วิวัฒนาการและแนวคิดของลัทธิเทวนิ เทวนิยม ยม Evolution and Concepts of Theism
โดย : ฉัตรอมร แยมเจริญ.
ความรูเ บื้องตนเกี่ยวกับเทววิทยาและเทวนิยม ยม
เทววิทยา (Theology) “เทววิทยา” เปนปรัชญาสาขาหนึ่งที่ศึกษาเกี่ยวกับพระเปนเจา และ ความสัมพันธระหวางพระเปนเจากับโลก บางตํ า ราเสริ ม ว า เป น การศึ ก ษาเกี่ ย วกั บ พระเป น เจ า และ ความสัมพันธระหวางพระเปนเจา มนุษย และโลก แตบางตําราเพิ่มเติมวา หัวขอของเทววิทยาคือ พระเปนเจา, มนุษย, โลก, ความปลดปล อ ย และ Eschatology (การศึ ก ษาเกี่ ย วกั บ เหตุ ก ารณ สุดทายในประวัติศาสตรมนุษยชาติ)
แนวคิดเกี่ยวกับความสัมพันธระหวางพระเปนเจากับโลก มี ๔ ลัทธิ คือ ๑. เทวัสนิยม (Deism) ๒. สรรพเทวนิยม (Pantheism) ๓. เทวนิยม (Theism) ๔. สากลเทวนิยม (Panentheism)
๑. เทวัสนิยม (Deism) หมายถึง ทรรศนะที่เชื่อวามีพระเปนเจา (God) ผูสรางโลกอยูจริง แตเมื่อสรางแลวไมเขามาเกี่ยวของกับโลกอีก ในบางกรณีหมายถึง ความเชื่อที่วามีพระเปนเจา แตพระเปนเจา ไมไดสรางโลกและไมไดเกี่ยวของกับโลก หรือมีความเชื่อวา พระเปนเจาเปนมหาเทพสูงสุดเพียงพระองค เดียวซึ่งอยูนอกโลก ทรงสรางโลกขึ้นจากความวางเปลา มอบพลังตาง ๆ ให แ ก โ ลก และให พ ลั ง เหล า นั้ น ควบคุ ม โลกให ดํ า เนิ น ไป เมื่ อ โลกมี แนวโนมจะเสื่อม พระเปนเจาก็จะอวตารมาชวยแกไขโลกใหดําเนินไป ตามปกติ
๒. สรรพเทวนิยม ยม (Pantheism) หมายถึง ทรรศนะที่ถือวาพระเปนเจา (God) คือทุกสิ่ง และทุกสิ่ง คือพระเปนเจา (God is all and all is God.) เปนความเชื่อตรงกันขามกับเทวัสนิยม (Deism) คือ พระผูเปนเจา ไมไดอยูเหนือโลกแตอยูในโลก และเปนอันหนึ่งอันเดียวกันกับโลก โดยมี หลักสําคัญก็คือ “พระผูเปนเจาคือสิ่งทั้งปวง และสิ่งทั้งปวงคือพระผูเปนเจา”
๓. เทวนิยม ยม (Theism) หมายถึง ทรรศนะที่เชื่อวาพระเปนเจา (God) ผูสรางและคุมครองโลก
มีจริง ทรงเปน
เปนความเชื่อที่ปรับปรุงมาจากลัทธิเทวัสนิยม (Deism) และลัทธิ สรรพเทวนิยม (Pantheism) แนวคิดนี้เชื่อวา พระผูเปนเจาเปนสภาวะทั้งที่ อยูเหนือโลก (Transcendence) และอยูในโลก (Immanence) แตอยูเหนือ วิญญาณมนุษยโดยประการทั้งปวง
๔. สากลเทวนิยม ยม (Panentheism) หมายถึง ทรรศนะที่เชื่อวาสิ่งทั้งปวงอยูในพระเปนเจา แตพระเปน เจาไมใชสิ่งทั้งปวง (All is in God (pan – all, en - in, theos - God) but God is not all.) เปนความเชื่อที่ประนอมความขัดแยงระหวางเทวัสนิยม (Deism) สรรพเทวนิยม (Pantheism) และเทวนิยม (Theism) ซึ่งถือวา พระผูเปนเจา ทั้ ง อยู เ หนื อ โลกและอยู ใ นโลก ทั้ ง อยู เ หนื อ วิ ญ ญาณมนุ ษ ย แ ละอยู ใ น วิญญาณมนุษย
ความหมายและมูลเหตุของลัทธิศาสนา
ความหมายของ “ลัทธิ” ตามพจนานุ ก รมฉบั บ ราชบั ณ ฑิ ต ยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒ ได ใ ห ความหมายของ “ลัทธิ” และอธิบายไว ดังนี้ “ลัทธิ” เปนคํานาม หมายถึงคติความเชื่อถือ ความคิดเห็น และ หลักการ ที่มีผูนิยมนับถือและปฏิบัติตามสืบเนื่องกันมา เชน ลัทธิสังคม นิยม ลัทธิชาตินิยม ลัทธิทุนนิยม. (บาลีใช “ลทฺธิ” วา ความเห็น, ความได)
ความหมายของ “ศาสนา” ตามพจนานุ ก รมฉบั บ ราชบั ณ ฑิ ต ยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒ ได ใ ห ความหมายของ “ศาสนา” และอธิบายไว ดังนี้ “ศาสนา” เปนคํานาม หมายถึงลัทธิความเชื่อถือของมนุษยอันมี หลัก คือแสดงกําเนิดและความสิ้นสุดของโลกเปนตน อันเปนไปในฝาย ปรมัตถประการหนึ่ง แสดงหลักธรรมเกี่ยวกับบุญบาปอันเปนไปในฝาย ศีลธรรมประการหนึ่ง พรอมทั้งลัทธิพิธีที่กระทําตามความเห็นหรือตาม คําสั่งสอนในความเชื่อถือนั้น ๆ. (สันสกฤตใช “ศาสน” วา คําสอน, ขอบังคับ ; บาลีใช “สาสน”)
