หนึ่งในหทัย

Page 1



หนึ่งในหทัย ศศิภา

เลขมาตรฐานสากลประจำ�หนังสือ ISBN 978-616-91316-1-8 พิมพ์ครั้งที่ 1 : สิงหาคม 2555 ราคา 285 บาท สำ�นักพิมพ์ เดซี่ บริษัท ลา วีเซ่ จำ�กัด 559/28 ซอยรัชดา 36 ถนนรัชดาภิเษก แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กทม. 10900 โทรศัพท์ 0-2140-0358-9 โทรสาร 0-2939-1177 www.daisy-book.com daisybook@daisy-book.com พิมพ์ที่ บริษัท ฐานการพิมพ์ จำ�กัด 9/11 หมู่ 9 ซอยสวนชิดลม เทศบาลสงเคราะห์ แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม. 10900 โทรศัพท์ 0-2954-2799 โทรสาร 0-2954-2800-2 จัดจำ�หน่าย บริษัท ธนบรรณ ปิ่นเกล้า จำ�กัด 3/19 ซอยบรมราชชนนี 11 ถนนบรมราชชนนี แขวงอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กทม. 10700 โทรศัพท์ 02-434-8270-1 โทรสาร 02-424-8512

ฉบับพพิเาศะ ษ เฉ

e-book



คำ�นำ� ‘หนึ่งในหทัย’ เป็นนิยายรักโรแมนติก ให้ความรู้สึกอบอุ่น อ่อนหวาน กล่าวถึงความรักที่ค่อยๆก่อตัวทีละน้อยจนกลายเป็นรักที่มั่นคงในเวลาต่อมา รสสุคนธ์สาวน้อยวัยสิบแปดปีตอ้ งพบกับความสูญเสียครัง้ ใหญ่ เมือ่ บิดา มารดา และพีส่ าวประสบอุบตั เิ หตุทางรถยนต์เสียชีวติ เธอไม่มญ ี าติสนิทให้พกั พิง จึงต้องอยูใ่ นความดูแลและปกครองของพันตรีหม่อมเจ้าเจตนิพฐิ ผูม้ ศี กั ดิเ์ ป็นพีเ่ ขย ของเธอเอง หญิงสาวย้ายเข้าไปอยูใ่ นวังดิลบุตร... สถานทีท่ ที่ ำ� ให้ความรักในหัวใจ ดวงน้อยเบ่งบาน เป็นรักที่เจ้าตัวก็ยังไม่แน่ใจนักว่าเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร มารู้ใจ ตัวเองแน่ชัดก็ตอนรักเต็มหัวใจแล้วนั่นเอง พันตรีหม่อมเจ้าเจตนิพิฐ ดิลบุตร ทรงเสกสมรสกับชงโค... พี่สาว ของรสสุคนธ์ตามความต้องการของพระมารดา ในตอนนั้นท่านชายทรงชื่นชม ชงโคอยู่มากจึงไม่ทรงคัดค้านการเสกสมรสครั้งนี้ ต่อเมื่อชงโคจากไป พร้อม กับการก้าวเข้ามาของรสสุคนธ์ ท่านชายจึงทรงได้รู้ว่าความรักที่แท้จริงเป็นเช่นไร หากก็ต้องห้ามพระทัยองค์เองไว้ด้วยเหตุผลหลายประการ และทรงรอ... รอคอย อยู่นานจนถึงเวลาอันเหมาะสมจึงได้แสดงความในพระทัยให้เธอรู้ ความรักถูกซุกซ่อนเก็บไว้เนิน่ นาน เมือ่ ถึงคราวเปิดเผยความในใจ เพลงรัก บทนี้จึงหวานปานน�้ำผึ้งเลยทีเดียว ‘...จักขอรัก... รักเพียงแต่เจ้า... หนึ่งในหทัย ชั่วนิรันดร์’ ศศิภา มิถุนายน 2555

Like

f

ศศิภา - อรณี

www.baansasipa.com



ศศิภา

บทนำ�

มิถุนายน พ.ศ.2496 ต้นจามจุรีสูงใหญ่แผ่กิ่งก้านโอบคลุมโต๊ะไม้สี่ห้าตัวซึ่งมีไว้ให้นักศึกษาของ มหาวิทยาลัยนัง่ ผ่อนคลายสนทนาพูดคุย หรือแม้แต่นงั่ อ่านหนังสือ หญิงสาวร่างเล็ก ผมยาวด�ำขลับดัดเป็นลอนใหญ่ตรงปลายสยายถึงกลางหลังก�ำลังมีความสุขกับ ตัวอักษรทีถ่ กู เรียงร้อยเป็นเรือ่ งราวตรงหน้า หนังสือนิยายเล่มหนาของนักเขียนชือ่ ดัง ท�ำให้รสสุคนธ์หลงลืมเวลา หลงลืมโลกรอบกาย หรือแม้แต่ลมื ผูค้ นทีเ่ ดินกันขวักไขว่ ในตอนนัน้ เสียด้วยซ�ำ้ เธอไล่อา่ นไปตามตัวอักษรด้วยหัวใจทีเ่ ต้นระทึกระคนอ่อนหวาน บางคราจะเห็นรอยยิ้มบางแตะแต้มบนริมฝีปากบางสวยได้รูป บางคราพวงแก้มนวล ก็ปรากฏรอยระเรือ่ ราวลูกต�ำลึงสุก บางคราก็ถงึ กับยกหลังมือเช็ดน�ำ้ ตาทีก่ ำ� ลังเอ่อท้น ตรงหางตา หากใครๆ หันมาเห็นคงนึกสงสัยว่าสาวน้อยร่างบางผู้นี้อาจจะเสียสติ ไปแล้วก็เป็นได้ นานเป็นชั่วโมงกว่ารสสุคนธ์จะเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ ลมแรงพัดโบกสะบัด จนผมของเธอปลิวไสวเผยให้เห็นโครงหน้ารูปไข่รบั กับจมูกเล็ก เชิดรัน้ ตรงปลายนิดๆ ดวงตากลมโตล้อมกรอบด้วยแพขนตายาวงดงามสดใสบริสทุ ธิเ์ ฉกเช่นดวงดาราทีส่ อ่ ง ประกายบนฟากฟ้า เสียงใบไม้ทเี่ สียดสีกนั ท�ำให้เธอต้องเงยหน้ามอง ต้นจามจุรกี ำ� ลัง ไหวเอนตามแรงลมขณะที่เมฆด�ำด้านบนก�ำลังเคลื่อนตัวเข้ามารวมกลุ่มกันหนาขึ้น 9


“เอ... ท�ำไมยังไม่มาอีกนะ” สาวน้อยร�ำพันกับตัวเองพร้อมกับเหลียวไปมองถนน มีรถราผ่านมาเพียงประปราย หากรถเหล่านั้นก็ยังไม่ใช่รถกลางเก่ากลางใหม่สีขาวที่ เธอรอคอยเลยสักคัน ปกติแล้วหลังเลิกเรียน น้าเมฆ... คนขับรถของบ้านทีค่ อยรับส่งเธอกับพีส่ าว ตั้งแต่ยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ จะเป็นคนมารับ แต่วันนี้บิดา มารดา และพี่สาวของเธอ พร้อมใจกันมารับ และตัง้ ใจว่าจะพาเธอไปรับประทานอาหารนอกบ้าน... ทีร่ า้ นอาหาร ชื่อดังกลางใจเมืองเพื่อเลี้ยงฉลองวันเกิดครบสิบแปดปีของเธอ จากเวลานัดหมายนัน้ คือสิบหกนาฬิกาหลังเวลาทีเ่ ธอเลิกเรียนอย่างพอดิบพอดี หากนี่... หญิงสาวยกนาฬิกาข้อมือสายด�ำขึ้นมองเวลาแล้วก็พบว่ามันล่วงเลยเวลามา หนึ่งชั่วโมงแล้ว ความเป็นห่วงกังวลใจจึงก่อตัวขึ้นทีละน้อยๆ จนคิ้วเรียวโค้งได้รูปต้อง ขมวดเข้าหากัน จากที่นั่งอย่างสบายอารมณ์ รสสุคนธ์ต้องผุดลุกขึ้นยืน ยืดคอชะแง้ แลหารถคันเล็กคุ้นตา แต่หาเท่าไรก็ไม่พบแม้แต่เงา หญิงสาวชักร้อนใจ หากก็ท�ำ อะไรไม่ได้ ท�ำได้แค่เพียงเดินกลับไปกลับมาอย่างงุ่นง่านเท่านั้น ความเป็นจริงแล้วบิดาของเธอนัน้ เป็นคนตรงเวลามาก ไม่มที างทีจ่ ะมารับเธอ ช้าขนาดสายเป็นชัว่ โมงแบบนีแ้ น่ ยังไม่ทนั ทีจ่ ะตัดสินใจท�ำเช่นไร รถคันหนึง่ ก็หกั เลีย้ ว เข้ามาจอดชิดขอบทางเดินเท้า เป็นรถยุโรปราคาแพงสีครีม รสสุคนธ์สาวเท้าก้าวถอย ห่างออกมาเมื่อประตูรถฝั่งที่ติดกับเธอเปิดออก ก่อนจะหมุนตัวเดินเลี่ยงจากมา ทว่าเพียงแค่สองก้าว ใครบางคนก็เร่งฝีเท้าเดินน� ำหน้าแล้วขวางเธอไว้ หญิงสาวชะงักกึก สองตาที่ก้มลงมองพื้นเห็นรองเท้าหนังสีด�ำขัดมันเงาวับ เมื่อเลื่อน สายตาขึ้นไปก็พบกางเกงขายาวพอดีตัวสีเขียวเข้มกับเสื้อแขนยาวสีเดียวกัน มอง ปราดเดียวก็รวู้ า่ เป็นชุดทหาร คิว้ ทีข่ มวดอยูแ่ ล้วยิง่ ขมวดมากขึน้ ด้วยไม่เข้าใจว่าเหตุใด ทหารจึงมาเดินเพ่นพ่านอยู่ในมหาวิทยาลัยเช่นนี้ แถมยังเสียมารยาทก้าวเข้ามาขวาง เธอไว้อีก รสสุคนธ์ก�ำลังจะเอ่ยค�ำบริภาษออกไปแล้ว แต่ยังยั้งถ้อยค�ำเหล่านั้นได้ทัน เมื่อได้มองเห็นใบหน้าของคนตรงหน้าเต็มตา เขาไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็น พันตรีหม่อมเจ้าเจตนิพิฐ ดิลบุตร... พี่เขยของ เธอเอง ท่านชายเจตทรงมีวรองค์สูงใหญ่ บึกบึนสมกับเป็นชายชาติทหาร วงพักตร์ 10


ศศิภา

รูปไข่คมสัน ขนงเข้มโค้งได้รูป แววเนตรคมกล้า นาสิกโด่ง และเรียวโอษฐ์หยักโค้ง พักตร์เช่นนี้ ท่าทางองอาจผึง่ ผ่ายเช่นนี้ เธอจ�ำได้แม่นย�ำแม้เพียงเห็นไม่กคี่ รัง้ ก็ตาม รสสุคนธ์เลิกคิ้วน้อยๆ นึกไม่ออกว่าเหตุไฉนท่านชายเจตจึงมาหาเธอถึง มหาวิทยาลัยด้วยองค์เองเช่นนี้ ในเมื่อเธอกับท่านไม่ได้สนิทสนมอะไรกันด้วยซ�้ำไป เมื่อหกเดือนก่อน ชงโค... พี่สาวของเธอมีบุญวาสนาได้ออกเหย้าออกเรือน เป็นหม่อมของหม่อมเจ้าเจตนิพิฐ และย้ายเข้าไปอยู่ในวังดิลบุตร แต่ถึงกระนั้น ท่านชายเจตกับเธอก็ได้หาสนิทสนมกันไม่ ถ้าจ�ำไม่ผิดเธอพบท่านสองครั้งเท่านั้น ...ครั้งแรกก็ตอนชงโคพาพระองค์มาที่บ้านและท�ำความรู้จักกับบิดา มารดา รวมถึงตัวเธอด้วย ส่วนอีกครั้งนั้นก็ในพิธีมงคลสมรสของทั้งสอง จากนั้นเป็นต้นมาเธอก็ไม่เคยพบหน้าพูดคุยกับท่านอีกเลย จวบจนกระทั่ง วันนี้... วันที่ท่านชายเสด็จมาถึงมหาวิทยาลัยที่เธอเรียนอยู่ เพราะเหตุใดกัน... เป็นความสงสัยที่สาวน้อยครุ่นคิดอยู่เพียงในใจ... ก่อน จะพยายามดึงความคิดของตนเองกลับมาอยู่กับปัจจุบัน เมื่อรวบรวมสติได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว รสสุคนธ์ก็ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม ทันทีที่เงยหน้า วางมือลงข้างตัว ยังไม่ทันได้เอ่ยถามใดๆ คนตรงหน้าก็รับสั่งตอบข้อ สงสัยในใจของเธอทุกเรื่อง “รถที่พ่อเธอขับมาประสบอุบัติเหตุ” ประโยคนัน้ ท�ำให้เธอต้องเบิกตากว้าง หากก็ยงั ไม่ทำ� ให้ตกใจเท่ากับประโยค ถัดไป “พ่อของเธอ แม่ของเธอ และ...” ดวงเนตรคูค่ มแดงก�ำ่ สัน่ ไหวระริกจนคนมองสัมผัสได้... สัมผัสได้ลกึ ซึง้ จน หัวใจของเธอไหวโยนรุนแรงเฉกเช่นกิง่ ไม้ของต้นจามจุรที ถี่ กู ลมพัดจนกระทบเสียดสี กันก่อเกิดเป็นท่วงท�ำนองวังเวง เมฆหมอกบนฟากฟ้าเริม่ จับตัวเป็นก้อนและบดบังแสงอาทิตย์ทสี่ าดส่องลงมา ยังโลกเสียแล้ว “และชงโค... พี่ของเธอ เสียชีวิตแล้ว รสสุคนธ์” สิน้ เสียงนัน้ น�ำ้ ตาทีเ่ อ่อคลอก็หยาดหยดลงมาตามแก้มนวล ผืนดินใต้ฝา่ เท้า 11


เริม่ ขยับไหวเอนไปมาราวกับคลืน่ มหาสมุทรทีถ่ กู พายุลมแรงกระหน�่ำไม่ยงั้ รสสุคนธ์ ปล่อยโฮอย่างลืมอาย ทรุดกายลงนัง่ บนพืน้ ยกฝ่ามือทัง้ สองปิดบังใบหน้าทีเ่ หยเกและ เต็มไปด้วยความโศกเศร้าเสียใจนั้นเสีย จากนั้นจึงเริ่มสะอื้นจนตัวโยน “พ่อคะ แม่คะ พี่ชงคะ ท�ำไม...” เธอเอ่ยเสียงอู้อี้ กรีดร้องอยู่ในฝ่ามือ “ท�ำไม...” ค�ำสุดท้ายรสสุคนธ์ตะโกนเสียงแหลมก้อง พร้อมกับลมแรงพัดโหมกระชาก สติสัมปชัญญะของเธอให้ดับวูบไปด้วย

12


ศศิภา

1

ธันวาคม พ.ศ.2496 ร่างโปร่งระหงในชุดกระโปรงสีฟา้ บานพลิว้ ยาวครึง่ น่องจุดขาว ตัวเสือ้ คอกว้าง สีเข้าชุดกันมีระบายตรงช่วงอกเป็นผ้าโปร่งบางจนปลิวสะบัดยามลมพัดผ่าน ผมซึ่ง ยาวถึงกลางหลังดัดเป็นลอนใหญ่ถกู รวบไว้ดว้ ยผ้าผืนบางสีชมพูออ่ นจนแสงลอดผ่านได้ ปล่อยชายผ้ามาไว้ทางด้านหน้า ใบหน้ารูปไข่ถูกแต่งแต้มด้วยแป้งฝุ่นแต่เพียงบางๆ ริมฝีปากจิม้ ลิม้ เคลือบลิปสติกสีออ่ นจนแทบมองไม่เห็น ดูเผินๆ จึงเหมือนไม่ได้แต่งหน้า ด้วยซ�้ำไป รสสุคนธ์ก�ำลังยืนเอามือประสานกันไว้ทางด้านหน้าอย่างเรียบร้อย สายตา หลุบต�ำ่ จนเห็นแพขนตายาวขยับไหวชัดเจน ทางด้านหน้าเธอนัน้ เป็นโต๊ะท�ำงานไม้สกั ขัดมันจนเงาวับ บนโต๊ะมีหนังสือหลายเล่มวางซ้อนกันเป็นตั้งๆ มีเล่มหนึ่งเปิดอ้า ค้างอยู่เช่นนั้นโดยมีที่คั่นสีน�้ำตาลวางทับอยู่ด้านบน ถัดจากหนังสือเป็นจดหมาย หลายฉบับวางเรียงกันอยู่ในตะกร้าหวายเล็กๆ อย่างเรียบร้อย ทุกฉบับต่างเก็บอยู่ ในซองสีขาวเป็นอย่างดี หากมองเผินๆ คงคิดว่าผู้ที่ได้รับจดหมายยังไม่ได้เปิดอ่าน ทว่าแท้ที่จริงแล้วจดหมายทุกฉบับในตะกร้านั้นพันตรีหม่อมเจ้าเจตนิพิฐ ทรงอ่านจนหมดแล้ว และนั่นคือสาเหตุส�ำคัญที่ท�ำให้รสสุคนธ์ต้องมายืนตัวลีบใน ห้องทรงงานของท่าน 13


นับจากวันที่บิดา มารดา และพี่สาวเพียงคนเดียวจากโลกนี้ไป ชีวิตของ รสสุคนธ์ก็เหมือนถูกกระแสลมพัดโหมกระหน�่ำจนแทบทรงตัวไม่อยู่ ครอบครัวของ เธอเป็นครอบครัวเล็กๆ ญาติที่สนิทก็ล้มหายตายจากไปหมดแล้ว ดังนั้นเมื่อทั้งสาม จากไป เธอจึงเสมือนอยู่บนโลกใบนี้เพียงล�ำพัง บ้ า นเรื อ นไทยหลั ง เล็ ก ที่ เ คยมี เ สี ย งหั ว เราะพู ด คุย ระหว่า งบิด า มารดา และลูกสาวทัง้ สองกลับกลายเป็นเงียบสงบวังเวงดัง่ บ้านร้าง รสสุคนธ์รำ�่ ไห้อย่างหนัก แทบทุกวัน กับข้าวกับปลาก็รับประทานนับค�ำได้ เพียงอาทิตย์เดียว น�้ำหนักของเธอ ก็ลดลงอย่างรวดเร็วจนร่างกายผ่ายผอมอย่างน่าสงสารนัก หลังงานฌาปนกิจของทัง้ สาม รสสุคนธ์แทบจะล้มทัง้ ยืน ยังดีทมี่ ที า่ นชายเจต คอยดูแลไม่หา่ ง จะว่าไปแล้วท่านทรงมีนำ�้ ใจเอือ้ เฟือ้ กับเธอมากนัก ทรงเป็นห่วงเป็นใย ถามไถ่สขุ ภาพของเธออยูเ่ สมอ จนหญิงสาวรูส้ กึ เต็มตืน้ ในหัวใจยิง่ นัก... ทีม่ ากกว่านัน้ คือ ท่านชายยังทรงเข้ามาจัดการเรือ่ งมรดกทีบ่ ดิ าและมารดาของเธอทิง้ ไว้ให้ดว้ ย แต่ เพราะหญิงสาวยังไม่บรรลุนติ ภิ าวะ มรดกทีค่ วรได้จงึ ต้องอยูใ่ นความดูแลของหม่อมเจ้า เจตนิพิฐไปก่อน เมื่อไรก็ตามที่เธออายุยี่สิบปีบริบูรณ์ มรดกนั้นก็จะตกอยู่ในการ ครอบครองของเธอโดยสมบูรณ์ โดยในระหว่างนีร้ สสุคนธ์จะต้องอยูใ่ นความดูแลของพันตรีหม่อมเจ้าเจตนิพฐิ ในทุกๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัย อาหารการกิน ค่าใช้จ่าย และอื่นๆ อีกจิปาถะ ยิ่งไปกว่านั้นเธอจะต้องย้ายเข้ามาอยู่ที่วังดิลบุตร ด้วยเหตุผลที่ว่า ‘เธอเป็นผู้หญิง จะอยู่ตัวคนเดียวได้อย่างไร ไปอยู่กับฉัน อย่างน้อยๆ แม่ของฉันก็คอยดูแลเธอได้ ที่ส�ำคัญเธอจะได้อยู่ในสายตาฉันในระหว่างที่ฉันเป็นผู้ ปกครองของเธอ’ รสสุคนธ์อยากบอกเหลือเกินว่าเธออายุสิบแปดแล้ว โตมากพอที่จะดูแล ตัวเองได้ หากก็หวั่นเกรงว่าท่านชายจะทรงไม่พอพระทัยจึงนิ่งเฉยเสีย ‘ฉันไม่อยากท�ำผิดสัญญาทีใ่ ห้ไว้กบั ชงโค’ ทรงเล่าด้วยสุรเสียงเรียบเฉย หาก แววเนตรวูบไหวบอกชัดถึงแรงอารมณ์ภายใน ‘ฉันสัญญากับพีส่ าวเธอไว้วา่ จะดูแลเธอ อย่างดีที่สุด ไม่ให้ขาดตกบกพร่องอะไรแม้แต่อย่างเดียว ฉันเป็นคนยึดถือค�ำมั่น เป็นที่หนึ่ง อะไรที่ฉันท�ำไม่ได้ ฉันไม่มีวันรับปาก แต่อะไรที่ฉันรับปากแล้ว ฉัน ต้องท�ำให้ดที สี่ ดุ ’ ทรงอธิบายเสียยืดยาวโดยทีเ่ ธอสรุปความได้เพียงสัน้ ๆ ว่าท่านชาย ทรงต้องการท�ำตามสัญญาที่ให้ไว้กับพี่ชงโคเท่านั้น 14


ศศิภา

‘ขอบพระคุณเพคะ’ หญิงสาวยกมือไหว้อย่างนอบน้อม ยอมท�ำตามความต้องการของหม่อมเจ้า เจตนิพิฐแต่โดยดี หลังจากวันนั้นรสสุคนธ์ก็ต้องเก็บข้าวของที่จ�ำเป็นเพื่อย้ายเข้ามาอยู่ในวัง ดิลบุตร ไม่ว่าจะด้วยในฐานะอะไร หม่อมเจ้านวลแข... พระมารดาของหม่อมเจ้า เจตนิพิฐนั้นก็ทรงให้การต้อนรับเธอเป็นอย่างดี ท่านหญิงทรงมีพระสิริโฉมงดงาม รอยแย้มโอษฐ์บอกถึงความมีพระทัยดี ดวงเนตรคูง่ ามก็ออ่ นโยนเหมือนแววตามารดา ของเธอไม่ผิดเพี้ยน ‘มาอยู่ด้วยกันเสียที่นี่ก็ดีแล้ว วังนี้มีแต่ฉันกับชายเจต เงียบเหงาเกินไป ถ้าแม่รสมาอยู่ด้วย วังคงครึกครื้น’ ตรัสกับเธอด้วยสุรเสียงอ่อนหวาน ตอนนั้นรสสุคนธ์ท�ำเพียงยิ้มรับ อดคิด ไม่ได้ว่าเธอจะมาท�ำให้วังครึกครื้น หรือปั่นป่วนก็ยังไม่แน่ใจนัก ส�ำหรับพระบิดาของท่านชายเจต... พลเอกพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ศิฐเศรษฐนั้นเท่าที่เธอรู้ พระองค์สิ้นพระชนม์ด้วยอาการพระหทัยวายเมื่อสามปีก่อน แล้ว หญิงสาวจึงได้เห็นเพียงพระรูปของพระองค์เพียงเท่านัน้ แล้วก็ได้พบว่าพระองค์ ทรงองอาจผึ่งผายอย่างชายชาติทหาร... แบบนี้นี่เองเล่า พันตรีหม่อมเจ้าเจตนิพิฐจึง ทรงมีเสน่ห์ ผึ่งผาย และดูน่าเกรงขามเพราะทรงถอดแบบมาจากพระบิดานั่นเอง รสสุคนธ์ยังจ�ำความรู้สึกเมื่อตอนเหยียบย่างเข้ามาที่วังแห่งนี้ได้ดีราวกับ วันนั้นเพิ่งผ่านมาไม่กี่วัน ทั้งๆ ที่ก็ล่วงเลยมาแล้วถึงหกเดือน วังดิลบุตรซึ่งเธอต้องมาพ�ำนักอาศัยอยู่ชั่วคราวนั้นเป็นวังที่พระองค์เจ้า ศิฐเศรษฐทรงสร้างขึน้ มาใหม่แทนวังเดิมทีช่ ำ� รุดทรุดโทรมไปมากแล้ว มีลกั ษณะเป็น ตึกสองชัน้ สีครีมนวลตา หลังคามุงกระเบือ้ งดินเผา มียอดโดมตัง้ อยูต่ รงกลาง ชายคา และช่องลมประดับตกแต่งด้วยลวดลายไม้ฉลุ แวดล้อมด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่แผ่ ร่มเงารอบด้าน เมื่อเดินผ่านประตูใหญ่สีขาวทางด้านหน้าซึ่งมีป้ายติดไว้ว่าวังดิลบุตร แล้ว เสียงจอแจของรถราที่ขวักไขว่ก็เงียบหายไปในบัดดล แทนที่ด้วยเสียงนกร้อง ก้องกังวานราวกับท่วงท�ำนองของดนตรี เป็นครัง้ ทีส่ องทีร่ สสุคนธ์ได้เห็นวังอันงดงามวิจติ รแห่งนี้ หากความประทับใจ ก็ไม้เคยลดน้อยถอยลงเลย ตรงกันข้ามกลับยิ่งเพิ่มทบเท่าทวีคูณเสียด้วยซ�้ำ 15


สถานที่ที่เธอชอบที่สุดภายในขอบเขตรั้วของวังดิลบุตรคือสวนหย่อมทาง ด้านข้างชิดริมรั้วของวัง มีดอกไม้นานาพันธ์ุปลูกเรียงรายละลานตา ข้างๆ กันนั้น เป็นศาลาทรงแปดเหลี่ยมสีขาวใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ เหมาะส�ำหรับการนั่งพักผ่อน อ่าน หนังสือ หรือพักสายตาก็ยังได้ รสสุคนธ์มักจะมานั่งอ่านหนังสือที่ศาลาแห่งนี้อยู่ เป็นประจ�ำ จะเรียกว่าทุกวันก็ว่าได้ จนหม่อมเจ้าเจตนิพิฐซึ่งคงทรงสังเกตเธออยู่ สักพักถึงกับออกโอษฐ์อนุญาตให้เธอหยิบยืมหนังสือทุกเล่มในห้องทรงงานนี้ไปอ่าน ได้ตามสบาย ท่านชายทรงมีพระทัยดี มีน�้ำพระทัยงามจนเธออดชืน่ ชมอยูใ่ นใจไม่ได้ รสสุคนธ์คดิ ว่าท่านชายเจตนัน้ ช่างดีไปเสียทุกอย่าง ถึงกระนัน้ ก็ไม่ได้สมบูรณ์ แบบไปเสียหมด อย่างน้อยๆ ท่านชายก็ยังคงมีข้อเสียให้เธอได้แอบค่อนขอดอยู่ใน ใจบ้าง ข้อเสียที่ว่านั้นก็คือท่าทางวางอ�ำนาจ ดูไว้องค์ และทรงดุเสียเหลือเกิน หญิงสาวลอบมองวรองค์สูงใหญ่เบื้องหน้า แล้วต้องลอบกลืนน�้ำลายลงคอ อย่างยากเย็น รูด้ วี า่ วันนีม้ พิ น้ ต้องถูกดุอกี ตามเคย วันก่อนเธอก็เพิง่ โดนดุทไี่ ปสนทนา พูดคุยอย่างสนิทสนมกับนายเติบ... คนสวนวัยยี่สิบปลายๆ ของวังนี้ ‘เธอเป็นผู้หญิง ไฉนจึงไม่ระวังรักษาตัวเสียบ้าง พูดคุยสนิทสนมกับผู้ชาย เช่นนั้น ถ้าใครอื่นมาเห็นเข้า เขาจะว่าไม่งาม’ เรื่อง ‘ไม่งาม’ นี่รสสุคนธ์ได้ยินท่านชายตรัสอยู่หลายต่อหลายครั้ง แม้แต่ ท่านหญิงนวลแขก็ยังทรงพร�่ำบ่นเช่นกัน ‘เธอชักจะเก่งกล้าเกินชายเสียแล้ว รสสุคนธ์’ พระองค์รบั สัง่ หลังจากรับรูเ้ รือ่ ง ราวจากแม่วาด... พระพีเ่ ลีย้ งของท่านชายเจตนิพฐิ ว่ารสสุคนธ์กล้าหาญชาญชัยถึงขัน้ ปีนเก้าอี้ขึ้นไปเปลี่ยนหลอดไฟในห้องนอนด้วยตัวเอง ‘คนในบ้านนี้มีเป็นสิบ เหตุใดจึงต้องท�ำเองเล่า แม่รส’ รสสุคนธ์คดิ ว่าอะไรทีพ่ อจะท�ำได้ ก็ควรจะท�ำ ไม่ใช่เอาแต่นงั่ กินนอนกินไปวันๆ อย่างสบายอารมณ์ ที่ส�ำคัญบ้านนี้ไม่ใช่ของเธอ บริวารทุกคนของที่นี่ก็ไม่ใช่บริวารของเธอ เธอ ไม่มสี ทิ ธิอ์ อกค�ำสัง่ หรือใช้งานพวกเขาแม้แต่นอ้ ย หญิงสาวเจียมตัวอยูเ่ สมอว่าตนเอง เป็นเพียงผู้อาศัยเท่านั้น “เธอกับเจ้าหนุ่มนั่น... ฉันลืมไปเสียแล้ว คนรักของเธอชื่ออะไรนะ” สุรเสียง ห้าวลึกดังขึน้ จากวรองค์สงู ใหญ่ซงึ่ ก�ำลังยืนเอาหัตถ์ไขว้ไว้ทางเบือ้ งปฤษฎางค์ ดวงเนตร 16


ศศิภา

ทัง้ สองมองผ่านหน้าต่างทีเ่ ปิดอ้าออกรับสายลมยามสายให้โชยพัดเข้ามาภายใน เนตรคม หลุบต�่ำมองแปลงดอกกุหลาบสีขาวบริสุทธิ์ซึ่งก�ำลังเบ่งบานรับแสงตะวัน “หม่อมฉันยังไม่มีคนรักเพคะ” “ไม่ใช่คนรักแล้วเหตุใดจึงต้องเขียนจดหมายโต้ตอบกันเช่นนี้” พร้อมกับ รับสั่ง ท่านทรงเอี้ยวองค์หันมาทางเธอ แล้วชูกระดาษสีขาวในหัตถ์ให้เห็น “เป็นเพียงแค่จดหมายถามสารทุกข์สุกดิบกันเท่านั้นเพคะ” หม่อมเจ้าเจตนิพฐิ ทรงขยับองค์ สาวบาทกลับมาทีโ่ ต๊ะ ก่อนจะประทับลงบน เก้าอี้ไม้สักซึ่งฉลุลวดลายงดงาม มองปราดเดียวก็รู้ว่าราคาคงแพงลิ่ว “รู้จักกันมานานเท่าไรแล้ว” “เกือบสิบปีเพคะ พีเ่ อกเขา...” ยังเอ่ยไม่ทนั จบ ท่านชายผูม้ กั ท�ำพักตร์เรียบเฉย อยู่เป็นประจ�ำก็ทรงท�ำเสียงอืออาในพระศอ “อ้อ... ฉันจ�ำได้แล้ว คนรักของเธอชื่อทองเอกใช่ไหม” “เพคะ” หญิงสาวตอบอย่างชัดถ้อยชัดค�ำและมีรอ่ งรอยของความไม่พอใจแฝงเร้นอยู่ แม้จะเล็กน้อยแต่หม่อมเจ้าเจตนิพิฐก็ทรงจับความรู้สึกของเธอได้ ท่านชายทรงยก พระพาหาเท้าลงบนโต๊ะตรงหน้า พร้อมกับใช้เนตรคมดุสีนิลจับจ้องวงหน้านวลที่ดู ไม่สบอารมณ์อย่างพินิจพิจารณา และทรงพบว่าดวงตาคู่สวยมีแววขุ่นข้องหมองใจ ชัดเจน ริมฝีปากบางยังคงขยับเคลื่อนไหวเปล่งเสียงใสๆ ออกมาเจื้อยแจ้ว “แต่... หม่อมฉันจ�ำเป็นต้องย�้ำอีกครั้งว่าพี่เอกไม่ใช่คนรักของหม่อมฉัน เรา เพียงแค่รู้จักกันเมื่อครั้งยังเป็นเด็กเท่านั้นเพคะ พี่เอกอาศัยอยู่ข้างบ้านหม่อมฉัน มานาน ท�ำให้เราสองคนรู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี จนเมื่อสามปีก่อนพี่เอกย้ายตาม คุณพ่อของเขาไปอยู่ต่างจังหวัด ที่นู่นไม่มีโทรศัพท์ ท�ำให้พี่เอกต้องติดต่อหม่อมฉัน ทางจดหมาย ส่วนข้อความในจดหมายนัน้ ก็อย่างทีท่ า่ นชายทรงทราบว่าไม่ได้มอี ะไร มากไปกว่าความห่วงใยฉันพี่น้องเลยสักนิดเพคะ” ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ จนรสสุคนธ์เชื่อว่าหากมีเข็มสักเล่มตกลง บนพื้นคงดังก้องกังวานเป็นแน่แท้ หญิงสาวเม้มริมฝีปากนิดๆ ยามกลั้นใจเงยหน้า สานสบสายตากับดวงตาสีนิลทรงอ�ำนาจ นานเท่าใดก็สุดรู้กว่าหม่อมเจ้าเจตนิพิฐจะ ทรงพยักพักตร์ 17


“ตกลง ฉันเชื่อว่าพี่เอกของเธอไม่ใช่คนรักของเธอ อีกทั้งเนื้อความจดหมาย ก็ไม่ได้เป็นไปในทางเกี้ยวพาราสีมากนัก” มากนักงัน้ หรือ... รสสุคนธ์อยากเถียงออกไปเหลือเกินว่าไม่ใช่มากนัก แต่เป็น ไม่มีเลยต่างหาก “การมีคนรักไม่ใช่เรื่องที่ผิดดอกนะรสสุคนธ์ แต่เธอควรจะโตกว่านี้ เป็น ผู้ใหญ่กว่านี้จึงจะเหมาะสม” “ท่านชายรับสั่งว่าทรงเชื่อหม่อมฉันมิใช่หรือเพคะ” “แน่นอน ฉันเชื่อเธอ แต่... ในวันหนึ่งวันใดข้างหน้านี้ เธออาจจะพบรักกับ หนุ่มที่ไหนสักคน ในฐานะผู้ปกครอง ฉันจ�ำเป็นต้องพูด ต้องคุย และอธิบายให้เธอ ได้เข้าใจ” หม่อมเจ้าเจตนิพิฐทรงยืน แล้วสาวบาทตรงมาหารสสุคนธ์ ฝีบาทของท่าน ทุกย่างก้าวเน้นหนัก มั่นคงจนคนที่ยืนเอามือประสานกันไว้ด้านหน้าอย่างหลวมๆ ต้องบีบมือกระชับแน่นเข้า อกสั่นขวัญแขวนราวก�ำลังยืนอยู่หน้าลานประหารก็มิปาน “ฉันไม่ได้ต้องการกีดกันความรักของเธอแม้แต่น้อย เพียงแต่ฉันคิดว่า... เธอควรจะรอให้บรรลุนิติภาวะเสียก่อน วันใดที่เธออายุครบยี่สิบและฉันไม่จ�ำเป็น ต้องเป็นผู้ปกครองของเธอแล้ว เมื่อนั้นเธอจะคบใครก็ได้ฉันไม่ว่า แต่ในระหว่างนี้ ฉันอยากให้เธอรักษาเนื้อรักษาตัว สงวนหัวใจไว้เสียก่อน อย่าเพิ่งเปิดทางให้ชายใด เข้ามาชิดใกล้มากนัก” ...ชายใดทีว่ า่ นัน้ รวมถึงท่านชายเจตด้วยหรือเปล่าหนอ คนตัวเล็กร�ำพึงร�ำพัน เพียงในใจ ...หากรวมท่านชายด้วย รสสุคนธ์เห็นจะต้องขยับเท้าถอยห่างออกไปสักสาม สี่ก้าวเสียแล้ว ยามนีร้ า่ งโปร่งระหงก�ำลังยืนเกร็งตัว กลัน้ ใจมองพักตร์คมสันของหม่อมเจ้า เจตนิพฐิ ทีอ่ ยูห่ า่ งจากเธอเพียงแค่เอือ้ มมือด้วยหัวใจเต้นระทึก ครัง้ นีน้ บั เป็นครัง้ แรก ที่หญิงสาวได้อยู่ชิดใกล้ท่านถึงขนาดมองเห็นไรมัสสุเขียวครึ้มโดยรอบริมโอษฐ์ ยิ่งเมื่อสบเนตรคมดุด้วยแล้วหัวใจที่เต้นรัวก็โยนไหวรุนแรง เธอรู้สึกเหมือนตัวเอง ก�ำลังตกลงไปในหลุมด�ำมืดและหลงวนอยู่ในนั้นค้นหาทางออกไม่พบ “...รส... รสสุคนธ์” สุรเสียงห้าวดังขึ้นเรื่อยๆ จนเธอแทบสะดุ้งสุดตัว “ไม่ได้ยินหรือ ฉันเรียกอยู่ตั้งนาน” 18


ศศิภา

“ขอประทานอภัยเพคะ” เพราะเหม่อลอยจึงไม่ทันได้ยินว่าท่านชายตรัสว่า กระไรบ้าง หญิงสาวยกมือไหว้แล้วเอ่ยถาม “เมื่อกี้รับสั่งว่าอะไรนะเพคะ” “ฉันบอกว่า... ทีหลังอย่าแอบซ่อนจดหมายไว้อีก นี่ถ้าไม่ใช่เพราะฉันเห็น เธอลับๆ ล่อๆ หน้าประตูใหญ่แล้วล่ะก็ คงไม่ได้รู้ความจริงสินะว่าเธอก�ำลังเขียน จดหมายติดต่อกับชายหนุ่ม” คนตัวเล็กหลุบสายตาลงต�่ำ หน้าร้อนซู่อย่างนึกอาย นี่เธอก�ำลังถูกต่อว่าว่า แอบติดต่อกับผู้ชายในเชิงชู้สาวอยู่หรือไร ก็บอกไปชัดเจนแล้วมิใช่หรือว่าทองเอก มิใช่คนรัก และไม่มีวันเป็นด้วย แก้มนวลเริม่ แดงระเรือ่ ด้วยความโกรธและอาย หม่อมเจ้าเจตนิพฐิ สังเกตเห็น จึงถอนพระทัยบางเบา แล้วรับสั่งด้วยสุรเสียงที่นุ่มนวลขึ้น... เล็กน้อย “ฉันไม่ได้ต่อว่าอะไรเธอดอกนะ แต่ที่ฉันท�ำแบบนี้ ก็เพราะเป็นห่วง ฉัน ไม่อยากท�ำให้ชงโคผิดหวัง” รสสุคนธ์รดู้ ี รูม้ าตลอดว่าหม่อมเจ้าเจตนิพฐิ ทรงท�ำดีกบั เธอมากมายเช่นนี้ ก็ เพราะทรงสัญญากับพี่สาวของเธอว่าจะดูแลเธอให้ดีเพียงเท่านั้น “หม่อมฉันทราบเพคะ... ทราบดีวา่ ท่านชายไม่มที างผิดสัญญาทีใ่ ห้ไว้กบั พีช่ ง” “เพราะฉะนั้นถ้าฉันเข้มงวด หรือดุเธอไปบ้าง ก็อย่าได้ถือโทษโกรธกันเลย” “อย่ารับสัง่ เช่นนัน้ เลยเพคะ หม่อมฉันมิบงั อาจ... ท่านชายทรงเป็นผูป้ กครอง และผู้มีพระคุณ หากจะว่ากล่าวตักเตือนหม่อมฉันเมื่อหม่อมฉันท�ำผิด ก็เป็นสิ่งที่ ถูกต้องแล้วเพคะ” รสสุคนธ์นนั้ แม้นสิ ยั ภายนอกจะแตกต่างกับชงโค แต่ยงั คงมีสงิ่ ทีเ่ หมือนกัน อยู่บ้างก็คือความนอบน้อม โอบอ้อมอารี มีสติ รอบคอบ และเข้าใจในสถานการณ์ ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี เธอไม่โวยวายเลยแม้สกั ค�ำแม้พระองค์จะทรงถือวิสาสะเปิดอ่าน จดหมายทุกฉบับระหว่างเธอกับทองเอก “เธอคิดว่าฉันเป็นผู้ปกครองที่โหดเกินไปหรือเปล่า รสสุคนธ์” คนตัวเล็กเงยหน้า ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย “โหดหรือเพคะ” “ใช่ ก็ฉันริดรอนสิทธิและเสรีภาพของเธออย่างไม่น่าให้อภัย” ...จะเรียกว่าโหดหรือเปล่า ก็คงไม่ใช่ เรียกว่าเคร่งเกินไปคงจะเหมาะกว่า... อยากจะตอบออกไปเช่นนัน้ แต่กเ็ กรงจะถูกลงโทษ จึงท�ำเพียงแต่นงิ่ เฉยเสีย เมือ่ เห็น 19


รสสุคนธ์ไม่ตอบ หม่อมเจ้าเจตนิพิฐก็ไม่เซ้าซี้ให้มากความ รับสั่งต่อไปว่า “จดหมายฉบับหน้า ไม่ตอ้ งเอามาให้ฉนั อ่านดอก ฉันถือว่าวันนีฉ้ นั ได้คยุ กับ เธอรู้เรื่องแล้ว และฉันหวังว่าเธอจะเข้าใจในสิ่งที่ฉันต้องการ” แม้จะดูเหมือนใจดี ปล่อยให้เธอเป็นอิสระ แต่ลึกๆ แล้วหม่อมเจ้าเจตนิพิฐ ทรงเชื่อว่ารสสุคนธ์จะไม่มีวันท�ำให้องค์เองผิดหวังและเสียพระทัยต่างหาก... ช่าง น่าแปลกนักที่พระองค์ทรงเชื่อสาวน้อยตรงหน้าเต็มหทัย “จะไปท�ำอะไรก็ไปท�ำเถอะ รสสุคนธ์” รสสุคนธ์ยกมือไหว้งดงาม ก�ำลังจะ เดินออกจากห้องก็ถูกเรียกไว้เสียก่อน “อ้อ เดี๋ยว... มีหนังสือเล่มใหม่มา จ�ำได้ว่า เป็นนักเขียนที่เธอชอบ” รสสุคนธ์ชะงักเท้าทีก่ ำ� ลังจะก้าวออกไป เดินกลับมาทีโ่ ต๊ะ ยกมือไหว้ขอบคุณ ก่อนยื่นมือไปรับหนังสือเล่มบางที่หม่อมเจ้าเจตนิพิฐทรงยื่นมาให้ เพียงมองชื่อคนแต่งซึ่งอยู่มุมขวาล่างของหนังสือเล่มนั้น หญิงสาวก็ยิ้ม กว้าง... ยิ้มทั้งปากทั้งตาเลยทีเดียว ดังนั้นพลันที่เงยหน้าขึ้นมองหม่อมเจ้าเจตนิพิฐ ดวงตากลมโตจึงเป็นประกายงดงาม เปล่งแสงเจิดจ้าดั่งดวงดาราบนนภาก็มิปาน ...ใครก็ตามที่ได้มองคงอดตกตะลึงกับความงามนั้นเช่นท่านชายเจตไม่ได้ ยามนี้หม่อมเจ้าเจตนิพิฐทรงยืนนิ่ง สานสบดวงตากลมโตราวตากวางอย่าง เพลิดเพลินหทัย อดด�ำริไม่ได้วา่ เหตุไฉนองค์เองจึงไม่เคยสังเกตเห็นความงดงามของ ดวงตาคูน่ มี้ าก่อน... ไม่เคยสานสบ ไม่เคยเหลียวมอง และไม่เคยพินจิ พิจารณาอย่าง ใกล้ๆ จึงท�ำให้ละเลยความงามของมันไป แต่วันนี้ เวลานี้ พระองค์ทรงเห็นและรับรู้เต็มพระทัยแล้วว่าดวงตาของ สาวน้อยตรงหน้ามีเสน่ห์มากเพียงใด “ขอบพระคุณเพคะ” สุม้ เสียงดีใจรืน่ เริงของหญิงสาวปลุกให้พระองค์ตนื่ จาก ภวังค์ “หม่อมฉันขอยืมได้ไหมเพคะ” “เอาไปเถิด ฉันตั้งใจจะให้เธอได้อ่านอยู่แล้ว” “ขอบพระคุณเพคะ” รสสุคนธ์ยกมือไหว้อีกครั้ง ก่อนเดินลิ่วจากมาด้วยหัวใจอิ่มเอมเปี่ยมสุข เพราะจะได้อ่านตัวอักษรที่เรียงร้อยจากปลายปากกานักเขียนในดวงใจ ขณะที่ใคร อีกคน... ก�ำลังประทับตราตรึงความงามที่เพิ่งสัมผัสได้ไว้ในหทัย 20


ศศิภา

พอออกมาจากห้องทรงงานของท่านชายพร้อมหนังสือเล่มใหม่ รสสุคนธ์ก็ ยิ้มแป้น เป็นสุขและอิ่มเอมใจทุกคราที่จะได้สัมผัสความงดงามของตัวอักษรซึ่ง นักเขียนแต่ละท่านต่างร้อยเรียงอย่างตัง้ ใจ ด้วยเหตุนเี้ องหญิงสาวจึงเลือกเรียนอักษร ด้วยหวังไว้ว่าในภายภาคหน้าอาจจะมีโอกาสได้เรียบเรียงเรื่องราวของตนเองและได้ ตีพิมพ์ดังเช่นนักเขียนท่านอื่นๆ บ้าง ร่างโปร่งบางเดินมาตามทางเดินระหว่างตึก เดินผ่านห้องหลายห้องที่ปิดไว้ ไม่มีคนพัก ครั้งเมื่อเธอเข้ามาอยู่ที่นี่วันแรกก็นึกสงสัยเป็นนักหนาว่าห้องหลายห้อง ในวังนีม้ ไี ว้ทำ� อะไรบ้าง แต่จะถือวิสาสะเปิดเสียทุกห้องก็เป็นการเสียมารยาทนัก สุดท้าย จึงท�ำได้เพียงเก็บความสงสัยไว้ในใจ จนบัดนี้ล่วงเลยมาหกเดือนแล้ว เวลาผ่านห้องที่ปิดตาย รสสุคนธ์ก็ยังอด เหลือบสายตามองและกระหายอยากเข้าไปส�ำรวจตรวจตราภายในไม่ได้เสียที ชงโค พี่สาวของเธอมักจะพร�่ำบ่นอยู่เสมอว่า ‘เราน่ะอยากรู้อยากเห็นไปเสียทุกเรื่อง’ พี่สาวของรสสุคนธ์นั้นเป็นหญิงสาวร่างผอมบางแทบจะปลิวลม รสสุคนธ์ว่า ผอมแล้ว ชงโคผอมกว่าหลายเท่า จะว่าไปแล้วรูปร่างแบบนัน้ ไปเป็นนางแบบได้สบาย หากชงโคปฏิเสธท่าเดียว หญิงสาวเป็นประเภทเรียบร้อย ขี้อาย วันๆ แทบจะไม่ออก จากบ้านไปไหน ทีไ่ ด้ออกเหย้าออกเรือนกับท่านชายเจตก็เพราะท่านหญิงนวลแขทรง เห็นดีเห็นงาม นึกชอบใจในความเรียบร้อยเป็นกุลสตรี อ่อนน้อมถ่อมตนของเธอ ย้อนไปเมื่อปีที่แล้ว ครั้งที่ชงโคติดตามมารดามาเฝ้าหม่อมเจ้านวลแขที่วังนี้ จึงได้พบปะพูดคุยกันจนน�ำมาสู่ความประทับใจและชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง มารดาของเธอนัน้ เคยถวายการดูแลรับใช้และเป็นคนสนิทของท่านหญิงมาก่อน ไม่วา่ ท่านหญิงจะเสด็จไหน จะท�ำอะไร ต้องเรียกหาแต่แม่แช่มท่าเดียว หากพอพบรัก กับพุ่ม แม่แช่มก็เลือกที่จะออกจากวังไปใช้ชีวิตอยู่ที่เรือนไทยหลังเล็ก เป็นแม่บ้าน แม่เรือนอย่างเต็มตัว มารดาของเธอห่างหายไม่ได้พบพักตร์ท่านหญิงเกือบยี่สิบปี อะไรดลใจให้ท่านตัดสินใจมาเข้าเฝ้าในวันนั้นก็ไม่ทราบได้ อาจจะเป็นพระพรหม ชักน�ำพาให้ชงโคได้พบเจอกับหม่อมเจ้าเจตนิพิฐก็เป็นได้กระมัง หลังจากวันนั้นหม่อมเจ้านวลแขก็โปรดชงโคเป็นอย่างมาก ถึงขั้นออกโอษฐ์ เลียบๆ เคียงๆ ถามบุตรเพียงคนเดียวของท่าน ได้ความว่าท่านชายก็ทรงพึงใจเช่นกัน นับจากนั้นอีกหนึ่งปีจึงได้มีงานเสกสมรสขึ้น หากโชคร้ายที่ผ่านไปเพียงหกเดือน 21


ก็เกิดโศกนาฏกรรมขึ้นเสียก่อน พันตรีหม่อมเจ้าเจตนิพิฐกลายเป็นพ่อม่ายเนื้อหอม ตั้งแต่วันนั้น จวบจนกระทั่งวันนี้ รสสุคนธ์เห็นสาวน้อยสาวใหญ่เดินทางมาเข้าเฝ้าท่านหญิงนวลแขอยูเ่ ป็นประจ�ำ บางคนก็สวยสะคราญ งดงามไม่มีที่ติ บางคนก็ดูเย่อหยิ่ง จองหอง ท�ำตัวเด่นราวกับ ตนเองเป็นหม่อมของท่านชายก็ไม่ปาน รสสุคนธ์ออกจะเอือมระอากับคนประเภทหลัง บ่อยครั้งที่เธอพบเจอตอนนั่งอยู่ในสวน หรือไม่ก็ตรงบันได อยากจะหยิบยื่นไมตรี ให้อยู่เหมือนกัน แต่พอเห็นแววตาที่กวาดมองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแล้วเหยียด ยิ้มเยาะแล้วนั้น รอยยิ้มที่ก�ำลังจะแย้มเยื้อนจึงหุบลงทันควัน แต่เพียงเท่านั้น ดูยังจะไม่สมใจพอ จึงแกล้งเดินเฉียดเข้าไปใกล้ พอที่จะเอาหัวไหล่กระแทกนั่นล่ะ สิ่งที่ได้รับกลับมาคือเสียงกรีดร้องราวกับเธอเป็นผู้ร้ายฆ่าคนเลยทีเดียว ‘ต๊าย ไร้มารยาทเสียจริง! ไม่รู้ท่านหญิงทรงเก็บมาเลี้ยงไว้ท�ำไม วังดิลบุตร เสื่อมเสียหมด’ ได้ยินเต็มสองรูหู หากก็ยับยั้งชั่งใจตัวเองไว้ไม่ให้ตอบโต้ เนื่องด้วยเกรงว่า จะเสื่อมเสียเกียรติของผู้มีพระคุณทั้งสองท่าน วันนีค้ งไม่แคล้วมีสาวนางใดนางหนึง่ มาเยีย่ มเยียนถึงวังอีกกระมัง รสสุคนธ์ หยุดมองที่หน้าต่างบานกลางตรงยอดโดม เห็นรถยุโรปกลางเก่ากลางใหม่คันหนึ่ง แล่นผ่านประตูเข้ามาด้านใน ตรงเข้ามาจอดริมต้นสนก่อนจะถึงตัวตึก หญิงสาวใช้ มือข้างหนึง่ กอดหนังสือทีท่ า่ นชายประทานให้ มืออีกข้างก็เกาะขอบหน้าต่างแล้วชะแง้ แลมองลงมาอย่างสนใจใคร่รู้ ผิดคาดแฮะ... คนที่ลงจากรถไม่ใช่สตรีคนใดอย่างที่คาด แต่เป็นชายหนุ่ม ร่างสูงโปร่ง สวมเสือ้ สีฟา้ โปร่งบางจนเห็นเสือ้ กล้ามด้านใน รสสุคนธ์ไม่อาจเห็นใบหน้า ของชายคนนั้นได้เพราะหมวกสีเทาที่อยู่บนศีรษะบดบังไว้ ทว่าดูเหมือนคนมาเยือนจะรับรูว้ า่ ตกเป็นเป้าสายตา จึงเงยหน้าขึน้ มองพร้อม กับถอดหมวกออก คนแอบมองถึงกับสะดุง้ เฮือก เบิกตาโตเท่าไข่หา่ นก่อนจะหมุนตัว หันหลังให้ ใจเต้นโครมครามราวกับตนเองก�ำลังท�ำผิดมหันต์อย่างไรอย่างนั้น รออยูช่ วั่ ครูท่ เี ดียว หญิงสาวจึงค่อยๆ หมุนตัวกลับไป หลุบสายลงต�ำ่ มองไป เบื้องล่างก็พบเพียงตัวรถสีครีมเท่านั้น คนตัวเล็กถอนหายใจอย่างโล่งอก จากที่เห็นเพียงชั่ววินาทีพบว่าผู้ชายคนนั้นหน้าตาดีไม่หยอก รูปร่างสูงโปร่ง ผิวออกจะขาวจัดจนเกือบซีด หากริมฝีปากบางกลับแดงจัด จะว่าไปก็เหมือนกับ 22


ศศิภา

พระเอกที่ถูกบรรยายไว้ในนิยายเรื่องใดเรื่องหนึ่งไม่ผิดเพี้ยน รสสุคนธ์อยากรูอ้ ยากเห็นขึน้ มาอีกแล้วว่าชายคนนัน้ เป็นใคร จึงกวาดตามองหา คนสวนหรือไม่กค็ นรับใช้สกั คนเพือ่ ซักถามให้ได้ความ หากสายตาก็สะดุดเข้ากับใคร คนหนึ่งซึ่งท�ำลับๆ ล่อๆ อยู่หน้าประตูใหญ่ เขาเป็นชายร่างสูงผอม สวมเสื้อกั๊กสีเทา ทับกับเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว กางเกงขายาวสีเดียวกันกับรองเท้าหนังขัดมันวับ หญิง สาวขมวดคิ้วเมื่อไม่พบว่ามีใครอยู่แถวนั้น กอปรกับความสงสัย จึงตัดสินใจเดินกึ่ง วิ่งลงจากตึกไป เพียงไม่นานเจ้าตัวก็มาหยุดยืนอยู่ตรงประตูเล็กข้างๆ ประตูใหญ่ส�ำหรับให้ รถเข้าออกเสียแล้ว รสสุคนธ์ดูจะไม่เกรงกลัวคนแปลกหน้าเลยแม้แต่น้อย เมื่อเธอ ปลดล็อกดึงประตูให้เปิดออกแล้วชะโงกหน้าออกไป คราวนี้เธอเห็นเขาเต็มตาเลยเชียวล่ะ ผู้ชายตรงหน้าเธอจัดว่าหน้าตาดีใช้ได้ แต่ออกจะดูเจียมเนื้อเจียมตัว ไม่สง่าผึ่งผายสักเท่าไร หน�ำซ�้ำยังดูหวาดระแวงอะไร บางอย่างเสียด้วย “ประทานโทษเถอะค่ะ คุณมาพบใครคะ” เพียงแค่ซกั ถามเบาๆ ร่างผอมถึงกับสะดุง้ ใบหน้าซีดเซียวกว่าเดิมหลายเท่า จนขาวราวกระดาษ “ว่าอย่างไรคะ” “เอ่อ... คุณท�ำงานที่นี่หรือครับ” “ค่ะ” หญิงสาวตอบออกไปโดยไม่เสียเวลาคิด ก็จะให้เธอตอบว่าอยู่ที่นี่ใน ฐานะอะไร จะว่าเป็นญาติเธอก็ไม่อาจเอือ้ มถึงขัน้ นัน้ “คุณยังไม่ตอบฉันเลยว่ามาพบใคร ท่าทางคุณมีพิรุธและมายืนลับๆ ล่อๆ แบบนี้ ฉันคงต้องแจ้งต�ำรวจแล้วนะคะ” “โอ... ได้โปรด อย่าท�ำเช่นนั้นเลยครับ ผมแค่...” ชายหนุ่มทักท้วงขึ้นมา ทันควัน ดูเหมือนจะกลัวค�ำขู่ของเธอมาก “ผมแค่อยากมาพบคุณชงโคน่ะครับ” รสสุคนธ์ขมวดคิ้วเข้าหากันทันที ดวงตากลมโตมีร่องรอยสงสัยเต็มเปี่ยม “พี่ชงหรือคะ คุณมีธุระอะไรกับพี่ชง” “พี่ชง? คุณสนิทกับคุณชงโคหรือครับ” สุ้มเสียงนั้นดูดีใจจนปิดไม่มิด “ฉันเป็นน้องสาวค่ะ แต่...” ก�ำลังจะเอ่ยออกไปว่าชงโคเสียชีวิตแล้ว ก็ไม่ทัน เมื่ออีกฝ่ายจับมือของเธอไปกุมไว้อย่างถือวิสาสะ ท�ำให้คนไม่เคยถูกมือชายมาก่อน อ้าปากค้าง นึกกังวลว่าจะมีคนมาเห็นจึงรีบชักมือกลับ แต่ชายหนุ่มก็ไม่วายดึงไปอีก คราวนี้เขาเอาจดหมายฉบับเล็กยัดใส่มือเธอเสียด้วย 23


“ฝากให้คุณชงโคด้วยนะครับ ขอบคุณมาก” เอ่ยเสร็จก็วิ่งจากไป ไม่รอให้เธอทักท้วงใดๆ เลย แล้วเธอจะเอาจดหมาย ฉบับนี้ให้พี่สาวได้อย่างไรในเมื่อพี่ชงของเธอจากโลกนี้อย่างไม่มีวันกลับเสียแล้ว รสสุคนธ์ถอนหายใจเฮือก ชะแง้แลมองตามแผ่นหลังทีห่ ายลับเข้าไปในซอยซอยหนึง่ ฝัง่ ตรงข้ามแล้วจึงปิดประตู เดินกลับขึน้ ตึกไปโดยเก็บจดหมายฉบับนัน้ ไว้ในหนังสือ ที่กอดไว้แนบอก ตรงบันไดเตี้ยๆ ด้านหน้าตึกนั้นเองที่เธอเกือบจะชนเข้ากับใครคนหนึ่ง ด้วยไม่ทันระวังเอาแต่ก้มหน้าก้มตามองพื้นครุ่นคิดอยู่นั่นเอง “อุ๊ย” ร่างเล็กเซซวนแทบจะล้มทั้งยืน แต่ยังไม่ยอมปล่อยหนังสือในมือให้ ร่วงหล่น ท�ำราวกับมันคือของล�้ำค่าที่เธอต้องรักษาเยี่ยงชีวิต รสสุคนธ์หลับตาแน่น คิดว่าตนเองคงล้มจ�้ำเบ้ากับพื้นแข็งๆ แน่แล้ว หากก็มีอ้อมแขนแข็งแรงมากระหวัด รัดตัวเธอไว้เสียก่อน ...และไม่ใช่เพียงแขนเดียว หากเป็นสองแขนจากคนสองคน! เมือ่ ลืมตาขึน้ มาหลังจากพบว่าตัวเองยังอยูร่ อดปลอดภัยดี จากทีต่ กใจคิดว่า จะบาดเจ็บ กลับต้องตกใจที่ถูกกอดเอวไว้จากชายถึงสองคนด้วยกัน ร่างเล็กกะพริบตาปริบๆ ตวัดสายตามองเนตรคมกล้า สลับกับดวงตาเรียว อ่อนโยน ซ้ายทีขวาที จนเป็นท่านชายเจตที่ท�ำลายความเงียบรับสั่งออกมาว่า “เดินระวังหน่อยสิ รสสุคนธ์” จากนั้นก็ทรงหันไปส่งสายเนตรดุๆ ให้กับชายอีกคน “แกปล่อยมือได้แล้ว ทรงกลด” ชายผิวขาวเลิกคิ้วน้อยๆ หากก็ยอมถอยห่างแต่โดยดี เมื่อได้มาอยู่ใกล้กัน เช่นนี้ รสสุคนธ์จงึ ได้สงั เกตเห็นว่าผิวของเขาไม่ได้ขาวซีดไปเสียทัง้ หมด แต่มบี างส่วน ออกแดงคล�ำ้ เหมือนคนตากแดดนานๆ นีถ่ า้ ไม่ใช่คนทีม่ ผี วิ ขาวจัดเป็นทุนเดิมแล้วล่ะก็ สีผิวของนาย ‘ทรงกลด’ คงไม่แคล้วเป็นสีเดียวกับท่านชายเป็นแน่ รสสุคนธ์เบือนสายตากลับมามองสบดวงเนตรคมดุอกี ครา เพียงมองจ้องลึก ไปในนัยเนตรด�ำสนิท เจ้าตัวก็ใจสั่นไหวขึ้นมาอีกจนได้ ร่างเล็กรีบผละออกห่างจาก อ้อมกร ก่อนประกบมือเข้าหากันไหว้อย่างนอบน้อม “ขอบพระคุณเพคะ ท่านชาย” 24


ศศิภา

จากนั้นจึงเผื่อแผ่ไปให้คนที่ยืนเยื้องอยู่ทางเบื้องปฤษฎางค์ของท่านชายเสีย ด้วยเลย คะเนแล้วเขาคงอายุมากกว่าพอสมควรจึงไม่แปลกอะไรที่เธอจะยกมือไหว้ “ขอบคุณค่ะ” ฝ่ายนั้นยกมือรับไหว้ ก่อนเอ่ยด้วยสุ้มเสียงร่าเริง “ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็ผดิ ทีเ่ ดินไม่ดตู าม้าตาเรือ นีถ่ า้ คุณเกิดบาดเจ็บขึน้ มา ผมคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตแน่เลย” โห... มันหนักหนาสาหัสถึงขัน้ ต้องรูส้ กึ ผิดไปทัง้ ชีวติ เลยหรือไร หญิงสาวแอบ ข�ำอยู่ในใจ ขณะก้มหน้านิ่งเงียบ ริมฝีปากแย้มออกเพียงนิดเท่านั้น “ฉันจะออกไปสังสรรค์กับเพื่อนหน่อย ฝากดูแลแม่ด้วยนะ ตอนนี้ท่านคง หลับอยู่” “เพคะ” “ค�่ำๆ ถึงจะกลับ” รสสุคนธ์เงยหน้ามองพักตร์คร้ามคม ก่อนจะเลี่ยงหลบให้อีกฝ่ายสาวบาท ไปยังรถสีครีม เมื่อคนที่ชื่อทรงกลดเดินผ่านเขาก็แนะน�ำตัวเองอย่างเป็นทางการ “ผมชื่อทรงกลดครับ คุณคือ...” “รสสุคนธ์ค่ะ” เอ่ยแนะน�ำตัวเองก่อนยกมือไหว้อีกครั้ง “ยินดีที่ได้รู้จักครับ แล้วผมจะแวะมาบ่อยๆ เอ่อ...” ดูเหมือนเขาจะมีเรือ่ งพูดต่อ แต่ถกู ท่านชายผูเ้ อาแต่พระทัยร้องเรียกยิกๆ จึง จ�ำต้องผละห่างจากสาวน้อยหน้าแฉล้มไปโดยปริยาย “ไว้พบกันวันหลังแล้วกันครับ บาย” ทรงกลดเอ่ยลาแบบสมัยใหม่แล้วเดินลิ่วจากไป รสสุคนธ์หันไปมองเพียง แวบเดียว จึงหมุนตัวเดินเข้าไปข้างใน ขึ้นบันไดตรงไปยังห้องบรรทมของท่านหญิง นวลแข กะจะไปอยูร่ บั ใช้ทา่ นเสียหน่อย แต่เมือ่ ไปถึงก็พบว่าป้าวาดนัง่ เย็บเสือ้ เฝ้าอยู่ หน้าห้อง “ท่านหญิงบรรทมหรือคะ” “เจ้าค่ะ คุณรสมีธุระอะไรกับท่านหรือเจ้าคะ” “ไม่มีดอกค่ะ แค่จะมาคอยดูแลรับใช้” “ไม่ต้องห่วงดอกเจ้าค่ะ เดี๋ยวป้าดูแลเอง เชิญคุณรสพักผ่อนตามสบายเถิด เจ้าค่ะ” 25


