ส่งแบบ ว 1 ด ปี 2559 prachit 08 10 57 sign

Page 1

สำำนักงำนคณะกรรมกำรวิจัยแห่งชำติ

(ฉบับปรับปรุงปี

แบบ ว-1 ด แบบเสนอโครงกำรวิจ ัย (research project) ประกอบกำรเสนอของบประมำณ ประจำำ ปีง บประมำณ พ .ศ. 2559 ตำมมติค ณะรัฐ มนตรี -----------------------------------ชื่อโครงกำรวิจัย (ภำษำไทย)

กำรส่งเสริมและพัฒนำ

ภูมิปัญญำท้องถิ่นในสื่อแบบเปิดด้วยควำมร่วม มือของชุมชน:กรณีภำคอิสำนตอนล่ำง (ภำษำอังกฤษ) The Support and Development of Local Intellectual Open Resource s by Community Cooperation: Cas e of Lower Northea stern Region of Thailand ส่ว น ก : ลัก ษณะโครงกำรวิจ ัย  โครงกำรวิจัยใหม่  โครงกำรวิจัยต่อเนื่องระยะเวลำ 1 ปี ปีนี้เป็นปีที่ 1 รหัส แผนงำนวิจัย I ระบุค วำมสอดคล้อ งของโครงกำรวิจ ัย กับ ยุท ธศำสตร์ก ำรพัฒ นำประเทศตำมแผนพัฒ นำเศรษฐกิจ และ สัง คมแห่ง ชำติ ฉบับ ที่ 11 (พ.ศ. 2555-2559) ยุท ธศำสตร์ก ำรพัฒ นำคนสู่ส ัง คมแห่ง กำรเรีย นรู้ ตลอดชีว ิต อย่ำ งยั่ง ยืน • กำรพัฒนำคุณภำพคนไทยให้มีภูมิคุ้มกันต่อกำร เปลี่ยนแปลง


2

II ระบุค วำมสอดคล้อ งของโครงกำรวิจ ัย กับ นโยบำยและยุท ธศำสตร์ก ำรวิจ ัย ของชำติ ฉบับ ที่ 8 (พ.ศ. 2555-2559) กลยุท ธ์ก ำรวิจ ัย ที่ 2 ส่ง เสริม อนุร ัก ษ์แ ละพัฒ นำ คุณ ค่ำ ทำงศำสนำ คุณ ธรรม จริย ธรรม ศิล ปวัฒ นธรรมและ เอกลัก ษณ์ท ี่ห ลำกหลำย • แผนงำนวิจัยที่ 1 กำรวิจัยเกี่ยวกับกำรส่งเสริม อนุรักษ์ และพัฒนำคุณค่ำทำงศำสนำ ศิลปวัฒนธรรม และเอกลักษณ์ ของชำติ บนฐำนภูมิปัญญำท้องถิ่น III ระบุค วำมสอดคล้อ งของโครงกำรวิจ ัย กับ ยุท ธศำสตร์ก ำรวิจ ัย ของชำติร ำยประเด็น • ยุทธศำสตร์กำรวิจัยด้ำนกำรปฏิรูปกำรศึกษำและ สร้ำงสรรค์กำรเรียนรู้ IV ควำมสอดคล้อ งของแผนงำนวิจ ัย กับ นโยบำย รัฐ บำล ส่ว น ข

: องค์ป ระกอบในกำรจัด ทำำ โครงกำรวิจ ัย

1. ผู้ร ับ ผิด ชอบ 1) นำยประชิต อินทะกนก หัวหน้ำ โครงกำรวิจัย สังกัดโปรแกรม วิชำเทคโนโลยีและนวัตกรรมกำรศึกษำ คณะครุศำสตร์ มหำวิทยำลัย รำชภัฏสุรินทร์ โทรศัพท์ 0885811942 email: drprachit@gmail.com บทบำท หัวหน้ำโครงกำรรับผิดชอบในกำร ดำำเนินโครงกำรวิจัยทั้งหมด 2. ประเภทกำรวิจ ัย กำรวิจัยประยุกต์ 3. สำขำวิช ำกำรและกลุ่ม วิช ำที่ท ำำ กำรวิจ ัย สำขำวิชำกำรศึกษำ


3

4. คำำ สำำ คัญ (keywords) ของโครงกำรวิจ ัย กำรส่งเสริมและพัฒนำภูมิปัญญำท้องถิ่น (Support and Development of Local Intellectual) สื่อแบบเปิด (Open Resources) กำรร่วมมือของชุมชน (Community Cooperation) เทคโนโลยีสำรสนเทศและกำรสื่อสำรเพื่อกำรพัฒนำท้องถิ่น (Information and Communication Technology for Local Development) 5. ควำมสำำ คัญ และที่ม ำของปัญ หำที่ท ำำ กำรวิจ ัย ปัจจุบันเทคโนโลยีสำรสนเทศและกำรสื่อสำรมีกำรพัฒนำอย่ำง ไม่หยุดยั้งและได้รับกำรถ่ำยทอดอย่ำงทั่วถึงกันในระดับนำๆประเทศ ทำำให้มีกำรกำำหนดแผนพัฒนำและกลยุทธ์กำรใช้งำน เพื่อให้เกิด ประสิทธิผลสูงสุด ดังปรำกฏในแผนกลยุทธ์ด้ำนวิทยำศำสตร์และ เทคโนโลยีแห่งชำติ พ.ศ.2547-2556 (คณะกรรมกำรนโยบำย วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีแห่งชำติ. 2547 : 7) ได้กำำหนดปัจจัยที่ เป็นเงื่อนไขพื้นฐำน 4 ประกำร คือ ควำมเข้มแข็งของระบบนวัตกรรม แห่งชำติ ควำมเข้มแข็ง ทำงด้ำนทรัพยำกรมนุษย์ บรรยำกำศกำร พัฒนำที่เอื้ออำำนวยและควำมสำมำรถในสำขำเทคโนโลยี เพื่ออนำคต ซึ่งมีเป้ำหมำยที่จะปรับเปลี่ยนโครงสร้ำงอุตสำหกรรมให้เน้นกำรผลิต และบริกำรที่ใช้ควำมรู้เข้มข้นและกำรสร้ำงนวัตกรรมกำรเพิ่มควำม สำมำรถในกำรจัดกำรตนเองเพื่อ ยกระดับคุณภำพชีวิตและ เศรษฐกิจให้แก่ท้องถิ่นและยกระดับควำมสำมำรถในกำรแข่งขันด้ำน วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีของไทยให้อยู่ในอันดับที่สูงกว่ำค่ำเฉลี่ย ของ IMD โดยมีกลุ่มเป้ำหมำย กำรพัฒนำแบ่งเป็น 3 ภำคส่วนได้แก่ ภำคอุตสำหกรรม ภำคเศรษฐกิจชุมชน และภำคสังคมภำยใต้แผน พัฒนำเศรษฐกิจและสังคมแห่งชำติ ฉบับที่ 11 พ.ศ. 2555-2559 (สำำนักงำนคณะกรรมกำรพัฒนำกำรเศรษฐกิจและสังคมแห่งชำติ


4

สำำนักนำยกรัฐมนตรี. 2554 : ข)ได้มีกำรกำำหนดทิศทำงและ ยุทธศำสตร์กำรพัฒนำประเทศให้มีกำรเร่งสร้ำงภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นใน มิติกำรพัฒนำด้ำนต่ำงๆ เพื่อป้องกันปัจจัยเสี่ยงที่สังคมไทยต้องเผชิญ และเสริมรำกฐำนของประเทศด้ำนต่ำงๆ ให้เข้มแข็ง ควบคู่ไปกับกำร ให้ควำมสำำคัญกับกำรพัฒนำคนและสังคมไทยให้มีคุณภำพ ก้ำวทัน ต่อกำรเปลี่ยนแปลง มีโอกำสเข้ำถึงทรัพยำกรและได้รับประโยชน์ จำกกำรพัฒนำเศรษฐกิจและสังคมอย่ำงเป็นธรรม รวมทั้งสร้ำงโอกำส ทำงเศรษฐกิจด้วยฐำนควำมรู้เทคโนโลยีและนวัตกรรม และควำมคิด สร้ำงสรรค์บนพื้นฐำนกำรผลิตและกำรบริโภคที่เป็นมิตรต่อสิ่ง แวดล้อมนำำไปสู่กำรพัฒนำประเทศที่มั่นคงและยั่งยืน ซึ่งกำรสร้ำง เศรษฐกิจฐำนควำมรู้นี้จะต้องอำศัยกระบวนกำรทำำงำนร่วมกัน กำร สืบสวนสอบสวนหำปัญหำและข้อโต้แย้งร่วมกันเป็นกลุ่มวิเครำะห์ สำเหตุแห่งปัญหำ (ทำงเศรษฐกิจสังคม ทำงกำรเมืองกำรปกครอง ทำงวัฒนธรรม ทำงส่วนบุคคล) รวมกันเป็นกลุ่ม และเหนือสิ่งอื่นใด ต้องปฏิบัติงำนร่วมกันอย่ำงเป็นกลุ่มในกำรแก้ปัญหำนั้นๆ ทั้งในระยะ สั้นและระยะยำวมีกำรวำงพื้นฐำนของกำรทำำงำนร่วมกันระหว่ำง หน่วยงำนพัฒนำทั้งหลำยกับชุมชนจะช่วยเอื้ออำำนวยต่อกระบวนกำร ปลดปล่อยประชำชนให้แก้ปัญหำของตนเองได้ กำรมีส่วนร่วมที่ สำำคัญที่สุดอย่ำงหนึ่งคือ ทำำอย่ำงไรจึงจะชักชวนส่งเสริมให้ ประชำชนเข้ำมำมีส่วนร่วมเป็นกลุ่มก้อน และรักษำกำรมีส่วนร่วม ของประชำชนนี้ให้เหนียวแน่นยั่งยืน โดยเฉพำะประชำชนในสังคม ที่ต่ำงคนต่ำงอยู่ มิได้มีกำรเข้ำมำมีส่วนร่วมกันมำก่อนกำรใช้ชุมชน เป็นฐำน เน้นคนเป็นศูนย์กลำงหรือจุดหมำยหลักของกำรพัฒนำโดย แนวทำงกำรพัฒนำคน คือ กำรเปิดโอกำสให้ทุกฝ่ำยเข้ำมำมีส่วนร่วม คิด ร่วมทำำ และร่วมประเมินผล จึงจะสำมำรถทำำให้ประชำชนได้เรียน รู้กระบวนกำรมีส่วนร่วม และกำรช่วยเหลือพึ่งพำตนเองและเพื่อน


5

บ้ำนโดยผ่ำนกระบวนกำรกลุ่ม (สำำนักมำตรฐำนกำรศึกษำ สำำนักงำน สภำสถำบันรำชภัฎ กระทรวงศึกษำธิกำร และสำำนักมำตรฐำน อุดมศึกษำ ทบวงมหำวิทยำลัย. 2545 : 35-36) ประเวศ วะสี (อ้ำงถึงใน กรุงเทพธุรกิจ : ออนไลน์. 2553) กล่ำว ถึงสภำพสังคมเมืองไทยในปัจจุบันที่กำำลังเผชิญปัญหำอย่ำงหนักว่ำ สังคมสมัยเก่ำพูดกันด้วยเหตุและผล ตรงไปตรงมำ เห็นได้ชัดเจน แต่ สังคมสมัยปัจจุบันมีควำมซับซ้อน ไม่รู้ต้นสำยปลำยเหตุ จนทำำให้เกิด ภำวะโกลำหล จะโทษใครก็เชื่อมโยงกันไปหมด สังคมจะมั่นคงก็ต้อง มีกำรพัฒนำฐำนรำกให้แข็งแรง มั่นคง ไม่มีทฤษฎีไหนสำำเร็จจำก ยอด ซึ่งที่ผ่ำนมำเรำพัฒนำจำกยอด มันก็จะค่อยๆพังลงมำ นี่คือจุดล้ม เหลว และทำำให้เกิดช่องว่ำงอย่ำงมำก จนนำำไปสู่ปัญหำทำงสังคม ทำงกำรเมือง จึงไม่มีทำงออกอย่ำงทุกวันนี้ เกิดควำมเหลื่อมลำ้ำ ควำม ไม่เป็นธรรมกำรพัฒนำสังคมไทย ที่ตอ ้ งสร้ำงควำมภูมิใจกับ ภูมิปัญญำท้องถิ่น กำรพัฒนำต้องเริ่มจำกล่ำงขึ้นบน นั่นคือพัฒนำ จำกผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงจะทำำให้ยั่งยืนมำกกว่ำกำรพัฒนำจำกยอด ไปสู่พื้นล่ำงกำรใช้กระบวนกำรมีส่วนร่วมของชุมชนในกำร สร้ำงสรรค์รูปแบบกำรเรียนรู้เพื่อกำรพัฒนำที่ยั่งยืนผ่ำนสื่อ เทคโนโลยีสำรสนเทศและกำรสื่อสำร รวมถึงปัญหำของประเทศมี ควำมเร่งด่วนที่จะต้องศึกษำเพื่อหำทำงเยียวยำแก้ไขให้เกิดควำม ปรองดองและไม่ก่อเกิดเป็นปัญหำอีก และต้องทันกับกำรเปลี่ยนแปลง ของสังคมที่ขับเคลื่อนไปตำมกระแสเทคโนโลยี สิปปนนท์ เกตุทัต (2534 : 119) ได้เสนอแนวคิดและอธิบำย ทำงสำยกลำงของสังคมไทยในอนำคตเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่ สอดคล้องกับวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมว่ำวัฒนธรรมและจริยธรรม เป็นเรื่องคี่ควรเอำใจใส่ ควำมก้ำวหน้ำทำงด้ำนเทคโนโลยีและทำง เศรษฐกิจอำจไม่จำำเป็นต้องสอดคล้องกับระบบคุณธรรมจริยธรรม แต่


6

กำรพัฒนำจะเป็นอย่ำงนั้นไม่ได้ ตำมควำมหมำยของข้ำพเจ้ำ กำร พัฒนำจะต้องสอดคล้องกับวัฒนธรรมให้ประชำชนมีชีวิตที่ดี แม้ว่ำใน กำรก้ำวเข้ำสู่ควำมทันสมัยนั้น จำำเป็นต้องยอมประนีประนอมปรับ เปลี่ยนควำมคิดค่ำนิยมบำงอย่ำง ก็ขอให้เรำหวังว่ำจะเป็นกำรปรับ เปลี่ยนเพื่อให้เข้ำกับระบบคุณค่ำ และจริยธรรมที่เป็นบรรทัดฐำนของ วัฒนธรรมนั้น ลักษณะควำมทันสมัย (modernization) และกำรก้ำว รุกทำงวัฒนธรรมที่มีสื่อมวลชนเป็นเครื่องมือได้ทำำให้กำรจัด บรรยำกำศกำรเรียนรู้ทำงวัฒนธรรมไทยดำำเนินไปอย่ำงลำำบำก ไม่ สำมำรถต่อสู้กับกำรไหลบ่ำของวัฒนธรรมสำกลและสิ่งแวดล้อมทำง เทคโนโลยีได้ วัฒนธรรมศึกษำจึงไม่เน้นควำมแปลกแยกระหว่ำง วัฒนธรรมและเทคโนโลยี ไม่มุ่งแยกตัววัฒนธรรมไทยกับวัฒนธรรม สำกล และเหนือสิ่งอื่นใด วัฒนธรรมศึกษำจะต้องไปไม่แยกตัวออก จำกวิถีชีวิตและชุมชน แนวคิดนี้นักกำรศึกษำต้องรู้จักจัดกระบวนกำร เรียนรู้ที่เน้นบรรยำกำศและวิธีกำรผสมผสำนเป็นธรรมชำติ และปลุก เร้ำกำรมีส่วนร่วม แนวคิดนี้ดูๆ ก็เป็นอุดมคติ แต่เมื่อวิเครำะห์อย่ำง แท้จริงก็เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ ขึน ้ อยู่กับผู้บริหำรกำรศึกษำ ครู และ ชุมชนที่จะเอำใจใส่และดำำเนินงำนอย่ำงเข้มแข็งวัฒนธรรมศึกษำ เป็นเพียงควำมคิดฝันหรือควำมเป็นจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจำกนี้ ประเวซ วะศี (สถำบันพัฒนำองค์กรชุมชน : ออนไลน์. 2555) ได้กล่ำวถึง ทำงรอดประเทศไทย ต้องประกอบไป ด้วย INN หรือ โครงสร้ำงใหม่ที่คนไทยจะทำำงำนร่วมกันโดยให้ I = Individual หรือปัจเจกบุคคลที่มีจิตสำำนึกในศักดิศ ์ รีและคุณค่ำ ควำมเป็นคนของตนแล้วลงมือทำำอะไรดีๆ N = Nodes หรือกำรรวม กลุ่มกัน สีช ่ ้ำห้ำคนหรือหกเจ็ดคน มีวัตถุประสงค์ร่วมกัน รวมตัวกันทำำ เรื่องดีๆ ที่กลุ่มสนใจ มีกลุ่มที่หลำกหลำยเต็มประเทศ และ N = Networks หรือเครือข่ำยเชื่อมโยงกันระหว่ำงบุคคลและเครือข่ำย


7

โครงสร้ำง INN นี้ คนทุกคนจะมีควำมหมำย มีควำมเสมอภำคไม่มี ใครมีอำำนำจเหนือใคร มีภรำดรภำพ จึงให้ควำมสุขอย่ำงยิ่ง และมี พลังของควำมสำำเร็จสูง ทั้งนี้โดยไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อคนในโครงสร้ำง ทำงดิ่ง เพรำะสำมำรถเชื่อมโยงกันได้และทำำให้โครงสร้ำงที่เป็นกำร ทำำงำนได้ดข ี ึ้น INN เป็นโครงสร้ำงที่คนไทยทุกคน ทุกกลุ่ม ทุก องค์กร ทุกสถำบัน จะร่วมปฏิรูปประเทศไทย ทั้งที่แยกกันทำำ และ เชื่อมโยงกันทำำให้เต็มประเทศ ก็จะสำมำรถทำำเรื่องยำกๆ อำทิเช่น กำรปฏิรูปประเทศไทยได้จึงนำำมำสู่คำำถำมวิจัยว่ำ จะใช้เทคโนโลยี สำรสนเทศและกำรสื่อสำรเพื่อพัฒนำคนสู่สังคมแห่งกำรเรียนรู้ตลอด ชีวิตโดยจะพัฒนำจำกผู้มีส่วนได้เสียโดยตรง พัฒนำจำกล่ำงขึ้นบน ให้เป็นไปอย่ำงยั่งยืนได้อย่ำงไร ภำยใต้แนวคิดนี้มีหลักกำรที่ยอมรับ ร่วมกันแล้วว่ำกำรมีส่วนร่วมมีควำมสำำคัญในงำนพัฒนำชุมชนจึงนำำ มำเป็นหลักกำรหนึ่งในกระบวนกำรวิจัย โดยศึกษำว่ำเทคโนโลยี สำรสนเทศและกำรสื่อสำรที่จะทำำให้เกิดกำรส่งเสริมและพัฒนำ ภูมิปัญญำท้องถิ่นในสื่อแบบเปิดด้วยควำมร่วมมือของชุมชน ควรเป็น อย่ำงไร ในภำคอิสำนตอนล่ำงของไทย 6. วัต ถุป ระสงค์ข องโครงกำรวิจ ัย 6.1 เพื่อสำำรวจแหล่งภูมิปัญญำท้องถิ่นในเขตอิสำนใต้ 6.2 เพื่อศึกษำควำมเป็นไปได้ของชุมชนในกำรพัฒนำองค์ควำม รู้ภูมิปัญญำท้องถิ่นบนอินเตอร์เน็ต 6.3 อบรมแนวทำงกำรพัฒนำองค์ควำมรู้ภูมิปัญญำท้องถิ่นบน อินเตอร์เน็ต 6.4 เพื่อประเมินผลกำรอบรมและเผยแพร่ภูมิปัญญำท้องถิ่นใน ระบบเปิดไปทั่วประเทศ 7. ขอบเขตของโครงกำรวิจ ัย


8

7.1 พื้นที่ที่ทำำวิจัยได้แก่ จังหวัดนครรำชสีมำ ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษและอุบลรำชธำนี 7.2 ภูมิปัญญำท้องถิ่นที่ศึกษำในครั้งนี้เป็นภูมิปัญญำท้องถิ่นที่ สั่งสมและมีอยูห ่ ลำกหลำยในวัฒนธรรมท้องถิ่น เป็นภูมิปัญญำที่ได้มี กำรสร้ำงสรรค์และปรับเปลี่ยน ผ่ำนกำรตรวจสอบและอยู่ในวิถีของ ชำวบ้ำน โดยกำรจัดแบ่งสำขำภูมิปัญญำท้องถิ่นตำมภูมิปัญญำไทย 9 ด้ำน (ด้ำนเกษตรกรรม ด้ำนอุตสำหกรรมและหัตถกรรม ด้ำนแพทย์แผน ไทย ด้ำนกำรจัดกำรทรัพยำกรธรรมชำติและสิ่งแวดล้อม ด้ำนกองทุน และธุรกิจชุมชน ด้ำนศิลปกรรมด้ำนภำษำและวรรณกรรม ด้ำน ปรัชญำ ศำสนำ และประเพณี และด้ำนโภชนำกำร) 7.3 สื่อแบบเปิด เป็นชุดของควำมรู้แบบอีเลกโทรนิกส์ ที่แบ่งตำม สำขำภูมิปัญญำที่มีควำมเกี่ยวข้องกับบุคคลในท้องถิ่นได้รับกำร ยืนยันว่ำเหมำะสม โดยเผยแพร่อยู่ในระบบอินเตอร์เน็ต ใช้เซิร์ฟเวอร์ ของมหำวิทยำลัยรำชภัฏสุรินทร์ และมีโปรแกรมกำรจัดกำรบทเรียน แบบโอเพนซอสของ MOODLE ผ่ำนกำรหำประสิทธิภำพตำมเกณฑ์ มำตรฐำนและผ่ำนกำรพัฒนำตำมโมเดลกำรพัฒนำหลักสูตร โดยใช้ โมเดลของ ADDIE 7.4 ควำมร่วมมือของชุมชน เป็นกำรจัดกิจกรรมที่ให้ชุมชนมีส่วน ร่วม โดยมีตัวแทนของชุมชนที่ได้รับกำรคัดเลือกตำมสำขำภูมิปัญญำ และได้รับกำรอบรมเป็นผู้มีส่วนร่วมในกำรพัฒนำสื่อแบบเปิด มีหน้ำที่ ในกำรดูแลติดตำมกิจกรรมในสื่อแบบเปิด ตำมสำขำภูมิปัญญำและ ตำมเขตพื้นที่จังหวัด


9

8. กรอบแนวควำมคิด ของโครงกำรวิจ ัย

กำรใช้ เทคโนโลยี สำรสนเทศ และกำร กำรวิจ ัย เชิง ปฏิบ ัต ิก ำร เพื่อ กำรเรีย นรู้ และ เปลี่ย นแปลง

ภูม ิป ัญ ญำท้อ ง ถิ่น ในเขตอิส ำน กำรส่ง เสริม และ พัฒ นำ ภูม ิป ัญ ญำท้อ งถิ่น ในสื่อ แบบเปิด ด้ว ย ควำมร่ว มมือ

กำรเผยแพร่ภ ูม ิป ัญ ญำ ท้อ งถิ่น ตำมแนวคิด ทรัพ ยำกรกำรศึก ษำ

โมเดล กำร ออกแบบกำร เรีย นกำร สอนและกำร อิน เทอร์เ น็ต ด้ำ น กำรศึก ษำแบบ เปิด (Internet&Open

กำรมีส ่ว นร่ว มของ ชุม ชน สถำบัน กำรศึก ษำ

ชุม ชนเรีย นรู้แ ละเผยแพร่อ งค์ค วำมรู้ ภูม ิป ัญ ญำท้อ งถิ่น แบบเปิด Outcome / Impact ภูม ิใ จในท้อ งถิ่น / เรีย นรู้อ ย่ำ งยั่ง ยืน แผนภำพที่ 1 แสดงกรอบแนวคิด ในกำรวิจ ัย

กรอบแนวคิดกำรวิจัยที่ประกอบไปด้วย 1) กำรใช้ เทคโนโลยีสำรสนเทศและกำรสื่อสำร (ICT)ในปัจจุบันที่มีหลำกหลำย เช่น MOOC (Massive Open Online Course) Online Distance Learning รวมถึง Social Media โดยเพำะอย่ำงยิ่ง เฟสบุคหรือ Line


10

เป็นต้น 2) ภูมิปัญญำท้องถิ่นในเขตอิสำนใต้ 3) กำรออกแบบกำร เรียนกำรสอนและกำรเรียนรู้ ที่จะต้องออกแบบให้เหมำะกักลุมเป้ำ หมำยและสภำพปัญหำของบริบทนั้นๆ

4) อินเตอร์เน็ตและแหล่ง

ทรัพยำกรด้ำนกำรศึกษำแบบเปิด ( Internet & OER ) ระบบเครือ ข่ำยคอมพิวเตอร์ที่สำมำรถสร้ำงช่องทำงกำรเก็บและส่งทอดข้อมูลกัน ได้รวดเร็ว 5) กำรมีส่วนร่วมของชุมชน 5) กำรเผยแพร่ภูมิปัญญำ ท้องถิ่นตำมแนวคิดทรัพยำกรกำรศึกษำระบบเปิดและ 6) กำรวิจัยเชิง ปฏิบัติกำรเพื่อกำรเรียนรู้ เมื่อชุมชนมีส่วนร่วมในกิจกรรมและลงมือปฏิบัติด้วยตนเองใน เนื้อหำที่ตนเองมีควำมถนัดและเชี่ยวชำญจะทำำให้เกิดกำรเรียนรู้ได้ ง่ำย เกิดควำมรักและหวงแหนในภูมิปัญญำ เมื่อมีกำรเปิดเผยใน เทคโนโลยีสมัยใหม่จะสร้ำงควำมภูมิใจในตนเองและท้องถิ่นที่ตน อำศัยอยู่มีกำรถ่ำยทอดอย่ำงยั่งยืน 9. กำรทบทวนวรรณกรรม/สำรสนเทศ (information) ที่ เกี่ย วข้อ ง ในกำรศึกษำวิจัยครั้งนี้มีวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องดังนี้ควำม สำำคัญควำมก้ำวหน้ำของเทคโนโลยีสำรสนเทศและกำรสื่อสำร กำร พัฒนำอย่ำงยั่งยืนกับกำรมีส่วนร่วม กำรพัฒนำสังคมไทยที่ต้องสร้ำง ควำมภูมิใจกับภูมิปัญญำท้องถิ่น และกำรใช้กระบวนกำรมีส่วนร่วม ของชุมชนในกำรสร้ำงสรรค์รูปแบบกำรเรียนรู้เพื่อกำรพัฒนำที่ยั่งยืน ผ่ำนสื่อเทคโนโลยีสำรสนเทศและกำรสื่อสำร 9.1 ควำมสำำ คัญ ควำมก้ำ วหน้ำ ของเทคโนโลยี สำรสนเทศและกำรสื่อ สำร ปัจจุบันเทคโนโลยีสำรสนเทศและกำรสื่อสำรเป็นปัจจัยที่มี ควำมสำำคัญอย่ำงยิ่งในกำรดำำเนินชีวิตของมนุษย์ มีกำรนำำมำใช้งำน


11

กันอย่ำงแพร่หลำยทั้งภำครัฐและภำคเอกชน เพื่อเพิ่มประสิทธิภำพใน กำรทำำงำนเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุนกำรดำำเนินงำน เพิ่มศักยภำพในกำร แข่งขันประกอบกับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และระบบสื่อสำร โทรคมนำคมมีควำมก้ำวหน้ำมำก ทำำให้ข้อมูลข่ำวสำรเกิดกำรแพร่ กระจำยอย่ำงรวดเร็ว เข้ำสู่ยุคสังคมสำรสนเทศและกำรสื่อสำรอย่ำง ไร้ขีดจำำกัด ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อกำรพัฒนำประเทศอย่ำงสมดุล ยั่งยืน ซึ่งในกำรดำำเนินกำรพัฒนำเทคโนโลยีสำรสนเทศและกำร สื่อสำรให้ได้ประสิทธิภำพสูงสุด จำำเป็นต้องพัฒนำทรัพยำกรบุคคลซึ่ง เป็นรำกฐำนที่สำำคัญในกำรผลักดันและขับเคลื่อนกลไกต่ำงๆ ให้เกิด ประสิทธิภำพ สุพรรณี สมบุญธรรม (2551) กล่ำวกำรศึกษำด้ำน เทคโนโลยีสำำคัญที่เกี่ยวข้องกับกำรจัดกำรศึกษำโดยใช้เทคโนโลยี สำรสนเทศและกำรสื่อสำรดังนี้ 1) แนวโน้ม กำรใช้เ ทคโนโลยีส ำรสนเทศและกำร สื่อ สำรเพื่อ กำรจัด กำรศึก ษำในระบบ เปิด (Open Courseware & Open Education) ควำมก้ำวหน้ำด้ำนเทคโนโลยีสำรสนเทศและกำรสื่อสำร เป็นไปอย่ำงรวดเร็วกว่ำกำรศึกษำในอนำคตที่อำจจะพัฒนำไปไม่ทัน ตลอดจนนักเรียนนักศึกษำมีพฤติกรรมกำร เรียนรู้ที่แตกต่ำงไปตำม ควำมก้ำวหน้ำทำงเทคโนโลยีครูผู้สอนต้องปรับเปลี่ยนให้เป็นกำร เรียนรู้ แบบผู้เรียนมีส่วนร่วมในกำรเรียนกำรสอนดัวยและผู้เรียนก็มี พฤติกรรมต้องกำรเรียนรู้ในสิ่งที่ตน เองกำำหนดด้วยครูผู้สอนไม่ จำำเป็นต้องจัดเตรียมเนื้อหำเองแล้วอำจจะแสวงหำได้อย่ำงหลำก หลำยในอินเตอร์เน็ตมี open courseware อยู่มำกมำย ซึ่งอำจจะดี กว่ำสร้ำงเองและ ประหยัดกว่ำด้วย ขณะนี้ Web 2.0 ซึ่งกำำลังได้รับ ควำมนิยมมำกขึ้น และกำรจัดกำรศึกษำแบบ e-Learning ต้องปรับสู่ e-Learning 2.0 ครูผู้สอนต้องสร้ำงนวัตกรรมกำรศึกษำขึ้นมำให้


12

สอดคล้องกับสถำนกำรณ์ ที่เปลี่ยนไปอย่ำงรวดเร็ว (Lucifer Chu. 2005 : online) ในประเด็นสำำคัญเรื่องสื่อเรียนรู้ (Learning Object) ควร จัดสร้ำงให้เป็นสื่อกำรศึกษำที่เปิด กว้ำง (Open Educational Resources) ใช้ง่ำยมีกำรใช้ซำ้ำได้และ แบ่งปันกันใช้ มีควำม เหมำะ สมกับบริบทของแต่ละสังคมผู้ใช้ต้องไม่ถูกครอบงำำทำงควำมคิดจำก สื่อเรียนรู้ที่จัดสร้ำงจำกที่อื่นในโลกเรื่องกำรนำำเนื้อหำที่มีลิขสิทธิ์ คุ้มครองมำใช้งำนต้องมีกำรขออนุญำตอย่ำงเป็นทำงกำร ซึ่งใช้ระยะ เวลำและใช้เงินจำำนวนมำกให้ไม่สะดวกต่อกำรจัดทำำสื่อกำรเรียนกำร สอนซึ่งบำงครั้งต้องกำรควำมรวดเร็วในกำรทำำงำนอีกทั้งงบประมำณ ที่มีอยู่ก็ไม่เพียงพอต่อค่ำลิขสิทธิ์ที่จะเกิดขึ้นหรือ แม้จะเพียงพอแต่ก็ ไม่คุ้มค่ำที่จะซื้อลิขสิทธิ์มำทั้งหมดเพรำะเนื้อหำที่จะเอำมำใช้จริงๆมี เพียงส่วน หนึ่งของผลงำนชิ้นนั้นเท่ำนั้น จึงได้เสนอให้มีระบบกำร จ่ำยค่ำลิขสิทธิผ ์ ลงำนส่วนย่อย (Micropayment System) สอน (David Wiley. 2005 : online) ผลกำรสำำรวจบ่งชี้ว่ำอีก 3-5 ปี mobile technology จะ เป็นปัจจัยที่ทรงพลังในกำรศึกษำ มำก ควำมท้ำทำยสำำคัญของ สถำบัน กำรศึกษำ คือ กำรออกแบบ กำรเข้ำถึงคอนเทนท์ที่มี ประสิทธิผล และกำรปรับปรุงแก้ไขหลักสูตร ซึ่ง ต้องคำำนึงถึง ประโยชน์จำกวิวัฒนำกำร mobile learning ได้แก่ collaborative sharing และ contextual learning (Insook Lee. 2005 : online) เทคโนโลยีไร้สำยกำำลังก้ำวเข้ำมำแทนที่ระบบมีสำยใน ปัจจุบันระบบใหม่ที่เกิดขึ้นทำำให้ เกิดกำรสื่อสำรแบบ multicast ซึ่ง ช่วยลดกำรเวลำกำรรอกำรตอบสนองของระบบและนักศึกษำ จำำนวน มำกสำมำรถเข้ำถึงระบบได้พร้อมกันกำรขยำยระบบไปสู่สถำบันกำร ศึกษำมีเป้ำหมำย ขยำยขอบเขตกำรศึกษำออกไปนอกสถำบันซึ่ง


