หนึ่งในหทัย โดย ศศิภา

Page 1





ศศิภา

บทนำ�

มิถุนายน พ.ศ.2496 ต้นจามจุรีสูงใหญ่แผ่กิ่งก้านโอบคลุมโต๊ะไม้สี่ห้าตัวซึ่งมีไว้ให้นักศึกษาของ มหาวิทยาลัยนัง่ ผ่อนคลายสนทนาพูดคุย หรือแม้แต่นงั่ อ่านหนังสือ หญิงสาวร่างเล็ก ผมยาวด�ำขลับดัดเป็นลอนใหญ่ตรงปลายสยายถึงกลางหลังก�ำลังมีความสุขกับ ตัวอักษรทีถ่ กู เรียงร้อยเป็นเรือ่ งราวตรงหน้า หนังสือนิยายเล่มหนาของนักเขียนชือ่ ดัง ท�ำให้รสสุคนธ์หลงลืมเวลา หลงลืมโลกรอบกาย หรือแม้แต่ลมื ผูค้ นทีเ่ ดินกันขวักไขว่ ในตอนนัน้ เสียด้วยซ�ำ้ เธอไล่อา่ นไปตามตัวอักษรด้วยหัวใจทีเ่ ต้นระทึกระคนอ่อนหวาน บางคราจะเห็นรอยยิ้มบางแตะแต้มบนริมฝีปากบางสวยได้รูป บางคราพวงแก้มนวล ก็ปรากฏรอยระเรือ่ ราวลูกต�ำลึงสุก บางคราก็ถงึ กับยกหลังมือเช็ดน�ำ้ ตาทีก่ ำ� ลังเอ่อท้น ตรงหางตา หากใครๆ หันมาเห็นคงนึกสงสัยว่าสาวน้อยร่างบางผู้นี้อาจจะเสียสติ ไปแล้วก็เป็นได้ นานเป็นชัว่ โมงกว่ารสสุคนธ์จะเงยหน้าขึน้ จากหนังสือ ลมแรงพัดโบกสะบัด จนผมของเธอปลิวไสวเผยให้เห็นโครงหน้ารูปไข่รบั กับจมูกเล็ก เชิดรัน้ ตรงปลายนิดๆ ดวงตากลมโตล้อมกรอบด้วยแพขนตายาวงดงามสดใสบริสทุ ธิเ์ ฉกเช่นดวงดาราทีส่ อ่ ง ประกายบนฟากฟ้า เสียงใบไม้ทเี่ สียดสีกนั ท�ำให้เธอต้องเงยหน้ามอง ต้นจามจุรกี ำ� ลัง ไหวเอนตามแรงลมขณะที่เมฆด�ำด้านบนก�ำลังเคลื่อนตัวเข้ามารวมกลุ่มกันหนาขึ้น “เอ... ท�ำไมยังไม่มาอีกนะ” สาวน้อยร�ำพันกับตัวเองพร้อมกับเหลียวไปมองถนน มีรถราผ่านมาเพียงประปราย หากรถเหล่านั้นก็ยังไม่ใช่รถกลางเก่ากลางใหม่สีขาวที่ เธอรอคอยเลยสักคัน ปกติแล้วหลังเลิกเรียน น้าเมฆ... คนขับรถของบ้านทีค่ อยรับส่งเธอกับพีส่ าว ตั้งแต่ยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ จะเป็นคนมารับ แต่วันนี้บิดา มารดา และพี่สาวของเธอ พร้อมใจกันมารับ และตัง้ ใจว่าจะพาเธอไปรับประทานอาหารนอกบ้าน... ทีร่ า้ นอาหาร ชื่อดังกลางใจเมืองเพื่อเลี้ยงฉลองวันเกิดครบสิบแปดปีของเธอ จากเวลานัดหมายนัน้ คือสิบหกนาฬิกาหลังเวลาทีเ่ ธอเลิกเรียนอย่างพอดิบพอดี หากนี่... หญิงสาวยกนาฬิกาข้อมือสายด�ำขึ้นมองเวลาแล้วก็พบว่ามันล่วงเลยเวลามา หนึ่งชั่วโมงแล้ว 7


หนึ่งในหทัย

ความเป็นห่วงกังวลใจจึงก่อตัวขึ้นทีละน้อยๆ จนคิ้วเรียวโค้งได้รูปต้อง ขมวดเข้าหากัน จากที่นั่งอย่างสบายอารมณ์ รสสุคนธ์ต้องผุดลุกขึ้นยืน ยืดคอชะแง้ แลหารถคันเล็กคุ้นตา แต่หาเท่าไรก็ไม่พบแม้แต่เงา หญิงสาวชักร้อนใจ หากก็ท�ำ อะไรไม่ได้ ท�ำได้แค่เพียงเดินกลับไปกลับมาอย่างงุ่นง่านเท่านั้น ความเป็นจริงแล้วบิดาของเธอนัน้ เป็นคนตรงเวลามาก ไม่มที างทีจ่ ะมารับเธอ ช้าขนาดสายเป็นชัว่ โมงแบบนีแ้ น่ ยังไม่ทนั ทีจ่ ะตัดสินใจท�ำเช่นไร รถคันหนึง่ ก็หกั เลีย้ ว เข้ามาจอดชิดขอบทางเดินเท้า เป็นรถยุโรปราคาแพงสีครีม รสสุคนธ์สาวเท้าก้าวถอย ห่างออกมาเมื่อประตูรถฝั่งที่ติดกับเธอเปิดออก ก่อนจะหมุนตัวเดินเลี่ยงจากมา ทว่าเพียงแค่สองก้าว ใครบางคนก็เร่งฝีเท้าเดินน�ำหน้าแล้วขวางเธอไว้ หญิงสาวชะงักกึก สองตาที่ก้มลงมองพื้นเห็นรองเท้าหนังสีด�ำขัดมันเงาวับ เมื่อเลื่อน สายตาขึ้นไปก็พบกางเกงขายาวพอดีตัวสีเขียวเข้มกับเสื้อแขนยาวสีเดียวกัน มอง ปราดเดียวก็รวู้ า่ เป็นชุดทหาร คิว้ ทีข่ มวดอยูแ่ ล้วยิง่ ขมวดมากขึน้ ด้วยไม่เข้าใจว่าเหตุใด ทหารจึงมาเดินเพ่นพ่านอยู่ในมหาวิทยาลัยเช่นนี้ แถมยังเสียมารยาทก้าวเข้ามาขวาง เธอไว้อีก รสสุคนธ์ก�ำลังจะเอ่ยค�ำบริภาษออกไปแล้ว แต่ยังยั้งถ้อยค�ำเหล่านั้นได้ทัน เมื่อได้มองเห็นใบหน้าของคนตรงหน้าเต็มตา เขาไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็น พันตรีหม่อมเจ้าเจตนิพิฐ ดิลบุตร... พี่เขยของ เธอเอง ท่านชายเจตทรงมีวรองค์สูงใหญ่ บึกบึนสมกับเป็นชายชาติทหาร วงพักตร์ รูปไข่คมสัน ขนงเข้มโค้งได้รูป แววเนตรคมกล้า นาสิกโด่ง และเรียวโอษฐ์หยักโค้ง พักตร์เช่นนี้ ท่าทางองอาจผึง่ ผ่ายเช่นนี้ เธอจ�ำได้แม่นย�ำแม้เพียงเห็นไม่กคี่ รัง้ ก็ตาม รสสุคนธ์เลิกคิ้วน้อยๆ นึกไม่ออกว่าเหตุไฉนท่านชายเจตจึงมาหาเธอถึง มหาวิทยาลัยด้วยองค์เองเช่นนี้ ในเมื่อเธอกับท่านไม่ได้สนิทสนมอะไรกันด้วยซ�้ำไป เมื่อหกเดือนก่อน ชงโค... พี่สาวของเธอมีบุญวาสนาได้ออกเหย้าออกเรือน เป็นหม่อมของหม่อมเจ้าเจตนิพิฐ และย้ายเข้าไปอยู่ในวังดิลบุตร แต่ถึงกระนั้น ท่านชายเจตกับเธอก็ได้หาสนิทสนมกันไม่ ถ้าจ�ำไม่ผิดเธอพบท่านสองครั้งเท่านั้น ...ครั้งแรกก็ตอนชงโคพาพระองค์มาที่บ้านและท�ำความรู้จักกับบิดา มารดา รวมถึงตัวเธอด้วย ส่วนอีกครั้งนั้นก็ในพิธีมงคลสมรสของทั้งสอง 8


ศศิภา

จากนั้นเป็นต้นมาเธอก็ไม่เคยพบหน้าพูดคุยกับท่านอีกเลย จวบจนกระทั่ง วันนี้... วันที่ท่านชายเสด็จมาถึงมหาวิทยาลัยที่เธอเรียนอยู่ เพราะเหตุใดกัน... เป็นความสงสัยที่สาวน้อยครุ่นคิดอยู่เพียงในใจ... ก่อน จะพยายามดึงความคิดของตนเองกลับมาอยู่กับปัจจุบัน เมื่อรวบรวมสติได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว รสสุคนธ์ก็ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม ทันทีที่เงยหน้า วางมือลงข้างตัว ยังไม่ทันได้เอ่ยถามใดๆ คนตรงหน้าก็รับสั่งตอบ ข้อสงสัยในใจของเธอทุกเรื่อง “รถที่พ่อเธอขับมาประสบอุบัติเหตุ” ประโยคนัน้ ท�ำให้เธอต้องเบิกตากว้าง หากก็ยงั ไม่ทำ� ให้ตกใจเท่ากับประโยค ถัดไป “พ่อของเธอ แม่ของเธอ และ...” ดวงเนตรคูค่ มแดงก�ำ่ สัน่ ไหวระริกจนคนมองสัมผัสได้... สัมผัสได้ลกึ ซึง้ จน หัวใจของเธอไหวโยนรุนแรงเฉกเช่นกิง่ ไม้ของต้นจามจุรที ถี่ กู ลมพัดจนกระทบเสียดสี กันก่อเกิดเป็นท่วงท�ำนองวังเวง เมฆหมอกบนฟากฟ้าเริม่ จับตัวเป็นก้อนและบดบังแสงอาทิตย์ทสี่ าดส่องลงมา ยังโลกเสียแล้ว “และชงโค... พี่ของเธอ เสียชีวิตแล้ว รสสุคนธ์” สิน้ เสียงนัน้ น�ำ้ ตาทีเ่ อ่อคลอก็หยาดหยดลงมาตามแก้มนวล ผืนดินใต้ฝา่ เท้า เริม่ ขยับไหวเอนไปมาราวกับคลืน่ มหาสมุทรทีถ่ กู พายุลมแรงกระหน�ำ่ ไม่ยงั้ รสสุคนธ์ ปล่อยโฮอย่างลืมอาย ทรุดกายลงนัง่ บนพืน้ ยกฝ่ามือทัง้ สองปิดบังใบหน้าทีเ่ หยเกและ เต็มไปด้วยความโศกเศร้าเสียใจนั้นเสีย จากนั้นจึงเริ่มสะอื้นจนตัวโยน “พ่อคะ แม่คะ พี่ชงคะ ท�ำไม...” เธอเอ่ยเสียงอู้อี้ กรีดร้องอยู่ในฝ่ามือ “ท�ำไม...” ค�ำสุดท้ายรสสุคนธ์ตะโกนเสียงแหลมก้อง พร้อมกับลมแรงพัดโหมกระชาก สติสัมปชัญญะของเธอให้ดับวูบไปด้วย

9


หนึ่งในหทัย

1

ธันวาคม พ.ศ.2496 ร่างโปร่งระหงในชุดกระโปรงสีฟา้ บานพลิว้ ยาวครึง่ น่องจุดขาว ตัวเสือ้ คอกว้าง สีเข้าชุดกันมีระบายตรงช่วงอกเป็นผ้าโปร่งบางจนปลิวสะบัดยามลมพัดผ่าน ผมซึ่ง ยาวถึงกลางหลังดัดเป็นลอนใหญ่ถกู รวบไว้ดว้ ยผ้าผืนบางสีชมพูออ่ นจนแสงลอดผ่านได้ ปล่อยชายผ้ามาไว้ทางด้านหน้า ใบหน้ารูปไข่ถูกแต่งแต้มด้วยแป้งฝุ่นแต่เพียงบางๆ ริมฝีปากจิม้ ลิม้ เคลือบลิปสติกสีออ่ นจนแทบมองไม่เห็น ดูเผินๆ จึงเหมือนไม่ได้แต่งหน้า ด้วยซ�้ำไป รสสุคนธ์ก�ำลังยืนเอามือประสานกันไว้ทางด้านหน้าอย่างเรียบร้อย สายตา หลุบต�ำ่ จนเห็นแพขนตายาวขยับไหวชัดเจน ทางด้านหน้าเธอนัน้ เป็นโต๊ะท�ำงานไม้สกั ขัดมันจนเงาวับ บนโต๊ะมีหนังสือหลายเล่มวางซ้อนกันเป็นตั้งๆ มีเล่มหนึ่งเปิดอ้า ค้างอยู่เช่นนั้นโดยมีที่คั่นสีน�้ำตาลวางทับอยู่ด้านบน ถัดจากหนังสือเป็นจดหมาย หลายฉบับวางเรียงกันอยู่ในตะกร้าหวายเล็กๆ อย่างเรียบร้อย ทุกฉบับต่างเก็บอยู่ ในซองสีขาวเป็นอย่างดี หากมองเผินๆ คงคิดว่าผู้ที่ได้รับจดหมายยังไม่ได้เปิดอ่าน ทว่าแท้ที่จริงแล้วจดหมายทุกฉบับในตะกร้านั้นพันตรีหม่อมเจ้าเจตนิพิฐ ทรงอ่านจนหมดแล้ว และนั่นคือสาเหตุส�ำคัญที่ท�ำให้รสสุคนธ์ต้องมายืนตัวลีบใน ห้องทรงงานของท่าน นับจากวันที่บิดา มารดา และพี่สาวเพียงคนเดียวจากโลกนี้ไป ชีวิตของ รสสุคนธ์ก็เหมือนถูกกระแสลมพัดโหมกระหน�่ำจนแทบทรงตัวไม่อยู่ ครอบครัวของ เธอเป็นครอบครัวเล็กๆ ญาติที่สนิทก็ล้มหายตายจากไปหมดแล้ว ดังนั้นเมื่อทั้งสาม จากไป เธอจึงเสมือนอยู่บนโลกใบนี้เพียงล�ำพัง บ้านเรือนไทยหลังเล็กที่เคยมีเสียงหัวเราะพูดคุยระหว่างบิดา มารดา และลูกสาวทัง้ สองกลับกลายเป็นเงียบสงบวังเวงดัง่ บ้านร้าง รสสุคนธ์รำ�่ ไห้อย่างหนัก แทบทุกวัน กับข้าวกับปลาก็รับประทานนับค�ำได้ เพียงอาทิตย์เดียว น�้ำหนักของเธอ ก็ลดลงอย่างรวดเร็วจนร่างกายผ่ายผอมอย่างน่าสงสารนัก หลังงานฌาปนกิจของทัง้ สาม รสสุคนธ์แทบจะล้มทัง้ ยืน ยังดีทมี่ ที า่ นชายเจต คอยดูแลไม่หา่ ง จะว่าไปแล้วท่านทรงมีนำ�้ ใจเอือ้ เฟือ้ กับเธอมากนัก ทรงเป็นห่วงเป็นใย 10


ศศิภา

ถามไถ่สขุ ภาพของเธออยูเ่ สมอ จนหญิงสาวรูส้ กึ เต็มตืน้ ในหัวใจยิง่ นัก... ทีม่ ากกว่านัน้ คือ ท่านชายยังทรงเข้ามาจัดการเรือ่ งมรดกทีบ่ ดิ าและมารดาของเธอทิง้ ไว้ให้ดว้ ย แต่ เพราะหญิงสาวยังไม่บรรลุนติ ภิ าวะ มรดกทีค่ วรได้จงึ ต้องอยูใ่ นความดูแลของหม่อมเจ้า เจตนิพิฐไปก่อน เมื่อไรก็ตามที่เธออายุยี่สิบปีบริบูรณ์ มรดกนั้นก็จะตกอยู่ในการ ครอบครองของเธอโดยสมบูรณ์ โดยในระหว่างนีร้ สสุคนธ์จะต้องอยูใ่ นความดูแลของพันตรีหม่อมเจ้าเจตนิพฐิ ในทุกๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัย อาหารการกิน ค่าใช้จ่าย และอื่นๆ อีกจิปาถะ ยิ่งไปกว่านั้นเธอจะต้องย้ายเข้ามาอยู่ที่วังดิลบุตร ด้วยเหตุผลที่ว่า ‘เธอเป็นผู้หญิง จะอยู่ตัวคนเดียวได้อย่างไร ไปอยู่กับฉัน อย่างน้อยๆ แม่ของฉันก็คอยดูแลเธอได้ ที่ส�ำคัญเธอจะได้อยู่ในสายตาฉันในระหว่างที่ฉันเป็น ผู้ปกครองของเธอ’ รสสุคนธ์อยากบอกเหลือเกินว่าเธออายุสิบแปดแล้ว โตมากพอที่จะดูแล ตัวเองได้ หากก็หวั่นเกรงว่าท่านชายจะทรงไม่พอพระทัยจึงนิ่งเฉยเสีย ‘ฉันไม่อยากท�ำผิดสัญญาทีใ่ ห้ไว้กบั ชงโค’ ทรงเล่าด้วยสุรเสียงเรียบเฉย หาก แววเนตรวูบไหวบอกชัดถึงแรงอารมณ์ภายใน ‘ฉันสัญญากับพีส่ าวเธอไว้วา่ จะดูแลเธอ อย่างดีที่สุด ไม่ให้ขาดตกบกพร่องอะไรแม้แต่อย่างเดียว ฉันเป็นคนยึดถือค�ำมั่น เป็นที่หนึ่ง อะไรที่ฉันท�ำไม่ได้ ฉันไม่มีวันรับปาก แต่อะไรที่ฉันรับปากแล้ว ฉัน ต้องท�ำให้ดที สี่ ดุ ’ ทรงอธิบายเสียยืดยาวโดยทีเ่ ธอสรุปความได้เพียงสัน้ ๆ ว่าท่านชาย ทรงต้องการท�ำตามสัญญาที่ให้ไว้กับพี่ชงโคเท่านั้น ‘ขอบพระคุณเพคะ’ หญิงสาวยกมือไหว้อย่างนอบน้อม ยอมท�ำตามความต้องการของหม่อมเจ้า เจตนิพิฐแต่โดยดี หลังจากวันนั้นรสสุคนธ์ก็ต้องเก็บข้าวของที่จ�ำเป็นเพื่อย้ายเข้ามาอยู่ในวัง ดิลบุตร ไม่ว่าจะด้วยในฐานะอะไร หม่อมเจ้านวลแข... พระมารดาของหม่อมเจ้า เจตนิพิฐนั้นก็ทรงให้การต้อนรับเธอเป็นอย่างดี ท่านหญิงทรงมีพระสิริโฉมงดงาม รอยแย้มโอษฐ์บอกถึงความมีพระทัยดี ดวงเนตรคู่งามก็อ่อนโยนเหมือนแววตา มารดาของเธอไม่ผิดเพี้ยน ‘มาอยู่ด้วยกันเสียที่นี่ก็ดีแล้ว วังนี้มีแต่ฉันกับชายเจต เงียบเหงาเกินไป ถ้าแม่รสมาอยู่ด้วย วังคงครึกครื้น’ 11


หนึ่งในหทัย

ตรัสกับเธอด้วยสุรเสียงอ่อนหวาน ตอนนั้นรสสุคนธ์ท�ำเพียงยิ้มรับ อดคิด ไม่ได้ว่าเธอจะมาท�ำให้วังครึกครื้น หรือปั่นป่วนก็ยังไม่แน่ใจนัก ส�ำหรับพระบิดาของท่านชายเจต... พลเอกพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ศิฐเศรษฐนั้นเท่าที่เธอรู้ พระองค์สิ้นพระชนม์ด้วยอาการพระหทัยวายเมื่อสามปีก่อน แล้ว หญิงสาวจึงได้เห็นเพียงพระรูปของพระองค์เพียงเท่านัน้ แล้วก็ได้พบว่าพระองค์ ทรงองอาจผึ่งผายอย่างชายชาติทหาร... แบบนี้นี่เองเล่า พันตรีหม่อมเจ้าเจตนิพิฐจึง ทรงมีเสน่ห์ ผึ่งผาย และดูน่าเกรงขามเพราะทรงถอดแบบมาจากพระบิดานั่นเอง รสสุคนธ์ยังจ�ำความรู้สึกเมื่อตอนเหยียบย่างเข้ามาที่วังแห่งนี้ได้ดีราวกับ วันนั้นเพิ่งผ่านมาไม่กี่วัน ทั้งๆ ที่ก็ล่วงเลยมาแล้วถึงหกเดือน วังดิลบุตรซึ่งเธอต้องมาพ�ำนักอาศัยอยู่ชั่วคราวนั้นเป็นวังที่พระองค์เจ้า ศิฐเศรษฐทรงสร้างขึน้ มาใหม่แทนวังเดิมทีช่ ำ� รุดทรุดโทรมไปมากแล้ว มีลกั ษณะเป็น ตึกสองชัน้ สีครีมนวลตา หลังคามุงกระเบือ้ งดินเผา มียอดโดมตัง้ อยูต่ รงกลาง ชายคา และช่องลมประดับตกแต่งด้วยลวดลายไม้ฉลุ แวดล้อมด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่แผ่ ร่มเงารอบด้าน เมื่อเดินผ่านประตูใหญ่สีขาวทางด้านหน้าซึ่งมีป้ายติดไว้ว่าวังดิลบุตร แล้ว เสียงจอแจของรถราที่ขวักไขว่ก็เงียบหายไปในบัดดล แทนที่ด้วยเสียงนกร้อง ก้องกังวานราวกับท่วงท�ำนองของดนตรี เป็นครัง้ ทีส่ องทีร่ สสุคนธ์ได้เห็นวังอันงดงามวิจติ รแห่งนี้ หากความประทับใจ ก็ไม้เคยลดน้อยถอยลงเลย ตรงกันข้ามกลับยิ่งเพิ่มทบเท่าทวีคูณเสียด้วยซ�้ำ สถานที่ที่เธอชอบที่สุดภายในขอบเขตรั้วของวังดิลบุตรคือสวนหย่อมทาง ด้านข้างชิดริมรั้วของวัง มีดอกไม้นานาพันธ์ุปลูกเรียงรายละลานตา ข้างๆ กันนั้น เป็นศาลาทรงแปดเหลี่ยมสีขาวใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ เหมาะส�ำหรับการนั่งพักผ่อน อ่าน หนังสือ หรือพักสายตาก็ยังได้ รสสุคนธ์มักจะมานั่งอ่านหนังสือที่ศาลาแห่งนี้อยู่ เป็นประจ�ำ จะเรียกว่าทุกวันก็ว่าได้ จนหม่อมเจ้าเจตนิพิฐซึ่งคงทรงสังเกตเธออยู่ สักพักถึงกับออกโอษฐ์อนุญาตให้เธอหยิบยืมหนังสือทุกเล่มในห้องทรงงานนี้ไปอ่าน ได้ตามสบาย ท่านชายทรงมีพระทัยดี มีน�้ำพระทัยงามจนเธออดชืน่ ชมอยูใ่ นใจไม่ได้ รสสุคนธ์คิดว่าท่านชายเจตนั้นช่างดีไปเสียทุกอย่าง ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ สมบูรณ์แบบไปเสียหมด อย่างน้อยๆ ท่านชายก็ยงั คงมีขอ้ เสียให้เธอได้แอบค่อนขอด อยู่ในใจบ้าง ข้อเสียที่ว่านั้นก็คือท่าทางวางอ�ำนาจ ดูไว้องค์ และทรงดุเสียเหลือเกิน 12


