Art4d#206 pdf

Page 1

206 ARCHITECTURE | DESIGN | ARTS August 2013

01 PJ TRADE CENTER BY KEVIN MARK LOW 02 RMIT DESIGN HUB BY SEAN GODSELL ARCHITECTS 03 THE SHED BY HAWORTH TOMPKINS ARCHITECTS 04 UNWRAPPING CULTURE BY PICHET KLUNCHUN 05 VICHAYA(WIN)MUKDAMANEE 06 NADER TEHRANI 07 BAAN MOOM (CORNER HOUSE) BY IF (INTEGRATED FIELD)









W 013 E 2 N IVAL R AR



Photos courtesy of Vichaya (Win) Mukdamanee

Cover BaanMoom PhotoWison Tungthunya

206 Photo courtesy of Haworth Tompkins Architects

August 2013

52

Connecting life

ศิลปินรุน่ ใหม่อกี รายทีม่ คี วามสนใจในเรือ่ งของ ความเชือ่ ในสังคมไทยและสังคมบริโภคนิยม วิชญ มุกดามณี สะสมวัตถุสงิ่ ของและประสบการณ์รปู แบบต่างๆ มากมายทีเ่ ขานำมาใช้เป็นวัตถุดบิ ใน การสร้างงานศิลปะ

Young artist Vichaya (Win) Mukdamanee has been interested in Thai beliefs and consumerist societies. He’s collecting objects and experiences in diverse forms, which become his raw materials in making art.

Personalized corners

This is the first house by ‘IF’ a young architecture firm. Despite the simple box, the architects have filled it with many playful ‘corners’ throughout the house and also cut the angle to create an interesting form and the identity of the house.

66

The red monolith

Wison Tungthunya

บ้านหลังแรกของทีมสถาปนิกรุน่ ใหม่ในนาม ‘IF’ เป็นกล่องเรียบๆ ทีแ่ อบหยอดลูกเล่นเอาไว้ตาม ‘มุม’ ต่างๆ ทัว่ ทัง้ บ้าน รวมทัง้ การเฉือน ‘มุม’ ให้ เกิดมุมมองทีน่ า่ สนใจและเป็นเอกลักษณ์ของบ้าน หลังนีข้ นึ้ มาได้

40

Haworth Tompkins มีงานติดตัง้ ห้องออดิโทเรียม สีแดงสดภายในบริเวณโรงละครแห่งชาติในกรุง ลอนดอนทีแ่ วดล้อมไปด้วยคอนกรีต ‘ดิบๆ’ กล่อง แดงทีโ่ ผล่ขนึ้ มาก้อนนีบ้ ดุ ว้ ยบอร์ดไม้สแี ดงทัว่ ทัง้ อาคาร The Shed จัดเป็นอาคารทีใ่ ห้ความรูส้ กึ เป็น กันเอง และยังมีแนวความคิดเบือ้ งหลังทีล่ ำ้ ลึกอยู่ ไม่นอ้ ย...

40 The red monolith

Haworth Tompkins has installed a bright red auditorium among the Brutalist concrete masses of London’s National Theatre. This popup red box is entirely cladded with rough sawn timber boards. The Shed is a playful but thoughtful building.


Think regional 30 act local

30 Think regional act local

กลุม่ อาคารสำนักงาน PJ Trade Centre ผลงาน การออกแบบของ Kevin Mark Low ทีต่ งั้ ใจให้มี ความสัมพันธ์กบั สภาพอากาศร้อนชืน้ โปรเจ็คต์นี้ ตัง้ อยูท่ า่ มกลางทิวทัศน์ทเี่ ป็นภูเขาและเมืองทีม่ กี าร พัฒนาอย่างรวดเร็ว แต่วา่ ตัวโครงสร้าง ‘เด้ง’ ขึน้ มา ด้วยลุคทีด่ ู ‘โลเทค’ และโมเดิรน์ สุดๆ อยูใ่ นตัว PJ Trade Centre in Kuala Lumpur is the office tower blocks designed by Kevin Mark Low, which respond to the tropical climate situated against a hillside and amid a fast developing modern city.

Celebral beauty

36

โจทย์ของ RMIT Design Hub คือการนำเอาทุกๆ ส่วนทีเ่ กีย่ วข้องกับงานวิจยั ด้านออกแบบมาไว้ดว้ ย กันในอาคารหลังเดียวกันให้ได้ Sean Godsell Architects ตอบโจทย์ทวี่ า่ ครบถ้วนด้วยงาน สถาปัตยกรรมในแบบฉบับของพวกเขาทีป่ ล่อยให้ ‘วัสดุ’ เป็นตัวเล่าเรือ่ ง...

Sidh Sintusingha

The purpose of RMIT Design Hub is to provide accommodation in one building for a diverse range of design research. Sean Godsell Architects responds to the brief which is also a demonstration of his ideals of materiality.

Are we OK?

46 ‘ปอกเปลือกวัฒนธรรม’ ผลงานศิลปะการแสดง ของ พิเชษฐ์ กลัน่ ชืน่ นำผูช้ มเข้าไปทบทวนและ ตัง้ คำถามกับความสวยงามในอุดมคติแบบไทยๆ กับภาพความจริงทีเ่ กิดขึน้ โดยใช้การเคลือ่ นไหว ของร่างกาย ควบคูไ่ ปกับการใช้สอื่ และอุปกรณ์ รอบๆ ตัว

Duffy Archive

Chathip Suwanthong

Contemporary dance performance by Pichet Klunchun ‘Unwrapping Culture’ tells stories and offers social critique through a performance entailing body movement, emotional expression, objects and new media.

96 Guest

Panjapol Kulpapangkorn

Intellectual forces

84 Products AA Stools

58

บทสนทนากับ Nader Tehrani ผูก้ อ่ ตัง้ NADAAA สตูดโิ อออกแบบทีม่ คี วามมุง่ มัน่ ในเรือ่ งเกีย่ วกับ ความก้าวหน้าของงานออกแบบนวัตกรรม การร่วม งานกันกับผูเ้ ชีย่ วชาญสาขาต่างๆ รวมทัง้ การร่วม พัฒนาแนวคิดกับคนในอุตสาหกรรมก่อสร้างด้วย A conversation with Nader Tehrani, founder of NADAAA, a practice dedicated to the advancement of design innovation, interdisciplinary collaboration, and intensive dialogue with the construction industry.

76 Views

David Bowie is

Kevin Mark Low

Inside




Photo courtesy of Natee Utarit

Editorial

ช่วงปลายๆ เดือนกรกฎาคมทีผ่ า่ นมานี้ มีโอกาสได้ไปชมนิทรรศการชุด ‘Illustration of the Crisis’ ของนที อุตฤทธิ์ ศิลปินระดับแถวหน้าอีกรายหนึง่ ของประเทศไทย งานชุดนีข้ อง นทีแสดงทีห่ อศิลป์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ถึงสิน้ เดือนสิงหาคมนี้ ใครทีพ่ ลาดไปขอบอกว่า น่าเสียดายมากจริงๆ ความพิเศษของงานจิตรกรรมชุดนีอ้ ยูท่ แี่ นวทางทีน่ ทีใช้สร้างสรรค์ผลงาน ของเขาเป็นการใช้ภาษาและไวยากรณ์ของภาพแบบโบราณ ทีม่ ลี กั ษณะของการบอกเล่าเรือ่ ง ด้วยการอุปมาอุปไมย ตลอดจนการใช้สญั ลักษณ์ทซี่ อ่ นความหมายต่างๆ ทีส่ มั พันธ์กบั เรือ่ งราว เอาไว้ให้ผชู้ มได้ตคี วาม ในช่วง 2-3 ปีทผี่ า่ นมา นทีเริม่ กลับไปสนใจการเล่าเรือ่ งด้วยภาษา ภาพแบบจารีตดัง้ เดิมของงานจิตรกรรม โดยทีต่ วั เองก็หาคำตอบไม่ได้ “อาจเป็นไปได้วา่ ความซับซ้อนและเรือ่ งราวในบริบทสมัยใหม่ซงึ่ มีความจริงอยูห่ ลายระดับ ไม่สามารถถูก นำเสนอด้วยภาษาจิตรกรรมสมัยใหม่ได้อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน เนือ่ งจากศิลปะสมัยใหม่ได้ ลดทอนสิง่ สำคัญหลายอย่างทีเ่ คยมีในจิตรกรรมแบบดัง้ เดิมไป” ภาพเขียนชุดนีม้ คี วามสวยงามของสี เส้นสาย และองค์ประกอบทีเ่ รียบง่าย ชิน้ ส่วน อวัยวะมนุษย์ ตุก๊ ตา คน สัตว์ สิง่ ของทีจ่ งใจให้รวู้ า่ เป็นของปลอมๆ ไม่ใช่ของธรรมชาติ ภายใต้บรรยากาศทีป่ รุงแต่งให้ดเู หมือนเป็นความฝัน พร้อมทัง้ การใช้ไวยากรณ์ภาพทีใ่ ห้ ความรูส้ กึ ถึงการเผชิญหน้ากัน คล้ายจะเป็นการพบปะทักทายของสิง่ ทีไ่ ม่มชี วี ติ จริงๆ กับ สิง่ ทีด่ เู หมือนจะคุน้ เคย แต่มลี กั ษณะทีเ่ ปลีย่ นไปจากเดิม และยังคงผิดทีผ่ ดิ ทาง ชวนให้เกิด คำถามในใจว่าเกิดอะไรขึน้ ? นทีไม่ได้บอกกับเราตรงๆ ว่าวิกฤตทีเ่ ขาเผชิญอยูน่ นั้ คืออะไรกันแน่ สำหรับสังคมไทยใน ปัจจุบนั เราไม่อาจปฏิเสธได้วา่ สังคมของเรากำลังเผชิญกับวิกฤตในทุกๆ ด้าน ไม่วา่ จะเป็น ศาสนา การเมือง เศรษฐกิจ สังคม ฯลฯ เรากำลังมาถึงจุดทีเ่ ต็มไปด้วยการเผชิญหน้าของ ความคิดและความเชือ่ ทีแ่ ตกต่าง การท้าทายอำนาจศักดิส์ ทิ ธิท์ ไี่ ม่เคยถูกสัน่ คลอนได้ขนาดนี้ มาก่อนเลย การทวงถามของคนทีไ่ ม่เคยมีเสียงในสังคมทีม่ าแทนการร้องขอเหมือนในอดีต... หรือนีค่ อื วิกฤตทีศ่ ลิ ปินอย่างนทีตงั้ ใจจะสือ่ ด้วยการช่างอันวิจติ ร และการจัดองค์ประกอบ ศิลป์ทสี่ ามารถดึงผูช้ มออกไปจากโลกแห่งความจริงยามเมือ่ เพ่งมองภาพแต่ละชิน้ ด้วยอาการ หลงใหล ถ้าวิกฤตทัง้ หมดในสังคมเราถูกฉาบด้วยความงดงามแบบทีง่ านจิตรกรรมของนที อุตฤทธิ์ ทำงานกับสายตาและสมองของเราได้คงเป็นเรือ่ งวิเศษมากๆ ถ้าเพียงแค่ดเู รือ่ งราว ต่างๆ ทีเ่ กิดขึน้ นิง่ ๆ เฉยๆ ไม่ตอ้ งเอาความรูส้ กึ เข้าไปร่วมเผชิญด้วย หวังไปว่าประเดีย๋ วก็คง ต้องคลีค่ ลายไปเองได้จริงๆ แบบนัน้ คงไม่ตา่ งไปกับตุก๊ ตาพลาสติกไร้ชวี ติ ในภาพเขียนโบราณ ‘เหนือจริง’ ของนที อุตฤทธิ์ ทีเ่ ต็มไปด้วยคำถามแต่ไม่มคี ำตอบให้เลยสักภาพเดียว!

206 art4d August 2013

art4d is published 11 times a year Corporation 4d Ltd. 81 Sukhumvit 26 Bangkok 10110 T (662) 260 2606-8 F (662) 260 2609 art4d.com mail@art4d.com ISSN 0859-161X

Editorial Editor in Chief Mongkon Ponganutree Managing Editor Pratarn Teeratada Art Editor Piyapong Bhumichitra Photographer Ketsiree Wongwan English Editor Varsha Nair Advertising Director Pattapong Saravudecha Art Assistants Sarawut Charoennimuang Wilapa Kasviset

Contributing Editors Sudaporn Jiranukornsakul Rapee Chaimanee Natre Wannathepsakul Editorial Assistant Areewan Suwanmanee Pripada Wattanapanee Contributors Arlene Wandera Aroon Puritat Darunee Terdtoontaveedej Jaksin Noyraiphoom Karjvit Rirermvanich Panjapol Kulpapangkorn Rebecca Vickers

Ross Logie Sawinya Chavanich Sidh Sintusingha Suebsang Sangwachirapiban Supitcha Tovivich Tanakanya Changchaitum Warut Duangkaewkart Thanks to 100 Tonson Gallery Bolt Group USB ColaLife Doonyapol Srichan Everyday KARMAKAMET Haworth Tompkins Architects

At the end of July, we had a chance to go and see artworks by Natee Utarit, one of Thailand’s leading artists, in the exhibition ‘Illustration of the Crisis’, showing at the Bangkok University Gallery until end of August. We recommend you don’t miss this one. The interesting thing about this collection of paintings is how Utarit has chosen to employ the language of classical painting, which tell stories through metaphors and symbolism for viewers to interpret. In the past couple of years, Utarit has “felt a renewed fascination for the pictorial language of classical painting”. The artist is still looking for answers but also has “had the growing suspicion that the language of contemporary painting, which has been stripped of so much of what mattered to classical painting, is simply not up to the job of conveying the complexity of modern issues and the multifarious nature of ‘truth’ today.” The beauty of these works comes from the colors, lines and simple elements. Human body parts, figurines, people, animals and things are intentionally portrayed as objects, their unnaturalness emphasized by the dreamlike settings, coupled with a visual language that gives rise to the feeling of a confrontation. It is a meeting of objects that look familiar, but with something different and uncanny about them, making us wonder: “What happened?” Utarit does not quite say what exactly is the crisis he is facing. For Thai people today, we cannot deny that our society is facing a crisis in every direction, whether it’s religion, politics, the economy, society etc. We are at the point where different beliefs and ideologies are confronting each other head-on, where challenges to authority have never been so acute, where demands have replaced entreaties... Or is this the crisis that artists like Utarit are trying to convey through exquisite craftsmanship and artful composition that pull enchanted viewers away from the real world. How wonderful it would be if all the problems in our society could be glazed over with such beauty as those found in Utarit’s works. Yet if we only look without investing our emotions and hoping that soon everything will turn out alright, then we would be no different to those lifeless plastic figurines in Natee Utarit’s surreal classical paintings, full of questions but never finding even a single answer!

Industrial Facility Interior Design farm Ishinomaki Laboratory Kevin Mark Low Laure Kasiers Lemontea Hotel Material Connexion Bangkok Nader Tehrani Ogilvy & Mather France Oluce Pichet Klunchun PJ Trade Centre RMIT Design Hub Siriraj Phimuksthan Museum

small projects Splinter Works The Shed Torafu Architects Vichaya (Win) Mukdamanee Victoria and Albert Museum WAFT-LAB Publishing Print / Plate Focal Image Distribution Ngandee Co., Ltd. (Matichon Group) T (662) 2580 0020 F (662) 2579 7183

Published by Corporation4d Ltd. All photographs are by Spaceshift Studio except as noted. Copyright 2013 No responsibility can be accepted for unsolicited manuscripts or photographs.

Subscriptions art4d subscriptions Corporation4d Limited P.O. Box 57 Santisuk Post office Bangkok 10113 T (662) 260 2606-8 F (662) 260 2609 mail@art4d.com


14

art4d August 2013

Architecture 05 ARCHIDEX 2013 / 06 Siriraj Phimuksthan Museum by Interior Architecture 103 Design 01 Smarter City by Ogilvy & Mather France in collaboration with IBM / 02 Lemontea Hotel by Interior Design Farm / 03 Kit Yamoyo by ColaLife / 04 Everyday KARMAKAMET Portrait Doonyapol Srichan

02

03

01

01 Smart Ideas for Smarter Cities Text Warut Duangkaewkart Photos Bruno Carvalhaes

ปารีส — ประเทศไทยเรานัน้ มีปา้ ยโฆษณา ป้ายบอกทาง ป้ายหาเสียง เรียงรายบนท้องถนนและทางเท้าอยู่ มากจนเป็นเรือ่ งปกติ ส่งผลถึงปัญหาทางทัศนียภาพและ ทางกายภาพสูเ่ มือง นีย่ งั ไม่รวมถึงปัญหาเรือ่ งรถติด เรือ่ งอาชญากรรม เรือ่ งเศรษฐกิจ ไปจนถึงเรือ่ งคุณภาพชีวติ หลายๆ เมืองทัว่ โลกก็ประสบปัญหาลักษณะเดียวกัน จะมีทางไหนบ้างทีพ่ อจะทำให้เมืองทีเ่ ห็นกันอยูน่ นั้ ไม่แย่ ไปมากกว่านี้ เป็นความคิดริเริม่ ทีจ่ ะสร้างสังคมเมืองรูปแบบใหม่ เพือ่ ทีจ่ ะรองรับปัญหาหลายอย่างในปัจจุบนั IBM เชือ่ ว่า ปัจจัยสำคัญทีจ่ ะสร้าง smarter city นัน้ เกิดจากการวางแผนและการจัดการทีด่ ขี องผูน้ ำหรือภาครัฐ (planning and management) การบริหารจัดการทรัพยาการอย่างมี คุณภาพ (infrastructure) และสาธารณูปโภคของประชากร ทีด่ มี คี ณุ ภาพ (human) ทีจ่ ะนำมาซึง่ การพัฒนาเมือง สำหรับอนาคตอย่างยัง่ ยืน โครงการนีเ้ ริม่ ลงมือปฏิบตั ไิ ป บ้างแล้วในเมืองใหญ่ๆ อย่างเมืองรีโอเดจาเนโรในบราซิล ทีเ่ ข้าไปช่วยในเรือ่ งของการจัดการบริหารข้อมูล ต่างๆ เช่น สภาพอากาศ การจราจร และอุบตั เิ หตุ เพือ่ สร้างระบบ ทีข่ อ้ มูลเชือ่ มถึงกัน และสร้างระบบสาธารณูปโภคขึน้ มา เพือ่ รองรับภัยพิบตั หิ รือปัญหาเมืองทีต่ อ้ งขยายในอนาคต หรือเมืองอย่างเมมฟิสและนิวยอร์กทีไ่ ด้เข้าไปจัดการใน เรือ่ งของการลดความเสีย่ งทีจ่ ะเกิดอาชญากรรมขึน้ มาใน เมือง สร้างระบบทีจ่ ะพัฒนาองค์กรตำรวจและการดูแล เมืองให้มปี ระสิทธิภาพยิง่ ขึน้ ล่าสุด IBM ได้รว่ มมือกับสตูดโิ อโฆษณาชือ่ ดังอย่าง Ogilvy & Mather France สร้างความหมายใหม่ให้งาน โฆษณาภายใต้แนวคิด Smarter City ผลงานชุดนีแ้ สดง

ถึงการผสมผสานระหว่างงานโฆษณา งานออกแบบ ผลิตภัณฑ์ และการออกแบบผังเมืองเข้าไว้ดว้ ยกัน ผ่านงาน ออกแบบเชิง street furniture หลังคากันฝน ม้านัง่ และ ทางลาดขึน้ บันไดเพือ่ สร้างแรงบันดาลใจให้แก่เมือง กระตุน้ ให้ผคู้ นนัน้ สนใจทีจ่ ะคิดค้นหาแนวทางหรือออกแบบสิง่ ใหม่ๆ ให้กบั เมืองมากขึน้ จากป้ายโฆษณาทัว่ ไป เมือ่ นำไปดัดโค้งเปลีย่ นรูปให้เกิดฟังก์ชนั่ ใหม่กส็ ามารถ สร้างปฏิสมั พันธ์ สร้างประโยชน์ให้กบั ผูค้ นในเมืองละแวก นัน้ ได้ จะนัง่ พักนัง่ เล่น ยืนหลบแดดหลบฝน หรือเข็น ของเข็นจักรยานขึน้ บันได ด้วยสี 3 สีทสี่ อื่ ถึงประเด็น ความคิดของ IBM นำมาใช้ในงานทำให้มคี วามน่าสนใจ เห็นแล้วรูส้ กึ อยากเข้าไปทำความรูจ้ กั และลองใช้ ซึง่ เมือ่ ผนวกเข้ากับงานโฆษณา (ทีพ่ อเหมาะ) เกีย่ วกับประเด็น ของ smarter cities ‘sitting on a smart idea for your city?’ ประโยคทีเ่ ป็นเหมือนคำถามปลายเปิดเชิญชวนให้ ผูค้ นทีพ่ บเห็นได้พดู คุยแบ่งปันความคิด และกระจาย บอกต่อกันไปในวงกว้างบนสังคมออนไลน์ งานชิน้ นีเ้ ริม่ ต้นในเมืองใหญ่อย่างลอนดอนและปารีส ทีพ่ ร้อมจะนำไปพัฒนาสูเ่ มืองใหญ่ๆ ทัว่ โลก ซึง่ นอกจาก จะช่วยกระตุน้ ในเรือ่ งของโครงการ Smarter City แล้ว ยังเปิดมุมมองใหม่ให้กบั การโฆษณาตามท้องถนนทีเ่ ป็น ประโยชน์ตอ่ เมืองและสภาพแวดล้อม มากกว่าทีจ่ ะสนใจ เรือ่ งการขายหรือข้อมูลเชิงธุรกิจเพียงอย่างเดียว คงจะดี เหมือนกันหากในประเทศของเรามีคนทีค่ ดิ และพยายาม ทำออกมาในลักษณะนีเ้ ยอะๆ เพือ่ สร้างสภาพแวดล้อมที่ แปลกใหม่แต่นา่ สนใจ ค่อยๆ เปลีย่ นเมืองไปทีละน้อย ลอง จินตนาการถึงป้ายหาเสียงทีส่ ามารถบังแดดบังฝนให้เรา ไปพลางๆ ก่อนละกัน หากวันนัน้ มาถึงจริงก็คงจะดีไม่นอ้ ย

01-03 ป้ายโฆษณาทีม่ ี ปฏิสมั พันธ์กบั ผูค้ นในสถานการณ์ทแี่ ตกต่างกันออกไป

Paris — In Thailand, our streets are filled with signage and placards which impede the view of the city, causing numerous problems, in addition to the problems with traffic, crime, the economy and the urban quality of life. Many other cities are also facing these issues. In order to cope with these problems, IBM has come up with a solution to create a ‘smarter city’. This concept consists of three key factors: Planning and Management, Infrastructure and Human, to ameliorate the living condition in the city. Recently, IBM has collaborated with advertising agency, Ogilvy & Mather France to create a hybrid between advertising, product design and urban design under the concept of Smarter City. This resulted in a series of interactive street furniture, inspired by the signage and placards which are then bent to create useful functions for the public. The three colors applied in the design of the collection also symbolize the three key factors in the concept with the question, “Sitting on a smart idea for your city?” Thus, inviting the public to share their thoughts and ideas online. The project was launched in London and Paris, with aims to develop in other cities. This new use of advertisement triggers conversations and questions about the Smarter City, rather than being just a piece of advertisement. It would be nice if such idea of applying useful function in advertisement exists in our city, election posters that can shield pedestrains from the rain would be a good start.

Ogilvy & Mather France decouvrir.ogilvy.fr IBM ibm.com



16

art4d August 2013

Anuphan Sukhapinda

Update

01

02 Lemontea Hotel Text Karjvit Rirermvanich Photos Chanchanit Srisuwan except as noted

กรุงเทพฯ — ฐานข้อมูลบนเว็บไซต์จองห้องพักโรงแรม ให้ผลลัพธ์จากการใส่คำว่า ‘ประตูนำ้ ’ ลงในช่องค้นหา เป็นโรงแรมทุกขนาดและราคา สะท้อนภาพทีช่ ดั เจนของ ความหลากหลายและครบถ้วนในย่านการค้าทีค่ กึ คัก แห่งนี้ ไล่ตงั้ แต่ hostel ราคาไม่กรี่ อ้ ย ไปจนถึง executive suite ราคาเหยียบหมืน่ ในลิสต์รายชือ่ โรงแรมเกือบร้อย แห่งนี้ กว่าครึง่ เป็นโรงแรมประเภท budget hotel ราคา อยูใ่ นช่วงพันต้นๆ ถึงสองพันกว่าบาทต่อคืน ซึง่ ตอบรับ กับความต้องการของกลุม่ นักท่องเทีย่ วหลักในย่านนี้ ทัง้ กลุม่ นักช็อปขาจรและกลุม่ นักธุรกิจค้าส่งทีใ่ ช้เวลาส่วนใหญ่ ของวันอยูข่ า้ งนอกมากกว่าในโรงแรม ผูไ้ ม่ได้ตอ้ งการ สิง่ อำนวยความสะดวกอืน่ ๆ นอกจากทีน่ อนทีห่ ลับสบาย เพือ่ เติมพลังไปช็อปต่อในวันรุง่ ขึน้ Lemontea Hotel เป็นโรงแรมน้องใหม่ในตลาดใหญ่นี้ ทีถ่ อื กำเนิดมาจากแนวความคิดของเจ้าของโครงการคือ ต้องการให้แขกทีม่ าพักรูส้ กึ สดชืน่ เหมือนดืม่ ชามะนาว จึงเป็นทีม่ าของชือ่ และคอนเซ็ปต์ ‘Casual, Easy and Fresh’ ของโรงแรม ซึง่ เป็น ‘3 คำ’ ทีต่ อบโจทย์ความต้องการของนักท่องเทีย่ วกลุม่ นีไ้ ด้คอ่ นข้างชัดเจน แนว ความคิดนีถ้ กู แปลเป็นกายภาพอย่างตรงไปตรงมาโดย ทีมเพือ่ นๆ นักออกแบบทีร่ ว่ มสนุกกันทัง้ ทีมกับเจ้าของ โครงการตัง้ แต่ชว่ งแรกของการออกแบบ ส่งผลให้งานใน ทุกสเกลมีความสอดคล้องกันซึง่ เห็นได้ชดั ตัง้ แต่การที่ แพทเทิรน์ เดียวกันถูกใช้ทงั้ บนโลโก้และบนรูปด้านอาคาร ไปจนถึงการใช้สเี หลืองมะนาวเป็นพระเอกในงานทุกๆ

ส่วน เพือ่ แสดงภาพลักษณ์และไอเดียเรือ่ งความสดชืน่ ทัง้ งานโลโก้โดย P. Library Design Studio งานอินทีเรีย โดย Interior Design Farm และ Cyrup Factory ไปจน ถึงงานสถาปัตย์โดย ARbay ซึง่ ก็เป็นการตีความและ ออกแบบทีช่ ดั เจนในมิตทิ ไี่ ม่ซบั ซ้อนและได้ผลโดยไม่มี อะไรลึกซึง้ เข้าใจยาก โดยเฉพาะความรูส้ กึ สดชืน่ ทีเ่ กิด จากการทีส่ เี หลืองทีแ่ ต้มบนตัวอาคารและความโปร่งโล่ง ของบริเวณล็อบบีน้ นั้ ให้ความรูส้ กึ แตกต่างออกจาก สภาพแวดล้อมในซอยเพชรบุรี 15 ซึง่ ส่วนใหญ่เป็น ตึกแถวเก่าๆ ทีค่ อ่ นข้างแออัดและอยูใ่ นโทน ขาวๆ เทาๆ เสียเป็นส่วนใหญ่ ลูกเล่นสนุกๆ อีกอย่างทีท่ มี งานใช้ สร้างเอกลักษณ์ของ Lemontea Hotel คือการแบ่งประเภท ของห้องพักทีม่ ขี นาดเดียวและมีแปลนใกล้เคียงกัน ออกเป็น 7 ประเภท อย่างสนุกสนานตามชือ่ เครือ่ งดืม่ 7 ชนิด คือ Lemontea, Japanese Matcha, Latte, Earl Grey, O-Leang, Cha-Yen และ Smoothie และออกแบบ ตกแต่งภายในโดยใช้การให้สสี นั และพร็อพให้ได้อารมณ์ ตามเครือ่ งดืม่ นัน้ ๆ ซึง่ ก็สามารถตอบโจทย์ในเชิงการ สร้างเอกลักษณ์ทางการตลาดและการลงทุนของโรงแรม ประเภท budget hotel ได้เป็นอย่างดีในเวลาเดียวกัน เป็นทีแ่ น่นอนว่าการแข่งขันทีส่ งู ในตลาดทำให้ผ-ู้ บริโภคมีโอกาสทีจ่ ะได้ของถูกและดีมากขึน้ เรือ่ ยๆ โดย เฉพาะเมือ่ ขอบเขตงานดีไซน์ไม่ได้ถกู จำกัดอยูเ่ ฉพาะ ของพรีเมีย่ มระดับห้าดาวด้วยแล้ว ของถูกและดีมอี ยูจ่ ริง และมันน่าจะหมายถึง ของถูกและ (ดีไซน์) ดี

02

01 ตัวอาคารสูง 8 ชัน้ ของ โรงแรม Lemontea 02 บริเวณโถงล็อบบีแ้ ละบันได เชือ่ มไปยังส่วน café 03 การตกแต่งภายในห้องพัก แบบ Smoothie, Japanese Matcha และ Earl Grey

03

Bangkok — The blossoming presence of budget hotels in Pratunam area of Bangkok is a testament of the substantial growth of the district as well as the demands and characteristic of their tourist clients. Among them is Lemontea Hotel, the newbie of the business that attracts its customers with the ‘casual, easy and fresh’ concept materialized into the colorful lemon color design of the hotel. The concept is applied to the interior by Interior Design Farm and logo design by Cyrup Factory, which answers to the simple allocation and straightforward interpretation of space by the architecture firm ARbay. Surrounded by the congested block of dungy shophouses, the hotel stands out with its spacious lobby area and vibrant use of color. The hotel rooms are all in one size with similar room plan, each named after 7 kinds of drink (Lemontea, Japanese Matcha, Latte, Earl Grey, O-Leang, Cha-Yen and Smoothie), which are used as the rooms’ decoration theme. With the market increasingly competitive, the realm of design is being expanded, while products to establishments are becoming more accessible and affordable…the price of good design is not expensive anymore.

Interior Design Farm info@interiordesignfarm.co.th Lemontea Hotel lemonteahotel.com



18

art4d August 2013

Update

03 Kit Yamoyo Text Natre Wannathepsakul Photos Simon Berry

Lusaka — The Kit Yamoyo, designed by ColaLife and PI Global, fetched the much-coveted annual Design of the Year award given by the Design Museum in London in the Products category this year. But the story of Kit Yamoyo is not just one of smart packaging, though that is one essential part of it. Otherwise known as the AidPod, the project was conceived and headed by Simon and Jane Berry, who noticed while working on the British Aid program in the late 80s how products like CocaCola were being stocked in local shops in remote places that medical aid by international organizations were unable to reach. The idea to deliver social products by piggy-backing off Coke’s distribution channel started to take form with the help of social media in 2008; half a decade later, a pilot run is currently in progress in Zambia. The packaging started life as a wedge-shaped cardboard box that would slot into the empty spaces around Coca-Cola’s glass-bottlenecks when being transported by crates. This initial design underwent six iterations before the decision was made to carry out an operational trial in Zambia and focus on delivering anti-diarrhea kits (diarrhea being “the second biggest killer of under 5 children in sub-Saharan Africa”), whence the branding and design consultancy PI Global was brought in and the AidPod took on the more refined, plastic incarnation, though even this went through another four tweaks before finally reaching the production model that we see today. No less important, however, is the design of the business model – including the fundraising, fostering partnerships, strategic pricing to test runs on free vouchers – for which it was agreed that a demandled, ‘trade-not-aid’ model would be the most effective long-term solution. This meant that profits had to be made along the way and the look of the package was directed towards adding market value and desirability. Aimed primarily at mothers, research was done with focus groups to come up with the branding and graphic design: the literal image of a mother holding a child was preferred to more snazzy logos, ‘yamoyo’ is Nyanja for ‘life’ or ‘life-giving’ and got the highest vote (beating, among others, ‘Tiptop Tummy’) while the idiosyncratic packaging is bright and shiny to attract attention. That one of the industry’s most highly-regarded awards should go to a product conceived by someone outside the design profession should get designers to rethink and redefine the boundary of their own discipline. The truth is that we’ve seen much smarter designs in abundance, the piles of them that never leave the drawing room, or these days, the slick render / 3D model stage and can be ogled ad nauseum online. Alas, this is the poor position that many designers have locked themselves into: the creator of sleek images that require someone else to turn them into reality. If the Kit Yamoyo succeeds in catching people’s imagination, that is because it is an instance of a holistic, proactive approach to creating a product, a prime case study on how to nurture your secret little genius idea to fruition – and bring real changes to people’s lives in the process.

ColaLife colalife.org

02

01

ลูซาก้า — ผลงานออกแบบ Kit Yamoyo โดย ColaLife และ PI Global คว้ารางวัลด้านการออกแบบ 01 สือ่ โฆษณาของ Kit ประจำปีทเี่ ป็นทีห่ มายปองมากทีส่ ดุ รางวัลหนึง่ ที่ Design Yamoyo 02 บรรจุภณั ฑ์ทสี่ ามารถขนส่ง Museum แห่งลอนดอนเป็นผูจ้ ดั กลับบ้านไปได้ นัน่ คือ รางวัล Design of the Year สาขา Products แต่เรือ่ งโดยแทรกตัวมากับช่องว่าง ระหว่างขวดโค้กทีบ่ รรจุในลัง ราวของ Kit Yamoyo มีอะไรมากกว่าแค่หบี ห่อและ ไอเดียแสนฉลาด แม้วา่ นัน่ จะเป็นปัจจัยทีท่ ำให้มนั ได้รบั ได้พอดี 03 กล่องบรรจุภณั ฑ์สามารถ รางวัลก็ตามที ผลงานชิน้ นีซ้ งึ่ เป็นรูจ้ กั กันในอีกชือ่ หนึง่ นำมาใช้เป็นถ้วยผสมยา ที่ คือ AidPod อันเป็นโปรเจ็คต์ทถี่ อื กำเนิดและนำขบวน บรรจุนำ้ ได้พอดีกบั อัตราส่วน โดย Simon และ Jane Berry อาสาสมัครทีเ่ คยทำงาน ทีต่ อ้ งใช้ตอ่ ยา 1 ชุด ให้โปรแกรม British Aid ในช่วงยุค 80 ทีส่ งั เกตเห็นว่า ในขณะทีส่ นิ ค้าอย่างน้ำดืม่ โคคาโคล่ามีสต๊อคเก็บไว้ใน ร้านค้าในพืน้ ทีก่ นั ดารและเข้าถึงยาก ชุดยารักษาพยาบาล ทีจ่ ดั ทำโดยองค์กรสากลต่างๆ กลับเดินทางไปไม่ถงึ พืน้ ทีเ่ หล่านัน้ ความคิดทีจ่ ะส่งผลิตภัณฑ์ทางสังคมให้ ถึงมือผูค้ นโดยใช้วธี ใี ห้มนั ติดสอยห้อยตามเส้นทางการ จัดจำหน่ายของ Coke นัน้ เริม่ เป็นรูปเป็นร่างขึน้ ด้วย การใช้สอื่ สังคมออนไลน์ในปี 2008 5 ปีผา่ นไปและ ตอนนีข้ นั้ ตอนนำร่องการขนส่งจริงก็กำลังเกิดขึน้ แล้ว ในประเทศแซมเบีย แรกเริม่ เดิมที หีบห่อของ Kit Yamoyo ใช้วสั ดุ กระดาษแข็งโดยมีรปู ทรงสามเหลีย่ มตามช่องว่างระหว่าง คอขวดโค้กทีถ่ กู จัดเรียงในลังทีใ่ ช้สำหรับขนส่ง ซึง่ จะ ทำให้ตวั มันสามารถถูกจัดวางลงทีด่ า้ นบนของลังได้ อย่างพอดิบพอดี โดยมีการปรับแบบถึง 6 ครัง้ เมือ่ มี การตัดสินใจแล้วว่าพืน้ ทีส่ ำหรับทำการทดสอบใช้จริง ของ Kit Yamoyo จะเป็นทีแ่ ซมเบีย โดยจะมุง่ เน้นไปที่ การขนส่งชุดรักษาโรคท้องร่วงอันเป็นสาเหตุการตาย อันดับ 2 ของเด็กอายุตำ่ กว่า 5 ปีในพืน้ ทีท่ างตอนใต้ของ ทะเลทรายซาฮาร่าในทวีปแอฟริกา เมือ่ บริษทั แบรนดิง้ และทีป่ รึกษาด้านการออกแบบอย่าง PI Global เข้ามามี ส่วนร่วมในโปรเจ็คต์ รูปลักษณ์ของ AidPod จึงเปลีย่ น ไปเป็นกล่องพลาสติกทีม่ คี วามเนีย๊ บและมีรายละเอียดที่ เหมาะกับการใช้งานมากขึน้ ดังทีเ่ ห็นทุกวันนี้ แต่กม็ กี าร ปรับแบบจาก PI Global อีก 4 ครัง้ นอกจากนี้ สิง่ ทีม่ ี

03

ความสำคัญไม่แพ้รปู ลักษณ์คอื โมเดลทางธุรกิจ อันรวมไป ถึงการหาทุน หุน้ ส่วนอุปถัมภ์ กลยุทธ์การตัง้ ราคาขัน้ ตอน การทดลองกระจายสินค้าโดยให้ใช้ voucher มาแลกฟรี ท้ายทีส่ ดุ ทุกฝ่ายตกลงกันว่าทิศทางของ Kit Yamoyo จะเป็นไปในโมเดลของการ ‘ขาย’ ไม่ใช่ ‘การให้ ความช่วยเหลือ’ เพราะนัน่ จะเป็นวิธกี ารทีม่ คี วามเป็นไปได้และยัง่ ยืนทีส่ ดุ นัน่ หมายความว่าการทำกำไรจะ ต้องมี ในขณะทีร่ ปู ลักษณ์ของหีบห่อจะต้องช่วยเพิม่ มูลค่าทางการตลาดและความน่าใช้ โดย AidPod จะมี กลุม่ ลูกค้าหลักคือบรรดาคุณแม่ ซึง่ การทำวิจยั ตลาด กับกลุม่ ตัวอย่างส่งผลให้รปู แม่อมุ้ เด็กถูกนำมาใช้แทนที่ จะเป็นโลโก้หน้าตาเก๋ๆ โดยคำว่า ‘yamoyo’ นัน้ มีความหมายว่า ชีวติ หรือการให้ชวี ติ ในภาษา Nyanja องค์ประกอบทัง้ หลายเหล่านีถ้ กู นำมาใช้กบั แพ็คเกจจิง้ หน้าตา สีสนั สดใสแวววาวเพือ่ ดึงดูดความสนใจของผูซ้ อื้ การทีร่ างวัลทีจ่ ดั ได้วา่ เป็นหนึง่ ในรางวัลทีไ่ ด้รบั การ ยอมรับสูงสุดในวงการออกแบบถูกมอบให้กบั คนทีไ่ ม่ได้ มาจากวิชาชีพออกแบบเลยนัน้ น่าจะส่งผลให้เหล่านักออกแบบหันกลับมาคิดทบทวนและให้คำนิยามขอบเขต ของสิง่ ทีพ่ วกเขากำลังทำกันอยูด่ ใู หม่อกี ครัง้ ความจริง ก็คอื เราได้เห็นงานออกแบบทีฉ่ ลาดหลักแหลมกว่า Kit Yamoyo มาแล้วนับไม่ถว้ น และจำนวนไม่นอ้ ยเลยที่ ไม่ได้เล็ดลอดออกจากห้องร่างแบบ หรือถ้าเป็นสมัยนี้ งานทีว่ า่ ก็คงจะเป็นภาพเรนเดอร์หรือโมเดล 3D ที่ พบเห็นได้ดาษดืน่ ในอินเตอร์เน็ต หรือว่านีจ่ ะกลายเป็น จุดยืนจุดใหม่ทนี่ กั ออกแบบนำพาตัวเองมาติดกับจน ก้าวออกไปไม่ได้เสียที นัน่ คือสถานะภาพของความเป็น ผูส้ ร้างสรรค์ภาพสวยๆ ทีน่ งั่ รอวันให้คนเอามาทำให้ เป็นจริง ถ้า Kit Yamoyo ประสบความสำเร็จและได้รบั ความสนใจอย่างกว้างขวาง นัน่ ก็เป็นเพราะมันคือตัวอย่าง ของการมองภาพองค์รวมในการทีจ่ ะสร้างผลิตภัณฑ์ สักชิน้ ทีน่ า่ จะเป็นกรณีศกึ ษาชัน้ ยอดของการอัจฉริยภาพ ทางความคิดให้เป็นรูปเป็นร่างและบังเกิดผลได้ เป็น การรวบรวมเอาสิง่ ทีจ่ ะสร้างความเปลีย่ นแปลงให้กบั ชีวติ ผูค้ นไว้ในกระบวนการออกแบบได้อย่างแท้จริง



20

art4d August 2013

Update

02

01

04 Everyday KARMAKAMET Text Sawinya Chavanich Photos Ketsiree Wongwan

กรุงเทพฯ — ท่ามกลางระบบทุนเสรีทเี่ ข้ามารุกราน พืน้ ทีส่ ว่ นใหญ่ในประเทศทีก่ ำลังพัฒนาส่งผลให้เจ้าของ ธุรกิจรายย่อยและนักออกแบบหน้าใหม่หลายคนได้รบั ผลกระทบไปตามๆ กัน เช่นเดียวกับภูมปิ ญั ญา ทักษะ และฝีมอื แรงงานคุณภาพดีทกี่ ำลังจะถูกแทนทีด่ ว้ ยธุรกิจ รายใหญ่หลายแขนงทีพ่ ร้อมหยิบยืน่ ผลิตภัณฑ์และบริการ แบบครบวงจรสำหรับคนเมืองไว้ในพืน้ ทีเ่ ดียว ด้วยเหตุนี้ เองทีท่ ำให้ ณัทธร รักษ์ชนะ เจ้าของแบรนด์เครือ่ งหอมที่ หลายคนอาจจะรูจ้ กั กันดีอย่าง Karmakamet ตัดสินใจ เปิดคาเฟ่เล็กๆ ท่ามกลางย่านธุรกิจอย่างสีลมเพือ่ สนับสนุนผลงานของนักออกแบบรุน่ ใหม่และสร้างแรงบันดาลใจ ในการใช้ชวี ติ ให้กบั คนเมืองภายใต้ชอื่ ‘Everyday KARMAKAMET’ ด้านหลังประตูบานสีฟา้ ทีช่ นั้ G ของอาคารญาดา ซึง่ อยูไ่ ม่หา่ งจากรถไฟฟ้าสถานีศาลาแดงมากนักคือทีต่ งั้ ของร้าน Everyday KARMAKAMET คาเฟ่กงึ่ lifestyle shop ทีเ่ กิดขึน้ จากสโลแกน ‘I love my life’ สโลแกน ง่ายๆ ทีม่ คี วามตัง้ ใจจะสร้างสรรค์พนื้ ทีใ่ นชีวติ ของแต่ละคน ให้นา่ อยูต่ งั้ แต่ลมื ตาจนหลับตาลง จากประสบการณ์ ของณัทธรทีม่ โี อกาสคลุกคลีอยูก่ บั วงการการออกแบบ ตกแต่งภายในมาพอสมควรส่งผลให้พนื้ ทีใ่ ช้สอยภายใน คาเฟ่แห่งนีค้ อ่ นข้างลงตัวและแตกต่างจากคาเฟ่ธรรมดา ทัว่ ไป ตัง้ แต่การจัดโซนพืน้ ทีท่ ไี่ ม่ได้แบ่งแยกพืน้ ทีค่ าเฟ่ และพืน้ ทีข่ ายสินค้าออกจากกันอย่างชัดเจน ลูกค้าจึงมี โอกาสหยิบจับสินค้าได้โดยไม่ตอ้ งลุกออกจากทีน่ งั่ ใน ขณะเดียวกันบรรยากาศภายในร้านทีไ่ ม่เน้นการจัดแต่ง แต่เน้นความงามแบบ real life บวกกับสี วัสดุ และ เฟอร์นเิ จอร์ทมี่ รี าคาไม่สงู ก็สร้างความคุน้ ชินและน่าไว้ วางใจกับภาวะปกติของกลุม่ ลูกค้า บรรยากาศภายในร้าน จึงเป็นคล้ายกับห้องนัง่ เล่นทีท่ กุ คนจะมาพบปะสังสรรค์ และแชร์ความคิดกัน เป็นการบอกโดยนัยว่า คุณเองก็ สามารถมีพนื้ ทีท่ นี่ า่ อยูไ่ ด้ไม่ยากในชีวติ ของคุณเอง

นอกจาก ชา กาแฟ และขนม ทางร้านยังนำสินค้า จากนักออกแบบรุน่ ใหม่และกลุม่ ธุรกิจรายย่อยทีอ่ าจจะ ยังไม่มพี นื้ ทีใ่ นการต่อยอดในธุรกิจของตัวเองมารวบรวม ไว้ภายในร้าน คล้ายกับมูลนิธแิ ละสหกรณ์ทที่ กุ คนสามารถ เป็นเจ้าของร่วมกันได้ โดยสินค้าต่างๆ จะแบ่งออกเป็น 5 ประเภทด้วยกัน ได้แก่ Eat, Clean, Work, Care, และ Etc. โดยต้องการให้คนเมืองทีว่ ถิ ชี วี ติ แบบเร่งรีบทีด่ ขี นึ้ จุดเด่นทีท่ ำให้คาเฟ่แห่งนีแ้ ตกต่างจากคาเฟ่ทวั่ ไปคือ ข้อความเตือนใจเล็กๆ น้อยๆ ทีส่ งั เกตเห็นได้เกือบทุกมุม ในร้าน ทัง้ ป้ายเล็กๆ บนเคาน์เตอร์ทมี่ ขี อ้ ความเขียนว่า ‘Eat well, Think well, Work well, Love well.’ หรือข้อความตัวใหญ่บนพืน้ ทีเ่ ขียนว่า ‘To die is nothing but it is terrible not to live.’ “เช่นเดียวกับสินค้าและฉลากสินค้า ของทางร้าน ทางกำแพงด้านขวาเรายังสามารถสังเกต เห็นข้อความดีๆ จากลูกค้าทีเ่ ขียนแปะไว้คล้ายกับคอลลาจ ขนาดใหญ่จากกระดาษและอุปกรณ์ระบายสีทที่ างร้าน เตรียมไว้ให้ ด้วยสังคมทีก่ ำลังเปลีย่ นแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทุกวันนี้ เราเชือ่ ว่าทุกคนต้องการเพือ่ นและการเชือ่ มโยง ความรูส้ กึ บางอย่างอออกไป รวมถึงการได้แสดงออกเชิง ความคิดอิสระ ซึง่ ในปัจจุบนั ก็มพี นื้ ทีส่ ำหรับการแสดงออก เชิงบวกเหล่านีใ้ นสภาพแบบทีว่ า่ น้อยลงทุกที พืน้ ทีใ่ น เมืองนัน้ แพงยิง่ กว่าทองและถูกนำไปหากำไรทุกตารางนิว้ ... มันจึงได้เกิดขึน้ ทีน่ ”ี่ ณัทธร บอกกับเรา จากจุดเริม่ ต้นทีไ่ ม่อยากตามกระแสทุนเสรีมาถึง Everyday KARMAKAMET ทำให้เราอดคิดไม่ได้วา่ ความจริงแล้วในพืน้ ทีก่ ว้างใหญ่ของกรุงเทพฯ ทีเ่ ต็มไป ด้วยห้างสรรพสินค้า ตึกสูง และโครงการเมกะโปรเจ็คต์ แห่งนี้ ก็ยงั พอมีชอ่ งว่างสำหรับนักออกแบบรุน่ ใหม่และ ธุรกิจรายย่อยให้ตอ่ ยอดทางธุรกิจอยูบ่ า้ ง ตราบใดทีค่ นใน สังคมยังคงโหยหาความไม่สำเร็จรูปของสินค้าและบริการ เราก็ยงั พอมีหวังว่าวันหนึง่ ช่องว่างนีจ้ ะขยายใหญ่ขนึ้ และ เพียงพอสำหรับทุกคน

03

01 โต๊ะตัวใหญ่กลางร้านพร้อม กระดาษและอุปกรณ์ระบายสี สำหรับลูกค้าให้มาสร้างสรรค์ ผลงานร่วมกัน โดยเราสามารถ สังเกตเห็นผลงานบางชิน้ ที่ แปะอยูบ่ นโคมไฟ 02 รูปแบบผลิตภัณฑ์ของทาง ร้านแยกตามประเภทสินค้าที่ มักจะมีขอ้ ความดีๆ ฝากไว้ เสมอ 03 บริเวณขายสินค้าภายใน ร้าน เริม่ จากผลิตภัณฑ์เครือ่ งหอมเลยไปจนถึงอุปกรณ์ สำนักงานด้านในสุด 04 บริเวณด้านหน้าร้านมอง จากฝัง่ ตรงข้าม โดยหน้าต่าง เล็กๆ ด้านซ้ายมือมีไว้สำหรับ คนทีอ่ ยากสัง่ เครือ่ งดืม่ และ ขนมกลับบ้าน

Bangkok — With the bombarding presence of capitalism in all shapes and forms affecting the entrepreneurs of small businesses and young designers, mass-produced products are replacing local wisdom and skilled workers. When Natthron Rakchana, owner of the brand Karmakamet, decided to open ‘Everyday KARMAKAMET’ on the ground floor of the Yada Building in Silom, he intends for the place to be an alternative lifestyle shop that makes the lives of the people of Bangkok a little bit more pleasant and liberating. The interior space takes on the ‘real life’ approach, which is materialized into a humble and simple design that everyone can easily relate to and feel comfortable in. In addition to drinks and pastries, the shop also sells products from new designers and small brands, with the merchandises divided into five categories: Eat, Clean, Work, Care and Etc. At Everyday Karmakamet, one can find positive quotes written in almost every corner of the café, be it ‘Eat well, Think well, Work well, Love well’, or ‘To die is nothing but it is terrible not to live’, while one of the walls is designed as a space for customers to leave some nice thoughts using papers and stationeries provided by the shop. In the mid of corporate establishments, malls and constructions of mega projects, it’s nice to know that there are still places in Bangkok to accommodate small businesses and young designers. As long as people in society are still on the search for a unique identity and intimacy in a product or a service, there’s always hope for local wisdom and creative minds to prosper.

