พระสุธรรมคณาจารย์ (พระอาจารย์ เหรียญ วรลาโภ) วัดอรัญญบรรพต ตาบลบ้ านหม้ อ อาเภอศรี เชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย
หนังสือเรื่ อง “หลวงปู่ เหรียญสอน ..ทาน ศีล ภาวนา” นี ้ เป็ นหนังสือที่นาพระธรรมเทศนา บางส่วนของ “หลวงปู่ เหรี ยญ วรลาโภ” มาจัดพิมพ์เป็ นธรรมทานแจกฟรี เพื่อเผยแพร่หลักธรรม ทางพระพุทธศาสนาให้ ผ้ สู นใจในทางปฏิบตั ไิ ด้ ทาความเข้ าใจและปฏิบตั ิตามคาสอนของ พระผู้มีพระภาคเจ้ าได้ ถกู ต้ อง เกิดผลคือ ได้ พ้นทุกข์ไปตามลาดับจนถึงที่สดุ แห่งทุกข์
ประวัตหิ ลวงปู่ โดยสังเขป
หลวงปู่ เหรี ยญ ท่านเกิดในครอบครัวใจขาน นามว่า “เหรี ยญ” สกุล “ใจขาน” เกิดเมื่อวันที่ ๘ มกราคม พ.ศ.๒๔๕๕ ตรงกับวันพุธ ขึ ้น ๒ ค่า เดือนยี่ ปี ชวด ณ บ้ านหม้ อ ตาบลบ้ านหม้ อ อาเภอศรี เชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย เมื่ออายุยา่ งเข้ า ๒๐ ปี ท่านว่า เห็นจะเป็ นด้ วยบุญบารมีที่ ทา่ นได้ สร้ างมาแต่ชาติ ก่อนมาดลจิตให้ นกึ ถึงความทุกข์ในชีวิตอันเป็ นปั จจุบนั โดยคิดเห็นว่าเกิดมาแล้ ว ต้ องทาการงาน และงานที่ทานันก็ ้ ไม่ร้ ูจกั จบสิ ้น จึงเกิดศรัทธาอยากบวชขึ ้นมาใน ใจอย่างรุนแรงจนถึงกับเบื่อหน่ายต่อการงานทุกอย่าง จึงได้ ขอลามารดาบิดาออก บวช บวชเมื่อเดินมกราคม พ.ศ. ๒๔๗๕ จากนัน้ ท่านแปรญัตติเป็ นพระธรรมยุต ณ วัดโพธิสมภรณ์ อ.เมือง จ.อุดรธานี และออกปฏิบตั ธิ ุดงคกรรมฐานท่านเป็ น ลูกศิษย์องค์หนึง่ ของ ท่ านพระอาจารย์ ม่ ัน ภูริทัตโต ซึง่ เป็ นพระบูรพาจารย์ ฝ่ ายวิปัสสนากรรมฐานของประเทศไทย หลวงปู่ เหรี ยญ ครองสมณเพศอย่างงดงาม เป็ นแบบอย่างแห่งพระผู้ปฏิบตั ดิ ี ตลอดจนถึงวาระสุดท้ ายของท่าน โดยองค์หลวงปู่ ท่านได้ ละสังขารอย่างสงบเมื่อ วันที่ ๕ มิถนุ ายน พ.ศ. ๒๕๔๘ ถือเป็ นวาระแห่งความสูญเสีย ปูชนียบุคคลสาคัญ องค์หนึง่ ของพุทธศาสนิกชน โดยสิริรวมอายุได้ ๙๓ ปี ๗๓ พรรษา ฝากไว้ เพียง “รอยธรรม” ให้ ได้ ศกึ ษาและปฏิบตั ติ ามท่านต่อไป
หลวงปู่ สอนเรื่ อง “ทาน”
เราอย่าไว้ใจคนอืน่ เลย ..เมื ่อเราตายแล้วเขาจะทาบุญหาอย่างนีน้ ะ ไม่ควรคิ ด อย่างนัน้ เผือ่ ว่าเขาไม่ทาให้ล่ะ เราก็ยาก เราก็ลาบากสิ บดั นีน้ ะ เราจะไปไว้ ใจคน ได้ ไงล่ะ แต่ใจตัวเอง ตัวเองก็ยงั ห้ ามไม่ได้ อยูแ่ ล้ ว ฉะนันอย่ ้ าไปไว้ ใจคน มันจะจน ใจเอง เพิ่นว่า เราทาเอาเสี ยแต่ยงั ชี วิตอยู่นี้ ทาเอาให้เต็มความสามารถซิ เรามี ช่องทางไหนทีจ่ ะก่อให้เกิ ดบุญเกิ ดกุศลเราก็ทาเอาแหละ...มันเป็ นอย่างนัน้ เมื่อ เราทาถูกทางแล้ ว กุศลมันก็เจริญยิ่งๆ ขึ ้นไป นี่หมายความว่า ชีวิตของคนเรานี่ จะมีความสุขมากน้ อยเพียงใดขึ ้นอยูก่ บั บุญกุศลโดยตรง .......
