เมดอินอิตาลี
Made in Italy, 2012 [โรม-วาติกัน-เนเปิลส์-คาปรี-ฟลอเรนซ์-ซาน จิมิญาโน-ซีเอน่า-ปิซ่าเวนิส-เวโรนา-มิลาน]
KatieKat 16–28 October, 2012
Made in Italy, 2012 by KatieKat
เตรียมตัวกอนเดินทาง
เมดอินอิตาลี (MADE IN ITALY), 2012 หมายเหตุ เนื่องจากเริม่ เขียนและเรียบเรียงการเดินทางครั้งนีอ้ ยางจริงจังเมือ่ ปี 2014 ถึงสิน้ ปี 2015 (เขียนๆ หยุดๆ เลยใชเวลามาราธอน มาก) ดังนัน้ จึงมีขอมูลบางสวนที่ไมอพั เดทไปบางแลวเชน การติดตอขอทําวีซา จองตัว๋ เขาชมพิพิธภัณฑแ ขณะทีเ่ ขียนไปดวยนี้ เราจึงจะหาขอมูลอัพเดทในปัจจุบันแนบประกอบกับขอมูลเกาไปดวย เพื่อใหการนําขอมูลไปใชประโยชนแนนั้ ถูกตองมากขึ้น
เตรียมตัวกํอนเดินทาง ข๎อมูลประเทศ Italy และคูํมือทํองเที่ยว - ใครๆ ก็ไปเทีย่ วอิตาลี โดย อดิศักดิ์ จันทร์ดวง * A MUST * - Top 10 โรม โดย สานักพิมพ์ DK - Top 10 ทัสกานี โดย สานักพิมพ์ DK - คูมือทองเที่ยวอิตาลีดวยตัวเอง โดย ปานนภา ตั้งกุลธวัช สานักพิมพ์วงกลม - บอนจอรแโน อิตาลี BUONGIORNO…ITALIA โดย คณา คชา ฟรีฟอร์มสานักพิมพ์ - โรมันรัญจวน โดย ธรณ์ ธารงนาวาสวัสดิ์ - เวนิสพิศวาส โดย ธรณ์ ธารงนาวาสวัสดิ์ - Lonely Planet: Italy - Italian Toursim Official Website http://www.italia.it/en/home.html - ITALY โดย Jeabfy http://board.trekkingthai.com/board//show.php?forum_id=2&topic_no=124436&topic_id=12593 3 - ITALY โดย Smiley2011 http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=masarukung&date=26-072011&group=1&gblog=1 - ITALY รวมคําถาม การวางแผน กอน เดินทาง โดย wison http://2g.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E9566206/E9566206.html - หนอนนอยตะลุยอิตาลี โดยหนอนนอยทองโลก http://board.trekkingthai.com/board/print.php?forum_id=2&topic_no=181219&topic_id=183518 &mode=lite - ทริปพาเที่ยว 7 วันในอิตาลี โดย belt001 http://www.ilovetogo.com/BoardD/72/1114/ทริปพาเที่ยว-7วันในอิตาลี---วันที่-1-มิลาน - Review Italy & Swisszerland ทริป 15 วัน ไปเองลุยเอง http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2009/05/E7859078/E7859078.html [1]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
เตรียมตัวกอนเดินทาง
- [Review] ~ La Dolce Vita ... ทริปอิตาลี http://2g.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E8789407/E8789407.html - Capri insider guide http://www.capri.com ข๎อมูลงานศิลปะในพิพิธภัณฑ์ตํางๆ (ซื้อที่อิตาลี เอากลับมาอํานเพิ่มเติมประกอบการเขียน) - LEONARDO or the universal genius by Paolo De Silvestri - MICHELANGELO, painter, sculptor and architect by Angelo Tartuferi - Vatican with all the restored, SISTINE CHAPEL, LAST JUDGEMENT and STANZE FRESCOES by Sonia Gallico - UFFIZI Gallery, The Official Guide all of the works by Gloria Fossi - THE BORGHESE GALLERY 10 MASTERPIECES by Maria Rodino di Miglione
[2]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
เตรียมตัวกอนเดินทาง
แผนการเดินทาง
[3]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
เตรียมตัวกอนเดินทาง
ตั๋วเครื่องบิน หลังจากทองอินเตอรแเน็ตเพื่อหาสายการบินที่ไดเวลาและราคาที่ถูกใจแลว สําหรับเรา ไดรายชื่อสายการ บินออกมาดังนี้ การบินไทย, Swiss International Airlines, Qatar Airways (ราคาและเวลานาสนใจที่สุด) และ Emirates Airlines เราเลือก Swiss Int’l Airlines (เรียกสั้นๆ Swiss Air) เพราะ 1. สายการบินเป็นสมาชิกในเครือ Star alliance จะไดไมลแสะสมสําหรับ Royal Orchid Plus 2. ถาจองลวงหนานานๆ ราคาสูสีกับ Qatar Airways และ 3. เวลาเดินทางทั้งขาไป-ขากลับนัน้ ดีถึงดีมาก ออกดึกถึงเชา (BKK-Rome) กลับค่ําถึงบายของอีกวัน (MilanBKK) โดยไปเปลี่ยนเครื่องที่ซูริค สวิตเซอรแแลนดแ หารูลวงหนาไมวา สวิสแอรแจะทําเอาเข็ดหลาบ หลังจากทริปนี้คง หันไปซบสายการบินตะวันออกกลางอีกพักใหญ จนกวาจะทําใจได เราซื้อตั๋วเครื่องบินลวงหนากอนออกเดินทางถึง 8 เดือน ไมรูวานานเกินไปหรือเปลา ใชบริการของ Abacus Travel http://www.goholidaynow.com เหมือนเดิม ราคาตัว๋ คนละ 38,320 บาท ถาเลือก Qatar Airways ก็ไดราคาใกลเคียงกัน เวลาเดินทางอาจจะแยกวาหนอย และตองไปเปลี่ยนเครื่องที่โดฮา กาตารแ แตถา แลกกับขนาดของเครื่อง บริการและสิ่งอํานวยความสะดวกบนเครื่องบิน กาตารแแอรแเวยแก็เป็นทางเลือกที่ดีมากๆ พาสปอร์ต-วีซํา รายละเอียดการขอเชงเกนวีซาประเทศอิตาลี ใหอานและดาวนแโหลดใบคําขอไดที่ http://www.vfsglobal.com/italy/thailand/thai/index.html ซึ่งเป็นเว็บไซตแของศูนยแยื่นวีซาอิตาลีประเทศ ไทยในกรุงเทพฯ ดําเนินการโดยบริษัทที่รับจัดการเรื่องการขอวีซาและหนังสือเดินทางใหหลายประเทศเชนอิตาลี สเปน เมื่อปี 2012 สํานักงานตั้งอยูที่อาคาร Mercury ถนนเพลินจิต ตรงขามเซ็นทรัลชิดลม ปัจจุบัน ก.ย. 2014 สํานักงานตั้งอยูที่ ตึกสีลมคอมเพล็กซแ ชั้น 15 ยูนิต C สีลมคอมเพล็กซแ 191 ถนนสีลม แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500 สายดวน 02-1187001 คาธรรมเนียมวีซาประเภททองเที่ยว (พํานักระยะสั้น) อยูที่ 60 ยูโร การ ชําระเงิน ทางสถานทูตจะคํานวณเป็นเงินไทยตามคาเงินไทยในขณะนั้น (โดยประมาณ) และแจงบอกราคาไวใน เว็บไซตแ ใหชําระเป็นเงินสด ณ วันที่ยื่นเอกสารขอทําวีซา เมื่อเตรียมเอกสารเรียบรอย ใหทําการนัดวันเขาทําการยื่นขอวีซา โดยเว็บไซตแจะเปิดใหนัดจองลวงหนา ประมาณ 2 สัปดาหแผานระบบในเว็บไซตแ (แตก.ย. 2014 เขาไปดูรายละเอียดในเว็บไซตแอีกครั้ง ไมเห็นเขียนถึงใหนัด จองคิวลวงหนาเลย เขาใจวานาจะยกเลิกวิธีนี้ไปแลว สงสัยคงใหไปวิ่งสูฟัดแยงตอคิวกันเอง ไมชอบเลย เราวาวิธกี าร ใหนัดคิวขอวีซาเป็นวิธีที่ดีและสะดวกกับทั้ง 2 ฝุายมากกวา) ปกติควรวางแผนการขอวีซาลวงหนากอนวันเดินทางอยางนอย 1 เดือน สูงสุดไมเกิน 2 เดือน เพื่อความ ปลอดภัยหากการขอวีซามีปัญหา ทางสถานทูตตองการเรียกเอกสารเพิ่มหรือขอสัมภาษณแ แตถาเตรียมเอกสาร ตามที่ทางสถานทูตระบุใหเรียบรอยหรือมากกวานั้น เชนแสดงแผนการเดินทางใหชัดเจน วันไหนไปเที่ยวไหน พักที่ ไหน แสดงเอกสารยืนยันการจองหองพัก และเอกสารทางการเงินใหครบถวน ประตูสูอิตาลีก็เปิดรออยูแลว money is money จา
[4]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
เตรียมตัวกอนเดินทาง
แนะนําอีกซักนิด เนื่องจากการขอเชงเกนวีซาจะตองแนบเอกสารประกันสุขภาพที่ครอบคลุมวงเกินประกัน อยางนอย 30,000 ยูโรหรือ 1,500,000 บาท รายชื่อบริษัทประกันที่ทางสถานทูตยอมรับจะแนบอยูก ับเอกสาร ชี้แจงการกรอกใบคําขอวีซาดวย เราเลือกโปรแกรม smart traveller จากบริษัทแอกซา http://www.axa.co.th/311/th/retail-insurance/travel/smarttraveller-plus เชนเดิม เชนเดียวกันกับทริปเชค-ออสเตรีย-ฮังการี เมื่อปี 2010 เนื่องจากราคาถูกที่สุดจากหลายๆ บริษัทที่ลองสุม เลือกดู การเดินทางระหวํางเมืองในอิตาลี ไปอิตาลีครั้งนี้ เราไมไดซื้อ Pass แบบการทองเที่ยวยุโรปในครั้งกอนๆ เนื่องจากคํานวณราคาตั๋วแบบ Pass กับ point to point แลว แบบหลัง หากจองตั๋วลวงหนานานๆ และเลือกตัว๋ ประเภท super economy fare, no change, no refund ราคารวมจะถูกกวามาก (ราคาเที่ยวละประมาณ 20 EUR สําหรับเมืองใหญๆ และเดินทาง ระยะไกลหนอย) ถาวางแผนการเดินทางใหรัดกุมแลว จะกลัวอะไร ถาเกิดเหตุสุดวิสัยจริงๆ ก็ยอมทิ้งตั๋วนั้น ซื้อตั๋ว ใหม ก็ยังคุมกวา Italy Rail Pass การซื้อตั๋วรถไฟระหวางเมืองในอิตาลี สามารถตรวจสอบตารางรถไฟและซื้อตั๋ว ผานเว็บไซตแ Trenitalia การรถไฟอิตาลี http://www.trenitalia.com โดยสามารถซื้อลวงหนาไดหลายเดือน (เรา ซื้อลวงหนา 3 เดือน) ซื้อผานบัตรเครดิตได ปริ๊นทแตั๋วเก็บไวไดเลย ตั๋วมีการระบุเลขที่นั่งไวใหเรียบรอย โดยระบบจะ เลือกที่นั่งที่ดีที่สุดให แตถาหากอยากจะซื้อ Italy Rail Pass หรือ Eurail Pass แบบอื่นๆที่เหมาะสมกับแผนการเดินทาง สามารถเขาไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมไดที่ http://www.raileurope-world.com ระบบขนสํงสาธารณะ ตารางรถไฟ รถบัส เรือ - Trenitalia การรถไฟอิตาลี http://www.trenitalia.com - การรถไฟสวิตเซอรแแลนดแ (สําหรับดูตารางเวลารถไฟ คาตั๋วและรายละเอียดจําเป็นสําหรับการจองทั่วยุโรป) http://www.sbb.ch/en/home.html - การเดินทางจากสนามบิน Fiumicino ไปสถานี Roma Termini (โรม) http://www.trenitalia.com/cms/v/index.jsp?vgnextoid=dd2aeb82a8fbf310VgnVCM1000008916f90 aRCRD - Roma Pass http://www.romapass.it/?l=en - ตารางรถเมลแและเสนทางการเดินรถเมลแในโรม http://www.atac.roma.it/?lingua=ENG - การเดินทางดวยรถเมลแในโรม http://www.rometoolkit.com/transport/rome_bus.htm - การเดินทางในเนเปิลสแ http://www.napoliunplugged.com/naples-alibus-airport-shuttle - ตั๋วรถเมลแสําหรับเดินทางในเนเปิลสแและเมืองใกลเคียง http://www.unicocampania.it/index.php?lang=en
[5]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
เตรียมตัวกอนเดินทาง
- การเดินทางไปยัง Capri และการเดินทางภายในเกาะ http://www.capri.com/en/getting-here และ http://www.capritourism.com/en/timetable-and-prices - การเดินทางในฟลอเรนซแ http://www.ataf.net/en/ataf.aspx?idC=2&LN=en-US - Siena Mobilita รถบัสไปเซียนา ซาน จิมิญาโนและเมืองใกลเคียง http://www.sienamobilita.it/EN/index.html - การเดินทางดวยเรือเมลแในเวนิส http://www.actv.it/en - การเดินทางในเวโรนา http://www.atv.verona.it/flex/cm/pages/ServeBLOB.php/L/EN/IDPagina/607 - Shuttle bus จากสถานีรถไฟ Milan Centrale ไปสนามบิน Milan Malpensa Airport http://www.malpensashuttle.it/e-index2.php หรือ http://ecomm.autostradale.it/ การจองตั๋วเข๎าชมพิพิธภัณฑ์ตํางๆลํวงหน๎า - Galleria Borghese สามารถใช Roma Pass เขาชมฟรี แตตองโทรไปจองรอบที่ +39 06 32810 กรณีไมใช Roma Pass สามารถซื้อตั๋วลวงหนาผานเว็บไซตแ http://www.tosc.it/tickets.html - Vatican Museums http://mv.vatican.va/3_EN/pages/MV_Home.html - พิพิธภัณฑแในฟลอเรนซแ by B-ticket http://www.b-ticket.com/b-ticket/uffizi/default.aspx ถาจะจองรอบ เชาใหโทรไปจองที่ +39055294883 (แตขณะที่เขียนนี้ ก.ย. 2014 ทางเว็บเปิดใหจองไดทุกรอบแลว เพราะฉะนั้นไมมีความจําเป็นตองโทรไปจอง สามารถซื้อตัว๋ ผานเว็บไดเลย) - Cenacolo Vinciano (The Last Supper) ในมิลาน http://www.vivaticket.it/index.php?nvpg[evento]&id_evento=298097&wms_op=cenacoloVincian o&SiteVersion=1&change_language=1 แผนที่เมือง-แผนที่ไปที่พัก - แผนที่เมืองสําคัญในอิตาลี รวมทั้งรายละเอียดภายในศาสนสถานและสถานที่ทอ งเที่ยวสําคัญในเมืองตางๆ ของ อิตาลี http://www.planetware.com/ - แผนที่เมือง Capri http://www.capri.com/en/getting-here - นอกจากนี้คนหาจาก google map ไดเลย มีครบทุกที่ ที่พัก - M&J Place Hostel (โรม) http://www.mejplacehostel.com/ - Mercure Napoli Garibaldi (เนเปิลสแ) by Accor Hotel http://www.accorhotels.com/gb/hotel-3243ibis-styles-napoli-garibaldi-ex-mercure/index.shtml - Hostel Archi Rossi (ฟลอเรนซแ) http://www.hostelarchirossi.com/ - Hotel Florida (เวนิส) http://hotel-florida.com/ [6]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
เตรียมตัวกอนเดินทาง
- Novo Hotel Rossi (เวโรนา) http://www.novohotelrossi.it/en - ที่พักอืน่ ๆ สามารถหาไดจาก google map ลองซูมแผนที่ดูรายชื่อที่พกั บริเวณใกลสถานีรถไฟ รถไฟใตดินที่ เดินทางสะดวก หรือใกลแหลงทองเที่ยวที่เราตองการไป หรือใชบริการจากเว็บไซตแ Agoda ควบคูไปกับ google map เงินยูโร แลกเงินยูโรตามที่ตองการ ต.ค. 2012 อยูที่ประมาณ 40 บาทตอ 1 ยูโร
สารบัญ วันที่ 1: BKK - Rome [8] วันที่ 2: Rome [39] วันที่ 3: Vatican [79] วันที่ 4: Naples - Capri [136] วันที่ 5: Florence [166] วันที่ 6: San Gimignano - Siena [192] วันที่ 7: Pisa - Florence [221] วันที่ 8: Florence - Venice [249] วันที่ 9: Venice - Murano - Burano [274] วันที่ 10: Venice - Verona [303] วันที่ 11: Milan – BKK [334]
[7]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 1: BKK - Rome
วันที่ 1: BKK – Rome
[8]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 1: BKK - Rome
ทริปอิตาลีนี้เป็นทริปที่วางแผนการเดินทางที่ยาวนานที่สุดรวมปี ตั้งแตทองนองพลับจนนองพลับอายุ 8 เดือน แตถึงแมจะมีการวางแผนทีย่ าวนาน ทริปนี้กลับเป็นทริปที่พอเดินทางจริงแลว กลับทุลักทุเล ผิดแผนและหลง ทางมากที่สุด เราออกเดินทางจากกรุงเทพฯ เวลา 23.15 น. โดยสายการบินสวิสแอรแ กอนเครื่องลงที่ซูริค แอรแโฮสเตส แจกช็อกโกแลตบารแเล็กๆ แบบไมอั้นดวย อรอยดี และกลายเป็นของกินเพิ่มระดับน้ําตาลยามฉุกเฉินไดดีมากดวย เครื่องถึงซูริคประมาณ 6 โมงเชา มีเวลา 1 ชม. 20 นาที ในการตอเครือ่ งไปโรม และถึงสนามบิน Fiumicino (อีกชื่อคือสนามบิน Leonardo Da Vinci) ที่โรม 8 โมง 50 นาที ผานตม. (ไมเห็นตองนั่งรถไฟ sky train ขาม terminal ตามที่อานมาเลย แคเดินตามปูายบอกก็ถึง baggage claim ใหสังเกตปูาย baggage claim ดีๆหนอย สุดทายกอนถึงตองชิดขวา จะมีบันไดเลื่อนใหลงไป อยาเผลอเดินตรงไปจนเจอตม. ขาออกทีเดียวเชียว เราพลาดมาแลว เสียเวลาและเสียหนามาก (แบบวาหนาบาง :-P) หลังจากรับกระเปา ใหมองหาสัญลักษณแ Train (รูปรถไฟ) เดินตามไปจนเจอสถานีรถไฟของสนามบิน บริเวณทางเขาชานชาลา จะมีเคาทแเตอรแขายตัว๋ รถไฟและตั๋วเทีย่ วเมืองโรม (Roma Pass) เราซื้อทั้งตั๋วรถไฟเขา เมืองและ Roma Pass ที่นี่คะ
โปรแกรมวันนี้ หลังจากลงเครื่อง เดินทางสูํตัวเมืองโรม เข๎าที่พัก ฝากกระเป๋า (เย็นๆ คํอยกลับมา เช็คอิน) เราจะเริ่มทํองเทีย่ วโรมโดยเริม่ จากบันไดสเปน (Piazza di Spagna) ตํอด๎วยน้า้ พุเทรวี (Fontana di Trevi) บําย 3 ไปชมงานศิลป์ที่พิพธิ ภัณฑ์บอร์เกเซ (Galleria Borghese) ตกเย็นแวะไป Piazza del
[9]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 1: BKK - Rome
Popolo และถ๎ายังไหว เราจะกลับไปที่น้าพุเทรวีอีกครั้ง เพื่อชมบรรยากาศความสวยงามของน้้าพุและบริเวณ โดยรอบยามค่้าคืน วาแลวก็ตองหาทางเขาตัวเมืองโรมใหไดกอนคะ การเดินทางจากสนามบินเข๎าตัวเมืองโรม ทําไดหลายวิธีดังนี้ (ข้อมูลจาก ใครๆ ก็ไปเที่ยวอิตาลี และ trenitalia.com) 1. รถไฟดํวน Leonardo express 14 EUR ตรงจากสนามบิน Fiumicino สูสถานีรถไฟแตรแมินี (Roma Termini) แบบ non-stop - ใชเวลาเดินทางประมาณ 30 นาที และมีขบวนรถออกทุก 30 นาทีเชนกัน - ตั๋วมีอายุ 90 นาทีหลังจากนําตั๋วไป validate ที่เครื่องกอนขึ้นรถไฟ โดยเครื่อง validate จะอยูที่หนาชาน ชาลาและตามเสาตางๆ ภายในสถานี เครื่อง validate ตั๋วรถไฟในอิตาลีเทาที่เห็นมี 2 รุน คือรุนเกาสีเหลือง และรุนใหมสีเขียว การ validate ใหนําตั๋วเสียบเขาชองที่กาํ หนด โดยใหชิดขอบตั๋วกับทางซายของชองเสียบ - รถไฟออกตลอดทั้งปี การันตีแมในยามเกิดการประทวงหยุดเดินรถ - ถามาจากสถานี Termini รถไฟจะออกจาก platform 23/24 - สามารถซื้อตั๋วผานเว็บไซตแ trenitalia ซื้อผานเครื่องขายตั๋วอัตโนมัติ บริษัททองเที่ยวและเคาทแเตอรแขายตัว๋ ที่ เป็นตัวแทนจําหนาย 2. รถไฟสาย FR1 เป็นรถไฟสายธรรมดา ราคา 8-11 EUR ขึ้นกับระยะทาง ผานสถานีใหญอยาง Trastevere, Ostiense, Tascolana หรือ Tiburtina แตไมผานสถานี Termini ตองตอรถไฟบนดินหรือใตดินจากสถานีอื่น มาที่ Termini อีกที รถไฟออกจากสนามบินทุก 15 นาที ใชเวลาเดินทางถึงใจกลางกรุงโรมประมาณ 45 นาที 3. Shuttle bus 8 EUR จากสนามบินไปยัง Piazza Cavour ใกลกรุงวาติกัน และไปยังสถานี Termini ใชเวลา เดินทางประมาณ 50 นาที 4. แท็กซี่ คาโดยสารจากสนามบินสูใจกลางกรุงโรมประมาณ 50 EUR แนนอนวาเราเลือกการเดินทางแบบที่ 1 ซึ่งสะดวกและราคาเป็นมิตรมากที่สดุ นอกจากซื้อตั๋วรถไฟเพือ่ เดินทางจากสนามบินเขาตัวเมืองแลว เรายังซื้อตั๋วสําหรับเดินทางในกรุงโรม โดยคํานวณแลววาระยะเวลาที่อยูใน โรม 3 วัน 3 คืน (72 ชม.) นั้น การซื้อ Roma Pass นั้นคุมคาที่สุด การเดินทางในโรม (ข้อมูลจาก ใครๆ ก็ไปเที่ยวอิตาลี และ rometoolkit.com) ระบบขนสงสาธารณะในโรมนั้นถูกรวมเขาดวยกันทั้งหมด ตัว๋ ใบเดียวครอบคลุมการใชขนสงสาธารณะทุก ประเภทไดแก รถไฟใตดิน รถเมลแ และรถราง ดําเนินการโดย atac http://www.atac.roma.it/page.asp?p=18 สามารถเขาไปดาวนแโหลดแผนทีก่ ารเดินรถทุกประเภท รวมทั้งคนหาขอมูลตารางเวลาเดินรถ สายรถและวาง แผนการเดินทางไดที่นี่ เว็บไซตแเป็นภาษาอิตาเลียน ถึงแมจะมีภาษาอังกฤษใหเลือก แตดูเหมือนวายังทําไมสมบูรณแ ใหใช google translate ชวยแปลทั้งหนาเว็บไดเลยคะ [10]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 1: BKK - Rome
1. รถไฟใต๎ดิน (Metro) – มีเพียง 2 สายคือ Metro A และ Metro B โดยมีสถานีเชื่อมตอกันที่สถานี Termini โดยสายที่ 3 Metro C อยูระหวางกอสราง สาเหตุหลักที่ทาํ ใหรถไฟใตดินในโรมมีจํานวนสายนอย ซึ่งไม ครอบคลุมสถานที่ตางๆเทาที่ควร เนื่องจากขอจํากัดในการกอสรางที่กรุงโรมนัน้ เต็มไปดวยโบราณสถานเกาแก อันทรงคุณคามากมาย นอกจากเสนทางของรถไฟใตดินจะไมคอยครอบคลุมแลว ขอเสียอีกอยางรถไฟใตดินใน โรมก็คือความสกปรกและเปรอะเปื้อนไปดวยศิลปะ graffiti แตขอไดเปรียบเรื่องเวลาเดินทางที่รวดเร็วก็ทําให การโดยสารดวยรถไฟใตดินเป็นทางเลือกที่นาสนใจ รถไฟใตดินเปิดใหบริการตั้งแต 05.30 – 23.30 น. รถไฟมา ทุก 4-10 นาที สัญลักษณแของสถานี Metro คือตัว M ตัวใหญสีขาวบนพื้นสีเหลี่ยมสีแดง 2. รถเมล์ (Autobus) – มีมากมายหลายสาย วิ่งใหบริการตั้งแต 05.30 น. ถึงเที่ยงคืนทุกวัน รถเมลแสายสําคัญที่ เป็นที่นิยมสําหรับนักทองเที่ยวคือ - สาย 40 Termini - Piazza Venezia - Argentina - Piazza Pia (for St Peter's/Vatican) - สาย 64 Termini - Piazza Venezia - Argentina - Vatican - สาย 62 Repubblica - Spanish Steps - Piazza Venezia - Argentina – Vatican - สาย 81 Vatican Museums - Piazza Imperatore (Spanish Steps) - Piazza Colonna (Trevi Fountain) - Piazza Venezia - Circo Massimo – Colosseum - สาย 60 Repubblica - Piazza Venezia - Colosseum - Circo Massimo - สาย H Termini - Piazza Venezia - Argentina – Trastevere - สาย 27 Termini – Colosseum - สาย 3 และ 910 Termini – Galleria Borghese สามารถคนหาสายรถเมลแตามเสนทางที่เราตองการพรอมทั้งดาวนแโหลดแผนที่การเดินรถเมลแไดจากเว็บไซตแ atac เลยคะ ละเอียด ครบถวนทุกความตองการ 3. รถราง (Rete Tranviaria) – สายสําคัญคือสาย 9 Argentina – Trastevere 4. รถบัสน้าเที่ยว (Sightseeing bus) – มีหลายบริษัทใหเลือก สวนใหญออกจากหนาสถานี Termini และมีจุด จอดรถอยูตามสถานที่ทองเที่ยวตางๆ ซื้อตั๋วครั้งเดียวสามารถขึ้นลงไดตลอดทั้งวัน รถมาทุก 15-30 นาที ตัว๋ แบบ 1 วัน ราคา 15-20 EUR แบบ 2 วัน ราคา 30-40 EUR
[11]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 1: BKK - Rome
แผนที่การเดินรถไฟบนดินและใต๎ดินในโรม พร๎อมจุดเชื่อมตํอกับขนสํงสาธารณะอื่นๆ (Credit: http://www.rome-roma.net/)
ประเภทตั๋วโดยสาร 1. B.I.T. Standard ticket 1.5 EUR – สําหรับขึ้นเมโทร 1 ครั้ง หรือขึ้นรถเมลแ/รถรางภายใน 75 นาที 2. B.I.G. Daily ticket 6 EUR – ตั๋ววัน ขึน้ เมโทร รถไฟ รถรางไดไมจํากัดจํานวนครั้งภายใน 1 วัน 3. B.T.I. 3-day tourist ticket 16.5 EUR – ตั๋ว 3 วัน ขึ้นเมโทร รถไฟ รถรางไดไมจํากัดจํานวนครั้งเชนกัน 4. C.I.S. weekly ticket 24 EUR – ตั๋วสัปดาหแ หมายเหตุ: โดยสารฟรีสําหรับเด็กอายุตา่ํ กวา 10 ปี
[12]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 1: BKK - Rome
การซื้อตั๋ว ตองทําการซื้อตั๋วกอนขึ้นรถ โดยสามารถหาซื้อไดที่รานขายของชํา/แผงขายหนังสือพิมพแ (Tabacchi) เครื่องขายตั๋วอัตโนมัติที่สถานีเมโทรหรือปูายรถเมลแใหญๆ หากจําเป็น สามารถซื้อไดบนรถเมลแ/รถราง แตราคานาจะสูงกวาซื้อกอนขึ้นรถ (ไมแนใจ) โดยกอนขึ้นรถทุกประเภทในครั้งแรกที่เริ่มใชตั๋ว ตองทําการ validate กอน ถาขึ้นเมโทร ก็จะมีชองกั้นใหประทับ/สอดบัตรกอนเขาชานชาลา ถาขึ้นรถเมลแ/รถราง ให validate ตั๋วบนรถ จะมีเครื่องตั้งอยูที่เสารถ Roma Pass โรมา พาส (Roma Pass) เป็นบัตรที่เหมาะสําหรับนักทองเที่ยวที่ มีเวลาอยูในโรมหลายวันหนอย เชน 3 วัน โดยใหสิทธิประโยชนแแกผูถือ บัตรดังนี้ เขาชมพิพิธภัณฑแ/โบราณสถานตามรายชื่อที่กําหนดไดฟรี 2 แหํง (ที่ นิยมก็คือ Galleria Borghese และ Colosseum) และไดสวนลดเมื่อ เขาชมพิพิธภัณฑแแหงที่ 3 เป็นตนไป ใชระบบขนสงสาธารณะทุกประเภทในโรมฟรี ไมจํากัดจํานวนครั้ง ทั้งนี้ ไมรวมถึงรถไฟขบวนพิเศษที่เชื่อม ตอไปยังสนามบินในโรมทุกแหง (รวมทัง้ Leonardo express ที่เราขึ้นจากสนามบิน Fiumicino มายังสถานี รถไฟ Termini ดวย) ไดรับสวนลดเมื่อเขาชมนิทรรศการตางๆ ตามที่ระบุ ทั้งนี้ Roma Pass สามารถใชไดภายใน 3 วันนับจากวันที่เริ่ม validate บัตรครั้งแรกไมวาจะจากการเขา ชมพิพิธภัณฑแหรือการ validate เมื่อใชระบบขนสงสาธารณะ กอนการใชบัตรใหเขียนชื่อ นามสกุลและวันที่เริ่มใช บัตรที่ดานหลังบัตรใหเรียบรอย เมื่อปี 2012 ที่เราซื้อ ราคาใบละ 30 EUR แตต.ค. 2014 ราคาเพิ่มขึ้นเป็น 36 EUR ปัจจุบัน Roma Pass เพิ่มประเภทบัตรใหม Roma Pass 48 hours ในราคา 28 EUR แตกตางกับ Roma Pass ก็คือ สามารถเขาชมพิพธิ ภัณฑแฟรีไดเพียง 1 แหง และบัตรใชไดภายใน 48 ชม. หลังจาก validate Roma Pass สามารถหาซื้อออนไลนแหรือที่ศูนยแขอมูลนักทองเที่ยว (Tourist Information Points) ที่ สนามบินและสถานีรถไฟใหญๆ อานรายละเอียดเพิ่มเติมไดที่เว็บไซตแ http://www.romapass.it/p.aspx?l=en&tid=8
[13]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 1: BKK - Rome
แผนที่ตัวเมืองโรม (Credit: www.mapaplan.com)
[14]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 1: BKK - Rome
แผนที่ตัวเมืองโรม (Credit: www.mapaplan.com)
[15]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 1: BKK - Rome
ที่พักในโรมของเราคือ M&J Place Hostel http://www.mejplacehostel.com/ หอง double room หองน้ําในตัว ไมรวมอาหารเชา ราคาคืนละ 100 EUR บวก tax คนละ 2 EUR รวม 104 EUR (เป็นไง ราคาโหด สะใจดีไหม นี่ถูกและดีและสะดวกที่สุดในยานนี้แลวนะ ยอนกลับไปดูราคาทีพ่ กั ที่ปรากเมื่อทริปกอน คืนละ 24.9 EUR เอิ่มมม นอนได 4 คืน) เมื่อรถไฟ Leonardo express พาเรามาเทียบทาที่ชานชาลาของสถานีรถไฟ Termini ใหเดินออกมาทาง Via Marsala (Via แปลวาถนน) ที่ทางออกสถานีจะมีปาู ย Roma Termini ตัวใหญมาก เลี้ยว ซาย เดินตรงไปเรื่อยๆจนเจอ 4 แยก ใหเลี้ยวขวา เดินตรงไปอีกนิด จะเจอที่พกั เดินขึ้นไปเช็คอินที่ชั้น 2 ที่พักเรา อยูชั้น 3 มีคอมพิวเตอรแและอินเตอรแเน็ตใหใชในหอง WIFI มีเฉพาะแถวๆ reception ที่ชั้น 2 อาหารเชาถาจะกิน ตองซื้อคูปอง 3 EUR ลงไปกินที่รานอาหารที่อยูติดกันกับโฮสเทล นี่คือสิ่งที่พนักงานที่ reception บอกเรา
แผนที่ M&J Place Hostel
อากาศที่อิตาลีชวงกลางเดือนตุลาคมนี้เย็นสบาย และถือวาอบอุนมากเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆใน ยุโรปกลางหรือยุโรปตะวันออกที่เราเคยไปเที่ยวมาในชวงเวลาเดียวกัน เนื่องจากประเทศอิตาลีอยูทางใตมากกวา ตอนเชาอากาศคอนขางหนาว ลมแรง แตพอสายๆ แดดเริ่มออก อากาศก็กลายเป็นเย็นสบายและอุนขึ้นเรื่อยๆเมื่อ ใกลเที่ยง กอนที่อากาศจะกลับมาเย็นอีกครั้งเมื่อดวงอาทิตยแเริ่มคลอยลงจนหนาวอีกครั้งในยามค่ําคืน
[16]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 1: BKK - Rome
แผนที่สถานที่ทํองเที่ยวส้าคัญในโรม (Credit: www.mappery.com)
เนื่องจากยังไมถึงเวลาเช็คอิน เราจึงฝากกระเปาไวใน locker room กอน แลวเดินกลับไปยังสถานี Termini เพื่อขึ้นเมโทรไปสถานที่เที่ยวแหงแรกในโรมของเรานั่นคือ บันไดสเปน (Piazza di Spagna) จาก สถานี Termini ใหนั่งเมโทร A (ปลายทาง Battistini) ไปลงสถานี Spagna (3 ปูาย 7 นาที) เดินตามปูายบอกทาง ไปบันไดสเปน เมื่อถึงทางออกใตดินก็จะไปโผลเจอบันไดสเปนอยูทางซายมือ ผูคนมากมายยืนอยูทั่วบริเวณจัตุรัสบันไดสเปนเต็มไปหมด ที่มาของชื่อบันไดสเปนมาจากสถานทูตสเปน ประจํากรุงวาติกัน ที่ตั้งอยูทางดานทิศใตของ Palazzo di Spagna สิ่งที่นาสนใจบริเวณนี้คืออางน้ําพุบารแคัสเซีย (Fontana Della Baecaccia) มีรูปรางคลายเรือกําลังรั่ว โดยมีน้ําพุงออกจากตรงกลางอางลงไปสูอางน้ําขางลางอีก ที อางน้ําพุบารแคัสเซียเป็นผลงานออกแบบโดยปิเอโตร แบรแนินี บิดาของแบรแนินี เหนือบันไดขึ้นไปมีเสาโอเบลิสกแ [17]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 1: BKK - Rome
ชัลลัชเชียน (Sallustian) ตั้งโดดเดนอยูตรงกลาง ดานหลังบันไดและเสาโอเบลิสกแคือโบสถแตรินิตะ เด มอนติ สําหรับตัวบันไดสเปนนั้นเป็นศิลปะแบบรอกโคโค ออกแบบโดย ฟรานเชสโก เด ซันติส สรางขึ้นเมื่อค.ศ. 1723 – 1726 ถวายแดพระเจาหลุยสแที่ 15 (ข้อมูลจากหนังสือใครๆ ก็ไปเที่ยวอิตาลี)
[18]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 1: BKK - Rome
อํางน้้าพุบาร์คัสเซีย (Fonta Della Baecaccia)
ภารกิจรักษาปริมาณน้้านมให๎น๎องพลับ
บรรยากาศบนถนน Via Condotti [19]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 1: BKK - Rome
เรานั่งปฏิบัติภารกิจรักษาปริมาณน้ํานมใหนองพลับ คือการนั่งปั๊มนมทิ้ง (ฮือๆ เสียดายจริง >_<) ที่บน ขั้นบันไดสเปนนี่ละ ระหวางปั๊มก็มองไปรอบๆ มีพวกคนหนาแขกๆ เอเชียใตไมก็ตะวันออกกลางมาขายดอกไม โดย ทําทีเป็นยื่นดอกไมใหฟรี แตจริงๆ จะขายนั่นแหละ (และจะพบคนพวกนี้ไดอีกมากมายตามเมืองใหญๆในอิตาลี) แลวก็มีพวกมาขายกอนยางกลมๆ สีตางๆ ที่พอปาลงพื้นแลวเปลี่ยนรูปได (เหมือนในหนังเรื่อง Flubber ดึ๋งๆ ที่โร บิน วิลเลียมสแเลน) ถนนดานหนาบันไดสเปนคือ Via Condotti แหลงรวมแฟชั่นสุดหรูในโรม เราเดินเลนบนถนนนี้สักพัก ก็ เดินตอไปยังน้ําพุเทรวี (Fontana di Trevi) ตอ ซึ่งที่นั่น..... ผูคนลนหลามมากมายยิ่งกวา
Route to go: Piazza di Spagna to Fontana di Trevi
วันที่เราไปนั้นมีการปิดซอมแซมบางสวน ทําใหถายรูปไดไมสวยงามเทาไหร และถึงจะไมปิดซอมแซม การ จะถายรูปน้ําพุเทรวีใหสวยงามดวยฝีมือการถายภาพแบบบานๆ ของเรานั้นก็ไมใชเรื่องงายเลย เมื่อนักทองเที่ยวลาน แปด ทั้ง backpacker ทัวรแจีน ทัวรแหรัง่ แพ็คตัวกันอยูเต็มสถานที่ไปหมด น้้าพุเทรวี (Fontana di Trevi) ได ชื่อมาจากสาวพรหมจรรยแชอื่ ทริเวีย (Trivia) ผูพาทหารโรมันไปพบตาน้าํ ธรรมชาตินอกกรุงโรมเมื่อ 19 ปีกอน คริสตกาล ทําใหจักรพรรดิออกัสตัส สั่งใหสรางสะพานสงน้ําชื่ออักควาแวรแจีเนเขามายังกรุงโรมจนถึงปัจจุบัน ความ สวยงามของน้ําพุเทรวีอยูทปี่ ระติมากรรมหินออนที่เป็นฉากหลังอันอลังการ ตรงกลางเป็นรูปเทพเจาเนปจูน มีเทพ [20]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 1: BKK - Rome
ไตรตันกําลังปราบมาพยศอยู 2 ขางดานหนา สวนดานหลังเทพเจาเนปจูน ดานขวาคือจักรพรรดิออกัสตัส ดานซาย คือสาวพรหมจรรยแทริเวีย (ข้อมูลจากหนังสือใครๆ ก็ไปเที่ยวอิตาลี) และเพือ่ ใหสอดคลองกับที่มาของรูปปั้นบอก เรื่องราวที่น้ําพุเทรวี ดานขางกําแพงมีน้ําพุเล็กๆ ซึ่งเป็นน้ําที่ตอมาจากทอประปาของทางการอิตาลี สามารถรองดื่ม ได หากใครกําลังหาน้าํ ดื่มฟรีในอิตาลี ถามาถึงน้ําพุเทรวีแลวก็เชิญรองใสขวดเก็บไวไดเลย
[21]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 1: BKK - Rome
นักทองเที่ยวที่มาเยือนน้ําพุเทรวี นอกจากจะมาถายรูปสวยๆแลว สวนใหญกย็ งั นิยมหัวหลังโยนเหรียญลง น้ําพุดวย เนื่องจากมีความเชื่อวาหากใครหันหลังแลวโยนเหรียญลงน้ําพุ จะไดกลับมาเยือนที่นี่อกี ครั้ง... ความเชื่อนี้ ดีแฮะ ทางการกรุงโรมรวยเละจากการเก็บเหรียญที่โยนลงมา นักทองเที่ยวลานแปดซะขนาดนี้ กินนิ่มๆ กินยาวๆ
บรรยากาศร๎านอาหารรอบๆน้้าพุเทรวี [22]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 1: BKK - Rome
รอบๆ น้ําพุเทรวีจะมารานอาหารเรียงรายอยูมากมาย ทั้งแบบ restaurant (ristorante) เต็มรูปแบบ กับ รานที่ขายอาหารพวกพิซซาสําเร็จรูปที่ทาํ ไวแลว แลวตัดเป็นชิ้น 4 เหลี่ยม เห็นบรรยากาศผูคนนั่งกินอาหารที่ รานอาหารตางๆ แลวเพลินมากๆ บรรยากาศเอาทแดอรแ เย็นๆ ชิลๆ กับน้ําพุและประติมากรรมอลังการ ฟินสุดๆ แต เราเลือกที่จะกินไอศกรีมเจลาโตแทน 55+ เอ฿ะ ยังไง! จริงๆ แคไมตองการเสียเวลานั่งทางอาหารหนักๆ แคนั้น ออกจากน้ําพุเทรวี เราเดินไปขึ้นรถเมลแเพื่อไปยังจุดหมายตอไปคือพิพิธภัณฑแบอรแเกเซ (Galleria Borghese) เนื่องจากน้ําพุเทรวีกบั Galleria Borghese อยูหางกันเกือบ 2 กม. เดินไปใชเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ถาจะขึ้นรถ ตองเดินไปขึ้นรถเมลแสาย 116 ที่ Via del Tritone ใชเวลา 20 กวานาทีกวาจะถึง Galleria Borghese เชนกัน เนื่องจากใชเวลาเดินทางไมตางกันเทาไหร เราจึงเลือกที่จะประหยัดพลังงาน ถนอมกําลังขาไวสําหรับการ เดินทางที่เหลือ เราจึงเลือกเดินไปขึ้นรถเมลแดีกวา จากน้าํ พุเทรวี ถนนที่เรายืนอยูแ ลวหันหนาเขาน้าํ พุ คือถนน Piazza de Trevi เสนทางใกลที่สุดที่จะเดินไปปูายรถเมลแคือใหเดินไปทางขวาของน้ําพุ ซึ่งคือ Via della Stamperia เดินตรงไปจนสุดจะเจอ Via del Tritone แลวขวาเดินตรงไปจะเจอปูายรถเมลแ Tritone – Fontana de Trevi ใหรอขึ้นรถเมลแสาย 116 ที่ปูายนี้ แตจาํ ไดวาวันนั้นเราเบลอๆ งงๆ กับเสนทาง เลยไปเดินออมอีกทางไกล กวามาก คือแทนที่จาก Piazza de Trevi จะตองเลี้ยวซายเขา Via della Stamperia เรากลับเดินตรงไปเขา Via del Lavatore ผาน Via in Arcione จนสุดแลวเลี้ยวซายเขา Via del Traforo ตรงไปจนเจอสี่แยก เลี้ยวขวาเขา Via del Tritone แลวเดินตรงไปรอรถที่ปูาย Tritone – Barberini ซึ่งไกลกวาเสนทางแรกอีกเทาตัว ลองดูแผนที่ ใน google แลวจะเขาใจวามันชางออมเหลือเกิน (นี่ไง! ความเบ฿อะและหลงทางตลอดทริปอิตาลี นี่แควันแรกนะ) Tritone-Barberini
Tritone-Fontana di Trevi Tritone-Fontana di Trevi
แผนที่จากน้้าพุเทรวี่ไปยังป้ายรถเมล์สาย 116 [23]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 1: BKK - Rome
รถเมลแสาย 116 ปลายทาง Porto Pinciana พาเราเขาสู Villa Borghese ใหลงที่ปูาย Cavalli Marini (Museo Borghese) ซึ่งเป็นหนาทางเขาพิพิธภัณฑแ รถจะขับวนยอนกลับที่ปูายนี้ แตจะไปสุดสายที่ปูาย Porta Pinciana ที่ อยูบนถนนใหญหลังออกจากตัว villa มาแลว
Cavalli Marini (Museo Borghese) Porta Pinciana
แผนที่เส๎นทางเดินรถเมล์สาย 116 (ผําน Galleria Borghese)
[24]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 1: BKK - Rome
เส๎นทางสูํพิพิธภัณฑ์บอร์เกเซ (Galleria Borghese)
ด๎านหน๎าพิพิธภัณฑ์บอร์เกเซ [25]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 1: BKK - Rome
พิพิธภัณฑ์บอร์เกเซ (Galleria Borghese) ตั้งอยูในสวนของวิลลาบอรแเกเซ (Villa Borghese) ซึ่ง เป็นสวนสาธารณะทีก่ วางใหญที่สุดในโรม แตเดิมเป็นที่พักและสถานที่เก็บสะสมผลงานศิลปะที่ชื่นชอบของพระคารแ ดินัลบอรแเกเซ ซึ่งหลายชิ้นเป็นมรดกตกทอดมาจากพระสันตะปาปาปอลที่ 5 ผูเป็นลุง ผลงานชิ้นสําคัญ 10 ชิ้นที่เก็บ สะสมที่พิพิธภัณฑแบอรแเกเซมีดังนี้ (ข้อมูลจากหนังสือ 10 Masterpieces, The Borghese Gallery หนังสือใครๆ ก็ไปเที่ยว อิตาลี หนังสืออิตาลี สานักพิมพ์วงกลม หนังสือโรมันรัญจวน และเว็บไซต์ Galleria Borghese ภาพจากวิกิพเี ดีย)
1. Pauline Bonaparte as Venus Victrix (Venus Victorious), ค.ศ. 1805-1808 ของแอนโทนีโอ คาโน วา (Antonio Canova) (หอง 1) – รูปแกะสลักหินออนที่กลายเป็นสัญลักษณแของพิพิธภัณฑแบอรแเกเซ สรางสรรคแโดยศิลปินมือเอกในยุคนั้น โดงดังเนื่องจากนางแบบคือนองสาวนโปเลียนซึ่งแตงงานกับ Camillo Borghese เจาของวิลลา เธอเป็นแบบเปลือยกายทอนบนโพสทาเลียนแบบเทพธิดาวีนัส เทพแหงความงาม ให สังเกตที่เงาของผาคลุมและรอยยนของเตียง ละเอียดออนสมจริงมาก
Pauline Bonaparte as Venus Victrix
2. David, ค.ศ. 1623-1624 ของแบรแนินี (Gian Lorenzo Bernini) (หอง 2) แบรแนินีในวัย 25 ปี ใชเวลาเพียง 7 เดือนในการแกะสลักรูปปั้นนี้ บอกเลา เรื่องราวการตอสูกับเดวิดกับยักษแโกไลแอธดวยกอนหินและเชือกสลิง แบรแ นินีสรางสรรคแรูปแกะสลักใหเห็นถึงความแข็งแรงของกลามเนื้อของเดวิด และสีหนาความมุงมั่นบนใบหนา ที่เทาของเดวิดเหยียบพิณซึ่งเดวิดใช บรรเลงหลังไดรับชัยชนะ สวนนกอินทรีที่ตกแตงอยูที่ปลายดานหนึ่งของ พิณเป็นตราประจําตระกูลบอรแเกเซ 3. Apollo and Daphne, ค.ศ. 1622-1625 ของแบรแนินี (หอง 3) เป็น ประติมากรรมชิ้นสุดทายใน 4 กลุมประติมากรรมที่คารแนิดัลบอรแเกเซ รับมาสะสม และเป็นผลงานชิ้นเอกที่นา อัศจรรยแใจเป็นอยางนิ่ง สามารถ ทําใหผูที่มองเห็นนั้นหลงใหลไปกับมันได รูปแกะสลักบอกเลาเรื่องราวของ
David [26]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 1: BKK - Rome
เทพอพอลโลที่ถกู ศรของคิวปิดจนทําใหตกหลุมรักนางไมดาฟเน ในขณะที่ดาฟเนกลับถูกศรแหงความเกลียดชัง บังคับใหเธอตองหนีอพอลโลเพือ่ รักษาพรหมจรรยแไว แตทา ยสุด เมื่ออพอลโลหาเธอเจอและกํา ลังควาตัวเธอไว ดาฟเนจึงกลายรางเป็นตนไม แบรแนินีเนรมิตหินออน Carrara ใหสมจริงดังตํานาน ลําตัวของดาฟเนกลายเป็น เปลือกของตนไม ผมของเธอกลายเป็นใบไม และเทากลายเป็นราก แขนซายของอพอลโลที่เอื้อมไปจับตัวของ ดาฟเนไว สามารถสัมผัสไดถึงจังหวะการเตนของหัวใจของดาฟเน ภายใตรางกายทีก่ ลายเป็นเปลือกของตนไม นั้น... เมื่อเราไดเห็นรูปแกะสลักจริงแลวรูสึกทึ่งมากกับความสมจริงและความใสใจในรายละเอียดการปั้น งดงามออนชอยมากๆ ชอบมากๆ ผลงานนี้
Apollo and Daphne
The Rape of Proserpine
4. The Rape of Proserpine (Pluto and Proserpine), ค.ศ. 1621-1622 ของแบรแนินี (หอง 4) อีกผลงาน อันโดดเดนของแบรแนินี เรื่องราวของเพอรแเซฟโฟเน (โพรเซพีน) ลูกสาวของเทพเจาซุส ราชาแหงทวยเทพแหง ยอดเขาโอลิมปัสกับดีมิเทอรแ (ซีรีส) ขณะกําลังถูกลอลวงโดยเฮดีส (พลูโต) เทพแหงยมโลกผูเป็นอาแทๆ ของ เธอเอง ขณะที่เพอรแเซฟโพเนกําลังเก็บดอกไมกับเพื่อน เฮดีสผานมาเห็นเขา เกิดหลงใหลอยากไดเธอไปอยูดว ย จึงฉุดคราเธอ รูปแกะสลักชิ้นนี้ของแบรแนินี โดดเดนและกลายเป็นเป็นผลงานชิน้ เอกเนื่องจากความสมจริงของ แรงมือกดของเฮดีสที่กดลงบนตนขาของเพอรแเซฟโพเนเสมือนมีชีวิตจริง แบรแนินีเปลี่ยนหินออนใหกลายเป็น ผิวหนัง กลามเนื้อ เสนผม เสื้อผา ใบไมและแมเพียงเสนขนเล็กๆ ของ Cerberus หมา 3 หัวที่เป็นยามเฝูาปาก ประตูยมโลก ใหเสมือนจริง นอกจากนี้ ถาเดินดูรอบๆ รูปปั้น จะเห็นไดวาใบหนาของเพอรแเซฟโพเนนั้น อาบไป ดวยน้ําตา... รูปแกะสลักนีก้ ็สุดยอดอีกแลวทานแบรแนินี ใหความรูสึกวาเพอรแเซฟโฟเนนั้นมีชีวิตจริงๆ และเนื้อ นางนั้นนุมจริงๆ 5. Boy with a Fruit Basket, ค.ศ. 1593-1595 ของคาราวัจโจ (Caravaggio) (หอง 8) – ภาพสีน้ํามัน รูป เด็กชายสวมเสื้อสีขาวเปิดไหล (เอ฿ะ! ยังไง) ในมืออุมตะกราผลไมอยู ผูชมจะเพงมองใบหนาของเด็กหนุมแลว [27]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 1: BKK - Rome
เลื่อนสายตาอยางรวดเร็วมาหยุดอยูที่ตะกราผลไมแทน ผลงานเชนนี้เรียกวา natura morta (still life) คือการ วาดภาพสิ่งของในธรรมชาติ สิ่งไมมีชีวติ ที่ไมมีการเคลื่อนไหว ดังเชนในภาพวาดนี้ คาราวัจโจวาดภาพผลไม หลากหลายชนิดในตระกรา ซึ่งผลไมทุกชนิด ทุกลูก รวมทั้งสวนประกอบขางเคียงคือใบไม ตะกราหวายนั้น ทั้งหมดถูกวาดขึ้นอยางสมจริง ทั้งสีผิวของผลไม ความสุกงอม ถูกตองตามสัดสวนและตามธรรมชาติของสิ่งของ นั้นๆ ภาพวาด still life ยังแสดงถึงผลสะทอนแหงความไมจีรังบนโลกมนุษยแ ที่ถึงแมจะถึงจุดที่รุงเรืองที่สุดแต ก็ไมสามารถปกปิดการเริ่มตนแหงการเสื่อมสลายได ดังเชนจะเห็นใบองุนแหงๆ โผลออกมาจากตะกรา มีนกั วิจารณแหลายคนใหความเห็นแกภาพนี้แตกตางกันไป บางกลุมพูดถึงตัวของเด็กชาย วาเป็นชายหรือเป็นหญิง กันแน ใบหนาของเด็กชายนั้นดูปลุกเราอารมณแและเหมือนผูห ญิงเหลือเกิน และจากนัยนแตาอันชวนฝัน แสดง ใหเห็นวาผูวาดภาพนั้นตองตกหลุมรักผูเป็นแบบเป็นแนแท (นั่นไงละ... วาแลว)
Boy with a Fruit Basket
6. Madonna of the Palafrenieri, ค.ศ. 1605-1606 ของคาราวัจโจ (หอง 8) – แรกเริ่มภาพนี้เป็นฉากหลัง แทนบูชาในมหาวิหารเซนตแปีเตอรแในกรุงวาติกัน ไมกี่วันตอมาก็ถกู ยายไปวางยังโบสถแเซนตแแอนนแ (ซึ่งเป็นที่พัก ของคณะผูรับใชองคแพระสันตปาปา ภาษาอิตาลีเรียกวา Palafrenieri) จากนั้นประมาณ 1 เดือนจึงถูกขายใหแกพระคารแ ดินัลบอรแเกเซ เนื่องดวยทางคณะผูรับใชองคแพระสันตปาปาเห็นวา ภาพนี้ดูไมเหมาะสมและขัดตอขนบการวาดภาพเกีย่ วกับ คริสตศาสนา (ซึ่งนั่นคือจุดเดนของคาราวัจโจ ศิลปินขบถแหงยุค ศาสนจักรทั้งชื่นชอบและไมปลื้มคาราวัจโจในเวลาเดียวกัน) ภาพวาดแสดงเรื่องราวของบุคคล 3 คนที่กําลังเผชิญกับสิ่งอันตราย อยูเบื้องหนา คนแรกคือเซนตแแอนนแ ในวัยและชุดที่ดูเป็นคนละยุค กับบุคคลอื่นในภาพ ดูแปลกแยกตัวคนเดียวและมีทาทางเรียบเฉย เหมือนกําลังสวดมนตแ ขางกันเป็นพระแมมาเรีย (เปรียบเสมือน Madonna of the Palafrenieri [28]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 1: BKK - Rome
ตัวแทนของโบสถแ ตัวการแหงการชําระลางบาป) กําลังสอนพระเยซูนอยใหจัดการกับงูพิษ (ตัวแทนของบาป) โดยการเหยียบหัวงู 7. The Deposition of Christ, ค.ศ. 1507 ของราฟาเอล (Raphael) (หอง 9) – ราฟาเอลถูกวาจางใหเขียน ภาพนี้เพื่ออนุสรณแรําลึกถึงบุตรชายของผูวาจางที่เสียชีวิตจากเหตุปะทะในเมืองเปรูจา ภาพนี้ไมเพียงแตแสดง ถึงเหตุการณแที่พระเยซูถูกอัญเชิญพระศพลงจากกางเขน แตยังแสดงใหเห็นรางของพระเยซูขณะกําลังถูก เคลื่อนยายไปยังหลุมฝังพระศพ และภาพของพระแมมาเรียที่เป็นลมลมลง บรรยากาศของความตายและความ เจ็บปวดในภาพนั้นถูกทําใหเบาบางลงจากทาทางของตัวละครในภาพที่ราฟาเอลวาดภาพใหพริว้ ไหวดูเหมือน กําลังเตนรํา และนั่นทําใหผลงานชิ้นนี้กลายเป็นผลงานชิ้นเอกในเรื่องความสวยงามแบบนามธรรม ซึ่งถูก รังสรรคแขึ้นดวยเทคนิคที่เหนือชั้นและการลงสีที่ยอดเยี่ยม เกร็ดเล็กเกร็ดนอยของภาพนีย้ ังอยูที่ลักษณะการ วางทาของพระเยซูนั้น ราฟาเอลไดมาจากรูปแกะสลักปิเอตา (Pieta) ของมิเคลันเจโล (Michelangelo) ที่อยูที่ มหาวิหารเซนตแปีเตอรแ สวนภาพของผูหญิงที่คุกเขาประคองพระแมมาเรียนั้นไดมาจากภาพ the Madonna (มี ชื่อเรียกอีกชือ่ วา Tondo Doni) ของมิเคลันเจโล ซึ่งอยูที่พิพิธภัณฑแอุฟฟิซี (Museo Uffizi) เมืองฟลอเรนซแ
The Deposition of Christ
8. Woman with a Unicorn, ค.ศ. 1505-1506 ของราฟาเอล (หอง 9) – ภาพวาดของหญิงสูงศักดิ์นั่งงอแขน โดยมีเบื้องหลังเป็นวิวทิวทัศนแ ราฟาเอลไมไดวาดภาพนี้จนจบ มีศิลปินอีกทานมาวาดภาพตอและเติมภาพสุนัข เขาไป ตอมาสุนัขถูกเปลีย่ นใหเป็นมายูนิคอรแน ภาพวาดนี้กลายเป็นตัวแทนของความซื่อสัตยแ จุดเดนของภาพนี้ อยูที่รายละเอียดเสมือนจริงของเสนผมและไรผมดานขางของหญิงสูงศักดิ์
[29]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 1: BKK - Rome
Woman with a Unicorn
9. The Hunt of Diana, ค.ศ. 1616-1617 ของโดเมนิชิโน (Domenichino) (หอง 19) – เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ ชวงเวลาความสําราญของนางไมนามวาไดอานา ผูที่กําลังสนุกสนานกับการแขงขันยิงธนู ในบรรยากาศที่ เหมือนอยูในงานรื่นเริง นี่เป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเอกของโดเมนิชิโน เนื่องจากความสลับซับซอนและความ ละเอียดออนของสวนประกอบโครงสรางตางๆ ที่วาด และการลงสีที่สวยงามประณีต ที่มีตนแบบมาจาก โรงเรียนในแควนเวเนโต (เวนิส) โดเมนิชิโนยังวาดภาพนางไมเปลือยกายอาบน้ําไวที่ตรงกลางดานลางของภาพ เพื่อดึงดูดผูชมไวดวย... อืม ดึงดูดไดจริง เลื่อนสายตามามองตรงนี้กอนเลย
The Hunt of Diana
10. Sacred and Profane Love, ค.ศ. 1514 ของทิเชียน (Titian) (หอง 20) – ผลงานชิ้นเอกของอีก 1 ศิลปิน ชาวเวนิส เขียนขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองพิธแี ตงงานของคูบาวสาวชาวเวนิส เป็นภาพของหญิงสาว 2 คนนั่งอยูบนขอบ โลงหินโบราณที่มีน้ําอยูเต็ม คนซายสวมเสื้อผาแตคนขวาเปลือยกาย ตรงกลางเป็นเทพคิวปิดกําลังกวนน้าํ ใน โลงหินอยู โดยคนซายที่สวมเสื้อผาเป็นตัวแทนของเจาสาว ในขณะที่คนขวาที่เปลือยกายเป็นตัวแทนของ [30]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 1: BKK - Rome
เจาบาว มีคิวปิดเป็นกามเทพสื่อกลางแหงความรัก แทจริงแลวภาพนี้มีนยั ยะมากกวาที่เห็น มีผูตีความวาผูหญิง ในภาพ 2 คนนี้คือตัวแทนของเทพธิดาวีนัสใน 2 ดาน หนึ่ง หญิงที่สวมเสื้อผาคือวีนัสในทางโลกที่ไมจีรัง (profane) สอง หญิงที่เปลือยกายคือวีนัสในทางสวรรคแอันศักดิ์สิทธิ์ (sacred) นอกจากนี้โถทีว่ ีนัสทางซายถือ ยังเป็นสัญลักษณแของความสุขชั่วครั้งชั่วยามบนโลกมนุษยแ ในขณะที่คบไฟแหงความรักของพระเจาทีว่ ีนัส ทางขวาถือเป็นสัญลักษณแของความสุขบนสวรรคแอันเป็นนิรันดรแ
Sacred and Profane Love
ข๎อมูลการเข๎าชมพิพิธภัณฑ์บอร์เกเซ เวลาเปิด: วันอังคารถึงวันอาทิตยแ เวลา 8.30 – 19.30 น. ปิดวันจันทรแ วันที่ 1 ม.ค. และ 25 ธ.ค. การเขาชมเปิด เป็นรอบๆ 1 รอบจํากัดจํานวนผูเขาชมไมเกิน 360 คนและจํากัดเวลาเขาชมไมเกิน 2 ชม. รอบสุดทายเปิดใหเขา ชม 30 นาทีกอนพิพธิ ภัณฑแปิด การซื้อตั๋ว: ตองซื้อตั๋วลวงหนา ผานเว็บไซตแ http://www.tosc.it/tickets.html หรือโทร. +39 06 32810 สามารถใช Roma Pass เขาชมฟรี แตตองโทรไปจองรอบที่ +39 06 32810 เชนกัน โดยจะไดรับรหัสการจองมา เมื่อมาถึงพิพิธภัณฑแใหนํารหัสพรอม Roma Pass มาแสดงใหเจาหนาทีอ่ อกตัว๋ เขาชมให (ใหมารับตัว๋ กอนเวลาเขา ชมครึ่งชั่วโมง) เราใชที่นี่เป็นที่แรกที่เขาฟรีโดยใช Roma Pass ตอนยื่นรหัสใหเจาหนาที่ เหลือบมองดูที่หนาเคาทแ เตอรแ เห็นเขียนปูายวาตัว๋ เต็มจนถึงวันศุกรแเลย (เราไปวันพุธ) คําเข๎าชม: ต.ค. 2014 Full price 11 EUR + service charge 2 EUR ** หามถายภาพดานในพิพิธภัณฑแ ** รายละเอียดเพิ่มเติม http://www.galleriaborghese.it/borghese/en/einfo.htm ตั้งแตนั่งรถเมลแผานเขามายังวิลลาบอรแเกเซ ก็สัมผัสไดถึงความรมรื่นของบรรยากาศรอบๆ วิลลาเป็นอยาง มาก พื้นที่สีเขียวกวางใหญ ตนไมนอยใหญจํานวนมากมายปกคลุมพื้นที่โดยรอบ ทางเขาสูพิพธิ ภัณฑแมีมานั่งยาววาง เรียงราย 2 ขางทางเป็นระยะ เพือ่ ใหผูคนที่เขามาไดนั่งพักผอน เรายังไดนั่งมานั่งนี้เพื่อปั๊มนม (เหมือนเดิม) เลย เนื่องจากที่นี่คือสวนสาธารณะ ดังนั้นจะมีผูคนมาพักผอน ออกกําลังกาย ขีจ่ ักรยาน พาหมามาเดินเลน พาครอบครัว มาพักผอน พวกแมๆ ลูกออนก็พาลูกนอยใสรถเข็นมาใหนมแม ระหวางลูกดูดนมจากเตา บรรดาแมๆ ก็เมาทแมอย กันไป แฮปปี้สุดๆ โอยยย!! นาอิจฉาชาวโรมที่ปอดแหลงใหญที่สุดของเมืองชางนาหลงใหลเสียเหลือเกิน [31]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 1: BKK - Rome
บรรดาคุณแมํลูกอํอน พาลูกน๎อยมาหม่้านม ชมสวน แมํๆก็เม๎าท์มอยกัน
จากพิพิธภัณฑแบอรแเกเซ เรามีจุดหมายตองไปตอ นั่นคือจัตุรัสเดล โปโปโล (Piazza del Popolo) ตอน แรกเรากะวาจะเดินไปกัน แตสุดทายกลับหลงทางจาก google map เลยตัดสินใจนั่งรถเมลแสาย 116 กลับไปจนสุด สายที่ปูาย Porta Pinciana นั่งตอบนรถคันเดิม รอคนขับพักแปฺบนึง แลวนั่งอีก 3 ปูายไปลงที่ Barberini แลวตอเม โทร A (ทางลงเมโทรอยูใกลๆ ปูายรถเมลแเลย) ปลายทาง Battistini ไปลงสถานี Flaminio (2 ปูาย) จากเมโทร เดิน ขึ้นมาบนดิน จะเจอ Piazza del Popolo อยูทางขวามือ มีถนนกั้นดานหนา สวนโบสถแ Santa Maria del Popolo จะตั้งอยูดานหนาทางขึ้นเมโทรเลย จัตุรัสเดล โปโปโล (Piazza del Popolo) เป็นจัตุรัสหรือปิอัซซาใหญรูปวงรี ตรงกลางปิอัซซาโดด เดนดวยเสาโอเบลิสกแฟลามิเนียนจากอียปิ ตแอายุกวา 3,200 ปี ถือวาเป็นเสาโอเบลิสกแที่สําคัญและเกาแกที่สุดเสา หนึ่งในโรม ตอมาอีกหลายรอยปี ถึงมีการสรางน้ําพุรูปสิงโตลอมรอบเสาโอเบลิสกแทั้ง 4 ดาน และรูปปั้นน้ําพุ Four Seasons รูปปั้นเทพเจาเทปจูนและเทพไตรตันที่ 2 ฝัง่ ดานทิศตะวันออกและทิศตะวันตกของปิอัซซาเขาไปเพิ่มเติม (ข้อมูลจากหนังสือใครๆ ก็ไปเที่ยวอิตาลี) สําหรับแฟนหนังสือเทวากับซาตาน (Angels & Demons) ของแดน บราวนแ (อยางเรา) ที่นี่เป็นสถานที่แรกที่พบศพพระคารแนิดัลองคแแรก ใตโถงสวดมนตแกีจีของราฟาเอลคะ ขอสราง แลนดแมารแกซะหนอย ^_^
[32]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 1: BKK - Rome
ประตู Porta del Popolo ทางออก Metro
โบสถ์ Santa Maria del Popolo น้้าพุ Four Seasons เสาโอเบลิสก์
น้้าพุ Four Seasons
แผนผังจัตุรัสเดลโปโปโล (Piazza del Popolo)
[33]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 1: BKK - Rome
[34]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 1: BKK - Rome
เราแวะเขาโบสถแ Santa Maria del Popolo ตอนใกล 6 โมงเย็น ปวดเมือ่ ยเหนื่อยลาจากการเดินทาง ตั้งแตนั่งเครื่องบินจนถึงการเดินตลอดทั้งวันนี้จนแทบไมมีแรงเขาไปชมโบสถแ แตก็นะ มาถึงแลว แถมโบสถแนยี้ ังมี ประวัติที่ยาวนานและสิ่งที่ประดับอยูที่โบสถแนี้ยังล้ําคาหลายชิ้นดวย ยังไงก็ตองเขาซะหนอย โบสถแ Santa Maria del Popolo นี้สรางอยูบนเนินเขาปินชีโอ (Pincio) ที่เห็นปัจจุบันนี้เป็นโบสถแหลังที่สรางขึ้นใหม โดยไดยอดศิลปิน ในยุคเรอเนสซองสแและยุคบารอคหลายคนไมวาจะเป็นราฟาเอล คาราวัจโจและแบรแนินี มาชวยกันสรรคแสราง ผลงานทางศิลปะทุกดานทั้งประติมากรรม จิตรกรรมและสถาปัตยกรรมให จนทําใหโบสถแนี้เป็นตัวอยางสําคัญของ สถาปัตยกรรมยุคเรอเนสซองสแแบบอิตาลี ภายในโบสถแมีผลงานศิลปะที่นา สนใจเชน (ข้อมูลจากหนังสือใครๆ ก็ไป เที่ยวอิตาลี หนังสือ Top 10 โรม และ wikipedia)
ด๎านหน๎าโบสถ์ซานตา มาเรีย เดล โปโปโล (Basilica Maria del Popolo)
[35]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 1: BKK - Rome
1. ภาพการตรึงกางเขนเซนตแปีเตอรแ (Crucifixion of St. Peter) และภาพการกลับใจของเซนตแปอล (Conversion on the way to Damascus) ของคาราวัจโจ อยูในโถงสวดมนตแ Cerasi 2. โถงสวดมนตแกีจีของราฟาเอล (Raphael’s Chigi Chapel) 3. โถงสวดมนตแของแบรแนินี (Bernini’s Chapel) คือโถงสวดมนตแเดียวกันกับของราฟาเอล แตแบรแนินีรับหนาที่ สานงานที่ราฟาเอลทําคางไว โดยการแกะสลักรูปปั้นเพิ่มเติมใหแลวเสร็จ
ภาพการตรึงการเขนเซนต์ปีเตอร์
ภาพการกลับใจของเซนต์ปอล
แผนผังงานศิลปะภายในโบสถ์ Santa Maria del Popolo
โถงสวดมนต์กีจีของราฟาเอลและรูปปั้น 2 ฝั่งฝีมือแบร์นินี * หมายเหตุ เนื่องจากรูปผลงานศิลปะภายในโบสถแที่เราถายไดจริงนั้น คุณภาพเขาขั้นแยมากและไมครบถวน จึงขอใชรูปจากอินเตอรแเน็ต (วิกิพีเดีย) แทนทั้งหมดคะ *
โบสถแ Santa Maria del Popolo เปิดใหเขาชมวันจันทรแถึงวันศุกรแ (วันธรรมดา) เวลา 7.15 – 12.30 น. และ 16.00 – 19.00 น. วันเสารแ-อาทิตยแ (วันหยุด) เวลา 7.30 – 13.30 น. และ 16.30 – 19.30 น. เขาชมฟรี เรากลับมาที่พักที่ M&J Place Hostel เพื่อเช็คอิน ลางหนาลางตา ยืดแขงยืดขาสักพัก การเดินทางจาก Piazza del Popolo ไปที่พักนั้นแสนงาย เพราะรถไฟฟูาเมโทรตรงดิ่งถึงเลย ใชบริการเมโทร A ปลายทาง Anagnina นั่งจากสถานี Flaminio ไป 5 ปูายลงที่สถานี Termini แลวเดินกลับที่พัก จากนั้นเรายังพอมีแรง จริงๆ [36]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 1: BKK - Rome
