สมัยที่ผู้เขียนยังเป็นนักเรียนนุ่งขาสั้นอยู่ หนึ่งในเสียงบ่นที่มักได้ยินเข้าหูอยู่เรื่อยๆ ก็น่าจะไม่พ้น เรื่องที่ว่า "วิชาภาษาอังกฤษเป็นยาหม้อใหญ่" ในชีวิตน้อยๆ ของเหล่านักเรียนทีเดียว ซึ่งจะว่า ไปแล้ว คํากล่าวนี้ก็ฟังดูจะไม่ใช่เรื่องเกินเลยอะไร เพราะเห็นได้ชัดว่า อย่างน้อยที่สุด ภาษา อังกฤษมันก็ไม่ใช่ภาษาแม่(หรือที่ฝรั่งเขาเรียกว่า mother tongue) ของเรามาแต่อ้อนแต่ ออก แถมโอกาสในการเข้าถึงการเรียนการสอนวิชานี้อย่างได้มาตรฐานของเด็กไทยวัยเรียน แต่ละคนยังไม่เท่าเทียมกัน อันหมายถึง สําหรับบางคน ถ้าครอบครัวพอมีฐานะก็มีโอกาสได้ เรียนในระบบโรงเรียนเอกชน ได้สัมผัสภาษาอังกฤษมาตั้งแต่ชั้นอนุบาล ในขณะที่บางคน ครอบครัวอาจฐานะไม่ดี ก็ได้แค่เรียนภาษาอังกฤษในระบบโรงเรียนเทศบาลหรือรัฐบาล กว่าจะ ได้เริ่มสัมผัสกับภาษาอังกฤษก็โน่นเลย ระดับชั้นประถมศึกษา ก็เลยทําให้เราๆ ท่านๆ ได้พบ ผลิตผลการศึกษาวิชาภาษาอังกฤษแบบกลางสุกกลางดิบอย่างที่เห็นๆ กัน ต้องยอมรับว่า หัวใจสําคัญประการหนึ่งของวิชาภาษาอังกฤษ คือ หลักไวยากรณ์ของภาษา อังกฤษ หรือ English Grammar นั่นเอง เพราะเราย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่า สิ่งนี้มันคือกฎกติกา มารยาทในการใช้ภาษาของพวกฝรั่งเขา อันอาจเปรียบได้กับฐานรากที่สร้างความมั่นคงให้กับ อาคารนั่นเอง ดังนั้น การจะใช้ภาษาของเขาได้อย่างถูกต้อง ก็จําเป็นอยู่เองที่ผู้เรียนจะต้อง ทําความเข้าใจกับหลักไวยากรณ์ของแต่ละภาษาที่เรียนอย่างถ่องแท้เสียก่อน แต่ก็อีกนั่นแหละ พอพูดถึงเรื่องไวยากรณ์ หลายคนก็อาจจะทําหน้าเบ้หรือออกอาการเบื่อหน่าย ขึ้นมาทีเดียว พร้อมเสียงบ่นว่าเอาอีกแล้วหรือ หนังสือแกรมมาร์เล่มใหม่อีกแล้วหรือ ก็ใช่ครับ แต่ขอบอกก่อนว่าหนังสือแกรมมาร์เล่มที่คุณถืออยู่ในมือนี้ จะแตกต่างจากเล่มอื่นๆ ที่ คุณเคยสัมผัสมา (อีกแล้ว!) ตรงที่มันจะออกแนว "อ่านสนุก นั่งลุกก็สบาย" ประมาณนั้น แถม ยังมีแบบฝึกหัดลับสมอง พร้อมคําตอบให้ผู้อ่านได้ทดสอบความเข้าใจในเนื้อหาที่ได้อ่านมาอีก ด้วย ความน่าสนใจของหนังสือ นอกจากการหยิบยกประเด็นด้านไวยากรณ์มาอธิบายอย่างกระชับ และตรงจุดแล้ว ยังอยู่ที่การยกตัวอย่างประกอบเพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ทั้ง ตัวอย่างในแบบที่ถูกต้องและแบบที่ใช้กันอย่างผิดๆ ซึ่งตัวอย่างหลายข้ออาจตรงเข้ากับเรื่องที่ ยังค้างคาใจของผู้อ่านอีกหลายๆ คนก็เป็นได้ ผู้เขียนอยากแนะนําให้ผู้อ่านได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษต่อตัวอย่างประโยคในแบบที่ถูกต้องที่ นําเสนอในแต่ละบทของหนังสือ และหาวิธีจดจําประโยคที่ถูกต้องดังกล่าวให้ได้ ในขณะที่ให้นํา้ หนักความสําคัญแก่ตัวอย่างที่ผิดเพียงเล็กน้อย (กล่าวคืออ่านแค่ผ่านตาให้รู้ว่าหน้าตาแบบที่
