โมบี้-ดิ๊ก ฉบับประชาชน จัดท�าขึ้นเพื่อขอบคุณผู้ระดมทุน สนับสนุนการแปลกับโครงการวรรณกรรมไม่จ�ากัด
๊ โมบี-้ ดิก Moby-Dick
เฮอร์แมน เมลวิลล์ เขียน ขวัญดวง แซ่เตีย แปล มนตรี ภู่มี บรรณาธิการ
จัดพิมพ์โดย โครงการวรรณกรรมไม่จ�ากัด
บทที่ 1
ลางโหมโรง
เรียกผมว่า...อิชเมล1 ที่ผ่านมา...จริงๆ กี่ปีก็ช่างเถอะ ผมไม่มีเงินเลยสักแดง หรือเหลือติดกระเป๋าแค่น้อยนิด บนฝั่งไม่มีสิ่งใดน่าดึงดูดใจนัก ผมเลยอยาก ล่องเรือไปชมส่วนผืนน�้าของโลกใบนี้บ้าง เพื่อระบายความกรุ่นคับข้องใจ และช่วยปรับเลือดลมได้ด้วย คราใดที่รู้สึกปากแห้งใจเหี่ยว คราใดอารมณ์ หม่นครึ้มเดือนพฤศจิกาเข้าเกาะกุม คราใดเผลอหยุดยืนหน้าร้านขายโลงศพ หรือเดินตามขบวนแห่ศพทีพ่ บเจอ โดยเฉพาะคราใดทีต่ กอยูใ่ ต้อา� นาจเพ้อเศร้า ครานั้นเป็นต้องใช้ความยับยั้งชั่งใจอย่างที่สุด ไม่ให้ออกไปท�าอะไรแผลงๆ กลางถนนจนผูค้ นอ้าปากค้าง สรุปได้วา่ ถึงเวลาต้องหาทางออกทะเลไปให้เร็ว ทีส่ ดุ ไม่งนั้ เป็นต้องเอากระสุนกรอกปากตัวเองแน่ๆ และแบบเดียวกับทีเ่ คโต2 แอ่นอกรับดาบตัวเอง ผมค่อยๆ หาทางไปลงเรือ ซึ่งไม่น่าประหลาดใจหรอก แทบทุกคนทีร่ สู้ กึ หรือก�าลังจะรูส้ กึ แบบนี้ ย่อมอยากออกไปท่องทะเลเหมือนผม นีเ่ ป็นเมืองบนเกาะของชาวแมนฮัตโต3 รายล้อมไปด้วยท่าเรือ ซึง่ คล้ายแนว ปะการังโอบรอบเกาะอินเดีย การค้าขายแผ่กระจายไปโดยรอบจากตรงนั้น ถนนทั้งขวาซ้ายจะน�าคุณมุ่งสู่ท่าน�้า ที่อยู่ใจกลางเมืองคือสวนสาธารณะ แบตเตอรี่ มีลมพัดผ่านเย็นสบาย ระลอกคลืน่ โถมซัดสาดก�าแพงหินชะลอน�า้ ทีต่ งั้ เด่นอยูน่ อกหาด และเพิง่ จมหายไปเมือ่ ไม่กชี่ วั่ โมงก่อนหน้านี้ แล้วดูฝงู ชน อิชเมล-ผู้พเนจร ลูกชายคนโตของอับราฮัมในคัมภีร์ไบเบิ้ล มาร์คุส พอร์เซียส เคโตยูทิเซนซิส รัฐบุรุษชาวโรมัน (95 BC–46 BC), ผู้แทงตัวตายอย่างอาจหาญ 3 แมนฮัตโต – เมืองแมนฮัตตันในปัจจุบัน 1 2
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 7
ที่ยืนทัศนาผืนน�า้ ที่นั่นสิ! ถ้าเดินไปรอบๆ เมืองในยามบ่ายวันหยุดอันสงบเงียบ จากคอร์เลียร์สฮุก ทางตะวันออกไปยังปากน�า้ โคเอนติสสลิป แล้วจากตรงนัน้ มุง่ ขึน้ เหนือไปทาง ไวต์ฮอลล์ คุณจะเห็นอะไร? ก็ชายเป็นๆ นับพันๆ คนก�าลังยืนเหม่อมองดูทะเล เหมือนทหารยืนยามนิ่งงันอยู่โดยรอบเมือง บ้างยืนพิงเสาท่าเรือ บ้างนั่งอยู่ บนปลายสะพาน บ้างจ้องส�ารวจกราบเรือทีล่ อ่ งมาจากจีน! บางคนก็ปนี ป่ายสูง ไปบนสายระโยงเรือ ราวกับอยากมองให้เห็นทะเลได้กว้างไกลขึ้น แต่ทุกคน ล้วนไม่ใช่ชาวเรือ ตลอดทัง้ สัปดาห์ตา่ งถูกขังอยูใ่ นรัว้ ไม้ระแนงและก�าแพงปูน ถูกกักอยู่ในคอกท�างาน ผูกติดกับที่นั่ง และตรึงอยู่กับโต๊ะ แล้วนี่ยังไงกัน? มีทุ่งเขียวขจีในทะเลหรือ? พวกนั้นมาท�าอะไรกันที่นี่? ดูสิ! ผู้คนหนุนเนื่องกันมาอีก ต่างมุ่งหน้าไปยังทะเล เหมือนเกิดมาเพื่อ จะกระโจนลงน�้า แปลกจริง! ไม่มีสิ่งใดสร้างความพึงพอใจให้พวกเขาได้ นอกจากทีส่ ดุ ชายฝัง่ แม้แต่เดินเทีย่ วเตร่ใต้รม่ เงาของร้านรวงขนาดใหญ่ทนี่ นั่ ก็ไม่อาจเติมเต็มความปรารถนาได้ ไม่เลย...พวกเขาต้องการเข้าใกล้ผืนน�้าให้ มากที่สุดเท่าที่จะท�าได้โดยไม่มีแตกแถว แล้วก็ยืนออกันที่นั่นยาวเป็นไมล์ๆ บรรดาเจ้าถิ่นทั้งหลายเหล่านี้ล้วนมาจากตรอกซอกซอยบนถนนหนทาง น้อยใหญ่ ทัง้ ทางเหนือ ใต้ ตะวันออก และตะวันตก กระนัน้ ต่างก็มารวมตัวกัน ที่นี่ ช่วยบอกผมทีเถอะ แม่เหล็กบนหน้าปัดเข็มทิศในเรือเหล่านั้นดึงดูดให้ พวกเขามาใช่หรือไม่? แล้วก็...เอาเป็นว่าคุณอยู่ในเมืองบนที่ราบสูงซึ่งเต็มไปด้วยทะเลสาบ ต่อสิบเอาหนึง่ เลยว่า ไม่วา่ จะเลือกเดินไปทางไหนเป็นต้องน�าคุณไปยังหุบห้วย สายธาร นีเ่ ป็นสิง่ ทีม่ มี นต์ขลัง แม้คนใจลอยอยูใ่ นห้วงภวังค์ทสี่ ดุ ถ้ายังยืนเดินได้ เขาเป็นต้องพาคุณไปยังผืนน�า้ ได้โดยไม่ผดิ พลาด ถ้ายังมีสายน�า้ อยูใ่ นดินแดน แถบนั้นอยู่นะ หากคุณอดน�า้ อยู่กลางทะเลทรายอเมริกันผืนใหญ่ ลองที่ว่าดู ก็ได้ ถ้าในคณะเดินทางของคุณบังเอิญมีผู้เชี่ยวชาญทางจิตมาด้วยนะ ใช่แล้ว อย่างที่ทุกคนรู้กันดีว่า สายน�้ากับการส�ารวมจิตนั้นเป็นของคู่กันมาเสมอ 8 : โมบี-ดิ๊ก
แล้วจิตรกร4คนหนึ่งก็อยู่ตรงนี้ และปรารถนาจะวาดให้คุณเห็นภาพฝัน อันร่มรืน่ สงบเงียบทีส่ ดุ ของดินแดนแห่งมนต์ขลังน่าหลงใหลทัว่ บริเวณแม่นา�้ ซาโค5นี่ เขาต้องวาดอะไรเป็นส�าคัญ? นั่นไง หมู่ไม้สูงล�าต้นเป็นโพรงใหญ่ ราวกับมีฤาษีและไม้กางเขนอยูใ่ นนัน้ ทุกต้น แล้วเติมตรงนีด้ ว้ ยทุง่ หญ้า แต่งแต้ม ตรงนัน้ ด้วยฝูงวัวควาย และควันไฟลอยอ้อยอิง่ อยูเ่ หนือกระท่อมตรงโน้น ลึก เข้าไปในป่าทึบเป็นเส้นทางวกวนคดเคีย้ วสูท่ วิ เขาเรียงรายซ้อนสลับ เนินฉาบ ทับด้วยสีฟ้า แม้ภาพนี้จะท�าจิตให้ตกอยู่ในภวังค์ และแม้สนต้นนี้จะไหวลู่ คร�่าครวญราวใบไม้เหนือศีรษะพระเยซู กระนั้นทั้งหมดนี้ยังคงไร้ความหมาย จนกว่ า ดวงตาแห่ ง ท่ า นผู ้ ท รงธรรมจะตรึ ง อยู ่ กั บ สายธารมนต์ ข ลั ง ที่ อ ยู ่ เบื้องหน้า ลองไปเยือนทุ่งหญ้าแพรี่ในเดือนมิถุนาสิ เดินลุยหญ้าสูงท่วมเข่า ลึกเข้าไปในดงลิลลี่ ก้าวแล้วก้าวเล่า...เสน่ห์อันใดนะที่เร่งเร้าแรงปรารถนา ในตัวคุณ? แอ่งน�้าที่นั่นก็ไม่มีแม้แต่น�้าสักหยด! ไม่ใช่น�้าตกไนการ่าสักหน่อย แต่เป็นแก่งทะเลทราย คุณยินดีเดินทางเป็นพันๆ ไมล์เพื่อไปเยือนสถานที่ แบบนัน้ หรือ? แล้วเหตุใด หลังจากจูๆ ่ ได้รบั เหรียญเงินมาเต็มสองก�ามือโดยไม่ 6 คาดฝัน กวีนา่ สมเพชแห่งเทนเนสซี่ คนนัน้ จึงเลือกท�าเช่นนัน้ ล่ะ? เขาควรซือ้ เสื้อโค้ตที่ก�าลังต้องการเป็นอย่างยิ่งต่างหาก แต่เหตุใดกลับน�าเงินที่ได้ใช้ เป็นค่าเดินทางไปยังร็อคอเวย์7ล่ะ? เหตุใดหนุ่มก�าย�าล�่าสันอันเปี่ยมพลัง มุ่งมั่นแทบทุกคน ต่างคลั่งไคล้ที่จะออกทะเลในบางช่วงบางขณะ? เหตุใด การล่องเรือครัง้ แรกจึงท�าให้คณ ุ รูส้ กึ หวัน่ ไหวอย่างประหลาด ทันทีท่ มี่ คี นบอก ว่าคุณและเรือล่องลอยมาไกลจากผืนแผ่นดินแล้ว? เหตุใดผูเ้ ฒ่าชาวเปอร์เซีย จึงถือว่าท้องทะเลมีความศักดิ์สิทธิ์? เหตุใดชาวกรีกจึงสักการะน้องชาย ของโจฟ8เป็นพิเศษ? แน่ละว่า นี่ใช่จะปราศจากซึ่งความหมายใดๆ หากแต่มี จิตรกร-กลุ่มจิตรกรผู้วาดภาพทิวทัศน์อันเป็นต�านานของภูเขาไวต์ในนิวแฮมเชียร์ ช่วงศตวรรษที่ 19 ซาโค-แม่น�้าทางตะวันออกเฉียงเหนือในนิวแฮมเชียร์และตะวันตกเฉียงใต้ของเมน 6 กวีแห่งเทนเนสซี่ – ไม่ทราบแน่ชัดว่ากวีคนนี้คือใคร อาจเป็นแค่มุขตลกส่วนตัวของเมลวิลล์ 7 ร็อคอเวย์-หาดตากอากาศบนเกาะลอง นิวยอร์ก 8 น้องชายของโจฟ (จูปิเตอร์)-โพไซดอน หรือเทพแห่งสมุทร ชาวโรมันถือว่าจูปิเตอร์มีศักดิ์เท่าเทียมหรือ คือซูสของกรีก 4 5
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 9
ความหมายลึกซึ้งยิ่งกว่าเรื่องของนาร์ซิสซัส9 ผู้ไม่เคยสัม ผัสกับความทุกข์ ทรมาน เงาสะท้อนที่มองเห็นในบ่อน�้าจึงมีอ�านาจลวงล่อให้เขาโดดลงไป และจมดิ่งสู่เบื้องลึก แต่พวกเราเองก็หลงใหลผืนน�า้ และมหาสมุทร ด้วยภาพ สะท้อนอันเดียวกันนี้ ซึง่ เป็นภาพมายาแห่งชีวติ ทีไ่ ม่อาจเข้าใจได้ เรือ่ งของเรือ่ ง ก็เป็นแบบนี้แหละ เอาละ ยามใดที่ผมบอกว่าอยากออกไปท่องทะเล ยามที่ดวงตาของผม เริ่มพร่ามัว ใจคอเต้นไม่เป็นส�่า นั่นไม่ได้หมายถึงว่า ถึงเวลาต้องออกไป ล่องเรือแบบผู้โดยสารคนหนึ่ง การเป็นผู้โดยสารนั้นคุณต้องมีกระเป๋าติดตัว แต่กระเป๋าจะเป็นแค่ผ้าขี้ริ้วถ้าไม่มีอะไรใส่อยู่ในนั้น อีกทั้งโดยทั่วไปแล้ว ผู้โดยสารมักจะเมาเรือ ชอบเอะอะพาลหาเรื่อง ไม่ยอมหลับยอมนอนตอน กลางคืน และไม่รู้สึกสนุกสนานอะไรนัก แต่นั่นไม่ผม...ผมไม่เคยเดินทางไป ในฐานะผู้โดยสาร ทั้งไม่ได้ไปในฐานะผู้การเรือ กัปตัน หรือพ่อครัว แต่เป็น จ�าพวกลูกเรือคนหนึ่งต่างหาก ผมยอมสละเกียรติและความอู้ฟู้ในหน้าที่ การงานนัน่ ให้แก่ผทู้ รี่ กั ชอบมัน เพราะโดยส่วนตัวแล้ว ผมเกลียดงานทรงเกียรติ อันเป็นที่นับหน้าถือตาเหล่านั้น ซึ่งต้องตั้งหน้าตั้งตาอย่างยากล�าบากกว่า จะได้งานพวกนั้นมา ผมแค่ดูแลตัวเองจะดีกว่า โดยไม่ต้องคอยดูแลไปถึง เรือส�าเภา เรือเสากระโดง เรือใบ หรือจะเป็นเรืออะไรก็เถอะ ส่วนไปในฐานะ พ่อครัวนัน้ ก็ตอ้ งยอมรับว่าน่าสนใจทีเดียว พ่อครัวเป็นงานหนึง่ ทีต่ อ้ งมีประจ�า อยู่บนเรือเสมอ ถึงอย่างนั้น ผมก็ไม่เคยนึกฝันที่จะท�าหน้าที่อบไก่ แม้ว่า ครั้งหนึ่งผมเคยอบ เคยปาดเนย ทาเกลือ และโรยพริกไทให้ไก่อบดูน่ากิน มาแล้วก็ตาม และไม่มใี ครพูดถึงไก่อบด้วยความเคารพนอบน้อมได้ยงิ่ ไปกว่า ผมอี ก หมดสมั ย ความเชื่ อ งมงายของชาวอี ยิ ป ต์ โ บราณเรื่ อ งนกกระสา อบและฮิปโปย่าง เพราะคุณจะได้เห็นซากแห้งกรังของสัตว์เหล่านี้ได้ตามโรง อบขนมปังขนาดใหญ่ทรงพีระมิด ไม่เลย...ยามออกทะเล ผมไปในฐานะลูกเรือธรรมดาคนหนึง่ เท่านัน้ เตร่อยู่ 9
นาร์ซซี สั เป็นบุตรของเทพีวนี สั และเทพอะพอลโล เป็นชายรูปงามทีห่ ลงตัวเองจนถูกเทพีอาโฟร์ไดต์สาป ให้หลงเงาสะท้อนของตัวเองในบ่อน�า้ จนโดดจมหายไป
10 : โมบี-ดิ๊ก
แถวๆ เสากระโดงบ้าง ลงไปดาดฟ้าหัวเรือบ้าง ปีนขึน้ ไปบนยอดเสาบ้าง อันทีจ่ ริง พวกเขามักจะสั่งให้ผมท�าเสียมากกว่า ให้กระโดดจากเสาเรือต้นนี้ไปต้นโน้น ไม่ตา่ งอะไรกับตัก๊ แตนโดดไปมาในทุง่ หญ้าเดือนพฤษภา แรกๆ งานประเภทนี้ ไม่น่ารื่นรมย์นัก ก็เป็นเรื่องของศักดิ์ศรีมนุษย์น่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณ มาจากตระกูลเก่าแก่บนแผ่นดิน เช่น แวน เรนซ์เซเลอรส์10 หรือแรนดอล์ฟส์11 หรือฮาร์ดแิ คนูตส์12 หรือหากก่อนหน้าทีจ่ ะลงเอยมาเป็นกะลาสี คุณเคยเป็น ผู้ออกค�าสั่งในฐานะครูใหญ่โรงเรียนบ้านทุ่ง ซึ่งคอยก�าราบบรรดาเด็กหนุ่ม ตระกูลใหญ่เหล่านั้นให้กลัวหงอ การเปลี่ยนบทบาทจึงเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว ผมยืนยันได้เลย จากครูใหญ่กลายมาเป็นกะลาสีเรือ คุณต้องยึดมั่นตาม แนวคิดของเซเนกา และลัทธิสโตอิก13 เพือ่ ให้คณ ุ ยืนหยัดยิม้ รับกับมันได้ แม้วา่ ความอดทนนี้จะถูกกัดกร่อนไปไม่ช้าหรือเร็วก็ตาม จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าตาเฒ่าจอมยโสนั่นออกค�าสั่งกับผมในฐานะกัปตันเรือ ให้คว้าไม้กวาดขึ้นมาท�าความสะอาดดาดฟ้าเรือ? การหยามศักดิ์ศรีเช่นนั้น จะถึงกับถูกน�าไปเพิ่มไว้ในพระคัมภีร์พันธะสัญญาใหม่หรือไม่? คุณคิดว่า อัครเทวดากาเบรียล14จะมองเหยียดผมไหม โทษฐานทีน่ อบน้อมกระวีกระวาด ท�าตามค�าสัง่ ตาเฒ่านัน่ ? แต่บอกผมทีเถอะ ใครบ้างล่ะทีไ่ ม่ใช่ทาส? เอาเถอะ ไม่ ว่าบรรดากัปตันเฒ่าทัง้ หลายสัง่ ให้ทา� อะไร จิกหัวใช้ขนาดไหน ผมก็ยงั บอกกับ ตัวเองได้ว่าไม่เป็นไร คนอื่นๆ ก็โดนแบบนี้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ไม่มากก็น้อย ทัง้ ทางรูปธรรมหรือนามธรรม และแรงกดดันทัง้ หลายก็จะได้แบ่งเบากันออกไป ทุกคนจึงต่างควรร่วมมือร่วมแรงและก้มหน้ายอมรับมัน นี่แหละ ผมจึงมักออกทะเลไปในฐานะกะลาสี เพราะพวกเขาจ่ายค่า แวน เรนซ์เซเลอรส์-ตระกูลเก่าแก่เชื้อสายดัตช์ซึ่งเล่นการเมืองในนิวยอร์ก แรนดอล์ฟส์-ตระกูลซึ่งมีอิทธิพลทางการเมืองในเวอร์จิเนียร์ยุคต้น 12 ฮาร์ดิแคนูตส์-สืบเชื้อสายมาจากกษัตรย์เดนมาร์กและอังกฤษ ช่วงต้นศตวรรษที่ 11 13 มาร์คสุ แอนเออุส เซเนกา เป็นผูก้ อ่ ตัง้ ลัทธิสโตอิกขึน้ มา โดยสอนคนในยุคก่อนคริสตกาลให้รจู้ กั อดทน ก�าจัดตัณหา ราคะจริต และก้มหน้ายอมรับชะตากรรมที่เกิดขึ้นกับตน 14 หัวหน้าเทวดาตามความเชื่อของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก 10 11
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 11
ตอบแทนให้แก่ความล�าบากล�าบนของผมด้วย และไม่เคยได้ยินได้ฟังว่า พวกเขาจะจ่ายให้แก่ผู้โดยสารคนใดเลยแม้แต้สตางค์แดงเดียว ตรงกันข้าม ผู้โดยสารเหล่านั้นต่างหากที่ต้องเสียเงินเป็นค่าเดินทาง การจ่ายและการรับ บนโลกใบนีล้ ว้ นมีความแตกต่างกัน การจ่ายหรือช�าระหนีอ้ าจเป็นบทลงโทษที่ น่าอัดอัน้ ตันใจทีส่ ดุ ทีส่ องหัวขโมยในสวนผลไม้15นัน่ สืบทอดมาถึงเรา ขณะที่ การรับนั้น จะมีอะไรมาเปรียบปานได้เล่า? ท่าทีอ่อนช้อยของผู้ได้รับเงินนั้น ช่างน่าพิศวงจริงๆ เมือ่ คิดถึงว่า เราเชือ่ โดยสนิทใจว่าเงินเป็นต้นเหตุแห่งความ เลวร้ายทั้งปวงที่เกิดขึ้นบนโลกมนุษย์ และไม่มีทางที่คนมีเงินจะได้ขึ้นสวรรค์ ฮ้า! นั่นหมายถึงว่า เราต่างยินดีที่จะก้าวลงสู่อเวจีร่วมกันล่ะสิ! และที่ผมมักออกทะเลในฐานะลูกเรือ เพราะได้ออกแรงซึ่งส่งผลดีต่อ สุขภาพ และได้สูดอากาศบริสุทธิ์บนดาดฟ้าหัวเรือ ตามกฎธรรมชาติของบน โลกใบนี้ หัวลมย่อมมีลมมากกว่าทีท่ า้ ยเรือ (ถ้าคุณไม่แหกกฎของพีทาโกรัส16 นะ) ด้วยเหตุนี้ ต�าแหน่งส่วนใหญ่ที่ผู้บังคับการเรืออยู่ คือกลางถึงท้ายเรือ จึงต้องสูดอากาศเหลือเดนจากลูกเรือที่อยู่ด้านหน้า เขาคิดว่าได้สูดอากาศ บริสทุ ธิก์ อ่ น แต่กเ็ ปล่า เช่นเดียวกับอีกหลายๆ เรือ่ ง คนธรรมดาสามัญกลับเป็น ฝ่ายน�าหน้า โดยทีค่ นเป็นผูน้ า� ไม่ได้เอะใจอะไรเลย แต่สา� หรับผมแล้ว หลังจาก ได้สูดกลิ่นไอทะเลบ่อยครั้ง ยามล่องเรือไปในฐานะกะลาสีเรือพาณิชย์ ผมก็ คิดว่าถึงเวลาที่ควรผันตัวไปเป็นลูกเรือล่าวาฬเสียที จะเป็นพรหมลิขิตที่มอง ไม่เห็นซึง่ ลอบสอดส่องจับตามอง และดลบันดาลใจผมอย่างประหลาดก็วา่ ได้ คงมีแต่พระพรหมนั่นแหละที่จะบอกได้ดีกว่าใคร และไม่ต้องสงสัยเลยว่า การตัดสินใจมาล่องเรือล่าวาฬในครัง้ นัน้ เกิดจากพรหมลิขติ ทีข่ ดี ไว้กอ่ นหน้า เมื่อนานมาแล้ว ลิขิตฟ้าโหมโรงขึ้นมาอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว แล้วก็บรรเลง ยืดยาวอย่างไม่รวู้ า่ จะจบลงเมือ่ ใด แต่ผมก็ถอื ว่า นัน่ เป็นส่วนของป้ายประกาศ 15
สองหัวขโมยในสวนผลไม้ – อดัมกับอีฟ พีทาโกรัส-นักคณิตศาสตร์และนักปราชญ์กรีกโบราณ (582 — 496 ปีก่อนค.ศ.) กฎชื่อดังที่ว่านี้คือ “อย่ากินถั่ว เพราะจะท�าให้ท้องอืด และท�าลายลมปราณชีวิต” ซึ่งหมายถึงไม่ให้ยึดติดสิ่งต่างๆ ในโลก แต่ไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่า พีทาโกรัสเองหรือลูกศิษย์เป็นผู้คิดค้นกฎนี้
16
12 : โมบี-ดิ๊ก
ในท�านองว่า “แข่งขันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐครั้งยิ่งใหญ่” “ล่องล่าวาฬของอิชเมล...หนึ่งเดียวคนนั้น” “สงครามเลือดในอัฟกานิสถาน” แม้ผมไม่รู้ว่า ท�าไมโชคชะตาผู้ก�ากับละครชีวิตจึงจับผมเดินทางไปกับ เรือล่าวาฬโกโรโสล�านั้น ขณะที่คนอื่นๆ กลับได้รับบทบาทส�าคัญในละคร โศกนาฏกรรมชัน้ ดี หรือรับบทสัน้ ๆ ง่ายๆ ในสุขนาฏกรรมของชนนัน้ สูง หรือ บทตลกในละครชวนหัว แม้จะไม่รู้เหตุผลแน่ชัด แต่เมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์ ต่างๆ ทั้งหมด ผมก็พอมองออกรางๆ ถึงเล่ห์กะเท่ห์นานาที่ทั้งกระตุ้น ทั้งหลอกล่อ ลวงให้ผมโลดแล่นมารับบทบาทนี้ รวมทั้งโน้มน้าวชักจูงให้ผม หลงคิดไปว่า นั่นเป็นทางเลือกที่เกิดจากความสมัครใจล้วนๆ และการพินิจ พิเคราะห์อย่างถ้วนถี่ของผมเอง เหนือแรงดลใจทั้งหลายทั้งปวง ก็คือเจ้าวาฬเพชฌฆาตอันยิ่งใหญ่ตัวนั้น นัน่ เอง เจ้าอสุรกายลึกลับอัปมงคลนัน่ กระตุน้ ความอยากรูอ้ ยากเห็นในตัวผม แล้วก็ทะเลคลัง่ กว้างไกลสุดลูกหูลกู ตาทีล่ า� ตัวมหึมาขนาดเกาะของมันโยนตัว เล่นน�้า ความร้ายกาจชนิดที่ไม่อาจบรรยายได้ของเจ้าวาฬยักษ์ตัวนี้ รวมทั้ง ทิวทัศน์และสรรพเสียงอันน่าตืน่ ตาตืน่ ใจแถบพาตาโกเนีย17 นัน่ แหละเป็นแรง กระตุน้ ส�าคัญ หากเป็นคนอืน่ สิง่ เหล่านีอ้ าจไม่มแี รงดึงดูดพอ แต่สา� หรับผมซึง่ ต้องทุกข์ทรมานกับแรงปรารถนาทีจ่ ะได้สมั ผัสกับดินแดนไกลโพ้นมาเนิน่ นาน ใฝ่ฝันจะได้ล่องเรือไปในท้องทะเลต้องห้าม จอดเทียบท่าชายฝั่งดินแดน ป่าเถื่อน ผมจึงไม่ยอมทอดทิ้งโอกาสนั้นไป แต่เปิดใจเรียนรู้ความกลัว และ ท�าความคุ้นเคยกับมันเมื่อสบช่อง เพราะย่อมเป็นการดีที่จะผูกมิตรกับ เพื่อนบ้านซึ่งอยู่ที่เดียวกับเรา ด้วยเหตุผลทัง้ หลายทัง้ ปวงนีเ้ อง เรือล่าวาฬจึงมีโอกาสได้ตอ้ นรับผม และ ประตูสโู่ ลกแสนพิศวงเปิดกว้างออก ความคิดบ้าบิน่ นัน่ เองทีห่ นุนส่งผมอยูใ่ น 17
พาตาโกเนีย-ดินแดนใต้สุดของอเมริกาใต้
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 13
ส่วนลึกแห่งจิตวิญญาณ ให้เข้าไปในเรือเป็นคู่ๆ18 สู่การไล่ล่าวาฬอันไม่รู้จัก จบสิ้น โดยมีเป้าหมายส�าคัญที่เจ้าปีศาจยักษ์หลังขาวซึ่งคล้ายภูเขาหิมะ สูงเสียดฟ้านั่น
18
เข้าไปในเรือเป็นคู่ๆ – จากคัมภีร์ไบเบิ้ล “ก็มาหาโนอาห์ แล้วเข้าไปในเรือเป็นคู่ๆ ทั้งตัวผู้ตัวเมีย ดังที่ พระเจ้าทรงบัญชาโนอาห์ไว้” (ปฐมกาล 7.9)
14 : โมบี-ดิ๊ก
บทที่ 2
กระเป๋าผ้าพรม
ผมยัดเสือ้ เชิต้ ตัวสองตัวใส่กระเป๋าผ้าพรมใบเก่าหนีบไว้ใต้แขน แล้วมุง่ หน้าสู่ แหลมเคปฮอร์นและมหาสมุทรแปซิฟิก อ�าลาเมืองเก่าน่าอยู่อย่างแมนฮัตโต และมาถึงเมืองท่านิวเบดฟอร์ดในค�า่ วันเสาร์ของเดือนธันวาคม แต่กต็ อ้ งผิดหวัง มหันต์เมือ่ พบว่า เรือเล็กทีจ่ ะล่องไปเกาะแนนทักเก็ตได้ออกจากท่าไปเสียแล้ว และไม่มีเที่ยวเรือไปที่นั่นอีกจนกว่าจะถึงวันจันทร์ เหล่าคนหนุ่มผู้กล้าท้าอุปสรรคอันยากล�าบากของการล่าวาฬส่วนใหญ่ ล้วนมาแวะพักทีท่ า่ นิวเบดฟอร์ดก่อนเริม่ การผจญภัยเช่นเดียวกันกับผม แต่ผม เป็นคนเดียวทีไ่ ม่ได้คดิ แวะพักทีน่ นั่ แต่แรก ทีจ่ า� ต้องพักเพราะแค่จะลงเรือไป แนนทักเก็ตเท่านัน้ ทัง้ ได้ยนิ ถึงกิตติศพั ท์เลืองลือหนาหูเกีย่ วกับเกาะอันงดงาม เก่าแก่นั้น จนผมต้องอดพอใจอย่างประหลาดไม่ได้ นอกจากนั้น แม้ล่าสุด นิวเบดฟอร์ดได้กลายมาเป็นท่าเรือผูกขาดการล่าวาฬ แต่เกาะแนนทักเก็ต ก็เป็นแหล่งต้นเค้ามาก่อน เพราะเป็นที่ที่วาฬอเมริกันตัวแรกถูกลากขึ้นมา เกยตืน้ เกาะแนนทักเก็ตนีไ้ ม่ใช่หรือ ทีเ่ หล่านักล่าวาฬชาวอินเดียนแดงพืน้ เมือง เปิดต�านานด้วยการน�าเอาเรือบดออกไปไล่ล่าปีศาจยักษ์แห่งท้องทะเล เป็นครั้งแรก? และที่เกาะแนนทักเก็ตนี้ด้วยมิใช่หรือที่เล่าขานกันว่า มีผู้เอา เรือใบเล็กเสาเดีย่ วขนหินกรวดล่องออกไปขว้างใส่เหล่าวาฬยักษ์ เพือ่ กะระยะ เหมาะที่จะพุ่งฉมวกจากหัวเรือเข้าใส่? ผมใช้เวลาหนึง่ คืนหนึง่ วัน แล้วก็อกี หนึง่ คืนอยูท่ ที่ า่ นิวเบดฟอร์ด ก่อนหน้านี้ เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 15
ผมคิดแต่จะไปยังท่าเรือเป้าหมาย แต่เมือ่ เป็นแบบนี้ ปัญหาส�าหรับผมจึงเป็น เรื่องของปากท้องและที่หลับนอน มันช่างเป็นค�่าคืนที่ว้าวุ่นเหลือแสน ไม่ใช่สิ เป็นคืนค�า่ อันแสนมืดมิด หดหู่ เหน็บหนาว แล้วก็เศร้าสร้อยเลยทีเดียว ผมไม่รจู้ กั ใครที่นั่นสักคน เมื่อควานดูในกระเป๋าก็หยิบเหรียญเงินขึ้นมาได้ไม่กี่อัน ‘แล้วนายจะไปไหนได้วะ...อิชเมล’ ผมพูดกับตัวเองตอนทีย่ นื อยูบ่ นถนนอันมืดมน สะพายกระเป๋าไว้บนไหล่ และหันซ้ายหันขวากะความมืดสลัวทางทิศเหนือกับ ความมืดมิดทางทิศใต้ ‘เจ้าอิชเมลเอ๋ย...ไม่วา่ จะตัดสินใจซุกหัวนอนคืนนีท้ ไี่ หน อย่าลืมถามราคาห้องให้ชัดก่อนล่ะ แล้วก็อย่าเรื่องมากด้วย’ ผมเดินสะเปะสะปะไปตามถนนต่างๆ กระทัง่ ไปเห็นป้ายโรงเตีย๊ ม “ฉมวก ไขว้” แต่ท่าทางแพงไปหน่อย แถมยังอึกทึกมากด้วย เมื่อเดินต่อไปอีกหน่อย ก็เห็นแสงลอดออกมาจากหน้าต่างสีแดงโร่ของ “โรงเตีย๊ มกระทงแทง” เหมือน รังสีรอ้ นแรงทีแ่ ผดออกมาละลายหิมะและน�า้ แข็งด้านหน้าทีพ่ กั เพราะบริเวณนัน้ มีน�้าค้างแข็งก่อตัวหนาราวสิบนิ้วปกคลุมไปทั่วพื้น ผิวถนนลาดยาง ผมคง เหนือ่ ยไปหน่อย จนเท้าไปครูดเหล็กแข็งทีย่ นื่ ออกมาเข้า ความแข็งของมันท�าให้ พื้นรองเท้าบู๊ทคู่ลุยของผมอยู่ในสภาพเกินเยียวยา ผมบอกกับตัวเองอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงแก้วกระทบกันดังมาจากข้างในว่าแพงไปแล้วก็อึกทึกไป แล้ว กวาดตามองไปบนถนนอยูค่ รูห่ นึง่ ‘ไปต่อน่า อิชเมล ได้ยนิ ไหม?’ ผมบอกตัวเอง ในทีส่ ดุ ‘ไปให้พน้ ๆ หน้าประตูนซี่ ะ จะมาเสียดายอะไรกับรองเท้าคูเ่ น่าๆ นี’่ แล้วก็ ออกเดินต่อ คราวนีผ้ มใช้สญ ั ชาตญาณหาทางทีจ่ ะทอดไปสูผ่ นื น�า้ เพราะไม่ตอ้ ง สงสัยว่าที่นั่นต้องมีที่พักราคาถูกแสนถูก หรือไม่ก็โรงเตี๊ยมที่แสนจะอภิรมย์ ถนนช่างทึบทึมเหลือเกิน! สองฟากข้างมีแต่อาคารมืดมิด ไม่มที พี่ กั เลยสักหลัง เห็นแต่แสงเทียนตรงนี้ตรงนั้นคล้ายแสงเทียนวอมแวมในสุสาน ณ โมงยาม ของราตรีในวันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้ ตัวเมืองย่านนีก้ ลายเป็นดินแดนรกร้างไป แต่ครู่ต่อมา ผมก็เห็นแสงมัวซัวลอดออกมาจากอาคารเตี้ยกว้างหลังหนึ่ง ประตูเปิดอ้าอยู่เหมือนเชื้อเชิญ มันดูเรียบง่ายดีเหมือนไว้บริการสาธารณะ
16 : โมบี-ดิ๊ก
โดยเฉพาะ ผมจึงก้าวตรงเข้าไป แล้วเท้าก็ไปสะดุดเข้ากับกับหีบใส่ขี้เถ้า1ตรง ปากประตูเป็นอันดับแรก ‘โอ้โฮ!’ ผมคิดขณะทีเ่ กือบส�าลักขีเ้ ถ้า ‘โอ้โฮ! นีม่ นั ขีเ้ ถ้า เมืองกอมมอร์ราห์2 ทีถ่ กู ท�าลายไปทัง้ เมืองหรือไงหว่า? โรงเตีย๊ มฉมวกไขว้เอย ปลากระโทงแทงเอย แล้วก็ยังนี่อีก ท่าจะชื่อโรงเตี๊ยม ‘กับดัก’ มั้ง?’ แต่ผมก็ พยุงตัวขึ้นยืน ได้ยินเสียงดังมาจากด้านใน ก่อนจะผลักประตูบานในเข้าไป ในนัน้ ราวกับสภามืด3เปิดประชุมกันทีเ่ มืองโทเฟต4 คนผิวด�าร่วมร้อยก�าลัง หันหน้าเข้าใส่กัน ส่วนบนแท่นเทศน์นั่น เทพเจ้ามืดแห่งเคราะห์กรรมก็โหม อ่านคัมภีรอ์ ยู่ นีเ่ ป็นโบสถ์ของชนผิวด�า เสียงนักเทศน์กา� ลังพูดถึงความมืดใน ความมืดมิด ระคนไปกับเสียงครวญคร�า่ ร�่าไห้ และขบเขี้ยวเคี้ยวฟันของผู้ฟัง ‘โอ้โฮ! อิชเมล’ ผมพึมพ�ากับตัวเอง ‘ถอยดีกว่าเรา นีม่ นั มหรสพคนอมทุกข์นนี่ า สมกับชื่อโรงเตี๊ยมกับดักจริงๆ!’ แล้วผมก็ผละจากมา จนเดินมาถึงแสงไฟสลัวซึ่งอยู่ไม่ห่างจากท่าเรือ มากนัก ได้ยนิ เสียงเอีย๊ ดอ๊าดตามสายลมชวนให้ระทมเปล่าเปลีย่ ว เมือ่ เงยหน้า ขึ้นมอง ก็เห็นแผ่นป้ายแกว่งไกวไปมาอยู่เหนือประตู บนป้ายมีรูปสีขาวมอง ออกได้รางๆ ว่าเป็นสายน�้าพ่นพุ่งสูงจากหลังวาฬ ส่วนข้างใต้มีข้อความว่า “โรงเตี๊ยมวาฬพ่นน�า้ : ปีเตอร์ โลงศพ” วาฬพ่นน�า้ ? โลงศพ? เมื่อรวมกันแล้วช่างไม่เป็นมงคลเอาเสียเลย ผมคิด แต่ถ้าเป็นที่เกาะแนนทักเก็ต ว่ากันว่าเป็นชื่อที่พบเห็นได้ทั่วไป ผมเลยเดาว่า นายปีเตอร์คนนี้คงต้องอพยพมาจากเกาะนั่นแน่ๆ แสงไฟดูแสนริบหรี่ ส่วน โรงเตี๊ยมตอนนี้ก็ดูเงียบสงบดี แม้บ้านไม้ดูช�ารุดทรุดโทรมราวกับขนเอา หีบใส่ขี้เถ้า – ไว้ส�าหรับโปรยทางเดินที่มีน�้าแข็งเกาะ ให้เดินไม่ลื่นล้ม เมืองกอมมอร์ราห์ ตัง้ อยูบ่ ริเวณหุบเขาซิดดิม ติดกับทะเลเดดซี เป็นหนึง่ ในห้านครแห่งบาปทีถ่ กู พระเจ้า ใช้ไฟจากสวรรค์ท�าลายล้าง ตามคัมภีร์ไบเบิ้ล 3 สภามืด-หมายถึงสภาของกษัตรย์โรเบิร์ตแห่งสก็อตแลนด์ (ค.ค.1320) หรือสภาของพระเจ้าเฮนรีที่แปด ของอังกฤษ (ค.ค.1524) ในที่นี้เล่นค�ากับค�าว่า “นิโกร” หรือคนด�าด้วย 4 เมืองโทเฟต-ตั้งอยู่ในหุบเขาเบน ฮินนอม ทางทิศตะวันตกของเมืองเยรูซาเล็ม เป็นสถานที่สา� หรับเผา ซากศพอาชญากรที่ถูกประหาร และยังเป็นที่ที่ลัทธินอกศาสนาจับเด็กเป็นๆ เผาบูชายัญพระเจ้า ทั้งยัง หมายถึงนรกได้ด้วย 1 2
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 17
ซากปรักหักพังจากย่านทีถ่ กู เผาราบมาสร้าง แถมป้ายเก่านัน่ ก็แกว่งเอีย๊ ดอ๊าด น่าสังเวช แต่ผมก็คิดว่า นี่แหละที่พักราคาถูก และมีเมล็ดกาแฟรสเลิศด้วย ช่างเป็นสถานทีท่ แี่ ปลกเอาการ บ้านพักเก่าหลังคาทรงจัว่ ด้านหนึง่ ของหลังคา พิกลพิการเพราะเอียงเย้ออกมาอย่างน่าสังเวช และตั้งอยู่ในมุมยะเยือกเย็น บริเวณที่พายุยูโรไคลดอนส่งเสียงโหยหวนชวนสยองเสียยิ่งกว่าตอนที่มัน ล่มเรือของพอลผู้น่าสงสาร5 ถึงอย่างนั้นยูโรไคลดอนก็ยังเป็นลมอ่อนทาง ตะวันตกที่ให้ความส�าราญยิ่งแก่ผู้คนที่อยู่ภายในบ้านด้วย เพราะจะได้นอน อั ง เท้ า บนตะแกรงข้ า งเตาผิ ง หลั บ สบาย “ที่ เ รี ย กลมนี้ ว ่ า ยู โ รไคลดอน” นักเขียนรุน่ เก่าคนหนึง่ ว่าไว้ ซึง่ ผมก็มหี นังสือของเขาอยูแ่ ค่เล่มเดียว “มันสร้าง ความแตกต่างอย่างประหลาด ไม่วา่ ท่านจะมองมันผ่านกระจกหน้าต่าง ไปยัง ที่ ที่ แ ผ่ น น�้ า แข็ ง เกาะอยู ่ ทั่ ว ด้ า นนอกนั่ น หรื อ ท่ า นจะเฝ้ า สั ง เกตมั น จาก หน้าต่างผนังไร้กรอบ ซึ่งจะเห็นน�้าแข็งเกาะอยู่ทั้งด้านในและด้านนอก จะเป็นหรือตายก็อยู่ที่มุมมองของช่างท�ากระจกเท่านั้น” จริงทีเดียว ผมคิด เมือ่ อีกข้อความจากคัมภีรม์ ดื 6ผุดขึน้ ในใจ ‘ท่านจงไตร่ตรองให้ดเี ถิด’ ใช่แล้ว... ดวงตาเหล่านัน้ คือหน้าต่าง ส่วนร่างกายนีค้ อื บ้าน ช่างน่าเวทนาเหลือเกิน เหตุใด ผู้คนจึงไม่อุดรอยร้าวและช่องโหว่เหล่านั้น ก็แค่ใช้เศษผ้าเล็กๆ อุดรอยรั่ว ตรงนี้ตรงนั้น กระทั่งมันสายเกินกว่าจะซ่อมแซม จักรวาลได้จบสิ้นแล้ว ยอดก�าแพงยังอยู่ ขณะเศษซากที่เหลือถูกลากออกไปไกลเมื่อนับล้านปีก่อน ที่นั่นลาซารัสผู้น่าสงสารนอนหนาวสั่นอยู่บนถนนกรวด ตัวสั่นสะท้านฉีกทึ้ง ผ้าขี้ริ้ววุ่น เขาอาจใช้เศษผ้านั่นอุดสองหู ยัดซังข้าวโพดใส่ปาก แต่ก็ไม่อาจ หยุดยั้งพายุยูโรไคลดอนได้ ขณะเศรษฐีเฒ่าไดฟส์ 7ในชุดคลุมไหมสีแดง (ภายหลังยังมีอีกชุดที่แดงแจ๋กว่านั้น8) กลับเพรียกหายูโรไคลดอนเสียฉิบ! พอล หรือเปาโลเป็นหนึ่งในสาวกของพระเยซูคริสต์ ที่ได้รับบัญชาให้ออกเรือเดินทางจากปาเลสไตน์ ไปยังกรุงโรมขณะยังเป็นนักโทษ 6 คัมภีรม์ ดื – จากหนังสือทีอ่ ชิ เมลชอบอ้างถึง น่าจะเป็นคัมภีรเ์ ก่าในยุโรปยุคกลาง ช่วงศตวรรษที่ 12-16 7 ลาซารัส-นักบุญในศาสนาคริสต์ที่ได้รับการชุบชีวิตจากพระเยซูหลังจากตายไปแล้วสี่วัน ช่วงหนึ่งใน พระคัมภีรไ์ ด้บอกเล่าถึงช่วงเวลาทีเ่ ขาตกยากและนอนหนาวสัน่ อยูห่ น้าประตูบา้ นของไดฟส์ชายผูม้ งั่ คัง่ 8 แดงแจ๋กว่านั้น-ไฟนรก 5
18 : โมบี-ดิ๊ก
หนอยแน่ะ! ช่างเป็นค�า่ คืนทีห่ นาวเย็นดีแท้ กลุม่ ดาวพรานส่องประกายระยิบ และแสงเหนือก็สาดสีงามเสียนี่กระไร! ใครจะพูดถึงหน้าร้อนในดินแดน ตะวันทีเ่ หมือนเรือนกระจกซึง่ อบอุน่ ตลอดกาลนัน่ ยังไง ก็ชา่ งเขาเถิด ผมขอแค่ ใช้ถ่านสร้างหน้าร้อนของผมเองก็เป็นพอ ลาซารัสคิดอะไรอยู่ในตอนนั้น? เขาชูสองมือเขียวคล�้าขึ้นอังไออุ่นจาก แสงเหนืออันงดงามนัน่ ได้ไหม? ลาซารัสไม่อยากไปอยูเ่ กาะสุมาตรามากกว่า ทีน่ หี่ รอกหรือ? เขาไม่อยากล้มตัวนอนเหยียดยาวขนานเส้นศูนย์สตู ร...ใช่แล้ว… พระเจ้า! หรือกระทั่งโจนลงหลุมไฟเสียเลยเพื่อช่วยให้หายหนาว? เอาล่ะ ลาซารัสควรนอนเกยตื้นอยู่บนถนนกรวดหน้าประตูบ้านของ ไดฟส์นนั่ มันย่อมดีกว่าการทีภ่ เู ขาน�า้ แข็งดันลอยไปจอดทีเ่ กาะแถวโมลุกกะ9 กระนั้น ตัวไดฟส์เองก็ใช้ชีวิตเหมือนจักรพรรดิในวังน�้าแข็ง ที่สร้างจากเสียง ทอดถอนใจซึง่ กลายเป็นไอเย็น ทัง้ ยังเป็นประะธานสมาคมผูไ้ ม่เสพของมึนเมา ด้วยดื่มแต่นา�้ ตาอุ่นๆ ของเด็กก�าพร้า แต่กเ็ อาละ หมดเวลา “พ่นน�า้ ” แล้ว เราก�าลังจะออกไปล่าวาฬกัน ยังมีเรือ่ ง พ่นน�า้ ตามมาอีกเยอะ ขูดน�า้ แข็งใต้เท้าทิง้ แล้วก้าวไปดูซวิ า่ โรงเตีย๊ ม “วาฬพ่นน�า้ ” นี่เป็นยังไง
9
หมูเ่ กาะโมลุกกะ หรือมาลูกู เป็นหมูเ่ กาะในประเทศอินโดนีเซีย มีขนาดเล็ก แคบ และล้อมรอบด้วยทะเล พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขา บางส่วนเป็นภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่ มีสภาพภูมิอาการชื้น
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 19
บทที่ 3
โรงเตี๊ยมวาฬพ่นน�้า
เมื่อก้าวเข้าไปในโรงเตี๊ยมวาฬพ่นน�้าหลังคาทรงจั่วนั่น คุณจะเห็นทางเดิน บรรยากาศคร�่าครึทอดสู่โถงกว้างเพดานต�่า สองฟากผนังบุด้วยแผ่นไม้แบบ โบราณชวนให้นึกถึงกราบเรือเก่าแสนเชย ผนังด้านหนึ่งแขวนภาพสีน�้ามัน ขนาดใหญ่ไว้ มีเขม่าควันจับเขรอะและรอยยับเยินอยู่หลายที่ ถ้าแวะเวียน มาดูบ่อยๆ และหมั่นสอบถามความเห็นจากคนข้างๆ ก็จะพอมองออกถึง ความนัยในแสงเงาที่ถ่วงกันอย่างไม่ได้ดุลนั้น การใช้แสงเงาปาดเป็นปื้นๆ นัน้ ยากต่อการคาดเดาอยู่ ตอนแรกคุณอาจนึกไปถึงจิตรกรหนุม่ เปีย่ มไฟแรง ยุคล่าแม่มด1 ผูส้ อู้ ตุ สาหะวาดความโกลาหลในช่วงนัน้ ออกมาเหมือนร่ายมนต์ แต่ถา้ ตัง้ ใจดูจริงๆ ครุน่ คิดให้มากๆ ยิง่ หลังจากเปิดหน้าต่างบานเล็กหลังโถง ทางเข้านีอ่ อกไป คุณก็อาจถึงบางอ้อได้ในทีส่ ดุ แต่ทงั้ นีท้ งั้ นัน้ ก็ไม่ขอรับรองนะ ที่เป็นปริศนาและน่าสับสนที่สุดคือเส้นปื้นด�ายาวงองุ้มน่ากลัวโฉบอยู่ กลางภาพ เหนือเส้นตั้งสีน�้าเงินเลือนรางสามเส้นซึ่งมีเชื้อราไม่ทราบชื่อลอย จับอยู่เต็ม ช่างเป็นภาพที่เหนอะชื้น ชุ่มเปียกเสียจนท�าให้คนดูรู้สึกใจคอไม่ดี กระนัน้ มันก็แทบจะเป็นภาพยอดเยีย่ มเหนือจินตนาการอันสะกดคุณอยูก่ บั ที่ จนอดสาบานกับตัวเองไม่ได้วา่ จะต้องไขความลับมหัศจรรย์ของภาพให้จงได้ อนิจจา! บางขณะคุณอาจคิดวาบเอาเองว่า ‘ภาพทะเลด�ากลางพายุเดือนมืดไง!’ หรือไม่ก็ ‘การโรมรัมอัน ผิดประหลาดของดินน�้าลมไฟ’ ‘ดินแดนหายนะ 1
ยุคล่าแม่มด-ช่วงการไต่สวนทรมานผู้ถูกกล่าวหาเป็นแม่มด ในปี 1692-1693 ที่เมืองซาเล็ม รัฐแมส ซาชูเซตส์
20 : โมบี-ดิ๊ก
หลังสงคราม’ ‘ภาพหนาวเหน็บในไฮเปอร์โบเรีย’2 ‘การพังทลายของธาร น�้าแข็งตามธรรมชาติวิทยา’ แต่สุดท้าย ความคิดวาบเอาเองทั้งหลายนั้น ก็ตอ้ งชะงักกับรูปน่ากลัวทีอ่ ยูก่ ลางภาพ เพราะเหลือบมองเมือ่ ใดส่วนอืน่ ๆ ก็ พลันไร้ความส�าคัญไป แต่เดีย๋ วก่อน...รูปนัน่ ดูคล้ายๆ กับปลายักษ์นนี่ า อาจเป็น เจ้าวาฬยักษ์นั่นเลยก็ได้!? ดูเหมือนจิตรกรคนนี้จะวาดมันจริงๆ แต่ที่ผมสรุปแบบนั้น ส่วนหนึ่ง เป็นเพราะได้พูดคุยกับคนเฒ่าคนแก่หลายคนมา ว่านั่นเป็นภาพเรือก�าลัง ฝ่าพายุเฮอริเคนใหญ่แถวแหลมเคปและใกล้อับปางลง เห็นแต่เสากระโดงทั้ง สามชูง่อนแง่น วาฬบ้าคลั่งตัวหนึ่งพยายามกระโจนข้ามเรือแต่พลาด และ แรงมหาศาลนั้นกลับท�าให้ตัวมันถูกยอดเสากระโดงเรือทั้งสามเสียบจนทะลุ ผนังอีกด้านของโถงทางเข้าแขวนเรียงรายด้วยข้าวของของพวกนอกรีต พวกกระบองมหึมาและหอก บ้างประดับแน่นด้วยฟันแวววาวคล้ายงาช้าง บ้างก็ประดับด้วยปอยผมมนุษย์ อันหนึง่ ลักษณะเป็นรูปเคียว มีดา้ มขนาดใหญ่ ไว้จับหมุนควง เหมือนมีดดายหญ้าส�าหรับนักดายหญ้าช่วงแขนยาว คุณต้อง ขนลุกทีเดียวเมือ่ เห็น และนึกสงสัยว่ามนุษย์กนิ คนแสนโหดหรือคนป่าเผ่าไหนกัน ที่ อ อกเก็ บ เกี่ ย วความตายด้ ว ยเครื่ อ งมื อ น่ า สยดสยองซึ่ ง ใช้ ใ นการสั บ การฟันแบบนี้ ของเหล่านี้แขวนปะปนอยู่กับหลาวและฉมวกเก่าส�าหรับ ล่าวาฬ ซึง่ พังช�ารุดและมีสนิมเกาะเกรอะกรัง อาวุธบางอันมีเรือ่ งเล่าปูมหลัง เช่น เจ้าหอกยาวที่ตอนนี้โก่งงอหมดสภาพแล้วนั่น เมื่อสิบห้าปีก่อนนาธาน สเวน3เคยใช้ล่าสังหารวาฬถึงสิบห้าตัวตั้งแต่เช้ายันค�่า ส่วนฉมวกที่บิดเป็น เกลียวนัน่ ก็เคยใช้ในทะเลชวา ขว้างเข้าใส่วาฬตัวหนึง่ ก่อนทีม่ นั จะมุดน�า้ หนีไป พร้อมฉมวกนี่ แต่ก็พบนอนตายอยู่บนแหลมบลันโซ4ในหลายปีต่อมา เดิม หัวฉมวกเหล็กเจาะเข้าแถวโคนหางเหมือนเข็มปักคาอยู่บนร่างมนุษย์ แต่หัว ไฮเปอร์โบเรีย-ขั้วโลกเหนือ นาธาน สเวน-ไม่มีหลักฐานว่าเขาเคยพุ่งฉมวกใส่วาฬตัวใด จึงน่าจะ หมายถึงนักล่าวาฬสักคนที่เล่า ขานกัน 4 แหลมบลันโซ – หมู่บ้านประมง อยู่ทางตอนเหนือของเปรู 2 3
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 21
ฉมวกเคลือ่ นไปในตัวมันไกลถึงสีส่ บิ ฟุต และพบฝังอยูท่ หี่ นอกมันในท้ายทีส่ ดุ เมื่อเดินไปตามทางเข้าแสงสลัวซึ่งคดเคี้ยวไปมา จนผ่านบริเวณที่ถ้าเป็น สมัยก่อนก็คือโถงปล่องไฟยักษ์ เพราะมีแต่เตาผิงอยู่รอบด้าน ก็จะถึงห้อง นัง่ เล่นสังสรรค์ แสงในนีย้ งิ่ มัวซัวกว่าเก่า เพราะเพดานคานต�า่ ทีท่ า� จากไม้ใหญ่ เทอะทะด้านบน และพืน้ ไม้กระดานเก่าขรุขระด้านล่าง จนแทบนึกไปว่าก�าลัง เดินอยู่ในห้องเครื่องของเรือเก่าๆ แถมยังเป็นคืนพายุหอนที่โยกคลอนเรือ อย่างบ้าคลัง่ แม้จอดทอดสมออยูก่ ต็ าม ด้านหนึง่ ของห้องตัง้ โต๊ะเตีย้ ยาวคล้าย ชั้นวางของ ด้านบนครอบด้วยแผ่นกระจกมีรอยแตกร้าว ของที่ตั้งวางด้านใน มีฝุ่นจับหนา ล้วนเป็นของหายากที่เก็บสะสมมาจากแดนไกลทั่วทุกมุมโลก ซุม้ ทีย่ นื่ ออกมาจากหลืบมืดด้านหนึง่ ซึง่ ตัง้ อยูถ่ ดั ออกไปคือบาร์ โดยพยายาม ท�าให้ดคู ล้ายหัววาฬ ซึง่ ก็มกี ระดูกโค้งมหึมาของขากรรไกรวาฬจริงๆ ตัง้ แขวน อยูด่ ว้ ย มันกว้างใหญ่เสียจนรถม้าโดยสารทัง้ คันแทบลอดผ่านได้ ภายในชัน้ วาง โกโรโกโสนี่ยงั จัดวางคนโทเก่าๆ ขวด แล้วก็กระติกน�้า ด้านในหลืบกรามวาฬ ซึ่งสามารถท�าลายทุกสิ่งได้ในพริบตานั่นเหมือนที่เกิดกับโยนาห์ผู้ถูกสาป5 เป็นทีป่ ระจ�าของชายแก่รา่ งแคระแกร็น (ซึง่ แกถูกเรียกลับหลังว่าโยนาห์จริงๆ) ผู้ขายน�า้ พิษและความตายแสนแพงให้แก่บรรดากะลาสีทั้งหลาย ซ�้าร้ายคือแก้วก้นหนาที่แกเทยาพิษลงไปนั่น แม้ไม่มีกระบอกสูบอยู่ด้าน นอกหรือด้านใน ปริมาณเหล้าร้ายสีเขียวก็ค่อยๆ เหือดหายถึงก้นแก้วได้เอง ข้างแก้วของโจรปล้นคนเดินทางผูน้ ขี้ ดี เส้นไว้เป็นจุดสังเกตคร่าวๆ เมือ่ เทเหล้า ลงไปถึงขีดนั้นขีดนี้ก็คือเงินหนึ่งเพนนีที่คุณต้องจ่าย แล้วก็อีกหนึ่งเพนนี ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเต็มแก้ว มาตรวัดแห่งแหลมเคปนีอ่ าจท�าให้คุณเผลอดื่ม รวดเดียวแล้วต้องจ่ายถึงหนึ่งชิลลิงเลยทีเดียว ทีน่ นั่ ผมเห็นบรรดากะลาสีหนุม่ ชุมนุมกันอยูร่ อบโต๊ะ ก�าลังตรวจดูตวั อย่าง กระดูกวาฬแกะสลักอยู่ใต้แสงมัวๆ นั่น ผมเดินไปหาเจ้าของห้องพักแล้ว 5
โยนาห์ สาวกของพระผู้เป็นเจ้าที่ได้รับค�าสั่งให้เดินทางไปนีนะเวห์ แต่โยนาห์กลับหนีลงเรือเดินทางไป ทารชิช พระเจ้าจึงทรงขับกระแสลมใหญ่ให้เกิดขึ้นในทะเล เป็นเหตุให้ชาวเรือได้รับความเดือดร้อนจาก พายุฝน ที่สุดจึงจับโยนาห์โยนลงทะเลให้วาฬกิน
22 : โมบี-ดิ๊ก
บอกแกว่าอยากได้ห้องพัก ค�าตอบที่ได้รับคือห้องเต็มแล้ว ไม่มีเตียงว่าง สักเตียง “แต่เดีย๋ วก่อน...” แกเคาะหน้าผากตัวเอง “นายรังเกียจม้าย ทีจ่ ะนอน เตียงเดียวกับนักพุง่ ฉมวก? ฉันคิดว่านายคงก�าลังจาออกเลล่าวาฬ นายน่าจะ ฝึกท�าตัวให้คุ้นไว้นะ” ผมบอกแกว่าไม่ชอบนอนร่วมเตียงกับใคร แต่ถา้ จ�าเป็นก็คงต้องยอม มันขึน้ อยู่กับว่านักพุ่งฉมวกนี่เป็นใคร ถ้าแก (เจ้าของบ้านพัก) ไม่มีห้องจริงๆ และ นักพุง่ ฉมวกไม่วา่ อะไร ก็ไม่รจู้ ะท่อมๆ ไปกลางคืนหนาวจัดในเมืองแปลกถิน่ นี่ท�าไม ผมขอเลือกพักค้างคืนเตียงเดียวกับใครก็ได้ จะสุภาพชนน้อยหน่อย ก็ไม่เป็นไร “ฉันก็วา่ งัน้ แหละ เอาละ...นัง่ ก่อนสิ แล้วอาหารค�า่ ล่ะเอาด้วยไหม? อาหาร ใกล้เสร็จพอดี” ผมนัง่ ลงบนม้านัง่ ยาวทีท่ า� จากไม้เก่าแกะสลักทัง้ ตัว เหมือนม้านัง่ ในสวน สาธารณะแบตเตอรี่ เห็นลูกเรือคนหนึ่งก�าลังนั่งร�าพึงร�าพันขณะใช้มีดพับ แกะสลักอะไรอยู่ที่ปลายม้านั่งอีกด้าน เขาก้มๆ เงยๆ ขะมักเขม้นอยู่บริเวณ ที่ว่างตรงหว่างขา พยายามแกะสลักเป็นรูปเรือใบที่ก�าลังแล่นฉิว แต่คงแกะ ไปได้ไม่ถึงไหนหรอก ผมคิด แล้วพวกเราสีห่ รือห้าคนก็ถกู เรียกไปกินอาหารในห้องซึง่ อยูต่ ดิ กัน ในนัน้ อากาศหนาวเย็นราวกับขั้วโลกเพราะไม่มีเตาผิงเลย เจ้าของห้องพักบอกว่า แกไม่มปี ญ ั ญาหามา ในห้องไม่มอี ะไรเลย นอกจากแสงริบหรีจ่ ากเทียนไขสัตว์ เปลวไหลเยิ้มสองเล่ม เราต้องกลัดกระดุมแจ๊คเก็ตสั้นที่สวมอยู่ทุกเม็ด ใช้มือ หนาวเหน็บประคองถ้วยชาร้อนๆ ขึ้นจิบ อาหารที่คุ้มค่าที่สุดไม่ใช่เนื้อและ มันฝรัง่ หากแต่เป็นเกีย๊ ว สรรค์โปรด! เกีย๊ วส�าหรับอาหารค�า่ ! เพือ่ นหนุม่ คนหนึง่ ในชุดเสื้อคลุมหนาสีเขียวสวาปามเกี๊ยวนั่นอย่างตะกรุมตะกราม “ไอ้หนุ่ม” เจ้าของห้องพักพูด “นายมีหวังได้ฝันร้ายแหงมๆ” “ลุง” ผมกระซิบถามเจ้าของห้องพัก “นั่นคงไม่ใช่นักพุ่งฉมวกหรอกนะ?” “หา?...ไม่ใช่หรอก” แกตอบแบบติดตลกร้าย “นักพุง่ ฉมวกเป็นคนผิวด�าน่ะ เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 23
หมอไม่เคยกินเกีย๊ วหรอก ไม่เลย ไม่กนิ อะไรนอกจากสเต็ก แล้วก็ชอบเนือ้ แบบ ม่ายสุกมากด้วย” “ขนาดนั้นเชียว” ผมบอก “แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน? อยู่นี่หรือเปล่า?” “ก็อยู่นี่มานานแล้วแหละ” นั่นเป็นค�าตอบ ผมเริ่มนึกหวาดระแวงในตัวนักพุ่งฉมวก “ผิวด�า” คนนี้ขึ้นมาอย่างไม่อาจ ควบคุมตัวเองได้ จึงตัดสินใจแล้วว่า ถ้าต้องนอนด้วยกันจริงๆ ขอเขาให้ เปลื้องผ้าขึ้นเตียงไปก่อนน่าจะเป็นการดี ครั้นเวลาอาหารค�่าเสร็จสุดลง เพื่อนร่วมโต๊ะต่างกลับไปยังบาร์เหล้า ผม ไม่รู้จะท�าอะไร จึงตัดสินใจใช้ช่วงที่เหลือของค�่านี้สังเกตการณ์ ตอนนั้นมีเสียงเอะอะดังมาจากด้านนอก เจ้าของห้องพักยืนขึ้นตะโกน “นั่นมันลูกเรือแกรมปัสนี่หว่า ฉันได้ข่าวตั้งแต่เห็นเรือลอยล�าลิบๆ เมื่อเช้านี้ หลังออกเรือไปตั้งสามปี แล้วลูกเรือก็กลับมาเต็มล�า ไชโย! ไอ้หนุ่มทั้งหลาย ในที่สุดเราก็จะได้ข่าวจากหมู่เกาะฟิจิกันแล้ว” มีเสียงรองเท้าบูต๊ ย�า่ ดังมาใกล้ทางเข้า แล้วประตูกเ็ ปิดผางออก กลุม่ ชาวเล หน้าเข้มเฮละโลกันเข้ามา ต่างสวมเสื้อคลุมขนสัตว์ตัวหนาแบบมีหมวกคลุม ขนแกะ ทุกคนสกปรกมอมแมมและเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง หนวดรุงรังบนใบหน้าก็ โด่เด่เป็นน�า้ แข็ง ดูๆไปแล้วเหมือนฝูงหมีแตกรังมาจากลาบราดอร์ พวกนีเ้ พิง่ ขึน้ จากเรือและเดินมาถึงทีน่ เี่ ป็นแห่งแรก และไม่ตอ้ งสงสัยเลยว่าจะพุง่ ตรงมา ยังปากวาฬหรือบาร์เหล้า ส่วนตาเฒ่าแคระโยนาห์ก็ขมีขมันท�าหน้าที่ของตน รีบเทเหล้าเต็มแก้วยื่นส่งให้จนถ้วนทั่วทุกตัวคน พอใครคนหนึ่งบ่นขึ้นว่า อากาศเย็นจี๊ดขึ้นสมอง แกก็ไม่รอช้ารีบผสมเหล้าที่มีสีคล้ายยางไม้ผสมน�้า เชือ่ มส่งให้ พร้อมสถบสาบานว่า มีสรรพคุณรักษาอาการหนาวสัน่ ไข้ หรือจะ หวัดอะไรก็ตามแต่ ได้ผลชะงัดทัง้ นัน้ ไม่วา่ เป็นมานานขนาดไหน ไปติดมาจาก ฝัง่ ทะเลลาบาร์ดอร์ หรือจากเกาะน�า้ แข็งทีม่ อี ากาศหนาวเหน็บทีไ่ หนมาก็ตาม ไม่ช้าน�้าเมาที่ดื่มลงท้องก็ย้อนกลับขึ้นสู่สมอง เพราะเป็นเรื่องธรรมดา แม้แต่กับนักดื่มคอแข็งที่เพิ่งขึ้นจากทะเล ไม่นานพวกเขาก็เริ่มกระโดด 24 : โมบี-ดิ๊ก
โลดเต้นส่งเสียงอึกทึกครึกโครมกันอย่างสนุกสนาน กระนั้น ผมสังเกตเห็นหนึ่งในนั้นที่แปลกออกไป ใบหน้าของเขาสุขุม เยือกเย็น แม้จะร่วมดืม่ เพราะไม่อยากขัดความสนุกของเพือ่ นกะลาสีดว้ ยกัน แต่กย็ งั ระวังท่าที ไม่ตะโกนโหวกเหวกเหมือนพวกพ้อง ชายคนนีท้ า� ให้ผมสนใจ ในตัวเขาขึ้นมาทันที และนับแต่นั้นมา เทพแห่งท้องทะเลก็ดลบันดาลให้เขา กลายมาเป็นเพือ่ นกะลาสีของผม (แม้จะเป็นแค่เพือ่ นร่วมห้องในเรือก็ตาม) ขอ ผมพูดถึงเขาเพิม่ อีกสักนิดเถอะ เขาสูงเต็มหกฟุต ไหล่ตงั้ ตรงเป็นสง่า อกกว้าง ผึง่ ผาย ผมแทบไม่เคยเห็นใครทีม่ กี ล้ามเนือ้ เป็นมัดแบบๆ นัน้ เลย ใบหน้าของ เขาเป็นสีทองแดงเพราะกร้านกร�าแดด ตัดกับฟันสีขาววาววับ นัยน์ตาคู่นั้น ส่อแววครุ่นคิดถึงอดีตอยู่เร้นลึก ซึ่งให้เขาดูไม่ร่าเริงเท่าไรนัก ส�าเนียงพูดบ่ง บอกว่ามาจากทางใต้ และดูจากส่วนสูงของเขาแล้ว ผมว่าเขาต้องเป็นชาวเขา จากสันเขาแอลลิกาเนียนในเวอร์จิเนียแน่ เมื่อเห็นเพื่อนพ้องได้ส�าราญกัน เต็มที่แล้ว เขาก็ปลีกตัวหายไป แล้วผมก็ไม่ได้เห็นเขาอีกเลยจนกระทั่งเขาได้ กลายมาเป็นสหายร่วมล่องทะเลกับผม แต่หลังจากเขาหลบไปได้ไม่กี่นาที เพื่ อ นกะลาสี ก็ เ ริ่ มร้ อ งเรี ย กหาราวกั บว่ า เขาเป็ น คนโปรดของคนกลุ ่ ม นี้ “บัลกิงตัน! บัลกิงตัน! บัลกิงตันอยูไ่ หนหว่า?” แล้วพากันโถมออกจากโรงเตีย๊ ม ไปตามหาเขา ตอนนั้นราวสามทุ่มแล้ว หลังความสนุกสุดเหวี่ยงหมดไป ห้องทั้งห้อง พลันเงียบสงบลงอย่างแทบไม่น่าเชื่อ ผมอดครึ้มใจไม่ได้ที่ได้ไล่ตามความฝัน ที่จะผันตัวมาเป็นกะลาสีล่าวาฬ ไม่มีใครอยากนอนร่วมเตียงกับคนอื่น จะว่าไปแล้วแม้แต่นอนร่วมเตียง กับพีน่ อ้ งกันเองก็แทบไม่มใี ครชอบ ผมไม่รเู้ หมือนกันว่าท�าไม บอกได้เพียงว่า คนเราต้องการความเป็นส่วนตัวยามหลับใหล แต่เมื่อต้องมานอนร่วมกับคน แปลกหน้า ในโรงเตีย๊ มแปลกประหลาด ในเมืองแปลกถิน่ แถมคนแปลกหน้า นัน่ ยังเป็นนักพุง่ ฉมวกด้วย ก็ยงิ่ ท�าให้ไม่ชอบใจเป็นทวีคณ ู ไม่มเี หตุผลอันใดว่า เมื่อเป็นกะลาสีแล้วผมต้องนอนร่วมเตียงกับคนอื่นด้วย เพราะทุกคนย่อม เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 25
ไม่ชอบใจเหมือนกันทั้งนั้น เวลาออกทะเลกะลาสีก็ไม่ได้นอนร่วมเตียงเป็น คู่ ไม่ต่างจากกษัตริย์หนุ่มโสดบนฝั่ง แม้ลูกเรือจะนอนด้วยกันในห้องรวม แต่ทุกคนก็มีเปลญวณของตนเอง ไม่ต้องแย่งผ้าห่มกับใคร และซุกตัวอยู่ใต้ ไออุ่นของตัวเอง ยิ่งคิดถึงนักพุ่งฉมวกมากเท่าไร ผมยิ่งรู้สึกขยะแขยงที่จะต้องนอนร่วม กับเขา เป็นไปได้ทีเดียวว่า นักพุ่งฉมวกย่อมสวมชุดเสื้อคลุมลินินหรือผ้า ขนสัตว์ และอาจเป็นคนไม่สะอาดสะอ้าน แต่ที่แน่ๆ ก็คือไม่ชวนให้เข้าใกล้ ผมนึกอยากเปลี่ยนใจ แม้จะสายไปหน่อย เพราะสุภาพชนในความคิดแรก ของผมคงกลับมาถึงที่พักและตรงไปที่เตียงแล้ว ลองนึกดูว่า ถ้าเขานอนกลิ้ง มาทับผมตอนเที่ยงคืน มันจะเลวร้ายขนาดไหน “ลุง! ผมเปลี่ยนใจแล้ว คงนอนเตียงเดียวกับนักพุ่งฉมวกไม่ไหวแน่ ขอ นอนบนม้านั่งนี่ดีกว่า” “ตามใจนายเถอะ แต่ฉันไม่มีผ้าปูโต๊ะพอให้นายใช้ปูนอนหรอกนะ แล้ว ม้านั่งนี่ก็สากคายตัวด้วย” ม้านั่งยาวนั้นขรุขระไปด้วยรอยบากจริงๆ “แต่ เดี๋ยวนะ...ช่างแกะกระดูกวาฬไง! ใช่! ฉันได้กบไสไม้มาตัวหนึ่ง อยู่ที่บาร์แน่ะ เดี๋ยวจะไปเอามาจัดการให้นายนอนสบายขึ้น” พูดจบแกก็เดินไปหยิบกบ ไสไม้มา ใช้ผ้าพันคอไหมเก่าๆ ของแกปัดฝุ่นออกก่อน ยิ้มแยกเขี้ยวราวกับ วานรขณะตั้งหน้าตั้งตาไสไม้บนม้านั่ง ขี้กบปลิวว่อนไปทางขวาทีทางซ้ายที กระทั่งไปสะดุดเข้ากับปมใหญ่ที่ดูเหมือนจะไสออกได้ยาก แม้เจ้าของบ้าน พักไสจนข้อมือแทบเคล็ดแล้วก็ตาม ผมจึงบอกให้แกหยุด เพราะแค่นี้เตียงก็ นอนสบายพอส�าหรับผมแล้ว ผมเองก็นกึ ไม่ออกเหมือนกันว่า จะถอนขนเป็ด ทะเลเหนือให้ราบเรียบเหมือนกระดานสนนีไ่ ด้ยงั ไง แกยิม้ แยกเขีย้ วให้อกี ครัง้ ก่อนจะเก็บกวาดเศษไม้ไปโยนใส่ไว้ในเตาไฟใหญ่ทอี่ ยูก่ ลางห้อง แล้วปลีกตัว ไปท�าธุระของตัวเอง ปล่อยให้ผมอยู่ในภวังค์ครุ่นคิดตามล�าพัง ผมลองวัดความยาวของม้านัง่ ดู ถึงเพิง่ รูว้ า่ มันสัน้ ไปราวหนึง่ ฟุต ไม่เป็นไร เอาเก้าอี้อีกตัวมาต่อคงพอแก้ขัดได้ แต่เก้าอี้เจ้ากรรมก็ดันแคบไป ส่วนม้านั่ง 26 : โมบี-ดิ๊ก
อีกตัวก็สูงกว่าถึงสี่นิ้ว ต่อกันไม่ได้แน่ๆ ผมเลยตัดสินใจดันม้านั่งนั่นไปเกือบ ชิดผนังตามยาว เว้นระยะห่างจากกันเล็กน้อย โดยเอาด้านทีไ่ ม่มพี นักหันเข้า ด้านใน นี่คงท�าให้พอเอนหลังหลับได้ แต่ไม่เฉลียวใจว่าจะมีกระแสลมเย็น พัดลอดจากใต้ขอบหน้าต่างลงมาโดนตัวผม ยิ่งเมื่อมาผนวกกับกระแสลมที่ ลอดเข้ามาจากประตูง่อนแง่นนั่น เลยกลายเป็นลมหมุนเล็กๆ ขึ้นบริเวณที่ ผมกะจะใช้พักหลับนอนในค�่าคืนนั้น ผีซ�้าด้ามพลอยจริงๆ...ผมคิด แต่เดี๋ยวก่อน...ผมย่องไปขึ้นเตียงก่อนก็ได้ นี่นา แล้วลงกลอนประตูด้านในซะ แล้วก็ไม่ต้องสนใจเสียงทุบประตูเรียก ใดๆ ทัง้ สิน้ เข้าท่าทีเดียว แต่มาคิดดูอกี ที อย่าดีกว่า ใครจะบอกได้วา่ อะไรจะ เกิดขึน้ ในเช้าวันรุง่ ขึน้ ทันทีทผี่ มเปิดประตูออกมาแล้วจะเอ๋กบั นายนักพุง่ ฉมวก นั่นตรงทางเดิน หมอคงทุบหัวผมเอาแน่ๆ หลังจากกวาดตามองไปรอบตัวอีกครั้ง แล้วเห็นว่าไม่มีทางจะผ่านค�า่ คืน อันแสนทรมานนี้ไปได้ เว้นแต่จะยอมไปนอนร่วมเตียงกับคนอื่น ผมจึงเริ่ม ปรับเปลีย่ นทัศนคติทไี่ ม่ดตี อ่ นักพุง่ ฉมวก ผมจะรอสักครู่ รอให้เขามาถึงก่อน สักพักแล้วเข้าไปแนะน�าตัวกับเขา บางทีเราอาจเป็นเพื่อนร่วมห้องที่ดีต่อกัน ก็ได้ ใครจะไปรู้ เมื่อเวลาผ่านไป ผู้มาพักคนอื่นๆ ต่างทยอยกันเข้ามาทีละคน สองคน หรือสามคน และตรงไปที่ห้องนอนของตนเอง แต่ก็ยังไร้วี่แววนักพุ่งฉมวก ที่ผมเฝ้ารอ “ลุง!” ผมถามเจ้าของบ้านพัก “หมอนีเ่ ป็นคนแบบไหนกันนะ? กลับดึกดืน่ อย่างนี้เสมอหรือ?” ตอนนั้นเกือบจะเที่ยงคืนแล้ว ตาเฒ่าหัวเราะหึๆ เป็นนัยๆ อีกครั้ง “เปล่าหร้อก” แกตอบ “ปกติแล้ว หมอนั่นก็เหมือนนกน้อยที่ตื่นแต่เช้า เข้านอนเร้วเร็วแล้วก็ตื่นเร้วเร็ว ช่าย... เป็นนกที่จับหนอนเป็นเหยื่อ แต่ระตรีนี้หมอออกไปเร่ขายของน่ะ คืองี้...ฉัน ม่ายรูห้ รอกว่าท�าไมถึงกลับดึกนัก อาจเพราะยังขายหัวมนุษย์ไม่ได้สกั หัวมัง้ ” “ขายหัวมนุษย์ไม่ได้? ลุงเอาเรื่องหลอกเด็กอะไรมาเล่าให้ผมฟัง!” ผม เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 27
รู้สึกเดือดปุดขึ้นมาทันใด “ลุงแกล้งหลอกผมใช่ไหม? ตกลงนักพุ่งฉมวกไป สวดสรรเสริญพระเจ้าในคืนวันเสาร์ หรือเร่ขายหัวมนุษย์รอบเมืองนี้ตอนเช้า วันอาทิตย์กันแน่?” “ฉันไม่ได้หลอกนาย” แกว่า “ฉันบอกแล้วว่าหมอมาขายที่นี่ไม่ได้หรอก เพราะมันล้นตลาดแล้ว” “อะไรล้นนะ?” ผมตะเบ็งเสียงใส่ “ก็หัวมนุษย์น่ะซิ มีหัวมนุษย์มากเกินพอในโลกนี้ไม่ใช่เร้อะ?” “บอกอะไรให้นะ ลุง” ผมพยายามระงับอารมณ์ “หยุดปัน่ หัวผมได้แล้วน่า ผมไม่ใช่เด็กอ่อนหัดนะ” “ก็อาจไม่ใช่” แกหยิบก้านไม้ขึ้นมาเหลาเป็นไม้จิ้มฟัน “แต่ฉันเดาได้เล้ย ว่านายเป็นต้องฟกช�้าด�าเขียวแน่ ถ้านักพุ่งฉมวกรู้ว่านายพูดจาส่ายร้าย หัวของเขา” “ผมจะเด็ดหัวเขานะซิไม่ว่า” ผมโพล่งออกมาอีกครั้ง รู้สึกฉุนเฉียวกับ ค�าพูดวกวนของตาเฒ่า “มันหลุดออกมาแร้ว” แกพูด “หลุดออกมาแล้ว” ผมพูด “มันหลุดออกมา...ลุงหมายความว่ายังไง?” “แหง๋มล่ะ นั่นเป็นเหตุที่ท�าให้หมอนั่นขายหัวไม่ได้ ฉันขอเดานะ” “ลุง” ผมบอกเจ้าของบ้านพัก พยายามสะกดอารมณ์ให้เยือกเย็นเหมือน ภูเขาเฮคลากลางพายุหิมะ “หยุดเหลาไม้ก่อน ลุงกับผมมีเรื่องต้องคุยกันให้ เข้าใจตอนนีเ้ ลย ผมมาโรงเตีย๊ มลุงและต้องการห้องพัก แต่ลงุ บอกว่าต้องนอน เตียงเดียวกับนักพุง่ ฉมวก แล้วนายนักพุง่ ฉมวกนีผ่ มก็ยงั ไม่เคยเจอตัวมาก่อน แต่ลงุ ก็เล่าแต่เรือ่ งลึกลับน่าโมโหจนผมรูส้ กึ ไม่ดกี บั หมอนี่ ทัง้ ทีล่ งุ เองเป็นคน บอกว่าผมต้องไปนอนร่วมเตียงกับเขา ซึ่งต้องท�าความรู้จักกันไว้วางใจกัน ให้มากทีส่ ดุ ผมอยากจะขอร้องลุงตรงนีน้ ะ ช่วยบอกตามตรงทีเถอะว่า ตกลง นักพุ่งฉมวกนี่เป็นใคร หรืออะไรกันแน่ แล้วผมจะพักค้างแรมกับเขาอย่าง วางใจได้หรือเปล่า แต่กอ่ นอืน่ ลุงต้องแก้คา� พูดเรือ่ งการขายหัวของเขา เพราะ 28 : โมบี-ดิ๊ก
ถ้านีเ่ ป็นเรือ่ งจริง ผมก็วา่ นายนักพุง่ ฉมวกนีค่ งเป็นบ้าแน่ๆ และผมก็ไม่คดิ จะ นอนร่วมเตียงกับคนบ้าหรอกนะ ลุงครับ ที่ลุงพยายามหว่านล้อมให้ผมนอน กับคนบ้า อาจถูกฟ้องร้องด�าเนินคดีอาญาได้ทีเดียวนะ” “อะโห” ตาเฒ่าครางพลางถอนใจเฮือก “ช่างเป็นเทศะหนายาวซรึ้งกินใจ จริงๆ ว่ะ ส�าหรับไอ้หนุ่มที่นานๆ ถากถางกับเขาก็เป็นด้วย แต่ใจเย็นๆ ก่อน เย็นไว้ นักพุ่งฉมวกที่ฉันเล่าให้นายฟังเนี่ยเพิ่งกลับมาจากทะเลทางใต้ หมอ ไปกว้านซือ้ ซากหัวคน6ในนิวซีแลนด์มาเป็นจ�านวนมาก (นีเ่ ป็นเรือ่ งแปลกมาก ทีเดียว คุณว่าไหม) แล้วเอามาขายที่นี่จนเกือบเกลี้ยง แต่เหลืออยู่หัวหนึ่งที่ พยายามจะขายให้ได้ในคืนนี้ เพราะพรุ่งนี้วันอาทิตย์ชาวบ้านจะไปโบสถ์กัน ขืนหมอไปเดินเร่ขายหัวมนุษย์บนท้องถนนก็จะยังไงอยู่ หมออยากขายถึง วันอาทิตย์ด้วย ดีว่าฉันห้ามไว้ทันตอนก�าลังจะออกไป แถมพ่อเล่นแขวน หัวสี่หัวห้อยคอไว้ยังกะแค่พวงหัวหอม” ค�าชี้แจงนี้อธิบายความลึกลับทั้งหลายทั้งปวงจนแจ่มแจ้ง และแสดง ให้เห็นว่าแกไม่ได้มเี จตนาหลอกลวงผม กระนัน้ ผมก็ยงั คงครุน่ คิดนักพุง่ ฉมวก ผู้เตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกในคืนวันเสาร์ ขณะที่ทุกคนเตรียมไปโบสถ์กัน แต่หมอ กลับท�าตัวเป็นมนุษย์กินคนเร่ขายหัวคนตายผู้สักการะรูปปั้น “ผมว่านะลุง นายนักพุ่งฉมวกนี่ต้องเป็นคนน่ากลัวมาก” “หมอจ่ายเงินตรงเวลาซะเหมอ” ตาเฒ่าแย้ง “เอาน่า ดึกมากแล้ว นาย ยังโชคดี นั่นมันเป็นเตียงชั้นดีนะ แซลกับฉันเคยนอนเตียงนั้นมาก่อนในคืน วันแต่งงานของเรา ที่นี่มีห้องส�าหรับพักสองคนหลายห้องที่น่าจะยัดเตียง นั้นเข้าไปได้ เพราะขนาดมันใหญ่พอ แต่ที่เราล้มเลิกความคิดนั้น เพราะแซล เคยให้แซมและไอ้หนูจอห์นนี่ของเรานอนด้วยแถวปลายเตียง แต่คืนหนึ่งฉัน ฝันร้ายแล้วนอนดิน้ จนดีดแซมกลิง้ ตกเตียง แขนเกือบหัก ตัง้ แต่นนั้ มาแซลก็ไม่ ให้พวกเรานอนเตียงนัน่ กันอีกเลย ไปเถอะน่า เดีย๋ วฉันหาไฟให้นายเอง” พูดจบ แกก็จุดเทียนไขหนึ่งเล่ม ยื่นส่งมาให้ไว้ใช้ส่องทาง แต่ผมยืนลังเลอยู่ แกพลัน 6
ซากหัวคน-ศีรษะมนุษย์อาบยา มีทั้งที่ย่อส่วนและไม่ได้ย่อส่วน ในที่นี้มีขนาดเท่าจริง ไม่ได้ย่อส่วน
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 29
เหลือบไปเห็นนาฬิกาทีม่ มุ ห้องเข้าก็อทุ านขึน้ ว่า “นีม่ นั วันอาทิตย์แล้วนีน่ า...ซะ บานได้! คืนนีน้ ายจะไม่เจอนักพุง่ ฉมวกหรอก หมอคงไปจอดทอดสมอทีอ่ นื่ แล้ว เอาน่า ตามมาเถอะ ดีมั้ย?” ผมครุน่ คิดอยูช่ วั่ หนึง่ ก่อนก้าวขึน้ บันไดตามแกไปจนถึงห้องเล็กๆ ห้องหนึง่ ที่เย็นเยียบและตกแต่งเครื่องเรือนไว้พอสมควร แล้วก็แน่ละ มีเตียงขนาด มโหฬารอยูด่ ้วย ใหญ่ขนาดนักพุง่ ฉมวกสีค่ นนอนเคียงบ่าเคียงไหล่กนั ก็ยงั ได้ “นีไ่ ง” ตาเฒ่าพูด ขณะวางเทียนไว้บนหีบเก็บของเก่าแปลกๆ จากทะเล ซึง่ ใช้ เป็นทัง้ ทีว่ างอ่างล้างหน้าและโต๊ะกลาง “เอาล่ะ ตามสบายนะ ฝันดีละ่ ” พอผม ละสายตาจากเตียงกลับมา แกก็ออกไปแล้ว ผมเลิกผ้าคลุมเตียงแล้วล้มตัวลงนอน แม้หอ้ งนีจ้ ะไม่เลิศหรูนกั แต่กจ็ ดั ว่า ใช้ได้ทีเดียว ผมกวาดตาไปรอบๆ ห้อง นอกจากโครงเตียงและโต๊ะกลางแล้ว ในห้องก็ไม่มเี ฟอร์นเิ จอร์อะไรอืน่ อีก มีแต่ผนังห้องสีด่ า้ น ชัน้ วางของทีส่ ร้างขึน้ หยาบๆ แล้วก็ภาพกระดาษติดเหนือเตาพิงเป็นรูปชายคนหนึง่ ก�าลังแทงวาฬ ส่วนข้าวของอื่นซึ่งดูไม่เข้ากันกับห้องนี้เอาเสียเลยก็คือ เปลญวนที่ผูกเชือก ไว้ แ ล้ ว แต่ โ ยนกองอยู ่ ที่ พื้ น ห้ อ งมุ ม หนึ่ ง และถุ ง ขนาดใหญ่ ข องชาวเรื อ ข้างในบรรจุเสื้อผ้ากองใหญ่ของนักพุ่งฉมวกอยู่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าถุงนี่ใช้ แทนหีบใส่ของตอนอยูบ่ นฝัง่ นอกจากนัน้ ก็ยงั มีกระดูกปลาประหลาดมัดแขวน ห้อยอยู่บนชั้นวางเหนือเตาผิง และฉมวกด้ามยาวตั้งพาดอยู่ที่หัวเตียง แต่เอ๊ะ...ทีอ่ ยูบ่ นหีบเก็บของนีม่ นั อะไรกันนะ ผมหยิบขึน้ ส่องกับแสงเทียน ทัง้ ลูบคล�าก็แล้ว ดมดูกแ็ ล้ว ก็ยงั สรุปไม่ได้วา่ มันเป็นอะไรกันแน่ แต่นา่ จะเป็น พรมเช็ดเท้าผืนใหญ่ ทีข่ อบตกแต่งด้วยลูกกระพรวนเล็กๆ คล้ายกับขนเม่นชุบ สีที่ติดอยู่รอบรองเท้าหนังของชาวอินเดียนแดง ตรงกลางพรมมีช่องหรือรอย ผ่ายาว เหมือนเสื้อแบบที่สวมใส่ทางศีรษะซึ่งคุณเคยเห็นในอเมริกาใต้ แต่ก็ เป็นไปได้วา่ พ่อนักพุง่ ฉมวกผูเ้ คร่งขรึมอาจสวมพรมเช็ดเท้านีอ่ อกไปเดินตาม ท้องถนนในเมืองของชาวคริสเตียนเพือ่ ปลอมแปลงตัว ผมเลยลองสวมดูบา้ ง มันหนักอึ้งราวกับโซ่ตรวนและพะรุงพะรังจนน่าอึดอัด ทั้งยังหมาดชื้นด้วย 30 : โมบี-ดิ๊ก
ราวกับว่านายนักพุ่งฉมวกผู้ลึกลับนี่เพิ่งใส่ชุดนี้ไปกร�าฝนมา ผมก้าวไปยืน อยู่หน้ากระจกบานเล็กซึ่งติดอยู่ข้างผนัง ภาพที่ปรากฏนั้นเป็นภาพที่ผมไม่ เคยเห็นมาก่อนในชีวิต จึงลนลานถอดพรมนั่นออกอย่างเร็วจนคอแทบเคล็ด ผมนั่งลงที่ข้างเตียง ครุ่นคิดถึงนักพุ่งฉมวกพ่อค้าเร่ขายหัวคนนี้กับพรม เช็ดเท้าของเขา คิดไปได้สกั พักก็ลกุ ขึน้ ถอดเสือ้ แจ๊คเก็ตสัน้ ออก แล้วเดินไปยืนคิด อยู่กลางห้อง ก่อนจะถอดเสื้อโค้ตออก ทีแรกว่าจะถอดเชิ้ตแขนยาวออกด้วย แต่รสู้ กึ หนาวสะท้านขึน้ มาเลยลังเล ขณะถอดเสือ้ ผ้าไปได้ครึง่ ๆ กลางก็นกึ ถึง ค�าพูดของตาเฒ่าขึน้ ได้วา่ นักพุง่ ฉมวกจะไม่กลับมาตลอดคืนนีแ้ น่ และตอนนัน้ ก็ดึกมากแล้ว ผมจึงสลัดความคิดทั้งมวล รีบถอดกางเกงยาวและรองเท้าบู๊ต เป่าเทียนดับแล้วโดดขึ้นเตียงนอน และขอพรให้สวรรค์ปกปักคุ้มครอง ไม่วา่ เบาะบนเตียงจะยัดด้วยซังข้าวโพดหรือเศษกระเบือ้ งเครือ่ งปัน้ ดินเผา ก็ช่างเถอะ เพราะผมรู้สึกสบายที่ได้นอนเกลือกกลิ้งอยู่บนนี้ แต่ก็ข่มตาไม่ลง อยูพ่ กั ใหญ่ แต่ทา้ ยทีส่ ดุ ขณะเริม่ เคลิม้ เข้าสูน่ ทิ รารมณ์ ทันใดผมก็ได้ยนิ เสียง ฝีเท้าย�า่ หนัก มาตามทางเดิน และเห็นแสงริบหรี่สลัวลอดใต้ช่องประตูเข้ามา พระเจ้าช่วย! ผมคิด ต้องเป็นนักพุ่งฉมวก พ่อค้าเร่ขายหัวจอมโหดแน่ ผมยังคงนอนอยู่ในท่าเดิม กะว่าจะไม่พูดอะไรออกมาจนกว่าเขาจะพูดด้วย ชายแปลกหน้านั่นถือเทียนไฟอยู่ในมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างถือซากหัวคน จากนิวซีแลนด์ เขาก้าวเข้ามาในห้องโดยไม่ได้มองมาที่เตียงเลย หลังจาก วางเทียนไขที่พื้นห้องมุมหนึ่งห่างออกไป ก็ง่วนอยู่กับปมเชือกบนถุงใบใหญ่ ทีผ่ มได้พดู ถึงก่อนหน้านี้ ผมพยายามมองหน้า แต่เขาก�าลังหันหน้าไปอีกทาง ขณะแก้เชือกที่มัดปากถุง แต่ในที่สุดเขาก็หันหน้ามา โอ้...พระเจ้า อะไรกันนี่! ใบหน้านั่น! มันมีทั้งสีด�า สีม่วง และสีเหลือง ทั้งมีแผ่นสีด�าคล�้าขนาดใหญ่ แปะอยูจ่ นทัว่ ใช่ อย่างทีผ่ มคิดไว้จริงๆ เขาเป็นเพือ่ นร่วมเตียงทีน่ า่ กลัว คงไป ออกรบจนมีแผลเหวอะหวะและเพิ่งไปหาหมอมา แต่เดี๋ยว...ช่วงที่เขาหัน หน้ า เข้ า ใกล้ แ สงเที ย น ผมเพิ่ ง เห็ น ชั ด ว่ า แผ่ น สี ด� า บนสองแก้ ม นั่ น ไม่ ใ ช่ ผ้าปิดแผล แต่เป็นรอยอะไรบ้างอย่าง ตอนแรกผมไม่รวู้ า่ นมันเป็นอะไร แต่ครูห่ นึง่ เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 31
ก็เกิดคิดวาบขึ้นมาได้ ผมหวนนึกถึงเรื่องเล่าของชายผิวขาวคนหนึ่งซึ่งเป็น นักล่าวาฬเช่นกัน เขาเล่าว่าเคยหลงเข้าไปในเผ่ามนุษย์กินคน แล้วถูกคน พวกนั้นจับสักลายบนตัว ผมจึงสรุปเอาว่า นักพุ่งฉมวกคนนี้คงไปผจญภัย แบบเดียวกันระหว่างเดินทางไกลนัน่ เป็นแน่ แต่ผมคิดในทีส่ ดุ ว่า จะเป็นอะไร ก็ชา่ งเถอะ มันก็แค่ผวิ กายภายนอก คนเราก็ยงั สัตย์ซอื่ ได้ภายใต้ผวิ กายเช่นนัน้ แต่สผี วิ ล่ะ? อะไรท�าให้มนั แปลกผิดมนุษย์มนา ผมหมายถึงผิวหน้าจริงๆ ไม่ใช่ ตรงลายสักสีเ่ หลีย่ มนัน่ ผมแน่ใจว่าเป็นอย่างอืน่ ไปไม่ได้ นอกจากผิวกร�าแดด ของคนเขตร้อน แต่ก็ไม่เคยได้ยินว่าแสงแดดจะลามเลียคนผิวขาวให้กลาย เป็นสีเหลืองม่วงแบบนั้นได้ กระนั้นผมก็ไม่เคยไปทะเลทางใต้มาก่อน บางที ดวงอาทิตย์ที่นั่นอาจท�าให้ผิวคนเปลี่ยนเป็นสีแปลกแบบนั้นก็เป็นได้ ขณะที่ ความคิดทัง้ หลายวาบไปมาในหัว นักพุง่ ฉมวกผูน้ ไี้ ม่ได้สงั เกตเห็นผมเลยสักนิด หลังจากเขาพยายามแกะปมเชือกจนเปิดปากถุงออกได้ก็เริ่มคล�าหาของ ด้านใน ก่อนจะหยิบขวานอินเดียนแดงด้ามหนึ่ง และกระเป๋าหนังแมวน�้าที่มี ขนอยู่เต็มใบหนึ่งออกมา เขาวางของพวกนั้นลงบนหีบเก่าที่อยู่กลางห้อง แล้วหยิบเอาซากหัวมนุษย์จากนิวซีแลนด์น่าเกลียดน่ากลัวนั้นยัดใส่เข้าไปใน ถุงแทน จากนั้นก็ถอดหมวกออก มันเป็นหมวกบีเวอร์ใบใหม่ ผมเกือบหลุด ปากอุทานด้วยความประหลาดใจ บนศีรษะของเขาไม่มีผมสักเส้น แทบไม่มี เลยก็แล้วกัน มีแค่เกลียวผมเป็นกระจุกเล็กๆ ตรงหน้าผาก ชายแปลกหน้าผูน้ ี้ ยืนคั่นระหว่างผมกับประตู ผมควรรีบเผ่นออกไปให้เร็วกว่าเมื่อตอนเขาออก กินอาหารค�า่ ท่าจะดีกว่า ผมคิดแม้กระทั่งจะปีนออกทางหน้าต่าง แต่นี่มันชั้นสองด้านหลังตัวบ้าน ผมไม่ใช่คนขีข้ ลาด แต่ผมอ่านท่าทางของเจ้าคนขายหัวผิวม่วงนีไ่ ม่ออก ความ ไม่รเู้ ป็นบ่อเกิดของความกลัว ท�าให้ผมรูส้ กึ สับสนงุนงงเกีย่ วกับคนแปลกหน้า ผู้นี้ ต้องยอมรับว่าผมรู้สึกกลัวเขามาก เหมือนปีศาจร้ายที่บุกเข้ามาในห้อง ยามดึกสงัด ผมกลัวเขาจนไม่อยากทักทายก่อน และไม่อยากต้องคอยหาค�า อธิบายในความลึกลับของเขาอีก 32 : โมบี-ดิ๊ก
ตอนนัน้ เขาเริม่ ถอดเสือ้ ผ้าทีส่ วมใส่ เผยให้เห็นแผ่นอกและท่อนแขน ให้ตาย เถอะ! เนือ้ ตัวเขาเป็นลายหมากรุกเหมือนกับใบหน้า ทีแ่ ผ่นหลังก็ดว้ ย เหมือน เขาไปร่วมรบในสงครามสามสิบปี7 แล้วเพิ่งหนีกลับมาได้พร้อมผ้าปิดแผล เต็มตัว ยิง่ ไปกว่านัน้ ทีข่ าสองข้างก็มรี อยแผลลายพร้อย จนดูเหมือนฝูงกบเขียว คล�า้ ทีก่ า� ลังโดดเกาะต้นปาล์มอ่อน เป็นทีแ่ น่ชดั แล้วว่าเขาต้องเป็นพวกคนป่า ต�า่ ช้า หรือไม่กน็ กั ล่าวาฬต่างถิน่ ในทะเลใต้ทเี่ รือมาเทียบท่าในเมืองคริสเตียน แห่งนี้ ผมตัวสั่นขึ้นมาทันทีที่คิดได้เช่นนั้น หัวที่เขาเอามาเร่ขายอาจมีหัว พีน่ อ้ งเขารวมอยูด่ ว้ ยก็ได้ เขาอาจนึกอยากได้หวั ของผมด้วยก็ได้ พระเจ้าช่วย! ดูขวานนั่นสิ! แต่หมดเวลากลัวแล้ว เพราะตอนนั้นคนเถื่อนนั่นก�าลังกระท�าบางสิ่งที่ สร้างความฉงนให้กบั ผม ซึง่ ชวนให้คดิ ว่าเป็นคนนอกศาสนาจริงๆ เขาเดินไป ที่เสื้อคลุมซึ่งมีหมวกครอบ หรือเสื้อคลุมหนาของกะลาสี หรือเสื้อคลุมกัน พายุทกี่ อ่ นหน้านีเ้ ขาวางพาดไว้กบั เก้าอี้ ล้วงมือเข้าไปควานหาของบางอย่าง ในกระเป๋าเสื้อ แล้วหยิบเอารูปปั้นยาวลักษณะประหลาดออกมา มีหนอกที่ ด้านหลังด้วย สีสันเหมือนทารกน้อยชาวคองโกวัยสามวัน ผมหวนนึกถึงซาก หัวมนุษย์อาบยาขึ้นมา ตอนแรกเกือบคิดไปว่าร่างเล็กด�าเมี่ยมนั่นคือทารก น้อยจริงๆ ที่ถูกดองไว้เหมือนดองยา แต่มันไม่หยุ่นตัว แถมยังเป็นมันปลาบ ราวกับไม้ตะโกขัดเงา จึงสรุปได้วา่ มันจะเป็นอืน่ ไปไม่ได้นอกจากหุน่ ไม้ และก็ใช่ จริงๆ เจ้าคนป่าเดินไปที่เตาพิงโล่งเปล่า ยกแผ่นปิดเตาที่ท�าจากระดาษออก แล้วเอาหุน่ ไม้หลังค่อมนัน่ วางไว้บนขาหยัง่ วางฟืนเหมือนตัง้ พินโบว์ลงิ่ ผนังเตา และอิฐทุกก้อนในนัน้ ด�าปีไ๋ ปด้วยเขม่าควัน จนผมคิดว่าเตานัน่ เหมาะส�าหรับ เป็นแท่นบูชาเล็กๆ หรือไม่ก็วิหารส�าหรับเทวรูปคองโกของเขาจริงๆ ผมจ้องรูปปัน้ เขม็ง รูส้ กึ หายใจไม่ทวั่ ท้อง คอยจับตามองว่าเขาจะท�าอะไรต่อ แรกสุดเขาขยุ้มขุยไม้ออกมาจากกระเป๋าเสื้อคลุมเต็มสองก�ามือ ค่อยๆ วาง ลงตรงหน้าเทวรูป ตามด้วยเศษขนมปังกรอบเทินไว้ด้านบน ส่วนมืออีก 7
สงครามสามสิบปี เกิดขึ้นช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1618-1648 มีสาเหตุเริ่มต้นมาจากความขัดแย้งระหว่าง โปเตสแตนต์กับคาทอลิกในเยอรมนี ก่อนจะบานปลายไปยังฝรั่งเศส เดนมาร์ค สวีเดน และสเปน
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 33
ข้างคว้าเทียนไขมาจ่อขุยไม้จนลุกไหม้ขึ้นเหมือนไฟบูชายัญ มันไหม้เร็วมาก จนเขาต้องรีบชักมือกลับ (ดูเหมือนนิ้วจะโดนไฟขี้กบนั่นลนเข้าด้วย) แต่ สุดท้ายเขาก็หยิบเอาขนมปังกรอบนัน่ ออกมาได้ จัดการเป่าไล่ความร้อนและ เศษขีเ้ ถ้าแล้วยืน่ ส่งให้เทวรูปด�าอย่างนอบน้อม แต่ดเู หมือนเจ้าปีศาจจิว๋ จะไม่ ชื่นชอบอาหารแห้งผากนั่นเลยสักนิด ไม่อ้าปากรับด้วยซ�้า พฤติกรรมแปลก ประหลาดนั่นด�าเนินไปขณะที่ชายแปลกหน้าผู้เปี่ยมศรัทธาส่งเสียงแหบแห้ง ออกมา ฟังเหมือนเพลงสวด หรือบทสวดของพวกนอกศาสนา หรือชนเผ่า อะไรสักอย่าง ใบหน้าเขาบิดเบีย้ วผิดมนุษย์ขณะเปล่งเสียงสวด หลังสวดเสร็จ เขาก็ดบั ไฟ แล้วหยิบเอาเทวรูปใส่กลับเข้ากระเป๋าเสือ้ คลุมอย่างไม่มพี ธิ รี ตี อง อะไร และไม่ใส่ใจเหมือนนักล่าสัตว์เก็บซากนกปากส้อมลงกระเป๋า พฤติกรรมประหลาดเหล่านัน้ ยิง่ ท�าให้ผมกระสับกระส่าย เมือ่ พิธเี สร็จสิน้ แล้วเดี๋ยวเขาคงโดดขึ้นมาบนเตียงแน่ ผมคิดว่าถึงเวลาต้องเปิดปากพูดเสียที ก่อนเทียนไขจะดับวูบลงและสายเกินการณ์ ขณะที่ผมคิดหาประโยคเด็ดที่อาจมีผลต่อชะตาชีวิตอยู่นั้น เขาก็เดินไป หยิบขวานขึ้นมาจากโต๊ะ ส�ารวจดูหัวของมันครู่หนึ่งแล้วยื่นไปจ่อที่เทียนไข ก้มปากจดลงทางด้ามแล้วพ่นควันยาสูบออกมา ก่อนจะดับเทียน แล้วมนุษย์ กินคนป่าเถือ่ นนัน่ ก็คาบขวานไว้แล้วโดดขึน้ มาบนเตียงเดียวกันกับผม ถึงตอน นัน้ ผมหลุดปากร้องเสียงหลงออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เสียงค�ารามประหลาดใจ ดังขึ้นทันทีที่เขาได้ยินเสียงผม เขาพูดอะไรตะกุกตะกักฟังไม่รเู้ รือ่ ง ผมกลิง้ ตัวห่างออกมาจนชิดผนังห้อง แล้ววิงวอนว่าเขาจะเป็นใครหรืออะไรก็ตามขอให้อยู่นิ่งๆ สักครู่ ให้ผมลุกขึ้น ไปจุดเทียนไขก่อน แต่เสียงแหบห้าวจากล�าคอทีต่ อบกลับมานัน้ ท�าให้รวู้ า่ เขา ไม่ค่อยเข้าใจค�าพูดของผมนัก “นาย-ห่ะ-ใครฟะ?” เขาพูดออกมาในที่สุด “ไม่-พูด ห่ะ! ฉัน-ฆ่าาา” “ลุง! ให้ตายเถอะ ลุงปีเตอร์ โลงศพ!” ผมตะโกนลั่น “ลุงเจ้าบ้าน! ต�ารวจ! ลุงโลงศพ! เทวดา! ช่วยด้วย!” 34 : โมบี-ดิ๊ก
“พูดด! บอก-ฉัน นาย-ใคร? ไม่งั้น-ห่ะ! ฉัน-ฆ่าาา!” มนุษย์กินคนค�ารามขึ้น อีกครัง้ ท�าให้ขวานในปากของเขาแกว่งไกวดูนา่ กลัว ขีเ้ ถ้ายาสูบโปรยลงตัวผม จนคิดว่าเสื้อนอนที่ใส่อาจติดไฟเข้าได้ ตอนนั้นเอง...ขอบคุณสวรรค์ เจ้าของ บ้านพักก็เดินถือเทียนไขก้าวเข้ามาในห้อง ผมรีบกระโจนลงจากเตียงวิ่งไป หาแกทันที “ไม่ต้องกลัวน่า” แกพูดพร้อมกับยิ้มแยกเขี้ยวตามเดิม “ควีเควกคนนี้ไม่ ท�าอันตรายนายแม้แต่ปลายผม” “เลิกยิม้ ซะทีนา่ ” ผมตะคอกใส่แก “ท�าไมลุงไม่บอกผมก่อนว่า นักพุง่ ฉมวก ปีศาจนี่เป็นพวกเผ่ามนุษย์กินคน” “อ้าว! คิดว่านายรุ้แล้ว ก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าเขาเร่เร้ขายหัวในเมืองนี้ มันเรื่องบังเอิญน่ะ เอ่านา นอนต่อเถอะ ควีเควกมองนี่ นายซะบาย-ใจฉัน... ฉันซะบาย-ใจนาย คนนี้นอน-กะนาย...นายซะบายใจ-มั้ย?” “ควีเควกซะบาย-มาก” ควีเควกตอบเสียงขึ้นจมูกขณะพ่นควันจากกล้อง ยาสูบของเขา แล้วนั่งลงบนเตียง “นายนอน-ใน” เขาพูดต่อ ใช้ขวานของเขาชี้บอก แล้วคว้าเสื้อผ้าโยน ไปกองไว้อกี ด้าน เขาไม่เพียงมีมารยาทแต่ยงั มีนา�้ ใจเอือ้ เฟือ้ ผมยืนมองเขาครูห่ นึง่ นอกจากลายสักแล้วตลอดทั้งตัวของเขาสะอาดหมดจด เป็นชนเผ่ากินคน ที่ดูดีทีเดียว ท�าไมผมถึงได้ทึกทักไปเองนัก ชายคนนี้ก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเช่น เดียวกับผม ตัวเขาเองก็มเี หตุผลหลายอย่างทีค่ วรจะกลัวผมเช่นเดียวกับทีผ่ ม หวาดกลัวเขา นอนร่วมเตียงกับคนป่าผูเ้ คร่งขรึมนี่ น่าจะดีกว่านอนร่วมเตียงกับ ชาวคริสเตียนขี้เมาเป็นไหนๆ “ลุง” ผมบอกเจ้าของห้องพัก “ช่วยบอกให้เขาเก็บขวานเสียที หรือจะกล้อง ยาสูบ หรือจะเรียกว่าอะไรก็ตามแต่ที่อยู่ในปากเขาน่ะ บอกให้หยุดสูบเถอะ ผมจะนอนพร้อมเขา แต่ไม่ชอบให้ใครสูบยาบนเตียงเดียวกับผมนะ มันอันตราย ไม่งั้นแล้วผมจะรู้สึกไม่ปลอดภัยน่ะ” ค�าร้องขอของผมได้รับการถ่ายทอดสู่ควีเควก เขายอมท�าตามในทันที เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 35
และชี้มือให้ผมเข้าไปนอนด้านในอย่างสุภาพอีกครั้ง ผมล้มตัวลงนอนที่ด้าน นั้นพร้อมกับพูดว่า “ฉันไม่อยากไปโดนขานาย” “ราตรีสวัสดิ์” ผมบอกเจ้าของบ้านพัก “ลุงกลับไปนอนได้แล้ว” แล้วผมก็นอนหลับสบายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต
36 : โมบี-ดิ๊ก
บทที่ 4
ผ้าคลุมเตียง
เมื่อตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น ก็เห็นแขนข้างหนึ่งของควีเควกก่ายเกยอยู่ บนตัวผมอย่างแสนเสน่หา จนคุณอาจนึกไปว่าผมเป็นภรรยาเขา ผ้าคลุมเตียง เป็นงานต่อผ้ามากชิ้นหลากสี ทั้งสี่เหลี่ยมและสามเหลี่ยม เย็บต่อกันเป็น ผ้าผืนใหญ่ ส่วนลายสักบนแขนของเขาก็เหมือนรูปเขาวงกตที่ไม่มีจุดสิ้นสุด ตามต�านานกรีก และแยกสีผิวจริงๆ ไม่ออก ผมเชื่อว่าตอนออกทะเลเขาคง ไม่ได้ใส่ใจนักว่าแขนจะโดนแดดหรือไม่ และน่าจะถลกแขนเสือ้ ขึน้ อย่างลวกๆ ในลักษณะทีต่ า่ งกันไปแต่ละคราว ดูๆ ไปแล้วลายสักบนแขนเขาก็ไม่ตา่ งอะไร กับลายผ้าคลุมเตียง อันที่จริงตอนลืมตาตื่นขึ้นมา ผมแทบดูไม่ออกด้วยซ�้า ว่านัน่ ลายผ้าหรือลายสักบนแขนเขากันแน่ เพราะสีมนั กลมกลืนกันเหลือเกิน มารู้เอาจากน�า้ หนักกดของวงแขนที่ควีเควกกอดก่ายผมอยู่ ความรูส้ กึ ในตอนนัน้ มันแปลกๆ ผมขออธิบายหน่อยนะ จ�าได้วา่ ตอนเป็นเด็ก ผมเคยเจอเรือ่ งท�านองนีม้ าก่อน ไม่วา่ มันจะเป็นความจริงหรือความฝันก็ตาม แต่ก็ไม่เคยลืมมันเลย ตอนนั้นผมก�าลังเล่นซนอะไรสักอย่าง น่าจะพยายาม ไต่ปล่องไฟขึ้นไป เพราะสองสามวันก่อนหน้านั้นเห็นไม้กวาดด้ามเล็กมัน ท�าได้ ปกติไม่วา่ จะท�าอะไร แม่เลีย้ งมักฟาดผมด้วยรองเท้าแตะเสมอ หรือไม่ ก็ไล่เข้านอนเลยโดยให้อดมื้อเย็น ครั้งนั้นตอนมาเจอเข้า หล่อนก็กระชากขา ผมลงมาจากปล่องไฟแล้วไล่ให้ไปนอน ทั้งที่ตอนนั้นมันบ่ายสองโมงของ วันที่ 21 มิถุนา ซึ่งเป็นวันที่ช่วงกลางวันยาวนานที่สุดในรอบปีทางซีกโลกนี้ เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 37
ผมรู้สึกกลัวแต่ไม่รู้จะท�าอย่างไร จึงขึ้นบันไดไปที่ห้องนอนเล็กๆ ของผมบน ชัน้ สาม ค่อยๆ ถอดเสือ้ ผ้าออกช้าๆ เพือ่ ฆ่าเวลา ก่อนจะนอนละห้อยขมขืน่ ใจ อยู่บนผ้าปูที่นอน ผมนอนหดหู่อยู่บนเตียงนานนับสิบหกชั่วโมงกว่าจะรู้สึกดีขึ้น สิบหก ชั่วโมงเต็มๆ บนเตียง! หลังปวดระบมจนผมไม่กล้านึกถึงมัน และสว่างมาก แล้วด้วย แสงอาทิตย์สาดเข้ามาทางหน้าต่าง รถม้าบนท้องถนนควบผ่านไป มาคึกคัก เสียงสดในร่าเริงดังอยู่ทั่วบ้าน ผมรู้สึกแย่ยิ่งกว่าแย่ ที่สุดก็ลุกขึ้น แต่งตัวสวมถุงเท้ายาว แล้วค่อยๆ ย่องลงมาหาแม่เลี้ยงผมข้างล่าง พอเจอก็ โถมเข้าไปกอดเท้าบอกหล่อนว่าผมส�านึกผิดแล้ว และขอร้องเป็นพิเศษให้ เปลีย่ นการลงโทษส�าหรับความผิดทีผ่ มก่อ จะท�าโทษผมอย่างไรก็ได้ ขออย่าให้ ต้องนอนอยู่บนเตียงนานเหลือทนแบบนั้นเลย แต่หล่อนเป็นยอดแม่เลี้ยง ผูซ้ อื่ ตรงต่อหน้าทีท่ ส่ี ดุ ผมจึงต้องกลับไปทีห่ อ้ งอีกครัง้ ผมนอนตาค้างอยูบ่ นเตียง อีกหลายชัว่ โมง รูส้ กึ แย่ยงิ่ กว่าครัง้ ก่อนทีเ่ คยโดนลงโทษ แม้ครัง้ นัน้ คิดว่าหนัก ที่สุดแล้ว สุดท้ายผมก็เคลิ้มหลับไปและฝันร้าย ฝันว่าตัวเองค่อยๆ ลืมตาขึ้น มาด้วยความรู้สึกครึ่งหลับครึ่งตื่น มันค่อนรุ่งแล้ว ภายในห้องยังปกคลุมไป ด้วยความมืดมิดจากภายนอก ทันใดนั้นเอง ผมรู้สึกถึงแรงกระแทกเข้ามา ในร่าง แต่กลับมองไม่เห็นอะไร ไม่ได้ยนิ เสียงอะไร มีเพียงมือประหลาดทะลวง แทรกเข้ามาในตัวผม แขนผมพาดอยู่บนผ้าปูเตียง เจ้าของมือประหลาดซึ่ง ไร้ชื่อ ไร้รูปไร้เสียง เหมือนปีศาจ ก�าลังนั่งนิ่งเงียบอยู่ข้างเตียงใกล้ผม เวลา ผ่านไปนานเท่านาน ผมยังคงนอนอยูใ่ นท่าเดิม ตัวแข็งทือ่ ด้วยความกลัวสุดขีด ไม่กล้าแม้แต่จะชักมือหนี แม้คดิ ได้วา่ ถ้าขยับแค่นดิ เดียวอาจท�าให้มนต์สะกด นั่นคลายลงก็ได้ ผมไม่รู้ว่าผ่านสภาวะจิตแบบนั้นมาได้อย่างไร แต่เมื่อตื่นขึ้น อีกทีในตอนเช้า ผมยังคงจดจ�าความน่าขนลุกนัน้ หลายวัน หลายสัปดาห์ และ หลายเดือนต่อมา ผมก็ยงั สับสนครุน่ คิดถึงความลีล้ บั นัน่ และ...แม้กระทัง่ เดีย๋ วนี้ ผมยังคงงงงวยกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ความกลัวจนตัวสั่นนั่นไม่หลงเหลืออีกแล้ว แต่สัมผัสของมือประหลาด 38 : โมบี-ดิ๊ก
นั้นช่างสร้างความรู้สึกแปลกๆ แบบเดียวกับที่รู้สึกเมื่อตอนตื่นขึ้นมาแล้ว พบแขนของคนป่าควีเควกพาดอยู่บนตัว แม้หวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในค�่าคืนที่ผ่านมาทีละฉากอยู่นานสองนาน ผมก็ยังต้องนอนอยู่ในสภาพนั้น เพราะแม้พยายามแกะมือของเขาออกให้หลุดพ้นจากสภาพอีหลักอีเหลือ่ ของ เจ้าบ่าวเจ้าสาว แต่เขาก็กอดผมไว้แน่นแม้ยังหลับอยู่ ราวกับว่าไม่มีอะไรจะ มาพรากเราสองแยกจากกันได้นอกจากความตาย ผมจึงตัดสินใจปลุกเขา “ควีเควก!” แต่เขาก็แค่ส่งเสียงกรนตอบ ผมจึงพยายามพลิกตัว แต่รู้สึกคอ หนักอึ้งเหมือนมีปลอกคอม้ารัดอยู่ ทันใดผมรู้สึกว่าถูกอะไรบาดเข้าให้เบาๆ แล้ว เมื่อตลบผ้าคลุมเตียงออกไปอีกด้านหนึ่ง ก็เห็นขวานอินเดียนแดง วางแนบอยูข่ า้ งตัวคนเถือ่ นนี่ ราวกับว่ามันเป็นเด็กน้อยทีม่ ใี บหน้าเป็นรูปขวาน แสบสันต์จริงๆ! ผมคิด กลางวันแสกๆ ดันมานอนบนเตียงในบ้านประหลาด กับมนุษย์กนิ คนและขวาน! “ควีเควก! ให้ตายสิฟะ! ควีเควก ตืน่ โว้ย!”หลังจาก พยายามอยูพ่ กั ใหญ่ ทัง้ ดิน้ ทัง้ ตะโกนลัน่ ไม่หยุด เพราะอดสูใจทีผ่ ชู้ ายทัง้ แท่งดัน มานอนกอดกันราวกับคูร่ กั เขาก็สง่ เสียงฮึดฮัดออกมาแล้วชักแขนกลับ สะบัด ตัวไปมาเหมือนสุนัขนิวเฟาด์แลนด์ที่เพิ่งขึ้นมาจากน�้า ก่อนจะลุกขึ้นนั่งบน เตียง หลังตรงแน่วราวกับด้ามทวน มองตรงมายังผมและขยีส้ องตาราวกับจ�า ไม่ได้วา่ ผมมาอยูท่ นี่ นั่ ได้ยงั ไง แม้ดจู ะเริม่ นึกอะไรออกเลาๆ แล้ว ในจังหวะนัน้ ผมจ้องมองเขาอยูอ่ ย่างเงียบๆ ไม่หลงเหลือความหวาดหวัน่ มีเพียงความมุง่ มัน่ กระหายใคร่สา� รวจบุคคลตรงหน้า ครูเ่ ดียวเขาจะเริม่ จ�าเพือ่ นร่วมเตียงได้ และ ปรับความรู้สึกให้ยอมรับ ก่อนจะโดดลงจากเตียงแล้วท�ามือบุ้ยใบ้ถาม ว่าจะ ว่าอะไรไหมถ้าเขาขอแต่งตัวก่อน แล้วให้ผมได้อยู่ในห้องนี้ตามล�าพังเพื่อ จะได้สวมเสื้อผ้าของตัวเองบ้าง ผมคิดว่า ควีเควกเริ่มต้นความสัมพันธ์ใน สถานการณ์แบบนั้นได้อย่างศิวิไลซ์ แต่จริงๆ แล้ว พูดได้ว่าคนป่าเหล่าต่างนี้ มีสัญชาตญาณอันละเอียดอ่อน และสุภาพอ่อนโยนอย่างน่าทึ่ง ผมขอชื่นชม จุดดีข้อนี้ของควีเควก เพราะเขาปฏิบัติต่อผมเยี่ยงผู้ดีมีการศึกษา จนผมต้อง รูส้ กึ ละอายในความหยาบคายของตนเอง ทีเ่ อาแต่นงั่ บนเตียงจ้องมองท่าทาง เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 39
เขาขณะแต่งกาย ด้วยความสอดรู้สอดเห็นจนลืมเลือนมารยาทไป กระนั้น ควีเควกก็ไม่ใช่คนทีค่ ณ ุ จะพบเห็นได้งา่ ยๆ ตัวเขาและอากัปกิรยิ าของเขาควร ค่าต่อการใส่ใจเป็นอย่างยิ่ง เขาเริ่มแต่งตัวจากข้างบน โดยสวมหมวกบีเวอร์ทรงสูงก่อน แล้วกวาดตา มองหารองเท้าบูต๊ ทัง้ ๆ ทีย่ งั ไม่ได้ใส่กางเกง จากนัน้ ก็พยายามเบียดตัวเข้าไป ใต้เตียง โดยมีรองเท้าอยูใ่ นมือ และหมวกสวมอยูบ่ นหัว ผมบอกไม่ได้เหมือน กันว่าท�าไมต้องท�าอะไรพิสดารขนาดนั้น พักเดียวใบหน้าก็เริ่มขึงเครียดและ หอบหายใจหนัก ผมคิดว่าเขาคงเพียรพยายามสวมรองเท้า ด้วยวิธที รี่ กั ความ เป็นส่วนตัวเหลือเกินชนิดที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน แต่จะว่าไป ควีเควกก็ เป็นสิ่งมีชีวิตที่ก�าลังกลายร่าง ไม่ใช่ทั้งดักแด้และไม่ใช่ผีเสื้อ เขามีวัฒนธรรม พอที่จะแสดงออกถึงความต่างวัฒนธรรมในอาการที่แปลกประหลาดที่สุด การศึกษาของเขายังไม่สมบูรณ์ เขายังด้อยการศึกษา ถ้าไม่ด้อยวัฒนธรรม คงไม่ตอ้ งยุง่ ยากกับแค่การสวมรองเท้า แต่ถา้ ยังเป็นคนป่าเต็มตัว เขาคงไม่คดิ ทีจ่ ะสวมใส่มนั จากใต้เตียงนัน่ หรอก ในทีส่ ดุ เขาก็โผล่ขนึ้ มา เห็นหมวกย่นเผล่ ลงมาแทบปิดตา แล้วลุกเดินกระย่องกระแย่งส่งเสียงอีด๊ อ๊าดไปทัว่ ห้องราวกับ ไม่เคยคุ้นกับบู๊ตที่สวมใส่อยู่ รองเท้าหนังวัวยับย่นเปียกชื้นคู่นั้นก็ไม่น่าจะ สั่งท�ามาโดยเฉพาะด้วย มันกัดเท้าและสร้างความทรมานให้แก่เขานับแต่ ก้าวแรกที่เดินย�่าลงบนพื้นในยามเช้าอันหนาวเย็นสุดขั้ว เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างที่ปราศจากผ้าม่าน เห็นถนนแคบเล็กด้าน นอก บ้านที่อยู่ฝั่งตรงข้ามมองเข้ามาในห้องได้อย่างสบาย ยิ่งหันกลับมา เพ่งดูควีเควกที่ยังเดินย่องแย่งโดยสวมใส่เพียงหมวกและรองเท้าบู๊ตเท่านั้น ผมยิ่งรู้สึกว่าไม่เหมาะแน่ จึงพยายามขอร้องเท่าที่พอจะสื่อสารกันได้ ให้เขา สวมใส่อะไรเพิ่มหน่อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งกางเกง เขาก็ยอมท�าตามก่อนจะ เดินไปท�าความสะอาดตัว หากเป็นชาวคริสต์ในช่วงเวลาเช้าแบบนี้ คงต้องล้าง หน้าก่อนเป็นล�าดับแรก หากควีเควกท�าให้ผมต้องฉงน เขาล้างแผ่นอก แขน แล้วก็มือก่อน จากนั้นก็สวมเสื้อกั๊ก คว้าเอาก้อนสบู่บนโต๊ะกลางที่วาง 40 : โมบี-ดิ๊ก
อ่างล้างหน้าไว้จุ่มน�้า แล้วยกขึ้นถูหน้าตัวเอง ผมคอยจับตามองว่าเขาเก็บ มีดโกนไว้ตรงไหน แล้วก็นั่นไง เขาคว้าเอาฉมวกจากมุมเตียงมาถอดด้าม ไม้ยาวออกเหลือแต่หัวเหล็ก ถูลับคมสองสามครั้งกับรองเท้าบู๊ต แล้วลุก เดินอาดๆ ไปยืนอยู่หน้ากระจกบานเล็กบนผนัง ก่อนจะเริ่มโกนหนวดอย่าง คล่องแคล่ว ซึง่ เป็นการใช้ฉมวกปาดฉวัดเฉวียนไปมาบนสองแก้มเสียมากกว่า แต่ผมว่าต่อให้มีดโกนชั้นดีของโรเจอร์1ยังต้องอาย แล้วก็หายแปลกใจเมื่อ มารูภ้ ายหลังว่า ใบมีดฉมวกนัน้ ท�าจากเหล็กกล้าชัน้ ดีเพียงใด และคมเรียวยาว นั้นคมกริบอยู่ได้เพราะได้รับการลับอยู่เสมอนั่นเอง ครูต่ อ่ มาเขาก็แต่งตัวเสร็จ มีเสือ้ แจ๊กเก็ตกะลาสีสวมทับ พกฉมวกเป็นอาวุธ คู่กายเหมือนนายพลพกคทาคู่ตัว แล้วสาวเท้าออกจากห้องไปอย่างภาคภูมิ
1
มีดโกนชั้นดีของโรเจอร์-บริษัทโจเซฟ ร็อดเจอร์และลูกในอังกฤษ มีชื่อเสียงด้านผลิตมีด
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 41
บทที่ 5
อาหารเช้า
ผมรีบจัดการแต่งตัวแล้วตามลงไปทีบ่ าร์ เจ้าของบ้านพักยิม้ กริม่ ทักทายอย่าง แสนเป็นมิตร ผมไม่ถือสาแกอีก แม้ว่าแกจะเคยเล่นตลกกับผมไม่เบาเรื่อง เพื่อนร่วมเตียง ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การได้หัวเราะอย่างจริงจังเป็นเรื่องดี และเรื่องดีๆ ย่อมเกิดขึน้ ค่อนข้างยาก ซึง่ ก็นา่ เสียดายมาก ฉะนัน้ หากใครพยายามสรรหา เรื่องสนุกมาท�าให้ทุกคนได้หัวเราะกัน เท่าที่ตัวเขาจะท�าได้ ก็อย่าไปขัดเขา เลย ปล่อยให้เขาได้สนุก และท�าให้คนอื่นได้สนุกด้วยจะดีกว่า และแน่ใจ ได้เลยว่า คนคนนั้นย่อมมีอะไรในตัวมากกว่าที่คุณคิด ตอนนั้นห้องนั่งเล่นเต็มไปด้วยแขกผู้มาพัก หลายคนเดินทางมาถึงตั้งแต่ เมื่อคืน และอีกหลายคนที่ผมยังไม่เคยเห็นหน้า แทบทุกคนล้วนเป็นนัก ล่าวาฬ มีทั้งบรรดาต้นเรือ1 ต้นหน2 ผู้ช่วยต้นเรือ ช่างไม้บนเรือ ช่างท�า ถังไม้บนเรือ ช่างตีเหล็กบนเรือ นักพุง่ ฉมวก คนเฝ้าเรือ ต่างร่างก�าย�ากร�าแดด ผมเผ้าหนวดเครายาวรุงรัง ทุกคนสวมเสือ้ แจ๊คเก็ตกะลาสีเป็นเครือ่ งแต่งกาย ในตอนเช้า คุณแทบมองออกเลยว่าใครขึน้ ฝัง่ มานานแค่ไหนแล้ว เจ้าหนุม่ น้อยแก้มใส คล้ายลูกแพรโดนแดดเผาจนเข้ม และเหมือนจะมีกลิน่ หอมจางๆ ด้วยนัน่ เพิง่ กลับมาจากอินเดียและขึ้นฝั่งมาได้ไม่ถึงสามวัน ชายคนถัดจากเขาไปมีสีผิว 1 2
ต้นเรือ-รองกัปตัน ต้นหน-เจ้าหน้าที่ชี้ทิศทางเดินเรือ
42 : โมบี-ดิ๊ก
ทีด่ ใู สกว่า ราวกับเนือ้ ไม้เรียบลืน่ เป็นเงามัน ผิวคนต่อมาสีจางลงไปมาก เหลือ แค่นา�้ ตาลอ่อนๆ จากเขตเมืองร้อน ไม่ตอ้ งสงสัยเลยว่าเขาขึน้ ฝัง่ มาพักแรมได้ หลายสัปดาห์แล้ว แต่ใครจะมีสีแก้มเหมือนควีเควกล่ะ? เพราะแถบสีสันนั่น ช่างคล้ายเส้นเขาลาดทางทิศตะวันตกของเทือกเขาแอนดีส ทีย่ าวตัดผ่านพืน้ ที่ สองฝากฝั่งซึ่งมีภูมิอากาศแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง “เอ้า! หม�่า!” ตาเฒ่าร้องเรียก แล้วผลักประตูออกให้พวกเราเดินเข้าไป กินอาหารเช้าด้านใน ว่ากันว่า ใครได้เห็นโลกมามากย่อมวางตัวได้สุขุมไม่เขอะเขินในการเข้า สมาคม แต่ผมว่าไม่เสมอไป อย่างน้อยนักส�ารวจผู้ยิ่งใหญ่อย่างเลดยาร์ด3 และมังโก พาร์ค4 ก็คงวางตัวไม่ถูกในห้องรับรองแบบนี้แน่ การเดินทางข้าม ไซบีเรียด้วยสุนัขลากเลื่อนอย่างที่เลดยาร์ดท�า หรือการเดินทางเดียวดายบน เส้นทางยาวไกลและหิวโหย กลางดินแดนชนผิวด�าในแอฟริกาอย่างมังโกผูน้ า่ สมเพชท�า ผมบอกได้เลยว่า การเดินทางแบบนัน้ อาจไม่ชว่ ยขัดเกลาท่าทางใน การออกสังคมได้หรอก ทีส่ า� คัญ การเดินทางในลักษณะนัน้ มีให้เห็นทุกทีด่ ว้ ย ผมคิดเรือ่ งพวกนัน้ หลังจากทีเ่ รานัง่ กันทีโ่ ต๊ะอาหาร และคอยฟังเรือ่ งเด็ดๆ เกีย่ วกับการล่าวาฬ แต่กต็ อ้ งประหลาดใจไม่นอ้ ยทีเ่ ห็นทุกคนแทบจะนิง่ เงียบ กันหมด แถมยังดูเขอะเขินด้วย จริงอยู.่ ..คนทีน่ งั่ รวมกันตรงนัน้ ล้วนเป็นชาวเล ไม่มีทีท่าประหม่าแม้น้อยนิดยามเมื่อออกเรือล่าฝูงวาฬกลางทะเลลึก และสู้ กับเจ้าตัวประหลาดนัน่ ยิบตา แต่การสังสรรค์ทโี่ ต๊ะอาหารเช้าในหมูเ่ พือ่ นร่วม อาชีพซึง่ มีประสบการณ์คล้ายกัน ต่างกลับเหนียมอายเข้าหากัน ราวกับแกะที่ มีเจ้าของคอกเขาเขียวคอยก�ากับไม่วางตา จนนักล่าวาฬเหล่านั้นดูคล้ายหมี ขี้อายหรือนักรบผู้ขลาดเขลาไปอย่างประหลาด! ส�าหรับควีเควกแล้ว ผมนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเขาก็นั่งอยู่ท่ามกลางคนพวก นั้นด้วย นั่งอยู่ที่หัวโต๊ะเสียด้วย ท่าทางเยือกเย็นจนดูเย็นชา แต่จริงๆ แล้ว จอห์น เลดยาร์ด-(ค.ศ. 1751-1789) นักส�ารวจชาวอเมริกนั ผูเ้ ดินทางไปกับกัปตันเจมส์ คุกช่วงทีค่ น้ พบ ฮาวาย 4 มังโก พาร์ค-นักส�ารวจชาวสก็อต (ค.ศ. 1771-1806) ผู้เดินทางไปส�ารวจทวีปแอฟริกา 3
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 43
ผมก็อธิบายถึงอากัปกิริยาของเขาไม่ได้มากนักหรอก เพราะต่อให้เลื่อมใส เขาเพียงใด ก็ยังตะขิดตะขวงใจที่เห็นเขาน�าฉมวกมาที่โต๊ะอาหารเช้าด้วย เขาใช้มันอย่างไม่มีพิธีรีตองอะไร จับเหวี่ยงหวืดเฉียดหัวหลายคนไปอย่าง น่าหวาดเสียว แล้วก็จมิ้ สเต็กจากอีกด้านของโต๊ะกลับมา แต่ดว้ ยท่าทางทีเ่ ยือก เย็นเหลือเกิน จนทุกคนย่อมประเมินออกว่า ใครที่ท�าอะไรได้สุขุมถึงปานนั้น ย่อมท�าไปด้วยความสุภาพที่สุดแล้ว ผมขอไม่พูดถึงพฤติกรรมประหลาดทุกอย่างของควีเควกดีกว่า เขาไม่ สนใจกาแฟกับขนมปังร้อนเลย เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาจัดการกับสเต็กเนื้อ กึ่งดิบกึ่งสุกตรงหน้า เมื่ออิ่มแล้วและมื้อเช้าสิ้นสุดลง เขาก็ลุกขึ้นเดินไปยัง ห้องนั่งเล่นเหมือนกับคนอื่นๆ จากนั้นก็จุดขวานกล้องยาสูบ แล้วนั่งสูบยา ย่อยอาหารอยู่เงียบๆ โดยมีหมวกใบเก่งสวมอยู่บนหัวไม่ห่าง ส่วนผมเดิน ผ่านออกไปทอดน่องด้านนอก
44 : โมบี-ดิ๊ก
บทที่ 6
ถนน
หากตอนแรกผมรู้สึกประหลาดใจ ที่ได้เห็นลักษณะเฉพาะตัวอันแปลกพิกล ของควีเควกขณะเข้าสังคมในเมืองอันศิวิไลซ์ ความประหลาดใจนั่นก็มลาย ไปนับแต่ก้าวแรกที่ออกมาเดินทอดน่องไปตามถนนในเมืองนิวเบดฟอร์ด ถนนริมท่าในเมืองท่าส�าคัญๆ มักเห็นภาพแปลกตาของผู้คนที่ไม่รู้ว่า เป็นเชื้อชาติไหนกันแน่ แม้แต่ถนนในบอร์ดเวย์และเชสต์นัต กะลาสีชาว เมดิเตอร์เรนียนอาจเดินชนบรรดาสุภาพสตรีขี้ตกใจเข้าได้ ส่วนถนนรีเจนต์1 มีกะลาสีอินเดียและมลายูให้เห็นไม่ขาดตา ในอพอลโลกรีน2ที่บอมเบย์ ชาวอเมริกันซึ่งไปอาศัยอยู่ก็มักตกใจกลัวชาวพื้นเมือง แต่ที่นิวเบดฟอร์ดกิน ขาดทัง้ วอเตอร์สตรีต3และวาปปิง้ 4 เพราะแม้สองเมืองท่าหลังสุดนัน่ จะเห็นแต่ กะลาสีเกลือ่ นตาไปหมด แต่ทนี่ วิ เบดฟอร์ด คุณจะเห็นแม้กระทัง่ มนุษย์กนิ คน จริงๆ ยืนคุยกันอยูต่ ามมุมถนน คนป่าตัวจริงหล่านีห้ ลายคนยังถือกระดูกสดๆ ซึ่งยังไม่ผ่านพิธีศักดิ์สิทธิ์ไว้ด้วย จนท�าให้ผู้คนที่ผ่านไปมาต้องจ้องตาค้าง นอกจากชาวเกาะฟิจิ ชาวทองก้า ชาวเออโรแมงโก5 ชาวปีนงั ชาวไบร์กไจ6 และสารพัดกะลาสีที่มากับเรือล่าวาฬเดินกันขวักไขว่เกลื่อนถนน คุณจะได้ ถนนรีเจนต์-ในย่านสรรพสินค้า กรุงลอนดอน อพอลโลกรีน-สนามเดินพาเหรด 3 เมืองท่าหลายเมืองมี “ถนนริมน�้า” ในที่นี้น่าจะหมายถึงถนนย่านการค้าหรูในวิเวอร์พูล อังกฤษ 4 วาปปิ้ง-ย่านริมท่าในอังกฤษ 5 เออโรแมงโก-หมู่เกาะวานูอาตู ทางมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ 6 ไบร์กไจ-ไม่เป็นที่ทราบว่า เมลวิลล์หมายถึงชนชาติใด 1 2
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 45
เห็นภาพแปลกๆ น่าขันอีกมากมาย สัปดาห์นนั้ มีเด็กหนุม่ จากเวอร์มอนต์และ นิวแฮมเชียร์มาถึง ต่างมุง่ มัน่ มาแสวงโชคกับการล่าวาฬ พวกเขายังหนุม่ แน่น และมีร่างกายบึกบึน หนุ่มน้อยผู้โค่นป่าดงพงไพรตัดสินใจวางขวานแล้วหัน มาจับฉมวกล่าวาฬแทน หลายคนยังสดใหม่พอๆ กับบรรยากาศบนเขาเขียว7 ที่พวกเขาจากมา แค่ชั่วโมงสองชั่วโมงคุณเป็นต้องได้เห็นพวกเขา นั่นไง! เดินวางมาดอยู่มุมถนนนั่นก็คนหนึ่ง เขาสวมหมวกบีเวอร์ ใส่เสื้อคลุมยาว สองชาย คาดเข็มขัดทหารเรือและพกมีดพร้อมฝัก โน่นก็อกี คน สวมหมวกกันน�า้ เซาเวสเตอร์และเสื้อคลุมทอไหมและขนสัตว์ ไม่มหี นุม่ เจ้าส�าอางทีโ่ ตในเมืองคนใด จะเอาตัวเองไปเปรียบกับหนุม่ บ้านนอก หรอก ผมหมายถึงหนุม่ เจ้าส�าอางทีโ่ ตในบ้านนอกน่ะ เพราะแม้ในวันร้อนอบอ้าว ทีส่ ดุ ของปี หมอนัน่ ดันสวมถึงมือหนังกวางไปดายหญ้าห้าไร่เพราะกลัวมือกร�า แดด แล้วเมื่อหนุ่มเจ้าส�าอางที่ว่าอยากดูเด่นเป็นสง่ายามเข้าร่วมการล่าวาฬ คุณก็จะเห็นภาพน่าขันของเขาแถวๆ ท่าเรือ อย่างเช่นชุดออกทะเล ก็สงั่ ช่างเสือ้ ให้ ติดกระดุมรูปกระดิง่ บนเสือ้ กัก๊ แถมด้วยสายหิว้ กางเกงผ้าใบ โธ่...เจ้าหนุม่ บ้านนอก เอ๊ย! แค่พายุกรรโชกทีเดียวสายหิว้ นัน่ ก็รงุ่ ริง่ แล้ว ยามเมือ่ ลมกระหน�า่ นาย ไม่วา่ สายหิ้วกางเกง กระดุม และทุกสิ่ง ต่างก็กลืนหายไปในพายุหมุนนั่นทั้งนั้น แต่อย่าคิดว่าเมืองอันโด่งดังนี่จะมีแค่นักพุ่งฉมวก ชาวเผ่ากินคน และคน บ้านนอกมาเยือนเท่านัน้ เปล่าเลย...ถึงอย่างไรนิวเบดฟอร์ดก็ยงั คงเป็นสถานที่ แปลกประหลาดอยู่ดี แปลกส�าหรับพวกเราเหล่านักล่าวาฬด้วย ด้วยตั้งอยู่ โดดเดีย่ วคล้ายๆ กับชายฝัง่ ทะเลลาบราดอร์เลยทีเดียว แค่พนื้ ทีด่ า้ นหลังก็นา่ กลัว แล้ว เพราะดูคล้ายซากกระดูกยังไงยังงัน้ แม้ตวั เมืองเองอาจเป็นสถานทีท่ นี่ า่ อยู่ ที่สุดในบรรดาเมืองทั้งหลายทั่วนิวอิงแลนด์ เนื่องจากเป็นแหล่งน�า้ มัน8 แต่ก็ ต่างจากเคนาน ซึง่ เป็นดินแดนแห่งข้าวโพดและไวน์อกี ที่ ถนนในนิวเบดฟอร์ด ไม่ได้อุดมด้วยนมและไข่สดในช่วงฤดูใบไม้ผลิ แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่มีที่ไหนใน อเมริกาที่คุณจะได้พบเห็นบ้านเรือนใหญ่โตเยี่ยงบ้านขุนนางชั้นสูง ลานจอด 7 8
เทือกเขาแอปพาเลเชีย จากตอนใต้ของแคนาดา เวอร์มอนต์ จนจรดแมสซาชูเซตส์ แหล่งน�้ามัน-ในที่นี้หมายถึงน�้ามันจากไขวาฬ
46 : โมบี-ดิ๊ก
รถม้า และสวนอุทยานมากเท่านิวเบดฟอร์ด พวกเขามาจากทีไ่ หนกันบ้างนะ? และ มาตัง้ รกรากในพืน้ ทีท่ คี่ รัง้ หนึง่ เป็นดินแดนซากลาวาของประเทศได้อย่างไรกัน? หากเข้าไปเห็นฉมวกเหล็กกล้าที่อยู่ตรงนั้นตรงโน่นรอบคฤหาสน์หรูนั่น แล้วคุณจะรู้ค�าตอบ ใช่แล้ว...บ้านของผู้กล้าและสวนดอกไม้งามเหล่านั้น มาจากทะเลแอตแลนติค แปซิฟิก และอินเดียนั่นเอง ต่างเคยใช้ฉมวกออก ล่าวาฬและลากทุกตัวขึ้นมาจากก้นทะเล ต่อให้ท่านอเล็กซานเดอร์9เอง จะ แสดงกลแบบนั้นได้หรือ? กล่าวกันว่า ในนิวเบดฟอร์ดพ่อจะมอบวาฬเป็นสินสมรสแก่ลกู สาว และโลมา แก่หลานสาว คุณต้องเดินทางไปทีน่ วิ เบดฟอร์ดแล้วจะได้เห็นว่า งานแต่งงาน ที่นั่นช่างสว่างแพรวพรายเพียงใด เพราะว่ากันว่าในบ้านแต่ละหลังต่างมี บ่อน�า้ มันวาฬอยู่ ทุกๆ คืนจะจุดเทียนไขหัววาฬ10ขึน้ อย่างสุรยุ่ สุรา่ ยยาวนาน ช่วงฤดูร้อนเมืองทั้งเมืองช่างน่าดู เมเปิ้ลงามยืนต้นเป็นสีเขียวสีทองยาว เรียงรายตลอดสองฝั่งถนน ส่วนเดือนสิงหาลมแรงจัด เกาลัดออกดอกงาม สะพรั่งเต็มต้นมองดูคล้ายโคมระย้า ช่อดอกเรียวกรวยเบ่งบานตระการตา แก่ผู้ผ่านไปมา ธรรมชาติดลบันดาลสีสันแก่นิวเบดฟอร์ด หลายที่แต่งแต้ม ด้วยดอกไม้สดใสสว่างตาอยู่เหนือเนินหินแห้งแล้งที่เคยถูกปล่อยปละทิ้งร้าง สาวๆ ชาวนิวเบดฟอร์ดก็เอิบอิม่ ราวกุหลาบแรกแย้ม แต่กกุ ลาบจริงจะบาน สะพรัง่ เฉพาะช่วงฤดูรอ้ นเท่านัน้ แก้มพวกเธอก็งามดัง่ คาร์เนชัน่ เรือ่ แดงราว แสงอาทิตย์ในสรวงสวรรค์ชนั้ เจ็ด สาวเมืองไหนๆ ก็ไม่เอิบอิม่ เท่า เว้นเสียแต่ ที่ซาเล็ม11 มีคนบอกผมว่า สาวน้อยที่นั่นหอมรัญจวนใจ จนกะลาสีคู่รักของ พวกหล่อนได้กลิน่ ตัง้ แต่อยูห่ า่ งจากฝัง่ ตัง้ หลายไมล์ ราวกับว่าพวกหนุม่ ๆ นัน่ ก�าลังล่องเรือไปใกล้หมูเ่ กาะโมลุกกะ แทนทีจ่ ะเป็นชายหาดของพวกพิวริตนั 12 อเล็กซานเดอร์ ไฮม์บือเกอร์(ค.ศ. 1819-1909) นักมายากลชาวเยอรมันผู้โด่งดังไปทั่วโลก ไขหัววาฬ-ไขที่หัวของวาฬสเปิร์ม (วาฬหัวทุย) 11 ในรัฐแมสซาชูเซตส์ เป็นเมืองหลักที่มีการไต่สวนทรมานผู้ถูกกล่าวหาเป็นแม่มด ในปี 1692-1693 12 กลุ่มคริสต์ศาสนิกชนหัวรุนแรงซึ่งทรงอิทธิพลในเมืองซาเล็ม รัฐแมสซาชูเซตส์ และให้มีการไต่สวน ล่าแม่มดที่นั่น 9
10
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 47
บทที่ 7
โบสถ์
ที่นิวเบดฟอร์ดก็มีโบสถ์ขาวของนักล่าวาฬ1 ชาวประมงอารมณ์ขุ่นมัวบางคน ต้องรีบออกเดินทางไปมหาสมุทรอินเดียหรือแปซิฟิก จึงไม่ได้ไปโบสถ์ในวัน อาทิตย์ แต่ผมไม่ยอมพลาดแน่ ขากลับตอนเดินทอดน่องในเช้าวันแรก ผมยังคงเดินเตร่ไปยังโบสถ์นั่น อากาศเปลี่ยนจากฟ้าใสแดดแรงในหน้าหนาว กลายเป็นหมอกหนาและ ตั้งเค้าพายุลูกเห็บ ผมห่อตัวอยู่ภายใต้เสื้อแจ๊กเก็ตหนังหมีขนหยาบเดินฝ่า กระแสลมแรง เมือ่ เข้าไปในโบสถ์ เห็นคนกลุม่ เล็กๆ นัง่ กระจัดกระจายกันอยู่ มีทั้งกะลาสี ภรรยากะลาสี และภรรยาม่ายของกะลาสี ต่างก�าลังสวดภาวนา อยูเ่ งียบๆ มีเพียงเสียงหวีดหวิวของพายุแทรกขึน้ เป็นครัง้ คราว ดูเหมือนผูม้ า โบสถ์ตา่ งจงใจนัง่ แยกห่างจากกัน ราวกับความเศร้าโศกอันเงียบงันท�าให้ตอ้ ง ปิดกัน้ ตัวเองและไม่อาจบ่งบอกใครได้ ตอนนัน้ บาทหลวงยังมาไม่ถงึ ชายหญิง ผู้เสมือนเกาะโดดเดี่ยวเงียบงันเหล่านั้น จึงได้แต่นั่งมองพวกป้ายหินอ่อน ในกรอบด�าซึ่งฉาบปูนติดอยู่ที่ผนังโบสถ์ซ้ายขวาของแท่นเทศน์ สามแผ่นมี ข้อความท�านองนี้ (ผมไม่แน่ใจว่าจ�าได้ถูกทุกค�านะ)
1
โบสถ์ขาวของนักล่าวาฬ-โบสถ์เล็กฝาไม้ทาสีขาว ถือเป็นปูชนียสถานของชาวประมง
48 : โมบี-ดิ๊ก
อุทิศเพื่อเป็นอนุสรณ์แด่จอห์น ทอลบอต ในช่วงวัยสิบแปดปี เขาได้ตกทะเล แถวเกาะเดโซเลชัน นอกฝั่งพาตาโกเนีย เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 1836 ป้ายจารึกนี้ สร้างขึ้นเพื่อร�าลึกถึงเขา โดยพี่สาว *** อุทิศเพื่อเป็นอนุสรณ์แด่ โรเบิร์ต ลอง, วิลลิส เอลเลอรี, นาทาน โคลแมน, วอลเตอร์ แคนนี, เซท เมซี และแซมมวล กลีก กลุ่มกะลาสีเรือเล็กจากเรือเอลิซา และถูกวาฬลากจมหายไป ในทะเลเปิดนอกฝั่ง2แห่งมหาสมุทรแปซิฟิก เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 1839 จารึกหินอ่อนนี้ เพื่อนกะลาสีที่รอดชีวิตเป็นผู้จัดวาง *** อุทิศเพื่อเป็นอนุสรณ์แด่ กัปตันเอเซกิเอล ฮาร์ดี ผู้ล่วงลับ เขาถูกสังหารโดยวาฬหัวทุย ขณะอยู่บนหัวเรือตนเอง ณ บริเวณฝั่งทะเลญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 1833 ป้ายจารึกนี้ สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงเขา โดยภรรยาม่าย
ผมสลัดเกล็ดหิมะบนหมวกและเสือ้ แจ๊กเก็ตออกก่อนก้าวไปนัง่ ใกล้ประตู แล้ว ก็ต้องประหลาดใจเมื่อหันไปเห็นควีเควกนั่งอยู่ใกล้ๆ บรรยากาศเคร่งขรึมใน 2
อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอเมริกาใต้ ค้นพบในปี 1818 เป็นแหล่งล่าวาฬหัวทุย
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 49
นั้นท�าเขาพลอยส�ารวมไปด้วย แต่สีหน้าและแววตาก็ยังส่อแววพิศวงใคร่รู้ เจ้าคนป่าคนเดียวทีส่ งั เกตเห็นผมเดินเข้ามา เพราะเป็นคนเดียวทีอ่ า่ นหนังสือ ไม่ออก จึงไม่ได้อ่านข้อความจารึกอันไม่ชวนให้ยินดีบนผนังนั่น ผมไม่รู้ว่าใน บรรดาศาสนิกชนกลุม่ นี้ มีญาติของกะลาสีเรือผูม้ ชี อื่ ปรากฏบนแผ่นจารึกนัน้ ด้วยหรือไม่ รูแ้ ต่เพียงว่ายังมีอบุ ตั เิ หตุระหว่างการจับปลาอีกมากทีย่ งั ไม่ได้รบั การจารึกไว้ หญิงหลายคนในที่นั้นก็มีสีหน้าท่าทางโศกเศร้าไม่รู้คลาย ผมจึง มัน่ ใจว่าผูม้ าชุมนุมในโบสถ์นนั้ ล้วนมีหวั ใจอันแหลกสลาย ต่างส่งสายตาเห็นอก เห็นใจไปยังป้ายจารึกน่าสลดเหล่านั้น ซึ่งก็ท�าให้บาดแผลเก่าของตนเอง ปริแตกขึ้นมาใหม่ โอ้! ท่านผู้ผูกพันกับเจ้าของร่างอันนอนสงบยิ่งอยู่ใต้ผืนหญ้าเขียว ท่าน ผูย้ นื อยูท่ า่ มกลางดอกไม้นนั่ และพูดว่า ณ ตรงนี้ ฝังร่างคนรักฉันไว้ ไม่มคี วาม โศกเศร้าใดเกาะกินใจท่านได้เพียงนัน้ น่าขมขืน่ ยิง่ นักกับป้ายหินอ่อนกรอบด�า อันซึง่ ไร้อฐั !ิ น่าสิน้ หวังยิง่ นักกับข้อความจารึกทีไ่ ม่อาจเปลีย่ นแปรได้ ข้อความ เหินห่างตัดช่องน้อยอ�าลาที่เหมือนกัดกร่อนศรัทธาทั้งมวล เป็นการอ�าลาที่ ไม่อาจฟืน้ กลับคืนมา และไม่เหลือแม้เรือนร่างให้กลบฝังในสุสาน ไม่ตา่ งจาก แผ่นจารึกภายในถ�้าเอลิเฟนต้า3 มี ก ารส� า รวจสิ่ ง มี ชี วิ ต ใดบ้ า งที่ นั บ รวมเอามนุ ษ ย์ ผู ้ สิ้ น ลมแล้ ว ไว้ ด ้ ว ย ถ้อยความไว้อาลัยคนเหล่านั้นกล่าวกันไปเพื่ออะไร? แม้นั่นไม่ใช่ค�าลวง แต่ก็ซ่อนเร้นความลับไว้ยิ่งกว่าสันทรายกู๊ดวิน4 แม้เราพยายามเสกสรรค์ปั้น แต่งค�าไว้อาลัยเกินจริงแก่ผจู้ ากไปเมือ่ วันวานสูโ่ ลกหน้ามากเพียงใด ก็ไม่อาจ มอบเกียรติยศเหล่านั้นให้แก่เขาได้จริงๆ หรอก ถ้าเขาเดินทางไปยังหมู่เกาะ อินดิสอันไกลโพ้นในโลกของคนเป็น เหตุใดบริษัทประกันชีวิตจึงยอมจ่าย ตัง้ อยูบ่ นเกาะกลางอ่าวมุมไบ (บอมเบย์) ประเทศอินเดีย เป็นถ�า้ ทีเ่ กิดจากฝีมอื มนุษย์เมือ่ กว่า 1,500 ปี โดยกษัตริยร์ าชวงศ์ไตรกูฎกะได้สร้างขึน้ เพือ่ อุทศิ ถวายเป็นเทวสถานแด่องค์พระศิวะ ภายในประดิษฐาน พระศิวลึงค์ ผนังห้องแกะสลักเป็นเรื่องราวเทพปกรณัมในศาสนาฮินดู 4 สันดอนทรายยาว 10 ไมล์บริเวณช่องแคบอังกฤษ ซึ่งมีเรืออับปางบริวเณนั้นกว่าสองพันล�า ภายหลัง มีการวางทุ่นและประภาคาร เตือนให้นักเดินเรือได้ทราบต�าแหน่งที่เป็นหาดตื้นเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ 3
50 : โมบี-ดิ๊ก