แบตในตัวจะหมดแลวละ แตตองฮึดเฮือกสุดทายเพือ่ ปฏิบัติภารกิจใหเสร็จ คือการกลับไปชมน้าํ พุเทรวียามค่ําคืน จากสถานีเมโทร Termini นั่งเมโทร A เชนเดิมแตปลายทางสถานี Battistini นั่งไป 2 ปูายลงที่สถานี Barberini แลวแตเทาตอไปยังน้ําพุเทรวี เสนทางเดิมกับที่เดินมาขึ้นรถเมลแจะไปพิพธิ ภัณฑแบอรแเกเซเมื่อกลางวัน แตอันนี้เป็น การเดินยอนกลับไปน้าํ พุ น้ําพุเทรวียามค่ําคืนนั้นจะวาไปก็สวยงามกวาตอนกลางวันนะ ผูคน นักทองเที่ยวยังคงเยอะเชนเดิม แสงไฟ สีเหลืองนวลที่เปิดสองมาที่น้ําพุ ทําใหเทพเจาเนปจูนดูออนโยนลง บรรยากาศรอบๆ น้าํ พุจึงดูโรแมนติกใชยอย ในขณะที่ตอนกลางวัน แสงแดดธรรมชาติทําใหเห็นสีขาวของหินออนที่ใชแกะสลักประติมากรรมชัดเจน เทพเจา เนปจูนยืนผงาดกลางน้ําพุดว ยทาทีนาเกรงขาม น้ําพุจึงดูยิ่งใหญอลังการแทน
การที่ไดมาดูน้ําพุเทรวีใน 2 บรรยากาศนี้ก็ดีเหมือนกันนะ ยิ่งถาไดมาเดินชิลๆ ตอนกลางคืน ดูบรรยากาศ คนนั่งกินอาหารที่รานอาหารรอบๆ หรือไดนั่งกินเองยิ่งดีใหญ แตเราไมไดอยูชื่นชมบรรยากาศนานเทาไหร เพราะวา แบตในตัวออนเต็มที อาการปวดตนขาดานขวาจากการนั่งเครื่องบินนานๆ เมื่อคืนยังคงอยู ไมมีแรงเดินแลว กลัววา ถาไมรีบกลับไปพักตอนนี้ เราจะไมมีแรงสําหรับวันพรุงนี้และวันตอๆ ไปของทริป (ดูสีหนาจากรูปถายได ฝืนยิ้มสุด ฤทธิ์) เพราะฉะนั้นเราจึงอยูแ คแปฺบเดียวแลวรีบกลับ กอนกลับแวะกินพิซซาทําสําเร็จจากรานแถวๆ น้ําพุนั่นละ แนะนําวาไมควรเลือกรานแบบนี้เลยคะ ควรเลือกรานอาหารที่ทําสดตามสั่งดีกวา (นั่งกินที่รานนะ แตพิซซาเคาทํา เสร็จแลว วางโชวแหนาราน ใหเลือกสั่งไดเลย) เพราะพิซซาสําเร็จที่เรากินนั้นไมอรอยเลย รสชาติแยยิ่งกวาพิซซ าแปูง หนายอดนิยมในไทยอีกนะ พิซซาที่ทําสําเร็จจะตัดแบงเป็นสี่เหลี่ยม แปูงก็หนา เย็นก็เย็น คือสรุปวาน้าํ อัดลมที่สั่งมา [37]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 1: BKK - Rome
กินดวยกันอรอยกวาเอางั้นละกัน ฮา... ขากลับเราเดินจากน้าํ พุเทรวีไปขึ้นรถไฟเมโทร Barberini ระยะทางไม เรียกวาใกล แตพอเดินไหว และก็พอทําใหหลงทางอีกแลว เดินยอนไปมา 2-3 รอบกวาจะถึงเมโทร เซ็งจริง เบ฿อะ ตลอดวันนี้ จากจากสถานี Barberini นั่งเมโทร A ปลายทาง Anagnina นั่ง 2 สถานีไปลงที่ Termini แลวเดินกลับ ที่พัก สลบเหมือดตามสภาพ... พรุงนี้คอยแกมือกันใหมคะ โคลอสเซียมและสิ่งมหัศจรรยแตางๆ ในโรมยังรอเราอยู
[38]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 2: Rome
วันที่ 2: Rome
[39]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 2: Rome
หลังจากนอนหลับชารแทแบตในรางกายใหพรอม เราตื่นแตเชาตอนรับวันที่ 2 ของทริปอิตาลี วันนี้เรายังคง ทองเที่ยวอยูในกรุงโรม โปรแกรมวันนี้แนํนเอี้ยด เริ่มจากไปชม 1 ในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่โคลอสเซียม ตํอด๎วย ย๎อนอดีตกลับไปชมแหลํงที่อยูํอาศัยของชาวโรมในอดีตที่เนินเขาปาลาติเน (Palatine Hill) โรมันฟอรัม (Roman Forum) ตอนบํายเดินตํอไปแถวเนินเขากาปีโตลีเน (Capitoline Hill) แตํไมํเข๎าชมพิพิธภัณฑ์ ตํอ ด๎วยจัตรุ ัสเวเนเซีย (Piazza Venezia) ผํานอนุสรณ์สถานพระเจ๎าวิตโตริโอ เอมานูเอลที่ 2 (Monument to Vittorio Emanuele II) จากนั้นขึ้นรถเมล์ไปจัตุรสั นาโวนา (Piazza Navona) ชมน้้าพุ 4 มหานทีและอื่นๆ ฝีมือยอดศิลปินแบร์นินีและเป็นการตามรอยหนังสือและภาพยนตร์ Angels & Demons ไปในตัว ตํอด๎วยเดิน ตํอไปพบอีก 1 สิ่งกํอสร๎างมหัศจรรย์อายุยาวนานกวําพันปี แพนธีออน (Pantheon) และเดินชมโบสถ์สวยๆ ที่ มีที่มาอีก 1-2 แหํงแถวนั้น กํอนขึ้นรถรางข๎ามฝั่งแมํน้าไทเบอร์ (Tiber) ไปยังเขตตราสเตเวเร (Trastevere) ชมโบสถ์สา้ คัญแหํงเขตตราสเตเวเร โบสถ์ซานตา มาเรียแหํงตราสเตเวเร (Basilica Santa Maria in Trastevere) ปิดท๎ายวันหนักๆ ด๎วยมื้อเย็นอยํางราชาสักหนํอยที่ร๎านอาหารชื่อดังในยํานนี้... เห็นไหมวํา โปรแกรมวันนี้นั้นแนํนเอี้ยดจริง แคํบรีฟครําวๆ และคิดตามก็เหนื่อยแล๎ว ต๎องเริ่มปฏิบตั ิตามแผนจริงแล๎ว ดูสิ วําจะเหนื่อยกวําเป็นอีกกี่เทําตัว
แผนที่การเดินทางในโรมวันที่ 2
เราเริ่มตนเชาวันใหมดวยการซื้อคูปองอาหารเชาราคาคนละ 3 EUR ที่เคาทแเตอรแรีเซพชั่นของโฮสเทล แลว เดินออกมากินที่รา นคาเฟุขางๆ โฮลเทล สวนที่รานจัดใหสาํ หรับกินเป็นอาหารเชาของโฮลเทลจะอยูดา นหลังราน สวนดานหนารานเปิดเป็นคาเฟุ มีแซนดแวิช ขนมปัง กาแฟทั่วไป อาหารเชาสําหรับแขกของโฮลเทลเป็นพวกขนมปัง แบบตางๆ แซนดแวิชไวแฮมและอื่นๆ แตออกแนวเป็นขนมปังและแซนดแวิชแบบแหงๆ ฝืดคอใชไดทีเดียว นอกจากนี้ [40]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 2: Rome
ก็มีโยเกิรแต น้ําผลไม นม สามารถขอกาแฟแบบใดก็ได 1 แกว ทําสดๆ ใหเลย เราเก็บเสบียงอาหารใสถุงซิปล็อคที่ เตรียมมา เอาใหคุมกับ 3 EUR ที่จายไป สถานที่แรกที่จะไปวันนี้คือโคลอสเซียม หรือ Colosseo ตามภาษาอิตาลี การเดินทางไปโคลอสเซียมนั้น ชางแสนงาย เพราะมีสถานีรถไฟฟูาเมโทรโผลไปถึงเลย นั่งเมโทร B (ปลายทาง Laurentina) จาก Termini นั่งไป 2 ปูาย ลงที่สถานี Colosseo เดินขึ้นจากสถานีเมโทร ก็เห็นโคลอสเซียมตั้งตระหงานอยูตรงหนาเลย โคลอสเซียม เปิด 8.30 น. เราไปถึงกอนเวลานิดหนอย เลยถือโอกาสถายรูปดานหนารอบๆ โคลอสเซียมเพลินๆ แถวที่ตองตอ เพื่อเขาโคลอสเซียมแบงเป็น 2 แถว ตองรูสถานะตัวเองแลวตอใหถูกแถวนะคะ แถวซายคือแถวสําหรับผูทถี่ ือโรมา พาส สวนแถวขวาคือแถวสําหรับผูที่ไมมีโรมาพาส ซึ่งแถวจะยาวกวาแถวซายแนนอน แตจะบอกวาคงเป็นเพราะวา เราไปตั้งแตเชา ตั้งแตเวลาเปิดเลย จึงทําใหแถวขวาสําหรับผูที่ไมถือโรมาพาสจึงไมไดยาวอยางที่คิด ไมไดเสียเวลา เป็นครึง่ ชั่วโมงหรือนานกวานั้นอยางที่อา นในหนังสือนําเที่ยวหลายเลม แตถึงอยางนั้น เราก็ไมไดตอแถวขวาหรอก นะคะ หุหุ ก็แนละ เราซื้อโรมาพาสมาแลวนี่คะ ตองใชใหคุมคะ เราเลือกที่จะเขาชมโคลอสเซียมฟรีโดยใชบัตรโรมา พาส เป็นพิพธิ ภัณฑแแหงที่ 2 ที่เราใชโควตาเขาชมฟรีของบัตรโรมาพาส แลวก็หมดโควตาเขาฟรีแตเพียงเทานี้
โคลอสเซียม
[41]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 2: Rome
[42]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 2: Rome
เราตอแถวซายสําหรับผูถอื บัตรโรมาพาส เมื่อเขาไปแลวจะมีบูธใหยืม audio guide หรือ audio-video guide (เลนวีดีโอผาน iPod) ซึ่งตองเสียเงิน เราเลือกแบบหลังคะ ราคา 3 EUR โคลอสเซียม (Colosseo) เป็นสิ่งมหัศจรรยแของโลกในทุกยุคทุกสมัย และเป็นสถานที่ทองเที่ยว อันดับ 1 ของกรุงโรม ถึงแมวาโคลอสเซียมจะยิ่งใหญและแลดูมหัศจรรยแจากขนาดและงานสถาปัตยกรรมมากแค ไหน แตประวัติที่มาและวัตถุประสงคแการใชงานโคลอสเซียมนั้นชางโหดรายและนาหดหูมาก เพราะที่นี่คือเวที สังหาร ผูคนและสัตวแนับหมื่นนับแสนถูกปลิดชีวิตที่นี่ เพียงเพราะในสมัยนั้นเชื่อวานี่คือความบันเทิง ขอมูลจาก หนังสือใครๆ ก็ไปเที่ยวอิตาลี หนังสือโรมันรัญจวนและปูายแสดงคําอธิบายที่โคลอสเซียม สามารถบอกเลาเรื่องราว ประวัติความเป็นมาของโคลอสเซียมโดยสรุปไดดังนี้... โคลอสเซียมเป็นอัฒจรรยแทรงกลมรีขนาดมหึมา ตั้งตระหงานอยูใจกลางกรุงโรมมาเกือบ 2,000 ปี (เริ่ม กอสรางปีค.ศ. 72) วัตถุประสงคแเริ่มตนของการกอสราง ตองเลายอนกลับไปถึงสมัยจักรพรรดิเนโร (Nero) จักรพรรดิที่มี่พฤติกรรมสุดจะทน ตลอด 14 ปีที่ครองราชยแ พระองคแทั้งสั่งประหารนองชายบุญธรรมและแมตัวเอง อารมณแครึ้มๆ ก็สั่งใหเผาเมืองเลน บอกวาสนุกดีและอยากสรางบรรยากาศในการแตงเพลง เผาเสร็จ ก็สั่งยึดที่ดิน เอามาสรางพระราชวังทอง (โอโห... ยํายํามาก) ทําใหผูคนเกิดอาการไมพอใจ จนสุดทายเกิดการบีบบังคับอะไรสัก อยางใหเนโรฆาตัวตาย แลวก็เกิดศึกชิงบัลลังกแตามมา จนกลายมาเป็นจักรพรรดิเวสปาเชียน (Vespasian) ผูกอตั้ง ราชวงศแฟลาเวียน (Flavian) ขึ้นครองราชยแ จักรพรรดิเวสปาเชียนทรงเห็นวาขณะนั้นชาวโรมันกําลังไมชอบใจ กษัตริยแ พระองคแจึงคงอยากจะเอาใจประชาชน (คุณธรณแเปรียบเทียบวาเป็นเหมือนนโยบายประชานิยม ซึ่งก็จริง แฮะ) จึงมีพระบัญชาใหถมทะเลสาบเทียมในพระราชวังทองของจักรพรรดิเนโร แลวสรางเป็นสนามกีฬาถาวรแหง แรกในโรมขึ้น เพื่อใหประชาชนไดมารับความบันเทิงจากสนามกีฬาแหงนี้ แตความบันเทิงที่วานี้มันไมใชการแขงเตะ ฟุตบอลหรือแขงวิ่ง 4 x 100 เมตรนะสิ มันดันเป็นการดูเกมการตอสูระหวางคนฆาคน คนฆาสัตวแ สัตวแฆา คน เอิ่ม! นี่เรียกบันเทิงเหรอ เกมการตอสูที่วานี้เป็นการตอสูของนักสูเกลดิเอเตอรแ (Gladiator) ดวยกันเอง ซึ่งเกลดิเอเตอรแ นั้นอาจเป็นชายหนุมรางกายกํายํา ทหาร เชลยศึกหรือทาส หรือเป็นการตอสูร ะหวางเกลดิเอเตอรแกับสัตวแปุาดุราย อยางเสือ สิงโต หมี ยีราฟเป็นตน หรืออาจจะเป็นการตอสูแบบ combination คน-คน-สัตวแก็ทําได ในสมัยนั้นจะ จัดใหมีเกมการตอสูแบบนี้ในพิธีศพเพือ่ ไวเป็นการใหเกียรติผูตาย ไปๆ มาๆ คงจัดไวดูเลนๆ เอามันสแทั้งที่ไมมีใคร ตาย หรือถาจะจัดเพื่อใหเกียรติผูตาย ก็คงใหเกียรติคนหรือสัตวแที่เพิ่งถูกฆาในสนามกอนหนานี้ โคลอสเซียมใชเวลาในการกอสรางยาวนาน 10 ปี ผานการปกครอง 3 รัชสมัย ตั้งแตจักรพรรดิเวสปาเชียน จักรพรรดิติตุส (เริ่มเปิดใช) และจักรพรรดิโดมิเชียน (สรางเสร็จสมบูรณแ) แตเดิมชื่อโรงละครกลางแจงฟลาเวียน (Flavian Amphitheatre) ตามชื่อราชวงศแ ตอมาเปลี่ยนชื่อเป็นโคลอสเซียม มีความหมายวายิ่งใหญมโหฬาร จริงๆ แลวในสมัยนั้น เกมการตอสูแ บบนี้มีใหเห็นกันอยูทวั่ ไปแลว ทั้งในลานสาธารณะและโรงละครกลางแจงเล็กๆ แต โคลอสเซียมถือเป็นลานประลองแบบสนามถาวรทีย่ ิ่งใหญที่สุดในโรมัน เพื่อใหการเที่ยวชมโคลอสเซียมเป็นไปอยางไดอรรถรสและสามารถจินตนาการเห็นภาพในอดีตไดชัดเจน ขึ้น ขอแนะนําใหหาภาพยนตรแเรื่องเยี่ยม Gladiator (2000) ผลงานการกํากับของริดลียแ สก็อตตแ นําแสดงโดยรัส เซล โครวแ มาดูใหจบ หรือหากใครเคยดูแลว ก็ขอใหหามาดูอกี รอบหนึ่งเพื่อความฟินยิ่งขึ้น [43]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 2: Rome
[44]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 2: Rome
มองจากโคลอสเซียมจะมองเห็นประตูชัยคอนสแตนติน
โคลอสเซียมนั้นมีความสูงเกือบ 50 เมตร กวาง 156 เมตร ยาว 188 เมตร อัฒจรรยแมี 4 ชั้น ชั้นลางถึงชั้น 3 เป็นระเบียงเปิดมีซุมประตูโคง ซึ่งเป็นประตูเขาออกถึง 80 ประตู ทําใหสามารถระบายคนเขาออกจากสนามได หมดภายในเวลาไมเกิน 10 นาทีชั้น 4 บนสุด เป็นหองพรอมหนาตางเวนระยะเทาๆ กัน วัสดุที่ใชกอสรางทําจาก หินปูนแกรงเป็นโครงสรางหลัก เสาทําจากหินปูนรูพรุนและอิฐกอสราง พื้นและกําแพงปูกระเบื้อง เพดานทรงโคง ฉาบดวยซีเมนตแ อัฒจรรยแเอียง 37 องศา เพื่อใหมองเห็นเวทีการตอสูตรงกลางไดชัดเจน (ข้อมูลจากหนังสือใครๆ ก็ ไปเที่ยวอิตาลี และหนังสือโรมันรัญจวน) โคลอสเซียมนั้นสามารถจุคนไดประมาณ 75,000 คน [45]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 2: Rome
ภาพจ้าลองโครงสร๎างและรายละเอียดภายในโคลอสเซียม อัฒจรรย์ 4 ชั้น ชั้นลํางเป็นที่นั่งส้าหรับจักรพรรดิและชนชั้นสูง ชั้นที่ 2 ถัด ขึ้นมาส้าหรับคนรวย ชั้นที่ 3 ส้าหรับชนชั้นกลาง และชั้นที่ 4 บนสุดส้าหรับสตรี สํวนใต๎พื้นสนามตํอสู๎เป็นที่พักของนักสู๎เกลดิเอเตอร์ กรงขังสัตว์ ห๎องเก็บอาวุธและอุปกรณ์ตํางๆ ด๎านบนมีแผํนไม๎ปิดไว๎
[46]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 2: Rome
ภาพ The Christian Martyrs’ Last Prayer ของ Jean-Leon Gerome แสดงบรรยากาศการตํอสู๎ภายในโคลอสเซียม (Credit: wikipedia)
ภาพ Pollice Verso ของ Jean-Leon Gerome เชํนกัน แสดงให๎เห็นถึงนักสู๎เกลดิเอเตอร์ขอความเห็นจากผู๎ชม ถ๎าผู๎ชมคว่้านิ้วโป้ง ลง หมายถึงให๎สังหารคูํตํอสู๎ (แตํถ๎าชูนิ้วโป้งขึ้น หมายถึงให๎ไว๎ชีวิต) (Credit: Wikipedia)
ดวยเทคนิคการกอสรางที่สมบูรณแแบบ จึงทําใหโคลอสเซียมยังคงตั้งตระหงานอยูจวบจนปัจจุบัน ถึงแม กาลเวลาอันยาวนานที่ทาํ ใหโคลอสเซียมตองผานรอนผานหนาวทั้งจากภัยธรรมชาติอยางแผนดินไหว อุบัติเหตุอยาง ไฟไหม และการเปลี่ยนถายยุคแหงความรุงเรืองอยางสงครามและการลมสลายของอาณาจักรโรมัน จะทําให โครงสรางบางสวนของโคลอสเซียมแตกสลายและสูญหายไป แตนั่นก็ถือเป็นเสนหแและเอกลักษณแเฉพาะตัวของ โคลอสเซียม โคลอสเซียมยังคงเป็นสถานที่ที่ควรมาเยือนสักครั้ง แตทั้งนี้ตองเขาใจที่มาที่ไปของที่นี่ เพื่อทีจ่ ะได ทราบวาที่นี่มีคามากกวาการมองผานวามันเป็นแคซากอัฒจรรยแเกาๆ โทรมๆ อยางไร [47]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 2: Rome
โคลอสเซียมเปิดใหเขาชมทุกวัน เริ่มเปิด 9.00 น. แตเวลาปิดแตกตางกันตามฤดูกาล ชวงฤดูใบไมผลิถึงฤดู รอน ตนเม.ย. ถึงปลายส.ค. จะปิดชาทีส่ ุดคือ 19.00 น. ในขณะที่ฤดูหนาว ตนพ.ย. ถึงกลางก.พ. จะปิดเร็วที่สุดคือ 16.00 น. คาเขาชม 15.5 EUR รวมคาเขาชม Palatine Hill และ Roman Forum (updated Nov 2014) ผูถือ บัตรโรมาพาสเขาชมฟรี (โดยตองเป็น 1 ใน 2 สถานที่แรกที่เขาโดยใชบัตรนี้) จากโคลอสเซียม เราเดินไปยังประตูชยั คอนสแตนติน (Arch of Constantine) และเนินเขาปาลา ติโน (Palatino; Palatine Hill) ที่อยูติดกัน สําหรับ Arch of Constantine นั้น สรางขึ้นเพื่อเป็น เครื่องหมายแสดงชัยชนะของจักรพรรดิคอนสแตนตินเหนือจักรพรรดิมักเซนติอุสในปีค.ศ. 312 ซึ่งเป็นชวงที่ จักรวรรดิโรมันเริ่มเสื่อมแลว ประตูชยั แหงนี้จึงไมไดสละสลวยนาจดจําเทาไหร เพียงแตตั้งอยูในบริเวณเดียวกับ โคลอสเซียมและโบราณสถานสําคัญอื่นๆ จึงพลอยไดอานิสงฆแจากนักทองเที่ยวที่มาเทีย่ วโคลอสเซียม ไดถายรูป ผานๆ กับประตูชัยแหงนี้
ประตูชัยคอนสแตนติน (Arch of Constantine)
[48]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 2: Rome
วิหารแหํงวีนัสและโรม (Temple of Venus and Rome)
[49]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 2: Rome
สวนเนินเขาปาลาติโน (Palatine Hill) นั้น (ใหเริ่มตนที่ทางเขาเนินเขาตามแผนที่หนาถัดไปคะ) เป็นพื้นที่สี เขียวกวางใหญ มีซากปรักหักพังใหเห็นบอกเลาเรื่องราวในอดีตอันยาวนานของกรุงโรม เชื่อกันวาที่นี่เป็นบานของโร มิวลุสผูกอตั้งกรุงโรม ตนไมใหญมากมายและพื้นที่สีเขียวทัว่ ไปหมด ทําใหปาลาติโนนั้นรมรื่นมาก วันที่เราไปนั้นมี นักเรียน นักศึกษามหาวิทยาลัยมาทัศนศึกษาที่นี่มากมาย (ดูการแตงตัวของนองๆ นักศึกษากับเรานั้น ยังกับมา เที่ยวกันคนละที่ คุณพี่อยางหนาว คุณนองอยางรอน 55+) จากซากปรักหักพังหลายแหงบนบริเวณเนินเขาปาลาติ โน มีสถานที่นา สนใจดังนี้คะ (ข้อมูลจากหนังสือ ใครๆ ก็ไปเที่ยวอิตาลีและ www.lonelyplanet.com) คาซา ดิ ลิเวีย (Casa di Livia’s; House of Livia) 32 – พระตาหนักของพระนางลิเวีย พระชายาใน จักรพรรดิออกัสตัส ภายในมีภาพเขียนฝาผนังเฟรสโกอายุเก่าแก่กว่า 100 ปีก่อนคริสตกาล โดมุสฟลาเวีย (Domus Flavia) 28 – สวนพื้นที่สาธารณะของพระราชวังอันหรูหราของจักรพรรดิโดมิ เชียน ภายในมีหอ้ งเขาวงกตรูปแปดเหลี่ยมติดพลอยมูนสโตนบนกาแพงให้เป็นกระจกเงาป้องกันศัตรูลอบเข้าไปปลง พระชนม์ กริปโตปอรแติคุส (Cryptoporticus) 28 – อุโมงคแความยาว 128 เมตร ของ Domus Flavia (อุโมงคแ อยูทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของ Casa di Livia) ซึ่งภายหลังจักรพรรดิเนโรใชเชื่อมตอกับตําหนักทอง (Domus Aurea; Golden House) ของพระองคแ ปัจจุบันใชเป็นสถานที่จัดแสดงนิทรรศการตางๆ สวนฟารแเนเซ (Farnese Gardens) 33 – สวนพฤกษศาสตรแแหงแรกของโลก เป็นสวนของพระคารแ ดินัลอาเลสซานโดร ฟารแเนเซ เจาของทีใ่ นสมัยศตวรรษที่ 16 บริเวณพาวิลเลียนแฝดที่สวนฟารแเนเซเป็นจุดชมวิวที่ดี เยี่ยม สามารถมองเห็นซากปรักหักพังของโรมันฟอรัมและชมวิวของกรุงโรมไดอยางชัดเจน [50]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 2: Rome
สเตเดียม (Stadio; Stadium of Augustana) 25 – น่าจะเป็นห้องส่วนหนึ่งของพระราชวังโดมุส ออกัสตินา (Domus Augustina) ใชสําหรับจัดการแขงขันกีฬาและงานเลี้ยงสวนพระองคแ พระราชวังโดมุสออกัสตินา (Domus Augustina) 26 – พื้นที่สวนพระองคแภายในพระราชวังอัน หรูหราฟุุมเฟือยของจักรพรรดิโดมิเชียน ซีโกมัสซีโม (Circo Massimo; Circus Maximus) 24 – สนามกีฬากลางแจงทีใ่ หญและเกาแกที่สุดใน กรุงโรม สวนใหญใชแขงรถมา แตก็มีการแขงอยางอื่นดวยเชนเกลดิเอเตอรแ กระทอมโรมิวลุส (Capanne Romulee; Romulean Huts) 30 – เชื่อวาที่นเี่ ป็นบานของโรมิวลุสผู กอตั้งกรุงโรม
Domus Augustina
สเตเดียม (Stadium of Augustana)
[51]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 2: Rome
แผนที่กรุงโรมโบราณ [52]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 2: Rome
แผนที่กรุงโรมโบราณ [53]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 2: Rome
จากนั้นเราเดินตอมายังโรมันฟอรัม (Roman Forum) หรือฟอโร โรมาโน (Foro Romano) ใน ภาษาอิตาเลียน ที่นี่นกั ทองเที่ยวเยอะมากกก เดินกันขวักไขวเลยทีเดียว โรมันฟอรัมเป็นเขตศูนยแกลางการปกครอง และที่อยูอ าศัยของชาวโรมัน ตั้งอยูระหวางเนินเขาปาลาติเนและเนินเขากาปิโตลิเน (Capitoline Hill) นับตั้งแต ชาวอีทรัสกันไดลงหลักปักฐานที่นี่ ฟอรัมไดถูกพัฒนาขึ้นครั้งแรกในศตวรรษที่ 7 กอนคริสตกาลและแผขยายความ รุงเรืองอีกนานนับพันปี ทําใหที่นี่เป็นหลักฐานแสดงความรุงเรืองของอาณาจักรโรมันไดดีที่สุด แตตอมาเมื่อถึงคราว อาณาจักรลมสลาย ที่นี่ถกู ปลอยรกรางใหกลายเป็นทุงเลี้ยงวัว (Campo Vaccino; Cow Field) หินอิฐและหินออน บนสิ่งกอสรางถูกนําไปใชกอสรางสิ่งอื่นตอ จึงทําใหในวันนี้ โรมันฟอรัมเหลือเพียงซากปรักหักพังที่แทบจะมองไม เห็นถึงความรุงเรืองในอดีต ตองใชจินตนาการเป็นอยางมากในการเขามาเติมเต็มการเดินเที่ยวที่นี่ สําหรับสถานที่ นาสนใจบริเวณโรมันฟอรัมที่รวบรวมจากหนังสือใครๆ ก็ไปเที่ยวอิตาลี หนังสือโรมันรัญจวนและ www.lonelyplanet.com มีดังนี้คะ
Arch of Titus
[54]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 2: Rome
วิหารแหงวีนัสและโรม (Tempio di Venere e Roma; Temple of Venus and Rome) 16 – อยู ตรงขามกับโคลอสเซียมเยื้องกับ Arch of Constantine ซึ่งสามารถมองเห็นไดจากจุดชมวิวบนโคลอสเซียมดวย ประตูชัยติตุส (Arco di Tito; Arch of Titus) 14 – สรางขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะที่จักรพรรดิเวส ปาเชียนและจักรพรรดิติตุสมีตอกรุงเยรูซาเล็ม แลวนําชาวยิวมาเป็นทาสในกรุงโรม ในอดีตชาวยิวในโรมหลีกเลี่ยงที่ จะเดินผานประตูแหงนี้ (ก็แนละ สัญลักษณแแหงความพายแพของพวกเขานิ) วิหารมักเซนติอุส (Basilica di Massenzio; Basilica of Maxentius) 13 – สิ่งกอสรางที่มีขนาดใหญ ที่สุดในฟอรัม สรางขึ้นในสมัยจักรพรรดิมักเซนติอุสและสรางเสร็จในสมัยจักรพรรดิคอนสแตนติน จึงมีอีกชื่อวา วิหารคอนสแตนติน (Basilica di Constantino; Basilica of Constantin) ใชเป็นสํานักงานทางกฎหมายและ การเงินของอาณาจักร... วาววว อะเมซซิ่งมาก ไมนาเชื่อวาเกือบสองพันปีที่แลวมีสํานักงานกฎหมายและธนาคาร แลวดวย วิหารแอนโตนิอุสและฟอสตินา (Tempio di Antonino e Faustina; Temple of Antonius and Faustina) 10 – สรางขึ้นเพื่ออุทิศใหแกจักรพรรดิแอนโตนิอุสและจักรพรรดินีฟอสตินา ตอมาภายหลัง วิหารถูก เปลี่ยนใหกลายเป็นโบสถแ
[55]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 2: Rome
วิหารเทพีเวสตา เทพธิดาแหงไฟ (Tempio di Vesta; Temple of Vesta) อยูระหวางเรเจีย (Regia) 11 และบานเทพธิดาแหงไฟ (Casa delle Vestali; House of Vestals) 12 – วิหารที่มีสาวพรหมจารียแ 6 คน อายุ ระหวาง 6 ถึง 10 ปี (เด็กมากกกอะ คนสมัยกอนโตเร็วจริง) ทําหนาที่ไป 30 ปี เพื่อคอยดูแลเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ไมให มอดดับ หากเปลวไฟมอดดับ พวกเธอจะถูกเฆีย่ น ที่แยกวานั้นคือถาถูกจับไดวาไมรักษาพรหมจรรยแ เธอจะไดรับ การลงโทษดวยการถูกฝังทั้งเป็น เพื่อไมใหเลือดของเธอกระเด็นออกมา สวนชายชูจะถูกจับมัดใหชาวเมืองเอาหินปา จนตาย บางก็วาถูกเฆี่ยนจนตาย ถนนเวียซากรา (Via Sacra) – ถนนที่เกาแกที่สุดในกรุงโรม ลากยาวจาก Palatino ถึง Arch of Septimius Severus ประตูชัยเซปติมิอุส เซเวรุส (Arco di Settimio Severo; Arch of Septimius Severus) 3 – สราง อุทิศใหแกจักรพรรดิเซปติมิอุส เซเวรุส เป็นประตูเฉลิมฉลองชัยชนะของโรมันตอชาวปารแเธียน (Parthians) หรือ เปอรแเซียน วิหารซาเทิรแน (Tempio di Saturno; Temple of Saturn) 2 – สถานที่เก็บทรัพยแสมบัติเงินทองของ อาณาจักร ดานทายวิหารมี Millarium Aureum หรืออนุสาวรียแที่แสดงจุดเริ่มตนของการวัดระยะทางของถนนทุก สายและเสนทางตางๆ ทุกเสนในโรม (เหมือนอนุสาวรียแชัยสมรภูมิเลย) กูเรีย (Curia) 5 – เป็นสถานที่พบปะของเหลาซีเน็ต หรือเรียกไดวาเป็นวุฒิสภาก็นาจะได กอนที่จะถูก เปลี่ยนใหเป็นโบสถแในสมัยยุคกลาง บริเวณดานหนากูเรียจะมีแผนหินออนสีดําปิดอยู เชื่อกันวาเป็นหลุมศพของโร มิวลุส จาก Arch of Septimius Severus จะเป็นทางออกจากโรมันฟอรัม ขวามือคือโบสถแ Santi Luca e Martina เรานั่งปั๊มนมชิลๆ ที่ลานจอดรถหนาโบสถแ เนื่องจากโลงและสงบ ผูค นไมพลุกพลาน พรอมกับกินขนมปัง และของเล็กๆ นอยๆ ที่เก็บมาจากอาหารเชาที่โรงแรม เสร็จแลวก็เดินไปยังจุดหมายตอไปคือเนินเขากาปีโตลีเน (Capitoline Hill) และปิอัซซาเวเนเซีย (Piazza Venezia) แตจะบอกวาเราเดินออมละ เพิ่งมาดูใน google map อีกครั้งเลยรูวาตอนนั้นเดินอ๎อมมาก เราเดินผานคุก Carcere Mamertino-Tulliano; Mamertine-Tullian Prison 1 ขึ้นไปตามถนน Clivo Argentario ตรงไปจนสุดถนน เจอถนนใหญ Via dei Fori Imperiali เลี้ยวซาย แลวเดินเลียบถนนไปเรื่อยๆ จะเจออนุสรณแสถานพระเจาวิตโตริโอ เอมานูเอลที่ 2 (Monument to Vittorio Emanuele II) กษัตริยแผูรวมชาติอิตาลีใหเป็นปึกแผน อยูทางซายมือ และ Piazza Venezia อยูขวามือ (หมายเหตุ: ที่ถนน Via dei Fori Imperiali ที่เราเดินไปถึง ฝั่งตรงขามถนนคืออิมพีเรียลฟอรัม (Imperial Forums) หรือฟอรัม หลวงของจักรพรรดิ ซึ่งเราไมไดขามไปชม) ผานหนาอนุสรณแสถาน เดินเลียบถนนแลวเลี้ยวซายตามทางจะเจอถนน Via del Teatro di Marcello เดินตอไปเรื่อยๆ จนเจอบันไดทางขึ้น Capitoline Hill ดูจากแผนที่ประกอบจะเห็น วาเราเดินจงกรมมาครบ 1 รอบพอดี สวนเส๎นทางที่ถูกต๎อง ที่ไมออมโลกก็คือ จากทางออกที่ Arch of Septimius Severus ใหเลี้ยวซายเดินผานคุกและถนน Via di S. Pietroin Carcere เดินตามถนนไปเรื่อยๆ ถึงทางแยกใหเบี่ยง ซายเดินตรงตอไปอีกนิดก็จะเจอปิอัซซากัมปีโดลีโย (Piazza del Campidoglio) [56]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
Arch of Septimus Severus
วันที่ 2: Rome
โบสถ์ Santi Luca e Martina
อิมพีเรียล ฟอรัม (Imperial Forums)
อนุสรณ์สถานพระเจ๎าวิตโตริโอ เอมานูเอลที่ 2 (Monument to Vittorio Emanuele II) [57]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 2: Rome
แผนที่การเดินทางจาก Roman Forum สูํ Capitoline Hill และ Piazza Venezia
ปิอัซซากัมปีโดลีโย (Piazza del Campidoglio) ตั้งอยูบนเนินเขากาปีโตลีเน (Capitoline Hill) มี บันไดทางขึ้นอันสวยงาม สองขางของบันไดคือประติมากรรมเทพคัสเตอรแและพอลลักซแ เทพผูพิทกั ษแ Capitoline Hill กลางลานปิอัซซามีอนุสาวรียแทรงมาจักรพรรดิมารแคุส ออเรลิอุส (Marcus Aurelius) ตั้งอยู ปิอัซซาถูก [58]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 2: Rome
ลอมรอบดวยอาคาร 3 หลัง ถาหันหนาเขาหาอนุสาวรียจแ ักรพรรดิมารแคุส ออเรลิอุส อาคารทางซายมือคือปาลัซโซนู โอโว (Palazzo Nuovo) อาคารดานหลังคือปาลัซโซเซนาตอรีโอ (Palazzo Senatorio) หรืออาคารสภาซีเน็ต สวน อาคารที่อยูทางขวามือคือปาลัซโซเดอี กอนแซรแวาตอรี (Palazzo dei Conservatori) ซึ่งเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑแกา ปีโตลีเน (Musei Capitoline; Capitoline Museums) อีกหนึ่งพิพิธภัณฑแสําคัญในโรม งานออกแบบทั้งบันได ปิอัซ ซาและปาลัซโซเป็นฝีมือของศิลปินชื่อกองมิเคลันเจโล (Michelangelo) เราไมไดวางแผนเขาชมพิพิธภัณฑแกาปีโต ลีเนตั้งแตตน เนื่องจากเวลาไมพอ หากใครสนใจเขาชมพิพิธภัณฑแนี้ แนะนําใหอานหนังสือโรมันรัญจวนของคุณธรณแ เพื่อประกอบการตัดสินใจ คุณธรณแและหนูดาวใชเวลาดื่มด่าํ งานศิลปในพิพิธภัณฑแนี้นานทีเดียว ขอมูลแนนปึ้ก
เนินเขากาปีโตลีเน (Capitoline Hill) [59]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 2: Rome
จักรพรรดิมาร์คุส ออเรลิอุส (Marcus Aurelius)
Piazza Venezia และ Palazzo Venezia [60]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 2: Rome
จาก Capitoline Hill เราเดินยอนกลับไปปิอัซซําเวเนเซีย (Piazza Venezia) โดยผานถนน Via del Teatro di Marcello เมื่อถึง Piazza Venezia ใหเดินไปจนสุดปิอัซซาฝั่งที่ตรงขาม Monument to Vittorio Emanuele II ที่ดานหลังปาลัซโซเวเนเซีย (Palazzo Venezia) คือถนน Via del Plebiscito จะมีเกาะกลางถนนที่ เป็นปูายรถเมลแดวย ชื่อปูาย Plebiscito ใหรอรถเมลแสาย 64 direction Stazione San Pietro ที่ปูายนี้ นั่งรถเมลแ ไปลงที่ปูาย Corso Vittorio Emanuele/Navona (4 ปูาย10 นาที) (ความจริง กวาเราจะรูว า ตองเป็นปูายนี้ ก็ตอง เดินจงกรมอีกไมรูกี่รอบ เพราะปิอัซซานี้ก็เหมือนอนุสาวรียแชยั ฯ บานเรานี่ละ มีปูายรถเมลแอยูรอบปิอัซซาเลย ไมรูวา สายไหนตองขึ้นปูายไหน ฝั่งไหน วิ่งหาจนเหนื่อย ของหลนเกือบหาย ยังโชคดีทวี่ ิ่งกลับมาเก็บทัน)
Plebiscito
แผนที่ป้ายรถเมล์ Plebiscito ที่ Piazza Venezia ส้าหรับรอขึ้นรถเมล์สาย 64
[61]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 2: Rome
แผนที่เส๎นทางเดินเท๎าจากป้ายรถเมล์ Corso Vittorio Emanuele-Navona ไปยัง Piazza Navona
เดินตามแผนที่ (หลงนิดหนอย... อีกแลว) จนเจอปิอัซซํานาโวนา (Piazza Navona) จัตุรัสรูปวงรี ยาว เนื่องจากแตเดิมที่นี่ถูกสรางเพื่อใชเป็นสนามกีฬาในสมัยจักรพรรดิโดมิเชียน จุดเดนของปิอัซซานาโวนาอยูที่ การเป็นแหลงพบปะสังสรรคแ ชิลเอาทแของผูคน เนื่องจากรอบปิอัซซานั้นรายลอมดวยรานคา รานอาหารและผับ มากมาย ผูคนสวนใหญมักใชเวลานั่งกินดื่มแบบเอาทแดอรแ พูดคุยและชื่นชมบรรยากาศโดยรอบ ในขณะที่ใจ กลางปิอัซซามีประติกรรมล้ําคาอยางเสาโอเบลิสกแ ที่ฐานของเสาเป็นประติมากรรมน้้าพุสี่มหานที (Fontana dei Quattro Fiumi; Four Rivers Fountain) อันโดดเดน ผลงานของจาน ลอเรนโซ แบรแนินี (Gian Lorenzo Bernini) โดยคําวา Quattro แปลวาสี่ และ Fiumi แปลวาน้ํา น้ําพุสี่แหงทีแ่ บรแนินีตั้งใจสื่อถึงคือแมน้ําสายหลัก ของสี่ทวีปในโลกไดแก แมน้ําคงคา (เอเชีย) แมนา้ํ ดานูบ (ยุโรป) แมนา้ํ ไนลแ (แอฟริกา) และแมนา้ํ ริโอ เดลา พลาตา หรือแมน้ําเพลท (อเมริกา-อเมริกาใต) โดยมีรูปปั้นคนหรือเทพเจาอยูเหนือสายน้ําแตละสาย ใกลๆ กันเป็น [62]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 2: Rome
Fountain of the Moor น้ําพุรูปปั้นแขกมัวรแเปุาแตรหอยสังขแ อยูทางทิศใต และ Fountain of Neptune น้ําพุรูป ปั้นเทพเจาเนปจูนกําลังใชฉมวกแทงปลาหมึก ตั้งอยูทางทิศเหนือ พื้นที่ภายในปิอัซซาถูกจับจองพื้นที่เป็นที่ขายงาน ศิลปะและบริการศิลปะบันเทิงจากศิลปินอิสระทั่วไป ทั้งวาดรูป เลนดนตรีและมายากลเป็นตน... บรรยากาศที่ปิอัซ ซายามบายวันนี้ดจี ริงๆ แดดแรงๆ รอนนิดๆ พอรับไดกับปิอัซซาที่รายลอมไปดวยคาเฟุ รานอาหาร รานไอศกรีม แผงวาดภาพ ผูคนมากมายมาพักผอนหยอนใจที่นี่เต็มไปหมด
บรรยากาศร๎านอาหารรอบ Piazza Navona
พูดถึงน้ําพุสี่มหานที เราก็จัดการสรางแลนดแมารแคตามรอยหนังสือ Angels & Demons อีกแหง ที่นี่เป็น สถานที่ที่พระคารแดินัลองคแที่ 4 ถูกถวงใหจมน้ําพุ ในหนังสือพระคารแดินัลไมรอดนะจ฿ะ แตภาพยนตรแนั้นไมใช ศาสตราจารยแแลงดอนเป็นฮีโรมาชวยไวจนพระองคแอยูรอดเป็นสมเด็จพระสันตะปาปาองคแใหมเลย จะบอกวาพอ ไดมาเจอน้ําพุของจริงแลวรูสึกอึ้งไป 5 วิ (หรือมากกวา) เพราะวาน้าํ พุนั้นเล็กมาก แลวก็ตื้นมากดวย ลึกถึง 30 ซม. หรือเปลาก็ไมรู ดูไมเห็นนาพระคารแดินลั จะจมน้ําไดเลย (หมายเหตุ: สําหรับสถานที่พบศพพระคารแดินัลองคแที่ 3 นั้น อยูที่โบสถแซานตามาเรียเดลลาวิตโตเรีย (Santa Maria della Vittoria) ซึ่งเราไมไดไป สวนสถานที่ตามหาพระคารแ ดินัลองคแที่ 2 อยางแพนธีออน (Pantheon) นั้น เป็นจุดหมายตอไปของเราคะ)
[63]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 2: Rome
น้้าพุสี่มหานที (Fontana dei Quattro Fiumi; Four Rivers Fountain) [64]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
Fountain of Neptune
วันที่ 2: Rome
Fountain of the Moor
[65]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 2: Rome
รอบๆ ปิอัซซานาโวนายังมีสถานที่นา สนใจหลายแหง ฝั่งตะวันตกของปิอัซซาคือโบสถแซานตักเญเซ อิน อา โกเน (Sant’ Agnese in Agone) เป็นโบสถแที่สรางอุทิศใหนักบุญหญิงผูปกปูองเซนตแแอกเนสจากการถูกเปลื้องผา กลางปิอัซซา ยอดโดมและหอระฆังคูอ อกแบบโดยศิลปินคูแขงของแบรแนินีชื่อบอรแโรมินี แตเราเลือกที่จะไมสนใจ โบสถแนี้ แลวเดินออกจากปิอัซซาไปทางทิศตะวันออก ผานซอย Corsia Agonale ขามถนน Corso del Rinascimento หันซาย เดินตรงขึ้นไปเพื่อเลี้ยวขวาเขาถนน Via del Salvatore เดินตรงไปจนเจอถนน Via dei Dogana Vecchia ตัดผาน เลี้ยวซาย ซายมือจะเป็นโบสถ์ ซันลุยจิ เดอี ฟรันเชซี (San Luigi dei Francesi) โบสถแนี้มีผลงานของคาราวัจโจถึง 3 ชิ้น เราไปถึงโบสถแประมาณบายสอง เห็นโบสถแปิดจึงเดินขึ้นไปอานปูายประกาศ หนาประตูโบสถแก็เขาใจวาโบสถแปิดกลางวัน เดี๋ยวจะเปิดแลว เราก็เลยนั่งรอโบสถแเปิดตรงบันไดหนาทางเขาโบสถแ พรอมนักทองเที่ยวอีกหลายคน... รอแลว รอเลา ทําไมโบสถแไมเปิดสักที จนมีเพื่อนรวมชะตากรรมคนหนึ่งเดินไป อานประกาศหนาโบสถแอีกครั้ง จึงเห็นวา อาวววว! เขียนวาโบสถแปิดทุกวันพฤหัสฯ นี่นา โอยยย! ทําไมเมื่อกี้ตาถั่ว ยายถั่วขนาดนี้ ไมอานใหดวี าโบสถแนะปิดกลางวันทุกวันก็จริง แตวันพฤหัสฯ นะ ปิดทั้งวันเลยนะ หนาแตกรอเกอกัน ไป วาแลวเราก็ไปแพนธีออนกันดีกวา
โบสถ์ซานตักเญเซ อิน อาโกเน (Sant’ Agnese in Agone)
[66]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 2: Rome
Piazza Navona
Pantheon
แผนที่ Piazza Navona – Pantheon
เพียงไมนาน เราก็มายืนอยูหนาปิอัซซา เดลลา โรตอนดา (Piazza della Rotonda) สถานที่ตั้งของวิหาร แพนธีออน (Pantheon) วิหารแหงความมหัศจรรยแในการกอสรางและการดํารงอยู วิหารแหงนี้มีอายุมากกวา 2,000 ปี (สรางครัง้ แรก 27 ปีกอนคริสตกาล) เดิมทีสรางขึ้นเพื่อใหเป็นวิหารของเทพเพเกิน ตอมาถูกเปลี่ยนเป็น โบสถแคาทอลิก และมีการนําเอาแผนทองแดงจากหลังคาไปสรางบุษบกเหนือหลุมศพเซนตแปีเตอรแในมหาวิหารเซนตแ ปีเตอรแ ดานหนาวิหารเป็นหนาจั่วสามเหลี่ยม จารึกภาษาละตินไววา “อะกริปปาเป็นคนสร้าง” เพื่อใหเกียรติแก ผูสรางคนแรก เมื่อเขาไปจะเห็นถึงความมหัศจรรยแในภูมิปัญญาทางสถาปัตยกรรมของผูสรางเมื่อกวา 2 พันปี ภายในวิหารมีลักษณะเป็นโถงและโดมวงกลม ความสูงและความกวางเทากันคือ 44 เมตร จุดรับแสงจุดเดียวของ วิหารอยูที่ยอดโดมมีชื่อวาโอคูลุส (Oculus) หมายถึงดวงตา เป็นรูกลมเจาะเพือ่ ใหแสงและอากาศผานเขามาภายใน ในเชิงสัญลักษณแ รูกลมนี้หมายถึงการเชื่อมตอระหวางโบสถแกบั พระผูเป็นเจา ในยามที่ฝนหรือหิมะตก น้าํ จะถูก ระบายออกผานรูระบายน้าํ เล็กๆ 22 แหงที่อยูบนพื้นหินออน ตองสังเกตดีดีถึงจะเห็น เนื่องจากสีและขนาดกลืนกับ สีพื้นหินออนมาก (ข้อมูลจากหนังสือใครๆ ก็ไปเที่ยวอิตาลี และหนังสืออิตาลี สานักพิมพ์วงกลม)
[67]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 2: Rome
ปิอัซซํา เดลลา โรตอนดา (Piazza della Rotonda) และแพนธีออน (Pantheon)
[68]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 2: Rome
ภายในแพนธีออน เป็นสุสานเก็บพระศพของกษัตริยแ วิตโตริโอ เอมมานูเอลที่ 2 (ชื่อเดียวกับอนุสาวรียแที่อยูหนา Piazza Venezia) และกษัตริยอแ ุมเบอรแโตที่ 1 และยังเป็น หลุมฝังศพของยอดศิลปินราฟาเอล (Raphael) ซึ่งอยูที่ ดานซายของแทนบูชา (หมายเลข 5 ตามแผนผัง) ในหนังสือ และภาพยนตรแเรื่อง Angels & Demons ศาสตราจารยแแลง ดอนหลงแปลสาสแนของผูรายผิดเลยพาเรามาแวะหาพระคารแ ดินัลที่แพนธีออน เพราะคิดวาขอความในสาสแนหมายถึงหลุม ศพของราฟาเอล แตจริงๆ แลวกลับตองเป็นโบสถแที่ราฟาเอ ลออกแบบซึ่งมีสุสานและรูปปั้นเทพเจาอยูดวย นั่นก็คือโถง สวดมนตแกีจีของราฟาเอล (Raphael’s Chigi Chapel) ใน โบสถแ Santa Maria del Popolo ที่เราไปมาแลวเมื่อวาน นั่นเอง
[69]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
จุดรับแสงจุดเดียวของวิหาร; โอคูลุส (Oculus)
วันที่ 2: Rome
รูระบายน้้า
หลุมฝังศพราฟาเอล
[70]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 2: Rome
แผนผังภายใน Pantheon (Credit: www.planetware.com)
นอกจากแพทธีออนแลว ที่หนา Piazza della Rotonda ยังเป็นที่ตั้งของน้ําพุและเสาโอเบลิสกแโบราณ รอบๆ ปิอัซซา เป็นรานคาขายของที่ระลีกและรานอาหารใหผูคนแวะเขามากิน ดื่มและพบปะกัน เวลาเปิด: วันจันทรแถึงวันเสารแ 9.00 – 19.30 น. วันอาทิตยแ 9.00 – 18.00 น. วันหยุดอื่นๆ (public holidays) หากตรงกับวันธรรมดา เปิด 9.00 – 13.00 น. ปิดวันที่ 1 มกราคม (วันปีใหม) 1 พฤษภาคม (วัน แรงงาน) และ 25 ธันวาคม (วันคริสตแมาส) เขาชมฟรี ออกจากวิหารแพนธีออน เดินเลยไปทางดานหลังทางซายของวิหาร ผานถนน Via della Minerva จะพบ กับปิอัซซา เดลลา มิแนรแวา (Piazza della Minerva) ซึ่งมีอนุสาวรียแชางนอยแบกเสาโอเบลิสกแ ฝีมือของแบรแนินี่ตั้ง ตระหงานอยู ที่จัตุรัสนี้เป็นที่ตั้งของโบสถ์ซานตามาเรีย โซปรา มิแนร์วา (Santa Maria sopra Minerva) โบสถแ กอธิกแทแหงเดียวในโรม ภายในโบสถแโดดเดนดวยภาพฝาผนังปูนเปียกเฟรสโกของฟิลิปโป ลิปปี และมีรูปแกะสลัก Cristo della Minerva (Christ the Redeemer, Christ Carrying the Cross, หรือ Risen Christ) พระเยซูแบก ไมกางเขน ผลงานของมิเคลันเจโลอยูทางดานซายของแทนบูชาดวย แตเดิมมิเคลันเจโลแกะสลักพระเยซูเปลือย กายทั้งหมด ตอมาทางโบสถแจึงมีการทําผาเตี่ยวสีบรอนซแทองมาปิดเพิ่มภายหลัง [71]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 2: Rome
เวลาเปิด: วันจันทรแถึงวันศุกรแ 6.45 – 19.00 น. วันเสารแ 6.45 – 12.30 น. / 15.30 – 19.00 น. วัน อาทิตยแ 8.00 – 12.30 น. / 15.30 – 19.00 น. เขาชมฟรี
อนุสาวรีย์ช๎างน๎อยแบกเสาโอเบลิสก์ของแบร์นินี่
Risen Christ ของมิเคลันเจโล [72]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 2: Rome
จากโบสถแ Santa Maria sopra Minerva เรามุงหนาตอไปยังโบสถ์เยซู (Chiesa del Gesu) กวาจะหา โบสถแเจอ เลนเอาหลงเหมือนกัน จริงๆ โบสถแใหญ หาไมยาก แตเราตองเดินผานดงแก฿งอันธพาลมาเฟียอิตาลีอะไร ซักอยางแถวๆ นั้น เลยทําใหเราตองเดินออมไปอีกทาง ทําใหหลงทางไปหนอย
Route to go: Santa Maria sopra Minerva to Chiesa del Gesu
โบสถแเยซูเป็นโบสถแของนิกายเยซูอิต นิกายยอยของโรมันคาทอลิกที่มุงตอตานการปฏิรูปศาสนา โดยเฉพาะ การตอตานพวกนิกายโปรแตสแตนทแ (แหม!!...) โบสถแเป็นศิลปะแบบบารอก ภายในตกแตงใหเริ่ดหรูอลังการดวย งานศิลปะชั้นยอดมากมาย เพื่อแสดงถึงความยิ่งใหญของศาสนจักรที่โรม และเป็นเครื่องชักจูงใหผูคนกลับมาศรัทธา ศาสนาอีกครั้ง (ช้อมูลจากหนังสือใครๆ ก็ไปเที่ยวอิตาลี และหนังสือ Top 10 โรม) ผลงานเดนในโบสถแคือภาพ The Triumph of the Name of Jesus ของอีลบาชิชชา ที่อยูบ นเพดานโบสถแ เป็นภาพเหลาเทวดาและนักบุญกําลัง เสด็จเขาสูสวรรคแผานชองหลังคา เวลาเปิด: ทุกวัน 7.00 – 12.30 น. / 16.00 – 19.45 น. เขาชมฟรี
[73]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
ด๎านหน๎าโบสถ์เยซู (Chiesa del Gesu)
วันที่ 2: Rome
The Triumph of the Name of Jesus
จากโบสถแเยซู ก็เป็นเวลาบายแกๆ พอดี ไดเวลาเขามฝั่งแมน้ําไทเบอรแไปยังเขตตราสเตเวเร (Trastevere) กันแลว คําวาตราสเตเวเรนั้น มาจากคําวา เตเวเร (Tevere) คนอิตาเลียนหมายถึงแมน้ําไทเบอรแ และตราส (Tras) แปลวาขาม ตราสเตเวเรจึงแปลตรงตัวไดวาขามแมนา้ํ ไทเบอรแ นั่นก็คืออีกฝั่งหนึ่งของแมน้ําไทเบอรแนั่นเอง แตเดิม ยานนี้เป็นเขตของชนชั้นแรงงานและชุมชนชาวยิว แตปัจจุบันชนชั้นกลางมาอยูอาศัยมากขึ้น และมีการสงเสริมให เป็นแหลงทองเที่ยว ตราสเตเวเรในปัจจุบันจึงเต็มไปดวยรานคา รานอาหาร ตลาด ผับบารแเกิดขึ้นมากมาย (ข้อมูล จากหนังสือใครๆ ก็เทีย่ วอิตาลี และหนังสืออิตาลี สานักพิมพ์วงกลม) วิธีการเดินทางไปตราสเตเวเรทําไดสะดวกโดยการขึ้นรถรางสาย 8 ที่ปูาย Largo di Torre Argentina (Argentina stop) ปูายนี้เป็นปูายใหญ คนขึ้นเยอะ รถรางผานก็หลายสาย เราขึ้นรถรางไป 2 ปูาย ขามฝั่งแมน้ําไท เบอรแไปลงที่สถานี Belli สภาพบานเรือน บรรยากาศฝั่งตราสเตเวเรดูคอนขางแตกตางจากฝั่งโรมนิดหนอย คือฝั่ง ตราสเตเวเรจะโทรมๆ เกาๆ กวาฝั่งโรม แผนการสําคัญสําหรับปิดทายการทองเที่ยววันนี้คือการหาอาหารเย็นแบบ full course กินที่ตราสเตเวเรนี่ละ อดอยากมาหลายมื้อแลว เหนือ่ ยจากการเดินทางก็มาก ค่าํ นี้ตองปิดจ฿อบ ฮึ่มๆๆ กอนไดเวลาสวาปาม เราแวะไปยังโบสถแสําคัญที่ตราสเตเวเรกอนคือโบสถแ Santa Maria in Trastevere ใชเวลาเดินประมาณ 10 นาที... จากสถานี Belli เดินตรงขึ้นไปเรื่อยๆ แลวเลี้ยวขวาเขาถนน Via della Lungaretta (ซึ่งมีความกวางเทากับซอยบานเรา) เดินตรงไปเรื่อยๆ ระหวางทางจะผานรานอาหาร รานขายของ [74]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 2: Rome
โบสถแ แหลงชุมชนไปเรื่อยๆ สุดทายก็จะเจอปิอัซซาชื่อเดียวกับโบสถแ มีน้ําพุเล็กๆ มีบันไดขั้นๆ ลอมน้าํ พุไว รอบๆ ปิอัซซาก็เป็นรานอาหารใหญๆ หลายราน เรานั่งปั๊มนมที่นี่ เหนื่อยหนอย เพราะคนเยอะ แถมเจอคนสูบบุหรี่และคน เมาดวย ดีนะปั๊มนมทิ้ง ถาปั๊มเก็บนี่คงทุลักทุเลยิ่งกวานี้
Route to go: Belli to Santa Maria in Trastevere
โบสถ์ซานตามาเรีย อิน ตราสเตเวเร (Santa Maria in Trastevere) เป็นโบสถแที่คาดวาเกาแก ที่สุดในโรม สรางขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแดพระแมมาเรีย จุดเดนอยูที่ระเบียงดานนอกโบสถแมภี าพกระเบื้องโมเสกเกาแก ตั้งแตศตวรรษที่ 12 ชื่อภาพ Madonna and Child นอกจากนี้ภายในก็ยังมีกระเบื้องโมเสกเลาประวัติของพระแม มาเรียชื่อภาพ Life of the Virgin โดยปิเอโตร กาวัลลีนี (Pietro Cavallini) ประดับตกแตงอยูสวนครึ่งลางของโดม อยางสวยงาม (ข้อมูลจากหนังสือ ใครๆ ก็เที่ยวอิตาลี และหนังสือ Top 10 โรม) เวลาเปิด: ทุกวัน 7.30 – 21.00 น. เขาชมฟรี
Piazza Santa Maria in Trastevere และโบสถ์ Santa Maria in Trastevere
[75]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 2: Rome
Madonna and Child ภาพกระเบื้องโมเสกที่ระเบียงด๎านหน๎าโบสถ์
Life of the Virgin ภาพกระเบื้องโมเสกเกําแกํภายในโบสถ์
[76]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 2: Rome
ชมโบสถแเสร็จ เวลายังเหลือเฟือ เราเลยจะดิ่งไปรานอาหารที่ตามคําแนะนําของหนังสืออิตาลี สํานักพิมพแ วงกลม นั่นคือราน Ristorante Pizzeria La Fraschette Trastevere เดินจากโบสถแไปไมไกล ประมาณ 5 นาที (ตามแผนที่) แตพอไปถึงราน พนักงานบอกรานเปิดทุมนึง แตตอนนั้น 6 โมงกวาๆ เราก็เลยเดินไปดูโบสถแแถวๆ นั้น ฆาเวลา พรอมกับแวะรานซูเปอรแมารแเก็ตแถวนั้น ซื้อขนมกรุบกรอบกินแกหิว
Route to go: Santa Maria in Trastevere to Ristorante Pizzeria La Fraschette Trastevere
พอไดเวลาก็กลับมาที่รานอาหาร ดูจากภายนอกและภายในราน ดูซอมซอ มึนๆ ทึมๆ บอกตามตรงวาเรา ไมคิดวาคนจะเขารานเลย แตพอเราเขาไปไมนานเทาไหร ลูกคารายอื่นก็เริ่มทะยอยเขามาเรื่อยๆ ภายในเวลาไมถึง ครึ่งชั่วโมงคนก็แนนราน ไมอยากจะเชือ่ เลย แสดงวารานนี้ฮอตฮิตพอตัวทีเดียว เราสั่งพาสตามาคนละจาน... ขอ บอกวาอืดดดดมากกก เพราะชีสในพาสตาทําพิษ แลวก็สั่งหอยแมลงภูในซอสมะเขือเทศจานบิ๊กเบิ้มอีก 1 จาน เป็น การกินที่ทํารายรางกายมากๆ อิ่มอืดสุดๆ แตอาหารรสชาติดีนะคะ อรอยอยู ถึงวาคนตรึม
[77]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 2: Rome
ขากลับ เราเดินออกจากราน เลี้ยวขวาเดินตรงมาเจอสี่แยก (เดินเลยขึ้นไป ไมยอ นกลับไปทางโบสถแซานตา มาเรียฯ) จะเจอถนน Viale di Trastevere ตัดผาน ใหเลี้ยวซาย ขามถนนมาอีกฝั่ง จะเจอปูายรถราง Trastevere/Mastai ใหขึ้น tram No. 8 (ปลายทาง Argentina) ไปลงที่สถานี Argentina เหมือนเดิม จากนั้นขึ้น รถบัส No. 64 (ปลายทาง Termini) นั่งไป 6 ปูาย ลงที่สถานี Termini แลวเดินกลับโฮสเทล ขากลับรถสาย 64 นี่ คนเยอะมวากกก เบียดกันซะ เมื่อยก็เมือ่ ย แถมรถยังติดยังกับกรุงเทพฯ อีกตางหาก เหนื่อยมาก นี่แควันที่ 2 นะ... พรุงนี้เรายังมีงานหนักและงานใหญที่สุดกับประเทศที่เล็กที่สุดในโลกอยางวาติกนั เพราะฉะนั้น คืนนี้ขอหลับเป็น ตายกอน... ออ! ไมไดสิ ตองตื่นมาปั๊มนมอีก 3 รอบดวย เฮอออ!! สลบ
[78]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
วันที่ 3: Vatican City
[79]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
เขาสูเชาวันที่ 3 ของการทองเที่ยว เราตื่นเชาเหมือนเดิม รับคูปองกินอาหารเชา กอนออกเดินทางไป ประเทศที่เล็กที่สุดในโลกและเป็นศูนยแกลางของคริสตศาสนานิกายโรมันคาทอลิก...วาติกัน (Vatican) โปรแกรมใน วันนี้เราจะหลงเข๎าไปอยูํกับศาสนาคริสต์และงานศิลปะที่เกี่ยวข๎องกับศาสนาคริสต์ที่วาติกันเกือบทั้ง วัน เริ่มต๎น จากครึ่งวันเช๎าทีม่ หาวิหารเซนต์ปีเตอร์ (Basilica di San Pietro; Saint Peter’s Basilica) ทั้งบริเวณจัตุรสั เซนต์ปีเตอร์ (Piazza San Pietro; Saint Peter’s Square) ภายในมหาวิหารและขึ้นลิฟต์ครึ่งหนึ่ง เดินขึ้น บันไดอีก 320 ขั้นเพื่อไปพิชิตยอดโดมของมหาวิหาร สํวนครึ่งวันบํายเราก็จะเทเวลากวํา 3 ชั่วโมงให๎กบั พิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมงานศิลปะล้้าคํามากที่สุดในโลกอยํางพิพิธภัณฑ์วาติกัน (Vatican Museum) ปิดท๎ายชํวง เย็นๆ กับปราสาทซานตังเจโล (Castel Sant’ Angelo) ที่อยูํไมํไกลกัน เป็นอันจบภารกิจประจ้าวัน
แผนการเดินทางในวันที่ 3
เพื่อใหการเที่ยวชมวาติกันเป็นไปอยางออกอรรถรสอยางเต็มที่ เราจึงตองทําการศึกษาความเป็นมาของ ประเทศนี้กันเสียกอน (ข้อมูลจากหนังสือ ใครๆ ก็ไปเที่ยวอิตาลี Top 10 โรม และหนังสือ Vatican with all the restored by Sonia Gallico และ wikipedia) วาติกันหรือชื่อเต็ม นครรัฐวาติกัน (State of the Vatican City) เป็นรัฐอิสระปกครองตนเอง ตั้งอยูใน กรุงโรม อิตาลี โดยมีกําแพงเมืองลอมรอบ มีพื้นที่เพียง 440,000 ตารางเมตร จึงนับวาเป็นประเทศที่มีขนาดเล็ก ที่สุดในโลก แตกระนั้นวาติกันก็มีสถานีรถไฟ สถานีวิทยุ สถานีโทรทัศน์ สานักงานไปรษณีย์-แสตมป์ ธนาคาร ลาน จอดเฮลิคอปเตอร์ โรงพิมพ์และเรือนจาเป็นของตนเอง ประวัติศาสตร์ เดือนกุมภาพันธแ ค.ศ. 1929 สํานักวาติกันกับรัฐบาลอิตาลีไดตกลงทําสนธิสัญญาลาเตรัน (Lateran Treaty) หรือบางแหงเรียกวาสนธิสัญญาไกลเกลี่ย (Conciliation Treaty) ซึ่งระบุใหนครรัฐวาติกันมี [80]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
ฐานะเป็นประเทศอิสระและมีอธิปไตยเป็นของตนเอง ตามสนธิสัญญา ยังระบุใหวาติกันมีอํานาจครอบครอง สิ่งกอสรางหลายแหงภายในโรมที่อยูนอกกําแพงเมืองวาติกันเชนโบสถแเซนตแปอล โบสถแซานตามาเรีย มัจจอเร ปราสาทซานตังเจโลและรวมทั้งสิ่งกอสรางอื่นๆ อีก 10 กวาแหง การปกครอง วาติกันมีสมเด็จพระสันตะปาปาหรือโปฺปเป็นประมุขของรัฐ และยังเป็นประมุขของคริสตจักร คาทอลิกและบิชอปแหงโรม ทุกอยางในกรุงวาติกัน (ประกอบดวยจัตุรัสเซนตแปีเตอรแ มหาวิหารไปจนถึงแนวเสา คอลัมนแที่ลอมรอบและพื้นที่ทั้งหมดภายในกําแพงเมืองวาติกัน) นั้นอยูภ ายใตการปกครองดูแลของสมเด็จพระ สันตะปาปา นั่นจึงทําใหวาติกันเป็นสันตะสํานักหรืออาณาจักรอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy See) ที่เป็นรัฐอิสระและปกครอง ตนเอง ประชากร ปัจจุบันมีประชากรประมาณ 900 คนอาศัยอยูในวาติกัน โดยเป็นผูหญิงประมาณ 200 คน แตมี ผูค นเขามาทํางานในวาติกันรวมแลวประมาณ 1,300 คน นั่นหมายความวาสวนใหญแลวไมใชชาววาติกัน แตเป็น ชาวโรมนั่นเองที่เขามาทํางานแบบไปเชาเย็นกลับ สวิสการ์ด (The Swiss Guard) ใครที่พอรูเรื่องราวของวาติกันมาบาง รวมทั้งแฟนหนังสือและภาพยนตรแ Angels & Demons คงจะรูจักและนึกภาพสวิสการแดออก สวิสการแดเป็นชื่อของทหารรักษาการณแประจํากรุงวาติกัน มี หนาที่เป็นองครักษแใหกับพระสันตะปาปา และรักษาความ ปลอดภัยใหกรุงวาติกัน มีจาํ นวนรวมประมาณ 100 คน ซึ่ง ตําแหนงนี้มีมาตั้งแตค.ศ. 1506 คุณสมบัติของผูที่ทําหนาที่ เป็นสวิสการแดคือ ตองเป็นทหารเพศชายชาวสวิตเซอรแแลนดแ (ถึงชื่อวาสวิสการแดไงจ฿ะ) โสด อายุระหวาง 19-30 ปี นับถือ ศาสนาคริสตแนิกายโรมันคาทอลิก มีความสูงไมต่ํากวา 174 ซม. แตละคนจะทําหนาที่ในตําแหนงอยางนอย 2 ปี เอกลักษณแสําคัญอยางหนึ่งที่ผูคนทั่วไปจะนึกถึงสวิสการแดก็ คือเครือ่ งแตงกายของพวกเขา ดวยชุดที่เราวาเหมือนตัวตลก โบโซ (ไมไดมีเจตนาจะดูหมิ่นแตอยางใด แตมันก็คลายจริงๆ นะ วาไหม) ชุดแขน-ขายาวลายทางแนวตั้งสีสมสลับน้ําเงิน แขนเสื้อและขากางเกงพองลม วากันวาชุดนี้ออกแบบโดยมิเคลันเจโลเชียวนะ บางคนก็บอกวาแทจริงแลวเป็น ฝีมอื ของราฟาเอลตางหาก ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้ง 2 ทานก็ยอดศิลปินทั้งคู การคัดเลือกพระสันตะปาปา ดูภาพยนตรแ Angels & Demons อีกสักครั้งจะทําใหภาพบรรยากาศลอย ออกมาจากตัวหนังสือเลย การเลือกตั้งพระสันตะปาปานั้นจะกระทําการทันทีที่พระสันตะปาปาองคแที่ดํารงตําแหนง สิน้ พระชนมแลง โดยพระราชาคณะทั้งหมด (บิชอปและอารแคบิชอป) 120 ทาน สถานที่จัดการลงคะแนนเลือกตั้งคือ ภายในวัดนอยหรือโบสถแซีสทีน (Sistine Chapel) พระราชาคณะจะไมสามารถออกไปไหนไดจนกวาการเลือกตั้ง พระสันตะปาปาองคแใหมจะแลวเสร็จ [81]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
แผนผังนครรัฐวาติกัน Credit: wikipedia [82]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
แผนผังนครรัฐวาติกัน Credit: wikipedia [83]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
การเลือกตั้งก็มีวธิ ีการเฉพาะไมเหมือนใคร นั่นคือการใหพระราชาคณะทําการลงคะแนนลับวันละ 4 ครั้ง จนกวาจะมีผูไดคะแนนเสียง 2 ใน 3 บัตรลงคะแนนเสียงในแตละรอบจะถูกเผาหลังจากนับคะแนนแลว ผูคนที่เฝูา รอผลการเลือกตั้งอยูภ ายนอกโบสถแ สามารถทราบผลการเลือกตั้งจากการสังเกตสีควันจากปลองไฟที่ปลอยออกมา จากโบสถแซีสทีน หากควันไฟเป็นสีดํา นัน่ หมายถึงผลการเลือกตั้งยังไมมีผูใดไดคะแนนเด็ดขาด แตหากควันไฟเป็นสี ขาวก็แสดงวามีผูไดรับคะแนนเสียงอยางเด็ดขาดแลว หัวหนาพระราชาคณะผูจัดการเลือกตั้งจะเป็นผูป ระกาศชื่อ พระสันตะปาปาองคแใหมและองคแพระสันตะปาปาจะออกมาพบสาธารณชนครั้งแรกทางระเบียงโบสถแเซนตแปีเตอรแ แมวาติกันจะเป็นประเทศที่มีขนาดเล็กมากๆ แตสิ่งตางๆ ที่อยูในวาติกนั นั้นลวนมีประวัติศาสตรแอัน ยาวนานมีความล้าํ คาและควรคาแกการไดศึกษา เยีย่ มชมและสัมผัสเป็นอยางมาก สวนทางกับขนาดของประเทศ จริงๆ ดังนั้นตามความเห็นของเรา การทองเที่ยวในวาติกันใหครบถวน แมจะไมสมบูรณแนัก ควรใหเวลากับที่นี่ 1 วัน เต็มเลยนะคะ (เชาตรูจ รดเย็นย่าํ ) แลวคุณจะอิ่มใจ (แมไมอิ่มกายเพราะไมมีเวลากิน) กับสิ่งที่ไดเรียนรู ไดเห็นและได สัมผัส (บาง) จากที่นี่คะ การเดินทางสูวาติกันของเราจาก M&J Place Hostel สามารถทําได 2 ทางคือ 1. นั่งเมโทร A ปลายทาง Battistini ไปลงที่สถานี San Pietro (6 ปูาย 22 นาที) หรือ 2. นั่งรถบัสสาย 64 จาก Termini ปลายทาง Piazza Staione San Pietro นั่งไป 15 ปูาย 20 นาที ลงที่สถานี Cavalleggeri S.Pietro ซึ่งเราเลือกวิธีหลัง เพราะวาจะ เดินถึงจัตุรัสเซนตแปีเตอรแไดใกลกวา โดยที่สถานี Cavallegeri S. Pietro พอลงรถ กําแพงเบื้องหนาคือกําแพงเมือง วาติกันแลวนะคะ ใหหันขวาแลวเดินเลียบกําแพงตรงขึ้นไปตามถนน Via di Porta Cavallegeri พอเจอสี่แยกแรก (ขางหนาเป็นอุโมงคแ) ใหเลี้ยวซาย เดินตรงไปเรื่อยๆ ก็จะเจอเสาคอลัมนแที่ลอมรอบจัตุรัสเซนตแปีเตอรแไวอยูตรงหนา นั่นก็หมายความวาเราไดกาวขามเขตประเทศวาติกันเขามาแลว เบื้องหนาที่เห็นคือจัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ (Piazza San Pietro; Saint Peter’s Square) และมหาวิหาร เซนต์ปีเตอร์ (Basilica di San Pietro; Saint Peter’s Basilica) ในอดีต ตําแหนงที่ตั้งของจัตุรัสและมหา วิหารเซนปีเตอรแเคยเป็นสนามแขงมาของจักรพรรดิเนโรผูโหดเหี้ยม (Circus of Nero) โดยบริเวณทิศ ตะวันออกเฉียงเหนือยังเป็นสุสานของชาวเพเกิน (Necropolis) ที่ necropolis นี้ยังเป็นที่ฝังศพของเซนตแปีเตอรแ (พระสันตะปาปาองคแแรก) ที่ถูกตรึงกางเขนในลักษณะหอยหัวลง (เซนตแปีเตอรแมิอาจใหตัวเองถูกตรึงกางเขนใน ลักษณะเดียวกับพระเยซูคริสตแ เนื่องจากเป็นการลวงละเมิดพระเกียรติ จึงขอใหตรึงกางเขนแลวจับ ทานหอยหัวลง มา) มีสาวกไดแอบทําสัญลักษณแบอกตําแหนงไว ตอมาเมื่อจักรพรรดิคอนสแตนตินไดประกาศใหศาสนาคริสตแเป็น ศาสนาประจําอาณาจักรโรมัน จึงมีการสรางวิหารเล็กๆ ขึ้นเหนือหลุมฝังศพของเซนตแปีเตอรแ และมีการปรับปรุงใหม หลายครั้ง จนเมื่อตนศตวรรษที่ 16 พระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 จึงเริ่มใหมีการสรางวิหารหลังใหญโตอยางที่เห็นใน ปัจจุบัน โดยใชเวลาสรางนานกวา 150 ปี ใชยอดฝีมือในศิลปะแขนงตางๆ แหงยุคเรอเนสซองสแและบารอกหลายคน ชวยกันรังสรรคแวิหารที่ใหญโตที่สุดในโลกหลังนี้ เริ่มตนจากบรามันเต (Bramente) ในปีค.ศ. 1506 ตอดวยมิเคลัน เจโลในปี 1547 สวนทางเดินภายในมหาวิหารเพื่อเขาสูแทนบูชาเป็นผลงานของมาแดรแโนมาทําตอในตนศตวรรษที่ 17 นอกจากนี้ยังมีผลงานของราฟาเอล เปรุซซี จาโกโม เดลลาปอรแตาและแบรแนินี เป็นตน (ข้อมูลจากหนังสือใครๆ ก็ไปเที่ยวอิตาลี) [84]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