ผิดมันเป็นอย่างไร เท่านั้นก็พอ ) หรืออาจไม่ต้องให้ความสําคัญกับมันเลย ทั้งนี้เพื่อให้มั่นใจได้ ว่า จะไม่เผลอตัวเผลอใจไปจดจําตัวอย่างที่ผิดเอาไว้ในสมองแทนที่แบบอย่างที่ถูกต้องนั่นเอง แน่นอนว่า การลงมือทําแบบทดสอบท้ายบทย่อมเป็นการทดสอบความเข้าใจในเนื้อหาของ หนังสือได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังเป็นการประเมินสัมฤทธิผลในการเรียนได้อีกด้วย ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือเล่มนี้คงช่วยตอบโจทย์ที่คาใจผู้อ่านในการเรียนภาษาอังกฤษ ได้ไม่มากก็น้อย
บุญชัย ปัญจรัตนากร วันตรุษจีน 2555
ด่านแรกของภาษาอังกฤษเห็นไม่จะพ้นต้องพูดเรื่องสุดอมตะ คือ Parts of Speech (ชนิดของคําพูด) ลองนึกภาพของวงดนตรีสักวงก็แล้วกัน เอา "บอดี้สแลม" ของ พี่ตูน ขวัญใจวัยทีนตัวจริง ในปัจจุบันได้ แน่นอนว่าในวงบอดี้สแลม นอกจากพี่ตูนซึ่งเป็นนักร้องนําแล้ว ย่อมต้องมี สมาชิกคนอื่นๆ ที่เป็นนักดนตรีอีกหลายคน ไม่ว่าจะเป็นมือลีดกีตาร์ มือเบส มือกลอง และมือจิปาถะอื่นๆ ทั้งพี่ตูนและแต่ละคนในวงก็จะมีหน้าที่ของตัวเองแตกต่างกันออกไป เพื่อให้งานเพลงของบอดี้สแลมบรรเลงออกมาได้อย่างประทับใจแฟนๆทั้งหลาย ในทํานองเดียวกัน คําแต่ละคําในประโยคก็จะมีหน้าที่ของมันเองแตกต่างกันออกไปและ เล่นไปตามบทบาทของมันในประโยคเช่นกัน สิริรวมแล้ว มีคําในภาษาอังกฤษแบ่งมีอยู่ 8 ชนิดคือ noun, pronoun, verb, adjective, adverb, conjunction, preposition และ interjection โดยคํา แต่ละคําในประโยคแต่ละประโยคก็จะทําหน้าที่ใดหน้าที่ในแปดอย่างที่กล่าวแล้วนั่นเอง แต่ก็อย่างว่าแหละ กฎทุกกฎย่อมมีข้อยกเว้น แล้วภาษาไม่ว่าภาษาใดถือว่าเป็นสิ่งมีีชีวิต ที่ย่อมดิ้นไปได้เรื่อยๆ คําๆ เดียวกันแท้ๆ เมื่อทําหน้าที่ในประโยคต่างกัน ก็อาจมีความ หมายแตกต่างกันออกไปได้ ดังนั้นการที่เรามาทําความเข้าใจในเรื่อง ชนิดของคํา ให้ ถ่องแท้เสียแต่ตอนนี้ ก็ย่อมจะช่วยลดความผิดพลาดที่มักพบได้บ่อยๆ ในการใช้ภาษา รวมทั้งเรื่องชวนเวียนศีรษะในการเรียนภาษาต่่างประเทศอย่างภาษาอังกฤษในภายภาค หน้าไปได้เยอะทีเดียว ติวเข้มเรื่องนาม (Noun) Noun คือ อะไร เป็นคําที่ใช้เรียกบุคคล สถานที่ สิ่งของ ความคิด(ไอเดีย) หรือ คุณภาพ ดังตัวอย่างต่อ ไปนี้ Person (บุคคล) เช่น doctor, nurse, father, Jonathan, baby, sister Place (สถานที่) เช่น town, Canada, Boston, harbor
Idea (ความคิด) เช่น myth, socialism, illusion Thing (สิ่งของ) เช่น car, hotel, plant, paper, shirt Quality (คุณภาพ) เช่น fairness, clarity, caring ลองดูตัวอย่างข้อความต่อไปนี้ People use nouns all the time when they write e-mails to friends or papers for class. (For example, all these underlined words are nouns.) In the next pages, we’ll look at some mistakes that students frequently make with nouns ในตัวอย่างข้างต้น นามคือ คําแต่ละคําที่ขีดเส้นใต้ไว้นั่นเอง เมื่อไรที่ต้องเขียนคําขึ้นต้นด้วยอักษรตัวใหญ่ เมื่อเป็นชื่อเเฉพาะของคน