Everyday KARMAKAMET everydaykmkm.com

04



22

art4d August 2013

Update

05 ARCHIDEX & DATUM 2013 Text and photos Supitcha Tovivich

กัวลาลัมเปอร์ — ผ่านไปอีกปีสำหรับงาน ARCHIDEX หรือ International Architecture, Interior Design & Building Exhibition ประจำปี 2013 ทีป่ ระเทศมาเลเซีย ปีนเี้ ป็นการจัดงานครัง้ ที่ 14 แล้ว นับเป็นงานจัดแสดง นิทรรศการและสินค้าทีเ่ กีย่ วข้องกับการออกแบบและ การก่อสร้างสถาปัตยกรรมขนาดใหญ่ทมี่ ผี คู้ นในภูมภิ าค เฝ้ารอและจับตามากทีเดียว งานนีจ้ ดั ขึน้ ระหว่างวันที่ 19-22 มิถนุ ายน 2556 ที่ Kuala Lumpur Convention Centre เมืองกัวลาลัมเปอร์ ภายในงานอัดแน่นไปด้วย กิจกรรมหลายด้านจากภาคีความร่วมมือจากหลาย องค์กร โดยสถาปนิกมาเลเซียสามารถเก็บแต้ม CPD จากการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ได้ ซึง่ เปรียบได้กบั การ เก็บแต้ม พวต. ของบ้านเรานัน่ เอง บรรยากาศของงาน ใกล้เคียงกับงานสถาปนิกของบ้านเรา เพียงแต่พนื้ ที่ นิทรรศการของ PAM เองนัน้ ไม่ได้มขี นาดใหญ่โตหรือ มีความชัดเจนมากเท่าไหร่ อย่างไรก็ตามภายในงานนัน้ มีความคึกคัก โดย เฉพาะกิจกรรมในส่วนทีจ่ ดั โดย PAM ซึง่ มีกจิ กรรมที่ น่าสนใจหลายอย่าง เช่น Professional Practice Forum 2013 และกิจกรรมทีค่ กึ คักทีส่ ดุ กิจกรรมหนึง่ ของงานก็ คือ DATUM: KL International Design Conference 2013 ซึง่ เป็นการเชิญสถาปนิก 9 ท่าน ทัง้ จากประเทศ มาเลเซียและทัว่ โลกมาบรรยายแนวทางการทำงานของ

ตนเองภายใต้หวั ข้อ ‘ARCHITECHNIQUE: Architecture + Technique’ ผูบ้ รรยายแต่ละคนไม่ได้มแี นวคิดทีส่ อดคล้องกัน แต่ละคนต่างมีแนวทางของตนเอง ระดับความน่าสนใจ ของผลงานก็มแี ตกต่างกันไป สิง่ หนึง่ ทีเ่ ห็นได้ชดั คือ ความหลากหลายของแนวทางการสร้างงานสถาปัตยกรรมได้ถกู นำเสนอและแลกเปลีย่ นในงานอย่างน่าสนใจ ลักษณะการจัดงานเป็นไปแบบเรียบง่ายและกระชับ หลังจากแต่ละช่วง (ช่วงเช้าและช่วงบ่าย) ทีก่ ลุม่ วิทยากร บรรยายเสร็จจะจบด้วยการถามตอบซึง่ วิทยากรทุกคน ในแต่ละช่วงจะนัง่ ตอบคำถามร่วมกัน ผูเ้ ข้าร่วมกว่า พันคนนัง่ กันเต็มแน่นห้องประชุม ผูเ้ ข้าฟังต้องเสียค่าใช้ จ่ายในการเข้าฟังบรรยายหลายพันบาท และแม้ตาราง การบรรยายจะอัดแน่นและเริม่ บรรยายตัง้ แต่ 09.30 น. แต่หอ้ งประชุมก็ยงั แน่นและสามารถเริม่ และเลิกได้ ค่อนข้างตรงเวลา นับว่าแวดวงการออกแบบสถาปัตยกรรมในมาเลเซียนัน้ มีความจริงจังและคึกคักมากทีเดียว น่าจับตาไม่นอ้ ยว่าหลังการเข้าสูป่ ระชาคมอาเซียน อย่างเป็นทางการแล้วนัน้ ความพร้อมต่อการแลกเปลีย่ น การแข่งขัน และการแบ่งปันระหว่างประเทศสมาชิกจะ เป็นไปในรูปแบบใด ประเทศไทยเองมีเวลาอีกไม่มากที่ จะเตรียมตัวร่วมสังเกตการณ์ และเผชิญกับอนาคต อันใกล้นี้

01

02

01-04 บรรยากาศภายใน นิทรรศการ ARCHIDEX และ ห้องสัมมนา DATUM: KL

03

04

Kuala Lumpur — Held for 14 consecutive years, ARCHIDEX or International Architecture, Interior Design & Building Exhibition 2013 took place from 19-22 June at the Kuala Lumpur Convention Centre as one of the biggest and most anticipated design and architecture events of the region. With over 1,100 booths in 8 exhibition halls, ARCHIDEX and DATUM 2013 were packed with a great variety of activities, enthusiastically participated by local associations, architecture and design firms and suppliers. Some of the most interesting activities are the awarding ceremony of the New Product Awards at the Building Industry Gala, Professional Practice Forum, Kuala Lumpur Design Forum, DATUM: KL International Design Conference, the activitiy held by Architects Regional Council Asia (ARCASIA), including fieldtrips to interesting architectural sites. PAM hosts several interesting events such as Professional Practice Forum 2013. One of the most exciting activities of the event is DATUM: KL International Design Conference 2013 where nine Malaysian and international architects are invited to present their works and professional philosophy under the topic ‘ARCHITECHNIQUE: Architecture + Technique’. The forum is well organized, simple and concise. Even with the rather expensive registration fees, the Plenary Hall is packed with interested viewers. ARCHIDEX and DATUM 2013 is a great manifestation that Malaysia’s architecture industry and community is striving with strong determination and enthusiasm. With AEC approaching near, it is exciting to see how the future interactions and exchanges between the member countries will be. There is not much time left for Thailand to prepare and observe before we will finally confront the arrival of what is going to be a monumental change of our future.

ARCHIDEX archidex.com.my


Blue Moon, Design by Jochen Schmiddem

Sanitaryware, bathroom furniture, bathtubs, shower trays, wellness products and accessories: Duravit has everything you need to make life in the bathroom a little more beautiful. Catalogue? Duravit Asia Ltd, Unit 3408B, 34/F, AIA Tower, 183 Electric Road, North Point, Hong Kong, Phone +852 2219 8780, Fax +852 2219 8893, info@hk.duravit.com. DM HOME Thonglor 19, Sukhumvit 55, Bangkok Phone +66 2 365 0789-93, DM HOME Phuket, Bypass, Phone +66 76 612 687-8, www.dm-home.com, www.duravit.com

DASIA_Art4D_BM_250x345mm.indd 1

04.06.13 10:22


24

art4d August 2013

Update

06 Siriraj Phimuksthan Museum Text and photos Warut Duangkaewkart

กรุงเทพฯ — ในขณะที่ ‘สถาบันการแพทย์สยามินทราธิราช’ เป็นโครงการเพือ่ พัฒนาศิรริ าชสูก่ ารเป็นสถาบัน ทางการแพทย์ชนั้ เลิศในภูมภิ าคเอเชียอาคเนย์นนั้ แม้วา่ จะก่อสร้างอาคารอย่าง โรงพยาบาลศิรริ าช ปิยมหาราชการุณย์ และศูนย์วจิ ยั การแพทย์ศริ ริ าช ในแง่ของการ พัฒนาและยกระดับองค์กรแล้ว ศิรริ าชก็ยงั ไม่ลมื ทีจ่ ะ รักษาอดีตและรากเหง้าของเรือ่ งราวการแพทย์ ตลอดจน สถานทีต่ งั้ ของโครงการ ทำให้ ‘ศิรริ าชพิมขุ สถาน’ เข้ามา เป็นส่วนหนึง่ ในการพัฒนาครัง้ นีด้ ว้ ย ทีต่ งั้ ของโครงการทัง้ หมดนัน้ อยูบ่ ริเวณสถานีรถไฟ ธนบุรเี ก่า เป็นบริเวณทีม่ ปี ระวัตศิ าสตร์มายาวนาน เคย เป็นทัง้ สถานีรถไฟสายใต้ทสี่ ำคัญ เป็นท่าเรือในการค้าขาย และยังเคยเป็นส่วนหนึง่ ของพระราชวังบวรสถานพิมขุ หรือวังหลังด้วย ประวัตศิ าสตร์ทยี่ าวนานทำให้มกี ารขุด พบโบราณวัตถุตา่ งๆ ระหว่างก่อสร้างอาคารโรงพยาบาล ศิรริ าช ปิยมหาราชการุณย์ ทัง้ ฐานป้อมปราการเก่า ซากเรือโบราณ และเครือ่ งปัน้ ดินเผา พิพธิ ภัณฑ์ศริ ริ าชพิมขุ สถานจึงถือกำเนิดขึน้ เพือ่ รวบรวมเรือ่ งราวในอดีตที่ สำคัญทัง้ สถานทีแ่ ละวงการแพทย์ไทย อาคารสถานีรถไฟธนบุรเี ก่า อาคารขนส่งสินค้า และ โกดังเก็บสินค้าอีก 2 หลัง ทีข่ นึ้ ทะเบียนเป็นเขตโบราณสถานนัน้ ได้รบั การบูรณะและออกแบบเพือ่ เป็นพิพธิ ภัณฑ์โดย บริษทั ดีไซน์ 103 อินเตอร์เนชัน่ แนล จำกัด ด้วยความทีเ่ ป็นอาคารอนุรกั ษ์นนั้ ทำให้ภายนอกของ อาคารทัง้ หมดค่อนข้างคอนทราสกับฉากหลังของอาคาร ใกล้เคียงทีส่ งู ตระหง่านทันสมัยด้วยคอนกรีตและกระจก

มากมาย มองดูแล้วก็ให้ความรูส้ กึ แปลกอยูไ่ ม่นอ้ ยจาก ความแตกต่างของอาคารในบริบททีเ่ ชือ่ มถึงกัน แต่ดว้ ย พืน้ ทีท่ เี่ ปิดโล่งเชือ่ มไปยังริมแม่นำ้ เจ้าพระยาและคลอง บางกอกน้อย ก็ชว่ ยทำให้อาคารนีด้ เู ด่นกว่าอาคารสูง ใหญ่หลังอืน่ ได้บา้ งเหมือนกัน อาคารพิพธิ ภัณฑ์หลักคือสถานีรถไฟเก่าธนบุรยี งั คง บรรยากาศเดิมเอาไว้ ภายในชัน้ หนึง่ นัน้ บอกเล่าเรือ่ งราว ความเป็นมาของพืน้ ทีบ่ ริเวณนี้ ตัง้ แต่อดีตจนถึงปัจจุบนั ด้วยเทคนิคหลากหลาย อย่างภาพยนตร์สามมิตเิ รือ่ งของ สถานีรถไฟธนบุรี ส่วนชัน้ บนนัน้ บอกเล่าความเป็นมาของ วงการแพทย์ไทย ตัง้ แต่เริม่ ก่อตัง้ โรงเรียนแพทย์แห่งแรก ตลอดจนการพัฒนารูปแบบวิทยาการการรักษาในแขนง ต่างๆ ทัง้ แผนไทย แผนโบราณ แผนปัจจุบนั บอกเล่า เรือ่ งราวทางการแพทย์ได้อย่างครบถ้วน หรืออย่าง อาคารโกดังทีไ่ ด้ประยุกต์ให้เป็นทีเ่ ก็บซากเรือสินค้าเก่า ทีข่ ดุ พบในพืน้ ที่ และมีเรือ่ งราวของวิถชี วี ติ ของผูค้ นริมคลองบางกอกน้อยไว้ดว้ ยเช่นกัน การเชือ่ มต่อแต่ละ อาคารทำให้ตอ้ งเดินออกมาภายนอก และได้สมั ผัสกับ ภาพรวมทัว่ ทัง้ บริเวณ ตัวอาคารทีก่ ระจายตัวรอบๆ ที่ ผสานไปกับสวนสมุนไพรและลานกว้างบริเวณริมแม่นำ้ เจ้าพระยานี้ ช่วยทำให้ความรูส้ กึ เข้มงวดของกลุม่ อาคาร ทีห่ นาแน่นในโรงพยาบาลศิรริ าชนีไ้ ด้ผอ่ นคลายและมี พืน้ ทีห่ ายใจบ้าง ศิรริ าชแสดงถึงความก้าวหน้าทีไ่ ม่ละเลย อดีต เพือ่ เป็นพืน้ ทีท่ ยี่ งั คงเรือ่ งราวต่างๆ เอาไว้เป็นธรรมชาติตามวิถชี วี ติ ดัง้ เดิม ให้คนรุน่ หลังได้มาศึกษาค้นคว้า หาความรูด้ ๆี เช่นนีต้ อ่ ไป

01

01 มุมมองจากทางเดิน ฝัง่ แม่นำ้ เจ้าพระยา ทีเ่ ห็น ความต่างของอาคารและ บริบทโดยรอบได้อย่างชัดเจน 02-03 บรรยากาศภายใน พิพธิ ภัณฑ์ทแี่ สดงเรือ่ งราว ความเป็นมาของสถานทีแ่ ละ เรือ่ งราวของวงการแพทย์ไทย 04 โกดังเก็บสินค้าสำหรับ จัดแสดงซากเรือเก่าทีต่ งั้ อยู่ ริมคลองบางกอกน้อย

02

03

04

Bangkok — While Sayamindradhiraj Medical Institute project is initiated to further develop Siriraj Hospital to become one of Southeast Asia’s best medical institutions, Siriraj also strives to glorify the history of medicine in Thailand along with its organizational development. Located at the old Thonburi Railway Station, parts of the museum’s contents depict the stories of the site’s long historical background as the old dockyard and old Wang Lang Palace with the exhibition of an ancient vessel, the foundation of an ancient fort and a collection of ancient porcelain and ceramics found buried underground during the construction of the museum. The renovation of the old train station, goods terminal and two warehouse buildings was looked after by Design 103 International Company Limited. The conservational approach is employed to the architecture, resulting in the preservation of the original structure and overall ambience of the museum, which bares an interesting contrast with the surrounding cluster of modern high-rise buildings. The ground floor of the museums tells the stories of the area’s historical background, while the second floor hosts the exhibition about the history of the first medical school and a comprehensive chronicle of the development of medical practice and technology in Thailand. Situated among the architectural mass of the hospital buildings is the expansive openness of space of classic architectural creations and verdant garden, Siriraj Phimuksthan Museum is the architectural oasis abundant in its historical values and inspiring resources of knowledge.

Siriraj Phimuksthan Museum si.mahidol.ac.th/museums




27

Award-winning product designer Doonyapol Srichan talks about design eduction, studio training, design competitions and working conditions. Text Warut Duangkaewkart Portrait Ketsiree Wongwan

art4d August 2013

ดีไซเนอร์หนุม่ ทีจ่ บจากรัว้ มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง แม้วา่ ในช่วงปีการศึกษาแรกจะยังไม่ชอบในงาน ออกแบบผลิตภัณฑ์ แต่เมือ่ เขาได้มโี อกาสฝึกงาน ตัง้ แต่ปสี อง ส่งผลให้สงิ่ ทีเ่ คยคิดนัน้ เปลีย่ นไป การเรียนรูใ้ นชัน้ เรียน การฝึกฝนจากประสบการณ์ จริงและการประกวดออกแบบต่างๆ ช่วยให้มมุ มองของ ดิว ดุลยพล ศรีจนั ทร์ เปิดกว้างมากขึน้ เรือ่ ยๆ ชือ่ ของเขาเคยปรากฏมาแล้วในนิตยสาร art4d (issue. 135) เมือ่ ครัง้ ทีเ่ ขาได้รว่ มวิจยั และ ออกแบบเฟอร์นเิ จอร์จากกระดาษใยสับปะรดของ บริษทั โยธกากับผลงานทีม่ ชี อื่ ว่า Doonya Chair ซึง่ ในวงการออกแบบเฟอร์นเิ จอร์นนั้ หลายต่อ หลายครัง้ ทีช่ อื่ ของดุลยพลปรากฏให้เราได้เห็น และติดตามผลงานกันอยูบ่ อ่ ยๆ จากการประกวด บ้าง รางวัลดีไซเนอร์ดเี ด่นบ้าง แต่เมือ่ ปี 2010 ชือ่ ของเขาได้เงียบหายไปจากวงการอยูพ่ กั ใหญ่ จากการไปศึกษาต่อทีป่ ระเทศฟินแลนด์ จนเมือ่ ปลายปีทผี่ า่ นมา ดุลยพลได้กลับมาและเริม่ ต้นทำงานด้วยบทบาทใหม่และมุมมองทีม่ าพร้อมประสบการณ์ทพี่ บเจอมากมายจากการเดินทางครัง้ นี้ “ช่วงทีเ่ รียนเราจะชอบทำงานประกวด ชอบ เวิรก์ ช็อปซึง่ มีหลายงานทีท่ ำให้เราได้เดินทางไป ต่างประเทศ ไปโชว์งาน ตอนทีท่ ำงานก็เหมือนกัน ทัง้ เรียนรูก้ ารทำงานและประกวดแบบ เดินทางไป เวิรก์ ช็อปตลอดทัง้ ในและนอกประเทศ ซึง่ ช่วงนัน้ เราก็สนุกกับงานมาก แต่พอเดินทางไปเยอะๆ เราก็รสู้ กึ ว่าประสบการณ์ทดี่ ตี า่ งๆ ทัง้ ในปริญญาตรี

ทัง้ ในการทำงานมันยังไม่พอ เราเดินทาง เราไป เห็นความคิดทีม่ นั หลากหลายมาก จนรูส้ กึ ว่า อยากเรียนต่อแล้ว” เป็นช่วงเวลาเดียวกับทุน รัฐบาลทีใ่ ห้สำหรับผูช้ นะงานประกวดออกแบบ ผลิตภัณฑ์ทงั้ ในประเทศและนานาชาติ หลังจากที่ ยืน่ portfolio สมัครและได้รบั คัดเลือกให้ได้รบั ทุน การศึกษานัน้ ตอนทีเ่ ขาเลือกประเทศทีจ่ ะไป เรียนต่อ ด้วยความทีค่ วามคิดในแบบอังกฤษหรือ อเมริกานัน้ เขาได้เรียนรูห้ รือรับฟังมาจากอาจารย์ หรือรุน่ พีพ่ อสมควรแล้ว ซึง่ ทีจ่ ริงแล้วในยุโรป มีความน่าสนใจในงานออกแบบอีกมากมายอย่าง สแกนดิเนเวียนดีไซน์ สุดท้ายจึงตัดสินใจไปเรียน ต่อที่ School of Art & Design Helsinki ใน Aalto University ประเทศฟินแลนด์ “สนุกมาก ทุกอย่างเป็นเรือ่ งใหม่หมด” ดุลยพลเล่าให้ฟงั ถึงประสบการณ์ทไี่ ด้เรียนรูจ้ าก ทีไ่ ด้ไปใช้ชวี ติ อยูท่ นี่ นั่ ตัง้ แต่เรือ่ งเรียน ตลอดจน คุณภาพชีวติ การเรียนในรูปแบบทีแ่ ตกต่างออก ไปทำให้มมุ มองของเขาเปิดกว้างต่างไปจากทีเ่ คย เรียนรูม้ าเมือ่ ครัง้ ทีเ่ รียนปริญญาตรีหรือทำงาน ได้พบเจอคนทีเ่ ก่งกว่ามากมายทัง้ อาจารย์และ เพือ่ นได้แลกเปลีย่ นประสบการณ์ซงึ่ กันและกัน “การเรียนการสอนทีน่ นั่ การทีจ่ ะทำงานชิน้ หนึง่ ได้เนีย่ คุณจะต้องผ่านอาจารย์ผา่ นกระบวนการ คิดของ woodmaster ซึง่ เวลาทีไ่ ปเรียน พอรูว้ า่ สิง่ ทีเ่ ราคิดมันยังไม่ถงึ มาตรฐาน เราก็ผลักตัวเอง ขึน้ ไปอีก ไปเรียนรูจ้ าก woodmaster แล้วก็ผลิต งานจริงออกมา” ดุลยพลเล่าให้ฟงั ว่าการเรียนการ สอนทีน่ นั่ จะมีเป้าหมายทีช่ ดั เจนไม่ใช่เรียนเพือ่ เกรดเพียงอย่างเดียว แต่ละโปรเจ็คต์บอกชัดเจน ว่าจะไปแสดงงานทีไ่ หน เมือ่ ไหร่ ทำให้การเรียน

มีจดุ มุง่ หมายชัดเจนว่างานทีท่ ำจะได้แสดงและ เผยแพร่ออกสูส่ าธารณะในเร็ววัน “แนวทางการ เรียนรูข้ องทีน่ นั่ จะเป็นแบบ based on material ซึง่ จะไม่มวี ธิ ี inspiration แบบบ้านเรา ต้องคิด จากสิง่ ทีม่ นั อยูใ่ นมือคุณ วัสดุแต่ละอย่างเป็นยัง ไง ทำอะไรได้บา้ ง สนใจอะไรก็ไปลงเรียนเลย บางโปรเจ็คต์อาจารย์โยนไม้มาท่อนนึงให้ไปทำ เก้าอีก้ นั คนละตัว ต้องไปแสดงงานที่ Stockholm ภายใน 2 อาทิตย์ ทุกคนก็ตอ้ งงัดเอาความรูท้ มี่ ี อยูท่ งั้ หมดออกมา รวมถึงงานไม้ไผ่ งานแก้ว งานอลูมเิ นียม สเตนเลส แล้วแต่ความชอบ แต่ สุดท้ายแล้วทุกคนจะทำ product for everyday life ซึง่ เป็นแนวคิดของ finnish design จะพูดถึง เรือ่ งรายละเอียด สัดส่วน ความสูง ความกว้าง วัดกันทีม่ ลิ ลิเมตร ทำให้ทกุ ชิน้ ใช้งานได้จริงๆ ซึง่ มันมีขอ้ ดีขอ้ เสียต่างกันนะ งานคอนเซ็ปต์ มันจะ พาเราไปสูค่ วามแปลกใหม่ได้ แต่บางครัง้ มันไม่ ได้ถกู ออกแบบเพือ่ ของจริงหรือ ณ เวลานัน้ ซึง่ สุดท้ายแล้วมันจะต้องไปสัมพันธ์กบั อีกหลายเรือ่ ง เลย ทัง้ เครือ่ งจักร วิธกี ารผลิต และความสวยงาม มันเหมือนกับการตะโกน มันน่าสนใจแต่คณุ ก็เดิน ผ่านไป ซึง่ แบรนด์จริงๆ แล้วก็ตอ้ งมีงานตัวนีอ้ ยู่ ด้วย แต่ตวั ทีร่ นั ธุรกิจจริงๆ เนีย่ จะเป็นตัวคำพูด พูดเบาก็นา่ ฟังอยากเอากลับไปใช้ทบี่ า้ น ทัง้ สอง อย่างผสมผสานกันไป” หลังจากทีเ่ รียนปีแรกทีฟ่ นิ แลนด์ผา่ นไป ดุลยพลได้เรียนรู้ ได้เดินทางท่องเทีย่ วและพบเจอ ผูค้ นมากมาย จนเขาเกิดความรูส้ กึ อยากเรียน ให้จบไวๆ และกลับบ้าน แต่เมือ่ ได้ไปปรึกษากับ อาจารย์แล้ว กลับได้ความคิดเห็นทีแ่ ตกต่าง ออกไป เขาได้รบั การแนะนำให้ไปฝึกงานในช่วง


28

ทุนจึงได้กลับมาเป็นอาจารย์สอนทีม่ หาวิทยาลัย เทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง จากประสบการณ์ทไี่ ด้เรียนรูม้ าทำให้ตวั เขาสนใจ ทีจ่ ะแบ่งปันความคิดความอ่านให้นกั ศึกษารุน่ ใหม่ๆ มากขึน้ ควบคูไ่ ปกับการทำงานออกแบบ กับบริษทั ทีเ่ คยทำก่อนไปเรียนอย่างที่ Kenkoon ดุลยพลมีความคิดทีจ่ ะสร้างความรูแ้ บบบูรณาการ ระหว่างนักเรียนกับบริษทั มืออาชีพจริงๆ พา นักเรียนไปศึกษาดูงานหรือวิธกี ารทำงานใหม่ๆ ที่ น่าสนใจ หรือพาทางบริษทั มาดูงานออกแบบของ นักเรียนว่างานแต่ละงานสามารถเป็นไปได้จริง หรือเป็นเชิงพาณิชย์ได้มากน้อยแค่ไหน ซึง่ ก็ไม่ได้ ปล่อยให้การเรียนการสอนเป็นการให้เกรดเพียง อย่างเดียวแล้วผ่านไป หากเป็นการแบ่งปันความ รูร้ ว่ มกัน ทำงานร่วมกันไปด้วยมากกว่า “อาจารย์ สมัยก่อนอาจจะดูหา่ งกับเด็ก แต่นเี่ หมือนเราเป็น รุน่ พี่ เวลาทำงานเราก็ลยุ ไปด้วยกัน บางโปรเจ็คต์ เราก็ทำด้วยเลย สิง่ ทีอ่ ยากทำต่อไปคือผลักดัน ให้นกั เรียนรุน่ ใหม่ได้ไปเห็นโลกเห็นงานเยอะๆ ทำงานประกวดเพือ่ ให้ได้เห็นคนทีเ่ ก่งกว่า ให้เห็น โลกทีก่ ว้างกว่า ให้งานของพวกเขาเข้าไปอยูใ่ น ตลาดได้ เหมือนเป็น education partner ให้เกิด ความรูค้ วามเข้าใจแบบบูรณาการโดยรวม” ปัจจุบนั ดุลยพลเป็นอาจารย์ควบคูไ่ ปกับการเป็น นักออกแบบ หลังจากทีก่ ลับมาก็ยงั คงทำงานและ ได้รบั รางวัลอย่างต่อเนือ่ ง อย่างล่าสุดผลงาน Paperi ทีไ่ ด้รบั รางวัล DEmark Award หนึง่ ใน ผลงานจากสาขาเฟอร์นเิ จอร์ซงึ่ ผลงานชิน้ นีเ้ องก็ เป็นส่วนหนึง่ มาจากวิทยานิพนธ์ปริญญาโทของ เขาด้วย นอกจากผลงานส่วนตัวแล้วยังเป็นที่ ปรึกษาด้านการออกแบบให้กบั บริษทั ต่างๆ ซึง่ เขามักจะเข้าไปคลุกคลีและร่วมคิดร่วมพัฒนา งานในทุกๆ โครงการ ไม่ใช่เพือ่ การสอน แต่เป็น การแลกเปลีย่ นเรียนรูใ้ นสิง่ ทีแ่ ต่ละคนมี ดุลยพล ยังคงพร้อมทีจ่ ะแบ่งปันและศึกษาความรูใ้ หม่ๆ ให้กบั ชีวติ อยูเ่ สมอ ภายในปีสองปีนี้ นอกจากงาน ออกแบบทีจ่ ะได้เห็นกันเรือ่ ยๆ แล้ว เราอาจจะได้ เห็นโครงการเพือ่ การศึกษาดีๆ จากสิง่ ที่ ดุลยพล ศรีจนั ทร์ ตัง้ ใจเอาไว้กไ็ ด้ Photo courtesy of Doonyapol Srichan

เวลาทีเ่ หลืออยู่ สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจไปฝึกงาน ก่อนทีจ่ ะกลับมาทำวิทยานิพนธ์ในปีสดุ ท้าย ที่ แรกทีไ่ ปคือ Anderssen&voll ทีป่ ระเทศนอร์เวย์ 3 เดือน และอีก 4 เดือน ทีป่ ระเทศเยอรมนีกบั Stefan Diez “ข้อดีของการทีเ่ ราไปฝึกสตูดโิ อที่ ไม่ใหญ่แต่มชี อื่ เสียง มันมีโอกาสทีเ่ ราจะได้จบั โปรเจ็คต์ทเี่ ป็นระดับโลก ตอนอยูท่ นี่ อร์เวย์ชวี ติ ดีมาก ได้ชว่ ยเขาทุกกระบวนการเลย ได้จบั โปรเจ็คต์ดๆี จนกระทัง่ เดือนทีส่ ามทีเ่ ยอรมนีโทรมา บอกว่าเราได้ฝกึ งานด้วย เราก็บนิ จากนอร์เวย์ไป ทีม่ วิ นิคเลย” ช่วงเวลานีเ้ องทีด่ ลุ ยพลได้บอกเล่า ถึงประสบการณ์ทสี่ ำคัญของเขาในการทีไ่ ด้สมั ผัส งานระดับเวิลด์คลาสจากการฝึกงานกับ Stefan Diez ในช่วงแรกของการฝึกงานหนักมากจนเขา อยากกลับบ้าน สตูดโิ อทีน่ นั่ คนน้อยมากแต่ลกู ค้า เยอะ ซึง่ เขามองว่าเป็นโอกาสทีด่ จี งึ ตัง้ ใจฝึกฝน ต่อไป “เราเคยคิดว่าทำงานแบบนีเ้ ราก็ทำได้ สเก็ตช์บนเครือ่ งบินแล้วส่งมาให้ลกู น้องทำโมเดล แต่มอี ยูว่ นั หนึง่ เขาเดินเข้ามาในสตูดโิ อ จากชุด ทำงานเรียบร้อยกลายเป็นชุดเวิรก์ ช็อปธรรมดา พร้อมตะไบยาวๆ เขาตะไบโฟมก้อนใหญ่ๆ จน เป็นเก้าอีส้ วยๆ ภายใน 5 ชัว่ โมง ไม่คยุ กับใคร โฟกัสกับงาน ผมรูเ้ ลยว่าทำไมลูกน้องถึงนับถือ และศรัทธาในคนๆ นี้ เพราะเขาเคยอยูใ่ นจุดนีม้ า แล้ว เคยผ่านงานมาหมดแล้ว ความเป็นระดับโลก ของเขาเนีย่ มันสือ่ ออกมาผ่านงานจริงๆ สิง่ ทีเ่ รา คิดว่าใช่มนั ยังไม่ใช่ ทีเ่ ราว่าสวยมันยังสวยได้อกี ในตอนนัน้ ก็ทำให้ผมได้จบั งานระดับโลกหลายตัว ซึง่ ในฐานะดีไซน์เนอร์ตวั คนเดียวเนีย่ ไม่รวู้ า่ อายุ เท่าไหร่ถงึ มีโอกาสได้ทำ” ในระหว่างทีฝ่ กึ งานและเรียนนัน้ ดุลยพลก็ ยังคงทำงานประกวดและเดินทางไปแสดงงาน หลายต่อหลายแห่ง อย่าง Tokyo Design week, Stockholm Furniture Fair และ International Furniture Fair Singapore จนเมือ่ ฝึกงานจบจึง ได้กลับไปทำวิทยานิพนธ์ทเี่ กีย่ วกับการนำฟิลม์ ติดผนังหรือติดรถยนต์มาเป็นส่วนหนึง่ ของการ ออกแบบเฟอร์นเิ จอร์ เมือ่ เดินทางกลับมายัง ประเทศไทย ด้วยความทีเ่ ขาไปในฐานะนักเรียน-

art4d August 2013

“When you work, there are so many other aspects involved other than beauty, things like manufacturing tools and processes. Concept might make a product sounds catchier and more appealing, but the essence has to be there. It’s about finding the right balance between the two.” Doonyapol Srichan or Dew is a King Mongkut’s Institute of Technology Ladkrabang graduate who made his name in the Thai product design industry from projects such as Doonya chair (2007) that he collaborated with Yothaka brand, and several other competitions he participated and won over the years. In 2010, Dew left Thailand to pursue his study at the School of Art & Design Helsinki, Aalto University, Finland. “When I was a student, I loved entering design competitions and workshops. I got to travel a lot and the experiences sort of pushed me to the point where I felt that what I knew and had learnt wasn’t enough anymore, and that it was time for me to pursue my study. Being a design student in Finland was super fun. Everything felt like new. Studying there, you need to go through an intensive process of critical thinking and practice; how to think, work and produce a piece of design work like a real wood master. Here, your learning is based on material. You have to make something out of what you have in your hands, what the materials are, and what they can do. We don’t put our focus on conceptual inspiration, because here the teacher might throw you a piece of wood and you have to make a chair out of it. Use all the knowledge you have and work with the wood, or bamboo, glass, aluminum, stainless steel, whatever, and create the work that’s going to be exhibited in Stockholm in the next two weeks. That was the homework. Most of the time, students ended up making everyday products, which is the key philosophy of Finnish design. It revolves around things like proportion, height, width and I’m talking millimeter measurement here. I think there’s good and bad in everything, because conceptual work takes you to another realm of possibility, but it’s not always practical. When you work, there are so many other aspects involved other than beauty, things like manufacturing tools and processes. Concept might make a product sounds catchier and more appealing, but the essence has to be there. It’s about finding the right balance between the two.” Before Dew started working on his thesis project, he got a three-month internship at Anderssen & Voll in Norway and another four months internship with Stefan Diez in Germany. “Working with Anderssen & Voll was an amazing experience and I got to

be a part of almost every process of so many good projects, while the greatest thing about working with a small world-class design studio such as Stefan Diez is that you have a chance to be a part of the worldclass projects. I worked really hard there because they have a lot of clients but only a few designers. I used to think that I could do what he did. Drawing up a sketch on a plane and sending it over to a subordinate to work on a model. But one day, Stefan Diez just walked into the studio, changed his clothes into the workshop gown and started working on a big piece of foam, and turned it into the model of this beautiful chair after five hours had passed. I knew right then and there why he’s so successful and why people respect and have so much faith in him. The word world-class is the reflection of his works, nothing else. He takes things up to another level, whether it’s creativity or beauty. I was very lucky to be working there.” After the internship, he still continually participated in several design competitions and exhibited at events such as Tokyo Design Week, Stockholm Furniture Fair and International Furniture Fair Singapore before he returned to Helsinki to finish his thesis. Since he’s a scholarship student, Dew is now paying back the scholarship and working as a professor at King Mongkut's Institute of Technology Ladkrabang. His teaching is very collaborative and experience-based. He often takes his students to see interesting projects, and bring in people from the design industry to see students’ works, allowing the students to know about the commercial aspect of the industry. “I think of myself, not as a professor, but an educational partner who works closely with the students. I want them to see the world and know that there are so many great designers out there. I encourage them to compete in competition because it really broadens their perspective about design and the industry as a whole.” Aside from his role as a designer and college professor, Doonyapol is also working as a design consultant for companies where he actively takes part in the development process of different projects, which allow him to share his knowledge with others, and learn what he has not yet known. If things go according to plan, we’ll be seeing some of his new works and interesting projects within the next couple of years.



01 พืน้ ทีส่ ว่ นโถงบันไดหลัก ทีไ่ ม่ได้มกี ารใช้เครือ่ งปรับอากาศ แต่ใช้รม่ เงาจากต้นไม้ และการระบายอากาศตาม ธรรมชาติ 02 การจัดเรียงผนังอาคาร ที่ มีการใช้ผนังกระจกน้อยมาก แต่เน้นไปทีก่ ารกันแดดโดย ลดขนาดหน้าต่างและมีสว่ น ช่องเปิดทีร่ ะบายอากาศและ กันแดดมากขึน้ 03 พืน้ ทีล่ านส่วนต่อจาก พลาซ่าด้านหน้าอาคาร บริเวณชัน้ หนึง่

01

อาคารสูงหลายแห่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มักจะยกเอารูปแบบของพลาซ่าทีเ่ ป็นลานกว้างเรียบ ขนาดใหญ่แบบในยุโรปหรืออเมริกามาใช้ แต่เมือ่ มันถูก นำมาใช้งานในเขตร้อนชืน้ พลาซ่าเหล่านีจ้ ะกลายเป็น ลานสะสมความร้อนขนาดใหญ่แล้วค่อยๆ ปล่อยไอร้อน ออกมาตลอดทัง้ วัน และเมือ่ เวลาเราเดินผ่านพลาซ่า เหล่านี้ สิง่ ทีเ่ ราจะทำเป็นอันดับแรกๆ ก็คอื วิง่ หรือเดิน ให้เร็วทีส่ ดุ เท่าทีจ่ ะทำได้และรีบพุง่ ตรงเข้าไปในอาคารที่ เปิดแอร์ไว้เย็นฉ่ำให้เร็วทีส่ ดุ โดยทีเ่ ราไม่เคยคิดกันเลย ว่าความแตกต่างระหว่างอุณหภูมภิ ายในและภายนอกที่ เปลีย่ นแปลงอย่างเฉียบพลันจะส่งผลเสียต่อสุขภาพ อย่างไรบ้าง ยังไม่ตอ้ งพูดถึงเรือ่ งการใช้พลังงานจำนวน มหาศาลในการทำความเย็นให้กบั พืน้ ทีส่ ว่ นต่างๆ ภายในอาคาร จนกลายเป็นเรือ่ งปกติไปแล้วสำหรับปัจจุบนั อีกทัง้ อาคารหลายหลังยังเป็นระบบปิดทีไ่ ม่สามารถ เปิดให้อากาศภายนอกเข้ามาไหลเวียนภายในอาคารได้ ผนังอาคารของตึกสูงส่วนใหญ่ในปัจจุบนั ก็มกั เลือกใช้ กระจกเป็นวัสดุหลัก ทีน่ อกจากจะสะท้อนความร้อนไปยัง บริเวณข้างเคียงแล้ว ค่าใช้จา่ ยในการดูแลทำความสะอาด ผนังกระจกเหล่านีก้ ม็ คี า่ ใช้จา่ ยสูง และเรือ่ งพืน้ ฐาน เหล่านีม้ กั เป็นสิง่ ทีส่ ถาปนิกส่วนใหญ่มกั มองข้ามไป กลางเดือนเมษายน อากาศทีก่ วั ลาลัมเปอร์ไม่รอ้ น

จัดมากเกินไปนัก ผมกำลังนัง่ รถมุง่ หน้าไปยัง Damansara-Puchong ไฮเวย์กบั Kevin Mark Low เพือ่ จะไป

เยีย่ มอาคาร PJ Trade Centre อาคารสำนักงานทีเ่ ขา เป็นผูอ้ อกแบบ อาคารหลังนีอ้ าจเรียกได้วา่ เป็นงาน ออกแบบอาคารขนาดใหญ่หลังแรกๆ ของ Kevin Low หลังจากทีเ่ ขาทำงานขนาดเล็กมาโดยตลอด แต่ Kevin เองก็มปี ระสบการณ์ในการทำโครงการขนาดใหญ่สมัยที ่ เขาทำงานอยูก่ บั GDP Architects มาก่อน ดังนัน้ เขา จึงมีประสบการณ์ในการออกแบบโครงการขนาดใหญ่

มาก่อนหลายโครงการ และแน่นอนโครงการนีเ้ ขาเขียน

แบบก่อสร้างเองทัง้ หมด Kevin มักเน้นย้ำเสมอว่าเขา

ชอบทำงานคนเดียวและควบคุมสิง่ ต่างๆ เองทัง้ หมด

ภาพกลุม่ อาคารสูงทีอ่ ยูร่ ะหว่างการก่อสร้างผุดขึน้ มา ให้เห็นเป็นจำนวนมากเมือ่ เราเข้าใกล้เขต Petaling Jaya ย่านอาคารสำนักงานแห่งใหม่รมิ ชานเมืองกัวลาลัมเปอร์ Kevin เล่าให้ฟงั ว่าอาคารทีเ่ ขาออกแบบเป็น อาคารหลังแรกๆ ทีก่ อ่ สร้างขึน้ ในเขตนี้ ก่อนหน้านีย้ งั ไม่มอี าคารสูงขนาดใหญ่แวดล้อมโดยรอบมากอย่างทีเ่ รา เห็นในปัจจุบนั ลักษณะภูมปิ ระเทศของย่านนีจ้ ะเป็น เนินเขาทีม่ คี วามลาดชัน จะเห็นได้วา่ อาคารหลายหลัง ถูกวางสูงต่ำแตกต่าง กันไปตามความลาดชันของทีด่ นิ อาคาร PJ Trade Centre นัน้ ตัง้ อยูใ่ กล้กบั ฝัง่ ภูเขามาก กว่าอาคารหลังอืน่ ๆ และระหว่างภูเขากับตัวอาคารถูก คัน่ ด้วยถนนขนาด 2 เลน เมือ่ มาถึงทีต่ งั้ โครงการ Kevin ขอตัวไปหาทีจ่ อดรถจีบ๊ ของเขา ส่วนผมเดินลงมาก่อน เพือ่ หามุมถ่ายภาพ ความประทับใจแรกทีผ่ มได้รบั เมือ่ เดินเข้าใกล้ตวั อาคาร PJ Trade Centre ก็คอื พืน้ ทีส่ เี ขียวและกลุม่ ต้นไม้ บนลานด้านหน้าอาคาร จำนวนต้นไม้ทถี่ กู ปลูกลงไปใน โครงการนีม้ จี ำนวนมากถึง 1,400 ต้น ไม่เพียงแต่ตน้ ไม้ จำนวนมากบนลานด้านหน้าอาคาร เงาทีเ่ กิดจากตัวอาคารทอดยาวลงมายังพลาซ่าหน้าอาคารฝัง่ ทิศตะวันตกยิง่ ทำให้เกิดภาวะน่าสบายเป็นอย่างยิง่ ลมเย็นไหล ผ่านใต้ถนุ อาคารบางส่วนและวิง่ เอาไอเย็นจากต้นไม้มา ปะทะกับผิวหนังจนรูส้ กึ ได้ นอกเหนือไปจากนัน้ บริเวณ ลานด้านหน้าอาคารยังมีเก้าอีใ้ ห้นงั่ ผ่อนคลายตัง้ อยูเ่ ป็น จุดๆ มีพนักงานและเจ้าหน้าทีภ่ ายในอาคารบางส่วนนัง่ ทอดหุย่ กันอย่างสบายอารมณ์ใต้ตน้ ไม้ ผมเดินในจังหวะ สบายๆ ไม่เร่งรีบมากนัก และลืมประสบการณ์อนั เลวร้าย ของการเดินฝ่าเปลวแดดในกรุงเทพฯ ไปได้ชวั่ ขณะ


Kevin Mark Low

Office Building

Kuala Lumpur

Kevin Mark Low of small projects has insightfully interpreted the Malaysian climate, culture and context in his design for the PJ Trade Centre. Aroon Puritat

Text Aroon Puritat Photos Kevin Mark Low except as noted

03

02

ในโครงการ PJ Trade Centre นัน้ ตัวอาคารแบ่ง ออกเป็น 4 หลัง โดยแต่ละหลังจะมีรปู ทรงเป็นตัว L ซึง่ สถาปนิกอาศัยตัวอาคารเองเป็นตัวช่วยบังแดดให้กนั และกัน รวมไปถึงสร้างสเปซระหว่างอาคารทีส่ มั พันธ์กบั ลานด้านล่าง ผมแหงนมองดูตวั อาคารแท่งสีเ่ หลีย่ ม ทะยานตัวขึน้ ไปสูท่ อ้ งฟ้า แนวแผงคอนกรีตบล็อกขนาด ใหญ่เรียงตัวขึน้ ไปตามแนวตัง้ เมือ่ เดินมาถึงโถงบันไดทีแ่ บ่งออกตามบล็อก

ของแต่ละอาคาร ไม่มแี อร์เย็นเฉียบต้อนรับเหมือน อาคารสำนักงานทัว่ ไป แต่กไ็ ม่ได้รสู้ กึ ว่าอากาศภายใน ร้อนอบอ้าวแต่อย่างใด บันไดไม้ขนาดใหญ่พร้อมราวจับ ไม้ให้ความรูส้ กึ แปลกประหลาดไปจากอาคารสำนักงาน ทัว่ ไปทีบ่ ดุ ว้ ยพืน้ หินแกรนิต แผ่นอลูมเิ นียมคอมโพสิต หรือว่า สเตนเลสอย่างทีเ่ ราคุน้ เคยตามเมืองใหญ่ตามที่ ต่างๆ Kevin ขออนุญาตเจ้าหน้าทีร่ กั ษาความปลอดภัย เพือ่ พาผมขึน้ ไปยังชัน้ 10 ของอาคาร บริเวณโถงลิฟท์ นัน้ อากาศไหลเวียนผ่านตลอดเวลา ส่วนตัวผนังอาคาร

นัน้ ก่อด้วยอิฐดินเผาง่ายๆ อิฐทีน่ มี่ รี อ่ งรอยเผาไหม้และ สีเข้มไม่เท่ากัน บนฝ้าเพดานคอนกรีตติดตัง้ พัดลมหมุน เอาไว้ บรรยากาศเหมือนอยูใ่ นอาคารโบราณมากกว่า อาคารสมัยใหม่ ผมรูส้ กึ เหมือนตัวเองเดินทางมายังอีก โลกหนึง่ เมือ่ มาถึงยังโถงชัน้ 10 เราเดินออกไปยังพืน้ ที่ ส่วนกลางทีเ่ ป็นส่วนเชือ่ มต่อระหว่างตึก พืน้ อาคารส่วน

นีท้ งั้ หมดเป็นตะแกรงเหล็กชุบกัลวาไนซ์ เมือ่ ยืนอยู่ บริเวณพืน้ ทีส่ ว่ นนีจ้ ะให้ความรูส้ กึ เหมือนยืนอยูก่ ลาง อากาศทีค่ วามสูงร่วม 30 เมตร ภายในอาคารมีการ แทรกไม้เลือ้ ยอย่างพลูดา่ ง ส่วนทีใ่ กล้กบั ผนังคอนกรีต บล็อคก็ปลูกตีนตุก๊ แกและมีการแทรกพืน้ ทีส่ เี ขียวตาม

จุดต่างๆ ของอาคาร เราสามารถมองเห็นพืน้ ทีแ่ ละ กิจกรรมในชัน้ ถัดลงไปได้อย่างชัดเจน แต่กจ็ ะเห็นได้วา่ พืน้ ทีร่ ะเบียงทีเ่ ป็นตะแกรงเหล็กหลายส่วนมีการนำเอา วัสดุปพู นื้ ชนิดอืน่ มาปูทบั เนือ่ งด้วยอาจรูส้ กึ ถึงความ ไม่เป็นส่วนตัวเวลายืนอยูบ่ นระเบียงเหล็กโปร่งเหล่านี้ และเมือ่ เดินไปทางฝัง่ ทิศตะวันออกของอาคารทีใ่ กล้ 03


32

กับซูเปอร์ไฮเวย์ จึงได้เห็นว่าแผงคอนกรีตบล็อกขนาดใหญ่นนั้ ทำหน้าทีค่ อยกันเสียงรถยนต์และฝุน่ จากที่ ก่อสร้างจากบริเวณโดยรอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผมจำได้วา่ เมือ่ ดูการบรรยายครัง้ หนึง่ ของ Kevin ผ่านทางอินเตอร์เน็ต เขาชีใ้ ห้เห็นว่าสิง่ หนึง่ ทีอ่ าคารสูง หลายแห่งทัว่ โลกเป็นเหมือนกันหมดและไม่เคยเปลีย่ นแปลงเลยมาหลายทศวรรษ ก็คอื วิธที ำความสะอาด พืน้ ผิวอาคารทีต่ อ้ งใช้แรงงานคนในการทำความสะอาด ผนังกระจกทีห่ อ่ หุม้ อาคารอยู่ ไม่วา่ อาคารเหล่านัน้ จะ สร้างด้วยรูปทรงแปลกประหลาดเพียงใดก็ตาม ดูเหมือน Kevin จะเตรียมการเอาไว้แล้วสำหรับอาคารทีเ่ ขาออกแบบเนือ่ งจากมีพนื้ ทีร่ ะเบียงทีเ่ ป็นตะแกรงเหล็ก ซึง่ เอือ้ ให้พนื้ ทีแ่ ต่ละยูนติ สามารถออกมาทำความสะอาดและ ดูแลพืน้ ทีอ่ าคารสำนักงานของตัวเองได้อย่างง่ายดาย โดย ไม่ตอ้ งใช้คนทำความสะอาดห้อยโหนตัวลงมาจากยอด อาคาร แต่ Kevin ก็ยงั แอบบ่นว่าอาคารเขาทางด้านฝัง่ ไฮเวย์ตวั อาคารดูเป็นก้อนคอนกรีตขนาดใหญ่และ สัดส่วนไม่ลงตัวพอ และด้วยข้อจำกัดของทีด่ นิ ทำให้เขา ไม่สามารถถอยร่นอาคารไปได้ทางอืน่ ได้มากกว่านี้ เราเดินตรงไปยังฝัง่ ตะวันตกทีช่ ดิ กับภูเขาทีเ่ ต็มไป ด้วยต้นไม้ พนักงานบางส่วนทีอ่ ยูใ่ นชัน้ ถัดไปทีอ่ อกมา พักผ่อนสูบบุหรีโ่ บกมือทักทายพวกเรา ผมถาม Kevin ว่ารูจ้ กั กับพนักงานกลุม่ นัน้ หรือเปล่า เขาบอกว่าไม่ แต่ เขาดีใจทีเ่ ห็นว่าพืน้ ทีส่ ว่ นระเบียงสามารถทำให้เกิดการ เชือ่ มโยง ติดต่อระหว่างผูค้ นภายในอาคารมากกว่าทีจ่ ะ ต่างคนต่างอยูใ่ นสำนักงานของตัวเอง ลองนึกย้อนไป หลังจากทีก่ ารออกแบบอาคารสูงในภูมภิ าคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทหี่ นั มากลับมาให้ความสำคัญกับสภาพภูม-ิ อากาศแบบเขตร้อนชืน้ ก็นำมาซึง่ ความเปลีย่ นแปลง ของรูปแบบทางสถาปัตยกรรมในภูมภิ าคนีอ้ ย่างชัดเจน รวมไปถึงกระแสสถาปัตยกรรมสีเขียว ถ้าในกรณีทเี่ ห็น เด่นชัดสำหรับมาเลเซีย ก็คอื แนวคิดเรือ่ ง bioclimatic

skyscrapers ของ Ken Yeang ความคิดทีจ่ ะเพิม่ พืน้ ทีส่ ี เขียวและการให้รม่ เงากับส่วนต่างๆ ของอาคาร รวมไป ถึงการไหลเวียนของอากาศ แนวความคิดของ Yeang ถูกสถาปนิกนำไปใช้ในภาคปฏิบตั กิ นั อย่างกว้างขวางทัง้ ในมาเลเซียและสิงคโปร์ในช่วงทศวรรษ 80 เป็นต้นมา แต่เมือ่ Yeang มีโอกาสออกแบบอาคารจริงๆ การใช้ รูปทรงอันซับซ้อนผนวกเข้ากับรูปแบบทางสถาปัตยกรรมหัวก้าวหน้าแบบอังกฤษ ทำให้อาคารของ Yeang ดู ซับซ้อนมากขึน้ เรือ่ ยๆ เพือ่ แสดงให้เห็นถึง ‘ภาพ’ ของ งานสถาปัตยกรรมในอนาคต แต่งานออกแบบของ Kevin Low นัน้ ดำเนินไปอีกทิศทาง เขาหันกลับไปหา เทคนิคอันเรียบง่าย รวมไปถึงวัสดุทใี่ ช้ในการก่อสร้าง การไหลเวียนของอากาศทีไ่ ม่ตอ้ งพึง่ พาเทคโนโลยีใดๆ มากนัก การทำความเข้าใจว่าแรงงานก่อสร้างส่วนใหญ่ ในมาเลเซียนัน้ มาจากบังกลาเทศและอินโดนีเซีย ซึง่ แรงงานเหล่านีม้ ที กั ษะฝีมอื และความคุน้ เคยต่องาน ก่อสร้างในอีกรูปแบบ งานสถาปัตยกรรมของ Kevin ทำให้เราต้องย้อนกลับไปตัง้ คำถามต่อ ‘ภาพ’ ทางสถาปัตยกรรมทีถ่ กู นำเสนอผ่านสือ่ อีกครัง้ หลังจากเดินชม พืน้ ทีแ่ ละถ่ายรูปเสร็จ เราลงลิฟท์มายังชัน้ สองของ อาคารทีม่ สี ะพานลอยเชือ่ มระหว่างตึกให้สามารถเดินได้ ถึงกันหมด ตลอดเส้นทางเดิน ร่มเงาและแสงแบบรำไรที ่ เกิดจากส่วนกันแดดชนิดต่างๆ และระเบียงนัน้ มีให้ได้ สัมผัสอยูต่ ลอดเวลา หลังจากเดินออกจากอาคารผมหัน มองกลับไปยังบริเวณรอบๆ ทีม่ อี าคารใหม่ๆ ผุดขึน้ มา และเต็มไปด้วยรูปทรงอันยุง่ เหยิง ผมเห็นภาพในอนาคต อันไม่ไกลทีก่ ำลังจะเกิดขึน้ ใช่ มันคือภาพพนักงาน ทำความสะอาดผนังกระจกโรยตัวจากกระเช้าบ้าง ไม่ก็ ห้อยโหนตามส่วนต่างๆ เพือ่ ทำความสะอาดผนังอาคาร

ทีม่ รี ปู ทรงหวือหวาและแปลกประหลาดบ้าง นีค่ อื ภาพ ของอนาคตทีไ่ ม่เคยเปลีย่ นแปลงเลยมาหลายสิบปีและ มันจะเป็นอย่างนีต้ อ่ ไปเรือ่ ยๆ อย่างนัน้ หรือ…?

