแตเผินๆ 4 รุจิเรข มีลายงาม มีลายสุกใส 5 ทิฆัมพร เปนการสรางคําดวยวิธีการสมาสอยางมีสนธิ ระหวางคําวา ทีฆ + อมฺพร ซึ่งหมายถึง ทองฟา คูมือครู
13
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
Explain
Expand
Expand
1. ครูนําบทประพันธประเภทอินทรวิเชียรฉันท เรื่อง คํานมัสการมาตาปตุคุณและคํานมัสการอาจริยคุณจากหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย วรรณคดีและวรรณกรรม ม.4 หนา 247 มาใหนักเรียนพิจารณาบนกระดาน 2. ครูสุมนักเรียน 1-2 คน ออกมาชวยกันแบง วรรคตอนในการอานบทประพันธ 3. นักเรียนในหองอานบทรอยกรองโดยไมใส ทํานองพรอมกัน
Evaluate
๒. การแบ่งจังหวะในการอ่านฉันท์ต้องแม่นยำ ถูกต้อง หากคำใดมีเครื่องหมาย ยติภังค์คั่น ต้องอ่านคำเต็มก่อนแล้วจึงอ่านตามคณะฉันท์ สูงลิ่วละลานนัสูง-ลิ่ว/ละ-ลาน-นัย//
ข้าแต่พระจอมจุฬมกุฎ ข้า-แต่/พระ-จอม/จุ-ละ-มะ-กุด//
บริสุทธิกำจาย บอ-ริ-สุด/ทิ-กำ-จาย//
๔. ไม่อ่านเอื้อนเสียงที่คำลหุ เพราะมีเสียงเบาและสั้น ๕. การใส่ทำนอง ต้องเอื้อนทำนองให้ถูกต้องตามประเภทของฉันท์แต่ละชนิด ๖. การใส่อารมณ์ ต้องฝึกฝนการถ่ายทอดอารมณ์และน้ำเสียงให้เหมาะสม สอดคล้องกับเนื้อเรื่องของฉันท์แต่ละประเภท โดยพยายามไว้จังหวะในบทและบาทของฉันท์ จึงจะทำให้การอ่านฉันท์ไพเราะน่าฟัง ๗. การอ่านตอนจะจบบทต้องเอื้อนเสียงและทอดจังหวะให้ช้าลงจนกระทั่งจบ ๓.๕) การอ่านร่าย ๑. ร่ายยาว (๑) การแบ่งช่วงเสียงหรือจังหวะของร่ายยาว ร่ายยาวในแต่ละวรรคมักมีคำ เกิน ๕ คำ ผู้อ่านควรแบ่งช่วงเสียงตามกลุ่มคำที่จบความหนึ่ง หรืออ่านติดต่อกันให้จบวรรค เน้นเสียงคำที่รับสัมผัสเพื่อให้ได้รับรสจากเสียงสัมผัส
สรรพ์สาระ ที่มาของฉันท์ คำประพันธ์ประเภทฉันท์ ไทยได้รับการถ่ายทอดจากอินเดียตั้งแต่สมัยโบราณ ในอินเดีย นั้นจะแต่งเป็นภาษาบาลี สันสกฤต โดยในภาษาบาลีได้กล่าวถึงแบบอย่างการแต่งฉันท์ในคัมภีร์ วุฒโตทัย ต่อมาไทยได้นำมาปรับปรุงโดยการเพิ่มเติมให้มีบังคับสัมผัส เพื่อให้เกิดความไพเราะ และนับได้ว่าเป็นแบบฉบับคำประพันธ์ของไทยที่แตกต่างจากอินเดีย
14
ในการเรียนการสอนอานคําประพันธนั้น ครูผูสอนควรฝกทักษะการอานให ถูกตองและชํานาญดวย หากครูผูสอนทานใดไมถนัด สามารถใชแถบบันทึกเสียง การอานคําประพันธหรือเชิญวิทยากรที่มีความสามารถเฉพาะดานมาใหความรูกับ นักเรียน โดยครูผูสอนตองคํานึงถึงความสามารถเฉพาะของแตละบุคคลเปนหลัก เนื่องจากนักเรียนแตละคนมีขอจํากัดที่แตกตางกัน การเรียนการสอนอานบทประพันธนี้ ครูผูสอนควรคํานึงวา มีจุดมุงหมายสําคัญ คือ เพื่อใหนักเรียนสามารถอานบทประพันธไดถูกตองตามรูปแบบคําประพันธ เพื่อใหนักเรียนสามารถพิจารณาความไพเราะของบทประพันธจากจังหวะลีลาและ อารมณในบทประพันธ รวมถึงมีการเอื้อนเสียงที่ถูกตองเปนหลัก สวนการอานให มีความไพเราะนั้นเปนพัฒนาการในลําดับถัดไป ตองอาศัยการฝกฝนและความ สามารถเฉพาะบุคคล
คูมือครู
ยนพ้นประมาณหมาย ยะ-นะ-พ้น/ประ-มาน-หมาย//