CAPS: Tony, Laura, Jaime, Derek, the Patterson family, the Smiths NO CAPS: friend, boss, brother, niece แล้วคําว่า mom แม่ กับ dad พ่อ ล่ะ ให้เขียนตัวใหญ่นําหน้าเมื่อคุณเรียกท่านทั้งสองในการพูดคุยกัน แต่ไม่ต้องใช้ตัวใหญ่นําหากคุณเพียงอ้างถึงในลักษณะ "my mom" หรือ "my dad" CAPS: Hi, Dad! Welcome home, Mom. NO CAPS:
My father and my mother are busy. Could your dad or your mom take us to the cinema? เมื่อเป็นชื่อวัน ชื่อเดือน ชื่อวันหยุด ยกเว้น ชื่อฤดูกาล CAPS: Sunday, September, Christmas NO CAPS: autumn, fall, spring, winter, summer เมื่อเป็นยศและตําแหน่ง แต่ในกรณีที่นําหน้าช่ือบุคคลเท่านั้น CAPS: This is Doctor Casey, this is Aunt Amy, and that man is General Banner. NO CAPS: That man is my doctor, that woman is my aunt, and that man is a general in the army. CAPS: Everybody greeted President Barack Obama warmly. NO CAPS: The president, Barack Obama, threw out the first ball of the World Series. เมื่อเป็นชื่อทางภูมิศาสตร์ เช่น เมือง รัฐ ประทศ แม่น้ํา มหาสมุทร ถนน สวนสาธารณะ ฯลฯ CAPS: South Carolina, Colorado River, Indian Ocean, Dover Street, Menlo Park, Lake Michigan, Andes Mountains NO CAPS:
The ocean is deep. The mountains are high. เมื่อเป็นชื่อภูมิภาคต่างๆ ของประเทศสหรัฐอเมริกา CAPS: I was born in the Midwest, but I grew up in the South. NO CAPS: I live on the east side of town. เมื่อเป็นช่วงเวลาต่างๆ ในประวัติศาสตร์ CAPS: the Gulf War, the Renaissance, World War I, the Stone Age NO CAPS: It was a long war. We live in an age of computers. เมื่อเป็นศาสนา เชื้อชาติ และเผ่าพันธ์ุต่างๆ ของมนุษย์ CAPS: Buddhists, Christians, Jews, Muslims, Asians, Africans, Chinese NO CAPS: There is a large number of churches, temples, and mosques in our city, and they are attended by people of many different races. เมื่อเป็นภาษา ประเทศ และคุณศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับประเทศดังกล่าว CAPS: Turkey, Turkish bath, Sewden, Swedish exchange student NO CAPS: roman numerals , french fries, venetian blinds, brussels sprouts เนื่องจากวลีเหล่านี้เป็นสิ่งที่พบเห็นได้บ่อยๆ จนเป็นเรื่องปกติในภาษาอังกฤษประจําวัน และทําให้การใช้อักษรนําตัวใหญ่ไม่ค่อยได้เห็นกันมากนัก ซึ่งการใช้อักษรตัวใหญ่ในวลี เหล่านี้ก็ไม่ผิดอะไร หลักง่ายๆ คือ ลองถามตัวเองว่า มันจําเป็นไหมที่ต้องใช้อักษรตัว ใหญ่ในวลีอย่าง roman numerals หรือ french fries เพราะทั้งเลขโรมัน กับ เฟ รนช์ฟรายส์ เดี๋ยวนี้ก็กลายเป็นของสากลที่ใช้และแพร่หลายไปทั่วโลกแล้ว ไม่ได้จํากัดอยู่
