สารบัญ นิติศาสตรแนวพุทธ ...................................................................๕๓ บทนํา นิติศาสตร กับ ธรรมศาสตร ........................................................๕๖ ๑. หลักการพืน้ ฐาน .............................................................................๖๖ กฎหมาย ตองมาจากธรรม ตองชอบธรรม และตองเพื่อธรรม....................๖๖ กฎมนุษยตองไมแปลกแยกจากกฎธรรมชาติ ............................................๗๓ พัฒนาคนใหรจักเคารพสิทธิกันและกัน แตตองรทันวาที่แทมนุษยไมมีสิทธิ .......................................................๗๗ ถึงจะพัฒนาระบบขึ้นมาหลากหลาย ทุกระบบตองลงกันไดบนฐานหนึ่งเดียวแหงธรรม.................................๘๓ กฎหมายเพื่อสังคมมนุษย จะไมสมจริง ถาหยั่งไมถึงความจริง แหงธรรมชาติมนุษย ........................................... ๘๘ จุดหมายของสังคม คือจุดหมายของกฎหมาย แตสุดทาย จุดหมายของกฎหมายตองสนองจุดหมายของชีวิตคน..........๙๑ วินัย/กฎหมาย เปนเครื่องจัดสรรใหเกิดโอกาส ที่จะเปนฐานของการพัฒนาสูการสรางสรรคที่สูงขึ้นไป......................... ๓๙ วินัย/กฎหมายชวยจัดสรรสังคมดี ที่เอื้อใหคนงอกงามมีชีวิตที่ดี คนยิ่งงอกงามมีชีวิตที่ดี ก็ยิ่งหนุนสังคมดีที่คนจะมีชีวิตงอกงาม .......... ๔๓ การปกครองที่แท และกฎหมายที่ถูก ตองมีจุดหมายสอดคลองกับธรรมชาติของมนุษย ............................... ๑๐๖
๒
นิติศาสตรแนวพุทธ
มีกฎหมายไวจัดการปกครอง เพื่อทําใหเกิดสังคมดี ที่คนมีโอกาสพัฒนาชีวิตที่ดีงาม.......................๑๐๖ กระบวนวิธีในการบัญญัติขอกฎหมาย กฎหมายโดยหลักการ กับกฎหมายโดยบัญญัติ ..................................๑๑๔ กฎหมายที่แทประสานประโยชนของบุคคลกับสังคม และประสานสมมติของมนุษย เขากับความจริงแทของธรรมชาติ.........๑๒๑
๒. หลักแหงปฏิบัติการ .....................................................................๑๓๒ ถาคนอยในหลักการ ก็ไมตองมีกฎหมาย ถากฎหมายไมใชเพื่อหลักการ ก็ไมควรใหเปนกฎหมาย..................... ๑๓๒ เมื่อคนเปนวิญูรูสาระของกฎหมาย สังคมสงบสุขดวยกติกางายๆ ครัน้ คนเสื่อมลงไป กฎหมายยิ่งบังคับซับซอน สังคมยิ่งเสื่อมทรุด..... ๗๙ จะรักษาธรรมใหแกสังคมได ตองรักษาดุลยภาพใหแกใจของตน ............๑๔๓ พฤติกรรมจะถึงภาวะแหงดุลยภาพ เมื่อจิตใจและปญญามาประสานอยางสมดุล .......................................๑๕๑ ความเครงครัดในวินัย ประสานกับจิตใจที่ไมยึดมั่น คํานึงแตจะรักษาธรรมเพื่อประโยชนสุขของปวงชน............................. ๑๖๐ ความยึดมั่นกฎหมาย หลงติดในสมมติ จะกลายเปนภัย แตถา เขา ถึงธรรมที่เปนฐานของกฎหมาย ก็จะกลายเปนนักนิติศาสตรที่แท.......๑๖๗ อารยธรรมของมนุษยจะยั่งยืนเพียงใด อยที่ภมู ิธรรมภูมิปญ ญาในการจัดการกับสมมติ................................. ๑๗๘
บทสงทาย มองอดีตถึงปจจุบัน เพื่อสรางสรรคอนาคต......................๑๘๕ ดุลยภาพโดยรวมของสังคมสัมฤทธิ์ได ดวยการจัดการทางสังคม สเปาหมายแหงการพัฒนาคน.............. ๑๘๕
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๓
ฝายนิติบญ ั ญัตขิ องไทยจะทําอยางไร ถาจะคิดเกื้อกูลใหพุทธศาสนาอยูดีเพื่อประโยชนแกสังคมไทย........ ๑๘๕ เปน rule of law นั้นหรือจะพอ อยาเพิ่งภูมิใจ ถาพัฒนาสาระแทขึ้นมาไมได อารยธรรมก็จะสลายดวยกินตัวมันเอง.............
๑๒๖บรรณานุกรม .................................................................................. ...............๑๙๗
นิติศาสตรแนวพุทธ∗ ขอเจริญพร ทานอัยการสูงสุด ทานผูทรงคุณวุฒิในวงการนิติศาสตร ทาน ผูสนใจใฝรูใฝธรรมทุกทาน วันนี้ อาตมภาพไดรับนิมนตใหมาแสดงปาฐกถา ซึ่งในที่นี้เรียกวา ปาฐกถาพิเศษ และก็เปนพิเศษจริงๆ เพราะ พิเศษ แผลงมาจากคําวา “วิเศษ” แปลวา แปลกพวก หมายความวา ในที่ประชุมนี้ อาตมภาพไม เหมือนคนอื่น ในแงที่ ๑ เพราะเปนพระภิกษุ และในแงที่ ๒ เพราะอยู นอกวงการนิติศาสตร วันนี้ ทานอัยการสูงสุดนิมนตใหมาแสดงปาฐกถาในวงการของ ทานผูทรงคุณวุฒิทางนิติศาสตร และใหพูดในเรื่อง “นิติศาสตรแนวพุทธ” อาตมภาพคงไมตอบโดยตรงวานิติศาสตรแนวพุทธเปนอยางไร? แตจะ พูดถึงหลักการของพระพุทธศาสนา และจะขอใหทานที่อยูในที่ประชุมนี้ ตอบเองวา นิติศาสตรแนวพุทธเปนอยางไร บางทีเราอาจจะยังไมไดคําตอบก็เปนได เพราะวาเวลาในวันนี้ก็ ไมมากนักที่จะพูดในเรื่องนี้ จึงคงจะพูดกันในหลักกวางๆ ∗
ปาฐกถาพิเศษ โดย พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) ตามคําอาราธนา ของ ศาสตราจารย ดร. คณิต ณ นคร อัยการสูงสุด ณ หองประชุมเล็ก จุณณานนท สํานักงานอัยการสูงสุด ๒๘ มีนาคม ๒๕๓๙ ๑๓.๓๐๑๖.๓๐ น.
บทนํา
นิติศาสตร กับ ธรรมศาสตร กอนอื่น จะพูดถึงคําศัพท คําวา “นิติศาสตร” แปลกันวา วิชา กฎหมาย แตที่จริงนั้นเรานําคํานี้มาจากภาษาสันสกฤตซึ่งเปนภาษาของ ประเทศอินเดียที่มีอารยธรรมเกาแกแตโบราณ นิติศาสตรเปนถอยคําทาง วิชาการของประเทศอินเดีย ซึ่งสมัยกอนเรียกวา ชมพูทวีป ถาดูตามศัพท นิติศาสตรตามความหมายที่ใชในประเทศอินเดีย จะเปนวิชาทางดาน politics คือวิชาดานรัฐศาสตร หรือวิชาการเมือง ดังเชน ที่กลาวถึงในคัมภีรพุทธศาสนาวา “ขตฺติยธมฺมสงฺขาเต นีติสตฺเถ” (ชา.อ.๘/ ๔๕๒) ซึ่งแปลวา ในนีติศาสตร กลาวคือ ขัตติยธรรม (ธรรมของกษัตริย คือ คุณสมบัติของผูปกครอง และหลักการปกครอง) “นิติ” แปลวา การนํา มีรากศัพทเดียวกับคําวา “นายก” ซึ่งแปลวา ผูนํา คําเดิมในภาษาบาลีหรือสันสกฤตวา นีติ ซึ่งมาจากธาตุเดียวกันกับ นายก คือ นี แปลวานํา “นีติ” จึงแปลวา การนํา นิติศาสตรที่แทเรียกวา “นีติศาสตร” ภาษาไทยเรียกนิติศาสตรเพื่อทําใหสั้น นิติศาสตร แปลวา ศาสตรแหงการนํา หรือจัดดําเนินการ ซึ่งอาจ ขยายความหมายวาเปนศาสตรแหงการนําคน หรือการนํากิจการของรัฐ หรือการทําหนาที่ของผูนํา อย า งไรก็ ต าม การที่ จ ะดํ า เนิ น การปกครองหรื อ เป น ผู นํ า ประเทศชาติไดนั้น แนนอนวาจะตองมีระเบียบแบบแผน คือเราตองมี เครื่องมือที่จะใชเปนกติกาสังคม การปกครองจะเปนไปไมไดถาไมมี กฎเกณฑกติกา อยางนอยตองรูวาจะทําอะไรไดหรือไมได ในขอบเขต แคไหน การปกครองจึงเรียกรองใหมีกฎเกณฑกติกาเกิดขึ้น เพราะฉะนัน้
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๕๗
เรื่ อ งของกฎหมายกั บ เรื่ องของการปกครองจึ งแยกกั นแทบไม ได จน กลายเปนวา เมื่อมีการปกครอง ก็ตองมีกฎหมาย คือมีกฎเกณฑกติกาของ สังคมหรือของประเทศชาติ ที่พลเมืองจะตองประพฤติปฏิบัติตาม สมัยกอน กฎเกณฑกติกาเหลานี้มาจากผูปกครอง และผปกครอง จะต อ งเข า ใจร จั ก จั ด ตั้ ง วางใช ก ฎเกณฑ ก ติ ก าเหล า นั้ น เพราะฉะนั้ น วิ ชาการปกครองก็ จึ งเรี ยกร องให ต องเรี ยนร ในเรื่ องกฎเกณฑ กติ กา ที่ เรียกวากฎหมาย พอมาถึงเมืองไทยปรากฏวาเราใชคําวา “นิติศาสตร” ใน ความหมายวา “วิชากฎหมาย” ก็เลยพูดไดวาวิชากฎหมายแยกไมออกจาก วิชาปกครองรัฐ ที่วา มานี้หมายถึงความเปนมาในอดีต กฎหมายมาจากรัฐ และ กฎหมายเปนเครื่องมือของการปกครอง การปกครองที่ดีมุงเพื่อประโยชนของประชาชน การตั้งกฎเกณฑ กติกาเหลานั้นขึ้นมาก็เพื่อประโยชนของประชาชน คือ ใหประชาชนอยู รวมกันดวยดี มีความสงบสุข แต บ างครั้ ง ก็ เ ป น ไปได ที่ ผู ป กครองนั้ น ออกกฎหมายมาเพื่ อ ประโยชนของตนเอง จึงอาจจะทําใหเกิดความเดือดรอนแกประชาชน หรือแมไมไดมุงจะเบียดเบียนประชาชน แตบางครั้งกฎหมายนั้นอาจจะ รุน แรงเกิ น ไปก็ ไ ด หรื อ บางครั้ ง อาจจะก อให เ กิ ด ความเดื อ ดร อ นแก ประชาชนแมดวยความตั้งใจดีแตรไมเทาถึงการณ ตอ มา กฎหมายก็อ าจจะมีวิวัฒ นาการ คือ เกิด มีก ติก าระหวา ง ผูปกครองกับผูใตปกครองวา ผูใตปกครองก็มีสิทธิเหมือนกัน ผูปกครอง ควรมีขอบเขตในการปฏิบัติตอผูใตปกครองอยางไร จึงมีกติกาที่ตั้งไว เปนขอบเขต แมแตเพื่อปองกันไมใหผูปกครองมาละเมิดหรือเบียดเบียน กดขี่ขมเหงผูอยูใตอํานาจปกครอง ทั้งนี้ก็เปนเรื่องของวิวัฒนาการซึ่ง อาศัยกาลเวลาที่ยาวนาน จากวิ วั ฒ นาการของสั ง คม ซึ่ ง มี ค วามสั ม พั น ธ กั น ระหว า งการ
๕๘
นิติศาสตรแนวพุทธ
ปกครองกับกฎหมาย เมื่อสังคมเจริญมากขึ้น กฎหมายก็ไมใชเปนเพียง เครื่องมือของการปกครอง แตการปกครองก็ถูกกําหนดโดยกฎหมาย คือ กฎหมายทั้งรับใชการปกครอง และเปนตัวกําหนดการปกครอง ที่บอก ใหรวาจะใหการปกครองมีรูปแบบ กลไก และดําเนินไปอยางไร ภาวะที่นาจะเปน(ซึ่งอาจจะไมเปน) ก็คือ สังคมจะพัฒนาตอไปจนถึง ขั้นที่วา กฎหมายเปนเพียงขอตกลงของมนุษยผพัฒนาตนดีแลว สําหรับ หมายรในการอยรวมกันเพื่อสรางสรรคโอกาสในการพัฒนาชีวิตใหดีงาม ยิ่งขึ้น ถามนุษยเจริญถึงขั้นนั้นไดจริง ก็จะมีกฎหมายโดยไมตองมีการ ปกครอง เพราะประชาชนอยูภ ายใตกฎหมาย โดยแต ละคนปกครอง ตนเองไดตามขอตกลงนั้น มีอีกศัพทหนึ่งที่เปนเรื่องของกฎหมาย ซึ่งเราไดยินกันและใชกัน จนกระทั่ ง นํ า มาตั้ ง เป น ชื่ อ ของมหาวิ ท ยาลั ย คื อ คํ า ว า “ธรรมศาสตร ” แปลวา “วิชากฎหมาย” เหมือนกัน และเดิมนั้นเปนคําที่ตรงกวา เพราะคํา วานิติศาสตรนั้นเขาใชในความหมายของการปกครองโดยรัฐ ตรงกับที่ เราใชวารัฐศาสตร สวนวิชากฎหมายแทๆแตเดิมคือ ธรรมศาสตร ซึ่งถา แปลตามศัพทก็เปนวิชาที่วาดวยหลักการ เพราะ “ธรรม” แปลวา “หลักการ” หลั ก การมี ๒ อย า ง คื อ หลั ก การแห ง ความเป น จริ ง ที่ มี อ ยู ใ น ธรรมชาติ และหลักการที่มนุษยผูมีปญญานําเอาความรูในความจริงนั้น มาจัดตั้งวางเปนแบบแผนในสังคมมนุษย จนกระทั่งเปนกติกาสังคม ซึ่ง มนุ ษ ย ที่ อ ยู ใ นสั ง คมนั้ น จะต อ งยึ ด ถื อ อย า งหลั ง นี้ ก็ เ ป น หลั ก การ เชนเดียวกัน เราจึงเรียกทั้ง ๒ อยางนี้วา “ธรรม” หลักการในระดับที่นํามาวางเปนระเบียบแบบแผนกติกาสังคมที่ ใหประชาชนยึดถือ ก็มาจัดขึ้นเปนวิชาเรียกวา “ธรรมศาสตร” คือเปน วิชาการเกี่ยวกับกฎหมาย ในเมืองไทยสมัยใหม เมื่อตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร ก็คือ ตั้ง
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๕๙
มหาวิทยาลัยที่เรียนวิชากฎหมาย และพึงสังเกตวา เดิมทีเดียวเรียกวา มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตรและการเมือง คือเรียนวิชากฎหมายกับ วิชาการปกครอง ตรงกับที่พูดไปขางตนแลววา กฎหมายมาดวยกันกับ การปกครอง หรือในการปกครองก็ตองมีกฎหมาย นิติศาสตร กับ ธรรมศาสตร มีความหมายโยงถึงกัน แตถามองใน ทัศนะของศาสนาพราหมณที่เปนเจาของอารยธรรมชมพูทวีปสมัยนั้น ก็ ถือวา กฎเกณฑก ติ กาทั้ งหมดนั้ นมาจากพระพรหมทั้งสิ้ น คือเทพเจา สูงสุดเปนผูกําหนด กฎเกณฑกติกาเหลานั้นจึงไดรับการรักษาสืบทอด กั น มาในคั ม ภี ร ศ าสนา ซึ่ ง มี ข อ กํ า หนดให ป ระพฤติ ป ฏิ บั ติ แ ม แ ต ใ น ครอบครัวและในชีวิตประจําวันวา ควรจะเปนอยกันอยางไร ดําเนินชีวิต อยางไรผิด ดําเนินชีวิตอยางไรจึงจะถูกตอง พราหมณถือวาทุกอยางที่กลาวมานั้นเปนขอกําหนดมาจากพระผู เป นเจ า ซึ่ งเป นผ ปกครองสู งสุ ดของโลก รวมทั้ งข อกํ าหนดในสั งคม โดยเฉพาะการแบงแยกชนชั้น ที่เรียกวา “วรรณะ” ไดแก วรรณะ พราหมณ กษั ต ริ ย แพศย ศู ท ร ดั ง ที่ อิ น เดี ย นั บ ถื อ กั น อยู และการ กําหนดใหคนวรรณะตางๆเหลานี้มีหลักปฏิบัติประจําวรรณะของตนเอง วา ตนมีสิทธิแคไหน จะตองทําและจะตองไมทําอะไรอยางไร หลักปฏิบัติ เหลานี้เรียกวา “ธรรม” คือธรรมประจําวรรณะ ไดแก หลักการ ขอกําหนด และหนาที่ของคนที่อยในวรรณะนั้นๆ ตําราและการศึกษาในเรื่องทีว่ า มานี้ ทั้งหมด เรียกวาเปน ธรรมศาสตร ความจริงยังมีลึกลงไปอีกวา สิ่งที่มาจากพระพรหมแทๆ เรียกวา ศรุติ แปลวา สิ่งที่ไดสดับมา คือเปนเรื่องที่พราหมณถือวา ไดฟงมาจาก พระพรหมหรือเทพเจาสูงสุดโดยตรง ไดแ กเนื้อหาในคัมภีรพระเวท สวนศาสตร นี้เปนคําสอนและคําอธิบายภายหลัง และศาสตรนี้ก็ยัง พัฒนามาจากสูตรอีกตอหนึ่ง ทั้งสูตรและศาสตรนี้รวมกันเรียกวา สมฤติ แปลวาสิ่งที่จํากันมา คือเลาเรียนถายทอดตอกันมา
๖๐
นิติศาสตรแนวพุทธ
เพราะฉะนั้น ธรรมศาสตร จึงสืบเนื่องจาก ธรรมสูตร อีกตอหนึ่ง (ธรรมสูตรเปนความรอยแกว สวนธรรมศาสตรเรียบเรียงขึ้นเปนความ รอยกรอง) และทั้งธรรมสูตรและธรรมศาสตรนั้น ก็ถือวามีตนกําเนิดมา จากศรุติ คือพระเวท และจึงมาจากพระพรหมผสรางโลก รวมความวา ธรรมศาสตร เปนวิชาที่วาดวยหลักการและขอปฏิบัติ ตางๆ เริ่มตั้งแตการเปนอยูในชีวิตประจําวัน แนวทางความประพฤติ ขนบธรรมเนียม ประเพณี และกฎเกณฑตางๆ ในทางสังคม ซึ่งเปนสิ่งที่ แนบสนิ ทอยู กั บศาสนา หรื อพู ดง ายๆ ว ามาจากข อกํ าหนดในศาสนา พราหมณ สวน นิติศาสตร ตามความหมายทางวิชาการของชมพูทวีป หมายถึงวิชาการเมือง การปกครอง หรือการจัดกิจการบานเมือง เริ่มแต เรื่องอํานาจหนาที่และคุณสมบัติของราชา คือ ผูปกครอง การแตงตั้ง อํามาตยขาราชการ การจัดการบานเมืองใหอุดมสมบูรณ การทูต การ สงคราม ยุทธศาสตรและกลยุทธตางๆ การสงบศึกและสันติภาพ ฯลฯ ซึ่งเปนหลักเกณฑกฎกติกา และคําแนะนําสั่งสอนแกผทําหนาที่ปกครอง บานเมือง ตรงกับที่ไทยเราเรียกวา รัฐศาสตร นิติศาสตรตามความหมายนี้ คัมภีรของพราหมณ เชน มหาภารตะ ก็บอกวาเปนศาสตรที่พระพรหมเปนเจาตํารับ และดังนั้นจึงมีตนกําเนิด มาจากคัมภีรพระเวท อยางไรก็ดี เมื่อพูดในแงประวัติศาสตร ตําราทางดานการปกครอง หรือ นิต ิศ าสตรข องอิน เดีย ที่เ ปน หลัก เปน ฐานจริง ๆ เรื่อ งแรก ก็ค ือ อรรถศาสตร ของเกาฏิลยะ (เรียกวา จาณักยะ บาง วิษณุคุปต บาง) ผเปน ที่ปรึกษาของพระเจาจันทรคุปต (พระอัยกาของพระเจาอโศกมหาราช) ซึ่งไดแตงคัมภีรนี้ขึ้นอยางเร็วก็ประมาณ พ.ศ. ๑๖๐ (ฝรั่งวา ประมาณ ๒๙๐ ปกอนคริสตศักราช) แสดงใหเห็นวาตํารานิติศาสตร ที่เปนของ
๖๑
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
นั ก ปราชญ ฝ า ยบ า นเมื อ งแต ง ขึ้ น ก็ มี ไม จํ า เป น ต อ งมาจากสายคั ม ภี ร ศาสนาพราหมณ ที่วามาจากพระพรหมผสรางโลก ตํานานของพราหมณโยงเรื่องการปกครองกับกฎหมายเขาดวยกัน ดังที่เขาถือวาพระพรหมไดทรงแตงตั้ง “มนู” ใหเปนกษัตริยหรือราชา พระองคแรกของมวลมนุษย และพระมนูนี้ไดนิพนธคัมภีรธรรมศาสตร คือกฎหมายฉบับแรกขึ้นมา กลาวคือ มานวธรรมศาสตร (เรียกวา มนู สมฤติ บาง มนูสังหิตา บาง แตบางทีเราเรียกกันงายๆ วา มนู ธรรมศาสตร) วาโดยประวัติศาสตร คัมภีรธรรมศาสตรหรือตํารากฎหมายเลม แรก คือ มานวธรรมศาสตร นี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. ๗๕๐-๘๐๐ ในทางพุทธศาสนา ก็มีคําวา “นิติศาสตร” เหมือนกัน แตภาษา บาลีใชคําวา นีติสัตถะ แปลวา คัมภีรวาดว ยนีติ ไดแกขัตติยธรรม ดั ง กล า วแล ว ข า งต น แต นี ติ ใ นทางพุ ท ธศาสนาใช น อ ยอย า งยิ่ ง และ ความหมายไมไดโยงกับพระผูเปนเจาแตอยางใดทั้งสิ้น ในทางพุทธศาสนา “นีติ” อาจใชในความหมายกวางๆ หมายถึง แนวทางหรือแบบแผนความประพฤติทั่วๆไป หรือระบอบการดําเนิน ชี วิ ต ที่ ดี ง าม ซึ่ ง ไม จํ า เป น ต อ งเกี่ ย วข อ งกั บ การปกครองบ า นเมื อ ง ยกตัวอยางเชน คติที่ถือกันตั้งแตกอนพุทธกาลวา “บุคคลนั่งนอนใตร มไมใด ไมพึงหั กรานกิ่งกานของ ตนไมนั้น ผูประทุษรายมิตรเปนคนทราม” (ขุ.ชา. ๒๗/๑๔๖๙/ ๒๙๗)
อยางนี้ก็ถือเปนนีติเหมือนกัน คือเปนแบบแผนความประพฤติ หลักการในเรื่องนี้ถือวาตนไมก็เปนมิตรของเรา ถาเราไปอาศัยนั่งนอน ใตรมของเขาแลวไปฟาดฟนทําลาย ก็เปนผูประทุษรายมิตร วาที่จริง ในฝายสันสกฤต นีติ ก็มีการใชในความหมายพื้นๆวา
๖๒
นิติศาสตรแนวพุทธ
แนวทางความประพฤติ หรือหลักนําทางการดําเนินชีวิตดวยเหมือนกัน ดังที่มีวรรณกรรมอันมีชื่อเสียงเกี่ยวกับหลักความประพฤติหรือหลักการ ดําเนินชีวิตและกิจการ เชน โลกนีติ ธรรมนีติ และ ราชนีติ เพราะฉะนั้ น คํ าวานี ติศาสตร ในฝ ายสั นสกฤตของอิ นเดี ย จึ งมี ความหมายไมจํากัดตายตัวทีเดียว คืออาจจะหมายถึงวิชาการเมืองการ ปกครองก็ได วิชาหลักหรือแบบแผนความประพฤติ อยางที่เรียกปจจุบัน วาจริยธรรมก็ได หรือวิชาจริยธรรมทางการเมืองก็ได ถาจะใหแนชัด เด็ดขาดลงไปวาเปนวิชาการปกครองบานเมือง หรือวิชารัฐศาสตรใน ความหมายอยางที่ใชกันในเมืองไทย ก็เติมคํา “ราช” เขาไปขางหนา เปน “ราชนีติศาสตร”∗ เมื่อตัดความคิดของพราหมณที่เกี่ยวกับพระพรหม หรือเทพเจาผ สรางโลกออกไปเสีย และถือตามความหมายอยางที่ใชในภาษาบาลีใน คัมภีรพระพุทธศาสนา รวมทั้งความหมายสามัญในภาษาสันสกฤต เราก็ สามารถนําคําวา “นิติศาสตร” มาใชกับวิชากฎหมาย โดยบัญญัติ ความหมายว า เป น วิ ช าว า ด ว ยระเบี ย บแบบแผนความประพฤติ ข อง ประชาชนพลเมือง หรือจะประสานกับความหมายของนีติที่เปนเรื่องของ ∗
ดูคํา “นีติศาสฺตฺร” ใน Sir Monier Monier-Williams, A SanskritEnglish Dictionary (London: Oxford University Press, 1899), p.565. และใน Prof. R.C. Pathak, Bhargava's Standard Illustrated Dictionary of the Hindi Language (Hindi-English Edition) (Varanasi: Bhargava Book Depot, 1989), p.427. ดูคํา “politics” ใน Sir M. Monier-Williams, A Dictionary: English and Sanskrit (Delhi: Motilal Banarsidass), p.605. และดูคํา “political science” ใน Prof. R.C. Pathak, Bhargava's Standard Illustrated Dictionary of the English Language (Anglo-Hindi Edition) (Varanasi: Bhargava Book Depot, 1988), p.635. และดู คําอธิบายใน Hindu World (vol.2, pp.223-228)
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๖๓
การปกครอง พรอมทั้งแนวคิดของพราหมณ แลวใหความหมายใหมก็ได วา นีติศาสตร หรือ นิติศาสตร เปนวิชาวาดวยกฎหมายที่มาจากฝาย ปกครอง คือกฎหมายที่ผปกครองประเทศบัญญัติขึ้นสําหรับใชในการ บริหารกิจการของประเทศชาติบานเมือง สวน ธรรมศาสตร เปนกฎหมายหรือกติกาของสังคมที่สืบกันมา แ ต เ ดิ ม ต า ม คํ า ส อ น ข อ ง ศ า ส น า พ ร า ห ม ณ อั น ค ร อ บ ค ลุ ม ถึ ง ขนบธรรมเนียมจารีตประเพณีทั่วไปดวย อนึ่ง ในอินเดียเองนั่นแหละ เขาก็ถือวาพระเจาแผนดินมีเทวอํานาจ เพราะเปนผที่เทพเจาสูงสุดทรงแตงตั้งขึ้นอยางที่ไดกลาวแลววา พระ พรหมไดทรงแตงตั้งพระมนู ใหเปนกษัตริยพระองคแรกของมวลมนุษย และตอมากษัตริยก็ไดกลายเปนเทพเจาเองเลยทีเดียว ฉะนั้น ราชาจึง สามารถทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลงในดานกฎหมาย โดยตีความใหมบาง ตรากฎหมายใหม ขึ้ น มาเองบ า ง ซึ่ ง อาจจะทํ า โดยการปรึ ก ษาหรื อ มอบหมายแกปุโรหิต ซึ่งเปนพราหมณ ที่ถือวาเปนผรหลักของศาสนา พราหมณ และรความประสงคของพระผเปนเจา นอกจากนั้น พึงสังเกตดวยวา คัมภีรกฎหมายสําคัญของพราหมณ โดยเฉพาะ มานวธรรมศาสตร นั้น มงเนนหลักการเรื่องวรรณะ ๔ เปน อยางมาก โดยมุงจะยืนยันสถานะอันสูงสงของวรรณะพราหมณ จุดเดน จึงอยูที่ขอปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องชาติชั้นวรรณะ จนนักวิชาการชาวตะวันตก ที่ศึกษาคนควาเรื่องนี้ เชน Sir Henry Maine เชื่อวา คัมภีรธรรมศาสตร เปนผลงานจากฝมือของพราหมณที่มีเจตนาจะกดกันคนวรรณะต่ําสุด คือพวกศูทรและจัณฑาลไวใหอยภายใตการควบคุมของวรรณะชั้นสูง (Encycl. Britannica, 1988, vol.4, p.57)
ตรงกับที่ Benjamin Walker เขียนไวใน Hindu World วา เจตจํานงอันสําคัญของมานวธรรมศาสตร ก็คือมงจะเอาเทวอํานาจมา
๖๔
นิติศาสตรแนวพุทธ
รับรองสถาบันวรรณะ และทําใหพราหมณเปนวรรณะสูงสุด (Walker, vol.2, p.28)
คัม ภี ร ธ รรมศาสตร ใ ช หลั กการของศาสนาพราหมณ ม าตอกย้ํา ยืนยันระบบวรรณะ พรอมกับที่ในขณะเดียวกันนั้นก็นําเอาหลักธรรม จากพระพุทธศาสนาเปนอันมากไปใชประโยชนในดานคําสอนเกี่ยวกับ หลักความประพฤติและความดีงามทั่วๆ ไป (ดู joshi, p.353) เรื่องศัพทที่ยกมาพูดนี้ไมใชเปนเรื่องที่ตองถือตายตัว แตเปนเรื่อง ของการบัญญัติ ในยุคสมัยหนึ่งเราบัญญัติคําจํากัดความอยางหนึ่ง เมื่อถึง อีกยุคสมัยหนึ่งก็อาจจะบัญญัติอีกอยางหนึ่งได การที่นํามาพูดเชื่อมโยงนี้ ก็เพื่อใหเห็นฐานเดิม จะไดเห็นแนวทางของความคิดวา สิ่งเหลานี้มาจาก รากฐานของอารยธรรมอยางไร จากภูมิหลังทางวิชาการที่ไดกลาวมา เราอาจใหความหมายของเรา เองอยางเปนอิสระจากวงวิชาการของชมพูทวีปก็ไดวา คําทั้งสองที่กลาว มานั้น มีความหมายแยกไดเปน ๒ อยาง คือ ความหมายอยางกวาง กับ ความหมายเฉพาะ ในความหมายอยางกวาง ธรรมศาสตร คือ วิชาวาดวยหลักการ ทั้ง หลักความจริง และหลักการประพฤติปฏิบัติทั่วไป ซึ่งครอบคลุมหมดทุก อยาง สวนในความหมายเฉพาะ ธรรมศาสตร เปนชื่อของคัมภีรหรือ ตําราเกี่ ยวกั บกฎหมาย ที่ว าดวยขอกําหนดความประพฤติปฏิบัติ และ ขนบธรรมเนียมจารีตประเพณี อันสืบกันมาในสังคมชมพูทวีปตามหลัก คําสอนหรืออิทธิพลของศาสนาพราหมณ สวน นิติศาสตร ในความหมายอยางกวาง หมายถึงตําราและ วิชาการที่วาดวยระเบียบแบบแผนและขอกําหนดความประพฤติปฏิบัติ โดยทั่วไป ที่ไมจํากัดเฉพาะอยางธรรมศาสตรในความหมายอยางหลัง
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๖๕
สวนในความหมายเฉพาะ นิติศาสตร คือวิชากฎหมาย โดยเฉพาะ ในฐานะที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการของรัฐ หรือบทบัญญัติที่เนื่องดวยการ ปกครอง ซึ่งรัฐตราขึ้น หรือตราขึ้นในนามของรัฐ เพื่อจัดการและบริหาร บานเมืองใหประชาชนพลเมืองเปนอยูกันดวยดี อยางไรก็ตาม ความหมายที่วามาทั้งหมดนี้ ยังเปนเรื่องที่อาจจะ ตองพัฒนาตอไปอีก
-๑หลักการพื้นฐาน
กฎหมาย ตองมาจากธรรม ตองชอบธรรม และตองเพื่อธรรม เรามาดูกันวา ในพระพุทธศาสนา กฎหมายคืออะไร คําที่ใกลที่สุด ตรงที่สุด ก็คือคําวา “วินัย” แตจะเห็นไดชัดวา คําวาวินัยไมใชจํากัด เฉพาะแตกิจการของรัฐเทานั้น ถาจะมองเห็นนิติศาสตรแนวพุทธจะตอง เขาใจเรื่องวินัยใหชัดเจน ถาไมเขาใจเรื่องวินัยก็ไมสามารถที่จะมองเห็น นิติศาสตรแนวพุทธได วินัย คืออะไร แนนอนวาวินัยไมไดมีความหมายแคบๆ อยางใน ภาษาไทย “วินัย” ในภาษาไทยมีความหมายแคบ เปนเรื่องของกฎเกณฑ ระเบียบ ขอบังคับในการปฏิบัติกจิ หนาที่ และการเปนอยู แต วินั ยในความหมายของพระพุทธศาสนา ในชั้น แรกนี้ จะให ความหมายไวเพื่อเปนจุดตั้งตนในการทําความเขาใจวา “วินัย” แปลงายๆ วา “การจัดตั้งวางระบบแบบแผน” วินัยเกิดขึ้นมาไดอยางไร ถาจะเขาใจเรื่องนี้จะตองมองดูวินัยใน ฐานะเป น องค ป ระกอบใหญ อ ย า งหนึ่ ง ของพระพุ ท ธศาสนา พระพุทธศาสนาทั้งหมดมีองคประกอบใหญอยู เพียง ๒ อยางเทานั้ น และ ๒ อยางนี้รวมกันเปนชื่อของพระพุทธศาสนา คําวา “พระพุทธศาสนา” ที่เราเรียกกันปจจุบันนี้ เปนคําใหม ใน สมัยพุทธกาลก็มี แตใชในความหมายวา “คําสอนของพระพุทธเจา” เวลา
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๖๗
นี้คําวาพระพุทธศาสนาขยายความหมายออกไปจนกลายเปนสถาบัน และ เปนกิจการทุกอยาง แลวเราก็ลืมศัพทเดิมที่มีความหมายสําคัญกวา ซึ่งใช ในสมัยพุทธกาล คือ คําวา “ธรรมวินัย” ศาสนาของพระพุทธเจา พระองคนี้ก็เรียกวา ธรรมวินัยนี้ หรือธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแลว ธรรมวินัย มาจากคําคู คือ ธรรม กับ วินัย แลวรวมกันเปน เอกพจน คื อ สองอย า งแต ร วมเป น อั น เดี ย ว นี้ คื อ เนื้ อ ตั ว ของ พระพุทธศาสนา เราจะตองมองเห็นความสัมพันธระหวางสองคํานี้ คือคํา วา ธรรม กับ วินัย แลวจะเห็นหลักการของพระพุทธศาสนาทั้งหมด เพราะฉะนั้ น เรื่ อ งของกฎหมาย หรื อ เรื่ อ งนิ ติ ศ าสตร ใ น พระพุทธศาสนา ก็มาดูที่ความหมายของวินัย และความสําคัญของวินัย ที่ อยูในหลักการที่เรียกวาธรรมวินัยนั้น ทีนี้ก็ยอนไปดูวาธรรมวินัยนั้นเปนมาอยางไร เริ่มตนก็มีธรรมอยู กอน (คือมีอยูเปนประจําตลอดเวลาตามธรรมดาของมัน หรือมีอยูแ ลวแต เดิ ม) ธรรม คือ ความจริ งในธรรมชาติ นั่ น เอง หลั ก การของ พระพุทธศาสนานั้น พระพุทธเจาตรัสไวชัดเจนวา “ตถาคต(คือพระพุทธเจา)จะเกิดหรือไมเกิดก็ตาม หลัก ความจริงก็คงอยูอยางนั้นเปนธรรมดา . . . ตถาคตทั้งหลาย คนพบหลักความจริ งคือตั วธรรมนี้แลว จึงนํามาเปดเผย (ดู องฺ.ติก. ๒๐/๕๗๖) แสดง ชี้แจง ทําใหเขาใจงาย” นั่นคือจุดตั้งตนของพระพุทธศาสนาที่วา ธรรมมีอยูกอนแลว โดย ไมขึ้นตอพระพุทธเจาเลย ธรรม คือความจริงที่มีอยูตามธรรมดาของมัน เราอาจจะแปลได หลายอยาง เชนแปลวา ธรรมชาติ กฎธรรมชาติ ความเปนจริง หรือพูด งายๆ ก็คือ ธรรมชาติและธรรมดานี่เอง ธรรมชาติ คือสิ่งตางๆ ธรรมดา คือความเปนไปของธรรมชาติ หรือความเปนจริงของสิ่งทั้งหลาย ธรรม
๖๘
นิติศาสตรแนวพุทธ
เปนสิ่งที่มีอยูตามธรรมดา พระพุทธเจาจะเกิดหรือไมเกิด มันก็อยูของมัน อยางนั้น เมื่อพระพุทธเจาทรงคนพบความจริงนี้แลว ก็ทรงนํามาเปดเผย แสดงสั่งสอน ความจริงนี้เปนกฎธรรมชาติ เชน ความเปนไปตามเหตุปจจัย ผล เกิดจากเหตุ เหตุกอใหเกิดผล เหตุอยางใดก็กอใหเกิดผลอยางนั้น หรือ เหตุปจจัยตางๆทําใหเกิดผลขึ้นมา มนุษยจะรูหรือไมรูก็ตาม ธรรมคือความเปนจริงแหงเหตุปจจัยนี้ก็ ทํางานของมันอยูตลอดเวลา แตถามนุษยไมรู ก็ไมสามารถเอาประโยชน จากมันได และถามนุษยประพฤติปฏิบัติดําเนินชีวิตไมถูกตองตามความ เปนจริงนี้ ก็เกิดผลเสียแกตนเอง แตถามนุษยปฏิบัติถูกตอง และดําเนิน ชีวิตดวยความรเขาใจกฎแหงธรรมชาติ คือความเปนจริงอันนี้ ผลดีก็ไดแก ตัวมนุษยเอง ทําอยางไรมนุษยจะประพฤติปฏิบัติ หรือดําเนินชีวิตไดดี ก็ตองรู ความจริง ถามนุษยรูธรรมคือรูตัวความจริง รูความเปนไปตามเหตุปจจัย ในธรรมชาตินี้เมื่อใด เขาก็จะสามารถเอาประโยชนจากธรรมชาติได ตัวอยางเชน เขาตองการจะกินผลมะมวง เขาเห็นตนมะมวง จะกิน ผลก็ เ ก็ บ เอา แต ต อ มาถ า เขารู ว า มะม ว งที่ จ ะเกิ ด มาเป น ผลสุ ก ให เ รา รับประทานไดนั้นเกิดจากตนไมนี้ ซึ่งกอนนั้นตองโตมาจากเมล็ด และ ชอบที่ดินอยางนั้น ตองอาศัยปุย อาศัยน้ํา อุณหภูมิ ซึ่งเปนเหตุปจจัยใน ธรรมชาติ ถามนุษยรูอยางนี้แลว ตอไปก็ไมตองคอยไปหาตนมะมว ง ที่อยไกล เขาจะสามารถปลูกตนมะมวงในสวนของตนเองได ถึงตอนนี้ มนุ ษ ย ก็ ไ ด ป ระโยชน จ ากกฎธรรมชาติ หรื อ ธรรม การรู ธ รรมจึ ง เป น ประโยชนอยางยิ่ง แมแตชีวิตของเรานี้ก็เกิดจากเหตุปจจัยปรุงแตง เชนมีธาตุตางๆ มารวมกัน มีทั้งรูปธรรม และนามธรรม ถามนุษยไมรูจักมันก็ปฏิบัติตอ
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๖๙
ชี วิ ตไม ถู ก แม แต กิ นอาหาร ก็ กิ นไม เป น ไม ได ประโยชน จากอาหาร เทาที่ควร เพราะฉะนั้น ธรรมจึงสําคัญอยางยิ่ง พระพุทธเจาทุกพระองคก็ ทรงคนพบธรรมนี้ พระองคทรงเขาถึงธรรมและไดประโยชนจากธรรมนี้ เต็มที่ โดยทรงนําเอาธรรมมาประพฤติปฏิบัติตาม จึงทรงพัฒนาพระองคเอง ขึ้นมาจนเปนพุทธ และทรงเห็นคุณประโยชนของการรธรรมนี้จึงทรง นําไปสั่งสอนผูอื่น อยางไรก็ดี การที่จะสั่งสอนใหไดผลดีจะทําอยางไร หมูมนุษย จํานวนมากๆ ถาไปสอนทีละคนก็ไดทีละนิดละหนอย กวาจะสําเร็จสัก คนหนึ่งพระองคก็เหนื่อยแน เดินทางไปเปนวันๆ และไดทีละเล็กทีละ นอย ตลอดพระชนมชีพคงไมไดกี่คน ทําอยางไรจึงจะใหไดประโยชน แกคนจํานวนมาก ก็ตองมีวิธีการ วิธีการก็คือการจัดตั้ง โดยทําใหมีระบบการที่มนุษยจะมารวมตัว กันเปนชุมชน และมีระเบียบแบบแผนในการเปนอยตลอดจนการดําเนิน กิจการ เพื่อใหมนุษยเหลานั้นไดประโยชนจากธรรม หรือจากการสอน ของพระองคอยางเต็มที่ พระองคจึงทําการจัดตั้ง และวางระบบแบบแผน ในทางสังคมขึ้นมา การจัดตั้งนี้ก็คือตั้งเปนชุมชนที่เรียกวา “สังฆะ” สังฆะ นั้นไมใชบุคคล ในภาษาไทยเรามองคําวาสงฆนี้เปนตัว พระภิ ก ษุ ไ ป ความจริ ง คํ า ว า “สงฆ ” หมายถึ ง หมู หรื อ ชุ ม ชน หมายความวาตองมีคนจํานวนหนึ่งมารวมกัน ไมใชคนเดียว ภาษาไทยนี้ สับสน เราเรียกพระองคเดียววาพระสงฆไปแลว ก็เลยใชกันจนติดแลวก็ ทําใหเกิดปญหาในบางครั้ง แตตัวสงฆที่แทจริงก็คือชุมชนที่จัดตั้งขึ้นมา เมื่อตั้งเปนชุมชนขึ้นมาแลว และเมื่อคนที่มารวมกันเขามีระเบียบ แบบแผนในความเปนอยูและการสัมพันธกัน คือมี วินัย ธรรมก็จะเขาถึง ประชาชนหรือหมูชนไดจํานวนมาก ไมใชเปนประโยชนทีละนอย
๗๐
นิติศาสตรแนวพุทธ
เปนอันวา เดิมนั้นก็มีธรรม แตเพื่อใหคนหมูใหญไดประโยชน จากธรรม จึงมีวินัย ขึ้นมาจัดสรรความเปนอยูของหมูมนุษยใหเกิดมี โอกาสอันดีที่สุด ที่จะใชธรรมใหเปนประโยชนหรือไดประโยชนจาก ธรรมนั้น รวมความวา วินัย ก็คือการจัดโครงสรางวางระบบแบบแผนของ ชุมชนหรือสังคม เพื่อใหหมูมนุษยมาอยูรวมกัน โดยมีความเปนอยและ ความสัมพันธที่ดีงาม ที่จะใหไดรับประโยชนจากธรรมนั่นเอง จุดหมาย ที่แทก็คือ ใหหมูมนุษยจํานวนมากไดประโยชนจากธรรม การที่พระพุทธเจาเปนบุคคลที่เราเรียกเต็มๆ วา “พระสัมมาสัมพุทธเจา” ก็เพราะพระองคทรงมีความสามารถ ๒ ชั้น ชั้นที่ ๑ สามารถเขาถึงตัวความจริง ที่เรียกวา ธรรม ชั้นที่ ๒ นอกจากรูความจริงแลว ยังสามารถนําเอาความจริงนั้น มาทําใหเกิดประโยชนแกหมูชนจํานวนมากได ดวย วินัย ความสามารถขั้นที่สองนี้ ก็คือการที่สามารถจัดตั้งวางระบบชุมชน ที่เรียกวาสงฆขึ้นมาดวยวินัย เพราะฉะนั้นจึงเปนสัมมาสัมพุทธะ สวนทานผูใดสามารถรเขาใจถึงความจริงคือธรรมดวยปญญาของ ตนเอง แตไมมีความสามารถที่จะทําการจัดตั้งวางระบบแบบแผนที่เรียกวา วินัย ใหมีสงฆเปนชุมชนคนหมูใหญขึ้นมาที่จะไดประโยชนจากธรรมนี้ ทานผูนั้นก็เปนพระพุทธเจาอีกประเภทหนึ่งที่เรียกวา พระปจเจกพุทธเจา คือผรูเฉพาะตน เพราะฉะนั้น การจัดตั้งวางระบบที่เรียกวา วินัย นี้ได จึงถือวาเปน ความสามารถพิ เ ศษของมนุ ษ ย ที่ ว า ไม เ ฉพาะเข า ถึ ง ความจริ ง ของ ธรรมชาติเทานั้น แตยังสามารถนําเอาความจริงของธรรมชาตินั้นมาทํา ใหเกิดประโยชนแกหมูชนจํานวนมากไดดวย อันนี้เปนความสามารถ ขององคพระสัมมาสัมพุทธเจา