นักปราชญ์ทา่ นกล่าวไว้ วา่ คนจนน่ะ มี เงิ นทองข้าวของเล็กน้อยไม่มากแต่สามารถ เจี ยดไปให้ทานได้ เช่นนีแ้ ล้วท่านว่า มี อานิ สงส์มาก มี ผลมากเพราะว่า มันทาได้ ยาก ของมีน้อยมันย่อมอาลัยเสียดาย เข้ าทานองที่วา่ เอ...ให้ เพื่อนไปแล้ วก็หมด ตัวล่ะสิ อย่างนี ้นะ ผู้ใดอาลัยเสียดายอยูอ่ ย่างนันตั ้ ดสินใจไม่ลง คนยากคนจน นี ้ก็ไม่ได้ ทาบุญเลย ถ้ าจะคิดว่า เราจะต้ องหาเงินให้ ได้ มากๆกว่านี ้ก่อนจึงจะ ทาบุญทาทานอย่างนี ้นะ หายังไงก็ไม่ได้ สิคนบุญน้ อย ได้ ไม่มากนัน่ ล่ะ อย่าไปคิด อย่างนัน้ สาหรับคนยากคนจนทัง้ หลายนะ แม้เรามี นอ้ ยก็ให้ทานน้อย มันก็มี อานิ สงส์มาก เพราะเราตัดสิ นใจละความตระหนีห่ วงแหน ความเสียดายอาลัย หมู่นนั้ แหล่ะออกจากจิ ตใจไปได้ มันถึงมี อานิ สงส์มาก
“บุคคลงามด้ วยคุณธรรม” คนเราน่ะมันรักษาความดีของตนให้ สม่าเสมอไปไม่ได้ มันมองเห็นแต่วตั ถุ ภายนอกนันแหละเป็ ้ นความดี ผู้ใดมีเงินมากๆ ล่ะผู้นนเป็ ั ้ นคนดี มันมองเห็นเท่า แต่ "วัตถุภายนอก" ว่าเป็ นของดีวิเศษ มองไม่เห็น "ความดีภายใน" คือ บุญกุศล หรื อสติ ปัญญา หรื อความบริ สทุ ธิ์ ใจ อันที่ผ้ ไู ด้ เว้ นจากบาปอกุศลต่างๆ ไปได้ ท่าน ว่าผู้นนได้ ั ้ มี “ทรัพย์ภายใน” อันประเสริฐ แต่คนส่วนมากมันไม่ปรารถนา ทรัพย์ภายในอย่างว่านี ้นะ ปรารถนาแต่ทรัพย์ภายนอก คือ เงินทอง เพราะฉะนันมั ้ นจึงไม่ยินดีที่จะละเว้ นจากบาปอกุศลต่างๆ มีแต่สะสมบาปอกุศล เรื่ อยไป ดังนันจึ ้ งขาดทรัพย์ภายในอันประเสริฐ คือ "หิ ริโอตตัปปธรรม" , "ขันติ " ความอดทนก็ขาด เมื่อขาดความอดทนแล้ ว "โสรัจจะ" ความสงบเสงี่ยมมันก็ขาด ไป แสดงกิริยาหยาบโลนต่างๆ นานาออกไปหมูน่ ี ้นะ เนี่ยเรี ยกว่า มันขาด “ทรัพย์ภายใน” แล้ วคนเรานี่มนั ไม่นา่ ดูนา่ แลเลย คนเราที่จะน่ าดูน่าแล น่ าคบหาสมาคมกันอยู่น่ี...ก็เพราะเหตุว่า มันมี "ทรัพย์ ภายใน คือ คุณธรรม" ต่ างๆ ดังกล่ าวมานี้เองอยู่ในใจ ผู้นนพยายามละบาปออกจากกาย ั้ วาจา ใจ อยูเ่ สมอๆ ถ้ าบางคนน่ะมันจะละปุบ ปั บเอาทีเดียวให้ หมดไปเลยไม่ได้ ก็เพียรพยายามละไปทีละน้ อยๆ ไป มันก็คอ่ ย หมดไป หมดไป นี่สาหรับผู้ที่เห็นว่า คุณธรรมภายในเป็ นทรัพย์อนั ประเสริฐ ........
