๑ ค�ำสอน
หยิบมือ
ค�ำสอน๑หยิบมือ
1
ค�ำสอน ๑ หยิบมือ จัดพิมพ์และเผยแผ่เป็นธรรมบรรณาการ โดย ชนะพงศ์ ติแก้ว
2
พิมพ์ครั้งที่ ๑
ธันวาคม ๒๕๕๗
จ�ำนวน
.....เล่ม
พิมพ์ที่
ส�ำนักพิมพ์ CONTRAST ๓๓๓ ม.๑ ต.ท่าสุด อ.เมือง จ.เชียงราย ๕๗๑๐๐ โทร.๐๕๓-๙๑๖-๓๗๐
ค�ำสอน๑หยิบมือ
ค�ำน�ำ หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่รวบรวมค�ำสอนของพระแม่ครูอาจารย์ที่ส�ำคัญ และค�ำสอนของพระพุทธเจ้า ที่คัดมาจากในหนังสือพระไตรปิฎกและเนื่องจากผู้เขียนเอง ต้องการเผยแผ่ค�ำสอนของพระพุทธเจ้าเพราะน�ำโลกยุกต์ปัจจุบันนี้เรามีสิ่งยั้วยุให้ตกหลุมพราง ไปกับกระแสโลกมากจนเกินพอดี เลยท�ำให้เราต้องดิ้นรนหาสิ่งของต่างๆเพื่อแบกหน้าตาใน สังคมจนลืมคิดถึงหลักธรรมชาติตามความเป็นจริงที่มีอยู่ก่อน มีอยู่ดั่งเดิมของโลก ซึ่งถ้าคนยัง ไม่กลับเข้าสู่วิถีชีวิตตามธรรมชาติ ไม่อยู่อย่างสมฐานะของตนหรือตามก�ำลังสติปัญญาของตน แล้ว เขาคนนั้นก็จะหมุนไปตามกระแสโลกเหวี่ยงไปมาตามแรงที่มากระทบ และชีวิตก็จะติดกับ สิ่งจอมปลอมที่หลอกคนให้เป็นไปตามมัน เกิดเป็นทุกข์แบบเหมือนสุขแต่ไม่ใช่สุขที่แท้จริงและ ดีงาม ถ้าคนเราหวนกลับมาคิดถึงเรื่องหลักของธรรมชาติที่มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปให้ความ ส�ำคัญในหลักธรรมชาติมากกว่าหลักสังคม หรือหลักอะไรก็ตามที่เขาสร้างกันขึ้นมาซึ่งเขาอาจ จะต้องอาศัยประสบการณ์ต่างๆจึงจะรู้และสร้างหลักขึ้นมาเป็นแนวทางให้กับคนในสังคม แต่ หลักธรรมชาติไม่ต้องอาศัยคนสร้างหรือประสบการณ์ของใคร มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้นและ ไม่เคยมีอะไรเปลี่ยนแปลงหลักธรรมชาติได้ในโลกแม้มนุษย์ต้องการฝืนกฎแหกกฎแค่ไหนก็ตาม มันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้ทั้งสิ้น ดังนั้นการมีชีวิตอยู่ตามกฎของธรรมชาติแบบเข้าใจจึงเป็น สิ่งส�ำคัญของการเกิดมามีชีวิตอยู่บนโลก
ชนะพงศ์ ติแก้ว
ค�ำสอน๑หยิบมือ
3
สารบัญ ความสุขอยู่ที่ไหน 7 พูดดีเข้าใจง่าย พูดร้ายเข้าใจยาก 8 คุนเคยกับสิ่งดีมี มงคล 9 เรื่อง ศีล 11 วัดจิตของตน 12 กายแตกดับแตจิตที่ยังมีกิเลสอยูยังไมดับ 22 กรรมนิมิต และ คตินิมิตเปนผูนําใหไปเกิดในคตินั้นๆ 24 กรรมบันดาล 29 เหตุ ในอดีตสงผล ในปจจุบัน 32 ไม่มีอะไรได้ดังใจเหมือนม้ากาบกล้วย 34 ท�ำดีได้ดีเสมอ 35 มองทุกข์ให้เห็นจึงเป็นสุข 37 ผูมีปญญา ยอมไมประมาท 38 นานแสนนานแหงการเวียน 40 ของดีมีอยูกับตัววาย 41 คุณของพระพุทธศาสนา 42 ไม่ฉลาดรักษาใจ จึงกวัดแกว่งไปตามอารมณ์ 44 ผิดในถูก 45 สิ้นโลก เหลือธรรม 46 ธรรมเครื่องสรางคนใหเปนคนดี 54 ทางใหถึงความดับภพดับชาติ 57 แนวทางการด�ำเนินชีวิต 58 การเลือกคบคน 59 การท�ำจิตให้ผ่องใส 60 ปฏิวัติภายนอกกับภายใน 61
4
ค�ำสอน๑หยิบมือ
วิธีปฏิบัติเมื่อถูกด่าว่า 76 การล้างบาปด้วยน�้ำ 76 เรียนไม่เป็นก็มีโทษ 77 ความส�ำคัญของจิตใจ 78 ก่อนท�ำ พูด คิด ควรท�ำอย่างไร 80 คุณของการกินแต่น้อย 81 ผู้ที่ไม่เถียงกับใครๆ 82 ท�ำบาปด้วยความจ�ำเป็น 83 กรรมเก่ากรรมใหม่ 84 เหตุให้เชื่อชาติหน้า 86 หญิงที่ไม่ควรละเมิด 87 นรกมีจริงหรือ 87 คนพาลเกิดเป็นมนุษย์ได้ยาก 88 ท�ำดีไปนรก-ท�ำชั่วไปสวรรค์ 89 นินทา-ว่าร้าย 90 ไม่ควรพูดรีบร้อน 91 ฆ่าตัวตายไม่ควรต�ำหนิเสมอไป 92 ข้อปฏิบัติเมื่อถูกท�ำร้าย 92 ท�ำไมคนจึงตายช้า-เร็วต่างกัน 94 ท�ำอย่างไรจึงจะมีรูปงาม 94 ท�ำอย่างไรจึงจะรวย 95 ท�ำอย่างไรจึงจะฉลาด 95 ยอดของความรัก 96 คนดียิ่งกว่าดี 97 ความเพลิดเพลินและทุกข์ 99 เมื่อถูกด่าควรท�ำอย่างไร 99 สัมมาทิฐิคืออะไร 100 ค�ำสอน๑หยิบมือ
5
ค�ำสอนเตือนสติ
6
ค�ำสอน๑หยิบมือ
ความสุขอยู่ที่ไหน...
อันความสุข ยอมเปนที่ปรารถนา ของคนทุกๆคน และทุกๆ คน ยอม เคยประสบความสุขมาแลว ความสุขเปนอยางไรจึง เป็นที่รูจักกันอยู่ในเวลาที่กายและจิตใจอิ่มเอิบสมบูรณสบายก็ กล่าวกันวาเป็นสุข ความสุขจึงเกิดขึ้นทางกายและจิตใจนี่เอง สําหรับกาย นั้น เพียงให้เครื่องอุปโภคบริโภคพอให้เป็นไปได้ก็นับว่าสบายแม้กายสบายดังกลาว มานี้ ถาจิตไม่สบายกายก็พลอยซูบซีดเศร้าหมองดวย สวนกายเมื่อไมสบายดวยความเจ็บ ปวย หรือดวยความคับแคนอยางใดอยางหนึ่ง ถาจิตยังราเริงสบายอยู ก็ไมรูสึกวาเปนทุกข์ เป็นรอนเทาใดนัก และความไมสบายของกายก็อาจบรรเทาไปไดเพราะเหตุนี้ ความสุขจิตสุขใจ นั่นแลเปนสําคัญ อันความสุขทางจิตใจนี้ คิดๆดูก็นาเห็นวาหาไดไมยากอีก เพราะความสุขอยูที่ จิตใจของตนเอง จักตองการใหจิตเปนสุขเมื่อใดก็น่าจะไดใครๆ เมื่อคิดดูก็จักตองยอมรับวานาคิดเห็น อยางนั้น แตก็ตองยอมจนอีกวาสามัญชนทําไมไดเสมอไป เพราะยังตองการเครื่องอุปกรณแหงความ สุข หรือเรียกวาเครื่องแวดลอมอุดหนุนความสุข มีเงินทองเครื่องอุปโภคบริโภค เปนตน ถาเครื่อง อุปกรณแหงความสุขขาดไปหรือมีไม เพียงพอ ก็ทําใหเปนสุขมิได นี้เรียกวายังตองปลอยใจให เปน ไปตามเหตุการณอยู ขอนี้เปนความจริง เพราะเหตุฉะนี้ในที่นี้จึงประสงค ความสุขที่มีเครื่องแวดลอม หรือที่ เรียกวาสุขสมบัติ อันเปนความสุขขั้นสามัญชนทั่วไปคิดดู เผินๆ ความสุขนี้นาจักหาไดไมยาก เพราะในโลกนี้มีเครื่องอุปกรณ แหงความสุขแวดลอมอยูโดยมาก หากสังเกตดูชีวิตของคนโดย มากที่กําลังดําเนินไปอยู จักรูสึกวาตรงกันขามกับที่คิดคาดทั้งนี้มิใชเพราะเครื่องแวดลอม อุดหนุนความสุขในโลกนี้มีนอยจนไม
ค�ำสอน๑หยิบมือ
7
เพียงพอ แตเปนเพราะผูขาดแคลนความสุขสมบัติ ไมทําเหตุ อันเปนศรีแหงสุขสมบัติ จึงไมไดสุขสมบัติ เปนกรรมสิทธิ์ สวนผูที่ทําเหตุแหงสุข สมบัติ ยอมไดสุขสมบัติมาเปนธรรมสิทธิ์ เพราะเหตุนี้ผูปรารถนาสุขจึงสมควรจับเหตุให ไดกอนวาอะไรเปนเหตุ ของความสุข และอะไรเปนเหตุ ของความทุกขบางคนอาจมองเห็น วาเหตุ ของความสุขความทุกข อยูภายนอก คือสุขเกิดจากสิ่งภายนอก มีเงินทอง ยศชื่อเสียง บาน ที่สวยงาม เปนตน สวนความทุกขก็ เกิดจากสิ่งภายนอกนั้นเหมือนกัน บางคนอาจเห็น วาความสุขความทุกข เกิดจากเหตุ ภายใน จักพิจารณาความเห็นทั้งสองนี้ตอไป สมเด็จพระญาณสังวร
พูดดีเข้าใจง่าย พูดร้ายเข้าใจยาก คนที่ฉลาดแล้ว สอนไม่มากหรอก ถ้าคนไม่ฉลาด สอนมากแค่ไหน...ก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่มันเกี่ยวกับคนสอนด้วยนะ โดยมาก...คนเราเวลาไม่สบายใจ จึงสอน อย่างเราจะสอนลูกเรา เราโกรธแล้วจึงสอน มันก็ด่ากันเท่านั้นหล่ะ ไม่ยอมสอนกันดี ๆ หรอก ก็คนใจไม่ดี ไปสอนกันท�ำไม อาตมาว่า อย่าไปสอนในเวลานั้น ให้ใจมันสบายก่อน มันจะผิดอย่างไรก็เอาไว้ก่อน ให้มันใจดี ๆ ซะก่อน
8
ค�ำสอน๑หยิบมือ
นี่โยมจ�ำไว้นะ อาตมาสังเกตโยมสอนลูกแต่เวลาโมโหเท่านั้นละ มันก็เจ็บใจละซิ เอาของไม่ดีให้เขา เขาจะเอาท�ำไม ตัวเราก็เป็นทุกข์ ลูกเราก็เป็นทุกข์ นี่มันเป็นอย่างนี้ คนเรามันชอบดี ๆ ทั้งนั้นละ แต่ความดีเราไม่พอ ให้ความดีมันไม่เป็นเวลา ไม่รู้จักบทบาท ไม่รู้จักกาลเวลา มันก็เป็นไปไม่ได้ อันนี้ก็เหมือนกันฉันนั้น อาหารที่มันอร่อย เราต้องทานทางปาก มันจะเกิดประโยชน์ ลองเอาเข้าทางหูซิ มันจะเกิดประโยชน์ไหม อาหารอร่อย ๆ จะมีประโยชน์ไหม คนเรามันมีประตูเหมือนกันละ ต้องเข้าหาประตู ทุกคนก็เป็นอย่างนั้น หลวงพ่อชา สุภัทโท
คุนเคยกับสิ่งดีมี มงคล
การจะทําใจให เปนสุข ปราศจากทุกขแมพอ สมควรขณะใกลจะดับจิต คือการเลือกชีวิตในภพชาติ นไรในเวลา ใกลจะดับจิตนั้น ก็มิใช จะทําไดทันทีโดยมิมีความคุนเคยกับความรูสึกเชนนั้น มากอน ความคุนเคยกับความรูสึกอยางใดอยางหนึ่ง คือมีความรูสึกอยางใดอยางหนึ่ง เสมอๆ หรือบอยๆ เนืองๆ เชนการทองพุทโธไวในใจเสมอ นั่นคือความคุนเคยกับพุทโธ ความคุนเคยกับบุคคลใดที่เคยใหความเมตตาอุปการะชวยเหลือ จะทําใหใจนึกถึงบุคคลนั้น โดยอัตโนมัติเมื่อถึงคราวคับขัน ความคุนเคยกับความรูสึกอยางใดอยางหนึ่งก็เชนกัน อบรม ไวใหคุนเคยกับความรูสึกใด เชน คุนเคยกับอารมณมีพระพุทธโธ หรือคุนเคยกับการทองพุทโธ เมื่อถึงเวลาคับขัน ใจจะไมไปยึดมั่นเกาะเกี่ยวกับอะไรอื่นที่ไมคุนเคย แต จะไปเกาะอยูกับ ค�ำสอน๑หยิบมือ
9
พระพุทโธที่เปนยอมของสิริ มงคลทั้งปวง ยอมไดรับสิริมงคลนั้น อันจักนําใหพนพาลภัยใหญนอย ความคุนเคย กับสิ่งดีมีมงคลจึงเปนความสําคัญอยางยิ่งทุกคนผานชีวิตในอดีตชาติมาแลวเปนอัน มาก นับภพชาติไมถวน มีความคุนเคยกับเรื่องราวหรือ อารมณตางๆ มาแลวมากมาย คุนเคยกับเรื่องราวหรืออารมณ ใดมาก ใจยึดมั่นผูกพันของติดอยูกับเรื่องใดอารมณใดมา กมาแตอดีตชาติ ผลของความยึดมั่นผูกพันนั้นจะนํ ามาสูภพชาติปจจุบัน ดูภพชาติของตน ในปจจุบันก็พอจะเขาใจวาอดีตนั้ นตนผูกพันกับเรื่องใดอารมณใดมามาก ดีหรือวาไมดีผูที่มี ใจผูกพันอยูกับการเอื้อเฟอเผื่อแผ ทําทานการกุศลมามากในอดีตชาติ ก็จะรูไดจากปจจุบัน ชาติ คือปจจุบันชาติจะสมบูรณพูนสุขดวยทรัพยสินเงินทองผูที่มีใจผูกพันอยูกับการเอื้ออาทร ดู แลรักษา ใหขาวปลาอาหาร ยารักษาโรค และเงินทองเพื่อผูเจ็บไข ไดปวยมามากในอดีตชาติ ไมเบียดเบียนชีวิตรางกายผูอื่น สัตวอื่น ก็จะรูไดจากปจจุบันชาติ คือปจจุบันชาติจะอสมบูรณ แข็งแรง ไมเจ็บไขไดปวย มีพลานามัยดี อันนับเปนลาภอยางยิ่ง ผูที่มีใจผูกพันอยูกับการระวังรักษากาย วาจา ใจของตนใหสุภาพออนนอมตอผูควร ไดรับความออนนอมยกยอง ไมลวงเกินดูหมิ่น ผูกพันเชนนี้ มามากในอดีตชาติ ก็จะรูไดจาก ปจจุบันชาติ คือปจจุบันชาติ จะเปนผูอยูในตระกูลสูง อันผูอยู ในตระกูลสูงยอมเปนผู ไดรับ ความเคารพออนนอมยกยอง ไมถูกลวงเกินดู หมิ่น เปนไปเชนเดียวกับที่ตนเองได ปฏิบัติ ไวตอผูอื่นเปนอันมากในอดีตชาติผูที่มีใจผูกพันอยูกับการชวยประคับประคอง รักษาชี วิตผูอื่นสัตวอื่นมามากในอดีตชาติ ไมเบียดเบียนตัดรอนทําลายชีวิตอื่น ก็จะรูได จากปจจุ บันชาติ คือปจจุบันชาติจะเปนผูมีอายุยืนไมถูกตัดรอน เบียดเบียน ทําลายดวยเหตุใดทั้งสิ้น ไมใหตองเปนผูมีชีวิตนอย มีชีวิตสั้นผูที่มีใจผูกพันอยูกับการรักษากาย วาจา ใจอยูในศีลบริสุทธิ์ มามากในอดีตชาติ มีจิตใจผองใส ไมเศราหมอง ก็จะรูได จากปจจุบันชาติ คือปจจุบันชาติ จะเปนผูมีผิวพรรณงดงาม หนาตาผองใส เปนที่ เจริญตาเจริญใจผูพบเห็นทั้งหลาย ผูที่มีใจผูกพันอยูกับการปฏิบัติ ธรรมมามากในอดีตชาติ ก็จะรูไดจากปจจุบันชาติ คือ ปจจุบันชาติจะเปนผูมีปญญาเฉลียวฉลาด ศึกษาปฏิบัติธรรมเข าใจงาย เจริญดี ในธรรม ผูที่กําลังเสวยผลของกรรมดี ในอดีตชาติตางๆ กัน เชน ไดเกิดในตระกูลสูง หรือสมบูรณ บริบูรณดวยทรัพยสินเงินทอง หรือมีรางกายแข็งแรง ไมถูกเบียดเบียนดวยโรคภัยไข เจ็บ หรืออายุยืน หรือ
10
ค�ำสอน๑หยิบมือ
หนาตาผิวพรรณงามผองใส หรือมี สติปญญาเฉลียวฉลาด พึง นอมใจเชื่อวาเปนผลแหงกรรมดีที่ได ประกอบกระทําไวแลวเปนอันมากในอดีตชา ติแนนอน และแมปรารถนาจะเสวยผลดี แหงกรรมดีนั้นสืบตอไปในอนาคต ทั้งในอนาคต ของปจจุบันชาติและทั้งในอนาคตของภพเบื้องหนาที่พนจากภพชาติปจจุบันไปแลว ก็พึงตั้งใจ ประกอบกรรมดีอั นเปนเหตุดีตอไปใหมั่นคงสม�่ำเสมอผลของกรรมดีที่ได กระทํากันมาก ที่เปน ความคุนเคยกันมา แมจะสงวนรักษาไวใหสืบตอกันนานแสนนานตอไป ก็ตองพยายามหนี ผล ของกรรมไมดีที่ตองได กระทํามาแลวทุกคนในชาติซึ่งมากมาย นับภพชาติไมถวนและกรรมนั้นกําลังตามมา สมเด็จพระญาณสังวร
เรื่อง ศีล อิทํ สจฺจาภินิเวสทิฏฐิ จะเห็นความงมงายของตนว่าเป็นของจริงเที่ยงแท้ ผู้ไม่หลง ย่อมไม่ไปเที่ยวขอเที่ยวหา เพราะเข้าใจแล้วว่า ศีลก็อยู่ที่ตนนี้ จะรักษา โทษทั้งหลายก็ตนเป็นผู้รักษา ดังที่ว่า "เจตนาหํ ภิกฺขเว สีลํ วทามิ" เจตนา เป็นตัว ศีล เจตนา คืออะไร? เจตนานี้ต้องแปลงอีกจึงจะได้ความ ต้องเอาสระ เอ มาเป็น อิ เอา ต สะกดเข้าไป เรียกว่า จิตฺต คือจิตใจ คนเราถ้าจิตใจไม่มี ก็ไม่เรียกว่าคน มีแต่กาย จะส�ำเร็จการท�ำอะไรได้? ร่างกายกับจิตต้องอาศัยซึ่งกันและกัน เมื่อจิตใจไม่เป็นศีล กายก็ ประพฤติไปต่างๆ จึงกล่าวได้ว่าศีลมีตัวเดียว นอกนั้นเป็นแต่เรื่องโทษที่ควรละเว้น โทษ ๕ โทษ ๘ โทษ ๑๐ โทษ ๒๒๗ รักษาไม่ให้มีโทษต่างๆ ก็ส�ำเร็จเป็นศีลตัวเดียว รักษาผู้เดียวนั้นได้แล้ว มันก็ไม่มีโทษเท่านั้นเอง ก็จะเป็นปกติแนบเนียนไม่หวั่นไหว ไม่มีเรื่องหลงมาหาหลงขอ คนที่ หาขอต้องเป็นคนทุกข์ ไม่มีอะไรจึงเที่ยวหาขอ เดี๋ยวก็กล่าวยาจามิๆ ขอแล้วขอเล่าขอเท่าไร ยิ่งไม่มียิ่งอดอยากยากเข็ญ เราได้มาแล้วมีอยู่แล้วซึ่งกายกับจิต รูปกายก็เอามาแล้วจาก บิดามารดาของเรา จิตก็มีอยู่แล้ว ชื่อว่าของเรามีพร้อมบริบูรณ์แล้ว จะท�ำให้เป็นศีล
ค�ำสอน๑หยิบมือ
11
ก็ท�ำเสียไม่ต้องกล่าวว่าศีลมีอยู่ที่โน้นที่นี้ กาลนั้นจึงจะมีกาลนี้จึงจะมี ศีลมีอยู่ที่เรานี้แล้ว อกาลิโก รักษาได้ไม่มีกาล ได้ผลก็ไม่มีกาลเรื่องนี้ต้องมีหลักฐานพร้อมอีก เมื่อครั้งพุทธกาล นั้น พวกปัญจวัคคีย์ก็ดี พระยสและบิดามารดาภรรยาเก่าของท่านก็ดี ภัททวัคคีย์ชฏิลทั้ง บริวารก็ดี พระเจ้าพิมพิสาร และราชบริพาร ๑๒ นหุตก็ดี ฯลฯ ก่อนจะฟังพระธรรมเทศนา ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่ปรากฏว่าได้สมาทานศีลเสียก่อนจึงฟังเทศนา พระองค์เทศนาไปที เดียว ท�ำไมท่านเหล่านั้นจึงได้ส�ำเร็จมรรคผล ศีล สมาธิ ปัญญา ของท่านเหล่านั้นมาแต่ไหน ไม่ เห็นพระองค์ตรัสบอกให้ท่านเหล่านั้นของเอาศีล สมาธิ ปัญญา จากพระองค์ เมื่อได้ลิ้มรสธรรม เทศนาของพระองค์แล้ว ศีล สมาธิ ปัญญา ย่อมมีขึ้นในท่านเหล่านั้นเอง โดยไม่มีการขอและ ไม่มีการเอาให้ มัคคสามัคคี ไม่มีใครหยิบยกให้เข้ากัน จิตดวงเดียวเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็น ปัญญา ฉะนั้นเราไม่หลงศีล จึงจะเป็นวิญญูชนอันแท้จริง หลวงปู่หมั่น ภูริทัตโต
วัดจิตของตน เรามาประชุมนี้ ประชุมทั้งในทั้งนอก เขาถึงวัดแลวใหพากันวัดดูจิตของเรา มันอยูในวัดหรือนอก วัด วัดเพื่อเหตุใด นี่ หละเราอาศัยพุทธศาสนา ศาสนานี้ เปนเครื่อง แกทุกข และดับทุกข พระพุทธเจาทานบัญญัติศาสนาในพุทธบริษัททั้ง ๔ นี่ หละไม ไดบัญญัติในที่อื่นบริษัททั้ง ๔ คืออะไร ภิกษุ ภิกษุณี แตเวลานี้ภิกษุณีไมมีแลว มีแตภิกษุสามเณรอุบาสก อุบาสิกา สี่เหลานี่หละศาสนาจะเจริญไดก็อาศัยเหลานี้ ศาสนา จะเสื่อมก็อาศัยเหลานี้ เสื่อมเพราะเหตุใดเราไมประพฤติไมปฏิบัติเนื่องในคุณพระพุทธเจา เรา ไมมีความเคารพในคุณพระธรรมก็ไมเคารพ ในคุณพระอริยะสงฆ์ก็ไมเคารพในทานก็ไมมี ความ เคารพในศีลก็ ไมมีความเคารพในภาวนาก็ไมมีความเคารพในปฏิสันถารการตอนรับซึ่งกันและ กันก็ไมมีความเคารพ เมื่อเราไมมีความเคารพในเจ็ดสถานนี้จึงเปนเหตุใหศาสนาเสื่อมถา พวกเรายังมีความเคารพในเจ็ดสถานนี้ แลวศาสนาก็เจริญรุงเรืองขึ้นไป ทานบัญญัติ ศาสนาในพระไตรปฎกในพระอภิธรรมทานไม ไดบัญญัติอื่น เราทั้งหลายวา บางคนก็ ไมได เรียนบัญญัติ ใหรูจักบัญญัติ
12
ค�ำสอน๑หยิบมือ
ทานบัญญัติธรรมวินัย ทานวา ฉ ปญญัตติ โย ขันธปญญัตติ อายตนะปญญัตติ ธาตุปญญัตติ อินทริยปญญัตติ บุคคลปญญัตติ นี่ทานบัญญัติศาสนาไว อยางนี้ นี่ทานวางไว ใหพากันถึงรูถึงเขาใจ ขันธบัญญัติ คือทานบัญญัติในเบญจ ขันธ เคยอธิบายไปแลว คือบัญญัติในรูป บัญญัติในเวทนา สัญญา สังขารวิญญาณ เรา ก็นอมดูซิ รูปอยูไหนเลา คือนั่งอยูนี่หละ เรียกวารูปขันธ ที่บัญญัติตรงขันธ เพื่อเหตุ ใด เพื่อใหรูจักสิ่งเหลานี้ เปนอยูอยางไร มันเปนสุขหรือเปนทุกข มันดี หรือมันชั่ว เวทนาขันธ เลาทุกขเวทนา สุขเวทนาอุเบกขาเวทนา เราก็ ลองดูซิ ตรงนี้ แหละทานบัญญัติ สัญญาขันธ ความสําคัญมั่นหมายความจําโนนจํานี่ ทานบัญญัติไว ตรงนี้ สังขารขันธ ความปรุงความแตง ดูซี่ เวลานี้เราปรุงเปนกุศลหรืออกุศล ใหพึงรู พึงเห็น ไมใชวาฟาอากาศปรุงเปนกุศล อกุศลเราจะรูยังไงเลา รวมเปนสั้น ๆ แลวคือใจ เราดี มีความสุขความสบาย เย็นอกเย็นใจ นี่เรียกวากุศลธรรม นําความสุขความสบายเย็นอก เย็นใจ นี่เรียกวากุศลธรรม นําความสุขความเจริญมาให ในปจจุบันและเบื้องหนา อกุศลธรรม จิตไมดี จิตทุกขยากวุนวายเดือดรอน ธรรมนี้น�ำสัตวทั้งหลายตกทุกขไดยากใหฉิบหายในปจจุบันและเบื้องหนานี่เปนอยางนี้ วิญญาณขันธ เลา วิญญาณนี้ เปนผูรู และจะได ไปปฏิสนธิ ในสิ่งที่ เราไดปรุงแตงไวนี่ หละ กรรมเหลานี้นําไปตกแตง ไมมีใครตกแตงใหเรา ธรรมนํามาเอง ธรรมมันอยูตรงนี้ จะเรียน ธรรมจะรูธรรมใหมาดูตรงนี้ มาดูรูปดู เวทนา ดูสัญญาดูสังขาร ดูวิญญาณนี้ ใหพิจารณา รูปนั้นละเพราะเหตุใด ทานวามันหลงรูป รูปนี้มีอะไรจึงพากันหลงหนักหนา พระพุทธเจา จึงได วางไวใหพิจารณารูปนี้ หละ อายตนปญญัตติ นั่นเปนบอเกิดแหงดี และชั่ว อายตนะ ภายใน ภายนอก อายตนะภายใน ได แก ตา หู จมูกลิ้น กาย ของเรา ภายนอกไดแก รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ สิ่งเหลานี้ ก็อยูในรูปนี่หละธาตุปญญั ตติ บัญญัติ ธาตุ ธาตุดิน ธาตุน�้ำ ธาตุลม ธาตุไฟมาประชุมกันเขาเรียกวา ตัวตน สัตว์ บุคคล เรา เขา เมื่อ เปนเชนนี้ เราตองมาพิจารณาในรูปนี้ ตั้งสติ เพงดูรูปอันนี้ดูเพราะเหตุใด เพื่อไมใหหลง เมื่อเราเห็นแลวไมหลงรูปอันนี้จึงวา รูจัก นะ รูจักโม หัวใจตัวเรามันจึงรักษาได แต เวลา นี้ เราไมรูจัก นะ รูจัก โม นะโม คือความนอมนึก นะ คือความนอม เรานอมอะไร อันนั้นคือ ดินและน�้ำอธิบายเรื่องนะ แลวมันไมใชตัว ไมใชตน ไมใชสัตว ไมใชบุคคล ไมใชเราไมใชเขานะ นั่นนะ แปลวาไมใช ค�ำสอน๑หยิบมือ
13
ปตตัง น�้ำดี ดูซี่น�้ำดี อยูที่ไหนละ มันเปนคนหรือเปนผูหญิงผูชาย เรียกวา น�้ำดี เสมหัง น�้ำเสลดเลานี่เปนคนหรือเปนอะไร อยูที่ไหนละ ปุพโพ น�้ำเหลือง นี่ เปนบุคคลหรืออะไร โลหิตัง น�้ำเลือด เลือดละมันเปนคนหรือเปนอะไร มันเปนผูหญิงหรือ เปนผูชายเสโท น�้ำเหงื่อนี่ละ เมโท น�้ำมันขน อัสสุ น�้ำตา วสา น�้ำมันเหลว เขโฬ น�้ำลาย สิ ง ฆานิ กา น�้ำมูก ลสิ กา น�้ำไขขอ มุตตัง น�้ำมูตร สิ่งเหลานี้ เปนคนหรืออะไร เปนของเอาหรือ ของทิ้ง นี่ หละจึงเรี ยกวา นะ แปลวาไม ใช คน เปนขอทิ้งทั้งหมด หรือใคร เก็บไว สิ่งเหลานี้ อยูที่ไหนละ นี่ หละ ใหพากันพิจารณา มันจึงจะละซึ่งกามารมณ ได รูปารมณ ได ถาเรามา เห็นอยางนี้ แลว ให พากันเพงเล็งดู สิ่งเหลานี้ใหมันรูมันเห็น หมดสงสัย สิ่งเหลานี้ ไม่ ได อยูที่อื่น อยูที่ตัวของเรา เรามาถืออันนี้ หละมาเปนตัวเปนตน เมื่อไดอธิบายใหฟงอยางนี้แลวใหเขานั่งเพงดูเอาเขาที่นั่งเพงดู ใหมัน รูมันเห็นอธิบายใหฟงแลวทานเทศนมามากแลวสมเด็จฯ ทานก็เทศนอยูวันยังค�่ำคืน ยังรุงอาตมานะเปนคนปา เทศนไมดี ไมไดเรียนมาก เรื่องบัญญัติเหลานี้ เอาลงมือ ทําถาไมทําก็ไมเห็น เอานั่งใหสบายสบายนี่หละ ใหรูจักชั้นศาสนา แกนศาสนา ทานบัญญัติ ไวตรงนี้ทานไมไดบัญญัติที่อื่นที่เราทานทั้งหลายไดมาที่นี้ในวันนี้ก็คือสมเด็จฯ ทานหวง ประเทศชาติ ของเราทานก็แผกุศลถวายมหาบพิตร พวกเราทั้งหลายก็ตองการให ประเทศ ของเราอยู เย็นเปนสุขใหประเทศของเรายั่งยืนถาวร และความเจริญในปจจุบันและ เบื้องหนา นี่เราตองเพงดูซี่ ประเทศชาติก็เกิดจากตัวของพวกเรานี้ ศาสนาจะ เสื่อมเปนยังไงศาสนาเจริญเปนยั งไง ศาสนาจะเจริญไดคือเรามาทํากันยังงี้ หละ เขา ถึงคุณพระพุทธ เขาถึงคุณพระธรรมเขาถึงคุณพระสงฆเขาถึงคุณพระพุทธเจา คือเขาถึง พุทธะ คือความรูนี้หละ เราวางกายใหสบายแลวเราระลึกถึงความรูของเราถาเราไมรูจักที่ อยูพุทธะ คือความรูก็ดูวามันรูตรงไหนละในเบื้องตนใหนึกถึงคําบริกรรมเสียกอนผูที่เคยแลวก็ ดีผูที่ยังไม เคยก็ดี ใหระลึกวาพระพุทธเจาอยูในใจ พระธรรมอยูในใจ พระอริยสงฆ สาวกอยู ในใจ เชื่อมั่นอยางนั้นแลวจึงระลึกคําบริกรรมภาวนาวา พุทโธ ธัมโม สังโฆ สามหนแลว รวม เอาแตพุทโธ พุทโธ คําเดียว หลับตางับปากเสีย ลิ้นก็ไม กระดุ กกระดิก ให ระลึกอยู ในใจ รูวา พุทโธความรูสึกอยูตรงไหน แลวตั้งสติ ไวตรงนั้นตาเราก็ เพงดู ตรงนั้น หูก็ลงไปฟงที่ รูสึกอยูนั้น นี่ แหละเราจะรูจั กวาศาสนามันเสื่อม ศาสนามันเจริญ ศาสนามันเสื่อม
14
ค�ำสอน๑หยิบมือ
คือจิตของเราไมได เจริญอิทธิบาทและไม เจริญใน ศีล สมาธิ ปญญา ซึ่งเปนหลักพุทธศาสนา นี่ เรื่องมันเปนยังงี้ ศีลนี้ เปน หลักพุทธศาสนา เราดูซี่ ศีลคืออะไร ในบาลีทานวาอาทิกัลยาณัง มัชเฌกัลยาณัง ปริ โยสานกัลยาณัง กัลยา คือความงาม งามในเบื้องตน งามทามกลาง งามในที่สุด งามเบื้อง ตนคืออะไรละ เปนผูมีศีล อะไรเปนศีลละ ทานบอกวาสํารวมกาย วาจาใจให เรียบรอย ดูชี่ กาย เราเรียบรอย วาจาเราเรียบรอย ใจเราเรียบรอย ไมไดทําโทษนอยใหญ ทางกายทางใจ แลวนี่จึงได เปนผูมีศีล ศีลแปลวาความปกติ กายปกติใจ เดี๋ยวนี้ ใจเรามันปกติ หรือยัง มันปกติ มันเปนยังไง มันก็ไมพิกลพิการ มันไม ทะเยอทะยาน กายของเราปกติ มันก็ ไมพิกลพิการ ใหพิจารณาดูซี่ ทําจิตเปนปกติ สิลาเหมือนกับกอนหิน เหมือนกะหินลมพัดมาทุกทิศทั้งสี่มัน ก็ไมหวั่นไหว ตอนนี้เราก็ทําใจเหมือนกับกอนหิน ใครจะวายังไงก็ตามดีชั่วไม เปนเหมือนเขาวา ใหดูซี เมื่อเราไมดี แลวเขาจะวาดี มันก็ไมดีดังกับเขาวา มันดีแลวเขาวาไมดี มันก็ไมเปนเหมือ นเขาวา เราก็ดูซี่ ใหมันเห็นซี่ นี่หละจิตเราเปนศีลเราก็รูจัก คืออธิบายมาแลวนั่น ใหพากันพึง รู พึงเขาใจ ทีนี้ สมาธิ งามทามกลางคือ สมาธิ เราก็ตั้งจิตตั้ งมั่น ทีนี้จิตเราตั้งหรือไมตั้งมัน เอนเอียงไปทางไหน มันของตรงไหน มันคาตรงไหนเราได แตวา สมาธิคือจิตตั้งมั่น ลอง ตั้งดูซี่ มันตั้งหรือไมตั้ง มันตั้งนั้นเปนยังไงละ มันก็ไม เอนเอียงไปหาความรักความชัง ไมหลงในรูป ในเสียง กลิ่น รส สัมผัส อารมณทั้งหลายตางๆ เมื่อมันตั้ง สิ่งใดเกิดขึ้น เรา ก็ดับ นี่มันจึงเขาถึงสมาธิจิตตั้งมั่น เมื่อจิตสงบตั้งมั่นแลว มันก็ใส นี่หละ สมถะกรรมฐาน ใหรูจักสมถะ คือทําจิตใหสงบภายในเมื่อจิตเราสงบภายในแลว อุปมาเหมือนน�้ำสงบ น�้ำสงบ มันก็ ใส ใสแลวก็ มองเห็นเหตุ มองเห็นผล มองเห็นบุญกุศล มองเห็นสุข มองเห็นทุกข มอง เห็นดี มองเห็นชั่ว มันสงบแลว อันนี้จิตของเราสงบแลวพอมันจะออกขางซาย หรือจะออก ขางขวา ขางหนา ขางหลัง ขางบน ขางลาง เราก็รู จึงวามันตั้ง นี่ เพงเล็งตั้งสติอยู ตรงนี้ นี่ หละใหพึงรูพึงเขาใจตอไปการที่ทําสมาธิ อันนี้ เมื่อจิตของเราเห็นแลวอยางนี้ เห็นสิ่งที่ เกิด ขึ้นในสังขารทั้งหลาย และมันจะได เกิด ปญญา ความรอบรู ในกองสังขาร ใครเปนผูปรุงใคร เปนผูแตงไมใชอันอื่นปรุงแตงกายสังขาร จิตสังขารนี่หละ ปรุงแตงขึ้นจากจิตของเรานี่หละ มัน จึงได เกิดเปน วิปสสนา ขั้นตอไปของสมถะ
ค�ำสอน๑หยิบมือ
15
วิปสสนา คือเมื่อจิตเราสงบแลวก็ เห็น ที่ เกิดแหงสังขาร โอเกิดจากจิตของเรา เราก็ดับสังขารที่จิตของ เรา ก็ดับได เพราะเหตุ ใด เราเห็นโทษแหงสังขาร เห็นภัยแหงสังขารทั้งหลาย เห็นทุกข แหงสังขารทั้งหลาย นี่มันจะดับไดก็ ตรงนี้ เมื่อเปนทุกข เห็นโทษแลวมันก็ ตัด จึงเรียกวาเปนวิปสสนา ความรู แจงเห็นจริง เห็นสัจจะธรรม สัจจะ ของจริงคืออะไร เลา เมื่อมีสังขารความปรุงความแตงขึ้นแลวมันก็ เกิด มันหลง เมื่อมันหลงทานจึงวาอวิชชา ปจจยา สังขารา สังขารปจจยา วิญญาณัง มันเปนยังงี้หนา เมื่ออวิชชาความหลงมี แลว มัน เปนปจจัยให เกิดสังขาร สังขารมี แลวก็ เปนปจจัยให เกิดวิญญาณ เปนยังงี้ วิญญาณมี แลวก็ เปนปจจัยให เกิดนามรูป รูปมี แลวก็เปนปจจัยให เกิดอายตนะ อายตนะมีแลวก็ เปนปจจัยให เกิดผัสสะความกระทบถูกตอง เมื่อผัสสะมี แล้วก็ เปนปจจัยให เกิดเวทนา เมื่อเวทนามี แลวก็ เปนปจจัยให เกิด มรณะมีแลวก็ เปนปจจัยให เกิดทุกขนี่ พระพุทธเจาจึงให พิจารณาใน ปฏิจจสมุปบาท เปนเครื่องของอยูเหตุนั้นทานจึงวาทุกข ควรกําหนด ควรพิจารณา ไปลง สมุทัย เราทั้งหลายก็รูจักเรื่องสมุทัย สัตวทั้งหลายจมอยูในมหาสมุทร เปนเหยื่อปลาทั้งหมด เรื่องเปนอยางนั้น ปาโป ปาปง จมในมหาสมุทร คือหลงสมมตินี่ พระพุทธเจาทานคนแลววา ทุกขมันมาจากไหน ทานคนทวนกระแส แนะที แรกทานพิจารณาวาทุกขมันมาจากไหน อะไร เปนเหตุปจจัยมา มาจากความเจ็บไข ได พยาธิ อาพาธโรคา สิ่งเหลานี้มันมาจากไหน พยาธิทั้ง หลายเหลานั้นมาจากชรา ความเฒาแก ความชํารุดทรุดโทรม อันนี้ ความชํารุดทรุดโทรมมา จากไหนเลามาจากชาติ คือความเกิด เกิดมาจากไหน มันมาจากภพ ภพคือเขาไปตั้งภพนั้นมัน มาจากไหนเลา เออ ทานพิจารณา มาจากอุปาทานการยึดถือ ถาเรายึดถือ ที่ไหน เราก็ไปตั้ง ภพที่นั่น ใหดูซี่ ภพของเรานอย ๆ ใหญ ๆ ภพมาจากอุปาทาน อุปาทาน มาจากไหนเลา มาจากตัณหาความทะเยอทะยานตัณหานั้นมาจากไหน มาจากเวทนา มัน มีทุกขเวทนา สุขเวทนา เวทนาเหลานี้มาจากไหนเลามาจากผัสสะความกระทบถูกตอง ผัสสะมาจากไหนเลา มาจากอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเหลานี้ อายตนะมาจากไหน เลา มาจาก รูป รูปนั้นอะไรเปนเหตุปจจัยมา มาจากวิญญาณ ปฏิสนธิวิญญาณ วิญญาณ นั้นมาจากไหนเลา มาจากสังขาร ความปรุงแต่ง สังขารมาจากไหนเลามาจากอวิชชา นี่ทานคนมาจบตรงนี้ จึงวา อวิชชาปจจยาสังขารา เราตองเรียนไปถึงอวิชชา ใครๆ
16
ค�ำสอน๑หยิบมือ