Dome of St.Peter’s
Sistine Chapel
The Sacristy & Treasury Scavi Office
Statues on the façade
The Façade
Info & Post Office Statue of St.Peter Restrooms
Statue of St.Paul Bronze Doors
Apostolic Palace Papal Apartment
Colonades & 140 Statues
The Passetto
แผนผัง Saint Peter’s Square และบริเวณโดยรอบ ที่มา: http://stpetersbasilica.info/Exterior/SP-Square-Area.htm
[85]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
จัตุรัสเซนต์ปเี ตอร์ (Piazza San Pietro; Saint Peter’s Square) เป็นผลงานการออกแบบของแบรแ นินี สรางขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1656 – 1667 ประกอบดวย 2 สวน สวนแรกที่ติดกับมหาวิหารเป็นพื้นที่สี่เหลี่ยมคางหมู มี ระเบียงหนาโบสถแ (façade) ผลงานของคารแโล มาแดรแโน (Carlo Maderno) เป็นฉากหลัง สวนที่สองบริเวณลาน กวางเป็นรูปวงรี ตรงกลางมีเสาโอเบลิสกแตั้งตะหงาน ขางกันไมไกลมีน้ําพุขนาบขาง ลอมรอบดวยเสาคอลัมนแ 2 ขาง เรียงตอกันเป็นรูปครึ่งวงรี ซึ่งแบรแนินีใหความหมายวาเปรียบเสมือนแขนที่กางออกเพื่อตอนรับทั้งผูที่เป็นคาทอลิก อยูแลว คนนอกศาสนารวมทั้งพวกนอกรีตใหเขามารับเชื่อพระผูเป็นเจา แตละแถวตอนของเสาคอลัมนแ ประกอบดวยเสา 4 เสาเรียงหางกันในระยะเทาๆ กัน ความนาทึ่งของการออกแบบของแบรแนินีอยูที่เมื่อลงไปยืนอยู บนจุดกึ่งกลางระหวางเสาโอเบลิสกแกับน้ําพุของแตละดาน จะมองเห็นเฉพาะเสาแถวหนาแถวเดียวเทานั้น (ข้อมูล จากหนังสือใครๆ ก็ไปเที่ยวอิตาลี) ตัวจัตุรัสนั้นกวาง 240 เมตร ลึก 340 เมตร เสาคอลัมนแจํานวน 284 ตนนั้นเรียงตอกันเป็นแถว แถวละ 4 ตน แตละตนสูง 15 เมตร ดานบนเสาเป็นหลังคาซึ่งมีระเบียงลอมรอบ ตลอดแนวระเบียงหลังคาเป็นผลงาน แกะสลักของลูกศิษยแของแบรแนินี เป็นรูปปั้นของนักบุญทั้งหลายยืนเรียงรายอยูก วา 140 องคแ เสาโอเบลิสกแที่ตั้งอยูใจกลางจัตุรัสมีชื่อวา เสาวาติกัน (Vatican Obelisk) ทําหนาที่เป็นนาฬิกาแดด เคย ถูกใชใน Circus of Nero ตอมาสมเด็จพระสันตะปาปาซิตุสที่ 5 ไดมีคําสั่งยายมาไวที่จัตุรัสเซนตแปีเตอรแในปีค.ศ. 1585 สําหรับน้าํ พุที่ขนาบสองขางนั้น ดานขวามือ (หันหนาเขามหาวิหาร) เป็นผลงานของมาแดรแโน และดาน ซายมือเป็นผลงานของแบรแนินี หนาโบสถแเซนตแปีเตอรแดานซายมีรูปปั้นเซนตแปีเตอรแถือกุญแจไขประตูสูสวรรคแ ดานขวาเป็นรูปเซนตแปอลถือพระคัมภีรแ
[86]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
ระเบียงหน๎าโบสถ์ (Façade) ผลงานของมาแดร์โน
รูปปั้นเซนต์ปีเตอร์ [87]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
เสาคอลัมน์ของแบร์นินีล๎อมรอบจัตุรัสเซนต์ปีเตอร์
[88]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
ตรงกลางจัตุรัส ดานหนามหาวิหารที่เราไปในวันนี้ เต็มไปดวยเกาอี้วางเรียงรายเต็มลานไปหมด เหมือนวา คงเตรียมจัดงานอะไรสักอยาง ทําใหเสียอรรสรถในการถายรูปไปมากทีเดียว เชาวันนีอ้ ากาศเย็นมาก (แตก็เป็น เฉพาะชวงเชาอะนะ) เราถายรูปดานหนาจัตุรัสจนพอใจ ก็ไดเวลาตอแถวเขาไปชมความอลังการภายในมหาวิหารกัน แลว หันหนาเขามหาวิหาร ใหเดินวนทวนเข็มนาฬิกา (ไปทางขวา) แถวเขามหาวิหารจะเริ่มจากแถวๆ นั้น ตอนเชา คนยังตอคิวนอย ทําใหสบายมากๆ แปฺบเดียวก็ผา นชองตรวจสัมภาระและเครื่องแตงกายเขาไปภายในมหาวิหารได การแตงกายเขามหาวิหารนี้สําคัญมากนะคะ ตองแตงกายสุภาพ ใหเกียรติสถานที่เหมือนเขาวัดเมืองไทย หามนุงสั้ น เด็ดขาด ที่วาติกันไมมีผาถุงใหเชานุงเหมือนวัดพระแกวดวยนะ แตงตัวผิดกฎ ไมเขาพวกนี่คุณการแดเชิญออกอยาง เดียวเลย เราเห็นตัวอยางของจริงตอหนาตอตามาแลว เป็นนักทองเที่ยวชาวไทยซะดวย ตอแถวอยูหนาเราเลย มา กันเป็นกลุมครอบครัว มีหนึ่งคนในกลุมนั้นนุงกระโปรงสั้นเหนือเขามาก เจาหนาที่ตรวจก็เลยไมยอมใหเขา ออนวอน อยางไรเขาก็ไมยอม ตองใหไปหากระโปรงหรือกางเกงตัวใหมมานุง คุณคนนุงสั้นคนนั้นก็เลยอดเขาอยูคนเดียว >_< มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ (Basilica di San Pietro; Saint Peter’s Basilica) ตั้งแตเราผานชองตรวจ สัมภาระและเครื่องแตงกาย เดินผานประตูสีบรอนซแ (Bronze doors – หมายเลข 10 ในแผนผัง St. Peter’s Square) เดินตรงไปตามทางเพื่อจะเขาสูตัวมหาวิหาร เราก็ยิ่งเริ่มรูสึกตื่นเตนปนสงสัยขึ้นเรื่อยๆ วาสิ่งที่เราจะได เห็นภายในมหาวิหารนั้นจะยิ่งใหญอลังการสมดังคําร่ําลือที่ไดยิน ดังภาพที่เคยไดเห็นผานสื่อตางๆ หรือไมแคไหน พอกาวเทาเขาไปภายในตัวมหาวิหารจริงๆ ก็รูสึกงงๆ นะ ทึ่งๆ ปนงงๆ นิดหนอย ดวยความที่มหาวิหารใหญ มาก ทางเดินเขาสูแทนบูชายาวมาก งานประติมากรรมก็เยอะมาก ถึงแมผูคนในยามเชาวันนี้ถือวาจํานวนไมมากนัก ยังมี ที่เหลือใหยืนแอ็คทาถายรูปแบบไมเบียดเสียด แตความยิ่งใหญของมหาวิหารก็ทําเราเริ่มตนเดินไมถูกเหมือนกัน เพื่อไมใหคุณๆ และเราๆ (ถามีโอกาสไดไปอีกนะ) ตองเสียเวลากับการเหวอ เรามาเริ่มตนเดินชมสิ่งล้ําคานาดูชม ภายในมหาวิหารเซนตแปีเตอรแโดยอาศัยแผนผังภายในมหาวิหารเขาชวยอยางเป็นระบบแบบนี้ดีกวาคะ... ปล. เพิ่งคน พบวามีเว็บไซตแที่จะพาเราทัวรแมหาวิหารเซนตแปีเตอรแไดงายขึ้นมากกก เพียงแคปลายนิ้วสัมผัส อะไรอยูตรงไหน กด ดู รูหมด http://stpetersbasilica.info/floorplan.htm ไปเลยคา
[89]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
5
แผนผังภายใน Saint Peter’s Basilica
มหาวิหารเซนตแปีเตอรแมีความสูงถึง 187 เมตร กวาง 140 เมตร สวนที่สูงที่สุดของทางเดินเขาสูแทนบูชาสูง 46 เมตร (เทียบเทาตึก 15 ชั้น) ตามคําแนะนําในหนังสือ Vatican ที่เราซื้อมา บอกไววา เมื่อเขามาภายในตัวมหา วิหาร นักทองเที่ยวควรเริ่มตนเดินจากทางเดินเขาสูแทนบูชา 5 แลวคอยเริ่มเดินเรียงลําดับตามหมายเลขงานศิลปที่ ระบุในแผนผัง
[90]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
Main Door 3 – ประตูทางเขาตรงกลาง เป็นผลงานของประติมากรชาวฟลอเรนซแ อันโตนิโอ อะเวอรู ลิโน (Antonio Averulino) หรือที่รูจกั กันในชื่อฟิลาเรเต (Filarete) สรางขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1455 และเป็นประตูของ วิหารเดิมตั้งแตเริ่มแรก Holy Door 4 – ประตูทางเขาดานขวามือ Holy Door หรือ ประตูศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ขนาดที่วา ทุกๆ 25 ปีในวันคริสตแมาสอีฟ (โห!!) พระสันตะปาปาจะใชคอนเงินเคาะ 3 ครั้งเพื่อเปิดประตู ใหผูจาริกแสวง บุญเดินเขาประตูนี้ เพราะฉะนั้นโดยปกติแลว ประตูบานนี้จะปิดตลอด ลาสุดเปิดเมื่อปี 1999 ตองรอถึงปี 2024 นะ ถึงจะเปิดอีกที Chapel of the Pieta 6 – เดินเขามาภายในมหาวิหาร ทาง ขวามือจะพบกับรูปแกะสลักหินออนเลือ่ งชื่อที่สุดชิ้นหนึ่งของมิเคลันเจโล นั่นคือปิเอตา (Pieta) แปลวา pity (นาสงสาร) ใชเป็นชื่อของงานที่แสดงถึง อิริยาบถของพระแมมาเรียอุมศพพระเยซูไวบนตักหลังจากถูกตรึงกางเขน มิเคลันเจโลสรางสรรคแผลงานนี้เมื่อเขามีอายุเพียง 24 ปีเทานั้น จุดเดนอยู Holy Door ที่ใบหนาอันสวยหวานออนเยาวแของพระแมมาเรียที่แสดงใหเห็นถึงการ ยอมรับตอโชคชะตา (ขณะที่ผลงานปิเอตาของศิลปินคนอื่น พระแมมาเรียจะอายุแกมากกวานี้เยอะ) แตใน ขณะเดียวกันก็ขัดแยงกับความหนักอึ้งของอาภรณแและผาคลุมหนาที่พระนางสวมใส ซึ่งแสดงใหเห็นถึงความเขมแข็ง และการยึดมั่นในหลักปฏิบัติ กอนหนานี้ ปิเอตาชิ้นนี้สามารถเขาชมไดอยางใกลชิด แตภายหลังจากที่มีคนบาวิ่งถือ คอนมาทุบปิเอตาถึงในโบสถแในปี 1972 ปิเอตาจึงตองไดรับการอารักขาอยางหนาแนนอยูภ ายในหองกระจกกัน กระสุนและกั้นดวยรั้วอีกชั้นหนึ่ง และอยูหางจากเราไปไกลถึงเกือบ 10 เมตร ทําใหเราแทบมองไมเห็นรายละเอียด ความออนชอยของฝีมือการแกะสลักเทาไหรนัก...ผิดหวังนะเนี่ย
Pieta ภาพจากกล๎องเราเอง จะเห็นวําอยูํไกล๏ไกลและมีกระจกกั้นอยูํชั้นหนึ่ง [91]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
รายละเอียดของ Pieta (ภาพจากวิกิพีเดีย)
Altar of St. Jerome 20 – แทนบูชาของเซนตแเจโรม ดานลางแทนบูชาเป็นพระศพของพระ สันตะปาปาจอหแนที่ 23 ถูกนํามาไวที่นตี่ ั้งแตปี 2001 เหนือแทนบูชาเป็นผลงานโมเสก อางอิงตามภาพวาดตนฉบับ ฝีมือโดเมนิชิโนชื่อ The Communion of St. Jerome
The Communion of St. Jerome
พระศพของพระสันตะปาปาจอห์นที่ 23 [92]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
Statue of St. Peter 51 – รูปหลอสําริดเซนตแปีเตอรแ สรางขึ้นตั้งแตศตวรรษที่ 5 ใหสังเกตเทาขวา ของรูปหลอสําริดนี้ ผูที่ศรัทธาจะเขาไปลูบเทาหรือจุมพิตเพื่อขอพรใหโชคดี หัวแมเทาขางนี้เลยสึกไปมากทีเดียว
Statue of St. Peter
Confessio (tomb of St. Peter) and papal altar 52 – บริเวณใจกลางมหาวิหารซึ่งอยูใตยอดโดม เบื้องลางใตพื้นเป็นหลุมฝังศพของเซนตแปีเตอรแ (Confessio) ซึ่งจะเห็นเป็นโพรงอยูหนาแทนบูชา เหนือหลุมศพเป็น แทนบูชาหลักของมหาวิหาร (papal altar) ประดับดวย Baldacchino (ภาษาอังกฤษ: Baldachin) หรือฉัตรสี่เสามี หลังคา เป็นหนึ่งในผลงานของแบรแนินีที่ผูเขาชมหามพลาด ตัวเสาเป็นทองสําริดประดับดวยเกลียวทองบรอนซแซึ่ง คาดวานํามาจากแพนธีออน เหนือ Baldachin ขึ้นไปคือยอดโดมของมหาวิหาร มีภาพวาดผลงานจิตรกรสมัยศตวรรษที่ 16 สวนฐาน ของโดมเป็นคําจารึกภาษาละตินบนแผนทองคําแปลไดวา “You are Peter and on this rock I will build my Church, and I will give you the keys to Heaven” ที่เสาดานขางทั้ง 4 มุมซึ่งเป็นจุดบรรจบระหวางทางเดินสูแทนบูชากับสวนปีกของมหาวิหาร เป็นรูปสลัก ของนักบุญ 4 องคแผูซึ่งเกี่ยวของกับเหตุการณแกอนการตรึงกางเขนของพระเยซูคริสตแ ไดแกเซนตแลองจินัส (St. Longinus) 50 ทหารผูซึ่งแทงหอกเขาพระเยซู แตภายหลังไดเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสตแ ฝีมือแกะสลักของแบรแ นินี เซนตแเฮเลน (St. Helen) 49 พระมารดาของจักรพรรดิคอนสแตนติน ผูนํากางเขนและตะปูที่ตอกพระเยซู กลับมาสูกรุงโรม เซนตแเวโรนิกา (St. Veronica) 48 ผูเช็ดหนาผากของพระเยซูดวยเสื้อผาของนางระหวางทางสู เมืองคาววารี และเซนตแแอนดรูวแ (St. Andrew) 53 นองชายของเซนตแปีเตอรแ ซึ่งถูกตรึงกางเขนในกรีซดวยกางเขน ไขวขนาดยาวเทากัน ผลงาน 3 ชิ้นหลังเป็นฝีมือลูกศิษยแของแบรแนินี [93]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
Confessio
Baldacchino
ใต๎ยอดโดมของมหาวิหาร [94]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
St. Longinus
St. Helen
St. Veronica
St. Andrew [95]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
St. Peter’s Cattedra 35 – หนึ่งในผลงานชิ้นเอกของจาน ลอเรนโซ แบรแนินีเจาเกา ภาพเขียน กระจกสีกลอเรีย (Gloria) รูปนกพิราบสัญลักษณแแหงพระจิตอันศักดิ์สิทธิ์ ลอมรอบดวยรังสีแหงแสงอาทิตยแซึ่งเป็น ตัวแทนของอัครสาวกทั้ง 12 องคแ และเหลาทูตสวรรคแอยูเหนือธรรมาสนแของเซนตแปีเตอรแ
St. Peter’s Cattedra
Monument of Alexander VII 42 – ประติมากรรมชิ้นนี้เป็นผลงานชิ้นสุดทายของแบรแนินีในวัย 80 ปี ตามคําสั่งของพระสันตะปาปา เป็นรูปสลักโครงกระดูกคลาน ออกมาจากผามานสีแดงในมือถือนาฬิกาทรายตัวแทนแหงการ เดินทางของกาลเวลาและการไมสามารถหลีกหนีความตายไดพน ขางๆ กันเป็นชาวคาทอลิกกําลังเหยียบแผนที่อังกฤษ ซึ่งอางอิง ถึงที่พระสันตะปาปาอเล็กซานเดอรแที่ 7 ไดมีความพยายามอยาง มากที่จะคลี่คลายปัญหาความขัดแยงระหวางนิกาย โรมันคาทอลิกกับนิกายแองโกลแซกซอนของอังกฤษ
Monument of Alexander VII [96]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
[97]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
[98]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
นอกจากบริเวณภายในโถงของมหาวิหารแลว มหาวิหารเซนตแปีเตอรแยังมีหองพิเศษอีกหลายสวนใหเขาชม ไดแกหองเก็บสมบัติ (Treasury) 77-78 (ทางเขาหมายเลข 55) หลุมฝังศพของพระสันตะปาปา (Grottoes) (เขา จากดานนอกมหาวิหาร บริเวณเดียวกับทางขึ้นยอดโดม) และสุสานชาวเพเกินและหลุมฝังศพของเซนตแปีเตอรแ (Necropolis) แตสวนนี้ตองเสียเงินคาเขาชมและสําหรับ necropolis นั้นตองทําการโทรติดตอขอไกดแทวั รแนําชม ลวงหนาผาน Vatican Excavation Office (Scavi Office)
หลังจากเดินชมภายในโถงของมหาวิหารจนพอใจ (แบบคัดแตผลงานที่เป็น the must แลว) ซึ่งกินเวลา ชั่วโมงกวา ก็ไดเวลาออกมาสูดอากาศภายนอกอีกครั้ง เพื่อเขาสูภารกิจตอไปซึ่งเป็นภารกิจสุดหินประจําวันและ อาจจะประจําทริปนี้ก็ได นั่นคือการขึ้นไปยอดโดมของมหาวิหาร เพื่อมองลงมาเห็นวาติกันทั้งเมือง ยอดโดมนี้เป็น ผลงานการออกแบบของมิเคลันเจโล แตยังไมทันที่โดมจะสรางเสร็จ มิเคลันเจโลก็เสียชีวิตเสียกอน ทําใหลูกศิษยแ ของเขา จิอาโกโม เดลลา ปอรแตา (Giacomo Della Porta) รับทําหนาทีส่ านตอจนเสร็จ โดมแหงนี้ถูกใชเป็น ตนแบบในการกอสรางโดมในอีกหลายตอหลายโดมในฝั่งตะวันตกเชนวิหารเซนตแปอลในกรุงลอนดอน พิพธิ ภัณฑแ ทหารผานศึกและวังแองวาลิด (Invalides) ในกรุงปารีส และอาคารยูเอส แคปปิตอล (U.S. Capitol) ในกรุง วอชิงตันดีซี เมื่อออกจากประตูมหาวิหาร ใหเดินเลี้ยวซาย จะมีปูายบอกใหไป cupola หมายถึงโดม การขึ้นสูยอดโดม สามารถทําได 2 วิธี วิธีแรกคือจายคนละ 5 EUR เดินเทาขึ้นบันไดโลด 551 ขั้น (มีชวงพักทางราบประมาณครึ่งทาง [99]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
คือจุดที่ลิฟตแจอดบริเวณหลังคา façade ) กับวิธีที่สอง จายคนละ 7 EUR ขึ้นลิฟตแทุนแรงเกือบครึ่งทาง แลวเดินขึ้น บันไดตอไปอีก 320 ขั้น ไมตองสงสัยเลย เราเลือกวิธีหลังแนนอน บันได 320 ขั้นนี้เป็นความทรมานใชไดเลยสําหรับ คนที่ไมไดออกกําลังกายอยางเรา ลองนึกสภาพบันไดวน “โคตรชัน” แคบๆ เดินไดคนเดียว วนซะจนมองไมเห็น ปลายทาง บริเวณทางขึ้นถึงกับมีปาู ยติดไววา “Please, keep in mind for the old, the suffering and the cardiopatic people: as to go up to the dome there are 320 steps, besides the lift.” ระหวางทางขึ้น บันได 320 ขั้น จะมีทพี่ ักใหเป็นระยะๆ เราก็เห็นคุณตาแกๆ นั่งหอบแตยังยิม้ ไดและโบกไมโบกมือใหเรารีบเดินขึ้น ไป (ใจจริงอยากนั่งเป็นเพื่อคุณตามากเลยคา เพราะเมื่อยและเหนื่อยมากไมแพกัน แตกก็ ลัวเสียฟอรแมนะ...ฮือๆ นี่ เราจัดอยูในประเภทเดียวกับคุณตาแลวเหรอเนี่ย)
มองจากโดมลงมาภายในมหาวิหาร
งานโมเสกระหวํางทางขึ้นยอดโดม [100]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
จุดพักครึ่งทาง (ที่ลิฟต์จอด)
บันได 320 ขั้นสูํยอดโดม [101]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
หลังจากหอบแฮกๆ มาตลอดทาง ในทีส่ ุดเราก็ขึ้นไปถึงยอดโดมจนได วิวที่เห็นตรงหนาทําเอาหายเหนื่อย ไปพอสมควร มองเห็นจัตุรัสเซนตแปีเตอรแ มองเห็นพิพิธภัณฑแวาติกัน มองเห็นวังของพระสันตะปาปา ซึ่งณ ตอนนั้น ยังเป็นพระสันตะปาปาเบเนดิกตแที่ 16 อยู (อีกแค 4 เดือนถัดมาพระองคแก็ลาออก) รูสึกเหมือนไดยอ วาติกันมาไว ตรงหนาเลยทีเดียว
มาถึงแล๎วววววววว แฮกๆๆๆ [102]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
ยํอวาติกันทั้งเมืองอยูํตรงหน๎าที่บนยอดโดมมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์
พระราชวังวาติกัน (The Vatican Palace)
[103]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
House of Pius IV
Pinacoteca สํวนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์วาติกัน
[104]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
[105]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
ใชเวลาชมความงามบนยอดโดมและเดินลงมาถายรูปบริเวณหลังคา façade จนกลับลงมาถึงหนามหา วิหารอีกครั้ง ใชเวลาไปชั่วโมงกวาๆ (ขาลงจากโดม ไมเห็นจะเหนื่อยเลย) เราไมลืมที่จะแวะถายรูปสวิสการแดดวย ดานซายมือของจัตุรัสเซนตแปีเตอรแ (หันหนาเขามหาวิหาร) เป็นที่ตั้งของที่ทาํ การไปรษณียแวาติกัน เราเขาไปซื้อ โปสการแด เขียนสงกลับหานองพลับที่เมืองไทยในราคารวมประมาณ 2.5 EUR (โปสการแดสงมาถึงเมืองไทยชามาก หลังจากที่เรากลับถึงเมืองไทยแลวเป็นอาทิตยแเลย) ประมาณ 11 โมงครึ่ง เรานั่งพักปั๊มนมที่เสาคอลัมนแตนหนึ่งของ แบรแนินีที่โอบลอมจัตุรัสอยู (ชางนาภาคภูมิใจ) ตอนนั้นแถวตอคิวเขามหาวิหารยาวเหยียดมากขนาดลอมรอบจัตุรัส ไวรอบเดียวยังไมพอ ตองซอนแถว 2 อีกนะ เพราะฉะนั้นถาอยากเขาชมมหาวิหารอยางสบายๆ ชิลๆ ไมตอง เสียเวลาตอแถว ก็ตองยอมตื่นเชากันหนอย มาถึง 8 โมงเชาอยางเราแลวชีวิตจะสบายกวากันเยอะ
นักทํองเที่ยวตํอแถวยาวเหยียดเพื่อรอเข๎าชมมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ [106]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
สัญลักษณ์ลมบนพื้นของจัตุรัส ที่ปรากฎใน สํงโปสการ์ดให๎น๎องพลับกํอนนะ
ภาพยนตร์เรื่อง Angels & Demons
คุณแมํนักปั๊มที่เสาคอลัมน์ของแบร์นินี [107]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
ข๎อมูลการเข๎าชมมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ เวลาเปิด: เปิดทุกวัน หยุดวันคริสตแมาสและวันอีสเตอรแ มหาวิหาร (Basilica) เม.ย. – ก.ย. 7.00 – 19.00 น. ต.ค. – มี.ค. 7.00 – 18.30 น. วันพุธถามีพิธีมิสซาจะ เปิดตั้งแต 13.00 น. เขาชมฟรี หองเก็บสมบัติ (Treasury) เม.ย. – ก.ย. 9.00 – 18.15 น. ต.ค. – มี.ค. 9.00 – 17.15 น. เสียคาเขาชม หลุมฝังศพพระสันตะปาปา (Grottoes) เม.ย. – ก.ย. 7.00 – 18.00 น. ต.ค. – มี.ค. 7.00 – 17.00 น. ยอดโดม (Cupola) เม.ย. – ก.ย. 8.00 – 18.00 น. ต.ค. – มี.ค. 8.00 – 16.45 น. คาเขาชม 5 EUR (เดิน ขึ้นบันได 551 ขั้น) หรือ 7 EUR (ขึ้นลิฟตแครึ่งทาง + เดินขึ้นบันได 320 ขั้น) สุสานชาวเพเกินและหลุมฝังศพเซนตแปีเตอรแ (Necropolis) เสียคาเขาชม และตองทําการโทรติดตอขอไกดแ ทัวรแนําชมลวงหนาผาน Vatican Excavation Office (Scavi Office) ภารกิจตอไปตลอดชวงบายก็เป็นการเดินอยางหฤหรรษแอีกแลว (กลางวันนี้เรากินขาวโดยอาศัยขนมปังที่ หยิบมาจากรานอาหารเชา ยาจกมากๆ) นั่นคือเดินไปชมพิพิธภัณฑแวาติกัน (Vatican Museum)… พิพิธภัณฑแที่ได ชื่อวาเป็นสถานที่ที่รวบรวมของล้ําคาในโลกใบนี้ไวมากที่สุดก็วา ได ทางไปพิพิธภัณฑแวาติกันหากหันหนาเขามหา วิหาร ใหเลี้ยวขวาแลวเดินตรงตามทางไปเรื่อยๆ เลาะรอบๆ กําแพงเมืองวาติกันไป มีปูายบอกชัดเจนคะ ระหวาง ทางเดินไปพิพิธภัณฑแ เราจะเห็นคนแอฟริกันผิวสีเอาของแบรนดแเนมปลอมมาขายตามฟุตบาทเป็นระยะๆ สวนพวก คนแขกอินเดีย ปากีพวกนีก้ ็จะขายของเลนหลอกเด็ก พวกยางหยุนๆ ที่ปาโดนพื้นแลวจะเปลี่ยนรูปเหมือนตัวที่อยู ในภาพยนตรแเรื่อง Flubber เหมือนที่เคยเจอแบบนีแ้ ลวที่บันไดสเปน ซึ่งพวกแขกนี้ตองระวังตัวใหดีเลย เพราะดูเขา ขายหลอกลอ หลอกลวงมาก เอะอะๆ ก็จะยัดของใสมือ บังคับซื้อตลอดเวลา ในขณะที่พวกแอฟริกันยังดีกวามาก อยางนอยเขาก็ไมยัดเยียดคะยั้นคะยอขอใหซื้อ เขาก็แควางของขาย ซื้อก็ได ไมซื้อก็ไมไล ตาม ดูจะทํางานสุจริต มากกวา ซึ่งการขายของของคนผิวสี 2 เชื้อชาตินี้จะเห็นไดทั่วไปตลอดทั้งประเทศอิตาลีเลยทีเดียว (เขาแยกกันขาย ของกันชัดเจนมาก) ใชเวลาเดินประมาณ 15 นาทีก็ถึงพิพิธภัณฑแ ดานบนประตูทางเขาพิพธิ ภัณฑแเป็นตราประจําพระองคแของ พระสันตะปาปาปิอุสที่ 9 ขนาบขางดวยรูปสลักมิเคลันเจโล (ซาย) และราฟาเอล (ขวา) เราซื้อตั๋วเขาชมชวงหนา จากอินเตอรแเน็ตมาแลว เรื่องซื้อตั๋วลวงหนานั้นจําเป็นสําหรับที่นี่มาก โดยเฉพาะในฤดูทองเที่ยว (หนารอน) เพราะ เต็มเร็วเต็มจริง โดยเว็บไซตแจะเปิดใหจองตั๋วลวงหนา 2 เดือน ขอมูลตางๆเกี่ยวกับพิพธิ ภัณฑแถูกรวบรวมไวโดย ละเอียดครบถวนที่เว็บไซตแทางการของพิพิธภัณฑแ http://mv.vatican.va/3_EN/pages/MV_Home.html ... ออ! เขาไปขางในพิพิธภัณฑแตองฝากกระเปาดวยนะคะ... เอาละ เริ่มเดินกันได พิพิธภัณฑ์วาติกัน (Vatican Museum) เป็นสวนหนึ่งของวังของพระสันตะปาปา สรางขึ้นตั้งแต ศตวรรษที่ 14 โดยมีจุดเริ่มตนจากประติกรรมจํานวนหนึ่งที่เป็นของสะสมของพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 (Julius II) ซึ่งพระองคแตองการใหสาธารณชนสามารถเขาชมผลงานศิลปะภายในวังไดเพื่อเป็นการสนับสนุนองคแความรูทาง ศิลปะและวัฒนธรรมใหเป็นที่แพรหลาย ดังนั้นพิพิธภัณฑแวาติกันในวันนี้จึงเป็นเหมือนศูนยแรวมของพิพธิ ภัณฑแและ [108]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
แกลอรี่งานศิลปะตั้งแตยุคอียปิ ตแ กรีก โรมัน ยุคกลาง เรอเนสซองสแ บารอกจนถึงยุคศตวรรษที่ 15-19 ซึ่งสวนใหญ เป็นของสะสมของพระสันตะปาปาองคแตางๆ (ข้อมูลจากหนังสือใครๆ ก็ไปเที่ยวอิตาลี)
ก้าแพงเมืองวาติกัน
ประตูทางเข๎าพิพิธภัณฑ์วาติกัน เหนือประตูเป็น รูปสลักมิเคลันเจโล (ซ๎าย) และราฟาเอล (ขวา)
[109]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
แผนที่ภายในพิพิธภัณฑ์วาติกัน [110]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
พิพิธภัณฑแแบงเป็น 2 สวนใหญๆ คือสวนดานหนาจากทางเขาที่เป็นตัวพิพธิ ภัณฑแจริงๆ รวบรวมของสะสม ล้ําคาของพระสันตะปาปาและศาสนจักร ไมเฉพาะของโรมและยุโรป แตรวมถึงของจากเอเชีย แอฟริกาและอเมริกา ใต (ข้อมูลจากหนังสือโรมันรัญจวน) และสวนดานหลังที่เป็นฝั่งพระราชวังที่พํานักของพระสันตะปาปาเรียกวา Vatican Palaces ซึ่งจะเป็นการชมงานศิลปะที่อยูในหองตางๆ (สวนใหญเป็นงานจิตรกรรม) ในพระราชวังเชนหอง แผนที่ หองราฟาเอลและโถงสวดมนตแซีสทีน (Sistine Chapel) อันเลื่องชื่อ หากตองการเดินชมงานศิลปะล้ําคา เฉพาะชิ้นสําคัญๆ ในพิพธิ ภัณฑแวาติกันใหครบถวนแบบไมเรงรีบนัก ควรเผื่อเวลาในการเขาชมประมาณ 2.5 – 3 ชั่วโมง นาจะพอดีๆ... หลังจากฝากกระเปา ยื่นตั๋วที่ซื้อมาลวงหนาใหเจาหนาที่เรียบรอยแลว ขึ้นบันไดเลื่อนมายังชั้น 2 ของอาคาร (ดูตามแผนที่พิพธิ ภัณฑแวาติกัน) จะเป็นลานโคแรซเซ (Cortile delle Corazze; Corazze Courtyard) เชื่อมตอระหวางอาคารตางๆ เราเริ่มตนทัวรแจากอาคารทางขวามือกอน ซึ่งจะมีสวนจัดแสดงงานศิลปะ แบงตามยุคตางๆ ไดแก พิพิธภัณฑ์ปิโอ-คริสเตียน (Pio-Christian Museum; Museo Pio Cristiano) อยูชั้นลางของ อาคาร เป็นสวนจัดแสดงโบราณวัตถุของ The Sarcophagus of ชาวคริสเตียนในยุคแรกๆ (Christian Junius Bassus antiquities) สวนใหญประกอบไปดวยงาน ประติมากรรมจําพวกรูปปั้น โลงศพ หลัก จารึกสมัยศตวรรษที่ 6… อันนี้จริงๆ คือเรา เผลอเดินหลงเขามา ที่นี่ไมไดมีโบราณวัตถุชิ้น เอกที่ผูคนใหความสนใจเทาไรนัก ถึงวาโลง เชียว ยังกะผีหลอก แตกระนั้นโบราณวัตถุ สําคัญของสวนจัดแสดงนี้ไดแก The Good Shepherd – ประติมากรรมที่ติดอันดับสิบสุดสุดของ The Good Shepherd วาติกัน เป็นหินออนแกะสลักรูปเด็กชายแบก แกะ ซึ่งเป็นสัญลักษณแที่นิยมใชมากในศิลปะ สมัยโบราณ โดยเริ่มแรกเชื่อวาสัญลักษณแนี้มี ความเชื่อมโยงกับแอรแเมส (Hermes) หรือผู สงสาสแนถึงพระเจา ตอมาก็เชื่อวาสัญลักษณแนี้ โมเสกเกําแกํที่เคยปูโรงอาบน้้า เป็นตัวแทนของนักบุญ ซึ่งในชวงตนของ คาราคัลลํา ศาสนาคริสตแ คนสมัยนั้นนําสัญลักษณแเด็ก โมเสกที่เคยใช๎ปูพื้นโรงอาบน้้าคาราคัลลํา แบกแกะนี้มาตีความใหม โดยใหหมายถึงการเปิดเผยตัวตนของพระเยซู ผูที่ซึ่งตามคําสอนนั้นเปรียบเสมือนคนเลี้ยง แกะหรือผูนาํ ตอนฝูงสัตวแ (the Good Shepherd) เนื่องจากเด็กแบกแกะเป็นสัญลักษณแเกาแกทหี่ าดูยาก ในวาติกัน [111]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
มีเพียง 2 ชิ้นและเป็นชิ้นที่สมบูรณแและมีอายุเกาแกมากถึง 1,600 ปี ดังนั้นถามีโอกาสหลงมาหองนี้ก็หา มพลาดนะ คะ ไมงั้นจะโกรธตัวเองมากที่หลงเขามาแลวไมไดอะไรกลับไป The Sarcophagus of Junius Bassus – โลงหินซึ่งรอบๆ ตัวโลงมีรูปแกะสลักบอกเลาเรื่องราว ตางๆ เกี่ยวกับศาสนาคริสตแเชนการจับกุมเซนตแปีเตอรแ อาดัมกับอีฟ โมเสกเก่าแก่อายุกวา 1,700 ปี ซึ่งอดีตเคยใชปูพื้นโรงอาบน้ําคาราคัลลา (Baths of Caracalla) พินาโกเตกา (Pinacoteca) หรือหอศิลป (Picture Gallery) ซึ่งเคยเก็บไวในบอรแเจียอพารแทเมนตแ (Borgia Apartment) – สวนหนึ่งของอาคารพํานักของพระสันตะปาปา อาคารสวนนี้ถูกสรางขึ้นมาใหมตามคําสั่ง ของพระสันตะปาปาปิอุสที่ 11 ภายในหอศิลปหรือแกลเลอรี่แบงออกเป็น 18 หอง เรียงตามลําดับชวงยุคสมัย เริ่มตนตั้งแตยุคกลางถึงปี 1800 รายละเอียดของแตละหองและผลงานชิ้นเด็ดๆ เด็ดทิ้งๆๆ จนเหลือแตชิ้นเด็ดๆ จริงๆ มีดังนี้ (ข้อมูลจากหนังสือโรมันรัญจวน และ Vatican with all the restored Sistine Chapel, Last Judgement and Stanze Frescoes) หองที่ 1 – เป็นผลงานจิตรกรรมในยุคกลางชวงศตวรรษที่ 12, 13 และ 14 เอกลักษณแของงานในยุคนี้ คือภาพวาดบนผืนไมโดยมีฉากหลังเป็นสีทอง ลายเสนหนักแนน ไมไลระดับเฉดสีและสัดสวนภาพไมคอยสมสวนนัก หองที่ 2 – อุทิศใหแกจอตโต (Giotto) ยอดศิลปินอิตาเลียนแหงยุคกลางชาวเมืองซีเอนาผลงานเดน คือ Stefaneschi triptych (กลางหอง) ผูคนในภาพนี้วาดไดอยางไดสัดสวนและใกลเคียงธรรมชาติ บริเวณ บัลลังกแมีการตกแตงดวยโมเสกอยางสวยงาม
Room II – Giotto, ‘Stefaneschi triptych’
หองที่ 3 – เป็นของศิลปินในยุคตนศตวรรษที่ 15 ฉากหลังสีทองคอยๆ เริม่ เลือนหายไป ลายเสน คมชัดขึ้นอีก และจุดกลางของภาพจะเป็นจุดเดียวที่ไมถูกวาดใหภาพดูมีมิติดานความลึก [112]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
หองที่ 4 – หองนี้งานสวยโดดเดนแตกตางจากหอง อื่นอยางชัดเจน เป็นหองที่แสดงผลงานที่มีชื่อเสียง 2 ชิ้นของ เมลอซโซ ดา ฟอรแลี่ (Melozzo da Forli) คือภาพ the Musician Angels และภาพ Sixtus IV and Platina หนังสือคุณธรณแบอก เลาประวัติของ Melozzo da Forli ไววาเขาเป็นศิลปินรุนเดอะ สุดๆ อยูในยุคไลๆ กับลีโอนารแโด ดา วินชี ซึ่งมิเคลันเจโลและ ราฟาเอลยังตัวกะเปี๊ยกอยูเลย เราสนใจภาพ the Musician Angels มากกวา เพราะเป็นภาพเฟรสโกที่คนไมมีหัวศิลปะอยาง เราดูปฺุบก็รูปั๊บวาภาพนี้มันสวยและแตกตาง เป็นภาพเทพธิดา บรรเลงเครื่องดนตรีเรียงรายตอกัน 14 ภาพ ภาพเหลานี้เคยเป็น สวนหนึ่งของภาพเฟรสโกใหญยักษแที่เมลอซโซไดวาดไวชื่อภาพ Christ in Glory between Angels and Apostles อยูบนผนัง Room IV – Melozzo da Forli, โบสถแ Apostoli ในโรม เมื่อโบสถแถูกทําลายลง ภาพที่เหลืออยูจึง ‘the Musician Angels’ มาเก็บไวที่นี่ จุดเดนของภาพนี้อยูท ี่การใชสีหวานๆ และ รายละเอียดของภาพซึ่งดูนุมนวลซึ่งแตกตางกับภาพสวนใหญในสมัยนั้น หองที่ 5, 6, 7 – เป็นภาพสมัยศตวรรษที่ 15 โดยหองที่ 7 มีภาพชื่อ St.Jerome Enthroned ผลงาน ของจิโอวานนี่ ซานติ พอของราฟาเอลอยูดวย หองที่ 8 – และแลวเราก็เดินมาถึงหองนี้ หนึ่งหองไฮไลทแของพินาโกเตกา เพราะเป็นหองที่เต็มไปดวย ผลงานของยอดศิลปินราฟาเอล แตภาพที่เด็ดสุดตองเป็น Transfiguration ภาพสีน้ํามันบนผืนไมที่ตั้งเดนเป็นสงา อยูกลางหอง ผลงานระดับมาสเตอรแพีซของราฟาเอลและยังเป็นผลงานชิ้นสุดทายของเขาอีกดวย ที่มาของภาพนี้เริ่ม มาจากพระคารแดินัล (ตอมาคือพระสันตะปาปาคลีเมนตแที่ 7) ขอใหราฟาเอลวาดภาพใหสําหรับโบสถแ St. Just ใน เมืองนารแบอนเน (Narbonne) ประเทศฝรั่งเศส ภายหลังการเสียชีวิตอยางกะทันหันของราฟาเอล พระคารแดินัลจึง เก็บภาพนี้ไวเอง ตอมาเมื่อกองทัพนโปเลียนบุกกรุงโรม ภาพจึงถูกขนไปปารีส ตองรอจนถึงเมื่อจักรวรรดิแหง ฝรั่งเศสลมสลาย ภาพนี้จึงถูกสงกลับมาวาติกันอีกครั้ง... จวบจนปัจจุบัน ภาพ Transfiguration นี้แบงเป็น 2 สวนอยางเดนชัด สวนบนเราจะเห็นพระเยซูคริสตแปรากฏพระวรกาย ตอหนาบรรดาอัครสาวกในภาพลักษณแแหงพระเจาบนภูเขาเทเบอรแ (Mount Tabor) ขนาบ 2 ขางดวยเอลิจาหแและ โมเสส ดานซายไกลๆ เป็นเซนตแแหงนารแบอนเนไดแกเซนตแจัสทแและเซนตแปาสเตอรแ ภาพสวนบนนั้นสวางไสวดวย รังสีออราและกลุมเมฆที่อยูรอบกายพระเยซู ในขณะที่ภาพสวนลางเป็นโทนสีมืด บอกเลาเรื่องราวที่อัครสาวกไม สามารถรักษาเด็กชายที่มีรูปรางหนาตาผิดมนุษยแใหหายได จนเมื่อพระเยซูไดกลับมาที่ภูเขาเทเบอรแอีกครั้งและทํา การรักษาเด็กคนนี้ใหหายได
[113]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
ความงดงามของภาพนีถ้ ูกบรรยายไวโดย ศิลปินและนักเขียนอัตชีวประวัติแหงศตวรรษที่ 16 ชื่อจิออรแจโิ อ วาซาริ (Giorgio Vasari) วาเป็น “most beautiful and most divine work” เรียกวาสวยที่สุดดุจเทพสรางเลยทีเดียว... ใน ความรูสึกของเรา ภาพนี้สวยนะ สวยมากดวย อธิบายไมไดวาสวยยังไง บางทีก็คิดวาเป็นเพราะ ตําแหนงการวางภาพ การจัดแสงของทางพิพิธภัณฑแ หรือไมก็อุปทานไปเองจากที่ถูกชักนําโดยทุก สํานักพิมพแที่บอกวาสวย แตพอเดินเขามาในหองนี้ แลวมันตองหยุดชะงักทีภ่ าพนี้กอนเลย ภาพมันโดด เดนและสามารถตรึงสายตาเราไดอยางยาวนานมาก นี่คงเป็นคําตอบของคําวามาสเตอรแพีซก็เป็นได นอกจากภาพ Transfiguration แลว ราฟา เอลยังฝากผลงานเดนๆ ไวในหองนี้อีกหลายชิ้นเชน the Madonna of Foligno และ Incoronation of the Virgin
วันที่ 3: Vatican
Room VIII – Raphael, ‘Transfiguration’
Room VIII – Raphael,
Room VIII – Raphael,
‘the Madonna of Foligno’
‘Incoronation of the Virgin’
[114]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
หองที่ 9 – ยังคงเป็นอีกหนึ่งหองไฮไลทแ แต เปลี่ยนศิลปินเจาของผลงานเป็นอภิสุดยอดมหาโคตรศิลปิน และยอดมนุษยแในสามโลกอยางลีโอนารแโด ดา วินชี (Leonardo da Vinci) ผูซึ่งเป็นยอดฝีมือขั้นเทพในแทบทุก แขนง ไมวาจะเป็นศิลปศาสตรแ วิทยาศาสตรแ แพทยศาสตรแ หรือวิศวกรรมศาสตรแ ในดานงานศิลปะโดยเฉพาะการวาด ภาพ ถึงแมภาพของดา วินชีจะมีนอ ย แต่สามารถสยบทัว่ หล้า (คุณธรณแวา ไวในหนังสือ ซึ่งเราเห็นดวยเป็นอยางมาก โดยเฉพาะหลังจากที่ไดชมภาพ the Last Supper ที่มิลาน ฟินสุดๆ มาจนถึงปัจจุบัน) สําหรับภาพในหองนี้คือผลงาน ชื่อเซนต์เจโรม (St. Jerome) เป็นผลงานที่ยังไมเสร็จดี ของดา วินชี แตสวนสําคัญที่เป็นจุดเดนของภาพอยูที่ ใบหนาอันเหี่ยวยนและชราภาพของเซนตแเจโรม วากันวานี่ Room IX – Leonardo da Vinci, St. Jerome คือภาพใบหนาคนที่มีลายเสนสวยที่สุด หองที่ 10, 11 - เป็นภาพสมัยศตวรรษที่ 16 หองที่ 12 – เป็นหองที่อุทิศใหแดจิตรกรในยุคตนศตวรรษที่ 17 ที่ไดรับอิทธิพลการวาดภาพแบบเรียลิ ซึ่มและ darling perspective มาจากคาราวัจโจ ดังนั้นเราจะเห็นภาพ the Communion of St. Jerome ของ โดเมนิชิโน ซึ่งเป็นรูปเดียวกับในมหาวิหารเซนตแปีเตอรแ แตอันที่ วาติกันนี้เป็นของจริง อันที่มหาวิหารเป็นของก฿อปนะคะ นอกจากนี้หองนี้ยังมีภาพ Deposition ฝีมือของคาราวัจโจ ซึ่ง เป็นผลงานที่โดดเดนนาชม โดยสวนใหญผลงานของคาราวัจโจจะ แปลกแหวกแนว ใสนูนเติมนี่ใหพระคริสตแหรือเรื่องราวในพระ คัมภีรแดูไมเหมือนตนฉบับอยูเสมอ จะเรียกวาแหกคอกก็วาได ผลงานของเขาจึงไมคอยเป็นที่ยอมรับของคริสตจักรเทาไรนัก แต ผลงาน Deposition ชิ้นนี้ไมเป็นเชนนั้น จึงทําใหภาพนี้กลายเป็น หนึ่งในผลงานชิ้นเอกอันโดดเดนของเขา คาราวัจโจทําให Deposition ของเขาแตกตางจาก Deposition ของยอดศิลปินคน อื่นโดยใชจุดเดนในงานศิลปะของเขานัน่ คือ ความสามารถในการ เก็บรายละเอียดใหสมจริง ดังนั้นเราจะเห็นรายละเอียดขององคแ พระเยซูที่มีสีผิวซีดเผือก แสดงถึงผูทหี่ มดลมหายใจ ในขณะที่ Room XII – Caravaggio, Deposition เหลาสานุศิษยแยังมีสีผิวที่มีเลือดฝาด [115]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
หองที่ 13, 14, 15 – เป็นผลงานภาพเขียนในสมัยศตวรรษที่ 17 ถึง 18 หองที่ 16 – เป็นหองจัดแสดงภาพวาดผืนใหญของจิตรกรชาวโบฮีเมียนชือ่ เวนเซสลาส ปีเตอรแ (Wenceslas Peter) ในภาพชื่อ Adam and Eve in the Garden of Eden เราชอบภาพนี้นะ ภาพมันใหญ เบิ้มดี สวนอีเดนก็สวยงาม เหมือนสวนสวรรคแ สิงสาราสัตวแอยูกันเต็มสวนไปหมด ตามปูายหนาภาพบอกวามีถึง 240 ชนิด ซึ่งเป็นตัวแทนของสัตวแในทวีปยุโรป แอฟริกา เอเชียและโอเชียเนีย แสดงถึงความรอบรูเรื่องสัตวแของผู วาดเป็นอยางมาก มองภาพนี้แลวก็ไดเป็นการพักสายตาจากการมองภาพเกีย่ วกับคริสตศาสนาภาพกอนๆ ไดดี
Room XVI – Wenceslas Peter, Adam and Eve in the Garden of Eden
หองที่ 17, 18 – สองหองสุดทายของพินาโกเตกาเป็นหองจัดแสดงแบบตัวอยางงานปั้นรูปแกะสลัก ผลงานของแบรแนินี ซึ่งผลงานตัวจริงอยูที่มหาวิหารเซนตแปีเตอรแ ครบ 18 หองของพินาโกเตกาก็กินเวลา 1 ชั่วโมงพอดิบพอดี เราเดินวนกลับมาที่ทางเขาพินาโกเตกาอีก ครั้ง เดินตรงกลับไปยัง Corazze Courtyard ผานประตูสี่ทาง (Four Gates; Atrio dei Quattro Cancelli) เพื่อ เขาสูลานปิกนา (Pigna Courtyard; Cortile della Pigna) ที่ลานปิกนานี้ เราจะเห็นสัญลักษณแประติมากรรมโคน ตนสน (pine cone) สีบรอนซแใหญมหึมาตั้งอยู ซึ่งดั้งเดิมเคยตั้งอยูที่ปิกนาควอเทอรแ (Pigna Quarter) ที่อยูใกล แพนธีออน สวนตรงกลางของลานปิกนามีประติมากรรมลูกโลกใบใหญ ผลงานอารแโนลดแ โพโมโดโร (Arnold Pomodoro) ตั้งเดนเป็นสงาอยู
[116]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
Pigna Courtyard
เราเดินผานลานปิกนามาอีกฝั่ง เขาประตู เลี้ยวขวาและเดินขึ้นบันไดเพื่อเขาสูจุดหมายตอไปนั่นคือ พิพิธภัณฑ์ปิโอ-คลีเมนติโน (Pio-Clementino Museum; Museo Pio Clementino) พิพิธภัณฑแที่สะสม ผลงานสมัยกรีกและโรมันชิ้นสําคัญไวมากที่สุด ชือ่ ของพิพธิ ภัณฑแไดมากจากผูกอตั้งคือพระสันตะปาปาคลีเมนตแที่ 14 (Clement XIV) และพระสันตะปาปาปิอุสที่ 6 (Pius VI) พิพิธภัณฑแแบงเป็นหองตางๆ ที่สําคัญเชน Level 1 Round Hall Greek Cross Hall
Gallery Statues and Hall of Busts Hall of the Muses
Hall of Animals Octagonal Court
Level 2 Hall of the Chariot
Gallery of the Candelabra
แผนผัง Museo Pio Clementino [117]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
ลานเบลเวเดเรหรือลานแปดเหลี่ยม (Belvedere Courtyard, Octagonal Courtyard) เราจะพบกับ ประติมากรรมสมัยกรีก-โรมันมากมาย ชิ้นที่เด็ดที่สุดคือประติมากรรมเลาคูน (Laocoon) ที่บอกเลาเรื่องราวของ เลาคูน นักบวชชาวเมืองทรอย ผูเ ป็นคนบอกชาวทรอยวาอยารับมาไมของชาวกรีกเขาเมือง แตความรูเขาถึงหูเทพี เอเธนา ผูที่เขาขางกรีก จึงสงงู ทะเลยักษแมาจัดการเลาคูนและ บุตรชายทั้งสอง ทําใหเขาไม สามารถไปบอกชาวทรอยได มา ไมซึ่งขนกองทัพกรีกไวภายใน จึง สามารถเขาไปในเมืองทรอยและ ตีเมืองทรอยไดสําเร็จ ความเดน ดังของประติมากรรมชิ้นนี้ไมได อยูที่ความสวยงามของตัว ประติมากรรม เพราะหากเทียบ Octagonal Courtyard, Laocoon กับสุดยอดประติมากรรมชิ้นอื่นๆ แลว ผลงานเลาคูนยังเป็นรองพิเอตาของมิเคลันเจโลที่เซนตแปีเตอรแและ The Rape of Proserpine ของแบรแนินีที่ บอรแเกเซ แตอายุของเลาคูนนั้นตางหากที่แตกตาง วากันวาอายุของประติมากรรมนี้นาจะมากกวาสองพันปี และ นับวาเป็นงานแกะสลักหินอ่อนที่เก่าแก่และสมบูรณ์ที่สุดในโลก ถึงขนาดที่วา ในตํานานของกรีกและโรมันพูดถึงเลา คูนไววาเป็น Superior to all other sculpture or painting ผลงานเลาคูนนั้นอยูเหนือประติมากรรมหรือ ภาพวาดอื่นๆ ทั้งมวล (ข้อมูลจากหนังสือโรมันรัญจวน) Hall of Animals หองเก็บสะสมประติมากรรมสัตวแตางๆ ของยุคโรมัน Gallery of Statues หองสะสมรูปปั้นล้าํ คาในยุคโรมัน Hall of Busts หองที่เก็บภาพวาดของจักรพรรดิของอาณาจักรโรมันเป็นสวนใหญ Hall of the Muses หองรวมประติมากรรมที่เกี่ยวกับเทพีและกวีกรีกดั้งเดิม ประติกรรมที่นาสนใจ คือ the Belvedere Torso – ชิ้นสวนของรูปปั้นที่พบในโรมเมื่อปลายศตวรรษที่ 15 ถือวาเป็นชิ้นสวน ประติมากรรมโบราณที่ไดรับการยอมรับมากที่สุดของเหลาศิลปินจนถึงปัจจุบัน Round Hall โถงหลังคาโดมซึ่งเอาแบบมาจากโดมในแพนธีออน ภายในหองมีงานที่นาสนใจ 2 ชิ้นคือ อางอาบน้าํ ขนาดใหญ (the Braschi Antinuos) ยาวกวา 5 เมตร ซึ่งไดมาจากโดมุสออเรีย (Domus Aurea) วัง ของจักรพรรดิเนโรที่อยูตีนเขาปาลาติเน และรูปปั้นเทพเฮรา (Heracles) สีบรอนซแทองสมัยศตวรรษที่ 2 Greek Cross Hall หองนี้มีโลงหินสีแกรนิตแดงอยู 2 โลง โลงหนึ่งทางซายเป็นของเซนตแเฮเลน (Sarcophagus of St. Helena) พระมารดาของจักรพรรดิคอนสแตนติน จักรพรรดิองคแแรกที่นับถือศาสนา คริสตแ อีกโลงหนึ่งทางขวาเป็นของพระธิดาของจักรพรรดิคอนสแตนตินชื่อคอนสแตนตินา (Sarcophagus of Constantina) [118]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
Hall of the Muses,
Round Hall,
Greek Cross Hall,
the Belvedere Torso
Heracles
Sarcophagus of St. Helena
Round Hall, the Braschi Antinuos
Hall of the Chariot เดินขึ้นมาที่ชั้น 2 จะพบกับหองศิลปะสมัยปลายศตวรรษที่ 18 กลางหองมีรูป ปั้นมา 2 ตัวยืนบนหินออนแผนใหญ Gallery of the Candelabra หองสุดทายของพิพธิ ภัณฑแ Pio-Clementino เป็นหองที่เต็มไปดวย เชิงเทียนหินออน เดินออกหอง Gallery of the Candelabra ก็เป็นอันจบสวนที่เป็นสมบัตใิ นพิพิธภัณฑแของพิพิธภัณฑแ วาติกันสําหรับเรา ตอไปก็จะถึงสวนที่เป็นสมบัติในสวนพระราชวังกันแลว เดินตรงตามทางตอจาก Gallery of the Candelabra ไป จะผาน Gallery of Tapestries (Galleria degli Arazzi) หรือหองแสดงภาพวาดบนพรมแขวน ผนัง ซึ่งเป็นผลงานของลูกศิษยแของราฟาเอล ถัดมาเป็นห๎องแผนที่หรือ Gallery of Maps (Galleria delle Carte Geografiche) ซึ่งเป็นโถงแคบๆ ยาวๆ ผนังหองสองดานเรียงรายไปดวยภาพเฟรสโกของอิกนาซิโอ ดันติ (Ignazio Danti) จํานวน 40 ภาพ แสดงแผนที่ภูมิประเทศที่คริสตศาสนานิกายโรมันคาทอลิกไดเผยแผไปถึง ระหวางทางเดินจะมีบธู ขายของที่ระลึกใหนักทองเที่ยวไดจับจายกันเป็นระยะๆ ดวย และแลวเราก็มาถึงหนึ่งในหองที่โดงดังที่สุดของพิพิธภัณฑแวาติกันนั่นคือ ห๎องของราฟาเอลหรือ Raphael’s Rooms (the Vatican Stanze, Stanze di Raffaello) เป็นหองภาพผนังปูนเปียกหรือ ภาพเฟรสโกผลงานของราฟาเอลและลูกศิษยแ ซึ่งพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 ผูเป็นเจาของหองเป็นผูวาจางใหราฟา เอลวาดภาพให ราฟาเอลรับทํางานนี้อยูก วา 10 ปีก็เสียชีวิตเสียกอน ลูกศิษยแของราฟาเอลจึงรับหนาที่สานตองานที่ เหลือจนเสร็จ ภายในแบงเป็นหองยอยๆ อีก 4 หองไดแก
[119]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
หองของคอนสแตนติน (Room of Constantine) – หองที่มีขนาดใหญที่สุดในจํานวน 4 หองยอย เป็นหองสุดทายที่ราฟาเอลลงมือวาดกอนที่เขาจะเสียชีวิต จึงทําใหผลงานฝีมือของราฟาเอลจริงๆ ในหองนี้มีไมมาก นัก (เนื่องจากเขาเสียชีวิตเสียกอน) ผลงานสวนใหญที่เห็นจึงเป็นของลูกศิษยแของเขา ภาพวาดภายในหองเป็น เรื่องราวเกี่ยวกับจักรพรรดิคอนสแตนติน จักรพรรดิองคแแรกที่นับถือศาสนาคริสตแ ภาพเฟรสโกสําคัญที่ผนังดานซาย เป็นภาพ Battle of Constantine against Maxentius บอกเลาเรื่องราวการทําสงครามในสมัยของพระองคแ จะเห็นสัญลักษณแกางเขนที่เป็นเครื่องทํานายวาพระองคแจะกําชัยชนะเหนือศัตรู สวนภาพวาดบนเพดานชือ่ Triumph of Christian religion เป็นภาพแสดงชัยชนะของศาสนจักรทีม่ ีตอพวกนอกรีต (ข้อมูลจากหนังสือ อิตาลี สานักพิมพ์วงกลม)
Room of Constantin, Battle of Constantin against Maxentius
หองเฮลิโอโดรุส (Room of Heliodorus) – ผลงานของราฟาเอลในหองนีอ้ ยูบนเพดานหอง เป็น เรื่องราวตางๆ ในพระคัมภีรแ ภาพ Deliverance of St. Peter ซึ่งเป็นเหตุการณแที่เซนตแปีเตอรแอยูระหวางการจอง จําในคุก ตกกลางดึกมีเทพธิดามาชวยใหเซนตแปีเตอรแออกไปได ราฟาเอลใสลูกเลนใหภาพนี้โดยการวาดภาพพระ สันตะปาปาจูเลียสที่ 2 ผูวาจางลงไปในภาพนี้ดว ย หองเซกนาทูรา (Room of Segnatura) – แตเดิมใชเป็นหองสมุดของพระสันตะปาปาซึ่งพระองคแใช ทรงงานและลงพระนามในเอกสารทางการซึ่งเป็นที่มาของชื่อหอง (Segnatura; Signature) หองนี้เป็นหองแรกที่ ราฟาเอลลงมือวาดและเป็นหองที่มีชื่อเสียงมากที่สุด เพราะมีภาพหนึ่งซึ่งถือวาเป็นหนึ่งในสุดยอดภาพเฟรสโกของ โลกนั่นคือภาพ School of Athens (หนังสือโรมันรัญจวนของคุณธรณแบอกวาสุดยอดภาพเฟรสโกในอิตาลีที่ตอง [120]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
มาเห็นของจริงคือ Last Supper ของดาวินชีที่มิลาน Last Judgement ของมิเคลันเจโลที่โถงสวดมนตแซีสทีน และ School of Athens ของราฟาเอลทีห่ อ งนี้... ภูมิใจและดีใจ มากที่จะบอกวา ทริปนี้เราไดเห็นทั้ง 3 ภาพของจริงดวยตา เราเองทั้งหมด โดยเฉพาะภาพแรกนั้น สวนตัวแลวรูสึกฟิน มากกกก) School of Athens หรือโรงเรียนแหงกรุงเอเธนสแ เป็นภาพวาดในสไตลแแปลกใหมที่ยังไมมใี ครวาดในสมัยนั้นที่ นิยมวาดภาพเกี่ยวกับศาสนา โรงเรียนแหงกรุงเอเธนสแของ ราฟาเอลเป็นภาพเฟรสโกขนาดใหญยกั ษแ ในภาพราฟาเอล วาดภาพนักปราชญแและชางศิลปในสมัยกรีกมากมายมาอยู ดวยกันในภาพเดียว ปราชญแแตละทานกําลังทําทาตางๆ ที่ เป็นเอกลักษณแประจําตัว คุยกันเองบาง อยูคนเดียวบาง จุดที่ นาสนใจของภาพนี้อยูที่รูปใบหนาของนักปราชญแบางคนซึ่ง อยูในยุคสมัยเกาแกกวาพันปี เพราะฉะนั้นจึงไมมีใครทันเห็น Room of Heliodorus, Deliverance of St.Peter หรือรูจักหนาตาของพวกเขาเป็นแน แตราฟาเอลมีวธิ ีที่จะทําใหเราเขาใจวาภาพนี้เป็นปราชญแคนใดโดยการวาด ใบหนาของศิลปินที่เป็นที่รูจักกันดีลงไปแทนหนาของนักปราชญแโบราณเหลานั้น เชนคนที่ใสผาคลุมสีแดงที่ยืนอยู ตรงกลางภาพ กําลังทําทาชี้นิ้วขึ้นฟูา แสดงใหเห็นวาเป็นทาทางของเพลโต (Plato) ซึ่งหมายถึงการที่เขาเชื่อในเทพ เจา สวนใบหนากลับวาดหนาดา วินชีใสไปแทน ในขณะที่คนขางๆ เพลโตที่กาํ ลังทําทาคว่ํามือใบขางหนา ก็หมายถึง อริสโตเติล (Aristotle) ซึ่งมีความเชื่อเรื่องธรรมชาติ สวนชายคนที่ใสชุดสีมวงนั่งเทาคางเขียนกระดาษยึกๆ อยู ดานหนา เป็นทาทางของเฮราคลิตุส (Heraclitus) โดยราฟาเอลวาดใบหนาของมิเคลันเจโลลงไป ชายหัวลานชุด แดงที่โนมตัวขีดเขียนบนกระดานดําคือปราชญแยูคลิด (Euclid) ราฟาเอลวาดหนาของบรามันเตใสลงไป สวนศิลปิน คนอื่นๆ ที่เหลือก็ดูในรูปเลยคะ ที่สาํ คัญราฟาเอลไมลืมที่จะวาดภาพตัวเขาเองลงไปในภาพนี้เชนกัน ลองสังเกตใหดี สักหนอย ภาพชายคนเดียวทางดานริมขวามือของภาพที่หันมามองผูชม คนนัน้ ละคะ ราฟาเอล (ข้อมูลจากหนังสือ โรมันรัญจวน) ... ดวยความที่เราเคยซื้อจิ๊กซอวแ 2,000 ชิ้นรูป School of Athens มาตอจนเสร็จแลว เราจึงจํา รายละเอียดของรูปนี้ไดคอนขางดีกอนไดเห็นของจริง พอเห็นของจริงก็เลยกวาดตาปรื๊ดๆๆ รูทันทีวาใครเป็นใคร อยู ตรงไหน เอาเขาจริงๆ นะ รูปตอจิ๊กซอวแกับรูปของจริงนี่มันก็ดูไมแตกตางกันเลยนะในสายตาของเรา ประมาณวา ของก฿อปก็หนาตาเหมือนของจริงอะ ดูไมออก ทั้งๆ ทีจ่ ริงๆ แลวมันตองแตกตางกันมากๆนะ แตสายตาเรามันถั่วเอง นอกจากภาพ School of Athens แลว ฝั่งตรงกันขามยังมีภาพ Disputa หรือ School of Heavens ที่ สนใจอีก เป็นภาพของพระเยซูและนักบุญตางๆ บนสวรรคแ กําลังนั่งมองลงมายังโลกมนุษยแดกู ารถกเถียงเรื่องปริศนา ธรรมของพิธีศีลมหาสนิท [121]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
Room of Segnatura, School of Athens (ภาพจากวิกิพีเดีย)
ราฟาเอล
เพลโตและอริสโตเติล
เฮราคลิตุสในใบหน๎าของมิเคลันเจโล
ยูคลิดในใบหน๎าของบรามันเต๎ [122]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
Room of Segnatura, Disputa (School of Heavens)
หองเหตุการณแไฟไหมในบอรแโก (Room of the Fire in the Borgo) – ภาพในหองนี้บอกเลาเรื่องราว ตามชื่อหองนั่นคือเหตุการณแไฟไหมในยานบอรแโกทีอ่ ยูในกรุงโรมเมื่อปีค.ศ. 847 หนังสือโรมันรัญจวนบอกไววา จุด สังเกตของภาพนี้มีอยู 3 จุดคือ ผูหญิงเสื้อฟูาดานขวากําลังยกอางและคนโทใสน้ําใหอีกคนเพื่อชวยดับไฟ จุดที่สอง คือชายหนุมรางกายกํายําทางดานซาย รางกายเปลือยเปลากําลังปีน (หรือหอยตองแตง) อยูบนกําแพง และสาม ดานซายลางจะเห็นชายหนุมกําลังแบกคนแกไวบนหลังและมีเด็กนอยเดินอยูขา งหนา ซึ่งภาพนี้อา งถึงประวัติของ การกําเนิดกรุงโรมที่เจาชายแอนีแอส (Aeneas) ที่มือหนึ่งแบกพอของเขา อีกมือหนึ่งจูงลูกชายเพื่อหนีการตาม สังหารจากทหารกรีกในสงครามกรุงทรอย
Room of the Fire in the Borgo, Fire in the Borgo [123]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
ออกจากหองสุดทายของหองของราฟาเอล เราเดินลงบันไดไปยังชั้นลาง เพื่อเขาสูหองที่เป็นสุดยอดอภิ มหาไฮไลทแของพิพิธภัณฑแวาติกัน... โถงสวดมนต์ซีสทีน (Sistine Chapel) กับผลงานสุดเวอวังมลังเมลือง ของสุดยอดศิลปินมิเคลันเจโลที่นักทองเที่ยวทุกคนที่เขามาในพิพธิ ภัณฑแวาติกันนั้นตางตองการเขาชม นั่นคือผลงาน ภาพเฟรสโกบนเพดานโคงและภาพ The Last Judgement ที่ผนังดานหลังแทนบูชา เป็นที่นาแตเสียดายและนา เสียใจที่สุดที่หองนี้ไมอนุญาตใหถายภาพ (กอนหนานี้เคยอนุญาตแตมาหามตัง้ แตเมื่อไหรก็ไมรู #รองไหหนักมาก) เราก็เลยตองอาศัยภาพจากอินเตอรแเน็ตมาชวยย้ําเตือนความนาอัศจรรยแของผลงานและความประทับใจที่เราได สัมผัส นักทองเที่ยวไดรับอนุญาตใหนงั่ ยืนชมหรือนั่งชมที่มานั่งรอบๆ โถงสวดมนตแไดอยางเงียบๆ ขอย้ําวาทาง เจาหนาที่พพิ ิธภัณฑแบอกวาใหเงียบๆ ปูายก็เขียนบอกชัดเจน แตดว ยความที่โถงสวดมนตแเล็กๆ แตกลับจุคนที่เยอะ มากจนแออัด ก็เหมือนกับนกกระจอกแตกรังสิคะ แคฉันกระซิบเธอ เธอกระซิบฉัน ไมรวมถึงเรากระซิบกัน (เสียงดัง ไปหนอย) เสียงผูคนเซ็งแซในโถงสวดมนตแจึงดังขึ้นแทบตลอดเวลา ถึงแมเจาหนาที่จะบอกใหทกุ คนเงียบลงหนอย ทุก 2 นาที ก็ไมเป็นผลแตอยางใด บางทีเราก็แอบเซ็งนักทองเที่ยวบางกลุมนะ เสียงดังเฟรอ นารําคาญ
Sistine Chapel (credit: www.imgkid.com) [124]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
โถงสวดมนตแเริ่มสรางในปีค.ศ. 1471 สวนการวาดภาพบนผนังนั้นเริ่มขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 15 โดยฝีมือของ ศิลปินดังเชนปิเอโตร เปรูจิโน (Pietro Perugino) ซานโดร บอตติเชลลี (Sandro Botticelli) และโดเมนนิโก เกอรแ ลันไดโอ (Domenico Ghirlandaio) ซึ่งเป็นครูคนแรกของมิเคลันเจโล ตอมาในปีค.ศ. 1508 พระสันตะปาปาจู เลียสที่ 2 จึงไดวาจางมิเคลันเจโลวาดภาพบนเพดานและผนังดานบนเพิ่มเติมซึ่งแลวเสร็จในปีค.ศ. 1512 ผลงานบน เพดานหรือ The Vault ของมิเคลันเจโลนี้ถือเป็นผลงานที่โลกยกยองวาเป็นผลงานที่ดีที่สุดในบรรดาภาพวาดบน เพดาน และเป็นผลงานที่มิเคลันเจโลยอมทุมสุดตัวโดยการนอนหงายบนนั่งรานเพื่อวาดภาพบนเพดานตลอด 4 ปีนี้ ฝืนธรรมชาติของมนุษยแอยางสุดขีด วากันวาหลังวาดเสร็จ มิเคลันเจโลถึงกับสายตาสั้นจนอานหนังสือไมไดเลย (ข้อมูลจากหนังสือโรมันรัญจวน) หลังจากนั้นอีกหลายปี พระสันตะปาปาคลีเมนตแที่ 7 ไดวาจางมิเคลันเจโลใหวาด ภาพที่ผนังดานหนา มิเคลันเจโลใชเวลาวาดภาพ The Last Judgement นี้ถึง 7 ปีจึงแลวเสร็จ และเขาก็ไมทําใหผู เฝูารอชมผลงานผิดหวัง เมื่อผลงาน The Last Judgement เป็นสุดยอดภาพวาดขึ้นหิ้งอีกผลงานหนึ่งของโลก กอนที่จะไปชมรายละเอียดสุดยอดผลงานของมิเคลันเจโลทั้งสองชิ้น เรามาดูผลงานภาพเฟรสโกอื่นๆ รอบ ผนังดานขางและบนเพดานบางสวนโดยศิลปินทานอื่นกันกอนสักเล็กนอย ทางเขาโถงสวดมนตแที่เราเขามาหลังจาก เดินลงบันไดมาจากหองของราฟาเอล จะเป็นประตูเล็กๆ อยูใตภาพ The Last Judgement ซึ่งไมใชทางเขาจริงๆ ของตัวโถงสวดมนตแหรอก ทางเขาจริงอยูฝั่งตรงกันขามซึ่งจะกลายเป็นทางออกของเรา (งงไหม?) ผนังแตละดาน แบงเป็น 4 สวนจากลางขึ้นบนไดแกสวนที่เป็นผามานคลุม (Drapes) อยูสว นลางสุดติดพื้น ถัดขึ้นมาคือภาพวาดเลา เรื่องราว (Stories of …) ถัดขึ้นมาเป็นภาพวาดพระสันตะปาปา (Pontiffs) และสวนบนสุดของผนังที่มีลักษณะโคง แบบพระจันทรแเสี้ยว (Lunettes) สวนที่นาสนใจอยูที่ผนังสวนเลาเรื่องราวตางๆ โดยฝั่งผนังดานทิศใต (South wall) (ทางขวามือ เมื่อหันหนาออกจากแทนบูชาและภาพ The Last Judgement) เป็นเรื่องราวของโมเสส มีภาพ Events in the life of Moses ของบอตติเชลลี และภาพ Handling over of the Tablets of the Law หรือ Descent from Mount Sinai ของคอซิโม รอซเซลลี (Cosimo Rosselli) และผูชวย สวนผนังดานทิศเหนือ (North wall) เป็นเรื่องราวของพระเยซูมีภาพ Handing over of the keys ของเปรูจิโน และภาพ Temptations of Christ ของบอตติเชลลีเป็นภาพที่นาสนใจ Lunettes Pontiffs
