หลักการสองชั่วโมง คานา พระเจ้ าเป็ นหนึ่ง สัมบูรณ์ และนิรันดร์ ฉะนันเจตจ ้ านงของพระองค์ก็ เป็ นหนึ่ง สัมบูรณ์และนิรันดร์ และพระคัมภีร์ซงึ่ เป็ นการแสดงออกถึง เจตจานงของพระองค์ก็เป็ นหนึ่ง สมบูรณ์ และนิรันดร์ เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี ้ ชาวคริสต์ที่เชื่อในพระเจ้ าเดียวกันและอ่าน พระคัมภีร์เดียวกัน ได้ แบ่งเป็ นนิกายต่างๆ กว่า 400 นิกาย เหตุผลสาคัญมา จากข้ อเท็จจริงที่วา่ ข้ อความในพระคัมภีร์ส่วนสาคัญๆ หลายส่วนได้ แสดงออกในลักษณะของอุปมาอุปไมยและสัญลักษณ์ ทุกวันนี ้ สิง่ ที่ศาสนาคริสต์ต้องการนัน้ ไม่ใช่การตีความพระคัมภีร์เพิ่ม ใหม่อีกอันหนึ่งโดยมนุษย์ แต่เป็ นการตีความของพระเจ้ า เราต้ องให้ พระเจ้ า บอกว่า พระคัมภีร์ควรถูกตีความอย่างไร เราจึงจะสามารถเข้ าใจเจตจานง ของพระเจ้ าได้ อย่างถูกต้ อง และสามารถตอบสนองต่อพระองค์ตามความ ปรารถนาของพระองค์ได้ การบรรยายนี ้ เป็ นการรวมหัวข้ อสาคัญๆ ที่อยู่ในหลักการของพระเจ้ า ซึง่ เป็ นการเปิ ดเผยความจริงที่พระเจ้ าประทานให้ กบั ซันเมียงมูน เกี่ยวกับ เจตจานงของพระเจ้ า หลักการแห่งการสร้ างสรรค์ของพระองค์ และวิธีการที่ การช่วยให้ รอดจะบรรลุถึงได้ โดยอธิบายบนพื ้นฐานของพระคัมภีร์ หลักการแห่ งการสร้ างสรรค์ ปั ญหาพื ้นฐานเกี่ยวกับชีวติ และเอกภพ ไม่เคยสามารถแก้ ไขได้ โดย ปราศจากความเข้ าใจในธรรมชาติของพระเจ้ าผู้สร้ างสรรค์สรรพสิง่ ทังมวล ้
เราจะสามารถรู้ถึงลักษณะพิเศษของพระเจ้ าผู้ซึ่งเป็ นสิง่ ดารงอยู่ที่มองไม่ เห็นได้ อย่างไร นักบุญเปาโลกล่าวว่า "ตังแต่ ้ เริ่มสร้ างโลกมาแล้ ว สภาพที่ไม่ ปรากฏของพระเจ้ านัน้ คือฤทธานุภาพอันถาวรและเทวสภาพของพระองค์ ก็ ได้ ปรากฏชัดในสรรพสิง่ ที่พระองค์ได้ ทรงสร้ าง ฉะนันเขาทั ้ งหลายจึ ้ งไม่มีข้อ แก้ ตวั เลย" (โรม 1:20) เช่นเดียวกับที่เราสามารถรู้ เกี่ยวกับลักษณะของนักประพันธ์จาก ผลงานของเขา ดังนัน้ เราสามารถรู้เกี่ยวกับเทวสภาพของพระเจ้ าได้ โดยการ พิจารณาสรรพสิง่ แห่งการสร้ างสรรค์ของพระองค์ ในการที่จะรู้ถึงลักษณะ พิเศษแห่งธรรมชาติอนั ศักดิ์สทิ ธิ์ของพระเจ้ า ขอให้ พิจารณาตัวประกอบร่วม ต่างๆ ที่สามารถพบได้ ในสรรพสิง่ ทังมวลของพระองค์ ้ ลักษณะพิเศษทีเ่ ป็ นคู่ของพระเจ้ า สิ่งดารงอยู่ใด ไม่วา่ จะเป็ นมนุษย์ สัตว์ พืช โมเลกุล หรื อแม้ กระทัง่ อะตอม หน่วยพื ้นฐานของสสารทังมวล ้ ล้ วนสามารถดารงอยู่ได้ โดย ความสัมพันธ์ซงึ่ กันและกันของส่วนที่เป็ นประธานและกรรม มนุษย์ ประกอบด้ วยผู้ชายและผู้หญิง สัตว์ประกอบด้ วยตัวผู้และตัวเมีย พืช ประกอบด้ วยเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมีย โมเลกุลเกิดขึ ้นจากอะตอมบวกและ อะตอมลบ และแม้ แต่อะตอมที่ง่ายที่สดุ ก็ประกอบด้ วยโปรตอนและ อิเล็กตรอน สิง่ นี ้ชี ้ให้ เห็นอย่างชัดเจนว่า สิง่ ทังมวลด ้ ารงอยู่ได้ ก็โดย ความสัมพันธ์ซงึ่ กันและกันในการให้ และการรับของประธานและกรรมยิ่งไป กว่านัน้ สิง่ ดารงอยู่ที่ถกู สร้ างขึ ้นทุกสิง่ ยังมีทงลั ั ้ กษณะภายในและรูปแบบ ภายนอกด้ วย ถึงแม้ วา่ จะแตกต่างกันในคุณค่าหรื อความสาคัญตามระดับ แห่งการดารงอยู่ของมัน แต่ลกั ษณะภายในและรูปแบบภายนอกเป็ น ลักษณะพื ้นฐานสองส่วนที่สมั พันธ์กนั ของสิง่ ดารงอยู่แต่ละสิง่
ดังที่นกั บุญเปาโลได้ ชี ้ให้ เห็นว่า สรรพสิง่ แสดงให้ เห็นว่าพระเจ้ ามี ลักษณะอย่างไร และยังแสดงให้ เราเห็นว่าพระเจ้ าซึง่ เป็ นเหตุเริ่มแรกแห่ง สรรพสิง่ เป็ นสิง่ ดารงอยู่ที่กลมกลืนของลักษณะภายในเริ่มแรกกับรูปแบบ ภายนอกเริ่มแรก และของลักษณะบวกเริ่ มแรกกับลักษณะลบเริ่มแรก เมื่อ เราพูดถึงพระเจ้ าว่าเป็ นพระเจ้ าแห่งความรักหรื อพระเจ้ าที่ศกั ดิ์สทิ ธิ์ เรา กาลังกล่าวถึงส่วนหนึ่งของลักษณะภายในเริ่มแรกของพระองค์ ในขณะที่ เมื่อเราพูดถึงพระเจ้ าว่าเป็ นพระเจ้ าแห่งอานาจ เรากาลังกล่าวถึงรูปแบบ ภายนอกเริ่มแรกของพระองค์ พระเจ้ าเป็ นสิง่ ดารงอยู่ที่เป็ นเหตุของสิง่ ทัง้ มวล ลักษณะภายในเริ่มแรกของพระเจ้ าเป็ นส่วนที่ทาให้ เกิดแรงผลักดัน ระเบียบ และความมุ่งหมายสาหรับโลกที่ถกู สร้ างขึ ้น ส่วนรูปแบบภายนอก ของพระองค์ก็เป็ นส่วนที่มีรูปแบบของพลังงานซึง่ ทาให้ เกิดโลกที่ถกู สร้ างขึ ้น พลังงานปฐมภูมสิ ากลและปฏิกริ ิยาการให้ และการรับ สิ่งดารงอยู่ทกุ สิง่ ที่ถกู สร้ างขึ ้นโดยพระเจ้ า ประกอบด้ วยลักษณะ พิเศษพื ้นฐานของลักษณะภายในและรูปแบบภายนอก และลักษณะบวก และลักษณะลบด้ วย พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือแต่ละสิง่ ดารงอยู่ที่ถกู สร้ างขึ ้น สะท้ อนรูปแบบแห่งการดารงอยู่ของตัวพระเจ้ าเอง และประกอบด้ วยส่วน ต่างๆ ที่จาเป็ นในการดารงอยู่ แต่สงิ่ ต่างๆ ดารงอยู่เป็ นอิสระแยกจากกันโดย สิ ้นเชิงโดยปราศจากความสัมพันธ์ระหว่างกันและกันหรื อไม่? หรื อดารงอยู่ ด้ วยความสัมพันธ์บางอย่างซึง่ กันและกัน? มองจากจุดยืนทางภายนอก สิง่ ทังมวลโดยแท้ ้ จริงดารงอยู่เป็ นสิง่ ดารงอยู่เฉพาะตัวที่แยกจากกัน แต่เพราะ ถูกสร้ างขึ ้นโดยพระเจ้ าผู้ซึ่งมีธรรมชาติที่กลมกลืน ดังนัน้ โดยธรรมชาติมนั จึงถูกกาหนดให้ ดารงอยู่ เจริญเติบโต และทวีคณ ู โดยความสัมพันธ์ที่ กลมกลืนและพึ่งพาอาศัยซึง่ กันและกัน ทังนี ้ ้ ความสัมพันธ์ซงึ่ กันและกันที่ พยายามมุ่งไปสู่อดุ มคติของการมีการให้ และการรับซึง่ เราเรี ยกว่า ปฏิกิริยา
การให้ และการรับ ความสัมพันธ์อดุ มคติถกู สร้ างขึ ้นเมื่อประธานและกรรม สองส่วนที่ประกอบเป็ นสิ่งทังมวลที ้ ่ดารงอยู่ เข้ าสูป่ ฏิกิริยาการให้ และการรับ ปฏิกิริยาอันนี ้ให้ พลังงานที่จาเป็ นสาหรับสรรพสิง่ เฉพาะนันๆ ้ พูดอีกอย่าง หนึ่งคือพลังงานที่จาเป็ นในการดารงอยู่ การทวีคณ ู และการเคลื่อนไหวก็ถกู สร้ างขึ ้น แล้ วอะไรคือพลังงานพื ้นฐานซึง่ ทาให้ เกิดปฏิกิริยาการให้ และการรับ นี?้ สิง่ ทังมวลที ้ ่ดารงอยู่ในโลกที่ถกู สร้ างขึ ้น ต้ องมีพลังงานที่ทางานอยู่ ภายในแต่ละสิง่ ดารงอยู่ก่อน บวกกับพลังงานที่ทาให้ เกิดปฏิกิริยาระหว่างสิง่ ดารงอยู่ต่างๆ พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ อานาจที่เป็ นพลังงานผลักดันที่ทาให้ เกิดปฏิกิริยาการให้ และการรับ เราเรี ยกพลังงานนี ้ว่า"พลังงานปฐมภูมิสากล" พลังงานปฐมภูมิสากลซึง่ มาจากพระเจ้ า กาหนดทิศทาง และความ มุ่งหมายของปฏิกิริยาการให้ และการรับ และดังนันสิ ้ ง่ ดารงอยู่ที่ถกู สร้ างขึ ้น ทังมวลจากอนุ ้ ภาคที่เล็กที่สดุ ไปจนถึงเอกภพทังมวล ้ ถูกชี ้นาไปสู่ ความสัมพันธ์ที่รวมกันเข้ าเป็ นระบบที่เป็ นหนึ่ง เพราะว่าปฏิกิริยาการให้ และ การรับจะเกิดขึ ้นระหว่างประธานและกรรมก็ต่อเมื่อมันมีความมุ่งหมาย ร่วมกันอย่างครบถ้ วน เราสามารถเห็นได้ วา่ เป้าหมายของปฏิกิริยาการให้ และการรับอยู่ในการรวมประธานและกรรมให้ เป็ นหนึ่ง เพื่อว่ามันจะ พัฒนาขึ ้นไปสูส่ งิ่ ดารงอยู่ที่สงู ขึน้ เมื่อใดก็ตามที่สงิ่ ดารงอยู่สงิ่ หนึ่งได้ รวมเป็ นหนึ่งภายในตัวมันเองมัน ก็จะสามารถมีความสัมพันธ์แห่งการการให้ และการรับที่สงู ขึ ้นกับสิ่งดารงอยู่ อื่นๆ ได้ และโดยการรวมเป็ นหนึ่งกับสิง่ ดารงอยู่อื่นๆ ในปฏิกิริยาการให้ และ การรับ มันก็จะถูกยกขึ ้นไปสูส่ งิ่ ดารงอยู่ที่สงู ขึ ้นไปอีก เพราะว่าสิง่ ทังมวลถู ้ ก ชี ้นาโดยสองความมุ่งหมายคือ ความมุ่งหมายแห่งการดารงอยู่ของตัวเอง (ความมุ่งหมายเฉพาะตัว) และความมุ่งหมายแห่งการดารงอยู่ของส่วนรวม (ความมุ่งหมายเพื่อสาธารณะ) ดังนัน้ เราจึงสามารถพูดได้ วา่ เอกภพเป็ น
อินทรี วตั ถุขนาดใหญ่อนั หนึ่งที่ถกู ประสานเข้ าด้ วยกัน โดยความมุ่งหมายที่ เป็ นคู่ของสรรพสิง่ ทังมวล ้ ปฏิกริ ิยาจุดเริ่มต้ น-การแบ่ ง-การรวม และฐานสี่ ตาแหน่ ง โดยปฏิกิริยาการให้ และการรับ เมื่อประธานและกรรมที่ถกู รวมเป็ น หนึ่ง สร้ างความเป็ นหนึ่งกับพระเจ้ าผู้ซึ่งเป็ นประธานท้ ายสุดและพื ้นฐานของ เอกภพ ปฏิกิริยาการให้ และการรับกับพระเจ้ านี ้จะทาให้ เกิดสิง่ ดารงอยู่ใหม่ ขึ ้น ซึง่ กลายเป็ นกรรมอันใหม่ของพระเจ้ า กระบวนการแห่งการสร้ างสรรค์ หรื อกระบวนการแห่งการถ่ายทอด พลังงานนี ้เรี ยกว่า "ปฏิกิริยาจุดเริ่มต้ น-การแบ่ง-การรวม" โดยกระบวนการ ของจุดเริ่มต้ น-การแบ่ง-การรวมนี ้ที่มีศนู ย์กลางอยู่ที่จดุ เริ่มต้ นคือ พระเจ้ า คู่ ของประธานและกรรมที่ถกู แบ่งออกมา (ถูกถ่ายทอดมาจากพระเจ้ า) จะเข้ า สูป่ ฏิกิริยาการให้ และการรับอุดมคติกบั พระเจ้ าที่จดุ เริ่มต้ น ประธานและกรรม และสิง่ ดารงอยู่อนั ใหม่ที่เกิดขึ ้นโดยการรวมของ ประธานและกรรม ทังหมดจะรวมกั ้ นเข้ าทาให้ เกิดพื ้นฐานอานาจที่ไม่ เปลี่ยนแปลงอันหนึ่งเรี ยกว่า "ฐานสี่ตาแหน่ง" ฐานสี่ตาแหน่งเป็ นพื ้นฐาน เบื ้องต้ นที่ซงึ่ พระเจ้ าสามารถทางานผ่านได้ และกลายเป็ นพื ้นฐานเบื ้องต้ น ที่สดุ ที่ซงึ่ ความมุ่งหมายแห่งการสร้ างสรรค์ของพระเจ้ าถูกทาให้ สมบูรณ์ได้ ความมุ่งหมายแห่ งการสร้ างสรรค์ พระเจ้ าเป็ นสิง่ ดารงอยู่ที่นิรันดร์ และไม่เปลี่ยนแปลง เพราะฉะนัน้ เจตจานง และอุดมคติของพระเจ้ าจะต้ องเป็ นหนึ่ง นิรันดร์ และไม่ เปลี่ยนแปลง ก่อนการทางานแห่งการสร้ างสรรค์ของพระองค์ พระเจ้ ามีอดุ ม คติของพระองค์ในตัวพระองค์เองแล้ ว และเพื่อจะทาให้ กลายเป็ นความจริง
พระองค์จึงได้ สร้ างมนุษย์และเอกภพขึ ้น สร้ างสรรค์ของพระเจ้ า?
