Book Doctrines

Page 1

๑ ค�ำสอน

หยิบมือ

ค�ำสอน๑หยิบมือ

1


ค�ำสอน ๑ หยิบมือ จัดพิมพ์และเผยแผ่เป็นธรรมบรรณาการ โดย ชนะพงศ์ ติแก้ว

2

พิมพ์ครั้งที่ ๑

ธันวาคม ๒๕๕๗

จ�ำนวน

.....เล่ม

พิมพ์ที่

ส�ำนักพิมพ์ CONTRAST ๓๓๓ ม.๑ ต.ท่าสุด อ.เมือง จ.เชียงราย ๕๗๑๐๐ โทร.๐๕๓-๙๑๖-๓๗๐

ค�ำสอน๑หยิบมือ


ค�ำน�ำ หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่รวบรวมค�ำสอนของพระแม่ครูอาจารย์ที่ส�ำคัญ และค�ำสอนของพระพุทธเจ้า ที่คัดมาจากในหนังสือพระไตรปิฎกและเนื่องจากผู้เขียนเอง ต้องการเผยแผ่ค�ำสอนของพระพุทธเจ้าเพราะน�ำโลกยุกต์ปัจจุบันนี้เรามีสิ่งยั้วยุให้ตกหลุมพราง ไปกับกระแสโลกมากจนเกินพอดี เลยท�ำให้เราต้องดิ้นรนหาสิ่งของต่างๆเพื่อแบกหน้าตาใน สังคมจนลืมคิดถึงหลักธรรมชาติตามความเป็นจริงที่มีอยู่ก่อน มีอยู่ดั่งเดิมของโลก ซึ่งถ้าคนยัง ไม่กลับเข้าสู่วิถีชีวิตตามธรรมชาติ ไม่อยู่อย่างสมฐานะของตนหรือตามก�ำลังสติปัญญาของตน แล้ว เขาคนนั้นก็จะหมุนไปตามกระแสโลกเหวี่ยงไปมาตามแรงที่มากระทบ และชีวิตก็จะติดกับ สิ่งจอมปลอมที่หลอกคนให้เป็นไปตามมัน เกิดเป็นทุกข์แบบเหมือนสุขแต่ไม่ใช่สุขที่แท้จริงและ ดีงาม ถ้าคนเราหวนกลับมาคิดถึงเรื่องหลักของธรรมชาติที่มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปให้ความ ส�ำคัญในหลักธรรมชาติมากกว่าหลักสังคม หรือหลักอะไรก็ตามที่เขาสร้างกันขึ้นมาซึ่งเขาอาจ จะต้องอาศัยประสบการณ์ต่างๆจึงจะรู้และสร้างหลักขึ้นมาเป็นแนวทางให้กับคนในสังคม แต่ หลักธรรมชาติไม่ต้องอาศัยคนสร้างหรือประสบการณ์ของใคร มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้นและ ไม่เคยมีอะไรเปลี่ยนแปลงหลักธรรมชาติได้ในโลกแม้มนุษย์ต้องการฝืนกฎแหกกฎแค่ไหนก็ตาม มันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้ทั้งสิ้น ดังนั้นการมีชีวิตอยู่ตามกฎของธรรมชาติแบบเข้าใจจึงเป็น สิ่งส�ำคัญของการเกิดมามีชีวิตอยู่บนโลก

ชนะพงศ์ ติแก้ว

ค�ำสอน๑หยิบมือ

3


สารบัญ ความสุขอยู่ที่ไหน 7 พูดดีเข้าใจง่าย พูดร้ายเข้าใจยาก 8 คุนเคยกับสิ่งดีมี มงคล 9 เรื่อง ศีล 11 วัดจิตของตน 12 กายแตกดับแตจิตที่ยังมีกิเลสอยูยังไมดับ 22 กรรมนิมิต และ คตินิมิตเปนผูนําใหไปเกิดในคตินั้นๆ 24 กรรมบันดาล 29 เหตุ ในอดีตสงผล ในปจจุบัน 32 ไม่มีอะไรได้ดังใจเหมือนม้ากาบกล้วย 34 ท�ำดีได้ดีเสมอ 35 มองทุกข์ให้เห็นจึงเป็นสุข 37 ผูมีปญญา ยอมไมประมาท 38 นานแสนนานแหงการเวียน 40 ของดีมีอยูกับตัววาย 41 คุณของพระพุทธศาสนา 42 ไม่ฉลาดรักษาใจ จึงกวัดแกว่งไปตามอารมณ์ 44 ผิดในถูก 45 สิ้นโลก เหลือธรรม 46 ธรรมเครื่องสรางคนใหเปนคนดี 54 ทางใหถึงความดับภพดับชาติ 57 แนวทางการด�ำเนินชีวิต 58 การเลือกคบคน 59 การท�ำจิตให้ผ่องใส 60 ปฏิวัติภายนอกกับภายใน 61

4

ค�ำสอน๑หยิบมือ


วิธีปฏิบัติเมื่อถูกด่าว่า 76 การล้างบาปด้วยน�้ำ 76 เรียนไม่เป็นก็มีโทษ 77 ความส�ำคัญของจิตใจ 78 ก่อนท�ำ พูด คิด ควรท�ำอย่างไร 80 คุณของการกินแต่น้อย 81 ผู้ที่ไม่เถียงกับใครๆ 82 ท�ำบาปด้วยความจ�ำเป็น 83 กรรมเก่ากรรมใหม่ 84 เหตุให้เชื่อชาติหน้า 86 หญิงที่ไม่ควรละเมิด 87 นรกมีจริงหรือ 87 คนพาลเกิดเป็นมนุษย์ได้ยาก 88 ท�ำดีไปนรก-ท�ำชั่วไปสวรรค์ 89 นินทา-ว่าร้าย 90 ไม่ควรพูดรีบร้อน 91 ฆ่าตัวตายไม่ควรต�ำหนิเสมอไป 92 ข้อปฏิบัติเมื่อถูกท�ำร้าย 92 ท�ำไมคนจึงตายช้า-เร็วต่างกัน 94 ท�ำอย่างไรจึงจะมีรูปงาม 94 ท�ำอย่างไรจึงจะรวย 95 ท�ำอย่างไรจึงจะฉลาด 95 ยอดของความรัก 96 คนดียิ่งกว่าดี 97 ความเพลิดเพลินและทุกข์ 99 เมื่อถูกด่าควรท�ำอย่างไร 99 สัมมาทิฐิคืออะไร 100 ค�ำสอน๑หยิบมือ

5


ค�ำสอนเตือนสติ

6

ค�ำสอน๑หยิบมือ


ความสุขอยู่ที่ไหน...

อันความสุข ยอมเปนที่ปรารถนา ของคนทุกๆคน และทุกๆ คน ยอม เคยประสบความสุขมาแลว ความสุขเปนอยางไรจึง เป็นที่รูจักกันอยู่ในเวลาที่กายและจิตใจอิ่มเอิบสมบูรณสบายก็ กล่าวกันวาเป็นสุข ความสุขจึงเกิดขึ้นทางกายและจิตใจนี่เอง สําหรับกาย นั้น เพียงให้เครื่องอุปโภคบริโภคพอให้เป็นไปได้ก็นับว่าสบายแม้กายสบายดังกลาว มานี้ ถาจิตไม่สบายกายก็พลอยซูบซีดเศร้าหมองดวย สวนกายเมื่อไมสบายดวยความเจ็บ ปวย หรือดวยความคับแคนอยางใดอยางหนึ่ง ถาจิตยังราเริงสบายอยู ก็ไมรูสึกวาเปนทุกข์ เป็นรอนเทาใดนัก และความไมสบายของกายก็อาจบรรเทาไปไดเพราะเหตุนี้ ความสุขจิตสุขใจ นั่นแลเปนสําคัญ อันความสุขทางจิตใจนี้ คิดๆดูก็นาเห็นวาหาไดไมยากอีก เพราะความสุขอยูที่ จิตใจของตนเอง จักตองการใหจิตเปนสุขเมื่อใดก็น่าจะไดใครๆ เมื่อคิดดูก็จักตองยอมรับวานาคิดเห็น อยางนั้น แตก็ตองยอมจนอีกวาสามัญชนทําไมไดเสมอไป เพราะยังตองการเครื่องอุปกรณแหงความ สุข หรือเรียกวาเครื่องแวดลอมอุดหนุนความสุข มีเงินทองเครื่องอุปโภคบริโภค เปนตน ถาเครื่อง อุปกรณแหงความสุขขาดไปหรือมีไม เพียงพอ ก็ทําใหเปนสุขมิได นี้เรียกวายังตองปลอยใจให เปน ไปตามเหตุการณอยู ขอนี้เปนความจริง เพราะเหตุฉะนี้ในที่นี้จึงประสงค ความสุขที่มีเครื่องแวดลอม หรือที่ เรียกวาสุขสมบัติ อันเปนความสุขขั้นสามัญชนทั่วไปคิดดู เผินๆ ความสุขนี้นาจักหาไดไมยาก เพราะในโลกนี้มีเครื่องอุปกรณ แหงความสุขแวดลอมอยูโดยมาก หากสังเกตดูชีวิตของคนโดย มากที่กําลังดําเนินไปอยู จักรูสึกวาตรงกันขามกับที่คิดคาดทั้งนี้มิใชเพราะเครื่องแวดลอม อุดหนุนความสุขในโลกนี้มีนอยจนไม

ค�ำสอน๑หยิบมือ

7


เพียงพอ แตเปนเพราะผูขาดแคลนความสุขสมบัติ ไมทําเหตุ อันเปนศรีแหงสุขสมบัติ จึงไมไดสุขสมบัติ เปนกรรมสิทธิ์ สวนผูที่ทําเหตุแหงสุข สมบัติ ยอมไดสุขสมบัติมาเปนธรรมสิทธิ์ เพราะเหตุนี้ผูปรารถนาสุขจึงสมควรจับเหตุให ไดกอนวาอะไรเปนเหตุ ของความสุข และอะไรเปนเหตุ ของความทุกขบางคนอาจมองเห็น วาเหตุ ของความสุขความทุกข อยูภายนอก คือสุขเกิดจากสิ่งภายนอก มีเงินทอง ยศชื่อเสียง บาน ที่สวยงาม เปนตน สวนความทุกขก็ เกิดจากสิ่งภายนอกนั้นเหมือนกัน บางคนอาจเห็น วาความสุขความทุกข เกิดจากเหตุ ภายใน จักพิจารณาความเห็นทั้งสองนี้ตอไป สมเด็จพระญาณสังวร

พูดดีเข้าใจง่าย พูดร้ายเข้าใจยาก คนที่ฉลาดแล้ว สอนไม่มากหรอก ถ้าคนไม่ฉลาด สอนมากแค่ไหน...ก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่มันเกี่ยวกับคนสอนด้วยนะ โดยมาก...คนเราเวลาไม่สบายใจ จึงสอน อย่างเราจะสอนลูกเรา เราโกรธแล้วจึงสอน มันก็ด่ากันเท่านั้นหล่ะ ไม่ยอมสอนกันดี ๆ หรอก ก็คนใจไม่ดี ไปสอนกันท�ำไม อาตมาว่า อย่าไปสอนในเวลานั้น ให้ใจมันสบายก่อน มันจะผิดอย่างไรก็เอาไว้ก่อน ให้มันใจดี ๆ ซะก่อน

8

ค�ำสอน๑หยิบมือ


นี่โยมจ�ำไว้นะ อาตมาสังเกตโยมสอนลูกแต่เวลาโมโหเท่านั้นละ มันก็เจ็บใจละซิ เอาของไม่ดีให้เขา เขาจะเอาท�ำไม ตัวเราก็เป็นทุกข์ ลูกเราก็เป็นทุกข์ นี่มันเป็นอย่างนี้ คนเรามันชอบดี ๆ ทั้งนั้นละ แต่ความดีเราไม่พอ ให้ความดีมันไม่เป็นเวลา ไม่รู้จักบทบาท ไม่รู้จักกาลเวลา มันก็เป็นไปไม่ได้ อันนี้ก็เหมือนกันฉันนั้น อาหารที่มันอร่อย เราต้องทานทางปาก มันจะเกิดประโยชน์ ลองเอาเข้าทางหูซิ มันจะเกิดประโยชน์ไหม อาหารอร่อย ๆ จะมีประโยชน์ไหม คนเรามันมีประตูเหมือนกันละ ต้องเข้าหาประตู ทุกคนก็เป็นอย่างนั้น หลวงพ่อชา สุภัทโท

คุนเคยกับสิ่งดีมี มงคล

การจะทําใจให เปนสุข ปราศจากทุกขแมพอ สมควรขณะใกลจะดับจิต คือการเลือกชีวิตในภพชาติ นไรในเวลา ใกลจะดับจิตนั้น ก็มิใช จะทําไดทันทีโดยมิมีความคุนเคยกับความรูสึกเชนนั้น มากอน ความคุนเคยกับความรูสึกอยางใดอยางหนึ่ง คือมีความรูสึกอยางใดอยางหนึ่ง เสมอๆ หรือบอยๆ เนืองๆ เชนการทองพุทโธไวในใจเสมอ นั่นคือความคุนเคยกับพุทโธ ความคุนเคยกับบุคคลใดที่เคยใหความเมตตาอุปการะชวยเหลือ จะทําใหใจนึกถึงบุคคลนั้น โดยอัตโนมัติเมื่อถึงคราวคับขัน ความคุนเคยกับความรูสึกอยางใดอยางหนึ่งก็เชนกัน อบรม ไวใหคุนเคยกับความรูสึกใด เชน คุนเคยกับอารมณมีพระพุทธโธ หรือคุนเคยกับการทองพุทโธ เมื่อถึงเวลาคับขัน ใจจะไมไปยึดมั่นเกาะเกี่ยวกับอะไรอื่นที่ไมคุนเคย แต จะไปเกาะอยูกับ ค�ำสอน๑หยิบมือ

9


พระพุทโธที่เปนยอมของสิริ มงคลทั้งปวง ยอมไดรับสิริมงคลนั้น อันจักนําใหพนพาลภัยใหญนอย ความคุนเคย กับสิ่งดีมีมงคลจึงเปนความสําคัญอยางยิ่งทุกคนผานชีวิตในอดีตชาติมาแลวเปนอัน มาก นับภพชาติไมถวน มีความคุนเคยกับเรื่องราวหรือ อารมณตางๆ มาแลวมากมาย คุนเคยกับเรื่องราวหรืออารมณ ใดมาก ใจยึดมั่นผูกพันของติดอยูกับเรื่องใดอารมณใดมา กมาแตอดีตชาติ ผลของความยึดมั่นผูกพันนั้นจะนํ ามาสูภพชาติปจจุบัน ดูภพชาติของตน ในปจจุบันก็พอจะเขาใจวาอดีตนั้ นตนผูกพันกับเรื่องใดอารมณใดมามาก ดีหรือวาไมดีผูที่มี ใจผูกพันอยูกับการเอื้อเฟอเผื่อแผ ทําทานการกุศลมามากในอดีตชาติ ก็จะรูไดจากปจจุบัน ชาติ คือปจจุบันชาติจะสมบูรณพูนสุขดวยทรัพยสินเงินทองผูที่มีใจผูกพันอยูกับการเอื้ออาทร ดู แลรักษา ใหขาวปลาอาหาร ยารักษาโรค และเงินทองเพื่อผูเจ็บไข ไดปวยมามากในอดีตชาติ ไมเบียดเบียนชีวิตรางกายผูอื่น สัตวอื่น ก็จะรูไดจากปจจุบันชาติ คือปจจุบันชาติจะอสมบูรณ แข็งแรง ไมเจ็บไขไดปวย มีพลานามัยดี อันนับเปนลาภอยางยิ่ง ผูที่มีใจผูกพันอยูกับการระวังรักษากาย วาจา ใจของตนใหสุภาพออนนอมตอผูควร ไดรับความออนนอมยกยอง ไมลวงเกินดูหมิ่น ผูกพันเชนนี้ มามากในอดีตชาติ ก็จะรูไดจาก ปจจุบันชาติ คือปจจุบันชาติ จะเปนผูอยูในตระกูลสูง อันผูอยู ในตระกูลสูงยอมเปนผู ไดรับ ความเคารพออนนอมยกยอง ไมถูกลวงเกินดู หมิ่น เปนไปเชนเดียวกับที่ตนเองได ปฏิบัติ ไวตอผูอื่นเปนอันมากในอดีตชาติผูที่มีใจผูกพันอยูกับการชวยประคับประคอง รักษาชี วิตผูอื่นสัตวอื่นมามากในอดีตชาติ ไมเบียดเบียนตัดรอนทําลายชีวิตอื่น ก็จะรูได จากปจจุ บันชาติ คือปจจุบันชาติจะเปนผูมีอายุยืนไมถูกตัดรอน เบียดเบียน ทําลายดวยเหตุใดทั้งสิ้น ไมใหตองเปนผูมีชีวิตนอย มีชีวิตสั้นผูที่มีใจผูกพันอยูกับการรักษากาย วาจา ใจอยูในศีลบริสุทธิ์ มามากในอดีตชาติ มีจิตใจผองใส ไมเศราหมอง ก็จะรูได จากปจจุบันชาติ คือปจจุบันชาติ จะเปนผูมีผิวพรรณงดงาม หนาตาผองใส เปนที่ เจริญตาเจริญใจผูพบเห็นทั้งหลาย ผูที่มีใจผูกพันอยูกับการปฏิบัติ ธรรมมามากในอดีตชาติ ก็จะรูไดจากปจจุบันชาติ คือ ปจจุบันชาติจะเปนผูมีปญญาเฉลียวฉลาด ศึกษาปฏิบัติธรรมเข าใจงาย เจริญดี ในธรรม ผูที่กําลังเสวยผลของกรรมดี ในอดีตชาติตางๆ กัน เชน ไดเกิดในตระกูลสูง หรือสมบูรณ บริบูรณดวยทรัพยสินเงินทอง หรือมีรางกายแข็งแรง ไมถูกเบียดเบียนดวยโรคภัยไข เจ็บ หรืออายุยืน หรือ

10

ค�ำสอน๑หยิบมือ


หนาตาผิวพรรณงามผองใส หรือมี สติปญญาเฉลียวฉลาด พึง นอมใจเชื่อวาเปนผลแหงกรรมดีที่ได ประกอบกระทําไวแลวเปนอันมากในอดีตชา ติแนนอน และแมปรารถนาจะเสวยผลดี แหงกรรมดีนั้นสืบตอไปในอนาคต ทั้งในอนาคต ของปจจุบันชาติและทั้งในอนาคตของภพเบื้องหนาที่พนจากภพชาติปจจุบันไปแลว ก็พึงตั้งใจ ประกอบกรรมดีอั นเปนเหตุดีตอไปใหมั่นคงสม�่ำเสมอผลของกรรมดีที่ได กระทํากันมาก ที่เปน ความคุนเคยกันมา แมจะสงวนรักษาไวใหสืบตอกันนานแสนนานตอไป ก็ตองพยายามหนี ผล ของกรรมไมดีที่ตองได กระทํามาแลวทุกคนในชาติซึ่งมากมาย นับภพชาติไมถวนและกรรมนั้นกําลังตามมา สมเด็จพระญาณสังวร

เรื่อง ศีล อิทํ สจฺจาภินิเวสทิฏฐิ จะเห็นความงมงายของตนว่าเป็นของจริงเที่ยงแท้ ผู้ไม่หลง ย่อมไม่ไปเที่ยวขอเที่ยวหา เพราะเข้าใจแล้วว่า ศีลก็อยู่ที่ตนนี้ จะรักษา โทษทั้งหลายก็ตนเป็นผู้รักษา ดังที่ว่า "เจตนาหํ ภิกฺขเว สีลํ วทามิ" เจตนา เป็นตัว ศีล เจตนา คืออะไร? เจตนานี้ต้องแปลงอีกจึงจะได้ความ ต้องเอาสระ เอ มาเป็น อิ เอา ต สะกดเข้าไป เรียกว่า จิตฺต คือจิตใจ คนเราถ้าจิตใจไม่มี ก็ไม่เรียกว่าคน มีแต่กาย จะส�ำเร็จการท�ำอะไรได้? ร่างกายกับจิตต้องอาศัยซึ่งกันและกัน เมื่อจิตใจไม่เป็นศีล กายก็ ประพฤติไปต่างๆ จึงกล่าวได้ว่าศีลมีตัวเดียว นอกนั้นเป็นแต่เรื่องโทษที่ควรละเว้น โทษ ๕ โทษ ๘ โทษ ๑๐ โทษ ๒๒๗ รักษาไม่ให้มีโทษต่างๆ ก็ส�ำเร็จเป็นศีลตัวเดียว รักษาผู้เดียวนั้นได้แล้ว มันก็ไม่มีโทษเท่านั้นเอง ก็จะเป็นปกติแนบเนียนไม่หวั่นไหว ไม่มีเรื่องหลงมาหาหลงขอ คนที่ หาขอต้องเป็นคนทุกข์ ไม่มีอะไรจึงเที่ยวหาขอ เดี๋ยวก็กล่าวยาจามิๆ ขอแล้วขอเล่าขอเท่าไร ยิ่งไม่มียิ่งอดอยากยากเข็ญ เราได้มาแล้วมีอยู่แล้วซึ่งกายกับจิต รูปกายก็เอามาแล้วจาก บิดามารดาของเรา จิตก็มีอยู่แล้ว ชื่อว่าของเรามีพร้อมบริบูรณ์แล้ว จะท�ำให้เป็นศีล

ค�ำสอน๑หยิบมือ

11


ก็ท�ำเสียไม่ต้องกล่าวว่าศีลมีอยู่ที่โน้นที่นี้ กาลนั้นจึงจะมีกาลนี้จึงจะมี ศีลมีอยู่ที่เรานี้แล้ว อกาลิโก รักษาได้ไม่มีกาล ได้ผลก็ไม่มีกาลเรื่องนี้ต้องมีหลักฐานพร้อมอีก เมื่อครั้งพุทธกาล นั้น พวกปัญจวัคคีย์ก็ดี พระยสและบิดามารดาภรรยาเก่าของท่านก็ดี ภัททวัคคีย์ชฏิลทั้ง บริวารก็ดี พระเจ้าพิมพิสาร และราชบริพาร ๑๒ นหุตก็ดี ฯลฯ ก่อนจะฟังพระธรรมเทศนา ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่ปรากฏว่าได้สมาทานศีลเสียก่อนจึงฟังเทศนา พระองค์เทศนาไปที เดียว ท�ำไมท่านเหล่านั้นจึงได้ส�ำเร็จมรรคผล ศีล สมาธิ ปัญญา ของท่านเหล่านั้นมาแต่ไหน ไม่ เห็นพระองค์ตรัสบอกให้ท่านเหล่านั้นของเอาศีล สมาธิ ปัญญา จากพระองค์ เมื่อได้ลิ้มรสธรรม เทศนาของพระองค์แล้ว ศีล สมาธิ ปัญญา ย่อมมีขึ้นในท่านเหล่านั้นเอง โดยไม่มีการขอและ ไม่มีการเอาให้ มัคคสามัคคี ไม่มีใครหยิบยกให้เข้ากัน จิตดวงเดียวเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็น ปัญญา ฉะนั้นเราไม่หลงศีล จึงจะเป็นวิญญูชนอันแท้จริง หลวงปู่หมั่น ภูริทัตโต

วัดจิตของตน เรามาประชุมนี้ ประชุมทั้งในทั้งนอก เขาถึงวัดแลวใหพากันวัดดูจิตของเรา มันอยูในวัดหรือนอก วัด วัดเพื่อเหตุใด นี่ หละเราอาศัยพุทธศาสนา ศาสนานี้ เปนเครื่อง แกทุกข และดับทุกข พระพุทธเจาทานบัญญัติศาสนาในพุทธบริษัททั้ง ๔ นี่ หละไม ไดบัญญัติในที่อื่นบริษัททั้ง ๔ คืออะไร ภิกษุ ภิกษุณี แตเวลานี้ภิกษุณีไมมีแลว มีแตภิกษุสามเณรอุบาสก อุบาสิกา สี่เหลานี่หละศาสนาจะเจริญไดก็อาศัยเหลานี้ ศาสนา จะเสื่อมก็อาศัยเหลานี้ เสื่อมเพราะเหตุใดเราไมประพฤติไมปฏิบัติเนื่องในคุณพระพุทธเจา เรา ไมมีความเคารพในคุณพระธรรมก็ไมเคารพ ในคุณพระอริยะสงฆ์ก็ไมเคารพในทานก็ไมมี ความ เคารพในศีลก็ ไมมีความเคารพในภาวนาก็ไมมีความเคารพในปฏิสันถารการตอนรับซึ่งกันและ กันก็ไมมีความเคารพ เมื่อเราไมมีความเคารพในเจ็ดสถานนี้จึงเปนเหตุใหศาสนาเสื่อมถา พวกเรายังมีความเคารพในเจ็ดสถานนี้ แลวศาสนาก็เจริญรุงเรืองขึ้นไป ทานบัญญัติ ศาสนาในพระไตรปฎกในพระอภิธรรมทานไม ไดบัญญัติอื่น เราทั้งหลายวา บางคนก็ ไมได เรียนบัญญัติ ใหรูจักบัญญัติ

12

ค�ำสอน๑หยิบมือ


ทานบัญญัติธรรมวินัย ทานวา ฉ ปญญัตติ โย ขันธปญญัตติ อายตนะปญญัตติ ธาตุปญญัตติ อินทริยปญญัตติ บุคคลปญญัตติ นี่ทานบัญญัติศาสนาไว อยางนี้ นี่ทานวางไว ใหพากันถึงรูถึงเขาใจ ขันธบัญญัติ คือทานบัญญัติในเบญจ ขันธ เคยอธิบายไปแลว คือบัญญัติในรูป บัญญัติในเวทนา สัญญา สังขารวิญญาณ เรา ก็นอมดูซิ รูปอยูไหนเลา คือนั่งอยูนี่หละ เรียกวารูปขันธ ที่บัญญัติตรงขันธ เพื่อเหตุ ใด เพื่อใหรูจักสิ่งเหลานี้ เปนอยูอยางไร มันเปนสุขหรือเปนทุกข มันดี หรือมันชั่ว เวทนาขันธ เลาทุกขเวทนา สุขเวทนาอุเบกขาเวทนา เราก็ ลองดูซิ ตรงนี้ แหละทานบัญญัติ สัญญาขันธ ความสําคัญมั่นหมายความจําโนนจํานี่ ทานบัญญัติไว ตรงนี้ สังขารขันธ ความปรุงความแตง ดูซี่ เวลานี้เราปรุงเปนกุศลหรืออกุศล ใหพึงรู พึงเห็น ไมใชวาฟาอากาศปรุงเปนกุศล อกุศลเราจะรูยังไงเลา รวมเปนสั้น ๆ แลวคือใจ เราดี มีความสุขความสบาย เย็นอกเย็นใจ นี่เรียกวากุศลธรรม นําความสุขความสบายเย็นอก เย็นใจ นี่เรียกวากุศลธรรม นําความสุขความเจริญมาให ในปจจุบันและเบื้องหนา อกุศลธรรม จิตไมดี จิตทุกขยากวุนวายเดือดรอน ธรรมนี้น�ำสัตวทั้งหลายตกทุกขไดยากใหฉิบหายในปจจุบันและเบื้องหนานี่เปนอยางนี้ วิญญาณขันธ เลา วิญญาณนี้ เปนผูรู และจะได ไปปฏิสนธิ ในสิ่งที่ เราไดปรุงแตงไวนี่ หละ กรรมเหลานี้นําไปตกแตง ไมมีใครตกแตงใหเรา ธรรมนํามาเอง ธรรมมันอยูตรงนี้ จะเรียน ธรรมจะรูธรรมใหมาดูตรงนี้ มาดูรูปดู เวทนา ดูสัญญาดูสังขาร ดูวิญญาณนี้ ใหพิจารณา รูปนั้นละเพราะเหตุใด ทานวามันหลงรูป รูปนี้มีอะไรจึงพากันหลงหนักหนา พระพุทธเจา จึงได วางไวใหพิจารณารูปนี้ หละ อายตนปญญัตติ นั่นเปนบอเกิดแหงดี และชั่ว อายตนะ ภายใน ภายนอก อายตนะภายใน ได แก ตา หู จมูกลิ้น กาย ของเรา ภายนอกไดแก รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ สิ่งเหลานี้ ก็อยูในรูปนี่หละธาตุปญญั ตติ บัญญัติ ธาตุ ธาตุดิน ธาตุน�้ำ ธาตุลม ธาตุไฟมาประชุมกันเขาเรียกวา ตัวตน สัตว์ บุคคล เรา เขา เมื่อ เปนเชนนี้ เราตองมาพิจารณาในรูปนี้ ตั้งสติ เพงดูรูปอันนี้ดูเพราะเหตุใด เพื่อไมใหหลง เมื่อเราเห็นแลวไมหลงรูปอันนี้จึงวา รูจัก นะ รูจักโม หัวใจตัวเรามันจึงรักษาได แต เวลา นี้ เราไมรูจัก นะ รูจัก โม นะโม คือความนอมนึก นะ คือความนอม เรานอมอะไร อันนั้นคือ ดินและน�้ำอธิบายเรื่องนะ แลวมันไมใชตัว ไมใชตน ไมใชสัตว ไมใชบุคคล ไมใชเราไมใชเขานะ นั่นนะ แปลวาไมใช ค�ำสอน๑หยิบมือ

13


ปตตัง น�้ำดี ดูซี่น�้ำดี อยูที่ไหนละ มันเปนคนหรือเปนผูหญิงผูชาย เรียกวา น�้ำดี เสมหัง น�้ำเสลดเลานี่เปนคนหรือเปนอะไร อยูที่ไหนละ ปุพโพ น�้ำเหลือง นี่ เปนบุคคลหรืออะไร โลหิตัง น�้ำเลือด เลือดละมันเปนคนหรือเปนอะไร มันเปนผูหญิงหรือ เปนผูชายเสโท น�้ำเหงื่อนี่ละ เมโท น�้ำมันขน อัสสุ น�้ำตา วสา น�้ำมันเหลว เขโฬ น�้ำลาย สิ ง ฆานิ กา น�้ำมูก ลสิ กา น�้ำไขขอ มุตตัง น�้ำมูตร สิ่งเหลานี้ เปนคนหรืออะไร เปนของเอาหรือ ของทิ้ง นี่ หละจึงเรี ยกวา นะ แปลวาไม ใช คน เปนขอทิ้งทั้งหมด หรือใคร เก็บไว สิ่งเหลานี้ อยูที่ไหนละ นี่ หละ ใหพากันพิจารณา มันจึงจะละซึ่งกามารมณ ได รูปารมณ ได ถาเรามา เห็นอยางนี้ แลว ให พากันเพงเล็งดู สิ่งเหลานี้ใหมันรูมันเห็น หมดสงสัย สิ่งเหลานี้ ไม่ ได อยูที่อื่น อยูที่ตัวของเรา เรามาถืออันนี้ หละมาเปนตัวเปนตน เมื่อไดอธิบายใหฟงอยางนี้แลวใหเขานั่งเพงดูเอาเขาที่นั่งเพงดู ใหมัน รูมันเห็นอธิบายใหฟงแลวทานเทศนมามากแลวสมเด็จฯ ทานก็เทศนอยูวันยังค�่ำคืน ยังรุงอาตมานะเปนคนปา เทศนไมดี ไมไดเรียนมาก เรื่องบัญญัติเหลานี้ เอาลงมือ ทําถาไมทําก็ไมเห็น เอานั่งใหสบายสบายนี่หละ ใหรูจักชั้นศาสนา แกนศาสนา ทานบัญญัติ ไวตรงนี้ทานไมไดบัญญัติที่อื่นที่เราทานทั้งหลายไดมาที่นี้ในวันนี้ก็คือสมเด็จฯ ทานหวง ประเทศชาติ ของเราทานก็แผกุศลถวายมหาบพิตร พวกเราทั้งหลายก็ตองการให ประเทศ ของเราอยู เย็นเปนสุขใหประเทศของเรายั่งยืนถาวร และความเจริญในปจจุบันและ เบื้องหนา นี่เราตองเพงดูซี่ ประเทศชาติก็เกิดจากตัวของพวกเรานี้ ศาสนาจะ เสื่อมเปนยังไงศาสนาเจริญเปนยั งไง ศาสนาจะเจริญไดคือเรามาทํากันยังงี้ หละ เขา ถึงคุณพระพุทธ เขาถึงคุณพระธรรมเขาถึงคุณพระสงฆเขาถึงคุณพระพุทธเจา คือเขาถึง พุทธะ คือความรูนี้หละ เราวางกายใหสบายแลวเราระลึกถึงความรูของเราถาเราไมรูจักที่ อยูพุทธะ คือความรูก็ดูวามันรูตรงไหนละในเบื้องตนใหนึกถึงคําบริกรรมเสียกอนผูที่เคยแลวก็ ดีผูที่ยังไม เคยก็ดี ใหระลึกวาพระพุทธเจาอยูในใจ พระธรรมอยูในใจ พระอริยสงฆ สาวกอยู ในใจ เชื่อมั่นอยางนั้นแลวจึงระลึกคําบริกรรมภาวนาวา พุทโธ ธัมโม สังโฆ สามหนแลว รวม เอาแตพุทโธ พุทโธ คําเดียว หลับตางับปากเสีย ลิ้นก็ไม กระดุ กกระดิก ให ระลึกอยู ในใจ รูวา พุทโธความรูสึกอยูตรงไหน แลวตั้งสติ ไวตรงนั้นตาเราก็ เพงดู ตรงนั้น หูก็ลงไปฟงที่ รูสึกอยูนั้น นี่ แหละเราจะรูจั กวาศาสนามันเสื่อม ศาสนามันเจริญ ศาสนามันเสื่อม

14

ค�ำสอน๑หยิบมือ


คือจิตของเราไมได เจริญอิทธิบาทและไม เจริญใน ศีล สมาธิ ปญญา ซึ่งเปนหลักพุทธศาสนา นี่ เรื่องมันเปนยังงี้ ศีลนี้ เปน หลักพุทธศาสนา เราดูซี่ ศีลคืออะไร ในบาลีทานวาอาทิกัลยาณัง มัชเฌกัลยาณัง ปริ โยสานกัลยาณัง กัลยา คือความงาม งามในเบื้องตน งามทามกลาง งามในที่สุด งามเบื้อง ตนคืออะไรละ เปนผูมีศีล อะไรเปนศีลละ ทานบอกวาสํารวมกาย วาจาใจให เรียบรอย ดูชี่ กาย เราเรียบรอย วาจาเราเรียบรอย ใจเราเรียบรอย ไมไดทําโทษนอยใหญ ทางกายทางใจ แลวนี่จึงได เปนผูมีศีล ศีลแปลวาความปกติ กายปกติใจ เดี๋ยวนี้ ใจเรามันปกติ หรือยัง มันปกติ มันเปนยังไง มันก็ไมพิกลพิการ มันไม ทะเยอทะยาน กายของเราปกติ มันก็ ไมพิกลพิการ ใหพิจารณาดูซี่ ทําจิตเปนปกติ สิลาเหมือนกับกอนหิน เหมือนกะหินลมพัดมาทุกทิศทั้งสี่มัน ก็ไมหวั่นไหว ตอนนี้เราก็ทําใจเหมือนกับกอนหิน ใครจะวายังไงก็ตามดีชั่วไม เปนเหมือนเขาวา ใหดูซี เมื่อเราไมดี แลวเขาจะวาดี มันก็ไมดีดังกับเขาวา มันดีแลวเขาวาไมดี มันก็ไมเปนเหมือ นเขาวา เราก็ดูซี่ ใหมันเห็นซี่ นี่หละจิตเราเปนศีลเราก็รูจัก คืออธิบายมาแลวนั่น ใหพากันพึง รู พึงเขาใจ ทีนี้ สมาธิ งามทามกลางคือ สมาธิ เราก็ตั้งจิตตั้ งมั่น ทีนี้จิตเราตั้งหรือไมตั้งมัน เอนเอียงไปทางไหน มันของตรงไหน มันคาตรงไหนเราได แตวา สมาธิคือจิตตั้งมั่น ลอง ตั้งดูซี่ มันตั้งหรือไมตั้ง มันตั้งนั้นเปนยังไงละ มันก็ไม เอนเอียงไปหาความรักความชัง ไมหลงในรูป ในเสียง กลิ่น รส สัมผัส อารมณทั้งหลายตางๆ เมื่อมันตั้ง สิ่งใดเกิดขึ้น เรา ก็ดับ นี่มันจึงเขาถึงสมาธิจิตตั้งมั่น เมื่อจิตสงบตั้งมั่นแลว มันก็ใส นี่หละ สมถะกรรมฐาน ใหรูจักสมถะ คือทําจิตใหสงบภายในเมื่อจิตเราสงบภายในแลว อุปมาเหมือนน�้ำสงบ น�้ำสงบ มันก็ ใส ใสแลวก็ มองเห็นเหตุ มองเห็นผล มองเห็นบุญกุศล มองเห็นสุข มองเห็นทุกข มอง เห็นดี มองเห็นชั่ว มันสงบแลว อันนี้จิตของเราสงบแลวพอมันจะออกขางซาย หรือจะออก ขางขวา ขางหนา ขางหลัง ขางบน ขางลาง เราก็รู จึงวามันตั้ง นี่ เพงเล็งตั้งสติอยู ตรงนี้ นี่ หละใหพึงรูพึงเขาใจตอไปการที่ทําสมาธิ อันนี้ เมื่อจิตของเราเห็นแลวอยางนี้ เห็นสิ่งที่ เกิด ขึ้นในสังขารทั้งหลาย และมันจะได เกิด ปญญา ความรอบรู ในกองสังขาร ใครเปนผูปรุงใคร เปนผูแตงไมใชอันอื่นปรุงแตงกายสังขาร จิตสังขารนี่หละ ปรุงแตงขึ้นจากจิตของเรานี่หละ มัน จึงได เกิดเปน วิปสสนา ขั้นตอไปของสมถะ

ค�ำสอน๑หยิบมือ

15


วิปสสนา คือเมื่อจิตเราสงบแลวก็ เห็น ที่ เกิดแหงสังขาร โอเกิดจากจิตของเรา เราก็ดับสังขารที่จิตของ เรา ก็ดับได เพราะเหตุ ใด เราเห็นโทษแหงสังขาร เห็นภัยแหงสังขารทั้งหลาย เห็นทุกข แหงสังขารทั้งหลาย นี่มันจะดับไดก็ ตรงนี้ เมื่อเปนทุกข เห็นโทษแลวมันก็ ตัด จึงเรียกวาเปนวิปสสนา ความรู แจงเห็นจริง เห็นสัจจะธรรม สัจจะ ของจริงคืออะไร เลา เมื่อมีสังขารความปรุงความแตงขึ้นแลวมันก็ เกิด มันหลง เมื่อมันหลงทานจึงวาอวิชชา ปจจยา สังขารา สังขารปจจยา วิญญาณัง มันเปนยังงี้หนา เมื่ออวิชชาความหลงมี แลว มัน เปนปจจัยให เกิดสังขาร สังขารมี แลวก็ เปนปจจัยให เกิดวิญญาณ เปนยังงี้ วิญญาณมี แลวก็ เปนปจจัยให เกิดนามรูป รูปมี แลวก็เปนปจจัยให เกิดอายตนะ อายตนะมีแลวก็ เปนปจจัยให เกิดผัสสะความกระทบถูกตอง เมื่อผัสสะมี แล้วก็ เปนปจจัยให เกิดเวทนา เมื่อเวทนามี แลวก็ เปนปจจัยให เกิด มรณะมีแลวก็ เปนปจจัยให เกิดทุกขนี่ พระพุทธเจาจึงให พิจารณาใน ปฏิจจสมุปบาท เปนเครื่องของอยูเหตุนั้นทานจึงวาทุกข ควรกําหนด ควรพิจารณา ไปลง สมุทัย เราทั้งหลายก็รูจักเรื่องสมุทัย สัตวทั้งหลายจมอยูในมหาสมุทร เปนเหยื่อปลาทั้งหมด เรื่องเปนอยางนั้น ปาโป ปาปง จมในมหาสมุทร คือหลงสมมตินี่ พระพุทธเจาทานคนแลววา ทุกขมันมาจากไหน ทานคนทวนกระแส แนะที แรกทานพิจารณาวาทุกขมันมาจากไหน อะไร เปนเหตุปจจัยมา มาจากความเจ็บไข ได พยาธิ อาพาธโรคา สิ่งเหลานี้มันมาจากไหน พยาธิทั้ง หลายเหลานั้นมาจากชรา ความเฒาแก ความชํารุดทรุดโทรม อันนี้ ความชํารุดทรุดโทรมมา จากไหนเลามาจากชาติ คือความเกิด เกิดมาจากไหน มันมาจากภพ ภพคือเขาไปตั้งภพนั้นมัน มาจากไหนเลา เออ ทานพิจารณา มาจากอุปาทานการยึดถือ ถาเรายึดถือ ที่ไหน เราก็ไปตั้ง ภพที่นั่น ใหดูซี่ ภพของเรานอย ๆ ใหญ ๆ ภพมาจากอุปาทาน อุปาทาน มาจากไหนเลา มาจากตัณหาความทะเยอทะยานตัณหานั้นมาจากไหน มาจากเวทนา มัน มีทุกขเวทนา สุขเวทนา เวทนาเหลานี้มาจากไหนเลามาจากผัสสะความกระทบถูกตอง ผัสสะมาจากไหนเลา มาจากอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเหลานี้ อายตนะมาจากไหน เลา มาจาก รูป รูปนั้นอะไรเปนเหตุปจจัยมา มาจากวิญญาณ ปฏิสนธิวิญญาณ วิญญาณ นั้นมาจากไหนเลา มาจากสังขาร ความปรุงแต่ง สังขารมาจากไหนเลามาจากอวิชชา นี่ทานคนมาจบตรงนี้ จึงวา อวิชชาปจจยาสังขารา เราตองเรียนไปถึงอวิชชา ใครๆ