Stories of …
Drapes Sistine Chapel (credit: www.imgkid.com) [125]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
แผนผัง Sistine Chapel (credit: original by www.templestudy.com adapted by KatieKat for easy viewing)
[126]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
South wall, Events in the life of Moses
North wall, Handing over the Keys
วันที่ 3: Vatican
South wall, Handing over the Tablets of the Law
North wall, Temptations of Christ
** หมายเหตุ แผนผังโถงสวดมนตแซีสทีนที่เราเอามาแปะไว เป็นฉบับที่เราไดมีการแกไขจากฉบับตั้งตนในเว็บไซตแแบบกลับซายขวาทั้งหมด เนื่องจากเทาที่ไปหาแผนผังมา จะมีการนําเสนอแผนผังเป็น 2 แบบคือแบบที่ 1 แบบที่เรานําเสนอคือเป็นการมองภาพใน ลักษณะที่เรายืนมองและเงยหนามอง กับแบบที่ 2 คือเป็นการเขียนผังแบบใหเราตองนอนราบบนพื้นของโถงสวดมนตแแลวมองขึ้นไป ทําให แผนผังแบบที่ 2 นี้จะกลับหัวกลับหาง กลับซาย-ขวากับแบบที่ 1 (งงไหม เราก็งงอยู ตองตั้งสตินานมากกวาจะพอเขาใจ) ซึ่งสําหรับเราแลว มันเขาใจยากมากเลยอะแบบที่ 2 นี้ เราก็เลยเลือกแปะแผนผังแบบที่ 1 (ตามรูป) ที่งายตอการปฏิบัติจริงมากกวา
มาถึงสวนเพดานซึ่งแบงภาพออกเป็นอีก 4 สวน มิเคลันเจโลวาดภาพบนผนังโดยเลาเรื่องกําเนิดโลกและ จักรวาล (หนังสือเลมแรกของพระคัมภีรแ) ผานชองเพดาน 9 ชองเรียงลําดับเหตุการณแเริ่มจาก (ฝั่งที่ติดกับภาพ the Last Judgement) ชองที่ 1 การแยกแสงสว่างจากความมืด (Separation of Light from Darkness) ชองที่ 2 การสร้างดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และโลก (Creation of the Sun, Moon & Planets) – ในชองนี้จะเห็นใบหนาของพระผูเป็นเจาตามจินตนาการของมิเคลันเจโล ชองที่ 3 การแยกผืนดินจากผืนน้า (Separation of Land from Sea) สามชองแรกเป็นเรื่องราวในบทแรกของกําเนิดโลกและจักรวาล พระผูเป็นเจาไดสรางโลกใน 6 วัน และ เหลือวันที่ 7 ไวสําหรับการพักผอน ในวันแรก พระองคแไดสรางแสงสวางและแยกแสงสวางออกจากความมืด วันที่ 2 พระองคแไดแบงผืนน้ํามาจากสวรรคแ วันที่ 3 ทรงสรางโลกและปลูกตนไมใหงอกงาม วันที่ 4 ทรงนําดวงอาทิตยแและ ดวงจันทรแมาเพื่อกําหนดวัน คืน เวลาและฤดูกาลของปี วันที่ 5 ทรงสรางนกใหอยูบนทองฟูา สรางปลาและสัตวแน้ํา และวันที่ 6 พระองคแทรงสรางสัตวแที่อยูบนพื้นโลก ซึ่งการสรางโลกทั้ง 2 วันหลังนี้ไมมีในภาพวาดของมิเคลันเจโล (ข้อมูลจากวิกพิ ิเดีย) [127]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
ชองที่ 4 ก้าเนิดอดัม (Creation of Adam) ชองที่ 5 ก้าเนิดอีฟ (Creation of Eve) ชองที่ 6 บาปแรกและการถูกขับไล่จากสวนอีเดนของอดัมและอีฟ (Original Sin and Banishment from the Garden of Eden หรือ Temptation & Expulsion) ชองที่ 4-6 เป็นเรื่องราวของกําเนิดอดัมและอีฟ โดยผลงานโดดเดนที่สุดของทั้ง 9 ภาพอยูทภี่ าพในชองที่ 4 คือภาพกําเนิดอดัม มิเคลันเจโลวาดภาพนี้และภาพถัดไปตามเรื่องกําเนิดอดัมและอีฟ โดยภาพกําเนิดอดัมเป็นภาพ ที่พระผูเป็นเจายื่นพระหัตถแใหปลายนิ้วชี้ไป (เกือบ) แตะปลายนิว้ ของอดัม ซึ่งมีผูวิจารณแผลงานชิ้นนี้วามีการจัด ตําแหนงรางกายที่สวยงามและออนชอยมาก นอกจากนี้จะสังเกตเห็นรังสีเปลงประกายของพระเจาที่มิเคลันเจโล วาดเป็นเฉดสีเลือดหมูเขมๆ รอบๆ พระองคแและมีรูปรางลักษณะเหมือนสมองของมนุษยแ สวนชองที่ 6 แสดง เหตุการณแที่อดัมและอีฟถูกลอลวงโดยงูพิษใหกินผลไมจากตนไมตองหาม จนเป็นเหตุใหทั้งคูถูกขับไลออกจากสวนอี เดนไปอยูโลกภายนอกที่พวกเขาตองตอสูดิ้นรนเพื่อความอยูรอดและตองเผชิญหนากับความตาย ชองที่ 7 เครื่องสังเวยของโนอาห์ (Sacrifice of Noah) ชองที่ 8 เหตุการณ์น้าท่วมโลก (The Flood) ชองที่ 9 ความเมามายของโนอาห์ (Drunkenness of Noah) เรื่องราวของโนอาหแใน 3 ชองสุดทายแสดงใหเห็นถึงการสูญสิ้นของมนุษยแและการเกิดสิ่งมีชีวิตใหมโดย บุคคลที่พระเจาทรงเลือกคือโนอาหแ ผูเหลือรอดเพียงครอบครัวเดียวที่จะทําใหมนุษยแเพิ่มประชากรใหมอีกครั้ง หลังจากที่พระเจาผูสรางไดทําลายสิ่งที่ทรงสรางลงทั้งหมดเนื่องจากเพราะปีศาจที่อยูในตัวมนุษยแ
Separation of Light from Darkness
Separation of Land from Sea
Creation of the Sun, Moon & Planets
Creation of Eve [128]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
Creation of Adam
Original Sin and Banishment from the Garden of Eden
Drunkenness of Noah
Sacrifice of Noah
The Flood [129]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
หลังจากแหงนหนามองเพดานจนคอเคล็ด เราลดหนาลงต่ําเพื่อหันไปมองภาพเฟรสโก The Last Judgement ทีอ่ ยูหลังแทนบูชา... The Last Judgement หรือวันพิพากษาโลก เป็นภาพพระเยซูคริสตแซึ่งมีรัศมี เปลงประกายรอบพระองคแ ลอมรอบดวยนักบุญ ในขณะที่เบื้องลางเป็นภาพมวลมนุษยแที่มีชวี ิตดิ้นรน ประสบแต ความทุกขแยาก ปราศจากความสุข ภาพตนฉบับ มิเคลันเจโลวาดภาพพระเยซู นักบุญและผูคนในลักษณะเปลือย เปลานับไดถึง 314 คน ซึ่งทําใหเกิดขอถกเถียงกันมากภายหลังภาพวาดเสร็จแลว แตดวยชื่อเสียงของมิเคลันเจโล จึงไมมีใครกลาแตะตองงานของเขา จวบจนเมื่อมิเคลันเจโลเสียชีวิตแลว วาติกันจึงใหลูกศิษยแของมิเคลันเจโลวาด เสื้อผาใสลงไปบางสวนดังที่เห็นในปัจจุบัน ภาพบุคคลสําคัญใน The Last Judgement ที่นาทําความรูจกั ไดแก พระเยซูและพระแมมาเรีย (อันนี้มัน ก็แนอยูแ ลว ตองรูจักนะคะ) เซนตแปีเตอรแ ผูถือกุญแจสูสรวงสวรรคแ เซนตแบารแโธโลมิว (St. Bartholomew) ผูถือ หนังของตัวเอง และคารอน (Charon) ชายตัวดํายืนเงื้อไมพายอยูที่ดา นลางของภาพ ผูคุมเรือพาคนบาปขามแมน้ํา สติกซแไปยังนรก (ข้อมูลจากหนังสือโรมันรัญจวน)
Mary and Christ
St. Bartholomew
St. Peter
The boatman Charon
[130]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
Michelangelo, The Last Judgement
เรานั่งชมภาพในโถงสวดมนตแซีสทีนอยูประมาณครึ่งชั่วโมงก็สมควรแกเวลาที่จะเดินออกมาแลว (ผูคน หลั่งไหลเขามาในโถงไมหยุดหยอน เสียงอึกทึกอือ้ อึงสุดพลัง เลยจําตองหลีกทางใหนักทองเที่ยวกลุมใหมเขามานั่ง แทนที่บาง) ออกจากโถงสวดมนตแ เดินตรงตามปูายไปเรื่อยๆ จนสุดทาง จะพบรานหนังสือ หองน้ําและบันไดวนอัน
[131]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
เป็นเครื่องหมายวาสิ้นสุดเสนทางการชมพิพิธภัณฑแแลว นี่ขนาดวาเลือกชมเฉพาะผลงานเด็ดๆ ที่เป็น the must นะเนี่ย หันมองดูเวลา เราใชเวลากับที่นไี่ ป 3 ชั่วโมงกวานิดหนอย เดินกันขาลากจริงๆ เหนื่อยมากแตก็คุมคาที่สุด
ข๎อมูลการเข๎าชมพิพิธภัณฑ์วาติกัน เวลาเปิด: วันจันทรแถึงวันเสารแ 9.00 – 18.00 น. หองจําหนายตั๋วเปิด 9.00 – 16.00 น. ตองออกจากหอง ภายในพิพิธภัณฑแครึ่งชั่วโมงกอนเวลาพิพิธภัณฑแปิด ปิดวันอาทิตยแ ยกเวนวันอาทิตยแสุดทายของเดือน ซึ่งพิพิธภัณฑแจะเปิดใหเขาชมฟรีระหวางเวลา 9.00 – 12.30 น. และพิพิธภัณฑแจะปิด 14.00 น. (ยกเวนถาตรงกับ Easter Sunday ก็จะปิดทั้งวัน) ซึ่งแนนอนวาคนเยอะ มาก คิวยาวมากถึงมากที่สุด วนรอบกําแพงเมืองวาติกันเลยทีเดียว นอกจากนี้พิพิธภัณฑแยังปิดในวันสําคัญตางๆ ดังนี้ วันที่ 1, 6 ม.ค. 11 ก.พ. 19 มี.ค. 5, 6 เม.ย. วันอีสเตอรแ 1 พ.ค. 29 มิ.ย. 15 ส.ค. 8, 25 และ 26 ธ.ค. หรือจะลองเปลี่ยนบรรยากาศไปชมพิพธิ ภัณฑแตอนกลางคืนดูบางแบบ Night at the Museum ก็ดีนะ ทุก วันศุกรแ ตั้งแต 24 เม.ย. – 31 ก.ค. และ 4 ก.ย. – 30 ต.ค. พิพิธภัณฑแเปิดใหเขาชมในชวงเวลาเพิ่มเติม 19.00 – 22.00 น. (รอบสุดทายคือ 21.30 น.) ซึ่งอันนี้ตองซื้อตั๋วลวงหนาแบบออนไลนแเทานั้นคะ การซื้อตั๋ว: ถาไมอยากเสี่ยงตอคิวนาน สามารถซื้อตัว๋ ลวงหนาพรอมชําระเงินผานเว็บไซตแทางการของ พิพิธภัณฑแ http://mv.vatican.va/3_EN/pages/MV_Home.html (เปิดจองลวงหนา 2 เดือน) แตเอาเขาจริงๆ เราคิดวาที่บอกกันวาคิวยาว นาจะเป็นเฉพาะชวงฤดูทองเที่ยวหนักๆ อยางฤดูรอน (พ.ค. – ก.ย.) นอกนั้น ไปรอ ซื้อหนาเคาทแเตอรแที่พิพิธภัณฑแเลยก็พอไหวอยูนะ ไมเห็นคิวยาวอะไร คําเข๎าชม: 2015 Full price 16 EUR [132]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
ออกจากพิพิธภัณฑแ เราเดินยอนกลับมาทางเดิม แวะซื้อเจลาโตกินซักหนอย มีรานขางๆ กําแพงเมือง วาติกันรานหนึ่งดูจะชื่อดังมาก ชือ่ ราน Old bridge… มีคนตอแถวเขาคิวซือ้ อยางตรึม คนไทยก็มีดวย คุณคนนี้ ถึงกับตองถายวิดีโอบรรยายบรรยากาศตอนตอแถวไวดว ย (เป็นเอามาก) เราเดินออกจากพิพธิ ภัณฑแไปยังปราสาท ซานตังเจโล (Castel Sant’ Angelo) ที่หนาจัตุรัสเซนตแปีเตอรแ เดินตรงตามถนนหนาจัตุรัสที่ชื่อเวียเดลลา คอนซีลีอาซีโอเน (Via della Conciliazione) ไปพอสมควรก็จะถึงที่หมาย ขางๆ ปราสาทมีสวนสาธารณะไว พักผอน เราก็เลยไดที่นั่งปั๊มนมดีๆ ชื่อปราสาทซานตังเจโลนั้น พระสันตะปาปาเกรกอรีเป็นผูตั้งใหตามชื่อของเซนตแไมเคิล หัวหนาทูตสวรรคแ ตามที่พระองคแไดนิมิตเห็นภาพเซนตแไมเคิลชวยปัดเปุาภัยพิบัติ พระสันตะปาปาจึงสั่งใหสรางรูปปั้นเซนตแไมเคิลอยูที่ ยอดปราสาท แตเดิมปราสาทแหงนี้ถูกสรางขึ้นเพื่อใชเป็นสุสานของจักรพรรดิเฮเดรียน ตอมาถูกปรับปรุงเป็น ปราสาท ปูอมปราการและคุก นอกจากนี้ยังใชเป็นที่หลบภัยของพระสันตะปาปาอีกดวย โดยมีทางเดินบนกําแพง เชื่อมตอมาจากอาคารในวาติกัน (นี่มันฉากในภาพยนตรแ Angels & Demons ชัดๆ ขอกลับไปดูอีกรอบดวนๆ) (ข้อมูลจากหนังสือใครๆ ก็ไปเที่ยวอิตาลี) ปัจจุบันภายในปราสาทเปิดเป็นพิพธิ ภัณฑแจําพวกขาวของเครื่องใช อาวุธรบใหเขาชม แตเราไมไดกะจะเขา ไปชมภายในตัวปราสาทอยูแลว แคดูภายนอกก็พอ เราจึงเดินขามสะพานซานตังเจโลหรือสะพานนางฟูา (Ponte Sant’ Angelo) สะพานที่สองขางเต็มไปดวยรูปปั้นทูตสวรรคแ ที่พาเราขามไปอีกฝั่งของแมน้ําไทเบอรแ เดินตามแผน ที่ไปจนเจอถนน Via Acciaioli แลวนั่งรถบัสสาย 64 ปลายทาง Termini ลงที่สถานี Termini เพื่อกลับทีพ่ ัก ตอน แรกวาจะแวะที่สถานี Nazionale/Torino เพือ่ ดู Piazza della Repubblica ดูความงามของน้ําพุไนยาดีเสียหนอย แตเอาเขาจริง ณ จุดนั้น มันเหนื่อยมาก มันเมื่อยมาก บวกกับไดนั่งรถผานปิอัซซานี้มา 2 รอบแลว ก็เลย ตัดสินใจไมแวะ พุงตรงกลับที่พักเพือ่ เตรียมตัวสําหรับ การยายเมืองในวันที่ 4 ดีกวา กอนเขาพัก เรากินมื้อเย็น ที่รานอาหารที่สถานีรถไฟชื่อราน ROADHOUSE GRILL รสชาติโอเคเลย เป็นอาหารพวกพิซซา สเต฿กและปิ้งยาง สไตลแอเมริกัน
Route to go: Castle Sant’ Angelo to Via Acciaioli [133]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
สะพานข๎ามจากวาติกันมาปราสาทซานตังเจโล
Ponte Sant’ Angelo
St. Michael
Via della Conciliazione [134]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 3: Vatican
Castle Sant’ Angelo
แถมท๎ายด๎วยบรรยากาศที่พัก M&J Hostel แบบรกๆ [135]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 4: Naples - Capri
วันที่ 4: Naples – Capri
[136]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 4: Naples - Capri
วันที่ 4 แลวจา วันนี้เปลี่ยนเมือง เปลี่ยนที่นอนดวย เพราะฉะนั้นเราตองตืน่ เชาขึ้นกวาเดิมอีก จัดการ เช็คเอาทแ ออกจากโฮสเทลเพื่อไปขึ้นรถไฟใหทันรอบ 7.35 น. จากโรมไปทางใตประมาณ 200 กิโลเมตรเพื่อไปยัง เมืองเนเปิลสแหรือนาโปลี (Naples; Napoli) แตจุดประสงคแจริงๆ ของการไปนาโปลีไมใชเที่ยวเมืองนี้หรอกนะ เรา ไปนาโปลีเพื่อไปหาที่นอน สวนที่เทีย่ วนั้น เราจะขึ้นเรือเฟอรแรี่ขามไปยังเกาะคาปรี (Capri) ที่อยูใกลกัน โปรแกรม วันนี้ชิลมากๆ ชมนก ชมไม ชมธรรมชาติทั้งวัน ขอพักสมองจากเรื่องวิชาการหนักๆ จาก 3 ติดในโรมซักหนอย เริ่มตนจากมุํงตรงไปยังเมืองนาโปลีแตํเช๎า ตามหาโรงแรมที่จองไว๎ ฝากกระเป๋า (เพราะยังไมํถึงเวลาเช็คอิน) จากนั้นหารถเมล์นั่งไปทําเรือเพื่อไปซื้อตั๋วเรือเฟอร์รี่ให๎ทันรอบที่มองไว๎ครําวๆ แล๎ว นั่งเรือข๎ามฟากไปเกาะ คาปรี เทีย่ วคาปรีทั้งวัน ทั้งฝั่งคาปรีและอนาคาปรี (Anacapri) ขึ้นกระเช๎าไปยังยอดเขาโซลาโร (Mount Solaro) บํายๆ ไปนั่งเรือลอดถ้้าเพื่อดูสีของน้้าทะเลที่ตกกระทบกับแสงแดดที่ลอดเข๎ามายังถ้า้ กรอตตา อัซซูรํา (Grotta Azzurra; Blue Grotta) จนถึงเย็นย่้าโนํนคํอยนั่งเรือข๎ามฟากกลับมายังนาโปลีเพื่อเข๎านอน รถไฟ Trenitalia ที่เราขึ้นจากโรมไปนาโปลีนี้ เราซื้อตั๋วลวงหนาแบบระบุวัน ระบุรอบและระบุที่นั่งจาก หนาเว็บการรถไฟอิตาลี http://www.trenitalia.com ตั้งแตอยูที่เมืองไทยในราคาคนละ EUR 9 (Super Economy Fare, no change, no refund) ภายในรถไฟปรับอากาศเย็นสบาย สะอาดสะอานและสะดวกสบาย มาก มีเตาเสียบสําหรับชารแจมือถือและคอมพิวเตอรแดวย แสนจะสบาย ระหวางเดินทางมีนายตรวจเดินมาตรวจตัว๋ ผูโดยสารทุกคนเพื่อความถูกตองและปลอดภัย รถไฟจากโรมเทียบชานชาลาที่นาโปลี สถานี Naples Centrale เวลา 8.45 น. งงๆ กับทางออกสถานีนิด หนอย เราอานเจอมากอนวานาโปลีนี้มีชื่อเสีย (เสียจริงๆ นะ ไมไดเขียนผิด) วาเป็นเมืองมาเฟียของอิตาลี เพราะฉะนั้นเราจึงตองระวังพวกมิจฉาชีพใหมากหนอย ซึ่งพอเราไดมากเห็นเมืองนี้จริงๆ พอเดินออกนอกหลังคา สถานีรถไฟปั๊บ ก็พอสัมผัสไดถึงความหมนๆ เทาๆ ของเมืองนี้ เนื่องจากเมืองดูเกาๆ โทรมๆ สัมผัสไดถึงความนา กลัวของบานเมืองนิดหนอย แตที่สําคัญคือเมืองนี้โทรมจริง แผนการเดินทางของเราคือตองไปฝากกระเปาและ เช็คอินที่โรงแรมที่จองมาไวกอนแลวคอยออกเทีย่ ว อยางที่บอกวาเมืองนี้ดูจะมีความปลอดภัยนอยหนอย เราจึง เลือกพักโรงแรมที่ปลอดภัยมากหนอยไวกอน เราเลือกโรงแรม Mercure Napoli Garibaldi http://www.accorhotels.com/gb/hotel-3243-ibis-styles-napoli-garibaldi-ex-mercure/index.shtml ดวยเหตุผล 1) โรงแรมอยูใกลสถานีรถไฟ สามารถเดินถึง 2) มาตรฐาน Mercure เป็นเครือโรงแรมที่เชื่อถือไดใน ความสะอาดและปลอดภัย มั่นใจกวาเลือกโฮสเทลโนเนมเหมือนที่เราชอบเลือกพักในเมืองกอนๆ 3) ราคารับได จากแผนที่ที่มี หันหนาออกจากสถานีรถไฟ Napoli Centrale ใหเดินไปทางซายจนเจอทางออก ซึ่งเป็น ถนน Piazza Garibaldi Giuseppe เลี้ยวซาย เดินเลียบฟุตบาทไปเจอซอยขางหนา ตรงปากซอยนี้จะเจอปูายให เลี้ยวไปโรงแรม Mercure ใหเลี้ยวขวาเดินตรงไป ซึ่งนี่คือถนน Via Giuseppe Pica (แตตรงปากทางเขามันไมเขียน ชื่อถนนนะ ดูจาก Google map ก็ไมเห็น ตองดูปูายบอกทางของโรงแรมแทน) เดินตรงไปประมาณ 150 เมตร (2 แยก) จะเจอถนน Via Giuseppe Ricardi ทางขวามือ เลี้ยวขวา เดินตรงไป 50 เมตร จะเห็นโรงแรมอยูทางซายมือ
[137]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
Bye Bye Roma Termini
วันที่ 4: Naples - Capri
Train to Napoli
นายตรวจรถไฟ
Route to go: Napoli Centrale to Mercure Napoli Garibaldi [138]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 4: Naples - Capri
เนื่องจากเรามาถึงนาโปลีเชามาก เช็คอินไดแตยังเขาหองไมได เราจึงทําไดแคฝากกระเปาไวกับทางโรงแรม แลวคอยไปลัลลา ออกจากโรงแรม เดินยอนกลับมาทางเดิมถึงหนาสถานีรถไฟ ดานหนาสถานีบนถนน Piazza Garibaldi Giuseppe จะมองเห็นทารถเมลแขนาดใหญ มีรถเมลแจอดเรียงรายมากมายและมีซุมขายตั๋วอยู เดินเขาไป ซื้อตั๋วรถเมลแกันเลย การเดินทางในนาโปลี (ข้อมูลจาก ใครๆ ก็ไปเที่ยวอิตาลีและ http://www.unicocampania.it) การเดินทางโดยระบบขนสงสาธารณะ (มีทั้งรถไฟเมโทร รถไฟเคเบิล รถไฟเอกชนทองถิ่นและรถเมลแ) ใน ภูมิภาคกัมปาเนีย (Campania) ซึ่งมีเมืองสําคัญๆ ไดแกนาโปลี ปอมเปอีและซอเรนโตนั้น สามารถใชตั๋วเดินทาง รวมกันไดทั้งหมด โดยมีองคแกร UNICOCAMPANIA Consortium รับหนาที่บริหารจัดการระบบจําหนายตั๋ว ตัว๋ เดินทางนั้นแบงเป็นหลายประเภทมาก มีทั้งที่สําหรับใชเดินทางภายในเมืองๆ เดียว และใชเดินทางระหวางเมือง ปัจจุบัน (2015) โดยตั๋วโดยสารทั้งหมดเรียกวา TIC (Ticket Integrated Campania) ในสวนของตั๋วที่ใชเดินทาง เฉพาะในนาโปลีมีรายละเอียดดังนี้ 1. Hourly ticket 1.5 EUR – ตั๋วเที่ยวเดียว ใชไดภายใน 90 นาทีหลังจาก validate ตั๋วครั้งแรก 2. Daily ticket 4.5 EUR – ตั๋ววัน ใชไดไมจํากัดจํานวนครั้งภายใน 1 วัน นอกจากนี้ยังมีตั๋วสัปดาหแ ตัว๋ เดือน ตั๋วปี ตั๋วสวนลดสําหรับนักเรียนและผูสูงอายุอกี มากมาย รายละเอียด เพิ่มเติมหาไดจาก http://www.unicocampania.it คะ การซื้อตั๋วก็เหมือนกับเมืองอื่นๆ ทั่วไปคือตองทําการซื้อตั๋วกอนขึ้นรถ โดยสามารถหาซื้อไดที่รานขายของ ชํา/แผงขายหนังสือพิมพแ (Tabacchi) เครื่องขายตั๋วอัตโนมัติที่สถานีเมโทรหรือปูายรถเมลแใหญๆ โดยกอนขึ้นรถทุก ประเภทในครั้งแรกที่เริ่มใชตั๋ว ตองทําการ validate กอน จุดมุงหมายของเราคือนั่งรถตรงไปยังทาเรือ Molo Beverello เพื่อจะนั่งเรือตอไปยังเกาะคาปรี (Capri) เราจึงเลือกซื้อตั๋วเที่ยวเดียว (hourly ticket) แลวเลือกขึ้นรถเมลแสายที่ผานศาลาวาการ (Municipio) หรือทาเรือ (port) ถาไมแนใจวาคันนี้ขับผานหรือไม ก็ใหใชความสามารถขั้นพื้นฐานนั่นคือภาษาใบถามเอากอนขึ้นรถเลยคะ เราก็ทํา พอถึงทาเรือ (มองเห็นแตไกลชัดเจน มีเรือเฟอรแรี่และเรืออีกสารพัดชนิดจอดเรียงรายอยู และมองเห็นน้ํา ทะเลอยูเบื้องหนา) ก็เตรียมลงรถเมลแไดคะ ที่ทาเรือ เราจะมองเห็นเคาทแเตอรแขายตั๋วหลากหลายยี่หออยูดา นหนา เลย ทั้งนี้เราไดเตรียมตัวหาชอมูลรอบเดินเรือมากอนลวงหนาแลวผาน http://www.capri.com/en/ferryschedule แนะนําวาเป็นสิ่งที่ควรเตรียมตัวมากอนคะ พอถึงหนางานจะไดไมมึนตึ๊บมาก เวลาในเว็บไซตแกับหนา เคาทแเตอรแมีคลาดเคลื่อนนิดหนอย แตกพ็ อรับได การเดินทางจากนาโปลีไปยังเกาะคาปรีนั้น ทําไดโดยการขึ้นเรือขามฟากจากทาเรือ Molo Beverello หรือทาเรือ Molo Calata di Massa โดยเรือขามฟากนั้นมีหลายประเภทหลายความเร็ว แนนอนวาเราเลือกรอบที่ เป็นเรือดวนเฟอรแรี่ (high speed ferry) หรือเรือไฮโดรฟอยลแ (hydrofoil) ไวกอน เพือ่ ประหยัดเวลา สําหรับเรือ hydrofoil จะใชเวลาเดินทางจากทาเรือ Molo Beverello ไปถึงทาเรือ Marina Grande ของเกาะคาปรีประมาณ 50 นาที เราเลือกรอบ 11.35 น. ราคา 18 EUR ซื้อตั๋วเฉพาะขาไปอยางเดียวกอน เวลาเดินไปเคาทแเตอรแซื้อตั๋ว เลือกชองใหถูกบริษัทนะคะ แตละชองเป็นของแตละบริษัทคะ ตอแถวผิด เสียใจเสียเวลาสุดๆ คะ คิวยาวทีเดียว [139]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 4: Naples - Capri
แผนที่ระบบขนสํงสาธารณะในนาโปลี (Naples Integrated Transport Network Map) [140]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 4: Naples - Capri
แผนที่ระบบขนสํงสาธารณะในนาโปลี (Naples Integrated Transport Network Map) [141]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
แผนที่แบบขยายในสํวนของฝั่งสถานีรถไฟถึงทําเรือ Molo Beverello
วันที่ 4: Naples - Capri
[142]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
แผนที่แบบขยายในสํวนของฝั่งสถานีรถไฟถึงทําเรือ Molo Beverello
วันที่ 4: Naples - Capri
[143]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 4: Naples - Capri
ระหวางนั้นมีเวลาเหลือ เราเลยไปเดินเลนบริเวณใกลๆ แถวนั้น เริ่มจากแกลอเรีย อุมแบร์โต (Galleria Umberto I) ซึ่งเป็นอาคารขนาดใหญ สถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิก มียอดโดมอยูตรงกลางและเพดานทําจาก แกว จึงมีแสงสวางสองลงมาถึงภายในอาคาร ดานในมีรานคาโดยรอบ ตรงกลางเป็นโถงขนาดใหญ มีศิลปินเปิด หมวกมาแสดงใหชมกัน อยางวันที่เราไปก็มีคนหนาขาว (ไมขาวสิ จากรูป หนาทองซะขนาดนั้น) แตงตัวแบบสมัย โบราณ มายืนนิ่งๆ เปิดหมวกแสดงอยูก ลางโถงเลย เราถือโอกาสนั่งพักกินขนม ไอติม กาแฟและปั๊มนมที่รานคาเฟุ หนึ่งในอาคารนี้ ระหวางนั้นก็มีคนมาเลนไวโอลินขอตังคแซะดวย พริ้มเลย ปั๊มนมไปฟังไวโอลินไป... แตไมไดแอมเงิน ชั้นนะฮะ พอดีเอาตังคแไปใหคุณผูหญิงหนาทองซะกอนแลว หมดโควตา ขากลับไปที่ทาเรือ เราผานคาสเตลโล นูโอ โว (Castelo Nuovo) ซึ่งแรกเริ่มถูกสรางเป็นปราสาทริมทะเลและศูนยแการปกครอง ปัจจุบันเป็นศาลาวาการเมือง นาโปลี (Municipio)
Galleria Umberto I
Castelo Nuovo
[144]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 4: Naples - Capri
เมื่อกลับมาที่ทาเรือ Molo Beverello เพื่อรอขึ้นเรือ รอบของเราออกเลทนิดหนอย ไมมาก เรือ hydrofoil ที่เรานั่งเป็นเรือโดยสารขนาดใหญมาก มี 2 ชั้น เราเลือกที่นั่งติดหนาตาง ทําใหระหวางเรือแลนสามารถ มองเห็นภูเขาไฟวิซูเวียสทางซายมือไดอยางถนัดตา
บรรยากาศทําเรือ Molo Beverello
[145]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 4: Naples - Capri
ภูเขาไฟวิซูเวียส (มองจากบนเรือ)
บรรยากาศบนเรือ hydrofoil ข๎ามฟากไปเกาะคาปรี
เรือ hydrofoil พาเราขามฝั่งจากนาโปลีมาถึงทําเรือมารีนํา แกรนเด (Marina Grande) ของเกาะคาปรี ใชเวลาประมาณ 50 นาที ขณะที่เรือกําลังเขาใกลฝั่งคาปรี เราก็มองเห็นวิวทิวทัศนแที่ทําใหดวงตาเราเป็นประกาย วิวทิวทัศนแที่ชา งแตกตางจากฝั่งที่เราขึ้นเรือมา เบื้องหนาคือทาเรือหลักของเกาะคาปรี ในวันที่อากาศและทองฟู าสุด แสนจะเป็นใจ ทองฟูาสีฟูาสดใส แดดจัด น้ําทะเลสีเขียวมรกต เรือลํานอยใหญจอดเรียงรายรอบทาเรือ มองขึ้นไป บนตัวเกาะจะเป็นภูเขาสีเขียวซึ่งมีบานเรือนสีขาวปลูกลดหลั่นกันตามเนินเขา... โอยยๆๆ นี่ขนาดยังไมลงจากเรือ ยัง เคลิ้มขนาดนี้ เกาะคาปรี (Capri) ตั้งอยูในอาวเนเปิลสแ (Gulf of Naples) ซึ่งเป็นสวนหนึ่งในทะเลติรแเรเนียน (Tyrrhenian sea) ทางทิศใตของเมืองนาโปลี เป็นเกาะที่มีชื่อเสียงเรื่องสถานที่พักตากอากาศ (ของคนรวย) บน เกาะจึงเต็มไปดวยที่พกั สุดหรู รานอาหารบรรยากาศเริ่ด รานคาแฟชั่นแบรนดแเนมและรานขายของที่ระลึกเต็มไป หมด เกาะคาปรีประกอบดวย 2 เมืองใหญคือคาปรีและอนาคาปรี (Anacapri) ซึ่งหมายถึงเหนือคาปรีขึ้นไป ดังนั้น ฝั่งอนาคาปรีจึงตั้งอยูบนภูเขาสูงดานฝั่งตะวันตกของฝั่งคาปรี ทาเรือมารีนา แกรนเดซึ่งเป็นทาเรือหลักของเกาะ ตั้งอยูที่ฝั่งคาปรี ดังนั้นเมื่อเรือจอดเทียบทา เราจึงจะเดินเที่ยวในฝั่งคาปรีนี้กอน แลวจึงจะนั่งรถเมลแขึ้นเขาขามไปยัง ฝั่งอนาคาปรีตอไป [146]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 4: Naples - Capri
การเดินทางในเกาะคาปรี (ขอมูลจาก http://www.capri.com/en/getting-around) วิธีการเดินทางรอบเกาะคาปรีที่นิยมกันขึ้นอยูกบั บริเวณที่จะไปเที่ยวดังนี้ - จากทาเรือมารีนา แกรนเดไปตัวเมืองคาปรี: ใชกระเชาไฟฟูา (funicular railway) ใชเวลาประมาณ 3 นาที กระเชาไฟฟูาออกทุกประมาณ 15 นาที ขึ้นกับชวงเวลา ตารางเวลาอัพเดทดูไดที่เว็บไซตแดานบน - จากฝั่งคาปรีไปฝั่งอนาคาปรี: รถเมลแ - เที่ยวในตัวเมืองคาปรีและอนาคาปรี: เมืองเล็กนิดเดียว สะดวกที่สุดคือเดินๆๆ เพราะฉะนั้น พอเราลงจากเรือ เดินตามนักทองเที่ยวคนอื่นๆ ไปตามสะพานจากทาเรือเขาสูฝั่ง พอถึงฝั่งก็ เดินไปหาเคาทแเตอรแขายตั๋วขึ้นกระเชาไฟฟูาเพื่อจะขึ้นไปตัวเมืองคาปรี จากบนฝั่งคาปรี ใหเลี้ยวขวา เดินตรงไปจะ เห็นเคาทแเตอรแขายตั๋วขนาดใหญอยูทางขวามือ (มีทั้งขายตั๋วเรือขามฟากและตัว๋ กระเชาไฟฟูาอยูติดกัน) สําหรับชอง ขายตั๋วกระเชาไฟฟูาจะเขียนวา Biglietteria Funicolare (Ticket Funicular) ราคาตั๋วใบละ 1.8 EUR จากนั้นเดิน ยอนกลับไปทางเดิม เงยหนามองขึ้นไปบนๆ ดานขวา จะเห็นทางขึ้นกระเชาไฟฟูา มีปูายเขียนวาปูาย Funicular เป็นหลังคาโคง ใหเดินขึ้นไปตามทางเลย ในชวงเวลาที่นักทองเที่ยวมาก กระเชาไฟฟูา 1 รอบ (1 รอบมีหลาย กระเชา) อาจจุคนไดไมหมด ก็ตองตอแถวรอรอบตอไปกัน ยังไงเผื่อเวลากันไวดวย รอบของเราก็คนแนนใชไดเลย ยังดีที่จุไดหมด [147]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 4: Naples - Capri
แผนที่เกาะคาปรี - ฝั่งคาปรี
[148]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 4: Naples - Capri
แผนที่เกาะคาปรี - ฝั่งอนาคาปรี
[149]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 4: Naples - Capri
บรรยากาศระหวํางขึ้นกระเช๎าไฟฟ้า (Funicular railway) [150]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 4: Naples - Capri
กระเชาไฟฟูาพาเราขึ้นสูตัวเมืองคาปรีมาจอดที่ปิอัซซาอุมแบรแโต หรือปิอาเซตตา (Piazza Umberto I; Piazzetta) ซึ่งเป็นจัตุรัสใจกลางเมืองคาปรี มีหอนาฬิกาและลานกวางเหมาะสําหรับเป็นแหลงนัดพบและจุดชมวิว เพราะจากตรงนี้เราสามารถมองเห็นเกาะคาปรีจากมุมสูงไดทั่ว สวยมากๆ เลย ขางๆ หอนาฬิกาเป็นเคาทแเตอรแขาย ตั๋วกระเชาไฟฟูา รอบๆ จัตุรัสเต็มไปดวยรานคาและคาเฟุนา รักๆ มากมาย ชม ชิม ชอป ชิลๆ ที่นี่ไดครบหมด
Piazza Umberto I บนฝั่งคาปรี
เราเดินสํารวจรอบเมืองคาปรีโดยไมตองดูแผนที่ เอาแควาใหกลับมาตั้งหลักทีป่ ิอัซซาอุมแบรแโตใหไดเป็น พอ ทั้งเมืองคาปรีที่เราเดินผานมีแตรานคา รานอาหารอยูตามทุกตรอกซอกซอยเต็มไปหมด รานคาสวนใหญเป็น รานขายสินคาแบรนดแเนม รานอาหารก็มีสวนทั้งที่เป็น indoor และ outdoor สีสันของอาคารบนเกาะเนนสีขาว เป็นหลักแซมดวยสีเหลืองบาง บรรยากาศที่นี่ทําเอาเคลิ้มมาก คราวหนาตองยอมกระเปาหนักควักตังคแมานอนที่นี่ สักคืน [151]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 4: Naples - Capri
รอบๆ เกาะคาปรี (ฝั่งคาปรี)
[152]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 4: Naples - Capri
โรงแรมและร๎านอาหารหรูทั่วเกาะ
น้้าเลมอนซักหนํอยกํอนเดินทางตํอ
[153]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 4: Naples - Capri
แผนที่เกาะคาปรี – ฝั่งคาปรี (แบบขยาย)
เราใชเวลาเกือบ 2 ชั่วโมง เดินรอบฝัง่ คาปรีจนพอใจ ก็ไดเวลาขึ้นรถเมลแไปที่ฝั่งอนาคาปรีกันตอ เพราะ สถานที่ทองเที่ยวสวยๆ หลายทีบ่ นเกาะคาปรีจะอยูที่ฝั่งนี้นั่นเอง ทารถเมลแ (รถมินิบัส) ฝั่งคาปรีอยูที่ปิอัซซามารแติรี่ ดีอังเกอเรีย (Piazza Martiri d'Ungheria) อานถูกไหมเนี่ย บนถนนเวียโรมา (Via Roma) ใกลกับปิอัซซาอุมแบรแโต หรือจุดที่กระเชาไฟฟูาลงจอด (ดูแผนทีด่ านบนประกอบ) คารถมีทั้งแบบเทีย่ วเดียว 1.8 EUR ตั๋วชั่วโมง 2.7 EUR และตั๋ววัน 8.6 EUR (โห!! ตั๋ววันแพงโคตร ใครมันจะขึ้นรถทั้งวัน ไมตองเที่ยวละ) เราซื้อตั๋วแบบเที่ยวเดียว ที่ทา รถ จะมีตารางเวลารถเมลแอยู หรือสามารถโหลดเก็บไวดูไดจากเว็บไซตแนี้อีกเชนเคย http://www.capritourism.com/imgg/download/bus_capri_atc_orario.pdf โดยปกติรถจะออกทุก 15-20 นาที ขึ้นกับชวงเวลาและฤดูทองเที่ยว ระหวางทางที่รถเมลแพาเราขึ้นเขามุงสูอนาคาปรี เราก็ไดพบกับบรรยากาศสวยๆ ของเกาะคาปรีจากมุมสูง มองเห็นบานเรือนสีขาวที่ปลูกลดหลั่นกันตามเชิงเขา โดยมีฉากหลังเป็นน้ําทะเลสีฟูาครามกวางใหญไพศาลและ ทองฟูาสีสวางสดใสจากแสงของดวงอาทิตยแ ชางเป็นภาพที่นาประทับใจมาก นั่งชมนกชมไมชมวิวสองขางทางอยาง เพลิดเพลินประหนึ่งกําลังเลนมิวสิควิดีโอ
[154]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 4: Naples - Capri
วิวทิวทัศน์ของเกาะคาปรีระหวํางนั่งรถเมล์ไปฝั่งอนาคาปรี
[155]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 4: Naples - Capri
แผนที่เกาะคาปรี – ฝั่งอนาคาปรี (แบบขยาย)
ประมาณ 10 นาทีเทานั้น รถเมลแก็พาเราขามจากฝั่งคาปรีมาจอดปูายที่ฝั่งอนาคาปรีบริเวณปิอัซซาวิตโต เรีย (Piazza Vittoria) เราถึงอนาคาปรีประมาณ 14.00 น. พอลงจากรถก็เห็นรานขายของที่ระลึกมากมาย หนึ่งใน ของที่ระลึกที่เราเห็นจนชินตาทั้งที่คาปรีและที่โรมก็คือหุนไมพินอคคิโอ (Pinocchio) ไมรูมากอนเลยนะเนี่ยวาเจา หุนไมมีตนกําเนิดที่อิตาลี
ถึงแล๎ว อนาคาปรี
หุํนไม๎พินอคคิโอ ต๎นก้าเนิดจากอิตาลี [156]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 4: Naples - Capri
ที่อนาคาปรีนี้ สถานที่แรกที่เราจะไปเทีย่ วก็คือภูเขาโซลาโร (Mount Solaro; Monte Solaro) ซึ่งเป็น จุดชมวิวที่สูงที่สุดและสวยที่สุดบนเกาะคาปรี มีความสูงจากระดับน้ําทะเล 589 เมตร วิธีเดินทางสูยอดเขาโซลาโรที่ งายที่สุดนั้นทําไดโดยนั่งกระเชาขึ้นไป แตกระเชาขึ้นเขาโซลาโรนั้นไมธรรมดา หวาดเสียวเล็กนอยถึงหวาดเสียวมาก สําหรับคนกลัวความสูง ขนาดเราไมกลัวความสูงยังอดเสียวไมได แตก็มันมาก ชอบมากๆ กระเชาขึ้นยอดเขาโซลาโร นั้นเรียกวา Chairlift เป็นกระเชาเกาอี้ นั่งไดเพียง 1 คน กระเชาเปลือยเปลาไรซึ่งกระจกกั้น ตั้งใจใหคนนั่งสัมผัส ธรรมชาติแบบสุดๆ มีเพียงที่กั้นกันตกดานหนาใหจบั เทานั้น เวลานั่งก็นั่งหอยขาตองแตงแกวงกับอากาศแสนจะ เพลิน ตั๋วขึ้นกระเชาซื้อไดที่จุดขายตั๋วบริเวณทางขึ้นกระเชา (เขียนวา Seggeovia Monte Solaro) ราคาตั๋วไปกลับคนละ 10 EUR
ทางขึ้น Mount Solaro
Chairlift to Mount Solaro
ระยะเวลา 12 นาทีบนกระเชาขึ้นเขาโซลาโร ทั้งเสียว ทั้งสูง แตวิวที่มองเห็นเบื้องหนานั้นทั้งสวยและสดใส สดชื่นมากมาย บนยอดเขามีจุดชมวิวสวยๆ อยูหลายจุด มีรานอาหารเล็กๆ ไวคอยบริการนักทองเที่ยว วิวสวยฟูาใส ขนาดนี้ เราก็ไมพลาดทีจ่ ะหาที่นั่งหลบมุมเล็กๆ ไวปฏิบัติการปั๊มนมเพื่อนองพลับอีกเชนเคย เวลาเปิด: ทุกวัน มี.ค. – ต.ค. เวลา 9.30 – 17.30 น. พ.ย. – ก.พ. เวลา 10.30 – 15.00 น. คาตั๋วขึ้น กระเชาไป-กลับ 10 EUR เที่ยวเดียว 7 EUR
[157]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 4: Naples - Capri
On the way to Mount Solaro
[158]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 4: Naples - Capri
View points at Mount Solaro
[159]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 4: Naples - Capri
เมื่อเดินชมวิวบนภูเขาโซลาโรจนอิ่มแลว (จริงๆ ไมอิ่มเลยนะ หิวขาวมากกก) ก็ไดเวลาเดินทางกันตอ เรา นั่งกระเชากลับลงมาที่ดานลางที่ปิอัซซาวิตโตเรียอีกครั้งตอน 15.30 น. เพื่อจะเดินทางไปยังจุดหมายตอไปนั่นคือ การไปชมน้ําทะเลสีฟูาสดที่ตกกระทบกับแสงอาทิตยแจนเกิดประกายระยิบระยับในถ้้าสีน้าเงินหรือกรอตตา อัซซูราํ (Grotta Azzurra; Blue Grotto) จากปูายรถเมลแที่ปิอัซซาวิตโตเรีย ใหเดินขึ้นตามทางที่รถเมลแผานไปอีกนิด เดียวจะเจอจุดจอดรถเมลแเพื่อไปยังกรอตตา อัซซูรา ซื้อตั๋วขึ้นรถ ใชเวลาไมนานเราก็ถึงจุดหมาย มีเพื่อนผูโดยสารที่ รวมเดินทางรถเมลแคันเดียวกับเราไปลงที่ปูายกรอตตา อัซซูรา 3-4 คน... แตแลวเหตุการณแไมคาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อ เราพบวา เรือลําสุดทายที่จะออกไปถ้าํ นั้นเพิ่งออกไปเมื่อสักครูนี้เอง เห็นแบบลับสายตาลิบๆ อยูนูนไง ฮือๆๆๆ #รองไหหนักมาก จริงๆ ณ จุดนั้น ถามไปถามมาวาทําไมเรือหมดเร็วจัง คนแถวนั้นก็อธิบายวาเพราะวาวันนี้แดด หมดเร็ว ซึ่งการจะไปดูความสวยงามของแสงตกกระทบกับน้าํ ทะเลภายในถ้ํานั้น แนนอนวาจําเป็นตองอาศัยแสง จากดวงอาทิตยแเป็นตัวแปรสําคัญ ดังนัน้ ถาแดดไมดีแลว เรือก็จะไมออก เพราะเมื่อเขาไปในถ้ําแลวก็จะมองไมเห็น อะไร ฮือๆๆ รองไหอีกรอบ เสียใจอยางสุดซึ้ง โปรแกรมนี้เป็นหนึ่งในไฮไลทแที่เราคาดหวังจากทริปอิตาลีนี้เลยนะเนี่ย #เศราแพรบ เมื่อไมไดเห็นของจริง ก็คงตองอาศัยรูปของคนอื่นโพสตแแปะไวดูตางหนาแทนละกัน คราวหนาตอง กลับมาแกมือใหได Grotta Azzurra หรือ Blue Grotta เป็นถ้ําธรรมชาติ ยาว 60 เมตร กวาง 25 เมตร ปากถ้ํามีความกวาง เพียง 2 เมตรและสูงเพียงประมาณ 1 เมตร ดังนั้นการจะเขากรอตตา อัซซูรานั้นจะตองนั่งเรือพายลําเล็กๆ ที่ [160]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 4: Naples - Capri
บรรทุกคนไดมากสุดเพียง 4 คน และเนื่องจากปากถ้าํ เตี้ยมาก เราจะตองนอนขนานไปกับทองเรือเพื่อใหฝีพายพา เราลอดถ้ําเขาไป เวลาเปิด: ทุกวัน 9.00 – 17.00 น. แตขึ้นกับสภาพอากาศเป็นสําคัญ ฟูาเปิด-ปิด น้ําขึ้น-ลง คลื่นลมแรง คาเขาชม 13 EUR (แพงมาก เพราะเขาถือวาที่นี่เป็นสถานที่ทอ งเที่ยวทางวัฒนธรรม คาเขาชมจึงมีราคาเทียบเทา กับคาเขาชมพิพิธภัณฑแ)
Grotta Azzurra (ภาพจาก www.capri.com)
หลังจากผิดหวังจากการอดดูกรอตตา อัซซูรา เรานั่งรถเมลแคันเดิมกลับมาที่ทารถเมลแของอนาคาปรีอีกครั้ง เปลี่ยนแผนเที่ยวจากเวลาที่เหลืออยู โดยจะไปเที่ยววิลลาซานมิเกเล (Villa San Michele) แทน วิธกี ารไปวิลลา แหงนี้ งายๆ เลยคะ เดินเทาเอา ที่ทารถเมลแที่กลับมาจากกรอตตา อัซซูรา ใหเดินกลับมาที่ปูายรถเมลแหนาปิอัซซา วิตโตเรีย เดินขึ้นบันได (ทางเดียวกับที่ไปภูเขาโซลาโร – ซึ่งจุดขายตั๋วจะอยูทางขวา) จากนั้นเลี้ยวซาย เดินตรงตาม ทางไปเรื่อยๆ มีปาู ยบอกตลอดทางวาไปวิลลา ซาน มิเกล ระหวางทางจะเจอรานรวงขายของฝาก ของใชที่เหมือนๆ กันทุกรานนั่นคือพวกเครื่องแกว งานศิลปะบนกระเบื้อง น้าํ เลมอน งานปักผาสําหรับเอาไปใชเป็น accessories ใน งานครัวเชน ผากันเปื้อน ที่รองจานรองแกว สีสันของรานเหลานี้ก็จะเป็นตัวตึกสีขาว สวนการตกแตงก็เป็นสีขาว สลับเหลืองเลมอน นารักมากๆ ดูหรู ดูแพง
[161]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 4: Naples - Capri
ระหวํางทางไปวิลลําซานมิเกเล
เดินมาประมาณ 200 เมตร เราก็ถึงวิลลําซานมิเกเล (Villa San Michele) วิลลาหลังงามที่สรางขึ้น ตั้งแตชวงกอนปี 1900 เดิมเป็นบานของชางไมและเป็นซากโบสถแเกา เจาของวิลลาซึ่งเป็นนายแพทยแและนักเขียน ชาวสวีดิชชื่อแอกเซล มันเธ (Axel Munthe) ไดใหชื่อวิลลาซานมิเกเลนี้ตามชื่อโบสถแเดิม (San Michele; St. Michael) วิลลาซานมิเกเลเป็นวิลลาที่มีลูกเลนหลายระดับ ชั้นลางสุดเป็นหองครัวและหองรับประทานอาหาร ถัดมา ชั้นบนเป็นหองทํางานและหองนอน มีระเบียงเรือนกลวยไมที่ทอดเป็นวงโคงออกไปดานนอกอาคาร ทําใหสามารถ มองเห็นวิวทิวทัศนแของอาวเนเปิลสแไดอยางสวยสดงดงาม ในวิลลามีประติมากรรมโบราณที่คุณหมอมันเธสะสมไว มากมาย มีทั้งที่ไดมาจากในคาปรี อนาคาปรีและที่อื่นเชน ชิ้นสวนของโลงหินฝังศพ รูปสลักครึ่งตัว ทางเดินสมัย โรมัน หินออนและเสาคอลัมนแเป็นตน ภายในสวนดอกไมในวิลลาจะมีหลุมฝังศพสมัยกรีกตั้งอยู และยังมีรูปปั้น สฟิ้งซแทําจากหินแกรนิตอยูที่ระเบียงดานนอก ซึ่งถายืนตรงจุดนี้จะมองเห็นเกาะคาปรีไดทั่วทั้งหมด คุณหมอมันเธหลงรักเกาะคาปรีมาก เขาใชชีวิตอยูที่นี่มากกวา 56 ปี กอนที่เกาะคาปรีจะเป็นที่นิยมของ นักทองเที่ยวทั่วไปและนักทองเที่ยวกระเปาหนักเสียอีก ปัจจุบันนีว้ ิลลาซานมิเกเลและกรอตตา อัซซูราเป็นสถานที่ ทองเที่ยวในเกาะคาปรีที่นกั ทองเที่ยวใหความนิยมมากที่สุด คุณหมอมันเธแบงปันความหลงใหลในเสียงเพลง สัตวแ และธรรมชาติรวมกับสมเด็จพระราชินวี คิ ตอเรียแหงสวีเดน ซึ่งพระองคแเสด็จมาพํานักที่เกาะคาปรีเป็นเวลานานเพื่อ รักษาพระวรกาย นอกจากนี้คุณหมอมันเธยังมีความหวงใยเกี่ยวกับปริมาณนกบนเกาะคาปรี ซึ่งถูกยิงตายเป็น จํานวนมาก คุณหมอจึงซื้อที่ดินบนภูเขาบารแบารอสซาเพือ่ ใชเป็นสถานที่อาศัยสําหรับนกอพยพ (ข้อมูลทั้งหมดจาก
[162]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 4: Naples - Capri
www.capri.com) สามารถอานเรื่องราวประวัติของวิลลาซานมิเกเลไดจากหนังสือ The Story of San Michele ซึ่งคุณหมอมันเธเป็นผูเขียนเอง ปัจจุบันไดรับการแปลเป็นภาษาตางๆ กวา 45 ภาษาทัว่ โลก
ภายในวิลลําซานมิเกเล
คุณหมอ Axel Munthe เจ๎าของวิลลํา
ภายในวิลลําซานมิเกเล [163]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 4: Naples - Capri
วิวอําวเนเปิลส์มองจากวิลลําซานมิเกเล [164]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 4: Naples - Capri
เวลาเปิด: ทุกวัน 9.00 น. ถึงกอนพระอาทิตยแตกดิน 1 ชั่วโมง คาเขาชม (ปี 2015) 7 EUR ตอนที่เราไปปี 2012 อยูที่ 6 EUR
เก็บตกบรรยากาศ Piazza Vittoria ป้ายรถเมล์หลักที่ฝั่งอนาคาปรี
เราออกจากวิลลาซานมิเกเลประมาณ 5 โมงเย็น โดยเดินกลับมารอรถเมลแที่ปูายเพื่อขึ้นรถตรงกลับไป ทาเรือมารีนา แกรนเด (เป็นรถจากอนาคาปรี ปลายทางมารีนา แกรนเด ไมแวะฝั่งเมืองคาปรี) จากนั้นซื้อตั๋วเรือ hydrofoil รอบ 18.10 น. นั่งเรือกลับไปถึงทาเรือ Naples Molo Beverello ประมาณ 19.00 น. (ปั๊มนมบนเรือ ดวย) ที่ทาเรือ เรารอรถเมลแเพื่อนั่งกลับไปที่สถานีรถไฟ Naples Centrale แลวเดินกลับที่พักตอ... จะบอกวารถเมลแ ขากลับนี่เราแอบไมไดซื้อตั๋วดวย เพราะวาหาที่ขายตั๋วไมเจอจริงๆ ตอนนั้นมันมืดมาก ชองขายตั๋วอยูไหนก็มองไม เห็น รอรถก็นานแสนนาน ไมมีคันที่จะผานแถว Garibaldi (ถนนหนาสถานีรถไฟ) เลยซักที เลยตัดสินใจแอบขึ้น แบบเนียนๆ วัดดวงเอา ถาโดนจับไดก็ซื้อตั๋วบนรถนั่นละ โชคดีที่ไมโดนสุมตรวจ เลยไดนั่งรถเมลแฟรีรอบนึง ขากลับ กอนเขาโรงแรม เราแวะหาของกินมือ้ ค่ําที่แมคโดนัลดแสถานีรถไฟ คอยอยูทอ งหนอย วันนี้ไสแหงมาทั้งวันจริงๆ คืนนี้นอนหลับฝันดี ฝันวาไดไปนอนที่เกาะคาปรี... ฮาฮาฮา (ทํานองเพลงเจาชายนิทราของวงอีทีซีลอยมา ... ขมตานอนหลับไวชวั่ นิรันดรแ อยาใหฉนั ไดตื่นเลย...)
[165]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 5: Florence
วันที่ 5: Florence
[166]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 5: Florence
เขาสูเชาวันที่ 5 ของการเดินทาง แนนอนเรายังคงตองตื่นกันแตเชา แบกสัมภาระไปขึ้นรถไฟเพื่อเปลี่ยน เมืองเที่ยวและเปลี่ยนที่พกั หลังจากเที่ยวแบบชิลๆ เนนธรรมชาติ ไมเนนประวัติศาสตรแและวัฒนธรรม เชานี้เราตอง กลับเขาสูโหมดวิชาการอีกครั้งกับการไปเที่ยวเมืองฟลอเรนซแหรือฟิเรนเซในภาษาอิตาเลียน (Florence; Firenze) หลังจากเช็คเอาทแออกจากโรงแรมแตเชาตรู เราลากกระเปากลับไปที่สถานีรถไฟ Naples Centrale นั่งรถไฟรอบ 7.20 น. มุงหนาขึ้นเหนือไปยังฟลอเรนซแ ถึงสถานีรถไฟ Florence Santa Maria Novella (Florence S.M.N.) เวลา 10.17 น. โปรแกรมการเทีย่ วฟลอเรนซ์ในวันนี้ จะเป็นการเดินเท๎าทั้งหมด โดยหลังจากเช็คอินที่พักแล๎ว เราจะไปเดินเลํนในเมืองฟลอเรนซ์กัน เริ่มต๎นจากตลาดกลาง Mercato Centrale และโบสถ์รอบๆ นั้น ตอน เที่ยงเดินตํอไปหอพิธีศีลจุํมบัตติสเตโร (Battistero) ตํอด๎วยดูโอโมสุดอลังการ หนึ่งในสัญลักษณ์สา้ คัญของ ฟลอเรนซ์ เสร็จแล๎วเดินขึ้นบันไดอีก 414 ขั้น ที่หอระฆังกัมปานิเล (Campanile) ที่อยูํข๎างๆ กัน เพื่อขึ้นไปชม ความงามของเมืองฟลอเรนซ์บนยอดหอระฆัง ชํวงบํายแกํๆ 16.45 น. เรามีนัดกับเดวิดตัวจริง เสียงจริงที่หอ ศิลป์อคั คาเดเมีย (Galleria Accademia) เทานี้ก็เป็นอันจบโปรแกรมในวันนี้ เหนื่อยแนๆ สูตอไป ฮึบๆ ที่พักตลอด 3 คืนในฟลอเรนซแของเราคือ Hostel Archi Rossi http://www.hostelarchirossi.com/ โฮสเทลยอดฮิตในฟลอเรนซแของ backpacker วิธกี ารไปโฮลเทลนี้ไมยากเลย ลงจากรถไฟ เดินเขามาในตัวสถานี เลี้ยวซายเดินตรงไปยังทางออกสถานี จะเจอ Piazza della Stazione ขามทางมาลายเพื่อไปอีกฝั่ง จากนั้นใหเลี้ยว ซาย เดินตรงขึ้นไปจนเจอแยกที่ตัดกับถนน Via Valfonda ใหเลี้ยวขวา จะเขาสูถนน Via Bernardo Cennini เดิน ตรงไปเรื่อยๆ จนเจอถนน Via Faenza เลี้ยวขวา จะเจอปูายโฮสเทลอยูท างซายมือ โฮลเทลนี้เป็นที่นิยมของ นักทองเที่ยว backpacker โดยแท เพราะโฮสเทลเองก็จัดการความสะดวกทุกอยางเพื่อรองรับความตองการของ นักทองเที่ยวประเภทนีจ้ ริงๆ ทั้งรูปแบบหองพักที่มีใหเลือกหลายแบบ มีหอ งฝากกระเปา คอมพิวเตอรแ อินเตอรแเน็ต (ฟรี) และหองอาหารราคาประหยัด บางเสารแมี free pasta ดวย เราจัดการเช็คอิน ฝากกระเปาที่หอ งฝากกระเปา (locker room) แลวก็ออกทองฟลอเรนซแกันเลย
Route to go: Florence S.M.N. to Hostel Archi Rossi
[167]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 5: Florence
แผนที่เมืองฟลอเรนซ์ Credit: www.mapaplan.com
[168]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 5: Florence
แผนที่เมืองฟลอเรนซ์ Credit: www.mapaplan.com
[169]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 5: Florence
Hostel Archi Rossi, Florence
ฟลอเรนซแเป็นเมืองหลวงของแควนทัสคานี (Tuscany) อยูทางตอนกลางของประเทศอิตาลี จุดเดนของ ภูมิภาคนี้อยูที่การเป็นภูมิภาคที่มีทิวทัศนแของเทือกสวนไรนาและขุนเขาที่สวยงามที่สุด นอกจากนี้หลายเมืองใน แควนนี้ยังมีประวัติศาสตรแทางดานศิลปะและวัฒนธรรมอันยาวนาน ไดรับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอีกนับไม ถวน ควรคาแกการเยีย่ มชมเป็นอยางยิ่ง ซึ่งสวนสําคัญนาจะมาจากที่แควนนี้เป็นบานเกิดของยอดศิลปินและ อัจฉริยะของโลกในหลากหลายสาขาดังเชนลีโอนารแโด ดา วินชี มิเคลันเจโล กาลิเลโอ บอตติเชลลี ราฟาเอล คา ราวัจโจ ทิเชียน และดังเตเป็นตน โดยตลอด 3 วันครึ่งกับ 3 คืนเต็มที่เรามาพักที่ฟลอเรนซแ เราจะออกไปเที่ยวใน เมืองอื่นๆ ใกลๆ ในภูมภิ าคนี้อีก 3 เมืองดวยกันนั่นคือซาน จิมิญาโน (San Gimignano) ซีเอนา (Siena) และปิซา (Pisa)
[170]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 5: Florence
วิธีการเดินทางในฟลอเรนซแที่ทําไดงายที่สุดคือการเดินเทา เพราะสถานที่ทองเที่ยวสําคัญลวนแตอยูในตัว เมือง บางที่อาจจะไกลออกไปสักหนอย ก็ใชบริการรถเมลแแทน จากโฮสเทล เรามุงหนาไปตลาดกลางแมร์กาโต เซ็นทราเล (Mercato Centrale) ซึ่งเป็นตลาดเปิด สองขางทางเต็มไปดวยรานขายของที่ระลึกเป็นสวนใหญ มีทั้งเครื่องหนังจําพวกกระเปา รองเทา เสื้อผา magnet ติดตูเย็น หนากากแฟนซีสําหรับงานคารแนิวัลในเมืองเวนิส ที่ตลาดนี้เราไดของฝากสุดนารักใหนองพลับดวย เป็นผากันเปือ้ นเด็กนอย ทําจากผาปักรูปหมานอย พรอมกับปักชือ่ นองพลับ Plub ที่คุณปูาเจาของรานรับปักใหสดๆ ตามตองการ สนนราคา 10 EUR แพงเอาเรื่องทีเดียว
Ristorante Buca Niccolini
แผนที่สถานที่ทํองเที่ยวในฟลอเรนซ์ส้าหรับวันที่ 5
ปลายสุดของตลาดแมรแกาโต เซ็นทราเลคือที่ตั้งของโบสถ์ซานลอเรนโซ (Basilica San Lorenzo) ซึ่งเราไมไดเขาไปชมภายใน แตใชบันไดดานขางโบสถแเป็นที่พกั ปั๊มนม (สามารถทุกที่จริงๆ ขุนแมนักปั๊ม) โบสถแซาน ลอเรนโซเป็นโบสถแประจําตระกูลเมดิซี ซึ่งเป็นตระกูลเจาผูปกครองนครฟลอเรนซแในศตวรรษที่ 15 – 18 ภายใน โบสถแมีผลงานศิลปะของจิตรกรเอกหลายคน เนื่องจากตระกูลเมดิซีเป็นผูอุปถัมภแศิลปินใหสรางสรรคแงานศิลปะ ตางๆ หนึ่งในนั้นรวมถึงมิเคลันเจโลและบรูเนลเลสกี (ข้อมูลจาก ใครๆ ก็ไปเที่ยวอิตาลี) [171]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 5: Florence
บรรยากาศในตลาดกลาง Mercato Centrale
Basilica San Lorenzo
[172]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 5: Florence
ระหวางทางเราแวะรานสะดวกซื้อแถวๆ นั้น ซื้อกลวยกับชอคโกแลตกินรองทอง แลวเดินมุงหนาตรงไปยัง สถานที่ไฮไลทแสําคัญของเมืองที่ปิอัซซาเดลดูโอโม (Piazza del Duomo) ประกอบดวย 3 สถานที่สําคัญที่ไดรับการ ขึ้นทะเบียนใหเป็นมรดกโลกโดยองคแการยูเนสโก (UNESCO World Heritage Site) ไดแก 1. มหาวิหารแหงเมือง ฟลอเรนซแหรือดูโอโม (Duomo) 2. หอพิธีศีลจุมบัตติสเตโร (Battistero) และ 3. หอระฆังกัมปานิเล (Campanile) เพียงเมื่อเรากาวเทาเขาใกลบริเวณจัตุรสั เห็นยอดโดมของดูโอโมและยอดหอคอยของหอระฆังอยูขา งหนา เราก็รูสึก ตื่นเตนกับสิ่งที่เรากําลังจะพบเจออยูขา งหนา ยิ่งพอไดเขาไปยืนที่จัตุรัสจริงๆ ก็ยิ่งทําใหรูสึกตะลึงกับความงดงาม ของสถาปัตยกรรมและบรรยากาศโดยรอบ ดูโอโมหินออนสีขาว ยอดโดมสีน้ําตาล แหงนหนา มองฟูาก็เห็นทองฟูาสี ฟูาเป็นใจ รอบๆ จัตุรัส รายลอมไปดวยรานคาของกินของใช รานอาหารแบบเอาทแดอรแ ทั้งหมดทั้งมวลบวกกับ อากาศเย็นสบายของฟลอเรนซแในวันนี้ (จริงๆ ยิ่งบายยิ่งเริ่มรอน แตยังเดินชิลๆ ได) ทําใหการเที่ยวฟลอเรนซแในครั้ง นี้แสนเพลิดเพลินเจริญใจยิ่งนัก
Piazza del Duomo [173]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 5: Florence
Duomo (Santa Maria del Fiore) และ Battistero
เราเริ่มสํารวจกันที่หอพิธีศีลจุํมบัตติสเตโร (Battistero) อาคารหินออนสีขาวทรงแปดเหลี่ยมทีอ่ ยู หนาดูโอโมกันกอน วากันวาที่นี่เป็นสิ่งกอสรางที่เกาแกที่สุดในฟลอเรนซแ สรางขึ้นในศตวรรษที่ 6 เป็นศิลปะแบบโร มาเนสกแสไตลแทัสคานี ดานในมีภาพโมเสกประดับตกแตงอยูหลายภาพ แตจุดทีน่ ักทองเที่ยวตางใหความสนใจบัตติส เตโรนี้กลับไมใชดานในอาคาร แตเป็นประตูทางเขาอาคารดานตางๆ โดยประตูทางทิศเหนือ ลอเรนโซ กีแบรแตี (Lorenzo Ghiberti) ใชเวลาถึง 21 ปีในการบรรจงสลักเรื่องราวในพระคัมภีรใแ หมลงบนแผนทองสําริดใหดูมีมิติลึก ล้ําไดอยางนาอัศจรรยแ และที่ประตูดานทิศตะวันออก (ตรงขามประตูทางเขาดูโอโม) กีแบรแตีคนเดิมก็ใชเวลาอีก 27 ปีในการรังสรรคแเรื่องราวในพระคัมภีรแเกาเชน อดัมกับอีฟ โนอาหแ โมเสส ลงในแผนทองสําริดซึ่งแบงบานประตู ออกเป็น 10 ชอง ประตูดานทิศตะวันออกนี้เป็นประตูที่มีชื่อเสียงที่สุด เนื่องจากมิเคลันเจโลเคยมายืนมองประตู บานนี้แลวถึงกับยกยองใหเป็น “ประตูแหงสรวงสวรรคแ” (Gates of Paradise) (ข้อมูลจาก ใครๆ ก็ไปเที่ยวอิตาลี และหนังสืออิตาลี สานักพิมพ์วงกลม) อยางไรก็ตาม ภาพบนประตูแหงสรวงสวรรคแที่เรากําลังยืนมองอยู ณ ตอนนี้กลับกลายเป็นภาพจําลอง เนื่องจากภาพจริงนั้นทรุดโทรมมาก จึงตองถูกเก็บรักษาไวที่พิพธิ ภัณฑแดูโอโม (Museo dell’ Opera del Duomo) ซึ่งอยูดานทิศตะวันออก (ดานหลัง) ของดูโอโมตั้งแตปีค.ศ. 1990 เวลาเปิด: วันจันทรแถึงวันเสารแ 12.00 – 19.00 น. วันอาทิตยแ 8.30 – 14.00 น. คาเขาชม 5 EUR ซื้อตั๋ว ไดที่ชองขายตั๋ว ตรงขามประตูทางเขาบัตติสเตโร
[174]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 5: Florence
Gates of Paradise, Battistero
ภายใน Battistero [175]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 5: Florence
ออกจากบัสติสเตโรก็ถึงเวลาที่ตอ งหาของหนักใสทองเสียที เนื่องจากบรรยากาศการกินอาหารเอาทแดอรแ ขางๆ จัตุรัสนั้นมันชางนาเยายวนใจยิ่งนัก เราเลยเลือกกินมื้อกลางวันที่นี่เลย ราน Caffe’ Giotto สัง่ สลัด 1 จาน พาสตา 1 จาน อาหารอรอยและบรรยากาศดีมาก ดูดีมีชาติตระกูลมากมาย งานนี้จายคาเสียหายรวม 23 EUR
เกือบบาย 2 โมงวันอาทิตยแ ไดเวลาทีด่ ูโอโมเปิดเขาชม (ฟรี) พอดี ดูโอโมหรือมหาวิหารแหํงเมืองฟลอ เรนซ์ หรือโบสถ์ซานตามาเรีย เดล ฟิโอเร (Santa Maria del Fiore) มหาวิหารที่มีขนาดใหญเป็นอันดับ 2 ในอิตาลี รองจากมหาวิหารเซนตแปีเตอรแ ดวยศิลปะแบบกอธิกที่ใชหินออน 3 สีที่นํามาจากที่ตางๆ ไดแก สีขาวจาก เมืองคารแรารา สีเขียวจากเมืองปราโต และสีชมพูจากเมืองซีเอนา สวนมุขหนามหาวิหารเป็นสวนตอเติมขึ้นภายหลัง ตามแบบศิลปะนีโอคลาสสิก ยอดโดมของมหาวิหารเป็นผลงานการออกแบบและกอสรางโดยฟิลิปโปู บรูเนลเลสกี (Filippo Brunelleschi) ซึ่งเขาใชหลักวิศวกรรมแนวใหมที่ไมใชโครงค้ํายอดโดม เมื่อเขาทําสําเร็จ ทางการเมือง ฟลอเรนซแจึงออกกฎหมายไมใหมีสิ่งกอสรางใดสรางสูงไปกวายอดโดมของมหาวิหาร นักทองเที่ยวสามารถเดินขึ้น บันได 436 ขั้นขึ้นไปบนยอดโดมเพื่อชมวิวทิวทัศนแของเมืองฟลอเรนซแได แตเราไมเลือกที่จะขึ้นชมวิวที่นี่ เพราะถา ยืนอยูบนยอดโดมของดูโอโม เราก็ไมเห็นตัวยอดโดมนะสิ เราเลยเลือกขึ้นไปบนยอดหอคอยของหอระฆังกัมปานี เลแทน เพื่อจะไดเห็นตัวยอดโดมของดูโอโมดวย (ที่สําคัญ เดินนอยกวา 20 ขั้น...ก็ยังเอา!!)