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๗๑
เรื่องที่วามานี้ทําใหมีเหตุผลโยงกันดวยในแงที่วา ถาจัดตั้งวางระบบ แบบแผนโดยไมมีธรรมคือความจริงที่แทเปนฐานแลว การจัดตั้งนั้นก็ไร ความหมาย ดังนั้น วินัย คือการจัดตั้งของมนุษยจึงตองตั้งอยูบนฐานของ ธรรม คือตัวความจริงที่แท และตองอาศัยปญญาที่รูความจริงนั้นมาจัดตั้ง เพราะฉะนั้น เบื้องหลังวินัย ก็คือหลักการแหงธรรม ที่เปนความ จริงแนแทอยในธรรมดาของธรรมชาติ เปนหลักการอันสูงสุด ทั้งโดยตัว มันเอง และโดยเปนสาระและเปนจุดหมายของวินัย ไมมีใครสูงเหนือ ธรรม พระพุทธศาสนาถือเปนหลักการวา ธรรมสูงสุดในโลก ธรรม สูงสุดในสังคมมนุษย (ที.ปา.๑๑/๗๑/๑๐๗) สําหรับผนับถือเทพเจา ธรรมก็เปนมาตรฐานตัดสินบรรดาเทพเจา ตลอดจนพระพรหม หมายความวาธรรมยอมเหนือเทพ แมแตจะนับถือกรรม โดยเชิดชูกรรมที่เปนบุญ ธรรมก็เปนมาตรฐานตัดสินกรรมและความเปนบุญ นั้น พระพุทธเจาทรงเคารพธรรม (องฺ.จตุกฺก.๒๑/๒๑/๒๕) และทรงจัดตั้ง วางระบบแหงวินัยขึ้นบนฐานแหงธรรมนั้น และเมื่อสงฆที่ตั้งขึ้นดวย วินัยนั้นขยายใหญโตขึ้น พระพุทธเจาก็ทรงเคารพสงฆ และทรงมอบ อํ า นาจให แก สงฆ โดยที่ สงฆ นั้ นก็ เกิ ดมี ขึ้ นจากธรรม เป นสงฆ เพราะ ธรรม และมีอยเพื่อความปรากฏแหงธรรมในโลก นักปกครองผยิ่งใหญตามหลักการของพระพุทธศาสนา ที่เรียกวา “จักรพรรดิ” ผเปนธรรมราชา ก็ตองเคารพธรรม ถือธรรมเปนใหญ จัด ดําเนินการปกครองโดยธรรม (ที.ปา.๑๑/๓๕/๖๔) เชนเดียวกัน โดยนัยนี้ ธรรม จึงเปนทั้งฐานของวินัย และเปนทั้งจุดหมายของ วินัย
๗๒
นิติศาสตรแนวพุทธ
๑. ที่วาเปนฐาน หมายความวา ตองรูความจริงของกฎธรรมชาติ จึงจะสามารถมาจัดตั้งวางระบบแบบแผนในหมูมนุษยเพื่อใหมนุษยได ประโยชนจากธรรมนั้นได ถาไมรู การจัดตั้งก็ผิดพลาดหรือไรความหมาย ๒. ที่วาเปนจุดหมายคือ การที่ใหมนุษยมาอยูรวมกัน และมีการ จัดตั้งระเบียบแบบแผนทั้งหมดนั้น ก็เพื่อชวยใหมนุษยเขาถึงและไดรับ ประโยชนจากธรรมนั่นเอง ดังนั้น ธรรมจึงเปนทั้งเบื้องตนและที่สุดแหงวินัย ถาปราศจากธรรม วิ นั ยก็ ไม มี ความหมาย ไร ประโยชน แต ถ ามี แต ธรรมเป นของจริ งตาม ธรรมชาติ แมจะมีคนที่รูธรรมแตไมสามารถมาจัดสรรใหเกิดประโยชนแก คนหมูใหญได ธรรมนั้ นก็ไมเกิ ดประโยชน เทาใดนั ก ทั้ งๆที่ มีอยู เป น ความจริง ดังนั้นสองอยางนี้จึงตองอิงอาศัยกัน เมื่อครบทั้งสองอยางจึงเปน พระพุทธศาสนา ในเรื่องนี้มีขอที่นาสังเกตวา ในพระพุทธศาสนา เมื่อพูดถึง ธรรม เราจะใชคําวา “แสดง” เพราะธรรมเปนความจริงที่มีอยูตามธรรมดา เรา เพียงแตไปรูและแสดงมัน แตถาพูดถึง วินัย จะใชคําวา “บัญญัติ” เพราะ เปนเรื่องที่มนุษยจัดตั้งหรือทําขึ้นมา ขอย้ําวา ธรรมไมใชของมนุษยทําขึ้น แตเปนของมีอยูตามธรรมดา ส ว นวิ นั ย เป น ของที่ ม นุ ษ ย จั ด ตั้ ง ขึ้ น เพราะฉะนั้ น เราจึ ง พู ด ว า พระพุทธเจาทรงแสดงธรรม และพูดวาพระพุทธเจาทรงบัญญัติวินัย อยางไรก็ดี คําวาบัญญัติที่ใชกับ “ธรรม” ก็มีบาง แตใชเปน คําประกอบ โดยมีความหมายวา จัดวางหรือนําเสนอในรูปลักษณะที่จะเอื้อ ตอการรเขาใจ แตสําหรับ “วินัย” จะใชคําวา บัญญัติ เปนคําหลักเลย ทีเดียว
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๗๓
เรื่องความสัมพันธระหวางกฎหมายหรือวินัย กับธรรมที่เปนความ จริงในกฎธรรมชาตินี้ จะนําไปสับสนกับคติของฝรั่งในเรื่อง natural law และ natural rights ไมได เพราะเปนคนละแบบกันเลย พวกฝรั่ ง มี คติ เ กี่ ย วกั บ กฎหมายตามสายหรื อ สํ า นั ก ต า งๆ ซึ่ ง มี แนวความคิดหลายแบบ เชน พวกหนึ่งถือวามี natural law คือ กฎหมาย ตามธรรมชาติ และมี natural rights คือมีสิทธิตามธรรมชาติดวย แตเรื่อง เหลานี้ไมตรงกับเรื่องธรรมกับวินัยที่ไดพูดไปแลวแตประการใด
กฎมนุษยตองไมแปลกแยกจากกฎธรรมชาติ ตอนนี้เรากลับมาพูดเรื่องธรรมกับวินัยอีกครั้งหนึ่ง เปนอันวา เรา มีความจริงตามธรรมชาติที่เรียกวา ธรรม กับการจัดตั้งของมนุษยที่ เรียกวา วินัย ซึ่งเปนเรื่องสมมติ ขอสังเกตสําคัญในที่นี้คือ เรื่องวินัยและเรื่องกฎหมายนี้เปนเรื่อง “สมมติ” แตสมมติไมใชเรื่องเหลวไหล สมมติเปนสิ่งที่มีความสําคัญ อยางยิ่ง ในภาษาไทยเราใชคํานี้ในความหมายที่ไมคอยดีนัก แตในภาษา พระ สมมติเปนเรื่องใหญ ถึงกับจัดเปนสัจจะประเภทหนึ่ง ในทางพุทธศาสนามีหลักวา สัจจะ มี ๒ อยาง คือ ๑. สัจจะที่เปนความจริงแทแนนอนมีอยูในธรรมชาติ เรียกวา ปรมัตถสัจจะ (สัจจะโดยเนื้อแท) และ ๒. สัจจะที่เปนความจริงตามความตกลงยอมรับรวมกันของหม มนุษย เรียกวา สมมติสัจจะ (สัจจะโดยสมมติ) ตามหลักสัจจะสองอยางนี้ เราก็มีกฎธรรมดาของธรรมชาติ กับกฎ สมมติของมนุษย ธรรมเปนกฎธรรมชาติ เพราะมันเปนความจริงแหงความ เปนไปของสิ่งทั้งหลายตามธรรมดาของมัน สวนกฎหมายนี้เปนกฎมนุษย ควรทราบวา กฎธรรมชาติ กับกฎมนุษยนี้ สัมพันธกันอยางไร
๗๔
นิติศาสตรแนวพุทธ
มนุษยเราตามปกติจะทํากิจกรรมใดก็ตาม ยอมมีความมุงหมาย คือ ตองการผลของมัน เราตองการผลสักอยางหนึ่ง เราก็ทํากิจกรรมที่เปน เหตุใหไดผลนั้น อันนี้เปนเรื่องธรรมดาของมนุษย เมื่อยังไมมีการจัดตั้ง วางระบบสังคมขึ้นมาก็ดําเนินชีวิตอยางนั้น ทําไปตามธรรมชาติ ผลที่ เกิดตามเหตุในธรรมชาตินั้น ก็เปนไปตามกฎธรรมชาติ ตัวอยางเชน เมื่อคนตองการใหตนไมเจริญงอกงาม ถาเขาไมรอให ตนไมมันงอกเอง เขาจะทําอยางไร เขาก็ปลูกตนไม เชนเอาเม็ดมะมวงมา แลวเขาก็ขุดดิน เอาเม็ดมะมวงลง กลบดินแลวก็รดน้ําเปนตน เมื่อปลูก ตนไมมากๆ ก็เรียกวาทําสวน การทําสวนนี้เปนเหตุ และจะทําใหเกิดผลคือตนไมเจริญงอกงาม อันนี้คือเหตุและผลตามกฎธรรมชาติ พูดย้ําวา การทําสวนเปนเหตุ ตนไม เจริญงอกงามเปนผล นี้เปนความเปนจริงตามกฎธรรมชาติ เปนเรื่องของธรรม เมื่อมนุษยมาอยูรวมกันเปนสังคม เราก็จัดตั้งระบบแบบแผนขึ้น ในสังคมแลวมีวัฒนธรรมและอารยธรรมขึ้นมา เราบอกวาเราตองการให มีสวนดอกไมสวยงามที่นี่ เราก็ใชระบบระเบียบในสังคมมาชวยใหมี สวนตามที่ตองการ โดยใหคนๆหนึ่ง หรือจํานวนหนึ่ง มาทําหนาที่ใน เรื่องนี้โดยเฉพาะใหเต็มที่โดยไมตองหวงใยเรื่องอื่น เราก็จางคนมาทํา สวน และเราก็ใหเงินเดือนเขา ในสังคมที่มีอารยธรรมแลวก็จะมีการปฏิบัติเชนนี้ แทนที่วาทุก คนจะตองไปทําสวนเอง เราก็มีการจัดตั้งวางระบบแบบแผนขึ้น มีการตั้ง เงินเดือนและบอกวาคุณมาทําสวน ฉันจะใหเงินเดือน ๕,๐๐๐ บาท ก็เกิดมี กฎของมนุษยขึ้นวา การทําสวนเปนเหตุและการไดเงินเดือน ๕,๐๐๐ บาทเปนผล เปนกฎขึ้นมาใหเห็นเหตุเห็นผลจริงๆ คือ การทําสวนเปน เหตุ การไดเงินเดือน ๕,๐๐๐ บาทเปนผล ไมมีใครเถียง เปนเหตุเปนผล จริงๆ
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๗๕
แตถามอีกชั้นหนึ่งวา จริงแนหรือไม? การทําสวนเปนเหตุ เงินเดือน ๕,๐๐๐ บาทเปนผลนี้จริงแทหรือไม ตอบวาจริงในระดับหนึ่ง เท า นั้ น ที่ แ ท แ ล ว ไม จ ริ ง การทํ า สวนเป น เหตุ เงิน เดื อ น ๕,๐๐๐ บาท เกิดขึ้นมีที่ไหนในโลก ไปขุดดินทําสวนแลวเงินเกิดขึ้นมา ๕,๐๐๐ บาท เปนไปไดที่ไหน ที่แทนั้นกฎนี้เปนกฎที่มนุษยตั้งขึ้นมาโดยการ “สมมติ” สมมติ แปลวา มติรวมกัน มาจากคําวา สํ (รวมกัน) + มติ (การ ยอมรับหรือตกลง) เพราะฉะนั้น สมมติจึงแปลวา ขอตกลงรวมกัน หรือ การยอมรับรวมกัน กฎของมนุษยที่วา ทําสวน ๑ เดือนเปนเหตุ ไดเงินเดือน ๕,๐๐๐ บาทเปนผลนี้ เปนกฎที่ตั้งอยูบนสมมติ คือการยอมรับรวมกัน ถาสมมติ คือการยอมรับรวมกันหายไปเมื่อใด กฎนี้จะหายไปทันที เชน ถาฝายใด ฝายหนึ่งในสองฝายที่เกี่ยวของไมยอมรับเงื่อนไขที่ตกลงกันไว การทํา สวนก็ไมเปนเหตุ เงินเดือน ๕,๐๐๐ บาทก็ไมเปนผล เพราะฉะนั้น กฎที่วานี้จึงไมมีความเปนเหตุเปนผลที่แทจริงใน ธรรมชาติ แตเปนกฎที่จัดวางกันขึ้นดวยการตกลงยอมรับรวมกันคือการ สมมติของมนุษยเอง จึงเรียกวาเปน กฎของมนุษย หรือ กฎมนุษย อารยธรรมของมนุษยไดสรางกฎทํานองนี้ขึ้นมามากมาย เพื่อให สังคมมนุษยดํารงอยูไดดวยดี แตทั้งนี้เราจะตองถามใหเกิดความชัดเจน ทางปญญาวา ในการจัดตั้งวางกฎสมมติของมนุษยขึ้นนี้ ที่แทจริงนั้น มนุษยตองการอะไร การที่เราวางกฎมนุษยขึ้นอยางเปนเหตุเปนผลวา ทําสวน ๑ เดือน เปนเหตุใหไดเงินเดือน ๕,๐๐๐ บาทนั้น ผลแทจริงที่เราตองการ คือผล ตามกฎธรรมชาติ ไดแก ความเจริญงอกงามของตนไม อันนี้แนนอน เรา จึงเห็นความจริง ๒ ชั้น คือมีกฎ ๒ ชั้น ซอนกันอย
๗๖
นิติศาสตรแนวพุทธ
การทําสวนอันเดียว มีความเปนเหตุเปนผลตามกฎซอนกันทีเดียว ๒ กฎ คือ ๑. กฎธรรมชาติ ที่เปนธรรม เปนไปตามธรรมดาของเหตุปจจัย คือการทําสวนเปนเหตุ ตนไมเจริญงอกงามเปนผล ๒. กฎมนุษย ที่เปนกฎสมมติ เกิดจากมติรวมกัน คือ การทําสวน เปนเหตุ การไดเงินเดือน ๕,๐๐๐ บาท เปนผล สองกฎนี้มีความสัมพันธกัน โดยเฉพาะ ถาไมมีความจริงตามกฎ ธรรมชาติ คือ ธรรม ที่วาการทําสวนเปนเหตุและตนไมเจริญงอกงาม เปนผลแลว การวางกฎมนุษย ที่เรียกวา วินัย คือทําสวน ๑ เดือนได เงินเดือน ๕,๐๐๐ บาท ก็ไมมีความหมายอะไร แทจริงนั้น การที่เราวางกฎสมมติของมนุษย ก็เพราะเราตองการ ผลตามกฎธรรมชาติ ถาเราไมตองการใหตนไมเจริญงอกงามแลวเราจะ วางกฎมนุษยใหคนทําสวนไดเงินเดือนไปทําไม ทั้งนี้หมายความวา เรา วางกฎสมมติของมนุษยขึ้น ก็เพื่อสนับสนุนการทําเหตุที่จะใหเกิดผล แทจริงตามกฎธรรมชาตินั้นเอง ขอย้ําวา วินัย คือการจัดตั้งวางระบบจัดระเบียบและวางกฎสมมติ ขึ้นมานี้ เปนความสามารถพิเศษอันเลิศของมนุษย ที่จะทําใหชีวิตและ สังคมของพวกตนไดประโยชนมากที่สุดจากธรรม คือความจริงของ ธรรมชาติ และการวางกฎสมมติของมนุษยขึ้นมา ก็เพื่อชวยหนุนใหเกิด ความมั่นใจที่จะไดผลที่ตองการตามกฎธรรมชาติ เพราะฉะนั้น มนุษย จะตองตระหนักรอยเสมอวา สิ่งตองการที่แทคือความเปนจริงตามธรรม เรื่องที่พูดมานี้เปนตัวอยางใหเห็นวา แทจริงนั้นเราตองการผล จริงๆ ตามกฎธรรมชาติ ถามนุษยยังเขาใจความมงหมายที่แทจริงนี้ และ ยังโยงสัมพันธกฎสมมติของมนุษยเขากับกฎธรรมชาติที่ซอนรองรับอย ได คือไมลืม ไมมองขามผลที่ตองการที่แทจริง ชีวิตและสังคมมนุษยก็จะ
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๗๗
ดํารงอยูดวยดี แตเมื่อมนุษยไดพัฒนาอารยธรรมออกไปๆ มนุษยจํานวน มากก็ไดแปลกแยกจากธรรมชาติไปเสีย และพากันหลงสมมติ หลงสมมติ คือติดอยูในกฎสมมติของมนุษย ไมเข าถึง หรือไม สามารถเชื่อมโยงใหเขาถึงความจริงของธรรมชาติ ถาความแปลกแยกจากธรรมนี้เกิดขึ้นเมื่อใด ความวิปลาสทั้งของ ชีวิตและสังคมก็จะเกิดขึ้นเมื่อนั้นทันที เชน คนทําสวนทํางานเพื่อ ตองการเงินเดือนอยางเดียว โดยไมไดคํานึงถึงการที่จะทําใหเกิดผลตาม กฎธรรมชาติ คือ การทําใหตนไมเจริญงอกงาม เพราะฉะนั้นจะตองถือวา การเขาถึงความจริงแหงกฎธรรมชาติ หรือธรรมนี้ จะตองเปนหลักอยูตลอดเวลา ถามนุษยแปลกแยกจากความ จริงหรือธรรมนี้เมื่อใด การดําเนินชีวิตของเขาจะวิปริตทันที และสังคมก็ จะไมไดรับผลที่ตองการ ลองคิดดูวา ถาคนสวนมาทําสวนดวยตองการ เงิ นเดื อน ๕,๐๐๐ บาท และไม ตอ งการผลที่แ ท จริ งตามกฎธรรมชาติ อะไรจะเกิดขึ้น และเรื่องนี้จะมีผลโยงไปถึงเรื่องอื่นทั้งหมด ซึ่งจะยังไม พูดถึงในที่นี้ เพียงแตขอยกขึ้นมาพูดไวเปนตัวอยาง อนึ่ง การหลงสมมติเปนโทษภัยแกมนุษยฉันใด การไมยอมรับ สมมติที่บัญญัติจัดวางขึ้นโดยชอบธรรม ก็เปนภัยอันตรายตอชีวิตและ สังคมของมนุษยเองดวยฉันนั้น เรื่องนี้จะไดพูดกันตอไปขางหนา
พัฒนาคนใหรจักเคารพสิทธิกันและกัน แตตองรทันวาที่แทมนุษยไมมีสิทธิ มนุษยเรามีความสามารถในเรื่องวินัยนี้ เราจึงจัดโครงสรางวาง ระบบตั้ ง กฎระเบี ย บในการจั ด แจงจั ด สรรสั ง คมขึ้ น มามากมาย และ พัฒนาอารยธรรมขึ้นได จนกระทั่งมนุษยถึงกับตกลงกันใหพวกตนมี
๗๘
นิติศาสตรแนวพุทธ
สิทธิ แมแตจะเปนเจาของและจัดการกับธรรมชาติไดตามปรารถนา เชน แผนดิน ก็นํามาแบงกันโดยกําหนดใหมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินเกิดขึ้น เอา แผนดินมาจัดสรร บัญญัติวาที่ดินแปลงนี้เปนของคุณ ที่ดินแปลงนี้เปน ของฉัน จะละเมิดกันไมได โดยมีกฎหมายเขามารองรับ ถาละเมิดกันก็มี การลงโทษตามกระบวนการของกฎหมายนั้น กฎหมายจึ ง เป น เครื่ อ งแสดงการยอมรั บ สิ ท ธิ ห รื อ เป น เครื่ อ ง กําหนดใหเกิดมีสิทธินั้นขึ้น และกฎหมายก็เปนเครื่องมือคมครองสิทธิ ของบุคคล ตลอดจนคมครองกิจการตางๆ ของคน แตไปๆ มาๆ มนุษยก็ อาจจะลืมความจริงที่แทของธรรมชาติไปเลย จนบางที เมื่อมนุษยตาง อารยธรรม ตางวัฒนธรรมมาพบกัน ก็มีเรื่องแปลกๆ ตัวอยางเชน เรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อ ๑๔๑ ป ลวงมาแลว (พ.ศ. ๒๓๙๘) ประธานาธิบดีอเมริกา ชื่อวาแฟรงคลิน เพียซ ไดติดตอขอซื้อที่ดินแปลงหนึ่งจากพวกอินเดียนแดงเผาหนึ่ง ซึ่งมีหัวหนา ชื่อวา ซีแอตเติล (Seattle) ซึ่งไดเปนที่มาของชื่อเมืองใหญ ในรัฐวอชิงตัน ทางตะวันตกเฉียงเหนือสุดของประเทศสหรัฐอเมริกาในปจจุบัน ตอนนั้ นดิ น แดนนี้ เ ป น ของอิ นเดีย นแดงเผ าของซีแ อตเติล เมื่ อ ประธานาธิบดี เพียซ ติดตอขอซื้อไป ก็ไดรับคําตอบจากอินเดียนแดงวา “ท า นจะเอาแผ น ดิ น และผื น ฟ า มาซื้ อ ขายกั น หรื อ นี่ (Gore, ความคิดนี้แปลกประหลาดสําหรับพวกเรา” 359)
เวลานี้ เรายึ ดถื อกั นเหลื อเกิ นใช ไหม ที่ ดิ นนี้ เป น ของฉั น ฉั นมี กรรมสิทธิ์ และก็รสึกกันวาเปนความจริงอยางนั้นจริงๆ แตเมื่อมนุษยที่เรา เห็ นว ายั งไม มีอารยธรรมมาไดยินได ฟงเรื่ องอยางนี้เขา เขารู สึกแปลก ประหลาด อินเดียน แดงเหลานี้นึกไมออกวามนุษยมีการนําแผนดินผืน ฟามาขายกันไดอยางไร
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๗๙
ตอไป นอกจากเอาแผนดินมาแบงกันแลว มนุษยก็จะขายผืนฟา กันจริงๆดวย เชน อาจจะมีการเชาที่ตั้งสถานีอวกาศ ซึ่งเปนเรื่องที่มนุษย สมมติขึ้นทั้งสิ้น สมัยกอน ตอนที่ประธานาธิบดีแฟรงคลิน เพียซ ขอซื้อ ที่ดินจากพวกอินเดียนแดงนั้น คนอเมริกันยอมรสึกดูถูกคนอินเดียนแดง มาก วาคนพวกนี้ไมมีสติปญญา โงเขลาเหลือเกิน ไมมีอารยธรรม ไมร จักเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่ดิน แต ม าบั ด นี้ ความคิ ด ของอิ น เดี ย นแดงกลั บ ได รั บ การยกย อ ง สรรเสริญ เพราะวามนุษยยุคนี้มาประสบปญหาจากสภาพแวดลอมเสื่อม โทรม แลว เห็น กั นว า การกระทํ าของมนุ ษยที่ เบี ยดเบี ย นธรรมชาติ ที่ จัดการกับธรรมชาติตามชอบใจนั้น ไดเปนสาเหตุแหงความเสื่อมโทรม ของธรรมชาติ ทํ า ให เ กิ ด มลภาวะเป น ต น ปรากฏว า คนอเมริกั น ยุ ค นี้ กลับไปยก วาทะของอินเดียนแดงผูนี้มายกยองสรรเสริญกัน ตัวอยางเชน รองประธานาธิบดี Al Gore คนปจจุบันนี้ เมื่อเขียน หนังสือเกี่ยวกับการอนุรักษธรรมชาติเรื่อง Earth in the Balance ก็ยกถอยคําหรือวาทะของอินเดียนแดงคนนี้มาอางอิง (Gore, 359) เหมือนดังจะเยาะเยยความคิดของชาวอเมริกันผเจริญแลว ที่ หลงไปตามสมมติ และยอมรั บ ว า ความคิ ด ความเข า ใจของพวก อินเดียนแดงนั้นสอดคลองตรงตามความจริงของธรรมชาติ เพราะฉะนั้น เรื่องสิทธิเปนตน ตามที่บัญญัติในกฎหมาย จึงเปน เรื่องของการที่มนุษยมาตั้งกฎเกณฑกันขึ้น เพื่อประโยชนในหมูมนุษยของ เรา จนหลงเพลินไปวาเรามีความชอบธรรมที่จะไปจัดการกับธรรมชาติได ตามปรารถนา แตตามความจริงสิทธิอยางนี้มีหรือไม เชน ที่ฝรั่งพวกหนึ่ง บอกวามนุษยมีสิทธิตามธรรมชาตินั้น ในทัศนะของพระพุทธศาสนาวาเปน ความสับสน
๘๐
นิติศาสตรแนวพุทธ
จะตองเขาใจวา ความจริงตามธรรมชาติก็เปนความจริงของมันอยู อยางนั้ น เชน การที่ สิ่ง ทั้ งหลายเป นไปตามเหตุป จ จัย แต มนุ ษยนั้ นมี สติปญญา เมื่อรความจริงนั้นแลว และตองการจะใหชีวิตและกิจการงาน ของตนอยูไดดวยดีภายใตกฎธรรมชาตินั้น ก็นําความรูในกฎธรรมชาติ มาจัดสรรวางระบบแบบแผนขึ้นในสังคมของตน เพื่อใหความเปนไป ตามเหตุปจจัยในกฎธรรมชาตินั้นเกิดผลดีแกชีวิตและสังคมของตน ดวย การตกลงกันวางขอกําหนดขึ้น เชนการกําหนดใหมีสิทธิตางๆ ขึ้นมา แต ทั้งนี้จะตองมีความรตระหนักในความจริงวา มันเปนเรื่องของมนุษยทตี่ ก ลงกัน ไมใชความเปนจริงในธรรมชาติ สมมติวา เราตกลงกันวาที่ดินแปลงนี้เปนของฉัน หรือของคนนั้นคน นี้ ก็เกิดเปนสิทธิขึ้นมา แตสิทธิที่วานั้นเปนเรื่องที่จะใชอางกันไดในหมู มนุษยเทานั้น จะเอาไปอางกับธรรมชาติไมได เราจะบอกวาที่ดินแปลงนี้ เป น ของฉั น แล ว ทุ ก อย า งในที่ นี้ จ ะต อ งเชื่ อ ฟ ง ฉั น ฉั น ปลู ก อะไรแก จะตอ งงอก อั น นี้ จ ะเอาไปอ า งกั บ ธรรมชาติ โ ดยไม ทํ า เหตุ ป จ จั ย ตาม ธรรมชาติ ก็เปนไปไมได การอางสิทธินั้นจะไมสําเร็จผลเลย ธรรมชาติ จะไมฟง เรื่องของธรรมชาติก็คือความเปนไปตามเหตุปจจัยของมัน คุณ ตองการอะไรคุณก็ตองทําใหถูกตามเหตุปจจัย ถาคุณทําไมถูกตามเหตุ ปจจัยก็ไมเกิดผลที่คุณตองการ เราจะบอกวาตนมะมวงตนนี้เปนตนไมของฉัน เกิดในที่ดินของ ฉัน ฉันมีสิทธิจัดการได แกตองฟงฉัน แกตองงอกงาม แกตองออกผลมาก ให ไ ด เ ท า นี้ ใ นฤดู นี้ ป นี้ ให ฉั น มี ร ายได เ ท า นี้ ฯลฯ การอ า งสิ ท ธิ กั บ ธรรมชาติอยางนี้ยอมเปนไปไมได มนุษยจะตองทําตามเหตุปจจัยของ ธรรมชาติทั้งสิ้น ดั ง นั้ น มนุ ษ ย จึ ง จะต อ งรู จั ก แยกระหว า งความจริ ง ตามกฎ
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๘๑
ธรรมชาติ กับความจริงที่มนุษยมาตกลงกันวางขึ้น เพราะวาแมแตชีวิต ของมนุษยเอง ในแงของกฎธรรมชาติมนุษยก็ไมมีสิทธิอะไร เราจะบอก วาฉันมีสิทธิในชีวิตของฉัน ก็ไมมีผลอะไร ถาไฟไหมจะมาถึงตัว ไมยอม หนี จะอางสิทธิกับไฟวา “ฉันมีสิทธิในชีวิตของฉัน แกไมมีสิทธิจะทําอะไรฉัน” ไฟก็ไหมเอาเทานั้น หรือลองเขาปาไปพบเสือแลวไปยืนอางสิทธิบอกกับ เสือวา “ขาเปนเจาของชีวิตของขา ขามีสิทธิในชีวิตของขา” บอกกับเสือ เสือก็ไม ฟง มันก็งับกินเทานั้นเอง แมแตในการดําเนินชีวิตประจําวันของเรา เราจะอางสิทธิในชีวิต ของเรากับธรรมชาติ ก็ไมมีผลอะไร แตเราจะตองปฏิบัติ หรือดําเนินชีวิต ของเราใหถูกตองตามเหตุปจจัยในกระบวนการของธรรมชาติ เราตอง รักษาสุขภาพของเรา เราตองกินอยูหลับนอน ตองทํากิจกรรมทั้งหลาย ให เ ป น ไปตามกฎธรรมชาติ ตรงตามเหตุ ป จ จั ย ของมั น ถ า เราไม ทํ า ตามนั้น จะอางสิทธิตอธรรมชาติ ก็ไมอาจไดรับผลที่ตองการ ในโลกยุคตอไป ปญหาเรื่องสิทธิจะซับซอนยิ่งขึ้น ดังเชนปญหาที่ เกิดจากความเจริญทางเทคโนโลยี ทางดานการแพทย และทางดานขาวสาร ขอมูล เปนตน อยางที่เปนปญหามากขึ้นๆ ในประเทศที่พัฒนาแลว เกี่ยวกับความขัดแยงในเรื่องสิทธิในการเกิด สิทธิในการใหกําเนิด สิทธิใน การตาย สิทธิ ในการมี ชี วิ ตอย สิ ทธิ เกี่ ยวกั บทรั พย สิ นทางป ญญา เช น ปญหาความขัดแยงระหวางสิทธิในการมีชีวิตของทารกในครรภ กับสิทธิ ที่ จ ะมี ชี วิ ต ที่ มี สุ ข ภาพดี ข องมารดาผ ถื อ ว า ตนเป น เจ า ของครรภ เพราะฉะนั้น การเขาใจความจริงที่ทําใหแยกไดระหวางความจริงตาม ธรรมดาของธรรมชาติ กั บ ความจริ งตามที่ ตกลงกั น (โดยสมมติ )ด ว ย ปญญาของมนุษย จะยิ่งมีความสําคัญมากขึ้น ตัวอยางอีกเรื่องหนึ่งคือ ในชวงเวลาที่ผานมานี้โลกไดประสบปญหา จากความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศเปนอยางมาก และตระหนักเห็นภัย
๘๒
นิติศาสตรแนวพุทธ
จากการทําลายธรรมชาติ เนื่องจากปญหาและความตื่นตัวในเรื่องนี้ ก็ได มีบุคคลและกลมชนที่เริ่มตั้งขอพิจารณาขึ้นมาวา สัตวดิรัจฉานทั้งหลายมี สิทธิในชีวิตของมันหรือไม และบางคนก็ลงความเห็นวา “มี” เมื่อตกลงวาสัตวดิรัจฉานมีสิทธิในชีวิตของมัน ก็มีเรื่องที่มนุษย จะตองแกปญหาในหมพวกตนตามมาอีกมาก เชน นาย ก. เปนเจาของเลา หมู เลี้ยงหมูไวฆาขายเนื้อจํานวนมาก นาย ข. เห็นวาหมูมีสิทธิในชีวิต ของมัน จึงลอบไปปลอยหมูออกจากเลา ตํารวจจับนาย ข. ฐานลักทรัพย ซึ่งเปนการละเมิดกรรมสิทธิ์ของนาย ก. แตนาย ข. อางวาเขาไมไดลัก ทรัพย เขาเพียงแตปลอยหมูไปตามสิทธิของมัน (เหมือนชวยคนที่ถูกคน อื่นกักขังไว; แตก็พึงสังเกตดวยวา สมัยกอนโนน เมื่อยังมีระบบทาส เจาของทาสก็มีสิทธิตามสมมติที่จะจัดการกับทาส คลายกับที่เจาของเลา หมูจ ะจัดการกับหมู แตมาบัดนี้ เมื่อสังคมยกเลิกระบบทาสแลว การ ปฏิบัติตอคนอยางนั้นกลายเปนความผิด กรรมสิทธิ์ตอทาสกลายเปนไมมี) เรื่ อ งทํ า นองนี้ ค งเป น ป ญ หาสํ า หรั บ นั ก กฎหมายในอนาคตจะ วินิจฉัยกันตอไป แตก็มีตัวอยางแลวที่รัฐฮาไว สหรัฐอเมริกา นักศึกษา ชั้นบัณฑิตศึกษาผหนึ่งเห็นวาปลาโลมามีสิทธิในชีวิตของมัน มันควรจะ มีอิสรภาพ จึงปลอยปลาโลมา ๒ ตัว ออกจากสถานีทดลอง ปรากฏวาเขา ถูกตัดสินวามีความผิดฐานลักทรัพย (ดูความคิดของชาวตะวันตกตอเรื่อง อยางนี้ เชน Rolston, 47 และ Howard, 132 เปนตน) ขอใหสังเกตวา แมใครก็ตามจะบอกวาสัตวมีสิทธิในชีวิตของมัน สัตวนั้นก็คงไมสามารถเอาสิทธินั้นไปอางกับใครๆ หรือกับสัตวอื่นใด แตสิทธิของสัตวนั้น เปนสิ่งที่มนุษยนั่นเองจะนําไปอางตอมนุษยดวยกัน ในการที่จะปฏิบัติตอสัตวนั้นๆ ตามที่พวกตนตกลงกัน เปนอันวา สิทธิตอชีวิต เปนตน อางไมไดกับธรรมชาติ แตอางได กั บ มนุ ษ ย ด ว ยกั น ตามที่ ต กลงยอมรั บ นี้ เ ป น เรื่ อ งหนึ่ ง ที่ แ สดงถึ ง
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๘๓
ความสัมพันธระหวางกฎธรรมชาติ ที่เรียกวา ธรรม กับกฎเกณฑในหมู มนุษย ที่เรียกวา วินัย ซึ่งซอนกันอยูและโยงเปนเรื่องเดียวกัน แตแยก ออกเปน ๒ ระดับ
ถึงจะพัฒนาระบบขึน้ มาหลากหลาย ทุกระบบตองลงกันไดบนฐานหนึ่งเดียวแหงธรรม ดังไดกลาวแลววา กฎของมนุษยคือวินัย ตองอิงอยูบนความจริง ของธรรมชาติคือธรรม และมีไวก็เพื่อเขาถึงและไดประโยชนจากกฎ ธรรมชาตินั่นเอง ความหมายของวินัย ซึ่งรวมทั้งกฎหมายก็อยูที่นี่ แตตามที่กลาวแลววา วินัยคือการจัดตั้งวางระบบแบบแผนที่เปน สมมตินี้ เปนความสามารถพิเศษของมนุษยที่ไมมีในหมูสัตวอื่น มนุษยมี ความสามารถพิเศษเชนนี้ จึงสรางสรรควัฒนธรรมและอารยธรรมขึ้นมา ได โลกของมนุษยจึงเปนแดนของสมมติ แตมีขอสังเกตอีกอยางหนึ่งวา ในเมื่อเราบอกวา ธรรม (คือความ จริง เชน ความเปนไปตามเหตุปจจัยเปนตนนี้) เปนฐานของวินัย (คือการ จั ด ตั้ ง วางระบบแบบแผนกฎเกณฑ ก ติ ก าในสั ง คมมนุ ษ ย ทุ ก อย า ง) เพราะฉะนั้น การที่จะใหกฎของมนุษยไดผลจริง ระบบตางๆ จึงตอง ประสานโยงถึงกันเปนอันหนึ่งอันเดียว เวลานี้ เมื่อมนุษยเรามีอารยธรรมเจริญมากขึ้น เราก็มีการจัดตั้งวาง ระบบแบบแผนในสังคมมากขึ้น โดยแยกเปนระบบเศรษฐกิจ ระบบ การเมืองการปกครอง และระบบสังคมดานตางๆมากมาย การที่เรามีระบบเหลานี้จัดแยกออกไปเปนหลายดาน ก็เพื่อใหมี ประสิทธิภาพในเชิงปฏิบัติ และในการที่จะศึกษาไดลึกละเอียด แตที่จริง กฎธรรมชาติคือความจริงที่รองรับระบบเหลานั้นทั้งหมดก็เปนความจริง
๘๔
นิติศาสตรแนวพุทธ
อันเดียวกัน เพราะฉะนั้น ถาจะใหกฎมนุษย ซึ่งหมายถึงระบบแบบแผน ตางๆในสังคมมนุษย ไดผลอยางแทจริง ระบบเหลานั้นจะตองประสาน เปนอันเดียวกันได บนฐานแหงความเขาใจในความจริงตามกฎธรรมชาติ ที่เปนหนึ่งเดียวนั้น ปญหาของโลกมนุษยในปจจุบันนี้ก็คือ มนุษยตางคนตางคิดและ วางระบบตามความคิดที่แยกสวนแบบชํานาญพิเศษเฉพาะดานๆ ของตน ทําใหมีระบบเศรษฐกิจ ระบบสังคม ระบบการเมืองการปกครองเปนตน หลายรูปหลายแบบ โดยที่ระบบเหลานี้ตั้งอยูบนฐานของทฤษฎีคนละ อยาง และมนุษยยิ่งเจริญขึ้น ก็ดูเหมือนวาระบบและทฤษฎีตางๆ จะยิ่ง แยกเปนเฉพาะสวนเฉพาะดานออกไปๆ และก็ยิ่งไมชัด หรือถึงกับไม คํ า นึ ง ว า ทฤษฎี เ หล า นั้ น ได เ ข า ถึ ง ธรรมคื อ ความจริ ง ในกฎธรรมชาติ หรือไม ทฤษฎี ก็คือการพยายามที่จะเขาถึงความจริงที่เรียกสั้นๆ วา ธรรม นั้น และจากทฤษฎีก็ไปจัดโครงสรางวางระบบตั้งกฎเกณฑขึ้นในสังคม แตถาทฤษฎีไมเขาถึงธรรมคือความจริง ระบบที่เขาจัดตั้งขึ้นบนฐานของ ทฤษฎีนั้น ก็ไมสามารถใหประโยชนที่แทจริงยั่งยืน คือไมสามารถสราง ผลสําเร็จตามที่ตองการได และจะเปนระบบที่ไมยั่งยืน ยิ่งไปกวานั้น เมื่อระบบตางๆ ในสังคมเดียวกันตั้งอยูบนฐานของ ทฤษฎีคนละอยาง ตอมาระบบเหลานี้ก็จะขัดแยงกัน เชน ระบบเศรษฐกิจ ไปทางหนึ่ง ระบบการเมืองไปทางหนึ่ง ระบบทางสังคมอยางอื่นๆ เชน ระบบการจัดการศึกษาไปอีกทางหนึ่ง ซึ่งคิดวาสภาพในปจจุบันก็เปน อยางนี้ดวย และเมื่อเปนอยางนั้น ระบบตางๆ ก็จะขัดแยงกันบาง ชักพา ไขว เขวไปคนละทิศละทางบาง ตัวมนุษยเองมีความขัดแยงกันในระบบ บาง แลวการดําเนินชีวิตและกิจการของมนุษยก็จะตองมีปญหาเกิดขึ้น ตัวอยางงายๆ ในปจจุบันนี้ก็คือ แมแตระบบเศรษฐกิจกับระบบ
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๘๕
การเมืองการปกครองก็เปนปญหากันอย ระบบเศรษฐกิจหนึ่งก็จัดตั้งขึ้น ตามทฤษฎีเศรษฐศาสตรหนึ่ง ซึ่งเปนความเพียรพยายามที่จะเขาถึงความ จริงของธรรมชาติในดานหนึ่ง แตก็ไมรูวาไดเขาถึงความจริงหรือไม ซึ่ง ก็รอไมไดจึงตองปฏิบัติกันไป เมื่อตกลงวาเอาทฤษฎีเศรษฐศาสตรแบบ นี้ ก็จัดระบบเศรษฐกิจแบบนี้ ตอมาทางดานการปกครองก็มีทฤษฏีการ ปกครอง เชน แนวคิดประชาธิปไตย เปนตน ซึ่งนํามาใชเปนฐานในการ จัดระบบการปกครองระบอบประชาธิปไตย ในเมื่ อ ระบบเศรษฐกิ จ กั บ ระบบการปกครองมาจากฐานแห ง ทฤษฎีคนละฐาน แลวจับมาประสานกัน ปรากฏวาฝายสังคมนิยมก็อาง วา พวกตนก็ใชการปกครองระบอบประชาธิปไตย และอางวาระบอบ ประชาธิ ป ไตยแบบของตนเป น ประชาธิ ป ไตยที่ แ ท เช น เป น ประชาธิปไตยของประชาชน สวนอีกสังคมหนึ่งใชระบบเศรษฐกิจแบบ ทุนนิยมเสรี ก็อางวาพวกตนใชระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย แตเปนประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม แลวสองฝายนี้ก็เถียงกันวาของใคร เปนประชาธิปไตยที่แทจริง ของใครจะนําสังคมไปสสันติสุขไดจริง เวลานี้ฝายทุนนิยมเสรีชนะ ก็นําระบบสองดานนี้มาผนวกกันวา ในดานเศรษฐกิจใชระบบทุนนิยมแบบตลาดเสรี (free-market economy) สวนในดานการปกครองใชระบบประชาธิปไตย (democracy) และบอก วาตองใชระบอบประชาธิปไตยแบบทุนนิยมจึงจะดีที่สุด จึงผนวกสอง คํานี้เปน free-market democracy แปลวา ประชาธิปไตยแบบตลาดเสรี ซึ่งทําใหบางคนอาจจะหลงเพลินไปวา ถาเปนประชาธิปไตยแลวตอง เปนตลาดเสรี คือตองเปนทุนนิยม ทามกลางสภาพเชนนี้ ความขัดแยงในตัวระบบเองก็อาจจะมีอยู และที่สําคัญคือ ฝายหนึ่งจะครอบงําอีกฝายหนึ่ง เชน แนวคิดเศรษฐกิจ แบบทุ น นิ ย ม เข า มาครอบงํ า แนวคิ ด ของประชาธิ ป ไตย ทํ า ให ม อง
๘๖
นิติศาสตรแนวพุทธ
ความหมายของหลั ก การของประชาธิ ป ไตย ไปตามอิ ท ธิ พ ลของ แนวความคิดทางเศรษฐกิจ ดังที่เห็นไดชัดในเวลานี้วา การตีความหมาย ของความเสมอภาคและเสรีภาพ เปนการตีความหมายแบบทุนนิยม คือ ใตอํานาจของระบบเศรษฐกิจแบบสนองความตองการผลประโยชน สวนตัว ซึ่งพูดสั้นๆ วาเปนการมองความหมายแบบแบงแยกและแกงแยง เพื่อความชัดเจน ขอยกตัวอยางนิดหนอย เสรีภาพที่เปนหลักการ ของประชาธิปไตย เนนความหมายในแงของการที่บุคคลมีโอกาสที่จะ นําเอาศักยภาพ เชน สติปญญา ความสามารถของตนออกไปเปนสวน รวมในการแกปญหาและสรางสรรคสังคม ซึ่งเปนความหมายเชิงรวมมือ และเอื้อตอกัน แตภายใตอิทธิพลของทุนนิยม เสรีภาพเนนความหมายใน แงของการที่จะไดผลประโยชนตามที่ตนปรารถนา ซึ่งเปนไปในทาง แบงแยกและแกงแยง ความเสมอภาค (สมภาพ หรือสมานภาพ) ที่เปนหลักการของ ประชาธิปไตย เนนความหมายในแงของการมีสวนรวมอยางเสมอหนา กัน เชน เสมอในสุขและทุกข คือรวมสุขรวมทุกข รวมแกไขปญหา แต ภายใต อิ ท ธิ พ ลของเศรษฐกิ จ แบบทุ น นิ ย ม ความเสมอภาคเน น ความหมายในแงของการเพงจองผลประโยชนวา ถาเขาได ๕๐๐ ฉันก็ ตองได ๕๐๐ เปนตน ซึ่งเปนความหมายเชิงแบงแยกและแกงแยง วาโดยสรุป สภาพเชนนี้ก็คือการที่มนุษยยังไมมีความสามารถ ที่ จะประสานระบบการตางๆของมนุษยใหเขาถึงและสอดคลองกับหลัก ความจริงของธรรมชาติได ถามนุษยสามารถเขาถึงความจริงนี้ หลักการ และระบบตางๆที่มนุษยจัดตั้ง จะตองประสานเปนอันหนึ่งอันเดียวกัน และอยูบนฐานของความจริงนี้ ความสําเร็จอยูที่นี่ ถามิฉะนั้นจะไมมีทาง สําเร็จผลดีไดจริง และไมยั่งยืน
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๘๗
เพราะฉะนั้น การที่ระบบเศรษฐกิจการเมืองการปกครองเปนตน ของมนุษยจะแกปญหาไดแคไหน ก็อยที่วามนุษยจะเขาถึงตัวธรรมคือ ความจริงไดเพียงใด แตขณะนี้เปนการพูดถึงหลักการใหเห็นวา มนุษยจะ จัดตั้งวางระบบแบบแผนอยางไรก็ตาม ทั้งหมดนั้นจะตองมาจากฐาน คือ การรูเขาใจเขาถึงความจริงของธรรมชาติ คือความเปนไปตามเหตุปจจัย ของสิ่งทั้งหลาย แลวจึงจัดตั้งวางระบบทางสังคมขึ้น ซึ่งจะนํามาจัดแยก เปน ระบบยอยๆ อยา งไรก็ได และถา ทําไดสํ าเร็จ ก็คือความสามารถ พิ เ ศษสองชั้ น ของมนุ ษ ย ที่ ว า นอกจากมี ป ญ ญาเข า ถึ ง ความจริ ง ของ ธรรมชาติ คือธรรม ซึ่งนับวาเลิศประเสริฐขั้นที่หนึ่งแลว ยังกาวสขั้นของ วินั ย ตอไปด ว ย คื อสามารถเอาความรูใ นความจริ ง หรือ ธรรมนั้ น มา จัดตั้งวางระบบแบบแผนในสังคมขึ้นอยางประสานสอดคลองไดสําเร็จ จะเห็นวา กฎหมาย นั้น ไมใชเปนเพียงระเบียบขอบังคับเกี่ยวกับ ความเป น อยู ข องมนุ ษ ย ห รื อ ความประพฤติ เ ท า นั้ น แต เ ป น เครื่ อ ง กําหนดการจัดวางระบบ และกําหนดกิจการตางๆ ของสังคมวาจะทํา อยางไรกันดวย เพราะฉะนั้น วินัย จึงไมไดมีความหมายแคบๆ อยางใน ภาษาไทย คือ วินัยไมใชเปนเพียงระเบียบความประพฤติของคนเทานั้น แตวินัย หมายถึงระบบการจัดสรรสังคมทั้งหมด การจัดระเบียบการอยู รวมกันของมนุษย การจัดระเบียบกิจการของสังคม ซึ่งจะใหเปนอยางไร ก็ตองมีกติกา มีขอกําหนดที่ใหหมายรูวาจะดําเนินไปอยางไร เพราะฉะนั้น กฎหมาย จึงครอบคลุมความเปนอยูและการดําเนิน กิจการทั้งหมดของสังคมมนุษย (ในขอบเขตของประเทศหนึ่งๆ เปนตน) กิจการดานเศรษฐกิจจะดําเนินไปอยางไร กฎหมายก็เปนตัวบงบอก การ ปกครองจะดําเนินไปอยางไร กฎหมายก็เปนตัวกําหนด การดําเนินชีวิต ของบุคคลจะมีขอบเขตแคไหน คนจะสัมพันธกันภายในขอบเขตอยางไร กิจการใดจะดําเนินไปอยางไร กฎหมายก็จะกาวเขาไปคุมทั้งหมด