ก็ไปหลงแต อวิชชา เราไมได โอปะนะยิโก ใครมันเปนผูรูวาอวิชชา เราไมได ระลึกถึงมันมีผูรู อยูจึงรูวาอวิชชา ตองทําใหมันแจงจริงในตัวของเรานี่ แหละเปนขอปฏิบัติ เพราะฉะนั้นให พากัน พึงรูพึงเขาใจ อยาหลง เรานั่งอยูเดี๋ยวนี้ เราหลงอะไร นี่หละ ใหรูจักพุทธศาสนา ศาสนา จะเจริญขึ้นก็ อาศัยเราประพฤติ ปฏิบัติ เรากระทําอยางนี้มันก็ เจริญได เมื่อเราไมประพฤติ ไม ปฏิบัติศาสนาก็ เสื่อม เรื่องเปนอยางนั้นไมได เสื่อมจากไหน เสื่อมจากตัวบุคคล คือคนไม ประพฤติ คนไมกระทํา เดี๋ยวนี้ บางคนวาพระอรหัตต อรหันตก็ ไมมีพระโสดา สกิทาคา อ นาคาก็ ไมมี จะมีไดยังไง ของคนไมกระทํา ของคนไมปฏิบัติ ของคนไม ไดขัดไดเกลาและ ของเราไมไดประพฤติ ไมไดดู แนะเรื่องมันเปนยังงี้เมื่อเราไดยินไดฟงแลว โอปะนะยิโก ดูซี่ วาพระโสดาอยูที่ไหน ตําราทานบอกไว สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส เเนะ ก็เทานี้ ผูอื่นนี้เมื่อใครรูอันนี้แลวคนนั้นและเขามรรคในเบื้องตน จะไดเปนพระโสดา สักกายทิฐิ เดี๋ยวนี้ เรามาถือตัวตน เมื่อเราพิจารณาดังอธิบายมาในเบื้องตน มันไม เปนตัวเปนตนแลว มันก็ ละทิฐิ ละมานะอหังการความเมามัว ถือวาเปนตัวเปนตน เมื่อไมถือ จิตมันก็ ละก็ วาง วิจิกิจฉา สงสัย วาจะดี ยังโงนยังงี้เราก็เห็นแลวขี้มูกของเรา น�้ำลาย เลือดของเรา ดังที่ อธิบายมานั่น จะสงสัย อะไรอีกละ มันดี หรือมันชั่วละ อธิบายมาแลว ดูซี่ เพงดูซี่ โลหิตัง แปลวาน�้ำเลือด เพงดูซิ กสิณ กสิณแปลวาความเพง เลือดสีแดง เพงดูซี่ เลือดของคน ของตนและของบุคคลอื่น มันเปนยังไง เพงดู มันจะละได หรือไม ได เมื่อเห็นเลือดเปนยังงั้นแลวใครจะเอาละ ใคร ตองการละ เอา ดูซี่ เลือดของเรา เพงกสิณซี่ เปนอสุภะ กสิณ เพงใหมันเห็น เห็นแลวจิต ของเราจะไมมี ความสงสัย มันจะถอนสักกายทิฐิได มันจะไมเปนสีลัพพตความลูบคลํา วาศีล สมาธิ ปญญา อยูที่อื่นที่ไกลมันประจําใจของเรา อยูสุขทุกขทั้งหลายนี่ พุทธศาสนา ใหพากันรูจักหากภิกษุ สามเณรบวชเขามาแลวก็ เลาเรียนศึกษา สํารวมสิกขาวินัยของตน เรียบรอย รูจักแลวศีลของเราก็ ๒๒๗ เณรก็ศีล ๑๐ ขอ งดเวนเราสํารวจอยางนี้ ศาสนามัน ก็เจริญรุงเรือง เดี๋ยวนี้มันไม เปนอยางนั้นซี่ ศาสนามันเลยเสื่อมเสีย คนทั้งหลายจึงดู หมิ่น ศาสนา ดูถูกศาสนา เพราะเราไมมีศีล ไมมี สมาธิ ไมมีปญญา มีแตศีรษะโลนกับผาเหลือง ว าเปนพระเทานั้นขอวัตรขอปฏิบัติเปนยังไงดูซิ ทานหามอะไรเราทั้งหลายก็ได บวช แลวไดศึกษามาแลวพระพุทธเจาทานได สอนไวทุกสิ่งทุกอยาง ศีล ๒๒๗ ใหงดเวน ทาน สอนไวนุงหมทานก็สอน นั่งนอน ทานก็สอน เดินยืนทานก็สอน ถายอุจจาระ ปสสาวะ ค�ำสอน๑หยิบมือ
17
บวนเขฬะทานก็สอน พระพุทธเจา จนคําขาวทานก็สอน เอาขาวเขาปากทานก็สอน นี่ ความละเอียดของ ทาน ตองการความสวยความงาม ความสํารวมระวัง นี่เปนอยางนี้ ทีนี้อุบาสกอุ บาสิ กาก็ดี ทานก็สอนใหถึงพระไตรสรณาคมน คือเอาพระพุทธเจา พระธรรม พระ สงฆ เปนสรณะที่พึ่ง ที่ระลึก ที่กราบที่ไหว ไม เอาสิ่งอื่นเปนสรณะได จึงวานัตถิ เม สะ ระณัง อัญญัง ที่พึ่งอื่นของขาพเจาไมมี นอกจากพระพุทธเจาแลว เปนยังงั้นหรอก ถาเราไมถือ ยังงั้นแลว พระไตรสรณาคมน ของเราก็เศราหมอง เจาของเปนบาป ขาดจากพระพุทธศาสนา เหตุนั้นใหพึงรู พึงเขาใจตอไป ผูปฏิบัติศาสนาอุบาสกอุบาสิ กาทั้งหลาย ทานไมตองหามื้อ หาวันหาฤกษ ยาม ทําการทํางานตองหามื้อหาวัน ไมใชวันนั้นไมดี วันนี้ ไมดี วันมันไมไดทํา อะไรแกคน วันดีทําไมคนตายละวันไมดีทําไมคนยังเกิดในเจ็ดวัน อาทิตย จันทร อังคาร พุธ พฤหัสฯศุกร เสาร นี้ ทําไมมันมี เทานี้ คือสมมุติวาเราจะทําการงานสิ่งใดพรอมเพรียงกันหรือ ยังเขาหาวันพรอมเพรียงกัน จะเอาวันไหนเวลาไหน นัดกันพรอมเพรียงกัน ถาพรอมกันแลวละ วันนั้นนั่นแหละดี ใหหาวันอยางนี้ ถาวันใดยังไมได พรอมกันอยาเห่อทําจะแตงงาน แตงการกันหรือจะปลูกบานปลูกชองตึกรานอาคารก็ ตามใหรูไว คือวันไหนมัน พรอมกัน แลวเรียบรอยแลวทําได ขึ้นได ถายังไมพรอมแลวมันขัดของ เรียกวาวันไมดี เขาหาวันอยาง นี้ หรอกใหเขาใจซิ อธิบายยอ ๆ ใหฟงนี่แหละใหละเวนเหลานี้ แลวดูวาดวงดี ดวงไมดี คน โกหกหลอกลวงกันใหวุนวายเดือดรอนในพระพุทธศาสนาดวงก็ดู ซี่ มันไมได มาจากฟาอา กาศใหดูดวงดี แลวเดี๋ยวนี้ ดวงดีมันเปนยังไง ดวงดี รวมมาสั้น ๆ คือใจเราดี มีความสุขความ สบาย เมื่อใจเราสุข ใจเราสบายแลว ทําอะไร ๆ มันก็สบาย การงานมันก็สบาย ประเทศชาติ มันก็สบาย นี่ เรียกวาดวงดี ดวงไมดีคือใจเราไมดี ใจเราทุกขยากวุนวายเดือดรอนนี่ หละดวง ไมดี ทําอะไรมันก็ไมดี หาอะไรมันก็ไมดี ดูเอาตรงนี้ จะใหใครดู ใหดูเอาซิทุกคน ที่มานั่งอยูนี่ ทั้งพระทั้งเณร ทั้งอุบาสกอุบาสิ กาทั้งหลายดวงดี ตรงนี้ อยาไปพิจารณาอื่น แลวอยาเขารีต พวกเดียรถีย นิครนถ คนนอกศาสนาเหลานั้น เขาไปถืออยางนั้นแลวขาดจากพุทธศาสนา นี่ หละผู จะปฏิบัติศาสนาตองถือยังงี้ แลวอุบาสกอุบาสิ กาใหรักษาศีลหา อยาไปฆาควายวัว อยาเอาแตวาศีลรับกับพระศีลอยูกับพระ พระวาศีลอยูกับพระพุทธเจา แนะ ศาสนาก็อยูกับ พระพุทธเจา ไมนึกวาเปนของของเรา เมื่อเราไมนึกวาเปนของของเราแลว เราก็ทอถอย นอยใจของเรา ถาวาของเรานี้ เปนของเราแลว เราก็เอาใจใส จะไปรับกับใครเลา ศีล นี่จะอธิบาย ตัวศีลหาได มาพรอมตั้งแต เราเกิดมา ขาทั้งสอง แขนทั้งสอง
18
ค�ำสอน๑หยิบมือ
ศีรษะหนึ่ง นี่ เปนหา อันนี้ตัวศีลหา แลวอยาเอาหาขอนี้ไปทําโทษหา โทษหาคืออะไรปาณาฯ นั่นก็โทษ อทินนาฯ นั่นก็ โทษ กาเมฯ นั่นก็โทษ มุสาฯ นั่นก็โทษ สุราฯ นั่นก็โทษ แนะ เปน โทษทั้ งหมด ที่เรายุงยากทุกวันนี้ก็เพราะถาอยางนี้ กลัวคนมาฆา กลัวขโมย กลัวคน ประพฤติผิดในกาม กลัวคนมุสา ฉอโกงหลอกลวง กลัวคนมันเมาสุราสาโทกัญชายาฝน นี่แหละเปนโทษถาเราละเวนเหลานี้แลวทานวา สี เลนะ สุ คะติง ยันติ มีความสุข สี เลนะ โภคะสัมปะทา มีโภคสมบัตินี่นะใหพากันเขาใจ ให้ละเวนโทษทั้งหลายหาอยางนี้ เมื่อเรารับ หรือไมรับอยูไหน ๆ ก็เปนศีล อยูในรถเปนศีล อยูในปาในดง ในบานในเมือง ถนนหนทาง ถา เราไม ไดทําโทษหาอยางนี้ แลวมันก็ เปนศีล อันนี้เรา มาวากะพระ มารับกะพระวาไม ไดรับ กับพระแลวไม ใชศีล อันนั้นใชไม่ได เราก็รูแลวรับกับพระวา ปาณาติ ปาตา เวรมณี ยุงมา กัดตบปบอยูนี่วันยังค�่ำจะเปนศีลเรอะ มันเปนศีลไมไดซี่ ตอไปใหรูจักซี่ อทิ นาทานา เห็น ของเขาก็ ขโมยเสีย วาสันยังค�่ำก็ไมเปนศีลเราพึงละเวนหาอยางนี้หละ ใหพากันรูจักนี่อธิบาย ทั้งนอกทั้งใน เอา นอมเขาไปเวลานี้สิ่งเหลานี้ มาจากไหนให พากันงดเวน ใหรูจัก เอา ตอ นี้ ไปใหตั้งจิตดู เพงดูเดี๋ยวนี้ โทษทั้งหลายอยูที่ไหน สุขอยูที่ไหนทุกข อยูที่ไหน ใหพากันพึง รูพึงเขาใจ ประเทศของเรามันยุงยากตรงไหน เหมือนกับเราท�ำถนนหนทางนะหละ มันขัดของ ตรงไหน เราก็ แกไข อันนี้จิตใจของเรา มันของตรงไหน มันคาตรงไหน เราก็ แกไข ไมใช จะ มานั่งหลับตา เจ็บบั้นเอวเสียเปลา เรามานั่งดู ของเรา เวลานี้ เรามาอยูในชั้นใด ภูมิอันใด นี่ ใหรูจักจิตของเรา เปนกุศลหรืออกุศลใหรูจัก จิตของเราสงบหรือไม สงบจิตของเราดี หรือไมดี ใหรูจักนี่หละ กามาวะจะรัง กุสะลัง จิตตัง ใหรูจักจิตของเรา อุปปนนัง โหติ มันอุบัติขึ้นจาก จนของตนนี้ เอา ตอไปนี้ตางคนตาง โอปะนะยิ โก นอมเข ามาดูนะ นี่ หละ พิจารณาเพงดู หัวใจของเรา เราของอะไรอยู จิตของเราเปนยังไง จิตของเราดี มันเปนยังไง จิตของเราดี มัน เปนยังงี้ จิตมันสงบดี มีความสุข ความสบาย เย็นอกเย็นใจ ไมทุกข ไมรอน ไมวุนไมวาย พุทโธ ใจเบิกบาน สบาย นี่หละ จิตดี นําความสุขความเจริญใหในปจจุบันและเบื้องหนา เรา มานี้ก็ตองการความสุขความสบาย ตองการความสุขความเจริญ ถาจิตของเราเปนยังงี้ แลวเรา ก็ สันทิฏฐิโก รูเอง เห็นเอง ถาจิตไมดี แลวเปนยังไง คือจิตไมสงบ จิตไมดี ทะเยอทะยาน ดิ้นรนจิตไมดี แลว ทุกข ยากเดือดรอนวุนวายลําบากใหหนักใหหนวงใหงวงใหเหงา ใหมืด ใหมัว จิตอยางนี้นําสัตวทั้งหลายใหตกทุกขไดยากในปจจุบันและเบื้องหนา เมื่อจิตเปน ค�ำสอน๑หยิบมือ
19
เชนนี้แลว ประเทศชาติ ของเราก็วุนวาย ไมใชอื่นเปน ไมใชอื่นวุนวาย ดวงใจของเรานี่วุนวาย เอา วัดดูซี่ จะกวางขวางอะไร สามี ภรรยารักกัน บุตรบิดามารดาญาติพี่นองรักกัน ถาจิต ไมดีแลวมันก็ เกิดทะเลาะกัน ถาจิตดีแลวมันไมทะเลาะกัน หรือวาไง ลองเพงดูซี่จริง หรือไม จริงละ ดูซี่ อยากร�่ำอยากรวยอยากสวยอยากงาม ทําไมมันไมเปน บางคนอยาก รวย ทําไมมันไมรวย ทําไมเงินเดือนมันไมขึ้น ทําไมยศมันไมเลื่อน เพราะเหตุใด ดูซี่มันไมขึ้น เพราะจิตเราไมดี เราไมไดสรางคุณงามความดี ไวสําหรับปจจุบันและเบื้องหนา จิตไมดีก็ ทุกขยากลําบากอดอยาก จิตดวงนี้นําให เราไดทุกข ไดยาก ทําอะไรมันไมขึ้น ทําอะไรมัน ไมรวย มันรวยเปนยังไง จิตดีมี ความสุขความสบาย จิตดวงนี้น�ำความสุขความเจริญให ในปจจุบันและเบื้องหนา เอา ตอนี้ไปจะไม อธิบายแลวเมื่ออธิบายอยูยังงี้มันก็ไมมีที่สิ้นสุด สรุปหัวขอแลวก็รวมลงที่กายและใจนี้ เอาเพงดูอธิบายดีชั่วทั้งภายนอกภายในใหรูแลว ตอ ไปนี้ โอปนยิ โก จริง ๆ หรือไมจริง ใหพากันเพงดูมันของตรงไหน คาตรงไหน ไมสู ตรงไหน ใหพากันเพงดูอยู ตรงนั้น อยาสงไปหนา มาหลัง ขางซาย ขางขวา ขางบน ขางลาง ใหตั้งจํา เพาะทามกลางอันที่รูอยูนั้นนี่หละ มันเปนยังไงเราคอยแกไขตรงนั้น เราคอยชําระตรง นั้น นี่ จึงวาเล็งดูไมไดดูที่อื่น ดูจิตของเรา ดูภพของเรา ดูที่พึ่งของเรา นี่หละ ใหดู ใหรูจัก ที่ นั่งดีหรือไมดีตองรูจักตรงนี้ สันทิ ฏฐิ โก ผูปฏิบัติรูเองเห็นเองถาเราไมรู คนอื่นจะบอกมันก็ ไมรู นี่ขอปฏิบัติเปนยังงี้ ตอไปไดยินเสียงอะไรก็ตาม ใหสัญญาไววาสิ่งนั้นไมมีอันตรายแลว เราไมตองเดือดรอน ทําจิตของเราจะไมอธิบายตอไป จะสงบละ ตางคนตางสงบ วางใหสบาย เราอยากไดความสุขความสบาย จะไดเปนบุญวาสนาของเรา จะไดเปนนิสัยของเรา มันพน ทุกข เราทั้งหลายอยากพนทุกข ก็ดูซี่ มันพนทุกข ก็คือจิตของเราไมทุกข จิตเราไมทุกข มันก็พนทุกขมันไม ไดพนตรงฟาอากาศ ดูเอามันยังทุกขอยู มันก็ยังไมพนทุกข นี่แหละ เราทําบุญกุศล เรียกวาปฏิบัติบูชา บูชาอยางเลิศอยางประเสริฐแท เขาถึงธรรม ถึงวินัย ถึง พระพุทธศาสนา ถึงชั้ นศาสนา เมื่อทํายังงี้ ไมถึงยังไงเลาไดบอกแลวในเบื้องตนทานบัญญัติ ลงทีนี่ กายกับใจเทานี้ เอา เพงดูทานมาทําบุญทํากุศลไดสองสามวันมานี้ แลวเปนยังไงจิตของ เราทํามาระยะนี้ ตอไปให พากันรูจักความสงบของประเทศชาติ และความสุขความเจริญของ พวกเราใน
20
ค�ำสอน๑หยิบมือ
ปจจุบันและเบื้องหนา และที่อยู ของเรา ในปจจุบันและเบื้องหนา นี่หละ พากันนั่งดู ดูแลวเปนอยางไรละ ที่พึ่ง ของเรา ที่อยูของเรา ใหมันรูจักไวพุทโธเปนที่พึ่งของเรา พุทโธเปนผูเบิกบานสวาง ไสวแลว มนุษยทั้งหลายเปนเพื่อนเกิด แก เจ็บ ตาย ดวยกันทั้งนั้น ตางตองการความสุข ความเจริญและความพนทุกข ที่เราทานทั้งหลายมานี้ก็ตองการความสุขและความสบายนั่ง ดูแลวมันสุขไหม มันสบายไหม นี่แหละใหพึงรูถึงเขาใจเมื่อจิตของเรามี ความสุขแลว การงานของเราทั้งหลายมันก็ สบายไปหมด ตลอดประเทศชาติ เทวบุตรเทวธิดา พระอินทร พระพรหม ดินฟาอากาศก็ตองรักษามนุษยทั้งหลายทานไดบอกไวแลวธัมโม หะเว รักขะติ ธัมมะจาริง สัตวอาศัยซึ่งธรรม ธรรมอาศัยซึ่งสัตว ถาสัตวปฏิบัติธรรมดี ธรรมก็นํ าความดีให แกพวกเราถาเราปฏิบัติดี ประพฤติดี ธรรมก็นําคุณงามความดีให นําความสุขความเจริญให ถาเราปฏิบัติไมดีทําไมดี ธรรมก็นําไมดี ให ในปจจุบันและเบื้องหนานี่หละ บุญกุศลที่เรา ไดทําอยางนี้ เรียกปฏิปตติบูชา บูชาอยางเลิศอยางประเสริฐแทตอไปใหพากันนั่งทุกวัน เขาวัด ทุกวัน ประพฤติทุกวัน อธิบายใหฟงแลว มันขัดของตรงไหนไมดี ตรงไหน ตองแก ไขตรงนั้นบาง คนวาใจไม อยูมันไปไหนจึงวาไมอยู แทที่จริงใจเราอยูตั้งแต เกิดมา ที่วาใจไม อยูนั้น ตองหลง จากอวิชชา มันหลงเราตองนั่งดู ความไมอยูนี่ แหละมันไปกอภพไหนละ ภะเว ภะวา สัมภะวันติ มันเที่ยวกอภพนอย ๆ ใหญ ๆ อยูนั่น เราตองนั่ งดูภพนั้นเปนกุศลหรืออกุศลกุศลคือความสุข ความสบายอกสบายใจ ภพที่ไมดี ใจเราไมดี ทุกขยากวุนวายเดือดรอนนํ าไปสูทุคติในปจจุบัน และเบื้องหนาเมื่อพวกทานทั้งหลายได สดับแลว ในโอวาทานุ ศาสนีอันเปนธรรมะ คําสั่งสอน นี้ ที่นํามาเตือนใจโดยยนยอพอเปนขอปฏิบัติประดับสติปญญาบารมี ของทานทั้งหลาย เมื่อทาน ไดยินไดฟงแลว โยนิโสมนสิ การพากันกําหนดจดจําไว แลวนําไปประพฤติปฏิบัติฝกหัดตนของ ตนให เปนไปในธรรมคําสั่งสอน สรุปหัวขอใจความแลวคือกายกับใจนี้ เปนที่ตั้งแหงพระพุทธ ศาสนา เปนที่ตั้งแหงมรรคผล เมื่อเขาใจอยางนี้ แลวพากันอุตสาหะพยายามกระทําให เกิด ใหมีใหเปนขึ้นในตัวของเราซึ่ งกุศลนี่หละ ในผลที่สุดคืออัปปมาทธรรม คือความไม ประมาท เมื่อเราทานทั้งหลายไมมี ความประมาทแลว แตนี้ตอไปพวกทานทั้งหลายจะประสบพบเห็น แตความสุขความเจริญ ดังได้แสดงมา เอวังก็มีดวยประการฉะนี้ พระอาจารยฝน อาจาโร ค�ำสอน๑หยิบมือ
21
กายแตกดับ แตจิตที่ยังมีกิเลสอยู ยังไมดับ กายและจิตเมื่อยังปกติดีอยูยอมทํางานรว มกันไดทุกๆกรณี หากฝายใดฝายหนึ่งชํารุดพิการนั้นแลจึงจะทํารว มกันไมได เพราะขาดสายสื่อสัมพันธกัน สายสื่สัมพันธที่วานี้ หลักวิชาแพทย เขา เรียกวา เซลล เชนเซลลสมองสั่งงานใหคิดใหสงสวยไปตางๆ นานาเปนต น ทางพุทธศาสนา เรียกวาประสาท เชน ประสาทตา ทําใหเห็นรูป ประสาทหูทําใหไดยินเสี ยงเปนตน แตบางทีหมอ เขาก็เรียกคนที่มีความคิดไม ปกติวาคนประสาทเสื่อมเหมือนกัน จะอยางไรก็ตาม นักอบรมจิต หรือผูภาวนากรรมฐาน เชื่อมั่นลงแนแนวเดียววาคนตายจิตออกจากรางแลวไม ยอมรับ รู ไมรวมทํางานดวยเซลล หรือประสาท เซลล หรือประสาทก็จะไมมี ผล อันใดทั้งหมด เมื่อความอบอุนยังมีอยู เซลล หรือ ประสาทก็ อาจยังมีปรากฎยูก็ได แตไมมีอัน ใดเปนเครื่องรับรองเพราะจิตผูรับรู ไมมีเสีย แลว เรื่องนี้ เราจะสังเกตเห็นได จากสัตวที่ ตาย ใหมๆ ยังมี ไออบอุนอยูประสาทหรือเสนเลือดของมันยังกระตุก เตนอยูเลย นั้นแสดงวาเซลล หรือปะสาทมันยังทํางานอยู แตชีพจรหรือลมมัน ออนจนไมปรากฎเสียแลว ที่อธิบายมาทั้ งหมดนี้ เพื่อแสดงใหเห็นวา เซลล หรือประสาทมิ ใชจิตเปนผูรับสั มผัสนั้นๆเทานั้น จิตตางหากเปนผูรับรูสั มผัสนั้นๆ แลวก็ยังไมทําให เกิดกิเลสอัน ใดขึ้ นมากอน ตอเมื่อเกิด ตัณหาอุปาทาน ดังได อธิบายแลว จึงจะเกิดกิเลสขึ้นมา ฉะนั้นถึงเซล ล หรือประสาทจะรวมทํากรรมดวยกันกับจิตก็ตาม เมื่อยังอยูรวมกันก็รวมกัน เสวยผลของ กรรมนั้นสืบไป เมื่อเซลล หรือประสาทชํารุดทํางานตามปกติรวมใจไม่ได้ แลวกาย แตกดับ ผลของกรรมนั้นใจจะเปนคนรับเอาแตผูเดียว
22
ค�ำสอน๑หยิบมือ
แลวผลกรรมคือวิบากนั้นแลจะเปน มัคคุเทศก นําจิตให ไปเกิดในที่นั้นๆสวนเซลล หรือประสาทอัน เปนรูปธาตุ ไมสามารถสลายตัวหนี ไปจากกามภูมิพื้นดินอันนี้ ได สลายตัวจากนี้แลวก็ไปกอตัวขึ้นในที่อื่นอีกตอไปพระอริยเจาที่ทานชํานาญในการเขา ฌานบังคับจิตให อยูในองค ฌานอยางเต็มที่ เขานิโรธสมาบัติอยูไดตั้งอาทิตย ลมหยาบๆ ไมปรากฎระบายออกมาทางจมูกเลย เรียกวาดับลมหายใจเขาออก แตยังไมตาย รางกายทุกสวน ยังปกติอยู ตามเดิ มแตหมดความรูสึกใดๆทั้งสิ้น สวนลมอันละเอียดที่ ซาบซานไปตามสรรพางค กายยังมีอยู ถึงเซลล หรือประสาทจะยั งทํางานอยูก็ตาม แตจิตไม มารับรูดวยแลว พอจะสรุปได แลววา คนเรานี้ เมื่อรูปกับนามคือกายกับใจยังปกติ อยูก็ท�ำงานรวมกันไป บางทีจิตคิดจะทิ้งกายก็ทิ้งเอาเฉยๆ โดยกายไม ยอมรับรูดวยก็มีดังกลาวมา แลว บทกายจะเบี้ยวจิตก็มิใชยอยเหมือนกันอยูดีๆ บางที ช็อคตาย รถทับตาย ตกเครื่องบินตาย เสันโลหิต แตกตาย ฯลฯ จิปาถะ ทั้งๆที่จิตมิไดมีเรื่องอะไร กับกายเลย มันแปลก กายกับจิตนี้กอนเขา จะมาอยูรวมกันก็ไม ได สนิทสนมกันมาแตกอน เลย เวลาเขาจะแยกทางกันไปก็ ไม ไดบอกเลาเกาสิบ อะไร โดยเขาไมไดมีเรื่องอะไรกันสักนิดเดียว แลวก็ ไมมี ใครจะอาลัย อาวรณถึงกันและกันเลย แยกทางกันไปแลวก็แลวกันถาอยางนั้นอะไรเลาเมื่อเจ็บ หรือจวนจะตายทําให เปนทุ กข เดือดรอนพระพุทธเจาตรัสวา-นั่นคือกิเลส ใจมันไปหอบเอา กิเลสมาไวที่ใจ คนเราเลยถือวาใจเปนกิเลส หากใจเปนกิเลสเสียเอง แลวใครเลาจะ ชําระใจใหบริสุทธิ์ได ใจมิใชกิเลส กิเลสมิใช ใจ แต ใจไปรับชวงเอาผั สสะอันเกิดจากอายตนะ เชนตาเห็นรูปเปนตน แลวเอามายึดไวที่ ใจจนเกิดความรักใครพอใจ หรือเกลียดโกรธไมพอใจ จึงทําใจใหมัวหมอง เพราะของสิ่งนั้ นเปนเหตุตางหาก จึงเรียกวา กิเลส ธาตุ ๔ ขันธ ๕ อายตนะ ๖ เปนบัญญัติธรรมบอกใหรูวา สิ่งนั้นชื่อวาอยางนั้นมี หนาที่ อยางนั้นๆ ตางหาก จิตเปนผูเขาไปยึดเอาบัญญัติธรรมมาเปนตนเปนตัวเมื่อบัญญัติธร รมทํางานตามหนาที่ ของมันอยู จิตก็เลยถือวาตนเปนผูรับ หนาที่ ทํางานไปเสี ยเอง จึงเขาใจวาจิตของตนเปนกิเลส ค�ำสอน๑หยิบมือ
23
ธาตุแทของตะกั่วก็เปนตะกั่วอยู ตามเดิม ถึงแมจะประสมเขากันกับทองคําแลวก็ตาม เมื่อไล ทองคําออก แลว ตะกั่วก็ตองเป นตะกั่วอยูตามเดิมนั้นเองกายเปนรูปธาตุ จิตเปนนามธรรม สังขารเปนอาการของจิตคิดปรุงแตงรูปธาตุ มาเปนพาหนะใหชั่วระยะหนึ่ง เมื่อหมด ความจําเปนแลวก็ ทอดทิ้งไวที่เดิมของมัน สังขารจิตรกรชางใหญ สรางโลกไมมีที่สิ้นสุดไมรูจัก เหน็ดจักเหนื่อย โลกนี้จึงกวางใหญไพศาลหากประมาณมิ ได หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
กรรมนิมิต และ คตินิมิต เปนผูนําใหไปเกิดในคตินั้นๆ ผลผลิต ของกายกับใจรวมกันกระทําไวนั้นเรียวา "กรรม" ผลของกรรมที่ จะนําไปใหเกิดผลนั้น หาตัวตนมิได แตจะ ปรากฎเกิดขึ้นเฉพาะในใจของผูกระทําเทานั้น หากจะแสดงใหปรากฏออกมา ทางกายและวาจาบางกรณี เชนคนผูเคยฆาหมูเปนอาชีพโดยมิไดกระดากใจเลยแมแตนอย เวลากายทรุดโทรมจวนจะตายอาจแสดงอาการสอถึงบาปกรรมของเขาที่ กระทําไวนั้นเชนรองออ กมาเปนเสียงสุกรแสดงปฏิกิริยาเหมือนสุกรจะตาย หรือทําทาทีฆาสุกรแลวโฆษณาให คนอื่นเขาเห็น โดยตนเองไมตั้งใจจะทําเชนนั้นแตมันเปนไปเอง ดังนี้เปนตน นั้นมันเปนการแสดงถึงผลกรรมที่ เขากระ ทําไว เพียงเพื่อผูได เห็นแลวอนุมานเอาใหใกลตอความจริงเทานั้น แตตัวกรรมและผลกรรมที่แทจริง แลวไมมีใครรูเห็นดวยนอกจากตัวของผูกระทําเทานั้น กรรมนี้ทานแสดงไว ในธรรมวิภาคปริเฉท กธรรมโทมีถึง ๑๒ แตในที่นี้จะไมขอนํามาอธิายอีก เพราะในนั้นทานอธิบายไวดีแลวใน ที่นี้จะแสดงเฉพาะกรรมนิมิตและคติ นิมิตอันเปนทูตของยมบาลเทานั้น ใคร จะทํากรรมดีกรรมชั่วไมวาในที่ลับและที่แจง
24
ค�ำสอน๑หยิบมือ
อยาไดคิด วาทูตของยมบาลจะไมรู ไมเห็นเลย เขาตาม รูตามเห็นไดทุกโอกาสทีเดียว คนเรากอนกายจะแตกดับเมื่อจิต ปลอยวางรางกายไมมี ความรูสึกแลว จะมีภาพอันหนึ่งเกิดขึ้นใหปรากฏเห็น เฉพาะใจตนคนเดียวโดยที่ เราจะตั้งใจดู หรือไมก็ตาม ภาพอันนั้นถาจะเปรียบให เห็น งายๆ ก็ คลายกับภาพนิมิตในความฝน ภาพนิมิตอันนั้นแลมันจะมาแสดงผลกรรมของเราที่ เรา ไดกระทําไว แลวในอดีต บางทีเราอาจลืมไปแลวนาน แตมันมาปรากฏใหเราเห็นและระลึกขึ้นมาได เปนตนวาเราเคยได สรางโบสถวิหารถวายกฐินทานเปนอาทิ วัตถุ ทานนั้นก็ จะมาปรากฏขึ้นใหเรา เห็นแต ภาพนิมิตนี้ จะสวยสดงดงาม และวิเศษยิ่งกวาที่ เราได กระทําไวนั้น จนเปนเหตุใหเมื่อเราได เห็นเขาแลวเกิดปติ อิ่มอกอิ่มใจจนหาที่ เปรียบมิไดแลวจิตจะไปจดจองจับเอานิมิตนั้นมาไว เปน อารมณ ใหเกิดความสุขโดยสวนเดียวที่ เรียกวา "สัคคะ" ผู สรางบุญกุศลจะเห็นผลชัด แจงดวยใจตนเองก็ตอนนี้ ที่นี้จิตมิได เกี่ยวของดวยกายอีกแลว กายจะเจ็บจะแตกจะ ดับจิตไมรับรูทั้งนั้น ทานแสดงไววา สัตว จะตาย จิตทอดทิ้งรางกายไปกอน แลวกายจึงกับภายหลัง แตเมื่อเกิด รูปเกิดกอน แลวจิตจึง มาปฏิสนธิทีหลัง ที่วานี้ คือจิตผูรูสึกซึ่งรับชวงมาจากเซลล หรือประ สาทไมปรากฏเสียแลว ณ ที่นั้น แตเซลลหรือประสาทยังสามารถทํา งานอยูดังกลาวแลวเพราะความอบอุนยังมีอยู ความอบอุนนี้มันเกิดจากสวาบหรือ กระบังลม กระบังลมยังไหวตัวอยู ลมก็ยังซานไปตามสวนตางๆของรางกายไดอยู ประสาท หรือเซลลก็ยังปรากฏอยูแตลมนั้นยังเหลือนอยจนไมสามารถจะยังชีพ ใหเปนอยูได ตามปกติและใน ที่นั้นจิตผูรับรูชวงจากเซลล หรือประสาทก็ไม ปรากฏเสียแลวจึงเรียกวาตาย ที่นี้เมื่อจิตได รับความสุขโดยมโนทวารอันปราศจากเซลล หรือประสาทดังกลาวแลว มันเปน ความสุขอันหาประมาณมิได ฉะนั้นทานจึงแสดงความสุขของผูทําบุญแลวไปเกิดในสวรรควา เปน ความสุขยิ่งยอดแลวก็ เสวยความสุขนั้นอยูนานแสนนาน ถาจะเทียบอายุ ของชาวสวรรคชั้น จาตุมฯกับของมนุษย แลวรอยวันรอยคืนของมนุษยนี้ จึงจะเปนวันหนึ่งคืนหนึ่ง ของเขา แลวอายุของเขาก็ยืนนานนับเปนหมื่นๆป เหมือนกันถาจะ เปรียบพอจะอนุมานความสุขที่ ค�ำสอน๑หยิบมือ
25
นั้นเหมือน ความสุขที่ไดรับในขณะที่ นอนฝน ความสุขใน ขณะนั้นสุขมาก เพราะมิไดเอาเซลล หรือประสาทมาใชรวม สุข เฉพาะใจลวนๆ ความสุขของพระอริยเจาที่ทานเขานิโรธสมาบัติก็ทํานองเดียวกัน ตรงกันขามผูที่กระทํากรรมชั่วไว กรรมนิมิตก็จะเกิดในขณะเดียวกัน แตจะเปนเรื่องทน ทุกขทรมานมากจนเหลือจะอดทนเพราะกรรมตามสนอง ความทุกขทรมานของกายถึงขนาดรา งกายจะแหลกเหลวเปอยเนาไปก็ตามแต มันก็ยังมีชีวิตอยู ไม ตาย ทานเทียบอายุของสัตว ในนรก ไววารอยวันรอยคืนของชาวสวรรคชั้นจาตุมฯจึงจะเปนวันหนึ่งคืนหนึ่งของสัตว ในนรกแลวก็มี อายุยืน นานเปนหมื่นๆป เหมือนกัน ทําไมจึงเปนเชนนั้น เพราะความทุกขมันเปนของเผ็ดรอนทนไดยากไมมี ใครปรารถนาถึงทุกข จะเปนของนอยแตมันมีน�้ำหนักมาก ที่อธิบายมานี้ เรียกวากรรมนิมิต ขณะที่มีชีวิตอยูจิตยอมรวมกันทํางานกับเซลล หรือประสาท แลวสังขารเปนผูปรุง แตงใหกระทํากรรมนั้นๆอยาง สนุกสนานแตเมื่อกายแตกดับ เซลลหรือ ประสาทก็จะละหนาที่ ของตนเสีย กรรมที่ ไดรวมกันทําไวนั้น ก็จะมาปรากฏใหใจเห็น เปนผูรับมรดกแตผูเดียว แลวกรรมนิมิตนั้นแลจะเปนผูบัญชาใหไป เกิดในคตินั้นๆ อีกตอไปตามอํานาจและวิสัยของตนเทานั้นยังไมพอดวยพลังอํานาจ ของกรรม ยังใหเกิดคตินิมิตอีกอันจะชักนําใหผูกระทํากรรมนั้นๆแลวไปเกิดในที่นั้นๆ แลวก็ เกิดในลําดับเดียวกันกับกรรมนิมิตนั้นเองใหผลเปนสุขเปนทุกขก็เหมือนกัน แตมันสอแสดงให เห็น สภาพหรือสถานที่อันตนจะพึงได ไปเกิดชักจูงใหจิตเลื่อมใสพอใจในอันที่ จะนอมจิตใหเขาไปยึดมั่นยิ่ง ขึ้น เชนผูที่ได สรางบุญกุศลไว มีการทําทานเปนตน ดังกลาว จะเห็นสถานที่ที่ตนจะตองไปเกิดหรือไป เสวยอานิสงสนั้นอยางนารื่นรมย รโหฐาน พรอมดวยเครื่องบริขารที่ ตนไดทําบุญไว แตมันเปนของ วิเศษยิ่งกวาที่ เราไดทําไวนั้นเปนไหนๆ เมื่อเห็นเขาแลวใจก็ปลื้มปติอยางยิ่ง บางที อาจมีผูมา ชี้ใหเห็นวาสิ่งเหลานั้นสถานที่นั้นเปนอานิสงส ของทานที่ ไดทําบุญไวแลวหรืออา จมีผูคนมารับแหแหนไปดวยความมีเกียรติก็ไดสวนคติกรรมชั่ว ตรงกันขาม มันให
26
ค�ำสอน๑หยิบมือ
เกิดความ ทุกขแสนสาหัสเหลือที่จะอดกลั้น นิมิตทั้งสอง คือกรรมนิมิตและคตินิมิต ขณะที่มันปรากฏเกิดขึ้นใหเห็นดวยใจนั้น ผูทํากรรมไว แลวจะระลึกถึงกรรมหนหลังที่ ตนได กระทําไว แลวในอดีตตลอดได หมด ถาไดเห็นกรรมดีพรอมทั้งนิมิตที่ดี เปนพยานก็ จะอิ่มใจเพลิดเพลินอยางยิ่ง ถาได เห็นกรรมชั่วพรอมทั้งนิมิตที่ เปนอัปมงคลใจก็จะหดหู เดือดรอนเปนทุกข มากแสนทวีคูณ เรื่องที่ อธิบายมาทั้งหมดนี้ สมัยครั้งพุทธกาลก็ เคยไดมีมาแลวแมในปจจุบันนี้ก็มักจะไดยินกันบอยๆผูสนใจ คงจะไดทราบดีอยูบางแลวในเรื่องนี้ นิมิตทั้งสองนี้บางทีกรรมนิมิตเกิดกอนแลวคตินิมิตจึงเกิดภาย หลังก็มี ไมแนนอนถึงนิมิตใดจะเกิดกอนเกิดหลังก็จะนําทางใหเขาถึงจุดเดียวกันนั้น นิมิตทั้งสองนี้ เปรียบเหมือนตํารวจที่ซื่อสัตยสุจริตและเที่ยงธรรมของยมบาล ตามสืบราชการลับทั่ว ทุกหนทุกแหงตลอดเวลา ไมวาใครจะทํากรรมดี กรรมชั่วทั้งในที่ลับและที่แจง เขาทั้ง สองจะตองตามรู ตามเห็นไปทั้งหมด ใครจะ ปกปดอําพรางหรือแกตัวอยางไรๆ ไมไดทั้ง นั้นและคนที่ซื่อสัตยสุจริตเที่ยงตรงรูดี กวาตํารวจทั้งนายนี้ ก็ คือ ใจของตนเองนั้นแลเปนคนแรก, บางคนอาจเขาใจวากรรมดี และกรรมชั่ว ที่บุคคลไดกระทําไปแลวใหผลในปจจุบันนี้เอง เชนสรางกรรมดี ไวยอมมีผูยกยองสรรเส ริญใหเกียรติ รางวัลเปนตน ทํากรรมชั่วไวไดรับโทษทรมานเชนประหารชีวิตและถูกจําจองเปนตน ผลอนาคตไมมี นั่นมันเปนเรื่องของอุจเฉททิฏฐิ เห็นวาโลกหนาไมมี บุญกรรมที่ทําแลวไมมีผลมัน เปนภัยแกสัจจธรรมคําสอนของพระพุทธเจาอยางรายแรง ในทางพระพุทธศาสนาถือวาผูทํากรรมดีกรรม ชั่วยังมีกิเลสอยู ภพชาติก็ยังมีอยู กิเลสนั้นแลเปนมัคคุเทศกนําทางใหไปเกิดในภพ ชาตินั้นๆ และไดเสวยผลกรรมที่ยังเหลืออยูในที่นั้นๆ การไดรับผลกรรมไมวาดีหรือชั่วในปจจุบัน เปนแตผลกรรมมีประมาณเล็กนอยในปจจุบันเทานั้นผูเจริญรูปฌานก็จะเพงเอานิมิตรรูปที่ มาปรากฏเปนกสิณอยูที่ ใจนั้นเปนอารมณ ใหนําไปเกิดในรูปภูมิผูเจริญอรปฌาน ก็จะเพงเอาความวาง
ค�ำสอน๑หยิบมือ
27
อัน เปนอารมณของฌานนั่นแลมาเปนนิมิต เปนอารมณใหนําไปเกิดในภูมิที่มีแตความวางรูปภูมิเปนภพ ที่มีรูปละเอียด ไมไดใชเซลลหรือประสาทอยางธรรมดาสามัญ เชนม นุษยของพวกเราทั้งหลายนี้ แตเปนรูปของจิต ทานผูเขาถึงแลวยอมทราบไดดีใน เรื่องนี้ คนธรรมดาสามัญอยางพวกเราทั้งหลายนี้ พูดไปมากก็เลอะเลือนไปเปลาไมเขาที ยิ่งอรูปฌานแลวก็ยิ่งเปนของเหลือวิสัยที่ พวกเราจะอนุมานเอาได ยิ่งอนุมานก็มีแต จะผิดหนัก เขาทุกที สรุปแลวนิมิตเปนผูนําทางใหผูยังมีกิเลสอยู ไปเกิดในคตินั้นๆ ผูเขาถึงรูปฌานและอรูปฌาน แลวก็ยังตกอยูในคติ เดียวกันนั้นบางทานอาจเขาใจไปวาเวลาจวนจะตายจึงจะระลึกเอาแตนิมิตที่ดีเพื่อ ใหนําทางไปสู สุคติ ขอนั้นอยาพึงคิดเลยเสียเวลาเปลา เปนเรื่องของการแกตัวของผู ประมาทแลวตาง หาก คนเราเกิดมาแตละชาติ มาสรางกรรมชั่วมากกวากรรมดี แมแตละวันหากจะมาหักลบกันแลว อยูดี ๆปกตินี่แหละไมมีเหตุการณอะไรเกิดขึ้นเลย กายกรรม วจีกรรมและมโนกรรม ของแตละบุคคล นั้น จะเหลือทุจริตมากกวาสุจริตเปนอเนกทีเดียว แลวเมื่อจวนจะตายยิ่งจะไมรายไปกวานี้อีกหรือ ขนาดผูบําเพ็ญกุศลระลึกเอาผลอานิสงส ของความดี งามไว เปนอนุสสติ ตลอดกาล นอนหลับนอนฝนก็ปรากฏเห็นเปนภาพนิมิตอยูอยางนั้น นั่นก็มิใชจะพน จากทุกขไปไดทีเดียวมันเปนแตทางใหเขาถึงสุคติเทานั้น หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
28
ค�ำสอน๑หยิบมือ