05

04 ส่วนโถงลิฟท์ทใี่ ช้ลมระบาย อากาศตามธรรมชาติ 05 พลาซ่าด้านหน้าอาคารที่ มีการปลูกต้นไม้จำนวนมาก เพือ่ สร้างความร่มรืน่ ให้กบั ตัวโครงการ 06 มุมมองอาคารทางด้าน

ทิศตะวันตก


art4d August 2013

5m

main 5m level floor5m main planlevelmain floorlevel planfloor plan mezzanine level mezzanine floor plan mezzanine level floorlevel planfloor plan

5m

main level floor plan

mezanine level floor plan

typical level floor typical planlevel typical floorlevel planfloor pl typical level floor plan

03 04

06

The design of many high-rise buildings in Southeast Asia includes large, open plazas like those found in Europe or America, yet when they are employed in tropical regions, these plazas effectively become scorching no man's land that radiate heat all day long. When we walk across these plazas, we try to cross them as quickly as possible to reach inside the building where the air-cons are on at full blast, without ever stopping to ponder about the ill effects that sudden changes in temperature might have on our bodies, and that’s not yet getting onto the point about the vast amount of energy consumed in order to cool down the various parts of the building. On top of this, many buildings tend to be closed systems and cannot be opened up for natural ventilation, with glazed façades that not only reflect heat onto surrounding areas but are also costly to clean and maintain. These basic issues are common today, yet many architects still choose to ignore them. The weather in Kuala Lumpur in the middle of April was not too hot when I traveled to the Damansara-Puchong highway to visit the PJ Trade Centre with its architect Kevin Mark Low. The office building can be considered among one his first large-scale buildings, after having done mainly small projects in the past. Nevertheless, Low does have design experience in large-scale projects from his time at GDP Architects, but as always, he was solely responsible for drafting all the construction drawings; Low has consistently maintained that he likes to work alone and to be in total control of all aspects of his work. In Petaling Jaya, a new business district on the suburb of Kuala Lumpur, many tall buildings are popping up, a lot of them still under construction. Low says that the building he designed was one of the first large buildings in the area, when there was no large high-rises as can be seen abundantly today. The topography in this district consists of steep hills and it can be seen that the buildings rest on different heights along the slope. The PJ Trade Centre is located closer to the mountains than other buildings, with a two-lane road in between it and the mountainside.

The first impressive feature of the PJ Trade Centre is its green spaces, which include the group of trees in the yard in front of the building, with as many as 1,400 trees planted for this project. The comfortable temperature in the front courtyard located to the west was achieved not only through the vast amount of trees but also the shadow created by the building itself; the cool breeze that passes through the ground floor of the raised building and trees can be felt distinctly. There are also seating dotted throughout this area, with office workers and other building staff lounging happily in the shade. It really makes you forget momentarily about the awful experiences of having to walk under the scorching heat in Bangkok. The PJ Trade Centre consists of four L-shaped buildings that provide shading for each other, as well as creating space between the blocks that relates to the courtyard below. These rectangular masses soar into the sky, built up of rows upon rows of concrete blocks. No freezing cold air-conditioned space greets the visitor in the lobby area in each building block as is usual in the typical office building, yet it never felt hot or humid. A large wooden staircase with wooden handrails gives an unusual feeling from normal offices that are usually clad in granite, aluminum composite materials or stainless steel. On the tenth floor, natural air ventilates the elevator lobby, its simple brick walls display the traces of firing and unevenness of color, while a fan hangs from the concrete ceiling, giving off an atmosphere of an old building rather than a modern one. It felt like being in a completely different world. From there, we walked to the communal area that connects the buildings together, the flooring in these areas is galvanized steel, standing here therefore felt like standing in midair, 30 meters high. In the interior, especially areas near the concrete block walls are creepers such as Devil’s Ivy, as well as green spaces inserted into various parts of the building. It is possible to see spaces and activities on the floors below clearly, together with the fact that other


34 to be Ken Yeang’s concept of Bio-climatic Skyscraper. Yeang’s ideas to increase green spaces, shaded areas and natural ventilation have been taken up by architects and put to practice extensively in Malaysia and Singapore from the 80’s onward. Yet when he finally had the chance to build for real, complex forms and British-style progressive architectural thinking together combined to make his buildings increasingly complicated, in order to give an ‘image’ of a futuristic architecture. Low, meanwhile, took the opposite direction: returning to simple techniques and employing construction materials and ventilation systems that do not rely on technology. He also understood that most of the construction workers in Malaysia are from Bangladesh or Indonesia, and that their skills are suitable for a certain kind of building construction. Low’s architecture makes us question the ‘image’of architecture that are propagated by the press. On the first floor, there is a suspended bridge that connects all of the buildings, all the way through the shaded path is punctuated with slivers of light, the effect depending on the shading devices and the balconies. After leaving the building, I look back at the surrounding area where other tall buildings with chaotic forms are rising and I have a mental image of the future where window cleaners are hanging from all sorts of angles and building parts to clean these highrises with spectacular forms. This is the image of the future that has not changed for decades on end, and will continue to be so... or not?

small projects small-projects.com Aroon Puritat

07

materials have been placed on top of the perforated steel floors in some places, perhaps due to the feeling of loss of privacy by the occupants. On the east side of the building abutting the superhighway, it can be seen that the huge wall of concrete blocks is an effective measure against the traffic noise and dust from construction sites in the area. In one of Low’s lectures (which can be viewed on the Internet), he pointed out how one of the things that defines most high-rises around the world and has not changed for decades is the need for human labor to clean the buildings' glazed fa-

çades, regardless of their form. It would seem that the architect sought to resolve this problem in his design by having these steel grating balconies allowing people from each unit to clean their own offices easily without needing cleaners to be suspended from the top of the building. Low admits he wasn't wholly satisfied with this design, remark-ing how the side that faces the superhighway appear like a monolithic concrete block and is out of proportion, but due to the limitation imposed by the site, he could not do it otherwise. We now walked to the west side, which abuts the mountainside and is full of greenery. Some office workers on other floors came out to smoke, they waved at us and I asked Low if he knew them – he didn’t. He also said that he was really happy with how the balcony space became a place that can help foster relationships between people from different parts of the building, so that they are not just stuck in their own offices. When high-rise design in Southeast Asia began to respond to the tropical climate, the architectural language underwent a drastic change as well as giving rise to the wave of green architecture, the most prominent example from Malaysia would have

08

07 มุมมองฝัง่ ทิศตะวันตก ทีจ่ ะเห็นพลาซ่าเต็มไปด้วย ต้นไม้ 08 พืน้ ตะแกรงเหล็กทีเ่ ชือ่ มต่อ ระหว่างอาคาร ทำให้การไหล-

เวียนอาคารในแนวดิง่ เป็นไป

ได้ดมี ากขึน้ 09 คอนกรีตบล็อคชนิดระบาย- อากาศถูกใช้เพือ่ กันเสียงภาย-

นอก และมีการเพิม่ พืน้ ทีส่ เี ขียว ด้วยไม้เลือ้ ยทัว่ บริเวณ

09



36

RMIT’s Design Hub (opened 2012) occupies one of Melbourne’s most prominent sites that terminates the northern end of the symbolic Swanston Street axis. From the streets the Design Hub reads as two separate structures of a low ‘steel box’ and a ‘glass tower’, with an awkwardly located piazza in-between that currently functions more as a circulation ramp towards the lower basement level than a “forecourt”. In reality, the Design Hub is one complex linked by a large basement that occupies the whole site’s footprint. The ground floor and basement houses the more public functions of formal exhibition spaces, archives and lecture theatres while the upper levels houses spaces for private research activities. At present the piazza seemed self-absorbed and selfreferencing through the interplay of light and reflections, enhances the two structure's beauty while not (yet) linking to the larger adjacent Carlton Brewery development block to the north and west that is under construction. In fact the Design Hub was conceived as part of a larger pluralistic composition and the two structures and piazza are to frame a grander terminus gesture – one proposed (by Ashton Raggat McDougall; see the design at www.skyscrapercity.com/ showthread.php?t=503069&page=3) is a 30 storeys, 530 apartment with the face of an important historical aboriginal figure (William Barack) routed onto the façade subversively marrying the monumental with the commercial. Nonetheless, the corner location of the

Design Hub makes the glass tower unavoidably the most prominent structure in the former Carlton Brewery site with the light, minimalist steel and glass tower perhaps in conscious contrast with the gravitas of the granite Shrine of Remembrance (Philip Hudson, 1934) that terminates the Swanston St axis ~3kms to the south. What both have in common is the high-minded symbolism that yields their aloofness from their immediate urban contexts. The shrine is a memorial to Australian war veterans while the Design Hub is a ‘monument’ to research and higher knowledge. At the Design Hub, there are no active edges on the ground level to the streets and it does not engage with the corner site and the tram superstop to the east, where the largest street façade is covered from the pedestrian footpath to the roof cornice with the glass disk skin. The only café occupies the lower north-western corner of the glass tower, facing the ramped piazza. In contrast to RMIT 80, one block down Swanston St (reviewed in art4D issue 200), the skin cloaks the volume and functions of the building in secrecy, befitting an image of higher research that is mostly inaccessible to the masses. While ignoring the mundane urban context, the Design Hub dances with the metaphysical with its intricate steel and glass skin providing a canvas for natural light to express her magic until nightfall, when interior back lighting accentuates the 600mm diameter sandblasted glass disk scales. The glass disks pivot along its diameter, as part of


Sean Godsell Architects

Multipurpose Building

Melbourne

02

Sean Godsell Architects has created adaptability and flexibility for RMIT Design Hub to accomodate the organic nature of research. 01

03

an automated sunshade system, vertically in the east, south and west facades and horizontally in the north facade. It forms part of Sean Godsell’s well-honed design language of outer “exoskeleton” skin (with hisashi enclosed verandah) enveloping an inner “endoskeleton” (moya inner room), evidenced in his many celebrated house designs, predominantly in less assessable suburban or natural contexts. This is the designer’s most prominent and largest commission and the influence of Japanese traditional and modern architecture is also apparent in its very refined detailing, minimalism and dematerialization. However, read against the city this very personal design language can be perceived as a-contextual and anti-urban, even if it is coherent with the program - a building for advance research on design, activities that demands a high degree of inward reflection and privacy. The main entry to the glass tower on the south facade, somewhat acknowledging the urban axis, leads into a long foyer space that, following the street’s topography ramps upwards towards the secondary north entry, off a setback gap with an old disused, heritage Malt Store building – awaiting renovation as part of the Carlton Brewery site development. The space doubles as exhibition areas and this basic organization is repeated in the upper levels 1-6 with a strip vertical circulation and services space sandwiched between columnfree ‘long room’ foyer-exhibition space to the east and open plan ‘warehouse’ space for research to the west. From the outside, the building may

Text and photos Sidh Sintusingha

01 มุมมองจากถนน Swanston ทีเ่ ห็นอาคาร Design Hub ตัง้ อยูส่ ดุ ปลายถนน 02 ภาพสะท้อนบริเวณ façade อาคารทีท่ ำให้เห็น ความน่าสนใจของการผสมผสานวัสดุตา่ งชนิดทีม่ รี ปู ทรง แตกต่างกัน 03 ผิวอาคาร Design Hub ทีแ่ สดงให้เห็นถึงการเปลีย่ น ผ่านของช่วงเวลาจากบรรยากาศตอนกลางวันสูเ่ วลาค่ำคืน

convey disengagement – while inside, the urban context is forced-filtered through the omnipresent glass disk skin and its manifold reflections on the inner skin that provides the backdrop to every main interior space above ground. In this sense, the Design Hub has the air of a self-conscious beauty that only acknowledge her lesser neighbours through the corner of her eyes. With the shallow plans allowing natural lighting and the double-glazed inner skin incorporating a passive cooling system, the Design Hub boasts environmental credentials - even if users have complained of the recent uncomfortably hot summer inside her spaces (an exceptionally prolonged and hot summer it must be noted). On the other hand, winter would likely be more comfortable. The façade is also conceived to be flexible and the glass-disks are supposed to be amenable to future advancements and experiments with solar technology – something that may contravene the meticulously controlled severity of the aesthetics. Perhaps the refined design and spaces evokes a museum for high art and may not be as amenable to messy creative endeavours? The experiential highlight must be the timberdecked rooftop which houses 4 separate pavilions for meetings and seminars where one has to engage with or brave the elements (heat, cold, rain and also the beautiful spring and autumn days) to reach. The outer skin extends beyond the building mass, enclosing the roof deck, to fully engage with

Melbourne’s renowned fickle light and weather conditions. From the high vantage point one can enjoy the drama of Swanston St - comparable to the experience at level 7 at RMIT 80 (and the external promenades at the Shrine of Remembrance) and without the inner glazed skin of the lower levels, the urban spaces of the city flows in undifferentiated – with no reference to specific urban elements including the important axis to the Shrine of Remembrance. It is here that the building feels most at ease with its urban context. The reader may sense a tone of envy and perhaps I am writing as an ‘urbophilliac’ landscape urbanist and the Design Hub can be seen as an unapproachable beauty – an exquisitely cut gem that also evokes major fashion brand’s flagship stores (and Herzog De Meuron’s glass lozenge commercial high art structure for Prada at Omotesando came to my mind). Arguably this is the precise image intended, and like RMIT 80 that brands tertiary education, the Design Hub – in divergence from RMIT’s playful urban image, is an urban icon to serious, cutting-edge research.

Sean Godsell Architects seangodsell.com

RMIT Design Hub designhub.rmit.edu.au


38

RMIT’s Design Hub (เปิดใช้งานเมือ่ ปี 2012) ตัง้ อยูบ่ นจุดทีโ่ ดดเด่นมากทีส่ ดุ แห่งหนึง่ ในเมืองเมลเบิรน์ ที่ อยูเ่ หนือสุดปลายถนนทีเ่ ป็นแกนสำคัญของเมืองอย่าง ถนน Swanston เมือ่ มองจากถนนจะเห็น Design Hub แยกเป็น 2 ส่วน ‘อาคารเหล็ก’ 1 ชัน้ กับ ‘อาคารกระจก’ 8 ชัน้ และมีลานกว้างระหว่างอาคารทัง้ 2 หลังทีม่ หี น้าที่ หลักเป็นทางเดินลาดลงไปยังชัน้ ใต้ดนิ แทนทีจ่ ะใช้เป็น ลานอเนกประสงค์สำหรับเมือง ซึง่ จริงๆ แล้ว Design Hub เป็นอาคารคอมเพล็กซ์หนึง่ หลังทีถ่ กู เชือ่ มโยงกัน ด้วยชัน้ ใต้ดนิ ขนาดใหญ่ทกี่ นิ พืน้ ทีค่ รอบคลุมทีด่ นิ ทัง้ หมด ชัน้ ล่างและชัน้ ใต้ดนิ นัน้ จะค่อนข้างใช้งานในเชิงสาธารณะ เป็นพืน้ ทีจ่ ดั นิทรรศการ จัดเก็บเอกสารต่างๆ และห้องประชุม ในขณะทีช่ นั้ ทีส่ งู ขึน้ ไปใช้สำหรับเป็นทีท่ ำงาน วิจยั ส่วนบุคคล ลานระหว่างอาคารทีค่ อ่ นข้างหลบซ่อน อยูอ่ ย่างเงียบๆ จากเมือง จะเน้นความสุนทรียข์ อง อาคารทัง้ 2 หลัง ผ่านการเชือ่ มโยงทางแสง เงา และการ สะท้อน อาจจะเป็นเพราะว่า Design Hub ยังไม่ได้เชือ่ มต่อกับโครงการ Carlton Brewery ทีอ่ ยูถ่ ดั ไปทางทิศเหนือ และทิศตะวันตกซึง่ อยูใ่ นระหว่างการก่อสร้าง Design Hub นัน้ ถูกวางแผนเพือ่ ให้เป็นส่วนหนึง่ ขององค์ประกอบ ขนาดใหญ่ปลายแกนสมมุตขิ องถนน Swanston โครงสร้างทัง้ สองทีข่ นาบลานกว้างนัน้ ก็เพือ่ ใช้เป็นเสมือน กรอบให้กบั อาคารขนาดใหญ่ทอี่ ยูถ่ ดั ขึน้ ไปทางเหนือ หนึง่ ในแบบทีถ่ กู เสนอโดย Ashton Raggatt McDougall (ดูแบบได้ที่ www.skyscrapercity.com /showthread. php?t=503069&page=3) เป็นอาคารอพาร์ทเมนต์

ขนาด 530 ห้องสูง 30 ชัน้ ทีถ่ กู หุม้ ผิวภายนอกอาคาร ด้วยใบหน้าของ William Barak (ชาวอะบอริจนี ทีเ่ ป็น บุคคลสำคัญในประวัตศิ าสตร์) เป็นการผสมผสานใน แบบทีท่ า้ ทายประเพณีนยิ มระหว่างความเป็นอนุสาวรีย์ กับการพัฒนาเชิงพาณิชย์ ทีต่ งั้ Design Hub บริเวณหัวมุมถนนของ Carlton Brewery (โรงผลิตเหล้าเดิม) ทำให้อาคารนีด้ สู ะดุดตา อย่างเลีย่ งไม่ได้ ด้วยภาษาการออกแบบทีม่ นิ มิ ลั และ เบาของโครงสร้างเหล็กและเกล็ดกระจกกลมทีห่ มุ้ ผิว อาคาร เหมือนจะจงใจพยายามสร้างความแตกต่างที ่ ขัดแย้งกับความหนักแน่นของอาคาร Shrine of Remembrance ทีท่ ำจากหินแกรนิต (ออกแบบโดย Philip Hudson และสร้างเสร็จในปี 1934) ทีต่ งั้ อยูต่ รงปลาย แกนอีกด้านหนึง่ ของถนน Swanston ห่างออกไปทาง ทิศใต้ 3 กิโลเมตร ซึง่ ทัง้ 2 อาคารนัน้ มีความชัดเจนใน เชิงสัญลักษณ์สงู จึงโดดเด่นแปลกแยกจากบริบทของ เมืองโดยรอบ Shrine of Remembrance สร้างขึน้ เพือ่ แสดงการรำลึกถึงทหารผ่านศึกในสงครามทีอ่ อสเตรเลีย ได้เข้าร่วม ในขณะเดียวกัน Design Hub เปรียบดัง อนุสาวรียข์ องการวิจยั และความรูร้ ะดับสูง อาคาร Design Hub นัน้ ไม่มกี ารใช้งานในพืน้ ทีโ่ ดยรอบของชัน้ ล่างทีต่ ดิ ถนน 2 ด้าน และไม่ตอบสนองต่อบริบทของหัวมุมถนน และป้ายรถรางทีอ่ ยูท่ างทิศตะวันออกของอาคารทีม่ ี ผูค้ นผ่านไปมามากมาย ซึง่ เป็นด้านเดียวกับ façade อาคารด้านทีใ่ หญ่ทสี่ ดุ ทีถ่ กู ปกคลุมด้วยแผงกระจกจาก พืน้ ฟุตบาทไปจนถึงขอบหลังคา คาเฟ่เพียงหนึง่ เดียว

กลับหลบอยูต่ ำ่ ลงหนึง่ ชัน้ อีกด้านหนึง่ ของอาคารตรง หัวมุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือติดกับลานกว้างทีล่ าดลงมา ซึง่ เป็นจุดทีค่ นไม่คอ่ ยพลุกพล่าน ผิวเหล็กและกระจก อาคารปกคลุมทัง้ ตัวอาคารทำให้พนื้ ทีใ่ ช้สอยดูเป็นความ ลับ เหมาะกับภาพพจน์ของการเป็นศูนย์วจิ ยั ระดับสูง ทีค่ นทัว่ ไปไม่สามารถเข้าไปได้งา่ ยๆ ซึง่ แตกต่างกับ RMIT 80 ทีอ่ ยูถ่ ดั ไปหนึง่ บล๊อกเมืองบนถนนเดียวกัน (ตีพมิ พ์ลงใน art4d ฉบับที่ 200) แม้อาคาร Design Hub ปฏิเสธทีจ่ ะมีสว่ นร่วมกับ บริบทเมืองโดยรอบ แผงโครงสร้างเหล็กและผนังเกล็ด กระจกวงกลมพ่นทรายขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 60 เซ็นติเมตร ทีถ่ กู สรรค์สร้างอย่างประณีตให้ลอ้ เลียนกับแสง ธรรมชาติเสมือนว่ามีเวทมนตร์จนกระทัง่ ไร้แสงในยาม ค่ำคืน เมือ่ นัน้ แสงทีส่ อ่ งผ่านจากภายในอาคารก็จะเน้น เกล็ดกระจกนับร้อยให้โดนเด่นออกมา กระจกกลม สามารถหมุนได้ตามแกนกลางเป็นส่วนหนึง่ ในระบบ กรองและตัดแสงอาทิตย์แบบอัตโนมัติ หมุนได้ตามแนวตัง้ ในผนังโดยรอบของทุกฝัง่ ยกเว้นทางทิศเหนือเท่านัน้ ทีจ่ ะหมุนตามแนวนอน ลักษณะเหล่านีเ้ ป็นภาษาการ ออกแบบทีม่ เี อกลักษณของ Sean Godsell ทีเ่ ป็นทีร่ จู้ กั กันดีนนั่ คือการใช้ ‘exoskeleton’ ผิวอาคารภายนอกคลุม ระเบียงและห่อหุม้ ‘endoskeleton’ ห้องภายในเอาไว้ ที่ เขาได้ใช้กบั งานบ้านหลายๆ หลัง ส่วนใหญ่จะอยูไ่ กล เมืองหรือแฝงตามบริบทธรรมชาติ งานชิน้ นีเ้ ป็นงานทีม่ ี ขนาดใหญ่ตงั้ อยูต่ รงบริบทกลางเมืองทีม่ คี วามสำคัญ และโดดเด่นทีส่ ดุ ของผูอ้ อกแบบ อิทธิพลจากสถาปัตย-


art4d August 2013

06

04 แสงธรรมชาติทถี่ กู กรอง ผ่านแผงกระจกก่อนเข้ามาสู่ พืน้ ทีภ่ ายใน 05 มุมมองผ่านแผงกระจก ออกไปยังถนน Swanston ซึง่ สามารถมองเห็นอาคาร RMIT 80 เป็นแบคกราวน์ 06 พืน้ ที่ long room บริเวณ ชัน้ สองซึง่ เป็นส่วนทีใ่ ช้ สำหรับการทดสอบด้านออกแบบและการพรีเซนต์ซงึ่ เชือ่ มต่อออกมาจากพืน้ ที่ สำหรับรองรับการทำวิจยั ต่างๆ 07 หนึง่ ในสีห่ อ้ งประชุมและ สัมมนาบริเวณดาดฟ้า

04

05

กรรมประเพณีและยุคโมเดิรน์ ของญีป่ นุ่ แสดงออกมา ผ่านรายละเอียดทีส่ ละสลวย แสดงความเป็น minimalism และ dematerialization อย่างไรก็ตามเมือ่ เรา มองจากภาพรวมของเมืองแล้ว งานออกแบบทีส่ ะท้อน เอกลักษณ์เฉพาะตัวเช่นนีท้ ำให้มองได้วา่ เป็นการจงใจที่ จะปฏิเสธบริบทเมืองซึง่ ขัดแย้งกับความตัง้ ใจของหน่วยงานออกแบบเมืองของรัฐทีม่ คี วามพยายามทีจ่ ะเพิม่ กิจกรรมตามถนนหนทางทำให้เมืองมีชวี ติ ชีวามากขึน้ แม้วา่ มันจะสอดคล้องกับการใช้งานภายในอาคารทีเ่ ป็น งานวิจยั ระดับสูงเกีย่ วกับงานออกแบบ ซึง่ พืน้ ทีภ่ ายใน เพือ่ ทำกิจกรรมต่างๆ นัน้ ต้องการความเป็นส่วนตัวสูง ทางเข้าหลักของอาคารนัน้ อยูท่ างทิศใต้ อ้างอิง แกนของเมืองเข้ามาสูภ่ ายในเป็นโถงทางเดินยาวและ เป็นทางลาดขึน้ ไปตามลักษณะของถนนตรงไปยังทาง เข้าทางทิศเหนือ ซึง่ อยูต่ รงพืน้ ทีท่ เี่ ป็นระยะถอยร่นมา จากอาคารเก่าด้านหลัง (Malt Store เป็นอีกอาคารหนึง่ ทีร่ อการซ่อมแซมและปรับปรุงเป็นส่วนหนึง่ ของผังรวม ทัง้ หมดของ Carlton Brewery) โถงทางเข้านีใ้ ช้สำหรับ จัดนิทรรศการด้วย การจัดวางพืน้ ทีล่ กั ษณะนี้ ทีม่ พี นื้ ที่ เซอร์วสิ อยูต่ รงกลางระหว่างพืน้ ทีใ่ ช้งานไร้โครงสร้างเสา 2 ด้าน ถูกนำไปใช้ซำ้ บนชัน้ หนึง่ ถึงหกทำให้เกิดโถง นิทรรศการเป็นพืน้ ทีเ่ ปิดโล่งฝัง่ ตะวันออกและโถง open plan ฝัง่ ตะวันตกสำหรับงานวิจยั ชนิดต่างๆ แล้วแต่ทนุ และทีมวิจยั ทีเ่ ข้ามา เมือ่ มองจากภายนอก อาคารหลังนี้ เหมือนว่าจะตัง้ อยูอ่ ย่างอิสระจากบริบท ในขณะทีภ่ ายใน ทิวทัศน์แวดล้อมโดยรอบถูกกรองผ่านแผงเกล็ดกระจก

07

กลมทีท่ ำให้ยงั คงมองเห็นได้อยูบ่ า้ งแม้จะถูกบดบังอีก ครัง้ จากเงาและการสะท้อนของแผงนอกสูผ่ นังกระจก ชัน้ ในซึง่ ร่วมกันสร้างฉากหลังให้กบั พืน้ ทีภ่ ายในเกือบ ทัง้ หมด ทำให้ผเู้ ขียนรูส้ กึ ว่า Design Hub เปรียบเสมือน ผูห้ ญิงสวยหยิง่ ทีม่ องผูอ้ นื่ ด้วยหางตาเท่านัน้ Design Hub ได้ถกู ออกแบบให้มคี ณุ ลักษณะทีเ่ ป็น มิตรกับสิง่ แวดล้อม ด้วยระยะของแปลนทีไ่ ม่กว้างมาก ทำให้สามารถใช้แสงธรรมชาติได้หรือผนังกระจก doubleglazing ด้านในทีร่ วมระบบหมุนเวียนอากาศแบบธรรมชาติ แม้วา่ ผูใ้ ช้งานบางส่วนจะพูดถึงความไม่สะดวก สบายจากอากาศทีร่ อ้ นอบอ้าวภายในสเปซของอาคาร ในหน้าร้อนทีเ่ พิง่ ผ่านไปบ้าง ซึง่ ในทางกลับกันก็ดเู หมือน ว่าอุณหภูมภิ ายในจะสบายกว่าในช่วงฤดูหนาว ผิวเกล็ด กระจกกลมด้านนอกของอาคารถูกออกแบบให้สามารถ ปรับเปลีย่ นได้งา่ ยเพือ่ การพัฒนาหรือทดลองเรือ่ งพลังงานแสงอาทิตย์ในอนาคตได้ดว้ ย แม้วา่ ความยืดหยุน่ ดังกล่าวอาจจะขัดแย้งกับสุนทรียภาพทีถ่ กู ควบคุมไว้ อย่างเคร่งครัดด้วยกฎระเบียบและข้อห้ามต่างๆ บางที ความพิถพี ถิ นั ในการออกแบบทุกกระเบียดนิว้ จนทำให้ งานรูส้ กึ เหมือนกับพิพธิ ภัณฑ์สำหรับศิลปะระดับสูง อาจ ขัดแย้งกับกิจกรรมวิจยั ทีเ่ กีย่ วกับการออกแบบทีม่ กั ก่อ ให้เกิดความรกรุงรัง ประสบการณ์ทนี่ า่ สนใจทีส่ ดุ คงเป็นดาดฟ้าพืน้ ไม้ที่ ประกอบด้วยศาลา 4 หลังสำหรับการประชุมและสัมมนา ทีผ่ ใู้ ช้จะต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมของฤดูกาลเพือ่ เข้าถึง ไม่วา่ จะเป็น ความร้อน ความเย็น ฝน รวมถึงฤดู

ใบไม้ผลิและใบไม้รว่ งทีส่ วยงามด้วย แผงกระจกภายนอก ยืน่ ขึน้ มาเลยมวลอาคารโอบล้อมพืน้ ทีด่ าดฟ้าและตอบสนองต่อแสงอาทิตย์ทแี่ ปรเปลีย่ นและสภาพอากาศที่ ยากจะคาดเดาของเมลเบิรน์ จากจุดทีส่ งู ทีส่ ดุ นีค้ ณุ สามารถเพลิดเพลินไปกับชีวติ บนถนน Swanston เทียบ ได้กบั ประสบการณ์จากชัน้ 7 ของอาคาร RMIT 80 และ ดาดฟ้าของ Shrine of Remembrance การทีไ่ ม่มผี นัง กระจกชัน้ ในแบบชัน้ ล่างทำให้ทวิ ทัศน์ของเมืองไหลเข้ามา เต็มที่ โดยปฏิเสธทีจ่ ะอ้างอิงถึงรายละเอียดหรือลักษณะ เฉพาะของเมืองแม้กระทัง่ แกนถนน Swanston ทีต่ รงไป ยัง Shrine of Remembrance ณ ดาดฟ้านีเ้ องที่ Design Hub ดูจะมีความสัมพันธ์ทผี่ อ่ นคลายกับบริบทเมือง ในทีน่ ผี้ อู้ า่ นอาจจะรูส้ กึ ได้ถงึ ความอิจฉาริษยาของ ผูเ้ ขียนทีม่ คี วามหลงไหลภูมทิ ศั น์เมืองและสิง่ ทีธ่ รรมดา และจำเจของเมือง ซึง่ ต่างจาก Design Hub ทีเ่ ปรียบดัง่ อัญมณีทงี่ ดงามทีถ่ กู ออกแบบเหมือนร้าน flagship store ของเสือ้ ผ้าแฟชัน่ แบรนด์ดงั (ผมนึกถึงร้าน Prada ที่ Omotesando ของ Herzog & de Meuron ทีเ่ ป็น อาคารกระจกทรงสีเ่ หลีย่ มขนมเปียกปูนทีง่ ดงาม) แต่ อาคารนีก้ ม็ เี หตุผลและความตัง้ ใจในภาพทีป่ รากฏออก มาเช่นกัน เหมือนกับ RMIT 80 ทีภ่ าพลักษณ์แสดงถึง การศึกษาและการละเล่นทีส่ อื่ สารออกมาสูเ่ มือง ในทีน่ ี้ Design Hub กำลังสือ่ ภาพพจน์ใหม่สำหรับมหาวิทยาลัย เป็นสัญลักษณ์ทแี่ สดงถึงความจริงจัง แสดงออกถึงความ เป็นศูนย์วจิ ยั ระดับสูงให้เราได้เห็น แม้อาจไม่สอดคล้อง ได้เต็มทีก่ บั การใช้งานจริงนักก็ตาม


Located on London’s culturally vibrant Southbank, The National Theatre is acknowledged as one of the seminal 20th Century buildings in Britain. Designed by Sir Denys Lasdun and completed in 1976, this austere, raw concrete form has had many detractors. Even enthusiastic advocates of the Modern Movement, such as Sir Nikolaus Pevsner, have found the béton brut concrete both inside and out overbearing. Most notoriously, Prince Charles described the building in 1988 as "a clever way of building a nuclear power station in the middle of London without anyone objecting". With the passage of time, however, it can now be viewed as an archetype of the brutalist architectural movement and a prominent landmark on London’s cultural map. As such, the building a has been protected by a Grade II listed building status since 1994. The layout of the building was a radical departure from the conventional foyer and theatre model established with the Victorian stages of London’s West End. Foyers wrap around the auditoria, inviting mingling and engagement with the riverside on a series of terraces that cantilever out towards the River Thames. Since its completion, the Southbank has developed into the new cultural heart of the city with the public walkway extending to celebrated attractions such as The Globe Theatre and Tate Modern. London-based practice, Haworth Tompkins Architects, were appointed for ongoing renovation works that would recognise ‘The National’s’ continuing key position along this cultural promenade. The initial project comprised the renovation of the smallest of the three auditoria, The Cottesloe, and its replacement by a temporary theatre during the renovation period. Thus, The Shed was conceived as a free-standing venue with a capacity of 300 and a life-span of just one year. Working under a limited budget and schedule, Haworth Tompkins approached the design of the new building in the same way that theatre production design is approached. Seen from the outside, The Shed is a remarkable example of scenography; a brilliant, bright, red box to entice and intrigue us. Measuring 18 metres by 15 metres in plan and clad in a screen of stained timber, this box is devoid of signage, decoration, even of windows or entrance doors. Mysterious and mute, yet commanding our attention with its alluring colour and monumental geometry, we want to investigate further. As Haworth Tompkins director Steve Tompkins explains, “We were clear that there should be no branding, no signage. The colour and form of the building should be its own sign and people come and make of it what they will.” One’s first impression of The Shed is its colour, red. This is not a discreet red. It is a vivid, lipstick red. Tompkins cites inspiration such as the Russian Constructivists and, “the Scandinavian red of barns set against the grey Arctic landscape.” It is also a particularly London red; the colour of its buses and telephone boxes. This pop of colour provides the perfect foil to the adjacent Lasdun building - somehow making us look more closely at the subtle textures of that striated, grey concrete. Tompkins proposes that The Shed is “intended as a compliment to highlight the qualities of the National Theatre. It is not intended as a critique.” The colour is achieved by applying a red stain to timber planking laid in horizontal bands. Around 50 colour samples were tested to achieve the desired hue and luminosity. In homage to the original building, the vertical spacing of the planks exactly matches that of the original concrete formwork. This is a witty and respectful reference of scale and materiality. Without compromise, the red finish covers all external surfaces, including emergency exit doors, corner chimneys and the roof. For Tompkins, it was vital that the roof treatment should match the walls as it is viewed from busy Waterloo Bridge, above, as well as from the terraces of The National Theatre. No change in finish or colour is therefore allowed to detract our eyes from the object or, as Tompkins unashamedly refers to it, the toy.


Haworth Tompkins Architects

Theatre

London

‘The Shed’ by Haworth Tompkins Architects represents how to make theatre in suitable ways. Text Ross Logie Photos courtesy of Haworth Tompkins Architects

02

01

Although The Shed can be read as an autonomous object on the Southbank, it is entered from the same expansive foyer as the existing theatres. The underside of an existing terrace has been enclosed, creating an informal café that the audience passes to enter the theatre. Lasdun’s signature waffle slab ceiling reminds us that we are still in the original building but Haworth Tompkins have enclosed the cafe in a multi-skin, polycarbonate cladding, diffusing the soft English daylight. The cafe has been furnished in the manner of a low-key coffee shop - long plywood tables, second hand sofas, prominent recycling bins and the ubiquitous blackboard. It is hip and egalitarian, although lacking a ‘wow’ factor. From the café, a compact lobby leads to the almost-square, black-painted auditorium. The stage is placed in the centre with alternative seating configurations allowing for a capacity of 220 to 300. There are just four rows of seats although stairs lead up to a gallery with a further two rows of seats. The feeling is intensely intimate, like sharing a room with the performers and, critically, with the rest of the audience. This is achieved not just by the scale of the space but also by the seating arrangement, allowing the stage to be wrapped by seats on three or four sides. For Tompkins, there was an “aspiration to feel connected and part of the same community.” Importantly for him, actors

and audience share the same floor level, noting that for performers, “there is something exciting about sharing the floor level with the audience.” Haworth Tompkins has collaborated with theatre consultant, Gavin Green of Charcoalblue on several projects, honing their skills in this specialised field of design. Completed projects include The Young Vic and The Royal Court in London and The Ustinov Theatre in Bath. When asked to cite precedents for the layout, Green clarifies that “it is so important to reference projects we have worked on that we know work,” enabling their clients and consultants to experience and understand the nuances of those spaces by visiting them. With just a year of operation, the team also recognised that the architecture could be tailored to the productions for this season, a synergy of space and performance that is not possible for more permanent theatres. As with production design, creative approaches were sought to keep the build within time and budget constraints. With a total cost of GBP 1.2 million (54 million Baht) ingenious solutions were necessary. There is no ‘back of house’ so performers enter the stage through the same routes as the audience. Rather than see this as a negative, Tompkins relishes the opportunity to “shake up the conventions of what theatre is”. For example, during current performances, tables are set up in the foyer for costume changes.


42 9 1 main entrance 2 existing lyttelton foyer 3 foyer 4 bar 5 dressing room 6 auditorium lobby 7 auditorium 8 existing cafe 9 theatre avenue 10 theatre square 11 queen’s walk 12 terrace cafe 13 waterloo terrace 14 linking volume roof 15 upper level of auditorium 16 light & sound control booths

16 8

6 3

7

4 5

14

11

13

15

16

12 2

1

10

ground floor plan

1st floor plan

2.5 m

A passive ventilation stack system draws cool air in from the base of the building via an acoustically attenuated labyrinth. It is then dispelled through grilles under the raked seats and discharged from the four chimneys in the corners of the building, which themselves are acoustically attenuated. As it gets warmer outside, the stack works harder, thus maintaining a consistent air temperature within. The architectural expression of this system, most notably by the chimneys, help temper any notion we might have that this building is a whim-sical folly. The natural ventilation system keeps the building within budget and achieves Tompkins goal to “make it as unplugged as possible.” The philosophy of being unplugged also extends to the use of recycled and sustainable materials for the construction. All seating and lighting is recovered from The Cottesloe Theatre. The structure is a simple steel frame that can be dismantled and recycled and the economical, softwood cladding is also demountable. Given that planning approval was granted on the project being temporary, it seems unlikely that The Shed will remain in its prominent riverfront location after 2014. Even Tompkins concedes that The Shed would be “awkward as a permanent presence” in its current site, obstructing the main corner entrance to The National. The temporary nature of the brief gave the designers a ‘licence to be playful’, he admits. A permanent construction demands a different response, perhaps. Nonetheless, it would be nice to imagine that it may be dismantled and easily re-erected in another location where it could continue to function as a venue for performing arts. For several years, Haworth Tompkins has been working with The National to re-examine the venue and its immediate surroundings. Steve Tompkins does not underestimate the huge responsibility he has in maintaining the legacy of this much loved (and sometimes reviled) edifice. However, his obvious passion for the building that he calls ‘a masterpiece’ is evident, giving us confidence that the forthcoming changes will be considered and sensitive. For Tompkins, “It is an incredibly rigorous building. It can appear complex and bewildering but we enjoy that – the richness of the spaces, the views round and through it.” It will be exciting to witness the manifestation of their ideas over the coming years. We should not read The Shed as a precursor to the future redevelopment of London’s National Theatre. Like an amusing and unexpected guest at a ponderous party, it lightens the mood and gives us pause to reflect on the guests already there. Although a moderately scaled project on a small budget, the colour and form demand our attention. As with its austere neighbour, this is not a building that will be loved by everyone. Yet, observing the four, bright red chimneys assertively rising into the bleak London sky, it seems that Tompkins is correct to say that The Shed ‘punches above its weight.’ Haworth Tompkins Architects haworthtompkins.com

01-02 เมือ่ มองจากภายนอก The Shed เป็นกล่องสีแดงสด ทีโ่ ดดเด่นขึน้ มาจากบริบท โดยรอบของคอนกรีตเปลือย หม่นๆ ทำให้ตวั อาคารดู สะดุดตาเมือ่ พบเห็น 03 ถึงแม้สแี ละวัสดุของ ตัวอาคารจะตัดกัน แต่กย็ งั มีความเชือ่ มโยงกันของ 2 อาคาร ในมุมมองของ พืน้ ผิววัสดุ 04-05 ด้านใต้ของระเบียง ด้านหนึง่ ของโรงละครถูก ปรับปรุงให้เป็นคาเฟ่ โดย ฝ้าเพดานแบบ waffle slab ยังถูกคงไว้ และสถาปนิกเลือก ใช้แผ่นโพลีคาร์บอเนตมากัน้ ผนังเพือ่ ช่วยในการกรองแสง

04


art4d August 2013

05

ได้รบั มอบหมายให้เป็นผูบ้ รู ณะอาคารโรงละครนี้ โดย แผนพัฒนาแรกเริม่ คือการปรับปรุงโรงละครโรงทีเ่ ล็ก ทีส่ ดุ ในจำนวน 3 โรงทีช่ อื่ ว่า The Cottesloe โดยใน ระหว่างนัน้ จะต้องทำโรงละครชัว่ คราวเพือ่ ใช้งานแทน ด้วย ‘The Shed’ จึงเกิดขึน้ ในลักษณะทีเ่ ป็นอาคารแยก ต่างหากทีส่ ามารถจุคนได้ 300 คนและมีกำหนดใช้งาน ในระยะเวลาเพียงหนึง่ ปี ด้วยเวลาและงบประมาณทีจ่ ำกัด Haworth Tompkins ใช้วธิ ใี นการออกแบบอาคารใหม่นแี้ บบเดียวกับงาน ออกแบบโปรดักชัน่ ของโรงละคร มองจากภายนอก The Shed เป็นเหมือนกับฉากละครทีเ่ ป็นกล่องสีแดงสดที่ ทำให้เราต้องมองด้วยความสนใจ ตัวอาคารมีขนาด 18x15 เมตร กรุดว้ ยไม้อดั ย้อมสีทงั้ อาคาร ภายนอก อาคารไม่มกี ารตกแต่งอะไรอีก ไม่มปี า้ ย เครือ่ งหมาย หรือแม้แต่หน้าต่างหรือประตูทางเข้า ตัวอาคารดูลกึ ลับ และสงบนิง่ แต่ดงึ ดูดความสนใจเราด้วยสีและรูปทรง เรขาคณิตแรงๆ ทีท่ ำให้เราอยากค้นหาว่ามันคืออะไร Steve Tompkins หนึง่ ในพาร์ตเนอร์ของ Haworth Tompkins อธิบายว่า เรามีแนวคิดทีช่ ดั เจนว่าจะไม่มี อะไรทีแ่ สดงแบรนดิง้ ไม่มปี า้ ยหรือเครือ่ งหมายใดๆ สี และฟอร์มของอาคารจะเป็นสัญลักษณ์ดว้ ยตัวของมัน และปล่อยให้ผคู้ นจินตนาการต่อไปเอง สิง่ ทีส่ ะดุดตาอย่างแรกเมือ่ เราได้เห็น The Shed ก็ คือสีของมันไม่ใช่สแี ดงธรรมดา แต่เป็นสีแดงสดราวกับ ลิปสติก Tompkins บอกกับเราว่าเขาได้แรงบันดาลใจมา จากงาน Russian Constructivists และสีแดงของโรงนา แบบสแกนดิเนเวียทีต่ ดั กับแลนด์สเคปหม่นๆ แถบ อาร์กติก สีแดงของ The Shed ยังอ้างอิงถึงสีแดงของ รถเมล์และตูโ้ ทรศัพท์ในลอนดอน สีสดๆ ของมันตัดกับ ผิวคอนกรีตของโรงละครได้เป็นอย่างดี ชวนให้เรามอง ไปถึงรายละเอียดของพืน้ ผิวคอนกรีตสีเทาของมัน Tompkins บอกว่าเขาตัง้ ใจให้ The Shed เป็นตัวส่งเสริม อาคารโรงละครแห่งชาติ ไม่ได้ตอ้ งการสร้างบทสนทนา เชิงวิพากษ์กบั อาคารเดิมแต่อย่างใด สีทเี่ ลือกมาใช้นนั้ เกิดจากการย้อมไม้เป็นสีแดง แล้วนำมาจัดเรียงกันเป็นแนวนอน ได้มาจาก 50 เฉดสี ทีถ่ กู ทดลองเพือ่ หาค่าทีเ่ หมาะสมทีจ่ ะนำมาใช้ในงาน ใน การเชือ่ มโยงกับบริบทของอาคารเดิมนัน้ สังเกตได้จาก การทีร่ ะยะของไม้แต่ละแถวในแนวตัง้ ขนาดเทียบเท่ากับ ระยะของไม้แบบคอนกรีตเดิม เป็นความคิดทีแ่ สดง ความเคารพต่ออาคารเดิมทัง้ ในเรือ่ งขนาดและการใช้ วัสดุอย่างชาญฉลาด 03 สีแดงถูกนำมาใช้เป็นผนังและพืน้ ผิวอาคารโดยรอบ โรงละครแห่งชาติในกรุงลอนดอนนับเป็นหนึง่ ใน อย่างไม่มกี ารประนีประนอมไม่เว้นแม้แต่ประตูทางออก สถาปัตยกรรมสำคัญโครงการหนึง่ ของอังกฤษทีส่ ร้างใน ฉุกเฉิน ปล่องทีเ่ ป็นเหมือนหอคอย 4 มุม หรือแม้แต่ ศตวรรษที่ 20 อาคารหลังนีต้ งั้ อยูใ่ นย่านศิลปวัฒนธรรม หลังคา สำหรับ Tompkins แล้ว มันสำคัญมากทีส่ ว่ นแถบ Southbank ตัวอาคารออกแบบโดย Sir Denys หลังคากับผนังอาคารจะต้องดูเข้ากัน ไม่วา่ จะมองจากบน Lasdun และสร้างเสร็จในปี 1976 ตัวอาคารซึง่ เป็น สะพาน Waterloo อันแสนวุน่ วาย หรือจะมองจากระเบียง คอนกรีตเปลือยดิบๆ ทัง้ หลัง ก่อให้เกิดเสียงไม่เห็นด้วย ของโรงละครเอง สีของตัวอาคารทัง้ ก้อนจะต้องเป็นสีเดียว ต่างๆ มากมาย แม้แต่ผสู้ นับสนุนสถาปัตยกรรมแบบ ไม่มสี ว่ นไหนหลุดออกมาดึงสายตาของเราไปจากตัวโมเดิรน์ คนสำคัญของอังกฤษอย่าง Sir Nikolaus อาคารทีเ่ ปรียบเหมือนวัตถุชนิ้ หนึง่ อย่างที ่ Tompkins Pevsner ยังให้ความเห็นว่าการใช้คอนกรีตเปลือยดิบๆ ชอบเรียกอาคารชัว่ คราวนีว้ า่ เป็นของเล่น (the toy) ทัง้ ภายนอกและภายในอาคารนัน้ มันดูแข็งกร้าวเกินไป ถึงแม้วา่ The Shed จะดูเหมือนเป็นอาคารทีต่ งั้ อยู่ ทีห่ นักทีส่ ดุ เห็นจะเป็นความเห็นของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ แบบอิสระในย่าน Southbank แต่ทางเข้าก็ตอ้ งใช้โถง ทีท่ รงพูดประชดประชันว่าอาคารหลังนีเ้ หมือนโรงงาน ทางเข้าของอาคารโรงละครเดิม บริเวณด้านใต้ของ นิวเคลียร์ทตี่ งั้ อยูก่ ลางลอนดอนยังไงยังงัน้ อย่างไรก็ตาม ระเบียงหนึง่ ของโรงละครถูกกัน้ เป็นสัดส่วนเพือ่ เปิดเป็น เมือ่ เวลาผ่านไปอาคารหลังนีก้ ไ็ ด้กลายเป็นหนึง่ ในอาคาร คาเฟ่ทคี่ นจะต้องเดินผ่านเพือ่ เข้าโรงละคร ฝ้าเพดานที่ ต้นแบบชิน้ สำคัญของสถาปัตยกรรมแบบ brutalist และ เป็นพืน้ แบบ waffle slab ทีเ่ ป็นเหมือนลายเซ็นของ Sir เป็นแลนด์มาร์กทางด้านศิลปวัฒนธรรมทีม่ ชี อื่ เสียงของ Denys Lasdun ช่วยทำให้เรารูว้ า่ เรายังอยูใ่ นอาคารเดิม ลอนดอน โรงละครแห่งชาติหลังนีไ้ ด้รบั การขึน้ ทะเบียน ในส่วนคาเฟ่นี้ Haworth Tompkins ใช้แผ่นโพลีคาร์บออาคารอนุรกั ษ์ตงั้ แต่ปี 1994 ผังของอาคารมีความแตก- เนตกัน้ เป็นผนังช่วยกรองแสงให้นมุ่ นวลขึน้ ตัวคาเฟ่ถกู ต่างอย่างสิน้ เชิงเมือ่ เทียบกับโรงละครแบบวิคตอเรียนใน ออกแบบให้มลี กั ษณะเรียบง่าย ใช้โต๊ะไม้อดั ยาวๆ โซฟา ย่าน West End ของลอนดอน โดยมีสว่ นโถงล้อมรอบ มือสอง กระดานดำ ไม่ได้มอี ะไรสะดุดตา แต่ให้ความ ส่วนโรงละครสร้างความเชือ่ มโยงกับแม่นำ้ ด้วยเฉลียง รูส้ กึ เท่และเป็นกันเอง และระเบียงต่างๆ ทีย่ นื่ ออกไปหาแม่นำ้ เทมส์ จากคาเฟ่มลี อ็ บบีเ้ ล็กๆ นำเราเข้าสูส่ ว่ นโรงละคร นับจากทีอ่ าคารสร้างเสร็จ ย่าน Southbank ได้ถกู สีดำ ซึง่ จุคนได้ราว 220 ถึง 300 คน มีทนี่ งั่ เพียง 4 แถว พัฒนาเป็นศูนย์กลางของศิลปวัฒนธรรมใหม่ของลอนดอน และมีบนั ไดนำขึน้ ไปยังทีน่ งั่ ด้านบนอีก 2 แถว บรรยาพร้อมๆ กับทางเดินเท้าทีเ่ ชือ่ มต่อไปยังสถานทีน่ า่ สนใจ กาศภายในให้ความรูส้ กึ ใกล้ชดิ มาก อย่างกับว่าเราต้อง อืน่ ๆ ในแถบนีไ้ ม่วา่ จะเป็น Globe Theatre หรือ Tate แชร์หอ้ งร่วมกับผูแ้ สดงหรือกับคนดูคนอืน่ ๆ ประมาณ Modern ทีมสถาปนิก Haworth Tompkins Architects นัน้ มันไม่ได้เป็นเพราะขนาดของสเปซเท่านัน้ แต่ยงั