ศศิภา

หญิงสาวลอบมองวรองค์สูงใหญ่เบื้องหน้า แล้วต้องลอบกลืนน�้ำลายลงคอ อย่างยากเย็น รูด้ วี า่ วันนีม้ พิ น้ ต้องถูกดุอกี ตามเคย วันก่อนเธอก็เพิง่ โดนดุทไี่ ปสนทนา พูดคุยอย่างสนิทสนมกับนายเติบ... คนสวนวัยยี่สิบปลายๆ ของวังนี้ ‘เธอเป็นผู้หญิง ไฉนจึงไม่ระวังรักษาตัวเสียบ้าง พูดคุยสนิทสนมกับผู้ชาย เช่นนั้น ถ้าใครอื่นมาเห็นเข้า เขาจะว่าไม่งาม’ เรื่อง ‘ไม่งาม’ นี่รสสุคนธ์ได้ยินท่านชายตรัสอยู่หลายต่อหลายครั้ง แม้แต่ ท่านหญิงนวลแขก็ยังทรงพร�่ำบ่นเช่นกัน ‘เธอชักจะเก่งกล้าเกินชายเสียแล้ว รสสุคนธ์’ พระองค์รับสั่งหลังจากรับรู้ เรื่องราวจากแม่วาด... พระพี่เลี้ยงของท่านชายเจตนิพิฐว่ารสสุคนธ์กล้าหาญชาญชัย ถึงขั้นปีนเก้าอี้ขึ้นไปเปลี่ยนหลอดไฟในห้องนอนด้วยตัวเอง ‘คนในบ้านนี้มีเป็นสิบ เหตุใดจึงต้องท�ำเองเล่า แม่รส’ รสสุคนธ์คดิ ว่าอะไรทีพ่ อจะท�ำได้ ก็ควรจะท�ำ ไม่ใช่เอาแต่นงั่ กินนอนกินไปวันๆ อย่างสบายอารมณ์ ที่ส�ำคัญบ้านนี้ไม่ใช่ของเธอ บริวารทุกคนของที่นี่ก็ไม่ใช่บริวารของเธอ เธอ ไม่มสี ทิ ธิอ์ อกค�ำสัง่ หรือใช้งานพวกเขาแม้แต่นอ้ ย หญิงสาวเจียมตัวอยูเ่ สมอว่าตนเอง เป็นเพียงผู้อาศัยเท่านั้น “เธอกับเจ้าหนุม่ นัน่ ... ฉันลืมไปเสียแล้ว คนรักของเธอชือ่ อะไรนะ” สุรเสียง ห้าวลึกดังขึน้ จากวรองค์สงู ใหญ่ซงึ่ ก�ำลังยืนเอาหัตถ์ไขว้ไว้ทางเบือ้ งปฤษฎางค์ ดวงเนตร ทัง้ สองมองผ่านหน้าต่างทีเ่ ปิดอ้าออกรับสายลมยามสายให้โชยพัดเข้ามาภายใน เนตรคม หลุบต�่ำมองแปลงดอกกุหลาบสีขาวบริสุทธิ์ซึ่งก�ำลังเบ่งบานรับแสงตะวัน “หม่อมฉันยังไม่มีคนรักเพคะ” “ไม่ใช่คนรักแล้วเหตุใดจึงต้องเขียนจดหมายโต้ตอบกันเช่นนี้” พร้อมกับ รับสั่ง ท่านทรงเอี้ยวองค์หันมาทางเธอ แล้วชูกระดาษสีขาวในหัตถ์ให้เห็น “เป็นเพียงแค่จดหมายถามสารทุกข์สุกดิบกันเท่านั้นเพคะ” หม่อมเจ้าเจตนิพฐิ ทรงขยับองค์ สาวบาทกลับมาทีโ่ ต๊ะ ก่อนจะประทับลงบน เก้าอี้ไม้สักซึ่งฉลุลวดลายงดงาม มองปราดเดียวก็รู้ว่าราคาคงแพงลิ่ว “รู้จักกันมานานเท่าไรแล้ว” “เกือบสิบปีเพคะ พีเ่ อกเขา...” ยังเอ่ยไม่ทนั จบ ท่านชายผูม้ กั ท�ำพักตร์เรียบเฉย อยู่เป็นประจ�ำก็ทรงท�ำเสียงอืออาในพระศอ 13


หนึ่งในหทัย

“อ้อ... ฉันจ�ำได้แล้ว คนรักของเธอชื่อทองเอกใช่ไหม” “เพคะ” หญิงสาวตอบอย่างชัดถ้อยชัดค�ำและมีรอ่ งรอยของความไม่พอใจแฝงเร้นอยู่ แม้จะเล็กน้อยแต่หม่อมเจ้าเจตนิพิฐก็ทรงจับความรู้สึกของเธอได้ ท่านชายทรงยก พระพาหาเท้าลงบนโต๊ะตรงหน้า พร้อมกับใช้เนตรคมดุสีนิลจับจ้องวงหน้านวลที่ดู ไม่สบอารมณ์อย่างพินิจพิจารณา และทรงพบว่าดวงตาคู่สวยมีแววขุ่นข้องหมองใจ ชัดเจน ริมฝีปากบางยังคงขยับเคลื่อนไหวเปล่งเสียงใสๆ ออกมาเจื้อยแจ้ว “แต่... หม่อมฉันจ�ำเป็นต้องย�้ำอีกครั้งว่าพี่เอกไม่ใช่คนรักของหม่อมฉัน เรา เพียงแค่รู้จักกันเมื่อครั้งยังเป็นเด็กเท่านั้นเพคะ พี่เอกอาศัยอยู่ข้างบ้านหม่อมฉัน มานาน ท�ำให้เราสองคนรู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี จนเมื่อสามปีก่อนพี่เอกย้ายตาม คุณพ่อของเขาไปอยู่ต่างจังหวัด ที่นู่นไม่มีโทรศัพท์ ท�ำให้พี่เอกต้องติดต่อหม่อมฉัน ทางจดหมาย ส่วนข้อความในจดหมายนัน้ ก็อย่างทีท่ า่ นชายทรงทราบว่าไม่ได้มอี ะไร มากไปกว่าความห่วงใยฉันพี่น้องเลยสักนิดเพคะ” ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ จนรสสุคนธ์เชื่อว่าหากมีเข็มสักเล่มตกลง บนพื้นคงดังก้องกังวานเป็นแน่แท้ หญิงสาวเม้มริมฝีปากนิดๆ ยามกลั้นใจเงยหน้า สานสบสายตากับดวงตาสีนิลทรงอ�ำนาจ นานเท่าใดก็สุดรู้กว่าหม่อมเจ้าเจตนิพิฐจะ ทรงพยักพักตร์ “ตกลง ฉันเชือ่ ว่าพีเ่ อกของเธอไม่ใช่คนรักของเธอ อีกทัง้ เนือ้ ความจดหมาย ก็ไม่ได้เป็นไปในทางเกี้ยวพาราสีมากนัก” มากนักงัน้ หรือ... รสสุคนธ์อยากเถียงออกไปเหลือเกินว่าไม่ใช่มากนัก แต่เป็น ไม่มีเลยต่างหาก “การมีคนรักไม่ใช่เรื่องที่ผิดดอกนะรสสุคนธ์ แต่เธอควรจะโตกว่านี้ เป็น ผู้ใหญ่กว่านี้จึงจะเหมาะสม” “ท่านชายรับสั่งว่าทรงเชื่อหม่อมฉันมิใช่หรือเพคะ” “แน่นอน ฉันเชื่อเธอ แต่... ในวันหนึ่งวันใดข้างหน้านี้ เธออาจจะพบรัก กับหนุ่มที่ไหนสักคน ในฐานะผู้ปกครอง ฉันจ�ำเป็นต้องพูด ต้องคุย และอธิบาย ให้เธอได้เข้าใจ” หม่อมเจ้าเจตนิพิฐทรงยืน แล้วสาวบาทตรงมาหารสสุคนธ์ ฝีบาทของท่าน ทุกย่างก้าวเน้นหนัก มั่นคงจนคนที่ยืนเอามือประสานกันไว้ด้านหน้าอย่างหลวมๆ ต้องบีบมือกระชับแน่นเข้า อกสั่นขวัญแขวนราวก�ำลังยืนอยู่หน้าลานประหารก็มิปาน 14


ศศิภา

“ฉันไม่ได้ต้องการกีดกันความรักของเธอแม้แต่น้อย เพียงแต่ฉันคิดว่า... เธอควรจะรอให้บรรลุนิติภาวะเสียก่อน วันใดที่เธออายุครบยี่สิบและฉันไม่จ�ำเป็น ต้องเป็นผู้ปกครองของเธอแล้ว เมื่อนั้นเธอจะคบใครก็ได้ฉันไม่ว่า แต่ในระหว่างนี้ ฉันอยากให้เธอรักษาเนื้อรักษาตัว สงวนหัวใจไว้เสียก่อน อย่าเพิ่งเปิดทางให้ชายใด เข้ามาชิดใกล้มากนัก” ...ชายใดทีว่ า่ นัน้ รวมถึงท่านชายเจตด้วยหรือเปล่าหนอ คนตัวเล็กร�ำพึงร�ำพัน เพียงในใจ ...หากรวมท่านชายด้วย รสสุคนธ์เห็นจะต้องขยับเท้าถอยห่างออกไปสักสาม สี่ก้าวเสียแล้ว ยามนีร้ า่ งโปร่งระหงก�ำลังยืนเกร็งตัว กลัน้ ใจมองพักตร์คมสันของหม่อมเจ้า เจตนิพฐิ ทีอ่ ยูห่ า่ งจากเธอเพียงแค่เอือ้ มมือด้วยหัวใจเต้นระทึก ครัง้ นีน้ บั เป็นครัง้ แรก ที่หญิงสาวได้อยู่ชิดใกล้ท่านถึงขนาดมองเห็นไรมัสสุเขียวครึ้มโดยรอบริมโอษฐ์ ยิ่งเมื่อสบเนตรคมดุด้วยแล้วหัวใจที่เต้นรัวก็โยนไหวรุนแรง เธอรู้สึกเหมือนตัวเอง ก�ำลังตกลงไปในหลุมด�ำมืดและหลงวนอยู่ในนั้นค้นหาทางออกไม่พบ “...รส... รสสุคนธ์” สุรเสียงห้าวดังขึ้นเรื่อยๆ จนเธอแทบสะดุ้งสุดตัว “ไม่ได้ยินหรือ ฉันเรียกอยู่ตั้งนาน” “ขอประทานอภัยเพคะ” เพราะเหม่อลอยจึงไม่ทันได้ยินว่าท่านชายตรัสว่า กระไรบ้าง หญิงสาวยกมือไหว้แล้วเอ่ยถาม “เมื่อกี้รับสั่งว่าอะไรนะเพคะ” “ฉันบอกว่า... ทีหลังอย่าแอบซ่อนจดหมายไว้อีก นี่ถ้าไม่ใช่เพราะฉันเห็น เธอลับๆ ล่อๆ หน้าประตูใหญ่แล้วล่ะก็ คงไม่ได้รู้ความจริงสินะว่าเธอก�ำลังเขียน จดหมายติดต่อกับชายหนุ่ม” คนตัวเล็กหลุบสายตาลงต�่ำ หน้าร้อนซู่อย่างนึกอาย นี่เธอก�ำลังถูกต่อว่าว่า แอบติดต่อกับผู้ชายในเชิงชู้สาวอยู่หรือไร ก็บอกไปชัดเจนแล้วมิใช่หรือว่าทองเอก มิใช่คนรัก และไม่มีวันเป็นด้วย แก้มนวลเริม่ แดงระเรือ่ ด้วยความโกรธและอาย หม่อมเจ้าเจตนิพฐิ สังเกตเห็น จึงถอนพระทัยบางเบา แล้วรับสั่งด้วยสุรเสียงที่นุ่มนวลขึ้น... เล็กน้อย “ฉันไม่ได้ต่อว่าอะไรเธอดอกนะ แต่ที่ฉันท�ำแบบนี้ ก็เพราะเป็นห่วง ฉัน ไม่อยากท�ำให้ชงโคผิดหวัง” รสสุคนธ์รู้ดี รู้มาตลอดว่าหม่อมเจ้าเจตนิพิฐทรงท�ำดีกับเธอมากมายเช่นนี้ ก็เพราะทรงสัญญากับพี่สาวของเธอว่าจะดูแลเธอให้ดีเพียงเท่านั้น 15


หนึ่งในหทัย

“หม่อมฉันทราบเพคะ... ทราบดีวา่ ท่านชายไม่มที างผิดสัญญาทีใ่ ห้ไว้กบั พีช่ ง” “เพราะฉะนั้นถ้าฉันเข้มงวด หรือดุเธอไปบ้าง ก็อย่าได้ถือโทษโกรธกันเลย” “อย่ารับสัง่ เช่นนัน้ เลยเพคะ หม่อมฉันมิบงั อาจ... ท่านชายทรงเป็นผูป้ กครอง และผู้มีพระคุณ หากจะว่ากล่าวตักเตือนหม่อมฉันเมื่อหม่อมฉันท�ำผิด ก็เป็นสิ่งที่ ถูกต้องแล้วเพคะ” รสสุคนธ์นนั้ แม้นสิ ยั ภายนอกจะแตกต่างกับชงโค แต่ยงั คงมีสงิ่ ทีเ่ หมือนกัน อยู่บ้างก็คือความนอบน้อม โอบอ้อมอารี มีสติ รอบคอบ และเข้าใจในสถานการณ์ ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี เธอไม่โวยวายเลยแม้สกั ค�ำแม้พระองค์จะทรงถือวิสาสะเปิดอ่าน จดหมายทุกฉบับระหว่างเธอกับทองเอก “เธอคิดว่าฉันเป็นผู้ปกครองที่โหดเกินไปหรือเปล่า รสสุคนธ์” คนตัวเล็กเงยหน้า ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย “โหดหรือเพคะ” “ใช่ ก็ฉันริดรอนสิทธิและเสรีภาพของเธออย่างไม่น่าให้อภัย” ...จะเรียกว่าโหดหรือเปล่า ก็คงไม่ใช่ เรียกว่าเคร่งเกินไปคงจะเหมาะกว่า... อยากจะตอบออกไปเช่นนั้น แต่ก็เกรงจะถูกลงโทษ จึงท�ำเพียงแต่นิ่งเฉยเสีย เมื่อ เห็นรสสุคนธ์ไม่ตอบ หม่อมเจ้าเจตนิพิฐก็ไม่เซ้าซี้ให้มากความ รับสั่งต่อไปว่า “จดหมายฉบับหน้า ไม่ตอ้ งเอามาให้ฉนั อ่านดอก ฉันถือว่าวันนีฉ้ นั ได้คยุ กับ เธอรู้เรื่องแล้ว และฉันหวังว่าเธอจะเข้าใจในสิ่งที่ฉันต้องการ” แม้จะดูเหมือนใจดี ปล่อยให้เธอเป็นอิสระ แต่ลึกๆ แล้วหม่อมเจ้าเจตนิพิฐ ทรงเชื่อว่ารสสุคนธ์จะไม่มีวันท�ำให้องค์เองผิดหวังและเสียพระทัยต่างหาก... ช่าง น่าแปลกนักที่พระองค์ทรงเชื่อสาวน้อยตรงหน้าเต็มหทัย “จะไปท�ำอะไรก็ไปท�ำเถอะ รสสุคนธ์” รสสุคนธ์ยกมือไหว้งดงาม ก�ำลังจะ เดินออกจากห้องก็ถูกเรียกไว้เสียก่อน “อ้อ เดี๋ยว... มีหนังสือเล่มใหม่มา จ�ำได้ว่า เป็นนักเขียนที่เธอชอบ” รสสุคนธ์ชะงักเท้าทีก่ ำ� ลังจะก้าวออกไป เดินกลับมาทีโ่ ต๊ะ ยกมือไหว้ขอบคุณ ก่อนยื่นมือไปรับหนังสือเล่มบางที่หม่อมเจ้าเจตนิพิฐทรงยื่นมาให้ เพียงมองชื่อคนแต่งซึ่งอยู่มุมขวาล่างของหนังสือเล่มนั้น หญิงสาวก็ยิ้ม กว้าง... ยิ้มทั้งปากทั้งตาเลยทีเดียว ดังนั้นพลันที่เงยหน้าขึ้นมองหม่อมเจ้าเจตนิพิฐ ดวงตากลมโตจึงเป็นประกายงดงาม เปล่งแสงเจิดจ้าดั่งดวงดาราบนนภาก็มิปาน ...ใครก็ตามที่ได้มองคงอดตกตะลึงกับความงามนั้นเช่นท่านชายเจตไม่ได้ 16


ศศิภา

ยามนี้หม่อมเจ้าเจตนิพิฐทรงยืนนิ่ง สานสบดวงตากลมโตราวตากวางอย่าง เพลิดเพลินหทัย อดด�ำริไม่ได้วา่ เหตุไฉนองค์เองจึงไม่เคยสังเกตเห็นความงดงามของ ดวงตาคูน่ มี้ าก่อน... ไม่เคยสานสบ ไม่เคยเหลียวมอง และไม่เคยพินจิ พิจารณาอย่าง ใกล้ๆ จึงท�ำให้ละเลยความงามของมันไป แต่วันนี้ เวลานี้ พระองค์ทรงเห็นและรับรู้เต็มพระทัยแล้วว่าดวงตาของ สาวน้อยตรงหน้ามีเสน่ห์มากเพียงใด “ขอบพระคุณเพคะ” สุม้ เสียงดีใจรืน่ เริงของหญิงสาวปลุกให้พระองค์ตนื่ จาก ภวังค์ “หม่อมฉันขอยืมได้ไหมเพคะ” “เอาไปเถิด ฉันตั้งใจจะให้เธอได้อ่านอยู่แล้ว” “ขอบพระคุณเพคะ” รสสุคนธ์ยกมือไหว้อีกครั้ง ก่อนเดินลิ่วจากมาด้วยหัวใจอิ่มเอมเปี่ยมสุข เพราะจะได้อ่านตัวอักษรที่เรียงร้อยจากปลายปากกานักเขียนในดวงใจ ขณะที่ใคร อีกคน... ก�ำลังประทับตราตรึงความงามที่เพิ่งสัมผัสได้ไว้ในหทัย พอออกมาจากห้องทรงงานของท่านชายพร้อมหนังสือเล่มใหม่ รสสุคนธ์ก็ ยิ้มแป้น เป็นสุขและอิ่มเอมใจทุกคราที่จะได้สัมผัสความงดงามของตัวอักษรซึ่ง นักเขียนแต่ละท่านต่างร้อยเรียงอย่างตัง้ ใจ ด้วยเหตุนเี้ องหญิงสาวจึงเลือกเรียนอักษร ด้วยหวังไว้ว่าในภายภาคหน้าอาจจะมีโอกาสได้เรียบเรียงเรื่องราวของตนเองและได้ ตีพิมพ์ดังเช่นนักเขียนท่านอื่นๆ บ้าง ร่างโปร่งบางเดินมาตามทางเดินระหว่างตึก เดินผ่านห้องหลายห้องที่ปิดไว้ ไม่มีคนพัก ครั้งเมื่อเธอเข้ามาอยู่ที่นี่วันแรกก็นึกสงสัยเป็นนักหนาว่าห้องหลายห้อง ในวังนีม้ ไี ว้ทำ� อะไรบ้าง แต่จะถือวิสาสะเปิดเสียทุกห้องก็เป็นการเสียมารยาทนัก สุดท้าย จึงท�ำได้เพียงเก็บความสงสัยไว้ในใจ จนบัดนี้ล่วงเลยมาหกเดือนแล้ว เวลาผ่านห้องที่ปิดตาย รสสุคนธ์ก็ยังอด เหลือบสายตามองและกระหายอยากเข้าไปส�ำรวจตรวจตราภายในไม่ได้เสียที ชงโค พี่สาวของเธอมักจะพร�่ำบ่นอยู่เสมอว่า ‘เราน่ะอยากรู้อยากเห็นไปเสียทุกเรื่อง’ พี่สาวของรสสุคนธ์นั้นเป็นหญิงสาวร่างผอมบางแทบจะปลิวลม รสสุคนธ์ว่า ผอมแล้ว ชงโคผอมกว่าหลายเท่า จะว่าไปแล้วรูปร่างแบบนัน้ ไปเป็นนางแบบได้สบาย หากชงโคปฏิเสธท่าเดียว หญิงสาวเป็นประเภทเรียบร้อย ขีอ้ าย วันๆ แทบจะไม่ออก 17