แล้ วอะไรคืออุดมคติแห่งการ
เมื่อไรก็ตามที่พระเจ้ าสร้ างสรรพสิง่ ชนิดใหม่ขึ ้นพระองค์ทรงเห็นว่าดี (ปฐมกาล 1:4-31) เพราะว่าเราจะรู้สกึ ความสุขที่สมบูรณ์ ได้ ก็ต่อเมื่อ บุคลิกลักษณะของตัวเราเองถูกสะท้ อนกลับมาโดยกรรมอันหนึ่ง พระเจ้ าได้ ทรงสร้ างมนุษย์และเอกภพให้ เป็ นกรรมที่เป็ นแก่นสารแห่งความปี ติของ พระองค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพราะว่ามนุษย์ถกู สร้ างขึ ้นให้ เป็ นกรรมแห่ง ความสุขโดยตรงของพระเจ้ า พระองค์ได้ ให้ อานาจการปกครองเหนือสิง่ ทัง้ มวลแก่มนุษย์ (ปฐมกาล 1:28) ในปฐมกาล 2:17 พระเจ้ าตรัสกับ อาดัมและ เอวา บรรพบุรุษเริ่มแรกของมนุษย์ ว่า "...เว้ นแต่ต้นไม้ แห่งความสานึกใน ความดีและความชัว่ ผลของต้ นไม้ นนอย่ ั ้ ากิน เพราะในวันใดที่เจ้ าขืนกิน เจ้ า ต้ องตายแน่" ในพระธรรมบัญญัตินี ้พระเจ้ าได้ แสดงออกซึง่ เจตจานงและ หัวใจแห่งความรักของพระองค์สาหรับมนุษย์ เพราะฉะนัน้ เราสามารถเห็นได้ วา่ มนุษย์ถกู สร้ างขึ ้นให้ เป็ นกรรมแห่ง ความรักเพื่อสนองตอบโดยตรงที่สดุ ต่อเจตจานงและหัวใจของพระเจ้ า เพราะว่า ฐานสี่ตาแหน่งเป็ นฐานที่ซงึ่ พระเจ้ าสามารถทางานได้ เมื่อมนุษย์ ได้ บรรลุถึงฐานสี่ตาแหน่งนี ้โดยมีศนู ย์กลางอยู่ที่อดุ มคติแห่งความรักของ พระเจ้ า เขาก็จะกลายเป็ นกรรมแห่งความสุขที่สมบูรณ์ของพระเจ้ าและทา ให้ ความมุ่งหมายแห่งการสร้ างสรรค์ของพระเจ้ าบรรลุถึง ความมุ่งหมายแห่งการสร้ างสรรค์มนุษย์ของพระเจ้ าถูกสรุปไว้ อย่างดี ใน ปฐมกาล 1:28 ว่า "และพระเจ้ าทรงอวยพระพรแก่มนุษย์และตรัสแก่เขา ว่า จงบรรลุผล และทวีมากขึ ้นจนเต็มแผ่นดิน จงมีอานาจเหนือแผ่นดิน จง ครอบครอง..." มนุษย์คนแรกควรบรรลุความสมบูรณ์และความเป็ นหนึ่งใน หัวใจกับพระเจ้ า และกลายเป็ นมนุษย์ที่คดิ และกระทาโดยมีศนู ย์กลางอยู่ที่
พระเจ้ าเสมอ และเป็ นผลแห่งความรักในแนวดิ่งของพระเจ้ า และเป็ นกรรม แห่งความสุขที่สมบูรณ์ของพระองค์ นี่คือภาวะแห่งความสมบูรณ์เฉพาะตัว ประการที่สอง หลังจากที่อาดัมและเอวาบรรลุถึงความสมบูรณ์ เขา ควรจะกลายเป็ นสามีและภรรยานิรันดร์ สร้ างครอบครัวแห่งสวรรค์และทาให้ ความรักในแนวราบของพระเจ้ าสมบูรณ์ พระเจ้ าให้ ความสามารถในการให้ กาเนิดบุตรแก่มนุษย์เพื่อที่เขาสามารถมีประสบการณ์ความรักในแนวดิ่งที่ พระเจ้ ามีสาหรับเขากับลูกของเขาเอง ถ้ าอาดัมและเอวาได้ ทาให้ ความมุ่ง หมายแห่งการสร้ างสรรค์ของพระเจ้ าบรรลุถึงความสมบูรณ์ และสร้ าง ครอบครัวแรกขึ ้น แล้ วให้ กาเนิดลูกหลานแห่งความดี อาดัมและเอวาควร กลายเป็ นพ่อแม่ที่แท้ จริงที่มีศนู ย์กลางอยู่ที่พระเจ้ า และเป็ นพ่อแม่และบรรพ บุรุษที่แท้ จริงชัว่ นิรันดร์ ของมนุษยชาติ เพราะฉะนัน้ หน่วยพื ้นฐานของสวรรค์คือครอบครัวที่แท้ จริงที่ซงึ่ ฐานสี่ ตาแหน่งถูกสร้ างขึ ้น และความรักของพระเจ้ าทังแนวดิ ้ ่งและแนวราบ สามารถสถิตอยู่และถูกแสดงออกอย่างเสรี บนพื ้นฐานนันของครอบครั ้ วที่ แท้ จริงดังกล่าวโดยมีศนู ย์กลางอยู่ที่พระเจ้ า เจตจานงของพระองค์ก็คือ เพื่อ ทาให้ สงั คมที่แท้ จริง ชาติที่แท้ จริง และโลกที่แท้ จริงเกิดขึ ้น ถ้ าอาดัมและเอ วาได้ สร้ างครอบครัวและโลกดังกล่าวขึ ้นบนโลก โลกนี ้จะเป็ นอาณาจักรของ สวรรค์บนโลกอย่างแท้ จริง มนุษย์มีทงวิ ั ้ ญญาณและร่างกาย ดังนัน้ หลังจาก มีประสบการณ์ความรักดังกล่าวอย่างลึกซึ ้งในขณะที่อยู่บนโลกและตอบ แทนพระเกียรติทงมวลกลั ั้ บไปสูพ่ ระเจ้ าแล้ ว เขาจะเข้ าสูอ่ าณาจักรของ สวรรค์ในโลกฝ่ ายวิญญาณหลังจากเสร็ จสิ ้นชีวติ ทางฝ่ ายเนื ้อหนังบนโลก นี่ เป็ นแผนการเริ่มแรกแห่งการสร้ างสรรค์ของพระเจ้ า
การตกสู่ บาปของมนุษย์ ในโลกที่ซงึ่ ความมุ่งหมายแห่งการสร้ างสรรค์กลายเป็ นความจริง จะ ไม่มีซาตาน ไม่มีบาป ไม่มีนรก ในอุดมคติแห่งการสร้ างสรรค์ของพระเจ้ ามี แต่ความดีดารงอยู่เท่านัน้ แต่เพราะบาป มนุษย์ได้ สญ ู เสียคุณค่าเริ่มแรกของ เขาและกลายเป็ นเศษขยะ และสร้ างนรกขึ ้นเป็ นเสมือนถังขยะของเขา รากเหง้ าแห่ งบาป แล้ วอะไรคือจุดเริ่มต้ นแห่งบาป และอะไรคือตัวตนที่แท้ จริงของ ซาตาน? ศาสนาคริสต์มีความเข้ าใจจากพระคัมภีร์ที่วา่ บรรพบุรุษเริ่มแรก ของมนุษย์ได้ กินผลไม้ ของต้ นไม้ แห่งความสานึกในความดีและความชัว่ และ บอกว่าสิ่งนี ้เป็ นรากเหง้ าแห่งบาป แต่อย่างไรก็ตาม ต้ นไม้ แห่งความสานึกใน ความดีและความชัว่ เป็ นต้ นไม้ จริงๆ หรื อไม่? หรื อว่ามันเป็ นเพียง อุปมาอุปไมยหรื อสัญลักษณ์เท่านันเช่ ้ นเดียวกับหลายๆ ตัวอย่างในพระ คัมภีร์ หลักการของพระเจ้ าแสดงไว้ อย่างชัดเจนว่ามันเป็ นสัญลักษณ์ ทาไม พระเจ้ าแห่งความรักจึงทิ ้งผลไม้ ที่น่ายัว่ ยวนดังกล่าวใกล้ บตุ รของพระองค์ที่ ซึง่ จะสามารถเป็ นเหตุแห่งการตกสูบ่ าปของเขาเหล่านัน้ (ปฐมกาล 3:6)? ดังที่พระเยซูกล่าวไว้ ใน มัทธิว 15:11 มิใช่สงิ่ ซึง่ เข้ าไปในปากจะทาให้ มนุษย์ เป็ นมลทิน มันไม่น่าจะเป็ นไปได้ วา่ พระเจ้ าทดสอบมนุษย์อย่างปราศจาก ความเมตตาด้ วยวิธีที่ซงึ่ สามารถเป็ นเหตุแห่งความตายของเขาเพียงเพื่อจะ เห็นว่าเขาเชื่อฟั งพระองค์หรื อไม่เท่านัน้ ผลไม้ ต้องเป็ นสัญลักษณ์แทนบาง สิง่ ที่กระตุ้นความรู้สกึ เป็ นพิเศษและน่าพึงปรารถนาอย่างยิ่ง ขนาดว่า แม้ กระทัง่ ความกลัวตายที่พระเจ้ าได้ เตือนไว้ ก็ไม่สามารถหันเหอาดัมกับเอ วาจากการกินมันได้
ก่อนที่เราจะสามารถหาว่าผลไม้ แห่งความสานึกและความชัว่ คืออะไร เราต้ องพิจารณาเกี่ยวกับต้ นไม้ แห่งความรู้ ในความดีและความชัว่ ที่ให้ ผลไม้ นันก่ ้ อน เพื่อที่จะทาสิง่ นันเราต้ ้ องเข้ าใจถึงความหมายที่แท้ จริงของต้ นไม้ แห่งชีวติ ซึง่ อยู่ข้างต้ นไม้ แห่งความรู้ในความดีและความชัว่ ก่อน ทังในสุ ้ ภาษิต 13:12 และวิวรณ์ 22:14 กล่าวว่า ความหวังของชาว อิสราเอลแห่งยุคพันธสัญญาเดิมและของชาวคริสต์จากสมัยพระเยซูจนถึง ปั จจุบนั ก็คือ การกลายเป็ นต้ นไม้ แห่งชีวติ เราสามารถสรุ ปได้ วา่ ความหวัง ของอาดัมกับเอวาก่อนการตกสูบ่ าปของเขาก็คือต้ นไม้ แห่งชีวติ เช่นกัน เรา พบในปฐมกาล 3:24 ว่า หลังจากอาดัมกระทาบาป เขาไม่สามารถไปสูต่ ้ นไม้ แห่งชีวติ ได้ ต้ นไม้ แห่งชีวติ ยังเป็ นความหวังของมนุษย์ที่ตกสูบ่ าป อะไรจะต้ องเป็ นสิ่งที่อาดัมหวัง เมื่อเขาอยู่ในกระบวนการของการ เจริญเติบโตไปสูค่ วามสมบูรณ์ ? เขาหวังที่จะบรรลุถึงความสมบูรณ์หรื อ ความเป็ นมนุษย์ที่สมบูรณ์ และทาให้ อดุ มคติแห่งการสร้ างสรรค์กลายเป็ น ความจริง เพื่อที่ลกู หลานทังมวลของเขาก็ ้ จะสามารถได้ มาซึ่งต้ นไม้ แห่งชีวติ ด้ วย และแล้ ว เขาเหล่านันจะสามารถท ้ าให้ อาณาจักรของสวรรค์บนโลกหรื อ สวนเอเดน กลายเป็ นความจริง แต่อาดัมตกสูบ่ าป และพระเจ้ าได้ ตงพวกเครู ั้ บและกระบี่เพลิงไว้ ที่ทางเข้ าของสวนเอเดนเพื่อขวางทางที่ไปสูต่ ้ นไม้ แห่ง ชีวติ (ปฐมกาล 3:24) ดังนัน้ ความมุ่งหมายแห่งการสร้ างสรรค์ยงั คงไม่บรรลุ ถึง และอาดัมกลายเป็ นต้ นไม้ แห่งชีวิตที่จอมปลอม (มนุษย์ที่ตกสูบ่ าป) ลูกหลานของเขาก็เป็ นต้ นไม้ แห่งชีวติ ที่จอมปลอมเช่นกัน ดังนัน้ จะต้ องมี ต้ นไม้ แห่งชีวติ ที่แท้ จริงปรากฏบนโลกเพื่อที่มวลมนุษยชาติสามารถถูก เชื่อมต่อเข้ าและถูกนากลับไปสู่สวนเอเดนหรื ออาณาจักรของสวรรค์บนโลก เพราะเหตุนี ้ พระเยซูถกู แทนเป็ นสัญลักษณ์เป็ นเสมือนต้ นไม้ แห่งชีวติ ที่กล่าวไว้ ในพระธรรมสุภาษิตในพันธสัญญาเดิม (สุภาษิต 13:12) และพระผู้
มาโปรดแห่งการมาครัง้ ที่สอง ถูกกล่าวถึงในลักษณะอย่างเดียวกันในพระ ธรรมวิวรณ์ในพันธสัญญาใหม่ (วิวรณ์ 22:14) ดังนัน้ เป้าหมายแห่งการช่วย ให้ รอดก็คือ เพื่อแก้ ไขต้ นไม้ แห่งชีวติ ที่สญ ู เสียไปในสวนเอเดน (ปฐมกาล 2:9) กลับไปสูต่ ้ นไม้ แห่งชีวติ ที่ถกู กล่าวไว้ ในพระธรรมวิวรณ์ (วิวรณ์ 22:14) พระเจ้ าสร้ างอาดัม และพระองค์ก็ยงั สร้ างเอวาให้ เป็ นคู่ของอาดัม ดังนัน้ เมื่อเราพบว่าในสวนมีต้นไม้ ที่เป็ นสัญลักษณ์แทนมนุษย์ผ้ ชู าย มันจะ ไม่มีต้นไม้ อีกต้ นหนึ่งที่เป็ นสัญลักษณ์แทนมนุษย์ผ้ หู ญิงหรื อ? ต้ นไม้ แห่ง ความสานึกในความดีและความชัว่ ซึง่ ถูกกล่าวไว้ วา่ อยู่เคียงข้ างต้ นไม้ แห่ง ชีวติ ก็คือต้ นไม้ ต้นนี ้ ดังนัน้ มันจึงมีเหตุผลที่วา่ ต้ นไม้ ต้นนี ้เป็ นสัญลักษณ์ของ เอวา สิง่ นีส้ ามารถถูกทาให้ ชดั เจนมากขึ ้น โดยการพิจารณาความหมายของ สัญลักษณ์ของงู ในวิวรณ์ 12:9 ซาตานถูกกล่าวอย่างเป็ นสัญลักษณ์ด้วยงูดึกดาบรรพ์ งูตวั นันซึ ้ ง่ ถูกผลักทิ ้งลงมาจากสวรรค์ ในเริ่ มแรกถูกสร้ างขึ ้นเป็ นสิง่ ดารงอยู่ที่ ดีที่ม่งุ ไปสูค่ วามสมบูรณ์ เป็ นสิง่ ดารงอยู่สามารถพูดคุยกับมนุษย์ เป็ นสิง่ ดารงอยู่ทางฝ่ ายวิญญาณซึง่ รู้ เจตจานงของพระเจ้ าและสามารถล่อลวง มนุษย์ได้ และแม้ วา่ หลังจากสิง่ ดารงอยู่นนตกสู ั้ บ่ าปกลายเป็ นซาตาน เขาก็ ยังมีความสามารถในการครอบงาจิตใจและร่างกายของมนุษย์ในทุกหนทาง แล้ วสิง่ ดารงอยู่ใดที่สามารถทาสิง่ ต่างๆ เหล่านี ้ได้ ? มันไม่มีสงิ่ ดารงอยู่อื่นใด ที่สามารถทาสิง่ เหล่านี ้ได้ นอกจากทูตสวรรค์ (ดังนัน้ ทูตสวรรค์จะต้ อง กระทาบาปต่อต้ านพระเจ้ าและตกสู่บาปกลายเป็ นซาตานที่ชวั่ ร้ าย) ใน 2 เป โตร 2:4 กล่าวว่า "เพราะว่าพระเจ้ าไม่ได้ ทรงยกเว้ นทูตสวรรค์ที่ได้ ทาบาปนัน้ แต่ทรงผลักเขาลงไปสูท่ คุ ติและได้ คมุ ขังเขาไว้ ในขุมนรกมืดจนกว่าจะถึงเวลา พิพากษา" (ดูใน อิสยาห์ 14:12 ด้ วย)