[176]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 5: Florence
ประตูทางเข๎า Duomo
เราไปยืนตอแถวเขาดูโอโมซึ่งแถวยาวมาก หางแถวผลักเราไปอยูซะดานหลังดูโอโมเลย แตแถวก็เคลื่อนตัว ไดอยางไหลลื่น ไมนานเทาไหรเราก็ไดเขาไปขางในดูโอโม พอเห็นภายในดูโอโมก็พอเขาใจแลววาทําไมเขาถึงใหเขา ชมฟรี ก็เพราะขางในดูโอโมไมคอยมีอะไรใหชื่นชมเทาไหรนะสิ มันถูกความงดงามของสถาปัตยกรรมดานนอกดูโอ โมกลบซะหมดเลย เวลาเปิด: ภายในดูโอโม เปิดวันจันทรแ อังคาร พุธ ศุกรแ 10.00 – 17.00 น. วันพฤหัสฯ 10.00 – 15.30 น. วันเสารแ 10.00 – 16.45 น. วันอาทิตยแ 13.30 – 16.45 น. เขาชมฟรี สวนยอดโดม เปิดวันจันทรแ – เสารแ 8.30 – 19.00 น. (วันเสารแเปิดถึง 17.40 น.) เสียคาเขาชม
[177]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 5: Florence
ภายในดูโอโมแหํงเมืองฟลอเรนซ์
ออกจากดูโอโม เราก็ไปตอกันที่หอระฆังกัมปานีเล (Campanile) ซึ่งเป็นฝีมือการออกแบบของจอต โต (Giotto) ทําใหหอระฆังนี้มีชื่อวาหอระฆังของจอตโต (Giotto’s Campanile; Campanile di Giotto) เราเดิน ขึ้นบันได 414 ขั้นสูยอดหอคอย เหนื่อยทีเดียว ยังดีที่มีที่พกั ระหวางทางอยูห ลายจุด ชวยไดมากอยู แตเมื่อเดินมาถึง ยอดหอคอย บรรยากาศเบื้องหนาและเบื้องลางก็ทําใหหายเหนื่อย (นิดหนอย) เมืองฟลอเรนซแทั้งเมืองอยูภายใน ระยะสายตาของเราทั้งหมดนี่เอง สวยจับใจ เวลาเปิด: ทุกวัน 8.30 – 19.30 น. คาเขาชม 6 EUR (เดินขึ้นบันได 414 ขั้นสูยอดคอหอย)
[178]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 5: Florence
ยอดโดมของดูโอโม
Giotto’s Campanile [179]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 5: Florence
บรรยากาศเมืองฟลอเรนซ์จากยอดหอระฆัง
[180]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 5: Florence
บรรยากาศเมืองฟลอเรนซ์จากยอดหอระฆัง
[181]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 5: Florence
ประมาณบาย 3 โมง หลังจากอิ่มเอมกับบรรยากาศและหายเหนือ่ ยจากการเดินขึ้นบันไดแลว เราเดินลง จากหอระฆัง มองดูนาฬิกาเห็นวาเวลายังเหลือเฟือกอนจะถึงเวลานัดหมายสําหรับจุดหมายตอไป เราเลยกลับไปที่ โฮสเทลเพื่อจัดการเช็คอิน เก็บกระเปาเขาหองพักและทําธุระสวนตัวนิดหนอย (ไมพนกิจกรรมปั๊มนมเพื่ อนองพลับ) ตอนที่ลงมาจากหอระฆัง ขางลางหนาดูโอโมกําลังมีพิธีแหอะไรก็ไมรูพอดี ผูคนแหแหนลอมรอบขบวนแห ดานหนา ประตูทางเขาดูโอโม มีบาทหลวงออกมาใหพรประชาชน เหลาคริสเตียนตางรุมกันเขามาหาบาทหลวงรูปนั้น ใหทาน ลูบหัวใหพร ก็เป็นบรรยากาศสดๆ ที่เราไมเคยเห็น นาสนใจดี
และแลว ชวงเวลาที่เรารอคอยและนาตื่นเตนที่สุดของวันก็มาถึง นั่นคือเวลาที่เราจะไดเจอกับชายหนุมที่ หลอที่สุดในโลกที่หอศิลปอัคคาเดเมีย ชายหนุมคนนี้มีชื่อวา... เดวิด (David) 555 แคคําเดียวสั้นๆ ก็รูแลวใชไหมคะ วาเราหมายถึงเดวิดคนไหน ก็เดวิดสุดหลอที่คุณพอมิเคลันเจโลกระเทาะออกมากจากกอนหินออนไงคะ จากโฮสเทล เราเดินกลับไปที่ปิอัซซา เดล ดูโอโม (ที่ตั้งของดูโอโม) อีกครั้ง แลวเลี้ยวซายตามแผนที่เขาสูถนน Via Ricasoli ตรง ขึ้นไปจนเกือบสุดถนน หอศิลปอัคคาเดเมียจะอยูทางขวามือ เรามีนัดเจอเดวิดเวลา 16.45 น. ซึ่งเป็นเวลาที่เราซื้อตั๋วเขาชมหอศิลปอัคคาเดเมียลวงหนาผานระบบ ออนไลนแไวตั้งแตที่เมืองไทย วิธีนี้อาจจะผูกมัดแผนการเดินทางอยูสักหนอย และตองเสียเงินคาธรรมเนียม (booking fee) เพิ่มดวย แตสําหรับผูทอี่ ยากเขาชมหอศิลปจริงๆ โดยเฉพาะถาตองการเขาชมในชวงเวลากลางวันที่ นักทองเที่ยวหนาแนน แนะนําวาลองพิจารณาซื้อตั๋วลวงหนาออนไลนแก็ปลอดภัยและประหยั ดเวลาตอคิวเขาแถวซื้อ ที่หนาหอศิลปไดคอนขางมาก แตสําหรับเวลาที่เราเขาชมนี้เป็นชวงเวลาเย็นแลว หอศิลปใกลจะปิดทําการแลว จริงๆ ไมตองซื้อตั๋วลวงหนาก็ไดนะ แตเราเวอไปเอง เพราะพอมาถึงหอศิลปก็ไมเห็นจะมีคิวอะไรมากมาย ถาจะตอ คิวซื้อตั๋วก็คงไมเกิน 10 นาที
[182]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 5: Florence
หอศิลป์อัคคาเดเมีย (Galleria Accademia) เป็นหอศิลปขนาดเล็ก เพราะเดิมเคยเป็นโรงเรียน ศิลปะมากอน แตปัจจุบันกลายเป็นหอศิลปที่มีผูคนตางมาตอแถวเขาชมมากทีส่ ุดแหงหนึ่ง เนื่องจากประติมากรรม ชิ้นที่มีชื่อเสียงที่สุดที่ถูกเก็บรักษาที่นี่ นัน่ คือรูปสลักเดวิด (David) ตัวจริง ผลงานของมิเคลันเจโล โดยกอนหนานี้ เดวิดตัวจริงเคยตั้งอยูที่ปิอัซซา เดลลา ซิญญอเรีย (Piazza della Signoria) ตากแดดกรําฝนจนนาสงสาร ปีค.ศ. 1873 เดวิดจึงถูกนํามาเก็บรักษาไวที่หอศิลปอัคคาเดเมีย แลวทํารูปสลักเดวิดจําลองตั้งไวแทนที่เดิม
หน๎าทางเข๎า Galleria Accademia
หอศิลปอัคคาเดเมียแบงสวนงานจัดแสดงไวเป็นหองตางๆ ดังนี้ Hall of the Colossus หองแรกสุดที่จัดไว ตอนรับผูชมในหอศิลป ใจกลางหองเป็นรูปหลอปูน ปลาสเตอรแ Rape of the Sabines ผลงานของจัม โบโลญญา (Giambologna) ตั้งแตปีค.ศ. 1580 โดยรูปสลัก จริงซึ่งเป็นหินออนนั้นตั้งอยูที่ระเบียงล็อจจา เดยแ ลันซี (Loggia del Lanzi) ที่ปิอัซซา เดลลา ซิญญอเรีย บริเวณ ผนังรอบๆ หองนั้นจัดแสดงงานศิลปะล้ําคาในชวงศตวรรษ ที่ 15 ถึงตนศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็นผลงานของศิลปะดังแหง ยุคอาทิ เปาโล อุคเซลโล (Paolo Uccello) เปรูจิ โน (Perugino) ฟิลิปโปู ลิปปี (Filippino Lippi) โดเมนิโก เกอรแแลนไดโอ (Domenico Ghirlandaio) และบอตติเชล ลี (Botticelli)
Giambologna, Rape of the Sabines (Credit: www.accademia.org) [183]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 5: Florence
Hall of the Colossus (Credit: www.accademia.org)
Hall of the Prisoners ถัดมาเป็นหองแหง นักโทษหรือทาส (slave) ซึ่งมีผลงานรูปสลักของมิเคลันเจโล ที่แกะคางไว ยังทําไมเสร็จ โดย 4 ชิ้นเป็นรูปสลักนักโทษ ไดแก Young Slave, Awakening Slave, Bearded Slave และ Atlas นอกจากนีย้ ังมีรูปสลัก St. Matthew และ Palestrina Pieta มิเคลันเจโลกลาวไววาหินแตละ กอนนั้นมีรูปสลักอยูภายใน รอการปลดปลอยออกมาเทานั้น เพียงแคเขามองหินเหลานั้น เขาก็เห็นวาหินนั้นคือรูปสลัก อะไร หนาทีข่ องเขาก็เพียงแคกระเทาะสวนที่เกินออกไป เทานั้น (โห!! พูดงายงายเนอะ) รูปสลักที่ยังแกะไมเสร็จทั้ง 4 ชิ้นนี้จึงใหชื่อวาเป็นนักโทษ เปรียบเสมือนนักโทษหรือทาสที่ รอการปลดปลอยใหเป็นอิสระ ซึ่งหากไดรับการแกะสลักที่ เสร็จสมบูรณแแลว ก็จะกลายเป็นผลงานสุดบรรเจิด ออรา เปลงประกายไป 3 โลกอยางประติมากรรมเดวิดที่อยูในโถง ถัดไป Young Slave (Credit: www.accademia.org) [184]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
Awakening Slave
วันที่ 5: Florence
Bearded Slave
Atlas
(Credit: www.accademia.org)
Tribune ที่ปลายสุดของ Hall of the Prisoners เรียกวา Tribune ซึ่งมีเพดานหลังโคงเป็นโดมเพื่อเพิ่ม พื้นที่ใหงานศิลปะชิ้นเอกที่จัดแสดงอยูนนั่ คือ ประติมากรรมเดวิด (David) ประติมากรรมหินออนขนาดความสูง 4.10 เมตร เป็นรูปสลักเด็กหนุมนามเดวิด ตามตํานานเดวิดกับยักษแโกไลแอธ เดวิดที่รูปรางล่ําสันกํายํายืนเปลือย กาย หันหนาไปทางซาย สายตาจับจองมองไปขางหนาดวยสีหนานิ่งๆ ในมือซายถือแผนหนังวางพาดบนไหล มือขวา ถือกอนหินพรอมที่จะเขวี้ยงใสยกั ษแโกไลแอธ กอนที่เดวิดจะถูกกระเทาะจากเปลือกหินออนออกมาลืมตาดูโลกไดโดยมิเคลันเจโล หินออนกอนมหึมา กอนนี้ไดเคยผานมือศิลปินชาวฟลอเรนซแมาแลวถึง 2 คนแตไมประสบความสําเร็จ ทางการเมืองฟลอเรนซแจึงได วาจางมิเคลันเจโลใหรับงานนี้ในปีค.ศ. 1501 มิเคลันเจโลใชเวลาเกือบ 3 ปีในการสรางสรรคแประติมากรรมชิ้นนี้ เมื่อ ตอนที่ใกลจะเสร็จ ยอดศิลปินชาวฟลอเรนซแอีกหลายคนไดแกดา วินชี บอตติเชลลี ฟิลิปโปู ลิปปีและเปรูจิโนไดเขา มามีสวนรวมในการตัดสินใจวาจะวางเดวิดไวที่ไหนดี สุดทายเดวิดก็ไดยืนตระหงานอยูดานหนาปาลาซโซ เวคคิโอ (Palazzo Vecchio) ซึ่งเป็นศูนยแกลางการปกครองของเมืองฟลอเรนซแในสมัยนั้น เพื่อเป็นสัญลักษณแแหงเสรีภาพ และอิสรภาพ ตอมาในปีค.ศ. 1873 เดวิดจึงไดถูกยายมาเก็บรักษาไวที่หอศิลปอคั คาเดเมีย และเดวิดจําลองก็ถกู วาง ไวที่เดิมในปีค.ศ. 1910
[185]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 5: Florence
(Credit: www.accademia.org)
ที่จริง ตั้งแตเราเดินเลี้ยวขวาจากหอง Hall of the Colossus เขามาหอง Hall of the Prisoners สายตา ของเราก็มองเห็นเดวิดที่ยืนเทอยูทา ยหองแลว ยังจําความรูสึกแรกที่เห็นเดวิดไดเลย ขนาดวันที่เขียนเรื่องนี้ เวลา ผานไป 3 ปีแลว ความรูสึกนั้นมันยังชัดเจน ตอนนั้นเราอึ้งไป 3 วินาทีหรือมากกวานั้น คือบอกไมถูก ไมไดสะกดจิต ตัวเองหรืออคติโนมเอียงวานี่เป็นผลงานชิ้นเอกของโลกนะ เราเองก็ไมไดมีหัวศิลปะหรือเขาใจเรื่องศิลปะอะไรเลย [186]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 5: Florence
แตรูปสลักเดวิดตัวจริงนี่... คือสวยมาก หลอมาก งดงามมาก ตัวใหญมาก ชัดเจนมาก ละเอียดออนมาก ขาวมาก แข็งแรงมาก เวอวังอลังการดาวเสารแลานดวงมาก ยังเหลืออะไรที่มากๆ อีกนะ ยกคําอวยมาใหหมดมากๆ ก ไก ลาน ตัว เดวิดเหมือนมีแรงดึงดูดใหเรารีบเดินเขาไปหา โดยไมไดสนใจงานศิลปะที่อยูในหอง Hall of the Prisoners เลย แมแตชิ้นเดียว ฮาๆๆ จริงๆ นะ ถึงจะเป็นผลงานระดับมิเคลันเจโลก็ไมสน สนแตเดวิดอยางเดียวตอนนั้น
(Credit: www.accademia.org)
เมื่อเดินเขาไปมองเดวิดใกลๆ เราเห็นถึงความละเอียดออน ประณีตและความอัจฉริยะของมิเคลันเจโลที่ สามารถกระเทาะหินออนสวนที่ไมตองการออกไป ใหกลายเป็นมนุษยแของจริงไดขนาดนี้ มิเคลันเจโลมีความรูทาง กายวิภาคเป็นอยางดีมาก ลักษณะกลามเนื้อมัดตางๆ ของเดวิดนั้นชางสวยงามและสมจริง เราเห็นแมกระทั่งเสน เลือดที่ปูดออกมาจากมือ ขอพับแขนของเดวิด นาทึ่งมากๆ นาเสียดายที่เขาไมใหถายรูปภายในหอศิลป แตถึงอยางนั้นเราก็ยังเห็นนักทองเที่ยวบางคนละเมิดกฎ ตอง เจอรปภ. วากลาวตักเตือนอยูเรื่อย แยจริงพวกนี้ ในขณะที่บางคนก็เลือกที่จะเก็บความทรงจําจากเดวิดโดยการนั่ง สเก็ตชแภาพเอาตรงนั้นเลย มีคนอื่นมามุงดูกันใหญ หองโถงที่อยูถัดจากเดวิดคือปีกซายของหอง Tribune (Tribune left wing) ภายในมีภาพเขียนสวยๆ มากมายแขวนอยูสองขางผนังหอง ภาพที่นาสนใจคือภาพเขียนสีนา้ํ มัน Coronation of the Virgin Mary ผลงานของอเลสซานโดร แอลโลรี่ (Alessandro Allori)
[187]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 5: Florence
Tribune left wing (Credit: www.accademia.org)
Gipsoteca Bartolini ตามที่ทราบกันวาแตเดิมหอศิลปอัคคาเดเมียนั้นเคยเป็นโรงเรียนสอนศิลปะมา กอน หองนี้จึงเป็นหองที่รวบรวมงานหลอปูนปลาสเตอรแที่ประณีตที่สุดของหนึง่ ในอาจารยแที่โรงเรียนแหงนี้ นั่นคือ ลอเรนโซ บารแโตลินี่ (Lorenzo Bartolini)
Gipsoteca Bartolini (Credit: ฟพะนสรื www.accademia.org) ร [188]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 5: Florence
Florentine Gothic เป็นหองสุดทายที่อยูบริเวณชั้นลางของหอศิลป เป็นหองจัดแสดงผลงานภาพวาด สไตลแกอธิกในสมัยศตวรรษที่ 13 ถึงตนศตวรรษที่ 14 ถายังจําภาพวาดที่จัดแสดงในหองแรกของหองพินาโกเตกา (Pinacoteca) ที่พิพิธภัณฑแวาติกันได นี่คืองานศิลปะในยุคเดียวกัน ภาพวาดบนผืนไมโดยมีฉากหลังเป็นสีทอง ผลงานหลายชิ้นในหองนี้เป็นผลงานของลูกศิษยแของจอตโต (Giotto) ยอดศิลปินแหงยุคนั้น
Florentine Gothic (Credit: www.accademia.org)
Museum of Musical Instruments หองจัดแสดงลาสุดของหอศิลป เป็นหองที่รวบรวมเครื่องดนตรี สะสมของแกรนดแดยุกกวา 50 ชนิด
Museum of Musical Instruments Credit: www.accademia.org
[189]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 5: Florence
Florence between 1370 and 1430 เป็นหองที่อยูชั้นบนของหอศิลป เก็บรวบรวมงานจิตรกรรมของ ฟลอเรนซแสมัยปลายศตวรรษที่ 14 ซึ่งเป็นชวงปลายสมัยศิลปะแบบกอธิกของฟลอเรนซแพอดี
Florence between 1370 and 1430 (Credit: www.accademia.org)
หลังจากเดินชมหอศิลปจนทัว่ นั่งมอง ยืนมอง เอียงคอมองเดวิดจนหนําใจ สวนหอง อื่นเราก็ไดแตเดินผานๆ เราก็เดินออกมายังดาน นอกตัวหอศิลปที่เป็นสวนขายของที่ระลึก และ เนื่องจากเราไมสามารถถายภาพเดวิดตัวจริงได ดังนั้น ที่บริเวณรานขายของที่ระลึกนี้ เราก็เลย ไดถายรูปกับเดวิดตัวปลอมเวอรแชั่นทํารายจิตใจ มาก ดูเอาเอง เวลาเปิด: วันอังคารถึงวันอาทิตยแ 8.15 – 18.50 น. หยุดทุกวันจันทรแ วันที่ 1 ม.ค. 1 พ.ค. และ 25 ธ.ค. จุดจําหนายตั๋วปิดทํา การเวลา 18.20 น. และตัวหอศิลปเริ่มปิดทํา การเวลา 18.40 น. ** หามถายภาพ ** * ขาวดี * ตั้งแตวันที่ 6 ก.ค. 2014 เป็นตนมา ทางหอศิลปไดกําหนดใหมี “Sunday at the Museum” นั่นคือหอศิลป
เดวิดตัวปลอมที่ร๎านขายของที่ระลึกหอศิลป์... หมดกัน !! [190]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 5: Florence
จะเปิดใหเขาชมฟรีทุกวันอาทิตยแแรกของเดือน ดังนั้นในวันดังกลาวจะไมมีการจําหนายตั๋วลวงหนา คาเขาชม: (ก.ค. 2015) คาเขาชม 8 EUR คาชมนิทรรศการ (exhibition fee) 4.5 EUR (เฉพาะเมื่อมี นิทรรศการ ตองจายราคานี้เพิ่มไปดวย) คาจองตั๋วลวงหนา 4 EUR โดยสามารถจองตั๋วลวงหนาผานเว็บไซตแจําหนาย ตั๋วอยางเป็นทางการสําหรับเขาชมพิพธิ ภัณฑแในเครือศูนยแพิพิธภัณฑแในฟลอเรนซแ (Polo Museale Fiorentino) http://www.b-ticket.com/b-ticket/uffizi/venueAccademia.aspx เราออกจากหอศิลปอัคคาเดเมียประมาณ 6 โมงเย็น ใชเวลาเดินชมหอศิลปไปชั่วโมงกวาๆ มีเวลาเดินโฉบ ไปดูดานหนาโบสถ์ซาน มาร์โค (San Marco) นิดหนอย ในอดีตโบสถแนี้เคยเป็นที่พํานักของพระนิกาย โดมินิกัน แตไมไดแวะเขาไปชมอะไร แคนี้ทั้งวันนี้ก็อัดแนนดวยคุณภาพคับแกวแลว เมมโมรี่ในสมองเต็ม แต สารอาหารในสมองขาดอยางรุนแรง หิวมากกก ตองเติมพลังดวน ตอนแรกเรากะจะหาอะไรกินกันที่รอบๆ จัตุรัสดู โอโม ฝั่งที่ติดกับหอระฆัง มีราน Snack Self Service อยูรานนึง มีอาหารหลายอยางนากินดี ราคาก็คอนขางเป็น มิตร แตติดที่อาหารเป็นแบบทําสําเร็จแลว แบบรานขายขาวแกงบานเรา ก็อาจจะไมสดใหมเทาไหร สุดทายเราก็ ตัดสินใจเลือกรานที่ใกลๆ ดูโอโมอีกฝั่ง ซึ่งแพงกวา (ฮา...) อยูที่ถนน Via Ricasoli ชื่อราน Ristorante Buca Niccolini เป็นรานที่มีทั้งสวนนั่งรับประทานภายในรานและนั่งเอาทแดอรแนอกราน ลูกคาเยอะใชได เราเลยเลือกราน นี้ ภายในรานตกแตงไดสวยดี ผนังรานสวนที่เป็นกําแพงโคงขึ้นไปประดับดวยภาพวิวทิวทัศนแสถานที่สําคัญของเมือง ฟลอเรนซแเมื่อมองจากมุมสูง ลองดู virtual map ของทางรานจาก google map ดูได https://www.google.co.th/maps/place/Ristorante+Buca+Niccolini/@43.773696,11.256072,19z/data =!3m1!4b1!4m2!3m1!1s0x0000000000000000:0x3b25b3c09ac8dabb?hl=th เราสั่งสลัด 1 พาสตา 1 พิซ ซา 1 เสิรแฟพรอมขนมปัง รวมราคา 31 EUR อิ่มมวากๆๆ แตอรอยและบรรยากาศดีทีเดียว รอดตายไปอีกหนึ่งวัน... กลับไปนอนโฮสเทลคืนนี้ หลับสบายสุดๆ พรุงนี้เตรียมชีพจรลงเทากันอีกคะ เรามีโปรแกรมไปเที่ยวเมืองเล็กๆ ใกลๆ ฟลอเรนซแกัน ไดไปกินไอศกรีมเจลาโตที่อรอยที่สุดในอิตาลีดวยนะ
อาหารค่้าวันนี้ที่ Ristorante Buca Niccolini [191]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 6: San Gimignano – Siena
วันที่ 6: San Gimignano – Siena
[192]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 6: San Gimignano – Siena
สวัสดีตอนเชาวันที่ 6 ของการเดินทาง ลุยอิตาลีมาไดครึ่งทางแลว วันนี้เรามีเวลาพอไดกินอาหารเชาของ โฮสเทลดวย มื้อเชานี้รวมอยูในคาที่พกั เป็นไลนแบุฟเฟตแแบบงายๆ ขนมปัง คุกกี้ นม โยเกิรแต สลัด ผลไม กาแฟ น้าํ ผลไม ชนิดหลากหลาย ปริมาณเยอะเพียงพอที่จะบริการลูกคาที่มาพักไดอยางสบายๆ เนื่องจากการเดินทางวันนี้ยัง อีกยาวไกล เราไมลืมที่จะหยิบอาหารบางสวนใสถุงซิปล็อคไวเป็นเสบียงระหวางการเดินทางดวย
อาหารเช๎าวันนี้ที่ Hostel Archi Rossi
วันนี้เรามีแผนการเดินทางไปยังเมืองเล็กๆ ใกล๎ๆ ฟลอเรนซ์นั่นคือเมืองซาน จิมิญาโน (San Gimignano) และเมืองซีเอนํา (Siena) โดยใช๎บริการรถบัสที่หน๎าสถานีรถไฟ Florence S.M.N. ที่ซาน จิมิญา โน เมืองเล็กๆ ที่จะท้าให๎เราหลุดเข๎าไปสูํยุคกลาง เราจะไปตามหาร๎านไอศกรี มเจลาโต๎เจ๎าของแชมป์ประเทศ 2 สมัยกินกัน เที่ยงๆ ออกจากซาน จิมญ ิ าโน ขึ้นรถบัสมุงํ หน๎าตํอไปยังเมืองซีเอนํา (Siena) เที่ยวชมปิอัซซํา เดล กัมโป (Piazza del Campo) จัตุรัสรูปพัด สัญลักษณ์ของเมืองนี้ และเข๎าชมมหาวิหารประจ้าเมืองซีเอนํา ซึ่ง ท้าจากหินอํอนสีชมพูขาวอันแสนงดงาม ตกเย็น ได๎เวลานั่งรถบัสกลับมาที่ฟลอเรนซ์เพื่อพักผํอนเอาแรงและ เตรียมตัวส้าหรับการเดินทางในวันตํอไป การเดินทางจากฟลอเรนซแไปทั้ง 2 เมืองนี้ วิธีที่สะดวกที่สุดคือการโดยสารรถบัส ซึ่งสามารถตรวจสอบ เสนทางการเดินรถและรอบรถไดที่ http://www.busfox.com/timetable/ (ใหพิมพแชื่อเมืองที่จะเดินทางเป็นชื่อ เรียกตามภาษาอิตาเลียนเชน Florence พิมพแเป็น Firenze) โดยจะตองไปขึน้ รถที่ทารถ SITA BUS (BUSITALIA) ซึ่งอยูใกลๆ สถานีรถไฟ Florence S.M.N. คราวนี้แผนที่อากูเทําเจ็บแสบมาก เกือบพาเราไปทารถไมทัน หรือเพราะ เราอานแผนที่ไมเป็นก็ไมรู ซึ่งในความเป็นจริงแลว ทารถมันหางายมากๆ แตเราก็โงมากๆ ที่จะมองไมเห็นมัน วน ยอนไปยอนมาจนออนใจ สุดทายเลยแวะเขารานขายของชํา Tabacchi เพื่อถามทาง โชคยังดีที่เขาถูกราน พนักงาน [193]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 6: San Gimignano – Siena
ที่รานบอกทางไดถูกตอง พรอมกับเสนอขายตั๋วรถบัส ใหเราดวย เราก็เลยถือตัว๋ รถ บัสไปขึ้นรถไดถูกสถานี ทัน เวลาเปฺะๆๆ โปรดจงดูเวลาที่ นาฬิกาในภาพ รอบรถบัส ของเราออกเวลา 8.15 น. ตามเวลาในภาพพอดี... ถา งั้นขอสรุปเสนทางไปทารถ บัส SITA BUS ที่งายและ ถูกตองที่สุดตามนี้เลย จากที่ พัก Hostel Archi Rossi ใหเดินมายังสถานีรถไฟ Florence S.M.N. โดยยอนเสนทางเดิม เมื่อถึงสถานีรถไฟ ให เดินทะลุเขามาในสถานี เดินตรงมาจนออกทางออกอีกทาง เดินลงบันไดมาจนถึงถนน จะเจอปูายรถเมลแชื่อ Alamanni-Stazione (Santa Maria Novella) ซึ่งอยูบนถนน Piazza della Stazione (ทางซาย) ตอกับถนน Via Luigi Alamanni (ทางขวา) ใหเดินขามถนนไปฝั่งตรงขาม เลี้ยวซาย เดินเลียบถนนไปเรื่อยๆ จนพนหัวโคง จะเห็น ปูายถนน Piazza della Stazione เดินขึ้นไปอีกนิดเดียว จะเห็นทางเขาทารถบัสอบูทางขวามือชื่อ BUSITALIA Autostazione เดินเขาไปซื้อตั๋วรถที่นี่ไดเลย หรือจะซื้อที่ราน Tabacchi ระหวางทางก็ได
ทํารถ BUSITALIA Autostazione
มาถึงทํารถ 8.15 น. ได๎เวลารถออกพอดีเป๊ะ [194]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 6: San Gimignano – Siena
การเดินทางวันนี้ เราจะไปที่ซาน จิมิญาโนกอน ซึ่งรถบัสจากฟลอเรนซแไปยังซาน จิมิญาโนนั้นไมมีเที่ยวรถ ไปโดยตรง ทุกคันจะตองไปตอรถที่เมืองโพจจิบองซี (Poggibonsi) กอน จากฟลอเรนซแโพจจิบองซีใชเวลาประมาณ 50 นาทีก็ถึง ลงจากรถ มีเวลาแวะเขาหองน้ําหองทาที่ทา รถ 10 นาที (เสียเงิน ตามสไตลแหองน้ําในตางประเทศ) จากนั้นก็ขึ้นรถบัสคันใหมที่ขึ้นปูายหนารถวาจะไปซาน จิมิญาโน ใชเวลาอีก 20 นาทีก็ถึงที่หมาย รวมเวลาเดินทาง ทั้งหมดประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง รถบัสจอดหนาประตูเมืองเลย เพื่อปูองกันการตกรถ เราจัดการถายรูปตารางเวลา เดินรถไปเมืองตางๆ ใกลเคียงที่ปูายรถบัสที่จอดไวดวย
แวะตํอรถที่ Poggibonsi
ซาน จิมญ ิ าโน (San Gimignano) เป็นเมืองแหงวัฒนธรรมและมรดกทางธรรมชาติของโลกที่ไดรับการ ขึ้นทะเบียนไวโดยองคแการยูเนสโก (The World Cultural and Natural Heritage of UNESCO) ตั้งอยูทางทิศ ตะวันตกเฉียงใตของฟลอเรนซแ เป็นเมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยูบนเนินเขา จุดเดนของซาน จิมิญาโนที่ดึงดูดนักทองเที่ยว จํานวนมากใหมาเยี่ยมชมคือการที่เมืองเล็กๆ เมืองนี้ ยังคงรักษาลักษณะเมืองในยุคกลางใหเห็นไดอยางชัดเจน ซาน จิมิญาโนขึ้นชือ่ วาเป็นเมืองแหงหอคอย เคยมีมากที่สุดถึง 72 หอคอย แลวคอยๆ ลดจํานวนลง โดยปัจจุบันเหลือ เพียง 14 แหง (ข้อมูลจากหนังสืออิตาลี สานักพิมพ์วงกลม) กอนเขาไปชมเมือง เราขอนั่งที่สนามเล็กๆ (Piazzale Martiri Montemaggio) หนาประตูทางเขาปอรแตา ซานจิโอวานนี่ (Porta San Giovanni) เพื่อปั๊มนมทิ้งกอน ซาน จิมิญาโนเป็นเมืองที่เล็กมากๆ จึงไมตองใชแผนที่นํา ทางชมเมืองใดๆ เลยก็ได เดินๆ เขาไปก็จะจําทางกลับไดเอง เมื่อกาวเทาเขาประตูปอรแตา ซานจิโอวานนี่ ก็เหมือน เราเขาไปสูเมืองโบราณในยุคกลางมาตั้งที่อยูในยุคปัจจุบัน คือมันเป็นเมืองที่ตึกรามบานชองยังเป็นหินโบราณแบบ
[195]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 6: San Gimignano – Siena
เดียวกันทั้งหมด มีทางเขาหลักทางเดียว สองขางทางคือรานคาขายของที่ระลึก ขายอาหาร ขายไวนแ ผาปัก ผาลูกไม ภาพวาด เครื่องเซรามิก งานเพนทแ งานวาดภาพตางๆ ซ้ําไปซ้ํามา แตนา รักนาแวะไปหมด
ถึงแล๎ว San Gimignano – ประตู Porta San Giovanni
สวนฝั่งตรงข๎ามประตูทางเข๎า [196]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 6: San Gimignano – Siena
แผนที่เมือง San Gimignano (Credit: www.sangimignano.com)
[197]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 6: San Gimignano – Siena
[198]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 6: San Gimignano – Siena
[199]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 6: San Gimignano – Siena
[200]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 6: San Gimignano – Siena
จุดขายจุดเดนอีกอยางของซาน จิมิญาโนที่พูดกันปากตอปาก (ไมจริงสิ เขามีรางวัลการันตีดวยนะ) นั่นก็ คือรานไอศกรีมเจลาโตอันดับ 1 ของประเทศ รางวัล Gelato World Champion ปี 2006-07/2008-09 ชื่อราน Dondoli Gelateria รานหาไมยาก เนื่องจากเมืองมันเล็กดวย จากทางเขาเมือง เดินตรงไปเรื่อยๆ ตามถนนเวีย ซานจิโอวานนี่ (Via San Giovanni) จนถึงที่โลงๆ กวางๆ ซึ่งคือปิอัซซา เดลลา ซีสเทอรแนา (Piazza della Cisterna) ก็จะเจอรานอยูทางซายมือ รานที่คนรุมกันเยอะๆ นั่นแหละ ใชเลย มองไปรอบๆ ก็มีรานไอศกรีมอื่นเปิด ขายอยูเหมือนกันนะ แตผูคนโหรงเหรงเลย เห็นแลวก็สงสาร ทั้งๆ ที่เราวารสชาติคงไมตางกัน ก็เจลาโตอะนะ ลิ้น เราก็ไมไดเทพขนาดนั้น มันก็กินไดเหมือนกันหมด... แตเราก็ไมไดเขานะ (เอา!!) แหะๆ ก็ชาตินี้ จะไดกลับมาที่นี่อีกรึ เปลาก็ไมรู ทาจะไมไดกลับมาอีก มันก็ตอ งเขารานเด็ดกอนสิเนอะ ระหวางที่กาํ ลังถายรูปหนารานไอศกรีมเพลินๆ (แบบยังไมไดเดินเขาไปซื้อกิน) ทันใดนั้นก็มีชายแกแปลก หนาเขามาออมหลังเราหมับ ยื่นหนายื่นตาทํามือเลียนแบบเราเพื่อถายรูปดวย เราก็แบบ... ต฿กใจสิ แตพอหันไปดูก็รู ไดเลยวานี่เป็นคุณลุงเจาของรานเจลาโตแนนอน เพราะเมื่อกี๊เห็นคุณลุงนั่งอยูหนาราน (หนารานจริงๆ นั่งพื้นเลย) กําลังคุยกับคนอื่นอยู เผลอแปฺบเดียว คุณลุงก็มาบริการลูกคาสัมพันธแกับเราซะแลว คุณลุงอัธยาศัยดีนา รักมากนะ ยิ้มแยม ถามนูนถามนี่ แอคทีฟตลอด เราเลยตองอุดหนุนเจลาโตคุณลุงไปตามระเบียบ จําไมไดแลววากินรสชาติ อะไร แตอรอยมากคะลุง มองไปรอบๆ รานเจลาโต ทาทางลูกคาญี่ปุนจะเยอะ เมนูเจลาโตรานลุงจึงมีภาษาญีป่ ุน กํากับไวหมด ซึ่งลูกคาญี่ปุนที่มาเทีย่ วเมืองนี้ก็เยอะจริงๆ ละ ตอนที่ขึ้นรถบัสกับเรามาก็มีแตญี่ปุนทั้งนั้นเลย
ผู๎คนมากมายที่ร๎านเจลาโต๎ชื่อดัง
คุณลุงเจ๎าของร๎านเจลาโต๎ก้าลังนั่งทักทายลูกค๎า [201]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 6: San Gimignano – Siena
DONDOLI Gelateria เจลาโต๎เขาดีจริงๆ
สารพัดเมนูเจลาโต๎
[202]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 6: San Gimignano – Siena
กินเจลาโตเสร็จ เราก็เดินเลนรอบๆ เมืองตอ ผานปิอัซซาดูโอโม (Piazza Duomo) รอบๆ ปิอัซซามีปาลาซ โซ คอมูนาเล (Palazzo Comunale) แกลอรีภาพพินาโกเตกา (Pinacoteca) และหอระฆังตอรแเร กรอสซา (Torre Grossa) ซึ่งสามารถเดินขึ้นไปชมวิวของซาน จิมิญาโนได (เสียเงิน) แตเราไมไดเขาชมเลยสักแหง เราเดินผาน ถนนเวียซานมัตเตโอ (Via San Matteo) เพื่อไปยังปิอัซซา ซานแต฿กโกสติโน (Piazza Sant’Agostino) ซึ่งมีโบสถแ ชื่อเดียวกันตั้งอยู จากบริเวณนั้นสามารถขึ้นไปยังจุดชมวิว (ฟรี) ได
ศูนย์บริการนักทํองเที่ยวที่ปิอัซซําดูโอโม เรามาซื้อตั๋วรถไปซีเอนําที่นี่ [203]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 6: San Gimignano – Siena
ที่ปิอัซซา ซานแต฿กโกสติโน บนลานสนามหญามีนักดนตรีเปิดหมวก 2 คนมาเลนกีตารแเพลง Tuscan Folk Song ใหฟัง พรอมวางขายซีดีของพวกเขาเองดวย (ชื่อ Giuditta Scorcelletti & Alessandro Bongi) เพราะดีนะ เป็นโฟลแคซองฟังสบาย เราทิปคายืนฟังใหพวกเขาดวย
[204]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 6: San Gimignano – Siena
ที่จุดชมวิว เราจะเห็นเมืองซาน จิมิญาโนและบรรยากาศโดยรอบของแควนทัสกานี ตัวบานสีนา้ํ ตาล ปลูก สรางอยูตามเนินเขานอยใหญ ตัดกับสีเขียวของตนไมและพื้นที่ทําการเกษตร สวยงาม รมรื่น สบายตามากๆ
[205]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 6: San Gimignano – Siena
เราเดินชมเมืองซาน จิมิญาโนไปเรื่อยๆ เดินเลาะๆ เลียบๆ กําแพงเมืองและกลับมาทางเดิมจนไดเวลา ประมาณเที่ยง เราตองบอกลาซาน จิมญ ิ าโน เพื่อเดินทางไปยังจุดหมายตอไปนั่นคือซีเอนา เราซื้อตั๋วรถบัสไปซีเอนา ที่ศูนยแบริการนักทองเที่ยวที่ตั้งอยูที่ปอิ ัซซาดูโอโม ราคาคนละ 6 EUR รถออกจากซาน จิมิญาโน 12.26 น. ปูายรถ บัสไมใชปูายที่เราลงรถตอนขามานะ แตจะเป็นปูายทีอ่ ยูเยือ้ งไปทางขวามือ ทีเ่ ขียนสัญลักษณแ BS ในแผนที่เมือง ซาน จิมิญาโนอะคะ
ป้ายรถบัสไปซีเอนํา
สถานที่จ้าหนํายตั๋วรถในซาน จิมิญาโน [206]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 6: San Gimignano – Siena
จากซาน จิมิญาโน เรานั่งรถบัสยอนกลับไปโพจจิบองซีอีกครั้ง เพื่อตอรถไปซีเอนา (ซาน จิมิญาโนกับซีเอ นาอยูคนละทางกัน โดยมีโพจจิบองซีเป็นเหมือนชุมทาง) การเดินทางโดยรถบัสจากซาน จิมิญาโนถึงโพจจิบองซีใช เวลา 30 นาที รอตอรถ 15 นาที และจากโพจจิบองซีถึงซีเอนาใชเวลาอีก 45 นาที รวมเวลาเดินทางทั้งหมด ประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ซีเอนํา (Siena) เป็นเมืองเกาแก แตกอนเคยรุงเรืองเฟื่องฟูมากเรียกไดวาเป็นคูแขงทางความเจริญทาง เศรษฐกิจและวัฒนธรรมกับเมืองฟลอเรนซแอยูยุคหนึ่ง แตนาเสียดายที่ภายหลังเกิดสงครามระหวางฟลอเรนซแและซี เอนา โดยซีเอนาเป็นฝุายแพ และตอมายังเกิดโรคระบาดครั้งใหญที่คราชีวิตประชากรเมืองซีเอนาไปกวาครึ่ง จึงทํา ใหซีเอนาเริ่มเสื่อมความเจริญลง อยางไรก็ตาม สิ่งกอสราง สถาปัตยกรรม และงานศิลปะที่ยังคงอยูในเมืองซีเอนา ตั้งแตยุคกลางที่เป็นยุครุงเรือง ทําใหบริเวณใจกลางเมืองเกาของซีเอนาไดรับการขึ้นทะเบียนจากองคแการยูเนสโกให เป็นเมืองมรดกโลก นอกจากนี้ประวัตคิ วามเป็นมาของซีเอนาที่นาสนใจอีกอยางก็คือ เชื่อกันวาซีนิอุส (Senius) บุตรของเรมุส (ฝาแฝดเรมุสและโรมิวลุสผูสรางกรุงโรม) เป็นผูสรางเมืองนี้ ดังนั้นทั่วทั้งเมืองนี้ เราจะเห็นสัญลักษณแ เด็กนอย 2 คนดูดนมหมาปุาเชนเดียวกับที่เห็นทั่วไปในโรม
Piazza Salimbeni
Piazza Tolomei
สถานที่ทองเที่ยวสําคัญในซีเอนาสวนใหญตองใชวิธีเดินเทาเขาไป เพราะในเขตเมืองเกา มีตรอกซอกซอย หลายจุดทีแ่ คบมากจนรถยนตแไมสามารถแลนผานได ตองใชวิธีเดินเทาเทานั้น (เขาทางเราแลย) รถบัสจากโพจจิบอง ซีมาจอดเทียบทาที่ปอิ ัซซา แอนโตนีโอ แกรมซี่ (Piazza Antonio Gramsci) จากจุดนี้เราจะตองเดินเทายังจุดหมาย [207]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 6: San Gimignano – Siena
แรกในซีเอนานั่นคือปิอัซซา เดล กัมโป (Piazza del Campo) ซึ่งเป็นจัตุรัสใหญใจกลางเมืองที่มีชื่อเสียงที่สุด และมี ผูคนมารวมตัวกันมากที่สุด มองดูแผนที่แลวเหมือนจะเดินยาก หนทางคดเคี้ยววกไปวนมา แตจริงๆ แลวทางการซี เอนาชวยเราไวมาก เพราะปูายบอกทางไปยังสถานที่ทองเที่ยวสําคัญๆ ของซีเอนานั้น ไมวา จะเป็นปิอัซซา เดล กัม โปที่เราจะไป หรือมหาวิหารแหงเมืองซีเอนาหรือดูโอโม มีอยูเต็มไปหมดตามหัวถนน ตรอกซอกซอยแทบทุกแหง เดินตามปูายไป ไมมีหลงแนนอน จากปิอัซซา แอนโตนีโอ แกรมซี่ ที่รถบัสจอด เราเดินขึ้นไปยังถนน Via Malavolti ผาน Piazza Giacomo Matteotti เขาสูถนน Via Banchi di Sopra ระหวางทางผาน Piazza Salimbeni และ Piazza Tolomei ที่มีรูปปั้นหมาปุาใหนมเด็กนอย 2 คน เดินตรงๆๆ ตามทางมาเรื่อยๆ ก็จะเริ่มเห็นปิอัซซา เดล กัมโปอยูไมไกล ลานกวางๆ พื้นสีน้ําตาลออนและผูคนหนาแนนนั่นแหละ ทางเขาปิอัซซา เดล กัมโปจะเป็นทางลง เหมือนตรอกเล็กๆ มีอยูหลายทางรอบๆ ปิอัซซา เลือกทางลงไดตามสะดวก
แผนที่เมืองซีเอนํา (ขยาย) [208]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 6: San Gimignano – Siena
แผนที่เมืองซีเอนํา (Credit: www.planetware.com)
[209]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 6: San Gimignano – Siena
ปิอัซซําเดล กัมโป (Piazza del Campo) นอกจากจะเป็นจัตุรัสใหญจัตุรัสดังที่สุดในซีเอนาแลว จัตุรัสนี้ ยังขึ้นชื่อเรื่องความสวยงาม เรียกไดวา เป็นจัตุรัสที่มีความสวยงามเป็นอันดับตนๆ ของอิตาลีเลย ลานกวางหนา จัตุรัสเมื่อยืนขึ้นมองจากหอระฆังตอร์เร เดล มันจีอา (Torre del Mangia) (ซึ่งตองเดินขึ้นบันไดไป 503 ขั้น... ขานอยขอลากอน - -!!) จะมองเห็นวาเป็นรูปพัดกางออก บางก็วาเป็นรูปเปลือกหอย บางก็วาเป็นรูป พระจันทรแครึ่งซีก คนที่จินตนาการลึกล้ําที่สุดบอกวาจัตุรัสมีรูปรางเหมือนเสื้อคลุมของพระแมมาเรียผูเป็นนักบุญ ประจําเมือง (ข้อมูลจากหนังสือ ใครๆ ก็ไปเที่ยวอิตาลี)
Piazza del Campo
หอระฆัง Torre del Mangia และ Palazzo Pubblico
[210]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 6: San Gimignano – Siena
เมื่อเราไดมาเห็นจัตุรัสเดล กัมโป เราก็รูสึกวาจัตุรัสนี้สวยงามและมีความพิเศษในตัวเองกวาจัตุรัสหลายๆ แหงจริงๆ นะ ไมวาจะเป็นสถาปัตยกรรม สีสันของอาคารที่รายลอมและที่สําคัญคือบรรยากาศโดยรอบ นักทองเที่ยวสวนใหญนิยมนั่งจิบกาแฟ กินขนมที่คาเฟุรอบๆ จัตุรัส สวนลานกวางรูปเปลือกหอยนั้นก็กวางและโลง มาก จนกลายเป็นสนามเด็กเลนของเด็กนอย และเป็นลานอาบแดด เพราะมีผูคนจํานวนไมนอยนอนแผหรากลาง จัตุรัสเลย แตถาหากใครโชคดีไดมีโอกาสมาเยี่ยมเยียนจัตุรัสนี้ในวันที่ 2 กรกฎาคมและ 16 สิงหาคม ที่นจี่ ะถูก เปลี่ยนใหเป็นสถานที่ประลองฝีเทามาอันยิ่งใหญของเมืองชื่อ เทศกาลปาลีโอ (Palio di Siena) (ข้อมูลจากหนังสือ ใครๆ ก็ไปเที่ยวอิตาลี)
เด็กน๎อยกับรถเข็น
นอนอาบแดดกันดีกวํา
หอระฆังตอรแเร เดล มันจีอา ที่ตั้งสูงเดนเป็นสงาดานเหนือของปิอัซซาเดล กัมโป นั้นเป็นหอระฆังที่มีความ สูงที่สุดในอิตาลี โดยมีความสูงถึง 102 เมตร ขางๆ กันคือปาลัซโซปุบบลีโก (Palazzo Pubblico) เคยใชเป็นที่ ทําการของหนวยราชการรวมทั้งประชุมสภา คลายๆ กับเทศบาลหรือที่วา การเมือง ปัจจุบันพื้นที่สวนใหญกลายเป็น พิพิธภัณฑแประจําเมืองหรือพิพิธภัณฑแซีวีโก (Museo Civico) มีงานศิลปะฝีมือศิลปินชาวซีเอนาเก็บสะสมและจัด แสดง เราไดแตเดินโฉบๆ เขาไปดานหนา แตไมไดเสียเงินเขาไปชมภายในพิพธิ ภัณฑแ อีกฝั่งหนึ่งของจัตุรัสที่ตรงขามกับหอระฆัง เป็นที่ตั้งของน้ําพุแหงความสุขสันตแหรือฟอนเต กายา (Fonte Gaia) เป็นบอน้ําสี่เหลี่ยมผืนผาเล็กๆ รอบๆ 3 ดาน (ยกเวนดานหนา) ของบอน้ํามีรูปสลักแมหมาปุารวม 6 ตัวซึ่งมี
[211]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 6: San Gimignano – Siena
น้ําพุพุงออกมาจากปากได จริงๆ แลวผลงานที่ตั้งตรงนี้เป็นผลงานจําลอง สวนผลงานจริงนั้นเก็บรักษาที่พิพธิ ภัณฑแซี วีโก
น้้าพุฟอนเต กายา (Fonte Gaia)
หลังจากเพลิดเพลินกับบรรยากาศที่ปิอซั ซาเดล กัมโปจนสมควรแกเวลา เราเดินตามแผนที่และมองดูปูาย บอกทางที่ติดอยูตามหัวถนน หัวตรอกซอกซอยตางๆ ที่ชบี้ อกทางไปยังมหาวิหารแหงเมืองซีเอนา เดินไปไมไกลก็จะ เห็นมหาวิหารหลังใหญทรงแหลมๆ สีพาสเทลอยูขางหนา ถึงแลว... มหาวิหารหรือดูโอโมแหํงเมืองซีเอนํา (Duomo di Siena ชื่อเต็ม Cathedral of Santa Maria Assunta) โบสถแเกาแกประจําเมือง สรางขึ้นตั้งแต ศตวรรษที่ 12 ดวยศิลปะแบบโรมาเนสกแ เพือ่ อุทิศใหแกพระแมมาเรีย สวนหอระฆังที่อยูขางๆ สรางขึ้นในศตวรรษที่ 13 โบสถแแหงนี้จัดไดวา เป็นโบสถแที่สวยที่สุดแหงหนึ่งในอิตาลี ซึ่งตามความเห็นสวนตัวแบบผูญิ้งผูหญิงอยางเรา เรา ชอบโบสถแนี้มากๆ มากที่สุดในทริปอิตาลีนี้เลยก็ได เพราะวาดวยสีสันของโบสถแ ที่เห็นเดนชัดคือที่ซุมประตูดานหนา มหาวิหารจะถูกประดับดวยหินออนสีหวานๆ พาสเทลหนอยๆ อยางสีชมพู ขาวและเขียว จึงทําใหรูสึกถึงความเป็น ผูญิ้งผูหญิงของโบสถแนี้ (เหมาะแลวที่สรางเพื่ออุทิศใหพระแมมาเรีย) ตะลึงตึงๆ ในความหวานสุดๆ... จริงๆ เราไม ชอบโบสถแกอธิก ไมชอบความที่มันมีรูปทรงแหลมๆ เหมือนหนามทุเรียน ไมออ นชอย ออนหวาน แตที่มหาวิหาร แหงซีเอนานี้เป็นขอยกเวน ไมรูทําไม หนามทุเรียนถึงดูไมแข็งกระดาง แตดูนุมนวลนาหลงใหล สงสัยตองเป็นเพราะ ซุมประตูสีพาสเทลแนๆ เลย ^_^ [212]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 6: San Gimignano – Siena
Duomo di Siena (Cathedral of Santa Maria Assunta)
[213]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 6: San Gimignano – Siena
ดวยความที่ตะลึงในความสวยงามของมหาวิหาร กับดวยความที่หามุมถายรูปมหาวิหารใหสวยๆ เห็นครบๆ สวนนั้นยากทีเดียว เราเลยใชเวลาถายรูปดานหนามหาวิหารอยูนานมากกวาจะเดินเขาไปชมภายใน เมื่อเรากาวเทา เขาไปชมภายในมหาวิหารก็ใหความรูสกึ ที่แตกตางจากภายนอกพอสมควร คืออยางที่บอกวาภายนอกดูหวานๆ พาส เทล แตพอเขาไปดานใน พื้นและเสาปูดว ยหินออนสีขาวสลับดําเป็นรูปเรขาคณิต (แอบเหมือนมาลาย) ใหความรูสึก เป็นแพทเทิรแนขึ้นมาเลย ก็เลยใหอารมณแความรูสึกอีกแบบหนึ่ง แตก็ชอบนะ มันแปลกดี ไมเคยเห็นโบสถแที่ใชสีแนว นี้และรูปแบบจัดวางหินออนแบบนี้มากอน นอกจากพื้นและเสาหินออนสีขาวสลับดําแลว สิ่งที่นาสนใจอีกอยางหนึ่ง ของภายในมหาวิหารแหงนี้คือแผ่นภาพบนพื้นหินอ่อน 59 แผ่น (ข้อมูลจากหนังสือ ใครๆ ก็ไปเที่ยวอิตาลี) ประดับ อยูทั่วพื้นมหาวิหาร รังสรรคแโดยศิลปินชาวซีเอนา เป็นภาพนิทานสอนใจและเรื่องราวในพระคัมภีรแใหม
[214]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 6: San Gimignano – Siena
ภายในมหาวิหารแหํงเมืองซีเอนํา
สํวนหนึ่งของแผํนภาพบนพื้นหินอํอนในมหาวิหาร
[215]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 6: San Gimignano – Siena
ทางซายมือของภายในมหาวิหารเป็นหองเก็บโนตเพลงโบราณ (Piccolomini Library) สวยดี ผนังรอบ หองก็เป็นภาพเฟรสโก เรื่องราวของพระสันตะปาปาปิอุสที่ 2 เต็มหองไปหมด
Piccolomini Library [216]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 6: San Gimignano – Siena
กอนเขาหอง Piccolomini Library จะเห็นแทนบูชา Piccolomini altar รูปสลัก 4 รูปดานขางแทนบูชา ไดแกเซนตแปีเตอรแ เซนตแปอล เซนตแเกรเกอรีและเซนตแปิอุส เป็นผลงานชองมิเคลันเจโลในวัยหนุม ภาพเหนือแทน บูชาคือภาพ Madonna and Child ของ Paolo di Giovanni Fei
รูปสลักของมิเคลันเจโลที่ Piccolomini altar
Paolo do Giovanni Fei, Madonna and Child
Donatello, Saint John the Baptist
ธรรมาสน์หินอํอน [217]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 6: San Gimignano – Siena
แทํนบูชาหลักของมหาวิหาร
ออกจากมหาวิหาร เราเดินออมไปดานหลังทางหอระฆัง เดินลงบันไดสูงชันหลายสิบขั้น แลวเลี้ยวซายเขา ไปยังหอพิธีศีลจุํม (Battistero di San Giovanni; Baptistery of San Giovanni) อางศีลจุมที่นี่เป็นทรงหก เหลี่ยม รอบๆ ฐานอางเป็นภาพแกะสลักนูนต่ําเรื่องราวของเซนตแจอหแน (St. John the Baptist) ผลงานของศิลปิน หลายคนรวมกันเชน โดนาเทลโล (Donatello)
ภาพสลักนูนต่้ารอบฐานอํางศีลจุํม
อํางศีลจุํม 6 เหลี่ยม [218]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 6: San Gimignano – Siena
เวลาเปิด: (มีหลายชวง หลายเวลา ภาคพิสดารมาก) Siena Cathedral Museum Complex ประกอบดวยมหาวิหาร หอพิธีศีลจุม หองฝังศพใตดิน (crypt) พิพิธภัณฑแ และจุดชมวิวบนยอด façade (panorama view from facciatone)
Baptistery
Cathedral and Piccolomini Library
Crypt
Panorama view from Facciatone
Opera Museum
Credit: http://www.operaduomo.siena.it
1 มีนาคม – 2 พฤศจิกายน 10.30 – 19.00 น. / วันอาทิตยแและวันหยุด 13.30 – 18.00 น. 3 พฤศจิกายน – 28 กุมภาพันธแ 10.30 – 17.30 น. / วันอาทิตยแและวันหยุด 13.30 – 17.30 น. 26 ธันวาคม – 6 มกราคม 10.30 – 18.00 น. / วันอาทิตยแและวันหยุด 13.30 – 17.30 น. มหาวิหารเปิดเขาชมวันอาทิตยแเฉพาะเดือนมีนาคม 13.30 – 17.30 น. คาเขาชม: มีหลากหลายแบบตามแตสถานที่เขาชมและยังขึ้นกับชวงเวลาที่เขาชมอีก ดูรายละเอียดแบบ เต็มๆ ครบถวนไดที่เว็บไซตแทางการ http://www.operaduomo.siena.it/eng/orari.htm คือจะบอกวาเราเสรอ มากที่ดันไปซื้อตั๋วแบบ all inclusive 12 EUR ที่สามารถเขาชมสถานที่บริเวณนี้ไดหมด 4 แหง ทั้งที่ความจริงเรา เขาชมแคมหาวิหาร (4 EUR) และหอพิธีศีลจุม (4 EUR) รวมแลว 8 EUR เองอะ... โงแท ไมรูตอนซื้อตั๋วคิดอะไรอยู คงคิดวาจะมีเวลาพอหรือจะเดินชมใหครบทุกสิ่งอยางแนๆ เลย... ออ! เคาทแเตอรแขายตั๋วอยูขา งขวาดานนอกมหา วิหารนะคะ เราใชเวลาชมมหาวิหารและหอพิธีศีลจุม นาน 2 ชั่วโมงเต็ม ถึงเวลา 5 โมงครึ่งพอดี ไดเวลาเดินกลับไปยัง ทารถบัสซีเอนาที่ปิอัซซา แอนโตนีโอ แกรมซี่แลว ใชเวลาเดินกลับอีก 20 นาที ที่ปิอัซซาทารถ จะเห็นบันไดทางลง ใตดินพรอมปูายบอกวาเป็นจุดจําหนายตั๋วรถ (มีหองน้ํา หองฝากกระเปาและจุดประชาสัมพันธแ) เราไปซื้อตั๋วรถบัส ขากลับจากซีเอนาตรงกลับไปฟลอเรนซแเลย ไมตองแวะเปลี่ยนรถที่ไหน คารถขากลับคนละ 7.8 EUR เราออกจากซี เอนากอนแผนเดิมเล็กนอย รถออก 18.00 น. ถึงฟลอเรนซแ 19.15 น. เดินดิ่งกลับโฮสเทลใหทันมื้อค่ํา (โรงอาหาร ปิด 20.30 น.) หิวมากๆ ที่โรงอาหารของโฮสเทล อารแคี่ รอซซี่ จะเป็นเมนูสลัด พาสตาและพิซซารวมกวา 30 เมนู ในราคายอมเยาวแ เราเลือกสลัดกรีก สปาเกตตี้คารแโบนาราและพิซซาอะไรสักอยาง อิ่ม อรอย สบายกระเปา 2 คน หมดไป 10 EUR เทานั้น กินอิ่ม นอนหลับ เพื่อสูตอไปกับวันพรุงนี้ที่ปิซา วิ้วๆๆ [219]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 6: San Gimignano – Siena
ทางลงบันไดไปห๎องจ้าหนํายตั๋วรถ
มื้อค่้าราคาประหยัดวันนี้ที่ Hostel Archi Rossi
[220]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 7: Pisa - Florence
วันที่ 7: Pisa – Florence
[221]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 7: Pisa - Florence
สวัสดีเชาวันที่ 7 ของการเดินทาง แผนการเดินทางในวันนี้จะออกแนวเบาๆ หัว (แตอาจไมเบาขา) กันสัก หนอย เริ่มต๎นจากนั่งรถไฟขบวนท๎องถิ่น (regional train) จากฟลอเรนซ์ไปปิซํา มุํงหน๎าสูํสนามมหัศจรรย์ กัม โป เดย์ มีราโกลี (Campo dei Miracoli) สถานที่ซึ่งเป็นที่ตงั้ สิ่งกํอสร๎างทีส่ ้าคัญที่สุดของเมืองปิซํา นั่นคือหอ เอนแหํงเมืองปิซํา เดินเรื่อยเปื่อยลัดเลาะรอบๆ เมืองมาเรื่อยๆ จนถึงสถานีรถไฟตอนบํายโมง นั่งรถไฟกลับมา ฟลอเรนซ์ ชํวงบํายเราจะเดินตะลุยปิอัซซํา เดลลา ซินญอเรีย อีกหนึ่งจัตรุ ัสดังของฟลอเรนซ์ แหลํงรวมเหลํา เทพเจ๎ากรีกโรมัน และประติมากรรมชื่อก๎องอื่นๆ ทั้งตัวจริงตัวปลอม ยืนเรียงรายกันอยูํเต็มลาน เดินผําน พิพิธภัณฑ์อุฟฟิซี (Uffizi) เพื่อไปยังสะพานเวคคิโอ (Ponte Vecchio) ข๎ามสะพานข๎ามแมํน้าอาร์โน (Arno) แมํน้าสายหลักที่พาดผํานทั้งฟลอเรนซ์และปิซํา เพื่อมุํงหน๎าสูํจุดหมายปลายทางที่จัตรุ ัสมิเคลันเจโล (Piazzale Michelangelo) นั่งพักผํอนพักขาพักนํองดูพระอาทิตย์ตกดินโดยมีวิวทิวทัศน์ของดูโอโมเมืองฟลอเรนซ์เป็น ฉากหลัง สุดท๎ายนั่งรถเมล์กลับโฮสเทล มื้อเย็นไมํต๎องถาม ห๎องอาหารโฮสเทลแนํนอน เนื่องจากรถไฟไปปิซานั้นเป็นรถไฟขบวนทองถิ่น (regional train) ซึ่งสามารถซื้อตั๋วลวงหนากอนเดินทาง ได 7 วันเทานั้น ทําใหเราไมไดซื้อตั๋วมากอนจากเมืองไทย ตองมาซื้อที่นี่ เราใชบริการซื้อตั๋วผานตูขายตัว๋ อัตโนมัติ ซึ่ง สะดวกดี ไมตองไปยืนตอแถวพูดชีโ้ บ฿ชี้เบ฿ที่เคาทแเตอรแ วิธีใชตูก็งายงาย ตามนี้คะ
ซื้อตั๋วรถไฟผํานหน๎าจอระบบสัมผัส
1. 2. 3. 4.