รสสุคนธ์ยิ้มให้อีกฝ่าย ก่อนหมุนตัวเดินกลับไปยังห้องนอนของตนซึ่งอยู่ อีกฟากหนึง่ ของตัวตึก พอเข้ามาในห้องได้ ก็ทงิ้ ตัวลงนอนคว�ำ่ หน้า เปิดหนังสือในมือ แล้วหยิบจดหมายฉบับเล็กออกมาในทันใด จดหมายในมือเธอแต่กรุน่ กลิน่ หอมเหมือนดอกไม้อบแห้ง ชวนให้เธอเผลอ ดอมดมอย่างชื่นใจไม่ได้ จากนั้นจึงยกมือพนม “พี่ชงคะ รสขออนุญาตอ่านด้านในนะคะ พี่ชงคงไม่ว่าอะไร” เมือ่ ขอเสร็จสรรพแล้วจึงค่อยๆ บรรจงฉีกซองอย่างเบามือราวกลัวว่าจะท�ำให้ จดหมายด้านในบุบสลายอย่างไรอย่างนั้น ด้านในมีจดหมายหนึ่งฉบับพับหลายทบ รสสุคนธ์หยิบออกมาแล้วเปิดอ่าน เพียงแค่เห็นบรรทัดแรก ร่างกายของเธอก็ชาวาบ หัวใจราวกับจะหยุดเต้นไปเสียอย่างนั้น ...ชงโค สุดที่รักของพี่... ...นี่มันอะไรกัน... สุดที่รัก... จะมีเพื่อนที่ไหนเขียนแบบนี้หากันเล่า ถ้าไม่ใช่ จดหมายเกี้ยวพาราสี ก็ต้องเป็นจดหมายระหว่างสามีภรรยาแล้ว รสสุคนธ์ยงั ไม่ทนั อ่านข้อความในจดหมาย ก็ตวัดสายตาไปมองบรรทัดสุดท้าย เสียก่อน รักเธอเสมอตราบจนชีวิตจะหาไม่ นพ ลงท้ายด้วยถ้อยค�ำแสนหวานเกินกว่าค�ำว่าเพือ่ น รสสุคนธ์ถอื กระดาษใบนัน้ ด้วยมือที่สั่นระริก คิ้วบางขมวดเข้าหากันจนเป็นปม ขณะที่ดวงตากลมโตมีร่องรอย ของความสงสัยไม่แน่ใจและหวั่นกลัว ...พี่สาวของเธอท�ำผิดต่อท่านชายหรือเปล่าหนอ... ...โธ่... นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จดหมายฉบับนี้เป็นของพี่ชงจริงๆ หรือ หรือว่ามีใครจงใจเขียนมาแกล้งเธอ แล้วผูช้ ายทีช่ อื่ นพเป็นใครกันเล่า รูจ้ กั พีส่ าวของ เธอได้อย่างไร เขาคือผู้ชายที่ยืนลับๆ ล่อๆ คนนั้นหรือเปล่า... ค�ำถามมากมายยังคงค้างค้าในใจ และแม้จะเสียเวลาครุน่ คิดทัง้ คืนก็คงไม่อาจ หาค�ำตอบให้กระจ่างแก่ใจได้นั่นเอง 26


ศศิภา

2

ร้อยโททรงกลด ปิตพิ ทั ธ์ พารถคันเก่งของตนเองผ่านประตูสขี าวออกสูถ่ นน สายเล็กซึง่ เมือ่ เลีย้ วซ้ายจะไปเชือ่ มกับถนนสายหลัก ขับมาได้สกั พักก็ไม่อาจเก็บความ สงสัยไว้ในหัวใจได้อีกต่อไป “คนนีห้ รือฝ่าบาททีเ่ ป็นน้องสาวของชงโค” เสียงทุม้ นุม่ ดังขึน้ จากคนทีน่ งั่ อยู่ หลังพวงมาลัย “ว่าอย่างไรเล่าฝ่าบาท” “แกอยากจะรู้ไปท�ำไม” “หม่อมขอตอบตามตรง” ตามปกติแล้วไม่ตอ้ งเอ่ยเช่นนัน้ หม่อมเจ้าเจตนิพฐิ ก็ทรงทราบดีว่าทรงกลดพร้อมที่จะเปิดอกคุยกับองค์เองในทุกเรื่อง “ว่ามาสิ ฟังอยู่” “หม่อมสนใจ” ทรงได้ยินชัดเจน หากกลับท�ำหูทวนลมไปเสียอย่างนั้น คนที่คิดว่าคงได้รับ ถ้อยค�ำเห็นดีเห็นงามด้วยนิ่งงันไปในทันใด “ไม่ได้หรือฝ่าบาท” “ไม่ได้อะไรเล่า ทรงกลด แกจะถามอะไรก็ถามให้ชัดเจนหน่อยไม่ได้หรือ” “คือหม่อมอยากทราบว่าหม่อมเกี้ยวเธอได้หรือเปล่า” 27


ค�ำตอบที่ได้รับคือความเงียบงัน เพียงแค่นั้นทรงกลดก็พอจะรู้ได้เลาๆ แล้ว ว่าท่านชายเจตทรงไม่อนุญาต ไม่ใช่แค่ไม่อนุญาตเท่านัน้ แต่ทรงไม่เห็นด้วยเสียด้วยซ�ำ้ “หวงหรือฝ่าบาท” คราวนีค้ นทีน่ งั่ นิง่ เฉยมาตลอดทางขยับองค์อย่างอึดอัด ชวนให้นายทรงกลด ผู้รู้ ‘หทัย’ หม่อมเจ้าเจตนิพิฐมากกว่าใครนึกอยากแกล้งนัก “หวงจริงๆ หรือฝ่าบาท” “แกพูดอะไร ไร้สาระจริงทรงกลด” “โธ่... ก็ทรงท�ำเหมือนหวงจริงๆ นี่” แว่วเสียงหัวเราะจากร้อยโทหนุ่มผู้เป็นทั้งเพื่อนและน้องชายร่วมโลกท�ำให้ ท่านชายผูม้ กั ท�ำพักตร์เรียบเฉยแปรเปลีย่ นเป็นบึง้ ตึงทันควัน ขนงเข้มขมวดเข้าหากัน ส่งให้วงพักตร์ดุดันมากยิ่งขึ้น “ใช่ ฉันหวง... ฉันยอมรับ” ทรงกลดเกือบจะตะโกนออกมาอย่างสมใจแล้ว ก็พอดีว่าทรงขัดขึ้นมาเสียก่อน “ในฐานะที่ฉันเป็นผู้ปกครอง ฉันย่อมต้อง... หวง และ... ห่วง...” ทรงเน้นทั้งค�ำว่าหวงและห่วงอย่างชัดเจน “...เป็นธรรมดา มันไม่ใช่ เรื่องแปลกอะไรเลยไม่ใช่หรือ” ได้ยนิ ค�ำตอบแล้วร้อยโทหนุม่ อยากจะหัวร่อให้ฟนั หักกับการแก้องค์นำ�้ ขุน่ ๆ เช่นนี้ แต่ก็เอาเถอะ ในเมื่อไม่ทรงยอมรับ เขาก็จะไม่เซ้าซี้ ด้วยไม่อยากให้ท่านชาย ทรงหงุดหงิดจนท�ำให้การสังสรรค์ในวันนี้มีปัญหา “งั้นหม่อมขอแค่เป็นเพื่อนได้ไหมฝ่าบาท” คนถูกขอดูจะนิ่งไปครู่ใหญ่ทีเดียว จึงค่อยพยักพักตร์ “ได้ แต่ถ้าแกต้องการมากกว่านั้น รอให้เธอครบยี่สิบปีก่อน อีกสองปีรอได้ ไหมเล่าทรงกลด” คนที่เหมือนสิ้นหวังในตอนแรกกลับมามีความหวังทันควัน “เฮ้อ โล่งอก หม่อมนึกว่าต้องรอทั้งชีวิตเสียอีก” จากนัน้ จึงหัวเราะร่วน แล้วหันมาขยิบตาให้ทา่ นชายเสียหนึง่ ทีกอ่ นหันไปมอง ทางที่มีรถราวิ่งขวักไขว่ตามเดิม ฝ่ายท่านชายเจตนั้นทอดเนตรหน้าขาวจัดที่ไม่ได้เห็นมาสามปีเศษๆ อย่าง พิจารณา ทรงกลดย้ายจากส่วนกลางไปอยู่ส่วนภูมิภาค... ไกลถึงประจวบคีรีขันธ์ เพิง่ จะย้ายกลับมาประจ�ำการส่วนกลางเช่นเดิมก็เมือ่ อาทิตย์ทแี่ ล้วนีเ่ อง จากการไม่ได้ พบเห็นหน้ากันนานนั้น ท่านชายทรงไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรในตัวทรงกลดเลย 28


ศศิภา

แม้แต่น้อย ไม่ว่าจะรูปร่าง หน้าตา นิสัยใจคอยังเหมือนเมื่อก่อนไม่ผิดเพี้ยน ...เจ้าชู้ ขี้เล่น และร่าเริงอย่างไรก็ยังเหมือนเดิม ทรงถอนพระทัยยาวเมือ่ ย้อนนึกไปถึงเหตุการณ์เมือ่ ครูก่ อ่ นออกจากวัง นีถ่ า้ ไม่ประทับอยูด่ ว้ ยแล้วล่ะก็ นายทรงกลดหน้าขาวคงเร่งสานสัมพันธ์ให้รดุ หน้าไปไกล แล้วกระมัง ท่านชายเจตทรงนึกถึงวงหน้านวลแดงระเรื่อราวลูกต�ำลึง และดวงตา กลมโตวูบไหวคู่นั้นแล้วชวนให้คิดหนัก เพราะดูเหมือนคนที่พระองค์เฝ้าหวงห่วง มีใจปฏิพัทธ์ต่อทรงกลดไม่มากก็น้อย เอาเถอะ... ถ้าสองคนรักกันจริง พระองค์จะมีสิทธิ์ห้ามปรามกระไรได้ เท่าที่ ท�ำได้ระหว่างนีค้ อื คอยสังเกตดูแลอย่างใกล้ชดิ เท่านัน้ เมือ่ รสสุคนธ์ครบยีส่ บิ ปีเมือ่ ไร เธอก็มีสิทธิ์เลือกทางเดินชีวิตและเลือกคนรักได้ด้วยตัวเอง จดหมายฉบับน้อยยังคงอยู่ในมือสาวน้อยร่างบาง ลมเย็นภายนอกพัดกรู ผ่านม่านผืนบางเข้ามาภายในกระทบเรือนกายที่นอนคว�่ำอยู่บนเตียงสี่เสาชวนให้ใจ สะท้าน รสสุคนธ์ตวัดสายตาจากค�ำลงท้ายขึน้ ไปอ่านบรรทัดแรกของจดหมายนัน้ อีกครา แล้วก็พบว่าตนเองไม่ได้อ่านผิดหรือตาฝาดไป ...ชงโค สุดที่รักของพี่... ประโยคนี้หญิงสาวอ่านทวนมาสามรอบจนแน่ใจว่าสายตาของตนเองไม่ ผิดเพี้ยนไปจึงเลื่อนอ่านบรรทัดต่อไป ลายมือเจ้าของจดหมายค่อนข้างลงหมึกหนัก ตวัดโย้เย้ไม่เป็นระเบียบ เรียกว่าอ่านยากพอดูส�ำหรับเธอ พีไ่ ม่ได้เขียนจดหมายหาเธอเลย เกือบเจ็ดเดือนแล้วสินะ เธอเป็นอย่างไรบ้าง เล่า คิดถึงพี่เหมือนที่พี่คิดถึงเธอทุกลมหายใจเข้าออกหรือเปล่า หรือลืมนายนพรัตน์ คนนี้ไปแล้วจึงไม่มีข่าวคราวหรือจดหมายฝากนายอิทมาถึงพี่เลย รูอ้ ย่างหนึง่ แล้วว่านายคนทีเ่ ขียนจดหมายชือ่ นพรัตน์ และนายอิททีว่ า่ นัน้ คงเป็น ผู้ชายที่มายืนลับๆ ล่อๆ ตรงหน้าประตูเมื่อบ่ายนั่นเอง หญิงสาวเลื่อนสายตาอ่าน ประโยคต่อไป 29


ลืมไปแล้วหรือกับความสุขใจในครัง้ นัน้ เมือ่ ครัง้ เราได้โอบกอดกัน พร�ำ่ ร�ำพัน ถึงความรักที่มีให้กันอย่างไม่รู้เบื่อ เธอลืมไปแล้วหรือยอดรัก แต่เอาเถอะ เธออาจจะงานยุ่ง หรือเกรงบารมีหม่อมเจ้าผู้สูงศักดิ์องค์นั้น พีใ่ ห้อภัยเธอได้เสมอ พีเ่ องก็ตอ้ งขอโทษทีไ่ ม่ได้ตดิ ต่อเธอเลยตลอดหกเดือน ขอบอก ตามตรง พี่กลัวเธอเป็นห่วงจึงไม่ได้ให้นายอิทไปแจ้งข่าวคราวกับเธอว่าพี่ประสบ อุบัติเหตุ รถที่พี่ขับเกิดยางแตกขึ้นมาด้วยเหตุอันใดไม่ทราบได้ พลิกคว�่ำไปสามสี่ ตลบ พี่บาดเจ็บสาหัสนอนอยู่ในห้องไอซียูเป็นเดือนๆ หกเดือนผ่านไปจึงฟื้นตัวและ กลับมาแข็งแรงดังเดิม รู้ไหมชงโค พี่ช่างโชคดีเหลือเกินที่รอดชีวิตมาได้ โชคดีที่พี่ยังมีชีวิตอยู่เพื่อ ที่จะเขียนจดหมายและได้พบเธออีกครั้ง ทีเ่ ชียงใหม่ อากาศหนาวเหน็บจนถึงกระดูกเทียวล่ะ ทางพระนครเป็นอย่างไร บ้างเล่า คิดถึงเธอเหลือเกินแม่ชงโคดอกงาม หวังว่าเธอจะรักและคิดถึงพี่เช่นกัน อ้อ มีข่าวดีจะบอก อีกสองอาทิตย์พี่จะเข้าพระนคร เราจะได้พบกันและมี ความสุขด้วยกันอีกครั้ง น้องน้อยของพี่ พีแ่ ทบจะทนให้ถงึ เวลานัน้ ไม่ไหวแล้ว สองอาทิตย์เท่านัน้ นะจ๊ะชงโค ได้โปรด มาพบพี่ที่เดิม ยอดรัก พี่จะคอยเธอที่นั่น... ที่ที่เป็นของเราสองคนเพียงเท่านั้น รักเธอเสมอตราบจนชีวิตจะหาไม่ นพ ไล่ตามตัวอักษรมาถึงค�ำว่านพ รสสุคนธ์กฟ็ บุ หน้าลงกับผ้าปูเตียงกลิน่ หอมกรุน่ ในทันใด ...เป็นความจริงล่ะหรือ พี่สาวของเธอติดต่อกับชายอื่น แถมยังแอบไปพร�่ำ พลอดรักอย่างไม่เกรงกลัวบาปกรรม ทั้งที่ท่านชายทรงดีเหลือคณา เหตุไฉนพี่ชง จึงนอกใจท่านได้... ...ท�ำไมหนอ... ท�ำไมพี่ชงถึงกล้าท�ำเรื่องน่าอับอายเช่นนี้ ท�ำไม... รสสุคนธ์เฝ้าถามตัวเองซ�ำ้ ไปซ�ำ้ มา หากก็ไม่มที างได้รบั ค�ำตอบอย่างทีต่ อ้ งการ เพราะคนที่ต้องตอบค�ำถามนั้นได้จากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันกลับเสียแล้ว 30


ศศิภา

นานพักใหญ่ทีเดียวกว่าเธอจะเงยหน้าขึ้น หยุดคร�่ำครวญหวนไห้ แล้วพับ จดหมายฉบับนั้นสอดไว้ในซองดังเดิม ก่อนจะเก็บไว้ในลิ้นชักข้างเตียง จากนั้น จึงหยิบหมอนใบใหญ่ขึ้นมาวางตั้งไว้แล้วเอนกายพิง ในมือมีหนังสือที่ท่านชายเจต ทรงประทานให้ หญิงสาวค่อยๆ เปิดอย่างเบามือ หากก็ยงั ไม่มสี มาธิจะอ่านต่อ จึงเอน ศีรษะพิงพนักหัวเตียงแล้วปล่อยให้ภาพดวงเนตรแสนดุของท่านชายวาบเข้ามา ในความคิด ...ทรงทราบหรือเปล่าว่าพี่ชงติดต่อและลอบพบปะกับชายอื่น โธ่... ทรง น่าสงสารนักเทียว รสสุคนธ์ผ่อนลมหายใจยาว พร้อมกับบอกตัวเองว่าจะสืบเรื่องนี้ให้รู้ความ และให้กระจ่างชัดแก่ใจ ไม่วา่ จะเป็นเรือ่ งจริงหรือเพียงเรือ่ งเข้าใจผิด เธอก็ยอมรับได้ ทั้งนั้น ขอเพียง... อย่าให้ท่านชายทรงทราบเป็นพอ ตกเย็นรสสุคนธ์ตอ้ งรับประทานอาหารเพียงล�ำพังเมือ่ ท่านหญิงนวลแขเสด็จ ไปพบปะสมาคมกับเพื่อนๆ ที่วังอื่นและคงจะค้างที่นั่นสักหนึ่งคืน ส่วนหม่อมเจ้า เจตนิพฐิ นัน้ ยังไม่เสด็จกลับ วันนีท้ โี่ ต๊ะอาหารจึงค่อนข้างเงียบกว่าปกติ กอปรกับเรือ่ งราว น่าหนักใจที่ตนเองเพิ่งได้รับรู้มาท�ำให้หญิงสาวรับประทานไม่ได้มากนัก เพียงไม่นานเจ้าตัวก็วางช้อน ดื่มน�้ำตามอึกใหญ่ ก่อนผละจากห้องอาหาร เดินกลับขึ้นห้องของตัวเอง ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีก็อาบน�้ำเสร็จสรรพ กลับมานั่งบน เตียงในชุดนอนตัวหลวมแขนยาวสีขาวมีระบายตรงปลายแขนอย่างน่ารัก ผมด�ำขลับ หยักเป็นลอนสยายเต็มกลางหลัง รสสุคนธ์หยิบหนังสือทีว่ างบนเตียงขึน้ มาเปิด พลิกอ่านไปเพียงแค่หน้าเดียว ความกลัดกลุ้มทั้งหมดก็แทบเลือนหายเป็นปลิดทิ้ง หญิงสาวหลงวนอยู่ในตัวอักษรและเรื่องราวอันงดงาม นานเท่าใดก็สุดรู้ จนกระทั่งได้ยินเสียงเครื่องยนต์หน้าตึก จึงเงยหน้าขึ้น ก้าวลงจากเตียง โผเข้าไป เกาะหน้าต่าง ท�ำตัวเหมือนสาวน้อยอยากรู้อยากเห็นแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่ารถที่เข้ามา ในวังนั้นเป็นของใครก็ตาม หญิงสาวชะแง้แลมองไปเบือ้ งล่าง ก็เห็นชายทีช่ อื่ ทรงกลดยกมือไหว้หม่อมเจ้า เจตนิพิฐ ก่อนจะผลุบหายเข้าไปในรถแล้วขับออกไปอย่างว่องไว ส่วนท่านชายนั้น เหมือนจะเดินส�ำรวจตรวจตราความเรียบร้อยตรงประตูใหญ่ สัง่ ความอะไรกับนายเติบ 31


อยู่พักหนึ่งจึงเดินกลับมา ยังไม่ทันได้เดินขึ้นตึกก็ทรงเงยพักตร์ขึ้นมา... ตั้งพระทัย จะทอดเนตรท้องนภายามค�่ำคืนหรือไรไม่ทราบได้ หากที่ทรงเห็นมิใช่ดวงดาราหรือ ดวงจันทร์ แต่เป็นรสสุคนธ์ที่รีบก้มตัวนั่งหลบในบัดดล พันตรีหม่อมเจ้าเจตนิพิฐนิ่งอึ้งไปเมื่อพบว่าเจ้าของห้องที่ทรงตั้งพระทัยว่า จะทอดเนตรดูความเรียบร้อยและดูว่าปิดไฟนอนหลับหรือยังยืนแอบดูพระองค์อยู่ จริงๆ ก็ไม่แน่พระทัยนักว่ารสสุคนธ์ต้องการดูพระองค์หรือทรงกลดกันแน่ ดูเหมือนเธอคงมีใจปฏิพัทธ์ต่อเจ้ากลดแน่แล้ว... ท่านชายยังคงทรงยืนนิ่ง แหงนเงยหน้ามองหน้าต่างห้องที่ยังเปิดไฟสว่างจ้า อยู่อีกครู่ใหญ่ จึงสาวบาทเข้าตึกไป ฝ่ายเจ้าของห้องที่ถูกจับได้นั่งยองๆ กับพื้น ยกมือตีหน้าผากตัวเองอย่าง ไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก แก้มนวลแดงระเรื่อราวลูกสตรอว์เบอร์รีสีสด ใจรึก็เต้น โครมครามอย่างอับอายขายหน้า ...บ้าจริงเทียว... โดนจับได้ว่าแอบดูแบบนี้ แล้วจากนี้เธอจะมีหน้าไปพบ พักตร์ท่านได้อย่างไรเล่า... คนตัวเล็กนั่งอยู่เช่นนั้นเกือบสิบนาที จนพอจะสงบจิตสงบใจได้แล้วนั่นล่ะ จึงยืนขึ้น เดินไปปิดไฟแล้วกลับมาล้มตัวลงนอน หมดความรู้สึกอยากอ่านนิยาย เพียงเท่านั้น ค�่ำคืนนั้นรสสุคนธ์ฝัน ไม่รู้ว่าเป็นฝันดีหรือฝันร้าย หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่น ส่ายหน้าไปมาบนหมอนสีขาวใบใหญ่ ในเมฆหมอกหนาทึบที่แทบมองไม่เห็นทางนั้น หญิงสาวรู้สึกเหมือนตัวเองเหนื่อยหอบ วิ่งไปทางนู้นทีทางนี้ทีอย่างหาทางออกไม่ได้ นานนับชั่วโมงเลยกระมังกว่าจะเห็นเงาตะคุ่มๆ ของใครบางคน รสสุคนธ์ไม่รอช้าโผเข้าหาใครคนนั้นทันที แล้วก็ต้องตะลึงงันเมื่อคนคนนั้น คือพี่สาวของเธอเอง ‘พีช่ ง! พีช่ งจริงๆ ด้วย!’ ร่างเล็กโผเข้าหาพีส่ าว ใช้สองแขนโอบกอดแนบแน่น อย่างดีใจเป็นนักหนา ‘รสคิดถึงพี่ชง คิดถึงแม่ คิดถึงพ่อ จริงสิ แม่กับพ่อล่ะคะ’ หญิงสาวผละออกห่าง พลางกวาดสายตามองโดยรอบ หากก็ตอ้ งตีหน้าเศร้า เมื่อไม่พบเงาของใครเลย ‘พ่อกับแม่ไม่ได้อยูก่ บั พีด่ อก’ ชงโคยกมือลูบศีรษะน้องสาวอันเป็นทีร่ กั อย่าง แผ่วเบา ‘พี่ติดอยู่ที่นี่คนเดียว หลายเดือนแล้วที่พี่ไปไหนไม่ได้เลย พี่พยายามหาทาง 32


ศศิภา

ติดต่อเราอยู่นานเทียว จนในที่สุดก็ได้พบ...’ ชงโคแย้มริมฝีปากออกเล็กน้อย ‘รสสุคนธ์ พี่มีเรื่องฝากฝังน้อง’ ‘เรื่องอะไรคะ’ คนถูกถามละมือจากศีรษะทุยสวย เลื่อนลงมาจับคางมน ‘ดูแลท่านชายแทนพี่ด้วย’ น�้ำตาเม็ดโตหยาดหยดลงมาจากดวงตากลมโตงดงามไม่แพ้คนเป็นน้อง ‘พี่ท�ำผิดต่อท่านมาก รสต้องดีกับท่าน รับใช้ท่าน ไม่ว่าท่านต้องการอะไร รสต้องท�ำนะ เพื่อพี่... เพื่อชดใช้ความผิดบาปที่พี่ได้ท�ำไว้ ถือว่าช่วยพี่เถิดน้องรัก ไม่เช่นนั้นพี่คงไม่อาจละทิ้งความห่วงนี้ไปได้’ เรือนกายระหงบอบบางค่อยๆ เลือนหายทีละน้อยๆ รสสุคนธ์มองอย่าง ตื่นตะลึง เอื้อมมือไปคว้ามือพี่สาว ก�ำไว้แน่นราวกับการกระท�ำเช่นนั้นจะช่วยให้ อีกฝ่ายไม่จางหายไปต่อหน้าต่อตา ‘จ�ำไว้นะรสสุคนธ์ ท�ำให้ทา่ นมีความสุขทีส่ ดุ นีค่ อื ค�ำร้องขอครัง้ สุดท้ายจากพี’่ ร่างทั้งร่างหายวับไปพร้อมกับเสียงเอื้อนเอ่ยเจือสะอื้น ‘ช่วยพี่นะรส’ สิ้นเสียงนั้นหญิงสาวก็สะดุ้งตื่น ลุกพรวดพราดขึ้นมานั่งหายใจหอบแรง ดวงตากลมโตเบิกกว้าง เหงือ่ ชืน้ เต็มหลังแม้ลมหนาวภายนอกจะพัดกรูเข้ามาอย่างไม่ ลดละก็ตาม “พี่ชง” หญิงสาวพึมพ�ำกับตัวเอง พร้อมกับยกมือทาบอกสัมผัสหัวใจที่เต้น แรงเร็วคล้ายกับจะปะทุออกมานอกอกนั้น เพียงไม่กี่นาทีที่อยู่ในความมืดและความ เงียบงัน เสียงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น... เป็นเสียงที่รสสุคนธ์เริ่มคุ้นชินเสียแล้ว “รส... รสสุคนธ์” ตามมาด้วยเสียงเคาะประตูหนักและรัวเร็วอย่างร้อนใจ “รสสุคนธ์ เปิดประตูหน่อย เป็นอะไรหรือเปล่า” ร่างเล็กสูดลมหายใจเข้าปอด ยกมือลูบหน้าก่อนก้าวลงจากเตียง ตรงไปยัง ประตู ไขกลอนประตูแล้วเปิดประตูบานสีขาวออกทั้งสองบาน “เพคะ” รูปเงาของท่านชายเจตแม้อยู่ในเงามือก็ยังคงสง่างาม... งามอย่างหาที่ติมิได้ “เป็นอะไร ได้ยนิ เสียงร้องดังลัน่ เลยรีบมาดู” ด้านหลังเป็นแม่วาดทีด่ รู อ้ นอก ร้อนใจไม่แพ้กัน 33


“แค่ฝันร้ายเพคะ” หญิงสาวเอ่ย ก่อนยกมือพนมก้มศีรษะไหว้อย่างงดงาม “ขอบพระคุณที่เป็นห่วงเพคะ” คนเป็นห่วงยังคงยืนนิง่ กวาดเนตรส�ำรวจคนตรงหน้าตัง้ แต่ศรี ษะจดปลายเท้า รสสุคนธ์ไม่รสู้ กึ ว่าท่านชายทรงดูถกู เหยียดหยามเหมือนสาวเย่อหยิง่ พวกนัน้ มองเธอ ด้วยรู้ดีว่าสายเนตรของท่านนั้นเต็มไปด้วยความห่วงใยปานใด หญิงสาวเต็มตื้นใน หัวใจมากนัก หากความรู้สึกนี้ก็ไม่สามารถบรรเทาแรงเต้นของหัวใจและความร้อน วูบวาบไปทั้งกายอย่างน่าประหลาดได้แม้แต่นิดเดียว “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” ในที่สุดก็รับสั่งท�ำลายความเงียบอันน่าอึดอัดนั้น “หิวน�้ำไหม” “ไม่เพคะ” ทรงพยักพักตร์ ก่อนเหลือบเนตรไปทางด้านหลัง “ฉันจะให้แม่วาดเฝ้าอยูห่ น้าห้อง ต้องการอะไรก็บอกแม่วาดแล้วกัน” ตรัสจบ ก็ท�ำท่าว่าจะผละจากไป หากบาทที่ก้าวออกไปกลับชะงักอยู่เช่นนั้น “มีอะไรจะรับสั่งอีกหรือเพคะ” เห็นอีกฝ่ายทรงยืนนิ่งจึงตัดสินใจเอ่ยถาม ออกไป ท่านชายเจตทรงผินพักตร์กลับมา ขนงขมวดเข้าหากันเพียงน้อยก่อนรับสั่ง “เธอ... กลัวไหม” ได้ยินค�ำถามแล้ว รสสุคนธ์อยากแย้มยิ้มออกมานัก แต่ก็ยับยั้งตัวเองไว้ได้ หญิงสาวเม้มริมฝีปากเล็กน้อยก่อนตอบ “ไม่เพคะ” “ดี” รับสั่งสั้นเพียงค�ำเดียวจึงสาวบาทจากไป ทิ้งให้รสสุคนธ์มองตามด้วย ความรู้สึกแปร่งแปลกในหัวใจ รสสุคนธ์รอกระทัง่ ท่านชายเสด็จไปยังอีกฟากหนึง่ ของตึกอันเป็นห้องบรรทม ของท่านจึงระบายลมหายใจออกมาแผ่วเบา ดูเถิด... ห้องของท่านไกลถึงเพียงนั้นยัง สู้อุตส่าห์มาเคาะประตูห้องเธอ ถามไถ่อย่างเป็นห่วง พระทัยดีเช่นนี้ เหตุใดพี่ชงโค ของเธอจึงคิดนอกใจท่านหนอ หญิงสาวครุ่นคิดอย่างกลัดกลุ้ม ใบหน้าที่ดูเปี่ยมสุข เมื่อครู่กลายเป็นสลดลงทันควัน “ยังกังวลเรื่องฝันอยู่หรือเจ้าคะ” เสียงของแม่วาดซึง่ นัง่ พับเพียบอยูต่ รงหน้าปลุกให้เธอตืน่ จากภวังค์ รสสุคนธ์ ปรับสีหน้าให้ดูดีขึ้นอีกนิด ก่อนโปรยยิ้ม 34


ศศิภา

“ป้าไม่ต้องมาเฝ้ารสก็ได้นะคะ รสแค่ฝันเท่านั้น เดี๋ยวก็จะเข้านอนแล้วค่ะ” แม่วาดส่ายหน้าแข็งขัน “ไม่ได้ดอกเจ้าค่ะ เป็นค�ำสั่งของท่านชาย ป้าต้องท�ำตามเจ้าค่ะ” ก็จริงอย่างทีแ่ ม่วาดเอ่ย ถ้อยรับสัง่ ของหม่อมเจ้าเจตนิพฐิ ไม่ใช่สงิ่ ทีเ่ พิกเฉยได้ หน�ำซ�ำ้ ยิง่ ไม่ควรขัดค�ำสัง่ ด้วยซ�ำ้ ไป รสสุคนธ์พยักหน้า ไม่เอ่ยอะไรอีก ถอยหลังกลับ เข้าห้องของตน จากนั้นจึงปิดประตูลงกลอนจนเรียบร้อย ความฝันอันแสนประหลาดกับจังหวะการเต้นของหัวใจที่ผิดแผกไปท�ำให้ สาวน้อยไม่อาจข่มตาหลับได้ จึงตัดสินใจเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟตรงโต๊ะข้างเตียง ก่อนจะหยิบจดหมายฉบับนั้นออกมาอ่านอีกครา ในความฝันหญิงสาวจ�ำได้แม่นย�ำทุกค�ำพูดของชงโค ทุกรายละเอียดทีบ่ ง่ ชัด ว่าผู้เป็นพี่สาวนอกใจสามีของตนเองจริงๆ “โธ่... พี่ชง” เจ้าตัวร�ำพันพร้อมกับถอนใจยาว นึกไม่ออกเลยว่าอะไรคือ สาเหตุทที่ ำ� ให้ชงโคนอกใจท่านชายเจตผูด้ แี สนดีได้ จริงอยูท่ ที่ า่ นทรงเคร่งขรึม จริงจัง ไปเสียทุกเรื่อง แถมยังทรงดุจนท�ำให้เธอหวั่นเกรงก็ตาม หากความมีพระทัยดี น�้ำพระทัยงามของท่านท�ำให้เธอลืมเลือนเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไปเสียหมดสิ้น ดูอย่างคืนนี้สิ แค่คนอาศัยกรีดร้องเพราะฝันร้าย ท่านถึงกับเสด็จมาหาด้วย องค์เอง อีกทั้งค�ำถามนั้นอีกเล่า ‘เธอ... กลัวไหม’ มันไม่ใช่ค�ำหวานไพเราะเสนาะหูใดๆ เลย แต่ท�ำให้หัวใจของเธอเต้นด้วย จังหวะแปลกๆ พิกล หน�ำซ�้ำร่างกายของเธอก็ร้อนวูบวาบขึ้นมาราวจับไข้ พอพ้น ความรู้สึกนั้นไปแล้ว หัวใจดวงน้อยก็อิ่มเอิบซาบซ่านเมื่อสัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่ ซ่อนอยู่ในสุรเสียงเรียบเฉย รสสุคนธ์อดยิ้มกับตัวเองไม่ได้ หญิงสาวหยิบหมอนขึ้นมากอด ฝังใบหน้า ตนเองลงบนนั้นแล้วหัวเราะเบาๆ เมื่อรู้สึกว่าตนเองใกล้จะเสียสติเสียแล้ว ...จู่ๆ ก็เศร้า แล้วเปลี่ยนเป็นยิ้ม สุดท้ายก็หัวเราะอย่างไม่มีเหตุผล ท่าจะบ้า ไปแล้วล่ะมัง รสสุคนธ์... นานเป็นนาทีกว่าเจ้าตัวจะเงยหน้าจากหมอนใบใหญ่ ก่อนจะตั้งใจอ่านทวน ข้อความในจดหมายฉบับนั้นอีกครั้ง อ่านจบแล้วก็ให้อยากรู้นักว่า... ที่ที่เป็นของเรา เพียงสองคนเท่านั้น... คือสถานที่ใด 35


พลันที่ถามตัวเอง ค�ำตอบก็มาจดจ่ออยู่บนริมฝีปาก ...ก็นายอิทไงเล่า... ผูช้ ายคนนัน้ น่าจะเป็นคนทีพ่ าชงโคไปพบนายนพรัตน์นนั่ เป็นแน่แท้... ทว่า... เมื่อไรที่เขาจะปรากฏกายให้เห็นอีกครา และเมื่อใดที่เธอจะได้พบปะ พูดคุยและซักถามข้อสงสัยให้กระจ่างแก่ใจกันเล่า รสสุคนธ์กดั ริมฝีปากเบาๆ ครุน่ คิด อย่างหนัก ...บางทีเขาอาจจะมาด้อมๆ มองๆ หน้าประตูเวลาเดียวกันนี้ทุกวันก็เป็นได้ เธอคงต้องจับตามองทุกวันเสียแล้วกระมัง รสสุคนธ์เหลือบมองนาฬิกาไม้ขา้ งฝาก็พบ ว่าเวลาล่วงเลยมาจนตีสองแล้ว จึงบอกตัวเองให้ข่มตาหลับให้ได้ เนื่องเพราะพรุ่งนี้ เธอมีเรียนเช้า หากไม่ยอมนอนเช่นนี้คงเรียนไม่รู้เรื่องเป็นแน่แท้ คิดได้ดังนั้นเจ้าตัว ก็เก็บจดหมายไว้ทเี่ ดิม ปิดโคมไฟ แล้วเอนกายลงนอน ข่มตาอยูส่ กั พัก ลมทีพ่ ดั โชย ผ่านม่านผืนบางช่วยขับกล่อมให้เธอผ่อนคลายและหลับสนิทลงได้ไม่ยากนัก เช้าตรู่วันถัดมา ตรงโต๊ะตัวยาวในห้องรับประทานอาหาร มีใครคนหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่สมาชิกของวังนี้ร่วมโต๊ะอยู่ด้วย เพียงเธอก้าวพ้นประตูห้องเข้ามา รอยยิ้ม กระจ่างสดใสก็ปรากฏแก่สายตา เขาไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นชายหนุ่มที่เธอเดินชน เมื่อวานนั่นเอง ทรงกลดนัง่ ทางด้านซ้ายของพันตรีหม่อมเจ้าเจตนิพฐิ ซึง่ สวมชุดทหารสีเขียว แก่ มีที่คาดหนังสีน�้ำตาลพาดเฉียงเชื่อมกับเข็มขัดหนังสีน�้ำตาลที่รัดรอบบั้นพระองค์ รสสุคนธ์ยกมือไหว้ท่านชาย ก่อนจะหันไปทางชายอีกคนบนโต๊ะ ตอนนั้นเองเธอเพิ่ง สังเกตว่าเขาสวมชุดทหารแบบเดียวกับท่านชายไม่ผิดเพี้ยน หากยศอะไรนั้นเธอก็ไม่ แน่ใจเท่าไรนัก “สวัสดีครับคุณรส” เริม่ ต้นรูจ้ กั กันวันทีส่ อง ทรงกลดก็เรียกเธออย่างสนิทสนม เสียแล้ว รสสุคนธ์อดคิดไม่ได้วา่ ผูช้ ายคนนีค้ งคล่องแคล่วไปเสียทุกเรือ่ ง โดยเฉพาะ เรื่องผู้หญิง ร่างเล็กทรุดกายลงนัง่ ทางขวาของท่านชายเจต คางเชิดเล็กน้อย หลังไหล่ตรง แลดูสง่า หม่อมเจ้านวลแขทรงสอนให้เธอนัง่ เช่นนีเ้ กือบหกเดือน มาบัดนีเ้ ธอสามารถ นั่งโดยไม่ขัดเขินหรือรู้สึกเมื่อยแต่อย่างใดแล้ว “สวัสดีค่ะ” นั่งเรียบร้อยแล้วนั่นล่ะ เธอจึงเอ่ยทัก “เช้านี้ผมขอร่วมโต๊ะด้วยนะครับ” 36


ศศิภา

รสสุคนธ์ไม่เอ่ยอะไรเพียงแต่ส่งยิ้มไปให้ แค่นั้นยังเสียวสันหลังวาบ เพราะ เนตรคมดุที่จ้องเขม็งราวกับเธอกระท�ำความผิดอะไรสักอย่างก็ไม่ปาน โธ่... แค่พดู คุยฉันเพือ่ นก็ไม่ได้เทียวหรือ เจ้าตัวอดค่อนขอดในใจไม่ได้ หาก ก็ยังท�ำสีหน้าเป็นปกติเฉกเดิม “คุณรสคงไม่ว่าอะไรนะครับ” คนถูกถามเหลือบมองคนที่ประทับตรงหัวโต๊ะ เห็นท่านชายก�ำลังสนพระทัย กับข้าวต้มทรงเครือ่ งร้อนกรุน่ ตรงหน้าจึงค่อยโล่งอกโล่งใจลดความเกร็งลงไปได้บา้ ง เล็กน้อย “ฉันจะไปว่าอะไรได้ล่ะคะ” “แสดงว่าคุณยินดีถ้าผมจะมาขอทานข้าวที่นี่ทุกวัน” คราวนี้รสสุคนธ์เลิกคิ้วน้อยๆ ไม่แน่ใจว่าควรตอบว่ากระไรดี หากการ นิ่งเฉยก็ถือเป็นการเสียมารยาทอย่างไม่ต้องสงสัย เจ้าตัวคิดหน้าคิดหลังอยู่ครู่หนึ่ง จึงตัดสินใจตอบ “ฉันเป็นเพียงแค่คนอาศัย ไม่มีสิทธิ์มีเสียงอนุญาตหรือไม่อนุญาตใครได้ ดอกค่ะ ถ้าคุณอยากมา คงต้องถามเจ้าของวังแล้วล่ะ” สิ้นเสียงนั้น ทรงกลดก็หัวเราะเบาๆ ในล�ำคอ ก่อนหันไปมองเจ้าของวัง “ว่าอย่างไรฝ่าบาท” หัตถ์ที่ก�ำลังยกช้อนซึ่งบรรจุข้าวต้มร้อนๆ ชะงักค้างอยู่ชั่ววินาที “ว่าอะไรอย่างไรเล่าทรงกลด” หม่อมเจ้าเจตนิพิฐทรงท�ำเหมือนไม่ได้ยิน บทสนทนาระหว่างร้อยโทหนุ่มกับเด็กในปกครองอย่างไรอย่างนั้น “โธ่ อะไรกัน ทรงไม่ได้ฟังที่หม่อมคุยกับคุณรสเลยหรือ” “เรือ่ งสลักส�ำคัญมากถึงขนาดฉันต้องตัง้ ใจฟังขนาดนัน้ เทียว” โดนสวนกลับ เช่นนั้น ทรงกลดก็ถอนหายใจเฮือก ตัดสินใจสรุปความเอาเองเสร็จสรรพ “ไม่รู้ล่ะ ใครจะอนุญาตหรือไม่อนุญาต ผมก็จะมา... มาทุกวันด้วย” ค�ำหลังเน้นหนักชัดเจนชวนให้รสสุคนธ์รอ้ นๆ หนาวๆ ราวจับไข้ เกรงเหลือเกิน ว่าจะโดนเรียกตัวไปดุอกี เค้าลางสิง่ ทีเ่ ธอกลัวดูเหมือนจะเป็นจริงเมือ่ ท่านชายทรงวาง ช้อนในหัตถ์ ยกน�้ำขึ้นดื่ม จริงๆ ควรเรียกว่าจิบมากกว่า จากนั้นก็ทรงยืน พร้อมกับ เอื้อมหัตถ์ไปจับคอเสื้อด้านหลังของทรงกลด ออกแรงกระชากจนคนที่ก�ำลังอ้าปาก จะรับประทานข้าวต้มแสนอร่อยต้องวางช้อนลงอย่างเสียดาย 37


“ไปได้แล้ว วันนี้มีประชุมเช้า” คนทีถ่ กู บังคับให้ยนื ขมวดคิว้ มุน่ บ่นพึมพ�ำไม่ได้ศพั ท์ พลางยกนาฬิกาข้อมือ ขึ้นดูเวลา ก่อนจะโอดครวญอย่างไม่เกรงบารมีของท่านชายเจตเลยสักนิด “อีกตั้งชั่วโมงครึ่ง จะทรงรีบไปไหนเล่าฝ่าบาท” “ไม่ต้องพูดมาก... ไปได้แล้ว” หม่อมเจ้าเจตนิพิฐทรงผลักอีกฝ่ายไปทาง ประตู จากนั้นจึงผินพักตร์มามองคนที่นั่งนิ่งอึ้งอยู่บนโต๊ะ “วันนี้ฉันให้นายเติบไปส่ง เธอนะ รสสุคนธ์” “เพคะ” “แต่ตั้งแต่พรุ่งนี้ ฉันจะไปส่งและไปรับเธอเอง” “คะ? อะไรนะเพคะ” คนตัวเล็กอ้าปากค้าง งุนงงเล็กน้อยด้วยไม่คิดว่า ท่านชายเจตจะพระทัยดีถึงขนาดขับรถไปส่งเธอด้วยองค์เอง “เธอได้ยินชัดเจนแล้ว รสสุคนธ์” ไม่ยอมรับสั่งซ�้ำ แถมยังแทบกระชากร่าง ทีผ่ อมบางและเตีย้ กว่าให้เดินตามออกไปด้วย ถึงกระนัน้ ทรงกลดก็ยงั ไม่วายเกาะกอด ขอบประตูไว้แล้วเอ่ยส่งท้าย “เย็นนี้ผมไปรับที่มหาวิทยาลัยนะครับ” ฝากฝังรอยยิม้ เบิกบาน พร้อมขยิบตาให้เสียหนึง่ ทีกอ่ นจากไป ทิง้ ให้รสสุคนธ์ นั่งเดียวดายภายในห้องขนาดใหญ่ นึกอิ่มขึ้นมาเสียเฉยๆ จึงหยิบกระเป๋าถือที่วาง ตรงเก้าอี้ตัวข้างๆ ขึ้นมาสะพาย พร้อมกับหอบหนังสือสามสี่เล่มซึ่งวางบนโต๊ะขึ้นมา กอดแล้วลุกขึ้นยืน “เก็บไปเถอะจ้ะ ฉันไม่หิวเท่าไร” บอกเด็กรับใช้คนหนึ่งจึงสาวเท้าก้าวออก จากห้องนัน้ เดินดุม่ ลงบันได พอออกมาหน้าตึก ไม่ตอ้ งเสียเวลาร้องเรียกนายเติบเลย เมื่อชายคนนั้นมายืนรอรับใช้พร้อมยิ้มกว้างๆ “เชิญครับคุณรส” รสสุคนธ์ยิ้มให้อีกฝ่าย ก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่งทางด้านหลัง ทอดสายตามอง ทิวทัศน์ด้านนอกจนกระทั่งถึงมหาวิทยาลัย ตกเย็น รสสุคนธ์มายืนรอทีต่ น้ จามจุรเี ช่นทุกวัน โดยคนทีม่ ารับ ถ้าไม่ใช่ นายเติบก็เป็นนายชด บางครั้งก็เป็นท่านชายเจตเอง หากก็เพียงสองสามครั้งเท่านั้น ทว่าเมือ่ เช้าท่านชายทรงรับสัง่ ว่าจะคอยรับส่งเธอด้วยองค์เอง รสสุคนธ์นกึ ขันนัก ท่าน จะมีเวลาว่างมากขนาดนั้นเทียวหรือ 38


ศศิภา

ร่างเล็กส่ายหน้ากับตัวเองก่อนทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ นึกย้อนไปถึง เหตุการณ์เมื่อหกเดือนก่อน ใครจะนึกว่าที่นี่ในวันวานนั้นเป็นที่ที่เธอต้องรับฟัง ข่าวร้ายที่สุดในชีวิต รสสุคนธ์จ�ำได้ว่าตนเองถึงกับเป็นลมล้มพับไปแทบจะในทันทีที่ ได้ยินข่าวร้ายจากโอษฐ์ของท่านชาย ‘พ่อของเธอ แม่ของเธอ และชงโค พี่ของเธอเสียชีวิตแล้ว’ ลมพัดโชยกระหน�่ำพร้อมเมฆด�ำทะมึนบดบังแสงตะวันเจิดจ้าไปเสียสิ้น เป็นเวลาเดียวกับที่ความมืดเข้าครอบง�ำความคิดและจิตใจของเธอ หญิงสาวหลงวน อยู่ในนัน้ นานเท่าใดก็สุดรู้ มารู้สกึ ตัวอีกทีก็ตอนที่ถกู อุ้มแนบอุระและก�ำลังจะถูกวาง ลงบนเตียงสี่เสารายล้อมด้วยผ้าม่านสีขาวโปร่งบางนั่นล่ะ ตอนนั้นเธอสะดุ้งสุดตัวเลยทีเดียว หากเมื่อเห็นเต็มตาว่าคนที่อุ้มเธออยู่คือ หม่อมเจ้าเจตนิพิฐ ความกลัวก็แปรเปลี่ยนเป็นความโศกเศร้าที่เข้ามาเกาะกุมหัวใจ แทน หญิงสาวไม่นกึ อายเลยทีซ่ กุ ซบใบหน้าลงบนอุระของพระองค์แล้วร�่ำไห้หนักหน่วง ท่านชายเองก็ทรงพระทัยดีอย่างหาทีเ่ ปรียบมิได้ ยอมอุม้ เธอนานหลายนาที รอจนเธอ สงบนั่นล่ะ จึงค่อยๆ วางตัวเธอลงบนเตียง มารู้ทีหลังจากปากของแม่วาดว่าเตียงนั้นเป็นเตียงของท่านชาย และห้องนั้น ก็เป็นห้องบรรทมของท่านอีกด้วย นึกอับอายขัดเขินที่ยึดไว้เป็นที่นอนอย่างสบาย แถมยังซุกซบใบหน้าลงบนหมอนปล่อยน�้ำตาน�ำ้ มูกรินไหลเปรอะเปือ้ นไปหมด กระทัง่ บัดนี้รสสุคนธ์ยังอายไม่หายเลย ความคิดของเธอหยุดชะงักลงเพียงแค่นั้นเมื่อรถคุ้นตาคันหนึ่งแล่นเข้ามา จอดตรงหน้า ไม่ใช่รถคันใดคันหนึง่ ของวังดิลบุตร แต่เป็นรถกลางเก่ากลางใหม่ของ ทรงกลดนั่นเอง ไม่ต้องเสียเวลาเดารสสุคนธ์ก็รู้ว่าคนที่ก�ำลังจะก้าวลงจากรถคือใคร หญิงสาวเห็นรอยยิม้ กว้างทัง้ ปากทัง้ ตามาแต่ไกล อดชืน่ ชมไม่ได้วา่ ผูช้ ายคนนี้ ช่างสดใสร่าเริงเสียจริง ท่าทางการพูดคุย การใช้สายตา และการแสดงออกของเขา ต่างจากหม่อมเจ้าเจตนิพิฐอย่างสิ้นเชิง แต่ถึงจะต่างกันเพียงไร ทั้งสองต่างก็มีเสน่ห์ เปล่งประกายเจิดจ้าไม่แพ้กัน ท่านชายเจตนั้น รสสุคนธ์เชื่อว่าไม่ว่าสตรีคนใดเมื่อได้พบเจอท่านจะต้อง ประทับใจในความสง่างามผึ่งผาย และอยากค้นหาความลึกลับในดวงเนตรสีด�ำสนิท เป็นแน่แท้ 39


ส่วนทรงกลดผู้นี้ เสน่ห์ของเขาอยู่ที่ความร่าเริง เป็นมิตร และดูขี้เล่นเล็กๆ แววตาพราวระยับคู่นั้นคงท�ำให้สตรีหลายคนหลอมละลายมาแล้วกระมัง “สวัสดีค่ะคุณทรงกลด” รสสุคนธ์ลุกขึ้นยืนแล้วยกมือไหว้อย่างมีมารยาท ฝ่ายนั้นรับไหว้ด้วยรอยยิ้มก่อนโผเข้ามาทรุดกายนั่งฝั่งตรงข้าม “ผมมารับครับคุณรส” ร่างเล็กทรุดกายลงนั่งที่เดิม อดขมวดคิ้วอย่างนึก สงสัยไม่ได้ว่าเหตุไฉนท่านชายเจตจึงยอมให้ชายหนุ่มมารับเธอถึงมหาวิทยาลัยได้ “แล้วท่านชายล่ะคะ” “ทรงคุยธุระกับท่านนายพลอยู่น่ะครับ คงอีกนานกว่าจะเสร็จ ผมเลยอาสา มารับคุณแทน แล้วก็เผ่นแน่บออกมานี่ล่ะครับ” รสสุคนธ์อดหัวเราะน้อยๆ ไม่ได้ ไม่นกึ เลยว่าบนโลกใบนีย้ งั คงมีใครคนหนึง่ ที่ท�ำราวกับไม่เกรงกลัวบารมีของพันตรีหม่อมเจ้าเจตนิพิฐเลยแม้แต่น้อย “คุณรสข�ำอะไรครับ” “ข�ำคุณน่ะสิคะ” “หือ? ข�ำเรื่อง?” ทรงกลดวางแขนลงบนโต๊ะ แล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ดวงตา สีน�้ำตาลเข้มสงสัยใคร่รู้อย่างจริงจัง หากก็ยังมีแววซุกซนขี้เล่นอยู่ภายใน “ข�ำที่คุณกล้าไปเสียทุกเรื่อง ไม่กลัวท่านชายกริ้วหรือคะ” ค�ำตอบที่ได้รับคือเสียงหัวเราะก้องกังวาน “เรื่องแค่นี้ ท่านไม่กริ้วดอกครับ... หรือถ้าท่านเกิดกริ้วขึ้นมา รอสักสองสาม วัน ท่านก็ลืมเรื่องนี้ไปแล้วล่ะครับคุณรส... ดูคุณรสออกจะกลัวๆ ท่าน เคยถูกกริ้ว หรือครับ” คนถูกถามกัดริมฝีปากด้านใน ขมวดคิ้วบางอย่างครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ “ตั้งแต่อยู่ที่วังฉันไม่เคยเห็นท่านชายกริ้วสักครั้ง มีแต่ทรงดุเวลาคนในวัง ท�ำเรื่องไม่ถูกต้อง หรือไม่สมควร ส่วนฉันเองก็เพิ่งโดนดุไป ไม่แน่ใจว่าท่านกริ้ว หรือเปล่า” “โดนดุเรื่องอะไรหรือครับ พอจะบอกผมได้ไหม” “เรื่องจดหมายน่ะค่ะ... พอดีว่าฉันกับพี่ทองเอกเป็นเพื่อนเป็นพี่กันมานาน พออยู่ไกลกันก็มีเขียนจดหมายถึงกันบ้าง แต่ก็แค่ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ ไม่มีอะไร เกินเลยกว่านั้นเลยค่ะ” 40


ศศิภา

ก่อนเอ่ย

ทรงกลดนัง่ นิง่ รับฟังอย่างตัง้ ใจ จนเธอเล่าจบ ชายหนุม่ ก็ทำ� เสียงอ๋อในล�ำคอ

“เพราะท่านทรงเป็นผูป้ กครองของคุณ ไม่แปลกทีท่ า่ นจะทรงห่วงใย ใส่พระทัย ในทุกเรื่อง” “ค่ะ ฉันทราบดี” ยังไม่ทันที่ทั้งสองคนจะสนทนากันต่อ เสียงใสๆ ของใครบางคนก็ดังขึ้น รสสุคนธ์หนั ขวับมองไปทางด้านหลังก็พบว่าสิน.ี .. เพือ่ นสนิทของเธอก�ำลังเดินแกมวิง่ ตรงเข้ามาหา “รส! ยัยรส!... รสสุคนธ์!” สินีเป็นหญิงสาวร่างผอมบางสูงกว่าเธอประมาณสองสามเซนติเมตร หน้าตา จิ้มลิ้มพริ้มเพรา ดวงตากลมโต แก้มป่องจนหญิงสาวนึกอยากจะจับเสียหลายครั้ง “อ้าว สินี ฉันนึกว่าเธอกลับไปแล้ว” “ก�ำลังจะกลับ แต่พอดีฉันเห็นเธอยังนั่งอยู่ที่นี่ เลยให้คนขับรถของฉัน จอดรถตรงนั้น” พร้อมกับพูด หญิงสาวชี้มือไปยังหลังรถของทรงกลด “แล้วก็ลงรถ เดินมาหาเธอนี่แหละ” “มีอะไรจะพูดกับฉันหรือ สินี” “ฉันลืมไปว่าพรุ่งนี้เราไม่มีเรียน และฉันก็จะไม่ได้พบเธอ” รสสุคนธ์เลิกคิ้ว น้อยๆ เป็นเชิงบอกให้อีกฝ่ายเอ่ยต่อ “วันพรุ่งนี้ฉันจะจัดงานวันเกิดตอนเย็นที่บ้าน ฉันอยากให้เธอไปร่วมงานด้วย” แววตาสุกใสพราวระยับอย่างมีความหวังก่อนจะ ทรุดนั่งลงเคียงข้างแล้วจับมือเพื่อนของตัวเองเขย่า “เธอเป็นเพื่อนสนิทของฉันนะ ต้องไปให้ได้เทียว” ฝ่ายคนถูกชวนยิ้มบางๆ ด้วยไม่แน่ใจนักว่าผู้ปกครองของตนจะอนุญาต หรือไม่ “ฉันยังไม่แน่ใจเลย” “อ้าว...” คนที่ก�ำลังยิ้มแย้มหุบยิ้มลงทันควัน “ท�ำไมล่ะ” “เกรงว่าท่านชายจะทรงไม่อนุญาตน่ะสิ” สินีปล่อยมือจากรสสุคนธ์ก่อน ท�ำหน้าสลด “งั้นหรือ... แย่จัง ฉันอยากให้เธอไปร่วมงานจริงๆ นะ ถ้าขาดเธอไปฉันคง ไม่สนุก” 41


“คุณรสได้ไปแน่ครับ” ทรงกลดที่นั่งฟังอยู่นานขัดขึ้นมา “ผมจะช่วยพูดกับ ท่านชายให้” สินีเหลือบสายตามองชายแปลกหน้าสลับกับผู้เป็นเพื่อน สองสามครั้งนั่นล่ะ รสสุคนธ์จึงรู้สึกตัว “อ้อ... โทษที ฉันลืมแนะน�ำ นี่คุณทรงกลด เอ่อ... เป็น...” อึกอักอย่างไม่รู้ จะแนะน�ำเช่นไรดี ก็พอดีกับที่ชายหนุ่มเอ่ยแนะน�ำตัวเอง “เป็นเพื่อนของรสสุคนธ์ครับ” สินอี อกจะงุนงงเล็กน้อย ด้วยไม่เคยรูม้ าก่อนว่ารสสุคนธ์มเี พือ่ นเป็นทหารด้วย หากก็ยกมือไหว้อย่างมีมารยาท “สวัสดีค่ะ คุณทรงกลด” “นี่สินี เพื่อนของฉันเองค่ะ” “ยินดีที่ได้รู้จักครับ” เขาเอ่ยพร้อมกับส่งยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตรมาให้ “เรา รู้จักกันแล้ว ก็ถือว่าเป็นเพื่อนกันแล้วนะครับ” สินียิ้มรับบางๆ ไม่แน่ใจว่าควรเอ่ยตอบว่ากระไรจึงนิ่งเฉยเสีย หากประโยค ถัดมาท�ำให้สาวเจ้าเบิกตากว้าง “เพราะฉะนั้น... ถ้าผมขอไปร่วมงานวันเกิดของคุณด้วย จะเป็นการรบกวน มากเกินไปไหมครับ” สิ้นเสียงนั้นรสสุคนธ์ถึงกับกลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่ มองแก้มป่องๆ ของเพื่อนสาว ที่แดงระเรื่ออย่างนึกขัน ขณะที่เมื่อหันไปมองทรงกลดก็พบว่าแววตาของเขาพราว ระยับกรุม้ กริม่ พอดู จึงแอบคิดอยูเ่ พียงในใจว่า... ผูช้ ายคนนีเ้ จ้าชูไ้ ม่หยอกเลยเทียว... “ทั้งคุณรสและคุณสิคงไม่รังเกียจให้ผมเป็นเพื่อนใหม่สักคนดอกนะครับ” จากสินีกลายเป็นสิเฉยๆ ราวกับสนิทสนมคุ้นเคยกันมาแสนนาน รสสุคนธ์ หัวเราะเบาๆ ในล�ำคอ ก่อนเอ่ย “ฉันไม่รงั เกียจดอกค่ะ แต่...” หญิงสาวหันไปทางเพือ่ นสาวทีย่ งั คงนัง่ กะพริบ ตาปริบๆ “สินีเล่า เธอจะว่าอย่างไร ยอมรับเขาเป็นเพื่อนไหม” คนถูกถามพ่นเสียง หัวเราะออกมาเบาๆ แล้วเอ่ยอย่างร่าเริง “ก็ถ้าเขาเป็นเพื่อนของเธอ ฉันก็ต้องยอมรับเขาเป็นเพื่อนอยู่แล้วล่ะน่า... เพราะฉะนั้นพรุ่งนี้ฉันหวังว่าจะได้พบคุณทรงกลดและเธอด้วยนะจ๊ะ... ยัยรส” 42


ศศิภา

รสสุคนธ์ไม่ได้ตอบรับด้วยไม่มนั่ ใจว่าหม่อมเจ้าเจตนิพฐิ ผูป้ กครองของเธอนัน้ จะทรงอนุญาตให้เธอไปออกงานสังสรรค์ใดๆ หรือไม่ อันที่จริงแล้วตั้งแต่ย้ายเข้ามา อยู่ที่วังดิลบุตร มีเพื่อนหลายคนที่จัดงานวันเกิดและชวนเธอไปร่วมงานด้วย หาก ยามใดที่เอ่ยปากขออนุญาต ค�ำตอบที่ได้รับคือค�ำปฏิเสธทุกคราไป ชวนให้นึกสงสัย ว่าท่านชายเจตคงไม่โปรดงานประเภทนี้สักเท่าไรนัก สุดท้ายรสสุคนธ์ก็ให้ค�ำตอบแก่สินีไปว่า “จะพยายามไปให้ได้จ้ะ”

43


3

ทันทีทรี่ ถของทรงกลดแล่นผ่านประตูวงั เข้ามา รสสุคนธ์กเ็ ห็นวรองค์สงู ใหญ่ ของพันตรีหม่อมเจ้าเจตนิพฐิ ทรงยืนตรงบันไดสีขาวหน้าตึก ก�ำลังรับสัง่ อะไรบางอย่าง กับนายเติบและนายชด เมือ่ ทัง้ สองโค้งค�ำนับรับค�ำสัง่ ท่านชายก็ทรงสาวบาทตรงเข้ามา เมือ่ รถของทรงกลดจอดนิง่ สนิทก็ทรงไขว้หตั ถ์ไว้ทางเบือ้ งปฤษฎางค์ พักตร์เรียบเฉย เช่นเคย หากดวงเนตรดุ... กว่าปกติ หญิงสาวสะพายกระเป๋า พร้อมกับหอบสมุดและหนังสือลงจากรถ สาวเท้า เข้าไปหาคนที่ทรงยืนนิ่งแล้วยกมือไหว้ “ทรงมีเรื่องจะรับสั่งกับหม่อมฉันหรือเพคะ” “ถ้าฉันไม่มีเรื่อง ก็คุยกับเธอไม่ได้งั้นหรือรสสุคนธ์” คนตัวเล็กเลิกคิ้ว อ้าปากเผยอค้างเล็กน้อย มองสบเนตรสีนิลนั้นแล้วชวน ให้ใจสั่นพิกลจึงหลุบสายตาลงต�่ำ “หม่อมฉันมิได้หมายความเช่นนั้นเพคะ” แว่วเสียงถอนพระทัยยาว รสสุคนธ์อดคิดไม่ได้วา่ ท่านชายเจตอาจจะทรงนึก ร�ำคาญเธอแล้วก็เป็นได้... การต้องจ�ำใจรับเธอเป็นเด็กในปกครองคงเป็นการมอบ ภาระให้ท่านไม่มากก็น้อย นี่ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ชงโคร้องขอ ท่านชายอาจไม่ปรารถนา จะรับดูแลเธอเช่นที่ทรงท�ำอยู่นี้ก็เป็นได้ 44


ศศิภา

เมือ่ คิดถึงพีส่ าว รสสุคนธ์กไ็ พล่นกึ ถึงจดหมายฉบับนัน้ พร้อมกับผูช้ ายคนที่ ถูกกล่าวถึงในจดหมาย ร่างเล็กรีบตวัดสายตามองไปทางประตูใหญ่ ชะแง้แลหา คิดว่าจะได้เห็นใครบางคนมายืนลับๆ ล่อๆ อยู่แถวนั้น หากก็พบแต่ความว่างเปล่า “เธอมองอะไรน่ะ รสสุคนธ์” ยังไม่ทันได้ตอบ ทรงกลดซึ่งหันไปคุยอะไรบางอย่างกับนายเติบตรงต้นไม้ ริมรั้วก็ส่งเสียงมาแทนตัวเสียก่อน “คุยอะไรกันอยูห่ รือฝ่าบาท” เมือ่ เดินมาถึงชายหนุม่ แอบล้ออย่างไม่เกรงกลัว เช่นเคย “หรือทรงก�ำลังหาเรื่องดุรสสุคนธ์อยู่” คนถูกล้อตวัดสายเนตรไปมองคนพูด ไม่ได้มแี ววกริว้ แต่อย่างใด แต่มคี วาม ไม่พอพระทัยอยู่ในนั้นเล็กน้อย “นี่มันกี่โมงแล้ว ทรงกลด” ร้อยโททรงกลดเลิกคิ้ว ก่อนยกนาฬิกาข้อมือของตนเองขึ้นดูเวลา “สายกว่าเวลาที่หม่อมบอกว่าจะพารสสุคนธ์มาถึงแค่สิบนาทีเองฝ่าบาท” “แกมาสาย” ต�ำหนิด้วยสุรเสียงเข้มงวด ...แบบนี้แหละหนา รสสุคนธ์ถึงรู้สึกว่าท่านชายทรงเคร่งครัดไปเสียทุกเรื่อง จะท�ำอะไรตามแต่ใจจึงไม่ถนัดนัก “ก็... หม่อมมีเหตุจ�ำเป็น” “เหตุจ�ำเป็นอะไรของแก” “แค่ท�ำความรู้จักกับเพื่อนคุณรสน่ะฝ่าบาท” ร้อยโทหนุ่มหันมาสบตารสสุคนธ์ชั่วขณะก่อนเอ่ย “หม่อมมีเรื่องจะขอร้อง” คนที่รู้เต็มอกว่าทรงกลดจะร้องขอเรื่องใดลอบกลืนน�้ำลายอย่างฝืดคอ “เรื่องอะไรล่ะ” “สงสัยจะคุยยาว หม่อมว่าเราเข้าไปคุยกันข้างในหรือไม่ก็ตรงศาลาดีกว่า ฝ่าบาท” หม่อมเจ้าเจตนิพิฐขมวดขนงอย่างนึกสงสัย มีไม่กี่ครั้งนักดอกที่ทรงกลด จะเอ่ยปากร้องขออะไรเช่นนี้ นัน่ ย่อมแสดงว่าเรือ่ งนีค้ งส�ำคัญเป็นอย่างมาก ท่านชาย พยักพักตร์แล้วสาวบาทน�ำไปยังศาลาทรงแปดเหลี่ยม โดยมีรสสุคนธ์ยืนละล้าละลัง อย่างไม่รู้ว่าจะตามไปดีหรือไม่ แต่เมื่อทรงกลดหันมากวักมือเรียกเธอก็เลิกลังเลใจ สาวเท้าตามไปโดยเร็ว 45