การพัฒนาของ “ลัทธิ” ไปเปน “ศาสนา” จากความหมายของ “ลั ท ธิ ” และ “ศาสนา” สามารถกล า วได ว า ศาสนาพัฒนาขึ้นมาจากลัทธิ ซึ่งลัทธิเปนคติความเชื่อหรือความเห็นที่มีผู เชื่ อ ถื อ และปฏิบั ติ ต าม เมื่อ ลั ท ธิมี ค ติ ค วามเชื่อ นั้ น อยา งเปน หลั ก การ มี เนื้อหาของความเชื่อนั้นอยางลึกซึ้ง และมีพิธีหรือการกระทําตามคําสั่งสอน ในความเชื่ อ นั้ น อย า งเป น แบบแผนแล ว ถื อ ได ว า ลั ท ธิ ค วามเชื่ อ นั้ น ได พัฒนาขึ้นเปนศาสนา
มูลเหตุของลัทธิศาสนา ลัทธิศาสนาเปนสิ่งจําเปนอยางหนึ่งของมนุษย หากจะกลาววาลัทธิ ศาสนามีมาคูกับโลก เริ่มแตไดมีปฐมกําเนิดของมนุษยมาแลวก็นาจะไมผิด เพราะมนุษยอาศัยศาสนาเปนสรณะที่พึ่งพํานักพักพิงยึดเหนี่ยวของจิตใจ ซึ่งมีมูลเหตุ ๓ อยาง คือ ๑. ความกลัว ๒. ความจําเปน ๓. ความอัตคัด
๑. ความกลัว เปนมูลเหตุของลัทธิศาสนา เพราะธรรมชาติใจของมนุษยนั้นมี ความกลัวเปนวิสัย ไมวามนุษยทุกชาติหรือชนชั้นจะฉลาดหรือโงก็ตาม ยอมหวาดกลัวตอภยันตรายทั้งปวง อันจะเปนเหตุนําตนใหตองไดรับทุกข และในทางตรงกันขามทุกคนก็ตองประสงคแตความสุข ไมปรารถนาจะ ไดรับความทุกข แสดงวามนุษยทุกคนยอมรักตนและชีวิตเปนอยางยิ่ง เมื่ อ เหตุ ก ารณ ข องโลกอั น เป น ที่ น า อั ศ จรรย ห รื อ น า สะพรึ ง กลั ว เกิดขึ้น เชน แผนดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ฟาผา น้ําทวม แหงแลง เมื่อผู ประสบยังขาดสติปญญาสําหรับคิดคนหาเหตุผลแทจริงไมไดแลว ความ หวาดกลั ว เหล า นั้ น ก็ ยั ง มี อ ยู และชวนให คิ ด ว า เหตุ ก ารณ ที่ เ กิ ด ขึ้ น ย อ ม เปนไปดวยอิทธิพลของสิ่งที่มีอํานาจบันดาล
เมื่อมนุษยยังหวาดกลัวตอภัยพิบัติตาง ๆ ซึ่งจะใหตนตองเผชิญกับ ความทุ ก ข จึ ง ต า งกระเสื อ กกระสนหาที่ พึ่ ง อั น จะช ว ยคุ ม ครองให เ กิ ด ความสุขและปลดเปลื้องทุกขภัยตาง ๆ เปนเหตุใหเกิดสิ่งที่เคารพนับถือไว เปนที่บูชาเพื่อวิงวอนขอใหชวยคุมครองและขอบันดาลใหเกิดความสุข ซึ่ง ตางคนตางนึกคิดแสวงหาแตกตางกันไป เพราะเหตุนี้ มนุษยดั้งเดิมจึงมีสิ่งเคารพนับถือกันมากมาย เชน ดิน ฟา อากาศ ไฟ ลม น้ํา ทะเล พระอาทิตย พระจันทร ดวงดาว ภูตผี เทวดา ตลอดจนวีระบุคคลผูเปนศาสดาริเริ่มตั้งและสั่งสอนลัทธิศาสนา เปนตน
๒. ความจําเปน เปนมูลเหตุของลัทธิศาสนา เพราะมนุษยจะอยูในโลกแตลําพัง ไมได จําเปนตองพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน มนุษยยอมมีอัธยาศัยใจคอแตกตางกันไป คนอัธยาศัยหยาบก็มักจะ กอการเบียดเบียนใหผูอื่นเดือดรอน เมื่อเล็งเห็นวาการที่อยูดวยกันโดย เรียบรอยดีกวาที่จะแยงชิงหรือตีกัน มีเมตตากรุณาตอกันและสามัคคีกัน ดีกว าที่จะชิง ชัง จึ งจํา เปนตองมีสิ่ งอันใดอั นหนึ่ งเป นเครื่องชี้ท างความ ประพฤติวาอยางไรเปนสิ่งที่ควรกระทําและควรละเวน ผูเปนประมุขของ ชุมนุมชนนั้น ๆ ก็ตั้งกฎขอบังคับขึ้นเปนขนบธรรมเนียมหรือประเพณีอัน ตองประพฤติปฏิบัติ เมื่อกฎขอบังคับมีความขลังศักดิ์สิทธิ์มากเขาก็เกิดเปน ลัทธิศาสนาขึ้น
๓. ความอัตคัด เป นมู ล เหตุ ใ ห เ กิ ด ลั ท ธิ ศ าสนา เพราะเป น ธรรมดาของมนุ ษ ย ที่ อัตคัดขัดสน เมื่อไดรับความสุขสบายหรือสะดวกจากสิ่งใดในชีวิตของตน เชน ความรอน ความสวาง แมน้ําลําคลอง หุบหวยเหวผา หรือธรรมชาติ อยางอื่น ยอมนิยมนับถือและยึดเอาสิ่งนั้น ๆ วาเปนสรณะที่พึ่ง เมื่อรักและ ชอบสิ่งนั้นแลว ก็ยอมรับนับถือวาเปนของสูงควรแกการสักการะเคารพ บูชาตอไป