13

สอดคล้องกับสภำพแวดล้อมกำรเรียนรู้และ กระแสกำรให้บริกำร กำรศึกษำของโลกปัจจุบัน (Yoshida Masami. 2005 : online) อุปกรณ์ไร้สำยกำำลังเป็นเทคโนโลยีทำำให้กำรเข้ำถึงข้อมูล ง่ำยขึ้น ระบบกำรเรียนกำรสอนต้องเปลี่ยนจำกครูเป็นผู้ป้อนควำมรู้ ให้นักเรียนเป็นระบบนักเรียนเป็นศูนย์กลำง นักเรียนกำำหนดกำร เรียนรู้เอง และเรียนรู้แบบ project-bas ed มำกขึ้น ลักษณะกำรเรียน รู้ เปลี่ยนเป็นเน้นแสงและเสียง กำรรับควำมคิดเห็น กำรทำำงำนเป็นก ลุ่มและกำรใช้ตรรกะ ของเกมมำปรับใช้ในกำรเรียนกำรสอน (Daniel Tan. 2005 : online) โลกกำำลังเปลี่ยนแปลงอย่ำงรวดเร็วโดยเปลี่ยนจำกระบบ analog เป็น digital เปลี่ยนจำกแยกอิสระเป็นเชื่อมโยงเปลี่ยนจำก เชื่อมต่อด้วยสำยเป็นไร้สำยมีควำมเป็นส่วนตัวมำกขึ้น แทนที่จะ บริโภคอย่ำงเดียวก็ผลิตด้วยและเปลี่ยนจำกปิดเป็นเปิดกว้ำงกำร ศึกษำไม่จำำกัดอยู่แต่ในมหำวิทยำลัยและห้องสมุดเท่ำนั้น สภำวกำรณ์ เช่นนี้ส่งผลให้เนื้อหำในกำรศึกษำต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ทันโลก กำรเปิดกว้ำงของเนื้อหำควรถือว่ำเป็นสิ่งที่สำำคัญหลักในกำรศึกษำ โดยอำจำรย์และสถำบันมีบทบำทในกำรเปิดกว้ำงเนื้อหำกำรเรียน กำรสอน (David Wiley. 2005 :online) 2) แนวโน้ม กำรใช้ซ อฟแวร์โ อเพ่น ซอร์ส เพื่อ กำร บริห ำรจัด กำรและกำรดำำ เนิน กำรด้ำ น E-Learning ซอฟแวร์โอเพ่นซอร์ส คือ ซอร์ฟแวร์ที่ให้รหัสต้นฉบับ (source code) มำด้วยทำำให้ผู้ใช้ สำมำรถนำำไปพัฒนำเพิ่มเติม ปรับ เปลี่ยนตำมควำมต้องกำรหรือแจกจ่ำยต่อไปได้ ในขณะที่ ซอฟแวร์ ลิขสิทธิ์ ไม่อนุญำตให้ทำำเช่นนี้ ควำมสำำคัญของซอฟแวร์ โอเพ่นซอร์สทำำให้เกิดกำรเรียนรู้ และพัฒนำทักษะ ผู้พัฒนำเข้ำไป ร่วมในชุมชนกำรพัฒนำด้วยเหตุนี้ เกิดกำรแบ่งปันควำมรู้แก่ผู้อื่น


14

เกิดโอกำสทำงอำชีพและธุรกิจ เช่นโอกำสในกำรเป็นเจ้ำของธุรกิจ กำรจ้ำงงำน สร้ำงรำยได้ และพัฒนำทักษะนักเรียนนักศึกษำ สร้ำง มูลค่ำเพิ่มโดยไม่ตอ ้ งจ่ำย ค่ำใบอนุญำตดังนี้ระบบอื่น ซึ่งมีข้อยืนยัน จำกกรณีศึกษำในประเทศอเมริกำ อำร์เจนตินำ โดยเฉพำะบรำซิล และอินเดียใช้ ซอฟแวร์โอเพ่นซอร์สเกือบทั้งหมด ซอฟแวร์ โอเพ่นซอร์สหลำยโปรแกรมมีคุณภำพดีหรือ ดีกว่ำซอฟท์แวร์ลิขสิทธิ์ เนื่องจำกได้รับกำร พัฒนำจำกคนกลุ่มใหญ่ทั่วโลก (ไพฑูรย์ บุตรศรี. 2550 : 21-23) ในกำรใช้ Open Source Software ได้พัฒนำจำกลีนุกซ์ ซึ่งปัจจุบันก็ยังใช้ได้ดี โดยใช้ภำษำ JAVA, C++, Fortan, BASIC กำรมีโอเพ่นซอร์สสร้ำงโอกำสให้นักศึกษำได้เรียนรู้และทดลอง นอกจำกนี้ มหำวิทยำลัยยังเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนผู้พัฒนำลีนุกซ์ ด้วย ตัวอย่ำงวิชำที่นำำโอเพ่นซอร์สมำใช้คือ กำรจัดกำรองค์ควำมรู้ โดยนำำ Wiki, Freemind, blog มำใช้ (มหำวิทยำลัย บูรพำ)มหำวิทยำลัยเกษตรศำสตร์ใช้โอเพ่นซอร์สในกำร ทำำ S erver เป็นส่วนใหญ่ และมักพัฒนำเอง เช่นระบบบัญชีงำนบุคคล กำรสร้ำงและพัฒนำงำนด้ำนสื่อและกำรศึกษำและมหำวิทยำลัยต้อง พัฒนำระบบต่ำงๆใช้ เอง ทำำให้ช่วยประหยัดค่ำใช้จ่ำย Open Source Softwares ยอดนิยมระดับโลกที่เป็น Content Management System (CMS) คือ Moodle ซึ่งได้รับกำร ออกแบบเป็นเครื่องมือส่งเสริมกำรเรียนกำรสอนในสภำพแวดล้อม ของกำร ร่วมคิดร่วมทำำ (Collaborative Environment) ปัจจุบัน Moodle กำำลังเติบโตอย่ำงมหำศำลใน 188 ประเทศทั่วโลกแปลเป็น ภำษำต่ำงประเทศ 75 ภำษำ สัดส่วนของสมำชิกแบ่งเป็นครู 35% โปรแกรม เมอร์/ผู้บริหำรระบบ 22% ผู้บริหำรสถำบันกำรศึกษำ 16% และนักวิจัย 11% ( Michael Break,2005 : online)


15

ในส่วนกำรพัฒนำ Moodle มีข้อได้เปรียบตรงที่กำรมี ส่วนร่วมในชุมชนทั่วโลกของ Moodle ประกอบด้วย กำรเปิดกว้ำงรับ ฟังข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะขนำดของโครงกำร พัฒนำซอฟต์แวร์ ใหญ่มำก( ประเมินมูลค่ำพัฒนำ Moodle สูงถึง 17.4 ล้ำนเหรียญ) กำรให้ขอ ้ เสนอ แนะและควำมคิดเห็นของสมำชิกมีประโยชน์กับ ชุมชนอย่ำงกว้ำงขวำงและเป็นกำรสร้ำงกำรเชื่อม โยงระหว่ำง สถำบันกำรศึกษำทั่วโลก (Jame s Robert and Pratt. 2005 : online)

ควำมสำำเร็จในกำรนำำ Moodle มำใช้งำนคือ Moodle

เป็น Open Source Software ที่ช่วย ในกำรจัดระบบกำรเรียนกำร สอนผ่ำนเว็บด้วยกิจกรรม สนับสนุนมำกมำย แนวคิดของ Moodle คือนักเรียนก็เป็นครูได้ ฉะนั้นผู้เรียนสำมำรถออกแบบหลักสูตรและ ประมวลรำยวิชำได้ สร้ำงองค์ควำมรู้ด้วยตนเอง ส่วนครูมีหน้ำที่เป็น facilitator

ผลงำนวิจัยกับนักเรียนมัธยมต้นที่โรงเรียนสตรีวิทยำ 2

ซึ่งได้รับกำรทดสอบ กับซอฟต์แวร์ กำรจัดกำรเรียนกำรสอนแบบ เดียวกับที่ใช้อบรมครูผลลัพธ์ที่ได้แสดงให้ประจักษ์ ถึงประโยชน์ อย่ำงมหำศำลในกำรปรับปรุงประสิทธิภำพและประสิทธิผลของกำร เรียนรู้ และวิธีกำร ทดสอบ (ไพฑูรย์ ศรีฟ้ำและปรัชญนันท์ นิลสุข. 2550 : ออนไลน์) มหำวิทยำลัยเชียงใหม่ได้พัฒนำ Moodle มำใช้งำนใน ชื่อ CMU-Online มีกำรฝึกอบรม คณำจำรย์และบุคลำกรในกำรใช้ CMU-Online และสร้ำงคู่มือใช้งำน สร้ำงระบบเชื่อมต่อกับ ระบบของ สำำนักทะเบียนคุณลักษณะของระบบมีหลำยประกำร เช่น ข้อมูลสถิติ กำรเข้ำใช้ งำนส่งเสริมให้เกิดกำรแข่งขันระหว่ำงผู้สอนและผู้เรียน (เพิ่มกำรเข้ำถึง) electronic s elf-acce s s learning, clipart gallery ฯลฯ ล่ำสุด จำกผลงำนกำรพัฒนำระบบ e-Learning และ MC-


16

Moodle มหำวิทยำลัยเชียงใหม่เพิ่งได้รับกำรเสนอชื่อจำก SI PA ให้ เป็นตัวแทนไปแข่งขันที่ WSA Grand Jury 2007 (ถนอมพร เลำห จรัสแสง. 2549) มหำวิทยำลัยสุรนำรีมีกำรพัฒนำต่อยอด Moodle ริเริ่ม โครงกำรวิจัยโปรแกรม กำรประเมิน ผลกำรเรียน e-Learning ซึ่ง เรียกว่ำ Edino โดยมีวัตถุประสงค์คือ ถ่ำยโอนข้อมูลจำก Edino ซึ่ง ใช้J AVA (application software)และ PH P (web application) ซึ่ง ออกแบบให้ทำำงำน ร่วมกับ Moodle รำยงำนประเมินผล Edimo แสดงสถิติกำรใช้งำน แบ่งเป็นหมวด/ประเภท และภำค กำร ศึกษำมีกำรแสดงผลเป็นกรำฟ กำรประมวลผลแสดงเป็นรำยสัปดำห์ สำำนักวิชำ และสำขำแนว ทำงกำรพัฒนำ ต่อไปคือ ต่อยอดให้ทำำงำน ร่วมกับ Moodle ได้ทุกเวอร์ชัน และจัดอบรมเชิงปฏิบัติ กำรเรื่อง กำร ใช้โปรแกรมประเมินผลกำรเรียน e-Learning(คะชำ ชำญศิลป์และ ศุภชำนันท์ วนภู อ้ำงถึงใน สุพรรณี สมบุญธรรม. 2551) 3) แนวโน้ม กำรแบ่ง ปัน สื่อ และทรัพ ยำกรกำรศึก ษำ ในระบบ e-Learning “Sharablee-Learning Resource in Thailand Aspect” ปัญหำกำรใช้สื่อและเนื้อหำ e-Learning ในประเทศไทย คือเนื้อหำมีควำมหลำกหลำยรวบรวมยำกและ ไม่เป็นระบบเดียวกันมี หลำยมำตรฐำนใช้ไม่คุ้มลงทุนสูงควรมีควำมร่วมมือกัน ระหว่ำง หน่วยงำนของไทยเป็นเครือข่ำยเทคโนโลยี เหมือนที่มีในหลำยแห่ง ในโลกที่เรียก Worldwide Networking for Learning Technology ซึ่งเป็นควำมร่วมมือระหว่ำงประเทศเพื่อ บริหำรจัดกำรพัฒนำ เทคโนโลยี เช่น EDUCAUSE Institutional Management System Project (IMS) Advanced Distributed Learning (ADL) ยุโรป มี องค์กร Alliance of Remote Institutional Authoring and Distribution Network for Europe (ARIADNE) ญี่ปุ่นมีองค์กร


17

Advanced Learning Infrastructure Consortium (ALIC) กำร เรียนรู้พื้นฐำน และองค์กร e-Learning Consortium J apan (eLC) ด้วยควำมหลำกหลำยทำงด้ำนภูมิภำคจึงทำำให้มำตรฐำน กำรจัดกำรเทคโนโลยีมีควำมแตก ต่ำงกันตำมไปด้วยแต่มำตรฐำน สำกลที่เป็นที่ยอมรับร่วมกันในขณะนี้ก็คือ SCORM ของสหรัฐ อเมริกำโดยทำง NECTEC เองก็พยำยำมปรับปรุงให้ได้มำตรฐำน ของ SCORM นี้เช่นกัน ซึ่งในอนำคตเชื่อว่ำเทคโนโลยีที่พัฒนำขึ้น คงต้องอำศัยมำตรฐำน SCORM เป็นตัวชี้วัด แนวควำมคิดของกำรจัดตั้งศูนย์ e-Learning Re source Center จะเป็นแหล่งรวบรวม Inventory ต่ำงๆ เพื่อให้บุคลำกรที่ผลิต สื่อกำรสอนสำมำรถเข้ำมำใช้ได้ (Authoring tools, LMS) เนื้อหำ ส่วนใหญ่จะเก็บรวบรวมเอำไว้จะเป็นข้อมูลที่มีอยู่แล้วในอินเทอร์เน็ต หรือในสถำนศึกษำ นอกจำกนี้ NECTEC ยังมี Road map สำำหรับ e-Learning Resource Center ในส่วนของระบบ e-Learning มีคุณภำพและไม่เสียค่ำ ใช้จ่ำย เรียนได้ทุกเวลำ ทุกสถำนที่ และสำมำรถเข้ำถึงรวดเร็ว คน พิกำรสำมำรถเข้ำถึงได้ มีควำมปลอดภัยสูง เนื้อหำ e-Learning มี เครื่องมือสำำหรับสร้ำงสื่อได้ง่ำยและให้ฟรีแบบเรียนเข้ำใจง่ำยชัดเจน มีมำตรฐำนและคุณภำพสูงในแง่กำรเรียนรู้และแลกเปลี่ยนใช้กันได้มี คลังเก็บเป็นระบบมีระบบสืบค้นมีระบบป้องกันกำรละเมิดลิขสิทธ์ (วิรัช ศรเลิศลำ้ำวำนิช. 2550 : 73-77) 4) แนวโน้ม กำรสื่อ สำรเพื่อ กำรเรีย นรู้บ นอิน เตอร์เ น็ต ในรูป แบบกำรใช้ Social Software กำรสื่อสำรในรูปแบบร่วมกันเล่ำเรื่องรำวโดยใช้ Social Software กำำลังเป็นเรื่อง แพร่หลำยซึ่งนำำมำเป็นโอกำสในกำร จัดกำรควำมรู้ในแบบ เวปเบสได้ดีดังกรณีศึกษำกำรใช้ Weblog เพื่อ กำรจัดกำรควำมรู้ที่ประสบควำมสำำเร็จของ GotoKnow.org และ


18

learners.in.th โดย GotoKnow.org Blog หรือ Weblog ทำำหน้ำที่ เสมือนเป็นสมุดบันทึกอิเล็กทรอนิกส์ของแต่ละบุคคล เอำไว้บอกเล่ำ เรื่องรำวประสบกำรณ์หรือ ควำมรู้ที่มีอยู่โดยกำรโพสข้อควำมใน บล็อกนั้นจะเรียง ลำำดับตำมวันเวลำที่ทำำกำรโพส ในบล็อกสำมำรถ เอำลิงค์ที่เห็นว่ำเกี่ยวข้องกับบล็อก นั้นๆหรือเห็นว่ำน่ำสนใจ เอำมำ ใส่ไว้ในบล็อกของเรำได้ เนื้อหำที่โพสลงในบล็อกสำมำรถจัด แบ่ง เป็นหมวดหมู่ได้ อีกทั้งยังสำมำรถรับข้อคิดเห็นข้อเสนอแนะเพิ่มเติม จำกผู้อ่ำน บล็อกได้ด้วยยกตัวอย่ำงเว็บไซต์ GotoKnow.org ซึ่งเป็น เว็บไซต์ที่เปิดให้คนที่ทำำงำนแล้ว ได้เข้ำมำโพสเรื่องรำวประสบกำรณ์ ของตัวเอง กิจกรรมที่เคยทำำมำปัญหำอุปสรรคและ แนวทำงในกำร แก้ไข ไฟล์งำนรูปภำพเพื่อเป็นกำรสร้ำงเครือข่ำยควำมรู้จำก ประสบกำรณ์ ซึ่งผู้ที่เข้ำมำอ่ำนสำมำรถเก็บเอำ เนื้อหำในบล็อกนั้นไป สร้ำงองค์ควำมรู้ของตัวเองได้ เว็บไซต์ learners.in.th ซึ่งกลุ่มผู้ที่เข้ำมำโพสจะแตกต่ำง จำก GotoKnow.org คือส่วนใหญ่ จะเป็นเยำวชนนักเรียนนักศึกษำ ซึ่งจุดประสงค์หลักของเว็บไซต์คือเป็นเวทีให้นักเรียนนักศึกษำ ได้ แลกเปลี่ยนควำมรู้ประสบกำรณ์กับคนในวัยเดียวกันอีกทั้งได้แสดงให้ เห็นมุมมองของตัวเองแก่ อำจำรย์ ที่ได้เข้ำมำอ่ำนด้วยซึ่งใน สถำนกำรณ์จริงอำจจะไม่กล้ำถำมหรือพูดในสิ่งที่ตัวเองคิด ในขณะ นั้นซึ่งแนวโน้มนี้จะเป็นผลดีตอ ่ กำรนำำมำใช้ในกำรจัดกำรศึกษำ (“กรณีศึกษำกำรใช้ Weblog เพื่อกำรจัดกำรควำมรู้ที่ประสบควำม สำำเร็จ GotoKnow.org และ learners.in.th” (สุนทรี แซ่ตั่น, 2550. 72-73) นอกจำกนี้สื่อสังคมออนไลน์ เช่นเฟสบุค line ก็กำำลังเป็น ที่นิยมและใช้เป็นสื่อในกำรเรียนรู้ได้ดีเช่นเดียวกันรวมถึงรูปแบบกำร ให้หรือเผยแพร่ควำมรู้แบบเปิดก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่หลำยประเทศ


19

ให้ควำมสนใจและกำำลังเป็นที่นิยม เช่น MOOC (Massive Open Online Course)หมำยถึงรูปแบบกำรนำำเสนอกำรเรียนรู้หลักสูตร ต่ำงๆ ทำงออนไลน์ ที่เข้ำถึงผู้เรียนจำำนวนมำกๆ ได้ผ่ำนทำงหน้ำ เว็บไซต์ โดยส่วนใหญ่เป็นกำรให้บริกำรฟรี (ภำสกร ใหลสกุล.2557) 9.2 กำรพัฒ นำอย่ำ งยั่ง ยืน กับ กำรมีส ่ว นร่ว ม 1) ปรัช ญำของกำรวิจ ัย ปฏิบ ัต ิก ำรแบบมีส ่ว นร่ว ม กระบวนกำรวิจัยปฏิบัติกำรแบบมีส่วนร่วม เป็นกระบวน กำรที่ตั้งอยู่บนพื้นฐำนของควำมเชื่อปรัชญำเกี่ยวกับตัวมนุษย์ (สำำนัก มำตรฐำนกำรศึกษำ สำำนักงำนสภำสถำบันรำชภัฏ กระทรวง ศึกษำธิกำร และสำำนักมำตรฐำนอุดมศึกษำ ทบวงมหำวิทยำลัย.2545) บำงประกำรอันได้แก่ 1.1)

ชุมชนท้องถิ่นแต่ละแห่งมีควำมสำำคัญในฐำนะเป็น

ส่วนร่วมของประเทศ กำรทรุดโทรมหรือเสียหำยของชุมชนท้องถิ่น แต่ละแห่ง หมำยถึง ควำมเสียหำยส่วนหนึ่งของประเทศ ดังนั้น กำร ที่นักวิจัยจำกภำยนอกจะกระทำำกำรใดๆ กับชุมชน เสมือนที่กระทำำ กับ “หนูตะเภำ” หรือ “วัตถุสำำหรับกำรวิจัย” (Res e arch Object) ตำมอำำเภอใจ โดยที่สมำชิกในชุมชนไม่มีส่วนร่วมด้วยย่อมไม่ เป็นกำรสมควร เพรำะนักวิจัยจะไม่สำมำรถรับผิดชอบต่อผลที่ตน กระทำำกับชุมชน 1.2)

ชุมชนท้องถิ่นแต่ละแห่งมีเอกลักษณ์เป็นของตนที่

อำจไม่เหมือนกับแห่งอื่นๆ ที่นักวิจัยเคยรู้จักและอำจไม่เหมือนกับที่ กล่ำวไว้ในตำำรำเชิงทฤษฏีที่นักวิจัยได้เล่ำเรียนมำ ดังนั้นนักวิจัยจำก ภำยนอกจะถือว่ำควำมรู้และประสบกำรณ์ของตนมีมำพอสำำหรับจะ กระทำำกับชุมชนย่อมไม่สมควร 1.3)

สมำชิกแต่ละคนของชุมชนท้องถิ่นนอกจำกจะได้

รับกำรปกป้องตำมหลัก “สิทธิมนุษยชน” แล้วยังเป็นผู้มีศักยภำพ มี


20

ควำมรู้ควำมสำมำรถมีคุณงำมควำมดีจึงควรได้รับกำรปฏิบัติอย่ำงผู้มี เกียรติ 1.4)

มนุษย์ทุกคนมีควำมสำมำรถโดยธรรมชำติใน

ระดับหนึ่งที่จะร่วมคิดวำงแผน เพื่อสร้ำงสรรค์อนำคตที่ดีของตนเอง และของกลุ่มของตน 1.5)

มนุษย์เป็นสัตว์สังคมมนุษย์ไม่อำจเจริญรุดหน้ำได้

มำกนักโดยลำำพังตนเองที่แยกจำกหมู่คณะมนุษย์จำำเป็นต้องร่วมมือ กันสร้ำงควำมเจริญของชุมชนท้องถิ่นของตน ควบคู่กับควำมเจริญ ของเอกัตตบุคคล 1.6)

สิ่งที่เรียกว่ำ “ควำมน่ำเชื่อถือ” สำำหรับกำรวิจัยเพื่อ

พัฒนำชุมชนท้องถิ่นนั้น จะใช้เกณฑ์จำกภำยนอกหรือจำกตัวแบบ ทำงควำมคิดเชิงทฤษฏีในตำำรำวิจัยเพียงด้ำนเดียวหำพอไม่ จำำเป็น ต้นใช้เกณฑ์ของควำมเห็นชอบจำกสมำชิกในท้องถิ่นด้วยเป็นสำำคัญ เพรำะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตของเขำและเขำเองก็มีควำมรู้มี ประสบกำรณ์ในระดับหนึ่ง สำำหรับจะใช้ตัดสินว่ำอะไรควรอะไรไม่ ควร 1.7)

“ควำมยั่งยืน” ของกำรพัฒนำชุมชนท้องถิ่น ก็คือ

ควำมคงอยู่อย่ำงถำวรของทั้งปัจจัยนำำเข้ำ กระบวนกำร และผลผลิต ตำมแนวคิดเชิงระบบ ดังนั้น กำรมี PAR เป็นกระบวนกำรต่อเนื่อง และถำวรในชุมชนท้องถิ่นใด จึงเท่ำกับมีปัจจัยนำำเข้ำ และ กระบวนกำรที่ยั่งยืนซึ่งจะส่งผลให้เกิดผลผลิต คือ ควำมเจริญที่ยั่งยืน ของชุมชนท้องถิ่นนั้น 2) กระบวนกำรของกำรวิจ ัย ปฏิบ ัต ิก ำรแบบมีส ่ว นร่ว ม กำรวิจัยปฏิบัติกำรแบบมีส่วนร่วม เป็นกระบวนกำรของ กำรทำำงำนร่วมกัน ต้องอำศัยกำรสืบสวนสอบสวนหำปัญหำและข้อ โต้แย้งร่วมกันเป็นกลุ่มวิเครำะห์สำเหตุแห่งปัญหำ (ทำงเศรษฐกิจ


21

สังคม ทำงกำรเมืองกำรปกครอง ทำงวัฒนธรรม ทำงส่วนบุคคล) รวมกันเป็นกลุ่ม และเหนือสิ่งอื่นใดต้องปฏิบัติงำนร่วมกันอย่ำงเป็นก ลุ่มในกำรแก้ปัญหำนั้นๆ ทั้งในระยะสั้นและระยะยำวยิ่งไปกว่ำนั้น PAR ยังเป็นกระบวนกำรวิจัยที่ค่อนข้ำงจะลำำเอียงไปในด้ำน กระบวนกำรประชำธิปไตย PAR ยืนหยัดขึ้นมำได้ด้วยประชำชนผู้ มีหัวใจเปี่ยมด้วยกำรวิจัยเพื่อแสวงหำควำมรู้ในกำรแก้ไขปัญหำของ ตน มันเป็นเครื่องมือที่ช่วยเหลือกลุ่ม คนยำก คนจน และคนที่ด้อย โอกำส ด้วยกำรวำงพื้นฐำนของกำรทำำงำนร่วมกันระหว่ำงหน่วยงำน พัฒนำทั้งหลำยกับชุมชนเช่นนี้ มันจะช่วยเอื้ออำำนวยต่อกระบวนกำร ปลดปล่อย ประชำชนให้แก้ปัญหำของตนเองได้ เมือ ่ เรำใช้กำรวิจัย ปฏิบัติกำรแบบมีส่วนร่วมที่เรียกว่ำ PAR อย่ำงถูกต้อง เรำก็จะ บังเกิดผลสัมฤทธิอ ์ ย่ำงน้อยสำมประกำร ได้แก่ ประชำชนได้รับกำร เรียนรู้เพิ่มขึ้น ประชำชนมีกำรกระทำำมำกขึ้น และประชำชนมีกำร เผยแพร่พลังควำมรู้กันมำกขึ้น กระบวนกำรของ PAR นั้น มิใช่ เพียงกำรสืบค้นปัญหำและกำรแก้ปัญหำเท่ำนั้น แต่เป็นกระบวน กำรกระตุ้นให้ประชำชนมีกำรกระทำำต่อปัญหำเหล่ำนั้น กำรกระทำำ อย่ำงหนึ่งอย่ำงใดต่อปัญหำทำำให้ประชำชนได้มีโอกำสเปลี่ยนแปลง ไปในทำงที่ดีขึ้น ผลสุดท้ำย ประชำชนมิได้เพียงเรียนรู้กำรแก้ ปัญหำเท่ำนั้น แต่ได้เพิ่มพูนควำมรู้ให้พร้อมที่จะเผชิญกับปัญหำที่ ยำกไปกว่ำนี้ กระบวนกำรและผลลัพธ์ของกำรวิจัยแบบมีส่วนร่วม นั้นเป็นของประชำชน ประชำชนมีสิทธิ์และเสียงที่สำำคัญในกำร ตัดสินใจอันเป็นส่วนหนึ่งของกำรมีส่วนร่วม แต่เพื่อให้กำรตัดสินใจ นั้นได้รู้ทั่วกัน จึงจำำเป็นที่ต้องใช้ประชำชนได้รู้ถึงปัญหำทุกๆ ด้ำน ในกำรวิจัยแบบปฏิบัติกำรแบบนี้ประชำชนต้องมีส่วนร่วมตลอด กระบวนกำร มีส่วนเกี่ยวข้องในผลพวงของกำรตัดสินใจ ที่กำำลังมำ ไม่ว่ำในทำงบวกหรือทำงลบ ผูป ้ ระสำนงำนกำรวิจัยจะต้องยอมรับ


22

ในกฎข้อนี้และเฉียบแหลมที่จะแนะแนวทำงกำรแก้ไขหรือควบคุม กระบวนกำรด้วยตนเองหรือด้วยหน่วยงำนภำยนอก ยิ่งไปกว่ำนั้นผู้ ประสำนงำนกำรวิจัยจะต้องยอมรับนับถือทัศนะในทำงวัฒนธรรม กำรเมืองและกำรปกครองของชุมชน ฝึกปฏิบัติควบคุมตนเองให้อยู่ ในกำลเทศะ ทำำตัวแบบธรรมดำๆ ในเวลำเดียวกันก็สร้ำงควำม สัมพันธ์แบบเปิดเผยเป็นกันเองกับประชำชนทุกคน ถ้ำประชำชน ตัดสินใจโดยใช้วิธีกำรเก่ำๆ ดั้งเดิม เรำก็สำมำรถใช้กำรวิจัยปฏิบัติ กำรเข้ำช่วยให้ประชำชนได้เห็นปัญหำข้อโต้แย้งให้ชัดเจนมำกยิ่ง ขึ้น โดยเฉพำะกำรไม่ปฏิบัติตำมวิธีกำรแบบเดิม ตัวอย่ำงเช่น ใน ชนบทจะมีหลักปฏิบัติเป็นเสมือนของเขตของกำรเคำรพนับถือ ระหว่ำงผู้ใหญ่กับเด็ก ระหว่ำงผู้มีอำำนำจกับผู้ไม่มีอำำนำจ ถ้ำ ขอบเขตเหล่ำนี้หมดไป กำรตัดสินใจเชิงเหตุผลอำจยำกลำำบำกขึ้น ถ้ำกำรรักษำศักดิศ ์ รีหรือรักษำหน้ำถูกคุกคำม ในกำรวิจัยปฏิบัติกำร แบบมีส่วนร่วม นั้น กำรมีส่วนร่วมหมำยถึง กำรที่ประชำชนเข้ำไปมี ส่วนเกี่ยวข้องในทุกด้ำนของกระบวนกำรพัฒนำ ซึ่งรวมทั้ง กำร ตัดสินใจ กำรวำงแผน กำรดำำเนินงำนโครงกำร ผู้ประสำนงำนหรือ ผู้อำำนวยกำรวิจัย จึงต้องหลีกเลี่ยงโดยจะไม่เข้ำไปรับผิดชอบมำก เกินไป แต่กลับทำำหน้ำที่เผยแพร่หรือมอบหมำยงำนให้ประชำชนทำำ แทน ควำมสำำเร็จของผู้ประสำนงำนหรือผู้อำำนวยกำรวิจัยนั้น สำมำรถวัดได้จำกกำรดูว่ำ ชุมชนนั้นได้ทำำหน้ำที่ของแต่ละคนไปได้ มำกน้อย เรำต้องทำำให้กระบวนกำรมีส่วนร่วมมีกำรเฉียบไวต่อเรื่อง ต่ำงๆ เช่น สิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชน สันติภำพ ควำมเสมอภำค ทำงเพศ ศิลปะ ตลอดจน กำรอนุรักษ์กำรบริกำรด้ำนวัฒนธรรมและ อื่นๆ สิ่งที่ท้ำทำย กำรมีส่วนร่วมที่สำำคัญที่สุดอย่ำงหนึ่งคือ ทำำ อย่ำงไรจึงจะชักชวนส่งเสริมให้ประชำชนเข้ำมำมีส่วนร่วมเป็นกลุ่ม ก้อน และรักษำกำรมีส่วนร่วมของประชำชนนี้ให้เหนี่ยวแน่นยั่งยืน


23

โดยเฉพำะประชำชนในสังคมที่ต่ำงคนต่ำงอยู่ มิได้มีกำรเข้ำมำมี ส่วนร่วมกันมำก่อน 3) วิธ ีก ำรของกำรดำำ เนิน กำรมีส ่ว นร่ว ม วิธีดำำเนินกำรของกำรวิจัยปฏิบัติกำรแบบมีส่วนร่วมนั้นมี กิจกรรมที่แตกต่ำงกันอยู่สองชุด ซึ่งจะต้องจำำแนกให้ท่ำนได้เข้ำใจ ให้ชัดเจนทั้งสองชุดคือ 3.1)

กิจกรรมกำรวิจัยปฏิบัติกำรหรือ PAR ของผู้

ประสำนงำนหรือผู้อำำนวยกำรวิจัย กิจกรรมของผู้ประสำนงำนกำร วิจัยนั้นก็คือ กิจกรรมกำรแสวงหำควำมรู้ของนักวิจัยปฏิบัติกำรตำม โครงกำร PAR แต่ละคนในชุมชนใดชุมชนหนึ่ง จุดมุ่งหมำยที่ สำำคัญ ของนักวิจัยคือ กำรสร้ำงรูปแบบกำรมีส่วนร่วมที่มี ประสิทธิภำพเป็นไปตำมหลักกำรวิจัย เชิงวิทยำศำสตร์และสำมำรถที่ จะเผยแพร่แก่สังคมได้รูปแบบของกำรมีส่วนร่วมที่มีประสิทธิผลนั้น จะต้องเป็นรูปแบบที่สำมำรถแก้ปัญหำของชุมชนได้อย่ำงมี ประสิทธิภำพ ไม่สิ้นเปลืองเงินทอง กำำลังงำนและเวลำไม่มำกนัก แต่ในเวลำเดียวกันก็ได้รับผลตอบแทนสูง 3.2)

กิจกรรมกำรวิจัยปฏิบัติกำรหรือ PAR ของชุมชน

กิจกรรมวิจัยปฏิบัติกำรของชุมชนคือ กิจกรรมที่เกิดจำกควำม พยำยำมในกำรแก้ปัญหำชุมชนของนักวิจัยปฏิบัติกำรร่วมกับชุมชน นักวิจัยปฏิบัติกำรที่ทำำหน้ำที่เป็นผู้ประสำนงำนหรือผู้อำำนวยกำรวิจัย จะทำำหน้ำที่เป็นผู้ช่วยเหลือตั้งแต่เริ่มแรก และค่อยๆ ลดกำรช่วย เหลือลงและหวังว่ำเมื่อสิ้นสุดโครงกำรแล้วประชำชนจะสำมำรถแก้ ปัญหำของตนไปตำมลำำพังได้อย่ำงมีประสิทธิภำพโดยมิตอ ้ งได้รับ กำรช่วยเหลือจำกภำยนอก ในกำรพัฒนำนั้นสิ่งที่ต้องพิจำรณำได้แก่ ลักษณะที่เอื้อต่อกำรพัฒนำของชุมชน เพื่อให้คนในชุมชนมี