แล้ วอะไร คือบาปของทูตสวรรค์? ยูดาห์ 1:6-7 กล่าวว่า "และเหล่าทูต สวรรค์ที่ไม่พอใจอธิปไตยที่ทรงประทานให้ จึงได้ ละทิ ้งถิ่นฐานอันเหมาะสม ของตนนัน้ พระองค์ก็ได้ ทรงจองจาไว้ ด้วยเครื่ องพันธนาการอันไม่ร้ ูจกั สลาย ขังไว้ ในที่มืดจนกว่าจะถึงเวลาพิพากษาในวันสาคัญยิ่งนัน้ เช่นเดียวกับ เมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ และเมืองที่อยู่รอบๆ นันได้ ้ ประพฤติชวั่ มัวเมา ในกามวิตถาร ก็ได้ ทรงบัญญัติไว้ เป็ นตัวอย่างของการที่จะต้ องได้ รับอาชญา ในไฟนิรันดร์ " ดังนัน้ จากข้ อความนี ้ เราสามารถเห็นได้ อย่างชัดเจนว่าบาป ของทูตสวรรค์คือ ความรักที่ผดิ ศีลธรรมหรื อผิดหลักการนัน่ เอง แล้ วอะไรคือบาปของบรรพบุรุษของมนุษย์? ในปฐมกาล 3:7 เราอ่าน พบว่า หลังการตกสูบ่ าปบรรพบุรุษเริ่มแรกของมนุษย์ผ้ ซู งึ่ กระทาบาปร่วมกับ งู เขารู้สกึ ละอายในความเปลือยเปล่าของเขา และปกปิ ดร่างกายส่วนล่าง ของเขา เพราะว่า มันเป็ นธรรมชาติของมนุษย์ในการปกปิ ดสิง่ ที่ผดิ เกี่ยวกับ ตัวเอง มันไม่สามารถเป็ นไปได้ หรื อว่า มนุษย์ก็ตกสูบ่ าปเพราะการกระทาที่ ผิดศีลธรรมเช่นกัน โยบ 31:33 เขียนไว้ วา่ " ข้ าปิ ดบังการทรยศของข้ าอย่างอาดัม ด้ วย ซ่อนบาปผิดของข้ าไว้ ในอกของข้ า " สิง่ นี ้ชี ้ให้ เห็นว่าอาดัมกระทาบาปด้ วย ร่างกายส่วนล่างของเขาในสวนเอเดน การกระทาอะไรจะสามารถถูกกระทา ได้ โดยการเสี่ยงชีวติ ของเขา นอกจากการกระทาแห่งความรักที่ไม่ถกู ต้ อง อาดัมและเอวาเจริญเติบโตขึ ้นในความสัมพันธ์แบบพี่ชายกับน้ องสาว และหลังจากบรรลุถึงความสมบูรณ์ ก็จะได้ รับพรในการแต่งงาน เพื่อสร้ าง ครอบครัวที่สมบูรณ์ครอบครัวแรกซึง่ บรรลุถึงความมุ่งหมายแห่งการ สร้ างสรรค์ของพระเจ้ า แต่พระเยซูกล่าวในยอห์น 2:44 ว่า "ท่านทังหลายมา ้ จากพ่อของท่านคือมาร" แสดงให้ เห็นว่ามนุษย์ที่ตกสูบ่ าปทังหลายใน ้ ประวัติศาสตร์ เป็ นของซาตาน กล่าวคือ บรรพบุรุษเริ่มแรกของมนุษย์มี
ความสัมพันธ์ที่ผดิ ศีลธรรมกับทูตสวรรค์ จอมปลอมของเขาและของลูกหลานของเขา
จึงมีซาตานเป็ นเสมือนพ่อที่
ดังนัน้ อาดัมและเอวาได้ กลายเป็ นหนึ่งกับพ่อที่จอมปลอมโดยการละ ทิ ้งพ่อที่แท้ จริงของเขา โรม 8:23 กล่าวว่า "...แต่เราทังหลายเอง ้ ผู้ได้ พระ วิญญาณเป็ นผลแรก เราเองก็ยงั คร่ าครวญคอยการที่พระเจ้ าทรงให้ เป็ น บุตร" ยอห์นผู้ให้ รับบัพติสมาเรี ยกมนุษย์ที่ตกสูบ่ าปว่าลูกของซาตาน (มัทธิว 3:7) และแม้ กระทัง่ พระเยซูก็กล่าวว่า "...โอ พวกพันธ์ งรู ้ าย" (มัทธิว 23:32) โดยสรุป เพราะว่าผลไม้ ของต้ นไม้ แห่งความสานึกในความดีและ ความชัว่ เป็ นสัญลักษณ์ของความรักของเอวา ข้ อเท็จจริงที่วา่ เอวากินผลไม้ แห่งความสานึกในความดีและความชัว่ หมายความว่าเธอได้ มีความสัมพันธ์ แห่งความรักที่ผดิ ศีลธรรมกับซาตาน และข้ อเท็จจริงที่วา่ เธอได้ ให้ ผลไม้ เดียวกันกับอาดัม หมายความว่าเธอได้ ล่อลวงอาดัมให้ ตกสูบ่ าปในลักษณะ เดียวกัน ดังนัน้ จุดเริ่มต้ นบาปของมนุษย์ไม่ใช่การที่บรรพบุรุษเริ่มแรกของ มนุษย์กินผลไม้ จริงๆ แต่เป็ นเพราะว่าเขาเหล่านันได้ ้ มีความสัมพันธ์แห่ง ความรักที่ผดิ ศีลธรรม สิง่ นี ้ได้ สร้ างสายเลือดที่ตกสูบ่ าปซึง่ บาปเริ่มแรกถูกสืบ ทอดจากชัว่ อายุคนหนึ่งไปสูช่ วั่ อายุคนหนึ่ง ตลอดประวัติศาสตร์ ศาสนาที่สาคัญทังหลายถื ้ อว่าการล่วงประเวณี ว่าเป็ นบาปที่ยิ่งใหญ่ที่สดุ อันหนึ่ง นอกจากนี ้ เรายังสามารถเห็นได้ วา่ ทาไม ชาวอิสราเอลต้ องถูกทาพิธีสหุ นัตเป็ นเสมือนเงื่อนไข (แห่งการไถ่ถอน) เพื่อ กลายเป็ นผู้ที่ถกู เลือกของพระเจ้ า เราอาจจะสามารถป้องกันการกระทาบาป อื่นๆ ได้ โดยการปรับปรุงเศรษฐกิจและสังคม แต่แม้ วา่ ได้ ทาสิง่ เหล่านี ้แล้ ว
และสภาวะความเป็ นอยู่ก็พฒ ั นาดีขึ ้น แต่ความโน้ มเอียงของมนุษย์ไปสู่ ความเสื่อมศีลธรรมกลับเพิ่มขึ ้น และยังไม่เคยมีใครสามารถป้องกันสิง่ นี ้ได้ เมื่อยุคสุดท้ ายใกล้ เข้ ามา และซาตานยังคงขัดขวางแผนการเริ่มแรก ของพระเจ้ าสาหรับมนุษย์ต่อไป เราต้ องรู้วา่ นี่เป็ นผลของการตกสูบ่ าปของ บรรพบุรุษเริ่มแรกของมนุษย์ ซึง่ เป็ นผลโดยตรงของการมีความสัมพันธ์กบั ซาตานของเขาเหล่านัน้ และทาให้ ซาตานกลายเป็ นพ่อที่จอมปลอมของเขา โดยการไม่เชื่อฟั งธรรมบัญญัติของพระเจ้ าและกฎแห่งสวรรค์ ลูกหลานของ เขาเหล่านันจึ ้ งไม่ได้ เป็ นลูกหลานของพระเจ้ า แต่เป็ นลูกหลานแห่งบาป และ ได้ สร้ างโลกบาปแห่งความขัดแย้ งนี ้ขึ ้น ถึงแม้ วา่ พระเจ้ าได้ สร้ างโลกและเอก ภพขึ ้น แต่พระองค์ไม่เคยสามารถปกครองโลกเป็ นเสมือนเจ้ านายของมัน เลย ซาตานได้ กลายเป็ นเจ้ านายจอมปลอมของโลก (ยอห์น 12:31, 2โครินธ์ 4:4) และปกครองโลกแทน ตามหลักการแห่งการสร้ างสรรค์มนุษย์ พระเจ้ าต้ องบรรลุถึงความมุ่ง หมายแห่งการสร้ างสรรค์โดยความรัก เพราะฉะนัน้ ความรักเป็ นแหล่งแห่ง ชีวติ และความสุขของมนุษย์ และเพราะว่ามนุษย์ทรยศต่อกฎแห่งสวรรค์นี ้ โดยการใช้ ความรักในทางที่ผดิ ซาตานจึงกาลังทาให้ มนุษยชาติทนทุกข์ ทรมานโดยความรักที่จอมปลอมของความเสื่อมศีลธรรมของเขา ซาตานเป็ น ผู้มีสว่ นในการทาลายอุดมคติทงมวลของครอบครั ั้ วมนุษย์ ความหมายของการช่ วยให้ รอด แล้ วพระเจ้ าได้ เลิกล้ มอุดมคติแห่งการสร้ างสรรค์ของพระองค์ที่ยงั ไม่ เคยกลายเป็ นความจริงหรื อไม่ พระคัมภีร์ให้ คาตอบที่ชดั เจนอันหนึ่งในพระ ธรรมอิสยาห์ 46:11 พระเจ้ าตรัสว่า "เราพูดแล้ วเราจะให้ เป็ นไป เรามุ่งแล้ วเรา จะกระทา" พระเจ้ าจะบรรลุถึงเป้าหมายของพระองค์อย่างแน่นอน พระเจ้ า
แห่งความรักไม่สามารถละทิ ้งมนุษยชาติที่ตกสูบ่ าปในสภาวะแวดล้ อม ดังกล่าวได้ ดังนัน้ พระเจ้ ากาลังทางานเพื่อการแก้ ไขมนุษย์ อะไรคือการแก้ ไข? คาตอบเดียวก็คือการสร้ างสรรค์ใหม่ การช่วยคน ป่ วยให้ รอดก็คือการแก้ ไขเขากลับสูส่ ขุ ภาพปกติอีกครัง้ หนึ่ง การช่วยคน จมน ้าให้ รอดก็คือการช่วยให้ เขาพ้ นอันตรายและแก้ ไขเขาไปสูภ่ าวะที่เขา เป็ นอยู่ก่อนการจมน ้า เพราะฉะนัน้ การแก้ ไขมนุษย์ของพระเจ้ าสาหรับตัว พระเจ้ าเอง หมายความถึงการแก้ ไขมนุษยชาติที่ตกสูบ่ าปในโลกแห่งนี ้ไปสู่ โลกเริ่มแรกที่พระเจ้ าได้ ตงใจไว้ ั ้ ตงแต่ ั ้ เริ่มแรก เป้าหมายของการแก้ ไขของพระเจ้ าก็คือ ทาให้ บคุ คลอุดมคติซงึ่ พระ เจ้ าได้ ทรงวางแผนไว้ ในเริ่มแรกกลายเป็ นความจริง และโดยผ่านเขาก็เพื่อทา ให้ ครอบครัวเริ่มแรกกลายเป็ นความจริง และบนพื ้นฐานของครอบครัวนัน้ ทาให้ สงั คม ชาติ และโลกเริ่มแรกกลายเป็ นความจริง เพื่อความมุ่งหมายแห่งการช่วยให้ รอด พระเจ้ าได้ สง่ พระเยซูคริสต์ บุตรคนเดียวของพระองค์ เป็ นพระผู้ช่วยให้ รอดมาสูโ่ ลกนี ้ เพราะฉะนัน้ พระ ผู้มาโปรดต้ องยืนอยู่เบื ้องหน้ าพระเจ้ าเป็ นเสมือนจุดเริ่มต้ นของบุคคลอุดม คติ และดังนัน้ จึงสามารถสร้ างครอบครัวอุดมคติซึ่งเป็ นเป้าหมายแห่งการ สร้ างสรรค์ของพระเจ้ าและกรรมแห่งความรักของพระองค์ แล้ วพระผู้มา โปรดก็จะทาให้ ชาติและโลกอุดมคติกลายเป็ นความจริงเพื่อสร้ างอาณาจักร ของสวรรค์บนโลก อะไรคือคาอธิบายที่เป็ นแก่นสารของสวรรค์และนรก ? มนุษย์ถกู กาหนดไว้ ลว่ งหน้ าหรื อไม่? พระเจ้ ากาหนดมนุษย์ไว้ ลว่ งหน้ าอย่างไร? ยุค สุดท้ ายจะมาถึงเมื่อไร และภัยพิบตั ิและความพินาศที่ถกู ทานายไว้ ลว่ งหน้ า ในพระคัมภีร์จะเกิดขึ ้นจริงๆ เพื่อทาลายโลกเมื่อไร? การฟื น้ คืนชีพของคน
ตายจะเกิดขึ ้นจริงๆ หรื อไม่ เมื่อไร และอย่างไรที่พระผู้มาโปรดจะกลับมาอีก ครัง้ หนึ่ง? หลักการของพระเจ้ า" ตอบคาถามเหล่านี ้ทังมวลอย่ ้ างชัดเจนเกี่ยวกับ มนุษย์และเอกภพ การบรรยายต่อๆ ไป เราจะมีการพูดถึงอย่างละเอียด เกี่ยวกับ ปั ญหาต่างๆ เหล่านี ้และปั ญหาอื่นๆ ในขณะนี ้เราจะกลับมาพูดถึง ปั ญหาเกี่ยวกับพระเจ้ าและประวัติศาสตร์ ของมนุษยชาติ "
