ประวัตขิ องจังหวัดบึงกาฬ จังหวัดบึงกาฬ เป็ นจังหวัดในประเทศไทย จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติต้งั จังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. 2554 อันมีผลใช้บงั คับตั้งแต่วนั ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2554 เป็ นต้นไป โดยแยกอาเภอบึงกาฬ อาเภอเซกา อาเภอ โซ่พิสยั อาเภอบุ่งคล้า อาเภอบึงโขงหลง อาเภอปากคาด อาเภอพรเจริ ญ และอาเภอศรี วิไล ออกจากการ ปกครองของจังหวัดหนองคาย
สั ญลักษณ์ ประจาจังหวัด คาขวัญประจาจังหวัด : ภูทอกแหล่งพระธรรม ค่าล้ายางพารา งามตาแก่งอาฮง บึงโขงหลงเพลินใจ น้ าตกใส เจ็ดสี ประเพณี แข่งเรื อ เหนือสุดแดนอีสาน นมัสการหลวงพ่อใหญ่ ศูนย์รวมใจศาลสองนาง ตราประจาจังหวัด : รู ปภูทอก บึงโขงหลง และต้นไม้ ต้นไม้ประจาจังหวัด : ต้นสิรินธรวัลลีหรื อต้นสามสิบสองประดง (Bauhinia sirindhorniae) ดอกไม้ประจาจังหวัด : ดอกสิรินธรวัลลีหรื อดอกสามสิบสองประดง สัตว์น้ าประจาจังหวัด : ปลาบู่กุดทิง (Neodontobutis aurarmus)
การจัดตั้ง โครงร่ างศาลากลางจังหวัดบึงกาฬ ใน พ.ศ. 2537 นายสุเมธ พรมพันห่าว สมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎรพรรคเสรี ธรรม จังหวัด หนองคาย เสนอให้จดั ตั้งจังหวัดบึงกาฬขึ้น โดยกาหนดจะแยกพื้นที่อาเภอบึงกาฬ อาเภอปากคาด อาเภอโซ่ พิสยั อาเภอพรเจริ ญ อาเภอเซกา อาเภอบึงโขงหลงอาเภอศรี วิไล และอาเภอบุ่งคล้า ออกจากจังหวัด หนองคาย รวมเป็ นท้องที่ท้งั หมด 4,305 ตารางกิโลเมตร และมีประชากรประมาณ 390,000 คน อย่างไรก็ ดี กระทรวงมหาดไทย แจ้งผลการพิจารณาว่า ยังไม่มีแผนที่จะยกฐานะอาเภอบึงกาฬขึ้นเป็ นจังหวัด เพราะ การจัดตั้งจังหวัดใหม่เป็ นการเพิ่มภาระด้านงบประมาณ อีกทั้งยังเป็ นการเพิ่มกาลังคนภาครัฐ ซึ่งจะขัดกับมติ คณะรัฐมนตรี โครงการร้างมาเกือบ 20 ปี กระทัง่ พ.ศ. 2553 กระทรวงมหาดไทย ได้นาเรื่ องการจัดตั้งจังหวัดบึง กาฬ เสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี อกี ครั้ง เพื่อยก "ร่ างพระราชบัญญัติจดั ตั้งจังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. ..." ผล การสารวจความเห็นของประชาชนจังหวัดหนองคายในคราวเดียวกัน ปรากฏว่า ร้อยละ 98.83 เห็นด้วยกับ การจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ ต่อมา วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553 คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบให้จดั ตั้งจังหวัดบึง กาฬ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จึงถวายร่ างพระราชบัญญัติให้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา ภูมิพลอดุลยเดชทรงลงพระปรมาภิไธย โดยทรงลงเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2554 นาประกาศเป็ น "พระราชบัญญัติต้งั จังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. 2554" ในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2554 และใช้บงั คับ ในวันรุ่ งขึ้น โดยให้เหตุผลว่า