หนึ่งในหทัย

จากบ้านไปไหน ทีไ่ ด้ออกเหย้าออกเรือนกับท่านชายเจตก็เพราะท่านหญิงนวลแขทรง เห็นดีเห็นงาม นึกชอบใจในความเรียบร้อยเป็นกุลสตรี อ่อนน้อมถ่อมตนของเธอ ย้อนไปเมื่อปีที่แล้ว ครั้งที่ชงโคติดตามมารดามาเฝ้าหม่อมเจ้านวลแขที่วังนี้ จึงได้พบปะพูดคุยกันจนน�ำมาสู่ความประทับใจและชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง มารดาของเธอนัน้ เคยถวายการดูแลรับใช้และเป็นคนสนิทของท่านหญิงมาก่อน ไม่วา่ ท่านหญิงจะเสด็จไหน จะท�ำอะไร ต้องเรียกหาแต่แม่แช่มท่าเดียว หากพอพบรัก กับพุ่ม แม่แช่มก็เลือกที่จะออกจากวังไปใช้ชีวิตอยู่ที่เรือนไทยหลังเล็ก เป็นแม่บ้าน แม่เรือนอย่างเต็มตัว มารดาของเธอห่างหายไม่ได้พบพักตร์ท่านหญิงเกือบยี่สิบปี อะไรดลใจให้ท่านตัดสินใจมาเข้าเฝ้าในวันนั้นก็ไม่ทราบได้ อาจจะเป็นพระพรหม ชักน�ำพาให้ชงโคได้พบเจอกับหม่อมเจ้าเจตนิพิฐก็เป็นได้กระมัง หลังจากวันนั้นหม่อมเจ้านวลแขก็โปรดชงโคเป็นอย่างมาก ถึงขั้นออกโอษฐ์ เลียบๆ เคียงๆ ถามบุตรเพียงคนเดียวของท่าน ได้ความว่าท่านชายก็ทรงพึงใจเช่นกัน นับจากนั้นอีกหนึ่งปีจึงได้มีงานเสกสมรสขึ้น หากโชคร้ายที่ผ่านไปเพียงหกเดือน ก็เกิดโศกนาฏกรรมขึ้นเสียก่อน พันตรีหม่อมเจ้าเจตนิพิฐกลายเป็นพ่อม่ายเนื้อหอม ตั้งแต่วันนั้น จวบจนกระทั่งวันนี้ รสสุคนธ์เห็นสาวน้อยสาวใหญ่เดินทางมาเข้าเฝ้าท่านหญิงนวลแขอยูเ่ ป็นประจ�ำ บางคนก็สวยสะคราญ งดงามไม่มที ตี่ ิ บางคนก็ดเู ย่อหยิง่ จองหอง ท�ำตัวเด่นราวกับ ตนเองเป็นหม่อมของท่านชายก็ไม่ปาน รสสุคนธ์ออกจะเอือมระอากับคนประเภทหลัง บ่อยครั้งที่เธอพบเจอตอนนั่งอยู่ในสวน หรือไม่ก็ตรงบันได อยากจะหยิบยื่นไมตรี ให้อยู่เหมือนกัน แต่พอเห็นแววตาที่กวาดมองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแล้วเหยียด ยิ้มเยาะแล้วนั้น รอยยิ้มที่ก�ำลังจะแย้มเยื้อนจึงหุบลงทันควัน แต่เพียงเท่านั้น ดูยังจะไม่สมใจพอ จึงแกล้งเดินเฉียดเข้าไปใกล้ พอที่จะเอาหัวไหล่กระแทกนั่นล่ะ สิ่งที่ได้รับกลับมาคือเสียงกรีดร้องราวกับเธอเป็นผู้ร้ายฆ่าคนเลยทีเดียว ‘ต๊าย ไร้มารยาทเสียจริง! ไม่รู้ท่านหญิงทรงเก็บมาเลี้ยงไว้ท�ำไม วังดิลบุตร เสื่อมเสียหมด’ ได้ยินเต็มสองรูหู หากก็ยับยั้งชั่งใจตัวเองไว้ไม่ให้ตอบโต้ เนื่องด้วยเกรงว่า จะเสื่อมเสียเกียรติของผู้มีพระคุณทั้งสองท่าน วันนีค้ งไม่แคล้วมีสาวนางใดนางหนึง่ มาเยีย่ มเยียนถึงวังอีกกระมัง รสสุคนธ์ หยุดมองที่หน้าต่างบานกลางตรงยอดโดม เห็นรถยุโรปกลางเก่ากลางใหม่คันหนึ่ง แล่นผ่านประตูเข้ามาด้านใน ตรงเข้ามาจอดริมต้นสนก่อนจะถึงตัวตึก หญิงสาวใช้ 18


ศศิภา

มือข้างหนึง่ กอดหนังสือทีท่ า่ นชายประทานให้ มืออีกข้างก็เกาะขอบหน้าต่างแล้วชะแง้ แลมองลงมาอย่างสนใจใคร่รู้ ผิดคาดแฮะ... คนที่ลงจากรถไม่ใช่สตรีคนใดอย่างที่คาด แต่เป็นชายหนุ่ม ร่างสูงโปร่ง สวมเสือ้ สีฟา้ โปร่งบางจนเห็นเสือ้ กล้ามด้านใน รสสุคนธ์ไม่อาจเห็นใบหน้า ของชายคนนั้นได้เพราะหมวกสีเทาที่อยู่บนศีรษะบดบังไว้ ทว่าดูเหมือนคนมาเยือนจะรับรูว้ า่ ตกเป็นเป้าสายตา จึงเงยหน้าขึน้ มองพร้อม กับถอดหมวกออก คนแอบมองถึงกับสะดุง้ เฮือก เบิกตาโตเท่าไข่หา่ นก่อนจะหมุนตัว หันหลังให้ ใจเต้นโครมครามราวกับตนเองก�ำลังท�ำผิดมหันต์อย่างไรอย่างนั้น รออยูช่ วั่ ครูท่ เี ดียว หญิงสาวจึงค่อยๆ หมุนตัวกลับไป หลุบสายลงต�ำ่ มองไป เบื้องล่างก็พบเพียงตัวรถสีครีมเท่านั้น คนตัวเล็กถอนหายใจอย่างโล่งอก จากที่เห็นเพียงชั่ววินาทีพบว่าผู้ชายคนนั้นหน้าตาดีไม่หยอก รูปร่างสูงโปร่ง ผิวออกจะขาวจัดจนเกือบซีด หากริมฝีปากบางกลับแดงจัด จะว่าไปก็เหมือนกับ พระเอกที่ถูกบรรยายไว้ในนิยายเรื่องใดเรื่องหนึ่งไม่ผิดเพี้ยน รสสุคนธ์อยากรูอ้ ยากเห็นขึน้ มาอีกแล้วว่าชายคนนัน้ เป็นใคร จึงกวาดตามองหา คนสวนหรือไม่ก็คนรับใช้สักคนเพื่อซักถามให้ได้ความ หากสายตาก็สะดุดเข้ากับ ใครคนหนึ่งซึ่งท�ำลับๆ ล่อๆ อยู่หน้าประตูใหญ่ เขาเป็นชายร่างสูงผอม สวมเสื้อกั๊ก สีเทาทับกับเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว กางเกงขายาวสีเดียวกันกับรองเท้าหนังขัดมันวับ หญิงสาวขมวดคิ้วเมื่อไม่พบว่ามีใครอยู่แถวนั้น กอปรกับความสงสัย จึงตัดสินใจ เดินกึ่งวิ่งลงจากตึกไป เพียงไม่นานเจ้าตัวก็มาหยุดยืนอยู่ตรงประตูเล็กข้างๆ ประตูใหญ่ส�ำหรับให้ รถเข้าออกเสียแล้ว รสสุคนธ์ดูจะไม่เกรงกลัวคนแปลกหน้าเลยแม้แต่น้อย เมื่อเธอ ปลดล็อกดึงประตูให้เปิดออกแล้วชะโงกหน้าออกไป คราวนี้เธอเห็นเขาเต็มตาเลยเชียวล่ะ ผู้ชายตรงหน้าเธอจัดว่าหน้าตาดีใช้ได้ แต่ออกจะดูเจียมเนื้อเจียมตัว ไม่สง่าผึ่งผายสักเท่าไร หน�ำซ�้ำยังดูหวาดระแวงอะไร บางอย่างเสียด้วย “ประทานโทษเถอะค่ะ คุณมาพบใครคะ” เพียงแค่ซกั ถามเบาๆ ร่างผอมถึงกับสะดุง้ ใบหน้าซีดเซียวกว่าเดิมหลายเท่า จนขาวราวกระดาษ “ว่าอย่างไรคะ” “เอ่อ... คุณท�ำงานที่นี่หรือครับ” 19


หนึ่งในหทัย

“ค่ะ” หญิงสาวตอบออกไปโดยไม่เสียเวลาคิด ก็จะให้เธอตอบว่าอยู่ที่นี่ใน ฐานะอะไร จะว่าเป็นญาติเธอก็ไม่อาจเอือ้ มถึงขัน้ นัน้ “คุณยังไม่ตอบฉันเลยว่ามาพบใคร ท่าทางคุณมีพิรุธและมายืนลับๆ ล่อๆ แบบนี้ ฉันคงต้องแจ้งต�ำรวจแล้วนะคะ” “โอ... ได้โปรด อย่าท�ำเช่นนั้นเลยครับ ผมแค่...” ชายหนุ่มทักท้วงขึ้นมา ทันควัน ดูเหมือนจะกลัวค�ำขู่ของเธอมาก “ผมแค่อยากมาพบคุณชงโคน่ะครับ” รสสุคนธ์ขมวดคิ้วเข้าหากันทันที ดวงตากลมโตมีร่องรอยสงสัยเต็มเปี่ยม “พี่ชงหรือคะ คุณมีธุระอะไรกับพี่ชง” “พี่ชง? คุณสนิทกับคุณชงโคหรือครับ” สุ้มเสียงนั้นดูดีใจจนปิดไม่มิด “ฉันเป็นน้องสาวค่ะ แต่...” ก�ำลังจะเอ่ยออกไปว่าชงโคเสียชีวติ แล้ว ก็ไม่ทนั เมื่ออีกฝ่ายจับมือของเธอไปกุมไว้อย่างถือวิสาสะ ท�ำให้คนไม่เคยถูกมือชายมาก่อน อ้าปากค้าง นึกกังวลว่าจะมีคนมาเห็นจึงรีบชักมือกลับ แต่ชายหนุ่มก็ไม่วายดึงไปอีก คราวนี้เขาเอาจดหมายฉบับเล็กยัดใส่มือเธอเสียด้วย “ฝากให้คุณชงโคด้วยนะครับ ขอบคุณมาก” เอ่ยเสร็จก็วิ่งจากไป ไม่รอให้เธอทักท้วงใดๆ เลย แล้วเธอจะเอาจดหมาย ฉบับนี้ให้พี่สาวได้อย่างไรในเมื่อพี่ชงของเธอจากโลกนี้อย่างไม่มีวันกลับเสียแล้ว รสสุคนธ์ถอนหายใจเฮือก ชะแง้แลมองตามแผ่นหลังทีห่ ายลับเข้าไปในซอยซอยหนึง่ ฝัง่ ตรงข้ามแล้วจึงปิดประตู เดินกลับขึน้ ตึกไปโดยเก็บจดหมายฉบับนัน้ ไว้ในหนังสือ ที่กอดไว้แนบอก ตรงบันไดเตี้ยๆ ด้านหน้าตึกนั้นเองที่เธอเกือบจะชนเข้ากับใครคนหนึ่ง ด้วยไม่ทันระวังเอาแต่ก้มหน้าก้มตามองพื้นครุ่นคิดอยู่นั่นเอง “อุ๊ย” ร่างเล็กเซซวนแทบจะล้มทั้งยืน แต่ยังไม่ยอมปล่อยหนังสือในมือให้ ร่วงหล่น ท�ำราวกับมันคือของล�้ำค่าที่เธอต้องรักษาเยี่ยงชีวิต รสสุคนธ์หลับตาแน่น คิดว่าตนเองคงล้มจ�้ำเบ้ากับพื้นแข็งๆ แน่แล้ว หากก็มีอ้อมแขนแข็งแรงมากระหวัด รัดตัวเธอไว้เสียก่อน ...และไม่ใช่เพียงแขนเดียว หากเป็นสองแขนจากคนสองคน! เมือ่ ลืมตาขึน้ มาหลังจากพบว่าตัวเองยังอยูร่ อดปลอดภัยดี จากทีต่ กใจคิดว่า จะบาดเจ็บ กลับต้องตกใจที่ถูกกอดเอวไว้จากชายถึงสองคนด้วยกัน ร่างเล็กกะพริบตาปริบๆ ตวัดสายตามองเนตรคมกล้า สลับกับดวงตาเรียว อ่อนโยน ซ้ายทีขวาที จนเป็นท่านชายเจตที่ท�ำลายความเงียบรับสั่งออกมาว่า “เดินระวังหน่อยสิ รสสุคนธ์” 20


ศศิภา

จากนั้นก็ทรงหันไปส่งสายเนตรดุๆ ให้กับชายอีกคน “แกปล่อยมือได้แล้ว ทรงกลด” ชายผิวขาวเลิกคิ้วน้อยๆ หากก็ยอมถอยห่างแต่โดยดี เมื่อได้มาอยู่ใกล้กัน เช่นนี้ รสสุคนธ์จงึ ได้สงั เกตเห็นว่าผิวของเขาไม่ได้ขาวซีดไปเสียทัง้ หมด แต่มบี างส่วน ออกแดงคล�ำ้ เหมือนคนตากแดดนานๆ นีถ่ า้ ไม่ใช่คนทีม่ ผี วิ ขาวจัดเป็นทุนเดิมแล้วล่ะก็ สีผิวของนาย ‘ทรงกลด’ คงไม่แคล้วเป็นสีเดียวกับท่านชายเป็นแน่ รสสุคนธ์เบือนสายตากลับมามองสบดวงเนตรคมดุอกี ครา เพียงมองจ้องลึก ไปในนัยเนตรด�ำสนิท เจ้าตัวก็ใจสั่นไหวขึ้นมาอีกจนได้ ร่างเล็กรีบผละออกห่างจาก อ้อมกร ก่อนประกบมือเข้าหากันไหว้อย่างนอบน้อม “ขอบพระคุณเพคะ ท่านชาย” จากนั้นจึงเผื่อแผ่ไปให้คนที่ยืนเยื้องอยู่ทางเบื้องปฤษฎางค์ของท่านชายเสีย ด้วยเลย คะเนแล้วเขาคงอายุมากกว่าพอสมควรจึงไม่แปลกอะไรที่เธอจะยกมือไหว้ “ขอบคุณค่ะ” ฝ่ายนั้นยกมือรับไหว้ ก่อนเอ่ยด้วยสุ้มเสียงร่าเริง “ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็ผดิ ทีเ่ ดินไม่ดตู าม้าตาเรือ นีถ่ า้ คุณเกิดบาดเจ็บขึน้ มา ผมคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตแน่เลย” โห... มันหนักหนาสาหัสถึงขัน้ ต้องรูส้ กึ ผิดไปทัง้ ชีวติ เลยหรือไร หญิงสาวแอบ ข�ำอยู่ในใจ ขณะก้มหน้านิ่งเงียบ ริมฝีปากแย้มออกเพียงนิดเท่านั้น “ฉันจะออกไปสังสรรค์กับเพื่อนหน่อย ฝากดูแลแม่ด้วยนะ ตอนนี้ท่านคง หลับอยู่” “เพคะ” “ค�่ำๆ ถึงจะกลับ” รสสุคนธ์เงยหน้ามองพักตร์คร้ามคม ก่อนจะเลี่ยงหลบให้อีกฝ่ายสาวบาท ไปยังรถสีครีม เมื่อคนที่ชื่อทรงกลดเดินผ่านเขาก็แนะน�ำตัวเองอย่างเป็นทางการ “ผมชื่อทรงกลดครับ คุณคือ...” “รสสุคนธ์ค่ะ” เอ่ยแนะน�ำตัวเองก่อนยกมือไหว้อีกครั้ง “ยินดีที่ได้รู้จักครับ แล้วผมจะแวะมาบ่อยๆ เอ่อ...” ดูเหมือนเขาจะมีเรื่องพูดต่อ แต่ถูกท่านชายผู้เอาแต่พระทัยร้องเรียกยิกๆ จึงจ�ำต้องผละห่างจากสาวน้อยหน้าแฉล้มไปโดยปริยาย “ไว้พบกันวันหลังแล้วกันครับ บาย” 21


หนึ่งในหทัย

ทรงกลดเอ่ยลาแบบสมัยใหม่แล้วเดินลิ่วจากไป รสสุคนธ์หันไปมองเพียง แวบเดียว จึงหมุนตัวเดินเข้าไปข้างใน ขึ้นบันไดตรงไปยังห้องบรรทมของท่านหญิง นวลแข กะจะไปอยูร่ บั ใช้ทา่ นเสียหน่อย แต่เมือ่ ไปถึงก็พบว่าป้าวาดนัง่ เย็บเสือ้ เฝ้าอยู่ หน้าห้อง “ท่านหญิงบรรทมหรือคะ” “เจ้าค่ะ คุณรสมีธุระอะไรกับท่านหรือเจ้าคะ” “ไม่มีดอกค่ะ แค่จะมาคอยดูแลรับใช้” “ไม่ต้องห่วงดอกเจ้าค่ะ เดี๋ยวป้าดูแลเอง เชิญคุณรสพักผ่อนตามสบายเถิด เจ้าค่ะ” รสสุคนธ์ยิ้มให้อีกฝ่าย ก่อนหมุนตัวเดินกลับไปยังห้องนอนของตนซึ่งอยู่ อีกฟากหนึง่ ของตัวตึก พอเข้ามาในห้องได้ ก็ทงิ้ ตัวลงนอนคว�ำ่ หน้า เปิดหนังสือในมือ แล้วหยิบจดหมายฉบับเล็กออกมาในทันใด จดหมายในมือเธอแต่กรุน่ กลิน่ หอมเหมือนดอกไม้อบแห้ง ชวนให้เธอเผลอ ดอมดมอย่างชื่นใจไม่ได้ จากนั้นจึงยกมือพนม “พี่ชงคะ รสขออนุญาตอ่านด้านในนะคะ พี่ชงคงไม่ว่าอะไร” เมือ่ ขอเสร็จสรรพแล้วจึงค่อยๆ บรรจงฉีกซองอย่างเบามือราวกลัวว่าจะท�ำให้ จดหมายด้านในบุบสลายอย่างไรอย่างนั้น ด้านในมีจดหมายหนึ่งฉบับพับหลายทบ รสสุคนธ์หยิบออกมาแล้วเปิดอ่าน เพียงแค่เห็นบรรทัดแรก ร่างกายของเธอก็ชาวาบ หัวใจราวกับจะหยุดเต้นไปเสียอย่างนั้น ...ชงโค สุดที่รักของพี่... ...นี่มันอะไรกัน... สุดที่รัก... จะมีเพื่อนที่ไหนเขียนแบบนี้หากันเล่า ถ้าไม่ใช่ จดหมายเกี้ยวพาราสี ก็ต้องเป็นจดหมายระหว่างสามีภรรยาแล้ว รสสุคนธ์ยงั ไม่ทนั อ่านข้อความในจดหมาย ก็ตวัดสายตาไปมองบรรทัดสุดท้าย เสียก่อน รักเธอเสมอตราบจนชีวิตจะหาไม่ 22

นพ


ศศิภา

ลงท้ายด้วยถ้อยค�ำแสนหวานเกินกว่าค�ำว่าเพือ่ น รสสุคนธ์ถอื กระดาษใบนัน้ ด้วยมือที่สั่นระริก คิ้วบางขมวดเข้าหากันจนเป็นปม ขณะที่ดวงตากลมโตมีร่องรอย ของความสงสัยไม่แน่ใจและหวั่นกลัว ...พี่สาวของเธอท�ำผิดต่อท่านชายหรือเปล่าหนอ... ...โธ่... นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จดหมายฉบับนี้เป็นของพี่ชงจริงๆ หรือ หรือว่ามีใครจงใจเขียนมาแกล้งเธอ แล้วผูช้ ายทีช่ อื่ นพเป็นใครกันเล่า รูจ้ กั พีส่ าวของ เธอได้อย่างไร เขาคือผู้ชายที่ยืนลับๆ ล่อๆ คนนั้นหรือเปล่า... ค�ำถามมากมายยังคงค้างค้าในใจ และแม้จะเสียเวลาครุน่ คิดทัง้ คืนก็คงไม่อาจ หาค�ำตอบให้กระจ่างแก่ใจได้นั่นเอง