“ทานบารมี” พระพุทธเจ้ าสร้ างบารมีมาต้ องยก "ทานบารมี" ขึ ้นเป็ นปฐมฤกษ์เลย ลองคิดดูนนั่ แหละ..ถ้ าบุคคลให้ ทานไม่ได้ แล้ ว จะปฏิบตั คิ ณ ุ ธรรมอันสูงขึ ้นไปกว่านันไม่ ้ ได้ เลย ลองคิดดู นัน่ แหละ..คนที่ไม่สามารถจะรักษาศี ล ไม่สามารถที่จะประพฤติธรรม ต่างๆได้ หมูน่ นั ้ ล้ วนแต่คนไม่ได้ ทาบุญให้ ทานอะไร มีสมบัตมิ ากมายก่ายกองมาก็ ไม่ได้ ให้ ทานในบุคคลที่ควรให้ แล้ วก็เอาไปจ่ายสุรุ่ยสุร่าย ไปบารุงบาเรอกามคุณ นูน่ มีเงินทองมากมายก่ายกองอันนันนี ้ ่ลองพิจารณาดูอย่างว่า คนไม่มีจิตยินดี ในการให้ - การบริจาคทานแก่บคุ คลที่ควรให้ เช่น ท่านผู้มีศีลมีธรรมอันดีงามใน พระพุทธศาสนานี ้ ครัน้ ว่าให้ บางคนก็ให้ ทานเห็นแก่หน้ า ให้ ทานเพื่อการค้ าก็มี ถ้ าไปจัดงานทาบุญให้ ทาน ก็เชิญแขกเหรื่ อมากินเลี ้ยงกัน ฆ่าวัวฆ่าควายลง เลี ้ยงกัน..เลี ้ยงเหล้ ายาปลาปิ ง้ ให้ อิ่มหนาสาราญ ฟ้อนราขับร้ อง สรวญเสเฮฮาไป เพื่อผูกมิตรกับคนหมูม่ าก ก็ให้ คนหมูม่ ากได้ เห็นว่าตนนันเป็ ้ นคนกว้ างขวาง เมื่อ ตนทาการค้ าขายอะไรคนเหล่านันก็ ้ จะไปอุดหนุน ตน
นี .่ ..การให้ทานแบบนัน้ น่ะ
พระพุทธเจ้าไม่ได้สรรเสริ ญเลย เพราะมันแทรกไปด้วยกิ เลสตัณหาอุปาทาน ทานเพือ่ หวังผลตอบแทนในปัจจุบนั นี ้ ไม่ใช่ให้ทานเพือ่ ความโลภความตระหนี ่ มันเบาบางไปหมดไปสิ้ นไปอย่างทีพ่ ระพุทธเจ้าทรงแนะนาสัง่ สอน
หลวงปู่ สอนเรื่ อง “ศีล” การประหัตประหารชีวิตของบุคคลอื่นสัตว์อื่นอย่างนี ้น่ะ หรื อว่าไม่ถึงกับประหาร ไม่ถึงกับฆ่าแต่วา่ ทุบตีให้ เจ็บ ให้ ปวด ให้ เสียองคะ อะไรไปอย่างนี ้นะ ก็เรี ยกว่าไป ทาบุคคลอืน่ ให้ทกุ ข์ทรมานไปเช่นนีแ้ ล้วมันจะไม่เป็ นบาปอย่างไรเล่า เราไปก่อ ทุกข์ให้ แก่คนอื่น ไม่วา่ แต่มนุษย์แม้ สตั ว์เดรัจฉานมันก็เป็ นโทษเหมือนกันน่ะ เพราะว่า สัตว์เดรัจฉานมันก็กลัวตายเหมือนกัน มันก็รักชีวิตของมันเหมือนกัน มันก็ไม่อยากให้ ใครไปทุบไปตีมนั น่ะ ให้ เจ็บให้ ปวดให้ ล้มให้ ตาย พอมันรู้วา่ ใคร จะทาลายมันอย่างนี ้ ถ้ ามีปีกมันก็บนิ หนี ถ้ ามีขามันก็วิ่งหนี ถ้ าเป็ นสัตว์อยูใ่ นน ้า มันก็แหวกว่ายน ้าหนี มันจะไม่ยอมให้ คนไปทุบไปตีไปจับมันได้ ง่าย เว้ นเสียแต่ มันจะจนมุมเท่านันแหละ ้ ลองคิดดู...สัตว์โลกทัง้ หลายนี ่ เกิ ดมาแล้วใครจะไม่ รักตัวกลัวตาย...