เป็ นไปตามหลักเกณฑ์ในเรื่ องอาเภอ จานวนประชากร และลักษณะพิเศษของจังหวัด อีกทั้งยังเป็ นผลดีต่อ การให้บริ การแก่ประชาชน,จังหวัดหนองคายเป็ นพื้นที่แนวยาวทอดตามแม่น้ าโขง จึงมีผลต่อการรักษาความ มัน่ คงและความสงบเรี ยบร้อยตามแนวชายแดน,จังหวัดหนองบัวลาภูและจังหวัดอานาจเจริ ญที่เคยตั้งขึ้น ใหม่ก็มีเนื้อที่นอ้ ยกว่าหลักเกณฑ์มติคณะรัฐมนตรี เช่นกัน,จังหวัดที่ต้งั ขึ้นใหม่ไม่ให้บริ การสาธารณะซ้ าซ้อน กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และบุคลากรจานวน 439 อัตรา สามารถกระจายกันในส่วนราชการได้ ไม่มี ผลกระทบมากนักต่อมารัฐสภาได้มีมติเห็นชอบ "ร่ างพระราชบัญญัติจดั ตั้งจังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. ..." เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จึงถวายร่ างพระราชบัญญัติให้ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงลงพระปรมาภิไธย โดยทรงลงเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2554 นาประกาศเป็ น "พระราชบัญญัติต้งั จังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. 2554" ในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2554 และใช้บงั คับในวันรุ่ งขึ้น เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติ มีว่า "...เนื่องจากจังหวัดหนองคายเป็ นจังหวัดที่มีทอ้ งที่ติดชายแดน และมีลกั ษณะภูมิประเทศเป็ นแนว ยาว ทาให้การติดต่อระหว่างอาเภอที่ห่างไกลและจังหวัดเป็ นไปด้วยความยากลาบาก และใช้ระยะเวลาใน การเดินทางมากเกินควร ดังนั้น เพื่อประโยชน์ในการจัดระเบียบการปกครอง การรักษาความมัน่ คง และการ อานวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในท้องที่ สมควรแยกอาเภอบึงกาฬ อาเภอเซกา อาเภอโซ่พิสยั อาเภอบุ่ง คล้า อาเภอบึงโขงหลง อาเภอปากคาด อาเภอพรเจริ ญ และอาเภอศรี วิไล จังหวัดหนองคาย ออกจากการ ปกครองของจังหวัดหนองคาย รวมตั้งขึ้นเป็ นจังหวัดบึงกาฬ จึงจาเป็ นต้องตราพระราชบัญญัติน้ ี" นอกจากมาตรา 3 ของพระราชบัญญัติดงั กล่าว ที่ให้จดั ตั้งจังหวัดบึงกาฬ โดยมีองค์ประกอบเป็ น อาเภอทั้งแปดข้างต้นแล้ว มาตรา 4 ยังให้เปลี่ยนชื่อ "อาเภอบึงกาฬ" เป็ น "อาเภอเมืองบึงกาฬ" ด้วย เมื่อวันที่ 22-25 มีนาคม พ.