23


หนึ่งในหทัย

2

ร้อยโททรงกลด ปิตพิ ทั ธ์ พารถคันเก่งของตนเองผ่านประตูสขี าวออกสูถ่ นน สายเล็กซึง่ เมือ่ เลีย้ วซ้ายจะไปเชือ่ มกับถนนสายหลัก ขับมาได้สกั พักก็ไม่อาจเก็บความ สงสัยไว้ในหัวใจได้อีกต่อไป “คนนีห้ รือฝ่าบาททีเ่ ป็นน้องสาวของชงโค” เสียงทุม้ นุม่ ดังขึน้ จากคนทีน่ งั่ อยู่ หลังพวงมาลัย “ว่าอย่างไรเล่าฝ่าบาท” “แกอยากจะรู้ไปท�ำไม” “หม่อมขอตอบตามตรง” ตามปกติแล้วไม่ตอ้ งเอ่ยเช่นนัน้ หม่อมเจ้าเจตนิพฐิ ก็ทรงทราบดีว่าทรงกลดพร้อมที่จะเปิดอกคุยกับองค์เองในทุกเรื่อง “ว่ามาสิ ฟังอยู่” “หม่อมสนใจ” ทรงได้ยินชัดเจน หากกลับท�ำหูทวนลมไปเสียอย่างนั้น คนที่คิดว่าคงได้รับ ถ้อยค�ำเห็นดีเห็นงามด้วยนิ่งงันไปในทันใด “ไม่ได้หรือฝ่าบาท” “ไม่ได้อะไรเล่า ทรงกลด แกจะถามอะไรก็ถามให้ชัดเจนหน่อยไม่ได้หรือ” “คือหม่อมอยากทราบว่าหม่อมเกี้ยวเธอได้หรือเปล่า” ค�ำตอบที่ได้รับคือความเงียบงัน เพียงแค่นั้นทรงกลดก็พอจะรู้ได้เลาๆ แล้ว ว่าท่านชายเจตทรงไม่อนุญาต ไม่ใช่แค่ไม่อนุญาตเท่านัน้ แต่ทรงไม่เห็นด้วยเสียด้วยซ�ำ้ “หวงหรือฝ่าบาท” คราวนีค้ นทีน่ งั่ นิง่ เฉยมาตลอดทางขยับองค์อย่างอึดอัด ชวนให้นายทรงกลด ผู้รู้ ‘หทัย’ หม่อมเจ้าเจตนิพิฐมากกว่าใครนึกอยากแกล้งนัก “หวงจริงๆ หรือฝ่าบาท” “แกพูดอะไร ไร้สาระจริงทรงกลด” “โธ่... ก็ทรงท�ำเหมือนหวงจริงๆ นี่” แว่วเสียงหัวเราะจากร้อยโทหนุ่มผู้เป็นทั้งเพื่อนและน้องชายร่วมโลกท�ำให้ ท่านชายผูม้ กั ท�ำพักตร์เรียบเฉยแปรเปลีย่ นเป็นบึง้ ตึงทันควัน ขนงเข้มขมวดเข้าหากัน ส่งให้วงพักตร์ดุดันมากยิ่งขึ้น 24


ศศิภา

“ใช่ ฉันหวง... ฉันยอมรับ” ทรงกลดเกือบจะตะโกนออกมาอย่างสมใจแล้ว ก็พอดีว่าทรงขัดขึ้นมาเสียก่อน “ในฐานะที่ฉันเป็นผู้ปกครอง ฉันย่อมต้อง... หวง และ... ห่วง...” ทรงเน้นทั้งค�ำว่าหวงและห่วงอย่างชัดเจน “...เป็นธรรมดา มันไม่ใช่ เรื่องแปลกอะไรเลยไม่ใช่หรือ” ได้ยนิ ค�ำตอบแล้วร้อยโทหนุม่ อยากจะหัวร่อให้ฟนั หักกับการแก้องค์นำ�้ ขุน่ ๆ เช่นนี้ แต่ก็เอาเถอะ ในเมื่อไม่ทรงยอมรับ เขาก็จะไม่เซ้าซี้ ด้วยไม่อยากให้ท่านชาย ทรงหงุดหงิดจนท�ำให้การสังสรรค์ในวันนี้มีปัญหา “งั้นหม่อมขอแค่เป็นเพื่อนได้ไหมฝ่าบาท” คนถูกขอดูจะนิ่งไปครู่ใหญ่ทีเดียว จึงค่อยพยักพักตร์ “ได้ แต่ถ้าแกต้องการมากกว่านั้น รอให้เธอครบยี่สิบปีก่อน อีกสองปีรอได้ ไหมเล่าทรงกลด” คนที่เหมือนสิ้นหวังในตอนแรกกลับมามีความหวังทันควัน “เฮ้อ โล่งอก หม่อมนึกว่าต้องรอทั้งชีวิตเสียอีก” จากนัน้ จึงหัวเราะร่วน แล้วหันมาขยิบตาให้ทา่ นชายเสียหนึง่ ทีกอ่ นหันไปมอง ทางที่มีรถราวิ่งขวักไขว่ตามเดิม ฝ่ายท่านชายเจตนั้นทอดเนตรหน้าขาวจัดที่ไม่ได้เห็นมาสามปีเศษๆ อย่าง พิจารณา ทรงกลดย้ายจากส่วนกลางไปอยู่ส่วนภูมิภาค... ไกลถึงประจวบคีรีขันธ์ เพิง่ จะย้ายกลับมาประจ�ำการส่วนกลางเช่นเดิมก็เมือ่ อาทิตย์ทแี่ ล้วนีเ่ อง จากการไม่ได้ พบเห็นหน้ากันนานนั้น ท่านชายทรงไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรในตัวทรงกลดเลย แม้แต่น้อย ไม่ว่าจะรูปร่าง หน้าตา นิสัยใจคอยังเหมือนเมื่อก่อนไม่ผิดเพี้ยน ...เจ้าชู้ ขี้เล่น และร่าเริงอย่างไรก็ยังเหมือนเดิม ทรงถอนพระทัยยาวเมือ่ ย้อนนึกไปถึงเหตุการณ์เมือ่ ครูก่ อ่ นออกจากวัง นีถ่ า้ ไม่ประทับอยูด่ ว้ ยแล้วล่ะก็ นายทรงกลดหน้าขาวคงเร่งสานสัมพันธ์ให้รดุ หน้าไปไกล แล้วกระมัง ท่านชายเจตทรงนึกถึงวงหน้านวลแดงระเรื่อราวลูกต�ำลึง และดวงตา กลมโตวูบไหวคู่นั้นแล้วชวนให้คิดหนัก เพราะดูเหมือนคนที่พระองค์เฝ้าหวงห่วง มีใจปฏิพัทธ์ต่อทรงกลดไม่มากก็น้อย เอาเถอะ... ถ้าสองคนรักกันจริง พระองค์จะมีสิทธิ์ห้ามปรามกระไรได้ เท่าที่ ท�ำได้ระหว่างนีค้ อื คอยสังเกตดูแลอย่างใกล้ชดิ เท่านัน้ เมือ่ รสสุคนธ์ครบยีส่ บิ ปีเมือ่ ไร เธอก็มีสิทธิ์เลือกทางเดินชีวิตและเลือกคนรักได้ด้วยตัวเอง 25


หนึ่งในหทัย

จดหมายฉบับน้อยยังคงอยู่ในมือสาวน้อยร่างบาง ลมเย็นภายนอกพัดกรู ผ่านม่านผืนบางเข้ามาภายในกระทบเรือนกายที่นอนคว�่ำอยู่บนเตียงสี่เสาชวนให้ใจ สะท้าน รสสุคนธ์ตวัดสายตาจากค�ำลงท้ายขึน้ ไปอ่านบรรทัดแรกของจดหมายนัน้ อีกครา แล้วก็พบว่าตนเองไม่ได้อ่านผิดหรือตาฝาดไป ...ชงโค สุดที่รักของพี่... ประโยคนี้หญิงสาวอ่านทวนมาสามรอบจนแน่ใจว่าสายตาของตนเองไม่ ผิดเพี้ยนไปจึงเลื่อนอ่านบรรทัดต่อไป ลายมือเจ้าของจดหมายค่อนข้างลงหมึกหนัก ตวัดโย้เย้ไม่เป็นระเบียบ เรียกว่าอ่านยากพอดูส�ำหรับเธอ พีไ่ ม่ได้เขียนจดหมายหาเธอเลย เกือบเจ็ดเดือนแล้วสินะ เธอเป็นอย่างไรบ้าง เล่า คิดถึงพีเ่ หมือนทีพ่ คี่ ดิ ถึงเธอทุกลมหายใจเข้าออกหรือเปล่า หรือลืมนายนพรัตน์ คนนี้ไปแล้วจึงไม่มีข่าวคราวหรือจดหมายฝากนายอิทมาถึงพี่เลย รูอ้ ย่างหนึง่ แล้วว่านายคนทีเ่ ขียนจดหมายชือ่ นพรัตน์ และนายอิททีว่ า่ นัน้ คงเป็น ผู้ชายที่มายืนลับๆ ล่อๆ ตรงหน้าประตูเมื่อบ่ายนั่นเอง หญิงสาวเลื่อนสายตาอ่าน ประโยคต่อไป ลืมไปแล้วหรือกับความสุขใจในครัง้ นัน้ เมือ่ ครัง้ เราได้โอบกอดกัน พร�ำ่ ร�ำพัน ถึงความรักที่มีให้กันอย่างไม่รู้เบื่อ เธอลืมไปแล้วหรือยอดรัก แต่เอาเถอะ เธออาจจะงานยุ่ง หรือเกรงบารมีหม่อมเจ้าผู้สูงศักดิ์องค์นั้น พีใ่ ห้อภัยเธอได้เสมอ พีเ่ องก็ตอ้ งขอโทษทีไ่ ม่ได้ตดิ ต่อเธอเลยตลอดหกเดือน ขอบอก ตามตรง พี่กลัวเธอเป็นห่วงจึงไม่ได้ให้นายอิทไปแจ้งข่าวคราวกับเธอว่าพี่ประสบ อุบัติเหตุ รถที่พี่ขับเกิดยางแตกขึ้นมาด้วยเหตุอันใดไม่ทราบได้ พลิกคว�่ำไปสามสี่ ตลบ พี่บาดเจ็บสาหัสนอนอยู่ในห้องไอซียูเป็นเดือนๆ หกเดือนผ่านไปจึงฟื้นตัวและ กลับมาแข็งแรงดังเดิม รู้ไหมชงโค พี่ช่างโชคดีเหลือเกินที่รอดชีวิตมาได้ โชคดีที่พี่ยังมีชีวิตอยู่เพื่อ ที่จะเขียนจดหมายและได้พบเธออีกครั้ง 26


ศศิภา

ทีเ่ ชียงใหม่ อากาศหนาวเหน็บจนถึงกระดูกเทียวล่ะ ทางพระนครเป็นอย่างไร บ้างเล่า คิดถึงเธอเหลือเกินแม่ชงโคดอกงาม หวังว่าเธอจะรักและคิดถึงพี่เช่นกัน อ้อ มีข่าวดีจะบอก อีกสองอาทิตย์พี่จะเข้าพระนคร เราจะได้พบกันและมี ความสุขด้วยกันอีกครั้ง น้องน้อยของพี่ พีแ่ ทบจะทนให้ถงึ เวลานัน้ ไม่ไหวแล้ว สองอาทิตย์เท่านัน้ นะจ๊ะชงโค ได้โปรด มาพบพี่ที่เดิม ยอดรัก พี่จะคอยเธอที่นั่น... ที่ที่เป็นของเราสองคนเพียงเท่านั้น รักเธอเสมอตราบจนชีวิตจะหาไม่ นพ ไล่ตามตัวอักษรมาถึงค�ำว่านพ รสสุคนธ์กฟ็ บุ หน้าลงกับผ้าปูเตียงกลิน่ หอมกรุน่ ในทันใด ...เป็นความจริงล่ะหรือ พี่สาวของเธอติดต่อกับชายอื่น แถมยังแอบไปพร�่ำ พลอดรักอย่างไม่เกรงกลัวบาปกรรม ทั้งที่ท่านชายทรงดีเหลือคณา เหตุไฉนพี่ชง จึงนอกใจท่านได้... ...ท�ำไมหนอ... ท�ำไมพี่ชงถึงกล้าท�ำเรื่องน่าอับอายเช่นนี้ ท�ำไม... รสสุคนธ์เฝ้าถามตัวเองซ�ำ้ ไปซ�ำ้ มา หากก็ไม่มที างได้รบั ค�ำตอบอย่างทีต่ อ้ งการ เพราะคนที่ต้องตอบค�ำถามนั้นได้จากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันกลับเสียแล้ว นานพักใหญ่ทีเดียวกว่าเธอจะเงยหน้าขึ้น หยุดคร�่ำครวญหวนไห้ แล้วพับ จดหมายฉบับนั้นสอดไว้ในซองดังเดิม ก่อนจะเก็บไว้ในลิ้นชักข้างเตียง จากนั้น จึงหยิบหมอนใบใหญ่ขึ้นมาวางตั้งไว้แล้วเอนกายพิง ในมือมีหนังสือที่ท่านชายเจต ทรงประทานให้ หญิงสาวค่อยๆ เปิดอย่างเบามือ หากก็ยงั ไม่มสี มาธิจะอ่านต่อ จึงเอน ศีรษะพิงพนักหัวเตียงแล้วปล่อยให้ภาพดวงเนตรแสนดุของท่านชายวาบเข้ามา ในความคิด ...ทรงทราบหรือเปล่าว่าพี่ชงติดต่อและลอบพบปะกับชายอื่น โธ่... ทรง น่าสงสารนักเทียว รสสุคนธ์ผ่อนลมหายใจยาว พร้อมกับบอกตัวเองว่าจะสืบเรื่องนี้ให้รู้ความ และให้กระจ่างชัดแก่ใจ ไม่วา่ จะเป็นเรือ่ งจริงหรือเพียงเรือ่ งเข้าใจผิด เธอก็ยอมรับได้ ทั้งนั้น ขอเพียง... อย่าให้ท่านชายทรงทราบเป็นพอ 27


หนึ่งในหทัย

ตกเย็นรสสุคนธ์ตอ้ งรับประทานอาหารเพียงล�ำพังเมือ่ ท่านหญิงนวลแขเสด็จ ไปพบปะสมาคมกับเพื่อนๆ ที่วังอื่นและคงจะค้างที่นั่นสักหนึ่งคืน ส่วนหม่อมเจ้า เจตนิพฐิ นัน้ ยังไม่เสด็จกลับ วันนีท้ โี่ ต๊ะอาหารจึงค่อนข้างเงียบกว่าปกติ กอปรกับเรือ่ งราว น่าหนักใจที่ตนเองเพิ่งได้รับรู้มาท�ำให้หญิงสาวรับประทานไม่ได้มากนัก เพียงไม่นานเจ้าตัวก็วางช้อน ดื่มน�้ำตามอึกใหญ่ ก่อนผละจากห้องอาหาร เดินกลับขึ้นห้องของตัวเอง ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีก็อาบน�้ำเสร็จสรรพ กลับมานั่งบน เตียงในชุดนอนตัวหลวมแขนยาวสีขาวมีระบายตรงปลายแขนอย่างน่ารัก ผมด�ำขลับ หยักเป็นลอนสยายเต็มกลางหลัง รสสุคนธ์หยิบหนังสือทีว่ างบนเตียงขึน้ มาเปิด พลิกอ่านไปเพียงแค่หน้าเดียว ความกลัดกลุ้มทั้งหมดก็แทบเลือนหายเป็นปลิดทิ้ง หญิงสาวหลงวนอยู่ในตัวอักษรและเรื่องราวอันงดงาม นานเท่าใดก็สุดรู้ จนกระทั่งได้ยินเสียงเครื่องยนต์หน้าตึก จึงเงยหน้าขึ้น ก้าวลงจากเตียง โผเข้าไป เกาะหน้าต่าง ท�ำตัวเหมือนสาวน้อยอยากรู้อยากเห็นแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่ารถที่เข้ามา ในวังนั้นเป็นของใครก็ตาม หญิงสาวชะแง้แลมองไปเบือ้ งล่าง ก็เห็นชายทีช่ อื่ ทรงกลดยกมือไหว้หม่อมเจ้า เจตนิพิฐ ก่อนจะผลุบหายเข้าไปในรถแล้วขับออกไปอย่างว่องไว ส่วนท่านชายนั้น เหมือนจะเดินส�ำรวจตรวจตราความเรียบร้อยตรงประตูใหญ่ สัง่ ความอะไรกับนายเติบ อยู่พักหนึ่งจึงเดินกลับมา ยังไม่ทันได้เดินขึ้นตึกก็ทรงเงยพักตร์ขึ้นมา... ตั้งพระทัย จะทอดเนตรท้องนภายามค�่ำคืนหรือไรไม่ทราบได้ หากที่ทรงเห็นมิใช่ดวงดาราหรือ ดวงจันทร์ แต่เป็นรสสุคนธ์ที่รีบก้มตัวนั่งหลบในบัดดล พันตรีหม่อมเจ้าเจตนิพิฐนิ่งอึ้งไปเมื่อพบว่าเจ้าของห้องที่ทรงตั้งพระทัยว่า จะทอดเนตรดูความเรียบร้อยและดูว่าปิดไฟนอนหลับหรือยังยืนแอบดูพระองค์อยู่ จริงๆ ก็ไม่แน่พระทัยนักว่ารสสุคนธ์ต้องการดูพระองค์หรือทรงกลดกันแน่ ดูเหมือนเธอคงมีใจปฏิพัทธ์ต่อเจ้ากลดแน่แล้ว... ท่านชายยังคงทรงยืนนิ่ง แหงนเงยหน้ามองหน้าต่างห้องที่ยังเปิดไฟสว่างจ้า อยู่อีกครู่ใหญ่ จึงสาวบาทเข้าตึกไป ฝ่ายเจ้าของห้องที่ถูกจับได้นั่งยองๆ กับพื้น ยกมือตีหน้าผากตัวเองอย่าง ไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก แก้มนวลแดงระเรื่อราวลูกสตรอว์เบอร์รีสีสด ใจรึก็เต้น โครมครามอย่างอับอายขายหน้า 28


ศศิภา

...บ้าจริงเทียว... โดนจับได้ว่าแอบดูแบบนี้ แล้วจากนี้เธอจะมีหน้าไปพบ พักตร์ท่านได้อย่างไรเล่า... คนตัวเล็กนั่งอยู่เช่นนั้นเกือบสิบนาที จนพอจะสงบจิตสงบใจได้แล้วนั่นล่ะ จึงยืนขึ้น เดินไปปิดไฟแล้วกลับมาล้มตัวลงนอน หมดความรู้สึกอยากอ่านนิยาย เพียงเท่านั้น ค�่ำคืนนั้นรสสุคนธ์ฝัน ไม่รู้ว่าเป็นฝันดีหรือฝันร้าย หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่น ส่ายหน้าไปมาบนหมอนสีขาวใบใหญ่ ในเมฆหมอกหนาทึบที่แทบมองไม่เห็นทางนัน้ หญิงสาวรู้สึกเหมือนตัวเองเหนื่อยหอบ วิ่งไปทางนู้นทีทางนี้ทีอย่างหาทางออกไม่ได้ นานนับชั่วโมงเลยกระมังกว่าจะเห็นเงาตะคุ่มๆ ของใครบางคน รสสุคนธ์ไม่รอช้าโผเข้าหาใครคนนั้นทันที แล้วก็ต้องตะลึงงันเมื่อคนคนนั้น คือพี่สาวของเธอเอง ‘พีช่ ง! พีช่ งจริงๆ ด้วย!’ ร่างเล็กโผเข้าหาพีส่ าว ใช้สองแขนโอบกอดแนบแน่น อย่างดีใจเป็นนักหนา ‘รสคิดถึงพี่ชง คิดถึงแม่ คิดถึงพ่อ จริงสิ แม่กับพ่อล่ะคะ’ หญิงสาวผละออกห่าง พลางกวาดสายตามองโดยรอบ หากก็ตอ้ งตีหน้าเศร้า เมื่อไม่พบเงาของใครเลย ‘พ่อกับแม่ไม่ได้อยูก่ บั พีด่ อก’ ชงโคยกมือลูบศีรษะน้องสาวอันเป็นทีร่ กั อย่าง แผ่วเบา ‘พีต่ ดิ อยูท่ นี่ คี่ นเดียว หลายเดือนแล้วทีพ่ ไี่ ปไหนไม่ได้เลย พีพ่ ยายามหาทาง ติดต่อเราอยู่นานเทียว จนในที่สุดก็ได้พบ...’ ชงโคแย้มริมฝีปากออกเล็กน้อย ‘รสสุคนธ์ พี่มีเรื่องฝากฝังน้อง’ ‘เรื่องอะไรคะ’ คนถูกถามละมือจากศีรษะทุยสวย เลื่อนลงมาจับคางมน ‘ดูแลท่านชายแทนพี่ด้วย’ น�้ำตาเม็ดโตหยาดหยดลงมาจากดวงตากลมโตงดงามไม่แพ้คนเป็นน้อง ‘พี่ท�ำผิดต่อท่านมาก รสต้องดีกับท่าน รับใช้ท่าน ไม่ว่าท่านต้องการอะไร รสต้องท�ำนะ เพื่อพี่... เพื่อชดใช้ความผิดบาปที่พี่ได้ท�ำไว้ ถือว่าช่วยพี่เถิดน้องรัก ไม่เช่นนั้นพี่คงไม่อาจละทิ้งความห่วงนี้ไปได้’ เรือนกายระหงบอบบางค่อยๆ เลือนหายทีละน้อยๆ รสสุคนธ์มองอย่าง ตื่นตะลึง เอื้อมมือไปคว้ามือพี่สาว ก�ำไว้แน่นราวกับการกระท�ำเช่นนั้นจะช่วยให้ อีกฝ่ายไม่จางหายไปต่อหน้าต่อตา 29