๘๘
นิติศาสตรแนวพุทธ
ดังนั้น วิชากฎหมาย จึงครอบคลุมกิจกรรมทุกอยางในการดําเนิน ชีวิต และกิจการทุกอยางของสังคม และจึงมีทั้งกฎหมายที่คุมคน คุม ความประพฤติของคน และกฎหมายที่วางระบบกิจการที่ดําเนินการโดย คน คือเรื่องของคนที่อยในสังคมนี้กฎหมายคุมหรือครอบคลุมหมด อยางไรก็ตาม เทาที่เปนมาถึงบัดนี้ คําที่วา กฎหมายครอบคลุม กิจกรรมทุกอยางของมนุษย(ในสังคม)นั้น เพียงแตดูคลายจะเปนจริง เทานั้น แตหาไดเปนจริงแทไม ที่วาดูคลายจะเปนจริง หมายความวา เราอาจจะมีกฎหมายสําหรับ กิจกรรมและกิจการทุกอยางในสังคมมนุษย ครบทุกอยาง แตที่วาไมจริง แทก็คือ กฎหมายเหลานั้นก็คุมกิจกรรมและกิจการดานนั้นๆ แตละอยาง แต ล ะดา นเทา นั้ น เป น เอกเทศจากกัน ยั งหาไดมีก ฎหมายที่ เ ชื่อมโยง ประสานกิจกรรมและกิจการทุกดานเหลานั้นเขามาอยในระบบอันหนึ่ง อันเดียวกันอยางครอบคลุมทั่วทั้งหมดไม ในสังคมที่สมบูรณ จะตองมีกฎหมายหรือวินัยใหญอันหนึ่งที่จะ ทําหนาที่นี้ คือ เปนที่ประมวลประสานระบบยอยทุกอยางของสังคม ให เขามาอยในระบบสัมพันธใหญที่ครอบคลุมทั้งหมดอันเดียวกัน อยาง กลมกลืนและเกื้อหนุนกัน โดยโยงเขากับความจริงพื้นฐานอันเปนหนึ่ง เดียวของระบบแหงธรรมดาของธรรมชาติ รัฐธรรมนูญ ซึ่งเปนกฎหมายสูงสุดของประเทศ เปนตัวอยางของ ระบบสมมติ ที่ ก า วเข า มาขั้ น หนึ่ ง ส ก ารที่ จ ะเป น กฎหมายใหญ ที่ ครอบคลุมนี้ แตก็ยังไมครอบคลุมจริง โลกยุคที่ผานมา เปนโลกที่มีอารยธรรมบนฐานความคิดแบบแบง ซอยแยกสวน ที่ทําใหเกิดความเจริญกาวหนาทางวิชาการแบบชํานาญ พิเศษเฉพาะทาง และการพัฒนาทั่วโลกก็อยในขั้นของการเนนความ เจริญเติบโตขยายตัวทางดานเศรษฐกิจ การปกครองและกฎหมายตางๆ ก็
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๘๙
หันไปใส ใจกับ ดานเศรษฐกิจ นี้ มาก กฎหมายที่ เกี่ ย วกับเรื่อ งราวและ กิจกรรมดานเศรษฐกิจจึงมีมากมายเปนพิเศษ แตบัดนี้โลกไดสํานึกแลววา การพัฒนาที่มงวัตถุเนนเศรษฐกิจเปน ตัวเดนนี้เสียดุล เปนการพัฒนาที่ผิดพลาด ไมยั่งยืน จะตองเปลี่ยนแปลง ใหม นับวาเปนการถึงเวลาที่ นิติศาสตร จะตองกาวใหญอีกขั้นหนึ่ง ส ขั้นของการกําหนดจัดวางระบบชีวิตและสังคมที่กวางขวางครอบคลุม โยงประสานเกื้อหนุนกันเปนระบบอันหนึ่งอันเดียว บนฐานแหงปญญา ที่รความจริงอยางทั่วตลอดรอบดาน ซึ่งจะทําใหระบบแหงกฎสมมติของ มนุ ษ ย ประสานสอดคล อ งถู ก ต อ งและได ผ ลจริ ง ตามระบบแห ง กฎ ธรรมชาติอันจริงแทที่เปนฐานอยอยางแทจริง ในสั ง คมหลายยุ ค หลายสมั ย ผ มี อํ า นาจปกครองประเทศหรื อ สังคมนั้นๆ เปนผตรากฎหมายออกมาควบคุมใหประชาชนประพฤติ ปฏิ บั ติ ต าม แต ก ารปฏิ บั ติ เ ช น นั้ น บางที ก็ จั ด ได ว า เป น การแก ป ญ หา ชั่วคราว พอใหไดผลที่จะใหสังคมมีความสงบเรียบรอยไวกอน กฎหมายที่สมบูรณตามความมงหมาย ตองการปญญาพิเศษ ที่หยั่ง ร ค วามจริ ง แห ง เหตุ ป จ จั ย ทุ ก อย า งที่ เ กี่ ย วข อ ง โยงมาส ก ารจั ด ตั้ ง วาง ระเบียบระบบสําหรับชีวิตและสังคมอยางประสานสอดคลองดังกลาวแลว ถาไมมีผปกครองผมีปญญาพิเศษเชนนั้น ก็อาจตองมีแหลงปญญาพิเศษ ดังกลาวที่จะมาตรากฎหมายใหผปกครองบริหารกิจการไปตามนัน้ อีกชัน้ หนึง่ การมีฝายนิติบัญญัติแยกจากฝายบริหาร ในระบอบประชาธิปไตย อยางปจจุบัน อาจถือไดวาเปนพัฒนาการขั้นหนึ่งในวิถีทางที่กลาวนี้ แต ก็จะตองถามวา บุคคลหรือคณะบุคคลผมารวมกันทําหนาที่เชนนั้น มีการ พัฒนาที่จะทําใหเปนผมีปญญาพิเศษดังกลาวนั้นแลวหรือไม ถายัง สังคม จะตองมงที่จะกาวตอไปสจุดหมายนั้นใหได
๙๐
นิติศาสตรแนวพุทธ
กลาวโดยสรุป กิจทางปญญาอันยิ่งใหญที่นักนิติศาสตรจะตองทํา ใหไดมี ๒ อยาง คือ ๑) รเขาใจหยั่งทราบถึงจุดหมายที่แทจริงตามกฎธรรมชาติ ที่อย เบื้องหลังระบบแหงสมมติทั้งหมดของมนุษย ๒) จัดตั้งวินัยหรือกฎหมายที่มีขอบขายครอบคลุม ที่จะประสาน ระบบสมมติของมนุษยทุกอยางเขาเปนระบบใหญอันหนึ่งอันเดียว ที่โยง ถึงกันทั่วทั้งหมด ซึ่งสอดคลองกับระบบความสัมพันธอันหนึ่งอันเดียว ของธรรมชาติ
กฎหมายเพื่อสังคมมนุษย จะไมสมจริง ถาหยั่งไมถึงความจริง แหงธรรมชาติมนุษย ขอย้ําวา “วินัย” มีความหมาย ๓ ชั้น ชั้นที่ ๑ คือ การจัดตั้งวางระเบียบชีวิต และวางระบบกิจการ ชั้นที่ ๒ คือ ขอกําหนดที่บอกใหรวาจะจัดตั้งวางระเบียบระบบให เปนอยางไร ชั้นที่ ๓ คือ ก) การใชระเบียบและระบบที่จัดวางขึ้นนั้น เปน เครื่องมือสรางเสริมโอกาสใหคนพัฒนาชีวิตใหดียิ่งขึ้น หรือการชักนํา ดูแลให คนใช ระเบี ยบและระบบนั้นเป นเครื่ องมือ(ที่ จะชว ยกั นทํ าให สังคมเปนแหลงอํานวยโอกาสในการ)พัฒนาชีวิตของตน หรือ ข) การใช ระเบียบและระบบที่จัดวางขึ้นนั้น เป น เครื่องมื อบั งคับควบคุ มคนให อยู ในความสงบเรียบรอย หรื อการบังคั บ ควบคุมคนใหเปนอยูและประพฤติปฏิบัติดําเนินกิจการตามระเบียบและ ระบบที่จัดวางขึ้นนั้น
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๙๑
ความหมายของ “วินัย” ที่เราเขาใจกันมาก คือความหมายที่ ๒ ได แ ก ร ะเบีย บแบบแผนที่ บ อกว า จะให จั ด ตั้ ง วางระบบอย า งไร หรื อ ขอกําหนดที่เปนแมบทในการจัดตั้ง ตัวอยางเชน พระมาอยูรวมกัน ตองมีวิธีแสวงหาและการจัดสรร แบงปนปจจัยสี่ คืออาหาร เครื่องนุงหม ที่อยูอาศัย และยารักษาโรค ในเรื่องนี้วิ นัย ก็ จะบอกวา พระภิก ษุมีวิ ธีที่จะไดมาและจัด สรร แบงปนปจจัยสี่กันอยางไร เมื่อมีใครมานิมนตพระ จะใหใครเปนผูทํา หนาที่ในการบอกใหพระรูปไหนไป และจะจัดอยางไร เชน จะใหใคร ไปกอนไปหลัง ปจจัยสี่ อยางไหนพระภิกษุจะเก็บสะสมไดหรือไมได เก็บไดมากเทาใดและนานเทาไร จะเก็บอยางไร ใครจะเปนผูเก็บ เมื่อมี การขัดแยงกันขึ้น หรือมีพระทําความผิด จะดําเนินคดีอยางไร อยางนี้ เปนตน นี่คือเรื่องของวินัยในความหมายที่สอง ซึ่งตรงกับ กฎหมาย ความหมายของวินัยอยางที่ ๓ ก็คือ การปกครอง วินัยในความหมาย นี้เป นเรื่ องของการปกครอง เพราะการดู แลให บุคคลเป นอย ประพฤติ ปฏิบัติตามกฎกติกาและใหกิจการตางๆดําเนินไปตามครรลอง ก็คือการ ปกครอง ในความหมายที่ครอบคลุมทั้งหมด ตอจากนั้นจึงแยกออกเปน รายละเอียดในการบริหาร ซึ่งทั้งหมดนั้นตองมีการจัดดําเนินการที่เปน งานรวม เพื่อใหหมูชนหรือสังคมดําเนินไปอยางใดอยางหนึ่ง อันไดแก การปกครอง โดยนัยนี้ คําวา วินัย จึงมีความหมายกวาง และไปโยงกับที่ได กลาวถึงในตอนแรกวา กฎหมายเปนเรื่องที่เกี่ยวกับการปกครองมาก เพราะวินัยเอง จะแปลวา การปกครองก็ได วินัย นั้น โดยรากศัพท แปลวา การนําไปใหวิเศษ มาจาก วิ แปลวา ใหวิเศษ และ นี ตัวเดียวกับใน “นีติ” แปลวา นํา รวมกันเปน “วินัย” แปลวาการนําไปใหวิเศษ หมายความวา ทําใหคนมีชีวิตที่ดีงาม
๙๒
นิติศาสตรแนวพุทธ
ยิ่งขึ้น และทําใหกิจการตางๆดําเนินไปดวยดี เปนความหมายทั้งในระดับ บุคคลและสังคม เปนไดทั้งกฎหมายและการปกครอง ที่จะจัดสรรใหเกิด ความเรียบรอยดีงามขึ้นในสังคมมนุษย (ถาเปน กฎหมาย ก็แปลวาเครื่องนําไปใหวิเศษ ถาเปนการ ปกครอง ก็แปลวาการนําไปใหวิเศษ) จึงพูดไดวา ในที่สุดแลว เรื่องของกฎหมายและการปกครอง หรือ เรื่องของวินัย ก็คือ การจัดการใหเกิดความเรียบรอยหรือมีสันติสุขขึ้นใน สังคม นี้เปนความหมายของวินัยในระดับหนึ่ง แตแทจริง สิ่งนี้เปนจุดหมายของวินัย หรือกฎหมายและการ ปกครอง จริงหรือไม จุดหมายของนิติศาสตร คืออะไรแน? ถามองในแงของวินัย ตามความหมายของพระพุทธศาสนา ความ สงบเรียบรอยอยูกันดวยดีในสังคม ยังมิใชเปนจุดหมาย ทําไมจึงยัง ไมใช ถามองเผินๆก็นาจะเปนเชนนั้น เพราะการปกครองโดยมีกฎหมาย วางระเบี ยบกฎเกณฑ ขึ้ นมา ก็เพื่อให มนุ ษย อยู ร วมกั นด วยดี โดยสงบ เรียบรอย เพราะฉะนั้น การมีความสงบก็นาจะเปนการบรรลุจุดหมาย แต แทจริงความสงบเรียบรอยในสังคมนั้นเราถือวาเปนปจจัย ไมใชเปน จุดหมาย ความสงบเรี ย บร อ ยของสั ง คมไม ใ ช เ ป น จุ ด หมาย ถ า จะให ไ ด คําตอบตองถามตอไปวา ทําไมจึงตองมีวินัย? ไดพูดแลววา การมีวินัยสัมพันธกับการเกิดขึ้นของสงฆ คือ สังฆะ หรือชุมชนของพระภิกษุ หรือพระสงฆทั้งหลายที่มาอยูรวมกัน ทําไมจึงเกิดสงฆ? ทําไมพระพุทธเจาจึงตั้งสังฆะขึ้นมา เรื่องนี้โยง ไปถึงธรรมชาติของมนุษย ซึ่งจะทําใหเห็นวาจุดมุงหมายของการมีการ ปกครอง มีกฎหมาย มีระเบียบกฎเกณฑกติกาของสังคมนั้น เพื่ออะไร
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๙๓
ในการจั ด ตั้ ง หรื อ จั ด สรรสั ง คม เรามองธรรมชาติ ข องมนุ ษ ย อยางไร? ถาเรามองโยงลงไปไมถึงธรรมชาติของมนุษย ศาสตรทั้งหลาย จะไมเกิดประโยชนแกมนุษยไดจริง ศาสตรทุกศาสตรจะตองหยั่งลงไปใหถึงธรรมชาติของมนุษย และ จะตองตั้งอยูบนฐานของปญญาที่เขาใจความจริงตั้งแตธรรมชาติของ มนุษย เพราะวาในที่สุดนั้น การจัดตั้งวางระบบทุกอยางเราทําขึ้นมาเพื่อ ประโยชนแกมนุษย ถาไมเขาใจธรรมชาติของมนุษย เราก็ไมรูวามนุษย จะมีชีวิตอยูไปทําไม เขาตองการอะไร และเราควรจะทําอะไรใหเขา ถาเราไมเขาใจธรรมชาติหรือความจริงแหงชีวิตของมนุษย สิ่งที่ เราทําใหเขานั้น แทนที่จะเปนประโยชน อาจจะกลายเปนโทษเปนพิษภัย แกเขาก็ได ทั้งที่เราอาจจะมีเจตนาดีก็ตาม
จุดหมายของสังคม คือจุดหมายของกฎหมาย แตสุดทาย จุดหมายของกฎหมายตองสนองจุดหมายของชีวิต คน ทีนี้ กลับไปสูคําถามขั้นรากฐานวา พระพุทธศาสนามองธรรมชาติ ของมนุษยอยางไร? พระพุทธศาสนามองมนุษยวา เปนสัตวที่ตองฝกและ เปนสัตวที่ฝกได คือทั้งตองฝกและฝกได ถาใชศัพทภาษาสมัยใหมก็วา มนุษยเปนสัตวที่ตองศึกษา และศึกษาได นี้คือธรรมชาติของมนุษยที่แปลกจากสัตวอื่น สัตวชนิดอื่นนั้น ไม ตองฝกแตก็ฝกไมได ไมตองฝก หมายความวา เมื่อเกิดมาก็มีชีวิตอยูรอด ไดงาย โดยแทบไมตองฝก ไมตองเรียนรู ไมตองศึกษาอะไร เพราะอาศัย สัญชาตญาณชวย ออกจากทองแม ๒ นาทีอาจจะเดินไดเลย ถาเปนหานก็ ออกจากไขตอนเชา บายก็ตามแมไปลงสระน้ํา วายน้ําได หากินไดโดยไม
๙๔
นิติศาสตรแนวพุทธ
ตองฝก สัตวเหลานั้นอยูไดดวยสัญชาตญาณ แตมนุษยเปนสัตวพเิ ศษในแง ที่วา ถาไมมีการฝกฝน ไมมีการเรียนรูแลว อยูไมได อยูไมรอด มนุษยเกิดขึ้นมาแลวไมสามารถอยูรอดดวยตนเอง เมื่อเกิดมาแลว ตองมีผูอุมชูเลี้ยงดู โดยเฉพาะพอแม เลี้ยงดูไปเปนปๆก็ยังอยูไมรอด ตอง เลี้ยงดูไปหลายปจนเขาสามารถดําเนินชีวิตได ระหวางที่พอแมเลี้ยงดูเขา นั้น เขาทําอะไร นี่คือสิ่งสําคัญ สิ่ งที่เขาทําคือการเรียนรู และฝกศึกษา พัฒนาตัวเอง ระหวางที่พอแมเลี้ยง เด็กก็เรียน เขาตองเรียนทุกอยางเพื่อให ดําเนินชีวิตได ไมวาจะนั่ง จะกิน จะนอน จะขับถาย ตองเรียนรู ตองฝก ตองหัดทั้งสิ้น คือตองศึกษานั่นเอง ถาไมเรียนรูไมฝกฝนเขาจะทําไมได สักอยางและอยูไมรอด กวาจะเรียนรูในการเดิน การพูด เด็กบางคนใช เวลาเกือบ ๒ ป จึงเดินได พูดได โดยนัยนี้ การดําเนินชีวิตของมนุษยจึงไมใชไดมาเปลาๆ มนุษยตอ ง ลงทุนดวยการศึกษา เรียนรู ฝกฝน พัฒนา จึงพูดวามนุษยเปนสัตวที่ตอง ฝก แตการที่ตองฝกนี้มองอีกดานหนึ่งก็เปนขอดีของมนุษย คือ เปนสัตว ที่ฝกได สวนสัตวชนิดอื่นนั้นไมตองฝกก็จริง แตมันฝกไมได ที่จริงไม ถึงกับฝกไมไดเลย แตฝกไดนอยอยางยิ่ง เรียนรูไดจํากัด เรียนรูไดนิด หน อ ย และส ว นใหญ ถ า จะฝ ก ต อ งให ม นุ ษ ย ฝ ก ให ส ว นมนุ ษ ย นี้ มี ความสามารถพิเศษที่ฝกตนเองได เรียนรูดวยตนเองได ถามนุษยฝกตน แลวก็พัฒนาไดแทบไมมีที่สิ้นสุด ฝกอยางไรก็ไดอยางนั้น อยากจะเปน อยางไรก็ฝกเอา ดวยเหตุนี้ มนุษยจึงพัฒนาตนจนกระทั่งทิ้งสัตวชนิดอื่นทั้งหมด มนุษยสามารถสรางโลกของมนุษยขึ้นมาตางหากจากโลกของธรรมชาติ ไม เ หมื อ นกั บ สั ต ว ช นิ ด อื่ น ที่ ต อ งอยู ใ นธรรมชาติ ต ลอดชี วิ ต เกิ ด มา ดวยสัญ-ชาตญาณใดก็ตายไปดวยสัญชาตญาณนั้น มนุษยนี้เกิดมาแลว ก็
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๙๕
ฝกศึกษาพัฒนา เรียนรูกาวหนาไปไมมีที่สิ้นสุด สรางสรรคอารยธรรม สืบตอกันได จากมนุษยรุนพอมาสูรุนลูกรุนหลาน รุนเหลน ตอไปเรื่อยๆ ธรรมชาติ ข องมนุ ษ ย มี ค วามพิ เ ศษอยู ต รงนี้ คื อ การที่ ม นุ ษ ย สามารถมีชีวิตที่ดีงามเปนเลิศได ดวยการเรียนรูฝกศึกษาพัฒนา แตพูด ยอนกลับวา มนุษยจะมีชีวิตที่ดีงามเปนเลิศได จะตองเรียนรูฝกศึกษา พัฒนา เพราะฉะนั้น มนุษยเรานี้จึงถือวา เปน “สัตวที่ตองศึกษา” และจึง คือชีวิตแหงการศึกษา วางเปนหลักไดวา ชีวิตที่ดีงามของมนุษย พระพุทธศาสนาถือคตินี้ สอดคลองกับการที่มนุษยมีธรรมชาติอยางนี้ เราต องการให มนุ ษย มีชี วิต ที่ ดีง าม แต มนุ ษย จ ะต องเรี ย นรู ฝ ก ศึกษา พัฒนาตัวเอง ดังนั้น จึงเขามาสูระบบของพระพุทธศาสนาในเรื่อง ของการโยง ธรรม กับ วินัย มนุษยเรียนรูเพื่อเขาถึงความจริงของกฎธรรมชาติ คือธรรม ถามนุษย รูเหตุปจจัยที่เปนความจริงในระบบความสัมพันธของสิ่งทั้งหลาย มนุษยก็ จะกระทําการตางๆไดผลตามที่ตนตองการแทบทุกอยาง เชน จะกินผลไม ก็ไมตองรอเดินไปกินที่ตนในปา แตสามารถเอาเม็ดมาปลูกใหมีตนไมที่ บานได ความสามารถสรางสรรคทําสิ่งตางๆขึ้นมามากมายนั้น เกิดจาก การเรียนรู ฝก ศึกษา พัฒนาของมนุษยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น มนุษยจะมี ชีวิตที่ดีงาม ก็ตองฝกศึกษาพัฒนาใหเขาถึงความจริงของกฎธรรมชาติ และเอาประโยชน จ ากความรู นั้ น ให ไ ด แล ว ด ว ยการเรี ย นร ฝ ก ศึ ก ษา พัฒนาโดยใชความรูนี้ มนุษยก็จะสรางสรรคชีวิตและสังคมที่ดีงามขึน้ มา ได ชี วิ ต และสั ง คมดี ง าม ที่ สร า งสรรค ขึ้ น มาได ด ว ยการเรี ย นร ฝ ก ศึกษาพัฒนาตนของมนุษยนี้ จึงเปนจุดหมายแหงกิจ กรรมและกิจการ ทั้งหลายของมนุษย
๙๖
นิติศาสตรแนวพุทธ
แตการที่คนทั้งหลายผมาอยรวมกันจะเรียนรฝกศึกษาพัฒนาตน ใหสามารถสรางสรรคชีวิตและสังคมที่ดีงามขึ้นมาไดนั้น ก็ตองมีชีวิตที่ ปลอดภัยและสังคมที่อยกันสงบเรียบรอยเปนสภาพเอื้อหรือเกื้อหนุน และนี่แหละคือจุดที่การปกครองและกฎหมายเขามา คือ สังคมตองมีวนิ ัย ทั้ ง ในแง ข องการปกครอง และกฎหมาย เพื่ อ สร า งสรรค ค วามสงบ เรียบรอย อันเปนสภาพเอื้อที่จะชวยใหคนทั้งหลายพัฒนาชีวิตของตนขึ้น ไปใหสามารถบรรลุจุดหมายแหงการมีชีวิตที่ดีงาม มีสันติสุขและเปน อิสระได จนเขาถึงประโยชนสุขที่สูงสุด
วินัย/กฎหมาย เปนเครื่องจัดสรรใหเกิดโอกาส ที่จะเปนฐานของการพัฒนาสูการสรางสรรคที่สูงขึ้นไป ไดเคยพูดไวที่อื่นแลววา วินัยเปนเครื่องจัดสรรใหเกิดโอกาส จึงขอ ยกมาอาง ณ ที่นี้ดวย ดังนี้ “. . .วินัยเปนการจัดสรรโอกาส ทําใหชีวิตและสังคมมี ระบบระเบียบ และมีโอกาสเกิด ขึ้น ทําให ทําอะไรๆ ได คลอง ดําเนินชีวิตไดสะดวก ดําเนินกิจการไดสะดวก ถา ชี วิ ต และสั ง คมไม มี ร ะเบี ย บ ไม เ ป น ระบบ ก็ จ ะสู ญ เสี ย โอกาสในการที่จะดําเนินชีวิตและทํากิจการของสังคมให เปนไปดวยดี ตลอดจนทําใหการพัฒนาไดผลดี ทําไมจึงตองจัดระเบียบ ทําไมจึงตองมีวินัย? ถาชีวิตวุนวาย การเปนอยูของมนุษยสับสนหาระเบียบ ไม ไ ด โอกาสในการดํ า เนิ น ชี วิ ต ก็ จ ะหายไป เช น ในที่ ประชุ ม นี้ ถ า เราไม มี ร ะเบี ย บเลย โต ะ เก า อี้ ก็ ว างเกะกะ ทั่วไป คนก็เดินกันไปเดินกันมา อาตมภาพพูดนี่ก็ฟงกันไม
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
รูเรื่อง สับสน แมแตเมื่ออยในบานของเรา ถาสิ่งของตั้งวาง ไมเปนระเบียบ กระจัดกระจายอยูตรงโนนตรงนี้ แมแตจะ เดินก็ยาก เดินไปก็เตะโนน ชนนี่ กวาจะถึงประตูก็เสียเวลา ตั้งหลายนาที แตพอเราจัดของใหเปนระเบียบ ตกลงกันวา ตรงนี้เปนทางเดินก็เวนไว เปนชองวาง เราเดินพรวดเดียวก็ ถึงประตู ทําใหสะดวกรวดเร็ว กิ จ การต า งๆ ต อ งมี ร ะเบี ย บ หรื อ ต อ งอาศั ย วิ นั ย มา จั ด สรรโอกาสทั้ ง นั้ น ที่ เ ห็ น ได ง า ยๆ เช น เมื่ อ แพทย จ ะ ผาตัด ศัลยแพทยจะตองการวินัยมาก จะตองจัดระเบีย บ เครื่องมือที่ใชตามลําดับการทํางานอยางเครงครัดทีเดียว ต อ งตกลงกั น ไว ก อ นว า ขั้น ตอนใดจะใช เ ครื่ อ งมื อ ไหน และสงเครื่องมือใหถูกตอง คนนี้ยืนตรงนี้ จังหวะนี้ ถึงเวลา ไหนสงเครื่องมืออันไหน เพราะอยในชวงของความเปน ความตาย พยาบาลที่จัดเตรียมเครื่องมือ ตองพรอมและตอง จัด ให ถู ก ลํ าดั บ ทุ ก อย า ง ผิ ด นิ ด ไม ได เพราะงานนั้ นต อง เปนไปตามเวลาที่จํากัด ฉะนั้นในกิจการที่ยิ่งมีความสําคัญ มีความซับซอน มีความเปนความตายเขามาเกี่ยวของ วินัย จะยิ่งตองมีความเครงครัดแมนยํามากยิ่งขึ้น ในสังคมวงกวางออกไป ถาชีวิตคนไมปลอดภัย สังคม ไมมีความเปนระเบียบ มีโจร มีขโมย มีการทํารายกัน เราจะ ไปไหนเวลาไหน ก็ไมสะดวก เพราะกลัววาถาไปเวลานี้ หรือผานสถานที่จุดนั้นแลว อาจจะถูกทํารายได เมื่อคนไม กลาเดินทาง มีความหวาดระแวง กิจการงานของสังคมและ การดํ า เนิ น ชี วิ ต ของบุ ค คลก็ ห มดความคล อ งตั ว ทํ า ให ขัดของไปหมด
๙๗
๙๘
นิติศาสตรแนวพุทธ
โดยนัยนี้ วินัยจึงชวยจัดทําใหเกิดระบบระเบียบในชีวิต และสังคมขึ้น ทําใหเกิดความคลองตัว จะทําอะไรตออะไร ก็ ไ ด ผ ล ฉะนั้ น การจั ด วางวิ นั ย จะต อ งคํ า นึ ง ถึ ง ความมุ ง หมายนี้อยเสมอ เชนตองตรวจสอบวา การจัดวางวินัยของ เรามีค วามมุ ง หมายชั ด เจนหรื อ ไม ที่ จ ะช ว ยให ชี วิต และ กิจการงานเปนไปไดดวยดี เกิดมีโอกาส และทําใหมั่นใจวา เมื่ อ เราจั ด ระบบระเบี ย บเรี ย บร อ ยดี แ ล ว โอกาสในการ พั ฒ นาชี วิ ต จะเกิ ด ขึ้ น ความเป น อย แ ละกิ จ การต า งๆ จะ เปนไปดวยความคลองตัว นําไปสจุดหมายดีงามที่ตองการ ในการพัฒนามนุษยระยะยาว ถาไมมีวินัยเปนฐาน ก็จะ ทําใหเกิดความขัดของวุนวายสับสน ฉะนั้นเราจึงจัดวาง วินัยเพื่อความมุงหมายระยะยาวในการพัฒนามนุษยดวย และดวยเหตุนี้วินัยจึงเปนเรื่องสําคัญในสังคมประชาธิปไตย เพราะประชาธิปไตยตองการโอกาสเหลานี้ ในการที่ จะใหมนุ ษยมาสื่อมาแสดงออก เพื่อนํ าเอาศัก ยภาพของ ตัวเองออกมารวมในการสรางสรรคสังคมอยางไดผล สรุปวา วินัยมีความหมายเชิงบวก คือ เปนการจัดสรร โอกาสใหชีวิตและสังคมดําเนินไปโดยสะดวก คลองตัว ไดผล มีประสิทธิภาพ และเปนโอกาสแกการพัฒนามนุษย ดวย” (วินัย: เรื่องที่ใหญกวาที่คิด, น. ๑๕-๑๗) เมื่อประชาชนเปนอยโดยมีชีวิตรางกายปลอดภัย ครอบครัวมั่นคง ทรัพยสินไรอันตราย ไปไหนมาไหนโดยไมตองหวาดระแวง จะดําเนิน กิจการใดก็มั่นใจ ไมตองกลัวถูกฉกฉวยผลหรือขมเหงเอาเปรียบ ก็นับวา สังคมมีความสงบเรียบรอยแลว
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๙๙
กระนั้ น ก็ ต าม สั ง คมที่ ดี จ ะไม ห ยุ ด เพี ย งเท า นั้ น แต จ ะต อ งมี มาตรการทางการปกครองและกฎหมายมาเอื้อโอกาสสงเสริมสนับสนุน ช ว ยให ป ระชาชนผ ทํ า การอาชี พ หรื อ ประกอบกิ จ กรรมและดํ า เนิ น กิจการตางๆ ที่ดีงามสุจริต มีกําลังใจและตั้งใจทํางานสรางสรรค ฝกปรือ ฝมือและความจัดเจนชํานิชํานาญในการงานวิชาชีพของตนๆ พัฒนา ความสามารถที่ จ ะสร า งสรรค ป ระดิ ษ ฐกรรมและกิ จ กรรมที่ เ ป น คุ ณ ประโยชน ใ ห เ จริ ญ แพร ห ลาย ทํ า ให ชี วิ ต มี ค วามเป น อย แ ละ สภาพแวดลอมทางวัตถุและทางสังคมที่ผาสุกสบาย เอื้อตอการเขาถึง ความดีงามและความสุขที่ประณีตยิ่งขึ้นไป ทามกลางความเปนอยและสภาพแวดลอมที่ มีความพรั่ง พร อม เอื้ออํานวยทางเศรษฐกิจและทางสังคมเชนนี้ วินัย ทั้งดานการปกครอง และกฎหมาย หรือทั้งดานรัฐศาสตรและนิติศาสตร จะตองเนนมาตรการที่ จะสงเสริมกิจกรรมและกิจการทางดานศิลปวัฒนธรรม ทางศีลธรรม ทาง ศาสนา และคุณคาทางจิตใจตางๆ ที่จะสนับสนุนใหประชาชนพัฒนา ดานคุณธรรม ใฝในอุดมคติทางนามธรรม และเขาถึงความดีงามและ ความสุขทางจิตใจที่สูงหรือประณีตยิ่งขึ้นไป ทั้งเพื่อประโยชนสุขแหง ชี วิ ต ของประชาชน และเพื่ อ ความมั่ น คงยั่ ง ยื น แห ง พั ฒ นาการทาง เศรษฐกิจและทางสังคมนั้นดวย พรอมกันนั้นก็ใหมีมาตรการทางวินัย ทั้งดานการปกครอง และ กฎหมาย ที่จะสงเสริมการคนควาแสวงปญญา และกิจกรรมตางๆ เพื่อ พัฒนาภูมิปญญาของประชาชน เพื่อใหชีวิตเขาถึงความดีงามความเปน เลิศความสุขและ อิสรภาพที่แทจริง และนําทางอารยธรรมสความเจริญ งอกงามยิ่งขึ้นไป ถาพูดสั้นๆ ดวยภาษาแหงไตรสิกขา ก็คือการใชมาตรการทางวินัย (ทั้งการปกครองและกฎหมาย) มาชวยสรางสภาพเอื้อและสงเสริม
๑๐๐
นิติศาสตรแนวพุทธ
ประชาชนใหพัฒนา ทั้งในดานพฤติกรรม (โดยเฉพาะสัมมาอาชีวะ และ อนวัชช-กรรม คือกิจกรรมสรางสรรค) ในดานจิตใจ และในทางปญญา
วินัย/กฎหมายชวยจัดสรรสังคมดี ที่เอื้อใหคนงอกงามมีชีวิตที่ดี คนยิ่งงอกงามมีชีวิตทีด่ ี ก็ยิ่งหนุนสังคมดีที่คนจะมีชีวิตงอกงาม ชีวิตมนุษยมี ๓ ดาน คือ ดานพฤติกรรม ดานจิตใจ และดานปญญา ซึ่งดําเนินไปดวยกัน และสัมพันธอิงอาศัยเปนปจจัยแกกัน แยกขาดจากกัน ไมได พฤติกรรม ที่แสดงออกทางกายก็ดี ทางวาจาก็ดี เปนสวนที่ปรากฏ ออกมาในการติ ดต อกั บสภาพแวดล อมทั้ งทางวั ตถุ และทางสั งคม แต เบื้องหลังพฤติกรรมนั้นก็คือ เจตนา ความตั้งใจและแรงจูงใจ ภายในจิตใจ ซึ่งเปนตัวกําหนดพฤติกรรมที่จะแสดงออกมาเพื่อสนองความตองการ อยางใดอยางหนึ่งในจิตใจนั้น และพฤติกรรมที่แสดงออกนั้นจะมีลักษณะ อาการอยางไร ก็เปนไปตามสภาพจิตใจ เชนความรสึกสบายใจไมสบายใจ เปนตนของเขา นอกจากนั้น พฤติกรรมของเขาจะตื้นเขินคับแคบ หรือดําเนินไป อยางลึกซึ้งซับซอนในขอบเขตกว างขวาง มี ประสิทธิภาพที่จะสนอง ความตองการของตนเองอยางไดผลหรือไมเพียงใด ก็ยอมขึ้นตอความ รอบรู ความเขาใจและความเฉลียวฉลาดคือปญญาของเขา พฤติกรรมจึง แยกออกไมไดจากจิตใจและปญญา จิตใจ ก็อาศัยพฤติกรรม เชน จิตใจจะมีความสุขเมื่อมีพฤติกรรมที่ ดําเนินไปไดตามความตองการ หรือไดทําพฤติกรรมที่ถูกใจ แตถาตอง ทําพฤติกรรมที่ไมปรารถนา ก็จะฝนใจ มีความทุกข ถาไดทําพฤติกรรมที่ ชอบหรือเคยชิน ก็ชอบใจสบายใจ แตถาพฤติกรรมนั้นถูกขัดขวางปดกั้น
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๑๐๑
ก็ไมชอบใจ โกรธหรือเกิดความทุกข พรอมกันนั้น จิตใจก็เปนไปตามปญญา ถาคิดนึกหรือประสบ สถานการณใดแลว ไมรวาอะไรเปนอะไร จะปฏิบัติตอมันอยางไร จะเอา อยางไรกับมัน จิตใจก็จะอึดอัดขัดของ เกิดความรสึกบีบคั้นกดดันเปน ทุกข แตไมวาในสถานการณใด หรือตอประสบการณใด ถารเขาใจวามัน คืออะไร เปนอยางไร มองเห็นชัดโลงไปวาจะปฏิบัติหรือจัดการกับมัน ไดอยางไรแลว จิตใจก็โปรงโลงสุขสบาย ถามีทุกขอยก็พนหายหมดทุกข ไป เมื่อเห็นคนอื่นหนาตาบึ้ง พูดจาหรือมีกิริยาอาการไมสุภาพ จิตใจก็ร สึกโกรธขัดเคือง แตพอรวา คนนั้นเขามีปญหา มีความกดดันในใจจาก แรงบีบคั้น เชนขาดเงินหรือกําลังกลุมใจเรื่องครอบครัวเปนตน พอร ขึ้นมาเกิดปญญาแลว จิตใจก็หายโกรธเคือง กลายเปนสงสารเห็นใจอยาก เขาไปชวยเหลือ จิตใจจึงแยกกันไมไดกับพฤติกรรมและปญญา ปญญาก็เชนกัน จะพัฒนาหรือทํางานไดผลดี ก็ตองอาศัยจิตใจ และพฤติกรรม ถาจิตใจออนแอเหนื่อยหนายเฉื่อยชา เจอปญหาก็ไมส ไม พยายามคิดหาทางแกไข ปญญาก็ไมพัฒนา หรือจะพิจารณาศึกษาอะไร จิตใจฟงซานเลื่อนลอย ก็คิดไมออกหรือมองไมชัด แตถาจิตใจเขมแข็ง มี ความเพี ย รแรงกล า เจอป ญ หาก็ ส พยายามคิ ด หาทางแก ไ ข ป ญ ญาก็ พัฒนาไดดี ยิ่งจิตใจนั้นเปนสมาธิ สงบมั่นคงแนวแน ไมมีอะไรกวนได ก็ ยิ่งคิดไดชัดเจนมองเห็นสวางโลง พรอมกันนั้น ในการแสวงปญญา ก็ตองใชพฤติกรรมเกื้อหนุน และเปนเครื่องมือ เชนตองเดินไปยังแหลงขอมูล ตองดําเนินการจัดเก็บ รวบรวมขอมูล ตองรจักดู รจักฟง รจักสัมผัส ตองรจักเขาหาผคน รจัก พูดจา ถาพูดจาสุภาพ รจักตั้งคําถาม รจักพูดใหกระชับตรงประเด็น และ โตตอบเปน เปนตน การแสวงปญญาก็ไดผลดี ฯลฯ โดยนัยนี้ ปญญาก็ สัมพันธกับจิตใจและพฤติกรรม
๑๐๒
นิติศาสตรแนวพุทธ
การจัดการหรือจัดดําเนินการใหระบบความเปนไปของชีวิตทั้ง ๓ ดาน คือพฤติกรรม จิตใจ และปญญานี้ สัมพันธกันในลักษณาการที่ทํา ใหชีวิตดีงาม เปนอยอยางไดผลยิ่งขึ้น นี่แหละ คือการเรียนร การฝก หรือ การพัฒนาชีวิต ที่เรียกวา สิกขา หรือการศึกษา และเพราะเปนการพัฒนา หรือศึกษาอยางเปนระบบครบ ๓ ดานไปดวยกัน จึงเรียกวา ไตรสิกขา จิตใจ และปญญา เปนเรื่องภายใน เปนสวนเฉพาะตัวของแตละ บุคคล แตพฤติกรรมเปนชีวิตดานที่สัมพันธเกี่ยวของกับโลกภายนอก ทัง้ กับเพื่อนมนุษยดวยกันในสังคม และกับวัตถุทั้งหลาย เราสามารถใช พฤติกรรมเปนสื่อในการเขาถึงจิตใจและปญญา การพัฒนาพฤติกรรมจึง เปนปจจัยสําคัญในการพัฒนาจิตใจและปญญา ในทางกลับกัน พฤติกรรมก็เปนสื่อหรือเปนแดนที่แสดงออกของ จิตใจและปญญา ถาจิตใจและปญญาไดมีการพัฒนาอยางดี ก็จะทําใหคนมี พฤติกรรมที่ ดี ง ามเกื้ อกู ล ดั ง นั้ น พฤติ ก รรมของคนจะเป น ไปในทาง เบียดเบียนบั่นทอนสังคม หรือเปนไปในทางที่สงเสริมเกื้อหนุนตอความ เปนอยและกิจการที่รวมกัน ก็อยที่วาจิตใจและปญญาไดรับการพัฒนา หรือไมเพียงใด วินัย เอาพฤติกรรมเปนจุดเชื่อมโยงเขาสไตรสิกขาในตัวคน หรือพูด อีกอยางหนึ่งวา วินัยเชื่อมโยงกับระบบไตรสิกขาที่พฤติกรรมคือดานศีล ของคน อาจพูดดวยอีกสํานวนหนึ่งวา วินัย คือการจัดระบบพฤติกรรม หรือการจัดระบบชีวิตและสังคมที่จะสงเสริมพฤติกรรมของคน เพื่อชวย ใหเขาพัฒนาในไตรสิกขา จากจุดเริ่มที่พฤติกรรม เมื่อประชาชนไดอาศัยสภาพแวดลอมแหง ระบบชีวิตและสังคมที่เกื้อหนุนตอการพัฒนาชีวิตของตน และไดพัฒนา ทางดานจิตใจและปญญามากขึ้น ตัวเขาเองก็จะมีชีวิตที่ดีงามมีความสุขมาก
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๑๐๓
ยิ่งขึ้น พรอมกับที่ภาวะที่พัฒนาแลวทางดานจิตใจและปญญานั้น ก็จะ สงผลออกมาทางดานพฤติกรรม ทําใหเขามีพฤติกรรมที่พึงปรารถนา ซึ่ง ประณีตเกื้อกูลหนุนเสริมสรางสรรคสังคมใหเปนสภาพแวดลอมที่เอื้อ โอกาสต อ การพั ฒ นาชี วิ ต ของเพื่ อ นมนุ ษ ย โดยที่ ตั ว เขาเองจะเป น ผ ปกครองตนเองได และปฏิบัติตามกฎหมายอยางเปนขอหมายรรวมกัน ทํ า ให วิ นั ย ไม ว า จะในความหมายของระเบี ย บระบบที่ จั ด ตั้ ง ก็ ต าม ขอกําหนดในการจัดตั้งคือกฎหมายก็ตาม หรือการจัดการใหเปนไปตาม ระเบียบระบบนั้นคือการปกครองก็ตาม ไดผลตามความหมายและความ มุงหมายที่แทจริง อยางมั่นคงยั่งยืน นิติศาสตร เกี่ยวของโดยตรงกับพฤติกรรมของมนุษย หมายความ วา พฤติกรรมหรือชีวิตดานศีล เปนแดนสัมพันธของนิติศาสตร แตการ จัดสรรดานพฤติกรรมหรือศีลอยางเดียว ไมเพียงพอแกการสรางสรรค และดํารงรักษาอารยธรรมของมนุษยชาติ การที่ นิ ติ ศาสตร ใ ชศีล หรื อ พฤติ ก รรมเป น แดนเชื่ อมโยงส ง ผล เข า ส แ ดนแห ง จิ ต ใจและป ญ ญา ทํ า ให เ กิ ด การพั ฒ นาคนอย า งเต็ ม ทั้ ง ระบบ โดยสื่ อ สมมติ ส ตั ว ธรรมอั นเป น ความจริ ง แท ใ นธรรมชาติ ใ ห สําเร็จได นี่ตางหากที่เปนคุณคาที่แทจริงของนิติศาสตร ถาการปกครองและกฎหมายขาดจุดหมายในการพัฒนามนุษย คือ การปกครองและกฎหมายนั้นไมเปนเครื่องมือสื่อสิกขา พอสังคมสงบ เรี ย บร อ ยและมี ค วามพรั่ ง พร อ มทางเศรษฐกิ จ มากขึ้ น ความลุ ม หลง เพลิดเพลินมัวเมา ความเฉื่อยชาประมาท และความขัดแยงในหมูชนก็จะ แพรหลายขยายตัว ตอจากนั้น สังคมก็จะเลื่อนไหลลงไปในกระแสแหง ความเสื่ อ ม หรื อ วนเวี ย นอย ใ นวงจรแห ง ความเจริ ญ แล ว ก็ เ สื่ อ ม เชนเดียวกับอารยธรรมเกาๆ เชน กรีก และโรมัน เปนตน ที่ลมสลายไป แลวในอดีต
๑๐๔
นิติศาสตรแนวพุทธ
เรื่องนี้จะตองสํานึกตระหนักกันใหมาก เพราะสังคมที่เจริญขึ้น ในทางเศรษฐกิจที่พรั่งพรอมและความเปนอยที่สงบเรียบรอยมั่นคงถึง ระดับหนึ่งแลว ความโน มเอียงที่จะประมาทมัวเมาจะแรงเขมมาก จน แมแตจะมีมาตรการในการพัฒนาทางจิตปญญาอย ก็ยังยากที่จะชูสังคม นั้นไวได ยอนมาดูการจัดตั้งสังฆะ ในฐานะเปนสังคมที่เกิดจากวินัยเปน ตัวอยาง ดังที่กลาวแลววา มนุษยจะไดผลดีจากกฎธรรมชาติไดก็โดยที่มี การจั ด ตั้ ง เพราะฉะนั้ น พระพุ ท ธเจ า เมื่ อ ทรงเข า ถึ ง ความจริ ง ในกฎ ธรรมชาติ รูความจริงนั้นแลว ทรงเห็นวามนุษยจะไดประโยชน เขาจะมี ชีวิตที่ดีงาม ถาเขาเรียนรู ฝกหัด พัฒนาตัวเองใหเขาถึงธรรม และเอา ความรูในธรรม หรือในกฎธรรมชาติมาใชใหเปนประโยชนยิ่งขึ้นไป แตทําอยางไรจึงจะใหประโยชนนี้เกิดเปนผลแกหมูมนุษยจํานวน มาก ก็จึงตองจัดตั้งขึ้นมาเปนสังฆะ เพื่อคนที่ตองการจะฝกศึกษาพัฒนา ตัวเองนั้น จะไดมีสภาพความเปนอยู สิ่งแวดลอม ระบบการอยรวมกัน บรรยากาศและโอกาส ที่เอื้อเกื้อหนุนตอการเรียนรู ฝก ศึกษา พัฒนาของ เขา เชนการที่จะไดเขามาอยูใกลชิดและเรียนรจากพระพุทธเจา หรือจาก บุ ค คลที่ มี ค วามรู ค วามสามารถสู ง กว า ตน หรื อ หมู บุ ค คลที่ มี ค วาม ตองการและระดับการเรียนรูอยางเดียวกัน ใฝในการฝกฝนพัฒนา จะ ไดมาเกื้อกูลตอกันดวยการปรึกษาสังสรรค เปนตน โดยนัยนี้จึงเกิดมี สังฆะ ขึ้นมาเปนชุมชนแหงการศึกษา เพื่อใหคน ที่ตองการเขาถึงธรรมและไดประโยชนจากธรรม จะไดมีโอกาสเรียนรู ฝกหัดพัฒนาดังกลาวแลว และเปนศูนยกลางที่บุคคลภายนอกที่ตองการ เรียนรูจะเขามาหาในฐานะเปนแหลงของการศึกษา และพรอมกันนั้น พระที่มีความรู ไดเลาเรียนสูงขึ้นไปหรือเขาถึงธรรมแลว ก็จะออกจาก ศูนยกลางนี้ ไปใหความรูเพื่อการศึกษาของประชาชน
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๑๐๕