ศ. 2554 ได้มีการจัดงานฉลองจังหวัดบึงกาฬอย่างยิง่ ใหญ่ โดยมี นายชว รัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็ นประธานในพิธี ต่อมารัฐสภาได้มีมติเห็นชอบ "ร่ าง พระราชบัญญัติจดั ตั้งจังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. ..." เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 นายอภิสิทธิ์ เวชชา ชีวะ นายกรัฐมนตรี จึงถวายร่ างพระราชบัญญัติให้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงลง พระปรมาภิไธย โดยทรงลงเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2554 นาประกาศเป็ น "พระราชบัญญัติต้งั จังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. 2554" ในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2554 และใช้บงั คับในวันรุ่ งขึ้น ภูมศิ าสตร์ อาณาเขต บึงกาฬเป็ นจังหวัดที่มีเขตพื้นที่ติดต่อกับประเทศลาว โดยมีแม่น้ าโขง เป็ นแนวพรมแดน -ทิศเหนือ ติดต่อกับแขวงบริ คาไชย ประเทศลาว -ทิศตะวันออก ติดต่อกับแขวงบริ คาไชย ประเทศลาว และจังหวัดนครพนม -ทิศใต้ ติดต่อกับจังหวัดสกลนคร ภูทอก
-ทิศตะวันตก ติดต่อกับแขวงบริ คาไชย ประเทศลาว และจังหวัดหนองคาย
สภาพภูมิประเทศ จังหวัดบึงกาฬเป็ นจังหวัดที่มีสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์ แวดล้อมไปด้วยภูเขาและน้ าตกที่สวยงาม เช่น น้ าตกเจ็ดสี, น้ าตกตากชะแนน ที่อยูภ่ ายในอุทยานแห่งชาติภูววั พื้นที่ส่วนใหญ่ในจังหวัดเป็ นที่ราบลุ่ม
สภาพอากาศ ภูมิอากาศที่จงั หวัดบึงกาฬค่อนข้างดี เพราะได้อิทธิพลจากแม่น้ าโขงทาให้อากาศไม่ร้อนมาก ในช่วงถดูร้อน ในฤดูหนาวอากาศดีเหมาะแก่การท่องเที่ยวและพักผ่อนโดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสาคัญ จังหวัดบึงกาฬมักจะมีนกั ท่องเที่ยวเข้ามาจองห้องพักต่อเนื่อง
10 สุ ดยอดที่เทีย่ วฮอต จังหวัดบึงกาฬ เปิ ดตัวกันไปเรียบร้ อยแล้วสาหรับ 'บึงกาฬ' จังหวัดหมายเลข 77 ของประเทศไทย ที่หลายคนยัง สงสัยว่าจังหวัดนีต้ ้งั อยู่ส่วนไหนของประเทศไทยกันหนอ? บึงกาฬ ชื่อนี้เคยมีสถานะเป็ นแค่ อ.บึงกาฬ เขตการปกครองส่วนหนึ่งของจังหวัดหนองคาย มีสภาพพื้นที่ ค่อนข้างห่างไกลจากตัวจังหวัดหนองคายไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือราวๆ 136 กิโลเมตร และมีพ้นื ที่ติด กับแม่น้ าโขงเป็ นแนวยาว เป็ นพรมแดนกั้นระหว่างประเทศไทยกับแขวงบริ คาไชย สาธารณรัฐ ประชาธิปไตยประชาชนลาว แต่หลังจากประกาศเป็ นจังหวัดบึงกาฬเมื่อกลางปี ที่แล้ว ก็ได้รวมอาเภออีก7 แห่งที่อยูใ่ กล้เคียงกันมารวมไว้ดว้ ยกันเป็ นหนึ่งจังหวัดคือ อาเภอปากคาด อาเภอโซ่พิสยั อาเภอพรเจริ ญ อาเภอเซกา อาเภอบึงโขงหลง อาเภอศรี วิไล และอาเภอบุ่งคล้า ซึ่งในแต่ละอาเภอก็จุดเด่นและเอกลักษณ์ที่ แตกต่างกันไป ทั้งทางธรรมชาติและวัฒนธรรม ที่ถา้ มีโอกาสก็น่าจะได้เดินทางไปเยือนกันสักครั้ง สาหรับใครที่สนอกสนใจและคิดจะเดินทางไปสัมผัสความสวยงามของจังหวัดบึงกาฬ Sanook!