24

ศักยภำพและมีกำรพัฒนำคุณภำพชีวิตให้ดข ี ึ้นในด้ำนต่ำงๆ ได้แก่ ครอบครัว กำรศึกษำ กำรประกอบอำชีพ สุขภำพอนำมัย กำร คมนำคม วัฒนธรรมและประเพณี และทรัพยำกรธรรมชำติ (แม้นวำด แข่งขันและประชิต อินทะกนก.2552 : 83) อนุรักษ์ ปัญญำนุวัฒน์ (2548 : 118-120) ได้ออกแบบ งำนวิจัยที่เป็นกำรวิจัยเชิงปฏิบัติกำรอย่ำงมีส่วนร่วม ให้ทีมวิจัยที่มุ่ง เข้ำไปสนับสนุนหน่วยงำนของภำครัฐที่ตอ ้ งกำรเข้ำไปมีส่วนร่วมใน กำรจัดกำรทรัพยำกรธรรมชำติและสิ่งแวดล้อมชุมชนโดยมีเทคนิค Appreciation Influence Control (AIC) ประกอบด้วย และมีข้อ แนะนำำให้มีกำรนำำไปใช้ภำยใต้หลักกำรต่ำงๆ ดังนี้ (1) กำำหนดกรอบแนวคิดกำรสร้ำงกระบวนกำรตัดสินใจ ของชุมชนในกำรจัดกำรทรัพยำกรธรรมชำติ (community-ba s ed natural resource management) เพื่อให้เกิดกำรร่วมมือในกำร จัดกำรทรัพยำกรในเชิงจิตวิทยำสังคม กำรเมือง เศรษฐกิจ ประชำกร เทคโนโลยี นิเวศวิทยำ และกำรบูรณำกำรแนวคิดแบบ องค์รวม โดยดูบริบทภำยนอกชุมชน และบริบทภำยในชุมชนเป็น กรอบสำำคัญ (2) กำำหนดวิธีกำรและเป้ำหมำยกำรเข้ำถึงบุคคลหลักใน ชุมชน หรือที่เกี่ยวกับชุมชน โดยผ่ำนบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่คำดว่ำ จะสำมำรถเป็นตัวกลำงนำำกำรเปลี่ยนแปลงได้ (Change agents) โดยอำจจะเป็นครู อำสำสมัครเดินสอน กำรศึกษำนอกโรงเรียน พัฒนำกร ผู้แทนชนเผ่ำ ผู้แทนชุมชนทั้งในและนอกชุมชน (3) ทำำกำรศึกษำสภำพปัจจุบันและสภำพคำดหวังของ ชุมชน ด้ำนสังคม เศรษฐกิจ กำรเมือง นิเวศวิทยำ แล้วนำำมำ เปรียบเทียบกัน เพื่อหำช่องว่ำงระหว่ำงสองสภำพนั้น


25

(4) ทำำกำรวิเครำะห์ควำมต้องกำรด้ำนสังคม เศรษฐกิจ กำรเมือง นิเวศวิทยำ (5) กระตุ้นและร่วมกับชุมชนทำำกำรสร้ำงภำพที่วำดหวัง (scenario) ในกำรจัดกำรทรัพยำกรธรรมชำติอย่ำงมีส่วนร่วม โดย ยึดผลประโยชน์ของแผ่นดินและชุมชน กำรใช้และแบ่งปันผล ประโยชน์ กำรจัดระบบกำรจัดกำร กำรติดตำมและประเมินผล (6) ร่วมกันกำำหนดแผนงำน/โครงกำร/กิจกรรมแบบรูป ธรรม แบ่งเป็น 4 ระยะคือ ระยะที่ 1 กำรสำำรวจข้อมูลเบื้องต้น (6 เดือน) ระยะที่ 2 กำรสร้ำงควำมคุ้นเคย และควำมไว้เนื้อเชื่อ ใจ และสร้ำงภำพที่วำดหวังของชุมชนในเชิงพัฒนำที่สร้ำงสรรค์ โดยมีขั้นตอนย่อย คือ ขัน ้ ที่หนึ่งกำรสร้ำงควำมคุ้นเคย ขัน ้ ที่สองกำร สร้ำงภำพที่วำดหวังของชุมชน และขั้นที่สำม กำรตัดสินใจของ ชุมชน ระยะที่ 3 กำรเตรียมกำรเพื่ออำำนวยควำมสะดวกใน กำรจัดกำรทรัพยำกร ระยะที่ 4 ศึกษำผลกระทบและฟื้นฟูสภำพแวดล้อมภำย หลังกำรขุดค้นใช้ประโยชน์จำกทรัพยำกรธรรมชำติ สำมำรถอธิบำย ได้ดังแผนภำพที่ 2

บุค คล - Key informants ในชุมชน - NGOs - บุคลำกรของรัฐ

Change Agents


26 - ข่ำวสำรข้อมูล - ควำมรู้ควำมเข้ำใจ - ควำมตระหนัก - อิทธิพลจำก NGO และควำมคิดเห็นของกลุ่มจัดตั้ง

ชุม ชน Change Agents Key Informant ผู้แ ทนกลุ่ม หัว หน้ำ ครัว เรือ น / ประชำชน กลุ่ม เป้ำ หมำยต่ำ งๆ

ควำมรู้ค วำมเข้ำ ใจ กำรจัด ทรัพ ยำกรร่ว มกัน กระบวนกำร - กำรจัดทรัพยำกรร่วมกัน - กำรรับข้อมูล - กำรคิด - ควำมตระหนักในผลประโยชน์ของชำติและท้องถิ่น - กำรสร้ำง SCENARIO - กำรวำงแผนร่วม - กำรวำงโครงกำรร่วม - กำรทดลองปฏิบัติ - กำรติดตำมประเมินผล - กำรประชำสัมพันธ์เชิง CONSTRUCTIVE กับภำยในและภำยนอกชุมชน - กำรพัฒนำชุมชนและทรัพยำกรอย่ำงมีส่วนร่วม

PAR AIC INPUT


27

แผนภำพที่ 2 งำนออกแบบเค้ำ โครงกำรวิจ ัย เชิง ปฏิบ ัต ิก ำร แบบมีส ่ว นร่ว ม ปรับปรุงมำจำก อนุรักษ์ ปัญญำนุวัฒน์. กำรศึกษำชุมชนเชิงพหุ ลักษณ์ : บทเรียนจำกกำรวิจัยภำคสนำม. (2548 : 120) ในกำรดำำเนินกำรตำมขั้นตอนของกำรมีส่วนร่วมนั้น อม รวิชช์ นำครทรรพและดวงแก้ว จันทร์สระแก้ว (2541 : 8-11) ได้ แบ่งขั้นตอนไว้ ดังนี้ (1) ขั้นเตรียมกำรประสำนพื้นที่ ในขั้นเตรียมกำร ประสำนพื้นที่นี้มีงำนต่ำง ๆ มำกมำยที่นักวิจัยต้องทำำ อำทิ (1.1) กำรคัดเลือกชุมชนซึ่งเป็นหน้ำที่ของผู้วิจัยใน กำรสำำรวจและศึกษำข้อมูลเบื้องต้นของชุมชนทุกด้ำน นับตั้งแต่ ลักษณะทำงกำยภำพ แหล่งทรัพยำกรของชุมชน ลักษณะทำงด้ำน ชีวภำพ ข้อมูลทำงด้ำนประชำกร สังคม เศรษฐกิจ กำรสื่อสำร ใน กำรศึกษำและรวบรวมข้อมูลดังกล่ำว ควรรวบรวมข้อมูลทั้งด้ำนเชิง ปริมำณและเชิงคุณภำพ ซึ่งผู้วิจัยอำจอำศัยจำกหน่วยรำชกำรที่มีอยู่ องค์กรพัฒนำเอกชนที่เกี่ยวข้องร่วมกับกำรสำำรวจเบื้องต้นในชุมชน ต่อจำกนั้นจึงตัดสินใจเลือกชุมชนที่มีควำมเหมำะสม และมีปัญหำที่ สำมำรถดำำเนินกำรวิจัยได้ (1.2) กำรสร้ำงควำมสัมพันธ์ทด ี่ ีกับชุมชน เพื่อปูทำง ไปสู่กำรพัฒนำผลักดันให้เกิดควำมร่วมมือร่วมใจระหว่ำงสมำชิกของ ชุมชน ทั้งนี้ ผูว ้ ิจัยจะต้องเป็นผู้ที่คนในชุมชนไว้วำงใจและให้กำร ยอมรับ จะเกิดขึ้นได้ต่อเมือ ่ ผู้วิจัยมีควำมสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชนเสีย ก่อน ซึ่งจะสร้ำงควำมสัมพันธ์ทด ี่ ีกับชุมชนเป็นศิลปะและเป็นงำนที่ไม่ ง่ำยนัก เนื่องจำกในปัจจุบันแทบจะไม่มีชุมชนใดที่ไม่เคยมีบุคคล ภำยนอก นักวิจัย นักพัฒนำเข้ำไป ทุกชุมชนต่ำงได้รับอิทธิพลจำก


28

สังคมภำยนอกมำมำกบ้ำงน้อยบ้ำง แต่ละชุมชนจะมีกลุ่มหรือองค์กร ต่ำงๆ ในชุมชน ซึ่งอำจเป็นกำรจัดตั้งขึ้นเอง หรือมีบุคคลอื่นเข้ำมำ จัดตั้งให้ ดังนั้น บทบำทภำระหน้ำที่ของผู้วิจัยในกำรดำำเนินงำนใน ขั้นตอนนี้ ที่จะทำำได้คือ 1) เข้ำพื้นที่ด้วยควำมเชื่อมั่นว่ำ บุคคลใน ชุมชนมีควำมคิด ควำมสำมำรถในกำรวิเครำะห์แจกแจงปัญหำ ตลอดจนแก้ปัญหำได้ 2) ในทุกโอกำสต้องเปิดให้คนในชุมชนแสดง ควำมคิด ควำมรู้สึก ปัญหำ นักวิจัยต้องรู้จักกำรรับฟังคนในชุมชน ให้มำก 3) บอกตนเองเสมอว่ำเป็นเพียงผู้กระตุ้นให้กลุ่มเป้ำหมำย เกิดแนวคิดในกำรพัฒนำเป็นผู้คอยประคับประคองเกื้อหนุนร่วม ดำำเนินกิจกรรมกับชุมชนและทำำหน้ำที่ในกำรถ่ำยทอดควำมรู้เตรียม ควำมพร้อมทักษะในกำรปฏิบัติงำนให้กับชุมชนรู้จักบูรณำกำรตนเอง ให้เข้ำกับวิถีชีวิตในชุมชนนั้น 4) ทำำกำรติดต่อกับบุคคลสำำคัญๆใน ชุมชนถ้ำเป็นหมู่บ้ำน ได้แก่ กำำนัน ผูใ ้ หญ่บ้ำน เจ้ำอำวำสวัด ผู้ อำวุโสที่คนในชุมชนให้กำรยอมรับครูพ่อค้ำเป็นต้นถ้ำเป็นใน องค์กำรหรือหน่วยงำนก็ต้องติดต่อกับผู้บริหำรผู้เป็นเจ้ำของสถำนที่ เช่น ผู้อำำนวยกำร ครูใหญ่ ครูหัวหน้ำสำย ฝ่ำยปกครอง ฝ่ำย วิชำกำร เป็นต้น โดยแนะนำำของตน ต่อคนในชุมชนว่ำท่ำนเป็นใคร มำทำำอะไร รวมทั้งแนะนำำโครงกำร ซึ่งเป็นกำรเผยแพร่แนวคิดเกี่ยว กับงำนวิจัยนี้ 5) เปิดโอกำสให้มีกำรซักถำม และแลกเปลี่ยนควำม คิดเห็นตลอด ทุกขั้นตอน (2) ขั้นเริ่มวิจัยใส่ใจกระบวนกำรชุมชน ขั้นเริ่มวิจัยใส่ใจ กระบวนกำรชุมชน ประกอบไปด้วยกิจกรรมต่ำงๆ ที่นักวิจัย พึง กระทำำได้แก่ (2.1) กำรศึกษำปัญหำและควำมต้องกำรของชุมชน ตลอดจนกำรประเมินทรัพยำกรที่มีอยู่ในชุมชนนั้น โดยดำำเนินกำร ศึกษำร่วมกับชุมชนซึ่งจำำเป็นต้องกระทำำควบคู่ไปกับกำรให้ควำมรู้แก่


29

ชุมชนในเรื่องของกระบวนกำรและขั้นตอนกำรวิจัยเชิงปฏิบัติกำร อย่ำงมีส่วนร่วมในกำรให้ควำมรู้แก่ชุมชน เป็นกำรใช้รูปแบบและ แนวคิดกำรศึกษำผู้ใหญ่ ครอบคลุมกำรพัฒนำทักษะต่ำงๆ นับตั้งแต่ กำรเก็บรวบรวมข้อมูล ควำมสำมำรถในกำรวิเครำะห์ปัญหำ สถำนกำรณ์ของชุมชน กำรตีควำมข้อมูลกำรสรุปและให้ข้อเสนอ แนะบนพื้นฐำนของข้อมูล (2.2) กำรกำำหนดปัญหำ ซึ่งในเบื้องต้นอำจพบว่ำ ชุมชนมีปัญหำและควำมต้องกำรที่หลำยหลำยแต่เมื่อถึงขั้นกำร ดำำเนินกำรเพื่อแก้ปัญหำอำจจะพบว่ำมีควำมจำำเป็นที่จะต้องเลือกและ กำำหนดปัญหำมีกำรลำำดับควำมสำำคัญของปัญหำ โดยพิจำรณำจำก ปัจจัยและองค์ประกอบต่ำงๆ เช่น ควำมรุนแรงของปัญหำ ควำมยำก ง่ำยในกำรดำำเนินกำรแก้ไขปัญหำ ควำมเร่งด่วนของปัญหำ และ จำกทรัพยำกรที่มีอยู่ในชุมชน กำรนำำทรัพยำกรเหล่ำนั้นมำใช้ให้ เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งในขั้นตอนนี้จะต้องเปิดโอกำสให้สมำชิกมี ส่วนร่วมในกำรอภิปรำยแสดง ควำมคิดเห็นและตัดสินใจในกำรเลือก และกำำหนดปัญหำ (2.3) กำรร่วมกันออกแบบกำรวิจัย โดยเริ่มตั้งแต่กำร กำำหนดวัตถุประสงค์ของกำรวิจัยกำำหนดวิธีกำรเก็บข้อมูลอะไร อย่ำงไร ส่วนใดจะใช้แบบสอบถำม สัมภำษณ์ สังเกต หรืออำจจะ ใช้กำรอภิปรำยกลุ่ม จะใช้เวลำในกำรเก็บข้อมูลนำนเท่ำไร ใครจะ รับผิดชอบเก็บข้อมูลในเรื่องอะไรเป็นต้น (2.4) กำรวิเครำะห์ขอ ้ มูลในขั้นตอนนี้ อำจพบข้อ จำำกัด สำำหรับคนในชุมชน ที่จะเข้ำมำมีส่วนร่วมเนื่องจำก ประสบกำรณ์และควำมรู้ในเรื่องกำรวิจัยมีจำำกัด ดังนั้น ตัวผู้วิจัย จะ ต้องให้ควำมสำำคัญในเรื่องนี้ โดยเฉพำะอย่ำงยิ่งในตอนคัดเลือก สมำชิกในชุมชนที่มำร่วมควรจะเป็นผู้ทอ ี่ ่ำนออกเขียนได้ ทั้งนี้เมื่อได้


30

วิเครำะห์ข้อมูลและสรุปแล้ว สมำชิกชุมชนก็จะได้รับทรำบถึง สถำนกำรณ์ของปัญหำที่ได้มีกำรหยิบยกมำว่ำมีควำมรุนแรงมำกน้อย เพียงใด อะไรคือสำเหตุของปัญหำ มีปัจจัยอะไรบ้ำงที่เกี่ยวข้องกับ ปัญหำนั้นๆ ใครหรือกลุ่มใดที่มีผลกระทบ หรือได้รับควำมเดือดร้อน จำกปัญหำนั้นๆ ใครหรือกลุ่มใด ที่มีผลกระทบหรือได้รับควำมเดือด ร้อน จำกปัญหำนั้นบ้ำง (2.5) กำรนำำเสนอข้อมูลต่อที่ประชุมของชุมชน เพื่อ ให้ชุมชนได้ทรำบ และเป็นกำรร่วมกันยืนยัน และตรวจสอบควำม ถูกต้องของข้อมูล พร้อมกับเสนอข้อคิดเห็นเพิ่มเติมอันจะเป็น ประโยชน์ต่อกำรนำำผลกำรวิจัยไปใช้ในกำรจัดทำำแผนงำน หรือ โครงกำรเพื่อแก้ปัญหำต่อไป (3) ขั้นพัฒนำมุ่งแก้ปัญหำชุมชน ขั้นตอนมุ่งแก้ปัญหำ ชุมชน ประกอบไปด้วยกิจกรรมต่ำงๆ ที่นักวิจัยพึงดำำเนินกำรดังนี้ (3.1) กำำหนดโครงกำรเพื่อแก้ปัญหำนั้นๆ มีกำรกำำหนด วัตถุประสงค์ของโครงกำร ระบุกิจกรรมต่ำงๆ ข้นตอนกำรดำำเนินงำน ให้ชัดเจน กำำหนดหน้ำที่ควำมรับผิดชอบของสมำชิก แต่ละคนใน กำรดำำเนินกิจกรรม จัดทำำตำรำงและกำำหนดเวลำที่จะดำำเนินตำม โครงกำรหรือกิจกรรมต่ำงๆ ในขั้นตอนต่ำงๆ เหล่ำนี้ ยังเป็นกระบวน กำรตัดสินใจร่วมกันของสมำชิกในชุมชนผู้วิจัย นอกจำกจะเป็นผู้ที่ คอยกระตุ้นให้สมำชิกมีส่วนร่วมในกระบวนกำรต่ำงๆ แล้วผู้วิจัยอำจ จะต้องทำำหน้ำที่ในกำรสนับสนุนด้ำนต่ำงๆ เช่น แนะนำำช่องทำงใน กำรหำแหล่งทรัพยำกร หรือแหล่งที่ให้สนับสนุนจำกภำยนอกชุมชน นอกเหนือจำกทรัพยำกรที่มีอยู่ในชุมชน เพื่อนำำมำใช้ดำำเนินงำน (3.2) กำรปฏิบัติตำมแผนที่กำำหนดไว้ โดยมีแกนนำำ หรือกลุ่มในชุมชน เป็นกลุ่มทำำงำนแต่กลุ่มนี้จะต้องเป็นกลุ่มบุคคลที่ สมำชิกในชุมชนให้กำรยอมรับ โดยกลุ่มทำำงำนหรือกลุ่มแกนนำำนี้


31

อำจจะเป็นกลุ่มหรือองค์กรที่อยู่ในชุมชนซึ่งมีควำมเหมำะสม สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ หรือลักษณะของงำน แต่ในกรณีที่ชุมชน ไม่มีกลุ่มหรือองค์กรที่เหมำะสม ก็มีควำมจำำเป็นที่จะต้องจัดตั้งกลุ่ม ขึ้นมำใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะของกิจกรรมที่ได้ตั้งไว้ สิ่ง สำำคัญในขั้นตอนนี้คือ กำรกระจำยหน้ำที่ ควำมรับผิดชอบต่ำงๆ ระหว่ำงสมำชิกของชุมชนระหว่ำงสมำชิกในกลุ่มทำำงำน ระหว่ำง สมำชิกชุมชนกับผู้วิจัย และกำรมอบหมำยงำนให้ตรงกับศักยภำพ และควำมสำมำรถของบุคคล กำรกระจำยทรัพยำกร และกำรให้ สมำชิกได้มีส่วนร่วมในกำรดำำเนินงำนต่ำงๆ ทั้งนี้ในกำรกำำหนด กิจกรรมในกำรดำำเนินงำน จำำเป็นต้องอำศัยควำมรู้ และทักษะ เฉพำะบำงประกำร ซึ่งรวมทั้งเทคนิคกำรบริหำรงำน กำรทำำงำนร่วม กัน กำรแก้ปัญหำ เพิ่มพูนทักษะต่ำงๆ ในกำรปฏิบัติงำน จึงเป็น หน้ำที่ควำมรับผิดชอบ ของผู้วิจัยในกำรจัดอบรมหรือ จัดหำ วิทยำกรภำยนอกหรือแม้แต่ในชุมชนเองที่จะเสริมควำมรู้ ทักษะให้ กับสมำชิกทั้งก่อนและขณะปฏิบัติกำร (3.3) กำรติดตำมและประเมินผลซึ่งถือเป็นกิจกรรมที่มี จำำเป็นอย่ำงยิ่ง เพื่อดูปัญหำและอุปสรรคในกำรปฏิบัติงำนว่ำมีอะไร บ้ำงที่จะต้องแก้ไข โครงกำรและกิจกรรมต่ำงๆ ดำำเนินไปตำมแผน งำนที่กำำหนดไว้หรือไม่ ในขั้นตอนนี้สมำชิกของชุมชนยังมีส่วนร่วม และเป็นผู้ดำำเนินกำรติดตำมและประเมินผลโครงกำร ดังนั้นจำำเป็น เช่นกันที่กลุ่มติดตำมและประเมินผล จะได้รับกำรฝึกอบรมควำมรู้ และเทคนิคในกำรติดตำมและประเมินผลอย่ำงง่ำยๆ จำกผู้วิจัยก่อนที่ จะปฏิบัติงำนเพื่อควำมเหมำะสมอำจมีกำรจัดตั้งกลุ่มติดตำม และ ประเมินผล กลุ่มใหม่ขึ้นอีกกลุ่มหนึ่งก็ได้ เพื่อทำำหน้ำที่นี้ โดย เฉพำะเพียงป้องกันอคติที่จะเกิดขึ้น ในกำรติดตำมและประเมินผล


32

โดยสรุปกำรเปิดโอกำสให้ประชำชนเข้ำมำมีส่วนร่วม เริ่ม ตั้งแต่ร่วมทำำกำรศึกษำค้นคว้ำปัญหำควำมต้องกำร คิดและหำวิธีแก้ ปัญหำ เพื่อให้มีกำรสร้ำงสรรค์สิ่งใหม่ๆ ขึ้นมำ เช่น (1) ประชำชนมีส่วนร่วมในกำรค้นหำปัญหำและจัดลำำดับ ควำมสำำคัญของปัญหำ (2) ประชำชนมีส่วนร่วมในกำรวิเครำะห์ถึงสำเหตุผล และที่มำของปัญหำ (3) ประชำชนมีส่วนร่วมในกำรเลือกวิธีกำรและพิจำรณำ วำงแผนแก้ปัญหำ (4) ประชำชนมีส่วนร่วมในกำรดำำเนินกำรตำมแผน (5) ประชำชนมีส่วนร่วมในกำรประเมินผล วิเครำะห์ ปัญหำ อุปสรรคและปัจจัยที่มีส่วนทำำให้กำรดำำเนินกำรบรรลุเป้ำ หมำย ดังนั้นกำรวิจัยเชิงปฏิบัติกำรแบบมีส่วนร่วม จึงเป็นวิธีกำร เรียนรู้จำกประสบกำรณ์ โดยอำศัยกำรมีส่วนร่วมจำกทุกฝ่ำยที่ เกี่ยวข้องกับกิจกรรมกำรวิจัย นับตั้งแต่กำรระบุปัญหำกำรดำำเนินกำร กำรติดตำมผล จนถึงขั้นประเมินผลในระหว่ำงกำรดำำเนินกำรควร ประเมินควำมสัมพันธ์ระหว่ำงผู้วิจัยกับชำวบ้ำนอยู่ตลอดเวลำ และ ทบทวนวัตถุประสงค์ของกำรวิจัยเป็นครั้งครำว เพื่อให้สอดคล้องกับ ควำมเห็นของชำวบ้ำน อันจะนำำไปสู่กำรมีส่วนร่วมอย่ำงแท้จริงและ กำรเปลี่ยนแปลงของชุมชนกระบวนกำรวิจัยก็ต้องดำำเนินไปโดย ควำมร่วมมือกับทำำกิจกรรมอย่ำงต่อเนื่องเป็นลำำดับขั้นตอนตั้งแต่ต้น จนจบสิ้นกระบวนกำร ดังต่อไปนี้ (ไพโรจน์ ชลำรักษ์. 2548 : 20-21) (5.1) ขั้นกำรศึกษำบริบท ในขั้นนี้ นักวิจัยจะทำำกำร กำำหนดพื้นที่หรืออำณำบริเวณที่จะทำำกำรศึกษำวิจัยเพื่อทำำประชำคม โดยมีนักพัฒนำประชำสัมพันธ์ชักชวนให้ชำวบ้ำนเข้ำร่วม และชำว บ้ำนเข้ำร่วมกิจกรรมกำรวิจัย


33

(5.2) ขั้นกำำหนดปัญหำ ในขั้นตอนนี้ นักวิจัยสรุป คำำถำมหรือปัญหำ รวมทั้งอธิบำยเป้ำหมำยและวัตถุประสงค์ของกำร แก้ไขปัญหำให้ทุกฝ่ำยที่เกี่ยวข้องได้เห็นภำพและเกิดควำมเข้ำใจ ตรงกัน ส่วนนักพัฒนำทำำควำมเข้ำใจประเด็นปัญหำละมองถึงผล ของกำรวิจัยได้อย่ำงชัดเจน และครอบคลุมส่วนเกี่ยวข้องอื่นๆ และ ชำวบ้ำนได้เข้ำร่วมกิจกรรมเพื่อให้ข้อมูล และแสดงควำมคิดเห็น ควำมต้องกำร (5.3) ขั้นกำรวำงแผนปฏิบัติงำนวิจัย ในขั้นตอนนี้ นักวิจัยจัดทำำขั้นตอนกำรปฏิบัติงำนวิจัยให้ชัดเจน รวมทั้งระบุด้วยว่ำ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกำรทำำวิจัยแต่ละฝ่ำยจะมีส่วนร่วมอะไร และ อย่ำงไร เมื่อใดบ้ำง พร้อมทั้งแผนกำรปรับปรุงหรือปรับเปลี่ยนวิธีกำร วิจัย ส่วนนักพัฒนำจะเข้ำร่วมปฏิบัติกำรวิจัยโดยติดตำมผลกำร ดำำเนินงำนวิจัยทุกขั้นตอน และคอยตรวจสอบผลของกำรดำำเนินงำน ว่ำมีสิ่งใดที่ผิดพลำด หรือไม่เป็นไปตำมแผนหรือเป้ำหมำย หรือมีสิ่ง ใดที่เกิดแทรกซ้อนขึ้นมำหรือไม่ โดยชำวบ้ำนนั้น จะเข้ำมีส่วนร่วม ลงมือในกำรปฏิบัติงำนวิจัยตำมแผน และตรวจสอบผลว่ำพึงพอใจ หรือไม่ (5.4) ขั้นกำรติดตำม ตรวจสอบและปรับปรุง รวมทั้ง กำรแก้ไขระหว่ำงกำรปฏิบัติงำนวิจัย (5.5) ขั้นกำรสรุปผลกำรวิจัย ในขั้นตอนนี้ นักวิจัยจะ ทำำกำรสรุปผลกำรวิจัย และเรียบเรียงเป็นรำยงำนกำรวิจัยออกเผย แพร่ นักพัฒนำมีส่วนร่วมด้วยกำรรับทรำบและตรวจสอบประเมินผล กำรวิจัยว่ำประสบควำมสำำเร็จมำกน้อยเพียงใด มีปัญหำและอุปสรรค อย่ำงไรบ้ำง โดยชำวบ้ำนเข้ำมีส่วนร่วมด้วยกำรให้ขอ ้ มูลย้อนกลับ ผลของกำรวิจัยว่ำพึงพอใจและได้ผลตำมที่คำดหวังไว้หรือไม่ และ แสดงควำมคิดเห็นอื่นประกอบข้อมูลด้วยว่ำเพรำะเหตุใด เพื่อให้กำร


34

ดำำเนินกำรวิจัยในครั้งนี้มีแนวทำงที่จะทำำให้บรรลุประสงค์จึงยึด กระบวนกำรวิจัยเชิงปฏิบัติกำรแบบมีส่วนร่วมนี้เป็นแนวทำงใน กระบวนกำรศึกษำวิจัย 9. 3 กำรพัฒ นำสัง คมไทยที่ต ้อ งสร้ำ งควำมภูม ิใ จกับ ภูม ิป ัญ ญำท้อ งถิ่น 1) ภูม ิป ัญ ญำท้อ งถิ่น “ภูมิปัญญำ” เป็นคำำที่ใช้กันในหมู่ นักกำรศึกษำมำนำนแล้ว “ภูมิปัญญำชำวบ้ำน” หรือ “ภูมิปัญญำท้อง ถิ่น” หรือ “ภูมิปัญญำไทย” มีผู้สนใจพูดถึงกันมำกขึ้นเมื่อทศวรรษที่ ผ่ำนมำนี้ ทั้งองค์กรภำครัฐ (GO) และองค์กรภำคเอกชน (NGO) กำรเข้ำใจเรื่องภูมิปัญญำชำวบ้ำนเป็นสิ่งสำำคัญที่ทำำให้เข้ำใจถึง วัฒนธรรมของชำวบ้ำน และทำำให้เข้ำใจภำพรวมวัฒนธรรมของ ชำติได้ ดังนั้นเรื่องภูมิปัญญำชำวบ้ำนจึงจำำเป็นต้องทำำควำมเข้ำใจ ในเบื้องต้นเสียก่อนว่ำภูมิปัญญำชำวบ้ำนคืออะไร สำำคัญอย่ำงไรและ มีแนวทำงวิธีกำรศึกษำและส่งเสริมเผยแพร่อย่ำงไร

ภูมิปัญญำ

(Wisdom) หรือ มิปัญญำชำวบ้ำน (Popular wisdom) หรือ ภูมิปัญญำท้องถิ่น (Local wisdom) ก็เรียกหมำยถึงพื้นเพรำกฐำน ของควำมรู้ของชำวบ้ำน หรือควำมรอบรู่ของชำวบ้ำนที่เรียนรู้และมี ประสบกำรณ์สืบต่อกันมำทั้งทำงตรงคือประสบกำรณ์ด้วยตนเองหรือ ทำงอ้อม ซึ่งเรียนรู้จำกผู้ใหญ่หรือควำมรู้สะสมที่สืบต่อกันมำ กล่ำว อีกนัยหนึ่งได้ว่ำ ภูมิปัญญำชำวบ้ำน หมำยถึง ทุกสิ่งทุกอย่ำงที่ชำว บ้ำนคิดได้เองที่นำำมำใช้ในกำรแก้ปัญหำ เป็นสติปัญญำ เป็นองค์ ควำมรู้ทั้งหมดของชำวบ้ำน ทั้งกว้ำง ทั้งลึก ที่ชำวบ้ำนสำมำรถคิดเอง ทำำเอง โดยอำศัยภูมิปัญญำเกิดจำกำรสะสมกำรเรียนรู้มำเป็นระยะ เวลำยำวนำน มีลักษณะเชื่อมโยงกันไปหมดในทุกสำขำวิทยำ ไม่ แยกเป็นวิชำๆ แบบที่เรำเรียน ฉะนั้นวิชำเกี่ยวกับเศรษฐกิจอำชีพ ควำมเป็นอยู่เกี่ยวกับกำรใช้จ่ำยเกี่ยวกับกำรศึกษำวัฒนธรรมนั้นจะ


35

ผสมกลมกลืนเชื่อมโยงกันหมด ภูมิปัญญำมี 2 ลักษณะ คือ 1) ลักษณะที่เป็นนำมธรรม เป็นโลกทัศน์ชีวทัศน์ เป็นปรัชญำใน กำรดำำเนินชีวิต เป็นเรื่องเกี่ยวกับกำรเกิด แก่ เจ็บ ตำย คุณค่ำและ ควำมหมำยของทุกสิ่งในชีวิตประจำำวัน 2)

ลักษณะที่เป็นรูปธรรม

เป็นเรื่องเกี่ยวกับเฉพำะด้ำนต่ำงๆ เช่น กำรทำำมำหำกิน กำรเกษตรกร หัตถกรรม ศิลปดนตรี และอื่นๆ ภูมิปัญญำเหล่ำนี้สะท้อนออกมำใน 3 ลักษณะที่สัมพันธ์ใกล้ชิดกันคือ (1)