44

06 มุมมองจากฝัง่ ตรงข้าม ของแม่นำ้ เทมส์ 07 ภายในโรงละครสีดำมี บรรยากาศทีเ่ ป็นกันเอง ทุกคนเชือ่ มโยงถึงกันโดย นักแสดงกับคนดูนนั้ จะอยูใ่ น ระดับเดียวกัน 08 ทางเข้าในส่วนของคาเฟ่ แสงทีท่ ะลุผา่ นแผ่นโพลีคาร์บอเนตออกมาก่อให้เกิด ความต่อเนือ่ งกันระหว่าง อาคารโรงละครแห่งชาติและ The Shed

06

มาจากการจัดทีน่ งั่ ให้โอบล้อมเวทีถงึ สามสีแ่ ถวด้วยกัน Tompkins บอกว่ามันทำให้ทกุ คนถูกเชือ่ มโยงถึงกัน เหมือนเป็นหนึง่ เดียวกัน นักแสดงและคนดูอยูใ่ นระดับ เดียวกัน มันให้ความรูส้ กึ ตืน่ เต้นดี Haworth Tompkins เคยทำงานร่วมกับ Gavin Green จาก Charcoalblue มาแล้วในโปรเจ็คต์โรงละคร ต่างๆ หลายโปรเจ็คต์ Green บอกว่า “มันสำคัญมากที่ เราจะต้องอ้างอิงหลายๆ โปรเจ็คต์ทเี่ ราทำมาก่อนและ เราคิดว่ามันเวิรก์ ” ซึง่ จะทำให้เจ้าของโครงการและคนที่ ร่วมทำงานโครงการนีร้ ถู้ งึ ความสำคัญของรายละเอียด ต่างๆ โดยให้พวกเขาได้ไปลองดูอาคารเหล่านัน้ จริงๆ และเพราะเหตุทวี่ า่ อาคารนีจ้ ะใช้งานเพียงแค่หนึง่ ปี ตัว อาคารจึงสามารถทีจ่ ะทำอะไรทีพ่ เิ ศษๆ ได้ไม่ตอ้ งอยูใ่ น กรอบปกติแบบโรงละครทัว่ ไปมากนัก สำหรับส่วนโปรดักชัน่ ดีไซน์ เนือ่ งจากต้องทำงาน ในกรอบของเวลาและงบประมาณจำกัด (1.2 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 54 ล้านบาท) จึงต้องคิดอย่างสร้างสรรค์ และชาญฉลาด อาคารนีไ้ ม่มสี ว่ น ‘back of the house’ แบบโรงละครทัว่ ไป นักแสดงจะต้องใช้เส้นทางสัญจร เดียวกันกับผูช้ ม ซึง่ Tompkins ไม่ได้มองว่ามันเป็น ข้อเสีย แต่กลับคิดว่า ‘มันฉีกกรอบของโรงละครทัว่ ๆ ไป’ และในระหว่างแสดง บริเวณโถงทางเข้าจะต้องนำโต๊ะมา ตัง้ สำหรับเปลีย่ นเครือ่ งแต่งกายนักแสดงอีกต่างหาก ระบบช่องลมถ่ายเทอากาศจะดึงอากาศเย็นจาก ภายใต้อาคารเข้ามาผ่านระบบทีซ่ บั ซ้อนเพือ่ นำมา กระจายออกผ่านทางตะแกรงภายใต้ทนี่ งั่ และสุดท้ายก็ ปล่อยอากาศถ่ายเทออกผ่านปล่อง 4 มุมของอาคาร หากอากาศภายนอกร้อนมากขึน้ ระบบก็จะทำงานหนัก ขึน้ เพือ่ ควบคุมอุณหภูมภิ ายในให้คงทีเ่ ช่นเดิม ระบบนี้ แสดงออกผ่านทางสถาปัตยกรรมด้วยปล่องลมทัง้ 4 ปล่อง ซึง่ ระบบการถ่ายเทอากาศธรรมชาติลกั ษณะนี้ ทำให้อาคารคงอยูใ่ นงบประมาณและอยูใ่ นเป้าหมายของ Tompkins ทีต่ อ้ งการให้อาคารหลังนี้ ‘ใช้พลังงานให้นอ้ ย ทีส่ ดุ เท่าทีจ่ ะทำได้’ ความคิดเกีย่ วกับการใช้พลังงานยัง ได้ถกู ประยุกต์ไปใช้กบั การนำวัสดุตา่ งๆ กลับมาใช้ใหม่ และใช้วสั ดุเพือ่ ความยัง่ ยืนในการก่อสร้าง ระบบไฟฟ้า

และทีน่ งั่ ทัง้ หมดนัน้ นำมาจาก The Cottesloe Theatre โครงสร้างทัง้ หมดนัน้ ก็เป็นโครงเหล็กง่ายๆ ราคาไม่แพง ทีส่ ามารถถอดประกอบและนำไปใช้งานใหม่ได้ เช่นเดียว กับแผ่นไม้ทปี่ ดิ ผิวภายนอก สามารถรือ้ ถอนออกมา ใช้ได้ และเนือ่ งจากว่าอาคารนีไ้ ด้รบั ใบอนุญาตก่อสร้าง ในลักษณะอาคารชัว่ คราว จึงดูเหมือนว่าเราคงจะไม่ได้ เห็นมันอีกต่อไปหลังจากปี 2014 แม้แต่ตวั ของ Tompkins เองก็ยอมรับว่า The Shed นัน้ ไม่เหมาะทีจ่ ะตัง้ อยู่ ถาวรทีน่ ี่ ตัวอาคารก็บงั ทางเข้าหลักของ National Theatre อยูอ่ ย่างทีเ่ ป็นในปัจจุบนั ด้วยความยืดหยุน่ และไม่ถาวรของโครงการนัน้ ทำให้ดไี ซเนอร์เหมือนได้ ใบเบิกทางสำหรับการเล่นสนุกในการออกแบบ ซึง่ โครงการทีม่ โี ครงสร้างถาวรนัน้ จะให้ผลทีต่ า่ งออกไป อย่างไร ก็ตามคงจะดีถา้ มันจะถูกรือ้ ถอนแล้วนำไปสร้างใหม่ใน สถานทีอ่ นื่ เพือ่ ใช้เป็นโรงละครต่อไปอีก หลายปีทผี่ า่ นมาทีมสถาปนิกจาก Haworth Tompkins ได้ทำงานร่วมกับโรงละครแห่งชาติมาโดย ตลอด ซึง่ ตัว Tompkins เองก็รสู้ กึ ถึงความรับผิดชอบที่ เขาจะต้องพยายามรักษามรดกทางสถาปัตยกรรมของ อาคารโรงละครแห่งชาติ ซึง่ มีทงั้ คนรักและคนเกลียด แต่ Tompkins ให้ความสำคัญกับอาคารโรงละครทีเ่ ขาเอง คิดว่ามันเป็นงานระดับมาสเตอร์พซี ชิน้ หนึง่ เป็นอย่าง มาก ‘มันเป็นอาคารทีอ่ าจจะดูซบั ซ้อน แต่เราก็สนุกทีจ่ ะ ทำงานกับมัน สเปซของอาคารน่าสนใจและวิวทีม่ องจาก ภายนอกหรือมองจากภายในอาคารออกไปก็ดมี าก’ The Shed จึงไม่ได้เป็นเพียงส่วนหนึง่ ของแผน พัฒนาโรงละครแห่งชาติของลอนดอนเท่านัน้ แต่มนั เป็น เหมือนแขกรับเชิญทีท่ ำให้เราสนุกหรือรูส้ กึ สดชืน่ ในงาน ปาร์ตี้ และทำให้เราสนใจหยุดคิดพิจารณาอาคารเดิมทีอ่ ยู่ ตรงนัน้ ก่อนแล้ว ถึงแม้จะมีขนาดเล็ก งบประมาณจำกัด สีและฟอร์มของมันมีเสน่หด์ งึ ดูดให้เราสนใจ แต่กเ็ หมือน กับตัวโรงละครเดิมนัน่ แหละทีไ่ ม่ใช่วา่ ทุกคนจะพึงพอใจ หรือชอบมัน แต่ทกุ ครัง้ ทีเ่ รามองไปทีป่ ล่องสีแดงสด 4 มุม ของอาคารทีต่ ระหง่านขึน้ สูท่ อ้ งฟ้าของลอนดอน มันทำ ให้เรานึกถึงที่ Steve Tompkins บอกว่าแม้ The Shed จะเป็นโครงการเล็กๆ แต่ก็ ‘เล็กพริกขีห้ นู’ นะครับ

07

08



Pichet Klunchun

Performance

Bangkok

Contemporary dance choreographer Pichet Klunchun provides a social critique of Thai identity and culture through a synthesis of traditional dance and modern modes of interpretation in his recent show at 100 Tonson Gallery. Text Rapee Chaimanee Photos courtesy of Chathip Suwanthong

‘พระ’ ‘เซ็กซ์’ ‘เด็ก(จิน้ )’ ‘ยา’ อัลไลกันนักหนา เมืองไทย ปัญหาคาวโลกียท์ เี่ รารูๆ้ กันว่ามีอยูท่ วั่ ไป แล้ว ก็มขี า่ วให้เห็นเป็นทีฉ่ าวโฉ่เสมอๆ ไม่เว้นแม้แต่ชว่ ง กลางปี 56 นีท้ ี่ ‘สมีคำ’ ดังกระฉ่อนว่อนโลกกับภาพ ประกอบข่าวเป็นตัวสมีสวมแว่นดำกับพระลูกน้องนัง่ อยู่ ในเครือ่ งบินเจ็ทส่วนตัว ไม่รวู้ า่ ถ้าโยงไปจะพอเทียบกัน ได้ไหม แต่ภาพนีก้ ด็ นั ไปพ้องกับส่วนหนึง่ ของคลิป ประกอบการแสดงสดของ พิเชษฐ์ กลัน่ ชืน่ ทีเ่ ก็บตกเอา คลิปของกลุม่ สำนักสงฆ์จานบินชือ่ ดัง นำขบวนโดยท่าน ผูน้ ำสูงสุด อันเป็นทีเ่ คารพสักการะ สวมแว่นตาดำโก้เก๋ เพลย์ความบันเทิงบนเครือ่ งบินกับทริปการเยือนยุโรป เพือ่ ‘ผ่อนคลายจากภารกิจทางธรรมอันหนักหน่วงทีไ่ ด้ ปฏิบตั โิ ดยสำรวมมาทัง้ ปีแล้ว’ (ในคลิปท่านกล่าวไว้ ประมาณนัน้ ) ให้ได้มกี ารพักผ่อนกันบ้าง ภาพกลุม่ พระ หนุม่ น้อย-หนุม่ ใหญ่สรวลเสเฮฮา ตืน่ ตากับโลกกว้าง หัวเราะคิกคัก ครุคริ ไปกับฝรัง่ หัวทองข้างทาง ช่างน่าเอ็นดูเป็นทีส่ ดุ ผูท้ รี่ กั เคารพศรัทธาอาจเห็นว่าเป็น อิรยิ าบถอันผ่องใส แต่สำหรับผูช้ มทีไ่ ด้เข้าไปร่วมชม บอกตามตรงว่า ‘เซ็งเป็ด’ แม้บางมุกของท่านจะฮาดีแต่ ควรหรือไม่ยอ่ มรูแ้ ก่ใจ ส่วนฝรัง่ และผูช้ มต่างชาติกไ็ ด้แต่ มองกันงงๆ ขำๆ แถมบางคนยังถามว่านีเ่ ป็นพระของ ยูจริงๆ เหรอ? (55 ก็ใช่นะสิ เขิลจุงเบย)

01

01 ตุก๊ ตาไดโนเสาร์ทใี่ ช้ใน การแสดง 02 พิเชษฐ์​ กลัน่ ชืน่ ก่อนการ แสดง 03 พิเชษฐ์รา่ ยรำไปตาม จังหวะการร้องแหล่โดยพระ สมัยใหม่

02


03

การแสดงเดีย่ วโดย พิเชษฐ์ กลัน่ ชืน่ ในผลงานชือ่ ‘ปอกเปลือกวัฒนธรรม’ (Unwrapping Culture) ณ 100 ต้นสน แกลเลอรี่ ช่วงวันที่ 20 มิถนุ ายน-24 สิงหาคม ที่ ผ่านมา เป็นงานแสดงสดชิน้ ทีส่ องทีจ่ ดั ขึน้ ทีน่ ี่ หลังจาก ‘พระพิฆเนศเสียงา’ งานชิน้ แรกทีจ่ ดั ไปเมือ่ สองปีทแี่ ล้ว ซึง่ ตรงกับช่วงม็อบสีเสือ้ พอดี (มีนาคม-เมษายน 2553) โดยมิได้เตรียมการแต่แรก แต่กล็ งล็อกเพราะแม้จะไม่มี ใครย่างกรายออกจากบ้านมาดูงาน ศิลปินก็ตงั้ ปณิธาน อย่างเด็ดเดีย่ วว่า ถ้ามีคนมาชมแม้แค่คนเดียวเขาก็จะ เล่นแบบจัดเต็มไม่มกี กั๊ แต่ทสี่ ดุ แล้วคนก็มากันเต็มห้อง ซึง่ ก็ไม่ใช่ใคร พีน่ อ้ งเหลือง-แดงทีแ่ วะเข้ามา เป็นความ สำเร็จด้านผูช้ มทีล่ น้ หลาม ส่วนเนือ้ หาเสียดสีทแี่ สดงไว้ เป็นการสะท้อนภาพการบิดเบือนความจริงและหลงใน อำนาจของสังคมไทยซึง่ เขาบอกว่า คนไทยดูแล้วก็นา่ จะ เข้าใจกันได้ไม่ยากเพราะมันมาจากบริบทของเราเอง แต่ ในการแสดงนัน้ ก็ไม่ได้พดู ถึงฝ่ายใดแบบเฉพาะเจาะจง ฉะนัน้ คนดูกค็ งไม่รสู้ กึ ว่าไปกระทบอะไรใครสักเท่าไหร่ กลับมาทีง่ าน ‘ปอกเปลือกวัฒนธรรม’ ความตัง้ ใจ ตามสไตล์พเิ ชษฐ์ทอี่ ยากจะ ‘พูด’ อะไรทีม่ นั ย่ำแย่ใน สังคมด้วย ‘ท่าที’ ในแบบของเขา ห้องแสดงงานของ 100 ต้นสน มีกรอบสีเ่ หลีย่ มขนาดประมาณ 3x3 เมตร ล้อมพืน้ ทีว่ า่ งโดยมีพนื้ ทีด่ า้ นข้างทีม่ ขี า้ วของต่างๆ ก่อน จะเป็นทีน่ งั่ ผูช้ มทีล่ อ้ มเป็นรูปตัว L ก่อนการแสดง เราเห็นพิเชษฐ์เอาข้าวของไปวาง มุมนัน้ มุมนี้ จนเต็มพืน้ ที่ เหมือนเป็นงานอินสตอเลชัน่ อาร์ตทีม่ ขี องเด็กเล่น สายไฟ ชฎา ตะกร้า ข้าวของ จิปาถะ ของหน้าตาไทยๆ ทีว่ างอยูน่ นั้ พอเริม่ การแสดง ของทุกอย่างก็ถกู ยกเคลียร์ออกไปเรือ่ ยๆ ด้วยตัวของ เขาเอง พร้อมกับการฉายคลิปคณะสงฆ์ทวั ร์ ราวกับว่า เขามีเรือ่ งทีจ่ ะต้องทำและไม่มเี วลาสนใจเอาสาระอะไร กับคลิปทีฉ่ ายอยูเ่ บือ้ งหลังนัน้ แต่ในท่าทีเหมือนว่าจะ ไม่แยแสนัน้ เขาก็แสดงให้เราเห็นว่า เรือ่ งราวทีเ่ กิดขึน้ มันไม่สามารถหลุดไปจากการรับรูข้ องเขาได้ เขาถอดเสือ้ เพือ่ ให้ภาพจากโปรเจ็คเตอร์ทฉี่ ายบนกำแพงพาดอยู่ บนร่างกายของเขา การพยายามปัดป้อง ปัดทิง้ มันออกไป ไม่ได้ทำให้สงิ่ ทีเ่ กิดขึน้ หลุดออกไปจากร่างกายของเขาได้ เขาเอาเทปผ้ามาปิดปาก อดกลัน้ มันดูเหมือนการ พยายามไม่อยากจะพูดอะไรออกมา (ตามประสาคนไทย) แต่มองในอีกมุมหนึง่ ท้ายทีส่ ดุ แล้ว การแสดงชุดนีข้ อง เขาก็แฉทุกอย่างออกมาอย่างหมดเปลือก การได้แต่เก็บเงียบและไม่กล้าปริปากหรือท้าทาย ต่ออำนาจของขนบบางอย่างของคนไทยถูกเปิดไปสูอ่ กี ประเด็นทีเ่ รามักได้ยนิ และได้ชมจากการแสดงของเขา อยูเ่ สมอ เมือ่ คลิปถูกเปลีย่ นให้เป็นการแสดงโขนชุดใหญ่ ในตอน ‘นางเบญจกายแปลง’ ฉากท้องพระโรงฉายให้ เห็นทศกัณฐ์บนแท่น มีเศวตฉัตรซ้ายขวา แถวขุนทหาร อำมาตย์นงั่ ขนาบสองข้าง พิเชษฐ์กจ็ ดั แท่นให้รปู ปัน้ ยักษ์ (พบเห็นได้ทวั่ ไปตามร้านจำหน่ายศาลพระภูม)ิ พันผ้าสี มีไฟกระพริบ ฉัตรเล็กฉัตรน้อย พร้อมแถวของ เล่นไขลานรูปตัวไดโนเสาร์และควายทีถ่ กู ไขลานให้สง่ เสียงร้องระงมอยูแ่ ทบเท้า ด้านหลังของหุน่ ยักษ์มคี วาย ไขลานส่งเสียงร้องอยู่ มันช่างเป็นการเปรียบเปรยที่ รุนแรงและดุเดือดไม่นอ้ ย จนถึงฉากทีน่ างเบญจกายจะ แปลงกาย การร่ายรำอันอ้อนแอ้นอ่อนช้อยของสาวงาม ก็กลายเป็นฉากเรียกเสียงหัวเราะจากฝรัง่ และชาวไทย ทัง้ ห้อง เมือ่ พิเชษฐ์ (ทีย่ งั มีเทปผ้าปิดปากอยู)่ เอาชฎา มาสวม แล้วจับตุก๊ ตาคิตตีส้ ชี มพูตวั เล็กมานัง่ พลิกแขน (ตุก๊ ตา) ซ้าย-ขวา ไปตามท่ารำของนางเบญจกายได้ อย่างไม่ผดิ เพีย้ น น่ารักน่าเอ็นดูเป็นทีส่ ดุ แต่ในขณะ เดียวกันก็นา่ เศร้าเป็นทีส่ ดุ ทีต่ อ้ งได้เห็นเขาจับเอา วัฒนธรรมของชาติมาพลิกให้เราเห็นความคร่ำครึและ ไร้อนาคต ซึง่ การทำงานของพิเชษฐ์ทผี่ า่ นมา ทัง้ ด้าน การศึกษา การตีความ การทดลองต่างๆ ในการแสดง อันมีพนื้ ฐานมาจากนาฏศิลป์ไทย เราเห็นความพยายาม อย่างยิง่ ของเขา และการก้าวล้ำไปสูก่ ารแสดงทีม่ ชี วี ติ และวิถขี องมันเองมากขึน้ เรือ่ ยๆ แต่สงิ่ ทีเ่ ขาค้นคว้ามา ตลอดจนถึงทุกวันนี้ เราคงต้องรอดูตอ่ ไปว่าจุดไหนจะ เป็นจุดบาลานซ์ทคี่ วามคิดของเขาจะถูกนำมาแชร์ตอ่ ใน บ้านเราได้อย่างแท้จริง โดยไม่เกิดความขัดแย้งทีร่ นุ แรง ดังเช่นทีผ่ า่ นมา ซึง่ เราคงจะได้เห็นมุมใหม่ๆ ของนาฏ-


48

04-07 พิเชษฐ์และอุปกรณ์ ประกอบการแสดงต่างๆ

05


art4d August 2013

04

06

07


50 to understand. But the next clip Pichet puts in his special playlist is a bunch of ladies in seductive dresses dancing with their bodies and clothes all wet. It gets worse when the age of the ladies gradually dwindles down to young ladies, to girls and finally to little girls. The word child abuse pops in mind almost automatically. The sound of the clip becomes lower as Pichet enters bouncing back and forth with his hips moving sensually and provocatively. He’s making a clear and bold statement through his body movements and gestures, which screams out ‘sex’. Looking at the young girls in the clip, what we find most disturbing is the tremendous influence of media on us commoners. We as morally righteous people despise such action, as the issue becomes a widely discussed national discourse. But in the era where money can be used to ‘bribe’ and everyone is driven by ‘profitmaking’, these sensitive issues are being swept under the rug. In a blink of an eye, all there is left is a phrase ‘explicit content, viewing discretion is advised’ appearing on television screen or written on a label, and things are back to normal. We live in such a boring and disoriented society. The sound of traditional Thai music is played while Pichet uses a chalk to write something on the ground he stands on, before he hurriedly erase it with his feet. There’s a bit of chaotic moment going on as the show is coming to an end. Pichet is shaking senselessly as if the veins in his body are boiling. The windup buffalo and dinosaur dolls start screaming and moving around the area, as the sounds and the light of the toys amplify, transforming into a fun, cute, ugly and disgusting chaos. The red buffalo doll and the yellow bear point out their (toy) rifles and start shooting to different corners of the stage. Pichet is back wearing a hat, overly decorated with a big bunch of figurines depicting naked girls and dinosaurs. He moves around the big dinosaur that’s moving its wings and screaming out ‘gaz! gaz!’ endlessly. He sprinkles pieces of fluorescent plastic with naked dolls all over like a mad man. Sprinkle! Sprinkle! Sprinkle! He’s becoming weary and finally seems to use up his last bit of energy. The show ends. There you have it, ‘Unwrapping Culture’. Once again, Pichet Klunchun singlehandedly executes his social criticism session of 2013. (Pichet said that all the clips shown in this performance are available on youtube.)

08

100 Tonson Gallery 100tonsongallery.com

09

08-10 การแสดงในช่วงต่างๆ ของ ‘ปอกเปลือกวัฒนธรรม’

10




02

01 ผลงานทีจ่ ดั แสดงใน นิทรรศการวัฏจักรเมือง (Urban Motion) ซึง่ วิญช สร้างสรรค์ผา่ นรูปแบบสือ่ ผสมในปี พ.ศ. 2551 02 ผลงานส่วนหนึง่ ใน นิทรรศการวัตถุคอื ชีวติ (Artificial Being) ณ หอศิลป- เจ้าฟ้า ทีถ่ า่ ยทอดผ่านศิลปะ จัดวางเมือ่ สองปีกอ่ น 03-04 หนึง่ ในผลงานทีจ่ ดั แสดงในนิทรรศการวัตถุคอื ชีวติ (Art-ificial Being) ที่ ศิลปินได้แรงบันดาลใจจาก น้ำท่วม โดยบันทึกภาพตัวเอง พยายามนำถุงผ้าพลาสติก วางเรียงบนเรือกลางน้ำท่วม อย่างทุลกั ทุเล

03

04


54

Vichaya (Win) Mukdamanee winmukdamanee.carbonmade.com

ตลอดการเดินทางทีเ่ รียกกันว่า ‘ชีวติ ’ นัน้ เราได้ สะสมสิง่ ต่างๆ เรือ่ ยมา เนือ้ หาของสิง่ ทีเ่ ราสะสมมีมาก ขึน้ เรือ่ ยๆ แล้วก็มรี ปู แบบแตกต่างกันออกไป บางอย่าง ก็จบั ต้องได้ อย่างเช่น สิง่ ของ ของทีร่ ะลึก และโน้ตต่างๆ บางอย่างก็จบั ต้องไม่ได้ เช่น ความประทับใจและความคิด คอลเล็คชัน่ เหล่านีไ้ ม่มวี นั ทีจ่ ะครบสมบูรณ์ เช่นเดียวกับ กรอบอ้างอิงทีไ่ ม่มวี นั ยัง่ ยืนถาวรและแปรเปลีย่ นไป ตลอดเวลาเหมือนกัน ถ้าการเดินทางของเราเป็นเสมือน ภาพวาด มันก็เป็นภาพวาดทีส่ ไี ม่มวี นั แห้ง และถ้ามันเป็น เสมือนรูปปัน้ ก็คงเป็นรูปปัน้ ทีป่ นู ปลาสเตอร์ไม่มวี นั เซ็ตตัว ไม่วา่ เราจะกำหนดทิศทางทีแ่ น่วแน่แค่ไหน บ่อยครัง้ ทีก่ ระบวนการเพือ่ มุง่ ไปสูจ่ ดุ หมายนัน้ กลับเป็น การต่อยอดนิยามใหม่ๆ ของสิง่ สะสมของเรามากกว่า จุดหมายทีเ่ รามุง่ ไปเสียอีก ผลงานของ วิชญ มุกดามณี เป็นหลักฐานอ้างอิงของการเดินทางทีบ่ อกเล่าเรือ่ งราว ผ่านสิง่ ของและความประทับใจทีเ่ ขาได้สะสมไว้ เรือ่ งราว ได้เผยให้เห็นถึงความเชือ่ มโยงไปพร้อมๆ กันระหว่าง วัตถุสงิ่ ของในฐานะของรูปแบบและประสบการณ์ในฐานะ ของเนือ้ หา ตัง้ แต่อดีตจนถึงปัจจุบนั พลังของทัง้ สองสิง่ ดังกล่าวผลักและดึงซึง่ กันและกันราวกับลูกตุม้ ทีไ่ ม่ยอม หยุดนิง่ จากวัตถุสงิ่ ของต่างๆ ทีถ่ กู นำมาใช้ในงานศิลปะ ของวิชญ ทำให้เราได้เห็นถึงการเดินทาง การสำรวจ ทิศทางใหม่ๆ และเส้นทางต่างๆ ทีเ่ ขาได้ทอ่ งผ่านมา

โดยปกติแล้ว วิชญไม่ได้ใช้วตั ถุสงิ่ ของสร้างผลงาน ของเขา แต่จากการเริม่ ลงพืน้ ทีห่ าข้อมูล ทำให้เขาเกิด แรงบันดาลใจจากสภาพแวดล้อมรอบตัวต่างๆ ทีไ่ ด้พบ เจอ วิชญซึง่ เป็นศิลปินและเป็นอาจารย์คณะจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร บอกกับเราว่า “ในประเทศไทย ผูค้ นสนใจในการเชือ่ มโยง เนือ้ หาและองค์ประกอบของการเล่าเรือ่ งเข้าด้วยกัน หลังจากทีผ่ มสังเกตเมืองและพูดคุยกับผูค้ นแล้ว แนวความคิดทีแ่ ตกต่างกันเหล่านัน้ ก็ได้กลายมาเป็นแหล่ง ของแรงบันดาลใจซึง่ นำไปสูก่ ารสร้างสรรค์งานของผม” สิง่ แวดล้อมได้แปรเปลีย่ นมาเป็นเฉดสีตา่ งๆ บนจานสีที่ วิชญดึงมาใช้ผสมผสานและทดลองกับมัน นอกจากผูค้ น และสถานทีต่ า่ งๆ ทีศ่ ลิ ปินได้พบเจอแล้ว วิชญซึง่ เริม่ หันมาทำงานทางด้านจิตรกรรม ก็เริม่ ทีจ่ ะค้นพบว่าตัว เองเอนเอียงไปทางการผสมผสานทางวัตถุสงิ่ ของและ กลุม่ คนในฐานะของสือ่ กลางและข้อมูลทีไ่ ด้รวบรวม มาก่อนหน้านี้ “ผมเคยวาดภาพลงบนเมทัลชีทและใช้ กรดกัดเพือ่ สร้างให้เกิดรอยลวดลายขึน้ จินตนาการนีไ้ ด้ อ้างอิงมาจากคนชัน้ แรงงานทีท่ ำงานในอูเ่ ครือ่ งยนต์และ ในตลาด จากนัน้ ผมก็คอ่ ยๆ เริม่ ใส่วตั ถุลงไปในภาพวาด ต่างๆ มากขึน้ ตัดงานออกเป็นชิน้ ๆ และนำมันมารวมกัน ใหม่อกี ครัง้ ผมมาจากปทุมธานี ทีน่ นั่ เป็นย่านอุตสาหกรรมแบบสุดๆ ผมจึงคุน้ ชินกับภาพผูค้ นทีท่ ำงาน ตาม


art4d August 2013

05

06

โรงงานต่างๆ เป็นอย่างดี พอทำงานมาถึงจุดๆ หนึง่ ผมกลับเริม่ รูส้ กึ ว่าผมไม่ได้เชือ่ มโยงกับภาพนัน้ เป็น 05 ผลงานชือ่ Inspiration สำคัญ แต่เป็นวัตถุและวัสดุในภาพมากกว่า ทุกๆ ปี ผม from Three Closet No.1 ที่ ค่อยๆ ลดความเป็นงานจิตรกรรมในงานของผมลง เน้น ศิลปินแปรสภาพชัน้ ไม้อดั การใส่วตั ถุสงิ่ ของลงไปในตัวงานให้มากขึน้ ตอนทีผ่ มไป ตูพ้ ลาสติก และเตียงเหล็ก อยูท่ ี่ Vermont Studio Center เพือ่ ร่วม residency proออกมาเป็นผลงานศิลปะ gram ทีน่ นั่ ผมก็ทงิ้ เรือ่ งการใช้องค์ประกอบทีเ่ ป็นรูป06 ผลงานชือ่ Massive Flooding ทีศ่ ลิ ปินได้แรงธรรมในงานจิตรกรรมไปหมด ผมเริม่ สนใจเรือ่ งของ บันดาลใจมาจากเหตุการณ์ ทีว่ า่ ง การจัดวาง และการเล่นกับวัตถุนนั้ ๆ มากกว่า” น้ำท่วมครัง้ ใหญ่เมือ่ ปี พ.ศ. วิชญเล่าว่า เมือ่ มาถึงจุดนี้ เขาเริม่ ทีจ่ ะมองวัตถุ 2554 สิ ง ่ ของต่ างๆ อย่างพินจิ พิเคราะห์มากขึน้ โดยแม้ยงั คง 07 Object of Life No.1 เป็น เป็ น วั ส ดุ เ ดิมๆ ซึง่ มักเป็นวัตถุสงิ่ ของทีพ่ บเจอในชีวติ ผลงานทีใ่ ช้วสั ดุอย่างสีอะคริลคิ ประจำวั น ทัว่ ไปหรือวัสดุทางอุตสาหกรรมทีถ่ กู มองข้าม ไม้ถพู นื้ และแปรงขัดห้องน้ำ แต่ เ ขาได้ เ ริม่ พิจารณาเนือ้ หาของสิง่ ของเหล่านัน้ มากขึน้ มาสร้างสรรค์ลงบนแผ่นไม้ นอกเหนือไปจากรูปลักษณ์ของมัน หลักๆ แล้วการ อุปมาอุปไมยในงานของเขาอ้างอิงมาจากชีวติ ของชนชัน้ แรงงานและชีวติ ในโรงงาน โดยนำมาแสดงในรูปแบบ สามมิตทิ เี่ น้นแนวคิดมากกว่าภาพทีป่ รากฏโดยตรง อย่างไรก็ตามการเดินทางของศิลปินผูน้ กี้ ป็ ระกอบด้วย การออกเดินทางจริงๆ ด้วยเช่นกัน วิชญได้รบั ทุนฟุลไบรท์ ไปศึกษาต่อระดับปริญญาโททางด้านศิลปะที่ Pratt Institute ในนิวยอร์ก และก็เป็นช่วงทีเ่ ขาเรียนอยูท่ ี่ นิวยอร์กนีเ่ องทีศ่ ลิ ปินเล่าว่า เขาได้เริม่ ตระหนักถึงความ สนใจในการเชือ่ มโยงจุด a ไปยังจุด b “ผมเริม่ เห็นว่า กระบวนการในการทำงานมีความน่าสนใจกว่าเป้าหมาย สุดท้ายของงานนัน้ ๆ และเริม่ นำกระบวนการต่างๆ มา ใส่ในงานโดยตรง งานเหล่านีไ้ ม่มวี นั เป็นภาพทีเ่ สร็จ สมบูรณ์ แต่มนั เคลือ่ นทีต่ อ่ เนือ่ งไปเรือ่ ยๆ เหมือนภาพ เคลือ่ นไหวแบบ stop-motion ผมเริม่ ใช้สอื่ อ้างอิงต่างๆ เช่น วิดโี อและภาพถ่ายเพือ่ สำรวจการเคลือ่ นทีข่ องงาน ภาพถ่ายช่วยอธิบายถึงการพัฒนาทางแนวคิด จินตนาการ การตัดสินใจ และการแสดงออกทางอารมณ์ความ รูส้ กึ ไปทีละขัน้ ๆ วิชญสะสมวัตถุสงิ่ ของต่างๆ จากตาม ท้องถนนของนิวยอร์ก และนำมาใช้เป็นสือ่ กลางในการ ถ่ายทอดความคิดและเป็นอีกวิธหี นึง่ ในการสำรวจสภาพแวดล้อมรอบๆ ตัวเขา วัตถุสงิ่ ของล้วนประกอบด้วย เรือ่ งราวและประวัตศิ าสตร์ หากพิจารณาอย่างละเอียด แล้ว เราสามารถมองเห็นและแยกแยะสภาพแวดล้อม ของคนแต่ละคนได้ชดั เจนขึน้ จากวัตถุตา่ งๆ ภาพถ่าย และวิดโี อทีเ่ ป็นส่วนประกอบในงานของวิชญทำให้เรือ่ งราวดำเนินเป็นลำดับเส้นตรง เมือ่ วิชญกลับมากรุงเทพฯ เขาก็เริม่ นำวัสดุจาก ท้องถิน่ ในบริเวณนัน้ ซึง่ เป็นวัสดุราคาถูก ทำขึน้ ง่ายๆ จากวัสดุตน้ ทุนต่ำ มาใช้ในงานซึง่ ปฏิเสธไม่ได้วา่ วัสดุ เหล่านัน้ ก็ลว้ นเป็นตัวแทนหนึง่ ของวัฒนธรรมไทยสมัยใหม่ ทัง้ เฟอร์นเิ จอร์สำนักงาน ตูเ้ ก็บเอกสาร ชัน้ วาง หนังสือ โต๊ะ เก้าอี้ และกล่องเก็บของ กลายมาเป็นส่วน หนึง่ ของประติมากรรมของเขา วิชญอธิบายว่า สิง่ ของ เช่น ตู้ เตียง ชัน้ สีสนั สดใสทีท่ ำจากวัสดุราคาถูกเหล่านี้ เป็นสิง่ ทีพ่ บเห็นได้ทวั่ ไปในชีวติ ประจำวันและกลายเป็น วัตถุทอี่ า้ งอิงถึงชนชัน้ แรงงานในสังคม พร้อมกันนัน้ ยัง “สะท้อนความน่าเบือ่ และความทันสมัยทีไ่ ร้ชวี ติ ซึง่ ซ่อน อยูภ่ ายใต้ความศิวไิ ลซ์และความงามดาษๆ” ศิลปินยัง ได้เข้าไปสำรวจลักษณะการจัดวางองค์ประกอบร่วมกัน ของสิง่ ของ เช่นเดียวกับในวิดโี อทีส่ งิ่ ของต่างๆ ถูกจัดเรียง รือ้ ออก และนำมาจัดเรียงใหม่ให้อยูใ่ นรูปแบบที่ น่าสนใจ วิชญมองว่า “สิง่ ของเหล่านีเ้ ป็นส่วนหนึง่ ของ วัฒนธรรมป็อปทีส่ มั ผัสได้จริง ซึง่ ถือเป็นสัญลักษณ์ ของรูปแบบชีวติ ร่วมสมัย” ในระหว่างทีพ่ ดู ถึงเรือ่ งแรงบันดาลใจ และสิง่ แวดล้อมของศิลปินนัน้ วิชญได้อธิบาย ว่าเขาไม่ได้รสู้ กึ หลงใหลได้ปลืม้ หรืออยากหวนกลับไปสู่ อะไรทีด่ ทู อ้ งถิน่ ดัง้ เดิม หรือดูไทยไปมากกว่านี้ ศิลปิน หลายๆ คนเน้นไปทีส่ งั คมไทยและลักษณะแบบไทยๆ ซึง่ พวกเขามองว่าโดดเด่น เช่น ลายไทยหรือการประดับ ตกแต่งด้วยลวดลายวิจติ รแบบไทย ในสายตาของวิชญ เราทัง้ หมดต่างก็รวู้ า่ สิง่ เหล่านีค้ อื ความเป็นไทย แต่ “สิง่ ทีผ่ มอยากจะถามก็คอื มีสงิ่ อืน่ ทีแ่ สดงความเป็นไทย ได้อกี หรือไม่ รวมไปถึงสิง่ ทีแ่ สดงความเป็นไทยได้ดี กว่านีอ้ กี ไหม?” คำถามดังกล่าวนำวิชญไปสูก่ ารสร้างสรรค์งานด้วย 07


56

08

09

การลงลึกถึงประเภทของสิง่ ของทีม่ คี วามเฉพาะมากๆ เช่น สิง่ ทีโ่ ดยตัวมันเองแล้วไม่ได้มคี ณุ ค่าทางราคาหรือ ดำเนินตามครรลองของวัสดุ แต่มคี ณุ ค่าในแง่ของจิตวิญญาณ สิง่ ของดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงเนือ้ หาทีซ่ มึ ซาบ ความเชือ่ เข้าไปเหนือรูปแบบและคุณค่า วัตถุทางจิตวิญญาณทีล่ กั ษณะของวัสดุ เช่น สี ความทนทาน และ ความคุน้ เคยถูกควบคุมด้วยชุดคุณค่าทีต่ า่ งออกไปโดย สิน้ เชิงซึง่ เชือ่ มโยงกับวัฒนธรรมไทยอย่างแยกไม่ออก และจิตวิญญาณนีเ่ องเป็นสิง่ ทีศ่ ลิ ปินเลือกหยิบมาใช้เป็น สือ่ กลาง วิชญอธิบายว่า “เราชีว้ ดั วัตถุสงิ่ ของด้วยคุณค่า แต่วตั ถุเหล่านีม้ คี ณุ ค่าและความน่าสนใจทีแ่ ตกต่างออกไป ผมต้องการหาอะไรบางอย่างทีจ่ ะสามารถแสดงให้เห็น ทัง้ วัฒนธรรมไทยและจิตวิญญาณของคนไทย ชีวติ ประจำวันของเราไม่เพียงแต่จะสะท้อนอิทธิพลของ ตะวันตกหรืออิทธิพลของความเป็นสมัยใหม่เท่านัน้ แต่ ยังสะท้อนถึงสิง่ ทีเ่ ป็นตัวตนของเรา ลึกๆ พวกเราเชือ่ เรือ่ งผี เชือ่ เรือ่ งวิญญาณ ซึง่ เป็นแบบเฉพาะของเราเอง ผมคิดว่าผีของไทยเราต่างจากผีของอเมริกาแบบสุดๆ เราเชือ่ ในบางอย่างทีไ่ ม่เหมือนคนอืน่ สิง่ ทีช่ าติอนื่ ไม่มี หรือไม่อาจมีได้” วิชญอธิบายว่า เมือ่ มองลึกลงไปแล้ว ความแตกต่าง ของวัตถุสงิ่ ของเหล่านีก้ ค็ อื เรือ่ งของความหมายและ เนือ้ หา ซึง่ ระดับความเอาใจใส่และฝีมอื ความชำนาญที่ แตกต่างกันไปในการผลิตก็สะท้อนเนือ้ หาของสิง่ นัน้ ๆ ด้วย และเมือ่ เริม่ มีระบบการผลิตจำนวนมากแบบ อุตสาหกรรม คุณค่าในการสร้างชิน้ งานก็ลดน้อยลง เช่น สมัยก่อนขันหรือถ้วยทีใ่ ช้สำหรับใส่ของถวายพระจะทำ

ขึน้ จากไม้ดว้ ยมือและทำด้วยความประณีตเพือ่ คงความ ศักดิส์ ทิ ธิท์ างศาสนาและแสดงถึงความเคารพ ในขณะที่ ปัจจุบนั ของพวกนีถ้ กู ผลิตขึน้ อย่างเร็วๆ จากโรงงาน ด้วยวัสดุอย่างพลาสติกหรือเรซิน่ หากเรามองทีต่ วั วัตถุ โดยทีไ่ ม่คดิ ถึงเนือ้ หาของมัน มันก็คงเป็นแค่ภาชนะ บรรจุอะไรสักอย่างทีด่ ธู รรมดา และถูกทำขึน้ อย่างลวกๆ แต่สำหรับคนไทยแล้ว สิง่ นีป้ ระกอบด้วยคุณค่ามากมาย กว่าทีต่ าเห็น เนือ่ งจากความหมายทีพ่ วกเรายึดโยงและ วิธกี ารทีเ่ ราตีความ วิชญยังคงทำงานตามความตัง้ ใจและไม่เคยละทิง้ คอลเล็คชัน่ ทีเ่ ขาสะสมในการเดินทางปัจจุบนั ของเขา แม้แต่นอ้ ย ในทางกลับกัน เขาก็ประสบความสำเร็จใน การต่อยอดนิยามใหม่ๆ ในสิง่ ทีเ่ ขาสนใจ โดยให้ความ สำคัญไปทีว่ ตั ถุสงิ่ ของทีม่ เี นือ้ หาซึง่ บันทึกมุมมองที่ เปลีย่ นแปลงไปเรือ่ ยๆ ของเขา ทัศนคติและมุมมองของ เขาอาจแปรเปลีย่ นไปตามประสบการณ์ สถานที่ และ สิง่ แวดล้อม แต่แก่นแท้ของสิง่ ทีเ่ ขาตามหายังคงดำรง อยู่ “ศิลปะของผมคือการสร้างสรรค์และพัฒนาต่อยอด ไปพร้อมๆ กับการเรียนรูจ้ ากประสบการณ์ของตัวเอง แนวคิดและเทคนิคล้วนพัฒนามาจากผลงานก่อนหน้านี้ เป้าหมายทีส่ ำคัญทีส่ ดุ คือการได้ทดลอง” จากวัตถุสงิ่ ของ ทีเ่ ชือ่ มโยงกับชุมชนทีเ่ ขาอยู่ ไปจนถึงการอ้างอิงถึง สังคมไทยและสังคมบริโภคนิยม ตลอดจนผลงานล่าสุด ทีม่ งุ่ ความสนใจไปทีว่ ตั ถุทเี่ ปีย่ มด้วยคุณค่าแต่เป็นคุณค่า ทีเ่ ราไม่เห็นนอกจากจะรูส้ กึ ได้เท่านัน้ วิชญยังคงออก เดินทางต่อไปพร้อมกับวิถที างศิลปะทีจ่ ะติดตามและ นำทางให้แก่เขา

10

08-09 บรรยากาศภายใน นิทรรศการวัตถุคอื ชีวติ (Art-ificial Being) ทีม่ ที งั้ ผลงานจิตรกรรมสือ่ ผสมและ งานวิดโี ออาร์ต 10-11 ผลงานส่วนหนึง่ ใน นิทรรศการศิลปกรรม คืนกลับ-ผันเปลีย่ น (ReAppearing) ทีเ่ ป็นการรวบรวมผลงานศิลปะร่วมสมัย ซึง่ ผ่านการพัฒนาและสร้างสรรค์ระหว่างปี พ.ศ. 25522553 จัดแสดงในหอศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ

11



Nader Tehrani

Interview

Bangkok

Intellectual Nader Tehrani discusses the role of the architect in this ever-changing world. Interview Natre Wannathepsakul Portrait Rapee Chaimanee Photos various as noted

art4d: You teach as well, was that something that you did since the beginning after you graduated? Nader Tehrani: Yes I graduated from RISD [Rhode Island School of Design] in 1986, and I started teaching at the Boston Architectural Center immediately. Then I went to graduate school from 1989 to 91, then in ’92 I started teaching at Northeastern and after that Rhode Island School of Design for about five years, and then at Harvard for 10 years. Now I’ve been at MIT for five years. art4d: How do you think this is integral to the way you practice? Does the one influence the other? NT: Well, of the ones that have been, and are in the teaching sphere in the US, I’m probably one of those who have tried to merge research and practice and school the most. All of the work that we did on materiality, on the means and methods of construction, on aggregation problems, on digital fabrications, all of these are not squarely rooted in one world or the other, you’re doing experiments in school and trying to change practice out in the world. You’re trying to research a practice out in the world, and bringing them back to school to see how they can be rethought. I’ve never written anything in theory that is not rooted in practice or in some construction industry problem. So that’s where our focus has been. art4d: You also studied History & Theory at the Architectural Association? NT: Yes I did, I studied there in 1986-87 under Micha Bandini and Roy Landau, a very important year.