๓. คำที่รับสัมผัสกันต้องอ่านเน้นเสียงให้ชัดกว่าปกติ ถ้าเป็นสัมผัสนอก ต้องทอดเสียงให้มีจังหวะยาวกว่าปกติ ดังตัวอย่างที่อ่านเน้นเสียงคำว่า กุด สุด ดังนี้
เกร็ดแนะครู
14
ตรวจสอบผล
Explain
1. สมาชิกกลุมที่ 4 รวมกันตอบคําถามในประเด็น ตอไปนี้ • นักเรียนคิดวา การอานทํานองเสนาะในบท ประพันธประเภทฉันทมีขอควรคํานึงในการ อานอยางไร (แนวตอบ เปนตนวา อานใหถูกฉันทลักษณ โดยเฉพาะบังคับคําครุ ลหุ และคณะของฉันท แตละประเภท การแบงจังหวะในการอานถูก ตองแมนยํา ไมอานฉีกคํา หากมีเครื่องหมาย ยัติภังคคั่นตองอานเต็มคํากอน แลวจึงอาน ตามคณะ คําที่รับสัมผัสกันตองอานเนนเสียง ใหชัดกวาปกติ ถาเปนสัมผัสนอกตองทอด เสียงใหยาวกวาปกติ ใชนํ้าเสียงใหสอดคลอง กับประเภทของฉันท เพื่อดึงดูดใหผูฟงคลอย ตาม เมื่อจบตอนสุดทายตองเอื้อนเสียงใหชา ลงกวาเดิม ทอดเสียงชาลงจนกระทั่งจบ) 2. นักเรียนที่เปนสมาชิกในกลุมที่ 4 สาธิตวิธีการ แบงวรรคตอนการอาน พรอมสาธิตวิธีการอาน ออกเสียงบทรอยกรองดวยเสียงธรรมดาและ การอานทํานองเสนาะ 3. นักเรียนบันทึกความเขาใจลงในสมุด
ขยายความเขาใจ
อธิบายความรู
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
ขุนผูคูกํากับ เปนทัพหลังพรั่งพฤนท ขี่คชินทรพาหนะ นามชนะจําบัง ขอใดกลาวถูกตองเกี่ยวกับการอานราย 1. อานคําสงสัมผัส “พฤนท” วา พริน 2. อานคําสงสัมผัส “พฤนท” วา พะรึน 3. อานคํารับสัมผัส “คชินทร” วา คะ-ชิน-ทอน 4. อานคํารับสัมผัส “คชินทร” วา คะ-ชิน-ทะ-ระ วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 1. อานคําสงสัมผัส “พฤนท” วา พริน จะรับ สัมผัสกับ “คชินทร” อานไดอยางเดียววา คะ-ชิน ซึ่งเปนลักษณะของรายที่ คําทายวรรคจะตองสงสัมผัสไปยังคําใดคําหนึ่งในวรรคถัดไป ดังนั้นการอาน ใหถูกตองตามฉันทลักษณ จึงตองพิจารณาคํารับ-สงสัมผัสระหวางวรรค
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
Engage
Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
อธิบายความรู ราชา สญฺชโย/ปางเมื่อพระทูลกระหม่อมจอมนราธิบดีศรีสญชัย/ได้ฟังพระโอรส ทูลร่ำพิไร/พระทัยเธอเร่าร้อนประหนึ่งว่าจะผ่อนให้/แล้วจึ่งผินพระพักตร์มาตรัสปราศรัย/ กับพระสุณิสาศรีสะใภ้ว่า/มัทรีเอ่ย/พาพ่อ1ชาลีมาไย/จะไปด้วยผัวหรือพระลูกรัก/อนิจจา นิจจาเอ่ย/ไม่ควรเลยจะประดักประเดิด/ดูเอาเถิดไม่เกรงกลัว/เจ้าโกรธพ่อหรือว่าขับผัว จากบุรี/มัทรีจะไปด้วยผัวก็เป็นได้/พระลูกเอ่ย/อย่าไปเลยฟังพ่อว่า/ (มหาเวสสันดรชาดก ทานกัณฑ์ : สำนักวัดถนน)
(๒) การเอื้อนเสียงทอดเสียง ส่วนมากนิยมเอื้อนท้ายวรรคเมื่อจบความหนึ่ง และเอื้อนที่กลางวรรคสุดท้ายซึ่งเป็นวรรคจบร่าย ๒. ร่ายสุภาพ (๑) การแบ่งช่วงเสียงหรือจังหวะ วรรคหนึ่งมี ๕ คำ แบ่งช่วงเสียง ๒ ช่วง เป็น ooo/oo ในบางแห่งอาจแบ่ง เป็น oo/ooo เพื่อไม่ให้คำฉีก ศรีสิทธิ์/พิศาลภพ/ แผนแผ่นผ้าง/เมืองเมรุ/ เพียงรพิพรรณ/ผ่องด้าว/ ส่ายเศิกเหลี้ยน/ล่งหล้า/ ควบค้อมหัว/ไหว้ละล้าว/ ผ่อนแผ่นดิน/ให้ผาย/ พระยศไท้/เทิดฟ้า/