ค่าสินไหมทดแทนแก่วิญญาณเขาเล่า? วิญญาณที่ว่านี้รวมไปถึงการเป็น อัมพาตไม่ไหวติง หรือต้องนอนแน่นงิ่ ปางตายอย่างสิน้ หวัง แล้วอดัมผูห้ มดลม มาแล้วหกสิบรอบศตวรรษจะได้รับด้วยไหม? ท�าไมเราถึงไม่ยินดีแก่ผู้ที่เรา เชื่อว่าได้ไปอยู่ในโลกเปี่ยมสุขอันไม่อาจบรรยายนั่นแล้ว? ท�าไมคนเป็นช่าง พยายามปิดปากคนตาย? นี่กระมัง ข่าวลือที่ว่ามีคนได้ยินเสียงเคาะจากใน หลุมศพจึงเขย่าขวัญคนทั้งเมือง ทั้งที่สิ่งเหล่านี้ต่างมีความหมายทั้งสิ้น กระนั้น ศรัทธาก็เปรียบดั่งสุนัขไน ที่เที่ยวคุ้ยหาอาหารกลางหลุมศพ แม้ยังไม่แน่ใจเต็มที่ แต่ศรัทธาก็ยังคงรวบรวมความหวังที่ส�าคัญที่สุดไว้ เป็นเรื่องยากที่จะเล่าถึงความรู้สึกต่อป้ายจารึกหินอ่อนพวกนั้น ขณะผม ก�าลังจะเดินทางไปเกาะแนนทักเก็ตอยู่รอมร่อ ท่ามกลางแสงมัวมนแห่งวัน อันมืดมิดและเต็มไปด้วยความโศกาอาดูร ผมเห็นถึงชะตากรรมของเหล่า นักล่าวาฬผู้ล่วงลับไปก่อนหน้าผม ใช่แล้ว...อิชเมล นี่เป็นชะตากรรมที่อาจ เกิดกับนายด้วยเช่นกัน แต่ผมก็กลับมาร่าเริงอีกครั้ง ปลอบใจตัวเองด้วยการ คิดถึงการออกทะเล ซึง่ เป็นโอกาสอันดีทไี่ ด้เขยิบฐานะ ประหนึง่ ว่าเรืออับปาง จะท�าให้ผมเป็นอมตะด้วยเหรียญกล้าหาญ ใช่แล้ว...ความตายเกิดขึน้ ได้เสมอ ขณะออกล่าวาฬ น�าพาความสับสนของชายคนหนึ่งไปสู่ความเป็นนิรันดร์ อย่างรวดเร็วและเงียบงัน ก็แล้วยังไงล่ะ? ผมคิดว่าเราต่างเข้าใจผิดมหันต์ เรื่องชีวิตและความตาย ที่พวกเขาเรียกกันว่าเงาด�าในโลกใบนี้ ผมกลับคิดว่า นั่นแหละตัวตนแก่นแท้ของผม ผมคิดว่าขณะที่มองเรื่องจิตวิญญาณ เราช่าง เหมือนหอยมุกเฝ้ามองดวงอาทิตย์จากใต้ผืนน�้า แล้วเข้าใจไปว่าน�า้ หนาแน่น นั้นคืออากาศอันบางเบา ผมกลับคิดว่า ร่างกายเป็นเพียงสิ่งก�าบังชีวิตสูงล�้า กว่าทีอ่ ยูข่ า้ งใน จริงๆ แล้วใครอยากได้รา่ งกายผมก็เอาไปเถอะ บอกได้วา่ เอา ไปเลย เพราะนั่นไม่ใช่ตัวตนผม ดังนั้น ขอไชโยสามคราให้แก่แนนทักเก็ต มา เลย...จะเป็นเรืออับปางหรือร่างกายอับปางก็ได้ เพราะต่อให้จูปิเตอร์เองก็ไม่ อาจมาล่มจิตวิญญาณผมให้อับปางลงได้
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 51
บทที่ 8
แท่นเทศน์
ผมนั่งได้ไม่นานชายสูงวัยท่าทางเคร่งขรึมน่าเลื่อมใสคนหนึ่งก็ปรากฏกาย ขึ้น ลมแรงกระโชกวูบเหมือนเป็นใจผลักประตูเปิดรับเขา พลันสายตาทุกคู่ ของเหล่าศาสนิกชนต่างหันไปจับจ้อง นั่นก็ยืนยันได้เพียงพอแล้วว่าชายชรา ผู้นี้คือบาทหลวง ใช่แล้ว...ท่านคือคุณพ่อแมปเปิ้ลผู้เป็นที่กล่าวขวัญถึงทั้งใน หมู่นักล่าวาฬและบรรดาผู้ที่ชื่นชมในตัวท่าน ตอนหนุ่มท่านเคยเป็นกะลาสี เรือและนักพุ่งฉมวก หากแต่หลายปีที่ผ่านมาท่านได้อุทิศชีวิตให้แก่โบสถ์ ในตอนนั้น คุณพ่อแมปเปิ้ลยังเป็นชายชราสุขภาพดีแม้ในฤดูหนาวที่หนาว จัด ท่านดูเหมือนผู้สูงอายุที่กลับเป็นหนุ่มอีกครั้ง เป็นดอกไม้แย้มบานส่อง ประกายนวลตาท่ามกลางริว้ รอยเหีย่ วย่น เหมือนความเขียวขจีของฤดูใบไม้ผลิ ที่ผลิลอดจากใต้แผ่นหิมะเดือนกุมภา ไม่มีใครรู้ความเป็นมาของท่านก่อน มาเป็นบาทหลวง แต่ก็ประทับใจในตัวท่านเพียงแรกเห็น ด้วยบุคลิกเฉพาะ ตัวอันน่าเลื่อมใสศรัทธา ซึ่งคงได้มาระหว่างใช้ชีวิตผจญภัยในท้องทะเล ผม สังเกตเห็นว่าท่านไม่ได้ถือร่มมาด้วย และก็ไม่ได้นั่งรถม้ามาอย่างแน่นอน เพราะหมวกผ้าใบกันน�้ามีหยาดน�้าจากหิมะละลายหยดพราว เสื้อคลุมชาว เรือตัวเก่งถ่วงหนักจนแทบเดินล�าบาก เพราะชุ่มไปด้วยน�้าที่ดูดซับไว้ แต่ทั้ง หมวก เสื้อโค้ต และรองเท้ายาง1ก็ถูกถอดออกทีละชิ้น และน�าไปแขวนแยก ไว้ในมุมใกล้ๆ เมื่อจัดการแขวนเครื่องแต่งกายเรียบร้อย ท่านก็ก้าวขึ้นไปยัง 1
รองเท้ายาง-รองเท้าที่สวมทับรองเท้าจริงอีกชั้นเพื่อกันสิ่งสกปรกหรือให้อุ่น ในที้หมายถึงรองเท้ายาง กันน�า้ (จากหิมะ)
52 : โมบี-ดิ๊ก
แท่นเทศน์อย่างเงียบๆ นั่นเป็นแท่นเทศน์ที่ยกพื้นสูงมาก แบบเดียวกับแท่นเทศน์ยุคเก่าส่วน ใหญ่ แต่ตามปกติแล้ว บันไดส�าหรับแท่นสูงจากพื้นแบบนั้นจะไปกินเนื้อที่ ของโบสถ์ซึ่งแคบเล็กอยู่แล้ว สถาปนิกผู้ออกแบบจึงท�าตามค�าแนะน�าของ คุณพ่อแมปเปิ้ล โดยสร้างแท่นเทศน์ยกพื้นสูงแบบไม่ต้องมีบันได มีแค่บันได ปีนห้อยไว้ข้างๆ แท่นเทศน์ คล้ายกับบันไดเชือกที่ใช้ปีนจากเรือเล็กขึ้นเรือ ใหญ่กลางทะเลนั่นเอง ภรรยากัปตันเรือล่าวาฬได้มอบเชือกหุ้มสักหลาดสี แดงสภาพดีคหู่ นึง่ มาให้ใช้ทา� ราวจับด้านข้างของบันไดเชือก ส่วนตัวขัน้ บันได ไม้เองก็ทาสีมะฮอกกานีดูเด่น เมื่อพิจารณาจากสภาพของโบสถ์แล้ว บันได นั่นนับได้ว่าดูดีไม่เบา คุณพ่อแมปเปิ้ลหยุดยืนอยู่หน้าบันไดชั่วอึดใจ สองมือ ก�าราวจับไว้พลางแหงนหน้ามองด้านบน แล้วด้วยความเป็นกะลาสีเก่า ก็ สลับมือดึงตัวไต่ขึ้นไปทีละก้าวอย่างแคล่วคล่องช�านาญ ราวกับก�าลังปีนขึ้น เสากระโดงสองของเรือ ปกติแล้วบันไดเชือกแบบนีม้ กั แกว่งโยกเยก เพราะมีเพียงขัน้ บันไดเท่านัน้ ที่ท�าจากไม้ ส่วนราวจับด้านข้างด้วยเชือกหุ้มผ้า จึงต้องท�าข้อต่อเชื่อมบันได ทุกขั้น แค่มองแท่นเทศน์แวบแรก ผมก็เห็นว่าไม่มีความจ�าเป็นอะไรเลย อาจ เหมาะส�าหรับเรือแต่ไม่ใช่ในโบสถ์ เพราะไม่คิดมาก่อนว่า หลังจากคุณพ่อ แมปเปิ้ลปีนขึ้นไปยืนบนแท่นเทศน์แล้ว จะย่อตัวกลับไปดึงบันไดขึ้นไปเก็บ ไว้บนนั้นทีละขั้นอย่างช้าๆ จนหมด จนท่านเหมือนอยู่ในป้อมควิเบก2น้อยๆ ที่ไม่มีใครแตะต้องได้ ผมคิดอยูค่ รูห่ นึง่ ก็ยงั ไม่เข้าใจนักว่าท�าไมท่านท�าแบบนัน้ คุณพ่อแมปเปิล้ มีชื่อเสียงด้านความจริงใจน่าเลื่อมใส จนผมไม่อาจนึกสงสัยว่า ท่านก�าลัง สร้างความกระฉ่อนให้ตวั เองด้วยลูกเล่นบนเวทีเล็กๆ น้อยๆ นัน่ ไม่ใช่หรอก... ผมคิดว่าต้องมีเหตุผลอันหนักแน่นอยู่ ยิ่งกว่านั้น มันต้องเป็นสัญลักษณ์ทาง นามธรรมแน่นอน เป็นไปได้หรือไม่ว่า การแยกตัวโดดเดี่ยวอยู่บนนั้น ท่าน 2
ควิเบก-เมืองเก่าในแคดานา มีป้อมปราการหนาแน่นเลื่องชื่อ
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 53
ต้องการสือ่ ว่า ตอนนัน้ ได้ดงึ เอาจิตวิญญาณของตัวเองกลับคืนมา และตัดขาด จากโลกภายนอกทั้งปวงแล้ว ใช่...เป็นการเติมสีสันของการเทศน์แก่ผู้ศรัทธา ในพระเจ้าที่นั่น ผมเห็นแล้วว่า แท่นเทศน์นั้นก็คือป้อมปราการอารันไบรต์สไตน์3อันสูงตระหง่าน ซึ่งมีสายน�้านิรันดรอยู่ในป้อม กระนั้น บันไดเชือกข้างแท่นเทศน์ซึ่งถอดแบบอดีตชาวเรือของบาทหลวง ผูน้ ้ี ไม่ใช่สงิ่ เดียวทีด่ แู ปลกตาในทีน่ นั้ ผนังด�าซ้ายขวาหลังแท่นเทศน์ซง่ึ ติดป้าย อนุสรณ์4หินอ่อน ยังมีภาพเขียนขนาดใหญ่แขวนประดับไว้ตรงกลาง เป็นภาพ เรือหาญกล้าล�าหนึ่ง ก�าลังแล่นฝ่าพายุร้ายออกมาจากชายฝั่งบังลมซึ่งมีแนว โขดหินด�าและคลื่นยักษ์ฟองขาว เหนือเมฆด�าที่ม้วนตัวแผ่คลุ้มอยู่เบื้องบน นั้น เห็นแสงตะวันจับล�าลอยเด่นเป็นรูปหน้าทูตสวรรค์ ใบหน้านั้นสาดรังสี ลงมายังดาดฟ้าเรือที่ก�าลังสะท้านสะเทือน แสงที่คล้ายเงินยวงนั้นสาดจับ อยู่ที่แผ่นกระดานเรือวิกตอรี ตรงจุดที่เนลสัน5ตกลงทะเล “เอาเลย! เจ้ายอด เรือ!” ดูเหมือนทูตสวรรค์จะกล่าวออกมาเช่นนัน้ “ฝ่าออกไป จงฝ่าออกไป เจ้า เป็นยอดเรือ บังคับหางเสืออันแข็งแกร่งไว้ นั่นไง! ตะวันก�าลังฝ่าออกมา เมฆ ทะมึนก�าลังแตกสลายไป ท้องฟ้าสดใสก�าลังใกล้เข้ามา” ไม่เพียงบันไดเชือกและภาพวาดนัน่ เท่านัน้ ทีม่ กี ลิน่ อายวัฒนธรรมชาวเรือ ในการตกแต่งแท่นเทศน์ ด้านหน้ายังน�าเอาไม้มาตกแต่งจนคล้ายหัวเรือสูง ชัน ส่วนคัมภีร์ไบเบิ้ลก็วางอยู่บนแท่นไม้สลักลวดลายแบบเดียวกับที่ตกแต่ง แม่ย่านางเรือ จะมีสิ่งใดเปี่ยมความหมายยิ่งไปกว่านี้ได้เล่า? แท่นเทศน์มีความส�าคัญ สูงสุดบนผืนแผ่นดินนี้เสมอ สิ่งอื่นๆ ล้วนตามมาทีหลัง แท่นเทศน์น�าพาโลก ไปข้างหน้า จากทีน่ นั่ ลมพายุฉบั พลันแห่งความพิโรธของพระเจ้าถูกมองเห็น เป็นครั้งแรก และหัวเรือก็เป็นส่วนแรกสุดที่ต้องรับแรงปะทะนั้น ที่นั่นเป็น อารันไบรต์สไตน์-ป้อมปราการบนฝั่งแม่น�้าไรน์ ใกล้เมืองโคเบลนซ์ เยอรมนี ป้ายอนุสรณ์-ป้ายจารึกไว้อาลัยแก่ผู้ที่ถูกฝังอยู่ที่อื่น 5 เรือวิกตอรีและเนลสัน – พลเรือโทฮอราชิโอ เนลสัน (ค.ศ. 1758-1805) วีรบุรุษชาวอังกฤษ ระหว่างสง ครามนโปเลียน เสียชีวิตบนดาดฟ้าเรือตนเอง (เรือวิกตอรี) ในการรบที่ทราฟอลการ์ 3 4
54 : โมบี-ดิ๊ก
จุดแรกแห่งการวิงวอนสายลมธรรมดาหรือพายุร้ายจากพระองค์ ให้แปร เปลี่ยนเป็นลมอันเกื้อกรุณา ใช่แล้ว...โลกนี้เปรียบประดุจนาวาแล่นไปสู่ จุดหมายที่ยังอยู่อีกยาวไกล ขณะที่แท่นเทศน์ก็คือหัวเรือนั่นเอง
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 55
บทที่ 9
บทเทศนา
คุ ณ พ่ อ แมปเปิ ้ ล ยื น ขึ้ น พู ด ด้ ว ยน�้ า เสี ย งอ่ อ นโยนไร้ วี่ แ ววสั่ ง การ ขอให้ คริสตศาสนิกชนที่กระจายกันอยู่เข้ามานั่งรวมกันข้างหน้า “คนที่อยู่ทางขวา โน่นน่ะ! เขยิบมากราบซ้าย ส่วนคนที่อยู่กราบซ้ายให้เขยิบมาทางขวา! มาตร งกลาง! กลางเรือนี่!” จบค�าของบาทหลวง ก็ได้ยนิ แต่เสียงรองเท้าบูต๊ กันน�า้ คูห่ นาย�า่ หนักๆ มา จากม้านัง่ หลายแถว ตามด้วยเสียงลากเท้าเบาๆ จากรองเท้าผูห้ ญิง แล้วเสียง ทั้งหลายก็เงียบงันลงอีกครั้ง สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องไปยังนักเทศน์ ท่านสงบนิง่ อยูค่ รูห่ นึง่ แล้วคุกเข่าลงบนหัวเรือแท่นเทศน์ ยกสองแขนใหญ่ สีนา�้ ตาลขึน้ กอดอกและลืมตาขึน้ ก่อนจะเริม่ สวดภาวนาอย่างจริงจังเคร่งขรึม ราวกับก�าลังคุกเข่าภาวนาอยู่ใต้ก้นทะเล เมื่อเสียงภาวนายานคาง คล้ายเสียงรัวระฆังยาวต่อเนื่องบนเรือซึ่งก�าลัง อับปางกลางทะเลในสายหมอกจบลง ท่านก็เริม่ อ่านบทสวดสรรเสริญพระเจ้า ในท�านองเดียวกัน แต่เปลี่ยนน�้าเสียงเป็นก้องกังวานด้วยความเริงร่ายินดีใน ช่วงบทท้ายๆ ต่อไปนี้ “เงาน่าสะพรึงกลัวของเจ้าวาฬ แผ่ทะมึนครอบคลุมตัวข้า ขณะแสงแห่งพระองค์ทรงผ่านเลย 56 : โมบี-ดิ๊ก
จึงเหวี่ยงข้าดิ่งลึกสู่เคราะห์กรรม “ข้ามองเห็นปากนรกเปิดอ้ารับ ความเจ็บปวดโศกเศร้าณ ที่นั้นไม่สิ้นสุด มีแต่ผู้ประสบกับมันจึงเข้าใจ โอ้...ข้าสิ้นไร้แล้วซึ่งความหวัง “ในความด�ามืดทุกข์ระทม ข้าวิงวอนต่อพระเจ้า แม้คิดว่าทรงทอดทิ้งข้าไปแล้ว แต่พระองค์ทรงโน้มกายลงมาฟังค�าข้าคร�่าครวญ ยามนั้นวาฬตัวใดก็ขวางข้าไว้ไม่ได้ “พระองค์ทรงลงมาปลดปล่อยข้า ดุจดังประทับมาบนโลมาสุกใส แสงโชติช่วงส่องสว่างน่าเกรงขาม นั่นคือพักตร์แห่งองค์พระผู้มาโปรด “บทเพลงนี้ข้าขอบันทึกไว้ ทั้งช่วงเวลาแสนน่ากลัว และหฤหรรษ์ ข้าขอสรรเสริญแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า และความเมตตาบารมีแห่งพระองค์”
แทบทุกคนต่างร่วมร้องเพลงสรรเสริญ ผสานพลังดังกลบเสียงพายุ หวีดหวิว หลังบทเพลงสิ้นสุดลงเพียงชั่วครู่ นักเทศน์ก็เริ่มพลิกคัมภีร์ไบเบิ้ล ก่อนจะวางมือทับไว้บนหน้าหนึ่งและกล่าวขึ้นว่า “เพื่อนชาวเรือที่รัก ขอ ให้เรามาร่วมพิจารณาข้อความสุดท้ายในโยนาห์บทแรก ซึ่งพระเจ้าทรงส่ง วาฬยักษ์ไปกลืนกินเขา” เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 57
“เพื่อนชาวเรือทั้งหลาย ในโยนาห์บทที่หนึ่งนี้มีอยู่เพียงสี่วรรค สี่เรื่อง ราว อันเป็นเพียงด้ายเส้นบางๆ ร้อยเรียงกันเป็นเกลียวเชือกใหญ่ของพระ คัมภีร์ ถึงอย่างนั้น เรื่องราวของโยนาห์ตกลงสู่ก้นบึ้งทะเลก็ช่างมีความหมาย เหลือเกิน! ศาสนทูตคนนี้ได้มอบบทเรียนส�าคัญยิ่งแก่เรา! เพลงสวดใน ท้องวาฬนั้นช่างสูงส่ง! คลื่นนั้นใหญ่ยักษ์เพียงใด เสียงอึกทึกนั้นอึงอลเพียง ไหน! เราสัมผัสได้ถึงน�้าบ่าทะลักท่วมตัว จนจมดิ่งร่วมกับเขาสู่พื้นสาหร่าย ก้นทะเล รอบตัวเรามีแต่สาหร่ายและโคลนเลนใต้น�้า! แล้วพระคัมภีร์บท โยนาห์สอนอะไรเราล่ะ? เพือ่ นชาวเรือเอ๋ย...ก็บทเรียนสองอย่างทีเ่ กีย่ วโยงกัน อย่างแรกส�าหรับพวกเราทุกคนผูเ้ ป็นคนบาป ส่วนอีกอย่างก็สา� หรับตัวพ่อเอง ในฐานะผู้น�าทางแห่งพระผู้เป็นเจ้า “เราต่างเป็นคนบาป นี่จึงเป็นบทเรียน ส�าหรับพวกเราทุกคน เพราะนีเ่ ป็นเรือ่ งราวเกีย่ วกับการกระท�าบาป ความโหด ร้าย ความตืน่ กลัวฉับพลัน การลงโทษทันควัน การส�านึกบาป การสวดภาวนา และท้ายสุดเป็นเรื่องราวการปลดปล่อยและความปีติของโยนาห์ เหมือนดัง เช่นคนบาปทัว่ ไปทีป่ ะปนอยูใ่ นมวลหมูม่ นุษย์ บุตรแห่งอามิททัย1กระท�าบาป ด้วยเจตนาไม่ฟังค�าบัญชาของพระเจ้า ซึ่งเขาพบว่านั่นเป็นค�าบัญชาที่ยาก ปฏิบัติตาม ไม่ส�าคัญว่าค�าบัญชานั่นคืออะไร หรือต้องการสื่อความหมายใด ในตอนนี้ ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงให้เราปฏิบัติอาจเป็นเรื่องยากที่จะปฏิบัติตาม แต่จงจ�าไว้ว่า ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงทรงบัญชาเรามากกว่าพยายามโน้มน้าว ให้เราเชื่อ หากเราเชื่อฟังพระเจ้า เราต้องไม่ฟังตัวเราเอง และการไม่ฟัง ตัวเรานี่เองที่ทา� ให้เชื่อค�าสอนของพระองค์ได้ยาก “ในการกระท�าบาปด้วยการดื้อดึงไม่เชื่อฟัง โยนาห์ยังดูหมิ่นพระเจ้าด้วย การหาทางหลบหนีพระองค์ เขาคิดว่าเรือทีส่ ร้างขึน้ โดยน�า้ มือมนุษย์ จะน�าพา เขาไปยังเมืองที่อ�านาจของพระเจ้าจะแผ่ไปไม่ถึง เว้นเสียแต่นายเรือที่เป็น มนุษย์ในโลกเท่านั้น เขาซ่อนตัวอยู่ที่ท่าเรือยัฟฟาเพื่อหาเรือเดินทางไปยัง เมืองทารชิช นั่นอาจเป็นการกระท�าแฝงความหมายบางอย่างที่ถูกมองข้าม 1
อามิททัย-บิดาของโยนาห์
58 : โมบี-ดิ๊ก
ไปจนถึงวันนีก้ ไ็ ด้ ตามค�าบอกเล่า ทารชิชคงไม่ใช่เมืองอืน่ ใดเลยนอกเสียจาก เมืองคาดิซในปัจจุบัน นั่นเป็นความคิดเห็นของผู้ศึกษารอบรู้ เมืองคาดิซอยู่ ที่ไหนกันเล่า...เพื่อนชาวเรือทั้งหลาย? คาดิซอยู่ในประเทศสเปน มีแผ่นน�้า กว้างขว้างกัน้ ไกลจากยัฟฟามาก ขนาดว่าโยนาห์ไม่นา่ ล่องเรือไปถึงได้ในยุค โบราณกาล ทีแ่ ม้แต่ทะเลแอตแลนติคยังแทบไม่เป็นทีร่ จู้ กั ในตอนนัน้ “ยัฟฟา หรือจาฟฟาในปัจจุบัน...เพื่อนชาวเรือทั้งหลาย...มันตั้งอยู่ทางชายฝั่งตะวัน ออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน บริเวณไซเรีย ขณะที่เมืองทารชิชหรือคาดิซอ ยูห่ า่ งจากจุดนัน่ ไปทางทิศตะวันตกกว่าสองพันไมล์ เลยนอกช่องแคบยิบรอล ตาร์ออกไป เพือ่ นชาวเรือเอ๋ย...ท่านเห็นหรือไม่วา่ โยนาห์พยายามหนีพระเจ้า ไปสุดโลก ช่างน่าเวทนาอะไรเช่นนั้น! โอ้! ช่างน่าหยามเหยียด และสมควร ถูกเหยียดหยามเสียกระไรนี่! เขาสวมหมวกหรุบต�า่ ปิดซ่อนแววตามีความผิด เพือ่ หลบหลีกพระเจ้าของตน ท�าตัวเหมือนขโมยชัว่ คอยด้อมๆ มองๆ แถวเรือ ขนส่งเพือ่ รีบเร่งข้ามน�า้ ข้ามทะเล ท�าตัววิปริตผิดธรรมชาติเหมือนจะประกาศ ความผิดที่กระท�าไว้ หากสมัยโน้นมีต�ารวจอยู่แถวนั้น ท่าทางลุกลี้ลุกลนของ โยนาห์คงตกเป็นที่สงสัย และคงถูกจับก่อนจะขึ้นไปอยู่บนดาดฟ้าเรือได้ด้วย ซ�า้ “เขาช่างเป็นผู้หลบหนีที่น่าอนาถโดยแท้! ไม่มีกระเป๋าเดินทาง ไม่มีกล่อง ใส่หมวก กระเป๋าหิว้ หรือเป้ผา้ พรม ไม่มแี ม้เพือ่ นฝูงมากล่าวค�าอ�าลาทีท่ า่ เรือ หลังด้อมๆ มองๆ อยูน่ าน ทีส่ ดุ เขาก็ได้พบเรือทารชิชมารับสินค้ารอบสุดท้าย ขณะก้าวลงเรือมองหานายเรือในห้องโดยสาร จังหวะนั้นเหล่าลูกเรือต่าง หยุดยกสินค้าขนลงเรือ แล้วหันมาจ้องชายแปลกหน้าแววตาเลิก่ ลัก่ มีพริ ธุ ผูน้ ี้ โยนาห์สังเกตเห็นท่าทีนั้น จึงแสร้งท�าท่าเชื่อมั่นและผ่อนคลาย ทั้งพยายาม ฝืนยิ้มออกมา แต่ทั้งหมดนั่นก็ไร้ผล การอ่านท่าทีพวกลูกเรือออก กลับท�าให้ พวกนั้นยิ่งปักใจเชื่อว่าเขาไม่ใช่คนดีแน่ๆ ลูกเรือคนหนึ่งกระซิบทีเล่นทีจริง กับเพื่อนว่า ‘แจ๊ค...เจ้านี่คงเพิ่งปล้นหญิงม่ายมา’ หรือไม่ก็ ‘โจ...เห็นเจ้านั่น ไหม มันเป็นพวกมากเมียแน่’ และ ‘เกลอแฮรี่...ข้าว่ามันต้องเป็นพวกชายชู้ที่ แหกคุกออกมาจากเมืองเก่ากอมเมอร์ราห์ หรือดีไม่ดีอาจเป็นหนึ่งในฆาตกร เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 59
เร้นกายจากเมืองซอดอม2แน่’ “ลูกเรืออีกคนวิ่งไปอ่านแผ่นประกาศซึ่งติดอยู่ บนตอม่อสะพานของท่าที่เรือจอดอยู่ อันมีข้อความให้รางวัลน�าจับผู้กระท�า ปิตุฆาต โดยเสนอให้ทองห้าร้อยเหรียญ ทั้งยังบรรยายรูปพรรณสัณฐานของ โยนาห์ไว้ด้วย ชายคนนั้นอ่านประกาศแล้วหันไปมองโยนาห์ ขณะที่เพื่อน ผู้มีใจตรงกันต่างกรูกันเข้าล้อมหน้าล้อมหลังโยนาห์ไว้และเตรียมจับตัวเขา โยนาห์ถงึ กับตัวสัน่ ขวัญผวา พยายามตีสหี น้ากล้าหาญแต่กลับยิง่ ดูขลาดเขลา เขาพยายามหาทางเอาตัวรอด โดยยืนกรานไม่ยอมรับตามข้อกล่าวหา พวกลูก เรือจึงรู้สึกลังเลใจ และหลังจากเห็นว่าโยนาห์ไม่ใช่ชายในแผ่นประกาศจริงๆ จึงปล่อยให้โยนาห์ผ่านไปยังห้องโดยสารบนเรือ ‘ใครน่ะ?’ นายเรือร้องถามขณะก�าลังง่วนอยู่บนดาดฟ้าเรือ เขาก�าลัง เร่งรีบจัดเตรียมเอกสารให้ลกู ค้า ‘ใครอยูต่ รงนัน้ ?’ โอ้! ค�าถามแสนธรรมดาแต่ กลับสร้างความหวาดผวาให้แก่โยนาห์เสียนี่กระไร! เขาแทบจะหันหลังกลับ แล้ววิง่ หนีอกี ครัง้ แต่กฝ็ นื รวบรวมความกล้า ‘ข้าพเจ้าอยากจะโดยสารเรือล�านี้ ไปทารชิช อีกนานไหมกว่าท่านจะออกเรือ?’ นายเรือก้มหน้าก้มตาอยูก่ บั งาน ทีท่ า� จนไม่รวู้ า่ โยนาห์เดินมาหยุดยืนอยูต่ รงหน้าแล้ว แต่ทนั ทีทไี่ ด้ยนิ เสียงถาม แหบแห้งนัน่ เขาก็เงยหน้าส่งสายตาพินจิ พิเคราะห์ ก่อนจะตอบช้าๆ ขณะยัง จ้องเขม็ง ‘เราจะออกเรือเมื่อน�้าขึ้นนี่ล่ะ’ ‘ไม่นานไปหรือท่าน?’ ‘ไม่น่าจะนาน เกินรอส�าหรับคนสัตย์ซอื่ ทีต่ อ้ งการโดยสารไปด้วยกัน’ อะฮ้า! โยนาห์...นัน่ เป็น ค�าพูดที่แทงใจด�าอีกครั้งล่ะ แต่เขาก็รีบพูดกลบเกลื่อนเพื่อให้นายเรือคลาย สงสัย ‘ข้าพเจ้าจะเดินทางไปกับท่าน ค่าโดยสารเท่าไหร่? ข้าพเจ้าจะจ่าย ให้เลย’ เพื่อนชาวเรือทั้งหลาย ข้อความที่เขียนไว้ตรงนี้มีนัยที่เราไม่ควรมอง ข้ามไป ‘เขาจ่ายเงินค่าโดยสารนั้น’ ก่อนเรือจะออกเดินทาง ลองดูที่มาที่ไป แล้วก็จะเข้าใจความหมายที่แท้จริงได้ “ส�าหรับนายเรือผูน้ .ี้ ..ชาวเรือทัง้ หลาย เขาเป็นผูท้ สี่ ามารถจับพิรธุ ผูร้ า้ ยได้ แต่เพราะความโลภท�าให้กลายเป็นยาจกกระหายเงิน ในโลกใบนี้ ชาวเรือเอ๋ย... 2
ซอดอม-เมืองชั่วร้ายในไบเบิ้ล
60 : โมบี-ดิ๊ก
คนมีบาปผิดซึ่งยอมจ่ายค่าเบิกทาง สามารถโลดแล่นไปทุกที่ได้อย่างเสรีโดย ไม่ต้องมีใบผ่าน ขณะที่คนดีหากยากจน ก็จะถูกสกัดกั้นอยู่ตรงพรมแดน นัน่ เอง จริงๆ แล้วนายเรือผูน้ ตี้ งั้ ใจจะชัง่ น�า้ หนักถุงเงินทีโ่ ยนาห์มกี อ่ น เพือ่ ให้ รู้จักเขาได้อย่างถ่องแท้ โดยแกล้งเรียกเก็บเงินสามเท่าจากค่าโดยสารปกติ แต่โยนาห์ก็ยอมจ่าย นายเรือจึงรู้ว่าโยนาห์ต้องหนีความผิดมาแน่ๆ ในขณะ เดียวกัน เขาก็ตกลงใจจะช่วยให้โยนาห์ได้หลบหนี ซึ่งต้องซื้อมันมาด้วย เส้นทางที่ปูลาดด้วยทองค�า แม้โยนาห์จะหยิบถุงเงินออกมายื่นส่งให้ แต่ นายเรือก็ยงั ไม่หมดความระแวงในตัวเขา “นายเรือหยิบเหรียญขึน้ มาเคาะฟัง เสียงดูวา่ เป็นของปลอมหรือไม่ ไม่ใช่เหรียญเก๊...เขาพึมพ�า แล้วโยนาห์กไ็ ด้เป็น ผู้โดยสารของเรือล�านั้น ‘ช่วยบอกทางไปห้องพักของข้าพเจ้าหน่อยเถิดท่าน’ เขาพูดขึ้น ‘ข้าพเจ้าเหน็ดเหนื่อยมาจากการเดินทาง และอยากหลับพักผ่อน’ ‘หน้าตาเจ้าก็บอกอย่างนัน้ แหละ’ นายเรือพูด ‘ห้องของเจ้าอยูน่ นั่ ’ โยนาห์เดิน ไปที่ห้องและพยายามลงดาลประตู แต่ประตูนั่นไม่มีดาล นายเรือได้ยินเสียง โยนาห์งมุ่ ง่ามควานหา จึงหัวเราะออกมาเบาๆ พลางพึมพ�าขึน้ ว่า ประตูหอ้ ง ขังนักโทษไม่มีดาลให้ลงด้านในหรอก โยนาห์ทิ้งตัวลงบนที่นอน ทั้งยังไม่ได้ ผลัดเสื้อผ้าและเนื้อตัวยังมอมแมม และพบว่าเพดานห้องเล็กนี้อยู่ห่างจาก หน้าผากของเขาไปไม่เท่าไร อากาศอบทึบจนเขาต้องอ้าปากหายใจ เขามอง ออกไปทางช่องแคบเล็กนัน่ จึงเห็นว่าห้องนัน้ อยูใ่ ต้ทอ้ งเรือระดับเดียวกับผิวน�า้ โยนาห์สงั หรณ์ขนึ้ มาว่า คงอึดอัดหายใจไม่ออกแบบนีย้ ามเมือ่ ถูกวาฬกลืนเขา ลงไปในล�าไส้เล็กๆ ของมัน “โคมไฟแขวนที่ขันแกนติดผนังด้านข้างภายในห้องแกว่งเบาๆ ขณะเรือ เอียงวูบไปทางท่าเรือเพราะน�้าหนักหีบห่อสินค้าชุดสุดท้ายซึ่งถูกยกขึ้นมา บนเรือ แม้จะเอนเพียงเล็กน้อย แต่ทั้งโคมไฟ เปลวไฟ และต�าแหน่งที่แขวน มันยังคงเอนอยู่อย่างนั้นเมื่อเทียบกับพื้นห้อง ทั้งที่ควรกลับคืนสู่สภาพเดิม แล้ว แสดงว่ามีบางอย่างสิ่งผิดปกติแน่ โคมไฟบอกเหตุนั้นเขย่าขวัญโยนาห์ จนผวา เขายังนอนอยู่บนที่นอน ส่งสายตารวดร้าวกระสับกระส่ายกวาดไป เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 61
ทั่วห้อง ตอนนั้นเอง ผู้ร้ายหลบหนีคนนี้เริ่มตระหนักแล้วว่าไม่มีสถานที่ใดให้ เขาหลบซ่อนตัวได้ ความผิดปกติของโคมไฟท�าให้เขายิ่งรู้สึกขนลุกกลัว พื้น ห้อง เพดาน และผนัง เหมือนบิดเบีย้ วไปหมด ‘โอ! ตัง้ สติไว้!’ เขาครางออกมา ‘ท�าใจดีๆ จะได้มีสติ แต่...ท�าไมสติรับรู้มันถึงบิดเบี้ยวไปหมดล่ะ!’ “เขาเหมือนคนดืม่ จนเมามายยามค�า่ คืนแล้วรีบขึน้ เตียงนอนทัง้ ยังวิงเวียน แต่กย็ งั หลงเหลือสติรบั รูท้ เี่ ข้ามาทิม่ แทง เหมือนพลัดตกจากหลังม้าแข่งโรมัน แล้วยังโดนสายคาดเหล็กของมันกระแทกใส่อย่างแรง เหมือนคนที่ตกอยู่ใน ภาวะล�าบากอยู่แล้วยังเคราะห์ร้ายซ�้าต้องมาทุกข์ทรมานกับอาการคลื่นไส้ อีก เขาสวดวิงวอนพระเจ้าให้ทรงปัดเป่าอาการวิงเวียนนัน้ และทัง้ ทีย่ งั รูส้ กึ หัว หมุนติ้วเขาก็หมดสติไปเหมือนคนตกเลือดตาย เพราะสติรับรู้เปรียบเหมือน บาดแผลที่ไม่มีอะไรมาห้ามเลือดได้ หลังจากดิ้นทุรนทุรายบนเตียงนอน อยู่นาน ในที่สุดลางบอกเหตุซึ่งสร้างความทุกข์ทรมานอันยืดยาวแก่โยนาห์ ก็ได้ลากเขาดิ่งลึกลงสู่ห้วงนิทรา “นั่นเป็นเวลาน�้าขึ้นพอดี เรือถูกปลดเชือก และแล่นออกจากท่าเพื่อมุ่ง ไปยังทารชิช มันลอยล�าโคลงเคลงออกสู่ทะเล เรือล�านั้น เพื่อนชาวเรือเอ๋ย... นับเป็นเรือล�าแรกในประวัติศาสตร์ที่มีการลักลอบขนของต้องห้าม! ของสิ่ง นั้นก็คือโยนาห์นั่นเอง หากแต่ท้องทะเลขัดขืน มันไม่ยอมแบกรับความชั่ว ร้าย ทั้งพายุแรงก็โหมกระหน�่า จนเรือใกล้จะอับปาง หัวหน้าลูกเรือสั่งให้ ทุกคนช่วยกันขนของทิ้งทะเลเพื่อให้เรือเบาลง ทั้งลังใส่ของ หีบห่อ และโอ่ง ไหถูกโยนโครมครามไปนอกเรือ ช่วงเวลานั้นเสียงลมกรีดหวีดหวิว พวกลูก เรือพากันตะโกนลั่น พื้นกระดานเรือลั่นปึงปังดังสนั่นด้วยแรงย�่าของผู้คนที่ วิ่งไปมาด้านบนเหนือศีรษะของโยนาห์ ท่ามกลางความสับสนอลหม่านนั้น โยนาห์ยงั คงหลับใหลอยูใ่ นความกลัว “เขาไม่เห็นท้องฟ้ามืดมิดและท้องทะเล คลั่ง ไม่รับรู้ถึงอาการหมุนโคลงของโครงเรือ แทบไม่ได้ยินเสียงหรือใส่ใจกับ วาฬใหญ่ยักษ์ที่ก�าลังพุ่งทะยานมาแต่ไกล ปากของมันอ้ากว้างอยู่ด้านหลัง เขาไม่ไกลนัก ใช่แล้ว...เพื่อนชาวเรือทั้งหลาย โยนาห์ลงไปอยู่บริเวณท้องเรือ 62 : โมบี-ดิ๊ก
ก�าลังนอนอยู่บนที่นอนในห้องโดยสารที่พ่อเองก็เคยไปนอนมา เขาหลับเป็น ตาย เวลานัน้ เอง นายเรือเรือผูต้ นื่ ตระหนกก็ลงมาหาเขาและตะเบ็งใส่หหู นวก บอดของเขา “อะไรกันนี่! โอ๊ะ...เจ้าขี้เซา! ตื่นสิ!’ เสียงร้องตื่นกลัวปลุกโยนาห์ ให้ตื่นจากอาการง่วงซึม เขาโงนเงนลุกขึ้นยืน แล้วเดินโซเซไปยังดาดฟ้าเรือ คว้าเชือกขึงเสากระโดงเรือจับไว้มั่นแล้วมองออกไปยังทะเล “ทันใด เขาก็ ต้องกระดอนไปทั้งตัวเมื่อถูกคลื่นยักษ์ลูกหนึ่งโถมข้ามกราบเรือเข้ามาซัดใส่ คลืน่ ลูกแล้วลูกเล่าซัดกระหน�า่ ใส่เรือ จนน�า้ ทะเลล้นทะลักเข้ามาอย่างไม่อาจ ระบายได้ทนั ทัง้ ทางหัวเรือท้ายเรือ ลูกเรือทัง้ หมดแทบจะจมน�า้ ตายทัง้ ๆ ทีอ่ ยู่ บนเรือ และเช่นเดียวกับดวงจันทร์ซีดที่แย้มโฉมอันตื่นตระหนกออกมาจาก แผ่นฟ้ามืดมิดลึกล�า้ เบือ้ งบน โยนาห์กอ็ กสัน่ ขวัญหายเมือ่ หันไปเห็นเครือ่ งเสา หัวเรือพลิกแหงนขึน้ สูงลิว่ ก่อนจะทิง้ ดิง่ บนผืนน�า้ และปักวูบลงไปอย่างน่ากลัว “ความหวาดกลัวกระหน�่าใส่จิตวิญญาณของเขาระลอกแล้วระลอกเล่า และด้วยท่าทางขลาดกลัวจนตัวงอเช่นนัน้ ชายผูห้ ลบหนีพระเจ้าคนนีก้ ถ็ กู จับ พิรุธได้ทันที เหล่าลูกเรือหันมาจ้องมองเขา ยิ่งมองก็ยิ่งสงสัยจนต้องพิสูจน์ หาความจริง ต่างเชื่อว่าเรื่องทั้งหมดนี้คงต้องเกี่ยวข้องกับสวรรค์เบื้องบน พวกเขามองหาตัวต้นเหตุที่ท�าให้เกิดพายุปั่นป่วนนี้เพื่อจะโยนออกไปนอก เรือ และคิดว่าโยนาห์น่าจะเป็นต้นเหตุ จึงปรี่เข้ามารุมล้อมป้อนค�าถามใส่ โยนาห์ไม่ยั้ง ‘เจ้าท�าอาชีพอะไร? มาจากที่ไหน? ประเทศอะไร เป็นชาวอะไร’ แต่ทว่า...เพือ่ นชาวเรือทัง้ หลาย...สังเกตพฤติกรรมของโยนาห์ผนู้ า่ สังเวชตอนนี้ นะ ไม่ว่าเหล่าลูกเรือจะคาดคั้นถามว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน แต่กลับไม่ได้ รับค�าตอบใดๆ จากค�าถามเหล่านัน้ เลย โยนาห์ตอบเพียงค�าตอบเดียวเท่านัน้ ซึง่ เป็นค�าตอบของค�าถามทีพ่ วกเขาไม่ได้ถาม หากแต่เป็นค�าตอบทีโ่ ยนาห์ถกู บังคับให้ตอบด้วยอ�านาจของพระเจ้าที่อยู่เหนือเขา “‘ข้าพเจ้าเป็นชาวฮีบรู’ เขาตะโกนออกมาและว่า ‘ข้าพเจ้ากลัวพระผู้เป็น เจ้าแห่งสวรรค์ ผู้สร้างทะเล และแผ่นดินแห้ง!’ กลัวท่านงั้นหรือ โอ้...โยนาห์? นั่นสินะ...อ�านาจใดกันเล่าที่ท�าให้เกิดกลัวพระเจ้าขึ้นมา! ถึงตอนนั้นเขารีบ เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 63
สารภาพออกมาจนหมดเปลือก เมื่อได้ฟังเรื่องราวจนจบเหล่าลูกเรือยิ่งรู้สึก กลัวมากกว่าเดิม แต่ก็รู้สึกสงสารเขาด้วย กระนั้นโยนาห์ก็ยังไม่วิงวอนขอ ความเมตตาจากพระเจ้าเนือ่ งในความผิด ด้วยเขาเองก็รดู้ วี า่ การละทิง้ หน้าที่ เป็นสิ่งเลวร้าย โยนาห์ผู้เคราะห์ร้ายร้องบอกให้ลูกเรือจับเขาโยนลงทะเลไป เพราะรู้ว่าเป็นความผิดของเขาที่ท�าให้เกิดพายุปั่นป่วนนี้ เหล่าลูกเรือเกิด เวทนาขึน้ มาจึงพยายามหาวิธอี นื่ เพือ่ กอบกูส้ ถานการณ์ หากแต่ทกุ วิธกี ไ็ ร้ผล พายุคลัง่ ส่งเสียงค�ารามหนักยิง่ ขึน้ บางคนยกมือขึน้ วิงวอนต่อพระเจ้า ขณะที่ มือของบางคนก็จับตัวโยนาห์ไว้ไม่รีรอ “แล้วโยนาห์กถ็ กู จับยกขึน้ เหมือนสมอเรือ ก่อนจะถูกหย่อนลงทะเลไป ร่าง เป็นมันลืน่ ร่างหนึง่ ล่องมาจากทางตะวันออกอย่างเงียบเชียบ แล้วทะเลก็สงบ นิง่ ลง ขณะทีโ่ ยนาห์นา� เอาพายุจมดิง่ ลงไปกับเขาด้วย ทิง้ ผิวน�า้ ราบเรียบไว้ดา้ น บน เขาจมดิง่ ลงสูใ่ จกลางวังวนอันปัน่ ป่วนเกินกว่าจะขัดขืน แทบไม่ทนั สังเกต ว่าเขาผลุบผ่านปากวาฬทีเ่ ปิดอ้ารอรับ ก่อนจะงับซีฟ่ นั สีงาของมันลงมาราวกับ สลักดาลอันหนาแน่น กักขังเขาไว้ในลูกกรงสีขาว โยนาห์สวดอ้อนวอนพระ ผู้เป็นเจ้าจากในท้องปลานั้น แต่สังเกตค�าวิงวอนของเขาให้ดีนะ และเรียนรู้ ถึงบทเรียนอันส�าคัญตรงนี้ “เพราะแม้จะเป็นคนบาป แต่โยนาห์กไ็ ม่ได้รอ้ งไห้ คร�่าครวญขออิสรภาพ เขารู้แล้วว่าตนเองก�าลังได้รับโทษมหันต์และยอมรับ การลงทัณฑ์ทงั้ มวล โดยให้พระเจ้าเป็นผูต้ ดั สินตามแต่จะทรงเห็นเห็นสมควร และแม้กา� ลังเจ็บปวดทนทุกข์ทรมาน เขาก็ยงั หันหน้าไปพึง่ วิหารศักดิส์ ทิ ธิข์ อง เขา ตรงนีเ้ อง เพือ่ นชาวเรือทัง้ หลาย...ทีเ่ ป็นการส�านึกบาปอย่างถูกต้องและมี ศรัทธาอย่างแท้จริง ไม่ใช่ร�่าร้องขออภัยโทษ แต่ขอบคุณส�าหรับการลงทัณฑ์ พฤติกรรมของโยนาห์ตรงนี้เองที่ท�าให้พระเจ้าทรงพอพระทัย และทางปลด ปล่อยเขาจากวาฬและทะเล เพือ่ นชาวเรือเอ๋ย...พ่อไม่ได้นา� เรือ่ งของโยนาห์มา เล่าให้ลูกฟังเพื่อให้เอาเยี่ยงอย่างการกระท�าบาปแบบเขา แต่พ่อน�าเรื่องของ เขามาบอกเล่าเพือ่ ให้ลกู เห็นเป็นแบบอย่างในการส�านึกบาป จงอย่าท�าผิดบาป แต่หากลูกกระท�า ก็จงส�านึกผิดให้ได้อย่างโยนาห์” ขณะที่คุณพ่อกล่าวถึง 64 : โมบี-ดิ๊ก
ตรงนี้ เสียงพายุข้างนอกก็กระหน�่าหวีดหวิวขึ้นราวกับขานรับอย่างทรงพลัง ตอนท่านเล่าเรื่องของโยนาห์กับพายุทะเลคลั่ง ดูเหมือนร่างท่านเองก็พลอย ถูกพายุโยกคลอนไปด้วย อกกว้างของท่านกระเพื่อมราวคลื่นใต้น�้า สอง แขนกวัดแกว่งราวธาตุธรรมชาติทั้งสี่ก�าลังห�า่ หั่นขับเคี่ยวกัน เสียงฟ้าเหมือน ค�ารนค�ารามออกมาจากคิ้วเข้มด�า และแสงสว่างแลบปลาบจากดวงตา ท่าที แปลกประหลาดนั้นท�าให้เหล่าผู้ฟังของท่านต่างมองด้วยความหวั่นเกรง ขณะนั้นท่านนิ่งเงียบ ค่อยๆ พลิกพระคัมภีร์ทีละหน้า ก่อนจะหยุดยืน สงบนิง่ และปิดเปลือกตาลง ช่วงเวลานัน้ ดูราวกับท่านก�าลังสือ่ สารกับพระเจ้า และกับตัวท่านเองอยู่ เมือ่ ลืมตาขึน้ ท่านโน้มตัวลงมาทางกลุม่ ชน ค่อยๆ โค้งศีรษะลงด้วยท่าทาง นอบน้อมหากแต่คงไว้ซึ่งความสง่างาม พร้อมกับกล่าวต่อว่า “เพื่อนชาวเรือ ทั้งหลาย...พระเจ้าวางมือเพียงข้างเดียวบนตัวท่าน แต่พระองค์กดสองมือลง บนตัวพ่อ สิ่งที่ได้อ่านได้เล่าให้ท่านฟังนั้นอาจยังไม่แจ่มแจ้งลึกซึ้งนัก เพราะ บทเรียนของโยนาห์มีคุณค่าต่อการเรียนรู้แก่ผู้กระท�าบาปทั้งปวง นั่นก็คือ ทั้งแก่ตัวท่าน และโดยเฉพาะตัวพ่อเอง เพราะพ่อเป็นคนบาปเสียยิ่งกว่า พวกท่าน คงเป็นเรื่องน่ายินดีหากพ่อได้ก้าวลงจากหัวเรือนี่แล้วลงไปนั่ง ตรงทีท่ พี่ วกท่านนัง่ อยู่ เพือ่ ฟังในสิง่ ทีพ่ วกท่านได้ฟงั ให้ใครสักคนในกลุม่ พวก ท่านขึ้นมาอ่านพระคัมภร์ให้พ่อฟัง ด้วยบทเรียนที่น่าเลื่อมใสศรัทธายิ่งกว่า บทเรียนที่โยนาห์สอนพ่อ ในฐานะของผู้น�าทางแห่งพระผู้เป็นเจ้า “พระเป็น เจ้าได้แต่งตั้งโยนาห์เป็นผู้น�าสาร หรือผู้เผยความจริงและพระวจนะ เพื่อให้ ไปประกาศความจริงอันไม่น่ายินดีแก่ชาวเมืองนีนะเวห์อันหยาบช้าให้ได้รับ ฟัง แต่เขากลับตกใจ กลัวว่าคนที่นั่นต้องพากันเกลียดชังเขาแน่ จึงหาทาง ละทิ้งหน้าที่นี้โดยการไปขึ้นเรือที่ยัฟฟา หากแต่พระเจ้าอยู่ทุกหนแห่ง เขาจึง ไม่มีทางไปถึงทารชิชได้ ดังที่เราต่างได้ประจักษ์กันแล้วว่า พระเจ้ามาหาเขา ในร่างของวาฬที่กลืนกินเขาเข้าไปในวังวนแห่งชะตากรรม กระชากเขาเข้าสู่
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 65
‘ใจกลางมหาสมุทร’ ที่ที่วังน�้าวนดูดเขาจมลึกลงไปเป็นหมื่นฟาทอม3 และ ‘สาหร่ายทะเลพันรอบศีรษะของเขา’ กระแสน�า้ แห่งเคราะห์รา้ ยถาโถมท่วมท้น ตัวเขา “กระนัน้ ก่อนเขาจะดิง่ ลงสูก่ น้ บึง้ ‘แห่งท้องอเวจี’ เมือ่ วาฬยักษ์พงุ่ ลงสู่ เบื้องลึกสุดของมหาสมุทร เวลานั้นพระเจ้าได้ยินเสียงศาสนทูตผู้นี้ร้องส�านึก บาปจากท้องปลา พระองค์ทรงบอกวาฬให้แหวกว่ายขึ้นจากห้วงน�้าเย็น สะท้านและมืดมิด ขึน้ สูแ่ สงอาทิตย์อนั อบอุน่ สบาย อากาศสดชืน่ และผืนโลก แล้ว ‘ส�ารอกเอาโยนาห์ออกมาบนพื้นดินแห้ง’ จากนั้นพระองค์ทรงกล่าวกับ โยนาห์อกี ครัง้ ครานีห้ ขู องเขาทีถ่ กู ครูดจนเป็นแผลเขียวคล�า้ เปิดรับฟัง เหมือน ฝาหอยทะเลเปิดอ้าออกพร�า่ พึมพ�ากับมหาสมุทร โยนาห์รบั บัญชาจากพระเจ้า เรื่องนี้มีความหมายอย่างไรนะหรือ...เพื่อนชาวเรือทั้งหลาย? ก็คือการสอน สัจจะความจริงแก่ผู้หลงผิด! นั่นล่ะความหมายของเรื่องนี้! “นี่แหละ เพื่อนชาวเรือเอ๋ย...นี่คืออีกบทเรียนหนึ่ง เป็นความวิบัติอันเกิด แก่ผู้ส่งสารของพระเจ้าซึ่งเมินเฉยต่อหน้าที่นั้น เป็นความวิบัติต่อผู้ต้องมนต์ ลวงของโลกใบนี้จนละทิ้งหน้าที่ตามค�าสอนของพระองค์! เป็นความวิบัติต่อ ผูพ้ ยายามแก้ปญ ั หาด้วยการราดน�า้ มันบนสายน�า้ ขณะทีพ่ ระองค์เป่าสายน�า้ นัน้ จนเป็นลมพายุ! ความวิบตั ติ อ่ ผูแ้ สวงหาการยอมรับมากกว่าการถูกปฏิเสธ! ความวิบตั ติ อ่ ผูใ้ ส่ใจในชือ่ เสียงมากกว่าความดีงาม! ความวิบตั ติ อ่ ผูแ้ ส่หาเรือ่ ง เสือ่ มเสียเกียรติบนโลกใบนี!้ ความวิบตั ติ อ่ ผูซ้ งึ่ อาจหลงผิด แม้เป็นความผิดที่ ต้องการพ้นภัยก็ตาม! ใช่...เป็นความวิบตั ติ อ่ ผูป้ ระสบชะตากรรมเฉกเช่นเดียว กับอัครทูตเปาโล ขณะเทศน์สอนคนอื่นตัวท่านเองกลับเป็นผู้ถูกลอยแพ” ท่านก้มหน้าและดูเหมือนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะ เงยหน้าขึน้ เผยให้เห็นแววปีตลิ า�้ ลึกในดวงตา พลางตะโกนออกมาด้วยศรัทธา อันแรงกล้า “แต่ทว่า โอ้! เพือ่ นชาวเรือทัง้ หลาย...ทางด้านกราบขวาของความ ทุกข์ระทมทัง้ หลายย่อมมีความรืน่ รมย์อยูอ่ ย่างแน่นอน และความรืน่ รมย์นนั้ ย่อมสูงล�า้ กว่าก้นบึ้งแห่งความระทมทุกข์ ป้อมบนเสากระโดงเรือย่อมสูงกว่า 3
1 ฟาธอมเท่ากับ 6 ฟุต
66 : โมบี-ดิ๊ก
กระดูกงูเรือที่อยู่ต�่ามิใช่หรือ? ความยินดีย่อมมีแก่ผู้ที่อยู่สูง...สูงขึ้นไป และ ความยินดีภายในใจย่อมมีแด่ผู้หยัดยืนด้วยกายใจไม่ย่อท้อต่อเทพเจ้าผู้หยิ่ง ทระนงและผู้บัญชาผืนโลกใบนี้ ความยินดีย่อมมีต่อผู้มีสองแขนอันแข็งแกร่ง ไว้คอยช่วยเหลือตัวเอง ยามเมื่อเรือแห่งโลกอันหลอกลวงเลวทรามได้จมลง อยู่เบื้องล่างเขา “ความยินดีย่อมมีแก่ผู้ไม่ผ่อนปรนในสัจจะ ผู้มุ่งขจัด เผาผลาญ และ ท�าลายความชั่วร้ายทั้งมวล แม้ต้องกระชากความจริงมาจากผู้สวมใส่ชุด สมาชิกสภาสูงและตุลาการ ความยินดีอนั สง่างามสูงสุดย่อมมีแก่ผไู้ ม่ยอมรับ กฎข้อบังคับและอ�านาจใด เว้นแต่พระผู้เป็นเจ้า และภักดีเพียงสรวงสวรรค์ ความยินดีย่อมมีแก่ผู้ที่คลื่นยักษ์แห่งมวลมหาสมุทรและฝูงชนจลาจล ก็ยัง ไม่อาจโยกคลอนโครงเรือแห่งกาลเวลาอันคงมัน่ ของเขา ความยินดีชวั่ นิรนั ดร์ และความสุขใจ ย่อมจะมีแก่ผู้สามารถกล่าวในห้วงลมหายใจห้วงสุดท้ายได้ ว่า ‘โอ้...พระบิดา! ในยามที่ข้าพระองค์ก�าลังอ�าลาโลกนี้ไป ข้าพระองค์รู้จักก็ แต่ไม้เท้าแห่งท่าน4 จะตายหรือเป็นนิรนั ดร์ ข้าพระองค์กไ็ ด้มงุ่ มัน่ ทีจ่ ะอยูร่ ว่ ม กับท่านยิ่งกว่าจะอยู่ในโลกใบนี้ หรือแม้แต่อยู่เพื่อตัวข้าพระองค์เอง กระนั้น จะอยู่หรือตายก็ไม่ส�าคัญ ขอความเป็นนิรันดร์จงเป็นของพระองค์ ด้วยว่าที่ มนุษย์มีชีวิตอยู่ตั้งแต่เกิดจนตาย ก็เพื่อพระเจ้าของเขาเท่านั้น” จากนัน้ คุณพ่อแมปเปิล้ ก็ไม่ได้พดู อะไรอีก เพียงแต่โบกมือช้าๆ ให้พร ก่อน ยกสองมือขึ้นปิดหน้า ท่านยังคงคุกเข่าอยู่อย่างนั้น กระทั่งเหล่าศาสนิกชน ทยอยกันเดินจากไปจนหมด ทิ้งท่านไว้ตามล�าพัง ณ สถานที่แห่งนั้น
4
ไม้เท้าแห่งท่าน-เมื่อพระเจ้าทรงเรียกโมเสสตอบรับหน้าที่นั้น ได้ให้โมเสสโยนไม้เท้าลงบนพื้น และไม้ เท้านั้นก็กลายเป็นงู แล้วเมื่อโมเสสจับหางงู งูนั้นก็กลายเป็นไม้เท้าดังเดิมอีกครั้ง
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 67
บทที่ 10 คู่หู
เมื่อกลับจากโบสถ์มาถึงโรงเตี๊ยมวาฬพ่นน�่า ผมเห็นควีเควกนั่งอยู่คนเดียว เงียบๆ เขาหลบออกมาจากโบสถ์ก่อนพิธีให้พร และตอนนั้นก�าลังนั่งอยู่บน ม้านัง่ วางเท้าลงบนพืน้ หน้าเตาผิง มือข้างหนึง่ ถือเทวรูปด�าขึน้ จ้องมองใกล้ๆ จนเกือบชิดติดใบหน้า และใช้มดี พับค่อยๆ คว้านเหลาจมูกมัน ขณะทีฮ่ มั เพลง ท่วงท�านองของคนนอกศาสนาออกมา ทันใดเขาชะงักมือและวางหุ่นไม้ลง จากนั้นลุกเดินไปที่โต๊ะ หยิบหนังสือ เล่มใหญ่บนนั้นกลับมาวางบนตัก ค่อยๆ เปิดนับทีละหน้าๆ เมื่อครบทุกๆ ห้าสิบหน้าเขาจะหยุดครู่หนึ่ง แล้วท�าในสิ่งที่ผมเห็นแล้วนึกขัน เขาเหม่อมอง ไปยังความว่างเปล่ารอบตัวแล้วผิวปากยาวหวือออกมาอย่างประหลาดใจ ก่อนจะเริ่มต้นเปิดนับใหม่อีกห้าสิบหน้า และดูเหมือนจะเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ ทุกครั้งราวกับเขานับเกินเลขห้าสิบไม่ได้ หลังจากนับได้ห้าสิบหลายครั้ง เขา ก็ยิ่งตื่นเต้นประหลาดใจตามจ�านวนหน้าไปด้วย ผมนัง่ มองดูเขาอย่างทวีความสนใจ แม้จะเป็นคนป่ามีใบหน้าลายน่ากลัว (อย่างน้อยก็น่ากลัวส�าหรับผม) แต่สีหน้าของเขามีบางสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ คุณไม่อาจซ่อนจิตวิญญาณของตัวเองได้ หากมองผ่านรอยสักผิดธรรมชาติ บนใบหน้าของเขา ผมคิดว่าผมมองเห็นหัวใจอันซื่อบริสุทธิ์ฉายออกมา และ ในดวงตาใหญ่ด�าเข้มคู่ห้าวหาญนั้น ก็เหมือนเป็นสัญลักษณ์แห่งจิตวิญญาณ ที่กล้าท้าแม้ปีศาจร้ายพันตัว นอกจากนั้น ยังมีแววสูงส่งบางอย่างอยู่ในตัว 68 : โมบี-ดิ๊ก
คนเถือ่ นผูน้ ี้ ชนิดทีค่ วามเงอะงะเก้งก้างของเขาก็ไม่อาจท�าลายความสง่างาม นั้นลงไปได้เลย เขาดูเป็นคนที่ไม่ยอมก้มหัวให้ใคร และไม่เคยเป็นหนี้บุญคุณ ใคร ศีรษะโกนโล้นเลีย่ นจนเห็นหน้าผากกว้างใส และดูกว้างเกินกว่าทีค่ วรจะ เป็น แต่ผมก็ไม่กล้าระบุชดั ทีแ่ น่ๆ คือ กะโหลกศีรษะของเขาจัดว่ามีรปู ลักษณ์ สัณฐานอันยอดเยี่ยมตามต�ารา1 อาจฟังดูน่าขัน แต่กะโหลกแบบนี้ท�าให้ผม นึกถึงศีรษะของท่านนายพลวอชิงตัน ที่ผมเคยเห็นจากรูปปั้นครึ่งตัวอันโด่ง ดังของท่าน เพราะหน้าผากลาดยาวลดหลั่นลงมาได้สัดส่วนเหมือนกัน และ โหนกนูนออกมาราวกับดามด้วยไม้ ควีเควกคือจอร์จ วอชิงตันที่พัฒนามา เยี่ยงเผ่าพันธุ์มนุษย์กินคนนั่นเอง ขณะเฝ้ามองดูเขาไม่วางตา ผมเสท�าเป็นมองพายุฝนนอกหน้าต่างบานพับ ไปด้วย เขาจึงไม่ใส่ใจผม และไม่คิดจะหยุดหันมามองสักแวบด้วยซ�า้ เอาแต่ ง่วนอยูก่ บั การนับหน้าหนังสือใหญ่เล่มนัน้ เมือ่ นึกถึงมิตรภาพระหว่างเราทีไ่ ด้ นอนด้วยกันเมื่อคืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตื่นขึ้นในตอนเช้าแล้วพบว่าแขน เขาโอบกอดผมอยู่อย่างรักใคร่ ท�าให้ผมรู้สึกแปลกใจในท่าทีเมินเฉยของเขา ยิ่งนัก ทว่าคนป่ามักมีนิสัยแปลกๆ บางครั้งคุณก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะรับมือกับ คนพวกนี้ยังไง แต่พวกเขาก็สร้างความประทับใจแก่คุณตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ พบเห็น ความสุขุมเรียบง่ายของเขาคล้ายหลักปรัชญาค�าสอนของโซเครตีส ผมสังเกตว่าควีเควกไม่สุงสิงกับใครเลย หรืออาจมีบ้างแต่ก็น้อยมาก ก็พวก เพื่อนกะลาสีบางคนในโรงเตี๊ยมแหละ แต่เขาก็ไม่คิดคบหาหรือสนิทสนมกับ ใครอีก จนผมรู้สึกว่าเขาโดดเด่นไม่เหมือนใคร แต่จะว่าไป นั่นแทบจะเป็น ความสูงส่งอย่างหนึ่ง ชายคนนี้จากบ้านมาร่วมสองหมื่นไมล์เพื่อเดินทางไป ยังแหลมเคปฮอร์น จุดพักระหว่างทางนี้เป็นเส้นทางเดียวที่เขาจะเดินทาง ไปถึงที่นั่นได้ เขาพาตัวเองเข้ามาอยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้าราวกับพลัดมา อยู่บนดาวพฤหัสบดี กระนั้นเขายังคงดูผ่อนคลาย คงอารมณ์ให้ปลอดโปร่ง เยือกเย็นอยู่ได้ พอใจกับการอยู่คนเดียว และรักษาดุลยภาพในตัวเองอยู่ 1
ช่วงศตวรรษที่ 19 เชื่อกันว่า การศึกษารูปพรรณสัณฐานของกะโหลกศีรษะ ช่วยให้ท�านายนิสัยใจคอ ของคนคนนั้นได้
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 69
เสมอ นี่เป็นการใช้ชีวิตตามหลักปรัชญาโดยแท้ แม้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขา ไม่เคยได้ยินเรื่องราวอะไรแบบนั้นมาก่อน แต่บางทีเขาอาจเป็นนักปรัชญา ตัวจริง มนุษย์โลกอย่างเราไม่ใคร่มจี ติ ส�านึกในการใช้ชวี ติ แบบนัน้ หรือพยายาม ที่จะใช้ชีวิตแบบนั้น หากผมได้ยินเรื่องท�านองนี้ หรือได้ยินใครอ้างตัวว่าเป็น นักปรัชญา ผมต้องคิดทันทีวา่ หมอนัน่ ไม่ตา่ งอะไรกับหญิงชรามีอาการอาหาร ไม่ย่อย จึง “ย่อยปรัชญาไม่เป็น”2 ขณะผมนัง่ อยูใ่ นห้องวังเวงไร้ผคู้ นนัน่ ฟืนไฟในเตาผิงเริม่ ราแสงลงจนใกล้ มอดดับ หลังจากที่ไฟลุกโหมสร้างบรรยากาศให้อบอุ่นแล้วก็หลงเหลือเพียง แสงเรื่อๆ ให้ได้เห็น เงาด�าและความมืดยามเย็นแผ่ขยายเข้ามาทางหน้าต่าง บานพับ และคืบคลานมาคลี่คลุมเราสองคนไว้จนกลายเป็นคู่เปลี่ยวเหงา โดดเดี่ยว พายุส่งเสียงครืนครั่นแต่ก็ปราศจากลมแรง ผมเริ่มสัม ผัสได้ถึง ความรู้สึกแปลกๆ จู่ๆ ก็รู้สึกใจอ่อนปวกเปียก ไม่คิดต่อต้านหรือร�าคาญโลก แสนเข็ญนี้อีกต่อไป ด้วยคนป่าผู้เยือกเย็นตรงหน้าได้ลบล้างความคิดเหล่า นั้นไปจนหมดสิ้น เขานั่งอยู่ตรงนั้น ความวางเฉยสะท้อนถึงธรรมชาติอันไม่ แอบแฝง ไม่เสแสร้งแกล้งเป็นผู้เจริญแล้วหรือลวงหลอกว่าเป็นสุภาพชน แม้ จะเห็นชัดว่าเขาเป็นคนป่าคนเถือ่ น กระนัน้ ผมรูส้ กึ เหมือนตัวเองถูกพลังลึกลับ ในตัวเขาสะกดไว้ แม้นั่นเป็นสิ่งที่ท�าให้คนส่วนมากไม่อยากเข้าใกล้ แต่กลับ ดึงดูดให้ผมสนใจเขาเป็นพิเศษ จนคิดว่าอยากลองเป็นมิตรกับคนป่าคนนี้ดู บ้าง เพราะเคยประจักษ์แล้วว่า ความกรุณาแบบชาวคริสต์นั้นดูช่างเป็นแค่ มารยาทอันเสแสร้งเพียงใด ผมลากม้านัง่ เข้าไปใกล้เขา แล้วแสดงท่าทางเป็น กันเองขณะพยายามชวนคุย ตอนแรกเขาดูไม่คอ่ ยเข้าใจนัก แต่หลังผมเอ่ยถึง ความมีนา�้ ใจเอือ้ เฟือ้ ของเขาเมือ่ คืน เขาก็ถามผมว่าเราจะนอนด้วยกันอีกไหม ผมตอบตกลง ซึ่งดูเขาจะพอใจหรืออาจถึงกับยินดีเลยด้วยซ�้า แล้วเราก็หนั มาพลิกหน้าหนังสือด้วยกัน ผมพยายามอธิบายข้อความและ ความหมายของภาพสองสามภาพในนั้น ไม่นานผมก็พลอยสนใจตามเขาไป 2
ย่อยปรัชญาไม่เป็น-กล่าวกันว่า “ปรัชญานั้นต้องย่อยให้เป็น” ถ้ากระเพาะพิการมีอาการไม่ย่อย ย่อมไม่ อาจดูซับสารอาหารดีๆ ออกมาได้
70 : โมบี-ดิ๊ก
ด้วย จากนั้นเราก็เริ่มจ้อถึงสิ่งต่างๆ ที่ได้ออกไปพบเห็นมาในเมืองชื่อดังแห่ง นัน้ เท่าทีจ่ ะพอสือ่ สารกันได้ สักพักผมก็ชวนเขาสูบยาด้วยกัน เขาหยิบยาเส้น ออกมาบรรจุลงขวานกล้องยา แล้วยืน่ ส่งให้โดยไม่พดู อะไร จากนัน้ เราก็ผลัด กันสูบจากกล้องยาคนป่านั่นสลับกันไปมา หากคนป่าผู้นี้ยังมีความเย็นชาเฉยเมยซุกซ่อนอยู่ในใจ ควันยาเส้นอัน อบอุน่ ด้วยไมตรีจติ ทีเ่ ราสูบร่วมกันก็หลอมละลายความเย็นชานัน้ ไปจนหมด สิ้น หลงเหลือไว้เพียงมิตรภาพระหว่างเรา ทั้งเขาและผมต่างเป็นกันเองมาก ขึ้น แล้วเมื่อเราสูบยาเส้นกันหมดแล้ว เขาก็ยกมือโอบรอบเอวผมและก้ม หน้าผากมาแนบกับหน้าผาก พร้อมกับพูดว่านับแต่นี้ไปเราเป็นคู่กัน ค�าพูด นี้ในบ้านเกิดของเขาหมายถึงเราเป็นคู่หูกันแล้ว เขายอมตายแทนผมเมื่อถึง ยามคับขัน ส�าหรับคนชนบท มิตรภาพเร่าร้อนซึ่งเกิดขึ้นแบบฉับพลันนี้อาจ ดูเร็วเกินควรและน่าเคลือบแคลง แต่ส�าหรับคนป่าซื่อบริสุทธิ์ผู้นี้ กฎเก่านั้น ก็นา� มาใช้ไม่ได้หรอก หลังอาหารเย็น เรานั่งพูดคุยและสูบยาเส้นกันอีกครั้งก่อนชวนกันไปที่ ห้องนอน เมื่อไปถึงเขาก็มอบซากหัวมนุษย์เป็นของขวัญ ก่อนจะหยิบเอา ถุงยาเส้นใบใหญ่ออกมา ควานเข้าไปใต้ใบยาเส้น แล้วล้วงเอาเงินดอลลาร์ สามสิบเหรียญออกมาวางกระจายบนโต๊ะ จากนัน้ แบ่งออกเป็นสองกองเท่าๆ กัน และผลักกองหนึ่งมาให้ผม บอกว่านั่นเป็นส่วนของผม ขณะผมตั้งท่าจะ คัดค้าน เขาก็ตัดบทด้วยด้วยการกอบเหรียญทั้งหมดเทใส่กระเป๋ากางเกง ผม ผมจึงต้องปล่อยตามเลย หลังจากนั้นเขาก็หยิบเอาหุ่นไม้ของเขาขึ้นมา ยกแผ่นกันไฟออกจากหน้าเตาผิง แล้วเริ่มสวดภาวนารอบดึก ดูเหมือนเขา อยากเชื้อเชิญผมเข้าร่วมท�าพิธีด้วย แต่เพราะรู้ดีถึงผลที่จะตามมาจึงไม่กล้า ผมใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งว่าควรจะร่วมภาวนากับเขาด้วยดีหรือไม่ ผมเป็นชาวคริสต์ที่ดีคนหนึ่ง เกิดและเติบโตมาในอ้อมกอดอันอบอุ่นของ โบสถ์เพรสไบทีเรียน3 แล้วผมจะเข้าร่วมสักการะหุ่นไม้กับเขาได้อย่างไรกัน? 3
เพรสไบทีเรียน-นิกายหนึ่งของศาสนาคริสต์ฝ่ายโปรแตสแตนต์
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 71
ทว่า...ผมคิดว่า การสักการะคืออะไรกันแน่? ลองคิดดูสิ...เจ้าอิชเมล พระเจ้า ผู้สูงส่งแห่งสวรรค์และโลก อันรวมถึงโลกของคนป่าและที่ไม่ใช่คนป่าด้วย จะมาติดใจกับแค่แท่งไม้ด�าที่ไม่มีความหมายอะไรนี่ได้หรือ? เป็นไปไม่ได้ หรอก! แต่...ถ้าอย่างนัน้ การสักการะคืออะไรล่ะ? คือการท�าตามพระประสงค์ ของพระเจ้าใช่ไหม? นัน่ แหละคือการสักการะที่แท้จริง แล้วพระประสงค์ของ พระเจ้าคืออะไร? กระท�าต่อเพือ่ นมนุษย์อย่างทีผ่ มอยากให้เขากระท�าต่อผม นั่นแหละความประสงค์ของพระเจ้า ควีเควกเป็นเพื่อนผม แล้วผมอยากให้ ควีเควกผูน้ ท้ี า� อะไรเพือ่ ผมบ้างล่ะ? ก็คงอยากให้เขาร่วมสักการะพระเจ้าตาม แบบนิกายเพรสไบทีเรียนที่ผมนับถือนั่นเอง ด้วยเหตุนั้น ผมจึงตัดสินใจร่วม พิธีกรรมบวงสรวงเทวรูปของเขา ผมจุดไฟขี้กบจากขุยไม้ แล้วช่วยตั้งเทวรูป น้อยไร้ความผิดนัน่ ขึน้ ถวายขนมปังกรอบแก่เทวรูปร่วมกับควีเควก โค้งคารวะ แบบอิสลามให้สองสามครั้งและจูบจมูกเทวรูป ก็เป็นอันเสร็จพิธี จากนั้นเรา ก็ถอดเสื้อผ้าแล้วขึ้นเตียง ด้วยจิตส�านึกอันปลอดโปร่งในตัวเราเองและต่อ ทุกสรรพสิ่งในโลก กระนั้น เราก็ยังพูดคุยกันเรื่องสัพเพเหระก่อนหลับ ผมก็บอกไม่ถูกว่าท�าไม รู้แต่ว่าไม่มีท่ีใดเหมาะแก่การเปิดเผยความในใจ ระหว่างมิตรได้เท่าบนเตียง กล่าวกันว่า ชายและหญิงต่างเปิดเผยเบื้องลึก แห่งตัวตนของกันและกันก็บนเตียงนีเ่ อง และสามีภรรยาบางคูท่ อี่ ยูก่ นิ กันมา นาน ก็มักนอนพูดคุยถึงเรื่องราวเก่าๆ จนเกือบรุ่งเช้า ส�าหรับผมกับควีเควก ที่นอนอยู่ด้วยกันตรงนั้น หัวใจเราก็อบอุ่นชื่นมื่น ด้วยเราสองเป็นคู่หูคู่ซี้กัน
72 : โมบี-ดิ๊ก
บทที่ 11 ชุดนอน
เรานอนอยูด่ ว้ ยกันบนเตียง พูดคุยสลับกับงีบหลับเป็นพักๆ บางครัง้ ควีเควกเผลอ ยกขาสีนา�้ ตาลสักลายพร้อยคูน่ นั้ ขึน้ มาก่ายพาดขาผม แต่กห็ ดกลับไปตามเดิม เราต่างรูส้ กึ สนิทสนมเป็นกันเองอย่างทีส่ ดุ จนท้ายสุดการพูดคุยนัน้ ท�าให้เรา ตาสว่างหายง่วงงุน จนนึกอยากจะลุกขึน้ จากเตียงทัง้ ทีย่ งั อีกนานกว่าฟ้าจะสาง ใช่แล้ว.. เราสองคนต่างนอนไม่หลับ ทนนอนเอกเขนกอยูน่ านสองนานจน เริม่ เมือ่ ย จึงค่อยๆ เปลีย่ นเป็นท่านัง่ เหน็บห่มผ้าคลุมเตียงกระชับกับตัว และนัง่ แนบขาชันเข่าพิงหัวเตียง เกยจมูกลงบนเข่าราวกับกระดูกสะบ้าเป็นถาดท�า ความร้อน1 เรารูส้ กึ ดีและอุน่ สบายขึน้ มาก ด้วยมีลมเย็นยะเยือกพัดลอดประตู เข้ามาตลอดเวลา จริงๆ นอกผ้าคลุมเตียงห่มกายก็เย็นไปหมดนัน่ แหละ เพราะ เห็นแล้วว่าไม่มกี องไฟภายในห้องเลย ทีย่ งิ่ กว่านัน้ ผมว่าถ้าจะให้รสู้ กึ พอใจกับ ไออุน่ จากร่างกายจริงๆ ก็ตอ้ งให้บางส่วนของร่างกายได้สมั ผัสกับความหนาว เย็นด้วย เพราะไม่มคี ณ ุ ค่าใดในโลกนีท้ เี่ หนือไปกว่าการรับรูถ้ งึ ความแตกต่าง ไม่มสี งิ่ ใดทีจ่ ริงแท้ในตัวมันเอง หากคุณปอปัน้ ตัวเองว่ามีความผาสุกล้นเหลือ มาช้านานแล้ว ก็คงพูดไม่ได้หรอกว่าคุณยังจะมีความสุขได้อีก แต่ถ้าปลาย จมูกและกระหม่อมของคุณโดนความเย็นอยูห่ น่อยๆ อย่างผมกับควีเควกบน เตียงตอนนัน้ แล้วท�าไมเราถึงยังสามารถรูส้ กึ อบอุน่ แสนสบายอยูไ่ ด้อย่างแท้จริง ล่ะ? ด้วยเหตุนเี้ องห้องนอนจึงไม่ควรมีเตาผิงไว้ภายใน ซึง่ คงสร้างความล�าบากให้ 1
ถาดท�าความร้อน-กระทะทองเหลืองด้ามยาว ใส่ถ่านร้อนๆ เพื่อช่วยอบที่นอนให้อุ่น
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 73
แก่คนมีเงินมากพอควร ความสุขใจสูงสุดแบบนีก้ ค็ อื ขอแค่ให้มผี า้ ห่มทีช่ ว่ ยให้อนุ่ สบาย คัน่ กลางระหว่างคุณกับความหนาวเย็นของอากาศภายนอก ก็เหมือนกับ ว่าคุณก�าลังนอนอยูใ่ นประกายแก้วอันอบอุน่ ณ ใจกลางผลึกใสของขัว้ โลกเหนือ เรานั่งอยู่ในท่าคุดคู้อยู่พักหนึ่ง จู่ๆ ผมก็อยากลืมตาขึ้นภายใต้ผ้าห่มกาย เพราะถ้าอยู่ซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน ไม่ว่าหลับ หรือตืน่ ผมมักปิดตาลงเพือ่ จดจ่อกับความอุน่ สบายบนเตียงเสมอ ด้วยคนเรา จะสัม ผัสรับรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาได้ก็ในยามหลับตาเท่านั้น ราวกับ ความมืดมิดเป็นแก่นแท้ของจิตวิญญาณเรา แม้แสงสว่างจะเข้ากันกับธาตุดนิ ในตัวเราได้ดีกว่าก็ตาม แล้วเมื่อลืมตาขึ้น...ผละจากความสุขสบายและ ความมืดที่สร้างขึ้นมาเองด้วยการหลับตา และมาเผชิญกับความมืดมิดยาม เที่ยงคืนซึ่งไร้แสงสว่าง ผมก็รู้สึกนึกแขยงขึ้นมาซะอย่างนั้น ไม่ใช่นึกรังเกียจ ทีค่ วีเควกลุกขึน้ ไปจุดเทียนไข เพราะมันน่าจะดีทสี่ ดุ แล้ว ด้วยเห็นว่าเราต่างก็ ตาสว่างนอนไม่หลับ ทัง้ เขาเองก็คงอยากสูบขวานกล้องยาเงียบๆ และแม้คนื ก่อนหน้านีผ้ มค้านหัวชนฝาไม่ให้เขาสูบยาบนเตียงนอน แต่ความรักใคร่ชอบพอ ย่อมท�าให้อคติทมี่ อี ยูก่ อ่ นหน้ายืดหยุน่ ได้โดยปริยาย ช่วงเวลานัน้ ผมกลับพอใจ ให้ควีเควกสูบยาอยู่ข้างๆ มากกว่าสิ่งอื่นใด แม้จะสูบอยู่บนเตียงนอนก็เถอะ เพราะเขาดูชา่ งมีความสุขกับความเรียบง่ายแบบนัน้ ผมเลิกกังวลแทนเจ้าของ โรงเตีย๊ มเรือ่ งมาตรการป้องกันอัคคีภยั ขอแค่ให้ได้เปิดใจมีความสุขกับการร่วม สูบยาใต้ผา้ ห่มผืนเดียวกันกับมิตรแท้ เราต่างอยูใ่ นชุดเสือ้ คลุมตัวหนาไหล่ตก ผลัดกันส่งขวานกล้องยาให้แก่กนั กระทัง่ ควันยาเส้นสีนา�้ เงินค่อยๆ ลอยโขมง อยู่เหนือหัวราวหลังคาเตียง และสะท้อนเรืองวาบขึ้นในยามที่จุดยารอบใหม่ ผมไม่รู้ว่า ม่านควันนั่นจะน�าพาคนป่าผู้นี้ล่องลอยไปยังสถานที่อันไกล แสนไกลหรือเปล่า แต่เขาก็เริม่ พูดถึงเกาะบ้านเกิด ผมเองอยากรูค้ วามเป็นมา ของเขาอยู่แล้ว จึงขอให้เขาเล่าต่อให้หมด ซึ่งเขาเองก็ยินดี แม้ในเวลานั้นจะ ยังฟังภาษาของเขาไม่เข้าใจดีนกั แต่เมือ่ เริม่ คุน้ กับส�านวนตะกุกตะกักของเขา ก็เริม่ ปะติดปะต่อเรือ่ งราวทัง้ หมดได้ แม้ผมอาจเล่าถึงเขาได้เพียงย่อๆ ก็ตาม 74 : โมบี-ดิ๊ก
บทที่ 12
ประวัติชีวิต
ควีเควกเป็นชาวโกโคโวโค1 เกาะที่อยู่ห่างไกลไปทางทิศตะวันตกและทิศใต้ ซึ่งไม่มีอยู่ในแผนที่โลก สถานที่จริงๆ หลายแห่งก็ไม่เคยปรากฏบนแผนที่ ช่วงที่คนป่าผู้นี้ยังนุ่งผ้าเตี่ยววิ่งเล่นตามประสาเด็กอยู่ตามทุ่งหญ้าป่า เขา โดยมีฝูงแพะไล่แทะเล็มราวกับเขาเป็นหน่อไม้อ่อน ควีเควกก็มีความ ฝันซุกซ่อนอยู่ภายในใจแล้ว เขาอยากเห็นอาณาจักรชาวคริสต์มากกว่าจะ ได้พบกับนักล่าวาฬผู้เป็นต�านานสักคนหรือสองคน พ่อของเขาเป็นหัวหน้า เผ่าหรือประมุข ลุงของเขาเป็นหมอผีใหญ่ ส่วนญาติทางฝ่ายแม่ เขาโอ่ว่าป้า น้าต่างเป็นภรรยาของนักรบผู้ไม่เคยพ่ายแพ้ในสนามรบใด เขาจึงมีสายเลือด ที่ดีเยี่ยมอยู่ในตัว เป็นถึงหน่อเนื้อเชื้อราชา หากแต่ผมเกรงว่าสายเลือดนี้ ต้องเสื่อมค่าลงอย่างน่าเศร้า เพราะลักษณะนิสัยดุร้ายกินคนที่เขาได้รับการ ปลูกฝังมาแต่ยังเยาว์วัย เรือจากแซกฮาร์เบอร์2 มาจอดยังอ่าวในเขตแดนทีพ่ อ่ ของเขาปกครองอยู่ ควีเควกจึงขอร่วมโดยสารไปยังดินแดนของชาวคริสต์ด้วย แต่เรือมีกะลาสี อยู่เต็มล�าแล้วเขาจึงถูกปฏิเสธ และใช่ว่าพ่อของเขาจะมีอิทธิพลเหนือผู้น�า คนอื่นๆ กระนั้น ควีเควกได้ตั้งสัตย์ปฏิญาณแก่ตนเองเอาไว้แล้ว จึงล่องเรือ แคนนูไปเพียงล�าพัง ตั้งหน้าตั้งตาพายไปยังช่องแคบห่างออกไปไกล อันเป็น ที่ที่เขาเชื่อว่าเรือจะผ่านมาหลังแล่นออกจากเกาะบ้านเกิดของเขา ด้านหนึ่ง 1 2
โกโคโวโค-หรือโรโคโวโค จริงๆ เป็นแค่เกาะสมมุติ (ว่า) อยู่ทางตอนใต้ของมหาสมุรแปซิฟิก แซกฮาร์เบอร์-หมู่บ้านประมงล่าวาฬบนเกาะลอง อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐนิวยอร์ก
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 75
ของช่องแคบเป็นโขดหินปะการัง อีกด้านเป็นแผ่นดินลาดต�า่ ลงไปเป็นแหลม มีต้นโกงกางขึ้นปกคลุมรกชัฏเหนือผิวน�้า เขาพายเรือแคนนูไปหลบอยู่ในดง โกงกางนั่น โดยนั่งอยู่ท้ายเรือพายประคองล�าเรือให้หันหัวออกสู่ทะเล เมื่อ เรือใหญ่แล่น ผ่านมา เขาก็พายเรือพุ่งไปที่ข้างเรือใหญ่อย่างรวดเร็ว แล้ว ถีบเท้ากระโจนขึ้นจนเรือแคนนูพลิกคว�่าจมลง เขาไต่โซ่เส้นใหญ่ปีนขึ้นไป ก่อนจะเหวี่ยงตัวเต็มแรงโผขึ้นไปคว้าห่วงร้อยโซ่บนดาดฟ้าเรือไว้ พร้อมกับ สบถสาบานกับตัวเองว่าต่อให้แขนขาดก็ไม่ยอมปล่อยมือแน่ เมื่อกัปตันมาพบเข้าจึงจ่อดาบสั้นไปที่ข้อมือ และขู่จะจับเขาโยนกลับลง ทะเล แต่ก็ไร้ผล ทั้งได้คิดว่าควีเควกเป็นถึงลูกของผู้ประมุขเผ่า ทั้งเขาก็ไม่ ได้ต่อสู้ขัดขืนอะไร นอกจากนั้นกัปตันยังนึกนิยมในความกล้าบ้าบิ่น และ ความปรารถนารุนแรงที่จะได้ไปเยือนอาณาจักรคริสต์ของเขา จึงยอมผ่อน ปรนให้ บอกให้เขาท�าตัวตามสบายบนเรือ แต่หนุ่มน้อยคนป่า เจ้าชายแห่ง ท้องทะเลผู้นี้ ไม่เคยมีโอกาสได้ท�าตัวตามสบายในห้องของกัปตันเลย เพราะ ถูกส่งให้ไปอยู่รวมกับลูกเรือ และฝึกให้เป็นนักล่าวาฬ ควีเควกท�าตัวเยี่ยง ซาร์ปเี ตอร์3ทีเ่ ต็มใจตรากตร�าท�างานหนักอยูใ่ นอูเ่ รือต่างเมือง เขาไม่ได้รงั เกียจ ว่าเป็นงานเสือ่ มเกียรติ หากแต่สขุ ใจเมือ่ คิดว่า จะได้นา� เอาประสบการณ์ทไี่ ด้ ไปถ่ายทอดให้แก่ประชากรผู้ไม่รู้หนังสือในเผ่าของเขา เขาบอกผมว่า ลึกๆ แล้วเขาได้รับแรงกระตุ้นจากความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะได้ไปเรียนรู้ร่วม กับชาวคริสต์ ถึงทักษะต่างๆ ที่จะท�าให้เผ่าของเขามีความสุขมากกว่าที่เป็น อยู่ หรือที่ยิ่งกว่านั้น คือท�าให้เผ่าพันธุ์ของเขาดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ แต่.. อนิจจา! ไม่นานพฤติกรรมของนักล่าวาฬก็ทา� ให้เขารูว้ า่ ชาวคริสต์มที งั้ ทีน่ า่ สังเวชและ ชั่วร้ายเลวทรามเหลือคณานับ ร้ายเสียยิ่งกว่าคนป่าในเผ่าของพ่อเขารวมกัน เสียอีก ในทีส่ ดุ เรือก็แล่นไปถึงหมูบ่ า้ นแซกฮาร์เบอร์อนั เก่าแก่ หลังจากได้เห็น ว่าเหล่าลูกเรือท�าอะไรกันบ้างบนเรือ และหลังจากได้เห็นว่าคนพวกนัน้ ใช้เงิน 3
ซาร์ปีเตอร์-พระเจ้าปีเตอร์มหาราช หรือซาร์ปีเตอร์ที่ 1 แห่งรัสเซีย (ค.ศ. 1672-1725) ด้วยทรงต้องการ สร้างราชนาวีรัสเซีย จึงปลอมพระองค์ไปท�างานในอู่ต่อเรือของราชนาวีอังกฤษและบริษัทอินเดียตะวัน ออกของดัตช์ ต่อมาหลังจากพิชิตเมืองท่าแห่งหนึ่งได้ ก็ทรงสร้างกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กขึ้นที่นั่น
76 : โมบี-ดิ๊ก
ค่าจ้างของตัวเองกันใน สถานที่ อย่างไร เมื่อเรือแล่นต่อไปเทียบท่าที่เกาะ แนนทักเก็ต ควีเควกผูน้ า่ สงสารก็ถงึ กับหมดสิน้ ศรัทธา เขาคิดว่า ช่างเป็นโลก แห่งความชัว่ ร้ายยิง่ กว่าทีใ่ ดๆ บนโลกนี้ เขาขอตายเยีย่ งคนป่าเสียยังจะดีกว่า ด้วยเหตุนี้ ผู้บูชาเทวรูปด้วยใจจริงอย่างเขา แม้ยังคงใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลาง ชาวคริสต์ สวมเสื้อผ้าและฝึกพูดจาไร้สาระแบบคนพวกนั้น แต่ก็ยังคงใช้ชีวิต แปลกๆ แบบตนเอง แม้จะจากบ้านมานานแล้วก็ตาม ผมเลียบเคียงถามว่า เขาไม่คิดจะกลับไปรับต�าแหน่งประมุขเผ่าหรือ เพราะเขาเองย่อมรู้ว่า ตอนนี้พ่อของเขาอาจจากไปแล้ว หรืออย่างน้อยก็แก่ ชรามากจนท�าอะไรไม่ได้อีก ควีเควกตอบแบ่งรับแบ่งสู้ และพูดเสริมว่าเขา เป็นชาวคริสต์ผู้ขลาดกลัว หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ การเป็นชาวคริสต์ท�าให้ เขาขาดคุณสมบัตทิ จี่ ะรับต�าแหน่งอันบริสทุ ธิแ์ ละไม่เคยด่างพร้อยของประมุข เผ่าสามสิบคนก่อนหน้าเขา เขาบอกว่า ในอนาคตเขาอาจจะกลับไป ทันทีที่ เขารูส้ กึ ว่าตัวเองได้ลา้ งบาปจนกลับมาบริสทุ ธิอ์ กี ครัง้ อย่างไรก็ตาม ช่วงนีเ้ ขา คิดล่องเรือไปใช้ชวี ติ วัยหนุม่ ให้ทวั่ เจ็ดคาบสมุทรก่อน คนเหล่านัน้ สร้างเขาเป็น นักพุ่งฉมวก ตอนนี้จึงขอถือตะขอเหล็กกล้าแทนคทาประมุขเผ่าไปพลางๆ ผมถามว่าอะไรคือเป้าหมายในตอนนี้ เพื่อไปให้ถึงอนาคตที่หวังไว้ เขา ตอบว่าต้องการท่องทะเลอีกครั้งเพื่อประกอบอาชีพเก่า ผมจึงบอกว่านักล่า วาฬก็เป็นอาชีพที่ผมวาดฝันไว้เช่นกัน และบอกให้เขารู้ถึงความตั้งใจของผม ที่จะล่องเรือออกจากท่าแนนทักเก็ต เพราะที่นั่นเป็นท่าเรือที่มีโอกาสที่จะได้ เดินทางไปในฐานะนักล่าวาฬผูร้ กั ผจญภัย เขาตัดสินใจร่วมเดินทางไปทีเ่ กาะ นั่นกับผมในทันที เพื่อจะได้ล่องทะเลไปในเรือล่าวาฬล�าเดียวกัน ได้ท�างาน กะเดียวกัน4 ลงเรือเล็ก5ล�าเดียวกัน กินอาหารพร้อมกัน สรุปก็คือได้ร่วม แบ่งปันโชคลาภ หรือคุย้ ข้าวก้นหม้อร่วมกันอย่างกล้าหาญ ไม่วา่ จะในน�า้ หรือ บนบก ผมย่อมตกลงรับปากอย่างยินดี เพราะนอกจากผมจะชื่นชอบในตัว ควีเควกแล้ว เขายังเป็นนักพุ่งฉมวกผู้ช�านาญ จึงต้องเป็นประโยชน์มหาศาล 4 5
ท�างานกะเดียวกัน-โดยปกติแล้วลูกเรือล่าวาฬท�างานเป็นสองกะ กะละสี่ชั่วโมงผลัดเปลี่ยนกัน เรือเล็ก-เรือล่าวาฬจะปล่อยเรือเล็กหลายล�าออกไปล่าเมือ่ เจอตัววาฬ เรือเล็กแต่ละล�าจะมีลกู เรือประจ�า
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 77
ต่อใครก็ตามที่คล้ายๆ กับผม คือไม่รู้เรื่องอะไรเลยเกี่ยวกับการล่าวาฬอัน เป็นปริศนา แม้ผมจะคุน้ เคยดีกบั การออกทะเลมาก่อนก็ตาม แต่กไ็ ปในฐานะ ลูกเรือพาณิชย์สมุทรเท่านั้น เรือ่ งราวของควีเควกจบลงพร้อมกับควันยาสูบทีเ่ ขาพ่นออกเป็นล�าสุดท้าย เขาสวมกอดผมและก้มลงแนบหน้าผากกับหน้าผากผม ก่อนจะเป่าเทียนดับ แล้วเราต่างก็ล้มตัวลงนอน และหลับไปในเวลาอันรวดเร็ว
78 : โมบี-ดิ๊ก
บทที่ 13
รถเข็น
เช้ารุง่ ขึน้ เป็นวันจันทร์ หลังผมเอาซากหัวอาบยาไปขายให้ชา่ งตัดผม ไว้วางวิก ผมแทนหุน่ ไม้ ก็กลับมาจ่ายค่าห้องทัง้ ของผมและสหาย ก็จากเงินทีเ่ ขาให้ผม มานัน่ แหละ ทัง้ เจ้าของโรงเตีย๊ มผูช้ อบยิม้ แยกเขีย้ วและแขกผูม้ าพักรายอืน่ ๆ ต่างก็ทงั้ ข�าทัง้ ประหลาดใจ ทีเ่ ห็นผมกับควีเควกกลายมาเป็นมิตรกันเร็วเหลือ เกิน แต่นี่ก็เป็นเพราะตาเฒ่าปีเตอร์ โรงศพนั่นแหละ ที่ปั้นเรื่องไร้สาระเกี่ยว กับควีเควกไว้ จนก่อนหน้านีผ้ มนึกผวาเจ้าหมอทีก่ ลายมาเป็นเพือ่ นผมตอนนี้ เรายืมรถเข็นมาคันหนึง่ และช่วยกันขนของใส่ ทัง้ กระเป๋าผ้าพรมเก่าๆ ของ ผม และถุงผ้าใบกับเปลญวณของควีเควก จากนัน้ ก็เข็นไปทีเ่ รือ “ตะไคร่” เรือ ใบเล็กซึ่งจอดอยู่ที่ท่าเตรียมออกเดินทางไปยังเกาะแนนทักเก็ต ระหว่างทาง สายตาหลายคูจ่ บั จ้องมาทีเ่ รา ไม่ใช่แค่ควีเควก ซึง่ พวกนีช้ อบมองคนป่าอย่าง เขาตามท้องถนนอยูแ่ ล้ว แต่มองเราทัง้ คูแ่ ล้วกระซิบกระซาบให้กนั กระนัน้ เรา ก็ไม่ใส่ใจคนพวกนั้น ยังคงผลัดกันเข็นรถต่อไป หยุดในบางขณะเมื่อควีเควก ต้องขยับปลอกปลายฉมวกของเขาให้เข้าที่ ผมถามเขาว่าท�าไมเขาต้องเอาของ พวกนีต้ ดิ ตัวมาให้ยงุ่ ยาก จริงๆ บนเรือล่าวาฬก็มฉี มวกให้ใช้อยูแ่ ล้วไม่ใช่หรือ เขาตอบว่าก็จริงอยู่ แต่เขาชอบใช้ฉมวกตัวเองเพราะจับถนัดมือกว่า ทัง้ เคยใช้ โรมรันเสีย่ งเป็นเสีย่ งตายและปักหัวใจวาฬมาแล้วหลายตัว พูดง่ายๆ ก็เหมือน ชาวนากับคนตัดหญ้าบนฝัง่ ทีม่ กั พกเคียวด้ามยาวของตัวเองติดมือไปทุง่ หญ้า ท้องนาด้วยเสมอ แม้ไม่จา� เป็นต้องยุง่ ยากจัดหาเครือ่ งไม้เครือ่ งมือด้วยตัวเอง เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 79
ถึงอย่างนั้นควีเควกก็มีเหตุผลส่วนตัวที่ชอบใช้ฉมวกของเขาเองมากกว่า หลังควีเควกผลัดเปลี่ยนมาเข็นรถแทนผม เขาก็เล่าเรื่องตลกให้ผมฟัง เกีย่ วกับรถเข็นคันแรกทีเ่ ขาเคยเห็น เป็นรถเข็นทีห่ มูบ่ า้ นประมงแซกฮาร์เบอร์ เจ้าของเรือให้เขายืมใช้ขนหีบสัมภาระหนักของเขาไปยังบ้านเช่า แม้ไม่ได้แสดง ท่าทีอะไรออกมา แต่จริงๆ แล้วเขาไม่รวู้ า่ มันคืออะไรกันแน่ และทัง้ ทีไ่ ม่รวู้ า่ จะ จัดการกับเจ้ารถเข็นนัน่ ยังไง ควีเควกวางหีบของเขาบนรถเข็น รัดจนแน่น ก่อน จะแบกรถเข็นทัง้ คันขึน้ บ่าแล้วเดินอาดๆ ขึน้ จากท่าเรือ “โห” ผมพูด “ควีเควก... ใครๆ คงคิดว่านายรู้แล้วว่าใช้ยังไง อย่างนี้คนไม่หัวเราะกันแย่เหรอ?” เขากลับเล่าอีกเรือ่ งหนึง่ ให้ฟงั แทนค�าตอบ ในงานเลีย้ งฉลองการแต่งงาน ของชาวโรโคโวโคบนเกาะของเขา ได้จดั เตรียมน�า้ มะพร้าวอ่อนใส่ในขันน�า้ เต้า ย้อมสีขนาดใหญ่แบบโถเครื่องดื่ม และมักตกแต่งโถที่ว่านี้จนสวยและตั้งอยู่ บนพรมถักกลางงานเลีย้ ง เมือ่ เรือสมุทรพาณิชย์ลา� ใหญ่ลา� หนึง่ เดินทางมาถึง โรโคโวโค ลือเป็นเสียงเดียวกันว่า ผู้การเรือนั่นเป็นสุภาพบุรุษจอมวางมาด อย่างน้อยก็กับกัปตันเรือเดินทะเลคนอื่น เขาได้รับเชิญให้มาร่วมงานแต่ง ของน้องสาวควีเควกด้วย ลูกสาวคนงามของหัวหน้าเผ่าเพิ่งมีวัยย่างเข้า เลขสิบ แล้วเมือ่ แขกเหรือ่ มารวมตัวกันทีก่ ระท่อมไม้ไผ่ของเจ้าสาว กัปตันผูน้ ี้ ก็เดินอาดๆ เข้ามา และถูกเชิญให้ไปนั่งในต�าแหน่งแขกกิตติมศักดิ์ ตรงกลาง ระหว่างหมอผีใหญ่และประมุขเผ่าพ่อของควีเควก โดยมีโถเครือ่ งดืม่ ตัง้ อยูต่ รง หน้า แล้วก็เริ่มมีการสวดขอบคุณพระเจ้าก่อนรับประทานอาหาร เพราะคน เผ่าเขาก็มีการสวดแบบนี้เช่นกัน แต่ควีเควกบอกว่าพวกเขาท�าต่างจากเรา เพราะเราแค่ก้มหน้ามองจาน ชาวป่าเหล่านั้นกลับท�าตรงกันข้าม คือไม่ได้ ก้มหน้างุดเหมือนเป็ด แต่แหงนหน้าไปยังเทพเจ้าเบื้องบนผู้ประทานอาหาร ทั้งมวลให้ ซึ่งผมว่าก็คือพระเจ้านั่นเอง เมื่อสวดเสร็จหัวหน้าหมอผีก็เริ่มเปิด งานด้วยพิธีเก่าแก่ของชาวเกาะ โดยจุ่มนิ้วมืออันศักดิ์สิทธิ์ลงไปในโถเครื่อง ดื่ม เพื่อเสกให้ศักดิ์สิทธิ์ก่อนแขกจะร่วมดื่มอวยพร กัปตันเห็นว่าตัวเองถูก เชิญให้มานั่งติดกับหมอผีใหญ่ และเฝ้าดูพิธีกรรมมาโดยตลอด คิดว่าเขาเป็น 80 : โมบี-ดิ๊ก
ถึงกัปตันเรือ มีศกั ดิส์ งู กว่าหัวหน้าเผ่าชาวเกาะคนหนึง่ แน่ๆ โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งยามที่เป็นแขกในบ้านนั้น กัปตันจึงจุ่มล้างมือในโถเครื่องดื่มหน้าตาเฉย ผมว่าตากัปตันคงเข้าใจผิดว่าเป็นอ่างล้างมือขนาดใหญ่นั่นเอง “ไง” ควีเควก พูดขึ้น “นาย-คิดไง...คนของเรา-ข�ามั๊ย?” ในที่สุดเราก็ยืนอยู่บนเรือใบขนาดเล็ก หลังจ่ายค่าโดยสารเรือและเก็บ สัมภาระไว้เรียบร้อยแล้ว เรือกางใบและแล่นไปตามแม่นา�้ อะคัชเนต1มองจาก มุมนี้ เห็นถนนหนทางในนิวเบดฟอร์ดทอดอยู่บนเนินลาดชัน ต้นไม้ปกคลุม ด้วยน�้าแข็งแวววาวอยู่ท่ามกลางอากาศเย็นไร้เมฆหมอก ถังไม้บรรจุไขวาฬ ขนาดใหญ่กองซ้อนลดหลั่นกันเป็นภูเขาเลากาอยู่ตามท่าเรือต่างๆ เหล่าเรือ ล่าวาฬทีก่ ลับจากท่องโลกเข้ามาจอดนิง่ เรียงรายโดยสวัสดิภาพ เรือบางล�าก็มี เสียงช่างไม้และช่างซ่อมถังไม้ก�าลังท�างานกันอยู่ ระคนกับเสียงไฟลนชันยาง ส�าหรับยาเรือ นัน่ เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเดินทางครัง้ ใหม่กา� ลังจะเริม่ ขึน้ หลัง การเดินทางเสีย่ งภัยอันยาวนานก่อนหน้าสิน้ สุดลง แล้วเมือ่ การเดินทางครัง้ ที่ สองเริ่มต้นและสิ้นสุด การเดินทางครั้งที่สามก็จะเริ่มขึ้นใหม่อีกครั้ง ต่อเนื่อง กันไปเสมอ และตลอดกาล ใช่แล้ว มนุษย์ต่างต้องดิ้นรนไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ เมื่อเรือแล่นออกสู่น่านน�้าเปิด ใบเรือก็กินลมมากขึ้น เรือตะไคร่ล�าเล็ก แหวกคลื่นแตกกระจายไปสองข้างล�าเรือ ราวลมหายใจที่พ่นฟู่ออกมาจาก จมูกม้าหนุ่ม ผมแสนรู้สึกสดชื่นเมื่อได้กลิ่นน�้าเค็ม! แสนรู้สึกรังเกียจเมื่อได้ กลิ่นถนนบนบก! ทางหลวงพวกนั้นล้วนเป็นหลุมเป็นรอยทั้งจากเท้าคนและ เท้าสัตว์ ท�าให้ผมหันมาชื่นชมความสูงส่งของทะเลซึ่งไม่มีร่องรอยอะไรทิ้ง ไว้บนสายน�า้ หลังมองฟองคลืน่ แตกกระจายราวน�า้ พุพกั ใหญ่ ควีเควกก็ทา� ท่าเหมือนจะ เมาเรือและเซมาปะทะผม รูจมูกสีคล�า้ พะเยิบพะยาบ แยกเขีย้ วเห็นฟันแหลม เรียงเป็นแถว ขณะเราสองคนตัวโคลงไปโคลงมาและเห็นท้องทะเลกว้างไกล ขึน้ เรือตะไคร่กต็ ดิ ลมแรงเต็มที่ แหวกน�า้ ปักหัวลูล่ งราวทาสโค้งคารวะสุลต่าน 1
แม่น�้าอะคัชเนต-อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐแมสซาชูเซตส์
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 81
พอข้างเรือเอียงวูบ เราก็เซถลาไปตาม ป่านเชือกทุกเส้นตึงเปรียะเหมือนเส้น ลวด เสากระโดงสูงสองต้นแอ่นลู่ราวต้นอ้อยต้องพายุหมุน ขณะยืนโซเซอยู่ บนเครื่องเสาหัวเรือ เราไม่ทันสังเกตว่ามีสายตาเยาะหยันของคนอื่นๆ จับ จ้องอยู่ ก็พวกกะลาสีหน้าใหม่ผู้นึกพิศวงที่เห็นเพื่อนสองคนเข้าขากันดี ทั้ง ที่คนหนึ่งเป็นคนขาวที่ดูภูมิฐานกว่าคนด�าชุบขาว พวกบ้านนอกเซ่อเซอะนั่น ต่างอยู่ในวัยละอ่อนเหลือเกิน และคงต้องมาจากกลางดงแมกไม้อ่อนเต็มที่ ควีเควกคว้าเจ้าหน่ออ่อนคนหนึ่งที่ยืนล้อเลียนเขาอยู่ทางด้านหลัง ผมคิดว่า เจ้าบ้านนอกนีต่ อ้ งซวยแน่ คนป่าผูก้ า� ย�าวางฉมวกของเขาลง แล้วรัดเจ้าหนุม่ นั่นไว้ด้วยสองแขน ใช้ความว่องไวผนวกกับความแข็งแรงอย่างน่าอัศจรรย์ เหวี่ยงเจ้านั่นลอยหวือขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะหมุนตีลังกาตกลงมาจนจุก เสียด ขณะที่ควีเควกหันกลับมาจุดขวานกล้องยาขึ้นแล้วยื่นส่งให้ผมสูบ “กัปตาน! กัปตาน!” หนุ่มบ้านนอกร้องเรียกเสียงหลง ขณะวิ่งตรงไปหา นายเรือ “กัปตาน...กัปตาน มีอันธพาลอยู่ตรงนี้” “เฮ้...นายน่ะ” กัปตันร่างกะหร่องแห่งท้องทะเลย่างสามขุมมายืนตรงหน้า ควีเควก “ท�าไมดุเดือดเลือดพล่านนัก? ไม่รเู้ หรอว่านายอาจฆ่าไอ้หนุม่ นัน่ ได้?” “เขาพูด-อาไร?” ควีเควกพูดขณะเอี้ยวตัวมามองผม “เขาพูดว่า” ผมตอบ “นายเกือบฆ่าา-คนตรงนั้น” ผมชี้ไปยังเจ้าหนุ่ม อ่อนหัดที่กา� ลังยืนตัวสั่น “ฆ่าา?” ควีเควกพูดเสียงดัง เบ้ใบหน้าสักลายของเขาอย่างดูถูก “อ้า! เขาปลาเล็ก-มั่ก ควีเควกไม่ฆ่าา-ปลาเล็ก ควีเควกฆ่าา-วาฬใหญ่!” “ฟังนะ” กัปตันแผดเสียง “ฉันจะฆ่าานาย ไอ้มนุษย์กินคน ถ้าขืนยังท�า แผลงๆ บนเรือนี่อีก ระวังตัวให้ดี” แต่แล้วก็กลายเป็นว่ากัปตันกลับต้องระวังตัวเสียเอง เมื่อใบเรือหลักต้าน แรงลมมหาศาลไม่ไหว หลุดผึงจากเชือกรั้งปรับทิศทางลม ไม้ขึงใบเรือขนาด ใหญ่จึงหลุดผลั่วออกและเหวี่ยงหวือจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้าน กวาดฟาด สิ่งต่างๆ ที่อยู่ท้ายเรือไปด้วย เจ้าหนุ่มน่าสงสารที่โดนควีเควกเล่นงานหนัก 82 : โมบี-ดิ๊ก
ก็ถูกกวาดจนตกทะเลไป ส่วนคนอื่นๆ พยายามจับไม้ขึงนั้นไว้ให้หยุดแกว่ง อย่างสับสนอลหม่านกันไปหมด ต่างสติไม่อยูก่ บั เนือ้ กับตัว ไม้ขงึ ใบเรือเหวีย่ ง ฟาดซ้ายทีขวาทีชวั่ เวลาเข็มนาฬิกากระดิก และดูจะแตกเป็นเสีย่ งๆ ได้ในทุก ขณะ ไม่มีใครท�าอะไร และทุกคนดูจะท�าอะไรไม่ได้เลย พวกที่อยู่บนดาดฟ้า เรือต่างวิ่งไปยังหัวเรือ และยืนมองไม้ขึงนั่นราวกับมันเป็นกรามล่างของวาฬ เจ้าโทสะ ขณะทุกคนก�าลังอกสัน่ ขวัญแขวนอยูน่ นั้ ควีเควกย่อตัวคุกเข่าลงแล้ว คลานอย่างคล่องแคล่วเข้าไปใต้ไม้ขงึ นัน่ ก�าเชือกเส้นหนึง่ แน่นในมือ แล้วพัน ปลายข้างหนึง่ ไว้กบั กราบเรืออย่างแน่นหนา จากนัน้ ผูกปลายเชือกอีกข้างท�า เป็นบ่วงบาศ แล้วโยนคล้องไม้ขึงใบเรือที่เหวี่ยงมาอยู่เหนือหัวเขาไว้ กระตุก เชือกอีกครัง้ ไม้ขงึ นัน่ ก็หมดพิษสง และทุกอย่างก็ปลอดภัย เรือใบเล็กกลับมา แล่นได้ตามปกติ และขณะทีท่ กุ คนก�าลังเก็บกวาดท้ายเรือ ควีเควกก็ถอดเสือ้ พุ่งหลาวเป็นวงโค้งยาวจากข้างเรือลงสู่ทะเล ประมาณสามนาทีหรือกว่านั้น เขาก็โผล่ขึ้นมาว่ายลอยคอ แขนเหยียดตรงสลับจ้วงไปข้างหน้า เห็นสองไหล่ ก�าย�าอยูก่ ลางฟองคลืน่ ปนน�า้ แข็งนัน่ ผมมองไปทีร่ า่ งอันสง่างามของเพือ่ นผูน้ ี้ แต่ก็มองไม่เห็นร่างคนที่เขาจะช่วย เจ้าหนุ่มอ่อนหัดนั่นคงจมหายไปในทะเล แล้ว ควีเควกหยุดว่ายและกวาดตาควานหาไปรอบๆ แวบหนึ่ง แล้วดูเหมือน จะพบอะไรเข้าบางอย่าง จึงด�าหายลงไปใต้นา�้ สองสามนาทีตอ่ มาก็โผล่กลับ ขึน้ มา คราวนีเ้ ขาว่ายด้วยแขนข้างเดียว ส่วนแขนอีกข้างลากเอาร่างแน่นงิ่ ร่าง หนึง่ มาด้วย เรือเล็กถูกส่งไปรับคนทัง้ สอง เจ้าหนุม่ บ้านนอกผูน้ า่ สงสารได้รบั การช่วยเหลือจนฟืน้ ขึน้ มา ทุกคนต่างชืน่ ชมควีเควกว่าเป็นผูก้ ล้า แม้แต่กปั ตัน ก็กล่าวขออภัยเขา นับจากนาทีนนั้ ผมก็ตดิ ควีเควกแจ ใช่...ก่อนทีค่ วีเควกผูน้ า่ สงสารจะด�าน�้าหายไปยาวนานเป็นครั้งสุดท้าย นั่นเป็นพฤติกรรมจากจิตใต้ส�านึกใช่หรือไม่? ดูเหมือนควีเควกจะไม่คิด ว่าเขาควรได้รบั เหรียญจากสมาคมส่งเสริมมนุษยธรรมและเมตตาธรรมอะไร ทัง้ หลายแหล่ เขาแค่รอ้ งขอน�า้ สะอาดมาล้างน�า้ เค็มออก จากนัน้ ก็สวมเสือ้ ผ้า แห้ง แล้วหยิบขวานกล้องยาขึ้นจุดสูบ นั่งพิงกราบเรือแล้วส่งสายตาอ่อนโยน เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 83
ไปยังผู้คนที่ห้อมล้อมเขาอยู่ คล้ายกับจะบอกตัวเองว่า “นี่เป็นโลกแห่งการ แบ่งปันซึ่งกันและกันในทุกๆ เขตพื้นที่ มนุษย์กินคนอย่างเราก็จะช่วยเหลือ ชาวคริสต์พวกนี้ทุกคน”
84 : โมบี-ดิ๊ก
บทที่ 14
แนนทักเก็ต
ไม่มีอะไรให้น่าเล่าถึงอีกระหว่างการเดินทาง แล้วหลังจากเรือแล่นมาอย่าง ราบรื่น เราก็มาถึงเกาะแนนทักเก็ตโดยสวัสดิภาพ แนนทักเก็ต! หยิบแผนทีอ่ อกมาดูสิ ว่ามันตัง้ อยูม่ มุ ไหนบนโลกใบนี้ ไม่รวู้ า่ มันอยู่ตรงนั้นได้อย่างไร ห่างไกลจากฝั่งลิบลับ ตั้งอยู่โดดเดี่ยวเสียยิ่งกว่า ประภาคารเอ็ดดี้สโตน1 ดูสิ...มันเป็นแค่เนินเขาเล็กๆ มีหาดทรายโค้ง ไม่เห็น อะไรเบือ้ งหลังนอกจากชายหาดทีร่ ายล้อม ทรายมีมากเสียจนคุณสามารถใช้ แทนกระดาษซับหมึกไปได้นานนับยีส่ บิ ปี พวกขีเ้ ล่นบางคนจะเย้าคุณว่าพวก เขาปลูกกัญชาไว้ที่นั่น เพราะมันขึ้นเองตามธรรมชาติไม่ได้ หรือต้องสั่งไม้ หนามทิสเซิลมาจากแคนาดา เพื่อน�ามาท�าจุกไม้ส�าหรับอุดรูรั่วของถังน�้ามัน ที่ใช้เวลาออกทะเล ผู้คนที่แนนทักเก็ตต่างพกไม้หนามนี่ติดตัวเหมือนคนใน กรุงโรมพกไม้กางเขนเล็กๆ ยังไงยังงัน้ และจะปลูกเห็ดโทดสตูล2ไว้หน้าบ้าน เพือ่ ใช้ตา่ งร่มในฤดูรอ้ น ถ้าพบเจอหญ้าสักต้นก็เหมือนเจอแหล่งน�า้ กลางทะเล ทราย แต่ถ้าเดินวันหนึ่งแล้วเจอสามต้น ก็เหมือนได้เจอทุ่งหญ้าทั้งทุ่งเลยที เดียว ชาวแนนทักเก็ตต้องสวมรองเท้าป้องกันทรายดูด คล้ายๆ รองเท้าเดิน บนหิมะของชาวแลปแลนด์3 และพวกเขาถูกปิดกัน้ ตัดขาด ปิดล้อมในทุกเส้น ทาง และล้อมรอบด้วยมหาสมุทรจนกลายเป็นเกาะอันโดดเดี่ยวที่สุด กระทั่ง ประภาคารเอ็ดดี้สโตน-ตั้งอยู่บนโขดหินซึ่งเป็นจุดอันตราย นอกชายฝั่งอังกฤษ โทดสตูล-เห็ดพิษชนิดหนึ่ง มีล�าต้นและส่วนบนรูปร่างคล้ายร่ม 3 แลปแลนด์-อยู่ทางตอนเหนือของสวีเดน 1 2
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 85
บางครั้งจะเห็นหอยกาบเล็กๆ ติดอยู่บนโต๊ะและเก้าอี้ทุกตัว เหมือนที่เห็น เกาะติดอยู่บนหลังเต่าทะเล แต่ที่เล่าค�าเย้าเกินจริงทั้งหมดนี้มาให้ฟัง ก็แค่ ให้คุณได้เห็นภาพว่าแนนทักเก็ตไม่ใช่อิลลินอยส์ ลองมาฟังเรื่องเล่าปรัมปรา อันน่ามหัศจรรย์ บอกขานถึงการตั้งรกรากของชาวอินเดียนแดงบนเกาะ แห่งนี้กันสักหน่อยเถอะ ตามต�านานนั้น นกอินทรีตัวหนึ่งบินมายังชายฝั่ง นิวอิงแลนด์ และโฉบลงคว้าเอาทารกน้อยชาวอินเดียนแดงไว้ในอุง้ เล็บไปด้วย ผู้เป็นพ่อแม่ร้องไห้คร�่าครวญด้วยความเสียใจอย่างหนัก ขณะมองดูลูกน้อย ของตัวเองถูกพาลอยหายไปในผืนน�า้ กว้าง ทัง้ สองพยายามติดตามไปบนเส้น ทางเดียวกับเจ้านกอินทรี โดยล่องเรือแคนนูไป หลังผ่านฝ่าฟันอันตรายมาได้ ทัง้ คูไ่ ด้พบกับเกาะแห่งนี้ และพบตลับสีงาช้างว่างเปล่าตลับหนึง่ อนิจจา! นัน่ คือกระดูกของหนูน้อยอินเดียนแดงผู้น่าสงสาร ช่างน่าพิศวงนัก...หลังจากนั้นประชากรชาวแนนทักเก็ตได้ก่อก�าเนิดขึ้น บนชายหาด พวกเขาก็ด�ารงชีวิตอยู่ด้วยการออกทะเล! เริ่มจากจับหอยจับปู ตามหาดทราย พอมีความกล้ามากขึน้ ก็เดินลุยน�า้ ใช้แหไล่จบั ปลาแม็กเคอเรล แล้วเมือ่ แก่กล้าประสบการณ์กล็ งเรือเล็กไปจับปลาคอด กระทัง่ อาจหาญล่อง เรือใหญ่ไปยังท้องทะเล ออกส�ารวจผืนน�้า ผ่านช่องแคบแบริ่ง4 และแล่นเรือ ไปรอบโลก ทุกฤดูกาลในทุกน่านน�้ามหาสมุทร โรมรันอย่างไม่มีวันจบสิ้น กับเจ้าสัตว์ทรงพลังที่สุดซึ่งยังเหลือรอดชีวิตอยู่หลังน�้าท่วมโลก เจ้าสัตว์ที่ ร้ายกาจที่สุดและใหญ่โตราวภูเขาเลากา! เจ้าสัตว์ซึ่งมีส่วนผสมสานระหว่าง ภูเขาหิมาลัย ทะเลน�้าเค็ม แมสตูดอน5 และความอัปมงคลอันทรงอานุภาพ แค่ตอนมันตื่นตระหนก ก็ยังน่ากลัวยิ่งกว่าตอนมันกล้าจู่โจมอย่างมุ่งร้าย หมายขวัญด้วยซ�า้ ชาวแนนทักเก็ตตัวเปลือยเปล่าหรือเหล่าฤาษีทะเลพวกนี้ พากันเฮโล ออกจากรังมดแล้วหลัง่ ไหลสูท่ ะเล รุกล�า้ และพิชติ โลกแห่งสายน�า้ ราวกับเป็น 4 5
ช่องแคบแบริ่ง-ทะเลแคบที่แยกระหว่างรัสเซียตะวันออกกับอะลาสกาตะวันตก รูปร่างเหมือนช้างแมมมอท แต่ขนน้อยกว่าและเกิดก่อน
86 : โมบี-ดิ๊ก
กองทัพของอเล็กซานเดอร์6และแบ่งสรรกันถือครองมหาสมุทรแอตแลนติก แปซิฟิก และอินเดีย แบบเดียวกับที่โปแลนด์ถูกสามประเทศมหาอ�านาจ ล่าดินแดน7เข้ายึดครองแบ่งปันกัน ต่อให้อเมริกาได้ผนวกแม็กซิโกเข้าไว้กับ รัฐเท็กซัส แคนาดารวมคิวบาเข้าไว้ และอังกฤษครอบครองอินเดียทัง้ หมดแล้ว แขวนธงชัย8ประชันแสงตะวัน โลกซึ่งมีผืนน�้ากว่าสองในสามส่วนนี้ก็เป็นของ ชาวแนนทักเก็ต เพราะท้องทะเลเป็นของพวกเขา และพวกเขาครอบครอง มัน เช่นเดียวกับที่จักรพรรดิครอบครองจักรวรรดิของตน ชาวเรือเชื้อชาติอื่น ก็มีสิทธิ์เพียงแค่ขอผ่านทางเท่านั้น เรือค้าขายก็เป็นแค่สะพานที่ยื่นต่อ และ เรือติดอาวุธคือป้อมปราการลอยน�้าดีๆ นี่เอง ส่วนพวกเรือโจรสลัดและเรือ เอกชน9 ก็ท่องทะเลเหมือนโจรคอยดักจี้บนถนน เพราะคอยดักปล้นเรือล�า อืน่ ทีล่ อยล�าห่างจากฝัง่ เหมือนกัน โดยไม่คดิ จะหาเลีย้ งตัวเองจากความลึกล�า้ แห่งท้องทะเลเลย มีแต่ชาวแนนทักเก็ตเท่านัน้ ทีอ่ ยูแ่ ละส�ามะเลเทเมาในทะเล และมีแต่ชาวชาวแนนทักเก็ตเท่านั้น ที่ท�าดังที่คัมภีร์ไบเบิ้ลกล่าวไว้ว่า ผู้ที่ลง เรือไปในทะเล10 เพราะต่างหว่านไถไปมาในทะเลราวกับเป็นไร่สวนพิเศษของ ตนเอง ที่นั่นคือบ้าน คือที่ท�างานของพวกเขา ซึ่งน�้าท่วมโลกของโนอาห์ก็ทา� อะไรไม่ได้ แม้จะท่วมท้นบ้านเรือนชาวจีนหลายล้านคนไปแล้วก็ตาม พวก เขาอาศัยอยู่ในทะเลเหมือนดั่งไก่ป่าในทุ่งหญ้า ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางคลื่น ไต่ ไปบนเกลียวคลื่นดั่งนักล่าเลียงผาไต่ไปบนเทือกเขาแอลป์ พวกเขาไม่ได้เห็น แผ่นดินนานหลายๆ ปี จนเมือ่ เดินทางกลับไป ก็รสู้ กึ เหมือนผืนดินคือโลกอีก ใบทีแ่ ปลกประหลาดยิง่ กว่าดวงจันทร์ในสายตามนุษย์โลก นกนางนวลทีไ่ ร้รงั อเล็กซานเดอร์-อเล็กซานเดอร์มหาราช กษัตริย์กรีกผู้พิชิต จากแคว้นมาซิโดเนีย (356-323 ปีก่อน คริสตกาล) 7 สามประเทศมหาอ�านาจล่าดินแดน-รัสเซีย ออสเตรีย และปรัสเซีย 8 ธงชัย-ในที่นี้คือธงราชนาวีอังกฤษในอินเดีย เป็นรูปธงอังกฤษเล็กบนพื้นแดง และมีรูปดาวประดับบน ดวงอาทิตย์ที่กา� ลังโชนแสง 9 เรือเอกชน-ในที่นี้หมายถึงเรือส่วนตัวที่ใช้ในยามสงคราม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อเข้ายึดเรือสินค้า 10 ผู้ที่ลงเรือไปในทะเล-เพลงสดุดี บทที่ 107 “ผู้ที่ลงเรือไปในทะเล ท�าอาชีพอยู่บนน�า้ กว้างใหญ่ เขาได้ เห็นพระราชกิจของพระเยโฮวาห์ และการมหัศจรรย์ของพระองค์ในที่น�้าลึก” 6
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 87
หุบปีกลงหลับใหลกลางคลืน่ ใหญ่ยามอาทิตย์ตกดินฉันใด ในเวลาค�า่ คืน ชาว แนนทักเก็ตผู้อยู่ห่างไกลจากฝั่งก็จะม้วนพับใบเรือและเอนกายลงนอนพัก ขณะที่ฝูงสิงโตทะเลและวาฬแหวกว่ายอยู่ใต้หมอนของเขา
88 : โมบี-ดิ๊ก
บทที่ 15 ซุบข้น
ตอนที่เรือตะไคร่ล�าน้อยชักใบลงจอดทอดสมอก็เป็นเวลาเย็นย�่ามาก แล้ว ควีเควกกับผมขึ้นฝั่งและไม่รู้จะท�าอะไรได้ในวันนั้นนอกจากหาที่กินมื้อ ค�่าและที่นอน เจ้าของโรงเตี๊ยมวาฬพ่นน�้าแนะให้เรามาพักกับโฮซี ฮัสเซย์ ลูกพี่ลูกน้องของเขาที่โรงเตี๊ยมหม้อเคี่ยว1 โดยตาเฒ่านั่งยันนอนยันว่าเป็น เจ้าของโรงแรมที่ดูแลแขกดีที่สุดในแนนทักเก็ต ยิ่งไปกว่านั้นแกยังรับประกัน ว่าน้องโฮซีย์ที่แกเรียก มีชื่อเสียงโด่งดังเรื่องท�าซุปทะเลข้น สรุปก็คือ แกบอก ทางอ้อมว่า เราคงไม่มีปัญญาไปกินที่อื่นได้นอกจากอาหารเลี้ยงแขกแบบ ง่ายๆ ที่โรงเตี๊ยมหม้อเคี่ยว เส้นทางที่แกบอกกับเราไว้คือ ให้เดินไปตามทาง ทีม่ โี กดังเหลืองทางกราบขวา จนเห็นโบสถ์หลังขาวทางกราบซ้าย แล้วเดินต่อ ไปเรือ่ ยๆ โดยให้โบสถ์ยงั อยูท่ างกราบซ้ายอย่างนัน้ จนกระทัง่ เบนท�ามุมสาม ปอยต์2ไปทางกราบขวาก็เป็นอันถึง แล้วจากตรงนัน้ เจอใคร่ผา่ นมาก็ให้ถามว่า โรงเตีย้ มตัง้ อยูไ่ หน ตอนแรกทางวกไปวนมาทีแ่ กบอกมาท�าให้เราถึงกับมึนงง โดยเฉพาะตอนตั้งต้น ควีเควกยืนยันว่าโกดังเหลืองซึ่งเป็นจุดสังเกตแรกนั่น ต้องไปอยูท่ างกราบซ้าย3 ขณะทีผ่ มเข้าใจว่าตาเฒ่าปีเตอร์ โลงศพแค่หมายถึง กราบขวา อย่างไรก็ตาม เมือ่ เห็นว่าค�า่ มืดเข้าไปทุกที เราจึงต้องรบกวนความ สงบของชาวบ้านแถวนั้นโดยเคาะประตูถามทางไปเรื่อย จนในที่สุดก็ไปถึง หม้อเคี่ยว-หม้อขนาดใหญ่ใช้เคี่ยวสกัดน�้ามันไขวาฬ สามปอยต์-ประมาณสามสิบสามองศา หนึ่งปอยต์เท่ากับ 11.25 องศา หรือ 32 จุดเท่ากับ 360 องศา 3 กราบซ้าย-ถ้าหันหน้าไปทางหัวเรือ จะเรียกด้านซ้ายของเรือว่ากราบซ้าย 1 2
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 89
ที่นั่นได้โดยไม่ผิดพลาดเรียกด้านขวาของเรือว่ากราบขวา บริเวณด้านหน้าทางเข้าประตู มีหม้อไม้ใหญ่ยักษ์ทาสีด�าสองใบแขวน ห้อยหูแกว่งไกวลงมาจากไม้คยู่ ดึ ยอดเสากระโดงเก่าทีป่ กั เอาไว้ ปลายอีกด้าน ของไม้ยึดทั้งสองอันถูกเลื่อยทิ้ง เพื่อให้เสากระโดงนี้ดูไม่เหมือนตะแลงแกง แขวนคอนักโทษนัก บางทีผมอาจอ่อนไหวต่อสิ่งที่เห็นตอนนั้นมากไปหน่อย แต่ก็อดจ้องเจ้าตะแลงแกงนั่นอย่างหวั่นไหวไม่ได้ รู้สึกคอเกร็งตอนมองไปที่ ปลายไม้ยดึ ด้านซึง่ ยังเหลืออยู่ ใช่แล้ว...สองอัน อันหนึง่ ส�าหรับควีเควก อีกอัน ส�าหรับผม มันคือลางร้าย...ผมคิด ครัง้ แรกก็ชอื่ ตาเฒ่าโลงศพ เจ้าของโรงเตีย๊ ม ที่ผมเพิ่งเดินทางมาถึงท่าเรือล่าวาฬ ที่เหมือนหินจารึกหน้าหลุมศพมองจ้อง กลับมายังผม แล้วก็ยังเจ้าตะแลงแกงนี่! แถมหม้อด�ายักษ์คู่นั้นด้วย! ทั้งหมด นี่เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงโทเฟต4เป็นแน่กระมัง? ผมตื่นจากภวังค์เมื่อเห็นหญิงหน้าตกกระ ผมเหลือง สวมชุดเสื้อคลุม เหลืองคนหนึ่งเข้า หล่อนยืนอยู่ตรงระเบียงประตูโรงเตี๊ยมใต้โคมไฟสีแดง พร่ามัวซึ่งแกว่งไปมาดูคล้ายกับดวงตาช�้าๆ ก�าลังเอ็ดตะโรใส่ชายคนหนึ่งใน ชุดเสื้อขนสัตว์สีม่วง “ท�าเองสิ” หล่อนพูดกับชายคนนั้น “หรือจะให้ฉันสะสางให้!” “ไป...ควีเควก” ผมพูด “ใช่แน่ นั่นคงเป็นคุณนายฮัสเซย์” เรื่องของเรื่องคือ คุณโฮซี ฮัสเซย์เอาแต่ขลุกอยู่กับบ้าน ทิ้งให้คุณนาย ฮัสเซย์ดแู ลการงานทัง้ หมดแทนเขา คุณนายฮัสเซย์พกั รบชัว่ คราว ขณะหันมา ถามว่าเราต้องการอาหารและทีพ่ กั หรือเปล่า จากนัน้ ก็นา� ทางไปห้องเล็กห้อง หนึง่ พาไปนัง่ ทีโ่ ต๊ะซึง่ มีเศษอาหารจากแขกทีเ่ พิง่ กินเสร็จหล่นอยูเ่ กลือ่ นกล่น หล่อนมองเราสองคนแล้วถามว่า “กาบหรือคอด?” “ปลาคอดท�าอะไรรึครับ...คุณผู้หญิง?” ผมถามอย่างแสนสุภาพ “กาบหรือคอด?” หล่อนถามย�้าอีกครั้ง “หอยกาบตอนมื้อค�่าหรือครับ? หมายถึงหอยกาบเย็นชืดหรือคุณนาย 4
โทเฟต-เมืองในคัมภีร์ไบเบิล ที่เผาบูชายัญเด็กทั้งเป็น ทั้งหมายถึงนรก
90 : โมบี-ดิ๊ก
ฮัสเซย์?” ผมถาม “แต่ตอ้ นรับแบบนีใ้ นหน้าหนาว ไม่ใจร้ายไปหน่อยหรือครับ คุณนายฮัสเซย์?” แต่ดูเหมือนหล่อนก�าลังรีบกลับไปต่อว่าชายชุดม่วงซึ่งยืนคอยท่าอยู่หน้า ประตูทางเข้า จึงไม่ได้ยนิ อะไรนอกจากค�าว่า “หอยกาบ” คุณนายฮัสเซย์แจ้น ไปยังประตูที่เปิดไปสู่ห้องครัว แล้วตะโกนบอกว่า “กาบส�าหรับสองคน” แล้ว ก็เดินหายลับไป “ควีเควก” ผมพูดขึ้น “นายคิดว่าหอยกาบแค่ตัวเดียวจะท�าให้เราสองคน อิ่มมื้อค�า่ นี้ได้ไหมนะ?” หากแต่กลิ่นหอมฉุยที่โชยมาจากห้องครัว ช่างตรงกันข้ามกับสิ่งที่เรานึก กังวลไว้ก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง แล้วเมื่อซุปหอยควันกรุ่นยกมาวางลงตรงหน้า ปริศนาก็ได้รับการเฉลยอย่างน่ายินดี โอ้โห! เพื่อนๆ ที่รัก...ฟังผมนะ อาหาร ชามนี้ท�าจากหอยกาบเนื้อฉ�่าเล็กๆ หลายตัว ตัวแทบไม่ใหญ่กว่าถั่วฮาเซล คลุกเคล้ากับขนมปังกรอบ และหมูเค็มหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ! ใส่เนยจนหอม และ ปรุงรสด้วยพริกไทกับเกลือ การเดินทางฝ่าความหนาวจัดมาท�าให้เรารู้สึก หิวโซ โดยเฉพาะควีเควกเอง เมื่อเห็นอาหารทะเลจานโปรดอยู่ตรงหน้า แถม ซุบข้นก็ดนู า่ กินเสียเหลือเกิน เราจึงจัดการกับมันเสร็จสิน้ ภายในเวลาอันรวด เดียว แล้วเมื่อนั่งเอนหลังได้สักพัก ผมก็นึกถึงกาบและคอดที่คุณนายฮัสเซย์ เอ่ยถึง เลยคิดว่าน่าจะลองอะไรบางอย่างดู จึงเดินไปทีป่ ระตูทางเข้าห้องครัว และพูดค�าว่า “คอด” อย่างชัดถ้อยชัดค�า ก่อนจะกลับมานั่งที่โต๊ะตามเดิม ไม่นานนักกลิน่ หอมฉุยก็โชยมาอีกครัง้ แต่คราวนีก้ ลิน่ ต่างกันออกไปบ้าง แล้ว เมื่อถึงเวลา ซุปปลาคอดเมนูเด็ดก็ถูกน�ามาวางตรงหน้า เราเริ่มต้นจัดการ กับอาหารอีกรอบ ขณะก�าลังใช้ช้อนตักซุปในชาม จู่ๆ ผมก็คิดสงสัยขึ้นมา ในใจว่า อะไรๆ ที่นี่ส่งผลให้สมองใสสมองทึบได้หรือเปล่า? งั้นส�านวนที่ว่า “คนสมองทึบ” ไม่ตลกสิ้นดีหรือ? “แต่ดูนั่นซิ ควีเควก นั่นปลาไหลเป็นๆ อยู่ ในชามนายใช่รึเปล่า? ฉมวกของนายอยู่ไหนล่ะ?” ที่นั่นส่งกลิ่นคาวปลาเสียยิ่งกว่าตลาดปลาใดๆ สมชื่อโรงเตี๊ยมหม้อเคี่ยว เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 91
จริงๆ เพราะตั้งหม้อต้มเคี่ยวซุปอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะซุปข้นส�าหรับมื้อเช้า ซุปส�าหรับมื้อเย็น และซุปส�าหรับมื้อดึก จนคุณต้องเริ่มส�ารวจว่าก้างปลาติด อยูต่ ามเสือ้ ผ้าบ้างหรือเปล่า ทางบริเวณหน้าบ้านพักก็ปดู ว้ ยเปลือกหอยกาบ คุณนายฮัสเซย์สวมสร้อยคอที่ท�าจากกระดูกสันหลังปลาคอดขัดมันแวววาว ส่วนโฮซี ฮัสเซย์มสี มุดบัญชีหมุ้ ปกด้วยหนังปลาฉลามเก่าเนือ้ ดี แม้แต่ในน�า้ นม ก็ยังมีกลิ่นคาวปลาปนอยู่ด้วย ซึ่งผมเองก็อธิบายไม่ได้ท�าไมถึงเป็นแบบนั้น จนเช้าวันหนึ่งขณะเดินเล่นอยู่บนชายหาดซึ่งมีเรือประมงบางล�าจอดอยู่ เห็น เจ้าวัวตัวลายของโฮซีก�าลังกินเศษปลาและเดินย�่าอยู่บนหาดทราย ที่กีบเท้า ทั้งสี่มีหัวปลาคอดซึ่งถูกตัดโยนทิ้งเรี่ยราดติดมาด้วย ผมยืนยันได้จริงๆ หลังกินอาหารมือ้ ค�า่ เสร็จ คุณนายฮัสเซย์กย็ นื่ ตะเกียงส่งให้ แล้วบอกทาง ไปห้องพักทีใ่ กล้ทสี่ ดุ ขณะควีเควกเดินน�าหน้าผมขึน้ บันได สุภาพสตรีคนนีย้ นื่ แขนกันไว้แล้วขอฉมวกจากเขา หล่อนไม่อนุญาตให้เอาฉมวกเข้าไปในห้องพัก ด้วย “ท�าไมล่ะ?” ผมถาม “นักล่าวาฬตัวจริงทุกคนต้องนอนโดยมีฉมวกอยูข่ า้ ง กายด้วยกันทั้งนั้น ท�าไมถึงไม่ได้ล่ะ?” หล่อนตอบว่า “เพราะมันอันตรายน่ะ สิ พ่อหนุม่ สติกส์เคยมาพักทีน่ ี่ เพิง่ ซวยกลับมาหลังออกทะเลไปสีป่ คี รึง่ ได้แค่ น�้ามันวาฬมาสามถัง ก็เจอนอนเป็นศพอยู่ด้านหลังชั้นล่าง ฉมวกวางอยู่ข้าง ตัว ตัง้ แต่นนั้ มาฉันก็ไม่ยอมให้แขกคนไหนเอาอาวุธอันตรายแบบนัน้ เข้าไปใน ห้องนอนตอนกลางคืนอีกเลย เพราะฉะนัน้ คุณควีเควก” (หล่อนจ�าชือ่ เขาได้ แล้ว) “ฉันจะเก็บไอ้เหล็กแหลมนั่นไว้ที่นี่ก่อน แล้วจะคืนให้นายพรุ่งนี้เช้า ว่า แต่อาหารเช้าพรุ่งนี้ จะเอากาบหรือคอดดีล่ะ...หนุ่มๆ?” “สองอย่างเลยครับ” ผมตอบ “แล้วขอปลาเฮอริงรมควันอีกสองชุดเพิม่ ด้วย”
92 : โมบี-ดิ๊ก
บทที่ 16 เรือ
เรานอนวางแผนกันส�าหรับวันรุ่งขึ้น ผมต้องประหลาดไม่น้อยเมื่อควีเควก บอกว่า เขาขอค�าแนะน�าจากโยโจ เทพเจ้าด�าองค์น้อยเสมอ โยโจบอกเขา กว่าสองหรือสามครั้ง ย�้านักย�้าหนาว่า แทนที่เราสองคนจะออกไปหาเรือล่า วาฬทีท่ า่ แล้วปรึกษากันว่าจะเลือกไปล�าไหน โยโจกลับก�าชับแน่นหนักว่าการ ตัดสินใจเลือกเรือควรเป็นหน้าที่ผมเพียงคนเดียว ในเมื่อโยโจแนะน�าเราฉัน มิตรเยี่ยงนั้น คงได้หมายตาเรือบางล�าไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าอย่างไร ถ้าให้ ผม...นายอิชเมลคนนี้เลือก คงเลือกเรือได้ไม่ผิดพลาดแน่ เพราะนี่เหมือน โชคชะตาที่ก�าหนดไว้ก่อนแล้ว ว่าต้องเป็นเรือที่ผมต้องเลือกล่องไป แม้ไม่มี ควีเควกอยู่ด้วยก็ตาม ผมลืมบอกไปว่า ในหลายๆ เรื่อง ควีเควกเชื่อมั่นต่อค�าพยากรณ์อัน ศั ก ดิ์ สิ ท ธิ์ น ่ า ประหลาดของโยโจมาก จนถึ ง ขั้ น คารพยกย่ อ งราวกั บ เป็ น เทพเจ้าผู้ปรารถนาดีต่อมวลมนุษย์ หากแต่ข้อเท็จจริงแล้วเทพเจ้าน้อยกลับ ไม่สามารถให้ความกรุณาแก่ใครได้เลย ค�าแนะน�าของควีเควก หรือถ้าจะพูดให้ถกู ก็ของโยโจเรือ่ งการเลือกเรือของ เรานัน้ ผมไม่ชอบใจเอาเสียเลย เพราะไม่คอ่ ยเชือ่ ใจนักกับหลักพิจารณาของ ควี เ ควกในการเลื อ กเรื อ ล่ า วาฬที่ เ หมาะที่ สุ ด ส� า หรั บ การเดิ น ทางโดย สวัสดิภาพของเรา แต่เมื่อเห็นว่าทัดทานอย่างไรก็ไม่เป็น ผล ผมจึงจ�าต้อง คล้อยตาม และเตรียมรับมือกับเรื่องขี้ปะติ๋วนี้อย่างฉับไวจริงจัง เช้าตรู่ของ เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 93
วันถัดมา ผมปล่อยให้ควีเควกอยู่ตามล�าพังกับโยโจในห้องพักเล็กๆ ของ เรา เพราะดูเหมือนจะเข้าช่วงเทศกาลมหาพรต หรือเดือนรอมฎอน หรือวัน อดอาหาร ซึ่งควีเควกและโยโจจะสวดมนต์บ�าเพ็ญพรตร่วมกันในวันนั้น แม้ ผมเคยเข้าร่วมด้วยหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่เข้าใจในพิธีกรรมแบบนี้เลย ด้วยไม่ เข้าใจบทสวดและค�าสอนสามสิบเก้าบท1นัน่ ผมจึงปล่อยให้ควีเควกสูบขวาน ยาเส้นอดอาหาร ขณะทีโ่ ยโจอาบร่างตัวเองกลางกองไฟบูชายัญจากขุยไม้ขกี้ บ ส่วนตัวผมก็ออกไปเดินเล่นแถวท่าเรือขนส่ง หลังเดินเตร่อยูน่ านและถามอะไร ไปเรื่อย ผมก็ได้รู้ว่ามีเรือซึ่งมีก�าหนดเดินทางเป็นเวลาสามปีอยู่สามล�าคือ แม่ปีศาจ เรือของอร่อย และเรือพีควอด2 ส�าหรับเรือแม่ปีศาจหรือปีศาจตัว แม่ ผมไม่รู้ว่ามีที่มาอย่างไร ส่วนเรือของอร่อย ชื่อก็บอกชัดอยู่แล้ว ส�าหรับ เรือพีควอดนั้น คุณเองก็คงจ�าได้แน่ ว่าเป็นชื่ออินเดียนแดงเผ่าที่มีชื่อเสียงใน แมสซาชูเซตส์ ซึ่งตอนนี้ถูกกลืนหายไปเป็นชนชาติอื่นหมดแล้วเช่นเดียวกับ ชาวมีเดสโบราณ3 ผมมองส�ารวจเรือแม่ปีศาจ ก่อนจะเดินเลยไปยังเรือของ อร่อย แล้วสุดท้ายก็ขึ้นไปบนเรือพีควอด มองดูโดยรอบสักพักก็ตัดสินใจได้ ว่า มันเป็นเรือส�าหรับเราจริงๆ คุณอาจเคยเห็นเรือแปลกๆ มามาก ไม่ว่าจะเป็นเรือใบเล็กหัวป้าน เรือส�าเภาญี่ปุนล�ามหึมา เรือพายดัชต์ที่รูปร่างเหมือนกล่องเนย หรือจะเรือ อะไรตามแต่ เชื่อผมเถิดว่า คุณต้องไม่เคยเห็นเรือโบราณล�าไหนแบบเรือ พีควอดซึ่งไม่มีใครเหมือนล�านี้เลย มันเป็นเรือแบบเก่า เห็นชัดว่าล�าค่อนข้าง เล็ก ดูคล้ายกรงเล็บโบราณ ฝ่าฤดูกาล ลมฝนในพายุไต้ฝุ่น และลมสงบมา แล้วทั่วสี่คาบมหาสมุทร ล�าเรือด�าคล�้าเหมือนสีผิวทหารฝรั่งเศสแนวหน้าซึ่ง สู้รบกับชาวอียิปต์และไซบีเรีย ส่วนหัวเรือเก่าแก่นั่นก็ดูราวกับมีหนวดเครา รกครึ้ม เสากระโดงเรือตัดมาจากที่ไหนสักแห่งแถวชายฝั่งญี่ปุ่น ส่วนเสาเดิม ค�าสอนสามสิบเก้าบท-หลักค�าสอนของคริสตจักรแห่งอังกฤษ ก่อตั้งใน ค.ศ. 1563 ช่วงมีการปฏิรูป นิกายโปรเตสแตนต์ 2 พีควอด-ชาวอินเดียนแดงเผ่าหนึ่งในนิวอิงแลนด์ ซึ่งยังเหลือรอดจากการถูกสังหารหมู่ในปี 1637 3 ชาวมีเดส-ชาวอิหร่านโบรราณ ราวหกร้อยปีก่อนศริสตกาล 1
94 : โมบี-ดิ๊ก
คงถูกพายุโค่นลงทะเลลอยหายไป เสากระโดงพวกนี้ตั้งมั่นราวกับฐานที่ตั้ง สถูปสามกษัตริย์แห่งเมืองโคโลนญ์4 ดาดฟ้าโบราณนั้นทรุดโทรมและแตก เป็นริ้วรอย ราวกับหินปูพื้นส�าหรับนักแสวงบุญได้คุกเข่าบูชาในมหาวิหาร แคนเทอร์เบอรี5 อันเป็นทีท่ เี่ บกเคตต์6หลัง่ เลือดเอาไว้ กระนัน้ ในความโบราณ เก่าแก่นกี้ ไ็ ด้รบั การต่อเติมบางส่วนใหม่จนดูนา่ อัศจรรย์ ด้วยสิง่ ต่างๆ ทีไ่ ด้มา จากการล่องไปทัว่ เจ็ดย่านน�า้ มากว่าครึง่ ศตวรรษ ตาเฒ่ากัปตันพีเลกเป็นต้น เรือของเรือล�านีม้ านานหลายปี ก่อนจะไปเป็นกัปตันเรือของตัวเอง ตอนนีแ้ ก เกษียณชีวิตชาวเรือแล้ว แต่แกก็เป็นเจ้าของคนส�าคัญของเรือพีควอด ช่วงที่ ตาเฒ่าพีเลกท�าหน้าทีเ่ ป็นต้นเรือ ได้ตอ่ เติมเรือพีควอดซึง่ แปลกประหลาดอยู่ แล้ว โดยใช้ทงั้ วัสดุและอุปกรณ์แปลกๆ เสริมแต่งไว้จนทัว่ เรียกได้วา่ ไม่มใี คร เหมือน เว้นเสียแต่โล่แกะสลักของทอร์คลิ ล์-เฮค7 หรือไม่กโ็ ครงเตียงนอน เรือ ถูกตกแต่งราวกับจักรพรรดิคนเถือ่ นแห่งเอทิโอเปีย ผูถ้ ว่ งคอตัวเองด้วยสร้อย งาช้างขัดมัน เป็นเหมือนอนุสรณ์สถาน เป็นเรือจอมเขมือบที่เอากระดูกศัตรู ซึ่งไล่ล่าได้มาเสริมแต่งตัวเอง ตลอดล�าเรือไม่ได้กรุด้วยไม้กระดาน กราบเรือ ทีเ่ ปิดโล่งสองข้างตกแต่งเหมือนกรามยาว ปักยึดเรียงรายไว้ดว้ ยฟันแหลมของ วาฬหัวทุยเพื่อไว้ขึงเชือกป่าน เหมือนเอ็นกล้ามเนื้อและกระดูกของเรือ เส้น เอ็นเหล่านั้นไม่ได้ขึงกับไม้ฐานยึดรอกใหญ่ แต่ขึงผ่านพวกลูกรอกราทะเล ส่วนที่ส�าคัญยิ่งอย่างพวงมาลัยเรือ แทนที่จะใช้แบบพังงาวงล้อหมุนกลับ น�าคันหางเสือมาใส่ไว้แทน โดยเป็นคันหางเสือเดีย่ ว ซึง่ น่าจะแกะสลักมาจาก ขากรรไกรล่างแคบยาวของวาฬตัวใดตัวหนึ่งที่เคยล่ามาได้ คนถือพวงมาลัย เรือฝ่าพายุโดยใช้คันหางเสือนี่ คงรู้สึกเหมือนชาวตาดในไซบีเรียยามก�าราบ ม้าพยศโดยยึดกรามมันไว้แน่น นี่เป็นเรือที่สูงสง่าล�าหนึ่ง แต่ไม่รู้ท�าไมช่างดู สถูปสามกษัตริยแ์ ห่งเมืองโคโลนญ์-โลงหินทองค�าทีใ่ หญ่ทสี่ ดุ ในโลกตะวันตก เชือ่ กันว่าภายในบรรจุอฐั ิ กษัตริย์สามพระองค์ (หรือสามเมจาย-โหราจารย์, ปราชญ์) ที่เข้าเฝ้าพระเยซูยามประสูติกาล 5 มหาวิหารแคนเทอร์เบอรี-ตั้งอยู่ที่เมืองแคนเทอร์เบอรี ในสหราช 6 เบกเคตต์*-อาร์ชบิชอป ทอมัส เบกเคตต์ ถูกพระเจ้าเฮนรีที่สองสั่งลอบฆ่าภายในโบสถ์แคนเทอเบอรี เมื่อค.ศ. 1170 ร่างของท่านถูกฝังอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของโบสถ์ 7 ทอร์คิลล์-เฮค-นับรบชาวไวกิงในศตวรรษที่ 11 ผู้แกะสลักการผจญภัยของเขาไว้บนข้าวของเครื่องใช้ 4
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 95
เศร้าสร้อย! สิ่งที่สูงสง่าทั้งหลายก็มักระคนความเศร้าสร้อยเช่นนี้ อาณาจักร เป็นโบสถ์ประจ�าต�าแหน่งของประมุขสูงสุดของศาสนาคริสต์ นิกายแองกลิ และเป็นที่ตั้งบัลลังก์นักบุญออกัสติน ผมเดินไปถึงครึ่งค่อนดาดฟ้าเรือ พยายามมองคนที่มีอ�านาจพิจารณา รับผมเป็นลูกเรือเดินทางไปด้วย ตอนแรกก็มองไม่เห็นใคร แต่แล้วสายตาก็ ไปสะดุดเข้ากับกระโจมรูปร่างประหลาด ซึ่งน่าจะเป็นกระท่อมอินเดียแดง ตั้งเยื้องออกไปทางด้านหลังเสาเรือหลัก ดูเหมือนจะตั้งไว้ชั่วคราวตอนจอด เรือในท่าแห่งนี้เท่านั้น มันเป็นกระโจมรูปกรวยสูงประมาณสิบฟุต สร้างขึ้น จากกระดูกยาวงอสีด�าชิ้นใหญ่ของขากรรไกรกลางและบนของวาฬไรต์ โดย ตั้งปลายกระดูกด้านที่กว้างกว่าไว้กับดาดฟ้าเรือ ล้อมจนเป็นวงกลมแล้วมัด รวมกันไว้ ให้ปลายกระดูกด้านบนเอียงพาดเข้าหากันเป็นจุดเดียว พู่กระโจม ขนลุ่ยบนยอดแหลมนั่นโบกพลิ้วไปมาราวกับจุกผมบนหัวของผู้เฒ่าหัวหน้า เผ่าพอตโตโวตามี8 ประตูกระโจมสามเหลี่ยมหันไปทางหัวเรือเพื่อให้ผู้อยู่ใน นั้นมองเห็นด้านหน้าได้อย่างทั่วถึง ประตูเพิงพักประหลาดนั่นเปิดแง้มอยู่ครึ่งหนึ่ง ผมมองเข้าไปเห็นใคร คนหนึ่งดูท่าทางเป็น ผู้มีอ�านาจ ตอนนั้นเรือหยุดพักเที่ยงและเขาคงพัก จากการสั่งการด้วยเช่นกัน เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้โอ๊กโบราณซึ่งแกะสลักเป็น ลวดลายแปลกๆ ทั้งตัว เบาะรองนั่งสานจากวัสดุยืดหยุ่นแบบเดียวกับที่ใช้ สร้างกระท่อมอินเดียแดงนั่น ชายสูงวัยที่ผมเห็นนั่นอาจไม่มีอะไรผิดแผกไปจากคนทั่วไปนัก เขาร่าง ก�าย�า ผิวน�้าตาลคล�้า เหมือนเช่นกะลาสีสูงอายุส่วนใหญ่ อยู่ในชุดออกทะเล สีนา�้ เงินหนาตัดแบบเรียบง่ายเหมือนพวกเควกเกอร์9 ดวงตาของเขามีรวิ้ รอย เล็กละเอียดสานเป็นร่างแหอยู่โดยรอบ คงเกิดขึ้นจากการล่องเรือฝ่าพายุ รุนแรงไม่หยุดหย่อนและมักมองต้านลมเสมอ ด้วยเหตุนี้จึงท�าให้กล้ามเนื้อ 8 9