มองหาตู Fast Regional Ticket (ระบบสัมผัส) เลือกภาษา -> Buy your ticket พิมพแชื่อสถานีตนทาง (Firenze S.M. Novella) เครื่องมีระบบเดาคําให มีชื่อเมืองใหเลือกทางขวา ระบุวันที่และชวงเวลาเดินทาง กด Confirm [222]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 7: Pisa - Florence
5. หนาจอจะแสดงตารางเวลารถไฟและราคาตั๋วตามชวงเวลาที่เราระบุ -> กด Select เลือกขบวนที่ ตองการ 6. เลือกชั้น (class) ของรถไฟ ขบวนทองถิ่นจะมีแตชั้น 2 -> เลือกประเภทผูโดยสาย (ผูใหญ/เด็ก) และ จํานวนตัว๋ -> กด Forward 7. เลือกที่นั่ง ขบวนทองถิ่นเลือกที่นั่งไมได -> กด Forward 8. เครื่องจะคํานวณราคาตั๋ว ใหเราเลือกวาจะซื้อตั๋วขากลับดวยไหมหรือจะซื้อเฉพาะขาไปเที่ยวเดียว ถา เที่ยวเดียวใหกด Purchase ถาจะซื้อขากลับดวยใหกด Also buy return 9. ชําระเงิน เครื่องรับทั้งเงินสดและเครดิตการแด เราจายเงินสดผานเครื่อง สบายๆ 10. รอรับตั๋วไดเลย ไมมีบิดพริ้ว (เสียงพี่โต ชีริก ติ๊ก ชีโร... แกเนออ) หลังจากกินอาหารเชาที่โฮสเทลอยางรีบเรงนิดหนอย เรามาถึงสถานีรถไฟ Florence S.M.N. กอนรถไฟ ออก 10 นาที สวนตัว๋ รถไฟเราซื้อไวกอนแลวตั้งแตเมื่อคืนกอนกลับเขาโฮสเทล เชานี้เลยสบายๆ ไมรีบเรง กอนขึ้น รถไฟ ตอง validate ตั๋วดวยนะคะ เครื่อง validate ตั๋วตั้งอยูหนาชานชาลาทุกชอง เครื่องเขียวๆ เล็กๆ เหมือนกัน ทั่วประเทศ ตอนสอดตัว๋ ใหชิดตั๋วไปทางซายคะ รถไฟขบวนทองถิ่นไปปิซาวันนี้ ดูบานๆ ดี เกาๆ โทรมๆ แลนหวาน เย็นเล็กนอย พอใหเห็นวิวทิวทัศนแ 2 ขางทางอยางเต็มที่ แตไมนานหรอก แค 1 ชม. 20 นาที รถไฟก็พาเรามาถึง สถานีรถไฟ Pisa S. Rossore ที่เมืองปิซาแลว
เครื่อง validate ตั๋วรถไฟ
[223]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 7: Pisa - Florence
แผนที่เมืองปิซํา (Credit: http://www.orangesmile.com)
[224]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
แผนที่เมืองปิซํา (Credit: http://www.orangesmile.com)
วันที่ 7: Pisa - Florence
[225]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 7: Pisa - Florence
ปิซํา (Pisa) เป็นเมืองเล็กๆ ที่เงียบสงบ ตั้งอยูไมไกลจากฟลอเรนซแ สามารถเดินทางไปเที่ยวแบบไปเชาเย็นกลับจากฟลอเรนซแได แตกอนเคยมีความสําคัญในฐานะเป็นเมืองทาบนปากแมน้ําอารแโน เคยทําการคาขายกับ พวกแขกมัวรแในสเปนและแอฟริกาเหนือ จึงทําใหสถาปัตยกรรมหลายแหงของปิซามีกลิ่นอายของความเป็นอาหรับ อยูดวย แตสิ่งที่ทําใหเมืองปิซาโดงดังจนทําใหนักทองเที่ยวตางหลั่งไหลมาเยี่ยมเยียน ทุกโปรแกรมทัวรแตองบรรจุชื่อ เมืองปิซาไวในลิสตแก็เพราะ 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรยแของโลกยุคกลางสิ่งนี้... หอระฆังตอรแเรเปนเด็นเต (Torre Pendente) หรือที่รูจักกันดีในชื่อ “หอเอนแหงเมืองปิซา” ปิซามีสถานีรถไฟ 2 สถานี หนึ่งคือสถานีหลักของเมืองชื่อสถานีรถไฟกลาง Pisa Centrale สวนอีกสถานี อยูไกลออกไปชื่อ Pisa S. Rossore จากแผนที่เมืองปิซาจะเห็นวาสถานที่ทอ งเที่ยวสําคัญของปิซา นั่นคือหอเอน เมืองปิซา (Torre Pendente) นั้นอยูใกลกับสถานี Pisa S. Rossore มากกวามาก (ถาเดินจาก Pisa Centrale ใช เวลา 30 นาที เพราะฉะนั้นถาลงสถานีนี้ ไกดแบุ฿คตางๆ จะนิยมใหขึ้นรถเมลแตออีกที ซึ่งเราวาเสียเวลาและดูยุงยาก) เราจึงเลือกขบวนรถไฟที่ไปจอดที่ Pisa S. Rossore และเลือกขบวนที่เป็นเที่ยวตรง (direct train) จะไดไมตอง เสียเวลาตอรถ ซึ่งก็คอนขางจํากัดนิดหนอยเพราะรถไฟเที่ยวตรงจากฟลอเรนซแไป Pisa S. Rossore นั้นมีจํานวน รอบนอย จะมีทกุ 2 ชม. หรือทุก 1 ชม. เป็นบางเวลา เราจึงตองไปเลือกดูตารางรถไฟในเว็บ Trenitalia เพื่อ วางแผนลวงหนากอน เมื่อถึงสถานี Pisa S. Rossore ใหเดินตามแผนที่ที่ถือมา หรือถาแผนที่ไมคอยเวิรแค ก็ใหใชวิธีมองหายอด โดมของหอพิธีศีลจุม (Battistero) จะมองเห็นไดจากระยะไกล ใหเดินเขาไปหามันใหได ระหวางทางจะผาน มหาวิทยาลัยเมืองปิซาดวย ใชเวลาเดิน 10 นาทีก็ถึงที่หมาย... สนามมหัศจรรยแ กัมโป เดยแ มีราโกลี (Campo dei Miracoli)
แผนที่ Campo dei Miracoli (Credit: http://www.orangesmile.com) [226]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 7: Pisa - Florence
เส๎นทางจากสถานีรถไฟ Pisa S.Rossore จะเห็นโดมหอพิธีศีลจุํมอยูํลิบๆ
หน๎าประตูทางเข๎าสูํสนามมหัศจรรย์
กัมโป เดย์ มีราโกลี (Campo dei Miracoli) แปลชื่อเป็นไทยไดวาสนามมหัศจรรยแ จัตุรัสลานสนาม หญากวางขวางสุดลูกหูลูกตาแหงนี้เป็นสถานที่ทองเที่ยวที่สําคัญที่สุดในปิซา ทุกคนที่มาปิซาตองมาที่นี่ (ไมงั้นก็ไมรู จะใหไปที่ไหนแลวละ) เพราะฉะนั้นทีน่ ี่จึงเป็นแหลงรวมนักทองเที่ยวที่เดียวในปิซา จินตนาการไดเลยวาผูคนจะ มากมายขนาดไหน บรรยากาศของกัมโป เดยแ มีราโกลีในวันนี้สดใส สวยงามมาก สนามหญาเขียวขจีรองรับสิ่งปลูก สรางแนวกอธิกซึ่งทําดวยหินออนสีขาวนวล อากาศดี ทองฟูาสีฟูาสดไมมีเมฆ แสงแดดจัดสาดสองกระทบสนาม หญาและตัวอาคารตางๆ ทําใหเห็นภาพทุกอยางชัดเจนและสวยงามมากขึ้น ดานขางจัตุรัสขางหนึ่ งเป็นรานรวงขาย ของฝาก ของที่ระลึกประเภทเสื้อยืด กระเปา เครื่องหนัง พวงกุญแจ จิปาถะอะไรพวกนี้ จัตุรัสแหงนี้ประกอบไปดวย 4 สถานที่สําคัญตั้งรวมกันอยูไดแกหอพิธีศีลจุมแบตติสเตอโร (Battistero) ที่ อยูใกลตัวเรามากที่สุด ถัดไปเป็นมหาวิหาร (Duomo) อาคารดานขางซายมือเป็นสุสาน (Composanto) สวนหอ เอนมหัศจรรยแนั้นอยูไกลสุด กอนเริ่มเขาไปชมภายในอาคารแตละหลัง เราก็ตอ งขอตามกระแสซะหนอย เป็นกระแส ที่มีมานานมาก ไมรูวาใครเริ่มและมีมาตั้งแตเมื่อไหร เพราะตั้งแตรูจักหอเอนเมืองปิซา เราก็รูวา มันมีกระแสนีแ้ ลว นั่นคือการถายรูปแอคทาตางๆ กับหอเอน ใหดูเสมือนวาเรากําลังพิงหอเอนบาง ยันหอเอนไมใหลมลงบาง แตดู เหมือนเราจะเอาดีทางนี้ไมได ถายเป็นหลายสิบรูป ไมมีรูปไหนที่เขาใกลแอคชั่นที่วามาเลย สุดทายก็ตองกลับมา แอคชั่นแบบบานๆ ธรรมดาๆ นั่นแหละ เวิรแคสุด
[227]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 7: Pisa - Florence
หอพิธีศีลจุํม (Battistero)
มหาวิหาร (ซ๎าย) และหอเอน (ขวา) แหํงเมืองปิซํา
ร๎านค๎าขายของที่ระลึกข๎างกัมโป เดย์ มีราโกลี
หอเอนแหํงเมืองปิซํา
[228]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 7: Pisa - Florence
หลังจากถายรูปรอบๆ จัตุรัสจนหนําใจ ก็ถึงเวลาเขาไปชมความงามของอาคารตางๆ ภายในจัตุรัส กอนอื่น ตองซื้อตั๋วกันกอน (จะสังเกตไดวาบริเวณดานนอกอาคาร นักทองเที่ยวจะเยอะมาก โดยเฉพาะกรุ฿ปทัวรแ แตพอเขา ไปในตัวอาคารนักทองเที่ยวกลับนอยลงอยางเห็นไดชัด กรุ฿ปทัวรแไมเหลือ ก็เพราะมันเสียเงินนี่เอง) อาคารจําหนาย ตั๋วอยูดานหลังหอเอน ตัว๋ มีหลากหลายแบบ ตามจํานวนและประเภทสถานที่ทจี่ ะเขาชม (ดูรายละเอียดไดที่ยอหนา คาเขาชม ดานทายยอหนาเรื่องหอเอน) เราเลือกแบบ 2 entrances choice คนละ 6 EUR โดยเลือกชมดูโอโมและ แบตติสเตอโร สวนหอเอนเราไมขึ้น เพราะรอคิวนานและไมใช a must มหาวิหารแหํงเมืองปิซาํ หรือดูโอโม (Cathedral; Duomo di Pisa) เราเขาไปชมที่นี่กันกอน ดูโอโมนี้ เป็นศิลปะแบบโรมาเนสกแซึ่งมีกลิ่นอายของศิลปะอาหรับรวมดวย (กลายเป็นสไตลแเฉพาะ เรียกวาปิซา-โรมาเนสกแ) ระเบียงหนาโบสถแ (façade) สรางขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณแแหงชัยชนะในการรบของชาวปิซา โดยใชหินออนหลากสีสัน ตกแตงอยางสวยงาม แตเนื่องจากโบสถแถูกไฟไหมครั้งใหญเมื่อปีค.ศ. 1595 ทําใหตัวโบสถแและงานศิลปะภายใน โบสถแถูกเผาทําลายไปมาก ผลงานที่เห็นในปัจจุบันจึงเป็นผลงานซอมแซมปรับปรุงใหมีสภาพคลายของเดิมที่สุด ซึ่ง รวมถึงประตูทางเขาดานหนา 3 บานทีห่ ลอดวยทองสําริด ผลงานของจัมโบโลญญาดวย
หอพิธีศีลจุํมหรือแบตติสเตอโร (Battistero) ออกจากดูโอโม เราเดินตอไปที่แบตติสเตอโร ซึ่งที่นี่เป็นหอ พิธีศีลจุมที่ใหญที่สุดในอิตาลี รูปแบบอาคารยังคงเป็นศิลปะปิซา-โรมาเนสกแ แตสวนยอดโดมเป็นแบบกอธิก ดานใน มีธรรมาสนแเกาแกศิลปะกอธิกที่นา ชม เราเดินขึ้นบันไดวนภายในแบตติสเตอโรเพื่อขึ้นไปยังชั้นบนของตัวอาคาร ซึ่ง จะสามารถมองลงมาเห็นดานลางของแบตติสเตอโร และมองผานชองหนาตางมองออกไปยังภายนอก เห็นดูโอโม และบรรยากาศรอบๆ กัมโป เดยแ มีราโกลีจากมุมสูงขึ้น สวยงามทีเดียว [229]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 7: Pisa - Florence
จุดเดนหนึ่งของแบตติสเตอโรแหงนี้คือลักษณะโครงสรางที่ออกแบบมาเพื่อใหเสียงสะทอนภายในอาคาร นั้นสามารถดังกองกังวานไดอยางยาวนานจนเสียงสะทอนนั้นสามารถประสานกันเป็นเพลงไดดวยตัวเอง ตัวอยางเชนถาเรารองโนตแรกออกมา ระหวางที่เสียงสะทอนจากโนตแรกของเรา เราก็รองโนตที่สองที่สามตามมา เสียงสะทอนจากโนตที่สองและสามก็จะไปรวมกับเสียงสะทอนของโนตแรกออกมาไดอยางไพเราะเพราะพริ้ง (ข้อมูลจากหนังสืออิตาลี สานักพิมพ์วงกลม) ซึ่งทางโบสถแกจ็ ัดแสดงการรองเสียงสะทอนนี้ใหนักทองเที่ยวไดฟังกัน ดวย แตเราไมไดอยูฟังนะ จะทดลองรองเองก็เกรงวาจะโดนจับโยนออกจากหอศีลจุมซะกอน
มองลงมาจากชั้นบนของหอพิธีศีลจุํม
ออกจากหอพิธีศีลจุม เรานั่งพักปั๊มนมทีด่ านนอก รอบๆ หอพิธีศีลจุม ฝั่งสุสาน ปั๊มนมไป นั่งมองสุสานไป เออ... ก็เขาทาดีนะ ^_^ เสร็จแลวเราคอยเดินไปชมรอบๆ หอเอน (อีกรอบ สํารวจไปแลวรอบหนึ่งตั้งแตเดินเขา สูกัมโป เดยแ มีราโกลี) [230]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 7: Pisa - Florence
มหาวิหารเมื่อมองมาจากชั้นบนของหอพิธีศีลจุํม
สุสาน (Composanto)
บรรยากาศหน๎าห๎องขายตั๋ว
[231]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 7: Pisa - Florence
หอเอนเมืองปิซําหรือหอระฆังตอร์เร เปนเด็นเต (Torre Pendente; Leaning Tower) ไดรับการยก ยองใหเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรยแของโลกยุคกลาง เป็นหอระฆังสูง 7 ชั้น สรางขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1173 พอกอสรางไปได 5 ปี เริ่มขึ้นชั้นที่ 4 หอคอยก็เริ่มเอียง จึงหยุดสรางไป หนึ่งรอยปีตอมาในปีค.ศ. 1272 หอระฆังไดถูกสรางตออีกครั้ง โดยทีมงานกลุมใหมที่พยายามจะแกไขฐานรากค้ําใหหอตั้งตรงขึ้น แตก็ไมสําเร็จ สรางขึ้นไปจนถึงชั้น 7 ก็หยุดสราง ไปอยางยาวนานอีกครั้ง กวาที่สวนที่เป็นหอระฆังจะกอสรางขึ้นก็ลวงเลยไปจนถึงปีค.ศ. 1360 และใชเวลาอีกหลาย ปีมากกวาจะสรางเสร็จ ซึ่งสวนยอดนี้เป็นสวนที่การแกไขการเอียงของหอเอนทําไดอยางเห็นผลที่สุด รวมระเวลา กอสรางแบบสรางๆ หยุดๆ เกือบ 200 ปี ผานมือสถาปนิกไป 3 คน
หอเอนแหํงเมืองปิซํา (Torre Pendente; Leaning Tower)
สาเหตุการเอียงของหอคอยเกิดจากเนื้อดินบริเวณนี้เป็นดินออน ดินเกิดการยุบตัวลงเนื่องจากไมสามารถ ทนรับน้ําหนักของหอคอยได วิศวกรและนักวิชาการผูเชี่ยวชาญไดระดมสมองชวยกันหาวิธีที่จะดึงหอคอยใหกลับ มา ตั้งตรงเหมือนเดิมหรือใกลเคียงเดิมหรือชะลอการเอียงใหไดนานที่สุด แตหอคอยก็ยังเดินหนาเอียงตอไปเรื่อยๆ ปีละ 1 มิลลิเมตร จนทําใหในปีค.ศ. 1990 รัฐบาลอิตาลีจึงสั่งใหปิดหอเอนเพื่อบูรณะซอมแซมครั้งใหญจนสามารถดึงหอ เอนกลับขึ้นมาตั้งตรงมากขึ้น ลดความเอียงได 44 เซนติเมตร และอนุญาตใหนกั ทองเที่ยวขึ้นชมหอเอนไดอีกครั้งใน ปีค.ศ. 2001 แตกระนั้นขึ้นชื่อวาหอเอน หอเอนเมืองปิซาก็ยังคงรักษาชื่อไวอยางเต็มที่ ยังคงเดินหนาเอนเอียงตอไป
[232]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 7: Pisa - Florence
รอใหมนุษยแมาตานทานกฎธรรมชาตินี้ ผูเชี่ยวชาญที่ทําการบูรณะหอเอนคาดการณแวา หากยังคงเป็นเชนนี้ตอไป อีก ประมาณ 300 ปี หอเอนก็จะหมดแรงฝืนกฎธรรมชาติ พังลมลงมาในที่สุด ดังนั้น ปัจจุบันการเขาชมหอเอนจึงตองจํากัดจํานวนคนขึ้นชมยอดหอระฆังไดครั้งละไมเกิน 30 คน และ จํากัดเวลาเขาชมรอบละ 30 นาที เพราะฉะนั้นคิวเขาชมจึงนานพอดู คาเขาชมก็แพงหูฉี่ เราเลยโบกมือบ฿ายบาย ลา กอนคะกาลิเลโอ... เคยไดยินกันใชไหมคะวาที่หอเอนปิซาแหงนี้ เป็นสถานที่ที่ยอดนักวิทยาศาสตรแชาวปิซาอยาง แทจริงนาม กาลิเลโอ กาลิเลอิ (ผูทกี่ ลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของสํานักวาติกัน เพราะไปบอกวาโลกกลม เป็นดาว เคราะที่หมุนรอบดวงอาทิตยแ ไมใชศูนยแกลางของจักรวาลตามที่คริสตจักรบอกไว สุดทายโดนวาติกันกักบริเวณและ ตายอยางอนาจ) เคยขึ้นมาทําการทดลองเรื่องแรงโนมถวงของโลกที่วา วัตถุชนิดเดียวกันแตน้ําหนักตางกัน เมื่อ ปลอยลงมา จะตกถึงพื้นพรอมกัน
เวลาเปิด: มีหลายชวง หลายเวลา ภาคพิสดารยิ่งกวาที่ซีเอนา 10 เทา แตโดยรวมๆ ใหมาชวงกลางวันหลัง 9 โมงเชาจะปลอดภัยสุด รายละเอียดเวลาเปิด-ปิดที่สมบูรณแถูกตอง ไปดูที่เว็บไซตแทางการเลยคา www.opapisa.it/en/plan-your-visit.html คาเขาชม: (ขอมูลลาสุด ก.ย. 2015) มหาวิหาร (Cathedral; Duomo di Pisa) – เขาชมฟรี... กรี๊ดดด ตอนเราไปเสียตั้ง 2 EUR เป็นอยางเดียว ในอิตาลีเลยนะเนี่ยที่เวลาผานไปแลวไมขึ้นราคา กลับลดราคาลง ใหฟรีอกี ตางหาก... แตจะเขาชมฟรีไดตองไปเอา คูปอง (1 ใบตอ 2 คน) ที่หองขายตั๋ว
[233]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 7: Pisa - Florence
เลือกเขาชม 1 แหง ระหวางหอพิธีศีลจุม / สุสาน / พิพิธภัณฑแภายในมหาวิหาร (Opera del Duomo) / พิพิธภัณฑแซิโนปี (Sinopie Museum) - 5 EUR เลือกเขาชม 2 แหง ระหวางมหาวิหาร / หอพิธีศีลจุม / สุสาน / พิพธิ ภัณฑแภายในมหาวิหาร / พิพิธภัณฑแ ซิโนปี – 7 EUR เขาชมสถานที่สําคัญทั้งหมด 5 แหง – 10 EUR หอเอนปิซา – 15 EUR
บรรยากาศรอบๆ ปิอัซซํา เดย์ คาวาลิเอรี (Piazza dei Cavalieri) ที่ก้าลังซํอมแซมอยูํ
เราเดินออกจากกัมโป เดยแ มีราโกลี ตอนเกือบเที่ยง เดินชมสถานที่อื่นๆ ของปิซาตามแผนที่ไปเรื่อยๆ เพื่อที่หมายสุดทายคือไปขึ้นรถไฟที่สถานีปิซา เซ็นทราเล (Pisa Centrale) กลับฟลอเรนซแ โดยเดินผานทางหอเอน ขึ้นไปตามแผนที่จะเจอปิอัซซํา เดย์ คาวาลิเอรี (Piazza dei Cavalieri) เป็นจัตุรัสที่รายลอมดวยปาลัซโซและ [234]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 7: Pisa - Florence
โบสถแหลายหลัง ซึ่งก็ไมมีอะไร แถมบางสวนยังปิดซอมแซมอยูอีก เดินเลียบแมน้ําอารแโน (แมน้ําเดียวกับที่ผา นฟลอ เรนซแคะ) ไปเรื่อยๆ ระหวางทางไปสถานีรถไฟก็จะเจอกับโบสถแกอธิกหนาตาแปลก ยอดโบสถแเป็นหนามแหลมๆ เต็มไปหมด ชื่อซานตา มาเรีย เดลลา สไปนํา (Santa Maria della Spina) เชื่อวายอดปลายแหลมนั้นคือมงกุฎ พระเยซูที่นักรบปิซ่านากลับมาจากสงครามครูเสด (ข้อมูลจากหนังสือ ใครๆ ก็ไปเที่ยวอิตาลี) กอนที่เดินทางถึง สถานีรถไฟ Pisa Centrale ในที่สุด ** ปล. รานคาเฟุตรงขามสถานีรถไฟชื่อโคเฟอรแ บารแ (Cofer Bar) มีกาแฟ อรอยมากที่สุดในทริปนี้ อรอยกวากาแฟที่เคยกินที่เมืองไทยทั้งหมด คนขางๆ ตัวคอนเฟิรแม
แมํน้าอาร์โน (Fiume Arno)
โบสถ์ Santa Maria della Spina [235]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 7: Pisa - Florence
Piazza Vittorio Emanuele กํอนถึง
Piazza della Stazione หน๎าสถานีรถไฟ
สถานีรถไฟ Pisa Centrale
Pisa Centrale
เราซื้อตั๋วรถไฟกลับฟลอเรนซแจากตูขายตั๋วอัตโนมัติเชนเดิม สะดวกสบายดี รถไฟมาเทียบชานชาลาที่ Firenze S.M.N. 14.00 น. เดินเที่ยวตอกันเลยที่โบสถ์ซานตา มาเรีย โนเวลลา (Santa Maria Novella) ชื่อเดียวกับสถานีรถไฟและอยูใกลๆ สถานีรถไฟนั่นแหละ เป็นโบสถแที่มีดา นหนาโบสถแ (façade) ที่สวยงามที่สุดใน ฟลอเรนซแ ทําจากหินออน 3 สีคือสีขาว สีเขียวและสีชมพูออน พาสเทลมากๆ... สวยจริงๆ บริเวณดานหนาโบสถแจะ เป็นลานกวางๆ ใหคนมานั่งพักผอนกัน
โบสถ์ซานตา มาเรีย โนเวลลา (Santa Maria Novella กับ façade ที่สวยที่สุด
[236]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 7: Pisa - Florence
แผนที่สถานที่ทํองเที่ยวในฟลอเรนซ์ส้าหรับวันที่ 7
จากนั้นเราเดินตามแผนที่ตอไปอีกไกลทีเดียว ไปที่ปิอัซซํา เดลลา ซิญญอเรีย (Piazza della Signoria) อีกหนึ่งแลนดแมารแคของฟลอเรนซแ จัตุรสั ขนาดใหญแหงนี้มีจุดเดนอยูทปี่ าลัซโซเวคคิโอ (Palazzo Vecchio) และหอระฆังตอรแเร ดีอารแโนวแโฟ (Torre d’Arnolfo) ที่สูงเดนเป็นสงา ปาลัซโซแหงนี้ใชเป็นศาลาวาการเมืองฟลอ เรนซแตั้งแตอดีตจนถึงปัจจุบัน และยังเป็นพิพิธภัณฑแศิลปะจัดแสดงผลงานสะสมของตระกูลเมดิซี (ตระกูลผูครอง เมืองฟลอเรนซแ) รอบๆ จัตุรัสเป็นแหลงรวมผลงานประติมากรรมทั้งของจริงและของก฿อปเกรด AAA แบบฟรีๆ เดิน
[237]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 7: Pisa - Florence
ชม เดินดม ลูบไล สัมผัสไดอยางสบายใจ ไมเสียเงิน เริ่มจาก (ซายมือ) รูปสลักโคซีโมที่ 1 บนหลังมา นักรบ นัก ปกครองผูทรงอํานาจและทรงอิทธิพลทีส่ ุดของฟลอเรนซแ ขางๆ กันคือน้าพุเทพเนปจูน ที่สลักจากหินออนคารแรารา
โคซีโมที่ 1
ปาลัซโซเวคคีโอที่ปิอัซซํา เดลลา ซิญญอเรีย
น้้าพุเทพเนปจูน
แตรูปสลักที่ผูคนใหความสนใจมากที่สุดคงหนีไมพนรูปสลักเดวิดจ้าลองที่อยูห นาประตูทางเขาปาลัซโซ เวคคีโอ ซึ่งทําทดแทนของจริงที่ถูกยายไปเก็บรักษาทีห่ อศิลปอัคคาเดเมีย เดวิดตัวปลอมนี้มีขนาดเล็กกวาของจริง เล็กนอย แตรายละเอียดนั้นเหมือนของจริงมาก ตาถั่วๆ อยางเรานั้นดูไมออกหรอกวาอันไหนตัวจริงอันไหนตัว ปลอม ที่รูสึกถึงความแตกตางของ 2 รูปนี้คงอยูที่บรรยากาศ อารมณแ ฟีลลิ่งในการชม ตัวจริงนี่ออราพุงมาก ขาวโอ โมกระจาย แตตัวปลอมนี่ตากแดดกรําฝนจนตัวดํา ขี้ไคลขี้เกลือขึ้นเต็ม ไมวิ้งเลย สวนขางๆ เดวิดเป็นรูปสลักเฮอร์ คิวลิส (Hercules) ซึ่งเชื่อวาเป็นผูสรางเมืองฟลอเรนซแ
[238]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 7: Pisa - Florence
หน๎าประตูทางเข๎าปาลัซโซเวคคีโอ
เดวิดจ้าลอง
เฮอร์คิวลิส
[239]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 7: Pisa - Florence
เยื้องไปทางขวาของปาลัซโซเวคคีโอเป็นระเบียงล็อจจา เดย์ ลันซี (Loggia del Lanzi) แตกอ นใชเป็น สถานที่จัดงานราชการ ปัจจุบันกลายเป็นที่ตั้งของประติมากรรมฝีมือดีๆ หลายชิ้น ใหนักทองเที่ยวไดชมกันฟรีๆ ทั้งหมด 15 ชิ้น ผลงานที่นาสนใจเชน Perseus ของเบนเวนูโต เชลลีนี่ (Benvenuto Cellini) – ตัวรูปสลักทําจากทองแดง สวนฐานทําดวย หินออน เป็นรูปเพอรแซีอุสมือขวาถือดาบ มือซายชูหัวเมดูซา Rape of the Sabine Women ของจัมโบโลญญา (Giambologna) – ทําจากหินออนและทองแดง ถาจําได รูปหลอปูนปลาสเตอรแตนแบบของรูปสลักนี้ จัดแสดงอยูทหี่ อศิลปอัคคาเดเมีย The Rape of Polyxena ของ Pio Fedi Hercules and the Centaur ของจัมโบโลญญาและ Pietro Francavilla – รูปเฮอรแคิวลิสกําลังฆา เนซุส (Nessus) สัตวแครึ่งมาครึ่งคน (Centaur) ที่แอบลักพาเมียเฮอรแคิวลิสหนีไป สิงโตมารแซอคโค (Marzocco Lion) – สัญลักษณแประจําเมืองฟลอเรนซแ
Benvenuto Cellini, Perseus
Giambologna, Rape of the
Menelaus Holding the Body of
Sabine Women
Patroclus
Pio Fedi, The Rape of Polyxena
Marzocco Lion
Giambologna, Hercules and the Centaur
จากระเบียงล็อจจา เราแวบเขาไปชมดานในของปาลัซโซเวคคีโอเล็กนอย เฉพาะสวนโถงดานลางที่เขาชม ฟรี สวยไมใชเลนเลยละ แตเวลาไมพอแลว เราตองเดินไปสะพานเวคคีโอ (Ponte Vecchio) ตอ ผานทาง พิพิธภัณฑแอุฟฟิซี (Galleria degli Uffizi) ซึ่งเรามีแผนเขาชมพรุงนี้เชา วันนี้เลยไดเก็บบรรยากาศการตอแถวเขาคิว ชมพิพิธภัณฑแอันยาวเหยียดสมคําร่ําลือ ยาวมากกก... [240]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
ด๎านในปาลัซโซ เวคคีโอ
วันที่ 7: Pisa - Florence
พิพิธภัณฑ์อุฟฟิซี (Galleria degli Uffizi)
ผู๎คนตํอแถวเข๎าคิวเข๎าชมพิพิธภัณฑ์อุฟฟิซียาวเหยียด
เดินจากอุฟฟิซีไปจนสุดทาง จะเจอแมน้ําอารแโนพาดผานและสะพานเวคคีโออยูทางขวามือ บรรยากาศวัน นั้นรมรื่น อากาศสบายๆ แดดแรง แตไมอบอาว มีคนมาพายเรือแคนูในแมนา้ํ ดวย สะพานเวคคีโอ (Ponte Vecchio) เป็นสะพานขามแมน้ําอารแโน มีอายุเกาแกมากถึงเกือบ 700 ปี ถือวาเป็นสะพานโบราณสะพานเดียวทีย่ ังเหลืออยูในฟลอเรนซแ แตเดิมเป็นสะพานไม 2 ชั้น ชั้นบนเป็นทางเชื่อม ระหวางเจาหนาที่และคนในวังปิตตี (Palazzo Pitti) และสํานักงานอุฟฟิซี สวนชั้นลางเป็นรานคา รานอาหารและ ใหชาวบานทั่วไปใชขามผาน โดยปัจจุบนั เหลือแตสะพานชั้นลางเทานั้น จุดเปลี่ยนสําคัญอีกอยางเกิดขึ้นเมื่อผูครอง นครคนหนึ่งเกิดทนกลิ่นเหม็นของรานขายเนื้อชั้นลางไมไหว จึงสั่งใหเอารานขายเนื้อและรานอาหารอื่นๆ ออกไป แลวเอารานทองเขามาไวแทน ปัจจุบันเราจึงจะเห็นรานขายทอง รวมถึงอัญมณีและเครื่องประดับอื่นๆ เรียงรายอยู
[241]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 7: Pisa - Florence
ตลอดสองฝั่งของสะพานเวคคีโอ นอกเหนือจากรานขายไอศกรีมและของที่ระลึก เราไดมาเห็นของจริงก็ยังรูสึกอึ้ง ทึ่งวาเออ! เขาก็ทาํ ไดจริงแฮะ เอารานคาขึ้นมาตั้งบนสะพานเลย
บรรยากาศรอบๆ แมํน้าอาร์โน กํอนถึงสะพานเวคคีโอ
[242]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 7: Pisa - Florence
บนสะพานเวคคีโอ (Ponte Vecchio)
[243]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 7: Pisa - Florence
เดินชมนกชมไมซะเพลิน จนเวลาลวงเลยถึง 4 โมงครึ่ง ดวยความที่กลัววาจะบริหารเวลาไมทัน ไปไมทันดู พระอาทิตยแตกที่จัตุรัสมิเคลันเจโล (Piazzale Michelangelo) และเหนือ่ ยลาขาลากมาทั้งวันแลว เราจึง ขามโปรแกรมการเดินโฉบปาลัซโซปิตตีออกไป แลวมุงหนาไปยังจัตุรัสมิเคลันเจโลเลย ซึ่งระยะทางจากสะพานเวคคี โอจัตุรัสนั้นก็ไกลเอาเรื่องอยู ตองเดินขึ้นเขาดวย เลนเอาหอบ ตองเติมพลังโดยการซื้อเจลาโตกินระหวางทาง
Route to go: Ponte Vecchio to Piazzale Michelangelo
หนทางสูํจัตุรัสมิเคลันเจโล (Piazza Michelangelo) [244]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 7: Pisa - Florence
แตเมื่อขึ้นมาถึงแลวก็ไมผิดหวัง บรรยากาศบนจัตุรัสนี้สุดยอดจริงๆ ผูคนมากมายตางมานั่งเอนหลัง พักผอนตามสบายตามขั้นบันไดบาง ขอบกําแพงบาง มองวิวทิวทัศนแอันแสนจะงดงามเบื้องหนา วิวที่สามารถ มองเห็นฟลอเรนซแไดทั้งเมือง เห็นยอดโดมของดูโอโมสูงเดน เคียงขางดวยหอระฆังและหอพิธีศีลจุม ใกลๆ กันคือ ยอดหอระฆังของปาลัซโซเวคคีโอ รายลอมดวยตึกรามบานชอง อาคารสํานักงานตางๆ ซึ่งลวนแตคงเอกลักษณแของ สถาปัตยกรรมในแบบดั้งเดิมไวเกือบทั้งสิ้น จะมีที่รูสึกขัดตาขัดใจนิดหนอยก็เครนกอสรางที่อยูแถวนั้น ไมรูวาซอม หรือสรางอะไรเพิ่มเติม ตองพยายามจะถายรูปไมใหติดเจาเครนนั้นเพื่อไมใหเสียบรรยากาศ แตก็ไมคอยจะสําเร็จ
มุมมองฟลอเรนซ์ทั้งเมืองจากจัตุรัสมิเคลันเจโล
[245]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 7: Pisa - Florence
ผู๎คนตํางมาเอนกายพักผํอนชมพระอาทิตย์ตกดิน
[246]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 7: Pisa - Florence
วิ้ววววว!! ^_^
[247]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 7: Pisa - Florence
ที่จัตุรัสมิเคลันเจโลนี้มีรูปสลักเดวิดจําลองทําจากโลหะหลอ ตัวเขียวอือ๋ เหมือนตะไครขึ้น ยืนตอนรับผูที่ ผานไปมา สําหรับเรา เดวิดคนนี้ดูหมนหมอง ไมมีสงาราศรี ไมนาจะฆายักษแโกไลแอธไดนะ ทําใหเดวิดคนนี้ดูจะ ไมไดรับความสนใจจากผูมาเยือนจัตุรัสนี้เทาไหรนัก สิ่งหนึ่งที่สําคัญคงเป็นเพราะจุดขายของจัตุรัสแหงนี้มันอยูที่การ เป็นจุดชมวิวยามพระอาทิตยแตกดินที่ดีทสี่ ุดในฟลอเรนซแนะสิ ความสวยงามของวิวทิวทัศนแเบื้องหนา กลบความ สนใจของสิ่งอื่นออกไปหมดเลย เพราะฉะนั้นการแวะมาเยือนจัตุรัสมิเคลันเจโลจึงเป็นสิ่งที่ไมควรพลาดดวยประการ ทั้งปวง ความเหนื่อยลาจากการเดินทางทั้งวันในวันนี้ สามารถบรรเทาไดดวยการชมบรรยากาศที่จัตุรัสแหงนี้ไดมาก ทีเดียว อิ่มเอมใจดีจริง
เดวิดปลอมตัวมอมแมม เขียวอื๋อที่จัตุรัสมิเคลันเจโล
หกโมงเย็นแลว ไดเวลากลับที่พกั เพื่อชารแตแบต เราขึ้นรถเมลแปูายตรงจัตุรัสนี้เลย ตามที่ดูมา สาย 12 หรือ 13 ก็ได เราหาเครื่องขายตั๋วไมเจอ (จริงๆ คิดวาซื้อที่ซุมขายของชํา Tabacchi ที่จัตุรัสก็ไดนะ แตเราขี้เกียจเดิน ยอนกลับไปแลว) เราเลยขึ้นไปซื้อตั๋วบนรถเลย ก็จะแพงกวาซื้อที่อื่นหนอย จายไปคนละ 2 EUR อาหารค่ําวันนี้เรายังรักที่จะใชบริการโฮสเทลเชนเดิม เพราะหมดแรงแลว ไปตอที่ไหนไมไหวแลว ขอมา ตายรังที่ Hostel Archi Rossi นี่แหละ ถูกและดีมีอยูจริง โปรโมทแลวโปรโมทอีก
[248]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 8: Florence - Venice
วันที่ 8: Florence – Venice
[249]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 8: Florence - Venice
และแลวก็เขาสูเชาวันที่ 8 ของการเดินทาง ซึ่งเป็นวันสุดทายที่เราจะอยูที่ฟลอเรนซแ โปรแกรมวันนี้ยังหนัก หนาสาหัสเหมือนเดิม เพราะเราจะกลับเขาสูโหมดนักเรียนศิลปะอีกครั้ง เริ่มต๎นที่พิพิธภัณฑ์อุฟฟิซี สถานที่ รวบรวมงานศิลปะชั้นยอดอีก 1 แหํงของอิตาลี ไมํเข๎าชมไมํได๎เด็ดขาด เพราะฉะนั้นเราจะให๎เวลากับที่นี่มาก หนํอย 2.5-3 ชั่วโมงนําจะก้าลังดี ออกจากอุฟฟิซี แวะเดินตลาดใหมํแมร์กาโต นูโอโว (Mercato Nuovo) ลูบ หมูทองค้าซะหนํอยแล๎วคํอยบอกลาฟลอเรนซ์ ขึ้นรถไฟไปเวนิส (Venice) เมืองแหํงสายน้้า ล้าคลองและวิถี ชีวิตอันเป็นเอกลักษณ์ บําย-ค่้าเดินส้ารวจเวนิสกัน หามื้อค่้าหนักๆ ใสํท๎อง เตรียมพร๎อมลุยเวนิสแบบเต็มๆ ใน วันตํอไป หลังอาหารเชา เราจัดการเช็คเอาทแจากโฮสเทลกอน แตยังฝากกระเปาไวที่ลอ็ คเกอรแรูม จากนั้นเดินออก จากโฮสเทลมุงหนาสูปิอัซซา เดลลา ซิญญอเรียที่มาเมื่อวานบาย เพื่อรอเขาชมพิพิธภัณฑแอุฟฟิซี ตั้งแต 8 โมงครึ่ง เพื่อไมใหเป็นการเสียเวลาเขาคิวเขาพิพธิ ภัณฑแ เราเลือกที่จะจองตั๋วลวงหนาผานเว็บไซตแ ตอนปี 2012 ที่เราไป ใน เว็บยังไมเปิดใหจองรอบเชา ซึ่งเป็นรอบที่เราเลือก ตองใชวธิ ีโทรศัพทแไปจองทีเ่ บอรแ +39055294883 คงเป็น call center กลางของพิพธิ ภัณฑแตางๆ ในฟลอเรนซแ เจาหนาที่ที่รับสายสามารถพูดอังกฤษได ฟังพอออก ใหเราบอก สถานที่ที่จะเขาชม จํานวนคน วันเวลาเขาชม แลวก็นามสกุลผูจอง เจาหนาที่จะใหรหัสจองมา (booking number) เมื่อถึงวันเวลาเขาชม ใหไปกอนเวลาเล็กนอยประมาณ 10-15 นาที ไมเร็วกวานั้น นํารหัสนี้ไปยื่นใหพนักงานที่ชอ ง หมายเลข 3 กอน ถึงจะไดบัตรเขาชม แลวคอยมาตอแถวเขาชมพิพิธภัณฑแที่ชองหมายเลข 1 สวนชองหมายเลข 2 เป็นชองเขาคิวสําหรับคนที่ไมไดจองตั๋วมาลวงหนา ซึ่งแถวนั้นยาวเหยียดตั้งแตเชาจรดเย็นเลยทีเดียว... แตปัจจุบัน 2015 การจองตั๋วลวงหนางายกวานั้น เพราะเว็บไซตแเปิดใหจองลวงหนาไดทุกรอบ ตั้งแตรอบแรกทีพ่ ิพิธภัณฑแเปิด จนรอบสุดทายกอนพิพิธภัณฑแปิด (เขาเปิดใหทะยอยเขาชมเป็นรอบๆ ทุก 15 นาที แตจะเดินชมนานเทาไหรก็ได)
แผนที่สถานที่ทํองเที่ยวในฟลอเรนซ์ส้าหรับวันที่ 8
[250]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 8: Florence - Venice
พิพิธภัณฑ์อุฟฟิซี (Galleria degli Uffizi) เป็นอาคารแนวยาว 2 หลังมีทางเชื่อมกันเป็นรูปตัวยู (U) ไดชื่อตามวัตถุประสงคแการใชงานของอาคาร (อุฟฟิซีแปลวาออฟฟิศหรือสํานักงาน) โดยโคซีโมที่ 1 ไดจางจอรแจิ โอ วาซารี (Giorgio Vasari) ออกแบบและสรางขึ้นเพื่อใหเป็นอาคารสํานักงานสําหรับหนวยงานเอกสารตางๆ ของ เมืองเชนงานทะเบียน งานกฎหมาย นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นสถานที่เก็บรักษาผลงานศิลปะในความครอบครองของ ตระกูลเมดิซีกวา 3,000 ชิ้น ปัจจุบนั ผลงานศิลปะดังกลาว ถูกยายไปเก็บรักษาที่พิพธิ ภัณฑแตางๆ ทัว่ ฟลอเรนซแ รวมทั้งทีพ่ ิพิธภัณฑแอฟุ ฟิซีนี้ พิพิธภัณฑแจัดแสดงผลงานศิลปะโดยเรียงตามลําดับชวงเวลาและมีหองแยกตามศิลปิน เนื่องจากผลงาน ศิลปะในพิพิธภัณฑแอฟุ ฟิซีนี้มีเยอะมากถึงกวา 1,700 ผลงาน เราเลยขอเลือก 12 ผลงานโดดเดนตามที่หนังสือ Top 10 ทัสกานีและเว็บไซตแ Uffizi.org เขาแนะนําไวดังนี้ (เรียงตามลําดับหอง) (ข้อมูลจาก www.uffizi.org หนังสือ Top 10 ทัสกานี หนังสือใครๆ ก็ไปเที่ยวอิตาลี หนังสืออิตาลี สานักพิมพ์วงกลม หนังสือ Uffizi Gallery, the Official Guide all of the works ภาพจาก www.uffizi.org และวิกิพีเดีย)
แผนผังภายในพิพิธภัณฑ์อุฟฟิซี ชั้น 1 (Credit: หนังสือ Uffizi Gallery, The Official Guide all of the works)
[251]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 8: Florence - Venice
แผนผังภายในพิพิธภัณฑ์อุฟฟิซี ชั้น 2 (Credit: หนังสือ Uffizi Gallery, The Official Guide all of the works)
[252]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 8: Florence - Venice
1. Maesta (The Ognissanti Madonna), ค.ศ. 1310 ของ จอตโต (หอง 2) เมื่อเปรียบเทียบกับภาพที่คลายกันของจิตร กรในสมัยเดียวกัน พระแมมาเรียในภาพนี้มีรูปรางใหญหนา กวา จุดเดนของภาพนีอ้ ยูที่ความสามารถในการวาดภาพให มีมิติไดอยางนามหัศจรรยแ ลองสังเกตที่บัลลังกแและทูต สวรรคแที่คุกเขาอยูบนพื้น จะเห็นวาเหมือนภาพ 3 มิติมาก นอกจากนี้จุดเดนของภาพยังอยูที่ความสมจริงของใบหนา ผูคน ความแตกตางของหินออนและความเรียบเนียนเป็น แผนเดียวกันของแผนไมที่ปูอยูใตเทาพระแมมาเรีย 2. Battle of San Romano, ค.ศ. 1438 ของเปาโล อุชเชล โล (Paolo Uccello) (หอง 7) ภาพนี้เป็น 1 ใน 3 ภาพซีรีสแ แบบทริปทิค triptych (ภาพที่เขียนบนฉาก 3 บาน พวงตอ กันเหมือนบานพับหนาตาง มักใชประดับที่แทนบูชา) ที่เลา Maesta เรื่องราวของการตอสูที่ซาน โรมาโน อีก 2 ภาพที่เหลือถูก เก็บรักษาที่หอศิลปแหงชาติ (National Gallery) กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษและพิพธิ ภัณฑแลูฟวแ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ภาพนี้อุชเชลโลสรางจุดเดนดวยการสรางความลึกในภาพ ทําใหภาพแลดูมีมิติมากขึ้น สังเกต ไดจากทวนที่แตกหักในภาพ จะรูสึกไดวา เหมือนมันนูนๆ ออกมา (รูสึกไดจริงๆ นะ)
Battle of San Romano
[253]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 8: Florence - Venice
3. Madonna with Child and two Angels, ค.ศ. 1465 ของฟิลิปโปู ลิปปี (Filippo Lippi) (หอง 8) เป็นผลงานที่มี ชื่อเสียงที่สุดของเขา เป็นภาพพระแมมาเรียกําลังยกมือ สวดมนตแตอหนาพระเยซูในวัยทารกที่ถกู อุมยกขึ้นโดยทูต สวรรคแ 2 องคแ จุดเดนของภาพอยูที่ทรงผมและ เครื่องประดับบนผมของพระแมมาเรียทีส่ งางามมากและ ประดับดวยไขมุกและผาคลุมผม การวาดภาพสตรีใน ลักษณะที่แสนจะออนหวานและสงางามนี้จึงกลายเป็น ตนแบบใหศิลปินรุนหลังอยางบอตติเชลลีนําไปใชในผลงาน ของเขาดวย 4. Diptych of the Duke and Duchess of Urbino, ค.ศ. 1467 - 1470 ของปิเอโร เดลลา ฟรันเชสกา (Piero della Francesca) (หอง 8) ภาพขนาดใหญตั้งอยูกลาง Madonna with Child and two Angels หองเลย ดิพทิค (Diptych) เป็นชื่อเรียกผลงานจิตรกรรมที่ วาดบนฉาก 2 ผืนที่แยกจากกันแตเชื่อมตอกันดวยบานพับทําใหดูเหมือนเป็นหนังสือ ภาพนี้ถือไดวา เป็นหนึ่งใน ผลงานศิลปะอิตาเลียนในยุคเรอเนสซองสแที่มีชื่อเสียงที่สุด เป็นภาพเหมือนที่ชวนใหนึกถึงการเขียนภาพเหมือน แบบคลาสสิกและใหความรูสึกเครงขรึมอยูในทีของดยุกและดัชเชส ดานขวาคือดยุกแหงเออรแบิโน ผูสูญเสีย ดวงตาขางขวาระหวางการรบ นีจ่ ึงเป็นสาเหตุใหปิเอโร เดลลา ฟรันเชสกาถึงตองวาดแตใบหนาดานซาย สว น จมูกของดยุกก็หกั ระหวางการรบดวยเชนกัน จะเห็นไดวาจมูกนั้นงุมงอ สําหรับดัชเชสแหงเออรแบิโนนั้นก็แตง ตัวอยางหรูหราแลวก็หวั เถิกมาก (555+) เพราะวามันเป็นแฟชั่นของยุคนั้นนะ นี่ถาเราไปอยูย ุคนั้นคงอินเทรนดแ กับเขาโดยไมตองพยายามเลย ภาพนีม้ ีดานหลังดวย เป็นภาพดยุกและดัชเชสนั่งบนรถมาคนละคันชื่อภาพ Triumphal carriages
Diptych of the Duke and Duchess of Urbino [254]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 8: Florence - Venice
5. The Birth of Venus, ค.ศ. 1485 ของซานโดร บอตตีเชลลี (Sandro Botticelli) (หอง 10-14) เชื่อวาหลาย คนคงมีประสบการณแเหมือนกับเราที่เคยเห็นภาพนี้ผานสื่อตางๆ มานานแลว ตั้งแตยังไมรูจักวาภาพนี้ชื่ออะไร เป็นผลงานของใคร มีความหมายอยางไร มีชื่อเสียงโดงดังแคไหนและเก็บรักษาอยูที่ใด นั่นคือภาพจําของเราที่มี ตอภาพนี้เลย (ถึงแมวาจริงๆ อาจจะรูจกั ภาพนี้จากโลโกโปรแกรม Adobe Illustrator ก็เถอะนะ 55+) The Birth of Venus เป็นหนึ่งในผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก ถือไดวาเป็นตัวแทนของจิตรกรรมอิตาเลียนใน ศตวรรษที่ 15 เมื่อไดทราบถึงความหมายของภาพที่บอตติเชลลีตองการสื่อออกมาก็จะเขาใจวาภาพนี้เปี่ยมไป ดวยความหมายและแฝงความหมายอางอิงไปยังชวงเวลาในประวัติศาสตรแอีกดวย (ข้อมูลจาก www.uffizi.org) วีนัสคือหญิงสาวที่ไดชื่อวาสวยที่สุดในจักรวาลและเป็นเทพีแหงความรัก บอตติเชลลีวาดภาพกําเนิดวีนัสโดยนํา เรื่องราวมาจากบทกวีของชาวละติน โดยใหวีนัสยืนเปลือยกายอยูบนเปลือกหอยขนาดใหญกลางมหาสมุทร ทาทางการยืนนั้นไดแบบมาจากรูปสลักกรีกโบราณ สวนใบหนาไดแบบมาจากซีโมเนตตา เวสปุชชี เพือ่ นสาว ของผูครองนครตระกูลเมดิชี วีนัสกําลังถูกชวยพาใหขึ้นฝั่ง โดยแรงลมเปุาของเทพเซไฟรัส (Zephyrus) และ เทพีออรา (Aura) พรอมๆ กับที่มีดอกกุหลาบตกลงมาจากฟูาทางดานซายมือ สวนขวามือคือเทพธิดาแหงปุา กําลังนําผาคลุมมาหมกายให บอตติเชลลีลงสีภาพนี้โดยใชสีออนๆ และใหอารมณแที่บางเบา ทําใหภาพนี้คลายๆ กับภาพวาดเฟรสโก สวนตัวเรารูสึกชอบภาพนี้มากๆ มันดูผหู ญิ้ง ผูหญิง ออนหวาน ออนโยน เบาๆ ไมหนักหัว เรื่องราวในภาพก็เป็นเรื่องราวที่ดแู ฮปปี้ มีความสุข ไมหดหูเศราใจ มองไดเพลินๆ สบายตา สบายใจดีจริง
The Birth of Venus
[255]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 8: Florence - Venice
6. Primavera, ค.ศ. 1482 ของบอตติเชลลี (หอง 10-14) อีกหนึ่งภาพผลงานของบอตติเชลลีที่ถูกคนพบใน ชวงเวลาเดียวกับภาพกําเนิดวีนัส วากันวานี่คือดินแดนของเทพีวีนัส (ยืนตรงกลางภาพ) ในฤดูใบไมผลิ เทพเซ ไฟรัส (Zephyrus) เทพเจาแหงลมทางขวามือสุดของภาพ กําลังไลจับนิมฟ (นางไม) คลอริส (Chloris) ขางๆ คลอริสคือเทพีฟลอรา (Flora) เทพีแหงดอกไมและ ฤดูใบไมผลิกําลังโปรยดอกไม เหนือศีรษะของวีนัสคือคิวปิด กําลังเล็งศรแหงความรักไปยัง นิมฟชาริทีส (Charites) ที่ กําลังเตนรําอยู 3 คน และ ซายสุดของภาพคือเทพเมอรแ คิวรี (Mercury) ผูทําหนาที่ อารักขาสวนแหงนี้ ภาพพรี Primavera มาเวอราหรือฤดูใบไมผลินี้ เป็นภาพที่เต็มไปดวยความหมายเชิงเปรียบเทียบซึ่งตีความไดหลากหลายมาก ทัง้ ความหมายทางการเมื องวาให เทพองคแโนน เทพีองคแนี้เป็นตัวแทนของเมืองอะไร ซึ่งเป็นสัญลักษณแของสิ่งใด ทั้งความหมายทางวรรณกรรม จากกวีนิพนธแโรมันโบราณของโอวิด (Ovid) วาดวยเรื่องเทพีฟลอราที่เคยเป็นนิมฟคลอริสและหายใจออกมา เป็นดอกไม จนทําใหเทพเซไฟรัสหลงใหลจนติดตามเอาเป็นภรรยา นอกจากนี้ยงั มีผูตีความวาบอตติเชลลีไดแรง บันดาลใจจากกวีของคนนั้นคนนี้อีกหลายเรื่อง... ถาบอตติเชลลีรูวามีผูตีความงานศิลปะของเขาไปไดมากมาย ขนาดนี้ เขาคงนั่งอมยิ้ม หัวเราะ หรือไมก็สายหัวแนๆ 7. The Annunciation, ค.ศ. 1475 - 1480 ของลีโอนารแโด ดา วินชี (หอง 15) เรื่องราวที่พระเจาสงทูตสวรรคแ เกเบรียล (Gabriel) มาแจงขาวแกพระแมมาเรีย (ตอนนั้นยังเป็นแคมาเรียสินะ) วานางจะตั้งครรภแและให กําเนิดบุตรของพระเจาคือพระเยซู ในภาพ ทูตสวรรคแเกเบรียลถือดอกมาดอนนาลิลลีซึ่งเป็นสัญลักษณแแหง ความบริสุทธิ์และเป็นดอกไมประจําเมืองฟลอเรนซแดวย
The Annunciation [256]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 8: Florence - Venice
8. Doni Tondo (Holy Family with the infant St. John the Baptist), ค.ศ. 1506 – 1508 ของมิเคลัน เจโล (หอง 25, ปี 2015 ยายไปอยูหอง 35) เป็นภาพวาดชิ้นเดียวของมิเคลันเจโลที่อยูที่ฟลอเรนซแและถือเป็น หนึ่งในศิลปะอิตาเลียนระดับมาสเตอรแพซี แหงศตวรรษที่ 16 มิเคลันเจโลวาดภาพนี้ในชวงเวลาเดียวกับที่เขา แกะสลักรูปเดวิด ลักษณะทาทางของพระแมมาเรีย ที่กําลังเอี้ยวตัวอุมพระเยซูใหเซนตแโยเซฟ กลายเป็น ทาทางที่ศิลปินหลายคนนิยมใชกันตอมา ฉากหลัง เป็นรูปคนเปลือย 5 คน หนึ่งในนั้นที่อยูดานขวามือ ของเซนตแโยเซฟคือทาทางเดียวกับรูปสลักเลาคูน (Laocoon) คาดวามิเคลันเจโลจะนําแบบเลาคูนมา วาดในรูปนี้ ความหมายของภาพนี้นั้นยังไมทราบแน ชัด มิเคลันเจโลอาจกําลังบอกเลาเรื่องราวในพระ คัมภีรแวาดวยกําเนิดและพิธีชาํ ระบาปของพระเยซู Doni Tondo (Holy Family with the สังเกตจากภาพเซนตแจอหแนในวัยทารกทางขวาสุด infant St. John the Baptist) ของภาพและรูปคนรอบๆ กรอบรูป 5 คน ซึ่ง หมายถึงพระเยซูคริสตแ ทูตสวรรคแและโหราจารยแ ภาพ Holy Family นีถ้ ือเป็นภาพรากฐานของงานศิลปะแบบ แมนเนอริซึ่ม (Mannerism) ซึ่งเริ่มตนในศตวรรษที่ 16 นั่นคือภาพการวางทาทางที่บิดเบี้ยวไปจากธรรมชาติ และการใชสีสดจัด 9. Madonna of the Goldfinch, ค.ศ. 1505-1506 ของ ราฟาเอล (หอง 26, ปี 2015 ยายไปอยูหอง 66 ชั้น 1) เป็นภาพเขียนของราฟาเอลชวงที่เขาอาศัยอยูในฟลอ เรนซแ จากที่เราเห็นผลงานของยอดศิลปินอิตาเลียนหลาย ทานมาหลากหลายชิ้นตั้งแตวันแรกที่โรมจนถึงวันนี้ ทําให เราพอจับคาแรกเตอรแผลงานของศิลปินแตละคนไดบาง อยางราฟาเอลนี่ก็เหมือนกัน พระแมมาเรียของราฟาเอล จะเป็นผูหญิงสวยๆ หวานๆ สีสันในรูปภาพก็จะนุมๆ เบาๆ หวานๆ ภาพนี้เป็นภาพพระแมมาเรียนั่งอาน หนังสือ พระเยซูยืนอยูตรงกลางหวางขา กําลังลูบจับนก โกลดแฟินชแที่เซนตแจอหแนยื่นใหอยางเอ็นดู 10. Venus of Urbino, ค.ศ. 1538 ของทิเชียน (Titian) Madonna of the Goldfinch (หอง 28, ปี 2015 ยายไปอยูหอง 83 ชั้น 1) เขียนขึ้นเพื่อ เป็นของขวัญใหแกภรรยาวัยสาวรุนของดยุกแหงเออรแบโิ น (แตเป็นคนละคนกับดยุกในภาพที่ 7 กอนหนานะ คะ) รายละเอียดในภาพนี้จึงเต็มไปดวยสัญลักษณแของการแตงงานและเป็นการสอนภรรยาวัยสาวของทานดยุก [257]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 8: Florence - Venice
เกี่ยวกับหนาทีภ่ รรยาที่ดีไดแก 1 – เรื่องกามารมณแ ทิเชียนใหภาพเปลือยของวีนัส เทพีแหงความรักเป็นตัวแทน ของเรื่องนี้ 2 – ความจงรักภักดี จาก ภาพสุนัขนอนหมอบทีป่ ลายเทาของ วีนัส และ 3 – ความเป็นแม จาก ภาพคนรับใช 2 คนกําลังกุลีกุจอหา เสื้อผาสวมใสใหเจานาย จุดเดนอีก อยางของภาพนี้คือการที่ทิเชียนลงสี วีนัสใหสวางจา ตัดกับฉากหลังที่มืด ทึบ ทําใหวีนัสนั้นดูเยายวนและสื่อถึง อารมณแทางเพศอยางเดนชัดขึ้น Venus of Urbino 11. Madonna of the Long Neck, ค.ศ. 1534 - 1539 ของปารแมีจานีโน (Parmigianino) (หอง 29, ปี 2015 ยายไปอยูหอ ง 74 ชั้น 1) ผลงานนี้ ยังไมเสร็จดี เป็นศิลปะแบบแมนเนอริสตแ แบบเดียวกับภาพ Holy Family ของมิเคลันเจโล คือพระแมมาเรียที่ บิดตัวมากเกินไปจนดูผิดรูปและพระเยซูที่รูปรางใหญเกินไปจากวัยนั้น 12. Bacchus (The Adolescent Bacchus), ค.ศ. 1595 ของคาราวัจโจ (หอง 90 ชั้น 1) เขาวาดภาพแบคคัส เทพแหงการเกษตรและการทําไวนแในวัยหนุม (แตดูซาวสาว ตามสไตลแของคาราวัจโจ) โดยใบหนานั้นคือภาพ ของจิตรกรชาวซิซีเลียนที่เคยอยูรวมกับคาราวัจโจในโรมชวงหนึ่ง คาราวัจโจไดใสรายละเอียดปรัชญาชีวิตและ หลักความเชื่อทางศาสนาผานภาพเทพแบคคัสนี้ในหลายจุดตั้งแตภาพใบหนาทีแ่ สดงออกถึงตัณหาราคะและ ความดิบเถื่อน (กรุมกริ่มไหมละ เชิญดูอีกครั้ง) พวงแกมแดงก่าํ (เมาเหลา) ริมฝีปากมันวาว เล็บมือที่สกปรก และผลไมเกือบเนาที่ถูกหนอนแทะ
Madonna of the Long Neck
Bacchus (The Adolescent Bacchus) [258]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 8: Florence - Venice
ข๎อมูลการเข๎าชมพิพิธภัณฑ์อุฟฟิซี เวลาเปิด: วันอังคารถึงวันอาทิตยแ 8.15 – 18.50 น. หยุดทุกวันจันทรแ วันปีใหม วันแรงงานและวันคริสตแมาส คาเขาชม: (ก.ย. 2015) คาเขาชม 8 EUR ถาตรงกับชวงที่มีนิทรรศการ คาเขาชมก็จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 12.5 EUR คาจองตั๋วลวงหนา 4 EUR กรณีจองตั๋วลวงหนาผานเว็บไซตแจําหนายตั๋วอยางเป็นทางการสําหรับเขาชม พิพิธภัณฑแในเครือศูนยแพิพิธภัณฑแในฟลอเรนซแ (Polo Museale Fiorentino) http://www.b-ticket.com/bticket/uffizi/venue.aspx
ระเบียงชั้น 2 ของพิพิธภัณฑ์ มีคาเฟ่เล็กๆ และสามารถชมวิวได๎
[259]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 8: Florence - Venice
เราเดินชมผลงานในพิพิธภัณฑแอยางไมรีบเรง แตก็เลือกดูเฉพาะผลงานที่หนังสือแนะนําไวนะ เพราะไมมีทั้ง สติและปัญญาจะดูใหครบหมดไดจริงๆ หัวศิลปะไมนําพา ใชเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง ออกจากพิพิธภัณฑแมีเวลา เหลือปั๊มนมสบายๆ เสร็จแลวคอยเดินไปชมตลาดแมร์กาโต นูโอโว (Mercato Nuovo) หรือตลาดใหม จริงๆ ที่นกี่ ็ไมมีอะไรนาสนใจ เป็นตลาดขายเสือ้ ผา กระเปาเล็กๆ อารมณแตลาดนัดเล็กๆ หลังที่ทํางาน แตจุดขายของแมรแ กาโต นูโอโวนีอ้ ยูที่เจาหมูปุาสําริด “อิลปอรแเชลลีโน” ที่ผูคนที่ผานไปมาแถวนั้นตองเขาแถวรอเพื่อทีจ่ ะไดลูบจมูก หมูจนมันวาวเพราะเชื่อวาจะทําใหโชคดี (ยังมีโยนเหรียญใหเขาปากหมูดว ยนะเออ ยากหนอยนะคะ เพราะหมูมัน อาปากนิดเดียวเอง) เราเองก็เชนกัน ยืนตอแถวซะนานเชียว จูๆ ก็มีคุณปูาเดินพุง มาจากไหนไมรู แซงคิวเฉิบ
Mercato Nuovo
หมูป่าส้าริด “อิลปอร์เชลลีโน”
ออกจากแมรแกาโต นูโอโว ก็ไดเวลากลับไปเอากระเปาที่โฮสเทล เพื่อไปยังสถานีรถไฟ Firenze S.M.N. และบอกลาฟลอเรนซแเสียที เมืองที่หยุดเวลาไวที่ยุคฟลอเรนทีนจริงๆ เคยอานขอความจากหนังสือนําเที่ยวเลมไหน ไมรู กลับไปทั้งคนทั้งคุยหาแลว หาไมเจอจริงๆ เลยไมสามารถใหเครดิตอางอิงไดอยางถูกตอง ขออภัยดวยจริงๆ ขอความในหนังสือเลมนั้นบอกวา หนุมสาวชาวฟลอเรนซแยุคปัจจุบัน ไมนิยมและไมเลือกที่จะอยูแ ละทํางานทีฟ่ ลอ เรนซแ เนื่องจากที่นี่ไมมีงานใหมๆ ไมมีงานที่หลากหลายใหทาํ ทุกสิ่งทุกอยางในฟลอเรนซแถูกหยุดใหคงสภาพคลาย ในอดีตมากที่สุด อาชีพในฟลอเรนซแก็มีแตงานบริการทองเที่ยว พิพธิ ภัณฑแ คาขายอาหาร ของที่ระลึก โรงแรมอะไร พวกนี้ พวกเขาจึงจําตองออกไปแสวงหางานใหมๆ งานที่หลากหลายทีอ่ ื่นแทน พอไดมาเที่ยวฟลอเรนซแจริงๆ ก็ เขาใจขอความนั้นอยางถองแทเลย เราออกจากสถานี Firenze F.M.N. เวลา 12.55 น. เพื่อเดินทางไปเวเนเซีย (Venezia) หรือเวนิส (Venice) เมืองที่มีวิถีชีวิตที่เป็นเอกลักษณแที่สุดเมืองหนึ่งของอิตาลีและของโลก เราซื้อตั๋วลวงหนาจากเว็บทางการ [260]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 8: Florence - Venice
รถไฟอิตาลีเรียบรอยแลว เนื่องจากเวนิสเป็นเมืองทองเที่ยวชื่อดัง การเดินทางไปยังเวนิสจึงสะดวกสบาย ครบถวน ทุกรูปแบบทั้งทางอากาศ (เครื่องบิน) ทางน้ํา (เรือ) และทางบก (รถบัส รถยนตแ รถไฟ) แนนอนวาเราเลือกเดินทาง โดยรถไฟ สถานีรถไฟที่เวนิสนั้นมี 2 สถานีคือเวเนเซีย เมสเตร (Venezia Mestre) ซึ่งเป็นสถานีของเมืองเมสเตรบน แผนดินใหญ กับสถานีเวเนเซีย ซานตา ลูเซีย (Venezia Santa Lucia) สถานีของเมืองเวนิสจริงๆ ซึ่งยื่นเทียบทา เขาไปในเกาะเลย ซึ่งเราเลือกสถานีหลัง เพราะใกลกวา ประหยัดแรงและเวลาในการแบกกระเปามากกวา ใชเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง รถไฟจากฟลอเรนซแก็เทียบชานชาลาที่สถานี Venezia Santa Lucia ตอน 14.33 น. ออกจากสถานี เราแวะซื้อตั๋วเรือเมลแสําหรับใชเดินทางในเวนิสวันพรุงนี้และวันมะรืนกอน (วันนีย้ ังไมใชนะ คะ เดินเทาเอา) หองขายตัว๋ อยูที่ทางลงบันไดจากสถานีรถไฟ รายละเอียดประเภทตั๋วเรือ เอาไวอธิบายยาวๆ พรุงนี้ ละกันคะ จากนั้นก็เช็คอินเขาที่พักคือโรงแรมฟลอริดา (Hotel Florida) http://hotel-florida.com/ โรงแรมอยู ใกลสถานีรถไฟมาก อยูใกลสะพานปอนเต เดลญี สกัลซี (Ponte delgli Scalzi) มาก... แต แต เราหาโรงแรมไม เจออะ เดินวนไปวนมาแถวนั้นไมต่ํากวา 5 รอบ ก็ยังหาไมเจอ ดวยความทีโ่ รงแรมอยูใกลจัด เหมือนเสนผมบังภูเขา ทําใหเรามองขามตรอกเล็กๆ ที่เป็นที่ตงั้ ของโรงแรมไปซะงั้น ลองถามคุณตาชาวเวนิสแถวนั้นก็แลว คุณตาก็ยังมิ สามารถ สุดทายเราก็เจอดวยตัวเองแบบงงๆ ที่จริงงายๆ ก็คือ จากสถานีรถไฟ ใหเดินลงบันไดเพื่อมาหาคลอง แกรนด์คาแนล (Grand Canal; Canale Grande) คลองใหญที่พาดผานเวนิส เลี้ยวซาย เดินตรงไปจนเจอ สะพานปอนเต เดลญี สกัลซี (สะพานแรก) ใหหาตรอกเล็กๆ ซายมือ ที่อยูตรงขามหรือเยื้องสะพานมากที่สุด จะเห็น ปูายชื่อตรอก Calle Priuli Dei Cavaletti ที่หนาตรอก จะมีปูายบอกชือ่ โรงแรมที่อยูในตรอกนั้นหลายโรงแรม รวมทั้งโรงแรมฟลอริดาดวย งายจริงๆ เดินเขาไปในตรอกนั้นเลย เดินไปไมถึง 20 เมตร โรงแรมอยูทางขวามือ
สถานีรถไฟ Venezia Santa Lucia
สะพานปอนเต เดลญี สกัลซี ตรอกเล็กๆ มีป้ายบอกทางไปโรงแรมฟลอริด๎า
(Ponte delgli Scalzi) [261]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 8: Florence - Venice
แผนที่เมืองเวนิส (Credit: www.veniceforyou.com) [262]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 8: Florence - Venice
แผนที่เมืองเวนิส (Credit: www.veniceforyou.com) [263]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 8: Florence - Venice
เวนิส (Venice, Venezia) ใครๆ ก็คงรูจักและนึกภาพเมืองนี้ออกเป็นอยางดี แตเดิมเมืองตั้งอยูริมทะเล เอเดรียติก ตอมาเมื่อถูกรุกรานจากกลุม โนนกลุมนี้ ชาวบานจึงตองถอยรนเมืองมาอยูที่เกาะเล็กๆ ซึ่งจริงๆ แลวคือ สันดอนของเกาะราวๆ 30 เกาะ มีพนื้ ที่รวมกันประมาณ 5 ตารางกิโลเมตร (ข้อมูลจากหนังสือใครๆ ก็ไปเที่ยว อิตาลี) ซึ่งการยายเมืองมาอยูบ นสันดอนเกาะเล็กๆ นี้ นอกจากจะทําใหชุมนุมรอดพนจากการรุกราน ยังทําใหเมือง เติบโตจนกลายเป็นเมืองทา ทํามาคาขายรุงเรือง เป็นรัฐอิสระมีผูปกครองเรียกวาโดเจ (Doge) หรือดยุก (Duke) ใน ภาษาอังกฤษ เวนิสผานรอนผานหนาวมามากตามชวงเวลาในประวัติศาสตรแ ทั้งชวงที่เจริญสูงสุด เป็นเมืองทาใหทั้ง อาณาจักรไบเซนไทนแ (ศาสนาคริสตแ) และอาณาจักรออตโตมันของชาวเติรแก (ศาสนาอิสลาม) 2 ฝั่งอํานาจที่เอาแต รบกันอยู อิทธิพลทางศิลปะวัฒนธรรมของทั้ง 2 ฝั่งก็แผขยายมาถึงเวนิสในชวงนี้ จนถึงชวงที่เวนิสตกต่ํา ในยามที่ วิศวกรรมเจริญขึ้น ประเทศอื่นๆ สามารถตอเรือขนาดใหญขึ้น ไมจําเป็นตองอาศัยเมืองทาที่อยูใกลเอเชียหรือ แอฟริกาอยางเวนิส เมืองทาใหมๆ ที่เจริญกวาเวนิสจึงเกิดขึ้นอีกหลายเมืองเชนลอนดอน อัมสเตอรแดัม (ข้อมูลจาก หนังสือเวนิสพิศวาส) เวนิสเคยตกเป็นเมืองขึ้นในสมัยของนโปเลียน ตอมาก็ตกไปอยูกับอาณาจักรออสเตรีย ฮังการี จนสุดทายเมื่อมีการรวมชาติอิตาลี เวนิสจึงกลายเป็นสวนหนึ่งของอิตาลีจวบจนปัจจุบัน เนื่องจากเวนิสเป็นเมืองที่ตั้งอยูบนเกาะ มีคลองพาดผานและมีทะเลลอมรอบ การเดินทางไปมาในเวนิสจึง ไมสามารถใชรถราใดๆ ได หากไมเดินเทาแลวก็ตองอาศัยเรือประเภทตางๆ โดยสารเทานั้น บายวันนี้หลังจาก เช็คอิน เก็บสัมภาระเรียบรอย เราก็พรอมออกสํารวจเมืองเวนิสกัน วันนี้เราจะยังไมใชบริการเรือโดยสารใดๆ ทั้งนั้น จะขอใชบริการ 2 เทาของเราไปกอน ตามเสนทางที่ 2 เทานั้นเดินไหว เพื่อเป็นการประหยัดคาตัว๋ เรือ เราจะ validate ตั๋วเรือที่ซื้อมาแลวในเชาวันพรุงนี้คะ สถานที่แรกที่จะไปคือจัตุรัสหรือกัมโป เดยแ ฟรารี (Campo dei Frari) กัมโป มีความหมายวาลานกวาง หรือจัตุรัสเหมือนกับคําวาปิอัซซา (Piazza) เริ่มตนจากสะพานปอนเต เดลญี สกัลซี (Ponte delgli Scalzi) หนา โรงแรม เราเดินตามแผนที่บาง ตามปูายบอกทางที่ติดอยูตามหัวมุมตรอกบาง ระหวางทางที่เดิน เราก็ไดมองเห็นวิถี ชีวิตของชาวเวนิสมากขึ้น แกรนดแคาเนลถูกรายลอมดวยบานเรือน 2 ฟากฝั่ง ผูค นสัญจรไปมาโดยทางน้ํา ทั้งเรือเล็ก เรือเมลแ เรือแท็กซี่ และที่พิเศษคือเรือกอนโดลา (Gondola) แกรนดแคาเนลแตกแยกยอยเขาไปตามตรอกซอกซอย ตางๆ ซึ่งก็มีบานเรือน โบสถแ รานคาเขาไปถึงทุกที่เหมือนกัน เงยหนามองขึ้นไปบนบาน (ตึกแถว) แตละหลัง ก็จะ เห็นผูคนเอาเสื้อผามาตากเรียงเป็นแถวเป็นแนวยาว บางที่มีจัดแยกชั้นผาสีกับผาขาวใหดวยนะ มองใหเป็นศิลปะก็ดู สวยดี ^_^ เราเดินลัดเลาะไปเรื่อย เห็นรานขายของเด็กนารักๆ หลายรานมาก อยากจะเหมามาเยอะๆ แตจน ปัญญาจะหอบมาได อีกตั้งหลายวันกวาจะกลับ รานคาที่เวนิส นอกเหนือจากรานอาหาร รานไอศกรีมเจลาโต ราน ขายของที่ระลึกที่มีอยูมากมาย อีกรานหนึ่งที่เราจะพบเห็นไดเยอะมากก็คือรานขายหนากาก เพราะที่นี่มีเทศกาล ประจําปีที่ขึ้นชือ่ มากนั่นคือเทศกาลคารแนิวัล ผูคนจะสวมหนากากเตนรํากัน เหมือนในหนังเลยอา คิดแลวก็อยากจะ มาเห็นของจริงนะ แตเทศกาลคารแนวิ ัลจัดชวงกุมภาพันธแนะสิ หนาวเจี๊ยก กลางวันก็สั้น เที่ยวไดนอย ทาจะไมคุม
[264]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 8: Florence - Venice
Hotel Florida
แผนที่สถานที่ทํองเที่ยวในเวนิสส้าหรับวันที่ 8 (Credit: www.mapaplan.com)
[265]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 8: Florence - Venice
วิวจากสะพานปอนเต เดลญี สกัลซี [266]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 8: Florence - Venice
เรือกอนโดลา (Gondola)
และแลวก็ถึงจุดหมายที่ กัมโป เดย์ ฟรารี (Campo dei Frari) ที่นี่มีโบสถแกอธิกที่กอดวยอิฐขนาด ใหญตั้งอยูกลางจัตุรัสชื่อวาโบสถแซานตา มาเรีย กลอริโอซา เดยแ ฟรารี (Santa Maria Gloriosa dei Frari) ภายใน [267]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 8: Florence - Venice
โบสถแมีงานศิลปะสวยๆ ใหชมหลายชิ้น หนึ่งในนั้นคือภาพ Assumption ของทิเชียน (ทิเชียนเป็นศิลปินชาวเวนิส โดยกําเนิด และเป็นศิลปินอันดับหนึ่งของเวนิสตลอดกาล) โบสถแนยี้ ังเป็นสุสานของทิเชียนและเจาผูครองนครอีก หลายคน แตเราขี้เกียจเขาไปแหละ แหะๆ ถายรูปเกเๆ แลวมองหารานเจลาโตอรอยๆ กินดีกวา วันนี้ตั้งเปูาหมายวา จะกินเจลาโตใหเยอะกวาทุกวันในอิตาลีรวมกันเลย 55+ เป็นเปูาหมายที่ไมดีตอสุขภาพเทาไหรนะ
โบสถ์ Santa Maria Gloriosa dei Frari ตั้งอยูํกลางจัตุรัสชื่อเดียวกัน
หน๎ากากงานคาร์นิวัล
กินเจลาโต๎กันดีกวํา [268]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 8: Florence - Venice
ใกลๆ กัมโป เดยแ ฟรารี มีจัตุรัสหรือกัมโป ซานร็อกโก (Campo San Rocco) ซึ่งเป็นที่ตั้งของโบสถแ ชื่อเดียวกัน Chiesa San Rocco และสมาคมที่เกาแกที่สุดในเวนิสอยางสกูโอลา กรันเด ดิ ซานร็อกโก (Scuola Grande di San Rocco) ปัจจุบันเปิดใหเขาชม (เสียคาเขา แพงดวย) งานศิลปะภายในอาคาร อานจากหนังสือเว นิสพิศวาสของคุณธรณแ หนูดาวภรรยาคุณธรณแเลาวาชั้น 2 ของสมาคมทําใหหนูดาวอึ้งมาก เวอวังอลังการสุดจะ บรรยาย สวนเราก็ไดแตอา นหนังสือคุณธรณแ ยืนมองจากภายนอกแลวจินตนาการภายในตาม ไมไดเขาไปชมขางใน หรอกคะ พอดีมอื ถือเจลาโตกินอยู ไมวางไปชื่นชมงานศิลปะ ฮาๆๆ แถจนสีขางถลอกแลว ขี้เกียจเสียตังคแเขาไป ตางหาก
โบสถ์ซานร็อกโก ที่กัมโป ซานร็อกโก
Scuola Grande di San Rocco
กินเจลาโต๎กันดีกวํา ภาค 2
[269]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 8: Florence - Venice
จากกัมโป ซานร็อกโก และเจลาโตคนละ 1 โคน + 1 ถวย เราเดินลัดเลาะลงทางใตไปเรื่อยๆ หยุดถายรูป ตลอดเวลา ประมาณ 20 นาที ก็ถึงกัมโป ซานตา มาร์เกรีต๎า (Campo Santa Margherita) ชื่อจัตุรัสได ตามชื่อนักบุญหญิงมารแกาเร็ต นักบุญในจินตนาการผูเป็นองคแอุปถัมภแหญิงตั้งครรภแ (ข้อมูลจากหนังสือ ใครๆ ก็ไป เที่ยวอิตาลี) ที่จัตุรัสนี้มีรานอาหารเรียงรายลอมรอบจัตุรัสเต็มไปหมด คงเป็นสถานที่แฮงเอาทแยอดนิยมแนๆ เวลาที่ เราไปถึงนั้นประมาณ 5 โมงเย็น เด็กๆ ทั้งเด็กเล็ก เด็กโต ตางออกมาวิ่งเลนกันใหเต็มลาน ทั้งวิ่งไลจับ ขี่สกู฿ตเตอรแ เลนกระโดดเชือก ฝั่งผูปกครองทั้งพอแม ปูุยา ตายายก็ออกมาเลนกับลูกหลานบาง จับกลุมยืนคุยกันเองบาง ทําให ลานกวางๆ ของจัตุรัสดูคับแคบไปถนัดตา แตก็ไดความคึกคักสนุกสนานเขามาแทนที่ เราเห็นคุณตาคุณหลานคูหนึ่ง เลนกันนารักมากๆ คุณตาที่ดูแก฿แก แตยังมีพละกําลังเหลือลน จับอุมหลานชายวัยเตาะแตะ หมุนตีลังกาอยาง สนุกสนาน หัวเราะเอิ๊กอ฿ากกันจนเราตองยิ้มตาม เห็นแลวคิดถึงนองพลับสุดๆ ตลอดการเดินทางในอิตาลีตั้งแตวัน แรกจนถึงวันที่ 8 นี้ เราไดเห็นภาพความนารักของสัมพันธภาพของคนในครอบครัวอยางนี้หลายครั้งมาก นอกจากนี้ เรายังเห็นรานขายของเลนเด็ก รานหนังสือเด็กเยอะมากเลย ทําใหคิดวาอิตาลีใหความสําคัญกับเด็กๆ ดีจัง วาแลว เราก็แวะรานขายของเลนเด็กรานหนึ่ง ซื้อมาราคัส (maracus) ของบารแบาปาปา (Barbapapa) มาฝากนองพลับ 2 อัน แตเดาวาแมคงตองเลนแทนไปกอน เพราะมันทําจากไม จึงคอนขางหนัก แตมันนารักมาก อดใจไมไหว ตองซื้อ
[270]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 8: Florence - Venice
บรรยากาศยามเย็นที่กัมโป ซานตา มาร์เกรีต๎า (Campo Santa Margherita)
[271]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 8: Florence - Venice
นักบุญหญิงมาร์กาเร็ตที่กัมโป ซานตา มาร์เกรีต๎า
Maracus ลาย Barbapapa ของฝากน๎องพลับ
[272]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 8: Florence - Venice
ทองรองจ฿อกๆ ไดเวลาหาอาหารค่ํากันแลว เย็นนี้เราเดินสุมๆ เลือกรานอาหารที่อยูระหวางทางกลับที่พกั เราเลือกราน Osteria Al Ponte (คิดวาชื่อนี้นะ) อยูตรงไหนก็ไมรูจําไมไดแลว (ในกูเกิ้ลมีชื่อราน Osteria Al Ponte La Patatina อยูในตรอกเล็กๆ บนถนน Calle Seconda dei Saoneri ใกลกับกัมโปซาน โปโล ดานนอก ดานในคลายๆ รานที่เรากิน แตไมเหมือนเปฺะ ก็เลยไมกลาฟันธง) เวลานั้นยังไมมีคนเขารานเลยซักคน แตเราหิวแลว ไมสนละ คิดวามันคงอรอยนะ รานอาหารในเวนิสเปิดติดๆ กันอยางกับเซเวนเมืองไทย แตละรานคงตองแขงขันกัน นาดูเพื่อใหตัวเองอยูรอด เพราะงั้นรสชาติอาหารคงตองใชไดพอตัว แลวก็ไมผดิ หวัง เมนูอาหารดูดี ขนาดรานกําลัง เหมาะ คุณลุงบริกรบริการดี๊ดี อาหารอรอย ทั้งของคาวของหวาน อรอยมากๆ รอดตายไปอีกหนึ่งมื้อ
มื้อค่้าวันนี้ที่ร๎านอาหารที่จ้าชื่อไมํได๎ หาพิกัดไมํเจอ แง๎ๆๆ แตํมันอรํอยและบริกรนํารักมากกก
และแลวก็จบวันที่ 8 ในอิตาลี แตเพิ่งเป็นวันแรกในเวนิส พรุงนี้เราจะไปตะลุยเรือเมลแ เที่ยวเวนิสและเกาะ ใกลเคียงกันตอ สวนคืนนี้ ครอกฟี้ พรอมกับตื่นมาปั๊มนมกลางดึกอีก 3 รอบ... ครอก!!
