WRITING 01 NEWS
Angkaew Newspaper Editor / Writer / Photographer หนังสือพิมพ์ฝึกปฏิบัติ นักศึกษาสาขาวิชาหนังสือพิมพ์ ชั้นปีที่ 4 ประจ�ำปีการศึกษา 2558
Giraffe Magazine Writer / Intrenship รวบรวมและวิเคราะห์ข่าว เหตุการณ์ที่น่าสนใจในรอบ 2 สัปดาห์
WRITING 02 INTERVIEW
Angkeaw Newspaper Documentary / Education
Giraffe Magazine FACE OF
ว ่ า กั น ว ่ า ด น ต รี เ ป ็ น ภาษาสากลที่ ต ่ อ ให้ เ รา ไม่ เ ข้ า ใจความหมายก็ สั ม ผั ส ความรู ้ สึ ก ของ บทเพลงนั้ น ได้ The Paradise Bangkok Molam International B a n d เ ป ็ น ห นึ่ ง ข ้ อ พิ สู จ น ์ ข อ ง ป ร ะ โ ย ค ดังกล่าวได้อย่างชัดเจน แต่ พ วกเขาท� า อย่ า งไร ผ่ า นอะไรมาบ้ า ง วง ดนตรี ผู ้ บ รรเลงเพลง หมอล� า ไทยจึ ง โด่ ง ดั ง ไปไกลถึงยุโรป
FACE OF DISC JOCKEY สะสมสู่สร้างเสียง
TEXT ชำลิสำ เมธำนุภำพ + PHOTO อดิเดช ชัยวัฒนกุล
Music / Thailand
ดีเจมาฟท์ไซ (Maft Sai) หรือ ณัฐ—ณัฐพล เสียงสุคนธ์ นอกจากจะเป็นดีเจและผู้ก่อตั้ง The Paradise Bangkok Molam International Band แล้ว ยังเป็นเจ้าของร้าน แผ่นเสียงสุดแรงม้า ท�าค่ายเพลง The Paradise Bangkok และบาร์ชื่อ Studio Lam ที่เปิดโอกาสให้นักเล่นดนตรีสายทดลองมาใช้พื้นที่ในการแสดงสด ซึ่งธุรกิจทั้งหมด เป็นงานที่เกี่ยวกับเสียงดนตรีและแผ่นเสียงอย่างที่เขาชื่นชอบมาตั้งแต่เด็ก “ถ้าเทียบตัวเองตอนนี้กับเพลง เราก็คงเป็นเหมือน ambient electronic หรือ special jazz ที่มีเสียงลอยๆ มีจังหวะช้าๆ ไปจนถึงเพลงเรกเก้ เพราะช่วงนี้อยากใช้ชีวิตช้าๆ บ้างแต่งานที่มีไม่ค่อยอ�านวยสักเท่าไหร่”
ณัฐเล่าว่าการย้ายไปอยู่ออสเตรเลียตอน 11 ขวบ ในยุคที่แผ่นซีดียังไม่ แพร่หลาย อินเทอร์เน็ตยังเข้าถึงไม่งา่ ยเหมือนทุกวันนี้ ท�าให้การฟังเพลง ต้องพึ่งพาแผ่นเสียงเป็นส่วนใหญ่ ที่นั่นเพื่อนๆ วัยเดียวกันของเขาสะสม แผ่นเสียง จึงเป็นจุดเริม่ ต้นให้เขาเริม่ ซือ้ หาแผ่นเสียงมาฟังบ้าง จนกระทัง่ ย้ายไปใช้ชีวิตที่อังกฤษ การซื้อแผ่นเสียงจึงเริ่มกลายเป็นส่วนหนึ่งของ ชีวติ ประจ�าวันในฐานะนักสะสม “ช่วงนัน้ ร้านแผ่นเสียงรุง่ เรืองมาก เดินไป บนถนนหนึง่ สาย จะเจอร้านแผ่นเสียงอย่างน้อย 4-5 ร้าน ตลาดแผ่นเสียง ในอังกฤษมีขนาดใหญ่และหลากหลายมาก” แผ่นเสียงทีณ ่ ฐั เลือกเก็บมีตงั้ แต่แนวโซล ฟังก์ แจ๊ซ ดิสโก้ ไปจนถึง อิเล็กทรอนิก แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็เริ่มขุดลึกลงไปยังแนวเพลงที่เป็น พืน้ ฐานและมีอทิ ธิพลต่อแนวเพลงต่างๆ มากขึน้ เช่น เมือ่ รูว้ า่ deep house ได้รับอิทธิพลมาจากดนตรีแอฟริกัน เขาจึงเลือกเจาะลึกลงไปในแต่ละ พื้นที่ของแอฟริกา ไม่ว่าจะเป็นเพลงจากไนจีเรีย จาเมก้า หรือเอธิโอเปีย ที่มีเอกลักษณ์และมีความสนุกสนาน เช่นเดียวกับแนวเพลงอันคุ้นเคย อย่างเรกเก้ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก จนปี 2007 ณัฐกลับมาใช้ชีวิตในไทย และเมื่อเริ่มเก็บแผ่นเสียง ในไทยอย่างจริงจัง เขาจึงพบซาวด์เพลงลูกทุ่งหมอล�าที่ท�าให้รู้สึกว่า ดนตรีเหล่านี้มีกระบวนการคล้ายคลึงกับแนวดนตรีที่เขาสนใจ ท�าให้เขา เริม่ หันมาเก็บสะสมแผ่นเพลงลูกทุง่ หมอล�ามากขึน้ แต่กว่าจะได้มาก็ไม่ใช่ เรื่องง่าย ต้องไปควานหาถึงถิ่น ตระเวนตามตลาดนัดขายของมือสอง ทัว่ ไทย เพราะแผ่นเพลงเหล่านีอ้ ยูอ่ ย่างกระจัดกระจาย ไม่มแี หล่งรวบรวม ที่ชัดเจน จากแผ่นเสียงเหล่านั้นจึงพัฒนามาเป็นโปรเจกต์ The Paradise Bangkok ในปี 2009 ซึ่งเป็นอีเวนต์เปิดแผ่นเพลงลูกทุ่งหมอล�าควบกับ 07
เพลงจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปจนถึงตะวันออกกลาง ก่อนขยับขยายไปสู่การแสดงดนตรีสดจากศิลปินหมอล�าตัวจริง ที่ไม่ใช่แค่นึกอยากตั้งวงก็ชักชวน กันมาก็เล่นได้เลย เนื่องจากนักดนตรีหลายท่านแขวนแคน ทิ้งพิณ ไปท�างานอื่นเลี้ยงชีพมานาน รวมถึง สไตล์การเล่นที่แตกต่างกันของแต่ละวง จึงต้องใช้เวลากว่าหกเดือนในการปรับจูนนักดนตรีและฟอร์มวง The Paradise Bangkok Molam International Band ขึ้นมา และที่ยากไปกว่านั้นคือ หลังจากปล่อยแผ่น ออกมาขายในเมืองไทยเป็นเวลาหนึ่งปี ณัฐกลับพบว่าผลงานที่เขาหลงใหลกลับมียอดขายไม่ถึง 15 แผ่น นี่เองที่ท�าให้เขาตัดสินใจส่ง The Paradise Bangkok Molam International Band ไปโปรโมต ยังต่างประเทศ ก่อนจะได้รบั ความนิยมเป็นวงกว้างภายในเวลาเพียง 2-3 เดือน ท�ายอดขายในฝัง่ ยุโรปถึง 500 แผ่น และผลตอบรับที่ยอดเยี่ยมในต่างประเทศนี้เองที่ส่งให้วงมีโอกาสได้ไปแสดงในเทศกาลดนตรี ต่างๆ ในยุโรป จนเริ่มมีแฟนเพลงตามไปเซิ้งตามงานแสดงสดมากขึ้นเรื่อยๆ “เราไม่ได้ตั้งใจว่าต้องโกอินเตอร์ก่อนหรืออะไร เราเพียงแค่เห็นว่าที่ไหนที่ให้ความสนใจในสิ่ง ที่เราท�า เราก็ไปที่นั่นเท่านั้นเอง” ณ เวลานี้ The Paradise Bangkok เริ่มได้รับความสนใจจากคนไทยมากขึ้นตามล�าดับ เนื่องจาก กระแสดนตรีอินดี้ที่มีบทบาทในวงกว้างกว่าแต่ก่อน ท�าให้กลุ่มวัยรุ่นให้ความสนใจฟังและเปิดรับดนตรี แนวใหม่ๆ ได้ง่ายขึ้น “จากที่มีคนไทยฟังเพียง 10% ก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดถึงราว 60%” นี่จึง นับเป็นสัญญาณที่ดีส�าหรับวงการดนตรีในเมืองไทย เพราะหลังจากนี้เราน่าจะได้เห็นวงดนตรีหน้าใหม่ ที่หลากหลาย สร้างสีสันให้แก่วงการเพลงไทยทั้งในกระแสหลักและกระแสรองอย่างแน่นอน และเมือ่ ถึงวันนัน้ คนแรกๆ ทีจ่ ะดีใจก็คงหนีไม่พน้ ดีเจมาฟท์ไซคนนี้ ผูท้ แี่ ม้จะมีโปรเจกต์หลากหลาย แต่เขาก็หวังจะพัฒนาคุณภาพของทุกงานทีต่ นท�าเพือ่ เป้าหมายเดียว นัน่ คือท�าให้แนวดนตรีพนื้ บ้าน ดนตรี ลูกทุ่งหมอล�าของไทยมีพื้นที่ในการปล่อยของมากขึ้น ติดตามความเคลื่อนไหวของณัฐได้ที่ zudrangmarecords.com