16

ค�ำสอน๑หยิบมือ


ก็ไปหลงแต อวิชชา เราไมได โอปะนะยิโก ใครมันเปนผูรูวาอวิชชา เราไมได ระลึกถึงมันมีผูรู อยูจึงรูวาอวิชชา ตองทําใหมันแจงจริงในตัวของเรานี่ แหละเปนขอปฏิบัติ เพราะฉะนั้นให พากัน พึงรูพึงเขาใจ อยาหลง เรานั่งอยูเดี๋ยวนี้ เราหลงอะไร นี่หละ ใหรูจักพุทธศาสนา ศาสนา จะเจริญขึ้นก็ อาศัยเราประพฤติ ปฏิบัติ เรากระทําอยางนี้มันก็ เจริญได เมื่อเราไมประพฤติ ไม ปฏิบัติศาสนาก็ เสื่อม เรื่องเปนอยางนั้นไมได เสื่อมจากไหน เสื่อมจากตัวบุคคล คือคนไม ประพฤติ คนไมกระทํา เดี๋ยวนี้ บางคนวาพระอรหัตต อรหันตก็ ไมมีพระโสดา สกิทาคา อ นาคาก็ ไมมี จะมีไดยังไง ของคนไมกระทํา ของคนไมปฏิบัติ ของคนไม ไดขัดไดเกลาและ ของเราไมไดประพฤติ ไมไดดู แนะเรื่องมันเปนยังงี้เมื่อเราไดยินไดฟงแลว โอปะนะยิโก ดูซี่ วาพระโสดาอยูที่ไหน ตําราทานบอกไว สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส เเนะ ก็เทานี้ ผูอื่นนี้เมื่อใครรูอันนี้แลวคนนั้นและเขามรรคในเบื้องตน จะไดเปนพระโสดา สักกายทิฐิ เดี๋ยวนี้ เรามาถือตัวตน เมื่อเราพิจารณาดังอธิบายมาในเบื้องตน มันไม เปนตัวเปนตนแลว มันก็ ละทิฐิ ละมานะอหังการความเมามัว ถือวาเปนตัวเปนตน เมื่อไมถือ จิตมันก็ ละก็ วาง วิจิกิจฉา สงสัย วาจะดี ยังโงนยังงี้เราก็เห็นแลวขี้มูกของเรา น�้ำลาย เลือดของเรา ดังที่ อธิบายมานั่น จะสงสัย อะไรอีกละ มันดี หรือมันชั่วละ อธิบายมาแลว ดูซี่ เพงดูซี่ โลหิตัง แปลวาน�้ำเลือด เพงดูซิ กสิณ กสิณแปลวาความเพง เลือดสีแดง เพงดูซี่ เลือดของคน ของตนและของบุคคลอื่น มันเปนยังไง เพงดู มันจะละได หรือไม ได เมื่อเห็นเลือดเปนยังงั้นแลวใครจะเอาละ ใคร ตองการละ เอา ดูซี่ เลือดของเรา เพงกสิณซี่ เปนอสุภะ กสิณ เพงใหมันเห็น เห็นแลวจิต ของเราจะไมมี ความสงสัย มันจะถอนสักกายทิฐิได มันจะไมเปนสีลัพพตความลูบคลํา วาศีล สมาธิ ปญญา อยูที่อื่นที่ไกลมันประจําใจของเรา อยูสุขทุกขทั้งหลายนี่ พุทธศาสนา ใหพากันรูจักหากภิกษุ สามเณรบวชเขามาแลวก็ เลาเรียนศึกษา สํารวมสิกขาวินัยของตน เรียบรอย รูจักแลวศีลของเราก็ ๒๒๗ เณรก็ศีล ๑๐ ขอ งดเวนเราสํารวจอยางนี้ ศาสนามัน ก็เจริญรุงเรือง เดี๋ยวนี้มันไม เปนอยางนั้นซี่ ศาสนามันเลยเสื่อมเสีย คนทั้งหลายจึงดู หมิ่น ศาสนา ดูถูกศาสนา เพราะเราไมมีศีล ไมมี สมาธิ ไมมีปญญา มีแตศีรษะโลนกับผาเหลือง ว าเปนพระเทานั้นขอวัตรขอปฏิบัติเปนยังไงดูซิ ทานหามอะไรเราทั้งหลายก็ได บวช แลวไดศึกษามาแลวพระพุทธเจาทานได สอนไวทุกสิ่งทุกอยาง ศีล ๒๒๗ ใหงดเวน ทาน สอนไวนุงหมทานก็สอน นั่งนอน ทานก็สอน เดินยืนทานก็สอน ถายอุจจาระ ปสสาวะ ค�ำสอน๑หยิบมือ

17


บวนเขฬะทานก็สอน พระพุทธเจา จนคําขาวทานก็สอน เอาขาวเขาปากทานก็สอน นี่ ความละเอียดของ ทาน ตองการความสวยความงาม ความสํารวมระวัง นี่เปนอยางนี้ ทีนี้อุบาสกอุ บาสิ กาก็ดี ทานก็สอนใหถึงพระไตรสรณาคมน คือเอาพระพุทธเจา พระธรรม พระ สงฆ เปนสรณะที่พึ่ง ที่ระลึก ที่กราบที่ไหว ไม เอาสิ่งอื่นเปนสรณะได จึงวานัตถิ เม สะ ระณัง อัญญัง ที่พึ่งอื่นของขาพเจาไมมี นอกจากพระพุทธเจาแลว เปนยังงั้นหรอก ถาเราไมถือ ยังงั้นแลว พระไตรสรณาคมน ของเราก็เศราหมอง เจาของเปนบาป ขาดจากพระพุทธศาสนา เหตุนั้นใหพึงรู พึงเขาใจตอไป ผูปฏิบัติศาสนาอุบาสกอุบาสิ กาทั้งหลาย ทานไมตองหามื้อ หาวันหาฤกษ ยาม ทําการทํางานตองหามื้อหาวัน ไมใชวันนั้นไมดี วันนี้ ไมดี วันมันไมไดทํา อะไรแกคน วันดีทําไมคนตายละวันไมดีทําไมคนยังเกิดในเจ็ดวัน อาทิตย จันทร อังคาร พุธ พฤหัสฯศุกร เสาร นี้ ทําไมมันมี เทานี้ คือสมมุติวาเราจะทําการงานสิ่งใดพรอมเพรียงกันหรือ ยังเขาหาวันพรอมเพรียงกัน จะเอาวันไหนเวลาไหน นัดกันพรอมเพรียงกัน ถาพรอมกันแลวละ วันนั้นนั่นแหละดี ใหหาวันอยางนี้ ถาวันใดยังไมได พรอมกันอยาเห่อทําจะแตงงาน แตงการกันหรือจะปลูกบานปลูกชองตึกรานอาคารก็ ตามใหรูไว คือวันไหนมัน พรอมกัน แลวเรียบรอยแลวทําได ขึ้นได ถายังไมพรอมแลวมันขัดของ เรียกวาวันไมดี เขาหาวันอยาง นี้ หรอกใหเขาใจซิ อธิบายยอ ๆ ใหฟงนี่แหละใหละเวนเหลานี้ แลวดูวาดวงดี ดวงไมดี คน โกหกหลอกลวงกันใหวุนวายเดือดรอนในพระพุทธศาสนาดวงก็ดู ซี่ มันไมได มาจากฟาอา กาศใหดูดวงดี แลวเดี๋ยวนี้ ดวงดีมันเปนยังไง ดวงดี รวมมาสั้น ๆ คือใจเราดี มีความสุขความ สบาย เมื่อใจเราสุข ใจเราสบายแลว ทําอะไร ๆ มันก็สบาย การงานมันก็สบาย ประเทศชาติ มันก็สบาย นี่ เรียกวาดวงดี ดวงไมดีคือใจเราไมดี ใจเราทุกขยากวุนวายเดือดรอนนี่ หละดวง ไมดี ทําอะไรมันก็ไมดี หาอะไรมันก็ไมดี ดูเอาตรงนี้ จะใหใครดู ใหดูเอาซิทุกคน ที่มานั่งอยูนี่ ทั้งพระทั้งเณร ทั้งอุบาสกอุบาสิ กาทั้งหลายดวงดี ตรงนี้ อยาไปพิจารณาอื่น แลวอยาเขารีต พวกเดียรถีย นิครนถ คนนอกศาสนาเหลานั้น เขาไปถืออยางนั้นแลวขาดจากพุทธศาสนา นี่ หละผู จะปฏิบัติศาสนาตองถือยังงี้ แลวอุบาสกอุบาสิ กาใหรักษาศีลหา อยาไปฆาควายวัว อยาเอาแตวาศีลรับกับพระศีลอยูกับพระ พระวาศีลอยูกับพระพุทธเจา แนะ ศาสนาก็อยูกับ พระพุทธเจา ไมนึกวาเปนของของเรา เมื่อเราไมนึกวาเปนของของเราแลว เราก็ทอถอย นอยใจของเรา ถาวาของเรานี้ เปนของเราแลว เราก็เอาใจใส จะไปรับกับใครเลา ศีล นี่จะอธิบาย ตัวศีลหาได มาพรอมตั้งแต เราเกิดมา ขาทั้งสอง แขนทั้งสอง

18

ค�ำสอน๑หยิบมือ


ศีรษะหนึ่ง นี่ เปนหา อันนี้ตัวศีลหา แลวอยาเอาหาขอนี้ไปทําโทษหา โทษหาคืออะไรปาณาฯ นั่นก็โทษ อทินนาฯ นั่นก็ โทษ กาเมฯ นั่นก็โทษ มุสาฯ นั่นก็โทษ สุราฯ นั่นก็โทษ แนะ เปน โทษทั้ งหมด ที่เรายุงยากทุกวันนี้ก็เพราะถาอยางนี้ กลัวคนมาฆา กลัวขโมย กลัวคน ประพฤติผิดในกาม กลัวคนมุสา ฉอโกงหลอกลวง กลัวคนมันเมาสุราสาโทกัญชายาฝน นี่แหละเปนโทษถาเราละเวนเหลานี้แลวทานวา สี เลนะ สุ คะติง ยันติ มีความสุข สี เลนะ โภคะสัมปะทา มีโภคสมบัตินี่นะใหพากันเขาใจ ให้ละเวนโทษทั้งหลายหาอยางนี้ เมื่อเรารับ หรือไมรับอยูไหน ๆ ก็เปนศีล อยูในรถเปนศีล อยูในปาในดง ในบานในเมือง ถนนหนทาง ถา เราไม ไดทําโทษหาอยางนี้ แลวมันก็ เปนศีล อันนี้เรา มาวากะพระ มารับกะพระวาไม ไดรับ กับพระแลวไม ใชศีล อันนั้นใชไม่ได เราก็รูแลวรับกับพระวา ปาณาติ ปาตา เวรมณี ยุงมา กัดตบปบอยูนี่วันยังค�่ำจะเปนศีลเรอะ มันเปนศีลไมไดซี่ ตอไปใหรูจักซี่ อทิ นาทานา เห็น ของเขาก็ ขโมยเสีย วาสันยังค�่ำก็ไมเปนศีลเราพึงละเวนหาอยางนี้หละ ใหพากันรูจักนี่อธิบาย ทั้งนอกทั้งใน เอา นอมเขาไปเวลานี้สิ่งเหลานี้ มาจากไหนให พากันงดเวน ใหรูจัก เอา ตอ นี้ ไปใหตั้งจิตดู เพงดูเดี๋ยวนี้ โทษทั้งหลายอยูที่ไหน สุขอยูที่ไหนทุกข อยูที่ไหน ใหพากันพึง รูพึงเขาใจ ประเทศของเรามันยุงยากตรงไหน เหมือนกับเราท�ำถนนหนทางนะหละ มันขัดของ ตรงไหน เราก็ แกไข อันนี้จิตใจของเรา มันของตรงไหน มันคาตรงไหน เราก็ แกไข ไมใช จะ มานั่งหลับตา เจ็บบั้นเอวเสียเปลา เรามานั่งดู ของเรา เวลานี้ เรามาอยูในชั้นใด ภูมิอันใด นี่ ใหรูจักจิตของเรา เปนกุศลหรืออกุศลใหรูจัก จิตของเราสงบหรือไม สงบจิตของเราดี หรือไมดี ใหรูจักนี่หละ กามาวะจะรัง กุสะลัง จิตตัง ใหรูจักจิตของเรา อุปปนนัง โหติ มันอุบัติขึ้นจาก จนของตนนี้ เอา ตอไปนี้ตางคนตาง โอปะนะยิ โก นอมเข ามาดูนะ นี่ หละ พิจารณาเพงดู หัวใจของเรา เราของอะไรอยู จิตของเราเปนยังไง จิตของเราดี มันเปนยังไง จิตของเราดี มัน เปนยังงี้ จิตมันสงบดี มีความสุข ความสบาย เย็นอกเย็นใจ ไมทุกข ไมรอน ไมวุนไมวาย พุทโธ ใจเบิกบาน สบาย นี่หละ จิตดี นําความสุขความเจริญใหในปจจุบันและเบื้องหนา เรา มานี้ก็ตองการความสุขความสบาย ตองการความสุขความเจริญ ถาจิตของเราเปนยังงี้ แลวเรา ก็ สันทิฏฐิโก รูเอง เห็นเอง ถาจิตไมดี แลวเปนยังไง คือจิตไมสงบ จิตไมดี ทะเยอทะยาน ดิ้นรนจิตไมดี แลว ทุกข ยากเดือดรอนวุนวายลําบากใหหนักใหหนวงใหงวงใหเหงา ใหมืด ใหมัว จิตอยางนี้นําสัตวทั้งหลายใหตกทุกขไดยากในปจจุบันและเบื้องหนา เมื่อจิตเปน ค�ำสอน๑หยิบมือ

19


เชนนี้แลว ประเทศชาติ ของเราก็วุนวาย ไมใชอื่นเปน ไมใชอื่นวุนวาย ดวงใจของเรานี่วุนวาย เอา วัดดูซี่ จะกวางขวางอะไร สามี ภรรยารักกัน บุตรบิดามารดาญาติพี่นองรักกัน ถาจิต ไมดีแลวมันก็ เกิดทะเลาะกัน ถาจิตดีแลวมันไมทะเลาะกัน หรือวาไง ลองเพงดูซี่จริง หรือไม จริงละ ดูซี่ อยากร�่ำอยากรวยอยากสวยอยากงาม ทําไมมันไมเปน บางคนอยาก รวย ทําไมมันไมรวย ทําไมเงินเดือนมันไมขึ้น ทําไมยศมันไมเลื่อน เพราะเหตุใด ดูซี่มันไมขึ้น เพราะจิตเราไมดี เราไมไดสรางคุณงามความดี ไวสําหรับปจจุบันและเบื้องหนา จิตไมดีก็ ทุกขยากลําบากอดอยาก จิตดวงนี้นําให เราไดทุกข ไดยาก ทําอะไรมันไมขึ้น ทําอะไรมัน ไมรวย มันรวยเปนยังไง จิตดีมี ความสุขความสบาย จิตดวงนี้น�ำความสุขความเจริญให ในปจจุบันและเบื้องหนา เอา ตอนี้ไปจะไม อธิบายแลวเมื่ออธิบายอยูยังงี้มันก็ไมมีที่สิ้นสุด สรุปหัวขอแลวก็รวมลงที่กายและใจนี้ เอาเพงดูอธิบายดีชั่วทั้งภายนอกภายในใหรูแลว ตอ ไปนี้ โอปนยิ โก จริง ๆ หรือไมจริง ใหพากันเพงดูมันของตรงไหน คาตรงไหน ไมสู ตรงไหน ใหพากันเพงดูอยู ตรงนั้น อยาสงไปหนา มาหลัง ขางซาย ขางขวา ขางบน ขางลาง ใหตั้งจํา เพาะทามกลางอันที่รูอยูนั้นนี่หละ มันเปนยังไงเราคอยแกไขตรงนั้น เราคอยชําระตรง นั้น นี่ จึงวาเล็งดูไมไดดูที่อื่น ดูจิตของเรา ดูภพของเรา ดูที่พึ่งของเรา นี่หละ ใหดู ใหรูจัก ที่ นั่งดีหรือไมดีตองรูจักตรงนี้ สันทิ ฏฐิ โก ผูปฏิบัติรูเองเห็นเองถาเราไมรู คนอื่นจะบอกมันก็ ไมรู นี่ขอปฏิบัติเปนยังงี้ ตอไปไดยินเสียงอะไรก็ตาม ใหสัญญาไววาสิ่งนั้นไมมีอันตรายแลว เราไมตองเดือดรอน ทําจิตของเราจะไมอธิบายตอไป จะสงบละ ตางคนตางสงบ วางใหสบาย เราอยากไดความสุขความสบาย จะไดเปนบุญวาสนาของเรา จะไดเปนนิสัยของเรา มันพน ทุกข เราทั้งหลายอยากพนทุกข ก็ดูซี่ มันพนทุกข ก็คือจิตของเราไมทุกข จิตเราไมทุกข มันก็พนทุกขมันไม ไดพนตรงฟาอากาศ ดูเอามันยังทุกขอยู มันก็ยังไมพนทุกข นี่แหละ เราทําบุญกุศล เรียกวาปฏิบัติบูชา บูชาอยางเลิศอยางประเสริฐแท เขาถึงธรรม ถึงวินัย ถึง พระพุทธศาสนา ถึงชั้ นศาสนา เมื่อทํายังงี้ ไมถึงยังไงเลาไดบอกแลวในเบื้องตนทานบัญญัติ ลงทีนี่ กายกับใจเทานี้ เอา เพงดูทานมาทําบุญทํากุศลไดสองสามวันมานี้ แลวเปนยังไงจิตของ เราทํามาระยะนี้ ตอไปให พากันรูจักความสงบของประเทศชาติ และความสุขความเจริญของ พวกเราใน

20

ค�ำสอน๑หยิบมือ


ปจจุบันและเบื้องหนา และที่อยู ของเรา ในปจจุบันและเบื้องหนา นี่หละ พากันนั่งดู ดูแลวเปนอยางไรละ ที่พึ่ง ของเรา ที่อยูของเรา ใหมันรูจักไวพุทโธเปนที่พึ่งของเรา พุทโธเปนผูเบิกบานสวาง ไสวแลว มนุษยทั้งหลายเปนเพื่อนเกิด แก เจ็บ ตาย ดวยกันทั้งนั้น ตางตองการความสุข ความเจริญและความพนทุกข ที่เราทานทั้งหลายมานี้ก็ตองการความสุขและความสบายนั่ง ดูแลวมันสุขไหม มันสบายไหม นี่แหละใหพึงรูถึงเขาใจเมื่อจิตของเรามี ความสุขแลว การงานของเราทั้งหลายมันก็ สบายไปหมด ตลอดประเทศชาติ เทวบุตรเทวธิดา พระอินทร พระพรหม ดินฟาอากาศก็ตองรักษามนุษยทั้งหลายทานไดบอกไวแลวธัมโม หะเว รักขะติ ธัมมะจาริง สัตวอาศัยซึ่งธรรม ธรรมอาศัยซึ่งสัตว ถาสัตวปฏิบัติธรรมดี ธรรมก็นํ าความดีให แกพวกเราถาเราปฏิบัติดี ประพฤติดี ธรรมก็นําคุณงามความดีให นําความสุขความเจริญให ถาเราปฏิบัติไมดีทําไมดี ธรรมก็นําไมดี ให ในปจจุบันและเบื้องหนานี่หละ บุญกุศลที่เรา ไดทําอยางนี้ เรียกปฏิปตติบูชา บูชาอยางเลิศอยางประเสริฐแทตอไปใหพากันนั่งทุกวัน เขาวัด ทุกวัน ประพฤติทุกวัน อธิบายใหฟงแลว มันขัดของตรงไหนไมดี ตรงไหน ตองแก ไขตรงนั้นบาง คนวาใจไม อยูมันไปไหนจึงวาไมอยู แทที่จริงใจเราอยูตั้งแต เกิดมา ที่วาใจไม อยูนั้น ตองหลง จากอวิชชา มันหลงเราตองนั่งดู ความไมอยูนี่ แหละมันไปกอภพไหนละ ภะเว ภะวา สัมภะวันติ มันเที่ยวกอภพนอย ๆ ใหญ ๆ อยูนั่น เราตองนั่ งดูภพนั้นเปนกุศลหรืออกุศลกุศลคือความสุข ความสบายอกสบายใจ ภพที่ไมดี ใจเราไมดี ทุกขยากวุนวายเดือดรอนนํ าไปสูทุคติในปจจุบัน และเบื้องหนาเมื่อพวกทานทั้งหลายได สดับแลว ในโอวาทานุ ศาสนีอันเปนธรรมะ คําสั่งสอน นี้ ที่นํามาเตือนใจโดยยนยอพอเปนขอปฏิบัติประดับสติปญญาบารมี ของทานทั้งหลาย เมื่อทาน ไดยินไดฟงแลว โยนิโสมนสิ การพากันกําหนดจดจําไว แลวนําไปประพฤติปฏิบัติฝกหัดตนของ ตนให เปนไปในธรรมคําสั่งสอน สรุปหัวขอใจความแลวคือกายกับใจนี้ เปนที่ตั้งแหงพระพุทธ ศาสนา เปนที่ตั้งแหงมรรคผล เมื่อเขาใจอยางนี้ แลวพากันอุตสาหะพยายามกระทําให เกิด ใหมีใหเปนขึ้นในตัวของเราซึ่ งกุศลนี่หละ ในผลที่สุดคืออัปปมาทธรรม คือความไม ประมาท เมื่อเราทานทั้งหลายไมมี ความประมาทแลว แตนี้ตอไปพวกทานทั้งหลายจะประสบพบเห็น แตความสุขความเจริญ ดังได้แสดงมา เอวังก็มีดวยประการฉะนี้ พระอาจารยฝน อาจาโร ค�ำสอน๑หยิบมือ

21


กายแตกดับ แตจิตที่ยังมีกิเลสอยู ยังไมดับ กายและจิตเมื่อยังปกติดีอยูยอมทํางานรว มกันไดทุกๆกรณี หากฝายใดฝายหนึ่งชํารุดพิการนั้นแลจึงจะทํารว มกันไมได เพราะขาดสายสื่อสัมพันธกัน สายสื่สัมพันธที่วานี้ หลักวิชาแพทย เขา เรียกวา เซลล เชนเซลลสมองสั่งงานใหคิดใหสงสวยไปตางๆ นานาเปนต น ทางพุทธศาสนา เรียกวาประสาท เชน ประสาทตา ทําใหเห็นรูป ประสาทหูทําใหไดยินเสี ยงเปนตน แตบางทีหมอ เขาก็เรียกคนที่มีความคิดไม ปกติวาคนประสาทเสื่อมเหมือนกัน จะอยางไรก็ตาม นักอบรมจิต หรือผูภาวนากรรมฐาน เชื่อมั่นลงแนแนวเดียววาคนตายจิตออกจากรางแลวไม ยอมรับ รู ไมรวมทํางานดวยเซลล หรือประสาท เซลล หรือประสาทก็จะไมมี ผล อันใดทั้งหมด เมื่อความอบอุนยังมีอยู เซลล หรือ ประสาทก็ อาจยังมีปรากฎยูก็ได แตไมมีอัน ใดเปนเครื่องรับรองเพราะจิตผูรับรู ไมมีเสีย แลว เรื่องนี้ เราจะสังเกตเห็นได จากสัตวที่ ตาย ใหมๆ ยังมี ไออบอุนอยูประสาทหรือเสนเลือดของมันยังกระตุก เตนอยูเลย นั้นแสดงวาเซลล หรือปะสาทมันยังทํางานอยู แตชีพจรหรือลมมัน ออนจนไมปรากฎเสียแลว ที่อธิบายมาทั้ งหมดนี้ เพื่อแสดงใหเห็นวา เซลล หรือประสาทมิ ใชจิตเปนผูรับสั มผัสนั้นๆเทานั้น จิตตางหากเปนผูรับรูสั มผัสนั้นๆ แลวก็ยังไมทําให เกิดกิเลสอัน ใดขึ้ นมากอน ตอเมื่อเกิด ตัณหาอุปาทาน ดังได อธิบายแลว จึงจะเกิดกิเลสขึ้นมา ฉะนั้นถึงเซล ล หรือประสาทจะรวมทํากรรมดวยกันกับจิตก็ตาม เมื่อยังอยูรวมกันก็รวมกัน เสวยผลของ กรรมนั้นสืบไป เมื่อเซลล หรือประสาทชํารุดทํางานตามปกติรวมใจไม่ได้ แลวกาย แตกดับ ผลของกรรมนั้นใจจะเปนคนรับเอาแตผูเดียว

22

ค�ำสอน๑หยิบมือ


แลวผลกรรมคือวิบากนั้นแลจะเปน มัคคุเทศก นําจิตให ไปเกิดในที่นั้นๆสวนเซลล หรือประสาทอัน เปนรูปธาตุ ไมสามารถสลายตัวหนี ไปจากกามภูมิพื้นดินอันนี้ ได สลายตัวจากนี้แลวก็ไปกอตัวขึ้นในที่อื่นอีกตอไปพระอริยเจาที่ทานชํานาญในการเขา ฌานบังคับจิตให อยูในองค ฌานอยางเต็มที่ เขานิโรธสมาบัติอยูไดตั้งอาทิตย ลมหยาบๆ ไมปรากฎระบายออกมาทางจมูกเลย เรียกวาดับลมหายใจเขาออก แตยังไมตาย รางกายทุกสวน ยังปกติอยู ตามเดิ มแตหมดความรูสึกใดๆทั้งสิ้น สวนลมอันละเอียดที่ ซาบซานไปตามสรรพางค กายยังมีอยู ถึงเซลล หรือประสาทจะยั งทํางานอยูก็ตาม แตจิตไม มารับรูดวยแลว พอจะสรุปได แลววา คนเรานี้ เมื่อรูปกับนามคือกายกับใจยังปกติ อยูก็ท�ำงานรวมกันไป บางทีจิตคิดจะทิ้งกายก็ทิ้งเอาเฉยๆ โดยกายไม ยอมรับรูดวยก็มีดังกลาวมา แลว บทกายจะเบี้ยวจิตก็มิใชยอยเหมือนกันอยูดีๆ บางที ช็อคตาย รถทับตาย ตกเครื่องบินตาย เสันโลหิต แตกตาย ฯลฯ จิปาถะ ทั้งๆที่จิตมิไดมีเรื่องอะไร กับกายเลย มันแปลก กายกับจิตนี้กอนเขา จะมาอยูรวมกันก็ไม ได สนิทสนมกันมาแตกอน เลย เวลาเขาจะแยกทางกันไปก็ ไม ไดบอกเลาเกาสิบ อะไร โดยเขาไมไดมีเรื่องอะไรกันสักนิดเดียว แลวก็ ไมมี ใครจะอาลัย อาวรณถึงกันและกันเลย แยกทางกันไปแลวก็แลวกันถาอยางนั้นอะไรเลาเมื่อเจ็บ หรือจวนจะตายทําให เปนทุ กข เดือดรอนพระพุทธเจาตรัสวา-นั่นคือกิเลส ใจมันไปหอบเอา กิเลสมาไวที่ใจ คนเราเลยถือวาใจเปนกิเลส หากใจเปนกิเลสเสียเอง แลวใครเลาจะ ชําระใจใหบริสุทธิ์ได ใจมิใชกิเลส กิเลสมิใช ใจ แต ใจไปรับชวงเอาผั สสะอันเกิดจากอายตนะ เชนตาเห็นรูปเปนตน แลวเอามายึดไวที่ ใจจนเกิดความรักใครพอใจ หรือเกลียดโกรธไมพอใจ จึงทําใจใหมัวหมอง เพราะของสิ่งนั้ นเปนเหตุตางหาก จึงเรียกวา กิเลส ธาตุ ๔ ขันธ ๕ อายตนะ ๖ เปนบัญญัติธรรมบอกใหรูวา สิ่งนั้นชื่อวาอยางนั้นมี หนาที่ อยางนั้นๆ ตางหาก จิตเปนผูเขาไปยึดเอาบัญญัติธรรมมาเปนตนเปนตัวเมื่อบัญญัติธร รมทํางานตามหนาที่ ของมันอยู จิตก็เลยถือวาตนเปนผูรับ หนาที่ ทํางานไปเสี ยเอง จึงเขาใจวาจิตของตนเปนกิเลส ค�ำสอน๑หยิบมือ

23


ธาตุแทของตะกั่วก็เปนตะกั่วอยู ตามเดิม ถึงแมจะประสมเขากันกับทองคําแลวก็ตาม เมื่อไล ทองคําออก แลว ตะกั่วก็ตองเป นตะกั่วอยูตามเดิมนั้นเองกายเปนรูปธาตุ จิตเปนนามธรรม สังขารเปนอาการของจิตคิดปรุงแตงรูปธาตุ มาเปนพาหนะใหชั่วระยะหนึ่ง เมื่อหมด ความจําเปนแลวก็ ทอดทิ้งไวที่เดิมของมัน สังขารจิตรกรชางใหญ สรางโลกไมมีที่สิ้นสุดไมรูจัก เหน็ดจักเหนื่อย โลกนี้จึงกวางใหญไพศาลหากประมาณมิ ได หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

กรรมนิมิต และ คตินิมิต เปนผูนําใหไปเกิดในคตินั้นๆ ผลผลิต ของกายกับใจรวมกันกระทําไวนั้นเรียวา "กรรม" ผลของกรรมที่ จะนําไปใหเกิดผลนั้น หาตัวตนมิได แตจะ ปรากฎเกิดขึ้นเฉพาะในใจของผูกระทําเทานั้น หากจะแสดงใหปรากฏออกมา ทางกายและวาจาบางกรณี เชนคนผูเคยฆาหมูเปนอาชีพโดยมิไดกระดากใจเลยแมแตนอย เวลากายทรุดโทรมจวนจะตายอาจแสดงอาการสอถึงบาปกรรมของเขาที่ กระทําไวนั้นเชนรองออ กมาเปนเสียงสุกรแสดงปฏิกิริยาเหมือนสุกรจะตาย หรือทําทาทีฆาสุกรแลวโฆษณาให คนอื่นเขาเห็น โดยตนเองไมตั้งใจจะทําเชนนั้นแตมันเปนไปเอง ดังนี้เปนตน นั้นมันเปนการแสดงถึงผลกรรมที่ เขากระ ทําไว เพียงเพื่อผูได เห็นแลวอนุมานเอาใหใกลตอความจริงเทานั้น แตตัวกรรมและผลกรรมที่แทจริง แลวไมมีใครรูเห็นดวยนอกจากตัวของผูกระทําเทานั้น กรรมนี้ทานแสดงไว ในธรรมวิภาคปริเฉท กธรรมโทมีถึง ๑๒ แตในที่นี้จะไมขอนํามาอธิายอีก เพราะในนั้นทานอธิบายไวดีแลวใน ที่นี้จะแสดงเฉพาะกรรมนิมิตและคติ นิมิตอันเปนทูตของยมบาลเทานั้น ใคร จะทํากรรมดีกรรมชั่วไมวาในที่ลับและที่แจง

24

ค�ำสอน๑หยิบมือ


อยาไดคิด วาทูตของยมบาลจะไมรู ไมเห็นเลย เขาตาม รูตามเห็นไดทุกโอกาสทีเดียว คนเรากอนกายจะแตกดับเมื่อจิต ปลอยวางรางกายไมมี ความรูสึกแลว จะมีภาพอันหนึ่งเกิดขึ้นใหปรากฏเห็น เฉพาะใจตนคนเดียวโดยที่ เราจะตั้งใจดู หรือไมก็ตาม ภาพอันนั้นถาจะเปรียบให เห็น งายๆ ก็ คลายกับภาพนิมิตในความฝน ภาพนิมิตอันนั้นแลมันจะมาแสดงผลกรรมของเราที่ เรา ไดกระทําไว แลวในอดีต บางทีเราอาจลืมไปแลวนาน แตมันมาปรากฏใหเราเห็นและระลึกขึ้นมาได เปนตนวาเราเคยได สรางโบสถวิหารถวายกฐินทานเปนอาทิ วัตถุ ทานนั้นก็ จะมาปรากฏขึ้นใหเรา เห็นแต ภาพนิมิตนี้ จะสวยสดงดงาม และวิเศษยิ่งกวาที่ เราได กระทําไวนั้น จนเปนเหตุใหเมื่อเราได เห็นเขาแลวเกิดปติ อิ่มอกอิ่มใจจนหาที่ เปรียบมิไดแลวจิตจะไปจดจองจับเอานิมิตนั้นมาไว เปน อารมณ ใหเกิดความสุขโดยสวนเดียวที่ เรียกวา "สัคคะ" ผู สรางบุญกุศลจะเห็นผลชัด แจงดวยใจตนเองก็ตอนนี้ ที่นี้จิตมิได เกี่ยวของดวยกายอีกแลว กายจะเจ็บจะแตกจะ ดับจิตไมรับรูทั้งนั้น ทานแสดงไววา สัตว จะตาย จิตทอดทิ้งรางกายไปกอน แลวกายจึงกับภายหลัง แตเมื่อเกิด รูปเกิดกอน แลวจิตจึง มาปฏิสนธิทีหลัง ที่วานี้ คือจิตผูรูสึกซึ่งรับชวงมาจากเซลล หรือประ สาทไมปรากฏเสียแลว ณ ที่นั้น แตเซลลหรือประสาทยังสามารถทํา งานอยูดังกลาวแลวเพราะความอบอุนยังมีอยู ความอบอุนนี้มันเกิดจากสวาบหรือ กระบังลม กระบังลมยังไหวตัวอยู ลมก็ยังซานไปตามสวนตางๆของรางกายไดอยู ประสาท หรือเซลลก็ยังปรากฏอยูแตลมนั้นยังเหลือนอยจนไมสามารถจะยังชีพ ใหเปนอยูได ตามปกติและใน ที่นั้นจิตผูรับรูชวงจากเซลล หรือประสาทก็ไม ปรากฏเสียแลวจึงเรียกวาตาย ที่นี้เมื่อจิตได รับความสุขโดยมโนทวารอันปราศจากเซลล หรือประสาทดังกลาวแลว มันเปน ความสุขอันหาประมาณมิได ฉะนั้นทานจึงแสดงความสุขของผูทําบุญแลวไปเกิดในสวรรควา เปน ความสุขยิ่งยอดแลวก็ เสวยความสุขนั้นอยูนานแสนนาน ถาจะเทียบอายุ ของชาวสวรรคชั้น จาตุมฯกับของมนุษย แลวรอยวันรอยคืนของมนุษยนี้ จึงจะเปนวันหนึ่งคืนหนึ่ง ของเขา แลวอายุของเขาก็ยืนนานนับเปนหมื่นๆป เหมือนกันถาจะ เปรียบพอจะอนุมานความสุขที่ ค�ำสอน๑หยิบมือ

25


นั้นเหมือน ความสุขที่ไดรับในขณะที่ นอนฝน ความสุขใน ขณะนั้นสุขมาก เพราะมิไดเอาเซลล หรือประสาทมาใชรวม สุข เฉพาะใจลวนๆ ความสุขของพระอริยเจาที่ทานเขานิโรธสมาบัติก็ทํานองเดียวกัน ตรงกันขามผูที่กระทํากรรมชั่วไว กรรมนิมิตก็จะเกิดในขณะเดียวกัน แตจะเปนเรื่องทน ทุกขทรมานมากจนเหลือจะอดทนเพราะกรรมตามสนอง ความทุกขทรมานของกายถึงขนาดรา งกายจะแหลกเหลวเปอยเนาไปก็ตามแต มันก็ยังมีชีวิตอยู ไม ตาย ทานเทียบอายุของสัตว ในนรก ไววารอยวันรอยคืนของชาวสวรรคชั้นจาตุมฯจึงจะเปนวันหนึ่งคืนหนึ่งของสัตว ในนรกแลวก็มี อายุยืน นานเปนหมื่นๆป เหมือนกัน ทําไมจึงเปนเชนนั้น เพราะความทุกขมันเปนของเผ็ดรอนทนไดยากไมมี ใครปรารถนาถึงทุกข จะเปนของนอยแตมันมีน�้ำหนักมาก ที่อธิบายมานี้ เรียกวากรรมนิมิต ขณะที่มีชีวิตอยูจิตยอมรวมกันทํางานกับเซลล หรือประสาท แลวสังขารเปนผูปรุง แตงใหกระทํากรรมนั้นๆอยาง สนุกสนานแตเมื่อกายแตกดับ เซลลหรือ ประสาทก็จะละหนาที่ ของตนเสีย กรรมที่ ไดรวมกันทําไวนั้น ก็จะมาปรากฏใหใจเห็น เปนผูรับมรดกแตผูเดียว แลวกรรมนิมิตนั้นแลจะเปนผูบัญชาใหไป เกิดในคตินั้นๆ อีกตอไปตามอํานาจและวิสัยของตนเทานั้นยังไมพอดวยพลังอํานาจ ของกรรม ยังใหเกิดคตินิมิตอีกอันจะชักนําใหผูกระทํากรรมนั้นๆแลวไปเกิดในที่นั้นๆ แลวก็ เกิดในลําดับเดียวกันกับกรรมนิมิตนั้นเองใหผลเปนสุขเปนทุกขก็เหมือนกัน แตมันสอแสดงให เห็น สภาพหรือสถานที่อันตนจะพึงได ไปเกิดชักจูงใหจิตเลื่อมใสพอใจในอันที่ จะนอมจิตใหเขาไปยึดมั่นยิ่ง ขึ้น เชนผูที่ได สรางบุญกุศลไว มีการทําทานเปนตน ดังกลาว จะเห็นสถานที่ที่ตนจะตองไปเกิดหรือไป เสวยอานิสงสนั้นอยางนารื่นรมย รโหฐาน พรอมดวยเครื่องบริขารที่ ตนไดทําบุญไว แตมันเปนของ วิเศษยิ่งกวาที่ เราไดทําไวนั้นเปนไหนๆ เมื่อเห็นเขาแลวใจก็ปลื้มปติอยางยิ่ง บางที อาจมีผูมา ชี้ใหเห็นวาสิ่งเหลานั้นสถานที่นั้นเปนอานิสงส ของทานที่ ไดทําบุญไวแลวหรืออา จมีผูคนมารับแหแหนไปดวยความมีเกียรติก็ไดสวนคติกรรมชั่ว ตรงกันขาม มันให

26

ค�ำสอน๑หยิบมือ


เกิดความ ทุกขแสนสาหัสเหลือที่จะอดกลั้น นิมิตทั้งสอง คือกรรมนิมิตและคตินิมิต ขณะที่มันปรากฏเกิดขึ้นใหเห็นดวยใจนั้น ผูทํากรรมไว แลวจะระลึกถึงกรรมหนหลังที่ ตนได กระทําไว แลวในอดีตตลอดได หมด ถาไดเห็นกรรมดีพรอมทั้งนิมิตที่ดี เปนพยานก็ จะอิ่มใจเพลิดเพลินอยางยิ่ง ถาได เห็นกรรมชั่วพรอมทั้งนิมิตที่ เปนอัปมงคลใจก็จะหดหู เดือดรอนเปนทุกข มากแสนทวีคูณ เรื่องที่ อธิบายมาทั้งหมดนี้ สมัยครั้งพุทธกาลก็ เคยไดมีมาแลวแมในปจจุบันนี้ก็มักจะไดยินกันบอยๆผูสนใจ คงจะไดทราบดีอยูบางแลวในเรื่องนี้ นิมิตทั้งสองนี้บางทีกรรมนิมิตเกิดกอนแลวคตินิมิตจึงเกิดภาย หลังก็มี ไมแนนอนถึงนิมิตใดจะเกิดกอนเกิดหลังก็จะนําทางใหเขาถึงจุดเดียวกันนั้น นิมิตทั้งสองนี้ เปรียบเหมือนตํารวจที่ซื่อสัตยสุจริตและเที่ยงธรรมของยมบาล ตามสืบราชการลับทั่ว ทุกหนทุกแหงตลอดเวลา ไมวาใครจะทํากรรมดี กรรมชั่วทั้งในที่ลับและที่แจง เขาทั้ง สองจะตองตามรู ตามเห็นไปทั้งหมด ใครจะ ปกปดอําพรางหรือแกตัวอยางไรๆ ไมไดทั้ง นั้นและคนที่ซื่อสัตยสุจริตเที่ยงตรงรูดี กวาตํารวจทั้งนายนี้ ก็ คือ ใจของตนเองนั้นแลเปนคนแรก, บางคนอาจเขาใจวากรรมดี และกรรมชั่ว ที่บุคคลไดกระทําไปแลวใหผลในปจจุบันนี้เอง เชนสรางกรรมดี ไวยอมมีผูยกยองสรรเส ริญใหเกียรติ รางวัลเปนตน ทํากรรมชั่วไวไดรับโทษทรมานเชนประหารชีวิตและถูกจําจองเปนตน ผลอนาคตไมมี นั่นมันเปนเรื่องของอุจเฉททิฏฐิ เห็นวาโลกหนาไมมี บุญกรรมที่ทําแลวไมมีผลมัน เปนภัยแกสัจจธรรมคําสอนของพระพุทธเจาอยางรายแรง ในทางพระพุทธศาสนาถือวาผูทํากรรมดีกรรม ชั่วยังมีกิเลสอยู ภพชาติก็ยังมีอยู กิเลสนั้นแลเปนมัคคุเทศกนําทางใหไปเกิดในภพ ชาตินั้นๆ และไดเสวยผลกรรมที่ยังเหลืออยูในที่นั้นๆ การไดรับผลกรรมไมวาดีหรือชั่วในปจจุบัน เปนแตผลกรรมมีประมาณเล็กนอยในปจจุบันเทานั้นผูเจริญรูปฌานก็จะเพงเอานิมิตรรูปที่ มาปรากฏเปนกสิณอยูที่ ใจนั้นเปนอารมณ ใหนําไปเกิดในรูปภูมิผูเจริญอรปฌาน ก็จะเพงเอาความวาง