นี้คืองานของวินัย ที่ทําใหมีการจัดตั้งขึ้นเปนสังฆะ โดยมีหลัก แหลงที่เรียกวา วัด ซึ่งก็คือชุมชนที่เปนแหลงแหงการศึกษานั่นเอง รวมความว า การใช วิ นั ย จั ด ตั้ ง สั ง ฆะคื อ สงฆ ขึ้ น มานั้ น มี จุดมุงหมายนี้ คือเปนการจัดระบบความเปนอยู สรางสภาพแวดลอมและ บรรยากาศตลอดจนระบบความสัมพันธในการทํากิจการรวมกันทุกอยาง ใหเปนสภาพเอื้อตอการที่แตละบุคคลผูเขามาสูชุมชนนี้ จะไดมีโอกาสที่ จะศึกษา เรียนรู พัฒนาตนเองใหดีขึ้น เพื่อเขาถึงชีวิตที่ดีงามยิ่งขึ้น นี้คือ วัตถุประสงคของวินัย เพราะฉะนั้น การปกครองที่มีกฎหมายเปนเครื่องมือจัดสรรสังคม เพื่อใหมนุษยอยูกันโดยสงบเรียบรอยนี้ จึงมีความมงหมายเพื่อใหความ เปนอยูที่สงบเรียบรอยนั้นเปนสภาพที่เอื้อตอการที่แตละบุคคลในสังคมนั้น จะได มี โ อกาสเรี ย นรู ฝ ก หั ด ศึ ก ษา พั ฒ นาตนให เ ข า ถึ ง ชี วิ ต ที่ ดี ง าม ยิ่งๆขึ้นไป หมายความวา เราตองการใหหมูมนุษยมีชีวิตที่ดีงามยิ่งๆขึ้นไป ก็ จึง จัด ใหมี ก ารปกครองโดยวางข อกํ าหนดเป นกฎหมายขึ้นมา เชน ที่ พระพุทธเจาทรงปกครองสงฆดวยวินัย ซึ่งมาจัดสรรใหความเปนอยู การ ดําเนินชีวิต สภาพแวดลอม การทํากิจการรวมกัน ประสานกันเปนระบบที่ เกื้อกูลตอการพัฒนาชีวิตของหมูมนุษยไปสูความดีงามสูงสุดที่เปนจุดหมาย ถาไมมีจุดหมายนี้ ความเปนระเบียบเรียบรอยก็ไมมีความหมายที่ ชัดเจนเพียงพอ ไมมั่นคงยั่งยืน และไมเปนประโยชนแทจริงแกหมูมนุษย
๑๐๖
นิติศาสตรแนวพุทธ
การปกครองที่แท และกฎหมายที่ถูก ตองมีจุดหมายสอดคลองกับธรรมชาติของมนุษย เมื่อสังฆะ คือสงฆขยายใหญขึ้น มีพระภิกษุจํานวนมากขึ้น ในการ ปกครองตอมา พระพุทธเจาก็ทรงบัญญัติใหพระภิกษุผบวชใหมแตละรูป มีอุปชฌาย คือเมื่อจะบวชตองมีอุปชฌาย อุปชฌาย แปลวา ผูดูแล ซึ่งเรามักจะมองในแงวาเปนผูปกครอง แตเมื่อมองใหตรงแทตามความหมายของพระพุทธศาสนา จะเห็นวา อุปชฌายมีขึ้นเพราะวา บุคคลใดก็ตามเมื่อสมัครเขาบวชมีชีวิตเปนภิกษุ อยูในชุมชนนี้ ก็ถือเปนการตกลงวา จะเขามารับการฝกฝน มาเรียนรู มา สิกขาคือศึกษา โดยเฉพาะผูที่บวชเขามาใหม ยังไมรูหลักการ แนวทาง และวิธีการในการศึกษาปฏิบัติ จําเปนจะตองไดผูดูแลแนะนําใหความรู พื้นฐานเบื้องตน ยิ่งเมื่อมาอยูรวมกันมากๆขึ้น ก็มีปญหาวา ผูเขามาใหม นั้นบางบุคคลเขามาแลวอาจจะเควงควางเลื่อนลอย ไมไดรับการแนะนํา ใหฝกฝน ศึกษา เรียนรู แลวก็จะไมไดประโยชนจากสังฆะที่พระพุทธเจา ตั้งขึ้นเทาที่ควร เพราะฉะนั้น พระพุทธเจาจึงทรงบัญญัติใหมีอุปชฌาย ขึ้นมา อุปชฌาย เปนเหมือนผค้ําประกันตัวผบวชตอที่ประชุมสงฆใน การบวช กลาวคือ แมวาที่ประชุมสงฆจะพิจารณาเห็นวาบุคคลที่สมัคร เขามา มีคุณสมบัติ ควรรับเขาบวชได แตที่ประชุมสงฆก็ตองการใหมีคน ที่จะรับผิดชอบชวยดูแลผที่บวชใหมนั้น ก็จึงมีอุปชฌายมาเปนผูประกัน ตอสงฆ ที่จะใหความมั่นใจแกสงฆหรือที่ประชุมวา บุคคลผูนี้เมื่อบวช เขาไปแลวจะไมเควงควาง ขาพเจาจะเปนผูดูแล เพื่อใหมั่นใจวาเขาจะ ไดรับการศึกษา
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๑๐๗
โดยนัยนี้ จึงเหมือนวาไดเกิดการปกครองขึ้นเปนระดับขั้น ตั้งแต พระพุทธเจาผทรงปกครองสงฆใหชุมชนทั้งหมดดําเนินไปในระบบแหง ไตรสิกขา จนถึงพระอุปชฌายผูดูแลใหพระภิกษุที่บวชเขามาใหมใน ปกครองของตนแตละรูปไดรับการศึกษา เพราะฉะนั้น การปกครองตามความหมายในพระพุทธศาสนาจึง เปน การปกครองเพื่อการศึกษา หมายความวา การปกครองและความ สงบเรียบรอยที่เกิดจากการปกครองนั้นมิใชเปนจุดหมายในตัว แตเปน เพียงปจจัยคือสภาพเอื้อ เพื่อชวยใหแตละบุคคลบรรลุจุดหมายแหง การศึกษา หรือเพื่อเปนหลักประกันของการศึกษา จึงถือเปนคติไดวา การปกครองที่มีข้นึ เปนเรื่องของการศึกษา และเพื่อการศึกษาทั้งสิ้น ในสั งคมไทยยุ คก อนๆ จะเห็ นได ชั ดว า ความสั มพั นธ ระหว าง ผูปกครองกับผูใตปกครองจะเปนแบบอาจารยกับศิษย เชน เจาอาวาส เรา เรียกวา “อาจารย” คือผูที่สอน แนะนํา ชวยใหเกิดการเรียนรูและฝกฝน ตางๆ ดังที่เรายังเรียกเจาอาวาส ติดมาถึงปจจุบันนี้วาเปนอาจารย ทั้งๆที่ เดี๋ยวนี้ทานไมคอยไดทําหนาที่นั้นแลว เพราะสังคมวิปลาสคลาดเคลื่อน ไป ความจริงนั้น การศึกษานั่นแหละครอบคลุมการปกครองอยในตัว กลาวคือ ในความสัมพันธระหวางอาจารยกับศิษยนั้น เมื่อ อาจารยสอน และศิษยเปนผูไดรับความรู อาจารยก็กลายเปนผูปกครองโดยมีลูกศิษย เปนผูใตปกครอง การปกครองของอาจารย ก็คือการคอยดูแลใหศิษยอยู ในความดีงาม และฝกฝนเพื่อความดีงามยิ่งขึ้นไป เขากับหลักการที่วา การปกครองในความหมายของพระพุ ทธศาสนาเปนการปกครองเพื่ อ การศึ ก ษา และในที่ สุ ด การปกครองก็ เ ป น เรื่ อ งของการศึ ก ษา ด ว ย การศึกษา และเพื่อการศึกษา ดังที่เห็นกันอยูวา อาจารยปกครองศิษยดวย การศึกษา ซึ่งเปนการปกครองในตัว ดวยความสัมพันธระหวางครูกับ
๑๐๘
นิติศาสตรแนวพุทธ
ศิษย ที่มีความเคารพเปนหลักประกัน ทําใหมีความเชื่อถือและเชื่อฟง ดวยดี ถาไมปกครองดวยการศึกษาอยางนี้ ก็ตองปกครองดวยอํานาจ เมื่อ ปกครองดวยอํานาจก็เกิดความรูสึกในเชิงปฏิปกษ ที่เอียงไปในทางที่จะ ขัดแยงกัน เชน ในการปกครองสงฆปจจุบันนี้ เมื่อการศึกษาเสื่อมโทรม ลง ก็ ต องหั น ไปเน นการปกครองด วยอํ านาจ เจ าอาวาสมี อํ านาจเป น ผูปกครอง มีกฎเกณฑขอบังคับเปนเครื่องมือ พระลูกวัดอยูใตปกครอง ตองทําตาม ผูใตปกครองเหลานั้นไมมองวาผปกครองคือผเอื้อโอกาสเพื่อการ พัฒนาชีวิตของตน แตมองวา ผูปกครองคือผูมาคอยบังคับ คอยกีดกั้นเขา จากสิ่งที่ตองการจะทํา จึงมีความรูสึกแบบเปนปฏิปกษกัน ดวยเหตุนี้ การปกครองแบบใชอํานาจจึงกอใหเกิดปญหา เริ่มตั้งแตเกิดความขัดแยง ในจิตใจเปนตนไป ทําใหยิ่งตองเพิ่มการใชอํานาจ ใชอาญา และจะเนน การลงโทษมากยิ่งขึ้นตามลําดับ ไมใชเปนการปกครองแบบพยายาม สรางคนดี แตเปนการปกครองแบบพยายามกําจัดคนเลว การปกครองในทางบ านเมื องที่ เป นแบบนี้ ก็ จะเป นเช นเดี ยวกั น กล าวคื อ เมื่ อหลั กการเพื่ อจุ ดหมายที่ แท เลื อนหายไปแล ว ทุ กอย างก็ จะ วิปลาสไปหมด ดังนั้น การปกครองในสมัยนี้ของพระสงฆ เราจึงเห็นวาไมคอย ไดผล เพราะไดกลายมาเปนการปกครองเพื่อการปกครอง คือปกครอง แบบใชอํานาจ พระลูกวัดจะมีความรูสึกตอเจาอาวาสแบบเปนปฏิปกษ อยางนอยก็รสึกวาเปนผูขัดขวางผลประโยชนที่ตองการ แลวใจก็ไมรับ ความสัมพันธที่ดีก็ไมมี เพราะฉะนั้น ก็จะมีความรูสึกในทางที่อยากจะ หรือหาทางที่จะละเมิดอยูเสมอ
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๑๐๙
ถ า จะเอาระบบที่ ถู ก ต อ ง จะต อ งร ต ระหนั ก ในหลั ก การว า การศึกษาคือเนื้อหาสาระของชีวิตแหงความเปนพระภิกษุ การปกครอง เป น เครื่ อ งมื อ รั บ ใช ก ารศึ ก ษา คื อ เป น การจั ด ระบบความเป น อย ความสัมพันธและสภาพแวดลอมใหเอื้อตอการศึกษาเพื่อพัฒนาชีวิตให เขาถึงความดีงามและประโยชนสุขที่สูงขึ้นไป เมื่อครูอาจารยปกครอง ลูกศิษย ก็เปนการปกครองดวยการศึกษา และเพื่อการศึกษา เราอาจจะเลี ย นศั พ ท ข องประชาธิ ป ไตยที่ บ อกว า ระบอบ ประชาธิ ป ไตย คื อ การปกครองของประชาชน โดยประชาชน เพื่ อ ประชาชน แลวเราก็พูดวา ในพระพุทธศาสนา การปกครอง คือการ ปกครองที่ เ ปน เรื่ องของการศึ ก ษา ด ว ยการศึ ก ษา และเพื่ อ การศึ ก ษา หลักการนี้ชัดเจนมาก การที่เราจัดระบบการปกครองดวยวินัย หรือดวย กฎหมาย ก็เพื่อเอื้อตอชีวิตบุคคลที่เขาจะไดพัฒนา เรียนรู มีการศึกษา เพิ่มขึ้น เพื่อใหสามารถเขาถึงชีวิตที่ดีงามยิ่งขึ้นไป รวมความวา วินัย มีความหมาย • ทั้งในแงบุคคล วาเปนเครื่องฝกตัวของบุคคลนั้นเอง คือเมื่อ บุ ค คลนั้ น นํ า หลั ก การนี้ ม าประพฤติ ป ฏิ บั ติ วิ นั ย ก็ เ ป น เครื่องมือของเขาในการที่จะไดเรียนรูฝกฝนพัฒนาชีวิตของ ตนเอง และ • ในทางสังคม วาเปนการสรางสภาพเอื้อตอการพัฒนาชีวิต ที่ ทั้งตัวเขาเองและคนอื่นมีสวนรวมไดประโยชนดวยกัน เป น อั น ว า ได ค วามหมาย ๒ อย า ง ดั ง นั้ น วิ นั ย ในทาง พระพุทธศาสนา จึงแปลวา การฝก หรือการนําไปใหวิเศษ และโดยนัยนี้ ตามความหมายในพระพุทธศาสนา กฎหมายจึงเปนเครื่องฝกมนุษยหรือเปน เครื่องมือพัฒนาชีวิต
๑๑๐
นิติศาสตรแนวพุทธ
ถ า เราไม ม องวิ นั ย และกฎหมายเป น เครื่ อ งฝ ก แล ว คนจะมอง กฎหมายและวินัยในความหมายอยางไร อยางแรกที่จะมองคือ มองเปน เครื่องบังคับหรือบังคับควบคุม ถาพลเมืองมองกฎหมายเปนเครื่องบังคับเมื่อไร ก็เรียกวาฐานเสีย เมื่อนั้น เพราะคนจะมีความรสึกขัดแยง (เชนขัดแยงตอความสะดวกสบาย ขัดแยงตอความพอใจชอบใจสวนตัว ตลอดจนขัดขวางผลประโยชนของ ตัว) ฝนใจ และจึงมีความคิดโนมไปสูการที่จะละเมิดอยูเสมอ
มีกฎหมายไวจัดการปกครอง เพื่อทําใหเกิดสังคมดี ทีค่ นมีโอกาสพัฒนาชีวิตทีด่ ีงาม ในทางพุทธศาสนานั้น ฐานเบื้องแรกคือการเริ่มจากจุดที่มองวา วินัยเปนเครื่องฝกมนุษย หรือเปนเครื่องพัฒนาชีวิต เพราะการที่เขามาอยู รวมชุมชนนี้ ก็คือการที่จะไดสภาพความเปนอย สิ่งแวดลอม บรรยากาศ และโอกาสจากระเบียบและระบบการทุกอยาง ที่จะชวยเกื้อหนุนการ เรี ย นรู ฝ ก ศึ ก ษาพั ฒ นาตั ว เราทุ ก คนให เ ข า ถึ ง ชี วิ ต ที่ ดี ง ามยิ่ ง ขึ้ น เพราะฉะนั้น วินั ย จึง เปนเครื่ องฝกตน พรอมทั้งเปน เครื่องชวยให ได สภาพแวดลอมและระบบการอยูรวมกันที่เอื้อตอการฝกตัวนั้น นี่เปนการ มองมนุษยในฐานะเปนสัตวผูตองศึกษาดังที่กลาวมาแลว ถึงตอนนี้ ขอใหยอนกลับไปมองความหมายขอที่ ๓ ของวินัย ที่ หมายถึงการปกครอง ที่ไดกลาวไววา “ชั้นที่ ๓ คือ ก) การใชระเบียบและระบบที่จัดวางขึ้นนั้นเปน เครื่องมือสรางโอกาสใหคนพัฒนาชีวิตใหดียิ่งขึ้น หรือการชักนําดูแลให คนใชระเบียบและระบบนั้นเปนเครื่องมือ(ที่จะชวยกันทําใหสังคมเปน แหลงอํานวยโอกาสในการ)พัฒนาชีวิตของตน หรือ
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๑๑๑
ข) การใช ร ะเบี ย บและระบบที่ จั ด วางขึ้ น นั้ น เป น เครื่ องมื อบั งคั บควบคุ มคนให อย ในความสงบเรี ยบร อย หรื อการบั งคั บ ควบคุมคนใหเปนอยและประพฤติปฏิบัติดําเนินกิจการตามระเบียบและ ระบบที่จัดวางขึ้นนั้น” ตามที่กลาวมาจะเห็นวา การปกครองที่แทถูกตองตามหลัก คือขอ ก) ที่วาเปนการใชระเบียบและระบบที่จัดวางขึ้นนั้น เปนเครื่องมือ เสริมสรางโอกาสใหคนพัฒนาชีวิตใหดียิ่งขึ้น ซึ่งเปนการปกครองที่เปน เครื่องมือของการศึกษา หรือเปนการปกครองที่เอื้อหรือนําคนใหพัฒนา ชีวิตสความดีงาม แตคนจํานวนมากมักมองการปกครองตามความหมายในขอ ๓. ข) ที่วา เปนการบังคับควบคุมคนใหอยในความสงบเรียบรอย หรืออยาง นอยก็ควบคุมคนใหปฏิบัติตามระเบียบระบบนั้นๆ ซึ่งเปนการปกครอง แบบเนนอํานาจ และเปนการปกครองที่เปนจุดหมายในตัวของมันเอง ซึ่ ง มิ ใ ช เ ป น การปกครองที่ ถู ก ต อ ง จั ด เป น การปกครองแบบกิ จ การ ชํานาญพิเศษเฉพาะทาง ไมชวยเชื่อมโยงไปสจุดหมายที่ดีงามสูงขึ้นไป ถ า การปกครองเป น การบั ง คั บ ควบคุ ม คนให อ ย ใ นระเบี ย บ กฎหมายก็เปนเครื่องมือบังคับควบคุมคน ถาการปกครองเปนการชักนําดูแลชวยเสริมสรางโอกาสใหคนฝก ศึกษาพัฒนาตน หรือสรางสภาพเอื้อตอการฝกศึกษาพัฒนาตนของคน กฎหมายก็เปนเครื่องมือสรางสรรคสภาพเอื้อตอการพัฒนาชีวิตของคน รวมทั้งเปนเครื่องมือฝกศึกษาพัฒนาตนของแตละคน เมื่อเราแยกวินัยออกมาเปนขอๆ จะยิ่งเห็นความหมายนี้ชัดเจน วินัยเปนชื่อรวม ซึ่งอาจจะเทียบไดกับคําวาประมวลกฎหมาย วินัยไมใช กับขอบัญญัติแตละขอ บทบัญญัติแตละขอไมเรียกวาวินัย บางครั้งเรา อาจสับสน วินัยเปนศัพทเอกพจน ไมมีการใชเปนพหูพจน นอกจากแยก
๑๑๒
นิติศาสตรแนวพุทธ
เปนระบบหรือแบบแผนใหญๆคนละอยาง เชน วินัยของภิกษุ และวินัย ของภิกษุณี วินัย คือระบบทั้งหมด ซึ่งตองประสานเปนอันหนึ่งอันเดียวกัน บน ฐานแหงธรรมคือความจริงของกฎธรรมชาติ ตามที่ไดกลาวไปแลว ระบบนี้ แยกย อยออกไปเป นข อๆ คล ายกั บมาตราในกฎหมาย แต ละข อเรี ยกว า “สิกขาบท” คําวา “สิกขาบท” นั้นบอกทัศนะของพระพุทธศาสนาในเรื่อง นิติศาสตรชัดเจน สิกขาบท คือ สิกขา + บท บท คือขอ และ สิกขา คือศึกษา สิกขาบท จึงแปลวา ขอศึกษา หรือ ขอฝก กฎแตละขอที่บัญญัติขึ้นมาใน วินัยเปนขอศึกษาทั้งสิ้น ถาพระภิกษุเรียนรูพระพุทธศาสนาอยางถูกตอง จะตองมองกฎ หรือพุทธบัญญัติตางๆไมใชเปนขอบังคับ แตตองมองในความหมายวา เป น ข อ ฝ ก ตน หรื อ เป น ข อ ศึ ก ษา คื อ เป น สิ ก ขาบท คล า ยๆกั บ เป น แบบฝกหัด (ในภาษาปจจุบัน) ขอกําหนดทุกอยางในวินัยเปน สิกขาบท คือขอฝกตนทั้งสิ้น แมแตหลักความประพฤติที่ใหคฤหัสถปฏิบัติ ที่เรียกวา “ศีล” ก็ เปนคําที่เรียกกันตามภาษาชาวบาน ไมเปนทางการ ถาสังเกตจะเห็นวา เวลาที่โยมขอศีล จะกลาววา “ปญจะ สีลานิ ยาจามะ” แตเวลาที่พระให พระจะสรุปวา อิมานิ ปญจะ สิกขาปทานิ, สีเลนะ สุคะติง ยันติ เปนตน ซึ่งฟองชัดวา ศีล เปนคําที่ชาวบานเรียก แตพระเรียกวา สิกขาบท โยมขอ ศีล พระใหสิกขาบท (โยมขอศีล พระบอกใหตั้งใจถือปฏิบัติเอาแลวจะ เกิดเปนศีลขึ้นในตัวเอง) ขอใหสังเกตสิกขาบทแตละขอ เชนวา ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ แปลวา ขาพเจาขอรับถือปฏิบัติขอฝกขอศึกษา
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๑๑๓
ที่จะเวนจากการทําลายชีวิต อะทินนาทานา เวระมะณีสิกขาปะทัง สะมาทิยา มิ แปลวา ขาพเจาขอรับถือปฏิบัติขอฝกขอศึกษาที่จะงดเวนจากการ ถือเอาของที่เขาไมไดให ดังนี้เปนตน ทุกขอเปน สิกขาบท หมายความวา พระพุทธศาสนามองมนุษยเปนสัตวที่ตองศึกษา เพราะฉะนั้น มนุษยจะมี ชีวิตที่ดีงามไดก็ตองฝก ตองศึกษา สิกขาบททั้ง ๕ ที่เรียกกันวาศีล ๕ ขอ นี้ เปนขอปฏิบัติสําหรับฝกฝนพัฒนาตนเพื่อใหชีวิตดีงามยิ่งขึ้น ไมใช ขอบังคับ เปนอันวา วินัยแยกยอยออกเปนขอๆ เรียกวา “สิกขาบท” นี้คือขอ บงชั ดว า เรามองวินั ย ตัวบทกฎหมาย บทบัญ ญัติ ตางๆ เปน เรื่องของ การศึกษาหรือการพัฒนาชีวิตของมนุษยทั้งสิ้น เมื่อใดเราปฏิบัติตามสิกขาบทไดแลว ตั้งอยูในวินัย จึงจะเปนผูมี ศีล ศีลคือคุณสมบัติของคนที่ปฏิบัติตามวินัย หมายความวา ศีลเกิดขึ้นที่ ตัวคนเมื่อเขาปฏิบัติตามหรือตั้งอยูในวินัย ในภาษาไทยเวลานี้สับสนมาก วินัยกับศีลก็แยกกันไมออก ศีลกับ สิกขาบทก็ใชกันสับสน วินัย คือการจัดตั้งวางระบบและระเบียบแบบแผน กับทั้งตัวบท กฎหมาย ระเบียบ กฎเกณฑกติกา ที่เปนขอกําหนดในการจัดตั้ง รวมทั้ง การจัดการใหคนประพฤติปฏิบัติ หรือใหกิจการดําเนินไปตามตัวบท กฎหมายเปนตนนั้น เมื่อคนตั้งอยในวินัย โดยปฏิบัติตามสิกขาบท ก็เปนผูมีศีล ศีลจึง เปนคุณสมบัติของคน เปนสภาพการฝกฝนพัฒนาที่อยูในตัวคน สรุปอีกครั้งหนึ่งวา วินัย เปนระเบียบชีวิตและระบบกิจการของ สั ง คมมนุ ษ ย ที่ จั ด ตั้ ง ขึ้ น มาด ว ยปรี ช าญาณที่ เ ข า ถึ ง ความจริ ง ของกฎ ธรรมชาติ เพื่ อ ให ม นุ ษย ไ ด ป ระโยชน จ ากธรรมคื อ ความจริ ง ของกฎ ธรรมชาตินั้นและจะไดมีชีวิตที่ดีงาม วินัยจึงตองตั้งอยูบนฐานของความ
๑๑๔
นิติศาสตรแนวพุทธ
เขาใจในความจริงนั้น และการที่มนุษยจะเขาถึงความดีงามนี้ได มนุษย จะตองเรียนรู ตองฝกหัดพัฒนาตน วินัยเปนเครื่องมือพัฒนา ที่จะนําพา มนุษยใหเขาถึงธรรม และไดประโยชนจากธรรมนั้น ถามองเชนนี้ ก็จะเห็นความหมายของวินัยดีขึ้น
กระบวนวิธีในการบัญญัติขอกฎหมาย กฎหมายโดยหลักการ กับกฎหมายโดยบัญญัติ เมื่อพระพุทธเจาจะทรงบัญญัติสิกขาบทแตละขอ ที่มารวมกันเปน วินัยนี้ พระองคตรัสแสดงวัตถุประสงคทุกครั้งวา ที่ทรงบัญญัติสิกขาบท คื อ ข อ ฝ ก หรื อ กฎแต ล ะข อ นี้ เพื่ อ อะไร ซึ่ ง ได แ ก วั ต ถุ ป ระสงค ๑๐ ประการ (วินย.๑/๒๗; องฺ.ทสก.๒๔/๓๑) จัดไดเปน ๕ หมวด คือ ๑. เพื่อประโยชนแกสงฆหรือสวนรวม ๒. เพื่อประโยชนแกตัวบุคคล ๓. เพื่อประโยชนแกชีวิตของมนุษย ๔. เพื่อประโยชนแกประชาชนทั่วไปในสังคมใหญที่แวดลอม ๕. เพื่อประโยชนแกตัวพระศาสนา ทั้ง ๕ หมวดนี้แยกยอยเปนหมวดละ ๒ ขอ ดังนี้ ๑. เพื่อประโยชนแกสงฆหรือสวนรวม ๑.๑ “สังฆสุฏุตายะ” เพื่อความยอมรับวาดีแหงสงฆ คือ เพื่อ ความดีงามของสถาบันสงฆทั้งหมดโดยสวนรวม ที่จะมีความเรียบรอย อยูกันดวยดี ดวยการตั้งวินัยขึ้นมาบนฐานแหงการยอมรับรวมกัน ที่วา “ยอมรับวาดีแหงสงฆ” หมายความวา พระพุทธเจาไมใชวิธีบังคับขืนใจ แตทรงบัญญัติสิกขาบทเพื่อผลดีรวมกัน และโดยความยอมรับรวมกัน ๑.๒ “สังฆผาสุตายะ” เพื่อความผาสุกแหงสงฆ ไมใชเฉพาะแต อยูเรียบรอยดี ตองอยูสบายดวย และเปนความสบายของสวนรวม
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๑๑๕
๒. เพื่อประโยชนแกตัวบุคคล ๒.๑ เพื่อกําราบคนหนาดาน (ทุมมังกุ = ผูเกอยาก) ๒.๒ เพื่อความอยูผาสุกของภิกษุผูมีศีลเปนที่รัก พูดสั้นๆวา เพื่อสงเสริมคนที่ประพฤติดี และกําราบคนที่ประพฤติ ชั่ว หรือเพื่อปดชองคนราย-ใหโอกาสคนดี ๓. เพื่อประโยชนแกชีวิตของมนุษยเอง คือคํานึงถึงผลดีและ ผลรายที่จะเกิดกับชี วิตของมนุ ษย เชน เรื่องความดี ความชั่ว เปนต น โดยมงที่จะสรางสภาพเอื้อตอชีวิตที่ดีงาม ๓.๑ เพื่อปดกั้นผลเสียหายที่จะเกิดในปจจุบัน ๓.๒ เพื่อปองกันผลเสียหายที่จะเกิดในอนาคต ๔. เพื่อประโยชนแกประชาชนทั่วไป คือ เพื่อผลดีแกจิตใจของ ประชาชน ทําใหคนมีจิตใจผองใสดวยอาศัยความดีงามของพระสงฆเปน สื่อ ๔.๑ เพื่อความเลื่อมใสของประชาชนที่ยังไมมีความเลื่อมใส ๔.๒ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งๆขึ้นไปของประชาชนที่มีความเลื่อมใสอยู แลว สองข อ นี้ มุ ง เพื่ อ ประโยชน แ ก ป ร ะชาชนเอง เพราะว า ความสัมพันธระหวางพระศาสนากับประชาชนมีจุดเริ่มตนอยูที่ทําใหเขา มีจิตใจที่สงบ แชมชื่น สบาย ผองใส เกิดศรัทธา มีปติและความสุข เปน กุศลพื้นฐานที่จะนําไปสูคุณความดีที่สูงยิ่งขึ้นไป ๕. เพื่อประโยชนแกตัวพระศาสนา ๕.๑ เพื่อใหสัทธรรม คือธรรมที่แท หรือหลักการที่แทของพระ ศาสนา ดํารงอยูไดมั่นคงยั่งยืน
๑๑๖
นิติศาสตรแนวพุทธ
๕.๒ เพื่ออนุเคราะหวินัย คือ เพื่อชวยค้ําจุนใหระเบียบแบบแผน และระบบการตางๆ เกิดมีผลในการปฏิบัติตามหลักการอยางหนักแนน มั่ น คง เป น ไปตามวั ต ถุ ป ระสงค อ ย า งยั่ ง ยื น (เพื่ อ ให วิ นั ย เกิ ด ผลสม วัตถุประสงค) แตละครั้งที่พระพุทธเจาบัญญัติสิกขาบท พระองคจะทรงแถลง วัตถุประสงคเหลานี้ทุกครั้ง เพราะฉะนั้น จะขอเลาวิธีบัญญัติสิกขาบท ในพระวินัยของพระพุทธเจา (วินัยคือรวมสิกขาบททั้งหมด) กลาวตามวิวัฒนาการในสังฆะ เมื่อสงฆคือชุมชนของพระภิกษุยัง เล็กอยู (เมื่อพระพุทธเจาตั้งสงฆใหมๆ) บุคคลที่เขามาในตอนแรกรูชัด ในวัตถุประสงคของชีวิตและการอยูรวมกันในสังคมนี้วา เราเขามาเพื่อ จะพัฒนาชีวิต ดวยการเรียนรู และฝกตนในไตรสิกขา เพื่อเขาถึงชีวิตที่ดี งามที่ ป ระเสริ ฐ ตามหลั ก การของพระพุ ท ธศาสนาที่ ถื อ ว า มนุ ษ ย จ ะ ประเสริฐดวยการฝก ถาไมฝกหาประเสริฐไม ผูที่ฝกแลวหรือศึกษาแลว เปนผูประเสริฐสุด แมยิ่งกวาเทพเจา หลักการของพระพุทธศาสนามีอยางไร ผูเขามารูตระหนักชัดเจน อยูแลว ดังนั้น สังฆะในระยะแรกจึงดํารงอยโดยไมมีกฎหรือขอบังคับ วินัยมีอยูโดยหลักการอยางเปนไปเอง วินัยมีอยูแลวทั้งๆที่ไมมีสิกขาบท มีแตเพียงหลักการ และขอนัดหมาย หรือขอหมายรรวมกันตามหลักการ นั้น ใหตั้งขอสังเกตวา วินัย ไมจําเปนตองมีสิกขาบท คือมีระบบแบบ แผนโดยไมตองมีขอบัญญัติ หรือมีการปฏิบัติตามหลักการโดยไมตองมี ขอกําหนด ตอนแรกมีวินัยโดยไมตองมีสิกขาบท พระก็อยูกันไดดวยดี โดย ถือหลักการ ปฏิบัติไปตามหลักการ มีหลักการเปนเครื่องรักษาควบคุม ดังปรากฏวา ในวันอุโบสถ เมื่อภิกษุทั้งหลายประชุมกัน พระพุทธเจาก็
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๑๑๗
ทรงแถลงหลั ก การของพระพุ ท ธศาสนา เป น การทบทวนว า พระพุทธศาสนามีอุดมการณอยางนี้ มีหลักการอยางนี้ (พูดสั้นๆ วา มีแต โอวาทปาติโมกข คือหลักการแมบท ไมมีอาณาปาติโมกข คือกฎหมาย แมบท) ทรงปฏิบัติเชนนี้ตลอดมาเปนเวลาประมาณ ๒๐ ป จนกระทั่ง เมื่อมีการบัญญัติสิกขาบทแลว จึงทรงบัญญัติใหภิกษุทั้งหลายประชุมกัน ทบทวนตรวจสอบความประพฤติดวยสิกขาบทเหลานั้น (พูดสั้นๆ วา ตอจากนั้นจึงมีอาณาปาติโมกข) (องฺ.อฏก.๒๓/๑๑๐/๒๐๗; วินย.อ.๑/๒๑๒, ๒๑๔, ๒๔๘; อุ.อ.๓๑๙)
ขอยกตัวอยางหลักการใหญๆ เชนที่เรานํามาสวดกันวา “ไมทําชั่ว ทําความดี ทําจิตใจใหผองใส” หรือ “นิพพานเปนบรมธรรม” หรือ “บรรพชิตในพระพุทธศาสนา มีลักษณะสําคัญคือเปนผูไมทํารายใคร ไม เบียดเบียนใคร” หลักการเหลานี้พระพุทธเจาทรงแถลงทบทวนกับที่ ประชุ ม ของพระสงฆ โดยไม มี ข อ บั ญ ญั ติ ย อ ยละเอี ย ดลงไปเป น กฎ ข อ บั ง คั บ ที่ จ ะลงโทษแก ผ ทํ า ผิ ด พระสงฆ ใ นระยะแรกอยู กั น ด ว ย หลักการ ความเปนมาของการที่จะบัญญัติสิกขาบทมีเรื่องราวที่นาสนใจวา (วินย.๑/๗-๘) ครั้งหนึ่งพระสารีบุตรซึ่งเปนอัครสาวกของพระพุทธเจา ได ทูลถามพระพุทธเจาเกี่ยวกับศาสนาของพระพุทธเจาในอดีตที่พูดถึงใน ขณะนั้น ซึ่งมีพระพุทธเจาที่ออกพระนาม ๕ พระองค พระสารีบุตรทูลถามวา ศาสนาของพระพุทธเจาพระองคไหนที่ มั่นคงยั่งยืน ของพระองคไหนไมมั่นคงยั่งยืน พระพุทธเจาตรัสตอบวา ศาสนาของพระวิปสสี พระสิขี และพระเวสสภู ตั้งอยูไมนาน ไมมั่นคง ยั่งยื น แต ศาสนาของพระกกุ สันธะ และพระโกนาคมนะ ตั้ งอยู มั่นคง ยั่งยืนยาวนาน
๑๑๘
นิติศาสตรแนวพุทธ
พระสารี บุ ต รทู ล ถามต อ ไปว า เพราะเหตุ ใ ดศาสนาของ ๓ พระองคแรกจึงไมมั่นคงยั่งยืน และเพราะเหตุใดของ ๒ พระองคหลังจึง มั่นคงยั่งยืน พระพุทธเจาตรัสเฉลยวา เพราะวา พระพุทธเจา ๓ พระองค ที่ออกพระนามมาขางตนนั้น ไมคอยจะไดทรงสั่งสอน และมีคําสอนที่ เปนหลักการตางๆนอย อีกทั้งไมไดทรงบัญญัติสิกขาบทไว และไมไดมี การประชุมทบทวนประมวลบทบัญญัติที่เรียกวา “ปาติโมกข” ตางจาก ศาสนาของพระพุทธเจา ๒ พระองคหลัง ซึ่งมีคําสั่งสอนมาก มีการบัญญัติ สิกขาบท คือตราขอกฎหมายไวเปนแบบแผน เรียบรอย พระพุท ธเจ าทรงเปรีย บเทีย บวา พระภิ กษุ ทั้งหลายมาจากชาติ ตระกูลต างๆกั น ภู มิหลังตา งๆกัน เหมือนกับดอกไมนานาพั นธุ ที่เ ขา นํามาวางบนพื้นกระดาน ถาไมไดรอยไวดวยเสนดาย ลมมาก็พัดกระจุย กระจาย แตถาเอาดายรอยไวก็จะคุมกันอยู แมลมพัดมาก็จะไมกระจุย กระจาย สําหรับพระพุทธเจาพระองคนี้ เวลานั้นมีหลักคําสอนมากแลว แต ยังไมไดบัญญัติสิกขาบท พูดงายๆวากฎหมายยังไมมี พระสารีบุตรจึงทูล อาราธนาวา ถาเชนนั้น เพื่อจะใหพระศาสนาของพระองคในบัดนี้ มั่นคง ยั่งยืนตอไป ขอใหพระองคทรงบัญญัติสิกขาบท พระพุทธเจาตรัสตอบ วา “ยังไมถึงเวลา” พระพุทธเจาทรงทราบดีวาเมื่อใดจะถึงเวลา คือเมื่อมีเหตุเกิดขึ้น มี ขอเสียหายเกิดขึ้น จึงจะทรงบัญญัติสิกขาบท และขอเสียหายตางๆ นั้น จะเกิดขึ้นเมื่อ สังฆะนี้ ๑. ตั้งมาไดเปนเวลายาวนานพอสมควร ๒. ขยายตัวใหญโตขึ้น ๓. มีผลประโยชนเกิดมากขึ้น
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๑๑๙
เมื่อนั้นแหละจะเกิดปญหามีขอเสียหายขึ้นมา และจะทรงบัญญัติ สิ กขาบท นี้ เ ป น แนวทั ศนะอย างหนึ่ ง ของพระพุ ท ธศาสนาที่ เ กี่ย วกั บ นิติศาสตร ผลประโยชนเปนเรื่องใหญที่พระพุทธเจาทรงเนนความสําคัญ นี่ คือเรื่องของมนุษย แมแตในพระสูตรที่ตรัสถึงการปกครองของมนุษย ก็ ตรัสวา แตเดิม มนุษยยังไมมีการปกครอง ตอมามีผูคนจํานวนมากขึ้น และมีผลประโยชนเกิดขึ้น ซึ่งในยุคแรกเปนเรื่องของพืชผลในที่ดิน จึงมี การจั ด แบ ง สรรป น เขตที่ ดิ น และต อ มาก็ เ กิ ด มี ก ารขั ด แย ง แย ง ชิ ง ผลประโยชนในที่ดินนั้น จึงมีการตั้งผูปกครองขึ้นมา ด ว ยเหตุ นี้ ในพระพุ ท ธศาสนาจึ ง เล า ประวั ติ ก ารเกิ ด ขึ้ น ของ ผูปกครอง โดยถือเปนเรื่องของวิวัฒนาการในสังคมมนุษย (ที.ปา.๑๑/๖๑๖๓/๙๙–๑๐๑) ตางจากในศาสนาพราหมณที่ถือวา พระพรหมเทพเจาจัดตั้ง กํ า หนดผู ป กครองมาให และเมื่ อ มี ก ารปกครอง ก็ ต อ งมี ก ฎเกณฑ ข อ บั ง คั บ อย า งน อ ยก็ คื อ ข อ ตกลงกั น จึ ง มี สิ่ ง ที่ เ รี ย กว า กฎหมาย (กฎหมายนี้ศาสนาพราหมณก็วาเปนบัญญัติของพระพรหมเชนกัน) ขอกําหนดของกฎหมาย หรือสิกขาบทในวินัย ทานบัญญัติไวก็ เพื่อใหไดผลตามหลักการ ดังวัตถุประสงคทั้ง ๑๐ ประการ ที่กลาวแลว ขางตน ซึ่งพูดไดวา ขอสุดทาย คือ ขอ ๑๐ เปนขอที่คุมและคลุมทั้งหมด วัตถุประสงคขอที่ ๑๐ ตามคําบาลีวา “วินยานุคฺคหาย” แปลวา เพื่ อ อุ ด หนุ น หรื อ ค้ํ า จุ น วิ นั ย หมายความว า บั ญ ญั ติ สิ ก ขาบท คื อตรา กฎหมายขึ้น ก็เพื่อค้ําจุนระบบที่จัดตั้งไว หรือพูดอีกความหมายหนึ่งวา เพื่อเกื้อหนุนการปกครอง เมื่อผลเปนไปตามวัตถุประสงคทั้ง ๑๐ ประการนั้น ก็จะเกิดสภาพ เอื้ อ โอกาสและเกื้ อ หนุ น ให ส มาชิ ก ทุ ก คนของสั งคม/สั ง ฆะ สามารถ พัฒนาชีวิตสความดีงามและประโยชนสุขที่สูงยิ่งขึ้นไป ดังกลาวขางตน
๑๒๐
นิติศาสตรแนวพุทธ
หันกลับมาพูดเรื่องการบัญญัติสิกขาบทวา ตอมามีเหตุไมดีไมงาม เกิดขึ้นซึ่งพระสงฆและประชาชนติเตียน พระพุทธเจาจึงทรงเริ่มบัญญัติ สิ ก ขาบท ในการบั ญ ญั ติ สิ ก ขาบทแต ล ะข อ หรื อ แต ล ะมาตรานี้ พระพุทธเจาทรงปฏิบัติตามลําดับทํานองนี้ คือ ๑. มีพระภิกษุทําเรื่องเสียหายเกิดขึ้น ๒. ประชาชนหรือพระสงฆกลาวติเตียนวาเปนสิ่งเสียหาย ไมดีไม งามแลว เรื่องมาถึงพระพุทธเจา พระสงฆ เ องถื อ เป น หน า ที่ พอได ยิ น ประชาชนโจษขานว า พระองคนั้นองคนี้ประพฤติไมเหมาะ ก็จะมีพระนําความมากราบทูล พระพุทธเจา พระพุทธเจาก็ทรงเรียกประชุมสงฆ ใหพระภิกษุทั้งหลาย มาประชุมกัน และเรียกตัวบุคคลที่ทําความผิดเสียหายนั้นมาซักถามในที่ ประชุม เมื่อ ยอมรับวาเปนความจริงแลว พระพุทธเจาจะทรงชี้แจงโทษ ความเสียหายวาการกระทํานั้นไมดีไมถูกตองอยางไร ขัดกับหลักการ ของพระพุทธศาสนาอยางไร เมื่อชี้แจงเสร็จแลวจึงตรัสวาจะทรงบัญญัติ สิ ก ขาบท โดยทรงแถลงวั ต ถุ ป ระสงค ๑๐ ประการในการบั ญ ญั ติ สิกขาบท แลวจึงทรงบัญญัติสิกขาบท วา “ภิก ษุ ทั้ง หลาย เธอทั้ง หลายพึงยกสิ กขาบทขึ้ น แสดง (เปนหลักอางอิง) ดังนี้วา . . .” โดยนัยนี้จึงเกิดเปนขอบัญญัติที่เรียกวาสิกขาบท ขึ้นมาทีละขอ สิกขาบทแตละขอนั้ นมีบัญญัติ ตนเดิมก อน หากต อมาปรากฏว ายังไม เหมาะเชนควรมีขอยกเวน และจะทรงปรับปรุงหรือแกไขเพิ่มเติม ก็ทรง เรียกประชุมสงฆอีก แลวตรัสชี้แจงเหตุที่เกิดขึ้น และปรับแกสิกขาบท นั้นใหม
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๑๒๑
การบัญญัติครั้งแรก เรียกวา มูลบัญญัติ หรือบัญญัติเดิม สวนขอ แกไขเพิ่มเติม เรียกวา อนุบัญญัติ สิกขาบทบางสิกขาบทจึงมีทั้งมูล บัญญัติและอนุบัญญัติ และอนุบัญญัตินั้นอาจจะมีหลายครั้งดวย ขอยกตั ว อย า งเช น ครั้ ง หนึ่ ง พระภิ ก ษุ เ ดิ น ทางไปกั บ ภิ ก ษุ ณี ประชาชนติเตียนวา พระเดินทางไปกับภิกษุณี สงสัยวาจะเปนสามีภรรยา กัน ชาวบานโจษขานกันไป ติเตียนใหเสียหาย พระพุทธเจาทรงเรียก ประชุมสงฆและดําเนินขั้นตอนตามแบบแผน แลวทรงบัญญัติสิกขาบท วา ไมใหพระภิกษุเดินทางไกลไปไหนกับภิกษุณี นี้เปน มูลบัญญัติ ตอมาปรากฏวา เมื่อมีการเดินทาง ภิกษุไมยอมเดินทางรวมกับ ภิกษุณี และเมื่อแยกกันเดินทาง ภิกษุณีถูกประทุษราย เกิดปญหาเปน เรื่ องมาถึ งพระพุ ท ธเจา ก็ท รงประชุมสงฆ และทรงบั ญญัติ สิ ก ขาบท แกไขเพิ่มเติมจากมูลบัญญัติวา ไมใหเดินทางรวมกัน เวนแตสมัย คือ เมือ่ มีเหตุอันสมควร ไดแก หนึ่ง เดินทางไปกับกองคาราวาน สอง มีภัย อันตราย (วินย.๒/๔๕๒/๒๙๐) ขอที่บัญญัติแกไขเพิ่มเติมใหมนี้เรียกวา อนุ บัญญัติ
กฎหมายที่แทประสานประโยชนของบุคคลกับสังคม และประสานสมมติของมนุษย เขากับความจริงแทของธรรมชาติ ขอย้ําวา วินัยที่เราเรียกวากฎหมายนั้น ไมถือความเปนระเบียบ เรียบรอยหรือความสงบเรียบรอยเปนจุดหมาย แตเปนการสรางสภาพเอื้อ คือ เพื่อใหมีความสงบเรียบรอย ที่จะชวยเกื้อหนุนใหบุคคลแตละคนมี โอกาสพัฒนาชีวิตสูจุดหมายที่ดีงามยิ่งๆขึ้นไป คือ เปนการสรางสภาพ เอื้อตอการศึกษานั้นเอง
๑๒๒
นิติศาสตรแนวพุทธ
เพราะฉะนั้น เราจึงพูดวา การที่มีกฎหมายหรือมีวินัยนี้ ก็เพื่อเปน เครื่องสรางสภาพเอื้อตอการที่คนจะพัฒนาตน คือพัฒนาความสามารถที่ จะมีชีวิตที่ดี เพราะเราถือวา มนุษยเปนสัตวที่ตองเรียนตองศึกษา ไมใชวา มนุษยจะมีชีวิตที่ดีไดเลยทันที และยิ่งกวานั้น ยังมีคุณคาดีงามสูงสงขึ้น ไปที่ชีวิตมนุษยควรจะไดจะถึงยิ่งขึ้นไปๆ อีก เปนอันวา การตั้งกฎเกณฑ หรือกติกาสังคมนี้ ๑. เพื่อสรางสภาพที่มนุษยจะอยูกันดวยความสงบเรียบรอยเปนอันดี ๒. เพื่อใหสภาพที่สงบเรียบรอยนั้น เปนเครื่องเกื้อหนุนตอการที่ มนุษยเหลานั้นทุกๆ คนจะเขาถึงชีวิตที่ดีงามยิ่งๆขึ้นไป คือเปน การสรางสภาพเอื้อตอการที่บุคคลจะไดพัฒนาความสามารถที่จะ มีชีวิตที่ดี กฎหมายไมไดมีขึ้นเพียงเพื่อสรางสภาพเอื้อตอการมีชีวิตที่ดีเทานั้น แต สร างสภาพเอื้ อต อการที่ เขาจะพั ฒนาความสามารถที่ จะมี ชี วิ ตที่ ดี ยิ่งขึ้นไปดวย มองในแงของพระพุทธศาสนา ขอหลังนี้สําคัญกวา คือการ จัดสรรสภาพที่เอื้อตอการที่บุคคลจะไดพัฒนาความสามารถที่จะมีชีวิต ที่ดี เพราะเราถือตามความจริงของธรรมชาติวามนุษยเปนสัตวที่ตอง เรียนรู ตองฝก ตองศึกษา จึงจะสามารถมีชีวิตที่ดีงามตอไป ถามองงายๆ เราอาจจะคิดวา ขอใหกฎหมายสอดคลองกับหลัก ศีลธรรมก็แลวกัน เมื่อคนมีศีลธรรมไดก็ดีแลว คือเรายอมรับวาศีลธรรม เปนหลักที่ดีอยูแลว เราจึงคิดวาจะทําอยางไรใหศีลธรรมมีผลปฏิบัติใน สังคม เพราะว าหลัก เกณฑ ของศี ล ธรรมนั้ น ไมมี เ ครื่ องบั งคั บ อาจจะ ไมไดผล จึงตองเอากฎหมายมาชวย ยกตัวอยางเชน เราถือวาศีล ๕ ดีแลว ถาคนประพฤติตามศีล ๕ หมด สังคมก็เรียบรอย แตทําอยางไรจะใหคนประพฤติตามศีล ๕ นั้น ก็
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๑๒๓
ตองตรากฎหมาย รัฐก็เอาใจใสวางกฎเกณฑกติกาขอบัญญัติขึ้นมา เพื่อ จะใหศีลธรรมไดผล กฎหมายจึงสอดคลองกับระบบศีลธรรม แตที่จริง ลึกลงไปไมใชเพียงแคนั้น ศีล ๕ ก็เปนขอฝกคน คือแต ละขอเปนเพียงสิกขาบทเทานั้น เราจะเอากฎหมายมาบังคับใหคนมีศีล ๕ ยังไมถูก แตทําอยางไรจะเอากฎหมายมาชวยใหคนพัฒนาตนใหมีศีล ๕ หรือสรางสภาพเอื้อตอการที่คนจะ(พัฒนาตนให)มีศีล ๕ เพื่อจะได