ท่ องเที่ยว ก็ไม่พลาดรวบรวมสุ ดยอดที่เที่ยวของจังหวัดใหม่แห่ งนีม้ าให้ นกั เดินทางได้ ชื่นชมและสัมผัสมนต์ เสน่ ห์ก่อนใคร
1. เขตรักษาพันธ์ สัตว์ป่าภูววั (อ. บุ่งคล้า) ผืนป่ าใหญ่ของ จ. บึงกาฬ และเป็ นป่ าอนุรักษ์ที่สวย สมบูรณ์ที่สุดอีกแห่งหนึ่งของภาคอีสาน ภายในพื้นที่มนี ้ าตกสวยงามหลายแห่ง เช่น น้ าตกถ้าฝุ่ น น้ าตกเล็กๆ ที่เข้าถึงสะดวกที่สุด บริ เวณน้ าตกมีเพิงถ้าหลายแห่ง หรื อน้ าตกชะแนน น้ าตกใหญ่ที่ไหลลัดเลาะมาตามลา ห้วย แล้วตกมาเป็ นน้ าตกสามชั้นอยูห่ ่างกัน คือ ขัวพญานาค ชะแนน และบึงจระเข้ โดยมีน้ าตกชะแนนเป็ น น้ าตกขนาดใหญ่สุด
2.นา้ ตกเจ็ดสี (อ. บุ่งคล้า) น้ าตกที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งในเขตรักษาพันธ์สตั ว์ป่าภูววั สายน้ าไหลตก จากหน้าผาหินทรายแล้วแผ่กว้างออกสวยงามตระการตา ด้านล่างมีแอ่งน้ าสาหรับเล่นน้ าและโขดหินให้ นัง่ เล่นพักผ่อนหย่อนใจ
3. นา้ ตกตาดกินรี (อ. บึงโขงหลง) อยูใ่ นป่ าภูลงั กา เป็ นน้ าตกใหญ่ไหลลงสู่หุบเหว น้ าตกชั้นบน ไหลลดหลัน่ กันไปตามลานหินกว้าง และมีแอ่งน้ าใสให้เราสามารถลงไปเล่นน้ ากันได้
4. บึงโขงหลง (อ. บึงโขงหลง) ทะเลสาบขนาดใหญ่ที่เป็ นพื้นที่อนุรักษ์พนั ธุน์ ก โดยเฉพาะนกน้ าที่ ย้ายถิน่ เข้ามาในช่วงฤดูหนาว ทั้งห่านป่ า นกเป็ ดน้ า นกยาง นกกระเต็น มีจุดดูนกอยูด่ อนสวรรค์ ซึ่งเป็ นที่ต้งั ของที่ทาการเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงโขงหลง บริ เวณบึงยังมีหาดคาสมบูรณ์ที่มีหาดทรายทอดยาวในช่วงฤดู หนาว เป็ นแหล่งพักผ่อนและชมวิวทิวทัศน์ มองเห็นภูลงั กาเป็ นฉากหลัง
5. ภูทอก (อ.ศรีวไิ ล ) ภูเขาหินทราย ที่มีวดั เจติยาคีรีวิหาร ตั้งอยูเ่ ชิงเขา และมีสะพานไม้สร้าง วนเวียนขึ้นไปสู่ยอดเขารวม 7 ชั้น เพื่อเป็ นทางเดินขึ้นไปยังกุฏิและถ้าที่อยูต่ ามหลืบผา และมองเห็นความ
สวยงามของภูมิประเทศเบื้องล่างได้ไกลสุดลูกหูลกู ตา ถ้าในวันที่อากาศแจ่มใสอาจมองได้ไกลถึงเทือกเขา ในเขตจังหวัดนครพนม
6.วัดสว่างอารมณ์ (อ. ปากคาด) ภายในวัดมีโบสถ์อยูย่ นก้อนหินใหญ่ หลืบถ้าด้านล่างเป็ นที่ ประดิษฐานพระพุทธรู ปไสยาสน์ปางปริ นิพพาน บริ เวณด้านบนก้อนหินเป็ นจุดชมวิวทิวทัศน์สวยงามของ แม่น้ าโขง
7.หาดทรายขาว (อ. บึงกาฬ)เป็ นหาดทรายขาวริ มฝั่งแม่น้ าโขงที่สวยงามระยะทางยาวประมาณ 2 กม. เมื่อยามเช้าและเย็นอากาศดีลมพัดเย็นสบาย และความสวยงามเมื่อพระอาทิ ตย์ลบั ขอบฟ้ า