ศาลาแปดเหลี่ยมสีขาวยังคงงดงามดังเดิม คราแรกที่เหยียบเข้ามาในวังนี้ สิง่ ทีส่ ะดุดตาเธอทีส่ ดุ คงไม่แคล้วทีน่ ี่ ตอนนัน้ กุหลาบเลือ้ ยสีชมพูออ่ นยังไม่ออกดอก เลย แต่เพียงแค่นนั้ เธอยังโปรดปรานเป็นอย่างมาก นับประสาอะไรกับตอนนี้ กุหลาบ สีชมพูนับสิบก�ำลังเบ่งบานงดงามตัดกับใบไม้สีเขียว เห็นแล้วรสสุคนธ์ยิ่งหลงใหล มากขึ้นไปอีกหลายเท่า ร่างบางก้าวตามเข้าไปข้างในเป็นคนท้ายสุด ความทีม่ วั แต่เหม่อลอยดูความงาม ของกุหลาบเหล่านั้นจึงก้าวสะดุดขั้นบันไดเตี้ยๆ ที่มีอยู่เพียงสองขั้น ร่างกายซวนเซ จะล้มแหล่มลิ ม้ แหล่ ยังดีทหี่ ตั ถ์ใหญ่ฉวยต้นแขนของเธอไว้ได้ทนั ช่วยให้เธอไม่ตอ้ ง อับอายล้มก้นจ�้ำเบ้าอย่างน่าขัน รสสุคนธ์ยกมือไหว้ เอ่ยพึมพ�ำขอบคุณ ความร้อนจากอุ้งหัตถ์ใหญ่ลามเลีย ไปทั่วร่างเลยทีเดียว หญิงสาวร้อนวาบราวกับมีลมพัดไฟกองใหญ่มาปะทะกายเธอ อย่างไรอย่างนัน้ เมือ่ ร่างเล็กเงยหน้าขึน้ ก็พบว่าชายทัง้ สองนัง่ คนละฝัง่ อย่างเรียบร้อย แล้ว แต่เธอยังยืนคว้าง ตัดสินใจไม่ถกู ว่าจะทรุดกายลงนัง่ เคียงข้างผูใ้ ด หากเมือ่ สบ เนตรคมกล้าของผูป้ กครองแล้ว เจ้าตัวก็พลันรูใ้ นทันใดว่าสมควรจะนัง่ เคียงข้างใคร รสสุคนธ์ทรุดกายลงนั่งห่างจากหม่อมเจ้าเจตนิพิฐพอประมาณ เมื่อนั่ง เรียบร้อยแล้ว ทรงกลดก็เริ่มเกริ่นน�ำ “เพื่อนของคุณรสคนนี้ชื่อสินี เป็นคนน่ารัก ยิ้มเก่ง ดูเป็นมิตรกว่าสาว คนไหนที่หม่อมเคยพบเลยฝ่าบาท” เห็นเพื่อนถูกชม รสสุคนธ์ก็อดยิ้มไม่ได้ “เรา ได้คุยกันเล็กน้อยหลังจากแนะน�ำตัวเรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้เป็นวันเกิดเธอ และเธอ ก็จัดงานวันเกิดที่บ้าน” พูดแค่นั้นก็นิ่งไป ด้วยคาดว่าท่านชายคงเดาได้ว่าเขาจะเอ่ยปากร้องขอใน เรื่องใด หากคนที่นั่งเอนองค์อย่างสบายกลับท�ำนิ่งเฉย จนทรงกลดต้องขออย่าง ตรงไปตรงมา “คุณสินเี ธอชวนหม่อมกับคุณรสไปงานวันเกิดเธอ หม่อมเลยอยากจะขอร้อง ให้ทรงอนุญาตคุณรสไปกับหม่อม... ฝ่าบาทจะว่าอย่างไร” เกิดความเงียบอันน่าอึดอัดอยู่นานทีเดียว คนรออย่างใจจดใจจ่อขยับกาย อย่างอึดอัด หนังสือที่วางอยู่บนตักถูกน�ำขึ้นมากอดไว้อีกครั้ง ราวสิ่งนั้นจะช่วยมอบ ก�ำลังใจให้กบั ตนเองได้อย่างไรอย่างนัน้ คนตัวเล็กกลัน้ ใจรอค�ำตอบจนแทบจะขาดใจ ตายเสียให้ได้กว่าหม่อมเจ้าเจตนิพิฐจะทรงท�ำเสียงอืออาในพระศอ 46


ศศิภา

“อืม...” แค่นั้นจริงๆ ที่รับสั่ง พานท�ำให้คนถามขมวดคิ้วมุ่น หากเป็นคนอื่นคงนึก ว่าท่านชายทรงอนุญาต แต่ส�ำหรับทรงกลดซึ่งรู้จกั ท่านมานานย่อมรู้ดวี า่ ท่านชายทรง ก�ำลังครุน่ คิดตรึกตรองอย่างรอบคอบ และแนวโน้มค่อนไปทางไม่อนุญาตเสียมากกว่า “ทรงไม่อยากให้ไปหรือฝ่าบาท” “ก็ไม่เชิง... แกก็รู้ว่างานสังสรรค์แบบนี้ย่อมต้องมีหนุ่มๆ เดินกันให้ควั่ก รสสุคนธ์เพิง่ จะสิบแปด ไม่เหมาะเลยทีเ่ ธอจะไปพบปะผูช้ ายมากหน้าหลายตาแบบนัน้ ” “โธ่ คุณสินกี อ็ ายุพอๆ กับคุณรสนะฝ่าบาท... ใช่ไหมครับคุณรส” ประโยคท้าย เขาหันมาถามคนที่นั่งลุ้นตัวเกร็งอยู่เงียบๆ “ค่ะ สินีจะอายุครบสิบแปดวันพรุ่งนี้ค่ะ” “เห็นไหมล่ะ เจ้าของงานเพิง่ จะสิบแปด หม่อมเชือ่ ว่าคงไม่รจู้ กั ชายหนุม่ ทีไ่ หน มากมายดอกฝ่าบาท” ทรงกลดยังไม่ละความพยายาม “เถอะน่าฝ่าบาท มีหม่อมไปด้วย จะทรงกลัวอะไร หม่อมรับรองเลยว่าจะดูแลคุณรสอย่างดีที่สุด” สิ้นเสียงนั้นวรองค์ สูงใหญ่ก็โน้มองค์มาเบื้องหน้า แล้วจ้องเขม็งด้วยเนตรคมดุ “แกนั่นล่ะตัวดี” “อ้าว” คนถูกว่าอ้าปากค้าง กะพริบตาปริบๆ ยังไม่ทนั ได้เอ่ยตัดพ้อหรือแก้ตวั ใดๆ ท่านชายก็ทรงยืนเสียก่อน “เพือ่ นของเธอชือ่ สินใี ช่ไหม” ทรงผินพักตร์มาทางรสสุคนธ์แล้วถาม แววเนตร ของท่านชายยังคงเข้มข้นดุดันจนคนมองสบใจสั่นตามเคย “เพคะ” “นามสกุลอะไร” “สรบุตรเพคะ” ทรงพยักพักตร์รับรู้ แล้วหันไปทางร้อยโทหนุ่มผู้ซึ่งก�ำลังลุก ขึ้นยืนเช่นกัน “ฉันอนุญาตให้รสสุคนธ์ไป” คนที่รอลุ้นมานานผุดลุกขึ้นยืนโดยเร็ว นี่ถ้ากระโดดโลดเต้นได้ล่ะก็เธอคง ท�ำไปแล้ว แต่ก็ติดตรงที่กลัวจะถูกดุว่า ‘ไม่งาม’ เหมือนเช่นทุกครั้ง “แต่...” เมื่อทรงผินพักตร์กลับมาทางเธอ รอยยิ้มที่ประดับบนริมฝีปากสวย ค้างอยู่เช่นนั้น แววตาสุกใสกลายเป็นเคลือบแคลง “ฉันจะเป็นคนพาเธอไปเอง” 47


รสสุคนธ์ไม่รดู้ อกว่าหลังจากนัน้ พันตรีหม่อมเจ้าเจตนิพฐิ ทรงท�ำกระไรบ้าง จึงท�ำให้คำ�่ วันนัน้ เด็กรับใช้คนหนึง่ ของสินเี ดินทางมาทีว่ งั นีแ้ ละยืน่ การ์ดเชิญอย่างเป็น ทางการให้ หลังจากท�ำหน้านี้ของตนเองเสร็จ ชายคนนั้นก็รีบขอตัวกลับทันที ไม่ทัน ได้ให้เธอซักถามแม้วนิ าทีเดียว รสสุคนธ์มองซองในอุง้ หัตถ์ใหญ่อย่างอยากรูอ้ ยากเห็น และถึงกับละสายตาจากพวงมาลัยทีก่ ำ� ลังร้อยตรงหน้าเพือ่ ชะแง้แลมองซองสีฟา้ ซองนัน้ ในทันที่ท่านชายเจตทรงหยิบยื่นให้พระมารดา หม่อมเจ้านวลแขทรงวางหัตถ์จากพวงมาลัยทีเ่ กือบเสร็จ แล้วเอือ้ มหัตถ์ออก ไปรับ ก่อนจะเปิดซองแล้วดึงการ์ดสีขาวสะอาดตาออกมา กวาดเนตรเพียงครัง้ ก็ทรง พยักพักตร์ “อ้อ... เพื่อนของรสสุคนธ์ที่ชายพูดถึงคือคุณนาคร... เจ้าของโรงเรียนลีลาศ นาครเองล่ะหรือ” “ใช่ค่ะ ชายก็เพิ่งรู้ตอนได้ยินนามสกุลจากปากของรสสุคนธ์นี่เอง” หกเดือน ที่อยู่ในวังนี้ รสสุคนธ์ไม่เคยได้ยินท่านชายเจตจะรับสั่งอย่างอ่อนโยนเหมือนตอน รับสั่งกับพระมารดาเลยแม้สักครั้ง ครัง้ นีก้ เ็ ช่นกัน ถ้อยรับสัง่ ของท่านช่างนุม่ นวลนัก แววเนตรทีเ่ คยเอาแต่ดดุ นั บัดนี้กลับทอแสงอบอุ่นจนคนที่เผลอมองสบใจเต้นระทึกราวกลองตี รสสุคนธ์รีบ ก้มหน้าเบือนสายตาหลบดวงเนตรทรงเสน่หน์ นั้ ทันที กลีบกุหลาบทีก่ ำ� ลังจะถูกปักลง บนเข็มเลื่อนหลุดจากมือจนเข็มเล่มนั้นแทงลงบนนิ้วชี้ของเจ้าของเข้าอย่างจัง “โอ๊ย...” คนตัวเล็กสะดุ้งสุดตัว ร้องลั่นดังก้องแทบจะทั่วทั้งวังเลยทีเดียว ไม่รู้เหมือนกันว่าตนเองตกใจที่เข็มต�ำหรือตกใจที่หัวใจดวงน้อยเต้นกระหน�่ำรัวเร็ว ไม่เป็นจังหวะเช่นนี้กันแน่ “เป็นอะไรรสสุคนธ์” หม่อมเจ้านวลแขทรงวางซองลงบนโต๊ะแล้วหลุบเนตร ลงต�่ำมองคนที่ก�ำลังเอานิ้วโป้งกดลงบนปลายนิ้วชี้ของตนเองอย่างสงสัย ขณะที่ใคร อีกคนไม่ได้ถาม แต่ปราดเข้ามาหาในพริบตาเดียวเลยทีเดียว วรองค์สงู ใหญ่คกุ พระชานุลงบนพืน้ แล้วเอือ้ มหัตถ์มากุมมือเธอไว้ สองเนตร จ้องส�ำรวจอย่างพินิจพิเคราะห์ “โดนเข็มต�ำหรือรสสุคนธ์” “เพคะ” หญิงสาวตอบอุบอิบโดยไม่เงยหน้ามอง หัวใจที่ไหวโยนเมื่อครู่ยิ่ง กวัดแกว่งราวชิงช้ากวัดไกว อุ้งหัตถ์ของท่านชายเจตร้อนจัดจนส่งกระแสความร้อน 48


ศศิภา

ผ่านมาถึงตัวเธอ ท�ำให้เธอร้อนผ่าวไปทั้งกายเลยทีเดียว ที่ร้อนที่สุดเห็นจะเป็นแก้ม สองข้างของตนเองนั่นล่ะ รสสุคนธ์ไม่ปรารถนาจะเงยหน้ามองสบเนตรคนตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย ด้วยไม่มั่นใจว่าแก้มนุ่มๆ ของตนเองนั้นมีรอยแดงระเรื่อราวกับถูกพู่กันวาดระบาย ลงไปหรือไม่ “ไหน ขอดูหน่อยซิ แผลลึกไหม” “ไม่ลึกเพคะ” ถ้อยรับสั่งอย่างเป็นห่วงเป็นใยยิ่งท�ำให้รสสุคนธ์ก้มหน้างุด “เลือดคงหยุดแล้วเพคะ” “แน่ใจหรือ เห็นร้องเสียลั่น พานให้คนอื่นตกอกตกใจเสียหมด” รสสุคนธ์อดคิดไม่ได้ว่า คนอื่นที่ว่านั้นรวมท่านชายด้วยหรือเปล่าหนอ... “ขอประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันตกใจมากไปเท่านั้นเอง” “แล้วยังเจ็บอยู่ไหม” คนตัวเล็กสั่นศีรษะพร้อมตอบเสียงเบา “ไม่เจ็บแล้วเพคะ” ...ไม่เจ็บ แต่ตอนนี้ก�ำลังวางตัวไม่ถูก รู้สึกขัดเขินอย่างน่าประหลาด จนเร่ง ภาวนาในใจว่าให้ท่านชายเจตทรงผละห่างไปจากตัวเธอโดยเร็วเสียที “ว่าอย่างไรนะรสสุคนธ์ ฉันไม่ได้ยิน” ไม่ใช่แค่รับสั่งเท่านั้น ยังโน้มพักตร์ลงมาจนแทบชิดแก้มของเธอ รสสุคนธ์ รีบเบี่ยงหน้าหลบ เขยิบกายออกห่างก่อนจะตอบด้วยเสียงที่ดังขึ้นอีกนิด “ไม่เจ็บแล้วเพคะ ขอบพระคุณที่ทรงเป็นห่วง” จากนั้นหญิงสาวก็เพ่งมองไปยังมือที่ถูกอุ้งหัตถ์ใหญ่เกาะกุมไว้อยู่นานแล้ว สายตาเช่นนั้นท�ำให้ผู้ปกครองซึ่งดูเป็นห่วงเป็นใยเด็กในปกครองอย่างมากมายรีบ ปล่อยมือทันควัน ราวกับมือของเธอเป็นของร้อนทีอ่ งค์เองเผลอหรือลืมองค์ไปจับเข้า “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ทีหน้าทีหลังก็ระมัดระวังเสียบ้าง” ทรงขยับองค์ขึ้นยืน สาวบาทกลับไปนั่งที่เดิม ขณะที่หม่อมเจ้านวลแขทรงสังเกตอากัปกิริยาของทั้งสอง อย่างพินิจพิจารณา จากนั้นจึงหันไปรับสั่งกับรสสุคนธ์ “พอแล้วล่ะแม่รส แค่นคี้ งพอถวายพระแล้ว แม่รสขึน้ ไปพักผ่อนหรืออ่านหนังสือ ตามสบายเถิด” 49


ได้ยินเช่นนั้น รสสุคนธ์จึงรับค�ำ ยกมือไหว้ลาทั้งสององค์ก่อนค่อยๆ คลาน คุกเข่าจนพ้นประตูหอ้ งรับแขก แล้วลุกขึน้ ยืน สาวเท้าเร็วๆ ห่างออกมาอีกนิดก็หยุดเดิน เอนกายพิงผนังสีครีมแล้วพ่นลมหายใจยาว พร้อมกับวางมือทาบอกตรงต�ำแหน่งของ หัวใจ สูดลมหายใจเข้าปอดลึกยาวสองสามครั้งจนใจที่เต้นรัวเริ่มกลับสู่สภาพปกติ “เฮ้อ... เป็นอะไรไปนะรสสุคนธ์” หญิงสาวคร�่ำครวญกับตัวเอง คลางแคลง สงสัยกับความผิดปกติของร่างกายและหัวใจแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต ...หรือเธอจะไม่สบาย พลันที่คิดเช่นนั้นก็ยกหลังมือแตะหน้าผากของตนเอง เมื่อไม่พบว่าร้อนกว่า ปกติแต่อย่างใดจึงได้แต่สา่ ยหน้า แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่สองสามครัง้ บอกตัวเอง ให้ลมื อาการประหลาดอย่างหาสาเหตุไม่ได้นไี้ ปเสีย กลับมาเป็นรสสุคนธ์คนเดิมเสียที ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นสักพัก ก่อนสาวเท้าตรงไปยังบันไดที่ตั้งอยู่ตรงกลาง เดิน แกมวิง่ ขึน้ ไปยังชัน้ สองของตึก ตัง้ ใจจะอาบน�ำ้ แล้วตัง้ หน้าตัง้ ตาอ่านหนังสือทีท่ า่ นชาย ประทานให้จนจบภายในคืนนี้ให้ได้ รุง่ อรุณวันใหม่ รสสุคนธ์ตนื่ แต่เช้าตรูล่ งไปใส่บาตรพร้อมหม่อมเจ้านวลแข เช่นที่ท�ำอยู่เป็นประจ�ำ วันนี้หญิงสาวเลือกสวมเสื้อแขนตุ๊กตาสีขาวผ้าโปร่งเบาสบาย สวมกางเกงเอวสูงสีฟา้ อมเทา ผมยาวเป็นลอนถูกรวบไว้เป็นมวยเหนือศีรษะ ประดับ ตกแต่งด้วยริบบิ้นสีชมพูอ่อนเผยให้เห็นรูปหน้างดงามผุดผ่องตามวัย รสสุคนธ์ก�ำลังโตเป็นสาว แม้จะยังไม่ผุดผาดมีเสน่ห์เท่าชงโคผู้เป็นพี่สาว หากหม่อมเจ้านวลแขซึ่งก�ำลังทอดเนตรอย่างพินิจพิเคราะห์ก็ค่อนข้างแน่พระทัยว่า อีกไม่กี่ปี น้องสาวคงงดงามสะดุดตาไม่แพ้พี่สาวเลยทีเดียว “แม่รส อยู่บ้านเฉยๆ เบื่อหรือเปล่า อยากออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างไหมล่ะ” ท่านหญิงรับสั่งถามบนโต๊ะอาหารหลังรับประทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว “อยากไป ศาลาเฉลิมไทยไหม เห็นเขาว่าหนังที่เอามาฉายสนุกไม่หยอกเทียว” รสสุคนธ์ยิ้มบางๆ ในหน้า รู้สึกแปลกๆ ไปนิดที่วันนี้หม่อมเจ้าเจตนิพิฐ ไม่ได้รว่ มโต๊ะด้วย ได้ความจากนายเติบว่าเสด็จออกไปแต่เช้า... คงมีงานด่วนกระมัง “หม่อมฉันไม่เบือ่ ดอกเพคะ แค่ได้อา่ นหนังสือก็มคี วามสุขดีแล้วเพคะ” วรองค์ เล็กผินพักตร์มาเหลือบแลคนที่นั่งข้างๆ แล้วแย้มโอษฐ์ส่งยิ้มอบอุ่นมาให้ 50


ศศิภา

“ฉันเห็นชายเจตเข้มงวดกับแม่รสเกินไป ก็ไม่สบายใจเท่าไรนัก หากแม่รส ไม่พอใจหรือไม่ชอบใจที่ชายเจตท�ำตัวเคร่งครัดมากเกินไปก็บอกฉันได้นะ ฉันจะได้ ไปเตือนๆ ให้” “หม่อมฉันมิบังอาจเพคะ” รสสุคนธ์ส่งยิ้มกลับไปให้อย่างเจื่อนๆ ถ้าท่านชายเจตทรงรับรู้ว่าเธอว่าร้าย นินทาท่านว่าเข้มงวดจนเกินทนแล้วล่ะก็ ไม่แคล้วต้องกริว้ เป็นแน่แท้ และรสสุคนธ์เอง ก็ไม่อยากเป็นเหตุให้ท่านไม่พอพระทัยเลยแม้แต่น้อย “หม่อมฉันเข้าใจดีว่าทรงเป็นห่วง” “เป็นห่วงมากจนเกินพอดีล่ะไม่ว่า” รับสั่งพลางสรวลเบาๆ ดวงเนตรเป็น ประกายระยับยามทอดเนตรใบหน้าทีก่ ม้ ต�ำ่ และเห็นเส้นเลือดฝอยภายใต้พวงแก้มนุม่ ของคนตรงหน้าแดงระเรื่อขึ้นมา “เอาเถิด... ถ้าไม่เบื่อและ... ทนได้ ก็แล้วไป แต่ถ้าเบื่อขึ้นมาเมื่อไรก็บอกฉันได้ ฉันจะอนุญาตให้เธอออกไปเที่ยวข้างนอกเอง” “ขอบพระคุณเพคะ” หญิงสาวยกมือไหว้อย่างงดงาม รอให้อีกฝ่ายลุกจาก โต๊ะอาหาร จึงลุกตามบ้าง “วันนี้ฉันจะออกไปหาเพื่อนหน่อยนะ ตอนเย็นเธอต้องไปงานวันเกิดเพื่อน ใช่ไหม” รสสุคนธ์ที่เดินตามหลังรับค�ำ ก่อนที่ท่านหญิงจะรับสั่งถามต่อว่า “มีชุดออกงานแล้วหรือ” “พอจะหาได้เพคะ” ท่านหญิงทรงพยักพักตร์แล้วนิง่ เงียบไป เมือ่ เสด็จมาถึงหน้าห้องรับแขกก็ทรง ผินพักตร์มายังเธอ “มีอะไรก็ไปท�ำเถอะ ไม่ต้องมารับใช้ฉันดอก ฉันมีแม่วาดอยู่ใกล้ๆ คอย ดูแลอยู่แล้ว” ได้ยินรับสั่งเช่นนั้นก็ไม่เซ้าซี้ หญิงสาวยกมือไหว้ ก่อนมองอีกฝ่าย เดินหายลับเข้าไปในห้องรับแขก จึงตรงขึ้นบันไดไปยังห้องของตัวเองเพื่อหยิบนิยาย ที่ท่านชายเจตประทานให้ ก่อนจะเดินกลับลงมาข้างล่าง ตรงไปยังศาลากลางสวน รสสุคนธ์กา้ วเท้าเข้าไปด้านใน หยุดเงยหน้ามองกุหลาบดอกใหญ่นอ้ ยทีเ่ รียงราย เลือ้ ยพันอยูต่ ามเสาศาลาอย่างชืน่ ชมอยูค่ รูใ่ หญ่ จึงทรุดกายนัง่ ลงบนเก้าอีแ้ ล้วเริม่ เปิด หนังสืออ่านต่อจากที่ค้างไว้เมื่อคืน เพียงไม่นานโลกรอบกายก็เลือนหาย รสสุคนธ์พาตัวเองเข้าไปสูโ่ ลกตัวอักษร มีความสุข ความเศร้า ความทุกข์ระทม หรือแม้แต่โกรธขึง้ ไปกับทุกตัวละครในเล่มนัน้ 51


เหมือนเธอกลายเป็นตัวละครหนึ่งที่เข้าไปมีชีวิตโลดแล่นในหนังสือเล่มนั้น ผ่านไป หลายชั่วโมง เมื่อสายตาเลื่อนมาถึงตัวอักษรท้ายสุดนั่นล่ะ รสสุคนธ์จึงได้เงยหน้าขึ้น พร้อมกับรอยยิม้ ประดับบนริมฝีปากเมือ่ พระนางของเรือ่ งได้ครองรักกันอย่างมีความสุข สมใจ ชัว่ ขณะทีเ่ งยหน้าขึน้ นัน้ เอง สองตาของเธอก็สานสบเข้ากับดวงเนตรสีนลิ กาฬ ซึ่งท�ำให้เธอใจสั่นไหวอยู่ร�่ำไป ร่างเล็กถึงกับสะดุ้งรีบหุบยิ้มและปรับสีหน้าแช่มชื่น เป็นปกติ “อะไรกัน เห็นหน้าฉันแล้วถึงกับยิ้มไม่ออกเลยหรือรสสุคนธ์” หญิงสาวลุก ขึ้นยืนยกมือไหว้ก่อนเอ่ยตอบ “มิได้เพคะ” “ท�ำอะไรอยู่ล่ะ” คนที่ยืนเท้าพาหากับขอบศาลาแปดเหลี่ยมสีขาวรับสั่งถาม ราวกับเมื่อครู่ไม่ได้มาหยุดทอดเนตรมองเสียนานอย่างไรอย่างนั้น “อ่านเล่มนีอ้ ยูเ่ พคะ” เจ้าตัวชูหนังสือในมือแล้วแย้มยิม้ “หม่อมฉันอ่านจบแล้ว เพคะ” จากนัน้ จึงสาวเท้าเข้าไปหาคนตรงหน้า ยืน่ หนังสือในมือคืนให้ ขณะทีค่ นมอง เลิกขนงเล็กน้อย “ไม่อยากเก็บไว้หรือ” ได้ยินแล้วรสสุคนธ์ถึงกับเบิกตาโต “เก็บไว้?” “ฉันไม่ได้แค่ให้ยืมดอก ฉันตั้งใจจะยกให้เธอต่างหาก” ตาที่โตอยู่แล้วยิ่งเบิกกว้างมากขึ้นราวกับไข่ห่านเลยทีเดียว “ตั้งใจจะให้หม่อมฉัน?” “เธอก็ได้ยินชัดเจนแล้ว ท�ำไมต้องถามซ�้ำไปซ�้ำมาด้วยหืม?” รสสุคนธ์หดแขนที่ยืดออกไป เปลี่ยนเป็นกอดกระชับหนังสือนิยายเล่มนั้น ไว้แนบอก แล้วเอ่ยเสียงเบา “ขอประทานอภัยเพคะ” ท่านชายเจตสาวบาทอ้อมมาด้านหน้าศาลาแล้วก้าวเข้ามาด้านใน มาทรงยืน เคียงข้างร่างเล็กที่ก�ำลังก้มหน้ามองเพียงรองพระบาทหนังสีด�ำขัดมันจนเงาวับคู่นั้น “รองเท้าของฉันมีอะไรดีหรือ เวลาพูดกับฉันเธอถึงได้ชอบมองมันนัก สงสัย เธอคงรังเกียจหน้าตาของฉันเสียแล้วกระมังรสสุคนธ์” 52


ศศิภา

ฟังถ้อยรับสั่งแล้ว รสสุคนธ์ถึงกับใจหายวาบ เงยหน้าขึ้นมองพักตร์คมสัน ด้วยแววตาตื่นตระหนก “รับสั่งอะไรเพคะ หม่อมฉันไม่เคยรังเกียจท่านชายเลยแม้สักครั้ง” “แล้วท�ำไมต้องหลบตาฉันเสียทุกที” ค�ำถามนั้นรสสุคนธ์ไม่รู้ว่าจะตอบเช่นไร จึงนิ่งเฉยเสีย “หรือว่าฉันดุมากเกินไป” คนตัวเล็กสัน่ ศีรษะจนผมปอยเล็กหลุดร่วงจากมวยกลางศีรษะตกระใบหน้า แนบชิดกับพวงแก้มนวลผ่อง “ไม่ใช่นะเพคะ” “ไม่ใช่อะไร” “ไม่ได้ดุมากเกินไป...” นิ่งเงียบไปชั่วขณะก่อนตอบโดยหลุบสายตาลงต�่ำ “แค่ดุนิดหน่อยเท่านั้นเพคะ” เกิดความเงียบไปทั่วศาลา รสสุคนธ์คิดว่าตนเองอาจโดนกริ้วเสียก็วันนี้ แต่ ผิดคาดเมือ่ ท่านชายกลับสรวลในพระศอ แม้จะเบาแสนเบาแต่กลับท�ำให้หวั ใจดวงน้อย เป็นสุขได้อย่างน่าประหลาด ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกก็ได้กระมังที่ท่านทรงแย้มโอษฐ์กว้างกว่าปกติ และ สรวลอย่างขบขันให้เธอได้ยิน รสสุคนธ์รู้สึกเหมือนตัวเองได้เข้าใกล้ท่านอีกนิด ไม่ได้เหินห่างเหมือนก่อน... หากก็แค่นิดเดียวเท่านั้นจริงๆ หม่อมเจ้าเจตนิพิฐสรวลเพียงครู่เดียวเท่านั้นก็ปรับพักตร์เคร่งขรึมตามเดิม “เอาเถิด... ฉันจะพยายามไม่ดมุ ากเกินไป เธอจะได้ไม่กลัวฉันไปมากกว่านี”้ รสสุคนธ์อยากตอบเหลือเกินว่าเธอไม่ได้เกรงกลัวอะไรมากมาย แค่รู้สึก แปลกๆ ในหัวใจอย่างหาเหตุผลไม่ได้เท่านั้นเอง หากเกรงว่าตอบออกไปแล้วจะหา ค�ำอธิบายถ้อยค�ำของตนเองไม่ได้ จึงก้มหน้านิ่งเงียบเสียเท่านั้น “เธอมีชุดใส่ไปงานแล้วหรือรสสุคนธ์” ถ้อยรับสัง่ นัน้ บอกชัด... หม่อมเจ้านวลแขอาจจะเป็นห่วงจนโทรไปบอกบุตรชาย ก็เป็นได้ ไม่เช่นนั้นหญิงสาวคงไม่ได้พบเห็นพักตร์ของท่านในเวลาเช่นนี้ดอก “หม่อมฉันพอมีเพคะ” “แน่ใจหรือว่ามี ขอฉันดูหน่อยได้ไหม” คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นทันควัน อยากจะเอ่ยปฏิเสธ แต่นึกขึ้นมาได้ว่าการ เป็นเด็กในปกครองของหม่อมเจ้าเจตนิพิฐนั้นไม่ควรท�ำอะไรตามแต่ใจนึกสบาย 53


การออกงานก็เช่นกัน แม้จะเป็นงานเล็กๆ หากก็ถือเป็นงานสังคม อาจจะมีราชนิกุล ผูส้ งู ศักดิไ์ ปร่วมงานด้วย ดังนัน้ เธอไม่ควรแต่งตัวซอมซ่อให้ทา่ นเสียพักตร์ คิดได้ดงั นั้นค�ำปฏิเสธจึงกลืนหายลงไปในล�ำคอทันใด “ได้เพคะ” “ฉันไปรอที่ห้องท�ำงานนะ เธอถือชุดที่เธอคิดว่าเหมาะที่สุดไปให้ฉันดูที่นั่น แล้วกัน” “เพคะ” รสสุคนธ์ไม่ปล่อยให้ทา่ นชายเจตทรงรอนาน หลังจากมาถึงห้องก็รบี คว้าเสือ้ ผ้า แทบจะหมดตู้ออกมาวางบนเตียง แล้วเลือกเฟ้นชุดที่ดีที่สุดโดยไว เมื่อได้แล้วจึง เดินแกมวิง่ ตรงไปยังห้องทรงงานซึง่ อยูอ่ กี ปีกหนึง่ ของตึกโดยพลัน มาหยุดยืนอยูห่ น้า ห้อง สูดลมหายใจเข้าปอดลึกยาวสองสามครัง้ เพือ่ ให้ตนเองหายเหนือ่ ยจึงเคาะประตู แว่วเสียงอนุญาตจากด้านใน เธอจึงค่อยๆ ผลักประตูเข้าไป พันตรีหม่อมเจ้าเจตนิพิฐทรงยืนข้างหน้าต่าง หันปฤษฎางค์พิงกับผนังห้อง ในหัตถ์ขวามีหนังสือเล่มเล็กเปิดอ้าอยู่ ส่วนอีกหัตถ์หนึ่งก�ำลังเปิดพลิกหน้าต่อไป สองเนตรยังคงจับจ้องอยูท่ ตี่ วั อักษรทุกตัวบนหน้านัน้ ขณะรับสัง่ ถามโดยไม่เงยพักตร์ “เลือกได้แล้วหรือ” “เพคะ” เมื่อหญิงสาวรับค�ำ ท่านชายจึงทรงละสายเนตรจากหนังสือ วางมันไว้ตรง ชั้นหนังสือข้างองค์ แล้วเงยพักตร์ส่งสายเนตรมายังเธอ สิ่งที่ทรงเห็นคือร่างของ สาวน้อยวัยแรกแย้มก�ำลังหอบเสื้อผ้าห้าหกชุดไว้ในมือ “เยอะขนาดนี้เทียว?” “หม่อมฉันไม่ทราบว่าชุดไหนดีที่สุด... ทรงเลือกด้วยองค์เองดีกว่าเพคะ” รสสุคนธ์สาวเท้าไปยังโซฟาไม้สักตัวยาวริมผนังห้อง หน้าต่างสามบานถูกเปิดออก รับลมเย็นที่พัดผ่านเข้ามาภายใน หญิงสาววางชุดทั้งหมดลงบนเบาะสีแดงเลือดหมู แล้วเลือกชุดบนสุดมาถือไว้ดว้ ยสองมือ จับเพียงแค่ตรงไหล่แล้วทิง้ ชายยาวลงมาด้าน ล่างเพื่อให้เจ้าของห้องพิจารณาได้จนหมดทั้งชุด ชุดแรกเป็นชุดเดรสตัวยาวสีม่วง แขนตุ๊กตา ดูเรียบง่ายเหมาะกับการไป เดินเล่นมากกว่าใส่ออกงาน ท่านชายเจตนิพิฐซึ่งเอนองค์ประทับบนขอบหน้าต่าง ส่ายพักตร์ แล้วโบกหัตถ์ให้เลือกชุดต่อไป 54


ศศิภา

รสสุคนธ์วางชุดในมือลงแล้วหยิบชุดอื่นมาถือไว้จนครบห้าชุด เจ้าของห้อง ก็ยังไม่พอพระทัยเท่าไรนัก แต่เห็นหน้าตาสลดของคนตรงหน้าแล้ว ท่านชายเจตจึง รับสั่ง “ชุดสุดท้ายน่าจะเหมาะที่สุด เธอสวมชุดนั้นแล้วกันรสสุคนธ์” สิ้นรับสั่งรสสุคนธ์ก็ถอนหายใจเฮือก แย้มริมฝีปากออกเป็นรอยยิ้มสดใส ชุดทีอ่ ยูใ่ นมือของเธอเป็นเดรสสีชมพูออ่ น คอคว้านรูปตัววีแต่ไม่ลกึ มาก ตรงช่วงแขน ปิดแค่ไหล่เท่านั้น ส่วนกระโปรงเป็นผ้าบานพลิ้วยาวประมาณครึ่งน่อง “ขอบพระคุณเพคะ” “ขอบคุณ? เรื่องอะไร?” “ทีโ่ ปรดชุดนีอ้ ย่างไรเล่าเพคะ หม่อมฉันนึกว่าจะต้องหอบเอาชุดทัง้ หมดในตู้ มาให้ทอดเนตรเสียแล้ว” แว่วเสียงสรวลในพระศอเบาๆ อีกครั้งชวนให้หัวใจดวงน้อยของรสสุคนธ์ ลอยล่องราวกับลูกโป่งเลยทีเดียว ไม่อยากยอมรับเลยว่าเธอชื่นชอบเสียงหัวเราะนั้น เสียเหลือเกิน “งั้นหม่อมฉันขอตัวเอาชุดไปเก็บก่อนนะเพคะ” “เก็บเรียบร้อยแล้ว มาหาฉันอีกรอบด้วยนะ รสสุคนธ์” “ท�ำไมหรือเพคะ มีอะไรจะรับสั่งอีกหรือเพคะ” “กลับมาแล้วค่อยพูดกัน” ค�ำสัง่ กลายๆ นัน้ ท�ำให้รสสุคนธ์รบั ค�ำ ออกจากห้องทรงงานของท่านชายเจต โดยไว เมื่อกลับมาอีกครั้งเจ้าของห้องก็ประทับหลังโต๊ะท�ำงาน ก้มพักตร์จดอะไร บางอย่างในสมุดบันทึกอย่างตั้งพระทัย เห็นดังนั้นรสสุคนธ์จึงยืนเอามือประสานกันไว้ด้านหน้า แล้วลอบมองคน ตรงหน้าอย่างพิจารณา... โครงพักตร์งดงามได้รูปรับกับนาสิกโด่งเป็นสัน ขนงเข้ม โค้งจนเกือบเป็นรูปคันศร อีกทั้งเรียวโอษฐ์หยักที่มักจะเม้มตรงอยู่เป็นนิจชวนให้ เธออดชื่นชมไม่ได้ หม่อมเจ้าเจตนิพิฐทรงมีลักษณะของเอกบุรุษและมีเสน่ห์อย่างหาที่เปรียบ มิได้ และเพราะลืมตัวมองอย่างเผลอไผลนั่นเองเมื่ออีกฝ่ายเงยพักตร์ขึ้นมาอย่าง ไม่มีปี่มีขลุ่ย รสสุคนธ์จึงสะดุ้งเพราะเบือนสายตาหลบไม่ทัน จึงได้สบเนตรด�ำเข้ม 55


น่าค้นหาเข้าอย่างจัง หญิงสาวรูส้ กึ เหมือนถูกมนต์สะกด สมองสัง่ การให้กม้ หน้าหลบสายตาคมกล้า นั้นเสีย แต่หัวใจกลับรุกเร้าให้มองสานสบนิ่งนาน ‘...รสสุคนธ์เอ๋ย ท�ำไมสมองกับหัวใจไม่ไปในทางเดียวกันเลยหนอ เธอคง ไม่สบายเสียจริงๆ แล้วกระมัง...’ เจ้าตัวคร�่ำครวญในใจ หน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ขณะที่วรองค์ สูงใหญ่ทรงขยับยืน หยิบกล่องก�ำมะหยี่สีด�ำกล่องหนึ่งไว้ในอุ้งหัตถ์แล้วสาวบาท เข้ามาใกล้ “เธอควรจะมีเครื่องประดับสักชุดไว้ออกงานนะ รสสุคนธ์” รับสัง่ เสร็จก็ยนื่ กล่องสีดำ� นัน้ ให้กบั เธอ รสสุคนธ์กม้ หน้ามองแล้วขมวดคิว้ มุน่ “กล่องอะไรเพคะ” “ก็เพิ่งบอกไปไม่ใช่หรือว่าเป็นเครื่องประดับ หรือเธอไม่ได้ยิน” “หม่อมฉันได้ยนิ เพคะ แต่... ทรงมอบให้หม่อมฉันท�ำไมเพคะ เครือ่ งประดับ ของหม่อมฉันก็มี... หม่อมฉันจะ...” ยังเอ่ยไม่ทันจบ สุรเสียงทรงอ�ำนาจก็ดังขึ้น “ฉันอยากให้เธอสวมเครื่องประดับชุดนี้ ฉันคิดว่ามันเหมาะกับเธอ” ปากทีอ่ า้ ค้างหุบฉับลงทันควัน ใบหน้าทีแ่ ช่มชืน่ เมือ่ ครูก่ ลายเป็นเคร่งเครียด ทันควัน จริงๆ แล้วจะว่ารสสุคนธ์โกรธก็ยังไม่ถูกนัก เธอเพียงแค่ขุ่นเคืองใจเพียง เท่านั้น ...ก็ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเหตุใดจะต้องทรงบังคับให้เธอสวมเครื่องประดับ ในกล่องนั่นด้วย... “เพคะ” หญิงสาวเอื้อมมือไปรับมาอย่างเสียไม่ได้ ก�ำมะหยี่นุ่มสัมผัสกับ มือบาง เย็นเยียบและแข็งกระด้าง ไฉนหัวใจของเธอจึงไม่ยินดีเลยกับเครื่องประดับ ที่คงราคาแพงลิ่วเช่นนี้ หรือตัวเธอคิดว่าตนเองไม่คู่ควร ชัว่ ขณะหนึง่ ทีพ่ จิ ารณากล่องก�ำมะหยีก่ ล่องนัน้ ก็ให้นกึ สงสัยนักว่าเครือ่ งประดับ นี้เป็นของผู้ใด จนเผลอตัวโพล่งถามออกไป “กล่องนี้เป็นของพี่ชงโคหรือเพคะ” “ไม่ใช่ดอก” รับสั่งปฏิเสธแล้วเงียบไปนาน... นานจนคนที่ก้มหน้ามองกล่อง ก�ำมะหยี่ในมือต้องเงยหน้าขึ้นสบเนตรคม แววตาสงสัยในดวงตากลมโตนั้นท�ำให้ ท่านชายเจตทรงจ�ำใจตอบอย่างเสียไม่ได้ “ของฉันเอง” 56


ศศิภา

“อะไรนะเพคะ? ทรงสวมเครื่องประดับผู้หญิงด้วยหรือเพคะ” “ไม่ใช่อย่างนั้น” ทรงท�ำท่าเหมือนอึดอัดไม่อยากรับสั่ง ยิ่งท�ำให้รสสุคนธ์ อยากรู้ หญิงสาวสืบเท้าเข้าไปใกล้อีกนิด แล้วเอียงคอมองจ้องพักตร์ที่เมินหลบอย่าง จริงๆ จังๆ “ไม่ใช่อย่างนั้นแล้วเป็นอย่างไหนเพคะ” “เธอนี่อยากรู้อยากเห็นเสียจริง รสสุคนธ์” คนถูกว่าไม่ขนุ่ ข้องหมองใจหรือเสียใจใดๆ เลย ตรงกันข้ามเธอกลับหัวเราะร่วน อย่างนึกขัน “พี่ชงก็เคยพูดเช่นนั้นกับหม่อมฉันเพคะ” เอ่ยชือ่ พีส่ าวออกไป ใบหน้าทีย่ มิ้ ระรืน่ ก็หบุ ลงทันควัน... ไม่ใช่แค่ความคิดถึง ดอกที่เธอยังมีหลงเหลืออยู่ในอก แต่เป็นความโศกเศร้ากับ ‘เรื่อง’ ที่พี่สาวท�ำไว้ ต่างหาก ...ชงโคไม่ได้รักท่านชายเจตแม้เพียงสักนิดเลยหรือไร... “เป็นอะไรรสสุคนธ์” หม่อมเจ้าเจตนิพิฐทรงเห็นรสสุคนธ์ตีหน้าเศร้า จึงขมวดขนง สาวบาทตรง เข้าไปหา ถือวิสาสะเอื้อมหัตถ์ไปสัมผัสปลายคางมนแล้วบังคับให้เธอเงยหน้าสบ เนตรขององค์เอง “คิดถึงชงโคหรือ” “เพคะ” เธอตอบเสียงเบา สองตามองสบเนตรสีนลิ เนิน่ นาน หัวใจยิง่ เจ็บปวด อ้างว้าง ...ไม่เพียงแค่ชงโคเท่านัน้ ทีร่ สู้ กึ ผิดจนกระทัง่ มาเข้าฝันเธอให้ดแู ลท่านชายเจต เป็นอย่างดี รสสุคนธ์เองก็รู้สึกผิดเช่นกันที่พี่สาวกระท�ำการอันน่ารังเกียจเช่นนั้น แม้ จะไม่ได้เป็นผูก้ ระท�ำสิง่ เลวร้ายใดๆ หากเพราะเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นสายเลือด เดียวกัน ความรู้สึกผิดจึงแน่นอยู่ในอกไม่แพ้ผู้เป็นพี่เลยสักนิด “คิดถึงได้ แต่อย่าเศร้าเลย...” ไม่แค่รบั สัง่ แต่กลับวางหลังหัตถ์สมั ผัสแก้มนวล แล้วเลื่อนขึ้นไปใกล้กับปลายหางตาซึ่งมีน�้ำตาเอ่อคลอ “มันท�ำให้ตาของเธอไม่สวย เท่าที่ควรจะเป็น” คนตัวเล็กรับเอาค�ำหวานนัน้ ไว้แนบอก กะพริบตาปริบๆ ขับไล่น�้ำตาทีเ่ อ่อท้น ให้เลือนหาย และแทนที่ด้วยความหวานซึ้ง หัวใจเต้นระทึกเมื่อรับรู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ 57


ใกล้มากเพียงใด... ใกล้เสียจนรสสุคนธ์กลัวว่าคนตรงหน้าอาจจะได้ยินเสียงหัวใจ อันเต้นไม่เป็นส�่ำของตนเอง หากความใกล้ชดิ ก็เกิดเพียงครูเ่ ท่านัน้ เมือ่ วรองค์สงู ใหญ่ผละออกห่าง... สาม ก้าว แล้วล้วงหัตถ์ลงไปในกระเป๋ากางเกง ก่อนรับสั่งด้วยสุรเสียงเรียบเฉย “กล่องนั้นฉันซื้อมาให้เธอเอง” คนที่ใจเต้นเพราะความชิดใกล้เบิกตาโต “เพราะฉะนั้นมันเป็นของเธอโดยสมบูรณ์ รสสุคนธ์” ใจดวงน้อยยิ่งกระหน�่ำรัวเร็วราวกลองตี... อดคิดไม่ได้ว่าทรงมีพระทัยดี กับเธอมากเกินไปเสียแล้ว “มิได้ดอกเพคะ มันมีราคามากเกินไป หม่อมฉันไม่...” “ฉันบอกว่าให้กค็ อื ให้... การปฏิเสธไม่รบั ของจากผูใ้ หญ่มนั สมควรแล้วหรือ” รับสัง่ เข้มงวดราวกับคุณครูกำ� ลังต่อว่าลูกศิษย์กไ็ ม่ปาน รสสุคนธ์เงียบเสียงลงทันควัน หลุบสายตาลงต�ำ่ มองเพียงพืน้ ไม้ขดั มัน ขณะทีท่ า่ นชายเจตยังคงรับสัง่ ต่อไป “ฉันหวัง ว่าจะได้เห็นเธอสวมมันคืนนี้นะ รสสุคนธ์”

58


ศศิภา

4

บ้านของสินเี ป็นบ้านไม้สองชัน้ ขนาดใหญ่มรี วั้ สีขาวสูงท่วมศีรษะรายล้อมกัน้ อาณาเขตพื้นที่ของตนไว้อย่างชัดเจน มุมด้านซ้ายถูกจัดไว้ส�ำหรับเป็นที่จอดรถ ส่วน ด้านขวาตกแต่งเป็นสวนเล็กๆ ส�ำหรับนั่งพักผ่อนและยังเป็นสถานที่จัดงานในวันนี้ ด้วย พันตรีหม่อมเจ้าเจตนิพฐิ ต้องจอดรถริมก�ำแพงบ้านทางด้านนอก เนือ่ งจากด้านใน พื้นที่มีจ�ำกัดจนไม่สามารถรองรับรถจ�ำนวนมากได้ รสสุคนธ์ถือกระเป๋าสีขาวใบเล็ก เดินตามท่านชายเจตซึ่งทรงสวมชุดทักซิโดสีขาวทั้งชุด ดูหล่อเหลา สง่า และภูมิฐาน จนหญิงสาวต้องก้มมองดูตัวเองเป็นระยะๆ ด้วยรู้สึกว่าไม่คู่ควรกับการ ‘ควง’ ท่าน มางานเลยสักนิด เมือ่ ครูน่ เี้ องก่อนทีจ่ ะออกจากวัง กว่ารสสุคนธ์จะยอมออกจากห้อง เดินลงมา ชั้นล่างได้ก็ใช้เวลาเกือบชั่วโมง ไม่เคยมีครั้งใดที่เธอแต่งตัวนานขนาดนี้ จนเจ้าตัว เองยังอดสงสัยไม่ได้ว่าก�ำลังหวาดกลัวหรือหวั่นเกรงในเรื่องใด แล้วค�ำตอบก็มา ปรากฏอยู่ตรงหน้า ตอนที่เธอก�ำลังจะเดินลงบันไดนั่นเอง หม่อมเจ้าเจตนิพิฐประทับคอยด้านล่าง เอาหัตถ์ไพล่ไว้ทางเบื้องปฤษฎางค์ และก�ำลังทอดเนตรไปทางประตูใหญ่ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าจึงทรงผินพักตร์มาทาง เธอ ปกติแล้วในความรู้สึกของรสสุคนธ์ ท่านชายเจตทรง ‘ดูดี’ อยู่เป็นนิจ ทว่าวันนี้ 59


ทรงท�ำให้หญิงสาวได้ตระหนักว่าท่านทรงเป็นราชนิกลุ ผูส้ งู ศักดิ์ สง่างาม จนเธอไม่อาจ เทียบได้ สิ่งนี้เองที่รสสุคนธ์หวาดกลัวและกริ่งเกรง... เกรงจะท�ำให้ท่านชายเจตทรง ขายพักตร์ เพราะเหตุนี้เธอจึงใช้เวลาในการแต่งตัวนานกว่าปกติ เป็นชั่วโมงเลยทีเดียว หญิงสาวก้มมองความเรียบร้อยของตนเอง คืนนีเ้ ธอสวมชุดสีชมพูออ่ นทีท่ า่ นชายเจต ทรงเห็นว่าเหมาะส�ำหรับงานในคืนนี้ ตรงข้อมือสวมสร้อยเพชรฝังเม็ดทับทิมเล็กๆ โดยรอบ เข้าชุดกับสร้อยเส้นงามรูปหัวใจสีทับทิมประดับโดยรอบด้วยเพชรน�้ำงาม... เครือ่ งประดับทัง้ สองชิน้ ล้วนเป็นของประทานจากท่านทัง้ นัน้ ยามทีเ่ ธอหยิบมันขึน้ มาสวม ถึงกับต้องประคองอย่างทะนุถนอม ส่วนผมทีย่ าวสยายถึงกลางหลัง รสสุคนธ์เลือกทีจ่ ะขมวดเป็นมวยไว้ดา้ นหลัง เผยให้เห็นลาดไหล่เล็กและล�ำคอระหง โดยมีดอกพุดซึ่งแม่วาดเก็บมาให้สามสี่ดอก ปักประดับบนมวยนั้น ส่งกลิ่นหอมจรุงและขับให้วงหน้านวลอ่อนหวานยิ่งขึ้น รสสุคนธ์มองสบดวงเนตรสีนิลกาฬก่อนสูดหายใจเข้าปอดลึกยาว แล้ว ยกมือไหว้ ‘ขอประทานอภัยเพคะ’ ร่างเล็กแทบจะถลาวิง่ ลงไปเมือ่ ได้รวู้ า่ ตนเองผิดเวลา ไปเกือบสิบนาที และท่านชายเจตทรงคอยอยู่นานแล้ว พอมายืนตรงหน้าท่าน หญิงสาวก็ยกมือไหว้อย่างงดงาม ‘หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ’ ‘อะไรกัน รสสุคนธ์ ท�ำอย่างกับกลัวว่าฉันจะดุด่าเธออย่างนั้นแหละ’ ‘ก็หม่อมฉันท�ำให้ทรงต้องคอย’ ‘ฉันเข้าใจ เธอเป็นผูห้ ญิง ย่อมต้องใช้เวลาในการเตรียมตัวมาก’ รับสัง่ พลาง กวาดสายตามองรสสุคนธ์ทงั้ ตัวจนคนถูกมองสะท้าน หลุบสายตาลงต�ำ่ มองพืน้ ขณะ พวงแก้มแดงซ่านขึ้นเป็นริ้วๆ ‘หม่อมฉันไม่แน่ใจว่าชุดนี้ดีพอ’ ‘ดีพอแล้ว’ ทรงวางหัตถ์ลงบนปลายคางมน แล้วบังคับให้เธอแหงนเงยมองพักตร์คมเข้ม ของท่าน ก่อนจะรับสั่งถ้อยค�ำที่ท�ำให้หัวใจคนฟังเต้นระรัว ‘สวย’ 60


ศศิภา

แม้จะเป็นค�ำสั้นๆ สุรเสียงก็เรียบเฉยราวกับรับสั่งราชการอย่างไรอย่างนั้น แต่กลับท�ำให้คนถูกชมหายใจไม่ทั่วท้องเลยทีเดียว แก้มนุ่มก็แดงปลั่งและร้อนผ่าว ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ‘ขอบพระคุณเพคะ’ ถูกชมเช่นนั้นเป็นครั้งแรกก็ว่าได้ ท�ำให้รสสุคนธ์ออกจะประหม่า แม้ยาม เดินตามท่านชายเจตแบบนี้ก็ตาม หัวใจเธอยังเต้นรัวเร็วไม่ผ่อนลงเลยแม้สักวินาที พอเดินผ่านพ้นประตูหน้าบ้าน รสสุคนธ์ถึงกับชะงักฝีเท้าด้วยไม่คิดว่างาน วันเกิดของสินีนั้นจะมีคนมาร่วมงานมากมายถึงเพียงนี้ บ้านหลังใหญ่เปิดไฟสว่างโร่ ตรงสนามหญ้าหน้าบ้านเธอเห็นเวทีเตีย้ ๆ ซึง่ มีหญิงสาวในชุดด�ำประดับเลือ่ มส่องแสง วิบวับล้อแสงไฟก�ำลังขับกล่อมบทเพลงอันแสนไพเราะให้กับผู้มาร่วมงานที่ล้วนแต่ จับกลุ่มพูดคุยกันหลายกลุ่มทีเดียว ริมสนามกว้างด้านที่ติดกับสวนหย่อมซึ่งถูกประดับประดาด้วยแสงไฟตาม ต้นไม้ใหญ่และแสงเทียนตามจุดต่างๆ มีโต๊ะตัวยาวส�ำหรับวางของว่างและเครื่องดื่ม อีกทัง้ ยังมีบริกรชายหญิงสีห่ า้ คนเดินบริการหยิบยืน่ แก้วทรงสูงซึง่ บรรจุนำ�้ หลากสีให้ แขกเหรื่อทั้งหลาย รวมถึงตัวเธอและท่านชายเจตด้วย รสสุคนธ์มองน�้ำพันช์หลากสี บนถาดก่อนเงยหน้ามองคนข้างกาย ทันทีทที่ รงพยักพักตร์ หญิงสาวก็เลือกน�ำ้ สีสม้ มา ครอบครอง รอจนท่านชายทรงหยิบขององค์เองจึงยกขึ้นจิบ รสชาติของมันก็เหมือน น�ำ้ ผลไม้ธรรมดาๆ ทัว่ ไป หากจะต่างไปบ้างก็ตรงทีม่ กี ลิน่ ของแอลกอฮอล์อยูน่ ดิ หน่อย เท่านั้น “อย่าดื่มเยอะนักล่ะ” โน้มพักตร์ลงมารับสั่งเตือนชิดริมหูของเธอ ท�ำเอารสสุคนธ์แทบจะไม่ได้ยิน เนื้อความที่ทรงรับสั่ง เพราะก�ำลังใจเต้นกับความใกล้ชิดซึ่งดูจะใกล้เกินไปนั้น ร่างเล็กขยับตัวถอยห่างออกมาอีกนิด ขณะที่ท่านชายเจตยังทรงใช้สายเนตรจ้อง หน้าเธอไม่วางตา “กลัวอะไรฉันหรือ รสสุคนธ์” “มิได้เพคะ” “มิได้อะไร เห็นๆ อยูว่ า่ เธอไม่อยากอยูใ่ กล้ฉนั ” คนถูกว่าไม่อยากอยูใ่ กล้รบี เงยหน้ามองสบเนตรสีนิล แล้วสั่นศีรษะ ริมฝีปากซึ่งเคลือบลิปสติกสีชมพูอ่อนเผยอ อ้า ก่อนเสียงหวานใสจะเล็ดลอดออกมา 61


“ทรงเข้าใจหม่อมฉันผิดแล้วเพคะ หม่อมฉันไม่ได้ไม่อยากอยู่ใกล้ท่านชาย แค่... แค่...” พูดมาถึงตรงนี้ก็ท�ำท่าติดอ่างเสียอย่างนั้น โธ่... ก็จะให้เธอเอ่ยได้อย่างไรว่า ขัดเขินเวลาท่านเข้ามาใกล้ชิด “แค่อะไร” เมือ่ ถูกคาดคัน้ คนตัวเล็กก็พยายามหาทางหลีกหนีจากสถานการณ์ตรงหน้า ด้วยการเอียงคอแลเลยไปทางด้านหลัง แล้วก็ถงึ กับถอนหายใจอย่างโล่งอกประหนึง่ นักโทษที่ถูกเว้นโทษประหารอย่างไรอย่างนั้น “ยัยรส!” สินีนั่นเองคือผู้ช่วยชีวิตเธอไว้ วันนี้เจ้าของงานวันเกิดที่ดูจะจัดใหญ่โตเกิน กว่าทีร่ สสุคนธ์คดิ ไว้อยูใ่ นชุดสีฟา้ เปลือยไหล่ กระโปรงบานพลิว้ ยาวครึง่ น่องมีลกู ไม้ ประดับตรงชาย ส่วนด้านหลังเก๋ไก๋ด้วยโบขนาดใหญ่สีเข้าชุดกัน ผมของสินีเป็น ลอนนิดๆ ถูกรวบไว้ทางด้านข้างปล่อยปลายผมทิ้งตัวมาทางด้านหน้า ประดับด้วย ริบบิ้นสีโอลด์โรส ขับให้ใบหน้าเล็กๆ ดูหวานใสน่ามองเป็นอย่างยิ่ง “ฉันคอยเธอตั้งนาน นึกว่าจะไม่มาเสียแล้ว” คนทีช่ ะแง้รอคอยอยูน่ านแล้วรีบปราดเข้ามาคล้องแขนเพือ่ นสนิทไว้แนบแน่น ก่อนส่งยิ้มกว้างทั้งปากทั้งตาเลยทีเดียว “สุขสันต์วนั เกิดจ้ะ สิน”ี รสสุคนธ์เอ่ยพร้อมกับโอบกอดเจ้าของวันเกิดแน่น ก่อนจะเปิดประเป๋าถือแล้วหยิบของขวัญกล่องเล็กซึง่ แวะซือ้ ระหว่างเดินทางมาทีน่ สี่ ง่ ให้ มันไม่ได้มรี าคาค่างวดอะไรเพราะเธอเองยังไม่ได้ทำ� งาน เงินเก็บทีม่ อี ยูก่ ม็ เี พียงน้อยนิด จึงตัดสินใจซื้อกิ๊บติดผมน่ารักๆ ราคาไม่แพงให้เท่านั้น “ขอบใจจ้ะ” สินีรับมาถือไว้อย่างแย้มยิ้ม ตอนนั้นเองที่หญิงรับรู้ถึงแรงคมกล้าจาก สายเนตรสีนิลกาฬจึงหันไปมอง ท่าทางองอาจผึ่งผาย ลักษณะงดงามดั่งบุรุษชาติ อาชาไนยท�ำให้เธอพอจะเดาได้ว่าคนตรงหน้าเป็นใคร หญิงสาวกระพุ่มมือไหว้อย่าง งดงาม “หม่อมฉัน... สินีเพคะ” แนะน�ำตัวเองพร้อมกับยิ้มกว้าง “หม่อมฉันรู้สึก เป็นเกียรติอย่างมากทีท่ า่ นชายทรงมาร่วมงานของหม่อมฉันเพคะ” ยามเอ่ย แก้มป่องๆ ของสินีแดงซ่านขึ้นมาราวกับลูกต�ำลึงสุกทีเดียว “หม่อมฉันเพิ่งทราบจากคุณพ่อของ หม่อมฉันเมื่อชั่วโมงก่อนนี้เองเพคะว่าทรงเชิญท่านชายมาร่วมงานด้วย” 62


ศศิภา

“จริงๆ คงเรียกว่าเชิญไม่ได้” รับสั่งพลางแย้มโอษฐ์น้อยๆ “ถ้าฉันไม่บอก ความประสงค์กับครูนาคร ก็คงไม่ได้รับบัตรเชิญดอก ฉันมาร่วมงานเพราะอยากพบ พูดคุยกับครูสอนเต้นลีลาศคนแรกของฉันนัน่ คือสาเหตุหนึง่ ต้องการมาดูแลรสสุคนธ์ นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง อย่างสุดท้ายคือต้องการมาเห็นหน้าและอวยพรวันเกิดเธอด้วย” “ทรงต้องการเห็นหน้าหม่อมฉัน?” “หกเจ็ดปีกอ่ นตอนทีฉ่ นั เข้าไปเรียนลีลาศทีโ่ รงเรียนของพ่อเธอ ท่านพูดถึงเธอ อยู่บ่อยๆ ท่านว่าลูกสาวของท่านทั้งน่ารัก เรียนเก่ง หน�ำซ�้ำยังเก่งลีลาศชนิดหาตัว จับยากเสียด้วย” คนฟังยิ้มกริ่ม หน้าแดงก�่ำจนเห็นชัดเจนทีเดียว “พ่อของหม่อมฉันพูดเกินไปแล้วเพคะ หม่อมฉันไม่ได้เก่งอะไรนัก เพียงแค่ เต้นเป็นเท่านั้น” “ก็ถือว่าเก่งแล้ว อ้อ... ฉันลืมไปเลย สุขสันต์วันเกิดนะสินี” ระหว่างที่สองหนุ่มสาวพูดคุยอย่างสนิทสนมราวกับรู้จักกันมาเป็นแรมปี รสสุคนธ์ซึ่งยืนเยื้องไปทางด้านหลังของสินีได้แต่นิ่งเงียบและเฝ้ามองอากัปกิริยาที่ แสนพระทัยดีของหม่อมเจ้าเจตนิพิฐอย่างนึกหมั่นไส้ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่เธอ เห็นท่านทรงแย้มโอษฐ์กว้าง ดวงเนตรทอแสงอ่อนโยน พักตร์คร้ามคมก็ไม่ดุดัน เหมือนยามอยู่ต่อหน้าเธอ ฮึ... สงสัยจะชอบสินีเข้าแล้วล่ะมั้ง รสสุคนธ์ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าเหตุใดจึงขุ่นมัวในอารมณ์นัก การที่ ท่านชายเจตจะทรงชื่นชอบหรือโปรดปรานสตรีใดนั้น ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะต้องเก็บ มาคิดหรือหงุดหงิดเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม เธอน่าจะยินดีและสนับสนุนท่านเสีย ด้วยซ�้ำไป อย่างน้อยๆ ถ้าพระองค์ทรงเสกสมรสอีกครั้งและมีชีวิตครอบครัวที่อบอุ่น พี่ชงโคของเธอก็จะได้ไม่มีสิ่งใดติดค้างในใจอีกต่อไป... สินนี นั้ ดูเหมาะสมคูค่ วรกับท่านไม่หยอก ครอบครัวของเธอเป็นเศรษฐีผดู้ เี ก่า สืบเชื้อสายขุนนางมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ลักษณะการวางตัว การพูดจา และ การแต่งตัวดูดไี ม่มที ตี่ ิ การออกสังคมก็จดั เจนเหมาะเป็นคูค่ วงของหม่อมเจ้าเจตนิพฐิ ได้อย่างไม่ท�ำให้ท่านต้องขายพักตร์ งานบ้านงานเรือนก็ไม่น้อยหน้าสตรีคนใดเลย หน�ำซ�้ำยังความอ่อนหวาน นุ่มนวล ร่าเริงอยู่เป็นนิจนั่นอีก รสสุคนธ์เชื่อเหลือเกินว่า 63


หากทรงมีสินีเป็นคู่ชีวิตแล้ว ท่านชายเจตจะต้องทรงเป็นสุขมากเทียวล่ะ หญิงสาวมองหน้าสินีที่ยิ้มระรื่น สลับกับพักตร์คมเข้มแล้วระบายลมหายใจ บางเบา บอกกับตัวเองว่าเธออาจจะต้องท�ำหน้าที่เป็นแม่สื่อแม่ชักก็วันนี้เองกระมัง... ยังไม่ทันนึกวางแผนการส�ำหรับการเป็นแม่สื่อ เสียงทุ้มนุ่มติดขี้เล่นของ ใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นเสียก่อน เพียงได้ยินผ่านๆ เธอก็จ�ำได้ ร่างเล็กหันกลับไปมอง แล้วโบกมือส่งยิ้มให้กับร้อยโทหนุ่ม ก่อนยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะ คุณทรงกลด” ระหว่างทีน่ งั่ รถมายังบ้านของสินนี เี้ อง ด้วยความทีไ่ ม่อยากนัง่ อึดอัดนิง่ เงียบ อยู่เช่นนั้น รสสุคนธ์จึงชวนท่านชายเจตคุยเรื่องหนุ่มเจ้าชู้ที่ชื่อทรงกลด แล้วก็ได้พบ ว่าทรงกลดเป็นนายทหาร มียศร้อยโท เคยอยู่บ้านติดกับท่านชายเมื่อยี่สิบปีก่อน ก่อนจะย้ายออกไปอยู่ชานเมืองเมื่อหกปีที่แล้ว นั่นจึงเป็นสิ่งอธิบายได้ว่าเหตุใด ทรงกลดจึงดูสนิทสนมกับท่านชายมากกว่าใครอื่น วันนี้ร้อยโททรงกลดมาร่วมงานในชุดทหารสีเขียวเข้ม ดูหล่อเหลามีเสน่ห์ มากพอที่จะท�ำให้สาวน้อยสาวใหญ่ในงานแอบช�ำเลืองมอง บางคนถึงกับหันไปคุย ซุบซิบชื่นชมเสียด้วยซ�้ำ “ว้าว... วันนี้คุณสวยจริงๆ เลยครับ คุณรส” รสสุคนธ์ยิ้มรับค�ำชมนั้นแล้ว เอ่ยขอบคุณ ตอนนั้นเองที่ท่านชายเจตทรงสาวบาทเข้ามาใกล้ ยกหัตถ์ตบลงบน บ่ากว้างของอีกฝ่ายก่อนรับสั่ง “แกมางานนี้ด้วยหรือ ทรงกลด” “ก็เจ้าของงานอนุญาตให้หม่อมมาด้วยได้นี่ ฝ่าบาท” “งั้นท�ำไมไม่ไปอวยพรเจ้าของวันเกิดก่อนเล่า มัวมาคุยกับรสสุคนธ์อยู่นั่น เสียมารยาทจริง” สิ้นรับสั่งทรงกลดก็รีบกระวีกระวาดสาวเท้าออกไปยืนตรงหน้าสินี หญิงสาวยกมือไหว้แล้วส่งยิ้มกลับมาให้ “ขอโทษทีครับคุณสินี” เอ่ยขอโทษพร้อมกับล้วงเข้าไปในกระเป๋า หยิบโบ ลายจุดสีฟ้าอ่อนให้กับอีกฝ่าย “คือผมเลือกของขวัญไม่เก่งเท่าไร เดินดูของทั่วร้าน เป็นสิบรอบแล้วก็ไม่รู้จะซื้ออะไรให้ ก�ำลังคิดจะเดินออกมาก็สะดุดตากับโบเส้นนี้ รู้สึกว่ามันเหมาะกับคุณเลยซื้อมาให้...” เขานิ่งไปอึดใจเมื่อเห็นเจ้าของงานยืนมอง กะพริบตาปริบๆ “ขออภัยด้วยนะครับทีไ่ ม่ได้หอ่ ของขวัญ คือผมคิดว่าห่อไปก็เสียของ เพราะยังไงกระดาษห่อของขวัญก็ตอ้ งถูกแกะแล้วทิง้ อย่างไม่ไยดีอยูด่ ี สูใ้ ห้กนั แบบนี้ เลยคงจะดีกว่า” 64