ค�ำสอน๑หยิบมือ

27


อัน เปนอารมณของฌานนั่นแลมาเปนนิมิต เปนอารมณใหนําไปเกิดในภูมิที่มีแตความวางรูปภูมิเปนภพ ที่มีรูปละเอียด ไมไดใชเซลลหรือประสาทอยางธรรมดาสามัญ เชนม นุษยของพวกเราทั้งหลายนี้ แตเปนรูปของจิต ทานผูเขาถึงแลวยอมทราบไดดีใน เรื่องนี้ คนธรรมดาสามัญอยางพวกเราทั้งหลายนี้ พูดไปมากก็เลอะเลือนไปเปลาไมเขาที ยิ่งอรูปฌานแลวก็ยิ่งเปนของเหลือวิสัยที่ พวกเราจะอนุมานเอาได ยิ่งอนุมานก็มีแต จะผิดหนัก เขาทุกที สรุปแลวนิมิตเปนผูนําทางใหผูยังมีกิเลสอยู ไปเกิดในคตินั้นๆ ผูเขาถึงรูปฌานและอรูปฌาน แลวก็ยังตกอยูในคติ เดียวกันนั้นบางทานอาจเขาใจไปวาเวลาจวนจะตายจึงจะระลึกเอาแตนิมิตที่ดีเพื่อ ใหนําทางไปสู สุคติ ขอนั้นอยาพึงคิดเลยเสียเวลาเปลา เปนเรื่องของการแกตัวของผู ประมาทแลวตาง หาก คนเราเกิดมาแตละชาติ มาสรางกรรมชั่วมากกวากรรมดี แมแตละวันหากจะมาหักลบกันแลว อยูดี ๆปกตินี่แหละไมมีเหตุการณอะไรเกิดขึ้นเลย กายกรรม วจีกรรมและมโนกรรม ของแตละบุคคล นั้น จะเหลือทุจริตมากกวาสุจริตเปนอเนกทีเดียว แลวเมื่อจวนจะตายยิ่งจะไมรายไปกวานี้อีกหรือ ขนาดผูบําเพ็ญกุศลระลึกเอาผลอานิสงส ของความดี งามไว เปนอนุสสติ ตลอดกาล นอนหลับนอนฝนก็ปรากฏเห็นเปนภาพนิมิตอยูอยางนั้น นั่นก็มิใชจะพน จากทุกขไปไดทีเดียวมันเปนแตทางใหเขาถึงสุคติเทานั้น หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

28

ค�ำสอน๑หยิบมือ


กรรมบันดาล ทุกคนกําลังมีผลของกรรมดีและกรรมไมดีติดตาม มา เปนผลของเหตุที่ไดทํากันไวในอดีตชาติ ที่สลับซับซอนนับไมได ลอง นึกถึงภาพของรถบรรทุ กขนาดใหญกําลังแลนไลทับเราอยู ขณะเดียวกันก็มีรถบรรทุก แกวแหวนเงินทองคันใหญกําลังแลนตามเพื่อจะยกแกวแหวนเงินทองเหลานั้นใหเรา ดวยรถทั้งสอคันนั้นกําลังขับแซงกันอยางรวดเร็วผลัดกันนําผลัดกันตามนึกภาพนี้แลวก็นึกถึง ใจตนเอง วายังมีใจที่จะตองการแกวแหวนเงินทองหรือยังมีใจอยากไดอะไรอีกหรือ ในเมื่อ รถลาชีวิตกําลังขับตะบึงติดตามมาอยางมุงมาดปรารถนาตัวเราเปนเปาหมาย กรรมไมดีกําลังตามสงผลแกเราทุกคนแนนอน เปรียบผลไมดีนั้นดังรถบรรทุกที่กําลังตะ บึงไล กวดเราอยูจริงๆที่ยังไมทันบดขยี้ก็เพราะกรรมปจจุบันของเราที่กําลังกระทํากันอยูอาจ จะมีแรงพาหนี ไดทัน จะอยางหวุดหวิดนาเสียวไสเพียงไร เราผู้ไมมีตาพิเศษก็หารูไมกรรมดีเทา นั้นที่เปนแรงพาเราวิ่งหนีกรรมไมดีที่กําลังสงผลติดตามเราอยูในขณะนี้ เปรียบกรรมไมดีดั่งมือมารที่ใหญโตมโหฬารทรงพลังมากมาย มือนั้นกําลังเอื้อมมาจะ ตะปบเราเพื่อลากเขาไปขยี้ใหแหลกเหลวหวุดหวิดจะจับปลายผมเราไดไมรูกี่ครั้งกี่หนแตเราก็ ยังพนอยูไดเพราะความบังเอิญ คือเพราะบังเอิญไดทํากรรมดีไวมากพอ เปนกําลังพาใหหลบ หลีกพนมือมารไปได มีความสวัสดีอยูชั่วครั้งชั่วคราวแตใชวามือมารนั้นจะหยุดตามตะครุบเรา ก็หาไม กี่วันกี่เดือนกี่ป กี่ภพ กี่ชาติ มือมารจะติดตามตะครุบเราอยางไมทอแทเหน็ดเหนื่อย ควาผิดควาถูกก็จะตามควาไมลดละ ถปรากฏเปนภาพก็จะเปนภาพที่นากลัวที่สุด เด็กที่ยังไรเดียงสา เพิ่งจะลืมตาเห็นโลก เคยถูกนําไปฆาดวยความเขาใจผิด ที่ปรากฏ เปนขาวเมื่อไมนานมานี้ ทําใหมารดาผูรักลูกเปนชีวิตจิตใจแทบเปนบาทําใหผูที่นําไปฆาเพราะ เขาใจผิดตองได้รับโทษหนักไดรับทั้งอาญาบานเมืองและทั้งความโกรธแคนชิงชังของผูคนมาก หลาย เรื่องนี้ชี้ชัดให เห็นอํานาจที่ยิ่งใหญของกรรมแมไมนํากรรมมารวมพิจารณาก็จะเขา ใจไมไดเลยวาเรื่องเชนนี้เกิดได อยางไร เด็กคนหนึ่งถูกมุงทําราย แตเด็กคนนั้นกลับอยูรอดปลอดภัยเด็กอีกคนหนึ่งเปนหวง ใยทะนุถนอมดังแกวตาดวงใจ แตกลับถูกทําลายตายไปทั้งสองยังบริสุทธิ์ไรเดียงสา เพิ่งมี เวลาเห็นโลกไมกี่วัน มือของกรรมนําเด็กที่มิไดเปนที่มุงรายในปจจุบันไปสู

ค�ำสอน๑หยิบมือ

29


อํานาจแห งกรรมในอดีตซึ่งมิใชเปนกรรม ของใครอื่น แตเปนกรรมของเด็กนั้นเองที่ตองไดกระทําไวแนนอนใน ชาติใดชาติหนึ่งในอดีตที่พนความรูเห็นของปุถุชนทั้งหลาย แตหาไดพนความรูเห็น ของทานผูพนแลวจากความเปนปุถุชน กรณีที่มีเด็กถูกฆาผิดตัวนั้น เด็กตายแลว พนแลวจากความเขาใจของคนทั้ งหลายวา เด็กนั้นไปไดสุขไดทุกขอยูในภพภูมิใด แตเขาก็ไดเปนอีกหนึ่งที่เตือนใจอยางแรงใหกลัวกรรม เมื่อกรรมจะใหผล คือเมื่อกรรมตามมาทัน ก็ไมมีอะไรจะยับยั้งได นอกจากกรรมดวยกันคือ เมื่ออกุศลกรรมตามทัน ก็ตองกุศลกรรมที่ใหญยิ่งกวาเทานั้นที่ จะตัดรอนอกุศลกรรมไดชวยให สวั สดีไปไดครั้งหนึ่งคราวหนึ่ง เรื่องเด็กคนหนึ่งถูกมุงรายใหถึงตาย แตเด็กอีกคนหนึ่งที่เปนความรักสุดจิตใจของ แมพอกลั บตองตายแทน แมคนหนึ่งที่ เปนฆาตกรตองรับอาญาแผนดินมีชีวิตที่ ทรมานในที่ คุมขังแม คนหนึ่งที่ตองเสียลูกรักเพียงชีวิตเพราะถู กเอาไปฆาผิดตัวตอง เศราโศกสุดแสนไปนานนักเด็กคนที่รอดตายอยางอัศจรรยทั้งที่ ตนนั้นถูกมุงรายคงเปนที่ รังเกียจของคนจํานวนไมนอยวาเปนเลือดเนื้อเชื้อไขหญิงใจดําอํามหิตดูผูเกี่ยวของในเรื่องนี้ ทั้งหมดถึง 4ชีวิต จะเห็นไดชัดแจงวากรรมมีอํานาจใหญยิ่งนักทุกชีวิตถูกอกุศลกรรมตามทัน แนแท และไมมีกุศลกรรมความดีเพียงพอจะตัดรอนอกุศลกรรมใหทันเวลาได จึงประสบ ความทุกข เดือดรอนแสนสาหั สไปตามกัน นี้มิใชเรื่องบังเอิญ พึงรอบคอบพิจารณาดวยปญญา ของผูนับถือพระพุ ทธศาสนา ใหเห็นความนากลัวของกรรม ใหเห็นความนาสลดสั งเวชเมื่อ ผูใดผูหนึ่งตองตกอยูในอุงมือที่แรงรายแหงกรรม และเราเองก็มีมือกรรมตามตะครุบอยูเหมือน กัน ไมอาจเห็นไดดวยตาก็พึงใชปญญาใหเห็นไดดวยใจ และพยายามหนีใหเต็มสติปญญาความ สามารถอยาใหถึงวันที่นาสยดสยองอยางยิ่งคือวันที่ตองตกอยูในอุงมือที่แข็งแกรงแหงกร รมราย ผูที่เกิดมาดี มีสุขสมบูรณในภพชาตินี้ ก็มิใชวาไมมีมือแหงอกุศลกรรมตามตะครุบอ ยูมีแน...ทุกคนมีมือแหงอกุศลกรรมตามตะครุบอยูแน แตในขณะเดียวกัน ทุกคนก็มีมือ แหงกุศลกรรมเปนผูชวยอยู มือแหงกรรม

30

ค�ำสอน๑หยิบมือ


กุศลกรรมนั้นถาจะเปรียบใหเห็นงายๆ ก็ตองเปรียบกับเทา มีมือผูรายติดตามตะครุบอยู จะหนีพนก็ตอง อาศัยเทาพาวิ่งให เร็วที่สุดเทาที่จะเร็วได นั่นก็คือตองทําบุญทํากุศลคุณงาม ความดี ใหมากที่สุดใหเต็มสติปญญาความสามารถเสมอ ความดีเทานั้นจะชวยใหพนมือ แหงกรรมรายได แมจะพนอยางหวุดหวิดก็ตองดีกวาไมพน ทุกคนมีมือแหงอกุศลกรรมที่นากลัวที่สุดตามตะครุบอยูไมมีใครไมมีและมีกันคน ละไมนอยดวยเพราะทุกคนไดผานภพชาติมาแลวนับไมถวน ยาวนานนักหนา ทําอะไรตอมิ อะไรกันมาเสียนักตอนัก ทั้งกรรมดีกรรมชั่วสลับซับซอนกันอยู และลืมกันเสียสิ้นแลว ทั้ง บางคนก็ยังไม อยากจะเชื่อวาได เคยเกิดมาแลวในอดีตชาติ มากมายหลายชีวิตจนนับไมไดจึง ยิ่งไมนึกเลยวาได เคยทํากรรมดี กรรมชั่วมากอนจะมาเกิดเปนมนุษย ในปจจุบันชาตินี้ การ ไมนึกนี้แหละจะทําให ประมาทไม พยายามหนี ผลแหงกรรมไมดี เมื่อกรรมไมดีตามทันถึงตัวก็ จะใชอํานาจที่รายแรงอยางไมเมตตาปรานีเลย กอนจะมาเปนเราแตละคนในภูมิของมนุษยนี้ ตางก็ได เปนอะไรตอมิอะไรมาแลว มากมายนับชนิดนับชาติไมไดเปนกันทั้งเทวดาสัตวใหญสัตวเล็กรวมทั้งมนุษยชายหญิง คนมี คนจนคนสวยคนไมสวย คนพิการคนไมพิการ อายุสั้นอายุยาวขาว-ดําไทย-จีนแขก-ฝรั่งตางเคย มีเคยเปนกันมาแลวทั้งนั้นแมเปนผูระลึกชาติ ไดก็จะสลดสังเวชยิ่งนัก และอาจจะสละละวาง ความโลภความโกรธความหลงไดเปนอันมาก เห็นสุนัขขี้ เรื้อนสักตัวแลวลองนึกวาครั้งหนึ่งเราก็เคยเปนเชนเดียวกัน เคยกระเซอะ กระเซิงเที่ยวหาอาหารกินถูกคนตี ถูกสุนัขดวยกันกัดถูกใครทั้งหลายที่ไดมาประสบพบผาน แสดงกิริยาวาจารังเกียจเกลียดชังไมยอมแมแตจะใหเขาไปใกล เพื่ออาศัยรมเงากันแดดกัน ฝนกอนอิฐกอนหินก็ถูกทุมถูกขวางใสใหตองถึงเลือดตกยางออก ตกใจกลัวภัยนานาแต จะ บอกกลาวออนวอนใหผูใดเห็นใจก็ทําไมได อยางมากก็เพียงเปลงเสียงโหยหวนที่หามีผูเขา ใจในความทุกขรอนไมแมนึกไปในอดีตเชนนี้ สมมุติตัวเองวาในภพชาติหนึ่งเปนเชนนี้นึก ใหจริงจังเชนนี้ จะเกิดความกลัวกรรม เพราะยอมไดความเขาใจวากรรมไมดีแนแทที่ทําใหชี วิตตองเปนเชนนั้น

ค�ำสอน๑หยิบมือ

31


อยาเปนผูปฏิเสธเรื่องกรรมและการให ผล ของกรรมอยางปราศจากเหตุผลคืออยาปฏิเสธดื้อๆวาใครจะ เคยเกิดเปนอะไรมากอนก็ตามก็ไมใชเราเราไมเคยเกิดเชนนั้นแนคนจะเกิด มาแตสัตวไมได สัตวจะไปเกิดเปนคนก็ไมได ไมมีเหตุผล เปนความเชื่อที่ปราศจาก เหตุผล เปนคนสมัยใหมแลวจะเชื่ออยางนั้นไมไดเพื่อความไมประมาท จงอยาปฏิเสธโดย ไมรูจริงเชนนี้ เพราะวันหนึ่งจะหนีไมพนผลที่นากลัวนักของกรรม เด็กบางคนวิ่งเลนอยางสนุกสนานในโรงเรียน อยูๆก็มีลูกปนแลนเขาตัดชีวิตปลิดชีพจาก ดลกนี้ไปอยางงายดาย เด็กตายไปแลวไปเปนสุขไปเปนทุกขก็เรื่องหนึ่งแตมารดาบิดาผูตองสูญ เสียลูกไปปุบปบเปนอีกเรื่องหนึ่ง ที่พึงพิจารณาให เกิดความเขาใจในเรื่องของกรรมและการ ใหผลของกรรมตองเคยไปทําความทุกขแสนสาหั สใหเกิดแกผูใดมากอนแลวในอดีตจึงตองมา ไดรับความทุกขแสนสาหัสจากผูที่ไมรูจักหนาตาผูที่ไมปรารถนาจะกอทุกขโทษภัยใดๆเลย และ ทุกคนมีโอกาสที่จะประสบเหตุ การณเชนนั้น เปนไปไดที่อยูดีๆจะตองสูญเสียยิ่งใหญ เชนมา รดาบิดาที่เสียลูกไปอยางไมรูตนสายปลายเหตุ รูไดแนนอนเพียงวาเปนผลของกรรมไมดีที่ตอง ไดกระทําไวในภพชาติใดชาติหนึ่งแนนอน สมเด็จพระญาณสังวร

เหตุ ในอดีตสง ผล ในปจจุบัน พระสําคัญรูปหนึ่ง ซึ่เปนที่รูจักกันดีวาเปนพระดีพระสําคัญยิ่งคือสมเด็จพระพุฒจาร ย (โต พรหฺมรั งสี ) วัดระฆังโฆสิตารามมีเรื่องเลาถึงทานวาครั้งหนึ่งพระในวัดของทานตีเพื่อ นพระดวยกันจนหัวแตกทานชําระความดวยการบอกพระที่เปนเจาทุกขวาเปนฝายผิดเพ ราะเปนผูทําเขากอนเมื่อเปนที่พิศวงสงสัยที่ทานตัดสินเชนนั้น ทานก็อธิบายวาพระรูปที่ถูกตี หัวแตกในชาตินี้ตองไดตีพระอีกรูปมากอนไมในชาติใดก็ชาติหนึ่ง ถาจะใหรับโทษที่ทําในชาติ นี้ก็จะไมสิ้นสุดเวรกรรม ถาไมถือโทษ ความผิดในชาตินี้ก็จะเปนอันเลิกแลวตอกัน ทานไดถาม ความสมัครใจของพระรูปที่ถูกตีหัวแตกวาตองการอยางไร พระรูปนั้นก็ยินดียกโทษ ไมเอา ความ เปนอันเลิกแลวตอกัน ทานวาจะไดไมมีการจองเวรกันตอไปเรื่องนี้

32

ค�ำสอน๑หยิบมือ


สมเด็จพระพุฒาจารยทานสอนเรื่อง กรรมและการใหผลของกรรม ใหเห็นวาเมื่อทํากรรใด แลวจักตองไดรับผลตอบแทนแน แมขามภพขามชาติ ทํากรรมใดจักไดรั บผลนั้นผูใดทําผูนั้น จักไดรับ ไมชาก็เร็วตองไดรับ และจะไมจบสิ้นแมไมมีการเลิกผูกเวร แตถาเลิกผูกเวรก็จะจบ สิ้นเพียงนั้น การใหอภัยดวยใจจริงในความผิดของผูอื่นที่ทําตอตนจึงเปนความสําคัญเปนสิ่ง ที่ควรอบรมใหยิ่ง คนระลึกชาติไดทุกวันนี้ยังมีอยู บางคนก็ระลึกไดตั้งแตอายุยังนอย พอพูด ไดก็บอกไดเปนเรื่องเปนราว ขอไปหาแมเกาพอเกาที่บานนั้นบานนี้ บางคนเห็นรู ปใครบาง คนก็สนใจมากมายถามชื่อ และบางรายก็บอกเลาเรื่องอดีต เคยใกลชิดกับผูนั้นผูนี้ เคยเปนท หารไปรวมรบในอดีตกาลนานไกล ที่นาอัศจรรยก็คือ เด็กชายเล็กๆบางคนเลาวาเคยเปนท หารรวมรบดวยกันกับสมเด็จพระบุรพบรมกษัตริยาธิราชเจาบางพระองค ทั้งที่เขายังเปนเด็ก ชายไรเดียงสาเขายังไมทันจะรูวาพระมหากษัตริย ของเขาพระองคนั้นทรงเปนนักรบผูยิ่งใหญ และเขาก็ยังบริสุทธิ์ เกินกวาจะคิดแตงเรื่องราวขึ้นหลอกลวงเพื่อประโยชนอยางใดอยางหนึ่ง ผูไดฟงเขาพูดอยางเด็กทารกไรเดียงสาจึงยอมรับวาเขากําลังระลึกไดถึงในอดีตชาติของเขานี้ เปนตัวอยางหนึ่งที่แสดงความมีภพชาติในอดีตของคนทั้งหลายสัตวทั้งหลายในปจจุบันชาติทา นพระอาจารยสําคัญรูปหนึ่งที่เปนพระปฏิบัติ ทานเดินปาอยูเปนประจําในชีวิตของทานโดย เพื่อนปฏิบัติธรรมรวมทางไปดวยบางเปนครั้งคราวเปนที่รูกันดีวาเมื่อพบชางในระหวางทางทา นพระอาจารยรูปนั้นก็จะตองเปนผูนําเจรจา ปราศรัยกับชาง ทานจะพูดจากับชางใหญดวยภาษามนุษย และทานจะใชวาจาไพเราออน โยนยิ่งนักเปนที่เจริญหูเจริญใจ ชางก็ฟงทานโดยดี เมื่อทานขอใหหลีกก็จะหลีกขอใหหลบก็จะ หลบขอใหไปใหพนก็จะไปจนพน ทานทําไดเชนนี้โดยที่รูปอื่นทําไมไดเพราะอะไร นาจะตั้งปญ หานี้ขึ้น และผูไมปฏิเสธวาผูอยูในปจจุบันชาตินั้นมีอดีตชาติ ยอมจะยอมคิดวาทานพระอาจาร ยรูปนั้นทานคงมีอะไรเกี่ยวของกับชางมาแลวในอดีตชาติ และตองเกี่ยวของอยางสําคัญดวย ใน ชาตินี้ทานจึงสามารถพูดจากับชางไดรูเรื่อง และชางก็ยินดีออนใหกับทานอยางนาอัศจรรยนัก เมื่อคิดเชนนี้ก็นาจะคิดตอไปไดวาจากชางก็มาเปนมนุษยได สําหรับผูมีญาณหยั่งรูไปในอดีต ยอมรูไดวาทานพระอาจารยรูปนั้นทานอาจจะเคยเกิดเปนชางสําคัญกอนจะมาเปนมนุษย ใน ภพชาตินี้ก็เปนได และก็เปนไดอีกเชนกันที่ทานอาจจะเกิดเปนชางอยูหลายภพหลายชาติใน บรรดาภพชาติที่นับไมถวนของทานในอดีต เมื่อมาเกิดเปนมนุษยในภพชาตินี้ และสามารถมี ญาณหยั่งรูภพชาติในอดีตของตนที่เปนสัตวเชนทานพระอาจารยรูปสําคัญที่ทานเลาไววาเคย เกิดเปนไก ยอมรูชัดถึงความแตกตางระหวางความเปนคนกับเปนสัตว ค�ำสอน๑หยิบมือ

33


ยอมไดความสลดสังเวชและยอมไดความหวาดกลัว ความตองเวียนวายตายเกิดเปนที่สุดเพราะ ไดรูชัดดวยตนเองแลววาการพลาดพลั้งทํากรรมไมดี ไมวาจะทางกายหรือทางใจ คือการนําไป สูทุคติตางๆ อันไมเปนที่พึงปรารถนาอยางยิ่งอันจักกอใหเกิดความทุกขรอนนานาประการ การที่อยูดีๆก็ถูกจี้ถูกปลนจนถึงชีวิตเปนการตองตายจากผูเปนที่รักสิ่งที่เปนที่รัก อยางไมรูตัว อยางไมอาจขอความชวยเหลือจากผูใดได ผูนับถือพระพุทธศาสนารูวานั่น เปนผลของกรรมที่ตองไดกระทําไวแลวในภพชาติใดภพชาติหนึ่งซึ่งปุถุชนไมมีญาณพิเศษทั้ง หลายหาอาจรูชัดไม วาไดมีการทํากรรมอันเปนอกุศลเหตุนั้นตั้งแตเมื่อใด และจะสงผลเมื่อ ใด แตผูปฏิบัติธรรมจนสามารถมีความรูพิเศษจะรูได และบางทีก็ไดแสดงใหรูล วงหนา เชนที่ พระอาจารยสําคัญรูปหนึ่งทานไดปรารภใหไดยินกันเนืองๆวาในอดีตทานเคยขับเกวียนทับเด็ก ตายโดยจงใจเจตนา ดังนั้นทานจะตองไดรับผลของกรรมคือจะตองถูกรถทับจนเสียชีวิตแนใน ภพชาตินี้ ทานปรารภอยูนานป และแลววันหนึ่งทานก็เตรียมตัวออกเดินทางจากวัดเมื่อถูกทัก ทวงวารุงขึ้นจึงจะถึงวันที่ทานไดรับ อาราธนาไปในการทําบุญที่บานหนึ่งทานก็ตอบงายๆตรง ไปตรงมาวาถึงเวลาวันนั้นแหละถูกแลว สมเด็จพระญาณสังวร

ไม่มีอะไรได้ดังใจเหมือนม้ากาบกล้วย แดดออกก็เป็นทุกข์ เป็นทุกข์ไปกับแดด ฝนตก อ้าว....ก็เป็นทุกข์อีกละ เวลาแดดออกก็บ่นว่า "ร้อน" พอฝนตกก็ว่า " อ๊ะ..ท�ำไมตกมากหนักหนา เปียกแฉะไปหมดแล้ว "มนุษย์นี่....เอาใจยาก ประเดี๋ยยัง งั้นประเดี๋ยวยั้งงี้ ร้อนไปก็ไม่ดี เย็นไปก็ไม่ดี หนาวไปก็ไม่ดี ข้าวเปียกไปก็ไม่ดี ข้าวสวยไปก็ไม่ดี ไม่มี อะไรดีเลยสักอย่าง กับข้าวก็ "เอ๊อะ!...เค็มไป" ถ้าไม่เค็มก็ "เอ๊ะ!..ท�ำไมไม่ใส่เกลือ" พอเข้าใส่เกลือ มากก็ "เอ๊อ !...ใส่เกลือเท่าไร" นิดหน่อย "เออ!....นั่นแหละถึงไม่เค็ม" ถ้าเขาบอกว่าใส่มาแล้ว "เออ... นั่นถึงเค็มไป" อ้าว....ไม่ได้ดังใจสักอย่างเดียว...... ท่านเจ้าคุณอุบาลี ท่านเทศน์ดี ว่าอะไรในโลกนี้ ไม่ได้ดังใจ มีได้อยู่ในใจอย่างเดียวคือม้ากาบกล้วย พวกเราอยู่ในกรุงอาจไม่รู้จักม้ากาบกล้วย กาบ กล้วยหรือกาบหมากก็ใช้ได้ ทางกล้วยนะ เอามาตัดใบออกเสียมันมีก้านแข็งๆ วิ่งได้ดังใจ เลี้ยวซ้าย ก็ได้ เลี้ยวขวาก็ได้ หยุด!...!ก็ได้ ท่านพูดข�ำดี "มันได้ดังใจอย่างเดียว คือม้ากาบกล้วยนั่นเอง นอกนั้น มันไม่ได้ดังใจเราจะไปบังคับอะไรให้เหมือนใจเราไม่ได้ แต่ต้องมีปัญญามองสิ่งนั้นให้รู้ว่าธรรมชาติ มันเป็นอย่างไรให้รู้ให้เห็นตามธรรมชาติธรรมดาที่มันเป็นอยู่จริงๆ ใจเราก็จะไม่เป็นทุกข์..... หลวงพ่อปัญญา นันทภิกขุ

34

ค�ำสอน๑หยิบมือ


ทําดี ไดดี

เสมอ

เปนที่เห็นกันอยูวาทุกคนมีชีวิตที่มิไดราบรื่นเสมอไป ไมมีสุขตลอด ชีวิตไมมีทุกขตลอดชีวิต ไมพบแตสิ่งดีงามตลอดชีวิต ไมพบแตสิ่งชั่วรายตลอดชี วิตแต ละคนพบอะไรๆ ทั้งดีทั้งราย หนักบางเบาบางโดยที่บางทีก็ไมเปนที่เขาใจวาทําไมจึง ตองเปนเชนนั้น เชนบางคนเกิดในครอบครั วที่ต�่ำตอย ลําบากยากจนพอเกิดไดไมนานเงิน ทองจํานวนมากก็เกิดขึ้นในครอบครัว เปนลาภลอยของมารดาบิดาบาง เปนความไดชองไดโอ กาสทําธุรกิจการงานบางใครๆ ก็จะตองพูดกันวาลูกที่เกิดใหมนั้นเปนผูมีบุญทําใหมารดาบิดา มั่งมีศรีสุข ถาไมคิดใหดีก็เหมือนจะเปนการพูดไปเรื่อยๆไมมีมูลความจริงและทั้งผูพูดผูฟงก็มัก จะไมใสใจพิจารณาให ไดความรูสึกลึกซึ้งจริงจังแตถาพิจารณากันใหจริงดวยคํานึงถึงเรื่อง กรรมและการใหผลของกรรมก็นาจะเชื่อไดวาเด็กที่เกิดใหมนั้นเปนผูมีบุญมาเกิด ผูมีบุญคือ ผูที่ทําบุญทํากุศล ทําคุณงามความดีไวมากในอดีตชาติ อันความเกิดขึ้นของผูมีบุญนั้นยอมเกิด ขึ้นพรอมกับมีบุญหอมลอมรักษา แมชนกกรรมนําใหเกิดจะนําใหเกิดลําบาก แตเมื่อบุญที่ทํา ไวมากกวากรรมไมดีที่นําใหลําบากก็จะตองถูกตัดรอนดวยอํานาจของกุศลกรรมคือบุญอันยิ่ง ใหญกวา คือเกิดมามารดาบิดายากจน มือแหงบุญก็จะตองเอื้อมมาโอบอุ้มใหพนจากความลํา บากยากจนใหมั่งมีศรีสุขควรแกบุญที่ ไดทําไว้ ผูที่เกิดในที่ลํ าบากยากจนแตเมื่อมีบุญเกาไดกระทําไวมากมายเพียงพอ มือแหงบุญก็ จะเอื้อมมาโอบอุมใหพนความยากลําบากไดอยางรวดเร็วพนจากความยากจนดังปาฏิหาริยมี ตัวอยางใหเห็นอยู เด็กบางคนทําบุญทํากุศลไวดี แตชนกกรรมนําใหเกิดกับมารดาบิดาที่ ยากแคนแสนสาหัส พอเกิด มารดาบิดาก็หาทางชวยใหลูกพนความเดือดรอน นําไปวาง ไวหนาบานผูมั่งมีศรีสุขที่รู กันวาเปนผูมีเมตตา แลวเด็กนั้นก็ได เปนสุขอยูในความโอบอุ มของ มือแหงบุญควรแกบุญที่เขาไดกระทําไว แตเด็กบางคนเกิ ดในที่ต�่ำตอยยากไร และเปนผูที่มิไดทําบุญกุศลมาในอดีตชาติเพียง พอยอมไมมีมือแหงบุญมาโอบอุมเขาใหพนความลําบากยากจน แมเมื่อมารดาบิดาจะพยายาม เสี่ยงนําไปวางไวในที่ที่หวังวาจะมีผูดีมีเงินมานําไปอุปการะเลี้ยงดู ความไมมีบุญทําไว กอนทําใหไมเปนไปดังความปรารถนาของผูเปนมารดาบิดา เขาอาจจะถูกทิ้งอยูตรงที่ที่ถูกนํา ไปวางและสิ้นชีวิตไป ณ ที่นั้นอยางโดดเดี่ ยวเดียวดาย อาจจะทรมานดวยความหนาว ค�ำสอน๑หยิบมือ

35


ความรอน ความหิวโหย หาผูชวยเหลือไมได และผูเปนมารดาก็อาจถูกจับ ไดรับโทษทางอาญา นั่นก็เปนเรื่องอํานาจอันยิ่งใหญนักของกรรมอยางแทจริง อดีตชาติของทุกคนมีมากมายนักจึงไดทํากรรมกันไวมากมายนักกุศลกรรมบางอ กุศลกรรมบาง ชีวิตในปจจุบันจึงมีดีบางไมดี บาง สุขบางทุกขบาง คนมั่งมีเปนมหาเศรษฐีก็ดวยอํานาจของกุศลกรรม คือการบริจาคชวย เหลือเจือจุนผูอื่นที่ไดกระทําไวในอดีตชาติ เมื่ออกุศลกรรมคือการคดโกงเบี ยดเบียนทรัพยสิน ใหผูอื่นตองเดือดรอนที่ ไดกระทําไวในอดีตชาติตามมาสงผล และเมื่อเปนผลที่ แรงกวา มีกําลังกวากุศลกรรมที่กําลังเสวยผลอยู อกุศลกรรมก็จะตัดรอนกุศลกรรม สงผลไมดี ของอกุศลกรรมใหเกิดแทน ความมั่งมีก็ จะกลับเปนความไมมีเงินทองของมีคาก็ จะสูญหาย หมดไป อกุศลกรรมแรงมากก็จะสามารถทําให มหาเศรษฐีสิ้นเนื้อประดาตัวได กําลังเปนสุขก็ จะกลับเปนทุกขเดือดรอน อํานาจของกรรมเปนเชนนี้จริง ผูมีปญญาจึงกลัวกรรมยิ่งกวากลัว อะไรอื่น กลัวเพราะรูวาเมื่อทํากรรมไมดีไวแลวตองไดรับผลไมดีและเมื่อถึงเวลาที่ กรรมสง ผลไมดีมาถึงตัวแลว แมตั้งแต เกิดมาในชาตินี้จะไม เคยทํากรรมไมดีเชนนั้น ก็จะตองไดรับ ผลไมดี ที่อาจทําใหพิศวงสงสัย จนถึงมากคนมิจฉาทิฐิความเห็นผิดคือเห็นไปวาทํ าดีไม เพียงในชาติปจจุบันนี้เทานั้น มีอายุกันเพียงอยางมากรอยปเทานั้น ทุกคนทุกสัตวตา งก็ทําอะไรๆที่เปนกรรมแลวมากมายนับไมถวน เปนกรรมดีคือกุศลกรรมบาง เปนกรรมชั่ว คืออกุศลกรรมบางมากมายจริงๆ เพียงทําในชาติเดียวก็ มากมายจริงๆแลว เมื่อไดทํามานับ ภพชาติไมถวนจะมากมายเพียงไหนขณะที่มาเปนอยูในภพนี้ชาตินี้ ไดละภพชาติในอดีตที่ทํา กรรมไวเบื้องหลังมากนักหนา กรรมดีกรรมชั่วอาจไมเสมอกัน บางคนกรรมดีอาจมากกวา บาง คนกรรมชั่วอาจมากกวา บางคนทํากรรมดีที่ไม่สําคัญไมยิ่งใหญแตทํากรรมไมดีที่สําคัญหนัก นักหนา เชนนี้ยอมไดเสวยผลตามเหตุ คือในภพชาตินี้ยอมประสบสวนดีนอยกวาสวนไมดี สวนผูที่ทํากรรมดีมากทํากรรมไมดีนอย เชนนี้ยอมไดเสวยผลตามเหตุคือในภพชาตินี้ยอม ประสบสวนดีมากกวาสวนไมดีดังมีตัวอยางใหพบเห็นอยูทั่วไปในทุกวันนี้เมื่ อกรรมดีจะสงผล ก็ไมมีอะไรหรือผูใดจะกีดกั้นยับยั้งได กรรมไมดีที่แรงกวาเทานั้นที่จะกีดกั้นขัดขวางได ไมใหกรรมดีอาจสงผล แตถากรรมดีแรงกวากรรมไมดี กรรมดีก็ตองสงผลจนได กรรมไมดีหา อาจขัดขวางไมได อะไรๆก็หาอาจขัดขวางไดไม สมเด็จพระญาณสังวร

36

ค�ำสอน๑หยิบมือ


มองทุกข์ให้เห็น จึงเป็นสุข ทุกข์ เท่านั้นเกิด ขึ้นตั้งอยู่ดับไป เรื่อง ของความสุขนั้นเป็นสิ่งที่เรา ต้องการกันทั้งนั้น ไม่มีใครเลยต้องการ ความทุกข์ความเดือดเนื้อร้อนใจ แต่ว่าโดยธรรมะ ชั้นสูงของพระพุทธศาสนานี่พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เรารู้ว่า ในโลกนี้ไม่มีความสุข มันมีแต่ความทุกทั้งนั้น ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกเท่า นั้นที่ดับไป นอกจากทุกข์หามีอะไรไม่ พระพุทธ ศาสนาสอนเรื่องความทุกข์ สอนเหตุให้เกิดทุกข์ สอนเรื่องทุกข์เป็นเรื่องที่ดับได้ แล้วก็สอนวิธีว่า จะดับทุกข์ได้อย่างไร อันนี้เป็นสัจจะ เป็นความจริงที่มีอยู่ในโลก ความ สุขนั้นหามีไม่ มีแต่ความทุกข์ แต่เราก็เรียกว่ามีความสุขที่เรียกว่ามีความสุขก็เพราะว่า ทุกข์ มันลดน้อยลงไป สมมติว่าเป็นตัวเลขว่า ทุกข์มัน ๑๐๐ ถ้าลดลงไปอีก ๕ เราก็เรียกว่าเป็นความ สุขแล้ว เป็นความสุขเพียง ๕ เท่านั้นเอง แต่ว่าอีก๙๕ นั้นยังเป็นความทุกข์อยู่ หรือถ้าลดลงไปอีก สัก ๑๐ เราก็มีทุกข์อยู่อีกตั้ง ๙๐ ลดลงไปอีก ๙๕ ก็ยังมีทุกข์อยู่อีกตั้ง ๕ มันก็ยังมีทุกข์อยู่นั่นเองมัน เป็น อย่างนี้ โลกนี้มีแต่ความทุกข์ ถ้าทุกข์ลดลงไปหน่อย ก็เรียกว่า เป็นความสุขเท่านั้นเอง แต่ว่า ท่านก็ไม่เรียกว่าเป็นความสุขอีกแหละ ท่านเรียกว่านั่นคือที่สุดของความทุกข์ ใช้ค�ำบาลีว่า "อัน โต ทุกขัสสะ" แปลว่า นั่นเป็นที่สุดของความทุกข์ คือว่าทุกข์มันจบเพียงเท่านั้น หมดทุกข์ก็ถึง นิพพาน นิพพานก็คือการดับทุกข์ได้ ตราบใดที่ยังมีชีวิตถ้าจิตยังไม่ถึงปัญญา เราก็ยังจะต้อง มีความทุกข์ที่จะต้องทนต่อไป ทนเรื่อยไป จนกว่าเราจะมีปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งนั้น ตามสภาพที่เป็นจริง แล้วเราก็ไม่ต้องทนทุกข์อีกต่อไป จิตของเราไปถึงจุดหมาย คือ ที่สุดของความทุกข์...... หลวงพ่อปัญญา นันทภิกขุ

ค�ำสอน๑หยิบมือ

37


ผูม  ีปญญา ยอมไมประมาท ชีวิตนี้นอยนัก คือชีวิตในภพภูมินี้ในชาตินี้นอยกวาชีวิตที่ผานมาแลวใน อดีตชาติมากมายอยางไมอาจประมาณไดถูกถวน ผูมีปญญาเมื่อมานึกถึงความ จริงนี้ยอมไมประมาท ยอมเห็นภั ยที่จะตามมา เปนภัยที่จักเกิดแตกรรมทั้งหลายที่ได ประกอ บกระทําไวดวยตนเองในอดี ตชาติที่มากมายพนประมาณ ผูมีปญญายอมพยายามหนีใหพน หนีใหกรรมไมดีตามไมทัน หรือไมก็พยายามสรางกําลังที่จะเอาชนะความแรงของกรรมไมดี ใหได เพื่อไมตองรับผลของกรรมไมดีที่อาจรายแรง ทําความชอกช�้ำใหแกชีวิตไดเปนอันมาก ผูที่มุงแตจะไดในชาตินี้ โดยไมคํานึงถึงความถูกตองชอบธรรม เปนการทํากร รมไมดีเปนสวนใหญ เทากับใหโอกาสกรรมไมดี ในอดีตชาติที่ไดสั่งสมไว ใหตามมาสงผลทั น ในชาตินี้งายเขา และสงผลไดแรงเต็มที่งายเขา โดยไมมีกรรมดีเพียงพอจะชวยเหลือยับยั้ง หรือผอนคลายใหเบาลง ผูที่ไดรับอะไรๆรายแรงตางๆ เชนเสียสติบาคลั่งอยางไมทันที่จะรูตัว ประสบอุบัติเหตุรายแรงถึงเสียชีวิต หรือไมก็เสียหมดทั้งครองครัว หรือประสบความหายนะ ถึงสิ้นเนื้อประดาตัวตองเศราโศกเสียใจจนขาดสติสั มปชัญญะผลของกรรมไมดีเชนนี้ แมจะ ติดตามทุกคนผูทําเหตุ แหงกรรมไมดีนั้นอยู แตก็อาจไมสามารถตามทันแมผูนั้นจะพยายามวิ่ง หนีอยางเต็มสติปญญาความสามารถ พลังสําคัญประการหนึ่งที่จะชวยใหสามารถหนีพนมือแหงกรรมไมดีที่ติดตามตะครุบอ ยูไดและเปนพลังที่จะสามารถทําใหเกิดขึ้นไดไมยากคือการนึกถึงพระพุทธเจานึกถึงพุทโธนึก ไวใหคุนเคยเปนอันหนึ่งอันเดียวกับใจ สิ่งใดที่เปนอันหนึ่งอันเดียวกันก็หมายถึงความจะไมอาจ แยกจากกันไดเลย ไมวาเวลาใดก็ตามจะสุขจะทุกข จะเปนจะตายใจก็มีพุทโธพุทโธมีอยูในใจ กรรมดีก็ตามกรรมไมดีก็ตามเมื่อสงผลจะตองมีสื่อมีเครื่องมือมีมือเปนเครื่องนําใหถึงผูจะตอง รับผลแหงกรรมนั้น ทั้งกรรมดีและกรรมไมดี เชนคนเมาสุราขับรถพุง

38

ค�ำสอน๑หยิบมือ


เขาชน ผูจะตองรับผลแหงกรรมก็จะถูกรถนั้นชนถึงตาย หรือถึงพิการหรือ บาดเจ็บสาหัส ตองเสียเงินทองรักษาพยาบาลมากมายคนเมาสุราที่ขับรถพุงเขา ชนคือเครื่องมือแหงกรรม ซึ่งมีสุราเปนเครื่องบังคับใหพุงตรงจุดหมายได คือใหกรรมสง ผลไดสําเร็จหรือที่เรียกวาใหกรรมตามทันได แตแมผูที่กรรมนั้นตามอยู เปนผูกําลังวิ่งหนี กรรมไมดีอยูเต็มกําลั งดวยการทําความดีตางๆ มีการทองพุทโธใหเปนอันหนึ่งอันเดียวกับ ใจเปนตน พุทโธอันเปนยอดของความดีก็จะเปรียบไดดังพลังจิตอันแรงกลาของนักสะกดจิต ที่ จะสะกดผูขับรถซึ่งกําลังมึนเมาดวยฤทธิ์สุราใหหยุดรถเสี ยทันทีกอนจะทันพุงเขาชนเปาหมาย ที่กรรมตามอยู ความสวัสดียอมมีแกผูที่กรรมตามติดอยูนั้นอยางเปนที่นาอัศจรรยนักอันกร รมไมดีนั้นมีคูที่มักจะใชดวยกันมีความหมายไปในทางไมดี คือเจากรรมนายเวรผูมีสัมมาทิฏฐิ ยอมไม ปฏิเสธความเชื่อที่มีอยูวาเจากรรมนายเวรนั้นมี ไมใช ไมมี เจากรรมนายเวรคือผูที่ถูก ทํารายกอนและผูกอาฆาตจองเวร แมไมอาฆาตจองเวรก็ไมเปนเจากรรมนายเวร คือไมเปนผูคิด รายไมติดตามทํารายใหเปนการตอบสนองหรือที่เรียกกันวาแกแคน การสงผลของกรรมดีและกรรมไมดีนั้นขามภพขามชาติได กรรมในอดีตชาติสงผลมา ทันในปจจุบันชาติก็มีไปสงถึงในอนาคตชาติก็มี แลวแตวาผูทํากรรมจะสามารถหนีไดไกลเทา ไรหรือหนีไดนานเทาไร นั่นก็คือ แลวแตวาในปจจุบันชาติ ผูทํากรรมแลวในอดีตจะสามารถ ในการทําจิตใจทําบุญทํากุศล ทําความดีได มากเพียงไหน เปนกรรมที่ใหญยิ่งหนักหนากวากร รมไมดี หรือไม การใหผลกรรมก็เชนเดียวกับการตกจากที่สูงของวัตถุ สิ่งใดหนักกวาเมื่อตกลง จากที่เดียวกันในเวลาใกลเคียงกัน สิ่งนั้นยอมถึงพื้นกอน เปรียบดังกรรมสองอยางคือกรรมดี และกรรมไมดี กระทําในเวลาใกลเคียงกัน กรรมที่หนักกวาไมวาจะเปนกรรมดีหรือกรรมไมดี ก็ตามยอมสงผลกอน กรรมที่เบากวายอมสงผลทีหลัง และยอมสงผลทั้งสองแนนอนไมเร็ว ก็ชาไมชาตินี้ก็ชาติหนาไมชาติหนาก็ชาติตอไป ตอไป ตอไปอาจจะอีกหลายภพชาติก็ได เพราะ กรรมไมใชสิ่งที่จะลืบเลือนไดดวยกาลเวลานานเพียงไรกรรมก็ยั งใหผลอยูเสมอกรรมจึ งมีอํา นาจเหนืออํานาจทั้งปวง สมเด็จพระญาณสังวร