ควำมสัมพันธ์อย่ำงใกล้ชิด

กันคือควำมสัมพันธ์ระหว่ำงคนกับโลก สิ่งแวดล้อม สัตว์ พืช ธรรมชำติ (2) ควำมสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ที่ร่วมกันในสังคม หรือใน ชุมชน (3) ควำมสัมพันธ์กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งเหนือธรรมชำติ สิ่งที่ไม่ สำมำรถสัมผัสได้ทั้งหลำย ทั้งสำมลักษณะนี้คือ สำมมิติของเรื่อง เดียวกัน คือ ชีวิตของชำวบ้ำน สะท้อนออมำถึงภูมิปัญญำ ในกำร ดำำเนินชีวิตอย่ำงมีเอกภำพเหมือนสำมมุมของรูปสำมเหลี่ยม ภูมิปัญญำจึงเป็นรำกฐำนในกำรดำำเนินชีวิตของชำวบ้ำน ทำำไมจึงต้องสนใจเรื่องภูมิปัญญำชำวบ้ำน ภูมิปัญญำ เป็นเรื่องของกำรสืบทอดประสบกำรณ์จำกอดีตถึงปัจจุบันที่เป็นไป อย่ำงต่อเนื่อง อย่ำงไม่ขำดสำย เป็นธรรมชำติของชำวบ้ำนที่เชื่อม โยงประวัติศำสตร์ตอ ่ กันมำมิได้ขำด เป็นลักษณะของควำมสัมพันธ์ ภำยในโดยชำวบ้ำนเอง หรือเรียกว่ำ คนในโดยคนนอก ไม่เข้ำไป บงกำรครอบงำำมำกมำยนัก ทำำให้สังคมชำวบ้ำนเป็นปึกแผ่นมั่นคง ไม่แตกสลำย หมู่บ้ำนไทยไม่ถึงขั้นวิกฤตต้องมำหำทำงออกด้วยวิธี ต่ำงๆ อย่ำงในปัจจุบัน ในช่วงสำมทศวรรษที่ผ่ำนมำ นักบริหำรหรือ พวกที่เรียกตัวเองว่ำ นักพัฒนำ มองชำวบ้ำนว่ำเป็นพวกที่น่ำสงสำร ตำ่ำต้อยยังไม่พัฒนำ ได้โหมกำรพัฒนำไปสู่ชนบทเป็นกำรใหญ่ด้วย ควำมมุ่งมั่นอันแรงกล้ำตำมอุดมกำรณ์ และควำมรู้ที่รำ่ำเรียนมำจำก ประเทศตะวันตกในรูปแบบของโครงกำรต่ำงๆ และด้วยเงินงบ


36

ประมำณของรัฐจำำนวนมหำศำล ที่เน้นกำรใช้วิทยำกำรหรือ เทคโนโลยีแผนใหม่ โดยกำรขำดกำรเชื่อมโยงเทคโนโลยีแผนเก่ำที่ มีมำแต่อดีต ขำดกำรปรับปรนที่เหมำะสม เป็นผลให้วิถีชีวิตของชำว บ้ำนเปลี่ยนแปลงรวดเร็วเกินไป จนไม่สำมำรถปรับตัวได้อย่ำงมี ควำมสุขเหมือนในอดีตที่ค่อยๆ สืบทอดเชื่อมโยงภูมิปัญญำต่อๆ กัน มำโดยตลอด กำรเปลี่ยนแปลงในปัจจุบันทำำให้ชำวบ้ำนสูญเสีย ควำมเป็นตัวของตัวเอง เริ่มขำดควำมภำคภูมิใจในรำกเหง้ำพื้นเพ ของตัวเอง ขำดควำมเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ควำมเป็นอิสระน้อย ลง ขำดควำมเชื่อมั่นในตัวเอง เริ่มไม่กล้ำตัดสินใจดำำเนินชีวิตเอง เนื่องจำกถูกครอบงำำ สั่งกำร ตัดสินใจแทนโดยคนนอกเสียไปส่วน ใหญ่

ยกตัวอย่ำงเช่น เมือ ่ ชำวบ้ำนจะลงมือปลูกพืชต้องไปถำมคน

อื่นที่เป็นคนนอกว่ำ ควรจะเลือกพันธุ์อะไร ปลูกและดูแลอย่ำงไร ขำยอย่ำงไรและในที่สุดก็จะถูกแนะนำำให้ปลูกอย่ำงเดียวตำมควำม ต้องกำรของเขำ (ตลำด) เช่น มันสำำปะหลัง ปอ เป็นต้น ตำมที่เขำ แนะนำำแล้ว ใส่ปุ๋ย ใช้ยำปรำบศัตรูพืชตำมที่เขำแนะนำำและสุดท้ำยก็ ต้องขำยตำมรำคำที่เขำแนะนำำ (กดรำคำ) อีก ผลก็คือ ขำยได้เงิน น้อย เกิดหนี้สินได้ไม่คุ้มเสีย ทำำให้คนอื่นเป็นคนนอก (นำยทุน) รวย ส่วนตนเอง (ชำวบ้ำน) ยิ่งจนลง แถมในที่สุดต้องขำยที่นำหมดเพื่อ ใช้หนี้สินและจำกกำรปลูกพืชอย่ำงเดียวจำำเป็นต้องหักร้ำงถำงพง ทำำลำยแวดล้อมอันอุดมสมบูรณ์ลงไปอย่ำงน่ำเสียดำยอีกต่ำงหำก นี่ กล่ำวถึงเพียงกรณีตัวอย่ำงเดียวเท่ำนั้นซึ่งควำมจริงยังมีกรณีตัวอย่ำง อีกมำกมำย สภำพเช่นนี้ถือว่ำเริ่มสูญเสียภูมิปัญญำของชำวบ้ำนไป ซึ่งจะเป็นอันตรำยต่ออนำคตของชำวบ้ำนเอง และของชำติโดยส่วน รวมในที่สุด เมื่อมีกำรกล่ำวถึงภูมิปัญญำชำวบ้ำนก็มักไม่พ้นที่จะ กล่ำวถึงรำกเหง้ำพื้นเพของชำวบ้ำนในอดีตในแง่ดีอยู่เสมอ แต่ใน ควำมเป็นจริงไม่ว่ำยุคสมัยใดย่อมมีทั้งจุดที่ดีและจุดที่มีดี (ดีน้อย)


37

ปะปนคละเคล้ำกันไปเพียงแต่รำพูดถึงจุดดีหรือแง่ดีของอดีตเพื่อให้มี กำรนำำมำเชื่อมโยงสัมพันธ์ปรับปรนรับใช้ปัจจุบันและอนำคตให้มำก ขึ้นเป็นสำำคัญ คงไม่ใช้ชักชวนชำวบ้ำนกลับคืนไปสู่อดีตหรือพำกัน ฟูมฟำยหำอดีต (สุจิตต์ วงษ์เทศ) ไม่ใช่เรื่องกำรแสงหำสวรรค์หำย อะไรพวกนั้น แต่เป็นเรื่องจริงที่เป็นไปได้แล้วและกำำลังเป็นไปใน หลำยแห่งในประเทศไทยนี้ ดังกรณีของปรำชญ์ชำวบ้ำนหลำยท่ำน ที่มีผลงำนให้ปรำกฏอย่ำงน่ำชื่นชม เช่น หลวงพ่อนำน สุทธสีโล ผู้ใหญ่วิบูลย์ เข็มเฉลิม พ่อจำรย์ทองดี นันทะ พ่อผู้ใหญ่ผำย สร้อยสระกลำง พ่อมหำอยู่ สุนทรธัย พ่อชำลี มำระแสง เป็นต้น จำกกรณีปรำชญ์ชำวบ้ำนดังกล่ำวข้ำงต้น และท่ำนอื่นๆ ที่กำำลังเพิ่ม ขึ้นอีกเรื่อยๆ ในทุกภูมิภำคของประเทศ

ที่ชำวบ้ำนมีควำมสำำนึก

ทำงประวัติศำสตร์ในอดีต ศึกษำสถำนกำรณ์ปัจจุบัน สำมำรถ ถ่ำยทอดเชื่อมโยงต่อเข้ำกับรำกเหง้ำพื้นเพอดีตของตนเองได้อย่ำง เหมำะสม ทำำให้มีควำมเป็นอิสระในกำรคิดกำรทำำมำกขึ้น สำมำรถ ตัดสินใจอย่ำงมีควำมเชื่อมั่นในตนเอง ที่เป็นควำมพยำยำมปรับตัว ให้เข้ำกับสถำนกำรณ์ปัจจุบัน โดยคงรำกเหง้ำแห่งคุณค่ำดั้งเดิมไว้ อย่ำงมีเอกลักษณ์และมีศักดิศ ์ รี กำรถ่ำยทอดเชื่อมโยงภูมิปัญญำชำว บ้ำนดังกล่ำว นับว่ำเป็นกำรแสวงหำของใหม่ในปัจจุบันโดยมีรำก เหง้ำพื้นเพเดิมที่มั่นคงและมีเอกลักษณ์ ย่อมสำมำรถขยำยผลได้ดีกว่ำ กำรเริ่มใหม่ทั้งหมด โดยขำดฐำนเหง้ำอันมั่นคง เช่นเดียวกับกำร ติดตำหรือต่อยอดมะม่วงหรือไม้ผลอื่นๆ ก็ตำม เกษตรกรผู้ชำำนำญ ย่อมมักจะเลือกลำำต้นที่มีรำกเหง้ำหรือรำกแก้วอันมั่นคงก่อนเป็น อันดับแรกเมื่อได้รำกแก้วที่มั่นคงแล้วก็สำมำรถต่อยอด ติดตำหรือ เสียบกิ่งขยำยให้เป็นพันธุ์ใหม่ต่ำงๆ ได้มำกมำยและแข็งแรงดีด้วย เปรียบเสมือนกำรสืบทอดภูมิปัญญำที่กำำลังกล่ำวถึงฉันใดก็ฉันนั้น ชำวบ้ำนทุกหมู่เหล่ำได้ใช้สติปัญญำของตนสั่งสมควำมรู้


38

ประสบกำรณ์เพื่อกำรดำำรงชีพมำโดยตลอด และย่อมถ่ำยทอดจำกคน รุ่นหนึ่งไปอีกรุ่นหนึ่งตลอดมำด้วยวิธีกำรต่ำงๆ ที่แตกต่ำงกันไปตำม สภำพแวดล้อมของแต่ละท้องถิ่น ทั้งทำงตรงและทำงอ้อมโดยอำศัย ศรัทธำทำงศำสนำ ควำมเชื่อถือผีสำงต่ำงๆ รวมทั้งควำมเชื่อ บรรพบุรุษเป็นพื้นฐำนในกำรถ่ำยทอดเรียนรู้สืบต่อกันมำ จำก บรรพบุรุษในอดีตถึงลูกหลำนในปัจจุบัน สำำนักงำนคณะกรรมกำรวัฒนธรรมแห่งชำติ กระทรวง กำรศึกษำธิกำร ได้ตระหนักถึงคุณค่ำของภูมิปัญญำชำวบ้ำนดังกล่ำว จึงควรมีแนวทำงที่จะดำำเนินกำร สรุปได้ดังนี้ (1) กำรทำำควำมเข้ำใจเรื่องภูมิปัญญำชำวบ้ำน โดย อันดับแรก ควรส่งเสริมเจ้ำหน้ำที่ของสำำนักงำนคณะกรรมกำร วัฒนธรรมแห่งชำติ ให้มีควำมรู้ควำมเข้ำใจเกี่ยวกับภูมิปัญญำชำว บ้ำนตำมที่กล่ำวมำแล้วข้ำงต้นเป็นอย่ำงน้อย จำกนั้นควรจัดโอกำส ให้เจ้ำหน้ำที่ได้ไปเยี่ยมศึกษำดูงำน พบปะสนทนำกับปรำชญ์ชำว บ้ำนผู้มีผลงำนที่น่ำชื่นชม น่ำสนใจต่ำงๆ นอกจำกนี้ควรให้โอกำส ไปร่วมกิจกรรมของชุมชนที่ปรำชญ์ชำวบ้ำนได้จัดขึ้น ซึ่งถือว่ำ เป็นกำรศึกษำอย่ำงมีส่วนร่วม ทั้งนี้เพื่อให้เกิดควำมชำวบ้ำน รู้ควำม เข้ำใจอย่ำงลึกซึ้งสำำหรับเป็นพื้นฐำนอันมั่นคงที่จะร่วมวำงแผน ดำำเนินกำรส่งเสริมพัฒนำ ฟื้นฟู สืบทอดเกี่ยวกับเรื่องภูมิปัญญำชำว บ้ำนต่อไป (2) กำรเก็บรวบรวมข้อมูลภูมิปัญญำ โดยประสำนกับ จังหวัด ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัด ศูนย์วัฒนธรรมอำำเภอทุกแห่ง ขอ ควำมร่วมมือเก็บรวบรวมข้อมูลด้ำนภูมิปัญญำชำวบ้ำนที่มีอยู่มำกมำย หลำยตำมทุกหมู่บ้ำนทั่วประเทศอย่ำงจริงจัง โดยกำรเดินทำวไป สืบค้น สอบถำม ขอควำมร่วมมือจำกชำวบ้ำนเพื่อให้ได้ข้อมูลมำ แล้ววิเครำะห์จด ั ระบบแล้วจัดพิมพ์ในรูปแบบของสื่อเอกสำรหรือสือ ่


39

เผยแพร่อื่นๆ สำำหรับกำรศึกษำ ส่งเสริม เผยแพร่ ค้นคว้ำ วิจัยใน ระดับลึกต่อไป (3) กำรศึกษำ ค้นคว้ำ วิจัย โดยส่งเสริมสนับสนุนให้มี กำรศึกษำวิจัยเรื่องภูมิปัญญำชำวบ้ำน เพื่อให้เกิดควำมรู้ควำมเข้ำใจ อย่ำงถ่องแท้ เพื่อให้เกิดองค์ควำมรู้ในรำกเหง้ำพื้นเพของภูมิปัญญำ ในแต่ละด้ำน ในแต่ละท้องถิ่นอย่ำงแท้จริง ทั้งนี้ โดยเน้นให้มีกำร วิจัยเชิงปฏิบัติกำร (Action Res e arch) เป็นพิเศษ (4) กำรส่งเสริมเผยแพร่ โดยรวบรวมองค์ควำมรู้ที่ เหมำะสมแล้วเลือกสรรอย่ำงพิถีพิถัน ระมัดระวังที่เหมำะสมในแต่ละ ประเด็นแต่ลักษณะ นำำมำจัดทำำสื่อกำรเผยแพร่ทำงสื่อมวลชนทุก สำขำตำมโอกำสอันเหมำะสม โดยมีเป้ำหมำยเผยแพร่ในประเทศ เพื่อส่งเสริมให้ชำวบ้ำนนำำควำมรู้ภูมิปัญญำชำวบ้ำนเหล่ำนั้นไป สืบทอดปรับปรนให้ทันสมัย ส่วนกำรเผยแพร่ไปสู่ต่ำงประเทศเพื่อให้ เห็นถึงศักดิศ ์ รีอันดีงำมของปรำชญ์ชำวบ้ำนไทย และเกียรติภูมิของ ชำติไทยเป็นสำำคัญ (5) กำรสนับสนุนคืนภูมิปัญญำให้แก่ชำวบ้ำน โดย กำรยอมรับในควำมเป็นภูมิปัญญำชำวบ้ำน ไม่ดูถูกดูแคลนว่ำเขำโง่ เง่ำ ยอมรับในศักยภำพของชำวบ้ำนให้เป็นตัวของตัวเอง ให้มอ ี ิสระ สำมำรถตัดสินใจได้เองอย่ำงมีศักดิ์ศรี เลิกลงกำร เลิกครอบงำำชำว บ้ำน โดยกำรยกย่องชำวบ้ำน ให้กำำลังใจในผลงำนที่เขำคิดเขำทำำ เป็นกำรเสริมแรงให้มีควำมเชื่อมั่นว่ำเขำมีควำมสำมำรถในกำรช่วย ตนเองได้เหมือนอย่ำงอดีตที่ผ่ำนมำ ผู้สนับสนุนควรเดินทำงไปฟัง ชำวบ้ำนพูด ไปศึกษำควำมรู้จำกชำวบ้ำน ไปร่วมทำำงำนกับชำวบ้ำน ช่วยเหลือสนับสนุนในกิจกรรมที่ชำวบ้ำนคิด ชำวบ้ำนทำำ ด้วยควำม เคำรพ


40

(6) กำรประสำนแผนเพื่อสร้ำงเครือข่ำยกำรดำำเนินงำน โดยกำรประสำนงำนกับหน่วยงำนทั้งภำครัฐและภำคเอกชนให้มีกำร ร่วมมือกันไปศึกษำข้อมูล หำควำมรู้ด้ำนภูมิปัญญำชำวบ้ำนจำก ปรำชญ์ชำวบ้ำน แล้วสนับสนุนให้มีกำรแลกเปลี่ยนศึกษำดูงำนแลก เปลี่ยนประสบกำรณ์ซึ่งกันและกันของชำวบ้ำน แล้วสร้ำงเครือข่ำย ให้มีกำรเชื่อมโยงสืบทอดปรับปรนร่วมผนึกกำำลังกันแบ่งงำนกันทำำ ตำม

ศักยภำพของปรำชญ์แต่ละท้องถิ่นแต่ละด้ำน โดยหน่วยงำน

ต่ำงๆ ที่เกี่ยวข้องให้กำรสนับสนุนอย่ำงจริงจัง 2) คุณ สมบัต ิข องภูม ิป ัญ ญำไทย ผู้ทรงภูมิปัญญำไทย เป็นผู้มีคุณสมบัติตำมที่กำำหนดไว้ อย่ำงน้อย (สำรำนุกรมไทยสำำหรับ เยำวชน, 2557 : ออนไลน์) ดังต่อไปนี้ 1)

เป็นคนดีมีคุณธรรม มี

ควำมรู้ควำมสำมำรถในวิชำชีพต่ำงๆ มีผลงำนด้ำนกำรพัฒนำท้องถิ่น ของตน และได้รับกำรยอมรับจำกบุคคลทั่วไปอย่ำงกว้ำงขวำง ทั้งยัง เป็นผู้ที่ใช้หลักธรรมคำำสอนทำงศำสนำของตนเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ในกำรดำำรงวิถีชีวิตโดยตลอด .2)

เป็นผู้คงแก่เรียนและหมั่น

ศึกษำหำควำมรู้อยู่เสมอ ผู้ทรงภูมิปัญญำจะเป็นผู้ที่หมั่นศึกษำ แสวงหำควำมรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอไม่หยุดนิ่ง เรียนรู้ทั้งในระบบและนอก ระบบ เป็นผู้ลงมือทำำ โดยทดลองทำำตำมที่เรียนมำ อีกทั้งลองผิด ลอง ถูก หรือสอบถำมจำกผู้รู้อื่นๆ จนประสบควำมสำำเร็จ เป็นผู้เชี่ยวชำญ ซึ่งโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ในแต่ละด้ำนอย่ำงชัดเจน เป็นที่ยอมรับกำร เปลี่ยนแปลงควำมรู้ใหม่ๆ ที่เหมำะสม นำำมำปรับปรุงรับใช้ชุมชน และ สังคมอยู่เสมอ 3) เป็นผู้นำำของท้องถิ่น ผู้ทรงภูมิปัญญำส่วนใหญ่จะ เป็นผู้ที่สังคม ในแต่ละท้องถิ่นยอมรับให้เป็นผู้นำำ ทั้งผู้นำำที่ได้รับกำร แต่งตั้งจำกทำงรำชกำร และผู้นำำตำมธรรมชำติ ซึ่งสำมำรถเป็นผู้นำำ ของท้องถิ่นและช่วยเหลือผูอ ้ ื่นได้เป็นอย่ำงดี 4) เป็นผู้ที่สนใจปัญหำ ของท้องถิ่น ผู้ทรงภูมิปัญญำล้วนเป็นผู้ที่สนใจปัญหำของท้องถิ่น


41

เอำใจใส่ ศึกษำปัญหำ หำทำงแก้ไข และช่วยเหลือสมำชิกในชุมชน ของตนและชุมชนใกล้เคียงอย่ำงไม่ย่อท้อ จนประสบควำมสำำเร็จเป็น ที่ยอมรับของสมำชิกและบุคคลทั่วไป 5) เป็นผู้ขยันหมั่นเพียร ผู้ทรง ภูมิปัญญำเป็นผู้ขยันหมั่นเพียร ลงมือทำำงำนและผลิตผลงำนอยู่เสมอ ปรับปรุงและพัฒนำผลงำนให้มีคุณภำพมำกขึ้นอีกทั้งมุ่งทำำงำนของ ตนอย่ำงต่อเนื่อง 6) เป็นนักปกครองและประสำนประโยชน์ของท้อง ถิ่น ผู้ทรงภูมิปัญญำ นอกจำกเป็นผู้ที่ประพฤติตนเป็นคนดี จนเป็นที่ ยอมรับนับถือจำกบุคคลทั่วไปแล้ว ผลงำนที่ท่ำนทำำยังถือว่ำมีคุณค่ำ จึงเป็นผู้ที่มีทั้ง "ครองตน ครองคน และครองงำน" เป็นผู้ประสำน ประโยชน์ให้บุคคลเกิดควำมรัก ควำมเข้ำใจ ควำมเห็นใจ และมีควำม สำมัคคีกัน ซึ่งจะทำำให้ท้องถิ่น หรือสังคม มีควำมเจริญ มีคุณภำพ ชีวิตสูงขึ้นกว่ำเดิม 7) มีควำมสำมำรถในกำรถ่ำยทอดควำมรู้เป็นเลิศ เมื่อผู้ทรงภูมิปัญญำมีควำมรู้ ควำมสำมำรถ และประสบกำรณ์เป็นเลิศ มีผลงำนที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นและบุคคลทั่วไป ทั้งชำวบ้ำน นัก วิชำกำร นักเรียน นิสิต/นักศึกษำ โดยอำจเข้ำไปศึกษำหำควำมรู้ หรือ เชิญท่ำนเหล่ำนั้นไป เป็นผู้ถ่ำยทอดควำมรู้ได้ 8)

เป็นผู้มีคู่

ครองหรือบริวำรดี ผู้ทรงภูมิปัญญำ ถ้ำเป็นคฤหัสถ์ จะพบว่ำ ล้วนมีคู่ ครองที่ดีที่คอยสนับสนุน ช่วยเหลือ ให้กำำลังใจ ให้ควำมร่วมมือใน งำนที่ท่ำนทำำ ช่วยให้ผลิตผลงำนที่มีคุณค่ำ ถ้ำเป็นนักบวช ไม่ว่ำจะ เป็นศำสนำใด ต้องมีบริวำรที่ดี จึงจะสำมำรถผลิตผลงำนที่มีคุณค่ำ ทำงศำสนำได้ 9) เป็นผู้มีปัญญำรอบรู้และเชี่ยวชำญจนได้รับกำร ยกย่องว่ำเป็นปรำชญ์ ผู้ทรงภูมิปัญญำ ต้องเป็นผู้มีปัญญำรอบรู้และ เชี่ยวชำญ รวมทั้งสร้ำงสรรค์ผลงำนพิเศษใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อ สังคมและมนุษยชำติอย่ำงต่อเนื่องอยู่เสมอ 3) กำรจัด แบ่ง สำขำภูม ิป ัญ ญำไทย (สำรำนุกรมไทย สำำหรับเยำวชน, 2557 : ออนไลน์)


42

จำกกำรศึกษำพบว่ำ มีกำรกำำหนดสำขำภูมิปัญญำไทยไว้ อย่ำงหลำกหลำย ขึน ้ อยู่กับวัตถุประสงค์ และหลักเกณฑ์ต่ำงๆ ที่ หน่วยงำน องค์กร และนักวิชำกำรแต่ละท่ำนนำำมำกำำหนด ในภำพ รวมภูมิปัญญำไทย สำมำรถแบ่งได้เป็น 10 สำขำดังนี้ 1)

สำขำ

เกษตรกรรม หมำยถึง ควำมสำมำรถในกำรผสมผสำนองค์ควำมรู้ ทักษะ และเทคนิคด้ำนกำรเกษตรกับเทคโนโลยี โดยกำรพัฒนำบน พื้นฐำนคุณค่ำดั้งเดิม ซึ่งคนสำมำรถพึ่งพำตนเองในภำวกำรณ์ต่ำงๆ ได้ เช่น กำรทำำ กำรเกษตรแบบผสมผสำน วนเกษตร เกษตร ธรรมชำติ ไร่นำสวนผสม และสวนผสมผสำน กำรแก้ปัญหำ กำรเกษตรด้ำนกำรตลำด กำรแก้ปัญหำด้ำนกำรผลิต กำรแก้ไข ปัญหำโรคและแมลง และกำรรู้จักปรับใช้เทคโนโลยีที่เหมำะสมกับ กำรเกษตร เป็นต้น 2)

สำขำอุตสำหกรรมและหัตถกรรม หมำยถึง

กำรรู้จักประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในกำรแปรรูปผลิตผล เพื่อ ชะลอกำรนำำเข้ำตลำด เพื่อแก้ปัญหำด้ำนกำรบริโภคอย่ำงปลอดภัย ประหยัด และเป็นธรรม อันเป็นกระบวนกำรที่ทำำให้ชุมชนท้องถิ่น สำมำรถพึ่งพำตนเองทำงเศรษฐกิจได้ ตลอดทั้งกำรผลิต และกำร จำำหน่ำย ผลิตผลทำงหัตถกรรม เช่น กำรรวมกลุ่มของกลุ่มโรงงำน ยำงพำรำ กลุ่มโรงสี กลุ่มหัตถกรรม เป็นต้น 3) สำขำกำรแพทย์แผน ไทย หมำยถึง ควำมสำมำรถในกำรจัดกำรป้องกัน และรักษำสุขภำพ ของคนในชุมชน โดยเน้นให้ชุมชนสำมำรถพึ่งพำตนเอง ทำงด้ำน สุขภำพ และอนำมัยได้ เช่น กำรนวดแผนโบรำณ กำรดูแลและรักษำ สุขภำพแบบพื้นบ้ำน กำรดูแลและรักษำสุขภำพแผนโบรำณไทย เป็นต้น 4)

สำขำกำรจัดกำรทรัพยำกรธรรมชำติและสิ่งแวดล้อม

หมำยถึง ควำมสำมำรถเกี่ยวกับกำรจัดกำรทรัพยำกรธรรมชำติและ สิ่งแวดล้อม ทั้งกำรอนุรักษ์ กำรพัฒนำ และกำรใช้ประโยชน์จำก คุณค่ำของทรัพยำกรธรรมชำติ และสิ่งแวดล้อม อย่ำงสมดุล และ


43

ยั่งยืน เช่น กำรทำำแนวปะกำรังเทียม กำรอนุรักษ์ป่ำชำยเลน กำร จัดกำรป่ำต้นนำ้ำ และป่ำชุมชน เป็นต้น 5)

สำขำกองทุนและธุรกิจ

ชุมชน หมำยถึง ควำมสำมำรถในกำรบริหำรจัดกำรด้ำนกำรสะสม และบริกำรกองทุน และธุรกิจในชุมชน ทั้งที่เป็นเงินตรำ และ โภคทรัพย์ เพื่อส่งเสริมชีวิตควำมเป็นอยู่ของสมำชิกในชุมชน เช่น กำรจัดกำรเรื่องกองทุนของชุมชน ในรูปของสหกรณ์ออมทรัพย์ และ ธนำคำรหมู่บ้ำน เป็นต้น 6)

สำขำสวัสดิกำร หมำยถึง ควำม

สำมำรถในกำรจัดสวัสดิกำรในกำรประกันคุณภำพชีวิตของคน ให้ เกิดควำมมั่นคงทำงเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม เช่น กำรจัดตั้ง กองทุนสวัสดิกำรรักษำพยำบำลของชุมชน กำรจัดระบบสวัสดิกำร บริกำรในชุมชน กำรจัดระบบสิ่งแวดล้อมในชุมชน เป็นต้น 7) สำขำ ศิลปกรรม หมำยถึง ควำมสำมำรถในกำรผลิตผลงำนทำงด้ำนศิลปะ สำขำต่ำงๆ เช่น จิตรกรรม ประติมำกรรม วรรณกรรม ทัศนศิลป์ คีต ศิลป์ ศิลปะมวยไทย เป็นต้น 8) สำขำกำรจัดกำรองค์กร หมำยถึง ควำมสำมำรถในกำรบริหำรจัดกำรดำำเนินงำนขององค์กรชุมชนต่ำงๆ ให้สำมำรถพัฒนำ และบริหำรองค์กรของตนเองได้ ตำมบทบำท และ หน้ำที่ขององค์กำร เช่น กำรจัดกำรองค์กรของกลุ่มแม่บ้ำน กลุ่มออม ทรัพย์ กลุ่มประมงพื้นบ้ำน เป็นต้น 9)

สำขำภำษำและ

วรรณกรรม หมำยถึง ควำมสำมำรถผลิตผลงำนเกี่ยวกับด้ำนภำษำ ทั้งภำษำถิ่น ภำษำโบรำณ ภำษำไทย และกำรใช้ภำษำ ตลอดทั้งด้ำน วรรณกรรมทุกประเภท เช่น กำรจัดทำำสำรำนุกรมภำษำถิ่น กำร ปริวรรต หนังสือโบรำณ กำรฟื้นฟูกำรเรียนกำรสอนภำษำถิ่นของ ท้องถิ่นต่ำงๆ เป็นต้น และ 10)

สำขำศำสนำและประเพณี หมำย

ถึง ควำมสำมำรถประยุกต์ และปรับใช้หลักธรรมคำำสอนทำงศำสนำ ควำมเชื่อ และประเพณีดั้งเดิมที่มีคุณค่ำให้เหมำะสมต่อกำรประพฤติ ปฏิบัติ ให้บังเกิดผลดีต่อบุคคล และสิ่งแวดล้อม เช่น กำรถ่ำยทอด


44

หลักธรรมทำงศำสนำ กำรบวชป่ำ กำรประยุกต์ประเพณีบุญประทำย ข้ำว เป็นต้น 4) ลัก ษณะควำมสัม พัน ธ์ข องภูม ิป ัญ ญำไทย ภูมิปัญญำไทยสำมำรถสะท้อนออกมำใน 3 ลักษณะที่สัมพันธ์ใกล้ชิด กัน (สำรำนุกรมไทยสำำหรับเยำวชน, 2557 : ออนไลน์) คือ 1) ควำม สัมพันธ์อย่ำงใกล้ชิดกันระหว่ำงคนกับโลก สิ่งแวดล้อม สัตว์ พืช และ ธรรมชำติ 2) ควำมสัมพันธ์ของคนกับคนอื่นๆ ทีอ ่ ยู่ร่วมกันในสังคม หรือในชุมชน 3) ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงคนกับสิ่งศักดิ์สิทธิส ์ ิ่งเหนือ ธรรมชำติ ตลอดทั้งสิ่งที่ไม่สำมำรถสัมผัสได้ทั้งหลำย ทั้ง 3 ลักษณะนี้ คือ สำมมิติของเรื่องเดียวกัน หมำยถึง ชีวิตชุมชน สะท้อนออกมำถึงภูมิปัญญำในกำรดำำเนินชีวิตอย่ำงมี เอกภำพ เหมือนสำมมุมของรูปสำมเหลี่ยม ภูมิปัญญำ จึงเป็นรำกฐำน ในกำรดำำเนินชีวิตของคนไทย ซึ่งสำมำรถแสดงให้เห็นได้อย่ำง ชัดเจนโดยแผนภำพที่ 3 ดังนี้

แผนภำพที่ 3 แสดงรำกฐำนในกำรดำำ เนิน ชีว ิต ของคนไทย ที่มำ : (สำรำนุกรมไทยสำำหรับเยำวชน, 2557 : ออนไลน์)


45

ลักษณะภูมิปัญญำที่เกิดจำกควำมสัมพันธ์ระหว่ำงคน กับธรรมชำติสิ่งแวดล้อม จะแสดงออกมำในลักษณะภูมิปัญญำในกำร ดำำเนินวิถีชีวิตขั้นพื้นฐำน ด้ำนปัจจัยสี่ ซึ่งประกอบด้วย อำหำร เครื่อง นุ่งห่ม ที่อยูอ ่ ำศัย และยำรักษำโรค ตลอดทั้งกำรประกอบอำชีพต่ำงๆ เป็นต้น ภูมิปัญญำที่เกิดจำกควำมสัมพันธ์ระหว่ำงคนกับคนอื่นใน สังคม จะแสดงออกมำในลักษณะ จำรีต ขนบธรรมเนียมประเพณี ศิลปะ และนันทนำกำร ภำษำ และวรรณกรรม ตลอดทั้งกำรสื่อสำร ต่ำงๆ เป็นต้น ภูมิปัญญำที่เกิดจำกควำมสัมพันธ์ระหว่ำงคนกับสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ สิ่งเหนือธรรมชำติ จะแสดงออกมำในลักษณะของสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ ศำสนำ ควำมเชื่อต่ำงๆ เป็นต้น 5) คุณ ค่ำ และควำมสำำ คัญ ของภูม ิป ัญ ญำไทย คุณค่ำของภูมิปัญญำไทย ได้แก่ ประโยชน์ และควำม สำำคัญของภูมิปัญญำ ที่บรรพบุรุษไทย ได้สร้ำงสรรค์ และสืบทอดมำ อย่ำงต่อเนื่อง จำกอดีตสู่ปัจจุบัน ทำำให้คนในชำติเกิดควำมรัก และ ควำมภำคภูมิใจ ที่จะร่วมแรงร่วมใจสืบสำนต่อไปในอนำคต เช่น โบรำณสถำน โบรำณวัตถุ สถำปัตยกรรม ประเพณีไทย กำรมีนำ้ำใจ ศักยภำพในกำรประสำนผลประโยชน์ เป็นต้น ภูมิปัญญำไทยจึงมี คุณค่ำ และควำมสำำคัญ (สำรำนุกรมไทยสำำหรับเยำวชน, 2557 : ออนไลน์) ดังนี้ 1) ภูมิปัญญำไทยช่วยสร้ำงชำติให้เป็นปึกแผ่น พระมหำกษัตริย์ไทยได้ใช้ภูมิปัญญำในกำรสร้ำงชำติ สร้ำง ควำมเป็นปึกแผ่นให้แก่ประเทศชำติมำโดยตลอด ตั้งแต่สมัยพ่อขุน รำมคำำแหงมหำรำช พระองค์ทรงปกครองประชำชน ด้วยพระเมตตำ แบบพ่อปกครองลูก ผู้ใดประสบควำมเดือดร้อน ก็สำมำรถตีระฆัง แสดงควำมเดือดร้อน เพื่อขอรับพระรำชทำนควำมช่วยเหลือ ทำำให้ ประชำชนมีควำมจงรักภักดีตอ ่ พระองค์ ต่อประเทศชำติร่วมกันสร้ำง บ้ำนเรือนจนเจริญรุ่งเรืองเป็นปึกแผ่น