พอตโตโวตามี-ชาวอินเดียนแดงพื้นเมืองทางตอนเหนือของแม่น�้ามิสซิสซิปปี เควกเกอร์-สมาชิกสมาคมเคร่งศาสนาในอังกฤษ ซึ่งเน้นการสื่อสารโดยตรงกับพระเจ้า นักล่าวาฬชาว แนนทักเก็ตส่วนใหญ่เป็นพวกเควกเกอร์ ในที่นี้หมายถึงชุดที่ตัดแบบเรียบง่าย
96 : โมบี-ดิ๊ก
รอบดวงตาทัง้ สองหดย่นเข้าหากัน ริว้ รอยรอบดวงตาแบบนัน้ เป็นเพราะต้อง หน้านิ่วคิ้วขมวดบ่อยครั้งนั่นเอง “กัปตันเรือพีควอดใช่ไหมครับ?” ผมถามลอดเข้าไปในประตูกระโจม “ก็ถ้าใช่กัปตันเรือพีควอด นายต้องการอะไรจากเขา?” เขาย้อนถาม “ผมอยากหางานท�าบนเรือ” “งั้นรึ? ฉันว่านายไม่ใช่พวกแนนทักเก็ต เคยอยู่ในเรือที่โดนหางวาฬฟาด แตกไหม? “ไม่ครับ...ไม่เคย” “งั้นคงไม่รู้อะไรเรื่องล่าวาฬเลยซิท่า...ใช่ไหม?” “ไม่รู้เลยครับ...แต่ผมเรียนรู้ได้เร็วแน่ ผมเคยท�างานบนเรือพาณิชย์หลาย ครั้ง และคิดว่า...” “งานห่าเหวบนเรือพาณิชย์น่ะสิ! พูดกันคนละเรื่องเลยว่ะ นายเห็นขานั่น ไหม? ฉันจะเลาะขานัน่ มาจากบัน้ ท้ายนาย ถ้าขืนพูดเรือ่ งงานบนเรือพาณิชย์ กับฉันอีก งานบนเรือพาณิชย์จริงๆ ว่ะ! ฉันว่านายคงภูมใิ จมากละสิทา่ ทีเ่ คย ท�างานบนเรือพวกนัน้ แล้วนีม่ นั โอละพ่อยังไง...ไอ้หนุม่ ! ถึงดันอยากไปกับเรือ ล่าวาฬขึ้นมา? มันน่าสงสัยอยู่นา...จริงไหม? นายเป็นพวกโจรสลัดรึเปล่า? นายปล้นกัปตันคนก่อนของนายมามั้ง? คิดลอบฆ่าพวกกัปตันบนเรือนี่หลัง ออกทะเลหรือเปล่า?” ผมยืนยันความบริสุทธิ์ต่อทุกข้อกล่าวหานั้น และเห็นว่าเบื้องหลังค�าพูด เหน็บแนมแกมขบขันเหล่านี้ เฒ่าทะเลหรือชาวแนนทักเก็ตถือสันโดษเช่น ชาวเควกเคอร์คนนี้ เต็มไปด้วยอคติอันคับแคบและไม่ให้ความไว้วางใจคน แปลกหน้า เว้นแต่จะเป็นคนที่มีมาจากแหลมเคปคอด10หรือเกาะวินยาร์ด11 “แล้วท�าไมถึงอยากล่าวาฬล่ะ? ฉันอยากรู้ก่อนตัดสินใจรับนายไว้” “ได้ครับ คือผมอยากรู้ว่าการล่าวาฬเป็นยังไง ผมอยากเห็นโลกกว้าง” “อยากรู้ว่าการล่าวาฬเป็นยังไง...งั้นรึ? นายเคยได้เห็นกัปตันเอแฮ็บหรือ 10 11
แหลมเคปคอด*-ในแมสซาชูเซตส์ วินยาร์ด-เกาะซึ่งอยู่ทางตะวันตกของเกาะแนนทักเก็ต 15 ไมล์
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 97
เปล่า?” “ใครครับ...กัปตันเอแฮ็บ?” “ช่าย...ใช่แล้ว...ฉันก็ว่างั้นแหละ กัปตันเอแฮ็บก็คือกัปตันเรือล�านี้น่ะสิ” “งั้นผมก็เข้าใจผิดสิ ผมนึกว่าก�าลังคุยกัปตันเรือเสียอีก” “นายก�าลังคุยอยู่กับกัปตันพีเลก....คนที่นายก�าลังพูดด้วยนี่...ไอ้หนุ่ม ฉัน กับกัปตันบิลแดดเป็นคนจัดหาอุปกรณ์จ�าเป็นส�าหรับการเดินทาง และจัด เตรียมข้าวของทุกอย่างที่เรือล�านี้ต้องการ รวมถึงลูกเรือด้วย เราเป็นหุ้นส่วน แล้วก็เป็นตัวแทนด้วย ฉันก�าลังจะบอกว่า...ถ้านายอยากรู้ว่าเรือล่าวาฬท�า อะไรอย่างที่นายได้บอกไว้ ฉันจะช่วยบอกให้นายได้รู้เสียก่อนที่นายตัดสิน ใจเดินหน้าต่อหรือถอยหลัง คอยดูกัปตันเอแฮ็บเอาไว้...ไอ้หนุ่ม แล้วนายจะ เห็นว่าเขามีขาแค่ข้างเดียว” “ยังไงกันครับ? ขาอีกข้างขาดไปเพราะวาฬ?” “ขาดไปเพราะวาฬ! ไอ้หนุ่ม มาใกล้ๆ นี่ มันถูกเขมือบ เคี้ยว แล้วก็บด โดยไอ้วาฬหัวทุยตัวร้ายทีส่ ดุ ทีเ่ คยพังเรือแตกเป็นเสีย่ งๆ มาแล้ว...อะโห! โอ!” ผมตืน่ นิดๆ กับน�า้ เสียงใส่อารมณ์นนั่ อาจเพราะจับได้ถงึ ความทุกข์ระทม ในเสียงอุทานตอนท้าย แต่ก็พยายามพูดนิ่งๆ ว่า “ที่บอกมาก็คงจะจริงครับ แต่ผมจะรู้ได้ยังไงว่าไอ้วาฬตัวนั้นมันดุร้ายขนาดไหน ถ้าได้แค่อนุมานเอา จากผลของเรื่องร้ายที่เกิดขึ้น” “แหม...ไอ้หนุ่ม ปอดนายยังไม่แหกเลยนะ แล้วก็พูดจาไม่เหมือนกะลาสี เรือเลยว่ะ แหง๋เลย แน่ใจนะว่าเคยออกทะเลมาก่อน? “ครับ” ผมพูด “ผมว่าผมบอกไปแล้ว ว่าเคยเดินทางสี่ครั้งไปกับเรือพา...” “เงียบไปเลย! จ�าที่ฉันบอกเรื่องเรือพาณิชย์ได้ไหม อย่ายั่วโมโหนา...ฉัน ยังไม่อยากโกรธ เข้าใจตรงกันแล้วนะ เดี๋ยวฉันจะเล่าให้ฟังว่าล่าวาฬมันเป็น ยังไง! พร้อมจะฟังรึยัง?” “พร้อมแล้วครับ” “ดีมาก เอาล่ะ นายใช่ไอ้คนที่พุ่งฉมวกปักคอวาฬเป็นๆ แล้วโดดขึ้นหลัง 98 : โมบี-ดิ๊ก
มันหรือเปล่า? ตอบมาเร็ว!” “ใช่ครับ ถ้าจ�าเป็นอย่างยิ่งที่ต้องท�าแบบนั้นเพื่อความอยู่รอด แต่ผมคิด ว่านั่นไม่ใช่ประเด็น” “ตอบได้ดี เอาล่ะ นายไม่ใช่แค่อยากออกไปล่าวาฬเพื่อหาประสบการณ์ ล่าวาฬเท่านั้น แต่นายออกไปเพื่อจะได้เห็นโลกกว้างด้วยใช่ไหม? นายบอก งั้นนี่ ใช่ไหม? ฉันว่าใช่นะ เอาละ เดินไปมองที่หัวเรือเปิดโน่น แล้วกลับมา บอกฉันสิว่านายเห็นอะไรตรงนั้น” ผมยืนงงกับค�าร้องขออันพิลึกพิลั่นของเขาอยู่ชั่วขณะ ไม่รู้ว่าควรท�า อย่างไร ไม่รู้ว่าเป็นแค่มุขตลกหรือให้ท�าจริงๆ แต่รอยตีนกาที่เริ่มขมวดมุ่น บนใบหน้านั้นท�าให้รู้ว่ากัปตันพีเลกสั่งการผมจริงๆ ผมก้าวเดินตรงไปแล้วมองออกไปนอกหัวเรือด้านเหนือลมนั่น รู้สึกว่า เรือซึ่งทอดสมออยู่โคลงตัวตามกระแสน�า้ ขึ้น และก�าลังค่อยๆ หันหัวไปทาง น่านน�า้ เปิด ตรงนัน้ สามารถมองเห็นทะเลได้ไกลสุดลูกหูลกู ตา แต่กเ็ ป็นพืน้ ที่ หวงห้ามและเห็นมาจนจ�าเจ ไม่มีอะไรต่างจากที่ผมเคยเห็นมาแม้แต่น้อย “ว่าไง...รายงานมาสิ” พีเลกถามเมื่อผมเดินกลับไปถึง “นายเห็นอะไร?” “ก็ไม่มาก” ผมตอบ “ไม่มีอะไรเลยนอกจากน�้าแล้วก็ขอบฟ้ากว้าง แต่ผม คิดว่าพายุกา� ลังตั้งเค้ามา” “เอาละ...นายคิดยังไงหลังจากได้เห็นโลกข้างหน้านั่นแล้ว นายยังอยาก ออกจากแหลมฮอร์น12 ไปให้เห็นอะไรอีกไหม? ตรงที่ยืนนั่นนายไม่ได้ เห็นโลกหรอกรึ?” ผมลังเลใจนิดหน่อย แต่อย่างไรเสียผมก็ยังอยากไปล่าวาฬ และต้องไป ให้ได้ พีเควกเป็นเรือทีด่ ลี า� หนึง่ ผมว่าอาจดีทสี่ ดุ ด้วยซ�า้ ไป เหตุนเี้ องผมจึงย�า้ เจตนาเดิมกับพีเลก เมื่อเห็นว่าผมได้ตกลงใจแน่วแน่แล้ว เขาจึงแสดงความ เต็มใจที่จะรับผมไว้เป็นลูกเรือ “ต้องเซ็นสัญญากันก่อนนะ” เขาพูด “ตามมาสิ” พูดจบเขาก็เดินน�าทาง 12
แหลมฮอร์น-อยู่ใต้สุดของเกาะเตียร์ราเดลฟวยโก ในประเทศชิลี
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 99
ไปยังห้องเครื่องด้านล่างดาดฟ้า ผู้ที่ก�าลังนั่งอยู่บนผนังท้ายเรือดูจะมีบุคลิกพิเศษสุดจนน่าประหลาดใจ เขาก็คอื กัปตันบิลแดด ซึง่ เป็นเจ้าของเรือรายใหญ่เหมือนกัปตันพีเลก ส�าหรับ หุ้นส่วนรายอื่นๆ ซึ่งบางครั้งก็จ�าเป็นส�าหรับการจอดเทียบท่าแบบนี้ ก็เป็น พวกทีม่ เี งินได้เป็นรายปี ไม่วา่ จะเป็นพวกแม่มา่ ย เด็กก�าพร้าพ่อ หรือผูอ้ ยูใ่ น ความคุ้มครองของศาล โดยแต่ละคนก็จะถือครองมูลค่าของยอดเสากระโดง เรือสักต้น หรือไม้กระดานสักแผ่น หรือตะปูสักตัวหรือสองตัวบนเรือ ชาว แนนทักเก็ตน�าเงินมาลงทุนในเรือล่าวาฬแบบเดียวกับทีค่ ณ ุ ซือ้ หุน้ ทีร่ ฐั อนุมตั ิ เพื่อหวังเก็งก�าไรนั่นแหละ บิลแดดก็เหมือนพีเลก และทีจ่ ริงคงเหมือนชาวแนนทักเก็ตอืน่ ๆ อีกหลาย คน เขาเป็นพวกเควกเกอร์คนหนึ่ง เพราะเกาะนั่นเป็นต้นก�าเนิดของลัทธิ เควกเกอร์ และจนถึงวันนี้ชาวแนนทักเก็ตทั่วไปยังคงรักษามาตรฐานที่มี ลักษณะเฉพาะของลัทธินไี้ ว้ หากแต่มกี ารปรับเปลีย่ นบางอย่างให้ผดิ แผกแตก ต่างไปจากเดิมเล็กน้อย ตามความแปลกใหม่หลากหลายทีม่ เี ข้ามา กระนัน้ สิง่ ที่พวกเควกเกอร์เหมือนกันมากที่สุดก็คือกระหายใคร่เป็นชาวเรือและนักล่า วาฬ พวกเขาเป็นเควกเกอร์นักต่อสู้ และเป็นเควกเกอร์จอมอาฆาต ด้วยเหตุนี้ พวกเขาบางคนจึงถูกตั้งชื่อตามชื่อในพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นความ นิยมสูงสุดบนเกาะนั้น ชีวิตในวัยเด็กจะค่อยๆ ซึบซับโวหารเร้าใจของชาว เควกเกอร์ที่ว่า “ข้าท�าและข้าถูกกระท�า” กระนั้นความกล้าหาญ กล้าเสี่ยงภัย และการผจญภัยไร้ขอบเขตในชีวิตหลังเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ก็ผสานกันได้อย่าง ประหลาดกับลักษณะเฉพาะที่ไม่ออกนอกลู่นอกทางของลัทธินี้ ซึ่งเชื่อว่า ร้อยพันความกล้ายังไม่อาจเทียมเทียบราชาแห่งท้องทะเลชาวสแกนดิเนเวีย หรือชาวโรมันนอกศาสนาผู้มีอารมณ์กวี เมื่อสิ่งเหล่านี้หล่อหลอมอยู่ในตัว ชายผู้มีพลังแกร่งกล้าเกินธรรมชาติ มีสมองกลมๆ และหัวใจใหญ่ยิ่ง ผู้ที่ ยังถูกโน้มน้าวให้คิดไม่เหมือนใครและไม่ขึ้นกับใคร แม้ยามสงบนิ่งเฝ้าระวัง ผืนน�้าไกลสุดตาเป็นเวลาหลายคืนตามล�าพัง ใต้กลุ่มดาวที่ไม่มีทางเห็นจาก 100 : โมบี-ดิ๊ก
ทางทิศเหนือ ได้รับรู้ถึงความงดงามของธรรมชาติทั้งมวล หรือประสบการณ์ สดใหม่ดิบเถื่อนครั้งแรกในอ้อมอกเรือคู่ใจ นั่นเป็นประการส�าคัญ กระนั้น โอกาสทีเ่ กิดขึน้ โดยบังเอิญก็ยงั ช่วยให้ได้เรียนรูถ้ อ้ ยค�าอันอาจหาญและทระนง ซึ่งเป็นแบบอย่างของชนในชาติ เป็นมนุษย์ผู้แสดงออกซึ่งพลังกล้าแกร่งจน กลายเป็นโศกนาฏกรรมสูงส่ง แต่ไม่ว่าโศกนาฏกรรมใดก็ไม่ได้ทา� ให้เขาด้อย คุณค่าลง ไม่ว่าโดยชาติก�าเนิดหรือสิ่งแวดล้อมอื่นใดก็ตาม ก้นบึ้งแห่งตัวตน ของเขายังมีสิ่งที่ดูจะเป็นความดื้อรั้นกลายๆ ที่ไม่ยอมจ�านนต่อสิ่งร้ายกาจ น่ากลัวใดๆ ด้วย ด้วยโศกนาฏกรรมเลวร้ายนั่นเองที่สร้างผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย ขึน้ มา โอ ความทะเยอทะยานในวัยหนุม่ จงเชือ่ เถิดว่าความยิง่ ใหญ่ของมนุษย์ เราก็เป็นแค่โรคร้ายอย่างหนึ่ง กระนั้น เนื่องจากเราไม่ต้องท�าเยี่ยงที่ผู้กล้า กระท�า แต่เลือกที่จะท�าอย่างอื่นแทน และยังเป็มนุษย์คนหนึ่ง ซึ่งถ้าว่ากัน จริงๆ แล้ว ก็ได้รับผลมาจากการปรับตัวตามสถานการณ์อีกระยะหนึ่งของ ชาวเควกเกอร์นั่นเอง กัปตันบิลแดดก็เหมือนกัปตันพีเลก เขาเป็นนักล่าวาฬปลดเกษียณที่ มั่งคั่งคนหนึ่ง แต่ต่างจากกัปตันพีเลกซึ่งไม่ใส่ใจกับการโถมเข้าหาอันตราย และปักใจเชื่อว่าสิ่งที่ว่าอันตรายนั้นล้วนเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วทั้งสิ้น ส่วนกัปตัน บิลแดดไม่เพียงได้รับการศึกษามาแต่ดั้งเดิมตามหลักค�าสอนอันเข้มงวดของ ลัทธิเควกเกอร์ในแนนทักเก็ต หากแต่ประสบการณ์ชีวิตในมหาสมุทรและ การได้เห็นสิ่งมีชีวิตบนเกาะที่เปลือยเปล่าน่ารักจ�านวนมากนอกแหลมฮอร์น ทัง้ หมดนัน้ ไม่อาจสัน่ คลอนความเป็นเควกเกอร์ทมี่ มี าแต่กา� เนิดของเขาได้แม้ เพียงน้อยนิด และไม่มากพอจะเปลี่ยนแบบฉบับเสื้อผ้าที่สวมใส่ได้แม้เพียง ชิ้นเดียว กระนั้น ความยึดมั่นทั้งหมดนี้ก็ท�าให้ลดความเข้มข้นในฐานะกัปตัน บิลแดดผู้น่ายกย่องไปบ้าง แม้ศีลธรรมประจ�าใจท�าให้ไม่ยอมจับอาวุธเข้า ต่ อ ต้ า นพวกบุ ก รุ ก ดิ น แดน กระนั้ น ตั ว เขาเองก็ บุ ก รุ ก ไปทั่ ว มหาสมุ ท ร แอตแลนติกและแปซิฟิก และแม้ปฏิญาณตนต่อต้านการฆ่าฟันมนุษย์ด้วย กันเอง ชุดเสื้อคลุมยาวของเขาก็มีเลือดวาฬยักษ์สาดกระเซ็นใส่เป็นร้อยเป็น เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 101
พันถัง13 ผมไม่รวู้ า่ ตอนสวดภาวนายามเย็น กัปตันบิลแดดผูเ้ คร่งศาสนาท�าใจ อย่างไรเมื่อหวนระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่เป็นกังวลกับมันนัก และมีความเป็นไปได้มากว่าเขาได้กลายมาเป็นปราชญ์ผู้ปราดเปรื่องมานาน แล้ว จนสรุปอย่างชาญฉลาดได้ว่า ศาสนาของมนุษย์เราก็เป็นเรื่องหนึ่ง ใน ขณะทีโ่ ลกแห่งความจริงกลับเป็นคนละเรือ่ งโดยสิน้ เชิง โลกนีเ้ ลยต้องรับดอก ผลไป จากเด็กรับใช้บนเรือสวมชุดสัน้ เต่อสีแสนมอซอ จนได้เป็นนักพุง่ ฉมวก สวมเสื้อกั๊กตัวหลวมชายยาว จากนั้นก็ได้เป็นคนคุมเรือเล็กล่าวาฬ ต้นเรือ และกัปตัน กระทั่งมาเป็นเจ้าของเรือในที่สุด และดังที่ผมเอ่ยไว้ก่อนหน้านี้ กัปตันบิลแดดได้ยุติอาชีพเสี่ยงภัยของเขาโดยวางมือจากชีวิตเปี่ยมสีสันตอน อายุหกสิบปีพอดิบพอดี และอุทิศวันเวลาที่เหลืออยู่กับรายได้ซึ่งได้มาโดย ชอบนั้นอย่างสงบ ผมขออภัยที่ต้องบอกว่า บิลแดดมีกิตติศัพท์เลื่องลือในความเป็นเฒ่าเจ้า อารมณ์จนติดเป็นนิสยั ช่วงออกเรือเขามักสร้างความเจ็บช�า้ ระก�าใจแก่ลกู น้อง และใช้งานอย่างหนัก แม้จะฟังดูแปลกสักหน่อย แต่พวกนัน้ เล่าให้ผมฟังตอน อยู่ในแนนทักเก็ตว่า ตอนที่บิลแดดน�าเคติกัต เรือล่าวาฬล�าเก่ากลับบ้าน พอ มาถึงฝัง่ ลูกเรือแทบทุกคนต้องถูกหามส่งโรงพยาบาลเพราะตรากตร�าท�างาน หนักจนหมดแรง ส�าหรับชายผู้เคร่งศาสนาคนหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็น ชาวเควกเกอร์ด้วยแล้ว บอกได้แต่เพียงว่าเขาออกจะใจหินไปหน่อย เขาไม่ เคยสบถค�าหยาบ แม้แต่กับลูกน้องของตัวเอง แต่เหล่าลูกเรือบอกว่าบิลแดด ร้ายกว่านั้นมาก เพราะใช้งานลูกน้องหนักสาหัสสากรรจ์ ตอนได้เป็นต้นเรือ เขามักส่งสายตาสีมอซอนัน่ จ้องคุณเขม็ง ท�าให้คณ ุ รูส้ กึ เกร็งจนต้องหันไปคว้า อะไรสักอย่างขึน้ มา จะเป็นค้อนหรือเดือยเหล็กส�าหรับคลายเชือกก็ตาม แล้ว ก้มหน้าก้มตาท�าเป็นบ้าเป็นหลังไป จะเป็นงานอะไรก็ได้ หากใครอยูเ่ ฉยหรือ เกียจคร้านเป็นถูกเล่นงานยับ ตัวเขาเองก็มีบุคลิกบ่งบอกถึงความเป็นคนที่ ค�านึงถึงผลประโยชน์เป็นส�าคัญ เขามีรูปร่างผอมสูง ไม่ค่อยมีเนื้อมีหนัง ไม่ 13
ถัง-ในที่นี้ราว 250 แกลลอนต่อถัง
102 : โมบี-ดิ๊ก
ไว้หนวดเครารุ่มร่าม มีแค่ขนอ่อนหร็อมแหร็มที่คาง เหมือนขนบนหมวกปีก เก่าขาดของเขาใบนั้น นั่นละ...ผู้ที่ผมเห็นนั่งอยู่บนแผงปิดท้ายเรือเมื่อตามกัปตันพีเลกลงไปถึง ห้องเครื่อง ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ว่างขนาดเล็กระหว่างดาดฟ้า ตาเฒ่าบิลแดดนั่ง ตัวตรงอยู่ท่ีน่ัน เขามักจะนั่งท่านั้นเสมอโดยไม่เคยนั่งพิงหลังเลย เพราะไม่ อยากให้เสื้อชายยาวยับย่น เขาก�าลังนั่งไขว้ห้าง หมวกปีกกว้างวางอยู่ข้างตัว เสื้อคลุมสีมอซอของเขาติดกระดุมจนถึงคาง แว่นตาที่สวมหล่นมาอยู่ที่จมูก ดูเหมือนก�าลังจดจ่ออยู่กับหนังสือเล่มหนาเตอะนั่น “บิลแดด” กัปตันพีเลกร้องเรียก “หา...อีกแล้วเหรอบิลแดด? เท่าที่รู้ นาย ศึกษาคัมภีร์พวกนั้นมาสามสิบปีมาแล้วนะ ไปถึงไหนแล้วล่ะ บิลแดด?” ดูเหมือนบิลแดดคุ้นกับการพูดจาหมิ่นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเพื่อนเก่าชาวเรือ คนนี้มานานแล้ว จึงไม่ใส่ใจค�าพูดไม่เลื่อมใสที่ได้ยิน เขาเงยหน้าขึ้นเงียบๆ มองมาที่ผม แล้วช�าเลืองมองพีเลกอีกครั้งเป็นเชิงถาม “เขาบอกว่าอยากเป็นลูกเรือของเรา บิลแดด” พีเลกพูดขึ้น “เขาอยาก ออกทะเล” “นายน่ะเหรอ?” บิลแดดถามเสียงดังพลางกวาดตามองผม “ครับ” ผมหลุดปากตอบโดยไม่รตู้ วั เขาช่างเป็นชาวเควกเกอร์ทเี่ คร่งเครียด เสียจริงๆ “นายว่าเขาไหวไหม บิลแดด?” พีเลกถาม “ก็ใช้ได้” บิลแดดตอบขณะมองผม แล้วก้มลงพึมพ�าอ่านหนังสือต่อ ผมคิดว่าบิลแดดเป็นเฒ่าเควกเกอร์ทปี่ ระหลาดทีส่ ดุ เท่าทีเ่ คยเห็นมา โดย เฉพาะอย่างยิง่ ทีพ่ เี ลกเพือ่ นและสหายเก่าชาวเรือพูดจาวางโตใส่ แต่ผมก็ไม่ได้ พูดอะไร แค่รบี หันไปมองรอบๆ พีเลกเปิดหีบแล้วดึงเอาสัญญาว่าจ้างท�างาน บนเรือออกมา วางปากกาและหมึกลงตรงหน้า ก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะเล็กตัวนั้น ผมคิดว่าถึงเวลาต้องใคร่ครวญสัญญาว่าจ้างที่น่าพอใจส�าหรับการเดินทาง ครั้งนี้ ผมรู้ดีว่าในงานล่าวาฬนั้นจะไม่จ่ายเป็นเงินค่าแรง แต่ทุกคนรวมถึง เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 103
กัปตันจะได้รับผลก�าไรแบ่งสรรที่เรียกว่า “ส่วนแบ่ง14” โดยแต่ละคนจะได้รับ เงินส่วนแบ่งเป็นสัดส่วนมากน้อยขึ้นอยู่กับระดับความส�าคัญของหน้าที่ที่ได้ รับมอบหมายจากกลุ่มคนผู้เป็นเจ้าของเรือ ผมยังรู้ด้วยว่าตัวเองยังเป็นมือ ใหม่ในงานล่าวาฬ ด้วยเหตุนี้ส่วนแบ่งของผมจึงไม่มากนัก แต่หากพิจารณา ในข้อที่ว่าผมเคยออกทะเลมาก่อน คัดท้ายเป็น ฟั่นเชือกได้ และทั้งหมดนั่น ผนวกกับข้อมูลที่ได้ยินมาไม่ผิดพลาด ผมควรได้รับส่วนแบ่งล�าดับที่ 275 เป็นอย่างน้อย อันเป็นสัดส่วน 1/275 ของรายได้สุทธิที่ได้จากการเดินเรือ หรือจะค�านวณยังไงก็ได้ให้ได้จ�านวนเงินออกมาประมาณนั้น แม้ว่าส่วนแบ่ง ที่ 275 จะเป็นล�าดับที่คนมองว่าอยู่ท้ายๆ แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย และ หากการเดินทางครั้งนี้โชคดีมีก�าไรมากพอ พวกเขาอาจจ่ายค่าเสื้อผ้าเกือบ ทั้งหมดให้ผมใส่บนเรือด้วย ซึ่งรวมไปถึงค่าเนื้อสัตว์และที่พักตลอดสามปีที่ ผมไม่ต้องจ่ายเองเลยสักสตีเวอร15เดียว อาจคิดกันว่านี่ไม่ใช่วิธีที่ดีที่จะเก็บเงินเก็บทอง ใช่...มันเป็นวิธีที่แย่มาก ทีเดียว แต่ผมเป็นพวกที่ไม่เคยได้รับเงินทองมากมาย และก็พอใจกับสิ่งที่ โลกได้หยิบยื่นให้แก่ผม ตอนพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมซึ่งมีเมฆคลุ้มเป็นสัญลักษณ์ นั่น โดยรวมแล้วผมคิดว่าส่วนแบ่งที่ 275 น่าจะเป็นจ�านวนที่เป็นธรรม แต่ จะไม่แปลกใจอะไรหากเขยิบขึ้นมาได้ล�าดับที่ 200 เมื่อพิจารณาว่าผมท�า หน้าที่ได้หลายอย่าง กระนั้น สิ่งที่ผมยังรู้สึกแคลงใจอยู่บ้างก็คือการรับส่วนแบ่งจ�านวนมาก จากผลก�าไร ตอนอยู่บนฝั่งผมได้ยินมาเรื่องของกัปตันพีเลกกับเฒ่าบิลแดด คู่ซี้ประหลาดของเขามา ไม่มีใครรู้ว่าสองคนนี่เป็นเจ้าของรายใหญ่ของเรือ พีควอดได้อย่างไร และเจ้าของรายอื่นๆ รวมทั้งผู้ถือหุ้นรายยิบรายย่อย มอบอ�านาจจัดการเรือแทบทั้งหมดแก่สองคนนี่ได้อย่างไร ผมรู้แต่ว่าตาเฒ่า บิลแดดจอมตระหนีน่ า่ จะมีอา� นาจตัดสินใจเลือกลูกเรือ และยิง่ มัน่ ใจเมือ่ เห็น ส่วนแบ่ง-มาจากการประมงในกรีนแลนด์ของดัตช์ช่วงศตวรรษที่ 17 โดยกัปตันจะได้ส่วนแบ่งราว 1/71/8, ต้นเรือ 1/20, ต้นหน 1/45, ผูช้ ว่ ยต้นเรือ 1/60, เรือ่ ยลงมาถึงลูกเรือทัว่ ๆ ไปราว 1/120-1/150 15 เหรียญนิกเกลของเนเธอร์แลนด์มีค่า 5 ดัตช์เซนต์ 14
104 : โมบี-ดิ๊ก
เขาท�าตัวตามสบายอยู่ในห้องเครื่องขณะอ่านไบเบิ้ลราวกับอยู่ในบ้านพักตัว เอง ตอนที่พีเลกพยายามใช้มีดพับซ่อมปากกา แต่ก็ไร้ผลนั้น ผมต้องแปลก ใจไม่น้อยที่เห็นตาเฒ่าบิลแดดไม่ได้สนใจเราเลย ทั้งๆ ที่เป็นคนส�าคัญซึ่งมี ส่วนในขั้นตอนเหล่านี้ด้วย เอาแต่อ่านหนังสือพึมพ�าอยู่คนเดียว “อย่าแบ่ง ทรัพย์สมบัติไว้ในโลก ที่ที่มอด...” “ว่าไง...กัปตันบิลแดด” พีเลกพูดแทรกขึ้น “นายว่าไอ้หนุ่มนี่น่าจะได้ส่วน แบ่งที่เท่าไหร่?” “นายรู้ดีอยู่แล้วนี่” บิลแดดตอบเสียงซังกะตาย “เจ็ดร้อยเจ็ดสิบเจ็ด ไม่ น่าจะมากเกินไป จริงไหม? ‘ที่ที่ตัวมอดและสนิมอาจท�าลายเสียได้ แต่จง แบ่ง16...’” โห!แบ่งจริงๆ แหละ...ผมคิด แบ่งได้วิเศษสุด! ตั้งล�าดับที่เจ็ดร้อยเจ็ดสิบ เจ็ด! แหม...ตาเฒ่าบิลแดดเอ๋ย แน่ใจเถอะว่า ผมก็อกี คนแหละทีจ่ ะไม่เสียเวลา เอาส่วนแบ่งวิเศษสุดนี่ไปวางในที่ที่ตัวมอดและสนิมอาจท�าลายได้หรอก มัน เป็นส่วนแบ่งในล�าดับท้ายๆ เหลือเกิน แม้ตัวเลขมากๆ แบบนั้นอาจหลอก คนทีไ่ ม่เคยออกทะเลมาก่อนให้เข้าใจผิดได้ แต่ถา้ คิดสักนิดก็จะเห็นว่า แม้เจ็ด ร้อยเจ็ดสิบเจ็ดดูเป็นจ�านวนที่มากอยู่ แต่ผมว่าถ้าเป็นหนึ่งในสิบหก17ก็ว่าไป อย่าง คุณก็จะเข้าใจ ว่าเจ็ดร้อยเจ็ดสิบเจ็ดฟาร์ทิง18นั้นมีค่าน้อยกว่าเหรียญ ทองเจ็ดร้อยเจ็ดสิบเจ็ดดับลูน19 “บ้าน่า...บิลแดด” พีเลกตะเบ็งเสียง “นายไม่คิดจะต้มไอ้หนุ่มนี่หรอกนะ! เขาต้องได้มากกว่านั้นสิ” “ล�าดับที่เจ็ดร้อยเจ็ดสิบเจ็ด” บิลแดดพูดขึ้นอีกโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง ยัง แต่จงแบ่ง-ข้อความจริงๆ จากไบเบิ้ล (มัทธิว 6:19-20) คือ “อย่าสะสมทรัพย์สมบัติไว้ส�าหรับตัวใน โลก ทีท่ ตี่ วั มอดและสนิมอาจท�าลายเสียได้ และทีข่ โมยอาจขุดช่องลักเอาไปได้ แต่จงสะสมทรัพย์สมบัติ ไว้ส�าหรับตัวในสวรรค์ ที่ที่ตัวมอดและสนิมท�าลายเสียไม่ได้ และที่ไม่มีขโมยขุดช่องลักเอาไปได้ เพราะ ว่าทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน ใจของท่านก็จะอยู่ที่นั่นด้วย” 17 หนึ่งในสิบหก-สแลงของปริมาณกัญชา เท่ากับ 1/16 ออนซ์ หรือราว 1.75 กรัม 18 ฟาร์ทิง.. เหรียญเงินตราของอังกฤษสมัยก่อนมีค่าเท่ากับ ¼ เพนนี 19 ดับลูน.. เงินตราของประเทศสเปนสมัยก่อน มีค่าประมาณหนึ่งปอนด์ 16
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 105
ก้มหน้าอ่านพึมพ�าต่อ “ทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน ใจของท่านก็จะอยู่ ที่นั่นด้วย” “ฉั น ก� า ลั ง จะเขี ย นลงไปในสั ญ ญาว่ า จ่ า ยส่ ว นแบ่ ง ให้ เ ขาในล� า ดั บ ที่ สามร้อย” พีเลกพูด “นายได้ยินไหม บิลแดด! ฉันว่าต้องล�าดับที่สามร้อย” บิลแดดวางหนังสือลง หันไปมองเขาอย่างเคร่งขรึมแล้วพูดว่า “กัปตัน พีเลก นายเป็นคนใจกว้าง แต่นายต้องค�านึงถึงหน้าที่ของนายที่มีต่อเจ้าของ คนอืน่ ๆ ซึง่ มีหนุ้ ส่วนในเรือล�านีด้ ว้ ย ทัง้ แม่มา่ ยทัง้ เด็กก�าพร้าเยอะแยะ ถ้าเรา จ่ายให้พวกแรงงานอย่างเจ้าหนุม่ นีม้ าก ก็เท่ากับเราก�าลังฉกชิงเอาขนมปังไป จากแม่ม่ายและเด็กก�าพร้าพวกนั้น ฉะนั้น ให้เขาล�าดับที่เจ็ดร้อยเจ็ดสิบเจ็ด นั่นแหละ กัปตันพีเลก” “นาย...บิลแดด!” พีเลกแผดเสียงลั่นห้องเครื่อง “นาย..ไอ้กัปตันบิลแดด บ้า ถ้าขืนฉันท�าตามที่นายบอกในเรื่องพวกนี้ ป่านนี้จิตส�านึกฉันคงหนักอึ้ง จนถ่วงเรือล�าใหญ่ที่สุดที่เคยแล่นออกจากแหลมฮอร์นล�านี้จมลงไปแล้วล่ะ” “กัปตันพีเลก” กัปตันบิลแดดพูดเสียงเรียบ “จิตส�านึกของนายจะจมดิ่ง ลงน�้าสิบนิ้วหรือสิบฟาทอมรึเปล่า ฉันบอกไม่ได้ แต่ถ้านายยังรั้นอยู่อย่างนี้ กัปตันพีเลก ฉันเกรงเหลือเกินว่าจิตส�านึกของนายจะเป็นได้แค่จติ ส�านึกรัว่ ๆ จนท�าให้นายจมลงไปในบ่อไฟ กัปตันพีเลก” “บ่อไฟ! บ่อไฟงั้นรึ! นายสบประมาทฉันนี่หว่า ไอ้เกลอ ฉันเหลืออดแล้ว นายดูถูกฉัน มันหยามกันเกินไปที่จะตราหน้ามนุษย์หน้าไหนว่าต้องตกนรก โอละพ่อในบ่อไฟ! บิลแดด แน่จริงก็ลองพูดอีกทีสิ แต่ฉันจะ...ฉันจะ....ใช่...ฉัน จะกลืนกินแพะเป็นๆ นัน่ เข้าไปทัง้ ตัวพร้อมขนกับเขาของมันด้วย ไปให้พน้ ๆ ห้องเครือ่ งนีเ้ ลย ไอ้มอื ถือสากปากถือศีล ไอ้คนมอซอดีแต่พดู ! ไปตายเลยไป!” ตอนกัปตันพีเลกแผดเสียงก็ปราดเข้าใส่ แต่บิลแดดก็ลุกเผ่นหลบได้ทัน อย่างว่องไวน่าอัศจรรย์ ด้วยตกใจการทะเลาะกันรุนแรงของสองเจ้าของผู้รับผิดชอบเรือ และชัก อยากเลิกล้มความคิดที่จะไปกับเรือที่ไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของและมีอ�านาจสั่ง 106 : โมบี-ดิ๊ก
การจริงๆ แบบนี้ ผมจึงถอยออกจากประตูเพื่อเปิดทางให้บิลแดด เพราะ เชื่อแน่ว่าเขาคงอยากหลบหน้าไปก่อนที่จะปลุกอารมณ์ฟืนไฟของพีเลกขึ้น มาอีก แต่กต็ อ้ งประหลาดใจเมือ่ เห็นเขานัง่ ลงบนแผงปิดท้ายเรือตามเดิม และ นัง่ นิง่ เงียบโดยไม่มที ที า่ ว่าจะลุกออกไปไหนเลย ดูเขาคุน้ เคยดีทเี ดียวกับความ ดึงดันและอารมณ์ของพีเลก ส่วนพีเลกเองหลังระเบิดอารมณ์เดือดดาลออก มาแล้ว ก็ดูจะไม่หลงเหลือความโกรธอยู่อีก เขาเองก็นั่งลงอย่างเชื่องเชื่อ เช่นกัน แม้ยังมีอาการกระตุกเกร็งบ้างจากอารมณ์พลุ่งพล่านเมื่อสักครู่ “วู้!” เขาพ่นลมออกจากปาก “ฉันว่าพายุพัดไปใต้ลมแล้ว บิลแดด...นายเคยลับ ฉมวกเก่งนีห่ ว่า ช่วยซ่อมปากกานัน่ ให้ทสี ิ มีดพับของฉันก็ตอ้ งลับด้วยเหมือน กัน นัน่ ...อยูต่ รงนัน้ ขอบใจนะ บิลแดด เอาล่ะ...ไอ้หนุม่ นายบอกว่า ชือ่ อิชเมล ใช่ไหม? งั้นลงชื่อตรงนี้ อิชเมลได้ส่วนแบ่งล�าดับที่สามร้อย” “กัปตันพีเลก” ผมพูด “กระผมมีเพือ่ นอีกคนอยากจะท�างานบนเรือด้วย... ผมพาเขามาพรุ่งนี้ได้ไหม?” “ได้แน่นอน” พีเลกตอบ “พาเขามาให้เราดูตัวได้เลย” “แล้วเขาต้องการส่วนแบ่งเท่าไร” บิลแดดถามเสียงโอดครวญ พร้อมกับ เงยหน้าขึ้นจากหนังสือที่ก�าลังก้มหน้าก้มตาอ่านอีกครั้ง “โอ! ไม่ต้องห่วงน่า บิลแดด” พีเลกพูดขึ้นแล้วหันมาถามผม “เขาเคยล่า วาฬมาก่อนรึเปล่า?” “ฆ่าวาฬมามากจนนับไม่ถ้วนครับ กัปตันพีเลก” “ดี งั้นก็พามาได้เลย” หลังลงชือ่ ในสัญญาเสร็จก็ผมผละจากมา มัน่ ใจว่าได้จดั การธุระในเช้าวัน นัน้ ได้ดแี ล้ว และเรือพีควอดก็คอื เรือล�าทีโ่ ยโจได้จดั เตรียมไว้ให้ควีเควกกับผม เดินทางออกจากแหลมฮอร์น ผมยังเดินไปได้ไม่ไกลนัก ก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้เจอกับตัวกัปตันคนที่ต้อง ท�างานให้เลย แม้วา่ จริงๆ แล้วในหลายๆ กรณี เรือล่าวาฬต้องติดตัง้ อุปกรณ์ จ�าเป็นและรับลูกเรือจนครบก่อน กัปตันถึงจะโผล่มาสั่งการ เพราะบางครั้ง เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 107
เป็นการเดินทางที่ต้องยืดเยื้อยาวนาน แต่เรือจอดเทียบท่าช่วงสั้นแสนสั้น หากกัปตันมีครอบครัวหรือติดธุระอะไรท�านองนัน้ เขาก็จะไม่มาวุน่ วายกับเรือ มากนักขณะจอดอยูท่ ที่ า่ แต่ปล่อยให้เป็นภาระของบรรดาเจ้าของเรือจนกว่า ทุกอย่างจะพร้อมออกทะเล ถึงอย่างนัน้ ก็เป็นเรือ่ งสมควรทีไ่ ด้เจอเขา ก่อนจะ มอบชีวติ ของคุณเองไว้ในมือเขาโดยทีไ่ ม่สามารถเปลีย่ นแปลงอะไรได้อกี ผม เดินย้อนกลับไปหากัปตันพีเลก แล้วถามว่าจะไปพบกัปตันเอแฮ็บได้ที่ไหน “นายต้องการอะไรจากกัปตันเอแฮ็บ? ทุกอย่างเรียบร้อย นายได้ท�างาน บนเรือแล้ว” “ครับ แต่ผมอยากเจอเขา” “ฉันว่าตอนนี้นายเจอเขาไม่ได้หรอก ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเป็นบ้าอะไร เอาแต่เก็บตัวเงียบอยู่ในบ้าน เหมือนๆ จะป่วย แต่ดูไม่เหมือนคนป่วย เพราะจริงๆ แล้วเขาไม่ได้ปว่ ย แต่กไ็ ม่คอ่ ยดีนกั ยังไงซะ...ไอ้หนุม่ เขาไม่อยาก เจอฉันนักหรอก แล้วฉันก็ไม่คดิ ว่าเขาอยากเจอนายด้วย เขาเป็นคนแปลกๆ... กัปตันเอแฮ็บน่ะ แต่คดิ อีกทีเขาก็เป็นคนดีคนหนึง่ นะ โอ๊ะ...นายต้องชอบเขาแน่ ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวลไป เขาเป็นคนโอหัง ไม่มีศาสนา ท�าตัวเป็นพระเจ้า กัปตันเอแฮ็บไม่พูดมาก แต่เมื่อพูดออกมานายต้องตั้งใจฟัง เตือนตัวเองเอา ไว้เลย เอแฮ็บนี้ไม่ใช่ธรรมดา ทั้งเคยเรียนในวิทยาลัย และก็เคยอยู่ท่ามกลาง มนุษย์กนิ คนมาแล้ว เคยด�าดิง่ ลงไปในทะเลลึกแสนลึก พุง่ หลาวคมกริบเข้าใส่ ไอ้ตัวยักษ์ที่ประหลาดกว่าวาฬ ใช่! หลาวของเขาคมกริบ และชะงัดกว่าใคร บนเกาะนี้! โอ๊ะ! เขาไม่เหมือนกัปตันบิลแดด ไม่เหมือนเลย แล้วก็ไม่เหมือน กัปตันพีเลกด้วย เขาคือเอแฮ็บ...ไอ้หนู นายรู้มั้ย ในอดีตน่ะเอแฮ็บ20คือราชา ครองมงกุฎเลยทีเดียว!” “แล้ ว ก็ ร ้ า ยมากด้ ว ย เมื่ อ พระราชาผู ้ ชั่ ว ร้ า ยถู ก ฆ่ า ตาย สุ นั ข จะไม่ เลียเลือด21ของเขารึ?” 20 21
เอแฮ็บ-กษัตริย์ของอิสราเอล (900 ปีก่อน ค.ศ.) สุนัขจะไม่เลียเลือด-คัมภีร์ไบเบิ้ล (1 พงศ์กษัตริย์ 21) ได้พยากรณ์ว่า กษัตริย์เอแฮ็บจะเสียชีวิต และ สุนัขจะเสียเลือดนั่น
108 : โมบี-ดิ๊ก
“มาใกล้ๆ สิ...มา...มานี่” พีเลกพูด ดวงตาของเขาฉายแววบางอย่างออก มาจนท�าให้ผมแทบสะดุ้ง “คืองี้ ไอ้หนุ่ม รู้แล้วเหยียบไว้นา อย่าไปพูดเรื่อง นี้บนเรือพีควอดนี่หรือที่ไหนเป็นอันขาด กัปตันเอแฮ็บไม่ได้ตั้งชื่อตัวเองนี่ นา แต่เป็นเพราะความโง่เขลาเบาปัญญาของยัยแม่ม่ายบ้าๆ บอๆ แม่ของ เขา ซึ่งหล่อนก็ตายไปตั้งแต่เขาอายุแค่สิบสองเดือนเท่านั้น หล่อนดันไปหลง เชื่อค�ายายเฒ่าอินเดียนแดงทิสติกที่เกย์เฮด22 ที่บอกว่าชื่อนี้เป็นมงคล และ บางทีอาจมีพวกสมองตืน้ คนอืน่ บอกนายแบบเดียวกันก็ได้ แต่ฉนั อยากเตือน นายไว้ก่อนว่า มันเป็นเรื่องโกหก ฉันรู้จักกัปตันเอแฮ็บดี เคยออกเรือไปกับ เขาในฐานะเพื่อนร่วมงานหลายปีก่อนโน้น ฉันรู้ดีว่าเขาเป็นคนยังไง เขาเป็น คนดีคนหนึ่ง ไม่เคร่งศาสนา เป็นคนดีเหมือนกับบิลแดด แต่ก็เป็นคนดีที่ชอบ สบถเหมือนฉัน...ยังมีเรื่องดีๆ เยอะแยะเกี่ยวกับเขา “ใช่...ใช่...ฉันรู้ว่าเขาสนุก ไม่เป็นเอาเสียเลย และรูว้ า่ ระหว่างทางกลับบ้านใจคอเขาไม่คอ่ ยปกติเหมือน ต้องค�าสาป แต่มันก็เป็นเรื่องเจ็บปวดเหลือแสนที่ต้องเสียขาไปอย่างที่ใครๆ รู้กัน ฉันรู้อีกว่า นับแต่เสียขาไปในการเดินเรือครั้งล่าสุดเพราะวาฬอัปรีย์ นั่น เขากลายเป็นคนเจ้าอารมณ์ หดหู่สิ้นหวัง แต่บางครั้งก็ดุร้ายป่าเถื่อน แต่ทุกอย่างจะผ่านพ้นไป ฉันจะบอกเป็นครั้งสุดท้ายให้นายมั่นใจเพิ่มขึ้นนะ ไอ้หนุม่ การออกเรือไปกับกัปตันทีด่ แี ต่เจ้าอารมณ์ยงั ดีกว่าไปกับกัปตันชัน้ เลว ที่อารมณ์ดี เอาล่ะ ลาก่อนไอ้หนุ่ม แล้วก็อย่าเข้าใจกัปตันเอแฮ็บผิดๆ เพราะ เขาแค่มีชื่อที่ฟังดูร้ายเท่านั้น ยิ่งกว่านั้น ไอ้ลูกชาย...เขามีภรรยา ไม่ได้ผูกชีวิต แค่การเดินทางสามปีนเี่ ท่านัน้ หล่อนเป็นหญิงสาวผูเ้ สียสละและจิตใจงดงาม เมือ่ คิดว่าหญิงสาวแสนดีกบั ชายแก่นนั่ ก็มลี กู ด้วยกันคนหนึง่ นายคงเข้าใจว่า เอแฮ็บเป็นพวกตาเฒ่าชั่วช้าเลวทรามสินะ ไม่ใช่เลย ไม่ใช่ ไอ้หนู แม้นว่าใคร จะพูดถึงเขาเสียๆ หายๆ ยังไง แต่เอแฮ็บก็ยังคงมีมนุษยธรรม!” ขณะเดินจากมา ผมเฝ้าแต่ครุน่ คิดถึงสิง่ ทีไ่ ด้รบั รูม้ าเกีย่ วกับกัปตันเอแฮ็บ อันท�าให้ผมสัมผัสได้รางเลือนถึงความเจ็บปวดของเขา ช่วงเวลานัน้ จูๆ ่ ผมก็ 22
เกย์เฮด-เมืองบนเกาะวินยาร์ด รัฐแมสซาชูเซตส์
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 109
รูส้ กึ สงสารและเสียใจไปกับเขา แต่ไม่รเู้ หมือนกันว่าเสียใจในเรือ่ งอะไร บางที อาจเป็นเรือ่ งทีเ่ ขาเสียขาไปอย่างโหดร้ายทารุณนัน่ ก็เป็นได้ กระนัน้ ผมยังรูส้ กึ หวาดกลัวเขาขึน้ มาด้วยเช่นกัน เป็นความรูส้ กึ กลัวแปลกๆ ทีผ่ มเองก็อธิบาย ไม่ถูก เพราะไม่ใช่ความกลัวเสียทีเดียวนัก แต่ก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ผมสัมผัส ได้ถึงความรู้สึกนั่น และมันไม่ได้ท�าให้ผมคล้อยตามเขานัก ผมรู้สึกอึดอัดกับ สิ่งที่ดูลึกลับในตัวเขา เพราะเรื่องราวที่ผมรู้เกี่ยวกับเขายังขาดๆหายๆ ไป อย่างไรก็ตาม ในที่สุดผมก็หันไปครุ่นคิดเรื่องอื่น จนเรื่องของเอแฮ็บผู้เป็น ปริศนาลึกลับเลือนหายไปจากห้วงค�านึง
110 : โมบี-ดิ๊ก
บทที่ 17
วันถือศีลอด
เนื่องจากควีเควกยังอยู่ในช่วงรอมฎอน หรือถือศีลอดและบ�าเพ็ญพรต ตลอดทั้งวัน ผมจึงไม่ไปรบกวนเขาจนถึงเวลาค�่า ผมเคารพอย่างยิ่งต่อการ ปฏิบัติตนตามความเลื่อมใสในศาสนาของทุกคน โดยไม่เคยมองว่าเป็นเรื่อง ตลกขบขัน และในใจก็ไม่คดิ ว่าเป็นเรือ่ งไร้สาระ แม้กระทัง่ การรวมตัวของฝูงมด เพือ่ บวงสรวงต่อตอเห็ด หรือสิง่ มีชวี ติ อีกชนิดทีอ่ ยูใ่ นบางพืน้ ทีบ่ นโลก ซึง่ เป็น จอมประสบสอพลอชนิดที่ไม่มีในดาวดวงอื่น คนพวกนี้ยอมก้มหัวให้รูปปั้น ครึ่งตัวของเจ้าของดินแดนผู้ส้ินอายุขัยไปแล้ว เพียงเพราะเขายังมีชื่อเป็น เจ้าของและผูใ้ ห้เช่าสิทธิใ์ นการครอบครองดินแดนอันมีอยูม่ ากมายเหลือเกิน ผมว่าเราชาวคริสต์เพรสไบทีเรียนก็ควรใจกว้างกับเรือ่ งพวกนี้ และไม่คดิ อวดตัวเหนือกว่าคนศาสนาอืน่ คนนอกศาสนา หรือคนทีเ่ ชือ่ หรือนับถืออะไร ก็ตามแต่ เพียงเพราะความเชือ่ ของเขาดูแปลกในสายตาของเรา เช่นเดียวกับ ควีเควกเองในตอนนี้ เขาปักใจเชือ่ สิง่ ทีไ่ ร้เหตุผลเกีย่ วกับโยโจและรอมฎอน แต่ นัน่ มีความหมายเช่นไร? ควีเควกคิดว่าเขารูใ้ นสิง่ ทีเ่ ขาท�า ผมเชือ่ อย่างนัน้ และ เขาดูพอใจทีไ่ ด้ทา� เมือ่ เป็นอย่างนีแ้ ล้วก็ปล่อยให้เขาได้ทา� เถิด การโต้เถียงกับ เขาคงไม่เป็นผลอะไร ผมคิดว่าเราควรปล่อยให้เขาได้ทา� แล้วสวรรค์จะเมตตา เราทั้งมวล ไม่ว่าเพรสไบทีเรียน หรือคนนอกศาสนาก็ไม่ต่างกัน คนเราต่างก็ มีความคิดผิดเพีย้ นในบางเรือ่ ง ซึง่ น่าเศร้าทีต่ อ้ งได้รบั การแก้ไขด้วยกันทัง้ นัน้ จนถึงเย็นย�า่ ผมมัน่ ใจว่าการปฏิบตั ติ ามพิธกี รรมทัง้ หมดของเขาควรเสร็จ เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 111
สิน้ ลงแล้ว จึงก้าวขึน้ ไปบนห้องและเคาะประตูเรียก แต่ไม่มเี สียงตอบกลับมา ผมพยายามเปิดประตู แต่มันล็อกจากด้านในอยู่ “ควีเควก” ผมส่งเสียงเรียก เบาๆ ผ่านรูกุญแจ กระนั้นก็ยังคงเงียบกริบ ผมจึงพูดขึ้น “ควีเควก! ท�าไมไม่ ส่งเสียงเลย? นี่...ฉันเองนะ อิชเมล” แต่ยังคงเงียบกริบเหมือนเช่นเดิมจนผม เริ่มรู้สึกตกใจ ผมให้เวลาเขาอย่างเหลือเฟือ จนคิดว่าเขาอาจเป็นลมล้มชัก ไปแล้วก็ได้ ผมมองผ่านรูกุญแจ แต่ประตูที่เปิดผลักเข้าอยู่ที่มุมด้านไกลของ ห้อง จึงเห็นได้แต่แผ่นรองเท้าใต้เตียงและแนวผนัง แล้วก็ไม่เห็นอะไรอื่นอีก ผมแปลกใจที่เห็นด้ามไม้ฉมวกของควีเควกวางพาดอยู่ข้างผนังห้อง ทั้งๆที่ เจ้าของโรงเตีย๊ มหญิงได้ยดึ ไปจากเขาเมือ่ คืนก่อนเราสองคนจะขึน้ มาบนห้อง แปลกจริง ผมคิด ควีเควกมักไม่ค่อยหรือไม่เคยออกข้างนอกโดยไม่ถือฉมวก ติดตัวไปด้วย ดังนั้นเมื่อฉมวกวางอยู่ในห้อง เขาก็น่าจะอยู่ข้างในแน่ๆ “ควีเควก! ควีเควก!” เงียบกริบ ต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ เส้นเลือดในสมอง แตก! ผมพยายามพังประตูเปิดเข้าไป แต่มันแน่นหนาเกินก�าลัง ผมจึงวิ่งลง บันไดไป และรีบบอกข้อกังวลสงสัยแก่บุคคลแรกที่พบ...แม่บ้านประจ�าห้อง พัก “โอ้! โอ!” หล่อนร้องอุทาน “ฉันว่าต้องเกิดอะไรแน่ เพราะตอนฉันขึ้น ไปท�าความสะอาดห้องหลังอาหารเช้า ประตูก็ล็อกอยู่ ไม่ได้ยินแม้แต่หนู สักตัว แล้วมันก็เงียบอย่างนั้นมาตั้งแต่เช้า แต่ฉันคิดว่าพวกคุณคงออกไปกัน ข้างนอก แล้วล็อกประตูไว้เพื่อป้องกันกระเป๋าสัมภาระ โอ้! โอ! มาดาม! คุณนาย! ฆาตกรรม! คุณนายฮัสเซย์! คนเป็นลมตกเลือดในหัว!” หล่อนร้อง ลั่นพลางวิ่งไปยังห้องครัว ผมจึงวิ่งตามติดไปด้วย คุณนายฮัสเซย์ปรากฏตัวขึ้นทันที ถือกระปุกมัสตาร์ดอยู่ในมือ ส่วนมือ อีกข้างถือขวดน�้าส้มสายชู หล่อนเพิ่งเทเจ้าพวกนั้นเติมลงในพวงเครื่องปรุง ขณะก�าลังดุด่าเด็กรับใช้ผิวด�าตัวน้อยของหล่อนอยู่ด้วย “นีบ่ า้ นไม้!” ผมตะโกน “มันอยูไ่ หน? เห็นแก่พระเจ้า ช่วยวิง่ ไปหาอะไรมา งัดประตูนี่ที...ขวาน! ขวานไง! เขาเส้นเลือดสมองแตก รีบด่วนเลย!” พูดเสร็จ ผมเตรียมจะวิ่งกลับขึ้นบันไดไปอีกครั้งทั้งๆ ที่มือเปล่า แต่คุณนายฮัสเซย์ 112 : โมบี-ดิ๊ก
ยื่นกระปุกมัสตาร์ดและขวดน�้าส้มสายชูขวางไว้ พร้อมทั้งชักสีว่ายังไม่ให้ไป ไหนแน่ “อะไรกัน พ่อหนุ่ม?” “เอาขวานมา! เห็นแก่พระเจ้าเถอะ แล้วให้ใครก็ได้ไปตามหมอมาด้วย ระหว่างที่ผมงัดประตู!” “ฟังนะ” เจ้าของโรงเตีย๊ มหญิงพูด รีบวางขวดน�า้ ส้มสายชูลงเพือ่ ให้มอื ข้าง หนึง่ ว่าง “ฟังก่อน... นายบอกว่าจะงัดประตูหอ้ งของฉันรึ?” หล่อนพูดพร้อมกับ คว้าแขนของผมไว้ “นายเป็นบ้าอะไร? หา เป็นบ้าอะไรไปแล้ว พ่อกะลาสี?” ผมรีบอธิบายให้หล่อนเข้าใจเรื่องทั้งหมดด้วยเสียงนิ่งๆ หล่อนเผลอยก ขวดน�า้ ส้มสายชูขนึ้ ถูทขี่ า้ งจมูก คิดอยูช่ วั่ อึดใจก็รอ้ งอุทานออกมา “จริงสิ! ฉัน ไม่เห็นมันตัง้ แต่วางไว้ตรงนัน้ ” แล้วหล่อนก็วงิ่ ไปยังตูเ้ ล็กใต้บนั ไดส่ายตามอง ก่อนจะหันมาบอกผมว่าฉมวกของควีเควกหายไป “เขาฆ่าตัวตายแน่” หล่อน ร้องโวยวาย “เป็นพ่อหนุ่มสติกกส์ผู้เคราะห์ร้ายอีกรายที่มาท�าผ้าคลุมเตียง อีกผืนเปื้อน พระเจ้าทรงโปรดแม่ผู้น่าสงสารของเขาด้วยเถิด! โรงเตี๊ยมนี่ชื่อ เสียงป่นปี้แน่ พ่อหนุ่มนั่นมีน้องสาวหรือเปล่า? แล้วหล่อนอยู่ที่ไหน? อ้อ เบตตี้ไปหาช่างทาสีสนาร์เลสนะ บอกให้เขาเขียนป้ายให้ฉันอันหนึ่ง เขียน ว่า ‘ไม่อนุญาตให้ฆ่าตัวตายที่นี่ และห้ามสูบบุหรี่ในห้องนั่งเล่น’ ฆ่าทีเดียวได้ นกสองตัวเลย ฆ่ารึ? พระเจ้าทรงเมตตาวิญญาณเขาด้วยเถิด! นั่นเสียง อะไรน่ะ? นาย...พ่อหนุ่ม หยุดก่อน!” พูดจบหล่อนก็รีบวิ่งตามผมขึ้นมา คว้ามือผมไว้อีกครั้งขณะผมพยายาม พังประตูเข้าไป “ฉันไม่อนุญาตให้ท�าแบบนี้ ฉันจะไม่ยอมให้ข้าวของของฉันเสียหาย ไป หาช่างท�ากุญแจสิ ห่างแค่ไมล์เดียวก็มีอยู่รายหนึ่ง แต่เดี๋ยว!” หล่อนล้วงมือ เข้าไปในกระเป๋าข้าง “กุญแจนี่น่าจะใช้ได้นะ ฉันว่านะลองดู” พูดจบก็สอด กุญแจเข้าไป แต่อนิจจา! ควีเควกลงกลอนด้านในไว้ด้วย “ต้องพังเข้าไปครับ” ผมพูด แล้วก้าวถอยออกมาเล็กน้อยเพื่อตั้งหลัก แต่ เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 113
เจ้าของโรงเตีย๊ มหญิงตะครุบตัวผมไว้แน่นและสบถสาบานว่าไม่ยอมให้ใครท�า ทรัพย์สินของหล่อนเสียหายเป็นอันขาด แต่ผมกระชากมือหล่อนออกแล้ววิ่ง เอาตัวพุ่งเข้าชนประตูเต็มแรง ประตูเปิดผางออกตามเสียงดังสนั่น ลูกบิดกระเด็นหวือไปกระแทก ผนังห้องจนเศษปูนปลาสเตอร์แตกปลิวขึน้ ไปบนเพดาน นัน่ ...สวรรค์ทรงโปรด! ควีเควกนัง่ อยูต่ รงนัน้ นัง่ ส�ารวมจิตสงบนิง่ อยูก่ ลางห้อง เขาคุกเข่าราบ สองมือ กุมโยโจเทินไว้บนศีรษะ ไม่หันมองไปทางไหน แต่นั่งนิ่งราวกับรูปแกะสลัก ปราศจากสัญญาณบ่งบอกว่ายังมีชีวิต “ควีเควก” ผมเรียก ขณะเดินเข้าไปหาเขา “ควีเควก นายเป็นอะไรรึเปล่า?” “เขาไม่ได้นั่งแบบนั้นมาทั้งวันเลย ใช่ไหม?” เจ้าของโรงเตี๊ยมหญิงถาม แต่ไม่ว่าเราจะพูดอะไร เขาก็ไม่ปริปากออกมาสักค�า ผมแทบอยากผลัก ให้เขาล้มเผื่อจะได้ขยับเปลี่ยนท่าบ้าง เพราะอยู่ในท่าเดียวนานๆ แบบนั้นคง ต้องทรมานและฝืนตัวเองน่าดู โดยเฉพาะเขานั่งอยู่ในท่านั้นมานานมากกว่า แปดหรือสิบชั่วโมงแล้ว โดยไม่ได้กินอะไรเลยด้วย “คุณนายฮัสเซย์” ผมพูด “เขายังหายใจอยูแ่ น่ ถ้าคุณนายไม่วา่ อะไร ขอให้ เราได้อยู่กันตามล�าพังเถอะ ผมจะจัดการกับเรื่องพิลึกนี่เอง” ผมปิดประตูลงเจ้าของโรงเตี๊ยมหญิงจากไป และพยายามเกลี้ยกล่อม ควีเควกให้ลุกขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ แต่ก็ไม่เป็นผล เขายังคงนั่งอยู่ตรงนั้น ไม่ว่า ผมจะพูดจาหว่านล้อมหลอกล่ออย่างไร เขาก็ไม่ขยับแม้แต่น้อย และไม่พูด อะไรออกมาสักค�า ไม่แม้กระทัง่ หันมองมาและไม่รบั รูว้ า่ ผมอยูใ่ นห้องนัน้ เลย ผมนึกสงสัยว่านี่อาจเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติตนในวันรอมฎอน เขา คงนั่งคุกเข่าอดอาหารแบบนั้นตอนอยู่บนเกาะบ้านเกิด ต้องเป็นแบบนั้น แน่...ใช่แล้ว ผมเชื่อว่านี่ต้องเป็นส่วนหนึ่งของข้อบัญญัติ ถ้างั้น...ก็ปล่อยให้ เขาท�าไปเถอะ ไม่ช้าเขาก็คงลุกขึ้นเองแน่ เขาคงนั่งอยู่อย่างนั้นไปตลอดไม่ ได้หรอก ขอบคุณพระเจ้า รอมฎอนของเขามีปีละครั้งเท่านั้น และผมไม่เชื่อ
114 : โมบี-ดิ๊ก
ว่ามันจะตายตัว1นัก ผมจึงลงไปกินอาหารค�่า และนั่งฟังเรื่องเล่ายืดยาวของกะลาสีบางคนอยู่ นาน พวกเขาเพิง่ กลับจากการล่องเรือทีเ่ รียกว่าขนมปังลูกเกด (เพราะเป็นการ ออกล่าวาฬช่วงสั้นๆ ด้วยเรือใบเล็กสองหรือสามเสา มุ่งไปทางทิศเหนือของ เส้นศูนย์สูตรในมหาสมุทรแอตแลนติคเท่านั้น) ฟังเรื่องขนมปังลูกเกดจบก็ เกือบห้าทุ่มได้ ผมขึ้นบันไดกลับไปที่ห้องอย่างมั่นใจว่า ควีเควกคงต้องเสร็จ สิ้นพิธีกรรมในวันรอมฎอนแล้ว แต่ผิดถนัด เขายังคงนั่งอยู่ที่เดิมตอนที่ผม จากมา ไม่ขยับแม้แต่น้อยนิด ผมเริ่มรู้สึกร�าคาญขึ้นมา ดูช่างเป็นเรื่องไร้สติ และบ้าบอโดยแท้ที่นั่งอยู่อย่างนั้นตลอดวันกับอีกครึ่งคืน นั่งราบคุกเข่าอยู่ ในห้องที่เย็นเยือกโดยกุมแท่งไม้ไว้บนหัว “เห็นแก่สวรรค์ ควีเควก ลุกมาขยับแข้งขาบ้าง แล้วไปหาอะไรกินซะ นาย จะหิวตายแล้ว จะฆ่าตัวตายรึไง ควีเควก?” เขายังคงไม่ตอบอะไรกลับมา ด้วยอับจนปัญญาตัว ผมจึงตัดสินใจไปที่เตียงเพื่อนอนก่อน คิดว่าสักพัก เขาก็คงตามมานอนเองแน่ แต่กอ่ นนอนผมหยิบเสือ้ แจ๊กเก็ตขนหมีโยนลงตรง หน้าเขา เพราะคืนนี้อากาศหนาวจัด และเขาก็ไม่ได้ใส่อะไรเลยนอกจากเสื้อ คลุมธรรมดา อย่างน้อยผมก็ทา� ทุกอย่างเท่าทีจ่ ะท�าได้แล้ว ไม่อย่างนัน้ ผมคง ข่มตาไม่หลับ ผมเป่าเทียนดับและได้แต่นอนคิดถึงเรือ่ งของควีเควกซึง่ อยูห่ า่ ง ออกไปเพียงแค่สฟี่ ตุ นัง่ ตัวแข็งทือ่ อยูต่ รงนัน้ คนเดียวในท่าทีไ่ ม่นา่ จะสบายตัว นักท่ามกลางความหนาวเหน็บและมืดมิด ซึง่ ผมท�าให้อดล�าบากใจไม่ได้ เมือ่ คิดว่าต้องนอนอยูภ่ ายในห้องเดียวกับคนป่าผูน้ งั่ คุกเข่าซึมกะทือตลอดทัง้ คืน ช่างเป็นรอมฎอนที่แปลกพิกล! ในที่สุดผมก็ผล็อยหลับไปและไม่รับรู้อะไรอีกกระทั่งอรุณรุ่ง เมื่อมองไป ข้างเตียงก็ยงั เห็นควีเควกนัง่ ราบอยูใ่ นท่าเดิมราวกับถูกขันตะปูควงติดกับพืน้ ห้อง แต่แล้วทันทีที่อาทิตย์สาดแสงเข้ามาทางหน้าต่าง เขาก็ขยับตัวลุกขึ้น ยืนอย่างยากล�าบาก ขาแข็งเป็นเหน็บชาไปหมด แต่ก็ดูสดชื่นแจ่มใส เขาเดิน 1
ตายตัว-รอมฎอนยึดตามปฏิทินของชาวอิสลาม ซึ่งมีประมาณ 354 วัน ไม่ใช่ 356 วัน วันหยุดของ อิสลามจึงเร็วกว่าปฏิทินปกติ 11 วัน
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 115
กะโผกกะเผลกมาหาผมที่เตียง แล้วก้มแนบหน้าผากของเขากับหน้าผากผม พร้อมกับพูดว่าพิธีรอมฎอนเสร็จสิ้นลงแล้ว ดังได้เกริ่นไว้ก่อนหน้าว่า ผมไม่คัดค้านหากผู้ใดจะปฏิบัติตามความเชื่อ ในศาสนาของตน ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม ตราบเท่าที่ไม่ไปฆ่าหรือดูหมิ่น ใคร เพียงเพราะคนอื่นไม่เชื่อตามตน กระนั้นหากศาสนาของคนผู้นั้นกลาย ความฟั่นเฟือนไร้สติ และสร้างความเจ็บปวดทรมานอย่างยิ่งให้แก่เขา หรือ กล่าวโดยสรุปคือท�าให้โลกใบนีก้ ลายเป็นทีพ่ กั ซึง่ ไร้ความสะดวกสบายในการ พักพิง ผมก็คิดว่า ถึงเวลาแล้วที่ต้องจับเข่าคุยกันกันอย่างจริงจังสักหน่อย นี่แหละ ผมจึงเริ่มท�าอย่างที่ว่ากับควีเควก “ควีเควก” ผมพูด “ขึ้นมาบน เตียงเดี๋ยวนี้ แล้วนอนฟังฉันพูดนะ” แล้วผมก็เริ่มอธิบาย เล่าตั้งแต่ความเชื่อ ของมนุษย์ในยุคแรกเริ่ม จนพัฒนามาเป็นศาสนาต่างๆ มากมายในปัจจุบัน ทัง้ ยังเสริมให้ควีเควกเข้าใจว่า ทัง้ เทศกาลมหาพรต รอมฎอน และการนัง่ ราบ อยู่นานในห้องที่อากาศหนาวเยือก เป็นเรื่องไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง ทั้งไม่ดีต่อ สุขภาพ และไม่เป็นประโยชน์ตอ่ จิตวิญญาณ พูดสัน้ ๆ ก็คอื ขัดกับสามัญส�านึก และและหลักทางสุขภาพอย่างเห็นได้ชดั ผมบอกด้วยว่า สิง่ ทีเ่ ขาท�านัน้ ไม่ใช่วถิ ี ของคนป่าทีฉ่ ลาดและมีไหวพริบ มันท�าให้ผมทุกข์ใจ และทรมานใจมากทีเ่ ห็น เขาท�าอะไรโง่เขลาน่าเวทนากับพิธีกรรมรอมฎอนอันน่าขัน ผมยังยกเหตุผล มาอ้างอีกด้วยว่าการอดอาหารท�าให้ร่างกายทรุดโทรม และจะเป็นเหตุให้ จิ ต วิ ญ ญาณเสื่ อ มโทรม ความคิ ด ที่ เ กิ ด ขึ้ น ระหว่ า งอดอาหารก็ ย ่ อ มจะ ไม่สมบูรณ์ไปด้วย นั่นเป็นเหตุให้ผู้เคร่งศาสนาที่มีอาการอาหารไม่ย่อย ส่วนใหญ่จะเชื่อความคิดน่าเศร้าเกี่ยวกับโลกหน้าด้วย ผมบอกควีเควกทาง อ้อมว่า ความเชื่อเรื่องนรกเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อพุดดิ้งแอปเปิ้ลไม่ย่อย แล้วก ลายเป็นความเชือ่ ถาวรหลังจากสืบทอดอาการอาหารไม่ยอ่ ยนีม้ าสูล่ กู หลาน โดยพิธีอดอาหาร จากนัน้ ผมถามควีเควกตรงๆ ว่าเคยมีอาการอาหารไม่ยอ่ ยหรือเปล่า เพือ่ ให้เขาได้เข้าใจมากขึ้น เขาตอบว่าไม่เคย เว้นแต่ในเหตุการณ์ส�าคัญครั้งหนึ่ง 116 : โมบี-ดิ๊ก
หลังงานเลี้ยงฉลองครั้งใหญ่ที่พ่อผู้เป็นหัวหน้าเผ่าของเขาได้จัดขึ้น เนื่องจาก รบชนะจับข้าศึกมาได้ห้าสิบคน ทุกคนถูกฆ่าราวบ่ายสองโมง และท�าเป็น อาหารเลี้ยงกันในเย็นวันนั้นนั่นเอง “พอแล้ว...ควีเควก” ผมพูดเสียงสัน่ “เข้าใจแล้วล่ะ...” ผมรูโ้ ดยทีเ่ ขาไม่ตอ้ ง เล่าขยายความ เพราะเคยเจอลูกเรือคนหนึ่งที่เคยเดินทางไปเกาะนั่นมาแล้ว เขาเล่าให้ผมฟังว่ามันเป็นธรรมเนียมของที่นั่น หลังรบชนะครั้งใหญ่ ก็จะ ย่างเนื้อของศัตรูที่ถูกฆ่า แล้วกินกันในสนามหรือสวนของผู้ชนะนั่นเอง เนือ้ ของผูแ้ พ้จะถูกยกมาในจานไม้ขนาดใหญ่ทลี ะคน แต่งหน้ามาจนดูเหมือน ข้าวผัดเนือ้ ใส่สาเกและมะพร้าว โรยด้วยผักชีฝรัง่ นิดหน่อยทีใ่ นปาก จากนัน้ ก็ จะถูกส่งต่อๆ ไปให้เพื่อนๆ ของผู้ชนะรอบวงพร้อมผลัดกันอวยพร ราวกับนี่ เป็นไก่งวงวันคริสต์มาสหลายต่อหลายตัว อย่างไรก็ตาม ผมไม่คิดว่าข้อคิดเห็นของผมในเรื่องศาสนาจะสร้างความ ประทับใจอะไรให้แก่ควีเควกนัก เพราะข้อแรกคือ ดูเขาคร้านจะฟังในประเด็น ส�าคัญ หรือไม่ก็คงมีความคิดเห็นที่เป็นของตัวเอง ข้อที่สอง...แม้ผมพยายาม อธิบายให้ง่ายที่สุดแล้ว เขาก็ยังเข้าใจไม่เกินหนึ่งในสาม และข้อสุดท้าย... เขาแน่ใจว่าเข้าใจเรื่องศาสนามากกว่าผม เขามองผมอย่างกังวลและเห็นใจ ราวกับคิดว่ามันเป็นเรื่องน่าเห็นใจเหลือเกิน ที่ชายหนุ่ม ผู้ฉลาดมีเหตุมีผล กลับไม่เข้าใจอะไรเลยในเรื่องศรัทธาของคนป่าผู้หันมาเป็นชาวคริสต์ ในทีส่ ดุ เราก็ลกุ ขึน้ แต่งตัว แล้วก็ลงไปกินอาหารเช้ากัน ควีเควกกินอาหาร เช้ามือ้ นัน้ ขนาดใหญ่ สวาปามซุปทุกชนิด เจ้าบ้านหญิงจึงไม่ได้เปรียบนักจาก ทีเ่ ขาอดอาหารในวันรอมฎอน เมือ่ อิม่ หน�าแล้วเราออกเดินมุง่ ไปทีเ่ รือพีควอด ขณะใช้ก้างปลาเขี่ยเศษอาหารที่ติดฟันอยู่
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 117
บทที่ 18 แกงได
ขณะเราเดินไปยังเรือที่จอดอยู่ปลายท่านั้น ควีเควกถือฉมวกติดตัวมาด้วย กัปตันพีเลกตะเบ็งเสียงแหบห้าวทักทายออกมาจากกระโจม บอกว่าเขาไม่ เฉลียวมาก่อนว่าเพื่อนผมเป็นชนเผ่ากินเนื้อมนุษย์ และประกาศต่อว่าเขาจะ ไม่ยอมให้มนุษย์กินคนหน้าไหนลงเรือ เว้นแต่จะมีหนังสือรับรองแล้ว “กัปตันหมายความว่ายังไงครับ?” ผมพูดขณะโดดขึ้นไปบนกราบเรือ ทิ้งให้สหายของผมยืนคอยอยู่บนท่า “ฉันหมายความว่า” เขาตอบ “เจ้านี่ต้องแสดงหนังสือของเขาให้ดูก่อน” “ใช่” กัปตันบิลแดดพูดขึ้นด้วยเสียงกังวาน ขณะโผล่หน้ามาจากด้านหลัง กัปตันพีเลกที่ก�าลังเดินออกมานอกกระโจม “เจ้าลูกนิโกรนี่ต้องมีหนังสือ ยืนยันว่าได้เป็นชาวคริสต์แล้ว” เขาพูดต่อแล้วหันไปทางควีเควก “นายเคย เข้าร่วมพิธีศีลมหาสนิทในโบสถ์ของชาวคริสเตียนรึยัง?” “แหม” ผมพูด “เขาเป็นสมาชิกของโบสถ์แห่งแรกสุดที่มีการรวมตัวกัน ของชาวคริสต์ทีเดียวครับ” ที่บอกแบบนั้นเพราะชาวป่าสักลายบนตัวจ�านวน มากที่ออกทะเลไปกับเรือแนนทักเก็ต แล้วสุดท้ายก็จะเปลี่ยนมาถือคริสต์ใน โบสถ์ด้วยกันทั้งนั้น “โบสถ์แห่งแรกสุดทีม่ กี ารรวมตัวกันของชาวคริสต์งนั้ รึ?” บิลแดดแผดเสียง “พิธีในบ้านตอนบาทหลวงไม่อยู่ละมั้ง?” เขาพูดขณะถอดแว่นตาออกแล้วใช้ ผ้าพันคอสีเหลืองผืนใหญ่เช็ด ก่อนจะวางลงอย่างเบามือ และเดินออกมาน 118 : โมบี-ดิ๊ก
อกกระโจม ชะโงกหน้าข้ามกราบเรือไปมองส�ารวจควีเควก “เขาเป็นสมาชิกมานานแค่ไหนแล้ว?” บิลแดดหันกลับมาถามผม “ไม่น่า จะนานนักหรอก ฉันว่านะ...ไอ้หนุ่ม” “ไม่นานหรอก” พีเลกพูดขึ้น “และยังไม่ได้เข้าพิธีล้างบาปด้วย ไม่งั้นคง ล้างไอ้สีนา�้ เงินเหมือนปีศาจนั่นออกจากหน้าได้บ้างแล้ว” “บอกหน่อยสิ” บิลตะโกน “เจ้าคนเถื่อนนี่เข้าร่วมพิธีกับผู้ช่วยบทหลวง เสมอใช่ไหม? ฉันไม่เคยเห็นเขาที่นั่นเลย ฉันผ่านไปทุกวันอาทิตย์” “ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับผู้ช่วยบาทหลวงหรือพิธีนั่น” ผมพูด “ผมรู้แต่ว่า ควีเคกเป็นสมาชิกโดยก�าเนิดของโบสถ์ที่มีการชุมนุมครั้งแรกของชาวคริสต์ และควีเควกคนนี้...เป็นถึงผู้ช่วยธรรมบัญญัติเองเลยด้วยซ�้า” “ไอ้หนุ่ม” บิลแดดพูดเสียงเครียด “นายอย่ามาเล่นลิ้นกับฉัน บอกมา... ไอ้หนุ่มฮิตไทต์1หลงยุค! นายหมายถึงโบสถ์แบบไหนกัน? ตอบฉันมา” เมือ่ ถูกรุกหนักแบบนัน้ ผมจึงตอบไปว่า “ผมหมายถึงอย่างนีค้ รับ...ก็โบสถ์ คาทอลิกเก่าแก่โบสถ์เดียวกันกับที่กัปตัน ผม และกัปตันพีเลกไปนั่นแหละ ครับ ที่ซึ่งรวมเอาควีเควก พวกเราทุกคน บุตรของมารดาทั้งหลาย และ จิตวิญญาณของเราเข้าไว้ เป็นการรวมตัวครั้งแรกอันยิ่งใหญ่และยืนนาน ชัว่ กัลปาวสานของโลกแห่งการสักการะทัง้ มวล เราต่างร่วมรวมเป็นส่วนหนึง่ เพียงแต่พวกเราบางคนยังหลงนิยมความคิดแปลกวิตถาร ซึ่งคนพวกนี้จะ ไม่มีทางเข้าใจความเชื่ออันยิ่งใหญ่นี้ได้ ว่าพวกเราทุกคนต่างสอดประสาน ร่วมมือกัน” “ประสานรึ นายหมายถึงประสานมือกันใช่ไหม?” พีเลกสตะเบ็งพูดขึ้น บ้างพลางเดินเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น “ไอ้หนุ่ม นายน่าจะออกทะเลไปในฐานะหมอ สอนศาสนา แทนที่จะมาเป็นคนงานดูแลเสากระโดงหน้านะ ฉันไม่เคยได้ยิน เทศนาทีด่ ขี นาดนีม้ าก่อน ผูช้ ว่ ยธรรมบัญญัต!ิ ท�าไมคุณพ่อแมปเปิล้ เองไม่เคย เทศน์เรือ่ งนีม้ าก่อนนะ? ท่านคงมัวแต่คดิ ถึงเรือ่ งอืน่ ขึน้ มาบนเรือเลย...ขึน้ มา 1
ฮิตไทต์-ชนชาติโบราณผู้อาศัยอยู่ในเอเชียน้อยและไซเรีย ราว 1200-1700 ก่อน ค.ศ.
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 119
ช่างหัวหนังสือรับรองนั่น ฉันบอกให้เรียกเจ้าคอฮอกนั่นขึ้นมาไง...นายเรียก เขาว่าไงนะ? บอกเจ้าคอฮอกนั่นให้ขึ้นมาได้เลย ปีนสมอใหญ่นั่นขึ้นมาก็ได้ แหม...ฉมวกที่ถืออยู่ก็ไม่เบา ดูเยี่ยมทีเดียว! ดูเขาถือทะมัดทะแมงดี ฉันถาม อะไรหน่อยนายคอฮอก หรือนายจะชื่ออะไรก็ตามแต่ เคยยืนอยู่บนหัวเรือ ล่าวาฬไหม? แล้วเคยแทงมันรึเปล่า?” ควีเควกไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่เลือกตอบค�าถามด้วยวิธีตามแบบฉบับ คนป่า เขาโดดขึ้นมาบนกราบเรือ จากนั้นโดดต่อไปที่หัวเรือของเรือเล็ก ล่าวาฬล�าหนึ่งที่ผูกแขวนอยู่ข้างเรือ แล้วย่อเข่าซ้ายอยู่ในท่าพุ่งฉมวก พร้อม กับตะโกนออกมาท�านองนี้ “กาปตัน เห็นหยดน�า้ มันเล็กบนน�า้ ตรงน้านไหม? กาปตันเห็นมันไหม? ตีต๊ า่ งมันเป็นตาหนึง่ ข้างของวาฬ เอาละ เข้าถ�า้ !” เขาเล็ง อย่างบรรจง แล้วปาฉมวกหวือข้ามหมวกปีกกว้างของบิลแดดเฒ่า พุ่งผ่าน ดาดฟ้าเรือลงไปปักลงบนรอยเปื้อนน�้ามันแวววาวนั่นอย่างแม่นย�า “ดู” ควีเควกพูดขึ้นเบาๆ ขณะเดินไปถอนฉมวกออก “ตี๊ต่างมันเป็น ตาวาฬ อ๋อ วาฬน้านตาย” “เร็ว...บิลแดด” พีเลกพูดกับคูห่ ขู องเขาซึง่ ยังตกตะลึงเพราะฉมวกพุง่ เฉียด หัวไปนิดเดียว ก่อนถอยไปยังทางไปห้องเครื่อง “เร็วสิ...บิลแดด ฉันบอกให้ นายเอาสัญญาจ้างงานบนเรือมา เราต้องใช้เจ้าคอหอยเม่นนี่นะ ฉันหมาย ถึงเจ้าคอฮอกนั่นแหละ ต้องมีเขาไว้สักคนบนเรือของเรา ฟังนะ...เจ้าคอฮอก เราจะให้ส่วนแบ่งนายล�าดับที่เก้าสิบ นั่นมากกว่าที่เราเคยให้นักพุ่งฉมวกที่ มาจากแนนทักเก็ตเชียวนะ” ด้วยเหตุนี้เราจึงเดินเข้าไปที่ห้องเครื่อง และในที่สุด ควีเควกเพื่อนรักของ ผมก็ได้ท�างานในบริษัทเดินเรือเดียวกันกับผม เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนเบื้องต้น และพีเลกจัดเตรียมเอกสารพร้อมให้ลงชื่อ เขาหันมาพูดกับผมว่า “ฉันว่าเจ้าคอฮอกคงเขียนหนังสือไม่เป็นใช่ไหม? เฮ้... คอฮอก! นายจะลงลายมือชื่อนาย หรือจะท�าแกงได2ของนายดีล่ะ?” 2
แกงได-รอยขีดที่ทา� ไว้เป็นเครื่องหมาย แทนลายมือชื่อ
120 : โมบี-ดิ๊ก
แทนการตอบค�าถาม ควีเควกผู้เคยท�าขั้นตอนแบบเดียวกันนี้มาแล้วสอง หรือสามครั้ง จึงไม่มีทีท่าเคอะเขินเลยแม้แต่น้อย เขารับปากกามาลงลายมือ ชื่อในสัญญาตรงช่องว่างที่เว้นไว้ โดยเขียนเป็นรูปกลมๆ แปลกๆ คล้ายกับ รอยสักบนแขนของเขา ไว้ขา้ งสมญานามทีพ่ เี ลกพยายามยัดเยียดให้ดว้ ยความ เข้าใจผิด ลายเซ็นนั้นหน้าตาเป็นแบบนี้ คอฮอก ลายมือชื่อ(แกงได) ระหว่างนัน้ กัปตันบิลแดดนัง่ จ้องควีเควกเขม็ง ก่อนจะลุกขึน้ มาท�าหน้าตา ขึงขัง แล้วล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าขนาดใหญ่บนเสือ้ คลุมสีมอซอนัน่ หยิบเอา หนังสือเล่มเล็กๆ ขึน้ มามัดหนึง่ และเลือกเอาเล่มหนึง่ ออกมา ชือ่ บนหน้าปก คือ ‘วันใหม่กา� ลังจะมา หรือ ไม่มีเวลาจะสูญเสีย’ แล้ววางลงบนสองมือของ ควีเควก รวบมือของเขาก�าหนังสือนั่นไว้ จ้องตาควีเควกพลางพูดว่า “เจ้าลูก คนด�า ฉันต้องท�าหน้าที่ของฉันที่มีต่อนาย ฉันเป็นเจ้าของร่วมของเรือล�านี้ และเป็นห่วงลูกเรือทุกคน ถ้าเจ้ายังยึดมั่นตามวิถีคนป่า นั่นจะท�าให้ข้ากังวล ปนเศร้า ข้าขอร้อง จงอย่าเป็นดังเช่นทาสของเบเลียล3 จงปฏิเสธกระพรวน เทวรูปและมังกรร้าย จงระวังความโกรธเคือง มองให้เห็นความเป็นจริง ข้าขอ กล่าวว่า โอ้! พระเมตตาแห่งพระองค์! จงหลีกให้ห่างบ่อไฟ!” ตาเฒ่ า บิ ล แดดกล่ า วภาษาในพระคั ม ภี ร ์ ข ้ า งต้ น ชนิ ด ระคนไปด้ ว ย กลิ่นไอทะเล “หยุดเถอะ พอแค่นั่นแหละ บิลแดด เลิกโอ๋นายนักพุ่งฉมวกของเราซะที” พีเลกตะเบ็งเสียง “นักพุ่งฉมวกเคร่งศาสนาเป็นนักผจญภัยที่ดีไม่ได้หรอก มี แต่จะท�าให้เจ้าพวกนี้มือไม้อ่อน นักพุ่งฉมวกจะมีความหมายอะไรถ้ามือไม่ แข็งพอ อย่างไอ้หนุ่มแนต สเวน ที่เคยเป็นนักพุ่งฉมวกประจ�าเรือล่าวาฬที่ กล้าหาญทีส่ ดุ ของเกาะแนนทักเก็ตและวินยาร์ด แต่พอเข้าร่วมในโบสถ์ฝมี อื ก็ ตกไปเลย กลัวจิตวิญญาณของตัวจะแปดเปื้อน จนเอาแต่คอยเลี่ยงหลบวาฬ 3
เบเลียล-ปีศาจตามความเชื่อของชาวยิว
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 121
เพราะกลัวกรรมสนอง หากเรือเกิดอับปางและจมลงใต้ทะเล” “พีเลก! พีเลก!” บิลแดดพูดพลางเงยหน้าและยกสองมือขึ้น “นายเองก็ไม่ ต่างอะไรจากฉัน เคยผ่านช่วงอันตรายมานักต่อนัก นายก็รนู้ .ี่ ..พีเลก ว่าความ กลัวตายคืออะไร แล้วนายจะจ้อเหมือนไม่ศรัทธาแบบนีไ้ ด้ไง นายโกหกใจตัว เอง พีเลก บอกหน่อยสิ ตอนที่นายออกทะเลไปกับกัปตันเอแฮ็บ แล้วไต้ฝุ่น กระชากเสากระโดงสามเสาของเรือพีควอดนีต่ กทะเลแถวญีป่ นุ่ ตอนนัน้ นาย ไม่ได้คิดถึงความตายและค�าพิพากษาของพระองค์หรอกรึ” “ฟังเขา...ฟังเขาไว้” พีเลกพูดขณะเดินอาดๆ ไปอีกฝากของห้องเครื่อง ซุกสองมือในกระเป๋าเสื้อ “พวกนายฟังเขาไว้ แล้วเก็บไปคิด! ทุกครั้งที่เรา นึกว่าเรือก�าลังจะจม! เราจะคิดถึงความตายและการพิพากษาหลังความตาย ของพระองค์รเึ ปล่า? แล้วเราจะคิดถึงอะไร? ตอนเสากระโดงสามต้นหักฟาด เสียงดังสนัน่ หวัน่ ไหว น�า้ ทะเลจากหัวเรือและท้ายเรือสาดใส่เราอย่างบ้าคลัง่ เรายังคิดถึงความตายและการตัดสินของพระองค์อยูร่ เึ ปล่า? ไม่แน่นอน! ไม่มี เวลามามัวคิดถึงความตายหรอก ที่กัปตันเอแฮ็บกับฉันคิดถึงก็คือชีวิตต่าง หาก...คิดว่าจะท�ายังไงให้ลูกเรือปลอดภัย จะขึงเชือกโยงเสากระโดงส�ารอง ยังไง จะเอาเรือเข้าฝั่งที่ใกล้ที่สุดได้ยังไง นั่นคือสิ่งที่ฉันคิดถึงในตอนนั้น” บิลแดดไม่ได้พูดอะไรอีก เขาติดกระดุมเสื้อคลุมแล้วก้าวเดินออกไปยัง ดาดฟ้าเรือ พวกเราเดินตามไป แล้วเขาก็ยืนอยู่อย่างเงียบเชียบตรงนั้น เฝ้า มองคนงานที่ก�าลังซ่อมใบเรือซึ่งอยู่กลางดาดฟ้าเรือตอนบน บางขณะเขาก็ ก้มลงหยิบแผ่นปะซ่อมหรือเศษเชือกเปื้อนน�้ามันที่ร่วงหล่นอยู่ขึ้นมา โดยไม่ ยอมให้ทิ้งเสียเปล่า
122 : โมบี-ดิ๊ก
บทที่ 19 ผู้หยั่งรู้
“เพื่อนชาวเรือ...นายได้ท�างานบนเรือล�านั้นแล้วหรือ?” ควีเควกกับผมเพิง่ ผละจากเรือพีควอดและเดินทอดน่องออกมาจากท่าเรือ เราต่างก�าลังจมอยู่ในภวังค์ครุ่นคิดตอนที่ได้ยินเสียงชายแปลกหน้าคนนั้น ถาม เขาหยุดยืนตรงหน้าเราพลางยกมือชี้นิ้วอวบใหญ่ไปที่เรือ แต่งกายด้วย ชุดโกโรโกโส สวมแจ็กเก็ตสีซีดและกางเกงมีรอยปะ พันเศษผ้าสีด�ารอบคอ ใบหน้ามีรอยฝีดาษผุดเป็นดอกดวงอยู่ทั่ว แลดูคล้ายริ้วรอยบนพื้นก้นแม่น�้า ยามแห้งเหือด “พวกนายได้งานบนเรือแล้วรึ?” เขาถามย�้าอีกครั้ง “ผมว่านายคงหมายถึงเรือพีควอดนั่นล่ะสิ” ผมพูด ขณะพยายามมอง ส�ารวจเขาต่อไม่วางตา “ใช่ พีควอด...เรือที่จอดอยู่นั่นไง” เขาพูด ขณะชักแขนกลับก่อนจะสะบัด ออกไปอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ชี้นิ้วจ่อพุ่งไปยังเป้าหมายราวดาบปลายปืน “ใช่” ผมพูด “เราเพิ่งลงชื่อในสัญญา” “สัญญาผูกมัดจิตวิญญาณของพวกนายงั้นสิ?” “ผูกมัดอะไรนะ?” “โอ้...นายอาจยังไม่โดนผูกมัด” เขาพูดลิ้นรัว “ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ฉันรู้จัก คนหลายคนที่ไม่โดนผูกมัด ถือว่าคนพวกนั้นโชคดี มันดีส�าหรับพวกเขาที่ไม่ โดนผูกมัด วิญญาณก็เหมือนล้อที่ห้าของเกวียนบรรทุก” เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 123
“นายพูดพล่ามอะไรน่ะ เพื่อนชาวเรือ?” ผมถาม “เขา ได้มากพอแล้ว จนชดเชยให้แก่ผขู้ าดแคลนทัง้ หลาย” ชายแปลกหน้า พูดสวนกลับทันควัน ลนลานเน้นตรงค�าว่า ‘เขา‘ “ควีเควก” ผมพูด “ไปกันเถอะ หมอนี่คงเพิ่งหนีมาจากที่ไหนสักแห่ง ไม่รู้ พูดเรื่องอะไรและเรื่องของใครก็ไม่รู้” “เดีย๋ ว!” ชายแปลกหน้าแผดเสียง “จริงของนาย นายยังไม่เจอไอ้เฒ่าฟ้าผ่า นั่นละสิ?” “เฒ่าฟ้าผ่านี่ใครกัน?” ผมถาม สะดุดกึกกับท่าทีมุ่งมั่นอย่างเสียสติของ เขาอีกครั้ง “กัปตันเอแฮ็บ” “ฮ้า! กัปตันเรือพีควอดของเรือเราน่ะรึ?” “ใช่ พวกเราอดีตลูกเรือให้สมญานามนัน้ เอง นายยังไม่ได้เจอเขาล่ะสิทา่ ?” “ยัง...เรายังไม่เจอ พวกนั้นบอกว่าเขาป่วยอยู่แต่อาการดีขึ้นแล้ว อีกไม่ นานก็คงหายเป็นปกติ” “ไม่นานก็คงหายเป็นปกติ!” ชายแปลกหน้าหัวเราะเย้ยหยันออกมาอย่าง น่าขนลุก “ฟังนะนาย ถ้ากัปตันเอแฮ็บหายเป็นปกติเมื่อไหร่ แขนซ้ายของฉัน นี่ก็คงหายไปเป็นแขนขวาได้ด้วย” “นายรู้อะไรเกี่ยวกับเขา?” “พวกนั้นบอกอะไรเกี่ยวกับคนคนนี้ให้นายฟังบ้างล่ะ? บอกมาสิ!” “ก็ไม่ได้บอกเรือ่ งกัปตันมากนัก ฉันได้ยนิ แค่วา่ เขาเป็นนักล่าวาฬทีเ่ ก่งคน หนึ่ง แล้วก็เป็นกัปตันที่ดีต่อลูกเรือ” “ก็ถูก...ก็ถูก ใช่...ก็ถูกทั้งสองอย่าง แต่นายต้องสะดุ้งโหยงทันทีที่เขาออก ค�าสั่ง เดินไปค�ารามไป ค�ารามไปแล้วก็เดินไป นั่นแหละวิธีสั่งการของกัปตัน เอแฮ็บ แต่อาการแบบนัน้ หายไปเลยหลังเหตุการณ์ทแี่ หลมเคปฮอร์นเมือ่ นาน มาแล้ว ที่ท�าให้เขาต้องนอนแบ็บอยู่สามวันสามคืนน่ะ ไม่ใช่การตะลุมบอน ถึงเลือดถึงเนื้อกับพวกสเปนหน้าแท่นบูชาในซานต้าด้วย จริงไหม? ยังไม่เคย 124 : โมบี-ดิ๊ก
ได้ยนิ ล่ะสิ ใช่ไหม? ยังไม่เคยได้ยนิ เรือ่ งน�า้ เต้าสีเงินทีเ่ ขาบ้วนน�า้ ลายใส่ดว้ ยล่ะ สิ? แล้วก็ยังไม่เคยได้ยินเรื่องที่เขาเสียขาไปในการล่องเรือครั้งล่าสุดตามค�า ท�านายนัน่ ด้วยใช่ไหม? นายไม่เคยได้ยนิ เรือ่ งพวกนัน้ เลย และก็ไม่เคยระแคะ ระคายอะไรด้วยใช่ไหม? ใช่...ฉันไม่คิดว่านายจะเคยได้ยินมาก่อน จะเคยได้ ยังไง? ใครกันที่รู้เรื่องนี้? ฉันว่าในแนนทักเก็ตไม่มีใครรู้สักคน แต่บางทีนาย อาจได้ยนิ เรือ่ งขานัน่ มาบ้างแล้ว และรูว้ า่ เขาเสียมันไปยังไง ใช่ นายเคยได้ยนิ เรือ่ งนีแ้ ล้ว ฉันแน่ใจ อา...ใช่แล้ว ทุกคนรูแ้ ทบทัง้ หมด ฉันหมายถึงรูว้ า่ เขาเหลือ ขาข้างเดียว ส่วนอีกข้างถูกไอ้ยักษ์หัวไขมันงาบเอาไป” “เกลอเอ๋ย” ผมพูด “นายพูดพล่ามอะไรฉันไม่รนู้ ะ และไม่อยากสนใจด้วย เพราะมันท�าให้ฉันคิดว่าสมองของนายคงได้รับความกระทบกระเทือนแน่ แต่ถ้านายพูดถึงกัปตันเอแฮ็บบนเรือนั่น...เรือพีควอด บอกได้เลยว่าฉัน รู้เรื่องที่เขาเสียขาหมดแล้ว” “รู้หมดเลยรึ? เอ่อ...นายแน่ใจเหรอว่ารู้ทั้งหมด?” “แน่สิ” ขณะนิ้วยังชี้และสายตายังจับจ้องไปที่เรือพีควอด ชายแปลกหน้าท่าทาง คล้ายขอทานยืนนิง่ อยูค่ รูห่ นึง่ ราวกับก�าลังคิดอะไรฟุง้ ซ่านอยู่ ก่อนจะเริม่ ขยับ ตัวและหันมาบอกว่า “นายได้ล่องเรือแล้วสินะ ใช่ไหม? ลงชื่อในสัญญาพวก นั้นแล้วด้วย? โอ้...โอ! อะไรที่ต้องเซ็นก็เซ็นไปแล้ว อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด แต่ ว่ากันอีกที มันอาจไม่เกิดขึน้ ก็ได้ ถึงอย่างนัน้ ทุกอย่างก็ได้กา� หนดไว้แล้ว และ จัดเตรียมไว้แล้ว มีลูกเรือหรือไม่ก็คนบางคนต้องไปกับเขา ฉันว่าพวกนี้คงมี มากพอกับคนอื่นๆ นั่นแหละ พระเจ้าทรงเมตตาพวกเขาด้วยเถิด! อรุณรุ่ง จงมีแด่ท่าน เพื่อนชาวเรือ ขอให้ท่านมีวันรุ่งอรุณ ขอสวรรค์เบื้องบนโปรด คุ้มครองท่าน ฉันขอโทษที่รั้งนายไว้” “ฟังนะ...เกลอ” ผมพูด “ถ้าอยากบอกอะไรที่ส�าคัญกับเรา ก็พูดออกมา เลย แต่ถ้าต้องการแค่หลอกเราเล่น ก็ไม่ได้แอ้มหรอก ฉันขอพูดแค่นี้แหละ” “พูดได้ดีมาก ฉันชอบฟังเกลอที่พูดแบบนี้ คนอย่างนาย...เป็นคนแบบที่ เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 125
เขาต้องการเลย อรุณรุ่งจงมีแด่ท่าน เพื่อนชาวเรือ ขอให้ท่านมีรุ่งอรุณ! โอ๊ะ! เมื่อนายไปถึงที่นั่นแล้ว บอกพวกเขาด้วยว่า ฉันตัดสินใจแล้วว่าไม่ขอร่วม ทางไปด้วย” “ฮ้า...เพื่อนรัก อย่ามาหลอกแบบกันเลย นายหลอกเราไม่ได้หรอก เป็น เรื่องง่ายที่สุดในโลกใบนี้ ที่คนเราจะแกล้งท�าเป็นเก็บง�าความลับยิ่งใหญ่ บางอย่างเอาไว้” “อรุณรุ่งจงมีแด่ท่าน เพื่อนชาวเรือ ขอให้ท่านจงมีรุ่งอรุณ” “อรุณรุ่งก็อรุณรุ่ง” ผมพูด “ไปเถอะควีเควก อย่าไปยุ่งกับคนบ้านี่เลย แต่เดี๋ยวก่อน นายชื่ออะไรนะ? บอกได้ไหม” “อีไลจาห์1” อีไลจาห์! ผมคิด จากนั้นเราสองคนก็เดิน ผละมา หลังจากแสดงความ คิดเห็นตามแบบฉบับของเราแต่ละคน เกี่ยวกับอดีตกะลาสีกระรุ่งกระริ่งผู้นี้ ก็สรุปตรงกันว่าเขาเป็นแค่จอมโกหกทีพ่ ยายามหลอกให้คนกลัวเล่น เมือ่ เดิน ไปได้ราวร้อยหลาก็ถึงหัวมุมที่เราต้องเลี้ยว ผมเหลียวกลับไปมองข้างหลัง ก็เห็นอีไลจาห์ก�าลังเดินตามเรามา แม้จะตามมาห่างๆ ก็ตาม ผมถึงกับอึ้ง เมือ่ เห็นเขา แต่กไ็ ม่ได้บอกควีเควกว่าใครเดินตามมา ยังคงเดินต่อไปกับสหาย ของผมเท่านัน้ แต่กน็ กึ กังวลว่าเขาจะเลีย้ วมาทางเดียวกับเราหรือไม่ เขาเลีย้ ว มาจริงๆ และผมรู้สึกเหมือนเขาก�าลังสะกดรอยเรา แต่ตามมาท�าไมนั้นต่อ ให้คิดไปทั้งชาติผมก็คงไม่มีวันรู้ สถานการณ์แบบนี้ผนวกกับค�าพูดก�ากวม คลุมเครือของเขา ท�าให้ผมนึกฉงนขึน้ มาเลาๆ ไม่วา่ จะเรือ่ งเรือพีควอด กัปตัน เอแฮ็บกับขาที่เสียไป เรื่องเล่าของแหลมเคปฮอร์น น�้าเต้าสีเงิน เรื่องที่กัปตัน พีเลกพูดถึงเขาตอนที่ผมก�าลังจะขึ้นจากเรือเมื่อวันก่อน ค�าท�านายของ ยายเฒ่าทิสติก การเดินทางที่เราก�าลังจะล่องเรือไป และเรื่องราวลึกลับทั้ง หลายแหล่ ผมตัดสินใจขจัดข้อสงสัยทีว่ า่ อีไลจาห์จอมรุง่ ริง่ สะกดรอยเรามาจริงๆ หรือ 1
อีไลจาห์-ผู้พยากรณ์ซึ่งเตือนกษัตริย์เอแฮ็บว่า จะเกิดภัยแล้งครั้งรุนแรงเพราะไปหลงบูชารูปปั้น (ตาม คัมภีร์ไบเบิล)
126 : โมบี-ดิ๊ก
ไม่ โดยจงใจชวนควีเควกข้ามฟากไปและเดินย้อนกลับไปทางเดิม แต่อไี ลจาห์ ก็เดินผ่านไปเหมือนไม่ได้เห็นเราเลย ผมรู้สึกใจชื้นขึ้น และดูเหมือนในใจผม จะเปล่งเสียงเรียกเขาอีกครั้ง...จอมโกหก
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 127
บทที่ 20 คึกคัก
ผ่านไปอีกวันสองวัน บนเรือพีควอดก็เริ่มคึกคัก ไม่เพียงพวกลูกเรือเก่ากลับ มาลงเรือ บรรดาลูกเรือใหม่ก็ทยอยกันมาท�างาน ทั้งขึงผ้าใบและขดเชือก สายระโยงเรือ สรุปคือเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเรือใกล้พร้อมจะออกเดินทาง แล้ว กัปตันพีเลกไม่ขึ้นฝั่งอีกหรือไม่ก็นานๆ ครั้ง เอาแต่นั่งอยู่ในกระโจม อินเดียนแดงควบคุมพวกคนงาน ส่วนบิลแดดเป็น ผู้ซื้อหาอุปกรณ์ข้าวของ ทุกอย่างตามร้านค้า คนงานที่จ้างมาดูแลติดตั้งเสาและใบเรือ ตลอดจนใน ห้องเสบียงก็ทา� งานกันจนดึกดื่น ถัดจากวันทีค่ วีเควกเซ็นสัญญาท�างาน มีประกาศไปยังทุกโรงเตีย๊ มทีเ่ หล่า ลูกเรือพักอยู่ ให้น�าเอาสัมภาระลงเรือก่อนค�่า แต่เพราะไม่ได้บอกเวลาออก เรือที่แน่นอนไว้ หลังจากควีเควกกับผมน�าข้าวของของเราไปไว้แล้ว ก็ต้อง กลับมานอนรอบนฝัง่ คอยเวลาเรือออก ดูเหมือนพวกเขามักแจ้งเผือ่ ไว้นานๆ แบบนี้เสมอ เพราะเรือยังคงจอดอยู่ที่ท่าอีกหลายวัน แต่ก็ดีเพราะยังมีอีก หลายเรือ่ งทีต่ อ้ งจัดการให้เสร็จ และก็ไม่รวู้ า่ มีสงิ่ ทีต่ อ้ งท�าอีกมากน้อยแค่ไหน ก่อนที่เรือพีควอดจะเตรียมพร้อมทุกอย่างจนครบครัน ทุกคนคงรู้ดีว่าข้าวของจ�านวนมาก เช่น เตียงนอน กระทะ มีดกับส้อม พลั่วกับคีม ผ้าเช็ดปาก ทีก่ ะเทาะเปลือกถัว่ และข้าวของอืน่ ๆ จ�าพวกนี้ ล้วน เป็นของใช้จ�าเป็นในบ้าน ในการล่าวาฬก็เช่นกัน ซึ่งจ�าเป็นต้องใช้ของพวกนี้ ระหว่างอยู่บนเรือสามปีกลางมหาสมุทรกว้างซึ่งห่างไกลจากร้านช�า พ่อค้า 128 : โมบี-ดิ๊ก
แม่ค้าเร่ขายอาหารสด หมอ คนท�าขนมปัง และนายธนาคาร แม้ของเหล่านี้ ก็เป็นสิ่งจ�าเป็นในเรือพาณิชย์ แต่จ�านวนที่ใช้นั้นต่างจากเรือล่าวาฬ เพราะ นอกจากเรือล่าวาฬจะมีช่วงเวลาเดินทางยาวนานกว่าแล้ว ยังมีข้อบังคับ พิเศษตามกฎหมายการประมงด้วย รวมทั้งอาจไม่สามารถหาของพวกนี้มา ทดแทนได้จากท่าเรือห่างไกลซึ่งแวะจอดประจ�า นอกจากนั้นยังต้องค�านึง ด้วยว่า เรือล่าวาฬทุกล�ามีโอกาสการเกิดอุบัติเหตุได้ทุกประเภท โดยเฉพาะ อย่างยิ่งที่ท�าให้เกิดความเสียหายและการสูญเสียสิ่งต่างๆ ซึ่งจ�าเป็นในการ เดินเรือ ด้วยเหตุนี้จึงจ�าเป็นต้องส�ารองเรือเล็ก ส�ารองเสากระโดงเรือ ส�ารอง หลาวและฉมวก รวมทั้งส�ารองของทุกอย่างเกือบทั้งหมด เว้นเสียก็แต่ตัว กัปตันกับเรือใหญ่ส�ารองอีกล�า ช่วงที่เราเดินทางมาถึงเกาะแห่งนั้น ข้าวของจ�านวนมากถูกจัดเตรียมไว้ บนเรือพีควอดเกือบครบถ้วนแล้ว ทั้งเนื้อสัตว์ ขนมปัง น�้า เชื้อเพลิง และ ห่วงเหล็กกับแผ่นไม้ส�าหรับท�าถังไม้ กระนั้นดังได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า บางครั้งการทยอยขนข้าวของจิปาถะต่างๆ มาตุนไว้บนเรือจะยังคงเกิดขึ้น อย่างต่อเนื่องทั้งของชิ้นใหญ่และชิ้นเล็ก หนึง่ ในหัวเรือใหญ่ผทู้ า� หน้าทีด่ แู ลจัดหาและล�าเลียงเสบียงข้าวของทัง้ หมด นั้น คือน้องสาวของกัปตันบิลแดด หล่อนเป็นหญิงสูงวัยรูปร่างผอมบาง มีจิตใจเด็ดเดี่ยวและไม่ย่อท้อต่ออะไรง่ายๆ อีกทั้งยังมีน�้าใจงาม หากมีเรื่อง ใดที่ช่วยได้หล่อนก็จะลงมือท�าทันที เรียกได้ว่าไม่ให้มีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง เลยยามเมื่อเรือพีควอดได้ออกทะเลแล้ว ตอนลงเรือมาบางครั้งหล่อนเอา กระปุกของดองติดมือมาเก็บไว้ในตูอ้ าหารห้องครัว มาอีกครัง้ ก็มปี ากกาขนนก มามัดหนึ่ง ส�าหรับวางไว้บนโต๊ะท�างานของต้นเรือซึ่งเขาวางปูมเดินเรือไว้ ครั้งที่สามเอาผ้าสักหลาดมาม้วนหนึ่งไว้ส�าหรับคนที่มีอาการปวดหลังปวด ไขข้อ ไม่มีผู้หญิงคนไหนคู่ควรกับชื่อแชริตี้ผู้ใจบุญเท่ากับหล่อน ทุกคนต่าง เรียกหล่อนว่าน้าแชริตี้ ผู้ซึ่งโอบอ้อมอารีราวกับนางชี หล่อนกระวีกระวาด ท�าโน้นท�านีต่ รงนัน้ ตรงนีต้ ลอดเวลา และพร้อมจะลงมือทุม่ ใจท�าทุกอย่างเพือ่ เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 129
ให้เรือปลอดภัย อบอุ่น และสะดวกสบายแก่ทุกคนบนเรือล�านี้ เรือที่บิลแดด พี่ชายที่รักของหล่อนมีส่วนเกี่ยวข้อง และที่หล่อนเองก็ถือหุ้นอยู่ด้วยจากเงิน เก็บของตัวเองที่น�าไปลง กระนั้น วันสุดท้ายที่ก้าวลงเรือ หญิงชาวเควกเกอร์จิตใจงามงดผู้นี้ก็ท�า สิ่งที่เห็นแล้วน่าตกใจ เพราะถือจวักตักน�้ามันด้ามยาวไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วน มืออีกข้างถือฉมวกล่าวาฬด้ามยาว โดยไม่มีกัปตันบิลแดดและกัปตันพีเลก ตามหลังมาด้วย ส�าหรับบิลแดดนั้น ทุกครั้งที่มาลงเรือก็จะน�าเอาสัญญา ยาวเหยียดติดมือมาดู และเซ็นชื่อก�ากับด้านบนของสัญญาด้านตรงข้ามกับ ข้อความ ส่วนพีเลกเองนานๆ ครั้งจะเดินโขยกเขยกออกมาจากถ�้ากระดูก วาฬของตน แล้วแผดเสียงใส่พวกที่ลงไปใต้ท้องเรือบ้าง เงยหน้าตะโกนใส่ พวกคนงานติดตัง้ ใบเรือทีป่ นี อยูบ่ นเสาบ้าง และสุดท้ายก็หนั กลับไปแผดเสียง ใส่กระโจมอินเดียนแดงของตนเอง ช่วงวันเวลาเตรียมพร้อมนี้ ควีเควกกับผมไปที่เรือบ่อยๆ และผมมักจะ ถามถึงกัปตันเอแฮ็บ ว่าเขาเป็นยังไงบ้าง เมื่อไหร่ถึงจะมาลงเรือ พวกนั้นก็ ตอบค�าถามเหล่านี้ว่ากัปตันดีขึ้นเรื่อยๆ แล้ว และอาจมาที่เรือเมื่อไหร่ก็ได้ ระหว่างนั้นทั้งกัปตันพีเลกและกัปตันบิลแดด จะช่วยดูแลทุกอย่างที่จ�าเป็น เพื่อให้เรือพร้อมเดินทาง หากผมซื่อสัตย์กับตัวเองอย่างแท้จริง ก็คงแจ่มแจ้ง ในใจว่า ผมคิดเองเออเองทีย่ อมร่วมเดินทางอันยาวนานนัน้ โดยไม่เคยได้เห็น ตัวผู้กุมอ�านาจเด็ดขาดบนเรือล�านี้เลย ทั้งๆ ที่เรือก็ใกล้จะออกไปสู่น่านน�้า ทะเลเปิดแล้ว ยามใดที่คนเราสงสัยว่ามีสิ่งผิดปกติ บางครั้งก็เป็นเพราะเขา หลวมตัวเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยแล้ว แต่ยังพยายามปกปิดซ่อนเร้นความสงสัย นัน้ แม้แต่กบั ตัวเอง ผมเองก็คงท�าแบบนัน้ เช่นกัน ผมไม่พดู อะไรและพยายาม ไม่คิดอะไร ในที่สุดก็มีประกาศออกมาว่า วันรุ่งขึ้นเรือจะออกเดินทะเลอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้ เช้าวันถัดมาควีเควกกับผมจึงตื่นกันแต่เช้าตรู่
130 : โมบี-ดิ๊ก
บทที่ 21 ลงเรือ
เราไปถึงใกล้ท่าเรือในเวลาเกือบหกโมงเช้า ขณะนั้นหมอกยามเช้ายังคง ปกคลุมไปทั่ว “น่าจะมีลูกเรืออยู่ข้างหน้านะ ถ้าตาฉันไม่ฝาด” ผมพูดกับควีเควก “คง ไม่ใช่แค่ผีแน่ เดี๋ยวอาทิตย์ขึ้นพวกนี้คงเผ่นหาย ไปกันเถอะ!” “เดีย๋ วก่อน!” คนทีก่ ล่าวก้าวเข้ามาแตะไหล่เราจากด้านหลัง ก่อนจะชะโงก หน้าข้ามไหล่มาแสดงตัวให้เห็นในแสงขมุกขมัวของรุ่งอุรณ เขามองควีเควก และผมด้วยสายตาแปลกๆ อีไลจาห์นั่นเอง “ก�าลังจะลงเรือรึ?” “เอามือออกไปไหม” ผมพูด “ฟังงนะ” ควีเควกพูดพร้อมสะบัดตัว “ไป-ซะ!” “แล้วจะลงเรือไหมล่ะ?” “ใช่...เราจะลง” ผมพูด “แล้วเกี่ยวอะไรกับนายด้วยล่ะ รู้มั้ย...คุณอีไลจาห์ ผมว่าคุณไม่จุ้นไปหน่อยรึ?” “ไม่ ไม่เลย ไม่เลย...ฉันไม่คิดยังงั้นเลย” อีไลจาห์พูด พลางกวาดมองผม กับควีเควกด้วยสายตาสุดแสนพิกล “อีไลจาห์” ผมพูด “นายช่วยเลิกยุ่งกับฉันและเพื่อนซะทีน่า เราก�าลังจะ ออกไปมหาสมุทรอินเดีย และแปซิฟิก ไม่อยากมาเสียเวลาตรงนี้” “นายจะไป...งั้นรึ? แล้วจะกลับมาก่อนอาหารเช้ารึเปล่าล่ะ?” เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 131
“หมอนี่มันบ้า ควีเควก” ผมพูด “ไปกันเถอะ” “ไฮ้!” อีไลจาห์ยังคงยืนนิ่งและร้องเรียกเสียงดังเมื่อเราก้าวไปได้เพียง สองสามก้าว “อย่าไปสนใจเขา” ผมพูด “ควีเควก ไปกันต่อเถอะ” แต่เขาเดินตามเรามาอีก และจู่ๆ ก็ตบไหล่ผมเบาๆ “นายเห็นอะไรที่ หน้าตาคล้ายมนุษย์ผ่านไปที่เรือนั้นบ้างรึยังล่ะ?” ผมรู้สึกสะดุดกับค�าถามแทงใจด�านั่น จึงตอบกลับไปว่า “เห็นสิ ฉันคิดว่า เห็นสี่หรือห้าคนได้ มันมืดมากก็เลยไม่แน่ใจนัก” “มืดมาก...มืดมาก” อีไลจาห์พูด “อรุณรุ่งจงมีแด่ท่าน” เราเดินผละหนีจากเขาอีกครัง้ แต่เขาก็เดินตามเรามาเงียบๆ และแตะไหล่ ผมอีกครั้งพร้อมพูดว่า “นายจะหาพวกนั้นพบแน่หรือ?” “หาใคร?” “รุ่งอรุณจงมีแด่ท่าน! อรุณรุ่งจงมีแด่ท่าน!” เขาตอบกลับมาด้วยพูดค�า เดิมอีกครั้ง “โอ๊ะ! ฉันก�าลังจะเตือนนายอีกครั้ง แต่ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรหรอก... มันรวมเป็นหนึ่ง รวมเป็นครอบครัวเดียวกันด้วย เช้านี้อากาศหนาวจริง ใช่ไหม? ลาก่อนนะ...ฉันว่าคงไม่ได้เจอกันอีกนาน จนกว่าจะอยู่เบื้องหน้า ตุลาการผู้ยิ่งใหญ่1นั่นแหละ” หลังจบค�าพูดบ้าๆ นั่นเขาก็เดินจากไปในที่สุด ทิ้งให้ผมงุนงงอยู่กับค�าพูดยโสแบบคนบ้าคลั่งของเขาชั่วเวลาหนึ่ง ที่สุดเราก็ก้าวลงเรือพีควอด บรรยากาศโดยรอบเงียบกริบไม่มีใครสักคน ทางเข้าห้องเครื่องถูกล็อคจากด้านใน ประตูดาดฟ้าเปิดหมดทุกบาน บนพื้น มีขดเชือกขึงใบกองพะเนินไว้ เมื่อเดินต่อไปยังดาดฟ้าหัวเรือด้านหน้า ก็เห็น ฝาปิดช่องทางลงจากดาดฟ้าเปิดอยู่ และมีแสงไฟลอดออกมา เราเดินลงไป ข้างล่าง พบคนงานเก่าผูด้ แู ลเชือกขึงเสาและใบเพียงคนเดียวอยูท่ นี่ นั่ เขาสวม เสื้อกะลาสีผ้าขนสัตว์เก่าขาดรุ่งริ่ง ก�าลังนอนคว�่าอยู่บนลังขนาดใหญ่สองลัง กอดอกซุกหน้าไว้ และหลับเป็นตายไม่รู้สึกตัว 1
ตุลาการผู้ยิ่งใหญ่-วันพิพากษา วิญญาณดี-ชั่ว
132 : โมบี-ดิ๊ก
“พวกลูกเรือที่เราเห็นนั่นล่ะ ควีเควก หายไปไหนกันหมด?” ผมพูดขณะ มองไปยังชายผูน้ อนหลับใหลนัน้ อย่างสงสัย แต่ดเู หมือนว่าตอนอยูบ่ นท่าเรือ ควีเควกไม่ทันเห็นพวกที่ผมพูดถึง ด้วยเหตุนี้ ผมจึงคิดว่าผมคงจะตาฝาดไป หรือไม่กค็ งเป็นอย่างทีอ่ ไี ลจาห์ถามไว้ให้ชวนคิด แต่ผมก็สลัดเจ้าความคิดนัน่ ออกไปจากหัว แล้วมองไปที่ชายผู้ก�าลังหลับใหลอีกครั้ง ก่อนจะพูดขันๆ กับ ควีเควกว่า เราคงต้องนั่งเฝ้าศพนี่ไปพลางๆ ก่อน แล้วบอกให้เขานั่งลงตาม ควีเควกกลับเอามือไปวางบนก้นของชายผู้ที่ก�าลังหลับอยู่ ราวกับอยากรู้ว่า มันนุ่มพอไหม ก่อนจะนั่งทับลงบนก้นของหมอนั่นหน้าตาเฉย “เฮ้ย! มีมารยาทหน่อยสิควีเควก! อย่านั่งตรงนั้น” ผมพูด “อ่า...เก้าอี้ดีมั่ก” ควีเควกพูด “ที่บ้านฉัน แบบนี้เขาไม่เจ็บหน้า” “หน้าเหรอ!” ผมพูด “นั่นเรียกว่าหน้าเหรอ? อืม...งั้นคงเป็นหน้าที่มี ประโยชน์มากสิทา่ แต่แบบนัน้ เขาจะหายใจล�าบาก เขาก�าลังหายใจอยูน่ ะ ลุก ขึน้ เถอะ...ควีเควก ตัวนายหนัก มันกดทับหน้าชายน่าสงสารคนนีแ้ ล้ว ลุกขึน้ .. ควีเควก! ดูสิ เดี๋ยวเขาก็ชักกระตุกหรอก แปลกจัง ท�าไมเขายังไม่ตื่นอีกนะ?” ควีเควกลุกขึ้น แต่ก็ไปนั่งลงใกล้ๆ ศีรษะของชายผู้นอนหลับอยู่พลาง จุดขวานกล้องยาขึน้ สูบ แล้วยืน่ ส่งมาให้ผมทีน่ งั่ อยูต่ รงปลายเท้า เราส่งกล้อง ยาสูบข้ามตัวชายผู้นี้ไปมา ระหว่างนั้น ผมถามควีเควกถึงธรรมเนียมที่เขา บอกค้างไว้ ควีเควกจึงเล่าว่า เนื่องจากที่ดินแดนของเขาไม่มีม้านั่งยาวหรือ เก้าอี้นวมทุกประเภท ราชา พวกหัวหน้าเผ่า และคนส�าคัญทั่วไป จะเลี้ยงดู คนที่มีฐานะต�่ากว่าไว้แทนเก้าอี้ กล่าวคือ ถ้าอยากมีความสะดวกสบายใน บ้าน คุณก็แค่จา้ งพวกคนขีเ้ กียจสักแปดหรือสิบคนให้มานอนอยูต่ ามมุมต่างๆ ในบ้าน ทั้งยังแสนสะดวกสบายยามไปท่องเที่ยว เพราะผู้เป็นนายสามารถ เรียกคนรับใช้ที่ว่าให้มาหมอบตัวแทนม้านั่งใต้ร่มเงาไม้ หรือแม้กระทั่งในที่ที่ เป็นเลนเฉอะแฉะก็ได้ทั้งนั้น ขณะเล่าเรื่องราวเหล่านี้ ทุกครั้งที่ควีเควกรับกล้องยาสูบไปจากผม ก็จะ เอาข้างขวานโบกไปมาเหนือศีรษะของชายคนนี้ เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 133
“ท�าอย่างนั้นท�าไม ควีเควก?” “สบายมั่ก ฆ่าา...อ้า! จงสบาย! ดูเหมือนเขาก�าลังหวนนึกถึงความทรงจ�าอันโหดร้ายบางอย่างเกี่ยวกับ ขวานกล้องยาของเขา ซึ่งใช้ประโยชน์ได้สองด้าน คือทั้งเฉาะหัวศัตรู และใช้ ปลอบประโลมจิตวิญญาณ ยามที่เราก�าลังจดจ่อดูคนงานที่ก�าลังนอนหลับ อยูผ่ นู้ นั้ เนือ่ งจากควันยาสูบเริม่ ตลบไปทัว่ ห้องแคบๆ นี้ จนท�าให้เขาเริม่ รูส้ กึ อึดอัดเพราะหายใจไม่ออก จึงขยับตัวครัง้ สองครัง้ ก่อนจะลุกขึน้ นัง่ และขยีต้ า “เฮ้!” เขาหายใจได้ในที่สุด “พวกนายเป็นใครกัน...ไอ้ขี้ยา?” “ลูกเรือ” ผมตอบ “เรือจะออกเมื่อไหร่น่ะ?” “อ้อ งั้นเองหรอกเหรอ นายจะไปกับเรือล�านี่หรอกรึ? เรือจะออกทะเล วันนี้ กัปตันขึ้นเรือมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว” “กัปตันไหน...เอแฮ็บเหรอ?” “นอกจากเขาแล้วจะมีใครอีกล่ะ” ผมก�าลังจะอ้าปากถามเขาอีกสองสามค�าเกี่ยวกับกัปตันเอแฮ็บ จังหวะ นั้นเราก็ได้ยินเสียงดังมาจากดาดฟ้าเรือ “ไฮ้! นัน่ สตาร์บคั นี”่ คนงานนัน่ พูดขึน้ “เขาเป็นต้นเรือทีท่ า� งานคล่อง เป็น คนดี และเคร่งศาสนา ป่านนี้คนคงยั้วเยี้ยแล้ว ฉันต้องไปท�างานแล้ว” พูดจบ เขาก็เดินขึ้นไปบนดาดฟ้า พวกเราจึงเดินตามขึ้นไปด้วย ขณะนี้แสงอาทิตย์เจิดจ้าแล้ว ลูกเรือลงเรือมาทีละสองสามคน พวกขึง เสาและใบก�าลังกระวีกระวาดท�าหน้าที่ตน บรรดาลูกเรือต่างแข็งขันเข้าช่วย ส่วนอีกหลายคนที่ยังอยู่บนฝั่งก็ก�าลังวุ่นอยู่กับการขนข้าวของชุดสุดท้าย ลงเรือ ขณะที่กัปตันเอแฮ็บยังคงเก็บตัวเงียบอยู่ภายในห้องของเขา
134 : โมบี-ดิ๊ก
บทที่ 22
สุขสันต์วันคริสต์มาส
ในที่สุด หลังจากคนงานขึงเสาและใบเรือขึ้นจากเรือเป็นชุดสุดท้าย หลังเรือ พีควอดหันหัวเรือเบนออกจากท่า และหลังจากแชริตผี้ รู้ อบคอบปรากฏตัวมา ในเรือเล็กล่าวาฬ โดยน�าเอาของขวัญชุดสุดท้ายมาให้ มีทงั้ หมวกใส่นอนของ สตับบ์ผู้ท�าหน้าที่เป็นต้นหน ทั้งยังเป็นน้องเขยของหล่อนด้วย รวมทั้งน�าเอา ไบเบิ้ลมาส�ารองไว้ให้เด็กรับใช้ในครัว เวลาก็ผ่านมาถึงเที่ยงวันแล้ว ตอนนั้น สองกัปตันพีเลกกับบิลแดดออกมาจากห้องเครื่องและหันไปทางต้นหน พิเลกพูดขึน้ ว่า “คุณสตาร์บคั ...คุณมัน่ ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่ไหม? กัปตัน เอแฮ็บก็พร้อมแล้ว...เพิ่งไปคุยกับเขามา ไม่มีอะไรต้องขนลงจากฝั่งอีกแล้ว นะ? เอาล่ะ เรียกทุกคนมารวมกันที่ท้ายเรือนี่...เฮ้ย! สั่งพวกมันสิ!” “ไม่ต้องใช้ค�าหยาบคายก็ได้น่า...พีเลก แต่ให้รีบๆ หน่อยก็ดี” บิลแดดพูด “ส�าหรับนาย เกลอสตาร์บัค ช่วยท�าตามค�าสั่งของเราด้วย” แล้วยังไงล่ะ! เมื่อเวลาออกเดินทางใกล้มาถึงมากขึ้น กัปตันพีเลกกับ กัปตันบิลแดดก็ยงิ่ ทัง้ ขูท่ งั้ สัง่ การอยูบ่ นดาดฟ้าท้ายเรือ ราวกับเป็นผูบ้ ญ ั ชาการ ร่วมทางทะเล และยังเป็น ผู้บัญชาการเพียงสองคนเท่านั้นที่ปรากฏตัวบน ท่าเรือ ขณะที่ยังไม่เห็นวี่แววของกัปตันเอแฮ็บ เว้นแต่ที่บอกกันว่าเขาอยู่ใน ห้องเครื่อง แต่นั่นก็หมายถึงว่า เขาไม่จ�าเป็นต้องมาดูแลการถอนสมอและ หันหัวเรืออกทะเล เพราะจริงๆ แล้วนั่นก็ไม่ใช่เรื่องของเขาเสียทีเดียวนัก แต่เป็นหน้าทีข่ องคนน�าร่องออกจากท่า อีกทัง้ พวกนัน้ บอกว่าเขาก็ยงั ไม่หาย เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 135
เป็นปกติดี ด้วยเหตุนี้กัปตันเอแฮ็บจึงไม่มาปรากฎตัว ทั้งหมดนี้ก็ดูเป็นเรื่อง ธรรมดา ยิ่งเมื่อนึกถึงตอนที่ผมท�างานบนเรือพาณิชย์ กัปตันเรือก็ไม่เคย ปรากฏตัวบนดาดฟ้ามาคอยสั่งการอะไรหลังลากสมอเรือขึ้น แต่ยังนั่งอยู่ที่ โต๊ะอาหารสรวลเสเฮฮาเลี้ยงอ�าลากับเพื่อนบนฝั่ง จนกระทั่งเรือออกจากท่า อย่างสวัสดิภาพโดยคนน�าร่อง กระนัน้ ผมก็ไม่คอ่ ยมีโอกาสได้ใคร่ครวญถึงเรือ่ งนีเ้ ท่าใดนัก ส�าหรับกัปตัน พีเลกในตอนนีเ้ ต็มไปด้วยชีวติ ชีวา เขาแทบจะพูดและสัง่ การอยูต่ ลอดเวลา แต่ บิลแดดกลับเป็นตรงกันข้าม “มาที่ท้ายเรือนี่ ไอ้หอกเอ๊ย!” เขาตะเบ็งเสียงลั่น เมื่อเห็นบรรดาลูกเรือ อ้อยอิ่งอยู่ที่เสากระโดงเรือใหญ่ “คุณสตาร์บัค ต้อนมาที่ท้ายเรือนี่” “รื้อกระโจมนั่นที!” นั่นเป็นค�าสั่งถัดมา ดังที่ผมได้บอกไว้ก่อนหน้านี้ว่า กระโจมกระดูกวาฬจะไม่กางบนเรือเว้นแต่ตอนเรือจอดอยู่ที่ท่า และจากที่ เขาท�างานบนเรือพีควอดมานานร่วมสามสิบปี จึงเป็นที่รู้กันว่า ค�าสั่งให้รื้อ กระโจมนั่นหมายถึงการถอนสมอเรือเป็นล�าดับถัดมา “ไอ้คนกว้านสมอ! ออกแรงหน่อยสิวะ! เอ้า...ดัน!” คือค�าสัง่ ถัดมา แล้วพวก ลูกเรือต่างออกแรงดันแขนหมุนเครื่องกว้าน หลังจากเรือถอนสมอแล้ว โดยปกติคนน�าร่องจะท�าหน้าที่อยู่บริเวณ ด้ า นหน้ า เรื อ ซึ่ ง อย่ า งที่ รู ้ กั นว่ า บิ ล แดดกั บ พี เ ลกก็ ท� า หน้ า ที่ นี้ ด ้ ว ย และ บิลแดดยังเป็นหนึง่ ในคนน�าร่องทีไ่ ด้รบั ใบอนุญาตจากท่าเรือ อีกทัง้ เป็นไปได้ ว่าเขาอาจท�าหน้าที่น�าร่องให้แก่เรือทุกล�าที่เขามีส่วนเกี่ยวข้องเพื่อประหยัด ค่าธรรมเนียมน�าร่องของท่าเรือแนนทักเก็ต เพราะเขาก็ไม่เคยท�าหน้าที่นี้ ให้แก่เรือล�าอื่นเลย ผมคิดว่าบิลแดดคงก�าลังตรวจตราหัวเรือตรงที่ก�าลัง ถอนสมอขึ้น และอยู่ระหว่างร้องเพลงสวดโหยหวนเพื่อสร้างขวัญก�าลังใจ แก่เหล่าบรรดาลูกเรือผู้ประจ�าการตรงเครื่องกว้านสมอ ซึ่งพากันตะโกนร้อง เพลงเกีย่ วกับสาวๆ ในตรอกบูเบิล้ 1 กันอย่างครึกครืน้ แม้สามวันก่อนบิลแดด 1
ตรอกบูเบิ้ล-ถนนโคมแดงหรือย่านโสเภณีในเมืองท่าลิเวอร์พูล อังกฤษ
136 : โมบี-ดิ๊ก
จะสั่งห้ามไม่ให้ร้องเพลงหยาบคายบนเรือพีควอดโดยเฉพาะก่อนถอนสมอ และแม้แชริตนี้ อ้ งสาวของเขาได้วางส�าเนาบทเพลงของวัตตส์2ไว้ทที่ นี่ อนของ ลูกเรือแต่ละคนแล้วก็ตาม ช่ ว งเวลาเดี ย วกั น นั้ น กั ป ตั น พี เ ลกเดิ น ตรวจตราส่ ว นอื่ น ๆ ในเรื อ เขาตะโกนสบถด่าด้วยท่าทางดุดนั น่ากลัว ผมเกือบคิดไปว่าเขาอาจจมเรือล�า นีเ้ สียก่อนจะถอนสมอเรือขึน้ มาได้ ผมปล่อยมือจากแขนหมุนกว้านโดยไม่ได้ ตั้งใจ ขณะหันไปคุยกับควีเควกซึ่งเขาก็เผลอปล่อยมือตาม เพราะคิดถึงภัย หายนะที่รอเราอยู่หากต้องล่องเรือไปกับคนน�าทางผู้ดุร้ายราวปีศาจแบบนั้น แต่ผมก็พยายามปลุกปลอบใจตัวเอง และคิดว่ากับบิลแดดผู้เคร่งศาสนานั้น ยังน่าอุ่นใจเสียกว่า แม้เขาพยายามให้ส่วนแบ่งผมแค่ลา� ดับที่เจ็ดร้อยเจ็บสิบ เจ็ดก็ตาม ทันใดผมรูส้ กึ เจ็บปลาบทีก่ น้ พอเหลียวไปดูกต็ อ้ งตกใจ ทีเ่ ห็นปีศาจ กัปตันพีเลกก�าลังชักขากลับไป นั่นเป็นลูกเตะครั้งแรกที่ผมโดน “ที่เรือพาณิชย์มันถอนสมอกันอย่างนี้รึ?” เขาตะคอกถาม “ดันเข้าสิวะ นาย..เจ้าหัวแกะ ดันเข้า กระดูกสันหลังหักก็ชั่งมัน! ท�าไมไม่ดันล่ะ? ฉันบอก ให้ดัน พวกนายทุกคน...ดัน! คอฮอก! ดัน นายกับเจ้าเคราแดงดันไปทางนั้น เจ้าหมวกแก็ปดัน เจ้ากางเกงเขียวดัน ฉันสั่งให้พวกนายทุกคนออกแรงดัน ดันให้ตามันปลิ้นออกมาเลย!” ขณะที่พูด เขาก็เดินไปเดินมาบริเวณเครื่อง กว้านสมอโดยไม่ยอมหยุดขา ขณะบิลแดดผู้เยือกเย็นยังคงร้องน�าเพลงสวด ของเขาต่อไป ผมคิดว่ากัปตันพีเลกน่าจะดื่มอะไรเข้าไปในวันนี้เป็นแน่ ในที่สุดสมอก็ถูกยกขึ้น ใบเรือทุกใบรับลม และเราค่อยๆ แล่นออกไป มันเป็นวันคริสต์มาสสั้นๆ อันเหน็บหนาว แล้ววันทางตอนเหนือแสนสั้น ก็กลืนหายไปกับราตรีที่มาเยือน และพวกเราก็ตกอยู่ท่ามกลางมหาสมุทร เวิ้งว้างยามหน้าหนาว ลมเย็นกระหน�่าใส่เรือจนมีน�้าแข็งจับพราว ราวกับ ห่อหุม้ อยูด่ ว้ ยเกราะขัดมัน เขีย้ วฟันทีย่ าวเรียงรายอยูบ่ นสองกราบเรือแวววาว อยู่ในแสงจันทร์ แท่งน�้าแข็งขนาดมหึมาโค้งย้อยมาจากหัวเรือดุจดั่งงาขาว 2
วัตต์-ไอแซก วัตตส์ (ค.ศ. 1674-1748) นักเขียนเพลงสวดสรรเสริญชาวอังกฤษคนส�าคัญ
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 137
ของช้างใหญ่ยักษ์ แลงก์ บิลแดด ผูท้ า� หน้าทีค่ นน�าร่องกะแรก3 ซึง่ ก็คงจะท�าหน้าทีน่ อี้ กี ในไม่ ช้าและตลอดไป ยามเมื่อเรือเก่าล�านั้นปักหัวแหวกท้องทะเลสีเขียว จนเกล็ด น�า้ แข็งกระเซ็นซ่านไปทัว่ ล�าเรือ สายลมครวญหวีดหวิว เชือกขึงใบสัน่ สะท้าน ก็ได้ยินเขาร่ายบทกวีออกมาเสียงหนักแน่น “ทุ่งงามเหนือกระแสคลื่นใหญ่4 ยืดหยัดแต่งแต้มอยู่ด้วยพันธุ์ไม้ชอุ่ม คือแผ่นดินเก่าแก่คานาอัน5ของชาวยิว ขณะชาวจอร์แดนรอนแรมอยู่ระหว่างทาง” ถ้อยค�าเสนาะหูนี้ช่างไพเราะจับใจผมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะ เต็มไปด้วยความหวังและความสมหวัง แม้เวลานั้นจะเป็นคืนเหน็บหนาว กลางทะเลแอตแลนติกอันครืนครั่น แม้สองเท้าของผมจะเปียกชุ่ม เสื้อคลุม ก็ยิ่งเปียกชุ่มกว่า แต่ผมก็รู้สึกสุขใจเหมือนดั่งทั่วทุกที่เป็นแหล่งพักพิงใจ ทุ่งหญ้าและทุ่งโล่งเขียวชอุ่มอยู่ชั่วนิรันดร์ ต้นหญ้าที่งอกงามในฤดูใบไม้ผลิ ไม่ถูกเหยียบย�า่ ไม่เหี่ยวเฉาโรยรา แต่หยัดยืนอยู่จนถึงกลางฤดูร้อน ในที่สุดเราก็แล่นห่างออกจากฝั่งมาไกล จนถึงจุดที่ไม่จ�าเป็นต้องใช้คน น�าร่องทั้งสองอีก เรือใบเล็กล�าสั้นที่แล่นตามเรามาก็เข้ามาขนาบข้าง เป็นเรื่องแปลกและดูไม่น่าเบื่อ ส�าหรับอาการของพีเลกและบิลแดดตอน ผละจากเรือใหญ่ลา� นี้ไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งบิลแดด เขาอิดเอื้อนไม่อยากไป ไม่อยากลาจาก...ตลอดกาล ไม่อยากอ�าลาเรือซึ่งต้องออกเดินทางยาวนาน และเต็มไปด้วยภยันตราย กลางท้องทะเลซึ่งอยู่เลยพ้นแหลมพายุทั้งสอง6 ออกไป ไม่อยากอ�าลาเรือซึ่งเขาลงทุนด้วยเงินหลายพันดอลลาร์ที่มาจาก กะแรก-กะละราวๆ สี่ชั่วโมง ทุง่ งามเหนือกระแสคลืน่ ใหญ่-บทหนึง่ จากเพลงสวดสรรเสริญของไอแซ็ก วัตตส์ทชี่ อื่ “มีดนิ แดนแห่งความ สุขบริสุทธิ์” ซึ่งเป็นเพลงเกี่ยวกับสวรรค์ 5 คานาอัน-ดินแดนเก่าแก่ของชนชาติตะวันออกใกล้โบราณ ราวสองพันปีก่อนคริสตกาล 6 แหลมพายุทั้งสอง-แหลมเคปฮอร์นซึ่งอยู่ทางใต้สุดของทวีปอเมริกาใต้ กับแหลมกู๊ดโฮปซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับ แอฟริกาทางใต้สุดของทวีปแอฟริกา 3 4
138 : โมบี-ดิ๊ก
หยาดเหงื่อแรงกาย ไม่อยากอ�าลาเรือซึ่งเพื่อนเก่าผู้มีอายุพอๆ กับเขาท�า หน้าที่เป็นกัปตัน ผู้ซึ่งก�าลังจะเผชิญหน้ากับความน่าสะพรึงกลัวทั้งหลาย ของคมเขี้ยวไร้ปราณีอีกครั้ง ไม่อยากกล่าวค�าอ�าลาด้วยความรู้สึกเอ่อล้น ต่อทุกสิ่งที่เขาห่วงหา เฒ่าบิลแดดผู้น่าสงสารอ้อยอิ่งอยู่เนิ่นนาน เดี๋ยวก็เดิน ไปมาบนดาดฟ้าเรืออย่างว้าวุ่นใจ เดี๋ยวก็วิ่งลงไปที่ห้องเครื่องกล่าวค�าล�่าลา ที่นั่นอีกครั้ง ก่อนจะเดินกลับมาบนดาดฟ้าเรือ มองไปด้านเหนือลม มองไป ยังผืนน�้ากว้างไกลไม่สิ้นสุด ซึ่งมีก็แต่แผ่นดินทางฝั่งตะวันออกอันไกลโพ้น มองไปในทิศทางของแผ่นดินนัน้ มองสูงขึน้ ไปเบือ้ งบน มองซ้ายและขวา มอง ไปยังทั่วทุกที่ และที่ที่ไม่ได้มอง จนกระทุ่งเครื่องหย่อนเชือกหย่อนลงมาจน สุดทาง เขายืน่ มือไปเกาะพีเลกไว้ดว้ ยอาการสัน่ กระตุก ชูตะเกียงขึน้ พยายาม ยืนท�าสีหน้ากล้าหาญอยูค่ รูใ่ หญ่ เหมือนกับจะบอกว่า “ไม่วา่ ยังไง เกลอพีเลก ฉันทนได้ ใช่...ฉันรับได้” ส่วนพีเลกนั้น เขาล�่าลาราวกับนักปรัชญา ทว่า แม้ด้วยหลักปรัชญาทั้ง หลายแหล่ของเขา ก็ยังเห็นน�า้ ใสๆ ในดวงตารื้นขึ้นประกายยามแสงตะเกียง ฉายผ่าน เขาก็เป็นอีกคนทีว่ งิ่ ไปวิง่ มาระหว่างดาดฟ้ากับห้องเครือ่ งไม่ใช่นอ้ ย เดี๋ยวก็กล่าวค�าอ�าลาที่ด้านล่างนั้น เดี๋ยวก็กล่าวลาสตาร์บัคผู้เป็นต้นเรือ ทีส่ ดุ เขาก็หนั ไปหาสหาย ด้วยท่าทางทีบ่ อกให้รวู้ า่ ถึงเวลาอ�าลาจริงๆ แล้ว “กัปตันบิลแดด มาเถอะ เพื่อนรัก เราต้องไปกันแล้ว ปรับเสาขวาง7นั่น! เฮ้... ไอ้เรือเล็ก! ขยับเข้ามาใกล้ๆ ได้แล้ว! ระวัง...ระวังหน่อย! มาเถอะ บิลแดด ไอ้น้องชาย บอกลาเป็นครั้งสุดท้ายซะ สตาร์บัคโชคดีนะ คุณสตับบ์โชคดี คุณฟลาสก์โชคดี ลาก่อนและขอให้โชคดีทุกคน วันนี้ในอีกสามปีข้างหน้าฉัน จะท�าอาหารค�า่ ร้อนๆ เตรียมรอรับพวกนายทีแ่ นนทักเก็ตนี่ ร้องไชโยซะ และ ก็ไปได้แล้ว!” “ขอพระเจ้าประทานพรและคุ้มครองพวกนายตลอดไป” ผู้เฒ่าบิลแดด พึมพ�าเสียงขาดๆ หายๆ “ขอพวกนายได้เจอกับอากาศดีๆ กัปตันเอแฮ็บจะ 7
ปรับเสาขวาง-ที่ยอดเสากระโดงหลัก ท�าให้เรือรับลมจากทางด้านหน้า เพื่อชะลอหรือหยุดเรือ
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 139
ออกมาพบพวกนายในไม่ชา้ เขาต้องรับแสงอาทิตย์อนุ่ ๆ พวกนายก็จะได้เจอ แสงอาทิตย์อนุ่ ๆ นีเ่ ยอะแยะในเขตร้อนทีไ่ ป ระวังตัวด้วยตอนออกล่า...เพือ่ น ทั้งหลาย แล้วอย่าท�าเรือเล็กพังโดยไม่จ�าเป็น นักพุ่งฉมวกทั้งหลาย สนซีดาร์ ขาวที่ท�าไม้แผ่นดีๆ น่ะปีหนึ่งโตสามเปอร์เซ็นต์เอง แล้วอย่าลืมสวดภาวนา ด้วยล่ะ คุณสตาร์บัคระวังอย่าให้ช่างท�าถังไม้ใช้ไม้ส�ารองมากเกินนะ โอ๊ะ! เข็มเย็บใบเรืออยู่ในตู้สีเขียว อย่าล่าวาฬในวันนมัสการพระเจ้า....นะพวก แต่ ก็อย่าปล่อยให้โอกาสดีๆ ลอยผ่านไปเฉยๆ เสียล่ะ นั่นเป็นการปฏิเสธของ ขวัญชิ้นงามจากสวรรค์ คอยดูถังกากน�้าตาลด้วย...คุณสตับบ์ ฉันคิดว่ามันรั่ว อยู่นิดหน่อยนะ คุณฟลาสก์..ไปถึงเกาะไหน อย่าไปท�าเจ้าชู้ที่นั่นล่ะ ลาก่อน ลาก่อน! อย่าเก็บชีสไว้ห้องข้างล่างนั่นนานเกินไปนะคุณสตาร์บัค มันจะเสีย แล้วระวังพวกเนยด้วย ปอนด์หนึ่งตั้งยี่สิบเซนต์เชียวนะ และก็ระวังเรื่อง...” “เอาน่า มาได้แล้ว กัปตันบิลแดด อย่ามัวแต่พูดฟุ้งอยู่เลย ไปกันเถอะ!” พูดจบพีเลกก็รีบพาเขาไปยังด้านข้างเรือ แล้วทั้งสองก็ลงไปยังเรือเล็ก เรือใหญ่และเรือเล็กผละจากกัน ลมเย็นชื้นยามค�่าคืนพัดแทรกระหว่าง กลาง นกนางนวลส่งเสียงร้องขณะบินอยู่เหนือศีรษะขึ้นไป สองล�าเรือแล่น ออกห่างจากกันมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเราเปล่งเสียงร้องไชโยออกมาสามครั้ง อย่างหดหู่ และมุ่งหน้าสู่แอตแลนติกอันอ้างว้างอย่างไม่รู้อนาคต
140 : โมบี-ดิ๊ก
บทที่ 23
ฝั่งบังลม
หลายบทก่อนหน้านีผ้ มได้พดู ถึงบัลกิงตัน กะลาสีรา่ งสูงทีเ่ พิง่ ขึน้ ฝัง่ มา ซึง่ ผม เจอตอนพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมในนิวเบดฟอร์ด ค�่าคืนอันหนาวสั่นยามนี้ เรือพีควอดพุ่งหัวเรือเข้าใส่คลื่นร้ายเย็นเยือก ราวกับผูกพยาบาท ผู้ที่ผมเห็นยืนควบคุมพวงมาลัยเรืออยู่นั้นคือบัลกิงตัน! ผมเฝ้ามองดูชายคนนีด้ ว้ ยความรูส้ กึ กึง่ เห็นใจกึง่ ครัน่ คร้าม ช่วงกลางฤดูหนาว เขาเพิ่งกลับขึ้นฝั่งหลังเดินทางเสี่ยงภัยมาตลอดสี่ปี ยังไม่ทันไรก็ต้องกลับมา ผจญกับมรสุมร้ายอีกครั้ง ดูเหมือนผืนแผ่นดินคงลนสองเท้าเขา เรื่องราวอัน สุดพิศวงที่ไม่อาจเล่าขาน ความทรงจ�าในส่วนลึกไม่อาจจารึกเป็นอนุสรณ์ นี่แหละ ข้อความยาวหกนิ้วบนหลุมศพไร้หินจารึกของบัลกิงตัน ผมขอบอก เพียงว่า มันเกิดขึ้นกับเขาเหมือนเรือที่ถูกพายุกระหน�่าซึ่งต้องพยายามแล่น เข้าฝั่งบังลม ท่าเรือนั่นอาจยินดีให้ความช่วยเหลือ อาจสงสารเวทนา ให้ที่ พักพิงอันปลอดภัย อบอุน่ สบาย ทัง้ เตาผิง อาหารค�า่ ผ้าห่มหนานุม่ มิตรภาพ และ ทุกสิ่งอย่างอันเป็นความปรารถนาของมนุษย์อย่างเรา แต่กลางพายุร้ายนั้น ท่าเรือและแผ่นดินก็อาจเป็นอันตรายร้ายแรงได้ เรือจึงต้องล่องหนีจากการ ต้อนรับช่วยเหลือใดๆ เพราะเพียงกระดูกงูครูดกับดินใต้น�้าก็จะสะท้าน สะเทือนไปทั้งล�า เรือจึงต้องกางใบทุกใบเพื่อพยายามแล่นออกห่างจากฝั่ง และฝ่ากลับไปในพายุซงึ่ ช่วยพัดมายังบ้านเกิดนัน้ อีกครัง้ เพือ่ แสวงหาดินแดน ไร้แผ่นดินของทะเลคลัง่ อีกหน พุง่ ทะยานสูภ่ ยันตรายอันเป็นทีล่ ภี้ ยั แห่งเดียว เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 141
ซึ่งเป็นทั้งมิตรสหายผู้เดียวและศัตรูคู่อาฆาต! ตอนนี้นายรู้หรือยัง...บัลกิงตัน? นายพอมองเห็นสัจธรรมอันเจ็บปวด สาหัสสากรรจ์หรือไม่ ว่าการครุ่นคิดลึกซึ้งจริงจังก็เป็นแค่ความพยายามอัน หาญกล้าของจิตวิญญาณ ที่จะด�ารงความเป็นอิสระไร้ขอบเขตอยู่ในทะเล ขณะที่ลมแห่งสวรรค์และโลกกลับคิดคดทรยศ โดยเหวี่ยงเรือเข้าหาฝั่งอัน ชั่วร้ายเปี่ยมอันตราย? กระนั้น ในดินแดนไร้แผ่นดินเองก็มีสัจธรรมสูงสุดอยู่ การไร้ฝั่ง และ ไร้ขอบเขตดัง่ เช่นพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ หากจะต้องย่อยยับดับสูญอยูใ่ นความไม่ สิ้นสุดที่ส่งเสียงหวีดหวิวนั้น ก็ยังดีกว่าเรือต้องชนกระแทกฝั่งบังลมจนแตก อับปางลงอย่างเสื่อมเกียรติ แม้บนฝั่งจะมีความปลอดภัยก็ตามที! โอ! ใคร จะยอมท�าตัวเหมือนหนอน...คืบคลานเข้าหาฝั่งอย่างขี้ขลาดตาขาว? ความ น่ากลัวที่เหนือความน่ากลัว! ความเจ็บปวดรวดร้าวนี้จะสูญเปล่าหรือ? จงกล้า...กล้าหาญไว้ โอ้...บัลกิงตัน! แบกรับไว้อย่างยอดคน! ทะยานตนขึ้น เหนือม่านหมอกมรณะแห่งมหาสมุทร และโจนตัวสูอ่ ดุ มคติอนั น่ายกย่องบูชา!