กรรมบันดาล ทุกคนกําลังมีผลของกรรมดีและกรรมไมดีติดตาม มา เปนผลของเหตุที่ไดทํากันไวในอดีตชาติ ที่สลับซับซอนนับไมได ลอง นึกถึงภาพของรถบรรทุ กขนาดใหญกําลังแลนไลทับเราอยู ขณะเดียวกันก็มีรถบรรทุก แกวแหวนเงินทองคันใหญกําลังแลนตามเพื่อจะยกแกวแหวนเงินทองเหลานั้นใหเรา ดวยรถทั้งสอคันนั้นกําลังขับแซงกันอยางรวดเร็วผลัดกันนําผลัดกันตามนึกภาพนี้แลวก็นึกถึง ใจตนเอง วายังมีใจที่จะตองการแกวแหวนเงินทองหรือยังมีใจอยากไดอะไรอีกหรือ ในเมื่อ รถลาชีวิตกําลังขับตะบึงติดตามมาอยางมุงมาดปรารถนาตัวเราเปนเปาหมาย กรรมไมดีกําลังตามสงผลแกเราทุกคนแนนอน เปรียบผลไมดีนั้นดังรถบรรทุกที่กําลังตะ บึงไล กวดเราอยูจริงๆที่ยังไมทันบดขยี้ก็เพราะกรรมปจจุบันของเราที่กําลังกระทํากันอยูอาจ จะมีแรงพาหนี ไดทัน จะอยางหวุดหวิดนาเสียวไสเพียงไร เราผู้ไมมีตาพิเศษก็หารูไมกรรมดีเทา นั้นที่เปนแรงพาเราวิ่งหนีกรรมไมดีที่กําลังสงผลติดตามเราอยูในขณะนี้ เปรียบกรรมไมดีดั่งมือมารที่ใหญโตมโหฬารทรงพลังมากมาย มือนั้นกําลังเอื้อมมาจะ ตะปบเราเพื่อลากเขาไปขยี้ใหแหลกเหลวหวุดหวิดจะจับปลายผมเราไดไมรูกี่ครั้งกี่หนแตเราก็ ยังพนอยูไดเพราะความบังเอิญ คือเพราะบังเอิญไดทํากรรมดีไวมากพอ เปนกําลังพาใหหลบ หลีกพนมือมารไปได มีความสวัสดีอยูชั่วครั้งชั่วคราวแตใชวามือมารนั้นจะหยุดตามตะครุบเรา ก็หาไม กี่วันกี่เดือนกี่ป กี่ภพ กี่ชาติ มือมารจะติดตามตะครุบเราอยางไมทอแทเหน็ดเหนื่อย ควาผิดควาถูกก็จะตามควาไมลดละ ถปรากฏเปนภาพก็จะเปนภาพที่นากลัวที่สุด เด็กที่ยังไรเดียงสา เพิ่งจะลืมตาเห็นโลก เคยถูกนําไปฆาดวยความเขาใจผิด ที่ปรากฏ เปนขาวเมื่อไมนานมานี้ ทําใหมารดาผูรักลูกเปนชีวิตจิตใจแทบเปนบาทําใหผูที่นําไปฆาเพราะ เขาใจผิดตองได้รับโทษหนักไดรับทั้งอาญาบานเมืองและทั้งความโกรธแคนชิงชังของผูคนมาก หลาย เรื่องนี้ชี้ชัดให เห็นอํานาจที่ยิ่งใหญของกรรมแมไมนํากรรมมารวมพิจารณาก็จะเขา ใจไมไดเลยวาเรื่องเชนนี้เกิดได อยางไร เด็กคนหนึ่งถูกมุงทําราย แตเด็กคนนั้นกลับอยูรอดปลอดภัยเด็กอีกคนหนึ่งเปนหวง ใยทะนุถนอมดังแกวตาดวงใจ แตกลับถูกทําลายตายไปทั้งสองยังบริสุทธิ์ไรเดียงสา เพิ่งมี เวลาเห็นโลกไมกี่วัน มือของกรรมนําเด็กที่มิไดเปนที่มุงรายในปจจุบันไปสู
ค�ำสอน๑หยิบมือ
29
อํานาจแห งกรรมในอดีตซึ่งมิใชเปนกรรม ของใครอื่น แตเปนกรรมของเด็กนั้นเองที่ตองไดกระทําไวแนนอนใน ชาติใดชาติหนึ่งในอดีตที่พนความรูเห็นของปุถุชนทั้งหลาย แตหาไดพนความรูเห็น ของทานผูพนแลวจากความเปนปุถุชน กรณีที่มีเด็กถูกฆาผิดตัวนั้น เด็กตายแลว พนแลวจากความเขาใจของคนทั้ งหลายวา เด็กนั้นไปไดสุขไดทุกขอยูในภพภูมิใด แตเขาก็ไดเปนอีกหนึ่งที่เตือนใจอยางแรงใหกลัวกรรม เมื่อกรรมจะใหผล คือเมื่อกรรมตามมาทัน ก็ไมมีอะไรจะยับยั้งได นอกจากกรรมดวยกันคือ เมื่ออกุศลกรรมตามทัน ก็ตองกุศลกรรมที่ใหญยิ่งกวาเทานั้นที่ จะตัดรอนอกุศลกรรมไดชวยให สวั สดีไปไดครั้งหนึ่งคราวหนึ่ง เรื่องเด็กคนหนึ่งถูกมุงรายใหถึงตาย แตเด็กอีกคนหนึ่งที่เปนความรักสุดจิตใจของ แมพอกลั บตองตายแทน แมคนหนึ่งที่ เปนฆาตกรตองรับอาญาแผนดินมีชีวิตที่ ทรมานในที่ คุมขังแม คนหนึ่งที่ตองเสียลูกรักเพียงชีวิตเพราะถู กเอาไปฆาผิดตัวตอง เศราโศกสุดแสนไปนานนักเด็กคนที่รอดตายอยางอัศจรรยทั้งที่ ตนนั้นถูกมุงรายคงเปนที่ รังเกียจของคนจํานวนไมนอยวาเปนเลือดเนื้อเชื้อไขหญิงใจดําอํามหิตดูผูเกี่ยวของในเรื่องนี้ ทั้งหมดถึง 4ชีวิต จะเห็นไดชัดแจงวากรรมมีอํานาจใหญยิ่งนักทุกชีวิตถูกอกุศลกรรมตามทัน แนแท และไมมีกุศลกรรมความดีเพียงพอจะตัดรอนอกุศลกรรมใหทันเวลาได จึงประสบ ความทุกข เดือดรอนแสนสาหั สไปตามกัน นี้มิใชเรื่องบังเอิญ พึงรอบคอบพิจารณาดวยปญญา ของผูนับถือพระพุ ทธศาสนา ใหเห็นความนากลัวของกรรม ใหเห็นความนาสลดสั งเวชเมื่อ ผูใดผูหนึ่งตองตกอยูในอุงมือที่แรงรายแหงกรรม และเราเองก็มีมือกรรมตามตะครุบอยูเหมือน กัน ไมอาจเห็นไดดวยตาก็พึงใชปญญาใหเห็นไดดวยใจ และพยายามหนีใหเต็มสติปญญาความ สามารถอยาใหถึงวันที่นาสยดสยองอยางยิ่งคือวันที่ตองตกอยูในอุงมือที่แข็งแกรงแหงกร รมราย ผูที่เกิดมาดี มีสุขสมบูรณในภพชาตินี้ ก็มิใชวาไมมีมือแหงอกุศลกรรมตามตะครุบอ ยูมีแน...ทุกคนมีมือแหงอกุศลกรรมตามตะครุบอยูแน แตในขณะเดียวกัน ทุกคนก็มีมือ แหงกุศลกรรมเปนผูชวยอยู มือแหงกรรม
30
ค�ำสอน๑หยิบมือ
กุศลกรรมนั้นถาจะเปรียบใหเห็นงายๆ ก็ตองเปรียบกับเทา มีมือผูรายติดตามตะครุบอยู จะหนีพนก็ตอง อาศัยเทาพาวิ่งให เร็วที่สุดเทาที่จะเร็วได นั่นก็คือตองทําบุญทํากุศลคุณงาม ความดี ใหมากที่สุดใหเต็มสติปญญาความสามารถเสมอ ความดีเทานั้นจะชวยใหพนมือ แหงกรรมรายได แมจะพนอยางหวุดหวิดก็ตองดีกวาไมพน ทุกคนมีมือแหงอกุศลกรรมที่นากลัวที่สุดตามตะครุบอยูไมมีใครไมมีและมีกันคน ละไมนอยดวยเพราะทุกคนไดผานภพชาติมาแลวนับไมถวน ยาวนานนักหนา ทําอะไรตอมิ อะไรกันมาเสียนักตอนัก ทั้งกรรมดีกรรมชั่วสลับซับซอนกันอยู และลืมกันเสียสิ้นแลว ทั้ง บางคนก็ยังไม อยากจะเชื่อวาได เคยเกิดมาแลวในอดีตชาติ มากมายหลายชีวิตจนนับไมไดจึง ยิ่งไมนึกเลยวาได เคยทํากรรมดี กรรมชั่วมากอนจะมาเกิดเปนมนุษย ในปจจุบันชาตินี้ การ ไมนึกนี้แหละจะทําให ประมาทไม พยายามหนี ผลแหงกรรมไมดี เมื่อกรรมไมดีตามทันถึงตัวก็ จะใชอํานาจที่รายแรงอยางไมเมตตาปรานีเลย กอนจะมาเปนเราแตละคนในภูมิของมนุษยนี้ ตางก็ได เปนอะไรตอมิอะไรมาแลว มากมายนับชนิดนับชาติไมไดเปนกันทั้งเทวดาสัตวใหญสัตวเล็กรวมทั้งมนุษยชายหญิง คนมี คนจนคนสวยคนไมสวย คนพิการคนไมพิการ อายุสั้นอายุยาวขาว-ดําไทย-จีนแขก-ฝรั่งตางเคย มีเคยเปนกันมาแลวทั้งนั้นแมเปนผูระลึกชาติ ไดก็จะสลดสังเวชยิ่งนัก และอาจจะสละละวาง ความโลภความโกรธความหลงไดเปนอันมาก เห็นสุนัขขี้ เรื้อนสักตัวแลวลองนึกวาครั้งหนึ่งเราก็เคยเปนเชนเดียวกัน เคยกระเซอะ กระเซิงเที่ยวหาอาหารกินถูกคนตี ถูกสุนัขดวยกันกัดถูกใครทั้งหลายที่ไดมาประสบพบผาน แสดงกิริยาวาจารังเกียจเกลียดชังไมยอมแมแตจะใหเขาไปใกล เพื่ออาศัยรมเงากันแดดกัน ฝนกอนอิฐกอนหินก็ถูกทุมถูกขวางใสใหตองถึงเลือดตกยางออก ตกใจกลัวภัยนานาแต จะ บอกกลาวออนวอนใหผูใดเห็นใจก็ทําไมได อยางมากก็เพียงเปลงเสียงโหยหวนที่หามีผูเขา ใจในความทุกขรอนไมแมนึกไปในอดีตเชนนี้ สมมุติตัวเองวาในภพชาติหนึ่งเปนเชนนี้นึก ใหจริงจังเชนนี้ จะเกิดความกลัวกรรม เพราะยอมไดความเขาใจวากรรมไมดีแนแทที่ทําใหชี วิตตองเปนเชนนั้น
ค�ำสอน๑หยิบมือ
31
อยาเปนผูปฏิเสธเรื่องกรรมและการให ผล ของกรรมอยางปราศจากเหตุผลคืออยาปฏิเสธดื้อๆวาใครจะ เคยเกิดเปนอะไรมากอนก็ตามก็ไมใชเราเราไมเคยเกิดเชนนั้นแนคนจะเกิด มาแตสัตวไมได สัตวจะไปเกิดเปนคนก็ไมได ไมมีเหตุผล เปนความเชื่อที่ปราศจาก เหตุผล เปนคนสมัยใหมแลวจะเชื่ออยางนั้นไมไดเพื่อความไมประมาท จงอยาปฏิเสธโดย ไมรูจริงเชนนี้ เพราะวันหนึ่งจะหนีไมพนผลที่นากลัวนักของกรรม เด็กบางคนวิ่งเลนอยางสนุกสนานในโรงเรียน อยูๆก็มีลูกปนแลนเขาตัดชีวิตปลิดชีพจาก ดลกนี้ไปอยางงายดาย เด็กตายไปแลวไปเปนสุขไปเปนทุกขก็เรื่องหนึ่งแตมารดาบิดาผูตองสูญ เสียลูกไปปุบปบเปนอีกเรื่องหนึ่ง ที่พึงพิจารณาให เกิดความเขาใจในเรื่องของกรรมและการ ใหผลของกรรมตองเคยไปทําความทุกขแสนสาหั สใหเกิดแกผูใดมากอนแลวในอดีตจึงตองมา ไดรับความทุกขแสนสาหัสจากผูที่ไมรูจักหนาตาผูที่ไมปรารถนาจะกอทุกขโทษภัยใดๆเลย และ ทุกคนมีโอกาสที่จะประสบเหตุ การณเชนนั้น เปนไปไดที่อยูดีๆจะตองสูญเสียยิ่งใหญ เชนมา รดาบิดาที่เสียลูกไปอยางไมรูตนสายปลายเหตุ รูไดแนนอนเพียงวาเปนผลของกรรมไมดีที่ตอง ไดกระทําไวในภพชาติใดชาติหนึ่งแนนอน สมเด็จพระญาณสังวร
เหตุ ในอดีตสง ผล ในปจจุบัน พระสําคัญรูปหนึ่ง ซึ่เปนที่รูจักกันดีวาเปนพระดีพระสําคัญยิ่งคือสมเด็จพระพุฒจาร ย (โต พรหฺมรั งสี ) วัดระฆังโฆสิตารามมีเรื่องเลาถึงทานวาครั้งหนึ่งพระในวัดของทานตีเพื่อ นพระดวยกันจนหัวแตกทานชําระความดวยการบอกพระที่เปนเจาทุกขวาเปนฝายผิดเพ ราะเปนผูทําเขากอนเมื่อเปนที่พิศวงสงสัยที่ทานตัดสินเชนนั้น ทานก็อธิบายวาพระรูปที่ถูกตี หัวแตกในชาตินี้ตองไดตีพระอีกรูปมากอนไมในชาติใดก็ชาติหนึ่ง ถาจะใหรับโทษที่ทําในชาติ นี้ก็จะไมสิ้นสุดเวรกรรม ถาไมถือโทษ ความผิดในชาตินี้ก็จะเปนอันเลิกแลวตอกัน ทานไดถาม ความสมัครใจของพระรูปที่ถูกตีหัวแตกวาตองการอยางไร พระรูปนั้นก็ยินดียกโทษ ไมเอา ความ เปนอันเลิกแลวตอกัน ทานวาจะไดไมมีการจองเวรกันตอไปเรื่องนี้
32
ค�ำสอน๑หยิบมือ
สมเด็จพระพุฒาจารยทานสอนเรื่อง กรรมและการใหผลของกรรม ใหเห็นวาเมื่อทํากรรใด แลวจักตองไดรับผลตอบแทนแน แมขามภพขามชาติ ทํากรรมใดจักไดรั บผลนั้นผูใดทําผูนั้น จักไดรับ ไมชาก็เร็วตองไดรับ และจะไมจบสิ้นแมไมมีการเลิกผูกเวร แตถาเลิกผูกเวรก็จะจบ สิ้นเพียงนั้น การใหอภัยดวยใจจริงในความผิดของผูอื่นที่ทําตอตนจึงเปนความสําคัญเปนสิ่ง ที่ควรอบรมใหยิ่ง คนระลึกชาติไดทุกวันนี้ยังมีอยู บางคนก็ระลึกไดตั้งแตอายุยังนอย พอพูด ไดก็บอกไดเปนเรื่องเปนราว ขอไปหาแมเกาพอเกาที่บานนั้นบานนี้ บางคนเห็นรู ปใครบาง คนก็สนใจมากมายถามชื่อ และบางรายก็บอกเลาเรื่องอดีต เคยใกลชิดกับผูนั้นผูนี้ เคยเปนท หารไปรวมรบในอดีตกาลนานไกล ที่นาอัศจรรยก็คือ เด็กชายเล็กๆบางคนเลาวาเคยเปนท หารรวมรบดวยกันกับสมเด็จพระบุรพบรมกษัตริยาธิราชเจาบางพระองค ทั้งที่เขายังเปนเด็ก ชายไรเดียงสาเขายังไมทันจะรูวาพระมหากษัตริย ของเขาพระองคนั้นทรงเปนนักรบผูยิ่งใหญ และเขาก็ยังบริสุทธิ์ เกินกวาจะคิดแตงเรื่องราวขึ้นหลอกลวงเพื่อประโยชนอยางใดอยางหนึ่ง ผูไดฟงเขาพูดอยางเด็กทารกไรเดียงสาจึงยอมรับวาเขากําลังระลึกไดถึงในอดีตชาติของเขานี้ เปนตัวอยางหนึ่งที่แสดงความมีภพชาติในอดีตของคนทั้งหลายสัตวทั้งหลายในปจจุบันชาติทา นพระอาจารยสําคัญรูปหนึ่งที่เปนพระปฏิบัติ ทานเดินปาอยูเปนประจําในชีวิตของทานโดย เพื่อนปฏิบัติธรรมรวมทางไปดวยบางเปนครั้งคราวเปนที่รูกันดีวาเมื่อพบชางในระหวางทางทา นพระอาจารยรูปนั้นก็จะตองเปนผูนําเจรจา ปราศรัยกับชาง ทานจะพูดจากับชางใหญดวยภาษามนุษย และทานจะใชวาจาไพเราออน โยนยิ่งนักเปนที่เจริญหูเจริญใจ ชางก็ฟงทานโดยดี เมื่อทานขอใหหลีกก็จะหลีกขอใหหลบก็จะ หลบขอใหไปใหพนก็จะไปจนพน ทานทําไดเชนนี้โดยที่รูปอื่นทําไมไดเพราะอะไร นาจะตั้งปญ หานี้ขึ้น และผูไมปฏิเสธวาผูอยูในปจจุบันชาตินั้นมีอดีตชาติ ยอมจะยอมคิดวาทานพระอาจาร ยรูปนั้นทานคงมีอะไรเกี่ยวของกับชางมาแลวในอดีตชาติ และตองเกี่ยวของอยางสําคัญดวย ใน ชาตินี้ทานจึงสามารถพูดจากับชางไดรูเรื่อง และชางก็ยินดีออนใหกับทานอยางนาอัศจรรยนัก เมื่อคิดเชนนี้ก็นาจะคิดตอไปไดวาจากชางก็มาเปนมนุษยได สําหรับผูมีญาณหยั่งรูไปในอดีต ยอมรูไดวาทานพระอาจารยรูปนั้นทานอาจจะเคยเกิดเปนชางสําคัญกอนจะมาเปนมนุษย ใน ภพชาตินี้ก็เปนได และก็เปนไดอีกเชนกันที่ทานอาจจะเกิดเปนชางอยูหลายภพหลายชาติใน บรรดาภพชาติที่นับไมถวนของทานในอดีต เมื่อมาเกิดเปนมนุษยในภพชาตินี้ และสามารถมี ญาณหยั่งรูภพชาติในอดีตของตนที่เปนสัตวเชนทานพระอาจารยรูปสําคัญที่ทานเลาไววาเคย เกิดเปนไก ยอมรูชัดถึงความแตกตางระหวางความเปนคนกับเปนสัตว ค�ำสอน๑หยิบมือ
33
ยอมไดความสลดสังเวชและยอมไดความหวาดกลัว ความตองเวียนวายตายเกิดเปนที่สุดเพราะ ไดรูชัดดวยตนเองแลววาการพลาดพลั้งทํากรรมไมดี ไมวาจะทางกายหรือทางใจ คือการนําไป สูทุคติตางๆ อันไมเปนที่พึงปรารถนาอยางยิ่งอันจักกอใหเกิดความทุกขรอนนานาประการ การที่อยูดีๆก็ถูกจี้ถูกปลนจนถึงชีวิตเปนการตองตายจากผูเปนที่รักสิ่งที่เปนที่รัก อยางไมรูตัว อยางไมอาจขอความชวยเหลือจากผูใดได ผูนับถือพระพุทธศาสนารูวานั่น เปนผลของกรรมที่ตองไดกระทําไวแลวในภพชาติใดภพชาติหนึ่งซึ่งปุถุชนไมมีญาณพิเศษทั้ง หลายหาอาจรูชัดไม วาไดมีการทํากรรมอันเปนอกุศลเหตุนั้นตั้งแตเมื่อใด และจะสงผลเมื่อ ใด แตผูปฏิบัติธรรมจนสามารถมีความรูพิเศษจะรูได และบางทีก็ไดแสดงใหรูล วงหนา เชนที่ พระอาจารยสําคัญรูปหนึ่งทานไดปรารภใหไดยินกันเนืองๆวาในอดีตทานเคยขับเกวียนทับเด็ก ตายโดยจงใจเจตนา ดังนั้นทานจะตองไดรับผลของกรรมคือจะตองถูกรถทับจนเสียชีวิตแนใน ภพชาตินี้ ทานปรารภอยูนานป และแลววันหนึ่งทานก็เตรียมตัวออกเดินทางจากวัดเมื่อถูกทัก ทวงวารุงขึ้นจึงจะถึงวันที่ทานไดรับ อาราธนาไปในการทําบุญที่บานหนึ่งทานก็ตอบงายๆตรง ไปตรงมาวาถึงเวลาวันนั้นแหละถูกแลว สมเด็จพระญาณสังวร
ไม่มีอะไรได้ดังใจเหมือนม้ากาบกล้วย แดดออกก็เป็นทุกข์ เป็นทุกข์ไปกับแดด ฝนตก อ้าว....ก็เป็นทุกข์อีกละ เวลาแดดออกก็บ่นว่า "ร้อน" พอฝนตกก็ว่า " อ๊ะ..ท�ำไมตกมากหนักหนา เปียกแฉะไปหมดแล้ว "มนุษย์นี่....เอาใจยาก ประเดี๋ยยัง งั้นประเดี๋ยวยั้งงี้ ร้อนไปก็ไม่ดี เย็นไปก็ไม่ดี หนาวไปก็ไม่ดี ข้าวเปียกไปก็ไม่ดี ข้าวสวยไปก็ไม่ดี ไม่มี อะไรดีเลยสักอย่าง กับข้าวก็ "เอ๊อะ!...เค็มไป" ถ้าไม่เค็มก็ "เอ๊ะ!..ท�ำไมไม่ใส่เกลือ" พอเข้าใส่เกลือ มากก็ "เอ๊อ !...ใส่เกลือเท่าไร" นิดหน่อย "เออ!....นั่นแหละถึงไม่เค็ม" ถ้าเขาบอกว่าใส่มาแล้ว "เออ... นั่นถึงเค็มไป" อ้าว....ไม่ได้ดังใจสักอย่างเดียว...... ท่านเจ้าคุณอุบาลี ท่านเทศน์ดี ว่าอะไรในโลกนี้ ไม่ได้ดังใจ มีได้อยู่ในใจอย่างเดียวคือม้ากาบกล้วย พวกเราอยู่ในกรุงอาจไม่รู้จักม้ากาบกล้วย กาบ กล้วยหรือกาบหมากก็ใช้ได้ ทางกล้วยนะ เอามาตัดใบออกเสียมันมีก้านแข็งๆ วิ่งได้ดังใจ เลี้ยวซ้าย ก็ได้ เลี้ยวขวาก็ได้ หยุด!...!ก็ได้ ท่านพูดข�ำดี "มันได้ดังใจอย่างเดียว คือม้ากาบกล้วยนั่นเอง นอกนั้น มันไม่ได้ดังใจเราจะไปบังคับอะไรให้เหมือนใจเราไม่ได้ แต่ต้องมีปัญญามองสิ่งนั้นให้รู้ว่าธรรมชาติ มันเป็นอย่างไรให้รู้ให้เห็นตามธรรมชาติธรรมดาที่มันเป็นอยู่จริงๆ ใจเราก็จะไม่เป็นทุกข์..... หลวงพ่อปัญญา นันทภิกขุ
34
ค�ำสอน๑หยิบมือ
ทําดี ไดดี
เสมอ
เปนที่เห็นกันอยูวาทุกคนมีชีวิตที่มิไดราบรื่นเสมอไป ไมมีสุขตลอด ชีวิตไมมีทุกขตลอดชีวิต ไมพบแตสิ่งดีงามตลอดชีวิต ไมพบแตสิ่งชั่วรายตลอดชี วิตแต ละคนพบอะไรๆ ทั้งดีทั้งราย หนักบางเบาบางโดยที่บางทีก็ไมเปนที่เขาใจวาทําไมจึง ตองเปนเชนนั้น เชนบางคนเกิดในครอบครั วที่ต�่ำตอย ลําบากยากจนพอเกิดไดไมนานเงิน ทองจํานวนมากก็เกิดขึ้นในครอบครัว เปนลาภลอยของมารดาบิดาบาง เปนความไดชองไดโอ กาสทําธุรกิจการงานบางใครๆ ก็จะตองพูดกันวาลูกที่เกิดใหมนั้นเปนผูมีบุญทําใหมารดาบิดา มั่งมีศรีสุข ถาไมคิดใหดีก็เหมือนจะเปนการพูดไปเรื่อยๆไมมีมูลความจริงและทั้งผูพูดผูฟงก็มัก จะไมใสใจพิจารณาให ไดความรูสึกลึกซึ้งจริงจังแตถาพิจารณากันใหจริงดวยคํานึงถึงเรื่อง กรรมและการใหผลของกรรมก็นาจะเชื่อไดวาเด็กที่เกิดใหมนั้นเปนผูมีบุญมาเกิด ผูมีบุญคือ ผูที่ทําบุญทํากุศล ทําคุณงามความดีไวมากในอดีตชาติ อันความเกิดขึ้นของผูมีบุญนั้นยอมเกิด ขึ้นพรอมกับมีบุญหอมลอมรักษา แมชนกกรรมนําใหเกิดจะนําใหเกิดลําบาก แตเมื่อบุญที่ทํา ไวมากกวากรรมไมดีที่นําใหลําบากก็จะตองถูกตัดรอนดวยอํานาจของกุศลกรรมคือบุญอันยิ่ง ใหญกวา คือเกิดมามารดาบิดายากจน มือแหงบุญก็จะตองเอื้อมมาโอบอุ้มใหพนจากความลํา บากยากจนใหมั่งมีศรีสุขควรแกบุญที่ ไดทําไว้ ผูที่เกิดในที่ลํ าบากยากจนแตเมื่อมีบุญเกาไดกระทําไวมากมายเพียงพอ มือแหงบุญก็ จะเอื้อมมาโอบอุมใหพนความยากลําบากไดอยางรวดเร็วพนจากความยากจนดังปาฏิหาริยมี ตัวอยางใหเห็นอยู เด็กบางคนทําบุญทํากุศลไวดี แตชนกกรรมนําใหเกิดกับมารดาบิดาที่ ยากแคนแสนสาหัส พอเกิด มารดาบิดาก็หาทางชวยใหลูกพนความเดือดรอน นําไปวาง ไวหนาบานผูมั่งมีศรีสุขที่รู กันวาเปนผูมีเมตตา แลวเด็กนั้นก็ได เปนสุขอยูในความโอบอุ มของ มือแหงบุญควรแกบุญที่เขาไดกระทําไว แตเด็กบางคนเกิ ดในที่ต�่ำตอยยากไร และเปนผูที่มิไดทําบุญกุศลมาในอดีตชาติเพียง พอยอมไมมีมือแหงบุญมาโอบอุมเขาใหพนความลําบากยากจน แมเมื่อมารดาบิดาจะพยายาม เสี่ยงนําไปวางไวในที่ที่หวังวาจะมีผูดีมีเงินมานําไปอุปการะเลี้ยงดู ความไมมีบุญทําไว กอนทําใหไมเปนไปดังความปรารถนาของผูเปนมารดาบิดา เขาอาจจะถูกทิ้งอยูตรงที่ที่ถูกนํา ไปวางและสิ้นชีวิตไป ณ ที่นั้นอยางโดดเดี่ ยวเดียวดาย อาจจะทรมานดวยความหนาว ค�ำสอน๑หยิบมือ
35
ความรอน ความหิวโหย หาผูชวยเหลือไมได และผูเปนมารดาก็อาจถูกจับ ไดรับโทษทางอาญา นั่นก็เปนเรื่องอํานาจอันยิ่งใหญนักของกรรมอยางแทจริง อดีตชาติของทุกคนมีมากมายนักจึงไดทํากรรมกันไวมากมายนักกุศลกรรมบางอ กุศลกรรมบาง ชีวิตในปจจุบันจึงมีดีบางไมดี บาง สุขบางทุกขบาง คนมั่งมีเปนมหาเศรษฐีก็ดวยอํานาจของกุศลกรรม คือการบริจาคชวย เหลือเจือจุนผูอื่นที่ไดกระทําไวในอดีตชาติ เมื่ออกุศลกรรมคือการคดโกงเบี ยดเบียนทรัพยสิน ใหผูอื่นตองเดือดรอนที่ ไดกระทําไวในอดีตชาติตามมาสงผล และเมื่อเปนผลที่ แรงกวา มีกําลังกวากุศลกรรมที่กําลังเสวยผลอยู อกุศลกรรมก็จะตัดรอนกุศลกรรม สงผลไมดี ของอกุศลกรรมใหเกิดแทน ความมั่งมีก็ จะกลับเปนความไมมีเงินทองของมีคาก็ จะสูญหาย หมดไป อกุศลกรรมแรงมากก็จะสามารถทําให มหาเศรษฐีสิ้นเนื้อประดาตัวได กําลังเปนสุขก็ จะกลับเปนทุกขเดือดรอน อํานาจของกรรมเปนเชนนี้จริง ผูมีปญญาจึงกลัวกรรมยิ่งกวากลัว อะไรอื่น กลัวเพราะรูวาเมื่อทํากรรมไมดีไวแลวตองไดรับผลไมดีและเมื่อถึงเวลาที่ กรรมสง ผลไมดีมาถึงตัวแลว แมตั้งแต เกิดมาในชาตินี้จะไม เคยทํากรรมไมดีเชนนั้น ก็จะตองไดรับ ผลไมดี ที่อาจทําใหพิศวงสงสัย จนถึงมากคนมิจฉาทิฐิความเห็นผิดคือเห็นไปวาทํ าดีไม เพียงในชาติปจจุบันนี้เทานั้น มีอายุกันเพียงอยางมากรอยปเทานั้น ทุกคนทุกสัตวตา งก็ทําอะไรๆที่เปนกรรมแลวมากมายนับไมถวน เปนกรรมดีคือกุศลกรรมบาง เปนกรรมชั่ว คืออกุศลกรรมบางมากมายจริงๆ เพียงทําในชาติเดียวก็ มากมายจริงๆแลว เมื่อไดทํามานับ ภพชาติไมถวนจะมากมายเพียงไหนขณะที่มาเปนอยูในภพนี้ชาตินี้ ไดละภพชาติในอดีตที่ทํา กรรมไวเบื้องหลังมากนักหนา กรรมดีกรรมชั่วอาจไมเสมอกัน บางคนกรรมดีอาจมากกวา บาง คนกรรมชั่วอาจมากกวา บางคนทํากรรมดีที่ไม่สําคัญไมยิ่งใหญแตทํากรรมไมดีที่สําคัญหนัก นักหนา เชนนี้ยอมไดเสวยผลตามเหตุ คือในภพชาตินี้ยอมประสบสวนดีนอยกวาสวนไมดี สวนผูที่ทํากรรมดีมากทํากรรมไมดีนอย เชนนี้ยอมไดเสวยผลตามเหตุคือในภพชาตินี้ยอม ประสบสวนดีมากกวาสวนไมดีดังมีตัวอยางใหพบเห็นอยูทั่วไปในทุกวันนี้เมื่ อกรรมดีจะสงผล ก็ไมมีอะไรหรือผูใดจะกีดกั้นยับยั้งได กรรมไมดีที่แรงกวาเทานั้นที่จะกีดกั้นขัดขวางได ไมใหกรรมดีอาจสงผล แตถากรรมดีแรงกวากรรมไมดี กรรมดีก็ตองสงผลจนได กรรมไมดีหา อาจขัดขวางไมได อะไรๆก็หาอาจขัดขวางไดไม สมเด็จพระญาณสังวร
36
ค�ำสอน๑หยิบมือ
มองทุกข์ให้เห็น จึงเป็นสุข ทุกข์ เท่านั้นเกิด ขึ้นตั้งอยู่ดับไป เรื่อง ของความสุขนั้นเป็นสิ่งที่เรา ต้องการกันทั้งนั้น ไม่มีใครเลยต้องการ ความทุกข์ความเดือดเนื้อร้อนใจ แต่ว่าโดยธรรมะ ชั้นสูงของพระพุทธศาสนานี่พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เรารู้ว่า ในโลกนี้ไม่มีความสุข มันมีแต่ความทุกทั้งนั้น ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกเท่า นั้นที่ดับไป นอกจากทุกข์หามีอะไรไม่ พระพุทธ ศาสนาสอนเรื่องความทุกข์ สอนเหตุให้เกิดทุกข์ สอนเรื่องทุกข์เป็นเรื่องที่ดับได้ แล้วก็สอนวิธีว่า จะดับทุกข์ได้อย่างไร อันนี้เป็นสัจจะ เป็นความจริงที่มีอยู่ในโลก ความ สุขนั้นหามีไม่ มีแต่ความทุกข์ แต่เราก็เรียกว่ามีความสุขที่เรียกว่ามีความสุขก็เพราะว่า ทุกข์ มันลดน้อยลงไป สมมติว่าเป็นตัวเลขว่า ทุกข์มัน ๑๐๐ ถ้าลดลงไปอีก ๕ เราก็เรียกว่าเป็นความ สุขแล้ว เป็นความสุขเพียง ๕ เท่านั้นเอง แต่ว่าอีก๙๕ นั้นยังเป็นความทุกข์อยู่ หรือถ้าลดลงไปอีก สัก ๑๐ เราก็มีทุกข์อยู่อีกตั้ง ๙๐ ลดลงไปอีก ๙๕ ก็ยังมีทุกข์อยู่อีกตั้ง ๕ มันก็ยังมีทุกข์อยู่นั่นเองมัน เป็น อย่างนี้ โลกนี้มีแต่ความทุกข์ ถ้าทุกข์ลดลงไปหน่อย ก็เรียกว่า เป็นความสุขเท่านั้นเอง แต่ว่า ท่านก็ไม่เรียกว่าเป็นความสุขอีกแหละ ท่านเรียกว่านั่นคือที่สุดของความทุกข์ ใช้ค�ำบาลีว่า "อัน โต ทุกขัสสะ" แปลว่า นั่นเป็นที่สุดของความทุกข์ คือว่าทุกข์มันจบเพียงเท่านั้น หมดทุกข์ก็ถึง นิพพาน นิพพานก็คือการดับทุกข์ได้ ตราบใดที่ยังมีชีวิตถ้าจิตยังไม่ถึงปัญญา เราก็ยังจะต้อง มีความทุกข์ที่จะต้องทนต่อไป ทนเรื่อยไป จนกว่าเราจะมีปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งนั้น ตามสภาพที่เป็นจริง แล้วเราก็ไม่ต้องทนทุกข์อีกต่อไป จิตของเราไปถึงจุดหมาย คือ ที่สุดของความทุกข์...... หลวงพ่อปัญญา นันทภิกขุ
ค�ำสอน๑หยิบมือ
37
ผูม ีปญญา ยอมไมประมาท ชีวิตนี้นอยนัก คือชีวิตในภพภูมินี้ในชาตินี้นอยกวาชีวิตที่ผานมาแลวใน อดีตชาติมากมายอยางไมอาจประมาณไดถูกถวน ผูมีปญญาเมื่อมานึกถึงความ จริงนี้ยอมไมประมาท ยอมเห็นภั ยที่จะตามมา เปนภัยที่จักเกิดแตกรรมทั้งหลายที่ได ประกอ บกระทําไวดวยตนเองในอดี ตชาติที่มากมายพนประมาณ ผูมีปญญายอมพยายามหนีใหพน หนีใหกรรมไมดีตามไมทัน หรือไมก็พยายามสรางกําลังที่จะเอาชนะความแรงของกรรมไมดี ใหได เพื่อไมตองรับผลของกรรมไมดีที่อาจรายแรง ทําความชอกช�้ำใหแกชีวิตไดเปนอันมาก ผูที่มุงแตจะไดในชาตินี้ โดยไมคํานึงถึงความถูกตองชอบธรรม เปนการทํากร รมไมดีเปนสวนใหญ เทากับใหโอกาสกรรมไมดี ในอดีตชาติที่ไดสั่งสมไว ใหตามมาสงผลทั น ในชาตินี้งายเขา และสงผลไดแรงเต็มที่งายเขา โดยไมมีกรรมดีเพียงพอจะชวยเหลือยับยั้ง หรือผอนคลายใหเบาลง ผูที่ไดรับอะไรๆรายแรงตางๆ เชนเสียสติบาคลั่งอยางไมทันที่จะรูตัว ประสบอุบัติเหตุรายแรงถึงเสียชีวิต หรือไมก็เสียหมดทั้งครองครัว หรือประสบความหายนะ ถึงสิ้นเนื้อประดาตัวตองเศราโศกเสียใจจนขาดสติสั มปชัญญะผลของกรรมไมดีเชนนี้ แมจะ ติดตามทุกคนผูทําเหตุ แหงกรรมไมดีนั้นอยู แตก็อาจไมสามารถตามทันแมผูนั้นจะพยายามวิ่ง หนีอยางเต็มสติปญญาความสามารถ พลังสําคัญประการหนึ่งที่จะชวยใหสามารถหนีพนมือแหงกรรมไมดีที่ติดตามตะครุบอ ยูไดและเปนพลังที่จะสามารถทําใหเกิดขึ้นไดไมยากคือการนึกถึงพระพุทธเจานึกถึงพุทโธนึก ไวใหคุนเคยเปนอันหนึ่งอันเดียวกับใจ สิ่งใดที่เปนอันหนึ่งอันเดียวกันก็หมายถึงความจะไมอาจ แยกจากกันไดเลย ไมวาเวลาใดก็ตามจะสุขจะทุกข จะเปนจะตายใจก็มีพุทโธพุทโธมีอยูในใจ กรรมดีก็ตามกรรมไมดีก็ตามเมื่อสงผลจะตองมีสื่อมีเครื่องมือมีมือเปนเครื่องนําใหถึงผูจะตอง รับผลแหงกรรมนั้น ทั้งกรรมดีและกรรมไมดี เชนคนเมาสุราขับรถพุง
38
ค�ำสอน๑หยิบมือ
เขาชน ผูจะตองรับผลแหงกรรมก็จะถูกรถนั้นชนถึงตาย หรือถึงพิการหรือ บาดเจ็บสาหัส ตองเสียเงินทองรักษาพยาบาลมากมายคนเมาสุราที่ขับรถพุงเขา ชนคือเครื่องมือแหงกรรม ซึ่งมีสุราเปนเครื่องบังคับใหพุงตรงจุดหมายได คือใหกรรมสง ผลไดสําเร็จหรือที่เรียกวาใหกรรมตามทันได แตแมผูที่กรรมนั้นตามอยู เปนผูกําลังวิ่งหนี กรรมไมดีอยูเต็มกําลั งดวยการทําความดีตางๆ มีการทองพุทโธใหเปนอันหนึ่งอันเดียวกับ ใจเปนตน พุทโธอันเปนยอดของความดีก็จะเปรียบไดดังพลังจิตอันแรงกลาของนักสะกดจิต ที่ จะสะกดผูขับรถซึ่งกําลังมึนเมาดวยฤทธิ์สุราใหหยุดรถเสี ยทันทีกอนจะทันพุงเขาชนเปาหมาย ที่กรรมตามอยู ความสวัสดียอมมีแกผูที่กรรมตามติดอยูนั้นอยางเปนที่นาอัศจรรยนักอันกร รมไมดีนั้นมีคูที่มักจะใชดวยกันมีความหมายไปในทางไมดี คือเจากรรมนายเวรผูมีสัมมาทิฏฐิ ยอมไม ปฏิเสธความเชื่อที่มีอยูวาเจากรรมนายเวรนั้นมี ไมใช ไมมี เจากรรมนายเวรคือผูที่ถูก ทํารายกอนและผูกอาฆาตจองเวร แมไมอาฆาตจองเวรก็ไมเปนเจากรรมนายเวร คือไมเปนผูคิด รายไมติดตามทํารายใหเปนการตอบสนองหรือที่เรียกกันวาแกแคน การสงผลของกรรมดีและกรรมไมดีนั้นขามภพขามชาติได กรรมในอดีตชาติสงผลมา ทันในปจจุบันชาติก็มีไปสงถึงในอนาคตชาติก็มี แลวแตวาผูทํากรรมจะสามารถหนีไดไกลเทา ไรหรือหนีไดนานเทาไร นั่นก็คือ แลวแตวาในปจจุบันชาติ ผูทํากรรมแลวในอดีตจะสามารถ ในการทําจิตใจทําบุญทํากุศล ทําความดีได มากเพียงไหน เปนกรรมที่ใหญยิ่งหนักหนากวากร รมไมดี หรือไม การใหผลกรรมก็เชนเดียวกับการตกจากที่สูงของวัตถุ สิ่งใดหนักกวาเมื่อตกลง จากที่เดียวกันในเวลาใกลเคียงกัน สิ่งนั้นยอมถึงพื้นกอน เปรียบดังกรรมสองอยางคือกรรมดี และกรรมไมดี กระทําในเวลาใกลเคียงกัน กรรมที่หนักกวาไมวาจะเปนกรรมดีหรือกรรมไมดี ก็ตามยอมสงผลกอน กรรมที่เบากวายอมสงผลทีหลัง และยอมสงผลทั้งสองแนนอนไมเร็ว ก็ชาไมชาตินี้ก็ชาติหนาไมชาติหนาก็ชาติตอไป ตอไป ตอไปอาจจะอีกหลายภพชาติก็ได เพราะ กรรมไมใชสิ่งที่จะลืบเลือนไดดวยกาลเวลานานเพียงไรกรรมก็ยั งใหผลอยูเสมอกรรมจึ งมีอํา นาจเหนืออํานาจทั้งปวง สมเด็จพระญาณสังวร
ค�ำสอน๑หยิบมือ
39