สรุปมูลเหตุของลัทธิศาสนา ในมูลเหตุใหเกิดลัทธิศาสนาทั้ง ๓ นั้น มูลเหตุที่สําคัญกวาก็คือ ความกลัว อยางอื่นยอมมารวมอยูที่ความกลัวทั้งสิ้น เพราะมนุษยทุกคนรัก ตนและชีวิตของตน ปรารถนาความสุข และเกลียดความทุกข จึงตองยึด สิ่งหรือบุคคลที่ตนเห็นวามีอํานาจราชศักดิ์เปนสรณะที่พึ่งที่เคารพบูชา เพื่อ ไดคุมครองปองกันทุกขภัยและบันดาลความสุขแกตน
ประเภทของลัทธิศาสนา
ประเภทของลัทธิศาสนา ลั ท ธิ ศ าสนาในโลก ถึ ง แม จ ะมี ม ากมาย แตสามารถจัดประเภทลัทธิศาสนาตามหลักคําสอน ได ๒ ประเภท คือ ๑. เทวนิยม
๒. อเทวนิยม
๑. เทวนิยม ยม เปนลัทธิศาสนาที่เชื่อวามีพระเจาผูทรงอํานาจยิ่งใหญพระองคเดียว พระเจ า นั้ น ทรงมี อํ า นาจครอบครองโลก และสามารถดลบั น ดาลความ เปนไปในโลก เชื่อกันวามีเทพเจาผูยิ่งใหญเหนือกวาเทพเจาทั้งหลาย หรือเรียกกัน วา “พระเจา” มีพระเจาสูงสุดเพียงพระองคเดียว พระองคเปนผูสรางโลก และสรรพสิ่ ง และเชื่ อ กั น ว า พระเจ า อาจติ ด ต อ มนุ ษ ย โ ดยผ า นศาสดา พยากรณหลายองค เชน พระอัลเลาะหทรงติดตอกับทานนบีมุฮัมหมัด, พระยะโฮวาหทรงติดตอกับทานโมเสสและพระเยซู สวนบางศาสนาก็นับ ถือพระเจาหรือเทพเจาหลายองค อยางศาสนาพราหมณ-ฮินดู เชื่อวาพระ เจาอวตารแยกเปน 3 องค เปนตน
๒. อเทวนิยม ยม อเทวนิยมเปนลัทธิศาสนาที่ไมเชื่อในการมีอยูจริงของพระเจา โดย เชื่อวาโลกและสรรพสิ่งเกิดขึ้นเองตามกฎของธรรมชาติ เชื่อวามนุษยเปนผู กําหนดชะตาชีวิตของตนเอง ทุกสิ่งเปนไปตามเหตุปจจัย โดยมีหลักการ และมีคําสอนที่เนนมนุษยเปนศูนยกลางคําสอน เนนเรื่องการกระทําของ มนุ ษ ย โ ดยตรง คื อ เน น เฉพาะความรู ที่ “เป น จริ ง มี ป ระโยชน และ เหมาะสมตอกาลเทศะ”
สรุปประเภทของลัทธิศาสนา ลัทธิศาสนาแตละลัทธิศาสนา ไมวาจะเปนประเภทเทวนิยม คือ มี ความเชื่อในเรื่องพระเจา หรือจะเปนประเภทอเทวนิยม คือ ไมเชื่อในเรื่อง ของพระเจาก็ตาม ถึงแมวาจะมีความเชื่อที่แตกตางกัน แตจุดประสงคของ ลัทธิศาสนาทั้ง ๒ ประเภท ยอมมีแนวสั่งสอนมุงไปในทางที่ใหคนไดรับ ความสงบสุขเชนเดียวกัน
วิวัฒนาการของลัทธิเทวนิ เทวนิยม ยม
วิวัฒนาการของลัทธิเทวนิ เทวนิยม ยม ลัทธิเทวนิยมมีวิวัฒนาการมาจากลัทธิตาง ๆ ตามลําดับดังนี้ á ลัทธินับถือธรรมชาติ (ธรรมชาติเบื้องต่ําและเบื้องบน) á ลัทธินับถือภูตผีปศาจและวิญญาณ á ลัทธินับถือวิญญาณที่ยกขึ้นเปนเจา á ลัทธินับถือเทพเจา á ลัทธินับถือพระเจา
ลัทธินับถือธรรมชาติเบื้องต่ํา เปนลัทธินับถือสิ่งที่ปรากฏอยูบนพื้นภูมิภาค เปนลัทธิที่ชนชาติ มิลักขะ (เจาของถิ่นเดิมของดินแดนอินเดียปจจุบัน) นับถือมาแตดั้งเดิม ซึ่งสามารถแบงออกเปน ๖ ลัทธิยอยตามสิ่งที่เขานับถือกันอยู คือ ๑. ลัทธินับถือแผนดิน ๓. ลัทธินับถือพฤกษชาติ ๕. ลัทธินับถือน้ํา
๒. ลัทธินับถือภูเขา ๔. ลัทธินับถือสัตว ๖. ลัทธินบั ถือไฟ
๑. ลัทธินบั ถือแผนดิน ลัทธินี้มักรวมถือทั้งภูเขาและสัตวมีพิษดวย ซึ่งเปนลัทธิของพวก ดราวิเดียน (มิลักขะพื้นเดิมแท) ผูนับถือมีทิฏฐิกรรมดิ่งลงไปวา “แผนดินเปนสิ่งประเสริฐและเปน บิดามารดาของสิ่งทั้งปวง” โดย - แผนดินเปนสิ่งประเสริฐ = คุณภาพของแผนดิน เปนเจาเปนใหญ ในทางคุมครองชีวิต ความเปนอยู และอุมธารไวซึ่งสรรพสิ่งทั้งปวง - แผนดินเปนบิดามารดาของสรรพสิ่ง = สรรพสิ่งทั้งปวงตองอาศัย แผนดิน ถาหากไมมีแผนดินสรรพสิ่งทั้งหลายก็จะเกิดขึ้นไมไดเลย
หลักขอปฏิบตั สิ ําคัญ ๑. ตองเชื่อวาแผนดินเปนสิ่งประเสริฐ ๒. ตองเชื่อวาแผนดินเปนบิดามารดาของสรรพสิ่งทั้งปวง ๓. ตองเคารพนับถือแผนดินเทากับบิดามารดาของตนเอง ๔. ตองยกแผนดินขึ้นเปนตนวงศของตน ๕. ตองทําพิธี เชน สังเวยแผนดินดวยพลีกรรม