art4d: คุณสอนหนังสือดวย คุณเริม� สอนตัง้ แตเรียนจบ เลยรึเปลา? Nader Tehrani: ใช ในป 1986 ผมเรียนจบจาก RISD (Rhode Island School of Design) และผมไดเริม� งาน สอนทันทีท่ี Boston Architectural Center จากนัน้ ใน ระหวางป 1989-1991 ผมเรียนตอปริญญาโท และอีก 1 ปตอ มาผมก็เริม� สอนทีม่ หาวิทยาลัย Northeastern จากนัน้ ก็ยา ยไปสอนที่ Rhode Island School of Design อีก 5 ป และที่ Harvard อีก 10 ป ตอนน�ผ้ มอยูท ่ี MIT มาได 5 ปแลว art4d: คุณคิดวางานสอนผนวกเขาเปนสวนหนึง� ของงาน วิชาชีพทีค่ ณุ ทําอยูอ ยางไร ตางฝายตางสงผลตอกันและ กันหรือไม? การสอนในอเมริกา ผมนาจะเปนคนหนึง� ในกลุม คนที่ พยายามจะผนวกเอางานวิจยั การทํางานวิชาชีพ และ โรงเรียนเขาดวยกัน งานทัง้ หมดทีเ่ ราทําเกีย่ วกับเรือ่ ง สภาวะของวัสดุ เรือ่ งกระบวนการ และวิธกี ารในการ กอสราง เรือ่ งการผนวกรวมปญหาเขาดวยกัน เรือ่ ง ระบบการกอสรางแบบดิจติ อล ทัง้ หมดน�ไ้ มไดอยูบ น พืน้ ฐานของประเด็นใดประเด็นหนึง� โดยเฉพาะ คุณกําลัง ทําการทดลองในโรงเรียน และพยายามเปลีย่ นแนวทาง การทํางานโนโลกขางนอก คุณจึงพยายามคนหา แนวทางทํางานในโลกขางนอก และเอามันกลับเขามา ในโรงเรียนเพือ่ ทีจ่ ะดูวา เราสามารถทําอยางไรไดบา งกับ สิง� เหลาน�้ ผมไมเคยเขียนงานเชิงทฤษฎีทไ่ี มไดองิ กับ พืน้ ฐานของการปฏิบตั จิ ริง หรืออิงกับบางประเด็นปญหา ในอุตสาหกรรมการกอสราง น�แ� หละคือเปาหมายของเรา

art4d: A lot of your work is rooted in critical thinking about architecture, and engagement with contemporary and historical questions... NT: That’s true, I would say that Micha Bandini had a problem with architects trying to project theory onto their own works. She was a pretty rigorous historian, looking at cultural questions and trying to mine out of pieces of architecture, their economic, social and political circumstances under which they emerged. So I think in the context of the AA, as I look at the design work that I’m doing, it was unrelated to what was happening at AA as designers, but also not fitting squarely into the History & Theory program, it’s a parallel track, but obviously I’m very much interested in historical problems and theoretical problems and how they impact the development of architecture, its morphology, its development and so forth. But sometimes it’s not in a one-to-one correspondent, they slide into each other, they’re not always directly consequential.

art4d: คุณเรียนทางดานทฤษฎีและประวัตศิ าสตรท่ี Architectural Association ใชดว ยใชไหม? NT: ใช ผมเรียนดานนัน้ ผมเรียนทีน่ น�ั ในป 1986-1987 กับ Micha Bandini และ Roy Landau มันเปนปท่ี สําคัญมาก


art4d: งานสวนใหญของคุณมีทม่ี าจากการคิดเชิง วิพากษวจิ ารณเกีย่ วกับสถาปตยกรรมทัง้ ปญหารวมสมัย และปมประวัตศิ าสตร? NT: ใชครับ Micha Bandini มีปญ หากับเหลาสถาปนิก ทีพ่ ยายามเอาทฤษฎีเขาไปจับกับงานของพวกเขา เธอ เปนนักประวัตศิ าสตรทค่ี อ นขางเขมงวด เธอมองประเด็น เชิงวัฒนธรรมและพยายามทีจ่ ะขุดเอาเศษเสีย้ วของ สถาปตยกรรม สภาพแวดลอมในเชิงเศรษฐกิจ สังคม ขณะทีผ่ มมองงานออกแบบทีผ่ มกําลังทําจากมุมมอง ของนักออกแบบ งานของผมไมเกีย่ วของกับสิง� ทีก่ าํ ลัง เกิดขึน้ ที่ AA และมันก็ไมไดเกีย่ วของโดยตรงเสียทีเดียว กับการเรียนประวัตศิ าสตรและทฤษฎี มันเปนเสนทาง คูข นาน แตสง�ิ ทีช่ ดั เจนก็คอื ผมสนใจในปญหาทาง ประวัตศิ าสตรและทฤษฎีเปนอยางมาก รวมถึงประเด็น ทีว่ า 2 ประเด็นน�ส้ ง ผลกับพัฒนาการทางสถาปตยกรรม รูปรางสัณฐาน และเรือ่ งอืน่ ๆ อยางไร ซึง� บางที ทฤษฎี กับการปฏิบตั จิ ริงก็ไมไดใหคาํ ตอบกันแบบตรงๆ ได ซะทุกครัง้ art4d: เรามีความรูส กึ วา คุณมีความสนใจเปนอยางมาก ในเรือ่ งโครงสราง และเน�อ� งจากวาคุณกําลังทําหลาย โครงการทัว� โลก คุณจัดการอยางไรกับความแตกตาง ทางวัฒนธรรม มันเขามามีสว นไดอยางไร? เพราะวา โครงสรางเปนภาษาทีเ่ กือบจะเปนสากล NT: กอนอืน่ เลย เรือ่ งทีผ่ มสนใจโครงสราง อันน�จ้ ริง แต ผมสนใจความสัมพันธทต่ี วั โครงสรางทีม่ ตี อ สิง� ประดับประดา และผลจากการคิดแบบน�้ ผมจึงสนใจในแพ็คเกจ รวมของสถาปตยกรรม คือทุกอยางรวมอยูด ว ยกัน

เปนการมองวาประเภทอาคาร ระบบการจัดวางผัง เสนทางเชือ่ มโยงภายในอาคาร ความแตกตางเชิงวัฒนธรรม และความแตกตางจากบริบทหนึง� ไปสูบ ริบทหนึง� มีผล ตอวาทกรรมเกีย่ วกับสถาปตยกรรมอยางไร ผมพอจะ

แตมนั ก็ยงั มีบางสิง� เชน ปรากฏการณทป่ี ก หลักและ หยัง� รากในสถานทีห่ นึง� ในแงทพ่ี ดู ไป Office Park ใน เมืองออรโดส (มองโกเลียตอนในประเทศจีน) และบาน ในฝรัง� เศส เปนผลโดยตรงของการสรางงานขึน้ มาจาก เงือ่ นไขทางวัฒนธรรม หมายถึงเงือ่ นไขตางๆ ทาง วัฒนธรรมทีม่ นั อยู แนนอนวาบานยอมแตกตางจาก อาคารสํานักงาน แตแรงผลักดันโดยเฉพาะทางเศรษฐกิจ ในเมืองออรโดสมีลกั ษณะเฉพาะมาก มันทําใหเกิดความ เปนไปไดตา งๆ ในระดับหนึง� และเราก็ทาํ งานในเชิงรุก มาก โดยใชเกณฑตา งๆ ในการพัฒนาสิง� ทีเ่ ราทํา และมัน นําเสนอภาพของจีน มันทําใหเงือ่ นไขเหลานัน้ เปนจริง ผานรูปทรงของมันเอง มันยากทีจ่ ะพูดในเรือ่ งน�้ แตผม คาดวาเน�อ� งจากเลคเชอรเปนเรือ่ งทีเ่ กีย่ วของเปนอยาง มากกับภาพตัวแทนและปญหาของสภาวะความเปน จริง งานของเราจึงเปนการตอรองระหวางสัญญาณของ ปรากฏการณบางอยางในปจจุบนั โดยปราศจากการ นําเสนอภาพตัวแทนของมัน และลักษณะทีแ่ สดงภาพ ตัวแทนเหลานัน้ ก็รกั ษาลักษณะเฉพาะของขอเท็จจริง นัน้ ๆ ซึง� น�เ� ปนเหตุผลวาทําไมผมถึงเริม� จากวิหารกรีก

art4d: I get the impression that you’re very much interested in the structure, and because you’re doing projects all over the world, how do you navigate the cultural differences, where does that come in? Structure seems to be an almost international language. NT: First of all I’m interested in structure, that’s true, but I’m interested in the relationship that structure has with ornament, and as an offshoot of that, I’m interested in the integrated package that is architecture. It’s the whole thing, it’s the way in which typology, building organization, circulation, the discreet cultural biases and differences of one context to another, begin to impact this discourse. I would say you’re right that there is a language of architecture that is operating at a kind of meta-discursive, that it can translate from one culture to another, but there are also certain things: phenomena, that are deep-seated, and rooted in a certain place. In that sense, the office park in Ordos [Inner Mongolia, China] and the house in France are very much the results of the conditions, the cultural conditions out of which they’re born. Obviously a villa is always different than an office building, but the particular economic forces at work in Ordos are so specific, it only produces certain possibilities, and we work very aggressively with those parameters to develop what we did and it doesn’t represent China, it materializes those conditions in its form. It’s hard to say that, but I guess because the lecture was so much about problems of representation and problems of actuality, I would say that our work is always negotiating between the actual manifestations of a certain phenomenon, without representing it. And those representational aspects that bear the signature of that fact, which is why I started with the Greek temple.


60 art4d: Could you expand on your notion of typology. If you look at say, [Aldo] Rossi, it’s a kind of language that gives coherence to the city, whereas how you look at typology is as if to see how you could transform them. NT: I think for Rossi, the type had a more ontological status. It had an authority that had the ability to perpetuate itself over history, be appropriated and transformed over time. We’re probably a little more... dirty in our reading of typology. We deal with contemporary types, and types that are not always only emergent out of spatial problems, sometimes they’re out of a construction problem. Like a warehouse is just a dumb big box, and empty, but it’s defined more by its material condition and technology than its spatial subdivision. So, I think I use typology in a slightly more strategic and opportunistic way. But typology also, for me, deals with those aspects of building conditions that you could call indispensable or irreducible. And by that I mean not to essentialize the necessary, but to understand those irreducible aspects of a program or a formal organization without which a process cannot be propelled. And it’s the given, it’s like a convention. Typology for me doesn’t have authority, but simultaneously it has a presence in contemporary realism as well as a kind of deep-seated positioning within the historical trajectory, which is why, for instance, when I presented the France house as a courtyard project, it’s clearly not an internalized court project, and it’s clearly not a spiral project, but it has a relationship with both. So going back to your question, you spoke about the type’s ability to be malleable, transformable, to be hybridized – yes, we’re looking at type as a stable foundation from which significant transformation can occur.

art4d: แลวประสบการณในทีว่ า งเปนอยางไร ถาคุณมองไปที่ สิง� ที่ Alain de Botton กําลังทํากับ Living Architecture ใน ประเด็นทีว่ า สถาปตยกรรมสามารถทําใหคณุ มีความสุข ไดอยางไร เราอยากรูว า คุณคิดอยางไรกับแนวคิดเรือ่ ง ‘สถาปตยกรรมแหงความสุข’? NT: ใครพูดเรือ่ งน�ไ้ วนะครับ

art4d: คุณพอจะขยายความในสวนของความเขาใจของ คุณในเรือ่ ง typology หรือรูปแบบทางสถาปตยกรรมได ไหม คือถาคุณมองไปทีง่ านของ Rossi มันเปนภาษารูปแบบ หนึง� ซึง� สรางใหเกิดการเชือ่ มตอกับเมือง ในขณะทีเ่ มือ่ คุณ มองไปที่ typology เหมือนกับคุณพยายามจะมองวาคุณจะ เปลีย่ นแปลงมันไดอยางไร NT: ผมคิดวาสําหรับ Rossi ประเภท (อาคาร) นัน้ เกีย่ วของ กับการคนหาธรรมชาติของสรรพสิง� มันมีอาํ นาจ ซึง� เปน ศักยภาพทีเ่ อือ้ ใหตวั มันเองดํารงอยูใ นประวัตศิ าสตร ในขณะ เดียวกันก็มกี ารปรับตัวและเปลีย่ นแปลงไปตามเวลา พวก เรานาจะเปนกลุม ทีป่ ลอยใหการอาน typology มันเปรอะ เปอ นไปบาง เราทํางานประเภททีม่ ลี กั ษณะรวมสมัย และ ประเภททีไ่ มไดเกิดขึน้ มาจากแคจากปญหาทีว่ า ง บางทีมนั ก็เกิดขึน้ มาจากปญหาการกอสราง อยางกรณ�ของโกดังเก็บ สินคา มันก็เปนแคกลองเปลาขนาดใหญหนาตาทือ่ ๆ แต มันก็ถกู ใหความหมายไดมากขึน้ ถาเรามองไปทีเ่ รือ่ งของ วัสดุและเทคโนโลยี แทนทีจ่ ะเปนเรือ่ งการแบงทีว่ า ง ฉะนัน้ ผมคิดวา ผมใช typology ในแนวทางทีอ่ าศัยชัน้ เชิงและใช โอกาสใหเปนประโยชน นอกจากน�้ สําหรับผมแลว typology ยังเกีย่ วของกับลักษณะบางประการของเงือ่ นไขอาคาร ซึง� เราอาจจะเรียกวาเปนสิง� สําคัญและลดทอนไมได ทัง้ น�ท้ ง้ั นัน้ ผมก็ไมไดตง้ั ใจวาจะกลัน� สิง� ทีเ่ ปนความจําเปน แตมนั เปน เรือ่ งของความเขาใจในลักษณะทีล่ ดทอนไมไดดงั กลาวของ โปรแกรม หรือของการจัดการรูปทรง ถาปราศจากสิง� เหลาน�้ แลวกระบวนการมันก็ผลักดันตอไปไมได มันเปนสิง� ทีถ่ กู กําหนดมา หรือเปนสิง� ทีค่ นสวนใหญปฏิบตั กิ นั สําหรับผม แลว typology ไมมอี าํ นาจ แตในเวลาเดียวกัน มันมีตวั ตน อยูใ นแนวคิดทีย่ ดึ โยงกับความเปนจริงรวมสมัย พอๆ กับที่ มันเปนการหาตําแหนงทีท่ างในการปกหลักตัวเองภายใน กระแสธารประวัตศิ าสตร ยกตัวอยางเชน ทําไมเมือ่ ตอนผม นําเสนอบานทีฝ่ รัง� เศสในฐานะโครงการทีม่ คี อรตกลาง เห็น ไดชดั วาโครงการไมไดเลนกับแนวคิดในการดึงคอรตเขาไปสู ที่วางภายใน และไมไดเลนกับรูปทรงเกลียว แตแนวคิดใน บานหลังน�ม้ คี วามสัมพันธกบั ทัง้ 2 แนวคิดทีพ่ ดู ไป ดังนัน้ กลับมาทีค่ าํ ถามของคุณ คุณพูดเกีย่ วกับความสามารถของ ประเภทอาคารแบบหนึง� ทีม่ ลี กั ษณะดัดแปลงรูปรางได เปลีย่ นแปลงรูปทรงได และมีลกั ษณะลูกผสม ใช เรากําลัง มองไปทีป่ ระเภทอาคารในฐานะทีม่ นั เปนรากฐานทีม่ คี วาม สมดุลเพือ่ เปนพืน้ ทีท่ เ่ี ปดใหกระบวนการเปลีย่ นแปลงทีม่ ี นัยสําคัญเกิดขึน้ มาได

art4d: What about the experience of space? If you look at what Alain de Botton is doing with Living Architecture, with how architecture can make you happy. I was wondering what’s your take on this ‘architecture of happiness’? NT: Who said this? art4d: Alain de Botton. He has this project called Living Architecture, he’s doing a series of holiday houses in the UK and you can go and spend the weekend there and feel this modern architecture, which is supposed to make your life better. Or about the idea that architecture has this power over people, I feel that in your work, you don’t talk about that at all, and I was wondering about your perspective on this. NT: Well, I don’t talk about experience specifically. I don’t talk about happiness specifically, or pleasure specifically. But I have a deep-seated notion that all architects, from the most socially active to the most formalist, have a kind of Hippocratic oath to the well-being of society. How they practice that Hippocratic oath is very different obviously, some of them do it through form, some of them do it through a kind of social activism that puts them on a moral higher ground, but I think that I deal with the question of production and reception in three different ways. The first, like any conventional architect, is to provide good service. In other words, to provide good service, you actually need to listen to the client group, you have to understand them, you have to interpret them, but also you have to recognize that they have desires for which they are no forms and you are responsible for imagining those forms and projecting for them. You are doing something that they cannot do. That’s one. The second, as an offshoot of that, is that because of the way architecture as a discipline operates, it has many devices and tropes that produce experiential conditions. So for instance, if you talk about space, and the exhilaration of space, you can’t step outside of a certain history that produces a forced perspective, like in Teatro Olimpico, and connect that to the kind of phenomena that James Turrell does today in the flattening of perspective, these are linked to each other even though they don’t look alike. These manipulate your audience and induce them into certain readings between the real and the imaginary, which are very experiential. The knowledge of, the advancement of, and the manipulation of these conventions are very much part of our baggage and our agency; to understand our agency, it is very important to know what we can be responsible for. And then finally, it’s the recognition that as citizens, we have a great responsibility for taking on positions, they’re those people on the right wing, the left wing, the centrists, they’re people for the civil rights, for gay rights, for women’s rights, and a range of other political denominations. But none of these translate automatically into space, nor form, nor structure. To recognize the semi-autonomy of architecture is to recognize that A – it operates on its own terms, but B – to recognize which of those terms impact directly those social motivations that you may have. So there’s not a one-to-one correspondence between human sentiment, human reception, and the forms that are given to us. This places the discussion about theories of production and theories of reception in a more unstable and tense term.

art4d: Alain de Botton เขามีโปรเจ็คตทเ่ี รียกวา Living Architecture เขากําลังทําบานพักตากอากาศในอังกฤษ ขึน้ มาชุดหนึง� และคุณสามารถไปใชเวลาวันหยุดสุดสัปดาหไดทน่ี น�ั และสัมผัสกับสถาปตยกรรมสมัยใหม เหลาน�้ ซึง� มันถูกตัง้ สมมติฐานไววา มันจะทําใหชวี ติ ดีขน้ึ หรือคุณคิดเห็นอยางไรถึงแนวคิดสถาปตยกรรมทีม่ ี อํานาจเหน�อผูค นแบบน�้ เรารูส กึ ถึงสิง� น�ใ้ นงานของคุณ คุณไมไดพดู เรือ่ งน�เ้ ลย และเราก็อยากรูว า คุณคิดอยางไร เกีย่ วกับเรือ่ งน�?้ NT: ผมไมพดู เฉพาะเจาะจงลงไปในเรือ่ งประสบการณ ผมไมพดู เรือ่ งความสุขหรือความเพลิดเพลินใจใดๆ แต ผมมีความรูเ ชิงลึกทีส่ ถาปนิกทุกคน นับแตฟากกลุม ที่ สนใจประเด็นเชิงสังคมไปจนถึงอีกฟากฝง ทีส่ นใจเรือ่ ง รูปทรง ทุกคนตางก็มอี ะไรบางอยางทีเ่ ปนเหมือนพันธะสัญญาหรือจรรยาบรรณทีต่ อ งทําเพือ่ ความเปนสุขของ สังคม แนนอนวาแตละคนก็มวี ถิ ใี นการปฏิบตั ติ ามจรรยาบรรณแตกตางกันไป บางคนก็ทาํ มันออกมาในลักษณะ ของรูปทรง บางคนก็ทาํ มันออกมาผานกระบวนการ สังคม ซึง� ดันใหพวกเขาขึน้ ไปอยูบ นฐานจริยธรรมทีส่ งู ขึน้ แตผมคิดวาผมทํางานกับประเด็นเรือ่ งกระบวนการ ผลิตและการตอบสนองใน 3 แนวทางดวยกัน หนึง� เปนแนวทางทีเ่ หมือนกับสถาปนิกสวนใหญ ทัว� ไปคือการใหการบริการทีด่ ี หรือพูดอีกอยางหนึง� ก็คอื การจะใหบริการทีด่ ไี ด คุณเองก็ตอ งรับฟงกลุม ลูกคา ทัง้ ยังทําความเขาใจพวกเขาและตีความมันออก มา นอกจากน�ค้ ณุ ยังตองตระหนักวาพวกเขาก็มคี วาม ปรารถนาถึงสิง� ทีไ่ มมรี ปู ทรง และคุณเองก็ตอ งรับผิดชอบ ในการจินตนาการถึงรูปทรงเหลานัน้ และออกแบบมัน ออกมา คุณกําลังทําในบางสิง� บางอยางทีพ่ วกเขาทํา ไมไดนค� อื ขอแรก ขอสองซึง� เปนผลมาจากขอแรกก็คอื เน�อ� งจากวา สถาปตยกรรมในฐานะทีเ่ ปนศาสตรเชิงปฏิบตั กิ าร มันจึง มีเครือ่ งมือและองคประกอบทีก่ อ ใหเกิดเงือ่ นไขในการ ทําทดลอง ยกตัวอยางเชน ถาคุณพูดเกีย่ วกับทีว่ า งและ ความตืน่ เตนและความสุขของทีว่ า ง คุณจะไมสามารถ กาวออกมาจากประวัตศิ าสตรชดุ หนึง� ซึง� ผลิตมุมมองที่ ถูกตีกรอบไว อยางเชนใน Teatro Olimpico และเชือ่ มโยงสิง� นัน้ เขากับปรากฏการณหนึง� ซึง� อยาง James Turrell เองก็ทาํ งานในประเด็นเรือ่ งการทําทัศน�ยภาพ ใหแบนลงอยูใ นตอนน�้ ทัง้ หมดน�ถ้ กู เชือ่ มเขาหากัน ถึง แมวา มันจะไมไดมคี วามคลายคลึงใดๆ ตอกัน ปจจัย เหลาน�ท้ าํ หนาทีช่ น้ี าํ ผูฟ ง และโนมนาวพวกเขาเขาไปใน การอานแบบหนึง� ทีอ่ ยูร ะหวางความเปนจริงและจินตภาพ ซึง� เปนแนวทางทดลองอยางมาก ความรู ความกาวหนา การครอบงําและชีน้ าํ ของสิง� ทีค่ นนิยมปฏิบตั ติ ามกัน มี บทบาทสําคัญตอคลังประสบการณและปฏิบตั กิ ารของ เราเพือ่ ทําความเขาใจปฏิบตั กิ ารของเรา เราเองก็จาํ เปน ทีจ่ ะตองรูใ หไดวา เราสามารถรับผิดชอบตออะไรไดบา ง ประเด็นสุดทายเปนเรือ่ งของการตระหนักรูใ น ฐานะพลเมือง เรามีความรับผิดชอบทีส่ าํ คัญมากในการ เลือกจุดยืน มีผคู นทีเ่ ลือกทีจ่ ะอยูก บั ฝายขวา ฝายซาย หรือกลุม ทีอ่ ยูต รงกลาง มีคนทีเ่ ลือกทีจ่ ะสูเ พือ่ สิทธิพลเมือง สิทธิของเกย สิทธิสตรี และอีกหลากหลาย แนวคิดทางการเมือง แตกไ็ มมกี ลุม ไหนแปลงมันออก มาเปนทีว่ า ง รูปทรง หรือโครงสราง การจะตระหนักใน สภาวะกึง� เอกเทศของสถาปตยกรรมมันคือการตระหนัก วา A มันปฏิบตั กิ ารอยูใ นกรอบนิยามของตัวเอง แต B การตระหนักวากรอบนิยามตัวใดกันแนทส่ี ง ผลกระทบ โดยตรงกับแรงกระตุน ทางสังคมทีค่ ณุ อาจจะมี ดังนัน้ มัน จึงไมมกี ารโตตอบกันแบบหนึง� ตอหนึง� ระหวางความรูส กึ การตอบรับของมนุษย และรูปทรงทีถ่ กู กําหนดมาใหเรา การถกเถียงในเรือ่ งทฤษฎีการผลิตและทฤษฎีการตอบรับจึงถูกวางลงไปในกรอบทีม่ คี วามตึงเครียดและมีความ เสถียรภาพนอยลง


art4d August 2013

01

art4d: ถาอยางนัน้ แลว บทบาทของสถาปนิกนาจะเปน เหมือนเดิม แตแตกตางกันไป แลวแตวา คุณตองการวางตัว เองไวทไ่ี หนอยางนัน้ หรือ? NT: โมเดลทัง้ สามทีผ่ มบอกไปเปนสิง� ทีเ่ ราถูกวางรากฐาน มา ผมหมายถึงวาเราเปนอุตสาหกรรมบริการ เราเปน อุตสาหกรรมของนักสรางภาพลวงตา และเราก็ยงั แปล ความแงมมุ ของสิง� ทีค่ นทัว� ไปทําออกมาในแงมมุ เชิง กายภาพ วัสดุ และทีว่ า ง แตการเรียกรองใหสถาปตยกรรม เปนกระจกสะทอนสังคม มันเปนเรือ่ งทีเ่ ปนไปไมได และ การทีเ่ ราจะบอกวามีสภาวะตัวตนรวมบางอยาง ซึง� ตอบรับ สถาปตยกรรมในแบบเดียวกันก็ไมสมเหตุสมผล ฉะนัน้ ไมวา เราจะตองการความสบายในการทีจ่ ะปลดปลอย สถาปตยกรรมใหไดทาํ ในสิง� ทีม่ นั ถูกกําหนดไวตามกรอบ

art4d: ในดานของโครงสราง คุณอาจจะมีประเด็นถกเถียง ในระดับวาทกรรมเกีย่ วกับสถาปตยกรรม แตเมือ่ ตัว อาคารเองตองตอบคําถามในเชิงสังคม และเศรษฐกิจ อยางนัน้ หรือ? NT: ทัง้ หมดน�ต้ า งก็เปนสวนหนึง� ของกระแสความ เปลีย่ นแปลงเดียวกัน ในความเปนจริงแลว ผมเห็นวา เรือ่ งของโครงสรางนัน้ มันมีความสัมพันธกบั เรือ่ งอืน่ ๆ ทุกสวน มันไมใชเรือ่ งทีว่ า คุณออกแบบอาคาร แลวคุณ เอาโครงสรางเขาไปใสใหมนั มันคือเมือ่ คุณเขาใจถึง เงือ่ นไขทีล่ ดทอนไมไดของโครงสรางบางตัว คุณก็จะ สามารถถอดเอาสิง� อืน่ ทีไ่ มจาํ เปนออกไป และนัน� ก็นา จะเปนจุดเปลีย่ นทีส่ าํ คัญในงาน บางทีในงานกอนหนาน�้ ของผม โครงสรางก็เปนไปตามสภาพเงือ่ นไขความเปน จริง มันตองอยูไ ด ในขณะทีต่ อนน�โ้ ครงสรางเปนเรือ่ ง ทีล่ ดทอนออกไปไมได และผมก็ตอ งกําจัดสิง� อืน่ ที่ ไมจาํ เปนออกไป

ประสบการณ และบางสวนของภาพเคลือ่ นไหว ก็เปนเรือ่ ง ของเทคนิคการกอสราง ในขณะทีภ่ าพเคลือ่ นไหวอืน่ ๆ เปน เรือ่ งของกระบวนการผลิตและภาพลวงตาของทีว่ า ง โดย ใชสาธารณูปโภคทัง้ ในเชิงเทคนิคและการวิเคราะห ในทีส่ ดุ แลว สิง� เหลาน�ก้ จ็ ะสรางผลงานทีม่ ลี กั ษณะเฉพาะ ซึง� มันก็ เปนรูปแบบของประสบการณอยางหนึง� เมือ่ เงือ่ นไขของ การวิเคราะหเปลีย่ น คุณก็เริม� จากเสนทางน�้ คือมันเริม� ใน แนวทางเชิงวิเคราะหและกลับไปสูป รากฏการณการรับรู John Horner

art4d: So the role of the architect would be the same, but varies depending on where you want to place yourself? NT: Well, all three models that I named are things that we’re constantly embedded with. I mean, we’re at once a service industry, we’re an industry of illusionists, and we’re also translating the terms of what people do into physical, material and spatial terms. But to ask for architecture to be a mirror of society is impossible. And to imagine that there is a collective subjectivity that receives architecture in the same way is not reasonable. So either we need to be comfortable with releasing architecture to do what it does on its own terms, or we need to develop theories of subjectivity that can actually translate in a one-to-one way a form and its experience, which is not very easy to do. But I do see architecture as a vessel for experience. In short I’m saying that it’s very much what’s at stake, everything I showed in my lecture had to do with the manipulation of experience and in part some of the animations had to do with techniques of construction, but other animations had to do with the production and illusions of spaces, so they are very much about experience actually. In fact, most – all of the animations start with a technical infrastructure, an analytical infrastructure, but as they end, they always produce a vignette that is experiential. The terms of the analysis change, you start with a line that’s this way, it starts as analytic and it turns into perceptual phenomena.

art4d: So on the structural side, you might be having this discursive discussion about architecture, but then the building itself has to answer questions socially and economically? NT: They They’re re part of the same continuum. In fact, any interest I have in structure is rooted in an understanding of its indispensability.. It It’ss not that you design a building and then you add structure to it, it’s it s that once you understand the irreducible requirements of certain structures, you can get rid of everything else. And that’s that s maybe the key transition in the works. Maybe in the earlier works, the structure was pragmatic,, it had to stand up, now the structure is irreducible, I have erased anything that wasn’t wasn t necessary. art4d: And this idea of the critical practice - do you think it’s a particularly Western way of thinking about architecture? I feel that somehow it relates to Western philosophy, this idea of thinking about architecture in terms of architecture - I don’t really see it here. NT: First of all, I have to say that I’m educated as a Western architect. So I have a deep void in education when it comes to understanding and reading Islamic architecture and I do it with Western eyes – and that doesn’t even get to my reading of Eastern Asian societies and architecture. So that's a disclaimer right up front. However, if you look at the analysis that I did from the Seljuk period to the Safavid period and the Qajar period, you can’t think that those architects, those mathematicians and those craftsmen were not thinking about mechanism internal to architecture itself as a way of getting from A to B over those three four hundred years. It may not have been theorized in similar ways as the way in which we have theorized the autonomy of architecture in Western critical thinking, but that is also why certain philosophies operated independent of each other. I’m not giving one system of thought a necessary hierarchy over the other, but I think there’s a healthy perspective that comes into architecture through thinking of it synchronically and diachronically. Synchronically, so that you can look at form in its autonomy and diachronically, so that you can look at it as a manifestation of deep-seated cultural forces that impact society economically, socially, politically and so forth. And somehow at the intersection of these two forms of thinking, a more rich reading of architecture emerges.

01 Liquid Archive ผลงาน การออกแบบโดย Nader Tehrani และ Gediminas Urbonas ในป 2011 เพือ่ ฉลองครบรอบ 150 ป ของ MIT


62

art4d: แนวคิดเรือ่ งการทํางานเชิงวิพากษดงั กลาว คุณ คิดวามันมีลกั ษณะการคิดเกีย่ วกับสถาปตยกรรมในแบบ ฉบับของตะวันตกหรือเปลา? เรารูส กึ วาไมวา จะอยางไร ก็ตามมันสัมพันธกบั ปรัชญาตะวันตก รวมถึงความคิด และการคิดเกีย่ วกับสถาปตยกรรมในเชิงสถาปตยกรรม เปนเรือ่ งทีเ่ ราไมเห็นทีน่ � NT: กอนอืน่ เลย ผมตองออกตัวกอนวา ผมไดรบั การ ศึกษาตามแบบฉบับสถาปนิกตะวันตก ดังนัน้ ผมมี ชองโหวลกึ ในแงของการศึกษา เมือ่ มันถึงเวลาทีต่ อ ง ทําความเขาใจและอานสถาปตยกรรมอิสลาม และผม ก็ทาํ มันดวยสายตาของคนตะวันตก และมันก็ไมไดชว ย อะไรเทาไหรในการอานเรือ่ งสังคมและสถาปตยกรรม ในเอเชียตะวันออกของผม ในจุดน�้ ผมคงตองออกตัว ไวกอ น อยางไรก็ดี ถาคุณไปดูทง่ี านวิเคราะหทผ่ี มทํา ในเรือ่ งยุค Seljuk ยุค Safavid และยุค Qajar คุณจะ ไมสามารถคิดไปไดวา สถาปนิก นักคณิตศาสตร และ ชางฝมอื เหลานัน้ ไมไดคดิ เกีย่ วกับกลไกภายในตัว สถาปตยกรรม อยางเรือ่ งของการเชือ่ มจุด A กับ B เขาหากัน ตลอดระยะเวลา 300-400 ปทผ่ี า นมา มัน อาจจะไมไดถกู ทําใหเปนทฤษฎีในแบบทีเ่ ราทํากับ สถาปตยกรรมในการคิดเชิงวิพากษแบบตะวันตก แต มันยังบอกวาทําไมนักปรัชญาจํานวนหนึง� จึงทํางานเปน อิสระจากคนอืน่ ๆ ผมไมไดเสนอวาระบบคิดแบบหนึง� เหน�อกวาอีกระบบหนึง� แตผมคิดวามันมีมมุ มองสมเหตุ สมผลทีเ่ ขามาในสถาปตยกรรมผานการคิด 2 แบบ แบบแรก คุณมองไปทีร่ ปู ทรงลักษณะทีเ่ ปนอะไรเฉพาะ ตัวของมัน แบบสองคุณมองไปทีส่ ญั ญาณของแรงผลัก ทางวัฒนธรรมทีป่ รากฏ ซึง� สงผลกระทบสังคมทัง้ ในเชิง เศรษฐกิจ สังคม การเมือง และอืน่ ๆ อยางไรก็ดี ในจุดซอนทับระหวางรูปแบบการคิดของแบบน�ท้ าํ ใหเกิดการ อานสถาปตยกรรมทีเ่ ขมขนมากขึน้

art4d: At one point you were talking about how interdisciplinary working is more relevant now? NT: It always has been. Now it becomes more indispensable because the advanced disciplines have become so complicated and specific, not all of the knowledge can be held by an architect. So the only thing we can do now because we cannot hold all that knowledge, is to be excellent directors, orchestrators, mediators, consensusbuilders, and strategists. Because the engineer, or the programmer, none of these people can see the entire picture. The architect is the only person who can see the entire picture, or can construct an entire picture. There isn’t an entire picture out there, you have to construct it. art4d: So the figure of the architect is still someone who oversees the whole project? NT: I wonder. Yes, the classical figure of the architect was somebody who oversaw and was at the pinnacle of all of these things that happened. Now maybe if I were to draw a different diagram, maybe it wouldn’t be the pyramid, maybe there is the architect with a lot of things around it, and this architect has the ability to throw a net to collect it all and makes something larger than the sum of its parts. Why - because in the past maybe the architect generated all of that knowledge and all of the instructions for everybody, now we don’t. We are somewhere in space and there is all these actors, and if we don’t take charge of everything, we’ll be at the fringe of all of that stuff that’s happening. But if you go back in the center, you’ll be the only one who can make links between all of these other things that are out there. I don’t even see us at the center, I see us as having the possibility of occupying multiple intersections but it won’t come naturally. Now we have to fight for it.

art4d: How? NT: How – you can’t assume that construction can happen well naturally, you have to get engaged in the construction industry, to activate it in ways that we gave power up over it over 30 years ago. B – you can’t expect institutions, politics to build programs for you, you have to be an active agent in building programs for society. C – you can’t assume that individual disciplines can take care of things, if you do that then the traffic engineers will build all of the roadways of society and they will not know how the federal money that goes into those roadways are the basis of public spaces, for integration of pedestrians, bicycles and cars and part of the national consciousness of how everything is held together. All of these are examples of ways that things can naturally disaggregate, it really requires us to imagine how they can be put back together again.

art4d: ในตอนหนึง� คุณกําลังพูดถึงวาการทํางานขาม สาขาวิชาเปนเรือ่ งทีม่ นี �้ หนักมากขึน้ ในตอนน�?้ NT: มันเปนอยางน�ม้ าตลอดอยูแ ลว สําหรับตอนน�ม้ นั กลายเปนสิง� ทีข่ าดไมไดเลยแหละ เพราะศาสตรทม่ี คี วาม กาวหนา มีลกั ษณะเฉพาะ และความสลับซับซอนมาก ขึน้ มาก สถาปนิกไมสามารถจัดการความรูท กุ อยางได ดังนัน้ สิง� เดียวทีเ่ ราทําไดในตอนน�้ เพราะวาเราไมสามารถ จัดการความรูท ง้ั หมดได แตเราสามารถเปนผูก าํ กับ ผูค วบคุมวงออรเคสตรา ผูต อ รองเจรจา ผูส รางฉันทามติ และผูค ดิ กลวิธี เพราะวา วิศวกรหรือโปรแกรมเมอร คนเหลาน�ไ้ มสามารถมองเห็นภาพรวมทัง้ หมดได สถาปนิกเปนคนเพียงคนเดียวทีส่ ามารถเห็นภาพรวม หรือ สามารถสรางภาพรวมขึน้ มาได ภาพรวมมันไมไดตง้ั อยู ลอยๆ ขางนอกนัน� คุณตองสรางมันขึน้ มา Jonathan Hillyer

02 art4d: ถาอยางนัน้ สถาปนิกก็ยงั คงเปนคนทีค่ มุ ภาพรวม ของโครงการ? NT: ผมก็สงสัยอยูเ หมือนกัน จริงอยู สถานะของ สถาปนิกแบบดัง้ เดิมจะเปนคนทีค่ วบคุมภาพรวมและอยู บนยอดพีระมิดของทุกสิง� ทุกอยางทีเ่ กิดขึน้ ตอนน�้ บางที ถาเราจะลองวาดแผนภูมทิ แ่ี ตกตางออกไป มันอาจจะ ไมเปนพีระมิดก็ได อาจจะมีสถาปนิกกับสิง� ตางๆ มากมาย ลอมรอบตัวเขา และสถาปนิกแบบน�ก้ ม็ คี วามสามารถที่ จะเหวีย่ งแหเพือ่ จะเก็บสิง� รอบตัวทัง้ หมด และสราง บางอยางทีเ่ ปนมากกวาผลรวมของการนําเอาชิน้ สวน ตางๆ มาประกอบเขากัน ทําไมละ ก็เพราะวาในอดีต บางทีสถาปนิกสรางความรูท ง้ั หมดนัน้ และวิธกี าร ทัง้ หมดสําหรับทุกคน แตตอนน�้ เราไมไดเปนแบบนัน้ เราอยูใ นทีว่ า งและทุกคนก็เปนผูแ สดง และถาเราไม รับผิดชอบในทุกสิง� เราจะอยูท ช่ี ายขอบของทุกสิง� ทีก่ าํ ลัง เกิดขึน้ แตถา คุณกลับไปในศูนยกลางนะ คุณจะเปน เพียงคนเดียวทีส่ ามารถสรางจุดเชือ่ มโยงระหวางสิง� ตางๆ ทีอ่ ยูข า งนอกนัน� แตผมก็มองไมเห็นพวกเราอยูใ น จุดศูนยกลางนะ ผมเห็นวาเราสามารถทีจ่ ะเขาไปเปน ตัวเชือ่ มระหวางสาขาตางๆ ได แตมนั ไมไดเกิดขึน้ ไดเอง เราตองผลักดันเพือ่ ใหไดมนั มา 02 โครงการ Hinman Research Building ใน Georgia Tech College of Architecture ที่ Nader Tehrani เขามารับหนาที่ ปรับปรุงอาคารโดยโฟกัสไปที่ โครงสรางและประเด็นดาน สิง� แวดลอม 03 ภาพ 3D การออกแบบ โครงการ Melbourne University


John Wardle Architects and NADAAA

art4d August 2013

art4d: This idea about offering programs, I think Rem Koolhaas once considered becoming a politician because he felt architects simply don’t have the power to actually enforce certain things. Do you think it is the role of architects always to try and inject these social responsibilities into every project that they do? To help define the program of the city? NT: For the most part architects don’t do that, for the most part, architects receive programs. The brilliant moments are when architects, through very simply or critical strategies, are able to manipulate something that’s given to them for strategic betterment of a space, a program, a public realm, the redirection of a budget. I mean, it’s how to allocate your resources in strategic ways.

art4d: และคุณพูดไววา มีหลายสิง� ทีต่ อ งเรียนรูจ ากมัน อยากรูว า คุณเรียนรูอ ะไรมาบาง? NT: มันก็มหี ลายอยางเลยทีเดียว

03 art4d: So in a way you need to know about everything? NT: You don’t need to know about everything, you need to be able to imagine links between things that require bridges, that require translation. Yes, you need to be curious enough to learn about everything, but you don’t need to know it all up front. It’s a form of lateral thinking that can make connections between things that have latent links but nobody has made them before.

art4d: ดวยวิธอี ะไรหรือ? NT: อยางไรนะเหรอ ขอแรก คุณไมสามารถถือเอา วาการกอสรางสามารถเกิดขึน้ เปนอยางดีไดเอง คุณ ตองเขาไปทํางานในอุตสาหกรรมการกอสราง เพือ่ ที่ จะกระตุน มันไปในทิศทางทีเ่ ราไมไดทาํ มาตลอด 30 ป ทีผ่ า นมา ขอถัดมา คุณไมสามารถคาดหวังกับสถาบัน ตางๆ หรือการเมืองเพือ่ ทีจ่ ะสรางโปรแกรมสําหรับคุณ คุณตองเปนฝายรุกในโปรแกรมอาคารเพือ่ สังคม ขอ สุดทาย คุณไมสามารถคิดไปวาศาสตรสาขาตางๆ จะ เขามารับผิดชอบสิง� ตางๆ ไดหรอก ถาคุณทําแบบนัน้ แลว วิศวกรดานระบบจราจรจะสรางถนนหนทางทัง้ หมด ของสังคม และพวกเขาก็จะไมรวู า เงินของรัฐบาลกลาง ทีล่ งไปกับถนนเหลานัน้ เปนพืน้ ฐานของทีว่ า งสาธารณะ เพือ่ เชือ่ มโยงทางเดิน ทางจักรยาน และถนนเขาดวยกัน อีกทัง้ ยังเปนสวนหนึง� ของสํานึกรูใ นระดับชาติ ในแงท่ี วาทุกสิง� ถูกเชือ่ มโยงเขาหากันไดอยางไร ทัง้ หมดน�เ้ ปน ตัวอยางของแนวทางทีส่ ง�ิ ตางๆ สามารถแยกออกจากกัน ไดเอง งานแบบน�จ้ งึ เรียกรองจากเรา ความสามารถใน การจินตนาการใหออกวาสิง� ตางๆ จะตองถูกดึงใหกลับมา เขาทีเ่ ขาทางไดอยางไร

art4d: ในแงน้� คุณจําเปนทีจ่ ะตองรูใ นทุกเรือ่ งอยางนัน้ หรือ?. NT: คุณไมจาํ เปนตองรูท กุ เรือ่ ง คุณตองสามารถ จินตนาการถึงความเชือ่ มโยงระหวางปจจัยตางๆ วา จุดไหนจําเปนตองใชสะพาน หรือตองการการแปลความ ใชคณุ ตองสงสัยอยากรูม ากพอตอการเรียนรูท กุ อยาง แตคณุ ไมจาํ เปนตองรูต ง้ั แตหวั จรดหาง มันเปนรูปแบบ ของการคิดนอกกรอบ ซึง� ชวยในการสรางจุดเชือ่ มโยง ระหวางปจจัยตางๆ ทีม่ คี วามเชือ่ มโยงอยูแ ลว แตไมเคย มีใครเคยทํามันขึน้ มา art4d: แนวคิดน�เ้ กีย่ วกับการเสนอโปรแกรม ทําใหคดิ ถึง Rem Koolhaas ทีค่ รัง้ หนึง� เคยคิดเรือ่ งการผันตัวเองไป เปนนักการเมือง เพราะเขารูส กึ วาสถาปนิกเพียงแตไมมี อํานาจมากพอทีจ่ ะผลักดันบางสิง� ใหเปนจริง คุณคิดวา การพยายามและใสความรับผิดชอบเชิงสังคมเขาไป ในทุกโปรเจ็คตทเ่ี ขาทํางานเปนหนาทีข่ องสถาปนิก อยางนัน้ หรือ หรือก็คอื การเขาไปมีบทบาทในการกําหนด โปรแกรมของเมือง? NT: โดยมาก สถาปนิกไมไดทาํ แบบนัน้ โดยมากแลว สถาปนิกเปนผูร บั โปรแกรม ชวงเวลาทีด่ กี ค็ อื เมือ่ สถาปนิกสามารถทีจ่ ะควบคุมบางอยางทีไ่ ดรบั มอบหมายใหกบั พวกเขาเพือ่ การทําใหทว่ี า ง โปรแกรม อาณาบริเวณสาธารณะ และการจัดจายงบประมาณดีขน้ึ อยาง มีกลวิธี ผมหมายถึงวามันคือการทําอยางไรทีจ่ ะจัดสรร ทรัพยากรอยางมีชน้ั เชิง art4d: คุณพูดไวในการบรรยายอีกครัง้ หนึง� วาสิง� ทีใ่ ช เวลาทํา 2 ป ในสหรัฐอเมริกา มันใชเวลาแค 4 เดือน ในเอเชีย NT: ถูกตองครับ

art4d: อยางหนึง� ก็คอื อัตราการกอสรางของภูมภิ าคน�ม้ นั เร็วเกินไปรึเปลา? NT: บางทีมนั อาจจะเร็วไป แตมนั ก็เปนเรือ่ งทีห่ ลีกเลีย่ ง ไมได เราตองคิดกับมันใหมวา เราจะทํางานแบบแท็คทีม เดียวกันเพือ่ ไปใหถงึ จุดนัน้ ไดอยางไร เราตองรูว า เราสู เพือ่ อะไร และอะไรทีต่ อ งปลอยผานไป เราตองรูจ กั ทีจ่ ะ พูดในภาษาและวัฒนธรรมอืน่ อยางไร เราตองรูว า ภาษา อังกฤษไมไดเปนเบอรหนึง� อีกตอไปแลว เราตองเขาใจ วามันมีคณุ คาวัฒนธรรมแบบอืน่ อยู มีโมเดลในการ ทํางานทีม่ คี วามคลองตัวมากกวาระบบตะวันตก เราได อะไรมากมายจากมันจริงๆ ผมคิดวาเราใชชวี ติ อยูใ นชวง เวลาทีม่ คี วามพิเศษมาก แนวคิดทีว่ า เราอยูใ นหวงเวลา ทีค่ วามยิง� ใหญของโลกตะวันตกใกลจะจบลงแลว และ นัน� ก็หมายความวาอยางนอยก็สาํ หรับตอนน�้ โครงการ ตางๆ ทีถ่ กู คิดศึกษาจนทะลุปรุโปรงในไอวีลคี กําลังได รับแรงตีกลับทัง้ ในเชิงกายภาพและแนวคิดในรูปแบบที่ หลากหลายจากเอเชีย เอเชียใต อเมริกาใต และทีต่ า งๆ ทัว� โลก อยางในแอฟริกา มันมาพรอมกับแรงดึงดูดเชิง วัฒนธรรม เพราะสิง� เหลาน�ไ้ มเคยไดรบั การแปลออกมา อยางทีส่ ง�ิ เหลานัน้ ถูกเขาใจกัน นอกจากน�้ มันยังหมายถึงวาคุณสามารถทําบางสิง� ในวัฒนธรรมและประเทศอืน่ ซึง� คุณไมสามารถทํามันได ในโลกตะวันตก จากน�ร้ ะบบการกอสรางแบบอเมริกนั จะกลายเปนระบบทีแ่ ข็งทือ่ ไปแลว ผลิตภัณฑ วิธกี าร จัดสง ทุกอยางมันตายตัว มันไมมคี วามยืดหยุน มากพอ ทุกอยางทีค่ ณุ ทําในเกาหลี จีน อิหราน และชิลี เปนเรือ่ ง ของการแกปญ หาตามสภาพความเปนจริงอยางมีกลวิธี หรือไมกเ็ ปนเรือ่ งของการผสมผสานระหวางเทคโนโลยี ชัน้ สูงใหเขากับเทคโนโลยีแบบโลวเทค หรือจะเปนเรือ่ ง การจัดสรรและการใชทรัพยากรอยางมีชน้ั เชิง ซึง� ก็ หมายความวาคุณสามารถไดรบั คุณภาพ ฝมอื และ ความเปนนวัตกรรมชัน้ ยอดในระดับหนึง� ซึง� คุณ ไมสามารถหาไดในอเมริกา สําหรับผมแลว ประเด็นมัน ไมไดหยุดอยูแ คเพียงอะไรกําลังเกิดขึน้ ในตอนน�้ ในฐานะที่ มันเปนผลลัพธของการเปลีย่ นแปลงทีส่ าํ คัญ โดยเฉพาะ ในแงของเศรษฐกิจ แตมนั ไมไดหยุดอยูแ คน้� ดวยพลัง ทางปญญาในแบบนัน้ ซึง� กําลังเขามาในอเมริกาผาน อิหรานและจีน รวมถึงทีอ่ น่ื ๆ มันหมายรวมถึงวา บางคน ก็คงอยูตอไป แตหลายคนก็เดินทางกลับบาน และ ครอบครองพืน้ ทีอ่ กี มากมาย ซึง� น�ก� าํ ลังเปลีย่ นแปลงวิธี คิดของเราทีม่ ตี อ ศูนยกลางทางปญญา อินเตอรเน็ตเพียง แคเขามาเสริมพลังน�้ มันมีวนั เวลาทีค่ ณุ ไปถึง Harvard เพือ่ การศึกษา ตอนน�ก้ ารศึกษาใน Havard ออกมาใน รูปแบบของคอรสเล็กๆ สัน้ ๆ และมีลกั ษณะเพือ่ กลุม คน ทีก่ วางขึน้ เพราะเปนการเผยแผความรูแ ละวัฒนธรรม ตอนน�ม้ นั จึงเปนหวงเวลาของการทําใหเกิดประชาธิปไตย ในดานความรูท จ่ี ะเปลีย่ นแปลงโลกใบน�ใ้ นเชิงแนวราบ มากขึน้


64

04

art4d: You mentioned in another lecture that what takes two years to do in the US takes four months to do in Asia– NT: That’s right.