เราสามารถมองเห็นพระเจ้ ากาลังทางานในเหตุการณ์ต่างๆ ของ ประวัติศาสตร์ หรื อไม่? อะไรคือหลักการที่ควบคุมประวัติศาสตร์ ของ มนุษยชาติ? ทาไมพระเยซูผ้ ซู ึ่งได้ มาเป็ นเสมือนพระผู้มาโปรด กล่าวว่า พระองค์จะกลับมาอีกครัง้ ? การทางานของพระเจ้ าในแผนการแห่ งการแก้ไข เราได้ กล่าวมาก่อนหน้ านี ้แล้ วว่า พระเจ้ าเป็ นสิง่ ดารงอยู่แห่งลักษณะ พิเศษที่เป็ นคู่ พระองค์ได้ สร้ างมนุษย์และสรรพสิง่ ทังมวลในความสั ้ มพันธ์ ของประธานและกรรม และมันควรจะตอบสนองซึง่ กันและกันในปฏิกิริยา การให้ และการรับ สร้ างการรวมเป็ นหนึ่งที่กลมกลืนขึ ้น ทาให้ ความมุ่งหมาย แห่งความดีบรรลุถึง นอกจากนัน้ เราได้ แสดงให้ เห็นแล้ วว่ามนุษย์ได้ ทรยศพระเจ้ าและทา ให้ ซาตานเป็ นเจ้ านายที่จอมปลอม และเริ่ มต้ นโลกแห่งบาปนี ้ขึ ้น ในการช่วย มนุษยชาติและโลกดังกล่าวให้ รอด พระเจ้ าได้ เริ่มต้ นแผนการแห่งการแก้ ไข ของพระองค์เพื่อที่จะแก้ ไขมนุษย์ และโลกกลับไปสูภ่ าวะเริ่มแรกที่ปราศจาก บาป ในขณะนี ้ขอให้ เรามองดูหนทางที่พระเจ้ าทางานเพื่อความมุ่งหมาย แห่งการแก้ ไขตลอดประวัติศาสตร์ ของมนุษยชาติ ประวัติศาสตร์ ของ
มนุษยชาติประกอบด้ วยบทบาทที่มนุษย์แต่ละบุคคลแสดงเท่านันหรื ้ อไม่? มันเป็ นประสบการณ์ของมนุษย์ที่วา่ เขาแทบจะไม่สามารถกาหนดเส้ นทาง แห่งชีวติ หรื อว่าประวัติศาสตร์ สว่ นตัวของเขาเองได้ เลย ยิ่งประวัติศาสตร์ ของ มนุษยชาติกย็ ิ่งทาได้ น้อยกว่ามาก เพราะฉะนัน้ ใครทาอะไร เมื่อไร และ อย่างไร ไม่ได้ บอกให้ ร้ ูอย่างแท้ จริงถึงเรื่ องราวทังหมดเบื ้ ้องหลัง ประวัติศาสตร์ ของมนุษยชาติ จากจุดยืนของพระเจ้ า ประวัติศาสตร์ ของ มนุษยชาติเป็ นบันทึกทังมวลของการท ้ างานของพระองค์ในการช่วยโลกนี ้ให้ รอด กล่าวสันๆ ้ ก็คือประวัติศาสตร์ เป็ นประวัติศาสตร์ แห่งการแก้ ไข ซึง่ เปิ ดเผยทุกสิง่ ทุกอย่างที่พระเจ้ าได้ พยายามในการบรรลุถึงเป้าหมายนี ้ เพราะว่าความมุ่งหมายของแผนการแห่งการแก้ ไขของพระเจ้ าก็คือ เพื่อแก้ ไขมนุษย์และโลกไปสูจ่ ดุ ที่ซงึ่ เขาได้ บรรลุถึงความมุ่งหมายแห่งการ สร้ างสรรค์ ประวัติศาสตร์ ของมนุษย์สามารถถูกจากัดความได้ วา่ เป็ น ประวัติศาสตร์ ของแผนการแห่งการทางานของพระเจ้ า เพื่อแก้ ไขความมุ่ง หมายแห่งการสร้ างสรรค์กลับคืนมา การต่ อสู้ ระหว่ างความดีและความชั่ว ในโลกที่ตกสูบ่ าปนี ้ซึง่ ซาตานได้ ปกครองเสมือนเจ้ านายที่จอมปลอม ความพยายามของพระเจ้ าในการแยกความดีออกจากความชัว่ ร้ าย ยังคง ดาเนินต่อไป และผลก็คือประวัติศาสตร์ มนุษย์สว่ นใหญ่ประกอบด้ วยการ ต่อสู้ระหว่างความดีและความชัว่ ร้ าย มนุษย์ที่ตกสูบ่ าปรวมเป็ นหนึ่งกับ ซาตานด้ วยจิตใจของเขา และกระทาบาปโดยร่างกายของของเขา อย่างไรก็ ตาม มนุษย์ยงั คงมีจิตใจเริ่มแรกของเขาที่ถกู สร้ างขึ ้นโดยพระเจ้ าอยู่ภายใน ตัวของเขาและมันยังคงชี ้นาเขาไปสูพ่ ระเจ้ าเสมอ มนุษย์อยู่ในตาแหน่งครึ่ง ทาง ในด้ านหนึ่ง อานาจการปกครองแห่งความชัว่ ร้ ายของซาตานกาลัง พยายามอย่างสิ ้นหวัง เพื่อที่จะดึงมนุษย์เอาไว้ ในขณะที่อีกด้ านหนึ่ง อานาจ
การปกครองแห่งความดีของพระเจ้ ากาลังพยายามที่จะเอาชนะมนุษย์ กลับมาสู่ฝ่ายของพระองค์ ดังนัน้ จึงมีการต่อสู้อย่างต่อเนื่องเพื่อที่จะเอา มนุษย์มาสูฝ่ ่ ายใดฝ่ ายหนึ่งเสมอ นี่เป็ นภาพที่แท้ จริงของประวัติศาสตร์ ของ มนุษย์ นัน่ ก็คือ ความดีและความชัว่ ที่อยู่ในความขัดแย้ งในโลกนี ้ หลังจากการตกสูบ่ าปของมนุษย์ การที่คาอินฆาตกรรมอาแบล น้ องชายของเขานันเป็ ้ นการต่อสู้ครัง้ แรกระหว่างพี่น้องในประวัติศาสตร์ ของ มนุษย์ และจากนันเป็ ้ นต้ นมา แบบแผนแห่งการต่อสู้นี ้ก็ดารงอยู่ตลอด ประวัติศาสตร์ ไม่วา่ ตะวันออกหรื อตะวันตก ถึงแม้ วา่ ขอบเขตของการต่อสู้ เปลี่ยนจากระหว่างบุคคล ครอบครัว และสังคม ไปสู่ชาติและกลุม่ ของชาติ ต่างๆ โดยเบื ้องหลังแล้ วการต่อสู้เหล่านี ้เป็ นการต่อสู้ระหว่างความดี กบั ความชัว่ หรื อฝ่ ายของพระเจ้ ากับฝ่ ายของซาตานซึง่ เป็ นบุคคลสาคัญ เบื ้องหลังประวัติศาสตร์ เงือ่ นไขที่ทาให้ การพัฒนาการแห่ งประวัติศาสตร์ เกิดขึน้ ได้ แล้ วอะไรคือ แรงผลักดันที่แท้ จริงของประวัติศาสตร์ ? เมื่อเรากล่าวว่า ประวัติศาสตร์ เกิดขึ ้นจากแผนการแห่งการทางานของพระเจ้ า แล้ ว ประวัติศาสตร์ ก้าวไปข้ างหน้ าโดยแผนการ และการทางานของพระเจ้ าเพียง ลาพังหรื อไม่? ถ้ าเป้าหมายของประวัติศาสตร์ คือการบรรลุถึงความมุ่งหมาย แห่งการสร้ างสรรค์ แล้ วการต่อสู้ระหว่างความดีและความชัว่ จะก้ าวไป ข้ างหน้ าสูก่ ารบรรลุถึงแห่งความมุ่งหมายแห่งการสร้ างสรรค์โดยอัตโนมัติ หรื อไม่? ถ้ าเป็ นเช่นนัน้ เราจะสามารถอธิบายความอยุติธรรม และ โศกนาฏกรรมต่างๆ มากมายในประวัติศาสตร์ เช่น การดารงอยู่ทวั่ ไปของ ความชัว่ ร้ าย หรื อการเสียสละของประชาชนในฝ่ ายของความดีได้ อย่างไร?
ในเริ่มต้ น พระเจ้ าได้ ให้ ธรรมบัญญัติข้อหนึ่งกับบรรพบุรุษเริ่มแรกของ มนุษย์ ซึง่ เขาต้ องรักษาไว้ จนกระทัง่ ความสมบูรณ์ของเขา ความมุ่งหมาย แห่งการสร้ างสรรค์ต้องถูกบรรลุถึงไม่ใช่โดยเพียงแผนการและการทางาน ของพระเจ้ าเท่านัน้ แต่โดยการที่มนุษย์บรรลุถึงส่วนความรับผิดชอบของเขา ซึง่ โดยเปรี ยบเทียบกับพระเจ้ าแล้ วน้ อยมาก โดยการเชื่อฟั งธรรมบัญญัติของ พระเจ้ า การที่จะบรรลุถึงความมุ่งหมายแห่งการสร้ างสรรค์ ความพยายาม ของมนุษย์เป็ นสิง่ ที่เป็ นปั จจัยสาคัญพอๆ กับความพยายามของพระเจ้ า แต่มนุษย์อาจจะบรรลุถึงส่วนความรับผิดชอบของเขาต่อพระเจ้ า หรื อไม่ก็ได้ เมื่อมนุษย์บรรลุถึงความรับผิดชอบของเขา แผนการของพระเจ้ า ก็จะถูกสะท้ อนออกมาอย่างเป็ นแก่นสารในประวัติศาสตร์ และการแก้ ไขก็ ก้ าวไปข้ างหน้ า แต่เมื่อมนุษย์ล้มเหลวในการบรรลุถึงส่วนความรับผิดชอบ ของเขา แผนการของพระเจ้ าสาหรับเวลานันก็ ้ ล้มเหลว และเจตจานงของ ซาตานก็จะถูกสะท้ อนออกมาในประวัติศาสตร์ แทน ดังนัน้ มนุษย์สามารถ บรรลุถึงหรื อล้ มเหลวในความรับผิดชอบของเขา เหตุผลที่ประวัติศาสตร์ ของ มนุษยชาติปรากฏเสมือนเป็ นเพียงแต่การเกิดขึ ้นซ ้าแล้ วซ ้าเล่าของ ประวัติศาสตร์ แห่งบาป และภาพพจน์แห่งโลกอุดมคติดเู หมือนห่างไกล เหลือเกิน ไม่ใช่เพราะว่าพระเจ้ าไม่มีความสามารถหรื อไม่สมบูรณ์ แต่เป็ น เพราะว่า มีน้อยคนเหลือเกินที่บรรลุสว่ นความรับผิดชอบของเขาในการบรรลุ แผนการแห่งการทางานของพระเจ้ า พระเจ้ าสัมบูรณ์ ดารงอยู่ชวั่ นิรันดร์ และมีอานาจทังมวล ้ เพราะฉะนัน้ ความมุ่งหมายแห่งการสร้ างสรรค์หรื อการแก้ ไขจึงสัมบูรณ์ด้วย เจตจานง แห่งการแก้ ไขของพระเจ้ าจะต้ องถูกบรรลุถึงอย่างแน่นอน ดังที่ได้ กล่าวไว้ ใน อิสยาห์ 46:11 เพราะฉะนัน้ ถึงแม้ วา่ มนุษย์คนหนึ่งจะล้ มเหลวในการบรรลุถึง ความรับผิดชอบของเขา หลังจากช่วงระยะเวลาหนึ่งพระเจ้ าก็แก้ ไขพื ้นฐาน
และเงื่อนไขอย่างเดียวกันกับก่อนหน้ านี ้กลับคืนมาอีกครัง้ หนึ่ง และเลือกอีก คนหนึ่งเพื่อที่จะบรรลุถึงภารกิจอย่างเดียวกัน นี่เป็ นเหตุผลที่แท้ จริงว่าทาไม เราจึงเห็นปรากฏการณ์และเหตุการณ์ที่เหมือนกันอย่างยิ่งปรากฏขึ ้นอีก หลังจากประวัติศาสตร์ อนั ยาวนานของแผนการแห่งการทางานของพระเจ้ า แม้ กระทัง่ หลังจากช่วงระยะเวลาสองถึงสี่พนั ปี เราเรี ยกการปรากฏขึ ้นอีก ครัง้ หนึ่งของเหตุการณ์หรื อช่วงระยะเวลาที่เหมือนกันนี ้ว่า "แผนการแห่ง เอกลักษณ์ทางเวลา" ในแผนการแห่งการทางานของพระเจ้ า พระองค์ต้องแก้ ไขมนุษย์ที่ แท้ จริงคนหนึ่งก่อนเพื่อบรรลุถึงความมุ่งหมายแห่งการสร้ างสรรค์ของ พระองค์และโดยผ่านเขา เพื่อแก้ ไขครอบครัว ชาติและโลกแห่งการ สร้ างสรรค์อดุ มคติของพระองค์ พระเจ้ าส่งพระผู้มาโปรดมาสูโ่ ลกเป็ นเสมือน รูปแบบของมนุษย์ที่แท้ จริง เพราะฉะนัน้ พระผู้มาโปรดจึงเป็ นผลที่มีคณ ุ ค่า มากที่สดุ ของประวัติศาสตร์ แห่งแผนการแห่งการทางานของพระเจ้ า พระเจ้ า จึงไม่สามารถเพียงแต่สง่ พระผู้มาโปรดมาสูโ่ ลกโดยปราศจากการเตรี ยมการ ใดๆได้ นี่เป็ นเพราะว่าโดยการตกสูบ่ าปของมนุษย์ มนุษยชาติได้ รับใช้ เจ้ านายที่จอมปลอม หากพระผู้มาโปรดมาโดยปราศจากสภาพแวดล้ อมที่ ถูกเตรี ยมไว้ โลกแห่งบาปจะพยายามกาจัดพระองค์อย่างแน่นอน พระเจ้ า เลือกบุคคลบางคนจากคนบาปที่สามารถเชื่อฟั งและให้ เกียรติแก่พระองค์ได้ ขึ ้นก่อน และโดยบุคคลเหล่านี ้ พระองค์สร้ างครอบครัวและชาติที่แยกออก จากฝ่ ายของซาตาน เพื่อที่เขาเหล่านันสามารถเป็ ้ นพื ้นฐานแห่งศรัทธาที่ซงึ่ พระผู้มาโปรดสามารถมาได้ พระเจ้ าเลือกครอบครัวของอับราฮัมและยาโคบ และยกชนเผ่า อิสราเอลขึ ้นเพื่อเตรี ยมประชาชนเหล่านี ้ ให้ เป็ นฐานรองรับการมาของพระผู้ มาโปรด ในทานองเดียวกัน พระเจ้ าทางานกับศาสนาคริสต์เป็ นเวลาสองพัน