142 : โมบี-ดิ๊ก
บทที่ 24
ค�าแก้ต่าง
เมื่อควีเควกและผมได้เข้ามาท�างานล่าวาฬอย่างเต็มตัว แต่เนื่องจากคน บนฝั่งมักมองอาชีพนี้ว่าไร้เกียรติและไร้ความสุนทรีย์ ดังนั้น ผมเกรงว่าต้อง โน้มน้าวพวกคุณๆ ซึ่งอยู่บนบก ให้เห็นถึงความไม่เป็นธรรมที่พวกเราเหล่า นักล่าวาฬได้รับ ประการแรก ทีผ่ คู้ นส่วนใหญ่มองว่าธุรกิจล่าวาฬไม่มคี ณ ุ ค่าพอจะเรียกได้ ว่าอาชีพอิสระนั้น ออกจะเลยเถิดเกินความเป็นจริงไปหน่อย หากคนแปลก หน้าคนหนึง่ ถูกชักน�าสูส่ งั คมเมืองซึง่ มีความหลากหลาย ความคิดเห็นของคน ทัว่ ไปย่อมมีประโยชน์นอ้ ยนิดต่อเขา ยกตัวอย่างเช่น หากเขาแสดงตัวกับบริษทั บริษทั หนึง่ ว่าเป็นนักพุง่ ฉมวก และอยากเอาอย่างพวกนาวิกโยธิน เขาก็ตอ้ งใส่ อักษรย่อในนามบัตรเป็น ป.ว.ท. (การประมงวาฬหัวทุย) ซึ่งคงถูกมองว่า เป็นการอวดอ้างเอาเองและไร้สาระน่าขัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เหตุผลส�าคัญที่ท�าให้โลกใบนี้ไม่เห็นคุณค่าพวกเรา เหล่านักล่าวาฬ นั่นก็เพราะพวกเขาคิดว่า อย่างมากที่สุดอาชีพของเราก็แค่ จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับธุรกิจฆ่าและขายเนื้อสัตว์ และเมื่อเข้าไปข้องเกี่ยวกับ ธุรกิจนี้อย่างจริงจัง เราย่อมต้องคลุกคลีตีโมงอยู่แต่กับพวกที่มีมลทินด่าง พร้อย เราเป็นนักฆ่าสัตว์ นั่นก็จริงอยู่ แต่บรรดาผู้บัญชาการกองทัพซึ่งติด เหรียญตราชุม่ เลือดก็เป็นนักฆ่าไม่ตา่ งกัน ทว่าโลกใบนีก้ ลับเชิดชูยกย่องพวก นัน้ เสมอมา ส่วนข้อกล่าวหาทีว่ า่ ธุรกิจของเราไม่ขาวสะอาดนัน้ อีกไม่นานคุณ เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 143
จะได้รบั รูถ้ งึ ความจริงซึง่ ยังไม่เป็นทีร่ กู้ นั โดยทัว่ ไป ซึง่ ว่ากันโดยรวมแล้ว อย่าง น้อยทีส่ ดุ เรือล่าวาฬหัวทุยก็จดั อยูใ่ นสิง่ ทีส่ ะอาดทีส่ ดุ ของโลกหมดจดใบนี้ และ ต่อให้ขอ้ กล่าวหาข้างต้นนัน้ เป็นเรือ่ งจริง ว่าดาดฟ้าของเรือล่าวาฬโชกไปด้วย เลือดด้วยซากเนือ้ ระเกะระกะ แต่จะต่างอะไรกับซากแหลกเหลวเกินพรรณา ในสงคราม ซึ่งทหารพวกนั้นมากมายกลับไปดื่มฉลองชัยท่ามกลางเสียง สรรเสริญของเหล่าสุภาพสตรี? และหากมองว่าความอยากเสี่ยงภัยเป็นแรง เสริมให้เกิดความนิยมในอาชีพทหารอันน่าหยิง่ ทะนง ผมก็ขอยืนยันกับคุณได้ เลย ว่าทหารผ่านศึกมากมายผูก้ ล้าเดินอาดๆ สูส่ นามรบท่ามกลางกระสุนปืน ใหญ่ ต่างก็ตอ้ งกลัวจนขนหัวลุกแค่ได้เห็นหางมหึมาของวาฬหัวทุยโบกสะบัก จนเป็นลมหมุนอยู่เหนือหัว เพราะนั่นเป็นความแตกต่างระหว่างความกลัวที่ มนุษย์เข้าใจได้ กับความน่ากลัวซึ่งผสมผสานกับความน่าพิศวงของพระเจ้า! แม้โลกจะหยามหยันพวกเราเหล่านักล่าวาฬ แต่ก็คารวะเราอย่างสุดซึ้ง โดยไม่รู้ตัว ใช่แล้ว...หลงใหลบูชากันอย่างดาษดื่น! เพราะเทียนไขหนาบาง และโคมไฟแทบทั้งหมดที่จุดกันทั่วโลก รวมทั้งที่จุดหน้าแท่นบูชามากหลาย นั้น นั่นก็คือไฟที่ต่างจุดให้แก่ความรุ่งโรจน์ของเรา! ถ้ามองเรือ่ งนีใ้ นแง่มมุ ใหม่ แล้วลองชัง่ ความส�าคัญด้วยมาตรวัดทัง้ มวลทีม่ ี ก็จะเห็นสิ่งที่เราชาวนักล่าวาฬเป็นอยู่ และที่เคยเป็นมาจนถึงบัดนี้ เหตุใดดัตช์ในยุคเดอวิตต์1จึงมีพลเรือเอกประจ�ากองเรือล่าวาฬ? เหตุใด พระเจ้าหลุยส์ที่สิบหกแห่งประเทศฝรั่งเศสจึงลงทุนด้วยทรัพย์ส่วนพระองค์ ปรับปรุงเรือล่าวาฬจากเมืองดันเคิรก์ 2 และกล่าวเชือ้ เชิญชาวเกาะแนนทักเก็ต ของเราให้ไปอยู่ที่นั่นยี่สิบหรือสี่สิบครอบครัว? เหตุใดอังกฤษช่วงระหว่างปี 1750 ถึงปี 1788 กล้าจ่ายเงินจ�านวนมากถึง 1,000,000 ปอนด์ให้แก่เรือ ล่าวาฬ? และท้ายที่สุด อะไรท�าให้พวกเราเหล่านักล่าวาฬชาวอเมริกันใน ปัจจุบันมีจ�านวนมากกว่านักล่าวาฬทั้งหมดจากทั่วโลก มีเรือใบเป็นกองทัพ 1 2
เดอวิตต์-โยฮัน เดวิตต์ (ผู้น�าทางการเมืองชาวดัตช์) ช่วงที่เนเธอร์แลนด์ยังเป็นมหาอ�านาจในโลกการค้า ดันเคิร์ก-เมืองท่าทางเหนือสุดของฝรั่งเศส หลังจากการปฏิวัติอเมริกา นักล่าวาฬจากแนนทักเก็ตได้ไป ตั้งชุมชนอาณานิคมที่นั่น เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีน�าเข้าน�้ามันวาฬอันเข้มงวดของฝรั่งเศส
144 : โมบี-ดิ๊ก
กว่าเจ็ดร้อยล�า มีบุคลากรชาวเรือมากถึงหนึ่งหมื่นแปดพันคน มีค่าใช้จ่าย รายปีเป็นเงิน 824,000,000 ดอลลาร์ เรือใบมีมูลค่าขณะล่องเรือเป็นเงิน 20,000,000 ดอลลาร์ และทุกปีจะน�ารายได้กลับมาสู่ท่าเรือของเรามากถึง 847,000,000 ดอลลาร์? สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร หากไม่ใช่เพราะมี พลังอ�านาจบางอย่างในธุรกิจล่าวาฬ? กระนั้นนั่นก็ยังไม่ถึงครึ่งของเรื่องทั้งหมด ลองมาดูกันต่อ ผมกล้ายืนยันว่า นักปรัชญาผู้เดินทางไปทั่วโลกตลอดชั่วชีวิตของเขา ก็ยังไม่อาจชี้ชัดว่าสิ่งใดจะอิทธิพลโน้มน�าเหนือไปกว่าธุรกิจอันยิ่งใหญ่และ ทรงพลังของการล่าวาฬ ซึ่งในช่วงหกสิบปีหลังมานี้ได้สร้างปรากฏการณ์จน น�าไปสูบ่ ทสรุปอันเป็นทีป่ ระจักษ์ไปทัว่ ทุกมุมโลก ธุรกิจล่าวาฬส่งผลอันแสน น่าทึ่งในตัวเองไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และยังส่งผลกระทบส�าคัญไปสู่สิ่งอื่นๆ ที่ตามมาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งการล่าวาฬถูกมองว่าเป็นมารดาแห่งอียิปต์3 ผู้ให้พวกเขาถือก�าเนิดมาจากครรภ์ของหล่อน คงไม่มีทางกล่าวโดยละเอียด ในสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้จนหมดสิ้น เอาเป็นว่ากล่าวถึงเพียงบางส่วนก็น่าจะ เพียงพอ หลายปีที่ผ่านมา เรือล่าวาฬเป็นผู้บุกเบิกในการค้นพบดินแดนอัน ห่างไกลและยังเป็นที่รู้จักกันน้อยนิดบนโลกใบนี้ โดยออกส�ารวจท้องทะเล และหมูเ่ กาะซึง่ ยังไม่ได้บนั ทึกไว้ในแผนทีโ่ ลก เขตแดนทีก่ ปั ตันคุก4 หรือกัปตัน แวนคูเวอร์5 ยังแล่นเรือไปไม่ถึง หากแม้นตอนนี้เรือรบอเมริกันและยุโรป สามารถลอยล�าเข้าไปจอดยังท่าเรือทีเ่ คยอยูใ่ นเขตชาวป่าได้โดยสงบเรียบร้อย ก็ขอให้ยิงสลุตเพื่อเป็นเกียรติแก่ศักดิ์ศรีและชื่อเสียงของเรือล่าวาฬซึ่งได้ บุกเบิกเส้นทางเอาไว้ และเป็นสื่อกลางเชื่อมต่อระหว่างพวกเขากับชาวป่า มาก่อน พวกนั้นอาจสรรเสริญคนพวกนี้ว่าเป็นวีรบุรุษของนักส�ารวจ ไม่ว่า มารดาแห่งอียิปต์-นัตหรือนูเอ็ท เทพีแห่งท้องฟ้าตามต�านานอียิปต์ ผู้เป็นมารดาของโอไซริส (เทพแห่ง ชีวิตหลังความตาย หรือเทพแห่งนรก) 4 คุก-กัปตันเจมส์ คุก (ค.ศ. 1728-1779) นักส�ารวจชาวอังกฤษ ผู้บุกเบิกเกาะฮาวายและออสเตรเลีย ตะวันออก และท�าแผนที่เกาะนิวฟาวด์แสนด์ (แคนาดา) เป็นคนแรก 5 กัปตันแวนคูเวอร์-จอร์จ แวนคูเวอร์ (ค.ศ. 1757-1798) ราชนาวีอังกฤษผู้ส�ารวจชายฝั่งแปซิฟิกของ แคนาดาและรัฐโอเรกอน วอชิงตัน อะลาสกาของสหรัฐอเมริกา 3
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 145
จะบรรดาท่านกัปตันคุก6 หรือท่านครูเซนสเตียรน์7 แต่ผมอยากจะบอกว่า กัปตันนิรนามจ�านวนมากที่ล่องเรือจากแนนทักเก็ตก็ล้วนยิ่งใหญ่ และอาจ ยิง่ ใหญ่กว่าท่านกัปตันคุกและครูเซนสเตียรน์ของพวกนัน้ ด้วยซ�า้ ด้วยพวกเขา มีเพียงสองมือเปล่า ปราศจากความช่วยเหลือใดๆ ขณะล่องไปในสายน�้าซึ่ง จ้องกลืนกินอย่างป่าเถื่อน และขึ้นฝั่งบนหาดที่ยังไม่มีการบันทึก เกาะที่เต็ม ไปด้วยหอกทวน และต้องต่อสูก้ บั ความน่าพิศวงและสยดสยอง ทีท่ กี่ ปั ตันคุก กับลูกเรือทัง้ หมดซึง่ ถือปืนคาบศิลาคงไม่นกึ หาญกล้าเข้าไปเสีย่ งอย่างเต็มใจ นัก นี่แหละที่ได้สร้างความรุ่งเรืองให้แก่การเดินเรือท่องทะเลใต้8 และเป็นสิ่ง ธรรมดาสามัญทีเ่ กิดขึน้ ตลอดชัว่ ชีวติ ของชาวแนนทักเก็ตผูเ้ ป็นวีรบุรษุ ของเรา มีการอุทศิ หน้ากระดาษบันทึกเรือ่ งราวการผจญภัยของกัปตันแวนคูเวอร์ไว้ถงึ สามบท แต่เรือ่ งราวของชาวแนนทักเก็ตกลับถูกมองว่าไม่มคี า่ พอให้บนั ทึกไว้ ในปูมเดินเรือทั่วๆ ไปเลยด้วยซ�้า โอ้...โลกหนอ! โลกหนอโลก! ก่อนการประมงล่าวาฬจะเกิดขึ้นรอบบริเวณแหลมเคปฮอร์น ตอนนั้นยัง ไม่มีการค้าขายใดๆ เพราะมีสภาพเป็นเมืองอาณานิคม การเดินทางติดต่อ ยังยากล�าบากในฐานะเป็นเมืองขึ้น มีก็แต่ระหว่างยุโรปกับเขตนิคมมั่งคั่ง ของสเปนตลอดแนวยาวของชายฝั่งแปซิฟิก9เท่านั้น นักล่าวาฬเป็นชนกลุ่ม แรกที่มีชัยเหนือนโยบายหวงแหนดินแดนของราชบัลลังก์สเปน จนได้บุกเบิก ดินแดนอาณานิคมเหล่านั้น และถ้ามีหน้ากระดาษเหลือเฟือก็อาจอธิบายให้ เห็นกระจ่างชัดได้วา่ ในท้ายทีส่ ดุ นักล่าวาฬเหล่านีย้ งั ผลให้เปรู ชิลี และโบลีเวีย ปลดแอกจากอาณาจักรเก่าของสเปนได้อย่างไร และสร้างความเสมอภาค ชั่วนิรันดร์ให้เกิดขึ้นแก่ดินแดนเหล่านั้น นักล่าวาฬนี่แหละที่มอบความเป็นอเมริกันอันยิ่งใหญ่แก่อีกซีกหนึ่งของ กัปตันคุก-ตรงนี้น่าจะหมายถึงกัปตันเอดวาร์ด คุก ผู้เขียน “ท่องทะเลใต้และรอบโลก” (ค.ศ. 1712) ครูเซนสเตียรน์-อะดัม โยฮันน์ วอน (ค.ศ. 1770-1846), พลเรือเอกชาวรัสเซีย ผู้ล่องเรือรัสเซียรอบ โลกเป็นครั้งแรก 8 ท่องทะเลใต้-เหล่ากะลาสีฝรั่งเศสผู้ออกส�ารวจออสเตรเลียช่วง ค.ศ. 1768-1828 ซึ่งมักประสบภัย พิบัติอยู่บ่อยครั้ง 9 ชายฝั่งแปซิฟิก-อเมริกาใต้ ฯลฯ 6 7
146 : โมบี-ดิ๊ก
โลกซึ่งเริ่มรุ่งโรจน์ นั่นก็คือออสเตรเลีย หลังจากที่ชาวดัตช์หลงทางไปพบเข้า โดยบังเอิญเป็นครั้งแรก เรืออื่นๆ ทุกล�าต่างก็หลีกลี้จากชายฝั่งที่ถูกมองว่า ป่าเถือ่ นและเต็มไปด้วยโรคภัยเหล่านัน้ อยูน่ าน จนกระทัง่ เรือล่าวาฬนีแ่ หละที่ ล่องไปถึงทีน่ นั่ เรือล่าวาฬจึงเป็นมารดาทีแ่ ท้จริงของอาณานิคมมหาอ�านาจใน ปัจจุบัน ยิ่งไปกว่านั้น ในระยะแรกของการตั้งถิ่นฐานของชาวออสเตรเลีย หลายครั้ ง ผู ้ ที่ อ พยพเข้ า มาอาศั ย อยู ่ ต ่ า งได้ รั บ การช่ ว ยเหลื อ ให้ ร อดตาย จากความหิวโหย ด้วยขนมปังจากความเมตตาของเรือล่าวาฬที่บังเอิญมา ทอดสมอในน่านน�้าของพวกเขา เกาะเล็กเกาะน้อยจ�านวนมากของหมู่เกาะ พอลลินีเซีย10ก็ยอมรับกับข้อเท็จจริงเดียวกันนี้ และยอมรับนับถือในการ พาณิชย์ของเรือล่าวาฬ ซึ่งได้ปูทางไปสู่งานเผยแพร่ศาสนาและการค้าขาย และในหลายๆ กรณีก็ได้ล�าเลียงพวกหมอสอนศาสนาจนเดินทางไปสู่จุด หมายปลายทางได้สา� เร็จเป็นครัง้ แรก ถ้าหากดินแดนซึง่ ปิดล็อกสองชัน้ 11อย่าง ญี่ปุ่นได้เปิดประตูออกต้อนรับด้วยไมตรี ผู้ที่เป็นเจ้าของผลงานนั้นก็คงมีแต่ เพียงเรือล่าวาฬเท่านั้น เพราะมันเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่ว่า แต่ถ้าหากได้ยินได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดนี้แล้ว คุณยังคงประกาศว่าการล่า วาฬไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องศีลธรรมดีงามใด ผมก็พร้อมที่จะประลองทวนกับ คุณสักห้าสิบรอบ และแทงคุณตกม้าหมวกเหล็กแบะทุกครั้งไป คุณอาจบอกว่า ไม่มีนักประพันธ์ชื่อดังคนใดเขียนเรื่องวาฬ และไม่มีนัก ประวัติศาสตร์ชื่อดังบันทึกเรื่องราวของวาฬไว้ ไม่มีนักประพันธ์และนักประวัติศาสตร์คนดังเขียนเรื่องวาฬไว้งั้นหรือ? แล้วใครกันเป็น ผู้เขียนถึงเจ้าวาฬยักษ์ของเราเป็นครั้งแรก...ถ้าไม่ใช่โยบ12 ผู้เข้มแข็ง? ใครที่เขียนเล่าเรื่องราวการเดินทางไล่ล่าวาฬเป็นครั้งแรก? ใคร พอลินีเซีย-ภูมิภาคที่อยู่ในเขตโอเชียเนีย มหาสมุทรแปซิฟิก เมื่อมองจากแผนที่จะเห็นพื้นที่เป็นรูป สามเหลี่ยมหรือที่เรียกกันว่าสามเหลี่ยมโพลินีเซียน 11 ดินแดนซึ่งปิดล็อกสองชั้น-ช่วง ค.ศ. 1639-1854 ญี่ปุ่นถูกมองว่าใช้นโยบายปิดประเทศ ช่วงดังกล่าว ห้ามคนเข้าหรือออกอย่างเด็ดขาด และมีโทษถึงตาย 12 โยบ-ในคัมภีรไ์ บเบิล โยบคนดีเพียบพร้อม เทีย่ งธรรม ย�าเกรงพระเจ้า และหลีกห่างจากความชัว่ ซึง่ โยบ ยอมให้พระเจ้าทรมานเพื่อพิสูจน์ความภักดี และในโยบบทที่ 41 ก็ได้กล่าวถึงวาฬยักษ์ไว้ 10
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 147
กันที่มีความส�าคัญไม่น้อยไปกว่าพระเจ้าอัลเฟรดมหาราช*13 เพราะใช้ ปากกาชัน้ เยีย่ มของตัวเองจดค�าบอกเล่าของบรรดานักล่าวาฬชาวนอร์เวย์ใน หลายยุคสมัย และประกาศสรรเสริญความรุง่ โรจน์ของเราในรัฐสภา...ถ้าไม่ใช่ เอ็ดมันด์ เบิร์ก14? จริงอยู่ หากตัวนักล่าวาฬเองเป็นปีศาจชั้นต�่า ก็เพราะพวกเขาไม่มีเลือด ชั้นดีอยู่ในตัว ไม่มีสายเลือดชั้นดีอยู่ในตัวงั้นหรือ? แต่พวกเขาก็คงมีบางสิ่งที่ดีกว่า เชื้อสายเจ้า แมรี่ มอร์เรล ย่าของเบนจามิน แฟรงคลิน หลังแต่งงานได้ เปลี่ยนนามสกุลมาเป็นแมรี่ โฟลเจอร์ หนึ่งในกลุ่มผู้อพยพซึ่งมาตั้งถิ่นฐานที่ แนนทักเก็ตในยุคแรก และเป็นต้นสกุลโฟลเจอร์และนักพุง่ ฉมวกทีส่ บื เชือ้ สาย มายาวนาน ลูกหลานว่านเครือของเบนจามินผู้สูงศักดิ์ทุกคนในทุกวันนี้ ต่าง ก็พุ่งฉมวกเหล็กจากซีกโลกด้านหนึ่งไปจนถึงอีกด้าน อีกครั้งที่ต้องบอกว่าเยี่ยม แต่ทุกคนก็ยังยอมรับว่าการล่าวาฬเป็นอาชีพ ที่ไม่เชิดหน้าชูตา การล่าวาฬเป็นอาชีพทีไ่ ม่เชิดหน้าชูตาอย่างนัน้ หรือ? การล่าวาฬเป็นเรือ่ ง สูงส่ง! กฎหมายพระราชบัญญัติของประเทศอังกฤษในอดีตถึงกับประกาศให้ วาฬเป็น “ปลาหลวง” โอ๊ะ...นั่นเป็นการแต่งตั้งเพียงในนามเท่านั้น! เพราะตัววาฬเองไม่เคยไป ปรากฏตัวในพิธีอันยิ่งใหญ่โอ่อ่าที่ว่านี้เลย วาฬไม่เคยปรากฏตัวในพิธอี นั ยิง่ ใหญ่โอ่อา่ เลยหรือ? หนึง่ ในชัยชนะอันยิง่
พระเจ้าอัลเฟรดมหาราช-กษัตริย์ผู้ปกครองราชอาณาจักรเวสเซ็กซ์ (แองโกล-แซกซัน) ทางตอนใต้ของ อังกฤษ ช่วง ค.ศ. 871-899 14 เอ็ดมันด์ เบิร์ก-รัฐบุรุษและนักเขียนคนส�าคัญของอังกฤษ (ค.ศ.1729-1797) ในปี 1775 เบิร์กได้ แถลงในรัฐสภาอังกฤษ สรรเสริญความกล้าหาญและความส�าเร็จของอุตสาหกรรมล่าวาฬในนิวอิงแลนด์ สหรัฐอเมริกา ซึ่งแตกต่างตรงกันข้ามกับในยุโรป 13
148 : โมบี-ดิ๊ก
ใหญ่ทแี่ ม่ทพั ชาวโรมัน15ได้รบั ขณะยาตราสูเ่ มืองหลวงของโลก นัน่ ก็คอื กระดูก วาฬที่นา� มาจากทั่วสารทิศของชายฝั่งซีเรีย ซึ่งเป็นวัตถุที่เด่นสะดุดตาที่สุดใน ขบวนแหประโคมฉิ่งฉาบ16นั้น ยอมรับเถอะว่าคุณเคยพูดถึงการล่าวาฬแบบนัน้ แต่กเ็ อาเถอะ พูดได้ตาม สบาย จะบอกว่าการล่าวาฬไม่มีศักดิ์ศรีแท้จริงก็ได้ การล่าวาฬไม่มีศักดิ์ศรีแท้จริงอย่างนั้นหรือ? ศักดิ์ศรีในอาชีพของเรามี แต่สวรรค์เท่านั้นที่เป็นพยานได้ ซีตัส17เป็นกลุ่มดาวทางซีกฟ้าใต้เท่านั้น! รีบ ก้มทั้งหัวทั้งหมวกเคารพเมื่อเห็นจักรพรรดิหรือ? พอกันที! ขอเปิดหมวกให้ เกียรติแก่ควีเควกยังดีกว่า! ผมรู้จักชายคนหนึ่งที่ตลอดชีวิตของเขาล่าวาฬ ได้สามร้อยห้าสิบตัว ผมให้ความนับถือชายคนนั้นมากกว่าผู้บัญชาการเรือ อันยิ่งใหญ่ในอดีต ซึ่งชอบคุยโตอวดอ้างว่าได้ยึดเมืองที่มีปราการแน่นหนา ได้เป็นจ�านวนมาก ส�าหรับผมแล้ว หากเป็นไปได้ว่ายังมีสิ่งดีเลิศในตัวที่ยังค้นไม่พบ หากผม คูค่ วรจะได้รบั การกล่าวขวัญถึงในโลกเล็กๆ อันแสนเงียบสงบ*18 อันเป็นโลก ที่ผมคงไม่อาจทะยานฝันหาโดยไร้เหตุผล หากจากนี้ไป ไม่ว่าผมจะท�าสิ่งใด ซึ่งโดยรวมแล้วเป็นเรื่องของชายคนหนึ่งที่เลือกจะท�าให้ส�าเร็จยิ่งว่าจะปล่อย ทิ้งไว้ให้ค้างคา หากความตายมาเยือนผม หากผู้จัดการมรดกหรือจะว่าให้ ถูกก็คือเจ้าหนี้ของผม มาพบต้นฉบับใดๆ อันเป็นที่รักยิ่งบนโต๊ะท�างานของ ผม ก็ขอบอกกล่าวไว้ ณ ตรงนี้ว่า ผมเขียนมันขึ้นโดยคาดหวังจะให้เกียรติ และยกย่องธุรกิจล่าวาฬ เพราะเรือล่าวาฬก็คอื มหาวิทยาลัยเยลและฮาร์วาร์ ดของผมนั่นเอง แม่ทัพชาวโรมัน-มาคุส เอมิเลียส สกอรุส รัฐบุรุษชาวโรมัน (58 ปีก่อน ค.ศ.) อ้างว่าได้กระดูกซีตัสหรือ สัตว์ทะเลยักษ์ทเี่ พอร์ซอิ สั สังหารเพือ่ ช่วยเจ้าหญิงแอนดรอมิดาตามต�านานเทพปกรณัมกรีก กระดูกทีว่ า่ เคยตั้งแสดงอยู่ในกรุงโรม (งานนิทรรศการสิ่งมหัศจรรย์จากยิวโบราณ) 16 ขบวนแห่ประโคมฉิ่งฉาบ-เมลวิลล์หมายเหตุไว้ว่า รายละเอียดในเรื่องนี้จะกล่าวถึงในบทต่อๆ ไป 17 ซีตสั -กลุม่ ดาวซีตสั หรือกลุม่ ดาววาฬ เป็นกลุม่ ดาวในซีกฟ้าใต้ในหน้าหนาว (และยังเป็นชือ่ ของอสุรกาย ทะเลตามต�านานเพอร์ซิอัส) 18 โลกเล็กๆ อันแสนเงียบสงบ-สวรรค์ 15
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 149
บทที่ 25
ภาคผนวก
ในนามของศักดิ์ศรีแห่งการล่าวาฬ ผมยินดีเสนอก็แต่เฉพาะข้อเท็จจริง ที่พิสูจน์ยืนยันแล้ว กระนั้น หลังจากชายคนหนึ่งตั้งมั่นสู้ในข้อเท็จจริงของ เขา แต่กลับท�าตัวเป็นทนายปิดง�าความนึกคิดที่ไม่ได้ไร้เหตุผล ซึ่งเขาอาจ ใช้วาทศิลป์อธิบายความคิดของตน ทนายผู้นั้นไม่สมควรถูกกล่าวโทษอย่าง นั้นหรือ? เป็นที่รู้กันว่าในพิธีราชาภิเษกพระราชาและพระราชินีในอดีตนั้น จะต้อง ผ่านขัน้ ตอนทีแ่ ปลกพิเศษบางอย่างเพือ่ ปรับปรุงสถานภาพ โดยมีการน�าเอา โถเกลือมาใช้ในพิธี และอาจมีโถพริกไทยหรือน�้าตาลด้วยก็ได้ พวกเขาใช้ เกลือท�าอะไร?...ไม่มีใครรู้แน่ชัด แต่ที่แน่ๆ ผมรู้ว่าพระเศียรของพระราชาจะ ได้รบั การเจิมด้วยน�้ามันในพิธสี วมมงกุฎ เหมือนเหยาะน�า้ มันราดลงบนหน้า สลัด เป็นไปได้หรือไม่วา่ ทีพ่ วกเขาหยดน�า้ มันก็เพือ่ เป็นเคล็ดให้ทกุ อย่างราบ รื่นเหมือนกับที่หยอดน�้ามันให้เครื่องจักรกล? เราควรใคร่ครวญเรื่องศักดิ์ศรี อันส�าคัญในพิธีการของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินนี้ให้ดีๆ เพราะในชีวิตประจ�าวัน แล้ว เรากลับดูถูกเหยียดหยามยามเมื่อพบเห็นใครชโลมน�้ามันใส่ผมและส่ง กลิน่ ฉุนออกมา จริงๆ แล้วชายฉกรรจ์ทใี่ ช้นา�้ มันใส่ผม หากไม่ใช่เพือ่ รักษาโรค บางอย่างแล้ว ก็มคี วามเป็นไปได้วา่ เขาน่าจะมีจดุ อ่อนทีไ่ หนสักแห่งในตัวเอง ซึ่งตามหลักทั่วไปแล้ว เขาไม่อาจเติมเต็มตัวเองให้สมบูรณ์ได้ กระนั้นสิ่งเดียวที่ต้องค�านึงถึงตรงนี้ก็คือ น�้ามันชนิดใดกันที่น�ามาใช้ 150 : โมบี-ดิ๊ก
ในพิธีราชาภิเษก? แน่นอนว่าต้องไม่ใช่น�้ามันมะกอก น�้ามันใส่ผม1 น�้ามัน บีเวอร์2 น�า้ มันหมี3 น�้ามันวาฬ4 หรือน�้ามันตับปลา แต่จะเป็นอะไรไปเสียไม่ ได้ นอกจากไขวาฬหัวทุย*5ซึ่งไม่สามารถผลิตเองได้ และไม่ก่อให้เกิดสภาพ มลพิษ เป็นน�า้ มันที่ยอดเยี่ยมที่สุดในบรรดาน�้ามันทั้งมวล รู้ไว้ด้วยเถิด...ชาวจักรภพอังกฤษทั้งหลาย! ว่าพวกเราเหล่านักล่าวาฬนี่ แหละ เป็น ผู้จัดหาของส�าคัญส�าหรับใช้ในพิธีราชาภิเษกของพระราชาและ พระราชินีของพวกท่าน!
น�้ามันใส่ผม-ว่ากันว่า มาจากเมืองท่ามาคัสซาร์ อินโดนีเซีย น�้ามันบีเวอร์-จากตัวบีเวอร์ ขนบีเวอร์ก็นิยมท�าเป็นหมวก 3 น�้ามันหมี-ใช้แต่งผมให้เรียบ ท�าจากไขมันหมี 4 น�้ามันวาฬ-จากไขวาฬ (ระหว่างผิวหนังกับกล้ามเนื้อ) โดยเฉพาะจากวาฬไรต์และวาฬหัวคันศร 5 ไขวาฬหัวทุย-วาฬสเปิรม์ หรือวาฬหัวทุย เขีย้ วและฟันใช้ทา� เครือ่ งประดับ ไขมันใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ เนือ้ ส�าหรับรับประทาน อาเจียนหรือมูลของวาฬสเปิรม์ ยังมีลกั ษณะแข็งเหมือนอ�าพัน และมีกลิน่ หอมเป็น ลักษณะพิเศษ เป็นของหายาก ราคาแพง ใช้เป็นส่วนส�าคัญในการผลิตหัวน�้าหอมและยาได้ด้วย เรียก ว่า "อ�าพันขี้ปลา" หรือ "อ�าพันทะเล" หรือ "ขี้ปลาวาฬ" และที่ส่วนหัวยังมีสารพิเศษคล้ายไขมันหรือขี้ผึ้ง เรียกว่า "ไขปลาวาฬ" ซึ่งใช้ในการผลิตโลชั่น และเวชภัณฑ์ชนิดต่าง ๆ (จากวิกีพีเดีย) 1 2
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 151
บทที่ 26
อัศวินและผู้ช่วย (1)
ต้นเรือบนเรือพีควอดคือสตาร์บัค เขาเป็นชาวพื้นเมืองแนนทักเก็ต และ เป็นเควกเกอร์โดยสายเลือด เป็นคนสุขุมจริงจัง แม้เกิดบนชายฝั่งหนาวจัด แต่ก็ปรับตัวได้ดียามเมื่อต้องไปอยู่บริเวณเส้นรุ้งอันร้อนอบอ้าว ร่างกายของ เขาทรหดอดทนเป็นสองเท่าของขนมปังอบกรอบ เมื่อล่องไปแถวเกาะอินดิส เลือดในตัวก็ไม่บูดเน่าเหมือนเหล้าเบียร์ในขวด เขาคงต้องเกิดในช่วงวิกฤติ แล้งและทุพภิกขภัย หรือไม่ก็วันอดอาหาร1 จึงท�าให้ปรับตัวได้ดียิ่ง เขาเพิ่ง ผ่านหน้าร้อนอันแห้งแล้งมาเพียงสามสิบฤดูเท่านั้น ฤดูร้อนเหล่านั้นรีดส่วน เกินของร่างกายเขาไปหมด กระนั้น ความผอมบางของเขาก็ไม่ใช่ริ้วรอยแห่ง ความกังวลหรือกลัดกลุม้ อันสูญเปล่า แต่ดเู ป็นแค่ความเหีย่ วแห้งของร่างกาย เท่านั้น นั่นเป็นเพียงการกลั่นความเข้มในแก่ชายคนนั้น เขาไม่ได้ดูไม่ดีเลย ตรงกันข้าม ผิวพรรณกลับกระชับเกลี้ยงเกลาไม่มีที่ติ ห่อหุ้มและเก็บรักษา สุขภาพและพละก�าลังไว้ภายในเหมือนชาวอียิปต์ฟื้นคืนชีพ สตาร์บัคผู้นี้ เหมือนเตรียมพร้อมส�าหรับการมีชีวิตอันยืนยาว มีความทรหดอดทนเสมอ แม้ในตอนนี้ เพราะไม่ว่าจะอยู่ท่ามกลางหิมะขั้วโลกหรือใต้แสงอาทิตย์ร้อน ระอุ พลังใจในตัวก็เป็นหลักประกันซึง่ ท�าหน้าทีไ่ ด้ดใี นทุกๆ สภาพอากาศ ไม่
1
วันอดอาหาร-วันร่วมอดอาหารและสวดภาวนาในรัฐแมสซาชูเซตส์ในปี 1670 และถูกยกเลิกไปในปี 1894 โดยเปลี่ยนเป็น “วันคนรักชาติ” แทน
152 : โมบี-ดิ๊ก
ต่างจากนาฬิกาทีม่ คี วามเทีย่ งตรงสูง2 เมือ่ มองเข้าไปในดวงตาเขา คุณราวกับ จะเห็นภาพภยันอันตรายหลายร้อยพันครัง้ ทีเ่ ขาเผชิญมาตลอดชีวติ ด้วยจิตใจ อันสงบนิ่ง เป็นชายผู้สุขุม แน่วแน่ ซึ่งชีวิตส่วนใหญ่คือละครใบ้ที่บ่งบอกถึง การลงมือท�า ไม่ใช่ด้วยการพูดหรือใช้เสียงอย่างน่าเบื่อ กระนั้น นอกเหนือ จากความหนักแน่นสุขุมและทรหดอดทนแล้ว เขายังมีคุณลักษณะพิเศษอีก หลายอย่างที่ส่งผลในหลายๆ ครั้ง และบางกรณีแทบจะเหนือกว่าคุณสมบัติ อื่นทั้งหมด เป็นชาวทะเลผู้มีส�านึกรู้ที่ไม่ธรรมดา อีกทั้งยังให้ความเคารพ ในธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง และด้วยความอ้างว้างท่ามกลางสายน�้าดุดันในชีวิต ท�าให้เขาออกจะเชือ่ ถือโชคลางอย่างจริงจัง แต่กเ็ ป็นการเชือ่ ถือโชคลางทีด่ จู ะ ท�าให้องค์ประกอบบางอย่างเกิดขึน้ ซึง่ เป็นการใช้สติปญ ั ญา ไม่ใช่อวิชชา และ เป็นการใช้สญ ั ญาณบอกเหตุจากภายนอกร่วมกับลางสังหรณ์ภายในตัวเขาเอง หากจะมีบา้ งบางครัง้ คราทีส่ งิ่ เหล่านีท้ า� ให้เหล็กหลอมแห่งจิตวิญญาณของเขา ต้องโค้งงอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความทรงจ�าเกี่ยวกับครอบครัวซึ่งอยู่ห่างไกล คือภรรยาสาวและลูกที่แหลมเคปคอด3 กลับยิ่งเพิ่มแกร่งกร้าวอันเป็นนิสัย ดั้งเดิมของเขา และขุดเอาศักยภาพอันซ่อนเร้นออกมา ซึ่งส�าหรับชายผู้มีใจ สัตย์ซื่อบางคนแล้วอาจเป็นสิ่งที่ไปเหนี่ยวรั้งความกล้าบ้าระห�่า ที่พบเห็นอยู่ บ่อยครั้งว่าเป็นอันตรายยิ่งกว่าในการท�าการประมง “ในเรือของฉันต้องไม่มี ใคร...” สตาร์บัคบอก “ที่ไม่กลัววาฬ” ดูเหมือนค�าพูดนี้เขาไม่เพียงหมายถึง ความกล้าอันเป็นประโยชน์และเชื่อถือได้มากที่สุดอันเกิดจากการประเมิน อันตรายที่ก�าลังเผชิญอย่างตรงไปตรงมา แต่หมายถึงว่า คนไม่รู้จักกลัวอะไร เลยนั้นกลับเป็นอันตรายเสียยิ่งกว่าเพื่อนผู้ขี้ขลาด “ใช่แล้ว ใช่” ต้นหนสตับบ์พูด “คนรอบคอบแบบสตร์บัค ก็มีในทุกที่ที่ทา� การประมงแหละ” กระนัน้ เรารูก้ นั มาก่อนหน้านีน้ านแล้วว่าค�าว่า “รอบคอบ” นาฬิกาที่มีความเที่ยงตรงสูง-นาฬิกาที่ได้ผ่านการทดสอบความเที่ยงตรงจากสถาบันตรวจสอบความ เที่ยงตรงของนาฬิกาแห่งสวิสต์เซอร์แลนด์ ในที่นี้หมายถึงนาฬิกาที่มีความเที่ยงตรง ซึ่งออกแบบเพื่อ ใช้ในการเดินเรือที่สมบุกสมบัน 3 แหลมเคปคอด-ในแมสซาชูเซตส์ 2
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 153
หมายถึงอะไร หากออกจากปากของคนอย่างสตับบ์หรือนักล่าวาฬแทบทุกคน สตาร์บัคไม่ใช่นักรบสงครามศาสนาหลังเผชิญอันตราย ส�าหรับเขาความ กล้าหาญไม่ใช่เรือ่ งอารมณ์ความรูส้ กึ แต่ตอ้ งเป็นสิง่ ทีม่ ปี ระโยชน์ตอ่ เขาอย่าง แท้จริง และน�ามาใช้ในยามคับขันได้ ยิง่ ไปกว่านัน้ เขาคิดว่า บางทีธรุ กิจล่าวาฬ ควรมีความกล้าหาญเป็นพื้นฐานส�าคัญประจ�าเรือ เหมือนที่ต้องมีเนื้อและ ขนมปังติดเรือไว้ แต่กไ็ ม่ควรใช้ไปอย่างโง่เขลาเปล่าประโยชน์ ด้วยเหตุนี้ เขาจึง ไม่ชอบเอาเรือเล็กลงล่าวาฬหลังอาทิตย์ตก และไม่ดงึ ดันต่อสูก้ บั วาฬทีด่ งึ ดัน สูก้ บั เขาไม่ลดละ สตาร์บคั คิดว่า ฉันมามหาสมุทรเสีย่ งภัยฆ่าวาฬเพือ่ หาเลีย้ ง ชีพ ไม่ใช่มาให้ถูกฆ่าเพื่อเป็นอาหารของพวกมัน มีคนจ�านวนหลายร้อยคน ซึ่งสตาร์บัครู้จักดีถูกฆ่า เคราะห์กรรมนั้นเกิดกับบิดาเขาด้วยหรือเปล่า? ลึกลงไปเบื้องล่างไร้ก้นบึ้งนั้น เขาจะไปตามหาเศษแขนขาของผู้เป็นพี่ชายได้ จากแห่งใดกัน? แม้จากความทรงจ�าทัง้ หลายเหล่านี้ และยิง่ กว่านัน้ จากการเชือ่ ถือโชคลาง บางอย่างดังได้กล่าวไว้ก่อนหน้า แต่ความห้าวหาญของสตาร์บัคผู้นี้ก็ยังมีอยู่ อย่างเปี่ยมล้น และยังสามารถเพิ่มพูนไปจนถึงขีดสุดได้ แต่ธรรมชาติไม่ได้ ท�าให้คนเรามีความลงตัวแบบนั้น ทั้งเขายังเคยผ่านประสบการณ์และความ ทรงจ�าอันเลวร้ายมาก่อนด้วย และธรรมชาติก็ไม่อาจสร้างธาตุแท้ซึ่งซ่อนอยู่ ในตัวเขา ซึ่งอาจพังท�านบกั้นออกมาในช่วงสถานการณ์เหมาะสมและปะทุ ความห้าวหาญของเขาขึ้น และแม้เขาจะเป็นคนกล้า ก็เป็นความกล้าชนิดที่ พบเห็นส่วนใหญ่ในผู้กล้าตัวจริง ผู้ยืนหยัดต่อสู้กับท้องทะเล ลมพายุ ฝูงวาฬ หรือความกลัวอันปราศจากเหตุผลอืน่ ใดในโลก ทัง้ ยังไม่ยอมทนกับการขูข่ วัญ ที่ยิ่งกว่า อันเกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณ ซึ่งบางครั้งมนุษย์ผู้กราดเกรี้ยวและมี อ�านาจอาจขู่ขวัญให้คุณกลัวได้ แต่ทจี่ ะกล่าวถึงต่อไปนัน้ เป็นกรณีตวั อย่างของความกล้าแกร่งทีเ่ สือ่ มถอย ของสตาร์บคั ผูน้ า่ เวทนา มันร่อยหรอลงจนผมไม่มกี ะใจจะเขียนถึง เพราะเป็น เรื่องน่าเศร้าสุดแสน หรือไม่ก็น่าใจหาย ที่ต้องเผยให้รู้ถึงความตกต�่าของจิต 154 : โมบี-ดิ๊ก
วิญญาณอันองอาจ คนเราอาจท�าท่าชิงชังบริษัทร่วมลงทุนและประเทศชาติ ที่มีคนคดโกง คนโง่ขาดสติ และคนร้ายฆ่าคนตาย คนเราอาจซ่อมซ่อหน้า แห้ง แต่ว่าโดยอุดมคติแล้วมนุษย์นั้นสูงส่งและเปล่งประกาย สิ่งมีชีวิตอันยิ่ง ใหญ่และรุง่ โรจน์ เช่นนัน้ ย่อมสูงส่งกว่ามลทินอัปยศใดๆ ทีต่ ดิ ตัวเขา ซึง่ เพือ่ น มนุษย์ของเขาควรพร้อมใจโยนเครือ่ งห่อหุม้ ราคาแพงของตนทิง้ ไป ความเป็น ลูกผู้ชายผู้ไร้มลทินแบบนั้นคือสิ่งที่เรารู้สึกได้ในตัวเราเอง และยังอยู่คู่กับเรา อย่างสมบูรณ์ แม้ภายนอกจะดูแปรเปลี่ยนไปจนหมดสิ้นแล้วก็ตาม นี่แหละ ทีท่ า� ให้เราแสนเจ็บปวดเมือ่ เห็นชายผูส้ ญ ู สิน้ ความกล้า และไม่อาจศรัทธาต่อ ภาพอัปยศเช่นนัน้ ได้ จนบีบคัน้ ให้เราประณามดวงชะตาทีท่ า� ให้เกิดเรือ่ งเช่นนี้ ขึ้น กระนั้นเกียรติศักดิ์อันสง่างามที่ผมยึดถือเสมอมา ไม่ใช่ฐานันดรศักดิ์ของ พระราชาหรือชุดประดับยศถาบรรดาศักดิ์ หากแต่เป็นเกียรติศักดิ์ทั่วไปที่ไม่ ต้องมีพิธีแต่งตั้งประดับยศถาแต่อย่างใด ท่านจะได้ประจักษ์ว่า มันเจิดจรัส อยู่ในมือที่ใช้ถือพลั่วหรือเกี่ยวรวงข้าว เป็นเกียรติศักดิ์อันเสมอภาคที่ทุกคน เปล่งประกายไร้สิ้นสุดของพระเจ้าได้ ด้วยตัวของเขาเอง! พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ อย่างสมบูรณ์...เป็นศูนย์กลางและรัศมีแห่งความเสมอภาค! พระองค์ปรากฏ อยู่ทุกหนแห่ง เป็นความเสมอภาคเท่าเทียมกันของพระเจ้าของเรา! เมือ่ เป็นเช่นนีแ้ ล้ว ส�าหรับพวกลูกเรือเฬวราก ผูถ้ กู ทอดทิง้ และถูกลอยแพ ต่อจากนีไ้ ปผมก็จะถือว่าเป็นผลมาจากคุณสมบัตอิ นั สูงส่ง แม้ความมืดมิดจะ บดบังคุณค่าพวกเขาไปอย่างน่าเศร้าใจ แม้แต่ความโศกสลดที่สุดอาจท�าให้ ต้องเสือ่ มเสียเกียรติอย่างสุดแสน แต่บางครัง้ เขาก็จะแสดงออกถึงความสูงส่ง ยามเมื่อผมสัมผัสได้ถึงแสงสวรรค์ในอุ้งมือของกรรมกรคนนั้น ยามเมื่อผม คลีข่ จายสายรุง้ เหนือดวงอาทิตย์อนั วิบตั อิ บั เฉาของเขา และต่อต้านนักวิพากษ์ จอมร้ายกาจทัง้ มวล ผูย้ นื ยันให้ผมเชือ่ เช่นนัน้ ท่านผูอ้ า้ งจิตวิญญาณแห่งความ เสมอภาค แต่กลับยกย่องพวกเจ้าใหญ่นายโตไว้เหนือชนชั้น ผม พยายาม ยืนยันให้ผมเชื่อ ท่านผู้ด�ารงตนเป็นพระเจ้าแห่งความเสมอภาคผู้ยิ่งใหญ่
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 155
ผู้ไม่ปฏิเสธการตัดสินโทษบันยัน4 คนสีผิวผู้เป็นไข่มุกแห่งงานประพันธ์อันไร้ สีผวิ ท่านผูแ้ ต่งกายด้วยแผ่นทองเนือ้ ดีสองชัน้ ขณะทีผ่ เู้ ฒ่าเซร์บนั เตส5สวมแค่ เสื้อผ้าอนาถาแขนเดียว ท่านผู้เลือกแอนดรูว์ แจ็กสัน6มาจากก้อนกรวด แล้ว ขว้างปาเขาขณะอยูบ่ นม้าศึก และแผดเสียงค�ารามเหนือบัลลังก์ของเขา! ท่าน ผู้ทรงอ�านาจ ผู้ก้าวย�่าโลกและเลือกบุคคลยอดเยี่ยมจากคนธรรมดาสามัญ ผูด้ า� รงตนเยีย่ งพระราชา แล้วยังจะยืนยันให้ผมเชือ่ ในสิง่ นัน้ หรือ โอ้...พระเจ้า!
จอห์น บันยัน (1628-1688) นักเทศน์ชาวอังกฤษ ขณะถูกจองจ�าเพราะ “เทศน์โดยไม่มใี บอนุญาต” เขา ได้เขียนนวนิยายชิงปรียบเปรยชื่อ “The Pilgrim's Progress” (ก้าวใหม่ของนักแสวงบุญ) ซึ่งว่าด้วยการ เดินทางไปสูส่ วรรค์ของทุกผูค้ น และเป็นหนึง่ ในหนังสือภาษาอังกฤษทีม่ กี ารอ่านกันอย่างแพร่หลายทีส่ ดุ 5 มีเกล เด เซร์บนั เตส นักเขียนชาวสเปนผูเ้ ขียน Don Quixote (เรือ่ งราวของขุนนางผูต้ า�่ ศักดิท์ ยี่ ดึ มัน่ และ ท�าตามอุดมคติจนถูกกล่าวหาว่าวิกลจริต) เขาเสียแขนซ้ายไปตอนเข้าร่วมรบที่เลปันโต 6 แอนดรู แจ็คสัน ประธานาธิบดีคนที่ 7 ของสหรัฐอเมริกา ผู้เคยมีประวัติค้าทาส และมีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นครั้งแรกจากการท�าสงครามกับชาวอินเดียแดงที่ครีก 4
156 : โมบี-ดิ๊ก
บทที่ 27
อัศวินและผู้ช่วย (2)
สตับบ์เป็นต้นหน เขาเป็นคนพื้นเมืองแหลมเคปคอด ซึ่งภาษาท้องถิ่นเรียก ชาวเคปคอด เป็นคนสบายๆ ไม่ค่อยทุกข์ร้อนกับอะไร ไม่ขี้ขลาด แต่ก็ไม่ ถึงกับอาจหาญ รับมือกับอันตรายด้วยท่าทีที่ต่างกันไป และยามเมื่อเข้า สู่สถานการณ์คับขันในการไล่ล่า เขาจะมุมานะอย่างหนัก เยือกเย็น และ ควบคุมสติได้ดีดังเช่นช่างฝีมือผู้มีประสบการณ์มาแรมปี เขาเป็นคนง่ายๆ อารมณ์ดี และไม่ค่อยวิตกกังวลกับอะไร เขาควบคุมเรือล่าวาฬฝ่าอันตราย ร้ายแรงราวกับนั่นเป็นแค่อาหารมื้อค�่า และลูกเรือทั้งหมดล้วนเป็นแขกรับ เชิญ เขาก�าหนดที่นั่งอันเหมาะสมบนเรือเป็นพิเศษ เช่นเดียวกับที่คนขับรถ ม้าก�าหนดที่วางกล่องลับ1 เมื่อโรมรันกับวาฬอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาจะจับ ฉมวกเพชฌฆาตขึน้ ไว้ในมืออย่างเยือกเย็นเฉยเมย ราวกับช่างบัดกรีผวิ ปากจับ ค้อน แม้กระทั่งอาจฮัมเพลงเก่าริกเกดิก2ออกมายามเรือตีขนาบเจ้าอสุรกาย ยักษ์ที่ก�าลังบ้าคลั่ง ส�าหรับสตับบ์แล้ว เขายึดถือคติโบราณที่ว่า แปรเปลี่ยน เขี้ยวมัจจุราชให้เป็นที่นั่งสบายๆ เขาคิดเช่นไรกับความตาย ไม่มีใครบอกได้ ที่อาจจะเป็นค�าถามก็คือ เขาเคยคิดถึงมันบ้างหรือเปล่า แต่ไม่ต้องสงสัยเลย ว่า ถ้ามีโอกาสได้ถามใจตัวเองหลังอาหารมื้อค�่าอันผาสุกเหมือนเช่นกะลาสี ทีด่ คี นหนึง่ เขาย่อมต้องมองความตายคล้ายกับเสียงตะโกนให้ระวังจะร่วงตก จากเสากระโดงเรือ และกระตุ้นให้พวกเขาท�าในสิ่งซึ่งจะเห็นผลได้ถ้าปฏิบัติ 1 2
กล่องลับ-กล่องไม้ที่ซ่อนไว้ใต้ที่นั่งคนขับรถม้า เมื่อต้องขนทองแท่งหรือของมีค่าอย่างอื่น ริกเกดิก-หรือริกเกดูน เพลงเต้นร�าจังหวะเร็ว ร่าเริง ว่ากันว่ามาจากเพลงฝรั่งเศส
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 157
ตาม แล้วก็เห็นในทันทีด้วย บางทีอาจมีสิ่งอื่นอีกที่ท�าให้สตับบ์เป็นคนง่ายๆ ไม่กลัวอะไร ในโลกอัน เต็มไปด้วยคนเร่ขายความตาย จนทุกคนต้องก้มหน้าแบกภาระไว้บนบ่า เขา กลับเดิน ผิวปากย�่าเท้าอย่างร่าเริง สิ่งที่ท�าให้เขามีอารมณ์ดีจนแทบไม่สน พระเจ้าแบบนัน้ ก็คงต้องเป็นกล้องยาสูบ เพราะจะเห็นกล้องยาสูบขนาดเล็ก สัน้ สีดา� นัน้ บนใบหน้าเขาเสมอ ไม่ตา่ งจากจมูก หากคุณเห็นเขาลุกจากทีน่ อน โดยปราศจากกล้องสูบยา ก็คงไม่ต่างอะไรจากเห็นใบหน้าเขาไม่มีจมูก เขา จะบรรจุยาเส้นใส่กล้องยาสูบทุกอัน แล้วเรียงเป็นแถวไว้บนชั้นเตรียมพร้อม ส�าหรับหยิบใช้ได้โดยง่าย เมื่อถึงเวลาเข้านอน ก็จะไล่สูบกล้องทุกอันอย่าง ต่อเนื่อง จากอันหนึ่งไปยังอีกอันจนสุดแถว จากนั้นก็จะบรรจุยาเส้นทุกอัน ใหม่แล้ววางเรียงเตรียมไว้อกี ครัง้ เวลาสตับบ์แต่งตัวในตอนเช้า แทนทีจ่ ะสวม กางเกงก่อน เขากลับหยิบกล้องสูบยาใส่เข้าปากก่อนเป็นอันดับแรก ผมว่าการสูบยาอย่างต่อเนื่องนี่ต้องเป็นอีกสาเหตุหนึ่งแน่ อย่างน้อยก็ ท�าให้เขามีนิสัยประหลาดๆ แบบนั้น อย่างที่ทุกคนรู้กันว่าอากาศบนโลก เรานี้ ไม่ว่าบนฝั่งหรือบนเรือ ล้วนมีเชื้อโรคร้ายแพร่กระจายอยู่ ซึ่งเกิดจาก ลมหายใจของผู้ป่วยที่เสียชีวิตไปมากมายนับไม่ถ้วน ช่วงที่อหิวาตกโรค แพร่ระบาด หลายคนใช้ผ้าเช็ดหน้าเหยาะการบูนการบูรปิดปาก ท�านองว่า ใช้ป้องกันโรคร้ายแรงทั้งปวง บางทีควันยาสูบของสตับบ์อาจท�าหน้าที่เป็น เหมือนดั่งสิ่งฆ่าเชื้อก็เป็นได้ ฟลาสก์เป็นรองต้นเรือ เขาเป็นคนพื้นเมืองทิสบิวรี ในสวนองุ่นของมาร์ 3 ทา เป็นชายหนุ่มร่างเตี้ยล�่า ผิวด�าแดง ชอบสู้กับวาฬเป็นชีวิตจิตใจ เขาอาจ คิดว่าสัตว์ทะเลใหญ่ยักษ์เหล่านั้นมีลักษณะที่ได้รับสืบทอดต่อๆ กันให้มายั่ว อารมณ์โกรธของเขา และด้วยเหตุนี้ เขาจึงถือเป็นเกียรติทจี่ ะก�าจัดพวกมันให้ สิ้นซากทุกครั้งที่พบเจอ เขาไม่เคยนึกหวาดหวั่นต่อขนาดอันใหญ่โตน่าพิศวง หรือความลีล้ บั ของมัน และเฉยชาต่ออันตรายทีอ่ าจเกิดขึน้ ยามเผชิญหน้ากับ 3
สวนองุ่นของมาร์ทา-เกาะวินยาร์ด อยู่ทางตอนใต้ของแหลมเคปคอด แมสซาชูเซตส์
158 : โมบี-ดิ๊ก
พวกมัน ด้วยทัศนะที่ออกจะขาดความรอบคอบนั่น ท�าให้เขาเห็นวาฬยักษ์ เป็นแค่เพียงหนูตัวใหญ่ หรือไม่ก็แค่หนูนา�้ ที่ใช้เวลาและอุบายเล็กๆ น้อยๆ ก็จับมาฆ่าและต้มได้แล้ว ความกล้าบ้าบิ่นอย่างขาดสติท�าให้เขามองการล่า วาฬเป็นเรื่องเล่นๆ เขาไล่เจ้าปลาพวกนี้ไปเพราะรู้สึกสนุก สามปีของการ เดินทางออกจากแหลมเคปฮอร์นมีแต่เรื่องรื่นเริงบันเทิงใจตลอดระยะเวลา อันยาวนานนั้น ตะปูของช่างไม้แบ่งเป็นตะปูตีขึ้นรูป4 กับตะปูตัด5 มนุษย์ ก็อาจแบ่งได้เป็นสองประเภทเช่นกัน เจ้าหนุ่มฟลาสก์จัดเป็นประเภทตะปู ตีขนึ้ รูป ซึง่ มีลกั ษณะตอกแน่นและทนนาน คนบนเรือเรียกเขาว่า “คิงโพสต์6” แห่งเรือพีควอด เพราะรูปร่างเขาท�าให้นกึ ถึงเรือไม้ลา� สัน้ ๆ เหลีย่ มๆ ทีร่ จู้ กั กัน ในชือ่ เรือล่าวาฬขัว้ โลกเหนือ ซึง่ จะสอดท่อนไม้จา� นวนมากยืน่ แผ่ออกมาจาก ด้านข้าง เพื่อค�า้ ยันเรือให้ลุยฝ่าไปบนผิวทะเลที่มีน�้าแข็งกระแทกกระทั้นได้ ผูช้ ว่ ยกัปตันทัง้ สาม สตาร์บคั สตับบ์ และฟลาสก์ มีความส�าคัญมาก พวก เขาจะเป็นผูส้ งั่ การบนเรือเพชฌฆาตสามล�าของพีควอด ยามเมือ่ กัปตันเอแฮ็บ สั่งปล่อยกองเรือเล็กลงจู่โจมพวกวาฬ เพชฌฆาตทั้งสามก็จะท�าหน้าที่เป็น กัปตันในกองเรือจู่โจม หรือไม่ก็คว้าหลาวล่าวาฬคมยาวโดดร่วมไล่ล่าด้วย แม้จะมีพวกนักพุ่งฉมวกท�าหน้าที่ปาหลาวอยู่แล้วก็ตาม ตามธรรมเนียมของการประมงแบบนี้ ผูช้ ว่ ยกัปตันหรือเพชฌฆาตจะคล้าย อัศวินยุคเก่า คือมักมีนายท้ายเรือหรือนักพุ่งฉมวกเป็นผู้ช่วยประจ�ากาย คน พวกนี้จะคอยท�าหน้าที่ส่งหลาวอันใหม่ให้ทุกครั้งที่เห็นหลาวอันเก่าบิดเบี้ยว โค้งงอจากการจู่โจมอย่างหนัก ยิ่งกว่านั้น โดยทั่วไปแล้วทั้งคู่ต้องฝากชีวิตไว้ แก่กนั ความสัมพันธ์จงึ ต้องแนบแน่นและคุน้ เคยกันเป็นอย่างดี ด้วยเหตุนเี้ รา จึงต้องจับคูน่ กั พุง่ ฉมวกทีม่ อี ยูบ่ นเรือพีควอดให้เข้าขากับเพชฌฆาตแต่ละคน ตะปูตีขึ้นรูป- (ก่อนคริสตกาลถึงราว ค.ศ. 1800) เป็นตะปูที่ทา� ด้วยมือทีละตัว โดยช่างท�าตะปู ตะปูตัด- (ค.ศ. 1800-1900) ผลิตด้วยเครื่องจักร โดยตัดแท่งเหล็กและดัดหัวตะปูไปพร้อมๆกัน แต่ หลัง ค.ศ. 1900 จนถึงปัจจุบัน จะใช้ตะปูที่ท�าจากเส้นลวด ผลิตโดยเครื่องจักร 6 คิงโพสต์-เสายก หรือเสา (คู่) ติดตั้งคันยกของบนเรือ 4 5
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 159
อันดับแรกสุด สตาร์บคั ผูเ้ ป็นต้นเรือได้เลือกควีเควกเป็นอัศวินผูช้ ว่ ยของเขา ซึ่งทุกคนต่างรู้ฝีมือของควีเควกกันแล้ว คนต่อมาแทชเตโก เป็นชาวอินเดียนแดงแท้จาผาเกย์เฮด บนแหลมด้านทิศ ตะวันตกของเกาะวินยาร์ดแห่งมาร์ทา ซึง่ เป็นบริเวณทีย่ งั คงมีชาวอินเดียนแดง หมูบ่ า้ นสุดท้ายหลงเหลืออยู่ และเป็นแหล่งจัดหานักพุง่ ฉมวกคนกล้าจ�านวน มากที่ป้อนแก่เกาะเพื่อนบ้านคือแนนทักเก็ตมานานแล้ว ในแวดวงประมง มักเรียกอินเดียนแดงพวกนีว้ า่ ชาวเกย์เฮด แทชเตโกเป็นคนร่างสูง ผอม ผมด�า เข้ม โหนกแก้มสูง และมีดวงตาด�ากลมโต ใหญ่เหมือนดวงตาของชาวอินเดียใน เอเชีย แต่ก็เปล่งประกายแบบคนขั้วโลกใต้ สิ่งเหล่านี้บ่งบอกได้ว่าเขาสืบสาย เลือดอันเข้มข้นมาจากพรานนักรบผู้ทระนง ผู้ถือคันธนูไล่ล่ากวางใหญ่ในป่า พืน้ เมืองนิวอิงแลนด์ ในตอนนีแ้ ทชเตโกไม่ตามดมกลิน่ สัตว์รา้ ยในป่าดงอีกต่อ ไป แต่หนั มาตามรอยไล่ลา่ วาฬยักษ์ในทะเล และจับฉมวกอันแม่นย�าขึน้ แทน ลูกธนูอนั เทีย่ งตรงของบรรพบุรษุ หากมองดูกล้ามเนือ้ แขนขาสีนา�้ ตาลอ่อนที่ อ่อนช้อยเหมือนริ้วงูของเขา อาจท�าให้คุณนึกถึงเรื่องโชคลางผีสางของพวก พิวริตนั 7ยุคก่อน จนอาจนึกเชือ่ ครึง่ ไม่เชือ่ ครึง่ ได้วา่ อินเดียนแดงชาวป่าผูน้ เี้ ป็น บุตรของผู้ครอบครองที่มีอา� นาจในฟ้าอากาศ8 แทชเตโกเป็นผู้ช่วยคู่กายของ สตับบ์ผู้เป็นต้นหน นักพุ่งฉมวกคนที่สามคือแด็กกู เป็นคนป่าผิวด�าเป็นถ่าน ร่างก�าย�าใหญ่ยกั ษ์ ก้าวเดินเหยาะราวราชสีหจ์ นดูคล้ายอะฮาซูรสั 9 สองหูหอ้ ย ห่วงทองขนาดใหญ่จนเพือ่ นกะลาสีเรียกมันว่านอตหัวแหวน และใช้รอ้ ยเชือก ชักใบเรือได้เลย ช่วงวัยหนุ่มของแด็กกู เขาสมัครใจใช้ชีวิตอยู่บนเรือล่าวาฬที่ จอดอยู่ในอ่าวห่างไกลผู้คนบนชายฝั่งบ้านเกิด และไม่เคยล่องเรือไปที่ใดใน โลกเว้นแต่แอฟริกา แนนทักเก็ต และท่าเรือของพวกคนป่าที่นักล่าวาฬมัก พิวริตนั -(ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16-17) กลุม่ คริสต์ศาสนิกชนทีส่ นับสนุนความเชือ่ และการกระท�าพิธที าง ศาสนาที่ “บริสุทธิ์” อันรวมไปถึงเรื่องพลังของปีศาจและการไล่ล่าแม่มด 8 ผู้ครอบครองที่มีอ�านาจในฟ้าอากาศ-ปีศาจ “เมื่อก่อนพวกท่านเคยด�าเนินชีวิตในการบาปนั้นตามวิถี ของโลกนี้ ตามผู้ครอบครองที่มีอ�านาจในฟ้าอากาศ คือวิญญาณที่ท�ากิจอยู่ในพวกคนที่ไม่เชื่อฟังใน เวลานี้” (ไบเบิล, เอเฟซัส 2:2) 9 อะฮาซูรัส-กษัตริย์เปอร์เซียในไบเบิล 7
160 : โมบี-ดิ๊ก
ไปจอดเรืออยูเ่ ป็นประจ�า หลังจากใช้ชวี ติ ห้าวหาญอยูบ่ นเรือประมงซึง่ เจ้าของ เรือให้ความใส่ใจเป็นพิเศษกับลักษณะท่าทางของลูกเรือเป็นเวลานานหลาย ปี ตอนนี้แด็กกูก็ยังคงคุณสมบัติความป่าเถื่อนของตนเอาไว้อย่างครบถ้วน เขาร่างสูงชะลูดเหมือนยีราฟ และมักเดิน ผึ่งผายระหว่างดาดฟ้าเรือด้วยขา ของร่างที่สูงหกฟุตครึ่งของเขา เมื่อมองดูเขาก็จะสัมผัสได้ถึงท่าทางนบนอบ แต่ยามเมื่อมีคนขาวไปยืนอยู่ตรงหน้า ก็ดูคล้ายก�าลังยกธงขาวขอสงบศึก อยูห่ น้าป้อมปราการ น่าแปลกทีต่ อ้ งบอกว่า อะฮาซูรสั แด็กกูหรือราชันคนด�า นี่กลับเป็น ผู้ช่วยข้างกายของเจ้าหนุ่มฟลาสก์ ผู้ที่ดูคล้ายกับเบี้ยหมากรุก ข้างกายเขาเสียมากกว่า ส่วนลูกเรือคนอื่นๆ บนเรือพีควอด ต้องบอกว่าใน จ�านวนชายหลายพันคนที่จ้างมาท�างานหน้าเสากระโดงเรือในธุรกิจล่าวาฬ ของอเมริกันนี่ มีไม่ถึงครึ่งหนึ่งที่เป็นชาวอเมริกันโดยก�าเนิด แม้อเมริกันแท้ แทบทั้งหมดจะเป็นพวกที่มีต�าแหน่งบนเรือก็ตาม กรณีนี้การประมงวาฬ อเมริกนั ก็ทา� แบบเดียวกันกับทหารและทัพบกอเมริกนั กองพาณิชย์นาวี และ กองก�าลังทหารช่าง ทีจ่ า้ งคนมาก่อสร้างทางน�า้ และทางรถไฟในอเมริกา ผมว่า ท�าแบบเดียวกันก็เพราะในทุกกรณีขา้ งต้น ชาวอเมริกนั พืน้ เมือง10มักรับหน้าที่ ใช้กล้ามสมองสัง่ การ แล้วก็หนั ไปหาชนชาติอนื่ ทีเ่ หลือในโลกมารับหน้าทีเ่ ป็น กล้ามเนือ้ ในการท�างาน นักล่าวาฬจ�านวนไม่นอ้ ยมาจากหมูเ่ กาะอะโซร์ส11 ซึง่ เรือล่าวาฬที่ล่องพ้นเขตแนนทักเก็ตมักแวะไปจอด เพื่อเกณฑ์ลูกเรือมาจาก ชาวชนบททีแ่ ข็งแรงทรหดบนชายฝัง่ ทีเ่ ต็มไปด้วยหินผานัน้ ท�านองเดียวกันเรือ ล่าวาฬจากกรีนแลนด์ที่ล่องออกนอกฮัลล์12หรือลอนดอน ก็จะแวะเทียบท่า ที่หมู่เกาะเชตแลนด์13เพื่อเติมก�าลังคนให้เต็ม โดยระหว่างทางล่องเรือกลับ บ้าน ก็จะแวะส่งลูกเรือเหล่านีท้ เี่ ดิม ดังนัน้ จึงกล่าวเป็นอืน่ ไปไม่ได้เลย นอกเสีย ชาวอเมริกันพื้นเมือง-ในที่นี้คือชาวอเมริกันโดยก�าเนิด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนผิวขาว หมู่เกาะอะโซร์ส-ตั้งอยู่ตอนกลางของมหาสมุทรแอตแลนติกตอนเหนือ อยู่ทางตะวันตกของกรุง ลิสบอน โปรตุเกส 12 ฮัลล์-เมืองท่าทางชายฝั่งตะวันออกของอังกฤษ 13 หมู่เกาะเชตแลนด์-อยู่นอกชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของสก็อตแลนด์ 10
11
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 161
จากว่าชาวเกาะส่วนใหญ่มกั เป็นนักล่าวาฬทีด่ ที สี่ ดุ ลูกเรือบนเรือพีควอดแทบ ทั้งหมดล้วนเป็นชาวเกาะ รวมทั้งพวกแยกตัว*ด้วย ที่ผมกล่าวแบบนั้นไม่ใช่ เพราะเห็นดีเห็นงามกับลูกเรือที่มาจากแผ่นดินใหญ่หรอกนะ เพราะพวก แยกตัวแต่ละคนซึ่งมักอยู่บนผืนแผ่นดินที่แยกส่วนเป็นของตัวเอง แต่ตอน นี้กลับจับกลุ่มกันในเรือ ช่างเป็นกลุ่มแยกตัว14เสียนี่กระไร! อะแนคชาร์ซิส คลูตซ์ เป็นตัวแทนกลุ่มของชาวเกาะเล็กเกาะน้อยทั้งหมดในทะเล รวมทั้งที่ อยู่สุดโลกด้วย เขาติดตามเฒ่าเอแฮ็บกับลูกเรือพีควอดไปเพื่อระบายความ น้อยเนื้อต�่าใจคับโลกในคอกจ�าเลย ซึ่งพวกนั้นไม่กี่คนนักที่ได้กลับมา โพด�า นะรึ? เขาไม่เค้ยไม่เคยเล่น...อ้า ก็แค่เคยนะ แต่เลิกแล้ว ไอ้หนุ่มอลาบามา ผู้น่าสงสาร! บนดาดฟ้าหัวเรือพีควอดอันถมึงทึง คุณจะเห็นเขาได้แต่ไกล รัวแทมบูรนิ 15เบิกโรงชัว่ เวลาอันเป็นนิรนั ดร์ ดังลัน่ ไปถึงกลางเรือ ยามทีว่ า่ กันว่า เขาถูกเทวดาเข้าสิง กระหน�่ากลองแทมบูรินของเขาอย่างคึกคักสนุกสนาน ตะโกนเรียกเจ้าโง่ตรงนี้ที แล้วทักทายวีรบุรุษตรงนั้นที!
14
พวกแยกตัว-ในที่นี้หมายถึงนักล่าวาฬที่มาจากเกาะซึ่งตั้งอยู่โดดเดี่ยวห่างไกล ไร้ผู้คนรู้จัก แทมบูริน-กลองเล็กคล้ายร�ามะนา มีลูกพรวนผูก ใช้ตีกับฝ่ามือ หรือสั่นเขย่าให้เกิดเสียงดังกรุ๋งกริ๋ง เพื่อประกอบจังหวะ
15
162 : โมบี-ดิ๊ก
บทที่ 28 เอแฮ็บ
แม้เรือแล่นออกจากแนนทักเก็ตเป็นเวลาหลายวันแล้ว แต่ก็ยังไม่มีวี่แววของ กัปตันเอแฮ็บโผล่ออกมาจากประตูบนดาดฟ้าเรือ ผู้ช่วยกัปตันทั้งสามผลัด เปลีย่ นเวรยามกันตามปกติ กระนัน้ ทุกสิง่ ทีเ่ ห็นก็ดจู ะขัดแย้งกันเอง เพราะแม้ ดูเหมือนพวกเขาจะเป็นผู้บัญชาการบนเรือ แต่หลายๆ ครั้งค�าบัญชาการนั้น จะพรัง่ พรูออกมาจากห้องเครือ่ งอย่างฉับพลันและเฉียบขาด จึงเป็นทีช่ ดั เจน ว่าทั้งสามเป็นเพียงผู้รับบัญชาการมาอีกทอดหนึ่ง ใช่แล้ว...จากเหนือหัวจอม เผด็จการที่อยู่ที่นั่น ซึ่งแม้จนกระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่มีใครได้เห็นตัว เพราะไม่ได้ รับอนุญาตให้ผ่านเข้าไปถึงแหล่งกบดานอันศักดิ์สิทธิ์ภายในห้องเครื่องนั้น ทุกครัง้ ทีเ่ ดินขึน้ มาบนดาดฟ้าเรือภายหลังเสร็จสิน้ หน้าทีเ่ ฝ้ายามด้านล่าง ผมมักหันกลับไปมองด้านท้ายเรือทันที เผื่อจะได้เห็นใบหน้าใครสักคนที่ยัง ไม่เคยได้เห็น ผมเริ่มรู้สึกกังวลใจในตัวกัปตัน ผู้ลึกลับคนนี้ จนทะเลเวิ้งว้าง ในยามนี้ได้สร้างความว้าวุ่นใจให้แก่ผม น่าแปลก...ความรู้สึกนี้รุนแรงมาก ยิ่งขึ้นทุกครั้งที่ภาพหลอนของยาจกอีไลจาห์แวบขึ้นมาโดยไม่ได้รับเชิญ ด้วย พลังลี้ลับที่ผมเองก็ไม่เคยนึกถึงมาก่อน แต่ก็มีพลังอ�านาจที่ท�าให้ผมไม่อาจ สกัดกัน้ ความรูส้ กึ อืน่ ๆ ทีท่ ว่ มท้น จนผมเกือบเผลอตัวยิม้ รับกับความชอบกล จนน่าขนลุกของผูห้ ยัง่ รูพ้ ลิ กึ คนบนท่าเรือนัน่ จะเรียกสิง่ ทีผ่ มรูส้ กึ นัน้ ว่าอาการ หวาดหวั่นหรือกระสับกระส่ายก็ตาม แต่ทุกครั้งที่ผมมองไปรอบๆ ตัวใน เรือ ก็ดูเหมือนไม่มีสิ่งใดจะเป็นที่มาของความรู้สึกแบบนั้นเลย แม้ว่านักพุ่ง เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 163
ฉมวกผู้เป็นลูกเรือจะมีร่างกายก�าย�า ป่าเถื่อนไร้วัฒนธรรม นอกรีตไม่นับถือ ศาสนา และจับฉ่ายหลากหลายกว่ากะลาสีผู้นอบน้อมบนเรือพาณิชย์ซึ่งผม เคยมีประสบการณ์เคยคุ้นมาก่อน กระนั้น ผมยังคงลงความเห็นอย่างเป็น ธรรมว่า นีเ่ ป็นผลมาจากลักษณะดุเดือดเฉพาะแบบในการประกอบอาชีพอัน บ้าระห�่าของชาวสแกนดิเนเวีย1 ซึ่งผมโดดเข้าร่วมโดยไม่คิดหน้าคิดหลังก่อน กระนัน้ ด้วยลักษณะทีเ่ ป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของสามเจ้าพนักงานหรือสาม ผู้ช่วยกัปตันบนเรือนี่เอง ที่ถือได้ว่ามีส่วนส�าคัญที่สุดที่ช่วยท�าให้ความรู้สึก เคลือบแคลงสงสัยไร้ชีวิตชีวาบรรเทาเบาบางลง และโน้มน้าวให้เกิดความ เชือ่ มัน่ และร่าเริงในทุกขณะการเดินทาง ทัง้ สามเป็นยิง่ กว่าเจ้าพนักงานบนเรือ โดยแต่ละคนต่างมีลกั ษณะตัวแตกต่างกันไป ซึง่ พบเห็นได้ไม่งา่ ยนัก พวกเขา ล้วนเป็นอเมริกัน เป็นชาวแนนทักเก็ต ชาววินเยิร์ด และชาวเคป เวลานี้อยู่ใน ช่วงเทศกาลคริสต์มาส ขณะเรือแล่นออกจากท่าเป็นช่วงเวลาทีเ่ ราหนาวเหน็บ จากอากาศขัว้ โลกเหนือ แม้ตลอดเวลาเรือจะแล่นออกห่างและมุง่ ตรงไปทาง ทิศใต้ก็ตาม ทุกองศาและทุกลิบดาของเส้นละติจูดที่ล่องเรือไป ก็ค่อยๆ พา เราออกห่างจากฤดูหนาวอันโหดร้าย ทิง้ อากาศเลวร้ายสุดทานทนไว้เบือ้ งหลัง มันเป็นอีกหนึง่ วันทีท่ อ้ งฟ้ามืดครึม้ ไม่มากนัก แต่ยงั คงมืดมัวคลุมเครือเอาการ ตอนรุง่ เช้า ตอนนัน้ ลมปานกลางก�าลังพัดพาเรือให้แล่นทะยานไปบนท้องน�า้ ด้วยแรงอาฆาตพยาบาทสลับสับเปลี่ยนกับความหดหู่เศร้าสร้อย ขณะผม ก้าวขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือเพื่อท�าหน้าที่เฝ้ายามในช่วงก่อนเที่ยง พลันเหลือบ ไปมองราวด้านท้ายเรือด้วยลางสังหรณ์บางอย่างที่วาบเข้ามา แล้วก็เป็นจริง อย่างที่สังหรณ์ กัปตันเอแฮ็บก�าลังยืนอยู่บนดาดฟ้าท้ายเรือนั่น! ไม่มอี ากัปกิรยิ าใดๆ ทีบ่ ง่ บอกถึงความเจ็บป่วยทางร่างกาย หรือแม้กระทัง่ อาการเพิ่งฟื้นไข้ เขาดูคล้ายกับคนที่หลุดออกมาจากหลักบูชายัญขณะไฟ เพิ่งลามเลียแขนขาโดยยังไม่ทันเผาไหม้ หรือไม่อาจพรากเอาความเข้มแข็ง 1
การประกอบอาชีพอันบ้าระห�่าของชาวสแกนดิเนเวีย-เช่น การล่าวาฬ แม้จะมีการล่าวาฬมาตั้งแต่ยุค ก่อนประวัติศาสตร์ แต่การล่าวาฬในน่านน�้าสแกนดิเนเวียช่วยศตรวรรษที่ 17 ถือเป็นจุดเริ่มต้นของ ธุรกิจล่าวาฬ
164 : โมบี-ดิ๊ก
ที่สั่งสมมานานปีไปจากร่างนั้นแม้เพียงอณูเดียว ร่างสูงใหญ่ของเขาเหมือน หล่อหลอมมาจากทองสัมฤทธิ์อันแข็งแกร่ง หล่อขึ้นรูปลักษณ์อันถาวรคงทน คล้ายรูปหล่อเพอร์ซอิ สั ของเชลลีน2ี ริว้ รอยบางอย่างพาดดิง่ จากเส้นผมสีเทา เรือ่ ยลงมาจนถึงใบหน้าและล�าคอกร้านเกรียมของเขา และหายไปในเสือ้ ผ้าที่ สวมใส่อยู่ คุณจะเห็นริว้ รอยนัน้ เป็นเส้นเรียวยาวสีซดี เผือด เส้นริว้ รอยทีพ่ าด ลงมานัน้ คล้ายกับรอยทีเ่ กิดบนไม้ลา� ต้นตรงสูงใหญ่ทถี่ กู สายฟ้าฟาดลงมา โดย ไม่ฉีกกระชากกิ่งก้านใดๆ ออก แต่ก็กะเทาะเปลือกและครูดเนื้อไม้เป็นรอย ยาวจากบนสู่ล่างก่อนสายฟ้านั้นจะดิ่งลงดิน ทิ้งให้ต้นไม้ยังคงยืนต้นเขียวอยู่ โดยมีร่องรอยประทับไว้ ไม่มีใครบอกได้แน่ชัดว่า ริ้วรอยนั้นเป็นมาตั้งแต่เขา เกิดหรือหลังบาดแผลแห้งสนิท แต่เป็นทีร่ กู้ ันว่าห้ามพูดถึงรอยนั่นแม้แต่นอ้ ย นิดตลอดการเดินทาง โดยเฉพาะอย่างยิง่ ในกลุม่ รองกัปตัน กระนัน้ ครัง้ หนึง่ รุ่นพี่ของแทชเตโก อินเดียนแดงเฒ่าชาวเกย์เฮดอีกคนในกลุ่มลูกเรือ กล่าว ขึ้นลอยๆ ว่าตอนที่เอแฮ็บเกิดรอยแผลเป็นนั้นยังอายุไม่ถึงสี่สิบปีเต็มด้วย ซ�า้ มันไม่ได้เกิดขึ้นจากการต่อสู้อย่างบ้าเลือด แต่เกิดจากการต่อสู้ตามปกติ ของชีวิตกลางทะเลต่างหาก ค�าพูดให้ร้ายนั่นดูจะขัดกับสิ่งที่แมนซ์มัน3เฒ่า เคยแย้มออกมาเป็นนัยๆ แกเป็นตาเฒ่าสัปเหร่อผมหงอกผู้ไม่เคยล่องเรือ ออกจากแนนทักเก็ต และไม่เคยพบเห็นเอแฮ็บจอมโหดมาก่อนเลย แต่ด้วย ธรรมเนียมปฏิบตั เิ ก่าแก่เกีย่ วกับการออกเรือและความงมงายแบบเก่าๆ ท�าให้ เชื่อกันว่าตาเฒ่าแมนซ์มัน ผู้นี้มีญาณวิเศษล่วงรู้สิ่งต่างๆ ด้วยเหตุนี้จึงไม่มี ลูกเรือผิวขาวคนใดกล้าโต้แย้งขึงขัง ตอนที่แกบอกว่า ถ้ามีการเตรียมฝังศพ กัปตันเอแฮ็บเมื่อใด...ซึ่งคงไม่แคล้วแน่ เมื่อนั้นใครก็ตามที่ท�าภารกิจสุดท้าย ให้แก่รา่ งไร้วญ ิ ญาณนัน่ ก็จะได้เห็นรอยแผลเป็นบนตัวเขาตัง้ แต่หวั จรดฝ่าเท้า แกพึมพ�าของแกแบบนี้ ท่าทีทเี่ ต็มไปด้วยความถมึงทึงของเอแฮ็บส่งผลต่อผมมาก ริว้ รอยสีซดี ที่ เบนเนวูโต เชลลีน-ี ศิลปินชาวอิตาลี (ค.ศ. 1500 – 1571) ปัน้ รูปหล่อของวีรบุรษุ เพอร์ซอิ สั ก�าลังชูศรี ษะ หัวงูของเมดูซา หลังจากสังหารนาง 3 แมนซ์มัน-เรียกชาวพื้นเมืองที่เกาะมัน ในทะเลไอริช 2
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 165
เห็นชัว่ แวบในตอนแรกนัน้ ยังน่าขนหัวลุกไม่ถงึ เศษเสีย้ วของขาสีขาวป่าเถือ่ น ทีเ่ ขาใช้หยัดยืน ผมรูม้ าก่อนหน้านีแ้ ล้วว่าขาสีงานัน้ คือกระดูกกรามวาฬหัวทุย ทีน่ า� มาขัดมัน “นัน่ ล่ะ...เขาเสียเสากระโดงเรือไปตอนอยูท่ ญ ี่ ปี่ นุ่ ” อินเดียนแดง เฒ่าชาวเกย์เฮดพูดขึน้ ครัง้ หนึง่ “แต่กเ็ หมือนเรือไร้เสากระโดงนัน่ แหละ เขาใช้ เสากระโดงอืน่ แทนโดยไม่ตอ้ งถึงกับล่องกลับบ้าน เขาใช้เสาส�ารองน่ะ เหมือน กระบอกลูกศรไง” ผมต้องตะลึงกับวิธยี นื ทีไ่ ม่ธรรมดาของเขา แต่ละด้านของดาดฟ้าท้ายเรือ ค่อนข้างใกล้กับเชือกขึงเสาท้ายเรือ และมีรูสว่านเจาะไว้เป็นช่องประมาณ ครึ่งนิ้วบนพื้นกระดาน ขากระดูกของเขาเสียบลงไปปักแน่นอยู่ในรูน่ัน ขณะ ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นยึดเชือกขึงเสาไว้ กัปตันเอแฮ็บยืนยืดตัวมองตรงไปยังหัว เรือซึ่งเคยเป็นที่ตั้งกระโจม สายตานั้นฉายแววทรหดอดทนอย่างมั่นคงไม่มี สิ้นสุด และเปี่ยมความตั้งใจแน่วแน่ที่จะไม่ยอมจ�านนต่อสิ่งใดด้วยความเด็ด เดี่ยวไร้ความหวาดหวั่น เขาไม่ได้พูดอะไรสักค�า และไม่มีลูกเรือคนใดพูด อะไรกับเขา ทว่าอากัปกิริยาและสีหน้าที่พวกเขาแสดงออกมานั้น เห็นได้ ชัดเจนว่าต่างรูส้ กึ กระสับกระส่ายจนแทบทรมาน ด้วยรูต้ วั ว่าสายตาของผูเ้ ป็น เจ้านายก�าลังจับจ้องอยู่เขม็ง ไม่เพียงเท่านั้น เอแฮ็บยังยืนอยู่เบื้องหน้าพวก เขาด้วยสีหน้าหงุดหงิดพร้อมจะจับใครต่อใครขึงพืด ราชานิรนามทั้งมวลต่าง ก็มีอานุภาพข่มขวัญผู้คนให้ต้องรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ แบบนั้น เป็นเวลาเนิ่นนานกว่ากัปตันเอแฮ็บจะยอมออกจากห้องเครื่องมายืนรับ อากาศด้านนอก แต่หลังจากออกมาเป็นครัง้ แรกในเช้าวันนัน้ แล้ว เขาก็ปรากฏ ตัวให้ลกู เรือเห็นทุกวัน ถ้าไม่ยนื อยูบ่ นรูปกั ขานัน่ ก็จะนัง่ อยูบ่ นม้านัง่ สีงาของ เขา หรือไม่กเ็ ดินย�า่ เท้าไปมาอยูบ่ นดาดฟ้า เมือ่ ท้องฟ้าคลายความอึมครึมลง และความอบอุ่นค่อยๆ เข้ามาแทนที่ เขาก็เริ่มปลีกตัวสันโดษน้อยลงเรื่อยๆ ราวกับว่าเมื่อเรือแล่นออกจากบ้านเกิด จะมีก็แต่ความเปล่าเปลี่ยวแห่งฤดู หนาวจัดท่ามกลางทะเลเวิ้งว้างเท่านั้นที่ท�าให้เขาเก็บตัวเงียบ ซึ่งเมื่อเวลา ผ่านไป เขาก็เลิกปลีกตัว ในตอนนี้เขาแทบออกมายืนรับอากาศเป็นประจ�า 166 : โมบี-ดิ๊ก
แต่เท่าที่สังเกตเห็นเขาพูดหรือท�าท่าพูด อย่างน้อยๆ ก็ที่ดาดฟ้าอาบแดดนั่น ดูเหมือนเขาจะเป็นแค่เสาเรืออีกต้นที่ไม่จ�าเป็นต้องอยู่ตรงนั้นเลย แล้วเรือพี ควอดก็ลอ่ งมาถึงช่วงทีไ่ ม่ใช่การเดินเรือตามปกติอกี ต่อไป เพราะเข้าใกล้เวลา เตรียมพร้อมส�าหรับการล่าวาฬ ซึง่ ต้องตรวจตราลูกเรือให้ทา� งานกันอย่างเต็ม ประสิทธิภาพ เพือ่ จะได้ไม่มอี ะไร หรือมีเรือ่ งทีต่ อ้ งกวนใจเอแฮ็บน้อยให้ทสี่ ดุ ตอนนีช้ ว่ งเวลาของการเร่งรีบได้หยุดยัง้ ลงชัว่ ขณะหนึง่ รอยเมฆหมอกก่อเค้า ขึน้ เป็นริว้ บนหน้าผากของเขา ขณะปุยเมฆทีเ่ คยอยูต่ รงนัน้ สมัครใจลอยขึน้ สูง กองซ้อนอยู่เบื้องบนแทน แม้ก่อนหน้านั้นเนิ่นนาน ยามเมื่อเราผ่านอากาศอบอุ่นอันชวนให้ร้องร�า ท�าเพลงอย่างสุขสันต์ราววันหยุด ดูเหมือนนัน่ ก็มเี สน่หใ์ ห้เขาค่อยๆ ลืมเลือน ความขุ่นหมองไปด้วย เพราะเมื่อเดินทางกลับบ้านในฤดูหนาว ยามที่สาว แก้มแดงพากันเริงร�าในเดือนเมษาและพฤษภา แม้แต่ปา่ ไม้ทชี่ งิ ชังผูค้ น อย่าง ต้นโอ๊กเก่าแก่ตะปุ่มตะป�่าใบโกร๋นซึ่งถูกฟ้าผ่าแยกเป็นร่อง อย่างน้อยๆ ก็ยัง ผลิใบเขียวขึ้นมาต้อนรับผู้มาเยือนที่มีหัวใจอันเบิกบาน เอแฮ็บก็เช่นกัน ในที่สุดก็มีปฏิกิริยาตอบสนองไม่น้อยต่อมนต์เสน่ห์สีสันของอากาศสดชื่น ปานหญิงสาวแรกแย้ม ไม่เพียงครั้งเดียวที่เขาท�าท่าเหมือนเบิกบานออกมา ให้เห็นอย่างเลือนราง ซึ่งถ้าเป็นคนอื่นแล้ว ก็คงจะต้องถึงขนาดต้องยิ้มออก มาในไม่ช้า
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 167
บทที่ 29
เอแฮ็บในใจสตับบ์
เวลาล่วงเลยมาหลายวัน ทะเลน�้าแข็งและภูเขาน�า้ แข็งถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง เรือ พีควอดในตอนนี้แล่น ผ่านฤดูใบไม้ผลิอันปลอดโปร่งของเมืองกีโต1 น่านน�้า บริเวณนี้ย่างเข้าฤดูกาลแห่งเดือนสิงหานิรันดร์ของเขตร้อน ช่วงกลางวัน ยาวนาน อากาศเย็นสบาย ท้องฟ้าสดใส กลิ่นหอมขจรขจาย บรรยากาศ ดิ่มด�่า ดังเชอร์เบ็ตเปอร์เซีย2ในแก้วผลึกใส โรยด้วยเกล็ดน�้าแข็งและกลีบ กุหลาบ ช่วงค�่าคืนพร่างพรายโอ่อ่าด้วยแสงดาว ราวสตรีสูงศักดิ์ผู้หยิ่งทะนง ในชุดก�ามะหยีป่ ระดับอัญมณีเลอค่า ทีต่ า่ งถนอมตัวอย่างภาคภูมเิ ดียวดายอยู่ ในบ้าน เฝ้าร�าลึกถึงแต่ทา่ นเอิรล์ เจ้าหัวใจผูไ้ ม่มาปรากฏกาย บุรษุ ผูร้ งุ่ โรจน์ใน หมวกสีทอง! ส�าหรับชายผู้หลับใหล ก็ยากแยกแยะระหว่างวันอันเริงร่ากับ คืนค�่าอันเย้ายวน เสน่ห์แห่งฤดูกาลอันไม่แรมราไม่เพียงหยิบยื่นมนต์เสน่ห์ และพลังสะกดต่อโลกภายนอก หากยังปลุกเร้าจิตวิญญาณภายในด้วย โดย เฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโมงยามอันสงบอ่อนโยนในยามเย็นมาเยือน ยามนั้นภาพ ความทรงจ�าพลันแจ่มชัดขึน้ ราวผลึกใสในสายัณห์อนั เงียบงัน และมนต์สะกด ทั้งมวลนี้นับวันยิ่งหลอมรวมเข้าไปในธาตุแท้ของเอแฮ็บ คนอายุมากมักหลับยาก ราวกับยิ่งมีชีวิตมานาน ยิ่งไม่ต้องท�าอะไร แต่ ที่มองดูเหมือนตายมากนัก โดยปกติแล้วกัปตันเรือเดินทะเลผู้แก่เฒ่า มัก จะลุกจากที่นอนมายืนบนดาดฟ้าเรือยามค�่าคืนเสมอ เอแฮ็บก็เช่นกัน หาก 1 เมืองกีโต-ประเทศเอกวาดอร์ 2 เชอร์เบ็ตเปอร์เซีย-น�้าแข็งใส (ขนม) 168 : โมบี-ดิ๊ก
แต่ว่าเวลานี้ดึกมากแล้ว กระนั้นดูเขายังคงยืนดื่มด�่ากับบรรยากาศที่เปิดโล่ง ซึ่งว่ากันตามจริงแล้ว เขามักคลุกอยู่แต่ในห้องเครื่องมากกว่าจะออกมายัง ดาดฟ้าเรือ “เหมือนก�าลังจะก้าวลงหลุมตัวเอง” เขาคงพึมพ�ากับตัวเองอย่าง นั้น “ส�าหรับกัปตันเฒ่าอย่างฉัน ไอ้ช่องแคบๆ ที่เดินลงไปห้องเครื่องนั่น ก็เหมือนทางเดินไปหลุมนอนที่ขุดไว้ฝังตัวเอง” ด้วยต้องมีคนเฝ้ายามเกือบตลอดยีส่ บิ สีช่ วั่ โมง จึงก�าหนดตัวลูกเรือให้ผลัด เปลี่ยนกันมายืนยามกลางคืน โดยยามชุดที่เฝ้าดาดฟ้าเรือจะเฝ้าพวกที่นอน อยู่ข้างล่างด้วย ตอนสาวเชือกขึ้นบนดาดฟ้าหัวเรือ พวกลูกเรือก็จะท�ากัน อย่างเบามือกว่าตอนกลางวัน โดยระมัดระวังไม่ให้เกิดเสียงไปรบกวนเพื่อน ที่ก�าลังงีบหลับอยู่ด้านล่าง ขณะบรรยากาศเงียบสงบเช่นนี้เกิดขึ้นตามปกติ เหมือนที่เป็นมาทุกวัน นายท้ายเรือผู้นิ่งมองช่องทางลงห้องเครื่องอยู่นาน ก่อนหน้านั้นแล้ว ก็เห็นชายชราผู้นั้นโผล่ตัวขึ้นมา เขาเกาะราวบันไดเหล็กดึง ร่างพิการของตัวเองก้าวขึ้นมาบนดาดฟ้าเรือ เขาถือได้ว่าก็มีมนุษยธรรมใน ตัวเช่นกัน เพราะในโมงยามแบบนี้ เขาไม่ค่อยออกมาเดินตรวจตราดาดฟ้า ท้ายเรือนัก ด้วยเกรงใจบรรดารองกัปตันผู้เหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งวัน การ หาจุดพักส้นเท้ากระดูกสีงากว้างหกนิ้วและปักมันในช่องนั่นอาจท�าเสียง แครกครากดังก้อง อีกทั้งเสียงตึงๆ ยามเดินย�่าเท้ากระดูกอาจท�าให้พวกที่ ก�าลังหลับฝันถึงปลาฉลามขบเคี้ยวเคี้ยวฟันก็ได้ แต่เมื่ออารมณ์ขุ่นมัวคุกรุ่น เกินกว่าจะค�านึงถึงเรื่องอื่นใด เขาก็เผลอกระแทกฝีเท้าหนักขณะโขยกเขยก เดินตรวจตราเรือจากด้านท้ายไปยังเสากระโดงใหญ่ เป็นผลให้ต้นหนเฒ่าส ตับบ์โผล่ขึ้นมาจากด้านล่างด้วยความรู้สึกไม่มั่นใจนัก เขากล่าวต�าหนิอย่าง ติดตลก ท�านองว่าถ้ากัปตันเอแฮ็บพอใจเดินย�่ากระดานเล่น คงไม่มีใครกล้า ว่าอะไร แต่น่าจะเดินแบบเก็บเสียงสักหน่อย พร้อมกล่าวอ้อมแอ้มเป็นนัยๆ ว่า น่าจะหาเลื่อนลูกล้อลากที่สอดส้นเท้างานั่นเข้าไปได้ ฮ้า! สตับบ์ ช่างไม่ รู้จักเอแฮ็บเสียแล้ว! “เห็นฉันเป็นลูกปืนใหญ่หรือไง สตับบ์?” เอแฮ็บพูด “ถึง จะให้ฉันยัดตัวแบบนั้น แต่ฉันจะลืมมันซะ ไปไกลๆ เลย ไปลงหลุมของนาย เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 169
อย่างที่ท�าทุกคืน นอนซุกผ้าห่อศพที่จะใช้ยัดใส่ตัวนายในท้ายที่สุด กลับลง คอกไปซะ...ไอ้หมาเอ๊ย!” จุดเริม่ อันไม่คาดคิดทีล่ งเลยด้วยการด่าตอบโต้แบบทันควันของเอแฮ็บ ท�า ให้สตับบ์เงียบงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดออกมาอย่างตื่นๆ “น้อยคนจะพูดกับ ผมแบบนี้ครับ ก็มีบ้าง...แต่ยังไม่ถึงขนาดนี้ครับ” “หุบปาก!” เอแฮ็บกัดฟันกรอด แล้วรีบผละเดินออกห่างราวกับไม่อยาก ให้อารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นมาอีก “อย่าเพิ่งครับ เดี๋ยวก่อน” สตับบ์พูดอย่างใจกล้าขึ้น “ผมไม่เชื่องถึงขนาด จะถูกเรียกเป็นหมานะครับ” “งั้นฉันเรียกอีกสักสิบครั้งก็ได้ ไอ้ลา ไอ้ล่อ ไอ้โง่ ไปให้พ้นๆ เลย ไม่งั้น นายไม่ได้เห็นโลกอีกแน่!” ขณะพูดประโยคนั้นเอแฮ็บก้าวพรวดเข้าหาด้วยท่าทางน่ากลัว จนสตับบ์ ต้องถอยหลังกรูดโดยไม่รู้ตัว “ฉันไม่เคยยอมให้ใครมาดูถกู แบบนัน้ โดยไม่ตะบันหน้ามัน” สตับบ์บน่ พึม หลังพบว่าตัวเองก้าวลงช่องบันไดมาถึงด้านล่างแล้ว “แปลกจัง เดี๋ยวก่อน... สตับบ์ ถึงอย่างนั้น ตอนนี้ฉันก็ยังไม่รู้ว่าควรย้อนกลับไปชกเขาสักทีหรือท�า อะไรสักอย่างดี หรือว่าคุกเข่าลงตรงนี้แล้วสวดภาวนาให้เขาดี? ใช่ นั่นเป็น ความคิดทีแ่ วบเข้ามาในหัว แต่นคี่ งเป็นครัง้ แรกทีฉ่ นั สวดภาวนาแน่ มันแปลก แปลกมาก เขาเองก็แปลกด้วย ใช่ เดินจากหัวเรือไปท้ายเรืออยูไ่ ด้ ช่างเป็นเฒ่า แปลกประหลาดทีส่ ดุ เท่าทีส่ ตับบ์เคยล่องเรือด้วย ดูเขาจ้องฉันสิ! สายตายังกับ นกปืน! เขาบ้าไปแล้ว! เอาเถอะ...เขาคงมีเรือ่ งต้องคิด และไอ้เสียงแครกคราก นัน่ คงต้องเป็นอย่างอืน่ น่ะ ตอนนีเ้ ขายังไม่ได้เข้านอน ยีส่ บิ สีช่ วั่ โมงนีไ่ ม่ได้นอน มาเลยสามชั่วโมงแล้ว และก็ไม่ได้นอนอีกเลย ก็เจ้าเด็กห้องครัวไง ที่บอก ว่าตอนเช้าเจอเตียงผ้าเปลญวนของตาเฒ่านั่นยับยู่ยี่กระจุยกระจาย ผ้าห่ม ลงมากองที่ปลายเปล ผ้าคลุมก็พันกันจนเป็นปม ส่วนหมอนร้อนก็ร้อนฉ่า น่าขนลุกราวกับเป็นก้อนอิฐในเตาเผายังไงยังงั้น ช่างเป็นชายแก่ที่ดุเดือด 170 : โมบี-ดิ๊ก
จริงๆ! ฉันเดาว่าเขาต้องถูกชาวบ้านบนฝั่งกลัวกัน ท�านองโรคปวดเส้น ประสาทใบหน้าที่ว่ากันว่าร้ายยิ่งกว่าปวดฟัน แหม...แหม...ฉันก็ไม่รู้ว่ามันคือ อะไรกันแน่ แต่พระเจ้าทรงช่วยฉันไม่ให้ติดเจ้าโรคนั่น เขาช่างเต็มไปด้วย ปริศนา ฉันอยากรูว้ า่ เขาเข้าไปในห้องเก็บสินค้าท้ายเรือโน่นท�าไมทุกคืน อย่าง ทีเ่ จ้าเด็กห้องครัวบอกฉันว่ามันสงสัย ตาเฒ่าท�าอย่างนัน้ ท�าไมกัน? ฉันอยาก รู้ไปท�าบ้าอะไรกัน? หรือว่านัดใครไว้ในนั่น? มันแปลกใช่ไหมล่ะ ไม่มีทางรู้ ได้หรอก อาจเป็นลูกไม้เก่าๆ ที่หลบเข้าไปงีบในนั้นก็ได้ ให้ตายเถอะ เกิดมา เป็นคนบนโลกใบนี้ทั้งทีก็น่าจะหลับให้คุ้มหน่อย พอคิดเรื่องนี้ ฉันว่านั่นเป็น สิ่งแรกสุดที่เด็กทารกมันท�ากัน ซึ่งมันก็เป็นเรื่องแปลกอีกเหมือนกัน ให้ตาย เถอะ พอคิดเรื่องนี้ มันช่างแปลกประหลาดไปหมด ซึ่งมันขัดกับหลักปฏิบัติ ของฉัน เพราะหลักบัญญัติข้อที่สิบเอ็ดของฉันก็คือต้องไม่คิด และบัญญัติ ข้อที่สิบสองคือต้องนอนเมื่อมีโอกาส...และนี่ก็อีกเหมือนกัน แล้วไหงงั้น? เขาเรียกฉันว่าไอ้หมานี่หว่า? นรกเอ๊ย! เขาเรียกฉันว่าไอ้ลาโง่ตั้งสิบครั้ง แถม ด่าว่าโง่เซ่ออีกหลายค�า! เขาอาจเตะฉันด้วยซ�้า และคงท�าไปแล้วด้วยมั้ง อาจ เตะฉันเข้าแล้วก็ได้ แต่ฉันไม่ทนั เห็น เพราะมัวแต่ถอยหลังกรูดเพราะหน้าตา น่ากลัวนั่น วูบนั้นมันเหมือนกระดูกซีดเลย เจ้าปีศาจนั่นมีปัญหาอะไรกับฉัน นักหนา? ขาฉันปวกเปียกไปหมด ไปยุ่งกับเจ้าเฒ่านั่นช่างพลิกหน้ามือเป็น หลังมือจริงๆ พระเจ้าทรงโปรด ฉันคงต้องฝันไปแน่ๆ เพราะอะไร เพราะ อะไร...เพราะอะไรหว่า? แต่...คงต้องเหยียบไว้ ส่วนไอ้เรื่องแปลญวนกับเรื่อง ตอนเช้านั่น ฉันค่อยคิดช่วงกลางวันแล้วกันว่ามันเกี่ยวกันยังไง
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 171
บทที่ 30
กล้องยาเส้น
หลังจากสตับบ์ไปแล้ว เอแฮ็บยืนพิงกราบเรือได้สักพัก ก็ท�าเหมือนที่เขาเคย ท�าอยู่ทุกค�่าคืน คือใช้ให้ลูกเรือที่ก�าลังอยู่ยามลงไปด้านล่างเพื่อน�าเอาเก้าอี้ กระดูกกรามและกล้องยาเส้นขึ้นมาให้ เขาจุดมันจากตะเกียงกล้องเข็มทิศ จากนั้นก็นั่งปักหลักบนเก้าอยู่บนดาดฟ้าด้านรับลม นั่งและสูบยาไปพลาง ยุคสมัยนอร์สโบราณกาล เป็นประเพณีที่น�างาของนาร์วาล1มาใช้ท�าเป็น บัลลังก์ของกษัตริย์ชาวเดนมาร์กผู้รักท้องทะเล มองดูเอแฮ็บที่ก�าลังนั่งบน ม้านั่งสามขาซึ่งท�าจากกระดูกวาฬ จะไม่ท�าให้หวนนึกถึงกษัตริย์เดนมาร์ก นั่นหรอกหรือ? เพราะท่านข่านแห่งเรือ ราชันย์แห่งท้องทะเล และจ้าวแห่ง วาฬยักษ์ก็คือเอแฮ็บนี่เอง เวลาผ่านไปได้พักใหญ่ ขณะควันหนาพ่นออกมาจากปากของเขาอย่าง รวดเร็วสม�่าเสมอ และลอยหวนกลับไปที่หน้า “ไหงตอนนี้” เขาร�าพึงกับ ตัวเองออกมาในทีส่ ดุ ถอดกล้องยาเส้นออกจากปาก “สูบยาก็ไม่ชว่ ยให้ใจสงบ ได้เลย โอ้...กล้องยาเส้น! ฉันต้องล�าบากแน่ถา้ เจ้าหมดมนต์ขลังไปแบบนี!้ นีฉ่ นั เผลอสูบไปเหนือ่ ยเปล่า ไม่ได้สบู ให้เพลินเลย...ใช่ แถมยังสูบแบบไม่ดเู หนือลม ใต้ลม ลนลานสูดเอาๆ เหมือนวาฬใกล้ตายยังไงยังงั้น! ลมเฮือกสุดท้ายของ ฉันมันรุนแรงและแสนทรมาน แล้วฉันจะสูบกล้องยาเส้นไปหาพระแสงอะไร? สูบไอ้นกี่ เ็ พือ่ จะให้ใจสงบ พ่นควันขาวละมุนมาคลอเคลียผมขาวละมุน ไม่ใช่ 1
นาร์วาล-วาฬขั้วโลกเหนือ เพศผู้มีงาเดี่ยวเป็นเกลียวยาว (จริงๆ คือฟันซี่เดียวของมัน) ซึ่งอาจยาวถึง สามเมตร จนมีฉายาว่า "ยูนิคอร์นแห่งท้องทะเล" หรือ"ยูนิคอร์นแห่งขั้วโลกเหนือ"
172 : โมบี-ดิ๊ก
ปอยผมสีเทาเหล็กกร้านกระจุยแบบฉันนี่ ฉันจะไม่สูบอีกแล้ว...” เขาขว้างกล้องยาสูบที่ยังคงติดไฟอยู่ลงทะเลไป เสียงไฟดับในน�้าดังแฉ่ เป็นจังหวะเดียวกับทีเ่ รือโยนตัวในคลืน่ ทีก่ ล้องยาสูบก็จมลงไปเห็นพรายฟอง เอแฮ็บเดินโซเซไปบนกระดานเรือ ทั้งที่หมวกยังเผล่ลงมา
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 173
บทที่ 31
นางฟ้าแห่งฝัน1
เช้าวันต่อมา สตับบ์ก็คุยกับฟลาสก์ “เป็นฝันที่แปลกมาก...คิงโพสต์ ฉันไม่เคยฝันอย่างนี้มาก่อน นายก็รู้เรื่อง ขางาของไอ้เฒ่านัน่ ฉันฝันว่าเขาเตะฉันด้วยขานัน่ แล้วพอฉันพยายามจะเตะ กลับ ด้วยสัตย์จริงนะ ไอ้หนุ่ม ฉันเหวี่ยงขาขวาออกไปแล้วด้วย! และแล้ว... ทันใดนั้นเอง! เอแฮ็บพลันเหมือนพีระมิด ส่วนฉันเหมือนตัวตลกบ้าคลั่งที่ พยายามเตะมัน ฟลาส์ก...นายก็รู้ว่าเรื่องในฝันน่ะมันย่อมแปลกประหลาด เป็นธรรมดา แต่ทแี่ ปลกยิง่ กว่านัน้ คือ ไม่รทู้ า� ไมฉันเหมือนบอกตัวเองในใจว่า ยังไงซะลูกเตะของเอแฮ็บนั่นน่ะก็ไม่ใช่การจู่โจมสักหน่อย ‘ท�าไมน่ะรึ’ ฉันคิด ‘เพราะไม่ใช่การชกต่อยกันน่ะสิ ขานัน่ มันไม่ใช่ขาจริง แค่ขาปลอมๆ’ แล้วแรง ชกของหมัดจริงกับหมัดปลอมกันต่างกันมหาศาล การต่อยด้วยหมัด...ฟลาสก์ ย่อมแรงกว่าไม้เท้ากว่าสิบห้าเท่า อวัยวะที่มีชีวิตถึงจะจู่โจมได้อย่างมีชีวิต... ไอ้หนุ่ม ฉันบอกตัวเองในใจตลอดตอนที่ก�าลังจะขยับปลายเท้าปวกเปียก ขึ้นเตะไอ้พีระมิดระย�านั่น ว่ามันช่างแตกต่างกันลิบลับ ตลอดเวลา...ฉันบอก ตัวเองในใจว่า ‘ตอนนี้ขาของเขาไม่ใช่อะไรอื่น ก็แค่ไม้เท้า...แท่งกระดูกวาฬ ใช่แล้ว’ ฉันคิดว่า ‘นั่นเป็นแค่การนวดด้วยไม้กระบองเล่นๆ และอันที่จริง แล้ว เขายืน่ กระดูกวาฬให้ฉนั ต่างหาก ไม่ได้เตะเตอะอะไรสักหรอก’ ฉันคิดว่า 1
นางฟ้าแห่งฝัน-ราชีนีแม็บ นางฟ้าตามนิทานพื้นบ้านอังกฤษ ในโรมีโอกับจูเลียตของเช็กสเปียร์ ราชินี แม็บขี้รถม้าจิ๋วเข้าไปทางรูจมูกของผู้ที่ก�าลังหลับไปถึงสมอง แล้วดลบันดาลให้เกิดฝันดี หรือฝันร้าย (ถ้าเธออารมณ์เสีย)
174 : โมบี-ดิ๊ก
‘หน�าซ�้าแล้ว เมื่อมองดูอีกที ไอ้ที่ปลายของมัน...ตรงที่เป็นเท้านั่นน่ะ โอ้...มัน ช่างเล็กอะไรอย่างนั้น ถ้าเป็นเท้าใหญ่ๆ ของชาวนาก็คงเป็นการเตะที่รุนแรง มากทีเดียว แต่ลูกเตะของเขาแค่ถากๆ ไปเท่านั้น’ พอคิดได้อย่างนี้ความฝัน นั่นก็เป็นแค่เรื่องน่าข�าที่สุด ฟลาสก์ ไอ้พีระมิดที่ฉันก�าลังวางมวยด้วย มันก็ แค่เงือกแก่ขนหนาเป็นจุดขาวด�าเหมือนตัวแบดเจอร์ และมีโหนกบนหลัง เงือก เฒ่าขยุ้มสองไหล่ฉันเขย่าริกๆ แล้วถามว่า “นายจะท�าอะไร?” พระเจ้าช่วย! ไอ้หนุม่ เอ๊ย ฉันถึงกับผวา! ใบหน้านัน่ น่ากลัวเหลือเกิน! แต่อดึ ใจต่อมาฉันก็ขม่ ความกลัวได้ ‘ฉันจะท�าอะไรน่ะหรือ?’ ฉันพูดออกไปในที่สุด ‘แล้วมันกงการ อะไรของนาย ฉันอยากรู้นัก...นายค่อม อยากโดนเตะรึ?’ พระเจ้า...ฟลาสก์ ฉันยังพูดไม่ทันจบ เขาก็หมุนตัวหันก้นให้ แล้วโก้งโค้งรวบเอาสาหร่ายทะเล ที่ติดอยู่เยอะแยะขึ้นมาฟาดใส่ นายว่าฉันเห็นอะไรล่ะ? โอ้! ฟ้าร้องมันมีพลัง ไอ้หนุ่ม ก้นของเขามีเดือยเหล็กฟั่นเชือกปลายแหลมเปี๊ยบติดอยู่เต็ม ฉันเลย ต้องเปลี่ยนความคิดและพูดออกไปว่า ‘ฉันว่า...ฉันจะไม่เตะนายหรอก เกลอ เฒ่า’ ‘สตับบ์...คนฉลาด’ เขาพูด ‘สตับบ์คนฉลาด’ แล้วก็เอาแต่พึมพ�าค�าเดิม ตลอดเวลา คล้ายก�าลังเคี้ยวเอื้องหยับๆ เหมือนแม่มดในปล่องไฟ เมื่อเห็น เขาทีไ่ ม่มที ที า่ ว่าจะหยุดพูดค�าว่า ‘สตับบ์คนฉลาด.. สตับบ์คนฉลาด’ ฉันก็คดิ ว่าน่าจะเตะไอ้พีระมิดนั่นอีกสักครั้ง แต่แค่ฉันยกขาขึ้นมาเท่านั้น เขาก็แผด เสียงว่า ‘หยุด...อย่าเชียวนะ!’ ‘ฮัลโล’ ฉันพูด ‘คราวนี้อะไรอีกล่ะ เกลอเฒ่า’ ‘ดูนายตอนนีส้ ’ิ เขาพูด ‘ลองบอกมาสิ ท�าไมถึงอยากเตะฉันนัก กัปตันเอแฮ็บ เตะนายงั้นรึ’? ‘ใช่ เขาเตะฉัน’ ฉันพูด ‘โดนตรงนี้’ ‘งั้นเหรอ’ เขาพูด ‘เขาใช้ขา สีงาของเขาเตะใช่ไหม?’ ‘ใช่แล้ว ขานั่นแหละ’ ฉันพูด ‘งั้นก็...’ เขาพูด ‘สตับบ์ คนฉลาด แล้วนายจะบ่นหาอะไรล่ะ เขาก็ตั้งใจเตะแล้วนี่ ไม่ได้ใช้ขาไม้สน ธรรมดาเตะสักหน่อยใช่ไหม? ไม่ธรรมดาเลยล่ะ นายถูกเตะโดยมหาบุรุษ ผู้มีขาสีงาสวยงามนะ สตับบ์ มันเป็นเกียรติ ฉันว่ามันเป็นเกียรติแก่ตัวนาย ฟังนะ สตับบ์คนฉลาด ในอังกฤษยุคโบราณเจ้าแผ่นดินผู้ยิ่งใหญ่คิดว่าเรื่อง มงคลที่สุดในชีวิตคือการถูกราชินีตบหน้าและการแต่งตั้งอัศวินชั้นสูงสุด มัน เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 175
ถึงเป็นเรื่องที่นายเอาไปคุยอวดได้ สตับบ์ ว่านายถูกเอแฮ็บเฒ่าเตะเอา เพื่อ สร้างคนฉลาดขึ้นมา จ�าค�าพูดฉันไว้นะ นายถูกเขาเตะ จงถือว่าเป็นเกียรติ ที่โดนเขาเตะ ไอ้ที่ไม่ได้เตะเขากลับอย่าไปใส่ใจ เพราะนายช่วยตัวเองไม่ได้ สตับบ์คนฉลาด นายเห็นพิระมิดนั่นไม่ใช่รึ?’ พอพูดจบปั๊บเขากลายร่างเป็น ตัวประหลาดอะไรสักอย่าง แล้วก็แหวกว่ายไปในอากาศ จากนั้นฉันก็กรน พลิกตัวไปมา และตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองนอนอยู่ในเปลญวณ! นายคิดยังไง กับฝันนี่ ฟลาสก์” “ผมไม่รู้หรอก แต่ฟังดูไร้สาระ” “คงงั้น...คงงั้น แต่มันท�าให้ฉันกลายเป็นคนฉลาด ฟลาสก์ นายเห็นเอ แฮ็บยืนอยู่นั่นไหม? ก�าลังตรวจหลังเรืออยู่ข้างๆ โน่น นั่นล่ะ อย่างเก่งที่นาย จะท�าได้...ฟลาสก์ คือปล่อยให้ตาเฒ่านั่นอยู่ตามล�าพัง อย่าไปพูดต่อกรกับ เขาเชียว ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรมา เฮ้! เขาตะโกนอะไรอยู่น่ะ? ฟังสิ!” “ไอ้พวกบนยอดเสาหลัก*2น่ะ! ตาไวๆ หน่อย! มีฝงู วาฬแถวนีโ้ ว้ย! ถ้าเห็น ไอ้ตัวสีขาวละก็ ตะโกนให้คอแตกเลยนะ!” “นายคิดยังไงล่ะที่นี้ ฟลาสก์? ได้กลิ่นทะแม่งๆ รึยัง? โห วาฬตัวขาวรึ? ชัดหรือยัง...ไอ้หนุม่ ฟังนะ...มีอะไรแปลกๆ อยูน่ า เตรียมพร้อมไว้ละ่ ...ฟลาสก์ จิตใจเอแฮ็บชุ่มโชกไปด้วยเลือด แต่อย่าปริปากไปล่ะ เขามาทางนี้แล้ว”
2
ยอดเสาหลัก-กะลาสีสามคนจะฝ้าอยู่บนยอดเสากระโดงเรือทั้งสามต้น โดยปกติ เสากระโดงหลักจะ ผลัดเปลี่ยนกะกันทุกๆ สองชั่วโมง
176 : โมบี-ดิ๊ก
บทที่ 32
ศาสตร์แห่งวาฬ
เราล่วงเข้าสูเ่ ขตทะเลลึกอย่างหาญกล้า และอีกไม่นานก็จะถูกกลืนหายไปใน ทะเลเวิง้ ว้างไร้ฝง่ั ท่า แต่กอ่ นจะถึงตอนนัน้ ก่อนทีล่ า� เรือกระจ้อยร่อยของเรือ พีควอดจะปั่นป่วนอยู่ข้างล�าตัวซึ่งมีเพรียงเกาะเต็มของเจ้าวาฬยักษ์ เราควร เริ่มต้นด้วยการท�าความเข้าใจอย่างละเอียดถี่ถ้วนถึงเรื่องราวเกี่ยวกับสัตว์ ทะเลใหญ่ยักษ์นี่ ตลอดจนค�าเล่าขานถึงวาฬทุกชนิดที่เราก�าลังตามล่า มีการแบ่งประเภทของวาฬไว้อย่างกว้างๆ เป็นระบบ ซึ่งผมยินดีเล่าให้ คุณฟัง แต่นี่ไม่ใช่งานง่ายๆ เลย เพราะยังมีความสับสนในการแบ่งหมวดหมู่ สายพันธุไ์ ม่นอ้ ยไปกว่าทีพ่ ยายามกล่าวถึงในบทนี้ ลองฟังทีบ่ รรดาผูเ้ ชีย่ วชาญ คนดังได้กล่าวไว้ล่าสุดว่า “ภาควิชาสัตววิทยาไม่มีข้อมูลมากพอจะแยกออกมาตั้งเป็นสาขาวาฬ วิทยาได้” กัปตันสกอร์สบี1้ กล่าวไว้เมื่อปี 1820 “ผมไม่มีเจตนา และไม่มีอ�านาจที่จะเข้าไปสอบถาม ถึงวิธีที่ถูกต้องใน การแบ่งวาฬวิทยาเป็นกลุ่มเป็นสายพันธุ์....ยังมีความสับสนอยู่มากในกลุ่ม ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ของสัตว์ชนิดนี้ (วาฬหัวทุย)” ศัลยแพทย์บีล2 ค.ศ. 1839 กัปตันสกอร์สบี้-วิลเลียม สกอร์สบี้ (ค.ศ. 1789-1857) นักส�ารวจขั้วโลกเหนือชาวอังกฤษ ซึ่งเมลวิลล์ ใช้ข้อมูลเกี่ยวกับวาฬส่วนใหญ่จากงานเขียนของเขา 2 ศัลยแพทย์บีล-โทมัส บีล (ค.ศ. 1807-1849) เขียนหนังสือชื่อ “ธรรมชาติวิทยาของวาฬหัวทุย” (ค.ศ. 1839) ซึ่งเมลวิลล์ให้เป็นแหล่งข้อมูล 1
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 177
“การตามสืบค้นข้อมูลในทะเลลึกล�า้ เป็นเรือ่ งทีไ่ ม่ควรท�า” “มีมา่ นบางๆ ที่ ไม่อาจมองทะลุ กั้นขวางความรู้ของเราเรื่องวาฬวิทยา” “เป็นสาขาวิชาที่เต็ม ไปด้วยขวากหนาม” “เรือ่ งทัง้ หมดนีข้ าดความสมบูรณ์ และทรมานใจพวกเรา เหล่านักธรรมชาติวิทยา” ข้อความทีก่ ล่าวถึงวาฬข้างต้นเป็นของกูวเี ย3ผูโ้ ด่งดัง และจอห์น ฮันเตอร์4 กับเลส์ซอง5 อันเป็นอีกมุมมองหนึง่ ของสัตววิทยาและกายวิภาคศาสตร์ เพราะ แม้จะมีหนังสือมากมายในสาขาวิชาทีว่ า่ แต่ความรูท้ แี่ ท้จริงก็มอี ยูน่ อ้ ยนิด โดย เฉพาะวาฬวิทยาหรือศาสตร์แห่งวาฬยิ่งแล้วใหญ่ มีคนมากหลายทั้งที่มีชื่อ เสียงและที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักนัก ทั้งคนรุ่นใหม่และคนรุ่นเก่า ทั้งคนที่ใช้ชีวิต อยู่บนบกและชาวทะเล ที่เขียนถึงวาฬไว้มากบ้างน้อยบ้าง ยกตัวอย่างบาง คนก็ได้แก่ ผู้เขียนไบเบิ้ล, อริสโตเติ้ล, ปลิน6ี , อัลโดรวันดี7, เซอร์โทมัส บรา วน์8, เกสเนอร์9, เรย์10, ลินเนียส11, รงเดแลต12, วิลลัฟบี13, กรีน , อาร์เตดี14,
กูวีเย-จอร์จ กูวีเย (ค.ศ. 1769-1832) นักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศส จอห์น ฮันเตอร์-(ค.ศ. 1728-1793) ศัลยแพทย์และนักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ 5 เลส์ซอง-เรอเน ปรีเมแวเร เลส์ซอง (ค.ศ.1794-1849) ศัลยแพทย์และนักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศส 6 ปลินี- ปลินี ผู้อาวุโส (ค.ศ. 23-79)นักประวัติศาสตร์และนักธรรมชาติวิทยาชาวโรมัน 7 อัลโดรวันดี อุลอีสเซ (ค.ศ. 1522-1605)นักธรรมชาติวิทยาชาวอิตาเลียน 8 โทมัส บราวน์ (ค.ศ. 1605-1682) นักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ 9 กอนราด เกสเนอร์ (ค.ศ. 1516-1565)นักธรรมชาติวิทยาชาวสวิส 10 จอหน์ เรย์ (ค.ศ. 1627-1705) นักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ 11 คาร์ล ลินเนียส (ค.ศ. 1707-1778) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน บิดาแห่งอนุกรมวิธาน (การจัดจ�าแนก สิ่งมีชีวิตออกเป็นหมวดหมู่ตามสายวิวัฒนาการ) สมัยใหม่ 12 กุยโลเมอ รงเดแลต (ค.ศ. 1507-1566) ศาสตราจารย์ชาวฝรั่งเศส 13 ฟรานซิส วิลลัฟบี (ค.ศ. 1635-1672) นักปักษีวิทยาและมีนวิทยา (ศึกษาปลา) ชาวอังกฤษ 14 ปีเตอร์ อาร์เตดี (ค.ศ. 1705-1735)นักธรรมชาติวิทยาและบิดาแห่งมีนวิทยาชาวสวีเดน 3 4
178 : โมบี-ดิ๊ก
ซิบบัลด์15, บรีสซอง16, มาร์เทินส์17, ลาเซอแปด18, บงนาแตร์19, เดอส์มาเรสต์20, บารอน กูวเิ ยร์21, เฟรดเดอริค กูวเิ ยร์22, จอห์น ฮันเตอร์23, โอเว่น24, สกอร์สบี,้ บีล, เบนเนตต์25, เจ. รอสส์ บราวน์26, ผูเ้ ขียนมิเรียม คอฟฟิน27, โอล์มสเต็ด28 และบาทหลวงที. ชีฟเวอร์29 แต่จดุ มุง่ หมายโดยรวมของงานเขียนเหล่านีก้ เ็ ป็น ดังข้อความที่ยกมาข้างต้นแสดงให้เห็น ในรายชือ่ ผูเ้ ขียนหนังสือเกีย่ วกับวาฬข้างต้น นับจากโอเว่นมาเท่านัน้ ทีเ่ คย ได้มีโอกาสเห็นวาฬเป็นๆ และมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เป็น ผู้เชี่ยวชาญด้าน การพุ่งฉมวกและนักล่าวาฬตัวจริง บุคคลที่ว่านั้นก็คือกัปตันสกอร์สบี้ ถ้าว่า ถึงเรื่องวาฬกรีนแลนด์30 หรือวาฬไรต์31อย่างเดียว เขานับเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มี
เซอร์โรเบิร์ต ซิบบัลด์ (ค.ศ. 1641-1722) แพทย์ชาวสก็อตต์ ผู้บรรยายถึงวาฬสีน�้าเงินเป็นคนแรก ชากส์ บรีสซอง (ค.ศ. 1723-1806) นักสัตววิทยาและนักปรัชญาธรรมชาติชาวฝรั่งเศส 17 เฟรเดริช มาร์เทินส์ แพทย์และนักธรรมชาติวิทยาชาวเยอรมัน (ค.ศ. 1635 - 1699) ผู้เขียนเรื่องการ ออกส�ารวจวาฬในปี 1671 18 แบร์นาร์ด เกแมง เดอ ลาเซอแปด (ค.ศ. 1756-1825) นักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศส 19 บงนาแตร์ (ค.ศ. 1725-1815) นักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศส 20 นิโกลา เดอส์มาเรสต์ (ค.ศ. 1725-1815) นักธรณีวิทยาชาวฝรั่งเศส 21 บารอน กูวิเยร์ (ค.ศ. 1769-1832) นักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศส 22 เฟรดเดอริค กูวิเยร์ (ค.ศ. 1773-1838) นักสัตววิทยาชาวฝรั่งเศส 23 จอห์น ฮันเตอร์ (ค.ศ.1728-1793) ศัลยแพทย์และนักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ 24 ริชาร์ โอเว่น (ค.ศ.1804-1892) นักชีววิทยาชาวอังกฤษ 25 เฟรเดริก เดเบลล์ เบนเน็ตต์ (ค.ศ. 1806-1859) ศัลยแพทย์ผู้เขียนเรื่องการล่าวาฬรอบโลก 26 เจ. (จอห์น) รอสส์ บราวน์ (ค.ศ. 1817-1875) นักเขียนและนักผจญภัยชาวอเมริกันไอริช 27 โจเซฟ ซี. ฮาร์ต (ค.ศ. 1798-1855) ผู้เขียนนวนิยายขายดี " มีเรียม คอฟฟิน หรือต�านานนักล่าวาฬ" 28 ฟราสซิส อัลลิน อัลม์สเต็ด (ค.ศ. 1819-1844) เมลวิลล์ใช้หนังสือ "เรื่องการล่าวาฬ" (ค.ศ. 1841) ของเขาเป็นแหล่งข้อมูล 29 บาทหลวงเฮนรี ที. ชีเวอร์ (ค.ศ. 1814-1897) เมลวิลล์ใช้นวนิยายเกี่ยวกับวาฬของเขาบางเรื่องเป็น แหล่งข้อมูล 30 กรีนแลนด์-เกาะทีใ่ หญ่ทสี่ ดุ ในโลก ตัง้ อยูท่ างทิศเหนือบริเวณทีแ่ อตแลนติกพบกับมหาสมุทรอาร์ตกิ ซึง่ ปัจบุ นั กลายเป็นน�า้ แข็งไปหมดแล้ว และมีทะเลล้อมรอบเกาะอยู่ ดังนัน้ ชายฝัง่ จะมีอณ ุ หภูมติ า�่ อยูต่ ลอด เวลา และด้วยสภาพที่ตั้งจึงท�าให้ภูมิอากาศของกรีนแลนด์เป็นภูมิอากาศหนาวเย็นแบบขั้วโลกเหนือ 31 วาฬไรต์-ที่ได้ชื่อแบบนั้นเพราะนักล่าวาฬเชื่อว่า มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่มีสิทธิ์ (ไรต์) ล่ามัน 15
16
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 179
ความรู้ดีที่สุด แต่สกอร์สบี้ก็ไม่มีความรู้และไม่ได้กล่าวถึงวาฬหัวทุย32 ไว้เลย ทัง้ ทีเ่ มือ่ เทียบกันแล้ว วาฬกรีนแลนด์นนั้ แทบไม่มคี ณ ุ ค่าอะไรให้กล่าวถึงมาก นัก เขาเขียนไว้ว่าวาฬกรีนแลนด์เป็น ผู้ชิงบัลลังก์จ้าวแห่งทะเล ทั้งๆ ที่มัน ไม่ได้มีความส�าคัญอะไรนอกเสียจากเป็นวาฬที่มีขนาดใหญ่ยักษ์เท่านั้น กระนั้น เนื่องจากมีการกล่าวขวัญถึงวาฬกรีนแลนด์มาก่อนสกอร์สบี้เนิ่น นาน ผนวกกับความไม่รตู้ ลอดช่วงเจ็ดสิบปีทผี่ า่ นมา33 ท�าให้เรือ่ งราวของวาฬ หัวทุยไม่เป็นที่รู้จักกันเลยหรือไม่ก็เป็นแค่นิทานหลอกเด็ก ซึ่งส่งผลมา จนถึงถึงวันนี้ และส่งอิทธิพลไปโดยถ้วนทั่ว เว้นเสียก็แต่ในแวดวงในทาง วิทยาศาสตร์และท่าเรือล่าวาฬไม่กี่แห่งเท่านั้น สัตว์ทะเลยักษ์แทบทั้งหมด ที่เอ่ยอ้างถึงในบทกวียุคอดีต ท�าให้คุณแน่ใจว่าวาฬกรีนแลนด์ไร้ซึ่งคู่แข่งใน การก้าวขึ้นเป็นจ้าวแห่งสัตว์ทะเลทั้งปวง แต่ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ต้องประกาศ กันใหม่เสียที เหมือนการประกาศกลางชุมทางชาร์รงิ 34ว่า พวกท่านทัง้ หลาย! จงรับรู้ว่า วาฬกรีนแลนด์ถูกปลดจากต�าแหน่งเรียบร้อยแล้ว วาฬหัวทุยขึ้น ครองต�าแหน่งจ้าวแห่งทะเลแล้ว! มี ห นั ง สื อ เพี ย งสองเล่ ม เท่ า นั้ น ที่ ท� า ให้ คุ ณ เชื่ อ ว่ า เนื้ อ หาพู ด ถึ ง วาฬ หัวทุยตัวเป็นๆ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นหนังสือทีย่ ากจะประสบความส�าเร็จ เหลือเกิน หนังสือทีว่ า่ เป็นของบีลและเบนเน็ตต์ ทัง้ คูเ่ คยใช้ชวี ติ เป็นศัลยแพทย์ บนเรือล่าวาฬในทะเลใต้ ต่างเป็นคนที่มีความถูกต้องแม่นย�าและเชื่อถือได้ แม้เลีย่ งไม่ได้ทเี่ นือ้ หาซึง่ กล่าวถึงวาฬหัวทุยในหนังสือของพวกเขาจริงๆ แล้ว มีไม่มากนัก แต่ทั้งหมดก็เป็นข้อมูลที่มีคุณภาพดีเลิศ แม้ส่วนใหญ่จะเป็นการ บรรยายด้านวิทยาศาสตร์ก็ตาม อย่างไรก็ตาม จนถึงทุกวันนี้เนื้อหาที่เกี่ยว วาฬหัวทุย-หรือวาฬสเปิร์ม วาฬชนิดมีฟันที่ใหญ่ที่สุด (ล�าตัวยาว 15-18 เมตร หนัก 31.8-40.8 ตัน) แม้จริงๆ แล้ววาฬสีน�้าเงินจะเป็นวาฬและสัตว์ที่ใหญ่ที่สุด (ยาว 25-32 เมตร หนัก 100-120 ตัน) แต่ก็ไม่มีฟัน 33 ตลอดช่วงเจ็ดสิบปีที่ผ่านมา-หลังทศวรรษที่ 1780 ที่นักล่าวาฬนิวอิงแลนด์เพิ่งเริ่มล่องมหาสมุทร แปซิฟิก เพื่อล่าวาฬหัวทุย 34 ชุมทางชาร์รงิ -สีแ่ ยกในกรุงลอนดอน ทีฝ่ งู ชนเคยมารวมตัวเพือ่ เป็นสักขีพยานในการลงโทษประหารชีวติ กลางชุมชน รวมถึงการประหารพระเจ้าชาร์ลส์ที่หนึ่งในปี 1649 32
180 : โมบี-ดิ๊ก
กับวาฬหัวทุย ไม่ว่าจะทางวิทยาศาสตร์หรือบททวี ก็ยังไม่มีเล่มไหนเขียนถึง ได้อย่างสมบูรณ์ ต่างจากวาฬอื่นๆ ทั้งหลายที่ถูกล่ามาได้ วาฬหัวทุยยังเป็น ชีวาฬที่ยังไม่มีการเขียนถึง วาฬหลากหลายชนิดควรได้รบั การจัดแยกประเภทสายพันธุใ์ ห้ครอบคลุม และเป็นที่ยอมรับ อย่างน้อยก็เพื่อให้เห็นถึงสายพันธุ์คร่าวๆ ในตอนนี้ เพื่อ ว่าคนรุ่นหลังในอนาคตจะได้มาเพิ่มเติมสายพันธุ์ใหม่ๆ ในภายหลัง และ เนื่องจากผู้รับหน้าที่นี้ยังไม่รุดหน้าไปถึงไหน ผมจึงต้องขันอาสาท�าไปตาม ก�าลังน้อยนิดเท่าที่มี ผมบอกได้เลยว่าไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบ เพราะสิ่งที่ มนุษย์ถอื ว่าสมบูรณ์แบบนัน้ คงต้องเป็นความผิดพลาดของการใช้เหตุผลทีไ่ ม่ ผิดพลาด ผมคงจะไม่โอ้อวดบรรยายด้านกายวิภาคของวาฬหลากหลายชนิด อย่างละเอียด อย่างน้อยก็จะไม่พรรณนาเยิ่นเย้อบนพื้นที่ในหน้ากระดาษนี้ ผมแค่จะกล่าวถึงต้นร่างของโครงสร้างวาฬวิทยาเท่านัน้ ด้วยผมเป็นสถาปนิก ไม่ใช่ช่างก่อสร้าง กระนั้นนี่ก็ยังเป็นงานหิน ไม่ใช่งานคัดแยกจดหมายทั่วๆ ไปในที่ท�าการ ไปรษณีย์ แต่ต้องควานหาลึกลงไปถึงก้นทะเลตามเหล่าวาฬ ยื่นมือเข้าไป สัมผัสฐานราก โครงร่าง และกระดูกเชิงกรานแห่งโลกอันเหลือที่จะพรรณนา นี่เป็นเรื่องน่ากลัว ผมเป็นอะไรกันถึงดันพยายามไปสนตะพายเจ้ายักษ์แห่ง ท้องทะเลนี!่ เสียงหัวเราะเย้ยหยันน่ากลัวในโยบ35 อาจท�าให้ผมต้องขนหัวลุก ‘เจ้ายักษ์ทะเลจะท�าข้อตกลงกับเจ้าหรือ? นั่นเป็นความหวังลมๆ แล้งๆ!’ ถึง อย่างนั้นผมยังคงท่องไปตามห้องสมุดและออกล่องไปยังมหาสมุทร ผมต้อง ศึกษาชีวิตวาฬด้วยสองมือที่เห็นอยู่นี้ ผมเป็นคนตั้งใจจริง และจะพยายาม ท�าให้ได้ ด้านล่างนี้เป็นเรื่องแรกๆ ที่ต้องหาข้อสรุป อันดับแรก: ความไม่แน่นอนและไร้ระบบของศาสตร์แห่งวาฬต้องถูก พิสจู น์โดยข้อเท็จจริง ซึง่ ยังเป็นทีถ่ กเถียงกันบางส่วนว่าวาฬใช่ปลาหรือไม่ ใน หนังสือ ‘ระบบธรรมชาติ’ ของลินเนียสในปี 1776 เขาได้ประกาศว่า “ผมขอ 35
เสียงหัวเราะเย้ยหยันน่ากลัวในโยบ-โยบบทที่ 41 (คัมภีร์ไบเบิล) พระเจ้าทรงเตือนโยบถึงฤทธิ์อา� นาจ อันน่าหวาดหวั่นของวาฬยักษ์
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 181
แยกวาฬออกจากปลา” แต่เท่าที่ผมรู้นั้น จ�าได้ว่าจวบจนถึงปี 1850 นี้ ปลา ฉลามกับปลาเชด ปลาเอลไวฟ์กับปลาเฮอร์ริง ก็ไม่ได้เป็นดังที่ลิสเนียสแสดง ความคิดเห็นไว้ เพราะพบว่าปลาเหล่านี้ยังคงแบ่งพื้นที่ครอบครองส่วนหนึ่ง ในทะเลเดียวกันกับสัตว์ใหญ่อย่างวาฬ เหตุผลทีล่ นิ เนียสอยากแยกวาฬออกจากสัตว์ทะเลอืน่ เขาได้กล่าวไว้ดงั นี้ ‘เนือ่ งจากพวกมันเป็นสัตว์เลือดอุน่ ทีม่ หี วั ใจสองห้อง มีปอด มีเปลือกตาขยับ ได้ มีโพรงหู มีอวัยวะเพศส�าหรับสืบพันธุ์ มีนา�้ นมส�าหรับให้นมลูก36 และท้าย ทีส่ ดุ อยูต่ ามกฎธรรมชาติ ด้วยคุณสมบัตอิ นั เหมาะสม’ ผมบอกทีล่ นิ เนียสว่า ไว้ให้ซิเมียน เมซีย์ และชาร์ลีย์ คอฟฟิที่แนนทักเก็ตฟัง สองคนนี้เป็น เพื่อน ร่วมก๊วนของผมขณะเดินทาง พวกเขาพร้อมใจกันแสดงความเห็นว่า ยังไม่มี เหตุผลเพียงพอให้เชื่อถือได้ ชาร์ลีย์กล่าวดูหมิ่นกลายๆ ว่าหลอกลวงทั้งเพ ขอให้รับรู้กันเถิดว่าผมไม่เชื่อเหตุผลทั้งหมดที่น�ามากล่าวอ้างสนับสนุน และเลือกทีจ่ ะเชือ่ ตามหลักฐานในอดีตทีช่ ชี้ ดั ไว้วา่ วาฬเป็นปลาชนิดหนึง่ โดย ขอหยิบยกเอาเรื่องราวของนักบุญโยนาห์มาใช้สนับสนุนความเชื่อของผม ข้อมูลนีเ้ ป็นหลักฐานทีช่ ดั เจน ส�าหรับประเด็นทีว่ า่ อวัยวะภายในของวาฬแตก ต่างจากปลาชนิดอืน่ ตามทีล่ นิ เนียสได้ให้เหตุผลเอาไว้ขา้ งต้น ซึง่ กล่าวโดยสรุป คือมีปอด และเลือดอุ่น ขณะที่ปลาชนิดอื่นทั้งหมดไม่มีปอด และเลือดเย็น อันดับถัดมา: เราจะให้ค�าจ�ากัดความวาฬด้วยรูปลักษณ์ภายนอกของมัน เพื่อใช้เป็นค�าเรียกชี้ชัดถึงตัวมันตลอดเวลาที่กล่าวถึง โดยสรุปวาฬเป็นปลา ว่ายอยู่ในน�า้ ได้ด้วยหางที่แบนขนานไปกับพื้นน�้าดังที่คุณได้รู้กันมา ค�าจ�ากัด ความโดยย่อนีย้ งั เป็นข้อมูลเพิม่ เติมส�าหรับการพิจารณาขยายผล วอลรัสหลัง่ ไขมันได้เหมือนกับวาฬ แต่วอลรัสไม่ใช่ปลา มันเป็นสัตว์ครึง่ บกครึง่ น�า้ กระนัน้ ค�าจ�ากัดความล่าสุดยังคงน่าเชือ่ ถือกว่าเมือ่ เทียบกับค�าจ�ากัดความแรก แทบ ทุกคนรู้ว่าปลาทุกชนิดคล้ายกับคนบนบกที่ไม่ได้แบนราบ แต่ตั้งตรง หรือไม่ ก็มีหางสะบัดขึ้นลง ส่วนปลาที่มีไข แม้หางของมันจะมีรูปร่างคล้ายกับปลา 36
จากภาษาละตินที่ว่า “อวัยวะเพศของเพศผู้ เข้าสู่อวัยวะเพศของเพศเมียซึ่งให้นมจากหัวนม”
182 : โมบี-ดิ๊ก
ชนิดอื่น แต่จะแบนราบไปกับพื้นน�้า จากค�าจ�ากัดความข้างต้นทีไ่ ด้ให้ความหมายวาฬไว้นนั้ ผมไม่ได้ตงั้ ใจแยก พวกพ้องสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ออกจากสัตว์ทะเลอืน่ ใดทีจ่ นถึงเดีย๋ วนีก้ ย็ งั ได้รบั พิจารณาให้เป็นพวกเดียวกับวาฬตามความเห็นของชาวแนนทักเก็ต และไม่มี เจตนาเชือ่ มโยงค�าจ�ากัดความนัน้ กับปลาอืน่ ใดทีจ่ นถึงเดีย๋ วนีก้ ย็ งั ถูกพิจารณา อย่างน่าเชือ่ ว่าเป็นสัตว์แปลกประหลาด ดังนัน้ ปลาทีม่ ขี นาดเล็ก หลัง่ ไขมันได้ และมีหางวางราบ จะต้องนับรวมไว้ในโครงร่างพืน้ ฐานของวาฬศาสตร์ ต่อไป นี้เป็นการจัดแบ่งประเภทสายพันธุ์วาฬทั้งหมด *ผมรู้ว่าจวบจนถึงปัจจุบันปลาที่มีลักษณะคล้ายลามาติน และพะยูน (พิกฟิซ และซอฟิซแห่งตระกูลคอฟฟินในแนนทักเก็ต) จะถูกรวมไว้ในกลุ่ม เดียวกับวาฬโดยนักธรรมชาติวิทยาหลายคน แต่เพราะพิกฟิซเหล่านี้เป็นฝูง ปลาน่ารังเกียจ และส่งเสียงจอแจ โดยส่วนใหญ่จะอาศัยอยูป่ ากแม่นา�้ กินหญ้า ทะเลเป็นอาหาร และไม่สามารถหลั่งไขมันได้ ผมจึงปฏิเสธการรับรองพวกมัน ไว้ในกลุ่มเดียวกับวาฬ และมอบหนังสือรับรองให้พวกมันถอนตัวออกจาก อาณาจักรวาฬศาสตร์
อันดับแรก: ผมแบ่งสายพันธุว์ าฬตามความส�าคัญออกเป็นหนังสืออ้างอิง สามเล่ม (แบ่งแยกย่อยออกเป็นบท) แต่ละเล่มจะบรรยายรายละเอียดของ แต่ละสายพันธุ์ทั้งวาฬขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ 1.วาฬสี่หน้ายก 2.วาฬแปดหน้ายก 3.วาฬสิบหกหน้ายก เล่มวาฬสี่หน้ายก ผมน�าเสนอเรื่องของวาฬหัวทุย เล่มวาฬสิบหกหน้ายก น�าเสนอวาฬแกรมปัส และเล่มวาฬสามสิบสองหน้ายกน�าเสนอโลมา หนังสือสี่หน้ายก ผมได้แบ่งเนื้อหาออกเป็นบทต่างๆ ดังนี้ 1.วาฬหัวทุย 2.วาฬไรต์ 3.วาฬฟินแบค 4.วาฬหลังค่อม 5.วาฬเรเซอร์แบค 6.วาฬซัลเฟอร์ บอตเทิม เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 183
หนังสือเล่มที่ 1 (สี่หน้ายก) บทที่ 1 (วาฬหัวทุย) วาฬชนิดนี้เดิมเคยเป็น ทีร่ จู้ กั อย่างคลุมเครือในประเทศอังกฤษในชือ่ วาฬทรัมปา และ วาฬฟิเซเตอร์ และ วาฬแอนวิลเฮด ซึ่งปัจจุบันก็คือ Cachalot ในฝรั่งเศส และ Pottsfich ในเยอรมัน และในชือ่ วิทยาศาสตร์ Macrocephalus ไม่ตอ้ งสงสัยเลยว่ามันมี จ�านวนประชากรมากทีส่ ดุ บนโลกกลมๆใบนี้ เป็นวาฬทีน่ า่ กลัวทีส่ ดุ ในจ�านวน วาฬทัง้ หมดทีไ่ ด้พบเจอ มีลกั ษณะน่าเกรงขามทีส่ ดุ และท้ายทีส่ ดุ เป็นวาฬทีม่ ี มูลค่าทางเศรษฐกิจมากทีส่ ดุ มันเป็นสัตว์ชนิดเดียวทีใ่ ห้ไขมันทีม่ รี าคา ความ มหัศจรรย์ทงั้ หมดของวาฬหัวทุยจะได้ขยายความถึงอย่างละเอียดในหลายๆ ส่วนของหนังสือเล่มนี้ แต่อันดับแรกที่ผมจะต้องกล่าวถึงเสียตอนนี้ก็คือ ชือ่ ภาษาอังกฤษของมัน Sperm whale ซึง่ หากพิจารณาในด้านภาษาศาสตร์ แล้วเป็นเรือ่ งน่าขันจริงๆ หลายศตวรรษก่อน คุณสมบัตพิ เิ ศษของวาฬหัวทุย แทบไม่เป็นที่รู้จักกันเลย กระทั่งไขของมันถูกพบโดยบังเอิญจากวาฬที่มา เกยตื้น ช่วงเวลานั้นดูเหมือนไขวาฬจะเป็นที่ยอมรับกันว่าได้มาจากสัตว์ชนิด หนึง่ ซึง่ มารูก้ นั ภายหลังทีป่ ระเทศอังกฤษว่ามันคือวาฬกรีนแลนด์ หรือวาฬไรต์ ด้วยความคิดนีเ้ องยังเป็นผลให้ไขวาฬ ซึง่ ภาษาอังกฤษคือ Spermaceti กลาย เป็นเรือ่ งน่าขบขันเมือ่ มีการพูดถึงกันเกีย่ วกับวาฬกรีนแลนด์ เนือ่ งจากพยางค์ แรกของค�าทีส่ อื่ ออกมาตามลักษณะของไขวาฬ ทัง้ ในช่วงเวลานัน้ ยังเกิดภาวะ ขาดแคลนไขวาฬอย่างรุนแรง เพราะไม่ได้น�ามาใช้แต่เฉพาะให้แสงสว่าง แต่ ยังใช้เป็นขีผ้ งึ้ และยารักษาโรค ซึง่ หาซือ้ ได้จากเภสัชกรเท่านัน้ เหมือนกับทีท่ กุ วันนีค้ ณ ุ สามารถซือ้ รูบาบหนึง่ ออนซ์ได้จากเภสัชกร ผมแสดงความเห็นเช่นนี้ ก็เพราะช่วงเวลานัน้ ลักษณะธรรมชาติทแี่ ท้จริงของไขวาฬได้เป็นทีร่ จู้ กั กันแล้ว โดยชือ่ เดิมของมันยังคงเป็นทีร่ บั รูก้ นั เฉพาะในกลุม่ พ่อค้า ซึง่ แน่นอนว่าย่อมมี การยกระดับคุณค่าของมันโดยความเชือ่ ทีม่ คี วามหมายแปลกๆ เกีย่ วกับการ ขาดแคลนไขวาฬ และด้วยเหตุนเี้ องท�าให้ในทีส่ ดุ ชือ่ Spermaceti ได้ถกู มอบ ให้กับวาฬหัวทุยผู้ซึ่งเป็นเจ้าของที่แท้จริงของไขวาฬที่ถูกน�ามาใช้ประโยชน์ โดยมีชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Sperm whale 184 : โมบี-ดิ๊ก
หนังสือเล่มที่ 1 (สีห่ น้ายก) บทที่ 2 (วาฬไรต์) ถือเป็นวาฬรุน่ ดึกด�าบรรพ์ ในกลุม่ สัตว์ทะเลขนาดใหญ่ ด้วยเพราะเป็นตัวแรกๆ ทีม่ กั จะถูกมนุษย์ลา่ เป็น ประจ�า เพราะมันจะให้สิ่งที่เรียกว่ากระดูกวาฬ หรือแผ่นกระดูกขากรรไกร และน�้ามันที่มีชื่อเรียกเฉพาะว่า “น�้ามันวาฬ” ซึ่งมีราคาต�่าในการค้าขาย กลุม่ ชาวประมงด้วยกันจะแยกย่อยชนิดวาฬไรต์ไว้ดงั ชือ่ ต่อไปนีค้ อื วาฬ, วาฬ กรีนแลนด์, วาฬแบล็ค, วาฬเกรต, วาฬทรู และวาฬไรต์ ข้อตกลงเกี่ยวกับ เอกลักษณ์ของวาฬชนิดต่างๆ ที่ได้รับการตั้งชื่อไว้อย่างหลากหลายนั้นยังมี ความคลุมเครือ ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ววาฬที่ผมได้น�ามารวมเข้าไว้ในชนิดที่ สองของกลุ่มวาฬในหนังสือสี่หน้ายกของผมคืออะไรกัน นักธรรมชาติวิทยา ชาวอังกฤษเรียกมันว่า Great Mysticetus นักล่าวาฬชาวอังกฤษเรียกว่า Greenland Whale นักล่าวาฬชาวฝรั่งเศสเรียกว่า Baliene Ordinaire ชาว สวีเดนเรียกว่า Growlands Walfish มันเป็นวาฬที่ถูกล่าโดยชาวดัตช์ และ ชาวอังกฤษในทะเลอาร์กติกมานานมากกว่าสองศตวรรษ เป็นวาฬที่ชาว ประมงอเมริกันไล่ล่ามายาวนานในมหาสมุทรอินเดีย บริเวณชายฝั่งบราซิล และชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือ รวมทั้งส่วนอื่นๆ ของโลก ซึ่งได้รับการตั้งชื่อ โดยเขตประมงล่าวาฬไรต์ บางคนอวดอ้างว่ารูค้ วามแตกต่างระหว่างวาฬกรีนแลนด์ของอังกฤษและ วาฬไรต์ของอเมริกนั แต่พวกเขาเห็นตรงกันในลักษณะส�าคัญทัง้ หมดของพวก มัน และยังไม่นา� เสนอข้อเท็จจริงทีไ่ ด้กา� หนดไว้รว่ มกันในสิง่ ทีเ่ ป็นรากฐานของ ลักษณะเด่นส�าคัญ การแบ่งย่อยสายพันธุ์ท�าได้ไม่สิ้นสุดขึ้นอยู่กับความแตก ต่างที่ไม่อาจพิสูจน์แน่ชัดได้ ซึ่งภาควิชาธรรมชาติวิทยาได้กลายมาเป็นเรื่อง สลับซับซ้อนจนน่าเบื่อหน่าย วาฬไรต์ที่อาศัยในถิ่นอื่นจะได้รับการพิจารณา จากขนาดความยาวด้วยหลักฐานอ้างอิงต่อการชี้ชัดวาฬหัวทุย หนังสือเล่มที่ 1 (สี่หน้ายก) บทที่ 3 (วาฬฟินแบค) มันเป็นวาฬยักษ์ ใหญ่ที่พบเห็นได้ในทะเลแทบทุกแห่งภายใต้ชื่อเรียกที่ต่างกันไป ทั้งฟินแบค, ทอลสเพาต์ และลองจอห์น วาฬชนิดนี้พ่นน�้าได้ไกลและบ่อยครั้งถูกพบเห็น เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 185