๒. ลัทธินบั ถือภูเขา หมูชนที่นิยมนับถือภูเขาก็คือชาติดราวิเดียน แตเปนพวกที่ไดแยก ความเชื่อถือจากแผนดินมาเคารพนับถือภูเขา โดยเห็นวา “ภูเขาเปนสิ่งประเสริฐกวาพื้นปฐพี เปนบิดามารดาของ สรรพสิ่งทั้งหลายในโลก” คือ - ภูเขาเปนสิ่งประเสริฐ = เชื่อวาภูเขาทรงคุณลักษณะเปนหลักแกน และรากของพื้นปฐพี ยึดพื้นแผนดินไวมิใหไหวโคลงและถลมทลาย - ภูเขาเปนบิดามารดาของสรรพสิ่ง = เปนตนกําเนิดของหมูสัตว พฤกษชาติ และชลธาร อํานวยผลใหมนุษยไดบริโภคใชสอย
หลักขอปฏิบตั สิ ําคัญ ๑. ตองเชื่อวาภูเขาเปนสิ่งประเสริฐ ๒. ตองเชื่อวาภูเขาเปนบิดามารดาของสรรพสิ่งทั้งปวง ๓. ตองเคารพนับถือภูเขาเทากับบิดามารดาของตนเอง ๔. ตองทําพิธี เชน สังเวยภูเขาดวยพลีกรรม เพื่อขอพรสวัสดิมงคล ๕. ตองสรางหอไวเปนที่นมัสการ (สรางบนยอดเขา) ๖. ตองทําพิธีสักการะและนมัสการ
๓. ลัทธินบั ถือพฤกษชาติ เปนลัทธิที่ชาวโกลาเรียนนับถือ (มิลักขะที่ไมใชพวกพื้นเดิมแท แต อพยพเขามาในอินเดียกอนพวกอริยกะหรืออารยัน) เชื่อวามนุษยไดกําเนิดมาจากตนไมตาง ๆ พวกที่เชื่อวาตนเกิดจาก ตนไมชนิดใดก็ยกตนไมชนิดนั้นวาประเสริฐเปนตนวงศสกุลของตน ตาม ขอบัญญัติของลัทธิยอมถือวา ผูใดทํารายตอพฤกษชาติก็เทากับผูนั้นทําราย ตอบิดามารดาของตนเอง จะตองไดรับโทษในชาตินี้อยางหนัก โดยจะตอง ถูกนําไปแขวนหอยไวกับตนไมใหญและปลอยทิ้งไว จนกวาตนไมจะฆา ผูกระทําบาปนั้นตายไปเอง
หลักขอปฏิบตั สิ ําคัญ ๑. ตองเชื่อวาไมเปนสิ่งประเสริฐ ๒. ตองเชื่อวามนุษยไดกําเนิดมาจากตนไม ๓. ตองนับถือตนไมเปนบิดามารดาของตน ๔. ตองนับถือตนไมกําเนิดวา เปนวงศของตน ๕. ตองทําพลีกรรมบูชาตนไมตามลัทธิ ๖. ตองทําที่บูชาไวบนตนไมที่ตนนับถือ ๗. ตองลงโทษผูทําผิดกฎและผูที่ทํารายตอตนไมอยางหนัก
๔. ลัทธินบั ถือสัตว ชาวดราวิเดียนจะนับถือสัตวมีพิษจําพวกงู และตั้งชื่อใหวา “นาค” ซึ่งหมายความวา “ประเสริฐ” ยกยองวาเปนสัตวศักดิ์สิทธิ์เพราะสามารถ ประหารมนุษยไดดวยพิษ เรียกวา “ลัทธิบูชาอสรพิษ” และเชื่อวาอสรพิษ สามารถชูชวยใหผูบูชามีสติปญญาสูง และคอยเฝาพิทักษรักษาทรัพย หาก ใครทําผิดกฎของลัทธิ จะถูกทารุณใหงูกัดตาย ชาวโกลาเรียนจะนับถือสัตวที่ไมมีพิษ ดวยมีความเชื่อวาสัตวเปน ตนวงศของมนุษย คือมนุษยไดกําเนิดมาจากสัตวตาง ๆ ในคัมภีรฤคเวท หมวดอธิสัมภวะ เชน เตา ชาง โค มา หงส เปนตน และยกสัตวชนิด นั้ น ขึ้ น เป น สิ่ ง ที่ เ คารพสั ก การบู ช าของตน นอกจากนี้ ยั ง ชอบเรี ย กนาม ประเทศหรือผูปกครองเกี่ยวกับสัตวที่ตนนับถือ
๕. ลัทธินบั ถือแมน้ํา พวกโกลาเรี ย นเป น เจ า ของลั ท ธิ โดยเชื่ อ ว า แม น้ํ า มี คุ ณ ทํ า ให แผนดินไมตาย ใหมนุษยและสรรพวัตถุทั้งหลายสะอาดบริสุทธิ์ ดวยวาน้ํา ในแมน้ําชวยดับความรอนและใหความเย็น ตอมาสมัยที่ชนชาติอริยกะหรืออารยัน ไดพากันยกเขาไปอยูใน อินเดียแลว เมื่อไดเห็นลัทธินี้จึงบังเกิดความเลื่อมใสและยอมรับเปนลัทธิ ของตนดวย แตเพิ่มคุณภาพใหแกน้ําอีกวา แมน้ําเปนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ สามารถใหมนุษยผูกระทําชั่วลงอาบชําระลางใหบริสุทธิ์ได
๖. ลัทธินบั ถือไฟ เปนลัท ธิเดิมของพวกอริยกะหรื ออารยัน โดยมีความนั บถือไฟ อยางมั่นคง ถึงกับเอานามของไฟมาเรียกนามของชาติตน ไฟที่นับถือกัน แบงออกเปน ๓ ประเภท คือ ๑. อัคนีหรือเพลิง ซึ่งไดแกไฟตามปกติที่ใชจุดอยูตามบานเรือน ๒. สวิตฺฤ คือ แสงสวางทั้งหลายที่อยูบนสวรรค ๓. ไฟในอากาศหรือวิทยุ (ไฟฟา) นอกจากนี้ยังถือกันวาไฟเปนทูตของภูตผีปศาจและเทวดา โดยนัก ปรัชญาเห็นวา เครื่องเซนสังเวยวางไวเฉย ๆ มิไดหมดเปลืองไป จึงเอา เครื่องสังเวยเหลานั้นโยนเขากองไฟเผาผลาญใหหมดไป ถือวาสิ่งที่บูชา ไดรับเครื่องสังเวยแลว
ลัทธินับถือธรรมชาติเบื้องบน เปนลัทธินับถือสิ่งที่ปรากฏอยูบนเบื้องนภากาศ โดยหมูชนที่นิยม นั บ ถื อ นั้ น ส ว นใหญ เ ป น ชนจํ า พวกผิ ว ขาว เช น สายชาติ อ ารยั น ซึ่ ง สามารถแบงออกเปน ๖ ลัทธิยอยตามสิ่งที่เขานับถือกันอยู คือ ๑. ลัทธินับถือพระอาทิตย ๓. ลัทธินับถือดาว ๕. ลัทธินับถือฝน