ไม่มีเลย พระพุทธเจ้ าทรงรู้แจ้ งอย่างนี ้แหละ จึงตรัสว่า มันเป็ นกรรมเป็ นเวร เนื่องจากว่า ใครๆ ก็ไม่ต้องการให้ ใครมาเบียดเบียนตน แม้ เบียดเบียนทรัพย์สินเงินทองก็ดี เบียดเบียนเมียผัวผู้อื่นในทางกามคุณก็ดี แล้ วเบียดเบียนผู้อื่นโดยกล่าวโกหกพกลมหลอกลวงให้ เขาเสียทรัพย์เสียสินก็ดี หมูน่ ี ้ล้ วนแต่เป็ นเรื่ องเบียดเบียนทังนั ้ น้ ...ลองคิดดูให้ ดี .......... “ทุกคนนะ...เราจะอยู่เย็นเป็ นสุขได้ ในโลกนี้ ก็เพราะเราไม่ มีศัตรู เราประพฤติตนไม่ ให้ มีศัตรู ”
พระอาจารย์ เหรียญ วรลาโภ
คนบางคนน่ะไปวัด สมาทานศีลแล้ วกลับไปถึงบ้ าน บัดนี ้ก็มีงานไปปั กดานากั น บ้ าง ไปเกี่ยวข้ าวบ้ าง ..เอ้ า..ไปเห็นปลาอยูใ่ นนาก็เกิดอยากกินเนื ้อมันขึ ้นมาแล้ ว ก็ไปจับมันมาฆ่าต้ มแกงกินเสีย ทังที ้ ่รับศีลจากวัดไปหยกๆแล้ วอย่างนี ้มีอยูถ่ มไป เพราะฉะนันศี ้ ลอันนี ้จึงชื่อว่าเป็ น "ศีลชั่วคราว" ชัว่ ระยะที่อยูใ่ นวัดนัน่ แหละ เมื่อออกจากวัดแล้ วก็เอาส่งคืนพระไปหมดเลย ..... การรักษาศีลนันก็ ้ ได้ ชื่อ ทาเหตุแห่ งความดี เมื่อหมดอายุสงั ขารลงแล้ ว อานิสงส์แห่งศีลนันจั ้ กนาดวงจิตนี ้ ไปบังเกิดในสุคติโลกสวรรค์อย่างนี ้นะ นี่ที่พระพุทธเจ้ าแสดงธรรมมีทงเหตุ ั ้ มีทงผลอย่ ั้ างนี ้ แต่ถ้าใครไม่เชื่อคาสอนของ พระพุทธเจ้ าอย่างว่านี ้แล้ วก็ มันก็ไม่รักษาศีลตามแล..ไม่เชื่อ....บอก....โอย .. พระพุทธเจ้ านี่ทรงสอนให้ คนทาดีตอ่ กันในโลกนี ้เท่านันหรอก ้ ไม่มีทางหรอกที่ จะไปสวรรค์ด้วยการรักษาศีลอย่างว่านี ้ ถ้ าไปคิดเห็นอย่างนันแล้ ้ วมันก็ไม่รักษา ศีลแล้ ..แล้ วก็อ้างนูน่ อ้ างนี่วา่ ถ้ ารักษาศีลแล้ วก็ไม่ได้ อยูไ่ ด้ กินอะไร มันขัดข้ อง ..... “เพราะว่ า "สัจธรรม-ธรรมของจริง" เนี่ย มันไม่ มีเลือนลางเป็ นอย่ างอื่นไป มันยืนหยัดอยู่ในตัวเลย..หมายถึงความจริง ความจริงนั้นไม่ มี เปลี่ยนแปลง มันเปลี่ยนไปแต่ เรื่ องไม่ จริงเท่ านั้นแหละ”
“อุบายแยบคายเพื่อละบาปในใจ” อย่าพากันนิ่งนอนใจ ทุกคนให้ สารวจตรวจตราตนเองอยูเ่ สมอ ว่าตนนันได้ ้ มีนิสยั ชัว่ อะไรอยูบ่ ้ าง นิสยั ที่มนั จะบันดาลให้ ไปทาชัว่ ๕ อย่างนันนะ ้ พูดกันอย่างง่ายๆ มันต้ องตรวจดูตนให้ ร้ ู เมื่อรู้วา่ ตนนันมี ้ นิสยั ที่จะชอบล่วงศีล ข้ อใดข้ อหนึง่ อยูอ่ ย่างนี ้นะแล้ วถ้ าหากว่าปรารถนาให้ ตนมีความสุข ไม่ต้องการให้ ตนไปตกทุกข์ได้ ยาก เราก็พยายามเว้ น...อย่าไปล่วง พยายามเว้ นให้ ได้ เลย ในส่วนกรรมชัว่ ที่ลมุ่ หลงทามาแต่ก่อนในชีวิตนี ้แหละ... เราก็อธิษฐานใจละไปเสียว่า "แต่ก่อนนัน้ ข้าพเจ้าไม่รู้อย่างนี ้ เมื ่อข้าพเจ้ารู้อย่างนี ้ ข้าพเจ้าจะไม่ทาเลย ก็ เพราะไม่รู้จึงได้ทากรรมชัว่ บางสิ่ งบางอย่างมา มาบัดนี ข้ ้าพเจ้ารู้แล้ว .