โดยผู้โดยสารที่เดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกในเส้นทางสู่นิวยอร์ก ฟินแบคจะมีขนาดความยาว และแผ่นกระดูกขากรรไกรคล้ายวาฬไรต์ แต่มี ขนาดความกว้างอ้วนน้อยกว่า และสีอ่อนกว่าโดยใกล้เคียงกับสีผลมะกอก น�้า ริมฝีปากขนาดใหญ่ของมันมีรูปร่างคล้ายสายเคเบิ้ลที่พันทับกันไปมาจน เป็นรอยย่นขนาดใหญ่ ลักษณะเด่นส�าคัญของมันคือส่วนครีบซึง่ เป็นทีม่ าของ ชื่อของมันนั่นเอง ครีบของมันมักมีลักษณะเด่นชัดสะดุดตา ครีบนี้มีความ ยาวประมาณสามหรือสี่ฟุตยื่นตรงดิ่งออกมาจากส่วนท้ายของหลัง มีรูปร่าง เป็นมุมเหลี่ยมโดยมียอดปลายแหลม แม้จะไม่ใช่ส่วนที่มีขนาดเล็กของสัตว์ ที่สามารถมองเห็นได้ แต่หลายครั้งครีบที่แยกเดี่ยวนี้มักจะโผล่ขึ้นมาให้เห็น จากผิวน�้า เวลาทะเลสงบราบเรียบ ระลอกคลื่นตีวงให้เห็นบางๆ ครีบที่มี ลักษณะคล้ายนาฬิกาแดดนี้จะตั้งขึ้น และทอดเงาบนผิวยับย่น ซึ่งอาจท�าให้ คิดไปได้ว่าวงน�้าที่ล้อมรอบมันดูคล้ายกับหน้าปัดซึ่งมีเส้นบอกเวลาเป็นคลื่น อยู่ด้านบน ซึ่งหน้าปัดนาฬิกาแดดของอาหัสเงามักจะเดินย้อนกลับ วาฬฟิน แบคไม่ใช่สัตว์สังคมที่ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง ทั้งดูเหมือนจะเป็นพวกรังเกียจ วาฬด้วยกันเองด้วย เหมือนมนุษย์บางคนที่เกลียดมนุษย์ด้วยกันเอง มันเป็น สัตว์ขี้อาย และชอบอยู่สันโดษ บางครั้งอาจโผล่ขึ้นเหนือน�้าอย่างไม่คาดฝัน ในบริเวณน่านน�า้ ห่างไกลออกไป และทะเลขุน่ มัว น�า้ ทีพ่ งุ่ ขึน้ เป็นล�าสูงดูคล้าย กับหอกยาวส�าหรับพิฆาตมนุษย์ตั้งอยู่บนพื้นน�้าราบเรียบ มันมีพรสวรรค์ที่ ท�าให้มพี ลังเยีย่ มยอด และว่ายน�า้ ได้อย่างรวดเร็ว อันเป็นความท้าทายมนุษย์ ที่ไล่ล่ามัน สัตว์ทะเลยักษ์ตัวนี้ดูคล้ายกับเชื้อสายของเคนที่ถูกขับไล่ และไม่ สามารถเอาชนะได้ โดยยอมรับตราบาปไว้บนหลังของเขา เพราะมีกระดูก ในปากท�าให้บางครั้งวาฬฟินแบคถูกน�าไปรวมไว้เป็นชนิดเดียวกับวาฬไรต์ ซึ่งการตั้งชื่อชนิดสกุลตามหลักทฤษฎีแล้ว Whalebone whale ก็คือวาฬที่ มีแผ่นกระดูกขากรรไกร โดยจะมีชื่อเรียกอย่างอื่นอีกหลากหลาย แต่ส่วน ใหญ่ไม่เป็นที่รู้จักกันนัก อาทิ Broad-nosed whale, beaked whale, pikeheaded whale, bunched whale, under-jawed whale และ rostrated 186 : โมบี-ดิ๊ก
whale ทั้งหมดนี้เป็นชื่อของเรือประมงส�าหรับการแบ่งกลุ่ม สมญานาม “Whalebone whale” มีความส�าคัญมากในการกล่าวอ้าง ถึง อย่างไรก็ตามระบบการตั้งชื่ออาจช่วยให้การพูดถึงวาฬบางชนิดเป็น เรื่องง่ายขึ้น แต่ก็ยังล้มเหลวในความพยายามจัดแยกชนิดที่ชัดเจนของ สัตว์ทะเลยักษ์เหล่านี้ เนื่องจากการยึดเอาหลักการตั้งชื่อตามแผ่นกระดูก ขากรรไกร หรื อ โหนก หรื อ ครี บ หรื อ ฟั น ของมั น กระนั้ น ส่ ว นที่ เ ป็ น จุ ด สังเกต หรือลักษณะที่เห็นเด่นชัดเหล่านี้ดูน่าจะปรับให้เข้ากับหลักเกณฑ์ ที่ มี อ ยู ่ เ ดิ ม ของวาฬศาสตร์ ไ ด้ ดี ก ว่ า ลั ก ษณะเด่ น ทางกายภาพส่ ว นอื่ น ที่ ปรากฏบนตัววาฬแต่ละชนิด แล้วยังไงล่ะ แผ่นกระดูกขากรรไกร โหนก ครีบหลัง และฟัน สิ่งเหล่านี้เป็นลักษณะเฉพาะที่ถูกท�าให้แพร่กระจาย ไปอย่ า งขาดการพิ จ ารณาท่ า มกลางชนิ ด ทั้ ง หมดของวาฬ โดยขาดการ ค�านึงถึงสิ่งที่อาจเป็นลักษณะโครงสร้างของพวกมันในส่วนอื่น และส่วนที่ เป็นลักษณะส�าคัญกว่า ด้วยเหตุนี้วาฬหัวทุย และวาฬหลังค่อมต่างก็มีโหนก แล้วก็ไม่มีสิ่งอื่นที่เหมือนกันอีก ขณะวาฬหลังค่อม และวาฬกรีนแลนด์ต่างก็ มีแผ่นกระดูกขากรรไกรเหมือนกัน และก็อกี เช่นกันไม่มสี งิ่ อืน่ ทีเ่ หมือนกันอีก มันก็แค่เหมือนกับส่วนอืน่ ทีไ่ ม่ได้มกี ารกล่าวอ้างถึงเท่านัน้ วาฬแต่ละชนิดจะมี ส่วนต่างๆของร่างกายแตกต่างกันไป หรือในกรณีทพี่ วกมันตัวใดตัวหนึง่ ผลัด หลงไปจากกลุม่ การแยกตัวออกมาเช่นนัน้ เป็นเรือ่ งท้าทายอย่างมากต่อระบบ การตั้งชื่อทั้งหมดที่ใช้แนวทางเช่นนั้นเป็นหลักในการพิจารณา นี่เป็นงานหิน ที่นักธรรมชาติวิทยาสาขาวาฬศาสตร์ต้องขบให้แตก แต่อาจมีความเป็นไปได้ว่าอย่างน้อยที่สุดโครงสร้างภายในของวาฬ สามารถน�ามาใช้เป็นหลักพิจารณาจัดแบ่งสายพันธุ์ที่ถูกต้องได้ ยกตัวอย่าง เช่น ลองนึกดูสิว่าโครงสร้างอะไรของวาฬกรีนแลนด์มีความโดดเด่นกว่าแผ่น กระดูกขากรรไกรของมัน นอกจากนัน้ เรายังได้ประจักษ์กนั แล้วว่าแผ่นกระดูก ขากรรไกรไม่อาจแยกชนิดวาฬกรีนแลนด์ได้อย่างถูกต้อง และถ้าคุณเลือ่ นลง ไปในล�าไส้ของสัตว์ทะเลยักษ์หลากหลายสายพันธุเ์ หล่านี้ ท�าไมคุณจึงไม่พบ เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 187
ลักษณะเด่นของชิน้ ส่วนทีห่ า้ สิบทีส่ ามารถน�ามาเป็นหลักพิจารณาได้พอๆ กับ ชิน้ ส่วนภายนอกทีถ่ กู ใช้เป็นเกณฑ์การแบ่งแยกสายพันธุ์ แล้วส่วนอืน่ ๆทีเ่ หลือ ล่ะ ไม่มีเลย...เว้นแต่จะใช้ทุกส่วนของตัววาฬมารวมพิจารณา ซึ่งในปริมาณที่ มีอยู่อย่างมากมายทั้งหมดนั้นวิธีนี้เป็นการแบ่งแยกสายพันธุ์ได้อย่างชัดเจน และเป็นบรรณานุกรมที่น�ามาใช้ในบทนี้ ซึ่งเป็นเพียงวิธีเดียวที่มีความเป็นไป ได้มากที่สุดที่สามารถปฏิบัติให้ลุล่วงต่อไปได้ หนังสือเล่มที่ 1 (สี่หน้ายก) บทที่ 4 (วาฬหลังค่อม) วาฬชนิดนี้พบได้ บ่อยบริเวณชายฝั่งอเมริกาตอนเหนือ มันมักถูกจับได้บริเวณนั้นแล้วถูกลาก มายังท่าเรือ มันมีถงุ ขนาดใหญ่อยูบ่ นตัวเหมือนกับพวกพ่อค้าเร่ คุณอาจเรียก มันว่าช้าง หรือ Castle whale ก็ได้ อย่างไรก็ตาม ชื่อที่นิยมเรียกมันไม่ได้ บ่งบอกถึงลักษณะเด่นของมันมากนัก เนือ่ งจากวาฬหัวทุยล้วนมีโหนกอยูบ่ น หลังด้วยกันทุกตัวแม้กระทั่งตัวที่มีขนาดเล็ก ไขของวาฬหลังค่อมมันมีมูลค่า ไม่มากนัก มันมีแผ่นกระดูกขากรรไกร เป็นสายพันธุ์ที่ขี้เล่น และร่าเริงที่สุด ในจ�านวนวาฬทั้งหมด ชอบตีน�้าเป็นฟองสีขาวเล่นมากกว่าวาฬสายพันธุ์อื่น หนังสือเล่มที่ 1 (สี่หน้ายก) บทที่ 5 (วาฬเรเซอร์แบค) นอกจากชื่อ ของมันแล้ว เรื่องราวของวาฬชนิดนี้เป็นที่รู้จักกันน้อยมาก ผมเคยเห็นมัน บริเวณที่ห่างออกไปจากแหลมเคปฮอร์น ด้วยธรรมชาติรักสันโดษท�าให้มัน หลบสายตานักล่า และนักปรัชญา แม้จะไม่ใช่พวกขี้ขลาดแต่มันก็ไม่เคยเผย โฉมให้ใครเห็นได้งา่ ยๆ เว้นแต่สว่ นหลังของมันซึง่ จะโผล่ขนึ้ มาให้เห็นเป็นสัน หลังยาว ช่างมันเถอะ ผมรู้เรื่องเกี่ยวกับมันน้อยมาก เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ที่ ก็ไม่ค่อยรู้เรื่องของมันเช่นกัน หนังสือเล่มที่ 1 (สี่หน้ายก) บทที่ 6 (วาฬซัลเฟอร์บอทเทิม) มันเป็น สุภาพบุรุษผู้รักสันโดษอีกสายพันธุ์ที่มีท้องเป็นก�ามะถัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่า มันประทังชีวิตอยู่ตามพื้นหินปูนโดยด�าน�้าลงไปในใต้ทะเลลึก มันไม่ค่อยถูก พบเห็นบ่อยครัง้ นัก อย่างน้อยผมก็ไม่เคยเห็นมันนอกจากบริเวณทะเลใต้หา่ ง ไกลออกไป ซึง่ มักจะห่างไกลเกินจะตามไปศึกษาลักษณะหน้าตาของมัน วาฬ 188 : โมบี-ดิ๊ก
สายพันธุ์นี้ไม่เคยถูกล่า เพราะมันจะหลุดรอดออกจากเชือกที่พันธนาการไว้ เป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่ผู้คนกล่าวถึงมัน ลาก่อน เจ้าซัลเฟอร์บอทเทิม! ข้าคง พูดอะไรได้ไม่มากไปกว่าถูกของเจ้าแล้วล่ะ คนเก่าคนแก่ในแนนทักเก็ตเอง ก็คงเช่นกัน เป็นอันจบหนังสือเล่มที่ 1 (สี่หน้ายก) และเริ่มใหม่ด้วยเนื้อหาหนังสือ เล่มที่ 2 (สิบหกหน้ายก) สิบหกหน้ายก* หนังสือเล่มนี้รวบรวมวาฬที่มีขนาดกลางซึ่งปัจจุบัน มีทั้งหมดดังนี้ 1.วาฬแกรมปัส 2.วาฬแบล็คฟิซ 3.วาฬฉมวก 4.วาฬแทรช เชอร์ 5.วาฬเพชฆาต *เหตุใดหนังสือวาฬเล่มนี้จึงไม่ท�าเป็นรูปเล่มขนาดแปดหน้ายกไปซะเลย นั่น ก็เพราะวาฬที่จัดล�าดับในเล่มนี้มีขนาดเล็กกว่าวาฬในเล่มก่อนหน้า แต่ยัง คงไว้ซึ่งสัดส่วนเดิมของพวกมันในภาพ ซึ่งขนาดเล่มแปดหน้ายกเมื่อเย็บ เล่มออกมาแล้วจะไม่คงสัดส่วนตามรูปเล่มสี่หน้ายก ขณะที่ขนาดเล่มสิบ หกหน้ายกคงสัดส่วนเดิมไว้
หนังสือเล่มที่ 2 (สิบหกหน้ายก) บทที่ 1 (แกรมปัส) แม้วาฬชนิดนี้จะ มีเสียงลมหายใจดังก้องกังวาน หรือพ่นน�้าค่อนข้างมาก เป็นที่กล่าวขานถึง บ่อยครั้งของคนบนฝั่ง และเป็นที่รู้กันว่ามันมีถิ่นอาศัยอยู่ในทะเลลึก กระนั้น มันจัดเป็นวาฬที่ไม่เป็นที่นิยมนัก แต่ด้วยความที่มีลักษณะเด่นสะดุดตา นักธรรมชาติวิทยาส่วนใหญ่จึงสามารถจดจ�ามันได้ มันมีขนาดสิบหกหน้า ยกปานกลาง มีความยาวตั้งแต่สิบห้าถึงยี่สิบห้าฟุต มีขนาดล�าตัวเป็นเส้น รอบเอวได้ส่วนกับความยาว มันว่ายรวมกลุ่มเป็นฝูง โดยปกติจะไม่ถูกล่า แม้น�้ามันของมันจะมีปริมาณมาก และเหมาะกับการให้แสงสว่าง ส�าหรับ ชาวประมงบางคนแล้ววาฬแกรมปัสที่เข้ามาใกล้เป็นสัญญาณบอกถึงแหล่ง อาศัยของวาฬหัวทุย เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 189
หนังสือเล่มที่ 2 (สิบหกหน้ายก) บทที่ 2 (แบล็กฟิซ) ผมน�าเอาชื่อยอด นิยมของชาวประมงมาตั้งให้กับมัน เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วพวกมันเหมาะ ที่จะใช้ชื่อนั้นเป็นที่สุด หากพบว่าชื่อที่ผมตั้งให้วาฬฟังดูคลุมเครือ หรือไม่สื่อ ถึงลักษณะเฉพาะของมัน ผมจะกล่าวแนะน�าชือ่ อืน่ ให้ ดังทีผ่ มได้ตงั้ ชือ่ ให้กบั วาฬแบล็กฟิซ ทีเ่ รียกมันอย่างนัน้ ก็เพราะความด�าทีม่ มี ากกว่าวาฬเกือบแทบ ทุกชนิด หรือจะเรียกมันว่าวาฬไฮอีนะก็ได้หากคุณต้องการ ความตะกละ ของมันเป็นที่รู้จักกันดี และจากลักษณะที่มุมด้านในของริมฝีปากมันโค้งงอ ขึ้น มันจึงมีรอยยิ้มปีศาจปรากฏอยู่บนใบหน้าตลอดเวลา วาฬชนิดนี้มีความ ยาวเฉลี่ยสิบหก หรือสิบแปดฟุต พบได้ทั่วไปบริเวณเส้นศูนย์สูตร ท่าว่ายน�้า แบบเฉพาะของมันเผยให้เห็นครีบรูปตะขอบนหลังซึง่ ดูคล้ายกับสันจมูกโด่งขึน้ มา แม้จะใช้ประโยชน์อะไรได้ไม่มากนัก แต่บางครัง้ นักล่าวาฬหัวทุยก็จบั วาฬ ไฮอีนะเพือ่ ผลิตน�า้ มันราคาถูกใช้กนั เองในยามขาดแคลน เช่น ใช้ในครัวเรือน, ในห้างร้าน และน�ามาใช้แทนขีผ้ งึ้ หอม แม้ไขมันของมันจะบางมาก แต่บางตัว ก็สามารถให้นา�้ มันกับคุณได้มากถึงสามสิบแกลลอนเลยทีเดียว หนังสือเล่มที่ 2 (สิบหกหน้ายก) บทที่ 3 (วาฬฉมวก) มันคือวาฬ จมูกยาว เป็นวาฬอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่มีชื่อเรียกน่าสนใจ ผมขนานนามมัน เช่นนั้นจากเขาประหลาดของมันที่ยื่นยาวออกมาจากจมูกแหลม สัตว์ชนิด นี้ มี ค วามยาวประมาณสิ บ หกฟุ ต ขณะที่ เ ขาของมั น ยาวเฉลี่ ย สิ บ ห้ า ฟุ ต โดยบางตัวยาวเกินสิบฟุต และบางตัวยาวถึงสิบห้าฟุต ว่ากันตามจริงแล้วเขา นีไ้ ม่ใช่อะไรนอกเสียจากเขีย้ วยาวทีง่ อกขึน้ มาจากขากรรไกรทีก่ ดเป็นเส้นแนว ราบ เกิดขึ้นเฉพาะด้านซ้าย ซึ่งเป็นการเติบโตที่ผิดปกติทา� ให้ผู้เป็นเจ้าของ มีลักษณะท่าทางเงอะงะคล้ายกับคนถนัดมือซ้าย ค�าตอบที่ถูกต้องเกี่ยว กับเขาสีงา หรือหอกนี้คืออะไรอยากที่จะบอกได้ชัดเจน มันไม่ได้ถูกใช้เป็น ใบมีดเหมือนกับปลาฉนาก และปลาดาบ แม้กลาสีบางคนจะบอกกับผมว่า วาฬฉมวกใช้มันเป็นคราดส�าหรับพลิกพื้นทะเลขึ้นมาเพื่อหาอาหาร ชาร์ลีย์ คอฟฟินบอกว่ามันถูกใช้เจาะน�้าแข็งในเวลาที่วาฬฉมวกต้องการโผล่ขึ้นมา 190 : โมบี-ดิ๊ก
เหนือน�้าทะเลขั้วโลกเหนือที่ผิวน�้าจับตัวเป็นแผ่นน�้าแข็ง มันจะใช้เขาแทง ทะลุนา�้ แข็งขึ้นมา กระนั้นคุณไม่สามารถรู้ได้ว่าข้อสันนิษฐานใดถูกต้อง ตาม ความเห็นของผมมองว่าเขาข้างเดียวนีอ้ าจเป็นประโยชน์สา� หรับวาฬฉมวกจริง แต่นั่นก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐาน แต่จะเหมาะอย่างแน่นอนหากน�าเรื่องของ มันมาจัดท�าเป็นหนังสือเล่มเล็กส�าหรับอ่าน ผมเคยได้ยินคนเรียกวาฬฉมวก ในชื่ออื่น เช่น วาฬทัสก์, วาฬฮอร์น และวาฬยูนิคอร์น มันเป็นตัวอย่างที่ น่าสนใจอย่างแน่นอนเกี่ยวกับยูนิคอร์นที่พบได้แทบทุกธรรมชาติที่มีชีวิต จากผลงานประพันธ์เก่าๆ ที่ผมได้เก็บรวบรวมไว้ระบุว่าเขาของยูนิคอร์น ทะเลในอดีตถือเป็นยาถอนพิษชั้นยอด ด้วยเหตุนี้วาฬชนิดนี้จึงขายได้ราคา มาก นอกจากนี้ยังสามารถน�ามาสกัดเอาสารระเหยเกลือใช้แก้อาการเป็น ลมของสุภาพสตรี แบบเดียวกับน�าเขากวางตัวผู้มาผลิตเป็นยาบ�ารุงก�าลัง แรกเริ่มเดิมทีเขานี้ได้รับการประเมินให้เป็นวัตถุล�้าค่า แบล็กเลทเทอร์บอก กับผมว่าตอนเซอร์มาร์ติน ฟรอบบิชเชอร์เดินทางกลับมาจากล่องเรือ ราชินี เบสโบกพระหัตถ์ทสี่ วมอัญมณีให้เขาจากทางหน้าต่างพระราชวังกรีนวิชขณะ เรือล�าใหญ่ของเขาล่องมาตามแม่น�้าเทมส์ “ตอนเซอร์มาร์ตินกลับจากล่อง เรือ” แบล็กเลทเทอร์พูด “เขาคุกเข่าต่อหน้าพระนางแล้วถวายเขายาวมหึมา ของวาฬนาร์ ซึ่งเคยแขวนในพระราชวังวินด์เซอร์มาเป็นเวลานาน” นักเขียน ไอริชกล่าวยืนยันว่าท่านเอิรล์ แห่งเมืองเลซเทอร์กท็ า� เช่นนัน้ เหมือนกัน คุกเข่า ถวายเขาอีกอันให้กบั พระนาง แต่เป็นเขาทีไ่ ด้จากสัตว์บกทีม่ เี ขากลางหน้าผาก วาฬฉมวกมีลักษณะสวยงามคล้ายกับเสือดาว ล�าตัวมีสีขาวราวน�้านม และมีลายรูปวงรีสีดา� รอบตัว ไขของมันมีราคาดีมาก ใสและคุณภาพดี แต่มี ปริมาณน้อย มันจึงไม่ค่อยถูกล่า ส่วนใหญ่วาฬชนิดนี้พบได้บริเวณทะเลแถว ขั้วโลกเหนือ หนังสือเล่มที่ 2 (สิบหกหน้ายก) บทที่ 4 (วาฬเพชฆาต) วาฬชนิดนี้ ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักแน่ชัดนักในแนนทักเก็ต และไม่เป็นที่รู้จักเลยในกลุ่มอาชีพ นักธรรมชาติวทิ ยา จากทีผ่ มเคยเห็นมันในระยะไกล ผมบอกได้วา่ มันมีขนาด เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 191
ใหญ่พอๆ กับวาฬแกรมปัส และดุร้ายมากพอๆ กับปลาฟีจี บางครั้งมัน จะงับวาฬตัวใหญ่ในกลุ่มสี่หน้ายกไว้ในปาก และคาบเอาไว้อย่างนั้นเหมือน ปลิงจนกระทั่งสัตว์ใหญ่นั้นถูกกัดขาดจนตาย วาฬเพชฆาตไม่เคยถูกล่า ผมไม่เคยได้ยนิ ว่ามันมีนา�้ มัน เนือ่ งจากแหล่งอาศัยทีไ่ ม่แน่ชดั จึงท�าให้มนั เป็น สายพันธุท์ สี่ มควรได้รบั การยกเว้นจากพวกเราเหล่านักล่าทัง้ บนบก และทะเล ซึ่งรวมถึงตระกูลโบนาพาร์ท และเหล่าฉลามด้วย หนังสือเล่มที่ 2 (สิบหกหน้ายก) บทที่ 5 (แทรชเชอร์) สัตว์บรรดาศักดิ์ สายพันธุน์ มี้ ชี อื่ เป็นทีร่ จู้ กั เพราะหางของมันทีใ่ ช้เป็นเหมือนไม้เรียวกับส�าหรับ หวดเฆี่ยนศัตรู มันจะขึ้นขี่หลังวาฬในกลุ่มสี่หน้ายก ขณะว่ายน�้ามันจะหวด หางเพื่อเคลื่อนตัวไปข้างหน้าเหมือนกับครูทั่วโลกใบนี้ที่ท�าแบบเดียวกัน วาฬแทรชเชอร์เป็นทีร่ จู้ กั น้อยกว่าวาฬเพชฆาต ทัง้ สองสายพันธุอ์ ยูน่ อกเหนือ กฎเกณฑ์ หรืออาจเรียกได้ว่าอยู่ในทะเลที่ไร้กฎระเบียบ สิ้นสุดหนังสือเล่มที่ 2 (สิบหกหน้ายก) และเริ่มต้นหนังสือเล่มที่สาม (สามสิบสองหน้ายก) สามสิบสองหน้ายก หนังสือเล่มนี้รวมเรื่องราววาฬขนาดเล็ก 1.โลมาฮัซ ซ่า 2.โลมาแอลเจอรีน 3.โลมามีลีเมาท์ ส�าหรับบรรดาผูท้ ไี่ ม่มโี อกาสได้ศกึ ษาหัวข้อนีเ้ ป็นพิเศษ อาจรูส้ กึ แปลกใจที่ ปลาขนาดเฉลีย่ ไม่เกินสีห่ รือห้าฟุตเหล่านีไ้ ด้รบั การจัดล�าดับให้อยูใ่ นกลุม่ วาฬ ซึ่งค�าว่า “วาฬ” เป็นค�าเรียกที่มักให้ความรู้สึกถึงขนาดใหญ่ กระนั้นสัตว์ที่จัด อยูใ่ นกลุม่ สามสิบสองหน้ายกเหล่านีเ้ ป็นวาฬแน่นอน ด้วยค�าจ�ากัดความของ ผม วาฬก็คือปลาที่พ่นน�้า และมีหางแบนราบ หนังสือเล่มที่ 3 (สามสิบสองหน้ายก) บทที่ 1 (โลมาฮัซซ่า) โลมาทั่วไปนี้ พบได้แทบทุกแห่งหนทัว่ โลก ชือ่ นีผ้ มเป็นคนมอบให้แก่มนั เอง สายพันธุโ์ ลมา มีมากกว่าหนึ่งชนิด จึงต้องตั้งชื่อเพื่อจัดแยกกลุ่มพวกมัน ผมเรียกมันอย่าง นั้นเพราะมันมักว่ายรวมกันเป็นฝูงส่งเสียงอึกทึกด้วยการโยนตัวขึ้นสู่ฟ้าใน ทะเลกว้างเหมือนกับหมวกจ�านวนมากทีถ่ กู โยนขึน้ ในวันทีส่ ี่ เดือนกรกฎาคม 192 : โมบี-ดิ๊ก
ซึ่งเป็นวันชาติอเมริกัน การปรากฏตัวของพวกมันมักสร้างความยินดีให้กับ ลูกเรือ พวกมันจะปรากฏตัวพร้อมกับคลืน่ บางทีซ่ ดั ไปทางลมก่อให้เกิดความ รู้สึกเต็มตื้นในจิตใจ พวกมันเป็นเด็กหนุ่มที่ชอบใช้ชีวิตเริงร่าอยู่เหนือลม มันเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดี หากคุณสามารถโห่ร้องไชโยได้สามครั้ง ขณะเห็นฝูงวาฬเริงร่าเหล่านี้ สวรรค์จะช่วยคุณ จิตวิญญาณแห่งความยินดี ในศีลธรรมจะไม่อยูใ่ นตัวคุณ โลมาฮัซซ่าทีไ่ ด้รบั การบ�ารุงจนจ�า้ ม�า่ จะให้นา�้ มัน ที่มีคุณภาพดีกับคุณได้สักหนึ่งแกลลอน แต่ของเหลวชั้นยอดและคุณภาพดี ที่ได้จากขากรรไกรของมันมีค่ามากกว่านั้น มันเป็นที่ต้องการของพ่อค้าเพชร พลอย และช่างท�านาฬิกา ชาวเรือจะใส่ของเหลวนี้ไว้ในหินลับมีดของพวก เขา คุณรู้ไหมเนื้อของโลมาอร่อยมาก คุณคงไม่เคยรู้มาก่อนว่าโลมามีท่อพ่น น�า้ จริงๆ แล้วทว่าแม้พวกมันจะมีทอ่ พ่นน�า้ แต่มนั ขนาดเล็กมากจนมองแทบ ไม่เห็น กระนัน้ ในครัง้ หน้าทีค่ ณ ุ มีโอกาสได้เห็นมัน คุณจะพบว่ามันมีลกั ษณะ คล้ายวาฬหัวทุยย่อขนาดเล็กลง หนังสือเล่มที่ 3 (สามสิบสองหน้ายก) บทที่ 2 (โลมาแอลเจอรีน) เจ้า โจรสลัดตัวนี้ดุร้ายมาก ผมคิดว่ามันพบได้เฉพาะในแปซิฟิคเท่านั้น มันค่อน ข้างตัวใหญ่กว่าโลมาฮัซซ่า แต่โครงสร้างโดยทั่วไปเหมือนกัน หากไปแหย่ให้ มันโกรธ มันจะร่วมกับฉลามเข้าโจมตี ผมเคยมองหามันหลายครั้ง แต่ก็ยัง ไม่เคยเห็นมันถูกจับได้เลยสักครั้ง หนังสือเล่มที่ 3 (สามสิบสองหน้ายก) บทที่ 3 (โลมามีลีเมาท์) เป็น ชนิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่มโลมา และเท่าที่รู้มันพบได้เฉพาะในแปซิฟิค Right-Whale Propoise เป็นชื่ออังกฤษที่มันได้รับการขนานนามโดยชาว ประมงและเรียกขานจนถึงทุกวันนี้ มันมักถูกพบได้มากในสภาพแวดล้อมที่ ใกล้เคียงกับวาฬในกลุ่มสี่หน้ายก ขนาดของมันต่างจากโลมาฮัซซ่าเล็กน้อย คือมันอ้วนน้อยกว่าและมีขนาดโดยรอบเล็กกว่า มันเป็นสายพันธุท์ เี่ รียบร้อย และมีบุคลิกคล้ายสุภาพบุรุษ มันไม่มีครีบบนหลัง (โลมาส่วนใหญ่มีครีบบน หลัง) มีหางสวยงาม ดวงตาหวานซึ้งสีน�้าตาลแดง แต่มีข้อเสียตรงปากเป็น เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 193
ด่างซีด แม้ตลอดทัง้ หลังไปจนถึงครีบสองข้างของมันจะมีสดี า� เข้ม กระนัน้ เส้น ตัดนีก้ เ็ ด่นชัดเหมือนดังเช่นเส้นวัดระดับบนล�าเรือ เส้นนีเ้ รียกว่า “ไบรท์เวสท์” เป็นริ้วยาวจากส่วนหัวถึงส่วนหางของมัน สีตัวแบ่งออกเป็นสองสี ส่วนบน เป็นสีดา� และส่วนล่างเป็นสีขาว โดยสีขาวยังมีประปรายบนส่วนหัว และเป็น สีปากทั้งหมด ซึ่งท�าให้ดูคล้ายกับมันหนีรอดออกมาจากการลักลอบเข้าไป ในถุงอาหาร รูปร่างหน้าตาของมันจึงดูสกปรกและเป็นรอยแต้มเต็มไปหมด! ไขของมันมีลักษณะคล้ายกับโลมาทั่วไป ระบบการจัดกลุ่มสายพันธุ์นี้ไม่ได้จัดกลุ่มวาฬที่มีขนาดเล็กกว่าสามสิบ สองหน้ายก ด้วยเหตุนี้โลมาจึงเป็นวาฬที่มีขนาดเล็กที่สุด ทั้งหมดที่กล่าวมา ข้างต้นคุณได้รู้จักสัตว์ใหญ่แห่งท้องทะเลครบทุกชนิดแล้ว แต่ก็ยังมีฝูงวาฬที่ ยังมีขอ้ มูลคลุมเครือ ไม่แน่นอน และไม่คอ่ ยน่าเชือ่ ถืออยูอ่ กี ซึง่ ผมรูจ้ กั มันจาก กิติศัพท์ที่ได้ยินเช่นเดียวกับนักล่าวาฬอเมริกันทั่วไป แต่ไม่เคยได้ประจักษ์ แก่ตนเอง ผมจะจัดล�าดับพวกมันให้อยู่ในต�าแหน่งดาดฟ้าหัวเรือ เพื่อว่าราย ชื่อเหล่านี้จะมีประโยชน์กับนักส�ารวจในอนาคต ผู้ที่อาจสานต่อรายชื่อที่ผม มีแต่ยังไม่ได้เริ่มต้นรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับมัน หากจะมีวาฬใดต่อไปนี้ถูกจับ ได้ในวันข้างหน้าและท�าเครื่องหมายบนตัวมันไว้ มันก็พร้อมจะถูกน�ามารวม เข้าไว้ในระบบการจัดแบ่งสายพันธุ์นี้โดยไล่ตามขนาดสี่หน้ายก, สิบหกหน้า ยก และสามสิบสองหน้ายก วาฬเหล่านี้คือ วาฬปากขวด วาฬจังค์ วาฬ พุดดิ้งเฮด วาฬเคป วาฬลีดดิ้ง วาฬแคนนอน วาฬสแครก วาฬคอปเปอร์ วาฬเอลละเฟิ น ท์ วาฬไอซ์ เ บิ ร ์ ก วาฬควอก วาฬสี น้� า เงิ น และอื่ น ๆ จากแหล่งข้อมูลชาวไอซ์แลนด์ ชาวฮอลแลนด์ และชาวอังกฤษยุคเก่าอาจมี การอ้างถึงรายชื่อวาฬอื่นที่ยังไม่เป็นที่รู้จักนัก ซึ่งทุกชนิดได้รับการตั้งชื่อที่ยัง ไม่เป็นที่ยอมรับในวงกว้าง แต่ผมจะขอข้ามรายชื่อเหล่านี้รวมทั้งชื่อที่ล้าสมัย ไป เพราะไม่อยากจะค�านึงถึงพวกมันเพียงเพราะชือ่ เสียงทีไ่ ด้ยนิ หมกมุน่ อยู่ กับสัตว์ใหญ่แห่งท้องทะเลอย่างไร้ความหมายใดๆ สุดท้ายนี้ ขอชีแ้ จงว่าระบบจัดแบ่งสายพันธุร์ ะยะเริม่ ต้นนีจ้ ะไม่หยุดเพียง 194 : โมบี-ดิ๊ก
แค่นี้ วันหนึ่งมันจะต้องสมบูรณ์ คุณอาจยังไม่เชื่อแต่ขอให้รู้ไว้ว่าผมรักษาค�า พูด ผมสิน้ สุดระบบจัดแบ่งสายพันธุว์ าฬทัง้ ๆ ทีม่ นั ยังไม่เสร็จสิน้ เช่นเดียวกับ มหาวิหารโคโลญจน์ที่ถูกปล่อยทิ้งไว้โดยมีเพียงคานอยู่บนหอคอยที่ยังสร้าง ไม่เสร็จ หากเป็นสิ่งก่อสร้างขนาดเล็กคงสร้างเสร็จในครั้งแรกที่เริ่มลงมือ แต่ สิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ ต้องมีความเที่ยงตรงแม่นย�า คงต้องสร้างหินครอบ ก�าแพงเป็นฐานไว้ให้คนรุ่นหลังมาสานต่อ พระเจ้าลิขิตไม่ให้ผมท�าสิ่งต่างๆ อย่างสมบูรณ์ หนังสือเล่มนี้เป็นเพียงโครงร่าง ไม่ใช่แค่นั้นสิ มันเป็นร่างของ โครงร่างเลยทีเดียว โอ้...มันยังต้องการเวลา พละก�าลัง เงินตรา และความ อดทน!
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 195
บทที่ 33 มือเชือด
ส�าหรับคนดูแลกิจการบนเรือล่าวาฬก็เหมือนกับที่อื่นๆ ที่ดูจะแบ่งหน้าที่ไว้ เป็นการภายในโดยเฉพาะ เนื่องจากต้องมีการจัดแบ่งต�าแหน่งนักพุ่งฉมวก อันเป็นต�าแหน่งซึ่งไม่เป็นที่รู้จักในการเดินเรืออื่นๆ เว้นแต่กลุ่มเรือล่าวาฬ ด้วยกัน ต�าแหน่งนักพุ่งฉมวกมีความส�าคัญอย่างยิ่งยวด และได้รับการพิสูจน์ให้ เห็นประจักษ์ในการประมงของชาวดัตช์โบราณเมื่อกว่าสองศตวรรษที่ผ่าน มา อ�านาจสั่งการทั้งหมดบนเรือล่าวาฬไม่ได้ขึ้นอยู่กับบุคคลที่ปัจจุบันเรียก ว่ากัปตัน แต่ถกู แบ่งออกระหว่างกัปตันกับเจ้าพนักงานทีเ่ รียกกันว่ามือเชือด ค�าค�านีม้ คี วามหมายตรงตัวว่า “นักเฉือนไขวาฬ” แต่ตอ่ มาก็หมายถึงหัวหน้า นักพุง่ ฉมวกนัน่ เอง ช่วงเวลานัน้ กัปตันมีอา� นาจจ�ากัดเฉพาะการเดินเรือและ จัดการงานทัว่ ไปบนเรือ ขณะทีอ่ า� นาจสัง่ การสูงสุดในแผนล่าวาฬและทุกเรือ่ ง ที่เกี่ยวกับการล่าวาฬจะขึ้นอยู่กับมือเชือดหรือหัวหน้านักพุ่งฉมวก ในการประมงล่าวาฬแห่งกรีนแลนด์ของอังกฤษ ต�าแหน่งมือเชือดถูก ลดความส�าคัญลง แม้ยังมีต�าแหน่งพนักงานดัชต์เก่าแก่นี้อยู่ แต่ก็ถูกลด ศักดิ์ฐานะลงอย่างน่าเศร้า ปัจจุบันหัวหน้านักพุ่งฉมวกแค่มีต�าแหน่งเท่า นักพุ่งฉมวกอาวุโส ด้วยเหตุนี้จึงเป็นต�าแหน่งที่มีอ�านาจต�่ากว่ากัปตัน แต่ เนือ่ งจากความส�าเร็จของการเดินเรือล่าวาฬขึน้ อยูก่ บั ผลงานของนักพุง่ ฉมวก เป็นส่วนใหญ่ อีกทั้งในการประมงอเมริกัน ต�าแหน่งหน้าที่นี้ไม่เพียงมีความ 196 : โมบี-ดิ๊ก
ส�าคัญบนเรือ แต่ในบางสถานการณ์ยงั มีบทบาทสัง่ การบนดาดฟ้าเรืออีกด้วย (เฝ้ายามกะกลางคืนในน่านน�า้ แหล่งวาฬ) ดังนัน้ จึงต้องมีหลักปฏิบตั ทิ เี่ หมาะ สมกับการเดินเรือในทะเล เขาควรอยู่แยกจากพวกที่อยู่เสาหน้า1 และได้รับ การปฏิบัติให้สมฐานะของผู้อยู่ในต�าแหน่งเหนือกว่า แม้มักคุ้นกับการที่ทั้งคู่ ต่างมีฐานะเท่ากันก็ตาม จุดต่างส�าคัญระหว่างพนักงานกับลูกเรือก็คือ พวกแรกอยู่ท้ายเรือ พวก หลังอยู่หัวเรือ ด้วยเหตุนี้ เรือล่าวาฬและเรือพาณิชย์จึงคล้ายกัน คือพวกรอง กัปตันจะมีที่พักร่วมกับกัปตัน และเรือล่าวาฬอเมริกันส่วนใหญ่ พวกนักพุ่ง ฉมวกก็ได้พกั ในส่วนท้ายเรือด้วย กล่าวคือกินอาหารในห้องเครือ่ งของกัปตัน และนอนในห้องที่ใช้ประตูเดียวกันนั่นเอง แม้การเดินเรือล่าวาฬทางตอนใต้จะใช้ระยะเวลานาน (จริงๆ ก็นานที่สุด เท่าที่มนุษย์เคยเดินเรือมา) ต้องผจญภัยอันตรายที่มีรูปแบบเฉพาะ และ เป็นการรวมตัวของกลุ่มคนในการล่าวาฬ ซึ่งลูกเรือทั้งต�าแหน่งสูงหรือต�่า ต่างก็ได้รับผลประโยชน์ตอบแทน ไม่ใช่เพียงค่าแรงที่ตายตัว ทั้งยังฝากโชค ชะตาไว้ร่วมกัน เฝ้ายามระแวดระวังให้กัน ต้องอาศัยความกล้าหาญและการ ท�างานหนัก แม้สิ่งเหล่านี้ในบางกรณีมักท�าให้ระเบียบวินัยเกิดหย่อนยานไป กว่าในเรือพาณิชย์ทวั่ ไป แต่อย่าไปใส่ใจเลยว่า นักล่าวาฬเหล่านีจ้ ะอยูร่ ว่ มกัน เหมือนครอบครัวเมโสโปเตเมีย2ยุคโบราณมากแค่ไหน เพราะอย่างน้อยที่สุด ระเบียบวินยั บนดาดฟ้าเรือก็แทบจะไม่เคยหย่อนยาน และไม่เคยเลิกล้มไปเลย สักกรณี จริงๆ แล้วในเรือแนนทักเก็ตจ�านวนมาก คุณจะได้เห็นกัปตันเรือเดิน วางท่าบนดาดฟ้าท้ายเรือไม่ตา่ งไปจากกองทัพเรือ เขาท�าท่ากร่างเพือ่ ให้ผคู้ น ยอมรับนับถือราวกับสวมชุดราชาอยู่ ซึ่งแตกต่างไปจากชุดกะกาสีโกโรโกโส ในบรรดาคนเหล่านั้น กัปตันเจ้าอารมณ์แห่งเรือพีควอดไม่ได้รับกับ สมมติฐานตื้นเขินที่ว่านัก ที่แน่ๆ คือความเคารพที่เขาต้องการมีเพียงแค่การ 1 2
พวกที่อยู่เสาหน้า-ลูกเรือทั่วไป ที่นอนอยู่หน้าเสากระโดงหน้า ครอบครัวเมโสโปเตเมีย-ถือกันว่า เมโสโปเตเมียเป็นอารยธรรมแรกทีม่ กี ารปกครองแบบหัวหน้าครอบครัว หรือฉันพ่อกับลูก
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 197
เชือ่ ฟังและปฏิบตั ติ ามในทันที แต่ไม่ถงึ กับต้องให้ใครถอดรองเท้าก่อนก้าวขึน้ มาบนดาดฟ้าท้ายเรือ และแม้มีหลายครั้งเมื่อเกิดสถานการณ์เฉพาะที่ต้อง ชีแ้ จงรายละเอียดในภายหลัง กัปตันเฒ่าก็จะพูดกับเหล่าลูกเรือของเขาเป็กรณี พิเศษ ไม่วา่ จะด้วยท่าทีผอ่ นผันหรือขูข่ วัญ หรืออย่างใดก็ตามแต่ ถึงอย่างนัน้ กัปตันเอแฮ็บก็ไม่ใส่กับรูปแบบอ�านาจและระเบียบปฏิบัติทางทะเลนัก บางที ถึ ง ที่ สุ ด แล้ ว ที่ รู ป แบบอ� า นาจและธรรมเนี ย มปฏิ บั ติ เ หล่ า นั้ น ไม่ได้รับการใส่ใจ อาจเป็นเพราะบางครั้งเขาอ�าพรางตัวเองไว้ เพื่อใช้มันเป็น ประโยชน์ในกรณีเฉพาะอื่นๆ ตามแต่โอกาสจะอ�านวย อันยิ่งกว่ามุ่งใช้เพื่อ เสริมสร้างระเบียบวินัย แนวคิดรวบอ�านาจแบบสุลต่านของเขายังคงไม่เป็น ที่ ป รากฏชั ด นั ก แม้ ว ่ า รู ป แบบการปกครองที่ ว ่ า จะกลายมาเป็ น อ� า นาจ เผด็จการที่ไม่อาจขัดขืน นั่นมนุษย์ผู้มีสติปัญญาเหนือกว่า ในทางปฏิบัติแล้ว จะไม่ได้ครอบครองอ�านาจสูงสุดเหนือคนทั่วไป หากไม่ใช้ชั้นเชิงเล่ห์เหลี่ยม และเกราะป้องกันตัวเองเสมอ และนั่นท�าให้พวกเขาต�่าช้าน่าเหยียดหยาม ไม่มากก็น้อย นี่แหละ สิ่งที่แยกปราชญ์แห่งอาณาจักร3ออกจากการแข่งขัน ทางการเมืองโลกตลอดกาล ส่วนอ�านาจราชศักดิส์ งู สุดกลับตกอยูก่ บั ผูท้ มี่ ชี อื่ เสียงขึน้ มาจากความด้อยกว่าอย่างหาทีส่ ดุ มิได้ เมือ่ เทียบกับบรรดาปราชญ์ผู้ เหนือกว่ามวลชนทั้งหลายในระดับประเทศ คุณความดีอันยิ่งใหญ่ซุกซ่อนอยู่ ในสิง่ เล็กๆ เหล่านี้ ยามเมือ่ ความเชือ่ ผิดๆ อย่างสุดโต่งทางการเมืองครอบง�า พวกเขา จนกษัตริยบ์ างองค์ถงึ ขนาดกลายเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญาไม่ตา่ งจาก ผู้ที่ได้มอบอ�านาจให้ ดังกรณีของซาร์นิโคลัส4 มงกุฎราชกุมารแห่งอาณาจักร ที่รายล้อมด้วยพวกบ้าอ�านาจ เวลานั้นฝูงชนสามัญชนต้องหมอบนอบน้อม ต่อศูนย์รวมแห่งมหาอ�านาจนี้ หรือไม่ก็เป็นเพราะคนเขียนบทละครโศก ผู้พรรณาถึงการยืนหยัดต่อสู้กับปิดกั้นและการกวาดล้างเต็มรูปแบบ อาจ ปราชญ์แห่งอาณาจักร-ตามประวัติศาสตร์แล้ว ปราชญ์เหล่านี้จะถูกคัดเลือกโดยจักรพรรดิโรมัน ผู้ยิ่ง ใหญ่ ไม่ใช่เลือกตัวเองขึ้นมา 4 ซาร์นโิ คลัส-จักรพรรดินโิ คลัสทีห่ นึง่ แห่งรัสเซีย (ค.ศ.1796-1855) กษัตริยจ์ อมเผด็จการ ผูป้ ดิ กัน้ ความ คิดจากต่างแดนทุกชนิด โดยบอกว่าเป็นความรู้จอมปลอม 3
198 : โมบี-ดิ๊ก
ลืมเล่านัยบางอย่างซึ่งมีความส�าคัญอย่างยิ่งในศิลปะการเล่าเรื่องไป ทั้งที่ เป็นเรื่องซึ่งพูดถึงกันในทุกวันนี้ เอแฮ็บ...กัปตันของผมยังคงเคลือ่ นไหวอยูเ่ บือ้ งหน้าผมด้วยท่วงท่าของชาว แนนทักเก็ตผูถ้ มึงทึงและหยาบกระด้าง และในละครฉากทีก่ ล่าวถึงจักรพรรดิ และองค์ราชันย์ ผมไม่ปิดบังหรอกว่าต้องท�างานร่วมกับนักล่าวาฬแก่และ น่าสังเวชเช่นเขา ดังนัน้ เครือ่ งประดับยศและเครือ่ งม้าอันสูงส่งทัง้ มวลจึงบอก ลาผม โอ้…เอแฮ็บ! ท่านจะยิ่งใหญ่ไปถึงไหนกัน ควรชะลอการพุ่งทะยานขึ้นสู่ ท้องฟ้า แล้วด�าดิ่งสู่เบื้องลึก และแสดงท่าทีซึ่งไร้ตัวตนบ้างเถอะ!
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 199
บทที่ 34
โต๊ะอาหารในห้องเครื่อง
เที่ยงวัน โดบอยเด็กรับใช้ในครัวโผล่ใบหน้าซีดเซียวออกมาจากช่องฝาห้อง เครือ่ ง เพือ่ แจ้งเวลาอาหารค�า่ แก่นายเหนือหัวและผูบ้ งั คับบัญชาของเขา ผูซ้ งึ่ หลบลมอยู่ในเรือเล็ก1ล�าหนึ่ง หลังจากออกไปสังเกตดวงอาทิตย์ และตอนนี้ ก�าลังนัง่ คาดคะเนเส้นละติจดู อยูบ่ นโต๊ะทรงกลมเกลีย้ ง ซึง่ สงวนไว้สา� หรับเป็น ที่นั่งพักขาสีงานั่นทุกวัน จากท่าทีที่ไม่แยแสเสียงรายงานของเด็กรับใช้ คุณ อาจคิดว่าเอแฮ็บเฒ่าเจ้าอารมณ์คงไม่ได้ยนิ เสียงคนรับใช้ของเขา แต่เขาก็คว้า เชือกเสาท้ายเรือ ดึงตัวขึ้นเดินขโยกไปทางดาดฟ้า ก่อนจะส่งเสียงเรียกอย่าง ซังกะตายว่า “กินอาหารค�่า...คุณสตาร์บัค” แล้วผลุบหายลงไปในห้องเครื่อง เมื่อเสียงสะท้อนจากฝีเท้าก้าวสุดท้ายของท่านสุลต่านเงียบหายไป สตาร์บคั เจ้าชายอาหรับคนทีห่ นึง่ ก็เชือ่ ด้วยประการทัง้ ปวงว่าถูกเชิญไปนัง่ ร่วม โต๊ะด้วย จึงตื่นจากภวังค์และเดินไปตามแผ่นกระดานเรือ หลังจากจ้องมอง กล่องเข็มทิศอย่างจริงจัง ก็พูดขึ้นด้วยน�้าเสียงที่เจือความยินดี “กินอาหาร ค�า่ ...คุณสตับบ์” แล้วก้าวเดินลงไปยังช่องพืน้ เรือ เจ้าชายอาหรับคนทีส่ องเดิน เตร่แถวสายระโยงอีกครู่หนึ่ง เขย่าเชือกโยงเสาหลักเบาๆ เพื่อทดสอบว่ายัง คงเรียบร้อยดีสมกับเป็นเชือกเส้นส�าคัญหรือไม่ จากนั้นเขาก็ประสานเสียง ต่อโดยพูดขึ้นอย่างฉับไวว่า “อาหารค�่า...คุณฟลาสก์” แล้วเดินตามหลังผู้อยู่ ในต�าแหน่งสูงกว่าลงไป 1
เรือเล็ก-พวกเรือเล็กที่แขวนอยู่ท้ายเรือ (ไปจนถึงปลายเสากระโดงต้นสุดท้าย)
200 : โมบี-ดิ๊ก
ส่วนเจ้าชายอาหรับคนทีส่ าม เมือ่ เห็นว่าตัวเองได้อยูต่ ามล�าพังบนดาดฟ้า ท้ายเรือก็ให้รู้สึกผ่อนคลายไร้สายตาคอยจับจ้อง เขายักคิ้วหลิ่วตาไปรอบทิศ ก่อนจะเตะรองเท้ากระเด็นหลุดหวือออก แล้วเริ่มเต้นร�าสุดเหวี่ยงตามต�ารับ กะลาสีแบบเก็บเสียง เป็นการเต้นร�าอยูเ่ หนือหัวของสุลต่านนัน่ เอง เขาโยนหมวก ของตัวเองขึ้นไปแขวนบนยอดเสากระโดงท้ายเรืออย่างคล่องแคล่วแม่นย�า เต้นแร้งเต้นกาชนิดไม่เข้ากับจังหวะดนตรีชนิดใดตลอดเวลาที่ยังอยู่บริเวณ บนดาดฟ้า กระนั้นก่อนก้าวลงช่องประตูสู่ห้องใต้ท้องเรือด้านล่าง เขาก็ หยุดเต้นพร้อมกับปรับเปลีย่ นสีหน้าใหม่ แล้วฟลาสก์หนุม่ เจ้าส�าราญ ผูร้ กั อิสระ ก็พร้อมไปปรากฏกายเบื้องหน้าราชาเอแฮ็บในบุคลิกของผู้ตา�่ ต้อยหรือทาส นัน่ ไม่ใช่เรือ่ งแปลกในบรรดาเรือ่ งแปลกๆ ทัง้ หลายทีเ่ กิดขึน้ ในธรรมเนียม ปฏิบัติทางทะเล ซึ่งต้องใส่หน้ากากเข้าหากันอย่างเต็มที่ กล่าวคือตอนอยู่ บริเวณลานโล่งแจ้งบนดาดฟ้าเรือ พนักงานชัน้ นายเรืออาจถูกยัว่ ยุให้กล้าพอ ท้าทายผู้บังคับบัญชาของตน แต่หลังนับถอยหลังจากสิบจนถึงหนึ่ง อีกเดี๋ยว พนักงานชั้นนายเรือเหล่านี้ก็จะได้รับเชิญให้ลงไปกินอาหารค�่าร่วมโต๊ะตาม ธรรมเนียมในห้องของผู้บังคับบัญชาคนเดิม พวกเขาจะลดท่าทีก้าวร้าวของ ตนลงอย่างฉับพลัน ทั้งไม่พูดจาต่อต้าน และท�าตัวนอบน้อมต่อผู้เป็นนาย ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ นี่นับเป็นเรื่องประหลาด จนบางครั้งน่าขบขันเป็นที่สุด ท�าไม ถึงเปลีย่ นท่าทีได้แบบนัน้ ? นัน่ เป็นปัญหาหรือเปล่า? บางทีอาจจะไม่ การเป็น เบลชัสซาร์2 ผู้เป็นราชาแห่งบาบิโลน และเป็นเบลชัสซาร์ ผู้ไม่วางท่าถือตัว แต่กลับอ่อนน้อมสุภาพ แบบนี้ต้องสร้างความรู้สึกอันยิ่งใหญ่ทางโลกอย่าง แน่นอน ด้วยผู้อยู่ในศักดิ์ฐานะอันสูงศักดิ์และมากปัญญา มานั่งเป็นประธาน ต่อหน้าแขกผูไ้ ด้รบั เชิญมาร่วมโต๊ะอาหารค�า่ ส่วนตัวของเขา นัน่ เป็นอ�านาจอัน ไม่อาจโต้แย้ง เป็นอิทธิพลส่วนตัวชัว่ เวลานัน้ ของคนคนนัน้ ซึง่ มีสถานะสูงส่ง กว่าเบลชัสซาร์ ด้วยเบลชัสซาร์กใ็ ช่วา่ จะยิง่ ใหญ่ทสี่ ดุ ผูท้ ไี่ ด้เลีย้ งอาหารค�า่ กับ เพื่อนๆ สักครั้ง ก็จะสัมผัสได้ว่าเป็นจักรพรรดินั้นรู้สึกอย่างไร มนต์เสน่ห์ 2
เบลชัสซาร์-กษัตริย์แห่งบาบิโลน (ในคัมภีร์ไบเบิล) ผู้ต้อนรับแขกโดยใช้จอกทองค�า ที่ยึดมาได้จากโบสถ์ ยิวในเยรูซาเร็ม
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 201
ของการเป็นจักรพรรดิในวงสังคมช่างไม่อาจต้านทาน คุณลองคิดดูก็แล้วกัน ว่า เมื่อเพิ่มอ�านาจเข้าไปให้แก่อ�านาจสูงสุดอย่างเป็นทางการของกัปตันเรือ ก็จะเข้าใจได้ถึงที่มาแปลกๆ ของชีวิตทางทะเลที่เพิ่งกล่าวถึง บนโต๊ะอาหารเลี่ยมงาของเขา เอแฮ็บนั่งเป็นประธานราวกับสิงโตทะเล จ่าฝูงนัง่ เงียบอยูบ่ นหาดปะการังสีขาว รายล้อมด้วยลูกฝูงทีพ่ ร้อมจะแหกคอก แต่ยังคงยอมอยู่ในโอวาท รองกัปตันแต่ละรอคิวเสิร์ฟอาหารจากเขาตาม ล�าดับ ต่างเหมือนเด็กเล็กๆ เบื้องหน้าเอแฮ็บ และดูเหมือนเอแฮ็บเองก็ ไม่ได้ปกปิดความเย่อหยิ่งในวงสังคมเล็กๆ นี้เลย ทุกคนต่างจ้องมองเป็น ตาเดียวไปยังมีดของชายแก่ขณะเฉือนอาหารจานหลักตรงหน้า ผมคิดว่าไม่ใช่ เสียมารยาทอะไร และทุกคนคงไม่คดิ ไปมองอะไรอืน่ ตอนนัน้ ไม่แม้แต่จะพูด คุยกันเรื่องทั่วไปอย่างลมฟ้าอากาศ ไม่เลย! แล้วเมื่อมีดและส้อมของเขาคีบ ติดชิ้นเนื้อที่เฉือนออกได้แล้ว เอแฮ็บก็บุ้ยใบ้ให้สตาร์บัคยื่นจานให้ ต้นเรือรับ เนือ้ ชิน้ นัน้ มาราวกับรับอาหารบริจาค และค่อยๆ บรรจงหัน่ ชิน้ เนือ้ ส่งเข้าปาก แต่มีดก็ยังบังเอิญครูดกับจานเล็กน้อย เขาเคี้ยวมันอย่างเงียบๆ และกลืน ลงท้องอย่างระมัดระวัง เพราะเช่นเดียวกับงานเลีย้ งในวันราชาภิเษกทีแ่ ฟรงค์ เฟิรต์ 3 ซึง่ จักรพรรดิเยอรมันจัดเลีย้ งอาหารค�า่ แก่ผคู้ ดั เลือกจักรพรรดิเจ็ดคน4 อาหารภายในห้องเครื่องมื้อนี้ก็มีพิธีรีตองไม่ต่างกัน แต่ละคนก้มหน้ากิน อาหารเงียบๆ ทั้งๆ ที่เอแฮ็บเฒ่าก็ไม่ได้ห้ามการสนทนาบนโต๊ะอาหาร หาก แต่ตวั เขากลับนัง่ ใบ้ไม่พดู จาอะไร สตับบ์คอ่ ยหายใจทัว่ ท้องขึน้ บ้าง เมือ่ หนูตวั หนึ่งท�าเสียงดังขึ้นอย่างกะทันหันในห้องเก็บของด้านล่าง ส่วนฟลาสก์หนุ่ม น้อยผู้น่าสงสาร เขาเปรียบเหมือนบุตรชายคนเล็กสุด เป็นหนุ่มน้อยในงาน เลีย้ งของครอบครัวทีน่ า่ เบือ่ นี้ อาหารส่วนของเขาเป็นกระดูกแข้งของเนือ้ เค็ม ซึง่ ลีบเล็กเท่าขาเป็ดไก่ได้ หากฟลาสก์กล้าหัน่ เนือ้ ให้ตวั เอง ก็คงต้องดูเหมือน งานเลี้ยงในวันราชาภิเษกที่แฟรงค์เฟิร์ต-ช่วงจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ราวค.ศ. 962-1806 (เยอรมนี อิตาลี เบอร์กันดี ฯลฯ) งานเลี้ยงในพิธีราชาภิเษกจักรพรรดิองค์ใหม่ จัดขึ้นที่ศาลากลางจังหวัด เมือง แฟรงค์เฟิร์ต เยอรมนี ณ ห้องที่เรียกกันว่า “หอจักรพรรดิ” 4 ผูค้ ดั เลือกจักรพรรดิเจ็ดคน-คณะพระคริสต์ระดับสูงและราชนิกลู ผูค้ ดั เลือกจักรพรรด์โรมันอันศักดิส์ ทิ ธิ์ 3
202 : โมบี-ดิ๊ก
การขโมยแบบอุกอาจเลยทีเดียว และหากเขาตักอาหารให้ตัวเอง แน่นอนว่า เขาย่อมไม่อาจแบกหน้าสู้โลกอันซื่อสัตย์นี้ได้ ถึงอย่างนั้นก็เป็นเรื่องแปลกที่ ต้องบอกว่าเอแฮ็บเองไม่เคยห้าม และหากฟลาสก์จะท�าขึ้นมาจริงๆ โอกาส ที่เอแฮ็บจะสังเกตเห็นก็มีไม่มากนัก อย่างน้อยๆ หากฟลาสก์กล้าตักเนยให้ ตัวเอง แต่เขาคิดว่าพวกเจ้าของเรือคงไม่อยากให้เขาท�าแบบนั้น เพราะจะ ไปอุดตันเส้นเลือดและส่งผลต่อผิวสีสดใสของเขา หรืออาจเพราะเขาห็นว่า การเดินทางอันยาวนานท่ามกลางทะเลที่ปราศจากร้านค้าใดๆ เนยย่อมเป็น อาหารพิเศษ ซึ่งนายเรือชั้นล่างอย่างเขาไม่มีสิทธิได้ลิ้มลอง ไม่ว่าจะเพราะ อะไรก็ตาม อนิจจา! ฟลาสก์เอ๋ย ช่างเป็นชายผู้ไร้เนยจริงๆ! อีกประการหนึง่ ฟลาสก์เป็นคนสุดท้ายทีล่ งมากินอาหาร และเป็นคนแรก ที่จะต้องกลับขึ้นไป คิดดู! ช่วงเวลากินอาหารของฟลาสก์จะสั้นขนาดไหน สตาร์บัคกับสตับบ์ได้เริ่มกินก่อนเขา แถมยังมีสิทธินั่งเอกเขนกปิดท้าย หาก เปรียบกับสตับบ์ ผูท้ แี่ ม้จะมีตา� แหน่งสูงกว่าฟลาสก์ แต่มคี วามต้องการอาหาร ในปริมาณน้อยกว่าและดูจะอิ่มเร็วมาก ดังนั้นฟลาสก์จึงต้องรีบท�าเวลาให้ ตัวเอง ไม่เช่นนั้นเขาจะกินอาหารได้ไม่เกินสามค�าในวันนั้น หากสตับบ์กิน เสร็จและต้องการจะกลับขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือก่อน ด้วยเหตุนี้ นับตั้งแต่ ฟลาสก์ได้รับสิทธิพิเศษนี้หลังจากได้รับแต่งตั้งให้เป็นพนักงานเรือ จากนั้น มาเขาไม่เคยรู้รสชาติอะไรมากไปกว่าความหิว...หิวมากหรือหิวน้อยเท่านั้น เพราะเขาไม่เคยกินอาหารมากพอจะให้หายหิว ราวกับจะกักเก็บความหิวไว้ กับตัวชัว่ กาลนาน ในความคิดของฟลาสก์...ความสุขกับความพึงพอใจต้องแยก ออกจากท้องไปตลอดกาล ฉันเป็นพนักงานเรือ แล้วอยากจะไปคว้าเนือ้ กินบน ดาดฟ้าหัวเรือเหมือนที่เคยท�าตอนอยู่หน้าเสาเรือได้อย่างไร นี่ล่ะผลของการ เลือ่ นฐานะ มีทงั้ ความยิง่ ยโสในเกียรติยศ และความวิปลาสแห่งชีวติ ! และหาก จะมีเพียงลูกเรือพีควอดคนใดริษยาฟลาสก์ในการปฏิบัติหน้าที่เจ้าพนักงาน เรือของเขา สิ่งที่ลูกเรือคนนั้นควรจะท�าเพื่อให้ได้มาซึ่งการล้างแค้นอย่าง สาสมก็คอื การไปยังท้ายเรือช่วงอาหารค�า่ ช�าเลืองมองผ่านช่องรับแสงของห้อง เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 203
เครื่องเข้าไป ก็จะเห็นฟลาส์ก�าลังนั่งเป็นเบื้อใบ้อยู่เบื้องหน้าเอแฮ็บจอมโหด เวลานี้ เอแฮ็บและผู้ช่วยทั้งสามของเขาเสร็จสิ้นพิธีที่อาจเรียกได้ว่าเป็น งานเลี้ยงบุคคลส�าคัญในห้องเครื่องเรือพีควอดแล้ว หลังทั้งหมดลุกออกไป การเตรียมการณ์ส�าหรับการมาถึงของเหล่านักพุ่งฉมวกก็เริ่มขึ้น ผ้าใบได้รับ การเก็บกวาด หรือน่าจะเรียกว่าส่งต่ออย่างเร่งด่วนโดยบริกรตัวซีด จากนั้น ทั้งสามนักพุ่งฉมวกก็ได้รับเชิญให้เข้ากินเลี้ยงต่อได้ พวกเขารับช่วงของเหลือ ต่อจากนัน้ ร่วมสร้างห้องอาหารชัว่ คราวของคนรับใช้ภายในห้องเครือ่ งทีส่ งู ส่ง และทรงอ�านาจ บรรยากาศบนโต๊ะอาหารของกัปตันช่างแตกต่างอย่างสิ้นเชิงระหว่าง ท่าทางฝืดฝืน และอ�านาจกดขี่ซ่อนเร้น กับอิสระเสรีและความสะดวกสบาย เป็นความเสมอภาคผิดเพีย้ นของนักพุง่ ฉมวกซึง่ เป็นลูกน้อง ขณะนายของพวก เขา ต้นหนทั้งสามต้องค่อยๆ เคี้ยวราวกับหวาดกลัวเสียงบานพับขากรรไกร ของตัวเอง นักพุ่งฉมวกทั้งสามกลับเคี้ยวอาหารอย่างเอร็ดอร่อยออกรส ออกชาติ พวกเขากินอาหารราวกับเป็นนายใหญ่ ยัดอาหารลงท้องราวกับ เรือชาวอินเดียขนเครื่องเทศขึ้นเรือตลอดทั้งวัน การกินอาหารอย่างตะกละ ตะกลามของควีเควก และแทชเทโกนัน้ เป็นการเติมเต็มให้กบั ส่วนทีข่ าดหายไป ของมือ้ อาหารก่อนหน้านี้ บ่อยครัง้ โดบอยตัวซีดยินดีเสิรฟ์ เนือ้ เค็มชิน้ ใหญ่ ซึง่ แข็งราวกับกะเทาะออกมาจากวัวแข็ง และหากเขาไม่เต็มใจจะท�าเช่นนัน้ หรือ หากเขาไม่กระตือรือร้นจะขยับตัว แทชเทโกจะกระตุ้นเขาโดยไม่สนใจเรื่อง มารยาทด้วยการจิ้มส้อมไปที่หลังของโดบอยตามแบบฉบับของนักพุ่งฉมวก ยิ่งเมื่อแด็กกูนึกสนุกร่วมจู่โจมด้วยช่วยเตือนความจ�าของโดบอย โดยการ คว้าเขาขึ้นมาทั้งตัวแล้วดันหัวของเขาวางลงบนถาดไม้อันใหญ่ที่ยังว่างเปล่า อยู่ ขณะแทชเทโกถือมีดไว้ในมือท�าท่าจะโกนหัวเขา โดบอยมีนสิ ยั ขีก้ ลัว เป็น คนรูปร่างเล็กทีข่ ตี้ กใจ บริกรหน้าขนมปังคนนีเ้ ป็นลูกหลานของช่างท�าขนมปัง ที่ล้มละลายและพยาบาลประจ�าโรงพยาบาล เมื่อต้องมาใช้ชีวิตอยู่เบื้องหน้า เอแฮ็บผู้เกรี้ยวกราด และช่วงเวลาอันสับสนอลหม่านยามเมื่อสามจอมโฉด 204 : โมบี-ดิ๊ก
เหล่านี้มาเยือน ตลอดชีวิตของโดบอยจึงต้องตกอยู่ในสภาพปากสั่นงันงก อยู่ตลอดเวลา โดยปกติแล้วหลังจากดูแลจนนักพุ่งฉมวกให้ได้รับสิ่งต่างๆที่ ต้องการเรียบร้อยแล้ว เขาจะหลบหลีกการเกาะกุมของสามคนนี้เข้าไปในตู้ อาหารเล็กๆ ของเขา เฝ้าแอบมองคนทั้งสามอย่างหวาดๆ ผ่านม่านประตู จนกว่าพวกเขาจะกินเสร็จ ภาพทีป่ รากฏอยูต่ อนนีจ้ ะเห็นควีเควกนัง่ ตรงข้ามกับแทชเทโก หันฟันเรียง แถวของเขาไปยังฟันของเจ้าคนอินเดีย ด้านทแยงมุมของพวกเขา แด็กกูนั่ง อยูบ่ นพืน้ เพราะม้านัง่ อาจท�าให้หวั ติดขนนกแต่งม้าขนศพของเขาต้องแสงไฟ บนเรือที่ส่องต�า่ อยู่ได้ ทุกอิริยาบถแขนขาขนาดมหึมาของเขาท�าให้โครงสร้าง ต�่าของห้องเครื่องโยกคลอน เหมือนตอนช้างแอฟริกาเดินทางโดยสารมา ในเรือ ถึงอย่างนั้นเจ้านิโกรยักษ์กลับกินดื่มพอประมาณไม่มูมมามออก รสชาติแต่อย่างใด จนแทบไม่น่าเป็นไปได้ว่าอาหารค�าเล็กเพียงแค่นั้นจะพอ ให้ก�าลังวังชาแทรกซึมทั่วร่างของบุคคลผู้ซึ่งสูงส่งในต�าแหน่งบารอน กระนั้น แน่นอนว่าคนป่าชั้นสูงผู้นี้กินดื่มอากาศธาตุที่มีอยู่อย่างมากมายด้วยการ สูดลมหายใจผ่านโพรงจมูกขยายกว้างของเขาตลอดชีวติ อันบริสทุ ธิบ์ นโลกใบ นี้ เขาไม่ได้เติบโตขึ้นมาจนตัวใหญ่ยักษ์ด้วยการกินเนื้อหรือขนมปัง ต่างจาก ควีเควก เขากินอย่างมูมมามหิวกระหาย และส่งเสียงดังฟังน่ากลัวเสียจน โดบอยตัวสัน่ คอยจ้องมองดูวา่ ฟันซีใ่ ดสึกพอทีเ่ ขาจะหลบซ่อนแขนลีบเล็กของ เขาเองได้บ้าง เมื่อเขาได้ยินเสียงแทชเทโกร้องเรียกให้เขาเลือกชิ้นกระดูกที่ จะน�ามาปรุงรสเป็นอาหารให้กับตัวเขาเอง บริกรซื่อบริสุทธิ์ถึงกับท�าหม้อไห ที่แขวนอยู่รอบตัวเขาในตู้อาหารตกแตกเพราะอาการชักกระตุกขึ้นมาอย่าง ฉับพลัน บางครั้งนักพุ่งฉมวกจะน�าเอาหินลับมีดที่พวกเขามักติดตัวไว้ใน กระเป๋ากางเกงเพื่อใช้ลับคมหลาวและอาวุธอื่นๆ ขึ้นมาลับคมมีดโอ้อวดกัน ในช่วงอาหารค�่า เสียงครูดนั้นท�าให้โดบอยผู้น่าสงสารไม่อาจสงบใจได้เลย ท�าอย่างไรเขาจึงจะลืมวันเวลาบนเกาะของเขา ควีเควกเป็นคนหนึ่งที่รู้สึก ผิดกับการล้อเล่นที่เลินเล่อและเสี่ยงอันตราย อนิจจา! โดบอย! นี่เป็นอาหาร เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 205
มือ้ สาหัสทีบ่ ริกรผิวขาวต้องคอยรับใช้มนุษย์กนิ คน แขนของเขาไร้ผา้ กันเปือ้ น พาดวางหากแต่เป็นโล่กลมเล็ก แม้ในเวลาที่เขายินดีมาถึง ยามนักรบน�้าเค็ม ทั้งสามลุกขึ้นเดินจากไป หูที่ชอบสอดส่ายฟังเสียงหลอกเด็กอย่างงมงาย ก็จะฟังเสียงกระทบกันของกระดูกนักรบทีด่ งั ขึน้ ในแต่ละก้าวย่างของพวกเขา เป็นเสียงดาบสั้นโค้งของแขกมัวร์ดังกระทบฝักอยู่ภายใน คนป่าเหล่านี้ไม่ว่าจะกินอาหารอยู่ในห้องเครื่อง หรือท�าอะไรก็ตามแต่ คนพวกนี้ยังคงนิสัยเดิมของตัวเองไว้ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เว้นแม้แต่ช่วงเวลา อาหาร และก่อนเข้านอนยามเมื่อต้องผ่านห้องเครื่องไปยังที่พักที่จัดไว้เป็น พิเศษส�าหรับพวกเขาเอง ในเรื่องนี้เอแฮ็บดูเหมือนจะไม่มีข้อยกเว้น ต่างไปจากกัปตันเรือล่าวาฬ ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ ซึ่งทั้งหมดค่อนข้างมีความเห็นว่าสิทธิครอบครองห้อง เครือ่ งเป็นของพวกเขา ด้วยเหตุนจี้ งึ เป็นมารยาทส�าหรับคนอืน่ ทีจ่ ะต้องได้รบั อนุญาตจึงจะเข้ามาใช้ประโยชน์ในห้องนี้ได้ ในความเป็นจริงแล้วต้องบอกว่า พวกผู้ช่วยกัปตันและนักพุ่งฉมวกแห่งเรือพีควอดใช้ชีวิตอยู่นอกห้องเครื่อง มากกว่าอยู่ภายใน ยามใดพวกเขาเข้ามาในห้องนี้ นั่นหมายถึงก�าลังเดินผ่าน ทางเข้าสูบ่ า้ น ซึง่ เมือ่ เดินเข้าไปแล้วอีกสักพักก็ตอ้ งเดินออกมา และไปใช้ชวี ติ ถาวรอยู่ด้านนอกบริเวณกลางแจ้ง ด้วยเหตุที่พวกเขาไม่มีสิทธิเข้าพักในห้อง เครื่อง เขตแดนไร้มิตรภาพและการเข้าสังคม เอแฮ็บจึงเป็นบุคคลผู้เข้าถึง ได้ยาก แม้จะได้รับส�ารวจให้อยู่ในกลุ่มชาวคริสต์ แต่เขายังคงเป็นคนแปลก หน้าส�าหรับกลุ่ม เขาอาศัยอยู่บนโลกราวกับเป็นหมีกรีซลีตัวสุดท้ายที่อาศัย อยู่ในรัฐมิสซูรี ยามเมื่อฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนผ่านไป โลแกน5ฝังตัวเองใน โพรงต้นไม้ หลบลมหนาวอยู่ในนั้น ดูดอุ้งเล็บของตัวเอง ร้องโหยหวนถึงช่วง หลังของชีวิต จิตวิญญาณของเอแฮ็บฝังอยู่ในโพรงร่างกายของเขา ได้รับการ หล่อเลี้ยงด้วยความเคืองแค้นในอุ้งเล็บแห่งความมืดมัว 5
โลแกน (ค.ศ. 1725-1780) – หัวหน้าเผ่าอินเดียนแดง ซึ่งครอบครัวถูกฆ่าสังหารหมู่ จึงซ่อนตัวและน�า พลพรรคคอยดักซุ่มโจมตีพวกที่มาตั้งรกราก จนน�าไปสู่สงครามดันมอร์
206 : โมบี-ดิ๊ก
บทที่ 35
ยามยอดเสา
ช่วงอากาศก�าลังสบาย เป็นเวลาถึงก�าหนดลูกเรืออีกคนมาผลัดเปลีย่ นหน้าที่ ยืนเฝ้ายามบนยอดเสากระโดงเรือแทนผมซึ่งท�าหน้าที่นี้เป็นคนแรก เรือล่าวาฬชาวอเมริกันส่วนใหญ่จะมียามประจ�าบนหัวเสาแทบในทันที่ ที่เรือออกจากท่า แม้บางครั้งเรือยังห่างจากเส้นทางเดินเรือหนึ่งหมื่นห้าพัน ไมล์หรือกว่านั้น และหลังจากนั้นสักสาม สี่หรือห้าปีของการเดินทาง ขณะ น�าเรือกลับบ้านโดยไม่ได้วาฬสักตัวหรือไขมันสักหยด กระนั้น ผู้ท�าหน้าที่ เวรยามบนยอดเสายังคงต้องอยู่ประจ�าที่จนถึงนาทีสุดท้าย! และจะไม่ลงมา จนกว่าใบเล็กติดยอดเสาจะถูกกางขึ้น ซึ่งนั่นหมายถึงเรือยอมยกธงขาวใน การตามล่าวาฬอีก ปัจจุบนั หน้าทีย่ นื เฝ้ายามบนยอดเสาทัง้ บนบกหรือลอยล�ากลางทะเล เป็น หน้าทีท่ นี่ า่ สนใจและมีมาแต่โบร�า่ โบราณ ขอให้เราได้ขยายความเพิม่ เติมตรง นี้สักหน่อยเถิด ผมคิดว่าคนยืนเฝ้ายามบนยอดเสาคนแรกๆ น่าจะเป็นชาว อียิปต์โบราณ เพราะจากผลการศึกษาของผมทั้งหมดพบว่า ไม่เคยมีใครท�า หน้าทีน่ มี้ าก่อนคนพวกนี้ แม้บรรพบุรษุ ของพวกเขาจะเป็นผูส้ ร้างหอบาเบล1 แน่นอนว่าพวกเขาตัง้ ใจสร้างให้เป็นหอคอยทีม่ ยี อดเสาสูงทีส่ ดุ ทัว่ ทัง้ ในเอเชีย หรือแอฟริกา กระนั้น (ก่อนของชิ้นสุดท้ายถูกน�าขึ้นไปบนหอคอย) กล่าว ได้ว่าเสาหินมหึมาของพวกเขานั้นได้พังทลายลงโดยคณะผู้สร้าง อันเป็นผล 1
หอบาเบล-เป็นสิ่งก่อสร้างหลังน�้าท่วมโลก โดยมีจุดมุ่งหมายให้เป็นหอเทียมฟ้า สูงไปถึงสวรรค์
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 207
จากแรงลมพิโรธแห่งพระองค์ ดังนั้นเราจึงไม่อาจนับรวมผู้สร้างหอบาเบลไว้ ก่อนหน้าชาวอียิปต์ นอกจากนี้นักโบราณคดียังเชื่อว่าชาวอิยิปต์เป็นชาติที่มี คนเฝ้ายามบนหอสูงโดยพิจารณาจากพีระมิดในยุคแรกที่ถูกค้นพบนั้นสร้าง ขึ้นเพื่อใช้เฝ้าสังเกตดวงดาวบนท้องฟ้า เป็นสมมติฐานที่ได้รับการสนับสนุน อย่างชัดเจนจากโครงสร้างประหลาดทีม่ ลี กั ษณะคล้ายขัน้ บันไดทัง้ สีด่ า้ นของ สิ่งปลูกสร้าง คือยกสูงจากฐานด้านล่างทอดยาวขึ้นไป นักดาราศาสตร์เหล่า นั้นคุ้นเคยกับการปีนขึ้นสู่ยอดพีระมิดเพื่อมองหาดาวดวงใหม่ เช่นเดียวกับ คนเฝ้ายามของเรือยุคใหม่ที่ขึ้นไปยืนอยู่บนยอดเสาเพื่อเฝ้ามองหาเรือหรือ วาฬ ก่อนจะตะโกนบอกคนด้านล่าง เซนต์สไตไลตส์2 นักบุญของคริสเตียน ผู้มีชื่อเสียงในยุคเก่า ได้สร้างหอคอยหินในทะเลทราย และใช้เวลาทั้งหมดใน ช่วงท้ายของชีวิตอยู่บนยอดหอคอย โดยชักรอกอาหารจากด้านล่างขึ้นมากิน เขาเป็นกรณีตัวอย่างที่น่ายกย่องของต้นแบบคนเฝ้ายามบนยอดเสาสูง ผู้ซึ่ง ไม่เคยหลบลงมาด้านล่างแม้จะเจอกับหมอก น�้าค้างเย็นจัด ฝน ลูกเห็บ หรือ หิมะ เขากล้าเผชิญกับอุปสรรคทุกชนิดที่ถาโถมเข้ามาจนกระทั่งเสียชีวิตอยู่ บนหอคอยของตัวเอง บนยอดเสาในยุคปัจจุบนั เราเพียงติดตัง้ อุปกรณ์ไร้ชวี ติ อย่างเช่น หุน่ หิน หุน่ เหล็ก และหุน่ บรอนซ์ ซึง่ แม้จะมีศกั ยภาพต่อการต้านทาน พายุลมแรง แต่ไร้ซึ่งความสามารถในการเฝ้าสังเกตการณ์และคอยแจ้งเตือน เมือ่ พบเห็นสิง่ ผิดปกติใดๆ อย่างรูปปัน้ นโปเลียนทีย่ นื กอดอกอยูบ่ นยอดเสาใน วังวองต์โดมซึง่ อยูก่ ลางอากาศสูงราวหนึง่ ร้อยห้าสิบฟุต แต่สมัยนีไ้ ม่มคี นสนใจ แล้วว่าใครควบคุมดาดฟ้าด้านล่าง ไม่ว่าจะเป็นหลุยส์ฟีลีป3 หลุยส์บลองก์4 หรือปีศาจหลุยส์5นั่นก็ตาม มหาบุรุษวอชิงตันก็เช่นเดียวกัน ขึ้นไปยืนอยู่บน เสาสูงในบัลติมอร์6 เช่นเดียวกับเสาหินเฮอร์ควิ ลิส7 เสาวอชิงตันเปรียบดังจุด เซนต์สไตไลตส์- (ราว ค.ศ. 390-459) ใช้ชีวิตบนยอดเสาในไซเรียถึง 37 ปี หลุยส์ฟีลีป-กษัตริย์องค์สุดท้ายที่ปกครองฝรั่งเศส ถูกขับไล่ในการปฏิวัติปี 1848 4 หลุยส์บลองก์-นักการเมืองหัวรุนแรงในการปฏิวัติปี 1848 5 ปีศาจหลุยส์-หลุยส์นะโปเลียน แห่งราชวงศ์โปนาปาต 6 เสาสูงในบัลติมอร์-อนุสาวรีย์วอชิงตัน ในบัลติมอร์ แมริแลนด์ 7 เสาหินเฮอร์คิวลิส-ผาหินสองฝากของช่องแคบยิบรอลตาร์ ซึ่งแยกสเปนกับอเมริกาเหนือ 2 3
208 : โมบี-ดิ๊ก
ยิง่ ใหญ่ของมนุษย์ทนี่ อ้ ยคนจะก้าวไปถึง8 พลเรือเอกเนลสัน9ก็ถกู กว้านขึน้ ไป ยืนอยูบ่ นยอดหอคอยในจัตรุ สั ทราฟัลการ์10 และต้องมัวหมองลงเพราะหมอก ควันจากกรุงลอนดอน กระนั้นก็ยังคงมีหลักฐานบ่งชี้ถึงวีรบุรุษลี้ลับอยู่ที่นั่น เพราะทีใ่ ดมีควันทีน่ น่ั ย่อมมีไฟ กระนัน้ ไม่วา่ มหาบุรษุ วอชิงตัน หรือนโปเลียน หรือเนลสันจะร้องตอบเสียงทักทายจากเบื้องล่าง แต่ก็ต้องถูกที่ปรึกษาของ พวกเขาอุทธรณ์การผูกมิตร ดาดฟ้าเรือต้องหันเหไปตามสิ่งที่พวกเขาเห็น ถึงอย่างนัน้ อาจสันนิษฐานได้วา่ จิตวิญญาณของพวกเขาทะลุมา่ นหมอกหนา ของอนาคตภายหน้า และมองเห็นสันดอนและกองหินที่ไม่อาจหลบเลี่ยงได้ ดูเหมือนจะไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัดถึงความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกัน ระหว่างคนยืนเวรยามยอดหอคอยบนบก กับคนเฝ้าสังเกตการณ์บนยอดเสา เรือกลางทะเล หากแต่ข้อเท็จจริงที่มีต่างออกไป ซึ่งพิสูจน์ชัดได้ด้วยสิ่งของที่ โอเบด เมซี่11 นักประวัติศาสตร์เพียงผู้เดียวแห่งแนนทักเก็ตใช้ในการยืนยัน โอเบดผู้น่าสรรเสริญบอกกับเราว่าในยุคแรกๆ ของการประมงล่าวาฬ ก่อน น�าเรือล่องไปบนเส้นทางเดินเรือตามปกติ ชาวเกาะจะยกเครื่องเสาสูงตาม ชายฝั่งเพื่อให้ผู้สังเกตการณ์ปีนขึ้นไป โดยใช้ราวเกาะซึ่งมีลักษณะเหมือนไม้ หรือโลหะยึดเชือกรูปตัวที คล้ายกับที่พวกเป็ดไก่ใช้ไต่ข้ึนไปบนเล้าของมัน เวลาผ่านไปไม่กี่ปีวิธีการนี้ถูกน�าไปใช้โดยนักล่าวาฬที่ท่องไปยังอ่าวใกล้แผ่น ดินของนิวซีแลนด์ ผู้ซึ่งเห็นความจ�าเป็นในการมีผู้สังเกตการณ์บนยอดเสา คอยบอกเส้นทางการน�าเรือเข้าฝั่ง แต่ธรรมเนียมปฏิบัตินี้ปัจจุบันเลิกใช้ไป แล้ว กลายเป็นว่าผู้จะมาท�าหน้าที่ยืนเฝ้าสังเกตการณ์บนยอดเสาเรือล่าวาฬ กลางทะเลต้องมีคณ ุ สมบัตอิ นั เหมาะสม โดยมีผทู้ า� หน้าทีน่ ที้ งั้ สิน้ สามคนผลัด จุดยิง่ ใหญ่ของมนุษย์ทนี่ อ้ ยคนจะก้าวไปถึง-ในปี 1851 ยังมีการพัฒนาน้อยในบัลติมอร์ ซึง่ อยูท่ างเหนือ ของอนุสาวรีย์วอชิงตัน 9 พลเรือเอกเนลสัน-ฮอราชิโอ เนลสัน (ค.ศ.1758-1805) 10 จัตรุ สั ทราฟัลการ์-อยูใ่ จกลางกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เป็นอนุสรณ์สถานของสงครามทราฟัลการ์ หรือสงครามวอเตอร์ลูระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศสในปี 1805 ซึ่งนายพลเนลสันเสียชีวิตลง) อนุสาวรีย์ นายพลเนลสันตั้งอยู่ที่นั่น โดยมีรูปปั้นของเขาอยู่บนยอดเสาสูง 11 โอเบด เมซี่-พ่อค้าชาวเควเกอร์ผู้ตีพิมพ์หนังสือประวัติศาสตร์ของแนนทักเก็ตในปี 1835 8
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 209
เปลีย่ นกันยืนยามตัง้ แต่ตะวันขึน้ จนตะวันลับขอบฟ้า ลูกเรือผูท้ า� หน้าทีจ่ ะต้อง ผลัดเปลีย่ นกันยืนเฝ้าคนละสองชัว่ โมง (เช่นเดียวกับคนถือพวงมาลัยเรือ) ช่วง อากาศปลอดโปร่งในทะเลเขตร้อนเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งในการท�าหน้าที่ ยืนยามบนยอดเสา และเป็นความสุขสุดยอดส�าหรับคนช่างฝัน ตรงจุดที่คุณ ยืนสูงจากดาดฟ้าด้านล่างหนึง่ ร้อยฟุตก�าลังแล่นไปในทะเลลึกราวกับเสาเรือ เป็นเหมือนไม้ต่อขาขนาดใหญ่ ขณะด้านล่างที่อยู่ระหว่างขาทั้งสองข้างของ คุณคือสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ยักษ์แหวกว่ายในท้องทะเล เปรียบดังเมื่อเรือ แล่น ผ่านสองเท้าของเทวรูปแห่งโรดส์12อันเลื่องลือยุคเก่าก่อน ยามคุณยืน อยู่บนนั้น หลุดเข้าไปในอาณาจักรไม่สิ้นสุดแห่งท้องทะเล ไร้สิ่งรบกวน มีก็ แต่แรงกระเพือ่ มของระลอกคลืน่ เรือทีจ่ มอยูใ่ นภวังค์จะแล่นเอือ่ ยไปตามลม อย่างคนง่วงซึม สรรพสิ่งรอบตัวจะท�าให้คุณกลายเป็นคนเซื่องซึม สิ่งส�าคัญ ที่สุดของชีวิตการล่าวาฬในเขตร้อน ชีวิตเรื่อยๆ เอื่อยๆ จะค่อยๆ เปลี่ยน คุณ คุณไม่ได้ยินข่าวอะไร ไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์ ไม่มีเรื่องใหม่ๆ ให้ต้อง ตื่นเต้นตกใจเกินจ�าเป็น ไม่ได้รับรู้เรื่องทุกข์ร้อนของครอบครัว ไม่ว่าหลัก ทรัพย์จะล้มละลาย หรือหุน้ จะตก ไม่ตอ้ งเดือนร้อนกับอาหารค�า่ และอาหาร มื้ออื่นๆ เพราะมีให้กินตลอดช่วงสามปี และยังมีเก็บไว้ในถังไม้อีกมาก โดย เมนูอาหารไม่มีเปลี่ยนแปลง บ่อยครั้งการท�าหน้าที่นี้ของนักล่าวาฬทางตอนใต้ตลอดระยะเวลาเดิน ทางนานร่วมสามหรือสี่ปี เวลาจ�านวนมากที่ใช้ไปบนยอดเสานับรวมกันแล้ว เป็นเวลาหลายเดือนเลยทีเดียว มากพอจะเสียดายว่าสถานที่ที่คุณอุทิศเวลา ทั้งหมดในชีวิตประจ�าวันของคุณตลอดระยะเวลาการเดินทางครั้งนี้ เป็นที่ น่าเศร้าใจว่าได้ท�าลายหนทางใดๆ ในการใช้ชีวิตผาสุก หรือหนทางในการ ปรับความรู้สึกให้คุ้นเคยอยู่สบายได้ เช่น สิ่งของประเภทเตียงนอน เปลญวน รถขนศพ ตู้ยาม ทานเทศน์ รถม้า หรือสิ่งประดิษฐ์อื่นใดที่มีขนาดเล็กและ อุ่นสบายพอที่มนุษย์จะปลีกตัวมาพักอาศัยอยู่ชั่วคราว คอนเกาะของคุณ 12
เทวรูปแห่งโรดส์-เทวรูปขนาดมหึมาของเทพฮีลอิ อสหรืออะพอลโล ยืนอยูบ่ นเกาะโรดส์ของกรีก สร้างขึน้ ราว 280 ปี ก่อนคริสตกาล เป็นหนึง่ ในเจ็ดสิง่ มหัศจรรย์ของโลก (ยุคเจ็ดสิง่ มหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ)
210 : โมบี-ดิ๊ก
นั้นเป็นเพียงยอดบนของเสารูปตัวที ยืนอยู่บนแท่งไม้แผ่นบางคู่หนึ่ง (ท�าขึ้น เพื่อนักล่าวาฬโดยเฉพาะ) เรียกว่าครอสทรีบนยอดเสากระโดง บนนี้แรงโยก คลอนจากคลืน่ ทะเลจะท�าให้ผทู้ เี่ พิง่ ขึน้ ไปเริม่ ต้นยืนรูส้ กึ สบายพอๆ กับยืนอยู่ บนเขาวัว ฉะนัน้ ตรวจสอบให้แน่ใจเสียก่อนว่าในเวลาอากาศเย็นจัดคุณได้นา� เอาความอบอุ่นติดมือขึน้ มาด้วย ก็พวกเสือ้ โค้ตนัน่ แหละ แต่จะว่าไปเสือ้ โค้ต ตัวหนานีก้ ไ็ ม่ได้อบอุน่ มากไปกว่าร่างกายเปลือยเปล่า นัน่ ก็เพราะจิตวิญญาณ ทีถ่ กู ติดแน่นไว้กบั เนือ้ หนังมังสาทีใ่ ช้พกั อาศัยชัว่ คราว คุณไม่สามารถขยับตัว ได้อย่างอิสระ และไม่อาจเคลื่อนย้ายไปไหนได้ ไม่มีทางหนีภัยอันตราย (เช่น เดียวกับนักเดินทางผูไ้ ม่ชา� นาญทาง เดินข้ามเขาแอลป์ทมี่ หี มิ ะปกคลุมในช่วง ฤดูหนาว) ด้วยเหตุนี้เสื้อโค้ตจึงไม่ได้ให้ความอุ่นใจได้มากไปกว่าเป็นเพียง แค่ผ้าห่อหุ้มกาย หรือผิวหนังที่เพิ่มขึ้นมาห่อหุ้มตัวไว้เท่านั้น คุณไม่สามารถ เพิ่มชั้นวางของ หรือตู้ลิ้นชักในร่างกายของคุณ และไม่อาจเพิ่มพื้นที่สะดวก สบายในเสื้อโค้ตได้ ความกังวลทั้งหมดนี้มากพอจะท�าให้รู้สึกเศร้าใจว่าบนยอดเสาของเรือ ล่าวาฬชาวใต้ไม่ได้จัดเตรียมเต้นท์ หรือมุขเล็กๆ ที่เรียกว่ารังกา ซึ่งผู้เฝ้า สังเกตการณ์ของนักล่าวาฬกรีนแลนด์ใช้หลบภัยจากอากาศในทะเลน�้าแข็ง เรื่ อ งเล่ า เป็ น กั น เองของกั ป ตั น สลี ต13ในหั ว ข้ อ “การเดิ น ทางท่ า มกลาง ภูเขาน�า้ แข็งเพื่อส�ารวจวาฬกรีนแลนด์ และการค้นพบโดยบังเอิญครั้งใหม่ใน ดินแดนไอซ์แลนด์แห่งกรีนแลนด์ยุคก่อน” หนังสือน่ายกย่องเล่มนี้กล่าวถึง ผู้สังเกตการณ์บนยอดเสาทุกคนได้รับความสะดวกสบายจากรังกาแห่งเรือ เกลเชอร์ซงึ่ เพิง่ เริม่ ประดิษฐ์ขนึ้ ในเวลานัน้ ให้มพี นื้ ทีใ่ ช้สอยน่าอยู่ เขาเรียกมัน ว่ารังกาของสลีตเพื่อเป็นเกียรติแก่ตัวเขาเอง เขาเป็นผู้ประดิษฐ์คนแรก และ เป็นผู้ถือสิทธิบัตร การเรียกชื่อเช่นนั้นก็เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการแอบอ้าง ก็ ในเมื่อเราเรียกชื่อลูกตามหลังชื่อของเราเองได้ (เราริเริ่มการเป็นนักประดิษฐ์ คนแรก และผู้ถือสิทธิบัตร) ท�านองเดียวกันเราก็น่าจะเรียกชื่อเครื่องใช้อื่น 13
กัปตันสลีต-ฉายาล้อเลียนวิลเลียน สกอร์บี (ค.ศ. 1789-1857) นักส�ารวจขัว้ โลกเหนือ นักวิทยาศาสตร์ และบาทหลวงชาวอังกฤษ แม้จริงๆ แล้ว สกอร์บีบอกว่า พ่อของเขาต่างหากที่เป็นคนคิดสร้างรังกาขึ้น
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 211
ใดที่เราสร้างขึ้นหลังชื่อของเราได้ด้วยเช่นกัน รังกาของสลีตมีลักษณะคล้าย ถังไม้ขนาดใหญ่หรือยักษ์14 เปิดโล่งด้านบนแต่มตี ดิ ตัง้ ฉากพับเก็บได้ไว้สา� หรับ ป้องกันหัวของคุณเวลาเกิดพายุหนัก รังกานีจ้ ะติดอยูบ่ นยอดเสาเวลาขึน้ คุณ ต้องปีนผ่านช่องเล็กๆใต้ท้องเรือ โดยจะอยู่หลังด้านข้างเรือ หรือด้านข้างถัด จากท้ายเรือเป็นที่นั่งสบายมีตู้เก็บของอยู่ใต้ที่นั่งไว้ส�าหรับใส่ร่มกันแดด ผ้า พันคอ และเสื้อคลุม บริเวณด้านหน้าจะมีราวหนังไว้ส�าหรับแขวนโทรโข่ง กล้องยาสูบ กล้องส่องทางไกล และอุปกรณ์อื่นที่ใช้อ�านวยความสะดวก ขณะเดินเรือทะเล ตอนกัปตันสลีตยืนอยู่บนยอดเสาในรังกา เขาบอกกับ เราว่าเขามักจะน�าปืนยาวขึ้นไปด้วย (แขวนไว้ที่ราวหนังเช่นกัน) รวมทั้งขวด ดินปืน และลูกกระสุนไว้ใช้สา� หรับยิงนาร์วาฬ15หลงฝูง หรือยูนิคอร์นพเนจร แห่งท้องทะเลที่ก�าลังว่ายวนเวียนอยู่ในน�้า เพราะคุณจะไม่มีทางยิงมันจาก ดาดฟ้าได้เนื่องจากจะโดนแรงเสียดทานของน�้า แต่หากยิงจากด้านบนจะให้ ผลที่ต่างออกไป กัปตันสลีตโปรดปรานที่จะพรรณนาถึงสิ่งที่เขาท�า ทั้งหมด ล้วนเป็นเครื่องอ�านวยความสะดวกที่มีรายละเอียดปลีกย่อยในรังกาของเขา แต่แม้เขาจะเพิม่ สิง่ ต่างๆเหล่านีม้ ากเพียงใด และแม้จะสร้างความเพลิดเพลิน ให้กบั พวกเราด้วยการอธิบายวิทยาศาสตร์การทดลองในรังกานี้ เกีย่ วกับเข็ม ทิศขนาดเล็กทีเ่ ขาน�าขึน้ มาไว้ใช้สา� หรับลดปัญหาความผิดพลาดจากสิง่ ทีเ่ รียก ว่า “แรงดึงดูดใกล้ตวั 16” ของแม่เหล็กในกล่องใส่เข็มทิศ17 ความผิดพลาดทีน่ า่ จะ เกิดขึน้ บริเวณแนวราบใกล้เหล็กในแผ่นกระดานเรือ และในหีบของเรือเกลเชอร์ หรือบางทีอาจมีช่างเหล็กสุขภาพทรุดโทรมหลายคนปะปนอยู่ในกลุ่มลูกเรือ ก็ได้ ผมว่าแม้กปั ตันจะเป็นคนคิดรอบคอบ และเป็นระบบมากแค่ไหน หากแต่สงิ่ ทีเ่ ขาได้เรียนรูท้ งั้ หมดไม่วา่ จะเป็น “ความคลาดเคลือ่ นของเข็มทิศ” “การสังเกต ถังไม้ขนาดใหญ่หรือยักษ์-จุ 42 และ126 แกลลอน นาร์วาฬ-วาฬมีฟันขนาดกลาง เพศผู้มีลักษณะที่โดดเด่นคือ มีงาที่ยาวตรงเป็นเกลียว ยื่นมาจากกราม บนด้านซ้าย ซึ่งแท้ที่จริงแล้วคือฟันเพียงซี่เดียว ที่อาจยาวได้ถึง 3 เมตร 16 แรงดึงดูดใกล้ตัว-เหล็กในเรือเองที่ส่งผลต่อเข็มทิศ 17 กล่องใส่เข็มทิศ-เพื่อป้องกันผลจากเหล็กในเรือป่วนเข็มทิศ 14 15
212 : โมบี-ดิ๊ก
เข็มทิศในแนวราบ” และ “ค่าความผิดพลาดโดยประมาณการ” กัปตันสลีตย่อมรู้ ตัวเองดีกว่าไม่ได้ใช้เวลาในการพิจารณาไตร่ตรองเกีย่ วกับแม่เหล็กอย่างลึกซึง้ พอ เพราะถูกดึงความสนใจไปกับขวดเหล้าสีเ่ หลีย่ มเล็กๆ18 ทีส่ อดไว้อย่างดีตรงมุม ด้านหนึ่งของรังกา จุดที่เขาสามารถฉวยหยิบได้ง่าย แม้โดยรวมผมจะชื่นชม และนับถือกัปตันผู้มีความกล้าหาญ ซื่อสัตย์ และใฝ่รู้ กระนั้นผมก็มองเห็น ข้อบกพร่องเกีย่ วกับเหล้าขวดเล็กของเขา ซึง่ เขามองว่ามันเป็นเพือ่ นผูซ้ อื่ สัตย์ และปลอบโยนในยามที่มือต้องสวมถุงมือและศีรษะสวมหมวกครอบ ขณะ ศึกษาคณิตศาสตร์อยูบ่ นรังนกทีอ่ ยูร่ ะหว่างคอนสามหรือสีอ่ นั บนยอดเสานัน้ ทว่าแม้นเราชาวประมงล่าวาฬทะเลใต้ไม่ได้อาศัยอยู่บนนั้นอย่างสบาย เหมือนอย่างกัปตันสลีตและลูกเรือชาวกรีนแลนด์ของเขา กระนั้นข้อเสีย เปรียบนี้ก็ได้รับการถ่วงดุลอย่างยอดเยี่ยมด้วยความปลอดโปร่งอันแตกต่าง อย่างสิ้นเชิงของทะเลที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ดึงดูดซึ่งเราชาวประมงทะเลใต้ ล่องลอยอยู่ ผมเป็นคนหนึ่งที่เคยเอกเขนกอยู่บนสายระโยงเรือ นั่งเล่นอยู่ บนยอดเสาคุยกับควีเควก หรือใครสักคนทีว่ า่ งจากงานแล้วบังเอิญพบกับผม บริเวณนัน้ ผมจะชวนปีนขึน้ ไปหย่อนขาเฉือ่ ยชาอยูบ่ นคานพยุงใบเรือหลักกิน บรรยายกาศแรกของท้องน�า้ กว้าง ก่อนจะปีนต่อขึ้นไปบนยอดสูงสุด ผมจะขอกล่าวอย่างจริงใจ และตรงไปตรงมา ณ ตรงนีว้ า่ ผมท�าหน้าทีเ่ ฝ้ายาม ได้ไม่ดนี กั ปัญหาเกิดจากสรรพสิง่ ทัง้ มวลรอบตัว ผมควรท�าอย่างไรขณะต้องอยู่ บนระดับความสูงทีก่ อ่ ให้เกิดความคิดเช่นนัน้ ท�าอย่างไรผมจึงจะท�าหน้าทีอ่ ย่าง มีความสุขในการยืนเฝ้าสังเกตการณ์ตามภารกิจทีไ่ ด้รบั มอบหมายบนเรือล่าวาฬ “สังเกตลมฟ้าอากาศให้ดี และร้องตะโกนบอกทุกครัง้ ทีเ่ กิดการเปลีย่ นแปลง” ขอให้ผมผูท้ า� หน้าทีอ่ ยูบ่ นนีไ้ ด้กล่าวเตือนใจคุณ ท่านผูเ้ ป็นเจ้าของเรือแห่ง แนนทักเก็ต! จงระวังเด็กหนุ่มหน้าตาซูบซีด และดวงตากลวงโบ๋ผู้สมัครเข้า ร่วมการประมงเฝ้าระวังภัยของคุณ เขาจะให้ค�าพยากรณ์อากาศที่ผิดเพี้ยน 18
ขวดสี่เหลี่ยม-คือมีสี่ด้าน สะดวกในการใส่ในหีบเดินทาง
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 213
จากมันสมองของฟีโด19 แทนที่จะเป็นโบดิตช์20 จงระวังคนอย่างนี้ให้ดีผม ขอเตือน เพราะวาฬของคุณจ�าเป็นต้องถูกพบเห็นเสียก่อนพวกมันจึงจะถูกฆ่า ขณะหนุม่ สาวกเพลโตแก้มตอบตาโบ๋นี้ จะลากคุณให้เฝ้าระวังรอบโลกร่วมสิบ ครัง้ แต่กลับไม่ทา� ให้คณ ุ ได้รา�่ รวยจากไขวาฬสักหนึง่ ไปนต์ หรือบางทีคา� เตือน เหล่านี้อาจไม่เป็นที่ต้องการทั้งหมดเสียเลย ปัจจุบันนี้ประมงล่าวาฬจัดให้ มีสถานที่คุ้มภัยส�าหรับเด็กหนุ่มจ�านวนมากผู้เพ้อฝัน คิดมาก และเหม่อลอย ผู้สะอิดสะเอียดการเอาใจใส่โลกเกินควร และค้นหาความหมายบางอย่างใน น�า้ มันดิน และไขวาฬ บ่อยครัง้ ไชด์ แฮโรลด์21ยืนเกาะคอนบนยอดเสากระโดง เรือล่าวาฬอย่างผิดหวังจนโพล่งออกมาเป็นวลีจับใจ “หลากไป เจ้ามหาสมุทรลึกน�้าเงินเข้ม ไหลไป! หมื่นนักล่าไขมันโฉบไปบนเจ้าอย่างคว้าน�้าเหลว”22 บ่อยครัง้ มากทีเ่ หล่าบรรดากัปตันเรือมักกล่าวต�าหนิพวกนักปราชญ์หนุม่ ผู้มีใจเหม่อลอย ดุด่าหาว่าพวกเขาไม่ให้ “ความสนใจ” อย่างเพียงพอในการ เดินทาง กล่าวเป็นนัยว่าพวกเขาสูญเสียความทะเยอทะยานอันน่ายกย่อง ไปจนหมดสิ้น นั่นจึงเป็นเหตุให้พลังที่ซ่อนอยู่ภายในจิตวิญญาณไม่อาจมอง เห็นวาฬมากกว่าสรรพสิ่งอื่นใด กระนั้นความล้มเหลวทั้งมวลที่เกิดขึ้นพวก นักปราชญ์หนุม่ กลับมองว่าเป็นเพราะสายตาของพวกเขาบกพร่อง23 พวกเขา สายตาสัน้ ถ้าเช่นนัน้ ก็ควรหาอะไรมาเพิม่ ประสิทธิภาพของประสาทตาไม่ใช่ ฟีโด-งานปรัชญาของเพลโต เป็นบทสนทนากับโสกราตีสเรื่องชีวิตหลังความตาย โบดิตช์-ข้อเขียนของนาทาเนียล โบดิตช์ ตีพิมพ์ครั้งแรกในวารสารนักเดินทางส�ารวจทะเลเมื่อปี 1802 ซึ่งทุกวันนี้ยังใช้เป็นคู่มือส�ารวจมหาสมุทรของเรืออเมริกัน 21 ไชด์ แฮโรลด์-ขือ่ ตัวเอกจากบทกวีขนาดยาวชือ่ "การจาริกแสวงบุญของไชด์ แฮโรลด์” ทีเ่ ขียนโดยจอร์จ กอร์ดอน และลอร์ดไบรอน ตีพิมพ์ระหว่าง ปี 1812-1818 22 หมื่นนักล่าไขมันโฉบไปบนเจ้าอย่างคว้าน�า้ เหลว-บทกวีจริงๆ คือ "กองเรือนับหมื่นโฉบไปบนเจ้าอย่าง คว้าน�้าเหลว" โดยไม่ได้กล่าวถึงการล่าวาฬแต่อย่างใด 23 สายตาของพวกเขาบกพร่อง-เพลโตอุปมาว่า เราอยุ่แต่ในถ�้า ชีวิตทางโลกก็เป็นแค่เงาแห่งความจริงที่ ปรากฏบนถนังถ�า้ เราเห็นเพียงแต่บางส่วนของความจริง แต่ไม่รู้ว่าเราเห็นเพียงแค่บางส่วน 19 20
214 : โมบี-ดิ๊ก
หรือ หากแต่พวกเขากลับทิ้งแว่นดูละครโอเปร่าไว้ที่บ้าน “เพราะอะไร...เจ้าขีย้ า” นักพุง่ ฉมวกคนหนึง่ กล่าวกับหนึง่ ในกลุม่ หนุม่ น้อย “เราล่องเรือมาอย่างยากล�าบากร่วมสามปี แต่นายกลับยังหาวาฬไม่เจอสักตัว วาฬหายากพอๆ กับฟันแม่ไก่เวลานายขึ้นไปอยู่บนนั้น” พวกมันอาจหายาก จริงๆ หรือบางทีพวกมันทัง้ ฝูงอาจว่ายเวียนอยูไ่ กลสุดขอบทะเลนัน่ กระนัน้ การ ลุม่ หลงในความเหงาหงอย โดยปล่อยอารมณ์ไปตามจิตนาการเลือ่ นลอยไร้สติ เหมือนเสพฝิน่ ดังหนุม่ ใจลอยผูน้ ปี้ ล่อยความคิดไล่ระดับไปกับจังหวะคลืน่ ซัด สาดจนทีส่ ดุ ต้องสูญเสียความเป็นตัวตนของตนเอง มองเห็นมหาสมุทรลึกลับ ใต้สองเท้าของเขาเป็นภาพจิตวิญญาณเศร้าสร้อยด�าดิ่งสู่ก้นบึ้งไร้จุดจบ จินตนาการแผ่ซา่ นสูม่ วลมนุษยชาติและธรรมชาติ ทุกภาพงามลวงตาล่อหลอก เขา ทุกครีบของร่างที่อา� พรางตาโผล่พ้นน�้าขึ้นมาให้เห็นรางๆ กลับเป็นเพียง ภาพที่แล่นผ่านความคิดของบุคคลผู้ซึ่งจิตวิญญาณล่องลอย จิตใจลุ่มหลงนี้ ท�าให้จติ วิญญาณของเจ้าไหลไปยังแหล่งทีม่ าของมัน แผ่ซา่ นผ่านกาลเวลาและ ความว่างเปล่า เหมือนเถ้าอัฐใิ ห้ระลึกถึงคนทีเ่ ชือ่ ว่าพระเจ้าคือกฎแห่งจักรวาล อย่างแครนเมอร์24 ซึง่ ในทีส่ ดุ ก็กลายเป็นส่วนหนึง่ ของชายฝัง่ ทะเลทุกแห่งทัว่ โลก เวลานี้ตัวท่านไร้ซึ่งชีวิต เหลือเพียงลมหายใจเสี่ยงภัยลอยล่องไปกับเรือ แล่นบนแผ่นน�้า นาวาอาศัยทะเลลอยล�า ทะเลอาศัยกระแสน�้าลึกลับแห่ง พระองค์ กระนั้นนิทราแลความฝันนี้ ดลใจท่านขยับเท้าหรือมือทีละน้อย ปลดปล่อยท่านจากภวังค์ และน�าตัวตนของท่านกลับมาสู่ความน่าสะพรึง กลัว ท่านบินโฉบร่อนอยู่เหนือวังวนของเดอส์การ์ตส์25 และบางทีในเวลา ฟ้ากระจ่างของเทีย่ งวัน ท่านอาจกรีดเสียงร้องจนลิน้ จุกคอขณะร่วงหล่นผ่าน อากาศโปร่งใสลงสู่ทะเลฤดูร้อนโดยไม่มีวันได้กลับขึ้นมาอีก เฝ้าระวังไว้ให้ ดีเถิด ท่านผู้เชื่อว่าพระเจ้าเป็นแค่กฎแห่งจักรวาล! แครนเมอร์-โมบี้ดิกฉบับตีพิมพ์ครั้งแรก ใช้ชื่อ โทมัส แครเมอร์ แต่จริงๆ คือจอห์น วีคลีฟ นักปฏิรูป ศาสนาชาวอังกฤษ หลังเสียชีวิต สันตะปาปาสั่งให้เผาศพของเขาและน�าเถ้าอัฐิไปโปรยในแม่นา�้ 25 วังวนของเดอส์การ์ตส์-วังวนมหึมาของอากาศหรือของเหลว ซึง่ เรอเน เดอส์การ์ตส์ (ค.ศ. 1596-1650) นักปรัชญาชาวฝรั่งเศสคิดว่าจักรวาลเกิดขึ้นจากวังวนนี้ 24
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 215
บทที่ 36
ดาดฟ้าท้ายเรือ
(เอแฮ็บออกโรง ตามด้วยทุกคน) ตามปกติเช่นทุกวันหลังอาหารเช้า และหลังพักสูบยาเส้น เอแฮ็บจะท�าเช่น เคยทุกวัน คือปีนช่องบันไดจากใต้ทอ้ งเรือขึน้ มาบนดาดฟ้า เหมือนกัปตันเรือ ส่วนใหญ่มักท�ากันในเวลาช่วงนั้น เดินไปรอบๆ เช่นสุภาพบุรุษคนเมืองออก ไปเดินเล่นในสวนหลังอาหารมื้อเดียวกัน ไม่นานนัก ฝีเท้าสีงาก้าวยาวสม�่าเสมอของเขาก็ดังขึ้น ก้าวไปมาบน กระดานเรือตรงจุดเดิมที่เขาขึ้นมาเดินเป็นประจ�าจนมันสึกเป็นรอย เหมือน แหล่งหินธรรมชาติทมี่ รี อยเท้าของเขาปรากฏ คุณสังเกตเห็นรอยนัน่ ด้วยไหม รอยเว้าเป็นแอ่งร่องลึกบนหน้าผากนั่น คุณก็คงเห็นเป็นรอยย�่าประหลาด ร่องรอยที่เกิดจากนอนไม่หลับและเอาแต่ครุ่นคิดตลอดเวลา กระนั้นในห้วงเวลาอันน่าพิศวงนี้ รอยที่ปรากฏนั้นเป็นร่องลึกกว่าเดิม ราวกับจังหวะก้าวแห่งความร้อนรนในเช้าวันนั้นได้ทิ้งร่องรอยเป็นแอ่งลึก ความคิดของเอแฮ็บติดตามเขาทุกรอบของการก้าววนตรงเสาหลักและกล่อง เข็มทิศ คุณจะเห็นได้เลยว่าความคิดนัน้ หันตามขณะเขาหันหลังกลับ และก้าว ตามขณะเขาก้าวเท้าเดิน ความคิดนัน้ ครอบง�าเขา จะว่าไปแล้วดูราวกับความ ต้องการภายในตัวเขาก�าหนดทุกท่วงท่าของการเคลื่อนไหวภายนอก “เห็นไหม...ฟลาสก์” สตับบ์กระซิบ “ลูกไก่ในตัวเขาก�าลังจิกเปลือกอยู่ อีกไม่นานมันก็จะโผล่ออกมา” 216 : โมบี-ดิ๊ก
หลายชั่วโมงผ่านไป เอแฮ็บในตอนนี้หลบเข้าไปในห้องเครื่องของเขา ไม่นานก็ออกมาเดินวนไปมาบนดาดฟ้าด้วยท่าทางเคร่งเครียดดันทุรงั เหมือน เดิม จนใกล้เวลาเที่ยงวัน จู่ๆ เขาก็หยุดนิ่งอยู่บริเวณกราบเรือ แล้วสอดขา กระดูกของเขาลงช่องเดือยตรงนั้น ใช้มือข้างหนึ่งคว้าเชือกระโยงเอาไว้ ก่อน จะสั่งสตาร์บัคให้เรียกทุกคนมารวมตัวกันยังท้ายเรือ “ครับ!” ต้นเรือตอบรับด้วยความแปลกใจกับค�าสั่งที่ไม่ค่อยจะได้ยิน หรือ แทบไม่เคยได้รับบนดาดฟ้าเรือ เว้นแต่ในกรณีพิเศษ “บอกให้ทุกคนมาที่ท้ายเรือ” เอแฮ็บกล่าวย�้าอีกครั้ง “คนที่อยู่บนยอดเสา นั่น! ก็ให้ลงมาด้วย” เมื่อประชากรบนเรือทั้งหมดมารวมตัวกัน ทุกคนมีสีหน้าแปลกใจระคน สงสัย ต่างจ้องมองไปที่เขา ซึ่งดูเหมือนว่าเขาไม่ได้มองอากาศตรงเส้นขอบ ฟ้าที่ลมพายุก�าลังตั้งเค้า เมื่อหันกลับมายังกราบเรือ เอแฮ็บพุ่งสายตาไปที่ ลูกเรือโดยเริม่ จากจุดทีเ่ ขายืนอยู่ ราวกับเขาไร้วญ ิ ญาณอยูก่ บั ตัว ยามเมือ่ เขา กลับมาก้าวเท้าหนักเดินวนไปมาบนดาดฟ้าอีกครั้ง หัวก้มลงหมวกหลุบต�่า และก้าวเท้าเดินไม่หยุดโดยไม่สนใจเสียงพึมพ�าด้วยความสงสัยของกลุ่มชาย ตรงหน้า กระทัง่ สตับบ์แอบกระซิบกับฟลาสก์วา่ เอแฮ็บต้องเรียกประชุมทุกคน มาที่นี่เพื่อมาดูความคล่องตัวในการก้าวเดินของเขาเป็นแน่ ทว่าพฤติกรรมนี้ เกิดขึน้ ไม่นานนัก ทีส่ ดุ เขาก็ชะงักเท้ากึก ก่อนจะตะโกนออกมา “พวกนายจะ ท�ายังไงถ้าได้เห็นวาฬ...หืมม์?” “ตะโกนบอกกัน!” ค�าตอบทันควันจากเสียงประสานพร้อมเพรียงกัน “ดี!” เอแฮ็บตะโกนรับด้วยน�้าเสียงดุดัน เฝ้ามองปฏิกิริยากระเหี้ยน กระหือรือก่อนยิงค�าถามต่อ “แล้วท�าจะท�ายังไงต่อพวก?” “โดดลงเรือเล็กแล้วตามล่ามัน!” “แล้วไงต่อ พวก?” เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 217
“วาฬตายหรือไม่ก็เรือแตก!” เสียงตะโกนแต่ละครัง้ ของจอมเฒ่า ยิง่ เพิม่ สีหน้าแววตาแสดงความพอใจ และยินดีอย่างพิลึกและดุเดือดมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะลูกเรือเริ่มมองหน้ากัน อย่างสงสัย ราวกับก�าลังงงงวยว่าเหตุใดพวกเขาเองจึงตื่นเต้นไปกับค�าถาม ที่ไร้วัตถุประสงค์เช่นนั้น ถึงอย่างนัน้ พวกเขาทุกคนก็กลับมาตืน่ ตัวอีกครัง้ เมือ่ เอแฮ็บในตอนนีห้ มุน ตัวไปมาบนแท่งขาทีฝ่ งั อยูใ่ นช่องเดือย โดยทีม่ อื ข้างหนึง่ คว้าเชือกระโยงเอาไว้ แน่นจนเกือบสั่นกระตุกพร้อมกับพูดกับพวกเขา “พวกเจ้าคนหน้าเสาทุกคน จงฟังค�าสั่งฉันเกี่ยวกับวาฬขาวตัวหนึ่ง ดูนี่! พวกนายเห็นทองออนซ์สเปนนี่ ไหม” ชูเหรียญเหลืองอร่ามขึ้นสุดแขน “มันเป็นเหรียญสิบหกดอลลาร์1...พวก เห็นรึยัง? คุณสตาร์บัคส่งค้อนหนัก2ตรงโน้นให้ทีสิ” ช่วงจังหวะที่ต้นเรือก�าลังไปหยิบค้อน เอแฮ็บไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ถู เหรียญทองกับชายเสื้อนอกของเขาเบาๆ ราวกับจะเพิ่มความเงางามให้กับ มัน พร้อมกับส่งเสียงพึมพ�ากับตัวเองเบาๆ เสียงนั้นฟังไม่ได้ศัพท์ เป็นเสียง อู้อี้อยู่ในล�าคอฟังดูคล้ายกับเสียงหึ่งๆ ของกงล้อเครื่องจักรภายในตัวเขา เมื่อรับหัวค้อนมาจากสตาร์บัคแล้ว เขาหันกลับมายังหน้าเสาพร้อมกับ ชูค้อนขึ้นในมือข้างหน้า ขณะมืออีกข้างถือทองไว้ และตะโกนเสียงดังขึ้นกว่า เดิม “ใครก็ตามทีส่ ามารถน�าเอาหัวไอ้วาฬสีขาวทีม่ หี น้ายับย่นและขากรรไกร โค้งงอมาให้ฉันได้ ใครที่จับไอ้วาฬสีขาวตัวที่มีรูสามรูที่ครีบหางด้านขวาของ มันมาให้ฉันได้ พวกนาย ใครก็ตามหากล่าวาฬสีขาวตัวนี้มาได้ คนนั้นจะได้ ทองเหรียญนี้ไป ไอ้ลูกชาย!” “ฮู้เร่! เย้!” ชาวเรือตะโกนโห่ร้อง ขณะโบกหมวกเปื้อนน�้ามันเรียกร้องให้ ตอกตะปูติดเหรียญทองไว้บนเสา “มันเป็นวาฬสีขาว อย่างทีฉ่ นั บอก” เอแฮ็บเริม่ พูดขึน้ อีกครัง้ ขณะกระหน�า่ ค้อนลง “วาฬตัวสีขาว ถ่างตาไว้...พวก จ้องลงไปในสายน�า้ ใส ถ้าเห็นแม้เพียง 1 2
เหรียญสิบหกดอลลาร์-เหรียญทองสเปน หนักราว 13.5 กรัม ค้อนหนัก-ค้อนขนาดใหญ่ หัวเป็นไม้หรือเหล็ก
218 : โมบี-ดิ๊ก
ฟองอากาศก็ตะโกนออกมาเลย” ขณะนั้นแทชเทโก แด็กกู และควีเควกดูกระตือรือร้นสนใจระคนแปลก ใจอย่างเคร่งเครียดมากกว่าคนอื่นๆ ราวกับค�าพูดที่เอ่ยถึงหน้ายับย่นและ ขากรรไกรโค้งงอนั้นท�าให้พวกเขาแต่ละคนหวนระลึกถึงความทรงจ�าบาง อย่างที่ยังฝังใจ “กัปตันเอแฮ็บ” แทชเทโกพูดขึ้น “วาฬสีขาวตัวนั้นใช่ตัวเดียวกับตัวที่ชื่อ โมบี้ดิ๊กหรือเปล่า” “โมบีด้ กิ๊ ” เอแฮ็บตะโกนออกมา “งัน้ นายก็รจู้ กั ไอ้วาฬขาวนัน่ แล้วสิ...แทช?” “มันจะโบกหางแบบแปลกๆ เหมือนพัดก่อนจะด�าน�า้ หายไปใช่ไหมครับ?” เจ้าหนุ่มชาวเกย์เฮดค่อยๆ พูดออกมา “มันยังพ่นน�า้ แปลกๆ ด้วย” แด็กกูพูด “พุ่งขึ้นเป็นล�าหนาเชียว แม้จะเป็น วาฬหัวทุย แต่ก็เร็วมาก กัปตันเอแฮ็บ” “มันมีเหล็กฝังอยู่ในตัวหนึ่ง สอง สาม โอ้! มีมากกว่านั้นเยอะเลยกัปตัน” ควีเควกร้องออกมาเป็นค�าพูดติดๆ ขัดๆ “เหล็กทุกอันบิ-บิด งะ-งอ เหมือน... ตัวมัน” พูดตะกุกตะกัก พร้อมกับบิดมือหมุนๆ ราวกับก�าลังจะดึงจุกขวด “เหมือน...มัน” “ที่เปิดจุกขวด!” เอแฮ็บพูดเสียงดัง “ใช่แล้ว ควีเควก ฉมวกยาวทั้งหมด บิดงอฝังอยู่ในตัวมัน ใช่แล้วแด็กกู มันพ่นน�้าขนาดใหญ่ออกมาเหมือนกับ มั ด ข้ า วสาลี และมี สี ข าวราวกั บ กองขนแกะแนนทั ก เก็ ต ของเราหลั ง การ ตัดขนแกะประจ�าปี ใช่แล้วแทชเทโกมันสะบัดหางเหมือนใบเรือหน้า3ขาดแยก ท่ามกลางพายุฝน มันเป็นมฤตยู และปีศาจ! วาฬที่พวกนายเห็นคือโมบี้ดิ๊ก... โมบี้ดิ๊ก...โมบี้ดิ๊ก!” “กัปตันเอแฮ็บ” สตาร์บัคพูด เขากับสตับบ์ และฟลาสก์จ้องมองนาย ของตนด้วยความงุนงงหนัก กระทั่งมาคิดออกเมื่อได้ยินประโยคที่คลี่คลาย ข้อสงสัยทั้งหมด “กัปตันเอแฮ็บ กระผมก็เคยได้ยินชื่อโมบี้ดิ๊กมาก่อน แต่มัน 3
ใบเรือหน้า-ใบเรือผืนเล็กทรงสามเหลี่ยม หน้าเสากระโดงหน้า
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 219
คงไม่ใช่โมบี้ดิ๊กตัวที่กัดขาของท่านขาดไปหรอกใช่มั้ย?” “ใครบอกนายอย่างนั้นล่ะ” เอแฮ็บพูดเสียงดังแล้วหยุดคิด “ใช่แล้ว... สตาร์บัค ใช่แล้ว...พวก โมบี้ดิ๊กคือวาฬตัวที่โฉบเอาขาฉันไป โมบี้ดิ๊กท�าให้ฉัน ต้องต่อขายืนบนซากกระดูกอยู่ในตอนนี้ ใช่...ใช่แล้ว” เขาตะโกนเสียงดังน่า กลัว ราวกับเสียงร้องโหยหวนของสัตว์ คล้ายกวางใหญ่ได้รับบาดเจ็บที่หัวใจ “ใช่...ใช่แล้ว! มันคือไอ้วาฬขาวอัปรีย์ตัวที่ท�าลายชีวิตฉัน ท�าให้ฉันต้องใส่ขา เทียมเดินอุย้ อ้ายตลอดชีวติ !” เขาเหวีย่ งแขนทัง้ สองข้างพร้อมกับสบถด่าเสียง ดังออกมาอย่างบ้าคลั่ง “ใช่...ใช่! ฉันจะล่ามันรอบแหลมกู๊ดโฮป รอบแหลม ฮอร์น และรอบวังวนเมลสตรอม4 และรอบนรกทุกขุม เพือ่ ฉันจะได้มอบความ ตายให้กบั มัน และนีค่ อื ภารกิจทีพ่ วกนายล่องมากับเรือล�านี.้ ..พรรคพวก! ตาม ล่าวาฬสีขาวตัวนัน้ ทัง้ สองฝัง่ ของแผ่นดิน และทัว่ ทุกมุมโลก จนกว่าท่อพ่นน�า้ ของมันจะพ่นเลือดสีด�าออกมา และคลี่ครีบออก พวกนายจะว่ายังไง..พวก? พวกนายจะเข้าเอาด้วยไหม? ฉันคิดว่าพวกนายดูกล้ากันดี” “ครับ! ครับ!” เหล่าบรรดานักพุง่ ฉมวกและลูกเรือต่างโห่รอ้ งตะโกน พร้อม กับกรูกันเข้าใกล้ตาเฒ่าผู้เร่าร้อน “ส่ายตาคมกริบหาวาฬสีขาว พุ่งหลาว คมกริบไปที่เจ้าโมบี้ดิ๊ก!” “พระเจ้าอวยพรพวกนาย” เขาแผดเสียงคร�่าครวญออกมา “พระเจ้า อวยพรพวกนาย...บริกร! ลงไปเอาเหล้ามามากๆ ว่าแต่ท�าไมคุณสตาร์บัค ถึงหน้าตาอมทุกข์อย่างนั้นล่ะ ไม่อยากล่าวาฬสีขาวหรอกรึ? ไม่อยากล่า โมบี้ดิ๊กเหรอ?” “ผมอยากล่าเอาขากรรไกรตะขอของมัน และขากรรไกรมฤตยูดว้ ย กัปตัน เอแฮ็บ หากนั่นเป็นวิธีที่จะท�าให้ได้ในสิ่งที่เราตามหา เพราะผมมานี่เพื่อตาม ล่าวาฬ แต่ไม่ใช่เพื่อล้างแค้นให้แก่ผู้นา� ของผม ศัตรูคู่อาฆาตของกัปตันจะให้ น�า้ มันได้สกั กีบ่ าร์เรลกันหากจับมันได้? กัปตันเอแฮ็บ มันจะขายได้ไม่มากนัก ในตลาดแนนทักเก็ตของเรา” 4
วังวนเมลสตรอม-กระแสน�้าวนเชี่ยวกรากอันตราย ที่เกาะโลโฟเตน ทางชายฝั่งตอนเหนือของนอร์เวย์
220 : โมบี-ดิ๊ก
“ตลาดแนนทักเก็ตน่ะเหรอ! โธ่เอ้ย! เข้ามาใกล้ๆ นี่สิ สตาร์บัค คงต้อง อธิบายให้ลึกซึ้งสักหน่อยแล้ว หากใช้เงินเป็นตัวชี้วัดนะ...เจ้าหนุ่ม และหาก นักบัญชีประเมินค่าส�านักงานของตน คงต้องเอาเหรียญกินนีไปวางทุกๆ หนึ่งในสามนิ้วรอบโลก ฉันจะบอกอะไรให้นะ ความแค้นของฉันคงขายได้ ราคาสูงที่นี่!” “ตาเฒ่าก�าลังทะลวงใจเขา” สตับบ์กระซิบ “เพราะอะไรน่ะเหรอ ฉันว่าน�า้ เสียงหนักแน่นนั่น ฟังดูไม่จริงใจ” “อาฆาตแค้นสัตว์เดรัจฉานน่ะเหรอ!” สตาร์บคั เสียงดัง “นัน่ จะท�าให้กปั ตัน กลายเป็นคนไร้สติ! วิกลจริต! โกรธแค้นสัตว์ไร้สมอง กัปตันเอแฮ็บคงจะกลาย เป็นพวกหมิ่นศาสนาไปเลย” “จงฟังซ�้าอีกครั้ง ขออธิบายให้ลึกซึ้งอีกหน่อย ทุกสิ่งที่เห็นนะ...ไอ้หนุ่ม มันเป็นเพียงแค่หน้ากากกระดาษที่มีชีวิตแตกต่างกันไปตามแต่สถานการณ์ ตัวตนที่แท้จริงนั้นไม่มีใครรู้ สตินึกคิดยังคงเป็นแรงกดแม่พิมพ์สร้างหน้าตา ใหม่ภายใต้หน้ากากทีไ่ ร้สตินกึ คิดนัน้ หากนายคิดจะจูโ่ จม จงโจมตีทหี่ น้ากาก นั่น! นักโทษจะหนีออกมานอกคุกได้อย่างไรกัน หากไม่ท�าลายก�าแพงคุก ส�าหรับฉันแล้ว ไอ้วาฬขาวก็คือก�าแพงที่ถูกผลักเข้ามาใกล้ บางครั้งฉันคิดว่า มันอยูห่ า่ งไปไม่ไกล แต่ใกล้มากทีเดียว มันทิง้ น�า้ หนักมาบนตัวฉัน ทับกองลง มาบนตัว ฉันเห็นพลังรุนแรงในตัวมัน ความอาฆาตพยาบาทลึกลับเพิ่มพลัง ให้กับมัน สิ่งลึกลับนั้นเป็นสิ่งที่ฉันเกลียดที่สุด มันเป็นตัวแทนของวาฬสีขาว หรือไม่กเ็ ป็นตัวจ่าฝูงวาฬสีขาว ฉันจะแก้แค้นมัน “อย่ามาบอกว่าฉันเป็นพวก หมิ่นศาสนา เจ้าหนุ่ม ฉันจะดับดวงตะวัน หากมันสบประมาทฉัน และถ้า หากดวงตะวันท�าเช่นนั้นจริง ฉันก็คงท�าอย่างอื่น เพราะนี่เป็นการเล่นอย่าง ยุติธรรมส�าหรับกรณีนี้ ความริษยามีอ�านาจครอบง�าทุกสรรพสิ่ง แต่ไม่ใช่กับ นายของฉัน ไอ้หนุ่ม นั่นล่ะที่เรียกว่าการเล่นอย่างยุติธรรม ใครอยู่เหนือฉัน สัจธรรมไร้ขอบเขต ลดสายตาของนายลง! ทนเบิกตากว้างสู้แสงเจิดจ้าของ ปีศาจร้ายเป็นเรือ่ งของคนโง่! เช่นนัน้ เช่นนัน้ แล้วเจ้าคนหน้าด�าหน้าแดง ความ เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 221
เร่าร้อนในตัวฉันคงหลอมโทสะอารมณ์นายให้พุ่งขึ้น แต่จงฟังนะ สตาร์บัค ค�าพูดที่พูดออกมาด้วยความฉุนเฉียวไม่ได้พูดออกมาได้ด้วยตัวมันเอง แต่มี คนปัน้ ค�าขึน้ มาเพือ่ ให้มผี ลยัว่ โทสะ ฉันไม่ได้ตงั้ ใจจะท�าให้นายโกรธ ลืมมันไป ซะเถอะ ดูสิ! ดูโน่น ดวงอาทิตย์แก้มแดงระบายสีสันเป็นภาพแห่งชีวิต “เสือ ดาวป่า สิ่งมีชีวิตที่ไม่น่าห่วงใย และไม่น่าบูชา มันใช้ชีวิตแสวงหา โดยไม่เคย มีเหตุผลให้กับชีวิตร้อนรนที่มันสัมผัส! ลูกเรือ เจ้าหนุ่ม ลูกเรือ! ไม่ใช่ทุกคน สนใจล่าวาฬร่วมกับเอแฮ็บงัน้ หรอกหรือ ดูสตับบ์ส!ิ ยิม้ ออกร่า! ดูเจ้าหนุม่ ชิลี โน่นสิ! มันโห่ตะโกนถึงเรือ่ งนี้ คนหนุม่ อย่างนายคงไม่อาจฝืนพายุเฮอริเคนได้ หรอก..สตาร์บคั ! เพราะอะไรรูไ้ หม ลองคิดดูสิ นอกจากช่วยโจมตีเจ้าครีบยักษ์ สตาร์บัคก็แทบไม่มีความสามารถอย่างอื่นอีก อะไรอีกรู้ไหม หากการล่านี้ ล้มเหลวลง แน่นอนว่านักพุ่งหลาวที่มีฝีมือที่สุดแห่งแนนทักเก็ตจะไม่ลังเล เมือ่ คนงานหน้าเสาเรือคว้าหินลับมีดขึน้ มาใหม่ อ้า! ความเก็บกดได้กกั ขังนาย เอาไว้ ฉันรู้! คลื่นยักษ์ยกนายขึ้นไป! พูดสิ พูดออกมา! เอาเถอะ เอาเถอะ! นายจะเงียบก็ตามใจ (ป้องปากพูด) ลมหายใจจากจมูกกว้างของฉัน พ่นออก มาให้นายได้สูดลงปอด สตาร์บัคยามนี้นายเป็นของฉัน จงอย่าได้ต่อต้านฉัน อีก เว้นแต่นายจะทรยศ” “ขอพระองค์คมุ้ ครองด้วย! คุม้ ครองพวกเราทุกคน” สตาร์บคั พึมพ�าเบาๆ หลังร่ายมนต์สะกดต้นเรือให้สงบปากค�า เอแฮ็บก็ไม่ได้ยินเสียงร้องบอก เหตุใดๆ อีก ไม่มีแม้เสียงกลั้นหัวเราะ ไม่มีแม้ลางบอกเหตุจากเสียงสั่นของ เชือกระโยงเพราะแรงลม ไม่มแี ม้เสียงสะบัดใบเรือกับเสากระโดงยามเมือ่ แกน กลางของมันติดอยู่ในร่อง และเมื่อสายตาละห้อยของสตาร์บัคจุดประกาย ความดื้อดึงแห่งชีวิต รอยยิ้มซ่อนเร้นจางหายไป สายลมเริ่มโชยมาอีกครั้ง ใบเรือกางออก และเรือผงกหัวแล่นต่อไปเบื้องหน้า อ้า...เจ้าห้ามปราม และ ตักเตือน! ใยจึงไม่อยู่ต่อในเมื่อเจ้าก็มาถึงนี่แล้ว นั่นเพราะเจ้าได้ท�านาย เหตุการณ์ล่วงหน้ามากกว่าแค่เตือนให้ระวังภัยใช่หรือไม่ เจ้าบอกเป็นนัย! ไม่ใช่เพียงแค่ท�านายไปเรื่อยเปื่อย หากแต่เป็นการวิเคราะห์เหตุการณ์จาก 222 : โมบี-ดิ๊ก
เรื่องราวในกาลก่อน อิทธิพลภายนอกเพียงเล็กน้อยฝืนบังคับเรา หากแต่ ความต้องการภายในตัวตนของเรายังคงผลักดันเราให้ก้าวต่อไป “เอาเหล้ามา! เอาเหล้ามา!” เอแฮ็บร้องบอก เมือ่ รับเหยือกทีม่ เี หล้าปริม่ ขอบมาแล้ว เขาหันกลับไปยังนักพุง่ ฉมวก ออก ค�าสัง่ ให้หยิบอาวุธฉมวกขึน้ มาถือไว้ แล้วยืนเรียงแถวตรงหน้าเขาทีย่ นื อยูใ่ กล้ กว้านสมอเรือ ขณะผู้ช่วยกัปตันทั้งสามถือหลาวยืนเคียงข้างเขา ส่วนลูกเรือ ที่เหลือทั้งหมดยืนล้อมวงเป็นกลุ่ม เขายืนจ้องส�ารวจไปยังลูกเรือแต่ละคน สายตาแต่ละคูท่ สี่ บตาเขาแดงก�า่ ดุดนั ราวกับดวงตาของหมาป่าทุง่ แพรีส่ บตา จ่าฝูงของพวกมัน ก่อนจะกระโจนตามจ่าฝูงตามรอยกระทิงไป แต่ อนิจจา! มันกลับตกลงไปในหลุมกับดักของชาวอินเดียนแดง “ดื่มแล้วส่งต่อกันไป!” เขาร้องบอกพร้อมกับยื่นเหยือกที่มีเหล้าอยู่เต็ม ส่งให้กับลูกเรือคนที่อยู่ใกล้สุด “พวกลูกเรือดื่มแล้วส่งไปรอบๆ ให้ทั่วถึงกัน นะ! อึกสั้นๆ แล้วกลืนลงช้าๆ พวกม มันร้อนแรงราวกับบาทาซาตานอย่าง นั้นแหละ นั่นแหละ ส่งไปรอบๆ ดีๆ มันจะเข้าไปป่วนในตัวนาย เปิดทางให้ กับดวงตาตะครุบซาตาน ดีมาก ดื่มให้หมด ทางนั้นส่งไป ทางนี้ส่งมา ส่งมา ให้ฉัน เฮ้! เอามานี่พวก นายเอาไว้นานไปแล้ว ดื่มรวดเดียวเต็มอึกแล้วหมด เลย บริกรเอามาเติมใหม่ “จงฟัง เหล่าผู้กล้าของฉัน ขอให้พวกนายทุกคนล้อมวงกันเข้ามาที่ กว้านสมอนี่ พวกต้นเรือด้วย มายืนข้างๆ ฉันพร้อมกับหลาวในมือนาย พวก นายด้วยเหล่านักพุ่งฉมวก มายืนตรงนี่พร้อมกับเหล็กในมือ ส่วนพวกชาว เรือร่างก�าย�าก็ล้อมวงกันเข้ามา ฉันจะฟื้นชีพประเพณีสูงส่งแห่งบิดาประมง เบือ้ งหน้า โอ้...เหล่าชาวประมง พวกนายจะได้เห็น ฮ้า! หนุม่ น้อย กลับมาเถิด เงินสกปรกจะมาในเวลารวดเร็ว5 ส่งมานี่ เอาล่ะ เวลานีเ้ หยือกถูกเติมเต็มอีก ครั้งแล้ว พวกนายเต้นเซนต์ไวตัส6หรือไง มาลาเรียกินรึ! เงินสกปรกจะมาในเวลารวดเร็ว-มีภาษิตว่า ถ้าใช้เงินปลอมซื้ออะไร ไม่ช้าก็จะได้รับมันกลับมาตอนได้ รับเงินทอน เป็นกงเกวียนก�าเกวียน 6 โรคชักกระตุก เดิมเรียกกันว่าเต้นเซนต์ไวตัส 5
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 223
“ก้าวมาข้างหน้านี่ พวกต้นเรือ! ยื่นหลาวของพวกนายมาไขว้ตรงหน้า ฉัน ดี! ขอให้ฉันได้สัม ผัสแกนกลาง” พร้อมกับพูด เขายื่นแขนออกไปคว้า ตรงจุดศูนย์กลางที่หลาวทั้งสามอันไขว้ทับกัน แล้วกระตุกมันอย่างแรงและ เร็ว ขณะกวาดสายตาจ้องสตาร์บัคไปยังสตับบ์ และจากสตับบ์ไปยังฟลาสก์ ราวกับว่าการกระท�าไร้ความหมายนี้เกิดจากแรงผลักดันภายใน เขาต้องการ กระตุ้นพลังในตัวคนทั้งสามให้มีความเร่าร้อนเหมือนกับพลังที่สะสมภายใน ขวดไลเด็น7ของชีวิตแม่เหล็กในตัวเขาเอง ผู้ช่วยกัปตันทั้งสามยืนสั่นกลัวอยู่ เบือ้ งหน้าท่าทางแข็งกร้าว ไม่ลดละ และลีล้ บั ของเขา สตับบ์ และฟลาสก์มอง ไปด้านข้างเห็นสายตาน่าเชื่อถือของสตาร์บัคเสื่อมลงโดยสิ้นเชิง “ไม่ได้เรื่อง!” เอแฮ็บร้องขึ้นมา “แต่...บางทีก็ดีเหมือนกัน เมื่อนายสามคน ตกใจจนช็อกหนักขนาดนีแ้ ล้ว กระแสไฟในตัวฉันอาจหมดไปจากตัวแล้ว และ บางทีมันอาจท�าให้พวกนายเลิกก่อกวนเสียที ไม่ว่าพวกนายจะต้องการหรือ ไม่ก็ตาม เอาหลาวลง! เอาล่ะ ทีน้ี พวกต้นเรือ ฉันขอแต่งตั้งให้พวกนายทั้ง สามเป็นคนรินเหล้าให้แก่พี่น้องคนป่าทั้งสามของฉันตรงนี้ สามสุภาพบุรุษ ผู้สูงศักดิ์และน่ายกย่องที่สุด เหล่านักพุ่งฉมวกผู้กล้าของฉัน รังเกียจที่จะ ท�างั้นหรือ ท�าไม...แม้แต่โป๊ปผู้ยิ่งใหญ่ยังเคยล้างเท้าให้กับเหล่ายาจก โดยใช้ มงกุฎเป็นคนโทไม่ใช่หรือ โอ้...ราชาคณะผู้เป็นที่รักแห่งข้า! ความกรุณาในตัว ท่าน โน้มกายท่านลงมา ข้าไม่ได้สั่งท่าน แต่ท่านท�าด้วยตัวของท่านเอง ตัด เชือดพันหัวฉมวกของพวกนายซะ และวางด้ามไม้นั่นลงนักพุ่งฉมวก!” นักพุ่งฉมวกทั้งสามท�าตามค�าสั่งอย่างเงียบๆ ถอดส่วนเหล็กคมของ ฉมวกออก แล้ววางด้ามไม้ยาวประมาณสามฟุตลง พร้อมกับยื่นเงี่ยงฉมวก ไปตรงหน้าเขา “ยืน่ เงีย่ งตะขอปราศจากด้านคมมาทีฉ่ นั ! ยืน่ มา ยืน่ มาตรงนี!่ ฉันรูว้ า่ พวก นายไม่มีแก้วเหล้า พลิกตะขอนั่น! อย่างนั้นแหละ อย่างนั้น เอาล่ะ พวกคน รินเหล้า จัดการได้ เหล็กกล้าเอ๋ย! ยื่นมันออกมา ถือเอาไว้ฉันจะรินเหล้าให้” 7
ขวดไลเด็น-ขวดแก้วพิเศษที่ใช้ประจุไฟฟ้าได้
224 : โมบี-ดิ๊ก
แล้วค่อยๆ รินเหล้าให้ผู้ช่วยกัปตันคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง เขาเติมน�้าเมา ใส่ในเบ้าฉมวกจากเหยือกในมือ “ทีนี้ ให้พวกนายยืนประจันหน้ากันสามต่อสาม มอบจอกเหล้ามฤตยู นั่น! สละให้กับมัน พวกนายตอนนี้รวมกันเป็นกลุ่มที่เข้มแข็ง ฮ่า! สตาร์บัค! ข้อตกลงได้เกิดขึ้นแล้ว! ดวงอาทิตย์ตรงนั้นจะเป็นพยาน ดื่ม นักพุ่งฉมวก ทั้งสาม! ดื่มและร่วมสาบาน พวกนายคนหนุ่มคือคันศรของเรือล่าวาฬอัน กล้าแกร่ง จงตามฆ่าโมบี้ดิ๊ก! พระเจ้าจะตามล่าพวกเราทุกคน หากเรา ไม่ตามล่าเอาชีวิตเจ้าโมบี้ดิ๊ก!” แก้วเหล้าเงี่ยงเหล็กยาวถูกยกขึ้นพร้อมกับ เสียงสาปแช่งวาฬสีขาว จิตวิญญาณถูกกลืนหายไปกับเสียงโห่รอ้ งพร้อมๆ กัน สตาร์บัคหน้าซีดเผือด หมุนคว้าง และตัวสั่นเทา เหยือกเหล้าได้รับการเติม เต็มอีกครั้งและส่งต่อไปยังเหล่าบรรดาลูกเรือแต่ละคนที่ก�าลังบ้าคลั่ง และ เมือ่ เขาโบกมือเป็นสัญญาณให้ ทุกคนก็แยกย้ายกันไป จากนัน้ เอแฮ็บก็ปลีกตัว กลับไปยังห้องเครื่องของเขา
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 225
บทที่ 37
อาทิตย์อัสดง
(จากช่องหน้าต่างด้านหลังภายในห้องเครือ่ ง เอแฮ็บนัง่ อยูเ่ พียงล�าพังเหม่อมอง ออกมาด้านนอก) ฉันทิ้งร่องน�้าขาวขุ่นไว้เบื้องหลังยามเมื่อล่องเรือผ่าน น�้าทะเลขาวซีด หาก แต่สองแก้มซีดขาวยิง่ กว่า ขณะคลืน่ ริษยาม้วนตัวสูงกลบกลืนร่องรอยของฉัน ช่างเถิด เพราะอย่างไรฉันก็ได้ผ่านพ้นเส้นทางนั้นมาแล้ว ทางด้านโน้น ริมขอบจอกเหล้าล้นปริม่ ตลอดกาล คลืน่ อุน่ เขินอายดัง่ ไวน์ แดง วงโค้งสีทองหยั่งความลึกล�้าแห่งน�้าทะเลสีน้�าเงิน ดวงอาทิตย์ค่อยๆ ขับเคลือ่ นเวลาจากเทีย่ งวันไปจนตะวันตกดิน ยามนีจ้ ติ วิญญาณของฉันไต่สงู ขึน้ ! เหน็ดเหนือ่ ยอ่อนล้ากับการปีนป่ายเนินทีไ่ ร้ปลายยอด หรือนีจ่ ะเป็นมงกุฎ หนักอึง้ ทีฉ่ นั ได้สวมไว้ มงกุฎเหล็กแห่งลอมบาร์ด1ี้ แม้มนั จะมีอญ ั มณีสอ่ งแสง แพราวพราว ฉันผูส้ วมใส่กลับมองไม่เห็นแสงสว่างทีส่ อ่ งออกไปไกล สัมผัสได้ เพียงความมืดมนขณะสวมความหรูหราอันแวววาว นี่คือเหล็กกล้า ฉันก็รู้ว่า ใช่ทองค�า มันเต็มไปด้วยรอยปริแตกเท่าที่ฉันได้สัมผัส ขอบขรุขระนั้นระคาย เคืองฉันยิ่งนัก ศีรษะของฉันราวกับกระหน�า่ ฟาดโลหะแข็ง ใช่แล้ว...กะโหลก เหล็ก...ของฉัน เป็นแบบที่ไม่ต้องมีหมวกนิรภัยในขณะต่อสู้กันอย่างรุนแรง หน้าตาฉันแห้งแล้งงัน้ หรือ โอ้! นัน่ เป็นไปตามกาลเวลา ขณะแสงอรุโณทัย เร่งเร้าฉันให้เร่าร้อน อัสดงคตกล่อมฉันให้ชุ่มเย็น ไม่มีอีกแล้ว แสงสว่างงาม 1
มงกุฎเหล็กแห่งลอมบาร์ด-ี้ เก็บรักษาอยูท่ โี่ บสถ์มอนซา ใกล้กรุงมิลาน อิตาลี สร้างขึน้ จากเหล็กแถบบาง ที่เชื่อกันว่าหลอมมาจากตะปูซึ่งใช้ตรึงกางเขนพระเยซู
226 : โมบี-ดิ๊ก
ตาไม่สอ่ งมาทีฉ่ นั อีกต่อไป ความงดงามทัง้ มวลล้วนสร้างความปวดร้าวให้แก่ ฉัน แต่นั้นมาฉันไม่เคยได้รื่นเริง พรสวรรค์แห่งการหยั่งรู้ ฉันไร้ซึ่งอ�านาจแห่ง ความส�าราญใจแม้เพียงเล็กน้อย เป็นเคราะห์ร้ายมากด้วยเล่ห์เหลี่ยม และ มากด้วยความชั่วร้าย! ถูกสาปอยู่ในแดนสุขาวดี! ราตรีสวัสดิ์...ราตรีสวัสดิ์! (เขาโบกมือจากทางหน้าต่างนั้น) มันไม่ใช่ภารกิจหนักหนาอะไร ฉันแค่จะตามหาคู่ปรับที่รับมือได้ยาก สักตนหนึ่ง อย่างน้อยที่สุดขอเพียงให้ฟันเฟืองหนึ่งของฉันเข้ากันกับกงล้อ นานาชนิดของพวกเขาทั้งหมดได้ เพื่อให้พวกเขาได้โคจรไป หรือหากท่าน ปรารถนา เหมือนดังเช่นจอมปลวกจ�านวนมากบนเนินดิน ทั้งหมดยืนอยู่ เบื้องหน้าฉัน และฉันคือคู่ปรับของพวกเขา โอ้...ช่างยากนัก! ที่จะเติมเชื้อไฟ ให้ผู้อื่น การห�า่ หั่นกันท�าให้ต้องเสียเวลาเปล่า! สิ่งที่ฉันท้าทาย ฉันปรารถนา มัน และสิ่งใดที่ฉันปรารถนา ฉันจะลงมือท�า! พวกเขาคิดว่าฉันบ้า สตาร์บัค ก็คิดเช่นนั้น แต่ฉันคือปีศาจร้าย ฉันเป็นคนบ้าที่ถูกสาป! ความบ้าคลั่งนั้น จะสงบลงได้ก็โดยตัวมันเองเท่านั้น! ค�าท�านายที่ว่าร่างของฉันจะถูกฉีกขาด ออกเป็นส่วนๆ จริงสิ! ฉันเสียขานี้ไปแล้วนี่ ฉันจะขอพยากรณ์บ้างว่าฉันจะ ฉีกชิ้นเนื้อเจ้าศัตรูที่มันฉีกขาของฉันไปบ้าง เพราะตอนนี้ฉันคือผู้หยั่งรู้ และ ผูป้ ระทานพร ผูอ้ ยูเ่ หนือท่าน...พระเจ้าผูย้ งิ่ ใหญ่ตลอดกาล ฉันจะหัวเราะเยาะ และโห่ร้องใส่ท่าน...ท่านผู้ปั่นจิ้งหรีด...ท่านผู้เป็นนักต่อสู้...เจ้าหนวกเบิร์ค 2 และไอ้บอดเบนดิโก!3 ฉันไม่ได้พูดออกมาอย่างเด็กเกเรในรั้วโรงเรียน แต่ เป็นใครสักคนที่มีรัศมีเทียบเท่ากับตัวท่านเอง อย่าได้ชกต่อยฉัน! เมื่อท่าน ได้ล้มฉันลงแล้ว ฉันจะลุกขึ้นใหม่อีกครั้ง แต่ท่านก็คงหลบไปซ่อนเร้น จงก้าว ออกมาจากหลังกระสอบทรายนั่น! ฉันไม่มีปืนกระบอกยาวส่องถึงท่าน ออกมาเถิด...เอแฮ็บมีคา� สรรเสริญจะมอบให้แก่ทา่ น ออกมาวัดดวงกันว่าท่าน เจ้าหนวกเบิร์ค-เจมส์ (หนวก) เบิร์ก (ค.ศ. 1809-1845) นักมวยเจ้าของแชมป์ในยุคต้นๆ ของอังกฤษ เขาเป็นคนหูหนวก 3 เจ้าบอดเบนดิโก-วิลเลียม อะเบดนีโก ทอมป์สนั (ค.ศ. 1811-1880) ผูค้ ว�า่ เบิรก์ (หนวก) และคว้าแชมป์ ได้ในการชกปี 1839 แต่จริงๆ เขาตาไม่บอด 2
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 227
นั้นจะเปลี่ยนใจฉันได้หรือไม่ จะเปลี่ยนฉันงั้นหรือ เส้นทางสู่เป้าหมายของ ฉันได้ปทู างไว้ดว้ ยรางเหล็กกล้า เส้นทางทีจ่ ติ วิญญาณของฉันแล่นตรงไปนัน้ ทอดผ่านเขาวงกต ผ่านร่องผาที่มีธารน�้าไหลเชี่ยว หากแต่ฉันยังคงตะบึงสู่ เบือ้ งหน้าอย่างมัน่ คง! สิง่ กีดขวางใดก็ไร้ความหมาย เหลีย่ มมุมลวงล่อใดก็ไม่ อาจหักเหเส้นทางเหล็กกล้านี้ได้!