หนึ่งในหทัย

‘จ�ำไว้นะรสสุคนธ์ ท�ำให้ทา่ นมีความสุขทีส่ ดุ นีค่ อื ค�ำร้องขอครัง้ สุดท้ายจากพี’่ ร่างทั้งร่างหายวับไปพร้อมกับเสียงเอื้อนเอ่ยเจือสะอื้น ‘ช่วยพี่นะรส’ สิ้นเสียงนั้นหญิงสาวก็สะดุ้งตื่น ลุกพรวดพราดขึ้นมานั่งหายใจหอบแรง ดวงตากลมโตเบิกกว้าง เหงือ่ ชืน้ เต็มหลังแม้ลมหนาวภายนอกจะพัดกรูเข้ามาอย่างไม่ ลดละก็ตาม “พี่ชง” หญิงสาวพึมพ�ำกับตัวเอง พร้อมกับยกมือทาบอกสัมผัสหัวใจที่เต้น แรงเร็วคล้ายกับจะปะทุออกมานอกอกนั้น เพียงไม่กี่นาทีที่อยู่ในความมืดและความ เงียบงัน เสียงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น... เป็นเสียงที่รสสุคนธ์เริ่มคุ้นชินเสียแล้ว “รส... รสสุคนธ์” ตามมาด้วยเสียงเคาะประตูหนักและรัวเร็วอย่างร้อนใจ “รสสุคนธ์ เปิดประตูหน่อย เป็นอะไรหรือเปล่า” ร่างเล็กสูดลมหายใจเข้าปอด ยกมือลูบหน้าก่อนก้าวลงจากเตียง ตรงไปยัง ประตู ไขกลอนประตูแล้วเปิดประตูบานสีขาวออกทั้งสองบาน “เพคะ” รูปเงาของท่านชายเจตแม้อยู่ในเงามือก็ยังคงสง่างาม... งามอย่างหาที่ติมิได้ “เป็นอะไร ได้ยนิ เสียงร้องดังลัน่ เลยรีบมาดู” ด้านหลังเป็นแม่วาดทีด่ รู อ้ นอก ร้อนใจไม่แพ้กัน “แค่ฝันร้ายเพคะ” หญิงสาวเอ่ย ก่อนยกมือพนมก้มศีรษะไหว้อย่างงดงาม “ขอบพระคุณที่เป็นห่วงเพคะ” คนเป็นห่วงยังคงยืนนิง่ กวาดเนตรส�ำรวจคนตรงหน้าตัง้ แต่ศรี ษะจดปลายเท้า รสสุคนธ์ไม่รสู้ กึ ว่าท่านชายทรงดูถกู เหยียดหยามเหมือนสาวเย่อหยิง่ พวกนัน้ มองเธอ ด้วยรู้ดีว่าสายเนตรของท่านนั้นเต็มไปด้วยความห่วงใยปานใด หญิงสาวเต็มตื้นใน หัวใจมากนัก หากความรู้สึกนี้ก็ไม่สามารถบรรเทาแรงเต้นของหัวใจและความร้อน วูบวาบไปทั้งกายอย่างน่าประหลาดได้แม้แต่นิดเดียว “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” ในที่สุดก็รับสั่งท�ำลายความเงียบอันน่าอึดอัดนั้น “หิวน�้ำไหม” “ไม่เพคะ” ทรงพยักพักตร์ ก่อนเหลือบเนตรไปทางด้านหลัง “ฉันจะให้แม่วาดเฝ้าอยูห่ น้าห้อง ต้องการอะไรก็บอกแม่วาดแล้วกัน” ตรัสจบ ก็ท�ำท่าว่าจะผละจากไป หากบาทที่ก้าวออกไปกลับชะงักอยู่เช่นนั้น 30


ศศิภา

“มีอะไรจะรับสั่งอีกหรือเพคะ” เห็นอีกฝ่ายทรงยืนนิ่งจึงตัดสินใจเอ่ยถาม ออกไป ท่านชายเจตทรงผินพักตร์กลับมา ขนงขมวดเข้าหากันเพียงน้อยก่อนรับสั่ง “เธอ... กลัวไหม” ได้ยินค�ำถามแล้ว รสสุคนธ์อยากแย้มยิ้มออกมานัก แต่ก็ยับยั้งตัวเองไว้ได้ หญิงสาวเม้มริมฝีปากเล็กน้อยก่อนตอบ “ไม่เพคะ” “ดี” รับสั่งสั้นเพียงค�ำเดียวจึงสาวบาทจากไป ทิ้งให้รสสุคนธ์มองตามด้วย ความรู้สึกแปร่งแปลกในหัวใจ รสสุคนธ์รอกระทัง่ ท่านชายเสด็จไปยังอีกฟากหนึง่ ของตึกอันเป็นห้องบรรทม ของท่านจึงระบายลมหายใจออกมาแผ่วเบา ดูเถิด... ห้องของท่านไกลถึงเพียงนั้นยัง สู้อุตส่าห์มาเคาะประตูห้องเธอ ถามไถ่อย่างเป็นห่วง พระทัยดีเช่นนี้ เหตุใดพี่ชงโค ของเธอจึงคิดนอกใจท่านหนอ หญิงสาวครุ่นคิดอย่างกลัดกลุ้ม ใบหน้าที่ดูเปี่ยมสุข เมื่อครู่กลายเป็นสลดลงทันควัน “ยังกังวลเรื่องฝันอยู่หรือเจ้าคะ” เสียงของแม่วาดซึง่ นัง่ พับเพียบอยูต่ รงหน้าปลุกให้เธอตืน่ จากภวังค์ รสสุคนธ์ ปรับสีหน้าให้ดูดีขึ้นอีกนิด ก่อนโปรยยิ้ม “ป้าไม่ต้องมาเฝ้ารสก็ได้นะคะ รสแค่ฝันเท่านั้น เดี๋ยวก็จะเข้านอนแล้วค่ะ” แม่วาดส่ายหน้าแข็งขัน “ไม่ได้ดอกเจ้าค่ะ เป็นค�ำสั่งของท่านชาย ป้าต้องท�ำตามเจ้าค่ะ” ก็จริงอย่างทีแ่ ม่วาดเอ่ย ถ้อยรับสัง่ ของหม่อมเจ้าเจตนิพฐิ ไม่ใช่สงิ่ ทีเ่ พิกเฉยได้ หน�ำซ�ำ้ ยิง่ ไม่ควรขัดค�ำสัง่ ด้วยซ�ำ้ ไป รสสุคนธ์พยักหน้า ไม่เอ่ยอะไรอีก ถอยหลังกลับ เข้าห้องของตน จากนั้นจึงปิดประตูลงกลอนจนเรียบร้อย ความฝันอันแสนประหลาดกับจังหวะการเต้นของหัวใจที่ผิดแผกไปท�ำให้ สาวน้อยไม่อาจข่มตาหลับได้ จึงตัดสินใจเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟตรงโต๊ะข้างเตียง ก่อนจะหยิบจดหมายฉบับนั้นออกมาอ่านอีกครา ในความฝันหญิงสาวจ�ำได้แม่นย�ำทุกค�ำพูดของชงโค ทุกรายละเอียดทีบ่ ง่ ชัด ว่าผู้เป็นพี่สาวนอกใจสามีของตนเองจริงๆ 31


หนึ่งในหทัย

“โธ่... พี่ชง” เจ้าตัวร�ำพันพร้อมกับถอนใจยาว นึกไม่ออกเลยว่าอะไรคือ สาเหตุทที่ ำ� ให้ชงโคนอกใจท่านชายเจตผูด้ แี สนดีได้ จริงอยูท่ ที่ า่ นทรงเคร่งขรึม จริงจัง ไปเสียทุกเรื่อง แถมยังทรงดุจนท�ำให้เธอหวั่นเกรงก็ตาม หากความมีพระทัยดี น�้ำพระทัยงามของท่านท�ำให้เธอลืมเลือนเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไปเสียหมดสิ้น ดูอย่างคืนนีส้ ิ แค่คนอาศัยกรีดร้องเพราะฝันร้าย ท่านถึงกับเสด็จมาหาด้วย องค์เอง อีกทั้งค�ำถามนั้นอีกเล่า ‘เธอ... กลัวไหม’ มันไม่ใช่ค�ำหวานไพเราะเสนาะหูใดๆ เลย แต่ท�ำให้หัวใจของเธอเต้นด้วย จังหวะแปลกๆ พิกล หน�ำซ�้ำร่างกายของเธอก็ร้อนวูบวาบขึ้นมาราวจับไข้ พอพ้น ความรู้สึกนั้นไปแล้ว หัวใจดวงน้อยก็อิ่มเอิบซาบซ่านเมื่อสัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่ ซ่อนอยู่ในสุรเสียงเรียบเฉย รสสุคนธ์อดยิ้มกับตัวเองไม่ได้ หญิงสาวหยิบหมอนขึ้นมากอด ฝังใบหน้า ตนเองลงบนนั้นแล้วหัวเราะเบาๆ เมื่อรู้สึกว่าตนเองใกล้จะเสียสติเสียแล้ว ...จูๆ่ ก็เศร้า แล้วเปลีย่ นเป็นยิม้ สุดท้ายก็หวั เราะอย่างไม่มเี หตุผล ท่าจะบ้า ไปแล้วล่ะมัง รสสุคนธ์... นานเป็นนาทีกว่าเจ้าตัวจะเงยหน้าจากหมอนใบใหญ่ ก่อนจะตั้งใจอ่านทวน ข้อความในจดหมายฉบับนั้นอีกครั้ง อ่านจบแล้วก็ให้อยากรู้นักว่า... ที่ที่เป็นของเรา เพียงสองคนเท่านั้น... คือสถานที่ใด พลันที่ถามตัวเอง ค�ำตอบก็มาจดจ่ออยู่บนริมฝีปาก ...ก็นายอิทไงเล่า... ผูช้ ายคนนัน้ น่าจะเป็นคนทีพ่ าชงโคไปพบนายนพรัตน์นนั่ เป็นแน่แท้... ทว่า... เมื่อไรที่เขาจะปรากฏกายให้เห็นอีกครา และเมื่อใดที่เธอจะได้พบปะ พูดคุยและซักถามข้อสงสัยให้กระจ่างแก่ใจกันเล่า รสสุคนธ์กดั ริมฝีปากเบาๆ ครุน่ คิด อย่างหนัก ...บางทีเขาอาจจะมาด้อมๆ มองๆ หน้าประตูเวลาเดียวกันนี้ทุกวันก็เป็นได้ เธอคงต้องจับตามองทุกวันเสียแล้วกระมัง รสสุคนธ์เหลือบมองนาฬิกาไม้ขา้ งฝาก็พบ ว่าเวลาล่วงเลยมาจนตีสองแล้ว จึงบอกตัวเองให้ข่มตาหลับให้ได้ เนื่องเพราะพรุ่งนี้ เธอมีเรียนเช้า หากไม่ยอมนอนเช่นนี้คงเรียนไม่รู้เรื่องเป็นแน่แท้ คิดได้ดังนั้นเจ้าตัว ก็เก็บจดหมายไว้ทเี่ ดิม ปิดโคมไฟ แล้วเอนกายลงนอน ข่มตาอยูส่ กั พัก ลมทีพ่ ดั โชย ผ่านม่านผืนบางช่วยขับกล่อมให้เธอผ่อนคลายและหลับสนิทลงได้ไม่ยากนัก 32


ศศิภา

เช้าตรู่วันถัดมา ตรงโต๊ะตัวยาวในห้องรับประทานอาหาร มีใครคนหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่สมาชิกของวังนี้ร่วมโต๊ะอยู่ด้วย เพียงเธอก้าวพ้นประตูห้องเข้ามา รอยยิ้ม กระจ่างสดใสก็ปรากฏแก่สายตา เขาไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นชายหนุ่มที่เธอเดินชน เมื่อวานนั่นเอง ทรงกลดนัง่ ทางด้านซ้ายของพันตรีหม่อมเจ้าเจตนิพฐิ ซึง่ สวมชุดทหารสีเขียว แก่ มีที่คาดหนังสีน�้ำตาลพาดเฉียงเชื่อมกับเข็มขัดหนังสีน�้ำตาลที่รัดรอบบั้นพระองค์ รสสุคนธ์ยกมือไหว้ท่านชาย ก่อนจะหันไปทางชายอีกคนบนโต๊ะ ตอนนั้นเองเธอเพิ่ง สังเกตว่าเขาสวมชุดทหารแบบเดียวกับท่านชายไม่ผดิ เพีย้ น หากยศอะไรนัน้ เธอก็ไม่ แน่ใจเท่าไรนัก “สวัสดีครับคุณรส” เริม่ ต้นรูจ้ กั กันวันทีส่ อง ทรงกลดก็เรียกเธออย่างสนิทสนม เสียแล้ว รสสุคนธ์อดคิดไม่ได้วา่ ผูช้ ายคนนีค้ งคล่องแคล่วไปเสียทุกเรือ่ ง โดยเฉพาะ เรื่องผู้หญิง ร่างเล็กทรุดกายลงนัง่ ทางขวาของท่านชายเจต คางเชิดเล็กน้อย หลังไหล่ตรง แลดูสง่า หม่อมเจ้านวลแขทรงสอนให้เธอนัง่ เช่นนีเ้ กือบหกเดือน มาบัดนีเ้ ธอสามารถ นั่งโดยไม่ขัดเขินหรือรู้สึกเมื่อยแต่อย่างใดแล้ว “สวัสดีค่ะ” นั่งเรียบร้อยแล้วนั่นล่ะ เธอจึงเอ่ยทัก “เช้านี้ผมขอร่วมโต๊ะด้วยนะครับ” รสสุคนธ์ไม่เอ่ยอะไรเพียงแต่ส่งยิ้มไปให้ แค่นั้นยังเสียวสันหลังวาบ เพราะ เนตรคมดุที่จ้องเขม็งราวกับเธอกระท�ำความผิดอะไรสักอย่างก็ไม่ปาน โธ่... แค่พูดคุยฉันเพื่อนก็ไม่ได้เทียวหรือ เจ้าตัวอดค่อนขอดในใจไม่ได้ หากก็ยังท�ำสีหน้าเป็นปกติเฉกเดิม “คุณรสคงไม่ว่าอะไรนะครับ” คนถูกถามเหลือบมองคนที่ประทับตรงหัวโต๊ะ เห็นท่านชายก�ำลังสนพระทัย กับข้าวต้มทรงเครือ่ งร้อนกรุน่ ตรงหน้าจึงค่อยโล่งอกโล่งใจลดความเกร็งลงไปได้บา้ ง เล็กน้อย “ฉันจะไปว่าอะไรได้ล่ะคะ” “แสดงว่าคุณยินดีถ้าผมจะมาขอทานข้าวที่นี่ทุกวัน” คราวนี้รสสุคนธ์เลิกคิ้วน้อยๆ ไม่แน่ใจว่าควรตอบว่ากระไรดี หากการ นิ่งเฉยก็ถือเป็นการเสียมารยาทอย่างไม่ต้องสงสัย เจ้าตัวคิดหน้าคิดหลังอยู่ครู่หนึ่ง จึงตัดสินใจตอบ 33


หนึ่งในหทัย

“ฉันเป็นเพียงแค่คนอาศัย ไม่มีสิทธิ์มีเสียงอนุญาตหรือไม่อนุญาตใครได้ ดอกค่ะ ถ้าคุณอยากมา คงต้องถามเจ้าของวังแล้วล่ะ” สิ้นเสียงนั้น ทรงกลดก็หัวเราะเบาๆ ในล�ำคอ ก่อนหันไปมองเจ้าของวัง “ว่าอย่างไรฝ่าบาท” หัตถ์ที่ก�ำลังยกช้อนซึ่งบรรจุข้าวต้มร้อนๆ ชะงักค้างอยู่ชั่ววินาที “ว่าอะไรอย่างไรเล่าทรงกลด” หม่อมเจ้าเจตนิพิฐทรงท�ำเหมือนไม่ได้ยิน บทสนทนาระหว่างร้อยโทหนุ่มกับเด็กในปกครองอย่างไรอย่างนั้น “โธ่ อะไรกัน ทรงไม่ได้ฟังที่หม่อมคุยกับคุณรสเลยหรือ” “เรือ่ งสลักส�ำคัญมากถึงขนาดฉันต้องตัง้ ใจฟังขนาดนัน้ เทียว” โดนสวนกลับ เช่นนั้น ทรงกลดก็ถอนหายใจเฮือก ตัดสินใจสรุปความเอาเองเสร็จสรรพ “ไม่รู้ล่ะ ใครจะอนุญาตหรือไม่อนุญาต ผมก็จะมา... มาทุกวันด้วย” ค�ำหลังเน้นหนักชัดเจนชวนให้รสสุคนธ์รอ้ นๆ หนาวๆ ราวจับไข้ เกรงเหลือเกิน ว่าจะโดนเรียกตัวไปดุอกี เค้าลางสิง่ ทีเ่ ธอกลัวดูเหมือนจะเป็นจริงเมือ่ ท่านชายทรงวาง ช้อนในหัตถ์ ยกน�้ำขึ้นดื่ม จริงๆ ควรเรียกว่าจิบมากกว่า จากนั้นก็ทรงยืน พร้อมกับ เอื้อมหัตถ์ไปจับคอเสื้อด้านหลังของทรงกลด ออกแรงกระชากจนคนที่ก�ำลังอ้าปาก จะรับประทานข้าวต้มแสนอร่อยต้องวางช้อนลงอย่างเสียดาย “ไปได้แล้ว วันนี้มีประชุมเช้า” คนทีถ่ กู บังคับให้ยนื ขมวดคิว้ มุน่ บ่นพึมพ�ำไม่ได้ศพั ท์ พลางยกนาฬิกาข้อมือ ขึ้นดูเวลา ก่อนจะโอดครวญอย่างไม่เกรงบารมีของท่านชายเจตเลยสักนิด “อีกตั้งชั่วโมงครึ่ง จะทรงรีบไปไหนเล่าฝ่าบาท” “ไม่ต้องพูดมาก... ไปได้แล้ว” หม่อมเจ้าเจตนิพิฐทรงผลักอีกฝ่ายไปทาง ประตู จากนั้นจึงผินพักตร์มามองคนที่นั่งนิ่งอึ้งอยู่บนโต๊ะ “วันนี้ฉันให้นายเติบไปส่ง เธอนะ รสสุคนธ์” “เพคะ” “แต่ตั้งแต่พรุ่งนี้ ฉันจะไปส่งและไปรับเธอเอง” “คะ? อะไรนะเพคะ” คนตัวเล็กอ้าปากค้าง งุนงงเล็กน้อยด้วยไม่คิดว่า ท่านชายเจตจะพระทัยดีถึงขนาดขับรถไปส่งเธอด้วยองค์เอง “เธอได้ยินชัดเจนแล้ว รสสุคนธ์” ไม่ยอมรับสั่งซ�้ำ แถมยังแทบกระชากร่าง ทีผ่ อมบางและเตีย้ กว่าให้เดินตามออกไปด้วย ถึงกระนัน้ ทรงกลดก็ยงั ไม่วายเกาะกอด ขอบประตูไว้แล้วเอ่ยส่งท้าย 34


ศศิภา

“เย็นนี้ผมไปรับที่มหาวิทยาลัยนะครับ” ฝากฝังรอยยิม้ เบิกบาน พร้อมขยิบตาให้เสียหนึง่ ทีกอ่ นจากไป ทิง้ ให้รสสุคนธ์ นั่งเดียวดายภายในห้องขนาดใหญ่ นึกอิ่มขึ้นมาเสียเฉยๆ จึงหยิบกระเป๋าถือที่วาง ตรงเก้าอี้ตัวข้างๆ ขึ้นมาสะพาย พร้อมกับหอบหนังสือสามสี่เล่มซึ่งวางบนโต๊ะขึ้นมา กอดแล้วลุกขึ้นยืน “เก็บไปเถอะจ้ะ ฉันไม่หิวเท่าไร” บอกเด็กรับใช้คนหนึ่งจึงสาวเท้าก้าวออก จากห้องนัน้ เดินดุม่ ลงบันได พอออกมาหน้าตึก ไม่ตอ้ งเสียเวลาร้องเรียกนายเติบเลย เมื่อชายคนนั้นมายืนรอรับใช้พร้อมยิ้มกว้างๆ “เชิญครับคุณรส” รสสุคนธ์ยิ้มให้อีกฝ่าย ก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่งทางด้านหลัง ทอดสายตามอง ทิวทัศน์ด้านนอกจนกระทั่งถึงมหาวิทยาลัย ตกเย็น รสสุคนธ์มายืนรอที่ต้นจามจุรีเช่นทุกวัน โดยคนที่มารับ ถ้าไม่ใช่ นายเติบก็เป็นนายชด บางครั้งก็เป็นท่านชายเจตเอง หากก็เพียงสองสามครั้งเท่านั้น ทว่าเมือ่ เช้าท่านชายทรงรับสัง่ ว่าจะคอยรับส่งเธอด้วยองค์เอง รสสุคนธ์นกึ ขันนัก ท่าน จะมีเวลาว่างมากขนาดนั้นเทียวหรือ ร่างเล็กส่ายหน้ากับตัวเองก่อนทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ นึกย้อนไปถึง เหตุการณ์เมื่อหกเดือนก่อน ใครจะนึกว่าที่นี่ในวันวานนั้นเป็นที่ที่เธอต้องรับฟัง ข่าวร้ายที่สุดในชีวิต รสสุคนธ์จ�ำได้ว่าตนเองถึงกับเป็นลมล้มพับไปแทบจะในทันทีที่ ได้ยินข่าวร้ายจากโอษฐ์ของท่านชาย ‘พ่อของเธอ แม่ของเธอ และชงโค พี่ของเธอเสียชีวิตแล้ว’ ลมพัดโชยกระหน�่ำพร้อมเมฆด�ำทะมึนบดบังแสงตะวันเจิดจ้าไปเสียสิ้น เป็นเวลาเดียวกับที่ความมืดเข้าครอบง�ำความคิดและจิตใจของเธอ หญิงสาวหลงวน อยูใ่ นนัน้ นานเท่าใดก็สดุ รู้ มารูส้ กึ ตัวอีกทีกต็ อนทีถ่ กู อุม้ แนบอุระและก�ำลังจะถูกวาง ลงบนเตียงสี่เสารายล้อมด้วยผ้าม่านสีขาวโปร่งบางนั่นล่ะ ตอนนั้นเธอสะดุ้งสุดตัวเลยทีเดียว หากเมื่อเห็นเต็มตาว่าคนที่อุ้มเธออยู่คือ หม่อมเจ้าเจตนิพิฐ ความกลัวก็แปรเปลี่ยนเป็นความโศกเศร้าที่เข้ามาเกาะกุมหัวใจ แทน หญิงสาวไม่นกึ อายเลยทีซ่ กุ ซบใบหน้าลงบนอุระของพระองค์แล้วร�ำ่ ไห้หนักหน่วง ท่านชายเองก็ทรงพระทัยดีอย่างหาทีเ่ ปรียบมิได้ ยอมอุม้ เธอนานหลายนาที รอจนเธอ สงบนั่นล่ะ จึงค่อยๆ วางตัวเธอลงบนเตียง 35