I S S U E
3 7 - 1 / 2
THE BIRTH OF MOLAM หมอล� ำ มี ต ้ น ก� ำ เนิ ด มำจำกกำรเล่ำนิทำน ป รั ม ป ร ำ ใ น ว ง สั ง สรรค์ของชำวอีสำน แต่โบรำณ มีกำรเพิ่ม สีสันมำตำมกำลเวลำ จนกลำยเป็นมหรสพ เต็มรูปแบบ และมีกำร ขนำนนำมคนร้องว่ำ ‘หมอล� ำ ’ ที่ แ ปลว่ ำ ผู้เชี่ยวชำญด้ำนกำร ร้ อ ง ซึ่ ง เพลงล� ำ ใน ยุ ค แรกที่ เ น้ น เนื้ อ หำ ของเรื่องเล่ำเป็นหลัก เ รี ย ก ว ่ ำ ล� ำ โ บ ร ำ ณ จำกนั้ น ค่ อ ยพั ฒ นำ เป็นล�ำคู่ ล�ำกลอน และ ล�ำซิ่ง
M A Y
2 0 1 6
Face of / Music
Giraffe Magazine Startup / Application
Giraffe Magazine Startup / Application
WRITING 03 LIFESTYLE
MOVIES
บทวิจารณ์ภาพยนต์ A Story of Yonosuke : ความทรงจ�ำที่ร่วงหล่น แต่ไม่สูญหาย
หากพูดถึงภาพยนตร์ญี่ปุ่นหลายคนคงนึกถึงภาพยนตร์ที่มีการเดินเรื่องแบบง่ายๆ ตัวละครหลักเป็นคนธรรมดาที่ไม่มี วีรกรรมโดเด่นอะไรมากมาย งานภาพค่อนข้างนิ่ง ไม่มีการตัดต่อที่เร้าอารมณ์ แต่เนื้อหาที่สื่อออกมากลับลึกซึ้งกินใจ ติดตรึงใจ คนดูได้ไปอีกนาน A story of Yonosuke เป็นภาพยนตร์ญี่ปุ่นอีกเรื่องที่แทบจะมีลักษณะที่กล่าวมาข้างต้นอย่างครบถ้วน ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นผลงานก�ำกับของ ซูอิชิ โอกิตะ เนื้อหาได้ดัดแปลงมาจากนิยายชื่อเรื่องเดียวกัน เรื่องราวในภาพยนตร์นั้น ก็ตรงกับชื่อคือบอกเล่าเรื่องราวของชายหนุ่มชื่อโยโคมิชิ โยโนะสุเกะ ในปี ค.ศ.1987 ซึ่งเป็นช่วงปีแรกของการเข้าเรียนระดับ มหาวิทยาลัยของเขาที่ได้พบเจอผู้คนมากมายไม่ว่าจะเป็น อิปเปเพื่อนคนแรกของเขาซึ่งมีความฝันที่จะเป็นพนักงานบริษัทที่ดี โค โตะหนุ่มหล่อมาดเท่ห์แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยสนใจผู้หญิงซักเท่าไหร่ หรือโชโกะเด็กสาวลูกคุณหนูแต่ดันมาตกหลุมรักโยโนะสุเกะ ในขณะที่เขาไปแอบชอบฉิเอะหญิงสาวอายุมากกว่าที่ได้ฉายาว่าเป็นสาวนักเที่ยวชื่อดัง แม้ว่าตัวละครทุกตัวจะมีเอกลักษณ์ที่โดด เด่นและค่อนข้างแตกต่างกันมากแต่สิ่งที่เชื่อมโยงทุกคนเข้าหากัน คือการที่โยโนะสุเกะได้เข้าไปสร้างรอยยิ้มและความทรงให้แก่ ผู้คนเหล่านั้น สิ่งที่โดดเด่นที่สุดในเรื่องคงหนีไม่พ้นคาแรกเตอร์ของโยโคมิชิ โยโนะสุเกะ นอกจากชื่อที่ดันไปเหมือนดาราตลกชื่อดัง แล้ว