228 : โมบี-ดิ๊ก
บทที่ 38
ยามสนธยา
(บริเวณเสากระโดงเรือต้นใหญ่ สตาร์บัคนั่งเอนหลังครุ่นคิดค�านึง) จิตวิญญาณแห่งฉันก�าลังถูกท้าทาย มันร้อนรุ่มเพราะชายผู้บ้าคลั่ง! เจ็บ ปวดเกินจะทน คนจิตปกติคงต้องทิ้งอาวุธยกธงขาวแล้วในสนามรบแบบนี้! แต่เขาขุดลึกลงไปท�าลายจิตส�านึกของฉัน! ฉันว่าฉันมองเห็นเป้าหมายอันไร้ ศีลธรรมของเขา หากแต่กค็ ดิ ว่าฉันคงต้องช่วยเขาไปให้ถงึ เป้าหมายนัน้ ไม่วา่ ฉันอยากหรือไม่อยากให้เกิด บางสิง่ ทีม่ องไม่เห็นผูกมัดฉันไว้กบั เขา ลากจูงฉัน ด้วยเชือกเส้นใหญ่ขนาดที่ฉันไม่อาจหามีดมาตัดออกได้ จอมเฒ่าสยองขวัญ! เบื้องบนเขาคือใครกัน เขาร้องคร�่าครวญ จริงสิ...เขาคงเป็นนักประชาธิปไตย ส�าหรับผู้อยู่เบื้องบน แต่จงเฝ้าระวังวิธีที่เขาใช้อ�านาจปกครองผู้คนเบื้องล่าง! โอ้! ฉันมองเห็นอย่างชัดแจ้งลูกน้องผูน้ า่ สังเวชของฉันเชือ่ ฟังร่วมก่อกบฏและ ซ�้าร้ายชิงชังความน่าเวทนา! ในดวงตาของเขาฉันมองเห็นความโศกเศร้า ระทมทุกข์จนท�าให้ฉนั สิน้ หวัง...ฉันมีดวงตาเช่นนัน้ ด้วยหรือ ขณะนีย้ งั มีความ หวังอยู่อีกหรือ เวลาและวารีกว้างไพศาล วาฬที่ถูกชังมีสายน�้ากว้างรอบโลก ให้วา่ ยวน เหมือนดังปลาทองตัวเล็กอยูใ่ นโหลแก้วกลม เจตนาเย้ยสวรรค์ของ เขา พระเจ้ามีหนทางหลบหลีก ฉันคงเพิ่มพลังให้แก่หัวใจได้ หากมันไม่ใช่ อวัยวะส่วนส�าคัญ แต่เมื่อนาฬิกาชีวิตของฉันหยุดเดิน หัวใจของฉันควบคุม ทุกส่วนในร่างกาย ฉันไม่มีลานที่จะไขสร้างพลังขึ้นมาใหม่ (เสียงครึกครื้นดังปะทุมาจากดาดฟ้าหัวเรือ) เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 229
โอ้พระเจ้า! ล่องเรือไปกับเหล่ากะลาสีป่าเถื่อนที่มีหัวใจแห่งความเป็น มนุษย์เพียงน้อยนิด! เหล่าบรรดาผู้ถือก�าเนิดมาจากดงฉลาม ซึ่งมองเห็น วาฬสีขาวเป็นดังร่างทรงของปีศาจกอร์กอน1 ฟังสิ! ปาร์ตี้นรกนั่น! เสียง ครึกครื้นเบื้องหน้านั่น! ตอกตรึงมฤตยูเงียบที่อยู่เบื้องหลังไม่ให้แปรเปลี่ยน! ฉันคิดว่ามันคือชีวิตในภาพฝัน แสงระยิบระยับของน�้าทะเลส่องสว่างมายัง หัวเรือที่บรรดากะลาสีเสเพลผู้พร้อมรบก�าลังหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน ก่อนจะตามมาด้วยความด�ามืดทีซ่ อ่ นเร้นภายในใจเอแฮ็บ ซึง่ เขาก�าลังครุน่ คิด อยู่ภายในห้องเครื่องท้ายเรือ สิ่งก่อสร้างเหนือน�้านิ่ง หากแต่ปั่นป่วนอยู่เบื้อง ลึก ยิง่ ไปกว่านัน้ ยังถูกล่าด้วยกระแสน�า้ ไหลเชีย่ ว เสียงโหยหวนท�าให้ฉนั ขนลุก พอง! สงบนิ่งเถิด! พวกเจ้าเหล่าจอมเสเพล และจงเฝ้าระวัง! โอ้ชีวิต! ในตอน นี้ฉันสัมผัสได้ถึงหายนะที่ซ่อนเร้นอยู่ในตัวพวกเจ้า! แต่ไม่ใช่ฉัน! หายนะนั้น ไม่ได้อยู่ในตัวฉัน ด้วยสัม ผัสอันอ่อนโยนเยี่ยงมนุษย์ในตัวฉัน ยิ่งท�าให้ฉัน อยากต่อต้านพวกเจ้า...จอมโหด เงาลวงแห่งอนาคต! อยู่กับฉันเถิด เกาะกุม ฉันไว้ ผูกมัดฉัน โอ้ท่านผู้ทรงอ�านาจศักดิ์สิทธิ์!
1
ปีศาจกอร์กอน-เดโมกอร์กอน เทพโบราณหรือปีศาจในนรก
230 : โมบี-ดิ๊ก
บทที่ 39
ยามกลางคืนกะแรก
แท่นบนยอดเสาหน้า (สตับบ์ก�าลังซ่อมแซมเชือกโยงเสาอยู่เพียงล�าพัง) ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! แฮ่ม! เสียงกระแอมไอของฉัน! ฉันใคร่ครวญนับแต่นั้นมา เสียงหัวเราะ และผลลงเอยหลังเสียงหัวเราะนัน้ เพราะอะไรหรือ ก็เพราะเสียง หัวเราะเป็นค�าตอบทีฉ่ ลาดทีส่ ดุ และเข้าใจง่ายทีส่ ดุ ส�าหรับเรือ่ งพิลกึ พิลนั่ นัน่ และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เสียงสนับสนุนหนึ่งจะยังคงอยู่ตลอดไป เป็นเสียง สนับสนุนที่ไม่เปลี่ยนแปลง มันได้ถูกก�าหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว ฉันไม่ได้ยินค�า พูดทั้งหมดที่เขาพูดกับสตาร์บัค แต่จากสายตาอันต�่าต้อยของฉัน ดูเหมือน สตาร์บัคจะเป็นเหมือนที่ฉันเป็นเมื่อคืนก่อน โมกุล1เฒ่านั่นคงต้องสะกดเขา เอาไว้แล้วเป็นแน่ ฉันรู้...ฉันเห็น...คงเป็นพรสวรรค์ที่ท�าให้เห็นลางบอกเหตุ เมื่อฉันปราดสายตาไปยังหัวกบาลของเขา ฉันก็ได้เห็น ใช่แล้วสตับบ์...สตับบ์ ผู้เฉลียวฉลาด นั่นเป็นนามของฉัน ก็ใช่...สตับบ์ แล้วยังไงล่ะ...สตับบ์ มันก็ แค่ซากศพ ฉันไม่ได้รู้สิ่งที่จะเกิดขึ้นทั้งหมด แต่อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ฉัน ท�าได้เพียงแค่หัวเราะให้กับมัน มองให้เป็นเรื่องตลกขบขันขณะซ่อนความน่า กลัวของเจ้าไว้ภายใน! ฉันสนุกสนาน ฟา...ลา!...เลียรา...สเคอรา! แพร์ผลเล็ก หวานฉ�า่ ทีไ่ ว้ใช้ตอ้ นรับแขกของฉันก�าลังท�าอะไรอยูใ่ นตอนนี้ ก�าลังหลัง่ น�า้ ตา ออกมาหรือ เพือ่ เลีย้ งฉลองให้กบั เหล่านักพุง่ ฉมวกทีเ่ หลืออยู่ ฉันขอท้าความ 1
โมกุล-กษัตริย์แห่งจักรวรรดิโมกุล ปกครองบริเวณอนุทวีปอินเดียในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 ถึง 19
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 231
สนุกสนานเป็นดั่งธงของเรือรบ เช่นเดียวกับฉัน ฟา...ลา!...เลียรา...สเคอรา! เราดื่มด�่ายามค�่าด้วยดวงใจดั่งเปลวไฟ สนุกสนานเริงร่าเพียงเดี๋ยวเดียว ดังฟองฟ่องว่ายวนริมขอบแก้ว แล้วแตกหายเมื่อชนโดนริมปาก บทเพลงปลุกใจนัน่ ...ใครกันเป็นผูส้ งั่ การ คุณสตาร์บคั หรือ ได้...ได้ขอรับ - (ป้อง ปากพูด) เขาเป็นผู้บังคับบัญชาของฉัน และตัวเขาเองก็มีผู้บังคับบัญชาของ ตัวเองด้วยเช่นกัน หากฉันไม่ท�าผิดพลาด - ได้...ได้ขอรับ เพียงท�างานนี้ให้ เรียบร้อย - ผลส�าเร็จก็จะตามมา
232 : โมบี-ดิ๊ก
บทที่ 40
เที่ยงคืน ดาดฟ้าหัวเรือ
เหล่านักพุง่ ฉมวกและลูกเรือ (ใบเรือเสากระโดงหน้าถูกกางขึน้ มองเห็นยาม ก�าลังยืนเฝ้า บางขณะพวกเขาเปลี่ยนท่าทางเอกเขนกนั่งๆ นอนๆ ลูกเรือ ทั้งหมดต่างประสานเสียงร้องเพลง) ลาก่อน ลาแล้วเจ้า...สาวสเปน! ลาก่อน ลาแล้วเจ้า...สาวชาวสเปน! กับตันของเรามีค�าสั่งการออกมาแล้ว ลูกเรือชาวแนนทักเก็ตคนที่หนึ่ง: โอ้..เจ้าหนุ่มอย่าได้อ่อนไหวกันไปนัก หมกมุ่นครุ่นคิดใช่เป็นเรื่องดี! คึกคักเข้าไว้ ร้องตามฉัน! (เสียงร้องเพลงดังขึ้น ทุกคนก็ร้องตาม) กัปตันของเรายืนอยู่บนดาดฟ้านั่น กล้องส่องทางไกลอยู่ในมือของเขา ก�าลังส่องมองหาเหล่าวาฬน่าเกรงขาม ที่ล่องเข้าหาฝั่ง โอ้ถังเชือก1ในเรือเล็กของพวกนาย.… 1
ถังเชือก-ใส่เชือกฉมวกที่ขดไว้ เพื่อปล่อยได้สะดวก
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 233
ด้วยเชือกฉมวกพวกนี้แหละ เราจะได้เจ้าวาฬตัวโต เร็วๆ เข้าไอ้หนู! แข็งขันไว้ พวก! นายจะไม่ผิดหวัง เมื่อนักพุ่งฉมวกผู้หาญกล้าปักคมแหลมใส่เจ้าวาฬ! เสียงผู้ช่วยกัปตันดังมาจากดาดฟ้าท้ายเรือ: ตีระฆังแปดครั้ง2 ไป! ลู ก เรื อ ชาวแนนทั ก เก็ ต คนที่ ส อง: หยุ ด ร้ อ งประสานเสี ย งซะ! แล้ ว จงตี ร ะฆั ง ตรงนั้ น แปดครั้ ง ! ได้ ยิ น ไหม...เจ้ า บริ ก ร จงตี ร ะฆั ง แปดครั้ ง เจ้าปีป! เจ้าคนด�า! ฉันจะเรียกคนเฝ้ายาม ฉันมีหน้าทีเ่ พือ่ การนี้ ส่งเสียงตะโกน ลงไปในปากถังยักษ์นั่น นั่น....นั่นละ (แล้วเขาก็ชะโงกหัวลงไปในช่องบันได) เวรยามกะต่อไปเริ่มแล้ว ชาวเรือ! ตีระฆังด้านล่างบอกเวลาเที่ยงคืน! เปลี่ยน เวรได้! ลูกเรือชาวดัตช์: งีบหลับเป็นตายในค�่าคืนนี้...เพื่อนเอ๋ย ราตรีสวัสดิ์เลย ฉันคิดว่าคงเป็นเพราะไวน์โมกุลเฒ่าของพวกเรา มันมีฤทธิท์ า� ให้บางคนมึนชา พอๆ กับกระตุ้นให้บางคนคึกคัก เราต่างร่วมร้องบรรเลง...ขณะพวกเขาหลับ ใหล...ใช่แล้ว...นอนอยู่ด้านล่างนั่น ที่ก้นถังใหญ่ยักษ์ ลงไปหาพวกเขาอีกครั้ง! ใช้ปม๊ั ทองแดงนีเ้ ชือ้ เชิญพวกเขาไหลผ่านมันมา บอกพวกเขาให้หยุดฝันหวาน ถึงสาวๆ บอกพวกเขาถึงเวลาฟื้นคืนชีพแล้ว พวกเขาต้องจูบลาพวกหล่อน และขึ้นมาฟังค�าพิพากษา มันเป็นวิถีที่ต้องด�าเนินไปเช่นนั้น ล�าคอของพวก นายไม่เผาไปเพราะกินเนยอัมสเตอร์ดัมหรอก ลูกเรือชาวฝรั่งเศส: เงียบเถอะ ไอ้หนูทั้งหลาย! มาเต้นร�ากันสักรอบสอง รอบก่อนพวกเราจะแล่นเรือไปจอดสมอในแบลงเก็ตเบย์ ว่าไงนะ ได้เวลา เปลี่ยนเวรยามกะต่อไปแล้วรึ เตรียมขาเอาไว้ให้พร้อม! ปีป! เจ้าปีปน้อย! บรรเลงกลองแทมบูรินของนายหน่อยสิ! 2
ตีระฆังแปดครั้ง-บอกเวลาเที่ยงคืน
234 : โมบี-ดิ๊ก
ปีป: (ไม่พูดไม่จา เอาแต่หลับท่าเดียว) ไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน ลูกเรือฝรั่งเศส: ตีกลอง แล้วกระดิกหูของนาย ตีให้เข้าจังหวะ...พวก พูด ถึงความรืน่ เริง ฮูรา! ให้ตายเถอะ ท�าไมไม่เต้นล่ะ ต่อแถวกันเถอะ จัดแถวแบบ อินเดียนแดง แล้วเต้นสลับเท้าเบิ้ลเลย โยนตัวขึ้นไป! เต้น! เต้น! ลูกเรือไอซ์แลนด์: ฉันไม่ชอบพืน้ ว่ะ...ไอ้เกลอ มันยืดหยุน่ เกินไป...ฉันไม่ชอบ ฉันคุน้ กับพืน้ น�า้ แข็งมากกว่า เสียใจด้วยทีไ่ ม่อาจท�าตามทีน่ ายต้องการ โทษทีนะ ลูกเรือชาวมอลตา: ฉันก็เหมือนกัน สาวๆ ของพวกนายอยู่ไหน ใครจะ ยอมโง่มาคล้องแขนซ้ายด้วยแขนขวาของเขา แล้วพูดกับตัวเองว่า เป็นไงบ้าง จ๊ะ...ที่รัก! ฉันต้องการคู่เต้นร�าว่ะ! ลูกเรือชาวเกาะซิซิลี: จริงด้วย สาวๆ และสนามหญ้า! มาเถอะ ฉันอยาก โดดร่วมกับเธอ มาสิ เจ้าตั๊กแตนสาวมาเต้นร�ากัน! ลูกเรือเกาะลองไอแลนด์: โอ...โอ้...นายไม่พูดไม่จา คงเพราะพวกเรามี กันมากมาย ฉันจะขอให้นายพรวนข้าวโพดเอาไว้ สองขาของทุกคนเตรียม พร้อมจะเข้าไปเก็บเกี่ยวในไม่ช้า อ้า! นั่นเสียงดนตรี ถึงเวลาร่ายร�ากันแล้ว! ลูกเรือชาวเกาะอะซอร์: (ก�าลังปีนเอากลองแทมบูรินขึ้นมาถึงด้านบน ช่องบันได) เอานี่...ปีป ใช้ไม้คา�้ เครื่องกว้านนั่น แล้วตีลงไปบนปากกลองของ นาย! เดี๋ยวนี้เลย...ไอ้หนุ่ม! (ลูกเรือครึ่งหนึ่งเต้นร�าตามจังหวะกลองแทมบูริน บางคนลงไปด้านล่าง เรือนอน บางคนนอนบนขดเชือกระโยง ขณะเสียงสบถดังระงม) ลูกเรือชาวเกาะอะซอร์: (ขณะเต้นร�า) ตีต่อไป...ปีป! ตีกลอง เจ้าเด็ก รับใช้! ขึงมัน เจาะมัน ติดตรามัน รัวมัน ไอ้หนูบริกร! เอาให้ไฟแลบ รัว กระพรวน3นั่นเลย! ปีป: นายพูดถึงฉิ่งฉาบหรือ ยังมีอีกอันร่วงหล่นอีก ฉันก็จะตีมันด้วย ลูกเรือชาวจีน: รัวฟันของนาย รัวเป็นเสียง เอาตัวนายเป็นเจดีย4์ เลย ลูกเรือชาวฝรั่งเศส: สนุกเป็นบ้า! ถือห่วงของนาย...ปีป จนกว่าฉันจะโดด 3 4
กระพรวน-บนกลองแทมบูริน (กลองมือ) วัดจีนมักห้อยโมบาย (กระดิ่งลม) ไว้ตามเจดีย์
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 235
ผ่านมันไปได้! ให้ธงมันฉีกเลย! ฉีกแขนนายออกสิ! แทชเทโก: (นัง่ สูบยาเส้นอยูเ่ งียบๆ) นัน่ แหละพวกคนขาว บอกว่าท�าอย่าง นั้นแล้วสนุก ฮื้อ! ฉันออมเหงื่อไว้ดีกว่า กะลาสีเฒ่าแมนซ์: ฉันสงสัยนักว่าไอ้หนุ่มคึกคะนองพวกนั้นจะคิดหรือ ไม่ว่าก�าลังเต้นร�าอยู่บนไหน ฉันจะเต้นร�ารอบหลุมศพพวกนาย ฉันสัญญา... นัน่ เป็นค�าขูอ่ นั แสบสันต์ของแม่มดของนาย ลมแรงยากจะหักเลีย้ วเปลีย่ นทาง ได้ โอ้...พระเจ้า! ทรงระลึกถึงเหล่าราชนาวีหน้าอ่อน และลูกเรือหัวอ่อน! เอา เถอะ...เอาเถอะ บางทีนอี่ าจเป็นเหมือนงานรืน่ เริงในงานโรงเรียนส�าหรับพวก นาย งั้นก็ใช้สิทธิ์ในงานเลี้ยงนี้ให้เต็มที่ เต้นร�ากันให้สนุกสนาน...ไอ้หนู พวก นายยังหนุ่มแน่น ครั้งหนึ่งฉันเองก็เคยผ่านช่วงวัยนี้มาก่อน ลูกเรือชาวแนนทักเก็ตคนที่สาม: พักก่อนเถอะ โอ้! วู้! เหนื่อยเสียยิ่งกว่า ลากวาฬในทะเลสงบเงียบเสียอีก ให้พวกเราได้พักหายใจกันก่อนเถอะ แทช (พวกเขาหยุดเต้น แล้วมานั่งรวมกลุ่มกัน ขณะนั้นท้องฟ้าด�ามืด ลมพายุ ตั้งเค้า) ลูกเรือชาวแขก: พระพรหมช่วย! พวก...ถึงเวลาต้องลดใบเรือลงแล้ว ท้องฟ้าก�าลังหลัง่ น�า้ คงคาอันศักดิส์ ทิ ธิใ์ นสายลม! ท่านส�าแดงเดชด้วยใบหน้า ด�าคล�้าของท่าน องค์ศิวะ! ท้องฟ้าก�าลังหลั่งน�้าคงคาศักดิ์สิทธิ์ในสายลม-ในที่นี้คือทางช้างเผือก ลูกเรือชาวมอลตา: (นั่งพิงและเขย่าหมวกของเขา) ดูคลื่นนั่น ตอนนี้ แตกเป็นฟองขาวละเอียดตามจังหวะดนตรี อีกสักครู่พวกมันคงสั่นพู่ระริ้ว จากนัน้ ทุกเกลียวคลืน่ จะกลายเป็นหญิงงาม เราโดดลงด้านล่างกันเถอะ เต้น บัลเลต์กบั เจ้าหล่อนตลอดวันคืน! จะมีอะไรสุขไปกว่าการได้อยูบ่ นโลกมนุษย์ แม้สวรรค์ก็ไม่อาจเทียบเท่า! ดังสายตาคนเลือดร้อนช�าเลืองหาดอกไม้ป่าใน สายลมหวิว ยามเมื่อกิ่งก้านแผ่ร่มเงาซ่อนเร้นผลองุ่นสุกปลั่งไว้ภายใน ลูกเรือชาวเกาะซิซลิ :ี (นัง่ พิงหลัง) บอกฉันสิวา่ มันเป็นความฝัน! ใช่ไหม... ไอ้หนุ่ม สองแขนประสาน ร่างอรชรโยกไกว กิริยาเอียงอาย ร่างสั่นเทา! ริม 236 : โมบี-ดิ๊ก
ฝีปาก! หัวใจ! สะโพก! ความนุ่มนวลทั้งมวลท�าให้ไม่อาจหยุดสัมผัสได้เลย! ยังไม่รู้รสอีกหรือ ดูนายสิ คนอื่นอิ่มแปล้กันแล้วนา...ไอ้คนป่า (กระทุ้งศอก) ลูกเรือชาวเกาะตาฮิติ: (เอกเขนกอยู่บนเสื่อ)ร่วมทักทายสักการะร่าง เปลือยเปล่าของสาวนักเต้น! เอ้าเต้นฮีว่า-ฮีว่า5! อ้า! ลดผ้าคลุมหน้าลง แล้วชูฝ่ามือขึ้นสูงชาวตาฮิติ! แม้ฉันจะยังคงนอนพักบนเสื่อของเธอ แต่ผืน ดินนุ่มจะไหลลื่นไป! ฉันเห็นเธอแกว่งไกวในป่าไม้ เสื่อของฉัน! ในวันแรก ที่ฉันน�าเธอมา เธอยังคงเขียวสด แต่เดี๋ยวนี้กลับผุกร่อนเหี่ยวเฉาไป โธ่... ถัง! ทั้งเธอและฉันต่างก็ไม่อาจทนต่อการเปลี่ยนแปลง! ที่สุดแล้วก็ต้องแปร สภาพไปอยู่บนท้องฟ้าโน่น...จริงไหม จงฟังฉัน กระแสธารค�ารามก้องจาก ยอดเขาพิโรไฮที6 ขณะพุ่งหลาวลงผาชัน และไหลท้วมหมู่บ้าน ระเบิดตูม... ตูม! ตั้งหลังตรงแล้วเตรียมเผชิญหน้ากับมัน! (กระโดดขึ้นมายืน) ลูกเรือชาวโปรตุเกส: นั่นทะเลซัดคลื่นใส่เรือ! เตรียมพร้อมม้วนใบเรือ ขึ้นเร็ว...เกลอเอ๋ย! ลมพายุก�าลังโหมพัดกระหน�า่ ความโกลาหลก�าลังจะเกิด ขึ้นในชั่วอึดใจ ลูกเรือชาวเดนมาร์ก: ให้รวดเร็ว ว่องไว เจ้าเรือแก่! เร็วเท่าที่เจ้าจะเร็วได้ ยึดไว้ให้มั่นเท่าที่เจ้าจะยึดได้! ท�าได้ดีนี่! ต้นหนอยู่นั่นเขาจะประคองเจ้าให้สู้ ลมแรง เขาไม่กลัวอะไรไปกว่าเกาะกลางทะเลคัตเคกัต ทีเ่ กิดขึน้ มาเพือ่ ต่อกร กับบอลติกด้วยปืนลมพายุกระหน�่าซึ่งมาจากเกาะเกลือ ลูกเรือชาวแนนทักเก็ตคนที่ 4: เขาได้รบั ค�าสัง่ แล้ว พวกนายเตรียมตัวไว้ ให้ดี ฉันได้ยินเฒ่าเอแฮ็บบอกให้เขาจัดการเจ้าพายุนั่น ก็ใช้ปืนยิงใส่นั่นงวง ช้าง7นั่นแหละ พุ่งเรือของพวกนายไปยังงวงนั่น! ลูกเรือชาวอังกฤษ: พวกเราคือเหล่าเลือดนักสู้! หากแต่ ณ อ่าวเก่าแก่น่า เกรงขามของจอมเฒ่านี!่ พวกเราไม่ตา่ งอะไรจากเด็กหนุม่ ผูไ้ ล่ลา่ หาวาฬให้กบั เขา! ทุกคน: ใช่! ใช่! 5 6 7
ฮีว่า-ฮีว่า-การเต้นแบบหนึ่งของชาวตาฮิติ จะตบมือ กระทืบเท้า และพูดประกอบ พิโรไฮที-หนึ่งในภูเขาหลักบนเกาะตาฮิติ เชื่อกันว่า ถ้างวงพายุหมุนลงมาแตะผิวน�้า ให้ยิงปืนใส่ พายุก็จะสงบลง
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 237
กะลาสีเฒ่าแมนซ์: ไม่วา่ สามต้นสนจะถูกสัน่ คลอนอย่างไร! ต้นสนก็ยงั คง เป็นต้นไม้ทมี่ คี วามแข็งแกร่งหยัดยืนแม้ถกู เปลีย่ นย้ายไปยืนต้นยังดินแดนอืน่ และทีน่ คี่ งมีแต่เพียงร่างอันถูกสาปของเหล่าลูกเรือ จงหนักแน่นไว้เถิด! นายท้าย! จงหนักแน่น อากาศในยามนี้ท้าหัวใจอันหาญกล้าน�าพาเรือแล่นเข้าหาฝั่ง และเสีย่ งพลิกคว�า่ กลางทะเล กัปตันเราเคยได้รบั บาดแผล มองดูนนั่ เจ้าหนุม่ บางอย่างบนท้องฟ้าแดงฉานนั่น พวกนายดูสินั่น มันมีสีด�าคล�้ากว่าแห่งใด แด๊กกู: อะไรกันนัน่ ? ใครหวาดกลัวความน่ากลัวของตัวฉันในความด�ามืด นั้น ฉันเองก็ถูกขุดออกมาจากความมืดด�านั้น! ลูกเรือชาวสเปน: (ป้องปากพูด) เขาต้องการจะหาเรื่อง อ้า! จอมริษยา เฒ่าท�าเอาฉันอารมณ์เสีย (ก้าวไปข้างหน้า) ใช่แล้ว...นักพุ่งฉมวก เผ่าพันธุ์ ของนายไม่อาจหลีกเลี่ยงด้านมืดของมนุษย์ ซึ่งเป็นความมืดด�าอันชั่วร้าย อย่าถือสาเลย แด๊กกู: (สีหน้าถมึงทึง) ไม่พูดอะไร ลูกเรือเซ็นต์จาโก8: ความบ้า หรืออารมณ์เมาของชาวสเปนนั้น ไม่ใช่ เพียงแค่ผลลัพธ์หนึง่ หรืออืน่ ๆ อันเกิดจากน�า้ เมาของโมกุลเฒ่าออกฤทธิค์ า้ ง ลูกเรือชาวแนนทักเก็ตคนที่ 5: ที่ฉันเห็นนั่น ใช่สายฟ้าแลบหรือไม่? คง ใช่สินะ ลูกเรือชาวสเปน: ไม่ใช่หรอก นั่นแด๊กกูก�าลังยิงฟันขาวของเขาอยู่ แด๊กกู: (ดีดตัวขึ้น) ฉันจะกินเนื้อนาย ไอ้ตัวจ้อย! ไอ้คนขาว ไอ้ขี้ขลาด! ลูกเรือชาวสเปน: (ท้าดวลเขา) ฉันจะแทงนายให้ดนิ้ ตาย! ไอ้ตวั ใหญ่ ใจเล็ก ทุกคน: เอ้า เฮ! เอ้า เฮ! เอ้า เฮ! แทชเทโก: (เป่าลมออกจากปาก)เอ้า เฮ พวกด้านล่าง เอ้า เฮ พวกด้าน บน พระเจ้าและมนุษย์ปุถุชน สองนักสู้! ฮื้อ! ลูกเรือชาวเบลฟาสต์: เอ้าเฮ! อาฮ่า เอ้าเฮ! ความบริสุทธิ์จะได้รับการ สรรเสริญ เอ้าเฮ! เอาเลย! 8
เซ็นต์จาโก-เกาะซานเตียโก หนึ่งในหมู่เกาะนอกชาวฝั่งตะวันตกของแอฟริกา
238 : โมบี-ดิ๊ก
ลูกเรือชาวอังกฤษ: เพือ่ ความยุตธิ รรม! ริบมีดเจ้าสเปนไว้กอ่ น! แล้วล้อมวง กันเข้า ล้อมวงกันเข้ามา! กะลาสีเฒ่าแมนซ์: ล้อมวงกันพร้อมแล้ว ทีน่ นั่ ! ในวงล้อมนัน้ เป็นวงล้อม ที่เคนเล่นงานอาเบล9 เป็นเรื่องน่ายินดี เป็นความถูกต้องหรือ! ไม่ใช่หรอก เพราะอะไรงั้นหรือ พระองค์จะพิโรธพวกนายที่ยืนล้อมวงอยู่หรือไม่ล่ะ เสียงต้นหนดังมาจากดาดฟ้าท้ายเรือ: เหล่าคนงานเตรียมจับเชือกไว้! เส้นโยงใบเรือบน! เตรียมตัวชักใบเรือได้! ทุกคน: พายุ! พายุ! สะดุ้งโหยง เฮ้ย! (พวกเขาแตกฮือ) ปีป: (มุดตัวอยู่ใต้เครื่องกว้าน) ความสนุกสนานงั้นหรือ? พระองค์ทรง กรุณาความสนุกสนานเช่นนั้นด้วยเถิด! คริ๊ก แคร็ก! ไปทางเชือกผูกหัวเรือ! พล่าง พล่าง! พระเจ้า! มุดหัวลงต�่าสิ...ปีป มาที่เสาเอกนี่! มันแย่กว่า อยู ่ ต รงไม้ ห มุ น อี ก นี่เป็นวันสุดท้ายของปี! ใครจะเป็ น คนปี น ขึ้ น ไปหลั ง สนุกสนานกับค�าพูดตลกโปกฮา? แต่โน่นพวกเขาไปโน่นแล้ว ทุกคนต่าง ก�าลังสาปแช่ง ยกเว้นฉันที่ยืนอยู่ตรงนี้ ขอให้โอกาสดีๆ จงเกิดกับพวกเขา ทุกคนอยู่บนถนนที่มุ่งสู่สรวงสวรรค์ จับเอาไว้ให้มั่น! จิมมินี่ เสียงกรีดร้อง อะไรนั่น! แต่คนเหล่านั้นยังแย่ยิ่งกว่า พวกเขาคือลมพายุที่ไร้วี่แววตั้งเค้า ลมกรด10งัน้ สินะ วาฬสีขาว รูด! รูด! ตอนนีฉ้ นั ได้ยนิ พวกเขาคุยกัน วาฬสีขาว รูด! รูด! แม้ครั้งหนึ่งจะเคยพูดไว้! และอีกครั้งในเย็นวันนี้ เสียงนั่นกระทบโสต ประสาทฉันตลอดเวลาราวกับกลองแทมบูรนิ ของฉัน พิษร้ายของจอมเฒ่าสาป ให้พวกเขาต้องไล่ลา่ มัน! โอ้! เจ้าวาฬยักษ์ พระเจ้าเบือ้ งบนจะปกป้องเจ้าจาก ผู้คนทั้งมวลที่ไร้ซึ่งความกลัว!
เคนเล่นงานเอเบล-ในคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาเดิม “บุตรชายคนโตของอาดัมกับอีฟชื่อเคน ยังชีพ ด้วยเพาะปลูก ส่วนบุตรชายคนรองชื่ออาเบลเป็นคนเลี้ยงแกะ พระเจ้าทรงพอพระทัยที่อาเบลถวายลูก แกะตัวแรกในฝูงให้ เคนบรวงสรวงพระเจ้าเช่นกัน แต่พระเจ้าไม่ทรงพอพระทัยเคนกับธัญบูชา ด้วยความ โกรธแค้น เคนจึงมาหาอาเบลผู้เป็นน้องชายในทุ่งนา แล้วจัดการสังหารเขา” 10 ลมกรด-ในที่นี้หมายถึงพายุที่เกิดโดยไม่มีเมฆด�าตั้งเค้า หรือสิ่งเตือนอื่นๆ 9
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 239
บทที่ 41
โมบี้ดิ๊ก
ผม...อิชเมล คือหนึ่งในกลุ่มลูกเรือนั้น เสียงโห่ร้องของผมดังก้องพร้อมไป กับพวกเขา ค�าสาบานของผมหลอมรวมกับพวกเขา เสียงร้องตะโกนยิ่งดัง เท่าไร ยิ่งตอกติดแน่นค�าสาบานมากเท่านั้น นั่นเพราะความหวาดกลัวฝังอยู่ ในจิตวิญญาณ ความพลุ่งพล่าน สับสน ตื่นเต้น คุกรุ่นอยู่ในตัวผม คล้ายกับ ว่าไฟอาฆาตแค้นที่ไม่อาจดับลงได้ของเอแฮ็บนั้นเป็นของผมด้วย เปิดสองหู ฟังอย่างกระหาย ท�าให้ผมรู้เรื่องราวของเจ้าปีศาจร้าย มันคือศัตรูตัวฉกาจ ของบุคคลผูซ้ งึ่ ผมและคนทัง้ หมดนีต้ อ้ งร่วมสาบานด้วยความอาฆาตมาดร้าย อดีตที่ผ่านมา วาฬสีขาวไม่เอาฝูงตัวหนึ่งปรากฏตัวขึ้นครั้งคราวกลาง ทะเลเดือด แม้ชาวประมงนักล่าวาฬหัวทุยจะออกเรือมาบริเวณน่านน�า้ แห่งนี้ บ่อยเพียงใด ใช่ว่าทุกคนจะล่วงรู้ถึงการด�ารงอยู่ของเจ้าวาฬ มีเพียงไม่กี่คน เคยพบเห็นมัน และจนถึงบัดนี้คนเหล่านั้นมีน้อยมากที่ได้รู้จักมันเป็นอย่างดี และเคยต่อสู้กับมัน นั่นเป็นเพราะเรือล่าวาฬกระจายรอนแรมไปทั่วน่าน น�้ากว้างใหญ่ เรือจ�านวนมากเหล่านี้มุ่งหน้าอย่างท้าทายไปตามเส้นละติจูด ห่างไกล ท�าให้ไม่ค่อยหรือไม่เคยได้ข่าวจากเรือล�าอื่นตลอดช่วงสิบสองเดือน หรือมากกว่านั้นบนหนทางยืดยาว ระยะห่างที่ไม่แน่นอนของการเดินทาง แต่ละครั้ง รวมทั้งช่วงเวลาล่องเรือจากบ้านที่ไม่ตายตัว เหล่านี้ร่วมกับ ปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ เป็นอุปสรรคทั้งทางตรงและทางอ้อมให้เรื่องราวอันน่า จับตาของโมบี้ดิ๊กไม่สามารถแพร่กระจายไปยังคาราวานเรือล่าวาฬได้อย่าง 240 : โมบี-ดิ๊ก
ทั่วถึงกัน แทบไม่ต้องสงสัยยามเมื่อเรือหลายล�ารายงานการพบเจอวาฬ หัวทุยในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง บริเวณใดบริเวณหนึ่งของเส้นเมอริเดียน วาฬ ขนาดใหญ่ไม่ธรรมดาและดุร้ายหลังสร้างความเสียหายให้กับผู้โจมตี จะหนี หายไปอย่างไร้รอ่ งรอย ผมรูใ้ นทันทีอย่างมัน่ ใจว่าวาฬตัวนัน้ จะเป็นอืน่ ไปไม่ได้ นอกจากโมบีด้ กิ ไม่นานมานีก้ ารประมงล่าวาฬหัวทุยได้รบั แจ้งให้เฝ้าระวังเหตุ ร้ายนานาที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งอันเนื่องมาจากความดุร้าย เจ้าเล่ห์ และอาฆาต พยาบาทในการโจมตีของเจ้าปีศาจยักษ์ เช่นนี้แล้วบรรดาผู้เคยปะทะกับโม บี้ดิกโดยบังเอิญ นักล่าเหล่านั้นพร้อมใจลงความเห็นว่าความน่าสะพรึงกลัว ที่มันบ่มเพาะขึ้นนั้นยิ่งมากก็ยิ่งเป็นภัยต่อการประมงล่าวาฬหัวทุยส่วนใหญ่ มากกว่าจะเป็นภัยเฉพาะตัวบุคคล ด้วยเหตุนี้จนถึงปัจจุบันการเผชิญหน้า กันอย่างท้าทายระหว่างเอแฮ็บกับวาฬยักษ์ได้รับการจับตามองอย่างสนใจ จากคนทั่วไป ส�าหรับบรรดาผู้เคยได้ยินเกี่ยวกับวาฬสีขาวมาก่อน และมีโอกาสได้ พบเห็นมันโดยบังเอิญ เบือ้ งต้นสิง่ ทีพ่ วกเขามีกนั แทบทุกคนคือความห้าวหาญ และปราศจากความกลัวที่จะลงเรือเล็กไปหามันเหมือนดังเช่นการไล่ล่าวาฬ ตัวอื่นในวงพันธุ์เดียวกับมัน แต่ในระยะยาวความสูญเสียอันเป็น ผลมาจาก หลังการโจมตีทไี่ ม่ได้จา� กัดอยูเ่ พียงแค่ขอ้ มือข้อเท้าบิดเคล็ด แขนขาหัก หรือถูก กลืนกินจนพิการขาดหาย แต่อาจเคราะห์ร้ายรุนแรงถึงขั้นตายทั้งเป็น ความ ย่อยยับซ�า้ ๆ ขจัดความกลัวโมบี้ดิ๊กที่พอกพูนอยู่บนตัวพวกเขา ไม่มีอะไรสั่น คลอนความแข็งแกร่งของนักล่าผู้กล้าได้อีก บุคคลผู้ซึ่งได้บรรลุถึงเรื่องราว ของวาฬสีขาวมาเป็นอย่างดี ข่าวลือเรือ่ งความดุรา้ ยป่าเถือ่ นทุกชนิดนอกจากจะไม่ได้กล่าวเกินจริงแล้ว ความน่ากลัวยิ่งมากเท่าไหร่ยิ่งมีหลักฐานความจริงจากเหล่าเดนตายมาก เท่านั้น ข่าวลือน่าเหลือเชื่อไม่เพียงงอกเงยขึ้นจากซากศพจ�านวนมากใน เหตุการณ์สยองขวัญสัน่ ประสาททัง้ มวล ดังเช่นต้นไม้หกั โค่นลงอย่างย่อยยับ ได้ให้ก�าเนิดเห็ดรา ทว่าชีวิตในท้องทะเลเองก็มีเรื่องราวให้เล่าลือเสียยิ่งกว่า เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 241
บนผืนดิน ข่าวลือมีดาษดื่นทุกแห่งหนที่มีมูลความจริงให้มันเกาะอาศัย แต่ ส�าหรับเรื่องความน่ากลัวแล้วข่าวลือในท้องทะเลแพร่สะพัดหนักกว่าบน ผืนดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแวดวงการประมงวาฬนั้นมีมากกว่าชีวิตใน ท้องทะเลรูปแบบอื่น บางครั้งข่าวลือเรื่องประหลาด และความน่ากลัวจะ หมุนวนอยู่กับกลุ่มคนพวกนี้ นักล่าวาฬไม่เพียงเป็นกลุ่มคนที่พัวพันอยู่กับ ความไม่รู้ และความเชือ่ ทางไสยศาสตร์อนั เป็นมรดกตกทอดในหมูก่ ะลาสีเรือ ทุกคนเท่านั้น แต่กะลาสีเรือเกือบแทบทุกคนไม่ช้าไม่นานยังต้องถูกชักน�าให้ เผชิญกับสิ่งต่างๆ ที่ท�าให้เกิดความพิศวงจนน่าขนลุกในท้องทะเลอีกด้วย พวกเขาไม่เพียงต้องเผชิญหน้ากับความน่าพิศวงแบบประชิดตัว แต่ยังต้อง ต่อกรกับมันด้วยมือเปล่า ความเดียวดายท่ามกลางผืนน�้าไกลห่างเช่นนั้น แม้คณ ุ จะล่องเรือไกลเป็นพันๆไมล์ ผ่านชายฝัง่ มาแล้วพันๆ แห่ง คุณก็ยงั ไม่รู้ ซึง้ ถึงแหล่งพักพิงใด หรือไมตรีจติ ใดภายใต้แสงอาทิตย์นนั้ บนเส้นละติจดู และ ลองติจดู เหล่า นักล่าวาฬยังคงมุง่ มัน่ กับงานทีท่ า� พวกเขาจะถูกปัจจัยแวดล้อม ชักจูงให้จินตนาการถึงการให้ก�าเนิดเรื่องราวเร้นลับมากมาย ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกหากข่าวลือนั้นเพิ่มความน่ากลัวให้กับผืนน�้ามากขึ้น เรือ่ ยๆ ตามระดับการแพร่กระจาย จนท้ายทีส่ ดุ เรือ่ งของวาฬสีขาวถูกน�ารวม เข้ากับค�าท�านายทุกประเภท และค�าแนะน�าของเทวรูปน้อยอันเป็นสัญลักษณ์ ของสิ่งเหนือธรรมชาติ ซึ่งได้มอบให้โมบี้ดิ๊กเป็นผู้รับผิดในความน่ากลัวใดๆ ที่ได้ปรากฏให้เห็น กระนั้นหลายกรณีความอลหม่านที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจาก มันกระท�าการโจมตี ซึง่ ท�าให้คนจ�านวนหนึง่ ได้ยนิ ข่าวลือ หรืออย่างน้อยทีส่ ดุ ก็ได้ฟงั เรือ่ งราวเกีย่ วกับวาฬสีขาว คนจ�านวนนีค้ อื เหล่านักล่าวาฬผูป้ รารถนา เผชิญหน้ากับกรามกรรไกรอันน่าสะพรึงกลัวของมัน กระนั้นยังคงมีอิทธิพลโน้มน�าอื่นและเป็น ผลส�าคัญยิ่งกว่าขณะล่าวาฬ ไม่เพียงแค่ชอื่ เสียงในปัจจุบนั ทีม่ อี ยูเ่ ป็นทุนเดิมของวาฬหัวทุยทีท่ า� ให้มนั โดด เด่นเป็นพิเศษไปกว่าสัตว์ทะเลยักษ์สายพันธุ์อื่นทั้งมวลซึ่งได้สาบสูญไปจาก จิตใจของเหล่านักล่าวาฬส่วนใหญ่ กลุ่มคนเหล่านี้แม้ในวันนี้บางคนมีไหว 242 : โมบี-ดิ๊ก
พริบและกล้าหาญพอต่อกรกับวาฬกรีนแลนด์ หรือวาฬไรต์ แต่ก็อาจมีความ เชี่ยวชาญไม่มากพอ หรืออาจไร้ความสามารถ หรือขลาดกลัว จนปฏิเสธ ที่จะต่อสู้กับวาฬหัวทุย เมื่อเทียบกับนักล่าวาฬจ�านวนมากโดยเฉพาะอย่าง ยิง่ เหล่าชนชาตินกั ล่าวาฬทีไ่ ม่ได้เดินเรือภายใต้ธงอเมริกนั ผูไ้ ม่เคยเผชิญหน้า อย่างเอาเป็นเอาตายกับวาฬหัวทุยมาก่อน และจ�ากัดรู้แต่เพียงว่าสัตว์ทะเล ยักษ์นั้นเป็นอสุรกายร้ายที่เคยถูกไล่ล่าในทะเลเหนือยุคแรกๆ คนเหล่านี้ ขณะนัง่ ประจ�าการอยูบ่ นดาดฟ้าเรือ พวกเขาจะตัง้ ใจฟังเรือ่ งเล่าต่างถิน่ อันน่า สะพรึงกลัวเกีย่ วกับการล่าวาฬในทะเลใต้ดว้ ยท่าทีทสี่ นใจและหวาดกลัวของ เด็กน้อยผู้ไม่ประสา วาฬหัวทุยไม่ว่าจะอยู่ที่แห่งใดก็ล้วนมีขนาดใหญ่โตเกิน กว่าตัวเรือจะต้านทานมันไว้ได้ในความรู้สึกของผู้คนทั่วไป ราวกับว่าความจริงเกี่ยวกับมันที่ได้รับการยอมรับในตอนนี้อาจเป็น เรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นเป็นต�านานในอดีตซึ่งได้กลายเป็นเงาทอดยาวมาถึง ปัจจุบนั เราอ่านเจอในหนังสือของนักธรรมชาติวทิ ยาสองคน โอลาสเซนและ พอเวลซัน1 ระบุว่าวาฬหัวทุยไม่เพียงสร้างความน่าสะพรึงกลัวต่อสัตว์ ทุกชนิดในท้องทะเลเท่านัน้ แต่ยงั มีความดุรา้ ยกระหายเลือดมนุษย์อย่างแทบ ไม่น่าเชื่อ ข้อสันนิษฐานนั้นไม่ได้เสื่อมถอยลงแม้เวลาจะล่วงเลยมาจนถึง ยุคของกูวีแยร์2 เรื่องราวเหล่านี้ หรือเหตุการณ์ฝังใจที่คล้ายกันนี้ไม่ได้ ถูกลบล้างไปจากหนังสือของเขา ในหนังสือธรรมชาติวิทยาของเขา กูวีแยร์ เห็นพ้องว่าเมื่อได้พบเห็นวาฬหัวทุย ปลาทุกชนิด (รวมทั้งปลาฉลาม) จะ “กลัวลนลาน” และ “มักพุ่งตัวหนีสุดชีวิตจนว่ายชนหินตายในทันที” อย่างไร ก็ตามประสบการณ์ทวั่ ไปในการประมงอาจแก้ไขรายงานเหล่านี้ กระนัน้ ยังคง อยูใ่ นความน่ากลัวถึงขีดสุดของพวกเขา แม้กระทัง่ เรือ่ งทีพ่ ดู ถึงความกระหาย เลือดของพอเวลซัน ความเชือ่ เหนือธรรมชาติของพวกเขาจะฟืน้ กลับมาอีกครัง้ ในจิตใจของนักล่าในช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่งของการท�าอาชีพนี้ 1 2
โอลาสเซนและพอเวลซัน-สองนักเขียนชาวไอซ์แลนด์ ผู้เขียนหนังสือ "ท่องไอซ์แลนด์" (ปี 1805) บารอน จอร์จส์ กูวีแยร์-(1769-1832) นักสัตววิทยาและธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศส
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 243
เพราะความหวาดกลัวในข่าวลือและลางบอกเหตุเกีย่ วกับมันจึงแทบไม่มี ชาวประมงคนใดจดจ�าโมบีด้ กิ๊ ได้ ก่อนหน้าทีจ่ ะมีการประมงล่าวาฬหัวทุย เป็น เรื่องยากที่จะชักชวนให้นักล่าวาฬไรต์ที่มีประสบการณ์ยาวนาน มาออกเรือ เผชิญอันตรายจากสงครามในสนามรบใหม่ที่ต้องใช้ความกล้าหาญ คนเหล่า นีป้ ฏิเสธว่าแม้จะมีสตั ว์ทะเลยักษ์ชนิดอืน่ ให้ลา่ ได้ดงั ใจหมาย แต่การไล่ลา่ และ พุง่ หลาวไปยังปีศาจร้ายอย่างวาฬหัวทุยไม่ใช่ภารกิจของมนุษย์ ความพยายาม ท�าเช่นนัน้ จะเป็นเหตุทไี่ ม่อาจหลีกเลีย่ งให้ชวี ติ อันเป็นนิรนั ดรแตกสลายไปใน พริบตา ซึ่งเรื่องนี้มีหลักฐานส�าคัญจ�านวนมากให้ได้ศึกษา กระนั้นยังมีบางคนที่ถึงแม้จะรู้เรื่องราวเหล่านี้ดีแต่ก็ยังพร้อมจะไล่ล่า โมบีด้ กิ๊ และยังมีคนอีกจ�านวนมากมีโอกาสเพียงแค่ได้ยนิ เรือ่ งราวของมันอย่าง คลุมเครือจากแดนไกล โดยปราศจากรายละเอียดชัดเจนถึงเคราะห์ภัย และ ความเชื่อทางไสยศาสตร์อย่างเพียงพอ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับมันโดยบังเอิญ จึงแทบไม่อาจรอดพ้นจากการปะทะไปได้ หนึ่งในเรื่องเล่าอันน่าสะพรึงกลัวที่ได้กล่าวขานกันไม่จบสิ้นเกี่ยวกับวาฬ สีขาว ก่อให้เกิดจินตนาการเกินจริงที่ท�าให้โมบี้ดิ๊กปรากฎอยู่ทั่วทุกหนแห่ง มันอาจถูกพบจริง ณ เส้นละติจูดหนึ่ง และในเวลาเดียวกันก็อาจถูกพบเจอ ในอีกเส้นละติจูดที่อยู่ห่างไกลออกไปคนละฟากฝั่ง ไม่ใช่เพราะความหูเบาเชื่อคนง่าย หรือกระทั่งจินตนาการโดยปราศจาก เค้ารางของความเป็นไปได้ที่ยากต่อการพิสูจน์ หากแต่เพราะความเร้นลับ ของกระแสน�้าในทะเลไม่เคยเผยความลับออกมาแม้กระทั่งแก่ผู้ศึกษาวิจัย อย่างทุ่มเท กลวิธีซ่อนเร้นของวาฬหัวทุยยามเมื่ออยู่ใต้ผิวน�้ายังคงเป็นส่วน ส�าคัญที่ไม่เคยมีค�าอธิบายให้แก่ผู้ไล่ล่ามัน และบางครั้งคราวยังก่อให้เกิด ความอยากรู้อยากเห็น และการโต้เถียงกันขึ้นในกลุ่มคนเหล่านี้ โดยเฉพาะ อย่างยิ่งเรื่องลี้ลับหลังเกิดเสียงก้องในทะเลลึก มันจะเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว ไปยังจุดต่างๆ ที่ห่างไกล เรือ่ งนีเ้ ป็นทีร่ กู้ นั ดีในกลุม่ เรือล่าวาฬทัง้ ชาวอเมริกนั และอังกฤษ อีกทัง้ ยัง ถูกเขียนบันทึกไว้เมื่อหลายปีที่ผ่านมาโดยสคอร์บี้ ซึ่งระบุว่าวาฬที่ถูกจับได้ 244 : โมบี-ดิ๊ก
ในทะเลแปซิฟิกห่างออกไปทางตอนเหนือ เป็นตัวเดียวกันกับวาฬที่ถูกเงี่ยง ฉมวกแทงมาจากทะเลกรีนแลนด์ ซึ่งไม่อาจปฏิเสธได้ว่ากรณีเหล่านี้บ่งบอก ถึงช่วงเวลาระหว่างการโจมตีทั้งสองครั้งไม่ได้ใช้เวลาหลายวันนัก ด้ ว ยเหตุ นี้ จึ ง อนุ ม านได้ ว ่ า นั ก ล่ า วาฬเชื่ อว่ า เส้ น ทางตะวั น ตกเฉี ย ง เหนือ3เป็นเส้นทางที่สร้างปัญหาให้กับมนุษย์มาช้านานไม่เคยเป็นปัญหา เลยส�าหรับวาฬ ณ ที่นี่มีเรื่องเล่าจากประสบการณ์จริงของมนุษย์ผู้อยู่อาศัย เรื่ อ งราวแปลกประหลาดในอดี ต เกี่ ยวกั บ เทื อ กเขาสเตรลโลในประเทศ โปตุเกส (กล่าวกันว่าใกล้ยอดเขาเป็นที่ตั้งของทะเลสาบซึ่งมีเรืออับปางลอย ขึ้นเหนือผิวน�้า) และยังมีเรื่องราวมหัศจรรย์เกี่ยวกับน�้าพุอาร์ทูซาในใกล้ ซิราคิวส์4 (เชื่อกันว่าน�้าพุนี้ไหลมาจากโฮลี่แลนด์โดยผ่านใต้ดิน) เรื่องราว น่าเหลือเชื่อเหล่านี้มีน�้าหนักเกือบเท่าๆ กับความจริงของนักล่าวาฬ ความมหัศจรรย์เหล่านีเ้ ป็นเหตุให้เกิดความเคยชิน ท�าให้รวู้ า่ หลังการโจมตี อย่างทรหดซ�า้ ๆ วาฬสีขาวจะเอาชีวติ รอดไปได้ และไม่ใช่เรือ่ งน่าแปลกใจอะไร นักหากนักล่าวาฬจะไล่ตามโชคลางของเขาไป และนี่เองเป็นเหตุยืนยันได้ว่า โมบี้ดิ๊กไม่เพียงอยู่ทุกหนทุกแห่ง แต่ยังเป็นอมตะอีกด้วย (ความเป็นอมตะ อันเป็นนิรนั ดร) ซึง่ แม้จะมีหลาวนับร้อยปักอยูบ่ นสีขา้ ง มันจะยังคงว่ายน�า้ หนี ไปโดยไม่สะทกสะท้านอะไร หรือแม้จะมีเลือดพุ่งออกมาจากตัวมัน เลือดที่ เห็นนั้นก็จะเป็นเพียงภาพหลอนหลอกตา คลื่นเปื้อนเลือดตีวงห่างออกไป ร้อยๆ ลีก5 จากนั้นล�าน�้าไร้รอยเลือดของมันจะพ่นพุ่งขึ้นให้เห็นอีกครั้งหนึ่ง การปะติดปะต่อความคาดเดาในเรื่องเหนือธรรมชาติเหล่านี้เพียงพอให้ เชื่อถึงความเป็นไปได้ และลักษณะที่ไม่อาจโต้แย้งได้เกี่ยวกับอสุรกายที่ก่อ ตัวขึ้นในจินตนาการด้วยอ�านาจแห่งความไม่รู้ ล�าตัวขนาดใหญ่ของมันไม่ใช่ สิง่ ทีท่ า� ให้มนั แตกต่างจากวาฬหัวทุยตัวอืน่ หากแต่เป็นคุณสมบัตสิ ว่ นอืน่ นัน่ เส้นทางตะวันตกเฉียงเหนือ-เส้นทางเดินเรือที่ตัดผ่านมหาสมุทรอาร์กติก เชื่อมมหาสมุทรแอนแลนติก กับแปซิฟิก 4 ซิราคิวส์-ในแคว้นซิซิลี อิตาลี 5 ลีก เป็นหน่วยระยะทางประมาณ 3 ไมล์ในอังกฤษ หรือ 3 ไมล์ในอเมริกา 3
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 245
คือ ส่วนหัวยับย่นสีขาวดังหิมะ และโหนกสีขาวสูงราวพีระมิด คุณสมบัติโดด เด่นนีเ้ ป็นสัญลักษณ์ตดิ ตัวมันไปทุกหนแห่งทัว่ ท้องทะเลกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต มันเผยโฉมให้เห็นมาแต่ไกล ปรากฏแก่สายตาผู้ที่รู้จักมันเป็นอย่างดี ส่วนที่เหลือบนล�าตัวของมันมีริ้วรอยและรอยด่าง เป็นลายหินอ่อนสีผ้า ห่อศพไปจนถึงส่วนหาง อันเป็นที่มาของสมญานามเฉพาะใช้เรียกขานมัน ว่าวาฬสีขาว ชื่อบอกชัดถึงลักษณะของมัน ยามเมื่อมันโผล่ขึ้นมาร่อนเหนือ ทะเลสีครามเข้มเวลาเที่ยงตรง จะทิ้งร่องรอยฟองคลื่นสีขาวข้นยาวเป็นทาง ช้างเผือกส่องแสงระยิบด้วยประกายทอง กระนั้นล�าตัวขนาดใหญ่ สีผิวผิดธรรมชาติ หรือแม้กระทั่งกรามต�่าผิดรูป ยังไม่ใช่ส่วนส�าคัญท�าให้วาฬตัวนี้มีความน่ากลัวแต่ก�าเนิด หากแต่เป็นความ ฉลาดอย่างร้ายกาจที่ไม่เคยมีปรากฏมาก่อนซึ่งมันแสดงให้เห็นประจักษ์ ชัดในการโจมตีแต่ละครั้งจนกลายเป็นลักษณะเฉพาะของมัน ยิ่งไปกว่านั้น การล่าถอยของมันสร้างความวิตกกังวลให้เกิดขึ้นมากกว่าให้ความรู้สึกเป็น อย่างอื่น เมื่อมันว่ายอยู่เบื้องหน้าผู้ล่าที่ก�าลังอยู่ในอารมณ์ปรีดา อาการ อันเป็นสัญญาณบอกเหตุ หลายครั้งมันรับรู้ได้ถึงความประมาทนั้น และหัน หลังกลับมาอย่างฉับพลัน ตรงรีม่ ายังพวกเขาพุง่ ใส่เรือเล็กแตกออกเป็นชิน้ ๆ หรือกดดันให้พวกเขาจ�้าอ้าวกลับเรือใหญ่ด้วยความตกตะลึง หายนะถึงตายหลายต่อหลายครัง้ เกิดจากการไล่ลา่ กระนัน้ หายนะคล้าย กันนี้มีส่วนน้อยที่เป็นข่าวไปถึงฝั่ง และนั่นก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติส�าหรับการ ประมงแต่อย่างใด กรณีส่วนใหญ่คล้ายกับว่า ความอาฆาตพยาบาทในความ ดุร้ายของวาฬสีขาวที่เกิดขึ้นกับบุคคลผู้สูญเสียแขนขาหรือเสียชีวิตไปเพราะ มันนั้น ไม่ถือว่าเป็นผลมาจากการลงโทษโดยวาฬที่โง่เง่า ตัดสินจากระดับความเดือดดาลรุนแรง และสับสนของนักล่าผู้สิ้นหวัง ยิ่งกว่าที่แสดงออกมา เมื่อลอยคออยู่ท่ามกลางเศษไม้จากเรือที่โดนบดขยี้ และแขนขาของสหายที่ฉีกขาดและจมน�้า ลูกเรือเหล่านี้ว่ายน�า้ หลุดออกจาก ฟองคลื่นน�้านมขาวข้นอันเป็น ผลจากความโกรธาของเจ้าวาฬร้าย มุ่งสู่แสง 246 : โมบี-ดิ๊ก
อาทิตย์เจิดจ้าร้อนแรงซึง่ ส่องแสงลงมาเหมือนจะยิม้ ให้ราวกับว่าเบือ้ งล่างนัน้ คือทารกเกิดใหม่ หรือเจ้าสาวก็ไม่ปาน เศษไม้เรือเล็กสามล�าลอยรอบตัวมัน ไม้พายและลูกเรือต่างหมุนวนอยู่ ในกระแสน�้าวน กัปตันนายหนึ่งฉวยมีดสั้นจากซากหัวเรือโถมเข้าใส่เจ้าวาฬ ราวกับคู่ดวลจากรัฐอาร์คันซอ เขาหวังใช้ใบมีดยาวหกนิ้วจ้วงแทงหัวใจที่อยู่ ลึกลงไป โดยไม่คิดหน้าคิดหลังแต่อย่างใด กัปตันผู้นั้นคือเอแฮ็บ ทันใดนั้น โมบีด้ กิ๊ ตวัดกรามล่างรูปทรงเคียวไปข้างใต้ตดั ขาเอแฮ็บออกขาด ราวกับใบมีด เครื่องตัดหญ้าในสนาม คงไม่มีชาวเติร์กโพกผ้า ชาวเวเนเชีย หรือชาวมาเลย์ ที่ถูกจ้างมาคนใดจะท�าร้ายเขาได้อย่างนี้อีกแล้ว มีเหตุผลบางอย่างชวนให้ สงสัยอยู่ว่าหลังรอดชีวิตจากสู้กันจนเจียนตายครั้งนั้น เอแฮ็บหล่อเลี้ยงแรง อาฆาตพยาบาทที่มีต่อวาฬตัวนี้ ความแค้นยิ่งฝังลึกเท่าไร ยิ่งเพิ่มความ คลุ้มคลั่งในตัวเขามากขึ้นจนที่สุดเขากลายเป็นคนที่มีลักษณะดังเช่นที่เป็น ไม่เพียงทุกข์ร้อนทางกายเท่านั้น แต่ยังมีความรุ่มร้อนทางใจและจิตวิญญาณ ด้วย วาฬสีขาวที่ว่ายอยู่เบื้องหน้าเปลี่ยนเขาให้หมกมุ่นครุ่นคิดอยู่แต่การ แก้แค้น ขณะเหล่าลูกเรือหมกมุ่นหวังจะได้กลืนกินมันกระทั่งหลงเหลือแต่ เพียงหัวใจครึ่งดวงและปอดครึ่งซีก ความร้ายกาจที่ไม่อาจสัมผัสได้ซึ่งก่อตัว ขึ้นจากจุดต้นก�าเนิดนั้น มีอ�านาจครอบง�าแม้กระทั่งชาวคริสเตียนยุคใหม่ที่ ว่ากันว่ามีอยูร่ าวครึง่ หนึง่ บนโลก ซึง่ ลัทธิโอไฟต์6โบราณของชาวตะวันออกได้ เคารพปีศาจรูปปัน้ ของพวกเขา เอแฮ็บไม่เคารพและสักการะสิง่ เหล่านีเ้ หมือน กับพวกเขา แต่ได้สง่ ผ่านความเพ้อคลัง่ ไปยังวาฬสีขาวทีน่ า่ รังเกียจ เขาขุดหลุม ฝังตัวเอง สูญเสียทุกสิ่งเพื่อมัน ความบ้าและความระทมทุกข์ กากตะกอน ของสิ่งต่างๆ ที่ถูกปลุกปั่น สัจธรรมแห่งความพยาบาทที่แฝงอยู่ภายใน เสียง บดแตกของเส้นเอ็นและก้อนสมอง ความเชือ่ เรือ่ งศาสตร์เร้นลับของชีวติ และ ความคิด ปีศาจทั้งมวล ล้วนหล่อหลอมให้เอแฮ็บกลายเป็นบุคคลฟั่นเฟือน 6
ลัทธิโอไฟต์ (ราวค.ศ. 100) ที่เชื่อว่า งูซึ่งล่อลวงอะดัมกับอีฟนั้นคือพระเอกของเรื่อง ในขณะที่พระเจ้า คือผู้ร้าย
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 247
เอาแต่ครุ่นคิดที่จะตามล่าโมบี้ดิ๊ก เขายกยอดความเกลียดชังและความโกรธ แค้นทั้งหมดที่มีพุ่งเป้าไปที่โหนกสีขาวของเจ้าวาฬ ความรู้สึกที่ได้รับสืบทอด จากอาดัม และแล้วราวกับทรวงอกของเขาเป็นเหมือนดั่งปืนใหญ่ เขาระเบิด หัวใจออกราวกับมันเป็นลูกกระสุน อาการหมกมุ่นที่เกิดขึ้นกับเขานี้ ไม่น่าจะเกิดขึ้นแบบฉับพลันในขณะ ร่างกายของเขาถูกฉีกขาด ช่วงจังหวะโถมเข้าใส่อสุรกายเขาก�ามีดอยู่ในมือ แต่ได้ผ่อนคลายความเร่าร้อน และความเกลียดชังในตัวมนุษย์ไปโดยไม่คาด คิด ตราบเมื่อเขาได้รับแรงกระชากฉีกร่างของเขาออก วินาทีนั้นเขาคงไม่รู้ สึกอะไรนอกจากความเจ็บปวดทางกายที่ฉีกขาด ไม่มีอย่างอื่นให้ต้องค�านึง ถึงอีก การปะทะกันนี้เป็นสาเหตุให้เขาต้องหันหัวเรือกลับบ้าน และใช้เวลา นานหลายเดือน เอแฮ็บและความปวดร้าวนอนขึงเหยียดร่วมกันในเปล ญวณท่ามกลางบรรยากาศเศร้าซึมในฤดูหนาวและเสียงโหยหวนของแหลม เพทาโกเนีย7 ช่วงเวลานั้นเองร่างกายขาดด้วนของเขา และบาดแผลฝังลึกใน จิตวิญญาณได้หลอมรวมกันจนท�าให้เขากลายเป็นอีกคน มันหล่อหลอมให้ เขากลายเป็นคนบ้า สิง่ เดียวทีเ่ กิดขึน้ หลังจากนัน้ ช่วงระหว่างการเดินทางกลับ บ้านหลังการเผชิญหน้ากันนั่นคือช่วงสุดท้ายก่อนอาการหมกมุ่นจะครอบง�า เขา สันนิษฐานได้แน่ชดั เช่นนัน้ จากความจริงทีว่ า่ ช่วงเวลาระหว่างเดินทางเขา กลายเป็นคนบ้าคลัง่ และถึงแม้จะเสียขาไปข้าง แต่พละก�าลังยังคงซุกซ่อนอยู่ ในหัวใจชาวอียปิ ต์ของเขา และยิง่ ทรงพลังมากขึน้ ด้วยอาการคลุม้ คลัง่ อันเป็น เหตุให้พวกผูช้ ว่ ยของเขาต้องมัดเขาไว้ให้แน่น แม้ ณ ตอนนัน้ เขาจะอยูบ่ นเรือ ที่ก�าลังแล่นและเพ้อเจ้ออยู่ในเปลญวนก็ตาม ในเสื้อรัดแขนคนบ้าเขาแกว่ง ไปมาตามแรงโยกคลอนอย่างบ้าคลั่งของลมพายุ เมื่อเข้าสู่เส้นรุ้งที่ยังพอทน ผ่านไปได้ เรือกางใบพิเศษ8แล่นเอื่อยลอยข้ามน่านน�้าสงบของทะเลเขตร้อน ณ ที่นี้ ชายชราปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ดูเหมือนความบ้าคลั่งของเขา ถูกทิ้งไปกับคลื่นยักษ์ในแหลมเคปฮอร์นที่อยู่เบื้องหลัง เขาออกมายืนหน้า 7 8
แหลมเพทาโกเนีย-ก็คือแหลมฮอร์นนั่นเอง ซึ่งอากาศแปรปรวนและมีอันตรายมาก ใบพิเศษ-กางในช่วงลมอ่อนถึงปานกลาง
248 : โมบี-ดิ๊ก
รังหลบซ่อน ก้าวสู่แสงเจิดจ้าและอากาศอบอุ่น เขาค�้าตัวยืนมั่น เชิดใบหน้า ซีดเซียวขึ้น และลั่นค�าบัญชาการอีกครั้งอย่างสงบนิ่ง เหล่าผู้ช่วยกัปตันต่าง รู้สึกยินดีที่อาการคลุ้มคลั่งหายไป แต่ในความจริงแล้วเอแฮ็บได้เก็บซ่อน อาการเพ้อคลัง่ ของเขาไว้สว่ นลึกของหัวใจ บ่อยครัง้ ความวิกลจริตของมนุษย์ นัน้ ช่างเจ้าเล่หแ์ สนกลยิง่ นัก เมือ่ คุณคิดว่ามันหายไปแล้ว มันไม่เพียงยังคงอยู่ แต่ยังได้เปลี่ยนรูปแบบไปเป็นในสิ่งที่เข้าใจยากยิ่งขึ้น ความวิกลจริตของ เอแฮ็บไม่เพียงไหลซึมลงเบือ้ งลึกแต่ยงั ตกตะกอนอยูภ่ ายใน เช่นเดียวกับแม่น น�า้ ฮัดสันซึ่งไม่เคยหยุดยั้ง ยามเมื่อสายน�้าจากสแกนดิเนเวียนั่นไหลเป็นสาย แคบๆ แต่ลึกล�้าไม่อาจหยั่งถึงระหว่างช่องเขา9 ไม่ต่างจากความหมกมุ่นของ เอแฮ็บที่ต้องการผ่านทะลวงทางแคบๆ เบื้องหน้าและความทิ้งความบ้าคลั่ง ไว้เบื้องหลัง ความบ้าระห�่านั้นไม่น้อยไปกว่าสติปัญญาอันเป็นพรสวรรค์ แต่ก�าเนิดของเขาที่ได้ดับสูญลง จากสิ่งมีชีวิตในตอนนี้ได้กลายเป็นเครื่อง จักรกลทีม่ ชี วี ติ เมือ่ ความคลัง่ แค้นของเขาคุกรุน่ รุนแรง ความวิกลจริตของเขา จึงได้โหมกระหน�่าสภาพจิตปกติ กลายสภาพเป็นปืนใหญ่เล็งไปยังเป้าหมาย อันบ้าคลั่งของเขาเอง นั่นเพื่อไม่ให้มาท�าลายความเข้มแข็งของเขาที่จะไปให้ ถึงยังปลายทางอีกด้าน เอแฮ็บในตอนนี้ครอบง�าอ�านาจพันเท่าที่เขาเคยมี เหมือนเมื่อครั้งโลดแล่นไปสู่เป้าหมายในสภาพจิตที่ยังดีอยู่ แต่นี่ยังไม่เท่าไรนัก ส่วนที่ลึกลับ ด�ามืด และยิ่งใหญ่ของเอแฮ็บยังไม่ถูก เผยออกมา ไม่มีประโยชน์ที่จะสร้างความนิยมให้กับความลึกซึ้ง ในเมื่อทุก สัจธรรมล้วนเป็นความลึกซึ้ง ลมพัดเจาะใจกลางโฮเต็ล เดอ คลูนีย10 ์ ที่ซึ่ง เรายืนอยู่นี้ อย่างไรก็ตามความยิ่งใหญ่และความมหัศจรรย์ในตอนนี้ยุติมัน ลงแล้วและน�าคุณไปตามหนทางที่จะท�าให้คุณมีชื่อเสียงยิ่งขึ้น จิตวิญญาณ
ระหว่างช่องเขา-แม่น�้าฮัดสันช่วงนี้ไหลลึก แต่เป็นสายแคบๆ ยาวราว 15 ไมล์ ระหว่างพีกสกิลล์กับ นิวเบิร์ก 10 โฮเตล เดอ คลูนีย์-ปัจจุบันชื่อ มูเซ เดอ กลูนี ตั้งอยู่ในปารีส 9
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 249
เศร้าโศกมากขึ้น โถงทางเดินกว้างใหญ่ทรงโรมันของเทอร์เมส11 ที่ซึ่งอยู่ใต้ หอคอยระฟ้าบนโลกที่สูงกว่าของมนุษย์ รากฐานแห่งความสูงศักดิ์ของเขา แก่นแท้แห่งความน่าย�าเกรงทัง้ ปวงนัน้ นัง่ อยูใ่ นสภาพหนวดเครารุงรัง โบราณ วัตถุที่ฝังกลบอยู่ใต้ยุคสมัยโบราณ บัลลังค์บนรูปสลักมนุษย์! ซากปลักหักพัง ของราชบัลลังค์นั้น พระผู้สูงส่งเย้ยหยันราชาผู้ถูกคุมขังเป็นดังเช่นรูปปั้นสตรี บนเสา เขาต้องนัง่ อยูอ่ ย่างอดทนยกคิว้ แข็งทือ่ ของเขาอันเป็นส่วนต่อระหว่าง เสาและหลังคาในสถาปัตยกรรมคลาสสิกแห่งยุคสมัย สายลมพัดผ่านคุณ บริเวณนัน้ ดวงวิญญาณแห่งทิฐิ และโสมนัส! ตัง้ ค�าถามต่อพระราชาผูท้ ฐิ ิ และ โศกเศร้า! เหมือนกับวงศ์พันธุ์เดียวกัน! ใช่แล้วเขาได้ให้ก�าเนิดคุณ เหล่า ราชนิกลู หนุม่ ผูถ้ กู เนรเทศ การสืบพันธุค์ วามโหดร้ายของคุณเป็นเพียงสิง่ เดียว ที่จะเผยความลับแห่งสถานะเก่าออกมา ในตอนนีห้ วั ใจของเอแฮ็บช�าเลืองมองหาสิง่ นี้ เสียงในหัวใจของเขากล่าวว่า เจตนาทั้งปวงของฉันตั้งอยู่บนเหตุผล หากแรงบันดาลใจ และเป้าหมายของ ฉันไร้เหตุผล กระนั้นปราศจากอ�านาจแห่งการท�าลาย หรือการเปลี่ยนแปลง หรือหลีกเลี่ยงความจริง ยิ่งกว่านั้นเขารู้ว่าความเป็นมนุษย์ของตนได้ถูก กลบเกลื่อนมานานแล้ว แม้บางส่วนยังคงอยู่ หากแต่สิ่งที่ถูกกลบเกลื่อนไป นั้นเป็นสิ่งส�าเหนียกได้ชัดโดยเขาเองก็ไม่อาจควบคุมได้ดังใจปรารถนา และ ถึงแม้เขาจะประสบความส�าเร็จในการกลบเกลื่อนมากเพียงใด ในที่สุดแล้ว เมื่อเขาก้าวขาสีงาขึ้นบนฝั่ง ไม่มีชาวแนนทักเก็ตคนใดมองเขาด้วยความรู้สึก เป็นอื่นนอกเสียจากความเศร้าสลดใจ และตระหนักรู้ได้ทันทีถึงคนจ�านวน มากที่ต้องตายจากไปอย่างน่าสยดสยอง อาการเพ้อคลั่งกลางทะเลเป็นข่าวที่ไม่อาจปฏิเสธได้นั้นยังคงถูกน�ามา กล่าวถึงกันในหมู่ญาติมิตร ซึ่งรวมถึงอารมณ์หงุดหงิดที่เกิดขึ้นเสมอหลัง การล่องทะเลไปกับเรือพีควอดกระทั่งถึงการเดินทางในขณะนี้ เขาเอาแต่ท�า หน้าเคร่งเครียดอยูต่ ลอดเวลา แทบไม่มอี ะไรให้ตอ้ งแคลงใจถึงความเหมาะสม 11
ทอร์เมส-จริงๆ ค�าละตินแปลว่า “อาบน�้า" ผู้เชี่ยวชาญเชื่อกันว่า เมลวิลล์อาจเข้าใจผิดคิดว่าเป็นชื่อ เฉพาะของบุคคล
250 : โมบี-ดิ๊ก
ของเขาในการล่องเรือล่าวาฬอีกครัง้ นัน่ เพราะอาการหมองหม่นนัน้ ผูค้ นทีม่ ี ความหลักแหลมรอบคอบย่อมเชือ่ มโยงมูลเหตุอนั หลากหลายทีบ่ ง่ บอกได้วา่ เขามีความเหมาะสม และกล้าบ้าบิน่ พอจะออกไล่ลา่ ด้วยความคลัง่ แค้นดุดนั เพื่อหลั่งเลือดวาฬ บุคคลผู้ที่ยอมให้ความรู้สึกกัดกินอยู่ภายใน และเผาไหม้ อยูภ่ ายนอกด้วยคมเขีย้ วความคิดฝังแน่นไม่เปลีย่ นแปลง เขาผูน้ นั้ คือ ชายผูย้ ก หลาวเหล็กขึน้ พุง่ ใส่สตั ว์รา้ ยทีก่ า� ลังตกใจสุดขีด ความทุพพลภาพทางกายนัน้ หรือจะเป็นอุปสรรคให้ชวนค�านึงคิด เช่นนั้นเองบุคคลผู้นี้จึงมีความสามารถ สูงสุดในการปลุกเสียงโห่ร้องค�ารามลั่นของเหล่าลิ้วล้อเพื่อเป้าหมายในการ โจมตี กระนัน้ ทัง้ หมดนีอ้ าจเป็น...หรือต้องเป็นความเร้นลับอย่างไร้เหตุผลของ ความคลั่งแค้นที่ไม่ลดถอยลง และยังสลักกลอนขังอยู่ภายในตัวเขา เอแฮ็บ จงใจล่องเรือเดินทางครั้งนี้โดยมีเพียงเป้าหมายเดียวเท่านั้นนั่นคือการไล่ล่า วาฬสีขาว หากจะมีคนใดบนชายฝั่งที่ได้รู้จักเขามาเก่าก่อน ก็ไม่อาจล่วงรู้แม้ เพียงครึง่ ความทีซ่ กุ ซ่อนอยูภ่ ายในใจเขา นานเพียงใดวิญญาณแห่งความเทีย่ ง ธรรม และสะพรึงกลัวของพวกเขาจึงจะน�าพาเรือไปจากชายผูช้ วั่ ร้าย! พวกเขา ถูกชักจูงไปกับการเดินทางเพื่อสร้างผลก�าไร ผลประโยชน์ในรูปของดอลลาร์ จากกองกษาปณ์ ความมุ่งมั่นแก้แค้นของเขาช่างห้าวหาญผิดธรรมชาตินัก ผู้ที่ยืนอยู่ตรงนี้ คือชายเฒ่าผมสีดอกเลาผู้ไม่ยอมรับพระเจ้า เขาก�าลังไล่ ล่า และตามสาปแช่งวาฬแห่งโยบไปทัว่ โลก เขาผูอ้ ยูใ่ นต�าแหน่งผูน้ า� ลูกเรือซึง่ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นกบฏพันทาง คนเรือแตก และมนุษย์กินคน และยังรวมถึง สตาร์บคั บุคคลผูซ้ งึ่ ถูกลดทอนศีลธรรมในใจลงด้วยเพราะไร้ความสามารถหา ผูส้ นับสนุนคุณความดี หรือจิตใจเป็นธรรม สตับบ์ บุรษุ ผูช้ ะล่าใจไม่เคยแยแส อะไรนอกความความสนุกสนานไปวันๆ และฟลาสก์ หนุ่มผู้คงเส้นคงวากับ ความเป็นคนกลางๆ ไม่ดไี ม่เลว ลูกเรือเหล่านีถ้ กู เรียกประจ�าการราวกับได้รบั การคัดเลือกมาเป็นอย่างดีสา� หรับภารกิจเสีย่ งตายในนรกเพือ่ ช่วยเขาลบล้าง ความแค้นทีฝ่ งั อยูใ่ นใจ เหตุใดพวกเขาจึงตอบสนองต่อความแค้นของชายชรา ได้มากขนาดนัน้ มนต์อาถรรพ์ใดครอบง�าจิตวิญญาณพวกเขาไว้ ช่วงเวลานัน้ เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 251
ความเกลียดชังของตาเฒ่าเกือบจะกลายเป็นของพวกเขาด้วยเช่นกัน วาฬ สีขาวกลายเป็นศัตรูทเี่ กินทนของพวกเขาพอๆ กับชายชรา เรือ่ งทัง้ หมดนีเ้ กิด ขึน้ ได้อย่างไรกัน ส�าหรับพวกเขาแล้ววาฬสีขาวคืออะไร ลึกลงไปในจิตใต้สา� นึก เช่นเดียวกันกับในทางที่ไม่กระจ่างชัดและไม่ชวนสงสัย มันอาจเป็นปีศาจ ขนาดมหึมาที่ล่องลอยอยู่ในทะเลชีวิต ทั้งหมดนี้จะอธิบายได้คงต้องด�าดิ่ง ให้ลึกกว่าอิชเมล ผู้ขุดค้นอยู่ข้างในตัวเรา ใครจะบอกได้ว่ามันจะมุ่งหน้าไป ทางไหน เสียงบางเบานัน้ ไม่อยูน่ งิ่ ใครไม่รสู้ กึ ถึงการลากดึงแขนทีไ่ ม่ตา้ นทาน เรือเล็กใดในขบวนเรือรบเจ็ดสิบสีล่ า� จะต้านทานแรงลากจูงได้ ผมคนหนึง่ ล่ะ อุทศิ ตนสละเวลาและต�าแหน่งเพียงชัว่ ขณะโผเข้าสูก่ ารเผชิญหน้ากับเจ้าวาฬ ช่วงเวลานั้นผมมองไม่เห็นอะไรในสัตว์ร้ายนั้นนอกจากความชั่วร้าย
252 : โมบี-ดิ๊ก
บทที่ 42
สีขาวของวาฬ
วาฬสีขาวนั้นมีความหมายบางอย่างต่อเอแฮ็บ เป็นความนัยที่ท�าให้เขามี อิทธิผลต่อผมในบางครั้งคราว ความนัยที่ผมยังคงไม่ได้บอกเล่าออกมา นอกจากความครุน่ คิดอย่างชัดแจ้งทีจ่ ะจัดการกับโมบีด้ กิ๊ ซึง่ ยังไม่สามารถ ท�าอะไรได้มากไปกว่าปลุกจิตวิญญาณลูกเรือให้ตื่นตัวแล้ว ยังมีอีกความคิด หนึ่ง หรืออีกหนึ่งความน่ากลัวอันคลุมเครือและบอกไม่ได้แน่ชัดเกี่ยวกับมัน ซึ่งบางครั้งความน่ากลัวนั้นมีก�าลังรุนแรงเหนือกว่าส่วนอื่นที่เหลือทั้งหมด เสียอีก และยังลึกลับจนแทบไม่อาจพรรณนาได้ ซึ่งผมแทบสิ้นหวังที่จะเขียน ถึงมันในแบบให้เข้าใจได้งา่ ย มันเป็นสีขาวของวาฬทีม่ อี า� นาจเหนือสิง่ ทัง้ มวล ที่สามารถท�าให้ผมกลัวได้ ผมไม่รู้ว่าจะอธิบายมันออกมาได้อย่างไรตรงนี้ แต่โอกาสอันเลือนรางนี้หากผมไม่พยายามอธิบายออกมา ก็คงไม่มีทางจะ กล่าวถึงอีกในส่วนใดของบทไหนในหนังสือเล่มนี้ได้ มาตรว่าวัตถุธรรมชาติจ�านวนมากความขาวส่งเสริมความงามอย่าง ผุ ด ผาด ราวกั บ เผยคุ ณ ความดี อั น เป็ น คุ ณ สมบั ติ พิ เ ศษในตั ว ของมั น เอง ดังเช่นความขาวในหินอ่อน ดอกจาโพนิกา1 และไข่มุก และมาตรว่าหลาก หลายชนชาติจะเลือกใช้สีนี้บ่งบอกอ�านาจอันแท้จริงของราชวงศ์ แม้แต่ ราชาเฒ่าผู้ยิ่งใหญ่แห่งกรุงพะโค2 ชนชาติห่างไกลอนารยะนั้นยังเจาะจง 1 2
จาโพนิกา-กุหลาบญี่ปุ่น พะโค-หงสาวดี
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 253
ใช้ค�าว่า “เจ้าแห่งคชสารเผือก”3 แทนค�าอวดอ้างอื่นในอาณาจักรปกครอง กษัตริย์องค์ใหม่ๆ แห่งสยามก็คลี่ธงราชวงศ์ที่มีรูปสัตว์สี่เท้าสีขาวดังหิมะ ธงแห่งราชวงศ์ฮาโนเวอร์4มีรูปยูนิคอร์นสีขาวราวหิมะ จักรวรรดิออสเตรีย ที่ ยิ่ ง ใหญ่ ซี ซ าร์ ผู ้ สื บ ทอดอ� า นาจเหนื อ โรมก็ ใ ช้ สี ข าวเป็ น สั ญ ลั ก ษณ์ ข อง ราชอาณาจักร มาตรว่าอิทธิพลครอบง�าที่แฝงอยู่นั้นโดยตัวมันเองยังมีผลต่อ เชื้อชาติของมนุษย์ด้วย คนผิวขาวจะมีความคิดครอบง�าชนเผ่าคนผิวด�า ยิ่ง ไปกว่านั้นทั้งหมดนี้ท�าให้ความขาวสื่อถึงความปีติยินดี ดังเช่นชาวโรมันใช้ หินสีขาว5เป็นสัญลักษณ์แสดงวันแห่งความสุข มาตรว่าสัญลักษณ์และความ เห็นพ้องใดๆในหมู่มวลมนุษย์ล้วนให้สีเดียวกันนี้เป็นสื่อแทนสิ่งประเสริฐ ดังเช่นความบริสทุ ธิข์ องเจ้าสาว และช่วงชีวติ ทีด่ งี าม มาตรว่าชาวอินเดียนแดง ในอเมริกามอบเข็มขัดสีขาวประดับลูกปัดเปลือกหอย6เพือ่ แสดงการให้เกียรติ สูงสุด มาตรว่าหลายประเทศใช้ความขาวแสดงถึงความศักดิ์สิทธิ์ของความ เที่ยงธรรม ดังเช่นขนสีขาวของเออร์มิน7บนเสื้อคลุมผู้พิพากษา และถูกน�า มาใช้ในขบวนแห่แต่ละวันของพระราชาและพระราชินี ทีใ่ ช้มา้ สีขาวราวน�า้ นม ลากจูง มาตรว่าปริศนาสูงส่งแห่งศาสนาน่าเลื่อมใสส่วนใหญ่ สีขาวถูกใช้เป็น สัญลักษณ์แทนองค์ศาสดาผู้มีความบริสุทธิ์และความศักดิ์สิทธิ์ ผู้บวงสรวง ไฟชาวเปอร์เซีย8สักการะเปลวไฟคดเคี้ยวสีขาวที่ถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด บนแท่นบูชา ในต�านานกรีกโบราณ โจฟ9ผูย้ งิ่ ใหญ่แปลงร่างเป็นโคสีขาวราวหิมะ
เจ้าแห่งคชสารเผือก- พระเจ้าปดุง กษัตริย์ล�าดับที่ 5 แห่งราชวงศ์อลองพญา ราชวงศ์สุดท้ายของพม่า ราชวงศ์ฮาโนเวอร์ ปกครองอังกฤษช่วงปี คศ. 1714 - 1901ใช้สีขาวเป็นสัญลักษณ์ของราชอาณาจักรจริงๆ เป็นสีด�ากับทอง ไม่ใช่สีขาวดังที่เมลวิลล์เข้าใจ 5 หินสีขาว-ปฏิทินโรมันจะแกะสลักจากหิน การใช้หินสีขาวเพื่อเป็นศิริมงมล 6 ลูกปัดเปลือกหอย-ใช้ตกแต่งหรือแทนเงินตรา 7 เออร์มิน-พังพอนหางสั้น ในอังกฤษและในอเมริกาก่อนปี 1800 ผู้พิพากษาศาลสูงจะสวมครุยแดง มี ขนเออร์มินขลิบเป็นพู่ขาว 8 ผู้บวงสรวงไฟชาวเปอร์เซีย-ลัทธิโซโรอัสเตอร์ ซึ่งสวดภาวนาหน้ากองไฟ ไม่ใช้บูชาไฟ 9 โจฟ-จูปิเตอร์ ราชาแห่งเทพในต�านานเทพเจ้าโรมัน หรือเทพซูสในต�านานเทพเจ้ากรีก 3 4
254 : โมบี-ดิ๊ก
และมาตรว่าชาวเผ่าอิโรควอส์10ผูส้ งู ส่งท�าพิธบี ชู ายัญกลางฤดูหนาวด้วยสุนขั สีขาวในงานเทศกาลศักดิส์ ทิ ธิแ์ ห่งศาสนศาสตร์ของพวกเขา สัตว์ทซี่ อื่ สัตย์และ บริสทุ ธิน์ ถี้ อื เป็นสิง่ แทนความบริสทุ ธิท์ พี่ วกเขามอบให้กบั เจ้าแห่งภูตพิ ร้อมกับ รายงานประจ�าปีเกี่ยวกับความจงรักภักดีของพวกเขาเอง มาตรว่ารากศัพท์ ค�าว่าสีขาวในภาษาละติน มีต้นก�าเนิดโดยตรงมาจากส่วนหนึ่งของเครื่อง แต่งกายนักบวชชาวคริสเตียนขณะท�าพิธีกรรมทางศาสนา เป็นเสื้อคลุมยาว หรือเสื้อชั้นนอกที่สวมใต้เสื้อคลุมสีด�า มาตรว่าพิธีศักดิ์สิทธิ์ที่แสดงถึงความ เลือ่ มใสในศาสนาตามแบบโรม สีขาวถูกใช้เป็นพิเศษในงานเฉลิมฉลองความ คลัง่ ไคล้ในพระเจ้าของเรา มาตรว่าในวิวรณ์ของเซนต์ยอห์นกล่าวถึงเสือ้ คลุม สีขาวว่าหมายถึงการไถ่บาป และมีผู้อาวุโสยี่สิบสี่คนนั่งอยู่ ทุกคนนุ่งห่มขาว ส่วนพระองค์ก็ทรงประทับอยู่ในเสื้อคลุมขนสัตว์สีขาว แม้ทั้งหมดนี้อาจจะ ฟังดูงดงาม สูงสง่า น่าเลื่อมใส ก็ยังแฝงไว้ซึ่งบางสิ่งอันยากอธิบายของความ คิดอันล�า้ ลึกเกี่ยวกับสีขาวนี้ ที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อจิตวิญญาณเสียยิ่งกว่า ความตื่นตระหนกต่อสีแดงในเลือด คุณสมบัติยากอธิบายนี้ท�าให้มองเห็นความขาวตัดขาดจากสังคมแห่ง ความอ่อนโยน และน�าไปโยงเข้าไว้กับวัตถุแฝงความน่ากลัวภายใน ท�าให้ ความน่ากลัวนัน้ ผูกมัดแน่นหนายิง่ ขึน้ ดังเช่นหมีขาวเจ้าถิน่ ขัว้ โลกเหนือ และ ฉลามขาวแห่งทะเลเขตร้อน เหตุใดเพียงแค่ความขาวเป็นชัน้ ผิวมันลืน่ ก็ทา� ให้ พวกมันดูนา่ กลัวกว่าทีเ่ ป็น หากความขาวอันน่าสยองขวัญนัน้ บ่งบอกถึงจิตใจ น่ารังเกียจ และน่าขยะแขยงยิง่ กว่าความน่ากลัวของรูปลักษณ์ภายนอกทีบ่ อก ไม่ได้ของมัน เช่นนัน้ แล้วคงไม่มเี สือแยกเขีย้ วดุรา้ ยภายใต้ชดุ ลายพาดกลอนตัว ใดสะดุดความกล้าได้ดังหมีหรือฉลามที่หุ้มกายด้วยผ้าห่อศพ* *การอ้างถึงหมีขั้วโลกอาจเพราะได้รับแรงชักน�าจากตัวมันเองผู้ยินดี ด�าดิ่งสู่ข้อเท็จจริงนี้ ซึ่งว่าเมื่อพิจารณาอย่างชัดแจ้งแล้วไม่เพียงความขาวเพิ่ม 10
อิโรควอส์-หรือเผ่าเฮาดีซอนี อินเดียนแดงทางตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐ ที่มีบทบาทส�าคัญทาง ประวัติศาสตร์
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 255
ความสยดสยองเหลือล้นของเจ้าสัตว์ร้าย หากวิเคราะห์ความสยดสยองที่เกิด ขึ้นอาจกล่าวได้ว่ามีสาเหตุมาจากสภาพแวดล้อม ความดุร้ายที่ไม่สามารถ รับผิดชอบจุดยืนของสัตว์ชนิดนี้ ได้อทุ ศิ ให้แก่ปยุ ขนของความบริสทุ ธิแ์ ละความ รักแห่งสรวงสวรรค์ ด้วยเหตุนี้การน�าเอาสองอารมณ์ที่ต่างกันสุดขั้วมาไว้ในใจ เรา หมีขั้วโลกจึงท�าให้เรากลัวด้วยความตัดกันของสองขั้วที่ผิดธรรมชาติ ทว่า แม้นทั้งหมดนี้จะเป็นจริง แต่มันยังไม่ใช่ความจริงส�าหรับความขาวที่คุณยัง ไม่ได้สัมผัสกับความน่ากลัวสุดขีด
ส่วนฉลามขาวนั้น สีขาวที่ร่อนไปในสายน�้าอย่างสงบนิ่งราวภูติผีของสัตว์ ชนิดนี้ยามเมื่อมันอยู่ในอารมณ์ปกติจะมีลักษณะเดียวกันกับสัตว์สี่เท้าบน ขัว้ โลก ลักษณะเฉพาะนีไ้ ด้รบั ความนิยมกันอย่างมากในหมูช่ าวฝรัง่ เศสซึง่ ได้ ให้ชอื่ นัน้ แก่ปลาชนิดนี้ พิธรี า� ลึกแบบโรมันทีจ่ ดั ให้กบั คนตายจะเริม่ ด้วย “การ สวดส่งวิญญาณอันเป็นนิรันดร” (เพื่อชีวิตอันเป็นนิรันดร) อันเป็นผลมาจาก เพลงสวดศพก�าหนดบทบาทของตัวมันเอง เช่นเดียวกับเพลงสวดพิธีฝังศพ ด้วย เมื่อน�ามาพาดพิงถึงสีขาว ความสงบนิ่งของความตายในตัวฉลาม และ นิสัยซุ่มเงียบของมัน ท�าให้ชาวฝรั่งเศสเรียกมันว่า “ฉลามหิวกระหาย” ร�าลึกถึงอัลบาทรอส11 เป็นเหตุน�ามาซึ่งเมฆหมอกแห่งความพิศวงทาง จิตวิญญาณ และความหมองหม่นอันน่ากลัวในเรือผีสีขาวแห่งความนึกฝัน ทั้งมวลกระนั้นหรือ โคลริดจ์12มิใช่ผู้แรกร่ายมนต์สะกดนั้น หากแต่เป็นความ ยิ่งใหญ่แห่งพระผู้เป็นเจ้า เจ้าแห่งธรรมชาติ ราชกวีผู้ไม่สอพลอ* *จ�าได้ว่าครั้งแรกที่ผมได้เห็นนกอัลบาทรอส เป็นช่วงขณะลมพายุพัดโหม กระหน�า่ ยาวนานบริเวณน่านน�า้ ใกล้ทะเลแอนตาร์กติก ในเวลาก่อนเทีย่ งวันผม 11 12
นกทะเลสีขาวขนาดใหญ่ เหล่ากะลาสีบางคนเชื่อกันว่า เป็นวิญญาณของกะลาสีที่เสียชีวิต โคลริดจ์-แซมมวล เทย์เลอร์ โคลริดจ์ จินตกวีอังกฤษ ช่วงปี ค.ศ. 1772- 1834 ในบทกวีชื่อ ร่ายของ กะลาสีชรา กล่าวถึงเรื่องกะลาสีชราผู้ยิงนกอัลบาทรอส อันถือเป็นนกศิริมงคลห้ามยิง แล้วถูกกะลาสี คนอื่นๆ บังคับให้เอาซากนกตายนั้นแหวนไว้รอบคอ
256 : โมบี-ดิ๊ก
ปีนจากจุดเฝ้ายามด้านล่างขึน้ ไปบนดาดฟ้าเรือทีป่ กคลุมไปด้วยเมฆครึม้ บนนัน้ มันโฉบไปมาอยูเ่ หนือช่องระวาง ผมเห็นบางสิง่ มีขนสีขาวหมดจดงดงาม พร้อม ด้วยจะงอยปากเป็นสันใหญ่ มันสยายปีกสวรรค์อันใหญ่โตของมันเป็นพักๆ ราวกับต้องการจะโอบกอดกล่องศักดิ์สิทธิ์13เอาไว้ มันกระพือปีกเป็นจังหวะ น่ามหัศจรรย์ และแม้จะไม่ได้รับบาดเจ็บทางกาย แต่มันก็ร้องเสียงดังราวกับ วิญญาณองค์ราชันจมอยูใ่ นห้วงความอาดูร ลึกเข้าในดวงตาประหลาดยากเกิน บรรยายของมัน ผมคิดว่า ผมมองเห็นความลับที่พระองค์ทรงเก็บง�าไว้ ผมโค้ง ตัวลงค�านับ ดังเช่นอับบราฮัม14กระท�าขณะอยู่เบื้องหน้าเหล่าทูตสวรรค์ สิ่งมี ชีวิตสีขาวนั้นช่างขาวยิ่งนัก ปีกของมันแผ่กว้างยิ่งนัก เหนือน่านน�้าต่างถิ่นไกล สุดตา ผมสูญเสียความทรงจ�าอันแปรปรวนอย่างน่าสังเวชในประเพณีปฏิบัติ และชุมชนเมือง ผมเพ่งมองความมหัศจรรย์ของขนนกนานเท่าใด ไม่อาจบอก ได้แน่ชดั กล่าวได้แต่เพียงว่าสรรพสิง่ โถมผ่านตัวผมหลังการเพ่งมองนัน้ กระทัง่ ตืน่ จากภวังค์ และหันไปถามกะลาสีคนหนึง่ ว่านัน่ คือนกอะไร และเขาตอบกลับ มาว่ามันคือนกอัลบาทรอส15 อัลบาทรอส! เหตุใดจึงไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน พอจะเป็นไปได้หรือไม่ว่า สิ่งมีชีวิตที่สวยงามนี้ยังเป็นสิ่งลึกลับพันลึกส�าหรับ ชาวฝั่ง! ผู้ไม่เคยพบเห็นมัน! แต่นับจากนั้นมา ผมก็ได้รู้ว่าอัลบาทรอสเป็นชื่อ ที่ชาวเรือใช้เรียกขานนกทะเลยักษ์ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นไปไม่ได้ที่บทกวีดุดันของ โคลริดจ์จะสร้างอิทธิพลต่อความประทับใจท่วมท้นดังมนต์ขลังทีเ่ กิดขึน้ กับผม ขณะเห็นนกอยู่เหนือดาดฟ้าของเรา ผมไม่เคยได้อ่านบทกวีนั้น และก็ไม่รู้ด้วย ว่านกนัน้ ก็คอื นกทะเลยักษ์ แต่เมือ่ ได้พดู ถึงสิง่ นี้ ผมเพียงแค่ขดั เงาให้คณ ุ ค่าของ บทกวี และผู้ประพันธ์ส่องประกายเพิ่มขึ้นมาอีกหน่อยก็เท่านั้น ผมยังคงยืนยันว่าความขาวทางกายภาพอันน่ามหัศจรรย์ของนกนัน้ แฝงนัย ส�าคัญแห่งมนต์สะกด ข้อเท็จจริงได้เผยความลับนี้จนกระจ่างชัดว่าเกิดจากค�า เรียกผิดๆ ทีน่ า� มาใช้เรียกนกจ�านวนมากว่านกทะเลยักษ์สหี มอก ซึง่ ผมพบเห็น กล่องใส่พระคัมภีร์โทราห์ (คัมภีร์ชุดแรกในคัมภีร์ฮีบรู ซึ่งประกอบด้วยหนังสือห้าเล่มแรกในศาสนายู ดาห์และศาสนาคริสต์) 14 ผู้อาวุโสของศาสนายิว เผชิญหน้ากับสามทูตสวรรค์ ซึ่งท�านายว่าเมืองชั่วร้าย (โซดอมกับโกมอร์ราห์) จะถูกท�าลายลง 15 ตามศัพท์ในที่นี้หมายถึงนกอัลบาทรอสเท้าด�า 13
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 257
นกเหล่านีบ้ อ่ ยครัง้ แต่ไม่เคยมีความรูส้ กึ เหมือนกับทีไ่ ด้พบเห็นเจ้าสัตว์ปกี แห่ง แอนตาร์กติกเลย ทว่าเจ้ามนต์เสน่ห์ลึกลับนี่โดนจับได้ยังไงน่ะรึ ผมจะบอกให้ แต่อย่าพูดกัน ไปเชียวนะ ก็ด้วยตะขอลวงตากับเชือกนี่ล่ะ ที่ใช้ล่อจับตอนเจ้าสัตว์ปีกลอยตัว อยู่บนทะเล แต่ที่สุดแล้วกัปตันก็ใช้มันเป็นพาหะส่งข่าวเท่านั้น เขาเขียนตัว หนังสือบอกเวลาและสถานทีท่ เี่ รืออยูล่ งบนแผ่นหนังแล้วพันรอบคอมันไว้กอ่ น จะปล่อยไป ผมไม่สงสัยเลยว่าส�าหรับมนุษย์แล้วแผ่นหนังนั้นเหมือนถูกน�าขึ้น ไปบนสวรรค์ เมือ่ เจ้าสัตว์ปกี สีขาวบินขึน้ ไปรวมกับเครูบ16ตัวน้อยน่ารักทีก่ า� ลัง ลอยกระพือปีกอ้อนวอนต่อพระเจ้า
บันทึกประวัติศาสตร์ชาวตะวันตก และประเพณีปฏิบัติชาวอินเดียของเราที่ มีชื่อเสียงโด่งดังมากสุด คือเรื่องของม้าสีขาว17แห่งทุ่งแพรี่ ม้าสีน�้านมงาม สง่า มีดวงตาขนาดใหญ่ หัวเล็ก อกกว้างชัน และความภูมิฐานของกษัตริย์ นับพันบนรถม้าที่หยิ่งยโส และชอบดูหมิ่น มันคือเซอร์ซีส18ที่ได้รับเลือก จากม้าป่าฝูงใหญ่ ซึ่งอาศัยอยู่ในทุ่งเลี้ยงสัตว์ที่ในสมัยนั้นล้อมคอกเพียงเขา ร็อกกี19้ และอัลลีแกนีส20์ ความเป็นจ่าฝูงที่มีไฟ มันน�าขบวนไปทางทิศตะวัน ตกเหมือนดั่งดวงดาวที่ถูกเลือกจะส่องแสงน�าทางในยามพลบค�่าของแต่ละ วัน แผงขนบนคอของมันแกว่งวูบวาบ หางทิ้งตัวเป็นรูปโค้ง และได้รับการ ตกแต่งด้วยเครื่องม้าเป็นแพรพรรณงามอร่ามเสียยิ่งกว่าช่างเงินช่างทองจะ ตกแต่งให้มันได้ การปรากฏตัวดังจักรพรรดิ และเทวทูตของความบริสุทธิ์ ไร้มลทิน21แห่งโลกตะวันตกนัน้ ในสายตาของนักล่าและนักวางกับดักผูช้ า�่ ชอง แล้ว มันฟืน้ ฟูความรุง่ โรจน์ในยุคเริม่ แรกเมือ่ ครัง้ อดัมเยือ้ งกายอย่างสง่าดุจดัง ทูตสวรรค์ประเภทหนึ่ง (ใน 9 ประเภท) ที่กล่าวถึงหลายครั้งในคัมภีร์ไบเบิล มักวาดเป็นเด็กมีปีก ม้าสีขาว-ปกติหมายถึงม้าในกองทหารม้า ในที่นี้คือยูนิคอร์นม้าในเทพนิยาย 18 จักรพรรดิเซอร์ซีสที่ 1 แห่งเปอร์เซีย หรือพระเจ้าเซอร์ซีสมหาราช (519 - 465 ปีก่อนคริสตกาล) 19 เขาร็อกกี้-เทือกเขาทางตะวันตกของสหรัฐ 20 อัลลีแกนีส์-เทือกเขาทางตะวันออกของสหรัฐ 21 เทวทูตของความบริสุทธิ์ไร้มลทิน-อาร์คแองเจิ้ล อัครทูตสวรรค์หรืออัครเทวทูต ผู้บริสุทธิ์ไร้มลทินจาก บาปของอะดัมกับอีฟ 16 17
258 : โมบี-ดิ๊ก
พระเจ้า เขามุ่งหน้า และไม่หวาดหวั่นดังเช่นอาชาไนยทรงพลังตัวนี้ ไม่ว่าจะ เดินขบวนอยูท่ า่ มกลางผูอ้ ปุ ถัมภ์ และจอมพลในกองทหารหน้าจ�านวนคณานับ ที่หลั่งไหลเป็นสายธารยาวไม่สิ้นสุดดั่งสายน�้าในแม่น�้าโอไฮโอ22 หรือไม่ว่า จะปกคลุมด้วยใบไม้กงิ่ ไม้ไปทัว่ ทุกสารทิศ อาชาไนยขาวจะสูดดมสิง่ เหล่านัน้ อย่างรวดเร็วผ่านโพรงจมูกอุน่ ทีแ่ ดงวาบขึน้ ตัดสีนา�้ นมนวลตา ไม่วา่ มันจะอยู่ ในท่วงท่าใด ส�าหรับชาวอินเดียแดงผู้กล้ามันเป็นสัตว์ที่น่าย�าเกรง และน่า เกรงขาม โดยไม่ต้องสงสัยเรื่องเล่าความจริงจากบันทึกในต�านานเกี่ยวกับ ม้าสูงศักดิ์ตัวนี้ ส่วนใหญ่แล้วก็คือเรื่องราวเกี่ยวกับความขาวในทางจิต วิญญาณ ซึ่งห่อหุ้มมันด้วยความศักดิ์สิทธิ์ โดยความศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่ในตัว มันนี้ จะท�าให้การบัญชาการสิง่ บูชาในเวลาเดียวกันเป็นแรงบีบคัน้ ให้เกิดความ สยดสยองเกินบรรยายได้ กระนั้นยังมีอีกกรณีเกิดขึ้นเมื่อความขาวสูญเสียส่วนประดับ และความ งามแปลกตาดังเช่นที่มีอยู่ในตัวอาชาไนยขาว และนกอัลบาทรอส นัน่ คือความขาวทีเ่ กิดขึน้ กับคนเผือกสร้างความเดียดฉันท์ไม่นา่ มอง และ บ่อยครัง้ ท�าให้ผพู้ บเห็นตืน่ ตกใจ กระทัง่ ในบางครัง้ ยังถูกรังเกียจจากญาติมติ ร ของตัวเอง! กรณีเช่นนี้ความขาวท�าให้เขาเป็นในสิ่งที่ถูกใช้เรียกตัวเขา จริงๆ แล้วคนเผือกเกิดมามีทกุ อย่างเท่ากับคนทัว่ ไปทีไ่ ม่ได้มสี ผี วิ ผิดธรรมชาติ พวก เขาเพียงแค่มคี วามขาวปกคลุมทัว่ ตัวจนท�าให้ดนู า่ กลัวมากกว่าความผิดพลาด ที่น่าเกลียด เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้? ไม่มคี ณ ุ ลักษณะอืน่ ใดทีล่ ดธาตุแท้ในตัวตนแต่ไม่ลดตัวแทนแห่งความมุง่ ร้าย จะล้มเหลวในการเข้าร่วมกัน ผลักดันข้อกล่าวหาที่ได้รับในเรื่องความเลว ร้าย จากลักษณะความขาวดั่งหิมะนั้น ภูตผีผู้ผ่านสมรภูมิรบแห่งทะเลใต้ ได้รับขนานนามว่าพายุขาว ไม่มีตัวอย่างใดในประวัติศาสตร์ที่ศิลปะแห่ง การมุ่งร้ายของมนุษย์จะละเลยอ�านาจกองหนุน มันส่งผลรุนแรงในงานเขียน บันทึกประวัติศาสตร์ของฟรัวส์ซาร์23 เมื่อกล่าวถึงหน้ากากสัญลักษณ์ความ 22 23
แม่น�้าโอไฮโอ-ทางตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐ ซึ่งกว้างถึงหนึ่งไมล์ ฌ็อง ฟรัวส์ซาร์ (ค.ศ. 1337-1405) นักประวัติศาสตร์ด้านประวัติศาสตร์สมัยกลาง ชาวฝรั่งเศส
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 259
ขาวดั่งหิมะของฝ่ายพวกเขา ไวต์ฮูดแห่งเกนต์24ซึ่งเข้าตาจน จนสังหารเจ้า พนักงานของตนในตลาด25 ไม่ใช่สิ่งอื่นใดที่ท�าให้ความธรรมดาสามัญอันเป็นความเคยชินของมวล มนุษยชาติทไี่ ด้รบั สืบทอดมา จะล้มเหลวในการยืนหยัดเป็นพยานให้กบั ความ นิยมผิดธรรมชาติของสีนี้ ไม่มีสิ่งใดให้ต้องคลางแคลงใจเลยว่าคุณลักษณะ หนึ่งอันเด่นชัดในร่างของคนตายที่สร้างความกลัวให้กับผู้มอง คือความซีด ขาวราวหินอ่อนที่ยังคงเหลืออยู่นั้น ช่างคล้ายกับว่ามันคือตราสัญลักษณ์ของ ความน่าสะพรึงกลัวในชาติหน้า ที่ส่งผลให้คนในชาตินี้กลัวความตาย ความ ซีดขาวของคนตายนีเ่ องทีเ่ รายืมความหมายของสีนนั้ มาใช้กบั ผ้าห่อศพห่อหุม้ คนตาย ไม่ใช่แม้กระทั่งความเชื่อเกี่ยวกับภูตผี ที่ทา� ให้เราล้มเหลวในการโยน ผ้าคลุมสีขาวดัง่ หิมะไปรอบภาพหลอนของเรา ภูตผีทงั้ หมดล้วนปรากฏตัวขึน้ ท่ามกลางหมอกคลุมเครือสีขาวราวน�า้ นม ใช่แล้ว...ขณะความสยดสยองเหล่า นี้ครอบง�า ขอให้ผนวกเอาราชาแห่งความน่าสะพรึงกลัว26เข้าไปด้วย ดังที่ ผู้สอนศาสนา27ท่านนั้นได้บรรยายไว้ว่า ความตายขี่ม้าสีซีดมาเยือน เหตุนั้น จิตใจของเขาจะแสดงถึงสิ่งใดก็ตามอันเป็นความยิ่งใหญ่ หรือ ความงดงามด้วยสัญลักษณ์สขี าว ไม่มใี ครปฏิเสธว่าความหมายเลอเลิศลึกล�า้ ของมัน ปลุกเร้าให้เกิดปรากฏการณ์ทางจินตภาพประหลาดต่อจิตวิญญาณ ทว่าแม้นความขัดแย้งในประเด็นนี้จะปราศจากการแก้ไข คนตายจะ อธิบายต่อเรื่องนี้อย่างไร การวิเคราะห์ปัญหาดูเหมือนจะเป็นไปได้ยาก เช่น นัน้ แล้วเราจะกล่าวอ้างถึงบางกรณีเกีย่ วกับความขาวในเรือ่ งนีไ้ ด้หรือไม่ ไม่วา่ จะเป็นทัง้ หมดของห้วงเวลา หรือบางช่วงส�าคัญทีน่ า� มาจากกลุม่ ความสัมพันธ์ ไวต์ฮูดแห่งเกนต์-กลุ่มทหารกองหนุน (พลเรือน) ในเบลเยี่ยมสมัยกลาง สวมหมวกคลุมสีขาว สังหารเจ้าพนักงานรัฐในตลาด-ผู้ช่วยนายอ�าเภอคนนี้ต้องการจับกุมและประหารผู้น�ากลุ่มหมวกคลุม ขาว แต่กลับถูกสังหารเสียเอง 26 ราชาแห่งความน่าสะพรึงกลัว-ความตาย 27 ผู้สอนศาสนา-เซนต์ยอห์น เชื่อกันว่าเป็น ผู้เขียนวิวรณ์ในคัมภีร์ไบเบิล ดังมีข้อความว่า (วิวรณ์ 6:8) “แล้วข้าพเจ้าก็แลเห็น และดูเถิด มีมาสีกะเลียวตัวหนึ่ง ผู้ที่นั่งบนหลังม้านั้นมีชื่อว่าความตาย และนรก ก็ติดตามเขามาด้วย...” 24
25
260 : โมบี-ดิ๊ก
ที่เชื่อมโยงถึงกันนั้นล้วนคาดคะเนให้รู้ได้ว่าส่วนใดมีความน่ากลัว แต่ถึงแม้น จะเป็นเช่นนั้นก็พบได้ว่ามันมีอิทธิพลครอบง�าเรา อย่างไรก็ตามเวทมนตร์ คาถาเดิมได้รับการแก้ไข เช่นนั้นแล้วเราจะคาดหวังการค้นพบโอกาสอันเป็น ช่องทางน�าเราไปสู่เงื่อนปมที่เราก�าลังค้นหาหรือไม่ ขอให้เราลองพิสูจน์ดู ทว่าในประเด็นคล้ายกันนี้ ความลึกลับดึงดูดความ ลึกลับ และเมื่อปราศจากจินตนาการแล้วก็จะไม่มีใครก้าวตามใครไปสู่ห้อง นันทนาการเหล่านี้ และแม้นจะแน่ชัดว่ามีเพียงส่วนน้อยของความประทับใจ ในมโนภาพทีน่ า� เสนอออกมาอาจได้รบั การแบ่งปันร่วมกับคนส่วนมาก แต่จะ มีเพียงไม่กคี่ นเท่านัน้ ตระหนักคิดเกีย่ วกับมันในเวลานัน้ จึงอาจไม่มใี ครระลึก ถึงมันได้ในเวลานี้ ไฉนนักอุดมการณ์ผ้ไู ม่ได้รบั การบอกกล่าว จึงคุน้ เคยกับขบวนประหลาด ในวันวีตซันไทด์28 ซึ่งไร้ผู้คุมแถวหากแต่ผู้แสวงบุญต่างก้าวเดินอย่างช้าๆ ในห้วงอารมณ์ซึมเศร้า ปราศจากเสียงพูดคุย ทุกคนก้มหน้าเดินโดยไม่สนใจ หิมะทีต่ กลงมาปกคลุมศีรษะ ไฉนศาสนิกชนนิกายโปรเตสแตนต์ผซู้ อื่ บริสทุ ธิ์ และไม่มีความรู้ในรัฐอเมริกากลาง29 จึงกล่าวอ้างบางครั้งคราวถึงพระหรือ นางชีขาว30ที่ปลุกเรียกรูปปั้นตาบอดในจิตวิญญาณขึ้นมา ฤาจะเป็นเพราะทีน่ นั่ ยังมีจารีตประเพณีอกี หลายเกีย่ วกับนักรบขีค้ กุ และ พระราชา (ซึ่งอธิบายไม่ได้ทั้งหมด) ที่ท�าให้หอขาวแห่งลอนดอน31มีผลต่อ จินตภาพของชาวอเมริกันที่ไม่ได้ออกเดินทางท่องเที่ยวไปไหน มากกว่าสิ่ง ก่อสร้างอืน่ ทีไ่ ด้รบั การบอกเล่าดังเช่นตึกใกล้เคียงอย่างหอบายวาร์ด หรือแม้ กระทั่งหอเลือด อีกทั้งบรรดาตึกเลิศหรูอย่างไวต์เม้าเทนแห่งนิวแฮมเชียร์ให้ บรรยากาศแปลกๆ คล้ายกับภูตตัวใหญ่ยนื ถมึงเหนือวิญญาณไร้นาม ขณะนึก วันวีตซันไทด์-หรืออาทิตย์ขาว วันแรกของเทศกาลเพ็นเทคอสต์ อันเป็นวันที่ระลึกถึงเหตุการณ์ที่พระ วิญญาณบริสุทธิ์เสด็จลงมา วันนั้นพวกบาทหลวงจะสวมเสื้อคลุมขาว 29 รัฐอเมริกากลาง-ปัจจุบันเรียกว่า แอตแลนติกกลาง 30 พระหรือนางชีขาว-คณะคาร์เมไลต์หรือซีสเตอร์เซียน หนึ่งในนิกายโรมันคาทอลิก พระและนางชีจะ สวมชุดคลุมขาว 31 หอขาวเป็นหอคอยหลักที่อยู่ในหอคอยแห่งลอนดอน 28
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 261
ภาพแนวเขาบลูริดจ์ของเวอร์จิเนียเป็นดินแดนแห่งความฝันที่เต็มไปด้วย น�้าค้างพร่างพราว เหตุใดเมื่อไม่ค�านึงถึงเส้นละติจูดและลองติจูด ชื่อของ ทะเลขาว32จึงสร้างสีสันเป็นภาพฝันอันงดงาม ขณะที่ทะเลเหลือง33กล่อม เราให้อยู่ในภวังค์ของคลื่นแดดทอดเงายาวในยามบ่ายก่อนเลือนล่วงเข้าสู่ คลืน่ แสงบาดตา ทว่าให้ความรูส้ กึ เฉือ่ ยชาของยามเย็น หรือการเลือกตัวอย่าง ที่ไร้แก่นสารทั้งหมดนี้มีไว้เพื่อสร้างจินตภาพเท่านั้น เหตุใดขณะการอ่าน เทพนิยายปรัมปราของยุโรปกลางจึงท�าให้ “ชายร่างสูงตัวซีด” แห่งป่าฮาร์ตซ์34 จึงมีสซี ดี ขาวตลอดช่วงเวลาแล่นผ่านสีเขียวของป่าละเมาะ เหตุใดภาพหลอน นี้จึงน่ากลัวกว่าภูตตัวน้อยที่ร้องกู้ก้องไปทั่วเทือกเขาบร็อคบูร์ก35 ไม่ใช่ความทรงจ�าเกีย่ วกับโบสถ์ทลี่ ม้ ระนาดเพราะแผ่นดินไหว ไม่ใช่ความ แตกตื่นจากทะเลคลั่ง ไม่ใช่ท้องฟ้าแห้งแล้งไร้หยดน�้าจากหยาดฝน ไม่ใช่ทิว ทุ่งกว้างของยอดตึกเอียง หินครอบก�าแพงบิดกระชาก และไม้กางเขนโน้มต�า่ (เช่นเดียวกับสนามลาดเอียงของกองเรือขณะทอดสมอ) ก�าแพงบ้านบนถนน ใหญ่ในเมืองล้มทับใส่กนั ดูประหนึง่ การสลับไพ่ในกอง ไม่ใช่เพียงแค่สงิ่ เหล่านี้ ที่ท�าให้เมืองลิมา36น�้าตาเหือดแห้ง เมืองที่แปลกประหลาดที่สุด เศร้าสร้อย ที่สุดเท่าที่ท่านเคยพบเห็นมา เมืองลิมารับผ้าคลุมสีขาวนี้ไว้ และหวาดกลัว ต่อสีแห่งเคราะห์ร้ายนี้มากยิ่งกว่า ความขาวนี้เก็บรักษาซากปรักหักพังของ เมืองที่มีอายุมากพอๆ กับพิซาร์โร37ให้ดูใหม่อยู่เสมอ เมืองนี้ไม่ยอมรับเอา ความสดใหม่แห่งความเสื่อมสลายทั้งปวง ครอบคลุมก�าแพงดินหักพังด้วย ทะเลขาว ตั้งอยู่ที่ปากน�้าทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศรัสเซีย ระหว่างคาบสมุทรคานินกับ คาบสมุทรโคลา 33 ทะเลเหลือง-ตัง้ อยูร่ ะหว่างจีนแผ่นดินใหญ่กบั คาบสมุทรเกาหลี ชือ่ ว่าทะเลเหลืองนีม้ าจากละอองทราย ซึ่งมาจากแม่น�้าเหลืองและท�าให้สีของน�า้ ทะเลเป็นสีเหลือง 34 ชายร่างสูงตัวซีด-ชายในนิทานพื้นบ้านแห่งป่าฮาร์ตซ์ ซึ่งอยู่บริเวณเยอรมันตอนกลาง 35 บร็อคบูร์ก-หรือบร็อคเคิน เทือกเขาที่สูงที่สุดของเทือกเขาฮาร์ตซ 36 เมืองลิมา-เมืองหลวงของเปรู ซึ่งสร้างขึ้นใหม่หลังแผ่นดินไหวในปี 1746 วัสดุอย่างหนึ่งที่ใช้ก่อสร้าง คือหินภูเขาไฟสีขาวซึ่งเรียกว่า "ซีลลาร์" 37 พิซาร์โร- ฟรันซิสโก ปีซาร์โร กอนซาเลซ (ราว ค.ศ.1470-1541) นักส�ารวจชาวสเปน ผู้พิชิตอาณาจักร อินคาในอเมริกาใต้ และก่อตั้งเมืองลิมา 32
262 : โมบี-ดิ๊ก
สีขาวเข้มแห่งความไร้สติที่ฝังแน่นอยู่ในความผิดเพี้ยนของมันเอง ผมรู้ว่าการหยั่งรู้ตามปกติของคนทั่วไป ในปรากฏการณ์เช่นนี้ความขาว ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นปัจจัยส�าคัญให้กล่าวถึงความน่ากลัวของวัตถุ หรือความ น่าเกรงขามจนเกินจริง จิตใจไร้จินตนาการจะไม่ข้องเกี่ยวกับความกลัว ในภาพลักษณ์เหล่านั้น ซึ่งเขย่าขวัญต่อจิตใจผู้อื่นพร้อมกันในปรากฏการณ์ เดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเกิดขึ้นในแบบที่ให้ความเงียบสงัด หรือความ เป็นสากล สิ่งที่ผมต้องการจะบอกอาจอธิบายให้กระจ่างชัดได้ด้วยสองเรื่อง ดังตัวอย่างต่อไปนี้ ตัวอย่างแรก ยามเมื่อกะลาสีเรือเข้าใกล้ชายฝั่งต่างแดน หากขณะนั้น เขาได้ยินเสียงกึกก้องของคลื่นขนาดใหญ่ เขาจะเริ่มกระสับกระส่าย และ เป็นกังวลจนต้องลุกขึ้นมาฝึกฝนทักษะความสามารถที่มี กระนั้นในสภาวะ เดียวกันนี้อาจปลุกเขาให้ลุกขึ้นจากเปลญวนเพื่อเฝ้าดูเรือแล่น ผ่านความ ขาวราวน�้านมของทะเลในยามค�่าคืน ราวกับว่าหมีขาวก�าลังว่ายจากแหลม ทะเลมาโอบล้อม เขาจะรู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจจนไม่กล้าส่งเสียงใดๆ ออกมา ภาพหลอนลึกลับของคลื่นน�้าสีขาวเขย่าขวัญเขาได้พอๆ กับภูตผี เปล่า ประโยชน์ที่ผู้น�าจะบอกให้มั่นใจว่าเขายังอยู่ในช่วงน�้าตื้น เวลาเช่นนี้หัวใจ ใส่เกียร์เดินหน้าอย่างเต็มที่ เขาจะไม่ยอมหยุดจนกว่าผืนน�้าสีฟ้าจะอยู่เบื้อง ล่างเขาอีกครั้ง จนถึงเดี๋ยวนี้มีกะลาสีบอกกับท่านหรือยังว่า “ท่านครับ ความ น่ากลัวของอุบตั กิ ารณ์เรือชนหินโสโครกนัน้ ยังไม่นา่ กลัวเท่ากับความขาวอัน น่าสยดสยองที่คอยรบกวนจิตใจผมเลย” ตัวอย่างที่สอง เป็นเรื่องของชาวอินเดียนแดงในประเทศเปรู ทัศนียภาพ บนเทือกเขาแอนดีสกูบหิมะ38เป็นแนวยาวไม่ได้สะท้อนภาพความน่ากลัวแต่ อย่างใด หากทว่ามีเพียงจินตนาการความเวิ้งว้างของความหนาวเย็นตลอด กาลเข้าครอบง�าอยู่บนยอดสูงนั้น และธรรมชาติของความกลัวมักสูญเสีย ตัวตนท่ามกลางความเปล่าเปลี่ยวอันป่าเถื่อนนั่น คล้ายกันมากกับคนป่าใน 38
เทือกเขาแอนดีสกูบหิมะ-คือปกคลุมด้วยหิมะ กูบเป็นที่นั่งบนหลังช้าง
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 263
ดินแดนแถบตะวันตก ผู้ซึ่งไม่แยแสต่อทุ่งแพรี่ผืนกว้างปกคลุมด้วยหิมะทั่ว บริเวณ ไร้เงาต้นไม้ หรือแม้กิ่งไม้งอกเงยขึ้นมาให้สะดุดภวังค์แห่งความขาว ต่างกับกะลาสีผเู้ คยคุน้ กับทัศนียภาพท้องทะเลแอนตาร์กติก ทีซ่ งึ่ บางครัง้ ภาพ มายาอันน่าสยดสยองของอ�านาจน�้าค้างและอากาศหนาวเย็นยะเยือก พวก เขาจะสั่นระริกและเกือบอับปางเรือแทนการพูดถึงความหวังอย่างเลื่อนลอย และปลอบโยนความทุกข์ยากของตน พวกเขาจะมองดูสถานที่ราวกับป่าช้า กว้างใหญ่ก�าลังแสยะยิ้มให้ด้วยอนุสาวรีย์น�้าแข็งเอียงลาด และเศษซากชิ้น ส่วนไม้กางเขน กระนั้นเมื่อท่านเอื้อนเอ่ย ฉันคิดว่าบทพรรณนาตะกั่วขาว39นี้เป็นเพียง แค่ธงขาวที่ยื่นออกมาจากวิญญาณคนตาขาว ที่จะท�าให้ท่านยอมจ�านนให้ กับความกังวลใจ...อิชเมล บอกผมทีเถิด...เหตุใดม้าหนุ่มแข็งแรงตัวนี้จึงตกลูกในหุบเขาเงียบสงบ แห่งเวอร์มอนต์ ที่ซึ่งไกลห่างจากสัตว์นักล่าทั้งหลาย เหตุใดในวันแดดกล้า แม้นท่านจะไม่แอบโบกสะบัดผ้าคลุมกระบือผืนใหม่บริเวณด้านหลังเพื่อ ไม่ให้มนั ได้เห็น กระนัน้ เพียงแค่ได้กลิน่ ของสัตว์รา้ ย มันเริม่ หายใจแรง ดวงตา เบิกโพลงและตะกุยเท้าบนดินขู่ด้วยอาการคลุ้มคลั่ง ทั้งๆ ที่ถิ่นอาศัยของมัน ในป่าทางตอนเหนือไม่มสี ตั ว์รา้ ยตัวใดสร้างความทรงจ�าในการใช้เขาเป็นอาวุธ ทิม่ แทงให้มนั ได้เห็นมาก่อน กลิน่ ทีไ่ ม่เคยคุน้ นัน้ ไม่นา่ จะเรียกความทรงจ�าจาก ประสบการณ์เลวร้ายใดๆ ก่อนหน้านี้ได้ หรือว่ามัน...เจ้าม้าหนุ่มนิวอิงแลนด์ รู้อะไรเกี่ยวกับกระทิงด�าแห่งโอเรกอนดินแดนอันห่างไกลกระนั้นหรือ? ไม่ใช่หรอก หากแต่เป็นเพราะสิ่งที่ท่านได้พบเห็นเฉกเช่นเดียวกับสัตว์ที่ พูดไม่ได้นั้น เป็นสัญชาตญาณของการตระหนักรู้ในเรื่องภูตผีบนโลก แม้จะ ห่างจากโอเรกอนหลายพันไมล์ แต่มันยังคงได้กลิ่นสัตว์ร้ายนั้น ฝูงวัวกระทิง ที่มีเขาแหลมคมมีพอๆ กับลูกม้าป่าที่โดดเดี่ยวอยู่ในทุ่งหญ้าแพรี่ ในระยะ ทางที่ห่างกันนี้พวกมันเหยียบย�า่ อยู่บนธุลีดินเช่นกัน 39
ตะกั่วขาว-เป็นสารมีพิษ ใช้ย้อมสี
264 : โมบี-ดิ๊ก
ด้วยเหตุนเี้ อง ฟองคลืน่ สีนา�้ นมทีป่ กคลุมไปทัว่ ท้องทะเล เสียงก้องกังวาน ของพู่ระย้าหยาดน�้าค้างแข็งตามทิวเขา แผ่นหิมะแห้งที่น�าความเงียบเหงา คืบคลานทุ่งแพรี่เหล่านี้ทั้งหมดส�าหรับอิชเมลแล้ว มันเขย่าขวัญเขาได้พอๆ กับที่ม้าหนุ่มตกใจกลัวผ้าคลุมกระบือ! แม้ต่างก็ไม่รู้แหล่งที่มาของสิ่งที่ไม่รู้ซึ่งส่งเค้าลางของความลึกลับ ทว่า ส�าหรับผม เฉกเช่นเดียวกับม้าหนุม่ รูแ้ น่วา่ ต้องมีทไี่ หนสักแห่งซ่อนเร้นสิง่ เหล่า นั้นไว้ แม้รูปลักษณ์หลายลักษณะของมันในโลกที่มองเห็นได้ชัดนี้เหมือนจะ ก่อก�าเนิดขึ้นมาจากความรัก หากแต่ในโลกที่มองไม่เห็นมันถูกสร้างขึ้นจาก ความน่าสะพรึงกลัว เพียงแต่เรายังไม่ได้คลายมนตราแห่งความขาว และเรียนรูว้ า่ เหตุใดมันจึง มีพลังดึงดูดจิตวิญญาณ ยิง่ ไม่เคยพบเห็น ก็ยงิ่ สัมผัสได้ถงึ ลางร้าย เหตุใดเมือ่ เราได้รจู้ กั ทันใดนัน้ มันจะเป็นสัญลักษณ์ทมี่ คี วามหมายส�าคัญต่อจิตใจ มิเพียง เท่านั้นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่แห่งศาสนาคริสต์ ยังไม่อาจเป็นได้เหมือนอย่างที่มัน เป็นสิ่งมีอา� นาจสร้างความตื่นตระหนกแก่มวลมนุษยชาติ ใช่หรือไม่ที่ความไม่ชัดแจ้งทอดเงาจากความเวิ้งว้างว่างเปล่า และความ กว้างใหญ่ของจักรวาล มาเสียดแทงเราจากทางด้านหลังด้วยความคิดในการ ท�าลายล้าง ยามเมื่อเรามองเห็นความขาวเข้มของทางช้างเผือกบนท้องฟ้า หรือเพราะแก่นสารของความขาวไร้สีสันจะปรากฏให้เห็น ขณะที่สีทั้งหมด มีสีสันปรากฏชัดประจักษ์ตา ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะความว่างเปล่าในดินแดน กว้างใหญ่ไพศาลที่ปกคลุมด้วยหิมะไร้สีสันนั้นเต็มไปด้วยความหมาย สีสัน แห่งความชั่วร้ายล้วนมาจากความหวาดกลัวของเราใช่หรือไม่ และเมื่อเรา ค� านึ งถึ งทฤษฎี อื่นใดเกี่ยวกับนักปรัชญาธรรมชาติ40 สี บ นโลกนี้ ทั้ งหมด ทุกสัญลักษณ์แห่งความภูมิฐาน หรือความสวยงาม แต่งแต้มสีสันบนท้องฟ้า และป่าไม้ยามเย็น อีกทัง้ ยังมีกา� มะหยีส่ ที องของฝูงผีเสือ้ และแก้มใสของสาวรุน่ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพียงการหลอกลวงที่แนบเนียนไม่ใช่สสารที่มีอยู่จริง เป็น 40
นักปรัชญาธรรมชาติ-ศึกษาวิทยาศาสตร์กายภาพ ฟิสิกส์ และเคมี บางคน (หนึ่งในนั้นคือจอห์น ล็อก 1632-1704) เชื่อว่า จริงๆ สีไม่ได้มีอยู่ในวัตถุใดๆ แต่จิตใจของคนเราสร้างมันขึ้นมาเอง
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 265
แต่เพียงสิ่งทาบทับบนเปลือกนอก เช่นนั้นธรรมชาติที่ได้รับการบูชาทั้งปวง จะป้ายสีเหมือนหญิงคณิกาอย่างแน่นอน ซึ่งเสน่ห์ดึงดูดนั้นไม่ได้ครอบคลุม สิ่งใดนอกเสียจากภายในโรงเก็บศพ เมื่อเราครุ่นค�านึงต่อถึงเครื่องส�าอาง ลงอาคมซึง่ สร้างสีสนั ให้เจ้าหล่อน ตามหลักการของแสง สีนนั้ ยังคงเป็นสีขาว หรือไร้สีชั่วนิรันดร หากมันท�าปฏิกิริยาโดยปราศจากสื่อกลางบนสสาร มัน จะสัมผัสทุกวัตถุไม่เว้นแม้แต่ทิวลิป และดอกกุหลาบซึ่งไร้สีสันในตัวมันเอง คิดค�านึงถึงข้อเท็จจริงทัง้ หมดนี้ ทุกสรรพสิง่ ทีข่ ยับไม่ได้วางอยูเ่ บือ้ งหน้าเราผู้ เป็นโรคเรือ้ น เหมือนดังเช่นนักเดินทางผูด้ อื้ รัน้ ในแลปแลนด์ผปู้ ฏิเสธการสวม แว่นตาแต่งแต้มสี หรือย้อมสีบนดวงตาของพวกเขา ด้วยเหตุนคี้ นนอกศาสนา ผูต้ า�่ ช้ามองตัวเองอย่างมืดบอดราวกับผ้าห่อศพสีขาวถาวรอ�าพรางความหวัง รอบตัวเขา ทัง้ หมดทัง้ มวลนีล้ ว้ นบ่งบอกว่าวาฬเผือกคือสัญลักษณ์ทจี่ ะท�าให้ ท่านพิศวงจนเร่าร้อนอยากออกตามล่ามันใช่หรือไม่
266 : โมบี-ดิ๊ก
บทที่ 43 ฟัง!