หนึ่งในหทัย

มารู้ทีหลังจากปากของแม่วาดว่าเตียงนั้นเป็นเตียงของท่านชาย และห้องนั้น ก็เป็นห้องบรรทมของท่านอีกด้วย นึกอับอายขัดเขินที่ยึดไว้เป็นที่นอนอย่างสบาย แถมยังซุกซบใบหน้าลงบนหมอนปล่อยน�ำ้ ตาน�ำ้ มูกรินไหลเปรอะเปือ้ นไปหมด กระทัง่ บัดนี้รสสุคนธ์ยังอายไม่หายเลย ความคิดของเธอหยุดชะงักลงเพียงแค่นั้นเมื่อรถคุ้นตาคันหนึ่งแล่นเข้ามา จอดตรงหน้า ไม่ใช่รถคันใดคันหนึง่ ของวังดิลบุตร แต่เป็นรถกลางเก่ากลางใหม่ของ ทรงกลดนั่นเอง ไม่ต้องเสียเวลาเดารสสุคนธ์ก็รู้ว่าคนที่ก�ำลังจะก้าวลงจากรถคือใคร หญิงสาวเห็นรอยยิม้ กว้างทัง้ ปากทัง้ ตามาแต่ไกล อดชืน่ ชมไม่ได้วา่ ผูช้ ายคนนี้ ช่างสดใสร่าเริงเสียจริง ท่าทางการพูดคุย การใช้สายตา และการแสดงออกของเขา ต่างจากหม่อมเจ้าเจตนิพิฐอย่างสิ้นเชิง แต่ถึงจะต่างกันเพียงไร ทั้งสองต่างก็มีเสน่ห์ เปล่งประกายเจิดจ้าไม่แพ้กัน ท่านชายเจตนั้น รสสุคนธ์เชื่อว่าไม่ว่าสตรีคนใดเมื่อได้พบเจอท่านจะต้อง ประทับใจในความสง่างามผึง่ ผาย และอยากค้นหาความลึกลับในดวงเนตรสีดำ� สนิท เป็นแน่แท้ ส่วนทรงกลดผู้นี้ เสน่ห์ของเขาอยู่ที่ความร่าเริง เป็นมิตร และดูขี้เล่นเล็กๆ แววตาพราวระยับคู่นั้นคงท�ำให้สตรีหลายคนหลอมละลายมาแล้วกระมัง “สวัสดีค่ะคุณทรงกลด” รสสุคนธ์ลุกขึ้นยืนแล้วยกมือไหว้อย่างมีมารยาท ฝ่ายนั้นรับไหว้ด้วยรอยยิ้มก่อนโผเข้ามาทรุดกายนั่งฝั่งตรงข้าม “ผมมารับครับคุณรส” ร่างเล็กทรุดกายลงนั่งที่เดิม อดขมวดคิ้วอย่างนึก สงสัยไม่ได้ว่าเหตุไฉนท่านชายเจตจึงยอมให้ชายหนุ่มมารับเธอถึงมหาวิทยาลัยได้ “แล้วท่านชายล่ะคะ” “ทรงคุยธุระกับท่านนายพลอยู่น่ะครับ คงอีกนานกว่าจะเสร็จ ผมเลยอาสา มารับคุณแทน แล้วก็เผ่นแน่บออกมานี่ล่ะครับ” รสสุคนธ์อดหัวเราะน้อยๆ ไม่ได้ ไม่นกึ เลยว่าบนโลกใบนีย้ งั คงมีใครคนหนึง่ ที่ท�ำราวกับไม่เกรงกลัวบารมีของพันตรีหม่อมเจ้าเจตนิพิฐเลยแม้แต่น้อย “คุณรสข�ำอะไรครับ” “ข�ำคุณน่ะสิคะ” “หือ? ข�ำเรื่อง?” ทรงกลดวางแขนลงบนโต๊ะ แล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ดวงตา สีน�้ำตาลเข้มสงสัยใคร่รู้อย่างจริงจัง หากก็ยังมีแววซุกซนขี้เล่นอยู่ภายใน 36


ศศิภา

“ข�ำที่คุณกล้าไปเสียทุกเรื่อง ไม่กลัวท่านชายกริ้วหรือคะ” ค�ำตอบที่ได้รับคือเสียงหัวเราะก้องกังวาน “เรื่องแค่นี้ ท่านไม่กริ้วดอกครับ... หรือถ้าท่านเกิดกริ้วขึ้นมา รอสักสอง สามวัน ท่านก็ลืมเรื่องนี้ไปแล้วล่ะครับคุณรส... ดูคุณรสออกจะกลัวๆ ท่าน เคย ถูกกริ้วหรือครับ” คนถูกถามกัดริมฝีปากด้านใน ขมวดคิ้วบางอย่างครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ “ตั้งแต่อยู่ที่วังฉันไม่เคยเห็นท่านชายกริ้วสักครั้ง มีแต่ทรงดุเวลาคนในวัง ท�ำเรื่องไม่ถูกต้อง หรือไม่สมควร ส่วนฉันเองก็เพิ่งโดนดุไป ไม่แน่ใจว่าท่านกริ้ว หรือเปล่า” “โดนดุเรื่องอะไรหรือครับ พอจะบอกผมได้ไหม” “เรื่องจดหมายน่ะค่ะ... พอดีว่าฉันกับพี่ทองเอกเป็นเพื่อนเป็นพี่กันมานาน พออยู่ไกลกันก็มีเขียนจดหมายถึงกันบ้าง แต่ก็แค่ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ ไม่มีอะไร เกินเลยกว่านั้นเลยค่ะ” ทรงกลดนัง่ นิง่ รับฟังอย่างตัง้ ใจ จนเธอเล่าจบ ชายหนุม่ ก็ทำ� เสียงอ๋อในล�ำคอ ก่อนเอ่ย “เพราะท่านทรงเป็นผูป้ กครองของคุณ ไม่แปลกทีท่ า่ นจะทรงห่วงใย ใส่พระทัย ในทุกเรื่อง” “ค่ะ ฉันทราบดี” ยังไม่ทันที่ทั้งสองคนจะสนทนากันต่อ เสียงใสๆ ของใครบางคนก็ดังขึ้น รสสุคนธ์หนั ขวับมองไปทางด้านหลังก็พบว่าสิน.ี .. เพือ่ นสนิทของเธอก�ำลังเดินแกมวิง่ ตรงเข้ามาหา “รส! ยัยรส!... รสสุคนธ์!” สินเี ป็นหญิงสาวร่างผอมบางสูงกว่าเธอประมาณสองสามเซนติเมตร หน้าตา จิ้มลิ้มพริ้มเพรา ดวงตากลมโต แก้มป่องจนหญิงสาวนึกอยากจะจับเสียหลายครั้ง “อ้าว สินี ฉันนึกว่าเธอกลับไปแล้ว” “ก�ำลังจะกลับ แต่พอดีฉันเห็นเธอยังนั่งอยู่ที่นี่ เลยให้คนขับรถของฉัน จอดรถตรงนั้น” พร้อมกับพูด หญิงสาวชี้มือไปยังหลังรถของทรงกลด “แล้วก็ลงรถ เดินมาหาเธอนี่แหละ” “มีอะไรจะพูดกับฉันหรือ สินี” 37


หนึ่งในหทัย

“ฉันลืมไปว่าพรุ่งนี้เราไม่มีเรียน และฉันก็จะไม่ได้พบเธอ” รสสุคนธ์เลิกคิ้ว น้อยๆ เป็นเชิงบอกให้อีกฝ่ายเอ่ยต่อ “วันพรุ่งนี้ฉันจะจัดงานวันเกิดตอนเย็นที่บ้าน ฉันอยากให้เธอไปร่วมงานด้วย” แววตาสุกใสพราวระยับอย่างมีความหวังก่อนจะ ทรุดนั่งลงเคียงข้างแล้วจับมือเพื่อนของตัวเองเขย่า “เธอเป็นเพื่อนสนิทของฉันนะ ต้องไปให้ได้เทียว” ฝ่ายคนถูกชวนยิ้มบางๆ ด้วยไม่แน่ใจนักว่าผู้ปกครองของตนจะอนุญาต หรือไม่ “ฉันยังไม่แน่ใจเลย” “อ้าว...” คนที่ก�ำลังยิ้มแย้มหุบยิ้มลงทันควัน “ท�ำไมล่ะ” “เกรงว่าท่านชายจะทรงไม่อนุญาตน่ะสิ” สินีปล่อยมือจากรสสุคนธ์ก่อน ท�ำหน้าสลด “งั้นหรือ... แย่จัง ฉันอยากให้เธอไปร่วมงานจริงๆ นะ ถ้าขาดเธอไปฉันคง ไม่สนุก” “คุณรสได้ไปแน่ครับ” ทรงกลดที่นั่งฟังอยู่นานขัดขึ้นมา “ผมจะช่วยพูดกับ ท่านชายให้” สินเี หลือบสายตามองชายแปลกหน้าสลับกับผูเ้ ป็นเพือ่ น สองสามครัง้ นัน่ ล่ะ รสสุคนธ์จึงรู้สึกตัว “อ้อ... โทษที ฉันลืมแนะน�ำ นี่คุณทรงกลด เอ่อ... เป็น...” อึกอักอย่างไม่รู้ จะแนะน�ำเช่นไรดี ก็พอดีกับที่ชายหนุ่มเอ่ยแนะน�ำตัวเอง “เป็นเพื่อนของรสสุคนธ์ครับ” สินอี อกจะงุนงงเล็กน้อย ด้วยไม่เคยรูม้ าก่อนว่ารสสุคนธ์มเี พือ่ นเป็นทหารด้วย หากก็ยกมือไหว้อย่างมีมารยาท “สวัสดีค่ะ คุณทรงกลด” “นี่สินี เพื่อนของฉันเองค่ะ” “ยินดีที่ได้รู้จักครับ” เขาเอ่ยพร้อมกับส่งยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตรมาให้ “เรา รู้จักกันแล้ว ก็ถือว่าเป็นเพื่อนกันแล้วนะครับ” สินยี มิ้ รับบางๆ ไม่แน่ใจว่าควรเอ่ยตอบว่ากระไรจึงนิง่ เฉยเสีย หากประโยค ถัดมาท�ำให้สาวเจ้าเบิกตากว้าง “เพราะฉะนั้น... ถ้าผมขอไปร่วมงานวันเกิดของคุณด้วย จะเป็นการรบกวน มากเกินไปไหมครับ” 38


ศศิภา

สิน้ เสียงนัน้ รสสุคนธ์ถงึ กับกลัน้ ยิม้ ไว้ไม่อยู่ มองแก้มป่องๆ ของเพือ่ นสาวที่ แดงระเรือ่ อย่างนึกขัน ขณะทีเ่ มือ่ หันไปมองทรงกลดก็พบว่าแววตาของเขาพราวระยับ กรุ้มกริ่มพอดู จึงแอบคิดอยู่เพียงในใจว่า... ผู้ชายคนนี้เจ้าชู้ไม่หยอกเลยเทียว... “ทั้งคุณรสและคุณสิคงไม่รังเกียจให้ผมเป็นเพื่อนใหม่สักคนดอกนะครับ” จากสินีกลายเป็นสิเฉยๆ ราวกับสนิทสนมคุ้นเคยกันมาแสนนาน รสสุคนธ์ หัวเราะเบาๆ ในล�ำคอ ก่อนเอ่ย “ฉันไม่รงั เกียจดอกค่ะ แต่...” หญิงสาวหันไปทางเพือ่ นสาวทีย่ งั คงนัง่ กะพริบ ตาปริบๆ “สินีเล่า เธอจะว่าอย่างไร ยอมรับเขาเป็นเพื่อนไหม” คนถูกถามพ่นเสียง หัวเราะออกมาเบาๆ แล้วเอ่ยอย่างร่าเริง “ก็ถ้าเขาเป็นเพื่อนของเธอ ฉันก็ต้องยอมรับเขาเป็นเพื่อนอยู่แล้วล่ะน่า... เพราะฉะนั้นพรุ่งนี้ฉันหวังว่าจะได้พบคุณทรงกลดและเธอด้วยนะจ๊ะ... ยัยรส” รสสุคนธ์ไม่ได้ตอบรับด้วยไม่มนั่ ใจว่าหม่อมเจ้าเจตนิพฐิ ผูป้ กครองของเธอนัน้ จะทรงอนุญาตให้เธอไปออกงานสังสรรค์ใดๆ หรือไม่ อันที่จริงแล้วตั้งแต่ย้ายเข้ามา อยู่ที่วังดิลบุตร มีเพื่อนหลายคนที่จัดงานวันเกิดและชวนเธอไปร่วมงานด้วย หาก ยามใดที่เอ่ยปากขออนุญาต ค�ำตอบที่ได้รับคือค�ำปฏิเสธทุกคราไป ชวนให้นึกสงสัย ว่าท่านชายเจตคงไม่โปรดงานประเภทนี้สักเท่าไรนัก สุดท้ายรสสุคนธ์ก็ให้ค�ำตอบแก่สินีไปว่า “จะพยายามไปให้ได้จ้ะ”

39


หนึ่งในหทัย

3

ทันทีทรี่ ถของทรงกลดแล่นผ่านประตูวงั เข้ามา รสสุคนธ์กเ็ ห็นวรองค์สงู ใหญ่ ของพันตรีหม่อมเจ้าเจตนิพฐิ ทรงยืนตรงบันไดสีขาวหน้าตึก ก�ำลังรับสัง่ อะไรบางอย่าง กับนายเติบและนายชด เมือ่ ทัง้ สองโค้งค�ำนับรับค�ำสัง่ ท่านชายก็ทรงสาวบาทตรงเข้ามา เมือ่ รถของทรงกลดจอดนิง่ สนิทก็ทรงไขว้หตั ถ์ไว้ทางเบือ้ งปฤษฎางค์ พักตร์เรียบเฉย เช่นเคย หากดวงเนตรดุ... กว่าปกติ หญิงสาวสะพายกระเป๋า พร้อมกับหอบสมุดและหนังสือลงจากรถ สาวเท้า เข้าไปหาคนที่ทรงยืนนิ่งแล้วยกมือไหว้ “ทรงมีเรื่องจะรับสั่งกับหม่อมฉันหรือเพคะ” “ถ้าฉันไม่มีเรื่อง ก็คุยกับเธอไม่ได้งั้นหรือรสสุคนธ์” คนตัวเล็กเลิกคิ้ว อ้าปากเผยอค้างเล็กน้อย มองสบเนตรสีนิลนั้นแล้วชวน ให้ใจสั่นพิกลจึงหลุบสายตาลงต�่ำ “หม่อมฉันมิได้หมายความเช่นนั้นเพคะ” แว่วเสียงถอนพระทัยยาว รสสุคนธ์อดคิดไม่ได้วา่ ท่านชายเจตอาจจะทรงนึก ร�ำคาญเธอแล้วก็เป็นได้... การต้องจ�ำใจรับเธอเป็นเด็กในปกครองคงเป็นการมอบ ภาระให้ท่านไม่มากก็น้อย นี่ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ชงโคร้องขอ ท่านชายอาจไม่ปรารถนา จะรับดูแลเธอเช่นที่ทรงท�ำอยู่นี้ก็เป็นได้ เมือ่ คิดถึงพีส่ าว รสสุคนธ์กไ็ พล่นกึ ถึงจดหมายฉบับนัน้ พร้อมกับผูช้ ายคนที่ ถูกกล่าวถึงในจดหมาย ร่างเล็กรีบตวัดสายตามองไปทางประตูใหญ่ ชะแง้แลหา คิดว่าจะได้เห็นใครบางคนมายืนลับๆ ล่อๆ อยู่แถวนั้น หากก็พบแต่ความว่างเปล่า “เธอมองอะไรน่ะ รสสุคนธ์” ยังไม่ทันได้ตอบ ทรงกลดซึ่งหันไปคุยอะไรบางอย่างกับนายเติบตรงต้นไม้ ริมรั้วก็ส่งเสียงมาแทนตัวเสียก่อน “คุยอะไรกันอยูห่ รือฝ่าบาท” เมือ่ เดินมาถึงชายหนุม่ แอบล้ออย่างไม่เกรงกลัว เช่นเคย “หรือทรงก�ำลังหาเรื่องดุรสสุคนธ์อยู่” คนถูกล้อตวัดสายเนตรไปมองคนพูด ไม่ได้มแี ววกริว้ แต่อย่างใด แต่มคี วาม ไม่พอพระทัยอยู่ในนั้นเล็กน้อย 40


ศศิภา

“นี่มันกี่โมงแล้ว ทรงกลด” ร้อยโททรงกลดเลิกคิ้ว ก่อนยกนาฬิกาข้อมือของตนเองขึ้นดูเวลา “สายกว่าเวลาที่หม่อมบอกว่าจะพารสสุคนธ์มาถึงแค่สิบนาทีเองฝ่าบาท” “แกมาสาย” ต�ำหนิด้วยสุรเสียงเข้มงวด ...แบบนี้แหละหนา รสสุคนธ์ถึงรู้สึกว่าท่านชายทรงเคร่งครัดไปเสียทุกเรื่อง จะท�ำอะไรตามแต่ใจจึงไม่ถนัดนัก “ก็... หม่อมมีเหตุจ�ำเป็น” “เหตุจ�ำเป็นอะไรของแก” “แค่ท�ำความรู้จักกับเพื่อนคุณรสน่ะฝ่าบาท” ร้อยโทหนุ่มหันมาสบตารสสุคนธ์ชั่วขณะก่อนเอ่ย “หม่อมมีเรื่องจะขอร้อง” คนที่รู้เต็มอกว่าทรงกลดจะร้องขอเรื่องใดลอบกลืนน�้ำลายอย่างฝืดคอ “เรื่องอะไรล่ะ” “สงสัยจะคุยยาว หม่อมว่าเราเข้าไปคุยกันข้างในหรือไม่ก็ตรงศาลาดีกว่า ฝ่าบาท” หม่อมเจ้าเจตนิพิฐขมวดขนงอย่างนึกสงสัย มีไม่กี่ครั้งนักดอกที่ทรงกลด จะเอ่ยปากร้องขออะไรเช่นนี้ นัน่ ย่อมแสดงว่าเรือ่ งนีค้ งส�ำคัญเป็นอย่างมาก ท่านชาย พยักพักตร์แล้วสาวบาทน�ำไปยังศาลาทรงแปดเหลี่ยม โดยมีรสสุคนธ์ยืนละล้าละลัง อย่างไม่รู้ว่าจะตามไปดีหรือไม่ แต่เมื่อทรงกลดหันมากวักมือเรียกเธอก็เลิกลังเลใจ สาวเท้าตามไปโดยเร็ว ศาลาแปดเหลี่ยมสีขาวยังคงงดงามดังเดิม คราแรกที่เหยียบเข้ามาในวังนี้ สิง่ ทีส่ ะดุดตาเธอทีส่ ดุ คงไม่แคล้วทีน่ ี่ ตอนนัน้ กุหลาบเลือ้ ยสีชมพูออ่ นยังไม่ออกดอก เลย แต่เพียงแค่นนั้ เธอยังโปรดปรานเป็นอย่างมาก นับประสาอะไรกับตอนนี้ กุหลาบ สีชมพูนับสิบก�ำลังเบ่งบานงดงามตัดกับใบไม้สีเขียว เห็นแล้วรสสุคนธ์ยิ่งหลงใหล มากขึ้นไปอีกหลายเท่า ร่างบางก้าวตามเข้าไปข้างในเป็นคนท้ายสุด ความทีม่ วั แต่เหม่อลอยดูความงาม ของกุหลาบเหล่านั้นจึงก้าวสะดุดขั้นบันไดเตี้ยๆ ที่มีอยู่เพียงสองขั้น ร่างกายซวนเซ จะล้มแหล่มลิ ม้ แหล่ ยังดีทหี่ ตั ถ์ใหญ่ฉวยต้นแขนของเธอไว้ได้ทนั ช่วยให้เธอไม่ตอ้ ง อับอายล้มก้นจ�้ำเบ้าอย่างน่าขัน 41