ทาอย่างนัน้ เป็ นบาปตัง้ แต่นีข้ ้าพเจ้าจะไม่ทาต่อไป ด้วยอานาจแห่งความสัตย์ความจริ งอันนี ้ ขอให้บาปกรรมทีข่ ้าพเจ้าได้ล่มุ หลงกระทามาแต่ก่อนนัน้ .ให้มนั หมดไปสิ้ นไป" นี่เราต้ องอธิษฐานใจละ เรื่ อยไปอย่างนัน้ ถ้ าไม่เช่นนันแล้ ้ ว...กรรมเก่ามันจะไม่ หมดนะ มันจะตามสนองต่อไปในชาติตอ่ ไปอีก นี่ที่พระพุทธเจ้ าท่านสอนให้ คนเราเพียรพยายามละบาปแล้ วบาเพ็ญบุญนะอย่างนี ้ เพียรพยายามทาอุบาย แยบคายในใจ ดังที่แนะนามานัน่ แหละ ถ้ าหากว่าเราไม่ทาอุบายแยบคายในใจ ไม่อธิษฐานใจอย่างว่านันนะ ้ อยูเ่ รื่ อยๆ ไปเฉยๆ เนี่ยไม่ได้ นะ บาปกรรมนันมั ้ นไม่ หมดแล้ ว แสดงว่าใจมันยังยึดมันไว้ อยู่ ไม่เบื่อมันจึงไม่ได้ อธิษฐานใจละ นี่นะ...ให้ เข้ าใจ
“การบวชทดแทนพระคุณของบุพการี ” เมื่อบวชเข้ ามาแล้ วต้ องเรี ยนธรรมเรี ยนวินยั จาให้ ได้ แล้ วก็ลงมือปฏิบตั ติ ามธรรม ตามวินยั นันไม่ ้ ให้ ขาดตกบกพร่อง แล้ วกิเลสตัณหาอันหยาบคายจะเบาบางไป ในเมื่อบุคคลมารู้วินยั สารวมในวินยั ด้ วยดีแล้ วเช่นนี ้ “พรหมจรรย์” ของผู้นนั ้ ย่อมเจริญรุ่งเรื องไปได้ ....นี่ให้ เข้ าใจอย่างนี ้ ไม่ใช่วา่ พอแต่บวชเข้ ามาแล้ ว นึกว่าได้ บญ ุ แล้ วตนน่ะ บวชทดแทนบุญคุณพ่อแม่ ที่มีอปุ การะเลี ้ยงดูตนมา เมื่อคิดอย่างนี ้แล้ วเข้ ามาบวช พอบวชเข้ ามาแล้ วไม่ ศึกษาเล่าเรี ยนธรรมวินยั อยูเ่ ฉยๆเรื่ อยๆ ไป ความสารวมก็ไม่เพียงพอ อย่างนี ้นี่... ภิกษุนนจะตอบบุ ั้ ญแทนคุณมารดาบิดาไม่ได้ เลยเพราะไม่มีคณ ุ สมบัติ ไม่มีกศุ ลธรรมอะไรเกิดขึ ้นในใจที่จะแผ่กศุ ลธรรมนันไปให้ ้ แก่มารดาบิดา ลุงป้าน้ าอา หรื อผู้มีอปุ การคุณอื่นได้ ...เพราะไม่มีนี่ พอไม่มีจะเอาไปแบ่งให้ เพื่อนได้ ยงั ไง นัน่ แหละให้ คดิ ดูให้ ดี
หลวงปู่ สอนการภาวนา
“บุญอันใดมันจะเท่ ากับบุญที่เราทาความเพียรละกิเลสตัณหานีไ้ ม่ มี ให้ เข้ าใจอย่ างนัน้ ผู้ใดละกิเลสตัณหาได้ ลงไปอย่ างใดอย่ างหนึ่งลงไป ก็ได้ บุญโขเลย...ได้ บุญมาก ต้ องให้ เข้ าใจอย่ างนัน้ ทีนีถ้ ้ าผู้ใดสะสมกิเลสให้ หนาแน่ นขึน้ ในจิตใจก็ตรงกันข้ าม มันก็ได้ บาป มันเป็ นอย่ างนัน้ นะ บุญกับบาปนี่มันเป็ นเหมือนฝ่ ามือกับหลังมือนี่ ” สารวมใจของตนให้ ดี การสารวมนีเ้ ป็ นความดี ความสารวมก็..