เลอหล้าลบ/ล่มสวรรค์/ ศรีอยุธเยนทร์/แย้มฟ้า/ ขุนหาญห้าว/แหนบาท/ ราญราบหน้า/เภริน/ ทุกไทน้าว/มาลย์น้อม/ ขยาย/แผ่นฟ้าให้แผ้ว/ เฟื่องฟุ้ง/ทศธรรม//
จรร/โลงโลก/กว่ากว้าง/ แจกแสงจ้า/เจิดจันทร์/ สระทุกข์ราษฎร์/รอนเสี้ยน/ เข็ญข่าวยิน/ยอบตัว/ ขอออกอ้อม/มาอ่อน/ เลี้ยงทแกล้ว/ให้กล้า/ ท่านแฮ (นิราศนรินทร์ : นรินทรธิเบศร์)
(๒) การเอื้อนเสียงทอดเสียง การอ่านร่ายเมื่ออ่านถึงคำรับสัมผัส ผู้อ่านต้อง เน้นเสียงหรือทอดเสียงให้เหมาะกับเนื้อความ และต้องทอดเสียงท้ายวรรคทุกวรรค เมื่ออ่านถึง ตอนจบซึ่งจบด้วยโคลงสอง ให้เอื้อนเสียงท้ายวรรคให้ยาวนานกว่าทอดเสียงท้ายวรรคอื่นๆ เพื่อ ให้ผู้ฟังทราบว่าเรื่องที่ฟังอยู่กำลังจะจบ ข้อควรคำนึงในการอ่านร่าย ๑. การอ่านร่ายทุกชนิดจะมีทำนองเหมือนกัน คือ ทำนองสูงอ่านด้วยเสียง ระดับเดียวกัน และการลงจังหวะอยู่ที่ท้ายวรรคทุกวรรค ส่วนจะอ่านด้วยลีลาช้าเร็วเพียงใดขึ้นอยู่ กับอารมณ์ที่ปรากฏตามเนื้อความ แต่เมื่ออ่านพบคำที่มีเสียงสูงจะนิยมอ่่านหลบเสียงลงต่ำให้อยู่ ในระดับเสียงอ่านปกติและต้องทอดเสียงท้ายวรรคทุกวรรค ๒. ร่ายส่วนใหญ่จะมีวรรคละ ๕ คำ ซึ่งไม่มีปัญหาในการอ่านให้จบวรรค ภายใน ๑ ช่วงลมหายใจ ยกเว้นร่ายยาว ซึ่งแต่ละวรรคมักมีคำเกินกว่า ๕ คำ หรือเกินกว่า 15
ขอสอบเนน การคิด แนว O-NET
การอานคําประพันธในขอใดมีลักษณะคําประพันธประเภทรายสุภาพ 1. ปางเมื่อพระทูลกระหมอมจอมนราธิบดีศรีสัญชัย/ ไดฟงพระโอรสทูลรํ่าพิไร 2. พระทับเธอเรารอนประหนึ่งวาจะผอนให/แลวจึ่งผินพระพักตรมาตรัส ปราศรัย 3. แผนแผนผาง/เมืองเมรุ/ศรีอยุธเยนทร/แยมฟา/ 4. พระสุณิสาศรีสะใภวา/มัทรีเอย/พาพอชาลีมาไย/จะไปไดผัวหรือพระลูกรัก วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. เพราะเปนลักษณะคําประพันธประเภทราย สุภาพ สังเกตไดจากการแบงจังหวะการอาน วรรคหนึ่งมี 5 คํา แบงเปน 2 ชวง ดังนี้ แผนแผนผาง/เมืองเมรุ/และ ศรีอยุธเยนทร/แยมฟา/ สวนขออื่นเปนรายยาวที่แตละวรรคมักมีคําเกิน 5 คํา
Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 5 นําเสนอวิธีการอานราย โดยนักเรียนนําเสนอแผนผังประเภทรายสุภาพ พรอมยกตัวอยางประกอบจากหนังสือเรียน 2. นักเรียนที่เปนสมาชิกกลุมที่ 4 รวมกันตอบ คําถามในประเด็น ตอไปนี้ • คําประพันธประเภทรายสุภาพมีลักษณะเดน อยางไร (แนวตอบ มีบังคับคณะ สัมผัส รายสุภาพ บังคับคําเอก คําโทดวย) • นักเรียนคิดวา คําประพันธประเภทรายมี หลักการแบงวรรคตอนและการเอื้อนเสียง อยางไร (แนวตอบ 1. วรรคหนามี 5 คํา การอานแบง เปน 2 ชวง คือ ชวงแรก 3 คํา ชวงที่สอง 2 คํา สามารถปรับเปลี่ยนได เพื่อไมใหฉีกคํา 2. นิยมเอื้อนเสียงทอดเสียง เมื่ออานถึง คํารับสัมผัส ควรอานใหเหมาะกับเนื้อความ และตองทอดเสียงตอนทายวรรค เมื่อถึง ตอนจบใหเอื้อนเสียงยาวนานกวาวรรคอื่น) • นักเรียนคิดวา การอานทํานองเสนาะในบท ประพันธประเภทรายมีขอควรคํานึงในการ อานอยางไร (แนวตอบ สามารถพิจารณาเพิ่มเติมจากเรื่อง ขอควรคํานึงในการอานราย ในหนา 15) 3. นักเรียนที่เปนสมาชิกในกลุมที่ 5 สาธิตวิธีการ แบงวรรคตอน พรอมอานออกเสียง