“เฮ้! นายได้ยินเสียงนั่นมั้ย.. คาบาโก้” ขณะนั้นเป็นช่วงยามกะกลาง1 แสงจันทร์กระจ่างงามตา ลูกเรือก�าลังยืน เรียงแถวยาวมาจากปลายด้านหนึ่งของถังน�้าจืดตรงกลางล�าเรือไปจนถึงถัง น�า้ ดืม่ เกือบถึงท้ายเรือ เพือ่ ส่งต่อถังน�า้ ไปเติมน�า้ ใส่ในถังน�า้ ดืม่ สิง่ ส�าคัญทีส่ ดุ ของการยืนอยู่บริเวณศักดิ์สิทธิ์บนดาดฟ้าท้ายเรือ พวกเขาต้องระมัดระวังไม่ พูด หรือเดินจนเกิดเสียงดัง การยืน่ รับส่งถังน�า้ ให้แก่กนั จะต้องด�าเนินไปอย่าง เงียบเชียบทีส่ ดุ จะมีเสียงเกิดขึน้ ได้กแ็ ต่เฉพาะใบเรือสะบัดลมบางช่วงจังหวะ และเสียงอื้อๆ เป็นจังหวะสม�า่ เสมอของโครงเรือที่แล่นไปข้างหน้าไม่หยุด ท่ามกลางความเงียบระงับ อาร์ชี่ผู้ยืนแถวตรงใกล้ประตูดาดฟ้าท้ายเรือ กระซิบเรียกเพื่อนชาวโคโล2ของเขา “เฮ้! นายได้ยินเสียงนั่นมั้ย...คาบาโก้” “นายจะรับถังน�้าไปได้หรือยัง อาร์ชี่ เสียงอะไรของนาย?” “มันดังขึน้ มาอีกแล้ว จากใต้ประตูดาดฟ้าเรือนัน่ นายไม่ได้ยนิ หรอกรึ เสียง กระแอมไอ เสียงคล้ายกับเสียงไอ” “เสียงไอบ้าอะไรของนายวะ! ส่งถังน�้าไปแล้วส่งกลับมา” “ดังอีกแล้ว นั่นไง! เสียงเหมือนกับคนนอนหลับสองหรือสามคนก�าลัง พลิกตัว!” 1 2
ยามกะกลาง-จากเที่ยงคืนถึงตีสี่ ชาวโคโล-ลูกครึ่งสเปนอินเดียนแดง
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 267
“ไอ้บ้าเอ้ย! ส่งไปรึยังเพื่อน มันเป็นเสียงบิสกิตชุ่มน�้าสามชิ้นที่นายกิน เข้าไปตอนมื้อค�่าก�าลังพลิกตัวอยู่ในท้องนายนั่นแหละว่ะ ไม่มีอะไรหรอก ใส่ใจถังน�า้ หน่อยสิ!” “พูดอะไรของนายน่ะเพื่อน ฉันได้ยินจริงๆ นะ” “เออใช่ นายมันยังหนุ่มแน่น ใช่มั้ยล่ะ คงได้ยินเสียงเข็มถักไหมพรมของ สาวชาวเควกเกอร์ดังเลาๆ มาจากทะเลแนนทักเก็ตที่อยู่ห่างไปห้าสิบไมล์ ล่ะสิ ไอ้หนุ่ม” “อย่ามาเยาะเย้ยกันนะ แล้วเราจะได้รู้ว่าอะไรพลิกตัว ฟังสิ คาบาโก้ มี คนอยู่ห้องด้านล่างนั่น เขายังไม่โผล่ข้ึนมาบนดาดฟ้า ฉันสงสัยว่านายเหนือ หัวของพวกเราเองก็คงจะได้ยนิ เหมือนกัน ฉันได้ยนิ สตับบ์บอกกับฟลาสก์วา่ ขณะเฝ้ายามเช้าวันหนึ่งเคยมีเสียงคล้ายๆ กันนี้ดังมาตามลม” “เฮ้ย! เอาถังน�้ามา !”
268 : โมบี-ดิ๊ก
บทที่ 44
แผนที่
ถ้าคุณได้ตามกัปตันเอแฮ็บลงไปในห้องเครื่อง หลังเหตุการณ์ลมพายุพัด กระหน�่าในคืนที่เขาให้สัตย์สาบานบ้าคลั่งถึงเป้าหมายของเขาต่อเหล่า ลูกเรือ คุณคงจะเห็นเขาเดินไปที่ก�าปั่นเก็บของในคานไม้ท้ายเรือ และหยิบ เอาแผนที่ทะเลขนาดใหญ่สีเหลืองเก่าเป็นรอยยับออกมากางบนโต๊ะก่อนนั่ง ลงเบื้องหน้ามัน คุณเห็นเขาตั้งหน้าตั้งตาดูเส้น และเฉดสีต่างๆ มากมายบน แผนที่นั้น แล้วค่อยลากดินสอช้าๆ แต่หนักแน่นเพิ่มเส้นทางลงบนพื้นที่ว่าง บางช่วงจังหวะจะพลิกค้นดูกองสมุดจดการเดินเรือทีอ่ ยูข่ า้ งตัวเป็นพักๆ เพือ่ ดูวา่ ฤดูกาล และน่านน�า้ บริเวณใดทีเ่ รือชนิดต่างๆ เคยพบเจอ หรือจับวาฬหัว ทุยได้ในการเดินทางครั้งก่อนๆ มา ช่วงเวลานั้น ตะเกียงโลหะหนักแขวนบนโซ่เหนือศีรษะเขาแกว่งไปมา ตามการโยกคลอนของล�าเรือ สะท้อนแสงและเงาของริ้วรอยย่นบนใบหน้า กัปตันเฒ่าจนเหมือนว่าขณะเขาลากเส้นและแนวการเดินทางลงบนแผนที่ มีรอยดินสอร่องหนปรากฏเป็นเส้นและแนวจมลึกอยูบ่ นใบหน้านัน้ ด้วยเช่นกัน กระนั้นไม่ใช่เฉพาะแค่คืนนี้ที่เอแฮ็บเฝ้าครุ่นคิดอยู่เบื้องหน้าแผนที่อย่าง โดดเดี่ยวอยู่ในห้องเครื่อง แทบทุกคืนแผนที่พวกนี้จะถูกหยิบออกมา และ แทบทุกคืนรอยดินสอบางเส้นจะถูกลบออก และแทนทีด่ ว้ ยเส้นใหม่ เบือ้ งหน้า แผนที่สี่คาบสมุทรนี้ เอแฮ็บโยงใยเส้นทางคดเคี้ยวของกระแสน�้าและกระแส น�้าหวน ด้วยสายตามุ่งหวังผลส�าเร็จที่หมกมุ่นอยู่ภายในจิตวิญญาณของเขา เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 269
เวลานี้ไม่มีใครคุ้นเคยกับเส้นทางหากินของเจ้าสัตว์ทะเลยักษ์ จึงดู เหมือนว่าการตามหาสัตว์สันโดษตัวหนึ่งในมหาสมุทรไร้ขอบข่ายบนโลกใบ นี้เป็นงานไร้ความหวังอย่างสิ้นเชิง แต่ก็ดูเหมือนว่าอาการสิ้นหวังนี้จะไม่เกิด ขึ้นกับเอแฮ็บ เขารู้ช่วงเวลาน�้าขึ้นน�้าลง และรู้กระแสน�้าและลมเป็นอย่างดี จึงสามารถค�านวณทิศทางการพัดพาอาหารของวาฬหัวทุย และยังบอกได้ อย่างแม่นย�าว่าฤดูกาลไหนสามารถไล่ล่ามันได้ที่เส้นละติจูดใด การคาด การณ์อย่างมีหลักการนี้จะท�าให้ค�านวณได้ใกล้เคียงกับช่วงเวลา และแหล่ง น�้าที่เหยื่อของมันออกหากิน จริงๆ แล้วความมั่นใจนี้เกิดขึ้นจากการออกหากินเป็นประจ�าของวาฬ หัวทุยตามน่านน�้าต่างๆ ซึ่งเหล่านักล่าเชื่อว่าหากเฝ้าสังเกต และตามศึกษา มันอย่างใกล้ชิดไปทุกหนแห่งบนโลก และน�าเอาข้อมูลบันทึกการเดินเรือ ของกองเรือล่าวาฬทั้งหมดมาเปรียบเทียบกันอย่างละเอียด จะพบว่าการ อพยพย้ายถิ่นของวาฬหัวทุยมีลักษณะสอดคล้องกับฝูงปลาเฮอริ่ง และฝูง นกนางแอ่น การค้นพบนี้ท�าให้เกิดความพยายามสร้างแผนที่แสดงทิศทาง การอพยพอย่างละเอียดของวาฬหัวทุย* *ข้อความด้านบนนัน้ น�ามาจากหนังสือเวียนอย่างเป็นทางการเผยแพร่โดย เรือโทมอรี่ นักสมุทรศาสตร์ของหอสังเกตการณ์ทางเรือแห่งชาติ วอชิงตัน ฉบับ วันที่ 16 เมษายน ค.ศ. 1851 หนังสือเวียนนีร้ ะบุวา่ แผนทีน่ ไี้ ด้กา� หนดเส้นทาง เดินเรือไว้อย่างถูกต้องแม่นย�า และมีการแบ่งเขตน่านน�้าไว้ด้วย “แผนที่นี้แบ่ง มหาสมุทรออกเป็นเขต แต่ละเขตมีขนาดห้าองศาละติจดู คูณห้าองศาลองติจดู ตลอดแนวตั้งฉากแต่ละเขตมีสิบสองคอลัมน์ส�าหรับสิบสองเดือน และตลอด แนวนอนแต่ละเขตมีสามแถว แถวหนึง่ แสดงจ�านวนวันที่ใช้ไปในแต่ละเดือนใน ทุกเขต อีกสองแถวทีเ่ หลือแสดงจ�านวนวันทีว่ าฬหัวทุยและวาฬไรต์ถกู พบเจอ”
ยิ่งไปกว่านั้น ในการอพยพจากแหล่งหากินหนึ่งไปยังอีกแหล่งหนึ่ง วาฬ 270 : โมบี-ดิ๊ก
หัวทุยล่องลอยไปตามสัญชาตญาณที่ไม่มีวัน ผิดพลาด กล่าวได้ว่านั่นเป็น พรสวรรค์ที่ได้มาจากพระเจ้า พวกมันแทบจะว่ายอยู่ในเส้นทางที่คาดการณ์ ไว้ดุจดังถูกสะกดเรียก พวกมันจะว่ายตามกันไปในเส้นทางที่ก�าหนดไว้อย่าง แม่นย�าไม่ผดิ เพีย้ น ชนิดทีเ่ รียกว่าไม่เคยมีเรือล�าใดล่องไปบนเส้นทางการเดิน เรือตามแผนที่ฉบับใดได้แม่นย�าเทียบเท่า แม้หลายกรณีทิศทางการไล่ตาม วาฬตัวใดตัวหนึ่งจะเป็นเส้นขนานกับเส้นทางของนักส�ารวจ และแม้เส้นที่ อ้างว่าถูกก�าหนดขอบเขตไว้เคร่งครัดให้ว่ายตรงตามรอยทางน�า้ กันมาอย่าง ไม่เบี่ยงเบน กระนั้นเส้นทางนอกกฎเกณฑ์ในช่วงเวลาเหล่านั้นโดยมากมัก บอกให้มันว่ายอยู่ในรัศมีกว้างสองสามไมล์ (มากหรือน้อยตามแต่ เช่นเดียว กับเส้นเลือดที่ขยายหรือหดตัวได้) แต่ก็ไม่ไกลเกินกว่าจะกวาดสายตามอง เห็นได้จากบนยอดเสากระโดงเรือล่าวาฬ ขณะล่องไปตามนานน�้าอัศจรรย์ บริเวณนี้อย่างรอบคอบ สิ่งส�าคัญก็คือหากไปตามน่านน�้าเส้นทางนี้ในบาง ฤดูกาลอาจมีโอกาสสูงที่จะได้พบฝูงวาฬอพยพ ดังนั้นจึงไม่ใช่เพียงแค่ช่วงเวลาที่ผ่านการพิสูจน์มาแล้ว และแหล่งหากิน ของวาฬที่รับรู้กันทั่วเท่านั้นที่เป็นความหวังของเอแฮ็บในการตามหาให้พบ เหยื่อของเขา หากแต่ตลอดน่านน�้ากว้างระหว่างเขตมหาสมุทรนั้นเขายัง สามารถใช้ทักษะความสามารถของเขาก�าหนดสถานที่ และเวลาได้ด้วยวิธี การของตัวเอง จึงแทบไม่มีโอกาสจะไร้ซึ่งความหวังในการพบเจอมัน บางกรณีดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับความคลุ้มคลั่งของเขาในตอนแรก กระนัน้ ก็มกี ารวางแผนเป็นระบบ ทว่าอาจใช้ไม่ได้กบั สภาพความเป็นจริง แม้ สัตว์สังคมอย่างวาฬหัวทุยมีฤดูกาลปกติในน่านน�้าเฉพาะแหล่ง แต่โดยปกติ แล้วคุณไม่สามารถสรุปได้ว่าฝูงที่จะถูกล่าเป็นฝูงไหนในเส้นละติจูดหรือลอง ติจูดใดในปีนี้ กล่าวคือจะกลายเป็นว่าฝูงนั้นเป็นฝูงเดียวกันกับที่เคยพบที่ นั่นเมื่อฤดูกาลก่อนหน้านี้ แม้จะมีกรณีพิเศษซึ่งตรงข้ามกับกรณีนี้ได้รับการ พิสูจน์ความจริงแล้วก็ตาม โดยทั่วไปแล้วข้อสังเกตเดียวกันนี้จะมีผลภายใต้ ขอบเขตแคบๆ ส�าหรับฝูงที่ตัดขาดจากโลกภายนอก และอยู่อย่างสันโดษ เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 271
ท่ามกลางฝูงวาฬหัวทุยโตเต็มวัย ด้วยเหตุนี้แม้โมบี้ดิ๊กจะเคยถูกพบเจอในปี ก่อน อย่างบริเวณน่านน�้าแถบหมู่เกาะที่มีชื่อว่าเซเชลส์1ในมหาสมุทรอินเดีย หรืออ่าววอลเคโนฝั่งทะเลญี่ปุ่น กระนั้นการพบเจอจะไม่เกิดขึ้นอีกกับเรือพี ควอดที่แล่นไปเยือนตามบริเวณน่านน�้าเหล่านั้นในฤดูกาลตรงกันในปีต่อมา หรืออาจมีโอกาสพบกับมันที่นั่น ได้พอๆ กับแหล่งหากินน่านน�้าอื่นที่มัน ไปเผยตัวเป็นครั้งคราว กระนั้นทั้งหมดนี้ดูเหมือนจะเป็นเพียงแค่จุดแวะพัก อื่นที่มันจะไปเผยตัวและแหล่งพักแรมชั่วคราวตามความพอใจของมัน ซึ่ง อาจกล่าวได้ว่ามันไม่มีแหล่งพักพิงที่แน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นบริเวณที่เอแฮ็บ จะมีโอกาสสัมฤทธิ์ผลตามเป้าหมายของเขานั้น ได้ถูกกล่าวถึงมาก่อนจาก ค�าบอกเล่าทั้งหมดที่ได้รับระหว่างทาง โอกาสพิเศษเหล่านั้นล้วนเป็นโอกาส ของเขาด้วยเช่นกัน เวลา หรือสถานที่ถูกระบุเฉพาะเจาะจง เมื่อความน่า จะเป็นทั้งหมดมีความเป็นไปได้ ตามที่เอแฮ็บปักใจคิดว่าทุกๆ โอกาสความ เป็นไปได้จะมีโอกาสเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เวลาและสถานที่ที่ชี้เฉพาะนั้นถูก รวมเข้าเป็นหนึ่งวลีเรียกว่า “น่านน�้าตามฤดูกาล”2 จากนั้นอีกหลายปีต่อมา โมบี้ดิ๊กถูกพบเจอเป็นระยะๆ ว่าว่ายอ้อยอิ่งอยู่ในน่านน�้าเหล่านั้นเป็นครั้ง คราวดัง่ ดวงตะวันโคจรในหนึง่ รอบปี มันว่ายเตร็ดเตร่ในรอบเวลาทีพ่ ยากรณ์ ได้ตามสัญลักษณ์จักรราศี ยิ่งเข้าใกล้โอกาสจะได้พบเจอกับเจ้าวาฬสีขาว คลื่นลูกแล้วลูกเล่าถูกบอกขานออกมาด้วยพฤติกรรมของมัน อีกทั้งยังมี บริเวณแห่งโศกนาฏกรรมที่ซึ่งชายชราผู้หมกมุ่นพบแรงจูงใจมากล้นมากระ ตุ้นความอาฆาตแค้นของเขา กระนั้นในการหยั่งรู้รอบด้าน และการเฝ้าระวัง ไม่วางตาอันซึง่ เอแฮ็บมุง่ จิตครุน่ ค�านึงของเขาแน่วแน่สกู่ ารไล่ลา่ เขาจะไม่ยอม ล้มเลิกความหวังทีม่ ตี อ่ ข้อเท็จจริงเหนือค�าเชยชม มีแต่จะยิง่ เพิม่ เติมก�าลังให้ กับความหวังเหล่านั้น ค�าปฏิญาณที่ไม่มีวันหลับใหลของเขาท�าให้เขาไม่อาจ สาธารณรัฐเซเชลส์ เป็นประเทศหมู่เกาะ ประกอบด้วยเกาะ 115 เกาะในมหาสมุทรอินเดีย ห่างจาก ชายฝั่งแอฟริกาทางตะวันออก 1,600 กิโลเมตร 2 ในที่นี้หมายถึง ช่วงเวลาที่โมบี้ดิ๊กไปอยู่ในดินแดนแถบเส้นศูนย์สูตร (ซึ่งมีระยะเวลาของกลางวันกับ กลางคืนยาวนานเกือบเท่ากันตลอดทั้งปี) ในทะเลแปซิฟิก 1
272 : โมบี-ดิ๊ก
สงบหัวใจร้อนรนให้ผัดผ่อนการส�ารวจระหว่างทางได้ เรือพีควอดแล่นจากแนนทักเก็ตบริเวณจุดเริม่ ต้นของน่านน�า้ แห่งฤดูกาล ไม่มีความอุตสาหะใดที่เป็นไปไม่ได้ ดังนั้น ผู้บัญชาการเรือจึงสามารถน�า เรือมุ่งหน้าลงใต้ แล่นอ้อมแหลมฮอร์น แล้ววิ่งต�่าไปลงทางเส้นละติจูดที่หก สิบองศามาถึงเขตมหาสมุทรแปซิฟิกทันตระเวนแล่นเรือส�ารวจที่นั่น ซึ่งเขา ต้องคอยจนกว่าฤดูกาลหน้าจะมาถึง กระนั้นชั่วโมงที่มาถึงก่อนเวลาของเรือ พีควอดอาจเป็นสิ่งที่เอแฮ็บเลือกไว้แล้วอย่างแม่นย�าเพื่อมองหาสีที่ต้องการ จากสิ่งที่เขาตามล่า ช่วงวันและคืนในเวลาสามร้อยหกสิบห้าวันข้างหน้านี้ แทนทีเ่ ขาจะอดรนทนหงุดหงิดใจอยูบ่ นชายฝัง่ สูเ้ อาเวลาเหล่านัน้ มาออกตาม ล่าหาไปเรือ่ ยจะดีกว่า อาจมีโอกาสได้เจอเข้ากับวาฬสีขาว ขณะมันใช้เวลาว่าง กลางทะเลห่างไกลจากน่านน�า้ อันเป็นแหล่งหากินตามฤดูกาล อาจท�าให้หน้า ผากยับย่นของมันโผล่ให้เห็นแต่ไกลในบริเวณอ่าวเปอร์เซีย หรืออ่าวเบงกอล หรือทะเลจีน3 หรือน่านน�้าอื่นใดอันเป็นที่อยู่อาศัยของเผ่าพันธุ์มัน เพื่อว่า ลมมรสุม4 แพมพา5 นอร์เวสเตอร์6 ฮาร์แมตตัน7 เทรด8 หรือลมพายุอื่นใด ยกเว้นเลแวนเตอร์9และซิมมู 10 จะพัดพาโมบีด้ กิ๊ เข้ามายังเส้นทางเดินเรือของ เรือพีควอดที่ลอยคดเคี้ยวไปตามเส้นทางซิกแซกรอบโลก กระนั้นการยอมรับทั้งหมดนี้ อีกทั้งยังรวมถึงการพิจารณาอย่างสุขุม รอบคอบ และเยือกเย็นนั้น ดูเหมือนจะไม่ใช่อะไรนอกเสียไปจากความคิด วิกลจริตเพียงเท่านั้น ในมหาสมุทรกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตหากจะได้พบเจอ เข้ากับวาฬสันโดษตัวหนึง่ นัน่ ก็คงเป็นเพราะความสามารถเฉพาะทีม่ อี ยูใ่ นตัว ทะเลจีน-ประกอบด้วยทะเลเหลือง ทะเลจีนตะวันออก และทะเลจีนใต้ ลมมรสุม-ลมตามฤดูกาล ท�าให้ฝนตกหนักด้วย 5 แพมพา-ลมเย็น พัดแรง พัดทั่วที่ราบของอาร์เจนตินา 6 นอร์เวสเตอร์-พายุทั้งที่มีฝนและไม่มีฝน ในฤดูใบไม้ผลิของบังคลาเทศ 7 ฮาร์แมตตัน-ลมแล้งของแอฟริกาตะวันตก 8 เทรด-ลมในอีเควดอร์ 9 เลแวนเตอร์-ลมแรงชื้นทางตะวันตกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน 10 พายุฝุ่นร้อนในทะลเทรายซาฮารา 3 4
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 273
นักล่าของมัน ดังเช่นดะโต๊ะหนวดขาวบริเวณชุมทางสัญจรของคอนสแตนดิโน เปิล11ใช่หรือไม่? แน่ล่ะ...ส�าหรับหัวสีขาวประหลาดดังหิมะของโมบี้ดิ๊ก และ หนอกสีขาวดังหิมะของมันนี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เป้าหมายที่แม่นย�า ฉันยังระบุ ต�าแหน่งของเจ้าวาฬตัวนั้นไม่ได้เลย เอแฮ็บคงจะบ่นพึมกับตัวเองเช่นนั้น และหลังหมกมุ่นอยู่หน้าแผนที่จนเวลาล่วงเลยหลังเที่ยงคืน เขาคงคิดอีกว่า ถ้าเขาเคยกาต�าแหน่งของมันลงไป มันจะยังเล็ดรอดไปได้ไหม ครีบกว้างของ มันถูกเจาะกว้านเหมือนแกะหูแหว่ง! แล้วจิตใจคลุม้ คลัง่ ของเขาก็โจนทะยาน ไปในสนามแข่งทีไ่ ม่มเี วลาให้หยุดพักอีก กระทัง่ ความเหน็ดเหนือ่ ย และความ อ่อนล้าเจือจางความหมกมุ่นของเขาลง! เวลานั้นเขาจะออกมายืนสูดอากาศ บริสุทธิ์บนดาดฟ้าเรือเพื่อเรียกพละก�าลังกลับมาอีกครั้ง อ้า...พระเจ้า! ภวังค์ แห่งความทุกข์ระทมซึ่งบุรุษผู้น้ันทุกข์ทนหนักหนาเพียงใด ใครกันจะเข้าใจ ความรู้สึกท่วมท้นด้วยความอาฆาตพยาบาทที่ยังไม่อาจบรรลุผล เขาหลับ ไปพร้อมกับสองมือก�าแน่น และตื่นขึ้นโดยมีเลือดเปื้อนฝ่ามือจากเล็บที่จิก เข้าเนื้อตัวเอง บ่อยครั้งเขาถูกปลุกให้ลุกขึ้นจากเปลญวณด้วยเพราะความอ่อนล้า และ ความฝันมากมายรบเร้าในยามค�่า ความฝันอันเป็นเรื่องราวจากความคิด ตึงเครียดของเขาเองทีม่ ตี ลอดทัง้ วัน ความคิดเหล่านัน้ เข้าปะทะกับจิต และวน เวียนรอบแล้วรอบเล่าภายในสมองบ้าระห�า่ ของเขา จนกว่าจังหวะการเต้นตรง จุดส�าคัญของชีวติ มัน12จะได้รบั ความเจ็บปวดรวดร้าวเกินทน เมือ่ เวลานัน้ มา ถึง ความเจ็บปวดนัน้ จะไหลลึกลงไปในจิตวิญญาณ และลากตัวมันขึน้ จากฐาน ที่อยู่ ล�าตัวมันจะปรากฏเป็นรอยแยกแสดงกิ่งก้านเปลวเพลิง และแสงไฟที่ ปะทุขนึ้ มา ภายในนัน้ ผีรา้ ยต้องค�าสาปกวักมือเรียกให้มนั โดดลงไปอยูร่ ว่ มด้วย เมื่ อ นรกในตั ว เปิ ด อ้ า รอรั บ เขาอยู ่ เ บื้ อ งล่ า ง เวลานั้ น เสี ย งร้ อ งโหยหวน ดังระงมไปทั่วทั้งล�าเรือ เอแฮ็บโผล่ออกมาจากห้องส่วนตัวด้วยดวงตาเบิก 11
คอนสแตนดิโนเปิล-อิสตันบูลในปัจจุบัน (ตุรกี) จังหวะการเต้นตรงจุดส�าคัญของชีวิตมัน-ในที่นี้คือหัวใจวาฬ ซึ่งมีเส้นเลือดใหญ่โตขดหุ้มอยู่ เมื่อคม หลาวแทงทะลุไปถึงที่นี่ จะม�าให้มันตายอย่างรวดเร็ว
12
274 : โมบี-ดิ๊ก
โพล่ง ราวกับก�าลังหนีไฟเผาไหม้ที่นอน กระนั้นแทนที่จะอยู่ในอาการอันไม่ อาจข่มกลั้นความรู้สึกอ่อนแอที่หลบซ่อนอยู่ภายใน หรือความกลัวต่อการ ตัดสินใจของเขาเอง กลับกลายเป็นว่าเขาเพียงแสดงท่าทีอันชัดแจ้งในความ ปรารถนาแรงกล้า เวลานัน้ เอแฮ็บผูบ้ า้ คลัง่ นักล่าวาฬสีขาวผูย้ ดึ มัน่ ในแผนการ อย่างไม่อาจระงับแรงปรารถนาได้ เอแฮ็บผู้ลุกออกจากเปลญวณ เปลซึ่งมิใช่ ตัวการทีท่ า� ให้เขาพรวดพราดจากมันมาสูค่ วามน่าสะพรึงกลัวอีกครัง้ หลังจาก นั้นคือแบบแผนของการด�ารงอยู่อย่างเป็นนิรันดร์ หรือจิตวิญญาณในตัวเขา ขณะนอนหลับ เป็นช่วงเวลาที่ความคิดแยกออกจากจิตสร้างอัตลักษณ์ ซึ่ง ถ้าในช่วงเวลาอื่นมันถูกใช้เป็นตัวขับเคลื่อน หรือผู้กระท�าภายนอก หากแต่ ธรรมชาติโดยตัวมันเองจะพยายามหาทางหลบเลี่ยงการหลอมรวมกับเรื่อง ราวความบ้าคลั่งในช่วงภาวะที่ไม่มีความสมบูรณ์อีกต่อไป ทว่าเพราะความ คิดจะปราศจากการมีอยู่จนกว่าได้รวมตัวเข้ากับจิตวิญญาณ ด้วยเหตุนั้นมัน จึงให้ผลเป็นดังเช่นที่ว่า เฉกเช่นเดียวกับกรณีของเอแฮ็บ ที่ยอมให้ความคิด และความนึกฝันทั้งหมดทั้งมวลของตนเป็นเป้าหมายสูงสุดเพียงหนึ่งเดียว เป้าหมายนั้นเป็นความมุ่งมั่นอันฝังลึกลงในนิสัย กลายเป็นแรงผลักดันตัว เองให้หาญต่อกรกับเทพและมาร กระทั่งทึกทักเอาว่าตนเองเป็นอิสระแก่ตน ไม่ต้องพึ่งพาผู้ใด ทั้งยังไม่สามารถมีชีวิตอยู่และมอดไหม้ด้วยความรุนแรง ขณะพลังชีวิตทั่วไปซึ่งผนวกเข้าด้วยกัน หลบหนีไปด้วยความหวาดหวั่นจาก การเกิดที่มิได้ต้องการและไม่รู้แหล่งที่มา ดังนั้นเมื่อเอแฮ็บพุ่งออกจากห้อง จิตวิญญาณที่ทนทุกข์ทรมานซึ่งจ้องผ่านตาเนื้อในช่วงเวลานั้น เป็นเพียงสิ่ง ที่ว่างเปล่า เป็นสิ่งมีชีวิตไร้รูปทรงที่อยู่ในอาการละเมอ จะว่าไปแล้วก็คือ ล�าแสงของแสงแห่งชีวิต แต่ปราศจากวัตถุที่จะท�าให้มีสี ดังนั้นจึงเป็นความ ว่างเปล่าในตัวเอง ขอพระเป็นเจ้าทรงเมตตาเขาด้วยเถิด พ่อเฒ่า ความคิด ของเขานั่นล่ะที่สร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมาในตัวเขาเอง ความคิดแรงกล้านี่เองที่
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 275
ท�าให้เจ้าตัวเป็นเหมือนดัง่ โพรมีทอี สู 13ผูถ้ กู นกแร้งบินมาจิกกินหัวใจชัว่ นิรนั ดร์ นกแร้ง...สัตว์ร้ายที่เขาเป็นผู้สร้างมันขึ้นมา
13
หรือโพรมีเทียส เทพไททัน (ตามต�านานกรีก) ผู้ขโมยไฟจากเฮสเทีย เทพีแห่งเตาไฟ ลงไปให้มนุษย์ จึงท�าให้มนุษย์รจู้ กั ใช้ไฟในการหุงหาอาหารและใช้เพือ่ แสงสว่างจนสามารถสร้างอารยธรรมต่างๆ ได้ จึง ท�าให้ซูสโกรธและลงโทษด้วยการขังโพรมีเทียสไว้ในถ�้าบนคอคาซัส และมีอีกายักษ์มาจิกกินตับ (ไม่ใช่ หัวใจ) ของโพรมีเทียสทุกวันโดยที่ไม่ตาย และทุกคืนตับของโพรมีเทียสจะงอกใหม่เพื่อให้อีกายักษ์จิก กินในวันรุ่งขึ้น
276 : โมบี-ดิ๊ก
บทที่ 45 ลายลักษณ์อักษรของค�าให้การ
เนื้อหาที่ถ่ายทอดในหนังสือเล่มนี้ ส่วนใหญ่อาจบอกเล่าอ้อมๆ ถึงเรื่องราว เกีย่ วกับลักษณะนิสยั แปลกประหลาด และน่าสนใจยิง่ ของวาฬหัวทุยสักหนึง่ หรือสองเรื่อง โดยเนื้อหาส่วนแรกๆ ในบทก่อนหน้าจะเป็นส่วนส�าคัญที่ถูก น�ามากล่าวถึงอีกครัง้ ในบทนี้ ทว่าส่วนน�าของบทยังคงต้องขยายความให้เกิด ความคุ้นเคยมากยิ่งๆ ขึ้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างพอเพียง ยิ่งไปกว่านั้น เพือ่ ขจัดความสงสัยทีอ่ าจเกิดขึน้ ในใจอันเนือ่ งมาจากความไม่รใู้ นเรือ่ งทัง้ หมด ที่เกี่ยวกับข้อเท็จจริงของประเด็นหลักในเรื่องนี้ ผมไม่ใคร่จะเดินเรื่องส่วนนี้ของงานเขียนอย่างมีแบบแผน แต่จะให้เป็น ส่วนสร้างความประทับใจอันพึงปรารถนาด้วยการให้ข้อมูลอ้างอิงแยกส่วน จากเนือ้ หา ซึง่ เป็นเรือ่ งทีน่ า� ไปใช้ได้จริง และเชือ่ ถือได้สา� หรับผมซึง่ เป็นนักล่า วาฬ และเนือ้ หาอ้างอิงเหล่านีท้ ผี่ มน�ามาใช้ จะมีบทสรุปต่อท้ายอย่างแน่นอน ล�าดับแรก : ผมเคยได้รเู้ ห็นด้วยตัวเองสามครัง้ ในกรณีทวี่ าฬตัวหนึง่ หลัง โดนฉมวกแทงแล้วมันดิ้นรนหนีรอดไปได้ ระหว่างนั้น (หนึ่งเหตุการณ์ในช่วง สามปี) มันถูกจับได้อีกครั้งโดยลูกเรือคนเดิม และตายลงด้วยคมเหล็กแหลม สองชิ้นซึ่งสลักเป็นรหัสเดียวกันบนตัวของมัน ช่วงเวลาคมฉมวกสองด้ามพุ่ง ใส่วาฬห่างกันสามปี แต่ผมคิดว่ามันน่าจะนานกว่านัน้ นัน่ เพราะชายผูเ้ หวีย่ ง ฉมวกทั้งสองครั้งนั้นอยู่ระหว่างการเดินทางไปกับเรือพาณิชย์ที่มุ่งหน้าสู่ แอฟริกา เรือจอดเทียบฝั่งที่นั่นเพื่อร่วมสังสรรค์งานเลี้ยงเปิดตัว ก่อนเขาจะ เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 277
เดินทางต่อเข้าไปในป่าลึกใช้เวลาท่องเที่ยวนานเกือบสองปี ผจญภัยนานา ชนิด อาทิ งูร้าย คนป่า เสือ ไอพิษจากหนองน�้า อีกทั้งภยันตรายอื่นๆ ที่ พบเจอได้ตลอดเวลาของการเดินเตร่ใจกลางดินแดนลึกลับ ขณะเดียวกันนั้น วาฬตัวที่เขาจับได้ก่อนหน้านี้ก็เดินทางไปตามทางของมันเช่นกัน แน่นอนว่า นั่นจะต้องเป็นการเดินทางรอบโลกถึงสามรอบด้วยกัน หลายครั้งสีข้างของ มันมีโอกาสได้สัมผัสชายฝั่งแอฟริกาหลายแห่งโดยไม่ได้ต้ังใจ ชายผู้นี้ และ วาฬตัวนี้มีโอกาสได้มาพบเจอกันอีกครั้งเพื่อที่ฝ่ายหนึ่งจะพิชิตอีกฝ่ายหนึ่ง กล่าวได้วา่ ตัวผมเองได้เคยพบเห็นเหตุการณ์ทา� นองเดียวกันนีถ้ งึ สามครัง้ อีก สองครั้งผมเห็นวาฬถูกจับ ในการโจมตีครั้งที่สอง ผมเห็นคมเหล็กแหลม สองอันเป็นรอยบาดแผลอยู่บนตัวพวกมัน หลังจากเหล็กแหลมนั้นถูกถอน ออกจากตัววาฬที่ตายแล้ว ในเหตุการณ์สามปีนั้นเป็นที่ชัดแจ้งว่าผมอยู่ใน เรือล�านั้นด้วยทั้งสองครั้ง ครั้งแรก และครั้งสุดท้าย โดยเฉพาะครั้งล่าสุดผม จ�าได้อย่างแม่นย�าเมื่อได้เห็นไฝเม็ดโตใต้ตาวาฬ ซึ่งผมเคยสังเกตเห็นก่อน หน้านี้เมื่อสามปีก่อน ถึงผมจะบอกว่าสามปี แต่ผมค่อนข้างมั่นใจว่ามันนาน กว่านั้น ต่อไปนี้คือเหตุการณ์ท้ังสามครั้งนั้น ซึ่งผมได้ประสบกับความจริงนี้ ด้วยตัวเอง และยังเคยได้ยินได้ฟังมาอีกมากจากคนที่มีความซื่อสัตย์ในการ เล่าเรื่อง เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องกุเรื่องขึ้น ล�าดับที่สอง : เป็นที่รู้กันโดยทั่วในวงการประมงวาฬหัวทุย แต่อาจไม่ เป็นที่รับรู้ส�าหรับคนบนฝั่งทั่วโลกนัก หลายเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์อัน น่าจดจ�าวาฬลักษณะผิดธรรมดาจะถูกพบเจอนานๆ ครั้ง บริเวณน่านน�้าที่ รู้จักกันแพร่หลาย เหตุใดวาฬนั้นจึงไม่เป็นที่จดจ�าได้ในทันทีตั้งแต่แรกเห็น อันเนื่องมาจากลักษณะพิเศษทางกายภาพที่แตกต่างไปจากวาฬตัวอื่น นั่น เพราะไม่วา่ วาฬจะมีลกั ษณะพิเศษเพียงใด ในทีส่ ดุ แล้วพวกเขาก็จะท�าลายทิง้ ด้วยการสังหาร และน�ามันไปต้มเพือ่ ให้ได้ไขมันทีม่ รี าคาใช่หรือไม่ เปล่าเลย : เหตุผลก็คอื : การจดจ�านัน้ มาจากประสบการณ์รา้ ยๆ ในวงการประมงค่อยๆ เพิ่มระดับเสียงเล่าลือถึงความน่าสะพรึงกลัวของวาฬจนโด่งดังเทียบเท่ากับ 278 : โมบี-ดิ๊ก
ชื่อเสียงโจษจันของรินัลโด้ รินัลดิน่ี กระทั่งชาวประมงจ�านวนมากรู้จักมัน เพียงผิวเผินผ่านการบอกเล่าของลูกเรือที่บังเอิญพบเห็นมันขณะล่องเรือใน ทะเล การพบเจอโดยยังไม่ทันสร้างความคุ้นเคยกับมันมากพอ เช่นเดียวกับ อันธพาลต�่าต้อยซึ่งคนบนฝั่งรู้จักกันดีถึงความเป็นคนโมโหร้าย ลูกเรือเหล่า นั้นแสดงความเคารพมันอย่างสงบเสงี่ยมจากบริเวณน่านน�้าที่อยู่ห่างออก ไปไกล ด้วยเกรงว่าหากติดตามไปท�าความคุ้นเคยมากกว่านี้พวกเขาอาจถูก ตั้งศาลเตี้ยจากพฤติกรรมถืออวดของตน กระนั้นใช่เพียงแค่วาฬที่มีชื่อเสียงเหล่านี้เท่านั้นที่สร้างความโด่งดัง เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นคุณอาจต้องเรียกมันว่าเกียรติศัพท์แห่งมหาสมุทรกว้าง ไม่ใช่เพียงเพราะชื่อเสียงของมันขณะมีชีวิตอยู่ และต�านานอมตะที่เล่าขาน กันในหมูช่ าวเรือหลังมันตายจากไป แต่เพราะชือ่ ของมันได้รบั การยอมรับให้มี สิทธิ อภิสทิ ธิ์ และเกียรติยศ มากพอๆ กับชือ่ ของแคมบีซสี หรือซีซาร์ โอ้.."มัน ไม่ได้มากเกินไปใช่ไหม? อันธพาลแห่งติมอร์! เจ้าสัตว์นา�้ ยักษ์เจ้าของรอยแผล เป็นที่มีลวดลายคล้ายดั่งภูเขาน�้าแข็ง เจ้ามิจ�าต้องหลบซ่อนอยู่ในน่านน�้าอัน เป็นสมญานาม ลมหายใจพวยพุ่งของเจ้าพบเห็นได้บ่อยจากหาดต้นปาล์ม บนเกาะออมเบย์ โอ้...ไม่ได้มากเกินไปใช่ไหม? อันธพาลแห่งนิวซีแลนด์! เจ้าผู้ ก่อการร้ายทุกล�าเรือทีแ่ ล่นผ่านร่องรอยทางน�า้ ของเจ้าบริเวณใกล้ดนิ แดนลาย สัก โอ้...ไม่มากเกินไปใช่ไหม? เจ้ามอร์ควอน! ราชาแห่งน่านน�า้ ญีป่ นุ่ ลมหายใจ สูงตระหง่านของท่านที่พวกเขาพบเห็นเป็นครั้งคราวนั้นท�าให้นึกไปว่านั่นคือ ทางช้างเผือกพาดผ่านท้องฟ้า โอ้...ไม่มากเกินไปใช่ไหม? ดอน มิกูเอิล! ท่าน วาฬสัญชาติชิลีเจ้าของรอยบากคล้ายเต่าแก่มีอักษรปริศนาอียิปต์โบราณอยู่ กลางหลัง! นีค่ อื วาฬสีต่ วั ทีร่ จู้ กั กันดีในกลุม่ นักศึกษาประวัตศิ าสตร์สตั ว์ทะเล เลี้ยงลูกด้วยนม เฉกเช่นมาริอุส หรือซิลลาเป็นที่รู้จักดีในกลุ่มนักวรรณคดี ทว่าก็ไม่ใช่ทั้งหมด อันธพาลประจ�าถิ่นนิวซีแลนด์ และดอน มิกูเอิล หลังสร้างหายนะครั้งใหญ่ให้กับเรือเล็กของเรือเดินสมุทรหลายล�า ในที่สุดก็ ต้องสิ้นชื่อไปอันเนื่องจากการไล่ล่าแบบโอบล้อมโดยเหล่ากัปตันนักล่าวาฬ เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 279
ผู ้ ก ล้ า หาญ ซึ่ ง ตั้ ง เป้ า หมายอย่ า งมาดมั่ น ขณะถอนสมอของพวกเขา เหมือนดังกัปตันบัทเลอร์ตั้งปณิธานมั่นในใจขณะเริ่มออกเดินทางผ่านป่า นาร์รากันเซตต์วา่ เขาจะต้องตามจับแอนนาวอน ฆาตกรโฉดชัว่ ช้า ผูเ้ ป็นนักรบ แถวหน้าในสงครามพระเจ้าฟิลิปให้ได้ ผมไม่รวู้ า่ จะหาพืน้ ทีไ่ หนได้ดเี ท่ากับพืน้ ทีต่ รงนีใ้ นการเอ่ยถึงหนึง่ หรือสอง เรื่องที่ผมมองว่าส�าคัญ เพื่อให้เกิดรูปแบบงานพิมพ์ที่มีครบทุกประเด็นของ ความสมเหตุสมผลในเรือ่ งเกีย่ วกับวาฬสีขาวทัง้ หมด โดยเฉพาะอย่างยิง่ เรือ่ ง ที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ร้ายแรง และนี่คือตัวอย่างหนึ่งของเหตุการณ์ท้อใจเมื่อ ข้อเท็จจริงได้รับการสนับสนุนมากพอๆ กับความเชื่อที่ผิดๆ คนบนฝั่งส่วน มากไม่รู้เรื่องบางเหตุการณ์น่าพิศวงที่สัมผัสได้อย่างชัดเจนบนโลกใบนี้ เมื่อ ขาดความรู้พื้นฐานที่เป็นข้อเท็จจริงไร้การปรุงแต่ง ประวัติศาสตร์ และข้อมูล อืน่ ใดเกีย่ วกับการประมง จึงเป็นเหตุให้พวกเขาดูแคลนเรือ่ งของโมบีด้ กิ๊ ว่าเป็น เพียงเรื่องแต่งอันน่าขนลุก หรือเลวร้ายกว่านั้น และน่าชิงชังกว่านั้น คือเป็น นิทานอีสปน่าเกลียด น่าขยะแขยง อันดับแรก: แม้คนจ�านวนมากจะเคยได้ยินได้ฟังกันมาบ้างเกี่ยวกับภัย อันตรายที่เกิดขึ้นในการประมงทุกประเภท แต่ดูเหมือนว่าภาพภัยอันตราย ที่แวบเข้ามาในสมองของคนเหล่านี้เป็นเรื่องราวที่ขาดการตรวจสอบความ ถูกต้อง อาจเป็นเพราะไม่ถึงหนึ่งในห้าสิบของความหายนะ และจ�านวนคน ตายที่เกิดขึ้นจริงจากอุบัติเหตุต่างๆ ในการประมงจะได้รับการบันทึกและ เผยแพร่ ซึ่งบันทึกนั้นในที่สุดแล้วก็จะปรากฏอยู่เพียงไม่นาน และถูกลืมไป อย่างรวดเร็ว คุณนึกออกไหมว่าภาพเด็กหนุม่ ผูน้ า่ สงสารก�าลังด�าดิง่ ตามเสียง สัตว์ทะเลยักษ์ลงสู่เบื้องล่างใต้ทะเลลึก อันเป็นเหตุให้ร่างของเขาถูกเชือกล่า วาฬรัดไว้แน่นบริเวณน่านน�า้ ห่างออกไปจากชายฝัง่ นิวกีนี คุณนึกออกไหมว่า ชือ่ ของเด็กหนุม่ โชคร้ายผูน้ นั้ จะปรากฏเป็นข่าวมรณกรรมบนหน้าหนังสือพิมพ์ ทีค่ ณ ุ จะได้อา่ นบนโต๊ะอาหารมือ้ เช้าในวันรุง่ ขึน้ ไม่มที าง : เพราะเส้นทางการ น�าส่งจดหมายระหว่างทีน่ ี่ กับนิวกินไี ม่ราบรืน่ เอาเสียเลย จริงๆ แล้ว คุณเคย 280 : โมบี-ดิ๊ก
ได้ยินข่าวคราวอะไรจากนิวกินีบ้าง ไม่ว่าจะเป็นทางตรง หรือทางอ้อม ยิ่งไป กว่านั้น ผมจะบอกคุณว่าระหว่างเส้นทางเดินเรือครั้งหนึ่งที่ผมเคยเดินทาง ไปยังมหาสมุทรแปซิฟิค ท่ามกลางจ�านวนเรือประเภทต่างๆร่วมสามสิบล�า ที่เราได้พบเจอและพูดคุยด้วย ทุกล�าล้วนมีคนตายจากสาเหตุการล่าวาฬ เรือบางล�ามีคนตายมากกว่าหนึง่ คน มีเรือสามล�าทีต่ อ้ งเสียนักพุง่ ฉมวกประจ�า เรือเล็กไป เห็นแก่พระเจ้าเถิด! กรุณาช่วยกันประหยัดแสงตะเกียง และแสง เทียนทีค่ ณ ุ ใช้ดว้ ย! เพราะหนึง่ แกลลอนทีค่ ณ ุ เผาพลาญไขมันไปนัน้ มีเลือดของ ลูกเรืออย่างน้อยหนึ่งหยดปนเปื้อนอยู่ ล�าดับที่สอง: คนบนฝั่งคิดกันอย่างจริงจังว่าวาฬเป็นสัตว์ใหญ่ที่มีพละ ก�าลังมาก แต่ผมเคยมีประสบการณ์ว่าเมื่อเล่าให้คนเหล่านี้ฟังถึงตัวอย่าง พิเศษของสัตว์ที่มีความใหญ่มากกว่านี้ถึงสองเท่า พวกเขาต่างหาว่าผมเล่า เรื่องขบขัน ผมขอบอกออกจากใจว่า ผมไม่ได้คิดทะเล้นมากไปกว่าที่โมเซ็ส เขียนบันทึกเหตุการณ์ไข้ระบาดในอียิปต์ แต่ก็ยังเคราะห์ดี เรื่องเล่าของผมมีหลักฐานพิสูจน์โดยหลักฐานนั้นไม่มี อะไรเกี่ยวข้องกับตัวผมเลย นั่นก็คือกรณีที่ว่าวาฬหัวทุยมีพลังอ�านาจมาก พอที่จะเรียนรู้ และวางแผนปองร้ายอย่างสุขุม มันจงใจเข้าตี ท�าลายล้าง และล่มเรือใหญ่ทั้งล�า รวมทั้งท�าอะไรได้อีกมากมายที่จะสร้างหายนะให้เกิด ขึ้นได้มากกว่านั้น เหตุการณ์แรก: เกิดขึน้ ปี ค.ศ. 1820 เรือเอสเซ็กส์ น�าโดยกัปตันพอลลาร์ด แห่งแนนทักเก็ตขณะแล่น ผ่านบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิค วันหนึ่งลูกเรือ เห็นกลุ่มล�าน�้าพวยพุ่ง พวกเขาหย่อนเรือเล็กลงและไล่ตามฝูงวาฬหัวทุยไป ห่างออกไปเบื้องหน้ามีวาฬหลายตัวได้รับบาดเจ็บ ทันใดนั้นวาฬขนาดใหญ่ ยักษ์ตัวหนึ่งหนีการไล่ล่าของเรือเล็ก มันแยกจากฝูงแล้วตรงดิ่งมายังเรือ พุ่งส่วนหัวของมันกระแทกเข้ากับล�าเรือ มันท�าเรือแตกภายในเวลาน้อย กว่า “สิบนาที” แล้วเรือก็ค่อยๆ จมดิ่งลงทะเล ไม่มีไม้กระดานสักแผ่น เหลือรอดให้ได้เห็นนับจากนั้นมา หลังปรากฏการณ์ความรุนแรง ลูกเรือ เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 281
บางส่วนอาศัยเรือเล็กลอยล�าจนถึงแผ่นดินใหญ่ เมื่อกลับมาบ้านเกิดได้แล้ว กัปตันพอลลาร์ดยังเคยแล่นเรือไปยังมหาสมุทรแปซิฟิคอีกครั้งด้วยการท�า หน้าที่เป็นกัปตันให้เรือล�าอื่น ทว่าโชคชะตาท�าให้เรือของเขาอับปางลงอีก ด้วยคลืน่ ขนาดใหญ่ และหินโสโครกทีม่ องไม่เห็น ในครัง้ ทีส่ องนีเ้ รือของเขาได้ รับความเสียหายเขาสาบานต่อเทพแห่งมหาสมุทรในทันทีวา่ จะไม่เดินเรืออีก ต่อไป และนับจากนั้นมาเขาก็ไม่เคยน�าเรือออกทะเลอีกเลย ถึงวันนี้ กัปตัน พอลลาร์ดเป็นพลเมืองแนนทักเก็ต ผมเคยพบกับโอเวน เชซ ต้นหนเรือ เอสเซ็กส์ทอี่ ยูร่ ว่ มในโศกนาฏกรรมครัง้ นัน้ และเคยได้อา่ นงานเขียนของเขาที่ บอกเล่าอย่างตรงไปตรงมา และซือ่ สัตย์ ผมยังได้พดู คุยกับลูกชายของเขาด้วย โดยทั้งหมดนี้เกิดขึ้นห่างจากสถานที่ที่เกิดเหตุภัยพิบัตินั้นไม่กี่ไมล์* *ข้อความต่อไปนี้ถอดความมาจากเรื่องเล่าของเชซ : “ข้อเท็จจริงทั้งหมด ที่เกิดขึ้นเตือนให้ผมลงความเห็นว่ามันไม่ใช่อะไรอื่นเลยนอกเสียจากโชค ชะตาก�าหนดให้เกิดการโจมตีขึ้น มันโจมตีเรือถึงสองครั้งด้วยรูปแบบที่ต่างกัน ไป เพียงช่วงเวลาสั้นๆ นั้น หายนะเกิดขึ้นโดยที่ผมแทบไม่มีโอกาสได้ตั้งตัว รับมือ การโจมตีนนั้ มีเป้าหมายให้พวกเราได้รบั บาดเจ็บ โดยการน�าไปข้างหน้า ใช้ความเร็วของสองวัตถุกระแทกเข้าใส่กนั จนเป็นผลให้เกิดหายนะขึน้ แผนการ ร้ายของมันเป็นปัจจัยส�าคัญที่ท�าให้เกิดหายนะขึ้น ลักษณะของมันน่าเกลียด น่ากลัว ท่าทางบ่งบอกถึงอารมณ์ขุ่นเคือง และโกรธแค้น มันตรงรี่ออกมาจาก ฝูงที่พวกเราเพิ่งจะฝ่าเข้าไปก่อนหน้านี้ และติดพันอยู่กับเพื่อนของมันสามตัว ราวกับพวกมันถูกจุดไฟแค้นที่ก�าลังเผาไหม้อยู่ภายใน “เช่นเดิม” เหตุการณ์ ทั้งมวล สถานการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นพร้อมกัน ทุกขณะเกิดขึ้นเบื้องหน้าสายตา ผมเอง ภาพในเวลานัน้ ท�าให้ผมเริม่ ตระหนักถึงสถานการณ์รา้ ยจากวาฬตัวนัน้ (ยังมีอกี หลายภาพเหตุการณ์ทผี่ มจ�าไม่ได้ในตอนนี)้ ผมดีใจทีต่ วั เองเปลีย่ นใจทัน” ต่อไปนี้คือความรู้สึกของเขาในช่วงเวลาหลังจากละทิ้งเรือใหญ่ ล่องลอย อยู ่ ใ นเรื อ เล็ ก ท่ า มกลางคื น เดื อ นมื ด แทบหมดหวั ง ที่ จ ะไปให้ ถึ ง ฝั ่ ง เพื่ อ 282 : โมบี-ดิ๊ก
รับไมตรีจิต “มหาสมุทรมืดมิด และคลื่นทะเลให้ความรู้สึกเวิ้งว้าง ความ หวาดกลั ว เข้ า ครอบง� า ทั้ ง กลั ว พายุ ค ลั่ ง กลั ว เรื อ กระแทกชนหิ น โสโครก และอีกสารพัดเหตุร้ายที่อาจอุบัติเกิดขึ้นได้ ราวกับว่าสิ่งต่างๆ ที่น่ากลัว ทั้งหมดเดินเรียงแถวเข้ามาในความคิดช่วงเวลานั้น ความกังวลกลัวเรือจะ ล่ม และกลัววาฬที่มีลักษณะน่าเกลียดน่ากลัว และอาฆาตมาดร้ายตัวนั้น ทั้งหมดนี้ล้วนคุกรุ่นอยู่ในใจผม กระทั่งเกิดเหตุการณ์ขึ้นอีกครั้งในวันใหม่” ข้อความนี้ยังมีปรากฏอยู่ในหน้า 45 เขาเอ่ยถึง “การโจมตีที่เป็นปริศนา เร้นลับของสัตว์ตัวนั้น”
ล� า ดั บ ที่ ส อง: เรื อ ยู เ นี ย น ซึ่ ง เป็ น เรื อ จากแนนทั ก เก็ ต เช่ น เดี ย วกั น ถูกท�าลายอย่างย่อยยับในปี ค.ศ.1807 ด้วยการโจมตีในลักษณะเดียวกัน ทว่าหลักฐานทีเ่ ชือ่ ถือได้ของภัยพิบตั นิ ผี้ มไม่มโี อกาสค้นพบ แม้แต่นกั ล่าวาฬ ที่ผมบังเอิญพบเจอเป็นครั้งคราวก็ไม่มีใครพูดให้ฟัง ล�าดับที่สาม: ประมาณสิบแปด หรือยี่สิบปีมาแล้วนาวาเอกเจ ซึ่งใน เวลานั้นเป็น ผู้บัญชาการชั้นหนึ่งเรือรบอเมริกัน ได้ร่วมงานเลี้ยงอาหารค�่า กับเหล่ากัปตันเรือล่าวาฬบนเรือแนนทักเก็ตที่จอดอยู่บริเวณท่าเรือโอวาฮู บนเกาะแซนด์วิช1 หัวข้อการสนทนาพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องวาฬ ท่านนาวาเอก เกิดความกังขาขึน้ มาทันทีทไี่ ด้ยนิ เหล่าบรรดาสุภาพบุรษุ ผูเ้ ชีย่ วชาญเล่าขานถึง พละก�าลังอันน่าอัศจรรย์ของมัน เขาปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่มวี าฬตัวใดสามารถ โจมตีเรือรบของเขาให้เสียหายได้แม้เพียงรอยรั่วเล็กน้อย เยี่ยมจริงๆ...ทว่า บทพิสจู น์กา� ลังผ่านเข้ามา หลายสัปดาห์หลังจากนัน้ ท่านนาวาเอกแล่นเรือรบ แข็งแกร่งของเขาไปยังวาลปาไรโซ เขาบังเอิญพบวาฬหัวทุยขนาดเบิม้ ตัวหนึง่ จึงคิดหยุดเอาธุระกับมันชั่วประเดี๋ยว ทว่าธุระนั้นถึงกับท�าให้เรือของท่าน นาวาเอกต้องเฆี่ยนลูกสูบทุกลูกเร่งเรือแล่นตรงไปยังท่าจอดที่ใกล้ที่สุดเพื่อ คว�่าเรือซ่อม ผมไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์ แต่ก็ติดใจในค�าสัมภาษณ์ของท่าน 1
เกาะฮาวายปัจจุบัน
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 283
นาวาเอกที่บอกว่าวาฬตัวนั้นเป็นเจตจ�านงของพระเจ้า ก็ในเมื่อซาอูลแห่ง ทาร์ซัสเองก็เคยเปลี่ยนความเชื่อด้วยเพราะประสบกับเหตุการณ์น่ากลัว ท�านองเดียวกันนี้เหมือนกันไม่ใช่หรือ? ผมบอกคุณได้เลยว่า วาฬหัวทุยไม่ใช่ เรื่องไร้สาระ เอาล่ะ...ผมจะเล่าให้คุณฟังถึงการเดินเรือของแลงส์ดอร์ฟในเหตุการณ์ หนึ่ ง ที่ มี ค วามน่ า สนใจ และมี ลั ก ษณะคล้ า ยกั บ เรื่ อ งที่ เ ขี ย นถึ ง ในบทนี้ แลงส์ดอร์ฟเป็นหนึ่งในคณะส�ารวจของนายพลชาวรัสเซียนามครูเซนสเติร์น ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังในช่วงต้นศตวรรษปัจจุบัน กัปตันแลงส์ดอร์ฟเริ่มบทที่ สิบเจ็ดของเขาดังนี้ : “วันที่สิบสาม เดือนพฤษภาคม เรือของเราเตรียมพร้อมกางใบเรือ วัน ต่อมาเราแล่น ผ่านเขตทะเลเปิดเพื่อเดินทางไปยังโอค็อตก์ ท้องฟ้าแจ่มใส อากาศบริสุทธ์ แต่หนาวจนแทบทนไม่ไหวเราต้องซุกตัวอยู่ในเสื้อขนสัตว์ ตลอดเวลา หลายวันมานี้ลมพัดอ่อนแรง แต่เมื่อถึงวันที่สิบเก้าก็เริ่มมีลมแรง พัดมาจากทางเหนือ เราพบวาฬขนาดใหญ่มหึมาตัวหนึ่ง ตัวของมันใหญ่กว่า เรือเสียอีกมันลอยตัวอยู่บนผิวน�้า แต่ขณะเรือก�าลังแล่นฉิวอยู่นั้นยังไม่มีใคร บนเรือเห็นมัน เมื่อเห็นมันอีกครั้งเป็นช่วงจังหวะเรือเกือบขึ้นไปแล่นอยู่บน ตัวมัน จึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยทีจ่ ะหลบเลีย่ งไม่ปะทะกับมัน เวลานัน้ เราแล่น เรืออยู่บนขีดอันตรายจากสัตว์ใหญ่ยักษ์ มันยกหลังดันเรือขึ้นจากน�้าทะเล สูงสามฟุตเป็นอย่างน้อย เสากระโดงเรือโคลงเคลง ใบเรือร่วงหล่นพร้อม กัน ขณะพวกเราด้านล่างต่างรีบโดดขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือ ตอนแรกพวกเรา คิดว่าเรือชนเข้ากับหินโสโครก แต่เรากลับเห็นเจ้าอสุรกายลอยห่างออกไป ด้วยท่าทางถมึงทึง และเคร่งขรึม กัปตันดวูลฟ์รีบใช้ลูกสูบตรวจสอบดูว่าเรือ ได้รับความเสียหายจากการปะทะหรือไม่ ปรากฏว่าพวกเราโชคดีที่เรือไม่ได้ รับความเสียหายอะไร”
284 : โมบี-ดิ๊ก
เวลานี้กัปตันดวูลฟ์ที่ถูกพาดพิงว่าเป็น ผู้บัญชาการเรือในเรื่อง เขาเป็น ชาวนิวอิงแลนด์หลังใช้ชีวิตเสี่ยงภัยเป็นกัปตันเรือเดินทะเลมานาน ปัจจุบัน เขาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านดอร์เชสเตอร์ใกล้บอสตัน ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็น หลานชายของเขา ผมเคยซักไซ้เขาในเรื่องที่แลงส์ดอร์ฟเขียน เขายืนยันใน ทุกค�า แม้เรือจะไม่ได้มขี นาดใหญ่ เนือ่ งจากเรือรัสเซียสร้างขึน้ ในไซบีเรีย และ ลุงผมซื้อมาหลังจากต่อรองราคาและน�าแล่นกลับมาบ้าน ในบันทึกลูกผู้ชาย การขึ้นเหนือล่องใต้ผจญภัยสมัยก่อนเต็มไปด้วยเรื่อง ราวอันน่าพิศวงอย่างแท้จริง การเดินเรือของไลโอเนล เวเฟอร์ เพื่อนเก่าคน หนึง่ ของปูแ่ ดมพิเอร์ ผมพบว่ามีเรือ่ งๆ หนึง่ มีลกั ษณะเหตุการณ์คล้ายกับเรือ่ ง ที่อ้างอิงจากบันทึกของแลงส์ดอร์ฟ ผมอดใจไม่ได้จึงต้องน�ามาสอดแทรกไว้ ตรงนีเ้ พือ่ ให้เป็นตัวอย่างสนับสนุนเรือ่ งให้มนี า�้ หนักมากขึน้ ซึง่ เป็นเรือ่ งจ�าเป็น ไลโอเนลน่าจะบันทึกข้อความนี้ช่วงระหว่างการเดินทางไปยัง “ฮวน เฟอร์ดนิ านโด้” หรือทีใ่ นปัจจุบนั เรียกว่า ฮวนเฟอร์นานเดซ “ระหว่างเส้นทาง ไปที่นั่น” เขากล่าว “ประมาณตีสี่ช่วงเช้ามืด เวลานั้นเรือลอยล�าห่างจากแผ่น ดินใหญ่ของอเมริกา2ประมาณหนึง่ ร้อยห้าสิบลีก3 เรือถูกกระแทกอย่างแรงส่ง ผลให้ลูกเรืออกสั่นขวัญหนีจนไม่อาจบอกได้ว่าพวกเขาก�าลังอยู่ที่ไหน หรือ ก�าลังคิดอะไรอยู่ ทุกคนคิดถึงแต่เพียงความตายทีก่ า� ลังจะมาถึง แรงกระแทก นัน้ เกิดขึน้ ฉับพลัน และรุนแรงเสียจนเราคิดว่าเรือน่าจะชนเข้ากับหินโสโครก หลังอาการประหลาดใจเริ่มสงบลง เราเพ่งมองไปที่ส่วนหน้า และส�ารวจดู แต่ไม่พบพื้นกระแทก ..แรงกระแทกฉับพลันนั้นท�าให้ปืนใหญ่ผลุบเข้าไปใน ฐานที่ตั้ง และลูกเรือหลายคนถูกปลุกให้ลุกขึ้นจากเปลญวณ กัปตันเดวิส ผูไ้ ด้รบั มอบหมายให้ควบคุมปืนใหญ่รบี ผลุนพลันออกมาจากห้องส่วนตัว เวลา นั้นไลโอเนลกล่าวว่าแรงกระแทกนั้นเป็น ผลมาจากแผ่นดินไหว เขายืนยัน ข้อกล่าวอ้างของตนด้วยการอ้างถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ซึ่งจริงๆ แล้วในช่วงเวลาใกล้เคียงกันนั้นได้เกิดแผ่นดินไหวขึ้นจริง และสร้างความเสีย 2 3
แผ่นดินใหญ่อเมริกาใต้ เท่ากับ 3 ไมล์ หรือ 3 นอต
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 285
หายยับเยินบนแผ่นดินประเทศสเปน หากแต่ผมไม่สงสัยเลยว่าความมืดมัว ในชัว่ โมงเริม่ ต้นของยามเช้า แรงกระแทกนัน้ น่าจะเป็นผลมาจากวาฬตัวหนึง่ พุ่งชนตัวเรือจากใต้ทะเลลึก ซึ่งพวกเขามองไม่เห็นมัน ผมอาจให้ตัวอย่างได้อีกหลายเหตุการณ์ที่ผมได้รับรู้มาจากหลายแหล่ง ข้อมูลเกี่ยวกับพละก�าลังอันทรงพลัง และความมาดร้ายของวาฬหัวทุย มี ตัวอย่างเหตุการณ์มากกว่าหนึง่ ครัง้ ทีเ่ ล่าขานกันว่ามันไม่เพียงไล่โจมตีเรือเล็ก ทีล่ า่ ถอยกลับเรือใหญ่ แต่ยงั ไล่ตามเรือใหญ่อย่างไม่ลดละด้วย มันสูอ้ ดทนต่อ ความเจ็บปวดจากคมหอกทัง้ หมดทีพ่ งุ่ เข้าใส่มนั จากดาดฟ้าเรือ เหตุการณ์นนั้ เกิดขึน้ กับเรืออังกฤษพูซฮี อลล์ ความแข็งแกร่งของวาฬหัวทุยนัน้ ผมอยากยก ตัวอย่างเหตุการณ์ตอนเชือกรัดติดกับตัววาฬขณะก�าลังว่ายไปอย่างสงบนิ่ง มันลากเรือใหญ่เคลื่อนตามไป ซึ่งแน่ล่ะว่า! เรือล�าใหญ่ลอยลิ่วไปบนน่านน�้า ราวกับม้าลากรถสองล้อเคลื่อนติดไปกับมัน เช่นเคยกับเหตุการณ์ที่พบเห็น ได้บอ่ ยครัง้ เมือ่ วาฬหัวทุยถูกจับได้อกี คราว เวลานัน้ มันจะรวบรวมพละก�าลัง กระท�าการด้วยความคลั่งแค้นตามความตั้งใจอย่างมุ่งมั่นที่จะท�าลายล้างผู้ ไล่ลา่ มัน แทบไม่มคี า� พูดสวยหรูใดจะอธิบายได้อย่างลึกซึง้ ถึงอุปนิสยั ของมัน ขณะโจมตีมนั จะเปิดปากออกหลายครัง้ และขยายกว้างค้างเอาไว้นานต่อเนือ่ ง หลายนาที แม้ผมพอใจจะได้เห็นภาพนั้นเพียงแค่ครั้งเดียว และอยากให้เป็น ภาพสุดท้าย ภาพทีน่ า่ ตืน่ ตาตืน่ ใจ และมีความหมายมากมายเหลือล้นซึง่ คุณจะ ไม่ผดิ หวังทีไ่ ด้เห็น ภาพนัน้ ไม่เพียงเป็นเหตุการณ์อนั น่าอัศจรรย์ใจในหนังสือ เล่มนีซ้ งึ่ ได้รบั การสนับสนุนด้วยข้อมูลทีช่ ดั เจนของปัจจุบนั ทว่าความน่าพิศวง เหล่านี้ (เหมือนเช่นสิ่งมหัศจรรย์ทุกเรื่อง) เพียงเกิดซ�้าๆในแต่ละช่วงเวลา นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ท�าให้เราได้กล่าวค�าเอเมนกับโซโลมอนครั้งที่หนึ่งล้านได้ แท้จริงแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้นใหม่ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ โพรโคเพียส เป็นชาวคริสเตียนทีม่ ชี วี ติ อยูใ่ นช่วงคริสต์ศกั ราชทีห่ ก เขาเป็น เจ้าพนักงานฝ่ายปกครองแห่งสภาคอนสแตนนิโนเพิล ยุคสมัยทีจ่ สั ติเนียนเป็น จักรพรรดิ และเบลิซาเรียสเป็นแม่ทัพ หลายคนรู้ว่าเขาบันทึกประวัติศาสตร์ 286 : โมบี-ดิ๊ก
ในช่วงของเขาเอง งานเขียนทัง้ หมดมีคณ ุ ค่าพิเศษ ด้วยความรูค้ วามเชีย่ วชาญ ทีม่ มี ากท�าให้เขามักได้รบั การพิจารณาให้เป็นนักประวัตศิ าสตร์ทไี่ ม่กล่าวเกิน จริง และมีความน่าเชื่อถือมากที่สุด จะมีก็เพียงหนึ่ง หรือสองเรื่องพิเศษ ซึ่ง ไม่ได้ส่งผลต่อสาระส�าคัญที่กล่าวถึงในเวลานี้เลย กล่าวคือในบันทึกประวัติศาสตร์ของโพรโคเพียส เขาได้อ้างว่าช่วงเขา ปฏิบตั หิ น้าทีใ่ นสภาคอนสแตนติโนเปิลมีอสุรกายยักษ์ตวั หนึง่ ถูกจับได้บริเวณ ใกล้ๆ โพรพอนทิส หรือทะเลมาร์โมรา หลังจากที่มันท�าลายเรือหลายล�าล่ม บริเวณน่านน�้าแถวนั้นในช่วงเวลามากกว่าห้าสิบปี ข้อเท็จจริงนั้นถูกบันทึก เป็นประวัติศาสตร์ส�าคัญที่ไม่อาจปฏิเสธได้เลย และก็ไม่มีเหตุผลใดจะมา กล่าวแย้งได้เลย แม้สายพันธุ์ที่ถูกต้องของอสุรกายทะเลตัวนี้ไม่ได้ถูกเอ่ยถึง แต่หากมันท�าลายเรือเดินสมุทรได้ รวมทัง้ อีกหลายมูลเหตุทา� ให้สรุปได้วา่ มัน จะต้องเป็นวาฬแน่ และผมปักใจเชือ่ ว่าจะต้องเป็นวาฬหัวทุย แล้วผมจะบอก คุณให้วา่ เพราะเหตุใด นานมาแล้วผมเคยคิดว่าวาฬหัวทุยเป็นสัตว์ลกึ ลับทีม่ กั อาศัยอยูใ่ นทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และทะเลลึกละแวกใกล้เคียง จวบจนเดีย๋ ว นี้ผมมาแน่ใจว่าไม่ใช่แค่ทะเลเหล่านั้น และจากข้อมูลหลายส่วนในปัจจุบัน พบว่าอาจไม่เคยมีที่แห่งใดเป็นแหล่งอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงของมัน อีกทั้ง จากการส�ารวจเพิ่มเติมเมื่อเร็วๆ นี้พิสูจน์ให้ผมได้รู้ว่าในยุคปัจจุบันมีหลาย เหตุการณ์ที่มีผู้พบวาฬหัวทุยแยกอยู่เดี่ยวๆ ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ผม ได้ยินมาว่าท่านนาวาเอกเดวิสแห่งราชนาวีอังกฤษเคยพบโครงกระดูกวาฬ หัวทุยขณะปฏิบตั หิ น้าทีอ่ ยูบ่ ริเวณชายฝัง่ บาร์เบรี่ เวลานัน้ เรือรบเพิง่ แล่นผ่าน ดาร์เดเนลเลส ดังนัน้ วาฬหัวทุยน่าจะว่ายจากเมดิเตอร์เรเนียนไปยังโพรพอน ติสตามเส้นทางเดิม ในโพรพอนทิสเท่าทีผ่ มรูม้ า ไม่มใี ครเคยค้นพบแหล่งอาศัยของลูกปลาเฮอริง่ ซึ่งเป็นอาหารของวาฬไรท์ นอกจากนี้ผมยังมีอีกหลายมูลเหตุให้เชื่อว่า ปลาหมึก หรือสัตว์จา� พวกปลาหมึก ซึ่งเป็นอาหารของวาฬหัวทุยนั้นซุกซ่อน อยู่ใต้ทะเลลึก เพราะสัตว์ขนาดใหญ่ ไม่เว้นแม้แต่สัตว์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 287
ในสายพันธุน์ นั้ ถูกพบบนผิวน�า้ บริเวณนัน้ เมือ่ เป็นเช่นนีแ้ ล้วหากคุณน�าข้อมูล ทั้งหมดนี้มาคิดพิจารณาอย่างถี่ถ้วน คุณจะเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งอย่างที่ มนุษย์ทุกคนพึงจะคิดค�านึงได้ว่า อสุรกายทะเลของโพรโคเพียสที่ท�าลาย เรือของจักรพรรดิโรมันตลอดครึ่งศตวรรษนั้นจะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจาก วาฬหัวทุย
288 : โมบี-ดิ๊ก
บทที่ 46 เดาใจ
แม้เป้าหมายของเขาเร้าร้อนด้วยเปลวเพลิงแห่งไฟแค้น ตลอดเวลาทุกความ คิดและการกระท�าของเอแฮ็บปรากฏภาพชัดสู่การตามล่าโมบี้ดิ๊ก แม้นดู เหมือนเขาพร้อมสละทุกสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจบนโลกใบนี้ให้แก่แรงปรารถนา เพียงหนึ่งเดียวนั้น ทว่าอาจเป็นไปได้ว่าด้วยลักษณะนิสัยของเขา และความ คุน้ เคยมาอย่างยาวนานท�าให้เขาผูกพันกับวิถชี วี ติ นักล่าวาฬเลือดร้อน พร้อม เพลิดเพลินไปกับภารกิจเดินเรือ ซึ่งนอกเหนือจากนี้แล้วคงไม่มีเหตุอื่นใดมี อิทธิพลเปลีย่ นเป้าหมายเขาได้อกี ความเคยชินทีม่ อี ทิ ธิพลถึงขนาดส่งผลต่อ แรงปรารถนาในใจเขา สือ่ ให้เห็นว่าความอาฆาตพยาบาทของเขาต่อวาฬสีขาว นัน้ อาจขยายวงกว้างไปสูว่ าฬหัวทุยทุกตัว ยิง่ เขาฆ่าอสุรกายยักษ์เหล่านีม้ าก เท่าไร ยิ่งท�าให้เขามีโอกาสได้เผชิญหน้ากับวาฬตัวที่เขาชิงชังและต้องการล่า ได้ทวีคูณมากขึ้นเท่านั้น แม้นสมมติฐานนี้มีข้อยกเว้น ก็ยังมีข้อพิจารณาอื่น อีก ซึง่ แม้จะไม่สอดคล้องนักกับการใช้อารมณ์ปกครองคนอย่างดุรา้ ยของเขา กระนั้นก็ไม่ได้มีผลใดๆ ต่อเขาเลย เพื่อให้เป้าหมายของเขาบรรลุผล เอแฮ็บต้องใช้คนโง่ และต้องเป็นคน โง่ทั้งหมดที่เคยอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ เหล่าคนงานส่วนใหญ่มีแนวโน้มไม่ ยอมฟังค�าสั่งเขา ดังเช่นเขารู้ดีว่าแม้ตนจะมีเครื่องดึงดูดใจที่ช่วยท�าให้เขา มีอิทธิพลเหนือสตาร์บัคในบางประการ หากแต่อิทธิพลนั้นไม่อาจครอบง�า ชายผู้มีจิตวิญญาณอันสมบูรณ์นั่นได้มากไปกว่าใช้บทบาทความเป็น ผู้น�า เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 289
ทางปัญญาซึ่งเป็นความเหนือกว่าที่เห็นเป็นรูปธรรม ส�าหรับจิตวิญญาณ อันบริสุทธิ์ สติปัญญามีผลแต่เพียงความสัมพันธ์ที่เป็นรูปธรรมเท่านั้น ร่าง กายของสตาร์บัค และอ�านาจบังคับของสตาร์บัค จะเป็นของเอแฮ็บ ตราบที่ เอแฮ็บยังคงรักษาเครื่องดึงดูดใจนี้ไว้ในสมองของสตาร์บัคได้ เขายังรู้อีกว่า ทัง้ หมดนีเ้ ป็นเหตุผลให้สว่ นลึกในจิตใจของหัวหน้าต้นหนชิงชังการส�ารวจของเขา และถ้าสตาร์บัคสามารถท�าได้ เขาคงยินดีแยกตัวจากงานนี้ หรือไม่ก็ขัดขวาง ท�าลายมัน เป็นไปได้วา่ ช่วงหยุดพักเป็นเวลานานคงท�าให้ภาพวาฬสีขาวทีเ่ คย เห็นก่อนหน้านี้เลือนหายไป ช่วงเวลาพักไปนานนั้นสตาร์บัคคงตัดสินใจแล้ว ทีจ่ ะกระโจนเข้าสูส่ ภาวะเดิมของการเป็นกบฏต่อความเป็นผูน้ า� ของกัปตันเขา เว้นแต่จะใช้อ�านาจแห่งความสุขุมรอบคอบมาควบคุมเขา นอกจากนั้นแล้ว ความวิกลจริตซับซ้อนของเอแฮ็บเกี่ยวกับโมบี้ดิ๊กไม่มีทางถูกเปิดเผยออกมา ให้เห็นประจักษ์ชัดมากไปกว่าประสาทสัม ผัสเยี่ยมยอดของเขา และความ หลักแหลมในการคาดคะเน ซึ่งปัจจุบันการไล่ล่าบางวิธีควรขจัดความไม่ นับถือพระเจ้าตามจินตนาการแปลกๆ อันเกิดขึน้ ตามธรรมชาติไปเสีย ความ น่าสะพรึงกลัวนานาที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินเรือต้องแยกส่วนออกจากภูมิ หลังอันคลุมเครือ (ส�าหรับความกล้าหาญของคนไม่กี่คนที่จะต้านทานความ มุ่งหมายอันยาวนานที่ยังไม่มีโอกาสบรรลุผล) เมื่อผู้ช่วยกัปตันและลูกเรือ ของเขายืนเฝ้าระวังตลอดค�่าคืน คงต้องมีอะไรบางอย่างผ่านเข้ามาในความ คิดของพวกเขามากกว่าเรื่องของโมบี้ดิ๊กเป็นแน่ แม้เหล่าลูกเรือป่าเถื่อน โห่รอ้ งรับค�าประกาศถึงแผนการส�ารวจของเขาอย่างคึกคะนอง และกระหือรือ แต่เหล่ากลาสีทงั้ หมดทุกประเภทยังมีบางส่วนไม่มากก็นอ้ ยทีย่ งั คงลังเล และ ไม่ไว้วางใจ เขาเหล่านัน้ ยืนอยูท่ า่ มกลางอากาศแปรปรวนรอบนอก สูดรับเอา อากาศแปรปรวนนั้นไว้ แม้เป้าหมายการไล่ล่าเลื่อนลอย และว่างเปล่า ทว่า สัญญาแห่งชีวิต และกิเลศตัณหาท้ายที่สุดแล้วอยู่เหนือสิ่งจ�าเป็นอื่นใด ผล ประโยชน์และการจ้างงานชั่วคราว เป็นผลพวงเพิ่มเติมที่พวกเขาควรยื่นมือ ออกไปยึดไว้ให้มั่น เพื่อการมีชีวิตอยู่จนกว่าจะถึงเป้าหมายสูงสุด 290 : โมบี-ดิ๊ก
ต่างกับเอแฮ็บผูไ้ ม่สนใจในสิง่ อืน่ ใด เวลาทัง้ หมดของมนุษย์ผมู้ ใี จหมกมุน่ ไม่ยอมเสียเกียรติไปกับผลตอบแทนต�่าต้อย เว้นแต่เวลาเหล่านั้นจะเลือน หายไป เงื่อนไขที่ก�าหนดไว้อย่างถาวรของผู้สร้าง ในความคิดของเอแฮ็บคือ บุคคลเลวทราม การยอมให้วาฬสีขาวปลุกปั่นหัวใจกะลาสีเลือดร้อนของข้า หยอกเย้าความดุร้ายของคนพวกนั้น กระทั่งวิญญาณอัศวินผู้กล้าในตัวพวก เขาถูกปลุกขึน้ มา ไม่เพียงเพือ่ ท�าในสิง่ พึงปรารถนาด้วยการล่าโมบีด้ กิ๊ เท่านัน้ แต่ยงั ท�าเพือ่ ให้มอี าหารมากพอส�าหรับความต้องการในแต่ละวัน แม้แต่นกั รบ ศาสนาผู้สูงส่งและกล้าหาญในยุคโบราณกาล ยังไม่พึงใจเดินทางข้ามแดน สองพันไมล์ ไปสู้รบเพื่อหลุมฝังศพศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาโดยปราศจากการ ลักขโมย ฉกถุงเงิน และรับเงินตอบแทนเพิ่มเติมเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างทาง พวกเขายังคงยึดมัน่ ต่อเป้าหมายสูงสุด และความเพ้อฝันของตนไม่ใช่หรือ เป้า หมายสูงสุด และความเพ้อฝันนั้นแปรเปลี่ยนมาจากความน่าขยะแขยง ใน ความคิดของเอแฮ็บ...ฉันจะไม่รีดเค้นความหวังเรื่องเงินทองของคนเหล่านี้... ใช่แล้ว...เงินตรา พวกเขาอาจดูหมิ่นเงินในตอนนี้ แต่รอให้หลายเดือนผ่านไป และสัญญาณแห่งความหวังไร้วี่แวว เวลานั้นเงินที่นอนสงบนิ่งอยู่นี้จะท�าให้ พวกเขาแข็งข้อขึน้ มาทันที เงินก้อนเดียวกันนีใ้ นไม่ชา้ จะเป็นสิง่ ทีท่ า� ให้เอแฮ็บ ถูกขับไล่ ไม่มีแรงปรารถนาอื่นใดดลใจเอแฮ็บได้มากไปกว่านี้ การหุนหันตัดสินใจ อาจเกิดขึน้ ได้ และอาจเป็นไปได้วา่ เป้าหมายส�าคัญทีส่ ดุ ทว่าเป็นเป้าหมายลับ ของการเดินเรือพีควอดได้ถกู เปิดเผยก่อนเวลาอันควร เวลานีเ้ อแฮ็บตระหนัก ดีว่าการกระท�าเช่นนั้นของเขา เป็นการเผยตัวโดยทางอ้อม เปิดทางให้กับ การกล่าวหาที่ไม่อาจโต้เถียงในเรื่องการช่วงชิงอ�านาจ และด้วยการลอยตัว อยู่เหนือความผิดทั้งทางด้านจริยธรรม และกฎหมาย ลูกเรือของเขาอาจจัด วางก�าลัง ยุติอ�านาจของเขา ด้วยการปฏิเสธที่จะเชื่อฟังค�าสั่งเขาอีกต่อไป หรือกระทั่งกระชากทึ้งเขาจากต�าแหน่งบัญชาการ เมื่อข้อกล่าวหาเรื่องการ ช่วงชิงอ�านาจถูกเผยออกมาอย่างชัดแจ้ง และอาจส่งผลให้เกิดภาพเหตุการณ์ เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 291
ร่วงหล่นจากต�าแหน่งได้นนั้ ท�าให้เอแฮ็บเกิดความกระวนกระวายต้องหาทาง ป้องกันตนเอง การป้องกันนัน้ อาจใช้เพียงแค่สงิ่ ทีเ่ ขามีเหนือกว่า ทัง้ มันสมอง หัวใจ และสองมือ ร่วมกับการเอาใจใส่เฝ้าสังเกตอย่างใกล้ชดิ ทุกนาทีตอ่ สิง่ ใด ก็ตามที่มีอิทธิพลครอบง�าให้ลูกเรือของเขาปฏิบัติตาม นอกจากมูลเหตุทงั้ หมดนีแ้ ล้ว อาจยังต้องมีประเด็นอืน่ ๆ อีกทีต่ อ้ งพิจารณา ขยายความให้ชัดพร้อมกันไป เอแฮ็บรู้ดีว่าเขายังต้องรักษาระดับความส�าคัญ ของเป้าหมายแต่ในนามในการเดินเรือพีควอดต่อไป คอยสังเกตธรรมเนียม ปฏิบัติทั้งหมด และไม่เพียงเท่านั้นแต่ยังต้องพยายามท�าตัวเองให้เป็นที่ ประจักษ์ชัดถึงผลประโยชน์น่าหลงใหลในการด�าเนินตามค�าปฏิญาณของตน ความพยายามทั้งหมดนี้อาจเป็นผลให้ในช่วงนี้ จะได้ยินเสียงของเขาร้อง ตะโกนทักทายคนเฝ้ายามบนเสากระโดงเรือทั้งสามเสาบ่อยครั้ง เพื่อคอย เตือนสติให้จับตาเฝ้าระวัง และอย่าละเลยที่จะรายงานสิ่งที่พบเห็นใดๆ ไม่ เว้นแม้แต่ปลาโลมา การเฝ้ายามนี้ไม่นานเกินไปนักจักได้รับรางวัลตอบแทน
292 : โมบี-ดิ๊ก
บทที่ 47 งานทอพรม
เวลาช่วงบ่าย อากาศร้อนอบอ้าว และมีเมฆครึ้ม บรรดาลูกเรือต่างเดินเตร่ อยู่บนดาดฟ้า หรือไม่ก็เหม่อมองออกไปยังน�้าทะเลเบื้องหน้า ควีเคกกับผม ถูกใช้ให้ทา� งานเบาๆ อย่างการถักทอสิง่ ทีเ่ รียกว่าพรมดาบ1 เพือ่ เอาไว้ผกู เรือ เล็กเพิ่มขึ้น บรรยากาศสงบนิ่ง และเงียบสงัด กระนั้นทุกเรื่องราวย่อมต้องมี ช่วงโหมโรงน�าขึ้นก่อน พิธีร่ายมนต์นั้นเที่ยวหลบซ่อนอยู่ในอากาศ ลูกเรือผู้ ไม่ช่างพูดต่างแยกย้ายกันหาที่อ�าพรางตัว ผมเป็นลูกมือคอยช่วยควีเควกที่ก�าลังง่วนอยู่กับการทอพรมเชือก ผมท�า หน้าที่สอดเชือกไปมาระหว่างเชือกเส้นยืน2ของเชือกถักเส้นยาว โดยใช้มือ ตัวเองเป็นกระสวย ส่วนควีเควกยืนอยู่ข้างๆ คอยเลื่อนดาบหนักอึ้ง3ระหว่าง เชือกแต่ละเส้นเป็นพักๆ สายตามองไกลไปยังท้องน�้าด้านนอก โดยไม่ได้ ใส่ใจหรือคิดถึงเรื่องการเดินทางกลับบ้าน ผมรู้สึกแปลกๆ ในช่วงเวลานั้น บรรยากาศราวกับอยูใ่ นความฝันครอบง�าตลอดล�าเรือและท้องทะเล จะมีกแ็ ต่ เพียงเสียงเลื่อนดาบดังขึ้นเอื่อยๆ ขัดจังหวะเป็นช่วงๆ ราวกับพวกเราก�าลัง
พรมดาบ-เชือกทีถ่ กั ขึน้ หยาบๆ ใช้เป็นสายระโยง หรือถักเป็นพรมป้องกันเรือ ทีเ่ รียกแบบนัน้ เพราะเครือ่ งมือ ที่ใช้ขึ้นเชือกรูปร่างคล้ายดาบไม้ 2 เส้นยืน-ในการทอผ้าหมายถึงเส้นด้ายชุดที่เรียงอยู่ในแนวขวาง โดยจะมีเส้นพุ่ง (ที่อิชเมลก�าลังท�า) คอย ขัดสลับให้กลายเป็นผืนผ้า 3 เลื่อนดาบหนักอึ้ง-ซึ่งก็คือดึงเชือกพุ่งให้ขัดกระชับแน่นกับเส้นยืน 1
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 293
อยู่ในสถานที่เลือนรางของหูกทอเวลา4 และตัวผมเองเป็นกระสวยแกว่งไป มาในต�านานกรีกเรือ่ งเดอะเฟท5 เมือ่ สอดเส้นเชือกเข้าไปในแนวด้ายหนึง่ แถว แล้วก็ต้องสอดเชือกพุ่งกลับเสมอ การสอดเส้นเชือกนั้นเพียงเพื่อให้เชือกยืน สานขัดกับเชือกอีกกลุ่มหนึ่ง เชือกเส้นพุ่งนี้จึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ และในตอน นี้ ผมคิด...ด้วยมือที่ผมใช้เป็นกระสวยส่วนตัว ผมได้สานทอชะตากรรมตัว เองผสานไว้ในกลุ่มเส้นเชือกที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ เวลาเดียวกัน ควี เควกยืนใจลอยเลื่อนดาบไม้กระทบเอียงบ้าง คดบ้าง แรงบ้าง เบาบ้าง การก ระทบดาบที่ไม่สม�่าเสมอกันเช่นนั้น ในที่สุดจะเป็นผลให้เกิดความแตกต่างที่ สอดประสานกันอย่างลงตัวบนเชือกที่ถักทอเสร็จสมบูรณ์ ดาบของคนป่าผู้นี้ ผมคิด...ในที่สุดก็ท�าให้เชือกเส้นยืนและเส้นพุ่งเป็นรูปเป็นร่าง ก็เพียงแค่ เปลีย่ นจังหวะของดาบไม้เท่านัน้ ใช่แล้ว แค่เปลีย่ นจังหวะ ตามอ�าเภอใจ และ ความจ�าเป็นน ความขัดแย้งที่ไร้รูปแบบต่างผสานเรียงร้อยเข้าด้วยกัน เชือก พุ่งเป็นสิ่งส�าคัญ จึงไม่ควรเปลี่ยนทิศจากเส้นทางหลักของมัน จริงๆ แล้วใน แต่ละครั้งที่เลื่อนสลับขึ้นลงก็แค่เลื่อนไปตามทิศทางของมัน การปล่อยไป ตามอิสระยังช่วยให้กระสวยทีอ่ ยูร่ ะหว่างเชือกแต่ละกลุม่ วิง่ ไปตามเส้นทางที่ ควรจะเป็น การเลื่อนไปทางด้านข้างก็ควรปล่อยไปตามอิสระเช่นกัน แม้ แนะน�าไว้เช่นนั้นโดยทั้งสองทิศทาง กระนั้นจังหวะการเปลี่ยนทิศยังคง ถูกก�าหนดโดยแต่ละฝ่าย และเส้นทางการเคลื่อนในท้ายที่สุดขึ้นอยู่กับ สถานการณ์ต่างๆ สานทอไปมาอยู่อย่างนั้น จนผมเริ่มได้ยินเสียงแปลกๆ เสียงลากยาวฟัง คล้ายปีศาจเลือดพล่านบรรเลงเพลงนัน้ ท�าให้มว้ นเชือกหลุดจากมือ ผมยืนมอง ขึ้นไปบนก้อนเมฆที่ซึ่งเสียงนั้นถูกโปรยลงมาราวติดปีก สูงขึ้นไปบนรังกา เจ้าแทชเทโก ชาวเกย์เฮดเลือดบ้าอยู่บนนั้น ร่างของเขาโน้มไปข้าง หูกหรือกี่ทอเวลา-Loom of Time เป็นอุปมาของเหตุการณ์ต่างๆ ที่สานเรียงเกิดขึ้นบนโลก ใน เฟาสต์ งานเขียนของเกอเธ่ นักเขียนชาวเยอรมัน 5 เดอะเฟท ต�านานกรีกเล่าเรื่องเทพธิดาสามองค์ ท�าหน้าที่ปั่นและตัดเส้นด้ายชีวิตมนุษย์ 4
294 : โมบี-ดิ๊ก
บทที่ 48 ครั้งแรกของการลงเรือเชือดวาฬ
คล้ายกับว่าปีศาจทั้งห้าโผไปอีกด้านของดาดฟ้าเรือ รีบเร่งโดยปราศจากสุ่ม เสียงปลดเฟืองและหย่อนสายระโยงระยางของเรือล�าที่ห้อยไปมาอยู่ตรง นั่น เรือล�านี้เป็นที่รู้กันว่าคือหนึ่งในเรือส�ารองที่มีอยู่หลายล�า แม้ตามหลัก แล้วเราจะเรียกว่าเรือของกัปตันเพราะเหตุที่มันแขวนอยู่กับดาดฟ้าด้านท้าย บริเวณกราบขวาเรือก็ตาม ร่างนั้นในตอนนี้ยืนอยู่หัวเรือ รูปร่างสูง และผิว ด�า ฟันขาวแย้มพรายความเลวร้ายโผล่ออกมาจากริมฝีปากราวเหล็กกล้า เสือ้ แจ๊กเก็ตผ้าฝ้ายสีดา� จับจีบตามแบบชาวจีนคลุมร่างของเขาไว้ให้ความรูส้ กึ มืดมน ร่างกายส่วนล่างสวมกางเกงขายาวสีดา� ตัวหลวมเนือ้ ผ้าหมองคล�า้ เช่น เดียวกัน แต่บนศีรษะของชายผิวด�าผู้นี้สวมเครื่องประดับดูแปลกตา หมวก ถักโพกหัวสีขาวสะท้อนแสงนั้นเป็นผมมนุษย์ที่ถักเปีย และขดวนรอบหัวเขา ไว้ เพื่อนๆ ของชายผู้นี้มีผิวสีด�าน้อยกว่า ต่างมีสีผิวสดใส เป็นสีเหลืองแบบ เดียวกับสีหนังเสือซึ่งเป็นสีผิวเฉพาะของชาวพื้นเมืองมะนิลา ชนเผ่าที่โด่งดัง เรื่องความหลักแหลมในการเคารพบูชาภูตผีปีศาจ ด้วยลักษณะกลาสีผิวขาว ผูส้ ตั ย์ซอื่ ท�าให้ถกู มองว่าเป็นนักสืบผูร้ บั สินจ้าง และสายลับผูก้ มุ ความลับบน น่านน�า้ แห่งความชั่วร้าย นายของพวกเขาเป็นเจ้าของห้องนับเงิน ซึ่งพวกเขา คิดว่าอยู่ที่แห่งอื่น ขณะผู้คนบนเรือต่างจ้องมองคนแปลกหน้ากลุ่มนี้ด้วยความรู้สึกฉงน งงงวยอยูน่ นั้ เอแฮ็บตะโกนเสียงดังไปยังหัวหน้าของพวกเขา...ชายชราผูม้ เี ปีย เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 295
สีขาวบนหัว “พร้อมกันหรือยังทางด้านโน่นนะ เฟดัลเลาะห์ห์” “พร้อม” เสียงโห่ร้องตอบกลับออกมา “ถ้างั้นก็ลงไปได้ ได้ยินมั้ย?” ตะโกนข้ามดาดฟ้า “บอกให้ลงไปทางนั้น” เสียงดังราวเสียงฟ้าร้องของเขาท�าเอาเหล่าลูกเรือถึงกับตะลึงงัน กระนั้น พวกเขายังคงโดดเกาะราวเรือ ลูกรอกหมุนติว้ อยูใ่ นปลอกหุม้ แรงหมุนหย่อน เรือสามล�าลงทะเล ด้วยความช�านาญ และความกล้าหาญเฉพาะตัว ทักษะซึง่ ไม่มใี นอาชีพอืน่ ใด เหล่าลูกเรือโดดเหมือนแพะจากด้านข้างเรือใหญ่ทกี่ า� ลังโต้ คลื่นลงไปบนเรือเล็กที่แกว่งไกวไปมาด้านล่าง พวกที่อยู่ด้านล่างยังไม่ทันแล่นเรือเล็กไปจากด้านอับลมของเรือใหญ่ ขณะเรือเล็กล�าที่สี่แล่นมาตามจากด้านลม ชายแปลกหน้าห้าคนพายเรือพา เอแฮ็บโผล่มาจากด้านท้าย เขายืนตระหง่านอยูท่ า้ ยเรือ ตะโกนบอกสตาร์บคั สตับบ์ และฟลาสก์ ให้กระจายตัวไปทัว่ น่านน�า้ เพือ่ ให้ครอบคลุมน่านน�า้ กว้าง ใหญ่ให้ได้มากทีส่ ดุ ทว่าสายตาทุกคูต่ า่ งยังคงจับจ้องไปทีเ่ ฟดัลเลาะห์หต์ วั ด�า และลูกเรือของเขา บรรดากลาสีในเรือแต่ละล�าจึงไม่มีใครท�าตามค�าสั่งนั้น “กัปตันเอแฮ็บครับ?” สตาร์บัคเอ่ยขึ้น “เอาเรือนายออกไป” เอแฮ็บร้องตะโกน “พายเรือห่างออกไป เรือทั้งสี่ลา� นาย...ฟลาสก์ พายออกไปทางใต้ลม!” “ครับ ครับ กัปตัน” คิงโพสต์นอ้ ยส่งเสียงร้องอย่างเริงร่า พร้อมออกแรงดึง แจวกวาดออกไป “เตรียมพร้อม!” บอกกับลูกเรือของเขา “นั่น! นั่น! โผล่ตรง นั่นอีกแล้ว! มันลอยอยู่ทางด้านขวาข้างหน้านั่น เด็กๆ! ไปข้างหน้า!” “ไม่ต้องไปสนใจคนผิวเหลืองพวกนั้น อาร์ชี่” “โอ้...ผมไม่ได้ใส่ใจพวกเขาหรอกครับ” อาร์ชี่กล่าว “ผมรูจ้ กั คนพวกนัน้ มา ก่อนหน้านี้แล้ว ผมเคยได้ยินเสียงพวกเขาในห้องเก็บสินค้ามาก่อนนี่นา และ ยังเคยบอกคาบาโก้เรื่องนี้ด้วย นายว่าไงล่ะ...คาบาโก้ คนพวกนี้ซ่อนตัวมาใน เรือน่ะ คุณฟลาสก์” “แจว.. .แจว...หนุม่ ๆ หัวใจคึกคักทัง้ หลาย แจว...เด็กๆ ของฉัน แจว...หนุม่ ๆ 296 : โมบี-ดิ๊ก
ของฉัน” สตับบ์คอ่ ยๆพูด และประโลมขวัญลูกเรือของเขา ซึง่ บางคนยังอยูใ่ น อาการวิตกกังวล “ท�าไมไม่เรียกความกล้าของพวกนายออกมา พวก? พวก นายจ้องอะไรตรงนั่น? คนที่อยู่บนเรือนั่นน่ะเหรอ? โธ่เอ้ย! พวกนั้นก็แค่ลูก เรืออีกห้าคนที่จะมาช่วยพวกเรา ไม่ต้องไปสนใจหรอก ยิ่งมีคนมากสิยิ่งสนุก เอ้าแจว..แล้วก็แจว ไม่ต้องไปสนใจเหล่าปีศาจก�ามะถันนั่น มีเพื่อนมาช่วย น่ะดีแล้ว นั่น...อย่างนั่นแหละ พวกนายกลับมามีพลังกันแล้ว แรงจ�า้ นั่นหนัก พันปอนด์ได้ แรงจ�า้ นั่นจะพาเราไปคว้าเงินรางวัล! ฮูร่า...ถ้วยทองแห่งไขวาฬ ฮีโร่แห่งฉัน! ไชโยกันหน่อย หนุ่มๆ หัวใจคึกคัก! เย็นเข้าไว้...เย็นเข้าไว้ อย่าใจร้อน...อย่าเร่งรีบเกินไปนัก ท�าไมไม่ตะครุบไม้พายของพวกนายล่ะ ไอ้ เวร? ขี้โกงนัก ไอ้ลูกหมา! นั่น นั่น นั่นแหละ อย่างนั้น เบาๆ เบาๆ! อย่างนั้น อย่างนัน้ ! ลากยาวๆ แรงๆ ให้แล่นไปทางนัน่ ! ให้ปศี าจหักคอ ไอ้พวกเหลือขอ พวกนายหลับกันไปหมดแล้วหรือไง หยุดนอนกรนเสียที ไอ้คนขีเ้ ซา ตืน่ ขึน้ มา แจวซะ จะแจวกันมั้ย? แจวได้มั้ย? จะไม่แจวกันใช่มั้ย? เพื่อเหยื่อและเค้กขิง ท�าไมพวกนายไม่ออกแรงแจวกัน? แจวไป ไม่ต้องหยุด! แจว แล้วเอาตาม องตรงไปข้างหน้า! ตรงนั่น” คว้ามีดคมกริบจากสายคาดของเขา “ลูกผู้ชาย ทุกคนจะชักมีดของเขาขึ้นมา และลับคมระหว่างฟันของเขา นั่นล่ะ อย่าง นั้น ตอนนี้พวกนายได้ท�าอย่างที่ลูกผู้ชายควรจะท�าแล้ว เหล่าเหล็กกล้า แห่งฉัน เอาเลย เอาเลย เหล่าช้อนเงินแห่งฉัน! แล่นไป บรรดาเหล็กแหลม คลายเชือกทั้งหลาย!” อารัมภบทของสตับบ์ตอ่ ลูกเรือของเขาเวลานีช้ า่ งร้ายเหลือ นัน่ เพราะโดย ปกติเขาค่อนข้างมีรปู แบบเฉพาะในการพูดกับลูกน้อง โดยเฉพาะอย่างยิง่ การ พร�า่ สอนศรัทธาแห่งการแจวเรือ กระนัน้ คุณไม่ควรเอาตัวอย่างการเทศนาของ เขาที่มุ่งตรงประเด็นไปที่กิเลสตัณหาของเหล่าผู้ชุมนุมเป็นหลัก ไม่ควรเด็ด ขาด เพราะเรื่องนั้นเป็นลักษณะเฉพาะในการด�ารงต�าแหน่งหัวหน้าของเขา สตั บ บ์ ช อบพู ด เรื่ อ งใหญ่ โ ตเกิ น จริ ง กั บ ลู ก เรื อ ของเขา ด้ ว ยน�้ า เสี ย งพิ ลึ ก มีทงั้ อารมณ์สนุกปะปนกับความเดือดดาล และความเดือดดาลนัน้ น่าจะเพียง เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 297
แค่เพิม่ รสชาติให้กบั ความสนุกสนาน ไม่มฝี พี ายคนไหนได้ยนิ เสียงโหวกเหวก โวยวายนั้นแล้วไม่แจวเรือเพื่อชีวิตอันเป็นที่รัก ซ�้ายังแจวเพียงเพื่อความสนุก นอกจากนีแ้ ล้วตลอดเวลาเขายังท�าตัวสบายๆ ไม่เดือดเนือ้ ร้อนใจ แกว่งไม้แจว ของเขาเรื่อยๆ เอื่อยๆ และอ้าปากหาวเป็นครั้งคราว ภาพผู้บัญชาการหาว อ้าปากกว้างนั้นช่างขัดกับเสียงเชียร์ทรงพลังที่ฟังคล้ายกับร่ายเวทมนตร์ใส่ ลูกเรือ นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งสตับบ์จอมตลกประเภทที่ไม่เหมือนใคร คน อารมณ์ขันที่ในบางครั้งมีนิสัยแปลกยากเข้าใจยามเมื่อต้องท�าให้ผู้ใต้บังคับ บัญชาเชื่อฟังเขา การปฏิบัติตามสัญญาณมือจากเอแฮ็บ ท�าให้สตาร์บัคน�าเรือมาลอยล�า เยื้องกับหัวเรือของสตับบ์ในเวลานี้ และชั่วเวลาเพียงแค่นาทีเดียวเรือสองล�า เกือบประชิดติดกัน สตับบ์ร้องทักต้นเรือ “คุณสตาร์บคั ! กราบเรือด้านซ้ายนัน่ น่ะ เฮ้! ผมพูดกับคุณอยูน่ ะ ได้ยนิ มัย้ !” “ฮัลโล!” สตาร์บัคตอบกลับ โดยไม่ได้เอี้ยวตัวหันมามองแม้เพียงนิดขณะ พูด เขายังคงหน้าตาจริงจังแม้ขณะกระซิบกระซาบปลุกเร้าเหล่าลูกเรือ ใบหน้า ของเขาดูราวกับหินเหล็กไฟเมื่อเทียบกับใบหน้าของสตับบ์ “นายคิดยังไงกับหนุ่มผิวเหลืองพวกนั้น!” “ลักลอบขึน้ เรือมา ด้วยวิธใี ดวิธหี นึง่ ก่อนเรือออกทะเล (แรงขึน้ แรงขึน้ อีก เด็กๆ!)” กระซิบบอกลูกเรือ แล้วตะโกนเสียงดังขึ้นอีกครั้ง “เรื่องเศร้า คุณ สตับบ์! (จ�้าลงไป จ�้าลงไป เด็กๆ ของฉัน!) แต่อย่าไปสนใจเลย คุณสตับบ์ ท�าทุกอย่างให้ดที สี่ ดุ บอกให้ลกู เรือของคุณจ�า้ แรงๆ แล้วก็จะดีเอง (ดีดตัวขึน้ คนของฉัน ดีดตัวขึ้น!) ถังไขวาฬอยู่ข้างหน้านั้น คุณสตับบ์ นั่นเป็นสิ่งที่ท�าให้ คุณตัดสินใจมา (ดึงขึ้น เด็กๆ!) ไขวาฬ เกมของวาฬหัวทุย! อย่างน้อยก็เพื่อ หน้าที่ หน้าที่ และผลประโยชน์ จูงมือไปด้วยกัน” “นัน่ สิ นัน่ สินะ ผมคิดมากเกินไปแล้ว” สตับบ์รา� พึงขึน้ ขณะเรือสองล�าแยก ห่างจากกัน “ตอนที่ผมสังเกตเห็นพวกเขา ผมคิดว่านะ จริงสิ เขาลงไปที่ห้อง เก็บของท้ายเรือบ่อยๆ อย่างทีโ่ ดบอยสงสัยมานาน คนพวกนัน้ ซ่อนตัวอยูด่ า้ น 298 : โมบี-ดิ๊ก
ล่างนั่น ใต้ท้องวาฬสีขาวของมัน ดีล่ะ ดี งั้นก็ช่างเถอะ! ช่วยไม่ได้! เอาล่ะ! ตรงไปหนุ่ม! วันนี้ไม่ใช่วันของวาฬสีขาว! ตรงไป!” การปรากฏตัวขึน้ ของเหล่าชายแปลกหน้าท่าทางประหลาดในสถานการณ์ คับขันขณะก�าลังลงเรือเล็กล่าวาฬจากดาดฟ้าเรือใหญ่ไม่ได้ก่อให้เกิดความ พิศวงงงงวยขึ้นอย่างไร้เหตุผลในหมู่ลูกเรือ กระนั้นเรื่องที่อาร์ชี่เคยบอกเอา ไว้ก่อนหน้าที่คนเหล่านี้จะขึ้นเรือมา แม้จะไม่มีใครเชื่อในตอนนั้น หากแต่ก็ ท�าให้พวกเขาพอปรับตัวยอมรับกับเหตุการณ์นไี้ ด้ มันปลดเปลือ้ งความกังวล สงสัยของพวกเขา ก็แล้วยังไงล่ะกับเรือ่ งทัง้ หมดนี้ ท่าทางของสตับบ์เองก็เชือ่ มัน่ ว่าการปรากฏตัวของคนพวกนีจ้ ะเป็นประโยชน์เสียมากกว่า เหล่าลูกเรือมี เวลาพอจะท�าใจให้หลุดพ้นจากการอนุมานตามความเชื่อเรื่องผีสาง แม้เรื่อง นี้ยังคงมีประเด็นมากมายชวนให้คาดเดาไปต่างๆนาๆ เกี่ยวกับการก�าหนด กฎเกณฑ์อย่างแม่นย�าของเอแฮ็บจอมลึกลับในมูลเหตุนี้นับตั้งแต่เริ่มต้น ส�าหรับผม...อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเงาลึกลับ เมื่อครั้งผมเห็นมันคืบคลานตาม ขึ้นมาบนเรือพีควอดในเช้ามืดวันหนึ่งขณะเรือจอดอยู่ที่แนนทักเก็ต รวมทั้ง ค�าบอกใบ้ปริศนาของคนที่มีท่าทางแปลกๆ อย่างอีไลจาห์ ในเวลานัน้ เอแฮ็บขยับห่างออกไปทางลมจึงไม่ได้ยนิ เสียงเจ้าพนักงานของ เขาคุยกัน เรือของเขาน�าไปข้างหน้าเรือล�าอื่น นั่นบ่งบอกได้ว่าลูกเรือของเขา มีพละก�าลังมากแค่ไหนในการน�าพาเรือแล่นออกไป กลุม่ คนผิวเสือเหลืองนัน้ ดูคล้ายเหล็กกล้า และกระดูกวาฬ เป็นเหมือนเครื่องจักรตอกห้าเครื่องก�าลัง ยกและทุม่ ค้อนอย่างแรงด้วยความเร็วสม�า่ เสมอท�าให้เรือวิง่ ไปตามน่านน�า้ ได้ อย่างใจต้องการเฉกเช่นเครือ่ งพ่นไอน�า้ จากเรือกลไฟมิสซิสซิปปี้ เฟดัลเลาะห์ ก�าลังนั่งพายเรืออยู่ในต�าแหน่งนักพุ่งฉมวก เขาถอดเสื้อแจ๊คเก็ตสีด�าของเขา โยนไว้ข้างๆ เผยให้เห็นอกเปลือยและร่างกายส่วนที่พ้นจากขอบกราบเรือสี ผิวตัดกันอย่างชัดเจนกับบรรยากาศแปรปรวนขอบทะเล อีกด้านหนึง่ ของเรือ เอแฮ็บยกแขนราวกับเป็นนักดาบ เหวี่ยงขึ้นกลางอากาศคล้อยไปทางด้าน หลังราวกับต้องการสร้างดุลยภาพให้เรือแล่นตรงไปข้างหน้า เขาจ้วงไม้แจว เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 299
ด้วยจังหวะมั่นคงเหมือนเช่นการล่องเรือเล็กนับพันครั้งก่อนวาฬสีขาวจะฉีก ขาเขาหลุดจากร่างไป ทันใดนัน้ แขนทีเ่ หยียดยืดเริม่ ขยับอยูใ่ นท่าแปลกๆ และ คงค้างไว้อย่างนัน้ ขณะฝีพายทัง้ ห้าบนเรือต่างพร้อมใจกันยกไม้พายขึน้ สูง เรือ และลูกเรือนั่งนิ่งไม่ไหวติงอยู่กลางทะเล ชั่วอึดใจนั้นเรืออีกสามล�าที่กระจาย ตัวแล่นตามมาทางด้านหลังต่างหยุดกลางทาง ฝูงวาฬด�าดิง่ สูใ่ ต้ทะเลลึกอย่าง ผิดปกติ นั่นท�าให้แทบมองไม่เห็นร่องรอยการเคลื่อนไหวของพวกมันจากที่ ไกลออกมา ทว่าจากจุดที่เขาอยู่ใกล้กว่านั้นท�าให้เอแฮ็บสังเกตเห็น “ทุ ก คนระวั ง ไม้ พ ายของตั ว เองไว้ ใ ห้ ดี ! ” สตาร์ บั ค ร้ อ งบอก “นาย... ควีเควกยืนขึ้น!” เจ้าคนป่าโดดลุกขึ้นอย่างว่องไว ยืนบนคอกยกสูงรูปสามเหลี่อมตรง หัวเรือ สายตาสอดส่ายไปยังบริเวณทีเ่ หยือ่ ถูกสังเกตเห็นครัง้ ล่าสุด เช่นเดียวกับ สตาร์บัคที่อยู่ส่วนปลายท้ายเรือ เขาเองก็ลุกขึ้นยืนบนแท่นไม้รูปสามเหลี่ยม ตรงขอบกราบเรือ หัวหน้าต้นหนทรงตัวได้อย่างสบาย และคล่องแคล่วขณะ เรือกระตุกสัน่ คลอนแผ่นไม้ทเี่ หยียบยืน เขาจ้องหาดวงตามหึมาสีฟา้ ใต้ทะเล อย่างเงียบๆ ห่างออกไปไม่ไกลนักเรือของฟลาสก์ยังคงจอดนิ่งอยู่ ผู้บัญชาการเรือ บุ่มบ่ามลุกขึ้นยืนด้านบนของเสากลมท้ายเรือ ซึ่งเป็นเสาขนาดใหญ่ฝังลึก ในโครงเรือ และมีส่วนโผล่พ้นแผ่นไม้ท้ายเรือออกมาประมาณสองฟุต เสา กลมนี้มีไว้ส�าหรับยึดเชือกที่ใช้จับวาฬ ด้านบนของเสามีพื้นที่ไม่มากไปกว่า ฝ่ามือของคนเรา การยืนอยูบ่ นพืน้ ฐานเช่นนัน้ ท�าให้ดเู หมือนว่าฟลาสก์กา� ลัง ยืนเกาะอยูบ่ นเสากระโดงเรือบางประเภทซึง่ ไม่มพี นื้ ทีใ่ ห้เกาะนอกจากแผ่นไม้ ส�าหรับสอดเชือกชักใบเรือ ทว่าคิงโพสต์น้อยตัวเล็กและเตี้ย เวลาเดียวกันคิง โพสต์น้อยกลับเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานสูง และมาก นั่นจึงเป็นเหตุให้ บนเสากลมที่เขายืนอยู่ยังไม่สร้างความพอใจให้กับคิงโพสต์ “ฉันมองไม่เห็นทั้งสามคาบสมุทร พายแซงหน้าขึ้นไป พาฉันไปที่นั่น” โอกาสนี้ แด๊กกูใช้มือสองข้างจับกราบเรือไว้มั่นแล้วไถลตัวไปยังท้ายเรือ 300 : โมบี-ดิ๊ก
อย่างรวดเร็ว จากนั้นลุกขึ้นตั้งตัวตรงอาสาให้ใช้ไหล่สูงของเขาเป็นแท่นยืน “น่าจะใช้แทนเสากระโดงเรือได้กระมังครับ จะปีนขึ้นมาดูมั้ย” “นั่นล่ะสิ่งที่ฉันปรารถนา ขอบใจมาก..เกลอ หวังว่านายจะสูงกว่าห้าสิบ ฟุตนะ” หลังขยับสองเท้ายืนมั่นบนแผ่นไม้สองด้านของเรือ นิโกรยักษ์ก้มตัวลง เล็กน้อย แล้วยืน่ ฝ่ามือแบนราบข้างหนึง่ ไปทีเ่ ท้าของฟลาสก์ มืออีกข้างจับมือ คิงโพสต์นอ้ ยวางลงบนหัวขนนกของเขา ก่อนออกแรงดีดตัวผูเ้ ป็นนายขึน้ เป็น ผลให้ตวั เขาเองส่ายไปมาขณะร่างเล็กของผูเ้ ป็นนายถูกเหวีย่ งขึน้ ไปยืนอยูบ่ น สองไหล่สงู และแห้งอย่างคล่องแคล่ว ฟลาสก์ยนื ขึน้ บนสองไหล่ได้แล้ว แด๊กกู ใช้แขนข้างหนึ่งดึงเชือกมาผูกตัวฟลาสก์ไว้ให้ยึดแน่นกับตัวเขาเอง ไม่ว่าเวลาใดนั่นยังคงเป็นภาพแปลกตาส�าหรับผู้มาใหม่ เมื่อได้เห็น ทักษะความสามารถอันน่าทึ่งของนักล่าวาฬที่ลุกขึ้นโดยสัญชาตญาณยืน ประคองตัวบนเรือขณะถูกโยกเหวี่ยงโกลาหลท่ามกลางทะเลป่วนวิปลาส และยิง่ เป็นภาพแปลกตามากขึน้ เมือ่ ได้เห็นเขาเกาะบนเสากลมอย่างเลินเล่อ ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น ทว่าภาพของฟลาสก์น้อยปีนขึ้นไปยืนอยู่บนตัว แด๊กกูยกั ษ์ยงิ่ น่าสนใจกว่า เขาพยายามด�ารงตนไว้ดว้ ยความเยือกเย็น ไม่อนิ งั ขังขอบ ใจเย็น และไม่คิดอะไรเกี่ยวกับความใหญ่โตของคนป่า ขณะนิโกรผู้ ประเสริฐพยายามทรงตัวให้กลมกลืนไปกับคลืน่ ทะเลลูกแล้วลูกเล่าทีเ่ คลือ่ น ผ่าน บนแผ่นหลังกว้างของเขา ฟลาสก์ผู้มีผิวขาวเหลืองดูคล้ายกับแผ่นหิมะ ผู้แบกดูสง่างามเสียยิ่งกว่าผู้เหยียบยืนอยู่บนหลัง แม้ฟลาสก์น้อยจะแสดง ทีทา่ กระปรีก้ ระเปร่า เอะอะโวยวาย และโอ้อวดขณะยืนอยูด่ ว้ ยความร้อนรน กระนั้นไม่มีท่วงท่าใดของเขาจะสั่นคลอนอกผายของนิโกรผู้นี้ ดังเช่นผมเคย ได้เห็นมนุษย์ผเู้ ต็มไปด้วยกิเลสตัณหา และความอหังการเหยียบย�า่ ลงบนผืน ดินกว้างใหญ่ ทว่าผืนดินนั้นไม่เคยแปรเปลี่ยนกระแสน�้าขึ้นลง และฤดูกาล ด้วยเพราะการนั้นของมนุษย์ ขณะนั้ น สตั บ บ์ ต้ น หนที่ ม าถึ ง เป็ น อั น ดั บ สาม ไม่ ไ ด้ แ สดงท่ า ที ใ ดๆ เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 301
ถึงความกังวลในเรือ่ งการมองเห็นจากทีไ่ กล ฝูงวาฬอาจส่งเสียงตามปกตินสิ ยั ของมันให้ได้ยินบ้างสักครั้ง การด�าลงใต้น�้าชั่วคราวไม่ใช่เพราะเกิดจากความ ตกใจเพียงเท่านัน้ และถ้าหากเป็นเช่นนัน้ จริง สตับบ์เองก็มคี วามคุน้ เคยดีกบั สถานการณ์แบบนั้น ดูเหมือนเขาจะใช้เวลานี้พักเหนื่อยด้วยกล้องยาสูบ เขา ดึงมันออกมาจากแถบคาดบนหมวกซึง่ เขามักเสียบมันไว้เป็นมุมเฉียงเหมือน เสียบขนนก สตับบ์บรรจุยาใส่แล้วใช้ปลายนิว้ หัวแม่มอื กดยัดเข้าไปให้สดุ แต่ยงั ไม่ทนั ได้จดุ ไฟด้วยการฝนไม้ขดี กับกระดาษทรายหยาบในมือ เมือ่ แทชเทโก... นักพุ่งฉมวกผู้ก�าลังใช้สองตาถลึงจ้องไปทางลมเหมือนดั่งดาวสองดวงลอย ค้างท่ามกลางความมืดมิด จู่ๆ เขาก็หย่อนตัวนั่งลงกะทันหันเหมือนดั่งแสง ดาวร่วงหล่นจากจุดทีเ่ ขายืนแล้วตกลงบนทีน่ งั่ ของเขา นักพุง่ ฉมวกประจ�าเรือ ระล�า่ ร้องเสียงดังเร็วรัว “ข้างล่าง อยูข่ า้ งล่างทัง้ หมด ไปเร็ว! พวกมัน อยูน่ นั่ !” ส�าหรับคนทีใ่ ช้ชวี ติ บนบก ผมไม่เห็นวาฬ หรือแม้แต่สญ ั ญาณใดๆ เกีย่ วกับ ปลาเฮอรริ่งโผล่ขึ้นมาให้เห็นในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรเลยนอกจากคลื่น รบกวนของน�้าทะเลสีเขียว และหมอกควันแผ่ล่องลอยบางเบาเหนือผิวน�้า และลอยกระจายห่างไปทางลมพัด เหมือนว่าหมอกนั้นปะปนละอองน�า้ จาก คลื่นทะเล อากาศโดยรอบจู่ๆ สั่นระรัวให้ความรู้สึกเสียวแปลบราวกับว่านี่ เป็นอุณหภูมิร้อนจัดเหนือแผ่นเหล็ก ใต้บรรยากาศนี้ระลอกคลื่นยกตัวขึ้น ม้วนเป็นลูก บางส่วนของใต้ผืนน�้าบางใสฝูงวาฬก�าลังว่ายน�้าอยู่เบื้องหน้า คนชี้ทางทั้งหมด ละอองไอน�้าที่พวกมันพ่นออกมาดูเหมือนว่าผู้นา� สารก�าลัง น�าหน้าพวกเขาอยู่ และแยกตัวห่างจากเรือที่ก�าลังโบยบิน เรือทั้งสี่ลา� ในตอนนี้ขะมักเขม้นเร่งตามไปยังบริเวณน�้าทะเล และอากาศ แปรปรวน กระนั้นยังพยายามไม่ได้มากไปกว่าพวกมัน ต่างเร่งรีบจ�้าไป ข้างหน้า ฟองคลื่นจ�านวนมากผสมผสานเข้ากับกระแสน�า้ เชี่ยวจากเนินคลื่น “จ�า้ เข้า จ�า้ เข้า เด็กๆ” สตาร์บคั เอ่ยเสียงแผ่วเบาเท่าทีท่ า� ได้ แต่นา�้ เสียงนัน้ กลับฟังดูจริงจังหนักแน่นในความรูส้ กึ ของเหล่าลูกเรือ เมือ่ สายตาคมกริบจาก สองตาของเขาจ้องเขม็งตรงไปเบื้องหน้าหัวเรือ ราวกับเข็มสองเส้นบนหน้า 302 : โมบี-ดิ๊ก
ปัดเข็มทิศชี้บอกทิศที่แม่นย�าไม่ผิดเพี้ยน เขาไม่ได้พูดอะไรกับลูกเรือมากนัก แม้ลกู เรือของเขาเองก็ไม่ได้พดู อะไรกับเขา ความเงียบกริบนัน้ เกิดขึน้ ภายหลัง เสียงกระซิบแผ่วเบาของเขากระทุง้ ให้เกิดการตืน่ ตัวขึน้ สักเดีย๋ วก็ตะโกนออก ค�าสั่งเสียงดังแสบแก้วหู สักเดี๋ยวก็วิงวอนร้องขอเสียงอ่อนโยน ช่างแตกต่างกันนักกับเสียงดังกึกก้องของคิงโพสต์นอ้ ย “ร้องเพลงออกมา พูดอะไรก็ได้ เหล่าผู้กล้าแห่งฉัน จงแผดเสียงค�ารามแล้วจ�้าอ้าวไป เหล่า อสุนีบาตของฉัน! เอาเรือขึ้นไปเกย พาฉันขึ้นไปเกยอยู่บนหลังสีด�าของพวก มัน...ไอ้หนุ่มทั้งหลาย ท�าตามที่ฉันบอก ฉันจะโอนมอบสวนมาร์ธาส์วินเยิร์ด ให้พวกนาย..ไอ้หนุ่ม จะให้เมีย และลูกๆ กับพวกนายด้วย...ไอ้หนุ่ม พาฉัน ไปอยู่บนนั้น พาฉันไปบนนั้น! โอ้พระเจ้า.. พระเจ้า! ไม่เช่นนั้นฉันจะแข็งตาย จะกลายเป็นบ้า! ดูนั่น! ดูน�้าทะเลสีขาวนั่น!” พร้อมกับเสียงตะโกนนั้น เขาดึง หมวกจากหัว แล้วกระทืบเหยียบย�่า ก่อนจะหยิบมันขึ้นมาเหวี่ยงออกยังท้อง ทะเล และลงท้ายด้วยการร่วงหล่นไปทางด้านหลังและถลาพรวดไปยังท้าย เรือเหมือนม้าหนุ่มคึกคะนองจากทุ่งแพรี่ “ดูเจ้าหนุ่มนั่นสิ” สตับบ์ลากเสียงพูดอย่างใจเย็น กล้องยาสูบที่ยังไม่ได้ จุดไฟยังคงคาอยู่ระหว่างฟันของเขาตลอดเวลาขณะแล่นเรือตามหลังมาไม่ ห่างนัก “เขาได้ที่นั่งเหมาะแล้ว เจ้าฟลาสก์นั่นลงนั่งแล้วสินะ ใช่แล้ว ให้เขา นั่งลงเถอะ พูดอย่างนั้นแหละถูกต้องแล้ว ลงมาอยู่กับพวกเขา รื่นเริง รื่นเริง หนุ่มคึกคักทั้งหลาย พวกนายรู้มั้ย...พุดดิ้งจะเป็นอาหารค�่านี้ โลกแห่งความ ส�าราญ แจว...เด็กๆ แจว...ไอ้เด็กอ่อน ทุกคน...แจว เอ้าไอ้พวกปีศาจจะรีบไป ไหนกัน? ค่อยๆ ค่อยๆ แต่ให้สม�่าเสมอ ลูกเรือทุกคน แจวแล้วก็แจว ท�าแค่ นัน้ พอ หวดกระดูกสันหลังของพวกเจ้าทุกคน ตะครุบสองดาบของพวกนายไว้ นั่นแหละ ใจเย็นๆ ท�าไมไม่ใจเย็นกันล่ะ ฉันขอสั่งให้พวกนายระเบิดตับและ ปอดของพวกนายซะ!” ทว่าค�าพูดที่เอแฮ็บผู้ลึกลับบอกกล่าวกับลูกเรือเสือเหลืองของพวกเขา ไม่ได้ยินจากที่นี่ ที่ซึ่งส�าหรับคุณ ผู้มีชีวิตอยู่ใต้แสงแห่งศรัทธาในดินแดน เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 303
อีแวนเจลิค มีเพียงเหล่าฉลามร้ายในทะเลที่เต็มไปด้วยภยันตรายเท่านั้นจึง จะได้ยนิ ค�าพูดพวกนัน้ เมือ่ ลมพายุทอร์นาโดพัดกระหน�า่ ดวงตาฆาตกรโหด แดงกล�่า น�า้ ลายฟูมปากด้วยความโกรธเกรี้ยว เวลานั้นเอแฮ็บจะกระโดดขึ้น หลังเหยื่อของเขา ระหว่างนั้นเรือทุกล�าแยกห่างจากกัน เสียงพล่ามของฟลาสก์ที่พูดถึง “วาฬตัวนั้น” ดังซ�้าไปซ�้ามา เขาเอ่ยพร�่าไม่หยุดถึงอสุรกายจอมปลอมที่เขา ประกาศว่าเห็นหางของมันจากบริเวณหัวเรือของเขา ค�าพร�่าบอกของเขาใน บางครั้งชัดเจนและเหมือนจริงเสียจนเป็นสาเหตุให้ใครสักคนหรือสองคนใน กลุ่มลูกเรือของเขาลอบมองอย่างหวาดๆ ข้ามไหล่เขาไป กระนั้นการกระ ท�าเช่นนี้ผิดกฎข้อบังคับทั้งหมด ฝีพายทุกคนต้องวางสายตา และไม้เสียบ ผ่านคอของพวกเขา ธรรมเนียมปฏิบัติที่ก�าหนดให้พวกเขาต้องไม่มีอวัยวะ อื่นใดนอกจากสองหู และไม่มีแขนขานอกจากอาวุธประจ�ากายในช่วงเวลา วิกฤติเช่นนี้ ภาพนั้นสร้างความตื่นตระหนก และความน่าสะพรึงกลัวยิ่ง! คลื่นยักษ์ ในมหาสมุ ท รกว้ า งส่ ง เสี ย งค� า รามลั่ น ขณะสาดซั ด กราบเรื อ ทั้ ง แปดด้ า น เหมือนลูกไม้กลมขนาดใหญ่วงิ่ อยูบ่ นลานไร้ขอบเขต เรือหยุดตะเกียกตะกาย ชัว่ เวลาสัน้ ๆ ขณะเอียงวูบอยูบ่ นคลืน่ บางเฉียบราวคมมีด ความคมนัน้ เหมือน เป็นลางว่าเรือจะถูกตัดแยกออกเป็นสองท่อน ทันใดนั้นก็ร่วงหล่นจมลง สู่หุบเขา และแอ่งโพรงน่านน�้า ต่างขะมักเขม้นกระตุ้นตะบึงไปให้ถึงยอดเนิน ฝั่งตรงกันข้าม ก่อนจะปักหัวทิ่มไถลเหมือนแคร่เลื่อนลื่นไหลลงมาอีกด้าน หนึ่ง นั่นเป็นเหตุให้ต้นหน และนักพุ่งฉมวกส่งเสียงร้องลั่น ขณะฝีพายถึงกับ อ้าปากสั่นค้างด้วยความตกใจ ภาพน่าพิศวงของเรือพีควอดสีงาแล่นเร็วรี่พุ่ง ตรงเข้ามาใกล้เรือเล็กด้วยใบเรือกางออกเต็มที่ ดูคล้ายแม่ไก่ป่าตามหาลูกไก่ ที่ก�าลังส่งเสียงกรีดร้อง ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเหตุการณ์เขย่าขวัญ ไม่ใช่แค่ทหาร เกณฑ์ไร้ประสบการณ์ต้องพรากจากอกอุ่นของเมียสาวมาเป็นไข้ขึ้นสูงอยู่ใน สนามรบของการออกศึกครั้งแรก ไม่ใช่วิญญาณของคนตายประสบพบเจอ 304 : โมบี-ดิ๊ก
กับภาพหลอนที่ไม่เคยคุ้นเป็นครั้งแรกในเมืองยมบาล ประสบการณ์ทั้งสอง อย่างนี้ยังให้ความรู้สึกแปลก และประหลาดไม่มากเท่ากับที่คนเหล่านี้ก�าลัง เผชิญอยู่ขณะนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเพิ่งเคยถูกสะกดให้อยู่ในวังวนเสน่ห์ ฟองคลื่นของวาฬหัวทุยที่ถูกไล่ล่า น�า้ ทะเลถูกตีเป็นฟองคลืน่ สีขาวโดยเหยือ่ ทีก่ า� ลังถูกล่าซึง่ ในเวลานีป้ รากฏ ตัวให้เห็นชัดขึ้นๆ เงามืดด�าเข้มโผขึ้นเหนือทะเล ล�าน�้าพวยพุ่งในเวลานี้ไม่ ได้รวมกลุ่มกันอีกต่อไปแล้ว มันพุ่งขึ้นจากรอบทิศทั้งซ้ายขวา ดูเหมือนว่าฝูง วาฬได้แยกตัวออกจากร่องรอยทางน�้าของพวกมัน เรือทั้งหมดถูกแยกออก จากกัน สตาร์บัคไล่ล่าวาฬสามตัวที่ก�าลังหนีตายไปทางลม ใบเรือของเรา ถูกกางออกรับลมที่ยังคงพัดแรง เรือแล่นฉิวไปบนผิวน�้าอย่างบ้าคลั่งน�าเรา พุ่งพรวดไปข้างหน้า ท�าให้ฝีพายไม่อาจเร่งความเร็วหลบทันจนถูกกระชาก หลุดจากช่องยึดแจว ในไม่ช้าเราก็แล่นผ่านเข้ามายังบริเวณที่มีหมอกกระจายตัวปกคลุม ที่นี่ มองไม่เห็นทั้งเรือใหญ่ และเรือเล็ก “ไปต่อพวก” สตาร์บัคกระซิบบอกขณะก�าลังดึงใบเรือของเขาไปทางด้าน ท้ายเรือ “ยังมีเวลาฆ่าวาฬสักตัวก่อนพายุจะมา นัน่ น�า้ ทะเลเป็นสีขาวอีกแล้ว! เตรียมตัว! โดด!” ช่วงเวลานั้นเอง มีเสียงร้องดังรัวรับกันมาจากทั้งสองด้านของเรือเรา นั่น ท�าให้เรารู้ว่าเรือล�าอื่นแล่นตามมาอย่างเร็ว ทว่าไม่ทันได้ยินตอนที่สตาร์บัค กระซิบเร็วราวสายฟ้าแลบว่า “ยืนขึ้น!” และควีเควกถือฉมวกไว้ในมือพร้อม กับดีดเท้าขึ้นโดด แม้ไม่มีฝีพายคนใดในเวลานั้นเผชิญหน้ากับความเป็นความตายจาก ภยันตรายทีใ่ กล้เข้ามาเบือ้ งหน้า ทว่าสายตาทีจ่ บั จ้องเอาจากสีหน้าตึงเครียด ของต้นหนที่อยู่ด้านท้ายเรือก็ท�าให้พวกเขารู้ว่าอันตรายก�าลังใกล้เข้ามาทุก ขณะ พวกเขายังได้ยนิ เสียงเกลือกกลิง้ ของสิง่ ทีม่ ขี นาดใหญ่โตมโหฬารราวกับ ช้างสารห้าสิบตัวก�าลังตื่นอยู่ในฟางหญ้า ขณะนั้นเรือยังคงแล่นฝ่ากลางสาย เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 305