ก่อนอื่นก็ สารวมใจนัน่ แหล่ะ เมื่อตังใจได้ ้ แล้ วมันก็สารวมตาหูจมูกลิ ้นกาย มือเท้ า อะไรได้ หมด ถ้ าสารวมใจไม่ได้ แล้ ว มันก็สารวมอันอื่นก็ไม่ได้ เพราะว่า “ใจเป็ นประธาน” ทุกสิ่งทุกอย่าง ดังนันให้ ้ พากันสาคัญเรื่ องจิตใจนี ้ให้ มากทีเดียว ผู้มีความคิดสูงก็ จึงได้ มองเห็นว่า ใจนี่แหละเป็ นประธาน การทาดีหรื อทาชัว่ ใดๆ ก็ดี บัดนี ้เมื่อเห็น ว่า การทาชัว่ นันไม่ ้ ใช่หน้ าที่ของคนมีปัญญา คนมีปัญญาจะไม่ทาความชัว่ จะเลือกทาแต่ความดี ทีนี ้การที่บคุ คลจะทาความดีให้ สม่าเสมอไปได้ หรื อว่าให้ ยิ่งขึ ้นไปได้ ก็เพราะอาศัยการฝึ กจิตดวงนี ้ให้ มนั ตังมั ้ น่ ลงด้ วยดี ให้ มนั หนักแน่น เข้ าไป ไม่ให้ มนั อ่อนไหวไปตามสิ่งที่มากระทบถูกต้ องเข้ า นี่ให้ พากันเข้ าใจ ความหมายของการปฏิบตั ธิ รรมในพระพุทธศาสนานี ้ เราไม่มีจดุ มุง่ หมายอย่าง อื่นใด ถ้ าพูดอย่างรวบรัดตัดตอนเอา การมาปฏิบตั ใิ นพระพุทธศาสนานี ้น่ะมุง่ ฝึ ก “จิต” ดวงเดียวนี ้แหละ ให้ ดีขึ ้นไปโดยลาดับ
“ผู้มีบุญชอบแต่ ความสงบ” อานุภาพแห่งบุญกุศลนี ้มันเป็ นไปเพื่อความสงบ เพราะฉะนันผู ้ ้ ใดมีบญ ุ มากขึ ้น มาแล้ วก็สงบ ไม่ชอบวุน่ วาย นี่เป็ นลักษณะของผู้มีบญ ุ มาก เราต้ องเอาเรื่ องนี ้ แหละเป็ นเครื่ องวัด จะเท่าแต่เอาแต่เงินแต่ทอง ข้ าวของมากมายนันมาเป็ ้ น เครื่ องวัดว่าเป็ นคนมีบญ ุ มากอย่างนัน..ดู ้ จะไม่ถกู เท่าไรนัก แต่ก็มีถกู อยูบ่ ้ าง แต่ ถ้าจะให้ ถูกตรงๆ จริงแล้ ว มันต้ องหมายเอาบุคคลผู้ท่ เี บื่อหน่ ายต่ อ ความวุ่นวาย ต่ อความเละเทะต่ างๆในโลก แล้ วก็ยนิ ดีแสวงหาความสงบ ทางจิตใจ นี่...อันนีจ้ ึงเป็ นที่แน่ นอนว่ าเป็ นคนมีบุญมากจริง เพราะว่าบุญนี ้มีลกั ษณะเป็ นของสงบ ของเย็น...ไม่ได้ เป็ นของร้ อน ดังนันเมื ้ ่อ บุคคลใดมีบญ ุ มากๆเข้ าไปแล้ วมันจึงชอบเท่าแต่ความเยือกเย็น ความทะเลาะ วิวาทถกเถียงอะไรก็ไม่ชอบ คนมีบญ ุ มากนะ...ชอบแต่ความปรองดองสามัคคี ความชื่นชมยินดีตอ่ กันในการกระทาความดี ..... คนเรานันไม่ ้ ร้ ูจกั "ศัตรู " ไปมองเห็นแต่ “ศัตรู ภายนอก” นูน่ ระวังแต่ศตั รูภายนอก แต่ "ศัตรู ภายใน คือ กิเลสตัณหา" นี่มองไม่เห็นและสาคัญว่า กิเลสตัณหา นี ้ ไม่ได้ เป็ นศัตรูกบั ชีวิตของตน ดังนันจึ ้ งได้ เลี ้ยงตัณหานี ้ไว้ จึงไม่พยายามขจัดมัน ออกไปจากดวงจิตนี ้ ผู้มีปัญญาทังหลายท่ ้ านมองเห็นแล้ วว่า “กิเลสตัณหา” นี่เป็ น ศัตรูของชีวิตตัวร้ ายกาจติดพันไปในวัฏสงสารอันนานนับชาติไม่ถ้วน