เฉพาะกับที่กรุงโรม หรือ ฝรั่งเศส เท่านั้น ถ้ามองว่าไม่จําเป็น ก็ไม่ต้องไปใช้ตัวใหญ่ในคํา หรอก
เมื่อเป็นพระนามต่างๆ ของพระเจ้า หรือเป็นชื่อของคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ CAPS: God, Allah, Jehovah, the Bible, the Koran NO CAPS: There were many goddesses and gods in ancient myths. เป็นเป็นคอร์สวิชาเฉพาะในโรงเรียน แต่ไม่ใช่วิชาทั่วๆ ไป CAPS: I’m taking Calculus 101 and History of India. NO CAPS: I’m taking algebra and history. เมื่อเป็นชื่อเฉพาะของโรงเรียน ธุรกิจ อาคาร องค์การ และอื่นๆ CAPS: Amiga Computer, Phillips Middle School, the University of Vermont NO CAPS: I want a new computer. That building is a middle school. I plan to attend a university. เมื่อเป็นชื่อตราสินค้า CAPS: Oreo, Chrysler, Nintendo, Nestle’s Crunch, Avis เมื่อเป็นชื่อดาวเคราะห์ แต่ไม่รวม sun, moon และบางทีก็รวมไปถึง earth ด้วย CAPS:
Saturn has 62 moons; Mars has two moons; Earth has only one lonely moon. (Earth ใช้ตัวใหญ่ เพราะคุณกําลังอ้างอิงถึงมันในฐานะหนึ่งในดาว เคราะห์ หรือรวมมันอยู่ในบรรดาดาวเคราะห์ที่ต่างเขียนขึ้นต้นด้วยอักษรตัวใหญ่) NO CAPS: The moon is full tonight, shining down on the more than six billion people who live on the earth. (คําว่า earth ไม่ต้องเขียนขึ้นต้นด้วยอักษรตัว ใหญ่เมื่อคุณใช้คําว่า the แล้วกําลังพูดถึง the earth ซึ่งหมายถึง โลกของเรา ใน ความหมายทั่วไป) เมื่อเป็นชื่อเฉพาะของทีม สโมสร รวมทั้งสมาชิกของกลุ่มดังกล่าว CAPS: the Oakland Raiders, the Democrat Party, Republicans NO CAPS: I play on a baseball team. I am a member of a political party. เมื่อเป็นชื่อภาพยนตร์ หนังสือ บท หรือ บทความ CAPS: The Adventures of Sherlock Holmes, “The Game is Afoot,” One Fine Day NO CAPS: ให้ขึ้นต้นทุกคําในชื่อดังกล่าว ยกเว้นคําต่อไปนี้ • คํานําหน้านาม (the articles) คือ a, an และ the • คําสันธาน (the conjunctions) and, but, for, or, และ nor • คําว่า to และ as • คําบุรพบททั้งหลาย (ทั้งคําสั้นและคํายาว เช่น in with throughout หรือ without) • จงขึ้นต้นด้วยอักษรตัวใหญ่ที่คําแรกหรือคําสุดท้ายของชื่อดังกล่าว หรือที่คําแรกหลัง เครื่องหมาย - หรือ : เช่น ชื่อหนังสือ The Best Treat of All: A New Friend to Play With