ศศิภา

ได้ยินเหตุผลแล้ว คนตัวเล็กก็หัวเราะน้อยๆ เอื้อมมือไปรับแล้วจัดการผูก โบเส้นนั้นทับโบของตัวเองเสียเลย “แบบนี้ก็ดีเหมือนกันค่ะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาแกะ” ผูกเสร็จแล้วก็ยิ้มกว้าง พลางถามความเห็น “เป็นไงบ้างคะ” ร่างสูงดีดนิ้วเปาะ ผิวปากหนึ่งที ก่อนเอ่ยอย่างดีอกดีใจ “อย่างที่ผมคิดไว้จริงๆ ด้วย คุณผูกโบเส้นนี้แล้วสวยกว่าเดิมหลายเท่าเลย” สินีหัวเราะมากขึ้นอีกนิด อดคิดไม่ได้ว่าผู้ชายคนนี้ช่างเป็นคนสนุกสนาน เสียจริง แม้จะเป็นทหารเช่นเดียวกับท่านชายเจต แต่บุคลิกลักษณะกลับต่างกัน ลิบลับ “ขอบคุณมากๆ นะคะคุณทรงกลด ทัง้ ทีเ่ ราเพิง่ รูจ้ กั กันแค่วนั เดียว คุณถึงกับ ใจดีซื้อของให้ฉันเสียแล้ว... เอ... ว่าแต่คุณใจดีกับสาวๆ แบบนี้ทุกคนรึเปล่าคะ” สินี อดสัพยอกไม่ได้ เห็นใบหน้าขาวๆ แดงระเรื่อขึ้นมาจึงหัวเราะ “ล้อเล่นนะคะ“ “จริงๆ ผมไม่ได้ใจดีกับสาวๆ ทุกคนนะครับ... แค่บางคนเท่านั้น” ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรมากไปกว่านั้น นาคร สรบุตร ก็สาวเท้าเข้ามา หันไป เอ่ยทักหม่อมเจ้าเจตนิพฐิ เป็นอันดับแรกก่อนหันไปทักทายคนทีเ่ หลือ จากนัน้ จึงโอบ แขนรอบเอวลูกสาวไว้ “ทรงให้เกียรติหม่อมมาก” “ให้เกียรติเรื่องอะไรกันครับครูนาคร” “ก็เรื่องที่ทรงมาร่วมงานวันเกิดสินีอย่างไรเล่าฝ่าบาท” นาครเป็นชายสูงวัย อายุประมาณหกสิบกว่าๆ รูปร่างสูงใหญ่ ไหล่กว้างตั้งตรง ท่าทางสง่าสมกับเป็น นักลีลาศฝีมือดีคนหนึ่งในประเทศไทย “ผมต่างหากต้องขอบคุณที่ครูเชิญผมมางานด้วย” “โอ... อย่ารับสั่งเช่นนั้นเลยฝ่าบาท หม่อมต่างหากต้องขอบคุณ” เมื่อเห็น ท่านชายทรงอ้าโอษฐ์ท�ำทีวา่ จะรับสัง่ บางอย่างก็ตดั บทเสียก่อน “อาเถิด... ขืนขอบคุณ กันไปมาอย่างนี้ เห็นจะไม่มีวันจบ” เอ่ยด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ ก่อนถาม “เห็นว่าทรง อยากพบหม่อม มีเรื่องอะไรจะรับสั่งหรือฝ่าบาท” “ก็ไม่มีอะไร แค่ไม่ได้พบกันนานเท่านั้น ผมเลยอยากถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ ว่าครูสบายดีไหม เป็นอย่างไรบ้าง” “อ้อ... งั้นเชิญเสด็จทางนี้ดีกว่าฝ่าบาท” 65


ชายสูงวัยผายมือเชื้อเชิญท่านชายไปทางเก้าอี้ไม้สีขาวเข้าชุดกับโต๊ะทรง สี่เหลี่ยมจัตุรัสซึ่งตั้งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในสวนหย่อมด้านข้าง “หม่อมว่าประทับตรงนั้นดีกว่า” หม่อมเจ้าเจตนิพิฐทรงพยักพักตร์ แล้วหันมาเอ่ยกับรสสุคนธ์ด้วยสุรเสียง เรียบเฉย “รอฉันตรงนี้นะรสสุคนธ์ ฉันคุยครู่เดียวเท่านั้น” รสสุคนธ์ไม่รับค�ำใดๆ ทั้งสิ้น ก็จะให้เธอยืนคอยอยู่ที่นี่ราวกับเป็นรูปสลัก หรืออย่างไร ไม่เอาล่ะ... เธออยากเดินชมนกชมไม้รอบๆ บ้านสินนี นี่ า นึกแล้วก็เหลียวมอง หาเพือ่ นคนสนิท เห็นสินเี ข้าไปคุยกับแขกคนอืน่ และก�ำลังรับของขวัญกล่องใหญ่จาก มือคนคนนั้นจึงเปลี่ยนใจหันมองร้อยโทหนุ่ม แล้วก็อดส่ายหน้าไม่ได้ เมื่อเห็นชาย หนุ่มมีสาวล้อมหน้าล้อมหลังสี่ห้าคน... นี่คงจะไปหว่านเสน่ห์ใส่สาวเจ้าเข้าแล้วล่ะสิ เห็นดังนัน้ รสสุคนธ์กต็ ดั สินใจเดินชมบ้านของสินเี พียงล�ำพัง ร่างบางวางแก้ว ในมือลงบนถาดของบริกรหนุม่ คนหนึง่ ก่อนสาวเท้าตัดสนามหญ้าตรงไปยังตัวตึกใหญ่ มองอาคารสองชัน้ ทีส่ ร้างอย่างเรียบง่ายแต่ดมู นั่ คงแข็งแรง แล้วชวนให้นกึ ถึงเรือนไทย หลังเล็กของตนเองไม่ได้ นานเป็นเดือนแล้วที่เธอไม่ได้แวะกลับบ้านของเธอเลย คง ต้องขออนุญาตท่านชายกลับไปดูบ้านเร็วๆ นี้เสียแล้ว... ไม่พรุ่งนี้ก็วันมะรืนนี้แหละ ร่างเล็กฆ่าเวลาด้วยการเดินชมนกชมไม้ไปทั่วบริเวณ นานเท่าไรก็สุดรู้ จนกระทั่งได้ยินพิธีกรประกาศว่าใกล้จะเปิดฟลอร์เต้นร�ำแล้วนั่นล่ะ จึงตวัดสายตา กลับไปมอง บัดนีต้ รงกลางสนามหญ้าถูกจัดไว้เป็นทีส่ ำ� หรับเต้นลีลาศโดยมีหนุม่ สาว แขกเหรื่อผู้มาร่วมงานยืนชมโดยรอบ หญิงสาวตวัดสายตาไปมองตรงสวนหย่อม คิดว่าจะได้เห็นท่านชายเจตประทับอยู่กับครูนาคร แต่ ณ ที่ตรงนั้นกลับว่างเปล่า คนตัวเล็กใจหายวาบ รู้ว่าตนเองต้องโดนดุอีกแล้วที่ริอ่านขัดค�ำสั่งผู้ปกครอง รสสุคนธ์รีบสาวเท้ากลับไปที่สนาม ในใจนึกหวาดหวั่นเหลือเกินว่าจะโดน ท่านชายดุมากขนาดไหน หรือจะกริ้วเสียก็ไม่รู้ ระหว่างที่ก้มหน้าก้มตาเดินอยู่นั่นเอง ใครคนหนึ่งก็ปราดเข้ามารั้งต้นแขนเธอไว้ รสสุคนธ์เกือบหวีดร้องแล้ว แต่ห้ามเสียง ตัวเองได้ทันเมื่อพบว่าคนตรงหน้าคือใคร “ท่านชายเองหรือเพคะ” เธอถอนหายใจอย่างโล่งอก “หม่อมฉันตกใจหมด” 66


ศศิภา

“ฉันสิควรจะตกใจ” สุรเสียงดุดันน่าหวาดหวั่นอย่างที่เธอคิดไว้จริงๆ “ฉัน ไม่เห็นเธออยูต่ รงนัน้ ก็ตามหาจนทัว่ งานไปหมด นึกว่าเธอถูกจับตัวไปหรือมีอนั ตราย เสียแล้ว” อยากจะหัวเราะกับรับสัง่ นัน้ อยูเ่ หมือนกัน แต่มองสบเนตรเกรีย้ วกราดเช่นนัน้ แม้แต่รอยยิ้มเธอก็ยังยิ้มไม่ออกเลย หญิงสาวกระพุ่มมือไหว้ “ขอประทานอภัยเพคะ” ตั้งแต่มาอยู่ที่วังดิลบุตร รสสุคนธ์นึกสงสัยเหลือคณาว่าตนเองเอ่ยค�ำว่า ขอประทานอภัยเพคะมากี่รอบแล้ว ถ้านับคงเกือบร้อยได้แล้วกระมัง “ทีหลังอย่าเดินไปไหนมาไหนโดยไม่ได้บอกฉันอีก” “เพคะ” คนตัวเล็กตอบเสียงอุบอิบ ก่อนจะปล่อยให้ท่านชายทรงจับจูงมือ เดินไปยังกลางสนามหญ้า เสียงเพลงอันไพเราะดังแว่วมาให้ได้ยนิ พร้อมกับไฟเจิดจ้า ตรงสนามถูกหรี่ให้เหลือเพียงแสงสลัวๆ มองไปตรงกลางก็พบหนุ่มสาวหลายคู่ พากันออกไปตรงกลางฟลอร์ แล้วเต้นร�ำไปตามจังหวะรวดเร็วตามแบบฉบับชะชะช่า รสสุคนธ์นนั้ ไม่เคยเรียนเต้นร�ำอย่างเป็นงานเป็นการมาก่อน แต่กพ็ อเต้นเป็นบ้าง เพราะชงโคเคยสอน หากก็รู้แค่งูๆ ปลาๆ เท่านั้น ไม่ได้จัดเจนแคล่วคล่องอย่างสินี หรือแม้แต่ทรงกลดเอง รสสุคนธ์ออกจะทึ่งที่เขาเต้นได้พลิ้วไหวอย่างเหลือเชื่อ “เธอเต้นร�ำเป็นไหม” จู่ๆ คนตัวโตก็ถามขึ้นมา รสสุคนธ์หันไปมองแล้วยิ้มจืดเจื่อน “หม่อมฉันไม่ค่อยถนัดเพคะ จะเต้นเป็นบ้างก็แค่จังหวะวอลตซ์เท่านั้น” ท่านชายพยักพักตร์แล้วก็ทรงนิ่งเงียบไป รสสุคนธ์ไม่เข้าใจว่าจะรับสั่งถาม ขึ้นมาท�ำไม อยากจะถามให้หายข้องใจแต่ก็เกรงจะท�ำให้ท่านกริ้วอีก จึงตัดใจหันไป มองที่ฟลอร์อีกครั้ง ดูแต่ละคู่เต้นกันอย่างน่าสนุกจนลืมไปเสียแล้วว่ามือของตนยัง ถูกเกาะกุมด้วยอุ้งหัตถ์ใหญ่อย่างหลวมๆ จากจังหวะรวดเร็วแปรเปลีย่ นเป็นท�ำนองดนตรีแบบฉบับของวอลตซ์... ทีเ่ ธอ บอกท่านชายว่า ‘พอเป็น’ ตอนนั้นเองที่ท่านชายรับสั่งชิดใบหู “ออกไปเต้นร�ำกับฉัน” นั่นไม่ใช่ค�ำเชิญชวน ร้องขอ แต่เป็นค�ำสั่งกลายๆ รสสุคนธ์อยากจะปฏิเสธ แต่ถูกคนตัวโตดึงรั้งให้เดินตาม แล้วเธอจะท�ำกระไรได้ นอกจากยอมปล่อยให้ทรง จับจูงไปไหนๆ ตามแต่พระทัย 67


พอมายืนอยูก่ ลางฟลอร์ หญิงสาวก็ใจเต้นแรงอย่างควบคุมไม่ได้ ทัง้ ประหม่า หวาดหวัน่ กลัวท�ำท่านขายพักตร์ และมากกว่านัน้ คือขัดเขินเมือ่ มีออ้ มกรของท่านแตะ แผ่วเบาบนไหล่ของเธอ ส่วนมืออีกข้างก็ถูกท่านเกาะกุมแนบแน่น ครั้งนี้เป็นหนึ่งใน ไม่กคี่ รัง้ ทีเ่ ธอได้ใกล้ชดิ ท่านแบบสนิทชิดเชือ้ จนได้กลิน่ น�ำ้ หอมราคาแพงบางเบา แต่ ติดตราตรึงใจอย่างไรไม่ทราบได้ “ฟังจังหวะสิรสสุคนธ์” เสียงนั้นปลุกเธอให้ตื่นจากภวังค์ “แค่เต้นไปตาม จังหวะ ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องตื่นเต้น” รับสั่งอย่างปลอบประโลม สุรเสียงของท่านแม้จะห้าว แต่กลับแฝงไว้ด้วย ความอ่อนโยนจนเธอสัมผัสได้ “แค่เต้นตามฉัน” รับสั่งชิดใบหูของเธอแผ่วเบา แต่กลับดังก้องไปทั้งหัวใจ คนฟังเลยทีเดียว รสสุคนธ์สดู ลมหายใจเข้าปอดลึกยาว ก่อนขยับเท้าตามการน�ำของ คนตัวโต ปล่อยกายปล่อยใจไปกับเสียงเพลงแผ่วหวาน ท่ามกลางสายลมเย็น เธอ กลับรู้สึกอุ่นอย่างประหลาด รสสุคนธ์พลิว้ ไหวไปตามท่วงท�ำนองของบทเพลง ตามการจับจูงของหม่อมเจ้า เจตนิพิฐ หัตถ์ของท่านแตะต้องสัมผัสแผ่วเบาแต่อุ่นไปทั้งใจ เธอรู้สึกปลอดภัย ไม่หวาดกลัวใดๆ อีก จะมีที่แปลกๆ ก็ความขัดเขินนั่นล่ะ เธอไม่อาจมองสบเนตร คมกล้าของท่านได้เลย เธอจ�ำเป็นต้องแลมองไปยังคูอ่ นื่ ๆ หรือไม่กม็ องสบตาทรงกลด ที่ส่งยิ้ม ส่งก�ำลังใจมาให้ หญิงสาวยิ้มตอบด้วยรอยยิ้มแสนหวาน ไม่คิดดอกว่า จะท�ำให้ตนเองต้องถูกต�ำหนิ “อย่ายิ้มแบบนี้กับผู้ชายสิ รสสุคนธ์” ดวงตากลมโตตวัดกลับมามองพักตร์คมเข้ม มีร่องรอยสงสัยฉายชัดในนั้น จึงทรงอธิบาย “ยิ้มแบบนี้อาจท�ำให้ทรงกลดเข้าใจผิดว่าเธอทอดสะพานให้” ทรงเว้นระยะ ไว้ครู่หนึ่ง “...หรือเธอต้องการทอดสะพานจริงๆ” ถ้อยรับสัง่ นัน้ ท�ำให้รสสุคนธ์แทบจะสะดุดเท้าตัวเอง ใบหน้าหวานซึง้ เต็มเปีย่ ม ด้วยความสุขแปรเปลี่ยนเป็นไม่พอใจในบัดดล หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่น สะบัดหน้าหนี เนตรคมคู่นั้นเสียโดยเร็ว ท่าทางเหมือนก�ำลังค้อนคนรักก็ไม่ปาน “ทรงเห็นหม่อมฉันเป็นผู้หญิงแบบไหนกันเพคะ” “ไม่รู้สิ ฉันไม่เก่งในเรื่องผู้หญิง” รับสั่งด้วยสุรเสียงเรียบเฉย แต่กลับมีแวว เยาะหยันจนคนฟังสะดุดหู “ผูห้ ญิงบางคนดูเรียบร้อยดี แต่กลับชอบหว่านเสน่หไ์ ปทัว่ 68


ศศิภา

บางคนท�ำตัวสูงส่งงดงาม แต่ซ่อนความโสมมไว้เบื้องหลัง” ได้ยนิ แล้วรสสุคนธ์ถงึ กับสะดุง้ เบนสายตากลับไปมองสบเนตรคมกล้าดังเดิม ไม่เคยมีครั้งไหนที่ท่านชายเจตมีถ้อยรับสั่งรุนแรงเช่นนี้ ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่เธอ ได้ยิน และมันท�ำให้เธอไพล่นึกไปถึงเรื่อง ‘ลับ’ ของพี่สาว ไม่แน่ใจนักว่าถ้อยรับสั่ง ของท่านมีนัยซ่อนเร้นอะไรหรือไม่ “ผู้หญิงส�ำหรับฉัน... มองแต่ผิวเผินไม่ได้ มันต้องมองลึกลงไปถึงก้นบึ้ง หัวใจเลยเทียว” ทรงจ้องลึกเข้าไปในดวงตาเธอราวกับตั้งพระทัยมองให้ถึงก้นบึ้งหัวใจดัง รับสั่ง รสสุคนธ์ได้แต่นิ่งอึ้ง รู้สึกโลกทั้งใบใต้ฝ่าเท้าโคลงเคลงอย่างไรไม่ทราบได้ ...ทรงทราบหรือ ทราบเรื่องที่พี่ชงปิดซ่อนไว้หรือไร... ค�ำถามนั้นไม่มีค�ำตอบ ถึงกระนั้นเธอก็ไม่คิดจะเอ่ยถามคนตรงหน้า ก็ใคร จะกล้าถามว่า... ‘ทรงทราบเรื่องที่พี่ชงติดต่อกับชายอื่นหรือเพคะ’ รสสุคนธ์เชื่อ... ไม่ว่าจะเธอหรือใครก็ตาม ก็ไม่มีใครกล้าถามแน่ คนตัวเล็กกลืนน�ำ้ ลายลงคออย่างยากเย็น สายลมทีเ่ คยโอบล้อมรอบกายเธอ อย่างอบอุ่น บัดนี้กลับกลายเป็นเยือกเย็นดั่งน�้ำแข็งไปเสียแล้ว ความกังวลและนึกอับอายกับการกระท�ำของชงโคท�ำให้รสสุคนธ์รู้สึกผิด ทั้งผิดหวังทั้งหดหู่จนนึกอยากหลีกลี้หนีหน้าใครต่อใครไปให้ไกลสุดหล้าเลยทีเดียว ทว่า... ประโยคถัดมาที่รับสั่งท�ำให้หัวใจอันเหี่ยวแฟบเมื่อครู่พองฟูขึ้นมา ทันใด “ฉันหวังว่าฉันจะดูเธอไม่ผิด” แม้หัวใจจะไม่พองคับอก แต่ก็ดีกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่า รสสุคนธ์มองคน ตรงหน้าด้วยแววตาเป็นประกาย ราวกับต้องการตอกย�้ำว่าทรงไม่มีวันดูผิดอย่างไร อย่างนั้น เสียงเพลงเนิบช้าตามจังหวะเพลงวอลตซ์ผ่อนเบาลงจนหยุดสนิท ก่อนจะ เปลี่ยนเป็นเพลงในจังหวะอื่นที่เธอไม่เคยคุ้น ท่านชายเจตทรงทราบเรื่องนี้ดีจึงจับจูง เธอออกมาจากกลางฟลอร์ ยังไม่ทนั จะก้าวไปไหน ทรงกลดก็แทรกผ่านผูค้ นเข้ามาหา แล้วเอ่ยชม “วันนี้คุณรสสวยสง่ามากเลยครับ” 69


คนถูกชมยิ้มรับ ไม่เอ่ยว่ากระไรเพราะยังไม่เห็นว่าตนเองจะเป็นอย่างที่ ชายหนุ่มพูดแม้สักกระผีกเดียว สินีต่างหากที่สวยสง่าราวกับเจ้าหญิง รสสุคนธ์มอง ร่างเล็กในชุดสีฟา้ ทีก่ ำ� ลังพลิว้ ไหวไปกับผูเ้ ป็นบิดา มองดูแล้วฝีมอื ต่างพอๆ กันทัง้ คู.่ .. เก่งเสียจนรสสุคนธ์มองอย่างเพลิดเพลิน จนจบเพลง แขกในงานต่างปรบมือให้กับ คนทั้งสอง เธอเองก็ด้วยเช่นกัน หญิงสาวยิ้มกว้างให้สินีเมื่อเพื่อนสนิทเดินตรงเข้า มาหา “เธอเก่งมากเลยสินี” “ขอบใจจ้ะ” คนถูกชมเอ่ยรับเสียงใส ก่อนแลเลยไปยังเบื้องหลัง แก้มป่อง แดงก�ำ่ ราวกับลูกสตรอว์เบอร์รที เี ดียว คงเพราะทัง้ ความเหนือ่ ยและขัดเขินเมือ่ เจ้าตัว โพล่งถามออกไปว่า “ท่านชายทรงมีความเห็นว่าอย่างไรบ้างเพคะ” หม่อมเจ้าเจตนิพิฐทรงแย้มยิ้ม แล้วรับสั่งชม “เก่งมากสินี ทั้งสง่า ทั้งสวย” ไม่แน่ใจนักว่า ‘สวย’ ที่รับสั่ง หมายจะชมความงามของท่วงท่า หรือชม ความงามของใบหน้าหวานของสินีกันแน่ รสสุคนธ์ไพล่นึกไปถึงค�ำว่าสวยที่ท่านชาย รับสั่งกับเธอก่อนหน้านี้ ‘สวย’ ที่ว่าคงต่างกันมากโข ส�ำหรับเธอ ท่านชายคงชมไปอย่างนั้นเอง ส่วน สินีแล้วคงชมจากพระทัยจริงๆ ...เห็นทีคงไม่ต้องเป็นแม่สื่อแม่ชักแล้วกระมัง เพราะดูๆ แล้วท่านชายทรง ท�ำคะแนนได้น�ำลิ่วกว่าชายอื่นใดในงานนี้เสียแล้ว... รสสุคนธ์ค่อยๆ ถอยห่างออกมา ปล่อยให้หม่อมเจ้าเจตนิพฐิ รับสั่งกับสินไี ด้ อย่างสะดวก หญิงสาวเขยิบเข้าไปใกล้ทรงกลด ก่อนชักชวนเขาให้เดินออกไปจาก ผู้คนที่ยืนเบียดเสียดกันตรงนี้ และหันไปส่งภาษามือกับท่านชายอย่างรวดเร็ว ไม่รอ ให้ท่านทรงอนุญาตก็จูงมืออีกฝ่ายเดินลิ่วออกทาทันที ทั้งสองพากันไปยืนใต้ต้นไม้ใหญ่ตรงสวนหย่อมเล็ก ยังคงมีแขกสามสี่คน นั่งดื่มน�้ำหลากสีและคุยกันอย่างสนุกสนาน “คุณไม่ออกไปเต้นอีกหรือคะ” “โอย... ไม่ไหวแล้วคุณรส เต้นมาหลายคู่... เหนื่อย” ฟังแล้วรสสุคนธ์ถึงกับหัวเราะร่วน “คุณเต้นเก่งนะคะ” 70


ศศิภา

“ขอบคุณครับที่ชม” ผงกศีรษะรับด้วยท่วงท่าเป็นหนุ่มผู้ดี ก่อนฉีกยิ้มกว้างสดใส ยังไม่ทันได้ เอ่ยอะไรต่อเขาก็ถูกชายคนหนึ่งเข้ามาลากตัวออกไปพร้อมกับคะยั้นคะยอให้ดื่มน�้ำ สีอ�ำพันในแก้วอย่างสนิทสนมเหมือนจะเป็นเพื่อนกันมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น เห็น ดังนัน้ รสสุคนธ์กเ็ ดินเลีย่ งหลบออกไป สาวเท้าเนิบช้าไปตามริมรัว้ ก�ำแพงทีป่ ระดับไฟ ให้แสงสว่างจนมาถึงต้นเฟื่องฟ้า ดอกสีชมพูละลานตาเต็มต้น จนคนที่ชอบดอกไม้ อย่างเธออดหยุดชื่นชมและเอามือสัมผัสอย่างแผ่วเบาไม่ได้ ระหว่างทีก่ ำ� ลังเพลิดเพลินอยูน่ นั้ หญิงสาวไม่ได้สำ� เหนียกเลยว่ามีใครคนหนึง่ ก�ำลังจ้องเขม็งมาทางเธอ ดวงตาสีฟา้ อมเทาทอประกายวาววามในความมืด นานพอดู ทีเดียวกว่าชายคนนัน้ จะยอมปรากฏกาย เขาสาวเท้าโผล่พน้ เงามืดของต้นไม้ใหญ่ขา้ ง กายเธอ จนคนที่ก�ำลังจะเดินไปทางนั้นสะดุ้งสุดตัว หน�ำซ�้ำเกือบจะร้องหวีดออกมา แล้ว ยังดีที่ยับยั้งตัวเองได้ทันเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยอย่างสุภาพ “ขอโทษถ้าท�ำให้คุณตกใจ” รสสุคนธ์กะพริบตาปริบๆ ก่อนเอ่ยเสียงเบา “ไม่เป็นไรค่ะ” ก�ำลังจะเดินจากไป หากถูกเรียกเสียก่อน “คุณคือน้องสาวของชงโคหรือเปล่า” คนตัวเล็กชะงักฝีเท้า “คุณรู้จักพี่ชงด้วยหรือคะ” “รูจ้ กั สิครับ...” เขายิม้ มุมปากเสียหนึง่ ทีกอ่ นอธิบายเมือ่ เห็นเธอขมวดคิว้ “คุณ เองก็คงรู้จักผมทางจดหมายแล้วด้วย” “จดหมาย?” ใช้เวลานึกอยู่ครู่ หัวใจของรสสุคนธ์ก็เต้นแรง “จดหมายที่ผมตั้งใจจะส่งให้ชงโค คุณได้เปิดอ่านหรือเปล่าครับ” คนถูกถามพยักหน้าน้อยๆ พลางคิดในใจ... อย่าบอกนะว่า... ไม่ต้องเสียเวลาถามอีกเมื่อคนแปลกหน้าคนนั้นเอ่ยแนะน�ำตัวเองอย่างเป็น ทางการ “ผมนพรัตน์... คนรักของพี่สาวคุณไง” รสสุคนธ์ตัวแข็งค้างรู้สึกช็อกอย่างกะทันหันด้วยไม่คิดว่าเธอจะได้พบผู้ชาย ในจดหมายคนนั้นอย่างรวดเร็วและไม่ทันได้ตั้งตัวแบบนี้ “จดหมายฉบับนัน้ ผมเขียนไว้เกือบสามอาทิตย์แล้วกว่าเจ้าอิทมันจะส่งให้คณ ุ เมือ่ อาทิตย์ทแี่ ล้วผมเพิง่ มาถึงพระนคร ไปรอพีส่ าวของคุณทีเ่ ดิมทีเ่ ราเคยนัดแนะกัน 71


แต่กลับไม่พบแม้แต่เงา หลังจากนั้นผมก็ไปด้อมๆ มองๆ แถววังดิลบุตรจนทราบว่า ชงโคประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตแล้ว ผมช็อกไปพักใหญ่เลยทีเดียว” ตลอดเวลาที่เขาพร�่ำพูด รสสุคนธ์ได้แต่ยืนนิ่ง แต่ประโยคสุดท้ายเธอจึง เอ่ยถาม “แล้ว... คุณต้องการอะไรจากฉันคะ” “เปล่าครับ... ตอนนี้ยัง” รสสุคนธ์ขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่เข้าใจ ก่อนอะไรบางอย่างในใจจะท� ำให้เธอ ต่อว่าเขา แม้จะไม่รุนแรงนัก แต่คงท�ำให้คนถูกว่าสะอึกได้เหมือนกัน แต่กับผู้ชาย ตรงหน้า... เขากลับไม่สะทกสะท้านสักนิด “คุณท�ำแบบนั้นกับท่านชายเจตได้อย่างไรกัน เลวที่สุด” นอกจากไม่สะทกสะท้านแล้ว ยังโต้กลับด้วยถ้อยค�ำที่ท�ำให้เธออยากแทรก แผ่นดินหนีเหลือเกิน “ไม่ใช่ผมคนเดียวที่เลว ถ้าพี่สาวคุณไม่ยินยอมพร้อมใจ ผมจะกลายเป็น คนเลวได้อย่างไรเล่า คุณรสสุคนธ์... ที่ส�ำคัญเรื่องแบบนี้ ตบมือข้างเดียวมันไม่ดัง ดอกนะครับ” ยังไม่ทนั ทีเ่ ธอจะเอ่ยตอบเช่นไร เสียงของใครบางคนทีแ่ สนคุน้ หูกด็ งั ขึน้ เสียก่อน ร่างสูงใหญ่ตรงหน้าขยับกาย “แล้วเราคงได้พบกันอีก... สักวัน” จากนัน้ นพรัตน์กเ็ ดินหายลับไปกับความมืด ทิง้ ให้เธอรูส้ กึ หนาวๆ ร้อนๆ อยูเ่ ช่นนัน้ จวบจนกระทัง่ หม่อมเจ้าเจตนิพฐิ สาวบาทมาถึง “เป็นอะไรรสสุคนธ์” เมื่อหันไปมองสบเนตรสีนิล รสสุคนธ์ก็รู้สึกวิงเวียน ศีรษะ ทรงตัวไม่อยู่เสียแล้ว “ไม่สบายหรือ หน้าซีดเทียว” ร่างเล็กโงนเงน โซเซเกือบจะล้ม หากก็มอี อ้ มกรแข็งแกร่งกอดกระชับไว้แน่น ‘...เธออยู่ในอ้อมกอดอุ่นๆ นี้อีกตามเคยสินะ...’ หญิงสาวคิดในใจก่อนจะ เป็นลมล้มพับแนบอุระก�ำย�ำนั้น

72


ศศิภา

5

กลิน่ ฉุนของอะไรบางอย่างท�ำให้คนทีไ่ ม่ได้สติรสู้ กึ ตัว รสสุคนธ์ขยับเปลือกตา พร้อมกับเบี่ยงศีรษะหนี หากหนีเท่าไรก็ไม่พ้นจึงจ�ำใจต้องเปิดเปลือกตาอันหนักอึ้ง ของตนเอง ความเจ็บปวดในหัวใจคือสิ่งที่จู่โจมเข้าใส่เธอเป็นอันดับแรก รสสุคนธ์ ขมวดคิว้ เข้าหากัน ขณะกะพริบตาปริบมองเพดานไม้ไม่คนุ้ ตา ไม่วา่ จะทัง้ บ้านเรือนไทย ของเธอ หรือที่วังดิลบุตรก็ตาม “รส! ยัยรส! ฟื้นแล้วหรือ” แว่วเสียงใสๆ ของใครบางคนดังข้างหูจนต้อง เบี่ยงศีรษะหลบอีกครา ร่างบางค่อยๆ พยุงกายลุกขึ้นนั่งโดยมีสินีช่วยประคอง ขณะ เดียวกันก็นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้น และหาเหตุผลว่าเพราะเหตุใดเธอ จึงมานอนไม่ได้สติอยู่ในห้องนี้ ร่างเล็กกวาดตามองรอบห้อง พบว่าห้องนั้นเป็นห้องขนาดเล็ก ตกแต่งด้วย เครื่องเรือนธรรมดา หากที่สะดุดตาคงเป็นโต๊ะเครื่องแป้งซึ่งมีข้าวของกระจุกกระจิก วางเรียงรายเกินกว่าจะเป็นห้องของผู้ชายได้ “เธอเป็นไงบ้างรส” คนถูกถามหันไปสบตาเพื่อนสนิทก่อนเอ่ยถามเสียงแหบแห้ง “ไม่เป็นไรแล้วสินี ว่าแต่ฉันอยู่ที่ไหนน่ะ... ห้องนอนของเธอหรือ” “ใช่... ห้องนอนของฉันเอง” 73


“แล้ว... ฉันเป็นอะไรไป” “นี่เธอจ�ำไม่ได้สักนิดเลยหรือว่าจู่ๆ ก็สลบไปในอ้อมกรของท่านชายเจต” ถ้อยค�ำนั้นเรียกความร้อนแล่นซ่านเป็นริ้วๆ ตามพวงแก้มนุ่ม ...อีกครั้งแล้วที่เธอตกอยู่ในอ้อมกรอบอุ่นนั้น... จู่ๆ คนตัวเล็กก็รู้สึกขัดเขิน ขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล หญิงสาวเลียริมฝีปากอันแห้งผากของตนเอง ก่อนดึงมือที่ ก�ำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าซับไปตามล�ำคอของเธอออก แล้วถามด้วยเสียงแผ่วเบา ปลาย ประโยคดูสั่นเล็กน้อยบอกถึงความวูบไหวในหัวใจได้เป็นอย่างดี “สินี... ใครเป็นคนพาฉันขึ้นมาที่นี่งั้นหรือ” “ก็จะใครเสียอีก ท่านชายเจตของรสนั่นล่ะ” เอ่ยด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ ก่อนอธิบาย ขณะที่คนได้ยินค�ำว่า ‘ของรส’ ถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย “ระยะทางจากริมรัว้ ขึน้ มาถึงห้องไม่ใช่ใกล้ๆ คุณทรงกลดเกรงว่าท่านจะทรง ล�ำบากเกินไป หมายใจจะเข้าไปช่วย แต่ทรงไม่ยนิ ยอม รูไ้ หมว่าท่านรับสัง่ ว่าอย่างไร” คนที่ตั้งใจฟังสั่นศีรษะดิก ดวงตากลมด�ำขลับจับจ้องใบหน้าของสินีอย่าง สนใจใคร่รู้ เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่เฉลยเสียทีจึงถามซ�้ำ “ทรงว่าอย่างไรเล่าสินี” คนเป็นเพือ่ นกระแอมกระไอ ตีหน้าขรึม ท�ำเสียงห้าวต�ำ่ ให้มากทีส่ ดุ จากนัน้ ก็เชิดหน้าตรง ไหล่ตั้ง อกผึ่งผายอันเป็นลักษณะประจ�ำของท่านชายเจตแล้วเอ่ยว่า “แกคิดว่าฉันอ่อนแอขนาดอุ้มผู้หญิงตัวเล็กๆ ไม่ได้งั้นหรือ” จากนั้นเจ้าตัว ก็หยุดหัวเราะร่วนก่อนเอ่ยต่อ “รับสั่งเสร็จสรรพก็ทรงสาวบาทมาที่ห้องนี้ วางเธอลง บนเตียงนี่แหละ” เมื่อเห็นคนตรงหน้าพยักหน้ารับรู้ สินีจึงเอ่ยถามต่อข้อสงสัยในใจ “เธอเป็นอะไรน่ะรส... วันนี้ฉันก็เห็นเธอแข็งแรงดี ไม่ได้ดูป่วยเลยสักนิด” “ไม่รู้สิ สงสัยวันนี้อากาศจะหนาวกว่าปกติล่ะมัง” ตอบไปเช่นนั้นทั้งที่รู้แน่แก่ใจว่าสาเหตุของการเป็นลมหมดสติไปนั้นเป็น เพราะใคร ชั่วขณะที่รสสุคนธ์รู้สึกขมปร่าในล�ำคอ ความรู้สึกผิดที่พี่สาว ‘กระท�ำผิด’ ต่อหม่อมเจ้าเจตนิพิฐบีบรัดหัวใจจนเจ็บปวด ไม่น่าเลย... พี่ชงไม่น่าท�ำกับท่านเช่นนั้นเลย 74


ศศิภา

รสสุคนธ์ระบายลมหายใจยาว ก่อนหันไปมองคนข้างกายซึง่ ก�ำลังจ้องมองเธอ อย่างพิจารณาเช่นกัน “เธอมีเรื่องไม่สบายใจงั้นหรือ” สินนี บั ว่าเป็นเพือ่ นทีร่ จู้ กั รูใ้ จเธอมากทีส่ ดุ ก็วา่ ได้... รูถ้ งึ ขนาดจับอารมณ์ทาง สีหน้าของเธอได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน “เปล่าดอกจ้ะ แค่... ยังรู้สึกวิงเวียนนิดหน่อย” “ฉันว่าเธอไปหาหมอดีกว่า เดีย๋ วฉันจะออกไปบอกท่านชายเจตก่อนนะ” แต่ ก่อนที่เจ้าของห้องจะเดินจากไป รสสุคนธ์ก็คว้าแขนไว้เสียก่อน “อย่าเพิ่งสินี” “อ้าว ท�ำไมล่ะรส” “อย่าเพิ่งไป นั่งข้างๆ ฉันก่อน” ว่าพลางตบมือลงบนเตียงข้างล�ำตัว รอจน สินีนั่งเรียบร้อยแล้วนั่นแหละ เธอจึงถาม “ฉันมีเรื่องจะถามเธอหน่อย” “ว่ามาสิ” รสสุคนธ์ลังเลอยู่ชั่วขณะ แต่สุดท้ายเจ้าตัวก็สูดลมหายใจเข้าปอด ลึกยาวก่อนตัดสินใจโพล่งถามออกไป “เธอรู้จักผู้ชายที่ชื่อนพรัตน์ไหม” คนถูกถามขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างครุ่นคิด เพียงไม่กี่อึดใจสิ่งที่รสสุคนธ์ รอคอยก็เล็ดลอดออกจากริมฝีปากงาม “คุณนพรัตน์ บอนเน็ต น่ะหรือ” “ฉันไม่รู้จักนามสกุลเขา รู้แค่ว่าเขามีดวงตาสีฟ้าอ่อน หรือไม่ก็ฟ้าเทานี่ล่ะ ที่ส�ำคัญเขามางานวันเกิดของเธอด้วย” สินีพยักหน้าหงึกหงัก “งั้นก็ใช่คนเดียวกัน... เธอถามถึงเขาท�ำไมล่ะ รส... รู้จักคุณนพรัตน์ด้วยหรือ” “ก็ไม่เชิง... เพียงแค่เราเพิ่งได้ทักทายพูดคุยกันก่อนหน้าที่ฉันจะเป็นลมน่ะ” คราวนี้สินีซึ่งนั่งหมิ่นเหม่ตรงขอบเตียงกระถดกายขึ้นมานั่งอย่างมั่นคงแล้ว เอี้ยวตัวมาจ้องหน้าเพื่อนสนิทอย่างต้องการค้นหาความจริง “อย่าบอกนะว่าเธอเกิดชอบคุณนพรัตน์ขึ้นมา” “บ้าน่าสินี ฉันไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นกับเขาเลย” ...ไม่คิด และไม่มีวันคิดด้วย จะมีก็แต่ความชิงชังเท่านั้น!... “ถ้าไม่ได้ชอบแล้วถามถึงเขาท�ำไม”’ 75


ใครอื่น”

“ฉันแค่สงสัยว่าเขาเป็นใครเท่านั้น ตาของเขาสีแปลก รูปร่างก็ดูสูงใหญ่กว่า

“แน่ล่ะ ก็เขาเป็นลูกครึ่งนี่ พ่อของคุณนพรัตน์เป็นชาวฝรั่งเศส เข้ามาท�ำ ธุรกิจในไทย มีทั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และโรงแรม พอพ่อของเขาเสียชีวิต เขาก็ รับช่วงต่อ พ่อของฉันก็เช่าตึกของคุณนพรัตน์เอาไว้เป็นโรงเรียนสอนเต้นลีลาศอยู่ ดูเหมือนเขาจะสนิทกับพ่อฉันพอดูเลยล่ะ แต่ฉันรู้จักเขาผิวเผินเท่านั้น เคยพบหน้า พูดคุยกันเพียงสองครั้งเอง” ระหว่างสินีเล่า รสสุคนธ์ก็นิ่งฟังอย่างสงบ “ว่าไงจ๊ะรส... ประวัติดีพอที่เธอจะนึกชอบเขาหรือเปล่า” คนถูกเย้ายิ้มบางๆ ส่ายศีรษะดิก หากก่อนจะทันได้ตอบอะไรออกไป เสียงเคาะประตูด้านนอกก็ดังขึ้น เสียก่อน เจ้าของห้องรีบเดินไปเปิดประตู อนุญาตให้คนด้านนอกเข้ามา รสสุคนธ์ หันขวับไปมองและพบผู้ที่ปรากฏกายในคลองจักษุของเธอก็คือผู้ปกครองของเธอ... พันตรีหม่อมเจ้าเจตนิพฐิ ดิลบุตร นัน่ เอง ส่วนคนทีย่ นื เยือ้ งไปทางด้านหลังคือร้อยโท ทรงกลด “ขอโทษนะสินี บอกเธอไว้ว่าจะรอข้างนอก แต่พอดีฉันได้ยินเสียงคุยกัน แว่วๆ เลยร้อนใจ” รับสั่งกับสินีก่อนตวัดเนตรมามองคนที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง “เป็นอย่างไรบ้าง” รับสัง่ ถามเมือ่ ประทับเคียงข้าง หัตถ์ของท่านยกขึน้ ละม้ายจะสัมผัส มือที่ประสานกันบนหน้าตักของเธอ แต่ด้วยเหตุใดไม่ทราบได้ กลับทรงชักกลับและ วางนิ่งไว้ข้างองค์นั่นเอง “ไม่เป็นไรแล้วเพคะ” รสสุคนธ์เอ่ยเสียแหบแห้งขณะเงยมองพักตร์คมสัน ท่านชายเจตทรงมีสพี กั ตร์ เรียบเฉยเช่นเคย หากดวงเนตรกลับฉายชัดถึงความห่วงใยกึ่งกังวลอย่างเต็มเปี่ยม จนเธอสัมผัสได้ เพียงแค่นั้นความรู้สึกผิดที่พี่สาว ‘กระท�ำผิด’ ต่อท่านก็เรียกความ ขมปร่าในล�ำคอให้แล่นซ่านขึ้นมาอีกครั้ง หญิงสาวต้องเบือนสายตาหลบด้วยความ ละอายแก่ใจ “ไม่สบายท�ำไมไม่บอกฉัน” “หม่อมฉันสบายดีเพคะ” “สบายดีแล้วท�ำไมถึงเป็นลมได้ล่ะ รสสุคนธ์” 76


ศศิภา

ถ้อยรับสั่งนั้นเธอเถียงไม่ได้เลยแม้แต่น้อย... แต่จะให้ตอบได้อย่างไรเล่าว่า ตกใจที่ได้พบหน้าผู้ชายที่ชื่อนพรัตน์ และได้ยินค�ำยืนยันชัดเจนว่าเขาลักลอบพบปะ ติดต่อกับชงโคจริง แถมสนิทชิดเชื้อมากเกินกว่าค�ำว่าเพื่อนเสียด้วย “ฉันคงต้องพาเธอไปหาหมอ” “ไม่เป็นไรเพคะ หม่อมฉันสบายดี” พร้อมกับเอ่ย เจ้าตัวก็ขยับกายจะก้าวลงจากเตียง แต่ถูกทั้งสินีและท่านชาย จับตัวให้นงั่ ลงตามเดิมเสียก่อน ส่วนทรงกลดทีย่ นื อยูป่ ลายเตียงก็อดเตือนอย่างห่วงใย ไม่ได้ “อย่าเพิ่งลุกไปไหนเลยครับ นั่งพักให้สบายจริงๆ ก่อนดีกว่า” “จริงด้วย ฉันว่าเธอพักอยูท่ หี่ อ้ งฉันสักชัว่ โมงแล้วค่อยกลับบ้านดีกว่านะรส” หลังจากสินีพูดจบ รสสุคนธ์ก็หันไปสบเนตรผู้ปกครองก็พบว่าท่านชายทรง เห็นดีเห็นงามด้วย “ฉันเห็นด้วยกับสินี” “เธอนอนพักที่นี่แหละ ยังไม่ต้องลุกไปไหนดอก” สินีย�้ำอีกครั้ง อยากจะอยู่ เฝ้า แต่ในฐานะเจ้าของงานวันเกิด เธอจึงจ�ำเป็นต้องออกไปพูดคุยต้อนรับแขกเหรื่อ ทางด้านนอก “อีกสิบห้านาทีเดี๋ยวฉันแวะมาหาเธอนะรส” ว่าพลางเดินดุ่มๆ จากไปพร้อมกับทรงกลด ทิ้งให้เธออยู่ในห้องตามล�ำพัง กับหม่อมเจ้าเจตนิพิฐ รสสุคนธ์รู้สึกเหมือนมีคนเอาอากาศออกไปจากห้องอย่างไร ไม่ทราบได้ ด้วยตอนนี้เธอหายใจไม่ทั่วท้องเอาเสียเลย “นอนพักสักหน่อยเถิด” ก�ำลังจะเอ่ยปฏิเสธ แต่มองสบเนตรดุๆ คู่นั้นแล้ว รสสุคนธ์จึงเลือกที่จะ นิง่ เงียบ เอนกายลงนอนแต่โดยดี ท่านชายเจตทรงมีพระทัยดีถงึ ขนาดคลีค่ ลุมผ้าห่ม ผืนบางให้ ก่อนทรงยืนเอาหัตถ์ไพล่ไว้เบื้องปฤษฎางค์และจ้องเธอแน่วนิ่ง ...รสสุคนธ์เรียกลักษณะเช่นนั้นว่าจ้อง ก็ทรงทอดเนตรตรงมาราวกับก�ำลัง ร่ายมนตร์ให้เธอหลับใหลอย่างไรอย่างนั้น... คนตัวเล็กรีบปิดเปลือกตาในทันทีเพราะไม่อาจทนสานสบสายเนตรคมกล้าซึง่ ท�ำให้ใจสั่นไหวแปร่งแปลกได้อีกต่อไป ผ่านไปอึดใจใหญ่ๆ ท่ามกลางความเงียบงัน ภายในห้อง มีเพียงเสียงทีห่ วีดหวิวผ่านหน้าต่างซึง่ เปิดอ้าเพียงเล็กน้อยเท่านัน้ เจ้าตัว ก็คอ่ ยๆ ปรือตามอง แล้วก็ให้สะดุง้ สุดตัวเมือ่ คนทีค่ ดิ ว่ายืนอยูห่ า่ งออกไปเกือบเมตร ตอนนีก้ ลับอยูช่ ดิ ใกล้เสียเหลือเกิน จากปลายหางตาเธอเห็นเสือ้ สูทสีขาวลอยเด่นอยู่ 77


เหนือใบหน้า รับรู้ได้ว่าทรงก�ำลังโน้มองค์เหนือศีรษะของเธอ แต่จะทรงท�ำอะไรนั้น รสสุคนธ์ไม่สามารถบอกได้ ผ่านไปเพียงชั่วครู่ ท่านชายเจตก็ทรงถอยห่างกลับไป ยืนที่เดิม... มากพอที่จะท�ำให้คนแกล้งหลับมองเห็นท่านชัดเจนเต็มองค์ คนตัวเล็ก เพ่งมองอย่างตั้งใจเมื่อเห็นอะไรบางอย่างในหัตถ์ของท่าน มีลักษณะสีขาวสะอาดตา ...ใช่เพียงแค่ถือเท่านั้น แต่หม่อมเจ้าเจตนิพิฐทรงจรดปลายนาสิกลงบน สิง่ นัน้ อย่างแผ่วเบา นุม่ นวล และ... เนิน่ นาน รสสุคนธ์อยากจะลืมตาแล้วปราดเข้าไป หาพร้อมกับฉวยสิง่ ทีอ่ ยูใ่ นหัตถ์ของท่านมาเหลือเกินเพือ่ จะได้รวู้ า่ ‘อะไร’ ทีท่ ำ� ให้ทา่ น ทรงแสดงความอ่อนโยนออกมาได้ถึงเพียงนี้ หญิงสาวไม่ต้องรอนานเลย เมื่อวรองค์สูงใหญ่สาวบาทเข้ามาหาแล้ววาง ‘สิ่งนั้น’ ลงบนหมอนเคียงข้างใบหน้าของเธอ กลิ่นหอมรวยระรินของสิ่งนั้นท�ำให้ หัวใจที่เริ่มนิ่งสนิทเต้นแรงโลดขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ ไม่ต้องลืมตาและหันไปมอง รสสุคนธ์กร็ แู้ น่ชดั ว่าสิง่ ทีท่ รงจรดปลายนาสิกประทับรอยขององค์เองลงไปนัน้ คือดอกพุด บนศีรษะของเธอนั่นเอง แม้จะแสร้งว่าหลับ หากพวงแก้มสองข้างของเธอก็แดงปลั่งดั่งลูกต�ำลึงสุก เลยทีเดียว รสสุคนธ์ประหม่าขัดเขินเสียเหลือเกิน... ด้วยรูส้ กึ ว่าทรงประทับ ‘รอย’ ลงบน พวงแก้มของเธอ หาใช่บนกลีบใดกลีบหนึ่งของดอกพุดไม่... คืนนัน้ หม่อมเจ้าเจตนิพฐิ และรสสุคนธ์ออกจากงานก่อนใครอืน่ หญิงสาว ถูกผู้ปกครองที่แสนดุและเคร่งขรึมประคองลงบันไดจนมาถึงชั้นล่าง แม้เจ้าตัวจะ ยืนยันอย่างแข็งขันว่าสบายดีแล้วก็ตาม หากท่านชายกลับทรงท�ำเหมือนไม่ได้ยิน เสียอย่างนั้น ‘เพื่อความไม่ประมาท ให้ฉันประคองเธอไปดีกว่า’ เพราะเหตุผลนัน้ รสสุคนธ์จงึ เลือกทีจ่ ะเงียบ หญิงสาวเอ่ยลาสินกี บั คุณนาคร เพียงสั้นๆ ก่อนจะเดินตามการจับจูงของคนตรงหน้า วรองค์สูงใหญ่เดินผ่านฝูงชน โดยใช้อ้อมกรปกป้องตัวเธอไว้ราวกับเป็นก�ำแพงหรือปราการป้องกันไม่ให้เธอได้รับ อันตรายใดๆ สร้างความซาบซึ้งและหวั่นไหวให้เจ้าของร่างบางเหลือประมาณ ใจดวงน้อยยังคงเต้นแรงจวบจนกระทัง่ เข้ามานัง่ ในรถคันใหญ่ จึงสงบลงไป ได้บ้าง รสสุคนธ์นั่งประสานมือไว้บนตัก ทอดสายตามองไปยังถนนมืดมิดซึ่งมีเพียง 78


ศศิภา

ไฟหน้ารถและแสงไฟสลัวๆ ข้างทางส่องสว่าง บังเกิดความเงียบขึ้นในรถ เป็นความ เงียบที่ไม่ได้ก่อให้เกิดความอึดอัด แต่กลับสร้างความประหม่าให้เธอ หญิงสาวลอบ ผ่อนลมหายใจยาวอย่างกลัดกลุ้มเมื่อค้นหาสาเหตุแห่งความผิดปกติของตัวเองสัก เท่าไรก็ไม่เจอเสียที ...เธอไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงประหม่า ขัดเขินนักเวลาอยู่ใกล้ชิดหม่อมเจ้า เจตนิพิฐเช่นนี้ ...ไม่อาจหาค�ำตอบให้ตวั เองได้วา่ เหตุใดจึงร้อนวูบวาบไปทัง้ กายเพียงแค่เห็น ท่านทรงจรดปลายนาสิกลงดอกพุดดอกนั้น ร่างเล็กตวัดสายตามองกระจกข้าง เห็นรูปเงารางเลือนของตัวเอง แม้จะไม่ ชัดเท่าไรนัก แต่ก็พอรู้ว่าดวงตาของเธอยามนี้วูบไหวเพียงใด รสสุคนธ์แลเลยไปยัง มวยกลางศีรษะ ดอกพุดที่หลุดร่วงลงมาตอนที่เธอเอนตัวลงนอนในห้องของสินีนั้น บัดนี้มันกลับไปปักอยู่บนต�ำแหน่งเดิมอย่างเรียบร้อย มิใช่เธอดอกทีป่ รารถนาจะวางมันลงในต�ำแหน่งเดิม แต่เป็นผูป้ กครองของเธอ ต่างหาก หม่อมเจ้าเจตนิพฐิ สาวบาทเข้ามาภายในห้องอีกครัง้ หลังจากผ่านไปประมาณ ครึ่งชั่วโมง ตอนนั้นเธอก�ำลังถือดอกพุดที่วางอยู่บนหมอนในมือ ส�ำรวจมันอย่าง พิจารณา ก่อนจะจรดปลายจมูกลงบนกลีบดอก สูดลมหายใจเอาความหอมสดชื่น เข้าปอดอย่างเต็มที่ เป็นวินาทีเดียวกับที่วรองค์สูงใหญ่ผลักประตูให้เปิดออกอย่าง แผ่วเบา ภาพทีเ่ ห็นท�ำให้ทรงชะงักบาทอยูต่ รงประตู ส่วนเธอก็ดมดอมหอมกลิน่ ดอกพุด ค้างอยู่เช่นนั้น นานชั่วอึดใจเมื่อท่านขยับองค์ รสสุคนธ์จึงรีบวางดอกพุดนั้นลง บนตัก ความร้อนผ่าวแล่นซ่านไปทัว่ ใบหน้าจนต้องหลุบสายตาลงต�ำ่ ไม่อาจมองพักตร์ คมเข้มของพระองค์ได้อีกแม้สักวินาทีเดียว ‘ขอโทษที ฉันคิดว่าเธอหลับอยู่จึงไม่ได้เคาะประตู อยากจะแวะมาดูเสีย หน่อยเท่านั้น’ ทรงสาวบาทมาหยุดยืนตรงปลายเตียง ห่างจากเธอเป็นโยชน์เทียว ‘ตื่นตั้งแต่เมื่อไรหรือ’ รสสุคนธ์อยากตอบว่าไม่ได้หลับเลยสักงีบ แต่สดุ ท้ายไม่อยากให้ทา่ นทรงห่วง จึงเลือกที่จะตอบว่า ‘สักครู่เพคะ’ 79


ระหว่างที่เอ่ยนั้น หญิงสาวก็หมุนดอกพุดในมือเล่น ราวกับสิ่งนั้นจะช่วย ให้หัวใจของเธอสงบลงได้บ้าง แต่เพิ่งรู้ว่าคิดผิดก็ตอนที่ท่านชายเจตทรงสาวบาทเข้า มาใกล้แล้วประทับเคียงข้าง ก่อนจะเอื้อมหัตถ์มาฉวยดอกพุดในมือของเธอออกไป โดยไม่แม้แต่จะมีส่วนหนึ่งส่วนใดของหัตถ์ท่านสัมผัสมือของเธอเลยแม้แต่น้อย ‘ดอกนี้หอมดีว่าไหม’ คนฟังร้อนวูบวาบไปทั้งกาย ราวกับพระองค์รับสั่งว่า ‘แก้ม’ ของเธอหอม อย่างไรอย่างนั้น ‘ดอกพุดก็หอมแบบนี้แหละเพคะ’ ‘แต่ฉันว่าดอกนี้หอมเป็นพิเศษ’ จะพิเศษอย่างไรนัน้ รสสุคนธ์ไม่ได้ซกั ถาม เธอก้มหน้างุด คางชิดอก ท�ำเหมือน ตัวเองก�ำลังโดนดุก็ไม่ปาน ‘เป็นอะไรรสสุคนธ์ นึกกลัวฉันขึ้นมาอีกหรือไร’ ว่าพลางเอื้อมหัตถ์มาแตะ ปลายคางมน ช้อนใบหน้าหวานซึ้งให้เงยสบเนตรคมกล้าของท่าน ‘ฉันท�ำอะไรให้ เธอกลัวหรือเปล่า’ คนถูกถามอึกอักอยู่ครู่เดียวเท่านั้น จึงตอบเสียงแผ่วเบาราวกระซิบ ‘เปล่าเพคะ’ รสสุคนธ์เห็นท่านทรงถอนพระทัยยาว จึงรีบยืนยันแข็งขัน ‘หม่อมฉันไม่ได้กลัวจริงๆ นะเพคะ’ พยายามส่งยิ้มบางๆ ไปให้พร้อมกับขยายความต่ออีกนิด ‘แค่เกรงเล็กน้อยเท่านั้นเพคะ’ รอยแย้มโอษฐ์เพียงนิดที่ปรากฏบนพักตร์ของท่านชายเจตท�ำให้รสสุคนธ์ ยิ้มกว้าง รู้สึกใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อยที่ไม่ได้ท�ำให้หทัยของท่านขุ่นมัวแต่อย่างใด ‘ถ้าฉันเหมือนทรงกลดก็คงดีสินะ’ ‘ดีอย่างไรเพคะ’ ถามพลางขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ พร้อมกับคิดในใจว่า ...ถ้าจะให้ท่านชายเจตท�ำองค์ร่าเริงแจ่มใสพ่วงความเจ้าชู้เข้าไปด้วยอย่าง ร้อยโทหนุ่มผู้นั้น โลกใบนี้คงถึงกัลปาวสานเป็นแน่แท้... ก็พันตรีหม่อมเจ้าเจตนิพิฐน่ะเหมาะกับท่าทางขึงขัง เคร่งขรึม รับสั่งน้อย ดูดุดันทว่าอ่อนโยนแบบนี้มากกว่า 80


ศศิภา

‘เธอจะได้รู้สึกคุ้นกับฉันมากกว่านี้’ รสสุคนธ์ลอบกลืนน�้ำลาย อยากจะโพล่งออกไปเหลือเกินว่า... เพียงเท่านี้ เธอก็ไม่กล้าเข้าใกล้ท่านชายแล้ว หากให้คุ้นกว่านี้ หัวใจของเธอคงเต้นรัวเร็วจนวาย เสียเท่านั้น... ฝ่ายหม่อมเจ้าเจตนิพิฐเมื่อเห็นเด็กในปกครองไม่เอ่ยว่ากระไร ก็ไม่เซ้าซี้ ท่านทรงแลเลยไปยังด้านหลัง ก่อนออกค�ำสั่ง ‘หันหลังมาสิ รสสุคนธ์’ แม้จะอยากรู้ว่ารับสั่งเช่นนั้นด้วยเหตุผลอันใด แต่เธอก็ไม่ได้ถาม หญิงสาว เอี้ยวตัวหันหลังให้ท่านชายอย่างว่าง่าย เมื่อเงยหน้ามองตรงไปข้างหน้า ก็พบว่า ต�ำแหน่งที่เธอนั่งอยู่ตรงกับกระจกบานใหญ่รูปวงรีล้อมกรอบด้วยไม้ฉลุลวดลาย ดอกไม้ซงึ่ ตัง้ อยูบ่ นพืน้ ภายในห้อง จึงได้รวู้ า่ ท่านชายเจตทรงก�ำลังวางดอกพุดดอกนัน้ ปักลงบนผมของเธออย่างเนิบช้า นุ่มนวล เมื่อเสร็จเรียบร้อยดีแล้วก็รับสั่งให้เธอหัน กลับมา ‘สวย’ รับสั่งชมเป็นครั้งที่สอง รสสุคนธ์ไม่รู้เหมือนกันว่าทรงชมดอกพุดหรือชม ความงามของเธอกันแน่ หากเจ้าตัวก็มีใจเอนเอียงไปทางดอกพุดเสียมากกว่า เพราะ ไม่เห็นว่าตัวเองจะสวยมากพอที่จะมีคนชื่นชม ยิ่งเป็นหม่อมเจ้าเจตนิพิฐผู้พบเห็น สตรีงดงามมานับร้อยด้วยแล้ว ก็ยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้เข้าไปใหญ่ รสสุคนธ์ดึงความคิดกลับสู่ปัจจุบันและพบว่าตนเองก�ำลังวางมือสัมผัส ดอกพุดดอกนั้นอย่างทะนุถนอม หน�ำซ�้ำยังไม่ได้ยินรับสั่งของผู้ปกครองของตนเอง เสียด้วย “รสสุคนธ์ ไม่ได้ยินที่ฉันถามหรือ” “คะ?” คนตัวเล็กลดมือลงแล้วรีบหันขวับไปมองคนถาม “ขอประทานอภัย เพคะ ได้โปรดรับสั่งอีกรอบได้ไหมเพคะ” “ฉันถามว่าเธอสบายดีแล้วหรือยัง” “หม่อมฉันสบายดีแล้วเพคะ” “แน่ใจนะ?” “ยิ่งกว่าแน่ใจเพคะ” ว่าพลางยิ้มทั้งปากทั้งตา “หม่อมฉันชักง่วง อยากหลับ แล้วล่ะเพคะ” 81


ทรงพยักพักตร์รับรู้ ก่อนเหยียบคันเร่งหนักขึ้นอีกนิด รถคันใหญ่จึงแล่น ผ่านถนนที่ค่อนข้างไร้ผู้คนด้วยความเร็วเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็นั่งเงียบกันไป ครู่ใหญ่ รสสุคนธ์จึงส่งเสียงท�ำลายความเงียบขึ้นมา “ขอประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันมีเรื่องอยากร้องขอ” “เรือ่ งอะไรล่ะ” รับสัง่ ถามโดยไม่เหลือบสายเนตรมาทางเธอเลย “เธออยากได้ อะไรงั้นหรือ” “ไม่เชิงว่าอยากได้เพคะ... หม่อมฉันเพียงอยากกลับไปดูบ้านเรือนไทยของ หม่อมฉันเพคะ” “อ้อ... ได้สิ ฉันจะพาไป อยากไปวันไหนล่ะ” “วันไหนก็ได้ที่ทรงว่างเพคะ หรือ... ให้หม่อมฉันไปเองก็ได้เพคะ หม่อมฉัน ไม่อยากรบกวน” “ฉันจะไปส่ง” รับสั่งด้วยเสียงหนักแน่น จนค�ำคัดค้านของรสสุคนธ์กลืน หายไปในล�ำคอ “พรุ่งนี้เธอมีเรียนหรือเปล่า” “เพคะ” “งัน้ พรุง่ นีฉ้ นั จะไปรับเธอทีม่ หาวิทยาลัย แล้วเราจะเลยไปบ้านเธอกัน ดีไหม” “ขอบพระคุณเพคะ” รสสุคนธ์ยกมือไหว้แล้วส่งยิ้มขอบคุณไปให้ เป็นวินาทีเดียวกับที่ท่านชาย ทรงผินพักตร์มาพอดี สองตาแลสบกันอย่างประจวบเหมาะ ก่อนที่รสสุคนธ์จะเป็น ฝ่ายเบือนหลบเสียก่อน รถคันใหญ่ดูเหมือนจะเซไปเล็กน้อย จนร่างเล็กต้องเกาะ เบาะรถแน่น ตามมาด้วยสุรเสียงห้าวต�่ำรับสั่งเรียบเฉยว่า “โทษที เมื่อกี้ตาฉันมัวไปวูบหนึ่ง” “ตายจริง ทรงเป็นอะไรมากไหมเพคะ” รสสุคนธ์ลืมตัววางมือแตะลงบน พาหาของพระองค์ ความอุ่นจัดที่ได้สัมผัสท�ำให้เจ้าตัวต้องรีบชักมือกลับ วางมันลง บนตักตามเดิม “ไม่เป็นไร รสสุคนธ์ ตอนนี้ฉันเป็นปกติดีแล้ว” “เพคะ” จากนั้นก็มีแต่ความเงียบภายในรถ จวบจนกระทั่งถึงวังดิลบุตร หลังจาก รถจอดนิ่งสนิทในโรงจอดรถ รสสุคนธ์ก็ก้าวเท้าลงมา ก่อนจะเดินเคียงข้างวรองค์ สูงใหญ่เข้าไปด้านใน พอขึ้นมาถึงปลายบันไดด้านบน ทั้งสองก็ต่างแยกย้ายกันกลับ ห้องของตนเอง 82