ปี ที่ผา่ นมาเพื่อเตรี ยมสาหรับการมาครัง้ ที่สองของพระคริสต์ ดังนัน้ ประวัติศาสตร์ ของชาวอิสราเอลก่อนการมาของพระเยซู และประวัติศาสตร์ ของศาสนาคริสต์หลังการมาของพระเยซูจึงถือได้ วา่ เป็ นศูนย์กลางแห่ง ประวัติศาสตร์ ของมนุษย์ ประวัติศาสตร์ ศูนย์ กลางและประวัติศาสตร์ ทชี่ ่ วยเหลือสนับสนุน เจตจานงของพระเจ้ าก็คือ เพื่อแก้ ไขประชาชนทังมวลของโลก ้ ก่อน อื่น พระเจ้ าดาเนินแผนการแห่งการทางานที่เป็ นแบบแผน โดยผ่านเส้ นทางที่ เป็ นศูนย์กลางแห่งประวัติศาสตร์ นี ้ ในขณะเดียวกันก็ชี ้นาประวัติศาสตร์ ต่างๆ ของชาติอื่นๆ ในบทบาทของการช่วยเหลือสนับสนุน แล้ วจึงเชื่อมต่อ มันเข้ ากับประวัติศาสตร์ ศนู ย์กลางเพื่อรวมมันเข้ าในการช่วยให้ รอดทังหมด ้ จากจุดยืนของแผนการแห่งการทางานของพระเจ้ า ประวัติศาสตร์ ของ ศาสนาเป็ นส่วนศูนย์กลางของแผนการแห่งการทางานของพระเจ้ า เพราะว่า ศาสนาจะต้ องอบรมจิตใจและวิญญาณของมนุษย์ไปสูก่ ารบรรลุถึง เป้าหมายแห่งการแก้ ไขของมนุษยชาติ ส่วนแขนงอื่นๆ เช่น รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรม เป็ นประวัติศาสตร์ เพื่อปรับปรุง สภาพแวดล้ อมการดารงอยู่ของมนุษย์ ดังนันจึ ้ งสามารถถือได้ วา่ ประวัติศาสตร์ นี ้เป็ นประวัติศาสตร์ ที่ช่วยเหลือสนับสนุน โดยการมองดูประวัติศาสตร์ ในลักษณะเช่นนี ้ เราสามารถเริ่มเข้ าใจ ความหมายและนัยสาคัญของเหตุการณ์ตา่ งๆ ของประวัติศาสตร์ ของชาว อิสราเอลที่ถกู กล่าวไว้ ในพันธสัญญาเดิมนันว่ ้ าไม่ได้ เป็ นเพียงประวัติศาสตร์ ของเผ่าหรื อชาติหนึ่งเท่านัน้ แต่เป็ นประวัติศาสตร์ ศนู ย์กลางที่ซงึ่ พระเจ้ า ทางานแผนการแห่งการช่วยให้ รอดของพระองค์
ประวัติศาสตร์ ของชาวอิสราเอลซึง่ มีศนู ย์กลางอยู่ที่ศาสนายูดาห์ รวม กับประวัติศาสตร์ ของอารยะธรรมตะวันตกที่มีศนู ย์กลางอยู่ที่ศาสนาคริสต์ เป็ นการแสดงออกที่ชดั เจนที่สดุ ของแผนการแห่งการทางานของพระเจ้ า และ เป็ นที่น่าพิศวงว่าเราสามารถพบสูตรที่เป็ นแบบแผนอันหนึ่งซึง่ ใช้ ได้ กบั ประวัติศาสตร์ ทงมวล ั้ โดยสูตรอันนี ้ มันเป็ นสิง่ ที่เป็ นไปได้ ที่จะทานาย เส้ นทางแห่งประวัติศาสตร์ ในอนาคตได้ ด้วยภาพพจน์อนั ใหม่ของแผนการ แห่งการแก้ ไขนี ้ ขอให้ เรามองดูประวัติศาสตร์ อย่างใกล้ ชิดมากขึ ้น แผนการแห่ งการแก้ไขโดยมีจุดศูนย์ กลางอยู่ทคี่ รอบครัวของอาดัม เพราะว่าอาดัมล้ มเหลว อาดัมควรจะเป็ นผู้ซึ่งถวายเครื่ องบูชาต่อพระ เจ้ าเอง แต่พระเจ้ าให้ ชวั่ อายุคนหนึ่งถัดไปถวายเครื่ องบูชาแทน ทาไมจึงเป็ น เช่นนี ้ การที่พระเจ้ าแบ่งอาดัมออกเป็ นคาอินกับอาแบลผู้ซึ่งได้ ถวายเครื่ อง บูชาเป็ นความพยายามแห่งการแก้ ไขครัง้ แรกของพระองค์ ในการแยกความ ดีและความชัว่ ออกจากกัน หลังจากซาตานครอบครองโลกแห่งหลักการซึง่ พระเจ้ าได้ สร้ างขึ ้น ซาตานเริ่มต้ นทาให้ เกิดโลกที่ผดิ หลักการซึง่ ต่อต้ านเจตจานงของพระเจ้ า เพราะฉะนัน้ พระเจ้ าจึงแยกคาอินจากอาแบลเพื่อดาเนินแผนการแห่งการ ทางานของพระเจ้ า คาอิน บุตรหัวปี เป็ นตัวแทนฝ่ ายของซาตาน ส่วนอาแบล บุตรคนที่สอง เป็ นตัวแทนฝ่ ายของพระเจ้ า ในขณะนี ้แต่ละคนอยู่ในตาแหน่ง ที่เกี่ยวข้ องกับเพียงเจ้ านายเดียว ในปฐมกาล 4:7 พระเจ้ าตรัสกับคาอินว่า "เจ้ าโกรธเคืองหน้ าบูดบึ ้งอยู่ทาไม ถ้ าเจ้ าทาดี เราก็จะพอใจรับเจ้ ามิใช่หรื อ ถ้ าเจ้ าทาไม่ดี บาปก็หมอบอยู่ที่ประตู จ้ องตะครุบเจ้ า เจ้ าจะต้ องเอาชนะ บาปนันให้ ้ ได้ " นี ้แสดงว่า คาอินอยู่ในตาแหน่งที่จะเกี่ยวข้ องกับซาตาน
เมื่อชาวอิสราเอลหนีออกจากอียิปต์ พระเจ้ าไม่เพียงแต่ประหารบุตร หัวปี ทุกคนของชาวอียิปต์เท่านัน้ แต่ยงั รวมลูกหัวปี ของสัตว์เลี ้ยงของเขา เหล่านันด้ ้ วย (อพยพ 12:29) พระเจ้ ายังรักยาโคบ บุตรคนที่สอง และเกลียด เอซาว บุตรคนแรก ในขณะที่ทงคู ั ้ ่ยงั อยู่ในครรภ์ของมารดาของเขา (ปฐม กาล 25:33) และในกรณีของการให้ พรของยาโคบแก่เอฟราอิมและมนัสเสห์ หลานชายของเขา เขาได้ ให้ พรกับทังคู ้ ่โดยการไขว้ มือของเขา เพื่อวางมือขวา ไว้ บนศีรษะของเอฟราอิม บุตรคนที่สอง(ปฐมกาล 48:14) สิง่ เหล่านี ้ ล้ วนเป็ น ตัวอย่างของการที่พระเจ้ าวางบุตรคนที่สองทุกคนอยู่ในตาแหน่งที่ดีกว่า บนพื ้นฐานแห่งหลักการนี ้ พระเจ้ าได้ วางคาอินและอาแบลใน ตาแหน่งตามลาดับของเขาเพื่อถวายเครื่ องบูชา พระเจ้ าสามารถรับเครื่ อง บูชาของอาแบลได้ (ปฐมกาล 4:4) เพราะว่าเขาอยู่ในตาแหน่งที่เป็ นตัวแทน ของพระเจ้ า และได้ ถวายเครื่ องบูชาอย่างเป็ นที่ยอมรับได้ (ฮีบรู 11:4) ดังนัน้ พระเจ้ ายอมรับอาแบลแต่ปฏิเสธคาอิน อย่างไรก็ตามมันไม่ได้ เป็ นเจตจานง ถาวรของพระเจ้ าอย่างแน่นอนที่จะรับอาแบลแต่ปฏิเสธคาอิน คาอินต้ องตัง้ เงื่อนไขแห่งการชดใช้ เพื่อที่จะแยกออกจากความชัว่ ร้ ายและเคลื่อนไปสูฝ่ ่ าย ของความดี แล้ วอะไรคือเงื่อนไขแห่งการชดใช้ นี?้ เพระว่าคาอินมีธรรมชาติที่ ตกสูบ่ าป เขาไม่สามารถเป็ นกรรมของพระเจ้ าผู้ซงึ่ เป็ นประธานแห่งความดี ได้ เขาต้ องสร้ างเงื่อนไขบางอย่างเพื่อขจัดความชัว่ ร้ ายนี ้ภายในตัวเขา เพื่อ ที่วา่ เขาสามารถกลายเป็ นบุคคลผู้ซึ่งพระเจ้ าสามารถตอบสนองได้ เพราะว่าบรรพบุรุษเริ่มแรกของมนุษย์ตกสูบ่ าป เนื่องจากหัวหน้ าทูต สวรรค์ได้ สืบทอด และส่งผ่านธรรมชาติที่ตกสูบ่ าปของตัวเขาต่อไป เงื่อนไขที่ ยอมรับได้ ก็คือการกลับกระบวนการนี ้เท่านัน้ หัวหน้ าทูตสวรรค์ผ้ ซู งึ่ แยกตัว เองออกจากพระเจ้ าต้ องรักอาดัมในตาแหน่งเดียวกันกับพระเจ้ า และโดย การเชื่อฟั งและการถ่อมตัวของเขาเองต่อหน้ าอาดัม โดยผ่านอาดัมเสมือน
สื่อกลางเพื่อที่จะกลับไปสูพ่ ระเจ้ า และแล้ วบรรลุถึงความสมบูรณ์ แต่เขา ล้ มเหลวในการทาเช่นนัน้ (เพราะฉะนัน้ เงื่อนไขแห่งการชดใช้ เพื่อขจัด ธรรมชาติที่ตกสูบ่ าปต้ องถูกตังขึ ้ ้นในทิศทางที่กลับกระบวนการของการตกสู่ บาป) หลังจากการถวายเครื่ องบูชาของเขา คาอินอยู่ในตาแหน่งของหัวหน้ า ทูตสวรรค์ ส่วนอาแบลอยู่ในตาแหน่งของอาดัม เพราะฉะนัน้ คาอินต้ องรักอาแบล และเข้ าใกล้ พระเจ้ ามากขึ ้นโดย ผ่านเขา โดยการเชื่อฟั งและถ่อมตัวของเขาเองต่อเบื ้องหน้ าอาแบลเพื่อสร้ าง เงื่อนไขแห่งการชดใช้ อย่างไรก็ตาม ในความเป็ นจริง คาอินได้ ฆ่าอาแบล และทาซ ้ากระบวนการแห่งการตกสูบ่ าปของหัวหน้ าทูตสวรรค์ การกระทานี ้ ไม่ได้ เป็ นเพียงอาชญากรรมของการที่พี่ชายฆ่าน้ องชายของเขาเท่านัน้ แต่ หมายความว่าฝ่ ายของซาตานได้ โจมตีฝ่ายของพระเจ้ า ทาให้ ความพยายาม ของพระเจ้ าที่แยกความดีออกจากความชัว่ ในครอบครัวของอาดัมล้ มเหลว และสูญเสียฝ่ ายของความดีไป สิ่งที่คาอินล้ มเหลวในการบรรลุถึง เป็ นเงื่อนไขพื ้นฐานแห่งการชดใช้ ที่ จาเป็ นสาหรับแต่ละบุคคลใดๆ ที่ถกู แยกจากพระเจ้ า เพื่อที่จะกลับมาใกล้ พระเจ้ ามากขึ ้น ดังนัน้ เงื่อนไขนันยั ้ งคงเหลืออยู่รอที่จะถูกทาให้ บรรลุถึง ต่อไป โดยการพิจารณาหลักการนี ้ภายในตัวเราเอง จิตใจของเราซึง่ นาเรา ไปสูค่ วามดี(โรม 7:22) อยู่ในตาแหน่งของอาแบล ในขณะที่ร่างกายของเรามี แนวโน้ มที่จะรับใช้ กฎแห่งบาป (โรม 7:25) อยู่ในตาแหน่งของคาอิน ดังนัน้ เมื่อร่างกายของเราเชื่อฟั งและยอมจานนต่อจิตใจของเราแล้ วเท่านันที ้ ่ ร่างกายเฉพาะตัวของเราจะถูกทาให้ บริสทุ ธิ์ได้ (ปราศจากบาป) อย่างไรก็ตาม ในความเป็ นจริง เพราะการถูกครอบงาโดยธรรมชาติที่ ตกสูบ่ าปของเรา ร่ างกายของเราจึงทรยศต่อคาสัง่ ของจิตใจของเราอยู่เสมอ ซ ้าการกระทาอันเดียวกันกับที่คาอินได้ ฆ่าอาแบล เพราะฉะนัน้ เรายังคงทา
ความชัว่ ร้ ายต่อไป เพราะว่ามนุษย์ที่ตกสูบ่ าปทังมวลยื ้ นอยู่ในตาแหน่งของ คาอิน โดยการถ่อมตัวของเขาเหล่านัน้ และโดยการรับใช้ เชื่อฟั งและรักพระ ผู้มาโปรดเป็ นเสมือนอาแบล มนุษย์สามารถได้ รับความรอดได้ มนุษย์ได้ กลายเป็ นตัวล่อลวงเหนือกว่าสิง่ ใดทังหมด ้ (เยเรมีย์ 17:9) ดังนัน้ เพื่อที่จะกลับมาสูพ่ ระเจ้ า พระเจ้ าให้ มนุษย์กลับมาโดยผ่านสรรพสิง่ ที่ ถูกสร้ างขึ ้น ซึง่ ขณะนี ้อยู่ในตาแหน่งของอาแบล พระเจ้ าได้ ดาเนินแผนการ แห่งการทางานทังมวลของพระองค์ ้ โดยการให้ มนุษย์ถวายเครื่ องบูชาตาม หลักการนี ้ แผนการแห่ งการแก้ไขทีม่ ศี ูนย์ กลางอยู่ทคี่ รอบครัวของยาโคบ พระคัมภีร์บอกเราว่า พระเจ้ าทางานแผนการแห่งการแก้ ไขของ พระองค์ในการแยกความดีจากความชัว่ อย่างต่อเนื่อง ผ่านยุคสมัยของอับ ราฮัมและอิสอัค มาสูจ่ ดุ สรุปที่สาคัญอันหนึ่งในเวลาของยาโคบ ในบรรดา มนุษย์มากมายหลังจากเวลาของอาดัม ทาไมพระเจ้ าจึงเลือกครอบครัวที่ถกู เลือกเป็ นพิเศษครอบครัวหนึ่งขึ ้น เพื่อที่จะสร้ างชาติหนึ่งขึ ้นในเวลาต่อมา? การทางานของพระเจ้ ากับครอบครัวของยาโคบ จากสิ่งที่ปรากฏภายนอก ตามพระคัมภีร์ ทาให้ เกิดคาถามมากมาย ทาไมฝาแฝดเอซาวและยาโคบจึง ต่อสู้กนั แม้ กระทัง่ เมื่ออยู่ในครรภ์ของมารดาของเขา? (ปฐมกาล 25:22-23) ทาไมยาโคบเกิดพร้ อมกับมือข้ างหนึ่งจับที่ข้อเท้ าของเอซาว? (ปฐมกาล 25:26) ทาไมยาโคบจึงเอาสิทธิบตุ รหัวปี ไปจากพี่ชายของเขา?(ปฐมกาล 25:32-34) ทาไมยาโคบจึงหลอกลวงพ่อที่ตาบอดของเขาอย่างฉลาดเพื่อได้ มา ซึง่ พรของเขา? (ปฐมกาล 27:18-19) และทาไมพระเจ้ าจึงรักและปกป้อง ยาโคบมากเหลือเกินตลอดชีวติ ของเขา?