[273]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 9: Venice – Murano – Burano
วันที่ 9: Venice – Murano – Burano
[274]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 9: Venice – Murano – Burano
บอนจอรแโนเวเนเซีย... สวัสดีเวนิสกับเชาวันที่ 9 ของการเดินทาง เชาวันนี้เราตื่นมากินอาหารของโรงแรม ซึ่งเป็นพวกขนมปัง ครัวซองทแตางๆ แฮม ชีส โยเกิรแต ชา กาแฟ โกโก (ไมอยูทอ งเลยจริงๆ ตอนกินละก็อิ่มดี แตเดิน ยอยแปฺบเดียวก็หวิ แลว) โปรแกรมทํองเวนิสในวันนี้เราจะขึ้นเรือลงเรือทํองเที่ยวไปตามป้ายเรือเมล์ตาํ งๆ โดย เว๎นจัตุรัสซาน มาร์โคไว๎หนํอย (เพราะจะยกไปเที่ยววันถัดไปแทน) พอเที่ยงๆ เราจะออกไปเที่ยวเกาะเล็กเกาะ น๎อยที่นําสนใจใกล๎ๆ เวนิสจนเย็นย่า้ ทั้งเกาะแก๎วพิสดารอยํางเกาะมูราโน และเกาะลูกไม๎ห ลากสี... บูราโน
เส๎นทางการเดินทางในวันนี้ เวนิส – เกาะมูราโน – เกาะบูราโน
หลังจากเติมพลังใหเชาวันใหมเรียบรอยแลว เราออกจากโรงแรม เดินไปที่ทาเรือแฟรแโรเวีย (Ferrovia) ซึ่ง คือทาเรือที่อยูที่หนาสถานีรถไฟซานตา ลูเซีย ที่นี่จะเป็นจุดเริ่มตนของการเดินทางดวยเรือเมลแในเวนิสของเรากันคะ อยางที่บอกวาจริงๆ เราซื้อตั๋วเรือเมลแไวแลวตั้งแตเมื่อวานตอนมาถึง แตจะเริ่ม validate ใหมันนับเวลาใชจริงในเชา วันนี้ การเดินทางในเวนิส (ข้อมูลจาก ใครๆ ก็ไปเที่ยวอิตาลีและหนังสืออิตาลี สานักพิมพ์วงกลม) หากไมใชวิธีเดินเทาแลว จะไปไหนมาไหนในเวนิสก็ตองพึ่งพาพาหนะทางน้ําเทานั้นนั่นก็คือเรือ เรือ โดยสารในเวนิสจึงมีหลายประเภทตามวัตถุประสงคแการใชงานและความตองการของผูโดยสาร ตั้งแตเรือเมลแหรือวา ปอเร็ตโต (Water bus, Vaporetto) แท็กซี่น้ํา (Water Taxi) เรือกอนโดลา (Gondola) และเรือกอนโดลาขามฟาก (Gondola Traghetto) เรือเมล์หรือวาปอเรตโต๎ (Water bus, Vaporetto) พาหนะหลักของชาวเวนิส ดําเนินงานโดย Actv http://www.actv.it/en สามารถเขาไปดาวนแโหลดแผนที่และตารางเวลาเดินเรือไดที่เว็บไซตแเลย ภาษาอังกฤษ ละเอียด ครบถวน คุณคาที่คุณคูควรมากๆ สายเรือเมลแที่เป็นที่นิยมของนักทองเที่ยวมีอยู 2 สายคือ สาย 1 จากทา Piazzale Roma (P.Le Roma) หนาสถานีรถไฟซานตา ลูเซีย ถึงเกาะลิโด (Lido S.M.E.) และสาย 2 จากทา San [275]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 9: Venice – Murano – Burano
Marco San Zaccharia ถึงทา San Marco Giardinetti มีบางชวงที่ทับเสนทางเดินเรือของสาย 1 แตสาย 2 จะ จอดเฉพาะบางทา ทําใหเดินทางเร็วกวา ประเภทตั๋วโดยสาร (จริงๆ มีหลากหลายประเภทมาก เราเลือกเฉพาะแบบที่นกั ทองเที่ยวอยางเราๆ นาจะ ไดใชกัน รายละเอียดเพิ่มเติมอานไดจากเว็บไซตแเลยคา ขอมูลลาสุด ต.ค. 2015) 1. Ordinary tickets - 75 min water services 7.5 EUR – สําหรับขึ้นเรือเมลแ 1 ครั้ง ภายใน 75 นาทีพรอมสัมภาระ 1 ใบ ขนาด กวาง x ยาว x สูงรวมไมเกิน 150 ซ.ม. - 75 min waterbus ticket purchased on board 7.5 EUR – สําหรับผูที่ซื้อตั๋วบนเรือ... ราคาเทากับซื้อ ลวงหนาเลย ดีนะเนีย่ เมืองอื่นถามาซื้อตั๋วบนรถ ราคาแพงกวาทั้งนั้น - Ordinary ferry 5 EUR – ตั๋วเรือขามฟากจากทาเรือบางทาที่อยูตรงขามกัน - Ordinary ferry return trip 10 EUR – ตั๋วเรือขามฟากแบบไปกลับ 2. Tourist travel cards ตั๋วเรือสําหรับนักทองเที่ยว ขึ้นลงเรือไดทุกสายแบบไมจํากัดเที่ยว พรอมสัมภาระ 1 ใบ ขนาดกวาง x ยาว x สูงรวมไมเกิน 150 ซ.ม. - 1 Day travelcard 20 EUR – ตั๋ว 1 วัน - 2 Day travelcard 30 EUR – ตั๋ว 2 วัน - 3 Day travelcard 40 EUR – ตั๋ว 3 วัน - 7 day travelcard 60 EUR – ตั๋ว 7 วัน 3. 72 hours youth card: rolling Venice 22 EUR – ตั๋ว 72 ชม. สําหรับนักทองเที่ยวที่มีอายุระหวาง 6 ถึง 29 ปี... ฮือๆ sad มาเที่ยวชาไปหลายปีเลย ตั๋วโดยสารสามารถหาซื้อไดที่เคาทแเตอรแขายตั๋วและเครื่องจําหนายตั๋วอัตโนมัติทที่ าเรือเกือบทุกทา เวลาใช ตั๋วครั้งแรก ตอง validate ตั๋วที่เครื่องที่อยูหนาปากทางเขาทาเรือกอน เหมือนการใชตั๋วรถสาธารณะในเมืองอื่นๆ จากการคํานวณเวลาทองเที่ยวที่มีแลว เราจึงเลือกซื้อตั๋วนักทองเที่ยวแบบ 3 วัน ราคาตอนนั้นอยูที่ 25 EUR เอง ราคาปี 2015 แพงกวาตั้งเกือบเทาตัว คืออัลไลอิตาลี นี่กลับไปดูราคาซ้ําแลวซ้ําอีก ยังช็อกอยู บอกเลย แท็กซี่น้า (Water Taxi) จะเป็นเรือเล็กเหมือนสปีดโบ฿ทบานเรา แบบที่เห็นในภาพยนตรแเรื่อง The Tourist นั่นเลย บรรทุกผูโดยสารไดไมมาก ราคาก็สูงสวนทางกัน จอดรอรับผูโ ดยสารที่ทาเรือที่มีปาู ยสีเหลืองเขียน วาแท็กซี่ เรือกอนโดลํา (Gondola) เรือพายกรรเชียงสัญลักษณแแหงเวนิส คงไมมีใครไมรูจัก แตจะมีสกั กี่คนที่เคย ไดนั่ง เพราะคาโดยสารที่แสนแพง แตก็แลกดวยความหรูหรา ความโรแมนติกจากการขับกลอมเพลงจากฝีพาย (เรียกวากอนโดลิเยรแ) ซึ่งไมใชวาจะเป็นกันไดงายๆ เคยดูสารคดี เรือมันบังคับยากมาก ใชพละกําลังมาก และยังตอง มีการสอบเหมือนสอบใบขับขี่รถยนตแดวย กอนโดลาเป็นมรดกตกทอดกันจากรุน สูรุน นั่นคือกอนโดลิเยรแเป็นเจาของ กอนโดลาลํานั้นๆ เอง คาโดยสารตอลํา (นั่งไดไมเกิน 6 คน) อยูที่ 40 นาที 80 EUR ถาตอเวลาอีก 20 นาที ก็จาย [276]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 9: Venice – Murano – Burano
เพิ่มอีก 40 EUR อันนี้สําหรับชวงเวลา 8 โมงถึง 1 ทุม ถา 1 ทุมถึง 8 โมงเชา ราคาจะสูงขึ้นอีกตามความโรแมนติก ที่จะได (หราคะ??) 40 นาที 100 EUR เพิ่ม 20 นาที จายเพิ่ม 50 EUR เรือกอนโดลําข๎ามฟาก (Gondola Traghetto) ลักษณะเป็นกอนโดลา แตโทรมๆ ไมหรูหรา เอาไวรับสง ผูโดยสารขามฟากทาเรือ 6 ทาไดแกทา San Marcuola-Fondaco dei Turchi, San Silvestro-Riva del Carbon, San Samuele-Ca’ Rezzonico, Santa Sofia-Pescheria, San Toma Ca Garzoni, Santa Maria del Giglio-La Salute คาโดยสารยอมเยาวแหนอย คนละ 50 เซนตแ
เรือเมล์วาปอเร็ตโต (Water bus, Vaporetto)
แท็กซี่น้า (Water Taxi)
เรือกอนโดลํา (Gondola) [277]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 9: Venice – Murano – Burano
แผนที่การเดินเรือเมล์ในเวนิสและเกาะใกล๎เคียง (Credit: www.mapaplan.com)
[278]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 9: Venice – Murano – Burano
แผนที่การเดินเรือเมล์ในเวนิสและเกาะใกล๎เคียง (Credit: www.mapaplan.com)
[279]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 9: Venice – Murano – Burano
แผนที่สถานที่ทํองเที่ยวในเวนิสส้าหรับวันที่ 9 (Credit: www.leaintheuk.wordpress.com) [280]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 9: Venice – Murano – Burano
ทีท่ ําเรือ Ferrovia เรา validate ตั๋วเรือแบบ 3 วันของเราที่เครื่อง validate หนาทาเรือ ที่ทาเรือเรา สามารถตรวจสอบตารางเดินเรือที่จะเขา-ออกเทียบทาในชวงนั้นไดจากปูายอิเล็กทรอนิกสแอีกครั้ง นอกจากนีย้ ังมี เสนทางเดินเรือของเรือเมลแสายตางๆ ทีเ่ ทียบทานี้ใหตรวจสอบเชนกัน เพราะฉะนั้น โอกาสที่จะขึ้นเรือผิดสาย ผิดลํา จึงคอนขางยากมาก ถาไมเบ฿อะจริงๆ อะนะ ประมาณ 9 โมงกวา เราขึ้นเรือสาย 1 ปลายทางเกาะลิโด มุงหนาไปยัง จุดหมายแรกที่ทาเรือ Ca’ d’Oro ซึ่งหางจากทาเรือ Ferrovia ออกไป 4 ปูาย ใชเวลาเดินทาง 10 นาที เรือเมลแที่เว นิสนั้นลําใหญ มีเกาอี้นั่งหลายแถว (นาจะ 20 แถว) และยังสามารถยืนไดที่หนาเรือ-ทายเรือ ขอมูลจากเว็บไซตแระบุ วาเรือสามารถบรรทุกผูโดยสารไดประมาณ 230 คน เรือแลนชาๆ ตามความเร็วที่ถูกจํากัดไว การจอดเทียบทาแต ละทาจะจอดสลับเป็นฟันปลา เชนถาทานี้อยูฝั่งขวามือ ทาตอไปก็จะอยูฝั่งซายมือ สลับอยางนี้ไปเรื่อยๆ
ถึงทําคา โดโร (Ca’ d’Oro) เราลงจากเรือเมลแ ไปเดินสํารวจบริเวณนั้นกันหนอย วันนี้อากาศดี อากาศเย็นแตฟูาใสและแดดแรงแตเชา เราเดินไปหาปาลัซโซคา โดโร วังแบบกอธิกสีเนื้อๆ ชมพูนูดที่สวยงามมาก เพราะโดดเดนดวยลวดลายฉลุบนหนาตาง ทําใหวังดูออนหวานไมแข็งทื่อๆ แหลมๆ แบบกอธิกอื่นๆ ที่เราเคยเห็น มา ปัจจุบันที่นี่กลายเป็นหอศิลปไปแลว
[281]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 9: Venice – Murano – Burano
ทําเรือ Ca’ D’Oro
ปาลัซโซคา โดโร (Palazzo Ca’ D’Oro)
จากนั้นเรากลับมาขึ้นเรือเมลแสายเดิม ไปลงปูายถัดไปคือทํารีอัลโต แมร์กาโต (Rialto Mercato) หรือตลาดรีอัลโตซึ่งเป็นตลาดใหญของเมืองเวนิสนั่นเอง เราเดินเที่ยวชมตลาดสดที่ขายของสดสารพัดทั้งผัก ผลไม เนื้อสัตวแโดยเฉพาะอาหารทะเลมากมาย ผลไมก็นากินมากๆ พวกตระกูลเบอรแรี่ทั้งหลาย สตรอเบอรแรี่ บลูเบอรแรี่ แบล็คเบอรแรี่ กินใหตาอิ่มกอนละกัน เดี๋ยวทองคงอิ่มตามไปทีหลัง เดินผานตลาดตามทางไปเรื่อยๆ จนถึงแลนดแ มารแคสําคัญอีกหนึ่งแหงของเวนิสนั่นก็คอื สะพานรีอัลโต (Ponte di Rialto) บริเวณนี้ถือไดวาเป็นจุด ศูนยแกลางของชุมชนเวนิส และเป็นบริเวณที่แกรนดแคาแนลแคบที่สุด แตเดิมสะพานแหงนี้ทําดวยไม ซึ่งก็เหมือนกับ สะพานอื่นๆ ในเวนิสและในเมืองอื่นๆ สวนใหญ ขอเสียสําคัญของสะพานไมคอื ความแข็งแรงทนทาน สรางๆ ซอมๆ ไปมาหลายครั้งจนสุดทายเจาผูครองนครหรือโดเจ (Doge) จึงใหเปลี่ยนเป็นสะพานหิน ซึ่งกอนจะสรางสะพานรีอัล โตหินนี้ ทางการเวนิสไดจัดการประกวดแบบสะพานขึ้น มีสถาปนิกชื่อดังหลายคนตางพรอมใจกันสงแบบเขา [282]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 9: Venice – Murano – Burano
ประกวด หนึ่งในนั้นมีชื่อของมิเคลันเจโลดวย โดยผูที่ชนะการประกวดไดแกอนั โตนิโอ ดา ปอนเต (Antonio da Ponte) เนื่องดวยแบบของปอนเต (นามสกุลก็แปลวาสะพานเนอะ ฮีเกิดมาเพือ่ สิ่งนี้จริงๆ) เป็นแบบที่เอื้อประโยชนแ ตอการใชงานจริงมากที่สุด ปอนเตออกแบบสะพานใหกวางเป็นพิเศษ เขาเนนฐานริมตลิ่งใหหนา ตรงกลางบางเพื่อ เฉลี่ยน้ําหนักใหตกไปที่ฐาน เพื่อลดการสรางเสาตอมอลงในน้ํา เรือในคลองจะไดสัญจรอยางสะดวก (ข้อมูลจาก หนังสือเวนิสพิศวาส) สะพานรีอัลโตในปัจจุบันจึงเป็นสะพานที่ทําจากหินอิสเตรียน ยาว 28 เมตร สูง 8 เมตร เป็น สะพานชองเดียวมีหลังคาคลุม ผนังเจาะเป็นชองๆ โคงๆ สะพานนี้ก็คลายกับสะพานเวคคีโอที่ฟลอเรนซแ คือดวย ความที่สะพานกวางมาก จึงทําใหสองฝั่งของสะพานกลายเป็นที่ตั้งของรานคาขายของที่ระลึกเต็มไปหมด เมื่อยืนบน สะพานเราจะสามารถมองเห็นวิวทิวทัศนแของแกรนดแคาแนลและสองฝั่งคลองไดอยางชัดเจน เป็นวิวที่สวยงามมากๆ เลยละ เราวาสวยที่สุดแลวมุมนี้
บรรยากาศภายในตลาดรีอัลโต (Rialto Mercato)
[283]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 9: Venice – Murano – Burano
สะพานรีอัลโต (Ponte di Rialto)
[284]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 9: Venice – Murano – Burano
ทําจอดแท็กซี่น้าและเรือกอนโดลําเมื่อมองจากบนสะพานรีอัลโต
ร๎านขายของบนสะพานรีอัลโตและวิวแกรนด์คาแนลเมื่อมองจากบนสะพาน [285]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 9: Venice – Murano – Burano
สะพานรีอัลโต
[286]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 9: Venice – Murano – Burano
เดินชมรอบๆ ชุมชนบริเวณสะพานรีอัลโตอยูพกั ใหญ เราจึงนั่งเรือเมลแสาย 1 สายเดิมไปยังจุดหมายตอไป คือทําอัคคาเดเมีย (Accademia) ทาเรือแหงนี้มีสะพานไมขามฟากชื่อเดียวกันนั่นคือสะพานอัคคาเดเมีย (Ponte Accademia) ซึ่งเป็นสะพานไมที่สรางขึ้นทดแทนสะพานเหล็กที่ทรุดโทรมตามกาลเวลา... เออ! เอาสิ สลับกันกับสะพานรีอัลโตเนอะ อันนั้นเปลี่ยนจากไมมาเป็นหิน สวนอันนี้เปลี่ยนจากเหล็กมาเป็นไม ทีแรกสะพานไม นี้เป็นเพียงสะพานชั่วคราวกอนจะสรางสะพานหิน แตชาวเมืองกลับชอบสะพานไมแฮะ สะพานอัคคาเดเมียก็เลย กลายเป็นสะพานไมจนถึงทุกวันนี้ แตกม็ ีการซอมแซมอยูเรื่อยๆ ตามกาลเวลา
สะพานอัคคาเดเมีย (Ponte Accademia)
หลังจากเดินขึ้นลงสะพานอัคคาเดเมีย 2-3 รอบและถายรูปบรรยากาศบริเวณนั้นจนพอใจ เราก็จับเรือเมลแ สาย 1 คูใจไปลงที่ทําซาลูเต๎ (Salute) ที่ทาซาลูเตนี้เป็นที่ตั้งของจัตุรัสกัมโป เดลลา ซาลูเต (Campo Della Salute) ซึ่งมีโบสถแบารอกชื่อเดียวกันคือโบสถ์ซานตามาเรีย เดลลา ซาลูเต๎ (Santa Maria Della Salute) โบสถแนี้มีความสําคัญทีเดียวเชียวเพราะถูกสรางขึ้นเพื่อบูชาพระแมมาเรียและเพื่อขอบคุณพระเจาที่ชว ยใหชาวเมือง ผานพนวิกฤตโรคระบาดครั้งใหญมาได (ข้อมูลจากหนังสือใครๆ ก็ไปเที่ยวอิตาลี) เราไดโอกาสเดินเขาไปชมภายใน โบสถแดวย เมื่อยืนที่จัตุรัสเดลลา ซาลูเต เราจะมองเห็นแลนดแมารแคสําคัญอันดับ 1 ของเวนิสอยูที่ฝั่งตรงขามนั่นคือ จัตุรัสซาน มารแโค หอระฆังและวังของโดเจ
[287]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 9: Venice – Murano – Burano
พิพิธภัณฑ์เป็กกี กุกเกนไฮม์ (Peggy Guggenheim Museum) อยูํระหวํางทําเรืออัคคาเดเมียกับทําซาลูเต๎
โบสถ์ซานต๎า มาเรีย เดลลา ซาลูเต๎ (Santa Maria della Salute)
[288]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 9: Venice – Murano – Burano
โบสถ์ซานต๎า มาเรีย เดลลา ซาลูเต๎ (Santa Maria della Salute)
ออกจากโบสถแซานตามาเรีย เดลลา ซาลูเต ก็เป็นอันจบตารางเที่ยวเวนิสสําหรับครึ่งวันเชานี้ ณ ตอนนี้เรา ก็ไดเที่ยวสถานที่สําคัญๆ ในเวนิสนาจะเกือบครบแลวนะ จะขาดก็แตบริเวณจัตรุ ัสซาน มารแโคและโบสถแซาน มารแโค ที่อยูฝั่งตรงขาม ซึ่งตองใชเวลาอีกพอสมควร เราจึงจะมาเที่ยวที่นั่นกันในวันพรุงนี้เชา สําหรับโปรแกรมเที่ยงถึงเย็น วันนี้ จะเป็นการนั่งเรือไปชมเกาะเล็กๆ ใกลๆ เวนิส แตเป็นเกาะที่นักทองเที่ยวใหความสนใจไปเที่ยวกันมากทีเดียว นั่นก็คือเกาะมูราโน (Murano) ที่ขึ้นชื่อเรื่องการเปุาแกว และเกาะบูราโน (Burano) ที่ขึ้นชื่อเรื่องการปักผาลูกไม และสีสันของบานเรือนที่นารักหอมหวานดังลูกกวาด... คือ 2 เกาะนี้จะชื่อคลายกันไปไหน มันทําใหเราเดินทาง ลําบากมากเพราะจําไมไดวาจะไปมูหรือบูกอน แลวมูหรือบูนะที่มันขึ้นชือ่ เรื่องนั้นเรื่องนี้ เอ฿ะแลวถาจะไปดูเขาเปุา แกวหรือวาถาจะไปดูบานเรือนสีลูกกวาดมันตองไปบูหรือมูอะ ตองรีบกลับไปเปิดหนังสือฉับๆ ทุกที จากทาเรือซาลูเต สามารถไปเกาะมูราโนไดหลายเสนทางโดยใชบริการสาย 1 เจาประจํา (ปลายทางเกาะลิ โด) เป็นตัวยืนพื้น จะเลือกชอยสแ A นั่งไป 4 ปูาย 10 นาที ลงทาอารแเซนาเล (Arsenale) แลวไปเปลี่ยนเป็นสาย 4.1 (ปลายทางทามูราโน มูเซโอ; Murano Museo) เดินทางอีก 40 นาทีถึงมูราโน รวมเวลาเดินทาง 52 นาที หรือ เลือกชอยสแ B นั่งไปแค 2 ปูาย (จากทาซาลูเต) ลงที่ทา S. Zaccaria Danieli เดินไปทา S. Zaccaria Jolanda ที่ อยูติดกัน แลวเปลี่ยนเป็นสาย 4.1 ถึงมูราโนเวลาเดียวกัน
[289]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 9: Venice – Murano – Burano
จัตุรัสซาน มาร์โคและวังโดเจ
[290]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 9: Venice – Murano – Burano
เราเลือกชอยสแ B คือนั่งสาย 1 ไปลงที่ทํา S. Zaccaria Danieli ซึ่งเป็นทาเรือที่อยูที่จัตุรัสซาน มารแ โค ตอนนี้เรือไดนําเราออกจากปากน้าํ ของแกรนดแคาเนล มุงหนาออกสูทะเลเอเดรียติกแลว แตพอถึงทา S. Zaccaria Danieli แลวเดินไปถึงทา S. Zaccaria Jolanda สายตาก็เหลือบไปเห็นตารางเดินเรือของสาย 7 เขียนวาไปลงมูราโนเหมือนกับสาย 4.1 แตจอดปูายนอยกวาและเวลาได เรือมาเทียบทาพอดี เราจึงกระโดดขึ้นสาย 7 โดยพลัน (คือมันไปไดหลายสายมากจริงๆ) ออกจาก S. Zaccaria Jolanda 11.54 น. ถึงทําเรือมูราโน ฟาโร (Murano Faro) ประมาณ 12.25 น.
มุํงหน๎าสูํทะเลเอเดรียติกแล๎วจ๎า [291]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 9: Venice – Murano – Burano
ที่ทาเรือมูราโน ฟาโร เราหาที่นั่งพักกินของวางเล็กๆ นอยๆ ที่หอบหิว้ มาจากอาหารเชาของโรงแรม พรอม กับปั๊มนมไปดวยอีกเชนเคย บริเวณรอบๆ ประภาคารตรงทาเรือมีนกสีขาว นกนางนวลรึเปลา บินวอนกันใหทวั่
ทําเรือมูราโน ฟาโร (Murano Faro) และนกนางนวลเต็มไปหมด
[292]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 9: Venice – Murano – Burano
แผนที่เกาะมูราโน (Credit: www.mobilemaplets.com)
เกาะมูราโน (Murano) เป็นเกาะที่มชี ื่อเสียงดานการเปุาแกว รานรวงทั้งหลายสวนใหญจึงเป็นรานขาย แกวแทบทั้งนั้น บางที่มีโชวแการเปุาแกวใหดูดวย ซึ่งตองเสียคาเขาชมและหามถายรูป / ถายวิดีโอขณะโชวแ เราเดิน เลาะๆ ไปเกือบทัว่ เกาะ เริ่มจากทาเรือมูราโน ฟาโร เดินไปตามถนน Calle Bressagio ระหวางทางที่เดินก็จะเห็น ผลงานเปุาแกวรูปทรงสีสันแปลกๆ เกเๆ ที่มาจัดแสดงใหดูกันฟรีๆ ตลอดทาง เดินตรงไปจนสุดทาง ขามสะพานเล็กๆ ไปที่ถนน Fondamenta dei Vitrai เลี้ยวซาย เดินตามทางไปเรื่อยๆ ผานรานเปุาแกวสวยๆ หลายราน ผลงาน สรางสรรคแและประณีตมากเลย เกงมากๆ สมแลวที่ที่นี่เป็นเมืองแหงการเปุาแกว เราไดแตแชะภาพเก็บไว ไมไดเขา ไปชมขางใน (เพราะไมอยากเสียเงิน) เราเดินเลียบทางเดินไปเรื่อยๆ จนถึงสุดมุมเกาะดานหนึ่งที่จัตุรัส Piazzale Calle Colonna ซึ่งเป็นที่ตั้งของทาเรือมูราโน โคโลนนา (Murano Colonna) จากนั้นเราจึงเดินยอนกลับมาทาง เดิม แลวเดินเลยขึ้นไป มุงหนาสูจัตุรัส Campo Santo Stefano ที่จะเห็นหอระฆังตั้งสูงเดนอยูแตไกล เดินขาม สะพาน Ponte Longo ขามฝั่งเลี้ยวขวาเดินตรงไปตามถนน Riva Longa เดินเลนไปเรื่อยๆ จนถึงพิพิธภัณฑแจัด แสดงเครื่องแกว Museo del Vetro ซึ่งก็ไมไดแวะเขาไปชมภายในอีกนั่นแหละ ถามีเวลาเหลือ ที่นี่ก็เป็นสถานที่ แหงเดียวในมูราโนที่เราจะยอมเสียเงินเขาไปชมนะ แตไมทันแลว กมหนามองนาฬิกาอีกทีก็บาย 2 โมงกวา ไดเวลา กลับไปที่ทาเรือมูราโน ฟาโรเพื่อนั่งเรือตอไปเกาะบูราโนไดแลว [293]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 9: Venice – Murano – Burano
ผลงานการเป่าแก๎วที่สุดแสนจะสวยงามและสร๎างสรรค์
[294]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 9: Venice – Murano – Burano
ผลงานการเป่าแก๎วหลากหลายแบบจัดแสดงให๎ชมฟรีๆ เห็นได๎ทั่วเกาะ
หอระฆังที่จัตุรัส Campo Santo Stefano
สะพาน Ponte Longo
[295]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 9: Venice – Murano – Burano
ถึงมูราโนจะเป็นเกาะเล็กๆ เดินแปฺบเดียวก็ทวั่ เกาะ แตเราก็เมื่อยนะ ฮึ่มๆ เพราะฉะนั้นแทนที่เราจะเดิน กลับไปที่ทาเรือ ซึ่งหนทางอีกยาวไกล เราเลยขึ้นเรือสาย 4.2 จากทา Murano Museo ไปลงที่ทามูราโน ฟาโร จากนั้นนั่งคอยรอบเรืออีกสักพัก ประมาณ 14.49 น. เราก็ขึ้นเรือสาย 12 ปลายทาง Punta Sabbioni ไปลงที่ เกาะบูราโน (Burano) เรือจอดแค 2 ทา ใชเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงบูราโนที่เวลาประมาณ 15.22 น. เกาะบูราโน (Burano) เป็นเกาะเล็กๆ อยูทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะมูราโน ความโดดเดนของ เกาะนี้ที่เป็นสิ่งที่ทําใหนักทองเที่ยวมากมายตางแวะเวียนกันมาเยี่ยมเยียนมีอยู 2 สิ่งนั่นคืองานถักผาลูกไมและสีสัน บานเรือนบนเกาะที่ตา งพรอมใจกันทาตัวบานเป็นสีลูกกวาด ทําใหโดดเดนเป็นเอกลักษณแ กาวแรกที่เหยียบเกาะบู ราโน เราก็ไดเห็นความสดใสของอาคารบานเรือนกับงานผาลูกไมทันที ทั้งสองอยางนั้นชางนารัก สดใส เหมาะกับ คุณพี่นักทองเที่ยวไทยที่ชื่นชอบการแอ็คทาถายรูปยิ่งนัก งานถักผาลูกไมของที่นี่จะแปรเปลี่ยนเป็นผลงานหลายรูปแบบ สวนใหญจะอยูเป็นผามาน ผากันเปื้อน ผา ปูโต฿ะ เสื้อผาเด็กนอย มองผานเขาไปในรานขายผาลูกไมหลายราน เราก็จะเห็นคุณยาคุณยายนั่งถักลูกไมกันอยู สวนบานเรือนที่นี่ก็อยางที่บอก ชาวบานพรอมใจกันทําใหเป็นสีลูกกวาดหรืออยางไรก็ไมทราบ แตเหมือนแตละหลัง ก็ไมมีใครยอมใครนะ สีที่ทาก็เป็นเฉดทีซ่ วย สวย วาน หวาน ผูญิ้ง ผูหญิง เดินไปเดินมารอบเกาะแลวรูสึกมุงมิ้ง ฟรุงฟริ้งมากๆ
แผนที่เกาะบูราโน (Credit: www.italyinformation.eu) [296]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 9: Venice – Murano – Burano
ผลิตภัณฑ์จากผ๎าลูกไม๎ของเกาะบูราโน
คุณยายนั่งปักผ๎าลูกไม๎
สีสันคัลเลอร์ฟูลของบ๎านเรือนที่บูราโน
ภายในเกาะบูราโนมีรานอาหาร คาเฟุเกเๆ ยิ่งนั่งเอาทแดอรแ กินลมชมวิวจะยิ่งโค-ตะ-ระฟิน เดินผานหลาย รานแลวก็หิว แตเราก็ตองอดทน (ดูอนาถามากๆ) ขอถายรูปกับวิวทิวทัศนแและบานเรือนสวยๆ กอน เดี๋ยวเวลาไม [297]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 9: Venice – Murano – Burano
พอ นอกจากนี้ ที่นยี่ ังเป็นสถานที่โปรดของบรรดาศิลปินนักวาดภาพทั้งหลายใหมานั่งสเก็ตชแภาพ ระบายสีตึกราม บานชองในกระดาษ จากที่เราเห็น มีศิลปินหลายคนนั่งสบายอยูตามขั้นบันไดของสะพานขามคลองเพื่อวาดรูป ระบายสีวิวทิวทัศนแ บานเรือนรอบเกาะบูราโน
จิตรกรตํางมานั่งวาดภาพกันตามขั้นบันได
[298]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 9: Venice – Murano – Burano
[299]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 9: Venice – Murano – Burano
[300]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 9: Venice – Murano – Burano
ตู๎จ้าหนํายตั๋วเรือเมล์อัตโนมัติ
[301]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 9: Venice – Murano – Burano
เราเดินรอบเกาะบูราโนแบบไมตองใชแผนที่ใดๆ แคพยายามจดจําเสนทางแลวเดินกลับใหถูก แตถึงจะหลง ก็ไมกลัว เพราะเดี๋ยวมันก็หาทางกลับมาไดเองละ มองๆ ปูายกับเดินตามคนหมูมากเขาไว เผื่อเวลาใหดีละกันตอน หลง 555 เกือบ 5 โมงเย็น ไดเวลาบอกลาเกาะบูราโน เราขึ้นเรือสาย 12 ปลายทาง F.te Nove ยอนกลับไปลงที่ ทามูราโน ฟาโร (2 ปูาย 33 นาที) แลวรอเปลี่ยนขึ้นสาย 3 ปลายทาง P.le Roma (S. Chiara) ตอน 17.44 น. ใช เวลาเดินทางอีก 20 นาที ไปลงที่ทา Ferrovia ถึงทาเรือเวลา 18.04 น. ไดเวลาอาหารเย็นแลว เยๆๆ หิวมากๆๆ หลังจากเหนื่อยมาทั้งวัน มือ้ เย็นวันนี้เลยขอหนักหนอย ที่ราน Ai Scalzi Ristorante รานอาหารหนา สะพานปอนเต เดลญี สกัลซี ตรงทางเขาตรอกโรงแรมที่พัก เราสั่งสลัด 1 จาน พาสตา 2 จาน คาเสียหาย 52.8 EUR รสชาติดีอยูและอิ่มมากๆ แตขอบนหนอยอะ ตั้งแตมาอิตาลีนี่ ทุกครั้งที่เขารานอาหารอิตาเลียน เราก็พยายาม อานเมนูพาสตาอยางละเอียดแลวนะ (ดวยความที่เป็นคนชอบกินพาสตามากกวาเมนคอรแสอื่นๆ) ภาษาอังกฤษใน เมนูก็มี เรายังไมเห็นและไมสามารถสั่งเมนูที่อรอย ไมเลี่ยนและมีความครีเอทอยางพาสตาในรานอาหารอิตาเลียนใน เมืองไทยไดเลยนะ หรือวาเราจะติดความฟิวชั่นจากเมืองไทยจนลืมไปวาตนตํารับเขาก็ตองกินแบบออริจินอลสินะ (แตเวลาดูรายการในชองฟููดเน็ตเวิรแกทีค่ ุณ Giada เชฟอิตาเลียนทํา เขาก็เมนูพาสตาแบบใหมๆ ที่เราไมเคยรูจักมา กอน พอเรามาทําตามมันก็อรอยดวย) คือมันไมมีแบบนั้นจริงๆ หรือเราสั่งไมเป็นนะ
มื้อเย็นวันนี้ที่ร๎าน Ai Scalzi Ristorante หน๎าโรงแรมที่พัก
[302]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 10: Venice – Verona
วันที่ 10: Venice – Verona
[303]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 10: Venice – Verona
วันที่ 10 ของการเดินทางแลว ใกลถงึ จุดหมายปลายทางเต็มที วันนี้เรายังคงอยูํที่เวนิสอีกครึ่งวันเพื่อ เที่ยวชมสถานที่ทํองเทีย่ วที่สา้ คัญและเป็นแลนด์มาร์คที่โดดเดํนที่สดุ ของเวนิสนั่นก็คือจัตุรัสซาน มาร์โค เราจะ แวะเข๎าชมวังของผู๎ครองนครหรือโดเจกันกํอนแล๎วคํอยเข๎าชมมหาวิหารซาน มาร์โค (Basilica di San Marco) ถ๎ายังพอมีเวลา หลังจากนั้นเที่ยงๆ เราก็ต๎องโบกมือบ๏ายบายเวนิส มุํงตรงสูเํ มืองโรแมนติกอีกเมือง หนึง่ สถานที่เกิดเหตุโศกนาฏกรรมรักอยํางโรมิโอกับจูเลียตที่เมืองเวโรนากัน เชานี้เรายังฝากทองมื้อเชาไวกับอาหารเชาของทางโรงแรมฟลอริดาอีกเชนเคย พยายามยัดใหเยอะที่สุด เพราะรูวาอาหารเชาฝรั่งเนี่ยมันไมอยูทองเอาซะเลย ชั่วโมงนึงก็หวิ แลว และเราก็ยังไมลืมเก็บเสบียงไวสําหรับมื้อ กลางวันระหวางเดินทางอีกดวย จากนั้นเราตองเก็บกระเปาและทําการเช็คเอาทแกับทางโรงแรมกอนพรอมกับฝาก กระเปาไวกับทางโรงแรม พอจะขึ้นรถไฟไปเวโรนาคอยมาแวะรับกระเปาแลวลากไปสถานีรถไฟไดเลย
บรรยากาศห๎องพักและมื้อเช๎าที่โรงแรมฟลอริด๎า
บัตรโดยสารเรือเมลแแบบ 72 ชม. ยังใชไดอยู มีเรือเมลแที่จะไปจัตุรัสซาน มารแโคมากมาย ออมบาง ตรงบาง ตองเลือกเอา จากที่พักของเรามีสาย 1 ใชเวลาเดินทางจากทาเรือ Ferrovia ไปถึงทา San Marco Vallaresso 36 นาที หรือจะเลือกสาย 5.1 ใชเวลาเดินทางเร็วกวาคือ 23 นาที เราไปถึงจัตุรัสซาน มารแโคตอน 9.20 น. วันนี้อากาศ ขมุกขมัว ไมเป็นใจเทาไหร คาดวาเดีย๋ วฝนคงตกแน แตก็นับวาโชคดีที่กวาฝนจะมาตกก็เขาวันทายๆ ของการ เดินทางแลว
[304]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 10: Venice – Verona
บรรยากาศระหวํางทางไปจัตุรัสซาน มาร์โค
แผนที่จัตุรัสซาน มาร์โค (Piazza San Marco) (Credit: whitemouse.ru)
[305]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 10: Venice – Verona
จัตุรัสซาน มาร์โคหรือจัตุรัสเซนต์มาร์ก (Piazza San Marco) ตั้งชื่อตามเซนตแมารแก นักบุญประจํา เมือง เป็นจัตุรัสรูปตัวแอล (L) มีความสวยงามที่สุดอันดับตนๆ ของโลก เมื่อเดินเขามาจากทาเรือจะเขาสูปิอาเซ็ตตา ซาน มารแโค (Piazzetta San Marco) ซึ่งเป็นเหมือนจัตุรัสยอยของจัตุรัสซาน มารแโคอีกที จะเห็นเสาคอลัมนแสองตน ขนาบอยูสองขาง ตนหนึ่งมีสิงโตมีปีกยืนอยูชื่อเสาซาน มารแโค ซึ่งสิงโตนี้เป็นสัญลักษณแของเซนตแมารแกและ สัญลักษณแของเวนิส เสาอีกตนชือ่ เสาซานทีโอโดโร (San Teodoro) เป็นรูปสลักเซนตแธีโอดอรแ นักบุญแหงการสูรบ และเป็นนักบุญผูพิทกั ษแเมืองเวนิสกําลังยืนเหยียบมังกร (โคโมโด 55+ เหมือนนะ ดูสิดูสิ) บริเวณนี้แตเดิมสุดๆ ตั้งแต สมัยไบเซนไทนแนั้นเป็นบอน ตอมาถูกเปลี่ยนเป็นลานประหาร (เพราะคุกและศาลก็อยูบริเวณนี้ภายในวังโดเจ นั่นเอง)
Palazzo Ducale
เสาซาน มาร์โค
เสาซานทีโอโดโร
[306]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 10: Venice – Verona
ดานซายของเสาคอลัมนแเป็นหอจดหมายเหตุ Biblioteca Nazionale Marciana ดานขวาคือวังผูครอง นครหรือวังโดเจ (Doge’s Palace; Palazzo Ducale) เหนือหอจดหมายเหตุขึ้นไปคือหอระฆังกัมปานีเล (Campanile) สามารถเสียเงินขึ้นไปชมวิวได เหนือวังโดเจเยื้องหอระฆังคือมหาวิหารซาน มารแโค และเยื้องมหา วิหารอีกฝั่งคือหอนาฬิกาตอรแเร เดลโลโรโลโจ (Torre dell’ Orologio) เราจะเยี่ยมชมแตละที่ที่กลาวมาแบบผานๆ บาง เจาะๆ บางตามที่เวลาและสภาพอากาศเอื้ออํานวย อันหลังนี่สําคัญมากสําหรับวันนี้ เพราะแดดหาย ฟูาครึ้ม เม็ดฝนพรอมตกลงมาเต็มที่เลย ไมพนเที่ยงนี้แนนอน
Biblioteca Nazionale Marciana และ Campanile
Torre dell’ Orologio
ด๎านหน๎าโบสถ์ซาน มาร์โค
[307]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 10: Venice – Verona
Piazzetta San Marco
Palazzo Ducale
โบสถ์ซาน มาร์โค
Torre dell’ Orologio
หลังจากถายรูปกับวิวรอบๆ จัตุรัสจนเพลิดเพลินแลว เราก็เขาไปซื้อตั๋วเขาชมวังโดเจกัน คาเขาชมแพงมาก ตั้ง 16 EUR แตมันควรตองเขาชมนะ มีเรื่องราวนาสนใจในวังเพียบเลย เสียดายตังคแนิดหนอยแตไมเสียใจที่ไดเขา [308]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 10: Venice – Verona
ชม วังผู๎ครองนครหรือวังโดเจ (Doge’s Palace; Palazzo Ducale) สรางขึ้นครั้งแรกในศตวรรษที่ 9 เพื่อ ใชเป็นที่พักของผูครองนครเวนิสหรือโดเจ (Doge) และมีการปรับปรุงซอมแซมและสรางใหมหลายครั้งในศตวรรษที่ 12, 14 และ 15 เนื่องจากถูกเผาถูกทําลาย กวา 800 ปีนับตั้งแตกอสรางครั้งแรก วังโดเจไมเพียงแตเป็นที่พํานักของ โดเจผูปกครองเมืองเวนิสเทานั้น แตวังแหงนี้ยังใชเป็นที่ตั้งของสภาขุนนาง หองประชุมสภา ศาลและคุกขังนักโทษ รวมทั้งยังเป็นสถานที่ที่สะทอนตัวตนทั้งหมดของเวนิสตั้งแตวัฒนธรรม ศิลปะ การทหาร การเมืองและสถานะทาง เศรษฐกิจ เป็นไงละ นี่คือคําเปรยที่เขียนติดไวที่หนาทางเขาวังนะ แสดงวาขางในก็เก็บอะไรดีๆ ไวมากมายแนนอน
แผนที่ Palazzo Ducale และ Basilica San Marco (Credit: www.planetware.com)
9.30 น. เราเดินไปซื้อตั๋วเขาชมวังที่ทางเขาฝั่งประตู Porta del Frumento ที่หันหนาออกสูทะเล เมื่อเดิน เขาไปจะพบ Museo dell’ Opera หรือพิพิธภัณฑแที่เก็บรักษาโบราณวัตถุ ผลงานศิลปะของจริงของวังโดเจไว ซึ่งมีเสาคอลัมนแสมัยกอธิกเก็บไวมากมาย รวมทั้งชิ้นสวนของระเบียงหนาวัง รูปสลักชิ้นเอกของศิลปินชาวเวนิสใน สมัยศตวรรษที่ 14 และ 15 [309]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 10: Venice – Verona
Museo dell’ Opera
Courtyard; Cortile del Palazzo
จากนั้นเราเดินตามทางออกไปจะพบกับลานกวางกลางวัง (Courtyard of the building; Cortile del Palazzo) ซึ่งมีบอน้ํา 2 บอที่สรางตั้งแตกลางศตวรรษที่ 16 ตั้งอยู ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือมีบันไดใหญ (Giants’ Staircase; Scala dei Giganti) สรางขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองและใชเป็นที่ทําพิธีสาบานตนของโดเจ เหนือ สุดของบันไดสองฝั่งมีรูปสลักเทพมารแส (ซาย) และเนปจูน (ขวา) ซึ่งเป็นสัญลักษณแแทนอํานาจทางแผนดินและ อํานาจทางทะเลของเมืองเวนิส เราเดินขึ้นไปบริเวณระเบียงชั้นสอง (ที่อิตาลีเรียกชั้น 1 เพราะนับชั้นลางสุดเป็นชั้น 0) ของอาคาร (loggia) ผานทางบันได Stairs of the Censors; Scala dei Censori แลวเดินขึ้นไปชั้น 3 (ชั้น 2 ถานับแบบอิตาลี) ตอผานทางบันไดสีทอง (Golden Staircase; Scala d’Oro) ชื่อของบันไดนีไ้ ดมาจากการ ที่สวนหลังคาโคงบนเพดานเหนือบันไดมีการตกแตงอยางหรูเลิศอลังการดวยการใชทองคํา 24 กะรัตมาตกแตง รวมกับรูปสลักปูนปลาสเตอรแสีขาวและภาพวาดเฟรสโก ณ จุดนี้จะเป็นจุดสุดทายที่วังโดเจอนุญาตใหนักทองเที่ยว ถายภาพได เมื่อเดินผานบันไดสีทองขึ้นสูถัดไป ซึ่งเป็นสวนของที่พักของโดเจ หองประชุมสภาและที่ทําการเมืองเว นิส ก็จะอดถายภาพถายและวิดีโอใดๆ ทันที กวาจะอนุญาตใหถายภาพอีกครั้งก็ตอนที่ถึงสะพานถอนหายใจ (Bridge of Sighs) ซึ่งเดี๋ยวเราจะเลาตอไป เมื่อกาวเขาสูชั้น 3 (ชั้น 2 ถานับแบบอิตาลี) ของอาคารจะพบกับหองประชุมสภาและที่ทําการเมือง เวนิสมากมายหลายหอง จนไปถึงสวนที่พํานักของโดเจ (Doge’s Apartments) อีกหลายหองมากเชนกัน แตละ หองก็ประดับประดาตกแตงไดอยางวิลิศมาหราสุดชีวิต คือเขาใจไดเลยวาเวนิสนี่ร่ํารวยมากๆ แลวก็ เวอวังอลังการ มากๆ อีกดวย [310]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 10: Venice – Verona
Giants’ Staircase; Scala dei Giganti
บํอน้้ากลาง courtyard
รูปสลักเทพมาร์สและเนปจูน
[311]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 10: Venice – Verona
Golden Staircase; Scala d’Oro
[312]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 10: Venice – Verona
สุดทายเราเดินผานศาลและสะพานที่หลายคนอาจคุนเคยไดยินชื่อกันมาบางคือสะพานปอนเต เดย์ ซอสปี รีหรือสะพานแหํงเสียงถอนหายใจ (The Bridge of Sighs; Ponte dei Sospiri) สะพานนี้ใชเป็นทางเชื่อม ระหวางอาคารหนึ่งนั่นคือศาลไปยังอีกอาคารซึ่งเป็นคุกที่ใชคุมขังนักโทษ โดยสะพานเป็นลักษณะปิดมีหลังคาคลุม มีชองหนาตางเจาะรูเป็นลวดลายเล็กๆ ใหพอมองลอดออกไปเห็นแสงเดือนแสงตะวันภายนอกได ซึ่งนับวาเป็นแสง สวางภายนอกแสงสุดทายที่เหลานักโทษจะไดเห็นกอนที่พวกเขาจะถูกคุมขังภายในคุกอันมืดมิด เมื่อนักโทษเดินผาน สะพานนี้ จึงมักจะไดยินเสียงทอดถอนหายใจหรือเสียงรองไหสะอึกสะอื้นของพวกเขา แตปัจจุบันสะพานนี้กลับโดง ดังจากการที่เชื่อวาหากคูรักไดนั่งเรือกอนโดลาแลวไดจูจุ฿บกันใตสะพานนี้ พวกเราจะรักกันชัว่ นิรันดรแ... เฮอ ! หลอก กินตังคแอีกแระ
วิวด๎านนอกเมื่อมองจากชํองหน๎าตํางที่ The Bridge of Sighs; Ponte dei Sospiri
[313]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 10: Venice – Verona
เราเดินตามปูายบอกทางกลับมายังลาน courtyard อีกครั้ง แลวกมมองนาฬิกาตัวเอง เฮย! 11 โมงแลว ตายละวา เหลือเวลาเขาชมโบสถแซาน มารแโคไมทันแนเลย เพราะตองเสียเวลาปัม๊ นมกอนดวย (จริงๆ เราเขาชมวังโด เจชากวาที่เราวางแผนไวเกือบชั่วโมง เพราะออกเดินทางจากโรงแรมชา ทุกอยางก็เลยชาตามกันไปหมด ถาทําเวลา ไดตามแผนที่วางไว ทุกอยางจะเพอรแเฟคมาก) เราจึงรีบเผนออกจากวังโดเจทางประตู Porta della Carta นั่ง ปั๊มนมที่มานั่งขางวังนั่นแหละ เวลาเปิด: ทุกวัน 1 เม.ย. – 31 ต.ค. 8.30 – 19.00 น. รอบสุดทาย 18.00 น. 1 พ.ย. – 31 มี.ค. 8.30 17.30 น. รอบสุดทาย 16.30 น. ปิดวันคริสตแมาสและวันปีใหม คาเขาชม: (ขอมูลลาสุด พ.ย. 2015) 18 EUR รวมคาเขาพิพธิ ภัณฑแกอรแแรรแ (Museo Correr) พิพิธภัณฑแ โบราณคดีแหงชาติ (Museo Archeologico Nazionale) และ monumental rooms ของหอสมุดแหงชาติมารแ เซียนา (Biblioteca Nazionale Marciana) รายละเอียดเพิ่มเติม http://palazzoducale.visitmuve.it หากมีเวลาสัก 1.5 ชม. และจัดสรรเวลาใหตรงกับรอบไกดแภาษาอังกฤษไดแลวละก็ แนะนําทัวรแเสนทาง ลึกลับของโดเจดีกวา (secret itineraries tour) ราคา 20 EUR เพิ่มจากปกติแค 2 EUR เอง ไดมีคุณไกดแพาชมหอง พิเศษหองลับเฉพาะของโดเจและหองเด็ดๆ ที่มีเรื่องราวที่คาเขาชมแบบธรรมดา 18 EUR ไมสามารถเขาชมไดอยาง คุกที่ใชคุมขังพอเสือสาวคาสโนวามาแลว (หนังสือเวนิสพิศวาสของคุณธรณแ หนูดาวเลาถึงประวัติคาสโนวาไดอยาง สนุกมาก อานเพลิน โดยเฉพาะเรื่องความพยายามที่จะแหกคุกของเขาหลายครั้งหลายครา ทั้งเจาะพื้นเจาะเพดาน (นึกถึงหนังโปรดเรื่อง Shawshank Redemption เลย) จนสุดทายก็สําเร็จ จะวาไปนี่คือตอนที่หนูดาวเลาไดสนุก ที่สุดในเลมแลว ที่เหลือหนูดาวเวิ่นเวอจัง ออกนอกเรื่องเยอะมากจนเบื่อที่จะหาอานสวนเนื้อๆ ที่ตองการรู... ขอ โทษดวยนะคะที่ตองวิจารณแตรงๆ ลางเนื้อชอบลางยาเนอะ คงมีทั้งคนที่ชอบและไมชอบสไตลแการเขียนแบบนี้)
[314]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 10: Venice – Verona
ประมาณ 11 โมงครึ่ง ตอนนั้นฝนทําทาจะตกแนๆ แลว (หลังกลับเมืองไทยอีก 2 วันใหหลัง ปรากฏวาเว นิสเกิดน้ําทวมใหญ... โชคดีจริงๆ เลยเรา ถามาชากวานี้ทริปพังแน) มองไปที่แถวเขาชมโบสถแซาน มารแโค ผูคนก็ตอ แถวกันยาวเหยียด แถมยังตองเอากระเปาไปฝากกอนอีก ดวยความทีก่ ลัววาจะตกรถไฟไปเวโรนาตอน 12.50 น. เราเลยตัดสินใจไมเขาชมโบสถแซาน มารแโค ฮือๆ เสียใจจริงๆ งั้นเอารูปถายดานนอกกับประวัติแหงๆ ที่ไปคนมาหาที่ ตางๆ ไปแทนละกัน ฮือๆ อีกรอบ (เรียบเรียงข้อมูลจากหนังสือใครๆ ก็ไปเที่ยวอิตาลี หนังสืออิตาลี สานักพิมพ์ วงกลมและหนังสือเวนิสพิศวาส) มหาวิหารซาน มาร์โค (Basilica di San Marco) สรางขึ้นเพื่อเป็นสถานที่เก็บพระศพของเซนตแ มารแกที่พอคาชาวเวนิสขโมยมาจากอียิปตแเพื่อตองการใหมีนักบุญประจําเมือง (วากันวาตองนําพระศพใสหีบขนหมู เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับจากประเทศอาหรับ มีภาพโมเสกเลาเรื่องนี้อยูหนาโบสถแดวย) และเป็นโบสถแประจําตัวโด เจสําหรับใชประกอบพิธกี รรมตางๆ สถาปัตยกรรมของโบสถแนั้นมีหลากหลายยุครวมกันตั้งแตกรีกโรมันไปจนถึงเรอ เนสซองสแ(*) แตหลักๆ จะเป็นศิลปะแบบไบแซนไทนแ (ศตวรรษที่ 3 – 15 เกิดหลังกรีกโรมัน เกิดกอนกอธิก เรอเนส ซองสแ) ซึ่งไดรับอิทธิพลจากอาหรับ จะเห็นไดจากยอดโดม 5 โดมนั้นเป็นสถาปัตยกรรมแบบเปอรแเซีย ดานหนามี ประตูทางเขา 5 ชอง แตละชองประดับดวยภาพโมเสกสีทองบอกเลาเรื่องราวทางศาสนา บนประตูทางเขาใหญมีมา สําริด 4 ตัวซึ่งเป็นตัวจําลอง ของจริงถูกเก็บรักษาภายในพิพธิ ภัณฑแของมหาวิหารดานใน มาสําริดนี้เป็นตัวแทนถึง อิสรภาพของชาวเวนิส เนื่องจากแตกอนเวนิสเคยตกอยูภ ายใตการปกครองของฝรั่งเศส มาเหลานี้ถูกนโปเลียนยึดไป ปารีส ตอมาเมื่อพนจากการเป็นเมืองขึ้น มาจึงไดกลับมาอยูที่เวนิส สวนยอดโดมมีไมกางเขนแบบกรีก ซึ่งแตกตาง จากแบบละตินที่เราคุนเคยคือแบบกรีก ทุกดานจะเทากันคลายเครื่องหมายกาชาด (*) โนตโดยหนูดาวจากหนังสือเวนิสพิศวาส หนูดาวบอกวาศิลปะกรีกโรมัน ใหดูที่ประตูโบสถแเป็นทรงโคง สูง รวมทั้งมาศึกโรมันบนหลังคาชั้นสอง สําหรับไบแซนไทนแ ใหดูจากโมเสก สวนกอธิกใหดูจากยอดแหลมๆ เล็กๆ และยุคเรอเนสซองสแซึ่งเป็นยุคฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม ถือเป็นยุครุงเรือง ผูคนกลับมามีเงินทองแลว ก็ดูไดอยางการ ประดับประดาที่เลิศหรูอลังการวิลิศมาหรานั่นเอง... ขอบคุณคุณหนูดาวสําหรับขอมูลที่กระชับไดใจความและเห็น ภาพอยางชัดเจนมากๆ มหาวิหารหลังใหญมหึมามาก ประดับประดาดวยภาพโมเสกทองคําทั่วไปหมดโดยเฉพาะบริเวณหลังคาโคง ถึงภายในมหาวิหารจะเขาชมฟรี แตถาอยากดูของดีอยางฉากทองคําประดับอัญมณีหรือปาลา ดิโอโร (Pala d’Oro) ที่อยูดานหลังของแทนบูชาก็ตองเสียเงิน ภาพในฉากเลาเรื่องประวัติของพระเยซูขณะอาศัยอยูที่เมืองเยรูซาเล็ม จนกระทั่งพระแมมาเรียเสียชีวิต นอกจากนี้ยังมีภาพของโดเจที่ประดับประดาดวยทองคําและอัญมณีตางๆ มากมาย หลายพันเม็ด... อยากเห็นจริงๆ วามันจะเวอวังขนาดไหน ถายังอยากเสียเงินเพิ่มอีกเป็นรอบที่ 2 ก็ใหเขาไปชมที่หอ เก็บสมบัติ (Treasury) เลย ไมหนําใจ เสียเงินรอบ 3 ขึ้นไปชมวิวชั้นสองของมหาวิหารซึ่งเป็นสวนของพิพธิ ภัณฑแ เซนตแมารแก (St. Mark’s Museum) จะไดมองเห็นงานโมเสกทองคําในระยะใกล ไดเห็นมาสําริดตัวจริงแถมดวยวิว สวยๆ ดานนอกของเมืองเวนิส... นาจะหนําใจแลวนะ เสียตังคแซ้ําซอนขนาดนี้ เวลาเปิด: ทุกวัน 9.45 – 17.00 น. วันอาทิตยแและวันหยุด 14.00 – 16.00 น. และถึง 17.00 น. เฉพาะ ชวงมี.ค./เม.ย. (วันอีสเตอรแ) – 31 ต.ค. [315]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 10: Venice – Verona
คาเขาชม: (ขอมูลลาสุด พ.ย. 2015) มหาวิหารเขาชมฟรี Pala d’Oro 2 EUR หอเก็บสมบัติ (Treasury) 3 EUR และพิพิธภัณฑแเซนตแมารแก (St. Mark’s Museum) 5 EUR
ภาพโมเสกศิลปะยุคไบแซนไทน์ที่ประดับอยูํหน๎าโบสถ์ซาน มาร์โค
ภาพการน้าพระศพเซนต์มาร์กใสํหีบขนหมู
[316]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 10: Venice – Verona
พอตัดสินใจวาจะไมเขาชมมหาวิหารซาน มารแโค เราเลยเดินออกไปที่ทาเรือ ถายรูปกับ Bridge of Sighs อยูพักหนึ่งจนไดเวลานั่งเรือเมลแกลับไปยังทา Ferrovia เพื่อไปเอากระเปาและออกเดินทางตอแลว เรานั่งเรือสาย 1 (ปลายทาง P’le Roma) จากทาเรือ S. Marco Vallaresso นั่งไป 14 ปูาย ใชเวลา 36 นาทีถึงทา Ferrovia (S. Lucia) จากนั้นไปเอากระเปาที่ฝากไวทโี่ รงแรม มุงตรงไปยังสถานีรถไฟ บ฿ายบายเวนิส เราจะคิดถึงเธอ รถไฟออก จากสถานีซานตา ลูเซียเวลา 12.50 น. มุงหนาไปยังเวโรนา ถึงสถานีเวโรนา ปอรแตา นูโอวา (Verona Porta Nuova) เวลา 14.00 น. ฝนตกปรอยๆ ตลอดทาง
วิวบนสะพานที่ด๎านหลังเป็น Bridge of Sighs
ถึงแล๎ว...เวโรนา [317]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 10: Venice – Verona
เมื่อถึงเวโรนา เราตองไปเช็คอินที่โรงแรมกอนแลวคอยออกเที่ยว จากทางออกสถานีรถไฟ Verona Porta Nuova ซึ่งจะเป็นถนน Piazzale 25 (XXV) Aprile ใหเลี้ยวซาย เดินตรงไปตามทางเรื่อยๆ เลี้ยวโคงขวาตามทาง เดินตรงตามฟุตบาทไปนิดเดียว จะเห็นบันไดทางขึ้น ใหเดินขึ้นบันไดไปจะเจอลานจอดรถกวางๆ เดินตัดลานจอดรถ ไปทางซายแลวเดินตรงไปเรื่อยๆ พอถึง 3 แยกก็เลีย้ วซายเขาสูถนน Via delle Coste (มีปูายโรงแรมบอกตลอด ไม หลงแนนอน) เดินตรงไปเรื่อยๆ จนเริม่ เลี้ยวโคงจะเจอโรงแรมอยูทางขวามือบริเวณหัวโคงถนน... อานดูเหมือนจะ เดินตามยาก แตถาดูแผนที่ก็จะรูว ามันสบายๆ มาก
Route to go: Stazione Verona Porta Nuova to Novo Hotel Rossi
โรงแรมนารัก พนักงานตอนรับก็นารัก แนะนําทุกอยางเป็นอยางดี เราพักอยูชนั้ ลางของโรงแรม (รูสึกชั้นนี้ จะมีหองพักอยูแ ค 2 หอง) ใกล reception และใกลหองอาหารมาก หองพักก็ขนาดไมคับแคบนัก สะอาดสะอานดี นาเสียดายที่ฝนตกตอนเรามาถึงบวกกับรีบๆ ตอนขากลับ ทําใหไมไดถายภาพโรงแรมและหองพักเลย ขออภัยจริงๆ ตองเอารูปจากเว็บไปดูแทน
Novo Hotel Rossi (www.novohotelrossi.it) [318]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 10: Venice – Verona
เวโรนา (Verona) ตั้งอยูทางทิศตะวันตกของเวนิส เป็นเมืองขนาดกลางๆ ไมเล็กไมใหญเกินไป เหมาะ สําหรับการเดินเที่ยวแบบชิลๆ นอนคางสัก 1 คืนกําลังดี เวโรนาเคยเป็นเมืองที่รุงเรืองมากในยุคโรมัน กลิ่นอายของ สถาปัตยกรรมรวมทั้งศิลปวัฒนธรรมที่หลงเหลืออยูจึงนาชวนใหมาเที่ยว โดยเวโรนาไดรับการขึ้นทะเบียนใหเป็น เมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรมขององคแการยูเนสโกตั้งแตเมื่อปี 2000 นักประพันธแชื่อกองโลกอยางวิลเลียม เช็คสเปียรสแไดเพิ่มเสนหแความโรแมนติกใหเวโรนาโดยเขาไดใชเมืองนี้เป็นฉากหลังเรื่องราวโศกนาฏกรรมรักที่ทุกคนตาง รูจักดีอยาง “โรมิโอกับจูเลียต (Romeo and Juliet)” ทําใหนักทองเที่ยวสวนหนึ่งรวมทั้งเราดวยตางอยากตามรอย บทประพันธแ ตามหาสถานที่ที่เขาวาเป็นบานของจูเลียตกับโรมิโอที่เวโรนานี้ดวย จากที่หนังสือใครๆ ก็ไปเที่ยวอิตาลีพูดถึงภาพยนตรแฮอลีวูดเรื่อง Letter to Juliet (ชื่อไทย สะดุดเลิฟ ที่ เมืองรัก) นําแสดงโดยอะแมนดา ไซยแฟริด วาเป็นหนังที่ถายทําและเลาเรื่องเกีย่ วกับเวโรนาและจูเลียต เราก็เลยไป หามาดูบา ง หนังทําไดนารักดี วิวสวย ทัง้ เวโรนาและเมืองอื่นๆ ในแควนทัสกานี ดูหนังแลวก็ชว ยบิว๊ ทแอารมณแในการ อยากมาเที่ยวเวโรนาไดอกี เยอะเลย
แผนที่ตัวเมืองเวโรนา (Credit: www.mappery.com) [319]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 10: Venice – Verona
การเดินทางในเวโรนาอาจจะไมสะดวกสบายเทาเมืองใหญอื่นๆ เพราะสถานีรถไฟ Verona Porta Nuova หางจากตัวเมืองประมาณ 1.5 กม. จะเดินเทาเอาเราวาก็ไกลไปหนอย ตองใชวิธีขึ้นรถเมลแจะประหยัดแรงได มากกวา ที่หนาทางออกสถานีรถไฟ Verona Porta Nuova มีทารถเมลแทาใหญ สามารถใชเป็นชุมทางโดยสาร รถเมลแไดอยางสะดวก ตั๋วรถเมลแหาซื้อไดตามรานขายของชําหรือ Tabacchi ทั่วไปเชนเดียวกับเมืองอื่นๆ เราซื้อที่ รานขายหนังสือที่อยูในสถานีรถไฟ รายละเอียดประเภทตั๋วโดยสาร ราคา เสนทางเดินรถ ทั้งหมดหาไดจากเว็บไซตแ การเดินรถสาธารณะในเวโรนา www.atv.verona.it ประเภทตั๋วโดยสาร 1. Ticket valid for the city area of Verona 1.3 EUR – สําหรับเดินทางภายในตัวเมืองเวโรนา ตอง ทําการ validate (stamp) ที่เครื่องทุกครั้งเมื่อขึ้นรถแตละคัน ตั๋วมีอายุ 60 นาทีหลังจากแสตมปครั้งแรกและมีอายุ 90 นาทีหลังจากซื้อตัว๋ (บนตัว๋ จะระบุเวลาที่ซื้อไว) 2. Urban ticket purchased on board 1.5 EUR – เป็นราคาตั๋วที่ซื้อบนรถเมลแ (ไมรับทอนเงิน) ใชได ครั้งเดียว รถเมลแคันเดียว 3. Daily ticket 4.0 EUR – ตั๋ววัน ใชไดจนถึงเที่ยงคืนของวันที่ซื้อตั๋ว ตอง validate ตั๋วทุกครั้งที่ขึ้นรถ แนนอนวาเราซื้อตัว๋ แบบที่ 1 จากทารถหนาทางออกสถานีรถไฟ Verona Porta Nuova (ชื่อปูาย Stazione Porta Nuova ตั้งอยูบนถนน Piazzale XXV Aprile) สามารถนั่งรถเมลแสายตางๆ ไปลงที่ตัวเมืองเว โรนาไดแกสาย 11, 12, 13 และ 72 โดยใหไปลงที่ปิอัซซาบรา (Piazza Bra) เรานั่งรถเมลแสายอะไรจําไมได บน รถเมลแไมไดแจงบอกปูายไววา ตอนนี้ถึงไหนแลว ตองคอยสังเกตเอาเองหรือนับปูายจากตารางเดินรถเมลแสายตางๆ ที่เราโหลดมาเก็บไวลวงหนา พอเราเห็นจัตุรัสกวางๆ ใหญๆ เห็นอัฒจรรยแอารีนา และตึกใหญๆ ยาวๆ ดูเหมือนศาลา วาการเมืองก็รูไดเลยวาถึงที่หมายแลว ปิอัซซําบรา (Piazza Bra) เป็นจัตุรัสสําคัญใจกลางเมือง เป็นที่ตั้งของโรงละครโรมันอารีนา (Arena) ซึ่งเป็นโรงละครโรมันที่มีขนาดใหญเป็นอันดับ 3 ของโลกรองจากโคลอสเซียมและ... เลมหนึ่งบอกวาอันดับ 2 คือ คาปัว อารีนา ที่เมืองคาปัว อิตาลี สวนอีกเลมบอกวาคือสนามกีฬาที่เมืองนีมสแ ฝรั่งเศส ไมรูเลมไหนถูกตองกันแน ตอนแรกเราเขาใจวาอารีนานั้นเปิดใหเขาชมฟรี (ไมรูไปอานมาจากไหนถึงฝังใจไดขนาดนี้) แตพอมาถึงที่จริง หนา ปูายบอกวาคาเขาชม 6 EUR งั้นก็บอกลาเลยคา เวลามีนอย ฝนก็ยังตกปรอยๆ เฉอะแฉะ อีกอยางเราไปโคลอส เซียมมาแลว ทีอ่ ารีนานี้เลยขอบายกอน
โรงละครโรมันอารีนําที่ปิอัซซําบรา [320]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 10: Venice – Verona
โรงละครโรมันอารีนําที่ปิอัซซําบรา
บรรยากาศบนถนนคนเดินที่ Via Mazzini
เราเดินขึ้นไปทางเหนือตามถนนแมซซินี (Via Mazzini) ซึ่งเป็นถนนคนเดิน สองขางทางเป็นรานคานาชอป มากมาย ทั้งเสื้อผาแฟชั่น รานไอศกรีมเจลาโต รานขายของที่ระลึก ผูคนก็เดินกันขวักไขว คอนขางคึกคักพอสมควร [321]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 10: Venice – Verona