ค�ำสอน๑หยิบมือ

39


นานแสนนานแหงการเวียน ทานพระอาจารยสําคัญรูปหนึ่งทานปรารถนาพุทธภูมิ คือปรารถ นาเปนพระพุทธเจาครั้นมาระลึกชาติไดวาเคยเกิดเปนไกหลายรอยหลายพันชาติกอ นที่จะไดมาเปนมนุษยในชาตินี้ทานก็เปลี่ยนความปรารถนาที่จะเปนพระพุทธะมาเปนพ ระผูไกล กิเลสไมตองเวียนวายตายเกิดตอไป เพราะทานสลดสังเวชชีวิตที่ผานมาแลวมากมาย และหวาดเกรงชีวิตที่จะตองพบอีกตอไปนับภพชาติไมถวนกวาจะถึงจุดปรารถนาคือพุทธ ภูมิ ซึ่งมิใชวาจะไปถึงกันไดโดยงายโดยเร็วจะตองใชเวลานานแสนนานในอีกหลายรอยหลาย พันภพภูมิ โดยไมอาจรูไดวากรรมจะนําใหไปเปนอะไรลําบากยากเข็ญอยางไร ซึ่งสําหรับ ทานผู ไดรูแจงในอดีตชาติ ของทานแลว ก็เกิดความกลัวยิ่งนักเบื่อหนายความตองเวียนวาย ในวัฏสงสารยิ่งนัก ดวยความพากเพียรพยายามสุดสติปญญาความสามารถที่จะตัดภพชา ติอนาคตใหหมดสิ้นไปโดยเร็วในที่สุดก็เชื่อกันวาทานพระอาจารยสําคัญรูปนั้นทานก็สําเร็จ ประสงคถึงความพนทุกขอยางสิ้นเชิงไดในภพภูมิปจจุบัน ครูอาจารยทานสําคัญๆ ทานรับรองและพระพุทธเจาก็ทรงรับรองวาชาติในอนาคตมี อยูสําหรับผูยังไมสามารถทํากิเลสใหหมดสิ้นได และการทํากิเลสใหหมดสิ้นนั้นคนเปนจํานว นมากทําไมไดในเวลาอันสั้นทั้งยังมีคนเปนจํานวนมากไมสนใจจะทําใหกิเลสหมดสิ้นยังเกลือ กกลั้วอยูกับกิเลสอยางหลงผิดดังนั้นภพชาติสําหรับคนเหลานี้ยังมีอยูมากมาย นักหนาใชเวลานานแสนนาน นับภพชาติหาไดไม โอกาสที่กรรมจะตามไปถึงจึงมีมากมาย นัก ไมวันใดก็วันหนึ่งไมชาติใดก็ชาติ หนึ่ง และอยาคิดผิดวาเมื่อถึงวันนั้นเวลานั้น ก็ จะจําไมไดแลววาเราเปนเราอะไรจะเกิดขึ้นก็ไมเดือดรอน ความคิดเชนนี้อาจจะเกิดแก เราแลวในอดีตชาติ และมาในปจจุบันเมื่อตองพบกับความเดือดรอนเราก็เดือดรอน มิใชวาเรา ไมเดือดรอนทั้งที่มิใชวาเราจะจําไดวาเราเปนเรา ไมวาจะเกิดเปนใครเปนอะไรเมื่อใดภพชาติ ไหนก็ตามเมื่อเปนทุกขก็ตองเปนทุกข เมื่อเปนสุขก็ตองเปนสุขจึงไมควรประมาทอยางยิ่ง ควร พยายามทําทุกอยางเพื่อไมใหในอนาคตตองเปนทุกข หรือเพื่อไมใหกรรมไมดีที่ทําไวตามทัน ไมวาเมื่อใดก็ตาม

40

ค�ำสอน๑หยิบมือ


ชีวิตนี้แมนอยนัก แตก็เปนความสําคัญนักสําคัญยิ่งกวาชีวิ ตในอดีตและชีวิตใน อนาคตที่วาชีวิตนี้คือชีวิตในชาติปจจุบันนี้สําคัญ ก็เพราะในชีวิตนี้เราสามารถหนีกร รมไมดีที่ทําไวในอดีตได และสามารถเตรียมสรางชีวิตในอนาคตใหดีเลิ ศเพียงใดก็ได หรือ ตกต�่ำเพียงใดก็ ได ชีวิตในอดีตลวงเลยแลวทําอะไรอีกไมไดต อไปแลว ชีวิตในอนาคตก็ยังไมถึง ยังทําอะไรไมได เชนนี้จึงกลาวไดวาชีวิตนี้สําคัญนักพึงใชชีวิตนี้ใหเปนประโยชนใหสมกับความ สําคัญของชีวิตนี้ สมเด็จพระญาณสังวร

ของดีมีอยูกับตัววาย ของดีมีอยูกับตัวเราทุกคนก็พากันปฏิบัติเอาทําเอาเมื่อเวลาตาย แลวจึงวุนวายหานิมนตพระมากุสลามาติกา ไมใชเกาถูกที่คัน ตองรีบแกเสียบัดนี้ คือ เรงทําความดีแตบัดนี้ จะไดหายหวงอะไร ๆ ที่เปนสมบัติของโลก มิใชสมบัติอันแทจริง ของเรา ตัวจริงไมมีใครเหลียวแล สมบัติในโลกเราแสวงหามา หามาทุจริตก็เปนไฟเผา เผา ตัวทําใหฉิบหายไดจริง ๆ ขอนี้ขึ้นอยูกับความฉลาดและความโงเขลาของผูแสวงหาแตละ ราย ทานผูพนทุกขไปดวยความอุตสาหสรางความดีใสตน จนกลายเปนสรณะของพวกเรา ทานไมเคยมีสมบัติเงินทอง เครื่องหวงแหน เปนคนร�่ำรวย สวยงามเฉพาะสมัย จึงพากัน รัก พากันหวง จนไมรูจักเปนรูจักตาย สําคัญตนวาจะไมตาย และพากันประมาท จนลืมตัว เพลิดเพลินตักตวงเอาแตสิ่งไมเปนทาใสตนแทบหาบไมไหว อยาสําคัญวาตนเกงกาจสามารถ ฉลาดรูกวาเขาเลย ถึงกับสรางความมืดมิดปดตาทับถมตัวเองจนไมมีวันสรางซา เมื่อถึงเวลา จนตรอกอาจจนยิ่งกวาสัตว ถาไมเตรียมทราบไวเสียแตบัดนี้ ซึ่งอยูในฐานะอันควร อาตมา ขออภัยดวยถาพูดหยาบคายไป แตคําพูดที่สั่งสอนคนใหละชั่ว ทําความดี จัดเปนหยาบคายอ ยูแลว โลกเราก็จะถึงคราวหมดสิ้นศาสนา เพราะไมมีผูยอมรับความจริง การทําบาปหยาบคาย มีมาประจําแทบทุกคน ทั้งใหผลเปนทุกข ตนยังไมอาจรูได และตําหนิมันบางพอมีทางคิดแกไข แตกลับตําหนิคําสั่งสอนหยาบคาย ก็นับเปนโรคที่หมดหวัง หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ค�ำสอน๑หยิบมือ

41


คุณของพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาคือสิ่งที่เกี่ยวเนื่องแนบแนนเปนอันหนึ่งอันเดียว กับพระพุทธเจา กวาจะทรงคนพบและตั้งขึ้นได ลําบากยากเย็นกวาใครสักคนจะมีลูก เปนที่รักดังดวงใจ ทํารายลูกก็เทากับทํารายผูเปนแมพอ ทําลายพระพุทธศาสนาจึงไมแตก ตางกับทําลายพระพุทธเจาแนนอนไมมีผูใดไดทําแต แนนอนเพียงการพยายามทํ าก็บาปหนัก ยิ่งกวาบาปฆาคนตายผลของกรรมนี้อาจจะลี้ลับเห็นยากและเห็นชาจึงทําใหพากันคิดวาการทํา ลายพระพุทธศาสนานั้ นไมบาปไมเปนอกุศล การจงใจทําลายพระพุทธศาสนที่ไมสําเร็จผล นาจะเกิดผลไมดีแกผูมุงทํารายนอยกวาผู ไมไดเจตนาทําลาย แตประพฤติตนเชน เจตนาทําลายบุคคลประเภทหลังนี้ โดยเฉพาะที่ นับถือพระพุ ทธศาสนากลาวไดวาเปนผูทํากรรมไมดีต่อพระพุทธศาสนา ซึ่งพระพุทธเจาทรง ตั้งขึ้น ทรงประคับประคองมาโดยมีพุทธบริษัทที่ดีรับมาประคับประคองตออยางถือเปนสมบัติ ล�้ำ คาไมมีพระพุทธเจาองค แลวพระพุทธศาสนาคือตัวแทนพระพุทธองคผูเปนสมาชิกของ บริษั ทสี่ในพระพุทธศาสนา แมทําตนใหเศราหมองดวยการประพฤติผิดศีล ผิดธรรม ผิดวินัย แมจะทําใหพระพุทธศาสนาเศราหมองไมได แตเมื่อตนเปนจุดหนึ่งในพระพุทธศาสนา ก็เทากับทําใหพระพุทธศาสนามีจุดเศราหมองปะปนอยูเล็กนอยเพียงไรก็เปนจุดดําความ ประพฤติปฏิบัติ เชนนั้น จึงเปนการทํากรรมไมดีตอสิ่งสูงสุดผลไมดีที่จะเกิดแกผูทํากรรมไมดี นั้นยอมรายแรงแนนอน พึงอยาประมาทพึงกลัวกรรมหนักที่จะเกิดจากการทํา ไมดีตอพระพุทธศษสนา ผูเบาปญญามีมิจฉาทิฐิ เห็นวาพระพุทธศาสนาไมใช คนไมมีเลือดเนื้อชีวิตจิตใจคิดจะทํา ลายก็ทําไปตางๆ นานาผูเบาปญญาหารูไมวาเมื่อกรรมตามทัน โทษนั้นรายแรงหนั กหนานัก พระเทวทัตก็มิไดถูกธรณีสูบทันทีที่ทํารายพระพุ ทธเจา เมื่อถึงเวลากรรมตามทัน พระเทวทัตจึงจมธรณี พนที่จะดิ้นรนใหพนจากความตายอยางทุกข ทรมานนาสยดสยองนั้น ได ผูพยายามทําลายพระพุทธศาสนาก็ เชนกันฉะนั้นอยาประมาท อะไรที่ ไมนาเชื่อเกิดอยู เสมอเกิดได เสมอในอดีตธรณีสูบได ในปจจุบันหรือในอนาคตธรณีก็สูบได เมื่อตองเปนไปตา มอํานาจอันยิ่งใหญของกรรม

42

ค�ำสอน๑หยิบมือ


แมพอที่มีลูกรักเพียงดวงใจ แมลูกนั้นมิใชลูกที่ดี มิใชลูกที่มีคุณ ประโยชน แกใครเมื่อใดเขาถูกทําราย บาดเจ็บสาหัสหรือถึงเสียชีวิต เมื่อนั้นก็เหมือนทํารายแมพอหนักหนาเชนนั้นดวยพระพุทธ ศาสนาเปนดวงพระหฤทัยของพระพุทธเจา ทรงไดมาดวยพระมหากรุณาเปยมพระพุทธหฤทัย เปรียบเปนพระพุทธบุตรพระพุทธศาสนาก็เปนพระพุทธบุตรที่ประเสริฐเลิศล�้ำหาผูเปรียบ เสมอมิได มีคุณประโยชนกวางใหญไพศาล ปราศจากขอบเขต และยั่งยืนยาวนานอยูทุกกาล เวลา เปนที่รักที่เทิดทูนสูงสงนักหนาของพรหมเทพมนุษย สัตว เสมอกันกับองค สมเด็จ พระบรมศาสดา พระผูทรงสถาปนาพระพุทธศาสนาไว แทนพระองค อยาเปนคนเบาปญญา พึงปฏิบัติตอพระพุทธศาสนาใหรอบคอบ มิฉะนั้นจะเสียประโยชนจากการมีชีวิตอยูในชาตินี้ที่ นอยนักชีวิตนี้ผานไปพนเมื่อไรจะเรียกกลับคืนไมได กรรมไมดีทั้งกลายจะหอมลอมจนแหลก เหลวดังที่ปรากฏใหเห็นให ไดยินอยูเสมอใหขนลุกขนพองสยดสยองอยู ไมเวนวาย ชีวิตในอดีตชาติลวงเลยไปแลว กรรมดีกรรมชั่วก็ ไดเปนอันทําแลวทั้งนั้นไมมีที่ จะใหไมไดทํา แตชีวิตในอนาคตชาติกําลังใกล เขามาเปนลําดับ ไมนานนักก็จะถึงเพราะชีวิ ตนี้ นั้นนอยนัก จบสิ้นงาย ชีวิตในภพชาติขางหนาตางหากที่ ยาวนานจนประมาณไมได ความ สุขอันยาวนานหรือความทุกขที่ยืดเยื้อจะมีมาพรอมกับชีวิตในชาติอนาคตแนนอนเรามีบุญที่ ไดเกิดเปนมนุษย ไดมีชาตินี้มีชีวิตนี้ ที่แมจะนอยนักแตก็เปนชีวิตเดียวที่สามารถจะพาเราหนี กรรมไมดีได และก็เปนชีวิตเดียวที่จะพาเราไปสวรรคก็ไดนิพพานก็ได พระพุทธศาสนาก็เชนเดียวกับพระพุทธเจา เพราะพระพุทธศาสนาประกอบพร อมดวย พระพุทธเจา พระธรรมคําสอนของพระพุทธเจา และพระสงฆอริยสาวกของพระพุทธเจา พระพุทธศาสนาจึงมีคุณเชนเดียวกับที่พระพุทธเจาทรงมีพระคุณ พระคุณของพระพุทธเจา ยิ่งใหญเพียงไรพระพุทธองคไดทรงมอบไวในพระพุทธศาสนาหมดสิ้นแลวเราเรียนพระพุทธ ศาสนาหรือเรียนพระธรรมกันอยูตลอดมาแมจนทุกวันนี้ เทากับเรากําลังพยายามจะใหสามารถ แลเห็นพระพุทธเจาใหไดแตกอนที่เราจะไดเห็นพระพุทธองคเราจําเปนตองรอบคอบระวัง รักษาพระพุทธศาสนาอยางดี อยาประมาทมองใหเห็นผูเบาปญญามีมิจฉาทิฐิ แมผูนั้นจะเปน ตัวเราก็ตองมองใหตรงตามความจริงไม เห็นภัยจะกันภัยไมได ไมเห็นผูมุงทําลายพระพุทธ ศาสนาก็จะปองกันพระพุทธศานาไมได สมเด็จพระญาณสังวร ค�ำสอน๑หยิบมือ

43


ไม่ ฉลาด รักษาใจ จึง กวัดแกว่งไปตามอารมณ์ เปรียบ น�้ำฝน มันเป็นน�้ำที่ สะอาด มันจะมี ความใสที่สะอาดปกติดี ถ้าหากเราเอาสีเขียว สีเหลือง ใส่เข้าไป น�้ำมันก็เป็นสีเหลือง สี เขียว จิตใจเรานี้เช่นกัน ฉันนั้น เมื่อ มันถูกอารมณ์ที่ชอบใจ ใจมันก็สบาย ถูก อารมณ์ที่ไม่ชอบใจ ใจมันก็ไม่สบาย เหมือนกับ ใบไม้ ที่มันถูกลม มันก็กวัดแกว่ง เอาแน่นอนไม่ได้ ดอกไม้ ผลไม้ มันก็ถูกลมเหมือนกัน ถูกลมมาพัด มันก็ตก ไปเลย ไม่มีสุก จิตใจมนุษย์เรานี้ก็เหมือนกัน ถูกอารมณ์มาพัด ไป ถูกอารมณ์มาฉุดไป มาดึงไป ตกไป ก็เหมือนกันกับผลไม้ หลวงพ่อชา สุภัทโท

44

ค�ำสอน๑หยิบมือ


ผิดในถูก เราเห็นแล้วว่า ถ้วยใบนี้ เอาไว้ที่ไหน...มันก็ต้อง แตก จานนี่ เอาไว้ที่ไหน...ก็ต้องแตก แต่เราก็ต้อง สอนเด็กว่า ล้างให้มันสะอาด เก็บไว้ให้ดี เราก็ต้องสอน เด็กอย่างนี้ ตามสมมุติอย่างนี้ เพื่อเราจะใช้ถ้วยนี้นาน ๆ อันนี้ เรารู้จักธรรมะ เอาธรรมะมาปฏิบัติ ถ้าเห็นว่า อันนี้มันจะแตกอยู่แล้ว เราบอก เออ! ช่างมันเถอะลูก กินแล้ว ก็ไม่ต้องล้างมันหรอก จะตกก็ช่างมันเถอะ ไม่ใช่ของเราหรอก เอาทิ้งไว้ที่ไหน ก็ได้ มันจะแตกอยู่แล้ว อย่างนี้ก็เป็นคนโง่ไป ถ้าเราเป็น "ผู้รู้สมมุติ" อันนี้ เมื่อมันเจ็บไข้...ก็หาหยูกยาให้มันกิน เมื่อมันร้อน...ก็อาบน�้ำให้มัน เมื่อมันเย็น...ก็หาความอบอุ่นให้มัน เมื่อมันหิว...ก็หาข้าวให้มันกิน แต่ให้เรารู้ว่า ให้ข้าวมันกิน...มันก็จะตายอยู่ แต่ในเวลานี้ ยังไม่ถึงคราวจะตาย เหมือนถ้วยใบนี้...ยังไม่แตก ก็รักษาถ้วยใบนี้...ให้มัน "เกิดประโยชน์" เสียก่อน หลวงพ่อชา สุภัทโท

ค�ำสอน๑หยิบมือ

45


สิ้นโลก เหลือธรรม พากันมาฟงความเสื่อมฉิบหายของโลกตอไป "โลก" คือความเสื่อมอัน จะตองถึงแกความฉิบหายในวันหนึ่งขางหนาเขาจึง เรียกวาโลกถาไมชนนั้นแลวคําวาโลกก็จะไมมี โลกเกิดจากวัตถุอันหนึ่งซึ่ง เปนกอนเล็กๆอันเกิดจากฟองมหาสุมทรที ่กระทบกันแลวกลายเปนกอนเล็กๆขึ้นกอนจะเรียก วาอะไรก็เรียกไมถูกเรียกวาธาตุอันหนึ่งก็แลวกันคือหมายถึงวัตถุธรรมชาติที่เกิดขึ้นมาเองเปน เองแลวคอยขยายกวางใหญไพศาลจรดขอบเขตแมน�้ำและมหาสมุทรทั้งสี่โดยมีจักรวาลเปนข อบเขต แลวคอยปริออกมาเปนสวนเล็กๆนอยๆแปรสภาพเปนรูปลักษณะตางๆกันมีอวัยวะ ครบบริบูรณ แลวมีจิตวิญญาณซึ่งคุนเคยเปนกันเอง เขามาครอบครองทําหนาที่ บังคับบัญชา ธาตุนั้นๆใหเปนไปตามวัตถุของโลก ซึ่งเราเรียกกันวา "คน" นั่นเอง แตละคนหรือตัวตนที่สมมติวาคนนี้ ก็จะตองเสื่อมสลายไปในวันหนึ่งขางหนาเชน เดียวกัน แมในเดี๋ยวนี้คนหรือที่เรียกวามนุษยสัตวโลกหรือมนุษยโลกก็กําลังเสื่อมไปอยูทุก วันๆดังที่พระพุทธเจาไดตรัสไวเมื่อพระองคทรงสําเร็จพระโพธิญาณใหมๆวามนุษยชาวโลก นี้มีอายุประมาณ100ปอายุคนจะลดนอยถอยลงมาปหนึ่ง ปจจุบันนี้พระพุทธองคนิพพานไป ไดประมาณ 2,500 ปแลว อายุของมนุษยจะเสื่อมลงคงเหลือประมาณ75 ป ถาจะคํานวณ ตามแบบนี้อายุของมนุษยก็เสื่อมเร็วนักหนาอายุของมนุษยจะเสื่อมลงไปอยางนี้เรื่อยๆ จน กระทั่งเหลือ10ป ก็มีครอบครัวเปนผัวเมียสืบพันธุกันแมสัตวเดรัจฉานอื่นๆก็เสื่อมลงโดยลํา ดับเชนเดียวกันกับมนุษยดินฟาอากาศก็เปลี่ยนแปลงปรวนแปรเปนไปตางๆจนเปนเหตุใหเกิด กลียุคฆาตายกันเปนหมูๆเหลาๆสัตวตัวใหญที่มีอิทธิพลก็ทําลายสัตวตัวนอยใหลมตายหาย สูญเปนอันมากมนุษยจะกลายเปนคนไมมีพอแมพี่นองหรือญาติวงศซึ่งกันและกันเมื่อเห็น หนากันและกันก็จับไมคอนกอนดินขึ้นมากลายเปนศาสตราวุธประหัตประหารฆากันตายเปน หมูๆเรื่องศีลธรรมไมตองพูดถึงเลยแมน�้ำลําคลองหวยหนองคลองบึง ก็เหือดแหงไปเปนตอนๆ ฝนไมตกเปนหมื่นๆแสนๆป มีแตเสียงฟารองครืนๆแตไมมีฝนตกเลย เมื่อเปนเชนนั้นน�้ำในทะเลอันใหญโตกวางขวางและลึกจนประมาณมิได ก็เหือดแหงก ลายเปนทะเลทราย ปลาตัวหนึ่งซึ่งใหญที่สุดในโลกมีชื่อวา"ติมิงคละ" ก็นอนตายอยูบนกอง ทรายและโดยอํ านาจของแดดเผาผลาญทําใหปลาตัวนั้นมีน�้ำไหลออกมาบังเกิดเปน ไฟลุกทวมทนทําใหมนุษยโลกทั้งหลายฉิบหายเปนจุนวิจุณเขาเรียกวาไฟ

46

ค�ำสอน๑หยิบมือ


บรรลัยโลก โลกนี้ทั้งหมดก็จะกลายเปนอัชฌัตตากาศอันวางเปลา สัตวที่ มีวิญญาณก็จะขึ้นไปเกิดในภพของพรหมชั้นอาภัสสระซึ่งไฟไหมไมถึง ในหนังสือไตรโลกวิตถารทานกลาววาโลกนี้ทั้งหมดจะตองฉิบหายโดย อาการ ๓ อยาง คือราคะ โทสะ โมหะ ๓ประการนี้ เปน เหตุ สัตวหนาไปดวยราคะโลกนี้จะตองฉิบหายดวยน�้ำสัตวหนาไปดวยโทสะ โลกจะตองฉิบหาย ดวยไฟ สัตวหนาไปดวยโมหะ โลกจะตองฉิบหายดวยลมโลกจะตองฉิบหายดวยการบรรลัย โลกกันอยูอยางนี้ในระหวางกัลปใหญๆ ไฟบรรลัยโลกเล็กๆที่เกิดในระหวางกัลปใหญๆนี้ มีปญ หานาพิจารณาน�้ำราคะอันมีอยูในมนุษยชาวโลกแตละคนมีอยูนอยนิดเดียวทําไมทานแสดงวา สามารถทวมโลกไดจนเปนน�้ำบรรลัยโลก โทสะและโมหะก็เหมือนกันอยูในตัวมนุษยโลกซึ่ง มองไมเห็น ทําไมจึงแสดงฤทธิ์ใหญโตจนไหมโลกและพัดเอาโลกจนฉิบหาย ขอนักปราชญเจา จงใชปญญาพิจารณาใหถองแทเห็นจะไมทวมโลกและเผาโลกใหฉิบหายเปนกัปปเปนกัลปดัง วานั้นก็ได พวกเราชาวโลกผูมีน�้ำและไฟหรือลมอยูในตัวนิดหนอยนี้คงจะมองเห็นฤทธิ์เดช เรื่องของทั้ง ๓ นี้ วามีฤทธิ์เดชเพียงใดราคะคือความกําหนัดยินดีในสิ่งสารพัดวัตถุทั้งปวงมีผัว เมียเปนตนมันทวมทนอยูในอกโดยความรักใครอันหาประมาณมิได โทสะคือไฟกองเล็กๆนี้ก็ เหมือนกันมันไหมเผาผลาญสัตวมนุษยไมมีที่สิ้นสุด จนกินไมไดนอนไมหลับโมหะก็เชนเดียวกัน มันพัดเอาฝุนละอองกิเลสภายนอกและภายในมาทวมทับหัวอกของคนจนมืดมิด ใหเขาใจวา สิ่งที่ผิดเปนถูก ของ ๓ อยางนี้มีฤทธิ์เดชมหาศาลสามารถทําลายโลกใหเปนกัปปกัลปได แตละ กัปปนั้นทานไมไดแสดงวามีอายุเวียนมาสักเทาไหร เปนแตแสดงวาเปนกัปปเล็กๆในระหวา งกัปปใหญ เห็นจะเพราะน�้ำราคะ ไฟโทสะลมโมหะ ท่วมโลกและเผาผลาญโลกนี้ไมหมดสิ้น ทานจึงไมแสดงถี่ถวน เพียงแตพูดเปรยๆเพื่อใหนักปราชญผูมีปรีชาเอามาคิดเพื่อไมใหหลงผิดๆ ถูกๆรูจักชดแจงโดยใจของตนเองชัดแจงดวยใจของตนแลวนํามาพิจารณาเฉพาะตนๆ ความฉิบหายของโลกเปนอยางนี้แลวๆเลาๆไมมีที่สิ้นสุดพระบรมโพธิสัตวผูซึ่งทานไดบํา เพ็ญบารมี ๓๐ ทัศมาครบถวนบริบูรณแลวชาวสวรรคทั้งปวงเล็งเห็นวาโลกนี้วุนวายเดือดรอ นกันมากจึงไดไปทูลเชิญพระบรมโพธิสั ตวจุติจากสวรรคชั้นดุสิตลงมาปฏิสนธิในครรภของ พระนางสิริมหามายาพระมเหสีของพระเจาสุทโธทนะตระกูลศากยราชเมื่อคลอดออกจาก ครรภของพระมารดาแลวเสด็จยาง พระบาทไดเจ็ดกาวทรงแลดูทิศทั้งสี่แลว เปลงอาสภิวาจาวา"อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺมิ "เราจะเปนเลิศในโลก ค�ำสอน๑หยิบมือ

47


เมื่อทรงพระเจริญวัยขึ้นมาก็ไดเสวยความสุขอันเลิศจนกระทั่งเสด็จ หนีออกบรรพชาทรงบําเพ็ญทุกรกิริยาอยูถึง ๖ พรรษา จึงไดคนพบ พระอริยสัจธรรมสําเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณเปนพระบรมศาสดาสัมมาสัม พุทธเจาแลวจึงทรงพิจารณามองเห็นสัตวโลกที่เดือดรอนวุนวายดวยไมมีศีลธรรมเปนเครื่อง ครอบครองหัวใจจึงเปนเหตุใหเกิดการอิจฉาริษยา ฆาฟนกันตายเปนหมูๆเหลาๆเปนเครื่อง เดือดรอนอยูตลอดกาลและดวยอาศัยพระเมตตากรุณาอันใหญหลวงของพระพุทธองคที่ทร งมีตอมนุษยสัตวทั้งหลายจึงทรงเทศนาสั่งสอนสัตวนิกรทั้งหลายใหเขาถึงธรรมะใหมีศีลธร รมประจําตนของแตละคนๆเพื่อใหอยู เย็นเปนสุขตลอดกาลดั่งที่พระองคทรงเทศนาธรรม โลกบาลคือธรรมอันเปนเครื่องคุมครองสัตวโลกมี 2 อยางคือหิริและโอตตัปปะแตมนุษยชาว โลกทั้ งหลายกลับเห็นวาพระพุทธเจาเกิดมาทีหลังโลกทานตองคุมครองเราซิไมใหมีอันตราย และเดือดรอนวุนวายจึงจะถูก ความเปนจริงและพระพุทธเจาไมสอนใหมนุษยเปนทาสกรรมกรซึ่งกันและกัน แตพระองคสอนใหมนุษยมีอิสระคุมครองตัวเองแตละคนจึงจะอยูเย็นเปนสุขถาพระองคสอน ใหเปนทาสกรรมกรซึ่งกันและกันเหมือนกับตํ ารวจและทหารตองอยูเวรเขายามรักษาการณ อยูทุกเมื่อแลวโลกก็ดูจะเดือดรอนอยูไมเปนสุขตลอดกาลแต พระองคทรงสอนหัวใจคนทุก คนใหรักษาตนเองโดยใหมีหิริ-โอตตัปปะ คือความละอายและเกรงกลัวตอบาป ถาทุกๆคน มี ธรรมสองอยางนี้อยูในหัวใจแลวก็จะไมมีเวรมีภัยและการเบียดเบียนซึ่งกันและกันมนุษยคือ โลกเล็กๆนี้ก็จะอยูเปนสุขตลอดกาลแลวโลกอันกวางใหญไพศาลก็จะพลอยอยูเย็นเปนสุข ไปดวย เปนวิสัยธรรมดาของโลกที่จะตองมีความเห็นเขาขางตัวเองคือเห็นวาพระพุทธเจา จะตองคุมครองรักษาโลกเหมือนกับตํารวจรักษาเหตุการณฉะนั้นเหตุนั้นเมื่อพระพุทธเจา ตรัสรูพระธรรมแลวจึงทรงสอนมนุษยชาวโลกใหมีศีลธรรมเกิดขึ้นในใจของตนแตละคน มนุษยจึงจะอยูเย็นเปนสุขรวมกันไดในโลกนี้ทั้งหมดโลกอันกวางใหญไพศาลนี้เกิดขึ้นมากอน แลวธรรมจึงคอยเกิดขึ้นภายหลังดังที่ พระพุทธองคตรัสไววาโลกธรรมแปดโลกที่เกิดขึ้นที่ใดธรรมตองเกิดขึ้นที่นั้นถาโลกไมเกิดธร รมก็ไมมี ที่พระพุทธองคทรงแสดงโลกธรรมแปดนั้นหมายถึงโลกธรรม๔คูมี อาการ๘อยางคือ

48

ค�ำสอน๑หยิบมือ


มีลาภ - เสื่อมลาภ๑ มียศ - เสื่อมยศ๑ มีสรรเสริญ - นินทา๑ มีสุข - ทุกข๑ เมื่อโลกเกิดขึ้นแลวพระองคจึงทรงสอนธรรมทับลงไปเหนือโลกตัวอยางเชนความไดใน สิ่งสารพัดทั้งปวงเรียกวาลาภเกิดขึ้นมนุษยไดลาภก็เกิดความพอใจยินดีแลวไมอยากใหลาภ เสื่อมเสียไปและเมื่อลาภเสื่อมเสียไปก็เกิดความเดือดรอนตีโพยตีพายวุนวายกระสับกระ สายไมเปนอันจะกินจะนอนนั้นเรียกวาโลกโดยแทพระองคจึงทรงสอนธรรมทับลงเหนือโลกแท คือแสดงความไดลาภ-เสื่อมลาภใหเห็นตามเปนจริงวาเปนธรรมดาของโลกแตไหนแตไรมาโลก นี้ตองเปนอยูอยางนั้นเราจะถือวาของกูๆไมไดถายึดถือวาของกูๆอยูร�่ำไปเมื่อลาภเสื่อมไปมันจึง เปนทุกขเดือดรอนกลุมใจนั่นแสดงใหเห็นชัดเลยวาสิ่งนั้นไมใชของตนมันจึงเสื่อมไปหายไปถา มัน เปนของเราแลวไซรมันจะหายไปที่ไหนได ทานจึงวามันเปนอนัตตาไมใชของตนของตัวมัน จึงตองเปนไปตามอัตภาพของมันพระองคทรงสอนอยางนี้ ใหเห็นตามเปนจริงอยางนี้ เห็นตาม อัตภาพแทจริงของมันจึงเรียกวาพระพุทธองคทรงสอนธรรมทับลงเหนือโลกใหเห็นโลก เปนธรรมนั่นเอง ความไดยศ-เสื่อมยศก็เชนเดียวกันไดยศคือความยกยองวาเปนใหญเปนโตมีหนามีเกีย รติมีอํานาจหนาที่ มีชื่อเสียงจิตก็พองตัวขึ้นไปตามคําวา "ยศ" นั้นหลงยึดวาเปนของตัวจริงๆ จังๆธรรมดาความยกยองของคนทั้งหลายแตละจิตละใจก็ไมเหมือนกันเขาเห็นดี เห็นงามใน ความมียศศักดิ์ของตนดวยประการตางๆเขาก็ยกยอชมเชยดวยความจริงใจแตเมื่อเขาเห็นกิริยา วาจาอันนารังเกียจของตนที่ แสดงออกมาดวยอํานาจของยศศักดิ์ เขาก็จําเปนตองเสแสรง แกลงปฏิบัติไปดวยความเกรงกลัวตนกลับไปยึดถือยศศักดิ์นั้นวาเปนของจริงของจังเมื่อมัน เสื่อมหายไปความเกรงใจจากคนอื่นก็หมดไปดวย ตนเองก็กลับโทมนัสนอยใจ ไมเปนอันหลับ อันนอนอันอยูอันกิน แทจริงแลวความไดยศ-เสื่อมยศนี้เปนของมีอยูในโลกแตไหนแตไรมาเชน นี้ ตั้งแตเรายังไมเกิดมาพระพุทธองคจึงทรงสอนธรรมทับลงเหนือโลกใหเห็นวาไดยศ-เสื่ อมยศ นี้เปนของมีอยูในโลกมิใชของใครทั้งหมดถาผูใดไปยึดถือเอาของเหลานั้นยอมเปนทุกขไมมีที่ สิ้นสุดใหเห็นวามันเปนอนัตตาไมใชของใครทั้งหมดมันหากเปนจริงอยูอยางนั้น แตไหนแตไรมา ค�ำสอน๑หยิบมือ

49


สรรเสริญ-นินทาความสรรเสริญและนินทาก็เชนเดียวกันในตัวคนคน เดียวกันนั่นแหละเมื่อเขาเห็นกิริยาอาการตางๆที่นาชอบ เขาก็ยกยอ สรรเสริญชมเชย แตเมื่อเขาเห็นกิริยาวาจาที่นารังเกียจเขาก็ติเตียนคนผูเดียวกัน นั่นแหละมีทั้งสรรเสริญและนินทามันจะมีความแนนอนที่ไหนอันคําสรรเสริญและนินทาเปนข องไมมีขอบเขตจํากัดแตคนในโลกนี้โดยมากเมื่อไดรับสรรเสริญ จากมนุษยชาวโลกทั้งหลายที่เขายกให ก็เขาใจวาเปนของตนของตัวจริงๆจังๆอันสรรเสริญไมมี ตัวตนหรอกมีแตลมๆแลงๆหาแกนสารไมได้ แตเรากลับไปหลงวาเปนตัวเปนตนจริง ไปหลง หอบเอาลมๆแลงๆมาใสตนเขาก็เลยพองตัวอิ่มไปตามความยึดถือนั้นไปถือเอาเงา เปนตัวเปนจริงเปนจังแตเงาเปนของไมมีตัวเมื่อเงาหายไปก็เดือดรอนเปนทุกข โทมนัสนอยใจ ไปตามอาการตางๆตามวิสัยของโลกแทจริงสรรเสริญ-นินทามันหากเปนอยูอยางนั้นแตไหน แตไรมากอนที่เราจะเกิดมาเสียอีกพระพุทธองคทรงเห็นวามนุษยโงเขลาหลงไปยึดถือเอาสิ่ง ไมแนนอนมาเปนของแนนอนจึงเดือดรอนกันอยางนี้ แลวพระองคก็ทรงบัญญัติธรรมทับลง เหนือโลกอันไมมี แกนสารนี้ใหเห็นชัดลงไปวามันไมใชของตัวของตนแตเปนลมๆแลงๆ สรร เสริญเปนภัยอันรายกาจแกมนุษยชาวโลกอยางนี้แลวก็ทรงสอนมนุษยชาวโลกใหเห็นตาม เปนจริงวาสิ่งนั้นๆเปนอนัตตาจะสูญหายไปเมื่ อไหรก็ได มนุษยผูมีปญญาพิจารณาเห็นตาม ความจริงดั่งที่พระองคทรงสอนแลวก็คลายความทุกขเบาบางลงไปบางแตมิไดหมายความวา โลกธรรมนั้นจะสูญหายไปจากโลกนี้เสียเมื่อไร เปนแตผูพิจารณาเห็นตามเปนจริงดั่งที่กลาวมา แลวทุกขทั้งหลายก็จะเบาบางลงเปนครั้งคราวเพราะโลกนี้ยังคงเปนโลกอยูตามเดิมธรรมก็ยัง คงเปนธรรมอยูตามเดิมแตธรรมสามารถแกไขโลกไดเปนบางครั้งบางคราวเพราะโลกนี้ยังหนา แนนดวยกิเลสทั้ง๘ ประการอยูเปนนิจความเดือดรอนเปนโลกความเห็นแจงเปนธรรมทั้งสอ งอยางเปนเครื่องปรับปรุงเปนคูกันไปอยูอยางนี้ เมื่อกิเลสหนาแนนก็เปนโลกเมื่อกิเลสเบาบา งก็เปนธรรม มีสุข-ทุกข ทุกขเปนของอันโลกไมชอบแตก็เปนธรรมดาดวยโลกที่เกิดมาในทุกข อันนี้ ก็เปนทุกขเดือดรอนอยูนั่นเองความสุขยอมเปนที่ปรารถนาของโลกโดยทั่วไปฉะนั้นเมื่อความ ทุกขเกิดขึ้นจึงเดือดรอนเมื่อความสุขหายไปจึงไมเปนที่ปรารถนาแตแทที่จริงความทุกขและ ความสุขที่เกิดขึ้นแลวหายไปนั้นมันหากเปนอยูอยางนี้ตลอดเวลาเราเกิดมา ทีหลังโลกเราจึงมาตื่นทุกขตื่นสุขวาเปน

50

ค�ำสอน๑หยิบมือ


ของตนของตัวยึดมั่นสําคัญวาเปนจริงเปนจังเมื่อทุกขเกิดขึ้นสุขหายไปจึง เดือดรอนกระวนกระวายหาที่พึ่งอะไรก็ไมได พระพุทธเจ้าทรงเทศนาวา โลกอันนี้มีแตทุกข ไมมีสุขเลย ฉะนั้นทุกขจึงเปนเหตุใหพระองคพิจารณาจนเห็นตามสภาพความจริงแลวทรงเบื่อ หนายคลายจากทุกขนั้นจึงทรงเห็น พระอริยสัจธรรม แลวพระองคก็ทรงบัญญัติธรรมลงเหนือทุกข-สุขใหเห็นวาโลกอันนี้มันหาก เปนอยูอยางนั้นอยาถือวาเปนของเราถือเอาก็ไมไดอะไรไมถือก็ไมไดอะไรปลอยวางเสียใหเปนข องโลกอยูตามเดิมทรงรูแจงแทงตลอดวาอันนั้นเปนธรรมโลกกับธรรมจึงอยูคูเคียงกัน ดังนี้ ความเปนอยูของโลกทั้งหมดเมื่อประมวลเขามาแลวก็มี ๔ คู ๘ประการ ดั่งอธิบายมา แลวไมนอกเหนือไปจากธรรม ๔ คู ๘ ประการนี้โลกเกิดมาเมื่อไรก็ตองเจอธรรม ๔ คู ๘ ประการนี้ เมื่อนั้นร�่ำไปพระพุทธเจาทุกๆพระองคทรงอุบัติขึ้นมาก็เพื่อมาแกทุกข ๔ คู ๘ ประการนี้ทั้งนั้นพระองคจึงตรัสวา "เอสะ ธัมโม สะนะนั ตโน" ธรรมนี้เปนของเกาแกแตไหน แตไรมาพระพุทธเจาทุกๆพระองคก็มาตรัสรูในธรรมทั้งหลายเหลานี้ถาจะมีคําถามวา พระพุทธเจาที่มาตรัสรูในโลกก็เอาของเกาที่พระพุทธเจาองคกอนๆตรัสไวแลวแตเมื่อกอ นมาตรัสรูหรือ วิสัชชนาวาไมใชเชนนั้นความตรัสรูของพระพุทธเจาเปนของที่ไมเคยไดยิน ไดฟงมาแตกอนและไมมีครูบาอาจารยสอนเลยพระองคตรัสรูดวยพระองคเองตางหาก ไมเหมือนความรูที่เกิดจากปริยัติความรูอันเกิดจากปริยัติไมชัดแจงเห็นจริงในธรรมนั้นๆ สวน ธรรมที่พระองคตรัสรูนั้นเปนของปจุจัตตังรูดวยตัวเองไมมีใครบอกเลา และก็หายสงสัยในธรรม นั้นๆ แตเมื่อรูแลวมันไปตรงกับธรรมที่พระองค ทรงเทศนาไวแตกอนเชนทุกขเปนของแจงชัด ประจักษ ในใจ สมุทัยเปนเหตุใหเกิดทุกขเมื่อละสมุทัยก็ดําเนินตามมรรคและถึงนิโรธตรงกัน เปงกับธรรมที่พระพุทธเจาทรงสอนไว แตกอนๆโนน จึงเปนเหตุใหเขาถึงอริยสัจไมเหมื อนกับ คนผูเห็นตามบัญญัติที่พระองคตรัสไวแลวและจดจําเอาตามตํารามาพูดแตไมเห็นจริงตามตํารา ในธรรมนั้นๆดวยใจตนเอง เมื่อโลกนี้เกิดขึ้นมาแลวจึงตองมีการใชจายใชสอยแลกเปลี่ยนวัตถุสิ่งของซึ่งกันและกัน จึงจะอยูได เหตุนั้นรั ฐบาลจึงคิดเอาวัตถุธาตุคือโลหะแข็งๆมาทําเปนรูปแบนๆ กลมๆ แลวก็ จารึกตัวเลขลงบนโลหะนั้นเปนเลขสิบบางยี่สิบบางหนึ่งรอยบางที่เรียกวา เหรียญสิบบาท ยี่สิบบาท รอยบาท เปนตน หรือเอากระดาษอยางดีมาตัด เปนรูปสี่เหลี่ยมผืนผาแลวใสตัวเลขลงไปเปนสิบบาง ค�ำสอน๑หยิบมือ