“สติ-สมาธิ” ต่อนี ้ไปพึงพากันตังสติ ้ สารวมใจของตนให้ แน่วแน่ ใจนี ้จะตังมั ้ น่ อยูไ่ ด้ ก็ อาศัย "สติ" เท่านันแหละ ้ ถ้ าขาดสติแล้ ว จิตนี ้จะตังมั ้ น่ อยูไ่ ม่ได้ เลย เพราะฉะนัน้ พระพุทธเจ้ าจึงตรัสว่า "สตินีจ้ าต้ องปรารถนาทุกเมื่อ" มีสติแล้ วก็ต้อง มี "สัมปชัญญะ" คูก่ นั สติ แปลว่ า "ความระลึกได้ " สัมปชัญญะ แปลว่ า "ความรู้ ตัว" ถ้ าขาดสัมปชัญญะแล้ ว สตินี ้มันจะระลึกส่งไปข้ างนอกนู้น นอก กายนอกใจออกไปนูน่ มันจะไม่ระลึกเข้ ามาหากายหาใจ ดังนันต้ ้ องมีทงสอง ั้ อย่าง เมื่อระลึก ต้ องระลึกเข้ ามาหากายหาใจนี่ “กาย” ตัง้ อยู่อย่ างไร นั่ง อยู่อย่ างไร เรามากาหนดรู้ “ใจ”...ตัง้ อยู่อย่ างไรก็มากาหนดรู้ อย่ างนีจ้ ึง เรียกว่ าเป็ น "ผู้มีสัมปชัญญะ" มันก็มายากอยูท่ ี่ความที่ไม่ร้ ูตวั นี ้แหละสาคัญน่ะ ถ้ าคนเรานะ "รู้ ตัว" ได้ อยู่เสมอๆแล้ ว ท่ านว่ าเป็ น "พระอรหันต์ " ..... “ฝึ กจิตให้ หยุดคิด” ใจมันจะสงบลงได้ เพราะความเพียร ความอดทน ความอดไม่ คิด อย่างนี ้นะ มันอยากคิดเราจะไม่คดิ เตือนตนเข้ าไปอย่างนัน้ กิเลสมันชวนให้ คดิ เราจะไม่เอา ไม่คดิ ความคิดมันก่อให้ เกิดกิเลสนานาประการ ท่านจึงผูกเป็ นคากลอนไว้ ว่า "กามเกิ ดแต่ความคิ ด เราจะไม่คิด ความคิ ดก่อกามนา สูจกั วอดทัง้ ก้านกิ่ ง พร้อมพันธุ์ใบ" อย่างนี ้แหละ ก็แสดงว่าเมื่อหยุดคิดลงแล้ ว ความรักความใคร่ก็ไม่ เกิด ถ้ าวิตกวิจารณ์ไปเท่าไร ความรักความใคร่มนั ก็ยิ่งมีกาลังแรงกล้ าขึ ้นไป
เท่านัน...มั ้ นเป็ นอย่างนัน้ ดังนัน้ ให้ พากันหยุดยังความคิ ้ ด – ความดาริไปใน ความรักความใคร่ในรูปเสียงกลิ่นรสเครื่ องสัมผัสต่างๆ .... “สติบาป-สติบุญ” บางทีสติมนั ก็ระลึกไปในทางบาปอกุศล เอ้ อ...หนองนันมี ้ ปลาหรื อเปล่าน้ อ ป่ านี ้มีเนื ้อหรื อไม่...อย่างนี ้แหละ...แม่น ้านี ้มีปลาอุดมหรื อไม่นอ...ทาอย่างไรเราถึง จะได้ เนื ้อได้ ปลามาปรุงอาหารกิน ความสติระลึกไปแบบนี ้น่ะ ...ท่าน เรี ยกว่า "สติบาป" ไม่ใช่สติบญ ุ อัน "สติบุญ" นันน่ ้ ะ “ทาอย่างไรหนอเราจึงจะ พ้นจากทุกข์ได้ ทาอย่างไรหนอเมื ่อตายไปแล้วเราจึงจะไม่ไปตกนรก ไม่ไปเป็ น เปรต ไม่เป็ นอสุรกาย ไม่ไปเกิ ดในกาเนิ ดสัตว์เดรัจฉาน ทาอย่างไรเมื ่อเกิ ดเป็ น คน เราจึ งจะเป็ นผูเ้ ป็ นคนโดยสมบูรณ์ ไม่วิบตั ิ ขัดข้องอะไร” ระลึกถึงตัวเองได้ อย่างนี ้นะอันนี ้เป็ น "สติบุญ" น่ะนี ้นะ..."สติกุศล" .....