ศศิภา

หากเพียงอึดใจเดียว รสสุคนธ์ก็เดินมาหยุดยืนหน้าห้องบรรทมของหม่อม เจ้าเจตนิพฐิ ในมือมีกล่องก�ำมะหยีซ่ งึ่ ท่านชายประทานให้เป็นของขวัญ เครือ่ งประดับ ที่เธอใส่ไปงานในวันนี้ถูกถอดออกอย่างระมัดระวังและวางกลับคืนอย่างบรรจง มัน นอนแน่นิ่งสนิทอยู่ด้านในเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก�ำกล่องในมือแน่น สูดลมหายใจเข้าปอดลึกยาว ก่อนตัดสินใจ เคาะประตู เพียงสองครั้งประตูก็เปิดออก ภาพที่เห็นคือท่านชายเจตในชุดเดิม เว้น เสียแต่ว่าสูทของพระองค์ถูกถอดออกวางไว้ที่ไหนสักที่ในห้อง ส่วนเสื้อเชิ้ตก็ถูกดึง ชายออกจากกางเกง ท่าทางง่ายๆ สบายๆ ดูแปลกตานัก “อ้าว รสสุคนธ์... มีอะไรจะคุยกับฉันหรือ” “คือ...” คนตัวเล็กก้มลงมองกล่องก�ำมะหยีใ่ นมือของตัวเองแล้วจึงยืน่ มันให้ คนตรงหน้า “หม่อมฉันขออนุญาตคืนเพคะ” ขนงเข้มขมวดเข้าหากันจนแทบเป็นปม รสสุคนธ์ใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ รู้สึก เหมือนตัวเองก�ำลังจะท�ำให้ท่านชายผู้แสนพระทัยดีไม่พอพระทัยเสียแล้ว “มันมีค่ามากเกินไปส�ำหรับหม่อมฉันเพคะ” “เธอตีราคากันสูงเกินไปกระมัง” ท่านชายเจตรับสั่งด้วยเสียงดุดันขึ้นมา เล็กน้อย “สิ่งของไม่ว่าจะสูงค่าเพียงใดก็น�ำมาเทียบกับหัวใจที่ดีงามของมนุษย์ไม่ได้ ดอก... ส�ำหรับเธอ ฉันเห็นว่าเครื่องประดับพวกนี้ไม่มีค่าสูงเทียบเท่าเธอแม้สัก เศษเสี้ยว” ได้ยนิ แล้ว รสสุคนธ์ถงึ กับใจสัน่ ไหว ไม่นกึ ว่าพระองค์ทรงเห็น ‘ค่า’ ของเธอ มากถึงเพียงนี้ “อะไรที่ฉันให้แล้ว ฉันไม่เอาคืน... แต่ถ้าเธอไม่อยากได้ ก็เอาไปบริจาค การกุศลเสียเถิด” ทรงวางพักตร์บึ้งตึงกว่าเคยจนคนมองใจแป้ว “เท่านี้ใช่ไหม” ท�ำท่าเหมือนจะผละจากไป แถมยังดูหมางเมินจนเกินควรเสียด้วย เห็นดังนัน้ รสสุคนธ์ก็รีบทักท้วง “เดี๋ยวเพคะ” รอจนพระองค์ผินพักตร์กลับมามอง หญิงสาวจึงกอดกล่อง ใบนั้นไว้ในอ้อมกอดแล้วยกมือไหว้ “หม่อมฉันขอประทานอภัยถ้าท�ำให้กริ้วเพคะ ที่ หม่อมฉันเอาเครื่องประดับชุดนี้มาคืนมิใช่เพราะรังเกียจ แต่มันมีค่ามากเกินไป... ที่ ว่ามีค่า มิใช่เพราะราคาของมัน แต่เป็นเพราะคนให้” รสสุคนธ์นิ่งไป ก่อนจะหลุบสายตาลงต�่ำ 83


“เพราะท่านชายทรงให้หม่อมฉันมา หม่อมฉันจึงเกรงจะท�ำมันหาย หรือไม่ ก็ไม่ได้น�ำมามันออกมาใช้ให้สมกับที่ทรงควักเงินซื้อมาเพคะ...” “ถ้าเธอกลัวมันหาย ฉันช่วยเก็บมันไว้ในตู้เซฟของฉันก็ได้ เอาไว้คราวหน้า เวลาเธอออกงานกับฉัน ฉันจะเอาออกมาสวมให้เธอเอง” รับสัง่ ราวกับยังจะมีครัง้ หน้าอีก รสสุคนธ์นกึ ไม่ออกเลยว่าจะต้องออกงานไหน ร่วมกับท่านชายอีก “ขอบพระคุณเพคะ” รสสุคนธ์ยื่นกล่องก�ำมะหยี่ออกไปเบื้องหน้า ขณะเดียวกันท่านชายก็ทรง เอื้อมหัตถ์มารับไว้ คราวนี้ปลายหัตถ์ของท่านแตะต้องลงบนเนื้อนวลอย่างแผ่วเบา หญิงสาวคิดว่าเป็นการแตะกันโดยบังเอิญจึงรีบชักมือกลับ แต่วรองค์สูงใหญ่ทรง ไม่ยอมให้เธอท�ำเช่นนั้น เมื่อพระองค์ก�ำหัตถ์รอบมือเธอไว้แน่น รสสุคนธ์ถึงกับสะดุ้ง เงยหน้ามองพักตร์ที่ยังเรียบเฉย สบดวงเนตรที่ยัง คมกล้า ทุกอย่างในตัวท่านชายเจตยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง มีเพียงเธอเองที่ หน้าแดงราวลูกต�ำลึง ดวงตากลมโตสั่นระริก และหัวใจเต้นโครมครามราวกับก�ำลัง จะปะทุออกมานอกอก “ถ้าฉันไม่อยู่ สัญญาได้ไหมว่าเธอจะดูแลตัวเองดีๆ” จังหวะหัวใจที่เต้นถี่ รุนแรงผ่อนเบาลงเมื่อได้ยินถ้อยรับสั่งแปร่งแปลกนั้น “รับสั่งเหมือนจะไปไหนไกล จะเสด็จไปไหนหรือเพคะ” “ตอบค�ำถามฉันก่อน” “หม่อมฉันสัญญาเพคะ” “สัญญาได้ไหมว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม” ค�ำว่าเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมนี้ รสสุคนธ์ไม่ค่อยเข้าใจนัก หญิงสาวนิ่งไป เพียงครู่จึงเอ่ยออกไปว่า “หม่อมฉันจะเปลี่ยนไปได้อย่างไรเพคะ รสสุคนธ์ในตอนนี้เป็นอย่างไรก็ยัง เป็นรสสุคนธ์เหมือนเดิมนั่นแหละเพคะ” มองคนตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่ง เห็นว่าทรงจ้อง เธออยู่เช่นนั้น เจ้าตัวจึงเอ่ยถามอีกครั้ง “จะเสด็จไปไหนเพคะ” คราวนี้ทรงตอบแต่โดยดี “เชียงราย” “นานไหมเพคะ” รับสั่งถามพร้อมหัวใจที่เต้นแผ่วลงๆ รสสุคนธ์ยอมรับว่า ตัวเองใจหายมากนักที่ได้รู้ว่าท่านชายเจตจะทรงเสด็จไปไกล 84


ศศิภา

“นาน” “หลายวัน หรือเป็นอาทิตย์เพคะ” “สองปีหรืออาจมากกว่านั้น” สิ้นสุรเสียงแหบห้าว หัวใจเธอก็ละม้ายหยุดเต้นไปเสียเฉยๆ “ท�ำไมนานจังเพคะ” “ฉันถูกส่งไปประจ�ำการที่นู่น” “เชียงรายเลยหรือเพคะ” “ใช่” คนตัวเล็กหน้าสลดขึ้นมาทันที ไม่รู้ตัวด้วยซ�้ำว่าตนเองก�ำลังประสานมือ กับหัตถ์อบอุ่นของท่านอย่างแนบแน่น “ไกลจัง” รสสุคนธ์ระบายลมหายใจเนิ่นนาน รู้สึกเหมือนมีอะไรมากดทับหน้าอกจน หายใจไม่ออก “ไปท�ำงานไกลแค่ไหนฉันก็ไม่หวัน่ ฉันห่วงอยูเ่ รือ่ งเดียว” หม่อมเจ้าเจตนิพฐิ ทอดเนตรใบหน้าทีโ่ ศกสลดอย่างน่าสงสารนิง่ นาน ราวกับปรารถนาจะประทับตราตรึง สิ่งนั้นไว้ในหทัย จากนั้นจึงรับสั่งประโยคที่ท�ำให้คนฟังเต็มตื้นไปทั้งหัวใจ “ห่วงเธอ” คืนนั้นหลังกลับมาห้องของตัวเอง อาบน�้ำแต่งตัว แล้วขึ้นมานั่งบนเตียง รสสุคนธ์กห็ ยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กในลิน้ ชักข้างเตียงออกมา แล้วบรรจงหยิบดอกพุด ที่ทั้งเธอและหม่อมเจ้าเจตนิพิฐประทับ ‘รอย’ ไว้วางลงไป หัวใจพลันเต้นระรัวเมื่อ ไม่แน่ใจนักว่า ‘รอย’ บนกลีบใดกลีบหนึ่งของดอกพุดนี้จะเป็นรอยที่ซ้อนทับกัน หรือไม่ หญิงสาวยกมือข้างขวาแตะลงบนแก้มนุ่มๆ ของตัวเองเมื่อมันร้อนผ่าวขึ้นมา อีกครัง้ หากก็เพียงครูเ่ ดียว เมือ่ ความรูส้ กึ เศร้าลอยมากับสายลมทีพ่ ดั โชยผ่านม่านสี ขาวฉลุลวดลายงดงามเข้ามาภายในห้อง โอบคลุมกายของเธอให้หนาวเหน็บ ...เชียงรายงั้นหรือ... จังหวัดหนึ่งทางตอนบนสุดของประเทศไทย ช่างไกล เหลือเกิน รสสุคนธ์บอกตัวเองไม่ได้ว่าท�ำไมจึงเศร้ามากถึงเพียงนี้ แค่ไปประจ�ำการ ทีน่ นู่ ไม่ได้ลาจากกันชัว่ นิรนั ดร์เสียหน่อย หญิงสาวไล้มอื กับกลีบดอกทีเ่ ริม่ เหีย่ วนัน้ อย่างทะนุถนอม ก่อนจะเอื้อมมือหยิบปากกาบนโต๊ะวางโคมไฟ แล้วตวัดมือบันทึก 85


อักษรที่ร้อยเรียงขึ้นมาของตน บรรทัดแรกคือวันทีข่ องวันนี้ รสสุคนธ์ระบุไว้ดว้ ยว่าเป็นวันเกิดของเพือ่ นสนิท ทีส่ ดุ ของเธอ ก่อนบรรทัดถัดมาจะบรรยายเหตุการณ์ทเี่ กิดขึน้ ในวันนี้ แน่นอนว่าต้อง มีเรื่องราวของนพรัตน์อยู่ด้วย ชายลึกลับลูกครึ่งไทย-ฝรั่งเศส แม้จะรู้ประวัติมาก พอควร หากก็ยงั เป็นคนลึกลับส�ำหรับเธออยูด่ ี จากนัน้ สิง่ สุดท้ายทีเ่ ธอบันทึกลงไปคือ ท่านชายทรงหยิบดอกพุดที่ร่วงหล่นบนเตียงไปถือไว้ในหัตถ์ ก่อนจรด ปลายนาสิกลงบนนั้นอย่างอ่อนโยน... จนฉันอดประหลาดใจไม่ได้ว่าท่านทรงมี แง่มุมเล็กๆ ในชีวิตที่แสนอ่อนโยนไม่แพ้ใคร จากนั้นบรรทัดต่อไปก็เขียนถึงข่าวร้ายที่เพิ่งรับรู้มา ท่านชายเจตทรงต้องจากวังไปประจ�ำการถึงเชียงราย ที่นู่นจะสะดวกสบาย เหมือนที่นี่หรือเปล่าก็ยังไม่รู้ หน�ำซ�้ำจะอันตรายหรือเปล่าหนอ... ฉันเป็นห่วงท่าน เหลือเกินแล้ว ที่ส�ำคัญไปกว่านั้น... ฉันจะไม่ได้เห็นแววเนตรดุๆ ของท่านชายเจต อีกนาน นานเป็นปีเลยเทียว ...คงคิดถึงแย่ ก่อนจะปิดสมุด รสสุคนธ์หลับตาครู่ใหญ่ ก่อนจะถอนใจบางเบา เธอคิดว่า จะท�ำดอกไม้แห้งมอบให้ท่าน โดยตั้งใจจะเอาดอกพุดดอกนี้ใส่ไว้ด้วย คิดได้ดังนั้น เจ้าตัวก็ก้มหน้าก้มตาเขียนสิ่งสุดท้ายในสมุดหน้านั้นว่า ดอกพุด กลีบหอม ขจรไกล ลอยตาม ลมไป สุดหล้า เชียงราย เมืองไกล สูงเสียดฟ้า ให้ทรงระลึก ในหทัยว่า มีคนคอย...

86


ศศิภา

6

รสสุคนธ์สะพายกระเป๋าใบกลางขนาดพอดีตวั หอบสมุดและหนังสือไว้ดว้ ย สองมือ เดินมาตามทางเดินคอนกรีตมีหลังคามุงกระเบื้องอยู่ด้านบนเพื่อไปยืนรอ พันตรีหม่อมเจ้าเจตนิพฐิ ทีใ่ ต้ตน้ จามจุรเี ช่นเคย วันนีอ้ าจารย์เลิกสอนเร็วกว่าปกติเกือบ สิบห้านาที เมือ่ หญิงสาวยกนาฬิกาข้อมือขึน้ ดูเวลาก็พบว่ายังเหลือเวลาให้เตร็ดเตร่อยู่ บ้างจึงไม่ได้เร่งฝีเท้าอย่างฉับไวเหมือนนักศึกษาคนอื่นๆ ส่วนคนที่เดินอยู่ข้างๆ ก็ทอดน่องเนิบช้าด้วยก�ำลังก้มหน้าควานหาอะไร บางอย่างในกระเป๋าสะพายของตนเอง สินีหน้านิ่วคิ้วขมวดล้วงมือเข้าไปด้านในแล้ว ค้นหาของอยู่เป็นนาทีแล้วจนรสสุคนธ์ต้องเอ่ยปากถาม “หาอะไรน่ะ สินี” “ก็...” คนถูกถามเงยหน้าทีม่ รี อ่ งรอยของความกังวลกึง่ เสียดายฉาบอยูบ่ นนัน้ ขึ้นมามองสบตาเธอ “ริบบิ้นที่คุณทรงกลดให้น่ะ ฉันแน่ใจว่าเก็บไว้ในกระเป๋านี้นะ แต่หาเท่าไรก็หาไม่เจอ” “อ้อ... ริบบิ้นสีฟ้าน่ะหรือ” “จ้ะ” รสสุคนธ์มองคนทีห่ นั ไปก้มหน้าก้มตาหาอย่างตัง้ อกตัง้ ใจแล้วนึกสงสัย ไม่ได้ 87


...ไฉนริบบิน้ ทีร่ อ้ ยโทหนุม่ ให้จงึ มีความส�ำคัญกับสินนี กั แต่กไ็ ม่แปลกกระมัง ของขวัญทีไ่ ด้รบั ทุกชิน้ จากใครๆ ย่อมมีความส�ำคัญทัง้ นัน้ เธอเองยังเห็นของประทาน จากท่านชายเจตส�ำคัญเท่าชีวิตเลยนี่นะ... “ค่อยๆ หาไปสินี... บางทีเธออาจลืมไว้ที่บ้านก็ได้” “ฉันแน่ใจว่าเก็บไว้ในกระเป๋าจริงๆ รส... แต่... เอ๊ะ...” เสียงอุทานอย่างดีใจ ท�ำให้รสสุคนธ์หยุดเดินแล้วหันไปมองเพือ่ นสาวเต็มตา รอยยิม้ ทีป่ ระดับบนริมฝีปาก เคลือบลิปสติกสีชมพูอ่อนนั้นท�ำให้เธอพอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงเจอสิ่งที่หาแล้ว นั่นไง... มือเล็กบางก�ำลังถือริบบิ้นสีฟ้าออกมาและชูให้เธอเห็น “มันบังเอิญไปอยู่ในสมุดเล่มหนึ่งของฉันได้อย่างไรก็ไม่รู้” เอ่ยพลางจัดการ ผูกมันเข้ากับผมที่รวบไว้ด้านหลังของตนเอง “เธอชอบมากหรือ” “หืม? ชอบอะไรกันยัยรส” เมื่อผูกเสร็จจึงสาวเท้าเข้ามาหารสสุคนธ์พลางขมวดคิ้วกับค�ำถามที่ไม่ค่อย กระจ่างนั้น ...ชอบที่ว่า หมายถึงชอบริบบิ้น หรือชอบคนให้... สินีไม่แน่ใจจึงต้องถามซ�้ำ “ชอบริบบิ้นที่คุณทรงกลดให้น่ะสิ คิดว่าฉันจะถามว่าชอบอะไรล่ะจ๊ะ สินี” “โธ่... ชอบสิ ชอบมาก เธอก็รวู้ า่ ฉันชอบสีฟา้ มาแต่ไหนแต่ไร แล้วริบบิน้ อันนี้ ก็น่ารักเสียด้วย” รสสุคนธ์พยักหน้ายิ้มๆ ไพล่นึกไปว่าถ้าเกิดสินีชอบทรงกลดขึ้นมา สิ่งที่เธอ คาดหวังไว้ในใจเมือ่ คืนก็เป็นอันจบกัน ท่านชายเจตคงต้องครองโสดเช่นนีไ้ ปอีกนาน เท่าไรกันหนอ... “เธอคิดว่าท่านชายเจตเป็นอย่างไรบ้าง” เมื่อเดินมาเกือบถึงใต้ต้นจามจุรี ต้นใหญ่ รสสุคนธ์ก็โพล่งถามสิ่งที่ค้างคาใจ คราวนี้คนตัวเล็กยิ้มเอียงอาย ดวงตา เป็นประกายระยับแพรวพราว ฉายชัดจนความหวังทีร่ บิ หรีร่ ำ� ไรเริม่ มีแสงเจิดจ้าเรืองรอง เสียแล้ว “ทรงงาม... งามมาก รส งามทั้งรูปโฉมและกิริยาท่าทาง แม้ท่านจะดู... ดุไป บ้าง แต่มันก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งนะ” “สินีชอบไหม” คราวนี้รสสุคนธ์ถามตรงประเด็น ไม่อ้อมค้อม “ว่าไงล่ะ” หญิงสาวถามซ�้ำเมื่อเห็นคนตรงหน้านิ่งเงียบไปและมีท่าทีอึกอัก 88


ศศิภา

“ก็...” สินีก้มหน้ามองพื้น ยกมือข้างหนึ่งทาบบนพวงแก้มของตนเอง “ชอบ” ตอบออกไปแผ่วเบา ก่อนจะดังในประโยคถัดมา “แหม... ใครบ้างจะไม่ชอบท่านชายเจตของรสล่ะ ทั้งดูดี ทั้งองอาจผึ่งผาย ชาติตระกูลยิ่งไม่ต้องพูดถึง” รสสุคนธ์พยักหน้ารับรู้ บอกตัวเองว่าสินีนี่แหละที่เหมาะสมกับท่านชายเจต ‘ของเธอ’ ยิ่งเป็นเพื่อนที่เธอสนิทยิ่งกว่าใครด้วยแล้ว เธอย่อมรู้นิสัยใจคอของเพื่อน คนนี้ดี สินีร่าเริง แจ่มใส พูดจาน่ารัก และขี้อ้อน ดูๆ แล้วท่านชายคงโปรดได้ไม่ยาก คนที่คิดเป็นแม่สื่อแม่ชักหมายมาดไว้ในใจ... หลังจากท่านชายกลับจาก ประจ�ำการที่เชียงราย เธอเห็นจะต้องเดินหน้าเป็นกามเทพแผลงศรให้คนทั้งสอง เสียแล้ว... แต่ถา้ ระหว่างนีส้ นิ เี กิดไปชอบคนอืน่ ขึน้ มา ก็ปล่อยให้เป็นไปตามพระพรหม ลิขิตไปก่อนแล้วกัน ส่วนหลังจากนั้น เธอต้องการลิขิตเอง... ยังไม่ทันจะพูดอะไรกันต่อ รถคันโตคุ้นตาก็แล่นเข้ามาจอดเทียบบาทวิถี เห็นดังนั้นรสสุคนธ์จึงจับจูงมือสินีไปที่รถ ปล่อยให้ทั้งสองได้พูดคุยทักทายชั่วครู่ จึงก้าวขึ้นไปนั่งข้างคนขับ แล้วโบกมือ “ไปก่อนนะสินี” “จ้ะ” สินีโบกมือกลับ ก่อนกระพุ่มมือไหว้อีกคนในรถ “ท่านชายเพคะ ถ้าสินีจะแวะไปหาหม่อมฉันที่วังของท่านชายบ้าง จะได้ไหม เพคะ” ก่อนทีร่ ถจะเคลือ่ นตัวออก รสสุคนธ์กโ็ พล่งถามออกมาดังพอให้คนทีก่ ล่าวถึง ได้ยินด้วย “ได้ส”ิ รับสัง่ ด้วยสุรเสียงเรียบเฉย ก่อนหันไปทางคนทีก่ ำ� ลังยืนยิม้ น้อยๆอยู่ ข้างๆ รถ “เธอจะไปหารสสุคนธ์เมื่อไรก็ได้นะสินี วังฉันยินดีต้อนรับ” “ขอบพระคุณเพคะ ท่านชาย” จากนัน้ หม่อมเจ้าเจตนิพฐิ ก็ทรงพารถขององค์เองออกสูถ่ นนใหญ่มงุ่ หน้าออก นอกเมือง จุดหมายปลายทางคือเรือนไทยของรสสุคนธ์อย่างที่ได้คุยกันไว้เมื่อวานนี้ ใช้เวลาสิบห้านาทีจึงมาถึงประตูไม้ที่มีเถาวัลย์เลื้อยเกาะจนเต็ม รสสุคนธ์รีบเปิดประตูก้าวลงจากรถ โดยไม่ลืมคว้ากุญแจออกจากกระเป๋า สะพายของตนเองด้วย หญิงสาวสาวเท้าตรงไปยังประตูไม้ซงึ่ ล็อกไว้ดว้ ยกุญแจขนาด ใหญ่อยูต่ ลอดเวลาแม้จะมีคนเฝ้าอาศัยอยูด่ า้ นในก็ตาม ทีเ่ ป็นเช่นนีเ้ พราะเธอไม่อยาก 89


ให้มีโจรเข้ามาปล้นบ้าน หรือไม่ก็พวกวัยรุ่นนักเลงแถวนี้แอบย่องเข้ามาอย่างอยากรู้ อยากเห็น แม้จะไม่ได้เข้ามาขโมยแต่อาจจะท�ำให้ขา้ วของของครอบครัวเธอเสียหายได้ หญิงสาวเสียบกุญแจกับแม่กุญแจแล้วหมุน เกิดเสียงดังคลิก ตามมาด้วยเสียง บานประตูเปิดออก ความเก่าแก่ของมันท�ำให้เกิดเสียงดังเอีย๊ ดอ๊าด... นีถ่ า้ ได้ยนิ ตอน กลางดึก ขนของเธอคงลุกชันเป็นแน่แท้ เมือ่ เปิดประตูทงั้ สองบานเสร็จสรรพ เจ้าตัวก็โบกมือให้ทา่ นชายเจตทรงขับรถ เข้ามาด้านใน วรองค์สูงใหญ่เข้าเกียร์เหยียบคันเร่งพารถสีครีมแล่นผ่านทางปูน ตรงไปยังเรือนไทยยกพืน้ สูงดูเก่าแก่และซอมซ่อกว่าครัง้ แรกทีเ่ ห็น เนือ่ งจากขาดการ ดูแลและร้างคนอยู่อาศัยมาเกือบปี ทัง้ แม่บา้ นและเด็กรับใช้รวมแล้วประมาณห้าหกคนต่างโยกย้ายถิน่ ฐานกลับไป อยู่บ้านเกิด หรือไม่ก็ย้ายไปท�ำงานที่อื่นหมดแล้ว คงเหลือแต่คนสวนและคนขับรถ ที่ชื่อน้าเมฆเท่านั้นที่ยังมานอนเฝ้าเรือนไทยหลังนี้โดยพักอยู่ตรงบ้านหลังเล็กที่จัดไว้ ส�ำหรับเด็กรับใช้ทางด้านหลัง ทันทีที่ได้ยินเสียงรถ ชายสูงวัยรูปร่างผอมเกร็งก็วางมือจากการตัดหญ้า รีบปรี่เข้ามาหาคนทั้งสองโดยเร็ว “คุณหนู” เสียงแหบห้าวตื่นเต้นยินดี “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ สบายดี หรือครับคุณหนู” “สบายดีจ้ะน้าเมฆ แล้วน้าเมฆล่ะเป็นอย่างไรบ้าง” ทั้งสองพูดคุยซักถามกันอยู่ครู่หนึ่งจนหม่อมเจ้าเจตนิพิฐสาวบาทเข้ามาใกล้ นั่นล่ะ นายเมฆคนสวนจึงยกมือไหว้ปลกๆ “ที่นี่มีปัญหาเรื่องขโมยขโจรหรือเปล่า” “ไม่... ไม่มีดอก... ครับ” เจ้าตัวเอ่ยอย่างตะกุกตะกักด้วยไม่คุ้นกับการ สนทนากับราชนิกุลผู้สูงศักดิ์ สองตาก็หลุบต�่ำมองเพียงพื้น ไม่กล้าเงยหน้ามองสบ พักตร์ท่านเลยแม้แต่น้อย สนทนากันอีกสองสามประโยค รสสุคนธ์และท่านชายจึงมุ่งหน้าไปทาง เรือนไทยที่ตั้งตระหง่านท่ามกลางแมกไม้ ก้าวขึ้นบันไดตรงกลางซึ่งทอดสู่ด้านบน ของตัวเรือน เมื่อขึ้นมาถึง รสสุคนธ์ก็กวาดตามองข้าวของเครื่องใช้ที่ยังคงสภาพเดิม ด้วยน�้ำตากบตา ความโศกเศร้าถาโถมเข้าใส่ใจดวงน้อยพร้อมกับความคะนึงหา บ้าน... ที่เคยมีทั้งบิดา มารดา และพี่สาว บัดนี้เหลือเพียงแต่เธอ... อ้างวาง เดียวดายนัก 90


ศศิภา

หญิงสาวไพล่นึกไปถึงวันที่เธออายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ เมื่อถึงตอนนั้น... เธอก็จะเหลือเพียงตัวคนเดียวจริงๆ แล้ว... จะไม่มีวังดิลบุตร ไม่มีหม่อมเจ้านวลแข ซึง่ แสดงออกอย่างชัดแจ้งว่าเอือ้ เอ็นดูเธอมากนัก ไม่มสี รุ เสียงห้าวต�ำ่ และแววเนตรดุๆ คอยปรามเธอเวลาเธอท�ำผิดอีกต่อไป นับจากวันนั้น... เธอจะมีชีวิตโดดเดี่ยวอย่างแท้จริง และ... ทัง้ ท่านหญิงนวลแขและท่านชายเจตอาจลืมเลือนไปในสักวันว่าเคยมี เด็กสาวคนหนึ่งได้เข้าไปพึ่งพิงอาศัยใบบุญท่านในช่วงระยะเวลาสองปีก็เป็นได้ เพียงแค่คิดหัวใจดวงน้อยก็เจ็บแปลบจนไม่อาจกลั้นน�้ำตาไว้ได้ รสสุคนธ์ ปล่อยให้ความอ่อนแอกลัน่ ตัวเป็นหยดน�ำ้ รินไหลลงมาจากปลายหางตา หากยังไม่ทนั ตกต้องพื้นไม้ หัตถ์ใหญ่ก็เอื้อมมาเช็ดให้เสียก่อน “อย่าร้องไห้” เหมือนถ้อยรับสั่งเป็นค�ำประกาศิต หญิงสาวหักห้ามน�้ำตาไว้ได้อย่างน่า ประหลาดใจ คนตัวเล็กกะพริบตาขับไล่ความหมองเศร้าและความเจ็บปวดให้บรรเทา เบาบางลง ก่อนส่งยิ้มบางๆ ให้คนตรงหน้า “ขอประทานอภัยเพคะ... หม่อมฉันร้องไห้ให้ท่านชายเห็นอีกแล้ว... น่าอาย จริงเทียว” “ไม่มอี ะไรต้องอาย... ร้องไห้เป็นเรือ่ งธรรมดาของมนุษย์ ใครก็ตามทีเ่ กิดมา ย่อมต้องเคยร้องไห้ดว้ ยกันทัง้ นัน้ เธอยังเป็นเด็ก หัวใจยังไม่แข็งแรงพอจะกลัน้ น�ำ้ ตา ไว้ได้ดอก” รสสุคนธ์อยากเถียงเหลือเกินว่าเธอไม่ใช่เด็กแล้ว อายุก็ย่างเข้าสิบเก้าอยู่ รอมร่อ เหตุไฉนท่านชายเจตจึงทรงปฏิบตั ติ อ่ เธอเหมือนเธอเป็นเด็กอยูเ่ รือ่ ยไม่ทราบได้ หญิงสาวระบายลมหายใจบางเบา ขณะรับไออุน่ จากหัตถ์ใหญ่ทยี่ งั สัมผัสพวงแก้มนุม่ อยู่เช่นนั้น ชั่วขณะหนึ่ง ความร้อนก็แผ่ซ่านไปทั่วใบหน้า เมื่อนึกถึงคืนวาน ตอนที่เธอ ประสานมือกับหัตถ์ของท่านแนบแน่น นานเท่าไรก็สุดรู้ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนจะยกมือ ไหว้ลานั่นล่ะ ตอนนั้นเธอรีบชักมือกลับราวกับหัตถ์ของท่านเป็นของร้อนที่แตะต้อง ไม่ได้เลยทีเดียว ครัง้ นีก้ เ็ ช่นกัน ร่างเล็กรีบเบีย่ งหน้าหนี ทิง้ ให้หตั ถ์ทา่ นค้างกลางอากาศเช่นนัน้ ก่อนจะย่อตัว 91


“ขอตัวไปดูห้องของหม่อมฉันก่อนนะเพคะ” ไม่รอให้ทรงอนุญาต รสสุคนธ์ รีบจ�้ำอ้าวเดินไปยังปีกเรือนด้านซ้าย หายลับเข้าไปในห้องนอนของตนเองโดยพลัน ร่างบางเดินผ่านพ้นประตูเข้ามา สิ่งที่เห็นเป็นอันดับแรกคือผ้าสีขาวผืนใหญ่ ที่วางคลุมข้าวของเครื่องใช้ทั้งหลายภายในห้อง ไม่ว่าจะเป็นเตียงขนาดสามฟุตครึ่ง ริมหน้าต่าง โต๊ะเครื่องแป้งชิดผนัง ตู้หนังสือที่วางไม่ห่างไปนัก รวมถึงตู้เสื้อผ้าสูง ประมาณศีรษะของเธอด้วย ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมไม่ได้ถูกเคลื่อนย้ายไปไหน พูดให้ถูกคือไม่ได้ถูกใครแตะต้องเลยแม้เพียงปลายก้อย วันที่เธอออกจากบ้านนี้ไป มีสภาพเช่นไรก็ยังคงสภาพเดิมไม่เปลี่ยนแปลง รสสุคนธ์สาวเท้าส�ำรวจไปรอบห้อง ย้อนนึกไปถึงวันวานแห่งความสุข เมื่อ ครั้งยังอยู่ชั้นมัธยม เธอนอนคว�่ำหน้าอ่านหนังสือเล่มโปรดบนเตียง ส่วนชงโคพี่สาว ก�ำลังนั่งเย็บปลอกหมอนอย่างเรียบร้อยอยู่เคียงข้าง ริมฝีปากแย้มเยื้อนเป็นรอยยิ้ม อย่างน่ารัก ภาพนั้นพี่สาวของเธอช่างงดงามสมเป็นกุลสตรีจนเธออดคิดไม่ได้ว่าหาก ใครได้ชงโคไปเป็นภรรยาแล้วล่ะก็ คงโชคดีกว่าใครบนโลกนี้เป็นแน่แท้ ตรงกันข้าม... หากใครได้เธอไปเป็นภรรยา คงโชคร้ายไปตลอดชาติ เพราะ งานบ้านงานเรือน เธอไม่เอาไหนเอาเสียเลย หากยังดีที่พอท�ำได้ แต่ที่แย่ที่สุดเห็น จะเป็นการท�ำอาหาร รสสุคนธ์เคยลองท�ำอยู่ครั้งหนึ่ง เป็นปลาทอดธรรมดาๆ วิธีท�ำ ก็ง่ายแสนง่าย ไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย หน้าตาที่ออกมายังเละเทะ ไหม้เกรียมแทบรับ ประทานไม่ได้ นึกมาถึงตรงนี้ก็อดละอายใจไม่ได้ว่าตนเองเป็นผู้หญิงแท้ๆ แต่เรื่องที่ควร ท�ำเป็นกลับท�ำไม่เป็น ส่วนเรื่องที่ไม่ควรท�ำกลับถนัด เรื่องหนึ่งที่เธอโดนมารดาและ พี่สาวดุบ่อยๆ เห็นจะเป็นเรื่องปีนต้นไม้นี่แหละ รสสุคนธ์ยิ้มกับตัวเองเมื่อนึกภาพยามที่เห็นบุคคลอันเป็นที่รักทั้งสองก�ำลัง เงยหน้าแล้วโบกไม้โบกมือสั่งให้เธอลงมาจากต้นมะม่วงต้นใหญ่ ตอนนั้นหญิงสาว อ้อยอิง่ แกล้งปีนป่ายไปมาอยูค่ รู่ คิดว่าลงไปต้องโดยหวายหวดเป็นแน่แท้ แต่สดุ ท้าย มารดาของเธอก็แค่ตักเตือนเล็กน้อยเท่านั้น รอยยิม้ เหือดหายไปจากใบหน้าหวานในทันใดราวกับน�ำ้ ค้างยามต้องแสงตะวัน เจิดจ้า น�้ำตารื้นขึ้นมาอีกครั้งก่อนเจ้าตัวจะกะพริบตาเร็วรี่จนแทบไม่เหลือหยดน�้ำตา เอ่อคลอแล้วนั่นล่ะ ถึงได้ออกเดินตรงไปยังประตูเชื่อมอีกห้อง ซึ่งเป็นห้องของชงโค นั่นเอง 92


ศศิภา

พลันที่ก้าวผ่านธรณีประตูเข้ามา ความเจ็บแปลบในหัวใจในเรื่องที่พี่สาว ได้กระท�ำไว้กจ็ ่โู จมใส่ใจดวงน้อยอย่างรุนแรงหนักหน่วง สองขาเกือบจะสิน้ เรีย่ วแรง จนทรุดฮวบลงบนพื้นไม้ที่มีฝุ่นเกาะหนานั้นแล้ว ยังดีที่เจ้าตัวคว้าประตูบานใหญ่ไว้ ให้ช่วยทรงตัวได้ทัน รสสุคนธ์สูดลมหายใจเข้าปอดอย่างไม่สนใจว่าจะสูดเอาฝุ่นที่ ลอยคละคลุ้งอยู่รอบกายเข้าไปด้วย นานชั่วครู่ทีเดียวกว่าเธอจะพาเท้าทั้งสองตรง ไปยังหน้าต่าง เยีย่ มหน้าชะโงกออกไปสูดอากาศบริสทุ ธิอ์ กี ครัง้ หวังเหลือเกินว่าอากาศ แถบชานเมืองคงจะท�ำให้หวั ใจทีส่ นั่ ระริกเพราะความเจ็บปวดและความสงสารท่านชาย บรรเทาเบาบางลง รสสุคนธ์แหงนเงยมองท้องฟ้าสีคราม ดวงตะวันคล้อยต�่ำลงพอสมควรแล้ว เหล่าสกุณาต่างพากันส่งเสียงเจือ้ ยแจ้วและบินกลับรังของตน... เธอเองก็กลับคืน ‘รัง’ เช่นกันแม้จะไม่ได้โบยบินมาด้วยปีกของตนเองก็ตามที หญิงสาวเหลือบมองต้นไม้ สูงใหญ่ริมรั้วนับสิบต้น หนึ่งในนั้นเป็นต้นกรรณิการ์ซึ่งออกดอกสะพรั่งเต็มต้นแล้ว ขนาบข้างด้วยชงโคสองต้น กลีบเรียวยาวสีมว่ งของดอกชงโคนัน้ ก�ำลังพลิว้ ไหวไปตาม แรงลม งดงามไม่แพ้ผู้เป็นเจ้าของชื่อเลยแม้แต่น้อย ส่วนไม้เลือ้ ยทีพ่ นั ไปตามริมก�ำแพงและขึน้ เป็นพุม่ อยูต่ รงพืน้ ดินคือรสสุคนธ์ ก�ำลังออกดอกขาวสะพรัง่ ไม่งดงามเท่าชงโค หากยังดีทมี่ กี ลิน่ หอมพอให้ชนื่ ใจได้บา้ ง รสสุคนธ์นั้นเป็นพันธ์ุไม้เลื้อย มีเถาใหญ่เหนียวแข็งแรงสามารถน�ำไปเป็น เชือกผูกสิง่ ของต่างๆ ได้ ส่วนใบของรสสุคนธ์นนั้ ชาวบ้านมักน�ำไปรูดตัวปลาไหลเพือ่ ให้เมือกที่เกาะรอบปลาไหลหลุดออกจนหมด เมื่อเห็นเจ้าต้นรสสุคนธ์ที่มีชื่อเดียวกันกับเธอแล้ว หญิงสาวก็อดนึกถึง บทพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ 5 เรื่องเงาะป่าไม่ได้ พระองค์ทรงกล่าวถึงดอกไม้ ชนิดนี้ไว้ว่า ‘รสสุคนธ์ขึ้นเป็นดงอย่าหลงเลย ก�ำลังเผยกลีบเกสรสลอนชู’ กลีบเกสรที่ว่าก�ำลังโบกสะบัดรุนแรงตามแรงลมกระโชก รสสุคนธ์เงยหน้า มองท้องฟ้าอีกครา ก็พบว่ามีเมฆหมอกทะมึนก่อตัวอยู่ไม่ห่าง มั่นใจว่าฝนคงจะเท ลงมาในไม่ช้านี้ เมื่อหลุบสายตาลงต�่ำ กลับไปมองเจ้าต้นรสสุคนธ์อีกที ก็พบว่า ท่านชายเจตนิพฐิ ก�ำลังก้มองค์ลงเก็บดอกสีขาวของรสสุคนธ์และดอกสีมว่ งของชงโค ซึ่งร่วงหล่นลงบนพื้นขึ้นมาถือไว้ในอุ้งหัตถ์ ...ถืออย่างทะนุถนอมไม่ต่างกัน 93


รสสุคนธ์กลัน้ ใจมองว่าจะทรงท�ำเช่นไรกับดอกไม้ทงั้ สองชนิดนัน้ ... มองจ้อง เขม็งอย่างไม่เข้าใจตัวเองว่าเหตุใดจึงตื่นเต้นนัก วรองค์สูงใหญ่ทอดเนตรดอกทั้งสองในมือ ก่อนจะปล่อยชงโคให้ปลิดปลิว ไปตามสายลม ละลิ่วลอยขึ้นไปกลางฟากฟ้า และคงร่วงหล่นที่ไหนสักแห่ง ส่วน รสสุคนธ์ในหัตถ์ท่านนั้นถูกน�ำขึ้นมาจรดริมพระโอษฐ์ รสสุคนธ์เบิกตากว้าง ใจเต้น โครมครามขึ้นมาในทันใด แรงโลดหนักขึ้นเมื่อทรงประทับจุมพิตเนิ่นนานบนนั้น ...แก้มของเธอร้อนผ่าวราวกับถูกท่านชายฝากฝังริมพระโอษฐ์ลงมาอย่างไร อย่างนั้น “รสสุคนธ์! ท่านชายทรงจุมพิตดอกรสสุคนธ์ ไม่ได้จุมพิตคนที่ชื่อรสสุคนธ์ เสียหน่อย เหตุใดจึงใจเต้นไม่เป็นส�่ำและขวยเขินได้ถึงเพียงนี้เล่า!” บ่นพึมพ�ำกับตัวเองแต่ก็ยังไม่วายจ้องคนที่ยืนอยู่เบื้องล่างอย่างไม่ยอมละ สายตาจากไปไหนแม้สักวินาทีเดียว ราวกับทรงทราบว่ามีคนลอบมอง หม่อมเจ้าเจตนิพิฐจึงทรงแหงนเงยพักตร์ ขึน้ มา เพียงสานสบแววเนตรคมกล้า รสสุคนธ์กร็ อ้ นวูบวาบไปทัง้ กาย รูส้ กึ จะเป็นลม เสียให้ได้ ยังดีอยูด่ อกทีข่ ายังพอมีแรงทรงตัวยืนนิง่ ได้เช่นนี้ ไม่อย่างนัน้ คงเสียหน้าแย่ หากเป็นลมล้มตึงไปต่อหน้าท่าน ท่านชายเจตทรงขยับพระโอษฐ์... ว่ากระไรนั้น รสสุคนธ์ไม่ได้ยิน จึงยกมือ ป้องปากแล้วตะโกนถามออกไปว่า “รับสั่งว่าอะไรนะเพคะ” ท่านชายทรงสาวบาทเข้ามาใกล้จนทรงยืนเกือบชิดเรือนไทยหลังนั้น พักตร์ ทีแ่ หงนเงยมีความละมุนละไมไม่ดดุ นั เหมือนเคย ราวกับการได้ ‘จุมพิต’ ดอกรสสุคนธ์ ท�ำให้ท่านอารมณ์ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้น “รสสุคนธ์หอมมาก” รับสัง่ ถ้อยค�ำทีท่ ำ� ให้คนฟังเบิกตากว้าง กะพริบปริบๆ ก่อนกระตุน้ เตือนตัวเอง ให้ยิ้มตอบกลับไป จากนั้นก็ผลุบหายเข้ามาด้านใน มาเกาะตู้หนังสือของชงโคที่สูง เพียงเอวของเธอ แล้วยกมือทาบอกตรงต�ำแหน่งของหัวใจ พลางพึมพ�ำปรามมันให้ ผ่อนความเร็วลงอยู่ในที จากนั้นจึงตะโกนบอกตัวเองจนดังก้องในหัวใจว่า ‘...ท่านชายทรงหอมกลิ่นรสสุคนธ์ มิใช่หอมกลิ่นเธอ!...’ แว่วสุรเสียงห้าวต�่ำลอยมาตามลม ชวนให้ใจที่เต้นรัวสั่นหวิวหนักขึ้นไปอีก 94


ศศิภา

“...หอมเอย หอมกลิ่นรสสุคนธ์ หอมระคนนุ่มละมุนชวนใฝ่หา หอมติดตรึงในหทัยเฝ้าตรึงตรา หอมเกินกว่าบุปผางามอื่นใด...” สิ้นสุรเสียงนั้น รสสุคนธ์ถึงกับทรุดนั่งลงกับพื้น ไม่นึกไม่ฝันว่าท่านชาย จะทรงแต่งบทกลอนอันแสนหวานเช่นนีไ้ ด้... ช่างไพเราะเสนาะหู และตราตรึงในหัวใจ เสียเหลือเกิน ...สงสัยจะโปรดรสสุคนธ์มาก แต่เหตุใดจึงไม่ปลูกต้นรสสุคนธ์ในวังเลยเล่า ...บางทีอาจเป็นเพราะไม่มีคนจัดการให้ก็ได้กระมัง... คิดได้ดังนั้นหญิงสาวก็หมายมั่นปั้นมือว่ากลับวังไปวันนี้จะลองเปรยๆ กับ ท่านหญิงนวลแขดูเสียหน่อยว่าจะขอปลูกต้นรสสุคนธ์ได้หรือไม่ ถ้าท่านทรงอนุญาต เธอก็จะสั่งให้คนสวนของวังน�ำต้นรสสุคนธ์มาปลูกแถวๆ ศาลากลางสวน กลิ่นหอม ของรสสุคนธ์จะได้กรุ่นก�ำจาย ท�ำให้ท่านชายเจตทรงมีพระอารมณ์ดีทุกเมื่อเชื่อวัน จากนั้นจึงย�้ำกับตัวเองในใจว่า ...ต้องปลูกให้เสร็จก่อนที่ท่านชายจะเสด็จไปเชียงราย เธอปรารถนาจะเห็น รอยแย้มพระโอษฐ์ของท่านก่อนต้องลาร้างห่างกันไกล ...อนาคตวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างก็ยังไม่รู้... อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับ ครอบครัวของรสสุคนธ์ทำ� ให้เธอตระหนักได้วา่ ... ถ้าอยากจะท�ำอะไรจงอย่ารีรอ อย่า เฝ้าคอยจนโอกาสที่มีหลุดมือไป เพราะมันอาจจะท�ำให้เธอเสียใจไปชั่วชีวิตก็เป็นได้ รสสุคนธ์นั่งอยู่บนพื้นอย่างเหม่อลอยกระทั่งสุรเสียงขับกล่อมบทกลอน แสนหวานนัน้ เลือนหายไปจากความคิดค�ำนึงนัน่ ล่ะ จึงรูส้ กึ ตัว ร่างเล็กรีบผุดลุกขึน้ ยืน สาวเท้าเร็วรี่ชะโงกหน้าต่างออกไปมอง วรองค์สูงใหญ่ที่เคยทรงยืนอยู่ด้านล่างบัดนี้ อันตรธานหายไปเสียแล้ว ก�ำลังนึกสงสัยว่าท่านชายเจตเสด็จไปทีใ่ ดก็แว่วเสียงแหบห้าว ของน้าเมฆระคนกับสุรเสียงดุดันก้องกังวานดังขึ้นอีกฟากฝั่งหนึ่งของเรือน ท่าทาง ท่านชายคงก�ำลังซักถามอะไรบางอย่างกับชายสูงวัยอย่างสนอกสนใจกระมัง เมื่อรู้ว่าคนที่ขับบทกลอนแสนหวานเมื่อครู่ก�ำลังวุ่นอยู่กับอะไรบางอย่าง รสสุคนธ์จึงหันกลับมาสนใจเรื่องของตนเอง การมาเยือนที่นี่ใช่แค่จะแวะมาดูบ้าน ที่ทิ้งร้างไว้นานเท่านั้น แต่เธอยังต้องการค้นหาบางสิ่งบางอย่างในห้องของชงโคด้วย อะไรบางอย่างที่ว่านั้นคือสิ่งที่จะน�ำไปสู่ ‘ความจริง’ 95


เท่านั้น...

...ความจริงที่ยังคงไร้หลักฐานที่แน่ชัด ด้วยเธอฟังความแค่ข้างเดียวเพียง

รสสุคนธ์ไม่รอช้ากระชากผ้าสีขาวที่คลุมเครื่องเรือนทั้งหมดภายในห้องลง บนพื้น แล้วก้มหน้าก้มตาหาสิ่งที่พอจะน�ำไปสู่การคบชายอื่นของพี่สาว หาอยู่นาน จนเกือบทั่วทั้งห้อง เธอกลับไม่พบสิ่งต้องสงสัยใดๆ เลย ช่างน่าแปลกที่ชงโคมีคน รักโดยที่ไม่มีใครในบ้านรู้เรื่อง แม้แต่เธอซึ่งสนิทกับพี่สาวที่สุดก็ตาม ชัว่ ขณะหนึง่ รสสุคนธ์นกึ ย้อนไปเมือ่ ปีทแี่ ล้ว ตอนทีบ่ ดิ าของเธอป่าวประกาศ กลางโต๊ะอาหารว่าได้ตัดสินใจยกชงโคให้กับพันตรีหม่อมเจ้าเจตนิพิฐแล้ว ตอนนั้น มือเล็กบางที่ถือช้อนขนาดสั้นแทบร่วงหล่น หากเจ้าตัวไม่ปล่อยให้ผู้สูงวัยทั้งสอง สังเกตอากัปกิริยานั้นได้ ชงโครีบก�ำรอบช้อนคันนั้นไว้แน่นก่อนที่มันจะหล่นลงบนจานและท�ำให้เกิด เสียง มีเพียงเธอที่สังเกตเห็นความผิดปกติ ตอนนั้นเธอไพล่คิดไปว่าชงโคคงก�ำลัง ตื่นเต้นดีใจที่จะได้ออกเรือนกับชายผู้สูงศักดิ์ แต่วันนี้เธอรู้แล้วว่าสิ่งที่พี่สาวรู้สึกในตอนนั้นไม่ใช่ความตื่นเต้นแต่อย่างใด หากเป็นความตื่นตระหนกเสียมากกว่า ชงโคคงอยากเอ่ยปฏิเสธการแต่งงานในครั้งนั้น หากก็คงไม่กล้าด้วยผู้ใหญ่ ทัง้ สองฝ่ายต่างเห็นดีเห็นงาม ยิง่ ไปกว่านัน้ ผูเ้ ป็นบิดาก็ได้ตอบตกลงไปเป็นทีเ่ รียบร้อย แล้ว การกลับค�ำคงเป็นการไม่สมควรเป็นอย่างยิง่ สุดท้ายชงโคก็ตอ้ งจ�ำใจเป็นภรรยา ของท่านชายเจตไปโดยปริยาย ทั้งที่ในใจคงมีชายอีกคนอยู่เต็มเปี่ยม ทว่า... การคบกันอย่างเงียบๆ ระหว่างชงโคกับนพรัตน์นั้น จะเกิดขึ้นได้ อย่างไร ในเมือ่ แทบทุกวันพีส่ าวของเธอไม่ใคร่จะออกจากบ้านไปเตร็ดเตร่ทไี่ หนมาก นัก จะมีก็แต่ต้องออกไปเรียนเต้นลีลาศทุกอาทิตย์เท่านั้น จริงสิ... ชั่วขณะหนึ่ง รสสุคนธ์ก็นึกขึ้นมาได้... เธอไม่เคยถามชงโคเลยว่า ไปเรียนเต้นลีลาศทีไ่ หน กับใคร ทุกวันเธอก็คอยแต่จะให้พสี่ าวสอน แต่ไม่เคยซักถาม อะไรลึกลงไปกว่านั้น ...จะเป็นไปได้หรือไม่วา่ โรงเรียนทีพ่ ขี่ องเธอไปทุกอาทิตย์นนั้ คือโรงเรียนลีลาศ ของคุณนาคร... บิดาของสินี ยิ่งเมื่อคุณนาครสนิทสนมกับนายนพรัตน์นั่น บางทีทั้งสองอาจได้รู้จักกัน เพราะเรียนลีลาศจากสถาบันเดียวกันก็เป็นได้ หลังจากนัน้ คงได้พบปะพูดคุยสนิทสนม 96


ศศิภา

กันมากขึ้นเป็นล�ำดับ จนในที่สุดก็มากกว่าค�ำว่าเพื่อน เมื่อข้อสันนิษฐานละม้ายว่าจะเป็นจริง ร่างเล็กก็แทบเข่าอ่อน เธอทั้งสงสาร ทัง้ เจ็บปวดกับการกระท�ำของพีส่ าวมากนัก แต่ถงึ กระนัน้ ก็ไม่อาจเกลียดได้ลง เพราะ ถึงอย่างไรชงโคก็คอื พี.่ .. เป็นบุคคลในครอบครัวทีเ่ ธอรักมากไม่ยงิ่ หย่อนไปกว่าบิดา มารดา รสสุคนธ์ไม่เชื่อดอกว่าชงโคจะกล้าติดต่อลอบพบปะกับนพรัตน์อีกหลังจาก แต่งงาน ถ้าไม่ใช่เพราะผู้ชายคนนั้นใช้เสน่ห์ของตนเอง หรือใช้คารมหลอกล่อให้ พี่สาวของเธอหลงใหลและยอมกระท�ำการอันเป็นการนอกใจท่านชายเจต ล�ำพังตัว ชงโคเองคงไม่มีทางท�ำอะไรนอกลู่นอกทางเช่นนั้นแน่ รสสุคนธ์ถอนหายใจเฮือก เอนหลังพิงตูส้ เี่ หลีย่ มผืนผ้าทรงเตีย้ ขนาดสามชัน้ ซึง่ ตัง้ อยูร่ มิ เตียงด้านขวา ด้านบนมีโคมไฟทีเ่ ก่าคร�ำ่ วางตัง้ อยู่ หญิงสาวเอือ้ มมือไปดึง ลิ้นชักให้เปิดออก ไม่ได้หวังเลยว่าจะได้พบหลักฐานใดๆ ที่สาวไปถึงความสัมพันธ์ ระหว่างชายหนุ่มลูกครึ่งคนนั้นกับชงโค ทว่าเมื่อตวัดสายตามองเข้าไปด้านใน อะไรบางอย่างก็ตรึงสายตาเธอไว้... สมุดบันทึกเล่มเล็กปกหนังสีน�้ำตาลวางนิ่งสงบอยู่ภายใน... ไม่มีอะไรบ่งบอกว่าจะมี สิ่งที่เป็นหลักฐานเรื่องการคบชู้สู่ชายของพี่สาว แต่อะไรบางอย่างลึกๆ ในใจกลับ ดลใจให้เธอฉวยมันขึ้นมา สิง่ แรกทีร่ สู้ กึ คืออะไรบางอย่างนูนๆ ดันให้สมุ ดเล่มนัน้ โป่งออกมาไม่สามารถ ปิดสนิทลงได้ รสสุคนธ์รีบเปิดสมุดนั้นออก และได้รู้ว่าสิ่งนูนๆ นั้นเป็นสร้อยเงิน มีจรี้ ปู หัวใจสีเงินเกลีย้ งเกลาห้อยอยู่ หญิงสาวบรรจงหยิบมันขึน้ มาส�ำรวจ ตรวจดูทกุ ซอกทุกมุม จากนั้นก็ตวัดสายตากลับไปมองบันทึกในสมุดเล่มนั้น ลายมือตวัดสวยงามของชงโคระบุวันที่เมื่อหกเดือนที่แล้วก่อนการแต่งงาน เพียงหนึ่งวัน ถัดจากบรรทัดนั้นถูกบันทึกไว้ว่า ...แม้จะรูจ้ กั กันเพียงไม่กเี่ ดือน แต่คณ ุ จะเป็นเพียงคนเดียวทีฉ่ นั รัก ขอบคุณ ส�ำหรับสร้อยเส้นนี้ ฉันจะเก็บมันไว้เป็นอย่างดี และจะจดจ�ำคุณเอาไว้ตราบชั่ว ลมหายใจ... รู้จักเพียงไม่กี่เดือนงั้นหรือ... 97


ข้อความนี้อาจจะหมายถึงหม่อมเจ้าเจตนิพิฐก็เป็นได้ ถ้าอยากรู้ให้แน่ชัด เธอคงต้องน�ำสร้อยไปถามท่านชายเสียแล้วล่ะมั้ง ระหว่างที่ก�ำลังครุ่นคิดอยู่นั้นเอง สุรเสียงห้าวต�่ำที่ดังขึ้นตรงประตูท�ำให้ รสสุคนธ์สะดุ้งสุดตัว รีบผุดลุกขึ้นยืนแล้วซ่อนสมุดบันทึกพร้อมสร้อยเส้นนั้นไว้ ทางด้านหลัง “เป็นอะไรหรือเปล่า รสสุคนธ์” “ไม่ได้เป็นอะไรเพคะ” เธอเอ่ยรัวเร็วจนลิ้นแทบจะพันกันก็ว่าได้ “ทรงขึ้นมา ตามหม่อมฉันกลับหรือเพคะ” “เปล่าดอก เห็นเงียบไป... ฉันเป็นห่วง” ทรงกวาดสายเนตรส�ำรวจไปทั่วตัว ก็พบว่าผมเผ้าของรสสุคนธ์ดูยุ่งเหยิงยิ่งนัก แถมยังมีเหงื่อเกาะพราวบนหน้าผาก และปลายจมูกเชิดรั้นราวกับเพิ่งออกก�ำลังกายมาอย่างไรอย่างนั้น “เธอค้นห้องชงโค หรือ รสสุคนธ์” เจอค�ำถามนี้เข้า คนถูกถามถึงกับสะอึก อึกอักๆ อยู่นาน เห็นท่านยังทรง จ้องมา จึงจ�ำใจตอบไปว่า “หม่อมฉันก�ำลังหาของบางอย่างเพคะ” ทรงสาวบาทเข้ามาใกล้ พร้อมรับสั่ง ถามอย่างสนพระทัย “หาอะไรอยู่ล่ะ ให้ฉันช่วยหาไหม” “ไม่ต้องดอกเพคะ หม่อมฉันพบแล้ว” รสสุคนธ์กลืนน�้ำลายลงคออย่าง ยากเย็น ก่อนจะเลื่อนมือที่ก�ำสร้อยเงินเส้นนั้นมาทางด้านหน้า แล้วชูให้อีกฝ่ายเห็น “นี่ไงเพคะ...” ท่านชายเจตทรงจ้องอย่างพิจารณา ก่อนขนงเข้มจะขมวดเข้าหากัน ดวงเนตร ที่ทอแสงอ่อนละมุนก่อนหน้านี้แปรเปลี่ยนเป็นดุดันในทันใด ถ้ารสสุคนธ์มองไม่ผิด เธอแน่ใจว่าเห็นความไม่พอพระทัยอัดแน่นอยู่ในนั้นด้วย ...บางทีท่านชายอาจทรงรับรู้เรื่องของชงโคกับนพรัตน์แล้วจริงๆ ก็เป็นได้... “ใครให้เธอมา” ค�ำถามนั้นท�ำให้ความคิดของเธอหายวับไปกับสายลมที่เริ่ม กระหน�่ำแรงขึ้น จนผ้าม่านสีขาวปลิวสะบัด ...ถ้าถามเช่นนั้น ย่อมแสดงว่ายังไม่ทรงทราบว่าสร้อยนี้เป็นของใคร... “ไม่ได้มีใครให้หม่อมฉันดอกเพคะ” รสสุคนธ์เห็นความไม่พอพระทัย ในดวงเนตรค่อยๆ เลือนหาย กลับมาเป็นเนตรคมดุเช่นเคย “แต่สร้อยเส้นนีเ้ ป็นของ พี่ชงเพคะ” 98


ศศิภา

“อ้อ... งั้นหรือ” ถ้อยรับสั่งบอกชัด... ทรงไม่รับรู้เรื่องราวอันใดเลยแม้แต่น้อย “หม่อมฉันคิดว่าท่านชายประทานให้พี่ชงเสียอีก” “เปล่า... ไม่ใช่ฉันดอก” แล้วหม่อมเจ้าเจตนิพิฐก็ทรงยกมุมพระโอษฐ์ขึ้น เล็กน้อย “คง... เป็นชายอื่นกระมัง” “ท่านชาย...” รสสุคนธ์ใจหายวาบ เริ่มลังเลขึ้นมาอีกครั้งแล้วว่าจริงๆ ท่านชายทรงรับรู้ เรือ่ งของนพรัตน์กบั ชงโคหรือไม่ บางครัง้ รับสัง่ เหมือนรับรู้ หากบางครัง้ กลับท�ำเหมือน ไม่รู้เลยแม้เพียงน้อย “เธอพบสิ่งที่ตามหาแล้วนี่ รสสุคนธ์” รับสั่งพลางทอดเนตรออกไปนอก หน้าต่าง เมฆด�ำทะมึนก�ำลังคล้อยต�่ำและลอยตรงมายังเรือนไทยหลังนี้ “จะกลับเลย ไหม... ถ้ารอช้ากว่านี้ ฝนเห็นท่าจะตก... ฉันไม่ชอบขับรถตอนฝนตก มันอันตราย” “กลับเลยก็ได้เพคะ” รสสุคนธ์ยังคงก�ำสร้อยและสมุดบันทึกเล่มนั้นไว้ แน่น จากนั้นจึงสาวเท้าตามท่านชายเจตไปโดยไว เมื่อลงจากเรือนเธอก็ปราดเข้าไป สั่งความกับน้าเมฆให้ช่วยเป็นธุระน�ำผ้าที่ถูกทิ้งเกลื่อนกลาดบนพื้นกลับไปคลุม เครื่องเรือนต่างๆ ภายในห้องชงโคตามเดิม ก่อนเดินแกมวิ่งตรงไปยังรถสีครีมซึ่ง ท่านชายเข้าไปประทับหลังพวงมาลัยอยู่ก่อนแล้ว ใช้เวลายีส่ บิ นาที รถสีครีมก็แล่นผ่านประตูวงั เข้าไปจอดนิง่ สนิทในโรงจอดรถ รสสุคนธ์สะพายกระเป๋าซึง่ ในนัน้ มีจรี้ ปู หัวใจกับสมุดบันทึกอยู่ พร้อมกับหอบหนังสือ ลงจากรถ สาวเท้าเดินไปยังศาลาแปดเหลีย่ มสีขาว เงยหน้ามองซุม้ กุหลาบเลือ้ ยสีชมพู อยู่ครู่ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของมันโชยมาตามแรงลมโหมกระหน�่ำ ท้องฟ้าที่นี่มืดครึ้ม กว่าที่บ้านของเธอมากนัก ...น่าแปลกทั้งที่เดือนนี้เป็นหน้าหนาวแท้ๆ แต่กลับมีฝนตก “มัวดูอะไรอยู่ รสสุคนธ์” สุรเสียงห้าวดุดังขึ้นทางด้านหลังเรียกให้เธอต้อง เหลียวมอง “เปล่าดอกเพคะ หม่อมฉันแค่ก�ำลังสงสัยว่าเหตุไฉนฝนจึงตกในหน้าหนาว เช่นนี้เท่านั้นเองเพคะ” 99


วรองค์สูงใหญ่สาวบาทมาทรงยืนเคียงข้าง ก่อนเงยพักตร์กวาดเนตรมอง ไปทั่วผืนฟ้า “เรื่องอากาศฟ้าฝนเป็นอะไรที่คาดเดาไม่ได้ ก็เหมือนใจผู้หญิงนั่นแหละ... ยากจะหยั่งถึง” “ไม่จริงเสมอไปดอกเพคะ” คนตัวเล็กส่ายหน้าน้อยๆ “ผู้หญิงบางคนไม่ได้ ลึกลับซับซ้อนขนาดนั้น มองปราดเดียวก็ค้นไปถึงหัวใจได้เพคะ” คราวนีท้ า่ นชายเจตทรงผินพักตร์มาทางเธอ จ้องลึกลงไปในดวงตากลมโตคู่ หวาน ริมโอษฐ์แย้มออกก่อนรับสั่ง “แล้วเธอล่ะ” “หม่อมฉัน? หม่อมฉันท�ำไมเพคะ” “เป็นผูห้ ญิงแบบไหน” โดนถามตรงๆ เช่นนัน้ รสสุคนธ์กไ็ ม่รจู้ ะตอบว่ากระไร รสสุคนธ์หน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล “ไม่ทราบเพคะ หม่อมฉันไม่อาจบอกได้ว่าตัวเองเป็นผู้หญิงแบบไหนดอก เพคะ... คงต้องให้คนอื่น หรือไม่ก็ท่านชายทรงพิจารณาเอาเองเพคะ” จากทีส่ บเนตรคมกริบ รสสุคนธ์เลีย่ งหลบ หลุบสายตาลงต�ำ่ มองเพียงอุระของ อีกฝ่ายเท่านั้น แล้วก็บังเอิญสังเกตเห็นกลีบดอกรสสุคนธ์โผล่พ้นขอบกระเป๋าเสื้อ ด้านซ้ายออกมาเล็กน้อย ร่างเล็กเกือบจะเอื้อมมือไปสัมผัสแล้ว แต่ห้ามตัวเองไว้ได้ทัน มือที่ก�ำลังยก ขึ้นมาค้างอยู่กลางอากาศเสียอย่างนั้น คนมองจึงขมวดขนงอย่างสงสัย “อะไร รสสุคนธ์” รับสัง่ ถามพลางก้มพักตร์ทอดเนตรตามสายตาคนตรงหน้า แล้วความเข้าพระทัยก็กระจ่างเมื่อเห็นดอกรสสุคนธ์นอนแน่นิ่งในกระเป๋าเสื้อของ องค์เอง “ฉันหยิบติดมือมาด้วย เธอคงไม่ว่ากระไรกระมัง” ทรงปลดกระดุมกระเป๋า แล้วหยิบดอกดอกนั้นขึ้นมาถือไว้ในอุ้งหัตถ์ “เธอโกรธหรือ รสสุคนธ์” คนถูกถามเงยหน้ามองสบเนตรเร็วรี่ “มิได้เพคะ... ท�ำไมหม่อมฉันจะต้องโกรธด้วยเพคะ หม่อมฉันแค่สงสัย เท่านัน้ ว่าท่านชายคงโปรดดอกรสสุคนธ์มากถึงกับเก็บดอกเหีย่ วๆ แบบนัน้ ใส่กระเป๋า ติดองค์มาด้วย” คนที่ชอบท�ำหน้าเรียบเฉยแทบตลอดเวลาแย้มโอษฐ์ออกอีกครั้ง รสสุคนธ์ ถึงกับใจเต้น นึกสงสัยอยูค่ รามครันว่าวันนีเ้ ธอเห็นท่านชายแย้มโอษฐ์เช่นนีก้ คี่ รัง้ กัน 100


ศศิภา

หนอ... ใจนึกอยากจะลองนับดู หากถ้อยรับสั่งของพระองค์ท�ำให้ความคิดหายวับไป กับสายลมกระโชกแรง ผมเป็นลอนทางด้านหลังปลิวสะบัดจนยุ่งเหยิง แต่รสสุคนธ์ไม่สนใจมัน เธอก�ำลังมองสบเนตรคูค่ มทีว่ าววามอย่างเผลอไผล พร้อมกับสุรเสียงห้าวกึง่ อ่อนโยน ดังก้องสะท้อนไปมาในหัวใจ “โปรดสิ... ฉันชอบรสสุคนธ์มาก” ...ท่านชายโปรดดอกรสสุคนธ์ ไม่ได้โปรดเธอนะรสสุคนธ์... พยายามปรามหัวใจตัวเองอย่างสุดความสามารถ แต่ดเู หมือนจะไม่คอ่ ยได้ผล สักเท่าไร ยิ่งเมื่ออีกฝ่ายจรดปลายนาสิกสูดกลิ่นหอมของกลีบดอกในหัตถ์ รสสุคนธ์ ก็สะเทิ้นอาย รู้สึกเหมือนแก้มของตัวเองถูกสัมผัสอย่างไรอย่างนั้น... “หม่อมฉันคิดจะปลูกรสสุคนธ์ในวังนี้... ได้ไหมเพคะ” “แล้วแต่เธอสิ... เธอเองก็ถือว่าเป็นสมาชิกบ้านหลังนี้ อยากจะท�ำอะไร หรือ ปลูกอะไรก็ยอ่ มได้” หม่อมเจ้าเจตนิพฐิ นิง่ ไปครู่ มองใบหน้ารูปไข่ไร้เครือ่ งส�ำอางแต่งแต้ม ของคนตรงหน้าครู่หนึ่ง จึงเอ่ยต่อ “ท�ำไมถึงคิดจะปลูกรสสุคนธ์ล่ะ” “เห็นโปรดมากนี่เพคะ” แว่วเสียงสรวลเบาๆ ในพระศอ รสสุคนธ์กใ็ ห้ดใี จเหลือเกินแล้ว ไม่บอ่ ยครัง้ ดอกที่จะสรวลอย่างสบายอารมณ์เช่นนี้ “เมื่อก่อนเคยเฉยๆ แต่ไม่รู้ท�ำไมตอนนี้ถึงได้ชอบนัก” คนตัวเล็กหลุบสายตาลงต�่ำซ่อนความสะเทิ้นอายในดวงตา ก่อนโปรยยิ้ม “งั้นหม่อมฉันจะปลูกรสสุคนธ์ก่อนท่านชายจะเสด็จไปเชียงรายนะเพคะ” “จะทันหรือ” “จะเสด็จไปวันไหนเพคะ” ได้ยินเสียงถอนพระทัยยาว ท�ำให้รสสุคนธ์ต้อง เงยหน้ามองพักตร์ท่านอีกครั้ง ความใจหายจู่โจมเข้าใส่หัวใจเมื่อพอเดาได้ว่าท่าน ชายคงต้องเสด็จไปเร็วๆ นี้ “อีกสองอาทิตย์กว่าๆ” ...สองอาทิตย์เท่านัน้ เองหรือ... รสสุคนธ์พมึ พ�ำแต่เพียงในใจ มีเวลาเหลือน้อย เหลือเกิน... “ทันเพคะ” รับค�ำเป็นมัน่ เหมาะอย่างมัน่ ใจ “ก่อนท่านชายจะเสด็จไปเชียงราย กลิ่นรสสุคนธ์ต้องหอมฟุ้งไปทั่ววังเพคะ” ทรงพยักพักตร์แล้วสาวบาทน�ำไปยังตึก สองชั้นสีครีม ทรงหยุดยืนตรงบันไดเตี้ยๆ ด้านหน้า แล้วผินพักตร์มาทางด้านหลัง 101