51


ยี่สิบบางหนึ่งรอยบางหารอยบาง ตามความตองการแลวเรียกวาธนบัตร เอาไวใหประชาชนแลกเปลี่ยนซื้อขายซึ่งกันและกันเมื่อมีเงินจะซื้อวัตถุ สิ่งของอะไรก็ไดตามที่ตนตองการคนที่ตองการเงินก็ เอาวัตถุสิ่งของอีกคนตอง การธนบัตรที่มีราคาเทากันก็จะไดแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันการที่ได ของที่ตนชอบใจมาเปนกร รมสิทธิ์ จะเปนวัตถุหรือเงินตราก็ชางเรียกวา " ได " แตเมื่อไดวัตถุมาเงินก็หายไป เรียกวาไดลาภเสื่อมลาภพรอมกันทีเดียว โลกอันนี้เปนอยูอยางนี้แตไหนแตไรมาคนหลงมัวเมาในวัตถุและเงินตราก็คิดวา ตนไดมาตนเสียไปก็แสดงอาการชอบใจและเสียใจตามสิ่งของนั้น ๆ พระพุทธเจาทรงเห็นโลก เดือดรอนวุนวายดวยประการนี้ และดวยอาศัยความเมตตากรุณาอยางยิ่งที่ทรงมีตอบรรดา สัตวทั้งหลายพระองคจึงทรงชี้เหตุเหลานั้นวาเปนทุกขเดือนรอนเมื่อของเหลานั้นหายไปเปนสุข สบายเมื่อไดของเหลานั้นมาไมเห็นตามเปนจริงในสิ่งเหลานั้นเมื่อเกิดเปนทุกขกระสับกระสาย ในใจของตนก็เปนเหตุใหแสดงอาการดิ้นรนไปภายนอกดวยอากัปกิริยาตางๆจนเปน เหตุใหเดือดรอนวุนวายทั่วไปหมดทั้งโลก เหตุนั้นพระองคจึงสอนใหเขาใจถึง"ใจ" เพราะ มนุษยมีใจดวยกันทุกคนสามารถที่จะรูได ผูมีปญญารูตามที่พระองคทรงสอนวาไดลาภ-เสื่อม ลาภมีพรอมๆกันในขณะเดียวกัน จึงไมมีใครไดใครเสียไดเพราะมัวเมาเสียก็เพราะมัวเมา ในกิเลสเหลานั้นผูมีปญญาพิจารณาเห็นแจงตามนัยที่พระองคทรงสอนจึงสรางจากความ มืดมนเหลานั้นพอจะบรรเทาทุกขลงไดบางแตมิไดหมายความวาพระองคทรงสอนใหรูแจง เห็นจริงตามเปนจริงแลวจะบรรเทาทุกขไดทั้งหมดเปนธรรมลวนๆก็หาไม เพราะวาโลกนี้ มันมืดมนเหลือเกินพอจะสวางนิดหนอยกิเลสมันก็เขามาอีก โลกนี้มันหากเปนอยูอยางนั้น แตไหนแตไรมาพระองคลงมาตรัสรูในโลกอันมืดมนก็ดวยทรงเห็นวาสิ่งเหลานั้นมันเปนความ ทุกขของสัตวโลกจึงไดลงมาตรัสรูในหมูชุมชนเหลานั้นถาโลกไมมีกิเลสไมมี พระองคก็ทรง ไมไดเสด็จลงมาตรัสรู เปนพระพุทธเจาในโลกนี้พระพุทธเจาทุกๆพระองคที่ลงมาตรัสรูในโลก นี้ก็ทํานองเดียวกัน ทรงเล็งเห็นโลกอยางเดียวกันคือทรงเห็นความเดือดรอนวุนวายเพราะ มนุษยไมมีปญญาพิจารณาเห็นโลกตามเปนจริงดังกลาวมาแลว พระองคทรงสอนใหพวกมนุษยที่มัวเมาอยูในโลกเหลานั้นเห็นแจงประจักษดวยใจตน เองวาเปนทุกขจากไมเขาใจรูแจงเห็นจริงตามสภาวะของโลกดังอธิบายมาแลว บางคนพอรูบา งก็สรางจากความมัวเมาเพราะรูแจงตามเปนจริงของปญญาของตนๆแตบางคนก็ มืด มิดไมเขาใจของเหลานี้ตามเปนจริงเอา เสียเลยก็มีมากมายทุกขของ

52

ค�ำสอน๑หยิบมือ


โลกจึงเปนเหตุใหพระพุทธเจาเสด็จลงมาตรัสรูในโลกและก็อาศัยความ เมตตากรุณาอยางเดียวนี้ดวยกันทั้งนั้นพระพุทธเจาทุกๆพระองคที่ทรง ปรารถนาจะมาตรัสรูในโลกก็โดยทํานองเดียวกันนี้หรือจะกลาว วาโลกเกิดขึ้นกอนแลววุนวายกระสับกระสายเดือดรอนดวยประการอยางนี้จนเปนเห ตุใหพระพุทธเจาอุบัติขึ้นในโลกเรียกวาโลกเกิดกอนธรรม ก็วาได พระพุทธเจาทั้งหลายที่จะลงมาตรัสรูตามยุคตามสมัยของพระองค เมื่อพระองคทรง เล็งเห็นวาคนในยุคนั้นสมัยนั้นอายุประมาณเทานั้นเทานี้สมควรจะไดรับฟงพระธรรมเทศนา ของพระองค พระองคจึงไดอุบัติขึ้นมาเทศนาสั่งสอนนิกรสัตวทั่วโลกเมื่อเทศนาสั่ งสอนแลว จนเขาพระนิพพานบางพระองคก็ไดไวศาสนาอยางพระโคดมบรมครูของพวกเราทั้งหลาย พระองคทรงไวศาสนาเมื่อนิพพานแลว๕,000 ป เพื่ออนุชนรุนหลังที่ยังเหลือหลอจะไดศึกษา พระธรรมวินัยตอไปบางพระองคก็ไมไดไวพระศาสนาอยางพระศรีอารยเมตไตรยทรงมีพระ ชนมายุ ๘0,000ป เปนตน เมื่อพระองคตรัสรูแลวทรงสั่งสอนมนุษยสัตวนิกรอยูจนพระชนม ได ๘0,000 ป ก็เสด็จปรินิพพานแลวก็ไมไดทรงไวพุทธศาสนาอีกตอไปเพราะพระองคทรง พิจารณาแลวเห็นวาสัตวผูจะมาศึกษาพระธรรมวินัยของพระองคได หมดไปไมเหลือหลอ แลวผูสมควรจะไดมรรคผลนิพพานสิ้นไปหมดเทานั้น โลกวินาศยอมหมุนเวียนเปลี่ยนไปเปนวัฎจักรดั่งอธิบายมาแลวแตตนตลอดกัป ป ตลอดกัลป หาความเที่ยงมั่นถาวรไมมีสักอยางเดียวแตคนผูมีอายุสั้นหลงไหลในสิ่งที่ตน ไดตนเสียก็เดือดรอนวุนวายอยูร�่ำไปแทที่จริงสิ่งเหลานั้นมีอยูประจําโลกแตไหนแตไรมา ผูมี ปัญญาพิจารณาเห็นความเสื่อมความเสียตามนัยที่พระองคทรงสอนเห็นเปนของนาเบื่อหนาย จิตใจสลดสังเวชจนเปนเหตุใหผูมีปญญาเหลานั้นเบื่อหนายคลายความกําหนัดแลวละโลกนี้ เขาถึงพระนิพพานจนหาประมาณมิได ผูไมมีปญญาก็จมอยูในวัฎสงสารมากมายเหลือคณา นับโลกเปนที่คุมขังของผูเขลาเบาปญญา แตผูมีปญญาแลวไมอาจสามารถคุมขังเขาได โลก เปนของเกิด-ดับอยูทุกขณะ ธรรมอุบัติขึ้นมาใหรูแจงเห็นจริงในโลกนั้นๆแลวตั้งอยูมั่นคงถาวร ตอไปเรียกวาโลกเกิด-ดับธรรมเกิดขึ้นตั้งอยูถาวรเปนนิจจังเพราะไมตั้งอยูในสังขตธรรม ธร รมเปนของไมมีตัวตนแตพระพุทธเจาทรงเทศนาไวที่หัวใจของคน คนรูแลวตั้งมั่นตลอดกาล ถึงคนไมรูเทาทันแตธรรมนั้นก็ยังตั้งอยูเปนนิจกาล เปนแตไมมีใครรูใครสอนธรรมนั้นออกมา แสดงแกคนทั้งหลายถึงแมพระพุทธองคจะนิพพานไปแลวแตธรรมนั้นก็ยัง ตั้ง อยูคูฟาแผนดิน จึงเรียกวาอมตะโลกเปนของ ค�ำสอน๑หยิบมือ

53


ฉิบหายดังกลาวมาแลว เพราะตั้งอยูในสังขตธรรมมีอันตองแปรปรวนเปน ธรรมดาธรรมที่ พระองคทรงสอนใหรูแจงเห็นจริงเขาถึงหัวใจคนเปนข องไมมีตัวตนเปนอนิจจังไมได ตั้งอยูเปนกลางๆถึงคน คนนั้นจะตายไปแตธรรมก็ ยังมีอยูเชนนั้นจึงเรียกวา “สิ้ นโลก-เหลือธรรม” ดวยประการฉะนี้ หลวงปู่เทสก เทสรังสี

ธรรมเครื่องสรางคนใหเปนคนดี การที่จะป้องกันตัวเองมิใหหลงใหลเลื่อนลอยไปเปนผูทําลายพระ พุทธศาสนาแมโดยมิไดตั้งใจจําเปนตองมีหลักยึด ยึดหลักไวใหมั่น กระแสใดๆก็จะพัดพา ไปไมได หลักที่นาจะมั่นคงแข็งแรงสามารถรับการยึดเหนี่ยวไดทุกเวลานั้นนาจะเปนหลักแหง ความกตัญู กตเวทียึดกตัญู กตเวทีใหเปนหลักประจําใจมั่นผลที่เกิดตามมานั้นจะไมมีเสีย หายแมแตนอย กตัญู กตเวที ความรูคุณที่ทานทําแลวแกตนและตอบแทนพระคุณนั้น พระพุทธ องคทรงสรรเสริญวาเปนธรรมของคนดี คือคนดีมีธรรมนี้ หรือธรรมนี้ทําใหคนเปนคนดีคือคน ใดมีธรรมคือความกตัญู กตเวทีคนนั้นก็คือคนดีนั่นเองในดานตรงกันขามคนใดไมมีกตัญู กตเวที คนนั้นไมใชคนดี เชิญสํารวจตนเองใหทุกคน ใหเห็นใจตนอยางชัดเจนตรงตามความจริงวามีความ กตัญู กตเวทีหรือไม แลวก็จะไดรูจักตนเองวาเปนคนดีหรือไม ไมมีกตัญู กตเวทีไมเปนคนดี จริงๆอยาสงสัย แตจงเรงอบรมใจตนเองใหมีกตัญู กตเวทิตาธรรมใหจงได อยาใหผานชีวิตนี้ ไปสูชีวิตหนาที่ยาวนาน โดยไมถือโอกาสสรางชีวิตในภพชาติขางหนาใหสวยสดงดงามอยางยิ่ง กตัญู กตเวทิตาธรรมเปนธรรมเครื่องสรางคนใหเปนคนดีไดจริงๆเพราะความ รูคุณทานผูมีคุณและความตั้งใจจะตอบแทนพระคุณ คือเครื่องปองกันที่สําคัญที่สุดที่จะกัน ใหพนจากการทําผิดคิดรายไดทั้งหมดโดยมีจุดมุงอยูที่ความไมปรารถนาจะทําใหผูมีพระคุณ เปนทุกขเดือดรอนกายใจ

54

ค�ำสอน๑หยิบมือ


ทุกคนมีผูมีพระคุณของตนอยางนอยก็มารดา บิดา ครู อาจารย เพียงมีกตัญู รูคุณทานเทาที่กลาวนี้ก็เพียงพอจะคุมครองตนใหพนจากความไมดีทั้งปวง ได ขอให เปนความกตัญู กตเวทีจริงใจเทานั้นอยาใหเปนเพียงนึกวาตนเปนคนกตัญู ความ จริงกับความนึกเอาแตกตางกันมากผลที่จะไดรับจึงแตกตางกันมากดวย ผูมีกตัญู กตเวทีนั้นจะรูจักบุญคุณของผูมีบุญคุณทั้งหมดจะตอบสนองทุกคน เต็มสติปญญาความสามารถควรแกผูรับ และนี่เองที่จะเปนเหตุใหคิดดี พูดดี ทําดีเพราะเกรงวา การคิดไมดี พูดไมดี ทําไมดี จะมีสวนทําใหผูมีบุญคุณเดือดรอนเชนมารดาบิดาเปนผูมีพระคุณ ลูกกตัญู จะประพฤติตัวเปนคนดี จะไมเปนคนเลวเพราะเกรงวามารดาบิดาจะเสื่อมเสียนี่ก็ เทากับคุมครองตนเองไดแลวดวยความกตัญู กตเวที ระพุทธเจาทรงมีพระคุณใหญยิ่งที่สุด ทรงมีพระคุณตอโลก ตอศาสนิกของ โลกพระธรรมคําสอนของพระพุทธองคที่ทําใหพุทธศาสนิกเปนคนดีมีธรรมะนั้น มิไดเปนคุณ เฉพาะพุทธศาสนิกเทานั้น แตเปนคุณไปทั่วถึงคนดีคนเดียวใหความรมเย็นเปนสุขไดกวาง ไกล เชนเดียวกับคนไมดีคนเดียวใหความทุกขความรอนไดมากมายพระพุทธศาสนาสราง พุทธศาสนิกชนที่ดีก็เทากับพระพุทธศาสนาสรางความรมเย็นเปนสุขใหแกโลกดวยเหมือนกัน พึงมีกตัญู กตเวทีตอพระพุทธเจาคิดดีพูดดี ทําดี ใหเปนไปดังที่ทรงแสดงสอนไว จะหนีกรรม เกาไดทันและจะสรางชีวิตในชาติใหมภายหนาใหวิจิตรงดงามเพียงใดก็ได พระพุทธเจาเสด็จดับขันธปรินิพพานแลวไมไดหายไปไหนพระพุทธบารมียัง ปกปกรักษาโลกอยูคนในโลกยังรับพระพุทธบารมีไดมิไดแตกตางไปจากเมื่อยังทรงดําริ พระ ชนมอยูเพียงแตวาจําเปนตองเปดใจออกรับมิฉะนั้นก็จะรับไมได การเปดใจรับพระพุทธบารมี ไว้คุมครองรักษาตนไมยากลําบาก ไมเหมือนการเข็นกอนหินใหญที่ปดปากถ�้ำเพียงนอมใจ นึกถึงพระพุทธเจาใหจริงจังอยูเสมอก็จะรับพระพุทธบารมีได จะมีชีวิตที่สวัสดีมีสุขสงบได พระพุทธเจาเสด็จดับขันธปรินิพพานแลวไมทรงเวียนวายตายเกิดในวัฏสงสาร อีกตอไปแตพระพุทธบารมียังพรั่งพรอมพระอาจารยสําคัญรูปหนึ่งทานเลาไววาเมื่อทานปฏิบัติ เพื่อความหลุดพนอยูในปาดงพงพีนั้นพระพุทธเจาไดเสด็จไปทรงสอนทานดวยพระพุทธบารมี เสมอและทานพระอาจารยรูปนั้นตอมาก็เปนที่ศรัทธาเคารพของพุทธศาสนิกจํานวนมากที่เชื่อ มั่นวาทานปฏิบัติถึงจุดหมายปลายทางแลว พระพุทธเจาเมื่อเสด็จดับขันธปรินิพพานแลว ดวยพระพุทธบารมีไดเสด็จไปทรง แสดงธรรมโปรดพระอาจารยรูปสําคัญใหบรรลุมรรคผลนิพพานได ไมมีอะไรใหสงสัยวาเปนสิ่ง ค�ำสอน๑หยิบมือ

55


สุดวิสัย เปนสิ่งที่เปนไปไมได มีเรื่องของทานพระโมคคัลลานเปนเครื่อง ยืนยัน รับรองคือเมื่อปฏิบัติธรรมถึงจุดปรารถนาสูงสุดแลว ทานถูกโจรเจากรรมในอดีต พยายามหาทางทําลายชีวิตทาน ทานพยายามใชอิทธิฤทธิ์หลบหนี แตโจรก็ติดตามไมหยุด ยั้ง จนทานเบื่อหนายที่จะหนีตอไปจึงยอมใหโจรจับไดและทุบทานจนรางแหลกเหลวนิพพาน ในที่สุด เมื่อนิพพานแลวทานไดรวมรางเขาอีกครั้งหนึ่งเหาะไปเฝาพระพุทธเจา กราบทูลเรื่อง ราวใหทรงทราบแลวกราบทูลลาเรื่อง ของทานพระโมคคัลลานเปนเครื่องใหความเขาใจอยางก ระจางแจมชัดวาพระพุทธเจาก็ดี พระอรหันตก็ดี แมดับขันธปรินิพพานแลวทานก็เพียงไมมีราง เหลืออยูเทานั้นบารมีและคุณธรรมทั้งปวงของทานยังพรั่งพรอมประโยชนไดอยางยิ่ง เมื่อมั่นใจในความดํารงอยูอยางยั่งยืนนิรันดรแหงพระพุทธบารมี หรือคุณธรรม ของพระพุทธองคและของครูอาจารยสําคัญทั้งหลายที่ทานไกลแลวจากกิเลสเครื่องเศราหมอง พุทธศาสนิกทั้งหลายผูมีสัมมาปญญาสัมมาทิฐิ ก็ควรเรงปฏิบัติพระพุ ทธธศาสนาให ได เป น คนดี ตามลํ าดับไป ให เป นที่ ปรากฏประจั กษในพระญาณหยั่งรูของพระพุทธองค เทากับเปดประตูใจออกอยางกวางขวางรับพระพุทธบารมี ใหพระพุทธบารมีเสริมสงบารมีของ ตนจนกวาตนเองจะสามารถเปนผูมีบารมีมีคุณธรรมดํารงยั่งยืนอยูไดเชนทานผูเปนพุทธอริย สาวกทั้งหลายวันนั้นมาถึงผูใดเมื่อไรวันนั้นผุนั้นก็จะไมตองกังวลที่จะใชชีวิตนี้ทําทางหนีมือ แหงกรรมและไมตองกังวลสรางชีวิตในชาติอนาคตใหสมบูรณ บริบูรณสวยสดงดงามตอไป สมเด็จพระญาณสังวร

56

ค�ำสอน๑หยิบมือ


ทางใหถึงความดับภพดับชาติ ภพชาติเปนตั้งของกองทุกข ทุกขทั้งหลายมากองอยูที่ผูยังมีภพชาตินี้ทั้ง นั้นภพชาติจะเกิดมีขึ้นมาไดก็ตองอาศัยผูยังมีกิเลสอันเปนคูกันกับนิมิตนําใหไปเกิด ในที่นั้นๆผูตองการอยากจะใหดับภพดับชาติ ก็ตองพยายามอยาใหนิมิตทั้งสองนั้นเกิดขึ้นไดใน เมื่อจวนจะแตกดับนิมิตทั้งสองเราจะแตงเอาตามปรารถนาไมได แตมันเปนไปตามบุญกรรม กิเลสของแตละบุคคลที่ไดสรางเอาไวดังกลาวแลว ๑. เมื่อเปนเชนนั้นแลวเราจะทําอยางไรจึงจะไมใหนิมิตเกิดขึ้นไดในเมื่อจวนจะแตกดับ ตอบ เมื่อเราเกิดมาจมอยูในกองแหงทุกขทั้งหลายในปาดงของกิเลสอันนากลัวแลวเห็นผลของ กรรมชั่วอันนาสยดสยองอยางยิ่งจึงพอกันที แลวบําเพ็ญแตกรรมดีที่ใหผลเปนความสุขจนอิ่ม พอในความสุขที่กรรมดีมอบใหนั้นแลวละความสุขนั้นเสียไมหลงมัวเมาเอามาเปนของตนของ ตัวอยางจริงจังเรียกวาละทั้งดีและชั่วเพราะอิ่มแกความตองการทั้งหมดแลวนิมิตทั้งสองนั้นจึง จะไมเกิด ๒. หากจะมีคําถามวาเมื่อยังไมอิ่มในกรรมทั้งสองนั้นจะทําอยางไร ตอบ ก็ตองสรางกรรมดีตอไปแตอยาไปสรางกรรมชั่วเพิ่มขึ้นมาอีก เพราะกรรมชั่วเราได สรางมามากแลวจนมีผลเหลือที่จะเก็บและจําหนายออกไดแลว ๓. เมื่อชีวิตยังมีอยู กรรมดีกรรมชั่วก็ไมทําแลว แลวจะอยูและทําอะไรอีก ตอบ เมื่อชีวิตยังมีอยู การเคลื่อนไหวก็ตองมี การเคลื่อนไหวอันไดแกกรรมแตก็อยาใหมีกรรม ชั่ว จงใหมีแตกรรมดี เพราะกรรมดีคนดีทํางายแตคนชั่วทําไดยากคนดีท�ำกรรมดี ไมปรารถนา ผลตอบแทนถึงแมจะทํากรรมดีอยูก็ ไมชื่อวาทํากรรมเรียกวากิริยา ฉะนั้นพระพุทธเจากอนจะ ดับภพดับชาติได คือถึงพระสัพพัญุ ตญาณทานไดสรางบารมีมาแลวเปนอเนกชาติ มีทานบารมีเปนต้นผลสุดทายเมื่อบารมีของทานอิ่ มพอแลวจึงละโลกนี้ที่มีกรรมเปนมูลฐานดับ แลวไมมีเชื้อเหลืออยูอีกตอไป หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

ค�ำสอน๑หยิบมือ

57


แนวทางการด�ำเนินชีวิต

58

ค�ำสอน๑หยิบมือ


การเลือกคบคน ปัญหา ในการคบคนนั้น เราควรจะเลือกคบคนเช่นใด? พุทธด�ำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลที่ไม่ควรคบเป็นอย่างไร ? บุคคลบางคนใน โลกนี้ เป็นคนเลว โดย ศีล สมาธิ ปัญญา บุคคลเช่นนี้ไม่ควรคบ ไม่ควรเสพ ไม่ควรเข้าไปนั่ง ใกล้ นอกจากจะเอ็นดูอนุเคราะห์กัน “บุคคลที่ควรคบ... คืออย่างไร? บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นคนเสมอกับตนด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา บุคคลเช่นนี้ควรคบ...เพราะเหตุไร เพราะเราผู้เสมอกับตนด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา จักมี การสนทนากัน เรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา การสนทนานั้นจักเป็นไปเพื่อประโยชน์และความผาสุก แก่พวกเรา “บุคคลที่ควรสักการะ เคารพแล้วคบ.... คืออย่างไร? บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้ยิ่งกว่าเราโดย ศีล โดยสมาธิ โดยปัญญา บุคคลเช่นนี้ควรสักการะ เคารพแล้วจึงคบ...เพราะเหตุไร เพราะอาจ หวังได้ว่า จักบ�ำเพ็ญศีลขันธ์..... สมาธิขันธ์.... ปัญญาขันธ์.... ที่ยังไม่บริบูรณ์ให้บริบูรณ์ หรือจัก สนับสนุนศีลขันธ์..... สมาธิขันธ์.... ปัญญาขันธ์.... ที่บริบูรณ์แล้วด้วยปัญญาในที่นั้น ๆ.... “บุรุษคบคนเลว ย่อมเลวลง คบคนเสมอกัน ย่อมไม่เสื่อมในกาลใด ๆ คบคนที่สูงกว่าย่อมพลัน เด่นขึ้น ฉะนั้นจึงควรคบคนที่สูงกว่าตน..” พระพุทธเจ้า

ค�ค�ำำสอน๑หยิ สอน๑หยิบบมืมืออ

59 59


การท�ำจิตให้ผ่องใส สจิตฺต ปริโยทปนํ เอตํ พุทฺธาน สาสนํ การท�ำจิตของตนให้ผ่องใส เป็นการท�ำตามค�ำ สั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระพุทธเจ้าผู้พระบรมศาสดา ได้ตรัสสอนกาย วาจา จิต มิได้สอน อย่างอื่น สอนให้ปฏิบัติ ฝึกหัดจิตใจ ให้เอาจิตพิจารณากายเรียกว่า กายา นุปัสสนาสติปัฏฐาน หัดสติให้มากในการค้นคว้าที่เรียกว่าธัมมวิจยะ พิจารณา ให้พอทีเดียว เมื่อพิจารณาพอจนเป็นสติสัมโพชฌงค์ จิตจึงจะเป็นสมาธิรวมลงเอง สมาธิมี ๓ ขั้น คือ ขณิกสมาธิ จิตรวมลงไปสู่ฐีติขณะแล้วพักอยู่หน่อยหนึ่ง ถอยออก มาเสีย อุปจารสมาธิ จิตรวมลงสู่ภวังค์แล้วพักอยู่นานหน่อยจึงถอยออกมารู้นิมิตอย่าง ใดอย่างหนึ่ง และอัปปนาสมาธิ สมาธิอันแน่วแน่ ได้แก่จิตรวมลงสู่ภวังค์ถึงฐีติธรรมถึงเอกั คคตา ความมีอารมณ์เดียว หยุดนิ่งอยู่กับที่ มีความรู้ตัวอยู่ว่า จิตด�ำรงอยู่ และประกอบด้วย องค์ฌาน ๕ ประการ ค่อยสงบประณีตเข้าไปโดยล�ำดับ เมื่อหัดจิตอยู่อย่างนี้ ชื่อว่าท�ำจิตให้ ยิ่ง ได้ในพระบาลีว่า อธิจิตฺ เต จ อาโยโค เอตํ พุทฺธาน สาสนํ การประกอบความพากเพียรท�ำ จิตให้ยิ่ง เป็นการปฏิบัติตามค�ำสอนของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า การพิจารณากาย นี้แล ชื่อว่าปฏิบัติ อันนักปราชญ์ทั้งหลายมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นต้นแสดงไว้ มีหลายนัย หลายประการ ท่านกล่าวไว้ในมหาสติปัฏฐานสูตร เรียกว่า กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ในมูล กรรมฐานเรียกว่า เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตโจ ที่พระอุปัชฌายะสอนเบื้องต้นแห่งการ บรรพชาเป็นสามเณร และ

60

ค�ำสอน๑หยิบมือ


ใน ธรรมจักกัปปวัตนสูตรว่า ชาติปิ ทุกฺขา ชราปิ ทุกฺขา มรณมฺปิ ทุกฺขํ แม้ความ เกิดก็เป็นทุกข์ แม้ความแก่ก็เป็นทุกข์ แม้ความตายก็เป็น ทุกข์ ดังนี้ บัดนี้เราก็เกิดมาแล้วมิใช่หรือ? ครั้นเมื่อบุคคลมาปฏิบัติ ให้เป็น โอปนยิโก น้อมเข้ามาพิจารณาในตนนี้แล้วเป็นไม่ผิด เพราะพระ ธรรมเป็น อกาลิโก มีอยู่ทุกเมื่อ อาโลโก สว่างโร่อยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่มีอะไรปิดบังเลย ฯ หลวงปู่หมั่น ภูริทัตโต

ปฏิวัติภายนอกกับภายใน ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ถึงเวลาการแสดงธรรมปาฐกถา อัน เป็นหลักค�ำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่าน อยู่ในอาการอันสงบ ตั้งอกตั้ง ใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟัง ตามสมควรแก่เวลา เมื่อวานนี้ก็นั่งวิตก กังวลว่า ในวันอาทิตย์นี้ญาติโยมจะมาวัดไม่สะดวก เพราะว่าเขามีการปฎิวัติอะไรกัน แต่ว่า เหตุการเรียบร้อยไปตั้งแต่เย็นวาน เมื่อได้ยินข่าวปฏิวัติเมื่อวานนี้ พอดีไปแสดงปาฐกถา อยู่ที่ โรงเรียนพาณิชยการสยาม พูดกับเจ้าหน้าที่ที่เขาเรียกว่า อาสาปราบอาชญากรรม คนหลาย ร้อย ก็แสดงไปตามเรื่อง พอจบก็มีนายต�ำรวจมากระซิบบอกว่า หลวงพ่อรู้หรือไม่ เขาปฏิวัติ อีกแล้ว อาตมาก็พูดออกไปทันที่ปฏิบัติแบบโง่ๆ ไม่เข้าเรื่อง พูดออกไปอย่างนั้นตามความรู้สึก ท�ำไมจึงได้พูดออกไปอย่างนั้น เพราะความรู้สึกมันเป็นเช่นนั้น เวลานี้รัฐบาลก็บริหารงาน เรียก ว่าเป็นปกติ รัฐนาวาไทยนี้ไหลไปตามปกติไม่มีคลื่นไม่มีลม ไปกันเรียบร้อย กัปตันและลูกเรือก็ พร้อมเพรียงกันดีอยู่ ท�ำการพัฒนาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้าอยู่ แล้วใครที่จะลุกขึ้นท�ำการ ปฏิวัตินั้น อาตมานึกว่าโง่เต็มที ยังไม่รู้ว่าใครท�ำการปฏิวัติ ค�ำสอน๑หยิบมือ

61


ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ถึงเวลาการแสดงธรรมปาฐกถา อัน เป็นหลักค�ำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่าน อยู่ในอาการอันสงบ ตั้งอกตั้ง ใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟัง ตามสมควรแก่เวลา เมื่อวานนี้ก็นั่งวิตก กังวลว่า ในวันอาทิตย์นี้ญาติโยมจะมาวัดไม่สะดวก เพราะว่าเขามีการปฎิวัติอะไรกัน แต่ว่า เหตุการเรียบร้อยไปตั้งแต่เย็นวาน เมื่อได้ยินข่าวปฏิวัติเมื่อวานนี้ พอดีไปแสดงปาฐกถา อยู่ที่ โรงเรียนพาณิชยการสยาม พูดกับเจ้าหน้าที่ที่เขาเรียกว่า อาสาปราบอาชญากรรม คนหลาย ร้อย ก็แสดงไปตามเรื่อง พอจบก็มีนายต�ำรวจมากระซิบบอกว่า หลวงพ่อรู้หรือไม่ เขาปฏิวัติ อีกแล้ว อาตมาก็พูดออกไปทันที่ปฏิบัติแบบโง่ๆ ไม่เข้าเรื่อง พูดออกไปอย่างนั้นตามความรู้สึก ท�ำไมจึงได้พูดออกไปอย่างนั้น เพราะความรู้สึกมันเป็นเช่นนั้น เวลานี้รัฐบาลก็บริหารงาน เรียก ว่าเป็นปกติ รัฐนาวาไทยนี้ไหลไปตามปกติไม่มีคลื่นไม่มีลม ไปกันเรียบร้อย กัปตันและลูกเรือก็ พร้อมเพรียงกันดีอยู่ ท�ำการพัฒนาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้าอยู่ แล้วใครที่จะลุกขึ้นท�ำการ ปฏิวัตินั้น อาตมานึกว่าโง่เต็มที ยังไม่รู้ว่าใครท�ำการปฏิวัติ ได้ยินชื่อเขาประกาศของคณะปฏิวัติว่า พลเอกประเสริฐ ธรรมสิริ ก็นึกอยู่ว่าไม่น่าเลย เพราะ นามสกุลกับชื่อมันไพเราะเหลือเกิน แต่ภายหลังรู้ว่าไม่ใช่ ก็ยังรักษาชื่อและนามสกุลไว้ได้ คนที่ เป็นหัวหน้านั้น ชื่อฉลาดแต่ไม่ฉลาดซักหน่อยหนึ่ง คนเราไม่ใช่ว่าชื่อดีแล้วมันจะดีเสมอไป ชื่อสวยๆ แต่อาจจะไม่สวยก็ได้ เช่นบางคนชื่อเผือกตัวด�ำ เลยท�ำไมเขาชื่ออย่างนั้น ชื่อให้มันตรงกันเข้าไว้หน่อย ฟังแล้วมันจะได้ชื่นใจ เหมือนกับชื่อนาย อ�ำเภอทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ชื่อนายอ�ำเภอเกษตรสมบูรณ์ แต่ความจริงมันไม่สมบูรณ์ ตระการพืชผล ก็ไม่สมบูรณ์อะไร วานรนิวาสพอเข้ากันได้ เพราะลิงมันเยอะที่นั่น เขาชื่อเพื่อให้ มันไพเราะ คนที่เขาไปเขาจะได้สบายใจหน่อย ทีนี้คนเราบางทีมันโง่แต่เขาตั้งชื่อว่าฉลาด เพื่อ ว่าจะได้กลบลักษณะหน่อยนั่นเอง แต่ก็ไม่สามารถรักษาชื่อไว้ได้ ยังท�ำอะไรแบบโง่ๆ อยู่นั่นเอง ไปบวชอยู่วัดหลายเดือน ไม่ได้เข้าใจในธรรมะ ออกมาก็ไม่ได้เรื่อง ออกมาถึงก็ต้องออกนอก ประเทศไปเลย นี่แหละเขาเรียกว่าไม่ฉลาดในการกระท�ำ คนเราจะท�ำอะไร มันต้องดูจังหวะดู สิ่งแวดล้อม ดูเหตุการณ์ว่ามันเป็นอย่างไร เวลานี้มันไม่ใช่เวลาที่จะปฏิวัติรัฐประหาร จะเอาอะไรไปอ้าง อ้างอะไรมันก็ไม่สมเหตุสมผล ค�ำ ที่คณะปฏิวัติประกาศมานั้น คนฟังแล้วไม่มีใครเห็นด้วยสักคนเดียว นอกจาก ๕ คนเท่านั้นเอง ที่เป็นหัวหน้าเห็นด้วย นอกนั้นก็ไม่เห็นด้วยอะไร อันนี้แสดงว่าไม่ได้ความ

62

ค�ำสอน๑หยิบมือ


นึกไปว่าทั้งพ่อทั้งลูก นี่ก็พังเพราะลูกอีกแล้ว ลูกชายพันตรี ไปกวนพ่อให้ สึกออกมาเป็นหัวหน้ากันหน่อย พ่อบวชอยู่วัดก็ไม่ได้เจริญกรรมฐาน ไม่มีความยับยั้งชั่งใจ ใจก็ร้อนอยู่อย่างนั้นเอง เลยก็ออกมาไม่ได้เรื่องอะไร อันนี้เป็นตัวอย่างของธรรมะเหมือนกัน เป็นตัวอย่างให้เห็นว่าคนไม่ใช้ธรรมะ มันเดือดร้อนถ้าใช้ธรรมะแล้วก็ไม่วุ่นวายเดือดร้อน ที่ไม่ ใช้ธรรมะนั้นมันเรื่องอะไร ใจร้อนใจเร็ว อยากดังอยากเด่น อยากโด่งไม่เข้าเรื่อง นี่มันเป็นตัว ลิเกที่เกิดขึ้นในใจ แล้วก็ไม่ใช้ปัญญาที่จะระงับกิเลสตัวนั้น ไม่มีศิลปะแห่งการรอคอย แล้วไม่ นึกว่าคนอื่นเขาท�ำอะไร ท�ำถูกหรือท�ำผิด ท�ำดีหรือท�ำชั่ว ท�ำเพื่อความก้าวหน้าหรือเพื่อความ ถอยหลัง ไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้รอบคอบในเรื่องนี้ ตัวโลภมันแรงเกินไป ตัวโทสะก็แรง ตัว โมหะก็แรงเหมือนกัน เรียกว่ายักษ์สามตัวเข้าไปครองร่าง เลยทิ้งผ้ากาสาวพัตรแบบฉุกเฉิน แล้วก็ออกมาบงการท�ำอะไรๆ แบบไม่เข้าท่า ดูแล้วมันเป็นเรื่องน่าหัวเราะทั้งนั้น แล้วผลที่สุด ก็เกิดความเสียหายแก่ชาติแก่บ้านเมือง เสียนายทหารที่ดีไปคนหนึ่งโดยไม่ได้อะไรเป็นเครื่อง ตอบแทน นอกจากเสียคนดีไปเท่านั้นแหละ นี่แหละคือการขาดธรรมะ ไม่เอาธรรมะไปใช้ใน ชีวิตประจ�ำวัน แม้จะไปบวชไปเรียนแล้วก็ไม่ได้คิดธรรมะ ไปนั่งวางแผนว่ากูจะไปปฏิวัติวันไหน ดี จะรัฐประหารวันไหนดี อันนี้มันจะไม่ได้เรื่องอะไร ไปบวชอยู่ในเรื่องเช่นนั้น ถ้าบวชแล้วเจริญภาวนาอย่างน้อยๆ พิจารณาสังขารเสียบ้างว่า สัพเพ สังขารา อะ นิจจา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง เหมือนกับที่เราสวดกันอยู่ตอนสุดท้าย พิจารณาวันหนไม่ต้อง มากอะไร จิตใจก็จะสงบไม่วุ่นวาย แล้วก็นึกว่าอายุอานามของเรามันก็ป่านนี้แล้ว ท�ำงานให้กับ ประเทศชาติมาก็พอสมควรแล้ว ปล่อยให้คนอื่นเขาท�ำไปมั่งเถอะ เราออกมานั่งดูเสียมั่ง นักมวยจะชกอยู่จนตายไม่ได้สักคนเดียว มันต้องลงจากเวทีมาดูคนอื่นเขาชกมั่ง เราลองดูชื่อ นักมวยทั้งหลายตั้งแต่ เย็กเด็มเซ ตั้งแต่โน้นมา มันตายไปก็หลายคนแล้ว แต่ไม่ได้ตายคาเวที สักคนเดียว ต้องลาออกต�ำแหน่งแชมเปี้ยนทั้งนั้น หรือไม่อย่างนั้นก็แพ้เขา คนเกิดมาแล้วมันก็ ต้องมีแพ้มีชนะ เก้าอี้ตัวที่เรานั่งเราจะนั่งตลอดเวลาไม่ได้ ต้องให้คนอื่นเขานั่งมั่ง คนเรามันต้อง มีศิลปะแห่งการเปลี่ยนแปลง เมื่อเราลงมานั่งเราก็ท�ำไปตามหน้าที่ หมดเวลาให้เพื่อนเขานั่ง มั่ง แล้วก็นั่งดูเขามั่ง นั่งดูอย่างนักกีฬาดูให้เขาท�ำตามเรื่องตามราวของเขา มีอะไรไม่เหมาะก็ ประท้วงไปบ้างตามแบบตามระเบียบ ถ้าเมื่อเขาท�ำเรียบร้อย เราก็พลอยอนุโมทนาเขา อย่างนี้เรื่องมันก็ไม่วุ่นวาย ไม่เสียหาย ไม่ กระทบกระเทือนแก่ประโยชน์ของบ้านเมือง แต่ว่าไม่ได้คิดอย่างนี้ อะไรมันเกิดขึ้นในใจ ความ เห็นแก่ตัวตัวเดียวเท่านั้น เกิดขึ้นในใจแล้วท�ำอะไร ที่เรียกว่าไม่เข้าเรื่อง ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ท�ำไปตามอารมณ์ ไม่ได้ใช้เหตุผล อันนี้มันเรื่องเสียหาย ค�ำสอน๑หยิบมือ