สมเด็จพระนเรศวรมหำรำช


46

พระองค์ทรงใช้ภูมิปัญญำกระทำำยุทธหัตถี จนชนะข้ำศึกศัตรู และ ทรงกอบกู้เอกรำชของชำติไทยคืนมำได้

พระบำทสมเด็จ

พระเจ้ำอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกำลปัจจุบัน พระองค์ทรงใช้ ภูมิปัญญำสร้ำงคุณประโยชน์แก่ประเทศชำติ และเหล่ำพสกนิกร มำกมำยเหลือคณำนับ ทรงใช้พระปรีชำสำมำรถ แก้ไขวิกฤตกำรณ์ ทำงกำรเมือง ภำยในประเทศ จนรอดพ้นภัยพิบัติหลำยครั้ง พระองค์ ทรงมีพระปรีชำสำมำรถหลำยด้ำน แม้แต่ด้ำนกำรเกษตร พระองค์ได้ พระรำชทำนทฤษฎีใหม่ให้แก่พสกนิกร ทั้งด้ำนกำรเกษตรแบบสมดุล และยั่งยืน ฟื้นฟูสภำพแวดล้อม นำำควำมสงบร่มเย็นของประชำชนให้ กลับคืนมำ แนวพระรำชดำำริ "ทฤษฎีใหม่" แบ่งออกเป็น 3 ขัน ้ โดย เริ่มจำก ขัน ้ ตอนแรก ให้เกษตรกรรำยย่อย "มีพออยู่พอกิน" เป็นขั้น พื้นฐำน โดยกำรพัฒนำแหล่งนำ้ำ ในไร่นำ ซึ่งเกษตรกรจำำเป็นที่จะ ต้องได้รับควำมช่วยเหลือจำกหน่วยรำชกำร มูลนิธิ และหน่วยงำน เอกชน ร่วมใจกันพัฒนำสังคมไทย ในขั้นที่สอง เกษตรกรต้องมีควำม เข้ำใจ ในกำรจัดกำรในไร่นำของตน และมีกำรรวมกลุ่มในรูป สหกรณ์ เพื่อสร้ำงประสิทธิภำพทำงกำรผลิต และกำรตลำด กำรลด รำยจ่ำยด้ำนควำมเป็นอยู่ โดยทรงตระหนักถึงบทบำทขององค์กร เอกชน เมื่อกลุ่มเกษตรวิวัฒน์มำขั้นที่ 2 แล้ว ก็จะมีศักยภำพ ในกำร พัฒนำไปสู่ขั้นที่สำม ซึ่งจะมีอำำนำจในกำรต่อรองผลประโยชน์กับ สถำบันกำรเงินคือ ธนำคำร และองค์กรที่เป็นเจ้ำของแหล่งพลังงำน ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งในกำรผลิต โดยมีกำรแปรรูปผลิตผล เช่น โรงสี เพื่อเพิ่มมูลค่ำผลิตผล และขณะเดียวกันมีกำรจัดตั้งร้ำนค้ำสหกรณ์ เพื่อลดค่ำใช้จ่ำยในชีวิตประจำำวัน อันเป็นกำรพัฒนำคุณภำพชีวิต ของบุคคลในสังคม จะเห็นได้ว่ำ มิได้ทรงทอดทิ้งหลักของควำม สำมัคคีในสังคม และกำรจัดตั้งสหกรณ์ ซึ่งทรงสนับสนุนให้กลุ่ม เกษตรกรสร้ำงอำำนำจต่อรองในระบบเศรษฐกิจ จึงจะมีคุณภำพชีวิตที่


47

ดี จึงจัดได้ว่ำ เป็นสังคมเกษตรที่พัฒนำแล้ว สมดังพระรำชประสงค์ที่ ทรงอุทิศพระวรกำย และพระสติปัญญำ ในกำรพัฒนำกำรเกษตรไทย ตลอดระยะเวลำแห่งกำรครองรำชย์ 2)สร้ำงควำมภำคภูมิใจ และ ศักดิ์ศรี เกียรติภูมิแก่คนไทย คนไทยในอดีตที่มีควำมสำมำรถปรำกฏ ในประวัติศำสตร์มีมำก เป็นที่ยอมรับของนำนำอำรยประเทศ เช่น นำยขนมต้มเป็นนักมวยไทย ที่มีฝีมือเก่งในกำรใช้อวัยวะทุกส่วน ทุก ท่ำของแม่ไม้มวยไทย สำมำรถชกมวยไทย จนชนะพม่ำได้ถึงเก้ำคน สิบคนในครำวเดียวกัน แม้ในปัจจุบัน มวยไทยก็ยังถือว่ำ เป็นศิลปะ ชั้นเยี่ยม เป็นที่ นิยมฝึกและแข่งขันในหมู่คนไทยและชำวต่ำง ประเทศ ปัจจุบันมีค่ำยมวยไทยทั่วโลกไม่ตำ่ำกว่ำ 30,000 แห่ง ชำว ต่ำงประเทศที่ได้ฝึกมวยไทย จะรู้สึกยินดีและภำคภูมิใจ ในกำรที่จะ ใช้กติกำ ของมวยไทย เช่น กำรไหว้ครูมวยไทย กำรออก คำำสั่งใน กำรชกเป็นภำษำไทยทุกคำำ เช่น คำำว่ำ "ชก" "นับหนึ่งถึงสิบ" เป็นต้น ถือเป็นมรดก ภูมิปัญญำไทย นอกจำกนี้ ภูมิปัญญำไทยที่โดด เด่นยัง มีอีกมำกมำย เช่น มรดกภูมิปัญญำทำง ภำษำและวรรณกรรม โดยที่มี อักษรไทยเป็นของ ตนเองมำตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย และวิวัฒนำกำร มำจนถึงปัจจุบัน วรรณกรรมไทยถือว่ำ เป็นวรรณกรรมที่มีควำม ไพเรำะ ได้อรรถรสครบทุกด้ำน วรรณกรรมหลำยเรื่องได้รับกำรแปล เป็นภำษำต่ำงประเทศหลำยภำษำ ด้ำนอำหำร อำหำรไทยเป็นอำหำร ที่ปรุงง่ำย พืชที่ใช้ประกอบอำหำรส่วนใหญ่เป็นพืชสมุนไพร ที่หำได้ ง่ำยในท้องถิ่น และรำคำถูก มี คุณค่ำทำงโภชนำกำร และยังป้องกัน โรคได้หลำยโรค เพรำะส่วนประกอบส่วนใหญ่เป็นพืชสมุนไพร เช่น ตะไคร้ ขิง ข่ำ กระชำย ใบมะกรูด ใบโหระพำ ใบกะเพรำ เป็นต้น 3) สำมำรถปรับประยุกต์หลักธรรมคำำสอนทำงศำสนำใช้กับวิถีชีวิต ได้อย่ำงเหมำะสม คนไทยส่วนใหญ่นับถือศำสนำพุทธ โดยนำำหลัก ธรรมคำำสอนของศำสนำ มำปรับใช้ในวิถีชีวิต ได้อย่ำงเหมำะสม


48

ทำำให้คนไทยเป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตน เอื้อเฟื้อเผือ ่ แผ่ ประนีประนอม รักสงบ ใจเย็น มีควำมอดทน ให้อภัยแก่ผู้สำำนึกผิด ดำำรงวิถีชีวิตอย่ำง เรียบง่ำย ปกติสุข ทำำให้คนในชุมชนพึ่งพำกันได้ แม้จะอดอยำก เพรำะ แห้งแล้ง แต่ไม่มีใครอดตำย เพรำะพึ่งพำอำศัย กัน แบ่งปันกัน แบบ "พริกบ้ำนเหนือเกลือบ้ำนใต้" เป็นต้น ทั้งหมดนี้สืบเนื่องมำจำก หลักธรรมคำำสอนของพระพุทธศำสนำ เป็นกำรใช้ภูมิปัญญำ ใน กำรนำำเอำหลักของพระพุทธศำสนำมำ ประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำำวัน และดำำเนินกุศโลบำย ด้ำนต่ำงประเทศ จนทำำให้ชำวพุทธทั่วโลก ยกย่อง ให้ประเทศไทยเป็นผู้นำำทำงพุทธศำสนำ และเป็น ที่ตั้ง สำำนักงำนใหญ่องค์กำรพุทธศำสนิกสัมพันธ์ แห่งโลก (พสล.) อยู่ เยื้องๆ กับอุทยำนเบญจสิริ กรุงเทพมหำนคร โดยมีคนไทย (ฯพณฯ สัญญำ ธรรมศักดิ์ องคมนตรี) ดำำรงตำำแหน่งประธำน พสล. ต่อจำก ม.จ.หญิงพูนพิศมัย ดิศกุล 4)

สร้ำงควำมสมดุลระหว่ำงคนใน

สังคม และธรรมชำติได้อย่ำงยั่งยืน ภูมิปัญญำไทยมีควำมเด่นชัดใน เรื่องของกำรยอมรับนับถือ และให้ควำมสำำคัญแก่คน สังคม และ ธรรมชำติอย่ำงยิ่ง มีเครื่องชี้ที่แสดงให้เห็นได้อย่ำงชัดเจนมำกมำย เช่น ประเพณีไทย ๑๒ เดือน ตลอดทั้งปี ล้วนเคำรพคุณค่ำของ ธรรมชำติ ได้แก่ ประเพณีสงกรำนต์ ประเพณีลอยกระทง เป็นต้น ประเพณีสงกรำนต์เป็นประเพณีที่ทำำใน ฤดูร้อนซึ่งมีอำกำศร้อน ทำำให้ตอ ้ งกำรควำมเย็น จึงมีกำรรดนำ้ำดำำหัว ทำำควำมสะอำดบ้ำน เรือน และธรรมชำติสิ่งแวดล้อม มีกำรแห่นำงสงกรำนต์ กำรทำำนำย ฝนว่ำจะตกมำกหรือน้อยในแต่ละปี ส่วนประเพณีลอยกระทง คุณค่ำ อยู่ที่กำรบูชำ ระลึกถึงบุญคุณของนำ้ำ ทีห ่ ล่อเลี้ยงชีวิตของ คน พืช และสัตว์ ให้ได้ใช้ทั้งบริโภคและอุปโภค ในวันลอยกระทง คนจึง ทำำควำมสะอำดแม่นำ้ำ ลำำธำร บูชำแม่นำ้ำจำกตัวอย่ำงข้ำงต้น ล้วนเป็น ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงคนกับสังคมและธรรมชำติ ทั้งสิ้น ในกำรรักษำ


49

ป่ำไม้ต้นนำ้ำลำำธำร ได้ประยุกต์ให้มีประเพณีกำรบวชป่ำ ให้คนเคำรพ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ธรรมชำติ และสภำพแวดล้อม ยังควำมอุดมสมบูรณ์แก่ ต้นนำ้ำ ลำำธำร ให้ฟื้นสภำพกลับคืนมำได้มำก อำชีพกำรเกษตรเป็น อำชีพหลักของคนไทย ที่คำำนึงถึงควำมสมดุล ทำำแต่น้อยพออยู่พอกิน แบบ "เฮ็ดอยู่เฮ็ดกิน" ของพ่อทองดี นันทะ เมื่อเหลือกิน ก็แจกญำติพี่ น้อง เพื่อนบ้ำน บ้ำนใกล้เรือนเคียง นอกจำกนี้ ยังนำำไปแลกเปลี่ยน กับสิ่งของอย่ำงอื่น ทีต ่ นไม่มี เมือ ่ เหลือใช้จริงๆ จึงจะนำำไปขำย อำจ กล่ำวได้ว่ำ เป็นกำรเกษตรแบบ "กิน-แจก-แลก-ขำย" ทำำให้คนใน สังคมได้ช่วยเหลือเกื้อกูล แบ่งปันกัน เคำรพรัก นับถือ เป็นญำติกัน ทั้งหมู่บ้ำน จึงอยู่ร่วมกันอย่ำงสงบสุข มีควำมสัมพันธ์กันอย่ำงแนบ แน่น ธรรมชำติไม่ถูกทำำลำยไปมำกนัก เนื่องจำกทำำพออยู่พอกิน ไม่ โลภมำกและไม่ทำำลำยทุกอย่ำงผิด กับในปัจจุบัน ถือเป็นภูมิปัญญำที่ สร้ำงควำม สมดุลระหว่ำงคน สังคม และธรรมชำติ 5) เปลี่ยนแปลงปรับปรุงได้ตำมยุคสมัย แม้ว่ำกำลเวลำจะผ่ำนไป ควำมรู้สมัยใหม่ จะหลั่งไหลเข้ำมำมำก แต่ภูมิปัญญำไทย ก็สำมำรถ ปรับเปลี่ยนให้เหมำะสมกับยุคสมัย เช่น กำรรู้จักนำำเครื่องยนต์มำติด ตั้งกับเรือ ใส่ใบพัด เป็นหำงเสือ ทำำให้เรือสำมำรถแล่นได้เร็วขึ้น เรียกว่ำ เรือหำงยำว กำรรู้จักทำำกำรเกษตรแบบผสมผสำน สำมำรถ พลิกฟื้นคืนธรรมชำติให้ อุดมสมบูรณ์แทนสภำพเดิมที่ถูกทำำลำยไป กำรรู้จักออมเงิน สะสมทุนให้สมำชิกกู้ยืม ปลดเปลื้องหนี้สิน และจัด สวัสดิกำรแก่สมำชิก จนชุมชนมีควำมมั่นคง เข้มแข็ง สำมำรถช่วย ตนเองได้หลำยร้อยหมู่บ้ำนทั่วประเทศ เช่น กลุ่มออมทรัพย์คีรีวง จังหวัดนครศรีธรรมรำช จัดในรูปกองทุนหมุนเวียนของชุมชน จน สำมำรถช่วยตนเองได้ เมื่อป่ำถูกทำำลำย เพรำะถูกตัดโค่น เพื่อปลูก พืชแบบเดี่ยว ตำมภูมิปัญญำสมัยใหม่ ที่หวังรำ่ำรวย แต่ในที่สุด ก็ ขำดทุน และมีหนี้สิน สภำพแวดล้อมสูญเสียเกิดควำมแห้งแล้ง คน


50

ไทยจึงคิดปลูกป่ำ ที่กินได้ มีพืชสวน พืชป่ำไม้ผล พืชสมุนไพร ซึ่ง สำมำรถมีกินตลอดชีวิตเรียกว่ำ "วนเกษตร" บำงพื้นที่ เมื่อป่ำชุมชน ถูกทำำลำย คนในชุมชนก็รวมตัวกัน เป็นกลุ่มรักษำป่ำ ร่วมกันสร้ำง ระเบียบ กฎเกณฑ์กันเอง ให้ทุกคนถือปฏิบัติได้ สำมำรถรักษำป่ำได้ อย่ำงสมบูรณ์ดังเดิม เมื่อปะกำรังธรรมชำติถูกทำำลำย ปลำไม่มีที่อยู่ อำศัย ประชำชนสำมำรถสร้ำง "อูหยัม" ขึน ้ เป็นปะกำรังเทียม ให้ปลำ อำศัยวำงไข่ และแพร่พันธุ์ให้เจริญเติบโต มีจำำนวนมำกดังเดิมได้ ถือ เป็นกำรใช้ภูมิปัญญำปรับปรุงประยุกต์ใช้ได้ตำมยุคสมัย 6) ภูม ิป ัญ ญำไทยกับ กำรส่ง เสริม กำรเรีย นรู้แ ละกำร ส่ง เสริม อำชีพ สุมำลี สังข์ศรี และคณะ (2550)ได้ศึกษำวิจัยเกี่ยวกับ ภูมิปัญญำไทย กำรวิจัยครั้งนี้เป็นกำรศึกษำภูมิปัญญำไทยกับกำรส่ง เสริมกำรเรียนรู้และกำรประกอบอำชีพของประชำชนในชุมชน ตำม นโยบำยส่งเสริมภูมิปัญญำไทยในกำรจัดกำรศึกษำตลอดชีวิต และ เป็นกำรยกย่องเชิดชูเกียรติครูภูมิปัญญำไทยให้ถ่ำยทอดควำมรู้แก่ ประชำชนในชุมชน โดยมีวัตถุประสงค์ของกำรวิจัย ดังต่อไปนี้ 1) เพื่อศึกษำสภำพกำรจัดบริกำรถ่ำยทอดควำมรู้ทั่วไปและควำมรู้ ในกำรประกอบอำชีพของครูภูมิปัญญำโดยผ่ำนศูนย์กำรเรียนรู้ ภูมิปัญญำไทย 2) เพื่อศึกษำรูปแบบและกระบวนกำรเรียนรู้ที่เกิดขึ้น ในศูนย์กำรเรียนรู้ภูมิปัญญำไทยแต่ละประเภท 3) เพื่อศึกษำ แนวทำงส่งเสริมให้ครูภูมิปัญญำไทยได้มีส่วนร่วมในกำรส่งเสริมกำร เรียนรู้และกำรประกอบอำชีพของประชำชนในชุมชน กลุ่มตัวอย่ำง สำำหรับกำรวิจัยประกอบด้วยบุคคล 5 กลุ่ม คือ 1)

ครูภูมิปัญญำไทย

9 ด้ำน (คือ ด้ำนเกษตรกรรม ด้ำนอุตสำหกรรมและหัตถกรรม ด้ำน แพทย์แผนไทย ด้ำนกำรจัดกำรทรัพยำกรธรรมชำติและสิ่งแวดล้อม ด้ำนกองทุนและธุรกิจชุมชน ด้ำนศิลปกรรมด้ำนภำษำและ


51

วรรณกรรม ด้ำนปรัชญำ ศำสนำ และประเพณี และด้ำนโภชนำกำร) เลือกแบบเจำะจงโดยศึกษำข้อมูลจำกทำำเนียบครูภูมิปัญญำ ซึ่ง รวบรวมไว้โดยสำำนักงำนเลขำธิกำรสภำกำรศึกษำ และกำรสอบถำมผู้ รู้และคนในท้องถิ่นเลือกมำด้ำนละ 4 ท่ำน โดยให้กระจำยทุกภำค ภำคละ 1 ท่ำน เพรำะฉะนั้นใน 9 ด้ำนจะได้ กลุ่มตัวอย่ำงครู ภูมิปัญญำ 9 x 4 = 36 ท่ำน 2)

บุคลำกรกำรศึกษำในระบบ

โรงเรียน เลือกโดยกำรสุ่มอย่ำงง่ำยครูในโรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่เดียว กับครูภูมิปัญญำแต่ละท่ำนที่เป็นกลุ่มตัวอย่ำงในแต่ละพื้นที่ โดยสุ่มมำ พื้นที่ละ 6 คน ได้กลุ่มตัวอย่ำงรวม 216 คน 3)

บุคลำกรของกำร

ศึกษำนอกระบบ เลือกจำกบุคลำกรของหน่วยงำนกำรศึกษำนอก โรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่เดียวกับครูภูมิปัญญำแต่ละท่ำน พื้นที่ละ 5 คน ได้กลุ่มตัวอย่ำงบุคลำกรกำรศึกษำนอกระบบ 180 คน 4) ประชำชน ผู้มำรับควำมรู้จำกครูภูมิปัญญำไทยในแต่ละ พื้นที่ เลือกแบบบังเอิญ จำกประชำชนที่มำรับควำมรู้ในช่วงที่ผู้วิจัยไปสัมภำษณ์ครูภูมิปัญญำ ไทย กลุ่มตัวอย่ำงประชำชน พื้นที่ละ 10 คน ได้กลุ่มตัวอย่ำง ประชำชนใน 36 พื้นที่เป็น 360 คน 5)ผู้เชี่ยวชำญด้ำนภูมิปัญญำ ไทยเลือกแบบเจำะจง 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในกำรวิจัยประกอบด้วยแบบสัมภำษณ์ ครูภูมิปัญญำไทย แบบสัมภำษณ์ประชำชนผู้มำรับควำมรู้ในศูนย์กำร เรียนรู้ภูมิปัญญำไทย แบบ สอบถำมบุคลำกรกำรศึกษำในระบบ โรงเรียน และแบบสอบถำมบุคลำกรกำรศึกษำนอกระบบ กำรเก็บ รวบรวมข้อมูล คณะผู้วิจัยประสำนงำนกับผู้อำำนวยกำรศูนย์กำรศึกษำ นอก โรงเรียนจังหวัด ผู้อำำนวยกำรศูนย์บริกำรกำรศึกษำนอก โรงเรียนอำำเภอ ผูอ ้ ำำนวยกำรโรงเรียนที่เลือกเป็นกลุ่มตัวอย่ำงใน แต่ละพื้นที่เพื่อขอควำมอนุเครำะห์ในกำรประสำนงำนเพื่อให้ผู้วิจัย เก็บข้อมูลจำกกลุ่มตัวอย่ำงด้วยตนเอง ข้อมูลที่รวบรวมได้ในส่วนของ


52

ข้อมูลเชิงปริมำณผู้วิจัยทำำกำรวิเครำะห์ โดยกำรหำค่ำควำมถี่ ค่ำร้อย ละ ค่ำเฉลี่ย และค่ำเบี่ยงเบนมำตรฐำนส่วนข้อมูลที่ได้จำกกำร สัมภำษณ์เป็นข้อมูลเชิงคุณภำพทำำกำรวิเครำะห์โดยกำรสรุป ประเด็น เนื้อหำ ผลกำรวิจัยในประเด็นสำำคัญสรุปได้ดังนี้ (1) สภำพทั่วไปของศูนย์กำรเรียนรู้ภูมิปัญญำไทย ใน ภำพรวมสำมำรถสรุปได้ดังนี้ (1.1) ควำมเป็นมำของภูมิปัญญำไทย ส่วนใหญ่เป็น องค์ควำมรู้ของคนในท้องถิ่นที่ได้รับกำรสืบทอดต่อกันมำ เป็นมรดก ตกทอดจำกบรรพบุรุษสู่ลูกหลำน บำงส่วนพัฒนำมำจำกอำชีพที่ทำำ อยู่เดิมให้ดข ี ึ้นมีคุณภำพมำกขึ้น สำมำรถผลิตออกจำำหน่ำยเป็นอำชีพ สร้ำงรำยได้เลี้ยงตนเองและครอบครัว ชุมชนมีบทบำท สำำคัญในกำร สร้ำงภูมิปัญญำในแต่ละท้องถิ่น มีกำรรวมกลุ่มสมำชิกก่อตั้งเป็นกลุ่ม อำชีพ ร่วมคิดร่วมทำำกิจกรรมที่ก่อประโยชน์แก่ชุมชน ทุกคนใน ชุมชนจะได้ ใช้เวลำว่ำงให้เกิดประโยชน์ เป็นกำรสร้ำงงำนสร้ำงรำย ได้แก่ครอบครัว อันนำำควำมผำสุกสู่ชุมชนอย่ำงยั่งยืนตลอดไป (1.2) วัตถุประสงค์ในกำรจัดตั้ง ศูนย์กำรเรียนรู้ ภูมิปัญญำไทยเพื่อเป็นแหล่งรวบรวมองค์ควำมรู้ของภูมิปัญญำไทย เป็นศูนย์กลำงในกำรแลกเปลี่ยนควำมรู้ ของภูมิปัญญำไทย เป็น แหล่งศึกษำ ค้นคว้ำและวิจัยภูมิควำมรู้ใหม่ ๆ เป็นศูนย์กลำงกำร ถ่ำยทอดควำมรู้แก่ผู้สนใจ เป็นแหล่ง เผยแพร่ ภูมิปัญญำไทยไม่ให้ สูญหำย นอกจำกนี้ ยังเป็นกำรสร้ำงอำชีพแก่สมำชิกในชุมชน ส่ง เสริมอำชีพของท้องถิ่นให้ประชำชนมีกำรรวมตัวกันประกอบอำชีพ ภำยในชุมชน (1.3) วิธีกำรจัดตั้งศูนย์กำรเรียนรู้ภูมิปัญญำไทย โดยกำรสำำรวจควำมต้องกำรของ ชุมชนรวบรวมผู้สนใจที่ต้องกำร


53

ประกอบอำชีพเข้ำเป็นสมำชิก จัดหำสถำนที่ถ่ำยทอดควำมรู้และ ปฏิบัติงำน จัดตั้งคณะกรรมกำรฝ่ำยต่ำงๆ รับผิดชอบกำรดำำเนินงำน จัดให้มีกำรฝึกอบรมและถ่ำยทอดควำมรู้ จัดทำำหลักสูตร หำแหล่งเงิน ทุน วัสดุอุปกรณ์มำสนับสนุน และประชำสัมพันธ์เผยแพร่ กิจกรรม ของศูนย์ฯ (1.4) กำรบริหำรงำนของศูนย์กำรเรียนรู้ภูมิปัญญำ ไทย เป็นกำรสร้ำงบุคลำกรให้มี คุณภำพในกำรปฏิบัติงำน ให้มีควำม รับผิดชอบและรู้จักพัฒนำระบบงำน ให้ดข ี ึ้น มีวิธีคิดอย่ำงเป็นระบบ ก้ำวทันควำมเปลี่ยนแปลงของสังคม สร้ำงจิตสำำนึกให้มีคุณธรรมและ จริยธรรม มีควำมรักสำมัคคีและรวมพลังเพื่อชุมชน สร้ำงรำยได้ให้ กับกลุ่มเป็นทุนใช้ในกำรดำำเนินธุรกิจต่อไป โดยสร้ำงธุรกิจชุมชน เพิ่มจำำนวนเงินทุนจำกกำรสะสมทรัพย์ ใช้เงินอย่ำงถูกวิธี ประหยัด และเกิดประโยชน์คุ้มค่ำ และสร้ำงอำชีพให้สมำชิกในชุมชนมีงำนทำำ คณะกรรมกำรบริหำรมำจำกกำรเลือกตั้งจำกสมำชิก (ส่วนใหญ่จะ เป็นสมำชิกผู้ก่อตั้ง) และแต่งตั้งให้ทำำหน้ำที่ในตำำแหน่งต่ำงๆ มีกำร พบปะสมำชิกเป็นประจำำ เช่น ทุกเดือน เพื่อแลกเปลี่ยนควำมคิดเห็น และชี้แจงให้คำำแนะนำำในเรื่องต่ำง ๆ เพื่อกำรบริหำรงำน และกำรจัด กิจกรรมของศูนย์กำรเรียนรู้ภูมิปัญญำไทย (1.5) แผนกำรดำำเนินกำรของศูนย์กำรเรียนรู้ ภูมิปัญญำไทย กำรดำำเนินงำนจะต้องได้รับควำมร่วมมือจำกหลำย ฝ่ำย เน้นกำรมีส่วนร่วมของประชำชนในชุมชน ร่วมประสำนควำมคิด ระหว่ำงสมำชิกให้เป็นเวทีกำรเรียนรู้กับปัญหำเศรษฐกิจในยุค ปัจจุบัน กำรดำำเนินกิจกรรมส่วนใหญ่มีลักษณะคล้ำยคลึงกัน เริ่ม ตั้งแต่กำร เตรียมกำรก่อตั้ง ศึกษำข้อมูล รวบรวมสมำชิก จัดหำ วิทยำกำรมำให้ควำมรู้ ขั้นปฏิบัติกำรจะแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ เป็นกำรให้ควำมรู้ภำคทฤษฎีและจัด ให้มีกำรฝึกปฏิบัติสำำหรับให้


54

เรียนรู้จำกสถำนกำรณ์จริง ขัน ้ ติดตำมและประเมินผล เป็นกำร ประเมินผลกำรดำำเนินกิจกรรมที่ได้ทำำไปแล้วว่ำได้ผลเป็นที่น่ำพอใจ หรือไม่อย่ำงไร เพื่อจะได้นำำมำปรับปรุงแก้ไขส่วนที่ยังบกพร่องให้ดี ขึ้น และสุดท้ำยเป็นกำรสร้ำงเครือข่ำยถ่ำยทอดควำมรู้สู่ชุมชนอื่น (1.6) ทรัพยำกรของศูนย์กำรเรียนรู้ภูมิปัญญำไทย จะประกอบด้วย 3 ส่วน คือ สถำนที่ บุคลำกร และงบประมำณ สถำนที่ จะใช้เป็นศูนย์รวมของสมำชิก และเป็นที่แสดงผลงำนที่ได้จำกกำร ผลิตของสมำชิกในหมู่บ้ำน และเป็นเครือข่ำยกำรเรียนรู้ของบุคคล และหน่วยงำนต่ำงๆ ส่วนใหญ่จะเป็นจุดศูนย์กลำง ของหมู่บ้ำน อำจ เป็นที่สำธำรณะ วัด และศำลำประจำำหมู่บ้ำน เป็นต้น บุคลำกรที่ทำำ หน้ำที่ให้ควำมรู้ของศูนย์ภูมิปัญญำไทย คือ ครูภูมิปัญญำไทยในท้อง ถิ่น ที่มีประสบกำรณ์และประสบควำมสำำเร็จในอำชีพเป็นที่ยอมรับ ผู้ เชี่ยวชำญเฉพำะด้ำนในสำขำวิชำนั้นๆ หัวหน้ำกลุ่ม เครือข่ำยที่มี ควำมรู้ในสำขำวิชำชีพต่ำงๆ เป็นผู้บริหำรจัดกำรกลุ่ม และเกษตรกร ผู้ประสบควำมสำำเร็จในอำชีพ ส่วนงบประมำณที่จะมำสนับสนุนกิจกร รมของกลุ่ม อำจได้รับกำรสนับสนุนจำกหน่วยงำน ของรัฐ ภำค เอกชน องค์กรต่ำงๆ และจำกประชำชน รำยได้จำกกำรประกอบ อำชีพของครอบครัว จำกกำรจำำหน่ำยสินค้ำและผลิตภัณฑ์ หรือจำก สมำชิกที่ เข้ำรับกำรอบรม ฯลฯ (1.7) กำรมีส่วนร่วมของประชำชน ศูนย์กำรเรียนรู้ ภูมิปัญญำไทยมีบทบำทในกำรช่วยเหลือและสนับสนุนร่วมมือกับ ชุมชน โดยมีกลุ่มบุคคลและหน่วยงำน ต่ำง ๆ เข้ำมำระดมควำมคิด รวบรวมสมำชิก กำำหนดรูปแบบกำรดำำเนินงำน เพื่อสร้ำงอำชีพให้กับ ชุมชนเพิ่มรำยได้แก่ประชำชนในท้องถิ่น กำรมีส่วนร่วมของ ประชำชน โดยเริ่มจำกกำรรวมกลุ่มชำวบ้ำนที่มีอำชีพเดียวกันให้ทำำ กิจกรรม สร้ำงรำยได้แก่ครอบครัวและชุมชน ประธำนกลุ่มจะเป็นผู้


55

แนะนำำและดูแล กำรผลิตตำม ขั้นตอนต่ำงๆ สมำชิกจะร่วมกันทำำโดย แบ่งหน้ำที่กันรับผิดชอบ เมือ ่ มีผลกำำไรจะแบ่งให้กับสมำชิกตำม สัดส่วนที่กำำหนด (1.8) เครือข่ำยกำรเรียนรู้ภูมิปัญญำไทย เป็นกำร ขยำยควำมรู้สู่กลุ่มอำชีพและผู้สนใจในอำชีพเดียวกัน สร้ำงฐำน ควำมมั่นคงในอำชีพให้ขยำยสู่ ชุมชนอื่นๆ มีกำรแลกเปลี่ยนควำมรู้ เทคนิค วิธีกำร และเป็นวิทยำกรไปบรรยำยให้กับกลุ่มเรียนรู้ หรือ เครือข่ำยต่ำง ๆ ศูนย์กำรเรียนรู้ชุมชนเป็นแหล่ง ให้ควำมรู้และสำธิต ผลิตภัณฑ์ของกลุ่ม รวมทั้งเป็นที่จำำหน่ำยสินค้ำให้กับผู้มำเยี่ยมชม ซึ่งเป็นสร้ำงรำยได้แก่กลุ่มอีกทำงหนึ่งเครือข่ำยกำรเรียนรู้ นอกจำก กำรบรรยำยสำธิตและให้ควำมรู้แล้ว ยังมีกำรติดตำมพบปะกันในเวที กำรประชุมต่ำงๆ มีกำรจัดนิทรรศกำร และสรุปผลกำรดำำเนินงำนเป็น ระบบ เพื่อจะได้ เป็นรูปแบบที่เหมำะสมกับแต่ละสภำหรือวัตถุประสงค์ ของศูนย์กำรเรียนนั้น ซึ่งต้องสำมำรถนำำไปใช้ปฏิบัติงำนได้ทันที (2) สภำพกำรส่งเสริมกำรเรียนรู้และกำรประกอบ อำชีพของครูภูมิปัญญำและศูนย์กำรเรียนรู้ภูมิปัญญำไทย (2.1) กำรส่งเสริมกำรเรียนรู้ ภูมิปัญญำไทยทั้ง 9 ด้ำน ได้มีส่วนในกำรส่งเสริมกำรเรียนรู้ทั้งกำรเรียนรู้ในระบบ โรงเรียน กำรเรียนรู้นอกระบบ และกำรเรียนรู้ตำมอัธยำศัยในหลำย ลักษณะซึ่งสรุปได้ ดังนี้ (2.1.1)