ระวังกับดักการใช้อักษรตัวใหญ่ ให้ลองอ่านย่อหน้าต่อไปนี้ดู Some learners get Carried Away with Caps. They seem to think that every Word they capitalize suddenly becomes Exciting or Important. Don’t fall into the Cap Trap. CRAZY CAPS make your work look Quite Bad. ทําให้นามมีเจ้าของ
เมื่อเราต้องการแสดงให้เห็นว่าใครสักคนเป็นเจ้าของบางสิ่งบางอย่าง เราใช้ possessive noun ดังตัวอย่างต่อไปนี้
The face of Marnie = Marnie's face The fingers of Betty = Betty's fingers การทําให้นามมีความเป็นเจ้าของขึ้น เรามักใช้ apostrophe ตามด้วย s มาช่วย In the past, exceptions to this rule were old-fashioned or historical names, or names that end with an iz or eez sound ในอดีต ข้อยกเว้นต่อกฎในเรื่องนี้ คือ ชื่อทางประวัติศาสตร์หรือชื่อโบราณๆ ทั้งหลาย รวมทั้งชื่อที่ลงท้ายด้วยเสียง iz หรือ eez: ถูกต้อง: Moses’ tablets Achilles’ heel Jesus’ parables
เขียนแบบนี้ก็ถูกต้องด้วย: Jesus’s parables ในการเขียนสมัยใหม่ วลีข้่างต้นถือว่าถูกต้องเพราะเราออกเสียงคําว่า Jesus ด้วยเสียง ตัวเอสพิเศษ (the extra s) ตามนี้ —Jesus-es—ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่ถูกต้องหากเรา ต้องการเติม the apostrophe กับ s ต่อท้ายเข้าไป คําว่า Achilles ออกเสียง ลงท้ายด้วยเสียง eez ส่วนคําว่า Moses ก็ลงท้ายด้วยเสียง iz ดังนั้นเราจึงไม่ออก เสียง es ซ้ําอีก เลยไม่มีการเติม apostrophe กับ s ต่อท้าย สําหรับสองชื่อนี้ ถ้าคนสองคนเป็นเจ้าของของสิ่งเดียวกัน ให้เติม apostrophe กับ s ตรงบุคคลที่ 2 เท่านั้น Matt and Marisa's marriage (ทั้งคู่เป็นเจ้าของการแต่งงานร่วมกัน ) Nina and Nancy's father (ทั้งคู่ตามมีพ่อคนเดียวกัน) ถ้าคนสองคนมิได้เป็นเจ้าของของสิ่งเดียวกัน ให้เติม the apostrophe กับ s ทั้งคู่ Matt and Marisa's fingers (พวกเขาไม่ได้มีนิ้วมือเดียวกัน) Nina and Nancy's nails (พวกเขาไม่ได้มีเล็บเดียวกัน) แสดงการเป็นเจ้าของเมื่อนามมีรูปพหูพจน์ ถ้านามพหูพจน์ลงท้ายด้วย s เช่น boys ก็ให้เติมเพียง apostrophe เข้าไปเท่านั้น แต่ถ้านามพหูพจน์ไม่ได้ลงท้ายด้วย s เช่น women ก็ให้เติม apostrophe กับ s เข้าไป
แม้พวกสิ่งของซึ่งไร้ชีวิตนั้นโดยทั่วไปจะไปครอบครองสิ่งโน้นสิ่งนี้ไม่ได้ แต่ก็มีการใช้ possessive noun กันในทางปฏิบัติดังตัวอย่างต่อไปนี้
แล้วตัวอย่างเช่น the chair’s leg เล่า ใช้ได้มั้ย มันก็โอเค แต่ถ้าเขียนอย่างเป็น ทางการ จะต้องใช้ว่า be the chair leg หรือ the leg of the chair ตัวอย่างต่อ ไปนี้ก็เช่นกัน ใช้ได้: my car's tire เข้าท่ากว่า: my car tire (ฉันต่างหากที่เป็นเจ้าของยาง ส่วนรถยนต์ไม่ได้เป็น) เข้าท่าเช่นกัน: the tire on my car ระวัง ! แดนอันตราย !