63


ความจริงประวัติศาสตร์มันก็มีบอกอยู่แล้ว ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ไกลอะไร สมัยกองแลปฏิวัติโดยไม่มีแผนการ อยู่ๆ ก็ลุกขึ้น กูปฏิวัติ พอปฏิวัติเสร็จแล้วก็มานั่ง ร้องไห้ ร้องไห้ว่า กูไม่รู้ท�ำอะไรต่อไปแล้ว เหมือนกับว่าท�ำอะไรเสร็จแล้ว ไม่รู้ว่าจะท�ำอะไร ต่อไป เพราะว่าไม่มีปัญญาไม่มีความคิด ไม่มีแผนการว่าจะท�ำอะไร ใช้แต่ก�ำลัง คนที่รู้จักใช้ ก�ำลัง ไม่รู้จักใช้ปัญญานั้น เขาไม่เรียกว่า มนุษย์หรอกแต่เขาเรียกว่า สัตว์เดรัจฉานนั้น มัน แปลกที่ตรงไหน แปลกตรงที่ว่า เรามีปัญญา มีสมองที่จะคิดจะท�ำอะไร ก็ใช้ความคิดพิจารณา ไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ไม่ใช่ท�ำด้วยความอยาก ไม่ใช่ท�ำด้วยความหลงไหล อะไรๆ ต่างๆ สิ่ง ทั้งหลายมันก็จะเป็นไป ด้วยความเรียบร้อย อันนี้เป็นเรื่องเป็นบทเรียนที่สอนใจ ให้เราทั้งหลายได้คิดได้นึกได้พิจารณา อาตมานั่งฟัง ข่าวตลอดวัน เมื่อวานนี้ ดูภาพไป ฟังข่าวไป นึกในใจว่า มันแย่จริงๆ ที่ได้เป็นไปเช่นนี้ เพราะ อะไร เพราะว่าไม่ค่อยได้เข้าถึงพระกัน หรือว่าเข้าหาพระ แต่ว่าไม่ได้เอามาใส่ไว้ในใจ ไม่รู้จัก พราะที่ถูกที่ชอบ ไม่ได้เอาหลักธรรมะมาเป็นหลักประคองใจ ให้เดินไปในทางที่ถูกที่ควร ถ้า สมมติว่าไปลาสิกขา กับพระพระผู้ใหญ่ให้ลาสิขา น่าจะถามสักหน่อยว่า ลาท�ำอะไร ออกไป แล้วไปท�ำอะไร ท�ำมาหากินอะไร หรือว่า จะออกไปท�ำการปฏิวัติรัฐประหาร ก็ควรจะบอก ว่า มาบวชวัดนี้ออกไปแล้วท�ำผิดอย่างนั้นได้หรือ วัดนี้ในหลวงท่านอุปถัมภ์ค�้ำชูอยู่นะ ออกไป ท�ำผิดต่อในหลวงได้หรือ จะเหมาะจะควรหรือ ควรจะยับยั้งชั่งใจ พูดให้เข้าใจกันเสียหน่อย ก็เห็นจะพอไปได้ แต่พระท่านเกรงใจยศนายพลเอก ท่านเลยไม่กล้าสอนอะไร เลยออกไปก็ ท�ำความวุ่นวายเสียหาย อันนี้เป็นบทเรียนไปในตัว เป็นธรรมะ อาตมาพูดออกไปนี้ก็ไม่ใช่เพื่อ อะไร พูดเพื่อให้เป็นตัวอย่างปรากฏในหนังสือ ที่จะพิมพ์ต่อไป ให้เห็นว่าพระท่านไม่พอใจ ใน การกระท�ำเช่นนั้น เป็นการกระท�ำแบบโง่เขล่า ไม่ได้เป็นการเจริญ ของชาติ ของบ้านเมือง คนเราดูอะไรมันต้องดูจังหวะ จะอะไรทุกอย่างเขาเรียกว่า กาละเทศะ เวลามันควรหรือ ไม่ เทสะมันควรหรือไม่ที่เขาพูดๆ กันว่า เหตุ ผล บุคคล เวลา นี้มันล�ำบาก เคยสนทนากับ มหาดเล็กบ่อยๆ ในเรื่องนี้ ท่านบอกว่าท�ำอะไรก็ตามเถอะ มันต้องมีเหตุผล ต้องดูบุคคล ต้องดู เวลา ว่ามันจะเหมาะที่เราจะกระท�ำหรือไม่ ถ้า เหตุ ผล บุคคล เวลา สี่ประการมีไม่พร้อมแล้ว ก็อย่าไปท�ำอะไรเข้า ถ้าเราไปท�ำอะไรโดยไม่คิดถึง เหตุ ผล บุคคล เวลาแล้ว การกระท�ำนั้นจะ เป็นความโง่ความเขลา เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ความเสียหายแก่ตน ด้วยประการต่างๆ อันนี้ท่าน กล่าวย�้ำกล่าวเตือน โดยเฉพาะคนที่เป็นนักปกครอง ต้องใช้สิ่งนี้ให้ส�ำคัญมาก คือใช้เหตุผลให้ มาก ดูเวลาให้เหมาะ ดูบุคคลให้เหมาะ จึงจะจัดท�ำอะไรลงไป แต่ถ้าเหตุผลไม่สมควร คือ

64

ค�ำสอน๑หยิบมือ


เหตุผลกับไม่ตรงกัน เวลามันก็ไม่เหมาะ บุคคลที่เกี่ยวข้องมันก็ไม่เหมาะ ถ้าเราขืนกระท�ำลงไปแล้ว จะเกิดเป็นปัญหา จะสร้างความทุกข์ ความเดือดร้อน ทีนี้สิ่งที่ท�ำนั้นถ้าเป็นเรื่องของเราคนเดียว มันก็ไม่เสียหายอะไรมากนัก วงจ�ำกัดอยู่แคบ แต่ถ้าว่าการกระท�ำเกี่ยวกับชาติกับประเทศ เราจะต้องคิดให้รอบคอบ ต้องให้ละเอียดให้ลึกซึ้ง ต้องนับหนึ่งถึงพัน ไม่ใช่นับหนึ่งถึงร้อย ต้องคิดนานๆ คิดว่าท�ำแล้วมันจะเสียหายอะไร เวลานี้ ประเทศชาติของเราเป็นอย่างไร มีศัตรูภายนอกมีศัตรูภายใน การเศรษฐกิจการลงทุน ความไว้ เนื้อเชื่อใจของชาวต่างประเทศ ที่มีต่อประเทศไทยนั้นเป็นอย่างไร ภาพพจน์ของประเทศไทย ในเวลานี้ ในสายตาของชาวต่างประเทศเป็นอย่างไร ถ้าคิดดูให้ดีแล้วก็จะเห็นว่า มันดีขึ้นทั้งนั้น เขาได้แก้ไขได้ปรับปรุงให้มันดีขึ้น กว่าเมื่อสามปีก่อนมากมายแล้ว เรือไทยถ้าเป็นเรือใบ ก็เรียก ว่าติดลมแล้ว ก�ำลังวิ่งฉิวสะดวกสบาย แล้วเราจะไปเกาะท้ายเรือ เอาขวานสับหางเสือให้มัน แกว่ง มันเรื่องอะไร เรือแกว่งแล้วคนในเรือมันจะล่มจมอะไรๆ ก็จะเสียหาย นี่ถ้าเราคิดอย่างนี้ มันก็ดี ทีนี้คนเรามันคิดแต่เรื่องได้ ไม่คิดถึงเรื่องเสีย คิดด้านเดียวมองด้านเดียวไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านสอนนักสอนหนา ในเรื่องอย่างนี้ บอกว่า มองอะไรมองให้เห็นชัดตามสภาพ ที่เป็นจริง ศัพท์บาลีเขาใช้ว่า "ยถาภูตํ ญาณทสฺสนํ" ยถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง หมายความว่า เห็นด้วยปัญญาในสิ่งนั้น ตามสภาพที่มันเป็นอยู่จริงๆ เห็นอะไรต้องเห็นด้วยปัญญา เห็นให้ชัด ตามสภาพที่มันเป็นอยู่จริงๆ อย่ามองแบบคลุมเคลือ แบบที่เรามองอะไรเช้ามืดนี่ มันไม่เห็นชัด เห็นต้นไม้ก็ไม่ชัดว่ามันเป็นต้นอะไร เห็นอะไรไม่ชัดอย่างนี้เราวินิจฉัยยาก เพราะไม่แจ่มแจ้งแก่ ตา ไม่แจ่มแจ้งแก่ใจ จะไปวินิจฉัยว่าชั่วก็ไม่ได้ มันสุขมันทุกข์ก็ไม่ได้ เพราะมองไม่ชัด เพราะ ฉะนั้นต้องมองให้ชัดให้แจ่มแจ้งดี ในเรื่องนั้น ถ้าเรามองอย่างนั้น ก็เรียกว่ามองด้วยปัญญา มอง ด้วยตาที่มีปัญญาก�ำกับ ตามีปัญญาก�ำกับนั้นเขาเรียกว่า ญาณ ญาณนั้นคือตาใน ไม่ใช่ตานอก ตานอกมันดูแต่ วัตถุ แต่ตาในนั้นดูไปตลอด ทะลุปรุโปร่งในวัตถุนั้นๆ ในเหตุการณ์นั้นๆ ในเรื่องนั้นๆ ที่มันจะ มีจะเกิดขึ้น แล้วตานอกมันมองเห็นใกล้ๆ ถ้าตาดีๆ ก็มองได้สักสองร้อยเมตร แต่ว่าญาณตา ข้างในนั้นมันมองเห็นไปไกล เห็นไปถึงวันพรุ่งนี้ เห็นไปถึงเดือนหน้า เห็นไปถึงปีหน้า เห็นไปถึง อนาคต ว่ามันจะมีอะไร จะเกิดอะไร กระทบกระเทือนต่อสังคม ในบ้านเมืองของเรา มองไกล อย่างนั้น แล้วการมองอย่างนี้ ต้องมองทั้งในอดีต มองปัจจุบัน มองอนาคต เอาสามอย่างนี้มา รวมกันเข้า อดีตนั้นมันผ่านพ้นไปแล้ว แต่ว่ามันเป็นบทเรียน เป็นเครื่องเตือนจิตสะกิดใจ ค�ำสอน๑หยิบมือ

65


เราศึกษาวิชาประวัติศาสตร์นั้นเราศึกษาเพื่ออะไร ไม่ใช่ศึกษาเพียงให้รู้ว่า คนสมัยก่อนเขาอยู่กันอย่างไร กินอย่างไร ไม่ใช่เพียงเท่านั้น แต่ศึกษาเพื่อให้รู้ว่าเขาปฏิบัติ อะไรอย่างไร เขาใช้วิธีการอย่างจึงเกิดอะไรขึ้นมา ในประวัติศาสตร์นั้น มันมีทั้งส่วนดีทั้งส่วน เสีย ไม่ว่าในประวัติศาสตร์ชาติใด เพราะประวัติศาสตร์กับคน มันสัมพันธ์กัน คนเป็นผู้สร้าง ประวัติศาสตร์ ทีนี้คนผู้สร้างประวัติศาสตร์นั้น สร้างไว้บางตอนก็ไม่งดงาม แต่บางตอนก็งดงาม เรียบร้อย เป็นไปในทางที่ถูกที่ชอบ เราก็เอามาศึกษาพิจารณา ว่าตอนนั้นเป็นอย่างไร ตอนนี้ เป็นอย่างไร เช่นสมมติว่า เราเรียนประวัติศาสตร์ไทย เริ่มตั้งแต่เริ่มสร้างประเทศ เอาเฉพาะยุค สุโขทัยเป็นราชธานี เราก็จะเห็นว่าสุโขทัยนั้นเป็นสมัยที่สงบ สมชื่อว่าสุโขทัย "สุขะ" เอามาร่วม กับ "อุทัย" เป็น สุโขทัย แปลความว่า "รุ่งอรุณแห่งความสุข" มันมีแต่ความสุขความสงบ ชาว สุโขทัยมักโปรยทาน มักรักษาศีล มักฟังธรรม เขาไปวัดท�ำบุญสุนทาน ยุคสุโขทัยไม่ได้รบราฆ่า ฟันกับใคร สงครามมีนิดหน่อย พ่อขุนรามค�ำแหงไปชนช้าง กับเจ้าเมืองฉอดเท่านั้นเอง เมือง ฉอดก็ไม่ใช่ที่ไหน แม่สอดในสมัยนี้เอง ไปรบกันหน่อย นอกนั้นก็ไม่ได้รบ เพราะฉะนั้น จึงเต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างสวยสดงดงาม เช่นสร้างพระพุทธรูปงามๆ สร้าง วัดงามๆ ใช้วัตถุอย่างดี คือศิลาแลง เอามาก่อเป็นเจดีย์ เป็นโบสถ์ เป็นวิหาร โดยเฉพาะ พระพุทธรูป ที่สร้างในสมัยนั้นสวยงามมาก มองแล้วสบายใจ ไหว้แล้วชื่นอกชื่นใจ คลายทุกข์ คลายร้อน ที่เขาท�ำได้อย่างนั้นเพราะอะไร จิตใจคนเขาสงบ เขาไม่วุ่นวาย ไม่มีปัญหาทาง เศรษฐกิจ ไม่มีปัญหาทางการเมือง ไม่มีปัญหาทางสังคม อะไรให้มันเสียหาย ทุกคนสบายอก สบายใจ อะไรมันมีพร้อม จิตใจสบาย คนเราถ้าจิตใจสบาย ท�ำอะไรมันก็เรียบร้อย เป็นไปใน ทางที่ดีที่งาม ไม่มีปัญหา ก็อยู่กับพระกับศาสนา แม้พระเจ้าแผ่นดิน ท่านก็สนใจแต่เรื่องวัดวา อาราม สร้างสิ่งดีสิ่งงาม ให้เกิดขึ้นในชาติในบ้านเมือง อะไรมันดีอย่างนี้ นี่ก็มองเห็นว่าสมัยนั้น เป็นสมัยรุ่งเรืองแห่งสัจจธรรม คนจึงได้อยู่เย็นเป็นสุข ต่อมาก็ถึง สมัยกรุงศรีอยุธยาเริ่มยุ่งแล้ว เริ่มมีข้าศึกด้านตะวันตกมาจากพม่า ด่านตะวันออกมาจากเขมร มันไม่ค่อยรบเท่าใด แบบตีท้ายครัว พอไทยไปรบ พม่าก็แอบมากวาดพลเมืองแถวปราจีน ฉะเชิงเทราแถวนั้นไป ถ้าเมืองไทยสงบ ไม่เข้ามายุ่ง พวกนี้ชอบตีท้ายครัว อย่างนี้มีอยู่ แล้วก็ เกิดรบกันบ่อยๆ บ้านเมืองไม่ ค่ อยจะสงบเท่าใด การสร้างพระพุทธรูปในสมัยนั้น พระพักตร์ ไม่ค่อยยิ้มแย้ม ไม่ค่อยแจ่มใสเท่าใด มองกราบแล้ว

66

ค�ำสอน๑หยิบมือ


ก็ไม่ชื่นใจเหมือนสมัยสุโขทัย อันนี้เป็นเรื่องที่เราเห็นง่ายในประวัติศาสตร์ แล้วทุกครั้งที่เราเสียกรุง เรารู้ว่าเพราะอะไร เพราะคนในเมืองไทยแตกแยกกัน หัวหน้า อ่อนแอไม่เข้มแข็ง ไม่เด็ดขาด แล้วก็เกิดความแตกร้าวกันภายใน พอเกิดความแตกร้าวกัน ภายใน ข้าศึกก็มาโจมตี พม่าจะมาโจมตีประเทศไทยก็คอยจ้องดูว่าเปลี่ยนรัชกาล พอพระเจ้าแผ่นดินนี้สวรรคต รัชกาลใหม่ขึ้นครองราชย์ ก็ส่งคนมาท�ำจารกรรม ว่าเวลานี้บ้านเมืองเป็นอย่างไร ความเลื่อมใส ในพระราชาเป็นอย่างไร ระส�่ำระสายหรือเปล่า มีการแตกก๊กแตกพวกกันหรือเปล่า เขามาดู ก่อน ถ้าเห็นว่ามันเร่าๆ ท�ำท่าจะแตก เขาก็มาตี ตีแล้วเมืองไทยก็เสียท่าเขาทุกที เพราะความ แตกร้าวภายในประเทศ เป็นเหตุให้เกิดความเสียหาย โดยเฉพาะตอนเสียกรุงด้วยแล้ว ไม่ได้ เรื่องเลยทีเดียว นี่มันเป็นประวัติศาสตร์บอกให้เรารู้เราเห็นกันอยู่ทั้งนั้น ทุกคนก็เรียน นาย ทหารโรงเรียน จ.ป.ร. เขาก็เรียนประวัติศาสตร์ ออกไปแล้วก็ยังมีการเรียน มีแผนการค้าคว้า ทางประวัติศาสตร์ เพื่อเอามาเปิดเผยให้คนได้รู้ได้เข้าใจ เราเรียนประวัติศาสตร์ เราก็เรียนธรรมะเหมือนกัน คือเรียนให้รู้ว่าในนั้นมันมี ธรรมะอะไร ขาด ธรรมะอะไร ท�ำไมจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น ท�ำไมจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เป็นบทเรียนเครื่อง สอนจิตสะกิดใจ ให้เราได้แก้ไขสิ่งที่เราจะท�ำต่อไป เรียกว่า ไม่กระท�ำให้ประวัติศาสตร์ซ�้ำรอย สิ่งใดที่เขาท�ำมาแล้วไม่ส�ำเร็จ เป็นเหตุให้เกิดความเสียหาย เราก็จะไม่ท�ำสิ่งนั้น แต่ว่าสิ่งใดที่ เขาท�ำใช้ได้ หรือใช้ได้ ก็ต้องดูอีกล่ะ เพราะเหตุการณ์ในสมัยนั้น กับสมัยนี้ไม่เหมือนกัน ของ ที่เขามีในสมัยโน้นบางทีเอามาใช้ในสมัยนี้ไม่ได้ กาละมันผิดกัน บุคคลผิดกัน ภูมิประเทศก็ผิด กัน เราจะต้องเอามาคิดปรับปรุง ว่าจะต้องอย่างไร ให้มันเหมาะกับสังคมในปัจจุบัน เหมาะกับ เหตุการณ์ในปัจจุบัน ก็ต้องคิดปรับปรุงแก้ไขเอามาเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น ที่เขาพูดว่า ไม่มีอะไรใหม่ในโลกนี้ เป็นความจริง คือสิ่งที่ท�ำๆ กันในยุคปัจจุบันนี้ เขาท�ำกันมา แล้วในสมัยก่อน แต่ว่าคนที่เอามาท�ำในปัจจุบันนี้ เอามาเปลี่ยนแปลงนิดหน่อย เพื่อให้มันได้ เรื่องราวดีขึ้น ยาขอบแกแต่งผู้ชนะสิบทิศ ถ้าเราอ่านดูให้ดีแล้ว แกก็หยิบมาจากเรื่องอะไรต่อ อะไร เอามาจากสามก๊กก็มี เอามาจากเรื่องโน้นเรื่องนี้ เอามาจากทุกเรื่อง แกอ่านหนังสืออะไร ก็เอามาใส่ๆ ไว้ วางแผนอย่างนั้นอย่างนี้ วางแผนรบของจะเด็ด แกเอามาใส่ไว้ทุกอย่าง ค�ำสอน๑หยิบมือ

67


อ่านหนังสือใดก็เอามาใส่ไว้ แม้จากเรื่องพระอภัยมณี แกก็เอาเหมือนกัน เอามาใส่ไว้ ถ้าเราอ่านไปแล้วก็จะรู้ว่า ยาขอบนี้เป็นนักปรุงนั่นเอง ไม่มีอะไรของแกใหม่ หรอก แกไปหยิบตรงนั้นมาตรงนี้มา เอามาบวกๆ กันเข้า แต่ว่าค�ำพูดที่ใช้มันทันสมัย อ่านแล้ว เพลิดเพลินเจริญใจ เพราะฉะนั้นคุณอาคมแกอ่านอยู่หลายปีแล้ว สมาชิกเยอะแล้วฟังกันชอบใจ นี่เขาเรียก ว่าเอามาปรุงแต่งท�ำให้มันดีขึ้น ไม่มีอะไรใหม่อะไร อาตมาที่มาเทศน์สอนญาติสอนโยมอยู่นี้ก็ เหมือนกัน ไม่ใช่มีอะไรใหม่หรอก มันของเก่าทั้งนั้น หยิบมาจากที่นั่นจากที่นี่ เป็นความรู้จาก ต�ำรับต�ำรา จากหนังสือหนังหา แล้วก็เอามาปรุงให้มันเหมาะกับ ปรุงให้เหมาะหูของญาติโยม ที่จะฟัง ให้ฟังได้ง่ายให้เข้าอกเข้าใจ ญาติโยมฟังแล้วก็เพลิดเพลินเจริญใจไป แต่ว่าความจริงมัน ของเก่าทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเรื่องอะไรเก่าๆ แก่ๆ มันเป็นประโยชน์แก่ตัวเรา เราจึงควรศึกษา เอามาคิดมาตรอง เอามาใช้เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อไป และบทเรียนเก่าๆ นั้นสอนให้เรารู้ว่า อะไรควรอะไรไม่ควร เวลาใดไม่เหมาะ เหตุการณ์อันใด กระท�ำการเป็นอย่างไร มันมีบทเรียน ทั้งนั้น คอยสอนคอยเตือนเรา ให้พูด ให้ท�ำในเรื่องอย่างนั้น ถ้าท�ำถูกแก่เวลามันใช้ได้ ถ้าท�ำไม่ เหมาะแก่เวลา ก็ใช้ไม่ได้เหมือนกัน ตัวอย่างที่เห็นง่ายๆ ประเทศอินเดีย ท่านผู้หญิงอินทิรา คานธี ท่านปกครองบ้านเมือง ถ้าพูดกันตามความเป็นธรรมแล้ว ดีขึ้นทุกอย่าง บ้านเมืองดีขึ้นทุกอย่าง ความสะอาดของบ้าน เมือง ข้าราชการเอาใจใส่ในหน้าที่ การคอรร์รัปชั่น ตลาดมืด อะไรมันหายไป ไม่ปรากฏว่ามัน มีอยู่ สมัยก่อนนี้ถ้าเราไปอินเดีย มีเงินเหรียญดอลลาร์ พอไปถึงโรงแรมเท่านั้น มีคนมาตอมกัน ให้ยุ่ง จะแลกดอลลาร์ เดินไปในตลาดนิวมาเก็ต เด็กเล็กเด็กน้อยรุ่นๆ มาถึงดอลลาร์ๆ มาถาม อย่างนั้น ไปเดี๋ยวนี้ไม่มีสักคนเดียว ที่จะมาถามเช่นนั้น เพราะอะไร เพราะว่าเขาไม่ให้แลกใน ตลาด ใครมีเงินดอลลาร์ไว้ในครอบครอง ผิดกฎหมาย มีเงินตราต่างประเทศไว้ในครอบครอง ผิดกฎหมายทั้งนั้น เงินตราต่างประเทศ มันต้องอยู่ในธนาคาร อยู่ตามโรงแรม อยู่ตามร้านค้า แต่ต้องมีหลักฐานแสดง ว่าได้มาจากใคร แม้มีหลักฐาน สมมติว่าเราไปจากเมืองไทยเราเอารูปี ไปสักสองร้อย พอไปถึงจะไปซื้อตั๋วรถไฟก็ไม่ได้ จะไปเสียค่าเช่าโรงแรมก็ไม่ได้ ซื้อได้เพียงโรตี ข้างถนนเทานั้นเอง นอกนั้นแล้วก็ซื้อไม่ได้

68

ค�ำสอน๑หยิบมือ


ถ้าเป็นทางการแล้วก็ซื้อไม่ได้ เพราะว่าเขาถือว่า ถ้าคนต่างประเทศไม่มี เงินอินเดียเข้ามา มีแต่เงินตราต่างประเทศ แต่ถ้าเราเอารูปีไปช�ำระโรงแรม เขาเขียนบอก ไว้ที่เค้าเตอร์บอกว่า ผู้มาพักต้องจ่างเงินตราต่างประเทศ แต่ถ้าจ่ายเป็นเงินรูปี ต้องมีหนังสือ แสดงว่า เงินรูปีนี้ได้มาจากไหน แลกมาจากธนาคารไหน จากอะไรที่ไหน ต้องมีใบแสดง ถ้า ไม่มีใบนั้นแสดง ช�ำระไม่ได้ เอาเงินรูปีไปช�ำระก็ไม่ได้ แล้วเจ้าหน้าที่โรงแรมก็ไม่ยอมรับ กลัว จะผิดกฎหมาย สมัยก่อนท�ำได้ แต่ว่าสมัยนี้ท�ำไม่ได้ บ้านเมืองก็ดีขึ้นเยอะ เราลงจากเครื่องบิน จากสนามบินที่กัลกัตตาเข้าเมือง เห็นแต่สิ่งปฏิกูลทั้งนั้น สมัยก่อนนี้สกปรก ดูไม่ได้เลย แต่ว่าไปคราวนี้ ที่สกปรกสมัยก่อน กลายเป็นสวนหย่อมไป กลายเป็นสวนดอกไม้ เป็น สวนต้นไม้ไป ปลูกไว้สวยๆ งามๆ ท�ำรั้วไว้อย่างเรียบร้อย ในเมืองกัลกัตตาที่นับว่าสกปรกที่สุด แล้ว เขาว่ากรุงเทพฯสกปรกแล้ว ยังแพ้ ถ้าเอาเทียบกับกัลกัตตา กัลกัตตาเขาน�ำหน้าเรา แต่ ว่าไปคราวนี้ของเขาเรียบร้อย สะอาดสะอ้าน อะไรๆ เขาก็จัดเป็นระเบียบ ก็เห็นว่า ท่านผู้หญิง ก็ปกครองเมืองได้ดีเหมือนกัน เรียบร้อยเหมือนกัน แต่ว่าพอเห็นว่าเรียบร้อยดีแล้ว ท่านก็ ประกาศให้เลือกตั้งผู้แทน มันผิดตรงที่ว่าพอประกาศเลือกตั้ง ก็ปล่อยนักการเมืองเก่า ออกมา จากคุกใหม่ๆ ก็ไปสมัครผู้แทน อารมณ์ของมนุษย์นั้น มักสงสารผู้แพ้ เราสังเกตตัวเราดูเถอะ อ้ายแสบชกกับบรู๊คเรากลับสงสารอ้ายบรู๊ค ที่อ้ายแสบชกตกเวที ชั่วขณะหนึ่งเราดีใจว่าอ้าย แสบชนะ แต่อีกขณะหนึ่งเราสงสารอ้ายบรู๊ค ที่ข้ามน�้ำข้ามทะเลมา ถูกชกตกเวทีนี่น่าสงสาร ใจ มนุษย์มันเป็นอย่างนั้น นักการเมืองที่ติดคุกติดตะราง พอเขาประกาศให้เลือกผู้แทนก็ปล่อยออกหมด ปล่อย มาถึงคนก็สงสาร แล้วคนเหล่านั้นไปพูดอะไร คนก็ประทับใจ ผลที่สุดท่านพ่ายแพ้ไป เขาเรียก ว่า จังหวะมันไม่เหมาะ ถ้าปล่อยคนพวกนี้ให้ออกมาวิ่งเต้นๆ อยู่สักปีสองปี แล้วก็เปิดรับสมัคร บางทีก็ไม่เป็นอะไร เพราะมันออกมาแล้วคนก็เห็นว่า อะไรเป็นอะไร บางคนยังอยู่ในคุกยังไม่ ได้ออกยังไปสมัครชื่อได้ แล้วก็ได้คะแนนด้วย ได้อย่างชนะท่านผู้หญิงด้วยซ�้ำไป นี่เขาเรียกว่า จังหวะเหมือนกัน คนเราท�ำอะไรมากๆ ก็ลืมเผลอได้เหมือนกัน คือลืมไปได้เหมือนกัน อาตมา นี่งานมากๆ ก็เหมือนกัน เมื่อวานนี้เขานิมนต์ไปเทศน์โน้น เพชรบูรณ์โน้น เขานิมนต์แล้วแต่ลืม จดไว้ในสมุดบันทึก แล้วก็เลยไปรับนิมนต์มาบอกว่า วันนั้นนะท่านเปิดปฏิทินตายแล้วไม่ได้จด ไว้ มันก็ลืมได้เหมือนกัน งานมากๆ เผลอได้ เพราะฉะนั้นก็คิดให้ดีในเรื่องนี้

ค�ำสอน๑หยิบมือ

69


ทีนี้เผลอแล้วก็เป็นบทเรียน วันหลังไม่ให้เผลออย่างนั้น ต้องคอยจดไว้ ใครนิมนต์ก็ต้องจดก่อน ให้เขาเห็นเฉพาะหน้าว่าจดไว้แล้ว ให้เขาอุ่นใจ ทีนี้ถ้าไม่ได้จดไว้ ก็เกิดพลาดเกิดความเสียหาย แต่ว่าไม่เป็นไร ส่งพระอื่นไปแทนก็ได้ แต่มันไม่เหมือนดังที่เขา ต้องการ ว่าจะฟังองค์นี้แต่องค์อื่นไป ก็ไม่เหมือนใจ เสียใจเล็กน้อย มันเป็นอย่างนี้ คนเราเผลอ ได้มีงานมากๆ เพราะฉะนั้น จะท�ำอะไรต้องคิดต้องตรองให้รอบคอบ พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสไว้ว่า นิสมฺมกรณํ เสยฺโย ใครครวญให้ละเอียดก่อนจึงท�ำ ประเสริฐ ไม่ว่าเรื่องอะไรใคร่ครวญเสีย ก่อน ท�ำไมคนเราใคร่ครวญอะไรไม่ได้ มีอุปสรรคอยู่ตรงไหน ใจร้อน ใจร้อนนี่แหละเป็นตัวเสีย หาย ใจร้อนใจเร็วจะให้ได้ดังอกดังใจ ถ้าความใจร้อนใจเร็วเกิดขึ้นแล้ว มันก็ผิดทั้งนั้น ไม่ได้ดัง ใจ แล้วก็ท�ำในขณะที่ใจร้อน ท�ำอะไรด้วยใจร้อนมักจะผิดพลาด เพราะขาดความยับยั้ง ขาด สติขาดปัญญา คิดแต่จะท�ำท่าเดียวเลยเสียหาย พระจึงสอนว่าให้ใจเย็นให้ใจสงบ จะท�ำอะไร ต้องใจเย็นใจสงบเสียก่อน แล้วต้องคิดให้รอบคอบในเรื่องนั้น ยิ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เรื่องที่ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของบ้านเมือง ต้องในเย็นคิดนานๆ อย่าท�ำอะไรอย่างชนิดที่ วางแผนปุ๊บ ลงมือปั๊บ อย่างนั้นมันไม่ได้ มันไม่ใช่เรื่องที่จะท�ำเช่นนั้น แต่ต้องท�ำอะไรให้ซึ้งกว่านี้ เพราะเป็น เรื่องส�ำคัญ อันนี้เป็นเรื่องญาติโยมต้องคิดให้มาก ญาติโยมบางทีก็เคยได้รับความผิดหวัง ในเรื่องบางประการ ตัวอย่างเช่นเราเล่นแชร์ สมัยนี้คนนิยมเล่นแชร์ ไปเจอคนหน้าตาดีๆ ท่าทางดีพูดจาดี แต่งตัวดี บ้านช่องเป็นหลักเป็น ฐาน แต่ว่าบ้านใครก็ไม่รู้ เราก็ไว้ใจ ว่าเจ้ามือรายนี้ไม่เป็นไร เป็นคนมีหลักมีฐาน แต่ว่าเราไม่รู้ ละเอียด ว่ามีหลักฐานจริงหรือเปล่า แล้วก็ไปร่วมหุ้น ร่วมแชร์กันเข้า เล่นกันไปเล่นกันมาเปีย ไปเปียมา หายไปเสียแล้วเจ้ามือ คนอยู่ข้างหลังก็เดือดร้อนไปตามๆ กัน อย่างนี้ปรากฏบ่อยๆ ญาติโยมเคยมาเล่าให้ฟังว่า แหมดิฉันเสียท่าเขาเสียแล้ว หัวหน้าแชร์หายไปเสียแล้ว ไม่รู้ว่าจะ ไปเอากับใคร นี่มันเรื่องอะไรเชื่อคนง่ายเกินไป แล้วก็การกระท�ำเช่นนั้น ไม่ใช่เรื่องเปิดเผย ความจริงมันก็ไม่ถูกต้องนั่นแหละ ที่เราท�ำไป มันก็มีความผิดพลาด มีความเสียหาย การพนัน นี่มันเรื่องลับ เรื่องลับมันเสียหายได้ง่าย เพราะไม่เปิดเผยแก่ใคร เลยเกิดความเสียหายได้ง่าย อันนี้เป็นตัวอย่าง หรือบางทีเพื่อนมาชวนเราให้ลงทุนค้าขายอะไรต่างๆ คนที่มาชวนนั้น เป็น นักพูดเรียกว่านักโฆษณา อ้างเหตุอ้างผลสถิติอะไรต่ออะไร มองเห็นไปหมดเลย เห็นแต่เรื่องได้ ไม่ได้คิดว่ามันเสียช่องไหนบ้าง

70

ค�ำสอน๑หยิบมือ


นี่คิดการหลงกลแล้ว ตกหลุมพลางแล้ว หลุมพลางที่เขาขุดไว้สวยสด งดงาม ว่าถ้าท�ำแล้วจะได้อย่างนั้นได้อย่างนี้ จะมีก�ำไรอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ไม่ได้คิดว่า อุปสรรคมันมีหรือเปล่า ข้อขัดข้องมันมีหรือเปล่า คนเราบางทีคิดแต่เรื่องที่จะได้ แต่เรื่อง เสียไม่คิด ไม่คิดถึงว่า ความเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างๆ เช่นสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป ดินฟ้า อากาศเปลี่ยนแปลงไป หรืออะไรๆ เกิดขึ้นโดยไม่รู้ เรื่องที่เกิดขึ้นโดยเราไม่รู้มันมีบ่อยๆ เราจึง ต้องคิดเผื่อไว้ ว่าเออถ้ามันเป็นอย่างนั้น ถ้ามันเป็นอย่างนี้ เราจะท�ำอย่างไร มีทางที่จะเสียหาย จะขาดทุนไหม มันต้องคิดให้รอบคอบ ถ้าคิดอย่างรอบคอบแล้ว บางทีก็นึกว่า ไม่เหมาะเราไม่ ควร จะเสี่ยงในเรื่องอย่างนั้น อย่างเสี่ยงอะไรให้มันมากเกินไป โดยเฉพาะการลงทุน ไม่ว่าเรื่อง อะไร อย่าเสี่ยงให้มากเกินไป เพราะการเสี่ยงนั้นมันเป็นภัย บางทีมันจะได้ บางทีมันเสีย ทีนี้เราก็เกิดความทุกข์ความเดือดร้อน เรามีจิตใจมันไม่หนักแน่นพอ พอเสียก็เสียอก เสียใจ มนุษย์เรานี่มันมีความหวังอยู่ในชีวิตทั้งนั้น แต่ว่าขอฝากไว้อันหนึ่งว่า สิ่งที่เราหวังนั้น ไม่ใช่จะสมหวังทุกเรื่องไป อันนี้ส�ำคัญที่สุด ต้องคิดไว้ให้ดี อะไรก็ตามที่เราหวังนั้น มันไม่สมหวัง ร้อยเปอร์เซ็นต์ มันอาจจะได้บ้าง อาจจะไม่ได้บ้าง มันเป็นเรื่องธรรมดา เช่นการเรียนหนังสือ ของลูกเรา เราอย่านึกว่าจะได้เสมอไป แต่ก็เตือนไว้เถอะ ให้เล่าเรียนเอาใจใส่ บางทีมันมันก็ไม่ สมหวัง เช่นเวลาใกล้จะสอบไล่ เกิดเจ็บไข้ปุ๊บปั๊บขึ้นมา แล้วก็ไม่ได้สอบ มันก็ไม่สมหวังแล้ว ปี นั้นสอบไม่ได้เราก็เสียอกเสียใจ อย่างนี้มันก็มีอยู่ การท�ำงานท�ำการก็เหมือนกัน เราไปท�ำงานท�ำการเราอย่างนึก ว่ามันจะราบรื่น เรียบร้อยเสมอไป อย่านึกว่าจะเหมือนคนอื่นทั้งหลายเขา คนเรานั้นมันไม่เหมือนกัน อันนี้ต้อง คิดไว้ในใจอันหนึ่งว่า คนเราไม่เหมือนกัน สติปัญญาก็ไม่เหมือนกัน อันนี้ต้องคิดไว้ในใจอันหนึ่ง ว่า คนเราไม่เหมือนกัน สติปัญญาไม่เหมือนกัน สมรรถภาพไม่เหมือนกัน การสังคมก็ไม่เหมือน กัน คนสามคนสองคน เข้าท�ำงานในที่เดียวกัน แต่บางคนก้าวไปไกล บางคนก้าวไปนิดหนึ่ง บางคนหลังเพื่อนเลย มันเพราะอะไร มันไม่ใช่เพราะเรื่องดวง เรื่องดาวอะไร แต่ว่าเรื่องการก ระท�ำมันไม่สม�่ำเสมอกัน คนที่ก้าวไปไกลนั้น เขาอาจจะมีอะไรหลายอย่างในตัวเขา ที่เขาได้ ก้าวไปข้างหน้า เราควรจะศึกษา ควรจะสังเกตเขา ที่เขาได้ก้าวไปข้างหน้า ควรจะสังเกตคนนั้น ศึกษาว่า เขาเป็นมีความรู้ ความสามารถอย่างไร การติดต่อ การสมาคมกับผู้หลักผู้ใหญ่ในวง งานวงการ เป็นอย่างไร นิสัยใจคอเขาเป็นอย่างไร แล้วเอามาเปรียบกับเราว่าเรา มันขาดอะไร บ้าง ที่คนนั้นมีเรามีไหม ไม่ใช่วัดแต่ความรู้กันอย่างเดียว ค�ำสอน๑หยิบมือ

71


ความรู้ว่าสอบไล่ได้ ที่ได้ก็ไม่เหมือนกัน ปริญญาที่ได้ก็ไม่เท่ากัน บางคน สอบสี่ปีได้ บางคนตั้งห้าปีหกปีจึงจะได้ เวลาก็ไม่เท่ากันแล้ว การเรียนก็ไม่เท่ากัน แล้ว เวลาออกไปท�ำงานมันก็ไม่เท่ากัน ความไหวพริบ ความคิดนึกตรึกตรอง การรู้จักกับผู้หลัก ผู้ใหญ่ การเข้าใกล้ การสมาคมกับคนเหล่านั้น มันมีอะไรบกพร่องบ้าง ในตัวของเรานั้น เรา จะต้องพิจารณา ต้องปรับปรุง อย่าลงโทษตัวเองเสียท่าเดียว ว่าเรานี่มันแย่ดวงไม่ดีเลย สู้คน นั้นไม่ได้ สู้คนนี้ไม่ได้ เรื่องการโทษดวงนี้แหละ มันท�ำให้เสียหายอยู่ คือเมื่อโทษดวงแล้ว เราก็ ไม่พิจารณาตัวเอง ไม่ศึกษาค้นคว้าในตัวเรา ว่าเราบกพร่องอะไร เราเสียหายอะไร เราก็ไม่คิด แก้ไข เพราะไปโทษดวงเสียแล้ว แต่ถ้าเราคิดว่า เราต้องศึกษาที่ตัวเราเอง ว่าเรานี่บกพร่องอะไร ดูเพื่อนเขาก่อน เพื่อนที่ ท�ำงานในส�ำนักงานเดียวกัน ว่าเขาเก่งอะไรบ้าง ความรู้ความสามารถ กิริยาท่าทาง การเข้าหา ผู้หลักผู้ใหญ่ มันหลายเรื่อง ไม่ใช่เรื่องเดียว ที่จะท�ำคนให้ก้าวหน้า ไม่ใช่มีวิชาแล้ว มันจะก้าว พรวดพลาดไปได้เมื่อไหร่ บางคนมีวิชาแต่ไปไม่รอดก็มี บางคนมีวิชามีไม่เท่าไหร่ แต่ว่ามีอย่าง อื่นดีหลายอย่าง ที่ประกอบกัน เราก็ต้องพิจารณา ศึกษาในเรื่องคนนั้น คนนี้ ว่าเขามีดีอะไร อย่าไปพูดว่าคนดวงมันดี นั่นมันขึ้นไปแล้วพูดอย่างนั้นก็ไม่ได้ปัญญา แต่เราต้องศึกษาว่าเขาดี อย่างไร ท�ำงานเป็นอย่างไร สมาคมกับผู้หลักผู้ใหญ่เป็นอย่างไร ใกล้ชิดกับผู้หลักผู้ใหญ่ไหม เขา ใกล้ชิดผู้ใหญ่ เขาคุ้นเคยกับผู้หลักผู้ใหญ่ เราไม่คุ้นเคย งานการเราก็ไม่ค่อยคล่องเท่าไหร่ มัน หลายเรื่องหลายประการ เราพิจารณาอย่างนี้ ก็ไม่น้อยใจในตัวเอง แต่จะรู้จักตัวเอง ว่าเรามันมี อะไรบกพร่อง ที่เราจะต้องแก้ไขปรับปรุงต่อไป แล้วเราพยายามแก้ไข ปรับปรุง ดูคนอื่นแล้วท�ำ ตามเขาบ้างในเรื่องที่มันดี มันมีประโยชน์ แต่ว่าเรื่องใดที่ไม่ดี ไม่มีประโยชน์เราไม่เอา เอาแต่ เรื่องดี ก็มนุษย์ในโลกนี้ชอบคนดีกันทั้งนั้น แต่เราต้องท�ำให้เขาเห็น ท�ำดีให้ปรากฏ อย่างนี้เรา ก็พอไปรอด ไม่ตกต�่ำอะไรมากเกินไป นี่คือวิธีการแก้ไขปัญหาชีวิตของเราได้ ในเรื่องการติดต่อ การงาน การสมาคมอะไรต่างๆ คนบางคนมันเป็นอย่างนี้ อาตมาเคยสังเกต ไม่ค่อยจะเข้าหา ผู้หลักผู้ใหญ่ ท�ำงานแต่ว่าไม่รู้จักผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่เขาก็ไม่รู้จักเรา อันนี้มันก็เสียหาย เราอยู่กับใคร ต้องท�ำความคุ้นเคยกับผู้ นั้น ต้องเข้าใกล้ ต้องหาโอกาสให้ได้พบกันบ่อยๆ จะได้รับใช้จะได้ใกล้ ชิด คนเราถ้าได้รับใช้ได้ใกล้ชิดแล้ว มันก็นึกได้ มีอะไรก็นึกถึง คนที่ไม่เข้าใกล้เลย มันนึกไม่ออก ว่าเอ๊ะคนนั้นคนนี้ มันเป็นอย่างนี้ ไม่ต้องอะไร พระในวัดมีหลายๆ องค์ พระบางองค์ไม่เคยเข้า ใกล้สมภาร แล้วสมภารก็ไม่ค่อยนิมนต์ไปงานไปการ