ขยายความเขาใจ
Expand
1. นักเรียนพิจารณาบทประพันธประเภท รายสุภาพ เรื่อง นิราศนรินทรคําโคลง จากหนังสือเรียน หนา 15 2. ครูสุมนักเรียน 1-2 คน ออกมาแบงวรรคตอน 3. นักเรียนอานบทรอยกรองพรอมกัน
เกร็ดแนะครู ครูควรเพิ่มเติมความรูเกี่ยวกับการอานบทประพันธประเภทรายสุภาพ โดยกลาวถึง การอานรายสุภาพทํานองสูงอานดวยเสียงระดับเดียวกัน และลงจังหวะ ที่ทายวรรคทุกวรรค สวนลีลาการอานขึ้นอยูกับเนื้อความ เมื่อพบคําเสียงสูงนิยมหลบ เสียงลงตํ่า และทอดเสียงทายวรรคทุกวรรค ตองพิจารณาชวงเวลาในการกักเก็บและ การปลอยลมหายใจในการอานใหดี เมื่อจบตอนสุดทายตองเอื้อนเสียงใหชาลงกวา เดิมจนกระทั่งจบ เพื่อใหเกิดการใชเสียงที่สมบูรณ ทั้งความไพเราะและความชัดเจน นักเรียนจึงควรฝกฝนตนเองทั้งการอานและการใชเสียงอยางสมํ่าเสมอ เพื่อใหเกิด ความเชี่ยวชาญเมื่อนํามาประยุกตใช
นักเรียนควรรู 1 ประดักประเดิด อาการรีๆ รอๆ ที่ทําใหรูสึกลําบากยุงยากกายหรือใจ คูมือครู
15
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
Engage
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
Expand
1. นักเรียนจัดกลุมใหม โดยใหแตละกลุมมีสมาชิก ไมนอยกวา 5 คน และสมาชิกในกลุมตองเปน ตัวแทนนําเสนอวิธีการอานบทประพันธทั้ง 5 ประเภท คือ โคลง ฉันท กาพย กลอน และราย 2. สมาชิกภายในกลุมรวมแลกเปลี่ยนความรูความ เขาใจในการฝกอานบทประพันธแตละประเภท ประกอบดวยบทประพันธ จํานวน 5 บท จากหนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย วรรณคดีและวรรณกรรม ม. 4 ซึ่งใชปฏิบัติ กิจกรรมขยายความเขาใจ ดังนี้ • ประเภทกลอนสุภาพ บทประพันธเรื่อง อิเหนา หนา 246 • ประเภทกาพยฉบัง 16 บทประพันธเรื่อง คํานมัสการพระธรรมคุณ หนา 29 • ประเภทโคลงสี่สุภาพ บทประพันธเรื่อง นิราศ นรินทรคําโคลง หนา 249 • ประเภทอินทรวิเชียรฉันท บทประพันธเรื่อง คํานมัสการมาตาปตุคุณและคํานมัสการ อาจริยคุณ หนา 247 • ประเภทรายสุภาพ บทประพันธเรื่อง นิราศ นรินทรคําโคลง หนา 15 2. นักเรียนทดสอบความสามารถในการอานทํานอง เสนาะ โดยใหนักเรียนจับสลากเลือกอานบท ประพันธบทใดบทหนึ่งจากบทประพันธที่ครู มอบหมายใหนักเรียนฝกฝน 3. ครูประเมินผลการเรียนรูเปนรายกลุม
๑ ช่วงลมหายใจ ผู้อ่านจะต้องใช้วิจารณญาณตัดสินว่าควรจะหยุดผ่อนลมหายใจช่วงใด ต้อง ฝึกฝนการกักลมหายใจ เพื่ออ่านให้จบวรรค ๓. การใส่อารมณ์ในการอ่านร่าย ผู้อ่านจะต้องพิจารณาลักษณะเนื้อความว่า เป็นประเภทใด เพื่อให้ใช้น้ำเสียงในการอ่านได้เหมาะสมสัมพันธ์กับอารมณ์และเนื้อความ ทำให้ กระทบใจผู้อ่าน เช่น เนื้อความแสดงอารมณ์เศร้า น้ำเสียงควรเบาลง สั่นเครือ จังหวะการ อ่านช้าลงกว่าปกติ เนื้ อความแสดงอารมณ์ โ กรธ น้ำ เสียงควรหนักแน่ น เน้ นเสี ยงดัง กว่าเดิม กระชับ สั้น ห้วน เนื้อความบรรยายการรบการต่อสู้ น้ำเสียงดัง หนักแน่น ห้วน กระชับ เนื้อความตัดพ้อต่อว่า น้ำเสียงต่ำ เน้นบ้าง สะบัดเสียงบ้าง เนื้อความสั่งสอน น้ำเสียงปานกลางไม่เบาไม่ดังเกินไป เน้นเสียงที่ คำสอนแต่ไม่ห้วน ๔. การอ่านตอนจบของร่ายทุกชนิด ผู้อ่านต้องทอดเสียงให้ยาวนานกว่าการ ทอดเสียงท้ายวรรคอื่นๆ เพื่อให้ผู้ฟังทราบว่าเรื่องที่ฟังอยู่กำลังจะจบ ●