Proper nouns (people’s names) that end in s can scramble your brain. ระวังชื่อเฉพาะ อย่างพวกชื่อบุคคล ที่ลงท้ายด้วย s อาจทําให้คุณสับสนได้ ไม่เป็นไร ให้ยึดหลักจําจากตัวอย่างต่อไปนี้ Mr. and Mrs. Jones have a new house. The Joneses have a new house. Mr. Jones’s house is new. The Joneses’ house is new. ลองดูนี่ด้วย: The kid’s toy = one kid, one toy The kids’ toy = two (or more) kids sharing the same toy The kids’ toys = two (or more) kids with different toys
ทํานามให้เป็นพหูพจน์ One book, two books; one hat, two hats— แล้วไง มันเรื่องใหญ่ตรงไหนกัน เราก็ทํานามให้เป็นพหูพจน์ออกบ่อยไป ถ้างั้น คุณอาจคิดว่า พหูพจน์นี่มันเรื่องกล้วยๆ ส่วนใหญอาจใช่ แต่ลองดูคําเจ้าปัญหาพวกนี้เสียก่อน ถ้า house ก็เป็น—houses แต่ถ้่า mouse ไหงกลายเป็น—mice คําว่า hero ก็ต้องใช้—heroes แต่ banjo ทําไมเขียนเป็น—banjos ถ้า cupful ก็ง่ายเปลี่ยนเป็น—cupfuls แต่ passerby ไหงเขียนแบบนี้—passersby กล่องเดียวเขียน box แต่ถ้าหลายกล่องต้อง—boxes แล้ว ox ดันเขียนว่า—oxen
ใบเดียวใช้ว่า safe ถ้าหลายใบเขียนว่า—safes เล่มเดียวเขียนว่า knife แต่พอหลายเล่มดันเขียน —knives แล้วยังพวกนี้อีก: child—children man—men woman—women มีเหมือนกันที่นามบางคําจะคงรูปแบบเดิมไม่ว่าคุณจะพูดถึงเพียงหนึ่งหรือจํานวนนับเป็น พันๆ ของสิ่งๆ นั้น ให้จําไว้ว่า รูปพหูพจน์ของคําบางคํานั้นถูกกําหนดโดยกฎเกณฑ์จากภาษาต่างประเท ศอื่นๆ ดังนั้น คุณจึงจําเป็นต้องท่องให้ได้หรือไม่ก็ไปค้นเอาในพจนานุกรมเอง ต่อไปนี้เป็นกฎสําหรับพหูพจน์(ปกติ)แบบง่ายๆ : โดยทั่วไปให้เติม s ต่อท้ายไปเลย: wave—waves hat—hats ถ้าคํานั้นลงท้ายด้วย o, s, x, z, ch, หรือ sh ก็ให้เติม es hero—heroes potato—potatoes glass—glasses church—churches box—boxes bush—bushes ถ้าคํานั้นลงท้ายด้วย y และมีสระ (a, e, i, o, or u) อยู่ก่อน y ก็ให้เติม s: play—plays monkey—monkeys แต่ถ้าคํานั้นลงท้ายด้วย y แล้วมีพยัญชนะอยู่หน้า y ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม es : party—parties
candy—candies ถ้า proper noun (เช่นชื่อของใครบางคน) ลงท้ายด้วยด้วย y ก็ให้เติม s เข้าไป : the Kennedy family—the Kennedys the Yardley family—the Yardleys ถ้า compound noun( อันหมายถึง นามที่ประกอบด้วยคําตั้งแต่สองคําขึ้นไป ) มี main noun ในคํา ก็ให้เติม s ที่คําๆ นั้น one mother-in-law, two mothers-in-law one chief of police, two chiefs of police ถ้า compound เกิดไม่มี main noun ในคํา ก็ให้เติม s ที่ท้ายคําได้เลย one follow-up, two follow-ups one trade-in, two trade-ins
JBRAIN TICKLERS Set # 1 Find the goofs in these sentences and correct them. 1. Lucas’ house is next door to Bill Gates’ house; I bet he gets a lot of hand-me-down computers! 2. Parker is captain of the girl’s softball team. 3. The womans’ dress is made of silk. 4. Marshall and David’s fingers were nearly frostbitten after playing in the snow for three hours. 5. I asked dad to drive me to Amani’s house. 6. The Earth is home to dozens of species of Monkeys, more types of Fungi and Mushrooms than we can count, and many fascinating creatures living deep in the Ocean that we have yet to discover. 7. I heard the babie’s cries.