John Horner

04 Newton House การออกแบบบานพักอาศัยทีส่ ถาปนิก ไดรบั โจทยใหขยายพืน้ ที่ จากบานเดิมในสไตล neoGeorgian ไปสูส ถาปตยกรรม ทีเ่ รียบงายขึน้

art4d: And you said that there’s a lot to be learnt from it. So I was wondering what are some of the things that you have learnt? NT: Well, there are many things...

art4d: I mean, for one thing, is it too fast, the rate of construction? NT: It’s probably too fast, but it’s also inevitable. So we need to rethink how we work as integrated team in order to get there. We need to know what to fight for and what to let go of, we need to know how to speak other cultures and languages. We need to know that English is not number one anymore. We need to know that there’s other cultural values, other models of practice that have more currency than the Western system. There’s many things that it gives us. I think we’re living in very special times actually. The idea that we're living in a moment where Western supremacy is virtually but ended. And that, at least for now, the projects that have been thought through in the Ivy League are gaining a different kind of physical and intellectual momentum in Asia, in South Asia, in South America, and in other places in the world, in Africa, brings with it a different kind of cultural traction, because they are never translated in the same way as they were conceived. Also, it means that you can do certain things in other cultures and countries that you could never do in the West. The American construction system is calcified by now. Its product, its mode of delivery, everything is so fixed, it’s not flexible enough. Everything that you do in Korea, in China, in Iran, in Chile, is about a kind of strategic pragmatism or a way of merging hi-tech and low-tech, about leveraging resources in inventive ways that means you can get certain levels of quality, craft and extraordinary inventiveness that you can never get in the US. So for me, there is an interest in just what is happening right now as a result of a shift, essentially of economy, but that doesn’t stop there. With the kind of intellectual forces that are coming to the US by way of Iran, China, among many other places, also means that some of them stay, a lot of them go back, and occupy different spheres that's just changing the way we think of our intellectual centers. And the internet has only reinforced that, there was a day when you went to Harvard to get education. The education at Harvard is now available in snippets and for all over because of the dissemination of culture and knowledge. So it’s a moment where the democratization of knowledge is changing the world in a much more horizontal way.

art4d: คําถามสุดทาย สําหรับนักศึกษาสถาปตยกรรมใน เอเชีย โดยเฉพาะนักศึกษาไทยคุณมีคาํ แนะนําอะไรให กับพวกเขาบางอยางเรือ่ งการแสวงหาการศึกษาทีค่ ณุ วา มาในตอนน�้ NT: ผมไมรจู กั ประเทศไทยมากพอเทาไหร แตผมเคย เขียนบทความแนะนําหนังสือของ MIT เมือ่ ปทแ่ี ลว ซึง� เปนเรือ่ งของการกาวไปใหไกลกวาคําปฏิญาณตนของ Hippocrates แตผมยังพูดถึงเรือ่ งทีค่ นรุน ใหมมโี อกาสใน การเขาถึงขอมูล ความรู การอางอิงจํานวนมากในแบบ ทีไ่ มเคยมีมากอนในประวัตศิ าสตร ทุกอยางทีเ่ ชือ่ มตอ กันทัว� โลก และเกิดขึน้ แบบทันที มันไมใชเรือ่ งของการ ใชความรูท ส่ี ง�ั สมมา 10 ป เพือ่ เขาถึงปลายทาง แต มันใชเวลาแค 2 ชัว� โมง คุณใสมนั เขาไปในบล็อก ใน อินเตอรเน็ต ในทุกอยาง ฉะนัน้ น�เ� ปนเวลาทีพ่ วกเขา อาจจะเปลีย่ นแปลงโลกของพวกเขา สังคมของพวกเขา ได เขาสามารถจัดสรรไดวา เขาจะเรียนรูอ ะไรเพือ่ ทีจ่ ะ สอนเพือ่ นรวมชัน้ ในแบบทีไ่ มเคยเกิดขึน้ มากอน การ

สําคัญมากขึน้

NT:

แตละพืน้ ที่ การตัง้ ขอสงสัยกับขอมูล การตัง้ คําถามกับ มัน การประเมินมันในเชิงการคิดวิพากษ การทําความ เขาใจคุณคาของมัน ภายในบริบทสังคมและการเมืองที่ มีแบบฉบับเฉพาะตัว ถาปราศจากสิง� เหลาน�แ้ ลว เราจะ ตกอยูก บั การเลนกับรูปทรง และก็ทาํ ไดแคเพียงสราง มูลคาเพิม� บางอยางใหกบั แบรนดเทานัน้ คุณจะเห็นไดชดั วามันมีความรับผิดชอบในระดับทีเ่ หมาะสมอยู ถามันจะ ไมกลายเปนภาระความรับผิดชอบทีส่ งู มาก มันมาพรอม กับเงือ่ นไข เราสามารถทําไดในวันน�เ้ พราะความเร็วใน การทําลายธรรมชาติและโลกใบน�ข้ องพวกเรามันสูงมาก อยางทีไ่ มเคยเกิดขึน้ มากอน และนัน� ก็หมายความวา ความเปลีย่ นแปลงทีว่ า มันมาพรอมกับความรับผิดชอบ ทีห่ นักหนามาก

art4d: Lastly, for an architecture student in Asia, say for a Thai student, what advice do you have, how to go about gaining this education now? NT: I don’t know Thailand well enough, but I wrote an essay for the introduction of our MIT book this past year, which is about getting beyond the Hippocratic oath, but I do mention that in no history before this has the youth has so much access to information, to knowledge, to references globally than now, and immediately. It doesn’t take knowledge ten years to reach places, it takes two hours. You post it on blogs, on Internet, on everything. So this is a moment where arguably they can change their own world, their own society, they can leverage what they learn in order to teach it to their own peers in ways that they could never have done before. Most of teaching happens in school laterally, not vertically, the role of the teacher is not up here anymore. This role of teacher is minor but the kind of role that peers have among each other is tremendous. Two students sitting here and looking at each other’s works laterally from across the way. I think that this is the decade where you’re going to see massive changes in the transfer of knowledge from online teaching to online education and I don’t mean it in an institutional way, I mean it in a kind of open-sourced framework where your ability to transform the world takes on a higher meaning. art4d: But does that abundance of information always get translated into knowledge? NT: No, you caught the critical weak point, the Achilles heel of the argument is that along with this plethora of information out there, there is obviously the necessity for a critical culture to emerge within each domain. To be suspicious of that information, to interrogate it, to critically assess it, and to understand its value within a particular social and political context, without which it can devolve into formal play and merely branding surpluses. So obviously there is a commensurate, if not exponential responsibility that comes with what we can do today, because the speed with which we can destroy our environment, our planet, is the speed we never had before. So yes, with it comes a great responsibility.

NADAAA nadaaa.com



66


IF (Integreated Field)

01

House

Bangkok

สเปซทีน่ า่ สนใจของชัน้ หนึง่ เกิดจากโถงบันไดเปิด ทีม่ กี ระจกสกายไลท์เปิดรับแสงจากดาดฟ้าลักษณะเป็น 01 มุมมองจากชัน้ บนสุด เหมือนฟอร์มของแท่งสามเหลีย่ มกลางบ้านทีเ่ ปิดสูงไป ของตัวบ้าน ภายในใช้วสั ดุที่ ตลอด 3 ชัน้ ส่งผลให้ความสูงเพียง 2.4 เมตร ทีต่ งั้ ไว้ เป็นไม้ คอนกรีต เหล็ก ตามความสูงของบ้านหลังเก่าไม่ทำให้เกิดความรูส้ กึ ถึง กระจก มีชอ่ งเปิดด้านบน ความเตีย้ หรือสเปซทีน่ า่ อึดอัด นอกจากนีย้ งั มีการขยาย และช่องบันไดทีม่ เี ส้นสาย ของฟอร์มสามเหลีย่ มทำให้ สเปซออกไปโดยใช้ประตูบานเลือ่ นขนาดใหญ่ทมี่ ที งั้ บาน เกิดเส้นสายทีม่ คี วามไดนามิก กระจกใสและบานมุง้ ลวด สามารถเปิดทัง้ หมดเพือ่ ให้ ขึน้ ในสเปซทีเ่ รียบง่ายของ เกิดการเชือ่ มโยงสเปซกับภายนอกซึง่ เป็นสระว่ายน้ำ ตัวบ้าน ขนาดเล็กและสวนซึง่ เขาเล่าให้เราฟังว่า “ชัน้ ล่างหลักๆ 02-03 ฟอร์มของตัวบ้านมา คือสวนทีม่ ลี กั ษณะคล้ายตัว L ซึง่ มันหุม้ ตัวบ้านอีกทีหนึง่ จากฟอร์มสีเ่ หลีย่ มเฉือนมุม มีชอ่ งเปิดทีเ่ กิดจากการคว้าน อยากจะสร้างพืน้ ทีต่ รงนีใ้ ห้ความ indoor กับ outdoor มันเชือ่ มต่อกันจริงๆ ก็เลยเลือกทีจ่ ะทำตัวบานทีม่ นั สเปซภายใน สไลด์เปิด พืน้ ทีเ่ ป็นไม้จากข้างในก็พยายามให้มนั ต่อเนือ่ งกันกับพืน้ ระแนงไม้ภายนอก ระดับก็จะให้ลงไปเท่า ทีม่ นั จำเป็นเท่านัน้ พอเปิดประตูบานเลือ่ นทัง้ หมดแล้ว นัง่ อยูข่ า้ งใน ความรูส้ กึ ทีไ่ ด้มนั เหมือนเราอยูข่ า้ งนอก อยูต่ รงสวน หรือแม้แต่หอ้ งดูหนังเวลาทีม่ แี ขกมาหรือมี กิจกรรมอะไรเราสามารถเปิดประตูให้มคี วามต่อเนือ่ งกับ ตัวระเบียงทัง้ หมดได้ คือทุกห้องของชัน้ ล่างจะพยายาม ให้มนั ต่อเนือ่ งกับพืน้ ที่ outdoor เพราะพืน้ ฐานทุกคนใน บ้านจะชอบธรรมชาติอยูแ่ ล้ว ก็เลยคุยกันว่าจะทำอย่างไร ให้เกิดพืน้ ทีเ่ ปิดโล่งทีเ่ ป็นสวนให้มากทีส่ ดุ พืน้ ทีใ่ ช้สอย ทัง้ หมดเลยถูกดันขึน้ ไปด้านบนเป็นอาคาร 3 ชัน้ ทาง ตะวันตกจะเป็นพวกครัว ห้องน้ำ ส่วนห้องนอนกับส่วน living จะอยูท่ างเหนือกับตะวันออกทัง้ หมด แล้วก็ขนึ้ 2 ชัน้ เพือ่ ทิง้ ให้มพี นื้ ทีเ่ ปิดโล่งรอบบ้านมากทีส่ ดุ ” 02 ถัดขึน้ ไปบนชัน้ สองและชัน้ สาม บันไดวนทีเ่ ห็น เป็นฟอร์มของสามเหลีย่ มไม่ได้เป็นแค่เพียงเส้นทาง ของผูค้ นกับช่องระบายแสงและลมเท่านัน้ การทอน ฟอร์มของพืน้ ทีส่ เี่ หลีย่ มด้วยฟอร์มของสามเหลีย่ มยัง ทำให้เกิดพืน้ ทีส่ ามเหลีย่ มทีเ่ หลือ ซึง่ สถาปนิกจัดสรรให้ มันกลายเป็นอีกมุมพิเศษสำหรับการใช้สอยร่วมกันของ คนในครอบครัว นอกเหนือไปจากห้องส่วนตัวทีอ่ ยูก่ นั คนละมุม “พอคิดว่าต้องทำบ้านขึน้ เป็น 3 ชัน้ โดยเอา ฟังก์ชนั่ ล้วนๆ ใส่เข้าไปเลย ต่างคนก็จะต่างอยูข่ า้ งบน ซึง่ จริงๆ แล้วผมคิดว่าความเป็นบ้านมันน่าจะมีทงั้ ส่วนที่ มีความเป็นส่วนตัวและส่วนกลางทีค่ นมาแชร์รว่ มกันได้ ด้วย ก็เลยลองดูวา่ บันไดทีป่ กติทำกันก็มกั จะเป็นบันได ธรรมดาอยูต่ รงหลืบๆ คิดว่าน่าจะเอาความเป็นบันไดมา เล่นอะไรสักอย่าง สร้างคาแร็คเตอร์ของตัวบ้านให้มนั มี IF (Integrated Field) has completed the very first house design where ความน่าสนใจ เป็นทัง้ ทางสัญจร เป็นทัง้ ส่วนทีม่ นั เชือ่ มindividual function has a significant impact. ต่อคนในบ้านทัง้ หมด และน่าจะให้แสงและให้ความร้อน Text Rapee Chaimanee Photos Wison Tungthunya ระบายอากาศไปตามธรรมชาติได้ดว้ ย ก็เลยสร้างสเปซที่ บ้านหลังนีถ้ กู เรียกว่า ‘บ้านมุม’ โดยเจ้าของซึง่ เป็น เป็นโถงบันไดนีข้ นึ้ มา ถ้ามองขึน้ ไปข้างบนมันก็จะเป็น สมาชิกในครอบครัวและเป็นสถาปนิกในทีมออกแบบ กระจกสกายไลท์ ช่วงกลางวันเราแทบไม่ตอ้ งเปิดไฟใน บ้านจาก IF (Integrated Field) บริษทั สถาปัตย์ทเี่ กิดจาก บ้านเลยเพราะมันสว่างหมด ซึง่ บันไดตรงนีท้ มี่ นั เป็นโถง การรวมตัวกันของกลุม่ นักออกแบบรุน่ ใหม่และเพิง่ เปิด สูง 3 ชัน้ พอความร้อนเกิดขึน้ มันจะลอยตัวสูงขึน้ อยูแ่ ล้ว ทำการมาได้ประมาณ 2 ปี สรกิจ กิจเจริญโรจน์ บอก เราก็ออกแบบให้ขอบข้างๆ ของกระจกสกายไลท์เป็น กับเราว่าจุดเริม่ ต้นของความคิดทัง้ หมดในการทำบ้าน เกล็ดระบายอากาศ มันก็เอาอากาศร้อนๆ ออกไปได้ หลังนีเ้ กิดจากความต้องการทีจ่ ะสร้างบ้านเพิม่ เติมใน ส่วนข้างล่างโดยคอนเซ็ปต์ของมันมันเปิดโล่งหมด ลมก็ พืน้ ทีบ่ า้ นเดิมของครอบครัว ซึง่ ประกอบไปด้วยสมาชิก ระบายออกไปด้วย สำหรับทีว่ า่ งทีเ่ กิดขึน้ เราเซ็ตให้มนั 5 คน คือ พ่อ แม่ พีช่ าย ตัวเขาเอง และน้องสาว เพือ่ เป็นทีส่ ว่ นกลางของทุกคน ตรงชัน้ สองก็จะเป็นเหมือนที่ เพิม่ พืน้ ทีใ่ ช้สอยของสมาชิกทีต่ อ้ งการความเป็นส่วนตัว นัง่ เล่น มีตเู้ ก็บของส่วนกลางทีเ่ ราทำตูเ้ หมือนเป็นผนัง มากขึน้ เนือ่ งจากการใช้พนื้ ทีใ่ นบ้านเดิมเป็นการแชร์หอ้ ง เดินเข้าไปได้ ก็แบ่งพืน้ ทีก่ นั ไป ส่วนชัน้ สามก็จะเจาะทำ ร่วมกันระหว่างลูกชาย 2 คน และพ่อแม่กบั ลูกสาว โดย เป็นเหมือนกึง่ เทอเรสกึง่ ชานบันไดภายนอกทีม่ บี นั ได บ้านหลังใหม่ทที่ ำขึน้ จะปลูกชิดกับบ้านเดิมและมีโครงเดินขึน้ ไปชมวิวบนดาดฟ้าได้ โถงตรงบันไดนีม้ นั ค่อนข้าง การจะทะลุผนังเชือ่ มต่อกันหลังจากทำการปรับปรุง สว่าง พอแสงธรรมชาติเข้ามามันจะให้ความรูส้ กึ เหมือน บ้านหลังแรกเสร็จ เหมือนอยู่ outdoor ในระดับนึง เพราะฉะนัน้ สำหรับ ความนิยมชมชอบในความเรียบง่ายของสถาปนิก แต่ละห้องเราก็จะมีการเจาะหน้าต่างทีเ่ ปิดม่านเพือ่ รับ และสมาชิกในบ้านทำให้เขาต้องการให้ตวั อาคารภายแสงและลมธรรมชาติจากในตัวบ้านเข้ามาในห้องได้ นอกมีลกั ษณะเป็นกล่องเรียบๆ ทีม่ กี ารเจาะช่องเพือ่ ให้ หรือจะเปิดหน้าต่างทีเ่ ปิดออกไปข้างนอกด้วยเพือ่ ให้ลม เกิดสเปซและช่องเปิดทีส่ ง่ ผลต่อภาพภายนอกของตัว โฟลวก็ได้” บ้าน ในขณะเดียวกันก็ยงั ออกแบบสเปซภายในให้มี เมือ่ เข้าสูร่ ายละเอียดของพืน้ ทีต่ า่ งๆ สิง่ สำคัญที่ ความเชือ่ มโยงกับภายนอก คำว่า ‘มุม’ ถูกนำมาตีความ สถาปนิกให้ความสนใจคือความชอบส่วนตัวของเจ้าของ จากมุมส่วนตัวของสมาชิกในครอบครัวแต่ละคน ในขณะ พืน้ ทีแ่ ละดีเทลทีจ่ ะร้อยเรียงให้เกิดสัญญะทีส่ อดคล้อง เดียวกันมุมพิเศษต่างๆ ภายในบ้านและมุมทีม่ กี ารใช้กันทัง้ หมด สเปซทีเ่ รียบง่ายของห้องนอนใหญ่สำหรับ สอยร่วมกันก็คอ่ ยๆ กลายเป็นเส้นทีข่ ดี คัน่ พืน้ ทีว่ า่ งของ พ่อแม่เน้นการปูพนื้ ทีช่ ดิ ติดกัน ไม่ออกแบบให้มรี อ่ งหรือ กล่องสีเ่ หลีย่ มและเฉือนให้เกิดเป็นมุมและฟอร์มของ ช่องเล็กๆ น้อยๆ เพือ่ ให้เรียบและทำความสะอาดง่าย 03 สามเหลีย่ มขึน้ แบ่งส่วนแต่งตัวในห้องน้ำไว้ 2 ฝัง่ โดยใช้ผนังกระจก


68

โดยรอบ (เป็นบานตูเ้ สือ้ ผ้า) เพือ่ ให้พนื้ ทีด่ กู ว้าง ห้องพี่ ชายออกแบบให้หอ้ งมีความลึก และเน้นส่วนห้องแต่งตัว ขนาดใหญ่ วัสดุปพู นื้ และผนังเป็นไม้เพือ่ ให้สอดคล้องกับ ภายนอกแต่ใช้สอี อ่ นถึงค่อนข้างขาวตามความต้องการ ของเจ้าของ และกรุผนังไม้เป็นแนวเฉียงเพือ่ ให้เกิด กราฟิกทีค่ ล้ายสามเหลีย่ มล้อกับส่วนอืน่ ๆ ห้องน้องชาย เน้นสีดำ ผนังกรุดว้ ยกระเบือ้ งสีดำปูเป็นเส้นเฉียง ห้อง ไม่ใหญ่มากแต่เปิดเป็นดับเบิล้ สเปซเพือ่ ให้ได้พนื้ ทีแ่ นว สูงทีม่ คี วามโปร่งและรับแสงได้มาก แบ่งพืน้ ทีส่ ว่ นบน เป็นห้องนอนและห้องน้ำ ส่วนด้านล่างเป็นทีท่ ำงาน ส่วนทีว่ า่ งของสเปซแนวสูงมีการขึงอวนประมงทีม่ คี วาม แข็งแรงระหว่างชัน้ เพือ่ เป็นทีน่ งั่ เล่นแต่ยงั คงความรูส้ กึ โล่งของพืน้ ที่ ทำบันไดลิงด้านในโดยสามารถปีนขึน้ -ลง จากส่วนนีห้ รือใช้บนั ไดปกติดา้ นนอกก็ได้ ส่วนผนังและ พืน้ ของพืน้ ทีภ่ ายนอกก็มกี ารปูไม้เป็นแนวเฉียงเป็น บางส่วนเพือ่ ล้อกับความเป็นมุมและเส้นเฉียงของสเปซ สามเหลีย่ ม แม้จะมีการพูดถึงมุมและเส้นจำนวนมากในดีเทล ของงานสถาปัตย์และงานอินทีเรีย แต่ความเรียบง่ายที่ สถาปนิกให้ความสำคัญก็ยงั คงถูกสร้างขึน้ ในงานนีด้ ว้ ย ดีเทลอีกเช่นกัน ทัง้ ในเรือ่ งของการคุมโทนสีของวัสดุ ต่างๆ ทีใ่ ช้ รวมไปถึงผิวผนังปูนต่างๆ ทัง้ บ้านทีท่ ำเป็น สีขาวทัง้ หมด และความพยายามในการซ่อนหน้าต่าง และประตูภายในบ้านให้ดเู สมือนเป็นส่วนหนึง่ ของผนัง ส่งผลให้สถาปนิกทำวงกบประตูเหล็กเพือ่ ลดขนาดของ กรอบให้หายไปให้มากทีส่ ดุ โดยคาดหวังทีจ่ ะให้เกิดความ รูส้ กึ เหมือนเป็นการผลักผนังเข้าไปเพือ่ ใช้งานสเปซ และ การทำหน้าต่างทีด่ เู ป็นเหมือนช่องสีเ่ หลีย่ มทีถ่ กู เจาะ จากผนัง มีกระจกและม่านสีขาวขุน่ เรียบๆ ทีส่ ามารถ เปิด-ปิดได้ ส่วนตัวสถาปัตยกรรมเอง แม้จะเป็นกล่อง สีเ่ หลีย่ มก็มกี ารปาดมุมด้านบนเพือ่ ให้เกิดเส้นเฉียงขึน้ “ข้างนอกของบ้านมันไม่ใช่กล่องเรียบๆ ตรงๆ มีการ ปาดเฉียงอยู่ สิง่ ทีผ่ มตัง้ ใจอยากให้มนั เกิด เช่น การเฉือน มุมตรงขอบดาดฟ้าทีม่ องเห็นจากเทอเรสทางขึน้ ดาดฟ้า เวลาเดินหันเข้ามาตรงส่วนนีเ้ ราก็จะเห็นท้องฟ้า ตรงนี้ ทีม่ นั ต้องปาดเพราะผมแค่จะเอาตรงนี้ (สามเหลีย่ ม หัวกลับ) เห็นท้องฟ้า ถ้าไม่ปาดก็ไม่เห็น ก็เลยออกมา เป็นเส้นเฉียง แล้วมันก็ออกมาเป็นสามเหลีย่ ม ดาดฟ้า เวลามีงานหรือแขกมาปาร์ตกี้ ข็ นึ้ มาข้างบนได้ มีการทำ เก้าอีไ้ ว้ ส่วนสกายไลท์กใ็ ช้เป็นโต๊ะได้เลย มีการคิดระยะ อะไรไว้ดว้ ย ส่วนมุมชมวิวบนดาดฟ้าตรงนีย้ กเครดิตให้ คุณพ่อเลย เพราะความทีเ่ ราเป็นนักออกแบบเราก็คดิ ว่า ฟอร์มของบ้านทีม่ นั ดูเป็นกล่องเราจะปาดมันลงข้างเดียว แต่คณุ พ่อก็บอกว่า ดูสิ วิวมันขนาดนี้ ทำเถอะอะไรสักอย่าง ก็เลยปาดสองข้างเพือ่ เปิดมุมให้เห็นวิวของเมือง ก็เลยกลายเป็นว่ามุมนีก้ ลายเป็นมุมทีเ่ ปิดเข้าหาเมือง เห็นบ้านเรือน อาคารต่างๆ แล้วก็ได้ลมด้วย” สำหรับบ้านหลังนีถ้ อื เป็นผลงานหลังแรกของ IF ที่ ออกแบบและก่อสร้างจนแล้วเสร็จ (ยังมีโปรเจ็คต์ทกี่ ำลัง ก่อสร้างอีก 2 หลัง) ซึง่ หลายๆ จุดของการทำงานก็เป็น ส่วนหนึง่ ของประสบการณ์ดา้ นสถาปัตยกรรมทีพ่ วกเขา ได้รบั ร่วมกัน ไม่วา่ จะเป็นบางดีเทลทีไ่ ม่ได้อย่างทีต่ อ้ งการ ความเป๊ะของเส้น ความเนีย๊ บของงานก่อสร้างในบางจุด การแลกเปลีย่ นความคิดเห็นและแชร์ความรูต้ ามประสบการณ์ของแต่ละคน ไปจนถึงการดีลกับลูกค้าซึง่ เป็น สมาชิกในครอบครัวของคนในทีม ซึง่ งานทีอ่ อกมาก็ ถือว่าคอนเซ็ปต์ดไี ซน์ทวี่ างไว้สามารถสะท้อนสูต่ วั สถาปัตยกรรมในเชิงของสเปซและอินทีเรียได้คอ่ นข้างชัด แม้บางดีเทลจะไม่เป็นอย่างทีต่ อ้ งการแต่กเ็ ห็นถึงความ พยายามของพวกเขา รวมถึงความสนุกทีจ่ ะคิดและสร้าง ผลงานทีต่ อบโจทย์ของผูใ้ ช้งานอย่างแท้จริง

04

04 มุมเงยเมือ่ เดินขึน้ สูช่ นั้ 3 มีการเฉือนมุมให้เห็นท้องฟ้า โดยตัดให้เห็นเป็นฟอร์ม สามเหลีย่ มลงไปกับสกายไลท์ 05 ช่องบันไดเปิดเป็นสเปซ แนวสูงด้วยฟอร์มของ สามเหลีย่ ม

05


art4d August 2013

06


70 The name, Baan Moom (Corner House) is given by the owner, who is one of the residents of the house and an architect of the design team at ‘IF’, an architecture firm of young designers and architects that has been operating for two years now. Sorakit Kitcharoenroj tells us how the idea behind the design and construction of the house derives from the desire to build a new house on the family’s old property. With the members of his family being his parents, elder brother and a younger sister, Sorakit wants to expand the functionality to answer to the growing demands for private space of each member. At the old house, the two bedrooms were shared among the members of the family, Sorakit and his brother took over one bedroom, and his parents and sister shared the other. The new house is located in adjacent to the old house with the plan to tear down one wall to create a link between the two houses after the renovation of the first house is done. The simplicity of the house’s architectural mass is materialized from the personal preference of the architect and the family members. The boxed shape building hosts several openings, which affect the physical appearance of the house’s exterior and create connectivity between inside and outside at the same time. The word ‘corner’ is conceptualized from each member’s ‘personal corner’, signifying the design of the house’s interior space where private and communal corners are used to identify the empty spaces and form a series of triangular spaces. The spacious stairway with the skylight that brings in natural light from the roof created an interesting space on the first floor. The prism-like space hollows through all the 3 floors of the house, visually opening up the 2.4-meter high ceiling space of the old house to be more spacious and comfortable. The space is further expanded with the use of large sliding glass doors and flyscreen, which can be opened to fully connect with the exterior space where a small swimming pool and garden are located. “The first floor is basically the L shaped plan, so I want this space to host the real visible indoor and outdoor connectivity, which explains the use of sliding doors. The interior wooden floor is another attempt to enhance the spatial connectivity, because it can be linked to the wooden floor outside of the house. The difference of levels you see is only mandatory, because I try to keep the indoor and outdoor spaces connected. If we open the door, even you’re sitting inside of the house, you’ll feel like you’re sitting in the garden. The same thing is applied with the other living area, if the door is opened, the entire space is automatically linked together. Everyone in my family loves nature, which is why I try to maintain the continuity and connection between the indoor and outdoor area. We discuss how to keep the space as open as possible, so that is why most of the functional areas are put on the upper floors of the house. The west side of the house is where the kitchen, restrooms are located, while bedrooms and living areas are situated to the north and the east. The reason the house is expanded vertically because we want the space to be as open as possible.” Next on to the second and third floor, the spiral staircase is triangular in shape, and used not only as the house’s circulation, ventilator and natural light source, for the simplification of rectangular form of the house with triangular space automatically creates another corner, which is used as the family’s communal area. “When we decided that it was going to be a 3-storey house, and if the design was done based entirely on functionalities, everyone would be spending time in their own private spaces. But I think a house should host both private and public space where everyone can share and spend time together. I play with the


art4d August 2013

06 มุมมองจากชัน้ ล่าง โถงนัง่ เล่น ชัน้ สอง 07 ห้องนอนของลูกชายคนที่ สองทีอ่ อกแบบพืน้ ทีเ่ ป็น double space 08 ห้องนัง่ เล่นชัน้ 2 เล่น กราฟิกกับเส้นสายของการ ปูไม้พนื้ ผนัง ด้านในผนัง เป็นพืน้ ทีเ่ ก็บของของ ครอบครัว 09 ห้องนอนของลูกชายคนโต เน้นวัสดุทมี่ โี ทนสีสว่าง และ เล่นกับการปูวสั ดุผนังเป็นลาย กราฟิกเฉียง

08

09

07

physical presence of staircase, and use it to add an interesting character to the house. It’s used as the route that connects every dweller and space of the house, and at the same time, it brings in natural light and ventilates the heat. If you look up, you can see the skylight, so we barely have to use artificial light during the day because the interior is completely lit with natural light. The heat naturally floats upwards, so it automatically gets ventilated out through the louvers, which are put around the skylight. The open plan of the first floor also enhances great ventilation. The empty spaces become the house’s communal area, while a space at the second floor is another living area. There’s a communal walk-in cabinet which is divided for everyone to keep their stuff. The third floor is like this terrace/landing thread of another staircase, which leads to the rooftop. This staircase is pretty exposed to the sunlight, so it has a nice outdoor vibe, too. Each room of the house has openings that enhance the presence of natural light and wind flow.” When looking closer into details of the spaces, we notice the architect’s consideration in the users’ personal tastes and preferences, which are interwoven into one harmonious architectural narrative. The master bedroom for the parents is designed to look simple with its seamless floor, which makes the cleaning more convenient. The dressing area is designed to be a part of the bathroom, while

mirror cabinet doors are used to maximize the space visually. The bedroom of the elder brother is designed to have a rather deep space, while the focus is put on the large dressing room. The wooden floor and walls of the room are visually harmonious with other areas of the house, while the light tone of the wood is chosen according to the room owner’s personal preference. The triangular graphic of the wall created by the detail of the woodwork is also relatable to other triangular elements of the house. The architect’s own bedroom’s rather dark color tone is spacious with the double height ceiling and welcomes in a considerable amount of light. The upper area hosts the bedroom and restroom, while the lower floor is where the working space is located. The vertical empty space is divided by a solid fishnet, which is used as the elevated living area of the room that doesn’t diminish the spaciousness of the space. Additional ladder allows the room to have access to the outdoor staircase. The exterior wooden wall and floor are cladded in diagonal lines, gimmicking the ‘corners’ and ‘diagonal lines’ of the house’s triangular space. Despite a rather bountiful presence of corners and lines of the house’s architectural details and interior, the architect still emphasizes on the simplification of details, which can be seen through the controlled color tone of the materials, the texture of the wall, and the attempt to blend the


72

10 มุมมองจากดาดฟ้าที่ สามารถมองเห็นวิวของเมือง ได้จากการเฉือนกำแพงส่วนนี้ ออกไป

10

openings (windows and doors) into a part of the wall. The details of the openings’ frames are designed to look as if they disappear into the wall, giving the impression as if the wall were sawed off to create the openable windows and doors using simple glass and white translucent curtain. The upper corner of the box-shape is cut off to create a diagonal line to the architectural mass “The corners at the rooftop is eliminated and this particular detail can be seen from the small terrace at the staircase that leads to the rooftop. If you walk up to this area you are able to see the sky, and it’s the reason I cut the corners off. The final shape turns out to be a triangle, which is great. The rooftop area can be used to host parties. We have chairs and we use the skylight as table. The range, the size and everything is thought of in advance. I have to give all the credit to my father with the rooftop space. His suggestion was that with the view that we have, we should do something that would open up the rooftop to the city’s skyline, so in order to achieve that, we eliminate the two corners of the house. The wind also flows better this way.” Baan Moom is first complete residential project by IF (there are two more projects waiting to be constructed). Several elements of the finished work are parts of the architectural experience the design team share. Nevertheless, the exchanges of ideas and the sharing of knowledge and experience, individually and collectively, including the way the team deals with the clients, who are family members of one of the architects are demonstrated throughout the project. The final outcome is satisfactory in terms of the way the concept is reflected and materialized into the house’s architectural space and interior. Although some of the details are slightly deviated from the initial intention, we see great fun in their attempt to create the work that truly answers to the users’ desired functionalities.

6

4

1 main entrance 2 dinning room 3 living room 4 home theatre 5 open kitchen 6 thai kitchen 7 outdoor deck 8 lap pool 9 lawn 10 family corner 11 master bedroom 12 master bathroom 13 working room 14 connect to old house 15 stairs hall 16 bedroom 17 hammock 18 walk-in closet 19 outdoor terrace 20 parking area 21 old house 22 new house 23 court

5 UP

14 9

8

7

2

3

1

UP

1st floor plan

1m

17 13

12

16 18

UP UP

11 10 UP UP

UP UP

14

8

16

3rd floor plan

2nd floor plan

23

15 19

22

21 20

entrance local road

Integrated Field integratedfield.com




art4d August 2013

75

Exhibition

Talk / Lecture / Conference / Seminar

Time Remapping

นิทรรศการศิลปะร่วมสมัย ‘Time Remapping’ (เรียงร้อยสภาวะเวลา) ณ 100 ต้นสน แกลเลอรี ่ ทีถ่ กู จัดสรรให้เป็นพืน้ ทีก่ ารจัดวางผลงาน โดยแบ่ง ออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ผลงานสำเร็จที่ 2 ศิลปิน อาศัยกระบวนการการกรีดน้ำยางของต้นลีลาวดี ในทีน่ ผี้ เู้ ขียนขอใช้ชอื่ ‘ลัน่ ทม’ อันเป็นชือ่ ดัง้ เดิม Artist RyusukeKidoandWit ทีแ่ ฝงความคิดในเชิงประวัตศิ าสตร์ สิง่ แวดล้อม Pimkanchanapong ควบคูก่ บั ผลงานทีเ่ ปิดโอกาสให้ผชู้ มมีสว่ นกระทำ Date 25.04.2013-16.06.2013 โต้ตอบซึง่ หน้ากับผลงานทีแ่ สดงให้เห็นถึงกระบวนPlace 100TonsonGallery การของเวลา อาทิ ชัน้ การซ้อนทับและการเร่ง ความเร็วของเวลา วิชญ์กล่าวถึงปัจจัยของการ เวลาและวารีไม่เคยรอใคร (Time and tide เลือกสรรสสาร “ผมสนใจอยากจะทำเกีย่ วกับยางwait for no man) สำนวนทีผ่ สานความจริงของ ธรรมชาติและสัจธรรมทีม่ อิ าจเป็นอืน่ หากแต่ยคุ ที่ พาราซึง่ สัมพันธ์ในเรือ่ งของเศรษฐกิจและประเด็น อุตสาหกรรมและเทคโนโลยีในศตวรรษนีก้ ลายเป็น อุตสาหกรรม แต่จากผลการทดลองน้ำยางพารา อวัยวะสำคัญในการขับเคลือ่ นมนุษยชาติ ความ- ไม่สามารถส่งผลลัพธ์ได้อย่างทีต่ อ้ งการ (ยางตาย) เนือ่ งจากน้ำยางมีอายุของมัน ซึง่ ไม่เหมือนกับ จริงแท้หลายประการจึงถูกท้าทาย แม้กระทัง่ น้ำยางลัน่ ทมทีจ่ ะเกาะติดได้ดกี ว่า ดังนัน้ ต้นลัน่ ทม สภาวะการแสดงเวลาหรือการตัง้ คำถามต่อการ เป็นการแก้ปญั หาเรือ่ งเทคนิค ผมจึงต้องเลือกที่ ดำรงอยูข่ องมุนษย์ สิง่ แวดล้อม ตลอดจนองค์จะเสียประเด็นบางส่วน” การเลือกสูญเสียนัยยะ ความรู้ เฉกเช่น ‘Time Remapping’ คำสัง่ การ จัดการปรับแต่งเวลาในโปรแกรมการตัดต่อภาพ ดังกล่าวน่าขบคิดอย่างยิง่ ว่าคุม้ ค่าประการใดหรือไม่? เคลือ่ นไหว คล้ายการปรับเปลีย่ นมิตขิ องเวลาให้ เช่นเดียวกับการพิจารณาวัสดุรองรับยางไม้อย่าง รวบรัดหรือขยายออกดังปรารถนาทำให้สามารถ กระจกใส กระจกเงา และแผ่นอะคริลคิ ศิลปิน พยายามทดลองเพือ่ แสวงหาความน่าจะเป็นทาง เห็นมิตอิ นื่ ๆ ของเวลา ทีไ่ ม่สามารถรับรูไ้ ด้ดว้ ย สายตาของมนุษย์ ในทางตรงกันข้ามการรวบรัด กายภาพสำหรับงานนิทรรศการครัง้ นี ้ เวลาให้สนั้ ลงเปิดเผยการเห็นมิตกิ ารก้าวล่วงของ Kido และวิชญ์ นอกจากจะมีความแตกต่างใน เวลา (ในยุคสมัยดิจติ อล) พืน้ ฐานความคิดดังกล่าว เรือ่ งของเชือ้ ชาติแล้ว ยังรวมไปถึงรสนิยมในการ สร้างสรรค์ผลงานและประสบการณ์ตอ่ ประเด็น ปรากฏผ่านงานอินสตอเลชัน่ ของ 2 ศิลปิน สิง่ แวดล้อมด้วยเช่นกัน Kido อาศัยความเชีย่ วชาญ Ryusuke Kido และวิชญ์ พิมพ์กาญจนพงศ์

Books

Film / DVD

ทางด้านทักษะการแกะสลักหินอ่อน ไม้ และสือ่ อืน่ ๆ ทีต่ อ้ งพึง่ พาความมานะ เวลา และความช่ำชองใน การสร้างสรรค์ผลงานร่วมสมัย ดังตัวอย่างผลงาน ‘Thinking in front of the desk’ ในปี 2012, ‘Form of Sin’ 2011, ‘An invisible image’ 2009, ‘Flow out’ 2008 และ ‘Draw a curve’ 2006 ตามลำดับ ทางด้านวิชญ์ ใช้ความรูค้ วามเข้าใจทางด้านสถาปัตยกรรม การออกแบบ กราฟิก และสือ่ สมัยใหม่ ทีต่ อ้ งอาศัยเทคโนโลยีหรือระบบเครือ่ งกลไก (kinetic art) มาสร้างสรรค์ผลงาน อาทิ แพลนเน็ตทรี (Planet Tree), ทะเลหมอก (Mist), ไมยราบ (My-ya-rab) และ สุรยิ -ุ ป๊ะ-หละ (Not Quite a Total Eclipse) เป็นต้น วิชญ์กล่าวถึง ความสนใจพิเศษในตัวของ Kido ไว้ดงั นี้ “ศิลปิน คนนีส้ นใจงานประเพณีนยิ ม งานฝีมอื แต่ในขณะ ทีศ่ ลิ ปินญีป่ นุ่ คนอืน่ ๆ ในรุน่ เดียวกันส่วนใหญ่ สนใจงานเชิงแนวคิดและสือ่ สมัยใหม่ ซึง่ ถือเป็น องค์ประกอบของคนญีป่ นุ่ ทัง้ ๆ ทีป่ ระเทศญีป่ นุ่ มีพนื้ ฐานทางด้านเทคโนโลยีชนั้ สูง แต่ศลิ ปินกลับ สนใจนัยยะของฝีมอื โปรเจ็คต์นเี้ ลยเชิญ Kido มา เป็นศิลปินในพำนักที่ 100 ต้นสน แกลเลอรี่ การ เชิญ Kido มาสร้างสรรค์ผลงานเป็นส่วนหนึง่ ของ โปรเจ็คต์น”ี้ ความแตกต่างทางสุนทรียศาสตร์ของ 2 ศิลปิน เชือ่ มโยงเข้าหากันภายใต้ประเด็นสิง่ แวดล้อม วิชญ์อธิบายประเด็นสิง่ แวดล้อมทีถ่ กู จุดติดในหัว ของศิลปิน จากการทีว่ ชิ ญ์ถกู เชิญไป ณ Tokyo Wonder Site ซึง่ เป็นครัง้ ทีแ่ รกทีท่ งั้ คูไ่ ด้ทำความ

Workshop

รูจ้ กั ในปี 2011 ระหว่างพำนักในญีป่ นุ่ ศิลปินได้ ไปสังเกตการณ์บรรยากาศสภาวะหลังเหตุการณ์ แผ่นดินไหวและคลืน่ สึนามิในโทโฮะกุและเซนได “ในเชิงกายภาพมันน่าอัศจรรย์มากว่ามันเกิดขึน้ ได้อย่างไร บางเมือง มันหายไปทัง้ เมือง ซึง่ มีขนาด มหาศาลมาก ผมไม่เคยเห็นอย่างนีม้ าก่อน!” วิชญ์ กล่าว การได้สมั ผัสประสบการณ์ตรงของศิลปิน ทำให้ความคิดทางสิง่ แวดล้อมถูกใคร่ครวญมากขึน้ แต่สำหรับ Kido ความสนใจในเรือ่ งของธรรมชาติ ปรากฏขึน้ ตัง้ แต่ปี 2006 โดยถ่ายทอดออกมาผ่าน วัสดุและรูปทรงธรรมชาติในงานร่วมสมัย สำหรับนิทรรศการนี้ 2 ศิลปินพัฒนาความคิด ทางสิง่ แวดล้อมจากการลงสำรวจพืน้ ทีร่ ะหว่าง ประจวบคีรขี นั ธ์ถงึ ชุมพร ดังข้ออ้างอิงข้างต้น เกิด การเปลีย่ นแปลงบางประการภายใต้บริบทของการ ผลิตและการเก็บรักษาผลงาน ศิลปินจึงเลือกรักษา และถอดความคิดบางประเด็นออก ผูเ้ ขียนถอด รหัส 3 ประเด็นหลักๆ ทัง้ ทีจ่ บั ต้องได้และความคิด เบือ้ งหลังกระบวนการสร้างสรรค์ของ 2 ศิลปิน ได้แก่ การสร้างสภาวะเวลาคูข่ นาน ความเป็นไปได้ ของเครือ่ งมือการทางศิลปะ ตลอดจนสิง่ แวดล้อม และพฤติกรรม ผูช้ มจะพบกับผลงานนามธรรมบนกระจกใส ขนาดใหญ่ทางด้านซ้ายมือซึง่ สามารถมองได้จาก ภายนอกอาคารเป็นอันดับแรก ถัดมาภายในแกลเลอรีจ่ ะมีผลงานขนาดเล็กประมาณ 40x40 เซนติเมตร จำนวน 6 ชิน้ ถูกแขวนเรียงลำดับทางด้าน ซ้ายมือ ในฝัง่ ตรงกันข้ามมีผลงานอีก 2 ชิน้ ถูกจัด


76

100 Tonson Gallery 100tonsongallery.com

David Bowie is Curator VictoriaBroackesand GeoffreyMarsh Date 23.03.2013-11.08.2013 Place VictoriaandAlbertMuseum,London Photos courtesy of VictoriaandAlbert Museum except as noted “All Art is unstable. Its meaning is not necessarily that implied by the author. There is no authoritative voice. There are only multiple readings” Quoted and signed by David Bowie (2005). This signed quote along with the captivating Striped Body Suit for the Aladdin Sane Tour designed by Kansai Yamamoto (1973) welcomes die-hard fans and curious visitors alike, to enter the exhibition and create their own readings from over 300 objects selected from the extraordinary career of David Bowie. V&A curators Victoria Broackes and Geoffrey Marsh have created an exhibition that rests between two distinct galleries and, as each visitor is handed a guidePORT system at the entrance, the intention is to create a uniquely sonic and visual spectacle. Gallery 1 examines David Bowie’s creative processes, offering insight into his early years. This display of photographs, song lyrics, recordings, costumes, video installations, personal items, fan mail, storyboard sketches, press cuttings and artworks by other artists etc.. displayed in partitioned rooms is indeed a spectacle. Beyond that, it succeeds at creating a physical sense of flicking through a sketchbook of Bowie’s creative processes. The installation Recording Booth (literally a cubical resembling a recording booth) accomplishes this as the visitor’s guidePORT automatically switches to moments (in time) when Bowie is in the recording studio, offering intrinsic glimpses of actually being present in the recording process. One is also able to follow the fluidity of ideas, energy and excitement in many other items, namely the handwritten Black Out lyrics inspired by William Burroughs’ ‘cut up’ method of writing (1977) or one of my favourites, the boldly insubordinate Union Jack Coat for Earthling Album Cover designed by Alexander McQueen in collaboration with David Bowie (1997). A blacked-out Gallery 2 is also a welcome transformation from the audio-visual hubbub, celebrating Bowie as a pioneering and influential performer. Ruthless in its selection and display, the space itself is split between four distinct sections and offers visitors the chance to spend more time with individual elements on display. At the heart of the gallery space lie gigantic projections of some of Bowie’s most ambitious music videos and performances interspersed with seats, costumes and set designs adding to the dramatic backdrop. I was charmed by priceless moments produced by visitors who would ‘get hooked on’ the captivating sounds/ visuals from the screens and immerse themselves in reverie to a time that once was. Similarly, the Red Room dedicated to Bowie’s stage/ screen filmography, successfully took you back to Bowie’s captivating performances and I for one enjoyed reminiscing over his performance as Andy Warhol in the

The David Bowie Archive 2012, V&A Images

ทีส่ อง แต่การกระตุน้ ความรูส้ กึ สมจริงดังกล่าว สะท้อนความคิดให้ผชู้ มพิจารณาการกระทำที่ มนุษย์มตี อ่ สิง่ แวดล้อมทัง้ ทางตรงและทางอ้อม “ผมเป็นเด็กเมือง ซึง่ ผลงานนีเ้ ปรียบเหมือนกับ การพูดแก้เขินแบบเด็กเมืองกับธรรมชาติ เป็นการ แสดงท่าทีกบั ธรรมชาติ” วิชญ์อธิบายเสริม จาก ปัจจัยข้อมูลข้างต้น ผูเ้ ขียนเน้น ‘สภาวะเวลา’ เป็น สำคัญของการทดลองทางศิลปะ ซึง่ ไม่เพียงแต่ กระบวนการการสร้างสรรค์เท่านัน้ หากแต่การ ตกผลึกทางความคิดทีแ่ หลมคมก็อาศัย ‘สภาวะเวลา’ เช่นกัน นอกจากการสัมภาษณ์วชิ ญ์ในประเด็นสิง่ แวดล้อมและศิลปะครัง้ นีแ้ ล้ว ผูเ้ ขียนยังได้มโี อกาสขอ ความรูซ้ งึ่ น่าจะก่อประโยชน์ให้แก่ผอู้ า่ นได้ไม่นอ้ ย ว่าด้วยการแบ่งภาคสถานะระหว่าง ‘ศลิ ปิน’ และ ‘นักออกแบบ’ “สำหรับสายดีไซน์ ผมมีโอกาส ทดสอบเทคนิค การเข้าถึงเทคนิค โดย DuckUnit จะทำหน้าทีค่ ล้ายๆ กับห้องทดลองซึง่ จากการ ทดลอง ผมสามารถทีจ่ ะนำมาใช้ในงานศิลปะได้” “ผมไม่ได้สนใจเลยว่าอันไหนเป็นศิลปะหรือ ดีไซน์ มีงานหลายๆ ชิน้ ทีท่ ำเพือ่ จุดประสงค์การ ดีไซน์กม็ ภี ณั ฑารักษ์ หรือคนในวงการศิลปะนำ ผลงานไปแสดงงาน แค่เปลีย่ นพืน้ ทีเ่ ท่านัน้ เอง ซึง่ ผมเองก็ไม่ทราบว่าจะให้คำจำกัดความอย่างไร ปัจจุบนั มันเบลอไปหมดแล้ว คือผลงานดีไซน์ก็ กลายเป็นศิลปะ หรือหลายครัง้ งานศิลปะผมก็ กลายเป็นงานดีไซน์” ผูเ้ ขียนแปลความหมาย (เรียงร้อยสภาวะเวลา) บนพืน้ ฐานของคำสัง่ โปรแกรมการตัดต่อ ภาพเคลือ่ นไหว คือการทำภาพให้เร็วหรือช้า แต่ จะสามารถควบคุมภาพให้มคี วามนิม่ นวลในการ เปลีย่ นความเร็วจากค่าหนึง่ ไปสูค่ า่ หนึง่ เปรียบ เสมือนกราฟทีม่ คี วามโค้งในรูปแบบต่างๆ สืบแสง แสงวชิระภิบาล