สามารถเขาถึงชีวิตที่ดีงามยิ่งขึ้นไป เพราะฉะนั้น เราจะตองมุงในแงวา จะทําอยางไรใหคนมีโอกาสพัฒนาความสามารถที่จะมีชีวิตที่ดีตางหาก เราตองการอันนี้ เมื่อมองในแงนี้จึงถือวา การสรางสภาพแวดลอมที่เอื้อตอการศึกษา เพื่อใหคนพัฒนาความสามารถที่จะมีชีวิตที่ดี เปนเรื่องที่สําคัญอยางยิ่ง การจัดระบบกิจการอะไรตางๆ ของสังคมจะมีจุดหมายรวมอยูที่นี่ ในเรื่องนี้ สังคมจะตองเอาอยางใดอยางหนึ่ งในการที่จะตองมี จุดหมายที่ดีงามชัดเจน ถาไมมีการสรางความรความเขาใจและกําหนด จุดหมายที่ชัดเจนไว ก็จะมีจุดหมายที่ไมรตัว ซึ่งเปนการเสี่ยงตออันตราย เพราะอาจจะเปนจุดหมายที่ไมเคยนึกถึงและไมเคยยกขึ้นมาตรวจสอบ และกลายเปนจุดหมายที่ผิดพลาดก็ได ทุกคนมีความเขาใจเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษยอยในใจของตน อย า งใดอย า งหนึ่ ง แม ไ ม ไ ด พู ด ออกมาและไม ชั ด แก ต นเอง แต เ วลา ตัดสินใจทุกครั้ง จะตองมีความเขาใจนี้แฝงกํากับอยูเบื้องหลัง ถาความ เข าใจและความม งหมายนี้ ไม ได รั บการพั ฒนาและไม เคยจั บยกขึ้ นมา ตรวจสอบ ก็อาจกอความผิดพลาดได และก็จะกลายเปนการสรางผลรายแก สังคมโดยไมรตัว
๑๒๔
นิติศาสตรแนวพุทธ
เปนอันวา เมื่อเราจะสรางสภาพเอื้ออยางที่วานี้ เราก็จึงจัดตั้งชุมชน ขึ้นมา ชุมชนที่มีสภาพเอื้อตอการศึกษาของคนคืออยางไร ถาใชศัพท พระก็คือ “ชุมชนแหงกัลยาณมิตร” หมายความวา บุคคลที่มาอยูดวยกัน เริ่มตั้งแตองคพระศาสดาหรือ ผนํา เปนกัลยาณมิตรคือผที่จะชวยเกื้อหนุนผอื่นในการที่จะพัฒนาชีวิตได ดี ใหเปนชีวิตที่เจริญงอกงามมีความสุขยิ่งขึ้น พระภิกษุทั้งหลายที่มาอย ด ว ยกั น ก็ คื อมาช วยกั น มาเอื้ อต อกั น มาอุ ดหนุ นกั น ให แ ต ละบุ คคล พัฒนาตนใหเขาถึงชีวิตที่ดีงามยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นเราจึงสรางชุมชนแหง กัลยาณมิตรขึ้น ด ว ยการกํ า หนดวางหรื อ บั ญ ญั ติ สิ ก ขาบทเหล า นี้ สิ ก ขาบท ทั้ ง หลายจึ ง เป น ทั้ ง ข อ ฝ ก คน และเป น เครื่ อ งมื อ สร า งชุ ม ชนแห ง กัล ยาณมิตร ให บุคคลที่ เข ามาอยูร วมกันเป นป จ จัยเอื้ อตอกัน ในการ เขาถึงชีวิตที่ดีงาม ก็คือ เพื่อการศึกษานั่นเอง เพราะฉะนั้น สังฆะ คือชุมชนนี้ จึงมีประโยชนที่จะใหชีวิตของแต ละบุคคลไดรับประโยชนจากสังฆะ เมื่อแตละคนไดประโยชนจากสังฆะ แตละคนนั้นก็ตองเปนสวนประกอบหรือสวนรวม ที่จะตองชวยเอื้อเฟอ เกื้ อตอสั งฆะดว ยเช น กั น เป น การเอื้อ ต อ กัน ระหวา งสังคมกั บบุ ค คล ไมใชขางเดียว คือ ไมใชบุคคลเพื่อสังคม หรือสังคมเพื่อบุคคล เราสรางสังคม/สังฆะขึ้นมา เพื่อใหมีสภาพเอื้อตอการที่บุคคลนั้น จะพัฒนาตัวไดดวยดีสการเขาถึงชีวิตที่ดีงาม และสังฆะนั้นจะดํารงอย ดวยดี ก็ดวยการที่บุคคลแตละคนนั้นเปนสวนรวมที่ดี เพราะฉะนั้น จึงมี หลักการและบทบัญญัติวา แตละบุคคลจะตองมีความสัมพันธกับสังคม/ สังฆะที่เปนสวนรวมนั้นอยางไร และก็จะมีหลักการขึ้นมาอยางหนึ่งใน แงที่เกี่ยวกับวินัยวา พระภิกษุจะตองถือสังฆะเปนใหญ คือถือสวนรวม เปนใหญ
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๑๒๕
มีพระดํารัสของพระพุทธเจาเองวา “เราเคารพธรรม (คือถือหลักการแหงความจริงความ ถูกตองดีงาม ตัวกฎธรรมชาติ) แตเมื่อสงฆเติบใหญขึ้น เรา (องฺ.จตุกฺก.๒๑/ ก็เคารพสงฆดวย” ๒๑๒๕)
เพราะฉะนั้น เมื่อสังฆะคือชุมชนสงฆขยายใหญขึ้น พระพุทธเจา จึ ง ทรงมอบอํ า นาจให ส งฆ ตอนแรกพระพุ ท ธเจ า ทรงตั้ ง สั ง ฆะขึ้ น พระองค ท รงบวชให แ ก ผ ข อเข า มาในสั ง ฆะ ด ว ยพระองค เ อง ใคร ตองการจะเขามาในสังฆะ พระองคก็ทรงรับเอง ทรงพิจารณาคุณสมบัติ เอง แตเมื่อสังฆะใหญขึ้น พระพุทธเจาทรงมอบอํานาจใหสังฆะบวช จึง ตองตั้งกฎเกณฑและระเบียบการดําเนินการในการบวชขึ้นมา เชนวา ๑. ตองมีที่ประชุม องคประชุมตองมีภิกษุ ๑๐ รูปขึ้นไป คือ กําหนดองคประชุม ๒. ตัวผที่ขอบวช ตองมีคุณสมบัติดังนี้ๆ ๓. มีวิธีดําเนินการบวช เชน เมื่อเริ่มการประชุม จะตองมีภิกษุรูป หนึ่งที่มีสติปญญาความสามารถ ทําหนาที่เปนผดําเนินการประชุม เปนผ ซั ก ถามคุ ณ สมบั ติ ข องผ ข อเขา มาเป น สมาชิก ใหม ทั้ ง ซ อ มขา งนอกที่ ประชุม แลวซักถามเอาจริงในที่ประชุม ใหท่ีประชุมพิจารณาตรวจสอบ วาผูนี้มีคุณสมบัติที่จะบวชไดหรือไม จะยอมรับเขาสูสงฆไดหรือไม พรอมนั้นก็ใ หมีอุปชฌาย เปนตัวประกันที่จะใหความมั่นใจแก สงฆวา ผูที่เขามาบวชนั้นจะไดรับการศึกษาอยางแนนอน ไมเควงควาง เลื่อนลอย นี้คือการบวช ซึ่งเปนเรื่องของสังฆกรรม แตมาปจจุบันนี้มักเหลือ เพียงเปนพิธี จนกระทั่งผูที่เขาไปรวมกิจกรรมนั้นไมรูวาทําอะไรกัน แต ที่จริงคือการรับสมาชิกใหม ซึ่งตองมีการตรวจสอบคุณสมบัติ
๑๒๖
นิติศาสตรแนวพุทธ
เนื่ องจากพระพุ ทธเจ าเองทรงให ถื อสั งฆะเป นใหญ พระองค ก็ เคารพสงฆ จึงทรงมอบอํานาจใหสงฆดําเนินการ เริ่มแตกําหนดใหมีองค ประชุมวา การที่จะทํากิจการระดับนี้ตองใชองคประชุมเทานี้ เชน ถาสวด ปาติโมกข ตองใช ๔ รูปขึ้นไป ถารับกฐินตอง ๕ รูปขึ้นไป ถาจะบวช ภิ ก ษุต อง ๑๐ รู ป ขึ้ น ไป ต อมาก็ มี อ นุ บั ญ ญัติ วา ในถิ่ น ไกลชายแดน ที่ เรียกวาปจจันตประเทศ หาพระยาก และพระที่จะไปก็เปนผที่ไดผานการ ฝกอบรมมาดีพอสมควรแลว จึงยอมลดหยอนใหวา ใหองคประชุมมีพระ เพียง ๕ รูปได เปนตน ที่วา มานี้ เปนเรื่องชีวิตของสงฆ แตขอสําคัญก็คือ ใหภิกษุถือสงฆ เปนใหญ พระพุทธเจาก็ทรงเคารพสงฆ เพราะฉะนั้นพระภิกษุจะตองถือ ประโยชนสวนรวมเปนใหญ พระภิกษุ แมแตเปนพระอรหันต เมื่อมีกิจการของสวนรวมเกิดขึ้น ถาไมมาเขาที่ประชุม ก็อาจถูกลงโทษ มีพระอรหันตถูกที่ประชุมลงโทษ ในประวัติของพระพุทธศาสนาหลายองค อยาไดนึกวาพระอรหันตพน โทษ ในแงของธรรมทานพนโทษคือไมมีกิเลส แตในแงของวินัยไมพน วินัยตั้งอยูบนฐานของธรรม และเพื่อธรรม แตแยกออกเปนคนละ เรื่องกัน ธรรมเปนเรื่องของความจริงแทในธรรมชาติ สวนวินัยเปนเรื่อง ของสมมติเพื่อหนุนธรรม แตสมมติไมจําเปนตองรอธรรม คนทํากรรมชั่ว ฝายธรรมวามีกฎธรรมชาติเปนกฎแหงกรรม เขา จะไดรับผลตามกรรมของเขา แตวินัยไมรอ วินัยจึงตั้งกรรมสมมติขึ้นมา และนําผกระทําความผิดเขามาในกลางที่ประชุมและลงโทษ วินัยไมรอ ธรรม จึงไมรอกรรมตามธรรมชาติ วินัยจึงจัดการทันที ในเรื่องนี้ยังมีชาวพุทธที่เขาใจไมคอยถูกตองวา ใครทํากรรมชั่ว เราไมตองทําอะไร เดี๋ยวเขาก็ตองรับผลกรรมของเขาเอง การมองอยางนี้ แสดงวาพลาดแลว
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๑๒๗
ในพระพุทธศาสนามีหลักการ ๒ อยาง คือ ธรรม กับ วินัย ในเรื่อง ของสังคม ถาผิด วินัยจัดการทันที หมายความวา วินัยมีวิธีดําเนินการ เพื่อใหธรรมสําเร็จเปนผลในสังคม มิฉะนั้น ในที่สุด ถาเราไมเอาใจใส การปฏิบัติตามธรรมก็จะคลาดเคลื่อนไป และสังคมก็จะคลาดจากธรรม อยางไรก็ตาม จะตองทําความเขาใจลึกลงไปอีกขั้นหนึ่ง กลาวคือ แทจริงนั้น ที่พูดวา “วินัยไมรอธรรม” เชน เมื่อมีภิกษุทําความผิด วินัย และสงฆ จ ะไม ร อให ก รรมแท ต ามกฎธรรมชาติ แ สดงผล แต สงฆ จ ะ นําเอากรรมสมมติตามวินัยมาใชจัดการกับภิกษุนั้นทันที การที่พูดอยางนี้ นับวาเปนสํานวนพูดในระดับหนึ่ง จะตองไมเขาใจผิดไปวามนุษยแยกตัวเองพนเหนือกฎธรรมชาติ ได เพราะวาการจัดตั้งตางๆ โดยสมมติ และปฏิบัติการตางๆ ในทางวินัย ทุกอยางนั้น แทที่จริงก็คือความสามารถพิเศษของมนุษย ที่นําเอาปจจัย ในฝายของตนเองเขาไปเปนสวนรวมในกระบวนการแหงเหตุปจจัยของ ธรรมชาติ เพื่อใหบังเกิดผลดีแกมนุษยในทางที่ดีงามพึงปรารถนา พูดอีกอยางหนึ่งวา วินัย หรือระบบสมมติทั้งหมด ก็คือการที่มนุษย นําเอาปญญาและเจตจํานง ซึ่งเปนคุณสมบัติธรรมชาติอันวิเศษที่ตนมีอยู มาเพิ่มเขาไปเปนปจจัยพิเศษในกระบวนการแหงเหตุปจจัยของธรรมชาติ เพื่อใหกระบวนการของเหตุปจจัยนั้น ดําเนินไปในทางที่จะกอใหเกิดผลดี แกชีวิตและสังคมของตน โดยสอดคลองกับปญญาและเจตจํานงของมนุษย นั่นเอง ปญญา และ เจตนาหรือเจตจํานงที่ประกอบดวยคุณสมบัติตางๆ นั้ นก็ เป นธรรมชาติ นั่ นเอง แต เป นธรรมชาติ ด านนามธรรม และเป น ธรรมชาติสวนพิเศษ ซึ่งเกิดขึ้นดวยการฝกศึกษาพัฒนาที่เปนศักยภาพของ มนุษย
๑๒๘
นิติศาสตรแนวพุทธ
พูดสั้นๆ วา วินัย คือการนําเอาปญญาและเจตนาที่เปนธรรมชาติ พิเศษของมนุษย เขาไปรวมเปนปจจัยที่จะผันแปรกระบวนการแหงเหตุ ปจจัยของธรรมชาติ ใหเปนไปในทางที่จะเกิดผลดีแกตนในเชิงสังคม ความพิเศษและความประเสริฐของมนุษย ที่ทําใหเกิดวัฒนธรรม และอารยธรรมขึ้นมา อยูที่นี่ ถามนุษยไมรูจักใชคุณสมบัติเหลานี้ใหเปน ปจจัย ความเปนมนุษยจะมีประโยชนอะไร การที่ กิ จกรรมต างๆ ที่ เกิ ดจากป ญญาและเจตจํ านง/เจตนาของ มนุ ษ ย จะเป น ป จ จั ย ที่ มี คุ ณ ภาพและประสิ ท ธิ ภ าพ ซึ่ ง จะชั ก นํ า ให กระบวนการแหงเหตุปจจัยทั้งหลายดําเนินไปในทางที่จะกอใหเกิดผลดี แกมนุษยตามความตองการของปญญาและเจตจํานงไดจริงนั้น ยอมเปน ข อ เรี ย กร อ งหรื อ บั ง คั บ อย ใ นตั ว ว า มนุ ษ ย จ ะต อ งพั ฒ นาป ญ ญาและ เจตจํานงในจิตใจของตนอยตลอดเวลา เพื่อพัฒนาปจจัยตางๆ ใหนําไปสผล ที่ตองการไดจริง ขอยอนกลับไปย้ําวา บุคคลตองเกื้อหนุนตอสังฆะ โดยเคารพสงฆ คือถือสงฆเปนใหญ การที่อยูรวมกันในสังคมจะตองสงเสริมความเขมแข็ง มั่นคงของสังคมหรือสังฆะนั้น แลวสังฆะจะไดมารองรับหนุนบุคคลนั้น ให เจริญเติบโตขึ้ นไปได ถ าสั งฆะไม เจริญมั่ นคง ก็ จะไม เอื้ อให บุคคล เจริญเติบโต เพราะฉะนั้น จึงใหถือหลักการเรื่องถือสงฆเปนใหญและ หลักการเรื่องความสามัคคีเปนสําคัญ ตามหลักที่เรียกวา “สังฆสามัคคี” แปลวา ความพรอมเพรียงของสงฆ ถาสงฆไมมีความสามัคคีแลว สภาพ ชี วิ ต และระบบความเป น อยู ก็ จ ะไม เ อื้ อ ต อ การพั ฒ นาของบุ ค คล เพราะฉะนั้นจึงตองมีความสามัคคี ขอย้ําเรื่องความสามัคคีอีกหนอยวา สามัคคีมีความสําคัญอยางยิ่ง สําหรับชีวิตหม หรือการอยรวมกันเปนสังคม (เชน ขุ.อิติ.๒๕/๑๙๗/๒๓๘) โดยเฉพาะในระบอบประชาธิปไตย สามัคคีก็คือความพรอมเพรียงกัน
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๑๒๙
ความรวมแรงรวมใจกัน และความเปนอันหนึ่งอันเดียวกัน ที่เรียกวา เอกี ภาพ (แตไทยเรานิยมใชวา เอกภาพ) โดยทั่วไป เราจะมองเห็นคุณคาและความสําคัญของความสามัคคี ในแง ข องความมี พ ลั ง คื อ เป น การรวมกํ า ลั ง กั น ตรงข า มกั บ ความ แตกแยกขัดแยงที่ทําใหสูญสิ้นกําลัง เมื่อสามัคคีกนั คน ๒ คน มารวมกับ คนอีก ๒ คน ก็เทากับ ๒+๒ เปน ๔ แตถาขัดแยงแตกแยกกัน คน ๒ คน มาพบกับคนอีก ๒ คน ก็เทากับ ๒-๒ เปน ๐ คุ ณค าแท ของสามั คคี ที่ สํ าคั ญมาก ซึ่ งเป นพื้ นฐานของวิ นั ยและ ประชาธิปไตย ก็อยางที่กลาวขางตน คือ ทําใหสังคมเกิดมีคณ ุ ประโยชนตาม ความหมายของมั น โดยเป น สภาพเอื้ อ อํ า นวยโอกาสแก ทุ ก คนที่ จ ะ ดํารงชีวิตของตนอยูดวยดี สามารถพัฒนาชีวิตของตนใหเขาถึงประโยชน สุขยิ่งขึ้นไป แตลึกลงไปอีก คุณคาและความหมายของสามัคคีที่มักไมไดนึกถึง กัน ก็คือ สามัคคีเปนฐานรองรับสมมติไว ถาไมมีสามัคคี สมมติก็อยู ไมได อารยธรรมก็สั่นคลอน เพราะสังคมมนุษยดําเนินไปไดดวยสมมติ และสามัคคีก็รองรับสมมติไว โดยทําใหคนยอมรับตามสมมตินั้น ถ า คนไม สามั คคี กั น ก็ จะเกิ ดการไม ยอมรั บตามสมมติ เช น ไม ยอมรับกรรมสิทธิ์ของผอื่นหรือของคกรณีที่ขัดแยงกัน ไมยอมรับสิทธิ ตางๆ ของคนพวกอื่นฝายอื่น ไมยอมรับกฎเกณฑกติกา ตลอดจนกฎหมาย จึงทําใหเกิดความสับสนวนวายระส่ําระสาย จนถึงอาจจะทําใหสังคม ดํารงอยไมได ในทางกลับกัน ถาสมมติไมตั้งอยบนฐานแหงธรรม หรือไม เปนไปตามธรรม ก็จะทําใหคนทะเลาะวิวาทกัน ไมสามารถรวมจิตรวม ใจกัน และยอมรับสมมตินั้นไมได แลวความขัดแยงแตกสามัคคีก็จะ
๑๓๐
นิติศาสตรแนวพุทธ
เกิดขึ้น ถาเปนไปอยางรุนแรงหรือแพรหลาย ก็จะนําไปสความเสื่อม สลายของสังคม จึงเปนเรื่องสําคัญยิ่ง ที่จะใหสมมติที่เปนหลักของสังคมตั้งอยูบน ฐานแหงธรรม และเปนไปโดยชอบธรรม เพื่อใหเกิดความสามัคคี แม หากวาสมมตินั้นขัดตอผลประโยชนของบุคคลบางคน แตถาสมมตินั้น ชอบธรรม มี ธ รรมเป น ฐานรองรั บ เขาก็ ไ ม อ าจปฏิ เ สธสมมติ นั้ น ได พรอมกันนั้น ก็ตองมีการพัฒนาคนอยเสมอเพื่อใหรวมสามัคคีในการที่ จะยอมรับและปฏิบัติตามสมมติที่ชอบธรรมนั้นๆ ถาคนไมยอมรับความจริงในธรรมดาของธรรมชาติ เขาก็จะไดรับ ผลรายตามเหตุปจจัยในกฎธรรมชาติ แตถาเขาไมยอมรับสมมติ เขาก็จะ แตกสามัคคีกันในสังคมมนุษยเอง และผลรายก็เกิดแกเขาเนื่องจากความ แตกสลายของสังคมของเขานั้น พระพุทธเจาตรัสย้ําเรื่องสามัคคี ในทางสังคมนั้น นอกจากบัญญัติ สิกขาบทแลว ก็มีหลักการในดานธรรมที่จะอุดหนุนวินัยดวย พรอมทั้ง ในทางวินัยก็ทรงบัญญัติสกิ ขาบทขึ้นมาเพื่อสรางความสามัคคี ดั ง นั้ น ถ า พระเกิ ด ทะเลาะกั น ขึ้ น จึ ง ต อ งมี วิ ธี ร ะงั บ อธิ ก รณ คื อ ดําเนินคดี เพื่อตัดสินความผิด และลงโทษกัน ใหเสร็จสิ้นไป ไมใหตองรอ อยูอยางนั้น และถามีคดีเกิดขึ้นแตไมดําเนินการ ก็ตองเอาผิดกับพระที่ไม ดําเนินการอีก จะไปอางวารอใหกรรมจัดการ ไมมีทาง วินัยไมรอดวย วินั ย ก็มี กรรมที่ จะนํ ามาใชจั ดการไดทั นที (ดูเรื่องสั งฆกรรมต างๆ ซึ่ ง รวมถึงนิคคห-กรรมจํานวนมาก ในพระวินัยปฎก) เปนอันวา กรรม มี ๒ แบบ คือ ๑. กรรมในธรรม ที่เปนกฎธรรมชาติ ๒. กรรมในวินัย ที่มนุษยสรางขึ้นโดยสมมติ
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๑๓๑
ในทางวิ นั ย ถ า พระทํ า ผิ ด ชุ ม ชนคื อ สงฆ ก็ มี ก รรมสมมติ ที่ พระพุทธเจาทรงบัญญัติไวเปนสิก ขาบท ที่จะนํามาใช จัดการไดทัน ที และตองจัดการโดยไมรอกรรมในกฎธรรมชาติ ทั้งนี้เพราะวา ถึงตอนนี้ เราไดนําเอากรรมสมมติ ที่เกิดจากปญญา และเจตนาของมนุ ษย มาเป นป จ จั ยร วมที่ เพิ่ มเข าไปเป นกรรมในกฎ ธรรมชาติดวยแลว
-๒หลักแหงปฏิบัติการ ถาคนอยูในหลักการ ก็ไมตองมีกฎหมาย ถากฎหมายไมใชเพื่อหลักการ ก็ไมควรใหเปนกฎหมาย กฎหมายแม จ ะมี ค วามสํ า คั ญ แต ก็ ไ ม เ พี ย งพอและไม เ ป น หลักประกันวาจะทําใหชีวิตดีงามและสังคมมีสันติสุขได โดยเฉพาะใน สั ง คมประชาธิ ป ไตย ที่ มี แ ละยอมรั บ ความแตกต า งหลากหลายของ ประชาชน คนจะต อ งมี ค วามเป น อั น หนึ่ ง อั น เดี ย วกั น โดยหลั ก การ พื้นฐานและจิตใจที่เขากันได เชน ไมแบงแยกรังเกียจเดียดฉันทกันดวย เรื่องชนชั้น ผิวพรรณ เชื้อชาติ และลัทธิศาสนา มีความเสมอภาค ไมเอา รัดเอาเปรียบกัน เปนตน สังคมจึงจะมีความมั่นคงยั่งยืนอยูได ฉะนั้น สามัคคีหรือเอกีภาพจึงเปนหลักการพื้นฐานที่สําคัญอยาง ยิ่งในการดํารงรักษาสังคม และจะตองมีหลักความประพฤติปฏิบัติตางๆ ที่จะทําใหเกิดความสามัคคีเชนนั้น การที่สังคมบัญญัติวินัยคือกฎหมายตางๆ ขึ้น ก็เพื่อมาหนุนใหคน ดํารงอยในหลักการตางๆ เหลานั้น อันจะทําใหสังคมหรือสังฆะมีความ เป นอั นหนึ่ งอั นเดี ยวกั นแล วจะได มี ความมั่ นคงยั่ งยื นและมี สั นติ สุ ขตาม วัตถุประสงค หลัก การต างๆ เพื่ อดํ ารงรั กษาสั งคมนั้ น เท ากั บเป น สาระหรื อ เจตนารมณของกฎหมาย ถาคนยึดถือและปฏิบัติตามหลักการเหลานั้น ก็ แทบจะพูดไดวาไมจําเปนตองมีกฎหมาย นอกจากในความหมายวาเปน
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๑๓๓
ขอหมายรอยางที่กลาวขางตน หลักการตางๆ เหลานี้ นอกจากนํามาเปน หลักในการบัญญัติขอกฎหมายแลว บางทีก็มีอยในรูปที่เปนคติธรรม หรือหลักคําสอน ธรรมที่เปนหลักการทั่วไปซึ่งไมไดบัญญัติไวเปนสิกขาบทในทาง วินัยมีหลายอยาง ที่เปนเครื่องสนับสนุนใหเกิดความสามัคคีในชุมชน แห ง กั ล ยาณมิ ต ร เช น หลั ก สาราณี ย ธรรม เป น ต น ซึ่ ง ถื อ ได ว า เป น หลักการของประชาธิปไตย ขอยกมาเปนตัวอยาง หลัก สาราณียธรรม ๖ ประการ (สารณียธรรม ก็เรียก) คือ ๑. เมตตากายกรรม จะทําอะไรก็ทําตอกันดวยเมตตา ทําดวยใจ รักหวังดี เชน เมื่อมีเรื่องที่ตองจัดทํา หรือมีงานสวนรวม ก็มาชวยเหลือ รวมมือกัน พรอมเพรียงกันทําเพื่อประโยชนสวนรวม ดวยหวังดีที่จะให เกิดประโยชนสุขตอกัน ๒. เมตตาวจีกรรม จะพูดอะไรก็พูดตอกันดวยเมตตา พูดดวยใจ รัก หวังดี มีปยวาจา ชวยแกปญหา มุงใหเกิดความสามัคคีและประโยชน สุขรวมกัน ๓. เมตตามโนกรรม จะคิดอะไรก็คิดตอกันดวยเมตตา คิดดวยใจ รัก หวังดี คิดในทางที่จะแกไขปญหา ในทางสมัครสมานประสาน สงเสริม หรือเอื้อเฟอชวยเหลือสนับสนุนกันเพื่อจุดหมายที่ดีงาม ยิ้มแยม แจมใสตอกัน ๔. สาธารณโภคิตา ไดมาแบงกันกินใช หลายคนเขาใจผิดวา พระพุทธศาสนาไม เอาใจใสเ รื่องวั ตถุ แตแ ทจ ริงพระพุทธศาสนาให ความสําคัญกับเรื่องลาภหรือผลประโยชนหรือดานเศรษฐกิจเปนอยางยิ่ง ถือวาตองจัดสรรใหเรียบรอยชอบธรรม แตใหอยูในขอบเขตที่เรียกวา เปน ปจจัย เพราะฉะนั้น เรื่องการแบงปนลาภและเอื้อเฟอกัน รวมถึง
๑๓๔
นิติศาสตรแนวพุทธ
เรื่องการจัดสรรผลประโยชน จึงเปนขอสําคัญอยางหนึ่งในหลักการอยู รวมกัน ๕. สีลสามัญญตา เสมอสมานกันโดยศีล ตั้งอยูในหลักความ ประพฤติเสมอกัน คลายกับที่พูดวามีความเสมอภาคกันตอหนากฎหมาย ทุ ก คนต อ หน า วิ นัย แล ว เสมอกั น ทั้ ง หมด แม แ ต เป นพระอรหั น ต ก็ ไ ม ยกเวน นอกจากมีกฎยกเวนใหเปนสิกขาบทโดยเฉพาะ จึงจะพนโทษ ทางวินัย ในเรื่องของวินัยจะอางธรรมไมได วินัยกําหนดไวใหเสมอภาค กั น และจึ ง ต อ งพยายามประพฤติ ตั ว ให เ สมอกั น โดยศี ล ไม ใ ห เ ป น ที่ รังเกียจแกชุมชน ๖. ทิฏฐิสามัญญตา เสมอสมานกันโดยทิฐิ หมายความวา ยึดถือ หลักการพื้นฐานและอุดมการณของสังคมรวมกัน ในสังคมใดคนไมมี หลักการรวมกัน ก็จะดํารงเอกภาพไวไมได เชน ในสังคมประชาธิปไตย ถาประชาชนไมยึดถือหลักการแหงประชาธิปไตยรวมกัน ก็ถึงอวสาน เพราะฉะนั้ น สมาชิ ก จึ ง ต อ งมี อุ ด มการณ และมี ห ลั ก การที่ เ ป น ทิ ฏ ฐิ พื้นฐานรวมกัน ธรรม ๖ ขอนี้เปนหลักแหงความสามัคคี ในระหวางบุคคลก็เปน ปยกรณ แปลวาสรางความรักกัน ครุกรณ สรางความเคารพกัน สารณียะ ทําใหระลึกถึงกัน หรือยึดเหนี่ยวใจกันไว และในแงสวนรวมก็เปนไป เพื่อสังคหะ คือทําใหรวมคนเขาเปนหมูอยูได เพื่ออวิวาทะ ทําใหไม วิวาทกัน เพื่อสามัคคี คือพรอมเพรียงกัน และเพื่อเอกีภาพ ที่เรียกวา เอกภาพ คือทําใหมีความเปนอันหนึ่งอันเดียวกัน นอกจากนี้ ยังมีหลักการอื่นอีก เชน อปริหานิยธรรม คือธรรมที่จะ ทําใหไมเสื่อม ซึ่งมี ๗ ขอ คือ ๑. ประชุมกันเนืองนิตย
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๑๓๕
๒. เมื่อประชุมก็พรอมเพรียงกันประชุม เมื่อเลิกประชุมก็อยจน เลิกโดยพรอมเพรียงกัน และเมื่อมีกิจสวนรวม คือสังฆกรณีย เกิดขึ้น ก็ ตองพรอมใจกันทํา ๓. ไมถืออําเภอใจแลวบัญญัติอะไรตามใจตัว หรือลมเลิกถอน บทบัญญัติอะไรตามใจชอบ ๔. เคารพนับถือยกยองบุคคลที่เปนหลัก ที่เรียกวา สังฆบิดร มองเห็นความสําคัญของถอยคําของทาน ในที่นี้ไมไดบอกวาตองเชื่อ แต ภิกษุใดเปนเถระ เปนรัตตัญู หมายความวา ไดมีประสบการณยาวนาน มีความรูเปนหลัก ตองมองเห็นความสําคัญของถอยคําของทาน และให สําคัญวาเปนสิ่งอันพึงฟง ไมลบหลูละเลยหรือมองขามไป ๕. ใหเกียรติและคุมครองสตรี ไมใหมีการขมเหงรังแกกุลกุมารี (น า สั ง เกตว า สั ง คมไทยเวลานี้ ได ทรุด ลงไปไกลในเรื่ องนี้ ถึ ง ขั้ นที่ มี โสเภณีเด็กแพรหลาย อยางที่ไมเคยมีไมเคยเปน; สําหรับหมูสงฆ ขอนี้ ทานใชวา ไมลุแกอํานาจตัณหา คือไมเห็นแกการบํารุงบําเรอปรนเปรอ เสพบริโภคและผลประโยชนสวนตัว ซึ่งสังคมคฤหัสถก็ควรจะปฏิบัติ ดวย) ๖. ใหความสําคัญแก เจดีย หรืออนุสาวรีย ซึ่งเปนสิ่งที่เคารพ เปน ที่รวมใจของสังคม และเปนเครื่องเตือนใจใหเกิดจิตสํานึกตอสวนรวม (สําหรับหมูสงฆ ขอนี้ทานใชวา มีใจผูกพันใฝชอบเสนาสนะปา) ๗. จั ด อารั ก ขาคุ ม ครองป อ งกั น แก พ ระอรหั น ต หมายความว า พระสงฆ หรือนักบวชที่ประพฤติดีปฏิบัติชอบ ไมประมาทมัวเมา เปน หลักใจของประชาชน เปนตัวแทนของคุณธรรม เปนหลักของศีลธรรม เปนผรักษาธรรมไวใหแกสังคม ใหถือเปนหนาที่ของบานเมืองจะตอง จัดการอารักขา คุมครองปองกัน และยินดีตอนรับทาน (ขอนี้สําหรับหมู
๑๓๖
นิติศาสตรแนวพุทธ
สงฆ ทานเปลี่ยนเปนวา ยินดีตอนรับเพื่อนสพรหมจารีที่ยังไมมา และ ตั้งใจตอทานที่มาแลวขอใหอยูเปนสุข) สําหรับคฤหัสถ คือคนทั่วไปที่อยูในสังคมใหญ ยังมีหลักธรรมอีก ชุดหนึ่งเรียกวา สังคหวัตถุ แปลวา หลักการสงเคราะห คือหลักการยึด เหนี่ยวประสานหมูชนใหอยูในความสามัคคี ซึ่งมี ๔ ประการ (สังคหะ แปลวา สังเคราะห หรือสงเคราะห ที่เราใชในความหมายวาชวยเหลือกัน แตคําศัพทเดิมแปลวารวมเขาดวยกัน) หมายความวา ในการที่จะผนึกให สังคมมีความมั่นคงเปนอันหนึ่งอันเดียวกันได คนจะตองมีธรรม ๔ ขอนี้ คือ ๑. ทาน การให การเผื่อแผแบงปน มีลาภหรือผลประโยชนก็ กระจายเฉลี่ยกันไป ๒. ปยวาจา การพูดดวยใจรักหวังดี กลาวถอยคําสุภาพไพเราะ รูจักใชวาจาแสดงน้ําใจ ที่จะแกปญหาและชวยเหลือกัน ๓. อั ตถจริยา การบํ าเพ็ ญ ประโยชน เอาเรี่ ย วแรงกํ า ลั ง ความสามารถเขาชวยเหลือรวมมือกัน ๔. สมานัตตตา การเอาตัวเขาสมาน มีความเสมอภาค ทําตัวใหเขา กันได โดยรวมสุขรวมทุกขกัน รวมกันเผชิญและแกปญหา ไมทอดทิ้ง กัน ไมดูถูกดูหมิ่นกัน ไมเอารัดเอาเปรียบกัน และไมเลือกที่รักผลักที่ชัง สม่ําเสมอสมานกันโดยธรรม สังคหวัตถุ ๔ นี้ แปลเปนภาษางายๆ ในแงของการชวยเหลือกัน เพื่อใหเกิดการประสานสังคม คือ ๑) ชวยดวยสิ่งของเงินทอง ๒) ชวยดวยถอยคํา เชน แนะนําคนใหรวิธีแกปญหาของเขา ให ความรู สั่งสอนวิชาการ เพื่อใหสามารถแกไขบําบัดความทุกข ยาก
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๑๓๗
๓) ชวยดวยเรี่ยวแรงกําลังความสามารถ ๔) ทําตัวเสมอสมาน คือ ทําตัวใหเขากันได โดยมีความเสมอ ภาคกัน ปฏิบัติตอกันอยางเสมอหนาตามธรรม ที่วามานี้เปนหลักที่จะรวมหมูชนใหอยูดวยกัน และทําใหสังคมมี ความเจริญมั่นคง แตเปนหลักที่ไมไดบัญญัติเปนสิกขาบทในวินัย จึงไม มีการกําหนดความผิดและไมมีการลงโทษ แตใหเปนหลักที่รูกันวาควร ประพฤติปฏิบัติ มีหลักปฏิบัติอีกชุดหนึ่ง ซึ่งพูดถึงกันมากวามีความสําคัญอยางยิ่ง สําหรับการดํารงรักษาสังคมใหมีความสงบเรียบรอย คือ ศีล ๕ และจะ เห็ น ได ว า บทบั ญ ญั ติ ใ นกฎหมายทั้ ง แพ ง และอาญาแทบทั้ ง หมด มี เจตนารมณตามหลักศีล ๕ นี้ อยางไรก็ดี พึงสังเกตวา ศีล ๕ นี้ที่จริงเปนสิกขาบท แตเปนสิกขาบท สํ าหรั บคฤหั สถ (ในวิ นั ย สํ าหรั บพระภิ กษุ ศี ล ๕ หรื อสิ กขาบท ๕ นี้ กระจายแยกออกไปเป นสิกขาบทย อยๆ มากหลายขอ และรวมอยู ใ น สิกขาบท ๒๒๗ ที่เราเรียกกันวาศีล ๒๒๗ ซึ่งมีบัญญัติความผิดแกผู ละเมิด) ในสังคมของชาวพุทธนั้น พระพุทธเจาไมไดทรงกําหนดความผิด และการลงโทษไวแกผละเมิดศีล ๕ เราพูดไดวาทางพระศาสนายกศีล ๕ นี้ใหเปนเรื่องของสังคมคฤหัสถ โดยเฉพาะทางฝายรัฐจะนํามาจัดแยก ซอยเปนขอกําหนดยอยๆ ลงไป ใหสอดคลองกับสภาพความเปนจริง ของแต ล ะถิ่ น ฐานและยุ คสมั ย ที่เ ปลี่ ย นแปลงตา งกั น ไป แล ว กํ า หนด ความผิดและการลงโทษตามที่เหมาะสมตามธรรม และเทาที่เปนมาจะ เห็นไดวา กฎหมายโดยทั่วไปในขั้นพื้นฐานมีสาระสําคัญเพื่อจะดํารง รักษาศีล ๕ หรือเพื่อดูแลไมใหคนละเมิดสิกขาบท ๕ ขอนี้
๑๓๘
นิติศาสตรแนวพุทธ
โดยนัยนี้ ศีล ๕ (สิกขาบท ๕) จึงเปนหลักปฏิบัติขั้นพื้นฐานเพื่อ ชวยใหสังคมอยในความสงบเรียบรอย แตการที่สังคมจะกาวไปสจุดหมาย แห ง การพั ฒ นาที่ ถู ก ต อ งดี ง ามแท จ ริ ง จะต อ งให ค นพั ฒ นาขึ้ น ไป เหนื อ กว าศี ล ๕ ที่ เป น เพี ย งระดั บ แก ไขป อ งกั น ความชั่ ว ร า ยและการ เบียดเบี ยนกั น ส หลั ก การเชิ งสร า งสรรค ต า งๆ ที่ ย กตั ว อย า งมาแสดง ขางตน อันควรจะเปนสาระและเจตนารมณที่แทจริงทั้งของกฎหมายและ การปกครอง เมื่อไดพูดถึง ศีล ๕ แลว ก็ควรจะนําขอยอยมาแสดงไวดวย ซึ่งมีดังนี้ ๑. การเวนจากปาณาติบาต (การไมละเมิดตอชีวิตรางกาย) ๒. การเวนจากอทินนาทาน (การไมละเมิดกรรมสิทธิ์ใน ทรัพยสิน) ๓. การเวนจากกาเมสุมิจฉาจาร (การไมละเมิดตอคครองของหวง) ๔. การเวนจากมุสาวาท (การไมละเมิดตอกันทางวาจา) ๕. การเวนจากสุรายาเมา (การไมดื่มสุราหรือเสพสิ่งเสพติด) ศีล ๕ (สิกขาบท ๕) นี้ มีสาระสําคัญที่มุงเพื่อใหคนอยูรวมกัน ดวยดีโดยไมเบียดเบียนกัน จะไดมีความสงบเรียบรอย ที่เปนโอกาส พื้นฐานแหงการพัฒนาชีวิตสประโยชนสุขที่สูงยิ่งขึ้นไป สําหรับ ๔ ขอแรก จะเห็นความหมายนี้ไดชัดเจน แตขอ ๕ ที่วา เวนจากสุรายาเสพติดที่จะทําใหเกิดความประมาทขาดสตินั้น มักมอง เห็นชัดแตในแงของโทษตอชีวิตของตัวผเสพเอง แตที่จริงในการจัดเขา ชุดแหงศีล ๕ นี้ ทานมุงความหมายเชิงสังคม ในแงสังคมนั้น การละเมิดศีลขอ ๕ คือ เสพสุรายาเมาสิ่งเสพติด กอความเสียหายหรือโทษภัยที่สําคัญ คือ
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๑๓๙
๑. คนเมาสุรายาเสพติด ขาดสติแลว จะทําการรายละเมิดศีลได หมดทุ ก ข อ ไม ว า จะฆ า คน ทํ า ร า ยกั น ลั ก หรื อ ทํ า ลาย ทรัพยสิน ทําความผิดทางเพศ พูดเท็จ ก็ไดทั้งนั้น ๒. กอใหเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งอาจจะกอความพินาศหรือความเสียหาย อยางมาก ๓. แมยังไมไดลงมือทําการรายใดๆ ก็เปนผคุกคามตอความรสึก มั่นคงปลอดภัยในสังคม เชน คนที่ขับรถไปในถนนหลวง พอมองเห็นรถที่กําลังแลนสวนมามีคนขับที่เมาเหลา หรือ ระแวงวาคนขับรถสิบลอที่กําลังแลนสวนมาเสพยามายาบา ก็จะเกิดความรสึกหวาดหวั่น พรั่นใจ รวมความวา สังคม โดยเฉพาะรัฐ จะตองจัดตั้งวางมาตรการทาง สังคม โดยเฉพาะการออกกฎหมาย ที่จะมาเปนประกันใหคนดํารงอยูใน ศีล ๕ หรือสิกขาบท ๕ นี้ พรอมทั้งสงเสริมใหคนยึดถือหลักการตางๆ ที่ กลาวแลวขางตน เชน สาราณียธรรม ๖ และสังคหวัตถุ ๔ เปนตน กลาวไดวา หลักการตางๆ เหลานี้และทํานองนี้ เปนสาระของวินัย หรือเป นเจตนารมณที่แทของกฎหมาย ถ าคนมีก ารศึกษาที่พัฒนาตน อยา งถูก ต อง ให มี ศรั ทธา เห็น คุ ณ คา พรอ มและเต็ม ใจ สมั ครใจที่ จ ะ ปฏิบัติตามหลักการเหลานี้ ก็ไมจําเปนตองมีการบัญญัติขอกําหนดของ กฎหมายหรือสิกขาบทในวินัย ในทางตรงข า ม การที่ มี สิ ก ขาบทหรื อ ข อ กฎหมาย ก็ เ พื่ อ เป น หลักประกันใหเกิดความมั่นใจวา จะมีการปฏิบัติใหเกิดผลตามหลักการ เหลานี้ ดังนั้น ถาคนไมปฏิบัติตาม หรือเคลื่อนคลาดจากหลักการมากขึ้น ก็ยิ่งตองมีการบัญญัติสิกขาบทหรือขอกฎหมายมากขึ้นๆ และมักจะตอง มีการบัญญัติความผิดและการลงโทษมากขึ้น หรืออาจจะหนักขึ้นดวย
๑๔๐
นิติศาสตรแนวพุทธ
เมื่อคนเปนวิญูรูสาระของกฎหมาย สังคมสงบสุขดวยกติกา งายๆ ครัน้ คนเสื่อมลงไป กฎหมายยิ่งบังคับซับซอน สังคมยิ่งเสื่อมทรุด เปนความจําเปนวา เมื่อคนมาอยูรวมกันตั้งแต ๒ คนขึ้นไป ก็ตองมี ขอตกลงที่กําหนดกันขึ้นไววา จะทําอะไร เมื่อไร อยางไร เปนตน เพื่อให ชีวิตแหงการอยูรวมกันดําเนินไปดวยดี เอื้อประโยชนตอทุกคนดวยกัน เพราะฉะนั้น ในสังคมที่คนมีการศึกษาพัฒนาดีแลว ที่เขาเขาใจความหมาย ของขอตกลงสําหรับการเปนอยและทํากิจการรวมกันเชนนี้ และมีจิตใจที่ พรอมจะปฏิบัติ การมีกฎหมายเพียงในความหมายวาเปนขอหมายร หรือ ขอกําหนดที่หมายรในการอยูรวมกัน ก็เปนการเพียงพอ (เรื่องนี้จะพูดถึง อีกขางหนา) ในภาวะเชนนี้ กฎหมายหรือขอหมายร จะเปนเพียงขอตกลง หรือ กติกาทางปญญา ซึ่งมีจํานวนจํากัดตามความจําเปนแหงกิจที่จะทํา และ เมื่อคนยังปฏิบัติกันดี ก็ไมตองมีสิกขาบทหรือขอกฎหมายมาก อยางไรก็ดี เมื่อคนขาดการศึกษาที่ถูกตอง ไมไดพัฒนาตน เขาไม เขาใจความหมาย ไมเขาใจเจตนารมณของกฎหมาย และไมพรอมที่จะ ปฏิบัติ เมื่อคนไมปฏิบัติตามขอหมายรูนั้น ก็ตองมีการบัญญัติขอกฎหมาย ในลักษณะที่เปนขอบังคับ ที่มีการกําหนดความผิดและการลงโทษ เพิ่มขึ้นๆ จนในที่สุดจะกลายเปนวา ยิ่งมีการบัญญัติขอกฎหมายมาก ชีวติ และสั ง คมกลั บ ยิ่ ง เสื่ อ มโทรม และในกรณี เ ช น นี้ การมี ก ฎหมายใน ความหมายวาเปนขอบังคับมาก กลับกลายเปนเครื่องบงชี้ถึงความเสื่อม โทรมของชีวิตและสังคม
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๑๔๑
เพราะฉะนั้น ในสังคมที่คนมีการศึกษาถูกตอง พัฒนาตนดีแลว ก็ จะมีกฎหมายแตเพียงที่เปนขอหมายร ไมตองเลยไปเปนขอบังคับ แต ต รงข า ม ในสั ง คมที่ ไ ม พั ฒ นา คนขาดการศึ ก ษา หรื อ เมื่ อ การศึกษาเสื่อมลง กฎหมายที่มีความหมายเปนขอบังคับ ก็จะเพิ่มมาก ขึ้นๆ โดยที่แมจะจําเปนเพื่อกันไมใหเสื่อมโทรมลงไปอีกๆ แตก็ไมชวย ใหชีวิตและสังคมดีงามขึ้นไดเลย อยางนอย ยิ่งมีขอบัญญัติมาก หลักการ ที่เปนสาระกลับยิ่งเลือนลางจางหาย เคยมีผูทูลถามพระพุทธเจาวา (ม.ม.๑๓/๑๗๑-๒/๑๗๔; และดู สํ.นิ.๑๖/๕๓๑-๕/ ๒๖๓)
“ขาแตพระองคผเจริญ อะไรหนอเปนเหตุเปนปจจัยที่ ทําใหเมื่อกอนโนน สิกขาบทมีนอยกวา แตภิกษุผดํารงใน อรหัตตผลกลับมีมากกวา ครั้นมาบัดนี้ สิกขาบทมีมากกวา แตภิกษุที่ดํารงในอรหัตตผลกลับมีนอยกวา” พระพุทธเจาตรัสตอบวา “เป น เช น นั้ น ภั ท ทาลิ เมื่ อ หมู ช นกํ า ลั ง เสื่ อ มลง เมื่ อ สัทธรรมกํา ลั งเลื อนหาย สิ กขาบทก็ มี มากขึ้ น แต ภิก ษุ ที่ ดํารงในอรหัตตผลกลับนอยลง ภัททาลิ พระศาสดาจะยังไมบัญญัติสิกขาบทแกสาวก ทั้ ง หลาย ตราบเท า ที่ อ าสวั ฏ ฐานิ ย ธรรม (เรื่ อ งเสี ย หาย วุนวาย) ยังไมปรากฏในสงฆ แตเมื่อใดมีอาสวัฏฐานิย ธรรมปรากฏในสงฆ เมื่ อ นั้ น พระศาสดาก็ จ ะบั ญ ญั ติ สิ ก ขาบทแก ส าวกทั้ ง หลาย เพื่ อ ขจั ด แก ไ ขอาสวั ฏ ฐานิ ย ธรรมเหลานั้น ภัททาลิ อาสวัฏฐานิยธรรมทั้งหลาย จะยังไมปรากฏใน สงฆ ตราบเทาที่สงฆยังไมถึงความเปนหมูใหญ . .