●
●
●
●
๒.๓ การอ่านและพิจารณาบทร้อยกรอง การอ่านบทร้อยกรองมีแนวทางในการอ่านและพิจารณาตามองค์ประกอบ ดังนี้ ๑) เนื้อหาสาระ บทร้อยกรองที่ดีมีคุณค่าจะต้องมีเนื้อหาสาระที่แสดงถึงความรู้สึก นึกคิดที่ให้ประโยชน์แก่การดำรงชีวิต ผู้อ่านต้องหาคำตอบให้ได้ว่าได้รับอะไรจากการอ่านบท ร้อยกรองนั้นบ้าง ๒) รูปแบบ หมายถึ ง ลั ก ษณะการประพั น ธ์ ห รื อ ฉั น ทลั ก ษณ์ และศิ ล ปะในการ ประพันธ์ ได้แก่ ๑. ลักษณะการประพันธ์ ผู้อ่านควรทราบว่าบทร้อยกรองที่อ่านเป็นคำประพันธ์ ชนิดใด ผู้ประพันธ์ประพันธ์ตามกฎเกณฑ์หรือไม่ เลือกใช้ฉันทลักษณ์ได้เหมาะสมกับเนื้อหาหรือไม่ ๒. ศิลปะการประพันธ์ การพิจารณาศิลปะการประพันธ์ควรพิจารณาในด้านต่างๆ ต่อไปนี้ การสรรคำ ถ้ อ ยคำที่ ใ ช้ ใ นบทร้ อ ยกรองมั ก เป็ น คำที่ มี ลั ก ษณะพิ เ ศษ นอกจากนี้การสรรคำควรสอดคล้องกับเนื้อหาและรูปแบบของร้อยกรอง จึงจะเกิดความกลมกลืน มีศิลปะ เช่น ถ้ากวีใช้ศัพท์ว่า ทิวา ราตรี บุรุษ นงลักษณ์ ก็จะเห็นได้ว่าเนื้อหาและรูปแบบจะ ●
16
เกร็ดแนะครู ครูควรเพิ่มเติมความรูเกี่ยวกับการอานบทประพันธประเภทรายสุภาพ โดยกลาว ถึงวิธีการอานรายสุภาพทํานองสูงควรอานดวยเสียงระดับเดียวกัน และลงจังหวะที่ ทายวรรคทุกวรรค สวนลีลาการอานบทประพันธประเภทรายสุภาพนั้น ขึ้นอยูกับเนื้อ ความในบทประพันธ เมื่อพบคําเสียงสูงนิยมหลบเสียงลงตํ่า และทอดเสียงทายวรรค ทุกวรรค ตองพิจารณาชวงเวลาในการกักเก็บและการปลอยลมหายใจในการอานให ดี เมื่อจบตอนสุดทายตองเอื้อนเสียงใหชาลงกวาเดิมจนกระทั่งจบ เพื่อใหเกิดการใช เสียงที่สมบูรณ ทั้งความไพเราะและความชัดเจน นอกจากความไพเราะจากการใชเสียงในการอานทํานองเสนาะแลว ขอคํานึงที่ สําคัญในการอานทํานองเสนาะ คือ อรรถรสจากถอยคําอันเกิดจากประพันธ โดยผู อานพิจารณาวาบทประพันธที่อานนั้นมีเนื้อหาอยางไร นําเสนออารมณแบบใด โดย พิจารณาบทประพันธจากรสวรรณคดีวา บทประพันธนําเสนอรสอารมณเชนไร เพื่อ ใหผูอานสามารถถายทอดอารมณความรูสึกจากบทประพันธใหมีความเขมขนและ สามารถสื่อสารอารมณความรูสึกจากบทประพันธผานผูอานสูผูฟงไดเปนอยางดี
16
คูมือครู
กิจกรรมสรางเสริม นักเรียนฝกอานทํานองเสนาะใหถูกตองตามฉันทลักษณและสามารถ อานทํานองเสนาะดวยวิธีการเบื้องตน สําหรับนักเรียนที่ไมถนัดการอาน ทํานองเสนาะ ครูผูสอนอาจจัดกิจกรรมโดยจัดนักเรียนเปนกลุมและให นักเรียนที่มีความสามารถเปนตนแบบและสอนเพื่อนในกลุมอาน
กิจกรรมทาทาย การฝกอานออกเสียงบทรอยกรองนั้น ครูผูสอนสามารถจัดกิจกรรมให ผูเรียนไดฝกอานออกเสียงจากแถบบันทึกเสียง หรือเชิญวิทยากรที่มีความ สามารถพิเศษ โดยใหฝกวิธีการอานที่ถูกตอง เชน การเอื้อนเสียง การ ทอดเสียง และการใสอารมณความรูสึกใหสอดคลองกับบทประพันธ เปนตน
สํารวจคนหา
กระตุนความสนใจ
อธิบายความรู
Explore
Explain
ขยายความเขาใจ Expand
Engage