จากจุดยืนของแผนการแห่งการทางานของพระเจ้ า ยาโคบกับเอซาว เป็ นแบบแผนที่เกิดขึ ้นอีกของการแยกอาแบลกับคาอิน เพราะฉะนัน้ เขาทังคู ้ ่ จึงเป็ นตัวแทนของฝ่ ายของความดีกบั ความชัว่ ตามลาดับ ตลอดเวลา ประสบการณ์ 21 ปี ที่ยาโคบทางานอย่างหนักในฮาราน และเตรี ยมตัวของ เขา เพื่อที่ท้ายที่สดุ เอซาวพี่ชายของเขาจะสามารถยอมรับเขาด้ วยความรัก และความถ่อมตัวได้ โดยภายนอก สิง่ นี ้ดูเหมือนเป็ นการที่พี่ชายสามารถรัก น้ องชายของเขา แต่จากจุดยืนแห่งแผนการแห่งการทางานของพระเจ้ า ความหมายที่ลกึ ซึ ้งกว่าก็คือ เป็ นครัง้ แรกในประวัติศาสตร์ ของมนุษย์ที่ฝ่าย ของพระเจ้ าชนะซาตาน ดังนัน้ พระเจ้ าได้ ให้ พรแก่ยาโคบ โดยให้ ชื่อ "อิสราเอล" แก่เขา และได้ ให้ พรของพระองค์กบั สามชัว่ อายุคนของอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ ในฐานะพระเจ้ าของเขาเหล่านัน้ และแล้ วเราสามารถเห็น ได้ วา่ พระเจ้ าหาบุคคลที่ได้ รับชัยชนะคนหนึ่งก่อนและครอบครัวหนึ่งที่ได้ รับ ชัยชนะซึง่ ได้ บรรลุถึงเงื่อนไขแห่งการชดใช้ และโดยมีศนู ย์กลางอยู่ที่คน เหล่านัน้ พระเจ้ าจึงสร้ างชาติที่ถกู เลือกขึ ้น ดังนัน้ ข้ อเท็จจริงที่วา่ ชาวอิสราเอลกลายเป็ นประชาชนที่ถกู เลือกของ พระเจ้ าก็เพราะชัยชนะเฉพาะตัวของยาโคบในการเอาชนะเหนือฝ่ ายของ ซาตาน เส้ นทางของยาโคบได้ สร้ างแบบแผนสาหรับการเอาชนะเหนือซาตาน และแบบแผนนี ้ต้ องถูกทาตามโดยโมเสสและผู้เผยพระวจนะอื่นๆ ทังหมด ้ และเพราะว่าชาติหนึ่งจะต้ องไปตามแบบแผนนี ้ด้ วยเช่นกัน ประวัติศาสตร์ ของชนชาติอิสราเอลแสดงให้ เห็นถึงเส้ นทางแบบแผนซึง่ ชาติหนึ่งต้ องผ่านไป ในแผนการแห่งการทางานในระดับชาติ เพราะเหตุผลนี ้ ประวัติศาสตร์ ของชนชาติอิสราเอลจนกระทัง่ เวลา แห่งการมาของพระเยซูจึงเป็ นจุดศูนย์กลางของประวัติศาสตร์ ของแผนการ แห่งการทางานของพระเจ้ า ถึงแม้ วา่ มันดูเหมือนไม่มีผลที่ตามมาเป็ นการ
ส่วนตัวใดๆ ต่อเราในทุกวันนี ้ แต่พระคัมภีร์เน้ นอย่างมากเกี่ยวกับ รายละเอียดของประวัติศาสตร์ ของชาวอิสราเอลเพียงเพราะเหตุผลดังที่ได้ กล่าวมาแล้ ว พระเจ้ าส่งผู้เผยพระวจนะมากมายไปสู่ชาติอิสราเอลและ ปกป้องชาวอิสราเอลด้ วยความรักอย่างมาก เพราะว่านี่เป็ นผลของแผนการ แห่งการทางานอันยาวนานของพระเจ้ า และดังนันพระองค์ ้ ได้ สร้ างพื ้นฐาน สาหรับเอาชนะเหนือซาตานในระดับชาติขึ ้น และยิ่งไปกว่านัน้ ยังเป็ น พื ้นฐานที่ซงึ่ พระผู้มาโปรด อาแบลของอาแบลทังมวลจะต้ ้ องมา ประเพณี ของอิสราเอลถูกสร้ างขึ ้นโดยยาโคบในตาแหน่งของอาแบล (ในฝ่ ายของพระ เจ้ า) โดยการที่เขาเอาชนะเหนือเอซาวผู้ซงึ่ อยู่ในตาแหน่งของคาอิน (ในฝ่ าย ของซาตาน) ประเพณีนี ้ถูกตังขึ ้ ้นเพื่อเป็ นเส้ นทางแบบอย่างสาหรับประชาชน ที่ถกู เลือกแห่งอิสราเอลที่อยู่ในตาแหน่งของคาอินซึง่ ต้ องไว้ วางใจ เชื่อฟั ง และรักพระเยซูผ้ เู ป็ นอาแบลของมวลมนุษยชาติเพื่อที่จะทาให้ อาณาจัก สวรรค์กลายเป็ นความจริ ง พระเจ้ ากับอิสราเอล พระเจ้ ารักประชาชนที่ถกู เลือกอย่างแท้ จริง พระองค์พยากรณ์หลาย ครัง้ เกี่ยวกับการมาของพระผู้มาโปรด และเตือนประชาชนให้ รอคอยการมา ของพระองค์ พระเจ้ ายังได้ เตรี ยมยอห์นผู้ให้ รับบัพติสมาที่ยิ่งใหญ่ผ้ ซู งึ่ จะต้ อง เป็ นพยานกับชนชาติอสิ ราเอลให้ กบั พระผู้มาโปรด ดังนัน้ ชนชาติอสิ ราเอล จะต้ องรอคอยการมาของพระผู้มาโปรดอย่างแท้ จริง อย่างไรก็ตาม เป็ นเรื่ อง ที่น่าเศร้ าที่วา่ ประชาชนที่ถกู เตรี ยมอย่างมากได้ ล้มเหลวในการที่จะรู้จกั พระ ผู้มาโปรดเมื่อพระองค์มา บุตรของพระเจ้ าไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจาก พยายามทาให้ ประชาชนเชื่อด้ วยตัวพระองค์เองว่า พระองค์เป็ นบุตรของพระ เจ้ า อย่างไรก็ตาม ประชาชนไม่ได้ เข้ าใจพระองค์อย่างถูกต้ อง พระองค์ถกู กล่าวหาว่าดูหมิ่นศาสนา และในที่สดุ ก็ถกู ตรึงที่กางเขน แม้ กระทัง่ ปี ลาต
ผู้ปกครองนอกศาสนาก็ยงั รู้ว่าพระเยซูบริ สทุ ธิ์ อย่างไรก็ตาม ผู้ตดั สิน ประหารชีวติ พระเยซูก็คือประชาชนที่ถกู เลือกและผู้นาชาวอิสราเอลที่ถกู เตรี ยมเหล่านี ้นันเอง ้ สิง่ นี ้สามารถเกิดขึ ้นได้ อย่างไร? กางเขน ชาวคริสต์เตียนมีความเชื่อดังเดิ ้ มว่า ความตายของพระเยซูบน กางเขนเป็ นแผนการเริ่มแรกของพระเจ้ า นี่เป็ นสิง่ ผิดโดยสิ ้นเชิง มันเป็ น ความเขลาของชาวอิสราเอลในเจตจานงของพระเจ้ าที่นาไปสูก่ ารตรึง กางเขนพระเยซู เจตจานงของพระเจ้ าคือ การนาประชาชนที่ถกู เลือกให้ ยอมรับและเชื่อในพระผู้มาโปรด และช่วยพวกเขาให้ รอดอย่างแน่นอน (ยอห์น 6:29) ประชาชนชาวอิสราเอลไม่ร้ ูว่าพระเยซูแห่งนาซาเร็ธคือใคร เขา เหล่านันแม้ ้ กระทัง่ เยาะเย้ ยพระเยซูว่า เขาจะเชื่อในตัวพระองค์วา่ เป็ นพระ ผู้ช่วยให้ รอดก็ต่อเมื่อ พระองค์ลงมาจากกางเขนในขณะที่พระองค์ถกู ตรึง กางเขนอยู่และกาลังจะตาย ยอห์น 1:11 กล่าวว่า "พระองค์ได้ เสด็จมายัง บ้ านเมืองของพระองค์ และชาวบ้ านชาวเมืองของพระองค์ไม่ได้ ต้อนรับ พระองค์" นักบุญเปาโลยังเป็ นพยานว่า "ไม่มีอานาจครอบครองใดๆ ในยุคนี ้ ได้ ร้ ูจกั พระปั ญญานัน้ เพราะถ้ ารู้แล้ วจะไม่ได้ เอาองค์พระผู้เป็ นเจ้ าแห่งพระ สิริตรึงไว้ ที่กางเขน" (1 โครินธ์ 2:8) ทุกวันนี ้ ไม่มีใครรู้จริงว่าเกิดอะไรขึ ้นในเวลาของพระเยซู ถ้ าการตรึง กางเขนพระบุตรของพระองค์เป็ นเจตจานงของพระเจ้ า ทาไมพระองค์จึงต้ อง เตรี ยมประชาชนที่ถกู เลือกเป็ นเวลานาน? มันไม่ใช่เป็ นการกระทาเพื่อ ปกป้องพระบุตรของพระองค์จากโลกที่ปราศจากความเชื่อหรื อ? ในสวนเกทเสมนี พระเยซูอธิษฐานว่า "ใจของเราเป็ นทุกข์แทบจะ ตาย ... โอพระบิดาของข้ าพระองค์ ถ้ าเป็ นไปได้ ขอให้ ถ้วยนี ้เลือ่ นพ้ นไปจาก
ข้ าพระองค์เถิด" (มัทธิว 26:36-38) พระเยซูกล่าวคาอธิษฐานนี ้ไม่ใช่เพียงครัง้ เดียวเท่านันแต่ ้ ถึงสามครัง้ ศาสนาคริสต์อธิบายว่า ถึงแม้ วา่ ภารกิจของ พระองค์คือการตายบนกางเขน แต่เนื่องจากความอ่อนแอของมนุษย์ พระ เยซูจึงได้ กล่าวคาอธิษฐานเช่นนี ้ แต่พระเยซูคริสต์ผ้ ทู ี่จะช่วยมนุษยชาติให้ รอดจะสามารถที่กล่าวคาอธิษฐานใดๆ ออกจากความอ่อนแอของพระองค์ หรื อ? ทังสเทเฟนชาวคริ ้ สต์ที่พลีชีพคนแรกและผู้พลีชีพมากมายที่ตามมา ไม่เคยมีใครอธิษฐานจากความอ่อนแอดังกล่าว เขาเหล่านันเคยขอหรื ้ อไม่ ว่า"ขอให้ ถ้วยนี ้เลื่อนพ้ นไปจากข้ าพระองค์" เมื่อเขาเหล่านันก ้ าลังจะตาย อะไรทาให้ ชาวคริสต์ในปั จจุบนั เชื่อว่า พระเยซูอ่อนแอกว่าผู้พลีชีพเหล่านัน้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพราะว่าความมุ่งหมายอันเดียวแห่งการมาสูโ่ ลกนี ้ของ พระองค์ก็เพื่อช่วยมนุษยชาติให้ รอด ทาไมพระเยซูจึงได้ อธิษฐานในลักษณะ เช่นนี?้ การอธิษฐานของพระเยซูในสวนเกทเสมนี ไม่ใช่เป็ นการอธิษฐานที่ขี ้ ขลาดหรื อห่วงตัวเอง และไม่ได้ อธิษฐานออกมาจากความกลัวตาย ยิ่งกว่านัน้ ถ้ าจะมีหนทางใดหนทางหนึ่งที่พระเยซูจะสามารถช่วยมนุษยชาติ ให้ รอดได้ พระองค์จะยอมตายเป็ นร้ อยๆ ครัง้ ด้ วยความยินดี พระองค์ได้ ทางานตลอดชีวติ ของพระองค์ เพื่อที่จะบรรลุถึงภารกิจพระผู้มาโปรดของ พระองค์ และทาให้ ความมุ่งหมายแห่งการสร้ างสรรค์ของพระเจ้ ากลายเป็ น ความจริง ณ ที่นี่บนโลก หัวใจของพระเยซูเศร้ าโศกมากที่วา่ ถ้ าหากพระองค์ ตายโดยปราศจากการบรรลุถึงภารกิจของพระองค์ เจตจานงของพระเจ้ า จะต้ องรอไปอีกหลายพันปี พระองค์ยงั เห็นล่วงหน้ าว่าสาวกผู้ติดตาม พระองค์และชาวคริสต์ทงหลายที ั้ ่จะตามมาจะต้ องผ่านไปในเส้ นทางที่ทกุ ข์