“ถ้าฉันไปที่นู่นแล้ว... เธอต้องดูแลตัวเองดีๆ นะรสสุคนธ์” “เพคะ” “ระหว่างที่ฉันไม่อยู่ อย่าเพิ่งคบกับใคร... ได้ไหม” รับสั่งเหมือนร้องขอ อย่างไรอย่างนั้น คนถูกร้องขอนึกอยากถามเหตุผลแต่กลับนิ่งเงียบ ท�ำเพียงรับค�ำ เบาๆ ทว่า... ไม่ต้องให้เดาเหตุผลเอาเองตามใจคิด เมื่อรับสั่งต่อมาว่า “รอจนเธอ ครบยี่สิบก่อน ถึงตอนนั้นถ้าเธอรักใคร ชอบใคร ฉันไม่ว่า” จากนัน้ จึงทรงจรดปลายนาสิกกับดอกรสสุคนธ์อกี ครา หากดวงเนตรจับจ้อง แต่เพียงวงหน้านวลเท่านัน้ รสสุคนธ์ไม่รดู้ อกว่าเหตุใดท่านชายจึงทรงจ้องเธอเช่นนัน้ แต่รู้เพียงว่าสายเนตรเช่นนั้นท�ำให้เธอประหม่าอย่างเหลือคณา “ฉันไปอยู่ที่นู่น ก็ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาที่นี่เมื่อไร ไม่รู้ด้วยซ�้ำว่าจะเกิดอะไร ขึ้นบ้าง” “รับสั่งเหมือนจะไปรบอย่างนั้นแหละเพคะ” “ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน... รูเ้ พียงว่าทางนูน้ มีการสูร้ บกับพวกคอมมิวนิสต์อยู่ หลายพื้นที่ ฉันต้องปกป้องประเทศไม่ให้ใครเข้ารุกล�้ำกร�้ำกราย” รสสุคนธ์ใจหายวาบ นึกห่วงจึงโพล่งปากถามออกไปว่า “ไม่ไปไม่ได้หรือเพคะ” ท่านชายเจตไม่ตรัสตอบแต่กลับถามว่า “ห่วงฉันหรือ” “ห่วงสิเพคะ... ห่วงมาก” อีกฝ่ายทรงแย้มโอษฐ์อกี ครา ดวงเนตรพราวระยับ ขึ้นมาอย่างที่เธอไม่ได้เห็นบ่อยนัก “อีกสองปี เธอจะยังห่วงฉันแบบนี้หรือเปล่า” “ห่วง... ห่วงจนชั่วชีวิตเพคะ” หม่อมเจ้าเจตนิพิฐทอดเนตรวงหน้านวลเนิ่นนาน ก่อนจะทัดดอกรสสุคนธ์ ดอกนั้นลงบนใบหูของเธออย่างนุ่มนวล “ฉันจะคิดถึงรสสุคนธ์ดอกนี้” จากนัน้ ก็ทำ� ในสิง่ ทีท่ ำ� ให้รสสุคนธ์ตวั แข็งค้าง ดวงตาเบิกกว้าง หัวใจเต้นแรง จนจะวายเสียให้ได้ด้วยซ�้ำ เมื่อวรองค์สูงใหญ่ทรงโน้มองค์ลงมาใกล้ แล้วจรดปลาย นาสิกลงบนดอกรสสุคนธ์อีกครา ...ใกล้มาก พักตร์ของท่านใกล้เหลือเกิน จนเธอสามารถเห็นไรมัสสุเขียวๆ ตามพระหนุ ลมหายใจอุน่ จัดก็รนิ รดแก้มนวลก่อนจะแทรกซึมไปทุกอณูในเรือนกาย จนตัวเธอร้อนวูบวาบ 102


ศศิภา

เพียงชั่ววินาทีท่านชายก็ทรงถอยห่าง แล้วทิ้งท้ายด้วยประโยคที่ท�ำให้คนฟัง ใจสั่นระริก “รสสุคนธ์ดอกนี้หอมเสียเหลือเกิน...” หญิงสาวแว่วสุรเสียงขับกลอนของท่านชายเจตลอยมาให้ได้ยินเมื่อดึงสติ ของตัวเองกลับคืนมาได้แล้ว ได้ยินเพียงข้อความตอนท้ายซึ่งท่านชายทรงเปลี่ยน จากถ้อยรับสั่งก่อนหน้านี้ “หอมติดตรึงในหทัยเฝ้าตรึงตรา ปรารถนาดมดอมทุกคืนวัน...” สุดท้ายคืนนั้นรสสุคนธ์ก็นอนไม่หลับแทบทั้งคืน

103


7

สิบวันผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว รสสุคนธ์แทบไม่เชื่อว่าอีกไม่กี่วันพันตรี หม่อมเจ้าเจตนิพิฐก็ต้องเสด็จไปไกลถึงเชียงรายแล้ว หน�ำซ�้ำยังได้ข่าวว่าต้องเลื่อน การเดินทางเข้ามาอีกสองสามวันเสียด้วย ลองนับๆ ดูแล้วเธอจะได้เห็นพักตร์ท่าน เพียงแค่สองสามวันเท่านั้น รสสุคนธ์รู้สึกใจหายมากขึ้นทุกวัน ยิ่งใกล้วันเดินทางเท่าไร รอยยิ้มบน ใบหน้าเธอก็ยิ่งเหือดหาย จากที่เคยยิ้มกว้างทั้งปากทั้งตาบ่อยครั้ง ตอนนี้ใครๆ ต่าง พูดกันว่าแววตาของเธอมีความหม่นเศร้าแฝงเร้นอยู่จนปิดไม่มิด ‘เธอเป็นอะไรรึเปล่ารส... ท่าทางเศร้าจริง’ สินีพูดกับเธอเมื่อวันก่อนระหว่างช่วงพักรอเข้าเรียนวิชาต่อไป เธอเองไม่ได้ ตอบค�ำถามนั้นเพราะไม่อาจตอบได้เช่นกันว่าตัวเองเป็นอะไรไป ทรงกลดเองก็อดเป็นห่วงเธอไม่ได้ เขาแวะมาหาหม่อมเจ้าเจตนิพิฐที่วังแทบ ทุกวัน พูดคุยกันจนดึกดืน่ จึงลากลับ มีอยูค่ นื หนึง่ เธอเดินลงไปในห้องครัวด้วยรูส้ กึ กระหาย จึงสวนกับร้อยโทหนุ่มตรงห้องโถงใหญ่ ชายหนุ่มก้าวเข้ามาประชิดและเอ่ย ทักทายในทันใด ‘คุณรสดูหมองๆ ไปนะครับช่วงนี้’ ‘หรือคะ... สงสัยจะอ่านหนังสือดึกไปหน่อยน่ะค่ะ’ 104


ศศิภา

ทรงกลดไม่เอ่ยค�ำใดนอกจากส่งยิ้มบางๆ มาให้ ก่อนจะผายมือให้เธอเดิน ตามเขาไปคุยกันสักครู่ทางด้านนอก หญิงสาวเดินตามอย่างว่าง่าย โชคดีที่ตอนนั้น เธอสวมเสือ้ คลุมปกปิดชุดนอนของตัวเองอย่างเรียบร้อยจึงออกไปคุยกับเขาได้อย่าง สบาย ไม่ตะขิดตะขวงใจใดๆ ทั้งสิ้น ‘คุณรสเป็นห่วงท่านชายหรือครับ’ คนถูกถามยืนนิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่ก่อนพยักหน้ายอมรับ ‘ค่ะ... ได้ขา่ วว่าทีน่ นั่ มีการสูร้ บระหว่างพวกคอมมิวนิสต์ ฉันกลัวน่ะค่ะ... กลัว ว่าท่านจะทรงไม่ปลอดภัย แถมเชียงรายก็ยังไกล... ไกลมากด้วย’ ‘ไม่ต้องห่วงดอกครับ ท่านชายทรงเก่ง มีฝีมือดีทีเดียว ที่ส�ำคัญ... คุณเคย ได้ยินประโยคที่ว่า ‘คนดีผีคุ้ม’ ไหม...’ ทรงกลดพยายามปลอบประโลมเธอเต็มที่ ‘...ท่านชายต้องทรงปลอดภัยแน่ๆ ครับคุณรส’ ‘ฉันก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นค่ะ’ ชายหนุ่มมองจ้องเธอนิ่งนาน ก่อนหัวเราะแผ่วเบาในล�ำคอ พานให้คนที่ยืน ตรงข้ามต้องขมวดคิ้วอย่างนึกสงสัย ‘คุณทรงกลดหัวเราะอะไรคะ หน้าฉันมีอะไรติดอยู่รึเปล่าคะ’ ร่างเล็กรีบยกมือสองข้างลูบไล้ไปทั่วใบหน้า ขณะทรงกลดหยุดหัวเราะและ เริ่มอธิบาย ‘ไม่มีอะไรติดหน้าดอกครับ แต่ผม... ข�ำคุณกับท่านชายน่ะสิ’ ‘ท�ำไมล่ะคะ’ ‘ก็เมื่อกี้นี้ ท่านชายเพิ่งรับสั่งกับผมว่า’ ร่างสูงกระแอมกระไอ ยืดไหล่ตรง แล้วพยายามเอ่ยด้วยเสียงดุๆ ‘ฉันก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น...’ เว้นระยะหัวเราะใน ล�ำคอ ก่อนเอ่ย ‘พูดเหมือนคุณเลย คุณรส’ ‘เอ... แล้วท่านชายหวังเรื่องอะไรคะ’ ‘เรื่องของเรื่องคือผมคุยกับท่านชายเรื่องคุณ ท่านทรงเป็นห่วงคุณมาก... ไม่รู้ว่าห่วงเรื่องเรียน เรื่องความเป็นอยู่ หรือ... เรื่องหนุ่มๆ มาติดพันกันแน่’ ได้ยินแล้วรสสุคนธ์ถึงกับขวยเขิน รีบหลุบสายตาลงต�่ำซ่อนความวับวาว ในแววตาของตนเสีย ‘ไอ้ผมก็ยืนยันเป็นมั่นเหมาะกับท่านไปว่า... อย่าห่วงรสสุคนธ์เลย ผมจะรับ หน้าที่ดูแลเธอให้เอง คุณรู้ไหมว่าท่านตรัสเช่นไร’ 105


เขารอจนเธอเงยหน้าสบตาจึงเล่าต่อ ‘ท่านตรัสว่า... แค่ดูแล อย่าเกี้ยวพาราสีหรือใกล้ชิดจนเกินควร’ ชายหนุ่มนิ่งมองปฏิกิริยาของคนตรงหน้าแล้วเอ่ยต่อไปด้วยเสียงทุ้มนุ่ม ตามแบบฉบับของตน ‘ผมก็พูดว่า... ผมสัญญาว่าระหว่างที่คุณรสยังไม่บรรลุนิติภาวะ ผมจะ พยายามเป็นแค่เพื่อนเท่านั้น’ เห็นคนตรงหน้ากะพริบตาปริบๆ หน้าแดงระเรือ่ แล้วก็อดยิม้ อย่างเอ็นดูไม่ได้ ‘จากนั้นก็ปลอบพระทัยท่านเสียหน่อยว่า อย่าห่วงคุณรสให้มากเลย คุณรส เป็นเด็กดีและฉลาด ไม่มีทางนอกลู่นอกทางแน่ ท่านก็ตรัสว่า... ฉันหวังว่าจะเป็น อย่างนั้น เหมือนคุณเลย’ ‘ทรงห่วงว่าฉันจะนอกลู่นอกทางหรือคะ?’ ‘คงกลัวว่าคุณจะเป็น ‘สาว’ เร็วจนเกินไปล่ะมัง้ ... ดูทา่ นทัง้ ห่วงทัง้ หวงคุณนะ คุณรส’ ‘หวง? คงไม่ดอกค่ะ ทรงแค่เป็นห่วงแบบที่ผู้ปกครองสมควรห่วงก็เท่านั้น’ ทรงกลดส่ายหน้าน้อยๆ หากก็ไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ เขามองขึ้นไปยังตัวบ้าน ไม่รู้เหมือนกันว่ามองอะไรเพราะเธอเองไม่ได้หันตาม แต่กลับเงยหน้ามองดวงดารา บนฟากฟ้า ‘วันนี้ดาวสวยจังค่ะ’ ‘คืนนี้เห็นดาวเยอะนะครับเนี่ย’ เขาพูดเพียงแค่นั้นก็เอ่ยลา รสสุคนธ์ได้ยิน เสียงเครื่องยนต์แล่นห่างออกไปเรื่อยๆ แผ่วเบาลงจนเงียบสนิท หากเธอก็ยังยืนชม ดวงจันทร์และดวงดาวอยู่เช่นนั้น เช่นเดียวกับในคืนนี้ รสสุคนธ์ลงจากตึก ออกมายืนตรงที่โล่งกว้างเพื่อสูด อากาศบริสุทธิ์ และชื่นชมความงามยามราตรีที่ประดับบนผืนผ้าก�ำมะหยี่เบื้องบน กลิ่นหอมของดอกรสสุคนธ์โชยมาตามลมหนาวที่พัดผ่านตัวเธอ ชวนให้ หญิงสาวสาวเท้าตรงไปยังข้างตัวตึก ใต้ตันไม้ใหญ่ ห่างออกมาจากศาลาแปดเหลี่ยม พอสมควร ภายใต้แสงสลัวของไฟในตัวตึก รสสุคนธ์เห็นเก้าอี้รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า สีขาววางตั้งอยู่ใต้ซุ้มไม้ระแนงสีเดียวกันซึ่งมีตันรสสุคนธ์ก�ำลังเลื้อยพันขึ้นไปตาม เสาเล็กๆ นัน้ อีกไม่นานหลังคาไม้ระแนงคงเต็มไปด้วยดอกรสสุคนธ์ชชู อ่ อวดความงาม และส่งกลิ่นหอมกรุ่นก�ำจายไปทั่วบริเวณ 106


ศศิภา

รสสุคนธ์หวังเพียงว่ายามท่านชายประทับอ่านหนังสือที่นี่ กลิ่นดอกชนิดนี้ จะอบอวลสร้างความแจ่มใสและสดชืน่ ให้ทา่ นได้ ร่างบางทรุดกายลงนัง่ ยกมือกอดอก ห่อตัวเล็กน้อยเมือ่ ความเย็นโชยผ่านเสือ้ คลุมเข้ามากระทบผิวกาย ขนาดพระนครยัง หนาวถึงเพียงนี้ แล้วเชียงรายเล่า มิหนาวจนถึงกระดูกเลยหรือไร คิดแล้วก็อดนึกห่วงพันตรีหนุ่มผู้สูงศักดิ์ไม่ได้ ไปอยู่ทางนู้นคงไม่มีอะไร สะดวกสบายเหมือนทีน่ ี่ จะต้องนอนกลางดินกินกลางทรายหรือเปล่าก็ยงั ไม่รู้ แถมไป ตอนช่วงหน้าหนาวเสียด้วย คนที่ไม่คุ้นชินกับอากาศทางภาคเหนือคงอยู่ล�ำบากน่าดู ร่างเล็กทอดถอนใจเฮือกแล้วเฮือกเล่า พลางเงยหน้ามองแสงดาวที่กะพริบ วิบวับและดวงจันทร์ฉายแสงนวลตาด้านบน ก่อนจะยกมือประสานเข้าหากัน หลับตา และขยับปากพึมพ�ำขมุบขมิบ “ขอให้ทา่ นชายเจตทรงปลอดภัย วอนดวงดาวทุกดวงและดวงจันทร์ทแี่ สนใจดี ช่วยดูแลคุ้มครองดูแลท่านชายแทนฉันด้วยนะคะ” เมือ่ ลืมตาหญิงสาวคิดว่าจะได้เห็นแสงวาววามจากดวงดาวตอบรับค�ำขอ หาก ก็ต้องสะดุ้งเมื่อสิ่งที่เห็นเป็นประกายดุดันจากดวงเนตรสีด�ำสนิท “ก�ำลังขอพรอะไรอยู่หรือ รสสุคนธ์” คนถูกถามอึกอักเล็กน้อย หากก็ตัดสินใจส่งยิ้มไปให้เพียงเท่านั้น จากนั้น จึงขยับกายจนชิดพนักวางแขนอีกฝั่งเมื่อวรองค์สูงใหญ่ท�ำท่าว่าจะประทับด้วย “เธอกลัวฉันมากหรือไร” “อะไรนะเพคะ?” “ก็... นั่งเสียไกล เขยิบมาใกล้ๆ ก็ได้ ฉันไม่ใช่โจรชั่ว หรือเป็นผู้ร้ายฆ่าคน เสียหน่อย” รสสุคนธ์ก้มหน้ามองระยะห่างระหว่างกันก็พบว่าห่างกันเกือบวาเลยทีเดียว เห็นดังนั้นจึงค่อยๆ ขยับกายเข้าไปหาท่านชายทีละนิดๆ แต่ดูเหมือนจะทรงไม่พอ พระทัยจึงต้องเป็นฝ่ายเขยิบเข้ามาหาเธอเอง ชิด... จนแขนของเธอแนบชิดพาหาของท่านเลยทีเดียว ไออุ่นจากวรกายของท่านช่วยคลายความหนาวได้ดีทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้น ในวินาทีถัดมายังท�ำให้เธอร้อนวูบวาบเสียด้วยซ�้ำไป “ไม่อยากบอกหรือว่าขอพรอะไร” “ไม่ใช่เรื่องสลักส�ำคัญอะไรดอกเพคะ” 107


แล้วท่านชายเจตก็ทรงเงียบไป รอบกายเงียบสงบได้ยนิ เพียงเสียงใบไม้สะบัด ไหวตามแรงลม และหัวใจทีเ่ ต้นแรงอยูใ่ ต้โพรงอกจนรสสุคนธ์เกรงว่าท่านจะได้ยนิ นัก ...นานเท่าไรก็สุดรู้กว่าท่านจะรับสั่ง “เมื่อวันก่อน นายทรงกลดสัญญากับฉันแล้วว่าจะดูแลเธอให้ดีที่สุด” “เพคะ คุณทรงกลดเล่าให้หม่อมฉันฟังแล้วเพคะ” “อ้อ... คืนนั้น เธอสองคนคุยกันเรื่องนี้เองล่ะหรือ” “ทรงเห็นหรือเพคะ?” หญิงสาวตวัดสายตามองเสี้ยวพักตร์ของคนข้างกาย “เห็นสิ... ยังสงสัยจนถึงวันนี้ว่าเธอสองคนคุยกันเรื่องอะไร... เรื่องทั่วไป หรือ... เรื่องรัก” สิ้นค�ำว่า... เรื่องรัก... รสสุคนธ์ถึงกับขมวดคิ้ว ก่อนเอ่ยเสียยืดยาว “หม่อมฉันกับคุณทรงกลดไม่ได้คยุ เรือ่ งรักกันเพคะ เราสองคนเป็นแค่เพือ่ นกัน และไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกว่านั้นแม้เพียงน้อย” “เธอไม่คิด แต่ทรงกลดมันคิดน่ะสิ” “นัน่ ไม่ใช่เรือ่ งของหม่อมฉันเพคะ...” เธอนิง่ ไปครูห่ นึง่ จึงเอ่ยต่อ “หม่อมฉัน อยากให้ทรงรับรู้ว่าตอนนี้หม่อมฉันไม่เคยคิดเรื่องรักกับใครเพคะ” จากนั้นก็นิ่งเงียบ ไม่เอ่ยอะไรต่อไปให้มากความ “แล้วหลังจากนั้นล่ะ” “เป็นเรื่องของอนาคต หม่อมฉันตอบไม่ได้เพคะ” “ถ้าอย่างนั้น...” หม่อมเจ้าเจตนิพิฐทรงผินพักตร์มามองเธอ แล้วเอื้อมหัตถ์ จับผมที่โบกสะบัดตามแรงลมไปไว้ด้านหลังใบหู “สัญญาได้ไหม... อย่าคิดเรื่องรัก กับใครจนกว่าเธอจะบรรลุนิติภาวะ” “สัญญาเพคะ” รสสุคนธ์ตอบรับโดยไม่เสียเวลาคิดแม้เพียงน้อย เธอก็ไม่เข้าใจนักว่าเหตุใด ตัวเองจึงมั่นใจเป็นนักหนาว่าจะไม่คิดเรื่องรักๆ ใคร่ๆ กับใครในช่วงเวลาสองปีนี้ ...มัน่ ใจราวกับว่าในหัวใจของเธอเองมีใครบางคนซุกซ่อนอยูอ่ ย่างไรอย่างนัน้ ในความอบอุน่ ระหว่างใจสองดวงท่ามกลางสายลมหนาว ใครคนหนึง่ ซึง่ นัง่ อยู่ในรถกลับร้อนรุ่มในอกราวกับมีไฟสุม ไฟด้านในตัวรถถูกเปิดให้สว่างจ้าเพื่อให้ ผูเ้ ป็นเจ้าของได้อา่ นรายละเอียดประวัตขิ องรสสุคนธ์ทเี่ ขาให้นกั สืบสืบมาเป็นครัง้ ทีส่ อง 108


ศศิภา

...มีประโยคหนึ่งที่เขาอ่านทวนซ�้ำไปซ�้ำมาจนจ�ำได้ขึ้นใจ ...ว่ากันว่า พันตรีหม่อมเจ้าเจตนิพฐิ ผูเ้ ป็นผูป้ กครองของเด็กสาวคนนีท้ งั้ หวง ทั้งห่วง คอยกีดกันหนุ่มๆ ที่ตั้งท่าว่าจะมาตอแยหรือติดพันเธออยู่เป็นประจ�ำ... นพรัตน์วางเอกสารฉบับนัน้ ลงบนเบาะรถข้างตัว ก่อนเอือ้ มมือไปปิดไฟแล้ว ครุ่นคิดค�ำนึง ...ทีว่ า่ กีดกันนัน้ กีดกันเพราะเหตุใด เพราะเป็นห่วงอย่างผูใ้ หญ่หว่ งเด็ก หรือ ตัง้ ใจจะเป็นมดแดงแฝงพวงมะม่วง รอคอยจนเธอเป็นสาวเต็มตัวแล้วจัดการเก็บเธอ ไว้เสียเอง... ถ้าเป็นอย่างหลังล่ะก็... ลูกครึ่งหนุ่มแค่นยิ้ม เหยียดริมฝีปากเยาะหยัน ตวัดสายตาร้อนแรงดั่ง กองเพลิงมองหลังคามุงกระเบื้องงดงามแน่วนิ่ง ...เขาจะจัดการ ‘แย่ง’ เธอมาเป็นของเขาให้ได้! ร่างสูงสตาร์ตเครื่องยนต์ เข้าเกียร์แล้วพารถของตนเองมุ่งหน้ากลับบ้าน รุ่งเช้าเขาต้องขึ้นรถไฟกลับเชียงใหม่เพื่อไปดูแลกิจการโรงแรมที่นู่น นพรัตน์นั้น แม้ จะร�่ำรวย สุขสบายเพียงใด แต่ใจของเขาไม่เคยสงบนิ่ง... เหมือนมีพายุโหมกระหน�่ำ คลุ้มคลั่งในอกอยู่ตลอดเวลา และทัง้ หมดทัง้ มวลนัน้ ก็เนือ่ งมาจากเรือ่ งราวอันแสนเจ็บปวดในอดีต... อดีต ที่สร้างบาดแผลและสั่งสมความแค้นในหัวใจ จนเจ้าตัวตั้งมั่นแต่จะท�ำลาย ท�ำร้าย บุตรชายของหม่อมเจ้านวลแขให้ย่อยยับ และยิ่งสาแก่ใจมากขึ้นเป็นร้อยเท่าถ้าชาย คนนั้นจะเจ็บปวดแทบกระอักเลือดที่ถูกพรากคนรักไปจากอก! นพรัตน์เพียงต้องการรอ... รอเวลาจนกว่าจะแน่ใจว่าสตรีคนใดกันแน่ที่ได้ ครอบครองหทัยของหม่อมเจ้าเจตนิพิฐ เมื่อนั้นเขาจะด�ำเนินการ ‘ชิง’ ของรัก ไม่ว่า จะต้องใช้กลลวง เล่ห์กล หรืออะไรก็ตาม เขาจะช่วงชิงมาให้จงได้! ชายหนุ่มหมายมั่นปั้นมืออย่างแน่วแน่ขณะเหยียบคันเร่งพารถฝ่าความมืด ยามรัตติกาล สองตามองไปเบื้องหน้า หากสิ่งที่เห็น แทนที่จะเป็นถนน กลับเป็นเส้น ทางที่ทอดสู่จุดสิ้นสุดของความแค้นในใจเขาอย่างสมบูรณ์ สองวันถัดมา หลังจากรับประทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว รสสุคนธ์กห็ มกตัว อยูใ่ นห้อง จัดการเตรียมดอกไม้แห้งทีต่ นเองตัง้ ใจจะมอบให้ผปู้ กครองก่อนทีจ่ ะร้างรา กันไกล 109


ดอกที่รสสุคนธ์เลือกส่วนใหญ่เป็นดอกกุหลาบสีชมพูซึ่งชูช่อเบ่งบานงดงาม บนศาลาแปดเหลีย่ มนัน่ ล่ะ หญิงสาวเก็บแต่ละกลีบในสมุดแล้วทับมันไว้จนแห้งได้ที่ จึงน�ำมันมาใส่ถงุ ตาข่ายสีออกน�ำ้ ตาลทีน่ ายเติบเพิง่ น�ำมาให้วนั นี้ นอกจากกลีบกุหลาบ แล้วยังมีดอกพุดที่ท่านชายจรดปลายนาสิกดอมดมในคืนวันงานเต้นร�ำด้วย อีกทั้ง ยังดอกรสสุคนธ์ที่ท่านบอกเธอเมื่อสิบวันก่อนว่า ‘ฉันจะคิดถึงรสสุคนธ์ดอกนี้’ หญิงสาวไม่รู้ ไม่เข้าใจเลยว่ารสสุคนธ์ดอกนี้ ‘พิเศษ’ กว่าดอกอื่นตรงไหน ในเมือ่ เธอลองดอมดมดอกทีเ่ บ่งบานอยูต่ รงซุม้ เก้าอีไ้ ม้ขา้ งล่างแล้ว กลิน่ ของมันก็ไม่ แตกต่างจากดอกดอกนั้นเลยสักนิด ร่างบางซึ่งก�ำลังนอนคว�่ำอยู่บนเตียงค่อยๆ บรรจงวางดอกสุดท้ายลงในถุง แล้วปิดปากถุงด้วยริบบิ้นสีขาว จากนั้นจึงเขียนข้อความสั้นๆ บนกระดาษที่สั่งให้ นายเติบซื้อมาให้ เป็นกระดาษโน้ตแผ่นเล็กลวดลายน่ารัก หญิงสาวจับปากกาขึ้นมา นั่งนิ่งอยู่ครู่ก่อนจะก้มหน้าก้มตาเขียนอย่างตั้งใจ ...หวังว่าท่านชายจะทรงมีพระอารมณ์ดเี สมอเวลาได้กลิน่ หอมๆ จากดอกไม้ แห้งถุงนี้... จากนัน้ จึงลงท้ายด้วยชือ่ ของตนเอง เมือ่ เขียนเสร็จสรรพ เจ้าตัวก็ทากาวแล้ว แปะกระดาษแผ่นนัน้ ลงบนด้านหน้าถุง ตรวจตราดูความเรียบร้อยแล้วยิม้ กว้างชืน่ ชม กับผลงานตัวเอง ก่อนจะเก็บมันไว้ในลิน้ ชักข้างเตียงอย่างเรียบร้อย จากนัน้ จึงก้าวลง จากเตียง เดินไปหยุดยืนตรงหน้าต่างทอดสายตามองศาลาแปดเหลีย่ มสีขาวกลางสวน แล้วชะโงกมองซุ้มรสสุคนธ์เบื้องล่าง ความทรงจ�ำในค�่ำคืนนั้นยังคงท�ำให้รสสุคนธ์ใจเต้นไม่หาย รอยสัมผัสจาก อุ้งหัตถ์ใหญ่บนแก้มของเธอ แม้เพียงปลายนิ้วก็สร้างความร้อนให้วูบวาบไปทั่วกาย เสียแล้ว หญิงสาวทอดตามองดวงตะวันที่ก�ำลังลาลับของฟ้าอย่างเนิบช้า ทิ้งร่องรอย ของความหม่นเศร้าอาดูรไว้อย่างน่าประหลาด แสงสีส้มเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นแดงก�่ำ ก่อนทุกอย่างจะมืดสลัว ไฟตรงประตู หน้าวังทัง้ ซ้ายและขวาสว่างวาบ เช่นเดียวกับไฟในตึก รสสุคนธ์ระบายลมหายใจแผ่วเบา รู้สึกอยากสูดอากาศบริสุทธิ์จึงตัดสินใจจะไปเดินเล่นในสวน 110


ศศิภา

คิดได้ดังนั้น หญิงสาวก็ไม่รอช้า สาวเท้าออกจากห้องในทันใด ใช้เวลาไม่นาน ร่างบางในชุดเสื้อยืดและกางเกงขาสั้นเอวสูงก็มายืนกอดอก ชมซุ้มกุหลาบเลื้อยสีชมพูหวานตามเคย แว่วเสียงรถยนต์แล่นเข้ามาด้านใน หากเธอ ก็ไม่เหลียวมองเนือ่ งจากพอจะเดาได้วา่ คนทีม่ าหาท่านชายอยูบ่ อ่ ยครัง้ ในเวลาเย็นย�ำ่ ขนาดนี้ก็มีเพียงร้อยโททรงกลดเท่านั้น และเป็นจริงดังคาด เมื่อหนุ่มอารมณ์ดีส่งเสียงทักทายมาก่อนตัวเสียอีก “ไฮ... คุณรส มายืนท�ำอะไรคนเดียวตรงนี้ครับ” “สวัสดีค่ะ คุณทรงกลด” รสสุคนธ์ยกมือไหว้ก่อนตอบ “ฉันแค่มาเดินเล่น เท่านั้นเอง ท�ำไมไม่แวะขึ้นไปเฝ้าท่านชายก่อนล่ะคะ เดี๋ยวค่อยลงมาคุยกันก็ได้” “คงไม่ต้องแล้วล่ะครับ” เอ่ยยิ้มๆ พร้อมกับพยักพเยิดหน้าไปทางด้านบน ตรงโดมชัน้ สองนัน่ เอง รสสุคนธ์มองเห็นวรองค์สงู ใหญ่เท้าพาหากับขอบหน้าต่างแล้ว ทอดเนตรลงมาเบื้องล่าง... ประทับอยู่ตรงนั้นนานเท่าไรแล้วเธอไม่ได้สังเกตเลย “ผมเห็นทรงยืนอยู่บนนั้นตั้งแต่ผมเลี้ยวเข้าประตูมาแล้วครับ” ทรงกลดไขข้อสงสัยในใจเธอราวกับรู้ใจ ก่อนจะหัวเราะน้อยๆ ท�ำให้ รสสุคนธ์สงสัยขึน้ มาอีกคราแล้วว่าเขามีอะไรให้ขนั นักหนา แถมค�ำพูดค�ำจาก็ดมู เี ลศนัย ซับซ้อนเสียด้วย “คุณไม่รู้ตัวเลยหรือครับว่าถูกมองอยู่” “คะ? ใครมองคะ?” “โธ่... ก็ท่านชายน่ะสิครับ” คนตัวเล็กเหลือบสายตาขึน้ ไปมองชัน้ บน ก็พบว่าตรงหน้าต่างบานนัน้ ว่างเปล่า เสียแล้ว ไม่มีแม้แต่เงาของคนที่ทั้งสองกล่าวถึง “ท่านชายคงไม่ได้เจาะจงทอดเนตรทีฉ่ นั ดอกค่ะ คงชมวิวทิวทัศน์ หรือชืน่ ชม ดอกไม้ไปทั่วเสียมากกว่า” “ผมว่าคงชื่นชมแค่รสสุคนธ์เท่านั้นกระมัง” อีกครั้งที่ถ้อยค�ำของร้อยโทหนุ่มแฝงเร้นอะไรบางอย่างจนเธอยากจะเข้าใจ ถึงกระนั้นรสสุคนธ์ก็พยักหน้าเออออไปด้วย “ใช่ค่ะ ท่านชายโปรดรสสุคนธ์มาก ฉันเลยสร้างซุ้มรสสุคนธ์ให้ท่านตรงนั้น ไงคะ” ว่าพลางชี้มือไปยังเก้าอี้ไม้ตัวยาว “คงไม่โปรดเท่ารสสุคนธ์ในหทัยดอกกระมัง” 111


คนพูด

มือทีช่ ไี้ ปด้านหน้าค้างอยูก่ ลางอากาศ ก่อนผูเ้ ป็นเจ้าของจะตวัดสายตามามอง

“คุณทรงกลดว่าอะไรนะคะ” ทว่าก่อนทีเ่ จ้าตัวจะตอบ วรองค์สงู ใหญ่ของพันตรีหนุม่ ก็สาวบาทเข้ามาเร็วรี่ เสียแล้ว บทสนทนาของทั้งสองจึงหยุดลงเพียงเท่านั้น รสสุคนธ์จ�ำต้องเก็บง�ำความ สงสัยไว้ในใจ และตั้งใจไว้ว่าก่อนที่ทรงกลดจะกลับ เธอจะต้องถามให้ได้ความ “แกตั้งใจจะมาหาฉันหรือมาหารสสุคนธ์กันล่ะ ทรงกลด” เมื่อสาวบาทมาถึง ก็ทรงวางหัตถ์ลงบนบ่าของร้อยโทหนุ่ม ขณะสองเนตรของท่านจับจ้องที่วงหน้านวล ไม่วางตา “โธ่... ไหงพูดแบบนั้นเล่าฝ่าบาท หม่อมตั้งใจมาหาฝ่าบาทจริงๆ แต่พอดี เห็นคุณรสเธอเงยหน้ามองอะไรอยู่ตรงนี้คนเดียว เลยเข้ามาแวะทักทายเสียหน่อย” ว่าพลางหันมาขอค�ำยืนยันจากคนที่ยืนนิ่งเงียบอยู่ข้างๆ “จริงไหมคุณรส” “จริงเรือ่ งอะไรคะ” ได้ยนิ แล้วทรงกลดถึงกับยกฝ่ามือตบหน้าผาก ถอนหายใจ แล้วถอนหายใจอีก ก่อนส่ายหน้า “ไม่เอาละ เปลี่ยนเรื่องคุยดีกว่า” แล้วเจ้าตัวก็เหลือบมองไปยังโรงจอดรถ แต่ไม่เห็นรถทีห่ ม่อมเจ้านวลแขมักใช้เป็นประจ�ำ ก็พอจะเดาได้วา่ ท่านหญิงคงออกไป สังสรรค์กับบรรดาหม่อมๆ ตามเคย “หม่อมแม่ยังไม่เสด็จกลับอีกหรือฝ่าบาท” ทรงกลดสนิทชิดเชือ้ กับหม่อมเจ้าเจตนิพฐิ มานานจนพระมารดาของท่านชาย เอื้อเอ็นดูและออกโอษฐ์ให้เขาเรียกท่านว่าหม่อมแม่เช่นเดียวกับที่ท่านชายเรียกได้ “เดี๋ยวคงกลับแล้วล่ะ” พลันที่ท่านชายเจตรับสั่ง เสียงแตรหน้าประตูก็ดังขึ้น นายเติบรีบวิ่งไปยัง ประตู ปลดกลอนแล้วดึงประตูให้เปิดออก รอจนรถคันสีขาวแล่นเข้ามาด้านใน จึงจัดการปิดอย่างเรียบร้อย “มาพอดีเลย ไป... ไปหาหม่อมแม่กัน” ไม่กอี่ ดึ ใจจากนัน้ ทัง้ สามก็มาอยูร่ วมกันในห้องรับแขก หม่อมเจ้านวลแข ประทับตรงโซฟาตัวยาว โดยมีทรงกลดและรสสุคนธ์นั่งโซฟาตัวเดี่ยวขนาบข้าง ทั้งสองข้าง ส่วนหม่อมเจ้าเจตนิพิฐนั้นเลือกที่จะประทับเอนองค์บนขอบหน้าต่าง ทางด้านหลังร้อยโทหนุ่ม 112


ศศิภา

“ว่าไงทรงกลด เห็นว่ามาหาชายเจตเกือบทุกวันเลยนี่ น่าเสียดายไม่ได้พบปะ พูดคุยกันเลย” รับสั่งเสร็จก็สรวลแผ่วเบา “ฉันดูจะร่วมงานสังสรรค์มากไปหน่อย เสียแล้ว... เธอสบายดีอยู่หรือ?” “สบายดีฝ่าบาท” รับสั่งถามถึงบิดามารดาของทรงกลดและถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ ชีวิตความ เป็นอยู่อีกพักใหญ่ๆ จึงถอนพระทัยยาวเมื่อเรื่องที่คุยกันวกกลับมาเรื่องที่บุตรชาย เพียงคนเดียวต้องไปประจ�ำการไกลถึงเชียงราย “แม่เป็นห่วง ไม่อยากให้ไป” ตอนนัน้ เองทีท่ า่ นชายเจตทรงขยับวรองค์ยา้ ยมาประทับเคียงข้างพระมารดา ก่อนจะเอื้อมหัตถ์ไปเกาะกุมหัตถ์ที่เริ่มเหี่ยวย่น “ชายไปท�ำงานนะคะหม่อมแม่” “ก็เพราะงานน่ะสิ แม่ถึงห้ามชายไม่ได้” “ชายสัญญาว่าจะดูแลตัวเองค่ะ” ยามท่านชายรับสั่งกับพระมารดาด้วยสุรเสียงคะขา... อ่อนหวานเช่นนี้ บุคลิกลักษณะดุดันเคร่งขรึมเลือนหายไปในบัดดล... รสสุคนธ์รู้สึกว่าท่านทรง อ่อนโยนมากเหลือเกิน แววเนตรของท่านทอประกายอบอุ่นและเต็มไปด้วยความรัก ชั่ววินาทีนั้น หญิงสาวอดถามตัวเองไม่ได้ว่า... เธอจะได้รับประกายเนตร เช่นนั้นจากท่านชายเจตบ้างไหมหนอ สิ้นค�ำถามในใจ ความหวังนั้นก็ดูจะเป็นจริงรวดเร็วเสียเหลือเกิน เมื่อทรง ผินพักตร์มาทางเธออย่างไม่ให้เธอได้ทนั ตัง้ ตัว หัวใจของคนมองสบจึงสัน่ ระริก หน้า แดงซ่านขึ้นมาจนเจ้าตัวต้องรีบหลุบสายตาลงต�่ำ “สองปีที่อยู่ที่นู่น... ชายจะมีโอกาสกลับมาเยี่ยมบ้านบ้างไหม” “ชายยังไม่ทราบเลยค่ะ” ท่านหญิงถอนพระทัยยาวอีกครัง้ พักตร์สลดลงจน รสสุคนธ์นึกสงสาร ใจเธอห่วงสักเท่าใด คงไม่อาจเทียบเท่าหทัยของท่านหญิง... หัวใจของแม่ที่ ห่วงลูกคงเหมือนจะปริแตกยามลูกต้องลาร้างห่างไกล “ไว้ชายจะเขียนจดหมายมาหาบ่อยๆ... และถ้าเดือนไหนมีโอกาสมาเยีย่ มบ้าน ชายก็จะส่งข่าวมาทางจดหมายด้วย... ชายเองก็เป็นห่วงหม่อมแม่ไม่แพ้กัน อยู่ทางนี้ หม่อมแม่ต้องดูแลตัวเองดีๆ นะคะ” 113


หลังจากนัน้ ทรงกลดก็พยายามเปลีย่ นเรือ่ งคุยเป็นเรือ่ งอืน่ ไปเสีย ไม่วา่ จะเป็น เรือ่ งดินฟ้าอากาศ ทีเ่ ดือนนีค้ อ่ นข้างแปรปรวนหนัก จูๆ่ ฝนนึกจะตกก็เทกระหน�ำ่ ลงมา ราวฟ้ารั่ว หรือแม้แต่เรื่องหนังสือประวัติศาสตร์เล่มใหม่ที่ทรงกลดเพิ่งซื้อมา ปิดท้าย ด้วยเรื่องอาหารการกิน “หม่อมอยากรับทานแกงเลียงฝีมอื หม่อมแม่เหลือเกิน ไม่ได้รบั ทานมานานแล้ว รสยังติดปากอยู่เลย... อร่อยไม่มีที่ติจริงเทียว” “งัน้ หรือ” ดูเหมือนค�ำชมเรือ่ งฝีมอื การท�ำอาหารจะท�ำให้ทา่ นหญิงแย้มโอษฐ์ ออกมาได้ ดวงเนตรเศร้าสลดเมื่อครู่เป็นประกายขึ้นมาในทันใด “งั้นพรุ่งนี้แวะมาสิ แม่จะท�ำเตรียมไว้ให้” “ขอบพระคุณครับหม่อมแม่” ทรงกลดยกมือไหว้ แล้วยิม้ กระจ่างทัง้ ปากทัง้ ตา หลังจากนัน้ ท่านหญิงนวลแข ก็รับสั่งเกี่ยวกับอาหารอยู่ครู่ใหญ่ จึงกลับขึ้นไปพักในห้องบรรทมปล่อยให้หนุ่มสาว คุยกันตามล�ำพัง ทรงกลดอยู่คุยสัพเพเหระไม่ถึงสิบนาทีก็ยกนาฬิกาขึ้นดูเวลา เมื่อ เห็นว่าได้เวลาต้องกลับแล้วจึงลุกขึ้นยืน “หม่อมคงต้องกลับแล้วฝ่าบาท ดึกมากแล้วเดี๋ยวแม่จะห่วง” จากนั้นก็หันมาเอ่ยลารสสุคนธ์สั้นๆ ก่อนสาวเท้าออกไปจากห้องเร็วรี่ ขณะ ทีค่ นมองตามนึกถึงถ้อยค�ำทีท่ รงกลดพูดก่อนหน้านีข้ นึ้ มาได้ จึงรีบเดินแกมวิง่ ตามไป ทันตอนที่อีกฝ่ายก�ำลังเปิดประตูรถพอดี ด้วยความลืมตัวรสสุคนธ์ถึงกับเอื้อมมือไป คว้าแขนเขาไว้ แล้วเขย่าโดยแรง “เดี๋ยวค่ะคุณทรงกลด ฉันยังไม่แน่ใจนักเรื่องที่คุณพูดเมื่อครู่” ร่างสูงเอี้ยวตัวมามองแล้วขมวดคิ้ว “ผมพูดไปหลายเรื่องเลย... จ�ำไม่ได้แล้วล่ะครับ” สรุปอย่างง่ายดายและท�ำให้เธอหงุดหงิดพอดู “อย่ามาโกหกเลยค่ะ ฉันรู้นะคะว่าคุณจ�ำได้... ก็ตอนที่เราคุยกันในสวน อย่างไรคะ คุณพูดอะไรเกี่ยวกับรสสุคนธ์ในหทัย อะไรเทือกนั้นน่ะค่ะ ฉันไม่ค่อย เข้าใจ” คนถูกถามท�ำทีเป็นนิง่ คิด ก่อนเลิกคิว้ หันมามองเธอด้วยแววตาพราวระยับ บ่งบอกว่าเข้าใจทุกอย่างดี แต่สิ่งที่เอื้อนเอ่ยกลับเป็น “ผมพูดแบบนัน้ ด้วยหรือครับ” แถมยังยักไหล่เล็กน้อย... กวนโทสะเสียจริง 114


ศศิภา

“ไม่เห็นจ�ำได้เลย” “โธ่... คุณทรงกลด” “ผมต้องกลับแล้วจริงๆ ครับ” เอ่ยตัดบทอย่างไร้เยือ่ ใย พร้อมกับค่อยๆ ดึง มือเธอออก แล้วปล่อยอย่างเร็วรี่เมื่อวรองค์สูงใหญ่สาวเท้าตรงเข้ามา ก่อนจะแลเลย ไปทางด้านหลังแล้วเอ่ยว่า “หม่อมไปก่อนนะฝ่าบาท แล้วพรุ่งนี้จะไปคอยส่งที่สถานี รถไฟ... โมงเช้าใช่ไหมฝ่าบาท” เมื่อทรงพยักพักตร์ ร้อยโทหนุ่มก็ผลุบหายเข้าไปในรถ แล้วสตาร์ตเครื่อง น�ำรถออกจากวังไปในบัดดล ทิ้งให้รสสุคนธ์ยังคงมีค�ำถามค้างคาใจ รบกวนจิตใจ จนคิดว่าคืนนี้คงนอนไม่หลับเป็นแน่ เพราะนอกจากจะห่วงท่านชายแล้ว ยังต้อง มาขบคิดค�ำพูดอันแฝงนัยของทรงกลดอีกด้วย “ตะกี้ท�ำกิริยาไม่เหมาะเสียเลย รสสุคนธ์” คนที่ไม่ได้โดนดุมานานหันไปยิ้มจืดๆ กับคนข้างตัว มองสบเนตรดุๆ แล้ว ต้องรีบหลุบสายตาลงต�ำ่ ครัง้ นีน้ อกจากจะมีคำ� ว่ากลัวเกรงในหัวใจแล้ว เธอยังมีความ รู้สึกบางอย่างที่ผู้เป็นเจ้าของอธิบายไม่ได้เสียด้วย ใจเต้นไม่เป็นส�่ำ ประหม่า ขัดเขิน... สามความรู้สึกนี้เมื่อรวมกันแล้วมัน เรียกว่าอะไรกันหนอ... “ขอประทานอภัยเพคะ... หม่อมฉันลืมตัวเล็กน้อย” “มีเรื่องอะไรกับทรงกลดหรือ” “ก็ไม่เชิงเพคะ” ตอนนัน้ รสสุคนธ์ทำ� ใจกล้า เงยหน้ามองสบเนตรสีนลิ ของท่าน ได้แล้ว “หม่อมฉันเพียงต้องการจะแน่ใจว่าสิง่ ทีค่ ณ ุ ทรงกลดเอ่ยนัน้ หมายความว่าอะไร เพคะ” ทรงพยักพักตร์กอ่ นเดินน�ำไปยังซุม้ รสสุคนธ์ ผายหัตถ์เชือ้ เชิญให้เธอนัง่ ส่วน องค์เองกลับวางหัตถ์บนเสาไม้ระแนงแล้วโน้มองค์ลงมาจ้องหน้าแล้วถาม “ทรงกลดพูดว่าอะไรล่ะ บอกฉันมาสิ... ฉันอาจจะตอบแทนได้” “หม่อมฉันจ�ำค�ำพูดทั้งหมดไม่ได้ดอกเพคะ เท่าที่จ�ำได้คร่าวๆ ก็คือ... อะไร บางอย่างเกี่ยวกับรสสุคนธ์ในหทัยท่านชายน่ะเพคะ” “อะไรนะ?” เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่รสสุคนธ์เห็นร่องรอยความตกใจในแววเนตรของคน ตรงหน้า 115


...อะไรกันหนอที่ท�ำให้ท่านชายทรงแสดงความรู้สึกออกมาได้มากถึงเพียงนี้ หญิงสาวเก็บง�ำความคิด ความสงสัยของตัวเองไว้เพียงในใจ เมื่อเอ่ยย�้ำ ประโยคเดิมอีกครั้งแล้วถามต่อว่า “ท่านชายทรงมีตน้ รสสุคนธ์หรือไม่กร็ า้ นขายต้นรสสุคนธ์ในหทัยหรือเพคะ” คนถูกถามท�ำท่าอึกอักอยู่ชั่วขณะจึงพยักพักตร์ “ใช่... ฉันมีดอกรสสุคนธ์ในใจแล้ว” “แล้วรสสุคนธ์ดอกนัน้ อยูท่ ไี่ หนล่ะเพคะ... หม่อมฉันจะได้ไปน�ำมาปลูกเพิม่ ” พูดให้ถูกคือ หญิงสาวตั้งใจจะรื้อต้นรสสุคนธ์ต้นนี้ที่ก�ำลังเลื้อยไปตาม ไม้ระแนงแล้วปลูกอีกต้นที่ประทับตราตรึงอยู่ในหทัยของท่านต่างหาก “ไม่ใกล้ไม่ไกลดอก... แต่ฉันยังไม่แน่ใจ” “ไม่แน่พระทัย?” “ไม่แน่ใจว่าชอบ รัก หรือแค่หวง” “อะไรนะเพคะ?” คนตัวเล็กขมวดคิ้วเข้าหากัน “ทรงหวงดอกรสสุคนธ์ด้วย หรือเพคะ” ...ต้นนัน้ มีอะไรพิเศษกว่าต้นอืน่ หรือไร จึงถึงกับหวง แถมอาจจะถึงขัน้ คลัง่ ไคล้ เสียด้วยกระมัง คิดในใจเสร็จสรรพแล้วก็พึมพ�ำกับตัวเอง “แปลก...” “นั่นสิ... ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองแปลกขึ้นทุกวัน” รสสุคนธ์รีบเงยหน้ามองพักตร์เรียบเฉยแล้วเอ่ยร้อนรน “หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจจะว่าท่านชายนะเพคะ” “ช่างมันเถอะ ฉันไม่ได้ติดใจอะไร... ดึกมากแล้ว เธอควรเข้านอนได้แล้วนะ รสสุคนธ์” “เพคะ... พรุ่งนี้ท่านชายต้องเดินทางไกล จึงควรบรรทมได้แล้วนะเพคะ” รสสุคนธ์นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนเอ่ยต่อว่า “หม่อมฉันมีบางอย่างจะมอบให้ท่านชาย เพคะ” ทรงขยับวรองค์ทรุดนั่งลงเคียงข้าง แล้วเลิกขนงอย่างนึกสงสัย “อะไรหรือ?” “ทรงรอสักครู่นะเพคะ” แล้วหญิงสาวก็ผลุบหายเข้าไปในตึก ไม่ถึงห้านาทีก็เดินกลับมาพร้อมซ่อน บางอย่างไว้ดา้ นหลัง เมือ่ มาหยุดยืนตรงหน้าหม่อมเจ้าเจตนิพฐิ นัน่ ล่ะ เธอจึงยิม้ กว้าง 116


ศศิภา

“ของขวัญชิ้นแรกที่หม่อมฉันจะมอบให้ท่านชายเพคะ” ดวงตาของเธอเป็น ประกายมีความสุข “ไม่ใช่สิ่งของมีราคาอะไรเลย หม่อมฉันไม่แน่ใจว่าจะโปรด แต่ หม่อมฉันตั้งใจมอบให้จริงๆ เพคะ” “ไม่วา่ จะมีราคาหรือไม่มี แต่ถา้ เธอให้กเ็ ป็นของทีม่ คี า่ ทีส่ ดุ ส�ำหรับฉัน” รับสัง่ เสร็จก็ทรงยื่นหัตถ์มาข้างหน้า “อะไรที่เธอท�ำให้ฉันหรือรสสุคนธ์” ร่างเล็กสูดลมหายใจเข้าปอดลึกยาวหนึง่ ครัง้ ก่อนตัดสินใจวางถุงดอกไม้แห้ง บนอุ้งหัตถ์ใหญ่ “ดอกไม้แห้งเพคะ” ทรงรับไปถือไว้ แล้วชม “สวย...” จากนัน้ จึงดมดอมหลายครัง้ จนรสสุคนธ์เกือบคิดว่าไม่โปรดเสียแล้ว หากเมือ่ เห็นแววเนตรพอพระทัย คนให้กถ็ งึ กับโล่งอก ยิง่ ใจเต้นเมือ่ เห็นท่านชายทรงเพ่งมอง ลายมือของตนเองโดยใช้แสงไฟที่สาดออกมาจากตึก พอให้อ่านได้... เพียงครู่เดียว รอยแย้มโอษฐ์ก็ประดับบนริมโอษฐ์ได้รูป “ขอบใจมาก รสสุคนธ์... ฉันจะคิดถึงเธอเวลาดมดอกไม้แห้งถุงนี้” แล้วท่านชายเจตก็ทรงยืน เงยพักตร์มองดวงดาราบนฟากฟ้าก่อนเอ่ยโดยที่ ไม่ได้เหลือบแลมาทางเธอแม้แต่น้อย “ดาววันนี้สวย” รสสุคนธ์เองก็มองผืนฟ้าเบื้องบนเช่นกัน หมู่ดาวหลายกลุ่มก�ำลังกะพริบ ระยิบระยับงดงาม “จริงด้วยเพคะ... แต่หม่อมฉันก็เห็นดาวแทบทุกดวงสวยแบบนี้ทุกวันนะ เพคะ” “ฉันไม่ได้หมายถึงดาวบนท้องฟ้า” “อ้าว... แล้วทรงหมายถึงดาวที่ไหนล่ะเพคะ” ตอนนั้นเองที่ทรงเหลือบเนตรลงมา จ้องลึกเข้าไปในดวงตาด�ำขลับ “ฉันหมายถึงดาวสองดวงในดวงตาของเธอต่างหาก รสสุคนธ์... สวย... จนฉันไม่กล้ามอง” นิง่ ไปครูห่ นึง่ เมือ่ เห็นคนตัวเล็กเอาแต่กะพริบตาปริบๆ จึงรับสัง่ ต่อ “เพราะกลัวจะเก็บเอาไปฝันแล้วพานให้ไม่อยากตื่นอีกตลอดชีวิต...”

117


8

คืนนัน้ รสสุคนธ์แทบไม่ได้นอนทัง้ คืน หญิงสาวพลิกกายไปมา นึกถึงดอกไม้ แห้งทีม่ อบให้ทา่ นแล้วอดละอายใจไม่ได้วา่ มันช่างเป็นของไร้คา่ ไม่มคี า่ งวดอะไรเลย สุดท้ายเจ้าตัวก็ลุกมากลางดึก เปิดไฟสว่างจ้า และรื้อค้นอุปกรณ์เย็บผ้าออกมา อันประกอบไปด้วยเข็ม ด้ายสีฟา้ และสะดึง ก่อนจะบรรจงปักลวดลายบนผ้าเช็ดหน้า สีขาวผืนโปรด แม้จะไม่ได้เก่งกาจทางงานบ้านงานเรือนนัก แต่เธอก็ได้รบั การสัง่ สอน จากทั้งมารดา ชงโค รวมถึงหม่อมเจ้านวลแขด้วย แม้ฝีเย็บจะโย้เย้ไปมาหากก็ไม่ได้ น่าเกลียดจนเกินไปนัก หญิงสาวเอนหลังพิงหมอนขณะก้มหน้าปักอย่างตั้งใจ จนเกือบรุ่งสาง ผ้าเช็ดหน้าซึ่งมีผีเสื้อตัวเล็กก�ำลังโบยบินตรงมุมขวาก็เสร็จสิ้น... รสสุคนธ์มองฝีมือ ตนเองแล้วระบายลมหายใจบางเบา... ท�ำสุดฝีมือแล้วได้เท่านี้เองหรือ เถอะ... อย่างน้อยๆ ก็ยังมองออกว่าเป็นผีเสื้อ ปลอบใจตัวเองเช่นนัน้ แล้วจึงพับผ้าเช็ดหน้าผืนนัน้ เป็นสีท่ บ มองนาฬิกาแล้ว พบว่าล่วงเลยมาถึงหกโมงแล้ว ป่านนี้ท่านชายเจตคงตื่นบรรทมแล้วกระมัง... คิดได้ ดังนั้น รสสุคนธ์จึงวางผ้าเช็ดหน้าในมือลงบนหมอน ก้าวลงจากเตียง อาบน�้ำแต่งตัว ในเวลาอันรวดเร็ว จากนั้นจึงแต่งแต้มเครื่องส�ำอางบนใบหน้าเพียงน้อยอันประกอบ ด้วยแป้งฝุ่นกับลิปสติกสีหวาน 118


ศศิภา

จากนั้นจึงเดินไปหยิบผ้าเช็ดหน้ามาถือไว้ ก่อนคว้ากระเป๋าสะพายแล้วเดิน ดุม่ ออกจากห้อง ไปเตร็ดเตร่อยูห่ น้าห้องบรรทมของหม่อมเจ้าเจตนิพฐิ รอจนกระทัง่ ท่านทรงเปิดประตูแล้วก้าวออกมาพร้อมกระเป๋าเดินทางนั่นล่ะ เธอจึงปราดเข้าไปหา “อ้าว รสสุคนธ์ มาคอยฉันหรือ” “เพคะ... หม่อมฉันมีบางอย่างจะมอบให้” ท่านชายเจตวันนี้องอาจผึ่งผาย ด้วยชุดทหารเฉกเช่นเธอเคยคุ้นและเห็นจนชินตา หากก็ไม่เคยคุ้นใจเสียที... หัวใจ ดวงน้อยยังเต้นไม่เป็นส�่ำอยู่ร�่ำไป “เมื่อคืนเธอให้ฉันแล้วนี่ วันนี้ยังมีอะไรที่ต้องให้อีกหรือ” “หม่อมฉันไม่แน่ใจว่าจะโปรดไหม...” เอ่ยอุบอิบก่อนยืน่ ผ้าเช็ดหน้าในมือไปให้ “เอาไว้ตดิ ตัวเพคะ” จากนัน้ เจ้าตัวก็เอ่ยติดตลกว่า “หม่อมฉันร่ายมนตร์ไว้ในผ้าผืนนี.้ .. ให้ทรงคุ้มครองท่านชายให้แคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งปวงเพคะ” คนตรงหน้ายกมุมโอษฐ์ขึ้น แววเนตรที่กังวลผ่อนคลายและเบาบางลงอย่าง เห็นได้ชัด “สวยดี รสสุคนธ์ ขอบใจมาก” จากนัน้ จึงทรงเอือ้ มหัตถ์มารับไว้อย่างทะนุถนอม แล้วพับเก็บลงไปในกระเป๋าเสือ้ ด้านซ้าย ก่อนจะล้วงหยิบเอาอะไรบางอย่างในกระเป๋ากางเกงออกมา สิ่งที่รสสุคนธ์ เห็นเป็นสร้อยข้อมือสีเงิน ลวดลายธรรมดา ไม่หวือหวา ไม่มีเพชรหรือพลอยฝังอยู่ เช่นเครื่องประดับในกล่องก�ำมะหยี่ที่ทรงประทานให้เธอเมื่อหลายวันก่อน “ยื่นมือมาสิ รสสุคนธ์” หญิงสาวท�ำตามอย่างว่าง่าย ยื่นมือออกไปตรงหน้าให้ท่านได้สวมสร้อย เส้นนั้นบนข้อมือข้างขวาของตนเอง รสสุคนธ์รู้สึกเหมือนหัวใจถูกโอบอุ้มจากหัตถ์ แข็งแกร่ง ท�ำให้ไม่รสู้ กึ เหน็บหนาวและเปล่าดายยามต้องอยูล่ ำ� พังโดยไม่มที า่ นเคียงข้าง อีกต่อไป “หวังว่าเธอจะชอบและสวมมันทุกวัน” เมื่อติดตะขอเสร็จแล้ว เธอก็กระพุ่ม มือไหว้ขอบคุณท่าน น�้ำตารื้นขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ ทั้งห่วงหาอาทร อาลัยอาวรณ์ และใจหายมากนัก ...วันนี้เธอจะไม่ได้เห็นพักตร์ท่าน และคงไม่ได้เห็นอีกเป็นปี สองปี หรือ อาจมากกว่านั้น... 119


รสสุคนธ์ไม่เข้าใจเลยว่าท�ำไมหัวใจจึงเจ็บแปลบได้ถึงขนาดนี้... เจ็บเสียจน ท�ำให้โลกใบนี้ของเธอหมองโศกสลดเสียเหลือเกิน “แล้วฉันจะเขียนจดหมายมาหา” เว้นระยะไว้ครูห่ นึง่ ก่อนรับสัง่ ต่อ “ส�ำหรับ หม่อมแม่ฉบับหนึ่ง และส�ำหรับเธออีกฉบับหนึ่ง” คนตัวเล็กยิ้มบางๆ ในหน้า จากที่หลุบสายตาลงต�่ำซ่อนรอยน�้ำตาก็เงยหน้า สบเนตรนิลกาฬ “จะคิดถึงฉันบ้างไหม” “คิดถึงสิเพคะ” ตอบด้วยเสียงแผ่วหวานก่อนจะมองสบเนตรท่านเนิ่นนาน ราวกับในชีวิตนี้ จะไม่มีวันได้เห็นเนตรคมดุ ลึกลับน่าค้นหาคู่นี้อย่างไรอย่างนั้น พันตรีหม่อมเจ้าเจตนิพิฐถอนพระทัยยาว ดวงเนตรคมกล้าจับจ้องเพียง วงหน้านวล สายลมยามเช้าโชยพัดความหนาวเย็นให้โอบล้อมรอบกายให้สะท้าน ไปถึงหัวใจ “หม่อมฉันเสด็จไปส่งทีส่ ถานีรถไฟไม่ได้ เพราะมีเรียนเช้าเพคะ กลัวกลับมา ไม่ทัน” “ไม่เป็นไรดอก” รสสุคนธ์ระบายลมหายใจยาว อยากจะเอ่ยอะไรมากกว่านั้น แต่สมองตื้อ เสียจนคิดค�ำพูดเลิศหรูตรงใจแล้วปั้นแต่งออกมาเป็นค�ำพูดไม่ได้ “เดินทางปลอดภัยนะเพคะ” ท่านชายเจตทรงเอื้อมหัตถ์มาจับเส้นผมที่ถูกลมพัดจนปรกหน้าปรกตาไป ทัดหูเหมือนคราวก่อนๆ ต่างกันก็ตรงทีค่ รัง้ นีท้ รงวางหลังหัตถ์สมั ผัสแก้มนวลของเธอ อย่างถนัดถนี่... ไม่ใช่ความบังเอิญ แต่ทรงตั้งพระทัยไว้แล้วว่าจะท�ำเช่นนี้ตั้งแต่ สาวบาทออกประตู แล้วสะดุดเนตรกับร่างระหงในชุดนักศึกษา รสสุคนธ์งดงามบริสุทธิ์ราวดอกไม้แรกแย้ม... ทว่าอีกไม่นานดอกไม้ดอกนี้ ก็จะเบ่งบานเต็มที่ อวดรูปโฉมและส่งกลิน่ หอมให้หมูภ่ มรบินมาดอมดม จะมากน้อย เท่าไรนั้น ยังไม่อาจทราบได้ แต่ที่ท่านทรงมั่นพระทัยมาหลายอาทิตย์แล้ว คือ... ทรงหวงดอกรสสุคนธ์ดอกนี้เหลือคณา ไม่ปรารถนาให้ใครมาชิดใกล้ เชยชม หรือครอบครองเป็นเจ้าของ มีเพียงคนเดียวทีส่ ามารถตระกองกอดดอกไม้ดอกนีไ้ ว้ในอ้อมกรคือองค์เอง 120