นานแสนนานแหงการเวียน ทานพระอาจารยสําคัญรูปหนึ่งทานปรารถนาพุทธภูมิ คือปรารถ นาเปนพระพุทธเจาครั้นมาระลึกชาติไดวาเคยเกิดเปนไกหลายรอยหลายพันชาติกอ นที่จะไดมาเปนมนุษยในชาตินี้ทานก็เปลี่ยนความปรารถนาที่จะเปนพระพุทธะมาเปนพ ระผูไกล กิเลสไมตองเวียนวายตายเกิดตอไป เพราะทานสลดสังเวชชีวิตที่ผานมาแลวมากมาย และหวาดเกรงชีวิตที่จะตองพบอีกตอไปนับภพชาติไมถวนกวาจะถึงจุดปรารถนาคือพุทธ ภูมิ ซึ่งมิใชวาจะไปถึงกันไดโดยงายโดยเร็วจะตองใชเวลานานแสนนานในอีกหลายรอยหลาย พันภพภูมิ โดยไมอาจรูไดวากรรมจะนําใหไปเปนอะไรลําบากยากเข็ญอยางไร ซึ่งสําหรับ ทานผู ไดรูแจงในอดีตชาติ ของทานแลว ก็เกิดความกลัวยิ่งนักเบื่อหนายความตองเวียนวาย ในวัฏสงสารยิ่งนัก ดวยความพากเพียรพยายามสุดสติปญญาความสามารถที่จะตัดภพชา ติอนาคตใหหมดสิ้นไปโดยเร็วในที่สุดก็เชื่อกันวาทานพระอาจารยสําคัญรูปนั้นทานก็สําเร็จ ประสงคถึงความพนทุกขอยางสิ้นเชิงไดในภพภูมิปจจุบัน ครูอาจารยทานสําคัญๆ ทานรับรองและพระพุทธเจาก็ทรงรับรองวาชาติในอนาคตมี อยูสําหรับผูยังไมสามารถทํากิเลสใหหมดสิ้นได และการทํากิเลสใหหมดสิ้นนั้นคนเปนจํานว นมากทําไมไดในเวลาอันสั้นทั้งยังมีคนเปนจํานวนมากไมสนใจจะทําใหกิเลสหมดสิ้นยังเกลือ กกลั้วอยูกับกิเลสอยางหลงผิดดังนั้นภพชาติสําหรับคนเหลานี้ยังมีอยูมากมาย นักหนาใชเวลานานแสนนาน นับภพชาติหาไดไม โอกาสที่กรรมจะตามไปถึงจึงมีมากมาย นัก ไมวันใดก็วันหนึ่งไมชาติใดก็ชาติ หนึ่ง และอยาคิดผิดวาเมื่อถึงวันนั้นเวลานั้น ก็ จะจําไมไดแลววาเราเปนเราอะไรจะเกิดขึ้นก็ไมเดือดรอน ความคิดเชนนี้อาจจะเกิดแก เราแลวในอดีตชาติ และมาในปจจุบันเมื่อตองพบกับความเดือดรอนเราก็เดือดรอน มิใชวาเรา ไมเดือดรอนทั้งที่มิใชวาเราจะจําไดวาเราเปนเรา ไมวาจะเกิดเปนใครเปนอะไรเมื่อใดภพชาติ ไหนก็ตามเมื่อเปนทุกขก็ตองเปนทุกข เมื่อเปนสุขก็ตองเปนสุขจึงไมควรประมาทอยางยิ่ง ควร พยายามทําทุกอยางเพื่อไมใหในอนาคตตองเปนทุกข หรือเพื่อไมใหกรรมไมดีที่ทําไวตามทัน ไมวาเมื่อใดก็ตาม
40
ค�ำสอน๑หยิบมือ
ชีวิตนี้แมนอยนัก แตก็เปนความสําคัญนักสําคัญยิ่งกวาชีวิ ตในอดีตและชีวิตใน อนาคตที่วาชีวิตนี้คือชีวิตในชาติปจจุบันนี้สําคัญ ก็เพราะในชีวิตนี้เราสามารถหนีกร รมไมดีที่ทําไวในอดีตได และสามารถเตรียมสรางชีวิตในอนาคตใหดีเลิ ศเพียงใดก็ได หรือ ตกต�่ำเพียงใดก็ ได ชีวิตในอดีตลวงเลยแลวทําอะไรอีกไมไดต อไปแลว ชีวิตในอนาคตก็ยังไมถึง ยังทําอะไรไมได เชนนี้จึงกลาวไดวาชีวิตนี้สําคัญนักพึงใชชีวิตนี้ใหเปนประโยชนใหสมกับความ สําคัญของชีวิตนี้ สมเด็จพระญาณสังวร
ของดีมีอยูกับตัววาย ของดีมีอยูกับตัวเราทุกคนก็พากันปฏิบัติเอาทําเอาเมื่อเวลาตาย แลวจึงวุนวายหานิมนตพระมากุสลามาติกา ไมใชเกาถูกที่คัน ตองรีบแกเสียบัดนี้ คือ เรงทําความดีแตบัดนี้ จะไดหายหวงอะไร ๆ ที่เปนสมบัติของโลก มิใชสมบัติอันแทจริง ของเรา ตัวจริงไมมีใครเหลียวแล สมบัติในโลกเราแสวงหามา หามาทุจริตก็เปนไฟเผา เผา ตัวทําใหฉิบหายไดจริง ๆ ขอนี้ขึ้นอยูกับความฉลาดและความโงเขลาของผูแสวงหาแตละ ราย ทานผูพนทุกขไปดวยความอุตสาหสรางความดีใสตน จนกลายเปนสรณะของพวกเรา ทานไมเคยมีสมบัติเงินทอง เครื่องหวงแหน เปนคนร�่ำรวย สวยงามเฉพาะสมัย จึงพากัน รัก พากันหวง จนไมรูจักเปนรูจักตาย สําคัญตนวาจะไมตาย และพากันประมาท จนลืมตัว เพลิดเพลินตักตวงเอาแตสิ่งไมเปนทาใสตนแทบหาบไมไหว อยาสําคัญวาตนเกงกาจสามารถ ฉลาดรูกวาเขาเลย ถึงกับสรางความมืดมิดปดตาทับถมตัวเองจนไมมีวันสรางซา เมื่อถึงเวลา จนตรอกอาจจนยิ่งกวาสัตว ถาไมเตรียมทราบไวเสียแตบัดนี้ ซึ่งอยูในฐานะอันควร อาตมา ขออภัยดวยถาพูดหยาบคายไป แตคําพูดที่สั่งสอนคนใหละชั่ว ทําความดี จัดเปนหยาบคายอ ยูแลว โลกเราก็จะถึงคราวหมดสิ้นศาสนา เพราะไมมีผูยอมรับความจริง การทําบาปหยาบคาย มีมาประจําแทบทุกคน ทั้งใหผลเปนทุกข ตนยังไมอาจรูได และตําหนิมันบางพอมีทางคิดแกไข แตกลับตําหนิคําสั่งสอนหยาบคาย ก็นับเปนโรคที่หมดหวัง หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ค�ำสอน๑หยิบมือ
41
คุณของพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาคือสิ่งที่เกี่ยวเนื่องแนบแนนเปนอันหนึ่งอันเดียว กับพระพุทธเจา กวาจะทรงคนพบและตั้งขึ้นได ลําบากยากเย็นกวาใครสักคนจะมีลูก เปนที่รักดังดวงใจ ทํารายลูกก็เทากับทํารายผูเปนแมพอ ทําลายพระพุทธศาสนาจึงไมแตก ตางกับทําลายพระพุทธเจาแนนอนไมมีผูใดไดทําแต แนนอนเพียงการพยายามทํ าก็บาปหนัก ยิ่งกวาบาปฆาคนตายผลของกรรมนี้อาจจะลี้ลับเห็นยากและเห็นชาจึงทําใหพากันคิดวาการทํา ลายพระพุทธศาสนานั้ นไมบาปไมเปนอกุศล การจงใจทําลายพระพุทธศาสนที่ไมสําเร็จผล นาจะเกิดผลไมดีแกผูมุงทํารายนอยกวาผู ไมไดเจตนาทําลาย แตประพฤติตนเชน เจตนาทําลายบุคคลประเภทหลังนี้ โดยเฉพาะที่ นับถือพระพุ ทธศาสนากลาวไดวาเปนผูทํากรรมไมดีต่อพระพุทธศาสนา ซึ่งพระพุทธเจาทรง ตั้งขึ้น ทรงประคับประคองมาโดยมีพุทธบริษัทที่ดีรับมาประคับประคองตออยางถือเปนสมบัติ ล�้ำ คาไมมีพระพุทธเจาองค แลวพระพุทธศาสนาคือตัวแทนพระพุทธองคผูเปนสมาชิกของ บริษั ทสี่ในพระพุทธศาสนา แมทําตนใหเศราหมองดวยการประพฤติผิดศีล ผิดธรรม ผิดวินัย แมจะทําใหพระพุทธศาสนาเศราหมองไมได แตเมื่อตนเปนจุดหนึ่งในพระพุทธศาสนา ก็เทากับทําใหพระพุทธศาสนามีจุดเศราหมองปะปนอยูเล็กนอยเพียงไรก็เปนจุดดําความ ประพฤติปฏิบัติ เชนนั้น จึงเปนการทํากรรมไมดีตอสิ่งสูงสุดผลไมดีที่จะเกิดแกผูทํากรรมไมดี นั้นยอมรายแรงแนนอน พึงอยาประมาทพึงกลัวกรรมหนักที่จะเกิดจากการทํา ไมดีตอพระพุทธศษสนา ผูเบาปญญามีมิจฉาทิฐิ เห็นวาพระพุทธศาสนาไมใช คนไมมีเลือดเนื้อชีวิตจิตใจคิดจะทํา ลายก็ทําไปตางๆ นานาผูเบาปญญาหารูไมวาเมื่อกรรมตามทัน โทษนั้นรายแรงหนั กหนานัก พระเทวทัตก็มิไดถูกธรณีสูบทันทีที่ทํารายพระพุ ทธเจา เมื่อถึงเวลากรรมตามทัน พระเทวทัตจึงจมธรณี พนที่จะดิ้นรนใหพนจากความตายอยางทุกข ทรมานนาสยดสยองนั้น ได ผูพยายามทําลายพระพุทธศาสนาก็ เชนกันฉะนั้นอยาประมาท อะไรที่ ไมนาเชื่อเกิดอยู เสมอเกิดได เสมอในอดีตธรณีสูบได ในปจจุบันหรือในอนาคตธรณีก็สูบได เมื่อตองเปนไปตา มอํานาจอันยิ่งใหญของกรรม
42
ค�ำสอน๑หยิบมือ
แมพอที่มีลูกรักเพียงดวงใจ แมลูกนั้นมิใชลูกที่ดี มิใชลูกที่มีคุณ ประโยชน แกใครเมื่อใดเขาถูกทําราย บาดเจ็บสาหัสหรือถึงเสียชีวิต เมื่อนั้นก็เหมือนทํารายแมพอหนักหนาเชนนั้นดวยพระพุทธ ศาสนาเปนดวงพระหฤทัยของพระพุทธเจา ทรงไดมาดวยพระมหากรุณาเปยมพระพุทธหฤทัย เปรียบเปนพระพุทธบุตรพระพุทธศาสนาก็เปนพระพุทธบุตรที่ประเสริฐเลิศล�้ำหาผูเปรียบ เสมอมิได มีคุณประโยชนกวางใหญไพศาล ปราศจากขอบเขต และยั่งยืนยาวนานอยูทุกกาล เวลา เปนที่รักที่เทิดทูนสูงสงนักหนาของพรหมเทพมนุษย สัตว เสมอกันกับองค สมเด็จ พระบรมศาสดา พระผูทรงสถาปนาพระพุทธศาสนาไว แทนพระองค อยาเปนคนเบาปญญา พึงปฏิบัติตอพระพุทธศาสนาใหรอบคอบ มิฉะนั้นจะเสียประโยชนจากการมีชีวิตอยูในชาตินี้ที่ นอยนักชีวิตนี้ผานไปพนเมื่อไรจะเรียกกลับคืนไมได กรรมไมดีทั้งกลายจะหอมลอมจนแหลก เหลวดังที่ปรากฏใหเห็นให ไดยินอยูเสมอใหขนลุกขนพองสยดสยองอยู ไมเวนวาย ชีวิตในอดีตชาติลวงเลยไปแลว กรรมดีกรรมชั่วก็ ไดเปนอันทําแลวทั้งนั้นไมมีที่ จะใหไมไดทํา แตชีวิตในอนาคตชาติกําลังใกล เขามาเปนลําดับ ไมนานนักก็จะถึงเพราะชีวิ ตนี้ นั้นนอยนัก จบสิ้นงาย ชีวิตในภพชาติขางหนาตางหากที่ ยาวนานจนประมาณไมได ความ สุขอันยาวนานหรือความทุกขที่ยืดเยื้อจะมีมาพรอมกับชีวิตในชาติอนาคตแนนอนเรามีบุญที่ ไดเกิดเปนมนุษย ไดมีชาตินี้มีชีวิตนี้ ที่แมจะนอยนักแตก็เปนชีวิตเดียวที่สามารถจะพาเราหนี กรรมไมดีได และก็เปนชีวิตเดียวที่จะพาเราไปสวรรคก็ไดนิพพานก็ได พระพุทธศาสนาก็เชนเดียวกับพระพุทธเจา เพราะพระพุทธศาสนาประกอบพร อมดวย พระพุทธเจา พระธรรมคําสอนของพระพุทธเจา และพระสงฆอริยสาวกของพระพุทธเจา พระพุทธศาสนาจึงมีคุณเชนเดียวกับที่พระพุทธเจาทรงมีพระคุณ พระคุณของพระพุทธเจา ยิ่งใหญเพียงไรพระพุทธองคไดทรงมอบไวในพระพุทธศาสนาหมดสิ้นแลวเราเรียนพระพุทธ ศาสนาหรือเรียนพระธรรมกันอยูตลอดมาแมจนทุกวันนี้ เทากับเรากําลังพยายามจะใหสามารถ แลเห็นพระพุทธเจาใหไดแตกอนที่เราจะไดเห็นพระพุทธองคเราจําเปนตองรอบคอบระวัง รักษาพระพุทธศาสนาอยางดี อยาประมาทมองใหเห็นผูเบาปญญามีมิจฉาทิฐิ แมผูนั้นจะเปน ตัวเราก็ตองมองใหตรงตามความจริงไม เห็นภัยจะกันภัยไมได ไมเห็นผูมุงทําลายพระพุทธ ศาสนาก็จะปองกันพระพุทธศานาไมได สมเด็จพระญาณสังวร ค�ำสอน๑หยิบมือ
43
ไม่ ฉลาด รักษาใจ จึง กวัดแกว่งไปตามอารมณ์ เปรียบ น�้ำฝน มันเป็นน�้ำที่ สะอาด มันจะมี ความใสที่สะอาดปกติดี ถ้าหากเราเอาสีเขียว สีเหลือง ใส่เข้าไป น�้ำมันก็เป็นสีเหลือง สี เขียว จิตใจเรานี้เช่นกัน ฉันนั้น เมื่อ มันถูกอารมณ์ที่ชอบใจ ใจมันก็สบาย ถูก อารมณ์ที่ไม่ชอบใจ ใจมันก็ไม่สบาย เหมือนกับ ใบไม้ ที่มันถูกลม มันก็กวัดแกว่ง เอาแน่นอนไม่ได้ ดอกไม้ ผลไม้ มันก็ถูกลมเหมือนกัน ถูกลมมาพัด มันก็ตก ไปเลย ไม่มีสุก จิตใจมนุษย์เรานี้ก็เหมือนกัน ถูกอารมณ์มาพัด ไป ถูกอารมณ์มาฉุดไป มาดึงไป ตกไป ก็เหมือนกันกับผลไม้ หลวงพ่อชา สุภัทโท
44
ค�ำสอน๑หยิบมือ
ผิดในถูก เราเห็นแล้วว่า ถ้วยใบนี้ เอาไว้ที่ไหน...มันก็ต้อง แตก จานนี่ เอาไว้ที่ไหน...ก็ต้องแตก แต่เราก็ต้อง สอนเด็กว่า ล้างให้มันสะอาด เก็บไว้ให้ดี เราก็ต้องสอน เด็กอย่างนี้ ตามสมมุติอย่างนี้ เพื่อเราจะใช้ถ้วยนี้นาน ๆ อันนี้ เรารู้จักธรรมะ เอาธรรมะมาปฏิบัติ ถ้าเห็นว่า อันนี้มันจะแตกอยู่แล้ว เราบอก เออ! ช่างมันเถอะลูก กินแล้ว ก็ไม่ต้องล้างมันหรอก จะตกก็ช่างมันเถอะ ไม่ใช่ของเราหรอก เอาทิ้งไว้ที่ไหน ก็ได้ มันจะแตกอยู่แล้ว อย่างนี้ก็เป็นคนโง่ไป ถ้าเราเป็น "ผู้รู้สมมุติ" อันนี้ เมื่อมันเจ็บไข้...ก็หาหยูกยาให้มันกิน เมื่อมันร้อน...ก็อาบน�้ำให้มัน เมื่อมันเย็น...ก็หาความอบอุ่นให้มัน เมื่อมันหิว...ก็หาข้าวให้มันกิน แต่ให้เรารู้ว่า ให้ข้าวมันกิน...มันก็จะตายอยู่ แต่ในเวลานี้ ยังไม่ถึงคราวจะตาย เหมือนถ้วยใบนี้...ยังไม่แตก ก็รักษาถ้วยใบนี้...ให้มัน "เกิดประโยชน์" เสียก่อน หลวงพ่อชา สุภัทโท
ค�ำสอน๑หยิบมือ
45
สิ้นโลก เหลือธรรม พากันมาฟงความเสื่อมฉิบหายของโลกตอไป "โลก" คือความเสื่อมอัน จะตองถึงแกความฉิบหายในวันหนึ่งขางหนาเขาจึง เรียกวาโลกถาไมชนนั้นแลวคําวาโลกก็จะไมมี โลกเกิดจากวัตถุอันหนึ่งซึ่ง เปนกอนเล็กๆอันเกิดจากฟองมหาสุมทรที ่กระทบกันแลวกลายเปนกอนเล็กๆขึ้นกอนจะเรียก วาอะไรก็เรียกไมถูกเรียกวาธาตุอันหนึ่งก็แลวกันคือหมายถึงวัตถุธรรมชาติที่เกิดขึ้นมาเองเปน เองแลวคอยขยายกวางใหญไพศาลจรดขอบเขตแมน�้ำและมหาสมุทรทั้งสี่โดยมีจักรวาลเปนข อบเขต แลวคอยปริออกมาเปนสวนเล็กๆนอยๆแปรสภาพเปนรูปลักษณะตางๆกันมีอวัยวะ ครบบริบูรณ แลวมีจิตวิญญาณซึ่งคุนเคยเปนกันเอง เขามาครอบครองทําหนาที่ บังคับบัญชา ธาตุนั้นๆใหเปนไปตามวัตถุของโลก ซึ่งเราเรียกกันวา "คน" นั่นเอง แตละคนหรือตัวตนที่สมมติวาคนนี้ ก็จะตองเสื่อมสลายไปในวันหนึ่งขางหนาเชน เดียวกัน แมในเดี๋ยวนี้คนหรือที่เรียกวามนุษยสัตวโลกหรือมนุษยโลกก็กําลังเสื่อมไปอยูทุก วันๆดังที่พระพุทธเจาไดตรัสไวเมื่อพระองคทรงสําเร็จพระโพธิญาณใหมๆวามนุษยชาวโลก นี้มีอายุประมาณ100ปอายุคนจะลดนอยถอยลงมาปหนึ่ง ปจจุบันนี้พระพุทธองคนิพพานไป ไดประมาณ 2,500 ปแลว อายุของมนุษยจะเสื่อมลงคงเหลือประมาณ75 ป ถาจะคํานวณ ตามแบบนี้อายุของมนุษยก็เสื่อมเร็วนักหนาอายุของมนุษยจะเสื่อมลงไปอยางนี้เรื่อยๆ จน กระทั่งเหลือ10ป ก็มีครอบครัวเปนผัวเมียสืบพันธุกันแมสัตวเดรัจฉานอื่นๆก็เสื่อมลงโดยลํา ดับเชนเดียวกันกับมนุษยดินฟาอากาศก็เปลี่ยนแปลงปรวนแปรเปนไปตางๆจนเปนเหตุใหเกิด กลียุคฆาตายกันเปนหมูๆเหลาๆสัตวตัวใหญที่มีอิทธิพลก็ทําลายสัตวตัวนอยใหลมตายหาย สูญเปนอันมากมนุษยจะกลายเปนคนไมมีพอแมพี่นองหรือญาติวงศซึ่งกันและกันเมื่อเห็น หนากันและกันก็จับไมคอนกอนดินขึ้นมากลายเปนศาสตราวุธประหัตประหารฆากันตายเปน หมูๆเรื่องศีลธรรมไมตองพูดถึงเลยแมน�้ำลําคลองหวยหนองคลองบึง ก็เหือดแหงไปเปนตอนๆ ฝนไมตกเปนหมื่นๆแสนๆป มีแตเสียงฟารองครืนๆแตไมมีฝนตกเลย เมื่อเปนเชนนั้นน�้ำในทะเลอันใหญโตกวางขวางและลึกจนประมาณมิได ก็เหือดแหงก ลายเปนทะเลทราย ปลาตัวหนึ่งซึ่งใหญที่สุดในโลกมีชื่อวา"ติมิงคละ" ก็นอนตายอยูบนกอง ทรายและโดยอํ านาจของแดดเผาผลาญทําใหปลาตัวนั้นมีน�้ำไหลออกมาบังเกิดเปน ไฟลุกทวมทนทําใหมนุษยโลกทั้งหลายฉิบหายเปนจุนวิจุณเขาเรียกวาไฟ
46
ค�ำสอน๑หยิบมือ
บรรลัยโลก โลกนี้ทั้งหมดก็จะกลายเปนอัชฌัตตากาศอันวางเปลา สัตวที่ มีวิญญาณก็จะขึ้นไปเกิดในภพของพรหมชั้นอาภัสสระซึ่งไฟไหมไมถึง ในหนังสือไตรโลกวิตถารทานกลาววาโลกนี้ทั้งหมดจะตองฉิบหายโดย อาการ ๓ อยาง คือราคะ โทสะ โมหะ ๓ประการนี้ เปน เหตุ สัตวหนาไปดวยราคะโลกนี้จะตองฉิบหายดวยน�้ำสัตวหนาไปดวยโทสะ โลกจะตองฉิบหาย ดวยไฟ สัตวหนาไปดวยโมหะ โลกจะตองฉิบหายดวยลมโลกจะตองฉิบหายดวยการบรรลัย โลกกันอยูอยางนี้ในระหวางกัลปใหญๆ ไฟบรรลัยโลกเล็กๆที่เกิดในระหวางกัลปใหญๆนี้ มีปญ หานาพิจารณาน�้ำราคะอันมีอยูในมนุษยชาวโลกแตละคนมีอยูนอยนิดเดียวทําไมทานแสดงวา สามารถทวมโลกไดจนเปนน�้ำบรรลัยโลก โทสะและโมหะก็เหมือนกันอยูในตัวมนุษยโลกซึ่ง มองไมเห็น ทําไมจึงแสดงฤทธิ์ใหญโตจนไหมโลกและพัดเอาโลกจนฉิบหาย ขอนักปราชญเจา จงใชปญญาพิจารณาใหถองแทเห็นจะไมทวมโลกและเผาโลกใหฉิบหายเปนกัปปเปนกัลปดัง วานั้นก็ได พวกเราชาวโลกผูมีน�้ำและไฟหรือลมอยูในตัวนิดหนอยนี้คงจะมองเห็นฤทธิ์เดช เรื่องของทั้ง ๓ นี้ วามีฤทธิ์เดชเพียงใดราคะคือความกําหนัดยินดีในสิ่งสารพัดวัตถุทั้งปวงมีผัว เมียเปนตนมันทวมทนอยูในอกโดยความรักใครอันหาประมาณมิได โทสะคือไฟกองเล็กๆนี้ก็ เหมือนกันมันไหมเผาผลาญสัตวมนุษยไมมีที่สิ้นสุด จนกินไมไดนอนไมหลับโมหะก็เชนเดียวกัน มันพัดเอาฝุนละอองกิเลสภายนอกและภายในมาทวมทับหัวอกของคนจนมืดมิด ใหเขาใจวา สิ่งที่ผิดเปนถูก ของ ๓ อยางนี้มีฤทธิ์เดชมหาศาลสามารถทําลายโลกใหเปนกัปปกัลปได แตละ กัปปนั้นทานไมไดแสดงวามีอายุเวียนมาสักเทาไหร เปนแตแสดงวาเปนกัปปเล็กๆในระหวา งกัปปใหญ เห็นจะเพราะน�้ำราคะ ไฟโทสะลมโมหะ ท่วมโลกและเผาผลาญโลกนี้ไมหมดสิ้น ทานจึงไมแสดงถี่ถวน เพียงแตพูดเปรยๆเพื่อใหนักปราชญผูมีปรีชาเอามาคิดเพื่อไมใหหลงผิดๆ ถูกๆรูจักชดแจงโดยใจของตนเองชัดแจงดวยใจของตนแลวนํามาพิจารณาเฉพาะตนๆ ความฉิบหายของโลกเปนอยางนี้แลวๆเลาๆไมมีที่สิ้นสุดพระบรมโพธิสัตวผูซึ่งทานไดบํา เพ็ญบารมี ๓๐ ทัศมาครบถวนบริบูรณแลวชาวสวรรคทั้งปวงเล็งเห็นวาโลกนี้วุนวายเดือดรอ นกันมากจึงไดไปทูลเชิญพระบรมโพธิสั ตวจุติจากสวรรคชั้นดุสิตลงมาปฏิสนธิในครรภของ พระนางสิริมหามายาพระมเหสีของพระเจาสุทโธทนะตระกูลศากยราชเมื่อคลอดออกจาก ครรภของพระมารดาแลวเสด็จยาง พระบาทไดเจ็ดกาวทรงแลดูทิศทั้งสี่แลว เปลงอาสภิวาจาวา"อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺมิ "เราจะเปนเลิศในโลก ค�ำสอน๑หยิบมือ
47
เมื่อทรงพระเจริญวัยขึ้นมาก็ไดเสวยความสุขอันเลิศจนกระทั่งเสด็จ หนีออกบรรพชาทรงบําเพ็ญทุกรกิริยาอยูถึง ๖ พรรษา จึงไดคนพบ พระอริยสัจธรรมสําเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณเปนพระบรมศาสดาสัมมาสัม พุทธเจาแลวจึงทรงพิจารณามองเห็นสัตวโลกที่เดือดรอนวุนวายดวยไมมีศีลธรรมเปนเครื่อง ครอบครองหัวใจจึงเปนเหตุใหเกิดการอิจฉาริษยา ฆาฟนกันตายเปนหมูๆเหลาๆเปนเครื่อง เดือดรอนอยูตลอดกาลและดวยอาศัยพระเมตตากรุณาอันใหญหลวงของพระพุทธองคที่ทร งมีตอมนุษยสัตวทั้งหลายจึงทรงเทศนาสั่งสอนสัตวนิกรทั้งหลายใหเขาถึงธรรมะใหมีศีลธร รมประจําตนของแตละคนๆเพื่อใหอยู เย็นเปนสุขตลอดกาลดั่งที่พระองคทรงเทศนาธรรม โลกบาลคือธรรมอันเปนเครื่องคุมครองสัตวโลกมี 2 อยางคือหิริและโอตตัปปะแตมนุษยชาว โลกทั้ งหลายกลับเห็นวาพระพุทธเจาเกิดมาทีหลังโลกทานตองคุมครองเราซิไมใหมีอันตราย และเดือดรอนวุนวายจึงจะถูก ความเปนจริงและพระพุทธเจาไมสอนใหมนุษยเปนทาสกรรมกรซึ่งกันและกัน แตพระองคสอนใหมนุษยมีอิสระคุมครองตัวเองแตละคนจึงจะอยูเย็นเปนสุขถาพระองคสอน ใหเปนทาสกรรมกรซึ่งกันและกันเหมือนกับตํ ารวจและทหารตองอยูเวรเขายามรักษาการณ อยูทุกเมื่อแลวโลกก็ดูจะเดือดรอนอยูไมเปนสุขตลอดกาลแต พระองคทรงสอนหัวใจคนทุก คนใหรักษาตนเองโดยใหมีหิริ-โอตตัปปะ คือความละอายและเกรงกลัวตอบาป ถาทุกๆคน มี ธรรมสองอยางนี้อยูในหัวใจแลวก็จะไมมีเวรมีภัยและการเบียดเบียนซึ่งกันและกันมนุษยคือ โลกเล็กๆนี้ก็จะอยูเปนสุขตลอดกาลแลวโลกอันกวางใหญไพศาลก็จะพลอยอยูเย็นเปนสุข ไปดวย เปนวิสัยธรรมดาของโลกที่จะตองมีความเห็นเขาขางตัวเองคือเห็นวาพระพุทธเจา จะตองคุมครองรักษาโลกเหมือนกับตํารวจรักษาเหตุการณฉะนั้นเหตุนั้นเมื่อพระพุทธเจา ตรัสรูพระธรรมแลวจึงทรงสอนมนุษยชาวโลกใหมีศีลธรรมเกิดขึ้นในใจของตนแตละคน มนุษยจึงจะอยูเย็นเปนสุขรวมกันไดในโลกนี้ทั้งหมดโลกอันกวางใหญไพศาลนี้เกิดขึ้นมากอน แลวธรรมจึงคอยเกิดขึ้นภายหลังดังที่ พระพุทธองคตรัสไววาโลกธรรมแปดโลกที่เกิดขึ้นที่ใดธรรมตองเกิดขึ้นที่นั้นถาโลกไมเกิดธร รมก็ไมมี ที่พระพุทธองคทรงแสดงโลกธรรมแปดนั้นหมายถึงโลกธรรม๔คูมี อาการ๘อยางคือ
48
ค�ำสอน๑หยิบมือ
มีลาภ - เสื่อมลาภ๑ มียศ - เสื่อมยศ๑ มีสรรเสริญ - นินทา๑ มีสุข - ทุกข๑ เมื่อโลกเกิดขึ้นแลวพระองคจึงทรงสอนธรรมทับลงไปเหนือโลกตัวอยางเชนความไดใน สิ่งสารพัดทั้งปวงเรียกวาลาภเกิดขึ้นมนุษยไดลาภก็เกิดความพอใจยินดีแลวไมอยากใหลาภ เสื่อมเสียไปและเมื่อลาภเสื่อมเสียไปก็เกิดความเดือดรอนตีโพยตีพายวุนวายกระสับกระ สายไมเปนอันจะกินจะนอนนั้นเรียกวาโลกโดยแทพระองคจึงทรงสอนธรรมทับลงเหนือโลกแท คือแสดงความไดลาภ-เสื่อมลาภใหเห็นตามเปนจริงวาเปนธรรมดาของโลกแตไหนแตไรมาโลก นี้ตองเปนอยูอยางนั้นเราจะถือวาของกูๆไมไดถายึดถือวาของกูๆอยูร�่ำไปเมื่อลาภเสื่อมไปมันจึง เปนทุกขเดือดรอนกลุมใจนั่นแสดงใหเห็นชัดเลยวาสิ่งนั้นไมใชของตนมันจึงเสื่อมไปหายไปถา มัน เปนของเราแลวไซรมันจะหายไปที่ไหนได ทานจึงวามันเปนอนัตตาไมใชของตนของตัวมัน จึงตองเปนไปตามอัตภาพของมันพระองคทรงสอนอยางนี้ ใหเห็นตามเปนจริงอยางนี้ เห็นตาม อัตภาพแทจริงของมันจึงเรียกวาพระพุทธองคทรงสอนธรรมทับลงเหนือโลกใหเห็นโลก เปนธรรมนั่นเอง ความไดยศ-เสื่อมยศก็เชนเดียวกันไดยศคือความยกยองวาเปนใหญเปนโตมีหนามีเกีย รติมีอํานาจหนาที่ มีชื่อเสียงจิตก็พองตัวขึ้นไปตามคําวา "ยศ" นั้นหลงยึดวาเปนของตัวจริงๆ จังๆธรรมดาความยกยองของคนทั้งหลายแตละจิตละใจก็ไมเหมือนกันเขาเห็นดี เห็นงามใน ความมียศศักดิ์ของตนดวยประการตางๆเขาก็ยกยอชมเชยดวยความจริงใจแตเมื่อเขาเห็นกิริยา วาจาอันนารังเกียจของตนที่ แสดงออกมาดวยอํานาจของยศศักดิ์ เขาก็จําเปนตองเสแสรง แกลงปฏิบัติไปดวยความเกรงกลัวตนกลับไปยึดถือยศศักดิ์นั้นวาเปนของจริงของจังเมื่อมัน เสื่อมหายไปความเกรงใจจากคนอื่นก็หมดไปดวย ตนเองก็กลับโทมนัสนอยใจ ไมเปนอันหลับ อันนอนอันอยูอันกิน แทจริงแลวความไดยศ-เสื่อมยศนี้เปนของมีอยูในโลกแตไหนแตไรมาเชน นี้ ตั้งแตเรายังไมเกิดมาพระพุทธองคจึงทรงสอนธรรมทับลงเหนือโลกใหเห็นวาไดยศ-เสื่ อมยศ นี้เปนของมีอยูในโลกมิใชของใครทั้งหมดถาผูใดไปยึดถือเอาของเหลานั้นยอมเปนทุกขไมมีที่ สิ้นสุดใหเห็นวามันเปนอนัตตาไมใชของใครทั้งหมดมันหากเปนจริงอยูอยางนั้น แตไหนแตไรมา ค�ำสอน๑หยิบมือ
49
สรรเสริญ-นินทาความสรรเสริญและนินทาก็เชนเดียวกันในตัวคนคน เดียวกันนั่นแหละเมื่อเขาเห็นกิริยาอาการตางๆที่นาชอบ เขาก็ยกยอ สรรเสริญชมเชย แตเมื่อเขาเห็นกิริยาวาจาที่นารังเกียจเขาก็ติเตียนคนผูเดียวกัน นั่นแหละมีทั้งสรรเสริญและนินทามันจะมีความแนนอนที่ไหนอันคําสรรเสริญและนินทาเปนข องไมมีขอบเขตจํากัดแตคนในโลกนี้โดยมากเมื่อไดรับสรรเสริญ จากมนุษยชาวโลกทั้งหลายที่เขายกให ก็เขาใจวาเปนของตนของตัวจริงๆจังๆอันสรรเสริญไมมี ตัวตนหรอกมีแตลมๆแลงๆหาแกนสารไมได้ แตเรากลับไปหลงวาเปนตัวเปนตนจริง ไปหลง หอบเอาลมๆแลงๆมาใสตนเขาก็เลยพองตัวอิ่มไปตามความยึดถือนั้นไปถือเอาเงา เปนตัวเปนจริงเปนจังแตเงาเปนของไมมีตัวเมื่อเงาหายไปก็เดือดรอนเปนทุกข โทมนัสนอยใจ ไปตามอาการตางๆตามวิสัยของโลกแทจริงสรรเสริญ-นินทามันหากเปนอยูอยางนั้นแตไหน แตไรมากอนที่เราจะเกิดมาเสียอีกพระพุทธองคทรงเห็นวามนุษยโงเขลาหลงไปยึดถือเอาสิ่ง ไมแนนอนมาเปนของแนนอนจึงเดือดรอนกันอยางนี้ แลวพระองคก็ทรงบัญญัติธรรมทับลง เหนือโลกอันไมมี แกนสารนี้ใหเห็นชัดลงไปวามันไมใชของตัวของตนแตเปนลมๆแลงๆ สรร เสริญเปนภัยอันรายกาจแกมนุษยชาวโลกอยางนี้แลวก็ทรงสอนมนุษยชาวโลกใหเห็นตาม เปนจริงวาสิ่งนั้นๆเปนอนัตตาจะสูญหายไปเมื่ อไหรก็ได มนุษยผูมีปญญาพิจารณาเห็นตาม ความจริงดั่งที่พระองคทรงสอนแลวก็คลายความทุกขเบาบางลงไปบางแตมิไดหมายความวา โลกธรรมนั้นจะสูญหายไปจากโลกนี้เสียเมื่อไร เปนแตผูพิจารณาเห็นตามเปนจริงดั่งที่กลาวมา แลวทุกขทั้งหลายก็จะเบาบางลงเปนครั้งคราวเพราะโลกนี้ยังคงเปนโลกอยูตามเดิมธรรมก็ยัง คงเปนธรรมอยูตามเดิมแตธรรมสามารถแกไขโลกไดเปนบางครั้งบางคราวเพราะโลกนี้ยังหนา แนนดวยกิเลสทั้ง๘ ประการอยูเปนนิจความเดือดรอนเปนโลกความเห็นแจงเปนธรรมทั้งสอ งอยางเปนเครื่องปรับปรุงเปนคูกันไปอยูอยางนี้ เมื่อกิเลสหนาแนนก็เปนโลกเมื่อกิเลสเบาบา งก็เปนธรรม มีสุข-ทุกข ทุกขเปนของอันโลกไมชอบแตก็เปนธรรมดาดวยโลกที่เกิดมาในทุกข อันนี้ ก็เปนทุกขเดือดรอนอยูนั่นเองความสุขยอมเปนที่ปรารถนาของโลกโดยทั่วไปฉะนั้นเมื่อความ ทุกขเกิดขึ้นจึงเดือดรอนเมื่อความสุขหายไปจึงไมเปนที่ปรารถนาแตแทที่จริงความทุกขและ ความสุขที่เกิดขึ้นแลวหายไปนั้นมันหากเปนอยูอยางนี้ตลอดเวลาเราเกิดมา ทีหลังโลกเราจึงมาตื่นทุกขตื่นสุขวาเปน
50
ค�ำสอน๑หยิบมือ
ของตนของตัวยึดมั่นสําคัญวาเปนจริงเปนจังเมื่อทุกขเกิดขึ้นสุขหายไปจึง เดือดรอนกระวนกระวายหาที่พึ่งอะไรก็ไมได พระพุทธเจ้าทรงเทศนาวา โลกอันนี้มีแตทุกข ไมมีสุขเลย ฉะนั้นทุกขจึงเปนเหตุใหพระองคพิจารณาจนเห็นตามสภาพความจริงแลวทรงเบื่อ หนายคลายจากทุกขนั้นจึงทรงเห็น พระอริยสัจธรรม แลวพระองคก็ทรงบัญญัติธรรมลงเหนือทุกข-สุขใหเห็นวาโลกอันนี้มันหาก เปนอยูอยางนั้นอยาถือวาเปนของเราถือเอาก็ไมไดอะไรไมถือก็ไมไดอะไรปลอยวางเสียใหเปนข องโลกอยูตามเดิมทรงรูแจงแทงตลอดวาอันนั้นเปนธรรมโลกกับธรรมจึงอยูคูเคียงกัน ดังนี้ ความเปนอยูของโลกทั้งหมดเมื่อประมวลเขามาแลวก็มี ๔ คู ๘ประการ ดั่งอธิบายมา แลวไมนอกเหนือไปจากธรรม ๔ คู ๘ ประการนี้โลกเกิดมาเมื่อไรก็ตองเจอธรรม ๔ คู ๘ ประการนี้ เมื่อนั้นร�่ำไปพระพุทธเจาทุกๆพระองคทรงอุบัติขึ้นมาก็เพื่อมาแกทุกข ๔ คู ๘ ประการนี้ทั้งนั้นพระองคจึงตรัสวา "เอสะ ธัมโม สะนะนั ตโน" ธรรมนี้เปนของเกาแกแตไหน แตไรมาพระพุทธเจาทุกๆพระองคก็มาตรัสรูในธรรมทั้งหลายเหลานี้ถาจะมีคําถามวา พระพุทธเจาที่มาตรัสรูในโลกก็เอาของเกาที่พระพุทธเจาองคกอนๆตรัสไวแลวแตเมื่อกอ นมาตรัสรูหรือ วิสัชชนาวาไมใชเชนนั้นความตรัสรูของพระพุทธเจาเปนของที่ไมเคยไดยิน ไดฟงมาแตกอนและไมมีครูบาอาจารยสอนเลยพระองคตรัสรูดวยพระองคเองตางหาก ไมเหมือนความรูที่เกิดจากปริยัติความรูอันเกิดจากปริยัติไมชัดแจงเห็นจริงในธรรมนั้นๆ สวน ธรรมที่พระองคตรัสรูนั้นเปนของปจุจัตตังรูดวยตัวเองไมมีใครบอกเลา และก็หายสงสัยในธรรม นั้นๆ แตเมื่อรูแลวมันไปตรงกับธรรมที่พระองค ทรงเทศนาไวแตกอนเชนทุกขเปนของแจงชัด ประจักษ ในใจ สมุทัยเปนเหตุใหเกิดทุกขเมื่อละสมุทัยก็ดําเนินตามมรรคและถึงนิโรธตรงกัน เปงกับธรรมที่พระพุทธเจาทรงสอนไว แตกอนๆโนน จึงเปนเหตุใหเขาถึงอริยสัจไมเหมื อนกับ คนผูเห็นตามบัญญัติที่พระองคตรัสไวแลวและจดจําเอาตามตํารามาพูดแตไมเห็นจริงตามตํารา ในธรรมนั้นๆดวยใจตนเอง เมื่อโลกนี้เกิดขึ้นมาแลวจึงตองมีการใชจายใชสอยแลกเปลี่ยนวัตถุสิ่งของซึ่งกันและกัน จึงจะอยูได เหตุนั้นรั ฐบาลจึงคิดเอาวัตถุธาตุคือโลหะแข็งๆมาทําเปนรูปแบนๆ กลมๆ แลวก็ จารึกตัวเลขลงบนโลหะนั้นเปนเลขสิบบางยี่สิบบางหนึ่งรอยบางที่เรียกวา เหรียญสิบบาท ยี่สิบบาท รอยบาท เปนตน หรือเอากระดาษอยางดีมาตัด เปนรูปสี่เหลี่ยมผืนผาแลวใสตัวเลขลงไปเปนสิบบาง ค�ำสอน๑หยิบมือ
51
ยี่สิบบางหนึ่งรอยบางหารอยบาง ตามความตองการแลวเรียกวาธนบัตร เอาไวใหประชาชนแลกเปลี่ยนซื้อขายซึ่งกันและกันเมื่อมีเงินจะซื้อวัตถุ สิ่งของอะไรก็ไดตามที่ตนตองการคนที่ตองการเงินก็ เอาวัตถุสิ่งของอีกคนตอง การธนบัตรที่มีราคาเทากันก็จะไดแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันการที่ได ของที่ตนชอบใจมาเปนกร รมสิทธิ์ จะเปนวัตถุหรือเงินตราก็ชางเรียกวา " ได " แตเมื่อไดวัตถุมาเงินก็หายไป เรียกวาไดลาภเสื่อมลาภพรอมกันทีเดียว โลกอันนี้เปนอยูอยางนี้แตไหนแตไรมาคนหลงมัวเมาในวัตถุและเงินตราก็คิดวา ตนไดมาตนเสียไปก็แสดงอาการชอบใจและเสียใจตามสิ่งของนั้น ๆ พระพุทธเจาทรงเห็นโลก เดือดรอนวุนวายดวยประการนี้ และดวยอาศัยความเมตตากรุณาอยางยิ่งที่ทรงมีตอบรรดา สัตวทั้งหลายพระองคจึงทรงชี้เหตุเหลานั้นวาเปนทุกขเดือนรอนเมื่อของเหลานั้นหายไปเปนสุข สบายเมื่อไดของเหลานั้นมาไมเห็นตามเปนจริงในสิ่งเหลานั้นเมื่อเกิดเปนทุกขกระสับกระสาย ในใจของตนก็เปนเหตุใหแสดงอาการดิ้นรนไปภายนอกดวยอากัปกิริยาตางๆจนเปน เหตุใหเดือดรอนวุนวายทั่วไปหมดทั้งโลก เหตุนั้นพระองคจึงสอนใหเขาใจถึง"ใจ" เพราะ มนุษยมีใจดวยกันทุกคนสามารถที่จะรูได ผูมีปญญารูตามที่พระองคทรงสอนวาไดลาภ-เสื่อม ลาภมีพรอมๆกันในขณะเดียวกัน จึงไมมีใครไดใครเสียไดเพราะมัวเมาเสียก็เพราะมัวเมา ในกิเลสเหลานั้นผูมีปญญาพิจารณาเห็นแจงตามนัยที่พระองคทรงสอนจึงสรางจากความ มืดมนเหลานั้นพอจะบรรเทาทุกขลงไดบางแตมิไดหมายความวาพระองคทรงสอนใหรูแจง เห็นจริงตามเปนจริงแลวจะบรรเทาทุกขไดทั้งหมดเปนธรรมลวนๆก็หาไม เพราะวาโลกนี้ มันมืดมนเหลือเกินพอจะสวางนิดหนอยกิเลสมันก็เขามาอีก โลกนี้มันหากเปนอยูอยางนั้น แตไหนแตไรมาพระองคลงมาตรัสรูในโลกอันมืดมนก็ดวยทรงเห็นวาสิ่งเหลานั้นมันเปนความ ทุกขของสัตวโลกจึงไดลงมาตรัสรูในหมูชุมชนเหลานั้นถาโลกไมมีกิเลสไมมี พระองคก็ทรง ไมไดเสด็จลงมาตรัสรู เปนพระพุทธเจาในโลกนี้พระพุทธเจาทุกๆพระองคที่ลงมาตรัสรูในโลก นี้ก็ทํานองเดียวกัน ทรงเล็งเห็นโลกอยางเดียวกันคือทรงเห็นความเดือดรอนวุนวายเพราะ มนุษยไมมีปญญาพิจารณาเห็นโลกตามเปนจริงดังกลาวมาแลว พระองคทรงสอนใหพวกมนุษยที่มัวเมาอยูในโลกเหลานั้นเห็นแจงประจักษดวยใจตน เองวาเปนทุกขจากไมเขาใจรูแจงเห็นจริงตามสภาวะของโลกดังอธิบายมาแลว บางคนพอรูบา งก็สรางจากความมัวเมาเพราะรูแจงตามเปนจริงของปญญาของตนๆแตบางคนก็ มืด มิดไมเขาใจของเหลานี้ตามเปนจริงเอา เสียเลยก็มีมากมายทุกขของ