ตรวจสอบผล Evaluate
สํารวจคนหา
นักเรียนศึกษาหลักการอานและพิจารณา บทรอยกรองในดานเนื้อหาสาระและรูปแบบ
ต้องเป็นร้อยกรองที่ค่อนข้างวิจิตรบรรจง หากใช้คำธรรมดาต้องใช้กับคำประพันธ์ประเภทกลอน ร่าย กาพย์ เช่น ตรากตรำ ลำเค็ญ ซมซาน เป็นต้น การใช้ภาพพจน์ คือ การใช้ถ้อยคำสร้างภาพ ภาพพจน์ที่กวีใช้มีหลาย ชนิดด้วยกัน เช่น อุปมา อุปลักษณ์ บุคคลวัต สัทพจน์ เป็นต้น อุปมา เช่น สวยเหมือนนางฟา อุปลักษณ์ เช่น ขอเป็นเกือกทองรองบาทา บุคคลวัต เช่น ทะเลไม่เคยหลับไหล สัทพจน์ เช่น ครืนครืนคลื่นพิรุณทั่วหล้า ความไพเราะ รสของบทร้อยกรองอยู่ที่เสียงเป็นสำคัญ ความไพเราะของ บทร้อยกรองจึงเกิดจากกลวิธีการซ้ำคำ การซ้ำวลี การเล่นคำ การเล่นสัมผัส และลีลาจังหวะ เช่น
อธิบายความรู
●
ละลิ่วลิ่วริ้วคลื่นครืนผวา ละลานตารวิวาบอาบนที (ภาพพิมพ์ใจสองฝั่งเจ้าพระยา : นิภา บางยี่ขัน)
ความหมายลึกซึ้งกินใจ บทร้อยกรองที่ประทับใจผู้อ่านนอกจากจะมีเนื้อหา
●
ดีมีคุณค่า มีความไพเราะแล้ว ถ้อยคำโวหารที่กล่าวอย่างลึกซึ้งยังทำให้บทร้อยกรองนั้นๆ เป็นที่ นิยมยาวนาน ความคมคายเหล่านั้นเกิดจากทรรศนะหรือความรู้สึก และอารมณ์ของกวี เช่น สักวันหนึ่งถึงไม่มีชีวิตแม่ แม่ทอลูกก็ทอต่อเส้นใย
ลูกที่แท้คงทอสืบต่อได้ ผ้าชีวิตผืนใหม่จะต้องงาม (ไหมแท้ที่แม่ทอ : ไพวรินทร์ ขาวงาม)
¡ÒÃ͋ҹ໚¹·Ñ¡ÉСÒÃÊ×èÍÊÒ÷ÕèÊÓ¤ÑÞáÅШÓ໚¹ã¹ªÕÇÔµ à¾ÃÒÐ໚¹à¤Ã×èͧÁ×Í㹡Òà áÊǧËÒ¤ÇÒÁÃÙŒ à¾×è ÍãËŒ à »š ¹ ¤¹·Ñ ¹âÅ¡·Ñ ¹ à赯 ¡ Òó ¼ÙŒ Í‹ Ò ¹¤ÇÃ¤Ó¹Ö § ¶Ö § ËÅÑ ¡ ¡ÒÃÍ‹ Ò ¹ãËŒ ÊÍ´¤ÅŒÍ§¡ÑºÅѡɳСÒÃÍ‹Ò¹áŌǹÓÁÒ㪌ãËŒàËÁÒÐÊÁ ¡ÒÃÍ‹Ò¹¨Ö§¨ÐÊÑÁÄ·¸Ô¼Å ઋ¹ Ëҡ໚¹ ¡ÒÃÍ‹Ò¹ÍÍ¡àÊÕ§¨Ð·ÓãËŒàÊÕ§¹Ñé¹¹‹Ò¿˜§ ¼ÙŒ¿˜§à¡Ô´ÍÒÃÁ³ ¤ÅŒÍµÒÁ Ëҡ໚¹¡ÒÃÍ‹Ò¹ã¹ã¨ ¼ÙŒÍ‹Ò¹¨Ðä´ŒÃѺ¤ÇÒÁÃÙŒ ¤ÇÒÁࢌÒ㨠¤ÇÒÁºÑ¹à·Ô§ Í‹ҧ᷌¨ÃÔ§ ¼ÙŒÍ‹Ò¹¨Ö§µŒÍ§ËÁÑè¹½ƒ¡½¹ÍÂÙ‹àÊÁÍ à¾×èÍãËŒà¡Ô´·Ñ¡ÉÐ áÅÐÊÒÁÒö¹Óä»ãªŒã¹¡ÒÃÊ×èÍÊÒÃ䴌͋ҧÁÕ»ÃÐÊÔ·¸ÔÀÒ¾ http://www.aksorn.com/LC/Thai_Gra/M4/01
ขอสอบ
ขยายความเขาใจ
EB GUIDE
1๗
O-NET
ขอสอบป ’ 52 ออกเกี่ยวกับการอานและพิจารณาบทรอยกรอง ขอใดตีความไดตรงกับขอความตอไปนี้ ลาภยศถาบรรดาดีที่มีอยู รวยเลิศหรูอยูเรือนทองสองลานสาม สมบัติมากลากไมไหวใครจะปราม สุดทายหามแตรางเนาเทานั้นเอง 1. บางคนโชคดีไดลาภยศและเงินทองโดยไมมีใครขวางได 2. คนเราไมควรโลภมากเอาแตตักตวงความรํ่ารวย ในที่สุดก็แบกไมไหว 3. สมบัติทั้งหลายไมใชสิ่งจีรังยั่งยืน มีความเปลี่ยนแปรอยูเสมอ 4. คนเราเมื่อถึงคราวตายก็เอาเกียรติยศและทรัพยสินติดตัวไปไมได วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 4. “ลาภยศถาบรรดาดีที่มีอยู” คือ เกียรติยศ และ “เรือนทองสองลานสาม” คือ ทรัพยสิน แตเมื่อถึงคราวตายก็ “หามแต รางเนาเทานั้นเอง” ไมสามารถเอาเกียรติยศและทรัพยสินติดตัวไปได
Explain