72

ค�ำสอน๑หยิบมือ


เพราะเวลานิมนต์นี้ต้องนึกว่าจะนิมนต์ใคร เห็นหน้าแต่คนที่อยู่ใกล้ๆ พอ นึกแล้วคนนั้นผุดขึ้นในใจ แล้วนิมนต์องค์ที่ใคร องค์ที่ไกลออกไปไม่เคยอะไร พระในวัด มีหลายๆองค์ พระบางองค์ไม่เคยเข้าใกล้สมภาร แล้วสมภารก็ไม่ค่อยนิมนต์ไปงานไปการ เพราะเวลานิมนต์นี้ กว่าจะนิมนต์ใคร เห็นหน้าแต่คนที่อยู่ใกล้ องค์ที่ไกลออกไป ไม่เคยโผล่ หน้ามาเยี่ยมกุฏิสมภารเลย เขาก็นึกไม่ออก เมื่อเขานึกไม่ออก เมื่อเขานิมนต์เลยสมภารท่าจะ ไม่ชอบเรา แล้วนั่งใบ้อยู่คนเดียว ทีนี้เราก็นึกว่าเรานี้เข้าใกล้ผู้ใหญ่บ้างหรือเปล่า รู้ไหมว่าเขาท�ำ อะไรบ้าง บางคนไม่ได้เรื่องเลย ไม่ว่าอยู่วัดอยู่บ้าน ไม่สนใจที่จะช่วยงานช่วยการใครๆ เคยมีคราวหนึ่งที่ชลประทาน เขาเปิดเขื่อนยันฮีในหลวงเสด็จ พรุ่งนี้ในหลวงเสด็จแล้ว พลับพลาที่ประทับยังพ่นสีกันอยู่เลย ปกติเขาก็ท�ำอย่างนั้น ยังพ่นสีอยู่กันอยู่ท�ำงานท�ำการ อธิบดีท่านไปยกโต๊ะเก้าอี้อยู่เอง ไม่ใช่ไปนั่งชี้นิ้ว อธิบดีหม่อมชูชาติ ท่านท�ำด้วย ท่านไปยกนั่น จับนี่จับโน่นทีเดียว เพราะคนอื่นท�ำไม่ถูกใจท่านท�ำเอง ข้าราชการคนหนึ่งใส่เสื้อฮาวายลาย พล้อย ยืนเอามือไขว้หลังดูเฉยอยู่นั่น มองๆ มันไม่รู้สึกตัว ยังยืนเอามือไขว้หลัง ท�ำตัวเป็นนาย ห้างใหญ่อยู่นั่นเอง ท่านอธิบดีท่านร�ำคาญขึ้นมา ท่านเข้าไปถามว่า คุณ มาจากไหนไม่ทราบ กระผมท�ำงานกรมชลฯ มาท�ำอะไร มาราชการ พรุ่งนี้ถึงวันเปิดจะได้ท�ำงานท�ำการ ชื่ออะไร อธิบดีจดชื่อเอาไว้ ตั้งแต่นั้นไม่ได้ขึ้นเงินเดือน จนท่านอธิบดีลาออกไม่ได้เลย นี่แหละเขาเรียกว่ามันไม่เข้าเรื่อง นายท�ำอะไร ท�ำไมไปยืนดูนาย มันควรจะเข้าช่วยรื้อขอ งช่วย จัด ช่วยแต่ง ก็เป็นที่พอใจของท่าน ว่าเอออ้ายนี่มันใช้ได้ คนมีหัวใจ คือไม่ดูดาย เห็นเขาท�ำ อะไรก็ไปช่วยท�ำกับเขามั่ง คนบางคนมันใจไม้ไส้ระก�ำเสียจริงๆ เห็นใครท�ำอะไรก็เฉย ไม่สนใจ ไม่รู้เรื่องอะไร อยู่แต่ในที่ของตัว ไม่ได้ท�ำอะไร ผู้ใหญ่ท�ำอะไรก็เข้าไปใกล้ เข้าไปช่วยเหลือ ให้ คุ้นเคยกัน แล้วทีหลังสะดวก เพียงเท่านี้ก็ชื่นใจแล้ว หรือให้เกิดความคุ้นเคย หรือมิฉะนั้น เรา ไปศึกษาหารือกับผู้ใหญ่ จะท�ำอะไรเขาสั่งให้ท�ำแล้ว ความจริงเราอาจจะรู้ว่าท�ำอย่างไร แต่มันก็ต้องมีกุสโลบายบ้างผู้หลักผู้ใหญ่ ไปถึง แหมเรื่องนี้ กระผมยังไม่เข้าใจแจ่มแจ้ง ว่าปฏิบัติอย่างไร อยากจะมาหารือในเรื่องนี้สักเล็กน้อย ผู้ใหญ่ท่าน คงจะภูมิใจ ในการที่เราเข้าไปศึกษาไต่ถามอย่างนั้น ท่านไม่เกลียดหรอกใน เรื่องนั้น ท่านอยากจะให้เราไต่ถาม ท่านจะได้แนะน�ำ คนเรามันภูมิใจ ในเมื่อคนอื่นมาศึกษา เล่าเรียนกับเรา ท่านก็ต้องแนะน�ำอย่างนั้นอย่างนี้ เราก็จ�ำไว้จดไว้บันทึกไว้ จดผิดจดถูกจดไว้ อย่างฟังเฉยๆ ฟังเฉยๆ บางทีมันก็ลืมเสีย บอกก็จดไว้ จดผิดจดถูกจดไว้ก็แล้ว ค�ำสอน๑หยิบมือ

73


กัน ท่านเห็นว่าเราเอาความรู้ของท่านของท่านไปใช้ แล้วไปท�ำ แล้วก็ควร จะไปหาท่าน บอกว่า แหมสิ่งที่ใต้เท้าแนะน�ำไปวันนั้น ผมได้ลองเอาไปปฏิบัติแล้ว ได้ผล สมความตั้งใจ อย่าไปท�ำแล้วหายหัวไปเลย ไม่รู้ว่าท�ำหรือเปล่า อันนี้ธรรมเนียมไทยก็มีอยู่แล้ว เขาว่าไปลามาไหว้ไปไหนต้องไปลา การไปปรึกษาหารือ ก็คือไปลานั่นแหละ มาไหว้คือต้องไปบอกให้รู้ว่าได้ไปท�ำอะไรมา ท�ำเรียบร้อยหรือเปล่า มี ปัญหาอะไร มีข้อขัดข้องอะไรบ้าง แล้วก็มารายงานให้ท่านรู้ ท่านก็พอใจ ว่าเรานี่ได้ไปท�ำงาน ได้เรียบร้อย ถ้ามีอุปสรรคขัดข้องมารายงาน ว่ามีข้อขัดข้องอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่สะดวก ท่านก็ จะได้คิดแก้ไขต่อไป นี่เขาเรียกว่าประสานงานกับผู้ใหญ่ หมั่นเข้าใกล้บ่อยๆ เคยไปเทศน์สอนข้าราชการอยู่บ้างเหมือนกัน เช่นว่าวันเกิดของนาย บางคนไปเอาโน้นตอน เย็น จะไปกินเลี้ยงเลย อย่างนี้มันจะได้เรื่องอะไร เราจะไปอวยพรนายไปเช้าๆ คนมันเยอะถ้า เราไปหลังเพื่อน นายตาลายเสียแล้ว คนมันมากจ�ำไม่ได้ รับๆ วางๆ ไว้ของใครก็ไม่รู้ จ�ำไม่ได้ มันไม่ประทับใจ เราจะให้ประทับใจต้องไปเช้ามืด ไปยืนรออยู่ตรงประตู พอคนใช้เปิดประตู เราก็เข้าไปเลย อยู่ที่หน้าบ้าน พอท่านออกมาจะท�ำบุญใส่บาตร ตรงเข้าไปกราบอวยพร ขอให้ ใต้เท้ามีความสุข มีความเจริญแล้วก็บอกว่าผมผู้น้อย ไม่มีเงินมีทองมีของขวัญอะไรมาฝาก เล็ก น้อย ไม่ต้องแพงของฝาก ดอกไม้สักช่อหนึ่งก็เรียกว่าน�้ำใจ แต่ถ้าเราไปเช้าแจ่มใสอารมณ์ก�ำลัง ดี เห็นหน้าเราก็จ�ำได้ เออไอ้นี่มาอวยพรเราแต่เช้า ถ้าเราไปบ่ายเลือนหมดแล้ว จ�ำไม่ได้ มาถึงก็ วางไว้ก่อน คนมันมาก มันยุ่ง นี่เขาเรียกว่าไม่รู้จักเวลา จะไปไหนจะต้องไปก่อนเพื่อน ท�ำอะไร มันต้องรู้จักท�ำ อย่างนั้นเป็นศิลปเหมือนกัน ในเรื่องอย่างนี้ คนไม่ใช้แล้วก็ไปบ่นดวงไม่ดี นี่มันก็ ล�ำบากเรื่องชีวิต ที่เราใช้ธรรมใช้เหตุผล แล้วจะช่วยอะไรเราได้บ้าง นอกจากปัญหาอย่างนี้แล้ว คนหนุ่มมักจะมีปัญหา เรื่องเพศเรื่องแฟนอะไรอย่างนี้ บางทีก็ไปรักคนนั้นไว้ รักแล้วรักทุ่มเลยทีเดียว ทิ้งลงไปทั้งร้อยไม่เหลือเก็บไว้มั่ง เลยเราอย่า ไปรักเขาทั้งร้อย เผื่อๆ ไว้สักหน่อย มันไม่แน่นะ เขาอาจจะเปลี่ยนแปลงได้วันหลัง ถ้าสมมติว่า ถ้าเขาเปลี่ยนแปลงได้ในวันหลัง ถ้าเราทุ่มไปทั้งร้อยไม่ไหว กลับไปไม่ทัน จะเสียใจว่า เราดวง ไม่ดี มีคู่รักมันก็เวร มันอาภัพ ปัตตนิมันไม่ดี ถ้าหมวดเลขเจ็ดเขาว่าอย่างนั้น ปัตตนิ หมายถึง คู่ครองไม่ดี เกณฑ์คู่มันพลิกท้องทุกที แล้วก็เสียอกเสียใจ ไอ้นี้มันไม่ได้ผิดที่ใครหรอก ผิดที่ว่า เรารักเขามากเกินไป แล้วเขาเหวี่ยงปัดเราไป ความจริงมันไม่ใช่เรื่องเสียอกเสียใจแล้ว เราควรจะคิดไว้ว่าก็รักเผื่อๆ ไว้ทีหลังที่ตกลงเรียบร้อย ไว้เป็นคู่ครองกัน แต่ถ้าเขาเปลี่ยนแปลงไปก็ช่าง อย่าไปทุกข์ไปร้อนอะไรมากเกินไป อย่าทุ่มให้

74

ค�ำสอน๑หยิบมือ


มันหมดตัว อย่าไปยึดถือให้มันมากเกินไป ในสิ่งเหล่านั้นก็ไม่มี ปัญหา อะไร บางคน แหม! พอเมียตายเท่านั้นก็ฆ่าตัวตายเลย เหมือนกับวันก่อน ที่อัยการหนุ่ม เรียนกว่าจะได้เนติบัณฑิต เป็นอัยการเป็นเวลาสิบปีไม่ใช่เวลาน้อยๆ แล้วก็มีลูกไว้สอง หญิง หนึ่ง ชายหนึ่ง คิดถึงเมีย ไปเยี่ยมศพเมียบ่อยๆ ไปเยี่ยมด้วยความเขลา ไม่ไปด้วยปัญญา ก็คิด ว่าชีวิตมนุษย์ก็อย่างนี้ เกิดแล้วก็ต้องตาย ที่วัดมกุฏฯ วัดโสมนัส ก็น่าจะรู้ว่า ที่นอนอยู่ไม่ใช่ ตัวเดียว มันเยอะแยะใครต่อใครมานอนอยู่ น่าจะเกิดปัญญา แต่ไปก็ไม่ได้เกิดปัญญา นั่งเศร้า เสียใจ ไม่ใช่ไปมือเปล่าพกปืนไปด้วย ไปยิงกับผีที่ป่าช้า พกปืนไปท�ำไม นี้เป็นความคิดที่ผิด แล้วเอาปืนไปด้วย ผลที่สุดคิดถึงภรรยามากเกินไป นึกขึ้นมา ชีวิตอยู่ไม่ไหวแล้ว ฉันขาดเธอมัน ไม่มีความหมาย นี่เขาเรียกว่าคิดแบบโง่ๆ ไม่ได้เรื่อง เลยก็ยิงตัวตายในวัดมกุฏฯนั่นเอง พูดให้มีปัญญามั่งแหละ คิดให้มีปัญญามั่งแหละ มันก็ไม่ฆ่าตัวตาย ไปวัดแล้วก็นั่งอยู่ ข้างโบสถ์คนเดียว โบสถ์มันพูดไม่ได้ นี้ลองเดินไปกุฏิพระมั่งจะเป็นไร ไปคุยกับเจ้าคุณนั้น เจ้า คุณนี้ เจ้าคุณจะได้คุยอะไรต่อไป ปัญญาจะได้เกิดขึ้นบ้าง นี่ไม่ได้คิดอย่างนั้น ไปนั่งคนเดียว ใน เวลาทุกข์แล้วไม่ไปหาคน ไปนั่งทุกข์อยู่ข้างเสามั่ง ไปนั่งทุกข์อยู่ข้างฝามั่ง ไปหาสิ่งที่พูดด้วย ไม่ได้ทั้งนั้นแหละ เรามันต้องไปหาคนแหละ หรือต้องไปหาพระ พระจะได้ถามสารทุกข์สุกดิบ และแนะแนวทางให้เข้าใจ เรื่องอะไรมีปัญหาอะไร พระท่านจะได้ชี้แจงตามแนวธรรมะ เราก็จะ คลายจากความทุกข์ ความเดือดร้อน เรามาศึกษามาไต่ถามปัญหา มีความกลุ้มใจก็มาวัดไห้พระท่านชี้แนะแนวทางให้ อันนี้ มันจะได้ประโยชน์ไม่ต้องฆ่าตัวตาย คนใดมาพบพระแล้วไม่ตายหลายคนแล้วนะ เด็กหนุ่มก็มี เด็กสาวก็มี กลุ้มใจ มาวัดแล้วไม่เป็นไร มาวัดแล้วไม่ตายแน่ มาพูดกันให้เช้าใจรู้เรื่องในชีวิตให้ เข้าใจกลับไปเสียมั่ง ก็จะได้เรียบร้อย บางทีจะยิงกันแล้ว พระยังช่วยไว้ได้ เพราะฉะนั้นเราต้องใช้ธรรมะไว้ ในการด�ำเนินชีวิตประจ�ำวัน ไม่ว่าเรื่องอะไรต้องคิดถึงธรรมะ เอาธรรมะเป็นหลักไว้เสมอๆ แล้วเอาตัวรอดได้ ดังได้แสดงมาก็สมควรแก่เวลา ขอยุติไว้เพียงแค่นี้. หลวงพ่อปัญญา นันทภิกขุ

ค�ำสอน๑หยิบมือ

75


วิธีปฏิบัติเมื่อถูกด่าว่า ปัญหา เมื่อเราถูกด่าว่าด้วยถ้อยค�ำหยาบคาย เราควรจะปฏิบัติอย่างไร? พุทธด�ำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทางแห่งถ้อยค�ำที่บุคคลอื่นจะพึงกล่าวกะท่าน มีอยู่ ๕ ประการ คือ กล่าวโดยกาลอันสมควรหรือไม่สมควร ๑ กล่าวด้วยเรื่องจริงหรือไม่จริง ๑ กล่าวด้วยค�ำอ่อนหวานหรือค�ำหยาบคาย ๑ มีจิตเมตตาหรือมีโทสะในภายในกล่าว ๑ ดู ก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลอื่นจะกล่าวโดยกาลอันสมควรหรือไม่สามควรก็ตาม จะกล่าว ด้วยเรื่องจริงหรือไม่จริงก็ตาม จะกล่าวด้วยค�ำอ่อนหวานหรือค�ำหยาบคายก็ตาม จะกล่าว ถ้อยค�ำประกอบด้วยประโยชน์หรือไม่ประกอบด้วยประโยชน์ก็ตาม จะมีจิตเมตตาหรือมีโทสะ ภายในกล่าวก็ตาม ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ในข้อนั้น พวกเธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า จิตของเราจัก ไม่แปรปรวน เราจักไม่เปล่งวาจาลามก เราจักอนุเคราะห์ด้วยสิ่งอันเป็นประโยชน์ เราจักมีจิต เมตตา ไม่มีโทสะในภายในเราจักแผ่เมตตาจิตไปถึงบุคคลนั้น และจักแผ่เมตตาจิตอันไพบูลย์ ใหญ่ยิ่งหาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาทไปตลอดโลก ทุกทิศทุกทางซึ่งเป็นอารมณ์ของ จิตนั้นดังนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายถึงศึกษาด้วยอาการดังที่กล่าวมานี้แลฯ ” พระพุทธเจ้า

การล้างบาปด้วยน�้ำ ปัญหา ลัทธิพราหมณ์ถือว่า กระท�ำบาปแล้วอาจจะช�ำระล้างให้หมด สิ้นไปด้วยการอาบน�้ำในแม่น�้ำศักดิ์สิทธิ์ เช่น แม่น�้ำคงคา เป็นต้น ทางพระพุทธศาสนา มีทรรศนะเกี่ยวกับเรื่องนี้ อย่างไร ? พุทธด�ำรัสตอบ “.....คนพาล มีกรรมด�ำ (บาป) แล่นไปยังแม่น�้ำพาหุกาท่าน�้ำอธิกักกะ ท่าน�้ำคะ ยา แม่น�้ำสุนทริกา แม่น�้ำสรัสสดี ท่าน�้ำปยาคะ และแม่น�้ำพาหุมดีแม้เป็นนิตย์ ก็บริสุทธิ์ไม่ได้ แม่น�้ำสุนทริกา ท่าน�้ำปยาคะ หรือแม่น�้ำพาหุกา จักท�ำอะไรได้ จะช�ำระนรชนผู้มีเวรท�ำ กรรมอันหยายช้า ผู้มีกรรมอันเป็นบาปนั้นให้บริสุทธิ์ไม่ได้เลย ผัคคุณฤกษ์ย่อมพึงพร้อมแก่

76

ค�ำสอน๑หยิบมือ


บุคคลผู้หมดจดแล้วทุกเมื่อ อุโบสถก็ย่อมถึงพร้อมแก่บุคคลผู้หมดจด แล้วทุกเมื่อ วัตรของบุคคลผู้หมดจดแล้ว มีการงานอันสะอาด ย่อมถึงพร้อมทุกเมื่อ ดู ก่อนพราหมณ์ ท่านจงอาบในค�ำสอนของเรานี้เถิด จงท�ำความเกษมในสัตว์ทั้งปวงเถิด ถ้า ท่านไม่กล่าวค�ำเท็จ ไม่เบียดเบียนสัตว์ ไม่ถือวัตถุที่เขาไม่ให้เป็นผู้มีความเชื่อ ไม่ตระหนี่ไซร้ ท่านจักต้องไปยังท่าน�้ำคะยาท�ำไม แม้การดื่มน�้ำในท่าน�้ำคะยาก็จักท�ำอะไรให้แก่ท่านได้ฯ พระพุทธเจ้า

เรียนไม่เป็นก็มีโทษ ปัญหา คนทั่วไปเข้าใจว่า การเรียนธรรมเป็นของดี มีประโยชน์ แต่ ถ่ายเดียว ใครจะทราบว่าการเรียนธรรมก่อให้เกิดทุกข์โทษ มีหรือไม่? พุทธด�ำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุรุษเหล่าบางพวกในพระธรรม วินัยนี้ ย่อม เล่าเรียนธรรมคือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทั ลละ บุรุษเหล่าเหล่านั้นเล่าเรียนธรรมนั้นแล้ว ย่อมไม่ไตร่ตรอง เนื้อความแห่งธรรมเหล่านั้น ด้วยปัญญา ธรรมเหล่านั้นย่อมไม่ควรซึ่งการเพ่งแก่บุรุษเปล่าเหล่านั้น ผู้ไม่ไตร่ตรองเนื้อความ ด้วยปัญญา บุรุษเปล่าเหล่านั้น เป็นผู้มีความข่มผู้อื่นเป็นอานิสงส์ (เรียนเพื่อข่มผู้อื่น) และมี การเปลื้องเสียซึ่งความนินทาเป็นอานิสงส์ (เรียนเพื่อให้คนต�ำหนิมิได้) ย่อมเล่าเรียนธรรม ก็ กุลบุตรทั้งหลายย่อมเล่าเรียนธรรมเพื่อประโยชน์อันใด บุรุษเหล่าเหล่านั้นย่อมไม่ได้เสวย ประโยชน์แห่งธรรมนั้น ธรรมเหล่านั้นอันบุรุษเหล่านั้นเรียนไม่ดีแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความไม่ เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์สิ้นกาลนาน ข้อนั้นเป็นเพราะอะไร เพราะธรรมทั้งหลายอันตนเรียน ไม่ดีแล้ว “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีความต้องการด้วยงูพิษเสาะหางูพิษ เที่ยวแสวงหางูพิษ เขาพึงพบงูพิษตัวใหญ่ พึงจับงูพิษนั้นที่ขนดหรือที่หาง งูพิษนั้นพึงแว้งกัดเขา

ค�ำสอน๑หยิบมือ

77


ที่มือ ที่แขน หรือที่อวัยวะใหญ่น้อยแห่งใดแห่งหนึ่ง เขาพึงถึงความตาย หรือความทุกข์ปางตาย มีการกัดนั้นเป็นเหตุข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร เพราะงูพิษตนจับไม่ ดีแล้ว” พระพุทธเจ้า

ความส�ำคัญของจิตใจ ปัญหา มีบางคนกล่าวว่า ในบรรดาการกระท�ำทางกาย ทางวาจา และทางใจนั้น การกระท�ำทางกายส�ำคัญที่สุด เพราะก่อให้เกิดผลเห็นได้ชัด เช่น ฆ่าเขา ตายด้วยกาย ย่อมมีผลเสียหายมากกว่ากล่าวอาฆาตด้วยวาจา และการคิดจะฆ่าด้วยใจ พระ ผู้มีพระภาคตรัสอย่างไรในเรื่องนี้? พุทธด�ำรัสตอบ “..... ดูก่อนตัปสสี บรรดากรรมทั้ง ๓ ประการ ที่จ�ำแนกออกแล้วเป็นส่วนละ อย่างต่างกันเหล่านี้ เราบัญญัติมโนกรรมว่ามีโทษมากกว่า ในการท�ำบาปกรรม ในการเป็นไป แห่งบาปกรรม เราจะบัญญัติกายกรรมวจีกรรมว่ามีโทษมากเหมือนมโนกรรมหามิได้” เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสเช่นนี้แล้ว อุบาลีคฤหบดีผู้เป็นสาวกของนิครนถนาฏบุตรก็ยังยืนยัน อยู่นั่นเองว่า กายกรรมมีโทษมากกว่า พระผู้มีพระภาคจึงตรัสต่อไปว่า “ดูก่อนคฤหบดี ท่าน จะส�ำคัญในความข้อนั้นเป็นไฉน นิครนถ์ในโลกนี้เป็นคนอาพาธ มีทุกข์ เป็นไข้หนัก ห้ามน�้ำเย็น ดื่มแต่น�้ำร้อน เมื่อเขาไม่ได้น�้ำเย็นจะต้องตาย ดูก่อนคฤหบดี ก็นิครนถนาฏบุตรบัญญัติความ เกิดของนิครนถ์ผู้นี้ ณ ที่ไหนเล่า?” อุบาลีคฤหบดี “..... ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เทวดาชื่อว่ามโนสัตว์มีอยู่นิครนถ์นั้นย่อมเกิดใน เทวดาจ�ำพวกนั้น.... เพราะนิครนถ์ผู้นั้นเป็นผู้มีใจเกาะเกี่ยวท�ำกาละ....” ก็เป็นอันว่า อุบาลีคฤหบดีย่อมรับว่ามโนกรรมส�ำคัญกว่า แต่เขายังยืนยันต่อไปว่า กายกรรม ส�ำคัญกว่า พระผู้มีพระภาคจึงตรัสต่อไปว่า “ดูก่อนคฤหบดี ท่านจะส�ำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน นิครนถ์ในโลกนี้ พึงเป็นผู้ส�ำรวมด้วยการสังวรโดยส่วน ๔ คือ ห้ามน�้ำทั้งปวง ประกอบด้วยการ ห้ามบาปทั้งปวง ก�ำจัดบาปด้วยการห้ามบาปทั้งปวง อันการห้ามบาปทั้งปวงถูกต้องแล้ว

78

ค�ำสอน๑หยิบมือ


ย่อมถึงการฆ่าสัตว์ตัวเล็กๆ เป็นอันมากดูก่อนคฤหบดี นิครนถนาฏ บุตรบัญญัติ วิบากเช่นไรแก่นิครนถ์ผู้นี้?” อุบาลี “ข้าแต่พระองค์ผู้ เจริญ นิครนถนาฏบุตรมิได้บัญญัติกรรม อันเป็นไปโดยไม่เจาะจงว่า มีโทษมากเลย” พระผู้มีพระภาค “ดูก่อนคฤหบดี ก็ถ้าจงใจเล่า?” อุบาลี “.... เป็นกรรมมีโทษมาก” พระผู้มีพระภาค “... ก็นิครนถนาฏบุตรเจตนาลงในสวนไหน?” อุบาลี “... นิครนถนาฏบุตรบัญญัติเจตนาลงในส่วนมโนทัณฑะ” (มโนกรรม) ก็เป็นอันว่า อุบาลีคฤหบดี ยอมรับด้วยถ้อยค�ำของตนเองว่ามโนกรรมส�ำคัญกว่า แต่ก็ยังยืนยัน ว่ากายกรรมส�ำคัญกว่าต่อไปอีก พระผู้มีพระภาคจึงตรัสต่อไปว่า “ดูก่อนคฤหบดี ท่านจะ ส�ำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บ้านนาฬันทานี้ เป็นบ้านมั่งคั่งเป็นบ้านเจริญ มีชนมาก มีมนุษย์ เกลื่อนกล่น.... พึงมีบุรุษคนหนึ่งเงื้อดาบมา เขาพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เขาจักท�ำสัตว์เท่าที่มีอยู่ใน บ้านนาฬันทานี้ ให้เป็นลานเนื้ออันเดียวกัน ให้เป็นกองเนื้ออันเดียวกัน โดยขณะหนึ่ง โดยครู่ หนึ่ง ดูก่อนคฤหบดี ท่านจักส�ำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษนั้นจะสามารถท�ำสัตว์เท่าที่มีอยู่ใน หมู่บ้านนาฬันทานี้ให้เป็นลานเนื้อันเดียวกันได้หรือ?” เมื่ออุบาลีทูลว่า ท�ำไม่ได้ พระพุทธองค์จึงตรัสต่อไปว่า “ดูก่อนคฤหบดี ท่านจะส�ำคัญความข้อ นั้นเป็นไฉน สมณะหรือพราหมณ์ผู้มีฤทธิ์ถึงความเป็นผู้ช�ำนาญในทางจิต พึงมาในบ้านนาฬัน ทานี้.... พึงกล่าวอย่างนี้ว่า เราจักท�ำบ้านนาฬันทานี้ให้เป็นเถ้า ด้วยจิตคิดประทุษร้ายดวง เดียว ดูก่อนคฤหบดี ท่านจะส�ำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน สมณะหรือพราหมณ์ผู้มีฤทธิ์.... นั้น จะ สามารถท�ำบ้านนาฬันทานี้ให้เป็นเถ้า ด้วยจิตประทุษร้ายดวงหนึ่งได้หรือหนอ?” อุบาลีคฤหบดียอมรับว่าท�ำได้ ซึ่งแสดงให้เป็นว่ามโนกรรมส�ำคัญกว่าแต่ก็ยังยืนยันต่อไปว่า กายกรรมส�ำคัญกว่า พระผู้มีพระภาคจึงตรัสต่อไปว่า “ดูก่อนคฤหบดี ท่านจะส�ำคัญกว่า พระผู้ มีพระภาคจึงตรัสต่อไปว่า “ดูก่อนคฤหบดี ท่านจะส�ำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ป่าทัณฑดี ป่ากา ลิคะ ป่ามาตังคะ เกิดเป็นป่าไปท่านได้ฟังมาแล้วหรือ? อุบาลี “.... ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้ว....”

ค�ำสอน๑หยิบมือ

79


พระผู้มีพระภาค “... ท่านได้ฟังมาว่าอย่างไร เกิดเป็นป่าไปเพราะ

เหตุไร?” อุบาลี “... เพราะใจประทุษร้าย อันพวกเทวดาท�ำเพื่อฤาษี” ในที่สุด อุบาลีคฤหบดีก็ยอมรับว่ามโนกรรมส�ำคัญกว่า และประกาศตนเป็นสาวกของพระบรม ศาสดา พระพุทธเจ้า

ก่อนท�ำ พูด คิด ควรท�ำอย่างไร ปัญหา ก่อนแต่จะท�ำ จะพูด จะคิดก็ดี ขณะที่ก�ำลังท�ำ ก�ำลังพูด ก�ำลังคิดอยู่ก็ดี พระผู้มีพระภาคทรงแนะน�ำไว้อย่างไร? พุทธด�ำรัสตอบ “..... ดูก่อนราหุล เธอปรารถนาจะท�ำกรรมใด ด้วยกาย.... ด้วยวาจา... ด้วย ใจ... เธอพึงพิจารณาเสียก่อนว่า เราปรารถนาจะท�ำกรรมนี้ด้วยกาย... ด้วยวาจา.... ด้วยใจ กายกรรม... วจีกรรม... มโนกรรม... ของเรานี้ พึงเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนบ้าง เพื่อเบียดเบียน ผู้อื่นบ้าง เพื่อเบียดเบียนทั้งตนทั้งผู้อื่นบ้าง กายกรรม... วจีกรรม... มโนกรรม... นี้เป็นอกุศล มี ทุกข์ เป็นก�ำไร มีทุกข์เป็นวิบากกระมังหนอ ดูก่อนราหุล ถ้าเมื่อเธอพิจารณาอยู่พึงรู้อย่างนี้ว่า เราปรารถนาจะท�ำกรรมใดด้วยกาย.... ด้วยวาจา... ด้วยใจ กายกรรม... วจีกรรม... มโนกรรม... ของเรานี้ พึงเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนเพื่อเบียดเบียนผู้อื่น เพื่อเบียดเบียนทั้งตนทั้งผู้อื่น ...... เป็นอกุศลมีทุกข์เป็นก�ำไร มีทุกข์เป็นวิบากดังนี้ไซร้ กรรมเห็นปานนี้ เธอไม่พึงท�ำด้วยกาย ... ด้วยวาจา.... ด้วยใจ.... โดยส่วนเดียว “แต่ถ้าเมื่อเธอพิจารณาอยู่พึงรู้อย่างนี้ว่า เราปรารถนาจะท�ำกรรมใด ด้วยกาย.... ด้วยวาจา... ด้วยใจ กายกรรม... วจีกรรม... มโนกรรม...ของเรานี้ ไม่พึงเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตน เพื่อ เบียดเบียนผู้อื่น เพื่อเบียดเบียนทั้งตนทั้งผู้อื่น เป็นกุศล มีสุขเป็นก�ำไร มีสุขเป็นวิบากดังนี้ไซร้ กรรมเห็นปานนี้ เธอพึงท�ำด้วยกาย ... ด้วยวาจา.... ด้วยใจ

80

ค�ำสอน๑หยิบมือ


“แม้เมื่อเธอก�ำลังกระท�ำกรรมด้วยกาย.... ด้วยวาจา..... ด้วยใจ.... ด้วยใจ เธอก็พึงพิจารณากายกรรม.... วจีกรรม.... มโนกรรม.... นั้นแหละว่า เราก�ำลัง กระท�ำกรรมใดด้วยกาย.... ด้วยวาจา... ด้วยใจ กายกรรม... วจีกรรม... มโนกรรม...ของ เรานี้ ย่อมเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนบ้าง..... เป็นอกุศล มีทุกข์ เป็นวิบากกระมังหนอ ถ้าเมื่อ เธอพิจารณาอยู่ พึงรู้อย่างนี้ว่า..... กายกรรม... วจีกรรม... มโนกรรม...ของเรา ย่อมเป็นไป เพื่อเบียดเบียนตนบ้าง เพื่อเบียดเบียนผู้อื่นบ้าง เธอพึงเลิกกรรมเห็นปานนั้นเสีย แต่ถ้าเธอ พิจารณาอยู่พึงรู้อย่างนี้ว่า .... กรรมของเราย่อมเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนบ้าง เพื่อเบียดเบียนผู้ อื่นบ้าง.... เป็นกุศลมีสุขเป็นก�ำไร .... เธอพึงเพิ่มกายกรรม... วจีกรรม... มโนกรรม... พระพุทธเจ้า

คุณของการกินแต่น้อย ปัญหา พระภิกษุในพระพุทธ ศาสนาได้รับอนุญาตให้บริโภคอาหารเพียงวันละ ๑ หรือ ๒ ครั้งเท่านั้น พระผู้มีพระภาคทรงเป็นประโยชน์อย่างไร จึงทรงบัญญัติให้ ภิกษุบริโภคอาหารน้อย? พุทธด�ำรัสตอบ “..... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราฉันอาหารในเวลาก่อนภัตครั้งเดียว เมื่อเรา ฉันอาหารในเวลาก่อนภัตครั้งเดียว ย่อมรู้สึกคุณคือ ความเป็นผู้มีอาพาธน้อย มีโรคเบาบาง กายเบา มีก�ำลัง และอยู่ส�ำราญ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้เธอทั้งหลายจงมา จงฉันอาหารใน เวลาก่อนภัตครั้งเดียวเถิด ด้วยว่าเมื่อเธอทั้งหลายฉันอาหาร ในเวลาก่อนภัตครั้งเดียว จักรู้สึก คุณคือ ความเป็นผู้มีอาพาธน้อย มีโรคเบาบาง กายเบามีก�ำลัง และอยู่ส�ำราญ.....” พระพุทธเจ้า

ค�ำสอน๑หยิบมือ

81


ผู้ที่ไม่เถียงกับใครๆ ปัญหา คนเราที่ไม่รู้ความจริงแท้ ย่อมมีความเห็นแตกต่างกันและ ทะเลาะวิวาททุ่มเถียงกัน มีคนประเภทใดบ้างที่ไม่ทุ่มเถียงกับใครๆ? พุทธด�ำรัสตอบ “อัคคิเวสสนะ เวทนา ๓ อย่างนี้คือ สุขเวทนา ๑ ทุกขเวทนา ๑ อทุกขมสุข เวทนา ๑ อัคคิเวสสนะ สมัยใดได้เสวยสุขเวทนาในสมัยนั้นไม่ได้เสวยทุกขเวทนา ไม่ได้เสวย อ ทุกขมสุขเวทนา ได้เสวยแต่สุขเวทนาเท่านั้น ในสมัยใดได้เสวยทุกขเวทนา ในสมัยนั้นไม่ได้ เสวยสุขเวทนา ไม่ได้เสวยไม่ได้เสวย อทุกขมสุขเวทนา ได้เสวยแต่ทุกขเวทนา เท่านั้น ในสมัย ใดได้เสวยอทุกขมสุขเวทนา ในสมัยนั้นไม่ได้เสวยสุขเวทนา ไม่ได้เสวยแต่ทุกขเวทนา ได้เสวย อทุกขมสุขเวทนา “อัคคิเวสสนะ สุขเวทนา...... ทุกขเวทนา....... อทุกขมสุขเวทนา.....ไม่เที่ยงอันปัจจัยปรุงแต่ง ขึ้นอาศัยปัจจัยเกิดขึ้น มีความสิ้นไป เสื่อมไป คล้ายไปดับไปเป็นธรรมดา “อัคคิเวสสนะ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เมื่อเห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมหน่ายทั้งใน ทั้งสุขเวทนา ทั้ง ทุกขเวทนา ทั้งอทุกขมสุขเวทนา เมื่อหน่ายย่อมคลายก�ำหนัด เพราะคลายก�ำหนัดย่อมหลุด พ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณหยั่งรู้ ว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรท�ำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี อัคคิเวสสนะ ภิกษุผู้มีจิตหลุดพ้นแล้ว อย่างนี้แล ย่อมไม่วิวาทแก่งแย่งกับใคร ๆ โวหารใดที่ชาวโลกพูดกันก็พูดไปตามโวหารนั้น แต่ ไม่ยึดมั่นด้วยทิฐิ” พระพุทธเจ้า

82

ค�ำสอน๑หยิบมือ


ท�ำบาปด้วยความจ�ำเป็น ปัญหา บางครั้งบางคราว คนเราจ�ำต้องท�ำความชั่ว เพราะความ จ�ำเป็น เช่น กระท�ำเพราะเห็นแก่มารดาบิดาผู้มีอุปการคุณ เป็นต้น ในกรณีเช่นนั้น จะ จัดว่าเป็นบาปหรือไม่? พระสารีบุตรตอบ “.....ดูก่อนธนัญชานิ ท่านจะเข้าใจความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนใน โลกนี้ เป็นผู้ประพฤติไม่ชอบธรรม ประพฤติผิดธรรม เพราะเหตุแห่งบิดามารดา นายนิริย บาลจะพึงฉุดคร่าเขาผู้นั้นไปยังนรก เพราะเหตุแห่งการประพฤติไม่ชอบธรรมและประพฤติผิด ธรรม เขาจะพึงได้ตามความปรารถนาหรือว่า เราเป็นผู้ประพฤติไม่ชอบธรรมประพฤติผิดธรรม เพราะเหตุแห่งบิดามารดา ขอนายนิริยบาลอย่าพึงฉุดคร่าเราไปสู่นรกเลย หรือมารดาบิดาของ ผู้นั้นจะพึงได้ตามปรารถนาหรือว่าผู้นี้เป็นผู้ประพฤติไม่ชอบธรรมประพฤติผิดธรรม เพราะเหตุ แห่งการทั้งหลาย ขอนายนิริยบาลอย่าพึงฉุดคร่าเขาไปนรกเลย “.....ดูก่อนธนัญชานิ ท่านจะเข้าใจความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ประพฤติ ไม่ชอบธรรม ประพฤติผิดธรรม เพราะเหตุแห่งบุตรและภริยา.... เพราะเหตุแห่งทาสกรรมกร และคนรับใช้...... เพราะเหตุแห่งมิตรและอ�ำมาตย์....... เพราะเหตุแห่งญาติสาโลหิต....... เพราะเหตุแห่งแขก..... เพราะเหตุแห่งปุพพเปตชน...... เพราะเหตุแห่งเทวดา..... เพราะเหตุ แห่งพระราชา...... เพราะเหตุแห่งการเลี้ยงกาย...... เพราะเหตุท�ำนุบ�ำรุงกาย นายนิริยบาลจะพึงฉุดคร่าเขาผู้นั้นไปยังนรก......เขาจะพึงได้ตามความปรารถนาหรือว่า เรา ประพฤติไม่ชอบธรรม...... เพราะเหตุแห่งการเลี้ยงกาย....... ขอนายนิริยบาลอย่าพึงฉุดคร่าเรา ไปสู่นรกเลย หรือมารดาบิดาของผู้นั้นจะพึงได้ตามปรารถนาหรือว่าผู้นี้เป็นผู้ประพฤติไม่ชอบ ธรรม..... เพราะเหตุแห่งการเลี้ยงกาย ขอนายนิริยบาลอย่าพึงฉุดคร่าเขาไปนรกเลย “.....ดูก่อนธนัญชานิ ท่านจะเข้าใจความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลผู้ประพฤติไม่ชอบธรรม....... เพราะเหตุแห่งบิดามารดา กับบุคคลผู้ประพฤติชอบธรรม ประพฤติถูกธรรม เพราะเหตุแห่ง มารดาบิดา ไหนจะประเสริฐกว่ากัน “.....ดูก่อนธนัญชานิ การงานอย่างอื่นที่มีเหตุประกอบด้วยธรรม เป็นเครื่องให้บุคคลอาจเลี้ยง มารดาบิดาได้ ไม่ต้องท�ำกรรมอันลามก และให้ปฏิบัติปฏิปทาอันเป็นบุญได้ มีอยู่ฯ” พระพุทธเจ้า ค�ำสอน๑หยิบมือ

83


กรรมเก่ากรรมใหม่ ปัญหา นิครนถนาฏบุตร ศาสนาแห่งศาสนาเซนเห็นว่าสุขทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์ที่มนุษย์ได้รับอยู่ในปัจจุบัน ย่อมเป็นผลของกรรมเก่าที่ตนท�ำไว้ใน อดีตทั้งสิ้น ฉะนั้นทุกคนจึงตกเป็นทาสของกรรมอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง วิธีแก้ต้องบ�ำเพ็ญ ตบะ ก�ำจัดกรรมเก่าและไม่ท�ำกรรมใหม่ เมื่อเป็นผู้ไม่มีกรรมอย่างสิ้นเชิงแล้ว จึงจะพ้นทุกข์ได้ เด็ดขาดดังนี้ พระพุทธองค์ทรงมีทรรศนะอย่างไร? พุทธด�ำรัสตอบ “...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราเข้าไปหานิครนถ์ผู้มีวาทะ... ทิฐิ อย่างนี้แล้วถาม ว่า ดูก่อนนิครนถ์ผู้มีอายุ จริงหรือที่มีข่าวว่า พวกท่านมีวาทะอย่างนี้... ว่า ปุริสบุคคลนี้ย่อม เสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นสุขก็ดีเป็นทุกข์ก็ดี มิใช่สุขมิใช่ทุกข์ก็ดี ข้อนั้นทั้งหมดเป็น เพราะเหตุแห่งกรรมที่ตนท�ำไว้ก่อน... พวกนิครนถ์นั้น ถูกเราถามอย่างนี้แล้วย่อมยืนยัน เรา จึงถาม... อย่างนี้ว่า... พวกท่านทราบละหรือว่า เราทั้งหลายได้มีแล้วในก่อนมิใช่ไม่ได้มีแล้ว? นิครนถ์เหล่านั้นตอบว่า ไม่ทราบ เราถามว่า พวกท่านทราบละหรือว่า เราทั้งหลายได้ท�ำบาป กรรมไว้ในก่อน มิใช่ได้ท�ำไว้ พวกนิครนถ์ตอบว่า ไม่ทราบ เราถามว่า พวกท่านทราบละหรือว่า เราทั้งหลายได้ท�ำบาปกรรมอย่างนี้ พวกนิครนถ์ตอบว่า ไม่ทราบ เราถามว่าพวกท่านทราบละ หรือว่า ทุกข์เท่านี้เราสลัดได้แล้ว หรือว่าทุกข์เท่านี้เรายังจะต้องสลัดเสีย หรือว่าเมื่อทุกข์เท่านี้ เราสลัดแล้ว จักเป็นอันว่าเราสลัดทุกข์ได้หมด? พวกนิครนถ์ตอบว่า ไม่ทราบ เราถามว่า พวก ท่านทราบการละอกุศลธรรม การบ�ำเพ็ญกุศลธรรมในปัจจุบันละหรือ? พวกนิครนถ์ตอบว่า ไม่ ทราบ” “เรากล่าวว่า ดูก่อนนิครนถ์ผู้มีอายุ... เมื่อเป็นเช่นนี้ นิครนถ์ผู้มีอายุไม่บังควรจะพยากรณ์ว่า ปุริสบุคคลนี้ย่อมเสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง... ข้อนั้นทั้งหมดเป็นเพราะเหตุแห่งกรรมที่ตน ท�ำไว้ในก่อน” “ดูก่อนนิครนถ์ผู้มีอายุ... สมัยใด พวกท่านมีความพยายามแรงกล้า มีความเพียรแรงกล้า สมัยนั้นพวกท่านย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้าเจ็บแสบอันเกิดแต่ความพยายามแรงกล้า แต่สมัยใด พวกท่านไม่มีความพยายามแรงกล้า... สมัยนั้นพวกท่านย่อมเสวยเวทนาอันเป็น ทุกข์กล้า... อันเกิดแต่ความพยายามแรงกล้า... เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกนิครนถ์ผู้มีอายุไม่บังควรจะ พยากรณ์ว่า... ข้อนั้นทั้งหมดเป็นเพราะเหตุแห่งกรรมที่จนท�ำไว้ก่อน”