เมื่อสตินี ้ยังยับยังอยู ้ ภ่ ายในจิตใจนันตราบใด ้ แล้ วก็จิตนี ้ก็สงบอยูต่ ราบนันแหละ ้ ถ้ าสตินี ้มันถอน ก็แสดงว่าสมาธิถอนนันเองแหละ ้ ดังนันแหละ ้ สติกบั สมาธิจงึ ว่า เป็ นคูก่ นั เลยพรากกันไม่ได้ ให้ เข้ าใจอย่างนี ้ เมื่อสติยังอยู่ สมาธิมันก็ยังอยู่ หมายความว่า เมื่อสติเข้ าไปประคองอยู่ จิตก็ตงมั ั ้ น่ อยูไ่ ด้ นนั่ เองแหละ ถ้ าสติหา่ งออกไปแล้ ว จิตก็ถอนจากความสงบ เริ่มคิดหาอารมณ์ตา่ งๆ เรื่ อยไป.. เป็ นอย่างนันเพราะฉะนั ้ นนะ ้ ให้ พงึ สันนิษฐานดู
ให้ พากันตัง้ ใจ สารวมใจของตนให้ ดี เราทุกคนนับถือพระพุทธเจ้ า พระองค์ เดียวกัน ผู้เป็ นนักบวชก็ดี เป็ นคฤหัสถ์ ก็ดี ต่ างคนก็ต่างอุทศิ ชีวิต ของตน บูชา “คุณพระพุทธเจ้ า คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ ” โดยที่เราเชื่อมั่นว่ า พระคุณทัง้ สามนี ้ เป็ นที่พ่งึ กาจัดทุกข์ ทางจิตใจได้ ไม่ มีพระคุณอื่น ที่จะกาจัดทุกข์ ออกจากจิตใจนีไ้ ด้ เสมอ.. หรือยิ่งไปกว่ านี.้ .ไม่ มี ให้ เราทุกคนที่เป็ นชาวพุทธก็ต้องพิจารณา ให้ เห็นอย่ างนี ้ ไม่ ใช่ ว่าจะไปกล่ าวคาปฏิญาณตนถึงด้ วยวาจาเฉยๆ แต่ ว่าใจนัน้ ไม่ พจิ ารณาให้ ลึกซึง้ ในพระคุณเหล่ านัน้
ชีวิต คือ การต่ อสู้ ศัตรู คือ ยากาลัง โบราณท่ านกล่ าวไว้ "ชีวิต คือ การต่ อสู้" มันเป็ นความจริง เราเกิดมาต้ องมาพบกับอุปสรรคต่ างๆ นานาสารพัด เพราะฉะนัน้ แหล่ ะ..พระพุทธเจ้ าก็จึงได้ ทรงแสดงธรรม แนะนาสั่งสอนพุทธบริษัททัง้ หลายนัน้ ให้ ตงั ้ อยู่ในความอดความทน ไม่ เช่ นนัน้ แล้ วก็ฝ่าฟั นอุปสรรคต่ างๆ ไปไม่ ได้ เราจะต่ อสู้กับอุปสรรคต่ างๆ เหล่ านัน้ ไปไม่ ได้ ถ้าไม่ อดไม่ ท น