52
ค�ำสอน๑หยิบมือ
โลกจึงเปนเหตุใหพระพุทธเจาเสด็จลงมาตรัสรูในโลกและก็อาศัยความ เมตตากรุณาอยางเดียวนี้ดวยกันทั้งนั้นพระพุทธเจาทุกๆพระองคที่ทรง ปรารถนาจะมาตรัสรูในโลกก็โดยทํานองเดียวกันนี้หรือจะกลาว วาโลกเกิดขึ้นกอนแลววุนวายกระสับกระสายเดือดรอนดวยประการอยางนี้จนเปนเห ตุใหพระพุทธเจาอุบัติขึ้นในโลกเรียกวาโลกเกิดกอนธรรม ก็วาได พระพุทธเจาทั้งหลายที่จะลงมาตรัสรูตามยุคตามสมัยของพระองค เมื่อพระองคทรง เล็งเห็นวาคนในยุคนั้นสมัยนั้นอายุประมาณเทานั้นเทานี้สมควรจะไดรับฟงพระธรรมเทศนา ของพระองค พระองคจึงไดอุบัติขึ้นมาเทศนาสั่งสอนนิกรสัตวทั่วโลกเมื่อเทศนาสั่ งสอนแลว จนเขาพระนิพพานบางพระองคก็ไดไวศาสนาอยางพระโคดมบรมครูของพวกเราทั้งหลาย พระองคทรงไวศาสนาเมื่อนิพพานแลว๕,000 ป เพื่ออนุชนรุนหลังที่ยังเหลือหลอจะไดศึกษา พระธรรมวินัยตอไปบางพระองคก็ไมไดไวพระศาสนาอยางพระศรีอารยเมตไตรยทรงมีพระ ชนมายุ ๘0,000ป เปนตน เมื่อพระองคตรัสรูแลวทรงสั่งสอนมนุษยสัตวนิกรอยูจนพระชนม ได ๘0,000 ป ก็เสด็จปรินิพพานแลวก็ไมไดทรงไวพุทธศาสนาอีกตอไปเพราะพระองคทรง พิจารณาแลวเห็นวาสัตวผูจะมาศึกษาพระธรรมวินัยของพระองคได หมดไปไมเหลือหลอ แลวผูสมควรจะไดมรรคผลนิพพานสิ้นไปหมดเทานั้น โลกวินาศยอมหมุนเวียนเปลี่ยนไปเปนวัฎจักรดั่งอธิบายมาแลวแตตนตลอดกัป ป ตลอดกัลป หาความเที่ยงมั่นถาวรไมมีสักอยางเดียวแตคนผูมีอายุสั้นหลงไหลในสิ่งที่ตน ไดตนเสียก็เดือดรอนวุนวายอยูร�่ำไปแทที่จริงสิ่งเหลานั้นมีอยูประจําโลกแตไหนแตไรมา ผูมี ปัญญาพิจารณาเห็นความเสื่อมความเสียตามนัยที่พระองคทรงสอนเห็นเปนของนาเบื่อหนาย จิตใจสลดสังเวชจนเปนเหตุใหผูมีปญญาเหลานั้นเบื่อหนายคลายความกําหนัดแลวละโลกนี้ เขาถึงพระนิพพานจนหาประมาณมิได ผูไมมีปญญาก็จมอยูในวัฎสงสารมากมายเหลือคณา นับโลกเปนที่คุมขังของผูเขลาเบาปญญา แตผูมีปญญาแลวไมอาจสามารถคุมขังเขาได โลก เปนของเกิด-ดับอยูทุกขณะ ธรรมอุบัติขึ้นมาใหรูแจงเห็นจริงในโลกนั้นๆแลวตั้งอยูมั่นคงถาวร ตอไปเรียกวาโลกเกิด-ดับธรรมเกิดขึ้นตั้งอยูถาวรเปนนิจจังเพราะไมตั้งอยูในสังขตธรรม ธร รมเปนของไมมีตัวตนแตพระพุทธเจาทรงเทศนาไวที่หัวใจของคน คนรูแลวตั้งมั่นตลอดกาล ถึงคนไมรูเทาทันแตธรรมนั้นก็ยังตั้งอยูเปนนิจกาล เปนแตไมมีใครรูใครสอนธรรมนั้นออกมา แสดงแกคนทั้งหลายถึงแมพระพุทธองคจะนิพพานไปแลวแตธรรมนั้นก็ยัง ตั้ง อยูคูฟาแผนดิน จึงเรียกวาอมตะโลกเปนของ ค�ำสอน๑หยิบมือ
53
ฉิบหายดังกลาวมาแลว เพราะตั้งอยูในสังขตธรรมมีอันตองแปรปรวนเปน ธรรมดาธรรมที่ พระองคทรงสอนใหรูแจงเห็นจริงเขาถึงหัวใจคนเปนข องไมมีตัวตนเปนอนิจจังไมได ตั้งอยูเปนกลางๆถึงคน คนนั้นจะตายไปแตธรรมก็ ยังมีอยูเชนนั้นจึงเรียกวา “สิ้ นโลก-เหลือธรรม” ดวยประการฉะนี้ หลวงปู่เทสก เทสรังสี
ธรรมเครื่องสรางคนใหเปนคนดี การที่จะป้องกันตัวเองมิใหหลงใหลเลื่อนลอยไปเปนผูทําลายพระ พุทธศาสนาแมโดยมิไดตั้งใจจําเปนตองมีหลักยึด ยึดหลักไวใหมั่น กระแสใดๆก็จะพัดพา ไปไมได หลักที่นาจะมั่นคงแข็งแรงสามารถรับการยึดเหนี่ยวไดทุกเวลานั้นนาจะเปนหลักแหง ความกตัญู กตเวทียึดกตัญู กตเวทีใหเปนหลักประจําใจมั่นผลที่เกิดตามมานั้นจะไมมีเสีย หายแมแตนอย กตัญู กตเวที ความรูคุณที่ทานทําแลวแกตนและตอบแทนพระคุณนั้น พระพุทธ องคทรงสรรเสริญวาเปนธรรมของคนดี คือคนดีมีธรรมนี้ หรือธรรมนี้ทําใหคนเปนคนดีคือคน ใดมีธรรมคือความกตัญู กตเวทีคนนั้นก็คือคนดีนั่นเองในดานตรงกันขามคนใดไมมีกตัญู กตเวที คนนั้นไมใชคนดี เชิญสํารวจตนเองใหทุกคน ใหเห็นใจตนอยางชัดเจนตรงตามความจริงวามีความ กตัญู กตเวทีหรือไม แลวก็จะไดรูจักตนเองวาเปนคนดีหรือไม ไมมีกตัญู กตเวทีไมเปนคนดี จริงๆอยาสงสัย แตจงเรงอบรมใจตนเองใหมีกตัญู กตเวทิตาธรรมใหจงได อยาใหผานชีวิตนี้ ไปสูชีวิตหนาที่ยาวนาน โดยไมถือโอกาสสรางชีวิตในภพชาติขางหนาใหสวยสดงดงามอยางยิ่ง กตัญู กตเวทิตาธรรมเปนธรรมเครื่องสรางคนใหเปนคนดีไดจริงๆเพราะความ รูคุณทานผูมีคุณและความตั้งใจจะตอบแทนพระคุณ คือเครื่องปองกันที่สําคัญที่สุดที่จะกัน ใหพนจากการทําผิดคิดรายไดทั้งหมดโดยมีจุดมุงอยูที่ความไมปรารถนาจะทําใหผูมีพระคุณ เปนทุกขเดือดรอนกายใจ
54
ค�ำสอน๑หยิบมือ
ทุกคนมีผูมีพระคุณของตนอยางนอยก็มารดา บิดา ครู อาจารย เพียงมีกตัญู รูคุณทานเทาที่กลาวนี้ก็เพียงพอจะคุมครองตนใหพนจากความไมดีทั้งปวง ได ขอให เปนความกตัญู กตเวทีจริงใจเทานั้นอยาใหเปนเพียงนึกวาตนเปนคนกตัญู ความ จริงกับความนึกเอาแตกตางกันมากผลที่จะไดรับจึงแตกตางกันมากดวย ผูมีกตัญู กตเวทีนั้นจะรูจักบุญคุณของผูมีบุญคุณทั้งหมดจะตอบสนองทุกคน เต็มสติปญญาความสามารถควรแกผูรับ และนี่เองที่จะเปนเหตุใหคิดดี พูดดี ทําดีเพราะเกรงวา การคิดไมดี พูดไมดี ทําไมดี จะมีสวนทําใหผูมีบุญคุณเดือดรอนเชนมารดาบิดาเปนผูมีพระคุณ ลูกกตัญู จะประพฤติตัวเปนคนดี จะไมเปนคนเลวเพราะเกรงวามารดาบิดาจะเสื่อมเสียนี่ก็ เทากับคุมครองตนเองไดแลวดวยความกตัญู กตเวที ระพุทธเจาทรงมีพระคุณใหญยิ่งที่สุด ทรงมีพระคุณตอโลก ตอศาสนิกของ โลกพระธรรมคําสอนของพระพุทธองคที่ทําใหพุทธศาสนิกเปนคนดีมีธรรมะนั้น มิไดเปนคุณ เฉพาะพุทธศาสนิกเทานั้น แตเปนคุณไปทั่วถึงคนดีคนเดียวใหความรมเย็นเปนสุขไดกวาง ไกล เชนเดียวกับคนไมดีคนเดียวใหความทุกขความรอนไดมากมายพระพุทธศาสนาสราง พุทธศาสนิกชนที่ดีก็เทากับพระพุทธศาสนาสรางความรมเย็นเปนสุขใหแกโลกดวยเหมือนกัน พึงมีกตัญู กตเวทีตอพระพุทธเจาคิดดีพูดดี ทําดี ใหเปนไปดังที่ทรงแสดงสอนไว จะหนีกรรม เกาไดทันและจะสรางชีวิตในชาติใหมภายหนาใหวิจิตรงดงามเพียงใดก็ได พระพุทธเจาเสด็จดับขันธปรินิพพานแลวไมไดหายไปไหนพระพุทธบารมียัง ปกปกรักษาโลกอยูคนในโลกยังรับพระพุทธบารมีไดมิไดแตกตางไปจากเมื่อยังทรงดําริ พระ ชนมอยูเพียงแตวาจําเปนตองเปดใจออกรับมิฉะนั้นก็จะรับไมได การเปดใจรับพระพุทธบารมี ไว้คุมครองรักษาตนไมยากลําบาก ไมเหมือนการเข็นกอนหินใหญที่ปดปากถ�้ำเพียงนอมใจ นึกถึงพระพุทธเจาใหจริงจังอยูเสมอก็จะรับพระพุทธบารมีได จะมีชีวิตที่สวัสดีมีสุขสงบได พระพุทธเจาเสด็จดับขันธปรินิพพานแลวไมทรงเวียนวายตายเกิดในวัฏสงสาร อีกตอไปแตพระพุทธบารมียังพรั่งพรอมพระอาจารยสําคัญรูปหนึ่งทานเลาไววาเมื่อทานปฏิบัติ เพื่อความหลุดพนอยูในปาดงพงพีนั้นพระพุทธเจาไดเสด็จไปทรงสอนทานดวยพระพุทธบารมี เสมอและทานพระอาจารยรูปนั้นตอมาก็เปนที่ศรัทธาเคารพของพุทธศาสนิกจํานวนมากที่เชื่อ มั่นวาทานปฏิบัติถึงจุดหมายปลายทางแลว พระพุทธเจาเมื่อเสด็จดับขันธปรินิพพานแลว ดวยพระพุทธบารมีไดเสด็จไปทรง แสดงธรรมโปรดพระอาจารยรูปสําคัญใหบรรลุมรรคผลนิพพานได ไมมีอะไรใหสงสัยวาเปนสิ่ง ค�ำสอน๑หยิบมือ
55
สุดวิสัย เปนสิ่งที่เปนไปไมได มีเรื่องของทานพระโมคคัลลานเปนเครื่อง ยืนยัน รับรองคือเมื่อปฏิบัติธรรมถึงจุดปรารถนาสูงสุดแลว ทานถูกโจรเจากรรมในอดีต พยายามหาทางทําลายชีวิตทาน ทานพยายามใชอิทธิฤทธิ์หลบหนี แตโจรก็ติดตามไมหยุด ยั้ง จนทานเบื่อหนายที่จะหนีตอไปจึงยอมใหโจรจับไดและทุบทานจนรางแหลกเหลวนิพพาน ในที่สุด เมื่อนิพพานแลวทานไดรวมรางเขาอีกครั้งหนึ่งเหาะไปเฝาพระพุทธเจา กราบทูลเรื่อง ราวใหทรงทราบแลวกราบทูลลาเรื่อง ของทานพระโมคคัลลานเปนเครื่องใหความเขาใจอยางก ระจางแจมชัดวาพระพุทธเจาก็ดี พระอรหันตก็ดี แมดับขันธปรินิพพานแลวทานก็เพียงไมมีราง เหลืออยูเทานั้นบารมีและคุณธรรมทั้งปวงของทานยังพรั่งพรอมประโยชนไดอยางยิ่ง เมื่อมั่นใจในความดํารงอยูอยางยั่งยืนนิรันดรแหงพระพุทธบารมี หรือคุณธรรม ของพระพุทธองคและของครูอาจารยสําคัญทั้งหลายที่ทานไกลแลวจากกิเลสเครื่องเศราหมอง พุทธศาสนิกทั้งหลายผูมีสัมมาปญญาสัมมาทิฐิ ก็ควรเรงปฏิบัติพระพุ ทธธศาสนาให ได เป น คนดี ตามลํ าดับไป ให เป นที่ ปรากฏประจั กษในพระญาณหยั่งรูของพระพุทธองค เทากับเปดประตูใจออกอยางกวางขวางรับพระพุทธบารมี ใหพระพุทธบารมีเสริมสงบารมีของ ตนจนกวาตนเองจะสามารถเปนผูมีบารมีมีคุณธรรมดํารงยั่งยืนอยูไดเชนทานผูเปนพุทธอริย สาวกทั้งหลายวันนั้นมาถึงผูใดเมื่อไรวันนั้นผุนั้นก็จะไมตองกังวลที่จะใชชีวิตนี้ทําทางหนีมือ แหงกรรมและไมตองกังวลสรางชีวิตในชาติอนาคตใหสมบูรณ บริบูรณสวยสดงดงามตอไป สมเด็จพระญาณสังวร
56
ค�ำสอน๑หยิบมือ
ทางใหถึงความดับภพดับชาติ ภพชาติเปนตั้งของกองทุกข ทุกขทั้งหลายมากองอยูที่ผูยังมีภพชาตินี้ทั้ง นั้นภพชาติจะเกิดมีขึ้นมาไดก็ตองอาศัยผูยังมีกิเลสอันเปนคูกันกับนิมิตนําใหไปเกิด ในที่นั้นๆผูตองการอยากจะใหดับภพดับชาติ ก็ตองพยายามอยาใหนิมิตทั้งสองนั้นเกิดขึ้นไดใน เมื่อจวนจะแตกดับนิมิตทั้งสองเราจะแตงเอาตามปรารถนาไมได แตมันเปนไปตามบุญกรรม กิเลสของแตละบุคคลที่ไดสรางเอาไวดังกลาวแลว ๑. เมื่อเปนเชนนั้นแลวเราจะทําอยางไรจึงจะไมใหนิมิตเกิดขึ้นไดในเมื่อจวนจะแตกดับ ตอบ เมื่อเราเกิดมาจมอยูในกองแหงทุกขทั้งหลายในปาดงของกิเลสอันนากลัวแลวเห็นผลของ กรรมชั่วอันนาสยดสยองอยางยิ่งจึงพอกันที แลวบําเพ็ญแตกรรมดีที่ใหผลเปนความสุขจนอิ่ม พอในความสุขที่กรรมดีมอบใหนั้นแลวละความสุขนั้นเสียไมหลงมัวเมาเอามาเปนของตนของ ตัวอยางจริงจังเรียกวาละทั้งดีและชั่วเพราะอิ่มแกความตองการทั้งหมดแลวนิมิตทั้งสองนั้นจึง จะไมเกิด ๒. หากจะมีคําถามวาเมื่อยังไมอิ่มในกรรมทั้งสองนั้นจะทําอยางไร ตอบ ก็ตองสรางกรรมดีตอไปแตอยาไปสรางกรรมชั่วเพิ่มขึ้นมาอีก เพราะกรรมชั่วเราได สรางมามากแลวจนมีผลเหลือที่จะเก็บและจําหนายออกไดแลว ๓. เมื่อชีวิตยังมีอยู กรรมดีกรรมชั่วก็ไมทําแลว แลวจะอยูและทําอะไรอีก ตอบ เมื่อชีวิตยังมีอยู การเคลื่อนไหวก็ตองมี การเคลื่อนไหวอันไดแกกรรมแตก็อยาใหมีกรรม ชั่ว จงใหมีแตกรรมดี เพราะกรรมดีคนดีทํางายแตคนชั่วทําไดยากคนดีท�ำกรรมดี ไมปรารถนา ผลตอบแทนถึงแมจะทํากรรมดีอยูก็ ไมชื่อวาทํากรรมเรียกวากิริยา ฉะนั้นพระพุทธเจากอนจะ ดับภพดับชาติได คือถึงพระสัพพัญุ ตญาณทานไดสรางบารมีมาแลวเปนอเนกชาติ มีทานบารมีเปนต้นผลสุดทายเมื่อบารมีของทานอิ่ มพอแลวจึงละโลกนี้ที่มีกรรมเปนมูลฐานดับ แลวไมมีเชื้อเหลืออยูอีกตอไป หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
ค�ำสอน๑หยิบมือ
57
แนวทางการด�ำเนินชีวิต
58
ค�ำสอน๑หยิบมือ
การเลือกคบคน ปัญหา ในการคบคนนั้น เราควรจะเลือกคบคนเช่นใด? พุทธด�ำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลที่ไม่ควรคบเป็นอย่างไร ? บุคคลบางคนใน โลกนี้ เป็นคนเลว โดย ศีล สมาธิ ปัญญา บุคคลเช่นนี้ไม่ควรคบ ไม่ควรเสพ ไม่ควรเข้าไปนั่ง ใกล้ นอกจากจะเอ็นดูอนุเคราะห์กัน “บุคคลที่ควรคบ... คืออย่างไร? บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นคนเสมอกับตนด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา บุคคลเช่นนี้ควรคบ...เพราะเหตุไร เพราะเราผู้เสมอกับตนด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา จักมี การสนทนากัน เรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา การสนทนานั้นจักเป็นไปเพื่อประโยชน์และความผาสุก แก่พวกเรา “บุคคลที่ควรสักการะ เคารพแล้วคบ.... คืออย่างไร? บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้ยิ่งกว่าเราโดย ศีล โดยสมาธิ โดยปัญญา บุคคลเช่นนี้ควรสักการะ เคารพแล้วจึงคบ...เพราะเหตุไร เพราะอาจ หวังได้ว่า จักบ�ำเพ็ญศีลขันธ์..... สมาธิขันธ์.... ปัญญาขันธ์.... ที่ยังไม่บริบูรณ์ให้บริบูรณ์ หรือจัก สนับสนุนศีลขันธ์..... สมาธิขันธ์.... ปัญญาขันธ์.... ที่บริบูรณ์แล้วด้วยปัญญาในที่นั้น ๆ.... “บุรุษคบคนเลว ย่อมเลวลง คบคนเสมอกัน ย่อมไม่เสื่อมในกาลใด ๆ คบคนที่สูงกว่าย่อมพลัน เด่นขึ้น ฉะนั้นจึงควรคบคนที่สูงกว่าตน..” พระพุทธเจ้า
ค�ค�ำำสอน๑หยิ สอน๑หยิบบมืมืออ
59 59
การท�ำจิตให้ผ่องใส สจิตฺต ปริโยทปนํ เอตํ พุทฺธาน สาสนํ การท�ำจิตของตนให้ผ่องใส เป็นการท�ำตามค�ำ สั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระพุทธเจ้าผู้พระบรมศาสดา ได้ตรัสสอนกาย วาจา จิต มิได้สอน อย่างอื่น สอนให้ปฏิบัติ ฝึกหัดจิตใจ ให้เอาจิตพิจารณากายเรียกว่า กายา นุปัสสนาสติปัฏฐาน หัดสติให้มากในการค้นคว้าที่เรียกว่าธัมมวิจยะ พิจารณา ให้พอทีเดียว เมื่อพิจารณาพอจนเป็นสติสัมโพชฌงค์ จิตจึงจะเป็นสมาธิรวมลงเอง สมาธิมี ๓ ขั้น คือ ขณิกสมาธิ จิตรวมลงไปสู่ฐีติขณะแล้วพักอยู่หน่อยหนึ่ง ถอยออก มาเสีย อุปจารสมาธิ จิตรวมลงสู่ภวังค์แล้วพักอยู่นานหน่อยจึงถอยออกมารู้นิมิตอย่าง ใดอย่างหนึ่ง และอัปปนาสมาธิ สมาธิอันแน่วแน่ ได้แก่จิตรวมลงสู่ภวังค์ถึงฐีติธรรมถึงเอกั คคตา ความมีอารมณ์เดียว หยุดนิ่งอยู่กับที่ มีความรู้ตัวอยู่ว่า จิตด�ำรงอยู่ และประกอบด้วย องค์ฌาน ๕ ประการ ค่อยสงบประณีตเข้าไปโดยล�ำดับ เมื่อหัดจิตอยู่อย่างนี้ ชื่อว่าท�ำจิตให้ ยิ่ง ได้ในพระบาลีว่า อธิจิตฺ เต จ อาโยโค เอตํ พุทฺธาน สาสนํ การประกอบความพากเพียรท�ำ จิตให้ยิ่ง เป็นการปฏิบัติตามค�ำสอนของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า การพิจารณากาย นี้แล ชื่อว่าปฏิบัติ อันนักปราชญ์ทั้งหลายมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นต้นแสดงไว้ มีหลายนัย หลายประการ ท่านกล่าวไว้ในมหาสติปัฏฐานสูตร เรียกว่า กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ในมูล กรรมฐานเรียกว่า เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตโจ ที่พระอุปัชฌายะสอนเบื้องต้นแห่งการ บรรพชาเป็นสามเณร และ
60
ค�ำสอน๑หยิบมือ
ใน ธรรมจักกัปปวัตนสูตรว่า ชาติปิ ทุกฺขา ชราปิ ทุกฺขา มรณมฺปิ ทุกฺขํ แม้ความ เกิดก็เป็นทุกข์ แม้ความแก่ก็เป็นทุกข์ แม้ความตายก็เป็น ทุกข์ ดังนี้ บัดนี้เราก็เกิดมาแล้วมิใช่หรือ? ครั้นเมื่อบุคคลมาปฏิบัติ ให้เป็น โอปนยิโก น้อมเข้ามาพิจารณาในตนนี้แล้วเป็นไม่ผิด เพราะพระ ธรรมเป็น อกาลิโก มีอยู่ทุกเมื่อ อาโลโก สว่างโร่อยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่มีอะไรปิดบังเลย ฯ หลวงปู่หมั่น ภูริทัตโต
ปฏิวัติภายนอกกับภายใน ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ถึงเวลาการแสดงธรรมปาฐกถา อัน เป็นหลักค�ำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่าน อยู่ในอาการอันสงบ ตั้งอกตั้ง ใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟัง ตามสมควรแก่เวลา เมื่อวานนี้ก็นั่งวิตก กังวลว่า ในวันอาทิตย์นี้ญาติโยมจะมาวัดไม่สะดวก เพราะว่าเขามีการปฎิวัติอะไรกัน แต่ว่า เหตุการเรียบร้อยไปตั้งแต่เย็นวาน เมื่อได้ยินข่าวปฏิวัติเมื่อวานนี้ พอดีไปแสดงปาฐกถา อยู่ที่ โรงเรียนพาณิชยการสยาม พูดกับเจ้าหน้าที่ที่เขาเรียกว่า อาสาปราบอาชญากรรม คนหลาย ร้อย ก็แสดงไปตามเรื่อง พอจบก็มีนายต�ำรวจมากระซิบบอกว่า หลวงพ่อรู้หรือไม่ เขาปฏิวัติ อีกแล้ว อาตมาก็พูดออกไปทันที่ปฏิบัติแบบโง่ๆ ไม่เข้าเรื่อง พูดออกไปอย่างนั้นตามความรู้สึก ท�ำไมจึงได้พูดออกไปอย่างนั้น เพราะความรู้สึกมันเป็นเช่นนั้น เวลานี้รัฐบาลก็บริหารงาน เรียก ว่าเป็นปกติ รัฐนาวาไทยนี้ไหลไปตามปกติไม่มีคลื่นไม่มีลม ไปกันเรียบร้อย กัปตันและลูกเรือก็ พร้อมเพรียงกันดีอยู่ ท�ำการพัฒนาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้าอยู่ แล้วใครที่จะลุกขึ้นท�ำการ ปฏิวัตินั้น อาตมานึกว่าโง่เต็มที ยังไม่รู้ว่าใครท�ำการปฏิวัติ ค�ำสอน๑หยิบมือ
61
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ถึงเวลาการแสดงธรรมปาฐกถา อัน เป็นหลักค�ำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่าน อยู่ในอาการอันสงบ ตั้งอกตั้ง ใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟัง ตามสมควรแก่เวลา เมื่อวานนี้ก็นั่งวิตก กังวลว่า ในวันอาทิตย์นี้ญาติโยมจะมาวัดไม่สะดวก เพราะว่าเขามีการปฎิวัติอะไรกัน แต่ว่า เหตุการเรียบร้อยไปตั้งแต่เย็นวาน เมื่อได้ยินข่าวปฏิวัติเมื่อวานนี้ พอดีไปแสดงปาฐกถา อยู่ที่ โรงเรียนพาณิชยการสยาม พูดกับเจ้าหน้าที่ที่เขาเรียกว่า อาสาปราบอาชญากรรม คนหลาย ร้อย ก็แสดงไปตามเรื่อง พอจบก็มีนายต�ำรวจมากระซิบบอกว่า หลวงพ่อรู้หรือไม่ เขาปฏิวัติ อีกแล้ว อาตมาก็พูดออกไปทันที่ปฏิบัติแบบโง่ๆ ไม่เข้าเรื่อง พูดออกไปอย่างนั้นตามความรู้สึก ท�ำไมจึงได้พูดออกไปอย่างนั้น เพราะความรู้สึกมันเป็นเช่นนั้น เวลานี้รัฐบาลก็บริหารงาน เรียก ว่าเป็นปกติ รัฐนาวาไทยนี้ไหลไปตามปกติไม่มีคลื่นไม่มีลม ไปกันเรียบร้อย กัปตันและลูกเรือก็ พร้อมเพรียงกันดีอยู่ ท�ำการพัฒนาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้าอยู่ แล้วใครที่จะลุกขึ้นท�ำการ ปฏิวัตินั้น อาตมานึกว่าโง่เต็มที ยังไม่รู้ว่าใครท�ำการปฏิวัติ ได้ยินชื่อเขาประกาศของคณะปฏิวัติว่า พลเอกประเสริฐ ธรรมสิริ ก็นึกอยู่ว่าไม่น่าเลย เพราะ นามสกุลกับชื่อมันไพเราะเหลือเกิน แต่ภายหลังรู้ว่าไม่ใช่ ก็ยังรักษาชื่อและนามสกุลไว้ได้ คนที่ เป็นหัวหน้านั้น ชื่อฉลาดแต่ไม่ฉลาดซักหน่อยหนึ่ง คนเราไม่ใช่ว่าชื่อดีแล้วมันจะดีเสมอไป ชื่อสวยๆ แต่อาจจะไม่สวยก็ได้ เช่นบางคนชื่อเผือกตัวด�ำ เลยท�ำไมเขาชื่ออย่างนั้น ชื่อให้มันตรงกันเข้าไว้หน่อย ฟังแล้วมันจะได้ชื่นใจ เหมือนกับชื่อนาย อ�ำเภอทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ชื่อนายอ�ำเภอเกษตรสมบูรณ์ แต่ความจริงมันไม่สมบูรณ์ ตระการพืชผล ก็ไม่สมบูรณ์อะไร วานรนิวาสพอเข้ากันได้ เพราะลิงมันเยอะที่นั่น เขาชื่อเพื่อให้ มันไพเราะ คนที่เขาไปเขาจะได้สบายใจหน่อย ทีนี้คนเราบางทีมันโง่แต่เขาตั้งชื่อว่าฉลาด เพื่อ ว่าจะได้กลบลักษณะหน่อยนั่นเอง แต่ก็ไม่สามารถรักษาชื่อไว้ได้ ยังท�ำอะไรแบบโง่ๆ อยู่นั่นเอง ไปบวชอยู่วัดหลายเดือน ไม่ได้เข้าใจในธรรมะ ออกมาก็ไม่ได้เรื่อง ออกมาถึงก็ต้องออกนอก ประเทศไปเลย นี่แหละเขาเรียกว่าไม่ฉลาดในการกระท�ำ คนเราจะท�ำอะไร มันต้องดูจังหวะดู สิ่งแวดล้อม ดูเหตุการณ์ว่ามันเป็นอย่างไร เวลานี้มันไม่ใช่เวลาที่จะปฏิวัติรัฐประหาร จะเอาอะไรไปอ้าง อ้างอะไรมันก็ไม่สมเหตุสมผล ค�ำ ที่คณะปฏิวัติประกาศมานั้น คนฟังแล้วไม่มีใครเห็นด้วยสักคนเดียว นอกจาก ๕ คนเท่านั้นเอง ที่เป็นหัวหน้าเห็นด้วย นอกนั้นก็ไม่เห็นด้วยอะไร อันนี้แสดงว่าไม่ได้ความ
62
ค�ำสอน๑หยิบมือ
นึกไปว่าทั้งพ่อทั้งลูก นี่ก็พังเพราะลูกอีกแล้ว ลูกชายพันตรี ไปกวนพ่อให้ สึกออกมาเป็นหัวหน้ากันหน่อย พ่อบวชอยู่วัดก็ไม่ได้เจริญกรรมฐาน ไม่มีความยับยั้งชั่งใจ ใจก็ร้อนอยู่อย่างนั้นเอง เลยก็ออกมาไม่ได้เรื่องอะไร อันนี้เป็นตัวอย่างของธรรมะเหมือนกัน เป็นตัวอย่างให้เห็นว่าคนไม่ใช้ธรรมะ มันเดือดร้อนถ้าใช้ธรรมะแล้วก็ไม่วุ่นวายเดือดร้อน ที่ไม่ ใช้ธรรมะนั้นมันเรื่องอะไร ใจร้อนใจเร็ว อยากดังอยากเด่น อยากโด่งไม่เข้าเรื่อง นี่มันเป็นตัว ลิเกที่เกิดขึ้นในใจ แล้วก็ไม่ใช้ปัญญาที่จะระงับกิเลสตัวนั้น ไม่มีศิลปะแห่งการรอคอย แล้วไม่ นึกว่าคนอื่นเขาท�ำอะไร ท�ำถูกหรือท�ำผิด ท�ำดีหรือท�ำชั่ว ท�ำเพื่อความก้าวหน้าหรือเพื่อความ ถอยหลัง ไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้รอบคอบในเรื่องนี้ ตัวโลภมันแรงเกินไป ตัวโทสะก็แรง ตัว โมหะก็แรงเหมือนกัน เรียกว่ายักษ์สามตัวเข้าไปครองร่าง เลยทิ้งผ้ากาสาวพัตรแบบฉุกเฉิน แล้วก็ออกมาบงการท�ำอะไรๆ แบบไม่เข้าท่า ดูแล้วมันเป็นเรื่องน่าหัวเราะทั้งนั้น แล้วผลที่สุด ก็เกิดความเสียหายแก่ชาติแก่บ้านเมือง เสียนายทหารที่ดีไปคนหนึ่งโดยไม่ได้อะไรเป็นเครื่อง ตอบแทน นอกจากเสียคนดีไปเท่านั้นแหละ นี่แหละคือการขาดธรรมะ ไม่เอาธรรมะไปใช้ใน ชีวิตประจ�ำวัน แม้จะไปบวชไปเรียนแล้วก็ไม่ได้คิดธรรมะ ไปนั่งวางแผนว่ากูจะไปปฏิวัติวันไหน ดี จะรัฐประหารวันไหนดี อันนี้มันจะไม่ได้เรื่องอะไร ไปบวชอยู่ในเรื่องเช่นนั้น ถ้าบวชแล้วเจริญภาวนาอย่างน้อยๆ พิจารณาสังขารเสียบ้างว่า สัพเพ สังขารา อะ นิจจา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง เหมือนกับที่เราสวดกันอยู่ตอนสุดท้าย พิจารณาวันหนไม่ต้อง มากอะไร จิตใจก็จะสงบไม่วุ่นวาย แล้วก็นึกว่าอายุอานามของเรามันก็ป่านนี้แล้ว ท�ำงานให้กับ ประเทศชาติมาก็พอสมควรแล้ว ปล่อยให้คนอื่นเขาท�ำไปมั่งเถอะ เราออกมานั่งดูเสียมั่ง นักมวยจะชกอยู่จนตายไม่ได้สักคนเดียว มันต้องลงจากเวทีมาดูคนอื่นเขาชกมั่ง เราลองดูชื่อ นักมวยทั้งหลายตั้งแต่ เย็กเด็มเซ ตั้งแต่โน้นมา มันตายไปก็หลายคนแล้ว แต่ไม่ได้ตายคาเวที สักคนเดียว ต้องลาออกต�ำแหน่งแชมเปี้ยนทั้งนั้น หรือไม่อย่างนั้นก็แพ้เขา คนเกิดมาแล้วมันก็ ต้องมีแพ้มีชนะ เก้าอี้ตัวที่เรานั่งเราจะนั่งตลอดเวลาไม่ได้ ต้องให้คนอื่นเขานั่งมั่ง คนเรามันต้อง มีศิลปะแห่งการเปลี่ยนแปลง เมื่อเราลงมานั่งเราก็ท�ำไปตามหน้าที่ หมดเวลาให้เพื่อนเขานั่ง มั่ง แล้วก็นั่งดูเขามั่ง นั่งดูอย่างนักกีฬาดูให้เขาท�ำตามเรื่องตามราวของเขา มีอะไรไม่เหมาะก็ ประท้วงไปบ้างตามแบบตามระเบียบ ถ้าเมื่อเขาท�ำเรียบร้อย เราก็พลอยอนุโมทนาเขา อย่างนี้เรื่องมันก็ไม่วุ่นวาย ไม่เสียหาย ไม่ กระทบกระเทือนแก่ประโยชน์ของบ้านเมือง แต่ว่าไม่ได้คิดอย่างนี้ อะไรมันเกิดขึ้นในใจ ความ เห็นแก่ตัวตัวเดียวเท่านั้น เกิดขึ้นในใจแล้วท�ำอะไร ที่เรียกว่าไม่เข้าเรื่อง ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ท�ำไปตามอารมณ์ ไม่ได้ใช้เหตุผล อันนี้มันเรื่องเสียหาย ค�ำสอน๑หยิบมือ
63
ความจริงประวัติศาสตร์มันก็มีบอกอยู่แล้ว ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ไกลอะไร สมัยกองแลปฏิวัติโดยไม่มีแผนการ อยู่ๆ ก็ลุกขึ้น กูปฏิวัติ พอปฏิวัติเสร็จแล้วก็มานั่ง ร้องไห้ ร้องไห้ว่า กูไม่รู้ท�ำอะไรต่อไปแล้ว เหมือนกับว่าท�ำอะไรเสร็จแล้ว ไม่รู้ว่าจะท�ำอะไร ต่อไป เพราะว่าไม่มีปัญญาไม่มีความคิด ไม่มีแผนการว่าจะท�ำอะไร ใช้แต่ก�ำลัง คนที่รู้จักใช้ ก�ำลัง ไม่รู้จักใช้ปัญญานั้น เขาไม่เรียกว่า มนุษย์หรอกแต่เขาเรียกว่า สัตว์เดรัจฉานนั้น มัน แปลกที่ตรงไหน แปลกตรงที่ว่า เรามีปัญญา มีสมองที่จะคิดจะท�ำอะไร ก็ใช้ความคิดพิจารณา ไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ไม่ใช่ท�ำด้วยความอยาก ไม่ใช่ท�ำด้วยความหลงไหล อะไรๆ ต่างๆ สิ่ง ทั้งหลายมันก็จะเป็นไป ด้วยความเรียบร้อย อันนี้เป็นเรื่องเป็นบทเรียนที่สอนใจ ให้เราทั้งหลายได้คิดได้นึกได้พิจารณา อาตมานั่งฟัง ข่าวตลอดวัน เมื่อวานนี้ ดูภาพไป ฟังข่าวไป นึกในใจว่า มันแย่จริงๆ ที่ได้เป็นไปเช่นนี้ เพราะ อะไร เพราะว่าไม่ค่อยได้เข้าถึงพระกัน หรือว่าเข้าหาพระ แต่ว่าไม่ได้เอามาใส่ไว้ในใจ ไม่รู้จัก พราะที่ถูกที่ชอบ ไม่ได้เอาหลักธรรมะมาเป็นหลักประคองใจ ให้เดินไปในทางที่ถูกที่ควร ถ้า สมมติว่าไปลาสิกขา กับพระพระผู้ใหญ่ให้ลาสิขา น่าจะถามสักหน่อยว่า ลาท�ำอะไร ออกไป แล้วไปท�ำอะไร ท�ำมาหากินอะไร หรือว่า จะออกไปท�ำการปฏิวัติรัฐประหาร ก็ควรจะบอก ว่า มาบวชวัดนี้ออกไปแล้วท�ำผิดอย่างนั้นได้หรือ วัดนี้ในหลวงท่านอุปถัมภ์ค�้ำชูอยู่นะ ออกไป ท�ำผิดต่อในหลวงได้หรือ จะเหมาะจะควรหรือ ควรจะยับยั้งชั่งใจ พูดให้เข้าใจกันเสียหน่อย ก็เห็นจะพอไปได้ แต่พระท่านเกรงใจยศนายพลเอก ท่านเลยไม่กล้าสอนอะไร เลยออกไปก็ ท�ำความวุ่นวายเสียหาย อันนี้เป็นบทเรียนไปในตัว เป็นธรรมะ อาตมาพูดออกไปนี้ก็ไม่ใช่เพื่อ อะไร พูดเพื่อให้เป็นตัวอย่างปรากฏในหนังสือ ที่จะพิมพ์ต่อไป ให้เห็นว่าพระท่านไม่พอใจ ใน การกระท�ำเช่นนั้น เป็นการกระท�ำแบบโง่เขล่า ไม่ได้เป็นการเจริญ ของชาติ ของบ้านเมือง คนเราดูอะไรมันต้องดูจังหวะ จะอะไรทุกอย่างเขาเรียกว่า กาละเทศะ เวลามันควรหรือ ไม่ เทสะมันควรหรือไม่ที่เขาพูดๆ กันว่า เหตุ ผล บุคคล เวลา นี้มันล�ำบาก เคยสนทนากับ มหาดเล็กบ่อยๆ ในเรื่องนี้ ท่านบอกว่าท�ำอะไรก็ตามเถอะ มันต้องมีเหตุผล ต้องดูบุคคล ต้องดู เวลา ว่ามันจะเหมาะที่เราจะกระท�ำหรือไม่ ถ้า เหตุ ผล บุคคล เวลา สี่ประการมีไม่พร้อมแล้ว ก็อย่าไปท�ำอะไรเข้า ถ้าเราไปท�ำอะไรโดยไม่คิดถึง เหตุ ผล บุคคล เวลาแล้ว การกระท�ำนั้นจะ เป็นความโง่ความเขลา เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ความเสียหายแก่ตน ด้วยประการต่างๆ อันนี้ท่าน กล่าวย�้ำกล่าวเตือน โดยเฉพาะคนที่เป็นนักปกครอง ต้องใช้สิ่งนี้ให้ส�ำคัญมาก คือใช้เหตุผลให้ มาก ดูเวลาให้เหมาะ ดูบุคคลให้เหมาะ จึงจะจัดท�ำอะไรลงไป แต่ถ้าเหตุผลไม่สมควร คือ
64
ค�ำสอน๑หยิบมือ