ทรมานแห่งการหลัง่ โลหิตเช่นเดียวกับที่พระองค์ได้ รับบนกางเขน และ พระองค์ยงั รู้สกึ เจ็บปวดเกี่ยวกับอนาคตอันทุกข์ยากที่จะมาสูป่ ระชาชนชาว อิสราเอลผู้ซงึ่ ได้ ปฏิเสธพระองค์ เพราะฉะนัน้ ในสวนเกทเสมนี การอธิษฐาน ที่สิ ้นหวังครัง้ สุดท้ ายต่อพระเจ้ าของพระเยซูโดยแท้ จริงแล้ วกาลังกล่าวว่า "แม้ กระทัง่ ในสภาวะแวดล้ อมที่สิ ้นหวังเหล่านี ้ ขอให้ ข้าพระองค์ยงั คงมีชีวติ อยู่บนโลก เพื่อที่วา่ ข้ าพระองค์จะสามารถดาเนินภารกิจของข้ าพระองค์ ต่อไป ไม่วา่ ด้ วยคุณค่าอันใดก็ตาม ขอได้ โปรดแสดงแก่ข้าพระองค์ถึงหนทาง ใดก็ตามที่ข้าพระองค์จะสามารถทาสิง่ นี ้ได้ " ถ้ าการตายบนกางเขนถูกกาหนดไว้ ลว่ งหน้ าโดยพระเจ้ า แล้ วทาไม พระเยซูจึงกล่าวกับยูดาส อิสคาริโอท ผู้ซงึ่ ได้ ทรยศต่อพระองค์วา่ "วิบตั ิแก่ผ้ ู ที่จะอายัดบุตรมนุษย์ไว้ ถ้ าคนนันมิ ้ ได้ บงั เกิดมาก็จะดีกว่า" (มัทธิว 26:24) ยิ่งกว่านัน้ เราจะสามารถอธิบายได้ อย่างไร ถึงการร้ องด้ วยเสียงอันดังของ พระเยซูบนกางเขนว่า "พระเจ้ าของข้ าพระองค์ พระเจ้ าของข้ าพระองค์ ไฉน ทรงทอดทิ ้งข้ าพระองค์เสีย"? (มัทธิว 27:46) ถ้ าการถูกตรึงที่กางเขนเป็ นเพียง หนทางเดียวที่พระเจ้ าเตรี ยมไว้ สาหรับพระเยซู แล้ วทาไมพระองค์จึงไม่ร้ ู สกึ ความปี ติอนั ยิ่งใหญ่ในการเสร็จสิ ้นภารกิจของพระองค์อย่างประสบ ความสาเร็จ? การตรึงกางเขนมิได้ เป็ นเจตจานงเริ่ มแรกของพระเจ้ าสาหรับพระเยซู บุตรของพระองค์ ยิ่งกว่านัน้ มันกลายเป็ นทางเลือกที่เจ็บปวดของพระเจ้ าที่ เกิดขึ ้นจากความไม่เชื่อของประชาชนแห่งอิสราเอล อะไรควรจะเกิดขึ ้นถ้ า ประชาชนทังมวลแห่ ้ งอิสราเอลเชื่อในพระเยซู ยอมรับและรักพระองค์? แน่นอนที่สดุ การช่วยให้ รอดควรจะได้ ถกู บรรลุถึง ความมุ่งหมายแห่งการ สร้ างสรรค์ควรจะได้ ถกู ทาให้ บรรลุถึง และแล้ วอาณาจักรของสวรรค์บนโลกก็ จะถูกสร้ างขึ ้น ประชาชนชาวอิสราเอลควรจะได้ กลายเป็ นชนชาติศนู ย์กลาง
ที่มีเกียรติของโลกอุดมคตินนั ้ และการแบ่งแยกจะไม่เคยเกิดขึ ้นระหว่าง ศาสนายูดาห์และศาสนาคริสต์ และทังคู ้ ่ก็จะไม่ต้องผ่านความยากลาบาก มากมายอย่างที่ได้ รับ และยิ่งไปกว่านัน้ เพราะว่าเจตจานงของพระเจ้ าควร จะได้ บรรลุถึงบนโลกแล้ ว การมาครัง้ ที่สองของพระผู้มาโปรดก็จะเป็ นสิง่ ที่ไม่ จาเป็ นเลย การช่ วยให้ รอดบรรลุถงึ หรือไม่ ถ้ าจะพูดอย่างชัดเจนแล้ ว การตรึ งกางเขนพระเยซูเป็ นเพียงเส้ นทาง รองลงมาของการช่วยให้ รอด และให้ เพียงความรอดทางฝ่ ายวิญญาณ เท่านัน้ เพราะว่าพระเยซูไม่ได้ รับความไว้ วางใจหรื อการยอมรับโดยชาว อิสราเอล พระเจ้ าจึงต้ องชดใช้ คณ ุ ค่าสาหรับความไม่เชื่อที่เป็ นบาปของมวล มนุษยชาติโดยการให้ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์กบั ซาตานเป็ นเสมือน ค่าไถ่ เพราะฉะนันซาตานสามารถอ้ ้ างสิทธิในร่างกายของพระเยซูได้ นี่เป็ น เหตุผลว่าทาไมโลหิตที่มีคณ ุ ค่าของพระเยซูบนกางเขนจึงกลายเป็ นคุณค่า สาหรับการไถ่ถอนของมวลมนุษยชาติ ขอบเขตจากัดแห่ งการช่ วยให้ รอดโดยการไถ่ ถอนโดยกางเขน จากจุดนัน้ พระเจ้ าสามารถฟื น้ คืนชีพพระเยซูและเปิ ดหนทางแห่ง ความรอดทางฝ่ ายวิญญาณที่ซาตานไม่สามารถรุกรานได้ ดังนัน้ ชัยชนะอัน เดียวของพระเจ้ าไม่ใช่ชยั ชนะจากตรึงกางเขน แต่เป็ นชัยชนะจากการฟื น้ คืน ชีพของพระเยซู ผลก็คือร่างกายฝ่ ายเนื ้อหนังของมนุษยชาติซงึ่ ควรจะเป็ น ของพระเยซูโดยการยอมรับและรักพระองค์ ได้ กลายเป็ นเป้าหมายแห่งการ รุกรานของซาตาน หนทางที่เหลือเปิ ดอยู่เพียงอันเดียวก็คือหนทางสูก่ ารช่วย ให้ รอดทางฝ่ ายวิญญาณซึง่ สามารถได้ มาโดยการรักและเชื่อในพระเยซูทาง ฝ่ ายวิญญาณ และได้ รับการฟื น้ คืนชีพทางฝ่ ายวิญญาณอย่างที่พระองค์ ได้ รับ แม้ กระทัง่ หลังจากการปรากฏตัวของพระเยซูบนโลก โลกยังคงถูก
ปกครองโดยซาตานต่อไป ร่างกายของมนุษย์
และบาปก็ยงั คงดารงอยู่อย่างไร้ ความปราณีใน
นักบุญเปาโลคร่ าครวญด้ วยความเศร้ าโศกว่า "ข้ าพเจ้ าเป็ นคนน่า สมเพชอะไรเช่นนี ้ ใครจะช่วยข้ าพเจ้ าให้ พ้นจากร่างกายนี ้ซึง่ เป็ นของความ ตายได้ ... ทางด้ านจิตใจของข้ าพเจ้ านัน้ ข้ าพเจ้ าเชื่อฟั งกฎของพระเจ้ า แต่ ทางด้ านร่างกายของข้ าพเจ้ า ข้ าพเจ้ าเป็ นทาสของกฎแห่งบาป" (โรม 7:2425) แม้ วา ่ นักบุญเปาโลจะเลื่อมใสศรัทธาและเต็มไปด้ วยความรักอย่างมาก ในพระผู้มาโปรด แต่ร่างกายของเขายังคงถูกกดขี่โดยบาป สิง่ นี ้ก็เกิดขึ ้นกับ มวลมนุษยชาติด้วย เราจึงถูกสอนให้ "อธิษฐานอย่างสม่าเสมอ" (1 เธสะโลนิ กา 65:17) เพื่อป้องกันเราจากการรุกรานของซาตาน เรายังอ่านพบใน 1 ยอห์น 1:10 ว่า "ถ้ าเรากล่าวว่าเราไม่ได้ ทาบาป ก็เท่ากับเราทาให้ พระองค์ เป็ นผู้ตรัสมุสา" สิง่ นี ้บอกเราว่ามนุษยชาติยงั คงอยู่ภายใต้ พนั ธะแห่งบาป ฉะนัน้ พระผู้มาโปรดต้ องกลับมาอีกครัง้ หนึ่ง เพื่อขจัดบาปที่ยงั เหลืออยู่ให้ หมดไปโดยสิ ้นเชิง และเพื่อสร้ างอาณาจักรของสวรรค์บนโลก ซึง่ เป็ นความ มุ่งหมายแห่งการสร้ างสรรค์ของพระเจ้ า เมื่อประชาชนชาวอิสราเอลซึง่ เป็ นเสมือนชาติศนู ย์กลางของแผนการ แห่งการทางานของพระเจ้ าไม่ได้ บรรลุถึงภารกิจของเขา โดยไม่สามารถรวม เป็ นหนึ่งกับบุตรของพระเจ้ า พระเจ้ าก็เริ่มต้ นสร้ างศาสนาคริสต์เป็ น อิสราเอลที่สองที่ประกอบด้ วยหลายเชื ้อชาติ เพราะฉะนันศาสนาคริ ้ สต์เป็ น สิง่ ที่พระเจ้ าตังขึ ้ ้นในระดับโลกเพื่อแทนที่ชนชาติอสิ ราเอล และแน่นอน เพื่อ เตรี ยมพื ้นฐานสาหรับการมาของพระผู้มาโปรดด้ วย ดังนัน้ ศูนย์กลางของ แผนการแห่งการทางานพระเจ้ าถูกย้ ายจากชาวอิสราเอลและศาสนายูดาห์ ไปสูศ่ าสนาคริสต์ ชาวคริสต์ในกรุงโรมต้ องชดใช้ คณ ุ ค่าโดยการถูกกดขี่ข่ม เหงและเสียสละชีวติ เป็ นเวลา 400 ปี เพื่อสร้ างศาสนาคริสต์ให้ เป็ นศาสนา
ประจาชาติของอาณาจักรโรมัน และเพื่อสร้ างพื ้นฐานที่มนั่ คง ต่อมาชาติ ต่างๆ เช่น อังกฤษและอเมริกาได้ ถกู สร้ างขึ ้นโดยพระเจ้ าให้ เป็ นชาติ ศูนย์กลางเพื่อสร้ างศาสนาคริสต์ให้ เป็ นอิสราเอลที่สอง ซึง่ จะต้ องรับผิดชอบ ในการนาโลกไปสูค่ วามเป็ นหนึ่งโดยมีศนู ย์กลางอยู่ที่พระเจ้ า และเป็ น พื ้นฐานแห่งพรของพระเจ้ าที่เตรี ยมไว้ สาหรับพระผู้มาโปรดแห่งการมาครัง้ ที่ สอง การเสด็จมาครั้งทีส่ อง พระคริสต์จะมาอีกครัง้ หนึ่งในลักษณะใด แล้ วการมาครัง้ ที่สองของ พระผู้มาโปรดจะเกิดขึ ้นอย่างไร? ในการพิจารณาสิง่ นี ้ ขอให้ เราพิจารณาการ มาครัง้ ที่สองของเอลียาห์ก่อน ที่จริงแล้ ว การมาครัง้ ที่สองของเอลียาห์เป็ นตัวอย่างที่ชดั เจนที่สดุ ที่ พระเจ้ าได้ เปิ ดเผยให้ กบั เราว่า พระคริสต์จะกลับมาอีกครัง้ หนึ่งในลักษณะ ใด พระเจ้ าได้ ให้ สญ ั ญาโดยผ่านผู้เผยพระวจนะมาลาคีวา่ จะส่งเอลียาห์มา อีกครัง้ หนึ่งก่อนที่พระองค์จะส่งพระคริสต์มาสูโ่ ลก (มาลาคี 4:5) อย่างไรก็ ตาม ชนชาวอิสราเอลเชื่อว่าเอลียาห์คนเดียวกันกับผู้ที่ได้ ขึ ้นไปสวรรค์ในรถ ม้ าเพลิงเมื่อ 900 ปี ก่อนจะกลับมาจากสวรรค์ แต่ในความเป็ นจริง การมา ครัง้ ที่สองของเอลียาห์บรรลุถึงโดยผ่านยอห์นผู้ให้ รับบัพติศมาที่เกิดบนโลก ตรงข้ ามกับความคาดหวังของเขาเหล่านันโดยสิ ้ ้นเชิง (มัทธิว 11:14, มัทธิว 17:13)
การพยากรณ์สองชนิดถูกพบในพันธสัญญาเดิมเกี่ยวกับพระผู้มา โปรด ตัวอย่างเช่น ผู้เผยพระวจนะดาเนียลได้ ทานายว่า พระผู้มาโปรดจะ เสด็จมาสูโ่ ลกจากสวรรค์บนก้ อนเมฆ (ดาเนียล 7:13) ในขณะที่ผ้ เู ผยพระ วจนะมีคาห์พยากรณ์วา่ พระองค์จะเกิดบนโลก (มีคาห์ 5:2) อันใดในการ พยากรณ์สองอันที่ขดั แย้ งกันนี ้ที่ชนชาวอิสราเอลเชื่อ? ในระหว่างผู้เผยพระ