หนึ่งในหทัย

รสสุคนธ์ยกมือไหว้ เอ่ยพึมพ�ำขอบคุณ ความร้อนจากอุ้งหัตถ์ใหญ่ลามเลีย ไปทั่วร่างเลยทีเดียว หญิงสาวร้อนวาบราวกับมีลมพัดไฟกองใหญ่มาปะทะกายเธอ อย่างไรอย่างนัน้ เมือ่ ร่างเล็กเงยหน้าขึน้ ก็พบว่าชายทัง้ สองนัง่ คนละฝัง่ อย่างเรียบร้อย แล้ว แต่เธอยังยืนคว้าง ตัดสินใจไม่ถกู ว่าจะทรุดกายลงนัง่ เคียงข้างผูใ้ ด หากเมือ่ สบ เนตรคมกล้าของผูป้ กครองแล้ว เจ้าตัวก็พลันรูใ้ นทันใดว่าสมควรจะนัง่ เคียงข้างใคร รสสุคนธ์ทรุดกายลงนั่งห่างจากหม่อมเจ้าเจตนิพิฐพอประมาณ เมื่อนั่ง เรียบร้อยแล้ว ทรงกลดก็เริ่มเกริ่นน�ำ “เพื่อนของคุณรสคนนี้ชื่อสินี เป็นคนน่ารัก ยิ้มเก่ง ดูเป็นมิตรกว่าสาว คนไหนที่หม่อมเคยพบเลยฝ่าบาท” เห็นเพื่อนถูกชม รสสุคนธ์ก็อดยิ้มไม่ได้ “เรา ได้คุยกันเล็กน้อยหลังจากแนะน�ำตัวเรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้เป็นวันเกิดเธอ และเธอ ก็จัดงานวันเกิดที่บ้าน” พูดแค่นั้นก็นิ่งไป ด้วยคาดว่าท่านชายคงเดาได้ว่าเขาจะเอ่ยปากร้องขอใน เรื่องใด หากคนที่นั่งเอนองค์อย่างสบายกลับท�ำนิ่งเฉย จนทรงกลดต้องขออย่าง ตรงไปตรงมา “คุณสินเี ธอชวนหม่อมกับคุณรสไปงานวันเกิดเธอ หม่อมเลยอยากจะขอร้อง ให้ทรงอนุญาตคุณรสไปกับหม่อม... ฝ่าบาทจะว่าอย่างไร” เกิดความเงียบอันน่าอึดอัดอยู่นานทีเดียว คนรออย่างใจจดใจจ่อขยับกาย อย่างอึดอัด หนังสือที่วางอยู่บนตักถูกน�ำขึ้นมากอดไว้อีกครั้ง ราวสิ่งนั้นจะช่วยมอบ ก�ำลังใจให้กบั ตนเองได้อย่างไรอย่างนัน้ คนตัวเล็กกลัน้ ใจรอค�ำตอบจนแทบจะขาดใจ ตายเสียให้ได้กว่าหม่อมเจ้าเจตนิพิฐจะทรงท�ำเสียงอืออาในพระศอ “อืม...” แค่นั้นจริงๆ ที่รับสั่ง พานท�ำให้คนถามขมวดคิ้วมุ่น หากเป็นคนอื่นคงนึก ว่าท่านชายทรงอนุญาต แต่สำ� หรับทรงกลดซึง่ รูจ้ กั ท่านมานานย่อมรูด้ วี า่ ท่านชายทรง ก�ำลังครุน่ คิดตรึกตรองอย่างรอบคอบ และแนวโน้มค่อนไปทางไม่อนุญาตเสียมากกว่า “ทรงไม่อยากให้ไปหรือฝ่าบาท” “ก็ไม่เชิง... แกก็รู้ว่างานสังสรรค์แบบนี้ย่อมต้องมีหนุ่มๆ เดินกันให้ควั่ก รสสุคนธ์เพิง่ จะสิบแปด ไม่เหมาะเลยทีเ่ ธอจะไปพบปะผูช้ ายมากหน้าหลายตาแบบนัน้ ” “โธ่ คุณสินกี อ็ ายุพอๆ กับคุณรสนะฝ่าบาท... ใช่ไหมครับคุณรส” ประโยคท้าย เขาหันมาถามคนที่นั่งลุ้นตัวเกร็งอยู่เงียบๆ 42


ศศิภา

“ค่ะ สินีจะอายุครบสิบแปดวันพรุ่งนี้ค่ะ” “เห็นไหมล่ะ เจ้าของงานเพิง่ จะสิบแปด หม่อมเชือ่ ว่าคงไม่รจู้ กั ชายหนุม่ ทีไ่ หน มากมายดอกฝ่าบาท” ทรงกลดยังไม่ละความพยายาม “เถอะน่าฝ่าบาท มีหม่อมไปด้วย จะทรงกลัวอะไร หม่อมรับรองเลยว่าจะดูแลคุณรสอย่างดีที่สุด” สิ้นเสียงนั้นวรองค์ สูงใหญ่ก็โน้มองค์มาเบื้องหน้า แล้วจ้องเขม็งด้วยเนตรคมดุ “แกนั่นล่ะตัวดี” “อ้าว” คนถูกว่าอ้าปากค้าง กะพริบตาปริบๆ ยังไม่ทนั ได้เอ่ยตัดพ้อหรือแก้ตวั ใดๆ ท่านชายก็ทรงยืนเสียก่อน “เพือ่ นของเธอชือ่ สินใี ช่ไหม” ทรงผินพักตร์มาทางรสสุคนธ์แล้วถาม แววเนตร ของท่านชายยังคงเข้มข้นดุดันจนคนมองสบใจสั่นตามเคย “เพคะ” “นามสกุลอะไร” “สรบุตรเพคะ” ทรงพยักพักตร์รับรู้ แล้วหันไปทางร้อยโทหนุ่มผู้ซึ่งก�ำลัง ลุกขึ้นยืนเช่นกัน “ฉันอนุญาตให้รสสุคนธ์ไป” คนที่รอลุ้นมานานผุดลุกขึ้นยืนโดยเร็ว นี่ถ้ากระโดดโลดเต้นได้ล่ะก็เธอคง ท�ำไปแล้ว แต่ก็ติดตรงที่กลัวจะถูกดุว่า ‘ไม่งาม’ เหมือนเช่นทุกครั้ง “แต่...” เมื่อทรงผินพักตร์กลับมาทางเธอ รอยยิ้มที่ประดับบนริมฝีปากสวย ค้างอยู่เช่นนั้น แววตาสุกใสกลายเป็นเคลือบแคลง “ฉันจะเป็นคนพาเธอไปเอง” รสสุคนธ์ไม่รู้ดอกว่าหลังจากนั้นพันตรีหม่อมเจ้าเจตนิพิฐทรงท�ำกระไรบ้าง จึงท�ำให้คำ�่ วันนัน้ เด็กรับใช้คนหนึง่ ของสินเี ดินทางมาทีว่ งั นีแ้ ละยืน่ การ์ดเชิญอย่างเป็น ทางการให้ หลังจากท�ำหน้านี้ของตนเองเสร็จ ชายคนนั้นก็รีบขอตัวกลับทันที ไม่ทัน ได้ให้เธอซักถามแม้วนิ าทีเดียว รสสุคนธ์มองซองในอุง้ หัตถ์ใหญ่อย่างอยากรูอ้ ยากเห็น และถึงกับละสายตาจากพวงมาลัยทีก่ ำ� ลังร้อยตรงหน้าเพือ่ ชะแง้แลมองซองสีฟา้ ซองนัน้ ในทันที่ท่านชายเจตทรงหยิบยื่นให้พระมารดา หม่อมเจ้านวลแขทรงวางหัตถ์จากพวงมาลัยที่เกือบเสร็จ แล้วเอื้อมหัตถ์ ออกไปรับ ก่อนจะเปิดซองแล้วดึงการ์ดสีขาวสะอาดตาออกมา กวาดเนตรเพียงครั้ง ก็ทรงพยักพักตร์ 43


หนึ่งในหทัย

“อ้อ... เพื่อนของรสสุคนธ์ที่ชายพูดถึงคือคุณนาคร... เจ้าของโรงเรียนลีลาศ นาครเองล่ะหรือ” “ใช่คะ่ ชายก็เพิง่ รูต้ อนได้ยนิ นามสกุลจากปากของรสสุคนธ์นเี่ อง” หกเดือน ที่อยู่ในวังนี้ รสสุคนธ์ไม่เคยได้ยินท่านชายเจตจะรับสั่งอย่างอ่อนโยนเหมือนตอน รับสั่งกับพระมารดาเลยแม้สักครั้ง ครัง้ นีก้ เ็ ช่นกัน ถ้อยรับสัง่ ของท่านช่างนุม่ นวลนัก แววเนตรทีเ่ คยเอาแต่ดดุ นั บัดนี้กลับทอแสงอบอุ่นจนคนที่เผลอมองสบใจเต้นระทึกราวกลองตี รสสุคนธ์รีบ ก้มหน้าเบือนสายตาหลบดวงเนตรทรงเสน่หน์ นั้ ทันที กลีบกุหลาบทีก่ ำ� ลังจะถูกปักลง บนเข็มเลื่อนหลุดจากมือจนเข็มเล่มนั้นแทงลงบนนิ้วชี้ของเจ้าของเข้าอย่างจัง “โอ๊ย...” คนตัวเล็กสะดุ้งสุดตัว ร้องลั่นดังก้องแทบจะทั่วทั้งวังเลยทีเดียว ไม่รู้เหมือนกันว่าตนเองตกใจที่เข็มต�ำหรือตกใจที่หัวใจดวงน้อยเต้นกระหน�่ำรัวเร็ว ไม่เป็นจังหวะเช่นนี้กันแน่ “เป็นอะไรรสสุคนธ์” หม่อมเจ้านวลแขทรงวางซองลงบนโต๊ะแล้วหลุบเนตร ลงต�่ำมองคนที่ก�ำลังเอานิ้วโป้งกดลงบนปลายนิ้วชี้ของตนเองอย่างสงสัย ขณะที่ใคร อีกคนไม่ได้ถาม แต่ปราดเข้ามาหาในพริบตาเดียวเลยทีเดียว วรองค์สงู ใหญ่คกุ พระชานุลงบนพืน้ แล้วเอือ้ มหัตถ์มากุมมือเธอไว้ สองเนตร จ้องส�ำรวจอย่างพินิจพิเคราะห์ “โดนเข็มต�ำหรือรสสุคนธ์” “เพคะ” หญิงสาวตอบอุบอิบโดยไม่เงยหน้ามอง หัวใจที่ไหวโยนเมื่อครู่ยิ่ง กวัดแกว่งราวชิงช้ากวัดไกว อุ้งหัตถ์ของท่านชายเจตร้อนจัดจนส่งกระแสความร้อน ผ่านมาถึงตัวเธอ ท�ำให้เธอร้อนผ่าวไปทั้งกายเลยทีเดียว ที่ร้อนที่สุดเห็นจะเป็นแก้ม สองข้างของตนเองนั่นล่ะ รสสุคนธ์ไม่ปรารถนาจะเงยหน้ามองสบเนตรคนตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย ด้วยไม่มั่นใจว่าแก้มนุ่มๆ ของตนเองนั้นมีรอยแดงระเรื่อราวกับถูกพู่กันวาดระบาย ลงไปหรือไม่ “ไหน ขอดูหน่อยซิ แผลลึกไหม” “ไม่ลึกเพคะ” ถ้อยรับสั่งอย่างเป็นห่วงเป็นใยยิ่งท�ำให้รสสุคนธ์ก้มหน้างุด “เลือดคงหยุดแล้วเพคะ” “แน่ใจหรือ เห็นร้องเสียลั่น พานให้คนอื่นตกอกตกใจเสียหมด” 44


ศศิภา

รสสุคนธ์อดคิดไม่ได้ว่า คนอื่นที่ว่านั้นรวมท่านชายด้วยหรือเปล่าหนอ... “ขอประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันตกใจมากไปเท่านั้นเอง” “แล้วยังเจ็บอยู่ไหม” คนตัวเล็กสั่นศีรษะพร้อมตอบเสียงเบา “ไม่เจ็บแล้วเพคะ” ...ไม่เจ็บ แต่ตอนนี้ก�ำลังวางตัวไม่ถูก รู้สึกขัดเขินอย่างน่าประหลาด จนเร่ง ภาวนาในใจว่าให้ท่านชายเจตทรงผละห่างไปจากตัวเธอโดยเร็วเสียที “ว่าอย่างไรนะรสสุคนธ์ ฉันไม่ได้ยิน” ไม่ใช่แค่รับสั่งเท่านั้น ยังโน้มพักตร์ลงมาจนแทบชิดแก้มของเธอ รสสุคนธ์ รีบเบี่ยงหน้าหลบ เขยิบกายออกห่างก่อนจะตอบด้วยเสียงที่ดังขึ้นอีกนิด “ไม่เจ็บแล้วเพคะ ขอบพระคุณที่ทรงเป็นห่วง” จากนั้นหญิงสาวก็เพ่งมองไปยังมือที่ถูกอุ้งหัตถ์ใหญ่เกาะกุมไว้อยู่นานแล้ว สายตาเช่นนั้นท�ำให้ผู้ปกครองซึ่งดูเป็นห่วงเป็นใยเด็กในปกครองอย่างมากมายรีบ ปล่อยมือทันควัน ราวกับมือของเธอเป็นของร้อนทีอ่ งค์เองเผลอหรือลืมองค์ไปจับเข้า “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ทีหน้าทีหลังก็ระมัดระวังเสียบ้าง” ทรงขยับองค์ขึ้นยืน สาวบาทกลับไปนั่งที่เดิม ขณะที่หม่อมเจ้านวลแขทรงสังเกตอากัปกิริยาของทั้งสอง อย่างพินิจพิจารณา จากนั้นจึงหันไปรับสั่งกับรสสุคนธ์ “พอแล้วล่ะแม่รส แค่นคี้ งพอถวายพระแล้ว แม่รสขึน้ ไปพักผ่อนหรืออ่านหนังสือ ตามสบายเถิด” ได้ยินเช่นนั้น รสสุคนธ์จึงรับค�ำ ยกมือไหว้ลาทั้งสององค์ก่อนค่อยๆ คลาน คุกเข่าจนพ้นประตูหอ้ งรับแขก แล้วลุกขึน้ ยืน สาวเท้าเร็วๆ ห่างออกมาอีกนิดก็หยุดเดิน เอนกายพิงผนังสีครีมแล้วพ่นลมหายใจยาว พร้อมกับวางมือทาบอกตรงต�ำแหน่งของ หัวใจ สูดลมหายใจเข้าปอดลึกยาวสองสามครั้งจนใจที่เต้นรัวเริ่มกลับสู่สภาพปกติ “เฮ้อ... เป็นอะไรไปนะรสสุคนธ์” หญิงสาวคร�่ำครวญกับตัวเอง คลางแคลง สงสัยกับความผิดปกติของร่างกายและหัวใจแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต ...หรือเธอจะไม่สบาย พลันทีค่ ดิ เช่นนัน้ ก็ยกหลังมือแตะหน้าผากของตนเอง เมือ่ ไม่พบว่าร้อนกว่า ปกติแต่อย่างใดจึงได้แต่สา่ ยหน้า แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่สองสามครัง้ บอกตัวเอง ให้ลมื อาการประหลาดอย่างหาสาเหตุไม่ได้นไี้ ปเสีย กลับมาเป็นรสสุคนธ์คนเดิมเสียที 45


หนึ่งในหทัย

ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นสักพัก ก่อนสาวเท้าตรงไปยังบันไดที่ตั้งอยู่ตรงกลาง เดิน แกมวิง่ ขึน้ ไปยังชัน้ สองของตึก ตัง้ ใจจะอาบน�ำ้ แล้วตัง้ หน้าตัง้ ตาอ่านหนังสือทีท่ า่ นชาย ประทานให้จนจบภายในคืนนี้ให้ได้ รุ่งอรุณวันใหม่ รสสุคนธ์ตื่นแต่เช้าตรู่ลงไปใส่บาตรพร้อมหม่อมเจ้านวลแข เช่นที่ท�ำอยู่เป็นประจ�ำ วันนี้หญิงสาวเลือกสวมเสื้อแขนตุ๊กตาสีขาวผ้าโปร่งเบาสบาย สวมกางเกงเอวสูงสีฟา้ อมเทา ผมยาวเป็นลอนถูกรวบไว้เป็นมวยเหนือศีรษะ ประดับ ตกแต่งด้วยริบบิ้นสีชมพูอ่อนเผยให้เห็นรูปหน้างดงามผุดผ่องตามวัย รสสุคนธ์ก�ำลังโตเป็นสาว แม้จะยังไม่ผุดผาดมีเสน่ห์เท่าชงโคผู้เป็นพี่สาว หากหม่อมเจ้านวลแขซึ่งก�ำลังทอดเนตรอย่างพินิจพิเคราะห์ก็ค่อนข้างแน่พระทัยว่า อีกไม่กี่ปี น้องสาวคงงดงามสะดุดตาไม่แพ้พี่สาวเลยทีเดียว “แม่รส อยู่บ้านเฉยๆ เบื่อหรือเปล่า อยากออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างไหมล่ะ” ท่านหญิงรับสั่งถามบนโต๊ะอาหารหลังรับประทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว “อยากไป ศาลาเฉลิมไทยไหม เห็นเขาว่าหนังที่เอามาฉายสนุกไม่หยอกเทียว” รสสุคนธ์ยิ้มบางๆ ในหน้า รู้สึกแปลกๆ ไปนิดที่วันนี้หม่อมเจ้าเจตนิพิฐ ไม่ได้รว่ มโต๊ะด้วย ได้ความจากนายเติบว่าเสด็จออกไปแต่เช้า... คงมีงานด่วนกระมัง “หม่อมฉันไม่เบือ่ ดอกเพคะ แค่ได้อา่ นหนังสือก็มคี วามสุขดีแล้วเพคะ” วรองค์ เล็กผินพักตร์มาเหลือบแลคนที่นั่งข้างๆ แล้วแย้มโอษฐ์ส่งยิ้มอบอุ่นมาให้ “ฉันเห็นชายเจตเข้มงวดกับแม่รสเกินไป ก็ไม่สบายใจเท่าไรนัก หากแม่รส ไม่พอใจหรือไม่ชอบใจที่ชายเจตท�ำตัวเคร่งครัดมากเกินไปก็บอกฉันได้นะ ฉันจะได้ ไปเตือนๆ ให้” “หม่อมฉันมิบังอาจเพคะ” รสสุคนธ์ส่งยิ้มกลับไปให้อย่างเจื่อนๆ ถ้าท่านชายเจตทรงรับรู้ว่าเธอว่าร้าย นินทาท่านว่าเข้มงวดจนเกินทนแล้วล่ะก็ ไม่แคล้วต้องกริว้ เป็นแน่แท้ และรสสุคนธ์เอง ก็ไม่อยากเป็นเหตุให้ท่านไม่พอพระทัยเลยแม้แต่น้อย “หม่อมฉันเข้าใจดีว่าทรงเป็นห่วง” “เป็นห่วงมากจนเกินพอดีล่ะไม่ว่า” รับสั่งพลางสรวลเบาๆ ดวงเนตรเป็น ประกายระยับยามทอดเนตรใบหน้าทีก่ ม้ ต�ำ่ และเห็นเส้นเลือดฝอยภายใต้พวงแก้มนุม่ ของคนตรงหน้าแดงระเรื่อขึ้นมา “เอาเถิด... ถ้าไม่เบื่อและ... ทนได้ ก็แล้วไป แต่ถ้าเบื่อขึ้นมาเมื่อไรก็บอกฉันได้ ฉันจะอนุญาตให้เธอออกไปเที่ยวข้างนอกเอง” 46


ศศิภา

“ขอบพระคุณเพคะ” หญิงสาวยกมือไหว้อย่างงดงาม รอให้อีกฝ่ายลุกจาก โต๊ะอาหาร จึงลุกตามบ้าง “วันนี้ฉันจะออกไปหาเพื่อนหน่อยนะ ตอนเย็นเธอต้องไปงานวันเกิดเพื่อน ใช่ไหม” รสสุคนธ์ที่เดินตามหลังรับค�ำ ก่อนที่ท่านหญิงจะรับสั่งถามต่อว่า “มีชุดออกงานแล้วหรือ” “พอจะหาได้เพคะ” ท่านหญิงทรงพยักพักตร์แล้วนิง่ เงียบไป เมือ่ เสด็จมาถึงหน้าห้องรับแขกก็ทรง ผินพักตร์มายังเธอ “มีอะไรก็ไปท�ำเถอะ ไม่ต้องมารับใช้ฉันดอก ฉันมีแม่วาดอยู่ใกล้ๆ คอย ดูแลอยู่แล้ว” ได้ยินรับสั่งเช่นนั้นก็ไม่เซ้าซี้ หญิงสาวยกมือไหว้ ก่อนมองอีกฝ่าย เดินหายลับเข้าไปในห้องรับแขก จึงตรงขึ้นบันไดไปยังห้องของตัวเองเพื่อหยิบนิยาย ที่ท่านชายเจตประทานให้ ก่อนจะเดินกลับลงมาข้างล่าง ตรงไปยังศาลากลางสวน รสสุคนธ์กา้ วเท้าเข้าไปด้านใน หยุดเงยหน้ามองกุหลาบดอกใหญ่นอ้ ยทีเ่ รียงราย เลือ้ ยพันอยูต่ ามเสาศาลาอย่างชืน่ ชมอยูค่ รูใ่ หญ่ จึงทรุดกายนัง่ ลงบนเก้าอีแ้ ล้วเริม่ เปิด หนังสืออ่านต่อจากที่ค้างไว้เมื่อคืน เพียงไม่นานโลกรอบกายก็เลือนหาย รสสุคนธ์พาตัวเองเข้าไปสูโ่ ลกตัวอักษร มีความสุข ความเศร้า ความทุกข์ระทม หรือแม้แต่โกรธขึง้ ไปกับทุกตัวละครในเล่มนัน้ เหมือนเธอกลายเป็นตัวละครหนึ่งที่เข้าไปมีชีวิตโลดแล่นในหนังสือเล่มนั้น ผ่านไป หลายชัว่ โมง เมือ่ สายตาเลือ่ นมาถึงตัวอักษรท้ายสุดนัน่ ล่ะ รสสุคนธ์จงึ ได้เงยหน้าขึน้ พร้อมกับรอยยิม้ ประดับบนริมฝีปากเมือ่ พระนางของเรือ่ งได้ครองรักกันอย่างมีความสุข สมใจ ชัว่ ขณะทีเ่ งยหน้าขึน้ นัน้ เอง สองตาของเธอก็สานสบเข้ากับดวงเนตรสีนลิ กาฬ ซึ่งท�ำให้เธอใจสั่นไหวอยู่ร�่ำไป ร่างเล็กถึงกับสะดุ้งรีบหุบยิ้มและปรับสีหน้าแช่มชื่น เป็นปกติ “อะไรกัน เห็นหน้าฉันแล้วถึงกับยิ้มไม่ออกเลยหรือรสสุคนธ์” หญิงสาวลุก ขึ้นยืนยกมือไหว้ก่อนเอ่ยตอบ “มิได้เพคะ” “ท�ำอะไรอยู่ล่ะ” คนที่ยืนเท้าพาหากับขอบศาลาแปดเหลี่ยมสีขาวรับสั่งถาม ราวกับเมื่อครู่ไม่ได้มาหยุดทอดเนตรมองเสียนานอย่างไรอย่างนั้น 47