เดินขึ้นไปจนสุดทางจนเจอถนนอีกเสนตัดผานนั่นคือถนนแคปเปลโล (Via Cappello) เราก็จะพบจุดหมายแหงที่ 2 ทางขวามือ บานเลขที่ 23 นั่นคือบานทีเ่ ชื่อกันวาคือบ๎านจูเลียต (Casa di Giulietta) ในบทประพันธแเรื่องโร มิโอกับจูเลียตของวิลเลียม เช็กสเปียรแ ที่นี่เป็นสถานที่ถายทําและเป็นแกนหลักของเนื้อหาของภาพยนตรแเรื่อง Letter to Juliet ที่เราบอกวานาจะหามาดูกอนไปเที่ยวเวโรนา ในหนังบอกวาที่นี่เป็นที่ที่เหลาหญิงสาวผูมีปัญหาใน รักสารพัดรูปแบบจะเขียนจดหมายแปะไวขางฝาบานเพื่อขอคําปรึกษาจากจูเลียต ซึ่งจริงๆ แลวคือคณะสาวแกสาว เหลือนอย 4 คนที่ชวยกันทําหนาที่เหมือนศิราณีคอยตอบปัญหาหัวใจกลับไปให สวนนางเอกก็บังเอิญจับพลัดจับผลู ไดเขารวมเกิรแลแก฿งเป็นคนที่ 5 แลวก็เกิดเรื่องราวตางๆ ตอมาทั้งไดเจอพระเอก ไดเลิกกับคูหมั้นตัวเอง ไดพาคุณยา ของพระเอกกลับไปหารักแรกจนจบเรื่อง
รูปปั้นจูเลียตที่บ๎านจูเลียต (Casa di Giulietta)
บานจูเลียตเป็นอาคารหลังหนึ่งในกลุมอาคารหลายหลัง สรางขึ้นตั้งแตยุคกลางเป็นทรัพยแสินของตระกูลดัล แคปเปลโล (Dal Cappello) ซึ่งนามสกุลนี้เป็นที่มาของนามสกุลคาปุเล็ต (Capulet) ของจูเลียต มองขึ้นไปที่ชั้นบน ของตัวบานจะเห็นระเบียงยื่นออกมา ซึ่งเป็นระเบียงที่ตัวละครโรมิโอและจูเลียตมาพลอดรักกันที่นี่ บริเวณลานกวาง หนาบานมีรูปปั้นสําริดจูเลียตขนาดเทาตัวจริง (นางสูง 175+ แนเลย เทียบกับตัวเราแลวหัวเราอยูแคไหลนาง) นักทองเที่ยวที่มาที่นี่มกั ตองตอแถวถายรูปกับจูเลียตทุกคน ที่สําคัญตองมีทาประจําที่ทํากันแทบทุกคน (ยกเวนเรา นะ เกรงใจนางมาก) คือตองจับหนาอกจูเลียต จับกันซะจนนมขางขวานางเงาวับเลย ปัจจุบันกลุมอาคารของบานจูเลียตจัดแสดงเป็นพิพิธภัณฑแ (The house of Juliet museum) ถึงแมวา เราไมไดเขาไปชมภายใน (เสียเงินเขาชมนะจ฿ะ 6 EUR หรือ 7 EUR ถาชมบานพรอมหลุมศพจูเลียต) แตก็ขอแปล รายละเอียดภายในพิพธิ ภัณฑแตามปูายจัดแสดงมาแปะไวตรงนี้แลวกันเนอะ... ภายในพิพิธภัณฑแแบงเป็น 9 หอง [322]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 10: Venice – Verona
งานศิลปะภายในหองสวนใหญเป็นภาพเฟรสโกสไตลแเวโรนาในศตวรรษที่ 13 ถึง 17 รวมทั้งภาพเขียนที่เกีย่ วของกับ บทประพันธแโรมิโอกับจูเลียต นอกจากนี้ยังมีงานเซรามิคเกาแกตั้งแตยุคกลางจนถึงตนยุคเรอเนสซองสแและ มัลติมีเดียบอกเลาเรื่องราวของโรมิโอกับจูเลียตตามหองตางๆ ในอาคารดวย และเนื่องจากกอนหนานี้คงมี นักทองเที่ยวหรือคนที่อยากฝากขอความใหกับจูเลียตกันเป็นจํานวนมาก แตแทนที่จะฝากขอความโดยสงจดหมาย หรือโพสตแอิทแปะไวแบบในหนัง Letter to Juliet กลับใชวธิ ีมักงายเขียนขอความทิ้งไวบนกําแพงบานจนเลอะ เทอะสกปรกไปหมด พอทางการเวโรนาเขามาดูแลและใหที่นี่เป็นอนุสรณแสถาน จึงมีประกาศหามเขียนขอความบน ผนัง ไมงั้นจะโดนจับ ถูกจําคุกสูงสุด 1 ปีหรือเสียคาปรับถึง 1,039 EUR
ก้าแพงฝากข๎อความให๎จูเลียต เขรอะมากจนต๎องห๎ามเขียนแล๎ว
ระเบียงพลอดรักของโรมิโอกับจูเลียต
ออกจากบานจูเลียต เราเดินยอนกลับไปตามถนน Via Cappello ก็จะเจอปิอซั ซําเอร์เบ (Piazza Erbe) อีกหนึ่งจัตุรัสสําคัญของเวโรนา เป็นจัตุรัสแคบๆ ยาวๆ แตเกาแกมาก มีมาตัง้ แตยุคโรมันเลยทีเดียว สมัยกอน เป็นแหลงขายเครื่องเทศ ปัจจุบันกลายเป็นตลาดนัดขายสารพัดอยาง ครึกครื้นไมเบา ที่ปิอัซซานี้มีหอคอยอยู 2 แหง จากถนน Via Cappello หอคอยทางขวามือมีนาฬิกาติดอยูชื่อวาหอระฆังแลมเบอรแติ (Torre dei Lamberti) สามารถเดินขึ้นบันได 238 ขั้นหรือใชลฟิ ตแทุนแรงเพื่อขึ้นไปชมความงดงามของเมืองเวโรนาได (วากันวานี่คือจุดชม วิวที่สวยที่สุดในเมือง) สวนอีกหอคอยหนึ่งตั้งอยูสุดปิอัซซาทางซายมือเป็นหอคอยกอธิกชื่อวาหอคอยการแเดลโล (Torre delle Gardello) สรางขึ้นตั้งแตศตวรรษที่ 14 ตรงกลางปิอัซซามีน้ําพุที่เป็นประติมากรรมโรมันตั้งอยูชื่อน้ําพุมาดอนนา เวโรนา (Madonna Verona) ดานหลังน้ําพุ ขวามือของหอคอย Gardello เป็นวังมัฟเฟอี (Palazzo Maffei) วังสไตลแบารอกที่ดานบนมีรูปปั้นเทพ เจากรีกเรียงรายอยู ดานหนาวังมีเสาคอลัมนแขางบนเป็นรูปปั้นสิงโตสัญลักษณแของเวนิส เนื่องจากเวนิสเคยยึด [323]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 10: Venice – Verona
ครองเวโรนาได ขาง Palazzo Maffei อีกดานหนึ่งเป็นอาคาร Case Mazzanti โดดเดนดวยภาพเฟรสโกเต็มผนัง ดานนอก ซึ่งเป็นหนึ่งในสัญลักษณแของเวโรนาดวย
Torre delle Gardello Palazzo Maffei Loggia del Consiglio Torre dei Lamberti
Casa di Romeo
แผนที่ Piazza Erbe – Piazza Signori – Casa di Romeo (Credit: www.mappery.com)
ปิอัซซําเอร์เบ [324]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 10: Venice – Verona
น้้าพุ Madonna Verona ด๎านหลังคือวังมัฟเฟอิ
จากปิอัซซาเอรแเบ เราเดินเลาะผานตรอกเล็กๆ ขางๆ หอระฆังแลมเบอรแติ (Torre dei Lamberti) ที่มซี ุม หลังคาโคงๆ พบกับปิอัซซําซิญญอรี (Piazza Signori) จัตุรัสเล็กๆ โลงๆ ไมมีของขาย แตรายลอมดวย อาคารวังเวียงยุคเรอเนสซองสแที่สวยงาม ที่เดนที่สุดนาจะเป็นล็อจจา เดล คอนซีลีโย (Loggia del Consiglio) สถาปัตยกรรมเรอเนสซองสแที่สวยงามทีส่ ุดในเวโรนา (ข้อมูลจากหนังสือใครๆ ก็ไปเที่ยวอิตาลี) กลางจัตุรัสมีรูปสลัก ของดังเต (Dante) กวีและนักเขียนชาวฟลอเรนซแที่โดงดังที่สุดคนหนึ่งในอิตาลีและของโลกในยุคเกา ดังเตเคยใช ชีวิตอยูในเวโรนาอยูชว งหนึ่งโดยไดรับการอุปถัมภแจากผูป กครองเมืองเวโรนา
Torre dei Lamberti
อาคารบริเวณปิอัซซําซิญญอรี
[325]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
Loggia del Consiglio
วันที่ 10: Venice – Verona
ดังเต (Dante)
เราเดินลอดซุมโคงที่ตรอกเล็กๆ เดินตรงไปจนถึงทางแยกแลวเลี้ยวขวาเขาสูถนน Via Arche Scaligere เดินตรงไปอีกนิดเดียวจะเห็นบานเลขที่ 4 ทางซายมือที่มีประตูไมโคงๆ ทีน่ ี่ก็คือบ๎านของโรมิโอ (Casa di Romeo) ชื่อเต็ม Casa di Cagnolo Nogarola detto Romeo ซึ่งก็ไมไดนาดูชมอะไรเพราะปัจจุบัน กลายเป็นผับไปซะแลว เราก็แคอยากมาถายรูปหนาบานเก็บไวแคนั้น จากนั้นเราเดินยอนกลับทางเดิมมาตั้งตนใหม ที่ปิอัซซาเอรแเบอีกครั้ง เพื่อเดินตอไปยังดูโอโมแหํงเมืองเวโรนา (Duomo di Verona) เราเดินขึ้นไปจน สุดปิอัซซาตรงปาลัซโซมัฟเฟอี เลี้ยวขวาเขาถนน Corso Sant’ Anastasia เดินตรงไปแลวเลี้ยวซายเขาถนนเวีย โร ซา (Via Rosa) ตรงไปเรื่อยๆ ผานถนน Via Giuseppe Garibaldi เลี้ยวขวาเขาถนน Via Arcidiacono Pacifico เดินตรงไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นดูโอโมอยูทางซายมือ (เสนทางในกูเกิ้ลบอกงงๆ ในชวงทาย เอาเป็นวาดูตามที่เราเขียน ขางบนก็แลวกัน)... เราเปิดประตูโบสถแเขาไปดูภายใน ซึ่งขณะนั้นภายในโบสถแกาํ ลังทําพิธีทางศาสนาพอดี
บ๎านโรมิโอ (Casa di Romeo) [326]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 10: Venice – Verona
Duomo
Ponte Pietra
Piazza Erbe
Route to go: Piazza Erbe to Duomo – Ponte Pietra (Credit: www.mappery.com)
ดูโอโมแหํงเมืองเวโรนา [327]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 10: Venice – Verona
ออกจากดูโอโม ฝนยังคงตกปรอยๆ เซ็งจริงๆ แตเราก็ยังเดินตอไป เราเดินขามสะพาน Ponte Pietra ซึ่งเป็นสะพานโรมัน ขามแมนา้ํ อาดีเจ (Fiume Adige) ไปอีกฝั่ง วิวทิวทัศนแที่เวโรนานี่สวยมากอะ แบบวาเฮย !! เหนือความคาดหมายมากๆ นี่ขนาดฝนตกเฉอะแฉะ มองอะไรไมคอยชัดนะ (หรือวาถามองชัดแลวจะไมสวยอยางนี้ ฮาๆๆ ไมหรอกเนาะ) ยืนบนสะพานมองดูแมน้ํากับบานเรือนสองฟากฝั่งแลวชอบมาก บานเมืองดูอบอุน ขนาดกําลัง ดี นาเดินนาดูไปหมด ลงจากสะพาน Ponte Pietra เลี้ยวซายมาตามถนน Lungoadige S. Giorgio เราเห็นบริการ ใหเชาจักรยาน Verona Bike (www.bikeverona.it) ซึ่งพอกลับมาหาขอมูลแลวมันก็เหมือนกับจักรยานปันปั่นที่ กรุงเทพฯ เลย นั่นคือเชาจักรยานที่สถานีไหนก็ได ขี่ไปไหนก็ไดภายในเวลา 2 ชม. คืนจักรยานที่สถานีไหนก็ได โอยๆๆ นี่ถารูจกั มากอนและฝนไมตกอยางนี้ละก็ เสร็จเราแนๆ ปลาบปลื้มมากๆ
สะพานโรมัน Ponte Pietra
[328]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 10: Venice – Verona
Verona Bike นําสนใจมากๆ
ใกล 6 โมงเย็นแลว เราเลทจากโปรแกรมที่วางไว 1 ชม. ทองฟูาเริ่มมืด เราเลยตองเปลี่ยนเสนทางไป จุดหมายตอไปของเรานั่นคือปราสาทเวคคิโอ (Castelvecchio) จากเดิมทีจ่ ะเดินรอบอีกฝั่งของแมน้ําอาดีเจแลว คอยขามฝั่งกลับมาทีป่ ราสาทตรงสะพาน Ponte Scaligero เราตองเปลี่ยนเสนทางใหใกลขึ้น เดินนอยลงโดยขาม สะพาน Ponte Pietra กลับมาฝั่งเดิม แลวรีบเดินจ้ําๆๆ ยอนกลับไปทางปิอซั ซาเอรแเบ แลวคอยเดินตอไปจนถึง ปราสาทเวคคิโอ ระหวางทางกอนถึงปิอซั ซาเอรแเบ บนถนน Corso Sant’ Anastasia เราเจอรานขายขนมนารักๆ เยอะเลย อยางรานขายขนมเวเฟอรแชื่อดังของอิตาลีอยางลอคเกอรแ (Loacker) ภายในรานเต็มไปดวยขนม Loacker ทุกรูปแบบ ทุกรสชาติ ทุกขนาดบรรจุ นอกจากนี้ยังมีสวนหนารานที่เป็นรานเคกที่ทําจาก Loacker อีกดวย มีกาแฟ เครื่องดื่มขายคูกัน ครบวงจร ไมไกลกันก็มีรานขายเจลาโตนา รักนากินหลายรานเชนราน Amorino รานนี้ขายทั้งเจ ลาโต เครป กาแฟ เป็นคาเฟุดีๆ นี่เอง คนเยอะเชียว
ร๎าน Loacker Loacker และ Loacker [329]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 10: Venice – Verona
ร๎านเจลาโต๎ Amorino นํากินมากๆ
Ponte Pietra
Castelvecchio Route to go: Ponte Pietra to Castelvecchio (Credit: www.mappery.com)
[330]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 10: Venice – Verona
เราเดินตามแผนที่มาจนถึงปราสาทเวคคิโอ (Castelvecchio) ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นพิพธิ ภัณฑแศิลปะ เราเดินชมภายในสนามหญาตรงกลางและรอบนอกอีกนิดหนอย ตอนนั้น 6 โมงครึ่งละ มืดตึ๊ดตื๋อ ฝนยังไมยอมหยุด ตก เปาะแปะๆ อยูได เฮอ!! เราเดินไปขามสะพาน Ponte Scaligero ดูนิดหนอยใหเห็นภาพ ก็ตัดสินใจวาถึงเวลา เดินกลับมาขึ้นรถที่ปิอัซซาบราไดแลว เราเดินกลับมาทางถนน Via Roma ซื้อตั๋วรถเมลแที่รานขายของชําแถวนั้น ใกลสุดถนน Via Roma ซึ่งจะถึงปิอัซซาบราพอดีจะมีรา นไอศกรีมชื่อดังตามที่คุณธรณแไดแนะนําไวในหนังสือเวนิส พิศวาส ชื่อราน Gelateria Savoia เราตัดสินใจแวะเขาไปพักกินเจลาโตสักหนอย รานนี้เป็นรานเจลาโตแบบ ดั้งเดิมของเวโรนา เปิดมาตั้งแตปีค.ศ. 1939 เราสั่งไอศกรีมแบบที่คุณธรณแแนะนําเปฺะ (ตอนนั้นเหนื่อยมากคิดอะไร เองไมออกแลว) คือ Semi-freddo เป็นไอศกรีมแซนดแวิชทรงสี่เหลี่ยม มีแผนเวเฟอรแประกบบนลาง ตรงกลางเป็น เนื้อไอศกรีมหนาปึ๊ก อรอยสมคําเชื้อเชิญของคุณธรณแจริง (แตตองขออภัยมากๆ รูปถายที่รานนี้เบลอมาก ตอนนั้น เมื่อยเหนื่อยลา ขาวก็ยังไมไดกิน ฝนก็ยงั ปรอยตลอด เหนียวตัวไปหมด เลยกดชัตเตอรแแบบไมไดฟังเสียงโฟกัส ไมได เช็คสภาพรูปใดๆ เลย)
สะพาน Ponte Scaligero และปราสาทเวคคิโอ (Castelvecchio)
[331]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 10: Venice – Verona
Gelateria Savoia Piazza Bra
Route to go: Castelvecchio to Gelateria Savoia (near Piazza Bra) (Credit: www.mappery.com)
ร๎านเจลาโต๎ Gelateria Savoia กับเมนูไอศกรีมแซนด์วิช semi-freddo [332]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 10: Venice – Verona
ที่ปิอัซซาบรา เราขึ้นรถเมลแสายอะไรไมรูจําไมได แตไมพนสาย 11, 12, 13, 72 ตามแบบขามา ไปลงที่ สถานี Stazione P.N. (Porta Nuova) หนาสถานีรถไฟ แลวเดินกลับโรงแรม อาหารค่ําวันนี้แสนจะอนาถา เป็น มามาคัพที่นํามาจากเมืองไทย แตจริงๆ แลวเราก็ตองการเคลียรแมันออกจากกระเปานั่นแหละ เพือ่ เอาไวแพ็คของ กลับเมืองไทยแลว เวโรนาในความคิดของเรานั้น เมืองนี้เป็นเมืองที่เหมาะแกการเดินทองเที่ยวชมเมืองมากๆ เมืองมีขนาด กําลังพอดีเหมาะแกการเดินเทาชิลๆ (แบบที่เราทําวันนี้คงไมเรียกวาชิล แตเป็นแบบช้ําๆ มากกวานะ) รานรวง บรรยากาศ 2 ขางทางก็นารัก อาจจะเหมาะกับผูหญิงนะ คุณผูชายอาจไมอนิ เทาไหร สวนตัวแลวชอบเมืองนี้อะ อยางที่บอกวาเหนือความคาดหมาย เมืองสวย นารัก นาเดิน นาเพลิน ถามีโอกาสไดกลับมาอิตาลีอีก เราจะ พยายามมาเทีย่ วซอมที่เวโรนานี้ใหได มาสัก 1 วัน 1 คืนเต็มๆ เลย หวังวาฝนจะไมตกอีก
[333]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 11: Milan – BKK
วันที่ 11: Milan – BKK
[334]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 11: Milan – BKK
และแลวเราก็เดินทางมาถึงวันสุดทายของทริปแลว ฮิ้วๆๆ (ตกลงอยากมาเทีย่ วหรือเปลาเนี่ย... อยากสิ อยากมาก แตก็คิดถึงนองพลับมากเชนกัน มากกวามากๆ ดวย) วันนี้เราจะออกเดินทางจากเวโรนามุํงสูํจุดหมาย ปลายทางเมืองสุดท๎ายในอิตาลีอยํางมิลาน (Milan) เมืองแฟชั่น จริงๆ แล๎วจุดประสงค์การมามิลานของเรานั้น ไมํได๎อยูํที่การเข๎าชมดูโอโมเมืองมิลาน แลนด์มาร์คที่เดํนที่สดุ อยํางทีห่ ลายคนไปกัน แตํอยูํที่การได๎มีโอกาสเข๎า ชมผลงานชิ้นส้าคัญของลีโอนาร์โด ดา วินชี ที่หาโอกาสเข๎าชมได๎ยาก (เพราะต๎องจองลํวงหน๎านาน) อยําง ภาพเขียน The last supper อยํางเดียวเลยก็วําได๎ หลังจากชมภาพเขียนเสร็จก็เป็นอันจบทริปนี้ ภารกิจเสร็จ สมบูรณ์ สุดทายเราจะสโลวแดาวนแทา ยทริปดวยการเดินชอปปิ้งซื้อของฝากใหนองพลับเล็กๆ นอยๆ (หารูไม เป็น ภาระในการแบกมาก) กอนขึ้นเครื่องกลับเมืองไทย (เหรอ ?!?) หลังรับประทานอาหารเชาของโรงแรม (อาหารเชาโรงแรม Novo Hotel Rossi ดีที่สุดแลวในทริปนี้ อยากจะนั่งกินอยูนานๆ แตเวลาไมพอ) เรารีบเช็คเอาทแเพื่อไปขึ้นรถไฟจากสถานี Verona Porta Nuova ตอน 8.05 น. รถไฟไปถึงมิลานที่สถานีรถไฟมิลาน เซ็นทราเล (Milan Centrale) 9.25 น. กอนอื่นเราตองหาที่ฝาก กระเปากอน สถานีรถไฟที่มิลานนี้เป็นสถานีใหญ มีหลายชั้น ชวงแรกงงมากๆ ตองหาแผนผังมาอานแลวคอยๆ งม ไป หองรับฝากกระเปาของสถานีรถไฟอยูที่ชั้น 1 (ชั้นลาง – ภาษาอิตาเลียนเรียกวาชั้น Piano Terra) เขียนวา Deposito Bagagli (Left Luggage) เวลาทําการและคาฝากกระเปาตามนี้เลย
สถานีรถไฟ Milan Centrale
ห๎องรับฝากกระเป๋าที่สถานีรถไฟมิลาน
[335]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 11: Milan – BKK
Deposito Bagagli (Left Luggage) (ขอมูลเมื่อต.ค. 2012) เวลาเปิด: 6.00 – 23.00 น. คาฝาก: 5 ชั่วโมงแรก – 5 EUR ชั่วโมงที่ 6 ถึง 12 – 0.70 EUR ตอชั่วโมง ชั่วโมงที่ 13 เป็นตนไป – 0.30 EUR ตอชั่วโมง หมายเหตุ: น้ําหนักกระเปาสูงสุด 20 กก. ตอใบ ไมรับผิดชอบตอของมีคาใดๆ ไมรับฝากของอันตราย สารพิษ และระยะเวลารับฝากสูงสุดไมเกิน 5 วัน แถวตอคิวฝากกระเปายาวพอสมควร เราเสียเวลาตั้งแตตามหาที่ฝากจนฝากกระเปาเสร็จเรียบรอย ประมาณครึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นก็ไดเวลาทองเที่ยวในมิลานแลว มิลานหรือมิลาโน (Milan; Milano) เป็นเมืองหลวงของแควนลอมบารแดีทางตอนเหนือของอิตาลี ชื่อเสียงของมิลานนั้นมาจากการเป็นเมืองศูนยแกลางการคา อุตสาหกรรมและแฟชั่น นั่นจึงทําใหมิลานกลายเป็น hub หรือเมืองศูนยแกลางการเดินทางในยุโรป สายการบินสวนใหญจะตองมีเครื่องมาลงที่มิลานเพื่อตอไปยังเมือง อื่นๆ ในยุโรปแทบทั้งนั้น ในขณะที่ชื่อเสียงทางดานสถานที่ทองเที่ยวทางศิลปวัฒนธรรมยุคเกาเฉกเชนเมืองอื่นๆ ใน อิตาลีที่เราไปเที่ยวมาตั้งแตวันแรกที่โรมจนถึงเมื่อวานที่เวโรนานั้น สําหรับในมิลานเรียกวาแทบจะนับชิ้นไดเลย การเดินทางในมิลาน คอนขางสะดวกสบาย ระบบขนสงสาธารณะนั้นถูกรวมเขาดวยกันทั้งหมดดังเชน เมืองอื่นๆ ไดแก รถไฟใตดิน รถเมลแ และรถราง ดําเนินการโดย ATM www.atm.it รถไฟใตดินและรถรางเป็น ทางเลือกหลักที่นักทองเที่ยวสวนใหญใชกัน เพราะสถานที่ทองเที่ยวสําคัญ (ทีม่ ีจํานวนไมมาก) ในมิลาน ตางอยู รวมกันในเขตตัวเมืองที่รถไฟใตดินและรถรางเขาถึง แตถาสถานที่ที่อยูนอกเมืองออกไป ก็ตองพึ่งพารถเมลแแทน
บรรยากาศสถานีรถไฟใต๎ดิน (เมโทร) ในมิลาน [336]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 11: Milan – BKK
ประเภทตั๋วโดยสาร มีหลากหลายประเภทมากทั้งแบงตามพื้นที่เดินทาง ระยะเวลาเดินทาง จํานวนเที่ยว เดินทาง ซึ่งรายละเอียดตั๋วโดยสารทุกประเภทโดยละเอียดสามารถดูไดจากเว็บ www.atm.it ในหัวขอ Fares and Types ในที่นเี้ ราจะเลือกเฉพาะตั๋วชนิด Urban ticket หรือตั๋วที่ใชสําหรับเดินทางภายในเขตตัวเมืองมิลานเทานั้น ซึ่งมันก็จะมีรายละเอียดปลีกยอยอีกมากมาย 1. Urban ticket 1.5 EUR – ตั๋วเที่ยวเดียว มีอายุ 90 นาทีหลังจาก validate (แสตมป) 2. Carnet of 10 standard tickets 13.8 EUR – ใชได 10 เที่ยว เที่ยวละ 90 นาทีหลังจากแสตมป ใชไดครั้งละ เที่ยว ใครจะมุบมิบใชพรอมกัน 2-3 คนไมไดนะ 3. BI4 4-Journey integrated ticket 6 EUR – ใชได 4 เที่ยว เที่ยวละ 90 นาทีหลังจากแสตมป วันอาทิตยแหรือ วันหยุดพิเศษ ถาแสตมปกอน 13.00 น. สามารถใชไดไมจํากัดจํานวนรอบไดจนถึงเวลา 13.00 น. ถาแสตมป หลัง 20.00 น. สามารถใชไดไมจํากัดจํานวนรอบจนถึงรถหยุดใหบริการในวันนัน้ 4. One-day ticket 4.5 EUR – ตั๋ววัน มีอายุ 24 ชั่วโมงหลังจากแสตมป 5. Two-day ticket 8.25 EUR – ตั๋ว 2 วัน มีอายุ 48 ชั่วโมงหลังจากแสตมป 6. Weekly 2x6 pass 10 EUR – ใชไดวันละ 2 เที่ยว เที่ยวละ 90 นาทีหลังแสตมป เป็นเวลา 6 วันภายใน 1 สัปดาหแ 7. Evening ticket 3 EUR – ตั๋วกลางคืน ใชไดไมจํากัดจํานวนรอบหลัง 20.00 น. ถึงรถหยุดใหบริการในวันนั้น 8. Luggage ticket 1.5 EUR – ตั๋วสําหรับกระเปาเดินทาง (ไมรูวากระเปาตองมีขนาดใหญแคไหนถึงตองซื้อตั๋ว แยก) 9. Weekly travel card 11.3 EUR – ตั๋วสัปดาหแ ไมจํากัดจํานวนรอบ หลังจากฝากกระเปาเสร็จ เรามองหาปูายตัว M สีขาวพื้นแดง ตัวใหญภายในสถานีเพือ่ หาทางไปยังสถานีรถไฟใตดินหรือเมโทร (Metro) สถานีรถไฟใตดินมีชื่อเดียวกับสถานีรถไฟคือ Centrale FS เรา ซื้อตั๋วแบบ one-day ticket จากราน Tabacchi แถวๆ นั้น (สามารถ ซื้อตั๋วผานเครื่องขายตั๋วอัตโนมัติก็ได แตพอดีตอนนั้นเราไมเห็นตู) กอน ใชงานตองเอาไปแสตมปที่เครื่องกั้นตรงทางเขาภายในสถานี ลักษณะ เดียวกับ BTS/MRT บานเรา สถานที่ทองเที่ยวแรกในมิลานของเราคือดูโอโม (Duomo) เมืองมิลาน มีเมโทรสาย M1 และ M3 วิ่งผาน จากสถานี Centrale FS เราขึ้นเมโทร M3 สายสีเหลือง ปลายทาง San Donato ไปลงที่สถานี ตู๎ขายตั๋วรถไฟใต๎ดินอัตโนมัติ Duomo (4 ปูาย 11 นาที) เมื่อเดินขึ้นบันไดโผลออกจากสถานี เราก็ เห็นดูโอโมหินออนสีขาวหลังใหญเบิ้มอยูตรงหนาเลย
[337]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 11: Milan – BKK
แผนที่รถไฟใต๎ดินและรถไฟชานเมืองในมิลาน (Credit: www.atm.it) [338]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 11: Milan – BKK
แผนที่รถไฟใต๎ดินและรถไฟชานเมืองในมิลาน (Credit: www.atm.it) [339]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 11: Milan – BKK
แผนที่ตัวเมืองมิลาน (Credit: www.aboutmilan.com)
[340]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 11: Milan – BKK
ดูโอโมเมืองมิลาน (Duomo)
ดูโอโมเมืองมิลาน (Duomo) ตั้งอยูที่จัตุรัสดูโอโม (Piazza Duomo) เป็นมหาวิหารกอธิกที่ใหญที่สุด ในโลก ทําจากหินออนสีขาวเกือบทั้งหมด สรางขึ้นโดยตระกูลวิสคอนติเพื่ออุทิศใหพระแมมาเรียที่นางประทาน บุตรชายใหแกตระกูล (ข้อมูลจากหนังสือใครๆ ก็ไปเที่ยวอิตาลี) ใชเวลากอสราง 400 กวาปีจึงแลวเสร็จ ลักษณะเดน ของดูโอโมอยูที่ยอดแหลมๆ ดานหนาที่เป็นสัญลักษณแของสถาปัตยกรรมแบบกอธิก ยอดแหลมที่สูงที่สุดดานบนมีรูป สลักพระแมมาเรียหุมดวยทอง (ตอนที่เราไปนั้น กําลังปิดซอมพอดีเลยเห็นไมชดั ) บริเวณกลางจัตุรัสดูโอโมที่อยูดานหนา มีพระบรมรูปทรงมาพระเจาวิคเตอรแ เอมานูเอลที่ 2 ตั้งอยู จัตุรัส กวางใหญมากแตก็เต็มไปดวยผูคนและนักทองเที่ยวมากมายที่มายืนถายรูป ซึ่งก็ตองระวังตัวใหมากกันเลยทีเดียว เพราะจากทั้งที่อานหนังสือ ดูสารคดี ทุกแหลงตางบอกเป็นเสียงเดียวกันวาจัตุรสั นี้เป็นแหลงรวมมิจฉาชีพของมิลาน ยืนถายรูปยิ้มหวานอยูดีๆ ก็จะมีใครหนาไหนไมรูเอาเม็ดขาวโพดยัดใสมือบอกใหเลี้ยงนกพิราบแลวก็เรียกเก็บเงิน หนาตาเฉย (รายการหนังพาไปของคุณบอล-ยอดยังตราตรึง) เราก็แบบทั้งอานทั้งดูตัวอยางมาจนวิตกจริต ยืนถายรูป แบบไมเป็นสุข เหลียวซายแลขวาตลอดเวลา เห็นใครทําทาจะจองเขามาหาหนอยก็รีบเผนเขาใกลประตูดโู อโมทันที คิดแลวขํา เหมือนคนบามากๆ ถึงแมวาดานนอกดูโอโมจะดูยิ่งใหญอลังการ แตภายในอาคารกลับเรียบงาย สไตลแเดียวกับดูโอโมที่ฟลอ เรนซแเลย ขางนอกเวอ ขางในเรียบ นักทองเที่ยวสามารถเขาชมและถายรูปภายในดูโอโมไดฟรี (โดยไมใชแฟลช) และถาหากอยากชมวิวเมืองมิลาน ก็สามารถเสียเงินขึ้นลิฟตแไปชมวิวที่ดานบนหลังคาดูโอโมได เวลาเปิด: ทุกวัน 7.00 – 18.45 น. เขาชมฟรี [341]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 11: Milan – BKK
ดูโอโมเมืองมิลาน
[342]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 11: Milan – BKK
ภายในดูโอโม
[343]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 11: Milan – BKK
เราใชเวลาเดินชมจัตุรัสดูโอโมและภายในดูโอโมแคประมาณครึ่งชั่วโมงก็คิดวาเพียงพอแลว ออกเดินตอไป ยังอาคารใหญขางๆ ดูโอโม นั่นคือกัลเลเรีย วิตโตริโอ เอมานูเอลที่ 2 (Galleria Emanuele II) ที่นี่เป็น สถานที่ชอปปิ้งของหรูของแบรนดแที่มีชื่อเสียงโดงดังที่สุดแหงหนึ่งในอิตาลี ลักษณะตัวอาคารและบรรยากาศให ความรูสึกเดียวกับอาคารกัลเลเรียอุมแบรแโตที่นาโปลี แตที่มิลานนี้หรูหรากวามาก เราเขามาเดินที่นี่คงไมใชเพื่อซื้อ ของแบรนดแเบินอะไรทั้งนั้น จะไปมีตังคแไดยังไง แคเดินชมก็อิ่มใจแลวละ แตไมอิ่มทองนะ เพราะฉะนั้นเราเลยเดินหา ของกินแถวนี้ดกี วา กินไอศกรีมกับขนมเล็กๆ นอยๆ อยูรอดไดอีกหลายชัว่ โมงก็พอแลว
Galleria Emanuele II [344]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 11: Milan – BKK
เดินออกมาที่ทางออกอีกฝั่งของ Galleria Emanuele II จะพบกับอนุสาวรียแของสุดยอดศิลปินอยางลีโอ นารแโด ดา วินชี ตั้งอยูก ลางปิอัซซํา เดลลา สกาลา (Piazza della Scala) รอบๆ อนุสาวรียแมีมานั่งยาวอยู โดยรอบ เราเลยถือโอกาสนี้นั่งปั๊มนมซะหนอย (แอบทุลักทุเลมาก เพราะตองหลบสายตาคนที่นั่งมานั่งขางๆ ที่ไมได ติดกันนะ แตก็พอสังเกตพิรุธของเราได) ตรงกันขามกับอนุสาวรียแดา วินชีคือโรงละครลา สกาลา (Teatra alla Scala) โรงโอเปราชื่อดังที่สุดของอิตาลีและที่สุดแหงหนึ่งของโลก
Piazza delle Scala และอนุสาวรีย์ลีโอนาโด ดา วินชี
โรงละครลา สกาลา (Teatra alla Scala)
ไดเวลาสมควรแลว ประมาณเที่ยงครึ่งเราเดินไปขึ้นเมโทรเพื่อไปยังจุดหมายไฮไลทแ สิ่งที่เรารอคอยมาก ที่สุดสิ่งหนึ่งในทริปนี้นั่นคือการไปชมภาพเขียนพระกระยาหารมื้อสุดทายหรือ The Last Supper ผลงานของทาน อนุสาวรียแที่เรานั่งปั๊มนมนั่นละ ลีโอนารแโด ดา วินชี... จากปิอัซซา เดลลา สกาลา เราเดินยอนกลับไปดูโอโมเพือ่ ขึ้น เมโทร M1 (สายสีแดง) ปลายทาง Bisceglie หรือ Rho Fieramilano นั่ง 3 ปูายไปลงสถานี Cadorna FN ออก [345]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 11: Milan – BKK
จากสถานี เดินตามถนน Piazzale Luigi Cadorna มุงหนาสูถนน Via Giovanni Boccaccio เดินตรงไปเรื่อยๆ จนเจอวงเวียน ใหเดินไปที่ทางออกที่ 2 ซายมือ เขาสูถนน Via Caradosso เดินตรงไปจนสุดถนนจะเจอถนน Corso Magenta ตัดผาน เลี้ยวขวา จะพบโบสถแ Santa Maria delle Grazie อยูทางขวามือตั้งแตหัวมุมถนนเป็น ตนไป โดยจุดที่เรายืนจะเป็นทายโบสถแ ใหเดินตรงขึ้นไปเรื่อยๆ จนเจอจัตุรัสหนาโบสถแ Piazza di Santa Maria delle Grazie อาคาร Cenacolo Vinciano ซึ่งเป็นที่อยูของภาพ The Last Supper จะอยูตรงนั้น
Route to go: Metro Cadorna FN to Santa Maria delle Grazie
Cenacolo Vinciano (Credit: http://legraziemilano.it/il-cenacolo/)
โบสถ์ซานตา มาเรีย เดลเล กราเซีย (Santa Maria delle Grazie) ตัง้ อยูบ นถนน Via Giuseppe Antonio Sassi สรางขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1465 – 1482 ไดรับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองคแการยูเนสโกตั้งแตปี [346]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 11: Milan – BKK
ค.ศ. 1980 ความโดงดังของโบสถแนี้อยูทสี่ ถานที่ที่เคยเป็นโรงอาหารของโบสถ์ทเี่ รียกวํา Cenacolo Vinciano ได เก็บรักษาภาพเขียนชื่อดังกองโลกของลีโอนารแโด ดา วินชีชื่อภาพพระกระยาหารมื้อสุดทาย (The Last Supper) การมีโอกาสเขาชมภาพเขียนนี้ไมใชเรื่องงายเหมือนการเขาชมพิพิธภัณฑแหลายๆ ที่ที่สามารถเดินเขาไปซื้อตั๋วไดเลย แตตองทําการจองลวงหนาเพราะเขาจํากัดจํานวนผูเขาชมรอบละประมาณ 25 คนเทานั้น (เทาที่นับจากรอบของเรา นะ) เหมือนกรณีพิพธิ ภัณฑแบอรแเกเซที่โรมเนอะ โดยการจองคิวเขาชมลวงหนานั้นสามารถโทรจองหรือจองผานเว็บ http://www.vivaticket.it/?nvpg[home]&op=cenacoloVinciano&change_language=1 ก็ได แนนอนเรา เลือกอยางหลัง เว็บไซตแเปิดใหจองตั๋วลวงหนาประมาณ 3 เดือน เว็บจะอัพเดทเป็นระยะวาวันไหนจะเปิดใหจองของ เดือนไหนแลว เราเลือกรอบ 13.15 น. ไว ตองไปรับตั๋วกอนเขาชมประมาณ 20 นาที พอใกลเวลาเขาชม มีนกั ทองเที่ยว หลายคนที่ walk-in เขามาแบบไมรูอิโหนอิเหนหรืออาจหวังวาเผื่อฟลุคจะมีทวี่ าง มี 2 คนเขามาถามเราดวยวาทําไง ถึงมีตั๋วดวย เราก็อธิบายไป
Cenacolo Vinciano ที่อยูํของภาพ The Last Supper
ภาพพระกระยาหารมื้อสุดท๎าย (The Last Supper) (ค.ศ. 1495 – 1497) โดยลีโอนารแโด ดา วินชี มี ขนาด 460 x 880 ซม. เขาวาดบนกําแพงทางทิศเหนือของโรงอาหารของโบสถแซานตา มาเรีย เดลเล กราเซีย เพื่อ มอบใหแกดยุกและดัชเชสเจานายของเขา The Last Supper เป็นภาพบอกเลาเรื่องราวสําคัญในพระคัมภีรแ ครั้ง เมื่อพระเยซูคริสตแและอัครสาวก 12 คนกําลังรับประทานปัสกา (ขนมปังไรเชื้อและเหลาองุน) ระหวางนั้นพระเยซู ทรงตรัสวา “หนึ่งในพวกทานจะทรยศเรา (One of you will betray me)” และในวันรุงขึ้นพระเยซูก็ถูกทหาร โรมันจับไปตรึงกางเขนประหารชีวิต ทําใหปัสกาเมื่อคืนกลายเป็นพระกระยาหารมื้อสุดทายจริงๆ [347]
ยูดาส (Judas)
The Last Supper (Credit: Wikipedia)
วันที่ 11: Milan – BKK
พระเยซู
Made in Italy, 2012 by KatieKat
[348]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 11: Milan – BKK
ลักษณะเดนที่ทําใหภาพนี้มีชื่อเสียงโดงดังนาจะอยูที่ 2 ประเด็นคือหนึ่ง เรื่องราวในภาพที่ดา วินชีนาํ เสนอ เขาเลือกที่จะวาดภาพอากัปกิริยาของสาวกทั้ง 12 ทันทีที่พระเยซูไดตรัสประโยค “หนึ่งในพวกทานจะทรยศเรา” ซึ่งแตกตางจากภาพ The Last Supper ของศิลปินคนอื่นที่มักจะวาดภาพขณะทั้งหมดรับประทานปัสการวมกัน เฉยๆ หรือบางคนก็วาดภาพที่ชี้ตวั ยูดาสที่เป็นสาวกทรยศออกมาเลย ภาพอากัปกิริยาของสาวกทั้งหมดที่ดา วินชี วาดขึ้น สามารถบอกเป็นนัยไดวา ใครมีนิสัยเป็นอยางไร คิดอยางไรและใครนาจะเป็นสาวกผูทรยศ ใหสังเกตที่ยูดาส ในมือของเขาถือถุงใบเล็กๆ ซึ่งนาจะเป็นถุงเงินที่ไดรับเป็นคาจางมาเพื่อใหทรยศตอพระเยซู นอกจากนี้ดา วินชียัง วาดใหศีรษะและตัวของเขาอยูต่ํากวาสาวกคนอื่นและเป็นคนเดียวที่อยูในเงามืด (ข้อมูลจาก http://www.visualarts-cork.com/famous-paintings/last-supper-leonardo-davinci.htm) สวนอากัปกิรยิ าของสาวกคนอื่นที่ จับกลุมคุยกันเป็นกลุม ดา วินชีก็สื่อสารออกมาทางภาพไดอยางเต็มที่ทั้งสีหนา ทาทาง มือไม ซึ่งอารมณแทั้งหมดใน ภาพนี้ถอื ไดวาเป็นสิ่งสําคัญที่สุดของภาพและเป็นนวัตกรรมของเขาเลยทีเดียว นอกจากนี้ดา วินชียังฉลาดเลือกใน การวาดภาพเชิงลึกใหออกมาเป็น 3 มิติ โดยสรางความตอเนื่องระหวางพื้นทีจ่ ริงของโรงอาหารกับพื้นที่ในรูปภาพ เพื่อใหผูชมรูสึกวาตนเองเป็นสวนหนึ่งในภาพนี้ ประเด็นที่สองซึ่งเป็นประเด็นที่ทําใหภาพนี้เขาชมไดยาก ตองจองคิวเนิ่นนาน ตองจํากัดจํานวนคนและ เวลาเขาชมตอรอบ ภาพตองเก็บรักษาอยางดี ควบคุมอุณหภูมิและความชื้น ทั้งหมดนี้เนื่องจากดา วินชีไดทดลองใช เทคนิคพิเศษในการวาดนี้ ภาพนี้ไมใชภาพเฟรสโกแทๆ ซึ่งจะตองวาดบนผนังปูนเปียกใหเสร็จทันเวลากอนปูนจะ แหง แตดา วินชีกลับทดลองวาดภาพนี้บนผนังปูนแหงซึ่งรองพื้นดวยวัสดุหลายอยางแทน ทั้งนี้ก็เพือ่ ตองการให ภาพวาดเลนแสงเงาไดเต็มที่และเขาถึงเทคนิคการผสมผสานโทนของภาพใหกลมกลืนที่เรียกวาเทคนิคสฟูมาโต (Sfumato) ซึ่งเทคนิคใหมนี้ทําใหดา วินชีสามารถวาดภาพไดอยางสบายๆ ชิวๆ ไมตองแขงกับเวลาเหมือนเทคนิค เฟรสโกปกติ แตกลับทําใหตวั ภาพนัน้ บอบบางมาก เพียงไมกี่ปหี ลังภาพเสร็จสมบูรณแก็เริ่มสงสัญญาณไมดีออก มาแลว การบูรณะซอมแซมภาพ The Last Supper นี้เกิดขึ้นอยางตอเนื่องตั้งแตศตวรรษที่ 18 เป็นตนมา เป็นการ ระดมพลังสมองใชวิธีการ เทคนิคและเทคโนโลยีตางๆ ที่มีในตอนนั้นอยางเต็มที่ ถูกบางผิดบางแตกย็ ังทํากันเรื่อยมา จนการบูรณะครั้งยิ่งใหญที่สุดและนาพอใจที่สุดนาจะจบลงเมื่อปีค.ศ. 1999 หลังจากที่ทีมงานไดทําการบูรณะอยาง หนักมาตลอด 20 ปี ภาพ The Last Supper ปัจจุบัน ถึงแมจะยังคงอยูที่เดิม (ก็มันถูกวาดบนผนังโรงอาหารนี่นา จะยายไป ไหนไดนอกจากยกไปทั้งอาคารเลย) แตตัวหองนั้นไดควบคุมอุณหภูมิและความชื้นซึ่งสงผลตอการเสื่อมสภาพของ ภาพ ทําใหเมื่อเราไดเขาไปชมของจริง ทั้งขนาดของภาพ บรรยากาศของหอง จํานวนคนที่เขาชม และเวลาที่ใหเขา ชมอันนอยนิดเพียง 15 นาทีเปฺง (ประหนึ่งกําลังสอบแล็ปกริ๊ง) มันทําใหการชมภาพนี้มันสนุก ตื่นเตน ตื้นตัน ทึ่ง อึ้ง ถูกสะกดอยางบอกไมถูก สวนตัวแลวชอบมากๆ ถึงแมวาจะเขาไมคอยถึงความงามของภาพเทาไหรนัก ก็เพราะวา มันถูกบูรณะ ถูกศัลยกรรม ฉีดฟีลเลอรแ โบท็อกซแ รอยไหม ผานมือหมอมาไมรกู ี่สิบมือ เลยไมแนใจวาหนาเดิมของ ภาพนี่จะสวยหรือแตกตางจากของปัจจุบันนี้แคไหน ในหองเดียวกันนี้ นอกจากกําแพงทางทิศทางเหนือจะมีภาพ The Last Supper แลว ระหวางเขาชมภาพ อยาลืมเหลียวกลับหลังหันไปชมอีกภาพหนึ่งที่กําแพงทางทิศใต นัน่ คือภาพการตรึงกางเขนของพระเยซู [349]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 11: Milan – BKK
(Crucifixion) ผลงานของจิโอวานนี่ โดนาโต ดา มอนตอรแฟาโน (Giovanni Donato da Montorfano) ทําใหหองนี้ มีภาพที่เป็นจุดเริ่มตนและจุดจบของเหตุการณแ “ทุกขกิรยิ าของพระเยซู (Passion of the Christ)” ซึ่งเป็น เหตุการณแบรรยายความทุกขแทางกายและทางใจของพระเยซู อยูรวมในหองเดียวกัน (ข้อมูลจาก www.bloggang.com ของคุณ sirivinit) ข๎อมูลการเข๎าชม Cenacolo Vinciano (The Last Supper) เวลาเปิด: วันอังคารถึงวันอาทิตยแ 8.15 – 19.00 น. (เขาชมรอบสุดทาย 18.45 น.) ปิดทุกวันจันทรแ วันที่ 1 ม.ค. (วันปีใหม) 1 พ.ค. (วันแรงงาน) และ 25 ธ.ค. (วันคริสตแมาส) การซื้อตั๋ว: สามารถซื้อตั๋วลวงหนาผานเว็บ http://www.vivaticket.it/ โดยทางเว็บจะเปิดขายลวงหนา ประมาณ 3 เดือน ควรรีบไปจดๆ จองๆ หนาเว็บเพื่อดูเวลาเริ่มเปิดขายที่แนนอน เมื่อถึงเวลาก็พุงไปกดเลือกรอบ เลือกซื้อเลย เพราะตั๋วหมดคอนขางเร็ว การรับตั๋ว ใหปริ๊นทแหรือนําหมายเลขการซื้อตั๋วไปแสดงที่เคาทแเตอรแใน อาคาร Cenacolo Vinciano กอนถึงรอบการชม 20 นาที คําเข๎าชม: 6.50 EUR (คาจองตั๋วลวงหนาอีก 1.5 EUR)
โบสถ์ซานตา มาเรีย เดลเล กราเซีย
ครบ 15 นาทีที่ไดรับอนุญาตเขาชม เรายังไมจุใจ เลยตองซื้อหนังสือ Leonardo da Vinci มาไวอาน เพิ่มเติมที่รานขายของที่ระลึกตรงทางออก เดินออกมาถายรูปกับหนาโบสถแและตัวอาคาร Cenacolo Vinciano อีก พักใหญแลวก็กมมองตารางเที่ยวในมือตัวเอง... นี่เราจบทริปเที่ยวอิตาลี (อยางไมเป็นทางการ) แลว เหรอเนีย่ เวลา ที่เหลือกอนขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพฯ จะเป็นเวลาของการชอปปิ้งของฝากนองพลับ ซึ่งเอาเขาจริง พวกของฝาก
[350]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 11: Milan – BKK
ประเภทของเลนชิ้นใหญๆ นี่ไมนาแบกกลับมาใหเป็นภาระเลย ยอมเสียเงินแพงอีกหนอย ซื้อจากเว็บหิ้วที่แมๆ คน ไทยเปิดขายก็ได มีหมดทุกรนทุกแบบ แตตอนนั้นก็นะ บาพลังมาก เอะอะจะเหมากลับมาทาเดียว จากโบสถแซานตา มาเรีย เดลเล กราเซีย เราเดินกลับไปที่สถานีเมโทร Cadorna FN นั่งเมโทร M1 สายสี แดง ปลายทาง Sesto 1 Maggio FS นั่งไป 7 ปูาย ลงที่สถานี Lima บนถนนคอรแโซ บูเอโนส ไอเรส (Corso Buenos Aires) ที่สถานีเมโทรตั้งอยูนจี้ ะเป็นถนนที่ขายเสื้อผาสตรีทแฟชั่นอยาง Zara H&M Benetton Mango รวมไปถึงรานของเลนเด็กสัญชาติอิตาลีอยางชิคโก (Chicco) ดวย ซึ่งเรามาทีน่ ี่เพื่อรานนี้นี่แหละ เราไดรถขาไถจาก ชิคโกมา 1 คันกับเสื้อผาเด็ก H&M มาใหพลับ เราใชเวลาชอปปิ้งประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งก็เสร็จเรียบรอย (ดูแตของลูกอยางเดียวจริงๆ ของผูใหญไมใสใจ ใดๆ ทั้งสิ้น) ไดเวลากลับไปเอากระเปาที่ฝากไวเพื่อเดินทางไปสนามบินกันแลว จากเมโทร Lima ขึ้นเมโทร M1 สาย สีแดง ปลายทาง Sesto 1 Maggio FS ไปอีก 1 ปูาย ลงที่สถานี Loreto แลวเปลี่ยนเป็นสาย M2 สีเขียว ปลายทาง Assago หรือ Piazza Abbiategrasso ไปลงที่สถานี Centrale FS (2 ปูาย) เราไปรับกระเปาที่ฝากไว หาที่นั่งปั๊มนมและเตรียมตัวขึ้นรถบัสไปสนามบิน Milan Malpensa ตอน 16.30 น. จากสถานีรถไฟ Milan Centrale ใหหาทางออกถนน Piazza Luigi di Savoia หรือใหมองหาปูายรูปรถบัสไว (ดู จากปูายบอกทาง / แผนที่ในสถานรถไฟ) ที่ถนนนี้จะมีบริการ shuttle bus จากสถานีรถไฟไปสนามบิน Milan Malpensa (Milan MXP) หลายบริษัทมาก เลือกไดตามใจชอบ รถออกทุก 20 นาที รถของบริษัทไหนกําลังจะออก ก็ขึ้นคันนั้นเลย ซื้อตั๋วไดที่พนักงานที่อยูห นารถ ราคาเทากันหมดทุกเจา 10 EUR (ต.ค. 2012) ไมตองทําเวอเหมือน เราที่ซื้อตั๋วลวงหนาผานเว็บ http://ticketonline.malpensashuttle.it/default.cfm นอกจากใชวธิ ีขึ้นรถบัสเพื่อ ไปสนามบิน Milan Malpensa แลว ยังสามารถใชวธิ ีนั่งรถไฟก็ได รถไฟ Malpensa Express วิ่งตรงจากสถานี รถไฟ Cadorna (สถานีที่เราไปลงเพื่อจะไปดูภาพ The Last Supper นั่นแหละ) ไปยังสนามบิน รถออกทุก 30 นาที ใชเวลาเดินทางประมาณ 40 นาที
แผนที่ถนน Piazza Luigi di Savoia สถานที่จอดรถ shuttle bus ไปสนามบิน Milan Malpensa [351]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 11: Milan – BKK
รถ shuttle bus จากสถานีรถไฟ Milan Centrale ไปสนามบิน Milan Malpensa (Milan MXP)
ใชเวลาเกือบ 1 ชั่วโมง รถ shuttle bus ก็พาเรามาถึงสนามบิน Milan Malpensa terminal 1 ตอน ประมาณ 17.15 น. ขณะที่กําลังกวาดตามองปูายตารางเวลาออกของเที่ยวบินเพื่อหาชองเช็คอิน ทันใดนั้น เหตุการณแที่ไมคาดคิดและเป็นประสบการณแที่เรายังไมเคยเจอมากอนก็เกิดขึ้น นั่นคือบนปูายเขียนบอกวาเที่ยวบิน ของเรานั้นถูกยกเลิก Cancelled เรามองซ้ําๆ อยางไมเชื่อสายตาตัวเอง ณ จุดนั้น เวลานั้น เราจําความรูสึกไดแมน มากๆ วา... เราช็อคมาก หนาชา ตัวชา ไมอยากเชื่อในสิ่งที่เห็น ในขณะที่อีกใจก็คิดไปไกลถึงสิ่งที่ตองเผชิญขางหนา จากความรูสึกแรกที่รูสึกดีใจวาเย! ทริปจบแลว เทีย่ วครบประทับใจอยางที่ฝันแลว ตอนนี้เหนื่อยมากอยากกลับบาน อยากไปเจอนองพลับจะแยแลว กลับกลายเป็นวา นี่คืออะไรอะไรเนี่ย จะตองทํายังไง จะตองเจออะไรอีก จะไดกลับ บานไหม เมื่อไหร ยังไง เราจะทําไดหรือเปลา โนน ความคิดเตลิดเปิดเปิงไปหมดแลว จากดีใจตอนแรก ตอนนี้เต็ม ไปดวยความรูสึกกลัวจนตัวสั่น ใจสั่นและหอเหี่ยวแทน (คือหลายคนอาจจะหาวาเวอไปปะ แตบอกเลยวาธรรมชาติ ตัวเองก็เป็นคนแบบนี้จริงๆ คือขี้กลัว ขีข้ ลาด เกลียดการเจอสิ่งที่ตัวเองไมสามารถควบคุมไดแบบสุดๆ พอเจอแลวก็ จะสั่นเป็นเจาเขาอยางนี้ละ น้าํ หูนา้ํ ตาไหลไมรูตัวบอยไป ควบคุมไมไดเลย) เรารวบรวมความกลาเดินไปที่เคาทแเตอรแเช็คอินของสายการบินสวิสแอรแ ทําเนียนๆ ขอเช็คอิน เผื่อวาสิ่งที่ เห็นเมื่อกี๊จะเป็นแคฝันไป (น้าํ เนามากๆ) แตแลวความจริงก็คือความจริง พนักงานบอกวาเที่ยวบินจากมิลานไปซูริค ของเรานั้นถูกยกเลิกแลว เราถามเหตุผล พนักงานก็บอกวาไมทราบ เราบอกกลับไปวาเมื่อคืน (ที่เวโรนา) เราเช็คอิน ผานเว็บยังไมเห็นวาเที่ยวบินจะถูกยกเลิกเลย พนักงานก็ไดแตบอกวาเขาไมทราบสาเหตุจริงๆ แตทางสายการบินได มีการสงอีเมลแจงผูโดยสารทุกคนใหทราบแลว เราก็แบบ ณ ตอนนั้นปี 2012 เราอยากประหยัดคาโรมมิ่ง คา wifi นะ ชีวิตก็ไมไดติดอินเตอรแเน็ตขนาดนั้น ตลอดทริปเลยไมไดใชเน็ตเลย ยกเวนตอนจะเช็คอินไฟลทแกลับเนี่ยละ เช็ค [352]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 11: Milan – BKK
อีเมลไมตองพูดถึง... กลับมาคิดดูเมื่อกลับมาเมืองไทยแลว เราเลยตัดสินใจวาเทีย่ วคราวหนาเราคงจําเป็นตองโรมมิ่ง หรือซื้อ pocket wifi ไปดวยแนนอน จะไมพลาดอีกแลว จะไดเช็คอีเมลดูทุกวัน เผื่อวามีปัญหาอะไรจะไดเตรียมตัว เตรียมใจไดทัน ตอนไปเที่ยวเชสกี้ ครุมลอฟที่เชกเมื่อปี 2010 นี่ก็ทีนึงแลว บริษัทรถ shuttle bus จากครุมลอฟไป ออสเตรียยกเลิกเที่ยวรถกะทันหัน แจงไปทางอีเมลเราแตเราไมไดเช็คดู มารูอีกทีก็ ณ เวลาเดินทางเลย ตอนนั้นวิ่ง วุนติดตอบริษัทและหารอบรถใหมกันเหนื่อยและฉุกละหุกผิดแผนมาก ตอนนั้นก็ไมเข็ดเนอะ นึกวาจะไมเกิดซ้ําอีก ที่ ไหนได หนักกวาเดิมโคตรๆ กลับมาที่ทริปนี้ เป็นที่แนนอนแลววาไฟลทแมิลาน – ซูรคิ ของเราถูกยกเลิกแบบไมทราบสาเหตุ แลวก็ไมมี เที่ยวบินไหนที่จะทําใหเราไปถึงซูริคไดทันเที่ยวบินที่จะคอนเน็คตอไปกรุงเทพฯ ไดดวย สิ่งที่ทางสวิสแอรแจะชดเชย ใหไดก็คือเขาจะใหเราพักโรมแรมใกลๆ สนามบิน 1 คืน แลวพรุงนี้เชาถึงจะมีเที่ยวบินออกจากมิลานไปซูริค ประมาณ 8 โมงเชา แลวคอยไปตอเครื่องของการบินไทยที่ซูริค เครื่องจะออกจากซูริคประมาณเที่ยงวัน ถึง กรุงเทพฯ เชาวันจันทรแ (จากแผนเดิมตองถึงกรุงเทพฯ วันอาทิตยแ 14.40 น.) โดยสายการบินเป็นผูรับผิดชอบ คาใชจายสวนทั้งหมด ขอสรุปจากการวิง่ วุนลองไปหาเที่ยวบิน สายการบินอื่น ยอมเสียเงินเอง เผื่อจะกลับกรุงเทพฯ ไดเร็วขึ้น แตก็ไมมีเลย สุดทายเลยยอมรับขอเสนอของสวิสแอรแ ถามแลวถามอีก ถามซ้ําๆ เพื่อความชัวรแ ไมอยาก พลาดอีก ก็ออกมาไดเป็นตามนี้ แตกวาจะไดรับทราบขอสรุปนีก้ ็เลนเอาเหนื่อยเกือบหมดแรง เราตองออมไปติดตอ เคาทแเตอรแของสายการบินลุฟทแฮันซา (Lufthansa) ดานหลัง ซึ่งเป็นเคาทแเตอรแที่รับติดตอเรื่องแบบนี้ มีผูโดยสาร หลายคนที่ประสบปัญหาเดียวกับเรา ทัง้ ที่อยูในไฟลทแเดียวกับเราและไฟลทแอื่นที่เจอปัญหาเที่ยวบินมีปัญหา ตองตอ แถวถามที่มาที่ไป ขอตกลงเรื่องที่พักคืนนี้ ที่ไหน ยังไง ไปยังไง รอคอนเฟิรแม ไหนจะเรื่องเที่ยวบินใหม กีโ่ มงกันแน ยืนยันที่นั่งแนนอนไหม ตองติดตออะไรเพิ่มเติมหรือเปลา โอ฿ย!! แสนจะวุนวาย ตอนนั้นตองตั้งสติมากๆ ตองพูดตอง ฟังเขาใหรูเรื่อง ชัดเจน เพราะถาเกิดผิดพลาด หมายถึงเราตองกลับเมืองไทยชาไปอีกหรือไมไดกลับก็ไมรู คือตอน นั้นสติเกือบแตก ระบบรางกายรวนไปหมด เพราะไมมีคนจากไฟลทแเดียวกับเราดวยอะ ไมรูมันไปไหนกันหมด เลย รูสึกเหมือนโดดเดี่ยว ไมมีแนวรวม ไมงั้นก็จะดูแนวรวมแลวก็ไปไหนไปกันละ แตนี่กลัวพลาดจริงๆ เรานั่งรถ shuttle bus ของโรงแรม ซึ่งจะจอดอยูที่ปาู ยเฉพาะที่ทางสนามบินจัดไว ไปที่โรงแรมคราวนแ พลาซา (Crown Plaza) มีผูโดยสารหญิงชาวอเมริกัน 2 คน ซึ่งเป็นผูโดยสารเที่ยวบินเดียวกับเรานั่งรถไปกับเราดวย เขาจะไปตอเครื่องที่ซูริคเพื่อตอไปสนามบิน JFK ที่นิวยอรแค ก็ยังแปลกใจเหมือนกันวาทําไมถึงมีแคคูเราและเขา เทานั้นที่ตองหาที่พักคางคืนเพื่อรอเที่ยวบินถัดไป ผูโดยสารที่เหลือเขาไมเดือดรอนเหมือนเราเหรอ หรือผูโดยสาร สวนใหญสามารถเปลีย่ นเที่ยวบินไดทันในคืนนั้น (เราเปลี่ยนไมทันเพราะพนักงานที่เคาทแเตอรแเช็คอินบอกวาที่นั่งเต็ม แลว) หรือไมผูโดยสารก็เป็นคนอิตาลี สามารถกลับไปนอนทีบ่ านตัวเองได ก็ไมรแู นเหมือนกัน ไดแตสงสัย คืนนั้นที่โรงแรม เราไดคูปองกินอาหารค่ําและอาหารเชาวันรุงขึ้น เรารูสึกออนลาและหมดแรงกวาทั้ง 11 วันที่ผานมารวมกันเสียอีก คงเป็นเพราะความผิดหวังที่จะไดกลับบานตามกําหนดเวลามากกวา ไมใชอะไร เพราะ คิดถึงลูกเป็นหลักเลย ไมอยากปั๊มนมทิง้ เพิ่มอีกแลว อยากเอานมกลับไปใหพลับกิน ไปใหพลับดูดจากเตา นี่ถา เหตุการณแนี้เกิดขึ้นกับทริปเชก – ออสเตรีย – ฮังการีเมื่อปี 2010 เราคงไมรูสึกเดือดรอนเทาไหร (ทริปนั้น ขากลับ เครื่องบินเต็มลํา มีการ booking ซ้ําซอนเกิดขึ้นดวย ไมรูความผิดใคร สายการบินออสเตรียน แอรแไลนแตองประกาศ [353]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 11: Milan – BKK
ขออาสาสมัครที่จะเลื่อนเทีย่ วบินไป โดยสายการบินจะมอบ voucher ชอปปิ้งในสนามบินและที่พักทีโ่ รงแรมใกล สนามบิน 1 คืน ประกาศซ้ําไปมาอยูห ลายรอบ ไมรูไดผูเสียสละหรือเปลา ตอนนั้นเรายังคิดเลนๆ เลยวาหรือเราจะ เป็นอาสาสมัครดีนะ อยากได voucher ถึงบานชา ขาดงานวันจันทรแอกี วันจะเป็นอะไรไป) แตสําหรับทริปอิตาลีนี้ สถานการณแมันเปลี่ยนไปแลว ฮือๆๆ เชาวันอาทิตยแ กลายเป็นวันที่ 12 ของการเดินทางแบบไมไดตั้งใจ เราเช็คเอาทแออกจากโรงแรมแตเชา นัง่ shuttle bus ของโรงแรมมาสนามบิน ใจจดใจจอมาก กลัววาเที่ยวบินจะมีปัญหาอีก แตก็ราบรื่นดี มาถึงซูริค สวิตเซอรแแลนดแประมาณบายโมง ตองรีบเดินไปตอไฟลทแทันที เที่ยวบินของการบินไทยวันนั้นคนเยอะมาก เราไมมี สิทธิ์เลือกที่นั่งเลย จําเป็นตองนั่งแถวกลาง 4 คน แถมนั่ง 2 ที่นั่งตรงกลางอีก เจอคนขนาบซายขวาเลย ทําใหการ ปั๊มนมบนเครื่องบินเป็นไปอยางทุลักทุเลมากขึ้น เกรงใจปูาคนขางๆ มาก ตองไดยินเสียง งงๆ กับทาทางปั๊มนมแบบ มีพิรุธของเราถึง 3 รอบกวาจะถึงกรุงเทพฯ เที่ยวบินซูริค – กรุงเทพฯ นี้มีคุณศุภชัย พานิชภักดิ์รวมโดยสารไปดวย รูสึกดีใจมากเลยที่ไดเจอทาน ที่ซูริคอากาศหนาวมากจนหิมะตกขาวโพลนปกคลุมทั่วทั้งสนามบิน คนละเรื่องกับอิตาลีเลย การที่หิมะตกหนักทําให เจาหนาที่สนามบินตองใชเวลากวาดรันเวยแ เครื่องบินแตละลําตองตอคิวกันขึ้นบิน ทําใหเที่ยวบินของเราตองดีเลยแ ออกชาไปอีกเป็นชั่วโมง (ขณะที่นั่งรออยูบนเครื่องแลวนะ) ถึงจุดนั้น บอกเลยวาเซ็งมาก แตเริ่มรับมือไหวแลว หลังจากผานวันที่แสนจะวุนวายที่สนามบินมิลานเมื่อวานมาได ตอนนี้รูสึกวาปลอดภัยแลว ไดนั่งอยูบนเครื่องบินที่ จะพาเรากลับบานแลว สายการบินแหงชาติของเราดวย จะยังไงก็ได เดี๋ยวก็คงถึงบานแนนอน สุดทายเครื่องบินของ สายการบินไทยก็พาเราเหินฟูากลับกรุงเทพมหานครอยางปลอดภัย ขอขอบพระคุณ ไมนึกเลยวานี่จะมีอารมณแ ความรูสึกอยากกลับเมืองไทยที่สุดขนาดนี้ ขนาดไปอยูอ ังกฤษปีกวา ขากลับยังไมอยากจะกลับเลยซักนิด ฮาๆๆ
สนามบินซูริค สวิตเซอร์แลนด์... หิมะตกหนักมาก [354]
Made in Italy, 2012 by KatieKat
วันที่ 11: Milan – BKK
การเดินทางทุกครั้งใหประสบการณแชีวิตกับเรามากมาย ทั้งแบบคาดหวังและไมไดคาดหวัง การทองเที่ยว ในอิตาลีครั้งนี้ก็เชนกัน อิตาลีเป็นประเทศที่เรียกไดวามีครบทุกอยาง ทุกแบบที่นักทองเที่ยวหรือใครก็ตามที่เดินทาง มาอิตาลีนั้นตองการจะพบเจอก็จะไดพบ หากคุณหลงใหลในประวัติศาสตรแ อารยธรรมความรุงเรืองอันยาวนาน... เมืองมรดกโลกอยางโรม ฟลอเรนซ์ เวนิสคือคําตอบ หากคุณชื่นชอบแสงแดด น้ําทะเล ฟูาใสๆ... คาปรีสิคะใชเลย หรือหากอยากทองเที่ยวธรรมชาติ ทุงนาฟูากวาง ไรองุนไรผลไมเขียวขจี... เสนทางแควนทัสกานีอยางเมืองซาน จิ มิญาโน ซีเอนําจะไมทําใหคุณผิดหวัง สวนเมืองที่ไมไดพูดถึงอยางปิซํา มิลานก็ไมไดแยอะไร ทั้ง 2 เมืองมีผลงาน ระดับโลกรอใหเราไปพบของจริง แบบไมสามารถตัดออกจากลิสตแไดเลย จะขาดก็แตคนชอบเที่ยวหิมะ ชอบปีน ภูเขา โนนเลยคะ เทือกเขาโดโลไมทแที่เรายังไมมีโอกาสไดไป เห็นรูปถายที่เพื่อนไปมาแลว ให 3 คําเลยวา “มันยอด มาก” ตองหาโอกาสไปใหไดสักครั้ง อีกสิ่งหนึ่งที่เราไดเรียนรูจากการไปเที่ยวอิตาลีในครั้งนี้ ก็คือไดเรียนรูขีดความ พยายามของตัวเองวาฉันก็ทําได ฉันก็พยายามไดมากพอเพื่อนองพลับ พยายามและอดทนที่จะตองปั๊มน้ํานมแมทิ้ง ทุก 3 – 4 ชั่วโมง รวมอยางนอยวันละ 6 รอบ เพื่อรักษาปริมาณน้ํานมใหเพียงพอใหนองพลับกินตอไปเมื่อกลับไป เจอหนากัน และเป็นเด็กนมแมจนถึง 2 ขวบ ซึ่งสุดทายเราก็ทาํ ไดละ นองพลับกินนมแมจนถึง 2.3 ขวบเลยนะ ภูมิใจเป็นที่สุด ^_^ สุดทายกอนจบทริปจริงๆ ก็ตอ งมีการรวบรวมคาใชจายจากการเดินทางทั้งหมดในครั้งนี้กันซะหนอย Day/Time Tickets Visa Accommodation Luggage Food Entry Train/bus Travel card Others Total
Total (EUR) 1,878.43 191.18 945.80 11.40 353.21 242.00 338.40 110.00 2.30 4,072.72
Total (THB) 75,512.94 7,685.29 38,021.16 458.28 14,199.04 9,728.40 13,603.68 4,422.00 92.46 163,723.26
Per Head (THB)
37,756.47 3,842.65 19,010.58 229.14 7,099.52 4,864.20 6,801.84 2,211.00 46.23 81,861.63
หมายเหตุ: แลกเงินยูโรไป 2 ครั้ง 40.80 บาทและ 39.60 บาท เฉลีย่ เรท 40.20 บาทตอยูโร สรุปแลวทริปนี้ 11 วัน + วันเดินทางไป-กลับ 2 วันรวม 13 วัน เสียคาใชจา ยตอคนแบบไมรวมคาชอปปิ้ง สวนตัวและของฝาก รวมแลวเทากับ 81,861.63 บาท
[355]