8. I borrowed my bosses car for an hour because mine was in the shop. 9. I grew up in the south. 10. The City where Batman lives is Gotham City. Answers ust ติวเข้มเรื่องสรรพนาม สรรพนามคือ อะไร It is a word that stands in for a noun. สรรพนามเป็นคําที่ใช้แทนที่นาม จะว่า ไปแล้ว สรรพนามเปรียบเหมือนอะไรที่มันเล็กๆ และเหมาะมือในการใช้งานนั่นเอง ถ้่ายัง ไม่เชื่อ ก็ลองพูดโดยไม่ใช้มันดู แล้วก็จะรู้เอง อย่าใช้แบบนี้ Jenny gave Jenny’s dog the dog’s bath. แบบนี้ง่ายกว่ากันเยอะ Jenny gave her dog its bath. อย่าใช้แบบนี้ Please say the name of the person on the other end of this telephone. แบบนี้ง่ายกว่ากันเยอะ Who are you? What is your name? อย่าใช้แบบนี้ The person named Sandi sitting at that table likes the person named Pecky sitting at that table. แบบนี้ง่ายกว่ากันเยอะ She likes her.
ต่อไปนี้เป็นวิธีต่างๆ ในการใช้สรรพนาม • เพื่อชี้เฉพาะบุคคลหรือสิ่งของต่างๆ เช่น You like her. • เพื่อชี้ไปยังบุคคลหรือสิ่งของที่ไม่ได้เจาะจง เช่น Everyone enjoyed the party, but nobody remembered to thank the host. • เพื่ออ้างอิงกลับไปที่ตัวประธานของประโยค: Bruce hurt himself. • เพื่อแสดงถึงการกระทําร่วมกัน : Rick and Willy were boxing and hurt each other. • เพื่อเน้น: I myself love apples. • เพื่อถามคําถาม: Who is that? • เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ : That’s not hers—it’s mine! คุณคงเห็นแล้วว่า คําที่ขีดเส้นใต้ในตัวอย่างประโยคข้างต้น ล้วนแทนที่นาม เช่น Mary likes Bella. She likes her. She แทนที่นาม Mary ในขณะที่ her แทนที่นาม Bella ถ้าหากผู้เขียนพูดกับคุณว่า “Please take this to him,” คําว่า this อาจแทนที่นาม ว่า orange หรือ hotdog หรืออะไรก็ตามที่ผู้เขียนยื่นให้คุณไป ส่วนคําว่า him อาจจะหมายถึง Tom หรือ Dick หรือ Harry หรือใครก็ได้ที่ผู้เขียนขอ ให้คุณนําสิ่งนั้นไปให้ เราไม่สามารถพูดหรือเขียนโดยใช้ นามตลอดเวลา บ่อยครั้งที่เราจําเป็นต้องอาศัยคํา เล็กๆ เพื่อมาแทนที่คําหลายๆ คํา ลองคิดดูว่า ถ้าผู้เขียนถูกห้ามไม่ให้ใช้คําว่า "เรา" ใน ประโยค ผู้เขียนคงต้องใส่ชื่อคนทุกคนในโลกนี้ลงไป เห็นแล้วใช่ไหมว่า คําสั้นๆ เช่น "เรา" นี้ ช่วยประหยัดแรงงานในการเขียนไปได้เยอะเพียงไร ยิ่งในกรณีที่คุณยังไม่รู้แน่ชัดว่า คุณกําลังพูดถึงใครอยู่ ก็จะมีคําว่า who กับ whom มา ช่วยแทนที่สารพัดนามให้คุณได้เยอะแยะ แต่เราก็ยังไม่รู้ว่าใครเป็นใคร หากคุณกําลัง สงสัยว่า ใครกําลังเคาะประตูห้องคุณอยู่ แล้วคุณถูกห้ามไม่ให้ใช้สรรพนาม who คุณคง ต้องนําชื่อของคนโน้นคนนี้เท่าที่คุณจะนึกออกมาใส่ในประโยค เช่น Is it Mitch at my door? Is it Dad? Is it Santa? Is it the L.A. Lakers? Is it President Obama? แบบนี้ก็ยุ่งตายกันพอดี