เหตุผลกับไม่ตรงกัน เวลามันก็ไม่เหมาะ บุคคลที่เกี่ยวข้องมันก็ไม่เหมาะ ถ้าเราขืนกระท�ำลงไปแล้ว จะเกิดเป็นปัญหา จะสร้างความทุกข์ ความเดือดร้อน ทีนี้สิ่งที่ท�ำนั้นถ้าเป็นเรื่องของเราคนเดียว มันก็ไม่เสียหายอะไรมากนัก วงจ�ำกัดอยู่แคบ แต่ถ้าว่าการกระท�ำเกี่ยวกับชาติกับประเทศ เราจะต้องคิดให้รอบคอบ ต้องให้ละเอียดให้ลึกซึ้ง ต้องนับหนึ่งถึงพัน ไม่ใช่นับหนึ่งถึงร้อย ต้องคิดนานๆ คิดว่าท�ำแล้วมันจะเสียหายอะไร เวลานี้ ประเทศชาติของเราเป็นอย่างไร มีศัตรูภายนอกมีศัตรูภายใน การเศรษฐกิจการลงทุน ความไว้ เนื้อเชื่อใจของชาวต่างประเทศ ที่มีต่อประเทศไทยนั้นเป็นอย่างไร ภาพพจน์ของประเทศไทย ในเวลานี้ ในสายตาของชาวต่างประเทศเป็นอย่างไร ถ้าคิดดูให้ดีแล้วก็จะเห็นว่า มันดีขึ้นทั้งนั้น เขาได้แก้ไขได้ปรับปรุงให้มันดีขึ้น กว่าเมื่อสามปีก่อนมากมายแล้ว เรือไทยถ้าเป็นเรือใบ ก็เรียก ว่าติดลมแล้ว ก�ำลังวิ่งฉิวสะดวกสบาย แล้วเราจะไปเกาะท้ายเรือ เอาขวานสับหางเสือให้มัน แกว่ง มันเรื่องอะไร เรือแกว่งแล้วคนในเรือมันจะล่มจมอะไรๆ ก็จะเสียหาย นี่ถ้าเราคิดอย่างนี้ มันก็ดี ทีนี้คนเรามันคิดแต่เรื่องได้ ไม่คิดถึงเรื่องเสีย คิดด้านเดียวมองด้านเดียวไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านสอนนักสอนหนา ในเรื่องอย่างนี้ บอกว่า มองอะไรมองให้เห็นชัดตามสภาพ ที่เป็นจริง ศัพท์บาลีเขาใช้ว่า "ยถาภูตํ ญาณทสฺสนํ" ยถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง หมายความว่า เห็นด้วยปัญญาในสิ่งนั้น ตามสภาพที่มันเป็นอยู่จริงๆ เห็นอะไรต้องเห็นด้วยปัญญา เห็นให้ชัด ตามสภาพที่มันเป็นอยู่จริงๆ อย่ามองแบบคลุมเคลือ แบบที่เรามองอะไรเช้ามืดนี่ มันไม่เห็นชัด เห็นต้นไม้ก็ไม่ชัดว่ามันเป็นต้นอะไร เห็นอะไรไม่ชัดอย่างนี้เราวินิจฉัยยาก เพราะไม่แจ่มแจ้งแก่ ตา ไม่แจ่มแจ้งแก่ใจ จะไปวินิจฉัยว่าชั่วก็ไม่ได้ มันสุขมันทุกข์ก็ไม่ได้ เพราะมองไม่ชัด เพราะ ฉะนั้นต้องมองให้ชัดให้แจ่มแจ้งดี ในเรื่องนั้น ถ้าเรามองอย่างนั้น ก็เรียกว่ามองด้วยปัญญา มอง ด้วยตาที่มีปัญญาก�ำกับ ตามีปัญญาก�ำกับนั้นเขาเรียกว่า ญาณ ญาณนั้นคือตาใน ไม่ใช่ตานอก ตานอกมันดูแต่ วัตถุ แต่ตาในนั้นดูไปตลอด ทะลุปรุโปร่งในวัตถุนั้นๆ ในเหตุการณ์นั้นๆ ในเรื่องนั้นๆ ที่มันจะ มีจะเกิดขึ้น แล้วตานอกมันมองเห็นใกล้ๆ ถ้าตาดีๆ ก็มองได้สักสองร้อยเมตร แต่ว่าญาณตา ข้างในนั้นมันมองเห็นไปไกล เห็นไปถึงวันพรุ่งนี้ เห็นไปถึงเดือนหน้า เห็นไปถึงปีหน้า เห็นไปถึง อนาคต ว่ามันจะมีอะไร จะเกิดอะไร กระทบกระเทือนต่อสังคม ในบ้านเมืองของเรา มองไกล อย่างนั้น แล้วการมองอย่างนี้ ต้องมองทั้งในอดีต มองปัจจุบัน มองอนาคต เอาสามอย่างนี้มา รวมกันเข้า อดีตนั้นมันผ่านพ้นไปแล้ว แต่ว่ามันเป็นบทเรียน เป็นเครื่องเตือนจิตสะกิดใจ ค�ำสอน๑หยิบมือ
65
เราศึกษาวิชาประวัติศาสตร์นั้นเราศึกษาเพื่ออะไร ไม่ใช่ศึกษาเพียงให้รู้ว่า คนสมัยก่อนเขาอยู่กันอย่างไร กินอย่างไร ไม่ใช่เพียงเท่านั้น แต่ศึกษาเพื่อให้รู้ว่าเขาปฏิบัติ อะไรอย่างไร เขาใช้วิธีการอย่างจึงเกิดอะไรขึ้นมา ในประวัติศาสตร์นั้น มันมีทั้งส่วนดีทั้งส่วน เสีย ไม่ว่าในประวัติศาสตร์ชาติใด เพราะประวัติศาสตร์กับคน มันสัมพันธ์กัน คนเป็นผู้สร้าง ประวัติศาสตร์ ทีนี้คนผู้สร้างประวัติศาสตร์นั้น สร้างไว้บางตอนก็ไม่งดงาม แต่บางตอนก็งดงาม เรียบร้อย เป็นไปในทางที่ถูกที่ชอบ เราก็เอามาศึกษาพิจารณา ว่าตอนนั้นเป็นอย่างไร ตอนนี้ เป็นอย่างไร เช่นสมมติว่า เราเรียนประวัติศาสตร์ไทย เริ่มตั้งแต่เริ่มสร้างประเทศ เอาเฉพาะยุค สุโขทัยเป็นราชธานี เราก็จะเห็นว่าสุโขทัยนั้นเป็นสมัยที่สงบ สมชื่อว่าสุโขทัย "สุขะ" เอามาร่วม กับ "อุทัย" เป็น สุโขทัย แปลความว่า "รุ่งอรุณแห่งความสุข" มันมีแต่ความสุขความสงบ ชาว สุโขทัยมักโปรยทาน มักรักษาศีล มักฟังธรรม เขาไปวัดท�ำบุญสุนทาน ยุคสุโขทัยไม่ได้รบราฆ่า ฟันกับใคร สงครามมีนิดหน่อย พ่อขุนรามค�ำแหงไปชนช้าง กับเจ้าเมืองฉอดเท่านั้นเอง เมือง ฉอดก็ไม่ใช่ที่ไหน แม่สอดในสมัยนี้เอง ไปรบกันหน่อย นอกนั้นก็ไม่ได้รบ เพราะฉะนั้น จึงเต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างสวยสดงดงาม เช่นสร้างพระพุทธรูปงามๆ สร้าง วัดงามๆ ใช้วัตถุอย่างดี คือศิลาแลง เอามาก่อเป็นเจดีย์ เป็นโบสถ์ เป็นวิหาร โดยเฉพาะ พระพุทธรูป ที่สร้างในสมัยนั้นสวยงามมาก มองแล้วสบายใจ ไหว้แล้วชื่นอกชื่นใจ คลายทุกข์ คลายร้อน ที่เขาท�ำได้อย่างนั้นเพราะอะไร จิตใจคนเขาสงบ เขาไม่วุ่นวาย ไม่มีปัญหาทาง เศรษฐกิจ ไม่มีปัญหาทางการเมือง ไม่มีปัญหาทางสังคม อะไรให้มันเสียหาย ทุกคนสบายอก สบายใจ อะไรมันมีพร้อม จิตใจสบาย คนเราถ้าจิตใจสบาย ท�ำอะไรมันก็เรียบร้อย เป็นไปใน ทางที่ดีที่งาม ไม่มีปัญหา ก็อยู่กับพระกับศาสนา แม้พระเจ้าแผ่นดิน ท่านก็สนใจแต่เรื่องวัดวา อาราม สร้างสิ่งดีสิ่งงาม ให้เกิดขึ้นในชาติในบ้านเมือง อะไรมันดีอย่างนี้ นี่ก็มองเห็นว่าสมัยนั้น เป็นสมัยรุ่งเรืองแห่งสัจจธรรม คนจึงได้อยู่เย็นเป็นสุข ต่อมาก็ถึง สมัยกรุงศรีอยุธยาเริ่มยุ่งแล้ว เริ่มมีข้าศึกด้านตะวันตกมาจากพม่า ด่านตะวันออกมาจากเขมร มันไม่ค่อยรบเท่าใด แบบตีท้ายครัว พอไทยไปรบ พม่าก็แอบมากวาดพลเมืองแถวปราจีน ฉะเชิงเทราแถวนั้นไป ถ้าเมืองไทยสงบ ไม่เข้ามายุ่ง พวกนี้ชอบตีท้ายครัว อย่างนี้มีอยู่ แล้วก็ เกิดรบกันบ่อยๆ บ้านเมืองไม่ ค่ อยจะสงบเท่าใด การสร้างพระพุทธรูปในสมัยนั้น พระพักตร์ ไม่ค่อยยิ้มแย้ม ไม่ค่อยแจ่มใสเท่าใด มองกราบแล้ว
66
ค�ำสอน๑หยิบมือ
ก็ไม่ชื่นใจเหมือนสมัยสุโขทัย อันนี้เป็นเรื่องที่เราเห็นง่ายในประวัติศาสตร์ แล้วทุกครั้งที่เราเสียกรุง เรารู้ว่าเพราะอะไร เพราะคนในเมืองไทยแตกแยกกัน หัวหน้า อ่อนแอไม่เข้มแข็ง ไม่เด็ดขาด แล้วก็เกิดความแตกร้าวกันภายใน พอเกิดความแตกร้าวกัน ภายใน ข้าศึกก็มาโจมตี พม่าจะมาโจมตีประเทศไทยก็คอยจ้องดูว่าเปลี่ยนรัชกาล พอพระเจ้าแผ่นดินนี้สวรรคต รัชกาลใหม่ขึ้นครองราชย์ ก็ส่งคนมาท�ำจารกรรม ว่าเวลานี้บ้านเมืองเป็นอย่างไร ความเลื่อมใส ในพระราชาเป็นอย่างไร ระส�่ำระสายหรือเปล่า มีการแตกก๊กแตกพวกกันหรือเปล่า เขามาดู ก่อน ถ้าเห็นว่ามันเร่าๆ ท�ำท่าจะแตก เขาก็มาตี ตีแล้วเมืองไทยก็เสียท่าเขาทุกที เพราะความ แตกร้าวภายในประเทศ เป็นเหตุให้เกิดความเสียหาย โดยเฉพาะตอนเสียกรุงด้วยแล้ว ไม่ได้ เรื่องเลยทีเดียว นี่มันเป็นประวัติศาสตร์บอกให้เรารู้เราเห็นกันอยู่ทั้งนั้น ทุกคนก็เรียน นาย ทหารโรงเรียน จ.ป.ร. เขาก็เรียนประวัติศาสตร์ ออกไปแล้วก็ยังมีการเรียน มีแผนการค้าคว้า ทางประวัติศาสตร์ เพื่อเอามาเปิดเผยให้คนได้รู้ได้เข้าใจ เราเรียนประวัติศาสตร์ เราก็เรียนธรรมะเหมือนกัน คือเรียนให้รู้ว่าในนั้นมันมี ธรรมะอะไร ขาด ธรรมะอะไร ท�ำไมจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น ท�ำไมจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เป็นบทเรียนเครื่อง สอนจิตสะกิดใจ ให้เราได้แก้ไขสิ่งที่เราจะท�ำต่อไป เรียกว่า ไม่กระท�ำให้ประวัติศาสตร์ซ�้ำรอย สิ่งใดที่เขาท�ำมาแล้วไม่ส�ำเร็จ เป็นเหตุให้เกิดความเสียหาย เราก็จะไม่ท�ำสิ่งนั้น แต่ว่าสิ่งใดที่ เขาท�ำใช้ได้ หรือใช้ได้ ก็ต้องดูอีกล่ะ เพราะเหตุการณ์ในสมัยนั้น กับสมัยนี้ไม่เหมือนกัน ของ ที่เขามีในสมัยโน้นบางทีเอามาใช้ในสมัยนี้ไม่ได้ กาละมันผิดกัน บุคคลผิดกัน ภูมิประเทศก็ผิด กัน เราจะต้องเอามาคิดปรับปรุง ว่าจะต้องอย่างไร ให้มันเหมาะกับสังคมในปัจจุบัน เหมาะกับ เหตุการณ์ในปัจจุบัน ก็ต้องคิดปรับปรุงแก้ไขเอามาเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น ที่เขาพูดว่า ไม่มีอะไรใหม่ในโลกนี้ เป็นความจริง คือสิ่งที่ท�ำๆ กันในยุคปัจจุบันนี้ เขาท�ำกันมา แล้วในสมัยก่อน แต่ว่าคนที่เอามาท�ำในปัจจุบันนี้ เอามาเปลี่ยนแปลงนิดหน่อย เพื่อให้มันได้ เรื่องราวดีขึ้น ยาขอบแกแต่งผู้ชนะสิบทิศ ถ้าเราอ่านดูให้ดีแล้ว แกก็หยิบมาจากเรื่องอะไรต่อ อะไร เอามาจากสามก๊กก็มี เอามาจากเรื่องโน้นเรื่องนี้ เอามาจากทุกเรื่อง แกอ่านหนังสืออะไร ก็เอามาใส่ๆ ไว้ วางแผนอย่างนั้นอย่างนี้ วางแผนรบของจะเด็ด แกเอามาใส่ไว้ทุกอย่าง ค�ำสอน๑หยิบมือ
67
อ่านหนังสือใดก็เอามาใส่ไว้ แม้จากเรื่องพระอภัยมณี แกก็เอาเหมือนกัน เอามาใส่ไว้ ถ้าเราอ่านไปแล้วก็จะรู้ว่า ยาขอบนี้เป็นนักปรุงนั่นเอง ไม่มีอะไรของแกใหม่ หรอก แกไปหยิบตรงนั้นมาตรงนี้มา เอามาบวกๆ กันเข้า แต่ว่าค�ำพูดที่ใช้มันทันสมัย อ่านแล้ว เพลิดเพลินเจริญใจ เพราะฉะนั้นคุณอาคมแกอ่านอยู่หลายปีแล้ว สมาชิกเยอะแล้วฟังกันชอบใจ นี่เขาเรียก ว่าเอามาปรุงแต่งท�ำให้มันดีขึ้น ไม่มีอะไรใหม่อะไร อาตมาที่มาเทศน์สอนญาติสอนโยมอยู่นี้ก็ เหมือนกัน ไม่ใช่มีอะไรใหม่หรอก มันของเก่าทั้งนั้น หยิบมาจากที่นั่นจากที่นี่ เป็นความรู้จาก ต�ำรับต�ำรา จากหนังสือหนังหา แล้วก็เอามาปรุงให้มันเหมาะกับ ปรุงให้เหมาะหูของญาติโยม ที่จะฟัง ให้ฟังได้ง่ายให้เข้าอกเข้าใจ ญาติโยมฟังแล้วก็เพลิดเพลินเจริญใจไป แต่ว่าความจริงมัน ของเก่าทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเรื่องอะไรเก่าๆ แก่ๆ มันเป็นประโยชน์แก่ตัวเรา เราจึงควรศึกษา เอามาคิดมาตรอง เอามาใช้เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อไป และบทเรียนเก่าๆ นั้นสอนให้เรารู้ว่า อะไรควรอะไรไม่ควร เวลาใดไม่เหมาะ เหตุการณ์อันใด กระท�ำการเป็นอย่างไร มันมีบทเรียน ทั้งนั้น คอยสอนคอยเตือนเรา ให้พูด ให้ท�ำในเรื่องอย่างนั้น ถ้าท�ำถูกแก่เวลามันใช้ได้ ถ้าท�ำไม่ เหมาะแก่เวลา ก็ใช้ไม่ได้เหมือนกัน ตัวอย่างที่เห็นง่ายๆ ประเทศอินเดีย ท่านผู้หญิงอินทิรา คานธี ท่านปกครองบ้านเมือง ถ้าพูดกันตามความเป็นธรรมแล้ว ดีขึ้นทุกอย่าง บ้านเมืองดีขึ้นทุกอย่าง ความสะอาดของบ้าน เมือง ข้าราชการเอาใจใส่ในหน้าที่ การคอรร์รัปชั่น ตลาดมืด อะไรมันหายไป ไม่ปรากฏว่ามัน มีอยู่ สมัยก่อนนี้ถ้าเราไปอินเดีย มีเงินเหรียญดอลลาร์ พอไปถึงโรงแรมเท่านั้น มีคนมาตอมกัน ให้ยุ่ง จะแลกดอลลาร์ เดินไปในตลาดนิวมาเก็ต เด็กเล็กเด็กน้อยรุ่นๆ มาถึงดอลลาร์ๆ มาถาม อย่างนั้น ไปเดี๋ยวนี้ไม่มีสักคนเดียว ที่จะมาถามเช่นนั้น เพราะอะไร เพราะว่าเขาไม่ให้แลกใน ตลาด ใครมีเงินดอลลาร์ไว้ในครอบครอง ผิดกฎหมาย มีเงินตราต่างประเทศไว้ในครอบครอง ผิดกฎหมายทั้งนั้น เงินตราต่างประเทศ มันต้องอยู่ในธนาคาร อยู่ตามโรงแรม อยู่ตามร้านค้า แต่ต้องมีหลักฐานแสดง ว่าได้มาจากใคร แม้มีหลักฐาน สมมติว่าเราไปจากเมืองไทยเราเอารูปี ไปสักสองร้อย พอไปถึงจะไปซื้อตั๋วรถไฟก็ไม่ได้ จะไปเสียค่าเช่าโรงแรมก็ไม่ได้ ซื้อได้เพียงโรตี ข้างถนนเทานั้นเอง นอกนั้นแล้วก็ซื้อไม่ได้
68
ค�ำสอน๑หยิบมือ
ถ้าเป็นทางการแล้วก็ซื้อไม่ได้ เพราะว่าเขาถือว่า ถ้าคนต่างประเทศไม่มี เงินอินเดียเข้ามา มีแต่เงินตราต่างประเทศ แต่ถ้าเราเอารูปีไปช�ำระโรงแรม เขาเขียนบอก ไว้ที่เค้าเตอร์บอกว่า ผู้มาพักต้องจ่างเงินตราต่างประเทศ แต่ถ้าจ่ายเป็นเงินรูปี ต้องมีหนังสือ แสดงว่า เงินรูปีนี้ได้มาจากไหน แลกมาจากธนาคารไหน จากอะไรที่ไหน ต้องมีใบแสดง ถ้า ไม่มีใบนั้นแสดง ช�ำระไม่ได้ เอาเงินรูปีไปช�ำระก็ไม่ได้ แล้วเจ้าหน้าที่โรงแรมก็ไม่ยอมรับ กลัว จะผิดกฎหมาย สมัยก่อนท�ำได้ แต่ว่าสมัยนี้ท�ำไม่ได้ บ้านเมืองก็ดีขึ้นเยอะ เราลงจากเครื่องบิน จากสนามบินที่กัลกัตตาเข้าเมือง เห็นแต่สิ่งปฏิกูลทั้งนั้น สมัยก่อนนี้สกปรก ดูไม่ได้เลย แต่ว่าไปคราวนี้ ที่สกปรกสมัยก่อน กลายเป็นสวนหย่อมไป กลายเป็นสวนดอกไม้ เป็น สวนต้นไม้ไป ปลูกไว้สวยๆ งามๆ ท�ำรั้วไว้อย่างเรียบร้อย ในเมืองกัลกัตตาที่นับว่าสกปรกที่สุด แล้ว เขาว่ากรุงเทพฯสกปรกแล้ว ยังแพ้ ถ้าเอาเทียบกับกัลกัตตา กัลกัตตาเขาน�ำหน้าเรา แต่ ว่าไปคราวนี้ของเขาเรียบร้อย สะอาดสะอ้าน อะไรๆ เขาก็จัดเป็นระเบียบ ก็เห็นว่า ท่านผู้หญิง ก็ปกครองเมืองได้ดีเหมือนกัน เรียบร้อยเหมือนกัน แต่ว่าพอเห็นว่าเรียบร้อยดีแล้ว ท่านก็ ประกาศให้เลือกตั้งผู้แทน มันผิดตรงที่ว่าพอประกาศเลือกตั้ง ก็ปล่อยนักการเมืองเก่า ออกมา จากคุกใหม่ๆ ก็ไปสมัครผู้แทน อารมณ์ของมนุษย์นั้น มักสงสารผู้แพ้ เราสังเกตตัวเราดูเถอะ อ้ายแสบชกกับบรู๊คเรากลับสงสารอ้ายบรู๊ค ที่อ้ายแสบชกตกเวที ชั่วขณะหนึ่งเราดีใจว่าอ้าย แสบชนะ แต่อีกขณะหนึ่งเราสงสารอ้ายบรู๊ค ที่ข้ามน�้ำข้ามทะเลมา ถูกชกตกเวทีนี่น่าสงสาร ใจ มนุษย์มันเป็นอย่างนั้น นักการเมืองที่ติดคุกติดตะราง พอเขาประกาศให้เลือกผู้แทนก็ปล่อยออกหมด ปล่อย มาถึงคนก็สงสาร แล้วคนเหล่านั้นไปพูดอะไร คนก็ประทับใจ ผลที่สุดท่านพ่ายแพ้ไป เขาเรียก ว่า จังหวะมันไม่เหมาะ ถ้าปล่อยคนพวกนี้ให้ออกมาวิ่งเต้นๆ อยู่สักปีสองปี แล้วก็เปิดรับสมัคร บางทีก็ไม่เป็นอะไร เพราะมันออกมาแล้วคนก็เห็นว่า อะไรเป็นอะไร บางคนยังอยู่ในคุกยังไม่ ได้ออกยังไปสมัครชื่อได้ แล้วก็ได้คะแนนด้วย ได้อย่างชนะท่านผู้หญิงด้วยซ�้ำไป นี่เขาเรียกว่า จังหวะเหมือนกัน คนเราท�ำอะไรมากๆ ก็ลืมเผลอได้เหมือนกัน คือลืมไปได้เหมือนกัน อาตมา นี่งานมากๆ ก็เหมือนกัน เมื่อวานนี้เขานิมนต์ไปเทศน์โน้น เพชรบูรณ์โน้น เขานิมนต์แล้วแต่ลืม จดไว้ในสมุดบันทึก แล้วก็เลยไปรับนิมนต์มาบอกว่า วันนั้นนะท่านเปิดปฏิทินตายแล้วไม่ได้จด ไว้ มันก็ลืมได้เหมือนกัน งานมากๆ เผลอได้ เพราะฉะนั้นก็คิดให้ดีในเรื่องนี้
ค�ำสอน๑หยิบมือ
69
ทีนี้เผลอแล้วก็เป็นบทเรียน วันหลังไม่ให้เผลออย่างนั้น ต้องคอยจดไว้ ใครนิมนต์ก็ต้องจดก่อน ให้เขาเห็นเฉพาะหน้าว่าจดไว้แล้ว ให้เขาอุ่นใจ ทีนี้ถ้าไม่ได้จดไว้ ก็เกิดพลาดเกิดความเสียหาย แต่ว่าไม่เป็นไร ส่งพระอื่นไปแทนก็ได้ แต่มันไม่เหมือนดังที่เขา ต้องการ ว่าจะฟังองค์นี้แต่องค์อื่นไป ก็ไม่เหมือนใจ เสียใจเล็กน้อย มันเป็นอย่างนี้ คนเราเผลอ ได้มีงานมากๆ เพราะฉะนั้น จะท�ำอะไรต้องคิดต้องตรองให้รอบคอบ พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสไว้ว่า นิสมฺมกรณํ เสยฺโย ใครครวญให้ละเอียดก่อนจึงท�ำ ประเสริฐ ไม่ว่าเรื่องอะไรใคร่ครวญเสีย ก่อน ท�ำไมคนเราใคร่ครวญอะไรไม่ได้ มีอุปสรรคอยู่ตรงไหน ใจร้อน ใจร้อนนี่แหละเป็นตัวเสีย หาย ใจร้อนใจเร็วจะให้ได้ดังอกดังใจ ถ้าความใจร้อนใจเร็วเกิดขึ้นแล้ว มันก็ผิดทั้งนั้น ไม่ได้ดัง ใจ แล้วก็ท�ำในขณะที่ใจร้อน ท�ำอะไรด้วยใจร้อนมักจะผิดพลาด เพราะขาดความยับยั้ง ขาด สติขาดปัญญา คิดแต่จะท�ำท่าเดียวเลยเสียหาย พระจึงสอนว่าให้ใจเย็นให้ใจสงบ จะท�ำอะไร ต้องใจเย็นใจสงบเสียก่อน แล้วต้องคิดให้รอบคอบในเรื่องนั้น ยิ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เรื่องที่ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของบ้านเมือง ต้องในเย็นคิดนานๆ อย่าท�ำอะไรอย่างชนิดที่ วางแผนปุ๊บ ลงมือปั๊บ อย่างนั้นมันไม่ได้ มันไม่ใช่เรื่องที่จะท�ำเช่นนั้น แต่ต้องท�ำอะไรให้ซึ้งกว่านี้ เพราะเป็น เรื่องส�ำคัญ อันนี้เป็นเรื่องญาติโยมต้องคิดให้มาก ญาติโยมบางทีก็เคยได้รับความผิดหวัง ในเรื่องบางประการ ตัวอย่างเช่นเราเล่นแชร์ สมัยนี้คนนิยมเล่นแชร์ ไปเจอคนหน้าตาดีๆ ท่าทางดีพูดจาดี แต่งตัวดี บ้านช่องเป็นหลักเป็น ฐาน แต่ว่าบ้านใครก็ไม่รู้ เราก็ไว้ใจ ว่าเจ้ามือรายนี้ไม่เป็นไร เป็นคนมีหลักมีฐาน แต่ว่าเราไม่รู้ ละเอียด ว่ามีหลักฐานจริงหรือเปล่า แล้วก็ไปร่วมหุ้น ร่วมแชร์กันเข้า เล่นกันไปเล่นกันมาเปีย ไปเปียมา หายไปเสียแล้วเจ้ามือ คนอยู่ข้างหลังก็เดือดร้อนไปตามๆ กัน อย่างนี้ปรากฏบ่อยๆ ญาติโยมเคยมาเล่าให้ฟังว่า แหมดิฉันเสียท่าเขาเสียแล้ว หัวหน้าแชร์หายไปเสียแล้ว ไม่รู้ว่าจะ ไปเอากับใคร นี่มันเรื่องอะไรเชื่อคนง่ายเกินไป แล้วก็การกระท�ำเช่นนั้น ไม่ใช่เรื่องเปิดเผย ความจริงมันก็ไม่ถูกต้องนั่นแหละ ที่เราท�ำไป มันก็มีความผิดพลาด มีความเสียหาย การพนัน นี่มันเรื่องลับ เรื่องลับมันเสียหายได้ง่าย เพราะไม่เปิดเผยแก่ใคร เลยเกิดความเสียหายได้ง่าย อันนี้เป็นตัวอย่าง หรือบางทีเพื่อนมาชวนเราให้ลงทุนค้าขายอะไรต่างๆ คนที่มาชวนนั้น เป็น นักพูดเรียกว่านักโฆษณา อ้างเหตุอ้างผลสถิติอะไรต่ออะไร มองเห็นไปหมดเลย เห็นแต่เรื่องได้ ไม่ได้คิดว่ามันเสียช่องไหนบ้าง
70
ค�ำสอน๑หยิบมือ
นี่คิดการหลงกลแล้ว ตกหลุมพลางแล้ว หลุมพลางที่เขาขุดไว้สวยสด งดงาม ว่าถ้าท�ำแล้วจะได้อย่างนั้นได้อย่างนี้ จะมีก�ำไรอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ไม่ได้คิดว่า อุปสรรคมันมีหรือเปล่า ข้อขัดข้องมันมีหรือเปล่า คนเราบางทีคิดแต่เรื่องที่จะได้ แต่เรื่อง เสียไม่คิด ไม่คิดถึงว่า ความเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างๆ เช่นสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป ดินฟ้า อากาศเปลี่ยนแปลงไป หรืออะไรๆ เกิดขึ้นโดยไม่รู้ เรื่องที่เกิดขึ้นโดยเราไม่รู้มันมีบ่อยๆ เราจึง ต้องคิดเผื่อไว้ ว่าเออถ้ามันเป็นอย่างนั้น ถ้ามันเป็นอย่างนี้ เราจะท�ำอย่างไร มีทางที่จะเสียหาย จะขาดทุนไหม มันต้องคิดให้รอบคอบ ถ้าคิดอย่างรอบคอบแล้ว บางทีก็นึกว่า ไม่เหมาะเราไม่ ควร จะเสี่ยงในเรื่องอย่างนั้น อย่างเสี่ยงอะไรให้มันมากเกินไป โดยเฉพาะการลงทุน ไม่ว่าเรื่อง อะไร อย่าเสี่ยงให้มากเกินไป เพราะการเสี่ยงนั้นมันเป็นภัย บางทีมันจะได้ บางทีมันเสีย ทีนี้เราก็เกิดความทุกข์ความเดือดร้อน เรามีจิตใจมันไม่หนักแน่นพอ พอเสียก็เสียอก เสียใจ มนุษย์เรานี่มันมีความหวังอยู่ในชีวิตทั้งนั้น แต่ว่าขอฝากไว้อันหนึ่งว่า สิ่งที่เราหวังนั้น ไม่ใช่จะสมหวังทุกเรื่องไป อันนี้ส�ำคัญที่สุด ต้องคิดไว้ให้ดี อะไรก็ตามที่เราหวังนั้น มันไม่สมหวัง ร้อยเปอร์เซ็นต์ มันอาจจะได้บ้าง อาจจะไม่ได้บ้าง มันเป็นเรื่องธรรมดา เช่นการเรียนหนังสือ ของลูกเรา เราอย่านึกว่าจะได้เสมอไป แต่ก็เตือนไว้เถอะ ให้เล่าเรียนเอาใจใส่ บางทีมันมันก็ไม่ สมหวัง เช่นเวลาใกล้จะสอบไล่ เกิดเจ็บไข้ปุ๊บปั๊บขึ้นมา แล้วก็ไม่ได้สอบ มันก็ไม่สมหวังแล้ว ปี นั้นสอบไม่ได้เราก็เสียอกเสียใจ อย่างนี้มันก็มีอยู่ การท�ำงานท�ำการก็เหมือนกัน เราไปท�ำงานท�ำการเราอย่างนึก ว่ามันจะราบรื่น เรียบร้อยเสมอไป อย่านึกว่าจะเหมือนคนอื่นทั้งหลายเขา คนเรานั้นมันไม่เหมือนกัน อันนี้ต้อง คิดไว้ในใจอันหนึ่งว่า คนเราไม่เหมือนกัน สติปัญญาก็ไม่เหมือนกัน อันนี้ต้องคิดไว้ในใจอันหนึ่ง ว่า คนเราไม่เหมือนกัน สติปัญญาไม่เหมือนกัน สมรรถภาพไม่เหมือนกัน การสังคมก็ไม่เหมือน กัน คนสามคนสองคน เข้าท�ำงานในที่เดียวกัน แต่บางคนก้าวไปไกล บางคนก้าวไปนิดหนึ่ง บางคนหลังเพื่อนเลย มันเพราะอะไร มันไม่ใช่เพราะเรื่องดวง เรื่องดาวอะไร แต่ว่าเรื่องการก ระท�ำมันไม่สม�่ำเสมอกัน คนที่ก้าวไปไกลนั้น เขาอาจจะมีอะไรหลายอย่างในตัวเขา ที่เขาได้ ก้าวไปข้างหน้า เราควรจะศึกษา ควรจะสังเกตเขา ที่เขาได้ก้าวไปข้างหน้า ควรจะสังเกตคนนั้น ศึกษาว่า เขาเป็นมีความรู้ ความสามารถอย่างไร การติดต่อ การสมาคมกับผู้หลักผู้ใหญ่ในวง งานวงการ เป็นอย่างไร นิสัยใจคอเขาเป็นอย่างไร แล้วเอามาเปรียบกับเราว่าเรา มันขาดอะไร บ้าง ที่คนนั้นมีเรามีไหม ไม่ใช่วัดแต่ความรู้กันอย่างเดียว ค�ำสอน๑หยิบมือ
71
ความรู้ว่าสอบไล่ได้ ที่ได้ก็ไม่เหมือนกัน ปริญญาที่ได้ก็ไม่เท่ากัน บางคน สอบสี่ปีได้ บางคนตั้งห้าปีหกปีจึงจะได้ เวลาก็ไม่เท่ากันแล้ว การเรียนก็ไม่เท่ากัน แล้ว เวลาออกไปท�ำงานมันก็ไม่เท่ากัน ความไหวพริบ ความคิดนึกตรึกตรอง การรู้จักกับผู้หลัก ผู้ใหญ่ การเข้าใกล้ การสมาคมกับคนเหล่านั้น มันมีอะไรบกพร่องบ้าง ในตัวของเรานั้น เรา จะต้องพิจารณา ต้องปรับปรุง อย่าลงโทษตัวเองเสียท่าเดียว ว่าเรานี่มันแย่ดวงไม่ดีเลย สู้คน นั้นไม่ได้ สู้คนนี้ไม่ได้ เรื่องการโทษดวงนี้แหละ มันท�ำให้เสียหายอยู่ คือเมื่อโทษดวงแล้ว เราก็ ไม่พิจารณาตัวเอง ไม่ศึกษาค้นคว้าในตัวเรา ว่าเราบกพร่องอะไร เราเสียหายอะไร เราก็ไม่คิด แก้ไข เพราะไปโทษดวงเสียแล้ว แต่ถ้าเราคิดว่า เราต้องศึกษาที่ตัวเราเอง ว่าเรานี่บกพร่องอะไร ดูเพื่อนเขาก่อน เพื่อนที่ ท�ำงานในส�ำนักงานเดียวกัน ว่าเขาเก่งอะไรบ้าง ความรู้ความสามารถ กิริยาท่าทาง การเข้าหา ผู้หลักผู้ใหญ่ มันหลายเรื่อง ไม่ใช่เรื่องเดียว ที่จะท�ำคนให้ก้าวหน้า ไม่ใช่มีวิชาแล้ว มันจะก้าว พรวดพลาดไปได้เมื่อไหร่ บางคนมีวิชาแต่ไปไม่รอดก็มี บางคนมีวิชามีไม่เท่าไหร่ แต่ว่ามีอย่าง อื่นดีหลายอย่าง ที่ประกอบกัน เราก็ต้องพิจารณา ศึกษาในเรื่องคนนั้น คนนี้ ว่าเขามีดีอะไร อย่าไปพูดว่าคนดวงมันดี นั่นมันขึ้นไปแล้วพูดอย่างนั้นก็ไม่ได้ปัญญา แต่เราต้องศึกษาว่าเขาดี อย่างไร ท�ำงานเป็นอย่างไร สมาคมกับผู้หลักผู้ใหญ่เป็นอย่างไร ใกล้ชิดกับผู้หลักผู้ใหญ่ไหม เขา ใกล้ชิดผู้ใหญ่ เขาคุ้นเคยกับผู้หลักผู้ใหญ่ เราไม่คุ้นเคย งานการเราก็ไม่ค่อยคล่องเท่าไหร่ มัน หลายเรื่องหลายประการ เราพิจารณาอย่างนี้ ก็ไม่น้อยใจในตัวเอง แต่จะรู้จักตัวเอง ว่าเรามันมี อะไรบกพร่อง ที่เราจะต้องแก้ไขปรับปรุงต่อไป แล้วเราพยายามแก้ไข ปรับปรุง ดูคนอื่นแล้วท�ำ ตามเขาบ้างในเรื่องที่มันดี มันมีประโยชน์ แต่ว่าเรื่องใดที่ไม่ดี ไม่มีประโยชน์เราไม่เอา เอาแต่ เรื่องดี ก็มนุษย์ในโลกนี้ชอบคนดีกันทั้งนั้น แต่เราต้องท�ำให้เขาเห็น ท�ำดีให้ปรากฏ อย่างนี้เรา ก็พอไปรอด ไม่ตกต�่ำอะไรมากเกินไป นี่คือวิธีการแก้ไขปัญหาชีวิตของเราได้ ในเรื่องการติดต่อ การงาน การสมาคมอะไรต่างๆ คนบางคนมันเป็นอย่างนี้ อาตมาเคยสังเกต ไม่ค่อยจะเข้าหา ผู้หลักผู้ใหญ่ ท�ำงานแต่ว่าไม่รู้จักผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่เขาก็ไม่รู้จักเรา อันนี้มันก็เสียหาย เราอยู่กับใคร ต้องท�ำความคุ้นเคยกับผู้ นั้น ต้องเข้าใกล้ ต้องหาโอกาสให้ได้พบกันบ่อยๆ จะได้รับใช้จะได้ใกล้ ชิด คนเราถ้าได้รับใช้ได้ใกล้ชิดแล้ว มันก็นึกได้ มีอะไรก็นึกถึง คนที่ไม่เข้าใกล้เลย มันนึกไม่ออก ว่าเอ๊ะคนนั้นคนนี้ มันเป็นอย่างนี้ ไม่ต้องอะไร พระในวัดมีหลายๆ องค์ พระบางองค์ไม่เคยเข้า ใกล้สมภาร แล้วสมภารก็ไม่ค่อยนิมนต์ไปงานไปการ
72
ค�ำสอน๑หยิบมือ
เพราะเวลานิมนต์นี้ต้องนึกว่าจะนิมนต์ใคร เห็นหน้าแต่คนที่อยู่ใกล้ๆ พอ นึกแล้วคนนั้นผุดขึ้นในใจ แล้วนิมนต์องค์ที่ใคร องค์ที่ไกลออกไปไม่เคยอะไร พระในวัด มีหลายๆองค์ พระบางองค์ไม่เคยเข้าใกล้สมภาร แล้วสมภารก็ไม่ค่อยนิมนต์ไปงานไปการ เพราะเวลานิมนต์นี้ กว่าจะนิมนต์ใคร เห็นหน้าแต่คนที่อยู่ใกล้ องค์ที่ไกลออกไป ไม่เคยโผล่ หน้ามาเยี่ยมกุฏิสมภารเลย เขาก็นึกไม่ออก เมื่อเขานึกไม่ออก เมื่อเขานิมนต์เลยสมภารท่าจะ ไม่ชอบเรา แล้วนั่งใบ้อยู่คนเดียว ทีนี้เราก็นึกว่าเรานี้เข้าใกล้ผู้ใหญ่บ้างหรือเปล่า รู้ไหมว่าเขาท�ำ อะไรบ้าง บางคนไม่ได้เรื่องเลย ไม่ว่าอยู่วัดอยู่บ้าน ไม่สนใจที่จะช่วยงานช่วยการใครๆ เคยมีคราวหนึ่งที่ชลประทาน เขาเปิดเขื่อนยันฮีในหลวงเสด็จ พรุ่งนี้ในหลวงเสด็จแล้ว พลับพลาที่ประทับยังพ่นสีกันอยู่เลย ปกติเขาก็ท�ำอย่างนั้น ยังพ่นสีอยู่กันอยู่ท�ำงานท�ำการ อธิบดีท่านไปยกโต๊ะเก้าอี้อยู่เอง ไม่ใช่ไปนั่งชี้นิ้ว อธิบดีหม่อมชูชาติ ท่านท�ำด้วย ท่านไปยกนั่น จับนี่จับโน่นทีเดียว เพราะคนอื่นท�ำไม่ถูกใจท่านท�ำเอง ข้าราชการคนหนึ่งใส่เสื้อฮาวายลาย พล้อย ยืนเอามือไขว้หลังดูเฉยอยู่นั่น มองๆ มันไม่รู้สึกตัว ยังยืนเอามือไขว้หลัง ท�ำตัวเป็นนาย ห้างใหญ่อยู่นั่นเอง ท่านอธิบดีท่านร�ำคาญขึ้นมา ท่านเข้าไปถามว่า คุณ มาจากไหนไม่ทราบ กระผมท�ำงานกรมชลฯ มาท�ำอะไร มาราชการ พรุ่งนี้ถึงวันเปิดจะได้ท�ำงานท�ำการ ชื่ออะไร อธิบดีจดชื่อเอาไว้ ตั้งแต่นั้นไม่ได้ขึ้นเงินเดือน จนท่านอธิบดีลาออกไม่ได้เลย นี่แหละเขาเรียกว่ามันไม่เข้าเรื่อง นายท�ำอะไร ท�ำไมไปยืนดูนาย มันควรจะเข้าช่วยรื้อขอ งช่วย จัด ช่วยแต่ง ก็เป็นที่พอใจของท่าน ว่าเอออ้ายนี่มันใช้ได้ คนมีหัวใจ คือไม่ดูดาย เห็นเขาท�ำ อะไรก็ไปช่วยท�ำกับเขามั่ง คนบางคนมันใจไม้ไส้ระก�ำเสียจริงๆ เห็นใครท�ำอะไรก็เฉย ไม่สนใจ ไม่รู้เรื่องอะไร อยู่แต่ในที่ของตัว ไม่ได้ท�ำอะไร ผู้ใหญ่ท�ำอะไรก็เข้าไปใกล้ เข้าไปช่วยเหลือ ให้ คุ้นเคยกัน แล้วทีหลังสะดวก เพียงเท่านี้ก็ชื่นใจแล้ว หรือให้เกิดความคุ้นเคย หรือมิฉะนั้น เรา ไปศึกษาหารือกับผู้ใหญ่ จะท�ำอะไรเขาสั่งให้ท�ำแล้ว ความจริงเราอาจจะรู้ว่าท�ำอย่างไร แต่มันก็ต้องมีกุสโลบายบ้างผู้หลักผู้ใหญ่ ไปถึง แหมเรื่องนี้ กระผมยังไม่เข้าใจแจ่มแจ้ง ว่าปฏิบัติอย่างไร อยากจะมาหารือในเรื่องนี้สักเล็กน้อย ผู้ใหญ่ท่าน คงจะภูมิใจ ในการที่เราเข้าไปศึกษาไต่ถามอย่างนั้น ท่านไม่เกลียดหรอกใน เรื่องนั้น ท่านอยากจะให้เราไต่ถาม ท่านจะได้แนะน�ำ คนเรามันภูมิใจ ในเมื่อคนอื่นมาศึกษา เล่าเรียนกับเรา ท่านก็ต้องแนะน�ำอย่างนั้นอย่างนี้ เราก็จ�ำไว้จดไว้บันทึกไว้ จดผิดจดถูกจดไว้ อย่างฟังเฉยๆ ฟังเฉยๆ บางทีมันก็ลืมเสีย บอกก็จดไว้ จดผิดจดถูกจดไว้ก็แล้ว ค�ำสอน๑หยิบมือ
73