กำรเรียนรู้ในระบบโรงเรียน ครู

ภูมิปัญญำไทยได้ช่วยส่งเสริมกำรเรียนรู้ในระบบโรงเรียนในหลำย รูปแบบ ได้แก่ ครูภูมิปัญญำไทยช่วยโรงเรียน พัฒนำหลักสูตรท้อง ถิ่นในสำระที่ภูมิปัญญำมีควำมรู้อยู่ เช่นวิชำแกะสลัก วิชำกำรนั้น กำรเกษตร เป็นต้น ช่วยเป็นวิทยำกร (มีทั้งเป็นวิทยำกรตลอด ภำค กำรศึกษำและเป็นวิทยำกรเป็นบำงโอกำสเป็นแหล่งควำมรู้ นักเรียน


56

นักศึกษำมักจะมำขอสัมภำษณ์ขอควำมรู้จำกครูภูมิปัญญำเพื่อนำำไป จัดทำำ รำยงำนเป็นแหล่งค้นคว้ำข้อมูล ครูภูมิปัญญำไทยหลำยท่ำน ได้รวบรวมควำมรู้ในรูปเอกสำร ตำำรำ วัสดุของจริง และสื่ออื่น ๆ จัด เก็บเป็นหมวดหมู่ นักเรียนนักศึกษำสำมำรถมำศึกษำค้นคว้ำเพื่อนำำ ไปเขียนรำยงำน เป็นแหล่งศึกษำดูงำนเช่น ครูภูมิปัญญำทำงด้ำน เกษตรกรรมทำำกำรปลูกพืชปลอดสำรพิษ ทำำไร่นำสวนผสม เป็นต้น ครูก็พำ นักเรียนที่เรียนวิชำเกษตรมำศึกษำดูงำนเพื่อให้ได้ควำมรู้ และประสบกำรณ์ตรง เป็นแหล่งฝึกงำน เช่น ครูภูมิปัญญำไทย ด้ำน กำรแกะสลักไม้ครูจะพำนักเรียนที่เรียนเกี่ยวกับศิลปกรรมมำศึกษำดุ งำนและส่งมำฝึกงำนบ้ำง นอกจำกนั้นครูภูมิปัญญำบำงด้ำนเช่นด้ำน ภำษำและ วรรณกรรม (ครูนันท์ จังหวัดเชียงใหม่) ได้เปิดสอนกำร ร้องเพลง กำรอ่ำนคำำภำษำพื้นเมืองแก่นักเรียนที่สนให้มำเรียนในวัน เสำร์-อำทิตย์โดยไม่เก็บค่ำใช้จ่ำย (2.1.2)

กำรเรียนรู้นอกระบบ ครูภูมิปัญญำ

ในแต่ละด้ำนได้ส่งเสริมกำรเรียนรู้ของ นักศึกษำและประชำชนที่ ศึกษำในลักษณะของกำรศึกษำนอกระบบหลำยรูปแบบ ซึ่งค่อนข้ำง จะคล้ำยคลึงกับกำรส่งเสริมกำรศึกษำในระบบโรงเรียน ได้แก่ ครู ภูมิปัญญำช่วยหน่วยงำนหรือสถำนศึกษำที่จัดสอนนอกระบบทำำ หลักสูตรสำำหรับ บำงวิชำเช่นวิชำส่งเสริมคุณภำพชีวิต และหลักสูตร วิชำชีพ ครูภูมิปัญญำเป็นวิทยำกรในวิชำต่ำงๆ หรือในกำรฝึกอบรม เรื่องต่ำงๆ ศูนย์กำรเรียนรู้ของครูภูมิปัญญำ เป็นแหล่งศึกษำดูงำน เช่น ด้ำนกำรเกษตร ด้ำนกองทุน ธุรกิจชุมชน เป็นแหล่งฝึกงำนเช่น นักศึกษำนอกระบบมำศึกษำดูงำนเรื่องดิน เกษตรผสมผสำน เศรษฐกิจชุมชน และกำรจัดตั้ง สหกรณ์ เป็นต้น นอกจำกนั้นในส่วน ของกิจกรรมกำรศึกษำนอกระบบมีกำรฝึกอบรมในเรื่อง วิชำชีพด้วย


57

ซึ่งครูภูมิปัญญำได้มีส่วนช่วยในเรื่องวิชำชีพมำกพอสมควรจึง ขอนำำ ไปกล่ำวรวมในประเด็นกำรส่งเสริมกำรประกอบอำชีพต่อไป (2.1.3)

กำรเรียนรู้ตำมอัธยำศัย ครู

ภูมิปัญญำไทยได้ช่วยส่งเสริมกำรเรียนรู้ตำมอัธยำศัยในหลำย ลักษณะ ได้แก่ ช่วยให้เกิดกำรเรียนรู้ของคนในครอบครัว หรือญำติ พี่น้องศูนย์ กำรเรียนรู้ปัญญำไทยหลำยด้ำน เช่น ด้ำนเกษตรกรรม แพทย์แผนไทย ศิลปกรรม ได้ก่อตั้งขึ้นมำ โดยคนในครอบครัวและ ญำติ พี่น้องช่วยกันและช่วยกันเป็นวิทยำกร เป็นแหล่งเรียนรู้ของ คนในชุมชน และประชำชนผู้สอนใจทั่วไป คนในชุมชนและ ประชำชนทั่วไปสำมำรถเยี่ยมชม กิจกรรมของศูนย์ กำรเรียนรู้ เช่น ด้ำนกำรทำำอำหำรคำว-หวำน กำรแกะสลักไม้ และกำรทำำเครื่อง ดนตรี เป็นต้น ทำำให้เกิดกำรรวมกลุ่มของประชำชนในชุมชนและ ร่วมเรียนรู้ เช่น กำรทำำเครื่องสมุนไพร กำรทำำบำยศรี ดอกไม้ใบตอง และกำรถนอมอำหำร มีกำรเผยแพร่ควำมรู้ผ่ำนสื่อต่ำงๆ โดยครู ภูมิปัญญำไทยทำำสื่อขึ้นเอง เช่น ครูอุดม ทำงด้ำนภำษำ และ วรรณกรรมได้จัดทำำพจนำนุกรม ภำษำพื้นเมือง ภำคเหนือเผยแพร่ เป็นเอกสำรและ VCD ครูนันท์ ทำงด้ำนภำษำและวรรณกรรมได้จัด ทำำกำรอ่ำนภำษำพื้นเมือง และเพลงพื้นเมือง เช่น เพลงค่ำวในรูป ของเทปเสียงและ VCD เผยแพร่ควำมรู้ผ่ำนสื่อต่ำงๆ โดยหน่วยงำน หรือองค์กรต่ำงๆ เป็นผู้เชิญหรือเป็นผู้จัดทำำให้ เช่น ครูภูมิปัญญำได้ รับเชิญไปเผยแพร่ควำมรู้ทำงรำยกำร วิทยุกระจำยเสียง รำยกำร วิทยุโทรทัศน์ กำรจัดพิมพ์หนังสือและเอกสำร (2.2) กำรส่งเสริมกำรประกอบอำชีพ ครูภูมิปัญญำไทยช่วยส่งเสริมกำรประกอบ อำชีพของประชำชนในชุมชนในหลำยลักษณะ ดังต่อไปนี้


58

(2.2.1)

ครูภูมิปัญญำไทยรับเชิญไปเป็น

วิทยำกรให้ควำมรู้ในวิชำชีพต่ำง ๆ เช่น หน่วยงำนกำรศึกษำนอก ระบบจัดอบรมวิชำชีพแก่นักศึกษำ หรือ แก่ประชำชนทั่วไป หรือ องค์กร ท้องถิ่นจัดอบรมวิชำชีพแก่ประชำชนในชุมชนและเชิญ ภูมิปัญญำในท้องถิ่นมำเป็นวิทยำกร เพื่อให้ ผู้เข้ำรับ กำรอบรม ได้ รับควำมรู้ไปปรับปรุงอำชีพที่ทำำอยู่หรือสร้ำงอำชีพใหม่ (2.2.2)

จัดอบรมวิชำชีพ ณ ศูนย์กำรเรียน

รู้ภูมิปัญญำไทย ศูนย์กำรเรียนรู้ภูมิปัญญำไทยเกือบทุกแห่งได้เปิด โอกำสให้ผู้สนใจทั่วไปมำฝึกอำชีพได้ เช่น กำรแกะสลักเครื่องเงิน เกษตร ผสมผสำน ด้ำนวิชำช่ำงสิบหมู่งำนประดับมุก แพทย์แผนไทย อุตสำหกรรม ฯลฯ โดยไม่คิดค่ำใช้จ่ำยหรือคิด ค่ำใช้จ่ำยเพียงเล็ก น้อยเป็นค่ำอุปกรณ์ หรือให้ผู้เรียนหำอุปกรณ์มำเอง (เช่น กำรแกะ สลัก เครื่องเงินที่ศูนย์กำรเรียนรู้ภูมิปัญญำไทย วัดศรีสุพรรณ จังหวัด เชียงใหม่ เก็บค่ำเรียนวันละ 1 บำท เพื่อเป็นกำรสร้ำงแรงจูงใจแก่ผู้ เรียน (2.2.3)

เป็นแหล่งศึกษำดูงำนและแหล่ง

ฝึกงำนทำงด้ำนอำชีพต่ำง ๆ ศูนย์กำรเรียนรู้ ภูมิปัญญำไทยแต่ละ ประเภทได้เปิดโอกำสให้ผู้สนใจทั่วไป มำศึกษำดูงำนเพื่อหำควำมรู้ หรือจะมำฝึกงำนเพื่อให้มีทักษะเพิ่มขึ้น และบำงแห่งยังให้เริ่ม ประกอบอำชีพกับศูนย์ภูมิปัญญำไทยอีกด้วย เช่น ศูนย์กำรเรียนรู้ ภูมิปัญญำไทย กำรนวดแผนโบรำณเมื่อผู้สนใจมำเรียนรู้แล้วสำมำรถ สมัครทำำงำนที่ศูนย์ต่อไปได้อีก (2.2.4)

กำรช่วยให้เกิดกลุ่มอำชีพใน

ชุมชน นอกจำกให้ควำมรู้ทำงด้ำนอำชีพแล้วครูภูมิปัญญำยังช่วยส่ง เสริมให้มีกำรจัดตั้งกลุ่มอำชีพในชุมชน เช่น กลุ่มเกษตรสมุนไพร ของ ครูพะเยำว์ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นกลุ่มของผู้สูงอำยุมำเรียนรู้ร่วม


59

กันแล้วทำำเป็นอำชีพตั้งแต่ปลูกสมุนไพรแล้วนำำมำ ผลิตเป็น ผลิตภัณฑ์ต่ำง ๆ ออกจำำหน่ำย หรือกลุ่มกำรทำำอำหำร กลุ่มจักสำน และกลุ่มทอผ้ำ เป็นต้น (2.2.5)

กำรให้คำำแนะนำำปรึกษำแก่ผู้ที่จะ

เริ่มอำชีพใหม่ ครูภูมิปัญญำได้ช่วยให้คำำ แนะนำำแก่ผู้ที่ฝึกอำชีพจำก ครูภูมิปัญญำแล้วหรือฝึกมำจำก ทีอ ่ ื่นและต้องกำรประกอบอำชีพ นำำ เรื่องแหล่งเงินทุน เทคนิคกำรประกอบอำชีพ กำรตลำด กำรหำซื้อ วัสดุอุปกรณ์ เป็นต้น (2.2.6)

กำรเผยแพร่ควำมรู้ทำงด้ำนกำร

ประกอบอำชีพผ่ำนสื่อต่ำงๆ เช่น รำยกำรวิทยุกระจำยเสียง รำยกำร วิทยุโทรทัศน์ สือ ่ สิ่งพิมพ์ และ วีดิทัศน์ เป็นต้น (3) รูปแบบกระบวนกำรเรียนรู้ที่เกิดขึ้นในศูนย์กำร เรียนรู้ภูมิปัญญำไทย รูปแบบกระบวนกำรเรียนรู้ของศูนย์กำรเรียนรู้ ภูมิปัญญำไทย จำกกำรสัมภำษณ์ครูภูมิปัญญำไทยทั้ง 9 ด้ำน พบว่ำ ในส่วนของควำมรู้และประสบกำรณ์ที่ได้รับมำ ส่วนใหญ่เป็น รูปแบบ ของกำรได้รับกำรถ่ำยทอด อบรม สั่งสอน สืบทอดต่อเนื่องกันมำจำก บรรพบุรุษ ซึ่งครูภูมิปัญญำบำงท่ำนจะได้รับ “องค์ควำมรู้” ที่สืบทอด ต่อกันมำหลำยชั่วอำยุคน แต่ก็มีครูภูมิปัญญำบำงท่ำนในบำงด้ำนที่ นอกจำกจะได้รับกำรถ่ำยทอดจำกบรรพบุรุษโดยตรงแล้ว ยังศึกษำ เพิ่มเติม จำกผู้เฒ่ำ ผู้แก่ พระ ปรำชญ์ผู้รู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือจำกกำร ศึกษำเอกสำรตำำรำทั้งเก่ำและใหม่ ทั้งที่เป็นคัมภีร์โบรำณ หรือคัมภีร์ ใบลำน เช่น กรณีกำรศึกษำประเพณีท้องถิ่นอีสำนของครูบุญเกิด พิมพ์วรรธำกุล ครูภูมิปัญญำด้ำนปรัชญำ ศำสนำ และประเพณีที่ ศึกษำจำกคัมภีร์โบรำณ พร้อมๆ กับคำำบอกเล่ำจำกพระ ผู้เฒ่ำ และ ปรำชญ์ชำวบ้ำน หรือกรณีของครูสุเวช เนำว์โนนทอง ครูภูมิปัญญำ ไทย ด้ำนกำรจัดกำร ทรัพยำกรธรรมชำติและสิ่งแวดล้อม ที่มีควำม


60

สนใจในด้ำนกำรอนุรักษ์ทรัพยำกรธรรมชำติและสิ่งแวดล้อม ตลอด ทั้งกำรเกิดปัญหำมลพิษ อันเนื่องจำกชำวบ้ำนตัดต้นไม้เผำถ่ำน และ กำรใช้สำรเคมีในกำรปลูกพืชผัก และผลไม้ โดยกำรศึกษำด้วย ตนเองแล้วนำำไปทดลองปฏิบัติ แบบลองผิดลองถูก จนได้ผลดีและ ปฏิบัติตอ ่ เนื่องเป็นระยะเวลำนำนจนเกิดควำมชำำนำญ และนำำควำมรู้ ที่ได้ไปเผยแพร่จนมีผู้สนใจนำำไป ทดลองใช้และเกิดผลดี จึงนำำควำม รู้ที่ได้ไปใช้ปฏิบัติและเผยแพร่กันอย่ำงแพร่หลำย สำำหรับในส่วนของกระบวนกำรถ่ำยทอดควำมรู้จำกครู ภูมิปัญญำสู่คนในชุมชนโดยผ่ำนศูนย์กำรเรียนรู้ภูมิปัญญำไทยนั้น ด้ำนเนื้อหำสำระที่นำำมำถ่ำยทอดแก่คนในชุมชนหรือผู้สนใจทั่วไปก็ คือควำมรู้และประสบกำรณ์ที่ภูมิปัญญำแต่ละด้ำนมีอยู่ และอำจจะเป็น ควำมรู้เฉพำะเรื่องภำยในแต่ละด้ำน เช่น ด้ำนเกษตรกรรมอำจจะเป็น ควำมรู้และประสบกำรณ์เกี่ยวกับกำรปลูกพืชแบบผสมผสำน กำรทำำ ปุ๋ยอินทรีย์ กำรปลูกพืชปลอดสำรพิษ กำรให้นำ้ำระบบนำ้ำหยด วิธีกำร ดูแลบำำรุงรักษำดิน กำรเลี้ยงปลำ เทคนิคในกำรเพิ่มผลผลิต เป็นต้น ด้ำนอุตสำหกรรมและหัตถกรรม ได้แก่ ควำมรู้และประสบกำรณ์เกี่ยว กับกำรทำำเครื่องเงิน เครื่องถม กำรประดับมุก กำรแกะสลัก กำรทำำ เครื่องดนตรีไทย กำรจักสำน เป็นต้น ด้ำนศิลปกรรม ได้แก่ กำรร้อง เพลง หมอรำำ กำรแสดง กำรปั้น กำรร้อยมำลัยกำรตกแต่งดอกไม้ เป็นต้น ด้ำนกองทุนธุรกิจชุมชน ได้แก่ กำรจัดตั้งสหกรณ์ กำรทำำ ธนำคำรข้ำว กำรจัดทำำตลำดของชุมชน ด้ำนปรัชญำ ศำสนำ และ ประเพณี ได้แก่ องค์ควำมรู้เกี่ยวกับประเพณี พิธีกรรมต่ำง ๆ ภำษำ ท้องถิ่น เพลงภำษำท้องถิ่น กำพย์ กลอน ภำษำถิ่น นิทำน ประวัติ ควำมเป็นมำของท้องถิ่น เป็นต้น เนื้อหำสำระเหล่ำนี้บำงเรื่องเป็นเรื่อง ที่เกี่ยวข้องกับอำชีพผู้รับควำมรู้และประสบกำรณ์ไปสำมำรถนำำไป ประกอบอำชีพ นำำไปปรับปรุงอำชีพเดิม หรือนำำไปสร้ำงอำชีพใน


61

กำรทำำมำหำกินได้ แต่บำงเรื่องเป็นควำมรู้ทั่ว ๆ ไปที่สำมำรถนำำไป เป็นคติในกำรดำำเนินชีวิต หรือเป็นควำมรู้ทั่วไปที่นำำ ไปใช้ในกำร พัฒนำคุณภำพชีวิตได้ ดังนั้น ควำมรู้จำกภูมิปัญญำจึงมีทั้งส่วนที่เป็น ควำมรู้ทั่วไปและควำมรู้เกี่ยวกับกำรประกอบอำชีพ ด้ำนกระบวนกำรถ่ำยทอดควำมรู้ กระบวนกำร ถ่ำยทอดควำมรู้ที่เกิดขึ้นในศูนย์กำรเรียนรู้ภูมิปัญญำไทยในแต่ละ ด้ำนตำมที่คณะผู้วิจัยได้เดินทำงไปสำำรวจ และจำกกำรสัมภำษณ์ ประชำชน กำรสอบถำมจำกบุคลำกรกำรศึกษำในระบบโรงเรียน และ บุคลำกรกำรศึกษำนอกระบบพอสรุปได้ว่ำในศูนย์กำรเรียนรู้ ภูมิปัญญำไทยแต่ละด้ำนมีกระบวนกำรถ่ำยทอดควำมรู้เกิดขึ้นหลำย ลักษณะผสมผสำนกันได้แก่ กำรบรรยำย กำรสำธิต กำรทดลองให้ ชม กำรฝึกปฏิบัติจริง กำรจัดนิทรรศกำร กำรประชมสัมมนำ กำรจัด เวทีชำวบ้ำน กำรประชุมระดมสมอง กำรศึกษำดูงำน กำรฝึกปฏิบัติตัว ต่อตัว กำรฝึกปฏิบัติเป็นกลุ่ม กำรศึกษำ จำกตัวอย่ำงของจริง กำร ศึกษำจำกเอกสำร กำรศึกษำจำกวีดิทัศน์ และสื่ออื่นๆ กำรสอนแล้ว ให้กลับไปฝึกเองแล้ว กลับมำฝึกต่อกับครูภูมิปัญญำไทยอีก ทั้งนี้ ขึ้น อยู่กับประเภทของเนื้อหำควำมรู้ที่จะถ่ำยทอดด้วย แต่อย่ำงไรก็ตำม พบว่ำวิธีกำรที่ครูภูมิปัญญำใช้มำกที่สุด คือ กำรบอกเล่ำ กำรอธิบำย แล้วให้ ฝึกปฏิบัติหรือลงมือทำำจริง กำรบอกเล่ำหรือกำรบรรยำยของ ครูภูมิปัญญำส่วนใหญ่จะไม่มีตำำรำให้ เพรำะองค์ควำมรู้และ ประสบกำรณ์นั้นอยู่ในตัวครูภูมิปัญญำ แล้ว ครูภูมิปัญญำก็จะ ถ่ำยทอดควำมรู้และประสบกำรณ์ก็ออกมำจำกจิตใจและจำกตัวของ ท่ำนเองด้วยกำรบอกเล่ำ แล้วปฏิบัติให้ดูให้ผู้มำศึกษำฝึกปฏิบัติ ตำม ควำมพร้อมทั้งให้ดูตัวอย่ำงจำกของจริง หรืองำนจริง แล้วครู ภูมิปัญญำช่วยแนะนำำให้ปรับปรุงแล้วฝึกต่อกระทำำเช่นนี้ไปจนกว่ำ ผู้ ศึกษำจะทำำได้ แล้ว ครูภูมิปัญญำก็ให้เริ่มทำำงำนจริงด้วยกำรช่วยงำน


62

ที่ท่ำนทำำอยู่ เช่น กำรแกะสลักเครื่องเงิน ครูภูมิปัญญำท่ำนจะ ถ่ำยทอดควำมรู้โดยอธิบำยควำมรู้พื้นฐำน ทั่ว ๆ ไปโดยไม่มีตำำรำให้ แล้วให้เริ่มฝึกเขียนลำยลงบนแผ่นเงิน ฝึกตีเคำะแผ่นเงิน ต่อมำให้ เริ่มแกะขึ้นที่ง่ำยก่อไปสู่ส่วนที่ ซับซ้อนมำกขึ้น จำกนั้นให้ ช่วยงำน ของท่ำนปฏิบัติไปและสอนไปพร้อม ๆ กัน ผู้เรียนจะสังเกตจำกกำร ทำำงำนของครูด้วยดูจำกชิ้นงำนที่ท่ำนทำำในแต่ละขั้นตอนด้วยไป จนถึงชิ้นงำน ที่สำำเร็จรูปแล้ว กำรฝึกนั้นส่วนใหญ่ครูภูมิปัญญำจะฝึก ให้ตัวต่อตัว หรือทำงด้ำนศิลปกรรมเพลงพื้นบ้ำนครูภูมิปัญญำจะเริ่ม จำกกำรอธิบำยธรรมชำติของเพลง ลักษณะของเพลงของกลอน แล้ว ให้ผู้ศึกษำเริ่มฝึกกำรออกเสียง อักขระ กำรท่องกลอน แล้วฝึกโดย ใส่ทำำนอง ฝึกร้องแต่ละท่อนจนกระทั่งร้องได้ทั้งเพลง สำำหรับ ภูมิปัญญำด้ำนอื่นๆ ก็มีกระบวนกำรในกำรถ่ำยทอดควำมรู้ใกล้เคียง กันขึ้นอยู่กับควำมซับซ้อนของเนื้อหำควำมรู้ของภูมิปัญญำด้ำนนั้นๆ ด้วย บำง ด้ำนหรือบำงเรื่องเช่น กำรทำำยำสมุนไพร เช่น ยำอม สมุนไพร ลูกประคบ ยำหม่อง ฯลฯ ครูภูมิปัญญำจะให้ผู้ศึกษำฝึกทำำ จริงโดยให้ช่วยงำนทุกขั้นตอนตั้งแต่ ช่วยขูดสมุนไพร ล้ำง ปอก หั่น บด แล้วช่วยทำำทุกขั้นตอนจนออกมำเป็นผลิตภัณฑ์ ผูศ ้ ึกษำได้เรียนรู้ ไปขณะช่วยงำนในที่สุดจะเกิดควำมชำำนำญจนสำมำรถ ปฏิบัติเองได้ ผู้ที่ศึกษำหำควำมรู้มีจุดมุ่งหมำยต่ำง ๆ กัน บำงคนมำศึกษำดูงำนเพื่อ ให้เห็นว่ำเป็นอย่ำงไรบำงคนต้องกำรนำำไปทำำใช้เองได้ แต่บำงคน ต้องกำร ฝึกจนชำำนำญเพื่อนำำไปประกอบอำชีพได้ ด้ำนสื่อและอุปกรณ์ที่ประกอบกำรถ่ำยทอดควำมรู้ สื่อและอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบกำรถ่ำยทอดควำมรู้นั้นขึ้นอยู่กับประเภท ของควำมรู้แต่ละด้ำน ส่วนใหญ่ จะเป็นของจริงหรือวัสดุที่ใช้จริงใน กำรปฏิบัติงำน ส่วนในขั้นของกำรบรรยำย กำรให้ควำมรู้ทั่วไปนั้น อำจจะมีกำรใช้เอกสำรแผ่นพับ ใบปลิว โปสเตอร์ วีดิทัศน์ ชุดสำธิต


63

นิทรรศกำรและคอมพิวเตอร์ แล้วแต่กรณี ส่วนในขั้นฝึกปฏิบัติส่วน ใหญ่จะใช้วัสดุของจริง เช่น กำรทำำดอกไม้ใบตอง กำรจักสำน กำร ทำำปุ๋ยอินทรีย์ กำรทอผ้ำ กำรทำำอำหำร ฯลฯ ก็จะใช้วัสดุขอจริงโดย ครูภูมิปัญญำบำงท่ำนเตรียมวัสดุอุปกรณ์ไว้ให้แต่บำงท่ำนขอให้ผู้ ศึกษำนำำวัสดุ อุปกรณ์มำเองบำงอย่ำง นอกจำกนั้นก็ยังมีกำรศึกษำดู งำน กรณีที่มีกำรผลิตจำำหน่ำยจำำนวนมำกอำจให้มีกำรศึกษำดูงำน จำกแหล่งผลิตหรือโรงงำนที่ ผลิตจริงเพื่อศึกษำขั้นตอนทั้งหมด กำร บรรจุหีบห่อ และกำรส่งขำย หรืออำจนำำไปศึกษำดูงำนจำกแหล่งผลิต อื่น เพื่อให้ผู้ศึกษำได้สัมผัสประสบกำรณ์ จำกแหล่งผลิตจริง จะได้มี ควำมรู้ควำมเข้ำใจและสำมำรถนำำไปประยุกต์ใช้ตลอดจนประกอบ อำชีพได้ ด้ำนกำรสร้ำงเครือข่ำย จำกกำรวิจัยพบว่ำครู ภูมิปัญญำแต่ละด้ำนได้พยำยำมให้มีกำรเผยแพร่ และสืบสำนควำมรู้ ให้กว้ำงขวำงโดยได้พยำยำมสร้ำง เครือข่ำยและติดต่อประสำน สัมพันธ์กับหน่วยงำน สถำนศึกษำและองค์กรต่ำง ๆ ที่ได้เคยเชิญครู ภูมิปัญญำไปเผยแพร่ควำมรู้ หรือกลุ่มที่มีควำมสนใจ ในภูมิปัญญำ สำขำนั้น ๆ เช่น เป็นเครือข่ำยกับโรงเรียน วิทยำลัย มหำวิทยำลัย หน่วยงำนที่จัดกำรศึกษำนอกระบบ หน่วยงำนต่ำง ๆ ศูนย์กำรเรียนรู้ ภูมิปัญญำในพื้นที่อื่นๆ กลุ่มหรือชมรมต่ำงๆ เช่น ชมรมแพทย์แผน ไทย เครือข่ำยเหล่ำนี้มีกิจกรรมร่วมกันในหลำยลักษณะ เช่น ประชุม สัมมนำ กำรศึกษำดูงำน กำรเผยแพร่ข่ำวสำรในรูปแบบต่ำงๆ เช่น รำยกำรวิทยุ รำยกำร โทรทัศน์ กำรบรรยำยให้ควำมรู้ จัดเวทีแลก เปลี่ยนเรียนรู้ กำรศึกษำดูงำนจำกกลุ่มต่ำงๆ ที่ประสบผลสำำเร็จ ฯลฯ ทั้งนี้ เพื่อเป็นกำรเผยแพร่ควำมรู้และประสบกำรณ์ของภูมิปัญญำ แต่ละด้ำนให้กว้ำงขวำง ยิ่งขึ้นนอกจำกนั้นยังเป็นกำรช่วยเหลือและ


64

ส่งเสริมซึ่งกันและกันให้สำมำรถดำำเนินกิจกรรมได้อย่ำงต่อเนื่องและ พัฒนำยิ่งขึ้น 9. 4 กำรใช้ก ระบวนกำรมีส ่ว นร่ว มของชุม ชนในกำร สร้ำ งสรรค์ร ูป แบบกำรเรีย นรู้เ พื่อ กำรพัฒ นำที่ย ั่ง ยืน ผ่ำ นสื่อ เทคโนโลยีส ำรสนเทศและกำรสื่อ สำร จำกนโยบำยหลักของกระทรวงเทคโนโลยีสำรสนเทศและ กำรสื่อสำรที่มุ่งพัฒนำประเทศไทยให้เป็นสังคมแห่งภูมิปัญญำและ กำรเรียนรู้ มีกำรพัฒนำกำรแหล่งเรียนรู้ให้แก่ชุมชนผ่ำนเครื่องมือ เทคโนโลยีสำรสนเทศและกำรสื่อสำรแล้ว กระทรวงฯ ยังได้พยำยำม สร้ำงประโยชน์เชิงเศรษฐกิจและสังคมผ่ำนเครื่องมือสื่อใหม่ หรือ เทคโนโลยีสำรสนเทศและกำรสื่อสำรโดยอำศัยแนวคิดโลกไร้ พรมแดน มุ่งเพื่อสร้ำงองค์ควำมรู้ แลกเปลี่ยนสินค้ำ ภูมิปัญญำ และ สร้ำงควำมสำมำรถในกำรแข่งขันในยุคเศรษฐกิจฐำนควำมรู้กำร ประยุกต์ใช้เครื่องมือเทคโนโลยีสำรสนเทศและกำรสื่อสำรให้เข้ำกับ วิถีชุมชน ทั้งกำรจัดเก็บข้อมูลชุมชน กำรประชำสัมพันธ์ชุมชน สินค้ำ ภูมิปัญญำผ่ำนเว็บไซด์ เพื่อสร้ำงเครือข่ำยสังคมแห่งกำรช่วยเหลือ เกื้อกูลผ่ำนอินเทอร์เน็ต และสร้ำงมูลค่ำสินค้ำ บริกำรของชุมชนผ่ำน แนวคิด Social Networking นอกจำกนี้ ยังได้เน้นกำรให้ขอ ้ มูล ชุมชนแก่ตลำดโลกผ่ำนเครื่องมือ S e arch Engine ที่มีคนใช้มำก ที่สุดในโลก ด้วยกำรนำำเสนอข้อมูลชุมชนผ่ำนสื่อต่ำง ได้แก่ เว็บไซต์ ชุมชน ภำพ วิดีโอ บทวิจำรณ์ ฯลฯ เพื่อเป็นกำรเปิดตลำดแนวใหม่ให้ แก่ชุมชน ซึ่งเป็นหนึ่งในควำมพยำยำมของกระทรวงเทคโนโลยี สำรสนเทศและกำรสื่อสำรสำำหรับกำรใช้เทคโนโลยีสำรสนเทศและ กำรสื่อสำรเพื่อเป็นเครื่องมือของกำรพัฒนำที่ยั่งยืน ทั้งนี้ในกำร


65

สร้ำงสรรค์รูปกำรเรียนรู้เพื่อกำรพัฒนำที่ยั่งยืนผ่ำนสื่อเทคโนโลยี สำรสนเทศและกำรสื่อสำรจะต้องอำศัยกระบวนกำรมีส่วนร่วมของ ชุมชน เทคโนโลยีสำรสนเทศและกำรสื่อสำรจึงเป็นเครื่องมือสำำคัญที่ ใช้ในกำรพัฒนำชุมชน เพื่อให้ชุมชนสำมำรถที่จะเข้ำถึงข้อมูล สำรสนเทศและนำำควำมรู้ที่ได้รับมำใช้ในกำรแก้ปัญหำของชุมชน และวำงแผนกำรพัฒนำอย่ำงยั่งยืน รวมไปถึงเป็นกำรลดช่องว่ำงของ ประชำชนในกำรเข้ำถึงเทคโนโลยีสำรสนเทศและกำรสื่อสำร หลัก กำรของสื่อ แบบเปิด สื่อเป็นพำหะนำำสำรในกำรสื่อสำรของมวลมนุษย์ กำรเรียนรู้มัก เกิดจำกกำรสื่อสำรที่มีประสิทธิภำพ ซึ่งเกิดขึ้นหลำยลักษณะ แต่กำร เรียนรู้ที่มีคุณค่ำ ก็คือ กำรเรียนรู้แบบร่วมมือ กำรแบ่งปันควำมรู้ ไม่ ยึดถือในควำมเป็นเจ้ำของมำกเกินจนไปขัดโอกำสกำรเข้ำถึง โอกำส กำรเรียนรู้ของผู้อื่น แนวคิดกำรสร้ำงช่องทำงกำรเรียนรู้ที่เข้ำถึงได้ อิสระเสรี จึงเป็นแนวคิดของกำรส่งเสริมกำรเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) โดยมีหัวใจสำำคัญอยู่ที่กำรแบ่งปันแหล่ง ทรัพยำกรด้ำนกำรศึกษำที่มีคุณภำพสู่ สังคมโลกเพื่อนำำไปใช้ ประโยชน์ทำงด้ำนกำรศึกษำได้อย่ำงเสรีแหล่งทรัพยำกรด้ำนกำร ศึกษำแบบเปิด หรือ OER : Open Educational Resources จึงก่อ กำำหนดขึ้นมำภำยใต้แนวคิดดังกล่ำว โดยมีจุดเริ่มต้นมำจำกโครงกำร ขององค์กำรกำรศึกษำ วิทยำศำสตร์ และวัฒนธรรมแห่ง สหประชำชำติ หรือยูเนสโก (UNESCO) ที่ร่วมมือกับมหำวิทยำลัย เทคโนโลยีแมสซำชูเซตส์ (Masschusetts Institute of Technology หรือ MIT) สถำบันอุดมศึกษำที่มีชื่อเสียงด้ำนเทคโนโลยีของประเทศ สหรัฐอเมริกำ โดยพัฒนำ รวบรวมสื่อกำรเรียนรู้ในรูปแบบ อิเล็กทรอนิกส์แบบเปิด (Open Courseware) เผยแพร่ไว้ในเว็บไซต์ ที่มีวัตถุประสงค์ทุกคนสำมำรถนำำไปใช้ได้โดยไม่มีค่ำใช้จ่ำยและไม่มี