1. นักเรียนรวมกันแสดงความคิดเห็นในประเด็น ตอไปนี้ • นักเรียนคิดวา บทประพันธที่นักเรียนใชใน การปฏิบัติกิจกรรมที่ผานมา มีความโดดเดน ดานเนื้อหาและรูปแบบอยางไร (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ไดอยางหลากหลาย โดยยกบทประพันธ บทใดบทหนึ่งที่นักเรียนประทับใจ เปนตนวา กลาวถึงบทชมดงในเรื่องอิเหนา มีการเลนคํา และใชภาพพจน รวมถึงใชขนบนิราศในการ ประพันธ นักเรียนสามารถพิจารณาเพิ่มเติม ไดจากบทประพันธที่นักเรียนยกมา) • นักเรียนคิดวา การอานทํานองเสนาะชวย ใหนักเรียนเกิดความเขาใจและซาบซึ้งใน อรรถรสของบทประพันธประเภทรอยกรอง เพิ่มมากขึ้นหรือไม อยางไร (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ไดอยางหลากหลาย เปนตนวา ชวยใหเกิด ความซาบซึ้งในทวงทํานองเสียงสัมผัส ตลอดจนรสอารมณจากบทประพันธ) 4. นักเรียนบันทึกความเขาใจลงในสมุด
●
ระรื่นชื่นชมด้วยลมพริ้ว ละลอกเรื่อยกระทบกระทั่งฝั่งสุธา
Explore
Expand
1. นักเรียนยกบทประพันธประเภทรอยกรองที่ นักเรียนประทับใจ จากนั้นนักเรียนอธิบาย คุณคาดานเนื้อหาสาระและคุณคาทาง วรรณศิลป พรอมนําบทประพันธดังกลาว มาอานทํานองเสนาะ 2. ครูสุมนักเรียน 2-3 คน ออกมาอานทํานอง เสนาะ พรอมนําเสนอคุณคาทางวรรณศิลป
เกร็ดแนะครู ครูควรเพิ่มเติมความรูความเขาใจเกี่ยวกับการพิจารณารสจากวรรณคดีหรือ วรรณกรรม รสของบทประพันธในที่นี้คือ รสของความไพเราะและความงดงามทาง ภาษา นักเรียนสามารถพิจารณารสที่ใชในการอานและพิจารณาบทรอยกรองได ดังรายละเอียด ตอไปนี้ 1. รสถอย (คําพูด) แตละคํามีรสในคําของตัวเอง ผูอานจะ ตองอานใหเกิดรสถอย 2. รสความ (เรื่องราวที่อาน) ขอความที่อานมีเรื่องราวเกี่ยวกับ อะไร เชน โศกเศรา สนุกสนาน ตื่นเตน โกรธ รัก เปนตน ขณะที่อาน ผูอานตองอาน ใหมีลีลาไปตามลักษณะของเนื้อเรื่องนั้นๆ 3. รสทํานอง (ระบบเสียงสูงตํ่าซึ่งมีจังหวะ สั้นยาว) ในบทรอยกรองไทยจะประกอบดวยทํานองตางๆ เชน ทํานองโคลง ทํานอง ฉันท ทํานองกาพย ทํานองกลอน และทํานองราย เปนตน ผูอานจะตองอานใหถูก ตองตามทํานองของรอยกรองนั้น 4. รสคลองจอง ในบทรอยกรองตองมีคําคลองจอง ในคําคลองจองนั้นตองใหออกเสียงตอเนื่องกัน โดยเนนสัมผัสนอกเปนสําคัญ 5. รสภาพ เสียงทําใหเกิดภาพ ในแตละคําจะแฝงไปดวยภาพ ในการอานใหเห็นภาพ ตองใชเสียง สูง-ตํ่า ดัง-คอย แลวแตจะใหเกิดภาพอยางไร คูมือครู
17
กระตุนความสนใจ
สํารวจคนหา
อธิบายความรู
ขยายความเขาใจ
Engage
Explore
Explain
Expand
ตรวจสอบผล
ตรวจสอบผล Evaluate
Evaluate
1. นักเรียนสรุปสาระสําคัญเกี่ยวกับความแตกตาง ในการอานบทรอยกรองธรรมดาและการอาน ทํานองเสนาะ 2. นักเรียนสรุปคุณสมบัติเกี่ยวกับการอาน ออกเสียงบทรองกรองที่ดีได 3. นักเรียนอานออกเสียงบทรอยกรองประเภท โคลง ฉันท กาพย กลอน และรายได 4. นักเรียนสรุปลักษณะคําประพันธและหลัก เกณฑในการอานได 5. นักเรียนสรุปสาระสําคัญดานเนื้อหาและรูปแบบ จากบทประพันธที่นักเรียนไดอาน พรอมระบุ ความสัมพันธกับการอานทํานองเสนาะได 6. นักเรียนอานบทประพันธพรอมบอกคุณคาดาน เนื้อหาและวรรณศิลปจากบทประพันธได