๒. ลัทธินับถือพระจันทร ๔. ลัทธินับถือฟา ๖. ลัทธินบั ถือลม
๑. ลัทธินบั ถือพระอาทิตย ลัทธินี้มีอยูในชนชาติตาง ๆ เชน อริยกะ และบาบิโลน ถือกันวา พระอาทิตยเปนมูลรากที่ใหกําเนิดแสงสวางทั้งหลาย กําจัดความมืดมน จน อาจแลเห็นสิ่งที่มีรูปทั้งดีและเลวไดโดยชัดเจน กับมูลรากแหงความรอน คือ ไฟ ที่สามารถแผดเผาพืชพันธุทุกชนิดใหเหือดแหงได ข อ ปฏิ บั ติ ใ นลั ท ธิ มี พิ ธี น มั ส การและกระทํ า พลี ก รรมต อ พระ อาทิตย มีวิหารสําหรับเปนที่นมัสการและทําพลีกรรม
๒. ลัทธินบั ถือพระจันทร หมูมนุษยที่นับถือลัทธินี้ก็เปนพวกเดียวกันกับพวกที่นับถือพระ อาทิตย การนับถือพระจันทรในเบื้องตนถือกันเพียงวาเปนธรรมชาติที่วิเศษ ศักดิ์สิทธิ์ชนิดหนึ่ง ซึ่งอาจบันดาลใหเกิดคุณและโทษไดเทานั้น สวนกิจพิธีที่สําคัญก็คือ พิธีนมัสการกับพิธีพลีกรรม โดยสถานที่ สําหรับประกอบกิจพิธีมักสรางขึ้นเปนพิเศษโดยเฉพาะเรียกวาวิหารจันทร และกําหนดวันเวลาไวประกอบการพิธี
๓. ลัทธินบั ถือดาว ชนชาติ อ ย า งเช น บาบิ โ ลน นอกจากการนั บ ถื อ พระอาทิ ต ย กั บ พระจันทรแลว ยังมีการนับถือดวงดาววาเปนอาณัติสัญญาณของพระเจาอีก โดยเชื่อวาทางโคจรของดวงดาวนั้น เปนเครื่องแสดงความประสงคของ พระเจาวาพระองคจะบันดาลใหเกิดเหตุการณอยางหนึ่งอยางใดขึ้นในโลก ตลอดจนโชคและเคราะหอันจะเปนไปในทางดีหรือชั่วประจําตัวมนุษย สามารถทํานายพยากรณเหตุการณไดดวยประการทั้งปวง ดวยความสนใจและความเคารพนับถือดวงดาวอยางมาก เปนเหตุ ใหชนเหลานี้มีความชํานาญในการดูดวงดาว จนเกิดเปนวิชาโหราศาสตร และดาราศาสตร และตกทอดตอไปยังดินแดนอื่น
๔. ลัทธินบั ถือฟา มีความคิดเห็นอยางแนวแนกันวา ฟามีอัจฉริยภาพอันนาอัศจรรย ยิ่ง ซึ่งประจักษอยูแกจักษุวาครอบครองพื้นพิภพอันกวางใหญไพศาลจนจะ หาที่สุดขอบเขตมิได และก็ดาดไปดวยพระอาทิตย พระจันทร กับดวงดาว ตาง ๆ มากมาย อีกทั้งกอนเมฆหมอก ฟามีอํานาจทําใหโลกปลอดโปรง แจมใสหรือใหมืดคลุมและฉายแสงแลบ คึกคะนอง รองคํารนสงเสียง และ อาจผาลงมาทําลายสรรพสิ่ง และยังอํานวยใหบังเกิดความหนาว ความรอน และโปรยเมล็ดฝนลงมาใหพื้นพิภพเปนคราว ๆ เพราะฉะนั้นพวกที่นับถือจึงมีการคิดแบงฤดูเปน ๓ คราว คือฤดู รอน ฤดูฝน และฤดูหนาว และมีการจัดพิธีบวงสรวงและนมัสการเพื่อพนอ ใหฟาโปรดปรานเสื่อมคลายความกริ้วโกรธ
๕. ลัทธินบั ถือฝน ชนที่นับถือลัทธินี้โดยมากเปนชาติผิดขาวสายอริยกะ ซึ่งนับถือกัน วาฝนเปนที่เกิดแหงน้ํา และสามารถสําแดงคุณและใหโทษแกหมูมนุษย และสัตวได พวกที่เล็งเห็นคุณและโทษของฝนก็บังเกิดความมั่นใจเอาฝน เปนสรณะ มีพิธีนมัสการวิงวอนขอพรและบวงสรวงตามลัทธิ เพื่อที่จะขอ ความสวัสดีที่จะใหฝนอํานวยผลในทางคุณและขจัดปดเปาโทษได
๖. ลัทธินบั ถือลม ประชาชนที่นับถือลัทธินี้ เนื่องจากที่ไดเล็งเห็นคุณและโทษของ ลมอันประจักษแลวนานาประการในทางคุณสมบัติ เชน ใหสิ่งมีชีวิตหายใจ เพื่อดํารงชีวิต ขจัดความรอนและกลิ่นเหม็น นําเอาความเย็นและกลิ่นหอม เปนตน และอานุภาพใหเกิดความพินาศลงได เชน เกิดพายุ เกิดคลื่นใน แม น้ํ า หรื อ ทะเล เป นต น ทํ า ให มี กิ จ พิ ธี บ นบานบวงสรวง แสดงความ เคารพกราบไหวตอลมขึ้นตามความนิยม
ลัทธินับถือภูตผีปศาจและวิญญาณ มูลเหตุของการเกิดลัทธินี้ก็คือ ผีวิญญาณของคนตายซึ่งเปนสิ่งลี้ลับ อันฝงในความรูสึกของคนโดยทั่วไป ความเคารพรักใครตอบุรพชนเมื่อ ทานยังมีชีวิตอยูเพียงใด เมื่อทานลวงลับไปก็แสดงความนับถือตอทานอยู อยางนั้น มีความเชื่อวาวิญญาณมีอํานาจในทางลับที่ใหคุณและโทษแกมนุษย เปนเหตุใหเกิดความกลัวและเปนปจจัยใหเกิดความเคารพนับถือ มีการเซน สรวงสังเวยบูชากราบไหวและวิงวอนขอใหพิทักษรักษา แลวก็กลายเปน ลัทธิ มีจารีตประเพณีตอมา