วจนะสองคนนี ้ดาเนียลมีชื่อเสียงมากกว่า และแนวโน้ มความคิดของชาว อิสราเอลก็ไปในทางที่วา่ พระผู้มาโปรดจะลงมาโดยตรงจากสวรรค์ เพราะฉะนัน้ พระเยซูผ้ ซู ึ่งเกิดทางฝ่ ายเนื ้อหนังบนโลกไม่สามารถเป็ นพระผู้ มาโปรดได้ (2ยอห์น1:7-8) แล้ วทาไมพระเจ้ าจึงให้ การพยากรณ์สองอันที่ ตรงกันข้ ามกัน? พระเยซูได้ ชี ้ให้ เห็นว่า "ไม่มีผ้ ใู ดได้ ขึ ้นไปสูส่ วรรค์ นอกจาก ท่านที่ลงมาจากสวรรค์ คือ บุตรมนุษย์" (ยอห์น 3:13) เป็ นการชี ้ให้ เห็นว่า พระองค์ลงมาจากสวรรค์ แต่อย่างที่เรารู้ ดีวา่ พระเยซูได้ เกิดบนโลก จาก มารดาของพระองค์ คือ นางมารี ย์ แต่แล้ วทาไมพระองค์จึงกล่าวว่า พระองค์ ลงมาจากสวรรค์? คาว่า "สวรรค์" ถูกใช้ บ่อยครัง้ ในพระคัมภีร์ มันถูกใช้ เสมอเป็ นอุปมาที่ ทาให้ เกิดความรู้สกึ แห่งความศักดิ์สทิ ธิ์ ความดี และคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ ดังนัน้ เราสามารถตีความหมายสิง่ ที่พระเยซูพูดได้ วา่ "ข้ าพเจ้ าเกิดคล้ ายกับพวก ท่านทุกคน แต่ข้าพเจ้ าแตกต่างอย่างมากจากท่านในแรงกระตุ้น และ จุดเริ่มต้ นแห่งการเกิดของข้ าพเจ้ า ข้ าพเจ้ าเกิดจากพระเจ้ า" ด้ วยความเข้ าใจอันนี ้ มันเป็ นสิง่ ที่ชดั เจนอย่างยิ่งว่า คาพยากรณ์ เกี่ยวกับการมาสูโ่ ลกของพระเยซูบนก้ อนเมฆที่กล่าวไว้ ในดาเนียล 7 จริงๆ แล้ วหมายความว่าอะไร การตีความที่แท้ จริงค่อนข้ างตรงตามข้ อเท็จจริง อย่างไรก็ตามโดยการติดอยู่กบั ความหมายตามตัวอักษร ประชาชนก็เข้ าใจ ผิด ในทานองเดียวกันยอห์นผู้ให้ รับบัพติศมาซึง่ เกิดในครอบครัวของเศคาริ ยาห์ ไม่เพียงแต่เกิดบนโลกนี ้เท่านัน้ แต่มีภารกิจอันยิ่งใหญ่อนั หนึ่ง (ลูกา 1:15-17, ลูกา 1:76) ไม่วา ่ รูปแบบแห่งการเกิดของเขาจะเป็ นอย่างไรก็ตาม พระเจ้ าอยู่เบื ้องหลังและให้ ภารกิจอย่างเดียวกับเอลียาห์กบั เขา และเขา "ได้ ลงมา" สูโ่ ลกเป็ นตัวแทนของพระเจ้ าเอง
จากสิง่ ที่เห็นได้ ในตัวอย่างเหล่านี ้ในการมาครัง้ ที่สองของเอลียาห์และ การมาของพระเยซู มันเป็ นสิ่งที่ช่วยไม่ได้ ที่จะทาให้ เกิดความคิดที่จริงจัง เกี่ยวกับการพยากรณ์สาหรับการมาครัง้ ที่สองของพระผู้มาโปรด โดยสรุป แล้ ว พันธสัญญาใหม่ไม่เพียงแต่จะมีคาพยากรณ์วา่ พระคริสต์จะมา เสมือน ผู้พิพากษาท่ามกลางความรุ่งโรจน์ บนก้ อนเมฆจากสวรรค์ แต่มนั ก็กล่าวไว้ เช่นกันว่า "พระองค์จะเสด็จกลับมาอีกครัง้ หนึ่งในลักษณะเดียวกับที่ พระองค์ได้ มาในเวลาของพระเยซู ซึง่ ตรงกันข้ ามกับการพยากรณ์อนั แรก เกี่ยวกับการมาบนก้ อนเมฆ" เราอ่านพบใน ลูกา 17:24-25 ว่า พระเยซูคาดการณ์ลว่ งหน้ าถึงสิง่ ที่จะ เกิดขึ ้นในการมาครัง้ ที่สอง โดยตรัสว่า "บุตรมนุษย์จะเป็ นอย่างนันแหละใน ้ วันของพระองค์ แต่ก่อนนันจ ้ าเป็ นที่พระองค์ต้องทนทุกข์ทรมานหลาย ประการ และคนยุคนี ้จะไม่ยอมรับพระองค์" ถ้ าพระผู้มาโปรดจะกลับมาอีก ครัง้ หนึ่งท่ามกลางอานาจและความรุ่งโรจน์พร้ อมกับเสียงแตรเรี ยกของ หัวหน้ าทูตสวรรค์ ใครจะปฏิเสธและกลัน่ แกล้ งทรมานพระองค์? คุณจะกลัน่ แกล้ งทรมานพระองค์ไหม? ทุกวันนี ้ ชาวคริสต์ที่ศรัทธาและโบสถ์ต่างๆ มากมายกาลังมองขึ ้นไป บนท้ องฟ้าเพื่อรอคอยการมาของพระผู้มาโปรดบนก้ อนเมฆ ถ้ าพระองค์มา บนก้ อนเมฆจริงๆ ก็ไม่มีเหตุผลใดที่พระผู้มาโปรดจะถูกทรมาน แต่เมื่อ พระองค์ไม่ได้ มาบนก้ อนเมฆ แต่มาในร่างกายฝ่ ายเนื ้อหนังเช่นเดียวกับการ มาครัง้ แรก พระองค์ก็ต้องทนทุกข์ทรมานก่อนที่พระองค์จะเป็ นที่ร้ ูจกั ในที่สดุ ในวิวรณ์ 12:5 ได้ กล่าวว่า หญิงคนหนึ่งได้ ให้ กาเนิดบุตรชายผู้ซงึ่ จะ ปกครองประชาชาติทงปวงด้ ั้ วยคทาเหล็ก แต่บตุ รของเธอถูกนาขึ ้นไปเฝ้า พระเจ้ ายังพระที่นงั่ ของพระองค์ มนุษย์ผ้ ซู งึ่ จะปกครองโลกด้ วยคทาเหล็กก็ คือ พระผู้มาโปรดที่จะมานัน่ เอง ดังนัน้ มันถูกบันทึกไว้ อย่างชัดเจนว่า
พระองค์จะกาเนิดจากผู้หญิงคนหนึ่ง เมื่อพวกฟาริสีถามพระเยซูว่า เมื่อไร อาณาจักรของพระเจ้ าจะมาถึง พระองค์ตอบว่า "แผ่นดินของพระเจ้ าไม่มา ด้ วยนิมิตที่จะสังเกตได้ " (ลูกา 17:20) ทุกคนสามารถมองขึ ้นไปบนท้ องฟ้าได้ แต่พระเยซูกลับกล่าวว่า พระองค์จะไม่ถกู รู้ จกั อย่างรวดเร็ว ทาไม? นี่เป็ นเพราะว่า พระองค์ไม่ได้ มาบนก้ อนเมฆจริงๆ ใน ลูกา 18:8 พระ เยซูกล่าวว่า "เราบอกท่านทังหลายว่ ้ า พระองค์จะทรงประทานความยุติธรรม ให้ เขาโดยเร็วแต่ถ้าบุตรมนุษย์มา ท่านจะพบความเชื่อในแผ่นดินโลกหรื อ" ทาไมพระเยซูจึงพูดเช่นนัน้ มีคนมากมายทัว่ โลก ผู้ซึ่งกาลังทาอย่างดีที่สดุ ของเขาเพื่อเตรี ยมสาหรับการมาของพระองค์ถึงแม้ วา่ ความศรัทธาของเขา จะไม่สมบูรณ์ก็ตาม ใครจะล้ มเหลวในการที่จะรู้จกั พระผู้มาโปรดที่มาบน ก้ อนเมฆจริงๆ แม้ กระทัง่ ผู้ที่ไม่เชื่อทังหลายก็ ้ จะรู้จกั พระองค์และมาสู่ พระองค์ หรื อจะเป็ นเพราะมีใครบางคนที่จะขัดขวางไม่ให้ เขากระทาเช่นนัน้ ? ไม่ใช่อย่างแน่นอน ความยากลาบากไม่จาเป็ นที่จะต้ องทาให้ ศรัทธาของ มนุษย์ออ่ นแอลง และแล้ วมันจะเป็ นเพราะว่าพระองค์จะมาในลักษณะ เดียวกันกับที่พระเยซูมาในครัง้ แรกหรื อไม่? เมื่อสองพันปี ก่อน ตอนที่พระเยซูมา บรรดาประชาชนมีศรัทธา มากมายเหล่านันอธิ ้ ษฐานในพระวิหารและจดจาธรรมบัญญัติทงกลางวั ั้ น และกลางคืน พวกเขาเหล่านันพยายามอย่ ้ างหนักเพื่อรักษาธรรมบัญญัติ และกฎทังมวลที ้ ่พระเจ้ าสัง่ ให้ เขาเหล่านันรั ้ กษา พวกเขาถวายสิบลดและถือ ศีลอด ในแง่นี ้เขามีศรัทธาอย่างมากในความเชื่อในพระเจ้ า อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ เข้ าใจความหมายที่แท้ จริงแห่งศรัทธา เขา เหล่านันถู ้ กเตรี ยมเพื่อที่จะรู้จกั พระบุตรของพระเจ้ าผู้ซงึ่ ถูกส่งมาสู่เขา เหล่านัน้ จากจุดยืนนี ้ พระเยซูไม่สามารถพบศรัทธาใดๆ บนโลกเลย ใน ทานองเดียวกัน ปั จจุบนั นี ้มีชาวคริ สต์ที่ดีหลายล้ านคนที่กาลังรอคอยการมา
ของพระผู้มาโปรดแห่งการมาครัง้ ที่สอง แต่ถ้าพระผู้มาโปรดจะมาใน ลักษณะเดียวกันกับที่พระองค์เคยมา พระองค์จะพบศรัทธาที่จะทาให้ ชาว คริสต์ทงหลายสามารถรู ั้ ้ จกั พระองค์หรื อไม่? เพื่อเน้ นอีกครัง้ หนึ่งจากสิง่ ที่เรา ได้ เรี ยนรู้ก่อนหน้ านี ้ จากประสบการณ์แห่งการทางานของพระเจ้ าใน ประวัติศาสตร์ และตัดสินจากข้ อความในพระคัมภีร์ที่ได้ กล่าวมาก่อนหน้ านี ้ การมาครัง้ ที่สองจะต้ องเกิดขึ ้นในลักษณะเดียวกันกับการมาครัง้ แรก โดย การกาเนิดของพระผู้มาโปรดในร่างกายฝ่ ายเนื ้อหนังจากผู้หญิง โดยแท้ จริง แล้ ว พระองค์จะมาเสมือนเป็ นบุตรมนุษย์ พระเจ้ าได้ สร้ างอาดัม เพื่อให้ เป็ นจุดเริ่มต้ นของมนุษย์อดุ มคติและ ครอบครัวอุดมคติบนโลก แต่เพราะอาดัมตกสูบ่ าป และเริ่มต้ นโลกแห่งบาป นี ้ พระเยซูได้ มาเพื่อแก้ ไขโลกอุดมคติเริ่มแรกกลับคืนมาในฐานะอาดัมที่สอง (1 โครินธ์ 15:45) เพราะฉะนัน้ พระผู้มาโปรดแห่งการมาครัง้ ที่สอง มา เพื่อที่จะทาให้ งานทังมวลแห่ ้ งการสร้ างสรรค์บรรลุถึงในฐานะอาดัมที่สาม เพราะฉะนัน้ พระองค์ต้องมาในร่างกายฝ่ ายเนื ้อหนัง และกลายเป็ น จุดเริ่มต้ นของบุคคลอุดมคติและครอบครัวอุดมคติ และสร้ างอาณาจักรของ สวรรค์บนโลก ซึง่ เป็ นอุดมคตินิรันดร์ ของพระเจ้ า ถ้ าพระผู้มาโปรดจะมาบน โลกในร่างกายฝ่ ายเนื ้อหนัง แล้ วอะไรคือความหมายของการมาบนก้ อน เมฆ? ตามวิวรณ์ 17:15 น ้าเป็ นสัญลักษณ์แทนมนุษย์ที่ตกสูบ่ าปหรื อมนุษย์ ที่ชวั่ ร้ าย แล้ วเมฆ หมายความถึงอะไร? เมฆเป็ นน ้าที่ระเหยขึ ้นไป ไม่วา่ น ้าจะ สกปรกอย่างไร เมื่อมันระเหยกลายเป็ นเมฆ มันจะถูกทาให้ บริสทุ ธิ์ ใน ทานองเดียวกัน เมฆเป็ นสัญลักษณ์ของมนุษย์ที่ถกู ฟื น้ คืนชีพหรื อบังเกิดใหม่ จากมนุษย์ที่ตกสูบ่ าป หรื อพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผู้ที่เชื่อที่ถกู ฟื น้ คืนชีพได้ บังเกิดใหม่จากโลกแห่งบาป อุปมาที่วา่ พระองค์จะมาบนก้ อนเมฆ
หมายความว่าพระองค์จะมาอีกครัง้ หนึ่งท่ามกลางนักบุญทังหลายที ้ ่พระเจ้ า ได้ เตรี ยมไว้ เราได้ ครอบคลุมหัวข้ อใหญ่ๆ ของหลักการของพระเจ้ า ซึง่ ถูกเปิ ดเผย โดยสาธุคณ ุ ซันเมียงมูน เนื ้อหาทังหมดของหลั ้ กการของพระเจ้ าต้ องใช้ เวลา ในการย่อเนื ้อหามากมายและกว้ างดังกล่าวลงมาเหลือเพียงสองชัว่ โมง การ สรุปอย่างทันทีทนั ใดและอธิบายสันลงเป็ ้ นสิง่ ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การบรรยาย เพิ่มเติมที่ละเอียดและลึกซึง่ มากขึ ้น ได้ ถกู เตรี ยมไว้ แล้ วเพื่อให้ ความเข้ าใจที่ ชัดเจนขึ ้น เกี่ยวกับความจริงที่ครบถ้ วนมากที่สดุ ที่ได้ เคยถูกค้ นพบและ เปิ ดเผยให้ กบั มนุษย์จวบจนบัดนี ้