กัน ท่านเห็นว่าเราเอาความรู้ของท่านของท่านไปใช้ แล้วไปท�ำ แล้วก็ควร จะไปหาท่าน บอกว่า แหมสิ่งที่ใต้เท้าแนะน�ำไปวันนั้น ผมได้ลองเอาไปปฏิบัติแล้ว ได้ผล สมความตั้งใจ อย่าไปท�ำแล้วหายหัวไปเลย ไม่รู้ว่าท�ำหรือเปล่า อันนี้ธรรมเนียมไทยก็มีอยู่แล้ว เขาว่าไปลามาไหว้ไปไหนต้องไปลา การไปปรึกษาหารือ ก็คือไปลานั่นแหละ มาไหว้คือต้องไปบอกให้รู้ว่าได้ไปท�ำอะไรมา ท�ำเรียบร้อยหรือเปล่า มี ปัญหาอะไร มีข้อขัดข้องอะไรบ้าง แล้วก็มารายงานให้ท่านรู้ ท่านก็พอใจ ว่าเรานี่ได้ไปท�ำงาน ได้เรียบร้อย ถ้ามีอุปสรรคขัดข้องมารายงาน ว่ามีข้อขัดข้องอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่สะดวก ท่านก็ จะได้คิดแก้ไขต่อไป นี่เขาเรียกว่าประสานงานกับผู้ใหญ่ หมั่นเข้าใกล้บ่อยๆ เคยไปเทศน์สอนข้าราชการอยู่บ้างเหมือนกัน เช่นว่าวันเกิดของนาย บางคนไปเอาโน้นตอน เย็น จะไปกินเลี้ยงเลย อย่างนี้มันจะได้เรื่องอะไร เราจะไปอวยพรนายไปเช้าๆ คนมันเยอะถ้า เราไปหลังเพื่อน นายตาลายเสียแล้ว คนมันมากจ�ำไม่ได้ รับๆ วางๆ ไว้ของใครก็ไม่รู้ จ�ำไม่ได้ มันไม่ประทับใจ เราจะให้ประทับใจต้องไปเช้ามืด ไปยืนรออยู่ตรงประตู พอคนใช้เปิดประตู เราก็เข้าไปเลย อยู่ที่หน้าบ้าน พอท่านออกมาจะท�ำบุญใส่บาตร ตรงเข้าไปกราบอวยพร ขอให้ ใต้เท้ามีความสุข มีความเจริญแล้วก็บอกว่าผมผู้น้อย ไม่มีเงินมีทองมีของขวัญอะไรมาฝาก เล็ก น้อย ไม่ต้องแพงของฝาก ดอกไม้สักช่อหนึ่งก็เรียกว่าน�้ำใจ แต่ถ้าเราไปเช้าแจ่มใสอารมณ์ก�ำลัง ดี เห็นหน้าเราก็จ�ำได้ เออไอ้นี่มาอวยพรเราแต่เช้า ถ้าเราไปบ่ายเลือนหมดแล้ว จ�ำไม่ได้ มาถึงก็ วางไว้ก่อน คนมันมาก มันยุ่ง นี่เขาเรียกว่าไม่รู้จักเวลา จะไปไหนจะต้องไปก่อนเพื่อน ท�ำอะไร มันต้องรู้จักท�ำ อย่างนั้นเป็นศิลปเหมือนกัน ในเรื่องอย่างนี้ คนไม่ใช้แล้วก็ไปบ่นดวงไม่ดี นี่มันก็ ล�ำบากเรื่องชีวิต ที่เราใช้ธรรมใช้เหตุผล แล้วจะช่วยอะไรเราได้บ้าง นอกจากปัญหาอย่างนี้แล้ว คนหนุ่มมักจะมีปัญหา เรื่องเพศเรื่องแฟนอะไรอย่างนี้ บางทีก็ไปรักคนนั้นไว้ รักแล้วรักทุ่มเลยทีเดียว ทิ้งลงไปทั้งร้อยไม่เหลือเก็บไว้มั่ง เลยเราอย่า ไปรักเขาทั้งร้อย เผื่อๆ ไว้สักหน่อย มันไม่แน่นะ เขาอาจจะเปลี่ยนแปลงได้วันหลัง ถ้าสมมติว่า ถ้าเขาเปลี่ยนแปลงได้ในวันหลัง ถ้าเราทุ่มไปทั้งร้อยไม่ไหว กลับไปไม่ทัน จะเสียใจว่า เราดวง ไม่ดี มีคู่รักมันก็เวร มันอาภัพ ปัตตนิมันไม่ดี ถ้าหมวดเลขเจ็ดเขาว่าอย่างนั้น ปัตตนิ หมายถึง คู่ครองไม่ดี เกณฑ์คู่มันพลิกท้องทุกที แล้วก็เสียอกเสียใจ ไอ้นี้มันไม่ได้ผิดที่ใครหรอก ผิดที่ว่า เรารักเขามากเกินไป แล้วเขาเหวี่ยงปัดเราไป ความจริงมันไม่ใช่เรื่องเสียอกเสียใจแล้ว เราควรจะคิดไว้ว่าก็รักเผื่อๆ ไว้ทีหลังที่ตกลงเรียบร้อย ไว้เป็นคู่ครองกัน แต่ถ้าเขาเปลี่ยนแปลงไปก็ช่าง อย่าไปทุกข์ไปร้อนอะไรมากเกินไป อย่าทุ่มให้
74
ค�ำสอน๑หยิบมือ
มันหมดตัว อย่าไปยึดถือให้มันมากเกินไป ในสิ่งเหล่านั้นก็ไม่มี ปัญหา อะไร บางคน แหม! พอเมียตายเท่านั้นก็ฆ่าตัวตายเลย เหมือนกับวันก่อน ที่อัยการหนุ่ม เรียนกว่าจะได้เนติบัณฑิต เป็นอัยการเป็นเวลาสิบปีไม่ใช่เวลาน้อยๆ แล้วก็มีลูกไว้สอง หญิง หนึ่ง ชายหนึ่ง คิดถึงเมีย ไปเยี่ยมศพเมียบ่อยๆ ไปเยี่ยมด้วยความเขลา ไม่ไปด้วยปัญญา ก็คิด ว่าชีวิตมนุษย์ก็อย่างนี้ เกิดแล้วก็ต้องตาย ที่วัดมกุฏฯ วัดโสมนัส ก็น่าจะรู้ว่า ที่นอนอยู่ไม่ใช่ ตัวเดียว มันเยอะแยะใครต่อใครมานอนอยู่ น่าจะเกิดปัญญา แต่ไปก็ไม่ได้เกิดปัญญา นั่งเศร้า เสียใจ ไม่ใช่ไปมือเปล่าพกปืนไปด้วย ไปยิงกับผีที่ป่าช้า พกปืนไปท�ำไม นี้เป็นความคิดที่ผิด แล้วเอาปืนไปด้วย ผลที่สุดคิดถึงภรรยามากเกินไป นึกขึ้นมา ชีวิตอยู่ไม่ไหวแล้ว ฉันขาดเธอมัน ไม่มีความหมาย นี่เขาเรียกว่าคิดแบบโง่ๆ ไม่ได้เรื่อง เลยก็ยิงตัวตายในวัดมกุฏฯนั่นเอง พูดให้มีปัญญามั่งแหละ คิดให้มีปัญญามั่งแหละ มันก็ไม่ฆ่าตัวตาย ไปวัดแล้วก็นั่งอยู่ ข้างโบสถ์คนเดียว โบสถ์มันพูดไม่ได้ นี้ลองเดินไปกุฏิพระมั่งจะเป็นไร ไปคุยกับเจ้าคุณนั้น เจ้า คุณนี้ เจ้าคุณจะได้คุยอะไรต่อไป ปัญญาจะได้เกิดขึ้นบ้าง นี่ไม่ได้คิดอย่างนั้น ไปนั่งคนเดียว ใน เวลาทุกข์แล้วไม่ไปหาคน ไปนั่งทุกข์อยู่ข้างเสามั่ง ไปนั่งทุกข์อยู่ข้างฝามั่ง ไปหาสิ่งที่พูดด้วย ไม่ได้ทั้งนั้นแหละ เรามันต้องไปหาคนแหละ หรือต้องไปหาพระ พระจะได้ถามสารทุกข์สุกดิบ และแนะแนวทางให้เข้าใจ เรื่องอะไรมีปัญหาอะไร พระท่านจะได้ชี้แจงตามแนวธรรมะ เราก็จะ คลายจากความทุกข์ ความเดือดร้อน เรามาศึกษามาไต่ถามปัญหา มีความกลุ้มใจก็มาวัดไห้พระท่านชี้แนะแนวทางให้ อันนี้ มันจะได้ประโยชน์ไม่ต้องฆ่าตัวตาย คนใดมาพบพระแล้วไม่ตายหลายคนแล้วนะ เด็กหนุ่มก็มี เด็กสาวก็มี กลุ้มใจ มาวัดแล้วไม่เป็นไร มาวัดแล้วไม่ตายแน่ มาพูดกันให้เช้าใจรู้เรื่องในชีวิตให้ เข้าใจกลับไปเสียมั่ง ก็จะได้เรียบร้อย บางทีจะยิงกันแล้ว พระยังช่วยไว้ได้ เพราะฉะนั้นเราต้องใช้ธรรมะไว้ ในการด�ำเนินชีวิตประจ�ำวัน ไม่ว่าเรื่องอะไรต้องคิดถึงธรรมะ เอาธรรมะเป็นหลักไว้เสมอๆ แล้วเอาตัวรอดได้ ดังได้แสดงมาก็สมควรแก่เวลา ขอยุติไว้เพียงแค่นี้. หลวงพ่อปัญญา นันทภิกขุ
ค�ำสอน๑หยิบมือ
75
วิธีปฏิบัติเมื่อถูกด่าว่า ปัญหา เมื่อเราถูกด่าว่าด้วยถ้อยค�ำหยาบคาย เราควรจะปฏิบัติอย่างไร? พุทธด�ำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทางแห่งถ้อยค�ำที่บุคคลอื่นจะพึงกล่าวกะท่าน มีอยู่ ๕ ประการ คือ กล่าวโดยกาลอันสมควรหรือไม่สมควร ๑ กล่าวด้วยเรื่องจริงหรือไม่จริง ๑ กล่าวด้วยค�ำอ่อนหวานหรือค�ำหยาบคาย ๑ มีจิตเมตตาหรือมีโทสะในภายในกล่าว ๑ ดู ก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลอื่นจะกล่าวโดยกาลอันสมควรหรือไม่สามควรก็ตาม จะกล่าว ด้วยเรื่องจริงหรือไม่จริงก็ตาม จะกล่าวด้วยค�ำอ่อนหวานหรือค�ำหยาบคายก็ตาม จะกล่าว ถ้อยค�ำประกอบด้วยประโยชน์หรือไม่ประกอบด้วยประโยชน์ก็ตาม จะมีจิตเมตตาหรือมีโทสะ ภายในกล่าวก็ตาม ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ในข้อนั้น พวกเธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า จิตของเราจัก ไม่แปรปรวน เราจักไม่เปล่งวาจาลามก เราจักอนุเคราะห์ด้วยสิ่งอันเป็นประโยชน์ เราจักมีจิต เมตตา ไม่มีโทสะในภายในเราจักแผ่เมตตาจิตไปถึงบุคคลนั้น และจักแผ่เมตตาจิตอันไพบูลย์ ใหญ่ยิ่งหาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาทไปตลอดโลก ทุกทิศทุกทางซึ่งเป็นอารมณ์ของ จิตนั้นดังนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายถึงศึกษาด้วยอาการดังที่กล่าวมานี้แลฯ ” พระพุทธเจ้า
การล้างบาปด้วยน�้ำ ปัญหา ลัทธิพราหมณ์ถือว่า กระท�ำบาปแล้วอาจจะช�ำระล้างให้หมด สิ้นไปด้วยการอาบน�้ำในแม่น�้ำศักดิ์สิทธิ์ เช่น แม่น�้ำคงคา เป็นต้น ทางพระพุทธศาสนา มีทรรศนะเกี่ยวกับเรื่องนี้ อย่างไร ? พุทธด�ำรัสตอบ “.....คนพาล มีกรรมด�ำ (บาป) แล่นไปยังแม่น�้ำพาหุกาท่าน�้ำอธิกักกะ ท่าน�้ำคะ ยา แม่น�้ำสุนทริกา แม่น�้ำสรัสสดี ท่าน�้ำปยาคะ และแม่น�้ำพาหุมดีแม้เป็นนิตย์ ก็บริสุทธิ์ไม่ได้ แม่น�้ำสุนทริกา ท่าน�้ำปยาคะ หรือแม่น�้ำพาหุกา จักท�ำอะไรได้ จะช�ำระนรชนผู้มีเวรท�ำ กรรมอันหยายช้า ผู้มีกรรมอันเป็นบาปนั้นให้บริสุทธิ์ไม่ได้เลย ผัคคุณฤกษ์ย่อมพึงพร้อมแก่
76
ค�ำสอน๑หยิบมือ
บุคคลผู้หมดจดแล้วทุกเมื่อ อุโบสถก็ย่อมถึงพร้อมแก่บุคคลผู้หมดจด แล้วทุกเมื่อ วัตรของบุคคลผู้หมดจดแล้ว มีการงานอันสะอาด ย่อมถึงพร้อมทุกเมื่อ ดู ก่อนพราหมณ์ ท่านจงอาบในค�ำสอนของเรานี้เถิด จงท�ำความเกษมในสัตว์ทั้งปวงเถิด ถ้า ท่านไม่กล่าวค�ำเท็จ ไม่เบียดเบียนสัตว์ ไม่ถือวัตถุที่เขาไม่ให้เป็นผู้มีความเชื่อ ไม่ตระหนี่ไซร้ ท่านจักต้องไปยังท่าน�้ำคะยาท�ำไม แม้การดื่มน�้ำในท่าน�้ำคะยาก็จักท�ำอะไรให้แก่ท่านได้ฯ พระพุทธเจ้า
เรียนไม่เป็นก็มีโทษ ปัญหา คนทั่วไปเข้าใจว่า การเรียนธรรมเป็นของดี มีประโยชน์ แต่ ถ่ายเดียว ใครจะทราบว่าการเรียนธรรมก่อให้เกิดทุกข์โทษ มีหรือไม่? พุทธด�ำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุรุษเหล่าบางพวกในพระธรรม วินัยนี้ ย่อม เล่าเรียนธรรมคือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทั ลละ บุรุษเหล่าเหล่านั้นเล่าเรียนธรรมนั้นแล้ว ย่อมไม่ไตร่ตรอง เนื้อความแห่งธรรมเหล่านั้น ด้วยปัญญา ธรรมเหล่านั้นย่อมไม่ควรซึ่งการเพ่งแก่บุรุษเปล่าเหล่านั้น ผู้ไม่ไตร่ตรองเนื้อความ ด้วยปัญญา บุรุษเปล่าเหล่านั้น เป็นผู้มีความข่มผู้อื่นเป็นอานิสงส์ (เรียนเพื่อข่มผู้อื่น) และมี การเปลื้องเสียซึ่งความนินทาเป็นอานิสงส์ (เรียนเพื่อให้คนต�ำหนิมิได้) ย่อมเล่าเรียนธรรม ก็ กุลบุตรทั้งหลายย่อมเล่าเรียนธรรมเพื่อประโยชน์อันใด บุรุษเหล่าเหล่านั้นย่อมไม่ได้เสวย ประโยชน์แห่งธรรมนั้น ธรรมเหล่านั้นอันบุรุษเหล่านั้นเรียนไม่ดีแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความไม่ เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์สิ้นกาลนาน ข้อนั้นเป็นเพราะอะไร เพราะธรรมทั้งหลายอันตนเรียน ไม่ดีแล้ว “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีความต้องการด้วยงูพิษเสาะหางูพิษ เที่ยวแสวงหางูพิษ เขาพึงพบงูพิษตัวใหญ่ พึงจับงูพิษนั้นที่ขนดหรือที่หาง งูพิษนั้นพึงแว้งกัดเขา
ค�ำสอน๑หยิบมือ
77
ที่มือ ที่แขน หรือที่อวัยวะใหญ่น้อยแห่งใดแห่งหนึ่ง เขาพึงถึงความตาย หรือความทุกข์ปางตาย มีการกัดนั้นเป็นเหตุข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร เพราะงูพิษตนจับไม่ ดีแล้ว” พระพุทธเจ้า
ความส�ำคัญของจิตใจ ปัญหา มีบางคนกล่าวว่า ในบรรดาการกระท�ำทางกาย ทางวาจา และทางใจนั้น การกระท�ำทางกายส�ำคัญที่สุด เพราะก่อให้เกิดผลเห็นได้ชัด เช่น ฆ่าเขา ตายด้วยกาย ย่อมมีผลเสียหายมากกว่ากล่าวอาฆาตด้วยวาจา และการคิดจะฆ่าด้วยใจ พระ ผู้มีพระภาคตรัสอย่างไรในเรื่องนี้? พุทธด�ำรัสตอบ “..... ดูก่อนตัปสสี บรรดากรรมทั้ง ๓ ประการ ที่จ�ำแนกออกแล้วเป็นส่วนละ อย่างต่างกันเหล่านี้ เราบัญญัติมโนกรรมว่ามีโทษมากกว่า ในการท�ำบาปกรรม ในการเป็นไป แห่งบาปกรรม เราจะบัญญัติกายกรรมวจีกรรมว่ามีโทษมากเหมือนมโนกรรมหามิได้” เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสเช่นนี้แล้ว อุบาลีคฤหบดีผู้เป็นสาวกของนิครนถนาฏบุตรก็ยังยืนยัน อยู่นั่นเองว่า กายกรรมมีโทษมากกว่า พระผู้มีพระภาคจึงตรัสต่อไปว่า “ดูก่อนคฤหบดี ท่าน จะส�ำคัญในความข้อนั้นเป็นไฉน นิครนถ์ในโลกนี้เป็นคนอาพาธ มีทุกข์ เป็นไข้หนัก ห้ามน�้ำเย็น ดื่มแต่น�้ำร้อน เมื่อเขาไม่ได้น�้ำเย็นจะต้องตาย ดูก่อนคฤหบดี ก็นิครนถนาฏบุตรบัญญัติความ เกิดของนิครนถ์ผู้นี้ ณ ที่ไหนเล่า?” อุบาลีคฤหบดี “..... ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เทวดาชื่อว่ามโนสัตว์มีอยู่นิครนถ์นั้นย่อมเกิดใน เทวดาจ�ำพวกนั้น.... เพราะนิครนถ์ผู้นั้นเป็นผู้มีใจเกาะเกี่ยวท�ำกาละ....” ก็เป็นอันว่า อุบาลีคฤหบดีย่อมรับว่ามโนกรรมส�ำคัญกว่า แต่เขายังยืนยันต่อไปว่า กายกรรม ส�ำคัญกว่า พระผู้มีพระภาคจึงตรัสต่อไปว่า “ดูก่อนคฤหบดี ท่านจะส�ำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน นิครนถ์ในโลกนี้ พึงเป็นผู้ส�ำรวมด้วยการสังวรโดยส่วน ๔ คือ ห้ามน�้ำทั้งปวง ประกอบด้วยการ ห้ามบาปทั้งปวง ก�ำจัดบาปด้วยการห้ามบาปทั้งปวง อันการห้ามบาปทั้งปวงถูกต้องแล้ว
78
ค�ำสอน๑หยิบมือ
ย่อมถึงการฆ่าสัตว์ตัวเล็กๆ เป็นอันมากดูก่อนคฤหบดี นิครนถนาฏ บุตรบัญญัติ วิบากเช่นไรแก่นิครนถ์ผู้นี้?” อุบาลี “ข้าแต่พระองค์ผู้ เจริญ นิครนถนาฏบุตรมิได้บัญญัติกรรม อันเป็นไปโดยไม่เจาะจงว่า มีโทษมากเลย” พระผู้มีพระภาค “ดูก่อนคฤหบดี ก็ถ้าจงใจเล่า?” อุบาลี “.... เป็นกรรมมีโทษมาก” พระผู้มีพระภาค “... ก็นิครนถนาฏบุตรเจตนาลงในสวนไหน?” อุบาลี “... นิครนถนาฏบุตรบัญญัติเจตนาลงในส่วนมโนทัณฑะ” (มโนกรรม) ก็เป็นอันว่า อุบาลีคฤหบดี ยอมรับด้วยถ้อยค�ำของตนเองว่ามโนกรรมส�ำคัญกว่า แต่ก็ยังยืนยัน ว่ากายกรรมส�ำคัญกว่าต่อไปอีก พระผู้มีพระภาคจึงตรัสต่อไปว่า “ดูก่อนคฤหบดี ท่านจะ ส�ำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บ้านนาฬันทานี้ เป็นบ้านมั่งคั่งเป็นบ้านเจริญ มีชนมาก มีมนุษย์ เกลื่อนกล่น.... พึงมีบุรุษคนหนึ่งเงื้อดาบมา เขาพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เขาจักท�ำสัตว์เท่าที่มีอยู่ใน บ้านนาฬันทานี้ ให้เป็นลานเนื้ออันเดียวกัน ให้เป็นกองเนื้ออันเดียวกัน โดยขณะหนึ่ง โดยครู่ หนึ่ง ดูก่อนคฤหบดี ท่านจักส�ำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษนั้นจะสามารถท�ำสัตว์เท่าที่มีอยู่ใน หมู่บ้านนาฬันทานี้ให้เป็นลานเนื้อันเดียวกันได้หรือ?” เมื่ออุบาลีทูลว่า ท�ำไม่ได้ พระพุทธองค์จึงตรัสต่อไปว่า “ดูก่อนคฤหบดี ท่านจะส�ำคัญความข้อ นั้นเป็นไฉน สมณะหรือพราหมณ์ผู้มีฤทธิ์ถึงความเป็นผู้ช�ำนาญในทางจิต พึงมาในบ้านนาฬัน ทานี้.... พึงกล่าวอย่างนี้ว่า เราจักท�ำบ้านนาฬันทานี้ให้เป็นเถ้า ด้วยจิตคิดประทุษร้ายดวง เดียว ดูก่อนคฤหบดี ท่านจะส�ำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน สมณะหรือพราหมณ์ผู้มีฤทธิ์.... นั้น จะ สามารถท�ำบ้านนาฬันทานี้ให้เป็นเถ้า ด้วยจิตประทุษร้ายดวงหนึ่งได้หรือหนอ?” อุบาลีคฤหบดียอมรับว่าท�ำได้ ซึ่งแสดงให้เป็นว่ามโนกรรมส�ำคัญกว่าแต่ก็ยังยืนยันต่อไปว่า กายกรรมส�ำคัญกว่า พระผู้มีพระภาคจึงตรัสต่อไปว่า “ดูก่อนคฤหบดี ท่านจะส�ำคัญกว่า พระผู้ มีพระภาคจึงตรัสต่อไปว่า “ดูก่อนคฤหบดี ท่านจะส�ำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ป่าทัณฑดี ป่ากา ลิคะ ป่ามาตังคะ เกิดเป็นป่าไปท่านได้ฟังมาแล้วหรือ? อุบาลี “.... ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้ว....”
ค�ำสอน๑หยิบมือ
79
พระผู้มีพระภาค “... ท่านได้ฟังมาว่าอย่างไร เกิดเป็นป่าไปเพราะ
เหตุไร?” อุบาลี “... เพราะใจประทุษร้าย อันพวกเทวดาท�ำเพื่อฤาษี” ในที่สุด อุบาลีคฤหบดีก็ยอมรับว่ามโนกรรมส�ำคัญกว่า และประกาศตนเป็นสาวกของพระบรม ศาสดา พระพุทธเจ้า
ก่อนท�ำ พูด คิด ควรท�ำอย่างไร ปัญหา ก่อนแต่จะท�ำ จะพูด จะคิดก็ดี ขณะที่ก�ำลังท�ำ ก�ำลังพูด ก�ำลังคิดอยู่ก็ดี พระผู้มีพระภาคทรงแนะน�ำไว้อย่างไร? พุทธด�ำรัสตอบ “..... ดูก่อนราหุล เธอปรารถนาจะท�ำกรรมใด ด้วยกาย.... ด้วยวาจา... ด้วย ใจ... เธอพึงพิจารณาเสียก่อนว่า เราปรารถนาจะท�ำกรรมนี้ด้วยกาย... ด้วยวาจา.... ด้วยใจ กายกรรม... วจีกรรม... มโนกรรม... ของเรานี้ พึงเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนบ้าง เพื่อเบียดเบียน ผู้อื่นบ้าง เพื่อเบียดเบียนทั้งตนทั้งผู้อื่นบ้าง กายกรรม... วจีกรรม... มโนกรรม... นี้เป็นอกุศล มี ทุกข์ เป็นก�ำไร มีทุกข์เป็นวิบากกระมังหนอ ดูก่อนราหุล ถ้าเมื่อเธอพิจารณาอยู่พึงรู้อย่างนี้ว่า เราปรารถนาจะท�ำกรรมใดด้วยกาย.... ด้วยวาจา... ด้วยใจ กายกรรม... วจีกรรม... มโนกรรม... ของเรานี้ พึงเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนเพื่อเบียดเบียนผู้อื่น เพื่อเบียดเบียนทั้งตนทั้งผู้อื่น ...... เป็นอกุศลมีทุกข์เป็นก�ำไร มีทุกข์เป็นวิบากดังนี้ไซร้ กรรมเห็นปานนี้ เธอไม่พึงท�ำด้วยกาย ... ด้วยวาจา.... ด้วยใจ.... โดยส่วนเดียว “แต่ถ้าเมื่อเธอพิจารณาอยู่พึงรู้อย่างนี้ว่า เราปรารถนาจะท�ำกรรมใด ด้วยกาย.... ด้วยวาจา... ด้วยใจ กายกรรม... วจีกรรม... มโนกรรม...ของเรานี้ ไม่พึงเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตน เพื่อ เบียดเบียนผู้อื่น เพื่อเบียดเบียนทั้งตนทั้งผู้อื่น เป็นกุศล มีสุขเป็นก�ำไร มีสุขเป็นวิบากดังนี้ไซร้ กรรมเห็นปานนี้ เธอพึงท�ำด้วยกาย ... ด้วยวาจา.... ด้วยใจ
80
ค�ำสอน๑หยิบมือ
“แม้เมื่อเธอก�ำลังกระท�ำกรรมด้วยกาย.... ด้วยวาจา..... ด้วยใจ.... ด้วยใจ เธอก็พึงพิจารณากายกรรม.... วจีกรรม.... มโนกรรม.... นั้นแหละว่า เราก�ำลัง กระท�ำกรรมใดด้วยกาย.... ด้วยวาจา... ด้วยใจ กายกรรม... วจีกรรม... มโนกรรม...ของ เรานี้ ย่อมเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนบ้าง..... เป็นอกุศล มีทุกข์ เป็นวิบากกระมังหนอ ถ้าเมื่อ เธอพิจารณาอยู่ พึงรู้อย่างนี้ว่า..... กายกรรม... วจีกรรม... มโนกรรม...ของเรา ย่อมเป็นไป เพื่อเบียดเบียนตนบ้าง เพื่อเบียดเบียนผู้อื่นบ้าง เธอพึงเลิกกรรมเห็นปานนั้นเสีย แต่ถ้าเธอ พิจารณาอยู่พึงรู้อย่างนี้ว่า .... กรรมของเราย่อมเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนบ้าง เพื่อเบียดเบียนผู้ อื่นบ้าง.... เป็นกุศลมีสุขเป็นก�ำไร .... เธอพึงเพิ่มกายกรรม... วจีกรรม... มโนกรรม... พระพุทธเจ้า
คุณของการกินแต่น้อย ปัญหา พระภิกษุในพระพุทธ ศาสนาได้รับอนุญาตให้บริโภคอาหารเพียงวันละ ๑ หรือ ๒ ครั้งเท่านั้น พระผู้มีพระภาคทรงเป็นประโยชน์อย่างไร จึงทรงบัญญัติให้ ภิกษุบริโภคอาหารน้อย? พุทธด�ำรัสตอบ “..... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราฉันอาหารในเวลาก่อนภัตครั้งเดียว เมื่อเรา ฉันอาหารในเวลาก่อนภัตครั้งเดียว ย่อมรู้สึกคุณคือ ความเป็นผู้มีอาพาธน้อย มีโรคเบาบาง กายเบา มีก�ำลัง และอยู่ส�ำราญ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้เธอทั้งหลายจงมา จงฉันอาหารใน เวลาก่อนภัตครั้งเดียวเถิด ด้วยว่าเมื่อเธอทั้งหลายฉันอาหาร ในเวลาก่อนภัตครั้งเดียว จักรู้สึก คุณคือ ความเป็นผู้มีอาพาธน้อย มีโรคเบาบาง กายเบามีก�ำลัง และอยู่ส�ำราญ.....” พระพุทธเจ้า
ค�ำสอน๑หยิบมือ
81
ผู้ที่ไม่เถียงกับใครๆ ปัญหา คนเราที่ไม่รู้ความจริงแท้ ย่อมมีความเห็นแตกต่างกันและ ทะเลาะวิวาททุ่มเถียงกัน มีคนประเภทใดบ้างที่ไม่ทุ่มเถียงกับใครๆ? พุทธด�ำรัสตอบ “อัคคิเวสสนะ เวทนา ๓ อย่างนี้คือ สุขเวทนา ๑ ทุกขเวทนา ๑ อทุกขมสุข เวทนา ๑ อัคคิเวสสนะ สมัยใดได้เสวยสุขเวทนาในสมัยนั้นไม่ได้เสวยทุกขเวทนา ไม่ได้เสวย อ ทุกขมสุขเวทนา ได้เสวยแต่สุขเวทนาเท่านั้น ในสมัยใดได้เสวยทุกขเวทนา ในสมัยนั้นไม่ได้ เสวยสุขเวทนา ไม่ได้เสวยไม่ได้เสวย อทุกขมสุขเวทนา ได้เสวยแต่ทุกขเวทนา เท่านั้น ในสมัย ใดได้เสวยอทุกขมสุขเวทนา ในสมัยนั้นไม่ได้เสวยสุขเวทนา ไม่ได้เสวยแต่ทุกขเวทนา ได้เสวย อทุกขมสุขเวทนา “อัคคิเวสสนะ สุขเวทนา...... ทุกขเวทนา....... อทุกขมสุขเวทนา.....ไม่เที่ยงอันปัจจัยปรุงแต่ง ขึ้นอาศัยปัจจัยเกิดขึ้น มีความสิ้นไป เสื่อมไป คล้ายไปดับไปเป็นธรรมดา “อัคคิเวสสนะ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เมื่อเห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมหน่ายทั้งใน ทั้งสุขเวทนา ทั้ง ทุกขเวทนา ทั้งอทุกขมสุขเวทนา เมื่อหน่ายย่อมคลายก�ำหนัด เพราะคลายก�ำหนัดย่อมหลุด พ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณหยั่งรู้ ว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรท�ำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี อัคคิเวสสนะ ภิกษุผู้มีจิตหลุดพ้นแล้ว อย่างนี้แล ย่อมไม่วิวาทแก่งแย่งกับใคร ๆ โวหารใดที่ชาวโลกพูดกันก็พูดไปตามโวหารนั้น แต่ ไม่ยึดมั่นด้วยทิฐิ” พระพุทธเจ้า
82
ค�ำสอน๑หยิบมือ
ท�ำบาปด้วยความจ�ำเป็น ปัญหา บางครั้งบางคราว คนเราจ�ำต้องท�ำความชั่ว เพราะความ จ�ำเป็น เช่น กระท�ำเพราะเห็นแก่มารดาบิดาผู้มีอุปการคุณ เป็นต้น ในกรณีเช่นนั้น จะ จัดว่าเป็นบาปหรือไม่? พระสารีบุตรตอบ “.....ดูก่อนธนัญชานิ ท่านจะเข้าใจความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนใน โลกนี้ เป็นผู้ประพฤติไม่ชอบธรรม ประพฤติผิดธรรม เพราะเหตุแห่งบิดามารดา นายนิริย บาลจะพึงฉุดคร่าเขาผู้นั้นไปยังนรก เพราะเหตุแห่งการประพฤติไม่ชอบธรรมและประพฤติผิด ธรรม เขาจะพึงได้ตามความปรารถนาหรือว่า เราเป็นผู้ประพฤติไม่ชอบธรรมประพฤติผิดธรรม เพราะเหตุแห่งบิดามารดา ขอนายนิริยบาลอย่าพึงฉุดคร่าเราไปสู่นรกเลย หรือมารดาบิดาของ ผู้นั้นจะพึงได้ตามปรารถนาหรือว่าผู้นี้เป็นผู้ประพฤติไม่ชอบธรรมประพฤติผิดธรรม เพราะเหตุ แห่งการทั้งหลาย ขอนายนิริยบาลอย่าพึงฉุดคร่าเขาไปนรกเลย “.....ดูก่อนธนัญชานิ ท่านจะเข้าใจความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ประพฤติ ไม่ชอบธรรม ประพฤติผิดธรรม เพราะเหตุแห่งบุตรและภริยา.... เพราะเหตุแห่งทาสกรรมกร และคนรับใช้...... เพราะเหตุแห่งมิตรและอ�ำมาตย์....... เพราะเหตุแห่งญาติสาโลหิต....... เพราะเหตุแห่งแขก..... เพราะเหตุแห่งปุพพเปตชน...... เพราะเหตุแห่งเทวดา..... เพราะเหตุ แห่งพระราชา...... เพราะเหตุแห่งการเลี้ยงกาย...... เพราะเหตุท�ำนุบ�ำรุงกาย นายนิริยบาลจะพึงฉุดคร่าเขาผู้นั้นไปยังนรก......เขาจะพึงได้ตามความปรารถนาหรือว่า เรา ประพฤติไม่ชอบธรรม...... เพราะเหตุแห่งการเลี้ยงกาย....... ขอนายนิริยบาลอย่าพึงฉุดคร่าเรา ไปสู่นรกเลย หรือมารดาบิดาของผู้นั้นจะพึงได้ตามปรารถนาหรือว่าผู้นี้เป็นผู้ประพฤติไม่ชอบ ธรรม..... เพราะเหตุแห่งการเลี้ยงกาย ขอนายนิริยบาลอย่าพึงฉุดคร่าเขาไปนรกเลย “.....ดูก่อนธนัญชานิ ท่านจะเข้าใจความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลผู้ประพฤติไม่ชอบธรรม....... เพราะเหตุแห่งบิดามารดา กับบุคคลผู้ประพฤติชอบธรรม ประพฤติถูกธรรม เพราะเหตุแห่ง มารดาบิดา ไหนจะประเสริฐกว่ากัน “.....ดูก่อนธนัญชานิ การงานอย่างอื่นที่มีเหตุประกอบด้วยธรรม เป็นเครื่องให้บุคคลอาจเลี้ยง มารดาบิดาได้ ไม่ต้องท�ำกรรมอันลามก และให้ปฏิบัติปฏิปทาอันเป็นบุญได้ มีอยู่ฯ” พระพุทธเจ้า ค�ำสอน๑หยิบมือ
83
กรรมเก่ากรรมใหม่ ปัญหา นิครนถนาฏบุตร ศาสนาแห่งศาสนาเซนเห็นว่าสุขทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์ที่มนุษย์ได้รับอยู่ในปัจจุบัน ย่อมเป็นผลของกรรมเก่าที่ตนท�ำไว้ใน อดีตทั้งสิ้น ฉะนั้นทุกคนจึงตกเป็นทาสของกรรมอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง วิธีแก้ต้องบ�ำเพ็ญ ตบะ ก�ำจัดกรรมเก่าและไม่ท�ำกรรมใหม่ เมื่อเป็นผู้ไม่มีกรรมอย่างสิ้นเชิงแล้ว จึงจะพ้นทุกข์ได้ เด็ดขาดดังนี้ พระพุทธองค์ทรงมีทรรศนะอย่างไร? พุทธด�ำรัสตอบ “...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราเข้าไปหานิครนถ์ผู้มีวาทะ... ทิฐิ อย่างนี้แล้วถาม ว่า ดูก่อนนิครนถ์ผู้มีอายุ จริงหรือที่มีข่าวว่า พวกท่านมีวาทะอย่างนี้... ว่า ปุริสบุคคลนี้ย่อม เสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นสุขก็ดีเป็นทุกข์ก็ดี มิใช่สุขมิใช่ทุกข์ก็ดี ข้อนั้นทั้งหมดเป็น เพราะเหตุแห่งกรรมที่ตนท�ำไว้ก่อน... พวกนิครนถ์นั้น ถูกเราถามอย่างนี้แล้วย่อมยืนยัน เรา จึงถาม... อย่างนี้ว่า... พวกท่านทราบละหรือว่า เราทั้งหลายได้มีแล้วในก่อนมิใช่ไม่ได้มีแล้ว? นิครนถ์เหล่านั้นตอบว่า ไม่ทราบ เราถามว่า พวกท่านทราบละหรือว่า เราทั้งหลายได้ท�ำบาป กรรมไว้ในก่อน มิใช่ได้ท�ำไว้ พวกนิครนถ์ตอบว่า ไม่ทราบ เราถามว่า พวกท่านทราบละหรือว่า เราทั้งหลายได้ท�ำบาปกรรมอย่างนี้ พวกนิครนถ์ตอบว่า ไม่ทราบ เราถามว่าพวกท่านทราบละ หรือว่า ทุกข์เท่านี้เราสลัดได้แล้ว หรือว่าทุกข์เท่านี้เรายังจะต้องสลัดเสีย หรือว่าเมื่อทุกข์เท่านี้ เราสลัดแล้ว จักเป็นอันว่าเราสลัดทุกข์ได้หมด? พวกนิครนถ์ตอบว่า ไม่ทราบ เราถามว่า พวก ท่านทราบการละอกุศลธรรม การบ�ำเพ็ญกุศลธรรมในปัจจุบันละหรือ? พวกนิครนถ์ตอบว่า ไม่ ทราบ” “เรากล่าวว่า ดูก่อนนิครนถ์ผู้มีอายุ... เมื่อเป็นเช่นนี้ นิครนถ์ผู้มีอายุไม่บังควรจะพยากรณ์ว่า ปุริสบุคคลนี้ย่อมเสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง... ข้อนั้นทั้งหมดเป็นเพราะเหตุแห่งกรรมที่ตน ท�ำไว้ในก่อน” “ดูก่อนนิครนถ์ผู้มีอายุ... สมัยใด พวกท่านมีความพยายามแรงกล้า มีความเพียรแรงกล้า สมัยนั้นพวกท่านย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้าเจ็บแสบอันเกิดแต่ความพยายามแรงกล้า แต่สมัยใด พวกท่านไม่มีความพยายามแรงกล้า... สมัยนั้นพวกท่านย่อมเสวยเวทนาอันเป็น ทุกข์กล้า... อันเกิดแต่ความพยายามแรงกล้า... เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกนิครนถ์ผู้มีอายุไม่บังควรจะ พยากรณ์ว่า... ข้อนั้นทั้งหมดเป็นเพราะเหตุแห่งกรรมที่จนท�ำไว้ก่อน”
84
ค�ำสอน๑หยิบมือ
“... ถ้าสมัยใด พวกท่านมีความพยายามแรงกล้า... สมัยนั้น เวทนาอันเป็นทุกข์กล้า... พึงหยุดได้เอง... เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกนิครนถ์ผู้มีอายุก็ควรจะ พยากรณ์ได้ว่า... ข้อนั้นทั้งหมดเป็นเพราะเหตุแห่งกรรมที่จนท�ำไว้ก่อน” “ดูก่อนนิครนถ์ผู้มีอายุ... ก็เพราะเหตุที่สมัยใด พวกท่านมีความพยายามแรงกล้า... สมัย นั้นพวกท่านจึงเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า พวกท่านนั้นเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า... อันเกิด แต่ความเพียรเองทีเดียว...” “ดูก่อนนิครนถ์ผู้มีอายุ...พวกท่านจะพึงปรารถนาไม่ได้ดังนี้ว่า กรรมใดเป็นของให้ผลใน ปัจจุบัน ขอกรรมนั้นจงเป็นของให้ผลในชาติหน้า... กรรมใดเป็นของให้ผลในชาติหน้า ขอกรรม นั้นจงเป็นของให้ผลในปัจจุบัน... กรรมใดเป็นของให้ผลเป็นทุกข์ ขอกรรมนั้นจงเป็นของให้ผล เป็นสุข... กรรมใดเป็นของให้ผลเป็นสุข ขอกรรมนั้นจงเป็นของให้ผลเป็นทุกข์... กรรมใดเป็น ของให้ผลเสร็จสิ้นแล้ว ขอกรรมนั้นจงเป็นของให้ผลเสร็จสิ้น... ด้วยความพยายามหรือด้วย ความเพียรเถิด เมื่อเป็นเช่นนั้น ความพยายามของพวกนิครนถ์ผู้มีอายุก็ไร้ผล ความเพียรก็ไร้ ผล...” “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หมู่สัตว์ย่อมเสวยสุขและทุกข์ เพราะเหตุแห่งกรรมที่ตนท�ำไว้ในก่อน พวกนิครนถ์ก็เป็นผู้ได้ท�ำกรรมชั่วไว้ในก่อนแน่ ในบัดนี้ พวกเขาจึงได้เสวยเวทนาอันเป็นทุกข์ กล้าเจ็บแสบเห็นปานนี้ ถ้าหมู่สัตว์ย่อมเสวยสุขและทุกข์เพราะเหตุที่อิศวร (เทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่) เนรมิตให้พวกนิครนถ์ก็ต้องเป็นผู้ถูกอิศวรชั้นเลวเนรมิตมาแน่... ถ้าหมู่สัตว์ย่อมเสวยสุขและ ทุกข์ เพราะเหตุที่มีความบังเอิญ พวกนิครนถ์ก็ต้องเป็นผู้มีความบังเอิญชั่วแน่... ถ้าหมู่สัตว์ย่อม เสวยสุขและทุกข์เพราะอภิชาติ พวกนิครนถ์ก็ต้องเป็นผู้มีอภิชาติเลวแน่... ถ้าหมู่สัตว์ย่อมเสวย สุขและทุกข์เพราะความพยายามในปัจจุบัน พวกนิครนถ์ต้องเป็นผู้มีความพยายามในปัจจุบัน เลวแน่ ในบัดนี้พวกเขาจึงได้เสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบเห็นปานนี้...” “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไรความพยายามจึงจะมีผล ความเพียรจึงจะมีผล? ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไม่เอาทุกข์ทับถมจนที่ไม่มีทุกข์ทับถม ๑ ไม่สละความสุขที่ เกิดโดยธรรม ๑ ไม่มีผู้หมกมุ่นในความสุขนั้น ๑ เธอย่อมทราบชัดอย่างนี้ว่า ถึง เรานี้จะยังมีเหตุแห่งทุกข์ เมื่อเริ่มตั้งความเพียร วิราคะย่อมมีได้ด้วยการตั้งความเพียร... เมื่อวางเฉยบ�ำเพ็ญอุเบกขาอยู่ วิราคะก็ย่อมมีได้... เธอจึงเริ่มตั้งความเพียร... และบ�ำเพ็ญ อุเบกขา... แม้อย่างนี้ ทุกข์นั้นก็เป็นอันเธอสลัดได้แล้ว...” พระพุทธเจ้า ค�ำสอน๑หยิบมือ