บุคลิกและความใสซื่อจนเข้าขั้นซื่อบื้อของเขาก็สร้างเสียงหัวเราะและรอยยิ้มให้แก่ผู้คนรอบข้างของเขาได้เช่นกัน ต้องยก ความดีความชอบนี้ให้แก่ เคนโก โคระ นักแสดงที่สวมบทบาทโยโนะสุเกะได้อย่างเหมาะสม จนท�ำให้คนดูอย่างเราอดยิ้มและ หัวเราะไปกับการกระท�ำแปลกๆของโยโนะสุเกะไม่ได้ ภาพยนตร์นี้ยังมีการพูดถึงเรื่องราวของเปลี่ยนผ่าน การปรับตัวของวัยรุ่นเพื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ในระดับมหาวิทยาลัย มี การเล่าเรื่องสลับไปมาระหว่างเรื่องราวของโยโนะสุเกะในปี 1987 กับเรื่องราวของคนที่เกี่ยวพันโยโนะสุเกะในปัจจุบัน แต่ใน หนังแทบจะไม่ได้พูดถึงโยโนะสุเกะในปัจจุบันเลย ไม่มีการบอกว่าเขาห่างจากเพื่อนๆไปเพราะอะไร เขายังได้เจอกับฉิเอะอยู่ไหม หรือว่าท�ำไมเขาถึงเลิกกับโชโกะไป ในช่วงกลางของหนังก็ได้เฉลยว่าปัจจุบันโยโนะสุเกะเป็นอย่างไร ซึ่งนั่นท�ำให้โทนของหนังจะ เปลี่ยนไปทันทีแม้หนังจะยังคงท�ำให้เรายิ้มและหัวเราะตามไปได้ แต่มันก็ท�ำให้เราเศร้าแบบจุกอกไปพร้อมๆกันอีกด้วย “ถ้าฉันตายไป จะมีใครร้องไห้ให้ฉันไหมนะ” “ฉันว่าถ้านึกถึงโยโนะสุเกะ ทุกคนคงหัวเราะมากกว่านะ” บทสนทนานี้อาจจะเป็นค�ำตอบที่ส�ำคัญที่สุดของเรื่อง ในวัยผู้ใหญ่ที่เราต่างก็ต้องเดินหน้าไปตามเส้นทางที่เราเลือก บาง ครั้งอาจมีเรื่องราวในช่วงวัยรุ่นที่เราท�ำร่วงหล่นไประหว่างทาง เรื่องราวของโยโนะสุเกะก็ไม่ต่างกัน ในช่วงเวลาปัจจุบันบางตัว ละครก็จ�ำเรื่องราวของโยโนะสุเกะได้เยอะหน่อย บางตัวละครก็แทบจะจ�ำไม่ได้ แต่เมื่อทุกคนย้อนกลับมานึกถึงโยโนะสุเกะ ต่างก็ คิดถึงผู้ชายที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มกว้างที่ไร้ความกังวล และภูมิใจที่ในช่วงหนึ่งของชีวิตพวกเขาได้รู้จักกับโยโนะสุเกะ ชีวิตของโยโนะสุเกะนั้นก็ไม่ต่างไปจากชีวิตของเรา ที่มีการพบและการจากตลอดเวลา ขณะที่เราก�ำลังพยายามสร้างเอกลักษณ์ บางอย่างในชีวิต เพื่อให้คนอื่นรับรู้ถึงการมีตัวตนของเรา แต่หนังเรื่องนี้กลับพยายามบอกว่าในครั้งหนึ่งเราอาจเคยมีตัวตนที่ยิ่ง ใหญ่ แต่ในท้ายที่สุดเราอาจจะเป็นเพียงความทรงจ�ำของใครซักคน เพราะเส้นทางชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ขณะที่เรายังคง ต้องเดินหน้าต่อไปคนบางคนเราจึงท�ำได้เพียงแค่นึกถึงเรื่องราวในอดีตของเขาเท่านั้น แม้ว่าหนังเรื่องนี้จะมีความยาวถึง 160 นาที แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาของหนังเลย อาจกล่าวได้ว่าซูอิชิ โอกิตะเป็นผู้ก�ำกับ ฝีมือดีคนหนึ่ง เพราะทั้งบทพูด การแสดงและจังหวะของหนังทุกอย่างดูลงตัวมาก จนรู้สึกว่าถ้ามันมากกว่านี้อีกเพียงนิดเดียวอาจ จะท�ำให้หนังน่าเบื่อจนเลิกดูไปเลยก็ได้ นอกจากแง่คิดต่างๆที่ได้จากหนังแล้ว ตลอดเวลาเกือบสามชั่วโมงที่ดูหนังก็อดไม่ได้ที่จะ นึกถึงความทรงจ�ำเกี่ยวกับผู้คนมากมายคนที่เราท�ำหล่นหายไปตามกาลเวลา และนึกไปอีกว่าแล้วช่วงเวลาที่ผ่านมาจะมีใครที่มี เรื่องราวของเราอยู่ในความทรงจ�ำของเขาบ้าง