8.แก่งอาฮง (อ.บึงกาฬ) เป็ นแก่งหินกลางลาน้ าโขง บริ เวณหน้าวัดอาฮงศิลาวาส บ้านอาฮง ตาบล หอคา ถือว่าเป็ นจุดที่แม่น้ าโขงมีความลึกที่สุดไม่สามารถวัดความลึกได้ กระแสน้ าบริ เวณแก่งอาฮงจะไหล เชี่ยวมากในฤดูน้ าหลากและมีกระแสน้ าไหลวนเป็ น รู ปกรวยขนาดใหญ่ซ่ึงชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็ น "สะดือ แม่น้ าโขง" แม่น้ าโขงบริ เวณแก่งอาฮงมีความกว้างประมาณ300 เมตร ในฤดูน้ าลดและมีความกว้างราว 400 เมตร ในฤดูน้ าหลาก และจะสามารถมองเห็นแก่งได้ในช่วงเดือนมีนาคม - พฤษภาคมของทุกปี และกลุ่มหิน ที่ปรากฎบริ เวณแก่งอาฮงจะมีชื่อเรี ยกตามลักษณะของหิน เช่น หินลิน้ นาค หินปลาเข้ ถ้าปลาสวาย นอกจาก จะเป็ นแหล่งพักผ่อนและสถานที่ท่องเที่ยวของอาเภอบึงกาฬและเป็ นสถานที่ เกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ คือ"บั้งไฟพญานาค" ในช่วงประเพณี ออกพรรษา จะมีนกั ท่องเที่ยวมาพักเที่ยวชมปรากฏการณ์ธรรมชาติ ปรากฏการณ์บ้งั ไฟพญานาค บริ เวณบ้านอาฮงเป็ นจานวนมาก จะมีมากในวันขึ้น 15 ค่าเดือน 11 ที่ปฏิทิน ไทย กับปฏิทินประเทศ สปป.ลาวตรงกัน และชาวบ้านโดยรอบยังอาศัยทาการประมงด้วย
9. หนองกุดทิง (อ.บึงกาฬ) แหล่งท่องเที่ยวและพื้นที่ชุ่มน้ าแห่งหนองคายที่ยงั ความเป็ นธรรมชาติ ไว้อย่างแท้จริ ง ด้วยมีพ้นื ที่เชื่อมต่อแม่น้ าโขง ทาให้พ้นื ที่แห่งนี้มีความความหลากหลายทางชีวภาพจนได้รับ การขึ้นทะเบียนเป็ นพื้นที่ชุ่มน้ าสาคัญระดับโลก (พื้นที่แรมซาร์) แห่งที่ 11 ของประเทศไทย หนองกุดทิง มี พื้นที่ราว 22,000 ไร่ มีสตั ว์น้ าอาศัยอยูมากกว่า 250 สายพันธุ์ มีปลาที่เป็ นเอกลักษณ์หนึ่งเดียวในโลกถึง 20 สายพันธ์ มีนกพันธุต์ ่างๆกว่า40 ชนิด เหมาะสาหรับการมาพักผ่อน ชื่นชมธรรมชาติในวันสบายๆ
10. ตลาดสองฝั่งโขง (อ.บึงกาฬ) เป็ นตลาดริ มแม่น้ าโขง ที่มีพ่อค้าแม่คา้ ทั้งคนไทย และคนลาวข้าม ฟากมาเปิ ดขายสินค้าในท้องถิ่นกันอย่างคึกคัก ทั้งอาหารสด อาหารแห้ง เสื้อผ้า ของกินพื้นถิ่น เดินเล่น ชิลล์ๆ ในบรรยากาศแบบพื้นบ้าน ติดตลาดเฉพาะวันอังคารกับวันศุกร์
1. นางสาว วชิราภรณ์ ศรี วรษา 2. นางสาว นนภัส ปรสงค์เจริ ญ 3. นาย ฉัตริ น วรรณศรี
คณะวิทยาลัยการฝึ กหัดครู สาขา พระพุทธศาสนา คณะวิทยาลัยการฝึ กหัดครู สาขา พระพุทธศาสนา คณะวิทยาลัยการฝึ กหัดครู สาขา พระพุทธศาสนา