66

ข้อจำำกัด ในกำรใช้งำน ควำมสำำเร็จของโครงกำรทำำให้แนวคิดใน กำรพัฒนำและแบ่งปันควำมรู้แก่มวลมนุษชำติ ได้รับกำรยอมรับใน ชื่อของ “แหล่งทรัพยำกรด้ำนกำรศึกษำแบบเปิด” หรือ Open Educational Resources หรือ OER (Boonlert Aroonpiboon,2014) ยุคแห่งควำมเปลี่ยนแปลงด้ำนเทคโนโลยีสำรสนเทศและ กำรสื่อสำรหรือที่เรียกว่ำยุคไอซีที (Information and Communications Technology) ในสังคมปัจจุบันนี้นั้น กล่ำวได้ว่ำ เป็นยุคแห่งวิวัฒนำกำรแบบก้ำวกระโดดครั้งยิ่งใหญ่ของมวล มนุษยชำติในด้ำนวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีที่ก่อให้เกิดกำร เปลี่ยนแปลงบริบททำงสังคมในหลำกหลำยมิติทั้งในด้ำนเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมประเพณี วิถีชีวิต รวมทั้งกระบวนกำรเรียนรู้และกำร ศึกษำของมนุษย์ในยุคปัจจุบัน เทคโนโลยีกำรสื่อสำรที่ทรง ประสิทธิภำพโดยมีจุดเน้นที่เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และระบบเครือ ข่ำยฐำนข้อมูล (Data-bas ed Systems) ที่กลำยเป็นปัจจัยสำำคัญใน เชิงศักยภำพของข้อมูลและองค์ควำมรู้ในกำรสืบค้นและติดต่อสือ ่ สำร ระหว่ำงมวลมนุษย์ในสังคมโลกในปัจจุบันที่ดำเนินไปอย่ำงกว้ำง ขวำงและครอบคลุมจนก้ำวสู่กระแสสังคมของกำรบริโภคข้อมูล ข่ำวสำรอย่ำงไร้ขด ี จำกัด (Seamless) ในสภำวกำรณ์ ปัจจุบัน(สุรศักดิ์ ปำเฮ. 2557 : 1) ฐำนข้อมูลแห่งโลกยุคติจิตอล (Digital Age) ที่มอ ี ยู่มำกก มำยมหำศำลนั้น ได้นำำมำสู่กำรปรับใช้และเสริมสร้ำงคุณประโยชน์ แก่มวลมนุษย์เพื่อกำรศึกษำและกำรเรียนกำรสอนอย่ำงเป็นระบบ เกิด ประสิทธิภำพสูงสุดต่อผู้ใช้ รวมทั้งกำรเผยแพร่สื่อสำรถึงกันได้อย่ำง ครอบคลุมทั่วถึงกันได้ในทั่วทุกหนแห่งและทุกเวลำในสภำพกำร จัดกำรศึกษำของโลกยุคปัจจุบัน โดยฐำนแห่งมวลประสบกำรณ์และ ข้อมูลเหล่ำนั้นเป็นแหล่งกำรเรียนและกำรศึกษำขนำดใหญ่ที่มีชอ ื่


67

เรียกว่ำ แหล่งข้อมูลกำรศึกษำระบบเปิด (Open Educational Resources : OER) หรืออำจเรียกชื่อได้ว่ำ คลังแห่งข้อมูลกำรศึกษำ ระบบเปิด ก็อำจเป็นได้ (สุรศักดิ์ ปำเฮ. 2557 : 1-2) กระบวนกำร แลกเปลี่ยนข้อมูลของแหล่งเรียนรู้ระบบเปิด คำำนึงถึงขั้นตอนสำำคัญดังนี้ (Bliss . n.d. อ้ำงถึงใน สุรศักดิ์ ปำเฮ. 2557 : 12-13) 1) กำรประเมินควำมพร้อม (Readines s Asse s sment)กำรสร้ำงควำมพร้อมของกำรใช้แหล่งข้อมูลแบบเปิด ควรมีกำรประเมินเบื้องต้นในควำมพร้อมด้ำนต่ำงๆเหล่ำนี้ เช่น ประเมินจุดเด่น-จุดด้อยในกำรสร้ำงควำมร่วมมือขององค์กำรที่ผ่ำน มำ กำรเตรียมกำรด้ำนกำรจัดตำรำงเวลำ คณะทำำงำนและทรัพยำกร องค์กำรที่มีอยู่แล้ว ควำมต้องกำรในเชิงพำณิชย์ของกำรใช้ข้อมูล ประสิทธิภำพและควำมเหมำะสมเชิงเทคนิค โครงสร้ำงพื้นฐำนที่จะ เอื้ออำำนวยต่อกำรใช้แหล่งทรัพยำกรทำงกำรเรียนแบบเปิด 2) กำร สร้ำงศักยภำพในกำรมีส่วนร่วม (Potential P artnership) ซึ่งองค์ กำรทุกๆระดับต้องมีกำรเสริมสร้ำงศักยภำพและประสิทธิภำพของกำร มีส่วนร่วมหรือมีหุ้นส่วน เพื่อร่วมประสำนข้อมูลที่จะนำำไปสู่กำร วำงแผน กำรกำำหนดบทบำทหน้ำที่ควำมรับผิดชอบเพื่อนำไปสู่กำร สร้ำงควำมสำำเร็จของงำน ประกอบไปด้วยกำรสร้ำงจุดร่วมหรือเป้ำ หมำยร่วมกันขององค์กำร กำรเสริมสร้ำงควำมรู้ ควำมเชี่ยวชำญ และจัดเตรียมทรัพยำกรเพื่อกำรใช้งำนร่วมกัน ควำมจริงใจและควำม ไว้วำงใจที่มีต่อกัน กำรแลกเปลี่ยนประสบกำรณ์ร่วมกัน 3)

กำร

แลกเปลี่ยนเชิงวิสัยทัศน์และค่ำนิยมร่วม (Shared Vision and Values) ผลจำกกำรแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์และค่ำนิยมร่วมจะก่อให้เกิด ควำมไว้วำงใจที่มีต่อกัน ประกอบด้วย กำรเสริมสร้ำงแรงจูงใจต่อ มวลสมำชิกขององค์กำร กำรกำำหนดเป้ำหมำยสำำคัญของกำรทำงำน ร่วมกัน กำรกำำหนดจุดประสงค์ของงำนร่วมกัน 4) กำรสร้ำงควำม


68

คำดหวังต่องำน (Expectations : MOU) ให้สมำชิกองค์กำรเกิด ควำมตระหนักในสิ่งที่มุ่งหวังทั้งนี้โดยกำรสร้ำงเป็นข้อตกลงร่วมกัน หรือที่เรียกกันว่ำกำรทำำ MOU (Memorandum of Understanding) 5) กำรกำำหนดเป็นกฎเกณฑ์หรือพันธะสัญญำร่วมกัน (Rules of Engagement) โดยดำำเนินกำรจัดทำำเป็นระเบียบปฏิบัติ หรือเป็นคู่มือ แนวทำงกำรทำำงำนที่จะเป็นข้อตกลงร่วมกันในกำรจัดกำรเรียนหรือ ให้กำรศึกษำในแหล่งเรียนรู้แบบเปิดหรือ OER หลัก กำรและแนวคิด ของกำรปฏิบ ัต ิก ิจ กรรม ไอซีท ีใ นชุม ชน กำรอยู่ร่วมกันในสังคมไม่ว่ำจะเป็นสังคมออนไลน์หรือออฟไลน์ ล้วนต้องกำรควำมร่วมมือร่วมใจ เห็นอกเห็นใจและพยำยำมเข้ำใจ ควำมคิดและควำมรู้สึกของอีกฝ่ำยหนึ่งที่สื่อสำรด้วยจึงจะทำำให้กำร สื่อสำรนั้น สำำเร็จตำมเป้ำประสงค์ ประชิต อินทะกนก (2551)ได้ ศึกษำกำรพัฒนำเชิงบูรณำกำรเพื่อเสริมสร้ำงควำมมั่นคงแก่ชุมชน ชำยแดนไทย - กัมพูชำ จังหวัดสุรินทร์เป็นระยะเวลำ 3 ปี พบว่ำ กำร ปฏิบัติกิจกรรมของชุมชนในระยะ 3 ปีนั้น ชุมชนยังคงเน้นที่ กิจกรรมเสริมรำยได้เพื่อกำรมีงำนทำำ ในอันที่จะดำำรงชีวิตอยู่ได้ อัน เป็นส่วนเนื้อของต้นไม้ที่สำำคัญไม่แพ้แก่นและเปลือกที่จะช่วยรักษำ ปกป้องแก่นและหำอำหำรมำเลี้ยงลำำต้นหรือส่วนรวมในชีวิตให้ สำมำรถดำำรงอยู่ได้อย่ำงเข้มแข็ง โดยได้อธิบำยไว้ ดังแผนภำพ ที่ 5


69

แ ผ น ภ ำ พ ที่ 5 แสดงควำมสั ม พั น ธ์ ข องกิ จ กรรมในชุ ม ชนเปรี ย บ เที ย บกั บ ส่ ว นประกอบของต้ น ไม้ ปรั บ ปรุ ง จำก ประชิ ต อิ น ทะ กนก(2551) กิจกรรมในชุมชนที่ทำำให้เกิดกระบวนกำรรับควำมรู้และเกิด ทักษะในกำรแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของชุมชนส่วนใหญ่เกิดจำกกำร ศึกษำดูงำน กิจกรรมให้ควำมรู้แก่คนในชุมชนเกิดขึ้นจำกกำร เปลี่ยนแปลงตนเอง โดยได้รับอิทธิพลจำกคนภำยนอกหรือคน ภำยในชุมชนเอง ดังนั้นกำรศึกษำดูงำนภำยนอก กำรเข้ำถึงหน่วย งำนของรัฐ แนวคิดกำรพึ่งตนเองโดยใช้ทุนที่มีอยู่ในชุมชนอย่ำงพอ เพียง ส่งเสริมให้ชุมชนได้นำำไปปฏิบัติ ส่งเสริมให้ชุมชนก้ำวเดินด้วย ตนเอง กำรพัฒนำที่เน้นทั้งกำรสร้ำงรำยได้เสริม แต่ไม่ได้ทอดทิ้ง ควำมรักควำมอบอุ่นที่มีอยู่ในครอบครัว ถึงแม้ว่ำพ่อแม่ลูกจะไม่ได้อยู่ ด้วยกัน อำจให้อยู่กับคนเฒ่ำ คนแก่ หรือปล่อยให้ผู้สูงอำยุอยู่แต่


70

เพียงลำำพัง แต่สำมำรถใช้สื่อหรือกำรสื่อสำรอื่น ๆทดแทนกำรพูดคุย แบบเผชิญหน้ำกัน

เป็นกำรพัฒนำเชิงบูรณำกำรจะทำำให้ชุมชน

สำมำรถจัดกำรกำรดำำเนินชีวิต จัดกำรควำมรู้ได้ด้วยตนเอง ดังนั้นในกำรดำำเนินกำรวิจัยกับชุมชนสิ่งที่จะต้องตอบคำำถำม กับชุมชนก่อนได้แก่ มีอะไรที่ชุมชนจะได้รับหลังจำกโครงกำรสิ้นสุด ลง และจะเข้ำชุมชนได้อย่ำงไรถ้ำไม่มีอะไรจะมอบให้ชุมชนตำม ควำมต้องกำรที่แท้จริงของชุมชน กรอบที่ควรเข้ำหำชุมชน จึงควร สร้ำงชุมชนให้มีควำมตระหนัก กับควำมสำำคัญของกำรเรียนรู้ อันจะ นำำให้กำรศึกษำนั้น ๆ สำำเร็จลุล่วงไปด้วยดี (ประชิต อินทะกนกและ คณะ. (2550) นอกจำกนี้ยังสำมำรถใช้แนวทำงกำรสร้ำง กระบวนกำรเรียนรู้ของชุมชนตำมแนวคิดของอนุรักษ์ ปัญญำนุ วัฒน์. (2548) โดยเริ่มจำกกระบวนกำรมีส่วนร่วมในกำรวิเครำะห์ ปัญหำชุมชนร่วมกัน หำแนวทำงกิจกรรมร่วม ลงมือปฏิบัติตำม กิจกรรมที่ตกลงกันไว้ ผลกำรปฏิบัติกิจกรรม ถึงแม้บำงโครงกำร อำจล้มเหลว ไม่ต่อเนื่อง แต่ชุมชนได้เรียนรู้ในมิติอื่น ๆ จำก กิจกรรมที่ล้มเหลวนั้น โดยดูจำกผลกระทบในมิติอื่น ๆ ที่กลุ่มบุคคล หรือบุคคลได้ปฏิบัติตนหรือมีพฤติกรรมแสดงออกต่อกันและกันใน ชุมชน กำรใช้ประโยชน์จำกเทคโนโลยีสำรสนเทศและกำรสื่อสำร จึง ควรเริ่มด้วย หลักกำรของกำรออกแบบกำรเรียนรู้ เช่น หลักกำรของ ADDIE Model โดยอยู่ในกระบวนกำรสำำคัญ ได้แก่ กำร


71

วิเครำะห์ ออกแบบ พัฒนำ ประเมินและปรับปรุง ดังแผนภำพที่ 6

แผนภำพที่ 6 แสดงขั้นตอนของกำรดำำเนินงำนกำรออกแบบกำรเรียน รู้ ปรับปรุงจำก Ed Forest, 2014 ทั้งนี้ ก่อนดำำเนินกำรใดๆ ต้องมีกำรวิเครำะห์โดยกำรประเมิน ควำมพร้อม เพื่อสร้ำงศักยภำพสร้ำงกำรมีส่วนร่วมในกรณีที่ขำดไป เพื่อให้สำมำรถแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์และค่ำนิยมร่วมและกำำหนดเป็น หลักกำรหรือพันธะสัญญำร่วม เพื่อสร้ำงควำมตระหนักและควำมคำด หวังร่วมกัน เป็นวงรอบเช่นนี้เรื่อยไปในอนำคตถ้ำหำกเครือข่ำย อินเทอร์เน็ตได้บริกำรอย่ำงทั่วถึงและครอบคลุมทั่วทุกภำคของ ประเทศไทยแล้ว กำรสื่อสำรทำงออนไลน์จะมีบทบำทสำำคัญและแพร่ หลำยมำก ผลกำรวิจัยนี้จะเป็นกำรเตรียมคนเข้ำสู่ระบบกำรสื่อสำรยุค ใหม่ เตรียมกำรด้ำนกระบวนกำรและเนื้อหำภูมิปัญญำท้องถิ่นที่มี ประสิทธิภำพ เพรำะจำกกำรรวบรวมงำนวิจัย เอกสำรอ้ำงอิงที่ เกี่ยวข้องกับสื่อที่ใช้ในกำรส่งเสริมสนับสนุนภูมิปัญญำพื้นบ้ำนให้ ยั่งยืนนั้นยังไม่พบกระบวนกำรมีส่วนร่วมออนไลน์ ที่ให้คนในท้องถิ่น และโดยกำรสนับสนุนจำกสถำบันอุดมศึกษำในท้องถิ่นในอันที่จะร่วม


72

มือกันส่งเสริมภูมิปัญญำท้องถิ่นให้ชุมชนสำมำรถเลือกสรรภูมิปัญญำ และวิทยำกำรต่ำงๆ ได้อย่ำงมีประสิทธิภำพ 10.

เอกสำรอ้ำ งอิง ของโครงกำรวิจ ัย

คณะกรรมกำรนโยบำยวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีแห่งชำติ. (2547). แผนกลยุท ธ์ด ้ำ นวิท ยำศำสตร์แ ละเทคโนโลยี แห่ง ชำติ พ.ศ.2547-2556. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ : สำำนักงำนพัฒนำด้ำนวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีแห่งชำติ. คณะกรรมกำรพัฒนำเศรษฐกิจและสังคมแห่งชำติและสำำนักงำน นำยกรัฐมนตรี. (2554). แผนพัฒ นำเศรษฐกิจ และสัง คม แห่ง ชำติ ฉบับ ที่ 11 พ.ศ. 2555-2559. กรุงเทพฯ : สหมิต รพริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำำกัด. ถนอมพร เลำหจรัสแสง และคณะ.(2549). ผลกำรสำำ รวจควำม พร้อ มในกำรใช้ง ำน e-Learning ของสถำบัน กำรศึก ษำ ระดับ อุด มศึก ษำในประเทศไทย .รำยงำนกำรวิจัย: มหำวิทยำลัยเชียงใหม่. ประชิต อินทะกนก. (2550). กำรพัฒ นำควำมมั่น คงของมนุษ ย์ ด้ำ นกำรมีง ำนทำำ และรำยได้เ พื่อ เสริม สร้ำ งควำมมั่น คง แก่ช ุม ชนชำยแดน ไทย-กัม พชำ จัง หวัด สุร ิน ทร์. รำยงำนกำรวิจัย:มหำวิทยำลัยรำชกัฏสุรินทร์. ประชิต อินทะกนก.(2551). กำรพัฒ นำเชิง บูร ณำกำรเพื่อ เสริม สร้ำ งควำมมั่น คงแก่ช ุม ชน ชำยแดนไทย - กัม พูช ำ จัง หวัด สุร ิน ทร์. รำยงำนกำรวิจัย. มหำวิทยำลัยรำชภัฏ สุรินทร์. ประเวศ วะสี. (2555).” ทำงรอดประเทศไทย.” สถำบันพัฒนำองค์กร ชุมชน. [ออนไลน์]. เข้ำถึงได้จำก http://www.codi.or.th/reform/index.php?


73

option=com_content&view= article&id =2%3A2011-0307-03-30-54&catid=4%3A2011-03-03-07-4155&Itemid=3&lang=th สืบค้น 7 สิงหำคม 2557. ประเวศ วะสี. (2553). “ประเวศชี้ไทยวิกฤติคลื่นลูกที่ 4 แก้ยำกที่สุด”. กรุงเทพธุรกิจ. [ออนไลน์], เข้ำถึงได้จำก : http://bit.ly/bXKG5O สืบค้น 7 สิงหำคม 2557. พัทยำ สำยหู.(2534). กำรพัฒนำวัฒนธรรมบนพื้นฐำนภูมิปัญญำชำว และศักยภำพของชุมชน. กำรสัม มนำเรื่อ ง ภูม ิป ัญ ญำพื้น บ้ำ น.กรุงเทพฯ:สำำนักงำนคณะกรรมกำรวัฒนธรรมแห่งชำติ. ไพฑูรย์ บุตรี.(2557). “กำรส่งเสริมซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สในสถำบัน กำรศึกษำ". ใน รำยงำนกำรสัมมนำ วิชำกำรระดับชำติด้ำนอี เลิร์นนิง ปี 2550. [ออนไลน์] . เข้ำถึงได้จำก: http://www.thaicyberu.go.th. สืบค้น 7 สิงหำคม 2557. ไพฑูรย์ ศรีฟ้ำ และ ปรัชญนันท์ นิลสุข.(2550). “กรณีศึกษำที่ประสบ ควำมสำำเร็จในกำร Implement Moodle”. ใน รำยงำนกำร สัม มนำวิช ำกำรระดับ ชำติด ้ำ นอีเ ลิร ์น นิง ปี 2550. 32-34. เข้ำถึงได้จำก: http://www.thaicyberu.go.th. สืบค้น 7 สิงหำคม 2557. ไพโรจน์ ชลำรักษ์.(2548). “กำรวิจัยเชิงปฏิบัติกำรแบบมีส่วนร่วม”. วำรสำรรำชภัฎ ตะวัน ตก 1 : 1 กรกฎำคม-ธันวำคม, 2548 หน้ำ 20-21. ภำสกร ใหลสกุล.(2557). MOOC มุก ใหม่ข องอีเ ลิร ์น นิง . [ออนไลน์]. เข้ำถึงได้จำก http://sipaedumarket.wordpress.com /2014/04/20/moocมุก ใหม่ข องอีเ ลิร ์น นิ่ง สืบค้น 7 สิงหำคม 2557. แม้นวำด แข่งขันและประชิต อินทะกนก.(2552).กระบวนกำรเรีย น รู้แ ละกำรจัด กำรควำมรู้ข องชุม ชนต่อ


74

ปรัช ญำเศรษฐกิจ พอเพีย งในจัง หวัด สุร ิน ทร์ . สุรินทร์ : มหำวิทยำลัยรำชภัฎสุรินทร์ . วิรัช ศรเลิศลำ้ำวำนิช.(2550). “ Sharable e-Learning Resource in Thailand Aspect”. ใน รำยงำนกำรสัมมนำ วิชำกำรระดับ ชำติด้ำนอีเลิร์นนิง ปี 2550. 73-77. [ออนไลน์]. เข้ำถึงได้จำก: http://www.thaicyberu.go.th.สืบค้น 7 สิงหำคม 2557. สำโรช บัวศรี. (2531). วัฒ นธรรมประจำำ ชำติ. กรุงเทพฯ : อมรินทร์พริ้นติ้งกรุป. สิปปนนท์ เกตุทัต. (2534). ทำงสำยกลำงของสัง คมไทยใน อนำคต : เทคโนโลยีท ี่ส อดคล้อ งกับ วัฒ นธรรมและสิ่ง แวดล้อ ม. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนำพำนิช. สุมำลี สังข์ศรี. (2550). ภูมิปัญญำไทยกับกำรส่งเสริมกำรเรียนรู้และ กำรสร้ำงอำชีพ.กรุงเทพฯ:สำำนักงำนเลขำธิกำรสภำกำรศึกษำ สุนทรี แซ่ตั่น. (2550). “Social Software: กรณีศึกษำกำรใช้ Weblog เพื่อกำรจัดกำรควำมรู้ที่ประสบควำมสำำเร็จ GotoKnow.org และ learners.in.th”. ใน รำยงำนกำรสัมมนำ วิชำกำรระดับชำติด้ำนอีเลิร์นนิง ปี 2550. 72-73. [ออนไลน์]. เข้ำถึงได้จำก: http://www.thaicyberu.go.th. สืบค้น 7 สิงหำคม 2557. สุพรรณี สมบุญธรรม. (2551). โครงกำรมหำวิทยำลัยไซเบอร์ไทย ในรูปแบบกำรกระจำยศูนย์สู่ภูมิภำค. สำำนักงำนคณะกรรมกำร กำรอุดมศึกษำ. [ออนไลน์], เข้ำถึงได้จำก : http://www.thaicyberu.go.th/tcuResearch/ สืบค้น 7 สิงหำคม 2557. สุมน อมรวิวัฒน์. (2536). “บทบำทของสมำชิกในครอบครัวกับ สังคมที่เปลี่ยนแปลง” ผลกำร สัมมนำทำงวิชำกำร เรื่อง กำรจัด


75

กิจ กรรมทำงวัฒ นธรรมในวัน สำำ คัญ เกี่ย วกับ สถำบัน ครอบครัว กรุง เทพมหำนค ร. ฝ่ำยส่งเสริมกิจกรรมวัฒนำ ธรรมไทย สถำบันวัฒนธรรมกำรศึกษำ สำำนักงำน 8 คณะ กรรมกำรทำงวัฒนธรรม สุรศักดิ์ ปำเฮ.(2557). OER : นวัตกรรมทำงกำรเรียนระบบเปิด Open Educational Resources : e arning Innovation for the Open System. [ออนไลน์]. เข้ำถึงได้จำก http://www.addkutec3.com/wpcontent/uploads/2014/07/OER.pdf.สืบค้น 7 สิงหำคม 2557. สำำนักมำตรฐำนกำรศึกษำ สำำนักงำนสภำสถำบันรำชภัฏกระทรวง ศึกษำธิกำรและสำำนักมำตรฐำนอุดมศึกษำ ทบวงมหำวิทยำลัย. (2545). ชุด วิช ำกำรวิจ ัย ชุม ชน. นนทบุรี: เอส.อำร์.ปริ้นติ้ง แมสโปรดักส์. อนุรักษ์ ปัญญำนุวัฒน์. (2548). กำรศึก ษำชุม ชนเชิง พหุล ัก ษณ์ : บทเรีย นจำกวิจ ัย ภำคสนำม . กรุงเทพฯ: ฟิสิษฐ์ไทย ออฟ เชต. อมรวิชช์ นำครทรรพและดวงแก้ว จันทร์สระแก้ว. (2541). กำรวิจ ัย เชิง ปฏิบ ัต ิก ำรอย่ำ งมีส ่ว นร่ว ม : ข้อ คิด แนวทำงและ ประสบกำรณ์ข อง ผศ.ดร.อริศ รำ ชูช ำติ. กรุงเทพฯ: ศูนย์วิจัยนโยบำยทำงกำรศึกษำ ครุศำสตร์จุฬำลงกรณ์ มหำวิทยำลัย. เอกวิทย์ ณ ถลำง. (2540). ภูม ิป ัญ ญำชำวบ้ำ นสี่ภ ูม ิภ ำค : วิถ ีช ีว ิต และกระบวนกำรเรีย นรู้ช ำวบ้ำ นไทย . นนทบุรี. มหำวิทยำลัยสุโขทัยธรรมมำธิรำช. Aroonpiboon B,(2014) . “แหล่งรวมสื่อกำรเรียนรู้แบบเปิด Open Educational Resources.” [Online] available:


76

http://www.thailibrary.in.th/2013/03/05/oer/ Retrieved August 7, 2014. Chu, Lucifer. (2005). “Innovation and Open Idea s for Te achers and Learners: How to use OER in Web 2.0 Era?”. ใน รำยงำนกำร สัมมนำวิชำกำรระดับชำติด้ำนอีเลิร์นนิง ปี 2550. 65-66. [ออนไลน์]. เข้ำถึงได้จำก : http://www.thaicyberu.go.th. สืบค้น 7 สิงหำคม 2557. Lee, Insook. (2005). “Learning Design”. ใน รำยงำนกำรสัมมนำ วิชำกำรระดับชำติด้ำนอีเลิร์นนิง ปี 2550. 16-17. [ออนไลน์]. เข้ำถึงได้จำก: http://www.thaicyberu.go.th . สืบค้น 7 สิงหำคม 2557. Forest, E. (2014). “The ADDIE Model: Instructional Design.” [Online] available: http://educationaltechnology.net/theaddie-model-instructional-design/ Retrieved August 7, 2014. Pratt, J ame s Robert. Moodle Developer : opportunities and skill for development.ใน รำยงำนกำรสัมมนำวิชำกำรระดับชำติด้ำนอี เลิร์นนิง ปี 2550. 32. [ออนไลน์]. เข้ำถึงได้จำก: http://www.thaicyberu.go.th. สืบค้น 7 สิงหำคม 2557. Tan, Daniel. Innovation Technology - ระบบ edveNTUre. ใน รำยงำนกำรสัมมนำวิชำกำร ระดับชำติด้ำนอีเลิร์นนิง ปี 2550. 18-19. [ออนไลน์]. เข้ำถึงได้จำก: http://www.thaicyberu.go.th สืบค้น 7 สิงหำคม 2557. Wiley, David. (2005). “The Future of Learning Objects is Open Education”. ใน รำยงำนกำรสัมมนำวิชำกำรระดับชำติ ด้ำนอีเลิร์นนิง ปี 2550. 66-68.[ออนไลน์]. เข้ำถึงได้จำก : http://www.thaicyberu.go.th. สืบค้น 7 สิงหำคม 2557. Yoshida Masami . (2005). “Next Generation Networking (NGN)”. ใน รำยงำนกำรสัมมนำวิชำกำร ระดับชำติด้ำนอีเลิร์น


77

นิง ปี 2550. 63-64.[ออนไลน์]. เข้ำถึงได้จำก : http://www.thaicyberu.go.th. สืบค้น 7 สิงหำคม 2557. 11. ประโยชน์ท ี่ค ำดว่ำ จะได้ร ับ เช่น ด้ำ นวิช ำกำร ด้ำ น นโยบำย ด้ำ นเศรษฐกิจ /พำณิช ย์ ด้ำ นสัง คมและชุม ชน รวม ถึง กำรเผยแพร่ใ นวำรสำร จดสิท ธิบ ัต ร ฯลฯ และหน่ว ยงำนที่ ใช้ป ระโยชน์จ ำกผลกำรวิจ ัย 11.1 ประเทศไทยมีแนวทำงกำรใช้ไอซีทีในกำรส่งเสริม เผยแพร่ ศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญำท้องถิ่น 11.2 ประเทศไทยยังคงอัตลักษณ์ที่สำำคัญของตนเองในอันที่จะ เข้ำสู่ประชำคมอำเซียน 11.3 ชุมชนและท้องถิ่น มีกำรเรียนรู้ภูมิปัญญำอย่ำงยั่งยืน มีควำม ภูมิใจและเกิดควำมรักหวงแหนท้องถิ่นที่ตนเองอำศัยอยู่ 11.4 สถำบันอุดมศึกษำใช้แหล่งกำรเรียนรู้แบบเปิดนี้เป็นแนวทำง ในกำรพัฒนำตนเองเป็นสถำบันอุดมศึกษำเพื่อกำรพัฒนำท้องถิ่น 11.5 สำขำวิชำได้แนวทำงกำรใช้ไอซีทีในกำรบริหำรวิชำกำรแก่ ชุมชนและเป็นแนวทำงในกำรศึกษำวิจัยศำสตร์ด้ำนนี้ต่อไป 12. แผนกำรถ่ำ ยทอดเทคโนโลยีห รือ ผลกำรวิจ ัย สู่ก ลุ่ม เป้ำ หมำย แผนกำรถ่ำยทอดเทคโนโลยีหรือผลกำรวิจัยสู่กลุ่มเป้ำหมำย 12.1 มีเว็บไซด์และกระบวนกำรถ่ำยทอดควำมรู้ไปสู่ชุมชนรุ่น หลังและผู้สนใจ พร้อมที่จะใช้เป็นแหล่งเผยแพร่ข้อมูลทำงสื่อ อิเล็กทรอนิกส์หรือส่งเสริมกำรวิจัยและพัฒนำขั้นต่อไป


78

12.2 มีกำรอบรม ส่งเสริมและสนับสนุนองค์ควำมรู้เกี่ยวกับ ภูมิปัญญำชำวบ้ำนในระดับปัจเจกชน มีเครือข่ำยช่วยส่งเสริม กิจกรรมกำรแลกเปลี่ยนเรียนรู้ออนไลน์อย่ำงยั่งยืน 12.3 ประชำชนในชุมชนต้นแบบ (กลุ่มตัวอย่ำงที่เลือกมำทำำวิจัย) ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้และเป็นผู้นำำถ่ำยทอดภูมิปัญญำท้องถิ่น เพื่อให้ เกิดกำรเปลี่ยนแปลงด้ำนวิธีคิด ภูมิใจในกระบวนกำรและวิถีชีวิตที่ เป็นอยู่ในชุมชนตนเอง 12.4 มหำวิทยำลัยรำชภัฏทั้ง 6 จังหวัดมีฐำนข้อมูลชุมชนแบบอี เล็กทรอนิกส์ พร้อมที่จะเผยแพร่ไปสู่ชุมชน นักศึกษำประชำชนใน จังหวัดตนเอง รวมถึงมหำวิทยำลัยทั่วไปทั้งต่ำงประเทศและใน ประเทศ ก็นำำไปใช้ประโยชน์ได้

13. วิธ ีก ำรดำำ เนิน กำรวิจ ัย และสถำนที่ท ำำ กำรทดลอง /เก็บ ข้อ มูล กลุ่มตัวอย่ำงสำำหรับกำรวิจัยประกอบด้วยบุคคล 6 กลุ่ม คือ 1) ครูภูมิปัญญำไทย 9 ด้ำน ได้แก่ ด้ำนเกษตรกรรม ด้ำนอุตสำหกรรมและหัตถกรรม ด้ำนแพทย์แผนไทย ด้ำนกำรจัดกำร ทรัพยำกรธรรมชำติและสิ่งแวดล้อม ด้ำนกองทุนและธุรกิจชุมชน ด้ำนศิลปกรรม ด้ำนภำษำและวรรณกรรม ด้ำนปรัชญำ ศำสนำและ ประเพณี และด้ำนโภชนำกำร เลือกแบบเจำะจงโดยศึกษำข้อมูลจำก ทำำเนียบครูภูมิปัญญำ ซึ่งรวบรวมไว้โดยสำำนักงำนเลขำธิกำรสภำกำร ศึกษำ และกำรสอบถำมผู้รู้และคนในท้องถิ่นเลือกมำด้ำนละ 1 ท่ำน โดยให้กระจำยทุกจังหวัด ๆ ละ 1 ท่ำน เพรำะฉะนั้นใน 10 สำขำ จะ