๑๔๒
นิติศาสตรแนวพุทธ
. ยังไมถึงความพรั่งพรอมดวยลาภ . . . ยังไมถึงความ พรั่งพรอมดวยยศ . . . ยังไมถึงความเปนพหูสูต . . . ยังไม ถึงความเปนรัตตัญู แตเมื่อใดสงฆถึง(ภาวะดังที่กลาวมา นั้น) เมื่อนั้นก็จะมีอาสวัฏฐานิยธรรมปรากฏในสงฆ และ เมื่ อ นั้ น พระศาสดาก็ จ ะทรงบั ญ ญั ติ สิ ก ขาบทแก ส าวก ทั้งหลาย เพื่อขจัดแกไขอาสวัฏฐานิยธรรมเหลานั้น” โดยนัยดังกลาวมา การศึกษาที่แท ในความหมายของการพัฒนา คนอยางถูกตอง จึงเปนเรื่องสําคัญยิ่ง และสัมพันธกับวินัย ไมวาจะใน ความหมายที่เปนกฎหมาย เปนระบบที่จัดตั้ง หรือเปนการปกครองก็ตาม ทั้งในแงที่วาจะตองมีการพัฒนาคนอยางถูกตองเพื่อใหมีการปฏิบัติตาม กฎหมายอย างถู ก ต อง และในแง ที่ วา วิ นั ยเช น กฎหมายเป น เครื่ อ งมื อ จัดสรรสภาพเอื้อโอกาสในการพัฒนาชีวิตของมนุษย เมื่อมีการศึกษาแทที่ทําใหคนพัฒนาอยางถูกตอง คนก็จะพรอมที่ จะปฏิบัติตามวินัยโดยเฉพาะที่เรียกวากฎหมาย(ที่ชอบธรรม) และคนที่มี การศึกษา ที่พัฒนาตนแลวอยางถูกตองนั้น ก็จะมองวินัย โดยเฉพาะ กฎหมายนั้นเปนขอหมายร ที่จะไดปฏิบัติใหถูกตอง ในการชวยกัน สรางสรรคสภาพชีวิตและสังคม ที่เอื้อตอการพัฒนาชีวิตสความดีงามและ ประโยชนสุขที่สูงยิ่งขึ้นตอไป สงฆเปนชุมชนแบบอยางที่พระพุทธเจาทรงจัดตั้งขึ้นตามหลักการที่ กลาวนี้ และพระพุทธเจาก็ทรงไดรับถวายคําสรรเสริญวา ทรงฝกคนและ ปกครองคนโดยไมตองใชทัณฑอาชญา (เชน วินย.๗/๓๘๑/๑๙๐; ม.ม.๑๓/๕๒๙/๔๘๓; ๕๖๕/๕๑๑)
นั ก ปกครองในอุ ด มคติ ตามหลั ก การของพระพุ ท ธศาสนา ที่ เรียกวาเปนจักรพรรดิ ซึ่งเปนธรรมราชา ก็เปนผที่ปกครองแผนดินโดย
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๑๔๓
ธรรม โดยไมตองใชทัณฑะ หรือศัสตราวุธ (เชน ที.สี.๙/๑๔๓/๑๑๕; ที.ม.๑๐/๒๘/๑๘; ที.ปา.๑๑/๓๔/๖๒)
ตามความหมายที่กลาวมานี้ การปกครองที่ดี คือการปกครองโดย ไมตองใชอํานาจบังคับ และกฎหมายที่ดี คือบัญญัติที่เปนขอหมายรใน การที่ จ ะเป นอยแ ละทํ ากิจ ในการมี ชี วิ ต ร ว มกั น ซึ่ ง ทั้ งหมดนั้ น ขึ้ นต อ ความสําเร็จในการปฏิบัติตามหลักการแหงการพัฒนาคน
จะรักษาธรรมใหแกสังคมได ตองรักษาดุลยภาพใหแกใจของตน มีอีกหลักหนึ่งที่เปนพื้นฐานลึกลงไปในจิตใจ คนเรานี้ถาไมมี พื้นฐานในใจ กฎหมายหรือวินัยจะกําหนดอยางไรก็ไมไดผลจริงจังยั่งยืน เพราะคนจะหาทางหลีกเลี่ยงกฎหมาย ตลอดจนสมคบกันหาประโยชน จากกฎหมาย อยางนอยก็ไมมีความยินดีเต็มใจพรอมใจที่จะปฏิบัติตาม และในที่ สุ ด กฎหมายก็ จ ะอยู ไ ม ไ ด วิ นั ย รวมทั้ ง กฎหมายจึ ง ต อ งมี คุณสมบัติในใจคนเปนฐานรองรับ ซึ่งจะเปนแรงจูงใจและเปนเครื่องผูก ใจใหคนประพฤติตามกฎหมายได นี่ เป นเหตุ ผ ลที่ ทํา ให ต อ งมี ก ารพั ฒ นาคน ถ าไม พั ฒ นาคน การ ดํารงสังคมก็ไปไมตลอด สังคมที่จะบัญญัติกฎหมายตางๆ ตองถือกฎหมายเปนตัวเกื้อหนุน คือจะตองถือเปน means ไมใชเปน end ถาเราถือกฎหมายเปน end ก็จบ แมแตถือความสงบเรียบรอยเปนจุดหมายก็ยังไปไมรอด เพราะขาดสาระ หรือตัวแกน คือการพัฒนาคน จะพั ฒ นาคนอย า งไร ก็ ต อ งทํ า ให ค นประพฤติ ป ฏิ บั ติ ทํ า การ ทั้งหลายดวยปญญา จากเจตนาที่ดี บนฐานแหงจิตใจที่มีคุณธรรม มี ความรับผิดชอบ และมีจิตสํานึกตอสังคม
๑๔๔
นิติศาสตรแนวพุทธ
พระพุทธเจาทรงแสดงหลักธรรมไวชุดหนึ่ง ซึ่งเปนทาทีพื้นฐานใน จิตใจของคนที่จะสรางสรรคและรักษาสังคมมนุษย ซึ่งไมใชเพียงแค รักษากฎหมาย แตเปนคุณสมบัติสําหรับบุคคลที่จะเปนผูมีสวนรวมใน การสรางสรรคและอนุรักษสังคมนี้ไว สังคมมนุษยนั้น มนุษยทุกคนตองมีสวนรวมในการสรางสรรค และอนุรักษ มิฉะนั้นก็จะพินาศ แมแตการที่จะรักษากฎหมายได ก็ตองมี ทาทีพื้นฐานในจิตใจมาเปนแกนใหกอน ทาทีพื้นฐานนี้ไมใชหลักธรรม ยากอะไร ก็คือหลักพรหมวิหาร ๔ นี่เอง พรหมวิหาร ๔ ขอนี้เปนทาทีที่สําคัญของจิตใจ แตในสังคมไทย เขาใจธรรมชุดนี้กันผิดพลาดมาก และปฏิบัติกันไมครบถวน หรือปฏิบัติ คลาดเคลื่อนจนทําใหเกิดผลรายบางอยาง “พรหมวิหาร” แปลวา ธรรมประจําใจของพรหม พรหม คือ เทพเจา สูงสุดในศาสนาพราหมณ ที่สรางโลกและอภิบาลโลก ในทัศนะของ พราหมณ เขาถือวามนุษยอยูกันไป พอถึงกัปปหนึ่งโลกจะพินาศ และ พระพรหมจะสรางโลกขึ้นมาใหม แลวพระพรหมก็ลิขิตชีวิตและจัดสรร สังคมมนุษยวาจะใหเปนอยูกันอยางไร แต พ ระพุ ท ธศาสนาไม ร อพระพรหม เราถื อ ว า ทุ ก คนมี ส ว น รับผิดชอบในการสรางสรรคและอภิบาลสังคม เพราะฉะนั้น ทุกคนตอง ทําตัวใหเปนพรหม โดยประพฤติตามหลัก ที่เรียกวา พรหมวิหาร ๔ ขอนี้ คือ ๑. เมตตา มีใจไมตรี ปรารถนาดี อยากใหเขาเปนสุข ๒. กรุณา พลอยสะเทือนใจ ทนนิ่งอยูไมไดที่จะเห็นทุกขของเขา ๓. มุทิตา พลอยยินดีในความดีงามความสุขความสําเร็จของเขา ๔. อุเบกขา วางใจเปนกลางตอทุกคนเพื่อรักษาธรรม
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๑๔๕
ทาทีพื้นฐาน ๔ ประการนี้เขาใจงาย เพราะเปนทาทีที่แสดงออก ต อ ผู อื่ น เพราะฉะนั้ น วิ ธี ที่ จ ะดู ค วามหมายก็ ดู ที่ ค นอื่ น คื อ ดู ต าม สถานการณที่คนอื่นเขาประสบ จึงจะรูวาเราจะใชพรหมวิหารขอไหน แลวความหมายก็จะชัดออกมาเอง สถานการณที่ ๑ เมื่อคนอื่นเขาอยูเปนปกติ เราก็มีเมตตา คือ มี ความหวังดี มีความรัก มีความเปนมิตร (เมตตา มาจากรากศัพทเดียวกับคํา วา มิตร คือคุณสมบัติของมิตรนั่นเอง ไดแกน้ําใจที่หวังดีอยากใหเขาเปน สุข) สถานการณที่ ๒ เมื่อบุคคลอื่นนั้นตกต่ํา คือ เขาเดือดรอนเปน ทุกขประสบปญหา เราก็มีกรุณา คือพลอยหวั่นไหวสะเทือนใจไปกับ ความทุกขของเขา อยากจะชวยบําบัดทุกขนั้น หรือยกเขาขึ้นมาจากความ ทุกขนั้น (จะเห็นวา เมตตากับกรุณาตางกันมาก) สถานการณที่ ๓ เมื่อบุคคลอื่นนั้นเปลี่ยนจากปกติและตกต่ําเปน ขึ้นสูง คือเขาประสบความสําเร็จ มีความสุข ทําอะไรๆ ไดดี หรือกาวไป ในความดีงาม เราก็มีมุทิตา คือพลอยยินดีดวยในความดีงามและ ความสุขความสําเร็จของเขา พรอมที่จะสงเสริมสนับสนุน สถานการณที่ ๔ ซึ่งสําคัญที่สุดที่จะรักษาสังคมไวได คือ เมื่อ บุคคลอื่นนั้นละเมิดธรรม หรือสมควรรับผิดชอบตอธรรม เราก็มีอุเบกขา คือวางใจเปนกลาง ไมขวนขวายชวยเหลือที่จะทําใหเสียธรรม โดยวางเฉย ตอบุคคลนั้น ใหเขารับผิดชอบตอธรรมและตามธรรม ดํารงอยูในความ สมเหตุสมผล ในข อ อุ เ บกขานี้ จะต อ งเข า ใจหลั ก ความจริ ง พื้ น ฐานก อ นว า เบื้องหลั งสังคมมี ธรรมรองรั บอยู คื อหลักการแหงความเปนจริงตาม ธรรมชาติ ความเปนเหตุเปนผลในสิ่งทั้งหลาย หรือความเปนไปตามเหตุ ปจจัย การที่มนุษยมีความสัมพันธกันดี ไมพอที่จะทําใหสังคมอยูได แม
๑๔๖
นิติศาสตรแนวพุทธ
มนุษยจะมีความสัมพันธกันดีใน ๓ สถานการณแรก แตถาเขาไมรักษา ธรรมไว สังคมก็อยูไมได แตจะวิปลาสคลาดเคลื่อนจนถึงความวิบัติ เพราะฉะนั้ น จึ งมี สถานการณ ที่ ๔ คือ ไม ว าความสั มพั นธ ของ มนุ ษย จ ะเป น อย า งไรก็ ต ามในสถานการณ ๑, ๒ หรื อ ๓ แต ถ า ความสั ม พั น ธ นั้ น ไปละเมิ ด ก อ ความเสี ย หายต อ ธรรมแล ว ก็ ม าถึ ง สถานการณที่ ๔ ซึ่งจะตองหยุ ดความสั มพันธนั้ น คือวางเฉย ไมชว ย ความสัมพันธระหวางบุคคลตองหยุด เพื่อรักษาธรรม นี้คืออุเบกขาซึ่ง เปนตัวรักษาหลักการของสังคม ไดกลาวแลววา เบื้องหลังความเปนไปในสังคมมนุษยที่เปนเรื่อง ของความสัมพันธระหวางคนดวยกัน ยังมีธรรม ที่เปนความจริงแหง ความถูกตองดีงาม ความที่ควรจะเปนตามเหตุผล ความเปนไปตามเหตุ ปจจัย หรือความเปนไปตามกฎธรรมชาติอีกชั้นหนึ่ง บนฐานแหงหลักความจริงแทตามกฎธรรมชาตินั้น เมื่อมนุษยเอา ความรูในความจริงมาตั้งเปนหลักการ เปนกฎเกณฑกติกาในสังคม เราก็ พลอยเรียกหลักชั้นสองที่มนุษยบัญญัตินี้เปน “ธรรม” ไปดวย เชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร ตั้งขึ้นเพื่อเรียนธรรมศาสตร ก็คือเรียนวิชา กฎหมาย นี่คือการที่กฎของมนุษยก็ถูกเรียกเปนธรรมไปดวย หลักการที่วามาทั้งหมดนี้ ไมวาระดับไหน จะเปนระดับความจริง ในธรรมชาติ หรื อ หลั ก การในสั ง คมมนุ ษ ย ก็ ต าม ถ า ความสั ม พั น ธ ระหวางมนุษยไปละเมิดหรือจะกอใหเกิดความเสียหายตอหลักการนั้น มนุษยจะตองหยุดความสัมพันธระหวางกันแลวเอาธรรมเปนใหญ และ ปฏิบัติไปตามธรรม คือ เฉยตอคนและปฏิบัติไปตามธรรม ฉะนั้น อุเบกขาจึงเปนขอธรรมใหญที่คุมทาย เพราะเปนตัวรักษา หลักการไว ถาไมรักษาหลักการนี้ สังคมมนุษยแมจะมีการชวยเหลือกันดี ก็ไปไมรอด เพราะสังคมนั้นสูญเสียดุลยภาพ กลาวคือ
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๑๔๗
๑. เมื่อคนมีน้ําใจตอกัน มีเมตตา กรุณา และแมแตมุทิตากันดี ก็มี ความอบอุนมีความสุขในการอยูรวมกันดี แตขอเสียจะเกิดขึ้นเนื่องจาก มนุษยจํานวนหนึ่งจะชอบหวังพึ่งผูอื่น โดยคิดวาถาเราเดือดรอนก็ไปหา ผู ใ หญ ค นนั้ น ได ไปหาญาติ ค นนี้ ไ ด เพราะฉะนั้ น เขาก็ ไ ม ดิ้ น รน ขวนขวาย สั งคมที่เ ปน เช น นี้ก็ จะทํ าใหค นจํานวนมากตกอยู ในความ ประมาท ออนแอ เฉื่อยชา หรือถึงกับเกียจคราน ๒. เมื่อเอาความสัมพันธระหวางบุคคลเปนหลัก ชอบชวยเหลือ กันเปนสวนตัว ก็อาจจะชวยกันจนเกินขอบเขต โดยไมคํานึงถึงหลักการ หรือความถูกตองชอบธรรม แมจะมีกฎเกณฑกติกาหลักการก็ไมเอา แต จะเลี่ยงหลีกหลบไป หรือมองขาม ตลอดจนทําลายกฎกติกานั้นเสีย เมื่อ เปนอยางนี้สังคมก็เสียหลัก ดวยเหตุนี้จึงตองมีอุเบกขาไวเปนประกัน เมื่ออุเบกขาเขามาคุม ก็ รั ก ษาดุ ล ของสั ง คมไว ไ ด ทํ า ให ค วามสั ม พั น ธ ร ะหว า งคนกั บ คน กั บ ความสัมพันธระหวางคนกับธรรมนี้สมดุลกัน ในทางตรงขาม ถามีแตขอสุดทายคืออุเบกขา ก็กลายเปนตัวใคร ตัวมัน เชน ในสังคมตะวันตก ฝรั่งมีชีวิตแบบตัวใครตัวมัน เมตตากรุณา นอย ไมคอยมีน้ําใจ แตยึดถือหลักการกฎเกณฑกติกาและกฎหมายเปน บรรทัดฐาน คุณจะทําอะไรก็ทําของคุณไป ฉันไมชวย ถาไมผิดกฎหมาย ฉันไมวาอะไร แตถาคุณทําผิดกฎหมายเมื่อไรฉันจัดการทันที ระหวาง นั้นฉันไมชวย เพราะฉะนั้น ถาคุณไมดิ้นรนขวนขวายคุณก็ตาย ในสังคมที่เนนอุเบกขาแบบนี้ ชีวิตจะขาดความอบอุน จะเครียด แหงแลง มีทุกขในจิตใจ เปนโรคประสาทและโรคจิตกันมาก แตเปนการ บีบคั้นคนใหตองดิ้น ก็เขมแข็งดี ทําใหเกิดความเรงรัดในการสรางความ เจริ ญ ก า วหน า พร อ มกั บ สามารถรั ก ษาหลั ก การและกฎเกณฑ ก ติ ก า ตลอดจนมีการปฏิบัติตามกฎหมายไดดี
๑๔๘
นิติศาสตรแนวพุทธ
ในครอบครัวที่พอแมมีอุเบกขามาก เด็กถาไมรายเสียคนไปเลย ก็ จะเปนคนแข็งแกรง ชวยตัวเองไดดี บุกฝาไปได แตอาจจะเหี้ยมเกรียม ในครอบครัวนั้น ถาพอแมมีแตเมตตา กรุณา มุทิตา มาก ขาด อุเบกขา เด็กจะออนแอ เลี้ยงไมโต ไมมีความเขมแข็ง ทําอะไรไมเปน รับผิดชอบตัวเองไมได ชอบพึ่งพา ถาอยางแรงก็เปนนักเรียกรอง เอาแต ใจ และไมรจักกฎกติกา ทุกคนมีชีวิตแหงความสัมพันธ ๒ ดาน ดานหนึ่ง เราสัมพันธอยู รวมกับเพื่อนมนุษยดวยกัน ซึ่งเราควรจะมีน้ําใจไมตรีชวยเหลือกันและ กัน และเราก็ชวยกันได แตอีกดานหนึ่ง เราอยูกับความเปนจริงของโลก และชีวิต ซึ่งเปนไปตามเหตุปจจัยของมันตามกฎธรรมชาติ ที่ไมเขาใคร ออกใคร ทุกคนจะตองปฏิบัติตอความเปนจริงนี้ดวยปญญา โดยพัฒนา ความรความสามารถของตนขึ้นมาเพื่อใหสามารถรับผิดชอบตนเองได ในดานนี้ ถึงแมมนุษยจะชวยกัน ก็ชวยกันไมไดจริง และทําใหกันไมได จะชวยกันไดก็ดวยการชวยใหเขาฝกฝนพัฒนาตัวเขาเองขึ้นมาจนพึ่งตัว ของเขาเองได ฉะนั้น จะตองระลึกไวเสมอวา มนุษยไมไดอยูกับมนุษยเทานั้น แตมนุษยนั้นตองอยูกับความเปนจริงของโลกและชีวิตดวย ทุกคนมีชีวิต ที่รับผิดชอบตอความจริงของกฎธรรมชาติ ถึงแมในดานมนุษยเราจะ ชวยเหลือกันดี พอแมจะรักและทําใหลูกทุกอยาง แตชีวิตและโลกนี้มัน ไมไดมาตามใจดวย มันมีกฎมีเกณฑมีกติกาแหงธรรมตามความเปนจริง ของมั น ซึ่ ง ทุ ก คนจะต อ งปฏิ บั ติ ต อ มั น ให ถู ก ต อ งตามเหตุ ผ ลด ว ย สติปญญาความสามารถที่จะตองพัฒนาขึ้นมาในตนเอง ดวยเหตุฉะนี้ ทุกคนจะตองรับผิดชอบตอธรรม คือความเปนจริง ของชีวิตและสังคม และเราจะตองฝกตองหัดกันใหมีความสามารถนี้
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๑๔๙
ฉะนั้นมนุษยจึงตองมีทาทีขอที่ ๔ คือ อุเบกขาไวคุมทาย ชีวิตจึงจะดี และ สังคมจึงจะอยูได สรุปวา อุเบกขาที่เกิดจากปญญา เปนดุลยภาพในจิตใจ ที่ชวยให เกิดผลภายนอก ๓ ดาน (ของเรื่องเดียวกัน) คือ ๑. ชวยรักษาบุคคล ดวยการสรางโอกาสใหเขารจักรับผิดชอบตอ เหตุผลและความเปนจริงของโลกและชีวิต เชน คอยดูแลใหเด็กทําการตางๆ ดวยตนเอง เพื่อชวยใหเขาพัฒนาตนเองใหเขมแข็ง คิดเปน ทําเปน เปนตน ๒. ชวยรักษาสังคม ดวยการสนองเจตนารมณของขอตกลง (สมมติ)ที่วางไว โดยปฏิบัติตาม เปนตน ทําใหเกิดความเสมอภาค เชน การที่ ทุ ก คนจะมี ค วามเสมอกั น ต อ หน า หลั ก การกฎเกณฑ ก ติ กาและ กฎหมาย เปนตน ๓. ชวยรักษาธรรม ดวยการทําใหมีการปฏิบัติตาม ไมถูกคนลวง ละเมิด ดํารงรักษาไวไดซึ่งความถูกตอง ความชอบธรรม ความดีงาม หรื อ อย า งน อ ยความสมเหตุ ส มผล (ซึ่ ง มั ก ถื อ เอาตามความลงตั ว โดย เหตุ ผล หรื อการลงความเห็ นตามเหตุผลและหลั กฐาน ที่เรี ยกว าความ ยุติธรรม อันไดแก ธรรมคือยุตติ หรือธรรมโดยยุตติ) อุเบกขาทําใหเกิดดุลยภาพภายในจิตใจแลว ก็คุมพรหมวิหารทั้ง ๔ ใหอยูในดุลยภาพดวย และจึงทําใหเกิดดุลยภาพในสังคมมนุษย ดวย การเอาความรักความเอื้อเฟอเกื้อกูลใหแกคน พรอมกับในขณะเดียวกันก็ เอาความถูกตองดีงามและความพอดีไวใหแกธรรมชาติและสังคม เมื่ออุเบกขารักษาธรรมไวใหแกสังคม หรือระหวางคนตอคนกับ ธรรมไวไดแลว ก็ตองไมลืมเหลียวแลที่จะปฏิบัติตอคนนั้นๆ ดวยเมตตา กรุณามุทิตา เทาที่ไมเสียหรือกระทบตอธรรมดวย ไทยเราเรียกผูทําหนาที่ตัดสินอรรถคดีวา “ตุลาการ” ซึ่งจะแปลวา ผมีอาการดุจตราชู ก็ได ผสรางตุลาคือสรางตราชูหรือสรางมาตรฐาน ก็ได
๑๕๐
นิติศาสตรแนวพุทธ
หมายความวา ดํารงตนคงที่ เที่ยงธรรม เปนมาตรฐานของสังคม เปน กลางตอทุก คน ทั้ งดี และราย สม่ํา เสมอในทุก กรณี ไมเลื อกที่ชอบใจ หรือไมชอบใจ ไมวาในสุขหรือทุกข วาไปตามที่เปนจริงตอทุกคนในทุก กรณี (ในภาษาบาลีทานใชคําวา “ตุลาภูตะ” แปลวา ผูเปนดุจตราชู มี คําอธิบายหลายแหง เชน วินย.อ.๓/๒๓๒; องฺ.อ.๒/๕๔; พุทฺธ.อ.๑๖๖-๗; จริยา.อ.๓๑๕ เปนตน) นี้คือภาวะที่จิตมีอุเบกขา เมื่อตั้งอยูในอุเบกขา ตัวของผปฏิบัติก็พรอมที่จะรักษาตนเองไว ไมใหลวง อคติ คือ การออกนอกทางที่ควรจะไป หรือความประพฤติ นอกทางแหงธรรม ที่แปลงายๆวา ความลําเอียง ๔ ประการ คือ (ที.ปา. ๑๑/๑๗๖๑๗๗/๑๙๕)
๑. ฉันทาคติ ลําเอียงเพราะ รัก หรือเพราะชอบกัน ๒. โทสาคติ ลําเอียงเพราะ ชัง หรือเพราะขัดเคือง ๓. ภยาคติ ลําเอียงเพราะ ขลาด หรือเพราะกลัว ๔. โมหาคติ ลําเอียงเพราะ เขลา หรือเพราะหลงผิดรูไมเทาถึงการณ∗ นี้คือภาวะแหงดุลยภาพในจิตใจของบุคคล ที่สงผลออกมาทําให รักษาดุลยภาพในสังคมไวได จะเห็นชัดวา พรหมวิหารสามขอแรกนั้นหนักในดานความรูสึก สวนขอที่สี่หนักดานความรู สามขอแรกหนักดานความรูสึกอยางไร เบื้องแรกเราพัฒนาคนให พนจากความรูสึกที่ไมดีมาสูความรูสึกที่ดีตอกัน ทําใหมีเมตตา เปนตน คือ ยามเขาเปนปกติ เราก็รสึกเปนมิตร เขาเดือดรอน เราก็รสึกสงสาร ∗
ลําดับเดิม คือ ฉันทาคติ โทสาคติ โมหาคติ ภยาคติ แตในที่นี้เรียงตามลําดับที่ตรัสสรุปไวในคาถา ซึ่งจํางาย กวา
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๑๕๑
เห็นใจ เขาไดดีมีสุข เราก็รสึกพลอยชื่นชมยินดีดวย ทั้งหมดนี้เปนดาน ความรสึก ซึ่งเมื่อสถานการณนั้นๆ มาถึง ก็พรอมทันที แตขอที่ ๔ คืออุเบกขา อาศัยความรสึกไมได ตองอาศัยความรู คือ ปญญาดวย เพราะฉะนั้นอุเบกขาจึงตองมากับปญญา เพราะตองรูวาอะไร คือความจริง อะไรคือความถูกตอง อะไรคือความดีงาม อะไรคือหลักการ แลวจึงจะปฏิบัติคือมีอุเบกขาได ฉะนั้น อุเบกขาจึงตองตั้งอยูบนปญญา เพราะฉะนั้น ในพระพุทธศาสนาจึงแยกวา อุเบกขามี ๒ ชนิด คือ อุเบกขาที่เปนกุศลนี้ กับอุเบกขาที่เปนอกุศล ซึ่งเรียกวา “อัญญาณุเบกขา” แปลวา เฉยโง คือเฉยไมรูเรื่อง ไมเอาเรื่อง แลวก็ไมไดเรื่อง เฉยในภาษาไทย เรามักจะมองแบบเฉยโง ซึ่งผิด เปนอกุศลธรรม ฉะนั้น เฉยในที่นี้ตองหมายความวา เฉยเพราะรูวาถาชวยเขาจะกลายเปนการ ทําลายธรรม จึงเฉยไมเอากับบุคคลนั้น เพื่อจะไดปฏิบัติใหเปนไปตาม ธรรม โดยเฉพาะผูพิพากษา จะตองมีทาทีอุเบกขานี้มากหนอย แมวาจะ สงสารหรืออยางไรก็โ อนเอนไมได ตองวาไปตามกฎกติกา และตาม หลักการ เพราะฉะนั้น อุเบกขาจึงเปนตัวรักษาธรรม เชนความเที่ยงธรรม ในสังคมไว ในหมูมนุษยจะตองมีธรรมขอที่ ๔ นี้ไวเพื่อรักษาธรรมวินัย ตลอดจนกฎเกณฑกติกา อยางที่วากฎตองเปนกฎ อะไรทํานองนี้
พฤติกรรมจะถึงภาวะแหงดุลยภาพ เมื่อจิตใจและปญญามาประสานอยางสมดุล อยางไรก็ตาม ที่วากฎตองเปนกฎ ก็ตองระวังเหมือนกัน เพราะกฎ มี ๒ ชั้น อยางที่วามาแลว คือกฎธรรมชาติ กับกฎมนุษย
๑๕๒
นิติศาสตรแนวพุทธ
กฎธรรมชาติซึ่งเปนความจริงแทที่มีอยูเปนอยูของมันตามธรรมดา นั้น เราตองรูและรใหชัดใหทั่วตลอด เพราะถาไมรูเราก็พลาด กฎไมผิด แตเราเองพลาด ส ว นกฎมนุ ษ ย นี้ ม นุ ษ ย สร า งขึ้ น มา เมื่ อ มนุ ษ ย ส ร า งเองก็ มี ท าง พลาด กลายเปนกฎที่ผิด เพราะฉะนั้น การที่จะเอากฎหมายเปนเกณฑก็ จะตองคอยตรวจสอบกฎหมายตลอดเวลาดวย โดยเฉพาะตองดูวามัน สอดคลองกับความเปนจริงของกฎธรรมชาติคือตัวธรรมหรือเปลา ฉะนั้น สําหรับกฎหมายคือกฎที่มนุษยตั้ง หรือวินัย จึงตองคอย ตรวจสอบความถูกตองสอดคลองและความไดผลตามกฎธรรมชาติหรือ ความจริงตามธรรมอยูเสมอ เพื่อใหบรรลุจุดหมายที่เปนธรรมนั้น ซึ่ง ตองอาศัยการที่รูทั้งหมด คือรทั้งดานกฎธรรมชาติ และรดานมนุษยทั้งแง บุคคลและสังคม การจะวางกฎหมายไดดี ตองรูเขาใจธรรมชาติ ทั้งธรรมชาติทั่วไป คื อ ความจริ ง แห ง ธรรมดาของสิ่ ง ทั้ ง หลาย และธรรมชาติ ข องมนุ ษ ย เข า ใจจุ ด หมายของชี วิ ต เข า ใจจุ ด หมายของสั ง คม ตลอดจนเข า ใจ จุ ด หมายของกฎหมายเอง ซึ่ ง ต อ งไปสอดคล อ งกั บ จุ ด หมายที่ ว า มา ทั้งหมดนั้น ถาไมเชนนั้น จุดหมายของกฎหมายก็พลาดได รวมความวา กฎหมายซึ่งเปนกฎมนุษยนี้จะตองมีการตรวจสอบ อยูเสมอ มิฉะนั้น แมแตอุเบกขาก็อาจจะพลาดเหมือนกัน ในกรณีที่เอา กฎหมายซึ่งเปนกฎชั้นรองมาใช เรื่องของกฎหมายมีทางพลาดไดทั้ง ๒ ขั้นตอน คือ ทั้งการบัญญัติ กฎหมาย และการใชกฎหมาย (ทั้งสองขั้นนี้เปนดานพฤติกรรม) และ ผิดพลาดดวยเหตุสําคัญ ๒ ประการ คือ ๑. ดานปญญา ไมรความจริง คือไมรเทาทันทั่วถึงธรรม คําวา “ธรรม” นี้มีหลายชั้น วากันถึงที่สุดก็คือตัวธรรมที่เปนความจริงใน
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๑๕๓
ธรรมชาติ ถาไมรูความจริงนี้ เชน ไมรูไมเขาใจชีวิตมนุษย และไมเขาใจ เหตุปจจัยในสังคม วาเวลานี้สังคมเปนอยางไร มีปญหาอยางไร กลไก ของปญหาสังคมเปนอยางไร การทําเหตุปจจัยอยางนี้ๆ จะกอใหเกิดผล ในสังคมสะทอนกันไปอยางไร ถาปญญาไมรูความจริงนี้เพียงพอ การ บัญญัติกฎหมายจะพลาดทันที เพราะฉะนั้นจึงตองรเขาใจความจริงของ ตัวธรรมทุกระดับ ตอจากปญญาที่รความจริงคือธรรม เชนเหตุปจจัยทั้งหลายแลว ก็ ยังตองมีปญญาในขั้นจัดตั้งวางวินัย คือ รจักจัดระเบียบระบบขึ้นมาอยาง ประสานสอดคลองและใหไดผลจริงตามธรรมนั้นดวย ๒. ดานเจตนา (คือดานจิตใจ) ถามีเจตนาแอบแฝง เชน คิดจะหา จะเอาผลประโยชนแกตัวหรือพวกของตัว หรือจะกลั่นแกลงทํารายคน อื่นพวกอื่น ก็จะทําใหพลาดอีกเหมือนกัน เพราะฉะนั้น การบัญญัติวินัยที่เปนกฎในระดับสังคมมนุษยจึงมี ทางผิดพลาด ที่ทําใหตองมีการตรวจสอบอยูเสมอ ๒ ชั้นดวยกัน คือ ๑. ปญญาเพียงพอหรือไม มีความรูความเขาใจทั่วตลอดและ วางแผนจัดตั้งไดสอดสมทั่วถวนไหม ๒. เจตนาเปนอยางไร ในการใชกฎหมาย ถาปญญาไมพอ ไมรความจริง หาความจริงไม ทั่วถึง ก็เกิดความผิดพลาด ถาเจตนาไมดี ก็อาจจะเลี่ยงหลบหรือเอา กฎหมายเปนเครื่องมือสนองเจตนารายนั้น ขอเพิ่ มเติ มในเรื่ อ งนี้ อี ก หน อย คื อ ในการใช กฎหมาย หรื อใช หลักการกฎเกณฑกติกา ดังไดกลาวแลววา ในทางวินัยหรือกฎหมายมี กรรมชนิ ด ที่ เป นสมมติ ซึ่ งทํ าใหไ มต องรอกรรมตามธรรมชาติ เพราะฉะนั้น เมื่อมีพระภิกษุทําผิดวินัย สงฆก็ตองดําเนินการ ถาใครละ
๑๕๔
นิติศาสตรแนวพุทธ
เวนก็มีความผิด แมแตภิกษุรูวาภิกษุรูปหนึ่งทําความผิดรายแรง แลวชวย ปกปดความผิดนั้น ก็เปนอาบัติ นอกจากในกรณีที่มีความผิดเกิดขึ้นแลว แมแตในยามปกติ ทุก ๑๕ วั น ก็ ต อ งมี ก ารประชุ ม ครั้ ง หนึ่ ง เพื่ อ ให ภิ ก ษุ ทุ ก รู ป ตรวจสอบความ ประพฤติของตนตามปาติโมกข คือประมวลกฎหมาย ที่เปนวินัยขั้น พื้นฐาน (ยังมีวินัยอีกระดับหนึ่งซึ่งวาดวยการจัดกิจการของสวนรวม อัน นั้นไมตองเอามาตรวจสอบกันในที่ประชุมนี้) คือเอาวินัยที่เปนขอ ประพฤติสวนบุคคลมาสาธยายในที่ประชุมทุก ๑๕ วัน ถามีใครทําผิดก็ จะตองจัดการทันที เชนมีการลงโทษ วิธีการลงโทษก็เปนเรื่องหนึ่งที่จะตองมีหลัก ขอเลาเรื่องในพระ สูตรเปนตัวอยาง (ม.อุ.๑๔/๑๐๕-๑๑๓/๘๙–๙๖) เมื่อพระพุทธเจาปรินิพพานใหมๆ พระอานนทยังอยู พระอานนท นี้ใกลชิดพระพุทธเจามาก วันหนึ่งวัสสการพราหมณ มหาเสนาบดีของ แควนมคธ เดินทางมาตรวจราชการงานเมือง ดูแลงานซอมแซมพระนคร มาถึงที่พระอานนทกําลังสนทนากับพราหมณคนหนึ่งคางอยู สนทนากันมาถึงตอนที่พราหมณถามวา มีพระภิกษุรูปใดบางไหม ที่มีคุณสมบัติพรอมทุกอยางเทากับพระพุทธเจา พระอานนทตอบวาไมมี เพราะพระพุทธเจาทรงเปนผคนพบและเปนผชี้แสดงมรรคา สวนสาวก ทั้งหลายเปนผูรูตาม ดําเนินตาม วัสสการพราหมณจึงถามตอวา พระพุทธเจาก็ทรงปรินิพพานไปแลว พระองคไดตั้งใครเปนหัวหนาปกครองสงฆตอไป พระอานนทตอบวา ไมได ตั้ง วัสสการพราหมณนี้เปนนักปกครองบริหารกิจการบานเมืองอย จึง ว า พวกท า นไม มี หัว หน า ไมมี ผู ปกครอง จะอยู ร ว มกั นไดอยา งไร ความพรอมเพรียงสามัคคีจะเกิดขึ้นไดอยางไร
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๑๕๕
พระอานนทก็ตอบวา พวกเราไมใชจะไมมีหัวหนา พวกเรายึดถือ ธรรมคือหลักการ พวกเราอยูกันดวยหลักการ คือยึดถือธรรม วัสสการพราหมณก็ถามตอไปวา ที่ทานวาอยูกันดวยหลักการ คือ ยึดถือธรรมนั้น หมายความวาอยางไร พระอานนทก็ตอบวา พระพุทธเจาทรงบัญญัติสิกขาบท วางวินัย แม บ ทเป น หลั ก อ า งอิ ง ไว แ ล ว เมื่ อ ถึ ง วั น อุ โ บสถ ๑๕ วั น ครั้ ง หนึ่ ง พระภิกษุที่อยูในทองถิ่นหนึ่งๆ ก็มาประชุมพรอมกัน ขอใหพระภิกษุรูป หนึ่งสวดสาธยายสิกขาบทที่วางไวเปนแมบทนั้น เมื่อมีพระทําความผิด สงฆคือที่ประชุม ก็ใหภิกษุรูปนั้นปฏิบัติตามกติกา การที่ปฏิบัติเชนนี้ไม ถือวาใครลงโทษภิกษุนั้น แตถือวาธรรมลงโทษเขา อันนี้เปนหลักการที่สําคัญ คือกฎเกณฑกติกามีอยูแลว สิกขาบทมี อยูวาดังนี้ ใครทําความผิด ที่ประชุมเพียงแตเปนสื่อ มาเปนตัวแทนของ หลักการ มาเปนปากเสียงใหแกหลักการ เพื่อจะใหหลักการที่วางไวมีผล ในเชิงปฏิบัติ ที่ประชุมและภิกษุทั้งหลายมาเปนกระบอกเสียงใหแกตัว หลักการนั้น แตเวลาที่ลงโทษถือวาหลักการลงโทษ ไมมีภิกษุรูปใดลงโทษ สวนที่วาพระพุทธเจาไมไดทรงตั้งภิกษุใดไวเปนหัวหนาปกครอง สงฆแทนพระองค แตภิกษุทั้งหลายก็มีภิกษุที่เคารพนับถือเปนหัวหนา นั้ น ก็ ห มายความว า พระพุ ท ธเจ า ทรงแสดงธรรมคื อ หลั ก การที่ เ ป น คุณสมบัติไว ภิกษุใดมีคุณสมบัติอยางนั้น ภิกษุทั้งหลายก็พรอมใจกันยก ภิกษุรูปนั้นขึ้นเปนที่เคารพนับถือเชื่อฟง นี่คือ การไมตั้งบุคคล แต ยึดถือหลักการ อันนี้ก็เปนแงของนิติศาสตรแนวพุทธ อีกเรื่องหนึ่ง คือผูพิพากษา จะตองทําใจและวางทาทีแบบนี้ คืออยาไปนึกวาเราเปนผูลงโทษ ถาคิด อยางนั้นก็ผิดแนนอน ผพิพากษาตองทําใจใหบริสุทธิ์ ปราศจากความร สึกที่เปนตัวเขาตัวเรา มีแตเจตนาที่รักษาธรรม และใชปญญาที่รความ
๑๕๖
นิติศาสตรแนวพุทธ
จริงถองแท ทําหนาที่เปนเพียงกระบอกเสียงใหแกตัวธรรมคือหลักการ และตัวบทกฎหมายเทานั้น เมื่อทําไดอยางนี้ ถามีการลงโทษ ก็คือกฎหมายลงโทษเขา กติกา ลงโทษเขา ตัวธรรมลงโทษเขา ถ า มี ใ จบริ สุ ท ธิ์ แ ละป ญ ญาถ อ งแท ถึ ง ที่ สุ ด แล ว ก็ เ ป น ตั ว ธรรม ลงโทษเขา นี่คือใหธรรมในระดับหลักการของมนุษยมาทําหนาที่ เพราะ ถารอใหธรรมในกฎธรรมชาติมาแสดงผล สังคมอาจจะวิปริตไปเสียกอน ก็ได เพราะฉะนั้ น เมื่ อ มนุ ษ ย มี ค วามสามารถในการจั ด ตั้ ง เราก็ ใ ช ความสามารถนั้นจัดสรรระบบของสังคมเพื่อจะดําเนินการใหเปนไป ตามธรรม โดยมุงใหมีประสิทธิผลในการที่สังคมจะอยูรวมกันดวยดี คน ที่ดําเนินการตามหลักการและกฎกติกาอยางนี้ ถือวาดําเนินการตามธรรม เปนสื่อใหแกธรรม เปนทางผานของธรรม หรือเปนกระบอกเสียงแก ธรรม ไมใชเปนผูไปทําอะไรของตนเอง และไมใชไปลงโทษเขา นอกจากนั้ น เมื่ อ เราปฏิ บั ติ ต ามกฎหมาย หรื อ ตามวิ นั ย โดยมี ความรู สึ ก ต อ กฎหมาย ด ว ยท า ที แ ห ง การปฏิ บั ติ ต อ กั น ระหว า งเพื่ อ น มนุ ษ ย ที่ มุ ง เพื่ อ จะรัก ษาธรรม ก็ จ ะเป น การปฏิบั ติ ด ว ยสภาพจิ ต ของ พรหมผูสรางสรรคอภิบาลโลก คือพรหมวิหาร ๔ ขอที่กลาวแลวนั้น มนุษยจะมีทาทีตอกฎหมายตางกันเปน ๓ ระดับ ซึ่งตองขึ้นตอ การที่กฎหมายนั้นเปนธรรมหรือไมดวย ทาทีที่ ๑ คือความรูสึกแบบเปนเครื่องบังคับ ถือวาเปนความรูสึก ที่ต่ําสุด และจะไมยั่งยืน เดี๋ยวนี้เราชอบใชคําวายั่งยืน โดยเฉพาะในคําวา การพัฒนาที่ยั่งยืน กฎหมายก็จะไมยั่งยืน และสังคมนี้ก็จะไมยั่งยืน ถา มนุษยเต็มไปดวยความรูสึกวากฎเกณฑกติกาทั้งหลายเปนขอบังคับ ทาที ที่ ๑ คือทาทีความรสึกวากฎหมายเปนเครื่องบังคับ
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๑๕๗
ทาทีที่ ๒ เปนทาทีแบบพระพุทธศาสนาที่มองวา กฎเกณฑกติกานี้ เราบัญญัติจัดวางขึ้นมาเพื่อสรางสภาพเอื้อในสังคม ที่จะเปนโอกาสให คนพั ฒ นาความสามารถที่ จ ะมี ชี วิ ต ที่ ดี ง าม เพราะฉะนั้ น คนจะมอง กฎเกณฑกติกา วาเปนเครื่องฝกตน ดังที่เรียกวา สิกขาบท คือเปนขอฝก หรือขอเรียนรู ที่จะเอามาปฏิบัติดวยจิตใจที่รูสึกวาจะฝกตัวเอง หรือจะ เรียนรเพื่อจะไดปฏิบัติไดถูกตองใหเกิดผลดีตามวัตถุประสงค เพราะวา การที่เราจะเขาถึงชีวิตที่ดีงามได เราจะตองมีระบบความเปนอยูที่เอื้อ เมื่อมีความเขาใจอยางนี้ เขาก็จะมีความสํานึกตระหนักวา ระบบ ชีวิตแบบนี้เราตองทําใหได เมื่อเราทําไดแลวเราจะสามารถมีชีวิตที่ดี จาก นี้เขาก็เต็มใจและพรอมใจ ที่จะปฏิบัติอยางเปนการฝกตน ถามองกวางออกไปก็คือ ในสังคมนี้ การที่เราจะอยูรวมกันดวยดี เหตุผลก็มีอยูแลว วาเราจะตองมีความประพฤติกันอยางนี้ เพราะฉะนั้น เราจะตองพยายามปฏิบัติ มาฝกตัวกัน อยาถือเปนขอบังคับ เราจะตองฝก ตัว พัฒนาตัวกันจนกระทั่งอยูตัว จนกระทั่งเรามีความประพฤติอยางนั้น เปนธรรมดา มนุษ ยนี้ฝ กได เรี ยนรู ได เพราะฉะนั้น เมื่อทานเห็ นวากฎนี้ เขา สรางขึ้นเพื่อใหเกิดสภาพเอื้อตอชีวิตที่ดีงามของเราตอไป ถาเราอยากจะ มีชี วิ ต ที่ดี งาม เราก็ต องปฏิบั ติ ตามกฎนี้ เราต องมาฝก กั น เมื่อฝ ก แล ว ตอไปเราจะทําไดเปนธรรมดาไปเลย มันก็จะเปนสภาพชีวิตที่ดีงามเกิด ขึ้นมา สังคมก็บรรลุวัตถุประสงคที่จะเปนสภาพเกื้อกูลตอชีวิตของแตละ ตนดวย และสังคมเองก็อยูดีดวย ดั ง นั้ น มนุ ษ ย จ ะต อ งมองกฎกติ ก าเหล า นี้ เ ป น ข อ ฝ ก คื อ เป น สิกขาบทอยางที่วา ถาถึงขั้นนี้แลวมนุษยจะเริ่มพัฒนา ทาทีที่ ๓ มนุษยที่พัฒนายิ่งขึ้นกวานี้ จะไปถึงอีกระดับหนึ่งที่จะมี ปญญารูเขาใจวา กฎเกณฑกติกาของสังคมนี้ มนุษยวางขึ้นดวยเหตุผล
๑๕๘
นิติศาสตรแนวพุทธ
เพื่อจะใหอยูรวมกันดวยดี และจะไดมีสภาพเอื้อตอการพัฒนาชีวิตที่ดี งาม ดั ง ที่ เ ห็ น ได ชั ด ๆแล ว เพราะฉะนั้ น กติ ก าเหล า นี้ จึ ง เป น เพี ย ง เครื่องหมายรูวาเราจะอยกันอยางไรเทานั้นเอง เพื่อใหมีชีวิตที่ดีงาม และ ให สั ง คมมี ส ภาพที่ เ อื้ อ อย า งที่ เ ราต อ งการและอย า งที่ มั น ควรจะเป น เพราะฉะนั้น เราจึงตองปฏิบัติตามกติกาในการที่จะอยูรวมกันอยางนี้ เพราะฉะนั้น กฎหมายและกฎเกณฑกติกาจึงเปนเพียงขอหมายรู รวมกันวาจะเอาอยางไร มนุษยที่มีทาทีความรสึกขั้นนี้เรียกวาเปนคนที่ พัฒนาไปมากแลว พระอรหันตจะอยูดวยทาทีความรูสึกแบบนี้ แมแตพระอรหันตก็ตองมีกติกา คือตองมีวินัย ทําไมพระอรหันต ตองมีวินัย เพราะการอยูรวมกันตองมีระเบียบระบบ เชน จะมาฉันพรอม กันเวลาเชา ก็ตองวางกติกาวาฉันเวลาไหน จะเอาสิ่งใดเปนเครื่องนัด หมาย ถ าใช ร ะฆั ง จะตี กี่ ที ก็ ตกลงบั ญญั ติ กติ กาว า ถ าตี ระฆั ง ๒ ครั้ ง หมายถึงมีเหตุการณอยางนี้เกิดขึ้น ๓ ครั้งนัดประชุม ๕ ครั้งบอกเวลาฉัน ตลอดกระทั่งวาเมื่อมาแลวจะนั่งกันอยางไร จะทําอะไรกันอยางไร พูด สั้นๆ วาตองมีวินัย เพราะฉะนั้ น แม แ ต พ ระอรหั น ต ผู พั ฒ นาสู ง สุ ด แล ว ก็ ต อ งมี กฎเกณฑ ก ติ ก าของสั ง คม ไม เช นนั้ นก็ อยูด ว ยกัน โดยเรี ย บร อ ยด ว ยดี ไมได เพราะแทนที่จะเกิดมีโอกาส ก็กลายเปนเกิดความขัดของ เปนอันวา เมื่อมนุษยอยูรวมกัน ก็ตองมี social contract แต ความหมายอาจจะไมเหมือนของฝรั่ง๑ พระอรหันตคือมนุษยที่พัฒนา ๑
ในฝายตะวันตก บุคคลหลักที่เสนอแนวคิดเกี่ยวกับ social contract ๓ ทาน คือ Thomas Hobbes, John Locke และ Jean Jacques Rousseau แมจะมีทัศนะในเรื่องนี้ตางกันบาง แตกร็ วมลงเปน อยางเดียวกันในแนวคิดใหญของตะวันตก ที่มองมนุษยแยกตางหากจากธรรมชาติ และเห็นวาการจัดการ ทางสังคมอยางนี้ เปนเรื่องตรงขามกับภาวะของธรรมชาติ (ที่ปาเถื่อนไรขื่อแป) ซึ่งบุคคลตองยอมสละ
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๑๕๙
สมบูรณแลว มองกติกาเหลานี้ดวยความเขาใจดวยปญญาวา เปนเพียง เครื่องหมายรูรวมกัน เพื่อใหเราอยูรวมกันดวยดีเทานั้นเอง ถามนุษยพัฒนาถึงขั้นนี้ โดยมีความรูสึกตอกฎหมายอยางนี้ได ก็ เปนมนุษยที่พัฒนาแลว เรียกวาเปนผมีการศึกษา แตถามนุษยยังมองกฎหมายเปนเครื่องบังคับอยู ก็แสดงวามนุษย ยังไมมีการศึกษา หรือไมเชนนั้นก็มีกฎหมายที่เปนเครื่องบังคับเขาจริง คือกฎหมายไมเปนธรรม แตถากฎหมายเปนธรรม ก็แสดงวามนุษยไมมี การศึกษา จึงมองวากฎหมายเปนเครื่องบังคับ ถาคนมีการศึกษา อยางนอยก็จะมองวากฎหมายเปนเครื่องฝกตน เพื่อเปนปจจัยเอื้อตอการที่จะมีชีวิตที่ดีงามยิ่งขึ้นไป และ ถาเขาพัฒนายิ่งขึ้นไปอีกจนสมบูรณแลว ก็จะมองกฎหมายวาเปน เครื่องหมายรูรวมกัน ซึ่งตรงตามความหมายของสมมติที่แทจริง คือเปน เรื่องของมติรวมกัน การตกลงหรือรับรรวมกัน หรือยอมรับรวมกัน ดวย เหตุผลเพื่อความดีงามรวมกัน ทั้งของชีวิตแหงบุคคลและของสังคม พู ด มาถึ ง ตรงนี้ คงจะช ว ยให ม องเห็ น ความหมายที่ แ ท แ ละ ความสําคัญของ “สมมติ” พรอมทั้งวิธีปฏิบัติที่ถูกตองตอสมมตินั้น ที่วา ไมละเลย แตถือสําคัญ อยางรูเทาทัน ใชประโยชนไดถูกตอง โดยไมหลง ติดนั้น คืออยางไร (พึงศึกษาจากพุทธพจนในที่ตางๆ เชน ที.สี.๙/๓๔๒/๒๔๘; สํ.ส.๑๕/๖๕/ ๒๑)
สิทธิเสรีภาพของตนบาง เพื่อไดรับการคุมครองจากสังคมหรือจากผูปกครอง สวนทางพระพุทธศาสนา มองมนุ ษย เป นธรรมชาติ สวนพิ เศษที่ ฝก ศึ ก ษาได การจั ด การทางสั ง คมอย างนี้ ก็เป น การประสาน ประโยชนจากความจริงของธรรมชาตินั่นเอง มนุษยที่พัฒนาแลวจึงมีชีวิตจิตใจที่กลมกลืนกับกติกาทาง สังคมที่ตกลงจัดวางกันขึ้นนั้น
๑๖๐
นิติศาสตรแนวพุทธ
ถาประชาชนประพฤติตามกฎหมายดวยจิตสํานึกอยางหลังนี้ ก็พูด ไดวา สังคมบรรลุความสมบูรณแล วในแงของนิติศาสตร เพราะยอม หมายถึงการที่คนพัฒนาแลวอยางสมบูรณ จนทั้ง ๓ ดานของชีวิต คือ ทั้ง พฤติกรรม จิตใจ และปญญา มาบูรณาการประสานกันลงตัว ทางด า นป ญ ญาก็ ร เ ข า ใจเหตุ ผ ลและความมุ ง หมายของวิ นั ย ทางดานจิตใจก็มีความเต็มใจและรวมใจ พรอมทั้งทางดานพฤติกรรมก็ ปฏิบัติตามดวยดีอยางมีเหตุผล แตในความเปนจริง สังคมจะไมบรรลุภาวะนี้ เพราะเปนธรรมดา วา ในขณะหนึ่งขณะเดียวกัน มนุษยทั้งหลายยอมอยูในระดับการพัฒนา ที่ตางกันหลากหลาย อย า งไรก็ ต าม มนุ ษ ย จ ะปล อ ยตั ว ประมาทไม ไ ด จะต อ งเพี ย ร พยายาม อยางนอยใหมีคนจํานวนหนึ่งมีทาทีปฏิบัติในระดับที่ ๓ โดยให คนจํานวนมากที่สุดมีทาทีปฏิบัติในระดับที่ ๒ และใหคนที่มีทาทีปฏิบัติ ในระดับที่ ๑ มีจํานวนนอยที่สุด สังคมก็จะยังพออยูกันได และนับไดวา เปนสังคมที่ดี
ความเครงครัดในวินัย ประสานกับจิตใจที่ไมยึดมั่น คํานึงแตจะรักษาธรรมเพื่อประโยชนสขุ ของปวงชน กิจกรรมหรือขอยึดถือปฏิบัติที่ตกลงกันในสังคมมนุษย พระทาน ใชคําวา “สมมติ” ทั้งนั้น ตัวอยางเชน มีจีวรเกิดขึ้นในวัด พระภิกษุแตละรูปในวัดนัน้ มีสทิ ธิ สิทธิก็เปนของสมมติเหมือนกัน ญาติโยมอาจไดสิทธิมีของครอบครอง มากมาย แตพระมีสิทธิเพียงเครื่องใชที่เรียกวา บริขารนิดเดียว เชน มีไตร
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๑๖๑