84

ค�ำสอน๑หยิบมือ


“... ถ้าสมัยใด พวกท่านมีความพยายามแรงกล้า... สมัยนั้น เวทนาอันเป็นทุกข์กล้า... พึงหยุดได้เอง... เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกนิครนถ์ผู้มีอายุก็ควรจะ พยากรณ์ได้ว่า... ข้อนั้นทั้งหมดเป็นเพราะเหตุแห่งกรรมที่จนท�ำไว้ก่อน” “ดูก่อนนิครนถ์ผู้มีอายุ... ก็เพราะเหตุที่สมัยใด พวกท่านมีความพยายามแรงกล้า... สมัย นั้นพวกท่านจึงเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า พวกท่านนั้นเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า... อันเกิด แต่ความเพียรเองทีเดียว...” “ดูก่อนนิครนถ์ผู้มีอายุ...พวกท่านจะพึงปรารถนาไม่ได้ดังนี้ว่า กรรมใดเป็นของให้ผลใน ปัจจุบัน ขอกรรมนั้นจงเป็นของให้ผลในชาติหน้า... กรรมใดเป็นของให้ผลในชาติหน้า ขอกรรม นั้นจงเป็นของให้ผลในปัจจุบัน... กรรมใดเป็นของให้ผลเป็นทุกข์ ขอกรรมนั้นจงเป็นของให้ผล เป็นสุข... กรรมใดเป็นของให้ผลเป็นสุข ขอกรรมนั้นจงเป็นของให้ผลเป็นทุกข์... กรรมใดเป็น ของให้ผลเสร็จสิ้นแล้ว ขอกรรมนั้นจงเป็นของให้ผลเสร็จสิ้น... ด้วยความพยายามหรือด้วย ความเพียรเถิด เมื่อเป็นเช่นนั้น ความพยายามของพวกนิครนถ์ผู้มีอายุก็ไร้ผล ความเพียรก็ไร้ ผล...” “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หมู่สัตว์ย่อมเสวยสุขและทุกข์ เพราะเหตุแห่งกรรมที่ตนท�ำไว้ในก่อน พวกนิครนถ์ก็เป็นผู้ได้ท�ำกรรมชั่วไว้ในก่อนแน่ ในบัดนี้ พวกเขาจึงได้เสวยเวทนาอันเป็นทุกข์ กล้าเจ็บแสบเห็นปานนี้ ถ้าหมู่สัตว์ย่อมเสวยสุขและทุกข์เพราะเหตุที่อิศวร (เทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่) เนรมิตให้พวกนิครนถ์ก็ต้องเป็นผู้ถูกอิศวรชั้นเลวเนรมิตมาแน่... ถ้าหมู่สัตว์ย่อมเสวยสุขและ ทุกข์ เพราะเหตุที่มีความบังเอิญ พวกนิครนถ์ก็ต้องเป็นผู้มีความบังเอิญชั่วแน่... ถ้าหมู่สัตว์ย่อม เสวยสุขและทุกข์เพราะอภิชาติ พวกนิครนถ์ก็ต้องเป็นผู้มีอภิชาติเลวแน่... ถ้าหมู่สัตว์ย่อมเสวย สุขและทุกข์เพราะความพยายามในปัจจุบัน พวกนิครนถ์ต้องเป็นผู้มีความพยายามในปัจจุบัน เลวแน่ ในบัดนี้พวกเขาจึงได้เสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบเห็นปานนี้...” “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไรความพยายามจึงจะมีผล ความเพียรจึงจะมีผล? ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไม่เอาทุกข์ทับถมจนที่ไม่มีทุกข์ทับถม ๑ ไม่สละความสุขที่ เกิดโดยธรรม ๑ ไม่มีผู้หมกมุ่นในความสุขนั้น ๑ เธอย่อมทราบชัดอย่างนี้ว่า ถึง เรานี้จะยังมีเหตุแห่งทุกข์ เมื่อเริ่มตั้งความเพียร วิราคะย่อมมีได้ด้วยการตั้งความเพียร... เมื่อวางเฉยบ�ำเพ็ญอุเบกขาอยู่ วิราคะก็ย่อมมีได้... เธอจึงเริ่มตั้งความเพียร... และบ�ำเพ็ญ อุเบกขา... แม้อย่างนี้ ทุกข์นั้นก็เป็นอันเธอสลัดได้แล้ว...” พระพุทธเจ้า ค�ำสอน๑หยิบมือ

85


เหตุให้เชื่อชาติหน้า ปัญหา คนในโลกเชื่อกันว่า ตายแล้วเกิดก็มี ตายแล้วสูญก็มี อะไร เป็นมูลเหตุให้เชื่อเช่นนั้น? พุทธด�ำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกบัญญัติอัตตาที่มีสัญญาว่า เบื้องหน้าแต่ตายไปยั่งยืน (มีอยู่ ไม่สูญ) ย่อมคัดค้านสมณพราหมณ์พวกบัญญัติความขาดสูญ ความพินาศ ความเกิดของสัตว์ ที่มีอยู่ นั่นเพราะเหตุไร เพราะท่านสมณพราหมณ์เหล่านี้แม้ ทั้งหมด ย่อมหมายมั่นกาลข้างหน้า กล่าวยืนยันความหวังอย่างเดียวว่า เราละโลกไปแล้วจัก เป็นเช่นนี้ๆ เปรียบเหมือนพ่อค้า ไปค้าขายย่อมมีความหวังว่า ผลจากการค้าเท่านี้จักมีแก่เรา เพราะการค้าขายนี้ เราจักได้ผลเท่านี้ ดังนี้ฉันใด ท่านสมณพราหมณ์พวกนั้นก็ฉันนั้นเหมือนกัน แล ชะรอจะเห็นปรากฏเหมือนพ่อค้า จึงหวังว่าเราละโลกไปแล้ว จักเป็นเช่นนี้ ๆ ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย ตถาคตย่อมทราบเรื่องนี้ดี “ดูก่อนสมณพราหมณ์ พวกบัญญัติความขาดสูญความพินาศ ความไม่เกิดของสัตว์ที่มีอยู่ เป็น ผู้กลัวสักกายะ (กายของตน) เกลียดสักกายะ แต่ยังวนเวียนไปตามทสักกายะนั้นอยู่แล เปรียบ เหมือนสุนัขที่เขาผูกโซ่ล่ามไว้ที่เสาหรือที่หลักมั่น ย่อมวนเวียนไปตามเสาหรือหลักมั่นนั้นเอง ฉันใด ท่านสมณพราหมณ์ พวกนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นผู้กลัวสักกายะ..... แต่ยังวนเวียนไป ตามสักกายะอยู่นั่นแล เรื่องสักกายะดังนี้นั้น อันปัจจัยปรุงแต่งเป็นของหยาบ และความดับ ของสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งมีอยู่ ตถาคตทราบว่าสิ่งนี้ยังที่อยู่ จึงเห็นอุบายเป็นเครื่องสลัดออกจาก สิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งนั้น เป็นไปล่วงสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งนั้นได้ ฯ” พระพุทธเจ้า

86

ค�ำสอน๑หยิบมือ


หญิงที่ไม่ควรละเมิด ปัญหา ในฝ่ายหญิงนั้น หญิงมีลักษณะเช่นไรบ้างที่ชายไม่พึงละเมิด ถ้าละเมิด จะเป็นการล่วงละเมิดศีลข้อกาเมสุมิจฉาจาร? พุทธด�ำรัสตอบ “.....ไม่เป็นผู้ละเมิดจารีตในหญิงที่มารดารักษาบ้าง หญิงที่บิดารักษาบ้าง หญิงที่ทั้งมารดาทั้งบิดารักษาบ้าง หญิงที่พี่ชายรักษาบ้างหญิงที่พี่สาวรักษาบ้าง หญิงที่ญาติ รักษาบ้าง หญิงที่ยังมีสามีอยู่บ้าง หญิงที่มีสินไหมติดตัวอยู่บ้าง ที่สุดแม้หญิงที่ชายคล้องพวง ดอกไม้หมั้นไว้.....” พระพุทธเจ้า

นรกมีจริงหรือ ปัญหา มีบางคนยืนยันว่า นรกสวรรค์ไม่มี พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสไว้ ในพระไตรปิฎก ดังนี้ ข้อนี้เป็นความจริงเพียงใด? พุทธด�ำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนพาลนั้นนั่นแลประพฤติทุจริต ทางกาย ทาง วาจา ทางใจแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก...... “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทุกข์โทมนัสที่บุรุษถูกแทงด้วยหอกสามร้อยเล่มเป็นเหตุ ก�ำลังเสวย อยู่นั้นเปรียบเทียบทุกข์ของนรก ยังไม่ถึงแม้ความคณนา ยังไม่ถึงแม้ส่วนแห่งเสี้ยว ยังไม่ถึงแม้ การเทียบกันได้ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหล่านายนิรยบาลจะให้คนพาลนั้นกระท�ำเหตุชื่อการจ�ำ ๕ ประการ คือ ตรึงตะปูเหล็กแดงที่มือข้างที่ ๑ ข้างที่ ๒ ที่เท้าข้างที่ ๑ ข้างที่ ๒ และที่ทรวงอกตรงกลาง คนพาลนั้นจะเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า....... และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมยังไม่สิ้นสุด “.....เหล่านายนิรยบาล จะจับคนพาลนั้นขึงพืดแล้วเอาผึ่งถาก คนพาลนั้นจะเสวยเวทนาอัน เป็นทุกข์กล้า...... ค�ำสอน๑หยิบมือ

87


“.....เหล่านายนิรยบาล จะจับคนพาลนั้น เอาเท้าขึ้นข้างบน เอาหัว ลงข้างล่าง แล้วถากด้วยพร้า คนพาลนั้นจะเสวยเทวทนาอันเป็นทุกข์กล้า...... “.....เหล่านายนิรยบาล จะเอาพาลนั้นเทียมรถ แล้วให้วิ่งกลับไปกลับมาบนแผ่นดินที่มีไฟติด ทั่ว ลุกโพลง โชติช่วง คนพาลนั้นจะเสวยเทวทนาอันเป็นทุกข์กล้า...... “.....เหล่านายนิรยบาล จะให้คนพาลนั้นปีนขึ้นปีนลง ซึ่งภูเขาถ่านเพลิงลูกใหญ่ ที่มีไฟติดทั่ว ลุกโพลง โชติช่วง คนพาลนั้นจะเสวยเทวทนาอันเป็นทุกข์กล้า...... “.....เหล่านายนิรยบาล จะจับคนพาลนั้น เอาเท้าขึ้นข้างบน เอาหัวลงข้างล่าง แล้วพุ่งลงไป ในหม้อทองแดงที่ร้อน มีไฟติดทั่ง ลุกโพลง โชติช่วง คนพาลนั้นจะเดือนเป็นฟองอยู่ในหม้อ ทองแดงนั้น เมื่อเขาเดือดเป็นฟองอยู่ จะพล่านขึ้นข้างบนครั้งหนึ่งบ้าง พล่านลงข้างล่างครั้ง หนึ่งบ้าง พล่านไปด้านขวาครั้งหนึ่งบ้าง พล่านลงข้างล่างครั้งหนึ่งบ้าง จะเสวยเวทนาอันเป็น ทุกข์กล้า เจ็บแสบอยู่ในหม้อทองแดงนั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมยังไม่สิ้นสุด “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหล่านายนิรยบาล จะจับโยนคนพาลนั้นเข้าไปในมหานรก ก็มหานรก นั่นแล มีสี่มุมสี่ประตู แบ่งไว้โดยส่วนเท่ากัน มีก�ำแพงเหล็กล้อมรอบ ครอบไว้ด้วยแผ่นเหล็ก พื้นของนรกใหญ่นั้น ล้วนแล้วด้วยเหล็ก ลุกโพลง ประกอบด้วยไฟแผ่ไปตลอดร้อยโยชน์รอบ ด้น ประดิษฐานอยู่ทุกเมื่อ” พระพุทธเจ้า

คนพาลเกิดเป็นมนุษย์ได้ยาก ปัญหา ได้ทราบว่า คนเกิดมาเป็นมนุษย์ไม่ใช่สิ่งที่ได้โดยง่าย ยิ่งเป็น คนพาลสันดานชั่วด้วยแล้ว ยิ่งมีโอกาสเกิดเป็นมนุษย์อีกน้อย ในเรื่องนี้ พระผู้มีพระ ภาคตรัสไว้อย่างไร? พุทธด�ำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษโยนทุ่นมีบ่วงตาเดียวไปใน มหาสมุทร ทุนนั้นถูกลมตะวันออกพัดไปทางทิศ ตะวันตก ถูกลมตะวันตกพัดไปทางทิศตะวัน ออก ถูกลมเหนือพัดไปทางทิศใต้ ถูกลมใต้พัดไปทางทิศ

88

ค�ำสอน๑หยิบมือ


เหนือ มีเต่าตาบอดอยู่ในมหาสมุทรนั้น ล่วงไปร้อยปีจึงจะผุดขึ้น ครั้งหนึ่ง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะส�ำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน? เต่าตาบอดตัว นั้น จะพึงเอาคอสวมเข้าที่ทุ่นมีบ่วงตาเดียวโน้นได้บ้างไหมหนอ ? “ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า ข้อนั้นเป็นไปไม่ได้เลยพระพุทธเจ้าข้า..... ถ้าจะเป็นไปได้ในบางครั้งบาง คราว ก็โดยล่วงระยะกาลนานแน่นอน “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เต่าตาบอดตัวนั้นจะพึงเอาคอสวมเข้าที่ทุ่นมีบ่วงตาเดียวโน้นได้ ยัง จะเร็วกว่า เรากล่าวความเป็นมนุษย์ที่คนพาลผู้ไปสู่วินิบาต คราวหนึ่งแล้วจะพึงได้ ยังยากกว่า นี้ นั่นเพราะเหตุไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะในตัวคนพาลนี้ ไม่มีความประพฤติธรรม ความ ประพฤติสงบ การท�ำกุศล การท�ำบุญ มีแต่การกินกันเอง การเบียดเบียนคนอ่อนแอ...... “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนพาลนั้นแลถ้าจะมาสู่ความเป็นมนุษย์ในบางครั้งบางคราว ไม่ว่า กาลไหนๆ โดยล่วงระยะกาลนานย่อมเกิดในสกุลต�่ำ คือ สกุลคนจัณฑาล หรือสกุลพรานเนื้อ หรือสกุลคนจักสาน หรือสกุลช่างรถ หรือสกุลคนเทขยะเห็นปานนั้นในบั้นปลาย.......” พระพุทธเจ้า

ท�ำดีไปนรก-ท�ำชั่วไปสวรรค์ ปัญหา บุคคลกระท�ำบาปด้วยกาย วาจา ใจ แล้วจะได้ไปเกิดใน สุคติเสมอไปหรือ ? และบุคคลกระท�ำบุญด้วย กาย วาจา ใจ ตายแล้วจะเข้าถึงทุคติ สมอไปหรือ ? ถ้าไม่ เพราะเหตุไร? พุทธด�ำรัสตอบ “.....ดูก่อนอานนท์ เราไม่เห็นด้วยกับวาทะของสมณะ หรือพราหมณ์ที่กล่าว อย่างนี้ ท่านผู้เจริญเป็นอันว่า กรรมดีไม่มีวิบากของสุจริตไม่มี แต่วาทะของเขาที่กล่าวอย่างนี้ ว่า ข้าพเจ้าได้เห็นบุคคลโน้นผู้เว้นขาดจากปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาท สุราเมรัย มีความเห็นชอบในโลกนี้ และผู้นั้นตายไปแล้ว เข้าพึง อบาย ทุคติ วินิบาต นรก ข้าพเจ้าก็เห็น นี้เราเห็นด้วย ค�ำสอน๑หยิบมือ

89


“ส่วนวาทะของเขาที่กล่าวอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ เป็นอันว่าผู้ใดเว้น ขาดจากปาณาติบาต ฯลฯ มีความเห็นชอบ ผู้นั้นทุกคนตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก นี้เรายังไม่เห็นด้วย “แม้วาทะของเขาที่กล่าวอย่างนี้ว่า ชนเหล่าใดรู้อย่างนี้ ชนเหล่านั้นชื่อว่ารู้ชอบ ชนเหล่าใดรู้ โดยประการอื่น ความรู้ของชนเหล่านั้นผิด นี้เราก็ยังไม่เห็นด้วย” “แม้วาทะของเขาที่พูดปักลงไป ถึงเรื่องที่เขารู้เอง เห็นเอง ทราบเอง นั้นแหละ ในที่นั้นๆ ตาม ก�ำลังและความแน่ใจว่า นี้เท่านั้นจริง อื่นเปล่านี้เราก็ยังไม่เห็นด้วย...... “.....ดูก่อนอานนท์ บุคคลที่เว้นขาดจากปาณาติบาต อทินนาทาน ฯลฯ มีความเห็นชอบในโลก นี้ ตายไปแล้ว เข้าถึงอุบาย ทุคติ วินิบาต นรก นี้เป็นเพราะว่า เขาท�ำกรรมชั่วที่ให้ผลเป็นทุกข์ ไว้ในกาลก่อน ๆ หรือในกาลภายหลัง หรือว่าในเวลาจะตาย มีมิจฉาทิฐิพรั่งพร้อมสมาทานแล้ว เพราะฉะนั้น เขาตายไป จึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก......” พระพุทธเจ้า

นินทา-ว่าร้าย ปัญหา ตามปกติ การนินทาลับหลังก็ดี การว่าร้ายต่อหน้าก็ดี ถือ กันว่าเป็นสิ่งไม่ควรกระท�ำ พระผู้มีพระภาคทรงแนะน�ำในเรื่องนี้ไว้อย่างไร ? พุทธด�ำรัสตอบ “ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า ไม่ถึงกล่าววาทะลับหลัง ไม่พึงกล่าวค�ำล่วงเกินต่อ หน้านั้น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในประการแรกนั้น พึงทราบว่า วาทะลับ หลังใด ไม่เป็นจริง ไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่พึงกล่าววาทะลับหลัง นั้นเป็นอันขาด แม้ทราบว่าวาทะลับหลังใด จริง แท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ก็พึงส�ำเนียกเพื่อจะไม่กล่าว วาทะลับหลังนั้น พึงเป็นผู้รู้จักกาลเพื่อจะกล่าววาทะลับหลังนั้น

90

ค�ำสอน๑หยิบมือ


“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในประการหลังนั้น พึงทราบว่า ค�ำล่วงเกิน ต่อหน้าใด ไม่เป็นจริง ไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่พึงกล่าวค�ำล่วงเกินต่อหน้า นั้นเป็นอันขาด แม้ทราบว่าค�ำล่วงเกินต่อหน้าใดจริง แท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ก็ พึงส�ำเนียกเพื่อจะไม่กล่าวค�ำล่วงเกินต่อหน้านั้นและทราบว่า ค�ำล่วงกินต่อหน้าใดจริง แท้ ประกอบด้วยประโยชน์ ในเรื่องนั้น พึงเป็นผู้รู้จักกาล เพื่อจะกล่าวค�ำล่วงเกินต่อหน้านั้น....” พระพุทธเจ้า

ไม่ควรพูดรีบร้อน ปัญหา ในการพูด พระผู้มีพระภาคทรง แนะน�ำเกี่ยวกับการพูดเร็วหรือช้าไว้อย่างไรบ้าง ? พุทธด�ำรัสตอบ “ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า พึงเป็นผู้ไม่รีบด่วน พูด อย่างพูดรีบด่วนนั้น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว ดูก่อนภิกษุทั้ง หลาย ในประการแรก นั้น เมื่อรีบด่วนพูด กายก็ล�ำบาก จิตก็แกว่ง เสียงก็พร่า คอก็เครือ แม้ค�ำพูดของผู้ที่รีบด่วนพูด ก็ไม่สละสลวย ไม่พึง รู้ชัดได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายในประการหลังนั้น เมื่อไม่รีบด่วนพูด กายก็ไม่ ล�ำบาก จิตก็ไม่แกว่ง เสียงก็ไม่พร่า คอก็ไม่เครือ แม้ค�ำพูดของผู้ที่ไม่รับด่วน พูด ก็สละสลวย พึงรู้ชัดได้.....” พระพุทธเจ้า

ค�ำสอน๑หยิบมือ

91


ฆ่าตัวตายไม่ควรต�ำหนิเสมอไป ปัญหา เรื่องมีอยู่ว่า พระฉันนะอาพาธ หนัก และคิดจะฆ่าตัวตายด้วยศาสตรา พระสารีบุตรได้เทศนาสั่ง สอนและห้ามปรามไว้ แต่ในที่สุดพระฉันนะก็ฆ่าตัวตายจนได้ และได้รับค�ำต�ำหนิ ติเตียนจากญาติมิตรและคนเป็นอันมาก พระสารีบุตรจึงทูลถามพระพุทธเจ้าถึงเรื่องนี้ พระพุทธองค์ทรงมีทรรศนะว่าอย่างไร? พุทธด�ำรัสตอบ “ดูก่อนสารีบุตร พระฉันนะยังมีสกุลมิตร สกุลสหายและสกุลที่คอยต�ำหนิอยู่ก็ จริง แต่เราหาเรียกบุคคลว่า ควรถูกต�ำหนิด้วยเหตุเพียงเท่านี้ไม่...... บุคคลใดแลทิ้งกายนี้และ ยึดมั่นกายอื่น บุคคลนั้นเราเรียกว่า ควรถูกต�ำหนิ ฉันนะภิกษุหามีลักษณะนี้ไม่ ฉันนะภิกษุ หาศาสตรามาฆ่าตัว อย่างไม่ควรถูกต�ำหนิ” พระพุทธเจ้า

ข้อปฏิบัติเมื่อถูกท�ำร้าย ปัญหา เมื่อถูกท�ำร้าย ด้วยวาจาก็ดี ด้วยกายก็ดี พุทธศาสนิกชน ที่แท้จริง ควรจะปฏิบัติอย่างไร? พระปุณณะ (ทูลตอบพระพุทธเจ้า) “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันต ชนบท จักด่าจักบริภาษข้าพระองค์ ข้าพระองค์จักมีความคิดในพวกเขาอย่างนี้ว่า พวกมนุษย์ ชาวสุนาปรันตชนบทนี้ ยังดีนักหนาที่ไม่ให้การประหารเราด้วยฝ่ามือ..... “ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบท จักให้การประหารข้าพระองค์ด้วยฝ่ามือ ข้าพระองค์ จักมีความคิดในพวกเขาอย่างนี้ว่า พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทนี้ ยังดีนักหนาที่ไม่ให้การ ประหารเราด้วยก้อนดิน.....

92

ค�ำสอน๑หยิบมือ


“ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบท จักให้การประหารข้าพระองค์ ด้วยก้อนดิน ข้าพระองค์จักมีความคิดในพวกเขาอย่างนี้ว่า พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันต ชนบทนี้ ยังดีนักหนาที่ไม่ให้การประหารเราด้วยท่อนไม้..... “ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตนี้ จักให้การประหารข้าพระองค์ด้วยฝ่ามือ ข้าพระองค์จักมีความ คิดในพวกเขาอย่างนี้ว่า พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทนี้ ยังดีนักหนาที่ไม่ให้การประหารเรา ด้วยก้อนดิน..... “ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบท จักให้การประหารข้าพระองค์ด้วยก้อนดิน ข้าพระองค์ จักมีความคิดในพวกเขาอย่างนี้ว่า พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทนี้ ยังดีนักหนาที่ไม่ให้การ ประหารเราด้วยท่อนไม้..... “ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตขึ้น จักให้การประหารข้าพระองค์ด้วยท่อนไม้ ข้าพระองค์จัก มีความคิดในพวกเขาอย่างนี้ว่า พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทนี้ ยังดีนักหนาที่ไม่ให้การ ประหารเราด้วยศาสตรา..... “ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบท จักให้การประหารข้าพระองค์ด้วยศาสตรา ข้าพระองค์ จักมีความคิดในพวกเขาอย่างนี้ว่า พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทนี้ ยังดีนักหนาที่ไม่ให้การ ประหารเราด้วยศาสตราอันคม.... “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบท จักปลิดชีพข้าพระองค์ด้วยศาสตรา อันคม ข้าพระองค์จักมีความคิดในพวกเขาอย่างนี้ว่ามีเหล่าสาวกของพระผู้มีพระภาค ที่อึดอัด เกลียดชังร่างกายและชีวิต พากันแสดงหาศาสตราสังหารชีพอยู่แล เราไม่ต้องแสวงหาสิ่งดังนั้น เลย ก็ได้ศาสตราสังหารชีพแล้ว....” พระพุทธเจ้า

ค�ำสอน๑หยิบมือ

93


ท�ำไมคนจึงตายช้า-เร็วต่างกัน ปัญหา เพราะเหตุไร คนบางคนเกิดมาในโลกนี้จึงมีอายุสั้น ตาย ตั้งแต่เยาว์วัยเพราะเหตุไร บางคนจึงอายุยืน ตายต่อเมื่อแก่หง่อมเต็มที่แล้ว? พุทธด�ำรัสตอบ “..... บุคคลบางคนเป็นสตรี หรือบุรุษในโลกนี้ ย่อมเป็นผู้ฆ่าสัตว์มีชีวิต ใจ ดุร้าย ชอบใจในการฆ่าฟัน ไม่มีความเอ็นดูในสัตว์มีชีวิตทั้งหลาย ครั้นตายไปย่อมเกิดในอบาย ทุคตินรก ด้วยกรรมนั้น..... ถ้าตายไปไม่เกิดในอบายทุคตินรก มาเกิดเป็นมนุษย์ในที่ใดๆ จะ เป็นผู้มีอายุสั้น “.....บางคนย่อมเป็นผู้ละเว้นจากปาณาติบาต มีท่อนไม้แลศัสตราอันวางแล้วมีความละอาย มีความเอ็นดู อนุเคราะห์เพื่อความเกื้อกูลในสัตว์ทั้งปวง ครั้นตายไป ย่อมเกิดในสุขคติโลก สวรรค์ ด้วยกรรมนั้น..... ถ้าตายไปไม่เกิดในสุคติโลกสวรรค์ มาเกิดเป็นมนุษย์ในที่ใด ๆ จะเป็น ผู้มีอายุยืน....” พระพุทธเจ้า

ท�ำอย่างไรจึงจะมีรูปงาม ปัญหา เพราะเหตุไรบางคนจึงมีรูปร่างขี้ริ้วขี้เหร่ ทั้ง ๆ ที่มารดาบิดามีรูปงาม เพราะเหตุไรคนบางคนจึงมีรูปร่างสวย มีผิวพรรณงาม ทั้งๆ ที่มารดาบิดามีรูปร่างไม่สวย? พุทธด�ำรัสตอบ “..... บุคคลบางคนย่อมเป็นผู้มักโกรธแค้นมาก ถูกว่าแม้น้อยย่อมขัดใจโกรธ พยาบาทคิดแก้แค้น ท�ำความโกรธ ความดุร้ายแลความขึ้งเคียดให้ปรากฏ ครั้นตายไปย่อมเกิด ในอบายทุคตินรกด้วยกรรมนั้น.... ถ้าตายไปไม่เกิดในอบายทุคตินรก มาเกิดเป็นมนุษย์ในที่ ใด ๆ จะเป็นผู้มีผิวพรรณน่าชัง “.... บุคคลบางคนย่อมเป็นผู้ไม่มักโกรธแค้นมาก ถูกว่าแม้มาก ย่อมท�ำความโกรธ ความดุร้ายและความขึ้งเคียดให้ปรากฏ ครั้นตายไปย่อมเกิดในสุคติโลก สวรรค์ด้วยกรรมนั้น.... ถ้าภายไปไม่เกิดในสุคติโลกสวรรค์ มาเกิดเป็นมนุษย์ ในที่ใด ๆ จะเป็น ผู้มีผิวพรรณน่าชม" พระพุทธเจ้า

94

ค�ำสอน๑หยิบมือ


ท�ำอย่างไรจึงจะรวย ปัญหา เพราะเหตุไรบางคนจึงยากจนเข็ญใจไร้ทรัพย์ ทั้งๆ ที่ท�ำงาน หนัก เพราะเหตุไร คนบางคนจึงร�่ำรวยด้วยทรัพย์สมบัติ ทั้งๆ ที่ไม่ต้องท�ำงานหนัก เกินไป ? พุทธด�ำรัสตอบ “..... บุคคลบางคนย่อมไม่ให้ข้าว น�้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องทา ที่นอน ที่อยู่ เครื่องตามประทีป แก่สมณพราหมณ์ ครั้นตายไปย่อมเกิดในอบายทุคตินรกด้วย กรรมนั้น.... ถ้าตายไปไม่เกิดในอบายทุคตินรก มาเกิดในมนุษย์ในที่ใดๆ จะเป็นผู้มีสมบัติน้อย “..... บุคคลบางคนย่อมเป็นผู้ให้ ข้าว น�้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องทา ที่นอน ที่อยู่ เครื่องตามประทีป แก่สมณพราหมณ์ ครั้นตายไปย่อมเกิดในอบายสุคติโลกสวรรค์ ด้วยกรรม นั้น.... ถ้าตายไปไม่เกิดในสุคติโลกสวรรค์ มาเกิดในมนุษย์ในที่ใด ๆ จะเป็นผู้มีสมบัติมาก” พระพุทธเจ้า

ท�ำอย่างไรจึงจะฉลาด ปัญหา เพราะเหตุไร คนบางคนเกิดมาจึงมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด เพราะเหตุไร คนบางคน เกิดมาจึงโง่ทึบ?” พุทธด�ำรัสตอบ “บุคคลบางคนย่อมไม่เข้าไปหาสมณพราหมณ์ไต่ถามว่าสิ่งไรเป็นกุศล สิ่ง ไรเป็นอกุศล สิ่งไรมีโทษ สิ่งไรไม่มีโทษ สิ่งไรควรเสพ สิ่งไรไม่ควรเสพ สิ่งใดที่ข้าพเจ้าท�ำจะไม่ เกื้อกูล จะเป็นทุกข์แก่ข้าพเจ้าสิ้นกาลนาน ก็หรือสิ่งไรที่ข้าพเจ้าท�ำจะเกื้อกูล จะเป็นสุขแก่ ข้าพเจ้าชั่วกาลนาน ดังนี้ครั้นตายไป ย่อมเกิดในอบายทุคตินรกด้วยกรรมนั้น.... ถ้าตายไปไม่ เกิดในอบายทุคตินรก มาเกิดเป็นมนุษย์ในที่ใด ๆ จะเป็นผู้โง่เขลา “บุคคลบางคนย่อมเข้าไปหาสมณพราหมณ์ ไต่ถามว่าสิ่งไรเป็นกุศล สิ่งไรเป็นอกุศล สิ่งไรมีโทษ สิ่งไรไม่มีโทษ..... ดังนี้ครั้นตายไป ค�ำสอน๑หยิบมือ

95


ย่อมเกิดในสุคติโลกสวรรค์ด้วยกรรมนั้น.... ถ้าตายไปไม่เกิดในสุคติ โลกสวรรค์ มาเกิดเป็นมนุษย์ในที่ใดๆ จะเป็นผู้เฉลียวฉลาด “สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน เป็นทายาท (คือผู้รับผล) แห่งกรรมมีกรรมเป็นก�ำเนิด มี กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมย่อมจ�ำแนกสัตว์ทั้งหลาย เพื่อความเป็นผู้ต�่ำช้า แลประณีตฉะนี้แล” พระพุทธเจ้า

ยอดของความรัก ปัญหา (เทวดากล่าวเป็นเชิงแสดงทรรศนะของตน) ความรักเสมอ ด้วยความรักบุตรไม่มี ทรัพย์เสมอด้วยโคไม่มี แสงสว่างเสมอด้วยดวงอาทิตย์ย่อมไม่มี สระทั้งหลายมีทะเลเป็นยอด? พุทธด�ำรัสตอบ “ความรักเสมอด้วยความรักตนไม่มี ทรัพย์เสมอด้วยข้าวเปลือกย่อมไม่มี แสง สว่างเสมอด้วยปัญญาย่อมไม่มี ฝนต่างหากเป็นสระยอดเยี่ยม” พระพุทธเจ้า

96

ค�ำสอน๑หยิบมือ


คนดียิ่งกว่าดี ปัญหา คนดีคือคนอย่างไร และคนดียิ่งกว่าดีคือ

คนอย่างไร? พุทธด�ำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็คนดีเป็นอย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีความเห็นชอบ มีความด�ำริชอบ มีวาจาชอบ มีการงานชอบ มีการเลี้ยงชีพชอบ มี ความเพียรชอบ มีการระลึกชอบ มีการตั้งมั่นชอบ มีญาณชอบ มีความหลุดพ้นชอบ บุคคลนี้ เราเรียกว่าคนดี “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็คนดีเป็นอย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้มีความเห็นชอบด้วยตนเอง และชักชวนให้ผู้อื่นมีความเห็นชอบอีกด้วย มีความด�ำริชอบด้วยตนเอง และชักชวนให้ผู้อื่นให้ด�ำริชอบด้วย มีการงานชอบด้วยตนเอง และชักชวนให้ผู้อื่นมีการงานชอบด้วย มีการเลี้ยงชีพชอบด้วยตนเอง และชักชวนให้ผู้อื่นเลี้ยงชีพชอบด้วย มีความเพียรชอบด้วยตนเอง และชักชวนให้ผู้อื่นมีความเพียรชอบด้วย มีการระลึกชอบด้วยตนเอง และชักชวนให้ผู้อื่นมีการระลึกชอบด้วย มีการตั้งจิตมั่นด้วยตนเอง และชักชวนให้ผู้อื่นตั้งจิตมั่นด้วย มีการรู้แจ้งด้วยตนเอง และชักชวนให้ผู้อื่นรู้แจ้งด้วย มีการหลุดพ้นชอบชอบด้วยตนเอง และชักชวนให้ผู้อื่นมีหลุดพ้นชอบด้วย..... บุคคลนี้เรา เรียกว่าคนดีที่ยิ่งกว่าคนดี...” พระพุทธเจ้า

ค�ำสอน๑หยิบมือ

97


อ�ำนาจจิต ปัญหา (เทวดาทูลถาม) โลกอันอะไรย่อมน�ำไป อันอะไรหนอเสือกไสไปได้ โลก ทั้งหมดเป็นไปตามอ�ำนาจของธรรมอันหนึ่งคืออะไร? พุทธด�ำรัสตอบ “โลกอันจิตย่อมน�ำไป อันจิตย่อมเสือกใสไป โลกทั้งหมดเป็นไปตามอ�ำนาจของ ธรรมอันหนึ่ง คือ จิต ” พระพุทธเจ้า

ชีวิตประเสริฐ ปัญหา (เทวดาทูลถาม) อะไรหนอเป็นทรัพย์เครื่องปลื้มใจอย่างประเสริฐของ คนในโลกนี้ อะไรหนอที่บุคคลประพฤติดีแล้วน�ำความสุขมาให้ อะไรหนอเป็นรสดีกว่าบรรดา รสทั้งหลาย คนมีชีวิตเป็นอยู่อย่างไร นักปราชญ์ ทั้งหลายกล่าวว่ามีชีวิตประเสริฐ ? พุทธด�ำรัสตอบ “ศรัทธาเป็นทรัพย์เครื่องปลื้มใจอย่างประเสริฐของคนในโลกนี้ ธรรมที่บุคคล ประพฤติดีแล้ว น�ำความสุขมาให้ ความจริงเท่านั้นเป็นรสที่ดียิ่งกว่ารสทั้งหลาย คนที่เป็นอยู่ ด้วยปัญญา นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวว่ามีชีวิตประเสริฐ” พระพุทธเจ้า

98

ค�ำสอน๑หยิบมือ


ความเพลิดเพลินและทุกข์ ปัญหา (เทวดาทูลถาม) ข้าแต่ภิกษุ ท�ำไมพระองค์จึงไม่มีทุกข์ ท�ำไมความ เพลิดเพลินจึงไม่มี ท�ำไมความเบื่อหน่ายจึงไม่ครอบง�ำพระองค์ผู้นั่งแต่ผู้เดียว ? พุทธด�ำรัสตอบ “ผู้มีทุกข์นั่นแหละจึงมีความเพลิดเพลิน ผู้มีความเพลิดเพลินนั่นแหละจึงมี ทุกข์ ภิกษุย่อมเป็นผู้ไม่มีความเพลิดเพลิน ไม่มีทุกข์....” พระพุทธเจ้า

เมื่อถูกด่าควรท�ำอย่างไร ปัญหา เมื่อเราถูกโกรธก็ดี ถูกด่าก็ดี เราควรท�ำอย่างไร ควรจะโกรธตอบ ด่าตอบ หรือควรจะเฉยเสีย? พุทธด�ำรัสตอบ “ ดูก่อนพราหมณ์..... ท่านด่าเราผู้ไม่ด่าอยู่ ท่านโกรธเราผู้ไม่โกรธอยู่ ท่าน หมายมั่นเราผู้ไม่หมายมั่นอยู่ เราไม่รับรู้เรื่องมีการด่าเป็นต้นของท่านนั้น ดูก่อนพราหมณ์ เรื่อง มีการด่าของท่านผู้เดียว ดูก่อนพราหมณ์.... ผู้ใดด่าตอบบุคคลผู้ด่าอยู่ โกรธตอบบุคคลผู้โกรธ อยู่ หมายมั่นตอบบุคคลผู้หมายมั่นอยู่.... ผู้นี้ เรากล่าวว่า ย่อมบริโภคร่วมกัน ย่อมกระท�ำตอบ กัน เรานั้นไม่บริโภคร่วม ไม่กระท�ำตอบด้วยท่านเป็นอันขาด ดูก่อนพราหมณ์ เรื่องมีการด่า เป็นต้นนั้น เป็นของท่านผู้เดียว” พระพุทธเจ้า

ค�ำสอน๑หยิบมือ

99


สัมมาทิฐิคืออะไร ปัญหา (พระกัจจานโคตรทูลถาม ที่เรียกว่า สัมมาทิฐิ สัมมาทิฐิ ดังนี้ด้วย เหตุเพียงเท่าไรหนอจึงชื่อว่า สัมมาทิฐิ พุทธด�ำรัสตอบ “.....ดูก่อนกัจจานะ โลกนี้โดยมากอาศัยส่วนสุด ๒ อย่าง คือ ความมี (สัสสต ทิฏฐิ-ความเห็นว่าสิ่งทั้งปวงเที่ยง - มีอยู่ตลอดไป) ๑ ความไม่มี (อุจเฉททิฏฐิ ความเป็นว่าสิ่ง ทั้งปวงขาดสูญไม่มี) ๑ ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความ (เห็นว่า) ไม่มีในโลก ย่อมไม่มี เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตาม เป็นจริงแล้ว ความ (เห็นว่า) มีในโลกย่อมไม่มี “โลกนี้โดยมาก ยังพัวพันด้วย อุบาย อุปาทาน และอภินิเวส แต่พระอริยสาวกย่อมไม่เข้าถึง ไม่ถือมั่น ไม่ตั้งไว้ ซึ่งอุบายและอุปาทานนั้น อันเป็นอภินิเวสและอนุสัย อันเป็นที่ตั้งมั่นแห่งจิต ว่า อัตตาของเราดังนี้ ย่อมไม่เคลือบแคลงสงสัยว่า ทุกข์นั้นแหละเมื่อบังเกิดขึ้นย่อมบังเกิดขึ้น ทุกข์เมื่อดับย่อมดับ พระอริยสาวกนั้นมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้ โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นเลย ด้วยเหตุ เพียงเท่านี้แล.... จึงชื่อว่าสัมมาทิฐิ “ดูก่อนกัจจานะ ส่วนสุดข้อที่หนึ่งนี้มีว่า สิ่งทั้งปวงมีอยู่ ส่วนสุดข้อที่สองมีอยู่ว่า สิ่งทั้งปวงไม่มี ตถาคตแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ส่วนสุดทั้ง ๒ นั้นว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึง มีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ.... นามรูป... สฬายตนะ.... ผัสสะ.... เวทนา.... อุปาทาน.... ภพ.... ชาติ ชรา มรณะ โสกปริเทวทุกข์โทมนัส อุปายาส ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลย่อมมีได้ ด้วยประการฉะนี้.....” พระพุทธเจ้า

100

ค�ำสอน๑หยิบมือ


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.