อียิปต มีความเชื่อวา มนุษยประกอบดวยสิ่งสําคัญ ๔ อยาง คือ รางกาย จิต วิญญาณ อรูปกาย เมื่อทั้ง ๔ อยางยังประชุมกันอยูมนุษยจะยังมีชีวิตอยู เมื่อสวนทั้ง ๔ แยกจากกันดวยอํานาจมฤตยู มนุษยจะถึงแกความตาย แตถือ กันว า ไดแ ยกออกจากกั นไปเพี ยงชั่วคราวเทา นั้น เมื่อ ถึงกาลกํา หนดจะ กลับมารวมประชุมกัน และมนุษยนั้นก็จะกลับคืนชีพขึ้นอีกตามเดิม เพราะเหตุนี้จึงมีขอบัญญัติวา ผูสืบสกุลจะตองทําศพผูวายชนมเปน มัมมี่ เพื่อรอใหศพฟนขึ้นเมื่อถึงกําหนด ผูใดทําการฝาฝนขัดขวางการคืน ชีพของบรรพบุรุษ ผูนั้นจะตองไดรับบาปอยางหนัก
กรีก ในชั้นตนเชื่อวา มนุษยที่ตายไปแลวตองไปสูแดน อั น มื ด คลุ ม ใต ป ฐพี ซึ่ ง มี ผู ป กครองคื อ Hedes มี ช ายาคื อ Persephone ไมวามนุษยนั้นจะเปนคนดีหรือชั่ว ยอมมี วิบากกรรมทุกคน ตอมาไดเปลี่ยนทฤษฎีใหม เชื่อวาผูที่ลวงลับไปอาจทิ้งดวงวิญญาณ และความคิดไวกับบุตรหลานที่ยังมีชีวิตอยู เพื่อคอยอภิบายชวยเหลือ เพราะ เหตุนี้จึงมีพิธีเซนบวงสรวงวิญญาณดวยอาหารและน้ํา มีพิธีสวดมนตออน วอนตอดวงวิญญาณ ตองจัดการเอาศพไปเก็บไว ณ ที่ใดที่หนึ่ง แลวจัดหา เครื่องอุปโภคบริโภคไปตั้งเซนใหแกวิญญาณ (ไดรับแบบอยางของอียิปต)
อารยัน มีความเชื่อวา มนุษยที่ตายแลวยังมีสิ่งหนึ่งคือวิญญาณที่ไมตาย ยังคงดํารงสภาพอยู และยังมีการบริโภคอาหารเพื่อดํารงเปนอยูเชนเดียวกับ มนุษยที่ยังไมตาย เพราะความเชื่อนี้จึงเกิดเปนธรรมเนียมที่บุตรหลานของ ผูตายจะตองจัดหาอาหารเซนวิญญาณ ตอมามีความคิดเพิ่มขึ้นวา วิญญาณสามารถอํานวยความสุขทุกข ใหแกครอบครัวตนได ความเกรงกลัวจึงเปนปจจัยตองหาอุบายใหวิญญาณ โปรดปราน มีประกอบพิธีบนบานศาลกลาว เปนตน
พราหมณ มีความเชื่อวา คนที่ตายแลวจะไปอยูในถิ่นที่เรียกวาเปตโลก แต ดวยความรักใครอาลัย บุตรหลานจึงเปนหวงวาผูลวงลับจะอดอยากหิว กระหายและขาดแคลนเครื่องนุงหม จึงเกิดมีจารีตพิธีทําเครื่องเซนหรือให ทานอุทิศใหแกผูลวงลับ ทําประจําปที่บรรจบครบรอบวันตายหรือทําในตน เดือนหรือตนป
จีน ชาวจีนก็มีความคิดเห็นเชนเดียวกับชาติอื่น ๆ และคอนขางมีความ เคารพนับถือเครงครัด และใหความสําคัญกับพิธีเซนไหววิญญาณ ซึ่งถือ เปนกิจวัตรอันสําคัญยิ่งของชาวจีน ไมวาจะยากจนหรือมั่งมีเพียงใด พิธีนั้น บรรพบุรุษคนใดตายก็เขียนนามและแซลงในกระดานปาย นําไปตั้งไวบนโตะเครื่องบูชาในบานเรือน เพื่อทําการเซนไหวสืบตอไป ปายนั้นเมื่อไดทําพิธีเชิญวิญญาณแลว ก็ถือวาวิญญาณเขาสิงอยูใน ปายอันนั้นแลว และเขาใจกันวาวิญญาณสามารถจะทําการติดตอกับผูเซน ไหวไดดวย
ลัทธินับถือวิญญาณที่ยกขึ้นเปนเจา มูลเหตุของการเกิดลัทธินี้ เกิดจากความรูสึกนึกคิดของปวงชนผู นับถือภูตผีปศาจวาอาจมีสถานที่สํานักอาศัยเชนเดียวกับมนุษย มนุษยมี หัวหนาปกครองเปนชั้นเปนลําดับอยางใด พวกภูตผีปศาจก็คงมีอยางนั้น เมื่อเห็นวาภูตผีปศาจบางประเภทศักดิ์สิทธิ์มีฤทธิ์เดช จึงไดยกยอง ขึ้นใหเปนเจาที่ทรงเกียรติยิ่งใหญกวาภูตผีปศาจสามัญทั้งหลาย เจาผีที่นับถือกันอยูนั้นอาจแบงเปน ๒ จําพวก คือ ๑. เจาผีประจําสถานที่ เชน พระภูมิเจาที่ พระแมโพสพ ๒. เจาผีเฉพาะบุคคล คือ ผีวีรบุคคล เชน กวนอู
ลัทธินับถือเทพเจา เมื่ อ มนุ ษย ไ ดรู เห็ น และประสบเหตุ การณ ต าง ๆ มากขึ้น ย อ ม เทากับวาไดรับการศึกษา ทําใหมีวัฒนธรรมเจริญเพิ่มขึ้น ทํานองเดียวกัน ลัทธินิยมก็ถูกดัดแปลงแกไขมาโดยลําดับอันควรแกกาลสมัย พวกที่นับถือภูตผีปศาจแตเดิมนั้น ไดเกิดความคิดเห็นขึ้นใหมวา ภูตผีปศาจยังไมใชสิ่งทรงอํานาจสูงสุด ที่แทคงมีเทพเจาที่ทรงพลานุภาพ ยิ่งกวา สิ่งตาง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกทั้งปวงยอมเกิดขึ้นเพราะอิทธิปาฏิหาริย ของเทพเจาทั้งสิ้น