79

ได้ กลุ่มตัวอย่ำงครูภูมิปัญญำ 9 x 1 เมื่อรวมทั้งหมดจำกทุกจังหวัดใน อิสำนใต้ จำำนวน 6 จังหวัด จะได้เท่ำกับ 54 ท่ำน 2) บุคลำกรกำรศึกษำในสถำบันอุดมศึกษำในเขต อิสำน ใต้ เลือกโดยกำรสุ่มอย่ำงง่ำยจำกบุคคลำกรในสถำบันอุดมศึกษำที่อยู่ ในพื้นที่เดียวกับครูภูมิปัญญำแต่ละท่ำนที่เป็นกลุ่มตัวอย่ำงในแต่ละ พื้นที่ โดยสุ่มมำพื้นที่ละ 1 คน ได้กลุ่มตัวอย่ำงรวม 6 คน 3) บุคลำกรระดับจังหวัดที่รับผิดชอบด้ำน กำรพัฒนำ ชุมชน ด้ำนศิลปวัฒนธรรม เลือกจำกบุคลำกรของหน่วยงำนรำชกำร ที่อยู่ในพื้นที่เดียวกับครูภูมิปัญญำ พื้นที่ละ 1 คน ได้กลุ่มตัวอย่ำง 6 คน 4) ประชำชน ผู้ใกล้ชิดกับภูมิปัญญำที่พร้อมรับกำรอบรม ด้ำนกำรดูแลเนื้อหำในระบบอีเลิร์นนิ่ง เลือกแบบเฉพำะเจำะจง จำก กำรแนะนำำของครูภูมิปัญญำไทย พื้นที่ละ 2 คน ได้กลุ่มตัวอย่ำง ประชำชนใน 6 พื้นที่เป็น 12 คน 5) ผู้เชี่ยวชำญด้ำนภูมิปัญญำท้องถิ่น เพื่อเป็นผู้ เชี่ยวชำญในกำรประเมินเนื้อหำในสื่อระบบเปิด เลือกแบบเจำะจง จังหวัดละ 3 คน 6 จังหวัด รวม 18 คน 6) ผู้เชี่ยวชำญด้ำนอีเลิร์นิ่ง เพื่อเป็นผู้เชี่ยวชำญในกำร ประเมินสื่อระบบเปิด เลือกแบบเจำะจง จังหวัดละ 3 คน 6 จังหวัด รวม 18 คน 7) ประชำชน ผู้มำรับควำมรู้จำกสื่อแบบเปิดเรื่อง ภูมิปัญญำไทยในแต่ละ พื้นที่ เลือกแบบบังเอิญ จำกประชำชนที่มำรับ ควำมรู้ในช่วงที่ผู้วิจัยไปทดลองใช้สื่อ กลุ่มตัวอย่ำงประชำชน พื้นที่ ละ 15 คน ได้กลุ่มตัวอย่ำงประชำชนใน 6 พื้นที่รวมเป็น 90 คน 8) ประชำชนที่ได้รับข่ำวสำรและต้องกำรเรียนรู้ ภูมิปัญญำท้องถิ่น 100 คน


80

เครื่อ งมือ ที่ใ ช้ใ นกำรวิจ ัย เครื่องมือที่ใช้ในกำรวิจัยประกอบด้วย แบบสัมภำษณ์ครูภูมิปัญญำไทย แบบสัมภำษณ์บุคลำกรกำร ศึกษำในสถำบันอุดมศึกษำในเขต อิสำนใต้ แบบสัมภำษณ์บุคคลำกร ระดับจังหวัดที่รับผิดชอบด้ำน กำรพัฒนำชุมชน ด้ำนศิลปวัฒนธรรม แบบสัมภำษณ์ประชำชนผู้มำรับควำมรู้จำกสื่อกำรเรียนรู้แบบเปิด แบบสอบถำมสำำหรับผู้เชี่ยวชำญด้ำนภูมิปัญญำ และแบบสอบถำมผู้ เชี่ยวชำญด้ำนอีเลิร์นนิ่ง บทเรียนอีเลิร์นนิ่งเรื่องภูมิปัญญำท้องถิ่น แยกตำมจังหวัดและ ภูมิปัญญำ จำำนวน 54 เรื่อง ผ่ำนกำรพัฒนำประเมินควำมสอดคล้อง กับเนื้อหำ และผ่ำนกำรหำประสิทธิภำพตำมเกณฑ์มำตรฐำน 90/90 แบบประเมินสื่อกำรเรียนรู้แบบเปิด แยกตำมจังหวัด จำำนวน 54 แบบ

กำรเก็บรวบรวมข้อมูล คณะผู้วิจัยประสำนงำนกับครูภูมิปัญญำทั้ง 9 ด้ำน ผู้แทนจำก สถำบันอุดมศึกษำ ผู้แทนจำกบุคคลำกรระดับจังหวัด ทั้ง 6 จังหวัดใน เขตอิสำนใต้เพื่อจัดประชุมชี้แจงกระบวนกำรวิจัยและวำงแผนกำร ดำำเนินกำรวิจัยร่วมกัน กำรวิเครำะห์ขอ ้ มูล ในส่วนของข้อมูลเชิงปริมำณผู้วิจัยทำำกำรวิเครำะห์ โดยกำรหำ ค่ำควำมถี่ ค่ำร้อยละ ค่ำเฉลี่ย และค่ำเบี่ยงเบนมำตรฐำนส่วนข้อมูลที่ ได้จำกกำรสัมภำษณ์เป็นข้อมูลเชิงคุณภำพทำำกำรวิเครำะห์โดยกำร สรุป ประเด็นเนื้อหำ


81

วิธ ีก ำรดำำ เนิน งำนวิจ ัย ขัน ้

ประชุมทำำควำมเข้ำในทีมวิจัยเพื่อเตรียมกำรในเรื่องต่ำงๆ

เตรีย ม

และประชุมเตรียมเก็บข้อมูลภำคสนำมโดยเดินทำงไปทุก

กำร

จังหวัด ในเขต อิสำนใต้ 1. ศึกษำและวิเครำะห์เอกสำรและงำนวิจัยที่เกี่ยวข้องกับ ภูมิปัญญำท้องถิ่น องค์ควำมรู้ที่มีอยู่ในท้องถิ่นของทุก จังหวัดในเขตอิสำนใต้ ศึกษำเอกสำรงำนวิจัยที่เกี่ยวกับ ทรัพยำกรกำรเรียนรู้ในระบบเปิด (OER- Open educational resources)

2. วิเครำะห์ข้อมูล และสังเครำะห์เพื่อสร้ำงเครื่องมือวิจัย 3. เก็บข้อมูลด้ำนภูมิปัญญำท้องถิ่นตำมแต่ละจังหวัด - เก็บข้อมูลและศึกษำควำมเป็นไปได้ของชุมชนในกำร

พัฒนำองค์ควำมรู้บนอินเทอร์เน็ตแบบ OER - เลือกแนวทำงกำรพัฒนำภูมิปัญญำท้องถิ่นบนสื่อแบบเปิด

ตำมบริบทของชุมชน ศักยภำพของสมำชิกในชุมชน สรุปผลจำกปีที่ 1 จะได้ข้อมูลสภำพ บริบทของชุมชน ทั้งใน ด้ำนข้อมูลทั่วไปด้ำนภูมิปัญญำท้องถิ่น และข้อมูลพื้นฐำนด้ำน เทคโนโลยีสำรสนเทศและกำรสื่อสำรในแต่ละจังหวัดที่ สอดคล้องกับกำรพัฒนำสู่กำรพัฒนำภูมิปัญญำท้องถิ่นในสื่อ แบบเปิด ขั้นเก็บ

จัดประชุมทำำควำมตกลงเลือกเนื้อหำเกี่ยวกับภูมิปัญญำท้อง

ข้อมูล

ถิ่นและกำรเป็นนักวิจัยท้องถิ่น จำำแนกตำมเขตพื้นที่ทั้ง 6

พื้นฐำน และ

จังหวัด โดยสำำรวจควำมสมัครใจในกำรเป็นนักวิจัยท้องถิ่น ทั้งนี้จะมีกำรรับสมัครเป็นผู้ร่วมวิจัยในท้องถิ่น เช่น ผู้สร้ำงสื่อ

ออกแบบ แบบเปิดภูมิปัญญำท้องถิ่นด้ำนต่ำง ๆ ทั้ง 9 ด้ำน โดยมี


82

วิธ ีก ำรดำำ เนิน งำนวิจ ัย โปรแกรมกำรจัดกำรมูดเดิ้ลเป็นหลัก 1. ประชุมสร้ำงควำมเข้ำใจต่อกำรพัฒนำที่ยั่งยืนเกี่ยวกับกำร เผยแพร่องค์ควำมรู้ภูมิปัญญำท้องถิ่นบนอินเทอร์เน็ตตำม รูปแบบ OER 2. สำำรวจควำมสนใจและควำมสมัครใจของคนในท้องถิ่น ที่ จะเป็นผู้นำำกำรเปลี่ยนแปลง โดยกำรแนะนำำจำกครู ภูมิปัญญำท้องถิ่น เลือกโดยกำรสังเกตและสัมภำษณ์และดู ควำมเหมำะสมพร้อมที่จะเป็นผู้พัฒนำสื่อแบบเปิด 3. สร้ำงควำมเข้ำใจเกี่ยวกับกำรเผยแพร่ข้อมูลแบบ OER ภูมิปัญญำท้องถิ่น ภูมิปัญญำชำวบ้ำน ปรำชญ์ชำวบ้ำนจำก เอกสำรงำนวิจัย อินเทอร์เน็ต สื่อสำรมวลชนและจำก ประสบกำรณ์ 4. ประชุมอบรมปฏิบัติกำรเพื่อออกแบบและพัฒนำเครื่องมือ สื่อแบบเปิด เพื่อใช้ในกำรสำำรวจและนำำข้อมูลที่ได้มำ สังเครำะห์จัดระบบข้อมูลเพื่อใช้วิจัยในขั้นต่อไป ขั้นพัฒนำ อบรมปฏิบัติกำรกำรสร้ำงสื่อแบบเปิด สร้ำงควำมเข้ำใจเกี่ยว กับแนวทำงกำรเผยแพร่ข้อมูลภูมิปัญญำท้องถิ่นในรูปแบบ OER ให้กับคนในชุมชน 1. อบรมกำรใช้ MOODLE 2. อบรมกำรสร้ำงสื่อดิจิตอลด้วยเครื่องมือที่มีอยู่ในท้องถิ่น 3. ประชุมร่วมกับผู้แทนสถำบันอุดมศึกษำ เกี่ยวกับกำรนำำ ภูมิปัญญำท้องถิ่นในรูปแบบ OER มำใช้ในกำรเรียนกำร สอนของสถำบันกำรศึกษำ 4. ประชุมร่วมกับชุมชน โรงเรียน พัฒนำแนวทำงกำรใช้ OER ผ่ำนเครือข่ำยอินเทอร์เน็ต


83

วิธ ีก ำรดำำ เนิน งำนวิจ ัย ขั้นเอำไป ประชำสัมพันธ์เว็บไซด์และให้ชุมชน นักศึกษำประชำชน ใช้

ร่วมใช้และให้ข้องเสนอแนะกำรพัฒนำกระบวนกำรเรียนรู้ และกำรประยุกต์ใช้ในระดับชุมชน 1. จัดประชุมเพื่อนำำรูปแบบที่ได้มำพัฒนำและนำำมำใช้ใน ชุมชน 2 .จัดประชุมเพื่อนำำรูปแบบที่ได้มำพัฒนำและประยุกต์ใช้ใน หลักสูตรของสถำนศึกษำ โดยกำรสอดแทรกภูมิปัญญำท้อง ถิ่นไปในหลักสูตรกำรเรียนรู้ของแต่ละชัน ้ แต่ละกลุ่มสำระ 3. หำรูปแบบกำรประยุกต์ใช้ OER มำช่วยในกำรเรียนรู้(จำก ตรงนี้จะได้รูปแบบกำรใช้ OER กับหน่วยงำนต่ำงๆ เช่น วัด กลุ่มหรือชมรม โรงเรียน อนำมัย องค์กำรบริหำรส่วนตำำบล และมหำวิทยำลัยรำชภัฏ) 4. นำำเสนอสำำรวจควำมคิดเห็นพร้อมทั้งปรับปรุงแก้ไข

ขั้น

นำำเสนอ กำรสรุปรำยงำนผลและเผยแพร่ผลงำนต่อหน้ำ

ประเมิน

สำธำรณชนเพื่อสอบถำมควำมคิดเห็นที่มีต่อสื่อแบบเปิด


84

14. ระยะเวลำทำำ กำรวิจ ัย และแผนกำรดำำ เนิน งำนตลอด โครงกำรวิจ ัย (ให้ร ะบุข ั้น ตอนอย่ำ งละเอีย ด ) ระยะเวลำและแผนกำรดำำ เนิน งำน เดือ น 1

กิจกรรม ประชุมทำำควำมเข้ำในทีมวิจัยเพื่อเตรียม

สถำนที่ ทั้ง 6 จังหวัด

กำรในเรื่องต่ำงๆ และประชุมเตรียมเก็บ ข้อมูลภำคสนำม เพื่อ 1. ศึกษำและ วิเครำะห์เอกสำรและงำนวิจัยที่เกี่ยวข้อง กับ ภูมิปัญญำท้องถิ่น องค์ควำมรู้ที่มีอยู่ ในท้องถิ่นของทุกจังหวัดในเขตอิสำน ใต้ ศึกษำเอกสำรงำนวิจัยที่เกี่ยวกับ ทรัพยำกรกำรเรียนรู้ในระบบเปิด (OEROpen educational resources)

1

2. วิเครำะห์ข้อมูล และสังเครำะห์เพื่อสร้ำง สุรินทร์ เครื่องมือวิจัย

1

3. เก็บข้อมูลด้ำนภูมิปัญญำท้องถิ่นตำม แต่ละจังหวัด - เก็บข้อมูลและศึกษำควำมเป็นไปได้

ของชุมชนในกำรพัฒนำองค์ควำมรู้ บนอินเทอร์เน็ตแบบ OER

ทั้ง 6 จังหวัด


85

ระยะเวลำและแผนกำรดำำ เนิน งำน - เลือกแนวทำงกำรพัฒนำภูมิปัญญำ

ท้องถิ่นบนสื่อแบบเปิดตำมบริบทของ ชุมชน ศักยภำพของสมำชิกใน ชุมชน 2

สรุปผลจำกปีที่ 1 จะได้ข้อมูลสภำพ บริบท

สุรินทร์

ของชุมชน ทั้งในด้ำนข้อมูลทั่วไปด้ำน ภูมิปัญญำท้องถิ่น และข้อมูลพื้นฐำนด้ำน เทคโนโลยีสำรสนเทศและกำรสื่อสำรใน แต่ละจังหวัดที่สอดคล้องกับกำรพัฒนำสู่ กำรพัฒนำภูมิปัญญำท้องถิ่นในสื่อแบบ เปิด ขั้ น เก็ บ ข้ อ มู ล พื้ น ฐำนแ ละออ กแ บบจั ด ทั้ง 6 จังหวัด ประชุมทำำควำมตกลงเลือกเนื้อหำเกี่ยวกับ ภูมิปัญญำท้องถิ่นและกำรเป็นนักวิจัยท้อง ถิ่ น จำำ แนกตำมเขตพื้ น ที่ ทั้ ง 6 จั ง หวั ด 3

โดยสำำ รวจควำมสมั ค รใจในกำรเป็ น นั ก วิจัยท้องถิ่นทั้งนี้จะมีกำรรับสมัครเป็นผู้ร่วม วิ จั ย ในท้ อ งถิ่ น เช่ น ผู้ ส ร้ ำ งสื่ อ แบบเปิ ด ภู มิ ปั ญ ญำท้ อ งถิ่ น ด้ ำ นต่ ำ ง ๆ ทั้ ง 9 ด้ ำ น โดยมีโปรแกรมกำรจัดกำรมูดเดิ้ลเป็นหลัก

3

1. ประชุมสร้ำงควำมเข้ำใจต่อกำรพัฒนำ ที่ยั่งยืนเกี่ยวกับกำรเผยแพร่องค์ควำมรู้ ภูมิปัญญำท้องถิ่นบนอินเทอร์เน็ตตำมรูป แบบ OER 2. สำำรวจควำมสนใจและควำมสมัครใจ

สุรินทร์


86

ระยะเวลำและแผนกำรดำำ เนิน งำน ของคนในท้องถิ่น ที่จะเป็นผู้นำำกำร เปลี่ยนแปลง โดยกำรแนะนำำจำกครู ภูมิปัญญำท้องถิ่น เลือกโดยกำรสังเกต และสัมภำษณ์และดูควำมเหมำะสมพร้อม ที่จะเป็นผู้พัฒนำสื่อแบบเปิด 3. สร้ำงควำมเข้ำใจเกี่ยวกับกำรเผยแพร่ ข้อมูลแบบ OER ภูมิปัญญำท้องถิ่น ภูมิปัญญำชำวบ้ำน ปรำชญ์ชำวบ้ำน จำกเอกสำรงำนวิจัย อินเทอร์เน็ต สื่อสำรมวลชนและจำกประสบกำรณ์ 4. ประชุมอบรมปฏิบัติกำรเพื่อออกแบบ และพัฒนำเครื่องมือสื่อแบบเปิด เพื่อใช้ ในกำรสำำรวจและนำำข้อมูลที่ได้มำ สังเครำะห์จัดระบบข้อมูลเพื่อใช้วิจัยใน ขั้นต่อไป 4

ขั้นพัฒนำ โดย อบรมปฏิบัติกำรกำรสร้ำง

ทั้ง 6 จังหวัด

สื่อแบบเปิด สร้ำงควำมเข้ำใจเกี่ยวกับ แนวทำงกำรเผยแพร่ข้อมูลภูมิปัญญำท้อง ถิ่นในรูปแบบ OER ให้กับคนในชุมชน 5

1. อบรมกำรใช้ MOODLE

สุรินทร์

2. อบรมกำรสร้ำงสื่อดิจิตอลด้วยเครื่องมือ ที่มีอยู่ในท้องถิ่น 6

3. ประชุมร่วมกับผู้แทนสถำบันอุดมศึกษำ เกี่ยวกับกำรนำำภูมิปัญญำท้องถิ่นในรูป

สุรินทร์ และ ใน ระบบออนไลน์


87

ระยะเวลำและแผนกำรดำำ เนิน งำน แบบ OER มำใช้ในกำรเรียนกำรสอน ของสถำบันกำรศึกษำ 6

7

4. ประชุมร่วมกับชุมชน โรงเรียน พัฒนำ

ทั้ง 6 จังหวัด

แนวทำงกำรใช้ OER ผ่ำนเครือข่ำย

และ ในระบบ

อินเทอร์เน็ต

ออนไลน์

ขั้นเอำไปใช้ โดย ประชำสัมพันธ์เว็บไซด์ ทั้ง 6 จังหวัด และให้ชุมชน นักศึกษำประชำชน ร่วมใช้

และ ในระบบ

และให้ข้องเสนอแนะกำรพัฒนำ

ออนไลน์

กระบวนกำรเรียนรู้และกำรประยุกต์ใช้ใน ระดับชุมชน 8-9

1. จัดประชุมเพื่อนำำรูปแบบที่ได้มำพัฒนำ

ทั้ง 6 จังหวัด

และนำำมำใช้ในชุมชน

และ ในระบบ

2 .จัดประชุมเพื่อนำำรูปแบบที่ได้มำพัฒนำ

ออนไลน์

และประยุกต์ใช้ในหลักสูตรของสถำน ศึกษำ โดยกำรสอดแทรกภูมิปัญญำท้อง ถิ่นไปในหลักสูตรกำรเรียนรู้ของแต่ละชัน ้ แต่ละกลุ่มสำระ 10-11

3. หำรูปแบบกำรประยุกต์ใช้ OER มำ

ทั้ง 6 จังหวัด

ช่วยในกำรเรียนรู้(จำกตรงนี้จะได้รูปแบบ

และ ในระบบ

กำรใช้ OER กับหน่วยงำนต่ำงๆ เช่น วัด

ออนไลน์

กลุ่มหรือชมรม โรงเรียน อนำมัย องค์กำรบริหำรส่วนตำำบล และ มหำวิทยำลัยรำชภัฏ) 4. นำำเสนอสำำรวจควำมคิดเห็นพร้อมทั้ง


88

ระยะเวลำและแผนกำรดำำ เนิน งำน ปรับปรุงแก้ไข

12

ขั้นประเมิน นำำเสนอ กำรสรุปรำยงำนผล

ในระบบ

และเผยแพร่ผลงำนต่อหน้ำสำธำรณชน

ออนไลน์

เพื่อสอบถำมควำมคิดเห็นที่มีต่อสื่อแบบ เปิด

15. ปัจ จัย ที่เ อื้อ ต่อ กำรวิจ ัย (อุป กรณ์ก ำรวิจ ัย โครงสร้ำ ง พื้น ฐำน ฯลฯ) ระบุเ ฉพำะปัจ จัย ที่ต ้อ งกำรเพิ่ม เติม ระบบเครือข่ำยที่สะดวกรวดเร็วคอบคลุมทุกพื้นที่ 16.

งบประมำณของโครงกำรวิจ ัย

- ปีงบประมำณ 2559 เสนอขอ 500,000 16.1 รำยละเอีย ดงบประมำณกำรวิจ ัย ขอข้อ เสนอกำรวิจ ัย จำำ แนกตำมงบระเภทต่ำ งๆ ลำำ ดับ รำยกำร จำำ นวนเงิน 1 งบบุค ลำกร 141,560 1. ค่ำตอบแทนนักวิจัย (10%) 50,000


89

2. ค่ำจ้ำงชั่วครำวผู้ช่วยวิจัย 1 คน จำำนวน 12 เดือนๆ ละ 7,630 บำท (1*12*7,630) 91,560 2 งบดำำ เนิน กำร 2.1 ค่ำ ตอบแทน 235,000 1) ค่ำบรรยำยของวิทยำกร 2 ครั้ง 6 คนๆ ละ 12 ชั่วโมงๆ ละ 800 บำท (2*6*5*800) 48,000 2) ค่ำตอบแทนวิทยำกรบรรยำยประชุมสรุปกำรทำำควำมเข้ำใจโดย จัดเวทีชำวบ้ำน 6 จังหวัด ๆ ละ 1 ครั้ง 3 คนๆ ละ 5 ชั่วโมงๆ ละ 600 บำท (6*3*5*600) 54,000 4) ค่ำตอบแทนผู้ให้ขอ ้ มูล 6 แห่งๆ ละ 100 คนๆ ละ 100 บำท (6*100*100) 60,000 5) ค่ำตอบแทนผู้เก็บข้อมูล 6 แห่ง จำำนวน 20 คนๆ ละ 100 บำท (6*20*100) 12,000 6) ค่ำตอบแทนสถำนที่และกำรบริหำรสถำนที่ในกำรจัดประชุมเวที ชำวบ้ำน


90

มี 6 แห่งๆ ละ 2 ครั้ง ครั้งละ 2,000 บำท (6*2*2,000) 24,000 8) ค่ำตอบแทนคณะเข้ำร่วมประชุมเวทีชำวบ้ำนและหน่วยงำนที่ เกี่ยวข้อ หน่วยงำนที่เกี่ยวข้อง 37,000 2.2 ค่ำ ใช้ส อย 94,000 1) ค่ำเบี้ยเลี้ยงนักวิจัยกรณีพักค้ำงคืนในพื้นที่วิจัย 6 วัน 10 คนๆละ 500 (6*10*500) 30,000 2) ค่ำเช่ำที่พักวิทยำกร 2 คน 6 วันๆ ละ 1000 (2*6*1,000) 12,000 3) ค่ำอำหำรกลำงวัน อำหำรว่ำงและเครื่องดื่มในกำรประชุมชำวบ้ำน 20,000 4) ค่ำอำหำรกลำงวัน อำหำรว่ำงและเครื่องดื่มในกำรประชุมทีมวิจัย 20,000 5) ค่ำจ้ำงจัดทำำรูปเล่มรำยงำนกำรวิจัยเพื่อเผยแพร่ 20 ชุด*600 บำท 12,000 2.3 ค่ำ วัส ดุ 29,440


91

1) วัสดุสำำนักงำน 10,000 2) ค่ำอุปกรณ์กำรจัดประชุมเวทีชำวบ้ำนและสื่ออื่นๆ ประกอบกำร อบรม 10,000 3) วัสดุคอมพิวเตอร์ 9,440 รวมงบประมำณที่เ สนอขอ

500,000

17. ผลสำำ เร็จ และควำมคุ้ม ค่ำ ของกำรวิจ ัย ที่ค ำดว่ำ จะได้ร ับ ผลสำำ เร็จ ในระดับ P 17.1 สถำนศึกษำ ได้หลักสูตรกำรอบรม และมีฐำนข้อมูล ภูมิปัญญำท้องถิ่น คณะครุศำสตร์ได้ตัวอย่ำงหลักสูตร สื่อ วิธีสอน ที่ เหมำะกับเอกลักษณ์ของชุมชน ในเขตอิสำนใต้ ช่วยเสริมสร้ำง บทบำทของหน่วยงำน ในกำรบริกำรวิชำกำรแก่ชุมชนของแต่ละ หน่วยงำน 17.2 มีข้อมูลพื้นฐำนที่เป็นระบบ และค้นพบองค์ควำมรู้ใน กระบวนกำร สำมำรถใช้เพื่อกระบวนกำรวิจัยด้ำนกำรเรียนรู้ของ ประชำชนและเกิดเป็นกำรเรียนรู้ตลอดชีวิต ผลสำำ เร็จ ระดับ I


92

17.3 ได้บทเรียนออนไลน์และประชำชนได้รับกำรเรียนรู้ กำรส่ง เสริมกำรอนุรักษ์สืบทอดวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงำม และพัฒนำภูมิปัญญำท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์ในด้ำนสังคม เศรษฐกิจ และสังคม เสริมสร้ำงควำมมั่นคง ในกำรพัฒนำคุณภำพ ชีวิตได้อย่ำงครบวงจรและได้มำตรฐำน 17.4 ภำคธุรกิจและภำคเอกชนสำมำรถติดต่อกับชุมชนเพื่อทำำ ธุรกิจและใช้บริกำรสินค้ำ แรงงำนผ่ำนทำงเทคโนโลยีสำรสนเทศ หรือสือ ่ ต่ำงๆ ได้อย่ำงทันสมัยและแพร่หลำย 17.5 สำมำรถใช้เทคโนโลยีในกำรตรวจสอบกำรผลิตแบบชีวภำพ เพื่อเพิ่มมูลค่ำให้กับสินค้ำ โดยเฉพำะอย่ำงยิ่ง ข้ำวหอมมะลิปลอดสำร พิษ พืชผักเกษตรอินทรีย์ กำรเลี้ยงสัตว์ ชุมชนสำมำรถนำำมำบริโภค ในครัวเรือนและจำำหน่ำยผลผลิตได้ในรำคำที่สูงขึ้น 17.6 เป็นประโยชน์ตอ ่ ประชำกรกลุ่มเป้ำหมำยทั้งในระดับปัจเจก ชนและมหำชน กำรเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อกำรรักษำเอกลักษณ์ท้อง ถิ่น ประเพณีสีบทอดจำกบรรพบุรุษและภำคภูมิใจในควำมเป็นไทย อันจะเป็นกำรพัฒนำเชิงบูรณำกำรเพื่อเสริมสร้ำงควำมมั่นคงแก่ ชุมชนจังหวัดสุรินทร์ 17.7 ได้ยุทธศำสตร์และแผนงำนทำำให้กำรบริหำรงำนแบบบูรณำ กำรของผู้ว่ำรำชกำรจังหวัด (ผู้ว่ำ CEO) เป็นไปอย่ำงมีประสิทธิภำพ โดยสำมำรถกำำหนดยุทธศำสตร์และแผนงำนได้ตรงตำมกลุ่มเป้ำ หมำยมำกยิ่งขึ้น เป็นต้นแบบและข้อมูลให้แก่ส่วนรำชกำรอื่น ได้แก่ สำำนักงำนคณะกรรมกำรวัฒนธรรมแห่งชำติ สำำนักงำนกำรพัฒนำ สังคมและควำมมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสุรินทร์ สำำนักงำนพัฒนำ ชุมชนจังหวัดสุรินทร์ สำำนักงำนเกษตรจังหวัดสุรินทร์ เพื่อนำำไป ประยุกต์ใช้ ต่อไป


93

(ลำย เซ็น) ...................................................... (ผศ.ดร.ประชิต อิน ทะกนก) หัวหน้ำโครงกำรวิจัย วันที่…8 .เดือน…ตุลำคม..พ.ศ. 2557

ส่ว น ค : ประวัต ิค ณะผู้ว ิจ ัย 1. ชือ ่ - นำมสกุล (ภำษำไทย)

นำยประชิต อินทะ

กนก ชื่อ - นำมสกุล (ภำษำอังกฤษ) INTAGANOK

MR. PRARCHIT

2. เลขหมำยบัตรประจำำตัวประชำชน 3-3099-01076-20-1 3. ตำำแหน่งปัจจุบัน ผู้ช่วยศำสตรำจำรย์

มหำวิทยำลัยรำชภัฏ

สุรินทร์ 4. หน่วยงำนและสถำนที่อยู่ที่ตด ิ ต่อได้สะดวก พร้อมหมำยเลข โทรศัพท์ โทรสำร และ ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-mail)


94

คณะครุศำสตร์ มหำวิทยำลัยรำชภัฏสุรินทร์ อำำเภอเมืองจังหวัด สุรินทร์ 32000 โทรศัพท์ 088 - 5811942 E-mail : drprachit@gmail.com 5. ประวัติกำรศึกษำ พ.ศ. 2521 - 2525

ปริญญำตรี กำรศึกษำบัณฑิต (กศ.บ

เทคโนโลยีและนวัตกรรมกำรศึกษำ) จำกมหำวิทยำลัย ศรีนครินทรวิโรฒ ประสำนมิตร พ.ศ. 2526 - 2528

ปริญญำโท กำรศึกษำมหำบัณฑิต (กศ.ม

เทคโนโลยีกำรศึกษำ) จำกมหำวิทยำลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสำนมิตร พ.ศ. 2537 - 2541

ปริญญำเอก ครุศำสตร์ดุษฎีบัณฑิต ค.ด.

(เทคโนโลยีและสื่อสำรกำรศึกษำจำก จุฬำลงกรณ์มหำวิทยำลัย 6. สำขำวิชำกำรที่มีควำมชำำนำญพิเศษ องค์กำรและกำรจัดกำร 7. ประสบกำรณ์ที่เกี่ยวข้องกับกำรบริหำรงำนวิจัยทั้งภำยในและ ภำยนอกประเทศ โดยระบุ สถำนภำพในกำรทำำกำรวิจัยว่ำเป็นผู้อำำนวยกำรแผนงำนวิจัย หัวหน้ำโครงกำรวิจัย หรือ ผู้ร่วมวิจัยในแต่ละข้อเสนอกำรวิจัย 7.1 ผู้อำำนวยกำรแผนงำนวิจัย

-

7.2 หัวหน้ำโครงกำรวิจัย : Information and Communication Technology for Education in Higher Education Institute in Rural Area. Short term project under KIASIA supporting fund. Working location: Surin March – July 2004. 7.3 งำนวิจัยที่ทำำเสร็จแล้ว


95

7.3.1กำรเปรียบเทียบกำรเรียนกำรสอนด้วยอินเตอร์เน็ตที่ บอกกับไม่บอกเส้นทำงกำรสืบค้นที่มีต่อสัมฤทธิ์ผลทำงกำรเรียนของ นักเรียนมัธยมศึกษำตอนปลำยที่มีรูปแบบกำรเรียนต่ำงกัน (วิจัย เดี่ยว) 7.3.2โครงกำรอินเทอร์เน็ตตำำบล : กรณีศึกษำจังหวัด สุรินทร์ (วิจัยร่วม) ศิวำพร ศรีสมัย และประชิต อินทะกนก (Strategic development of information technology s ervices in a provincial higher education institute Siwaporn Srisamai. P eter Waterworth and Prachit Intaganok) 7.3.3กำรพัฒนำรูปแบบกำรอบรมผ่ำนเครือข่ำยอินเทอร์เน็ต เรื่องกำรเขียน แผนกำรจัดกำรเรียนรู้แบบบูรณำกำรผ่ำนเครือข่ำย อินเทอร์เน็ต รับทุนสนับสนุนจำกสำำนักงำนสภำสถำบันรำชภัฏ 7.3.4กำรพัฒนำเชิงบูรณำกำรเพื่อเสริมสร้ำงควำมมั่นคงแก่ ชุมชนชำยแดนไทย – กัมพูชำ จังหวัดสุรินทร์ (วิจัยระยะเวลำ 3 ปี) งำนวิจัยร่วม โดยประชิต อินทะกนกและคณะ (The Integrated Development for Enhancing Local Communities’ S ecurity along Cambodian and Thai Border. Surin Province) 7.3.5กำรพัฒนำเชิงบูรณำกำรโดยรูปแบบกำรเสริมสร้ำง พลังอำำนำจชุมชนเพื่อเสริมสร้ำงควำมมั่นคงแก่ชุมชนชำยแดนไทย กัมพูชำ จังหวัดสุรินทร์ (วิจัยร่วม) 7.3.6กำรพัฒนำกระบวนกำรขับเคลื่อนปรัชญำเศรษฐกิจพอ เพียง จังหวัดสุรินทร์ 7.4 งำนวิจัยที่กำำลังทำำ - กำรใช้ ICT ในกำรพัฒนำงำนวิชำกำรของบุคลำกรคณะ ครุศำสตร์ มหำวิทยำลัยรำชภัฏสุรินทร์


96


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.