ให้ระวังพวกคํานําหน้า(antecedent) ที่บ้าๆ บอๆไว้ด้วย สรรพนามไปแทนที่นาม คํานําหน้า หรือ antecedent นั้นคือนามที่สรรพนามไปแทนที่ หรือเป็นตัวแทนนั่นเอง Dave gave his sister her doll. His นั้นเป็นสรรพนาม คํานี้แทนใคร มันแทน Dave นั่นเอง ดังนั้น antecedent ของ his ก็คือ Dave นั่นเอง คําว่า her ก็เป็นสรรพนามด้วย และมันแทนคําว่า sister และ antecedent ของ her ก็คือ sister สรรพนามนั้นมักจะอ้างอิงถึงนามที่วางอยู่ใกล้ๆตัวมันที่สุด หากคุณนําสรรพนามไปวางไว้ ในตําแหน่งแปลกของประโยค มันก็ยากที่จะบอกได้ว่า antecedent นั้นอยู่ที่ไหน แล้ว บางทีก็พานทําให้ประโยคมันออกอาการเพี้ยนๆ ได้ เพี้ยน It was pitch dark and my cat was still outdoors. I grabbed my flashlight to begin the search and listened for its purr. ดีกว่า It was pitch dark and my cat was still outdoors. I grabbed my flashlight to begin the search and listened for Lucky’s purr. เพี้ยน While driving it at 180 mph around the North Pole, Santa swerved to avoid hitting a dwarf and landed his sleigh in a snowdrift. (สรรพนาม it ปรากฎขึ้นในช่วงต้นประโยค แต่เราก็ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร จนกระทั่งถึง ตอนท้ายของประโยค แล้วถึงตอนนั้น เรายังมีทั้ง dwarf กับ snowdrift มาทําให้ สับสนยิ่งขึ้นอีกด้วย) ดีกว่า While driving his sleigh at 180 mph around the North Pole, Santa swerved to avoid hitting a dwarf and landed in a snowdrift. เพี้ยน I’ve been to Canada, and I like them because they are very kind to Americans.
(antecedent ไม่ได้ถูกกล่าวถึงในประโยคนี้ ตกลง they คือใครกันแน่) ดีกว่า I’ve been to Canada, and I like the Canadians because they are very kind to Americans. When is Jerry a “him” and when is he a “he”? อย่างไหนถูกต้องระหว่าง I like you better than him. กับ I like you better than he. ถูกทั้งคู่นั่นแหละ ทว่ามีความหมายแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง I like you better than him = I like you better than I like him. หมายความว่า ฉันชอบคุณมากกว่าที่ฉันชอบเขาคนนั้น แต่ I like you better than he = I like you better than he likes you. หมายความว่า ฉันชอบคุณมากกว่าที่เขาชอบเขาคุณ