MOVIES
บทวิจารณ์ภาพยนต์ Into The Wild สู่ป่าค้นหาความเป็นมนุษย์
Into the wild (2007) เป็นผลงานก�ำกับของนักแสดง มากฝีมืออย่าง Sean Penn (จาก Milk, Mystic River, I Am Sam) ซึ่งดัดแปลงบทภาพยนตร์มาจากหนังสือในชื่อเดียวกัน ของ Jon Krakauer ที่เขียนหนังสือเล่มนี้มาจากเรื่องจริงของ ค ริสโตเฟอร์ แม็คแคนเลส เด็กหนุ่มวัย 24 ปี ผู้ถูกรู้จักในฐานะ ชายหนุ่มที่เดินทางเขาสู่ป่าและหันหลังให้กับความสัมพันธ์ ระหว่างมนุษย์ คริสโตเฟอร์ แม็กแคนด์เลส เป็นเด็กหนุ่มจาก ครอบครัวมีฐานะในรัฐเวอร์จิเนียซึ่งประกอบด้วยพ่อ แม่ และ น้องสาวที่สนิทกับเขามาก เขาเรียนจบมหาวิทยาลัยด้วยผลการ เรียนในระดับดีมาก แต่คริสโตเฟอร์กลับตัดสินใจหันหลังให้ชีวิต ของเขา และตั้งเป้าในการตามหาความหมายของชีวิตด้วยเดิน ทางไปสู่ธรรมชาติที่ห่างไกลผู้คน คริสโตเฟอร์อาจเหมือนกับเด็กวัยรุ่นทั่วไป ที่อยู่ในวัย แห่งการค้นหาและไขว่คว้าอิสระให้แก่ตนเอง เขาเป็นชายหนุ่ม ที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจในสิ่งที่ท�ำ เป็นเด็กหนุ่มที่ชื่นชอบการเดิน ทางและการผจญภัย แล้วยังมีแนวคิดที่ค่อนข้างต่อต้านสังคมอีก ด้วย ในขณะเดียวการตัดสินใจหันหลังให้สังคมของคริสโตเฟอร์ นั้นคงไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อค้นหาตนเองเพียงอย่างเดียว แต่คือ การละทิ้งตัวตนของเขา ตัวตนที่เกี่ยวข้องกับพ่อแม่ เกี่ยวข้องกับ ครอบครัวที่เป็นปมในใจของเขาตลอดมา ภาพชีวิตคู่ที่สวยงามของพ่อและแม่ของคริสโตเฟอร์ กับมีความจริงที่ถูกปกปิดไว้มากมาย คริสเฝ้ามองพ่อและแม้ สร้างภาพลักษณ์ที่สวยงามเพื่อปกปิดความล้มเหลวในชีวิตคู่ มาตลอด ยิ่งเมื่อวันหนึ่งคริสได้รู้ว่าเรื่องราวความรักที่งดงาม และแสนโรแมนติกที่พ่อแม่พร�่ำบอกเขามาตลอดนั้นเป็นเรื่อง โกหก พื้นฐานครอบครัวเหล่านี้จึงส่งผลให้คริสเริ่มมีแนวคิดต่อ ต้านความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน คริสเริ่มปฏิเสธความสัมพันธ์ ใดๆก็ตามของมนุษย์ ปฏิเสธแม้กระทั่งความสัมพันธ์กับคนใน ครอบครัว กับน้องสาวซึ่งเป็นคนที่สนิทสนมที่สุดในชีวิตของเขา เมื่อเริ่มหันหลังความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ คริสโต เฟอร์ก็หันหน้าเข้าหาหนังสือ เขากลายเป็นหนอนหนังสือ ค ริสโตเฟอร์ได้รับอิทธิพลจากนักเขียนคนโปรดแล้วน�ำมาเป็น