Sukita / The David Bowie Archive 2012

วางพิงเข้ากับฝาผนังขนาดประมาณ 140x140 เซนติเมตร กลางห้องแสดงงานผลงานศิลปะ interactive ทีอ่ าศัยปฏิสมั พันธ์ของผูช้ มจัดวาง ต้นลัน่ ทมขนาดความสูง 3 เมตรกว่าๆ บนแผ่นกระจกเงาทีก่ นิ พืน้ ทีเ่ กือบเต็มขนาดความกว้าง แกลเลอรี่ วิชญ์อธิบายว่า “ผมมักคิดงานเป็น สถาปัตยกรรมมากๆ เหมือนผมคิดเป็นตึก การจัด ลำดับเข้ามาพบห้องนีแ้ ล้วก็เคลือ่ นไปห้องถัดไป” หากพินจิ พิเคราะห์ภาพผลงานทีป่ รากฏต่อหน้า มิได้บง่ ชีเ้ ฉพาะความเป็นตัวแทนของสิง่ ใดสิง่ หนึง่ ภาพทีป่ รากฏบนแผ่นกระจกใสทัง้ หมดคือการ ร้อยเรียงจุดเล็กๆ ทีท่ บั ซ้อนกันด้วยการหยดเป็น วงกลมขนาดต่างๆ ในลักษณะท่าทีทแี่ ตกต่างกัน อย่างสิน้ เชิงให้ความรูส้ กึ ประหนึง่ การทดลองทาง วิทยาศาสตร์บนแผ่นแก้ว Microscope Slide เพือ่ วิเคราะห์หรือจำแนกสสาร ผูช้ มอาจสงสัยถึงสถานะ ของสสารซึง่ มีลกั ษณะคล้ายเมือกของเหลวกึง่ โปร่งแสงทีศ่ ลิ ปินใช้ซงึ่ ไม่ใช่เครือ่ งมือทางศิลปะ ปกติแต่อย่างใด หากได้มาจากกระบวนพิเศษ นัน่ คือ การกรีดลำต้นและกิง่ ต้นลัน่ ทมเพือ่ ให้นำ้ ยาง ไหลหยดลงบนกระจกหรือวัสดุรองรับ ในขณะที่ ใต้ฐานต้นลัน่ ทม ศิลปินได้สร้างระบบวิศวกรรมให้ ต้นไม้สามารถหมุนเคลือ่ นอย่างช้าๆ เสมือนการ เคลือ่ นไหวในการเจริญเติบโตของธรรมชาติทมี่ นุษย์ ไม่สามารถรับรูไ้ ด้ดว้ ยสายตาเปล่า ศิลปินอาศัย สภาวะ ‘เวลา’ ทัง้ จากการเคลือ่ นทีอ่ ย่างช้าๆ ของ ต้นไม้ ช่วยสร้าง ‘รูปทรง’ บนผลงานและการอาศัย ‘เวลา’ ร่องรอยทีเ่ กิดจากของเหลว น้ำยางแห้ง หมาด เปียก ในแต่ละชัน้ ทับซ้อนกันกระทัง่ ส่งผลให้ เกิดความเข้ม มันวาว และด้าน แตกต่างกันออกไป ผูช้ มมีโอกาสสัมผัสประสบการณ์ดว้ ยการร่วมปฏิสัมพันธ์กบั ผลงานของศิลปิน โดยใช้ตะขอกรีด ทีก่ งิ่ ของต้นลัน่ ทมเพือ่ ให้นำ้ ยางหยดลงบนกระจกเงา ในเชิงกายภาพ การกรีดกระทำโดยตรงทีต่ น้ ดังกล่าวจนเกิดของเหลวซึม และในท้ายทีส่ ดุ หยด ลงพืน้ ซึง่ ให้ความรูส้ กึ ไม่ตา่ งกับการกระทำความ รุนแรง ซึง่ ผูช้ มหลายท่านปฏิเสธทีจ่ ะกระทำครัง้

Duffy Archive

Views


art4d August 2013

feature film Basquiat (1996). Overall, this first international retrospective is effective in its execution, offering the kind of imagery, drama, theatrics and performances one would expect from a David Bowie retrospective. The overwhelming flow of visitors to the exhibition (though a testament to its popularity) may sometimes hinder one’s ability to consolidate personal readings with the audio-visual displays, but ultimately David Bowie’s selected oeuvre sends out a clear message; that it continues to be a stable beacon of cultural influence and pioneering creativity to this day. Arlene Wandera Victoria and Albert Museum vam.ac.uk

“ศิลปะทุกชนิดล้วนไม่คงที่ ไม่จำเป็นเสมอไป ทีค่ วามหมายของมันจะต้องมาจากผูส้ ร้างสรรค์มนั ไม่มใี ครมีอำนาจในการตีความเหนือกว่าใคร จะมี ก็แต่เพียงการตีความอันหลากหลายเท่านัน้ ” คำพูดและลายเซ็นต์โดย David Bowie (2005) คำประกาศทีม่ ลี ายเซ็นต์กำกับนีเ้ มือ่ ปรากฏพร้อม กับ Striped Body Suit for Aladdin Sane Tour อันจับตาจับใจทีม่ ี Kansai Yamamoto เป็นผู-้ ออกแบบ (1973) ดูจะดึงดูดทัง้ บรรดาแฟนพันธุแ์ ท้ และผูม้ าเยีย่ มชมทีอ่ ยากรูอ้ ยากเห็นให้เดินเข้ามา สูพ่ นื้ ทีน่ ทิ รรศการได้อย่างอุน่ หนาฝาคัง่ ก่อนที่ แต่ละคนจะเริม่ ผูกเรือ่ งราวต่างๆ ขึน้ ในแบบของ ตัวเองจากวัตถุกว่า 300 ชิน้ ทีค่ ดั สรรมาจากชีวติ การทำงานอันน่าอัศจรรย์ของ David Bowie Victoria Broackes และ Geoffrey Marsh สอง ภัณฑารักษ์ของ V&A Museum ร่วมกันจัดงาน นิทรรศการทีแ่ สดงอยูใ่ นแกลเลอรี่ 2 ห้องทีม่ คี วาม โดดเด่นต่างกันไป ผูช้ มแต่ละคนจะได้รบั แจกสิง่ ที่ เรียกว่า guidePORT system ทีท่ างเข้า โดยความ ตัง้ ใจของทัง้ คูค่ อื การสร้างประสบการณ์ภาพและ เสียงอันน่าตืน่ ตาตืน่ ใจแก่ผชู้ ม

แกลเลอรี่ 1 จะพาผูช้ มไปพบกับระบบความคิด สร้างสรรค์ของ David Bowie ทีเ่ จาะลึกเรือ่ งราว ตัง้ แต่ขวบปีแรกของอาชีพผ่านภาพถ่าย เนือ้ เพลง เทปบันทึกเสียง เสือ้ ผ้า งานวิดโี อจัดวาง ของใช้ ส่วนตัว จดหมายจากแฟนเพลง ภาพร่างสตอรี-่ บอร์ด ข่าวทีต่ ดั มาจากหนังสือพิมพ์ ผลงานศิลปะ โดยศิลปินหลากหลายคน และอืน่ ๆ อีกมากมาย ทุกอย่างถูกจัดแสดงในพืน้ ทีท่ กี่ นั้ ออกเป็นห้องๆ และควบรวมกันออกมาเป็นภาพเรือ่ งราวอันตืน่ ตา ตืน่ ใจ ยิง่ ไปกว่านัน้ ยังประสบความสำเร็จในการ สร้างการรับรูท้ างกายภาพผ่านการเปิดผ่านหน้า สเก็ตช์บคุ ทีบ่ นั ทึกกระบวนการสร้างสรรค์ของ Bowie เอาไว้ ผลงานการจัดวางทีม่ ชี อื่ ว่า Recording Booth (ซึง่ ก็คอื กล่องรูปทรงสีเ่ หลีย่ มทีห่ น้าตา ละม้ายบูธอัดเสียงจริงๆ) ช่วยให้ความตัง้ ใจทีว่ า่ สำเร็จลุลว่ งได้เป็นอย่างดีเมือ่ guidePORT ในมือ ผูเ้ ข้าชมทำหน้าทีเ่ ปลีย่ นบรรยากาศภายในบูธให้ เหมือนกับช่วงเวลาที่ Bowie ทำงานอยูใ่ นห้องอัดเสียงโดยอัตโนมัติ ทำให้เราได้เป็นส่วนหนึง่ ของ กระบวนการอัดเสียงของ David Bowie แม้เพียง เวลาแค่ชวั่ ครูก่ ต็ าม ผูช้ มยังสามารถเดินตามความ ไหลลืน่ ของความคิด พลังงาน และความน่าตืน่ เต้น ทีส่ ง่ ผ่านมาจากวัตถุสงิ่ ของต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิง่ เนือ้ เพลง Black Out ทีเ่ ขียนด้วยลายมือของ Bowie ซึง่ ได้รบั แรงบันดาลใจมาจากวิธกี ารเขียนเพลง แบบ ‘cut up’ ของ William Burroughs (1977) และ หนึง่ ในงานชิน้ โปรดของผูเ้ ขียนเองคืองานออกแบบทีซ่ า่ ส์สดุ ๆ อย่าง Union Jack Coat for Earthling Album Cover (1977) ที่ Alexander McQueen ออกแบบร่วมกับ David Bowie เอง แกลเลอรีท่ ี่ 2 ทีม่ ดื ตือ๋ ก็นบั ว่าเป็นการเปลีย่ น ผ่านจากความโกลาหลของภาพและเสียงทีเ่ กิดขึน้ ภายในแกลเลอรี่ 1 ได้ดไี ม่นอ้ ย งานในส่วนนีเ้ ป็น ส่วนทีเ่ ฉลิมฉลองความเป็น Bowie ในฐานะของ ผูแ้ สดง ผูบ้ กุ เบิก และเป็นผูท้ มี่ อี ทิ ธิพลอย่างสูงต่อ คนรุน่ หลัง การคัดสรรผลงานและการจัดแสดง ไร้ซงึ่ ความปราณีใด เพราะพืน้ ทีแ่ กลเลอรีถ่ กู แบ่ง ออกเป็น 4 ส่วนหลักๆ แต่ละส่วนเปิดโอกาสให้ผ-ู้ ชมใช้เวลากับสิง่ ทีถ่ กู นำมาจัดแสดงได้อย่างเต็มที่ ใจกลางพืน้ ทีแ่ กลเลอรี่ 2 เป็นการแสดงภาพบรรดามิวสิควิดโี อและบันทึกภาพการแสดงสดของ Bowie ทีต่ ดิ ตาตรึงใจกระจัดกระจายไปทัว่ บริเวณร่วมกับ ทีน่ งั่ เสือ้ ผ้า และการออกแบบเวทีทที่ ำหน้าทีเ่ ป็น ฉากหลังได้อย่างงดงามและเต็มไปด้วยเรือ่ งราว ผูเ้ ขียนเองก็ถกู สะกดให้ตะลึงงันไปหลายครัง้ กับ หลายช่วงเวลาทีบ่ รรดาผูช้ มทีอ่ นิ ไปกับเสียงและ ภาพอันน่าตืน่ ตาตืน่ ใจปรากฏให้เห็นทีจ่ อฉาย ก่อนจะดำดิง่ เข้าไปเป็นส่วนหนึง่ ของบทดนตรีแห่ง จินตนาการและห้วงเวลาแห่งอดีต The Red Room ให้ประสบการณ์ทคี่ ล้ายคลึงกันเพราะมันเป็นพืน้ ที่ ทีอ่ ทุ ศิ ให้ผลงานการแสดงของ Bowie ทัง้ ทีเ่ ป็น การแสดงสด ภาพยนตร์ และโทรทัศน์ทจี่ ะพาคุณ กลับไปเป็นส่วนหนึง่ ของการแสดงอันน่าหลงใหล ของเขา ผูเ้ ขียนเองก็เป็นหนึง่ ในบรรดาผูค้ นทีส่ นุกสนานไปกับการรำลึกถึงบทบาททีเ่ ขาเล่นเป็น Andy Warhol ในภาพยนตร์เรือ่ ง Basquiat (1996) โดยรวมแล้ว นิทรรศการครัง้ นีใ้ ห้ผลลัพธ์ทนี่ า่ ประทับใจไม่นอ้ ย เพราะไม่วา่ จะเป็นภาพ เรือ่ งราว และการแสดงสุดเร้าใจ ทุกอย่างทีค่ ณุ คาดหวังว่า จะได้เห็นในนิทรรศการรวมผลงานของ David Bowie ล้วนปรากฏอยูท่ นี่ ี่ ปริมาณผูเ้ ข้าชมที่ ล้นหลาม (ซึง่ ก็อาจจะเป็นข้อพิสจู น์ถงึ ความเป็น ทีน่ ยิ มของงานนิทรรศการนี)้ บางทีอาจจะเป็น อุปสรรคต่อการทีผ่ ชู้ มทีร่ วมเอาการตีความของ ตนเองเข้ากับการจัดแสดงภาพและเสียงของ นิทรรศการได้อย่างเป็นอันหนึง่ อันเดียวและแท้จริง แต่ทสี่ ดุ แล้ว ผลงานศิลปะของ David Bowie ทีไ่ ด้ รับการรคัดเลือกมาไว้ในนิทรรศการครัง้ นีน้ นั้ ก็สง่ สาส์นทีช่ ดั เจนว่าผลงานเหล่านีจ้ ะยังเป็นไฟนำทาง ของอิทธิพลทางวัฒนธรรมทีย่ งั คงลุกโชนและ เบิกทางความคิดสร้างสรรค์ตอ่ ไปอีกนาน


78

Views

DATUM:KL 2013 Lecturer RazinMahmood(RazinArchitect, Malaysia),MadhuraPrematilleke(teaM Architrave,SriLanka),MartinKlein(Morger +DettliArchitektenAG,Switzerland),Borja Ferrater(CarlosFerrater&Partners, Spain),BudimanHendropurnomo(Denton CorkerMarshall,Indonesia),Andrew Maynard(AndrewMaynardArchitectsPty Ltd,Australia),HiroshiSambuichi (SambuichiArchitects,Japan),AbdulHarris Othman(RDAHarrisArchitects,Malaysia) andRajRewal(RajRewalAssociates,India) Date21-22.06.2013 PlaceKualaLumpurConventionCentre

นับเป็นงานบรรยายทางสถาปัตยกรรมระดับ นานาชาติขนาดใหญ่ซงึ่ เป็นทีร่ อคอยของผูค้ นใน ภูมภิ าคมากทีเดียวกับงาน DATUM:KL International Design Conference ประจำปี 2013 ทีก่ รุง กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ซึง่ ในปีนเี้ ป็นการ จัดบรรยายของสถาปนิกจากประเทศมาเลเซีย และทัว่ โลก จำนวน 9 ท่าน ระหว่างวันที่ 21-22 มิถนุ ายน 2556 สำหรับปีนมี้ ธี มี ร่วมในการพูดคุย คือ ‘ARCHITECHNIQUE: Architecture + Technique’ ผูจ้ ดั มีความมุง่ หมายในการเปิดพืน้ ที่ ของการพูดคุยแลกเปลีย่ นเพือ่ ขยายขอบเขตของ คำนิยามสถาปัตยกรรมร่วมสมัยและการรับรู้ สถาปัตยกรรมทีเ่ ป็นมากกว่าสถาปัตยกรรม หรือ ‘architecture beyond architecture’ โดยใช้การ มองเรือ่ งของความสัมพันธ์ระหว่าง ‘สถาปัตยกรรม’ กับ ‘เทคโนโลยี’ เป็นกรอบแนวคิดในการ พูดคุย โดยผูจ้ ดั มองว่า ‘เทคนิค’ นัน้ ก็คอื สาขาหนึง่ ของความรู้ โดยคำว่าเทคนิคในทุกวันนีค้ รอบคลุม ความหมายถึงความชำนาญ วิธที ำ ระบบ ระเบียบ และศาสตร์ของการปฏิบตั งิ านทีซ่ บั ซ้อน ผูจ้ ดั ตัง้ ใจ คัดเลือกผูบ้ รรยายทีม่ เี ทคนิคการสร้างงานสถาปัตยกรรมทีแ่ ตกต่างกันออกไปเพือ่ มาร่วมกันเปิด พืน้ ทีใ่ นการสนทนา อย่างไรก็ตามวิทยากรทัง้ 9 ท่านนัน้ อธิบายผลงานของพวกเขาในรายละเอียดโดยอ้างอิงกลับไปทีธ่ มี ในระดับทีแ่ ตกต่าง กันไป แต่อย่างน้อยสิง่ ทีเ่ ด่นชัดจากการเข้าร่วม งาน DATUM 2013 ไม่ได้มเี พียงแค่ตรรกะชุดเดียว ในการสร้างงานสถาปัตยกรรม สถาปนิกทัง้ 9 ท่านทีถ่ กู เชิญมา ได้แก่ Razin Mahmood จาก Razin Architect ประเทศมาเลเซีย Madhura Prematilleke จาก teaM Architrave ประเทศศรีลงั กา Martin Klein จาก Morger + Dettli Architekten AG จากประเทศสวิสเซอร์แลนด์ Borja Ferrater จาก Carlos Ferrater & Partners ประเทศสเปน Budiman Hendropurnomo จาก Denton Corker Marshall สาขาประเทศอินโดนีเซีย Andrew Maynard จาก Andrew Maynard Architects Pty Ltd ประเทศออสเตรเลีย Hiroshi Sambuichi จาก Sambuichi Architects ประเทศ ญีป่ นุ่ Abdul Harris Othman จาก RDA Harris Architects ประเทศมาเลเซีย และ Raj Rewal จาก Raj Rewal Associates ประเทศอินเดีย Razin Mahmood จาก Razin Architect ประเทศมาเลเซียเริม่ การบรรยายของเขาด้วยการ ฉายภาพตัวอย่างเรือนพืน้ ถิน่ ในประเทศมาเลเซีย ทีบ่ า้ นเหล่านัน้ มีความสอดคล้องกับวิถชี วี ติ ภูม-ิ ประเทศ และภูมอิ ากาศ สามารถอยูม่ าได้เป็นร้อยๆ ปี มีภมู ปิ ญั ญาในการออกแบบ แต่ทา้ ยทีส่ ดุ มัก กลายเป็นเพียงสถานทีใ่ ห้นกั ท่องเทีย่ วมาเยีย่ มชม วิถชี วี ติ และภูมปิ ญั ญาในอดีต แนวคิดการสร้าง งานสถาปัตยกรรมของ Mahmood มีรากฐานจาก ความพยายามทีจ่ ะประยุกต์เอาความเป็นบ้าน

มาเลย์พนื้ ถิน่ มาใช้ในงาน โดยดึงมาใช้ในบางองค์ประกอบ เช่น การใช้ระแนงไม้ให้รม่ เงา สร้างความ เป็นส่วนตัว หาได้งา่ ยในท้องถิน่ และให้ความ กลมกลืนกับสภาพแวดล้อม Mahmood กล่าวว่า อย่างไรก็ตามอิฐและคอนกรีตได้กลายเป็น ‘วัสดุ พืน้ ถิน่ ’ สำหรับวิถชี วี ติ คนเมืองไปเสียแล้ว การ กลับไปหาวัสดุธรรมชาติ (ทีป่ จั จุบนั หาได้ยากใน ระบบอุตสาหกรรมก่อสร้าง) อาจไม่ใช่สงิ่ ทีเ่ หมาะสม ทีส่ ดุ อีกต่อไป ผลงานการออกแบบของเขาเน้น การออกแบบ site plan โดยมักมีการเว้นพืน้ ทีว่ า่ ง ให้พนื้ ทีส่ เี ขียวได้แทรกตัวหรืออยูแ่ นบชิดกับตัว อาคารอยูเ่ สมอ เน้นการใช้พนื้ ที่ semi-outdoor เพือ่ ให้คนมีทางเลือกทีจ่ ะใช้ชวี ติ อยูก่ งึ่ กลางแจ้งใน วันทีอ่ ากาศดี และเน้นการสร้างพืน้ ทีช่ านระเบียง ทีม่ กี ารให้รม่ เงาเพือ่ เชือ่ มต่อพืน้ ทีภ่ ายในและ ภายนอกบ้าน Madhura Prematilleke จาก teaM Architrave ประเทศศรีลงั กา กล่าวว่าเขาสนใจและมีแนวคิด การออกแบบสถาปัตยกรรมทีร่ องรับความเปลีย่ นแปลงและความไม่แน่นอนของสภาพแวดล้อม มากกว่าการออกแบบเพือ่ ความแม่นยำหรือถาวร ผลงานการออกแบบบ้านพักอาศัยของเขาใน ประเทศศรีลงั กาให้ความสำคัญกับความเหมาะสม กับภูมอิ ากาศ และการใช้ชวี ติ กึง่ กลางแจ้งสัมผัส กับการเปลีย่ นแปลงในแต่ละช่วงเวลาของธรรมชาติ เขาทำงานร่วมกับศิลปินในหลายงาน ไม่วา่ จะเป็น จิตรกรหรือประติมากร Prematilleke ใช้การออกแบบทางภูมสิ ถาปัตยกรรม โดยการวางตำแหน่ง ต้นไม้และพืชพรรณทีเ่ หมาะสมเพือ่ เป็นเครือ่ งมือ ในการกำหนดขอบเขตพืน้ ทีใ่ ช้สอยกลางแจ้ง ภายนอกอาคาร พืน้ ทีต่ งั้ มีความสำคัญกับการ ออกแบบ สถาปัตยกรรมของเขามากทีส่ ดุ เขา ยกตัวอย่างบ้านหลังหนึง่ ทีเ่ ขาออกแบบทีก่ งิ่ ไม้ จากต้นไม้ใหญ่ของเพือ่ นบ้านยืน่ เข้ามาในพืน้ ที่ เขาจึงออกแบบรัว้ ให้มลี กั ษณะเป็นตะแกรงเพือ่ ให้ กิง่ ไม้ยงั สามารถยืน่ เข้ามาในพืน้ ทีต่ งั้ นับเป็นการ ‘ขอยืม’ สวนจากเพือ่ นบ้านเพือ่ สร้างสภาพแวดล้อมภายในทีน่ า่ สนใจ Martin Klein จาก Morger + Dettli Architekten AG จากประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เริม่ การบรรยาย

ของเขาด้วยการฉายภาพผลงานสถาปัตยกรรมใน ยุคโมเดิรน์ ต่างๆ ซึง่ เป็นแนวคิดทีท่ างบริษทั ของ เขาให้ความสำคัญอย่างเห็นได้ชดั ผลงานการ ออกแบบอาคารขนาดใหญ่หรืออาคารสูงของ Morger + Dettli Architekten AG หลายครัง้ ตัง้ อยู่ ในบริบทเมืองขนาดเล็กทีร่ ายล้อมไปด้วยอาคาร เตีย้ ๆ เขากล่าวว่าผลงานของเขาต้องผ่านประชาพิจารณ์และมักตกเป็นทีว่ พิ ากษ์วจิ ารณ์เสมอๆ ถึง ความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อม สถาปนิกอาวุโส อย่าง Raj Rewal จาก Raj Rewal Associates ประเทศอินเดียถึงกับยกมือขึน้ แสดงความเห็น ต่อผลงานการออกแบบของ Morger + Dettli Architekten AG และกล่าวด้วยถ้อยคำทีค่ อ่ นข้าง รุนแรงต่อว่าตึกสูงทีพ่ วกเขาออกแบบและตัง้ อยู่ กลางหมูบ่ า้ นเล็กๆ ว่าเป็นสิง่ ทีไ่ ม่พงึ กระทำอย่างยิง่ เพราะขาดการคำนึงถึงสภาพแวดล้อม ในส่วน ของ Klein นัน้ ได้ตอบกลับแบบใจเย็นและตัง้ คำถาม ต่อความจำเป็นในการก้าวสูอ่ นาคตทีก่ ารอยูอ่ าศัย และการใช้งานพืน้ ทีว่ า่ มีความจำเป็นทีจ่ ะต้องมี ความหนาแน่นทีม่ ากขึน้ อย่างหลีกเลีย่ งได้ยาก Borja Ferrater จาก Carlos Ferrater &

Partners ประเทศสเปน เป็นผูบ้ รรยายทีน่ า่ สนใจ ทีส่ ดุ ของงานก็วา่ ได้ ตัวเขาเองคือลูกชายคนสุดท้อง ของ Carlos Ferrater ผูก้ อ่ ตัง้ Carlos Ferrater & Partners ในส่วนของ Borja Ferrater นัน้ จบการศึกษาด้าน Biology มาก่อน จากนัน้ จึงได้ศกึ ษาต่อ ด้าน Biodigital Architecture เขาเขียนหนังสือชือ่ Synchronizing Geometry ซึง่ พิมพ์โดย ACTAR บริษทั Carlos Ferrater & Partners นัน้ ประกอบ ด้วยสมาชิกในครอบครัวของเขาหลายคนทัง้ คุณ พ่อ พีเ่ ขย และพีส่ าว แนวคิดของการสร้างงานคือ การใช้แนวคิดของสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ใน บริบทร่วมสมัย เน้นความตรงไปตรงมาและเรียบง่าย ความถ่อมตัว ความสะดวกในการใช้สอยคือ สิง่ สำคัญ สุนทรียะเกิดจากการใส่ใจในรายละเอียด ของวัสดุ แสง และเงา Borja Ferrater กล่าวเน้น ถึงความสำคัญในการทำงานร่วมกับสถาปนิกใน ท้องถิน่ และผูเ้ ชีย่ วชาญในสาขาวิชาต่างๆ เขา กล่าวว่าผลงานของเขาหากมองจากภายนอกอาจ ดูโดดเด่นและมีลกั ษณะเป็น monumental หากแต่ เมือ่ อยูใ่ นพืน้ ทีภ่ ายในแล้วนัน้ จะให้ความรูส้ กึ ที่ อบอุน่ และเป็นมิตรมากทีเดียว การสร้างงานของ


art4d August 2013

เขาอาศัย การศึกษาและวิจยั ร่วมกับผูอ้ นื่ บางครัง้ พึง่ พาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีชนั้ สูงในการ สร้างรูปทรง บางครัง้ ก็ใช้เทคโนโลยีแบบง่ายๆ Budiman Hendropurnomo จาก Denton Corker Marshall สาขาประเทศอินโดนีเซีย มี ความสนใจในการสร้างงานเชิงพาณิชย์ตา่ งๆ เช่น ห้างสรรพสินค้าและโรงแรม ผลงานของเขาโดดเด่น ในเรือ่ งของการเลือกใช้รปู ทรงเรขาคณิตทีช่ ดั เจน เขามีความสนใจในการออกแบบทีย่ งั่ ยืนโดยเขา ยึดถือความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมเท่าๆ กับ ผลประโยชน์ของลูกค้า เทคนิคทีเ่ ขาเลือกใช้ในการ ออกแบบเพือ่ ความยัง่ ยืน เช่น การเก็บน้ำฝนไว้ใช้ การออกแบบเพือ่ นำแสงธรรมชาติมาใช้สอยสูงสุด การป้องกันความร้อนเข้าสูอ่ าคาร การปลูกพืช พรรณในส่วนต่างๆ รวมถึงอาคารจอดรถ ในปี 2012 Hendropurnomo ได้รบั รางวัลสถาปนิกแห่ง ปีจาก Tempo นิตยสารจากประเทศอินโดนีเซีย Andrew Maynard จาก Andrew Maynard Architects Pty Ltd ประเทศออสเตรเลีย กล่าว เริม่ ต้นถึงบทบาทของสถาปัตยกรรมในฐานะของ กิจกรรมทางการเมือง (Political Act) เขาแบ่ง ประเภทโปรเจ็คต์ในสำนักงานของเขาเป็น 2 ส่วน คือ โปรเจ็คต์ทกี่ อ่ ให้เกิดรายได้และโปรเจ็คค์เชิง ทดลองทางความคิด และตัวเขาเองทำตัวเป็นลูกค้า โดยเขาใช้เงินจากโปรเจ็คต์ประเภทแรกสนับสนุน โปรเจ็คต์ประเภททีส่ อง ผลงานของเขาค่อนข้าง สนุก และนำเสนอแนวคิดทีแ่ หวกไปจากขนบ งาน ของเขามีสเกลค่อนข้างเล็กและให้ความรูส้ กึ เหมือนกับการออกแบบงานออกแบบผลิตภัณฑ์ อยูส่ กั หน่อย ผลงานของเขาดูสนุก ยืดหยุน่ เน้น การเคลือ่ นที่ และรองรับการปรับเปลีย่ นได้ดี ผลงานทีเ่ ขานำเสนอมีตงั้ แต่บา้ นพักอาศัยขนาดเล็ก สำหรับใช้งานจริงไปจนถึงหุน่ ยนต์ซงึ่ เป็นกลไกใน จินตนาการ ทีจ่ ะทำหน้าที่ ‘กิน’ พืน้ ทีช่ านเมืองและ เปลีย่ นถ่ายให้กลายเป็นพืน้ ทีส่ เี ขียว รวมถึงแนวคิดการออกแบบ housing ทีเ่ กิดจากการเรียงต่อ หน่วยของ container ต่างๆ เข้าด้วยกัน โดยมี แม่แรงทีใ่ ช้ยา้ ยเปลีย่ นตำแหน่งของ container นัน้ ๆ เพือ่ ให้เจ้าของห้องสามารถเปลีย่ นมุมมอง และทิวทัศน์ของบ้านได้ตามชอบใจ ผูบ้ รรยายอีกคนหนึง่ ทีน่ า่ สนใจคือ Hiroshi Sambuichi จาก Sambuichi Architects ประเทศ ญีป่ นุ่ ผลงานของเขาออกจะแตกต่างจากสถาปนิก รุน่ ใหม่ๆ รุน่ เดียวกับตัวเขาเองอยูม่ ากทีเดียว Sambuichi มีความสนใจในการทำงานของธรรมชาติเป็นอย่างมาก มากไปกว่าเพียงการออกแบบ ทีส่ อดคล้องกับภูมปิ ระเทศและภูมอิ ากาศ เขามี ความสนใจในวัฏจักรของโลก น้ำฝน และลำธาร รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ สถาปัตยกรรม และธรรมชาติ เขามองว่าสถาปัตยกรรมเป็น ส่วนหนึง่ ของโลก และสุนทรียะของผลงานของเขา เกิดขึน้ เมือ่ ระบบของธรรมชาติได้ทำงานร่วมกับ

การออกแบบของเขา ผลงาน Rokko Shidare Observatory นัน้ เป็นการออกแบบโครงสร้างทีม่ ี ลักษณะเหมือนกิง่ ก้านของต้นไม้ทรี่ องรับน้ำค้างที่ แข็งตัว นอกจากนีใ้ นงาน Inujima Seirensho Art Museum เขายังมีความสนใจในการสร้างสถาปัตยกรรมทีท่ ำให้คนเรามองเห็นการเคลือ่ นไหวของลม ในการนำเสนอการบรรยายในส่วนนี้ เขาแสดง ภาพวิดโี อของฟองสบูท่ ไี่ หล flow เข้าไปในแต่ละ ส่วนของอาคารอย่างทัว่ ถึง นอกจากนีย้ งั มีการบรรยายจาก Abdul Harris Othman จาก RDA Harris Architects ประเทศ มาเลเซีย ซึง่ Othman นัน้ ทำหน้าทีเ่ ป็น Principal Architect ให้กบั โครงการ KLCC และเป็น Architect-of-Record ของอาคาร Petronas Twin Towers โครงการอืน่ ๆ ของเขา เช่น การออกแบบ วางผัง Putrajaya เมืองใหม่อนั เป็นทีต่ งั้ หน่วยงาน บริหารส่วนต่างๆ ของประเทศมาเลเซีย จากนัน้ จึง เป็นการปิดท้ายด้วยการบรรยายของสถาปนิก อาวุโสทีส่ ดุ ในงาน Raj Rewal จาก Raj Rewal Associates ประเทศอินเดีย ผลงานการออกแบบ ของเขามีสเกลใหญ่ ทัง้ housing อาคารสำหรับ องค์กรขนาดใหญ่ตา่ งๆ ห้องสมุด สถานทูต เป็นต้น ในปี 1989 เขาได้รบั รางวัล Gold Medal จาก Indian Institute of Architects เขาเริม่ การบรรยาย ด้วยประโยคทีว่ า่ Form Follows Sun เพือ่ แสดง แนวคิดการออกแบบทีส่ อดคล้องกับสภาพแวดล้อมและสภาพทีต่ งั้ อาคาร โปรเจ็คต์ housing ของ เขาแสดงความพยายามในการออกแบบแบบ lowrise high density เพราะเขายืนยันว่าการสร้าง อาคารคอนกรีตทีผ่ งาดสูงนัน้ ไม่ใช่ทางออกเดียว ของการออกแบบ housing งานของเขาส่วนใหญ่ เป็นการเล่นกับเส้นสายและรูปทรงเรขาคณิตที่ เด่นชัด ผังมักมีความสมมาตร ดูยงิ่ ใหญ่ และเป็น ทางการ แนวทางการทำงานของผูบ้ รรยายทัง้ 9 คนนัน้ มีความแตกต่างจากกันอย่างชัดเจน ข้อดีคอื เป็นการเปิดพืน้ ทีข่ องการสนทนาทีท่ ำให้เราเห็น ความหลากหลายของการสร้างงานสถาปัตยกรรม ร่วมสมัย ในช่วงถามตอบรวมนัน้ มีคำถามทีก่ ระจัดกระจายออกไป อย่างไรก็ตามมีผยู้ กประเด็นที่ น่าสนใจของบทบาทสถาปนิกกับสังคมขึน้ มาว่า โดยเฉพาะในทวีปเอเชียทีม่ ผี คู้ นยากจนจำนวนมาก และไม่มกี ำลังพอทีจ่ ะว่าจ้างสถาปนิก บทบาทของ สถาปัตยกรรมและสถาปนิกควรเป็นอย่างไร Maynard ซึง่ เชือ่ ว่าสถาปัตยกรรมเป็นกิจกรรม ทางการเมือง กล่าวว่าเขาไม่เชือ่ ว่าสถาปนิกจะ เปลีย่ นแปลงโลกได้ แต่สถาปนิกมีไอเดียทีด่ ที ใี่ ช้ เป็นส่วนหนึง่ ในการแก้ปญั หาต่างๆ ในโลกใบนีไ้ ด้ สถาปนิกเป็นแค่กลไกเล็กๆ อันหนึง่ ทีต่ อ้ งทำงาน ร่วมกับคนอืน่ ในสังคม Othman กล่าวเสริมใน ประเด็นทีส่ อดคล้องกันว่าสถาปนิกไม่ได้อยูใ่ น ตำแหน่งของผูอ้ ำนาจในการตัดสินใจ หน้าทีน่ นั้ คือ บทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิน่ และ รัฐบาลต่างหาก Rewal เสริมว่าเห็นด้วย และมัน เป็นเรือ่ งเศร้าทีส่ งิ่ ทีส่ ถาปนิกและนักวางผังเมือง ต่างๆ มีกค็ อื แนวคิดทีด่ เี ท่านัน้ เอง เพราะแม้สถาปนิกคนหนึง่ อาจไปมีตำแหน่งใหญ่โตทางการ บริหาร เขาเหล่านัน้ ก็ไม่ได้ทำหน้าทีใ่ นหมวกของ การเป็นสถาปนิกหรือนักวางผังเมืองอีกต่อไป Hendropurnomo เสริมปิดท้ายว่ามีเพือ่ นสถาปนิก ผูร้ ว่ มงานของเขากำลังจะสมัครเป็นนักการเมือง ท้องถิน่ ซึง่ ฟังดูเหมือนเป็นแนวคิดทีด่ ี แต่ในขณะ เดียวกันเขาคิดว่าการเมืองจะเปลีย่ นเพือ่ นของเขา มากกว่าทีเ่ พือ่ นของเขาจะเปลีย่ นการเมืองได้ อย่างไรก็ดเี ขายังคงแอบมีหวังว่าแนวคิดดีๆ ต่างๆ เหล่านัน้ คงได้มปี ระโยชน์สามารถนำไปปฏิบตั เิ พือ่ สร้างการเปลีย่ นแปลงสังคมในทีส่ ดุ ได้ สุพชิ ชา โตวิวชิ ญ์ ARCHIDEX 2013 archidex.com


80

art4d August 2013

Views

The New Mathematics of Architecture AuthorJaneBurryandMarkBurry Publisher Thames&Hudson,2010 ISBN 978-0-500342-64-0

มีผรู้ ทู้ า่ นหนึง่ ได้เคยกล่าวเอาไว้วา่ หากเราจะ เปรียบเทียบความสัมพันธ์ในเชิงโครงสร้างของทุก ศาสตร์ทงั้ หมดทีม่ อี ยูบ่ นโลกใบนี ้ ย่อมเปรียบได้ กับอาคารสูงขนาดใหญ่ โดยจะมี ‘คณิตศาสตร์’ อยู่ บริเวณฐานล่างสุดของอาคารใหญ่หลังนี ้ อันเนือ่ ง มาจากคณิตศาสตร์จดั เป็นศาสตร์ขนั้ พืน้ ฐานทีจ่ ะ กลายเป็นฐานให้ศาสตร์แขนงอืน่ ด้านบน เช่น ฟิสกิ ส์ และวิทยาศาสตร์สาขาอืน่ ๆ ทีต่ อ้ งอาศัย ความรูท้ างด้านคณิตศาสตร์เป็นพืน้ ฐานในการ คำนวณทัง้ นัน้ ต่อยอดไปถึงศาสตร์ในช่วงชัน้ บน ของอาคาร ซึง่ ศาสตร์ทางด้าน ‘สถาปัตยกรรม’ ได้ ถูกจัดอยูใ่ นหมวดนีเ้ ช่นกัน และเป็นศาสตร์ทตี่ อ้ ง อาศัยองค์ความรูจ้ ากศาสตร์ในชัน้ ก่อนหน้า อย่าง คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์เป็นพืน้ ฐานอย่าง หลีกเลีย่ งไม่ได้ คณิตศาสตร์นนั้ จัดได้วา่ เป็นศาสตร์ทมี่ คี วาม สำคัญลำดับต้นๆ ในการสร้างสรรค์สถาปัตยกรรม จนถึงขนาด Le Corbusier ปรมาจารย์สถาปัตย์ ชือ่ ก้อง ยังได้เคยกล่าวยกย่องศาสตร์แขนงนีเ้ อาไว้ ว่า เป็นเสมือน ‘อาวุธของพระเจ้า’ (Weapons of The Gods) ทีใ่ ช้ในการสรรค์สร้างสิง่ ต่างๆ ใน ธรรมชาติ และหลายครัง้ หลายคราทีอ่ าวุธของ พระเจ้าชิน้ นี ้ ได้ถกู บรรดาสถาปนิกนักออกแบบ

หยิบยืมมาใช้เป็นเครือ่ งมือในการสร้างรูปฟอร์ม ของสถาปัตยกรรมและสิง่ ก่อสร้าง นับแต่อดีตถึง ปัจจุบนั ตัง้ แต่อาวุธในยุคแรกๆ อย่าง ‘เรขาคณิต แบบยูคลิด’ ทีเ่ น้นการใช้รปู ทรงเรขาคณิตบริสทุ ธิ ์ ตรงไปตรงมา เรือ่ ยมาจนถึงอาวุธชิน้ ใหม่ๆ ใน คลังแสงของพระเจ้าทีม่ รี ะบบเรขาคณิตเศษส่วน เป็นพืน้ ฐาน อันเปิดโอกาสให้ผอู้ อกแบบได้ทดลอง เล่นกับรูปทรงทีซ่ บั ซ้อนและน่าสนใจมากกว่ารูปทรงพืน้ ฐานแบบเดิมๆ ดังเช่นผลงานทุกชิน้ ทีไ่ ด้ รวบรวมไว้ภายในหนังสือ The New Mathematics of Architecture เล่มนี้ เนือ้ หาภายในเล่มกล่าวถึงพัฒนาการของ การสร้างสรรค์งานสถาปัตยกรรม ทีม่ กี ารพัฒนา ควบคูก่ บั ศาสตร์สาขาอืน่ มาโดยตลอด โดยเดิมที นัน้ เหล่าบรรดาสถาปนิกนักคิดนักฝัน อาจเคยฝัน ถึงรูปฟอร์มทีส่ วยหรู แปลกล้ำ แต่ความฝันนัน้ ก็ ต้องถูกจำกัดไว้ดว้ ยความรูท้ างด้านการคำนวณที่ ยังไปไม่ถงึ จนกระทัง่ ในปัจจุบนั นีท้ คี่ วามรูท้ างด้าน คณิตศาสตร์ได้มกี ารพัฒนาขึน้ อย่างมาก ช่วย ทลาย ‘กำแพงแห่งความเป็นไปไม่ได้’ และขยาย ‘อาณาเขตแห่งความเป็นไปได้’ ให้กว้างไกลออกไป รูปฟอร์มของอาคารในยุคหลังๆ จึงออกมาน่า- ตืน่ เต้นอย่างทีค่ นในยุคก่อนอาจคาดไม่ถงึ ผลงาน เหล่านีม้ ที งั้ ทีส่ ร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว และทีย่ งั ไม่ได้สร้าง ซึง่ ทัง้ หมดได้ถกู นำมาเรียงร้อยและ จำแนกออกเป็น 6 หมวดย่อย ทีแ่ ต่ละหมวดต่างก็ มีความน่าตืน่ ตาตืน่ ใจไม่แพ้กนั ในหมวดแรก Mathematical Surfaces and Seriality ทีไ่ ด้รวบรวมอาคารทีม่ รี ปู ทรงของพืน้ ผิว อันน่าตืน่ ตาตืน่ ใจเอาไว้ โดยแต่ละหลังได้แสดงถึง ความก้าวหน้าทางด้านการคำนวณ ทีไ่ ด้กา้ วพ้น กฎเกณฑ์ทางคณิตศาสตร์แบบดัง้ เดิมออกไปไกล ผลงานชิน้ เด่นๆ ในหมวดนีป้ ระกอบด้วย Australian Wildlife Health Centre ผลงานการออกแบบ ของ Minifie Nixon ทีโ่ ดดเด่นทัง้ ในส่วนของหลังคา ทรงโค้งขนาดใหญ่ อาคารสถานีรถไฟ Main Station Stuttgart โดย Ingenhoven Architects ที่

นำโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กมาบิดโค้งได้อย่าง น่าอัศจรรย์ นอกจากนีย้ งั มีผลงานชิน้ เอกของยอด นักออกแบบระดับปรมาจารย์อย่าง Antoni Gaudí จากผลงาน Sagrada Família และ Frank Gehry จากผลงาน Walt Disney Concert Hall รวมอยูใ่ น หมวดนีด้ ว้ ย หมวดที ่ 2 Chaos, Complexity, Emergence กล่าวถึงความสับสนและไร้ระเบียบของคณิตศาสตร์ สมัยใหม่ ทีก่ ลายเป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการ สร้างงานสถาปัตยกรรม อย่างเช่น Federation Square โดย Lab Architecture Studio ทีต่ วั อาคาร ประกอบขึน้ จากโครงสร้างเหล็กอันวุน่ วายและซับซ้อน และ Louvre Abu Dhabi ของ Jean Nouvel ทีแ่ สดงให้เห็นถึงกระบวนการคำนวณทีซ่ บั ซ้อน แต่ตงั้ อยูบ่ นพืน้ ฐานของรูปทรงทางคณิตศาสตร์ มาถึงหมวดที ่ 3 ภายในหมวดนีจ้ ะกล่าวถึง อาคารทีไ่ ด้แรงบันดาลใจจากรูปทรงทางเรขาคณิต ทีแ่ ฝงอยูใ่ นธรรมชาติ ไม่วา่ จะเป็น รังผึง้ ลวดลาย บนผลไม้ รวมทัง้ ลายบนสัตว์หลายชนิดทีพ่ บได้ ทัว่ ไปในธรรมชาติ ลวดลายเหล่านีถ้ กู หยิบยืมมาใช้ ในการสร้างผลงาน อย่างเช่น อาคาร Water Cube อันโด่งดังแห่งมหานครปักกิง่ ผลงานของ PTW Architects ทีม่ รี ปู ทรงคล้ายกับการเกาะตัวกัน ของฟองอากาศในน้ำ อาคาร Spanish Pavilion โดย Foreign Office Architects ก็เป็นอีกอาคารทีห่ ยิบ ยืมรูปทรงของรังผึง้ มาใช้ รวมทัง้ งานทีม่ ี กลิน่ อาย ของ Deconstruction อย่าง The Spiral Extension ของ Daniel Libeskind ถัดมาเป็นหมวดที ่ 4 Optimization ทีเ่ ป็นการ ออกแบบเพือ่ เพิม่ ประสิทธิภาพของการใช้งาน ดัง้ เดิม เช่น ในชิน้ งาน Smithsonian Institution ที ่ ผูอ้ อกแบบ Foster+Partners ได้ออกแบบโครงสร้างกระจกโค้งขนาดใหญ่ทดี่ ทู นั สมัย เพือ่ คลุม พืน้ ทีร่ ะหว่างอาคารพิพธิ ภัณฑ์เดิม ช่วยเพิม่ ประสิทธิภาพในการใช้งานของพืน้ ทีน่ ี้ นอกจากนี้ ยังมีผลงาน Island City Central Park Gringrin สวนสาธารณะรูปทรงฟรีฟอร์มขนาดใหญ่ โดย

Toyo Ito ทีภ่ ายในบรรจุไว้ดว้ ยพืน้ ทีก่ จิ กรรม สำหรับชุมชน กลายเป็นแหล่งศูนย์รวมแห่งใหม่ ของเมืองฟุกโุ อกะ หมวดที ่ 5 Topology มีการนำรูปทรงทางคณิตศาสตร์ชนั้ สูง มาใช้เป็นเครือ่ งมือในการสร้างสรรค์ งาน เช่น ในชิน้ งาน Mobius House โดย UN Studio ทีไ่ ด้นำโมเดลทางคณิตศาสตร์อย่าง ‘แถบ เมอบิอสุ ’ (คล้ายกับสัญลักษณ์อนิ ฟินติ ี้ แต่เป็นเส้น 3 มิต)ิ มาสร้างเป็นรูปทรงของอาคารได้อย่างน่าสนใจ รวมทัง้ ผลงานอย่าง Mobius Bridge ของ Hakes Associates ทีห่ ยิบยืมแถบเมอบิอสุ มาใช้ ในการออกแบบรูปทรงทีบ่ ดิ โค้งของสะพานเช่นกัน หมวดสุดท้าย Datascapes and Multidimensionality ทีร่ วบรวมผลงานแนว virtual space และ ผลงานการจัดนิทรรศการ รวมทัง้ งานเชิงทดลอง ต่างๆ เอาไว้ โดยทีท่ กุ งานต่างมีแรงบันดาลใจ จากรูปทรงและวิธกี ารคำนวณทางคณิตศาสตร์เป็น พืน้ ฐาน ไม่วา่ จะเป็น Aegis Hyposurface โดย dECOi Architects, Spoorg โดย Servo รวมทัง้ Yas Hotel โรงแรมขนาดใหญ่รปู ทรงแปลกล้ำที่ ออกแบบโดย Asymtote Architecture ในท้ายเล่มยังมีการรวบรวมแนวคิด-ทฤษฎี และแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ ทีส่ ถาปนิกทัง้ หลายได้เลือกนำมาใช้ออกแบบเอาไว้ โดยสรุปเป็น คำอธิบายพร้อมภาพกราฟิกอย่างง่ายๆ ช่วยให้ เข้าใจทฤษฎีทซี่ บั ซ้อนได้อย่างไม่ยากเย็น และ ช่วยให้สามารถเข้าใจถึงกระบวนการในการสร้าง งานแต่ละชิน้ ภายในเล่มได้อย่างกระจ่างชัดมาก ยิง่ ขึน้ ทีส่ ำคัญทฤษฎีทรี่ วบรวมไว้เหล่านี ้ เป็น ‘เชือ้ ’ ชัน้ ดีสำหรับผูอ้ า่ นในการนำไปต่อยอดสร้างสรรค์เป็นชิน้ งานอืน่ ๆ ได้อกี มากมาย ผูท้ นี่ ยิ ม ชมชอบการสร้างชิน้ งานทีม่ รี ปู ร่างแปลกแหวกแนวแต่มเี หตุผลรองรับ ไม่ควรพลาดหนังสือเล่มนี้ ด้วยประการทัง้ ปวง จักรสิน น้อยไร่ภมู ิ Thames & Hudson thamesandhudson.com





84

art4d August 2013

02

02AA Stools torafu.com

01

01Vessel

splinterworks.co.uk

หากคุณกำลังมองหากิจกรรมทีส่ ร้างความ ผ่อนคลาย การได้อาบน้ำหรือนอนบนเปลอาจจะ เป็นคำตอบหนึง่ แต่จะเกิดอะไรขึน้ หากเรา สามารถรวมกิจกรรมทัง้ สองอย่างนีเ้ ข้าไว้ดว้ ยกัน ล่าสุด Splinter Works สตูดโิ อออกแบบใน ลอนดอนเพิง่ ส่งผลงานล่าสุดอย่าง Vessel เปล อาบน้ำทีห่ ลอมรวมความสุขสบายของทัง้ สอง กิจกรรมไว้ดว้ ยกันเพือ่ นำเสนอประสบการณ์ แปลกใหม่ให้กบั ผูใ้ ช้ ตัวเปลมีความยาว 2.7 เมตร ทำจากวัสดุเส้นใยคาร์บอนทีล่ อยอยูเ่ หนือ พืน้ ได้ดว้ ยตัวยึดสเตนเลสทีย่ ดึ ติดกับกำแพง อย่างไรก็ตามเปลอาบน้ำอันนีย้ งั คงต้องอาศัยน้ำ จากก๊อกน้ำเสริมอยูด่ ี แค่ลองนึกถึงการก้าวลง จากเปลธรรมดาก็ดยู ากแล้ว การลงจากเปลอาบ น้ำทีท่ ำจากวัสดุทมี่ พี นื้ ผิวมันและลืน่ แบบนีย้ งิ่ ดู ยากลำบากเข้าไปใหญ่

When questioned what might be some activities that one associates with relaxation, taking a bath or being suspended on a hammock in the breeze are two scenarios that often come to mind. What if it were possible to combine both, creating the ultimate unwinding experience? Vessel is a manifestation of these two symbols of tranquility created by London-based studio, Splinter Works “to provide the ultimate vehicle for total escapism.” Attempting to create a new bathing experience, Vessel is a hammock-shaped bathtub designed for use in a wet room with the tub hovering above the drain. This arguably sculptural piece is fixed to adjacent walls with stainless steel brackets, spanning across the room at 2.7 meters, which also requires an additional standing tap to provide water, a very specific setting for a bathroom. If one could recall getting in and out of a hammock, it is far from easy. Therefore, we can expect a less than graceful exit from this sleek, hammock-shaped bathtub.