ดังนั้น ในสมัยกอนพุทธกาลราว ๑,๕๐๐ ป การเคารพนับถือภูตผี ปศาจจึงไดเสื่อมคลายลง เปลี่ยนมาเปนลัทธินับถือเทพเจา แตการนับถือ เทพเจาไมไดอยูคงที่วาจะนับถือเทพเจาอันยิ่งใหญองคไหนแน ยังตองถูก ดัดแปลงไปตามความคิดเห็นของชนหมูมากอยูเสมอ
ตัวอยางนามของเทพเจา อียิปต :
อนูบิส (เทพแหงความตาย), เซ็บ (เทวีแหงฟา)
กรีก :
เฮอรมิส (เทพแหงการสื่อสาร), วีนัส (เทวีแหงความงาม) เฮเฟตุส (เทพแหงชางเหล็ก), เฮเตีย (เทวีแหงเตาไฟ)
อารยัน :
พระอุมา, พระลักษมี, พระสวัสวดี, พระคเณศ, ทาวกุเวร (เทพแหงทรัพย), พระคงคา (เทวีแหงตนน้ํา) พระสุริยะ, พระจันทร, พระอังคาร, พระพุธ ... ฯลฯ
เทพเจาแบงออกไดเปน ๓ ประเภท ๑. สมมติเทพ คือ เทพเจาโดยสมมติ เชน พระราชา พระราชินี พระราชกุมาร พระราชกุมารี ๒. อุปปตติเทพ คือ เทพเจาโดยกําเนิด เชน เทพเจาชั้นกามาวจร รูปาวจร (รูปพรหม) และอรูปาวจร (อรูปพรหม) ๓. วิสุทธิเทพ คือ เทพเจาโดยความบริสุทธิ์ เชน พระพุทธเจา พระปจเจกพุทธเจา พระอรหันต
ลัทธินับถือพระเจา ประชาชนสมัยโบราณบางพวกมีความเชื่อถือเกิดขึ้นวา “ในโลกนี้ มี ส ภาพที่ สู ง สุ ด อย า งหนึ่ ง คื อ พระเจ า ซึ่ ง เป น ผู ท รง มเหศวรศักดาเดชอันยิ่งใหญไพศาล สามารถบันดาลใหทวยเทพ มนุษย และสัตว หรือสรรพสิ่งทั้งหลายในสากล เปนไปตามพระประสงคของ พระองคไดทุกประการ ภูตผีปศาจ เทพเจา และสิ่งอื่นใดที่เคารพนับถือกัน มาแตเดิมนั้น ไมใชสิ่งที่จะหวังคุณและอํานาจอภินิหารอันศักดิ์สิทธิ์เทา เทียมพระเจาได สิ่งเหลานั้นยอมอยูใตอํานาจของพระเจาทั้งสิ้น”
ความเชื่อถื อเชนนี้ เปนปจจัย ใหเกิดศาสนา ซึ่งมีพระเจาผูท รง อํานาจไมมีเขตจํากัด สวนภูตผีปศาจและเทพเจาที่นับถือกันมาแตเดิมนั้น ไดถูกลดอํานาจราชศักดิ์ใหต่ําลง และขีดวงจํากัดใหอยูภายใตอํานาจพระ เปนเจา ซึ่งแลวแตพระองคจะทรงจัดสรรแบงปนใหมีหนาที่ตาง ๆ ไป ประชาชนที่ เ คารพนั บถื อ พระองค จึง เฉลิ ม พระนามในตํา แหน ง สูงสุดถวายพระองคใหเปน “มหาเทพ”
ในชั้นตน คนบางพวกถือกันวามีพระเจาเพียงองคเดียว และคน บางพวกถือกันวามีพระเจาสององค - พวกที่ถือวามีพระเจาเพียงองคเดียว ไดยกฐานันดรศักดิ์ของ พระองคขึ้นเปนพระเจาผูใหกําเนิด - พวกที่ถือวามีพระเจาสององค ไดยกฐานันดรศักดิ์ขึ้นเปนพระเจา ผูใหกําเนิดองคหนึ่ง และเปนพระเจาผูทําลายอีกองคหนึ่ง หรือมิฉะนั้นก็ เปนพระเจาผูใหกําเนิดทั้งสององค
กาลลวงมาถึงสมัยกอนพุทธกาลราวพันป ไดเกิดความนิยมนับถือ ว า มี พ ระเจ า องค เ ดี ย ว ด ว ยเหตุ ที่ วั ฒ นธรรมและสติ ป ญ ญาความคิ ด ของ มนุษยเขยิบสูงขึ้น ใครคิดคนควาและใฝสูงขึ้น จึงเลิกนับถือภูตผีปศาจและ ทวยเทพ และกลั บ คิ ด เห็ น เชื่ อ ใหม ว า ในสากลโลกนี้ ต อ งมี พ ระเจ า ผู ครอบครองอยูองคเดียว ที่ทรงมีอํานาจยิ่งใหญสูงสุด ควรที่จะยึดถือเปน สรณะที่พึ่ง แมจารีตและวินัยตาง ๆ ก็เกิดเปนแบบแผนมีหลักฐานประณีต ยิ่งขึ้นโดยลําดับ และมีการอธิบายชี้แจงใหเห็นเหตุผลในทางบาปบุญคุณ โทษ ตามควรแกภูมิปญญาในสมัยนั้น ๆ
เพื่อที่จะใหความเคารพเชื่อถือเกิดในจิตใจของศาสนิกชนอยาง หนักแนน จึงมีขออธิบายถึงสิ่งตอบสนองคุณหรือโทษในทางปฏิบัติ สิ่งที่ กลาวนี้คือสวรรคอันเปนแดนบรมสุข และนรกอันเปนแดนที่ทุกขทรมาน ทั้งสวรรค และนรกอยูในอํานาจของพระเจา ซึ่งพระเจาจะทรง พิจารณาเองวา ใครทําคุณงามความดีก็ใหขึ้นสวรรค ถาใครประพฤติชั่วก็ ใหไปตกนรก และอาจลดหยอนผอนโทษได ทั้งนี้ขึ้นอยูกับพิธีกรรมและ การสวดออนวอน เปนที่ถูกพระหฤทัยมากหรือนอย