ศศิภา

“อยู่ที่นี่ ดูแลตัวเองดีๆ นะรสสุคนธ์... แล้ว... อย่าลืมสัญญา” หัตถ์ของท่านยังคงวางแนบชิดพวงแก้มแดงระเรื่อร้อนผะผ่าว สุรเสียงนุ่ม ละมุนอ่อนหวานกว่าเคย... อ่อนหวานพอๆ กับตอนที่ทรงขับกลอนให้เธอฟังที่บ้าน ของเธอเสียอีก “ไม่ลืมแน่นอนเพคะ” รสสุคนธ์ตอบเสียงแผ่ว ก่อนหัตถ์ใหญ่จะเลื่อนไป วางใต้คางมน แล้วผู้เป็นเจ้าของก็ออกแรงเชยคางให้เธอแหงนเงยหน้ามองสบเนตร ขององค์เอง “เห็นสร้อยของฉันแล้ว ก็ระลึกถึงฉันบ้างนะ รสสุคนธ์...” รสสุคนธ์อยากบอกเหลือเกินว่าไม่ตอ้ งเห็นสร้อย หรือสิง่ แทนองค์ใดๆ ดอก ท่านชายเจตก็ทรงประทับเด่นชัดในหัวใจดวงน้อยอยูแ่ ล้ว หากทีท่ ำ� คือนิง่ เงียบ รับฟัง ถ้อยรับฝั่งของท่านอย่างตั้งใจ “ฉันต้องไปแล้ว... ลาก่อน รสสุคนธ์” ทรงละหัตถ์จากปลายคางมน ก้มองค์ลงเปิดกระเป๋าเดินทางหยิบสมุดกับ ปากกาขึ้นมา แล้วบรรจงเขียนอะไรบางอย่างลงในนั้น เพียงครู่เดียวก็ฉีกกระดาษ แผ่นนัน้ พับครึง่ แล้วส่งให้เธอ รสสุคนธ์เอือ้ มมืออันสัน่ ระริกมาถือไว้ในมือก่อนจะยก มือไหว้ จากนั้นจึงเฝ้ามองท่านชายสาวบาทจากไปอย่างใจหายและห่วงหา น�้ ำตาที่ ถูกเก็บกดไว้รื้นขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะหยาดหยดลงมาจากปลายหางตา หญิงสาวรีบ เช็ดมันออกพร้อมกับพร�่ำบอกตนเองว่า ...ท่านชายเสด็จไปท�ำหน้าที่ของชายชาติทหาร เธอควรจะภาคภูมิใจ มิใช่ ร�่ำไห้อย่างน่าอายเช่นนี้... ร่างเล็กสูดลมหายใจเข้าปอดลึกยาว ก่อนจะค่อยๆ เปิดกระดาษที่ยับย่น ในมือของตนเองออก ลายหัตถ์ของท่านตวัดสวยเป็นระเบียบ รสสุคนธ์ไล่สายตามอง ไปตามตัวอักษร หัวใจที่เต้นแผ่วพลันแรงโลดขึ้นมาในบัดดล ...จ�ำใจจ�ำจากเจ้า ฤทัยเฝ้าคะนึงหา ห่วงหวงเจ้าแก้วตา คร�่ำครวญหารวดร้าวใจ... ...อีกไม่นาน เราจะได้พบกัน รอหน่อยนะ รสสุคนธ์... 121


รสสุคนธ์ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าท่านชายรับสั่งให้เธอรออะไร หรือรอสิ่งใด... ถึงกระนั้นเจ้าตัวก็รับค�ำเป็นมั่นเหมาะ “ไม่ว่าสองปี สามปี หรือมากกว่านั้น หม่อมฉันก็จะรอจนกว่าท่านชาย จะเสด็จกลับ” ...กลับมาอธิบายว่าให้เธอรออะไร แม้จะไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย แต่ ลึกลงไปในใจดวงใจกลับมัน่ ใจเหลือเกินว่าการรอคอยนัน้ จะมอบความสุขให้กบั เธอ มิใช่ความเจ็บปวดรวดร้าวหรือทนทุกข์อย่างแน่นอน นับจากวันทีพ่ นั ตรีหม่อมเจ้าเจตนิพฐิ เดินทางไปประจ�ำการทีเ่ ชียงรายนัน้ ชีวิตของรสสุคนธ์ก็ไม่มีอะไรต่างไปจากเดิมมากนัก รุ่งเช้าเธอไปมหาวิทยาลัยโดยมี นายเติบไปส่ง ตกเย็นก็รับประทานอาหารเย็นกับหม่อมเจ้านวลแข บางครั้งก็มีสินี และทรงกลดแวะมาร่วมโต๊ะด้วย จากนั้นก็คอยรับใช้ท่านเล็กๆ น้อยๆ เช่นคอยอ่าน หนังสือให้ฟงั หรือช่วยร้อยมาลัย... เพียงแค่นนั้ จริงๆ ด้วยท่านหญิงนัน้ มีแม่วาดคอย ดูแลใกล้ชิดและแทบจะท�ำทุกอย่างให้อยู่แล้ว สิ่งที่ต่างไปคือ... อาการนั่งเหม่อลอยซึ่งสินีเห็นอยู่บ่อยครั้ง หรือแม้แต่การ ชะแง้แลมองไปยังประตูแทบทุกเย็น หวังเพียงได้เห็นบุรษุ ไปรษณียม์ าหย่อนจดหมาย หน้ากล่องรับจดหมายที่ว่างเปล่า เธอเฝ้ารอ... เฝ้าคอยจนผ่านไปเป็นเดือน ความหวังของเธอก็เริ่มอับแสง เสียแล้ว ...บางทีท่านชายเจตคงลืมไปแล้วกระมังว่ามีคนคอยอยู่ทางนี้... ทั้งหม่อมเจ้านวลแข ทั้งเธอ เฝ้ารอฟังข่าวคราวของท่านอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่คนทางนู้นกลับละเลยที่จะส่งข่าว ‘ฝ่าบาทคงงานยุ่งน่ะครับหม่อมแม่ คุณรส’ แม้จะได้ยินถ้อยค�ำที่พอจะเป็น เหตุผลของการหายพักตร์ไปไม่ส่งข่าวมาที่วังเลยก็ตาม แต่ความน้อยใจของสองสาว ต่างวัยก็ไม่ได้ลดน้อยถอยลงไปเลย หน�ำซ�ำ้ ยังท�ำให้เกิดความขุน่ ข้องหมองใจเสียด้วย เย็นนี้รสสุคนธ์กลับจากมหาวิทยาลัย สิ่งแรกที่เธอท�ำเป็นประจ�ำหลังจาก ท่านชายเสด็จไปเชียงรายคือการถามเด็กรับใช้ว่าไปรษณีย์มาส่งจดหมายหรือเปล่า ถามทุกวี่วันจนวันนี้เมื่อเด็กรับใช้เห็นเธอลงจากรถก็รีบปรี่เข้ามารายงานทันที “วันนี้มีจดหมายถึงหม่อมเจ้านวลแขกับคุณรสเจ้าค่ะ” 122


ศศิภา

เท้าข้างหนึ่งที่ก�ำลังก้าวตรงไปยังตึกสีครีมชะงักค้าง ก่อนดวงตากลมโต จะเบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อ “อะไรนะ? จดหมายหรือ” “เจ้าค่ะ” เมื่อได้รับค�ำยืนยันและแน่ใจว่าตนเองไม่ได้หูฝาดไป รสสุคนธ์ ก็ยมิ้ กว้างทัง้ ปากทัง้ ตา แทบจะกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจด้วยซ�ำ้ ไป มือข้างหนึง่ ละจากการกอดหนังสือแนบอกมาสัมผัสลูบไล้สร้อยเงินทีเ่ ธอสวมติดตัวทุกเวลาอย่าง อ่อนโยน ก่อนรัวลิน้ รวดเร็วถามหาว่าจดหมายสองฉบับนัน้ ว่าอยูท่ ไี่ หน เมือ่ รูว้ า่ วางอยู่ ในตะกร้าในห้องรับแขก ร่างเล็กก็ไม่รอช้าเดินแก้มวิ่งเข้าไปด้านในทันที ตะกร้าหวายที่บรรจุจดหมายสองฉบับวางตั้งอยู่ตรงโต๊ะไม้ตัวเตี้ยด้านหน้า โซฟาตัวยาวนั่นเอง รสสุคนธ์รีบสาวเท้าเข้ามาฉวยไว้ในมือ แล้วก้มอ่านชื่อที่จ่า หน้าซองไว้ ใจเต้นแรงโลดเมือ่ พบลายหัตถ์คนุ้ ตาทีเ่ ธอจ�ำได้แม่นย�ำ สิง่ นัน้ จุดรอยยิม้ แห่งความสุขบนริมฝีปากบางอย่างแจ่มชัดยิ่งกว่าครั้งใดในรอบเดือน “ท่านชาย...” เธอพึมพ�ำแผ่วหวาน ก่อนหันซ้ายหันขวามองหาใครบางคน วิ่งออกมาที่ระเบียง ถามเด็กรับใช้ที่เดินผ่านจนได้ความว่าแม่วาดอยู่ในครัวนั่นล่ะ รสสุคนธ์จึงออกวิ่งในทันใด พลันก้าวพ้นประตูมานั่นล่ะ เสียงอ่อนอกอ่อนใจและ เอือมระอาของคนที่เธอตามหาก็ดังขึ้น “คุณรสเจ้าขา... วิง่ ท�ำไมล่ะเจ้าคะ ไม่งามเลยเจ้าค่ะ” หันมามองเธอด้วยแววตา ต�ำหนิก่อนเอ่ยต่อ “...ป้านึกว่าคุณรสเลิกท�ำตัวกระโดกกระเดกแบบนี้แล้วเสียอีก” “โธ่... แม่วาดคะ รสไม่ได้ตั้งใจ... แค่ดีใจมากเลยลืมตัวไปก็เท่านั้น” แม่วาดวางมีดที่ก�ำลังหั่นผักบนเขียงลง ก่อนเอ่ยถามจริงจัง “ดีใจเรื่องอะไรเจ้าคะ” จากนั้นก็หันไปล้างมือ เช็ดจนแห้งจึงสาวเท้าเข้ามา คุยกันพอให้ได้ยินสองคน โดยไม่ลืมสั่งความให้เด็กรับใช้คนอื่นๆ ตั้งหน้าตั้งตา ท�ำงานกันต่อไป “นีไ่ งคะ” เมือ่ อีกฝ่ายมาหยุดยืนตรงหน้า หญิงสาวก็ชสู งิ่ ทีอ่ ยูใ่ นมือแล้วยิม้ ร่า “จดหมาย?” แม่วาดขมวดคิ้วครุ่นคิด ไม่นานก็เบิกตากว้าง “จดหมายจาก ท่านชายหรือเจ้าคะ” “ก็ใช่น่ะสิคะแม่วาด” แล้วคนฟังข่าวดีกห็ วีดร้องเบาๆ อย่างดีอกดีใจเป็นนักหนา ท�ำท่าทางเหมือน จะพาตัวเองกระโดดขึน้ จากพืน้ เสียด้วยซ�ำ้ นีถ่ า้ ไม่ตดิ ว่าอยูใ่ นสายตาพวกเด็กรับใช้คน 123


อื่นๆ แม่วาดคงท�ำท่าทางดีใจไม่ผิดแผกแตกต่างจากรสสุคนธ์เลยแม้แต่น้อย “แม่วาดเอาไปให้ทา่ นหญิงสิคะ เอ ไม่รวู้ า่ วันนีท้ า่ นหญิงจะกลับดึกหรือเปล่า” “คงกลับดึกเจ้าค่ะ” ว่าพลางหันไปมองทางด้านหลัง “เดีย๋ วป้าจะให้เด็กไปตัง้ โต๊ะแล้วคุณรสก็รับทานเลยนะคะ” เย็นวันนัน้ รสสุคนธ์รบั ประทานอาหารเพียงล�ำพัง และใช้เวลาน้อยทีส่ ดุ เสียด้วย ความหิวที่มีมากมายตอนนั่งรถกลับมาที่วังเหือดหายไปไหนเสียก็ไม่รู้ หญิงสาวเฝ้า จดจ่อแต่เนื้อความในจดหมายฉบับนั้น อยากรู้ว่าท่านชายจะรับสั่งเรื่องอะไรบ้าง จะมีถ้อยค�ำหรือบทกลอนหวานๆ อีกหรือเปล่าหนอ ทันทีที่กลับขึ้นห้อง ร่างเล็กก็ทุ่มตัวลงบนเตียง นอนคว�่ำแล้วบรรจงฉีก ซองจดหมายนั้นออก ลักษณะซองค่อนข้างยับยู่ยี่ และดูเหมือนเปียกน�้ำมารอบหนึ่ง จึงดูเปื่อยแทบจะฉีกขาดในทันใดหากออกแรงมากเพียงนิด ...ท่าทางจดหมายฉบับนี้คงสมบุกสมบันน่าดูกว่าจะมาถึงมือเธอได้ รสสุคนธ์ถอนหายใจยาว อดห่วงสภาพความเป็นอยู่ทางนู้นไม่ได้ ดูๆ แล้ว ท่านชายเจตคงไม่ได้รับความสะดวกสบายอะไรเลยกระมัง หญิงสาวค่อยๆ หยิบจดหมายสีขาวที่พับใส่ซองอย่างเรียบร้อยออกมา คลี่มันออกอย่างเบามือ พลันที่เห็นลายหัตถ์ของท่านเจ้าตัวก็กวาดมองเพียงคร่าวๆ ตัวอักษรเบียดอัดกันแน่นอยู่เพียงสามสี่บรรทัดชวนให้ใจหาย ...ทรงเขียนมาน้อยเหลือเกิน ...น้อยจนไม่อาจทดแทนความคะนึงหาในหัวใจได้เลย นับจากวันที่ท่านชายจากไป วังนี้ที่เคยสวยงาม รสสุคนธ์กลับเห็นมันจืดชืด ไปเสียอย่างนัน้ แถมทุกครัง้ ทีอ่ ยูล่ ำ� พัง ความคิดค�ำนึงของเธอก็คอยแต่จะวนเวียนอยู่ กับหม่อมเจ้าผู้สูงศักดิ์พระองค์นี้ ไม่ว่าจะเป็นครั้งแรกที่เธอก้าวเท้าเข้ามาเหยียบย่าง ในวังที่กว้างขวางใหญ่โต หรือตอนที่เธอเกือบจะเดินชนท่านเพราะก�ำลังเพลิดเพลิน กับการชมดอกไม้ในสวน ตอนนัน้ รสสุคนธ์รอ้ งอุทานเบาๆ รีบสาวเท้าถอยห่างเป็นวา เลยทีเดียว ท่านชายเจตถึงกับถาม... เป็นค�ำถามที่มักถามเธอบ่อยครั้งนับจากวันนั้น ‘กลัวฉันหรือไร... ไปยืนเสียห่าง’ วันนั้นเป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่เธอได้พูดคุยกับท่านอย่างจริงๆ จังๆ ได้เห็น พักตร์คมเข้มทรงเสน่ห์ จนท�ำให้เธอใจเต้น อีกทัง้ ความอ่อนโยนทีแ่ ฝงเร้นอยูใ่ นความ กระด้างดุดันของท่านอีกเล่า... เธอสัมผัสมันได้ตั้งแต่ตอนนั้น 124


ศศิภา

‘อยู่ที่นี่ มีอะไรไม่สบายใจหรืออึดอัดอะไรก็บอกฉันได้... ฉันถือว่าเธอคือ สมาชิกคนหนึ่งของวังนี้’ ...หม่อมเจ้าเจตนิพิฐอาจมีบุคลิกแบบทหาร เด็ดขาดและค่อนข้างดุ หากเอา เข้าจริงท่านทรงอ่อนหวาน อ่อนโยน พระทัยดีจนเธอประทับสิ่งเหล่านั้นไว้ในหัวใจ จนมันเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ... กว่าจะรู้ตัวว่ามากแทบล้นใจก็ตอนที่ท่านต้องเสด็จ ไปเชียงรายนี่เอง หญิงสาวผ่อนลมหายใจยาว ก่อนจะเริ่มต้นอ่านจดหมายในมือ ข้อความบนสุด เริ่มต้นด้วยชื่อของเธอ... เรียบง่าย เคร่งขรึม ตามแบบฉบับ ของท่านชายนั่นล่ะ สวัสดี รสสุคนธ์ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเธอจะได้รบั จดหมายฉบับนีว้ นั ไหน ไม่รวู้ า่ เธอจะได้รบั หรือเปล่าด้วยซ�ำ้ ไป แต่ฉนั ก็ภาวนาอยูท่ กุ วันให้จดหมายฉบับนีถ้ งึ มือเธอโดยเร็วทีส่ ดุ เร็วที่สุดที่ว่านั้นคือหนึ่งเดือนเต็มๆ เลยเทียว... ร่างเล็กส่ายหน้ากับตัวเอง ก่อนอ่านประโยคถัดไป ทีน่ คี่ อ่ นข้างหนาว ทีพ่ กั ก็อยูใ่ นป่า เป็นบ้านไม้หลังเล็กๆ ไม่สะดวกสบายเท่า ที่วังดอก ช่วงแรกฉันยังไม่ได้ท�ำอะไรมากนัก นอกจากตรวจตราท�ำความคุ้นเคยกับ พื้นที่และท�ำความรู้จักกับชาวบ้านแถบนั้น จากนั้นก็จบท้ายประโยคนั้นอย่างเรียบง่าย ...หวังว่าเธอคงสบายดี รสสุคนธ์ถอนหายใจเฮือกเป็นครั้งที่เท่าไรก็ไม่ทราบได้ แถมยังน้อยใจอยู่ ลึกๆ ด้วยซ�้ำว่าทรงเล่าสั้นแสนสั้น ท�ำเหมือนไม่คะนึงหากันเช่นที่เขียนบทกลอนให้ เธอวันนั้น ต่างกับเธอเหลือเกินที่เฝ้าคิดถึงท่านชายแทบทุกเวลาเลยเทียว 125


ก�ำลังจะพับจดหมายฉบับนั้นเก็บแล้ว ก็บังเอิญเห็นข้อความตรงมุมล่างขวา ของจดหมายนั้น รสสุคนธ์รีบเลื่อนตาไปอ่าน แล้วใจเต้นแรงโลดขึ้นมาทันที ฉันไม่ค่อยถนัดเขียนจดหมายให้ใคร หวังว่าเนื้อความในจดหมายจะไม่ท�ำให้เธอเบื่อดอกนะ รสสุคนธ์ คราวหน้า... ฉันหวังว่าจะเขียนดีกว่านี้ ค�ำลงท้ายยิ่งท�ำให้เธอหน้าแดงซ่าน ใจเต้นรัวทีเดียว อยู่ล�ำพังเดียวดายในป่าเขา กลางล�ำเนาพงไพรแสนโหยหา ความอบอุ่นหวานซึ้งจากแก้วตา ดวงดารางดงามยังตรึงใจ ดวงดาราทีว่ า่ ... รสสุคนธ์แน่ใจว่าทรงหมายถึงอะไร หญิงสาวก้าวลงจากเตียง ไปยุดยืนหน้ากระจกตรงโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วเพ่งมองดวงตากลมโตซึ่งใครคนหนึ่ง เคยรับสั่งว่า... กลัวจะเก็บเอาดวงดาวสองดวงไยดวงตาของเธอไปฝันแล้วพานให้ ไม่อยากตื่นอีกตลอดชีวิต... ค�ำพูดแสนหวานจากบุรุษมาดนิ่ง ผู้มีสีพักตร์เรียบเฉยกึ่งดุดันอยู่เป็นนิจ ช่างหลอมละลายหัวใจดวงน้อยของรสสุคนธ์ได้งา่ ยดายเหลือเกิน รสสุคนธ์ระบายยิม้ ในหน้า ก่อนก้มลงอ่านบรรทัดสุดท้ายในจดหมายซึ่งถือติดมือมาด้วย ห่วงเสมอ เจตนิพิฐ จากความน้อยใจเปลี่ยนเป็นความแช่มชื่นขึ้นมาได้บ้างเมื่อได้อ่านบทกลอน ไพเราะและถ้อยค�ำลงท้ายที่ว่า... ห่วงเสมอ... นี่ถ้าท่านชายประทับเคียงข้างแล้ว กระซิบข้างหูคงดีไม่นอ้ ย หัวใจของเธอคงเต้นแรงแทบทะทุออกมานอกอกเลยทีเดียว หญิงสาวยกมือข้างหนึ่งวางทาบแก้มร้อนผ่าวของตัวเองแล้วส่ายหน้าเมื่อคิดเพ้อฝัน บ้าบอไร้สาระยิ่งนัก 126


ศศิภา

ร่างเล็กเดินกลับไปที่เตียง พับจดหมายเก็บไว้ในซองเช่นเดิม ก่อนจะเปิด ลิ้นชักวางมันลงไปในนั้น ทว่าก่อนจะชักมือกลับ สายตาของเธอก็สะดุดเข้ากับ สมุดบันทึกของพี่สาว เดือนกว่าๆ ที่ผ่านมาเธอลืมเรื่อง ‘ลับ’ ของพี่สาวไปเสียสิ้น เพราะมัวแต่วา้ วุน่ ใจเรือ่ งท่านชาย เพิง่ มานึกได้กต็ อนนีเ้ อง รสสุคนธ์พลิกกายนัง่ ห้อย ขากับเตียงแล้วหยิบสมุดเล่มนั้นขึ้นมา มองมันนิ่งอยู่ครู่ รู้สึกถึงความหวาดหวั่น ในหัวใจตัวเองได้เป็นอย่างดี หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดลึกยาว ก่อนจะค่อยๆ พลิกเปิดหน้าแรก เมือ่ พบเพียงความว่างเปล่า เธอจึงพลิกหน้าถัดไป ตัวอักษรเป็นระเบียบสวย ของชงโคจึงปรากฏให้เห็น อ่านคร่าวๆ ก็ได้ความว่าเป็นบันทึกเกีย่ วกับการเต้นลีลาศ ดูทา่ พีส่ าวของเธอคงชืน่ ชอบและสนุกกับมันมากพอดู จึงจดเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยทีค่ ณ ุ ครู สอนไว้อย่างละเอียด รสสุคนธ์หมดความสนใจในบันทึกหน้านัน้ เพียงเท่านัน้ เธอพลิก หน้าถัดไป และอีกห้าหน้าถัดไป ก็ยงั คงเป็นเรือ่ งราวเกีย่ วกับลีลาศอยู่ จวบจนกระทัง่ พบลายมือไม่เคยคุน้ ตวัดโย้เย้อา่ นยากเหลือคณาตรงมุมขวาของหน้าถัดไป รสสุคนธ์ ต้องเอียงสมุดแล้วสะกดทีละตัว แล้วก็เย็นวาบไปทั้งตัวเมื่ออ่านได้ความว่า ...คิดถึง... ใครกันเล่าที่จะเขียนถ้อยค�ำนี้ในสมุดบันทึกส่วนตัวของชงโค ที่แน่ๆ ไม่ใช่ ลายหัตถ์ของหม่อมเจ้าเจตนิพิฐซึ่งเธอจ�ำได้ขึ้นใจ ไม่มีความคล้ายคลึง หรือส่วนใด ส่วนหนึ่งที่เหมือนเลยแม้แต่น้อย เพราะฉะนั้นเพียงคนเดียวที่วาบเข้ามาในความคิด ตอนนี้ก็คือ... ผู้ชายคนนั้น คนที่ชื่อนพรัตน์ หญิงสาวนึกย้อนไปในวันแรกที่ได้รู้จักผู้ชายคนนั้น ที่งานวันเกิดของสินี นั่นเอง เท่าที่จ�ำได้ นพรัตน์เป็นลูกครึ่งไทย-ฝรั่งเศส เป็นนักธุรกิจที่มีกิจการทั้ง ในพระนครและเชียงใหม่ ส่วนใหญ่จะเป็นกิจการอสังหาริมทรัพย์ สินีบอกว่าเขา เป็นเศรษฐีร�่ำรวยทีเดียว น่าแปลกที่มาสนใจและปักใจหลงรักผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว ก็ในเมื่อร�่ำรวยขนาดนั้น รสสุคนธ์เชื่อว่าผู้หญิงในเชียงใหม่และในพระนคร ย่อมหลงใหลและอยากผูกสัมพันธ์กับเขาแทบทุกคน รสสุคนธ์ส่ายหน้ากับตัวเอง ก่อนพลิกหน้าต่อๆ ไป ทว่า... ไม่มีบันทึกใดๆ ที่บ่งบอกถึงความสัมพันธ์ระหว่างชงโคกับนพรัตน์อีกเลย คนที่อยากรู้อยากเห็น ถอนหายใจเฮือก ปิดสมุดแล้วเก็บไว้ที่เดิม บอกตัวเองว่าในเมื่อเรื่องมันผ่านไปนาน แล้ว จะขุดคุ้ยมันให้ได้อะไรขึ้นมา ปล่อยให้มันผ่านมาแล้วผ่านไปดีกว่า 127


...สิง่ ทีเ่ ธอควรท�ำตอนนีค้ อื การดดูแลปรนนิบตั ทิ า่ นชาย และท�ำให้ทา่ นชายมี ความสุข ชดใช้ความผิดให้ชงโคต่างหากเล่า คิดได้ดงั นัน้ รสสุคนธ์กเ็ ลือ่ นลิน้ ชักข้างเตียงอีกชัน้ ให้เปิดออก หยิบกระดาษ จดหมายแผ่นหนึง่ พร้อมปากกาออกมา แล้วหันกลับไปนอนคว�ำ่ วางคางลงบนหมอน และเริ่มนึกว่าจะเขียนอะไรลงไปในจดหมายฉบับนั้นดี เรียบเรียงค�ำพูดอยู่ครู่หนึ่ง จึงจรดปลายปากกาลงบนบรรทัดแรก... เริ่มด้วยวันที่ ก่อนบรรทัดถัดไปจะเป็น... ถึง... ท่านชายเจตนิพิฐ หม่อมฉันได้รับจดหมายจากท่านชายวันนี้หลังจากรอคอยมาเกือบเดือน เพคะ พอได้รับจดหมายจากท่านชายหม่อมฉันกระโดดตัวลอยเลยเพคะ นี่ถ้า ท่านชายประทับอยู่ด้วย หม่อมฉันคงไม่วายโดนดุเป็นแน่แท้ ท่านชายอยูท่ างนูน้ ล�ำบากมากไหมเพคะ ส่วนหม่อมฉันอยูท่ างนีส้ ะดวกสบาย กายเพคะ แต่ใจนั้นยังไม่สบายเท่าที่ควร ด้วยเป็นห่วงท่านชายมากเหลือเกิน... กลัวว่าท่านชายจะไม่มีคนรับใช้ กลัวว่าท่านชายจะต้องนอนตากยุง กลัวท่านชาย จะต้องเร่ร่อนไปนอนกลางป่าและกลางพื้นดินแฉะๆ กลัวว่าท่านชายจะต้องออกรบ และปะทะกับกลุ่มคอมมิวนิสต์ หม่อมฉันกลัวสารพัดเลยเพคะ หม่อมฉันภาวนาอยู่ทุกคืนให้ท่านชายปลอดภัย ดูแลองค์เองดีๆ นะเพคะ ปล. ค�ำสัญญาที่หม่อมฉันสัญญาไว้ หม่อมฉันยังจ�ำได้ขึ้นใจเพคะ ไม่ต้อง ห่วงว่าหม่อมฉันจะลืมเลือนมันไปในช่วงเวลาสองปีนี้ จากนั้นรสสุคนธ์ก็กัดริมฝีปากครุ่นคิดชั่ววินาทีจึงตัดสินใจวางหมอนทับ จดหมายฉบับนั้นกันไม่ให้ลมที่พัดผ่านหน้าต่างเข้ามาพัดให้มันปลิดปลิว จากนั้น ก็สาวเท้าออกจากห้อง เดินแกมวิง่ ลงไปชัน้ ล่าง ออกไปนอกตึก ตรงไปยังซุม้ รสสุคนธ์ ที่ออกดอกขาวสะพรั่ง หยุดยืนชะแง้แลมองอยู่ครู่ จึงตัดสินใจเอื้อมมือไปเด็ดดอกที่ อยู่เหนือศีรษะมาถือไว้ ดมดอมมันเล็กน้อย ก่อนเดินกลับไปยังห้องของตัวเอง รสสุคนธ์ก้าวขึ้นเตียง สอดดอกดอกนั้นในซองจดหมาย แล้วนอนคว�่ำหน้า ทัดปากกากับใบหู ก่อนทิ้งศีรษะลงบนหมอนหลับตานิ่งคิด ชั่วอึดใจทีเดียวกว่าเธอ จะผงกศีรษะขึ้นและเริ่มจรดปลายปากกาในอีกสองบรรทัดถัดจากข้อความสุดท้ายที่ เพิ่งเขียนเสร็จเมื่อครู่ 128


ศศิภา

อยู่ล�ำพังทางนี้แสนห่วงนัก เพิ่งประจักษ์รอยรักรอยคิดถึง บทกลอนวันลาจากยังตราตรึง ในห้วงค�ำนึงยังจดจ�ำมิลบเลือน ห่วงท่านชายเช่นกันเพคะ รสสุคนธ์ เขียนเสร็จก็วางปากกา พับจดหมายฉบับนั้นอย่างบรรจง สอดไว้ในซองซึ่ง มีดอกรสสุคนธ์วางไว้อยูก่ อ่ นแล้ว หญิงสาวดมกลิน่ หอมของดอกนัน้ อีกครัง้ ก่อนยิม้ กับตัวเอง จากนั้นก็เก็บไว้ในลิ้นชักรอเวลาที่จะน�ำไปส่งไปรษณีย์ รสสุคนธ์บดิ กาย แหงนเงยหน้าขับไล่ความเมือ่ ยขบ ก่อนจะคว้าชุดนอนและ ผ้าเช็ดตัวเข้าไปในห้องน�ำ้ เพียงสิบนาที เจ้าตัวก็เดินออกมาในชุดนอนผ้าฝ้ายแขนยาว สีชมพูยาวครึง่ เข่า ยังไม่รสู้ กึ ง่วงแต่อย่างใด จึงอยากจะหาหนังสือสักเล่มมาอ่าน คิดได้ ดังนั้นหญิงสาวก็หยิบกุญแจห้องทรงงานของท่านชายซึ่งวางในลิ้นชักชั้นบนสุดขึ้นมา ท่านชายเจตทรงมีพระทัยดีถึงขนาดสั่งให้ช่างท�ำกุญแจเพิ่มอีกดอก เพื่อให้ เธอเข้านอกออกในห้องทรงงานของท่านได้สะดวก ‘เวลาฉันไม่อยู่ ถ้าเธออยากอ่านหนังสือ จะได้เข้าไปหยิบได้’ แล้วอย่างนีจ้ ะไม่ให้เธอประทับใจความใจดีของท่านไว้ในหัวใจได้อย่างไรเล่า... รสสุคนธ์พมึ พ�ำในใจขณะสาวเท้ายาวๆ ตรงไปยังห้องทรงงานซึง่ อยูอ่ กี ปีกหนึง่ ของตึก ไม่นานนักรสสุคนธ์ก็มาหยุดยืนหน้าห้องทรงงานของหม่อมเจ้าเจตนิพิฐ ใช้เวลาไขกุญแจเพียงอึดใจก็ผลักประตูเข้าไป เอือ้ มมือไปเปิดไฟก่อนเป็นอันดับแรก พลันไฟสว่างจ้าขึน้ มาจนคนตัวเล็กต้องปิดเปลือกตา แล้วกะพริบถีๆ่ เพือ่ ให้คนุ้ ชินกับ แสงด้านใน จากนั้นจึงสาวเท้าเข้าไปยืนหน้าตู้หนังสือสูงท่วมศีรษะซึ่งตั้งชิดผนัง หญิงสาวดึงประตูสเี่ หลีย่ มผืนผ้าบานเล็กให้เปิดออก ก่อนจะไล่สายตาไปตามสันหนังสือ น่าอ่านตรงหน้า มีทั้งหนังสือประวัติศาสตร์ไทย ประวัติศาสตร์ยุโรป วรรณคดีไทย และอังกฤษ แม้แต่หนังสือเกี่ยวกับการแพทย์ ท่านชายเจตก็ทรงอ่านเช่นกัน หญิงสาวไล่สายตาระเรือ่ ยลงมาด้านล่างจนต้องนัง่ คุกเข่าบนพืน้ ตอนนัน้ เอง ที่เธอสะดุดตากับหนังสือกวีนิพนธ์จากนักเขียนชื่อดัง เธอยังไม่เคยอ่านงานของท่าน จึงสนใจเป็นพิเศษ รสสุคนธ์ไม่รอช้า รีบดึงมันออกมา 129


ฉับพลันนัน้ เองอะไรบางอย่างก็รว่ งหล่นลงบนพืน้ รสสุคนธ์ขมวดคิว้ เข้าหากัน เล็กน้อย พลางเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมา สิ่งที่อยู่ในมือเธอนั้นเป็นรูปถ่ายเก่าเก็บ สีขาวด�ำของหญิงสาวในชุดสีขาวลายดอกเปลือยไหล่ เธอก�ำลังยิ้มกว้างจนมองเห็น ลักยิ้มประดับบนแก้มทั้งสองข้าง ผู้หญิงในรูปนี้จะเป็นใคร รสสุคนธ์ไม่รู้ดอก แต่จะให้เดาแล้วล่ะก็... คงเป็น คนรักเก่าของท่านชายเจตกระมัง หญิงสาวเก็บง�ำความสงสัยไว้ในใจ ก่อนจะวางรูปไว้บนกองหนังสือเหล่านัน้ จากนั้นจึงคว้าหนังสือกวีนิพนธ์เล่มที่หยิบมาถือไว้ในมือ ปิดตู้ แล้วสาวเท้าออกมา จากห้อง พร้อมกับตรงดิ่งกลับห้องของตัวเองโดยยังมีภาพของผู้หญิงคนนั้นติดอยู่ ในความคิดค�ำนึง ยังไม่ทนั ถึงห้อง ประตูหน้าวังก็เปิดออกพร้อมกับเสียงเครือ่ งยนต์คนุ้ หูดงั แว่ว มาให้ได้ยิน รสสุคนธ์ชะงักฝีเท้าตรงหน้าต่างโดม เฝ้ามองและรอกระทั่งหม่อมเจ้า นวลแขสาวบาทขึ้นมายังตึก จึงปราดเข้าไปยกมือไหว้ “อ้าว ยังไม่นอนอีกหรือรสสุคนธ์” “ยังไม่ง่วงเพคะ เลยคิดว่าจะหาหนังสือสักเล่มไว้อ่าน” หญิงสาวนิ่งไปชั่วครู่ เดินตามท่านหญิงไปยังห้องบรรทมของท่าน แม่วาดยืนคอยอยู่หน้าห้องด้วยท่าทาง กระตือรือร้น เมื่อเห็นท่านหญิงเท่านั้นก็รีบปรี่เข้ามาแล้วแล้วยื่นจดหมายในมือให้ “จดหมายจากท่านชายเพคะ” “จริงหรือแม่วาด” สุรเสียงท่านตื่นเต้นเป็นล้นพ้น “ดีจริง” ประโยคถัดมาทรงหันมารับสั่งกับเธอ “รสสุคนธ์เข้ามาข้างในก่อนสิ” หญิงสาวรับค�ำ เดินตามไปทรุดนั่งบนพื้นข้างเตียง นั่งเงียบๆ มองท่านอ่าน จดหมายในหัตถ์โดยมีรอยยิ้มประดับริมฝีปากด้วยใจที่เป็นสุข “กว่าจะส่งข่าวมาได้ ต้องรอเป็นเดือนๆ เลยเทียว” “ที่นั่นการเดินทางคงล�ำบากเพคะ การล�ำเลียง ส่งของ หรือส่งจดหมาย คงไม่รวดเร็วเท่าในพระนครดอกเพคะ” รสสุคนธ์เอ่ย ก่อนเสนอตัว “ให้หม่อมฉันช่วยเขียนจดหมายตอบท่านชายดีไหมเพคะ” “อ้อ... ดีสิ รสสุคนธ์ มาๆ... มานั่งตรงนี้มา” รับสั่งพลางทรงยืน สาวบาทน�ำ ไปยังโซฟาริมหน้าต่าง แล้วประทับ เหลือโซฟาอีกตัวไว้ส�ำหรับให้รสสุคนธ์นั่ง 130


ศศิภา

แม่วาดน�ำกระดาษกับปากกามาวางไว้ให้อย่างเรียบร้อย รอจนรสสุคนธ์นั่ง เรียบร้อยแล้ว ท่านหญิงจึงรับสั่ง ร่างเล็กจับปากกา ก้มหน้าก้มตาเขียนอย่างมั่นใจ ไม่นานนักจดหมายทีม่ คี วามยาวเกือบหนึง่ หน้ากระดาษก็เสร็จสิน้ หญิงสาวพับจดหมาย อย่างเรียบร้อยแล้วยื่นให้ท่าน “ขอบใจมาก แม่รส” รับสั่งพลางยื่นให้แม่วาดจัดการใส่ไว้ในซอง “เดี๋ยวหม่อมฉันจะให้นายเติบเอาไปส่งไปรษณีย์วันพรุ่งนี้นะเพคะ” ท่านหญิงพยักพักตร์ก่อนทอดถอนพระทัย “ฉันห่วงชายเจตจริงๆ แม่รส ป่านนี้ไม่รู้จะล�ำบากขนาดไหน” “หม่อมฉันเชื่อว่าท่านชายเจตจะทรงดูแลองค์ได้เป็นอย่างดีเพคะ อย่าทรง กังวลให้มากเลยเพคะ” แม้จะปลอบท่าน แต่ตวั เองก็หว่ งมากไม่แพ้กนั รสสุคนธ์ลอบระบายลมหายใจ ก่อนพยายามเปลี่ยนเรื่องคุยเสีย “พรุง่ นีห้ ม่อมฉันว่าง กะว่าจะไปช่วยแม่วาดท�ำอาหารในครัวเสียหน่อยเพคะ” “ท�ำให้เหนื่อยท�ำไมเล่าแม่รส” ทรงคัดค้านอย่างไม่เห็นด้วย หากรสสุคนธ์ก็ ยังคงไม่เปลี่ยนใจ “หม่อมฉันอยากฝึกท�ำอาหารบ้างเพคะ อย่างน้อยๆ จะได้ท�ำเป็นสักอย่าง สองอย่าง” “อ้อ... อย่างนั้นเองรึ งั้นก็เอาเถอะแม่รส ให้แม่วาดสอนก็ได้... ลองหาอะไร ง่ายๆ ให้แม่รสท�ำแล้วกันนะแม่วาด” ประโยคสุดท้ายท่านหญิงทรงหันมาสัง่ ความกับ คนที่นั่งพับเพียบอยู่บนพื้นไม่ห่างไปนัก จากนัน้ รสสุคนธ์กช็ วนท่านคุยเรือ่ งสัพเพเหระครูใ่ หญ่ทเี ดียว ก่อนจะกลับห้อง ก็อดถามสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจไม่ได้ “จะเป็นการบังอาจไหมเพคะ ถ้าหม่อมฉันจะถามเรื่องใครคนหนึ่ง” “ใครล่ะแม่รส” “วันนี้ ตอนที่หม่อมฉันไปหยิบหนังสือเล่มนี้...” เอ่ยพร้อมกับชูหนังสือ ให้ทา่ นทอดเนตร “บังเอิญรูปใบหนึง่ ร่วงหล่นมาจากทีไ่ หนไม่ทราบเพคะ เป็นรูปผูห้ ญิง หน้าตาสะสวยคนหนึ่ง มีลักยิ้มบนสองข้างแก้มด้วยเพคะ” แววเนตรสีนำ�้ ตาลของท่านเบิกกว้าง เต็มไปด้วยความตกพระทัย... เพียงเท่านี้ รสสุคนธ์ก็แน่ใจว่าท่านทรงรับรู้ว่าผู้หญิงที่เธอเอ่ยถึงเป็นใคร 131


“ตายจริง... ยังมีรูปของผู้หญิงคนนั้นเหลืออยู่อีกหรือนี่” ถ้อยรับสั่งนั้นท�ำให้รสสุคนธ์ต้องขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ... เหตุใดหม่อมเจ้า นวลแขจึงรับสั่งราวกับว่าไม่ปรารถนาให้มีรูปผู้หญิงคนนั้นอยู่ในวังอย่างไรอย่างนั้น!

132


ศศิภา

9

คืนนัน้ รสสุคนธ์ไม่ได้รบั ค�ำตอบทีไ่ ขความกระจ่างใดๆ ให้เลย หม่อมเจ้านวลแข รับสั่งสั้นๆ เพียงว่าเรื่องมันนานมาแล้ว ไม่อยากเอ่ยถึง จากนั้นก็ทรงเปลี่ยนเรื่องคุย ไปเสีย แล้วเธอจะท�ำกระไรได้ แม้จะยังสงสัยเพียงใด แต่การเซ้าซี้ถามหาใช่เรื่องที่ผู้ น้อยควรท�ำไม่ สุดท้ายก็ต้องจ�ำใจท�ำเป็นลืมๆ เรื่องนั้นไปเสีย ผ่านมาหนึ่งปีกับอีกสองเดือน เรื่องราวของผู้หญิงสวยในรูปหายไปจากใจ ของรสสุคนธ์ หญิงสาวลืมเลือนรูปหน้าและรอยยิ้มที่แสนน่ารักของเธอไปเสียสิ้น แล้ว ชีวิตของรสสุคนธ์ตอนนี้เริ่มเรียนหนักขึ้น กิจกรรมก็มีมากขึ้น เธอจึงใช้เวลา ส่วนใหญ่อยู่ที่มหาวิทยาลัย ส่วนข่าวคราวจากหม่อมเจ้าเจตนิพิฐนั้น เธอยังคงได้รับ อย่างสม�่ำเสมอ เดือนละครั้ง หากช่วงหลังๆ เว้นระยะห่างถึงสองเดือนครั้ง เดือนนี้ รสสุคนธ์กเ็ ฝ้าคอยจดหมายจากท่านเหมือนเคย ด้วยผ่านมาสามเดือนแล้วกลับยังไร้ วี่แวว ไม่ส่งข่าวใดๆ มาเลย ...จะทรงเป็นอย่างไรบ้าง เธอไม่อาจคาดเดาได้เลยจริงๆ อีกทัง้ ยังไม่รดู้ ว้ ยซ�ำ้ ว่าท่านชายจะทรงได้กลับมาก่อนวันเกิดครบยี่สิบปีบริบูรณ์ของเธอในอีกสามเดือน ข้างหน้านี้หรือไม่ เธอคงท�ำได้แค่เพียงภาวนาและตั้งความหวังไว้มั่นในใจเท่านั้น ยิ่งเมื่อได้ทราบข่าวคราวของการต่อต้านคอมมิวนิสต์ในหลายพื้นที่จากค�ำ บอกเล่าของทรงกลดก็ยิ่งท�ำให้เธอห่วงท่านชายมากขึ้น 133


เมื่อปีที่แล้วคือปี พ.ศ.2497 จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งด�ำรงต�ำแหน่ง นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้นได้นำ� ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การสนธิสัญญา ป้องกันร่วมกันของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้1 โดยท่านเชื่อว่าสหรัฐฯจะช่วยเหลือ ถ้าถูกรุกรานจากกลุม่ คอมมิวนิสต์... ท่าทางการสูร้ บกับพวกคอมมิวนิสต์คงไม่จบสิน้ ง่ายๆ เป็นแน่แท้ ...ป่านนี้จะทรงเหน็ดเหนื่อยกับภาระหน้าที่มากเพียงใดก็สุดรู้... รสสุคนธ์นงั่ ลูบสร้อยเงินในข้อมือข้างขวาอย่างเหม่อลอย ความห่วงใยฉายชัด ในดวงตากลมโต เธอถอนใจเฮือกแล้วเฮือกเล่า ก่อนหลับตาปล่อยให้ความคิดค�ำนึง ย้อนกลับไปยังข้อความในจดหมายฉบับล่าสุดที่ดูจะ ‘หวาน’ มากกว่าฉบับใด ...เป็นครั้งแรกที่ทรงเขียนค�ำว่า... รัก... ลงไปในนั้นด้วย รสสุคนธ์ที่เธอแนบมา ฉันเอาไปวางไว้บนหัวเตียง ไม่ก็เก็บไว้ในกระเป๋า เอาติดตัวไปไหนมาไหนด้วยเป็นประจ�ำ ไม่เคยห่างหายจากกายแม้สกั ขณะจิตเดียว... คงรักจนยากถอดถอนเสียแล้ว ทรงมิได้เขียนอธิบายให้แน่ชดั ว่า ‘รัก’ อะไร แต่เมือ่ อนุมานจากประโยคก่อน หน้า เธอจึงเชื่อว่าคงบอกรักดอกรสสุคนธ์แน่แล้ว แต่ถึงกระนั้นหัวใจดวงน้อยก็อด เต้นไม่เป็นส�่ำไม่ได้ ...ก็รสสุคนธ์รสู้ กึ ว่าท่านชายทรงบอกรักเธออย่างไรอย่างนัน้ เป็นความละเมอ เพ้อพกที่น่าขันเหลือคณา ยิง่ นานวันรสสุคนธ์กย็ งิ่ ส่ายหน้ากับตัวเองบ่อยขึน้ เพราะความเพ้อฝันไร้สาระ ทั้งหลายแหล่นั่นล่ะ บางครั้งถึงกับค้นลึกเข้าไปในหัวใจเลยทีเดียวว่าตนเองนั้นคิด กับท่านชายเช่นไร ...แค่ผู้ปกครองที่เธอเทิดทูนบูชา ...แค่ประทับใจในความมีพระทัยดีและความห่วงใยของท่าน ...หรือลึกซึ้งกว่านั้น 1 องค์การสนธิสัญญาป้องกันร่วมกันของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEATO) ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก คือ สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส อังกฤษ ปากีสถาน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ประเทศไทย และฟิลิปปินส์ ท�ำให้เกิดอ�ำนาจโดยชอบธรรมในการแทรกแซงของกองทัพนอกภูมิภาค ถ้ามีการบุกรุกโดยคอมมิวนิสต์

134


ศศิภา

หากลึกซึง้ ถึงขัน้ ‘รัก’ รสสุคนธ์เห็นว่าไม่สมควรเลย ท่านชายเจตทรงเป็นพีเ่ ขย เธอไม่ควรคิดอะไรเกินเลยกว่านั้น ที่ส�ำคัญไม่ควรคิดฝันว่าท่านจะทรงเหลียวมอง และสนพระทัยผูห้ ญิงทีก่ ระโดกกระเดก ไม่มคี วามเป็นกุลสตรีแบบเธอเลย... มันช่าง... ไร้สาระสิ้นดี “เป็นอะไรจ๊ะรส ฉันเห็นเธอท�ำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ตั้งนาน” สินนี นั่ เองทีด่ งึ ความหม่นเศร้าเล็กๆ ในจิตใจของเธอให้ฟงุ้ กระจายลอยล่อง และจางหายไปกับสายลม รสสุคนธ์เหลียวไปมองอีกฝ่ายซึ่งเอ่ยต่อ “อะไรกันนี่ เพิง่ สอบเสร็จและก�ำลังจะปิดเทอมได้พกั ผ่อนเกือบสามเดือน ไม่ ดีใจเลยหรือจ๊ะ รสสุคนธ์... ถามจริงเถอะ คิดถึงใครอยู่หรือ” “เปล่าดอก สินี” หญิงสาวปฏิเสธเพียงสั้นๆ ก่อนชวนอีกฝ่ายคุยเรื่องอื่นไป เสีย “พรุ่งนี้คุณทรงกลดชวนฉันกับเธอไปห้างเซ็นทรัลเทรดดิ้ง ตรงย่านสุริวงษ์ เธอ จะไปไหมเล่า สินี” ได้ยินดังนั้นสินีก็รีบรับค�ำอย่างว่องไวเลยทีเดียว ดังนั้นวันถัดมาทั้งสามจึง มาเดินเตร็ดเตร่ในห้างสรรพสินค้าซึ่งก�ำลังเป็นที่นิยม ทรงกลดเป็นฝ่ายเดินน�ำหน้า สองสาวชีม้ อื ชวนชมข้าวของแปลกตา ใช้เวลาเพลิดเพลินอยูเ่ กือบสองชัว่ โมง จึงกลับ ออกมาโดยไม่มีใครซื้ออะไรติดมือมาด้วยแม้สักชิ้น จากนั้นร้อยโทหนุ่มก็พาทั้งสอง แวะรับประทานก๋วยเตี๋ยวเจ้าอร่อยริมถนนสายหนึ่ง เป็นร้านเล็กๆ ไม่ได้เลิศหรูอะไร แต่กลับมีคนนั่งเสียเกือบเต็มร้านเลยทีเดียว “เคยรับทานก๋วยเตี๋ยวที่นี่ไหมครับ... อร่อยมากเทียวล่ะ” เอ่ยชมพลางเดินน�ำไปทรุดนัง่ ด้านในเกือบจะเป็นโต๊ะสุดท้าย จากนัน้ จึงพากัน สั่งสิ่งที่ตนเองต้องการ เพียงอึดใจก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ กลิ่นหอมฉุยก็ถูกบริกรน�ำมาวาง ลงตรงหน้า รสสุคนธ์รับประทานอย่างไม่ค่อยเอร็ดอร่อยนัก มิใช่เพราะรสชาติย�่ำแย่ หรืออะไร แต่เพราะความกังวลห่วงใยในใจต่างหาก... หญิงสาวเป็นห่วงท่านชายเจต เหลือเกิน ไม่ว่าจะพยายามห้ามปรามตัวเองไม่ให้คิดเรื่องเลวร้ายล่วงหน้าสักเท่าไร หากลางสังหรณ์ในใจกลับบอกชัดว่าต้องเกิดเรือ่ งอะไรบางอย่างกับท่านชายเป็นแน่แท้ รสสุคนธ์วางตะเกียบและช้อนในมือ ยกแก้วน�้ำขึ้นดื่มอึกใหญ่ ก่อนปลาย หางตาจะสะดุดกับสายตาของใครคนหนึ่งซึ่งนั่งโต๊ะข้างกัน คนคนนี้เพิ่งก้าวเข้ามานั่ง ตอนที่โต๊ะของเธอได้รับถ้วยก๋วยเตี๋ยวจนครบแล้ว 135


หญิงสาวตวัดสายไปมองในทันใด แล้วก็ต้องตัวเย็นวาบ หัวใจเต้นรัวขึ้นมา เมื่อมองเห็นใบหน้าคนที่ลอบมองเธอได้อย่างชัดเจน เขาไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น นพรัตน์นั่นเอง... ดวงตาคู่คมจ้องมองมาไม่วางตาเลยทีเดียว ยังไม่ทันที่รสสุคนธ์จะบังคับตัวเองให้เมินมองไปทางอื่น ชายร่างสูงใหญ่ผู้ มีดวงตาสีฟา้ อมเทาก็ลกุ ขึน้ ยืนแล้วสาวเท้าตรงมาหา ถือวิวาสะทรุดกายลงนัง่ บนเก้าอี้ อีกตัวที่เหลืออยู่เสียด้วย “สวัสดีครับ” “อ้าว คุณนพรัตน์” สินีนั่นเองที่เอ่ยทักพร้อมยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะ... มาพระนครตั้งแต่เมื่อไรคะนี่” “สักสองวันแล้วครับ คุณสินีสบายดีนะครับ” “สบายดีค่ะ” จากนั้นสินีก็แนะน�ำให้ทรงกลดกับเศรษฐีหนุ่มได้รู้จักกัน ส่วน รสสุคนธ์นนั้ หญิงสาวไม่ได้แนะน�ำเพราะจ�ำได้วา่ ทัง้ สองเคยพบกันเมือ่ ครัง้ งานวันเกิด ของเธอเมื่อปีก่อนแล้ว “คุณคงรู้จักรสสุคนธ์แล้วใช่ไหมคะ” “รู้จักแล้วครับ... ไม่แน่ใจว่าคุณรสจะจ�ำผมได้ไหม” ชายหนุ่มจงใจเรียกคนตรงหน้าว่า ‘คุณรส’ อย่างสนิทสนม “แต่ผมจ�ำคุณได้แม่นเลยเทียว” รสสุคนธ์หน้าตึงไปเล็กน้อย รู้สึกถึงรอยโทสะที่ก�ำลังก่อตัวในหัวใจได้เป็น อย่างดี หญิงสาวลอบพิจารณาคนตรงหน้า ใบหน้าของนพรัตน์คอ่ นข้างเหลีย่ ม เด่นชัด ด้วยแนวกรามแข็งแกร่ง ผิวของเขาค่อนข้างขาว จมูกโด่งเป็นสันสวย และริมฝีปาก หยักโค้งสวยราวอิสตรี หน้าตาของเขาไม่ได้ถือว่าหล่อจัดจนผู้หญิงต้องเหลียวมอง แต่ก็ถือว่าดูดีทีเดียว ยิ่งบวกกับรูปร่างก�ำย�ำล�่ำสัน รวมถึงแววตามั่นใจคู่นั้นแล้ว เธอก็เชื่อว่าผู้หญิงหลายคนคงหลงเสน่ห์เขามานักต่อนัก ...ไม่เว้นแม้แต่พี่สาวของเธอเอง! คิดมาถึงตรงนี้ รสสุคนธ์ก็อดรู้สึกเจ็บปวด ขึ้นมาไม่ได้... เจ็บจนใช้สายตาเคืองแค้น กรุ่นโกรธมองเขาอย่างไม่วางตา ...ก็เพราะผูช้ ายคนนีท้ ำ� ให้พสี่ าวของเธอโบยบินออกนอกลูน่ อกทางจนแม้แต่ ความตายมาพราก ความรูส้ กึ ผิดก็ยงั เกาะกินในใจจนต้องมาเข้าฝันเธอ เป็นเพราะคน ที่ชื่อนพรัตน์คนนี้คนเดียวเท่านั้น! รสสุคนธ์ลมื นึกถึงความจริงในข้อทีว่ า่ พีส่ าวของเธอเองก็มสี ว่ นผิดทีป่ ล่อยตัว ปล่อยใจไปกับความสัมพันธ์อันจอมปลอมฉาบฉวยนั้น ถ้าจะว่ากันตามจริงแล้ว... 136


ศศิภา

ชงโคด่างพร้อยแปดเปือ้ น สาเหตุหนึง่ มาจากความไม่มนั่ คงในจิตใจของตนเองนัน่ เอง “ว่าอย่างไรครับ... ลืมผมไปเสียแล้วหรือ” “เปล่าดอกค่ะ ฉันจ�ำคุณได้... ชาตินี้ก็คงไม่มีวันลืม” นพรัตน์ซึ่งก�ำลังเท้าแขนลงบนโต๊ะแล้วโน้มตัวมาข้างหน้า จุดยิ้มบนมุมปาก เล็กน้อยก่อนเอ่ย “ถ้าผมเป็นที่จดจ�ำในใจคุณได้นานขนาดนั้น ผมจะยินดีเป็นอย่างยิ่ง” รสสุคนธ์สูดลมหายใจเข้าปอด พยายามระงับความโกรธอย่างสุดความ สามารถ ใจจริงอยากจะลุกเดินหนีไปจากสถานการณ์อันน่าอึดอัดตรงนี้เสียให้พ้นๆ แต่ก็ไม่อยากให้สินีและทรงกลดสงสัยอะไรไปมากกว่านี้จึงจ�ำใจต้องกัดฟัน ทนมอง คนที่เธอเหม็นขี้หน้าอย่างสุดหัวใจด้วยความอดทนอดกลั้น นพรัตน์เองดูเหมือนจะรับรูค้ วามรูส้ กึ ของเธอได้ จึงเบีย่ งประเด็นไปคุยเรือ่ ง สุขภาพของคุณนาคร... บิดาของสินีเสีย พูดคุยกันเพียงอึดใจ ก่อนหันไปคุยกับ ทรงกลดเกี่ยวกับสถานบันเทิงที่หนุ่มๆ ชอบไปกัน สอบถามความเห็น ความชอบ อย่างตรงไปตรงมา จากนั้นจึงเบนความสนใจมาจับจ้องมองวงหน้านวลที่แดงระเรื่อ เพราะความโกรธอัดแน่นอยู่ในกายอีกครั้ง ทว่า... ครั้งนี้เขาไม่ได้พูดคุยหยอกล้อเช่นเคย แต่กลับท�ำสุ้มเสียงจริงจัง และหนักแน่น “เอ... ไม่ทราบว่าพวกคุณรู้เรื่องหม่อมเจ้าเจตนิพิฐกันหรือยังครับ” ชือ่ นัน้ ท�ำให้หวั ใจของรสสุคนธ์กระตุกวูบ ก่อนแรงโลดขึน้ มาเร็วรีร่ าวกลองตี “เรื่องอะไรหรือครับ” เป็นทรงกลดเองที่เอ่ยถามก่อนใคร ปรับอิริยาบถจาก นั่งสบายๆ เป็นการโน้มหน้าฟังคู่สนทนาอย่างตั้งใจ “เพือ่ นทหารของผมคนหนึง่ ทีป่ ระจ�ำการอยูแ่ ถบชายแดนในจังหวัดเชียงราย เกิดปะทะกับพวกคอมมิวนิสต์อย่างรุนแรงเมื่อเดือนก่อนจนได้รับบาดเจ็บ ผม ไปเยี่ยมมันที่โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งในเชียงราย ก็บังเอิญได้รับรู้ว่าท่านชายเจตเอง ก็ทรงบาดเจ็บเช่นกัน” “อะไรนะคะ” “อะไรนะครับ” ทัง้ สามโพล่งถามออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นดั หมาย ตามมา ด้วยเสียงพึมพ�ำอย่างนึกสงสารของสินี เสียงสบถค�ำอย่างหัวเสียที่ไม่ได้ไปร่วมรบ 137


เคียงบ่าเคียงไหล่กบั ท่านชายของทรงกลด และเสียงกระซิบบางเบาทีเ่ ล็ดลอดออกมา จากริมฝีปากสั่นระริก “ไม่จริง...” “เชื่อผมเถิดครับ คุณรส... ผมเองก็ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับการแจ้งข่าวนี้ กับพวกคุณเลยสักนิด แล้วผมจะโกหกไปท�ำไม” ชายหนุ่มนิ่งไปครู่ เห็นมือที่ก�ำลัง ยกลูบหน้าของรสสุคนธ์สนั่ ระริกอย่างชัดเจนก็เอ่ยต่อไปว่า “ก่อนทีท่ า่ นจะไม่ได้สตินนั้ ท่านสัง่ ให้คนของท่านซึง่ รวมถึงเพือ่ นของผมด้วยว่าไม่ให้แพร่งพรายเรือ่ งนีใ้ ห้ครอบครัว หรือคนทางพระนครรับรู.้ .. ให้โชคดีเหลือเกินทีบ่ งั เอิญผมไปเยีย่ มเพือ่ นทีโ่ รงพยาบาล นั้นเลยได้ยินนางพยาบาลพูดกันเรื่องท่านชายเข้า” ชายหนุ่มทอดถอนใจเล็กน้อย “...ทีผ่ มเล่าให้ฟงั นีก่ เ็ พราะเห็นว่าพวกคุณคงยังไม่ได้รบั รูค้ วามจริงอันน่าหวาดหวัน่ นี้ จึงพูดคุยหัวเราะยิ้มแย้มกันอย่างสนุกสนาน ทั้งที่หม่อมเจ้าเจตนิพิฐก�ำลังทนทุกข์ ทรมานเพราะพิษบาดแผล” “ทรง... บาดเจ็บมากหรือคะ” รสสุคนธ์ถามออกไปอย่างยากเย็นและพยายาม ไม่ให้เสียงของตัวเองสั่นมากจนเกินไปนัก “ผมแวะไปเยี่ยมเพื่อนของผมที่โรงพยาบาลเมื่ออาทิตย์ก่อน ได้ยินคนที่นั่น พูดกันว่าอาการของหม่อมเจ้าเจตนิพิฐเป็นตายเท่ากัน” เพียงเท่านัน้ รสสุคนธ์กไ็ ม่สามารถทนนัง่ อยูใ่ นร้านเล็กๆ ทีผ่ คู้ นนัง่ เบียดเสียด แย่งอากาศกันหายใจได้อกี ต่อไป ร่างเล็กวางเงินพอค่าก๋วยเตีย๋ วลงบนโต๊ะแล้ววิง่ ออกมา หน้าร้านมุง่ หน้าไปตามบาทวิถี นานเท่าใดก็สดุ รูก้ ว่าเธอจะโผเข้าไปเกาะกอดต้นไม้ใหญ่ แล้วหอบหายใจแรง เมือ่ ตวัดสายตามองไปยังถนน รถราทีว่ งิ่ ขวักไขว่ในสายตาของเธอ ยามนีก้ ลับพร่ามัวเสียเหลือเกิน หญิงสาวยืนถือกระเป๋าเคว้งคว้างเหม่อลอย ขณะค�ำพูด ของนพรัตน์ยังดังก้องซ�้ำไปซ�้ำมาในหัว ...เป็นตายเท่ากัน... โอ... นี่มันเรื่องจริงหรือนี่... เธอก�ำลังฝันไปหรือเปล่า ท�ำไม... ท�ำไมถึงเกิดเรื่องร้ายแรงกับท่านได้ถึงเพียงนี้ รสสุคนธ์ไม่รู้เลยว่าตนเองก�ำลังสาวเท้าไปข้างหน้าราวคนละเมอ น�้ำตาที่ เอ่อท้นและบดบังทัศนวิสัยอันแจ่มชัดให้เลือนไปเริ่มหยาดหยดลงจากปลายหากตา ตกต้องแก้มนวลหยดแล้วหยดเล่า กระทัง่ เสียงสะอืน้ ดังเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปาก สั่นระริก น�้ำตาจึงร่วงพรูราวกับท�ำนบกั้นถูกท�ำลาย 138


ศศิภา

ท่านชาย... ได้โปรดอย่าเป็นอะไรไปนะเพคะ... คนตัวเล็กเงยหน้ามองเบือ้ งบน เพ่งมองเมฆขาวซึง่ ลอยคว้างอยูบ่ นท้องนภา ราวกับตัง้ ใจจะส่งผ่านความคิดค�ำนึง ความถวิลหา ความห่วงใย และทุกอณูของความ รู้สึกในหัวใจไปถึงคนคนนั้น ...ได้โปรด ให้หม่อมฉันได้ตอบแทนพระคุณของท่านก่อนนะเพคะ ...ได้โปรด ให้หม่อมฉันชดใช้ความผิดบาปที่พี่ชงท�ำต่อท่านให้หมดสิ้น เสียก่อน ...และได้โปรด อย่าทิ้งให้หม่อมฉันอยู่เดียวดายโดยไม่มีท่านชายเคียงข้าง เลยเพคะ... รสสุคนธ์ได้แต่พมึ พ�ำอยูเ่ พียงในใจ เท้าทัง้ สองก้าวไปข้างหน้าอย่างอัตโนมัติ ราวกับผู้เป็นเจ้าของปรารถนาจะโบยบินไปหาคนที่อยู่ในห้วงค�ำนึงเสียแล้ว ชั่ววินาทีหนึ่ง รสสุคนธ์ยังจ�ำได้ถึงบทกลอนแสนหวานที่ใครบางคนบรรจง สรรค์สร้างและเขียนผ่านจดหมายมาให้เธอ ท่านชายระบุมาว่า ฉันมีกลอนบทหนึ่งส่งมาให้ลองพิจารณาดูหน่อยได้ไหมว่ากลอนบทนี้ใช้ได้ หรือย�่ำแย่เกินทน โอ้... เจ้าดอกรสสุคนธ์ กลิ่นหอมดอมดม ชื่นหทัยเหลือคณา อยากกกกอดเจ้าไว้ ในอ้อมอกอุ่นนี้หนา ปรารถนาเจ้าเป็นยอดชีวา ตราบแผ่นดินกลบหน้า เจ้าคือหนึ่งในหทัย หลังอ่านจบในครั้งนั้น รสสุคนธ์เฝ้าครุ่นคิดอยู่หลายวันว่าเจ้าดอกรสสุคนธ์ ที่ท่านชายหมายถึงนั้นคือผู้หญิงคนไหน ยิ่งไปกว่านั้น... ในความคิดเพ้อฝันไร้สาระ ของเธอยังปรารถนาจะเป็นดอกรสสุคนธ์ดอกนั้นให้ท่านชายเจตได้ทรงกกกอดตาม ประสงค์เสียเหลือเกิน มาถึงวันนี้ นาทีนี้ รสสุคนธ์อยากขับขานบทกลอนตอบท่านไปว่า 139


‘โอ้... เจ้าดอกรสสุคนธ์ ชูช่อระทม ขมขื่นในอุรา ด้วยห่วงพี่เจ้าเหลือคณา โปรดเมตตาอย่าทิ้งน้อง ให้ต้องทุกข์ตรมเอย’ หญิงสาวหยุดยืนสงบนิง่ หากใบหน้ายังแหงนเงยมองท้องฟ้า สรรพสิง่ รอบตัว เงียบสงัดราวกับเธอยืนอยู่ล�ำพังเดียวดาย ไกลห่างผู้คนเป็นร้อยเป็นพันโยชน์ ชั่ววินาทีนั้น เสียงแตรจากรถยนต์ที่ก�ำลังพุ่งมาตามถนนก็ดังขึ้นเรียกสติ ที่หลุดลอยของรสสุคนธ์ให้กลับคืนในฉับพลัน ร่างเล็กตวัดสายตาไปมอง พร้อม กรีดร้องเมือ่ เห็นไฟกะพริบถีเ่ ร็ว เธอปิดเปลือกตาเร็วรี่ เตรียมรับความเจ็บปวดทีค่ งจะ ถาโถมเข้าใส่กายของตนเองในไม่ช้านี้ ณ วินาทีนั้น ถ้าถามว่าเธอกลัวตายหรือไม่... รสสุคนธ์ตอบได้อย่างเต็มปาก เต็มค�ำว่าไม่ หากจะกลัวก็กลัวเพียงเรื่องเดียว คือยังไม่ได้ปรนนิบัติรับใช้หม่อมเจ้า เจตนิพฐิ เท่าทีค่ วร ยิง่ ไปกว่านัน้ เธอปรารถนาจะเห็นท่านฟืน้ จากอาการบาดเจ็บ ได้เห็น แววเนตรดุๆ ได้ยินสุรเสียงห้าวต�่ำ ได้ฟังท่านชายทรงขับกลอนอีกครั้ง เพียงเท่านี้ที่เธอปรารถนา... จริงๆ รสสุคนธ์ตอ้ งหวีดร้องอีกครัง้ เมือ่ รูส้ กึ ว่าตนเองถูกกระแทกจากอะไรบางอย่าง มิใช่โลหะแข็งๆ จากรถยนต์ แต่เป็นบางอย่างทีน่ มุ่ หยุน่ หากก็แกร่งราวก�ำแพง ร่างเล็ก ลอยละลิ่วเหนือพื้นก่อนล้มกระแทกลงบนถนนคอนกรีต ไถลไปไกลเกือบสองหรือ สามเมตร ดีที่ชุดที่เธอสวมเนื้อผ้าหนาจนถนนสายนั้นไม่สามารถท�ำให้มันขาดวิ่นได้ จะมีก็เพียงรอยถลอกเป็นขุยๆ เท่านั้น ทว่าส่วนที่โผล่พ้นเสื้อแขนสั้นคอจีนสีฟ้านี่สิ ถลอกปอกเปิกจนมีเลือดไหลซิบๆ หากนัน่ ไม่ได้ทำ� ให้เธอตกใจเท่ากับเหตุการณ์หน้าสิว่ หน้าขวานทีเ่ พิง่ เผชิญมา รสสุคนธ์หายใจหอบแรง เรียกสติที่ปลิดปลิวหายวับไปกับความตกใจกลับคืนมา ก่อนค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึน้ มอง สิง่ แรกทีเ่ ห็นคือดวงตาสีฟา้ อมเทาของใครบางคน... คงจะเป็นคนที่ช่วยเธอไว้น่ะเอง รอยน�้ำตายังคงท�ำให้ภาพตรงหน้าพร่ามัว ยิ่งเมื่อเกิดบาดแผลปวดแสบ ปวดร้อนบนร่างกายด้วยแล้ว คนตัวเล็กก็แทบมองอะไรตรงหน้าไม่เห็นเอาเสียเลย 140