หลักฐานแสดงผลการเรียนรู 1. ความเรียงสรุปสาระสําคัญเกี่ยวกับความ แตกตางในการอานบทรอยกรองธรรมดาและ การอานทํานองเสนาะ พรอมตัวอยางประกอบ 2. ความเรียงสรุปคุณสมบัติเกี่ยวกับการอาน ออกเสียง 3. ความเรียงบันทึกขอมูลการอานออกเสียง บทรอยแกวประเภทบันเทิงคดีและสารคดี 4. ความเรียงสรุปลักษณะคําประพันธและหลัก เกณฑการอาน 5. ความเรียงสรุปสาระสําคัญดานเนื้อหาและ รูปแบบจากบทประพันธที่นักเรียนไดอาน พรอมระบุความสัมพันธระหวางคุณคาของ บทประพันธกับการอานทํานองเสนาะได 6. บันทึกการอานออกเสียงบทรอยกรอง 7. ความเรียงสรุปเนื้อหาและคุณคาทางวรรณศิลป จากบทประพันธ 8. บันทึกการตอบคําถามประจําหนวยการเรียนรู
คำถามประจำหน่วยการเรียนรู้
๑. การอ่านออกเสียงร้อยแก้วเป็นทักษะที่จำเป็นต้องฝึกฝนหรือไม่ อย่างไร ๒. การศึกษาฉันทลักษณ์ของคำประพันธ์แต่ละประเภทก่อนอ่านบทร้อยกรอง มีความ จำเป็นหรือไม่ อย่างไร ๓. การอ่านบทร้อยกรองประเภทคำฉันท์ มีหลักในการอ่านอย่างไร จงอธิบายและยกตัวอย่างประกอบ ๔. คุณสมบัติของผู้ที่จะอ่านทำนองเสนาะได้ดีมีอะไรบ้าง จงอธิบาย ๕. การอ่านทำนองเสนาะแบบกระแทกเสียง มักจะใช้กับการอ่านเนื้อหาในลักษณะใด จงอธิบายและยกตัวอย่าง
กิจกรรมสร้างสรรค์พัฒนาการเรียนรู้
๑. ให้นกั เรียนจับคูก่ นั ฝึกอ่านทำนองเสนาะให้ถกู ต้องตามขัน้ ตอนการอ่าน แล้วติชมหรือ ให้ขอ้ เสนอแนะซึง่ กันและกัน ๒. ให้นักเรียนเลือกวรรคทองในวรรณคดีที่นักเรียนชื่นชอบมาฝึกอ่านทำนองเสนาะ ให้ถูกต้องและมีความไพเราะ ๓. จัดโครงการประกวดการอ่านเพื่อให้นักเรียนเห็นความสำคัญของการอ่านและฝึก การอ่านออกเสียงให้ถูกต้อง ชัดเจน เช่น - โครงการประกวดผู้ประกาศข่าววัยใส - โครงการประกวดเยาวชนเสียงเสนาะ
18
แนวตอบ คําถามประจําหนวยการเรียนรู 1. นักเรียนสามารถตอบไดอยางหลากหลาย เนื่องจากการอานรอยแกวเปนทักษะที่จําเปนตองฝกฝนอยางสมํ่าเสมอ ทั้งความรูในดานเนื้อหาและการออกเสียงที่มีความ ถูกตองชัดเจน เพื่อสรางอรรถรสในการอาน 2. การศึกษาฉันทลักษณกอนการฝกอานคําประพันธประเภทบทรอยกรองมีความจําเปนอยางมาก เนื่องจากฉันทลักษณทําหนาที่กําหนดทํานองใหบทรอยกรองแตละ ประเภทมีความแตกตางกัน ทั้งการแบงวรรคตอนและทวงทํานองการอาน 3. ตองมีความเขาใจฉันทลักษณ ทั้งคําครุ ลหุ ของฉันทแตละประเภท ตลอดจนการแบงจังหวะที่ถูกตอง รวมถึงตองคํานึงถึงการเนนสียงในคําที่ทําหนาที่รับสัมผัสและ เอื้อนเสียงใหถูกตองตามลักษณะของฉันทแตละประเภท จากนั้นจึงเอื้อนเสียงและทอดจังหวะใหชาลงในชวงทาย 4. นักเรียนสามารถตอบไดอยางหลากหลาย เปนตนวา ตองหมั่นศึกษาคนควาความรูเกี่ยวกับฉันทลักษณ ความรูพื้นฐานในการอาน หมั่นฝกฝนอยางสมํ่าเสมอเพื่อใหมี ความเชี่ยวชาญจนเกิดความกลาแสดงออกและมีความเชื่อมั่นในตนเอง 5. การอานทํานองเสนาะแบบกระแทกเสียง มักใชบรรยายความโกรธ ความเขมแข็ง หรือความศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากมีการลงเสียงในแตละคําหนักเปนพิเศษ ตัวอยางเชน “เอออุเหมนะมึงชิชางกระไร ทุทาสสถุลฉะนี้ไฉน ก็มาเปน ศึก บ ถึงละมึงก็ยังมิเห็น จะนอยจะมากจะยากจะเย็น ประการใด” เนื้อหาจากวรรณคดีเรื่องสามัคคีเภทคําฉันท ประพันธโดยนายชิต บุรทัต
18
คูมือครู