มีขอสังเกตอยูวา วินัยหรือขอปฏิบัติที่เปนหลักสําคัญทั้งหลาย ได กําเนิดขึ้นจากศาสดาจารยผูเปนเจาของริเริ่มตั้งศาสนาขึ้นทั้งนั้น และจะถูก ยกยองในฐานะบุตรหรือทูตของพระเปนเจา แมคําสั่งสอนนั้นก็มีคําอางไว วามาจากโอษฐพระเปนเจา ขอธรรมคําสั่งสอนของศาสนาที่มีพระเจา จะแตกตางกันไปตาม คตินิยมและขนบธรรมเนียมประเพณีของชาตินั้น ๆ แมในศาสนาเดียวกันก็ ยังแตกตางนิกายกันออกไปอีก แตสุดทายก็มีเหมือนกันคือ วิญญาณของ ผูตายจะไปอยูกับพระเจาบนสวรรค และไมมีทางที่วิญญาณจะไปสูนิพพาน อันเปนสถานบรมสุขได
ตัวอยางนามของพระเจา ฮิบรู :
พระยะโฮวา
อียิปต :
พระเจาโอสิริส, พระเจารา
กรีก :
ซูส
พราหมณ-ฮินดู :
พระพรหม, พระนารายณ, พระศิวะ (ตรีมูรติ)
แนวคิดของลัทธิเทวนิ เทวนิยม ยม
แนวคิดของลัทธิเทวนิ เทวนิยม ยม แนวคิดหรือคําสอนของลัทธิเทวนิยมที่สําคัญมีดังนี้ á เชื่อวามีความเปนจริงสูงสุดหรือพระเจา ซึ่งมีลักษณะเปนพระ ผูเปนบุคคลที่มีอยู ผูทรงสรรพานุภาพ ทรงสรางสรรพสิ่ง ทรงบํารุงเลี้ยง ทรงรักษา และทรงปกครองสรรพสิ่งอยูตลอดเวลา á เชื่อวาความเปนจริงสูงสุดมีองคเดียว หรือหลายบุคคลแตเปน หนึ่งเดียวกัน โดยเฉพาะอยางยิ่งเชื่อในความเปนจริงสูงสุดหรือพระเจาที่ ทรงสรางสรรพสิ่ง ทรงเปนบอเกิดและทรงอยูเบื้องหลังสถานการณตาง ๆ ที่เกิดขึ้น
á พระเจาคือสิ่งมีชีวิตทรงปญญาสูงสุดที่ไมอาจเขาถึงได ถาพระองค ไมประสงค á ศาสนิกตองแสดงความรักหรือภักดีตอพระเจาดวยการสรรเสริญ ปฏิบัติตามที่พระองคประสงคที่ไดตรัสผานศาสนทูตของพระเจา á อาจขอใหทรงไถบาป ออนวอนใหทรงประทานสิ่งที่ดีแกชีวิต á เชื่อวาทรงเปนพระผูสรางสรรพสิ่ง กําหนดสภาวการณที่เปนไป ของโลก แตทรงปลอยใหมนุษยเลือกทางแหงตนเอง โดยจะทรงชวย เมื่อมนุษยลงมือกระทํา
á กอนที่จะเชื่อใหไตรตรองอยางรอบคอบ เมื่อเชื่อแลวอยาสงสัย เพราะ พระเจาจะทรงทดสอบจิตใจในศรัทธา á เมื่อถึงวันสิ้นโลกพระเจาจะทําลายทุกสิ่งที่พระองคสรางขึ้น และจะ ชุบชีวิตทุกคนใหฟนคืนชีพมารับฟงคําพิพากษา ผูเชื่อจะรอด และอยูกับ พระองคชั่วนิรันดร ผูไมเชื่อ จะถูกลงทัณฑใหตกนรกชั่วกาล á ใหวางใจในพระเจา รับพระองคเขาไวในใจจะพบแตสันติสุข
á คําสอนเนนใหมนุษยมีความเชื่อมั่นอยูกับความเปนจริงสูงสุด หรือพระเจา โดยเนนวา ๑) ทุกสรรพสิ่งเกิดจากการสรางสรรคของความเปนจริงสูงสุดหรือ พระเจา พระองคเปนพื้นฐานและบอเกิดของสรรพสิ่ง ๒) พระองคทรงเปนผูกําหนดวิถีชีวิตของมนุษย มีคําสอนวา มนุ ษย เ กิด จากการสร างสรรค ของพระองค ฉะนั้ น ความเชื่ อ ในรู ปนี้ จึ ง ผูกพันมนุษยใหอยูกับความเปนจริงสูงสุดหรือพระเจา ๓) มนุษยตองมีความเชื่อศรัทธาตอความเปนจริงหรือพระเจาอยาง สิ้นเชิงวา พระองคทรงเปนผูประทานชีวิต และดวยความเชื่อนี้เองมนุษยจึง ตองสํานึกตนวา ชีวิตมนุษยตองพึ่งพิงและสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ ของพระองคอยูเสมอ
อางอิง มานพ นักการเรียน. [ม.ป.ป.]. “พระพุทธศาสนากับเทววิทยา.” [ออนไลน]. เขาถึงได จ า ก http://www.src.ac.th/web/index.php?option=content&task=view&id= 233&Itemid=69&limit=1&limitstart=0 สืบคน ๑๒ กันยายน ๒๕๕๓. วิ โ รจ นาคชาตรี และคณะ. ๒๕๕๒. ปรั ช ญาเบื้ อ งต น . พิ ม พ ค รั้ ง ที่ ๑๖. กรุ ง เทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคําแหง. วุฒิชัย อองนาวา. ๒๕๕๑. “ความหมายของศาสนา.” [ออนไลน]. เขาถึงไดจาก http:// franciswut03-2.blogspot.com สืบคน ๑๒ กันยายน ๒๕๕๓. “ศาสนา.” [ม.ป.ป.]. [ออนไลน]. เขาถึงไดจาก http://th.wikipedia.org/wiki/ศาสนา สืบคน ๑๒ กันยายน ๒๕๕๓. สมเด็ จ พระมหาวี ร วงศ (พิ ม พ ธมฺ ม ธโร). ๒๕๔๘. สากลศาสนา. พิ ม พ ค รั้ ง ที่ ๒. กรุงเทพฯ : มหามกุฏราชวิทยาลัย.