จีวรที่ถือไดจริงๆ ชุดเดียว นอกจากนั้นแลวมีสิทธิครอบครองไดแค ๑๐ วันเปนอยางมาก เกินกวานั้นเก็บไมได แลวทีนี้จะทําอยางไร ถ า จี ว รเกิ ด ขึ้ น มากมาย ก็ ใ ห มี พ ระภิ ก ษุ รู ป หนึ่ ง เป น เจ า หน า ที่ สําหรับเก็บ เรียกวา จีวรนิทหกะ แปลวาภิกษุเจาหนาที่เก็บจีวร ภิกษุองคหนึ่งจีวรขาด อยากจะไดจีวรใหม จะไปหาภิกษุองคที่ เก็บก็ไมได เพราะองคเก็บไมมีหนาที่แจก ตองไปหาพระภิกษุอีกองค หนึ่งผูมีตําแหนงเรียกวา จีวรภาชกะ แปลวา ภิกษุเจาหนาที่แจกจีวร ภิกษุทั้ง ๒ รูปนี้ คือทั้งพระจีวรนิทหกะ (ผเก็บจีวร) และพระจีวร ภาชกะ (ผแจกจีวร) ตองไดรับแตงตั้งจากสงฆ โดยมีกฎเกณฑบัญญัติวา ตองมีคุณสมบัติพื้นฐานอยางนี้ๆ คือ ไมมีอคติ ทั้ง ๔ และรงานในหนาที่ โดยเขาที่ประชุมพิจารณาแลว ที่ประชุมตกลงมีมติรวมกัน แตงตั้งภิกษุ รูปนี้เปนผูเก็บจีวรหรือเปนผแจกจีวร การเลือกตั้งภิกษุรูปใดรูปหนึ่งขึ้นมาทําหนาที่อันใดอันหนึ่ง ใหมี ตําแหนงหนาที่อยางนี้ เรียกวา สมมติ คําวา “สมมติ” ของพระ ไมใชเปนเรื่องเหลวไหลอยางที่ญาติโยม เขาใจกัน แตเปนเรื่องที่จริงตามสมมติ คือตามที่ตกลงกันนั้น เมื่อภิกษุรูป นั้นไดรับการสมมติแลว ก็มีอํานาจหนาที่จริงๆ (ตามที่ตกลงกัน) ในการ ที่จะเก็บจีวร หรือในการที่จะแจกจีวร เปนตน อีกตัวอยางหนึ่ง การสรางโบสถจะตองมีนิมิต คือเครื่องหมายเขต เวลาผูกสีมาคือตกลงกําหนดเขตนั้น ก็เรียกวา “สมมติสีมา” สมมติ ก็คือ มติรวมกันดังที่กลาวแลว เรื่องของสังคมมนุษยนั้น เปนเรื่องของมติที่มนุษยจะตกลงกันวา จะเอาอยางไร เพราะฉะนั้น จึงเรียกวา “สมมติ” ทั้งสิ้น แตกลาวแลววา สมมติ เ ป นเรื่อ งที่ สํ าคั ญ มาก อารยธรรมของมนุ ษยตั้ง อยูบนฐานของ สมมติ เพราะมนุษยมีความสามารถในการสมมติ จึงสามารถทําการ
๑๖๒
นิติศาสตรแนวพุทธ
สรางสรรคอารยธรรมใหเจริญงอกงามขึ้นมาได เพราะเหตุที่สมมติเปน เรื่องจริงในระดับหนึ่ง และเปนเรื่องใหญทีเดียว ในพระพุทธศาสนา ทานจึงแสดงไวทั้งปรมัตถสัจจะ และสมมติสัจจะ การเขาถึงสมมติ คือการรเขาใจตามเปนจริงวา กฎเกณฑเปนตนนี้ เป น สิ่ ง ที่เ ราตกลงกั นกํ าหนดตั้ งขึ้น เพื่ อประโยชน บ างอย า ง เมื่ อเรามี เหตุผลในการตั้งกฎเกณฑขึ้นมาเพื่อประโยชนอันนี้ เราก็ตองปฏิบัติให ถูกตองตามสมมตินั้น เพราะฉะนั้น พระจึงมีลักษณะที่วายิ่งพัฒนาไปก็ จะยิ่งปฏิบัติตามวินัยไดเครงครัด อาจมีผูสงสัยวา ขอปฏิบัติตางๆ ที่เรียกวาการรักษาสิกขาบทนั้นก็ เปนขอฝกเทานั้น พระอรหันตเปนผฝกเสร็จแลว ไมตองฝกอีกตอไปแลว ทําไมจะตองปฏิบัติดวย ก็กลายเปนวาพระอรหันตยึดถือสมมติมากใชไหม ตอบวา ตามปกติคนเรานั้น แบงไดเปน ๒ ประเภท คือ ผูที่ยังฝก กับผูที่ฝกแลว หรือผูที่กําลังศึกษากับผจบการศึกษา หรือผูที่กําลังพัฒนา กับผูที่จบการพัฒนาแลว พระอรหันตนั้นจบการพัฒนาแลว แตปรากฏวา เปนผู ที่ถือวินัยจริงจังมาก เพราะอะไร มีเหตุ ผลในเรื่องนี้อยางน อย ๓ ประการ คือ ๑. เปนผูนํา พระอรหันตในฐานะที่เปนผูสมบูรณแลว จึงตอง ปฏิบัติตนเปนผูนําเขาในความเครงครัดในสิกขาบท ขอยกตัวอยางวา (วิน ย.๔/๑๕๓/๒๐๘) เมื่อครั้งที่พระพุทธเจาทรงบัญญัติใหพระภิกษุลง อุ โ บสถสวดปาติ โ มกข ทุ ก ๑๕ วั น มี พ ระอรหั น ต อ งค ห นึ่ ง ดํ า ริ ว า หลักการนี้บัญญัติขึ้นเพื่อจะตรวจสอบความบริสุทธิ์ เราเปนผูบริสุทธิ์ แลว ควรจะตองไปหรือไม พระพุทธเจาเสด็จมาถึงตัวเลยตรัสวา ถาเธอผู บริสุทธิ์แลวไมเคารพกฎ แลวใครจะเคารพกฎ ถาเธอผูบริสุทธิ์แลวไมถือ สําคัญ ใครจะเห็นสําคัญ เพราะฉะนั้น พระอรหันตจึงตองเปนผูนําใน การรักษาสิกขาบท
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๑๖๓
๒. เปนแบบอยาง ซึ่งก็อยูในฐานะผูนําดวยเหมือนกัน ทานเรียกวา ปฏิบัติเพื่อใหชนรุนหลังถือเปนแบบอยาง ขอนี้สําคัญมาก หมายความวา ไมใชปฏิบัติเพื่อตัวเอง เพราะตัวเองพัฒนาสมบูรณแลว สําหรับตัวเองทํา ใหพอแลว เต็มแลว เพราะฉะนั้น ตอนนี้ก็คิดแตจะทําเพื่อผูอื่น อะไรจะ เปนการดีแกคนรุนหลัง ก็ทําใหเปนตัวอยางไว ดังเชน พระมหากัสสปะ ทานแกมากอายุถึง ๑๒๐ ป แตทานก็ยัง ถือธุดงค เชน อยูปาเปนวัตร ถือผาบังสุกุลเปนวัตร เปนตน พระพุทธเจา เคยตรัสกับพระมหากัสสปะวา เธอถือธุดงคเครงครัดมาเปนเวลายาวนาน บัดนี้เธอก็ชราแลว เรี่ยวแรงกําลังก็ไมคอยมี ผาบังสุกุลนี้เนื้อไมดีและ หนักมาก เธอรับจีวรที่ญาติโยมถวายมาใชเถิด แตพระมหากัสสปะไดทูล ขอปฏิบัติถือธุดงคเชนนั้นตอไป พระพุทธเจาก็ตรัสถามวามีเหตุผลอะไร เพราะหากยอมใชจีวรเนื้อดีก็จะเบาสบาย พระมหากัสสปะชี้แจงเหตุผลวา เพื่อเปนแบบอยางแกคนรุนหลัง เรียกวา ปจฺฉิมา ชนตา ทิฏานุคตึ อาปชฺ เชยฺย แปลวา ประชุมชนภายหลังจักไดถือเปนแบบอยาง (สํ.นิ.๑๖/๔๘๑/๒๓๙) จะไดเปนไปเพื่อประโยชนสุขแกคนเหลานั้นเอง ๓. เปนการปฏิบัติเพื่อประโยชนสุขของพหูชน หรือเปนการรักษา ผลประโยชนของประชาชน เพราะวินัย กฎหมาย และกฎเกณฑกติกา ทั้งหลายนั้น เปนสิ่งที่บัญญัติขึ้นเพื่อประโยชนแกสวนรวม โดยเฉพาะ เพื่ อ สร า งสภาพเอื้ อ ต อ การสร า งสรรค พั ฒ นาชี วิ ต และสั ง คมที่ ดี ง าม ดังกลาวแลว พระอรหันตนั้นเปนผบรรลุประโยชนตนแลว ไมมีอะไรที่ จะตองทําเพื่อตนเองอีก ทานจึงปฏิบัติเพื่อผูอื่นและเพื่อสวนรวมไดเต็มที่ ตามคติ ที่ ว า พหุ ช นหิ ต ายะ พหุ ช นสุ ข ายะ โลกานุ กั ม ปายะ คื อ เพื่ อ ประโยชนสุขแกชนจํานวนมาก เพื่อเห็นแกประโยชนสุขของโลก อย า งในเรื่ อ งพระมหากั ส สปะ เมื่ อ ท า นทู ล ชี้ แ จงเหตุ ผ ลแล ว พระพุทธเจาก็ทรงประทานสาธุการวาทานปฏิบัติเพื่อประโยชนสุขของ
๑๖๔
นิติศาสตรแนวพุทธ
พหูชน (สํ.นิ.๑๖/๔๘๒/๒๓๙; ฯลฯ) ดวยเหตุนี้พระอรหันตจึงปฏิบัติเครงครัด ในพระวินัย นี้คือหลักการในการรักษาวินัย กฎหมาย และระเบียบแบบแผน ตางๆ ซึ่งคนที่อยูในระดับตางๆของสังคมควรจะมีทาทีที่ถูกตอง แต ปรากฏวาในสังคมไทยมีการยึดถือเขาใจผิดกันบอยๆ เชน บางทีมีการ อางวา พระภิกษุทานนั้นทานนี้เปนพระอริยะ ทานหมดกิเลสแลว ไมมี กิเลสแลว ทานจะทําอะไรก็ไดเพราะทานไมยึดมั่นถือมั่น เอาหลักความ ไมยึดมั่นถือมั่นมาอาง (รายหนึ่งถึงกับวาใหหญิงสาวนวดให) ญาติโยม หลายทานฟงแลววานาจะจริงนะ เพราะพระอรหันตทานไมยึดมั่นถือมั่น จะไปเอาอะไรกับสิ่งเหลานี้ ซึ่งไมจริงแทแนนอน เปนสิ่งสมมติ เปน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี่แหละ ระวังจะตกหลุม ที่วาตองระวังก็คือ ความไมยึดมั่นที่แท กับความไมยึดมั่นเทียม หรือความไมยึดมั่นอยางปลอม เปนคนละอยางกัน การที่พระอรหันต ทานไมยึดมั่นนั้น ทานไมยึดมั่นแทดวยปญญาที่รูความจริง แตในการ ดําเนินชีวิตทานยอมรับความจริงตามเหตุตามผล ไดกลาวแลววา สมมติ นั้น คือสิ่งที่มนุษยตกลงกัน มีมติรวมกัน โดยกําหนดวางไวตามเหตุผล เพื่อวัตถุประสงคที่เปนประโยชน ไมใช ตั้งขึ้นมาลอยๆ พระอรหันตอยูดวยปญญาที่เขาใจเหตุผลนั้น และทานไม มีอะไรที่เปนการเห็นแกประโยชนของตัวทานเองดวย เพราะฉะนั้นทาน จึ ง เป น ผู ที่ พ ร อ มที่ สุ ด ที่ จ ะปฏิ บั ติ ต ามสมมติ นี้ จึ ง กลายเป น ว า พระ อรหันตเปนผูพรอมที่สุด ที่จะปฏิบัติตามวินัยหรือกฎกติกาที่เปนสมมติ เพราะไมมีกิเลสที่จะทําใหเห็นแกตัวหรือทําเพื่อตัว ถ า คนยั ง เห็ น แก ป ระโยชน ส ว นตั ว กฎเกณฑ ก ติ ก าจะขั ด ขวาง ผลประโยชนของเขา อยางนอยก็ตามใจตัวที่ขี้เกียจทํา หรือเปนการไม สบายที่ ต อ งไปทํ า ตามกฎ กิ เ ลสเช น ความขี้ เ กี ย จ และความเห็ น แก
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๑๖๕
ประโยชนสวนตัวตางๆ เหลานี้ จะมาขัดขวาง ทําใหคนไมปฏิบัติตาม กติกาสังคม เพราะฉะนั้น คนที่ยังมีกิเลสจึงปฏิบัติตามกฎไดยาก สวน พระอรหันตทานหมดกิเลสแลว ทานไมมีเรื่องสวนตัวที่จะเขามากีดกั้น มาทําใหจิตใจตองฝนหรือหลบซอน ทานไมมีอะไรตองทําเพื่อตัวเอง แล ว ทานพร อมที่ จ ะทํ าตามสิ่ งที่ มีเหตุ ผ ลทุก อยา ง เพราะฉะนั้น พระ อรหันตจึงเปนผูนําในการปฏิบัติตามสมมติที่ชอบธรรม บางคนบอกวา อะไรมันก็ไมเที่ยงแทแนนอน อยาไปยึดมั่นถือมั่น มันเลย แลวก็ไมเอาเรื่องเอาราวอะไร กลับไปบานก็วาเงินทองไมใชของ เรา เปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ลูกก็ไมใชของเรา ภรรยาก็ไมใชของเรา บอกวาไมยึดมั่น นี่แหละ เจอความยึดมั่นอยางหนักเขาไปแลว ความยึด มั่ น เกิ ด ขึ้ น มาโดยไม ร ตั ว นี่ ก็ คื อ “ความยึ ด มั่ น ในความไม ยึ ด มั่ น ” เพราะว า ความไม ยึ ดมั่ นที่ เขาอ างนั้ น เป น เพี ย งความไม ยึ ด มั่ นที่ เป น concept หรือเปนสัญญาที่รับเอามาถือไว แลวก็ยึดมั่นวาฉันจะไมยึดมั่น เทานั้นเอง สวนความไมยึดมั่นที่แทจริง เกิดจากปญญาที่รูความจริงแลวใจไม ติด ใจเปนอิสระอยู แลวก็ปฏิบัติไปตามเหตุผลอยางจริงจังตามหนาที่ หรือตามเหตุผลที่ไดตกลงเห็นชอบรวมกัน เพื่อความดีงามบางอยาง มี อะไรเปนไป ใจก็ไมตกเปนทาส ไมถูกครอบงํา อันนี้สิที่สําคัญ สวนการ ปฏิบัติในทางรูปธรรมดําเนินตามแบบแผนกติกาที่ตกลงไว ถามันชอบ ธรรมสมเหตุสมผล ดังนั้น พระอรหันตจึงเปนผูปฏิบัติจริงจังตามสมมติ และเปนแบบอยางในการปฏิบัติตามวินัยอยางเครงครัด วินัยนี้ ในแงหนึ่งเปนการสรางแบบแผนชีวิตตัวอยางสําหรับผูที่ จะมีชีวิตที่ดีงามอยางนั้น เพราะฉะนั้นเราจะเห็นไดวา ทั้งที่พระพุทธเจา สอนหลักความไมยึดมั่น แตวินัยของพระทําไมกลับใหเอาจริงเอาจังกับ
๑๖๖
นิติศาสตรแนวพุทธ
สิ่งตางๆมากนัก นี่แหละวินัยเปนตัวแสดงใหเห็นชัดวา ในระบบการฝก มนุษยที่แทจริงนั้น ความไมยึดมั่นที่ถูกตองเปนอยางนี้ จะขอยกตัวอยางเกี่ยวกับความไมยึดมั่น ซึ่งอาจจะซอนกันอยูเปน ๒ ชั้น คือ ในชั้นที่ ๑ ทานสอนใหไมยึดติด เชน ไมเห็นแกลาภ ไมโลภ ไม หมายมั่นในการที่จะตองไดจีวรอยางนี้อยางนั้น ที่จะเอาแตใจ หรือจะมี ของในครอบครองใหมาก เพราะฉะนั้นจึงมีสิกขาบทในวินัยที่บัญญัติวา ใหภิกษุมีสิ่งของเครื่องใชไดจํากัดเทานั้นเทานี้ เพียงเทาที่พอแกการใช ประโยชนที่แทจริง ในเวลาเดียวกัน มองอีกขั้นหนึ่ง ก็จะเห็นความไมยึดมั่นในชั้นที่ ๒ คือสิ่งของอยางไหนที่ตกลง (สมมติ) วาเปนของทานแลว ทานตองมี ความรับผิดชอบอยางเต็มที่ ตัวอยางเชน วินัยกําหนดวา พระภิกษุรูปหนึ่ง(มีสิทธิ)มีจีวรไดชุด เดียว ดูจะเปนการไมใหความสําคัญแกเรื่องเสื้อผาอาภรณ จึงไมใหมีมาก แตพระจะบอกวา เรื่องจีวรนี้ไมสําคัญ ฉันไมยึดมั่นถือมั่น มันไมใชของ ของเราจริง เราเกิดมามันก็ไมไดติดมาดวย ตายแลวก็เอาไปไมได แลวก็ ไมเอาใจใส ปลอยสกปรก ไมซัก หรือวาปลอยใหขาดเปนรู ไมปะชุน พระภิกษุจะปลอยปละละเลยอยางนั้นไมได วินัย กําหนดไววา ภิ ก ษุป ล อ ยให จี ว รขาด ไม ป ะชุ น แม จะเป นรู เ ท า หลั ง เล็ บนิ้ ว ก อย ก็ มี ความผิด เปนอาบัติ (วินย.อ. ๒/๑๖๘) เอาละซิ จีวรผืนเดียว ตองรักษาอยางดี ขนาดนี้ ปลอยใหขาด ไมปะ ก็โดนปรับความผิดแลว ในทํ า นองเดีย วกั น ภิก ษุ มีจี ว รชุ ดเดี ย วต อ งรั ก ษาไว ใ ห ดี ถา อยู ปราศจากมันแมแตราตรีเดียว ก็เปนอาบัติ (วินย. ๒/๑๐/๗) ทานเรียกวาขาด ครอง ญาติโยมไมเขาใจหลักการนี้ก็จะพูดวา พระทําไมมายึดมั่นถือมั่น กะเรื่องจีวรแคนี้ สําคัญอะไรนักหนา
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๑๖๗
เพราะฉะนั้น จะตองเขาใจหลักการนี้ใหถูก วินัยเปนระบบแหงวิถี ชีวิตของการฝกตน ถาเรามองเห็นธรรม คือความจริงแทแหงความถูกตอง ดีงาม ที่เขามาสูวินัย คือระบบการจัดตั้งของมนุษย ในรูปของระเบียบ แบบแผนในการดําเนินชีวิตแลว ก็ผานตอนนี้ไปได จึงจะขอเลยตอไปสู เรื่องในระดับการบัญญัติและการใชกฎหมาย และเรื่องอื่นๆ อีกสัก ๓-๔ อยาง
ความยึดมัน่ กฎหมาย หลงติดในสมมติ จะกลายเปนภัย แตถาเขาถึงธรรมที่เปนฐานของกฎหมาย ก็จะกลายเปนนักนิติศาสตรที่ แท การบัญญัติกฎหมายซึ่งเปนกฎมนุษย มีขอที่ตองระวังหลายอยาง ขอระวังที่ ๑ ก็คือ การที่มนุษยจะแปลกแยกจากธรรมชาติ ซึ่งจะไมอธิบาย มาก แตจะเห็นไดจากตัวอยางที่ยกมาพูดตอนตนแลวในเรื่องกฎมนุษย กับ กฎธรรมชาติ ที่ซอนกันอยู ดั งได บอกแล วว า ที่ จริงนั้ น การที่ เราบั ญญั ติ กฎมนุ ษย ขึ้ นมา ก็ เพราะความตองการแทจริงของเราอยูที่กฎธรรมชาติ เราจึงบัญญัติกฎ มนุษยขึ้นมาหนุนการกระทําที่จะใหไดผลตามกฎธรรมชาตินั้น ทําไมเราจึงบัญญัติกฎมนุษยวาใหคนมาทําสวน ๑ เดือนแลวเราให เงินเดือน ๕,๐๐๐ บาท การที่กฎมนุษยเกิดขึ้นมานี้ เพราะแทจริงแลวมีกฎ ธรรมชาติอยูเบื้องหลัง คือเราตองการผลตามกฎธรรมชาติวา จะใหตนไม เจริ ญ งอกงาม จึ ง จัด ระบบให มี คนมาทํา สวน กฎมนุษ ย ว า ทํ า สวน ๑ เดือน ไดเงินเดือน ๕,๐๐๐ บาท ก็มาหนุนกฎธรรมชาติที่วา ทําสวน ทํา ใหตน ไมเจริญงอกงาม
๑๖๘
นิติศาสตรแนวพุทธ
ถามนุษยแปลกแยกจากกฎธรรมชาติ และหลงสมมติ คือติดอยูแค กฎสมมติเมื่อไร ชีวิตและสังคมจะเริ่มวิปลาสทันที เริ่มจากคนทําสวน ซึ่งมาทําสวนเพียงเพราะตองการผลตามกฎมนุษย คือ ตองการเงินเดือน ๕,๐๐๐ บาท เขาไมตองการผลตามกฎของธรรมชาติ ไมไดตองการให ตนไมเจริญงอกงาม อะไรจะเกิดขึ้น ผลเสียหรือความวิปลาสที่เกิดขึ้น คือ ๑. ในดานชีวิตของตัวบุคคลนั้นเอง คนทําสวนก็ไมมีความสุขใน การทําสวน เพราะเขาทําสวนดวยความฝนใจเนื่องจากเขาไมไดตองการผลที่ แทจริงของการทําสวน แตสิ่งที่เขาตองการคือเงิน การทําสวนจึงทําให เขาตองมาทรมาน ตองรอเวลาเดือนหนึ่งกวาจะไดเงินเดือน ซึ่งเปนภาวะ ที่แยจริงๆ เพราะฉะนั้นเขาจึงทําสวนดวยใจทุกขทรมานเต็มทีตลอดเวลา ๒. ในดานกิจการของสังคม ประโยชนสวนรวมก็เสีย เพราะวาเมื่อ คนทําสวนไมเต็มใจทําสวน นอกจากตัวเขาเองจะไมมีความสุขแลว ก็ยัง ไมตั้งใจทํางานอีก เมื่อไมตั้งใจทํา สังคมก็ไมไดประโยชนที่ควรจะไดจาก เขา กิจการของสังคมก็เสีย เพราะการทําสวนไมมีคุณภาพ และไมมี ประสิทธิภาพ นอกจากนั้น เมื่อคนทําสวนนี้แปลกแยกจากกฎธรรมชาติ ตองการ ผลแตตามกฎมนุษย และไมตั้งใจทําสวน สังคมมนุษยก็ตองตั้งกฎมนุษย ซอนเพิ่มเขามาอีก เชนจะตองดําเนินการตั้งคนคุมขึ้นมาเพื่อคุมคนทํา สวนคนนี้ แตนายคนคุมก็แปลกแยกจากกฎธรรมชาติ ตองการแตผลตาม กฎมนุษยอยางเดียว ก็เลยไมไดเรื่องอีก แลวก็ตั้งกฎซอนเขามาเปนชั้นๆ จนซับซอนอยางยิ่ง แตผลที่สุดก็ลมเหลวหมด การที่สังคมนี้ยังดํารงอยูได ก็เพราะคนเราบางสวนยังไมแปลก แยกจากธรรมชาติ ถามนุษยทั้งสังคมนี้แปลกแยกจากกฎธรรมชาติมาติด อยูกับกฎมนุษยอยางเดียวโดยหลงสมมติเมื่อไร สังคมนี้ก็จะปนปวน
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๑๖๙
วิปริต และชีวิตก็จะไมมีความสุข จะเสียคุณภาพชีวิต ดังเชนคนทําสวนที่ ทํางานดวยความทุกขทรมานดังกลาวมาแลว เวลานี้ มนุษยเ ริ่มเขาสู ร ะบบที่ติดสมมติ มากขึ้ น ระบบแขง ขั น หรือระบบผลประโยชนที่กําลังเขามา สงผลกระทบตอระบบทุกอยางของ สังคม ไมเฉพาะดานเศรษฐกิจ แมแตกฎหมายก็จะถูกกระทบดวย เพราะฉะนั้น นักกฎหมายจะตองทันตอแนวโนมนี้ดวย ระบบการแขงขัน หาผลประโยชนนี้เปนระบบที่เต็มไปดวยสมมติ และจะผลักดันใหมนุษย ทําการตางๆ เพื่อผลตามกฎสมมติอยางเดียว จนกระทั่งในไมชาคนก็จะ แปลกแยกจากธรรมชาติแทบจะสิ้นเชิง ดัง ตัว อยางที่ย กมาพูดบ อยๆ คือ เมื่ อคนตั้งโรงพยาบาลเอกชน ขึ้นมาโรงหนึ่ง ในขณะที่สังคมเขาสูระบบแขงขันหาผลประโยชนนั้น ถามวาอะไรเปนเครื่องวัดความสําเร็จของโรงพยาบาล คําตอบตามระบบ ผลประโยชนก็คื อ กําไรสู ง สุด เพราะเขาตั้ง โรงพยาบาลขึ้ น เพื่ อ ผลประโยชน เมื่อไดกําไรสูงสุดก็คือความสําเร็จ ถาไมไดกําไรสูงสุดก็ไม ประสบความสําเร็จ การตั้งโรงพยาบาลแลวทํ าใหไดกําไรสูงสุดนี้เปนเรื่องของกฎ มนุษย ซึ่งหมายถึงการที่การแพทยไดกลายเปนธุรกิจแลว จึงมุงไปที่การ ไดผลประโยชนตอบแทน แตตามกฎธรรมชาติ การแพทยคืออะไร ผล ของการแพทยคืออะไร การแพทยเปนเหตุ อะไรเปนผลตามกฎธรรมชาติ ตอบว า การที่ ค นหายโรค มี สุ ข ภาพดี เป น ผลตามกฎธรรมชาติ เพราะฉะนั้ น ความสํ า เร็ จ ของโรงพยาบาลตามกฎธรรมชาติ ซึ่ ง เป น ความสํ า เร็ จ ที่ แ ท จ ริ ง ก็ คื อ การที่ ไ ด ช ว ยให ผู ค นในสั ง คมนี้ ห า งเบา บรรเทาจากโรคภั ย ไข เ จ็ บ มี สุ ข ภาพดี ขึ้ น นี้ คื อ ความสํ า เร็ จ ตามกฎ ธรรมชาติ
๑๗๐
นิติศาสตรแนวพุทธ
พูดสั้นๆวา ความสําเร็จของมนุษยตามความหมายแหงกฎสมมติ คือ การไดกําไรสูงสุด แตความสําเร็จของมนุษยตามความหมายแหงกฎ แทของธรรมชาติ คือ การทําใหชีวิตดีงามมีความสุข สังคมสันติ และโลก เปนแดนเกษม ตอนนี้ ระหวาง ความสําเร็จตามกฎมนุษย กับความสําเร็จตาม กฎธรรมชาติ เราจะเลือกเอาความสําเร็จอยางไหน ในสังคมปจจุบันนี้ กิจการทุกอยางกําลังกลายเปนธุรกิจ แมแตการศึกษา เรากําลังจะมองกัน อยู แ ค ก ฎมนุ ษ ย และหลงอยู กั บ กฎสมมติ น้ั น ไม ว า จะทํ า อะไร ก็ มุ ง ผลสําเร็จที่กําไรสูงสุด ถาเปนอยางนี้จริงๆ แมแตแพทย ก็จะคํานึงแต รายได ไมคํานึงถึงชีวิตของคน คนจะเปนอยางไรก็ชาง ใหฉันไดกําไรก็ แลวกัน นี่ดแี ตวาแพทยของเรายังมีคุณธรรมอยูหลายทาน เวลานี้กิจการทุกอยางกําลังจะเปนอยางนี้ นี้คือการที่มนุษยแปลก แยกจากธรรมชาติ ติดในสมมติ เขาจึงไมสามารถเชื่อมกฎธรรมชาติกับ กฎของมนุษยเขาหากัน เขาไมรตระหนักวา การที่เราจัดตั้งวินัย คือวาง ระบบสังคมในหมูมนุษยขึ้นมานี้ แทจริงแลวก็เพื่อใหความเปนจริงใน กฎธรรมชาติปรากฏผลที่ดีงามขึ้นมาแกชีวิตและสังคมของมนุษย ถา มนุษยยังตระหนักรและทําใหเปนไปอยางนี้ได ก็คือ การเชื่อมระหวาง กฎมนุษยกับกฎธรรมชาติ หรือวินัยกับธรรมได พระพุทธเจาตรัสธรรมกับวินัยไวดวยกันเปนคกัน เพราะที่แทนั้น ฐานของชีวิตและสังคมมนุษยของเราคือธรรม และประโยชนที่แทของเรา ก็ คื อธรรม นิ ติ ศ าสตร จ ะต อ งจั บ จุ ด นี้ ใ ห ไ ด โดยเฉพาะในเมื่ อ สั ง คม ตอไปนี้จ ะประสบปญหาเรื่องนี้มากขึ้นทุกที ซึ่งเราจะตองคิดวาจะเอา อยางไรกับมัน
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๑๗๑
กฎหมายนั้น วาที่จริง สาระที่แทตองอยูที่เจตนารมณซึ่งสอดคลอง กั บ ธรรมนั้ น เพราะฉะนั้ น ถ า คนไม เ ข า ถึ ง ธรรม ก็ จ ะมี ป ญ หาจาก กฎหมายไดหลายอยาง ไมวาจะเปนเพราะ ๑. ปญญาไมเขาถึงธรรม ก็ตาม ๒. เจตนาไมเปนธรรม เชน ไมบริสุทธิ์ หรือไมประกอบดวย เมตตาคือความหวังดีตอเพื่อนมนุษย เนื่องจากเห็นแกประโยชนสวนตัว หรือคิดจะกลั่นแกลงผูอื่น ก็ตาม เพราะฉะนั้น บางครั้งกฎหมายก็จึงกลายเปนเครื่องมือกดขี่ขมเหง กันในสังคมได และเราจึงตองคอยตรวจสอบเจตนารมณที่แทจริงของ กฎหมายกั บ ข อ กํ า หนดตามตั ว อั ก ษร ด ว ยความสํ า นึ ก ตระหนั ก ว า ขอกําหนดตามตั วอักษรนั้น ที่จริงจั ดวางไวเพื่อสนองเจตนารมณของ กฎหมาย แตเมื่อออกมาแลวบางทีมันกลับเปนเครื่องมือในการที่จะไม ปฏิบัติตามเจตนารมณของกฎหมาย คนจึงใชบัญญัติตามตัวอักษรเพื่อทํา รายคนอื่นก็ได หรือเพื่อสนองการหาผลประโยชนของตนเองก็ได ดังที่มี คนใชกฎหมายเพื่อผลประโยชนของตัวเองกันมากมาย เพราะฉะนั้น การที่จะตองตรวจสอบกฎมนุษยคือกฎหมายนี้ให สอดคลองกับธรรมและใหชวยนํามนุษยเขาถึงตัวธรรมใหได จึงเปน หนาที่ของมนุษยที่จะตองทําอยูตลอดเวลา สิ่งที่นักกฎหมายโดยเฉพาะผู บัญญัติกฎหมายจะตองมี ก็คือการเขาถึงธรรมทั้งในแง ๑. การเขาถึงธรรมดวยปญญา คือความรูในความจริงอยางที่วามี หลายระดับ ตั้งแต ๑) ความรในกฎแหงความเปนเหตุเปนผลของสิ่งทั้งหลาย ความ เปนไปตามเหตุปจจัย หลักการแหงความถูกตองดีงาม อยางนอยรูตัว กฎเกณฑกติกาในความหมายที่แทจริงของมัน และตามที่มนุษยบัญญัติ และรูไปถึงสังคม สภาพปญหาของสังคม เหตุปจจัยแหงความเปนไปใน
๑๗๒
นิติศาสตรแนวพุทธ
สังคม กลไกของความเปนไปนั้น ตลอดจนการหยั่งรหยั่งเห็นวาการที่ วางกฎขอนี้แลวจะเกิดผลอะไรขึ้นมาในสังคม เปนตน และ ๒) ความเขาใจในธรรมชาติของมนุษย วามนุษยนี้เปนสัตวที่ ตองฝกฝนพัฒนา เขามีความประสงคอะไร ชีวิตที่ดีเปนอยางไร ซึ่งอยาง ที่กลาวแลววา คนเราทุกคนมีความเขาใจและความตองการนั้นอยูแมโดย ไมรตัว ถึงแมเห็นไมชัดมันก็มีอยูในใจ และถาไมชัดนี่แหละ มันจะมี อิทธิพล ซึ่งทําใหเกิดการตัดสินใจที่ผิดพลาด ๒. การเขาถึงธรรมดวยจิตใจ คือมีเจตนาบริสุทธิ์ รักความเปน ธรรม มีความมุงมาดใฝปรารถนาตอจุดหมายที่จะสรางสรรคชีวิตและ สังคมใหดีงาม ดวยการดํารงธรรมไวในสังคม อันนี้จะตองมีอยูในใจ คือ ความใฝปรารถนาที่จะดํารงธรรมและสรางสรรคสิ่งที่ดีงาม การเขาถึงธรรมที่วามานี้จะตองมีอยูในนักกฎหมาย โดยเฉพาะผ บัญญัติกฎหมาย เมื่อผบัญญัติกฎหมายเขาถึงธรรมดวยปญญา และดวยจิตใจแลว พฤติกรรมของเขาในการบัญญัติกฎหมายก็จะเปนพฤติกรรมที่เขาถึงธรรม ดวย เมื่อผใชกฎหมายเขาถึงธรรมดวยปญญา และดวยจิตใจแลว ก็จะมี พฤติกรรมในการใชกฎหมายอยางผูเขาถึงธรรมดวยพฤติกรรมดวย ขอย้ํ า อี ก ที ว า เมื่ อ มี ก ารบั ญ ญั ติ ก ฎหมายใดก็ ต าม ในใจของผ บัญญัติยอมมีความคิดความเห็นความเขาใจอยางใดอยางหนึ่งทีพ่ ระเรียกวา ทิฏฐิ เกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษยอยูในใจ ตัวอยางเชน คนหนึ่งอาจจะเชื่อวา ความสุขของมนุษยอยูที่การเสพ วัตถุ คนที่มีความเขาใจอยางนี้อยูในใจ แมจะไมไดทําความเห็นหรือความ เชื่อนั้ นใหประจักษออกมาแก ตนเอง มันก็ฝงลึ กอยู เวลาเขามาบัญญั ติ กฎหมาย เขาก็จะบัญญัติอยางหนึ่ง
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๑๗๓
แตอีกคนหนึ่งมีความเชื่อวา ตามธรรมชาติของมนุษยนั้น ความสุข ไมไดอยูเพียงแคการเสพวัตถุ แตอยูที่คุณคาทางนามธรรมที่ลึกซึ้งกวา นั้น เวลาเขามาบัญญัติกฎหมายเขาก็จะบัญญัติอีกอยางหนึ่ง เปนอันวา ทิฏฐิ หรือแนวคิดความเชื่อนี้จะเปนอิทธิพลอยู เบื้องหลัง ซึ่งจะมากําหนดวิถีทางในการคิดวินิจฉัยและใหเหตุผลแกเขาผ นั้นในการทํากิจกรรมทางปญญาทั้งหมด เรื่องนี้ใหญมาก เพราะฉะนั้น นั ก กฎหมายจะอยู แ ค เ หตุ ผ ลพื้ น ๆ ในทางสั ง คมเท า นั้ น ไม ไ ด แต เ ขา จะตองเขาถึงความจริงซึ่งรวมทั้งเรื่องธรรมชาติของมนุษยดวย เพราะวา มนุษยที่ตรากฎหมายในสภานิติบัญญัติเปนตนนั้น ๑. จะวางกฎหมายจากฐานแหงปจจัยปรุงแตงในตัวเขา ซึ่งมีหลาย อยาง เชน เขามีปญญารูแคไหน ก็เปนปจจัยปรุงแตงในตัวเขาใหทําได อยางนั้นเทานั้น พูดงายๆ ก็ภูมิธรรมภูมิปญญานั่นเอง ตลอดจนสภาพ หลอหลอมของคานิยมทางสังคม และวัฒนธรรมเปนตน ซึ่งเขามาเปน ปจจัยปรุงแตงในใจ แลวแสดงอิทธิพลออกมาเปนการวินิจฉัย การให ความเห็น ตลอดจนการยกมือวาจะเอาขางไหน พูดงายๆวา ภูมิธรรมภูมิ ปญญาในตัวคนนั้นสําคัญอยางยิ่ง เริ่มแตทิฏฐิของเขา ซึ่งเปนปจจัยหลอ หลอมทั้งในตัวบุคคลและในทางสังคม ๒. เมื่อบัญญัติกฎหมายแลว กฎหมายนั้นก็จะไปเปนปจจัยปรุง แตงผลักดันสังคมอีก ทําใหสังคมกาวไปทางไหนอยางใดตอไป เปนอันวา ทิฏฐิในตัวคนมีความสําคัญอยางยิ่ง ซึ่งจะทําใหมีผล ขึ้นมา ๒ อยางนี้ โดยเฉพาะนักกฎหมายจะตรากฎหมายที่ดีไมไดถาไมรู ธรรมชาติของมนุษยวา มีศักยภาพอยางใด ควรมีชีวิตอยางไร ตัวอยางเชน เวลานี้จะออกกฎหมายเกี่ยวกับสนุกเกอร จะเห็นวา ความเขาใจเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษยจะอยูเบื้องหลังการตัดสินใจของ ผออกกฎหมาย เชน บางคนก็เขาใจวา ความสุขของมนุษยอยูท่กี ารเสพวัตถุ
๑๗๔
นิติศาสตรแนวพุทธ
ซึ่งเจาของความคิดอาจไมรูตัวเลย แตเขาจะวินิจฉัยและตัดสินใจลงมติ ตางๆ ตามภูมิธรรมภูมิปญญาที่เขามีอยูเบื้องหลังตัวเขานั้น เพราะฉะนั้น การตัดสินใจของเขาจึงเปนตัวฟองภูมิธรรมภูมิปญญาของตัวเขาเอง โดยนัยนี้เราจึงพูดไดวา กฎหมายที่ออกมา เปนตัวฟองภูมิธรรม ภูมิปญญาของนักกฎหมาย หรือของผทํางานนิติบัญญัติ แมวาจะตองคํานึงถึงหรือไมลืมมองปจจัยทางสังคม เชน คานิยม ทางสังคมและวัฒนธรรมดวย แตอยาลืมวา การที่มนุษยมีปญญาพัฒนามา ไดเพียงแคในระดับที่อยูใตคานิยมของสังคมยังไมเพียงพอ มนุษยที่จะ แกปญหาของมนุษยจะตองไมจมอยูใตปญหานั้นเสียเอง มิฉะนั้น สังคมมี ค า นิ ย มอย า งไร แม แ ต ค า นิ ย มที่ เ ป น ป ญ หา ค า นิ ย มนั้ น ก็ จ ะชั ก พานั ก กฎหมายไปได มนุษยจะเพียงเปนไปตามสังคมเทานั้นไมได มนุษยตอง แกไขสังคมไดดวย ถึงตอนนี้ ขอแทรกเรื่องความจริงที่เปนหลักใหญไวอยางหนึ่ง ซึ่ง ที่จริงเปนเรื่องสําคัญมาก (ควรอยูใน ภาค ๑) แตจะพูดไวเพียงเปนแนว คือหลักที่วา มนุษยนี้มีภาวะ หรือสถานะ ๒ อยางในเวลาเดียวกัน คือ ๑) เปนชีวิต ซึ่งเปนธรรมชาติ อยูในธรรมชาติ และเปนไปตามกฎ ธรรมชาติ ตองขึ้นตอกฎธรรมชาติ ทั้งนี้ แยกเปน ๒ ดาน คือ กาย และใจ อันจะตองปฏิบัติใหถูกตองดวยปญญา ๒) เปนบุคคล ซึ่งเปนสมาชิกอยูรวมในสังคม มีความสัมพันธตอ กันโดยขึ้นตอเจตจํานง เมื่อมองคนตองมองทั้งสองดาน และใหประสานโยงถึงกัน ทั้ง ดานที่เปนบุคคลในสังคม และดานที่เปนชีวิตในธรรมชาติ โดยเฉพาะ มองคนตองใหถึงชีวิต แตเรามักจะมองคนแคบุคคล ซึ่งเปนดานสังคม ตามแนวคิ ดตะวั นตก สังคมศาสตร มองมนุ ษย ในแง เป นบุ คคล แทบไมพูดถึงในแงเปนชีวิต โดยปลอยใหชีวิตเปนเรื่องของวิทยาศาสตร
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๑๗๕
ซึ่งก็ศึกษาชีวิตนั้นแตดานวัตถุรางกายอยางเดียว นิติศาสตรอยูในหมวด สังคมศาสตร ก็จึงมองมนุษยในแงเปนบุคคล แตจุดหมายของศาสตรทั้งหลายที่จะสรางสรรคประโยชนสุขแก มวลมนุษยจะไมมีทางสัมฤทธิ์จริงได ถามองคนเพียงแคดานบุคคล โดย ไมคํานึงถึงความเปนชีวิต เพราะมนุษยโดยพื้นฐานเปนธรรมชาติ คือ เปนชีวิต และตองมองชีวิตใหครบทั้งดานกายหรือดานวัตถุ และดาน จิตใจ มนุษย ทั้งที่เปนชีวิตซึ่งเปนสวนหนึ่งในธรรมชาติ และเปนบุคคล ในสั ง คม เกี่ ย วเนื่อ งโยงเป นอั นเดี ย วกั น ถ าเราไม เ ข า ใจชี วิ ต และไม ปรั บ ปรุ ง ชี วิ ต ให ดี ความเป น บุ ค คลที่ จ ะอยู ร ว มกั น ด ว ยดี ใ นสั ง คมก็ เปนไปไดยาก ชีวิตที่พัฒนาอยางดีจึงจะทําใหความเปนบุคคลเจริญงอก งามไดอยางถูกตอง หากเราจะใหมนุษยมีชีวิตที่ดีงาม อยูในโลกที่ดี มี สังคมที่รมเย็นเปนสุข เราจะตองประสานความคิดเรื่องชีวิตกับความเปน บุคคลใหกลมกลืนและเกื้อหนุนกันใหได เพี ย งแค รั บ ประทานอาหาร คนก็ กิ น อาหารทั้ ง ในฐานะที่ เ ป น บุคคล และกินในฐานะที่เปนชีวิต มีทั้งการกินเพื่อสนองความตองการ ของบุคคล และการกินเพื่อสนองความตองการของชีวิต แนนอนวา คุณคาที่แทจริงของอาหารคือเพื่อสนองความตองการ ของชีวิต การกินเพื่อสนองความตองการที่ถือวาดีที่สุดของบุคคล (เชน อรอย โก แสดงฐานะ ซึ่งรวมทั้งสิ้นเปลืองที่สุด) อาจจะบั่นทอนหรือ ทําลายชีวิตของเขาเอง ถาเมื่อใดเขาใจถึงความจริงที่โยงมาประสานกัน ก็ เทากับจับจุดของการแกปญหาได ถามองไมเห็นจุดประสาน แมแตคน แตละคน ก็จะไมสามารถเขาใจตัวเองและปฏิบัติตอตัวเองใหถูกตองได การพัฒนาที่ผิดพลาด ทําใหเกิดความขัดแยงระหวางสังคมมนุษย กับธรรมชาติตั้งแตระหวางบุคคลกับชีวิตในตัวคนเอง
๑๗๖
นิติศาสตรแนวพุทธ
การตั ด สิ น ใจทางสั ง คม รวมทั้ ง นิ ติ บั ญ ญั ติ มี ก รณี ม ากมาย ที่ คํานึงถึงแตบุคคล(และสังคม) โดยไมมองไปใหถึงคุณหรือโทษตอชีวิต (และธรรมชาติ) คือ มองคนไมถึงชีวิต เพราะติดอยูแคบุคคล ทําใหไม อาจสรางสรรคประโยชนสุขที่แทจริง และกอปญหาแกอารยธรรมใน ระยะยาว ตองยอมรับวา กฎหมายมากมายในระบบสังคมที่เปนมา ไดเปน เครื่องบั่นทอนอารยธรรม เชน ทําใหเกิด “การพัฒนาที่ไมยั่งยืน” ดังเชน กฎหมายที่บัญญัติขึ้นเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจแบบไมยั่งยืนที่ ผานมาแลวในสังคมตะวันตก ซึ่งก็ตองเปนเพราะนักกฎหมายเองก็มีสวน ในความเขาใจเชนนั้น คือมีมิจฉาทิฏฐิดวย จึงชวยกันผลักดันใหเกิดการ พัฒนาที่ไมยั่งยืน งานของนักกฎหมายมีผลกวางไกลอยางนั้น โดยที่นักกฎหมายเอง อาจอยูใตอิทธิพลของนักปกครองและนักเศรษฐศาสตรเปนตน และมอง ความเปนมนุษยไมทั่วตลอดถึงความจริงทั้งดานชีวิตและดานบุคคลอยางที่ กลาวแลวนั้น ดั ง นั้ น ผู บั ญ ญั ติ ก ฎหมายก็ ต าม ผู ใ ช ก ฎหมายก็ ต าม จึ ง ต อ งไม ประมาท จะตองศึกษาพัฒนาตัวอยูตลอดเวลา เพื่อใหมีปญญายิ่งขึ้น และ มีเจตนาดียิ่งขึ้น การศึกษาที่ผลิตนักกฎหมายผสามารถมาสรางกฎหมายที่เกื้อหนุน ตอชีวิตที่ดีงามของมนุษย จะเปนปจจัยสําคัญในการสรางอารยธรรมของ มนุษย เพราะฉะนั้น การจะบัญญัติกฎหมายที่ถูกตองใหเปนปจจัยปรุง แตงสรางสรรคสังคมที่ดีไดนั้น จะตองทําดวยความไมประมาท โดยมี ความรับผิดชอบอยางสูง ทั้งดานปญญาและดานเจตนา ถากฎหมายผิด ก็
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๑๗๗
จะทําลายชีวิตมนุษย ทําลายสังคม ตลอดจนทําลายตัวธรรมทั้งหมดเลย ทีเดียว นี้เปนการเตือนใหตองระวังวา ธรรมที่เปนฐานของกฎหมายหรือ เปนฐานของวินัย อาจถูกทําลายโดยกฎหมายที่ผิด ดวยปญญาที่รูไมเทาถึง การณ หรือดวยเจตนาที่ราย ซึ่งมีผลเปนการทําลายอารยธรรมของมนุษย รวมความวา กฎหมายแทมีหลักอยูในใจที่ตองรักตัวธรรม (เชน รักความเปนธรรม) และรักประโยชนสุขของสังคม พูดงายๆ ก็คือ กลับไปหลักเกาที่วาตองมีทั้งตัวเจตนา คือเจตจํานง ที่มีเมตตา มีความใฝ ปรารถนาดีต อเพื่อนมนุษย และต อสังคม ตลอดจนมนุษยชาติ และมี ความรแจง คือมี ปญญา ที่เขาถึงความจริง จนกระทั่งถือธรรมเปนใหญ เมื่อไรนักกฎหมายถือธรรมเปนใหญ ก็เรียกวา เปนธรรมาธิปไตย คือถือเอาความจริง ความถูกตอง ความดีงาม หลักการเปนใหญ แตจะถือ ธรรมเปนใหญไดก็ตองมีปญญารูธรรม รูหลักการ รูวาอะไรจริง อะไร ถูกตองดีงาม มันพันกันอยูในตัว เพราะฉะนั้นอยางนอยตองมี ๒ อยางนี้ คือรักธรรม ถือธรรมเปนใหญ โดยรูดวยปญญาและมีเจตนาดีตอเพื่อน มนุษย ซึ่งจะทําใหมีพื้นฐานที่จะบัญญัติกฎหมายที่ดี กฎหมายและนิติบัญญัติมีความสําคัญตอชีวิตและสังคมตลอดจน อารยธรรมของมนุษยชาติเปนอยางมากเชนนี้ และนักกฎหมายหรือผทํา หนาที่นิติบัญญัติจะตองมีคุณสมบัติที่เขาถึงธรรม ทั้งดวยปญญา ดวย จิตใจ และดวยพฤติกรรม อีกทั้งตองมีความสามารถในการจัดตั้งวาง ระเบียบระบบที่เปนสมมติเพื่อสื่อธรรมออกมาสวินัยอยางไดผลดี ดังที่ กลาวแลว ดั งนั้ น การศึ กษาด านนิ ติ ศาสตร จึ งเป นเรื่ องใหญ ที่ มี ขอบข าย กวางขวางลึกซึ้งมาก ไมใชเปนเพียงการเรียนวิชากฎหมายในความหมาย ตามตัวอักษรเทานั้น แตเปนการศึกษา เพื่อสื่อสัจธรรมในธรรมชาติส
๑๗๘
นิติศาสตรแนวพุทธ
อารยธรรมของมนุษยชาติ ทั้งหมด และเพื่ อรักษาอารยธรรมของ มนุ ษ ยชาติ ใ ห ดํ า รงอยู ใ นดุ ล ยภาพแห ง สั จ ธรรมของธรรมชาติ ที่ จ ะ เอื้ออํานวยประโยชนแกมวลมนุษยอยางดีที่สุด ซึ่งตองการปญญาที่ กวางขวางยิ่งใหญ
อารยธรรมของมนุษยจะยั่งยืนเพียงใด อยูที่ภูมิธรรมภูมปิ ญญาในการจัดการกับสมมติ เวลานี้เรื่องเกี่ยวกับกฎหมาย เชนเรื่อง “สิทธิ” ที่มีการนําเขามา เผยแพรหรือใชกัน เรามักแยกไมถูก เพราะฉะนั้นจึงขอตั้งขอสังเกตอีก นิด อยางที่ในวงการนิติศาสตรตะวันตกมีสายความคิดแบบ natural law, natural rights ซึ่งดูคลายๆ กับเรื่องธรรม แตท่ีจริงไมใชเลย แนวคิด แบบนี้คลายๆ จะถือวามีกฎหมายที่เปนกฎสากล ที่ใชไดทุกกาลเทศะ อยู ในหัวสมองหรือในปญญาของมนุษย แตที่จริงปญญาของมนุษยที่เขาถึง ตัวความจริงในธรรมชาติที่จะทําใหมีกฎสากลอะไรแบบนั้นได ในทาง พุทธศาสนาแยกเปน ๒ ชั้น คือ ๑. ความจริงของธรรมชาติ ที่ไมเขาใครออกใคร เชนความเปนไป ของสิ่งทั้งหลายตามเหตุปจจัยของมัน ซึ่งมนุษยจะตองรูเขาใจแลวใช ความสามารถของเรามาจัดตั้งระบบสังคมของเราเอง ๒. ถามนุษยเราเขาถึงความจริงนั้นจริง และมีความสามารถจริง เราก็จัดระบบสังคม โดยเฉพาะการปกครองและกฎหมาย ซึ่งเปนวินัยได ดี ท่ีสุด โดยสอดคล อ งกั บความเป นจริ ง ในธรรมชาติ แล ว มนุ ษ ย ก็ จ ะ ไดรับประโยชนเอง ดวยเหตุผลนี้ เราจึงมาตั้งขอกําหนดตางๆ ขึ้น อยางไรก็ดี การกําหนดในเรื่องสิทธิเปนตนนี้ เปนสมมติ ซึ่งได
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๑๗๙
กลาวแลววาเปนความสามารถพิเศษของมนุษย ซึ่งทําใหเราสรางอารย ธรรมขึ้ น มาได ถ า มนุ ษ ย ไ ม ร จั ก สมมติ มนุ ษ ย ก็ จ ะอยู กั น ได แ ค ต าม ธรรมชาติพื้นฐานเหมือนอยางหมู แมว ชาง มา เทานั้น หรืออาจจะแย กวาสัตวเหลานั้น เพราะโดยสัญชาตญาณมนุษยสูสัตวเหลานั้นไมได ดัง ไดยกตัวอยางวา เราสรางกฎใหคนทําสวนมาทําสวนแลวไดเงินเดือน ๕,๐๐๐ บาท อันนี้เปนความสามารถของมนุษย ซึ่งในสัตวอื่นไมมี แตก็ ไดบอกแลววา ถามนุษยหลงสมมติเมื่อไร เมื่อนั้นคือความพินาศ การที่ จะไมหลงสมมติก็คื อ จะตอ งโยงจากสมมติ นั้น เข า ถึงตั ว ธรรมคือความจริงอยูตลอดเวลา เชน คนทําสวนยังไมแปลกแยกจาก ธรรมคือกฎธรรมชาติ เขาทําสวนไดเงินเดือนตามกฎมนุษย ๕,๐๐๐ บาท พร อ มกั บ ที่ ลึ ก ลงไปในใจที่ แ ท เขาทํ า สวนเพื่ อ ให ไ ด ผ ลตามกฎของ ธรรมชาติ คือ เพื่อใหตนไมเจริญงอกงาม ถ า เขามองทะลุ ส มมติ เ ข า ถึ ง ความจริ ง คื อ ตั ว ธรรมอย า งนี้ ประโยชนของสังคมที่เปนจุดหมายแทก็ไมเสีย แตกลับทําใหกลายเปนวา สมมติมาหนุ นความจริ ง แท บั ญ ญั ติมาหนุนหลั กการ คือวิ นัยมาหนุ น ธรรม ทําใหความตองการผลตามกฎธรรมชาติบรรลุจุดหมายเปนจริงสม ประสงคยิ่งขึ้น มนุษยเรามีความฉลาด เราจึงบัญญัติสิทธิตางๆ ขึ้นมา แตอยางที่ บอกแลววา สิทธิ นี้เปนความสามารถของมนุษยที่ตกลงกําหนดกันขึ้น ซึ่ง จะไดผลดีจริงหรือไมเพียงไรก็อยที่เราจะตองมีจิตใจที่บริสุทธิ์ มีเจตนาที่ ดีงาม มีเมตตาตอเพื่อนมนุษย หวังประโยชนสุขแกสังคม และทําการ ดวยความรูความเขาใจระบบความสัมพันธแหงเหตุปจจัยอยางกวางขวาง ทั่วถึงที่สุด
๑๘๐
นิติศาสตรแนวพุทธ