ศศิภา

หญิงสาวรับรู้ได้ว่าใครคนนั้นช่วยพยุงเธอให้ลุกขึ้นยืน ก�ำลังจะหันไปขอบคุณ แต่ เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นเสียก่อน “เป็นอะไรมากไหมครับ” “ขอบคุณที่ช่วยฉันไว้ค่ะ” รสสุคนธ์ยกหลังมือที่ไม่มีบาดแผลเช็ดน�้ำตาของตนเองอย่างลวกๆ พร้อม กับเสียงตะโกนร้อนรนของหนึ่งหนุ่มและอีกหนึ่งสาวดังขึ้นไม่ไกล ตอนนั้นคนที่เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดเริ่มจะมองเห็นทุกอย่างชัดเจนขึ้นแล้ว จึงได้รวู้ า่ ทัง้ ทรงกลดและสินกี ำ� ลังวิง่ หน้าตัง้ เข้ามาหาอย่างร้อนใจ เมือ่ หันกลับมามอง คนช่วย หวังจะมองให้เห็นชัดกับตาว่าเขาเป็นใคร เธอก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปในทันทีเมื่อ ผู้ชายคนนั้นคือนพรัตน์... “คุณ...” “ครับ... ผมเอง” หนุ่มลูกครึ่งกวาดตามองเธอทั่วตัว โดยไม่ได้ใช้สายตา จาบจ้วง หากเป็นสายตาส�ำรวจว่าเธอมีบาดแผลตรงไหนบ้าง “ผมว่าคุณน่าจะไป โรงพยาบาลเสียหน่อย” “รส! เป็นไงบ้าง!” “คุณรสบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ” สินีวิ่งเข้ามาเกาะต้นแขนของเธอไว้ ส่วนทรงกลดก็มองเธอด้วยแววตากังวล เต็มเปี่ยม “ไม่เป็นไรมากดอก แค่แผลถลอก” หญิงสาวเหลือบไปทางคนทีช่ ว่ ยชีวติ เธอ เพียงชั่ววินาทีก่อนเอ่ย “ต้องขอบคุณคุณนพรัตน์ที่ช่วยฉันไว้” ได้ยนิ ดังนัน้ สองหนุม่ สาวก็หนั ไปขอบคุณหนุม่ ลูกครึง่ ตัวสูงใหญ่เป็นการใหญ่ เลยทีเดียว จากนัน้ เมือ่ สินเี ห็นรอยแผลตามแขนของเธอ ก็รบี เร่งเร้าให้ทรงกลดพาเธอ ไปส่งโรงพยาบาล แต่คนเจ็บกลับปฏิเสธท่าเดียว “ไม่เป็นไรจริงๆ สินี แผลถลอกแค่นี้เดี๋ยวก็หาย” เธอเหลือบมองไปยังผู้มี พระคุณของตนเองอีกครั้ง เห็นเขาก�ำลังยกแขนนวดท้ายทอยของตนเอง... คงจะ คอเคล็ดตอนที่กระโจนเข้ามาช่วยชีวิตเธอกระมัง หน�ำซ�้ำตรงแขนเขาก็ยังมีบาดแผล ไม่แพ้เธอเช่นกัน “คุณก็ควรจะไปโรงพยาบาลเช่นกันนะคะ คุณนพรัตน์” “ไม่เป็นไรครับ... ก็อย่างที่คุณบอก แผลแค่นี้เดี๋ยวก็หาย” ได้ยนิ ดังนัน้ รสสุคนธ์กไ็ ม่เซ้าซี้ หญิงสาวจับจูงมือสินเี ดินเลีย่ งหลบแสงแดด 141


ยามบ่ายไปยืนใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างทางโดยมีหนุ่มทั้งสองเดินตามหลังมาติดๆ “ขอโทษที่ท�ำให้ทุกคนวุ่นวายและเป็นห่วง... ฉันนี่ใช้ไม่ได้เลยจริงๆ” “อย่าโทษตัวเองเลย... เธอไม่เป็นอะไรก็ดถี มไปแล้ว” รสสุคนธ์เม้มริมฝีปาก แน่น กลั้นน�้ำตาที่รื้นขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนถอนหายใจเฮือก กัดริมฝีปาก ชั่งใจอยู่ครู่จึง โพล่งออกมาว่า “สินี... เธออยากไปเชียงรายกับฉันไหม” “อะไรนะรส... เธอคิดจะไปเชียงรายหรือ จะไปยังไง แล้วไปพักที่ไหนล่ะ ฉันไม่มีญาติอยู่ที่นู่น เธอเองก็เหมือนกัน” สินีรัวลิ้นรวดเร็วเอ่ยทักท้วงอย่างตกอก ตกใจ “อย่าไปเลย อันตราย” ทรงกลดเองก็ไม่วายห้าม เขาให้เหตุผลว่าผูห้ ญิงสองคนเดินทางไกลไม่เหมาะ และไม่ปลอดภัยเอาเสียเลย “เดือนหน้า ผมก็จะลาพักร้อนแล้ว... รอก่อนได้ไหมคุณรส... ผมจะได้ไป พร้อมพวกคุณ ที่ส�ำคัญ... เรายังไม่ได้เห็นกับตา ไม่ได้มีข่าวบาดเจ็บของท่านชาย ออกมาอย่างเป็นทางการ ก็อย่าเพิ่งคิดเลวร้ายไปเลยครับ บางทีท่านชายอาจแค่ บาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น” “ถึงอย่างนัน้ ก็เถอะค่ะ ยังไงรสก็รอ้ นใจ ทีส่ ำ� คัญ ถ้าท่านชายบาดเจ็บหนัก รส ก็อยากไปดูแลใกล้ๆ จริงๆ อยากเดินทางไปวันพรุ่งนี้เลยด้วยซ�้ำ จะให้รอเดือนหน้า คงไม่ไหว” เกือบปีแล้วที่รสสุคนธ์แทนตัวเองว่ารสกับทรงกลด เนื่องจากรู้จัก คุ้นเคย สนิทสนมมาพอสมควร และเธอก็เห็นว่าทรงกลดนัน้ เป็นผูช้ ายทีแ่ สนดี สุภาพ ไว้ใจได้ แม้บางครั้งเขาจะดูเจ้าชู้ไปหน่อยก็ตาม หากลึกลงไปแล้ว เขาเป็นคนที่จริงใจคนหนึ่ง เลยทีเดียว “โอ... ไม่ดีแน่ครับ คุณรส” ร้อยโทหนุ่มส่ายหน้าดิก “ถึงคุณจะไม่เห็นด้วย รสก็จะไปค่ะ” ยามดื้อ รสสุคนธ์ก็ดื้อไม่แพ้ใครเลย จริงๆ ทรงกลดบ่นพึมพ�ำในใจอย่างไม่รู้จะจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไรดี “ท่านหญิงนวลแขเองก็คงอยากไปให้ก�ำลังใจท่านชายเหมือนกัน แต่ถ้าจะให้เดินทาง ไปไหนไกลๆ คงล�ำบาก รสจะขอไปแทนท่านเอง... ท่านจะต้องทรงเห็นด้วยที่รส จะไปดูแลท่านชายค่ะ” คนที่ยืนนิ่งเงียบฟังอยู่นานสาวเท้าเข้ามาในวงสนทนา ก่อนเอ่ยด้วยเสียง สุภาพ หากแววตามีรอยหมายมาดไว้ในใจว่า 142


ศศิภา

“จะว่าอะไรไหมถ้าผมจะไปเป็นเพือ่ นคุณสองคนเอง” ไม่รอให้อกี ฝ่ายตอบรับ หรือปฏิเสธ นพรัตน์รบี เอ่ยต่อ “ผมก�ำลังจะกลับเชียงใหม่วนั พรุง่ นี้ และสัง่ ให้คนของ ผมไปรับที่นู่น ถ้าคุณไปกับผม พอถึงเชียงใหม่ ผมจะได้ให้คนไปส่งที่เชียงรายเลย ผมมีบ้านพักอยู่ที่นั่นด้วย” รสสุคนธ์นิ่งเงียบไปนาน เธอคิดว่าการไปพักบ้านของนพรัตน์นั้นเห็นจะไม่ สมควรเท่าไรนัก แต่การที่มีเขาร่วมเดินทางไปด้วยก็คงดีกว่าต้องเดินทางไปเพียง ล�ำพัง หน�ำซ�้ำเรื่องการเดินทาง เรื่องที่พัก ก็ไม่ต้องกังวลอะไรเลยสักนิด ...นพรัตน์คงไม่ใช่คนเลวชัว่ ช้าอะไร อย่างน้อยเขาก็เคยช่วยชีวติ เธอไว้ ส่วนดี ในตัวเขาคงจะมีอยู่บ้างนั่นแหละ “ถ้าคุณร่วมเดินทางไปด้วยก็ดีค่ะ ส่วนเรื่องที่พัก ฉันไม่รบกวนคุณดีกว่า” นพรัตน์พยักหน้า เขายังไม่อยากเซ้าซี้เรื่องที่พัก ไว้ให้เธอไปถึงที่นู่นก่อน เขาจะโน้มน้าวให้เธอยอมไปพักกับเขาอย่างเต็มใจก็ยังไม่สาย คิดดังนั้นชายหนุ่ม ก็ยิ้มบางๆ ในหน้า แววตาของเขาพราวระยับยามจับจ้องวงหน้านวลตรงหน้า ก่อน เอ่ยเป็นประโยคสุดท้ายแล้วเดินจากไป “งั้นพรุ่งนี้ผมจะแวะไปคุยเรื่องการเดินทางกับคุณที่วังนะครับ คุณรส” กลับถึงวังด้วยสภาพเหมือนวิง่ มาหลายร้อยกิโลเมตร รสสุคนธ์แสดงอาการ เหนื่อยอ่อนอย่างเห็นได้ชัด ตอนนั้นเองที่เธอเพิ่งจะเข้าใจค�ำที่ใครๆ บอกกันว่า... หัวใจมีผลต่อร่างกายเสมอ ตอนนีใ้ จของเธออยูใ่ นช่วงอ่อนแอเกือบถึงทีส่ ดุ จึงท�ำให้ ร่างกายของเธออ่อนระโหยโรยแรงอย่างน่าประหลาด หลังจากตกลงกับสินีเรียบร้อยแล้วว่าจะไปเชียงรายด้วยกัน โดยให้นพรัตน์ เดินทางไปด้วย ทั้งสามก็พากันกลับ โดยทรงกลดขับรถไปส่งสินีก่อน จึงแวะมาส่ง เธอที่วัง ถือโอกาสเฝ้าหม่อมเจ้านวลแขเสียด้วยเลย ชายหนุ่มน�ำรถเข้าไปจอดที่เดิม จากนั้นคนทั้งสองก็สาวเท้าเข้าไปด้านใน ตรงไปยังห้องรับแขกเมื่อถามเด็กรับใช้คนหนึ่งและได้รับค�ำตอบว่าท่านหญิงประทับ อยู่ในห้องนั้น ทันทีที่รสสุคนธ์สาวเท้าเข้าไปด้านใน หม่อมเจ้านวลแขซึ่งก�ำลังรับสั่ง อะไรบางอย่างกับแม่วาดในห้องรับแขกถึงกับขมวดขนง ยิ่งเมื่อเห็นสภาพเสื้อผ้าที่ เปรอะเปื้อนและรอยถลอกตรงช่วงแขนที่บัดนี้มีรอยเลือดแห้งกรังอยู่ประปราย ท่าน ก็ถึงกับยกมือทาบอุระอย่างตกพระทัย 143


“ตายจริง แม่รส เกิดอะไรขึ้นน่ะ” ทรงกลดซึ่งเดินตามหลังมาเป็นคนตอบแทน “คุณรสเธอหกล้มนิดหน่อยครับ” ร้อยโทหนุ่มตัดสินใจไม่เล่าความจริงด้วยไม่อยากให้ท่านตกพระทัยไป มากกว่านี้ ยิ่งเรื่องที่จะต้องเล่าเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของท่านชายเจตด้วยแล้ว ชายหนุ่มก็เป็นห่วงเหลือเกินว่าจะทรงเป็นกังวลจนถึงกับประชวรอย่างกะทันหัน “ไม่เป็นอะไรมากดอกเพคะ” ร่างเล็กยกมือไหว้ก่อนทรุดกายลงนั่งเคียงข้างเมื่อเห็นท่านหญิงทรงชี้หัตถ์ ข้างๆ องค์ “ไหนดูซิ... เดินอย่างไรถึงหกล้มได้เล่า แม่รส” ทรงบ่นพึมพ�ำก่อนสั่งความให้แม่วาดน�ำอุปกรณ์ปฐมพยาบาลมา จากนั้น จึงปล่อยให้แม่วาดทายาลงบนรอยแผล พร้อมกับหันไปรับสั่งกับทรงกลด เรื่องที่ ทรงถามยังคงเป็นเรื่องเดิมๆ เช่นเคย “ได้ข่าวชายเจตบ้างไหมทรงกลด” คนถูกถามหายใจลึกยาวอย่างอึดอัด เหลือบมองหน้ารสสุคนธ์ที่เต็มไปด้วย ความกังวลก็ให้หนักใจนัก หากจะบอกท่านตามที่ได้ยินได้ฟังจากนพรัตน์ก็เกรงว่า ท่านจะล้มฟุบไปเท่านั้น เมื่อจ�ำเป็นจริงๆ เขาก็ต้องพูดปดสักครั้ง “หม่อมได้ข่าวมาว่าท่านชายทรงพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล” “อะไรกัน? ป่วยหรือบาดเจ็บ” สุรเสียงเต็มเปี่ยมด้วยความกังวล “บอกแม่ซิ ทรงกลด ชายเจตเป็นอะไรมากไหม” “ทรงบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้นฝ่าบาท อีกไม่กี่วันก็คงเสด็จกลับบ้านพัก ได้แล้ว” “หม่อมฉันอยากจะขออนุญาตเพคะ” เมื่อสบโอกาส คนที่รีๆ รอๆ อยู่นาน ก็เอ่ยขึ้นมาทันใด ตอนนั้นแม่วาดทายาบนแผลของเธอจนเรียบร้อยแล้ว หญิงสาว จึงวางมือประสานกันบนหน้าตัก “ปิดเทอมนี้ หม่อมฉันจะขอเดินทางไปดูแลท่านชาย ที่เชียงรายได้ไหมเพคะ” “ไกลนะนั่น” แม้จะห่วงบุตรเพียงใด หากถึงอย่างไรรสสุคนธ์ก็เป็นผู้หญิง การเดินทางไปไกลเช่นนั้นอันตรายยิ่ง “จะไปได้อย่างไรแม่รส เดินทางคนเดียวหรือ แล้วจะไปอย่างไร จะไปพักที่ไหน” 144


ศศิภา

ค�ำถามหลายค�ำถามตามมาเช่นเดียวกับที่สินีถามเธอก่อนหน้านี้ “เดินทางไปกับสินีเพคะ ส่วนที่พักยังไม่ทราบเพคะ แต่หม่อมฉันคิดว่า ที่ค่ายทหารทางนู้นอาจจะมีที่พักไว้ให้บ้าง ส่วนตอนเดินทางคุณนพรัตน์จะร่วมทาง ไปด้วยเพคะ” “นพรัตน์?“ พลันทีไ่ ด้ยนิ ชือ่ ของคนคนนัน้ ท่านหญิงนวลแขก็รบั สัง่ ถามเร็วรี่ ร้อนรนจนน่าสงสัย “นพรัตน์ไหนกัน?” “นพรัตน์ บอนเน็ต เพคะ” พลันที่ค�ำตอบเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากงาม ท่านหญิงก็ถึงกับครางลึก ในพระศอ ขนงที่ขมวดอยู่แล้วม้วนตัวเข้าหากันยิ่งขึ้นจนแทบเป็นปม “บอนเน็ต... บอนเน็ตงั้นหรือ” “ทรงเป็นอะไรไปเพคะ” เห็นท่าทางนิ่งงันไปของหม่อมเจ้านวลแข รสสุคนธ์ ก็ตอ้ งเอ่ยถามอย่างห่วงใย ดูทา่ นามสกุลของนพรัตน์คงจะมีความลึกลับซับซ้อนซ่อนอยู่ กระมัง จึงท�ำให้พักตร์ของท่านหญิงซีดราวกระดาษเลยทีเดียว “รู้จักกับนายนพรัตน์ได้อย่างไรล่ะ แม่รส” แทนค�ำตอบ ท่านหญิงกลับ รับสั่งถามเสียอย่างนั้น คนถูกถามเป็นนิ่งงันบ้าง... ก็จะเล่าได้อย่างไรว่าเธอรู้จักเขาทางจดหมายรัก ทีส่ ง่ มาถึงชงโค บอกความจริงไปท่านก็รงั แต่จะเจ็บปวดพระทัย อาจจะถึงขัน้ กริว้ เธอ เสียด้วย ที่ส�ำคัญจะกลายเป็นว่าเธอเป็นคนประจานพี่ชงเสียเอง... สุดท้ายรสสุคนธ์ ก็จ�ำต้องพูดปด “รู้จักกันเมื่อปีก่อนที่งานวันเกิดครบสิบแปดปีของสินีเพคะ” “งั้นหรือ” “ทรงรู้จักคุณนพรัตน์หรือเพคะ” “ก็ไม่เชิงดอก... ยังจ�ำรูปผูห้ ญิงทีแ่ ม่รสเจอในห้องท�ำงานของชายเจตได้ไหม” ถ้อยรับสัง่ นัน้ กวนตะกอนความจ�ำทีส่ งบนิง่ ในก้นบึง้ ของหัวใจให้ลอยเด่นขึน้ มา รสสุคนธ์คว้ามันไว้แล้วก็พึมพ�ำในล�ำคอ... ผู้หญิงที่มีลักยิ้มคนนั้นนั่นเอง “จ�ำได้เพคะ” “เขาเป็นพีช่ ายของผูห้ ญิงคนนัน้ น่ะแม่รส ฉันเคยพบเขาครัง้ หนึง่ นานมาแล้ว และ... ไม่คิดว่าจะได้พบกันอีก” 145


รับสั่งราวกับทรงหนักพระทัยที่จะต้องเผชิญหน้ากับหนุ่มลูกครึ่งผู้นั้นอีก ชวนให้คนอยากรู้อยากเห็นอย่างรสสุคนธ์นึกสงสัยขึ้นมาอีกครา แต่ก็อย่างเคย จะซักถามท่านก็เป็นการเสียมารยาท เธอจึงนิ่งเงียบเสีย “ไว้ใจเขาได้หรือ แม่รส” “ถ้าระมัดระวังตัว และอยู่ในกลุ่มคนหมู่มาก ก็คงไม่เป็นไรดอกเพคะ... ที่ส�ำคัญคุณนพรัตน์ไม่น่าจะเป็นคนเลวร้ายอะไรนะเพคะ” ...อย่างน้อยๆ เขาก็เคย ช่วยชีวิตเธอไว้นี่นะ “แล้วจะไปวันไหนล่ะ” “เร็วที่สุดเพคะ” ท่านหญิงพยักพักตร์ ไม่ซักถามใดๆ อีก ท�ำเพียงรับสั่งสั้นๆ ว่า “ดูแลตัวเองดีๆ แล้วกันแม่รส” จากนั้นก็สาวบาทขึ้นไปที่ห้องบรรทม

146


ศศิภา

10

เช้าวันถัดมารสสุคนธ์ตื่นสายกว่าปกติ เพราะเมื่อคืนกว่าจะข่มตาหลับได้ ก็เกือบรุ่งสาง ร่างโปร่งระหงยืนส่องกระจกหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ผมยาวเป็นลอน ของเธอที่เมื่อก่อนยาวถึงกลางหลัง หากตอนนี้มันกลับสั้นเพียงบ่าเท่านั้น หญิงสาว เพิ่งเข้าร้านเสริมสวยและให้ช่างตัดออกเสียครึ่งเมื่อสามอาทิตย์ก่อนนี้เอง หนึ่งปีกว่าๆ ที่ผ่านมา รสสุคนธ์รับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของตัวเอง ผมทีเ่ คยมักยุง่ เหยิงเป็นนิจเป็นระเบียบเรียบร้อย ด�ำขลับ และนุม่ สลวยขึน้ หลายเท่า ใบหน้าที่แทบไม่เคยมีเครื่องส�ำอางแต่งแต้มยามนี้รสสุคนธ์สามารถวาดระบายความ สวยงามให้ตวั เองได้อย่างคล่องแคล่วแล้ว แต่กเ็ ฉพาะเวลาออกไปสังสรรค์กบั เพือ่ นๆ หรือเวลาออกไปนอกวังเท่านั้น เมื่ออยู่ในวังหญิงสาวก็ทาเพียงแป้งฝุ่นกับลิปสติก สีหวานพอให้เห็นสีสนั เท่านัน้ การเดินเหิน การวางตัว หรืองานบ้านงานเรือน เธอก็ได้ รับการสั่งสอนเข้มงวดจากท่านหญิงจนเพียบพร้อม ถ้าจะมีอะไรสักอย่างที่เหมือนเดิม เห็นจะเป็นดวงดาราบนใบหน้าของเธอ นี่กระมัง เธอยังจ�ำได้ดี ใครคนหนึ่งเคยบอกไว้... ดวงตาของเธอสวยเหมือนดวงดาว บนท้องฟ้า พลันที่คิดถึงใครคนนั้น รสสุคนธ์ก็ตีหน้าเศร้าขึ้นมาทันใด ความห่วงใยยัง อัดแน่นในหัวใจไม่ห่างหาย หญิงสาวเหลือบสายตามองไปยังกระเป๋าเดินทางที่วาง 147


บนพื้นตรงปลายเตียงซึ่งเธอได้ตระเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วระบายลมหายใจยาว ...จะได้ไปหาเมื่อไรกันหนอ เป็นห่วงเหลือเกินแล้ว... ตอนนั้นเองที่เสียงเคาะประตูดังขึ้นปลุกเธอจากภวังค์ รสสุคนธ์ลุกจากเก้าอี้ ตัวเล็ก เดินไปดึงประตูให้เปิดออก และพบว่าคนที่มาเคาะเป็นเด็กรับใช้คนหนึ่ง ที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีอยู่แล้ว “มีอะไรหรือ” “พี่เติบให้มาเรียนคุณรสว่ามีคนรอพบอยู่หน้าวังเพคะ” รสสุคนธ์พยักหน้ารับรู้ โดยไม่ซักถามว่าคนที่มารอพบเป็นใคร เพราะพอ จะเดาได้ว่าคงเป็นนพรัตน์นั่นเอง “ขอบใจมากจ้ะ ช่วยบอกเขาด้วยว่าเดี๋ยวฉันลงไป” เพียงไม่กี่อึดใจ ร่างเล็กในชุดกระโปรงสีชมพูหวาน ปล่อยผมสยายให้ปลิว สะบัดไปตามแรงลมเดินตามทางปูนตรงไปยังประตู ทันทีที่ก้าวเท้าออกไปด้านนอก คนที่รออยู่ก็ปราดเข้ามาหาเร็วรี่ หญิงสาวถึงกับผงะตกใจเลยทีเดียว “อุ๊ย...” “โอ๊ะ... ขอโทษที คุณรส ผมคงท�ำให้คุณตกใจใช่ไหม” “ค่ะ... ก็คุณเล่นพรวดพราดเข้ามาแบบนี้ เป็นใครก็คงตกใจเหมือนฉัน” รสสุคนธ์ตอบด้วยน�้ำเสียงเรียบเฉย ไม่มีร่องรอยของความเป็นมิตร หากก็ไม่ได้ เป็นศัตรูเช่นกัน หญิงสาวเงยหน้ามองสบแววตาพราวระยับคู่นั้นแล้วเกิดรู้สึกหายใจ ไม่ออกเสียดื้อๆ จึงปรารถนาจะไปให้ไกลห่างชายคนนี้โดยเร็วที่สุดจึงโพล่งถาม ตรงประเด็นที่เธอต้องการทันที “เราจะไปกันวันไหนคะ” “ถ้าผมตอบว่าไปวันนี้... คุณพร้อมไหม” เป็นครั้งแรกที่รสสุคนธ์ยิ้มกว้างต่อหน้าชายหนุ่ม เขามองรอยยิ้มที่ค่อยๆ แย้มราวกลีบดอกก�ำลังเบ่งบานนัน้ อย่างนึกชอบ ยิง่ เห็นแววตายินดีวาววับราวดวงดาว แล้ว เขาก็อดชื่นชมในใจไม่ได้ “วันนีห้ รือคะ... ดีใจจริง” หญิงสาวเอ่ยด้วยเสียงสดใส “ฉันน่ะเตรียมกระเป๋า เดินทางไว้พร้อมแล้ว แต่ไม่แน่ใจว่าสินีเตรียมหรือยังน่ะสิคะ” “เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ผมไปคุยกับคุณสินีมาแล้ว เธอก�ำลังเก็บข้าวของอยู่ แถมยังบอกผมด้วยว่าพร้อมที่จะไปวันนี้” “โอ... จริงหรือคะนี่ แล้วรถไฟออกกี่โมงคะ” 148


ศศิภา

นพรัตน์ยกนาฬิกาเรือนใหญ่ที่สวมบนข้อมือของตนเองขึ้นดูเวลา “อีกสอง ชั่วโมง คุณพร้อมจะออกเดินทางตอนนี้เลยหรือเปล่า จะได้ไปรับคุณสินีแล้วเลยไป สถานีรถไฟกันเลย” ยังไม่ทันที่รสสุคนธ์จะเอ่ยตอบ รถคันหนึ่งก็แล่นเข้ามาจอดริมก�ำแพงวัง ไม่หา่ งจากทีท่ งั้ สองยืนคุยกันมากนัก คนทีเ่ พิง่ มาถึงรีบเปิดประตูแล้วก้าวพรวดพราด ออกมาทันที ท่าทางร้อนใจจนหญิงสาวต้องสาวเท้าเข้าไปหา “คุณทรงกลด มีเรื่องอะไรหรือคะ” ริ้วรอยกังวลในแววตาท�ำให้รสสุคนธ์ใจหายวาบ ลางสังหรณ์บางอย่างท�ำให้ เจ้าตัวต้องกัดริมฝีปาก ...ทรงกลดจะมาบอกข่าวร้ายเกี่ยวกับท่านชายหรือไร... “คุณรสครับ...” เพียงเริ่มต้นเสียงของเขาก็แหบแห้งจนเกินทนเสียแล้ว... “จ�ำได้ไหมทีผ่ มบอกว่าส่งจดหมายไปถามข่าวคราวจากเพือ่ นของผมซึง่ ท�ำงานทีค่ า่ ยนูน้ ผมเพิ่งได้รับจดหมายตอบกลับเมื่อวานเอง...” “แล้วได้ความว่าอย่างไรคะ” ร้อยโทหนุม่ เหลือบมองผูช้ ายทีย่ นื กอดอกเยือ้ งไปทางด้านหลังของรสสุคนธ์ แล้วถอนใจเฮือก “ทรงบาดเจ็บจริงครับ เพื่อนของผมซึ่งอยู่คนละหน่วยกับท่านชาย ไปสืบข่าวมาด้วยตัวเองเลยเทียวครับ” เมื่อได้รับค�ำยืนยันเช่นนั้น รสสุคนธ์ก็แทบจะยืนทรงตัวไม่ไหว หญิงสาว ต้องเอื้อมมือไปเกาะก�ำแพงไว้ ขณะยังรับฟังค�ำบอกเล่าของคนตรงหน้าอย่างตั้งใจ “ที่คุณนพรัตน์เล่าเป็นความจริง...” เขาเว้นช่วงครู่เดียวก่อนเอ่ยต่อ “แต่ คุณรสไม่ต้องกังวลนะครับ ทางนู้นบอกว่าทรงได้สติแล้ว” “จริงหรือคะ... ฉันหวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” “ผมเคยบอกคุณว่าคนดีผีคุ้มไงครับ ท่านชายต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน... แล้วนี่คุณรสจะยังไปเชียงรายอยู่ไหมครับ” “ไปค่ะ... ยังไงก็ต้องไปให้เห็นกับตา” ...เห็นอย่างไร้ข้อกังขาว่าท่านทรงไม่ได้เป็นอะไรมาก เธอหวังไว้เต็มหัวใจ “ถ้าอย่างนั้น... ไปกับผมเถอะครับ” 149


“คะ? แล้วคุณทรงกลดไม่ท�ำงานหรือคะ” “ผมถูกส่งตัวไปช่วยทางนู้นพอดีเลยครับ เห็นว่าสถานการณ์ก�ำลังวุ่นวาย” “จริงหรือคะ” รสสุคนธ์ยิ้มออกมาได้เมื่อจะมีทรงกลดร่วมเดินทางไปด้วย อย่างน้อยๆ เธอก็ไว้ใจเขามากกว่านพรัตน์เป็นร้อยเป็นพันเท่า คนตัวเล็กรีบหมุนตัว หันไปยกมือไหว้หนุม่ ลูกครึง่ “ขอโทษด้วยนะคะ ฉันคงไม่ตอ้ งรบกวนคุณแล้วล่ะค่ะ” ดวงตาสีฟ้าอมเทามีแววไม่พอใจเต็มเปี่ยม หากเจ้าตัวไม่แสดงออกมาทาง สีหน้าเลยแม้แต่น้อย ท�ำเพียงยักไหล่ แล้วพยักหน้า “ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ... แต่ไม่ว่าอย่างไร เราคงได้พบกันอีกบนรถไฟ หรือไม่ก็ที่เชียงรายนะครับ” แล้วเขาก็โค้งค�ำนับ จับหมวกที่ถือไว้มั่นในมือวางบนศีรษะ แล้วก้าวขึ้นรถ เปิดประทุนซึ่งจอดอยู่ไม่ห่าง รสสุคนธ์มองตามอย่างไม่ได้รู้สึกผิดแต่อย่างใดเลย ตรงกันข้าม เธอโล่งอกเป็นอย่างมากที่พาตัวเองให้ไกลห่างจากผู้ชายคนนั้นได้ “คุณทรงกลดเข้าไปข้างในก่อนเถอะค่ะ ไปลาท่านหญิงนวลแขเสียหน่อยไม่ ดีหรือ ถ้าท่านหญิงทรงทราบว่าคุณทรงกลดไปด้วย ท่านคงเบาพระทัยมากโข” ว่าแล้วทั้งสองก็พากันเดินผ่านประตูวังเข้าไปด้านใน รสสุคนธ์และทรงกลดพูดคุยกับหม่อมเจ้านวลแขอยู่พักใหญ่ พร้อมทั้งแจ้ง กับท่านว่าเขาจะร่วมเดินทางไปด้วย ท่านถึงกับทรงพยักพักตร์พอพระทัย อวยพรให้ ทั้งสองเดินทางปลอดภัย จากนั้นจึงมอบสิ่งหนึ่งให้กับรสสุคนธ์ หญิงสาวรับมาถือไว้ แล้วก็พบว่าเป็นปลอกหมอนที่มีลวดลายดอกไม้สีฟ้าสลับส้มปักอย่างงดงาม “เอาไปให้ชายเจตหน่อยนะ แม่รส... บอกเขาว่าเป็นของขวัญจากแม่” “เพคะ” เธอรับค�ำและน�ำมันมาเก็บไว้ในกระเป๋าเดินทางใบเล็กอย่างดี ก่อน ทั้งสองจะมุ่งหน้าไปยังบ้านของสินี วันนี้ทรงกลดไม่ได้ขับรถมาเอง เขาให้คนที่บ้าน ขับรถมาให้ ชายหนุ่มนั่งบนเบาะข้างคนขับ ขณะที่หญิงสาวทั้งสองนั่งทางเบาะหลัง จากบ้านของสินไี ปยังสถานีรถไฟใช้เวลาไม่นานนัก น่าจะประมาณสิบห้านาที ได้ พอมาถึงทรงกลดก็สั่งความอะไรบางอย่างกับคนขับรถ ก่อนจะหันมาพยักหน้า ให้สองสาวเดินตามไปนั่งรอรถไฟขบวนขึ้นเหนือ โดยรถไฟสายเหนือนั้นไปถึงแค่ เชียงใหม่เท่านั้น ต้องต่อรถประจ�ำทางไปต่อ หรือให้ใครสักคนมารับ ครึง่ ชัว่ โมงถัดมาเสียงประกาศของโฆษกประจ�ำสถานีดงั ขึน้ มีความว่าให้ผทู้ ี่ จะเดินทางไปเชียงใหม่เตรียมสัมภาระให้เรียบร้อย รถไฟสายนี้ก�ำลังจะมาถึงในอีก 150


ศศิภา

ห้านาทีข้างหน้า... พูดว่าห้านาที แต่ความจริงแล้วต้องรอถึงสิบนาทีทีเดียวกว่ารถไฟ สายนั้นจะเทียบท่า เมื่อจอดนิ่งสนิท ทั้งสามคนจึงก้าวขึ้นไป เลือกนั่งตรงกลางขบวน หญิงสาวทั้งสองนั่งเคียงข้างกัน ส่วนทรงกรดนั่งฝั่งตรงข้าม ครั้งนี้เป็นการเดินทางไปต่างจังหวัดครั้งแรกของรสสุคนธ์ หญิงสาวตื่นเต้น เหลือคณา หากความตื่นเต้นนั้นถูกบดบังด้วยความห่วงใยไปเสียสิ้น จึงท�ำให้เธอ ตีหน้าเศร้าแทบตลอดทางเลยทีเดียว ทรงกลดและสินีก็เอาแต่ปลอบใจเป็นระยะๆ บางครั้งร้อยโทหนุ่มก็ชวนคุยเรื่องตลกขบขันพอให้เธอผ่อนคลายบ้างเล็กน้อย แต่ วินาทีถัดมาเจ้าตัวก็หันไปจมจ่อมกับความคิดตัวเองอีก “อีกกีช่ วั่ โมงกว่าจะถึงคะ คุณทรงกลด” สินตี ะโกนถามแข่งกับเสียงล้อรถไฟ ที่บดไปตามรางกับเสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วและเสียงตะโกนขายอาหาร “คงจะสิบเอ็ดสิบสองชั่วโมงนู่นแหละครับ” “นานขนาดนั้นเลยหรือคะ” หญิงสาวก้มมองนาฬิกาตัวเอง ก่อนนึกกังวล “กว่าจะถึงนู่นก็ดึกเลยสิคะ” สินีบ่นพึมแล้วไม่ซักถามอะไรอีก ไม่นานนักเจ้าของร่างบางในชุดกระโปรง สีฟ้าและรวบผมเป็นลอนของตนเองไว้ทางด้านหลังด้วยริบบิ้นสีเดียวกันซึ่งทรงกลด ซื้อให้ในงานวันเกิดเมื่อเกือบสองปีที่แล้วก็เอนซบหน้าลงบนไหล่ของรสสุคนธ์ หลับใหลไปด้วยความง่วงงุน ทรงกลดเห็นดังนัน้ ก็อดยิม้ อย่างนึกเอ็นดูไม่ได้ ความจริงสินแี ม้จะไม่สะสวย เหมือนนางฟ้านางสวรรค์ แต่เธอก็มีเสน่ห์มากพอดู ที่ประทับใจเขามาตลอดเห็น จะเป็นความสดใสร่าเริงกระมัง ที่มากกว่านั้นคือเธอเป็นคนมีน�้ำใจเอื้อเฟื้อ จิตใจดี และไม่เคยคิดร้ายกับใคร จากนั้นชายหนุ่มก็เหลือบสายตาไปมองคนที่เป็นที่พักพิงให้เพื่อนสนิทได้ อิงแอบ เขารับรู้มาตลอดว่ารสสุคนธ์เป็นห่วงท่านชายเจตมาก หากความห่วงนั้นเขา ไม่รู้ว่าเป็นความห่วงแบบเด็กห่วงผู้ปกครองหรือมีอะไรลึกซึ้งกว่านั้น ส่วนความรู้สึก ในพระทัยของท่าน เขารับรู้มาตลอดและแน่ใจด้วยว่าทรงเก็บรสสุคนธ์ดอกนี้ไว้ ในหทัยเสมอมา... รอเพียงวันที่จะได้ครอบครองอย่างแท้จริงเพียงเท่านั้น ชายหนุ่มขยับกายพิงพนัก เบือนสายตาออกไปชมทิวทัศน์ด้านนอก ในใจ ได้แต่ภาวนาและหวังไว้ว่าหัวใจของรสสุคนธ์นั้นจะเต้นในจังหวะเดียวกับหม่อมเจ้า เจตนิพิฐอย่างไม่มีผิดเพี้ยน 151


ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปแล้วเมือ่ ตอนทีร่ ถไฟมาจอดเทียบท่า ลมหนาวที่ พัดโชยท�ำให้ทงั้ สามพากันหยิบเสือ้ กันหนาวมาสวมก่อนหน้านีแ้ ล้ว ทรงกลดลุกขึน้ ยืน บิดกายอย่างเมือ่ ยขบก่อนช่วยสองสาวหยิบกระเป๋าลงมาจากทีว่ างกระเป๋าเหนือศีรษะ จากนั้นจึงพากันขนกระเป๋าลงจากรถไฟขบวนนั้นเร็วรี่ รสสุคนธ์เหลียวซ้ายแลขวา แล้วก็ระบายลมหายใจอย่างโล่งอกเมื่อไม่ต้องพบปะเจอะเจอกับนพรัตน์ให้ต้องรู้สึก ตะขิดตะขวงใจอีกต่อไป หญิงสาวเร่งฝีเท้าตามทรงกลดซึ่งเดินน�ำไปหยุดยืนตรง ด้านหน้าทางเข้าสถานีรถไฟเชียงใหม่ “เราคงต้องหาที่พักแถวๆ นี้อยู่ก่อนนะครับ พรุ่งนี้ค่อยนั่งรถประจ�ำทางไป เชียงรายต่อ” ทว่าโชคดีนัก... ทรงกลดบังเอิญพบคนรู้จัก เป็นนายทหารคนหนึ่งซึ่งเป็น เพือ่ นร่วมรุน่ ประจ�ำโรงเรียนนายร้อยทหารบก ทีต่ อ่ มาในปี พ.ศ.2491 พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามแทนชื่อ เดิมว่า... โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า “อ้าวไอ้ภูมิ” ทรงกลดปราดเข้าไปตบบ่าหนุ่มฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่ ไหล่หนา ผิวคล�้ำกว่าคนทักหลายเท่า “ไปไงมาไงวะ” “เฮ้ย ไอ้กลด... ฉันเพิ่งกลับมาจากพระนครว่ะ นายมาท�ำอะไรที่นี่วะ” “ฉันถูกส่งมาประจ�ำการทีเ่ ชียงราย ทีเ่ ดียวกับนายน่ะสิ... เจอนายก็ดแี ล้ว ขอ ติดรถไปด้วยได้ไหมวะ นายให้คนมารับหรือเปล่า” ยังไม่ทันได้ตอบ รถจี๊ปทหารคันหนึ่งก็แล่นเข้ามาจอดชิดบาทวิถี นายทหาร คนหนึง่ ลดกระจกลงแล้วชะโงกหน้าออกมายกมือท�ำความเคารพตามแบบฉบับทหาร “นายสดมารับแล้วขอรับ” “นี่ไง คนมารับ ไปๆ ขึ้นรถเถอะ” ว่าพลางหันไปมองด้านหลัง พบสาวสวยสองคนมองตรงมาอย่างสนอกสนใจ ก็กระซิบกระซาบกับผู้เป็นเพื่อนว่า “สาวสวยสองคนนี้คือใครวะ แล้วคนไหนคนรักของนาย” “เฮ้ย... คนรักอะไร เพื่อนกันทั้งนั้น” ทรงกลดรีบกระซิบบอกเบาๆ “คนซ้าย น่ะชื่อสินี ส่วนคนขวา... ชื่อรสสุคนธ์” จากนั้นก็หันไปเอ่ยแนะน�ำร้อยโทภูมิให้ ทัง้ สองสาวได้รจู้ กั คุยสัพเพเหระกันครูห่ นึง่ ภูมกิ เ็ ชิญให้ทงั้ สองขึน้ ไปนัง่ ทางตอนหน้า ข้างคนขับ 152


ศศิภา

ส่วนเขากับทรงกลดช่วยขนสัมภาระขึ้นไปวางทางด้านหลัง แล้วกระโดดขึ้น ไปนั่งก่อนออกค�ำสั่งให้ออกรถในทันใด เมื่อรสสุคนธ์กับสินีเข้ามานั่งเรียบร้อย นายทหารคนนั้นซึ่งเป็นทหารร่างเล็ก ผอมเกร็ง ผิวคล�้ำแดด ผมตัดสั้นเกรียนและมีรอยยิ้มสดใสประดับริมฝีปากอยู่ เป็นนิจเอ่ยแนะน�ำตัวเอง “กระผมชื่อสดครับ คุณผู้หญิง เป็นทหารยศนายสิบครับ” ก่อนจะชวนคุย สาธยายประวัติของตนเองมาตั้งแต่รากเหง้าถิ่นก�ำเนิดเลยทีเดียว ได้ความว่าพื้นเพ ของเขาไม่ใช่คนเชียงราย แต่เป็นคนพิษณุโลก หากย้ายตามบิดามาอยู่ที่นี่ได้เกือบ สามสิบปีแล้ว บิดามารดาเสียชีวติ ไปสิบปีกอ่ นและห้าปีกอ่ นตามล�ำดับ ตอนนีน้ ายสด อยู่ล�ำพังคนเดียว ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน ไม่มีคนรักหรือภรรยา “กระผมก็เหงาตาม แบบฉบับคนโสดนั่นแหละครับ อยากหาสาวสักคนมาตบแต่งอยู่กินด้วยกันก็เห็น จะหมดหนทาง เพราะวันๆ กระผมก็ไม่ได้ไปไหน ขลุกอยู่แต่ในค่ายนั่นแหละครับ แถมยังต้องวิ่งวุ่นไปมาท�ำธุระให้เจ้านายอีก” ตั้งแต่ขับรถออกจากสถานีรถไฟมา นายสิบสดยังไม่หยุดพูดแม้สักวินาที คนฟังก็ฟงั เพลินไม่คดิ จะขัดแม้แต่นอ้ ย จวบจนคะเนแล้วว่าอีกฝ่ายหมดเรือ่ งพูดจริงๆ นั่นล่ะ รสสุคนธ์จึงเอ่ยถาม “นายสดรู้จักพันตรีหม่อมเจ้าเจตนิพิฐไหมจ๊ะ” “โอ๊ย... รู้จักสิครับ ใครๆ ที่นี่ก็รู้จักท่านกันทั้งนั้นแหละครับ... ที่ส�ำคัญ ท่านชายเจตเองก็เป็นเจ้านายของผมด้วยนะครับ เกือบสองปีมานี้ท่านให้ผมส่ง จดหมายไปพระนครอยู่เป็นประจ�ำเลยครับ... ท่านเป็นคนดีนะครับ ตกน�้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ขนาดโดนยิงทะลุอกยังรอดมาได้เลยครับ” ได้ยนิ ดังนัน้ คนฟังทีม่ รี อยยิม้ ประดับริมฝีปากแทบจะตลอดทางหุบยิม้ ขึน้ มา ทันควัน “ยิงทะลุอกเลยหรือ” “ใช่ครับ โดนกระสุนเจาะเข้าต้นขาเสียด้วย กระสุนฝังใน ตอนที่ถูกน�ำมาส่ง โรงพยาบาลเลือดท่วมเลยล่ะครับ ท่านเสียเลือดไปมาก... ตอนนั้นคุณหมอหนักใจ เหลือเกิน กลัวจะช่วยชีวิตท่านไม่ได้ เพราะท่านเสียเลือดไปมากและเสี่ยงต่อการ... เอ... อะไรนะ” นิ่งคิดอยู่ครู่ก่อนก่นด่าตัวเองกลั้วเสียงหัวเราะ “กระผมหัวทึบน่ะครับ 153


จ�ำอะไรไม่ค่อยได้” จากนั้นก็ดีดนิ้วเป๊าะ “อ้อ... จ�ำได้แล้วครับ คุณหมอเขาว่าแผล ของท่านเสีย่ งต่อการติดเชือ้ แต่จนแล้วจนรอดท่านก็ปลอดภัยครับ” เอ่ยจบพร้อมกับ ฉีกยิ้มมาให้เสียหนึ่งที แล้วถาม “คุณรู้จักกับท่านหรือครับ” “จ้ะ... ฉันมาที่นี่เพื่อจะเยี่ยมท่านน่ะ” นายสดพยักหน้ารับรู้ “วันนี้ดึกมากแล้ว คงต้องไปเยี่ยมพรุ่งนี้แล้วล่ะครับ กระผมจะพาไปส่งที่ โรงพยาบาลเอง” “ขอบใจจ้ะ” จากนัน้ นายสดก็ชวนคุยเรือ่ ยเปือ่ ยไปเรือ่ งอืน่ เสีย หนทางจากเชียงใหม่มายัง เชียงรายนั้นทั้งขรุขระและมีฝุ่นฟุ้งตลบตลอดทางทีเดียว กว่าจะถึงค่ายทหารทั้งคน ทัง้ รถก็แทบหมดสภาพน่าดูชม นายสดถึงกับตะโกนอย่างดีใจว่าในทีส่ ดุ ก็ถงึ แล้ว สินี สะดุง้ ตืน่ ส่วนรสสุคนธ์นนั้ ไม่ได้หลับเลยแม้สกั งีบ หญิงสาวมองก�ำแพงสูงท่วมศีรษะ ของค่ายทหารที่ท่านชายเจตมาประจ�ำการอย่างดีใจ... การเดินทางอันเหน็ดเหนื่อย ในวันนี้จะได้สิ้นสุดสักที ทหารยามเฝ้าประตูสองนายชะโงกหน้ามามองด้านในตัวรถ แล้วยกมือ ท�ำความเคารพ ก่อนเปิดทางให้รถจี๊ปคันนั้นผ่านเลยไป ไม่นานนักรถคันเล็กก็แล่น เข้าไปจอดตรงหน้าบ้านไม้ยกพืน้ สูงเก่าคร�ำ่ ทางด้านหลังสุดของค่าย เมือ่ รถจอดสนิท สองสาวก็ค่อยๆ ก้าวลงจากรถ “ถึงแล้วครับผม บ้านผมเอง” ร้อยโทภูมปิ ระกาศก่อนหันไปสัง่ ความอะไรกับนายสดครูห่ นึง่ ก่อนเจ้าตัวจะ เดินหายลับไปในความมืด “บ้านนี้มีห้องนอนห้องเดียว ผมยกให้คุณผู้หญิงทั้งสองนอนได้ตามสบาย เลยครับ ผมกับไอ้กลดจะไปนอนตรงห้องรับแขก” “เกรงใจจังค่ะ” สินีเอ่ยเสียงเบาๆ หากผู้เป็นเจ้าของบ้านกลับหัวเราะร่วน “โธ่ ไม่ต้องเกรงใจดอกครับ ปกติผมก็ไม่ได้นอนบนฟูกนุ่มๆ อยู่แล้วครับ ส่วนมากก็นอนกลางดินในป่านู่น” ว่าแล้วก็ช่วยสองสาวขนกระเป๋าเข้าไปด้านใน คืนนั้นหลังจากอาบน�้ำประแป้ง เตรียมตัวเข้านอน ทรงกลดก็บอกทิ้งท้ายว่า “พรุ่งนี้ผมจะพาไปเยี่ยมท่านชายที่โรงพยาบาลแต่เช้าตรู่เลย วันนี้นอนหลับ พักผ่อนให้สบายนะครับ คุณสินี คุณรส” 154


ศศิภา

รสสุคนธ์พยายามข่มตาให้หลับ แต่ก็นั่นแหละ ความห่วงใยท� ำให้เธอ ไม่สามารถหลับได้อย่างใจคิด ทว่า... สุดท้ายแล้วเพราะความเหน็ดเหนื่อยจากการ เดินทางท�ำให้เธอหลับผล็อยไปอย่างไม่รู้ตัว วันถัดมา รสสุคนธ์ตนื่ นอนก่อนใคร หญิงสาวออกมายืนรับลมตรงชายเรือน ทางด้านหน้า นานเป็นชัว่ โมงเลยกระมังกว่าจะได้ยนิ เสียงพูดคุยดังมาจากภายในบ้าน ตามมาด้วยเสียงเพลงจากเครือ่ งเล่นแผ่นเสียง เป็นเพลงหวานซึง้ จากเสียงไพเราะของ คุณสวลี ผกาพันธุ์ ‘หากฉันรู้สักนิดว่าเธอรักฉัน บอกกันวันนั้นให้รู้สักหน่อย ว่าดวงใจที่ฉันเฝ้าคอย คงไม่เลื่อนลอยเป็นของใคร2’ เพลงนีเ้ ธอเคยได้ยนิ เพียงครัง้ เดียว และแค่เริม่ ต้นบทเพลง รสสุคนธ์กไ็ ม่อาจ หักห้ามใจไม่ให้นึกถึงใครบางคนได้ ภาพวรองค์สูงใหญ่ องอาจผึ่งผายวาบเข้ามาใน ห้วงค�ำนึง ...เพียงคิดถึง ก็ถวิลหา แทบขาดใจ... หญิงสาวเท้าแขนกับระเบียงแล้วปิดเปลือกตา กลั้นน�้ำตาที่รื้นขึ้นมาด้วย ความคะนึงหาและความห่วงใยของตนเองเสีย จนกระทัง่ ได้ยนิ เสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ นั่นแหละ จึงเปิดเปลือกตาขึ้นมอง “รส... เป็นอะไรรึเปล่า” “เปล่าจ้ะ” ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรต่อ เสียงของภูมิก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง “เดี๋ยวเราไปรับทานข้าวเช้าที่โรงพยาบาลแล้วกันนะครับ มีร้านข้าวต้มอยู่ ด้านหน้า อร่อยใช้ได้” ก่อนหันหลังตะโกนถามคนที่ยังแต่งตัวอยู่ด้านใน “นายต้อง เข้ารายงานตัวเมื่อไรวะ” “อีกสองวันว่ะ พอดีฉันรีบมาก่อน เป็นห่วงท่านชายน่ะ”

2 ค�ำร้องโดย พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าภานุพันธ์ ยุคล ท�ำนองโดย ม.ล. ประพันธ์ สนิทวงศ์ ขับร้องบันทึกเสียงครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2494 โดย คุณสวลี ผกาพันธุ์

155


จากนั้นร้อยโทภูมิก็ผลุบหายเข้าไปในบ้าน คงไปซักถามอะไรบางอย่างตาม ล�ำพังประสาชายหนุ่ม ผ่านไปสิบนาทีนายทหารทั้งสองก็อาบน�้ำแต่งตัวเตรียมพร้อม เสร็จสรรพ ก็พอดีนายสดเดินแกมวิ่งมาถึงหน้าบ้านพักพอดี “กระผมมาแล้วคร้าบ... ไปกันเลยไหมครับ” รอกระทั่งรสสุคนธ์ซึ่งเข้าไปหยิบปลอกหมอนที่ท่านหญิงนวลแขฝากมาเดิน กลับออกมา จึงพากันขึ้นรถมุ่งหน้าสู่โรงพยาบาลที่ท่านชายเจตนิพิฐรักษาตัวในทันที ใช้เวลาครึ่งชั่วโมง รถจี๊ปคันเล็กก็แล่นผ่านประตูบานใหญ่ซึ่งป้ายด้านหน้าก�ำแพง เขียนติดไว้ว่าโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ เสียงนายสดยังคงเจื้อยแจ้วให้ ได้ยินมาตลอดทาง รสสุคนธ์ฟังบ้าง ไม่ฟังบ้าง เพราะใจพะวงแต่เรื่องท่านชาย มากกว่าสิ่งอื่นใด มีเพียงสินีเท่านั้นที่รับฟังทุกค�ำ บางครั้งหัวเราะขบขัน บางครั้ง ก็ท�ำเสียงเหมือนตกตะลึง “ค่ายเรามีสถานพยาบาลเหมือนกันครับ แต่ไม่ได้ใหญ่โตอะไร เครื่องไม้ เครื่องมือก็มีไม่มากนัก ท�ำได้เพียงช่วยเหลือหรือปฐมพยาบาลเบื้องต้น จากนั้นก็ส่ง ไปที่โฮงยาไทย” “โฮงยาไทยหรือคะ” “ครับ ชาวบ้านทีน่ เี่ รียกโรงพยาบาลนีว้ า่ โฮงยาไทย ตัง้ ให้พอ้ งกับโรงพยาบาล โอเวอร์บรุ๊คที่เรียกกันว่าโฮงยาฝรั่ง” การสนทนาสิ้นสุดเพียงเท่านั้น เมื่อรถจี๊ปคันเล็กเข้าไปจอดในซองหน้า โรงพยาบาลซึ่งจัดไว้เป็นสถานที่ส�ำหรับจอดรถ เมื่อรถจอดสนิท ทั้งห้าคนก็ปรึกษา กันว่าจะรับประทานอาหารเช้าก่อนหรือจะเข้าไปเยีย่ มก่อน สุดท้ายก็ตกลงกันว่าให้ไป เยี่ยมท่านชายก่อน จากนั้นจึงพากันเดินเข้าไปด้านใน โดยมีร้อยโทภูมิกับนายสด เดินน�ำ รสสุคนธ์เดินตามด้วยความหวาดหวัน่ แม้จะได้ยนิ ว่าท่านชายทรงปลอดภัย แล้ว ถ้าไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองก็ไม่อาจวางใจได้ หัวใจดวงน้อยเต้นแรงกระหน�่ำ จนแทบทะทุออกมานอกอกเลยทีเดียว เพียงไม่กี่อึดใจคนน� ำก็พาเข้าไปในห้อง ขนาดใหญ่ซึ่งมีคนเจ็บนอนเรียงรายกันอยู่นับสิบเตียง ในวินาทีนั้นดวงตาของรสสุคนธ์พร่าพราย มองอะไรไม่ชัดเอาเสียเลย ไม่รู้ เพราะความหวาดกลัว หรือตื่นเต้นไม่ทราบได้ กลัว... ว่าจะได้เห็นสภาพท่านชายที่ย�่ำแย่ ตื่นเต้น... ที่จะได้พบกันหลังจากจากกันไปเป็นปีๆ 156


ศศิภา

หญิงสาวกะพริบตาถี่ไล่ความพร่ามัวในดวงตาทั้งสองของตนเองให้จางไป ก่อนเดินรั้งท้ายตามการน�ำของร้อยโทภูมิ เดินมาจากประตูไม่ไกลนักทั้งหมดก็หยุด ยืน พร้อมกับเสียงเอ่ยทักทายอย่างยินดี ท่ามกลางเสียงเหล่านั้นสุรเสียงห้าวต�่ำของ หม่อมเจ้าเจตนิพิฐกลับเด่นชัดขึ้นมาและก้องกังวานอยู่ในอก ...สุรเสียงของท่านยังทรงอ�ำนาจและไม่ได้ดอู อ่ นระโหยโรยแรงเลยแม้เพียงนิด นั่นย่อมให้เธอเบาใจได้ว่าท่านปลอดภัยและไม่เป็นอะไรมากแล้วจริงๆ “คุณรส... เข้ามาด้านในสิครับ” ทรงกลดนั่นเองที่ร้องเรียก หญิงสาวสาวเท้าเข้าไปประชิดเตียงอย่างว่าง่าย สองตายังหลุบต�่ำมองพื้น ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนขึ้นทีละน้อยๆ เมื่อได้ยินรับสั่ง “รสสุคนธ์...” สิ่งแรกที่เห็นขอบเตียงสีเงิน ถัดไปเป็นผ้าห่มสีขาว แผงอุระ เปลือยเปล่าที่มีผ้าพันแผลพันไว้โดยรอบ ไรมัสสุเขียวครึ้มราวกับไม่ได้โกนมาหลาย เดือน ริมโอษฐ์หยักได้รูปที่แย้มออกเพียงนิด และสุดท้ายคือดวงเนตรคมกล้า จับจ้องมองตรงมาเนิ่นนานจนหัวใจคนมองสะท้านไหว หญิงสาวรูส้ กึ เหมือนโลกทัง้ ใบหยุดเคลือ่ นไหว สายลมหนาวกลายเป็นความ อบอุ่นรายล้อมรอบกาย นานเป็นปีแล้วที่ไม่ได้มองสบเนตรดุๆ ของท่าน ...นานเสียจนเธอเริ่มเลือนๆ ความรู้สึกยามได้สบดวงเนตรสีนิลคู่นี้เสียแล้ว ...ไม่แน่ใจเลยว่ายามนี้มันเต้นผิดแผกไปจากวันวานหรือไม่ “ท่านชาย...” เธอพึมพ�ำเสียงแผ่วเบาราวคนละเมอ ในขณะที่คนป่วยซึ่งดูซูบลงอย่างเห็น ได้ชัดแย้มโอษฐ์กว้างขึ้น “เป็นอย่างไรบ้าง” ตอนนั้นเองที่รสสุคนธ์ได้สติ หญิงสาวรีบกระพุ่มมือไหว้ในทันใด ...โธ่ เธอต่างหากที่ควรถามค�ำถามนั้น ไม่ใช่ให้ท่านมาถามก่อนแบบนี้... อยากก่นด่าตัวเองเป็นพันครั้งเสียจริง “หม่อมฉันสบายดีเพคะ ท่านชายเป็นอย่างไรบ้างเพคะ” “สบายดี...” ...รับสั่งมาได้... สบายดี โธ่ มีผ้าพันแผลพันเกือบรอบองค์เช่นนี้ยังสบายดี อยู่หรือไร “ฉันไม่คิดว่าเธอจะมาหาถึงนี่... เดินทางล�ำบากไหม” “ไม่เลยเพคะ” 157


“ไม่รู้จะพากันมาให้ล�ำบากท�ำไม อีกไม่กี่วันฉันก็หาย ออกจากโรงพยาบาล ได้แล้ว” รับสั่งบ่นกับทรงกลด พานให้ร้อยโทหนุ่มได้แต่ยิ้มแหยๆ “อย่าไปว่าคุณทรงกลดเลยค่ะ ต้องขอบคุณมากกว่า ไม่อย่างนั้นหม่อมฉัน ก็คงยังไม่รู้ว่าท่านชายเจ็บหนัก“ “หนักอะไรเล่า เล็กน้อยเท่านั้น” ‘...ถ้านี่เล็กน้อยแล้วแบบไหนถึงเรียกว่าหนักหนาส�ำหรับท่านชายเล่าเพคะ...’ คนตัวเล็กค่อนขอดในใจ ก่อนยื่นปลอกหมอนที่กอดไว้แนบอกออกไปตรงหน้า “ท่านหญิงนวลแขทรงฝากมาให้ทา่ นชายเพคะ รับสัง่ ว่าเป็นของขวัญจากแม่” หม่อมเจ้าเจตนิพิฐใช้หัตถ์ข้างซ้ายมารับไป ส่วนพระพาหาข้างขวานั้นยังยก ไม่ได้ เนื่องจากบาดแผลที่โดนกระสุนฝังในบริเวณพระอังสายังไม่หายดีเท่าไรนัก “ขอบใจรสสุคนธ์... ฝากขอบคุณหม่อมแม่ด้วย” รสสุคนธ์เมินสายตาหลบ แววเนตรคมกล้า ตวัดผ่านผ้าพันแผลบนวรกายเปลือยเปล่าแล้วถามเสียงแผ่ว “ทรง... เจ็บมากไหมเพคะ” “นิดหน่อย” ท่านชายเอาแต่รับสั่งแต่เรื่องดีๆ... สบายดี ไม่เป็นไร ไม่เจ็บ เดี๋ยวก็หาย... โธ่ จะให้เชื่อได้อย่างไร ก็เห็นๆ อยู่ว่าเจ็บปางตายเลยเทียว หญิงสาวทอดถอนใจหนักหน่วง รู้สึกกลุ้มใจกับคนปากแข็งเสียเหลือเกิน “เป็นอะไร รสสุคนธ์ ท�ำไมท�ำหน้าบึ้งแบบนั้น ไม่ได้เจอกันนาน ไม่คิดถึงฉัน บ้างหรือไร...” เจอค�ำถามนี้เข้า รสสุคนธ์ก็หน้าแดงซ่าน ไม่กล้าตอบอะไรออกไป จะตอบว่าไม่ก็เป็นการโกหก แต่ถ้าจะตอบว่าคิดถึง แม้จะเป็นความจริงก็รู้สึกอาย คนอื่นๆ ที่ยืนนิ่งเงียบแอบฟังอยู่อย่างตั้งใจ “เอ่อ... หม่อมรู้สึกหิว ขอตัวไปหาไรรับทานก่อนนะฝ่าบาท” ว่าพลางหันไปชักชวนนายสด ร้อยโทภูมิ รวมถึงสินีด้วย ยกเว้นรสสุคนธ์ เพียงคนเดียว โดยให้เหตุผลว่า “คุณรสเฝ้าท่านชายก่อนเถอะครับ ไว้พวกเราทานเสร็จ ผมจะออกไปเป็นเพือ่ น คุณเอง” โดยไม่ฟังค�ำทัดทานใดๆ ทรงกลดรีบรุนหลังทุกคนออกไปข้างนอก ทิ้งให้ เธอยืนขัดเขินอยู่ต่อหน้าสายเนตรของหม่อมเจ้าเจตนิพิฐนั่นเอง “เธอเปลีย่ นไปนะ รสสุคนธ์” เงียบกันไปนานจนท่านชายรับสัง่ ท�ำลายความเงียบ ขึ้นมา 158


ศศิภา

“เปลีย่ นไปหรือเพคะ” ทรงพยักพักตร์ แล้วรับสัง่ ด้วยสุรเสียงเหมือนไม่โปรด อย่างไรอย่างนั้น “ดูเป็นสาวสังคมมากกว่าเดิม” “หม่อมฉันแค่เริ่มแต่งตัวเป็นเพคะ” จากนั้นก็ทรงเอื้อมหัตถ์มาจับผมยาวประบ่านุ่มสลวย “ขอโทษนะ” ทรงสัมผัสเพียงปลายนิ้วก่อนผละห่าง รสสุคนธ์แน่ใจว่าเห็นแววเนตร ไม่พึงพระทัยอยู่ชั่วขณะก่อนกลับมาดุดันตามเดิม “ฉันชอบแบบเดิม” “อะไรนะเพคะ? แบบเดิม?” คนตัวเล็กขมวดคิ้วมุ่น นิ่งคิดอยู่ครู่จึงเข้าใจ “ผมยาวน่ะหรือเพคะ” “ใช่” “หม่อมฉันไม่ทราบนี่เพคะว่าโปรดผมยาว ไม่อย่างนั้นหม่อมฉันก็คงไม่ตัด” ประกายเนตรวาววับพึงพระทัยขึ้นมาทันควัน “ไม่ตัดจริงหรือ” “จริงเพคะ” “งั้นก็ไว้ยาวเท่าเมื่อก่อนเถิด รสสุคนธ์” เมื่อคนตรงหน้ารับค�ำเป็นมั่นเหมาะ คนทีน่ อนอยูบ่ นเตียงก็ขยับองค์ทำ� ท่าว่าจะประทับ เห็นดังนัน้ รสสุคนธ์จงึ ปราดเข้าไป ช่วยประคอง หญิงสาวโอบแขนรอบวรกายแนบแน่น ขณะทีค่ นถูกโอบก็โอบกลับเช่นกัน ท่าทางเช่นนั้นไม่ต่างไปจากการกอดเลยแม้แต่น้อย รสสุคนธ์มารู้สึกตัวก็ตอนที่ประทับเรียบร้อยแล้วและทรงกระซิบแผ่วเบา พอให้ได้ยินกันสองคนว่า “เป็นครั้งแรกที่เธอเข้ามากอดฉันเอง” หน้าร้อนผ่าว อยากเถียงกลับเหลือเกินว่า... ไม่ได้กอดเพคะ หม่อมฉันแค่ ประคองเท่านั้น... แต่เมื่อก้มมองสภาพตัวเอง ท่าทางแนบชิดและแขนที่โอบรัดอยู่ พร้อมกับใบหน้าที่ซุกซบบนอุระกว้าง... มันไม่ต่างอะไรกับการกอดเลยสักนิด รสสุคนธ์เผยออ้าปากค้างเช่นนั้นขณะตวัดสายตามองสบเนตรสีนิล แล้วก็ ต้องใจเต้นไม่เป็นส�่ำเมื่อได้ยินรับสั่ง “อยู่ทางนู้น... คิดถึงกันบ้างไหม” 159



Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.