หนึ่งในหทัย

เพคะ”

“อ่านเล่มนีอ้ ยูเ่ พคะ” เจ้าตัวชูหนังสือในมือแล้วแย้มยิม้ “หม่อมฉันอ่านจบแล้ว

จากนัน้ จึงสาวเท้าเข้าไปหาคนตรงหน้า ยืน่ หนังสือในมือคืนให้ ขณะทีค่ นมอง เลิกขนงเล็กน้อย “ไม่อยากเก็บไว้หรือ” ได้ยินแล้วรสสุคนธ์ถึงกับเบิกตาโต “เก็บไว้?” “ฉันไม่ได้แค่ให้ยืมดอก ฉันตั้งใจจะยกให้เธอต่างหาก” ตาที่โตอยู่แล้วยิ่งเบิกกว้างมากขึ้นราวกับไข่ห่านเลยทีเดียว “ตั้งใจจะให้หม่อมฉัน?” “เธอก็ได้ยินชัดเจนแล้ว ท�ำไมต้องถามซ�้ำไปซ�้ำมาด้วยหืม?” รสสุคนธ์หดแขนที่ยืดออกไป เปลี่ยนเป็นกอดกระชับหนังสือนิยายเล่มนั้น ไว้แนบอก แล้วเอ่ยเสียงเบา “ขอประทานอภัยเพคะ” ท่านชายเจตสาวบาทอ้อมมาด้านหน้าศาลาแล้วก้าวเข้ามาด้านใน มาทรงยืน เคียงข้างร่างเล็กที่ก�ำลังก้มหน้ามองเพียงรองพระบาทหนังสีด�ำขัดมันจนเงาวับคู่นั้น “รองเท้าของฉันมีอะไรดีหรือ เวลาพูดกับฉันเธอถึงได้ชอบมองมันนัก สงสัย เธอคงรังเกียจหน้าตาของฉันเสียแล้วกระมังรสสุคนธ์” ฟังถ้อยรับสั่งแล้ว รสสุคนธ์ถึงกับใจหายวาบ เงยหน้าขึ้นมองพักตร์คมสัน ด้วยแววตาตื่นตระหนก “รับสั่งอะไรเพคะ หม่อมฉันไม่เคยรังเกียจท่านชายเลยแม้สักครั้ง” “แล้วท�ำไมต้องหลบตาฉันเสียทุกที” ค�ำถามนั้นรสสุคนธ์ไม่รู้ว่าจะตอบเช่นไร จึงนิ่งเฉยเสีย “หรือว่าฉันดุมากเกินไป” คนตัวเล็กสัน่ ศีรษะจนผมปอยเล็กหลุดร่วงจากมวยกลางศีรษะตกระใบหน้า แนบชิดกับพวงแก้มนวลผ่อง “ไม่ใช่นะเพคะ” “ไม่ใช่อะไร” “ไม่ได้ดุมากเกินไป...” นิ่งเงียบไปชั่วขณะก่อนตอบโดยหลุบสายตาลงต�่ำ “แค่ดุนิดหน่อยเท่านั้นเพคะ” 48


ศศิภา

เกิดความเงียบไปทั่วศาลา รสสุคนธ์คิดว่าตนเองอาจโดนกริ้วเสียก็วันนี้ แต่ ผิดคาดเมือ่ ท่านชายกลับสรวลในพระศอ แม้จะเบาแสนเบาแต่กลับท�ำให้หวั ใจดวงน้อย เป็นสุขได้อย่างน่าประหลาด ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกก็ได้กระมังที่ท่านทรงแย้มโอษฐ์กว้างกว่าปกติ และ สรวลอย่างขบขันให้เธอได้ยิน รสสุคนธ์รู้สึกเหมือนตัวเองได้เข้าใกล้ท่านอีกนิด ไม่ได้เหินห่างเหมือนก่อน... หากก็แค่นิดเดียวเท่านั้นจริงๆ หม่อมเจ้าเจตนิพิฐสรวลเพียงครู่เดียวเท่านั้นก็ปรับพักตร์เคร่งขรึมตามเดิม “เอาเถิด... ฉันจะพยายามไม่ดมุ ากเกินไป เธอจะได้ไม่กลัวฉันไปมากกว่านี”้ รสสุคนธ์อยากตอบเหลือเกินว่าเธอไม่ได้เกรงกลัวอะไรมากมาย แค่รู้สึก แปลกๆ ในหัวใจอย่างหาเหตุผลไม่ได้เท่านั้นเอง หากเกรงว่าตอบออกไปแล้วจะหา ค�ำอธิบายถ้อยค�ำของตนเองไม่ได้ จึงก้มหน้านิ่งเงียบเสียเท่านั้น “เธอมีชุดใส่ไปงานแล้วหรือรสสุคนธ์” ถ้อยรับสัง่ นัน้ บอกชัด... หม่อมเจ้านวลแขอาจจะเป็นห่วงจนโทรไปบอกบุตรชาย ก็เป็นได้ ไม่เช่นนั้นหญิงสาวคงไม่ได้พบเห็นพักตร์ของท่านในเวลาเช่นนี้ดอก “หม่อมฉันพอมีเพคะ” “แน่ใจหรือว่ามี ขอฉันดูหน่อยได้ไหม” คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นทันควัน อยากจะเอ่ยปฏิเสธ แต่นึกขึ้นมาได้ว่าการ เป็นเด็กในปกครองของหม่อมเจ้าเจตนิพิฐนั้นไม่ควรท�ำอะไรตามแต่ใจนึกสบาย การออกงานก็เช่นกัน แม้จะเป็นงานเล็กๆ หากก็ถือเป็นงานสังคม อาจจะมีราชนิกุล ผู้สูงศักดิ์ไปร่วมงานด้วย ดังนั้นเธอไม่ควรแต่งตัวซอมซ่อให้ท่านเสียพักตร์ คิดได้ ดังนั้นค�ำปฏิเสธจึงกลืนหายลงไปในล�ำคอทันใด “ได้เพคะ” “ฉันไปรอที่ห้องท�ำงานนะ เธอถือชุดที่เธอคิดว่าเหมาะที่สุดไปให้ฉันดูที่นั่น แล้วกัน” “เพคะ” รสสุคนธ์ไม่ปล่อยให้ทา่ นชายเจตทรงรอนาน หลังจากมาถึงห้องก็รบี คว้าเสือ้ ผ้า แทบจะหมดตู้ออกมาวางบนเตียง แล้วเลือกเฟ้นชุดที่ดีที่สุดโดยไว เมื่อได้แล้วจึง เดินแกมวิง่ ตรงไปยังห้องทรงงานซึง่ อยูอ่ กี ปีกหนึง่ ของตึกโดยพลัน มาหยุดยืนอยูห่ น้า 49


หนึ่งในหทัย

ห้อง สูดลมหายใจเข้าปอดลึกยาวสองสามครัง้ เพือ่ ให้ตนเองหายเหนือ่ ยจึงเคาะประตู แว่วเสียงอนุญาตจากด้านใน เธอจึงค่อยๆ ผลักประตูเข้าไป พันตรีหม่อมเจ้าเจตนิพิฐทรงยืนข้างหน้าต่าง หันปฤษฎางค์พิงกับผนังห้อง ในหัตถ์ขวามีหนังสือเล่มเล็กเปิดอ้าอยู่ ส่วนอีกหัตถ์หนึ่งก�ำลังเปิดพลิกหน้าต่อไป สองเนตรยังคงจับจ้องอยูท่ ตี่ วั อักษรทุกตัวบนหน้านัน้ ขณะรับสัง่ ถามโดยไม่เงยพักตร์ “เลือกได้แล้วหรือ” “เพคะ” เมื่อหญิงสาวรับค�ำ ท่านชายจึงทรงละสายเนตรจากหนังสือ วางมันไว้ตรง ชั้นหนังสือข้างองค์ แล้วเงยพักตร์ส่งสายเนตรมายังเธอ สิ่งที่ทรงเห็นคือร่างของ สาวน้อยวัยแรกแย้มก�ำลังหอบเสื้อผ้าห้าหกชุดไว้ในมือ “เยอะขนาดนี้เทียว?” “หม่อมฉันไม่ทราบว่าชุดไหนดีที่สุด... ทรงเลือกด้วยองค์เองดีกว่าเพคะ” รสสุคนธ์สาวเท้าไปยังโซฟาไม้สักตัวยาวริมผนังห้อง หน้าต่างสามบานถูกเปิดออก รับลมเย็นที่พัดผ่านเข้ามาภายใน หญิงสาววางชุดทั้งหมดลงบนเบาะสีแดงเลือดหมู แล้วเลือกชุดบนสุดมาถือไว้ด้วยสองมือ จับเพียงแค่ตรงไหล่แล้วทิ้งชายยาวลงมา ด้านล่างเพื่อให้เจ้าของห้องพิจารณาได้จนหมดทั้งชุด ชุดแรกเป็นชุดเดรสตัวยาวสีม่วง แขนตุ๊กตา ดูเรียบง่ายเหมาะกับการไป เดินเล่นมากกว่าใส่ออกงาน ท่านชายเจตนิพิฐซึ่งเอนองค์ประทับบนขอบหน้าต่าง ส่ายพักตร์ แล้วโบกหัตถ์ให้เลือกชุดต่อไป รสสุคนธ์วางชุดในมือลงแล้วหยิบชุดอื่นมาถือไว้จนครบห้าชุด เจ้าของห้อง ก็ยังไม่พอพระทัยเท่าไรนัก แต่เห็นหน้าตาสลดของคนตรงหน้าแล้ว ท่านชายเจต จึงรับสั่ง “ชุดสุดท้ายน่าจะเหมาะที่สุด เธอสวมชุดนั้นแล้วกันรสสุคนธ์” สิ้นรับสั่งรสสุคนธ์ก็ถอนหายใจเฮือก แย้มริมฝีปากออกเป็นรอยยิ้มสดใส ชุดทีอ่ ยูใ่ นมือของเธอเป็นเดรสสีชมพูออ่ น คอคว้านรูปตัววีแต่ไม่ลกึ มาก ตรงช่วงแขน ปิดแค่ไหล่เท่านั้น ส่วนกระโปรงเป็นผ้าบานพลิ้วยาวประมาณครึ่งน่อง “ขอบพระคุณเพคะ” “ขอบคุณ? เรื่องอะไร?” “ทีโ่ ปรดชุดนีอ้ ย่างไรเล่าเพคะ หม่อมฉันนึกว่าจะต้องหอบเอาชุดทัง้ หมดในตู้ มาให้ทอดเนตรเสียแล้ว” 50


ศศิภา

แว่วเสียงสรวลในพระศอเบาๆ อีกครั้งชวนให้หัวใจดวงน้อยของรสสุคนธ์ ลอยล่องราวกับลูกโป่งเลยทีเดียว ไม่อยากยอมรับเลยว่าเธอชื่นชอบเสียงหัวเราะนั้น เสียเหลือเกิน “งั้นหม่อมฉันขอตัวเอาชุดไปเก็บก่อนนะเพคะ” “เก็บเรียบร้อยแล้ว มาหาฉันอีกรอบด้วยนะ รสสุคนธ์” “ท�ำไมหรือเพคะ มีอะไรจะรับสั่งอีกหรือเพคะ” “กลับมาแล้วค่อยพูดกัน” ค�ำสัง่ กลายๆ นัน้ ท�ำให้รสสุคนธ์รบั ค�ำ ออกจากห้องทรงงานของท่านชายเจต โดยไว เมื่อกลับมาอีกครั้งเจ้าของห้องก็ประทับหลังโต๊ะท�ำงาน ก้มพักตร์จดอะไร บางอย่างในสมุดบันทึกอย่างตั้งพระทัย เห็นดังนั้นรสสุคนธ์จึงยืนเอามือประสานกันไว้ด้านหน้า แล้วลอบมองคน ตรงหน้าอย่างพิจารณา... โครงพักตร์งดงามได้รูปรับกับนาสิกโด่งเป็นสัน ขนงเข้ม โค้งจนเกือบเป็นรูปคันศร อีกทั้งเรียวโอษฐ์หยักที่มักจะเม้มตรงอยู่เป็นนิจชวนให้ เธออดชื่นชมไม่ได้ หม่อมเจ้าเจตนิพิฐทรงมีลักษณะของเอกบุรุษและมีเสน่ห์อย่างหาที่เปรียบ มิได้ และเพราะลืมตัวมองอย่างเผลอไผลนั่นเองเมื่ออีกฝ่ายเงยพักตร์ขึ้นมาอย่าง ไม่มีปี่มีขลุ่ย รสสุคนธ์จึงสะดุ้งเพราะเบือนสายตาหลบไม่ทัน จึงได้สบเนตรด�ำเข้ม น่าค้นหาเข้าอย่างจัง หญิงสาวรูส้ กึ เหมือนถูกมนต์สะกด สมองสัง่ การให้กม้ หน้าหลบสายตาคมกล้า นั้นเสีย แต่หัวใจกลับรุกเร้าให้มองสานสบนิ่งนาน ‘...รสสุคนธ์เอ๋ย ท�ำไมสมองกับหัวใจไม่ไปในทางเดียวกันเลยหนอ เธอคง ไม่สบายเสียจริงๆ แล้วกระมัง...’ เจ้าตัวคร�่ำครวญในใจ หน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ขณะที่วรองค์ สูงใหญ่ทรงขยับยืน หยิบกล่องก�ำมะหยี่สีด�ำกล่องหนึ่งไว้ในอุ้งหัตถ์แล้วสาวบาท เข้ามาใกล้ “เธอควรจะมีเครื่องประดับสักชุดไว้ออกงานนะ รสสุคนธ์” รับสัง่ เสร็จก็ยนื่ กล่องสีดำ� นัน้ ให้กบั เธอ รสสุคนธ์กม้ หน้ามองแล้วขมวดคิว้ มุน่ “กล่องอะไรเพคะ” “ก็เพิ่งบอกไปไม่ใช่หรือว่าเป็นเครื่องประดับ หรือเธอไม่ได้ยิน” 51


หนึ่งในหทัย

“หม่อมฉันได้ยนิ เพคะ แต่... ทรงมอบให้หม่อมฉันท�ำไมเพคะ เครือ่ งประดับ ของหม่อมฉันก็มี... หม่อมฉันจะ...” ยังเอ่ยไม่ทันจบ สุรเสียงทรงอ�ำนาจก็ดังขึ้น “ฉันอยากให้เธอสวมเครื่องประดับชุดนี้ ฉันคิดว่ามันเหมาะกับเธอ” ปากทีอ่ า้ ค้างหุบฉับลงทันควัน ใบหน้าทีแ่ ช่มชืน่ เมือ่ ครูก่ ลายเป็นเคร่งเครียด ทันควัน จริงๆ แล้วจะว่ารสสุคนธ์โกรธก็ยังไม่ถูกนัก เธอเพียงแค่ขุ่นเคืองใจเพียง เท่านั้น ...ก็ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเหตุใดจะต้องทรงบังคับให้เธอสวมเครื่องประดับ ในกล่องนั่นด้วย... “เพคะ” หญิงสาวเอื้อมมือไปรับมาอย่างเสียไม่ได้ ก�ำมะหยี่นุ่มสัมผัสกับ มือบาง เย็นเยียบและแข็งกระด้าง ไฉนหัวใจของเธอจึงไม่ยินดีเลยกับเครื่องประดับ ที่คงราคาแพงลิ่วเช่นนี้ หรือตัวเธอคิดว่าตนเองไม่คู่ควร ชัว่ ขณะหนึง่ ทีพ่ จิ ารณากล่องก�ำมะหยีก่ ล่องนัน้ ก็ให้นกึ สงสัยนักว่าเครือ่ งประดับ นี้เป็นของผู้ใด จนเผลอตัวโพล่งถามออกไป “กล่องนี้เป็นของพี่ชงโคหรือเพคะ” “ไม่ใช่ดอก” รับสัง่ ปฏิเสธแล้วเงียบไปนาน... นานจนคนทีก่ ม้ หน้ามองกล่อง ก�ำมะหยี่ในมือต้องเงยหน้าขึ้นสบเนตรคม แววตาสงสัยในดวงตากลมโตนั้นท�ำให้ ท่านชายเจตทรงจ�ำใจตอบอย่างเสียไม่ได้ “ของฉันเอง” “อะไรนะเพคะ? ทรงสวมเครื่องประดับผู้หญิงด้วยหรือเพคะ” “ไม่ใช่อย่างนั้น” ทรงท�ำท่าเหมือนอึดอัดไม่อยากรับสั่ง ยิ่งท�ำให้รสสุคนธ์ อยากรู้ หญิงสาวสืบเท้าเข้าไปใกล้อกี นิด แล้วเอียงคอมองจ้องพักตร์ทเี่ มินหลบอย่าง จริงๆ จังๆ “ไม่ใช่อย่างนั้นแล้วเป็นอย่างไหนเพคะ” “เธอนี่อยากรู้อยากเห็นเสียจริง รสสุคนธ์” คนถูกว่าไม่ขนุ่ ข้องหมองใจหรือเสียใจใดๆ เลย ตรงกันข้ามเธอกลับหัวเราะร่วน อย่างนึกขัน “พี่ชงก็เคยพูดเช่นนั้นกับหม่อมฉันเพคะ” เอ่ยชือ่ พีส่ าวออกไป ใบหน้าทีย่ มิ้ ระรืน่ ก็หบุ ลงทันควัน... ไม่ใช่แค่ความคิดถึง ดอกที่เธอยังมีหลงเหลืออยู่ในอก แต่เป็นความโศกเศร้ากับ ‘เรื่อง’ ที่พี่สาวท�ำไว้ ต่างหาก ...ชงโคไม่ได้รักท่านชายเจตแม้เพียงสักนิดเลยหรือไร... 52


ศศิภา

“เป็นอะไรรสสุคนธ์” หม่อมเจ้าเจตนิพิฐทรงเห็นรสสุคนธ์ตีหน้าเศร้า จึงขมวดขนง สาวบาทตรง เข้าไปหา ถือวิสาสะเอือ้ มหัตถ์ไปสัมผัสปลายคางมนแล้วบังคับให้เธอเงยหน้าสบเนตร ขององค์เอง “คิดถึงชงโคหรือ” “เพคะ” เธอตอบเสียงเบา สองตามองสบเนตรสีนลิ เนิน่ นาน หัวใจยิง่ เจ็บปวด อ้างว้าง ...ไม่เพียงแค่ชงโคเท่านัน้ ทีร่ สู้ กึ ผิดจนกระทัง่ มาเข้าฝันเธอให้ดแู ลท่านชายเจต เป็นอย่างดี รสสุคนธ์เองก็รสู้ กึ ผิดเช่นกันที่พสี่ าวกระท�ำการอันน่ารังเกียจเช่นนัน้ แม้ จะไม่ได้เป็นผูก้ ระท�ำสิง่ เลวร้ายใดๆ หากเพราะเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นสายเลือด เดียวกัน ความรู้สึกผิดจึงแน่นอยู่ในอกไม่แพ้ผู้เป็นพี่เลยสักนิด “คิดถึงได้ แต่อย่าเศร้าเลย...” ไม่แค่รบั สัง่ แต่กลับวางหลังหัตถ์สมั ผัสแก้มนวล แล้วเลื่อนขึ้นไปใกล้กับปลายหางตาซึ่งมีน�้ำตาเอ่อคลอ “มันท�ำให้ตาของเธอไม่สวย เท่าที่ควรจะเป็น” คนตัวเล็กรับเอาค�ำหวานนัน้ ไว้แนบอก กะพริบตาปริบๆ ขับไล่นำ�้ ตาทีเ่ อ่อท้น ให้เลือนหาย และแทนที่ด้วยความหวานซึ้ง หัวใจเต้นระทึกเมื่อรับรู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ ใกล้มากเพียงใด... ใกล้เสียจนรสสุคนธ์กลัวว่าคนตรงหน้าอาจจะได้ยินเสียงหัวใจ อันเต้นไม่เป็นส�่ำของตนเอง หากความใกล้ชิดก็เกิดเพียงครู่เท่านั้น เมื่อวรองค์สูงใหญ่ผละออกห่าง... สามก้าว แล้วล้วงหัตถ์ลงไปในกระเป๋ากางเกง ก่อนรับสั่งด้วยสุรเสียงเรียบเฉย “กล่องนั้นฉันซื้อมาให้เธอเอง” คนที่ใจเต้นเพราะความชิดใกล้เบิกตาโต “เพราะฉะนั้นมันเป็นของเธอโดยสมบูรณ์ รสสุคนธ์” ใจดวงน้อยยิ่งกระหน�่ำรัวเร็วราวกลองตี... อดคิดไม่ได้ว่าทรงมีพระทัยดี กับเธอมากเกินไปเสียแล้ว “มิได้ดอกเพคะ มันมีราคามากเกินไป หม่อมฉันไม่...” “ฉันบอกว่าให้กค็ อื ให้... การปฏิเสธไม่รบั ของจากผูใ้ หญ่มนั สมควรแล้วหรือ” รับสัง่ เข้มงวดราวกับคุณครูกำ� ลังต่อว่าลูกศิษย์กไ็ ม่ปาน รสสุคนธ์เงียบเสียงลงทันควัน หลุบสายตาลงต�ำ่ มองเพียงพืน้ ไม้ขดั มัน ขณะทีท่ า่ นชายเจตยังคงรับสัง่ ต่อไป “ฉันหวัง ว่าจะได้เห็นเธอสวมมันคืนนี้นะ รสสุคนธ์” 53





สำ�นักพิมพ์เดซี่ ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการสร้าง วัฒนธรรมการอ่านให้เกิดขึ้นในสังคมไทย

www.daisy-book.com daisybook@daisy-book.com





Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.