นาสังเกตวา ในชวงเวลาแหงความเจริญของอารยธรรมมนุษย ยุค ปจจุบัน มีการเนนเรื่องสิทธิมากขึ้น และปญหาเรื่องสิทธิตางๆ ก็ซับซอน ขึ้น กับทั้งมีการกําหนดสิทธิใหมๆ แปลกๆ ขึ้นดวย ขอยกตัวอยางเชน เวลานี้ประเทศที่พัฒนาแลวมีการกําหนดสิทธิ อยางหนึ่งขึ้นเรียกวา pollution rights แปลวา “สิทธิในการกอมลภาวะ” ซึ่ ง ไม มี ใ นธรรมชาติ และก็ ไ ม ไ ด ถื อ ว า เป น สิ ท ธิ ต ามธรรมชาติ แต ก็ ทํานองเดียวกับที่กลาวมาแลว คือ เปนสิ่งที่มนุษยกําหนดขึ้นมาเพื่อความ ดี ง ามของสั ง คม เท า ที่ ม นุ ษ ย ที่ กํ า หนดเรื่ อ งนี้ ขึ้ น มา จะมี ส ติ ป ญ ญา มองเห็นวาจะเปนเครื่องชวยแกปญหาในหมูมนุษย สํ า หรั บ ในกรณี นี้ เ หตุ ผ ลก็ คื อ ว า เวลานี้ ธ รรมชาติ เ สื่ อ มโทรม เสียหายมาก เนื่องจากการกระทําของมนุษย โดยเฉพาะกิจการดานธุรกิจ อุตสาหกรรม ซึ่งเปนเรื่องของการพัฒนาเศรษฐกิจ ปญหาจึงมีวาจะทํา อยางไรใหมนุษยไมทําลายธรรมชาติ ในขณะที่การพัฒนาเศรษฐกิจก็ จําเปนตองทํา (ที่จริงอาจเปนวา ทั้งๆที่การพัฒนาเศรษฐกิจผิดทางจน กลายเปนโทษแลว หรือเปนการพัฒนาในทางที่กอผลรายเชนเพื่อสนอง ความโลภไปแลว เราก็ยังจําเปนตองทําการพัฒนาอยางนั้น) การผลิต สิ่งของเครื่องใชก็ตองทํา ก็มีทางประนีประนอม คือทําใหเขาผลิต โดย สรางมลภาวะใหนอยที่สุด ในบรรดาวิธีการทั้งหลายที่จะแกปญหา รวมทั้งจริยธรรมในการ ปฏิบัติตอสิ่งแวดลอม ก็มีการบัญญัติสิทธิขึ้นมาอยางหนึ่งคือ สิทธิในการกอ มลภาวะ วิธีป ฏิบัติ ในเรื่องนี้คือ รัฐเอาสิทธิใ นการกอมลภาวะใหบ ริษั ท หรือโรงงานอุตสาหกรรมแหงใดแหงหนึ่งไป โดยกําหนดใหมีสิทธิกอ มลภาวะไดเทานี้ เมื่อไดรับสิทธิไปแลว บริษัทหรือโรงงานนั้นก็ตองไป จั ด การระบบธุ ร กิ จ อุ ต สาหกรรมของตนเอง ให ก อ มลภาวะภายใน
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๑๘๑
ขอบเขตแห ง สิ ท ธิ ที่ ไ ด ม า ถ า ธุ ร กิ จ ของตนไม มี ป ระสิ ท ธิ ภ าพ ก็ ก อ มลภาวะมากแตผลิตสินคาไดนอย ถาจะดําเนินธุรกิจอยูตอไป ก็ไมคุม เพราะหมดสิ ท ธิ ก อ มลภาวะแล ว จะผลิ ต สิ น ค า มากกว า นั้ น ไม ไ ด ก็ ขาดทุน อาจจะตองลมเลิกกิจการไปเอง เทากับวารัฐไปบีบใหธุรกิจรักษา ธรรมชาติแวดลอม ทีนี้เมื่อโรงงานหรือกิจการที่ไมมีประสิทธิภาพ ผลิตของไดนอย แต ก อ มลภาวะสู ง หมดสิ ท ธิ ที่ จ ะผลิ ต เกิ น กว า นั้ น แล ว ธุ ร กิ จ ขาดทุ น ยับเยินจะอยูไมได ก็สามารถขายสิทธินี้แกบริษัทอื่นๆ ที่มีประสิทธิภาพ มากกว า คื อ สามารถผลิ ต ของมาก โดยก อ มลภาวะน อ ย บริ ษั ท หรื อ โรงงานที่มีประสิทธิภาพนั้นก็มาซื้อเอาสิทธินี้ไป ตัวอยางนี้เปนอุ บายวิธีที่ ทําให การทําลายสภาพแวดลอมเบาลง ดวยการผลิตของมากแตกอมลภาวะนอย นี่ก็คือภาวะที่เศรษฐกิจก็ไปได และสิ่ ง แวดล อ มก็ มี ท างที่ จ ะอยู ดี ไ ด พ อสมควร นั บ ว า เป น วิ ธี ก าร ประนีประนอมอยางหนึ่ง ในการพัฒนาที่มีปญหาวาจะไมยั่งยืน ในเรื่องสมมติและบัญญัตินี้ มนุษยมีความสามารถก็คิดกันเอา ถา ปญญาดีและเจตนาดี ความพยายามก็จะไดผลดีดวย และเมื่อเราพิจารณา ตอไป เห็นวาวิธีนี้ยังไมไดผลดีนัก ก็เปลี่ยนไปอีก เรื่องสิทธิกฎขอบังคับตางๆ นี้ก็เปนเรื่องของมนุษย แตอยางที่วา แลว จะตองไมลืมความจริงของธรรมชาติ มิฉะนั้นจะอายอินเดียนแดง อยางที่ประธานาธิบดี แฟรงคลิน เพียซ ไดเจอมาแลว เมื่อครั้งซื้อแผนดิน เมือง ซีแอตเติ้ลจากอินเดียนแดง ถูกอินเดียนแดงตอบมาวา “อะไรกัน ท า นจะเอาแผ น ดิ น และผื น ฟ า มาซื้ อ ขายกั น หรื อ นี่ ความคิ ด นี้ แ ปลก ประหลาด” เพราะวามีที่ไหน มนุษยเอาแผนดินมาแบงกัน มันเปนเรื่องที่ สังคมมนุษย ตกลงกัน แลวเราก็บอกวาเป นสิทธิในทรัพย สิน และใน อะไรตางๆ แตเวลาอางกับธรรมชาติ มันไมฟงเรา
๑๘๒
นิติศาสตรแนวพุทธ
ไมวาจะทําอะไรก็ตองรตระหนักในหลักการ ๒ ชั้นที่โยงเชื่อมกัน คือ ตัวธรรมความจริงในกฎธรรมชาติที่เราจะตองรูตลอดเวลา ซึ่งเปน ฐานของการสรางวินัยที่เปนระบบกฎเกณฑกติกาในสังคม พรอมทั้งเปน จุดหมายของวินัยนั้นไปดวยในตัว ทั้งนี้มนุษยจะตองไมประมาท โดยมี การศึกษาพัฒนาตนอยูตลอดเวลา โดยเฉพาะผูที่อยูในสภานิติบัญญัติ จะตองคํานึงถึงหลักความจริง นี้ใหมาก เพราะดังไดกลาวแลววา กฎหมายที่บัญญัติกันนั้นออกมาจาก ปจจัยปรุงแตงภายใน คือภูมิธรรมภูมิปญญา พรอมทั้งปจจัยหลอหลอม จากสังคมภายนอก ซึ่งตนเองเปนผูตัดสินใจ กฎหมายที่ออกมาจึงเปนตัว ฟองวาผบัญญัติมีภูมิธรรมภูมิปญญาแคไหน ตอจากนั้น กฎหมายที่ออกมาก็ จะเป นป จจัยปรุ งแต งสังคมและ อารยธรรม หรือเปนตัวทําลายตอไป ถารายก็ทําลายทั้งชีวิตสังคมและ ทําลายอารยธรรมตลอดจนทําลายตัวธรรมดวย ถาดีก็สงเสริมใหอารย ธรรมมนุษยเจริญกาวหนาเกื้อหนุนชีวิตที่ดีงามยิ่งขึ้นไป มีขอที่ขอย้ําอีกอยางหนึ่งวา พระพุทธเจาทรงจัดตั้งสรางระบบ สังคมที่เรียกวา สังฆะ ขึ้นมาเพื่อเปนชุมชนแหงการศึกษา แลวมีการ ปกครองขึ้นมาเพื่อใหการศึกษาคือการฝกฝนพัฒนาชีวิตของมนุษยนั้น เปนไปไดดวยดี การฝกคนหรือใหการศึกษาแกเขานั้น แทที่จริงเปนการ สร า งป จ จั ย ที่ เ อื้ อ ต อ การที่ เ ขาจะพั ฒ นาตั ว เอง แต เ มื่ อ ทํ า อย า งนั้ น พระพุทธเจาก็ทรงไดชื่อวาเปนผูฝกเขาดวย และในการฝกนั้นพระองคมี ลักษณะอยางหนึ่ง เรียกวาเปนผูฝกโดยไมตองใชอํานาจ หรือที่ศัพททาง พระเรียกวา ผูฝกโดยไมตองใชอาชญา คือไมตองใชการลงโทษ ลักษณะนี้อาจจะเปนอุดมคติวา กฎหมายที่ดีที่สุด และการ ปกครองที่ดีท่ีสุด ตองบรรลุจุดหมายโดยใชอาชญาใหนอยที่สุด ถาเปน พระพุทธเจาก็ไมตองใชเลย พระองคจึงมีคุณสมบัติพิเศษที่ฝกคนโดยไม
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๑๘๓
ตองใชอาชญา และที่จริงนั้นกฎหมายเองก็เปนเครื่องฝกคนอยูแลว แต การที่เปนอยางนี้ได ก็อยูที่วาจะตองทําใหคนมีจิตสํานึก และมีทาทีตอ กฎหมายแบบเปนสิกขาบท คือเปนขอฝกตน ไมใชขอบังคับ และทําใหดี ยิ่งขึ้นไปอีกจนกระทั่งวา กฎหมายเปนเพียงเครื่องหมายรูรวมกันในขอ สมมติของสังคมอยางที่วามาแลว โดยนัยนี้ แนวทางในการทํากฎหมาย จึงมี ๒ ทาง คือ ในระบบสังคม ที่การปกครองเปนจุดหมายในตัว คือการปกครองเพื่อใหสังคมสงบเรียบรอย ก็จะเปนการปกครองดวยอํานาจ หรือเนนการใชอํานาจ กฎหมายก็จะมุง บังคับและควบคุม โดยเนนการกําจัดคนชั่ว ดวยการลงโทษคนทําความผิด แตในระบบที่ถือคติวาการปกครองเปนการสรางสังคมที่ดีขึ้นมา เพื่อเปนสภาพเอื้อใหมนุษยไดพัฒนาตนเขาสูชีวิตที่ดีงาม การบัญญัติ กฎหมายก็จะเนนการสรางคนดี เพราะเปนเครื่องฝกมนุษยใหขึ้นไปสู ชีวิตที่ดีงาม เมื่อกฎหมายเปนสิกขาบทคือเปนเครื่องฝกตน กฎหมายก็จะ เปนเครื่องมือในการสรางคนดี เพราะฉะนั้น จึงควรเนนกฎหมายในการ สรางคนดีมากกวาการกําจัดคนชั่ว เปนอันวา กฎหมายมี ๒ แบบ ถาเนนอํานาจก็จะเปนกฎหมายที่ เดนในดานกําจัดคนชั่วโดยมีการหามและบังคับมาก แตถาเปนกฎหมาย ที่เนนการศึกษา ซึ่งมุงสรางคนดี ก็จะมีลักษณะในทางจัดสรรโอกาสและ มีการสงเสริมมาก แตในความเปนจริงซึ่งสังคมในขณะหนึ่งๆ มีคนที่อยู ในระดับการพัฒนาที่แตกตางกันหลากหลาย การปกครองและกฎหมาย จะตองทําหนาที่ทั้งสองดาน คือ ทั้งสงเสริมคนดี และกําราบคนราย ทั้งนี้ โดยมีจุดเนนที่การสรางและสงเสริมคนดี รวมความวา ถาแยกโดยจุดเนน กฎหมายก็มี ๒ แบบ คือ แบบ สรางคนดี กับแบบกําจัดคนชั่ว ถาใชระบบอํานาจก็แนนอนวาจะเอียงไปในแบบกําจัด แตถาใช
๑๘๔
นิติศาสตรแนวพุทธ
ระบบที่มองสังคมมนุษยเปนสังคมที่คืบหนาไปสูความดีงาม เราก็ออก กฎหมายมาสรางสภาพเอื้อใหชีวิตพัฒนา ก็เปนกฎหมายที่พยายามสราง คนใหเปนคนดี และสรางคนใหเปนคนดีใหมากจนกระทั่งเราแทบไม ตองลงโทษคน หรือลงโทษคนใหนอยที่สุด เพราะไมมีคนชั่วที่จะตอง ลงโทษ ถาทําไดอยางนั้นก็เปนกฎหมายที่ดี แตทั้งนี้กฎหมายยอมสัมพันธกันอยางแนบแนนกับการปกครอง การปกครองจึงตองมีนโยบายในการที่จะสรางสรรคสังคมในแบบที่วา ใช ก ารปกครองเพื่ อสร า งคน โดยสร า งคนดี เ พื่ อ ให มี ค นชั่ ว ที่ จ ะต อ ง ลงโทษใหนอยที่สุด ซึ่งก็คือ เปนการถือแนวคิดแบบสิกขา
มองอดีตถึงปจจุบัน เพื่อสรางสรรคอนาคต
ดุลยภาพโดยรวมของสังคมสัมฤทธิ์ไดดวยการจัดการทางสังคม สเปาหมายแหงการพัฒนาคน ฝายนิตบิ ัญญัติของไทยจะทําอยางไร ถาจะคิดเกื้อกูลใหพุทธศาสนาอยูดีเพื่อประโยชนแกสังคมไทย เทาที่เปนมา เมื่อการพัฒนาคนออนลง และมีการทําความชั่วเชน อาชญากรรมมากขึ้น แนวโนมของสังคมก็หันไปสูการปกครองแบบเนน อํานาจมากยิ่งขึ้น และดานกฎหมายก็ออกขอกําหนดกฎเกณฑในการบังคับ และลงโทษมากยิ่งขึ้น แนวคิดแบบนี้ก็ไดเขาไปสูระบบการปกครองคณะสงฆดวย หรือ อาจจะเปนวาคณะสงฆถูกหลอหลอมจากอิทธิพลของกระแสสังคม ใหมี แนวคิ ด การปกครองแบบที่ เ น น อํ า นาจมากยิ่ ง ขึ้ น ซึ่ ง เท า กั บ เป น การ หลงลืมละทิ้งหลักการแหงวินัยที่แท ซึ่งเปนการปกครองเพื่อการศึกษา ที่ มุงเกื้อหนุนการพัฒนาชีวิตของมนุษย ตลอดกาลที่ลวงไป พระราชบัญญัติคณะสงฆแทบทุกฉบับที่ออกมา เปนกฎหมายประเภทที่เนนอํานาจ คือการปกครองแบบบังคับควบคุม แลวลืมหลักการของพระพุทธศาสนาที่วา ตั้งสังฆะขึ้นมาเพื่ออะไร ถ า จะปฏิ บั ติ ใ ห ถู ก ต อ ง พระราชบั ญ ญั ติ ค ณะสงฆ จ ะต อ งวาง
๑๘๖
นิติศาสตรแนวพุทธ
บทบัญญัติ เพื่อเอื้อตอการสรางชุมชนแหงการศึกษาขึ้นมาใหได จึงจะ สอดคลองกับจุดหมายที่แทจริงแหงการปกครองในพระธรรมวินัย เวลานี้เนนแตการใชอํานาจและการบังคับบัญชา เจาอาวาสเลิก เปนอาจารยไปนานแลว ยังเหลือแตการเรียกชื่อเทานั้น วาเปน “อาจารย” ชาวบานไปเจอเจาอาวาสก็ยังเรียกอาจารย แตตัวเจาอาวาสจํานวนมากไม เคยทําหนาที่ของอาจารย เพราะฉะนั้นจึงพูดไดวาวิปลาสไปแลว เจา อาวาสทําหนาที่เปนผูปกครอง ก็มุงใชอํานาจบังคับบัญชา ถาอยางนี้ก็ไป ไมไหว อันนี้เปนเรื่องหนึ่งที่จะตองยกขึ้นมาพิจารณา อาตมภาพไดพูดมาใชเวลามากมายแลว ทีนี้ทานอัยการสูงสุด ได ฝากคําถามไว ๔ ขอ สําหรับ ๓ ขอตนนั้น อาตมภาพคิดวาจะไมตอบละ ขอถือวาเนื้อความที่พูดมาเปนเสมือนวาครอบคลุมคําตอบไวแลว สวนขอที่ ๔ คําถามดูเหมือนจะเปนวา “ฝายนิติศาสตรจะเกื้อกูล พุทธศาสนาไดหรือไมอยางไร” อาตมภาพจะไมพูดในแงตัวนิติศาสตร โดยตรง แตจะพูดในแงนิติบัญญัติ ก็อยางที่บอกเมื่อกี้วา ในสังคมไทยเรามีความสัมพันธระหวางนิติ บัญญัติของรัฐบาลไทย กับการปกครองของคณะสงฆ โดยรัฐเปนผตรา กฎหมายคณะสงฆ ไดแกพระราชบัญญัติคณะสงฆ ในเรื่องนี้ ถาทางนิติบัญญัติจะเกื้อกูล ก็คือ ชวยใหกฎหมายคณะ สงฆเปนไปตามหลักการของพระพุทธศาสนา หมายความวา ทําอยางไร จะใหพระราชบัญญัติคณะสงฆ และขอบัญญัติตางๆ เปนสิกขาบทตาม หลักการของพระพุทธศาสนา ซึ่งจะเปนตัวเสริมสรางสภาพแวดลอม ระบบ ความสัมพันธ และระบบสถาบันที่เกื้อหนุนใหบุคคลที่เขามาบวชแลว ไดรับการศึกษา ที่เรียกวาไตรสิกขา ถากฎหมายทําอยางนี้ไมได ก็แทบจะไมมีความหมายอะไรเลย เพราะมันไมเอื้อใหเกิดการปฏิบัติตามหลักการของพระพุทธศาสนา
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๑๘๗
เวลานี้ก็เปนอยางที่ย้ําแลววา กฎหมายของเราไดชักนําความโนม เอียงเขามาสูวงการสงฆ ในแบบที่ทําใหสถาบันสงฆกลายเปนสถาบันที่ ปกครองดวยอํานาจไปดวย ซึ่งเปนการไมถูกตอง ถาจะใหเปนไปโดย ชอบจะตองใหเปนการปกครองดวยการศึกษาและเพื่อการศึกษา อยางที่บอกแลววา ในพระพุทธศาสนา การปกครองและกฎหมาย คือวินัย เปนเรื่องของการศึกษา โดยการศึกษา และเพื่อการศึกษา ที่จะ เกื้อหนุนใหมนุษยพัฒนาตนขึ้นไปสความมีชีวิตที่ดีงามยิ่งขึ้น ต อ ไปขั้ น ที่ ๒ ก็ คื อ ให ข ยายหลั ก การนี้ อ อกไปสู สั ง คมให กวางขวาง ถาเห็นดวยกับหลักการของพระพุทธศาสนาตามนิติศาสตร แนวพุทธ กฎหมายจะตองมีแนวโนมในการที่จะสรางระบบสังคม จัดสรรสภาพแวดลอม และวางรูประบบความสัมพันธในการอยูรวมกัน ของมนุษย ในทางที่จะเกื้อหนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของมนุษย ให มนุษยเขาถึงจุดหมายของชีวิตที่ดีงามยิ่งขึ้นไป พร อ มกั น นี้ ยั ง มี ค วามสั ม พั น ธ อี ก อย า งหนึ่ ง ที่ จ ะมาเกื้ อ หนุ น พระพุทธศาสนา ที่พูดมาเมื่อกี้นั้นเปนการเกื้อหนุนในแงของหลักการ ของพระพุทธศาสนา แตทีนี้การเกื้อหนุนอีกอยางหนึ่งที่แคบเขามาเปน ดานปฏิบัติการ ก็คือในหลักธรรมชุดหนึ่งที่พูดไปแลว ไดแก อปริหานิย ธรรม ๗ ประการ หลั กนี้ ข อสุ ดท ายบอกว า หน าที่ ของรั ฐอย างหนึ่ งคื อจะต องจั ด อารักขาคุมครองปองกันอันชอบธรรมแกพระอรหันต ซึ่งในที่นี้หมายถึง ทานผูมีศีลมีความบริสุทธิ์ เปนผูดํารงธรรม สั่งสอนธรรม เปนหลักใจ ของประชาชน และเปนแบบอยางทางศีลธรรมของสังคม กฎหมายและ การปกครองจะตองชวยคุมครองและเกื้อหนุน ไมใชละเลย แลวกลับไป หนุนในทางที่ผิด เวลานี้ ค งต อ งถามว า สั ง คมของเราได ใ ชก ฎหมายเกื้ อหนุ น ใน
๑๘๘
นิติศาสตรแนวพุทธ
แ น ว ท า ง นี้ บ า ง ห รื อ ไ ม คื อ เ กื้ อ ห นุ น ผู ที่ อ ยู ใ น แ น ว ท า ง ข อ ง พระพุทธศาสนา อยูในธรรมในวินัย หรือเกื้อหนุนผูที่ออกไปนอกธรรม นอกวินัย เรื่องนี้เปนงานหนึ่งที่จะประสานกับธรรม เพราะวาเมื่อมองในแง ประโยชนสวนรวม ในที่สุด สภาพของสถาบันสงฆก็จะฟองถึงสภาพ ของสั ง คมไทยด ว ย เนื่ องจากสถาบั น สงฆนั้ น เป น สถาบั น สั ง คม โดยเฉพาะเปนสถาบันที่เปนตัวแทนของจริยธรรม เพราะฉะนั้นจึงเปน เครื่องชี้วัดจริยธรรมของสังคมไปดวย ในแง ห นึ่ ง เรามองว า เวลานี้ ส ถาบั น สงฆ ซึ่ ง เป น ตั ว แทนทาง จริยธรรมของสังคมไทยตกต่ําเสื่อมโทรมมาก ถาตกต่ําจริงก็เปนดัชนีชี้ วั ด ว า เวลานี้ สั ง คมไทยได มี ค วามตกต่ํ า ทางจริ ย ธรรมอย า งยิ่ ง จน แมกระทั่ งสถาบั นที่ เปนตัวแทนหรื อเป นแกนกลางของจริ ยธรรมก็ยั ง ตกต่ําถึงเพียงนี้ สภาวะเชนนี้เปนเครื่องเตือนใจผูรับผิดชอบตอสังคม โดยเฉพาะ นักปกครองและผูบริหารทุกทานวา จะตองตื่นขึ้นมารีบปรับปรุงพัฒนา สังคมของเรา รวมทั้งการพัฒนาสถาบันสงฆดวย เพราะวาการที่สถาบัน สงฆตกต่ํานั้นไมไดหมายความวาเฉพาะสถาบันสงฆเทานั้นที่ตกต่ํา ดังที่ เรามักมองกันอยางคับแคบเหลือเกิน เชนมองวาพระไมดีๆ เวลานี้พระ ตกต่ําอะไรตางๆ แลวก็จบ แตที่จริงนั้น สังคมนี้เปนสวนรวมขององครวมตางๆ มากมาย แต ละสวนนั้นเปนองคประกอบที่ทั้งเปนปจจัยสงผลและทั้งเปนตัวรับผล ดวย สถาบันสงฆก็เชนเดียวกัน เมื่อสถาบันสงฆไมมีประสิทธิภาพ ก็จะไมสามารถเปนปจจัยปรุง แตงสรางสรรคสังคมในทางที่ดี แตจะเปนเพียงตัวรับผลจากปจจัยทาง สังคม และเปนตัวสะทอนปญหาของสังคม
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๑๘๙
เพราะฉะนั้นจึงขอย้ําวา เมื่อสถาบันสงฆตกต่ําเสื่อมโทรม ในแงหนึ่ง ก็เปนเครื่องวัดวาเวลานี้สังคมไทยไดตกต่ําทางจริยธรรมเปนอยางยิ่ง ถึง ขนาดที่แมแตสวนแกนกลางทางจริยธรรมก็ยังแยขนาดนี้ ฉะนั้นอยาได ไปคิดมองแคบๆ วาสถาบันสงฆแย เพราะวาที่แทก็คือสังคมไทยทั้งสังคม แยที่สุดแลว ถาเรามองเชนนี้ก็จะเปนประโยชนที่จะทําใหเราตื่นขึ้นมา และรีบแกไขปญหาดวยการปรับปรุงสังคมไทยใหขึ้นสูสถานะที่ดีงาม ถูกตอง ดวยการพัฒนาสถาบันสงฆเองดวย ใหเขาสูแนวทางที่ถูกตอง อนึ่ง มองในแงปจจัยอยางหนึ่งก็อาจจะเปนไปไดวา นิติบัญญัติ ของสังคมไทยไดมีสวนเอื้อที่ทําใหสถาบันสงฆตกต่ําลง การปกครองด ว ยอํ า นาจนั้ น แน น อนว า ผิ ด หลั ก การของ พระพุทธศาสนา เพราะการปกครองในพระพุทธศาสนาเปนเพียงปจจัย ที่มาชวยเสริม ซึ่งมีขึ้นเพื่อการศึกษาเทานั้น คือเพื่อชวยสนับสนุนให มนุษยพัฒนาตนขึ้นสูชีวิตที่ดีงาม ถาเราไมยอมรับหลักการนี้มาใชใน สังคมสวนใหญ ก็ตองยอมรับในแงของสถาบันสงฆ ถ า ยอมรั บ ทั้ ง หมด ก็ ห มายความว า ขยายหลั ก การนี้ ม าใช กั บ สังคมไทยสวนรวมดวย ตลอดจนสังคมโลกทั้งหมด เพื่อใหนิติศาสตร เกื้อหนุนระบบการจัดการสังคม ที่เอื้อตอการพัฒนามนุษย ใหมีชีวิตที่ดี งาม มีสังคมที่สันติสุข และชวยทําโลกใหรื่นรมยนาอยูอาศัยยิ่งขึ้น ไดกลาวแลววา การพัฒนาคนเปนทั้งจุดหมายและเปนทั้งปจจัย ของวินัยอันรวมทั้งกฎหมาย กลาวคือกฎหมายมีไวเพื่อสรางสภาพเอื้อ โอกาสแกการที่คนจะพัฒนาชีวิตสความดีงามและประโยชนสุขที่สูง ยิ่งขึ้นไป และคนที่พัฒนาดี แลวนั่นแหละจะปฏิ บัติตามกฎหมายไดดี ที่สุด พรอมทั้งชวยใหกฎหมายบรรลุจุดหมายของมันอยางดีที่สุด โดยเฉพาะถาคนมีการพัฒนาตนอยางดี จนเขาถึงธรรมดวยปญญา และดวยจิตใจแลว เขาก็จะมีพฤติกรรมที่เขาถึงธรรม ซึ่งจะทําใหมีการ
๑๙๐
นิติศาสตรแนวพุทธ
ปฏิบัติตามกฎหมายอยางสมบูรณแบบ กลาวคือกฎหมายจะไมใชเปน ขอบังคับ แตเปนเพียงขอหมายรู หรืออาจจะพูดอีกอยางหนึ่งวา ไมตองมี กฎหมายแบบขอบังคับ มีแตเพียงกฎหมายแบบขอหมายร หรือมีวินัย โดยไมตองมีสิกขาบท ถา ไมมีพื้ นฐานการพั ฒนาทางจิต ใจและป ญญา ไมว ากฎหมาย หรื อ วิ นั ย จะกํ า หนดไว อย า งไร ในที่ สุ ด ก็ จ ะไปไม ร อด เพราะคนจะ หาทางเลี่ยงกฎหมาย หรืออยางนอยก็ไมมีความยินดีเต็มใจพรอมใจที่จะ ปฏิ บั ติ ต าม และแม จ ะมี ก ารบั ง คั บ และการลงโทษกั น อย า งไร ก็ จ ะ ลมเหลวในที่สุด เพราะตัวระบบเองจะกรอนโทรมจนหมดประสิทธิภาพ เชน มีการสมคบกันหลบเลี่ยงกฎหมายในทุกระดับ ตองตั้งระบบบังคับ ควบคุมซับซอนขึ้นๆ และลงโทษรุนแรงขึ้นๆ จนไรผล ตลอดจนมีการ นําเอากฎหมายไปใชในทางที่ผิดเจตนารมณ เพื่อสนองความตองการ ผลประโยชนสวนตัว เปนตน ฉะนั้ น การพั ฒ นาคนในด า นพฤติ ก รรมตอ กฎหมาย พร อ มไป ดวยกันกับการพัฒนาดานจิตใจและดานปญญา จึงเปนภารกิจสําคัญที่ นิติศาสตรจะตองใหความสนใจ
เปน rule of law นั้นหรือจะพอ อยาเพิ่งภูมิใจ ถาพัฒนาสาระแทขนึ้ มาไมได อารยธรรมก็จะสลายดวยกินตัวมัน เอง การพัฒนาคนอาจเกิดจากปจจัยแวดลอมตางๆ ในประวัติศาสตร ผลักดัน โดยไมไดเกิดจากการตั้งใจปฏิบัติใหถูกตองดวยปญญาที่รเขา ใจความจริงเกี่ยวกับธรรมชาติของคนและสังคมเปนตน เชน การรักความ เปนธรรมอยางแรงกล า ที่ พัฒนาขึ้นมาในหมู ช นบางสัง คม เนื่อ งจาก
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๑๙๑
ประสบการณในการถูกกดขี่ขมเหงเบียดเบียนกันมาอยางแพรหลายและ รุนแรง จากประสบการณ เ ช น นั้ น และด ว ยความรั ก ความเป น ธรรมที่ พัฒนาขึ้นมาอย างนั้น เป นฐาน สังคมดังกลาวก็จ ะจั ดตั้งวางกฎเกณฑ กติกาตางๆ ขึ้นมา เพื่อรักษาความเปนธรรมนั้นอยางคอนขางไดผล และ คนที่ รั ก ความเป น ธรรมทั้ ง หลายก็ จ ะเคารพและรั ก ษากฎหมายหรื อ กฎเกณฑกติกาเหลานั้นไดอยางหนักแนนและจริงจังมั่นคง อยางไรก็ดี เมื่อกาลเวลาผานไป และปจ จัยแวดลอมทางสังคม เปลี่ยนแปลงไป ความรักความเปนธรรมเปนตนทีเ่ ปนฐานอยภ ายในจิตใจก็ เลือนลางจางลงไป แมวากฎหมายและบทบัญญัติตางๆ ที่วางไวยังคงอยู และความนิยมและความสามารถในการจัดตั้งวางกฎเกณฑกติกาและตรา กฎหมายก็ยังสืบเนื่องตอมา แตปรากฏวาบางที กฎหมายและกฎเกณฑ กติกาทั้งหลายไดกลายเปนเพียงรูปแบบที่ไมสนองเจตนารมณที่เปนตัว หลักการ จึงไมไดผลสมความมุงหมายบาง กอผลขางเคียงหรือผลพวง ในทางลบที่ บ างครั้ ง ร า ยแรงบ า ง ตลอดจนกลายเป น เครื่ อ งมื อ หา ผลประโยชนของบุคคล และกลุมคน หรือกลายเปนเครื่องทํารายสังคม นั้นเอง สภาพการณ เ ช น นี้ เป นสิ่ งที่ นั ก นิ ติ ศาสตร แ ละผ รั บ ผิ ดชอบต อ สังคมโดยทั่วไปจะตองรเทาทันและระมัดระวังโดยไมประมาท เพราะการ เป นสั งคมที่ พั ฒนาแล ว (ตามความหมายสมั ยใหม ที่ เน นการพั ฒนาทาง เศรษฐกิจหรือดานวัตถุ) ไมเปนหลักประกันวาจะปลอดภัย และอาจเปน ปจจัยสําคัญอยางหนึ่งที่ทําใหสังคมตองหมุนไปในวงจรของความเจริญ แลวก็เสื่อม สหรัฐอเมริกาเปนตัวอยางของสังคมยุคปจจุบัน ที่ภูมิใจตนวาเปน สังคมที่ถือหลัก rule of law แปลกันวาหลักนิติธรรม คือปกครองกันดวย
๑๙๒
นิติศาสตรแนวพุทธ
กฎหมาย ถือกฎหมายเปนใหญ (คือเปนธรรมาธิปไตย ในระดับธรรมโดย บัญญัติ) ไมมีใครอยูเหนือกฎหมาย ทุกคน ทั้งผูปกครองและผูใต ปกครอง ต องอยู ใต บั ง คั บของกฎหมายและได รั บความคุ มครองจาก กฎหมายเสมอกัน จะยกตั วอย างป ญหากฎหมายกั บสภาพการพั ฒนาคนในสั งคม อเมริกัน ซึ่งถือกันวาเปนสังคมที่พัฒนากาวไกลที่สุด มาเปนขอพิจารณา สัก ๓ กรณี ๑) ปญหาการแบงแยกผิว เปนตัวอยางของการพยายามแกปญหา ดวยกฎหมาย ในขณะที่ทางดานจิตใจไมมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่จะ พัฒนาให สอดคลองกั น หรื อพู ดอี กอยางหนึ่งวา เปนการพยายามเอา กฎหมายที่ เ ป น รู ป ธรรมมารวมคนเข า ด ว ยกั น โดยรู ป แบบ แต ไ ม มี เครื่องมือทางนามธรรมที่จะมารวมใจคน ผลก็คือสภาพสังคมอเมริกันที่ ป ญ หาการแบ ง แยกผิ ว ยิ่ ง รุ น แรง และความหวั ง ในการแก ป ญ หายิ่ ง เลือนลางลงไปทุกที ขอใหดูตัวอยางคํากลาวในหนังสือใหมๆ บางเลม ของชาวอเมริกัน เชน “ในที่สุด เราก็เลิกคติเบาหลอม (melting pot) ไป แลว” (Naisbitt, 273) “คนอเมริกันผิวดํา เปนชาวอเมริกัน แตกระนั้น เขาก็ยังมี ชีวิตอยอยางคนตางดาวในผืนแผนดินเดียวที่เขารจักนั้น . . . ดังนั้น อเมริกาจึงมองไดวาเปนชน ๒ ชาติตางหากจากกัน . . . การแบงแยกนั้นแผคลุมไปทั่วและชําแรกลึก” (Hacker, 4) “สามสิบปผานไปแลว หลังจากออกรัฐบัญญัติวาดวยสิทธิ พลเมือง (Civil Rights Act) เราควรจะไดเห็นยุค ใหมแหงความรวมมือและความเขาใจกัน . . . แตการขจัด ความแบงแยกดวยกฎหมาย ไดนําไปสูการรวมจิตใจเขาดวยกัน
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๑๙๓
อยางที่ ดร.คิง มุงหวังหรือเปลา ความสมานสามัคคีมีมาใหเห็น เงาบางไหม . . . หรือวาพวกเรายิ่งจมลึกลงไปในหลุมแหง ความโดดเดี่ยวและความไมไวใจกัน . . . ความรังเกียจผิวเปน บาดแผลแหงสังคมของเรา แตแทนที่เราจะคอยดูแลใหแผลนั้น คอยๆ หายไปอยางชาๆ เราก็เหมือนกับสัตวอื่นๆ ซึ่งอดไมได ที่จ ะคอยกัด แผลนั้ น แผลก็เลยยิ่ งเปดกว างมากขึ้ น” (Howard, 133-143)
๒) ปญหาการทารุณเด็ก การทําทารุณกรรมตอเด็กเปนปญหาใหญ ที่ แ พร ห ลายมานานในสั ง คมอเมริ กั น และสั ง คมยิ่ ง เจริ ญ ป ญ หาก็ ยิ่ ง รุนแรงมากขึ้น หนังสือ The Day America Told the Truth กลาววา “คนที่เติบโตขึ้นมาเปนผใหญทั่วอเมริกาทุก ๑ ใน ๖ คน เคยถูกทําการทารุณทางรางกายในวัยเด็ก และเกือบเทากันนั้น คือ ทุก ๑ ใน ๗ คน สารภาพวา เมื่อเปนเด็กตนเคยถูกทํา (Patterson, ทารุณกรรมทางเพศ” 125)
แมวาตามสถิติที่เปนทางการ จํานวนเด็กที่มีในรายงานจะนอยกวา ที่ ก ล า วนี้ เช น ในป ๒๕๓๖/๑๙๙๓ มี ร ายงานเด็ ก ถู ก ทํ า ทารุ ณ ๒,๘๒๕,๕๙๔ คน (The American Almanac 19951996, Table No. 347) คนที่ทําการทารุณสวนมากก็คือคน ใกลชิด เริ่มแตพอแมของเด็กเอง เมื่อปญหาการทารุณเด็กแพรหลายมากอยางที่วานี้ จึงเกิดความ จําเปนที่ทําใหรัฐบาลตองออกกฎหมายมาปองกันแกไขปญหาและคมค รองเด็ก เชน มีมาตรการในการลงโทษคนที่ทารุ ณเด็ก แต กฎหมายที่
๑๙๔
นิติศาสตรแนวพุทธ
ออกมาเปนเหมือนดาบสองคม ในดานดี ชวยไดเพียงลงโทษคนที่ทําผิด และยับยั้งบางคนที่จะทําราย ชวยบรรเทาปญหาดวยการกั้นกระแสราย ไมใหสังคมเสื่อมโทรมลงไปกวานั้นอีก (ซึ่งก็ไมไดผลจริง) แตในดานผลเสีย กลายเปนการทําลายบรรยากาศทางจิตใจ และ ความสั ม พั น ธ ใ นครอบครั ว รวมทั้ ง เป น การแทรกแซงกั้ น ขวางใน กระบวน การอบรมเลี้ยงดูเด็ก เชน เมื่อพอหรือแมตีหรือดุวาเด็ก ซึ่งอาจ ยังไมแนวาเปนการรุนแรงหรือไม เด็กอาจมองวารุนแรงหรือโกรธแลว โทรศัพทไปแจงตํารวจ หรือเพื่อนบานไดยินไดเห็นแลวอาจโทรศัพทไป แจง หรื อเด็ก ไปโรงเรี ยนฟ องครู แ ล ว ครู โ ทรศั พท ไ ปแจ งตํ า รวจ เมื่ อ ตํา รวจมาจับพ อแมไ ป พ อ แมถู กขัง หรื อดํ าเนิน คดี อยู แมจ ะยั งไม ได ตัดสินวามีความผิดจริงหรือไม ผลเสียก็เกิดขึ้นแลว (เชน เคยมีกรณีที่พอ ตรอมใจผูกคอตายในหองขังบาง พอแมหลบหนีคดีทําใหกิจการงานตอง ลมเลิกไปบาง) แม แ ต เมื่ อยั ง ไม มีก รณี เ กิ ดขึ้น แต บ รรยากาศในบ า นที่ควรเป น สภาพแหงความรักความอบอุน ก็อาจจะกลายเปนบรรยากาศแหงความ หวาดระแวงกัน พอแมจะสั่งสอนลูกก็ตองหวาดวาอาจถูกจับถูกฟอง ลูก ก็อาจมีทาทีแบบเพงจองหาความผิดของพอแม หรือมองพอแมเปนคนละ ฝายกับตน และไมเกรงพอแม เพราะนึกวามีกฎหมายและเจาหนาที่เปน พวกของตน ดังนี้เปนตน ๓) ปญหาการฟองเรียกคาเสียหาย วัฒนธรรมอเมริกันเนนการ พิทักษสิทธิสวนบุคคล จึงพัฒนามาตรการที่จะปองกันการละเมิดสิทธิ ของกันและกัน มาตรการสําคัญคือทางดานกฎหมายเมื่อมีการละเมิด สิทธิกัน ก็จะมีการฟองเรียกคาเสียหาย (v.= to sue; n. = suit) เมื่อคนรักความเปนธรรม เขาจึงพัฒนามาตรการทางกฎหมาย คือ การฟองเรียกคาเสียหายนี้ขึ้นมาเพื่อรักษาความเปนธรรมนั้นใหมีผลเปน
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๑๙๕
จริงและดํารงอยอยางมั่นคง แตเมื่อการรักความเปนธรรมซึ่งเปนสาระที่ แทเลือนลางจางลงไป มาตรการทางกฎหมายที่เปนรูปแบบภายนอกก็ คอยๆ แปรความหมายไป คือแทนที่จะเปนเครื่องมือของการคมครอง สิทธิเพื่อรักษาความเปนธรรม ก็กลายเปนวาการฟองเรียกคาเสียหายได กลายเปนเครื่องมือแสวงหาผลประโยชนจากผอื่น เวลานี้ การใชมาตรการทางกฎหมายในการฟองเรียกคาเสียหายมา เปนเครื่องมือหาผลประโยชน ไดแพรหลายมากขึ้นในสังคมอเมริกัน เชน ทนายความบางคนโฆษณาวารับปรึกษาและใหบริการทางกฎหมาย ฟรี แตมีความหมายวา ใครมีเรื่องราวกระทบกระทั่งกับคนอื่น เชน เพื่อน บ า น พอจะเห็ น ทางฟ อ งเรี ย กค า เสี ย หายได ก็ นํ า เรื่ อ งมาปรึ ก ษา ทนายความๆ จะไมคิดคาบริการ ถาเห็นทางตั้งเปนคดีได ก็ตั้งเปนคดี ฟองศาล และรับวาความใหเปลา แตถาชนะไดเงินชดใชคาเสียหาย ก็ แบงกับลูกความคนละครึ่ง ถาแพก็แลวไป โดยวิธีนี้ ชาวบานที่เปนลูกความก็เห็นวาตนมีแตไดไมมีเสีย และ เห็นเปนวิธีหาเงินที่ไดผลดี ก็ชอบใจ เลยจองหาเรื่องฟองเพื่อนบาน ทํา ใหคนอยูกันดวยความไมจริงใจและหวาดระแวงกันมากขึ้น เรื่องแบบนี้ที่เดนมากอยางหนึ่ง คือ คนไขและญาติคนไขคอยจอง จับผิดแพทยที่รักษา เพื่อหาแงที่จะไดเงินดวยการฟองเรียกคาเสียหายจาก แพทย ทําใหแพทยเดือดรอนมากขึ้น กระแสของคานิยมนี้กําลังกาวไป ไกลมากขึ้นในสังคมอเมริกัน ในสั ง คมไทยที่ ไ ม มี วั ฒ นธรรมแบบนี้ แต มี วั ฒ นธรรมน้ํ าใจ ที่ ประชาชนและคนไขมองแพทยเปนผมีพระคุณ กรณีแบบนี้ก็ไมมี แตเมื่อ สังคมหลงสมมติมากขึ้น การแพทยกลายเปนธุรกิจอยางตะวันตกมากขึ้น ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมก็จะตามมา กรณีเชนนี้ก็จะเริ่มมีขึ้น ตอน แรกก็จะเปนเพียงการฟองเพื่อพิทักษสิทธิ แตตอไปเมื่อคุมกระแสไมได
๑๙๖
นิติศาสตรแนวพุทธ
การฟองเพื่อหาเงินหารายไดก็จะเกิดขึ้นและจะเฟองฟูไดดวยเชนกัน และก็ จ ะไม เ ฉพาะในวงการธุ ร กิ จ การแพทย เ ท า นั้ น แต อาจจะแผ ไ ป ครอบงํากิจการทุกอยางของสังคมเลยทีเดียว จึงเปนเรื่องที่เรียกรองการพัฒนาคนอยางยิ่ง และหมายถึงการที่ ตองพัฒนาคนนั้นใหทันการณกับสังคมที่เปลี่ยนแปลงอยางรวดเร็วนีด้ ว ย กฎหมายหรือกฎสมมติของมนุษยเปนคุณ เมื่อมันเปนเครื่องมือ สนองความตองการธรรม แต เ มื่ อ ความต อ งการธรรมเลื อ นลางจางหาย กฎหมายก็ อ าจ กลายเปนเครื่องมือสนองความปรารถนาสวนตัวของบุคคล ที่อาจจะตรง ขามกับธรรม เชน เปนเครื่องมือของการแสวงหาผลประโยชนของตน หรือการ กลั่นแกลงทํารายผอื่น กฎหมายหรือกฎสมมติของมนุษยมีกําเนิดขึ้น เพื่อชวยสนับสนุน ธรรม หรือกฎแทของธรรมชาติ ใหปรากฏผลเปนจริงหนักแนนในสังคม มนุษ ย แต เมื่ อ คนแปลกแยกจากความจริ งแท แ ห ง ธรรม หรื อหลงลืม มองขามไปเขาไมถึงธรรมแลว กฎหมายหรือกฎสมมติของมนุษยนั้นก็เลื่อน ลอยคลาดเคลื่ อนจากคุ ณ ค าที่ แ ทจ ริ ง และกลั บกลายเปน เครื่ องทํ าลาย สังคมมนุษยเสียเอง เมื่อมีการพัฒนาดานจิ ตใจและปญญาภายในตัวคน ทําให คนมี ความสามารถภายในที่จะควบคุมและนําพฤติกรรมของตนไปในทางที่ ถู กต องดี งาม สั ง คมจะต องการกฎหมายเพี ย งเพื่ อมาช ว ยจัด สรร สภาพแวดล อม โอกาสและบรรยากาศ ที่ จะอุ ดหนุนความมั่นคงแห ง พฤติกรรมที่ถูกตองดีงามนั้น แตถาจิตใจและปญญาไมไดรับการพัฒนา คนไมมีความสามารถ ภายในที่จะควบคุมและนําทางพฤติกรรมของตนใหถูกตอง ก็จะตองเพิ่ม มาตรการควบคุมจากภายนอกดวยการบัญญัติกฎหมายมาบังคับควบคุม
๑๙๗
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
คนมากขึ้นๆ พรอมทั้งลงโทษหนักหนารุนแรงขึ้นๆ จนในที่สุดกฎหมาย ก็จะหมดความหมาย สังคมก็จะเสื่อมสลาย และชีวิตก็จะไมอาจบรรลุ จุดหมายแหงประโยชนสุขและอิสรภาพที่แทจริง อยางไรก็ตาม ดวยปญญาที่เชื่อมโยงกฎสมมติของมนุษยเขากับ กฎแทของธรรมชาติได และจัดวางกฎหมายที่เปนกฎสมมติของมนุษย ใหเปนเครื่องเกื้อหนุนผลที่มงหมายแทจริงตามกฎธรรมชาติ ใหกฎหมาย และการปกครองเปนเครื่องรองรับและเชิดชูธรรม ตั้งอยูบนฐานแหง ธรรมและมีจุดหมายเพื่อธรรม พรอมทั้งจัดตั้งวางระบบแบบแผน ที่เอื้อ โอกาสใหคนพัฒนาตนใหสามารถไดรับประโยชนสูงสุดจากความจริง แท คื อ ธรรมนั้ น ด ว ยปรี ช าญาณและปฏิ บั ติ ก ารเช น นี้ นิ ติ ศ าสตร ก็ จ ะ ชวยชีวิตมนุษย ชวยสังคม และชวยโลกได อาตมภาพไดพูดมาในเรื่อง “นิติศาสตรแนวพุทธ” แมวาจะไมได ตอบคําถามโดยตรง แตก็ไดกลาวแลววาขอฝากไวใหพิจารณาในหลัก ตางๆ ที่พูดไปแลว และก็อาจจะใหทานผฟงไดตอบเองดวย ขออนุโมทนาทานอัยการสูงสุด ที่ไดมีกุศลเจตนาดํารินิมนตอาตม ภาพมาพูด พรอมทั้งทานผูทรงคุณวุฒิ และทานผูสนใจใฝธรรมทุกทานที่ มารวมฟง ขอกุศลเจตนาของทานจงเปนปจจัยแหงความสุขและความ เจริญงอกงาม ขอทุกทานจงเจริญดวยจตุรพิธพรชัย มีกําลังกาย กําลังใจ กํ าลั งป ญญา ที่จะช วยกั นปฏิ บั ติ กิ จ หน าที่ ในการสร างสรรค ชี วิ ต และ สังคมที่ดีงามยิ่งขึ้นไป โดยทั่วกันทุกทาน
บรรณานุกรม ก. คัมภีรพระพุทธศาสนา ที่อางอิงในคําบรรยายนี้ คือ
๑๙๘
นิติศาสตรแนวพุทธ
๑. พระไตรปฎกบาลีฉบับสยามรัฐ มหามกุฏราชวิทยาลัย จัดพิมพ พ.ศ. ๒๕๒๓ ชุด ๔๕ เลม - ระบบอางอิง คือ เลม/ขอ ๒. อรรถกถา และ ฎีกา ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย และฉบับมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย หลาย พ.ศ. - ระบบอางอิง คือ เลม/หนา
ข. หนังสืออื่นๆ ปยุตฺโต, พระธรรมปฎก ป. อ. วินัย: เรื่องที่ใหญกวาที่คิด. กรุงเทพฯ: กรมวิชาการ, กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๓๙. Gore, Senator Albert A. Earth in the Balance. Boston: Houghton Miffin Co., 1992. Hacker, Andrew. Two Nations. New York: Charles Scribner's Sons, 1992. Howard, Philip K. The Death of Common Sense. New York: Random House, Inc., 1994. Joshi, Lalmani. Studies in the Buddhistic Culture of India. Delhi: Motilal Banarsidass, 1987. Naisbitt, John. Megatrends. New York: Warner Books, Inc., 1984. Patterson, James, and Kim, Peter. The Day America Told the Truth. New York: Penguin Books USA Inc., 1992. Rolston, Holmes. Environmental Ethics. Philadelphia: Temple University Press, 1988. Walker, Benjamin. Hindu World. 2 vols. London: George Allen & Unwin Ltd., 1968.
นิติศาสตรแนวพุทธ พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ การใหธรรม ชนะการใหทั้งปวง
นิติศาสตรแนวพุทธ © พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) ISBN 974-8239-34-9 พิมพครัง้ แรก สถาบันกฎหมายอาญา สํานักงานอัยการสูงสุด พิมพเปนธรรมทาน ธันวาคม ๒๕๓๙ พิมพครั้งที่ ๕ (ปรับปรุง) — ธันวาคม ๒๕๔๔ - คุณจินตนา นันทไพบูลย ๑,๐๐๐ เลม - หางหุนสวนจํากัด พิคกา ชิบปง ๑๐๐ ” - คุณจิตตินันท นันทไพบูลย ๕๐ ” - คุณนงคราญ ธาราทิพยกุล ๒๕ ” - คุณศรีลออ พะลายะสุต ๒๕ ” - คุณธารทอง -ประเวศ พวงประเสริฐ ๒๐ ” - คุณอรวรรณ สวางกมล ๒๕ ” - คุณพรพิมล เจริญศรี ๒๕ ” - คุณนิภาพรรณ ศิริหาญยากร ๓๐ ” - คุณเจือ สุวรรณเจริญ และคณะ ๑๑๒ ” - คุณกิ่งรัก กรอบเพชร ๕๐ ” - คุณปยะนุช ลือชานิมิตจิต ๕๐ ” - ครอบครัวโกสินทราภรณ ๑๐๐ ”
พิมพที่ บริษทั พิมพสวย จํากัด
๓,๐๐๐ เลม
- ทุนพิมพหนังสือเปนธรรมทาน๙๒๓ เลม - คุณวศิน นันทไพบูลย ๗๕ ” - คุณพวงทอง เจริญพานิช ๒๕ ” - คุณพรพิมล เกียรติกังวาฬไกล๒๕ ” - คุณจิตรา ชัยยะ ๒๕ ” - คุณนฤมล คันธาจละ ๒๕ ” - คุณเฉลา -สุรัชดา รัตนเสถียร ๕๐ ” - คุณสาธิต พันธกิจไพบูลย ๒๕ ” - คุณสวรัฐ เรียนเขมะนิยม ๕” - คุณวิเศษ จันทรโส ๑๐ ” - คุณชุติมา เศวตนัย ๑๐๐ ” - ครอบครัวเตชะผาติกุล ๑๐๐ ”
๒๓/๙-๑๐ ถ.ดํารงรักษ แขวงคลองมหานาค เขตปอมปราบศัตรูพาย กรุงเทพฯ ๑๐๑๐๐
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๒๐๑
โทร. ๒๘๐-๒๐๗๔-๖ โทรสาร ๒๘๑-๙๕๑๒
วันอาทิตยที่ ๑๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๔ ปรับใหมนิติ.พุทธ จากพระครูฯ 16.12.44 .doc Cordia 16 pt.=136 pp. Replaced with PSLBundit =136 pp. เทากัน พอดี
๒๐๒
นิติศาสตรแนวพุทธ
๑๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๔ หลัง ๑๖ น. จึงไดมีโอกาสเริ่มงานจัดปรับแทรกเสริมเพิ่มเติม • ตั้งหัวขอยอยเพิ่ม ๗ แหง • แทรกเพิม่ เนือ้ หา (ตั้งแต น. ๗๒) ๔ แหง=๑๖ ยอหนา (โดยเฉพาะ น. ๑๑๑–๑๑๒=๑๑ ยอหนา) • ซอยยอหนาอีกมากมาย • ใหตัวอักษรเพิ่มอีกมากมาย
• ปรับปรุงถอยคําสํานวน และแทรกขอความปลีกยอยทั่วไป • ที่มาคัมภีร ใสเลขหนาเขาดวย ทั้งที่เพิม่ มากมาย แตจํานวนหนากลับทําใหลดลงไป จนเหลือเพียง ๑๓๓ หนา
กวาจะเสร็จ=๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๔ สารบัญเสร็จ=๒๔.๓๐ น. ขึ้นวันใหมจันทรที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๔