85
เหตุให้เชื่อชาติหน้า ปัญหา คนในโลกเชื่อกันว่า ตายแล้วเกิดก็มี ตายแล้วสูญก็มี อะไร เป็นมูลเหตุให้เชื่อเช่นนั้น? พุทธด�ำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกบัญญัติอัตตาที่มีสัญญาว่า เบื้องหน้าแต่ตายไปยั่งยืน (มีอยู่ ไม่สูญ) ย่อมคัดค้านสมณพราหมณ์พวกบัญญัติความขาดสูญ ความพินาศ ความเกิดของสัตว์ ที่มีอยู่ นั่นเพราะเหตุไร เพราะท่านสมณพราหมณ์เหล่านี้แม้ ทั้งหมด ย่อมหมายมั่นกาลข้างหน้า กล่าวยืนยันความหวังอย่างเดียวว่า เราละโลกไปแล้วจัก เป็นเช่นนี้ๆ เปรียบเหมือนพ่อค้า ไปค้าขายย่อมมีความหวังว่า ผลจากการค้าเท่านี้จักมีแก่เรา เพราะการค้าขายนี้ เราจักได้ผลเท่านี้ ดังนี้ฉันใด ท่านสมณพราหมณ์พวกนั้นก็ฉันนั้นเหมือนกัน แล ชะรอจะเห็นปรากฏเหมือนพ่อค้า จึงหวังว่าเราละโลกไปแล้ว จักเป็นเช่นนี้ ๆ ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย ตถาคตย่อมทราบเรื่องนี้ดี “ดูก่อนสมณพราหมณ์ พวกบัญญัติความขาดสูญความพินาศ ความไม่เกิดของสัตว์ที่มีอยู่ เป็น ผู้กลัวสักกายะ (กายของตน) เกลียดสักกายะ แต่ยังวนเวียนไปตามทสักกายะนั้นอยู่แล เปรียบ เหมือนสุนัขที่เขาผูกโซ่ล่ามไว้ที่เสาหรือที่หลักมั่น ย่อมวนเวียนไปตามเสาหรือหลักมั่นนั้นเอง ฉันใด ท่านสมณพราหมณ์ พวกนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นผู้กลัวสักกายะ..... แต่ยังวนเวียนไป ตามสักกายะอยู่นั่นแล เรื่องสักกายะดังนี้นั้น อันปัจจัยปรุงแต่งเป็นของหยาบ และความดับ ของสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งมีอยู่ ตถาคตทราบว่าสิ่งนี้ยังที่อยู่ จึงเห็นอุบายเป็นเครื่องสลัดออกจาก สิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งนั้น เป็นไปล่วงสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งนั้นได้ ฯ” พระพุทธเจ้า
86
ค�ำสอน๑หยิบมือ
หญิงที่ไม่ควรละเมิด ปัญหา ในฝ่ายหญิงนั้น หญิงมีลักษณะเช่นไรบ้างที่ชายไม่พึงละเมิด ถ้าละเมิด จะเป็นการล่วงละเมิดศีลข้อกาเมสุมิจฉาจาร? พุทธด�ำรัสตอบ “.....ไม่เป็นผู้ละเมิดจารีตในหญิงที่มารดารักษาบ้าง หญิงที่บิดารักษาบ้าง หญิงที่ทั้งมารดาทั้งบิดารักษาบ้าง หญิงที่พี่ชายรักษาบ้างหญิงที่พี่สาวรักษาบ้าง หญิงที่ญาติ รักษาบ้าง หญิงที่ยังมีสามีอยู่บ้าง หญิงที่มีสินไหมติดตัวอยู่บ้าง ที่สุดแม้หญิงที่ชายคล้องพวง ดอกไม้หมั้นไว้.....” พระพุทธเจ้า
นรกมีจริงหรือ ปัญหา มีบางคนยืนยันว่า นรกสวรรค์ไม่มี พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสไว้ ในพระไตรปิฎก ดังนี้ ข้อนี้เป็นความจริงเพียงใด? พุทธด�ำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนพาลนั้นนั่นแลประพฤติทุจริต ทางกาย ทาง วาจา ทางใจแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก...... “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทุกข์โทมนัสที่บุรุษถูกแทงด้วยหอกสามร้อยเล่มเป็นเหตุ ก�ำลังเสวย อยู่นั้นเปรียบเทียบทุกข์ของนรก ยังไม่ถึงแม้ความคณนา ยังไม่ถึงแม้ส่วนแห่งเสี้ยว ยังไม่ถึงแม้ การเทียบกันได้ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหล่านายนิรยบาลจะให้คนพาลนั้นกระท�ำเหตุชื่อการจ�ำ ๕ ประการ คือ ตรึงตะปูเหล็กแดงที่มือข้างที่ ๑ ข้างที่ ๒ ที่เท้าข้างที่ ๑ ข้างที่ ๒ และที่ทรวงอกตรงกลาง คนพาลนั้นจะเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า....... และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมยังไม่สิ้นสุด “.....เหล่านายนิรยบาล จะจับคนพาลนั้นขึงพืดแล้วเอาผึ่งถาก คนพาลนั้นจะเสวยเวทนาอัน เป็นทุกข์กล้า...... ค�ำสอน๑หยิบมือ
87
“.....เหล่านายนิรยบาล จะจับคนพาลนั้น เอาเท้าขึ้นข้างบน เอาหัว ลงข้างล่าง แล้วถากด้วยพร้า คนพาลนั้นจะเสวยเทวทนาอันเป็นทุกข์กล้า...... “.....เหล่านายนิรยบาล จะเอาพาลนั้นเทียมรถ แล้วให้วิ่งกลับไปกลับมาบนแผ่นดินที่มีไฟติด ทั่ว ลุกโพลง โชติช่วง คนพาลนั้นจะเสวยเทวทนาอันเป็นทุกข์กล้า...... “.....เหล่านายนิรยบาล จะให้คนพาลนั้นปีนขึ้นปีนลง ซึ่งภูเขาถ่านเพลิงลูกใหญ่ ที่มีไฟติดทั่ว ลุกโพลง โชติช่วง คนพาลนั้นจะเสวยเทวทนาอันเป็นทุกข์กล้า...... “.....เหล่านายนิรยบาล จะจับคนพาลนั้น เอาเท้าขึ้นข้างบน เอาหัวลงข้างล่าง แล้วพุ่งลงไป ในหม้อทองแดงที่ร้อน มีไฟติดทั่ง ลุกโพลง โชติช่วง คนพาลนั้นจะเดือนเป็นฟองอยู่ในหม้อ ทองแดงนั้น เมื่อเขาเดือดเป็นฟองอยู่ จะพล่านขึ้นข้างบนครั้งหนึ่งบ้าง พล่านลงข้างล่างครั้ง หนึ่งบ้าง พล่านไปด้านขวาครั้งหนึ่งบ้าง พล่านลงข้างล่างครั้งหนึ่งบ้าง จะเสวยเวทนาอันเป็น ทุกข์กล้า เจ็บแสบอยู่ในหม้อทองแดงนั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมยังไม่สิ้นสุด “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหล่านายนิรยบาล จะจับโยนคนพาลนั้นเข้าไปในมหานรก ก็มหานรก นั่นแล มีสี่มุมสี่ประตู แบ่งไว้โดยส่วนเท่ากัน มีก�ำแพงเหล็กล้อมรอบ ครอบไว้ด้วยแผ่นเหล็ก พื้นของนรกใหญ่นั้น ล้วนแล้วด้วยเหล็ก ลุกโพลง ประกอบด้วยไฟแผ่ไปตลอดร้อยโยชน์รอบ ด้น ประดิษฐานอยู่ทุกเมื่อ” พระพุทธเจ้า
คนพาลเกิดเป็นมนุษย์ได้ยาก ปัญหา ได้ทราบว่า คนเกิดมาเป็นมนุษย์ไม่ใช่สิ่งที่ได้โดยง่าย ยิ่งเป็น คนพาลสันดานชั่วด้วยแล้ว ยิ่งมีโอกาสเกิดเป็นมนุษย์อีกน้อย ในเรื่องนี้ พระผู้มีพระ ภาคตรัสไว้อย่างไร? พุทธด�ำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษโยนทุ่นมีบ่วงตาเดียวไปใน มหาสมุทร ทุนนั้นถูกลมตะวันออกพัดไปทางทิศ ตะวันตก ถูกลมตะวันตกพัดไปทางทิศตะวัน ออก ถูกลมเหนือพัดไปทางทิศใต้ ถูกลมใต้พัดไปทางทิศ
88
ค�ำสอน๑หยิบมือ
เหนือ มีเต่าตาบอดอยู่ในมหาสมุทรนั้น ล่วงไปร้อยปีจึงจะผุดขึ้น ครั้งหนึ่ง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะส�ำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน? เต่าตาบอดตัว นั้น จะพึงเอาคอสวมเข้าที่ทุ่นมีบ่วงตาเดียวโน้นได้บ้างไหมหนอ ? “ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า ข้อนั้นเป็นไปไม่ได้เลยพระพุทธเจ้าข้า..... ถ้าจะเป็นไปได้ในบางครั้งบาง คราว ก็โดยล่วงระยะกาลนานแน่นอน “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เต่าตาบอดตัวนั้นจะพึงเอาคอสวมเข้าที่ทุ่นมีบ่วงตาเดียวโน้นได้ ยัง จะเร็วกว่า เรากล่าวความเป็นมนุษย์ที่คนพาลผู้ไปสู่วินิบาต คราวหนึ่งแล้วจะพึงได้ ยังยากกว่า นี้ นั่นเพราะเหตุไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะในตัวคนพาลนี้ ไม่มีความประพฤติธรรม ความ ประพฤติสงบ การท�ำกุศล การท�ำบุญ มีแต่การกินกันเอง การเบียดเบียนคนอ่อนแอ...... “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนพาลนั้นแลถ้าจะมาสู่ความเป็นมนุษย์ในบางครั้งบางคราว ไม่ว่า กาลไหนๆ โดยล่วงระยะกาลนานย่อมเกิดในสกุลต�่ำ คือ สกุลคนจัณฑาล หรือสกุลพรานเนื้อ หรือสกุลคนจักสาน หรือสกุลช่างรถ หรือสกุลคนเทขยะเห็นปานนั้นในบั้นปลาย.......” พระพุทธเจ้า
ท�ำดีไปนรก-ท�ำชั่วไปสวรรค์ ปัญหา บุคคลกระท�ำบาปด้วยกาย วาจา ใจ แล้วจะได้ไปเกิดใน สุคติเสมอไปหรือ ? และบุคคลกระท�ำบุญด้วย กาย วาจา ใจ ตายแล้วจะเข้าถึงทุคติ สมอไปหรือ ? ถ้าไม่ เพราะเหตุไร? พุทธด�ำรัสตอบ “.....ดูก่อนอานนท์ เราไม่เห็นด้วยกับวาทะของสมณะ หรือพราหมณ์ที่กล่าว อย่างนี้ ท่านผู้เจริญเป็นอันว่า กรรมดีไม่มีวิบากของสุจริตไม่มี แต่วาทะของเขาที่กล่าวอย่างนี้ ว่า ข้าพเจ้าได้เห็นบุคคลโน้นผู้เว้นขาดจากปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาท สุราเมรัย มีความเห็นชอบในโลกนี้ และผู้นั้นตายไปแล้ว เข้าพึง อบาย ทุคติ วินิบาต นรก ข้าพเจ้าก็เห็น นี้เราเห็นด้วย ค�ำสอน๑หยิบมือ
89
“ส่วนวาทะของเขาที่กล่าวอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ เป็นอันว่าผู้ใดเว้น ขาดจากปาณาติบาต ฯลฯ มีความเห็นชอบ ผู้นั้นทุกคนตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก นี้เรายังไม่เห็นด้วย “แม้วาทะของเขาที่กล่าวอย่างนี้ว่า ชนเหล่าใดรู้อย่างนี้ ชนเหล่านั้นชื่อว่ารู้ชอบ ชนเหล่าใดรู้ โดยประการอื่น ความรู้ของชนเหล่านั้นผิด นี้เราก็ยังไม่เห็นด้วย” “แม้วาทะของเขาที่พูดปักลงไป ถึงเรื่องที่เขารู้เอง เห็นเอง ทราบเอง นั้นแหละ ในที่นั้นๆ ตาม ก�ำลังและความแน่ใจว่า นี้เท่านั้นจริง อื่นเปล่านี้เราก็ยังไม่เห็นด้วย...... “.....ดูก่อนอานนท์ บุคคลที่เว้นขาดจากปาณาติบาต อทินนาทาน ฯลฯ มีความเห็นชอบในโลก นี้ ตายไปแล้ว เข้าถึงอุบาย ทุคติ วินิบาต นรก นี้เป็นเพราะว่า เขาท�ำกรรมชั่วที่ให้ผลเป็นทุกข์ ไว้ในกาลก่อน ๆ หรือในกาลภายหลัง หรือว่าในเวลาจะตาย มีมิจฉาทิฐิพรั่งพร้อมสมาทานแล้ว เพราะฉะนั้น เขาตายไป จึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก......” พระพุทธเจ้า
นินทา-ว่าร้าย ปัญหา ตามปกติ การนินทาลับหลังก็ดี การว่าร้ายต่อหน้าก็ดี ถือ กันว่าเป็นสิ่งไม่ควรกระท�ำ พระผู้มีพระภาคทรงแนะน�ำในเรื่องนี้ไว้อย่างไร ? พุทธด�ำรัสตอบ “ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า ไม่ถึงกล่าววาทะลับหลัง ไม่พึงกล่าวค�ำล่วงเกินต่อ หน้านั้น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในประการแรกนั้น พึงทราบว่า วาทะลับ หลังใด ไม่เป็นจริง ไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่พึงกล่าววาทะลับหลัง นั้นเป็นอันขาด แม้ทราบว่าวาทะลับหลังใด จริง แท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ก็พึงส�ำเนียกเพื่อจะไม่กล่าว วาทะลับหลังนั้น พึงเป็นผู้รู้จักกาลเพื่อจะกล่าววาทะลับหลังนั้น
90
ค�ำสอน๑หยิบมือ
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในประการหลังนั้น พึงทราบว่า ค�ำล่วงเกิน ต่อหน้าใด ไม่เป็นจริง ไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่พึงกล่าวค�ำล่วงเกินต่อหน้า นั้นเป็นอันขาด แม้ทราบว่าค�ำล่วงเกินต่อหน้าใดจริง แท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ก็ พึงส�ำเนียกเพื่อจะไม่กล่าวค�ำล่วงเกินต่อหน้านั้นและทราบว่า ค�ำล่วงกินต่อหน้าใดจริง แท้ ประกอบด้วยประโยชน์ ในเรื่องนั้น พึงเป็นผู้รู้จักกาล เพื่อจะกล่าวค�ำล่วงเกินต่อหน้านั้น....” พระพุทธเจ้า
ไม่ควรพูดรีบร้อน ปัญหา ในการพูด พระผู้มีพระภาคทรง แนะน�ำเกี่ยวกับการพูดเร็วหรือช้าไว้อย่างไรบ้าง ? พุทธด�ำรัสตอบ “ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า พึงเป็นผู้ไม่รีบด่วน พูด อย่างพูดรีบด่วนนั้น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว ดูก่อนภิกษุทั้ง หลาย ในประการแรก นั้น เมื่อรีบด่วนพูด กายก็ล�ำบาก จิตก็แกว่ง เสียงก็พร่า คอก็เครือ แม้ค�ำพูดของผู้ที่รีบด่วนพูด ก็ไม่สละสลวย ไม่พึง รู้ชัดได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายในประการหลังนั้น เมื่อไม่รีบด่วนพูด กายก็ไม่ ล�ำบาก จิตก็ไม่แกว่ง เสียงก็ไม่พร่า คอก็ไม่เครือ แม้ค�ำพูดของผู้ที่ไม่รับด่วน พูด ก็สละสลวย พึงรู้ชัดได้.....” พระพุทธเจ้า
ค�ำสอน๑หยิบมือ
91
ฆ่าตัวตายไม่ควรต�ำหนิเสมอไป ปัญหา เรื่องมีอยู่ว่า พระฉันนะอาพาธ หนัก และคิดจะฆ่าตัวตายด้วยศาสตรา พระสารีบุตรได้เทศนาสั่ง สอนและห้ามปรามไว้ แต่ในที่สุดพระฉันนะก็ฆ่าตัวตายจนได้ และได้รับค�ำต�ำหนิ ติเตียนจากญาติมิตรและคนเป็นอันมาก พระสารีบุตรจึงทูลถามพระพุทธเจ้าถึงเรื่องนี้ พระพุทธองค์ทรงมีทรรศนะว่าอย่างไร? พุทธด�ำรัสตอบ “ดูก่อนสารีบุตร พระฉันนะยังมีสกุลมิตร สกุลสหายและสกุลที่คอยต�ำหนิอยู่ก็ จริง แต่เราหาเรียกบุคคลว่า ควรถูกต�ำหนิด้วยเหตุเพียงเท่านี้ไม่...... บุคคลใดแลทิ้งกายนี้และ ยึดมั่นกายอื่น บุคคลนั้นเราเรียกว่า ควรถูกต�ำหนิ ฉันนะภิกษุหามีลักษณะนี้ไม่ ฉันนะภิกษุ หาศาสตรามาฆ่าตัว อย่างไม่ควรถูกต�ำหนิ” พระพุทธเจ้า
ข้อปฏิบัติเมื่อถูกท�ำร้าย ปัญหา เมื่อถูกท�ำร้าย ด้วยวาจาก็ดี ด้วยกายก็ดี พุทธศาสนิกชน ที่แท้จริง ควรจะปฏิบัติอย่างไร? พระปุณณะ (ทูลตอบพระพุทธเจ้า) “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันต ชนบท จักด่าจักบริภาษข้าพระองค์ ข้าพระองค์จักมีความคิดในพวกเขาอย่างนี้ว่า พวกมนุษย์ ชาวสุนาปรันตชนบทนี้ ยังดีนักหนาที่ไม่ให้การประหารเราด้วยฝ่ามือ..... “ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบท จักให้การประหารข้าพระองค์ด้วยฝ่ามือ ข้าพระองค์ จักมีความคิดในพวกเขาอย่างนี้ว่า พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทนี้ ยังดีนักหนาที่ไม่ให้การ ประหารเราด้วยก้อนดิน.....
92
ค�ำสอน๑หยิบมือ
“ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบท จักให้การประหารข้าพระองค์ ด้วยก้อนดิน ข้าพระองค์จักมีความคิดในพวกเขาอย่างนี้ว่า พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันต ชนบทนี้ ยังดีนักหนาที่ไม่ให้การประหารเราด้วยท่อนไม้..... “ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตนี้ จักให้การประหารข้าพระองค์ด้วยฝ่ามือ ข้าพระองค์จักมีความ คิดในพวกเขาอย่างนี้ว่า พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทนี้ ยังดีนักหนาที่ไม่ให้การประหารเรา ด้วยก้อนดิน..... “ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบท จักให้การประหารข้าพระองค์ด้วยก้อนดิน ข้าพระองค์ จักมีความคิดในพวกเขาอย่างนี้ว่า พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทนี้ ยังดีนักหนาที่ไม่ให้การ ประหารเราด้วยท่อนไม้..... “ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตขึ้น จักให้การประหารข้าพระองค์ด้วยท่อนไม้ ข้าพระองค์จัก มีความคิดในพวกเขาอย่างนี้ว่า พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทนี้ ยังดีนักหนาที่ไม่ให้การ ประหารเราด้วยศาสตรา..... “ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบท จักให้การประหารข้าพระองค์ด้วยศาสตรา ข้าพระองค์ จักมีความคิดในพวกเขาอย่างนี้ว่า พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทนี้ ยังดีนักหนาที่ไม่ให้การ ประหารเราด้วยศาสตราอันคม.... “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบท จักปลิดชีพข้าพระองค์ด้วยศาสตรา อันคม ข้าพระองค์จักมีความคิดในพวกเขาอย่างนี้ว่ามีเหล่าสาวกของพระผู้มีพระภาค ที่อึดอัด เกลียดชังร่างกายและชีวิต พากันแสดงหาศาสตราสังหารชีพอยู่แล เราไม่ต้องแสวงหาสิ่งดังนั้น เลย ก็ได้ศาสตราสังหารชีพแล้ว....” พระพุทธเจ้า
ค�ำสอน๑หยิบมือ
93
ท�ำไมคนจึงตายช้า-เร็วต่างกัน ปัญหา เพราะเหตุไร คนบางคนเกิดมาในโลกนี้จึงมีอายุสั้น ตาย ตั้งแต่เยาว์วัยเพราะเหตุไร บางคนจึงอายุยืน ตายต่อเมื่อแก่หง่อมเต็มที่แล้ว? พุทธด�ำรัสตอบ “..... บุคคลบางคนเป็นสตรี หรือบุรุษในโลกนี้ ย่อมเป็นผู้ฆ่าสัตว์มีชีวิต ใจ ดุร้าย ชอบใจในการฆ่าฟัน ไม่มีความเอ็นดูในสัตว์มีชีวิตทั้งหลาย ครั้นตายไปย่อมเกิดในอบาย ทุคตินรก ด้วยกรรมนั้น..... ถ้าตายไปไม่เกิดในอบายทุคตินรก มาเกิดเป็นมนุษย์ในที่ใดๆ จะ เป็นผู้มีอายุสั้น “.....บางคนย่อมเป็นผู้ละเว้นจากปาณาติบาต มีท่อนไม้แลศัสตราอันวางแล้วมีความละอาย มีความเอ็นดู อนุเคราะห์เพื่อความเกื้อกูลในสัตว์ทั้งปวง ครั้นตายไป ย่อมเกิดในสุขคติโลก สวรรค์ ด้วยกรรมนั้น..... ถ้าตายไปไม่เกิดในสุคติโลกสวรรค์ มาเกิดเป็นมนุษย์ในที่ใด ๆ จะเป็น ผู้มีอายุยืน....” พระพุทธเจ้า
ท�ำอย่างไรจึงจะมีรูปงาม ปัญหา เพราะเหตุไรบางคนจึงมีรูปร่างขี้ริ้วขี้เหร่ ทั้ง ๆ ที่มารดาบิดามีรูปงาม เพราะเหตุไรคนบางคนจึงมีรูปร่างสวย มีผิวพรรณงาม ทั้งๆ ที่มารดาบิดามีรูปร่างไม่สวย? พุทธด�ำรัสตอบ “..... บุคคลบางคนย่อมเป็นผู้มักโกรธแค้นมาก ถูกว่าแม้น้อยย่อมขัดใจโกรธ พยาบาทคิดแก้แค้น ท�ำความโกรธ ความดุร้ายแลความขึ้งเคียดให้ปรากฏ ครั้นตายไปย่อมเกิด ในอบายทุคตินรกด้วยกรรมนั้น.... ถ้าตายไปไม่เกิดในอบายทุคตินรก มาเกิดเป็นมนุษย์ในที่ ใด ๆ จะเป็นผู้มีผิวพรรณน่าชัง “.... บุคคลบางคนย่อมเป็นผู้ไม่มักโกรธแค้นมาก ถูกว่าแม้มาก ย่อมท�ำความโกรธ ความดุร้ายและความขึ้งเคียดให้ปรากฏ ครั้นตายไปย่อมเกิดในสุคติโลก สวรรค์ด้วยกรรมนั้น.... ถ้าภายไปไม่เกิดในสุคติโลกสวรรค์ มาเกิดเป็นมนุษย์ ในที่ใด ๆ จะเป็น ผู้มีผิวพรรณน่าชม" พระพุทธเจ้า
94
ค�ำสอน๑หยิบมือ
ท�ำอย่างไรจึงจะรวย ปัญหา เพราะเหตุไรบางคนจึงยากจนเข็ญใจไร้ทรัพย์ ทั้งๆ ที่ท�ำงาน หนัก เพราะเหตุไร คนบางคนจึงร�่ำรวยด้วยทรัพย์สมบัติ ทั้งๆ ที่ไม่ต้องท�ำงานหนัก เกินไป ? พุทธด�ำรัสตอบ “..... บุคคลบางคนย่อมไม่ให้ข้าว น�้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องทา ที่นอน ที่อยู่ เครื่องตามประทีป แก่สมณพราหมณ์ ครั้นตายไปย่อมเกิดในอบายทุคตินรกด้วย กรรมนั้น.... ถ้าตายไปไม่เกิดในอบายทุคตินรก มาเกิดในมนุษย์ในที่ใดๆ จะเป็นผู้มีสมบัติน้อย “..... บุคคลบางคนย่อมเป็นผู้ให้ ข้าว น�้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องทา ที่นอน ที่อยู่ เครื่องตามประทีป แก่สมณพราหมณ์ ครั้นตายไปย่อมเกิดในอบายสุคติโลกสวรรค์ ด้วยกรรม นั้น.... ถ้าตายไปไม่เกิดในสุคติโลกสวรรค์ มาเกิดในมนุษย์ในที่ใด ๆ จะเป็นผู้มีสมบัติมาก” พระพุทธเจ้า
ท�ำอย่างไรจึงจะฉลาด ปัญหา เพราะเหตุไร คนบางคนเกิดมาจึงมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด เพราะเหตุไร คนบางคน เกิดมาจึงโง่ทึบ?” พุทธด�ำรัสตอบ “บุคคลบางคนย่อมไม่เข้าไปหาสมณพราหมณ์ไต่ถามว่าสิ่งไรเป็นกุศล สิ่ง ไรเป็นอกุศล สิ่งไรมีโทษ สิ่งไรไม่มีโทษ สิ่งไรควรเสพ สิ่งไรไม่ควรเสพ สิ่งใดที่ข้าพเจ้าท�ำจะไม่ เกื้อกูล จะเป็นทุกข์แก่ข้าพเจ้าสิ้นกาลนาน ก็หรือสิ่งไรที่ข้าพเจ้าท�ำจะเกื้อกูล จะเป็นสุขแก่ ข้าพเจ้าชั่วกาลนาน ดังนี้ครั้นตายไป ย่อมเกิดในอบายทุคตินรกด้วยกรรมนั้น.... ถ้าตายไปไม่ เกิดในอบายทุคตินรก มาเกิดเป็นมนุษย์ในที่ใด ๆ จะเป็นผู้โง่เขลา “บุคคลบางคนย่อมเข้าไปหาสมณพราหมณ์ ไต่ถามว่าสิ่งไรเป็นกุศล สิ่งไรเป็นอกุศล สิ่งไรมีโทษ สิ่งไรไม่มีโทษ..... ดังนี้ครั้นตายไป ค�ำสอน๑หยิบมือ
95
ย่อมเกิดในสุคติโลกสวรรค์ด้วยกรรมนั้น.... ถ้าตายไปไม่เกิดในสุคติ โลกสวรรค์ มาเกิดเป็นมนุษย์ในที่ใดๆ จะเป็นผู้เฉลียวฉลาด “สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน เป็นทายาท (คือผู้รับผล) แห่งกรรมมีกรรมเป็นก�ำเนิด มี กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมย่อมจ�ำแนกสัตว์ทั้งหลาย เพื่อความเป็นผู้ต�่ำช้า แลประณีตฉะนี้แล” พระพุทธเจ้า
ยอดของความรัก ปัญหา (เทวดากล่าวเป็นเชิงแสดงทรรศนะของตน) ความรักเสมอ ด้วยความรักบุตรไม่มี ทรัพย์เสมอด้วยโคไม่มี แสงสว่างเสมอด้วยดวงอาทิตย์ย่อมไม่มี สระทั้งหลายมีทะเลเป็นยอด? พุทธด�ำรัสตอบ “ความรักเสมอด้วยความรักตนไม่มี ทรัพย์เสมอด้วยข้าวเปลือกย่อมไม่มี แสง สว่างเสมอด้วยปัญญาย่อมไม่มี ฝนต่างหากเป็นสระยอดเยี่ยม” พระพุทธเจ้า
96
ค�ำสอน๑หยิบมือ
คนดียิ่งกว่าดี ปัญหา คนดีคือคนอย่างไร และคนดียิ่งกว่าดีคือ
คนอย่างไร? พุทธด�ำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็คนดีเป็นอย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีความเห็นชอบ มีความด�ำริชอบ มีวาจาชอบ มีการงานชอบ มีการเลี้ยงชีพชอบ มี ความเพียรชอบ มีการระลึกชอบ มีการตั้งมั่นชอบ มีญาณชอบ มีความหลุดพ้นชอบ บุคคลนี้ เราเรียกว่าคนดี “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็คนดีเป็นอย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้มีความเห็นชอบด้วยตนเอง และชักชวนให้ผู้อื่นมีความเห็นชอบอีกด้วย มีความด�ำริชอบด้วยตนเอง และชักชวนให้ผู้อื่นให้ด�ำริชอบด้วย มีการงานชอบด้วยตนเอง และชักชวนให้ผู้อื่นมีการงานชอบด้วย มีการเลี้ยงชีพชอบด้วยตนเอง และชักชวนให้ผู้อื่นเลี้ยงชีพชอบด้วย มีความเพียรชอบด้วยตนเอง และชักชวนให้ผู้อื่นมีความเพียรชอบด้วย มีการระลึกชอบด้วยตนเอง และชักชวนให้ผู้อื่นมีการระลึกชอบด้วย มีการตั้งจิตมั่นด้วยตนเอง และชักชวนให้ผู้อื่นตั้งจิตมั่นด้วย มีการรู้แจ้งด้วยตนเอง และชักชวนให้ผู้อื่นรู้แจ้งด้วย มีการหลุดพ้นชอบชอบด้วยตนเอง และชักชวนให้ผู้อื่นมีหลุดพ้นชอบด้วย..... บุคคลนี้เรา เรียกว่าคนดีที่ยิ่งกว่าคนดี...” พระพุทธเจ้า
ค�ำสอน๑หยิบมือ
97
อ�ำนาจจิต ปัญหา (เทวดาทูลถาม) โลกอันอะไรย่อมน�ำไป อันอะไรหนอเสือกไสไปได้ โลก ทั้งหมดเป็นไปตามอ�ำนาจของธรรมอันหนึ่งคืออะไร? พุทธด�ำรัสตอบ “โลกอันจิตย่อมน�ำไป อันจิตย่อมเสือกใสไป โลกทั้งหมดเป็นไปตามอ�ำนาจของ ธรรมอันหนึ่ง คือ จิต ” พระพุทธเจ้า
ชีวิตประเสริฐ ปัญหา (เทวดาทูลถาม) อะไรหนอเป็นทรัพย์เครื่องปลื้มใจอย่างประเสริฐของ คนในโลกนี้ อะไรหนอที่บุคคลประพฤติดีแล้วน�ำความสุขมาให้ อะไรหนอเป็นรสดีกว่าบรรดา รสทั้งหลาย คนมีชีวิตเป็นอยู่อย่างไร นักปราชญ์ ทั้งหลายกล่าวว่ามีชีวิตประเสริฐ ? พุทธด�ำรัสตอบ “ศรัทธาเป็นทรัพย์เครื่องปลื้มใจอย่างประเสริฐของคนในโลกนี้ ธรรมที่บุคคล ประพฤติดีแล้ว น�ำความสุขมาให้ ความจริงเท่านั้นเป็นรสที่ดียิ่งกว่ารสทั้งหลาย คนที่เป็นอยู่ ด้วยปัญญา นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวว่ามีชีวิตประเสริฐ” พระพุทธเจ้า
98
ค�ำสอน๑หยิบมือ
ความเพลิดเพลินและทุกข์ ปัญหา (เทวดาทูลถาม) ข้าแต่ภิกษุ ท�ำไมพระองค์จึงไม่มีทุกข์ ท�ำไมความ เพลิดเพลินจึงไม่มี ท�ำไมความเบื่อหน่ายจึงไม่ครอบง�ำพระองค์ผู้นั่งแต่ผู้เดียว ? พุทธด�ำรัสตอบ “ผู้มีทุกข์นั่นแหละจึงมีความเพลิดเพลิน ผู้มีความเพลิดเพลินนั่นแหละจึงมี ทุกข์ ภิกษุย่อมเป็นผู้ไม่มีความเพลิดเพลิน ไม่มีทุกข์....” พระพุทธเจ้า
เมื่อถูกด่าควรท�ำอย่างไร ปัญหา เมื่อเราถูกโกรธก็ดี ถูกด่าก็ดี เราควรท�ำอย่างไร ควรจะโกรธตอบ ด่าตอบ หรือควรจะเฉยเสีย? พุทธด�ำรัสตอบ “ ดูก่อนพราหมณ์..... ท่านด่าเราผู้ไม่ด่าอยู่ ท่านโกรธเราผู้ไม่โกรธอยู่ ท่าน หมายมั่นเราผู้ไม่หมายมั่นอยู่ เราไม่รับรู้เรื่องมีการด่าเป็นต้นของท่านนั้น ดูก่อนพราหมณ์ เรื่อง มีการด่าของท่านผู้เดียว ดูก่อนพราหมณ์.... ผู้ใดด่าตอบบุคคลผู้ด่าอยู่ โกรธตอบบุคคลผู้โกรธ อยู่ หมายมั่นตอบบุคคลผู้หมายมั่นอยู่.... ผู้นี้ เรากล่าวว่า ย่อมบริโภคร่วมกัน ย่อมกระท�ำตอบ กัน เรานั้นไม่บริโภคร่วม ไม่กระท�ำตอบด้วยท่านเป็นอันขาด ดูก่อนพราหมณ์ เรื่องมีการด่า เป็นต้นนั้น เป็นของท่านผู้เดียว” พระพุทธเจ้า
ค�ำสอน๑หยิบมือ
99
สัมมาทิฐิคืออะไร ปัญหา (พระกัจจานโคตรทูลถาม ที่เรียกว่า สัมมาทิฐิ สัมมาทิฐิ ดังนี้ด้วย เหตุเพียงเท่าไรหนอจึงชื่อว่า สัมมาทิฐิ พุทธด�ำรัสตอบ “.....ดูก่อนกัจจานะ โลกนี้โดยมากอาศัยส่วนสุด ๒ อย่าง คือ ความมี (สัสสต ทิฏฐิ-ความเห็นว่าสิ่งทั้งปวงเที่ยง - มีอยู่ตลอดไป) ๑ ความไม่มี (อุจเฉททิฏฐิ ความเป็นว่าสิ่ง ทั้งปวงขาดสูญไม่มี) ๑ ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความ (เห็นว่า) ไม่มีในโลก ย่อมไม่มี เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตาม เป็นจริงแล้ว ความ (เห็นว่า) มีในโลกย่อมไม่มี “โลกนี้โดยมาก ยังพัวพันด้วย อุบาย อุปาทาน และอภินิเวส แต่พระอริยสาวกย่อมไม่เข้าถึง ไม่ถือมั่น ไม่ตั้งไว้ ซึ่งอุบายและอุปาทานนั้น อันเป็นอภินิเวสและอนุสัย อันเป็นที่ตั้งมั่นแห่งจิต ว่า อัตตาของเราดังนี้ ย่อมไม่เคลือบแคลงสงสัยว่า ทุกข์นั้นแหละเมื่อบังเกิดขึ้นย่อมบังเกิดขึ้น ทุกข์เมื่อดับย่อมดับ พระอริยสาวกนั้นมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้ โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นเลย ด้วยเหตุ เพียงเท่านี้แล.... จึงชื่อว่าสัมมาทิฐิ “ดูก่อนกัจจานะ ส่วนสุดข้อที่หนึ่งนี้มีว่า สิ่งทั้งปวงมีอยู่ ส่วนสุดข้อที่สองมีอยู่ว่า สิ่งทั้งปวงไม่มี ตถาคตแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ส่วนสุดทั้ง ๒ นั้นว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึง มีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ.... นามรูป... สฬายตนะ.... ผัสสะ.... เวทนา.... อุปาทาน.... ภพ.... ชาติ ชรา มรณะ โสกปริเทวทุกข์โทมนัส อุปายาส ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลย่อมมีได้ ด้วยประการฉะนี้.....” พระพุทธเจ้า
100
ค�ำสอน๑หยิบมือ