เห็นรูปแล้วไม่ตอ้ งเดาเลยว่าได้ชอื่ AA Stools มาจากไหน เจ้าสตูลตัว A เป็นอีกหนึง่ ผลงานการออกแบบผลิตภัณฑ์จากคูห่ สู ถาปนิก ชาวญีป่ นุ่ Torafu Architects และเป็นอีกครัง้ ที่ เขาร่วมมือกับทีมผลิตทีม่ คี วามโดดเด่นในการ ทำโปรดักท์ไม้กงึ่ DIY อย่าง Ishinomaki Laboratory หลังจากเคยร่วมงานกันในโปรเจ็คต์ skydeck ชุดโต๊ะขนาดเล็กพกพาสำหรับติดตัง้ บนราวกันตก ในโปรเจ็คต์นที้ มี ออกแบบนำไม้ ขนาดมาตรฐาน 2x4 นิว้ มาประกอบกันใน รูปแบบของโครงสร้างเส้นเฉียงรูปตัว A ในหนึง่ ชุดจะประกอบด้วยสตูล 2 ตัวประกบกัน (AA) เพือ่ ให้ได้ความกว้างของทีน่ งั่ ทีพ่ อเหมาะ แต่ถา้ มีแขก มีเพือ่ นมาจะอยากจับแยกเป็น 2 ตัวก็ได้ และเมือ่ นำมาต่อกันไปเรือ่ ยๆ ก็จะได้มา้ นัง่ ยาว ทีก่ ำหนดความยาวได้ตามความต้องการ AA Stools มีขนาดอยูท่ ี่ W28xD41xH56 เซนติเมตร โดยสามารถจับถอดแยกชิน้ ให้แบนราบ เพือ่ การจัดเก็บและขนส่งได้ สุดท้ายนีก้ ข็ นึ้ อยูก่ บั จินตนาการของผูใ้ ช้งานแล้วว่าจะนำเจ้าสตูลตัว A ไปใช้งานในลักษณะไหน ต่อกันยังไง ยาว แค่ไหน ไม่แน่ทำไปทำมาเราอาจจะได้เฟอร์น-ิ เจอร์ฟงั ก์ชนั่ ใหม่ทเี่ ป็นตัว M หรือ W ก็ได้นะ Following the ‘skydeck,’ a small table

made to hook onto handrails of balconies, 'AA stool' is the second item that architects duo from Torafu Architects have created in collaboration with Ishinomaki Laboratory, who is proficient in DIY wooden products. The minimal seating is made from 2x4 Canadian red cedar wood modules with legs that have been cut at a slight diagonal angle on both ends. Consisting of two stools per set, the work can standalone, be integrated together into one unit or fit together to form a wider bench unit according to the users’ needs. The stool dimensions measure in at W28xD41xH56 centimeters and the piece comes contained in a flat pack perfect for easy storage or transportation.



86

art4d August 2013

misc.Products

04Tipi tipikit.com

Tipi เซ็ตเบาะรองนัง่ ทีอ่ อกแบบโดย Laure Kasiers นักออกแบบสิง่ ทอจากเบลเยีย่ ม ผลิตภัณฑ์เซ็ตนีเ้ น้นการออกแบบทีเ่ ป็นสามมิตซิ งึ่ แตกต่างจากผลิตภัณฑ์ในคอลเล็คชัน่ เท็กซ์ไทล์ ของเธอทีอ่ อกเป็นแนวสองมิตเิ สียมากกว่า โดย ชิน้ ส่วนแต่ละชิน้ จะมาในรูปทรงเรขาคณิตที่ สามารถปรับเปลีย่ นให้เป็นทีน่ งั่ พรม ทีร่ องหลัง และอืน่ ๆ ได้อกี มากมาย จากความยืดหยุน่ ใน การใช้งานทีค่ ล้ายกับเทคนิคการพับกระดาษ หรือออริกามินเี่ องทีท่ ำให้ผใู้ ช้สามารถได้ใช้ ความคิดสร้างสรรค์และมีปฏิสมั พันธ์รว่ มกับ ผลิตภัณฑ์มากขึน้ นอกจากนีส้ เี ทาและสีเหลือง มัสตาร์ดของผลิตภัณฑ์ยงั สือ่ ถึงความอบอุน่ และ อิสรภาพ อย่างไรก็ตามผลิตภัณฑ์ชนิ้ นีก้ ย็ งั คง อยูใ่ นขัน้ ทดลองสินค้าต้นแบบของ Kasiers อยู่

Tipi is a set of modular cushions by Belgian textile designer, Laure Kasiers. This set of playful cushions was conceived as a step towards designing three-dimensional objects, a new and refreshing addition to her two-dimensional textiles collection. The modular system comes in a range of geometric shapes with fasteners allowing users to transform them into seats, a carpet, backrest or, as the name suggests, a tipi. This transformation from two-dimensional into three-dimensional objects invites creativity and interaction from its users, applying a similar logic as paper engineering or origami. The cushions are available in different shades of warm grey with an accent of mustard yellow, evoking a sense of warmth and freedom typical to Kasiers’ work. The cushions are currently in the prototyping phase.

04

03

03Semplice industrialfacility.co.uk

Sam Hecht นักออกแบบมือดีของโลก อีกรายทีม่ คี วามเชีย่ วชาญในเรือ่ งของการผสม ผสานแนวคิดเชิงอุตสาหกรรมกับความงาม ราวกับกวีได้อย่างมีคณุ ภาพ ด้วยชัน้ เชิงของ ‘ความเรียบง่าย’ ทีเ่ ป็นเอกลักษณ์ของเขามาโดย ตลอด อย่างงานนี้ แค่ชอื่ Semplice ย่อมต้อง เกีย่ วพันกับ simplicity แหงๆ โคมไฟชิน้ นี้ Hecht ออกแบบให้กบั Oluce บริษทั ผูผ้ ลิต ผลิตภัณฑ์ดา้ นไฟระดับแนวหน้าของโลก แค่ เห็นฟอร์มอย่างเดียวในแวบแรกก็รสู้ กึ ได้ถงึ ความจัดจ้านของผูอ้ อกแบบทีต่ อ้ งการฉีกรูปแบบ ของโคมไฟทัว่ ไป ด้านบนเป็นโลหะเครือ่ บสังกะสี ด้านล่างเป็นแก้วโปร่ง ทำให้ดเู หมือนเป็น ‘จานบิน’ ทีก่ ำลังลอยอยูบ่ นอากาศ ด้านบนมีตวั rotary dimmer ไว้ปรับแสงได้ตามความต้องการ มีให้เลือก 2 สี คือ สีทองแดงกับสีขาว งานสวย เรียบ ดีเทลครบเครือ่ ง การร่วมงานกันระหว่าง ผูอ้ อกแบบชาวอังกฤษกับแบรนด์ดงั สัญชาติ อิตาเลียนในครัง้ นีเ้ รียกได้วา่ สมศักดิศ์ รีทเี ดียว!

Sam Hecht is one of the world’s top product designers, masterful for his creative blend of industrial concepts and poetic aesthetics. It’s not too hard to guess that the name Semplice has something to do with the word ‘simplicity.’ Hecht designed this particular lamp for Oluce, the world’s forefront lighting manufacturer. Upon first look at the form of the lamp, we see the designer’s attempt to break away from the norm and convention of ordinary lamps. The combination of the galvanized steel and transparent blown glass reminds one of a ‘UFO’ floating in the air, with the rotary dimmer at the top of the lamp allowing for a customized level of brightness. The lamp comes in two colors, brass and white. Elegant, functional, simple; it’s everything you could ever ask for from this brilliant collaboration. The name Hecht and Oluce says it all.

05GIGS.2.GO boltgroup.com

05

เชือ่ แน่วา่ หลายๆ คนคงเคยเจอกับปัญหา Developed by Bolt Group, GIGS.2.GO is a flash drive inspired by the all too frequent เวลาออกไปประชุมนำเสนองาน แล้วมีการขอ problem that come with sharing presentaข้อมูลหรือต้องส่งไฟล์ให้กนั ทีหลัง บางทีกม็ กั tions and having to send clients huge inforจะมีอาการลืมส่ง ขนาดไฟล์ใหญ่เกินไป หรือ via email. Containing four tear-off อินเตอร์เน็ตของผูร้ บั มีปญั หาทำให้ไม่สามารถ mation tabs with a USB flash drive in each, individual ดาวน์โหลดงานได้ ปัญหาต่างๆ นานาเหล่านีน้ ำ drives can be torn off one gigabyte at a time มาซึง่ การค้นหาวิธแี ก้ไขและผลลัพธ์ทไี่ ด้คอื for easy tear-and-share use. This credit card-sized gadget is produced from recycled GIGS.2.GO โดย Bolt Group USB แฟลชpaper pulp so users can write on the tabs ไดร์ฟพกพาขนาดเท่านามบัตร ทีม่ แี ถบของ แฟลชไดร์ฟยืน่ ออกมา 4 แถบ โดยแต่ละแถบจะ directly and label the drives accordingly. มีความจุ 1 GB ซึง่ มากพอให้เราสามารถเซฟ งานให้ใครซักคนได้ทนั ทีทเี่ ขาต้องการ ตัววัสดุ หุม้ ภายนอกทำจากกระดาษรีไซเคิลทีส่ ามารถ เขียนชือ่ ไฟล์งานลงไปบนตัวแฟลชไดร์ฟได้ เมือ่ ต้องการใช้งานก็แค่ฉกี ออกมา เสียบจุบ๊ ดูดข้อมูล แล้วก็แชร์ไฟล์กนั ได้เลย ความคิดดี ใช้งา่ ย แถม ยังอีโค่แบบนีใ้ ห้ 3 คำเลยว่า รักนะจุบ๊ (จุบ๊ )



88

art4d August 2013

MC7015-01

06

Elastomeric closer materialconnexion.com

แผ่นล็อกยางทีท่ ำจากยางโพลิเมอร์ 100% ผิวเรียบลืน่ สามารถใช้แทนระบบตะขอเกีย่ วหรือ ห่วงยึดได้ วัสดุโปร่งนีท้ ำความสะอาดง่ายและ ระบายอากาศได้ดี แต่เมือ่ ผนึกปิดแล้วจะกันน้ำผ่านได้ วัสดุนอี้ อ่ นตัวดีเยีย่ ม มีความบาง เกาะ ยึดกับตัวเองได้ (เป็นล็อกตัวผูแ้ ละตัวเมียในชิน้ เดียวกัน) ทำความสะอาดง่าย เนือ้ นุม่ ไม่ทำให้ เกิดเสียง และทนทาน ผลิตด้วยกระบวนการฉีด ขึน้ รูปโพลิเมอร์ในแม่พมิ พ์ปกติ สามารถขึน้ รูป ให้เป็นกลไกการยึดเกาะของชิน้ งานไปพร้อมกับ ขึน้ รูปชิน้ งานนัน้ ได้ รวมทัง้ ขึน้ รูปซ้อนลงไปบน สิง่ ทอให้เป็นซิปทีไ่ ม่เหมือนใครโดยอาศัยกลไก เลือ่ นทีเ่ พิม่ เติมขึน้ มา ทำสีได้ไม่จำกัด ทัง้ ในแบบ รูเจาะสีเ่ หลีย่ มและแบบทแยงมุม เหมาะสำหรับ ทำอุปกรณ์กลัดติดเครือ่ งแต่งกาย รองเท้า ชุดชัน้ ใน อุปกรณ์นริ ภัย ถุง กระเป๋าเดินทาง อุปกรณ์ และชุดกีฬา อุปกรณ์และชุดสวมใส่กลางแจ้ง สายนาฬิกาข้อมือ กำไล ผ้าห่อของ อุปกรณ์ ศัลยกรรมออร์โทพีดกิ ส์และอวัยวะเทียม งานด้านการทหาร การขนส่ง และบรรจุภณั ฑ์

MC5321-02

Flame resistant & Anti-stat fabric materialconnexion.com

ผ้ากันไฟและกันไฟฟ้าสถิตสีสะท้อนแสง ประกอบด้วยเส้นใยโมดาคริลกิ พารา-อารามิด และ nega-stat® เป็นผ้าสีสะท้อนแสงชนิดแรก ทีม่ คี ณุ สมบัตปิ อ้ งกันการสะสมไฟฟ้าสถิตซึง่ อาจ ทำให้กา๊ ซทีต่ ดิ ไฟง่ายเกิดการลุกไหม้ขนึ้ ได้ วัสดุ นีไ้ ม่หลอมและหยดตัวเมือ่ สัมผัสกับเปลวไฟ เส้นด้ายผสมทีม่ ปี ระสิทธภาพสูงจะถูกทอหรือถัก ให้เป็นผืนผ้าก่อนนำไปย้อมและทำผิว มีสใี ห้ เลือก ได้แก่ สีเหลือง เขียวสะท้อนแสง และสีสม้ ได้รบั มาตรฐานผลิตภัณฑ์ทมี่ องเห็นได้ชดั เจน สำหรับใช้กบั เครือ่ งแต่งกายและเครือ่ งสวมศีรษะ สามารถกันไฟลามตามมาตรฐานสิง่ ทอสำหรับ ผูป้ ฏิบตั งิ านด้านไฟฟ้า และมีคณุ สมบัตติ า้ นทาน ไฟฟ้าสถิต เหมาะสำหรับทำผลิตภัณฑ์สงิ่ ทอหรือ ชุดนิรภัยในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ไฟฟ้า ก๊าซ ธรรมชาติ การทำถนน การก่อสร้างอาคารและ กระบวนการผลิตต่างๆ

07

Stainless Damascus Steel materialconnexion.com

แผ่นเหล็กลายน้ำ แท่งเหล็กกล้าไร้สนิมทัง้ แบบกลมและแบนทีล่ วดลายบนพืน้ ผิวแสดงให้ เห็นโครงสร้างภายในวัสดุลกั ษณะเดียวกับเหล็ก ลายน้ำ Damascus Steel ทีใ่ ช้ทำอาวุธสมัยโบราณ แต่ใช้กรรมวิธกี ารผลิตแบบสมัยใหม่ซงึ่ ทำให้วสั ดุมคี วามแข็งสูง การรับแรง ณ จุดแตกหักได้สงู ทนการสึกกร่อนได้ดกี ว่าเหล็กกล้า ทัว่ ไป เนือ้ เหล็กกล้าจะมีแคปซูลทีบ่ รรจุผงวัสดุ ทีแ่ ข็งตัวเร็ว (RSP) แทรกตัวอยูซ่ งึ่ จะถูกเชือ่ ม ติดกันภายใต้ความดันสูงในเครือ่ งอัดแบบ Hot Isostatic Press ผงวัสดุดงั กล่าวจะถูกอัดเป็น แผ่นพร้อมสำหรับการขึน้ รูปด้วยความร้อน โดย ชัน้ โลหะจะถูกวางในแนวขนานเป็นรูปวงกลม ซ้อนกัน หรือเป็นวงแหวนหลายๆ วง ซึง่ สามารถ นำไปทำให้เกิดลวดลายทีแ่ ตกต่างกันโดยการตัด เจาะ และการตี (โดยวิธรี ดี ลูกกลิง้ ตีขนึ้ รูป อัด รีด กดอัด และการบิด) ปัจจุบนั มีลวดลายให้ เลือกมากกว่า 10 แบบ ทีจ่ ดั วางองค์ประกอบ ลวดลายวงแหวน ลายปม ลายคลืน่ ลายก้างปลา และลายอิสระ ได้ทวั่ ทัง้ แผ่น รวมทัง้ สามารถสัง่ ทำลวดลายพิเศษได้ วัสดุมี 4 เกรดให้เลือก (เหล็กกล้าออสเทนิตกิ เหล็กกล้ามาร์เทนซิตกิ ลำกล้องปืนเหล็กไร้สนิม และลำกล้องปืนเหล็ก ไร้สนิมชนิดอัลลอยต่ำ) ซึง่ เหมาะกับการใช้งาน เฉพาะด้าน มีจำหน่ายทัง้ แบบแท่งกลม ท่อกลวง และแผ่นแบน เหมาะสำหรับทำด้ามและใบมีด กรรไกร ดาบ อุปกรณ์ในครัว ถาด อุปกรณ์กฬี า เช่น ไม้กอล์ฟ คันเบ็ด ปืน รองเท้าสเก็ต รวม ทัง้ จานเหล็กกล้าไร้สนิม นาฬิกา และเครือ่ งประดับ

Round and flat stainless steel bars with a decorative pattern on the surface which reflects the material’s inner structure. This material mimics the ancient tradition of ‘Damascus Steel’ using modern manufacturing processes ensuring the material has a high-hardness, high fracture strength, and corrosion resistance compared to conventional steels. Rapidly solidified powder materials (RSP) are placed in layers in a steel capsule and welded together under high pressure in a hot isostatic press. The powders are compressed into a billet ready for further hotworking. The layers of metal are oriented in a parallel direction, as concentric circles, or as many small rings and can be manipulated into a number of different patterns through cutting, coining and forging (rolling, shaping, extrusion, compressing and twisting). Currently over ten different patterns are offered with ring, knot, wavy, zig zag, and irregular design elements throughout, however any pattern can be customized. This material is available in four different grades (austenitic, martensitic, stainless gun barrel steel and gun barrel low alloy steel), each for specific applications. Applications include handles and blades for knives, scissors, swords, kitchen utensils, flatware, sporting goods (golf clubs, fishing poles, guns, skate blades) and stainless steel dishes, watches and jewelry.

High-visibility and flame-resistant woven and knitted mesh fabrics composed of modacrylic, para-aramid and nega-stat® fibers. This is the first high visibility fabric which helps to prevent the build-up of static electricity in order to prevent the ignition of flammable gases which have a low ignition or flash point. This material will not melt or drip when in contact with a flame. The high performance blended yarns are woven or knitted into fabric, then dyed and finished. The fabric is available in fluorescent yellow/green and safety orange colors. This material meets standards for High-Visibility Apparel and Headwear, Flame Resistant Textile Materials for Electrical Workers and Anti-static Properties Potential applications include safety apparel or textile products for the petrochemical, electrical, natural gas, roadwork, construction and manufacturing industries.

MC2567-06

100% elastomeric, ‘non-grabbing’ polymer closure that is an alternative to hook and loop fasteners. The open-matrix structure allows for easy cleaning and ventilation or becomes impermeable to water when closed. This closure has high flexibility, a low-profile, is self-engaging (hermaphroditic), self-cleaning, soft, silent and durable. The polymer is injection molded, using a simple molding process. It may be integrally molded as a fastening zone within a larger component, or it may be overmolded onto an open weave fabric, an optional slide mechanism can provide a unique geometric ‘zipper’. Any color is available in either a quadrille or diagonal shaped closure. Applications include closures for apparel, footwear, undergarments, safety gear, bags and luggage, sports equipment and clothing, outdoor apparel and equipment, watchbands, bracelets, wraps, orthopedic/prosthetic equipment, military uses, transportation and packaging.

08

photos courtesy of Material Connex xion® Bangkok, TCDC

misc.Materials



90

art4d August 2013

misc.Books Made in Japan

เมือ่ เห็นทีต่ กั ขาวของ Marna บนปกหนังสือ ‘Made in Japan’ ทีถ่ กู ออกแบบใหตงั้ ได โดย ตัวทีต่ กั บางๆ นัน้ ก็ทำใหขา วไมเสียรสชาติและ ผิวสัมผัส ก็ทำใหเรานึกถึงโปรดักทคณุ ภาพดีทใี่ ช ในพืน้ ทีเ่ ล็กๆ และคำวา ‘monozukuri’ (mono = สิง่ ตางๆ zukuri = การสราง) ที่ Naomi Pollock (สถาปนิกชาวอเมริกนั ทีเ่ บสในญีป่ นุ ซึง่ ทำงาน ทัง้ การเปนคิวเรเตอรและนักเขียน) ไดอา งถึงใน หนังสือเลมนี้ การผสมผสานระหวางเทคโนโลยี และความงามทางวัฒนธรรมซึง่ เห็นไดจากโปรดักท 100 ชิน้ ทีถ่ กู เลือกมา ทัง้ งานทีด่ เู ปนญีป่ นุ แบบวัฒนธรรม งานเรียบๆ แตดมู อี ะไรมากกวา ทีค่ ดิ ไปจนถึงงานดีไซนจา ๆ สีสนั ฉูดฉาด ซึง่ ตัวผูเ ขียนเองก็ใชประสบการณกวา 24 ปทเี่ ธอ เขียนเกีย่ วกับสถาปตยกรรมและงานออกแบบใน ญีป่ นุ คัดสรรผลงานของนักออกแบบชาวญีป่ นุ ที่ นาสนใจขึน้ มานำเสนอในเลม ผลงานทัง้ หมด ไมเพียงแตจะบอกเลาถึงงานออกแบบในญีป่ นุ แตยงั ทำใหเราเห็นภาพความมีประสิทธิภาพทาง นวัตกรรมของญีป่ นุ ในการใชงานไดอยางเต็มทีใ่ น พืน้ ทีท่ มี่ แี ละยังแกปญ หาของพืน้ ทีท่ จี่ ำกัด และ ในขณะเดียวกันสิง่ ของเหลานีย้ งั บอกเลาเรือ่ งราว ของญีป่ นุ และวิถชี วี ติ ของผูค นทีน่ นั่ ใหกบั เราดวย The standing Rice Scoop by Marna on the cover of ‘Made in Japan’ is designed to be free-standing and the ultra thin paddle scoops easily through the rice without ruining its taste or texture. This product is a cover-worthy representation of the range of good quality products referencing the word ‘monozukuri’ (mono = things, zukuri = the act of making) which Naomi Pollock (Tokyo-based American architect, curator and writer) has collected in this book. A fusion of new technology and traditional aesthetics is visible in most of the chosen 100 objects, from those that appear more traditionally Japanese to the minimal designs that do much more than they look to as well as the really colorful and contemporary products that answer to the need for eyecandy as well function. The author has spent more than 24 years writing about Japanese architecture and design and has drawn from this extensive experience to curate the collection of products in this book. The results provide readers with not only a story of Japanese design, but also illustrate Japan's innovative ability to make full use of available space and successfully solve problems of spatial shortages. At the same time, these objects somehow tell us a story of Japan, and how its people live.

Vanke Liangzhu New Town

02

Nordic Light: Modern Scandinavian Architecture

หากหลับตานึกถึงดินแดนสักแหงทีส่ วยงาม ราวความฝน ภาพแหงธรรมชาติ ทองฟา ผืนน้ำ ทีส่ วยใสคงปรากฏเดนชัดขึน้ มา หากไมนบั ปราสาท หรือพระราชวังในนิยายทีเ่ ผลอนึกถึงกันแลว ก็คง เปนความงามจากธรรมชาตินแี่ หละทีต่ ราตรึงใจ ใครหลายๆ คน ซึง่ คงจะไมผดิ อะไรถาบอกวาหนึง่ ในดินแดนทีธ่ รรมชาติมเี สนหส วยงามแบบทีเ่ รา วาดฝนกันนัน้ จะมีประเทศแถบสแกนดิเนเวีย (หรือกลุม ประเทศนอรดกิ ) นำมาในความคิดเปน อันดับตนๆ ดวยลักษณะภูมปิ ระเทศและภูมอิ ากาศทีม่ ี เอกลักษณเฉพาะตัว ทำใหองคประกอบทางธรรมชาติทเี่ กิดขึน้ ในภูมภิ าคนีม้ คี วามแตกตางและมี ความพิเศษแตกตางออกไปจากภูมภิ าคอืน่ ๆ โดย เฉพาะสิง่ ทีห่ นังสือเลมนีโ้ ฟกัสคือเรือ่ งของแสงธรรมชาติทมี่ คี วามนาสนใจในเรือ่ งของวันเวลา ฤดูกาล อุณหภูมิ รวมไปถึงแสงและเงาทีเ่ กิดขึน้ เมือ่ กระทบกับอาคาร ซึง่ ไดรบั การพิสจู นใหเห็น มาแลวจากงานสถาปตยกรรมระดับคลาสสิคโดย Alvar Aalto, Arne Jacobsen และอีกหลายๆ คนทีถ่ กู ยกมาประกอบบทความในเลม เนือ้ หาจะ ถูกแบงแยกตามลักษณะแสงตางๆ ทีเ่ กิดขึน้ ใน ภูมภิ าคนี้ มีทงั้ บทความทีพ่ ดู อางอิงถึงผลงานใน อดีตและผลงานสมัยใหมทถี่ กู คัดเลือกนำมารวม เขาไวดว ยกัน ซึง่ ถาใครสนใจเรือ่ งของแสงกับงาน สถาปตยกรรมมาโดยตลอดนาจะคุน ชือ่ ของผูเ ขียน อยาง Henry Plummer เปนอยางดี ซึง่ เขาถือวา มีประสบการณในเรือ่ งของแสงภายในงานสถาปตยกรรมมากพอสมควรเลยทีเดียว (จากหนังสือ เลมอืน่ ๆ ของเขา เชน The Architecture of Natural Light 2009, Light In Japanese Architecture 1995, Poetics of Light 1987) อาคาร ทัง้ หมดจากสถาปตยกรรมยุคคลาสสิคมาสูส ถาปตยกรรมโมเดิรน รวมสมัย ภายใตเงือ่ นไขของ แสงธรรมชาติทคี่ ลายกัน มีเสนหเ หมือนๆ กัน ผานเรือ่ งราวและภาพสวยๆ ของดินแดนเสมือน ฝนนี้ Nordic Light แสดงใหเห็นถึงเสนหข อง สถาปตยกรรมในภูมภิ าคสแกนดิเนเวีย ทีไ่ มเพียง พัฒนาในเรือ่ งของการออกแบบอาคาร แตยงั คง คำนึงถึงเอกลักษณและความสวยงามของบริบท จากธรรมชาติโดยรอบทีต่ นเองมีอยูแ ลวดวยเชนกัน 01 Made in Japan: 100 New Products Naomi Pollock (Author), Reiko Sudo (Foreword) Merrell Publishers, 2012 Hardcover, 1.1x7.9x10 inches, 240 pages ISBN 978-1-858945-62-0 merrellpublishers.com

Nordic Light: Modern Scandinavian Architecture Henry Plummer (Author) Thames & Hudson, 2012) Hardcover,11.3x10.6x1.2 inches, 256 pages ISBN 978-0-500342-75-6 thamesandhudson.com

Close your eyes and imagine a place, beautiful as a dreamscape where nature, sky and crystal blue water complement each other in a sublime presence. Apart from the astounding architectural creations, equally or even more captivating is the beauty of nature. And of all the places in the world, Scandinavia is at the top of the list as one of the lands that host spectacular dreamlike landscapes that many people fantasize about. With its unique geographical conditions and climate, the Nordic countries are the home of various magical natural compositions and phenomena. Specifically presented in this book are stories of natural light, and its unique presence that varies according to the region’s time, seasons, and temperatures as well as the interactions between light, shadow and architecture. The classic architectural creations by Alvar Aalto, Arne Jacobsen and others are the testaments of that profound relationship. The contents of the book are divided according to the characteristics of natural light found within the region. Included in the book is a collection of articles that assemble and reference many interesting projects from past to present. For those who have always had a keen interest in light and architecture, the author Henry Plummer is no stranger to the subject, especially with his impressive track records (his past works are such as The Architecture of Natural Light 2009, Light In Japanese Architecture 1995, Poetics Of Light 1987). The buildings selected for the book vary from classic to modern, each situated under the same regional climate and natural light, and all uniquely charming. With the beautiful stories and images, Nordic Light captures the prepossessing beauty of Scandinavian architecture that has evolved not only in its design, but the identity and aesthetic derived from the unique natural context of its surrounding.

อาจมีหลายอยางในโครงการเมืองใหมนที้ ที่ ำ ใหคณุ ตองอึง้ เชน ขอควรปฏิบตั ิ 26 ขอสำหรับ ผูอ ยูอ าศัยทีถ่ กู สลักอยูบ นแผนโลหะ แตหากมอง ลึกลงไปจริงๆ แลวโปรเจ็คต Liangzhu New Town นีถ้ อื วาถูกออกแบบขึน้ บนพืน้ ฐานของ จิตสำนึกทางสังคมทีใ่ ชไดทเี ดียว อยางนอยก็ยงั ดีกวาบริษทั อสังหาริมทรัพยบา นเราหลายแหงที่ ขยันสรางคอนโดนาเบือ่ ๆ ในแถบชานเมืองและ ตางจังหวัดกันซะเหลือเกิน เดิมทีโปรเจ็คตนเี้ ปนโครงการทีอ่ ยูอ าศัยทีไ่ ด รับการพัฒนาโดย Nandu บริษทั อสังหาริมทรัพย จีนทีส่ รางและปลอยโครงการทิง้ ไว จะวาไปหาก โปรเจ็คตนตี้ งั้ อยูใ นประเทศแถบตะวันตกก็คงจะ ไมมใี ครใหความสนใจ แตการเลียนแบบบานสไตล ตะวันตกนีด้ เู หมือนวาพอจะใหอภัยไดในประเทศจีน เนือ่ งจากยังมีโครงการอืน่ ๆ ทีแ่ ยกวานัน้ อีกมาก โปรเจ็คตทสี่ รางไมเสร็จนีถ้ กู สงตอใหกบั บริษทั Vanke และการทีไ่ ด David Chipperfield มา รวมรับผิดชอบในการออกแบบพิพธิ ภัณฑ Liangzhu แลวยังออกแบบกลุม บานอยูอ าศัย Heronshire East ในโครงการดวย ก็ทำใหโปรเจ็คต นีด้ เู ปดกวางมากขึน้ ทีร่ บั เอาแนวทางการออกแบบ แบบอนุรกั ษนยิ มและแบบรวมสมัยมาผสมผสาน กัน การที่ Liangzhu New Town เปนโครงการที่ มีความหนาแนนนอยและมีพนื้ ทีส่ เี ขียวมากแสดง ใหเห็นถึงแนวคิดทีต่ รงกันขามกับโครงการพัฒนา ทีด่ นิ อืน่ ๆ ในจีนทีเ่ ต็มไปดวยอาคารพักอาศัยแบบ ตึกสูง นอกจากนัน้ การพยายามสรางสิง่ อำนวย ความสะดวกตางๆ ใหกบั ผูอ ยูอ าศัยในโครงการยัง เปนตัวอยางทีด่ แี ละเปนทางเลือกใหกบั นักพัฒนา โครงการทีม่ คี วามรับผิดชอบตอสังคมอีกดวย

There are some things in this project that might make you cringe, like the 26 articles of good conduct immortalized on metal, but to go by its core ideas and ambitions, this project looks far more socially-minded and progressive than anything Thailand’s developers are coming up with, especially as they expand out en masse from the capital to erect one bland condominium after another in our provinces. Liangzhu New Town - originally developed and abandoned by Chinese real estate developer Nandu and later taken up by Vanke - would perhaps be dismissed offhand had it been implemented in the West. Yet its fauxEuropean villas and houses can be forgiven in China because there are far too many worse alternatives around. And with David Chipperfield Architects responsible for the Liangzhu Museum and Heronshire East housing blocks, the project is broad-minded enough to include a mixture of contemporary and conservative. Liangzhu New Town's relatively low density and abundance of greenery are a statement against the breathless construction of residential tower blocks across the country; while its commitment to providing public facilities beyond the mere minimum offers an alternative model for developers with any inkling of social responsibility.

03 Vanke Liangzhu New Town Jun Hashimoto (Editor) Shinkenchiku-sha, 2013 176 pages, 297x221 mm. ISBN 978-4-786902-46-8 japlusu.com



92

art4d August 2013

misc.Date

SYS Student Design Contest 2013 Deadline 30.09.2013 syssteel.com

Siam Yamato Steel ขอเชิญนิสติ นักศึกษา คณะ สถาปัตยกรรมศาสตร์ทศี่ กึ ษาอยูในระดับอุดมศึกษา ร่วมประกวดออกแบบสถาปัตยกรรมโครงสร้างเหล็ก ประจำปี 2556 โดยไม่จาํ กัดรูปแบบในการแสดง แนวความคิด ผลงานออกแบบต้องมีความสวยงาม แสดงศักยภาพเอกลักษณ์เฉพาะตัวของโครงสร้าง เหล็ก และสามารถนําไปก่อสร้างได้จริง Siam Yamato Steel would like to invite architectural students to participate in the SYS Student Design Contest 2013, with the purpose of highlighting the potential of steel as well as usage knowledge of this material to create prominent and diverse architectural works.

World Architecture Festival 2013 02-04.10. 2013 Marina Bay Sands, Singapore worldarchitecturefestival.com

ทำหน้าทีก่ รรมการในการตัดสินประกอบไปด้วย Naoto Fukasawa, Kenya Hara, Chang Yung Ho, Wang Shu, Liu Zhizhi, Alan Chan, Ray Chen, Jasper Morrison, Hartmut Esslinger และ Wenhsin Wang

After five years, MUJI will once again be holding an international competition for the MUJI AWARD. The theme for this year’s awards will be ‘Long Lasting Design for Living.’ MUJI is looking for designs suited to a modern lifestyle that incorporate the wisdom of past traditions as well as a view of longevity, ultimately resulting in designs that could exist for the next 10, 50, or even 100 years. Competition Juries include Naoto Fukasawa, Kenya Hara, Chang Yung Ho, Wang Shu, Liu Zhizhi, Alan Chan, Ray Chen, Jasper Morrison, Hartmut Esslinger and Wenhsin Wang.

กลับมาอีกครัง้ กับงานใหญ่ประจำปีของวงการสถาปัตยกรรมโลกอย่าง World Architecture Festival ทีย่ งั คงความน่าสนใจด้วยกิจกรรมทัง้ นิทรรศการ แสดงผลงานทางสถาปัตยกรรมและสัมมนาโดย สถาปนิกระดับแม่เหล็กจากทัว่ โลก อาทิ Sou Fujimoto, Kong Jian Yu, Stefan Behnisch และ Creativities Unfold, Bangkok 2013 Jo Noero ฯลฯ The World Architecture Festival 2013 program includes a series of exhibitions, keynote addresses, presentations and seminars delivered by an international line-up of participants including Sou Fujimoto, Kong Jian Yu, Stefan Behnisch and Jo Noero.

01.08.2013 - 09.09.2013 Thailand Creative & Design Center, SCALA Theatre cu-tcdc.com

In Amsterdam with Chavalit Soem-prungsuk

ขอเชิญผูส้ นใจเข้าร่วมในงานชุมนุมทางความคิด Creativities Unfold ทีจ่ ะเปิดมุมมองทางธุรกิจที่ แตกต่างด้วยกระบวนการคิดแบบรอบด้านกับนัก ออกแบบจากหลากหลายสาขากับ 4 กิจกรรมหลัก Creative Space Workshop, International WorkMUJI AWARD 04 shop, Networking Session และไฮไลท์ของทุกปี Deadline 31.10.2013 อย่าง International Symposium ทีม่ นี กั ออกแบบ award.muji.net และนักคิด อาทิ Naoto Fukasawa, Yoon C. Lee, ขอเชิญผูส้ นใจส่งผลงานเข้าร่วมในโครงการประกวด Marc Stickdorn และ Don Tae Lee มาร่วมใน แบบ MUJI AWARDS ครัง้ ที่ 4 ภายใต้ธมี Long การบรรยาย ‘Creativities Unfold’ is the event that introLasting Design for Living โดยมีจดุ ประสงค์เพือ่ ค้นหางานออกแบบทีเ่ หมาะกับชีวติ ในยุคปัจจุบนั ที่ duces new business opportunities where can be used and applied. The sympoผสานเข้ากับภูมปิ ญั ญาในอดีตและเป็นผลงานทีอ่ ยู่ design sium activities include Creative Space Workเหนือกาลเวลาไม่วา่ จะผ่านไปกีป่ กี ต็ าม สำหรับงาน shop, International Workshop, and Networkในปีนกี้ ม็ นี กั ออกแบบจากหลากหลายสาขาเข้ามา ing Session. The highlight of the program is

an International Symposium that will feature renowned designers and thinkers such as Naoto Fukasawa, Yoon C. Lee, Marc Stickdorn and Dontae Lee.

Young Thai Artist Award 2013

Deadline until September 2013 www.scgfoundation.org www.facebook.com/ YoungThaiArtistAward.

มูลนิธเิ อสซีจี ขอเชิญชวนเยาวชนไทยร่วมส่งผลงานเข้าประกวดกับโครงการ ‘รางวัลศิลปะเพือ่ เยาวชนไทย 2556’ ซึง่ เป็นเวทีการประกวดศิลปะ ระดับเยาวชนทีใ่ หญ่ทสี่ ดุ ในประเทศไทย ทีร่ วม ศาสตร์แห่งศิลป์หลายแขนงไว้ดว้ ยกันทัง้ ศิลปะสองมิตแิ ละสามมิติ ภาพยนตร์ วรรณกรรม ภาพถ่าย ตลอดจนการประพันธ์ดนตรี โดยมีจดุ ประสงค์เพือ่ สนับสนุนให้เยาวชนไทยทีม่ คี วามสามารถทางศิลปะสามารถแสดงออกด้านความคิดสร้างสรรค์ ต่อสาธารณชน SCG Foundation invites young artists to unleash their artistically talent for society at the Young Artist Award 2013– the national artistic competition considered to be the most recognized and largest in the country that features various art categories including 2dimensional, 3-dimensional arts, moving pictures, literature, photography and music composition. Its objective is to encourage their ability to prosper into the public realm.

In Amsterdam with Chavalit Soemprungsuk

13.09.2013-17.11.2013 Ratchadamnoen Contemporary Art Center (RCAC)

นิทรรศการโดย ชวลิต เสริมปรุงสุข จัดแสดงผลงานจิตรกรรมตลอดระยะเวลาทีผ่ า่ นมา นอกเหนือ ไปจากผลงานทีถ่ า่ ยทอดออกมาอย่างสงบ เรียบง่าย และเป็นศิลปะร่วมสมัยทีม่ ภี าษาสากลสือ่ สารได้ ทัว่ โลกแล้ว ในนิทรรศการครัง้ นีย้ งั ยกอุปกรณ์และ ส่วนหนึง่ จากห้องพักในอัมสเตอร์ดมั ทีซ่ งึ่ เป็นพืน้ ที่ ในการสร้างสรรค์ผลงานทัง้ หมดของเขามาไว้ในการ แสดงครัง้ นีด้ ว้ ยเช่นกัน

An exhibition of works by Chavalit Soemprungsuk presents a vast collection of works created over the decades. Besides a collection of contemporary works containing simplicity and calmness, the tools of his creation as well as his workspace will also be transported from his current home in Amsterdam to be showcased in the exhibition.

Labyrinth of My Mind 02.08.2013-15.09.2013 KOI ART GALLERY koiartgallerybangkok.com

นิทรรศการจัดแสดงผลงานศิลปะร่วมสมัยสะท้อน ธรรมชาติของจิตใจอันละเอียดอ่อนของมนุษย์ทไี่ ด้ รับผลกระทบจากสิง่ แวดล้อมในปัจจุบนั โดย กมล ตามสีวนั ถ่ายทอดอารมณ์ ความคิด จิตวิญญาณ และประสบการณ์ผา่ นเทคนิคการใช้เส้นและฝีแปรง สร้างความเคลือ่ นไหวทีเ่ ป็นเอกลักษณ์ไม่ซำ้ ใครใน การสร้างสรรค์ผลงานศิลปะแบบนามธรรมทีช่ วนให้ ผูช้ มคิด ตีความ และเข้าใจถึงประสบการณ์และ อารมณ์หลากหลาย ทัง้ ความเงียบเหงา ล้มเหลว ความสุข ความเศร้า เสียใจ และความเกลียดชัง A solo exhibition of the latest artworks by Kamol Tamseewan explores the intricate nature of the human mind affected by various elements in present-day surroundings. The artist embarks on a journey of questions and discoveries and navigates his way around the mysterious and complex workings of his own mind. Kamol tries to convey his emotions, thoughts, physical and spiritual experiences through the use of unique brush techniques and fragmented lines within the works.

Under Construction 01.08.2013-15.09.2013 WTF Gallery wtfbangkok.com

นิทรรศการผลงานศิลปะสือ่ ผสม ประกอบไปด้วย ภาพวาด การฉายภาพเคลือ่ นไหว เเละงานศิลปะ จัดวาง ทีไ่ ด้อทิ ธิพลมาจากความหลงใหลของ Eiji Sumi ทีม่ ตี อ่ พืน้ ทีไ่ ซต์กอ่ สร้าง ในงานมีการวาดภาพเหมือนทีถ่ กู นำมาวางเรียงต่อกันกับวัตถุอนื่ ๆ ทีพ่ บในพืน้ ทีก่ อ่ สร้าง ศิลปินจะนำผูช้ มเข้าใกล้กบั ฉากเหตุการณ์ทเี่ กิดขึน้ ระหว่างขัน้ ตอนของการ ขยายตัวเเละซากปรักหักพังทีไ่ ม่นา่ ดูในการก่อสร้าง นิทรรศการครัง้ นีย้ งั เป็นการร่วมมือระหว่าง Sumi เเละศิลปินนักออกเเบบเสียงชาวสวีเดน Miklas Möller ทีอ่ อกเเบบเสียงให้กบั นิทรรศการ Under Construction โดยเฉพาะ

A mixed-media exhibition by Eiji Sumi comprised of paintings, multimedia projections and installations influenced by the artist’s obsession with construction sites. By imitating visual patterns in his paintings and juxtaposing them with found objects from construction sites, Sumi transports viewers into a scene hovering between progressive expansion and dystopian decay. Collaborating with Sumi in Under Construction by designing sound art specifically for the exhibition is New York based Swedish sound designer Niklas Möller. Young Thai Artist Award 2013

Creativities Unfold, Bangkok 2013

email: mail@art4d.com




95

art4d August 2013

misc.Files

Design Identity Unit, Wilsonart and Pornsak 87 engage in an innovative collaboration at TIDA Salone 2013.

Nude Hotel Laminate and Solid Surface

ในงานสถาปนิก’ 56 ทีผ่ า่ นมา สมาคม มัณฑนากรแห่งประเทศไทย (TIDA) ได้เชิญ 10 กลุม่ นักออกแบบรุน่ ใหม่มาร่วมสร้างสรรค์งาน ออกแบบภายในภายใต้โครงการ TIDA Salone 2013: iN iNT iNN TIDA Salone หนึง่ ในผลงาน ทีโ่ ดดเด่นในโครงการนีเ้ ป็นการทำงานร่วมกัน ระหว่าง Design Identity Unit, Wilsonart (Thailand) และ พรศักดิ์ 87 เพือ่ สร้างสรรค์ผลงานชือ่ ‘Nude Hotel’ ขึน้ Design Identity Unit ได้แรงบันดาลใจใน การออกแบบ Nude Hotel มาจากแนวคิดของ โรงแรมจิง้ หรีด โดยตีความความหมายคำว่า ‘อีโรติก’ ผ่านความงามทีเ่ กิดจากสรีระ ท่วงท่าที่ สวยงามของมนุษย์ และความวับๆ แวมๆ ของ การเปิด-ปิดพืน้ ผิวของร่างกาย จนได้ภาพลักษณ์ ใหม่ซงึ่ เป็นทีม่ าของพืน้ ทีว่ า่ งและองค์ประกอบที่ นำไปสูผ่ ลงานทีเ่ ป็นรูปธรรม รวมไปถึงความรูส้ กึ ทีส่ ง่ ต่อไปยังผูใ้ ช้งาน วัสดุหลักของผลงานชิน้ นีป้ ระกอบขึน้ จาก แผ่นลามิเนตจาก Wilsonart ไล่ไปตัง้ แต่ตวั โครงสร้างทีท่ ำขึน้ จากลามิเนตทีม่ คี วามหนา 0.8 มิลลิเมตร ซึง่ สามารถสร้างฟอร์มพริว้ ไหวตามลักษณะ สรีระมนุษย์ อีกทัง้ ยังนำข้อดีจากเทคนิคการพิมพ์ เฉพาะของ Wilsonart มาช่วยให้ ‘Nude Hotel’ สามารถถ่ายทอดคอนเซ็ปต์และเพิม่ ความสมบูรณ์ ให้ภาพรวมมีความโดดเด่นมากขึน้ ด้วย ถัดมา เป็นส่วนของผนังห้องทีใ่ ช้ลามิเนตทีม่ ลี กั ษณะผิว ลายผ้าแทนการใช้วอลล์เปเปอร์เพราะสามารถทำความสะอาดได้งา่ ยด้วยการใช้นำ้ เช็ด ขณะที ่ มุมห้องใต้เตียงทีใ่ ช้เป็นพืน้ ทีส่ ำหรับการนัง่ พักผ่อน ดูทวี นี นั้ มีขอ้ จำกัดอยูท่ ขี่ นาดพืน้ ที่ ทำให้ลามิเนต ในกลุม่ โลหะ หรือ Matalaminate ทีม่ พี นื้ ผิวเงา วาวถูกนำมาใช้เพือ่ ทำให้พนื้ ทีด่ กู ว้างขึน้ ผนังใน ส่วนของหลังห้องทีเ่ ป็นส่วนจัดแสดงจุดเริม่ ต้นการ ออกแบบ ทีมดีไซน์เนอร์เลือกใช้ลายกราฟิกทีม่ ี อยูน่ ำมาพริน้ ลงลามิเนตเพือ่ ถ่ายทอดแนวคิดใน การออกแบบให้ชดั เจนยิง่ ขึน้ อีกทัง้ ยังนำไปตกแต่ง พืน้ บูธภายในงานแสดงสินค้าด้วยเช่นกัน

01-04 แผ่นลามิเนต หลากหลายชนิดถูกนำมา ใช้ในการถ่ายทอดแนวคิด ทีไ่ ด้แรงบันดาลใจมาจาก ความโค้งเว้าของสรีระ มนุษย์

01

02

04

At ASA’13, Thailand Interior Designer Association invites 10 groups of upcoming designers to create and showcase new projects as a part of 2013: iN iNT iNN TIDA Salone. One of the most outstanding works is ‘Nude Hotel’, a collaboration between Design Identity Unit, Wilsonart (Thailand) and Pornsak 87. The design of ‘Nude Hotel’ is inspired by the interpretation of the erotic aspect of a love motel into the beautiful lines and forms of human body and movements. The sensuality of skin being partially revealed is translated into interior spaces and compositions, while the emotional attachments that come with the space are passed on to its users. The main material used for the work is Wilsonart’s laminate surfaces, from the structure made of 0.8 millimeter-thick laminate boards that give the piece delicate form inspired by human’s body movements, whereas the unique printing technique is

03 employed to make the design concept more complete and distinctive. The design team uses patterned laminate as wall decoration instead of wallpapers, showcasing the product’s water resistant quality, which makes it much more convenient to clean. The corner under the bed is limited in size but can be used as a small living area; hence the use of Matalaminate whose glossy texture can help to make the space appear wider. As for the wall at the back of the room where the design process is being exhibited, the design team chooses decorative laminate with a graphic pattern printed on to further emphasize the work’s unique design characteristic. The printed laminate is also used as a part of the decoration of Wilsonart’s exhibition booth as well.

Wilsonart Thailand wilsonart.co.th


96

art4d August 2013

misc.Guest แขกรับเชิญฉบับนีเ้ ป็นนักออกแบบเครือ่ งประดับดาวรุง่ ปัญจพล กุลปภังกร มาแบ่งปันแนวคิดเกีย่ วกับความหมายของคำว่า 'เครือ่ งประดับ'

Panjapol Kulpapangkorn panjapolkulp.info

The up-and-coming jewelry designer, Panjapol Kulpapangkorn shares with us his own definition of ‘jewelry’.

‘Wearable everyday object’ ‘Everybody has their own jewelry! but not everyone realizes that they have already worn it.’ อะไรคือเครือ่ งประดับ? เเละเครือ่ งประดับนัน้ จะมีรปู ร่างหน้าตาเป็นอย่างไร? ‘สิง่ ต่างๆ ที่ ผ่านเข้ามาในเเต่ละช่วงเวลาของชีวติ ทีก่ ลายเป็นความทรงจำนัน้ เป็นสิง่ ทีม่ คี า่ เเละมีเอกลักษณ์ที่ ไม่สามารถหาได้จากทีไ่ หน เปรียบเสมือนกับสิง่ ทีเ่ ราได้สวมใส่มนั อยูท่ ไี่ ม่ได้อยูบ่ นร่างกายเเต่อยู่ ภายในจิตใจของเราเอง’ งานชิน้ นีไ้ ด้ถกู สร้างขึน้ โดยการเเปลความหมายใหม่ของสิง่ ของทีอ่ ยูร่ อบตัวผ่านสิง่ ของ รอบตัวในการเล่าเรือ่ งราวในช่วงเวลาหนึง่ ของชีวติ ณ เมืองสแตรตฟอร์ดอัปพอนเอวอน (Stratford upon Avon) สหราชอาณาจักรอังกฤษ ซึง่ งานนีเ้ ป็นหนึง่ ในงาน wearable object ที่ อยูใ่ นโปรเจ็คต์ ‘Jewellery Is At My Feet, The Show Is Yours’ ทีร่ วบรวมความทรงจำจาก คน 120 คน จาก 19 ประเทศทัว่ โลกซึง่ วัตถุทางความทรงจำต่างๆ จากทัว่ โลกจะถูกส่งกลับมา เเละสิง่ เหล่านีถ้ กู ใช้เป็นวัตถุดบิ ในการทำงานเครือ่ งประดับของตัวผม ทีผ่ า่ นมุมมองของการ เล่าเรือ่ งเเละการให้คำนิยามใหม่ของเครือ่ งประดับ

‘Wearable everyday object’ ‘Everybody has their own jewelry! but not everyone realizes that they have already worn it.’ What is jewelry? What does it look like? “The things we come across in life, especially the ones that have become parts of our memories are, therefore, invaluable and unique for they are irreplaceable. It’s like something we wear, not on our body, but in our heart and soul.” The work is conceived from the reinterpretation of a moment in my life when I was in a town called Stratford upon Avon in the United Kingdom. The work is a part of the ‘Wearable Object’ series, which is a part of ‘Jewellery Is At My Feet, The Show Is Yours’, the project that gathers memories of 120 people from 19 different countries. The objects of memory are sent from different places around the world, and used as the raw materials for my jewelry creation, through my point of view and artistic narrative where jewelry is given a new definition.




Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.