แนวทางการใช้ชีวิต เขาหันหลังให้ทรัพย์สิน เงินทอง ครอบครัวอย่างลีโอ ตอลสตอยผู้ประพันธ์นวนิยายขนาด ยาวเรื่อง “สงครามและสันติภาพ” ชื่นชอบการผจญ ภัย สัมพัสธรรมชาติอย่างแจ็ค ลอนดอน เจ้าของผลงาน A Call of the Wild เสียงเพรียกแห่งพงไพร และ The White Fang ไอ้เขี้ยวขาว อยากใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ห่าง ไกลผู้คนแบบเฮนรี่ เดวิด ธอโร ผู้เขียนหนังสือบันทึกการ เดินทางอมตะอย่าง Walden หรือ Life in the Woods หลังจากจบมหาวิทยาลัยในปี 1990 คริสโต เฟอร์มีอิสระมากขึ้น เขาตัดสินใจละทิ้งตัวตนของเขา คริ สบริจาคเงินออมกว่า 2 หมื่นเหรียญให้องค์กรเพื่อสังคม ท�ำลายบัตรเครดิต เผาทิ้งบัตรที่แสดงตัวตนของเขา ใช้ชื่อ ใหม่ว่า อเล็กซานเดอร์ ซูเปอร์แทรมป์ ออกเดินทางด้วย รถดัทสันคู่ชีพ แต่รถก็ถูกน�้ำท่วมฉับพลันจนเสียหาย คริส จึงต้องเดินทางต่อโดยการโบกรถ เขาเริ่มได้ใช้ชีวิตใกล้ชิด กับธรรมชาติมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ได้พบเจอ ผู้คนมากมายระหว่างการเดินทางอีกด้วย แม้ว่าธรรมชาติ ที่คริสตามหาจะสวยงามเพียงใด แต่มิตรภาพระหว่างทาง ที่คริสได้รับนั้นก็สวยงามไม่แพ้กัน สองปีต่อมา คริสโตเฟอร์เดินทางมาถึงอลา สก้า ดินแดนแห่งธรรมชาติที่ไร้ผู้คน การได้ใช้ชีวิตในอ ลาสก้าอาจเหมือนเป็นจุดหมายปลายทางของอิสระ แต่ นี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการค้นหาความหมายของชีวิต เท่านั้น หากมนุษย์มีหลากหลายมุม ทั้งด้านดีและด้าน ร้าย ธรรมชาติเองก็ไม่ต่างกัน ในช่วงแรกที่คริสมองเห็น แต่แง่ร้ายของมนุษย์ เขาจึงตามหาความงามด้านที่ดีจาก ธรรมชาติ เมื่อเริ่มเดินทางไม่มีข้อจ�ำกัดใดที่คริสโตเฟอร์ ไม่สามารถก้าวผ่านไปได้ แต่เมื่อเรื่องราวด�ำเนินไปเราก็ได้ เห็นถึงความยิ่งใหญ่และพบว่าธรรมชาติที่กว้างขวาง อาจ อ้างว้างเกินไปส�ำหรับมนุษย์ที่ใช้ชีวิตตามล�ำพัง ธรรมชาติ อาจไม่ได้แสดงด้านที่โหดร้าย แต่กลับท�ำให้คริสโตเฟอร์ ได้ตระหนักว่าความจริงแล้วมนุษย์เองก็ไม่ได้มีแต่ด้านร้าย เช่นกัน ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ไม่ได้ไร้คุณค่า เขา เริ่มมองเห็นความหมายของผู้คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ผู้คน ที่เขาหันหลังให้ รู้จักการให้อภัย และค้นพบความหมาย ของความสุขที่เปลี่ยนไป “ความสุขมีความหมายก็ต่อเมื่อได้แบ่งปัน”
Books
Giraffe Magazine Books / Review
EATING
Giraffe Magazine Food / Review
Giraffe Magazine
TEACHNOLOGY
Application / Review
Giraffe Magazine Stratup / Review
WRITING 04 ETC.
Giraffe Magazine Core / COUNTRY STRIKE
Giraffe Magazine Core / UNIVERSE
PHOTO GRAPHY