หมอก คลื่นม้วนตัวซัดสาดส่งเสียงค�ารามรอบตัวเราคล้ายงูยักษ์ชูหัวขึ้นขู่ “นั่นหนอกมัน ตรงนั้น นั่น เสียบมันเลย!” สตาร์บัคกระซิบบอก เสียงเหล็กกล้าพุ่งออกจากเรือไปอย่างรวดเร็ว นั่นเป็นฝีมือการพุ่งหลาว ของควีเควก จากนัน้ เสียงชุลมุนวุน่ วายดังขึน้ มาจากทางด้านหลังเรือท่ามกลาง ความมืดสลัวมองไม่เห็นอะไร จังหวะนัน้ ด้านหน้าเรือเหมือนจะชนกับแนวหิน ใต้ทะเล ใบเรือร่วงหล่น และแผ่กระจาย ไอน�้าร้อนพุ่งใกล้ล�าเรือ บางอย่าง ก�าลังพลิกตัวเกลือกกลิง้ อยูด่ า้ นล่างราวกับเกิดแผ่นดินไหวขึน้ ลูกเรือทัง้ หมด แทบส�าลักออกมาเมื่อพวกเขาถูกเหวี่ยงไปมาในฟองครีมข้นขาวของพายุฝน ลมพายุ วาฬ และฉมวกหมุนวนเข้าด้วยกัน ขณะวาฬที่แค่โดนเหล็กกล้าถาก ตัวหนีไปได้ แม้เรือจะมีนา�้ ทะเลเข้าท่วม แต่กแ็ ทบไม่ได้รบั ความเสียหายอะไร พวกเรา ว่ายวนอยูร่ อบๆ ตามเก็บไม้พายทีก่ า� ลังลอยน�า้ อยูแ่ ล้วโยนข้ามกราบเรือขึน้ ไป ก่อนจะรีบว่ายกลับขึน้ เรือ พวกเราขึน้ มานัง่ คุกเข่าอยูท่ า่ มกลางน�า้ ทะเลทีไ่ หล ทะลักเข้ามาท่วมโครงเรือและแผ่นไม้กระดาน สายตาจับจ้องมองลงไปยังด้าน ล่างเรือทีล่ อยอยูด่ คู ล้ายกับว่านีจ่ ะเป็นเรือปะการังทีล่ อยขึน้ มาจากใต้ทะเลลึก เสียงลมร้องดังโหยหวนขึ้น ระลอกคลื่นพุ่งถลาเข้าใส่โล่เล็กของพวกเขา พายุฝนค�ารามลั่น ประกายฟ้าแลบ และเสียงฟ้าเปรี้ยงปร้างรอบตัวเราคล้าย เพลิงไฟสีขาวลามทุ่งแพรี่ซึ่งไม่มีวันถูกท�าลายสิ้น พวกเราก�าลังถูกเผาไหม้ ชั่วนิรันดร์ในขากรรไกรแห่งความตาย! เมื่อภารกิจล้มเหลวพวกเราโห่ร้อง บอกเรือล�าอื่นๆ รวมทั้งร้องบอกเรือของเจ้าตอตะโกผู้มีผิวสีคล้ายถ่านหิน จากปล่องไฟในเตาเพลิง พวกเราร้องบอกให้พวกเขารู้ถึงลมมรสุมที่ก�าลังจะ มา เวลานัน้ เมฆหมอกทีแ่ ผ่กระจายไปทัว่ ท�าให้ฟา้ มืดครึม้ จนมองไม่เห็นวีแ่ วว ของเรือใหญ่ น�า้ ทะเลทีไ่ หลท่วมเข้ามามากเป็นอุปสรรคในการวิดน�า้ ออกจาก เรือ ไม้พายไม่มีประโยชน์อะไรขณะผู้ขับเคลื่อนเวลานี้จ�าต้องท�าหน้าที่เป็น กองก�าลังป้องกันภัย หลังพยายามหลายครั้งแต่ไม่เป็น ผล ที่สุดสตาร์บัค ตัดสินใจตัดเชือกผูกถังไม้ขีดไฟแล้วจัดแจงจุดตะเกียงในโคมไฟ จากนั้นขึง 306 : โมบี-ดิ๊ก
มันบนเสาธงสัญญาณก่อนยื่นส่งให้ควีเควกเป็นผู้ถือธงแห่งความหวังอันริบ หรี่นี้ไว้ ที่นั่น เวลานั้น เขานั่งลง มือพยุงถือเทียนไขไร้ปัญญาไว้ในหัวใจเปล่า เปลีย่ วสุดพรรณนา ทีน่ ั่น เวลานัน้ เขานัง่ ลง เป็นเครือ่ งหมาย และสัญลักษณ์ ของคนปราศซึง่ ศรัทธา ในมือกุมความหวังอย่างคนหมดหนทางอยูท่ า่ มกลาง ม่านหมอกแห่งความผิดหวัง ร่างกายเปียกโชก แช่อยู่ในน�้า และหนาวสั่น ก�าลังสิ้นหวังกับเรือใหญ่ หรือแม้แต่เรือเล็ก พวกเราแหงนมองแสงอรุณรุ่งที่สาดส่องมา หมอกยัง คงแพร่ปกคลุมทั่วน่านน�้า โคมไฟว่างเปล่าล้มกลิ้งอยู่ใต้ท้องเรือ ทันใดนั้น ควีเควกลุกขึน้ ยืนแล้วยกมือขึน้ ป้องหู พวกเราทุกคนได้ยนิ เสียงเอีย๊ ดๆ ดังแผ่ว เบาราวกับเสียงเชือกระโยง และเพลาเรือ แต่ถูกรบกวนด้วยเสียงลมมรสุม เป็นระยะๆ เสียงนั้นดังใกล้เข้ามามากขึ้นๆ หมอกหนาค่อยๆ ถูกแหวกออก แล้วแทนที่ด้วยโครงสร้างขนาดใหญ่คลุมเครือ ด้วยความตระหนกกลัวพวก เราต่างโดดลงทะเลขณะเรือใหญ่ปรากฏชัดแก่สายตาพุ่งตรงมายังพวกเราใน ระยะห่างไม่มากไปกว่าความยาวของล�าเรือ ขณะลอยคออยู่ในระลอกคลื่น เราเห็นเรือเล็กที่ละทิ้งมาในชั่วพริบตานั้น มันถูกเหวี่ยงและดูดเข้าไปอยู่ใต้หัวเรือใหญ่เหมือนเศษไม้ที่ฐานน�้าตก จาก นั้นเรือล�าใหญ่เดินหน้าเบียดมันจมหายไปจนมองไม่เห็น กระทั่งมันโผล่ขึ้น มาอีกครั้งด้านหลังเรือ พวกเราว่ายกลับไปหามันอีกครั้ง ถูกคลื่นทะเลซัดให้ พุ่งชนมัน แต่ที่สุดก็สามารถปีนกลับขึ้นเรือได้อย่างปลอดภัย ก่อนพายุฝนจะ พัดกระหน�า่ เข้ามาใกล้ เรือล�าอื่นๆ ยอมตัดใจจากการตามล่าวาฬ และกลับ มายังเรือใหญ่ทันเวลาเช่นกัน เรือใหญ่น�าพวกเรากลับขึ้นไปขณะที่ยังคงแล่น เรืออยู่ หากจะมีสงิ่ ใดทีเ่ ป็นเครือ่ งร�าลึกถึงความดับสูญของพวกเรา สิง่ นัน้ คือ ไม้พาย หรือไม้คา�้ ถ่อ
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 307
บทที่ 49 เสียงหัวเราะโหยหวน
ช่วงเวลาและโอกาสพึลึกๆ ที่ผสมผสานกันเป็นเรื่องแปลกๆ นี้ คือสิ่งที่เรา เรียกว่าชีวิต ยามเมื่อคนคนหนึ่งมองว่าปรากฏการณ์ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องตลก ขนานใหญ่ในชีวิตประจ�าวัน แม้ไหวพริบที่เขามีจะไม่แหลมคมนักก็ตาม และ ยิง่ ชวนให้นา่ สงสัยมากยิง่ ขึน้ เมือ่ รูว้ า่ เรือ่ งตลกนีไ้ ม่ได้เป็นภาระกับใครนอกจาก ตัวเขาเอง กระนั้นก็ตามไม่มีความสิ้นหวังใด และไม่มีประโยชน์อะไรในการ ต่อต้าน บุคคลผูน้ นั้ จะสวาปามทุกผลลัพธ์ทตี่ ามมา ทุกข้อบัญญัติ และความเชือ่ และการโน้มน้าว ไม่วา่ จะเกิดความทุกข์ยากใดทัง้ ทีเ่ ป็นรูปธรรมและนามธรรม ไม่หวั่นแม้มีอุปสรรคมากเพียงใด ดั่งนกกระจอกเทศที่มีระบบการย่อยทรง พลังสามารถกลืนกินได้แม้กระทั่งลูกตะกั่วและชนวนไฟที่ไกปืน ความยาก ล�าบาก และความกังวลใจทีม่ เี พียงเล็กน้อย การคาดการณ์ถงึ ภัยอันตรายทีเ่ กิด ขึ้นฉับพลัน หายนะแห่งชีวิตและแขนขา ทั้งหมดนี้รวมถึงความดับสูญไปเอง ส�าหรับเขาแล้วเพียงซุ่มโจมตีอย่างสบายใจ และแย็บแหย่อย่างครึกครื้นใน ด้านที่ได้รับมอบจากตลกเฒ่าผู้ไร้คนแลและพิลึกคน ผมก�าลังพูดถึงอารมณ์ แปรปรวนไม่เหมือนใครนัน่ มันครอบง�าเราได้กเ็ พียงวินาทีทพี่ บกับความทุกข์ ทรมานขีดสุด มันจะทะลวงเข้าสู่ใจกลางแห่งความมุ่งมั่นของเรา กระทั่งสิ่งที่ เพิง่ เกิดขึน้ นัน้ กลายเป็นสิง่ ทีม่ คี วามหมายส�าคัญทีส่ ดุ ถึงตอนนีค้ วามทุกข์ยาก จะเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเรื่องตลกทั่วไป ไม่มีภัยอันตรายใดเหมือนอันตราย ที่เกิดขึ้นขณะล่าวาฬ มันก่อให้เกิดลักษณะไร้กฎเกณฑ์ในปรัชญาแห่งความ 308 : โมบี-ดิ๊ก
เบิกบานและอาจหาญ ด้วยเหตุนี้ท�าให้ผมเริ่มตระหนักถึงการเดินเรือตลอด เส้นทางของพีควอด และวาฬสีขาวยักษ์ที่เป็นเป้าหมายของมัน “ควีเควก” ผมเอ่ยเรียก ขณะพวกเขาฉุดผมขึ้นมาบนดาดฟ้าเรือเป็นคน สุดท้าย และผมก�าลังสะบัดตัวเพื่อสลัดน�้าออก “ควีเควก.. เจ้าเพื่อนแท้ เรื่อง พวกนีเ้ กิดขึน้ บ่อยเหรอ?” ควีเควกไม่ได้แสดงความรูส้ กึ อะไรออกมามากนักแม้ จะตัวเปียกโชกเช่นเดียวกับผม เขาบอกให้ผมรูว้ า่ สิง่ เหล่านีเ้ กิดขึน้ ได้บอ่ ยครัง้ “คุณสตับบ์” ผมเอ่ยเรียก ขณะหันไปหาบุรุษผู้น่ายกย่องซึ่งในเวลานี้ติด กระดุมเสื้อแจ๊กเก็ตผ้าใบของเขาเสร็จแล้ว และก�าลังสูบกล้องยาอย่างใจเย็น ท่ามกลางสายฝน “คุณสตับบ์ จ�าได้ว่าผมเคยได้ยินคุณเล่าถึงเรื่องนักล่าวาฬ ทุกคนทีเ่ คยพบเจอ คุณสตาร์บคั ต้นเรือของเรา เป็นคนสุขมุ รอบคอบมากทีส่ ดุ ผมคิดว่าตอนกางใบเรือแล่นพุ่งเข้าหาวาฬที่ก�าลังโผกระโจนอยู่ท่ามกลาง พายุหมอกฝนนั่น เป็นการตัดสินใจรอบคอบที่สุดของนักล่าวาฬแล้วสินะ?” “แน่นอน ฉันยังเคยล่องเรือเล็กล่าวาฬขณะเรือใหญ่ก�าลังแล่นหลบหาย ไปในพายุห่างออกไปทางแหลมฮอร์นโน่น” “คุณฟลาสก์” ผมเอ่ยเรียก ขณะหันไปหาเจ้าเปี๊ยกคิงโพสต์ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ “คุณมีประสบการณ์กบั เรือ่ งพวกนี้ แต่ผมไม่มี คุณช่วยบอกผมทีเถอะว่านีเ่ ป็น กฎตายตัวในการประมงนี่ คุณฟลาสก์ ฝีพายจะต้องคัดท้ายแล้วพายเข้าหา กรามมรณะนั่นเหรอ?” “เอางั้นเลยรึ?” ฟลาสก์พูด “ก็ใช่...นั่นเป็นกฎ ฉันอยากเห็นลูกเรือล่าวาฬ กลับพายแจว1เพือ่ เผชิญหน้ากับวาฬ ฮ่า ฮ่า! วาฬจะหรีต่ าหันมามอง ระวังไว้ละ่ !” ถึงตอนนี้ ถ้อยค�าสามพยานผู้มีความเป็นกลาง ท�าให้ผมตรึกตรองเรื่อง ทั้งหมด คิดถึงเรื่องพายุฝน และเรือพลิกคว�่า จนเป็นเหตุให้ต้องค้างแรม ชัว่ คราวกลางทะเลลึก ทัง้ หมดนีล้ ว้ นเป็นเรือ่ งทีเ่ กิดขึน้ ตามปกติของชีวติ แบบ นี้ คิดว่าในช่วงวิกฤติสงู สุดขณะก�าลังไล่ลา่ วาฬ ผมต้องมอบชีวติ วางไว้ในสอง มือของเขาผูค้ วบคุมเรือพิฆาตวาฬ บ่อยครัง้ เพือ่ นร่วมงานซึง่ ในเวลานัน้ เกิดอยู่ 1
กลับพายแจวในเรือเล็กล่าวาฬ คนดัดท้าย (ถือหางเสือ) เท่านั้น ที่หันหน้าไปทางหัวเรือ ส่วนฝีพายคน อื่นๆ จะหันไปทางท้ายเรือ ในที่นี้หมายถึงพายกลับหลัง ไปในทิศทางที่ฝีพายหันหน้าอยู่
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 309
ในอารมณ์หนุ หันในการน�าเรือเร่งรุดไปด้วยสองมือจ�า้ แจวอย่างบ้าคลัง่ คิดว่า หายนะที่เกิดขึ้นกับเรือของเราเองนั้น เป็นเพราะสตาร์บัคตะบี้ตะบันไล่ตาม วาฬจนเรือหลุดเข้าไปอยู่ในอ�านาจท�าลายล้างของพายุฝน ถึงสตาร์บัคจะได้ รับการยอมรับในวงการประมงว่าเป็นคนมีความรอบคอบเป็นเยี่ยมก็เถอะ คิดถึงว่าถ้าผมเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในเรือของสตาร์บัคผู้มีความรอบคอบอย่าง แปลกพิลึกนี้ และท้ายที่สุดคิดถึงการไล่ล่าของปีศาจที่ผมเข้ามาพัวพันด้วย นี้คือวาฬสีขาว ทั้งหมดนี้เมื่อน�ามารวมกัน ผมคิดว่าผมควรลงไปข้างล่างแล้ว ร่างพินัยกรรมของผมขึ้นมาคร่าวๆ ดีกว่า “ควีเควก” ผมพูด “ตามมานี่ นาย ต้องเป็นทนายให้ฉัน เป็นผู้จัดการมรดก และผู้รับมรดกฉัน” อาจเป็นเรื่องแปลกที่ชาวเรือทุกคนควรแก้ไขค�าสั่งเสียและพินัยกรรม ล่าสุดของเขา ทั้งที่ไม่มีใครในโลกนี้ปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลงมัน นี่เป็น ครัง้ ทีส่ ใี่ นชีวติ กลางทะเลทีผ่ มท�าแบบเดียวกันนี้ หลังพิธกี ารปรับเปลีย่ นให้ตรง กับสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว ผมรู้สึกสบายใจมากขึ้น เหมือนยกก้อนหินใหญ่ ออกจากอก ยิง่ ไปกว่านัน้ ตลอดทัง้ วันผมยังใช้ชวี ติ ให้มคี า่ เหมือนเช่นทีล่ าซารัส ใช้ชวี ติ ของเขาหลังฟืน้ คืนชีพ เพราะนัน่ คือรางวัลแห่งชีวติ ทีไ่ ด้รบั เวลาเพิม่ ขึน้ มาอีกหลายเดือน หรือหลายสัปดาห์กอ่ นจะมีเหตุรา้ ยเกิดขึน้ ผมยังชีพอยูด่ ว้ ย การกักเก็บความตาย และการฝังศพไว้ในใจ ผมมองไปรอบๆ ตัวอย่างสงบ และพึงพอใจในสิ่งที่เป็นอยู่ เหมือนวิญญาณสงบเสงี่ยมด้วยมีสติสัมปชัญญะ แจ่มชัดนั่งอยู่ด้านในกรงขังห้องใต้ดินอันแสนอบอุ่น เอาละ ผมคิดขณะยกแขนเสื้อคลุมขึ้นโดยไม่รู้ตัว ผมเลือกที่จะสุขุม รวบรวมสติกระโจนสู่ความตาย และการท�าลายล้าง ฉะนั้น ตัวใครตัวมันก็ แล้วกันนะ2
2
ตัวใครตัวมันก็แล้วกัน-จากภาษิต "แม้ปีศาจเองยังต้องรั้งท้าย" หมายถึง ต้องระวังตัวเอง เพราะไม่มี ใครจะช่วยระวังให้คุณได้
310 : โมบี-ดิ๊ก
บทที่ 50
เรือเชือดวาฬและเฟดัลเลาะห์ ลูกเรือของเอแฮ็บ
“ใครจะไปนึกล่ะ ฟลาสก์!” สตับบ์พดู เสียงดัง “ถ้าฉันมีขาแค่ขา้ งเดียว นายเอง ก็คว้าฉันเอาไว้ไม่ได้หรอก เว้นแต่จะจิ้มนิ้วเท้าอุดรูไม้ก๊อกนั่น โอ้ะ! เขาช่าง เป็นเฒ่ามหัศจรรย์จริงๆ!” “ผมไม่คดิ ว่านัน่ เป็นเรือ่ งแปลกหรอกนะ คิดดูสิ เขายังมีอวัยวะส่วนอืน่ อีก” ฟลาสก์พดู “ถ้าขาเขาไม่มสี ะโพกสิ ถึงจะเป็นอีกเรือ่ ง เพราะเขาจะกลายเป็น คนไร้ความสามารถ แต่นี่เขายังมีเข่า และขาซ้ายที่ยังดีอยู่ ต้นหนก็รู้” “ฉันไม่รู้หรอก เจ้าเปี๊ยก ฉันยังไม่เคยเห็นเขาคุกเข่าเลย” ในกลุม่ ผูร้ อบรูเ้ รือ่ งการล่าวาฬมักมีประเด็นโต้เถียงกันในเรือ่ งส�าคัญสูงสุด เกีย่ วกับความส�าเร็จในชีวติ การเดินเรือ ว่าเป็นเรือ่ งสมควรหรือไม่ทกี่ ปั ตันเรือ ล่าวาฬจะเอาชีวิตมาเสี่ยงอันตรายขณะปฏิบัติการไล่ล่า เช่นเดียวกับเหล่า ทหารของตาเมอร์เลน1มักโต้เถียงกันด้วยน�า้ ตานองหน้าว่าชีวติ ทีม่ คี า่ ของเขา ควรหรือที่จะน�ามาทิ้งไว้ในสนามรบ แต่คา� ถามนัน้ ส�าหรับเอแฮ็บแล้วคงต้องปรับเปลีย่ นเสียใหม่ ควรพิจารณา ในกรณีของคนที่มีสองขาครบแต่กะโผลกกะเผลกอยู่ในอันตรายตลอดเวลา พิจารณาในกรณีตามล่าวาฬภายใต้สถานการณ์คับขันวิกฤติ ซึ่งเป็นวิกฤติ อันตรายมากกว่าปกติทมี่ กั เกิดขึน้ เสมอๆ ซึง่ ช่วงเวลาเฉพาะหน้านัน้ แน่นอน ว่าเต็มไปด้วยภยันอันตราย ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้เป็นเรื่องฉลาดหรือไม่ 1
ตาเมอร์เลน- หรือติเมอร์ จักรพรรดิชาวเติร์ก-มองโกล (ค.ศ. 1336-1405) ผู้พิชิตดินแดนจ�านวนมาก ทางตะวันตกและเอเชียกลาง
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 311
ส�าหรับคนพิการเสียขาจะลงเรือเชือดวาฬเองเพือ่ การไล่ลา่ ? ซึง่ ตามปกติแล้ว เจ้าของร่วมเรือพีควอดไม่ได้คิดถึงเรื่องพวกนี้ เอแฮ็บรู้ดีว่าเพื่อนของเขาที่อยู่ที่บ้านแทบไม่ได้สนใจการลงเรือเชือดวาฬ ของเขาเพราะคิดว่าเขาน่าจะมีโอกาสรอดจากการไล่ล่าได้ในกรณีที่อยู่ใกล้ เหตุการณ์การล่า และคอยออกค�าสั่งควบคุมปฏิบัติการนั้นด้วยตนเอง ทว่า กัปตันเอแฮ็บเป็นผู้ต้องการเรือส�าหรับตนเองเพื่อท�าหน้าที่เป็นเพชฌฆาตใน การล่าด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกัปตันเอแฮ็บเป็นผู้จัดหาลูกเรือฝีมือดีห้าคน ซึ่งก็คือคนกลุ่มเดียวกับที่เห็นในเรือเชือดของเขานั่นเอง เขายังรู้ดีอีกด้วยว่า ความเอื้อเฟื้อเช่นนี้ของเขาจะไม่เป็น ผลให้เขาได้รับเลือกขึ้นเป็น ผู้น�ากลุ่ม เจ้าของเขาเรือพีควอดแต่อย่างใด ด้วยเหตุนเี้ ขาจึงไม่ได้รอ้ งขอลูกเรือเชือดจาก คนเหล่านั้น หรือแม้แต่แย้มพรายความปรารถนาของเขาที่ต้องการร่วมเป็น เพชฌฆาตด้วย ทว่าเขาใช้ความเห็นส่วนตัวจัดการเรื่องทั้งหมดนี้ด้วยตัวเอง ก่อนคาบาโก้จะเผยเรื่องราวที่เขาค้นพบ แทบไม่มีลูกเรือคนใดล่วงรู้มาก่อน แม้จะแน่ใจว่าเป็นช่วงเวลาสั้นๆ หลังเรือแล่นออกจากท่า แต่ลูกเรือทุกคน ต่างเห็นตรงกันว่าเป็นเรือ่ งปกติทจี่ ะต้องจัดหาเรือเชือดวาฬส�าหรับการใช้งาน ทุกครั้งหลังได้เห็นเอแฮ็บขะมักเขม้นลงมือท�าหลักยึดกรรเชียง2ด้วยตัวเอง ทุกคนคิดว่านั่นคงเอาไว้ส�าหรับเรือส�ารอง รวมถึงครั้งที่ได้เห็นเขาพิถีพิถัน เหลาแกนไม้เสียบเอาไว้ใช้ยึดเชือกให้อยู่ในร่องตรงหัวเรือ พฤติกรรมของ เขาทัง้ หมดนีล้ ว้ นถูกเฝ้าสังเกต โดยเฉพาะอย่างยิง่ ความเอาใจใส่ในการเสริม พืน้ ใต้ทอ้ งเรือให้หนาเป็นพิเศษราวกับต้องการท�าให้มคี วามแข็งแกร่งทนทาน แรงกดจากขาสีงาของเขา ยังรวมถึงท่าทีกระตือรือร้นที่เขาแสดงออกมา ให้เห็นในการออกแบบกระดานยึดต้นขา หรือเสาหลักขนาดเทอะทะ หรือ ในบางครั้งอาจเรียกว่าไม้ขวางบนหัวเรือใช้ส�าหรับค�้าหัวเข่าขณะพุ่งหลาว หรือกะซวกวาฬ เราเห็นกันบ่อยๆ ว่าเขาลุกขึ้นยืนบนเรือโดยใช้เพียงแค่ หัวเข่ายึดติดกับหลุมครึง่ วงกลมบนเสาหลักนัน้ และใช้สวิ่ ของช่างไม้ขดุ แซะตรง 2
หลักยึดกรรเชียง-หลักคู่ตั้งไว้ที่ขอบกราบเรือ เพื่อช่วยยึดใบพายให้เข้าที่
312 : โมบี-ดิ๊ก
นีน้ ดิ ท�าให้เรียบตรงนัน่ หน่อย ทัง้ หมดนีผ้ มว่ามันกระตุน้ ความสนใจ และท�าให้ อยากรูอ้ ยากเห็นในตอนนัน้ ทว่าแทบทุกคนต่างนึกว่าการใส่ใจเตรียมตัวอย่าง เต็ ม ก� า ลั ง ของเอแฮ็ บ นี้ ก็ เ พี ย งเพื่ อ เป้ า หมายสู ง สุ ด ในการตามล่ า โมบี้ ดิ๊ ก จากทีเ่ ขาเคยได้เผยให้ได้ลว่ งรูถ้ งึ ความตัง้ ใจทีจ่ ะล่าอสุรกายร้ายนัน่ ด้วยตัวเอง สมมติ ฐ านนั้ น ไม่ มี ข ้ อ ใดบอกถึ ง ความแคลงใจในเรื่ อ งที่ ว ่ า น่ า จะมี ก าร ตระเตรียมลูกเรือส�าหรับเรือล�านั้นด้วย เวลานี้เรื่องราวของสมุนเงาปีศาจที่เหลืออยู่ในความสงสัยค่อยๆ เลือน หายไป เพราะความกังขาของลูกเรือจะเลือนหายไปในไม่ช้า ยิ่งกว่านั้นใน บางครั้งข้าวของแปลกๆ ของคนต่างชาติมักโผล่มาให้เห็นในมุมใดมุมหนึ่ง หรือไม่ก็ที่เผากองขยะสักแห่งบนแผ่นโลกที่คนเหล่านี้ลอยตัวอยู่เหนือกฎ ข้อบังคับของชาวเรือ และโดยปกติแล้วเรือเดินสมุทรเองก็มกั รับคนแปลกหน้าที่ ประสบเหตุเรือแตกลอยคอบริเวณปากทะเลโดยเกาะแผ่นกระดาน เศษซาก เรืออับปาง ไม้พาย เรือเชือดวาฬ เรือบด เรือก�าปัน่ ญีป่ นุ่ ทีป่ ลิวมาไกล และสิง่ ที่ นอกเหนือจากนี้อยู่บ่อยครั้ง ปีศาจตนนั้นอาจพาตัวเองปีนด้านข้างเรือ และ ก้าวลงไปยังห้องเครื่องเพื่อพูดคุยกับกัปตัน เรื่องราวของมันจะไม่สร้างความ ตื่นเต้นจนเกินควบคุมให้กับคนบนดาดฟ้าหัวเรืออีกต่อไป ทว่าหากทัง้ หมดนีเ้ กิดขึน้ จริง แน่นอนว่าสมุนเงาปีศาจพวกนีจ้ ะผูกสัมพันธ์ กับลูกเรือได้ในไม่ช้า แม้จะยังคงมีความแตกต่างจากพวกเขาบ้างก็ตาม และ แม้ความเป็นมาของเฟดัลเลาะห์ยงั คงถูกปกปิดเป็นปริศนาจนถึงทีส่ ดุ แหล่งที่ เขาจากมาสูโ่ ลกผูด้ เี ช่นนี้ และลักษณะความสัมพันธ์ทเี่ ขาจะแสดงให้ประจักษ์ ในไม่ช้าว่ามีส่วนเชื่อมโยงกับโชคชะตาของเอแฮ็บอย่างไร ไม่ใช่แค่นั้น แต่ยัง มีอา� นาจชี้น�า สวรรค์ย่อมรู้ นั่นอาจเป็นแค่อ�านาจที่มีเหนือเขา ทั้งหมดนี้ไม่มี ใครรู้ เว้นแต่คนที่ไม่สามารถอดทนต่อท่าทางชั้นเลวของเฟดัลเลาะห์ได้ เขา เป็นคนพืน้ บ้านทีไ่ ด้รบั การศึกษาในบริเวณระหว่างแถบเขตร้อนกับแถบขัว้ โลก ไขว่คว้าแต่สิ่งที่ตนปรารถนาซึ่งเป็นเพียงสิ่งลางเลือน หากแต่คล้ายกันกับผู้ ที่ในบางครั้งคราวไถลไปอยู่ท่ามกลางชุมชนชาวเอเชียผู้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 313
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกาะแก่งทางด้านตะวันออกจนถึงด้านตะวันออกของ ทวีป ประเทศเหล่านั้นแยกตัวโดดเดี่ยว เก่าแก่โบราณ และไม่เปลี่ยนแปลง แม้จนถึงยุคสมัยปัจจุบันก็ยังอนุรักษ์ความเป็นอยู่ที่น่ากลัวแบบดั้งเดิมของ บรรพบุรุษยุคแรกๆ ของโลก เมื่อความจ�าของมนุษย์คนแรกเป็นความทรง จ�าที่แจ่มชัด และลูกหลานของเขาทุกคนไม่รู้ว่าเขามาจากที่แห่งใด ต่างสบตา กันราวกับเงามืดทีม่ ตี วั ตน และเฝ้าแหงนหน้าถามดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ ว่าพวกเขาถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออะไร และจะมีจุดจบเช่นไร แม้นพระคัมภีร์ว่า ด้วยก�าเนิดของโลกและมนุษย์จะบอกไว้วา่ เทวดาได้ผกู สัมพันธ์กบั ลูกสาวของ มนุษย์ เช่นเดียวกับปีศาจปล่อยใจหลงไปกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ บนโลกมนุษย์ ในบทประพันธ์ของแรบบินส์ผู้ไม่ได้รับการยอมรับก็ตาม
314 : โมบี-ดิ๊ก
บทที่ 51
พวยน�้าปริศนา
หลายวัน หลายสัปดาห์ผ่านไป เรือพีควอดแล่นเรื่อยๆ ค่อยๆ แล่นผ่านเส้น ทางเดินเรือต่างๆ สีแ่ ห่งคือ หมูเ่ กาะอะโซร์ส1 กาบูเวร์ด2ี แม่นา�้ เพลต3(เรียกกัน อย่างนัน้ ) ซึง่ อยูห่ า่ งจากปากทางแม่นา�้ ริโอเดอลาพลาตา และแคร์รอลกราวด์4 แหล่งน�้าที่ไม่มีเสาหลักปักเขตทางด้านใต้ของเซนต์เฮเลน่า*5 ช่วงขณะก�าลังแล่น ผ่านแหล่งน่านน�้าช่วงหลังๆ ในคืนเงียบสงบ และ แสงจันทร์กระจ่าง หมู่เกลียวคลื่นม้วนตัวคล้ายขดม้วนเงิน ฟองละมุน แผ่กระจายคล้ายความเงียบสีเงิน ในค�่าคืนเงียบสงบนี้เราไม่ได้โดดเดี่ยว ละอองสีเงินพวยพุ่งขึ้นมาให้เห็นห่างไปทางด้านหน้าฟองคลื่นสีขาวบริเวณ หัวเรือ สว่างชัดภายใต้แสงจันทร์ ดูคล้ายสรวงสวรรค์ ราวกับเทวดาติดปีก ส่องประกายผุดขึ้นมาจากกลางทะเล เฟดัลเลาะห์เป็นคนแรกที่สังเกตเห็น พวยน�้านี้ คืนจันทร์ส่องกระจ่างหลายคืนมานี้เขาคุ้นเคยกับการปีนขึ้นไปบน เสากระโดงใหญ่ยืนเฝ้ายามอยู่บนนั้น ด้วยแสงสว่างกระจ่างตาราวกับเวลา หมู่เกาะอะโซร์ส-ในมหาสมุทรแอตแลนติกตอนเหนือ กาบูเวร์ดี-ประเทศที่เป็นเกาะ ตั้งอยู่บนกลุ่มเกาะภูเขาไฟประมาณ 10 เกาะในมหาสมุทรแอตแลนติก ตอนกลาง 3 แม่น�้าเพลต-ก็คือแม่น�้ารีโอเดลาปลาตา (ภาษาสเปน หมายถึง "แม่น�้าแห่งแร่เงิน")นับเป็นแม่นา�้ ที่กว้าง ที่สุดในโลก ซึ่งมีความกว้าง 30 กิโลเมตรในบริเวณจุดบรรจบกันของแม่น�้าอุรุกวัยและแม่น�้าปารานา และเพิ่มขึ้นเป็น 220 กิโลเมตรในบริเวณที่จะออกสู่มหาสมุทรแอตแลนติก เป็นพรมแดนทางธรรมชาติ ระหว่างประเทศอาร์เจนตินากับประเทศอุรุกวัย 4 แคร์รอลกราวด์-แหล่งวาฬนอกชายฝั่งแองโกลา แอฟริกา 5 เซนต์เฮเลน่า-เกาะทางตอนใต้ของมหาสมุทรแอตแลนติก 1 2
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 315
กลางวัน ถึงอย่างนั้นฝูงวาฬที่ถูกพบในเวลากลางคืน ไม่มีนักล่าวาฬคนใดใน ร้อยคนจะเสีย่ งลงเรือเล็กไปไล่ลา่ พวกมัน คุณคงอยากรูว้ า่ ลูกเรือจะรูส้ กึ ยังไง เมื่อเห็นเฒ่าชาวตะวันออกผู้นี้ยืนเกาะอยู่บนที่สูงในชั่วโมงที่ไม่ธรรมดานั้น หมวกโพกหั ว ของเขา และแสงจั น ทร์ เ ป็ น เพื่ อ นร่ ว มทางบนผื น ฟ้ า แผ่ น เดียวกัน ทว่าหลังจากขึ้นไปอยู่บนนั้นในช่วงเวลาเดียวกันต่อเนื่องหลายคืน โดยปราศจากเสียงร้องสักเพียงครั้ง ที่สุดคืนเงียบสงบนี้เองเสียงร้องน่ากลัว ของเขาป่าวประกาศให้ได้ยินถึงละอองน�้าสีเงินพวยพุ่งท่ามกลางแสงจันทร์ เหล่ากะลาสีที่ก�าลังเอนกายเอกเขนกต่างลุกขึ้นยืนราวกับหัวใจติดปีกลอย ล่องไปยังสายระโยงเรือ และโห่รอ้ งเรียกลูกเรือจอมร้าย “มันลอยอยูน่ นั่ !” เมือ่ เสียงแตรวันพิพากษา6เป่าดังขึน้ พวกเขาจะยืนตัวสัน่ อีกต่อไปไม่ได้ และต้อง ไม่รู้สึกกลัวแม้จะพอใจหรือไม่ก็ตาม ทว่านี่เป็นเวลาที่ไม่เคยคุ้นเอาเสียเลย ตืน่ กลัวจนแทบคลุม้ คลัง่ และอยากแผดเสียงร้องออกมา แทบไม่มมี นุษย์คนใด บนเรืออยากลงเรือเชือดวาฬในเวลานี้ เมื่อเดินขึ้นมาถึงบนดาดฟ้าเรือด้วยจังหวะก้าวยาวๆ เอแฮ็บสั่งให้กาง ใบเรือเสากลาง และใบเรือเสาเอก และใบเรือเสริมทุกปีก คนที่มีฝีมือดีที่สุด บนเรือให้ไปถือพวงมาลัย และให้คนขึน้ ไปประจ�าทีบ่ นยอดเสาเรือทุกต้น เรือ เตรียมพร้อมแล่นสู่เบื้องหน้าสายลม ลมอ่อนมีแนวโน้มผิดไปจากปกติยกตัว ลอยขึ้นเติมแอ่งบนใบเรือเป็นหลุมกว้าง ท�าให้ดาดฟ้าเรือลอยฉวัดเฉวียน ให้ความรู้สึกคล้ายลมพัดเอื่อยใต้เท้า ขณะรุดไปข้างหน้าราวกับสองผู้ทรง อิทธิพลผู้เป็นปรปักษ์ต่อกันต่างฟาดฟันกันบนเรือ ฝ่ายหนึ่งปีนขึ้นไปบน สวรรค์ อีกฝ่ายเปลี่ยนทิศมุ่งหน้าไปยังเป้าหมายในแนวราบ ถ้าคุณได้เห็น ใบหน้าของเอแฮ็บในคืนนั้น คุณอาจคิดว่าเขามีสองสิ่งที่ก�าลังสู้รบกันอยู่ใน ตัว ขณะขาข้างหนึ่งที่มีชีวิตส่งเสียงก้องกังวานไปทั่วดาดฟ้า ขณะแต่ละก้าว ของขาทีต่ ายแล้วส่งเสียงตอกราวกับเสียงเคาะโลงศพ ชายชราผูน้ กี้ า้ วเดินด้วย ขาข้างที่มีชีวิต และขาที่ตายไปแล้ว ทว่าแม้เรือจะแล่นไปอย่างรวดเร็ว และ 6
เสียงแตรวันพิพากษา-ซึ่งประกาศการกลับมาของพระเยซู
316 : โมบี-ดิ๊ก
แม้สายตาแต่ละข้างจะเป็นดั่งลูกศร ซึ่งผู้กระหายเล็งยิงออกไปยังเป้าหมาย กระนั้นล�าน�้าพุ่งสีเงินก็ไม่ปรากฏให้เห็นอีกในคืนนั้น ลูกเรือทุกคนต่างยืนยัน ว่าเห็นมันเพียงครั้งเดียว แล้วก็ไม่ได้เห็นอีกเลย พวยน�า้ พุง่ กลางดึกเกือบกลายเป็นสิง่ ทีถ่ กู ลืม กระทัง่ หลังจากนัน้ หลายวัน เฮ้...ดูนั่นสิ! เสียงที่ดังขึ้นในค�า่ คืนเงียบสงบเช่นคืนก่อนดังขึ้นอีกครั้ง และเป็น อีกครั้งที่พวยน�้าพุ่งปรากฏแก่สายตาทุกคน แต่เมื่อแล่นเรือไปถึงมันกลับ หายสาบสูญไปอีกคราราวกับไม่เคยมีปรากฏมาก่อน เหตุการณ์เช่นนี้ยังคง เกิดขึ้นคืนแล้วคืนเล่ากระทั่งไม่มีใครใส่ใจกับมันอีกเว้นแต่รู้สึกฉงนงงงวยกับ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ล�าน�้าปริศนาพวยพุ่งให้ได้เห็นท่ามกลางแสงจันทร์ หรือแสงดาว ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นในอีกวัน หรือสองวัน หรือสามวัน และ ดูเหมือนว่าทุกครัง้ ทีป่ รากฏให้เห็นซ�า้ ชัดนัน้ จะมีระยะห่างไกลออกไปจากกอง หน้าของเราเรื่อยๆ เรื่อยๆ ราวกับล�าน�้าพุ่งในคืนเงียบสงัดนี้ตั้งใจจะล่อลวง เราชั่วนิรันดร์ หรือไม่ก็อาจเป็นความเชื่อเรื่องโชคลางตามค�าโบราณของเผ่าพันธุ์มัน เรือ่ งราวน่ามหัศจรรย์ ประหนึง่ ประดังประเดปรากฏการณ์ให้เรือพีควอดเร่งรุด ไปตามแรงปรารถนาของชาวเรือผูน้ นั้ ผูป้ ฏิญาณมัน่ ไม่วา่ เมือ่ ใด และน่านน�า้ ใด ทีไ่ ด้พบเห็น ไม่วา่ เนิน่ นานเพียงใด หรือห่างไกลไปบนเส้นละติจดู และลองติจดู ใด พวยน�า้ พุ่งที่ไม่มีวันไปถึงด้วยความจงใจของวาฬตัวเดียวกัน วาฬตัวนั้น... โมบี้ดิ๊ก ห้วงเวลาแห่งภวังค์อันน่าสะพรึงกลัวเข้าครอบง�ายามเมื่อภาพหลอน โฉบผ่านราวกับมันก�าลังกวักมือเรียกพวกเราให้ตามไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ เมื่อ โอกาสเหมาะเจ้าอสุรกายจะหันกลับมาหาเรา ฉีกทึ้งพวกเราในทะเลโหดที่ อยู่ไกลลิบตา ความรู้สึกหวาดหวั่นที่เกิดขึ้นในชั่วเวลานี้ เลือนรางแต่น่ากลัวยิ่ง อ�านาจ อันน่าพิศวงนั้นเกิดขึ้นจากบรรยากาศเงียบสงบผิดแผกปกติ เบื้องล่างความ อ่อนโยนของทะเลสีคราม บางคนคิดว่าอาจซุกซ่อนมายาแห่งความชั่วร้ายไว้ วันแล้ววันเล่าที่เราแล่นเรือผ่านท้องทะเลแต่ละแห่งน�ามาซึ่งความเหนื่อยล้า เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 317
อ้างว้างวังเวง นั่นท�าให้ส่วนส�านึกของเราที่ไม่เห็นด้วยกับภารกิจล้างแค้น ก�าลังถอนตัวออกจากพื้นที่เบื้องหน้าหัวเรือรูปโกศ ทว่าเมื่อเปลี่ยนเส้นทางไปยังด้านตะวันออก ลมบริเวณแหลมเคปเริ่มส่ง เสียงร้องโหยหวนรอบๆ เราลอยขึ้น และดิ่งลงตามแรงคลื่นทะเลป่วนที่เรือ แล่นอยู่ เมื่อเรือพีควอดสีขาวดั่งงาก้มหัวฉับพลันให้กับลมแรง และทิ่มแทง เกลียวคลืน่ สีดา� อย่างบ้าคลัง่ กระทัง่ เศษเงินโปรยปรายดังสายฝนพร�า่ ละออง ฟองคลืน่ สาดซัดขึน้ มาบนกราบเรือ ทัง้ หมดนีท้ า� ให้ความอ้างว้างหดหูใ่ นชีวติ มลายหายสิ้น ทว่าเพิ่มโอกาสให้แลเห็นความหดหู่มากกว่าก่อน ใกล้ๆ หัวเรือ สิ่งที่มีรูปร่างประหลาดโผจากทางด้านโน่น ด้านนั่นเบื้อง หน้าเรา ลึกไปทางด้านหลังเรือ นกทะเลสีดา� ลึกลับบินโฉบไปมา ทุกๆ เช้าเรา เห็นนกพวกนี้เกาะเรียงแถวอยู่บนเชือกโยง แม้เราส่งเสียงร้องไล่ แต่พวกมัน ยังดื้อดึงเกาะบนเชือกปออยู่นาน ราวกับพวกมันคิดว่าเรือของเราเป็นขอน ไม้ลอยน�้า เรือร้าง หรือสิ่งที่ไร้ผู้คนอาศัย จึงเหมาะส�าหรับสัตว์ไร้บ้านอย่าง พวกมั น ได้ เ กาะพั ก พิ ง น�้ า ทะเลขึ้ น ลงเป็ น จั ง หวะ ทะเลสี ด� า ไม่ ห ยุ ด พั ก กระเพือ่ มไหว กระแสน�า้ กว้างใหญ่รผู้ ดิ ชอบชัว่ ดีฉนั ใด มนุษย์โลกผูย้ งิ่ ใหญ่ยอ่ ม ระทมทุกข์ และส�านึกผิดต่อบาปตลอดมา และก�าลังทนทุกข์ต่อบาปที่ก่อขึ้น โอ้...แหลมกูด๊ โฮป พวกเขาเรียกอย่างนัน้ หรือ? แหลมตอร์เมนโตโต้7ล่ะสิไม่ ว่า ตามทีเ่ รียกกันในอดีตกาล ความไม่สตั ย์ซอื่ ทีป่ กปิดเราไว้กอ่ นหน้านีล้ อ่ ลวง เรามาโดยตลอด เวลานี้เราพบตัวเองถูกน�ามาสู่ทะเลแห่งความระทมทุกข์ ที่ ซึ่งผู้มีมลทินกลายร่างเป็นสัตว์ปีกพวกนั้น และสัตว์น�้าพวกนี้ ถูกลงโทษให้ ต้องเวียนว่ายไม่มีที่สิ้นสุดโดยปราศจากแหล่งพักอาศัย หรือต้องกระพือปีก อยู่กลางท้องฟ้าสีด�าที่ไร้ขอบเขต ทว่าความสงบนิ่ง ความขาวราวหิมะ และ ความไม่แปรเปลีย่ นยังคงน�าทางแพขนนกของมันให้ทะยานขึน้ สู่ทอ้ งฟ้า เพือ่ กวักมือเรียกพวกเราจากด้านหน้า พวยน�า้ หนึง่ เดียวนัน้ ถูกพบเห็นเป็นครัง้ ครา ทั้งล�าเรือเงียบกริบราวกับถูกจัดวางลูกเรือเคลือบขี้ผึ้งไว้ วันแล้ววันเล่า 7
แหลมตอร์เมนโตโต้-ตอร์เมนโตในภาษาสเปนแปลว่า "ทรมาน" นักส�ารวจชาวโปรตุเกสเคยเรียกแหลม กู๊ดโฮปว่า "ตอร์เมนโตโซ" แปลว่า พายุ, ปั่นป่วน
318 : โมบี-ดิ๊ก
ผ่านไปท่ามกลางคลื่นปีศาจที่เดี๋ยวร้ายเดี๋ยวดี ตกค�่ายังไร้เสียงคนพูดคุย ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของลมแรงในมหาสมุทร ลูกเรือต่างยังคงแกว่งตัว เงียบอยู่ในห่วงเชือก เอแฮ็บยังคงยืนหยัดอยู่ท่ามกลางลมแรงโดยไม่ปริปาก พูดอะไรออกมา ยามเมือ่ ธรรมชาติของความเหนือ่ ยล้าบงการร่างกายให้ตอ้ ง หลับพักผ่อน เขาก็ไม่ปรารถนาจะพักผ่อนบนเปลญวน สตาร์บคั ไม่เคยลืมภาพ นั้นของชายชรา เมื่อคืนวันหนึ่งเขาลงไปที่ห้องเครื่องเพื่อตรวจดูระดับความ กดอากาศของเครือ่ งวัด เขาเห็นชายชราปิดเปลือกตานัง่ ตัวตรงอยูบ่ นเก้าอีต้ ดิ สกรูยดึ พืน้ ของเขา แผ่นน�า้ แข็งทีเ่ คลือบคลุมตัวเขาไว้กอ่ นหน้านีก้ า� ลังละลาย กลายเป็นหยดน�า้ ร่วงหล่นจากหมวก และเสื้อคลุมที่มีน�้าแข็งเกาะจนแข็งทื่อ บนโต๊ะข้างตัวเขามีแผนทีแ่ สดงระดับน�า้ ขึน้ ลง และกระแสน�า้ ทีเ่ คยพูดถึงก่อน หน้านี้วางอยู่ ตะเกียงห้อยแกว่งไกวอยู่ในมือของเขาที่ก�าไว้แน่น แม้ร่างกาย นั้นยังคงตั้งตรง แต่หัวโยกไปทางด้านหลังท�าให้ดวงตาหลับพริ้มนั้นชี้ไปทาง เข็มของเทลเทล8ที่แขวนอยู่ตรงคานไม้บนเพดาน ชายชราผู้น่าเวทนา! สตาร์บัคคิด แม้ในยามหลับตัวสั่นระริกท่ามกลาง พายุฝน ก็ยังคงวางสายตามั่นไว้กับเป้าหมาย
8
เข็มทิศในห้องเครื่องจะเรียกว่าเทลเทล (Tell-tale) มีไว้ส�าหรับกัปตันใช้ดูเส้นทางการเดินเรือจากด้าน ล่างโดยไม่ต้องไปดูเข็มทิศที่พวงมาลัยเรือ
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 319
บทที่ 52
เรืออัลบาทรอส
ทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ของแหลมเคป ห่างจากหมู่เกาะโครเซตต์1 เป็น เส้นทางที่นักล่าวาฬไรต์มักแล่นเรือผ่าน เรือล�าหนึ่งปรากฏให้เห็นลางๆ อยู่ ด้านหน้า เป็นเรือที่มีชื่อว่ากอนีย์ (นกอัลบาทรอส) ขณะเรือค่อยๆ แล่นเข้า มาใกล้ ภาพทีไ่ ด้เห็นจากทีส่ งู บนเสากระโดงเรือหน้าทีผ่ มเกาะอยูน่ ี้ เป็นภาพ สวยจับตาส�าหรับลูกเรือหน้าใหม่ในอุตสาหกรรมประมงทะเล นักล่าวาฬ ผู้จากบ้านมาใช้ชีวิตอยู่กลางทะเลเป็นเวลานาน ราวกับคลืน่ ทะเลเป็นเหมือนดัง่ เครือ่ งซักฟอก เรือสีซดี นัน่ จึงดูคล้ายโครง กระดูกสิงโตทะเลเกยคลืน่ บริเวณด้านล่างทัง้ หมดปรากฏร่องรอยแถบสนิมสี แดงไหลเป็นทางยาว เสาหรือไม้คา�้ ยึดใบเรือ และสายระโยงดูคล้ายกิง่ ไม้หนา ถูกปกคลุมด้วยน�า้ ค้างแข็ง มีเพียงใบเรือล่างทีก่ างออก คนเฝ้ายามทีอ่ ยูบ่ นเสา กระโดงเรือทัง้ สามต้นมีหนวดเครายาวรุงรังดูรกตา พวกเขาดูเหมือนสวมชุดขน สัตว์เดรัจฉาน เครือ่ งแต่งกายนัน้ ฉีกขาด และปะชุนอย่างนีม้ าตลอดเกือบสีป่ ี ของการเดินเรือ คนเหล่านัน้ ยืนอยูใ่ นตะแกรงเหล็กตอกติดกับต้นเสาแกว่งไกว อยู่เหนือทะเลที่ยากหยั่งถึง และเมื่อเรือค่อยๆ เลื่อนเข้ามาชิดติดท้ายเรือเรา พวกเราทั้งหกคนที่อยู่บนอากาศต่างอยู่ใกล้กันเสียจนแทบกระโดดจากเสา กระโดงเรือล�าหนึ่งไปยังอีกล�าได้ ทว่าชาวประมงผู้เปลี่ยวดายเหล่านั้นเพียง ช�าเลืองมองพวกเราขณะเลยผ่านไป โดยไม่ได้พูดอะไรสักค�ากับพวกเราที่อยู่ 1
หมู่เกาะโครเซตต์-อยู่ทางตอนใต้ของมหาสมุทรอินเดีย
320 : โมบี-ดิ๊ก
บนรังกา ขณะนั้นเสียงโห่ร้องดังขึ้นมาให้ได้ยินจากดาดฟ้าท้ายเรือด้านล่าง “เฮ้ เรือทางนั้นน่ะ! เห็นวาฬสีขาวบ้างมั้ย?” ทว่าขณะกัปตันต่างแดนก�าลังชะโงกหน้าข้ามกราบเรือซีดจางพร้อมคว้า โทรโข่งจ่อปากนั้น มันร่วงหล่นจากมือตกสู่ทะเลเป็นเวลาเดียวกับลมพัด กระโชกแรง เมื่อปราศจากโทรโข่งเขาจึงล้มเหลวที่จะได้ยินเสียงนั้น จังหวะ นั้นเรือของเขายังคงเพิ่มระยะห่างจากเรือของเรา นั่นเป็นอีกหนึ่งรูปแบบที่ แตกต่างกันไปในหลายๆ ครั้งที่ลูกเรือพีควอดได้สัมผัสกับลางบอกเหตุยาม เมื่อเอ่ยถึงชื่อของวาฬสีขาวกับเรือล�าอื่น เอแฮ็บลังเลชั่วขณะ คล้ายว่าเขา คิดจะลงเรือเล็กไปขึ้นเรือคนแปลกหน้าโดยไม่สนใจลมพายุที่ก�าลังขู่ค�าราม แต่เขากลับใช้ความได้เปรียบจากต�าแหน่งที่อยู่ทางลม คว้าโทรโข่งของเขา ไว้ได้อีกครั้ง ท�าให้เห็นด้านข้างของเรือและรู้ว่าเรือแปลกหน้าล�านี้เป็นของ ชาวแนนทักเก็ต และก�าลังมุ่งหน้ากลับบ้านในเร็ววันนี้ เขาร้องเรียกเสียงดัง “เฮ้...ทางนั่นน่ะ! นี่เรือพีควอด เดินเรือรอบโลก! บอกพวกนั้นให้จ่าหน้า จดหมายทุกฉบับล่วงหน้าไปที่มหาสมุทรแปซิฟิกนะ! และจากนี้ไปอีกสามปี ถ้าฉันไม่ได้กลับบ้านไป บอกพวกเขาให้จ่าหน้าจดหมายถึง...” ช่วงขณะนั้นร่องรอยทางน�้าสองเส้นปรากฏข้ามผ่านพร้อมกันในชั่วอึดใจ เวลานั้นรอยทางน�้าแต่ละเส้นปรากฏฝูงปลาขนาดเล็กที่ไม่เป็นอันตราย ซึ่ง ก่อนหน้านี้หลายวันพวกมันว่ายอย่างสงบเงียบอยู่ข้างเรือของเรา ส่วนที่มี ลักษณะคล้ายครีบของพวกมันระริกแล่นผ่านอย่างต่อเนือ่ ง ต่างเรียงแถวหน้า หลังอยู่ข้างเรือคนแปลกหน้า แม้ตลอดเส้นทางเดินเรืออย่างต่อเนื่องเอแฮ็บ เองเคยเห็นภาพแบบเดียวกันนี้มาแล้วบ่อยครั้ง ทว่าส�าหรับชายผู้มีจิตใจ หมกมุ่นแล้ว เรื่องไร้สาระที่สุดบางครั้งก็กลายเป็นเรื่องส�าคัญขึ้นมาได้ “ว่ายไปห่างๆ ฉัน ได้ยินมั้ย?” เอแฮ็บพึมพ�า ขณะจ้องลงไปบนผิวน�้านั้น และเหมือนจะพูดอะไรออกมาอีกสองสามค�า ทว่าน�า้ เสียงนัน้ สือ่ ถึงความเศร้า โศกสุดซึ้งกว่าครั้งไหนๆ ที่เฒ่าวิกลจริตผู้นี้เคยแสดงออกมาให้เห็น เขาหัน ไปยังนายท้ายเรือผู้อยู่ห่างออกไป และก�าลังควบคุมเรือท่ามกลางสายลม เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 321
ให้ลดความเร็วลง เขาส่งเสียงสิงโตเฒ่าของตนออกมา “ยกหางเสือ! พาเรือ ไปรอบโลก!” รอบโลก! เสียงนั้นมีพลังสร้างความรู้สึกล�าพองใจได้มากทีเดียว ทว่าที่ แห่งใดจึงถือว่าเดินเรือรอบโลก? แล่นเรือผ่านภยันตรายนับไม่ถ้วนจนมาถึง บริเวณจุดที่เราเริ่มต้น ที่ซึ่งเราทิ้งความมั่นใจไว้เบื้องหลัง ทั้งหมดนี้อยู่เบื้อง หน้าเราตลอดเวลา หากโลกนี้กว้างไกลไร้ขอบเขต การล่องเรือเรื่อยไปทางทิศตะวันออกเรา คงได้พบกับดินแดนใหม่ทอี่ ยูไ่ กลโพ้น และพบกับภาพความงดงาม และแปลก ตากว่าหมูเ่ กาะซิคละดีส2 หรือเกาะคิงโซโลมอน3 เช่นนัน้ แล้วจึงถือเป็นเครือ่ ง รับประกันของการเดินเรือ ทว่าการตามล่าบรรดาจอมลี้ลับที่เราฝันถึง หรือ การไล่ลา่ ด้วยความรูส้ กึ ปวดร้าว ตามหาเงาปีศาจซึง่ บางครัง้ หรือบางตัวว่าย อยู่เบื้องหน้ามนุษย์ผู้หาญกล้า การไล่ล่าเช่นนี้รอบโลกกลมๆ ใบนี้ พวกมัน ย่อมน�าเราไปยังเส้นทางวกวนอ้างว้าง และปล่อยพวกเราจมหายกลางล�าน�้า
หมู่เกาะซิคละดีส-หรือคีคลาเดส เป็นหมู่เกาะในประเทศกรีซ อยู่ทางตอนใต้ของทะเลอีเจียน ประกอบ ด้วยเกาะประมาณ 220 เกาะ 3 หมูเ่ กาะคิงโซโลมอน-หมูเ่ กาะโซโลมอน ค้นพ้บในปี 1568 ทีต่ งั้ ชือ่ นีด้ ว้ ยหวังว่าได้คน้ พบเกาะทีส่ ญ ู หาย ของกษัตริย์โซโลมอนในคัมภีร์ไบเบิล 2
322 : โมบี-ดิ๊ก
บทที่ 53
สังสรรค์
เหตุผลที่พอเข้าใจได้ว่าเหตุใดเอแฮ็บจึงไม่ไปขึ้นเรือของนักล่าวาฬที่เราได้ กล่าวถึง นัน่ เพราะลมและทะเลก�าลังส่อเค้าพายุ ทว่าอาจยังไม่ใช่สาเหตุแท้จริง ทีท่ า� ให้เขาตัดสินใจไม่ขน้ึ เรือล�านัน้ หากพิจารณาจากเหตุการณ์ทา� นองเดียวกัน นีท้ เี่ กิดขึน้ อีกหลายครัง้ ในภายหลัง เป็นไปได้วา่ ช่วงโห่เสียงร้องเรียกเขาได้รบั การปฏิเสธต่อค�าถามของเขา และนั่นเป็นเหตุผลให้ล้มเลิกใส่ใจผูกมิตรกับ กัปตันแปลกหน้าแม้เพียงสักห้านาที นอกเสียจากกัปตันผูน้ นั้ จะช่วยให้ขอ้ มูล ที่เขากระหายใคร่รู้ ทว่าทั้งหมดนี้อาจยังไม่เพียงพอส�าหรับการประเมิน และ ไม่ใช่เรื่องที่กล่าวกันตามธรรมเนียมปฏิบัติเฉพาะกลุ่มเรือล่าวาฬเมื่อต่าง พบกันในทะเลต่างแดน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณเส้นทางเดินเรือเดียวกัน หากชายแปลกหน้าทั้งสองข้ามมาพบกันที่ไพน์บาร์เรนในนิวยอร์คสเตท หรือสถานที่ที่แห้งแล้งพอกันอย่างซาลิสบิวรีเพลนในอังกฤษ การพบกันโดย บังเอิญในดินแดนแห้งแล้งไร้ความปรานีเช่นนั้น เพื่อการมีชีวิตของทั้งสอง พวกเขาย่อมไม่หลีกหนีโอกาสกล่าวค�าอวยพรต่อกัน และหยุดพักแลกเปลีย่ น ข่าวคราวระหว่างกันชั่วระยะหนึ่ง หรืออาจนั่งลงชั่วครู่เพื่อพักชมการแสดง ดนตรีร่วมกัน ธรรมชาติของมนุษย์เช่นนี้จะมีโอกาสเกิดขึ้นได้มากอีกเพียงใด หากไพน์บาร์เรน และซาลิสบิวรีเพลนอยู่ในทะเลกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต เรือ ล่าวาฬสองล�าพบเจอกัน ณ ปลายสุดขอบโลก เกาะแฟนนิ่งดินแดนอ้างว้าง ตัดขาดจากผืนดินใหญ่ หรือคิงส์มลิ ดินแดนห่างไกล ธรรมชาติมนุษย์เช่นนีเ้ กิด เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 323
ขึ้นได้มากอีกเพียงใดน่ะหรือ ผมว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนั้นเรือทั้งสองล�า ไม่เพียงผลัดกันส่งเสียงโห่ร้องทักทายกันเท่านั้น แต่ยังจะเข้าใกล้กันมากขึ้น ผูกสัมพันธ์เป็นมิตร และมีไมตรีจติ ต่อกัน ยิง่ ไปกว่านัน้ นีจ่ ะเป็นเรือ่ งปกติมาก ขึน้ เมือ่ เรือทัง้ สองล�ามาจากเมืองท่าเดียวกัน อีกทัง้ กัปตัน นายเรือ และลูกเรือ จ�านวนไม่น้อยต่างรู้จักกันเป็นการส่วนตัว ผลสุดท้ายพวกเขาคงมีเรื่องราว มากมายให้พูดคุยกันเกี่ยวกับบ้านอันเป็นที่รักของตน ส�าหรับเรือทีจ่ ากบ้านมาเป็นเวลานาน เรือทีเ่ พิง่ จากบ้านมาไม่นานอาจมี จดหมายมากับเรือด้วย ไม่เช่นนั้นก็ต้องให้แน่ใจว่าได้มอบหนังสือพิมพ์ฉบับ ปัจจุบนั หรือปีปจั จุบนั หรือสองปีหลังฉบับล่าสุดซึง่ ถูกอ่านจนตัวหนังสือเลือน ราง และกระดาษสึกกร่อนในแผงเก็บ และโดยมารยาทตอบแทนแล้วเรือทีเ่ พิง่ จากบ้านมาควรได้รบั ฟังข่าวล่าสุดเกีย่ วกับการล่าวาฬในเส้นทางเดินเรือทีเ่ ป็น เป้าหมาย ซึ่งนั่นเป็นสิ่งส�าคัญที่สุดส�าหรับเรือล่าวาฬ และในความเป็นจริง แต่ละฝ่ายย่อมมีข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเส้นทางเดินเรือที่เพิ่งผ่านมา แม้จะจาก บ้านมาเป็นเวลานานพอๆ กันก็ตาม บางครั้งเรือล�าใดล�าหนึ่งอาจรับฝาก จดหมายจากเรือล�าทีส่ ามซึง่ ในเวลานีอ้ ยูห่ า่ งไกลออกไปมาก และบางฉบับของ จดหมายเหล่านีอ้ าจเป็นของคนบนเรือทีแ่ ล่นผ่านมาเจอ ยิง่ ไปกว่านัน้ พวกเขา อาจได้แลกเปลี่ยนข่าวการล่าวาฬกัน และพูดคุยกันอย่างเป็นมิตร เพราะเรือ ทั้งสองล�าไม่เพียงมีลูกเรือที่มีสภาพจิตใจอย่างเดียวกัน แต่ยังถูกคอกันเป็น พิเศษหลายเรือ่ งอันเป็นผลมาจากการประกอบอาชีพเหมือนกัน ร่วมแบ่งปัน ความคับแค้นใจและภยันตรายด้วยกัน ไม่เพียงความแตกต่างของภูมิล�าเนาสร้างความแตกต่างที่มีนัยส�าคัญยิ่ง นั่นคือคงต้องใช้เวลานานมากกว่าทั้งสองฝ่ายจะพูดจาภาษาเดียวกัน อย่าง กรณีชาวอเมริกนั กับชาวอังกฤษ แม้วา่ ...แน่ละ่ จากจ�านวนทีน่ อ้ ยกว่าของนักล่า วาฬชาวอังกฤษ การพบกันย่อมเกิดขึน้ ไม่บอ่ ยนัก และเมือ่ พวกเขาบังเอิญได้ พบกันขึน้ มาก็มแี นวโน้มเป็นไปได้มากทีท่ งั้ สองฝ่ายจะเกิดอาการประหม่าขึน้ ชาวอังกฤษของคุณจะค่อนข้างสงวนทีท่า ขณะที่ชาวแยงกี้ของคุณจะไม่นิยม 324 : โมบี-ดิ๊ก
ชมชอบสิ่งที่คนอื่นเป็นนอกจากตัวเอง นอกจากนี้นักล่าวาฬชาวอังกฤษบาง ครั้งชอบท�าตัวเป็นคนสังคมชั้นสูงเหนือนักล่าวาฬชาวอเมริกัน โดยเฉพาะ อย่างยิ่งกับชาวแนนทักเก็ตที่อัตคัดชั่วนาตาปีด้วยลักษณะท่าทางบ้านนอก ทึมทื่ออย่างที่เรียกว่าชาวประมงชนบท ทว่าความเหนือกว่าที่นักล่าวาฬ ชาวอังกฤษเป็นกันจริงๆ นัน้ ไม่อยากจะพูดออกมาว่ารูบ้ า้ งมัย้ ในหนึง่ วันชาว แยงกีฆ้ า่ วาฬรวมกันมากกว่าชาวอังกฤษฆ่าได้รวมกันนับสิบปี แต่นกี่ เ็ ป็นเพียง ข้อบกพร่องเล็กๆน้อยๆ ในตัวนักล่าวาฬชาวอังกฤษซึ่งไม่ได้เป็นพิษเป็นภัย อะไรส�าหรับชาวแนนทักเก็ตที่ไม่ได้เอามาใส่ใจนัก บางทีอาจเป็นเพราะพวก เขารู้ดีว่าพวกเขาเองก็มีข้อบกพร่องอยู่บ้างเช่นกัน เอาล่ะ ทีนี้ เรารู้แล้วว่าเรือแต่ละล�าจะแยกย้ายกันไปตามที่ต่างๆ ทั่วท้อง ทะเล นักล่าวาฬมีเหตุผลมากมายที่ต้องผูกมิตร และพวกเขาต่างก็ปฏิบัติ เช่นนั้น ในทางตรงกันข้ามเรือพาณิชย์ที่แล่นสวนทางกันกลางมหาสมุทร แอตแลนติกมักจะผ่านกันไปโดยไม่ได้พดู อะไรกันมากไปกว่าค�าทักทายทีต่ า่ ง เหน็บแหนมใส่กันกลางทะเลลึก เหมือนคนขี้โอ่สองคนในบรอดเวย์ใช้เวลา หมกมุ่นอยู่กับการวิพากษ์วิจารณ์เครื่องแต่งกายของกันและกัน เช่นเดียวกับ เรือรบเมือ่ มีโอกาสได้พบกันกลางทะเล อันดับแรกพวกเขาจะไปยังเชือกทีผ่ กู ไว้หลวมๆ และปลดออกเพื่อลดระดับธงชาติลง ท�าเช่นนั้นใช่จะหมายความ ว่าต่างมีความปรารถนาดีตอ่ กันอย่างจริงใจเสียเต็มประดา หรือรักกันเหมือน พี่เหมือนน้องอะไรนักหนาหรอกนะ ส่วนเรือบรรทุกทาสเมื่อพบกันทีไรพวก เขาต่างเร่งรีบแล่นเรือหนีกันไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะท�าได้ ขณะที่เรือโจรสลัด เมื่อบังเอิญได้พบธงของกันและกัน อันดับแรกพวกเขาจะโห่ทักว่า “ได้กี่หัว กันล่ะ?” เหมือนกับที่นักล่าวาฬตะโกนถาม “ได้มากี่ถังล่ะ?” และทันทีที่ได้ รับค�าตอบ โจรสลัดก็จะคัดท้ายแล่น ผ่านไปโดยพลัน เพราะพวกเขาต่างก็ เป็นคนเลวจิตใจโหดเหี้ยมด้วยกันทั้งสองฝ่าย จึงไม่นึกอยากจะได้รู้เรื่องชั่ว ร้ายของกันและกันมากนัก ทว่าลองพิจารณาความเลือ่ มใสในศาสนา, ความสัตย์ซอื่ , ความไม่โอ้อวด, เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 325
ความมีอธั ยาศัย, มีไมตรีจติ และท�าตัวง่ายๆ สบายๆ ของเหล่านักล่าวาฬนีด้ อู กี ที! พวกเขาจะท�าเช่นไร หากเรือล่าวาฬของพวกเขาพบกับเรืออีกล�าท่ามกลาง บรรยากาศที่ดี? พวกเขาจะปฏิบัติต่อกันในสิ่งที่เรียกว่า “Gam” ซึ่งไม่มีเรือ อืน่ รูว้ า่ คืออะไรเพราะพวกเขาไม่เคยได้ยนิ แม้แต่ชอื่ นัน้ และหากบังเอิญได้ยนิ เข้า พวกเขาจะเพียงแค่ยิ้มกว้างให้กับมัน และพูดจาหยอกล้อต่อกันไปมา เกี่ยวกับ “พวยน�า้ ” และ “หม้อต้มไขมัน” เหมือนการเปล่งเสียงพูดค�าไพเราะ ออกมา เหตุใดเรือพาณิชย์ทุกประเภท อีกทั้งเรือทุกล�าทั้งเรือโจรสลัด เรือรบ และเรือบรรทุกทาสต่างชื่นชอบสบประมาทเรือล่าวาฬ นี่เป็นค�าถามที่ยาก จะตอบ นั่นก็เพราะในกรณีของเรือโจรสลัดคงต้องกล่าวว่า ผมอยากรู้นักว่า อาชีพของคนพวกนี้จะน�าความรุ่งเรืองมาสู่พวกเขาได้มั้ย อาจมีโอกาสที่เขา จะไปถึงจุดสูงส่งเกินปกติธรรมดา แน่นอน...คงหนีไม่พ้นตะแลงแกง ยิ่งเมื่อ คนคนหนึง่ ถูกยกระดับขึน้ ในแบบทีไ่ ม่เหมือนใครแบบนัน้ โดยเขาไม่มพี นื้ ฐาน ที่ดีพอส�าหรับจุดสูงสุดของเขา ฉะนั้นผมสรุปว่าในการโอ้อวดยกตัวเองให้สูง กว่านักล่าวาฬ ในการกล่าวอ้างนัน้ โจรสลัดไม่มพี นื้ ฐานแข็งแรงพอจะยืนหยัด ทว่า Gam คืออะไร? คุณคงเคยใช้นิ้วชี้ไล่ขึ้นลงไปบนแถวพจนานุกรม และไม่เคยพบค�านั้นกระมัง ดร.จอห์นสันเองก็ไม่เคยรู้เกี่ยวกับค�านั้น เรือ ของโนอา เวบสเตอร์ก็ไม่ได้บรรจุมันไว้ แม้กระนั้นค�าที่ออกเสียงคล้ายกันนี้ จนถึงบัดนีไ้ ด้ถกู ใช้อย่างต่อเนือ่ งกันมาหลายปีในกลุม่ ชาวแยงกีโ้ ดยก�าเนิดร่วม หมื่นห้าพันคน แน่นอนมันจ�าเป็นต้องมีค�าจ�ากัดความ และควรน�ารวมเข้าไว้ ในพจนานุกรม ด้วยข้อพิจารณานั้นขอให้ผมก�าหนดมันอย่างคนมีภูมิรู้เถอะ GAM : ค�านาม : การพบปะสังสรรค์ของเรือล่าวาฬสองล�า (หรือมากกว่า) โดยปกติเกิดขึ้นระหว่างเส้นทางเดินเรือ หลังผลัดเปลี่ยนทักทายกันแล้ว ลูก เรือแต่ละล�าจะผลัดกันลงเรือเล็กไปเยีย่ มเยียนกัน ช่วงเวลานัน้ กัปตันของเรือ ทั้งสองล�าจะค้างแรมด้วยกันบนเรือล�าใดล�าหนึ่ง และต้นเรือของเรือทั้งสอง ล�าก็ค้างแรมด้วยเช่นกัน ยังมีรายละเอียดอีกเล็กน้อยเกี่ยวกับการสังสรรค์ ซึ่งต้องไม่ลืมบันทึกไว้ 326 : โมบี-ดิ๊ก
ตรงนี้ ทุกอาชีพล้วนมีรายละเอียดของคุณสมบัตเิ ฉพาะในวิชาชีพของตน ชาว ประมงล่าวาฬเองก็เช่นกัน หากกัปตันของเรือโจรสลัด เรือรบ หรือเรือบรรทุก ทาสต้องลงเรือเล็กไปทีแ่ ห่งใด พวกเขาจะได้นงั่ สบายบนแผ่นกระดานท้ายเรือ บางทีก็มีที่นั่งหุ้มเบาะอยู่ตรงนั่น และมักพาเรือไปข้างหน้าด้วยหางเสือเรือ ซึ่งตกแต่งด้ามด้วยเชือก และริบบิ้นสีสันสดใส ทว่าส�าหรับเรือล่าวาฬแล้ว ไม่มที นี่ งั่ ท้ายเรือ ไม่มโี ซฟาเพือ่ การนัน้ และก็ไม่มดี า้ มหางเสือเรือแต่อย่างใด ขืนกัปตันเรือล่าวาฬนัง่ บนเก้าอีล้ อ้ เลือ่ น ก็คงถลาไปถลามาเหมือนเทศมนตรี วัยชราทีป่ ว่ ยเป็นโรคเก๊าต์และต้องนัง่ อยูบ่ นเก้าอีร้ ถเข็น ส�าหรับกรณีหางเสือ เรือแล้ว เรือล่าวาฬไม่ทา� อะไรกรีดกรายแบบนัน้ แน่ ด้วยเหตุนเี้ องในการพบปะ สังสรรค์ ลูกเรือของเรือที่มีความพร้อมจะต้องปล่อยเรือจากเรือใหญ่ จากนั้น นายท้ายเรือ หรือนักพุง่ ฉมวกประจ�าเรือจะท�าหน้าทีค่ ดั ท้ายเรือส�าหรับโอกาส นั้น กัปตันจะไม่มีที่นั่งดังนั้นขณะน�าเรือลอยล�าออกไป เขาจะต้องยืนตลอด เวลาเหมือนต้นสนยืนต้น หลายครั้งคุณจะเห็นว่าการรับรู้ของคนบนโลกที่ใช้ ตามองใบนีก้ า� ลังจ้องมองเขาจากทัง้ สองด้านของเรือสองล�า กัปตันผูก้ า� ลังยืน อยูน่ ตี้ ระหนักดีถงึ ความส�าคัญของการผดุงไว้ซงึ่ ความสูงศักดิข์ องตนด้วยการ ยืนหยัดสองขาไว้มั่น การยืนอยู่บนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะด้านหลังของ เขามีคนผลักไม้แจวอันใหญ่ยนื่ มาชนเขาเป็นครัง้ คราวบริเวณพืน้ ทีแ่ คบเล็กนัน้ ขณะไม้แจวด้านท้ายยืน่ สลับหน้าหลังดันมาเคาะสองเข่าของเขาจากด้านหน้า เหตุนเี้ ขาจึงถูกบีบอัดจากด้านหน้าและด้านหลัง ท�าได้เพียงยืนเหยียดขาออก ไปทางด้านข้าง ทว่าช่วงเรือโยกโยนอย่างแรงก็จะท�าให้ลม้ ลงได้ เพราะความยาว ของรากฐานไม่ได้มากไปกว่าความกว้าง เป็นเพียงมุมห่างของไม้เสาสองต้น ซึ่งคุณไม่สามารถตั้งมันขึ้น เช่นนั้นเอง ภาพตรึงสายตาโลกเช่นนี้จะไม่มีทาง ถูกมองด้วยสายตาเรียบเฉย นัน่ ไม่ใช่ภาพธรรมดา ผมว่าอย่างนัน้ เพราะเห็น กัปตันที่ก�าลังยืนถ่างขาอยู่นี้สร้างความมั่นคงให้กับตัวเองโดยแทบไม่ได้ใช้ สองมือยึดจับอะไรไว้เลย ตลอดทั้งตัวของเขาลอยขึ้นตามอ�านาจควบคุม ของตนเองอย่างแท้จริง เขาเพียงแค่สอดสองมือซุกในกระเป๋ากางเกงไว้ เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 327
แน่นอนล่ะว่าสองมือนัน้ ใหญ่ และหนักกว่าคนทัว่ ไป เขาสอดมันไว้ในนัน้ เพือ่ ถ่วงดุลตัวเอง กระนั้นเคยเกิดเหตุการณ์ที่ท�าให้กัปตันได้รับรู้ถึงภาวะเสี่ยง อันตรายครัง้ หรือสองครัง้ ขณะเกิดพายุฝนขึน้ ฉับพลัน ท�าให้รวู้ า่ เวลานัน้ ควร ยึดผมของฝีพายที่ใกล้ที่สุด จับไว้ให้มั่นดั่งพยามัจจุราชถมึงทึง
328 : โมบี-ดิ๊ก
บทที่ 54
เรื่องของเรือทาวน์โฮ (เรื่องเล่าที่โรงแรมโกลด์เดนอินน์)
แหลมกูด๊ โฮปและทัว่ บริเวณน่านน�า้ รอบๆ นัน้ มีลกั ษณะเหมือนบริเวณสีแ่ ยก ถนนใหญ่บนทางหลวงมาก นี่เป็นบริเวณที่คุณจะได้พบผู้คนผ่านไปมามาก กว่าที่ไหนๆ หลังพบปะส่งเสียงทักทายเรือกอนียไ์ ม่นานนัก เรามีโอกาสได้พบกับนักล่า วาฬทีก่ า� ลังมุง่ หน้ากลับถิน่ พ�านักบนเรือทาวน์โฮ1 ผูค้ วบคุมเรือเกือบทัง้ หมด เป็นชาวพอลีนเี ชียน ช่วงเวลาสัน้ ๆ ของการเยือนอย่างเป็นทางการท�าให้เราได้ รับรูข้ า่ วน่าเชือ่ ถือเกีย่ วกับโมบีด้ กิ๊ จากเรือนัน้ เรือ่ งราวน่าสนใจของวาฬสีขาว เพิ่มความเข้มข้นขึ้นอย่างรวดเร็วจากเหตุการณ์ในเรื่องเล่าของเรือทาวน์โฮ ซึง่ ดูเหมือนจะมีสว่ นเกีย่ วข้องกับความน่าพิศวงของวาฬนัน้ อยูบ่ า้ ง การเยือน ตอบกลับของหนึ่งในผู้ที่เรียกตัวเองว่าตุลาการแห่งพระองค์ หรืออาจเรียก อีกอย่างได้ว่าผู้ไล่ล่ามนุษย์ การเยือนครั้งหลังพร้อมด้วยเรื่องเล่าเพิ่มเติมนั้น ท�าให้ส่วนที่เป็นความลับของละครโศกถูกบอกเล่าออกมา ทว่าเรื่องลับนี้ไม่ เคยรู้ถึงหูกัปตันเอแฮ็บ หรือสามผู้ช่วยกัปตันของเขาเลย ส่วนที่เป็นความลับ ของเรื่องนี้ไม่เป็นที่รับรู้มาก่อนส�าหรับกัปตันเรือทาวน์โฮด้วยเช่นกัน มันเป็น สมบัติส่วนตัวของสามเกลอลูกเรือผิวขาวบนเรือ ซึ่งหนึ่งในนั้นสื่อสารให้ แทชเทโก้รู้โดยเตือนเป็นการส่วนตัวในฐานะชาวโรมันด้วยกัน ทว่าคืนต่อมา แทชเทโกเที่ยวเดินละเมอไปทั่วท�าให้ความลับถูกเปิดเผยออกมา ด้วยเหตุนี้ 1
ทาวน์โฮ เป็นเสียงร้องบอกของคนโบราณในการพบเห็นวาฬเป็นครัง้ แรกจากบนเสากระโดงเรือ ซึง่ ยังใช้ ในกลุ่มนักล่าวาฬขณะไล่ล่าเต่าทะเลยักษ์แห่งกอลลิเพกอส
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 329
เมื่อเขาตื่นขึ้นจึงไม่สามารถเก็บเป็นความลับได้อีกต่อไป แม้ความลับนี้มี อิทธิพลมากจนท�าให้ลูกเรือพีควอดที่ได้รู้เรื่องราวทั้งหมดเกิดความรู้สึก อ่อนไหวแปลกๆ ขึ้น แต่มันก็มีอิทธิพลครอบง�าจนท�าให้พวกเขาต้องเก็บ ความลับนั้นไว้ในกลุ่มเพื่อไม่ให้รั่วไหลไปถึงคนที่อยู่ท้ายเสากระโดงเรือใหญ่ ของพีควอด ทุกคนต่างร่วมถักทอเส้นใยสีดา� มืดนี้กบั เรือ่ งราวทีจ่ ะเปิดเผยแก่ คนบนเรือก็เฉพาะเมื่อถึงโอกาสเหมาะสม เรื่องประหลาดทั้งหมดนั้น เวลานี้ ผมได้บันทึกเอาไว้แล้วอย่างยืดยาว ผมเกิดนึกสนุกขึ้นมา จึงขอสงวนรูปแบบการเล่าตามที่ผมเคยเล่าที่ลิม่า ในวงสนทนากับพวกเพื่อนๆ ชาวสเปนของผม ในคืนเซนต์อีฟ พวกเรานั่งสูบ บุหรี่อยู่บนลานกระเบื้องฉาบทองหนาของโรงแรมโกลด์เด้นอินน์ ในจ�านวน ทหารม้าฝีมือดี มีสุภาพบุรุษหนุ่มสองนาย เปโดรกับซีบาสเตียน พักอยู่ใน ช่วงเวลาใกล้เคียงกับผม ดังนั้นระหว่างเวลาว่างพวกเขาตั้งค�าถามบางอย่าง กับผม ซึ่งในเวลานั้นพวกเขาก็ได้รับค�าตอบอย่างที่ต้องการ “สองปีกอ่ นหน้านี้ ผมได้รเู้ ห็นเหตุการณ์เหล่านัน้ เป็นครัง้ แรก เหตุการณ์ที่ ผมก�าลังจะเล่าให้พวกคุณฟังนี้ ท่านสุภาพบุรษุ เป็นเรือ่ งของเรือล่าวาฬหัวทุย ทาวน์โฮแห่งแนนทักเก็ต ขณะก�าลังแล่นเรืออยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกของคุณ ที่นี่ ใช้เวลาเพียงไม่กี่วันเดินเรือจากชายคาโรงแรมชั้นดีโกลด์เด้นอินน์แห่งนี้ ไปทางทิศตะวันออก เรือก็แล่นไปถึงสถานทีแ่ ห่งหนึง่ บริเวณเส้นศูนย์สตู รทาง ด้านเหนือ เช้าวันหนึง่ ขณะลูกเรือก�าลังจัดการกับเครือ่ งสูบน�า้ อย่างเช่นเคยท�า เป็นประจ�าทุกวัน ก็พบว่าเรือมีนา�้ เข้ามาในท้องเรือมากกว่าปกติ พวกเขานึกว่า ปลากระโทงแทงดาบแทงเรือเข้าให้ ท่านสุภาพบุรุษ ทว่ากัปตันกลับมีเหตุผล ประหลาดทีท่ า� ให้เชือ่ ว่าไม่นา่ จะมีโชคคอยเขาอยูบ่ นเส้นละติจดู นัน้ จึงออกโรง คัดค้านความคิดของพวกเขา หลังจากนัน้ ก็ไม่มใี ครใส่ใจหารูรวั่ ทีอ่ าจก่อให้เกิด ภัยขึ้นได้ เมื่อพวกเขาไม่สามารถหาสาเหตุที่ท�าให้ท้องเรือจมลงกว่าระดับที่ ควรจะเป็นในสภาพลมฟ้าอากาศค่อนข้างรุนแรง เรือจึงยังคงแล่นต่อไปบน เส้นทางเป้าหมาย เหล่าชาวประมงต่างผลัดเปลี่ยนเวรกันมาท�างานที่เครื่อง 330 : โมบี-ดิ๊ก
สูบโดยเว้นเวลานานในแต่ละช่วงกะ ทว่าโชคร้ายก็เกิดขึน้ หลายวันผ่านไปไม่ เพียงพบรูรั่ว แต่รูรั่วนั้นยังมีจ�านวนเพิ่มขึ้นจนเห็นได้ชัด มีมากเสียจนคราวนี้ สร้างความหวัน่ วิตกให้กบั กัปตัน เขาสัง่ ให้กางใบเรือขึน้ แล้วแล่นเรือตรงไปยัง ท่าเรือที่ใกล้ที่สุดในหมู่เกาะนั้นเพื่อน�าเรือคว�า่ ซ่อมท้องเรือ “แม้ไม่มีรอยทางน�้าอยู่เบื้องหน้า หน�าซ�้ายังมีโอกาสเสี่ยงที่เป็นไปได้ แต่ เขาไม่ได้รสู้ กึ กลัวเลยว่าเรือของเขาจะอับปางลงบนเส้นทางนัน้ (ด้วยเหตุนนั้ ) เพราะเชื่อมั่นว่าเครื่องสูบของเขาดีที่สุด และช่วยผ่อนแรงให้พวกลูกเรือเป็น ระยะๆ คนคุมเรือหกคน และคนงานอีกสามสิบคนของเขาสามารถปลดระวาง เรือได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องกังวลว่ารูรั่วจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ความจริงก็คือ เมื่อผ่านเส้นทางนี้ไปแล้วเรือจะได้รับแรงลมเสริม ทาวน์โฮจะสามารถเดิน ทางมาถึงท่าเรืออย่างปลอดภัยโดยปราศจากเหตุร้ายถึงแก่ความตายแม้แต่ น้อย ทว่าเหตุรา้ ยเกิดขึน้ เพราะนิสยั ชอบยกตนข่มอย่างไร้เหตุผลของเรดนีย.์ .. ต้นเรือชาววินเยิร์ด และจอมอาฆาตที่ถูกปลุกอารมณ์ให้ขุ่นเคือง...สตีลกิลต์ ชาวเลคแมน หรือขุนโจรแห่งบัฟฟาโล่ “‘เลคแมน! บัฟฟาโล่! ได้โปรดบอกทีเถิดว่า เลคแมนคืออะไร แล้วบัฟฟาโล่ อยู่ที่ไหน?’ ดอนซีบาสเตียนเอ่ยถามขึ้น “บริเวณชายฝั่งด้านตะวันออกทะเลสาบอิรีของเรา...ดอน ยังไงผมต้อง ขออภัยคุณด้วย แต่คณ ุ จะได้ยนิ เรือ่ งราวทัง้ หมดนับจากเวลานีไ้ ป เอาล่ะ ท่าน สุภาพบุรุษ เรือส�าเภาเสาสองต้นใบเรือสี่เหลี่ยมวางขวาง และเรือขนาดใหญ่ เสากระโดงสามต้นใหญ่ จะมีกา� ลังมากพอสามารถแล่นเรือจากท่าแคลโลเก่า ไปยังมะนิลาดินแดนที่อยู่ห่างไกลออกไป เลคแมนเป็นประชากรที่อาศัยอยู่ บริเวณทะเลสาบทีม่ แี ผ่นดินอเมริกาของเราล้อมรอบ และยังได้รบั การเลีย้ งดู โดยเหล่าบรรดาผูน้ ยิ มชมชอบปล้นสะดมดินแดนเชือ่ มต่อมหาสมุทร การไปมา หาสูร่ ะหว่างกันบริเวณทะเลน�า้ จืดขนาดใหญ่ของพวกเรา นัน่ คือ อิรี ออนแทริโอ ฮูรอน สุพีเรีย และมิชิแกน ท�าให้พวกเขาครอบครองพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล ราวมหาสมุทร ด้วยทักษะความช�านาญในการใช้ชีวิตท่ามกลางมหาสมุทร เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 331
ด้วยความหลากหลายของเชือ้ ชาติ และถิน่ ฐานรอบดินแดน พวกเขาอาศัยอยู่ ตามเกาะแก่งของเกาะในฝัน แม้แต่เกาะในเขตน่านน�า้ พอลีนเิ ชียนเอง ผืนดิน กว้างใหญ่ถกู ก�าหนดเขตแดนโดยสองชนชาติทแี่ ตกต่างกันโดยสิน้ เชิงเฉกเช่น มหาสมุทรแอตแลนติค พวกเขาเดินเรือมาไกลรุกคืบจนเข้าใกล้อาณานิคมทีม่ ี อาณาเขตมากมายของเราทางด้านตะวันออก เรียงรายล้อมรอบบริเวณชายฝัง่ ของเรา ทว่าไม่วา่ ทีน่ ี่ หรือทีน่ นั่ ล้วนถูกต่อต้านโดยกองร้อยทหารปืนใหญ่ และ มือปืนบนป้อมปราการแมคกินาวซึ่งอยู่บนผาสูงเหมือนแพะปีนอยู่บนหินผา พวกเขาได้ยินเสียงโห่ร้องดังสนั่นของกองเรือที่ได้รับชัยชนะ ระหว่างนั้นพวก เขายอมยกชายหาดของตนให้กบั อนารยชนป่าเถือ่ น ผูเ้ ป็นเจ้าของใบหน้าทาสี แดงส่องแสงแวบออกมาจากกระท่อมหนังสัตว์ของพวกนัน้ ระยะทางไกลเป็น ลีกๆ ขนาบข้างซ้ายขวาด้วยป่ารกชัฏและยากเข้าถึง มีต้นสนผอมแห้งยืนต้น ชิดเรียงติดกันเป็นแนวแถวทหารของเหล่ากษัตริย์ในราชวงศ์กอธิค ป่าไม้ นั้นมีลักษณะเช่นเดียวกับป่าที่เป็นแหล่งอาศัยของสัตว์ป่าล่าเนื้อแอฟริกา และสัตว์ที่มีขนอ่อนนุ่มซึ่งขนของมันส่งไปท�าเสื้อคลุมให้กับเหล่าจักรพรรดิ ทาร์ทาร์ พวกเขาเลียนแบบชาวบัฟฟาโล่ และเคลฟเวอร์แลนด์ทมี่ าบุกเบิกทีท่ าง ท�ากินไว้อยูก่ อ่ น ซึง่ รวมทัง้ ชุมชนวินเนบาโกด้วย พวกเขาลอยเรือมาเหมือนเรือ พาณิชย์ที่ขึงใบเต็มก�าลัง เรือรบหลวง เรือกลไฟ และเรือบดไม้บีช พวกเขา อาศัยลมโบรีนพัดลอยมา และลมพัดกระชากเสากระโดงแรงพอๆ กับคลื่น ทะเลน�้าเค็มซัดสาดเข้าใส่ พวกเขารู้ว่าอุบัติเหตุเรือแตกเป็นยังไง เพราะเคย ได้เห็นจากบนฝัง่ อย่างไรก็ตามพวกเขาเป็นชาวฝัง่ ทีเ่ คยจมเรือในเวลาเทีย่ งคืน พร้อมลูกเรือทีก่ ลัวจนตัวสัน่ มานับต่อนับ ด้วยเหตุนี้ ท่านสุภาพบุรษุ แม้จะเป็น คนบนฝั่ง แต่สตีลกิลต์ก็เป็นชาวทะเลไร้อารยธรรมโดยก�าเนิด และเติบโต มาอย่างชาวทะเลไร้อารยธรรม เป็นยิ่งกว่าชาวเรือผู้ชอบเสี่ยงภัยเสียอีก แต่ ส�าหรับเรดนียแ์ ล้ว แม้วยั เริม่ ต้นของสตีลกิลต์เขาอาจจะใช้ชวี ติ อยูบ่ ริเวณชาย หาดร้างแนนทักเก็ตเพือ่ ดูแลทะเลบ้านเกิดของเขา และแม้เมือ่ เติบใหญ่เขาจะ รอนแรมมาใช้ชีวิตเคร่งครัดตามอย่างชาวแอตแลนติคอย่างเรา และหมกมุ่น 332 : โมบี-ดิ๊ก
ครุ่นคิดตามอย่างชาวแปซิฟิคอย่างคุณ ซ�้ากระนั้นเขาก็ยังเป็นคนเจ้าคิด เจ้าแค้น และชอบทะเลาะเบาะแว้งไปทัว่ เฉกเช่นชาวทะเลป่าชัฏ คนหนุม่ จาก เส้นละติจูดแห่งเขากวางผู้มีมีดโบวี่เป็นอาวุธ แต่ถึงกระนั้นชาวแนนทักเก็ต ผู้นี้ก็ยังเป็นคนที่มีความเมตตา และแม้เจ้าเลคแมนผู้นี้จะเป็นชาวทะเล จ�าพวกวายร้ายก็จริง แต่ก็มีจิตใจหนักแน่นไม่เปลี่ยนแปลง เขาจะหงุดหงิด ก็แต่เฉพาะเรื่องที่ไม่ถูกท�านองคลองธรรมของส�านึกมนุษย์ต่อสิทธิชนชั้นต�่า เท่านั้น อุดมการณ์เช่นนี้สตีลกิลต์สงวนไว้ภายใต้พฤติกรรมที่อ่อนน้อม และ ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร เหตุการณ์ทเี่ กิดขึน้ ทัง้ หมดพิสจู น์ให้เห็นว่าเขา เป็นคนเช่นนั้น ทว่าวาระกรรมของเรดนีย์มาถึง เขาจึงถูกท�าให้เป็นบ้า และ สตีลกิลต์...ทว่า...ท่านสุภาพบุรุษ คุณจะได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดนี้ “ไม่เกินหนึ่งหรือสองวันเป็นอย่างมาก หลังหันหัวเรือมุ่งหน้าไปยังท่าเรือ บนเกาะ รูรั่วบนเรือทาวน์โฮดูเหมือนจะมีเพิ่มขึ้น การท�างานที่เครื่องสูบ จึงต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงหรือมากกว่านั้นในแต่ละวัน คุณเองก็คงรู้ว่าใน มหาสมุทรเงียบสงบ และมีอารยธรรมอย่างมหาสมุทรแอตแลนติคของเรานี้ ผูบ้ งั คับการเรือแทบไม่ได้ใส่ใจเรือ่ งการสูบน�า้ เลยตลอดเส้นทางเดินเรือ แม้ใน คืนสงบเงียบน่าหลับใหล นายเรือบนดาดฟ้าอาจลืมหน้าที่ของตนด้วยเพราะ เหตุนไ้ี ด้เช่นกัน และมีความเป็นไปได้วา่ เขา และเพือ่ นร่วมงานของเขาจะจ�าไม่ ได้เลยด้วยซ�า้ นั่นเป็นสาเหตุให้ลูกเรือทุกคนค่อยๆ จมลงสู่ก้นบึ้งทะเล ไม่ใช่ ในทะเลเปลี่ยวคลื่นลมแรงห่างจากคุณไปทางทิศตะวันตก ท่านสุภาพบุรุษ กล่าวโดยสรุปนีไ่ ม่ใช่เรือ่ งปกติทเี่ รือเดินสมุทรจะเร่งท�างานทีเ่ ครือ่ งสูบส่งเสียง แคร๊งๆ ดังกังวานประสานรับกันเป็นจังหวะตลอดระยะทางการเดินเรือที่น่า จะยาวนานนี้! กล่าวคือ...ถ้าเรืออยู่ในสภาพพอแล่นเข้าจอดเทียบฝั่งได้ หรือ ถ้ามีสญ ั ญาณล่าถอยอืน่ ใดทีพ่ อให้พวกเขายอมรับได้ มีเพียงเรือ่ งเดียวเท่านัน้ นั่นคือเรือมีรูรั่วขณะวิ่งไกลออกมาจากเส้นทางน่านน�้าเหล่านั้น บริเวณเส้น ละติจูดที่ไร้แผ่นดิน ซึ่งท�าให้กัปตันเรือเริ่มรู้สึกกังวลขึ้นมา “เรื่องราวทั้งหมดนี้เกิดขึ้นกับเรือทาวน์โฮ เมื่อรูรั่วบนเรือถูกพบอีกครั้ง เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 333
ลูกเรือหลายคนต่างส่ออาการกังวลออกมาจนสังเกตเห็นได้ชดั โดยเฉพาะต้นเรือ เรดนีย์ เขาสั่งให้ขึงใบเรือด้านบนให้กางขึ้นอีกครั้ง และให้ขยายรับลมจาก ทุกๆ ทาง เรดนียใ์ นเวลานี้ ผมคิดว่าเขาค่อนข้างขลาดเขลา และมีแนวโน้มว่า น่าจะมีอาการประหวัน่ พรัน่ พรึงอันมีผลต่อบุคลิกส่วนตัวของเขาทีเ่ ป็นคนไม่ หวาดหวั่น ไม่ยั้งคิดทั้งบนบก หรือกลางทะเลซึ่งคุณเองคงนึกภาพออกได้ไม่ ยากนัก...ท่านสุภาพบุรุษ ดังนั้นเมื่อเขาเผยความนึกคิดของตนซึ่งกังวลเรื่อง ความปลอดภัยของเรือออกมา จึงเป็นผลให้ลกู เรือส่วนหนึง่ ประกาศว่านีเ้ ป็น ความรับผิดชอบของเขาในฐานะเป็นเจ้าของร่วมของเรือล�านี้ ดังนัน้ เมือ่ พวกเขา ก�าลังท�างานในเย็นวันนั้นที่เครื่องสูบ ในสมองของเขาไม่มีกะจิตกะใจจะเล่น ชวนหัวกับเหล่าลูกเรือเลยแม้แต่น้อย ขณะสองเท้าของพวกเขามีน�้านองไหล ผ่านเป็นระลอกคลื่น ดังน�้าตกจากภูเขา ท่านสุภาพบุรุษ ฟองน�้าจากเครื่อง สูบไหลทะลักทัว่ ดาดฟ้า และเทตัวลงในรางน�า้ แข็งแรงทีช่ อ่ งระบายน�า้ ข้างเรือ “ถึงตอนนี้ อย่างทีร่ ู้ ไม่คอ่ ยมีกรณีเช่นนีเ้ กิดขึน้ ในโลกทีเ่ ต็มไปด้วยน�า้ ของเรา ใบนีม้ ากนัก หรือแม้แต่โลกใดๆ ก็ตาม เมือ่ คนๆ หนึง่ อยูใ่ นต�าแหน่งทีม่ อี า� นาจ เหนือเพื่อนร่วมทางพบว่าหนึ่งในนั้นเหนือกว่าเขามากในความเป็นลูกผู้ชาย เต็มความภาคภูมิ เขาเกิดความรู้สึกไม่ชอบหน้า และเคียดแค้นชายผู้นั้นขึ้น มาในทันที ถ้ามีโอกาสเขาคงอยากท�าลาย และบดขยี้หอสูงของผู้บังคับการผู้ นัน้ และน�าดินมาทับถมไว้ ตามความเห็นของผม ท่านสุภาพบุรษุ อย่างไรเสีย สตีลกิลต์ต้องเป็นคนตัวสูงสง่ามีส่วนหัวเหมือนคนโรมัน หนวดเคราสีทอง ห้อยระย้าเหมือนดั่งเครื่องตกแต่งพู่ระหงของม้าศึกเปล่งเสียงดังทางจมูก ของอุปราชคนสุดท้ายของคุณ สมอง หัวใจ และจิตวิญญาณของเขา ท่าน สุภาพบุรษุ ท�าให้ชาร์ลเลอมาญ สตีลกิลต์ น่าจะเกิดมาเป็นบุตรของท่านบิดา ชาร์ลเลอมาญ แต่สา� หรับเรดนีย์ ต้นเรือผูอ้ ปั ลักษณ์เหมือนล่อ ซ�า้ ยังเกรีย้ วกราด ดื้อรั้น และผูกพยาบาท เขาไม่ปลื้มสตีลกิลต์ และสตีลกิลต์เองก็รู้ดี “แม้เห็นแล้วว่าต้นเรือเคลื่อนเข้ามาใกล้ขณะเขาก�าลังขะมักเขม้นอยู่กับ เครือ่ งสูบน�า้ ทีเ่ หลือ ชาวเลคแมนผูน้ แี้ สร้งท�าเป็นไม่เห็น และไม่เกรงกลัวทีจ่ ะ 334 : โมบี-ดิ๊ก
พูดจาหยอกล้ออย่างสนุกสนานต่อ “‘ใช่ ใช่แล้ว พ่อหนุม่ เจ้าส�าราญ พวกนายคนหนึง่ เอาถ้วยมารองน�า้ รัว่ ไหลนี้ แล้วลองชิมดูสิ เห็นแก่พระเจ้าเถอะ มันใส่ขวดกินได้มยั้ ! ฉันจะบอกพวกนาย ให้...พวก การลงทุนของตาเฒ่าเรดจะต้องได้รับผลคุ้มค่า! เขาจะยอมตัดส่วน ของเขา แล้วลากเรือกลับบ้าน ความจริงก็คอื ...เด็กๆ...ปลากระโทงแทงดาบแค่ เพิ่งเริ่มต้นงานนี้ มันจะกลับมาอีกครั้งพร้อมกับพวกช่างไม้เรือใหญ่ ทั้งปลา ฉนาก และปลาตะไบ และปลาอะไรต่ออะไรอีกมาก คราวนีก้ องก�าลังติดอาวุธ ของพวกมันพร้อมสูง้ านหนักทัง้ ตัด ทัง้ เฉือนใต้ทอ้ งเรือ หนทางแก้ไขก็คอื ...ฉัน คิดว่าถ้าผูต้ าเฒ่าเรดอยูท่ นี่ ใี่ นตอนนี้ ฉันจะบอกให้เขาโดดลงน�า้ ไปจัดการพวก มันให้แตกกระเจิงไปซะ พวกมันท�าตัวเป็นปีศาจร้ายท�าลายทรัพย์สนิ ของเขา ฉันจะบอกเขาอย่างนัน้ ทว่าเขาเป็นแค่ชายแก่ และมีจติ ใจงดงาม เด็กๆ...พวก เขากล่าวว่าทรัพย์สมบัตสิ ว่ นทีเ่ หลือของเขาสร้างมูลค่าในคันฉ่อง ฉันเกรงว่า เขาจะให้วายร้ายผู้น่าสังเวชอย่างฉันสืบทอดเจตนาของเขา’ “‘ตาบอดกันหรือไง! หยุดสูบน�้ากันท�าไม?’ เรดนีย์แผดเสียงค�าราม แกล้ง ท�าเป็นไม่ได้ยินเหล่าลูกเรือพูดกันว่า ‘แผดเสียงไม่หยุดสิน่า’ ‘ครับ ครับ’ สตีลกิลต์ขานรับ น�้าเสียงเบิกบานราวจิ้งหรีดส่งเสียงร้อง ‘คล่องแคล่วกันหน่อย เด็กๆ คล่องแคล่วเร็ว!’ เมื่อเครื่องสูบส่งเสียงราว เครื่องกลไฟห้าสิบแรงม้า คนงานทั้งหมดต่างโห่ร้องยินดี เป็นเวลานานก่อน หน้านั้นเสียงหายใจของพวกเขาหอบดังให้ได้ยินบ่งบอกถึงความขึงเครียด ที่สุดในชีวิต “หลังช่วยกันกับพวกทีเ่ หลือสูบน�า้ จนส�าเร็จได้ในทีส่ ดุ ชาวเลคแมนผูน้ ถี้ อน ใจโล่งอก เขาพาตัวเองนั่งลงบนเครื่องกว้านสมอ ใบหน้าแดงดังเพลิงลุกโชติ ดวงตาแดงก�่า เขาเช็ดเหงื่อพราวบนใบหน้า ตอนนี้ล่ะไม่รู้ผีร้ายตนใด...ท่าน สุภาพบุรษุ ดลใจเรดนียใ์ ห้เข้าไปแหย่ชายผูน้ ใี้ ห้ลแุ ก่โทสะขึน้ มา ผมเองก็ไม่ร.ู้ .. รู้แต่เพียงว่าเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น ต้นเรือเดินพล่านไปทั่วดาดฟ้า ขณะสั่งให้ สตีลกิลต์หยิบไม้กวาดมากวาดพื้นกระดาน และยังให้เอาพลั่วมาแซะสิ่ง เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 335
สกปรกออกเพื่อให้โลหะจากเตาหลอมไหลได้สะดวก “ด้วยเหตุที่...ท่านสุภาพบุรุษ...งานกวาดดาดฟ้าเรือกลางทะเลเป็นงาน ทั่วไปที่ต้องท�าตลอดเวลา เว้นแต่ช่วงลมพัดแรงดังเช่นที่เกิดขึ้นเป็นประจ�า ทุกเย็น เป็นที่รู้กันว่าการท�าเช่นนั้นจะเป็นผลให้เรืออับปางในเวลานั้น ท่าน สุภาพบุรษุ นัน่ เป็นข้อปฏิบตั อิ ย่างเคร่งครัดของชาวทะเล และลักษณะนิสยั รัก ความเป็นระเบียบเรียบร้อย บางคนถึงขนาดทีว่ า่ จะไม่ยอมจมน�า้ ไปโดยทีย่ งั ไม่ ได้ลา้ งหน้าเสียก่อน ทว่าเรือทุกล�าจะก�าหนดงานกวาดพืน้ ให้เป็นหน้าทีเ่ ฉพาะ ในกลุ่มกลาสีฝึกงานบนเรือ ยิ่งไปกว่านั้นคนงานที่แข็งแรงในเรือทาวน์โฮ ถูกแบ่งกลุม่ สลับกันไปดูแลเครือ่ งสูบ และด้วยเพราะเป็นกลาสีทมี่ คี วามปราด เปรียวมากที่สุดในจ�านวนคนทั้งหมด สตีลกิลต์จึงมักได้รับมอบหมายให้เป็น ผูน้ า� กลุม่ เสมอ ฉะนัน้ เขาจึงควรเป็นอิสระจากงานหยุมหยิมทีไ่ ม่เกีย่ วข้องกับ หน้าทีก่ ารเดินเรือจริงๆ งานเช่นนัน้ จะเป็นของมิตรสหายของเขา ผมกล่าวถึง เรื่องทั้งหมดนี้เป็นพิเศษก็เพื่อให้พวกคุณเข้าใจว่าเหตุใดเรื่องนี้จึงเป็นสาเหตุ ให้ชายสองคนนี้บาดหมางกัน “ทว่าเรื่องนี้มีประเด็นมากกว่านั้น ค�าสั่งเกี่ยวกับพลั่วนั้นเกือบชัดเจนว่า ต้องการท�าร้ายจิตใจ และดูถูกสตีลกิลต์ ไม่ต่างอะไรกับเรดนีย์ถ่มน�้าลายรด หน้าเขา ชายทุกคนที่มีอาชีพเป็นลูกเรืออยู่บนเรือล่าวาฬต่างเข้าใจเรื่องนี้ดี เหตุการณ์ทงั้ หมดเดาได้ไม่ยากนัก เลคแมนผูน้ กี้ เ็ ข้าใจดีเมือ่ ได้ยนิ ต้นเรือแผด เสียงสั่งการ แต่เขายังคงนั่งนิ่งอย่างนั้นอีกชั่วอึดใจ สายตาเด็ดเดี่ยวมองไปที่ ดวงตามาดร้ายของต้นเรือ ตระหนักดีถึงกองถังดินปืนที่สุมอยู่ในตัวเขา และ สายชนวนไฟค่อยๆ ลามเลียไปยังกองถังดินปืนนัน้ อย่างเงียบๆ สตีลกิลต์เข้าใจ เรือ่ งทัง้ หมดในทันที เขาอดทนอดกลัน้ ได้เกินคาด และพยายามระงับอารมณ์ รุนแรงทีก่ า� ลังเดือดดาลลึกอยูภ่ ายใน ความรูส้ กึ เกลียดชังอย่างรุนแรง เมือ่ เกิด ขึ้นแล้ว ชายผู้กล้าย่อมเจ็บปวด ความรู้สึกหลอนร้ายเหลือคณานับนี้...ท่าน สุภาพบุรุษ...ค่อยๆ ครอบง�าสตีลกิลต์ “ด้วยเหตุนนั้ เขาจึงตอบกลับไปด้วยโทนเสียงปกติ แต่แตกพร่าเล็กน้อยอัน 336 : โมบี-ดิ๊ก
เนือ่ งมาจากความเหน็ดเหนือ่ ยในช่วงเวลานัน้ ว่างานกวาดพืน้ ไม่ใช่งานของเขา และเขาจะไม่ทา� สตีลกิลต์ไม่เอ่ยถึงพลัว่ ตักเลย เพียงแต่ชไี้ ปทีเ่ ด็กหนุม่ สามคน ผูม้ หี น้าทีก่ วาดพืน้ เป็นประจ�าอยูแ่ ล้ว และไม่ได้ถกู จัดให้ไปช่วยงานทีเ่ ครือ่ งสูบ แต่อย่างใด ตลอดทั้งวันแทบไม่ได้ทา� อะไรเลย นั่นท�าให้เรดนีย์สบถอย่างแรง และวางอ�านาจใส่ด้วยการออกค�าสั่งซ�้าๆ เวลานั้นเขาพุ่งเข้าหาเลคแมนผู้ยัง คงนั่งนิ่งในมือเงื้อค้อนตีของช่างไม้ที่คว้ามาจากถังไม้ข้างตัว “สตีลกิลต์รสู้ กึ ร้อน และระคายตัวจากงานใช้แรงทีเ่ ครือ่ งสูบอยูเ่ ป็นทุนเดิม อีกทัง้ ร่างกายเต็มไปด้วยเหงือ่ ท่วมตัว เหตุนคี้ วามอดทนเกินความจ�าเป็นของ เขาในตอนแรกจึงควรถึงคราวสิน้ สุดลงต่อท่าทางของต้นเรือผูน้ ี้ ทว่าเขายังคง สะกดอารมณ์ดั่งเปลวเพลิงไว้ภายใน สตีลกิลต์ไม่พูดอะไรยังคงรั้นนั่งเฉยอยู่ กับที่ กระทั่งเรดนีย์โกรธจัดสะบัดค้อนห่างจากใบหน้าของเขาเพียงไม่กี่นิ้ว พร้อมตวาดเสียงฉุนเฉียวให้เขาท�าตามค�าสั่ง “สตีลกิลต์ลุกขึ้นยืน และค่อยๆ ถอยไปรอบๆ เครื่องกว้านสมอ ขณะต้น เรือถือค้อนตามขูอ่ ย่างไม่ลดละ เจ้าเลคแมนพูดซ�า้ อย่างชัดถ้อยชัดค�าถึงความ ตัง้ ใจของเขาทีจ่ ะไม่ยอมท�าตามค�าสัง่ เมือ่ เห็นว่าไม่วา่ จะท�ายังไงความอดกลัน้ ของเขาก็ไม่เป็นผลเลยแม้แต่นอ้ ย แม้เขาจะบิดมือแสดงท่าทางน่าเกรงขามเกิน บรรยายเพือ่ เตือนให้ชายไร้สมองและหลงตัวให้ออกห่าง แต่กไ็ ม่เป็นผล ทัง้ สอง เดินวนอย่างช้าๆ จนครบรอบเครื่องกว้าน เมื่อไม่สามารถจะถอยได้อีกแล้ว ลองนึกถึงสตีลกิลต์ว่าความอดกลั้นของเขาเวลานี้มีมากพอๆ กับอารมณ์ขัน จู่ๆ เจ้าเลคแมคก็นึกถึงประตูดาดฟ้าเรือขึ้นมาจึงบอกกับต้นเรือว่า “ต้นเรือ เรดนีย์ ผมจะไม่ทา� ตามค�าสัง่ ของต้นเรือ เอาค้อนออกไปซะ ไม่อย่างนัน้ จงคอย ระวังตัวไว้” แต่ต้นเรือผู้ชะตาขาดยังคงสาวเท้ารุกเข้าใกล้ เจ้าเลคแมนยืนนิ่ง กับที่คราวนี้ค้อนถูกสะบัดห่างจากฟันของเขาไม่กี่นิ้ว พร้อมกับเสียงสาปแช่ง พรัง่ พรูออกมาไม่ขาดสาย สตีลกิลต์ไม่ถอยแม้เศษเสีย้ วนิว้ สายตาคมกริบไม่ หวัน่ เกรงจ้องแทงเข้าไปในดวงตาของต้นเรือ เขาก�าหมัดขวาไว้ดา้ นหลัง ค่อยๆ ดึงกลับขึ้นมา บอกกับผู้ข่มเหงว่าหากค้อนถากแก้มเขาเพียงนิดเดียว เขา เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 337
(สตีลกิลต์) ฆ่าเขาแน่ ทว่า...ท่านสุภาพบุรุษ...คนเขลาผู้นี้ถูกสวรรค์ตีตราให้ โดนสังหาร ทันทีที่ค้อนแตะถูกแก้มของเจ้าเลคแมน ทันใดนั้นขากรรไกรล่าง ของต้นเรือแตกร้าวไปถึงหัว เขาล้มลงที่ประตูดาดฟ้าเลือดไหลพุ่งออกมา เหมือนดังเช่นวาฬ “ก่อนเสียงร้องดังขึ้น สตีลกิลต์เดินไปยังด้านท้ายเรือ โยกเชือกระโยง เส้นหนึ่งที่โยงขึ้นไปบนยอดเสากระโดงซึ่งสหายของเขายืนอยู่ คนทั้งสองเป็น คานาลเลอร์ “‘คานาลเลอร์!’ ดอนเปโดรร้องถามขึน้ ‘เราเห็นเรือล่าวาฬแถวๆ ท่าเรือของ เรามาก็มาก แต่ไม่เคยได้ยินค�าว่าคานาลเลอร์ของคุณเลย ขอโทษทีเถอะนะ นั่นเป็นชื่อของใคร หรืออะไรหรือ?’ “‘คานาลเลอร์...ดอน...คือลูกเรือประจ�าเรือบรรทุกที่ใช้แล่นในคลองอิรี ของเรา คุณต้องเคยได้ยินมาก่อนแน่’ “‘ไม่เคยเลย...ซินญอร์...คนแถวนีไ้ ม่คอ่ ยรูอ้ ะไร รักสบาย และส่วนใหญ่เฉือ่ ยชา เป็นลักษณะนิสยั ทีไ่ ด้มาจากบรรพบุรษุ เรารูเ้ รือ่ งราวเกีย่ วกับชาวเหนือผูข้ ยัน ขันแข็งอย่างพวกคุณน้อยมาก’ “‘จริงสิ? เอาเถอะ ถ้าอย่างนั้น.. ดอน ..ช่วยเติมสุราให้ผมหน่อย เบียร์ชิชา ของคุณรสกลมกล่อมมาก ก่อนเล่าเรือ่ งต่อ ผมจะบอกพวกคุณให้วา่ คานาลเลอร์ ของเราคืออะไร ข้อมูลนี้อาจให้รายละเอียดที่ชัดเจนกับเรื่องของผมมากขึ้น’ “ด้วยระยะทางสามร้อยหกสิบไมล์...ท่านสุภาพบุรุษ...ผ่านความกว้าง ทัง้ หมดของรัฐนิวยอร์ก ผ่านเมืองทีม่ พี ลเมืองหนาแน่น และหมูบ่ า้ นทีม่ คี วาม เจริญรุง่ เรืองขีดสุดหลายต่อหลายแห่ง ผ่านหนองน�า้ สายยาว บรรยากาศมืดมัว ไร้ผคู้ นอาศัย และพืน้ ดินอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูกมากกว่าแดนดิน ถิ่นใด ผ่านไปห้องบิลเลียด และห้องจ�าหน่ายสุรา ผ่านความศักดิ์สิทธิ์ของสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ในป่าใหญ่ ตามซุ้มประตูโรมันเหนือแม่น�้าอินเดีย ผ่านพระอาทิตย์ และร่มเงา ด้วยหัวใจเป็นสุข และแตกสลาย ผ่านทัศนียภาพทีแ่ ตกต่างกันอย่าง กว้างขวางของหลายๆ ประเทศในแถบดินแดนโมฮอคที่มีชื่อเสียงเหล่านั้น 338 : โมบี-ดิ๊ก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งโบสถ์สีขาวดังหิมะเรียงแถวยาวเหล่านั้นมียอดแหลมตั้ง ตรงจนเกือบดูคล้ายหลักไมล์ไหลไปตามแม่น�้าสายยาวแห่งความเสื่อมทราม อย่างชาวเวนิส ผูใ้ ช้ชวี ติ ผิดกฎหมาย ทีน่ นั่ เป็นถิน่ อาศัยของชาวเผาอชานติของ คุณ...ท่านสุภาพบุรษุ ...ทีน่ นั่ มีเสียงโห่หอนของคนนอกศาสนา ทีๆ ่ คุณจะได้พบ กับพวกเขา ไม่ไกลจากนั้นนัก ใต้ร่มเงาทอดยาว ภายในที่ก�าบังของโบสถ์ ที่ให้ความผาสุก ด้วยโชคชะตาที่ไม่มีใครเหมือนดังเช่นเห็นกันบ่อยครั้งว่า โจรสลัดหลวงของคุณตัง้ ค่ายรายล้อมรอบศาลสถิตยุตธิ รรม คนชัว่ ช้ามากมาย... ท่านสุภาพบุรุษ...ดาษดื่นอยู่ทั่วสถานศักดิ์สิทธิ์ “‘พระคริสต์ก�าลังตัดสินอยู่ล่ะสิ?’ ดอนเปโดรเอ่ยขึ้นขณะก�าลังมองลงไป ยังฝูงชนด้านล่างลานกว้างด้วยอารมณ์ขบขัน “‘โอ้..เพื่อนชาวเหนือของเรา การสอบสวนเยี่ยงมาดามอิซาเบลล่าเสื่อม นิยมไปแล้วในลิม่า' ดอนซีบาสเตียน หัวเราะออกมา ‘เล่าต่อเถอะ...ซินญอร์’ “‘เดีย๋ วก่อน! ขอโทษทีเถิด!’ เพือ่ นอีกคนร้องบอก ‘ในนามของชาวลิมา่ ทุกคน ผมเพียงปรารถนาให้คุณได้รับรู้ครับ...คุณชาวเรือ เราไม่มีทางมองข้ามค�าพูด ทีไ่ ม่ระมัดระวังของคุณในการน�าเอาลิมา่ มาเปรียบเปรยกับเมืองไกลปืนเทีย่ ง อย่างเวนิชในเรื่องของความเสื่อมทรามโดยเด็ดขาด โอ้! อย่าท�าสีหน้าสงสัย และแปลกใจเช่นนัน้ คุณรูจ้ กั ค�าพังเพยบนพรมแดนนีด้ ี “ความเสือ่ มทรามอย่าง ชาวลิม่า” ก็แค่ยืนยันค�าพูดของคุณเพิ่มเข้าไป โบสถ์มีมากกว่าโต๊ะบิลเลียด และเปิดบริการเสมอ และนัน่ คือ “ความเสือ่ มทรามอย่างชาวลิมา่ ” แต่สา� หรับ เมืองเวนิชแล้ว ผมเคยพักอยู่ที่นั่น เมืองศักดิ์สิทธิ์ของผู้เผยแพร่ค�าสอนของ พระเจ้า เซนต์มาร์ค! เซนต์โดมินิค ล้างบาปซะ! ถ้วยของคุณล่ะ! ขอบใจ มา ผมจะรินเหล้าให้ เอาล่ะ เล่าเรื่องของคุณมา’ “วาดภาพลั ก ษณะอาชี พ ของเขาตามใจชอบเถิ ด ...ท่ า นสุ ภ าพบุ รุ ษ คานาลเลอร์อาจเป็นวีรบุรษุ ในละครน่าดูเรือ่ งหนึง่ เขาเลวทรามเหลือร้าย และ มีเสน่หน์ า่ ดูชม เหมือนมาร์ค แอนโทนี่ วันแล้ววันเล่าเอาแต่นวยนาดเกียจคร้าน อยู่ริมแม่น�้าไนล์ ที่สนามหญ้าสีเขียว แมกไม้แพรวพรรณ คลอเคลียข้างกาย เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 339
คลีโอพัตราโอษองค์ หรือไม่ก็อยู่บนดาดฟ้าเรือนอนเผาขาอ่อนสีแอปริคอท ของเขาให้สุกงอม แต่เมื่อขึ้นมาบนฝั่ง ลักษณะอ่อนแอทั้งหมดนี้จะมลาย หายสิ้นไป หน้ากากจอมโจรถูกน�ามาสวมด้วยความภูมิใจ หมวกตกแต่ง ด้วยริบบิ้นสีฉูดฉาดสวมหลุบต�่าเป็นลักษณะการวางโตของคานาลเลอร์ ความน่ากลัวอยู่ที่รอยยิ้มบริสุทธ์ของชาวบ้านยามเมื่อเห็นท่าทางเยื้องกราย ของเขา บ่งบอกว่าใบหน้าสีคล�า้ และท่าทางวางโตของเขาไม่ได้ถูกรังเกียจใน หลายๆ เมือง กาลก่อนคนไร้ค่าอาศัยอยู่บนถิ่นฐานคลองของตน ผมเคยได้ รับประสบการณ์ทดี่ จี ากหนึง่ ในคานาลเลอร์พวกนี้ และรูส้ กึ ซาบซึง้ อย่างใจจริง จึงไม่ขอเนรคุณโดยเด็ดขาด ทว่าโดยมากแล้วคุณสมบัติส�าคัญที่ท�าให้คนแข็ง กระด้างของคุณมีค่าขึ้นมาได้ นั่นคือเวลาที่เขาใช้ความแข็งแรงนั้นตอบโต้คน แปลกหน้าชัว่ ช้าในช่องแคบ ทีล่ อบเข้ามาปล้นสะดมคนร�า่ รวย กล่าวโดยย่อ... ท่านสุภาพบุรษุ ...ชีวติ ริมคลองป่าเถือ่ นเพียงใดประจักษ์ชดั ก็โดยสิง่ นี้ อุตสาหกรรม เดือดในประมงล่าวาฬของเรามีการแบ่งชั้นความช�านาญเอาไว้หลายชั้นมาก ท�าให้ไม่คอ่ ยมีเผ่าพันธุม์ นุษย์สกั เท่าไร เว้นแต่ชาวซิดนีย์ ซึง่ มักไม่ได้รบั ความ ไว้วางใจจากกัปตันเรือล่าวาฬของเรา ไม่เพียงมีผลให้ธรุ กิจนีล้ ดความน่าสนใจ ลงสิ้น แต่ยังท�าให้เด็กหนุ่มชาวชนบท และชายหนุ่ม ผู้ถือก�าเนิดตามแถบ ชายฝัง่ ของเราจ�านวนหลายพันคนลดจ�านวนลงอีกด้วย ชีวติ ระหว่างภาคทัณฑ์ ของคลองขนาดใหญ่เปิดโอกาสให้เกิดการเปลีย่ นแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากชีวิตเรียบง่ายเก็บเกี่ยวอยู่ในไร่ข้าวโพดของชาวคริสเตียน สู่ชีวิตบุ่มบ่าม แล่นฝ่าผิวน�้าในทะเลเถื่อน “‘ผมรูแ้ ล้ว! ผมรูแ้ ล้ว!’ ดอนเปโดรหุนหันอุทานเสียงดัง ขณะชิชาของเขาหก รดชุดครุยสีเงิน ‘ไม่จา� เป็นต้องไปทีไ่ หนอีก! ลิมา่ คือโลกทัง้ ใบ ตอนนีผ้ มเข้าใจ ชาวเหนือผู้คุมโทสะได้ดีของคุณแล้ว เกิดในยุคเดียวกับคนที่มีจิตใจเยือกเย็น และเคร่งในศาสนาดั่งภูผา ว่าแต่แล้วเรื่องเป็นยังไงต่อ’ “ผมได้ทงิ้ ท้ายเอาไว้วา่ ...ท่านสุภาพบุรษุ ...เลคแมนโยกเชือกระโยงท้ายเรือ โยกได้ไม่ทันไรลูกเรืออ่อนอาวุโสสามคน พร้อมด้วยนักพุ่งฉมวกอีกสี่คนมา 340 : โมบี-ดิ๊ก
รวมกลุม่ อยูข่ า้ งกายเขาบนดาดฟ้าเรือ ทว่าระหว่างรูดเชือกร่อนลงมาราวดาว มฤตยูนั้น คานาลเลอร์ทั้งสองพุ่งลงมาพร้อมกับความโกลาหล และพยายาม ไล่ต้อนคนของเขาให้ออกจากความวุ่นวายนั้นไปยังดาดฟ้าหน้าเรือ ลูกเรือ คนอื่นๆ เข้าช่วยพวกเขาต้อนด้วยจึงยิ่งท�าให้เกิดความสับสนอลหม่านยิ่งขึ้น จังหวะนัน้ กัปตันผูก้ ล้ายืนห่างจากบริเวณเสีย่ งอันตราย ก�าลังกระโดดโลดเต้น ใช้หอกในมือทิม่ แทงเป้าหมายทีส่ ร้างความขุน่ เคืองให้กบั เขา แต่สตีลกิลต์และ เพื่อนเดนตายเป็นต่อกว่าคนทั้งหมด เมื่อชาวประมงปารีสเหล่านี้ขึ้นไปบน ดาดฟ้าหน้าเรือได้แล้วต่างเร่งรีบย้ายถังไม้สามสี่ใบมาเรียงแถวข้างเครื่อง กว้านสมอ เพื่อยึดเป็นที่มั่นป้องกันภัยก่อนจะพากันเข้าไปหลบอยู่ด้านหลัง เครื่องกีดขวางนี้ “‘ออกมานะ ไอ้พวกโจร!’ กัปตันแผดเสียงลัน่ เวลานีเ้ ขาขูเ่ หล่าเดนตายด้วย ปืนพกในมือทั้งสองข้างซึ่งเด็กรับใช้ไปเอามาให้ “ออกมาซะ ไอ้พวกฆาตกร!’ “สตีลกิลต์โดดขึน้ มายืนบนถังปราการ ก้าวขึน้ ก้าวลงอยูต่ รงนัน้ โดยไม่หวัน่ เกรงว่าปืนสองกระบอกนั้นจะลั่นกระสุนออกมา เขาเพียงต้องการให้กัปตัน ประจักษ์ชดั ว่า ความตายของเขา (สตีลกิลต์) จะเป็นสัญญาณให้กบฎเดนตาย ทีเ่ ป็นคนกลุม่ หนึง่ ในจ�านวนลูกเรือทัง้ หมดลุกฮือขึน้ มา ความกลัวในหัวใจของ กัปตันเวลานี้คือเกรงว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นจริง เขาหยุดการกระท�า แต่ยังคง สั่งให้กลุ่มผู้ก่อการจลาจลรีบกลับไปท�างานตามหน้าที่ของตน “‘สัญญาสิว่า กัปตันจะไม่แตะต้องพวกเราอีก?’ หัวโจกส่งเสียงเรียกร้อง “‘กลับไปซะ! กลับไป! ฉันไม่สญ ั ญาอะไรทัง้ นัน้ ไปท�างานของพวกนายซะ! พวกนายอยากให้เรือจมด้วยการหยุดงานในเวลาอย่างนี้หรือยังไง? กลับไป ท�างานซะ’ แล้วเขาก็ยกปืนขึ้นมาอีกครั้ง “‘จมเรืองั้นหรือ?’ สตีลกิลต์ร้องถาม ‘ก็ช่างมันสิ ปล่อยให้จมไป พวกเรา จะไม่มใี ครกลับไปท�างานแน่ จนกว่ากัปตันจะให้คา� มัน่ ก่อนว่าจะไม่ยกเกลียว เชือกนั่นขึ้นมาขู่เราอีก พวกนายว่ายังไง...เพื่อน?’ หันกลับไปยังสหายของเขา เสียงโห่ดังระห�่าขึ้นสนับสนุนค�าพูดนั้น เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 341
“เจ้าเลคแมนในเวลานีเ้ ดินวนกลับไปมาอยูบ่ นถังปราการ ตลอดเวลาจ้อง มองไปยังกัปตันไม่วางตา พูดเสียงตะกุกตะกักว่า ‘ไม่ใช่ความผิดของเรา พวกเรา ไม่ได้อยากให้เป็นอย่างนี้ ผมบอกให้เขาเอาค้อนไปห่างๆ นั่นเป็นงานของ เด็กๆ เขาควรจะรู้จักผมให้มากกว่านี้ ผมบอกเขาแล้วว่าอย่ามาตอกใส่ชาว บัฟฟาโล่ ผมนิ้วหักไปนิ้วหนึ่งเพราะขากรรไกรน่ารังเกียจนั่น เพื่อนๆ ผมบน ดาดฟ้านี่จะไม่ยอมลดมีดในมือลง ใช่มั้ยพวก? เฝ้าระวังเหล็กแหลมพวกนั้น ไว้...สหายรัก กัปตัน...ได้โปรด ระวังตัวเองด้วย บอกสิวา่ กัปตันจะไม่เป็นคนโง่ ลืมทุกสิง่ ทุกอย่างซะ แล้วเราจะกลับไปท�างาน ปฏิบตั กิ บั เราอย่างทีค่ วรจะเป็น พวกเราเป็นคนงานของกัปตัน แต่เราจะไม่ยอมถูกเฆี่ยนตีเด็ดขาด’ “‘กลับไปซะ! ฉันไม่สัญญาอะไรทั้งนั้น ฉันสั่งให้กลับไป!’ “‘ดูกัปตันตอนนี้สิ’ เจ้าเลคแมนร้องบอก ขณะเหวี่ยงอาวุธของเขาไปยัง กัปตัน ‘พวกเราตรงนีม้ กี นั อยูจ่ า� นวนหนึง่ (รวมผมเป็นหนึง่ ในนัน้ ด้วย) ถูกจ้าง มาเดินเรือ แต่รมู้ ยั้ ตอนนีอ้ ย่างทีก่ ปั ตันเองก็รคู้ รับ...เราสามารถยกเลิกการจ้าง งานนี้ได้ในทันทีที่ทอดสมอจอดเรือ ดังนั้นแล้วเราไม่อยากมีเรื่อง นี่ไม่ใช่สิ่งที่ เราต้องการ เราต้องการสันติสขุ เราพร้อมจะไปท�างาน แต่ไม่ตอ้ งการถูกเฆีย่ นตี’ “‘กลับไป!’ กัปตันส่งเสียงค�าราม “สตีลกิลต์กวาดตามองรอบๆ เขาครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นว่า ‘ผมจะบอกให้ว่า เวลานีเ้ กิดอะไรขึน้ ...กัปตันอาจถูกฆ่าแล้วแขวนอยูท่ า่ มกลางอันธพาลสกปรก พวกนี้ เราจะไม่ก�าหมัดใส่หากกัปตันไม่ท�าเราก่อน หากกัปตันบอกว่าจะไม่ โบยพวกเรา เราก็จะไม่ยกมือขึ้นสู้’ “‘ลงไปใต้ทอ้ งเรือนัน่ พวกนายก็ลงไปด้วย ฉันจะขังพวกนายไว้ทนี่ นั่ จนกว่า พวกนายป่วยเพราะมัน พวกนายจะลงไปมั้ย’ “‘เราจะลงไปกันมั้ย?’ หัวโจกร้องถามคนของเขา ส่วนใหญ่ปฏิเสธที่จะท�า เช่นนัน้ แต่สดุ ท้ายพวกเขาก็ยอมเชือ่ สตีลกิลต์ เดินน�าหน้าเขาลงไปในห้องมืด หายเข้าไปในนั้นพร้อมกับเสียงค�ารามเหมือนกับฝูงหมีเดินเข้าถ�้าไป “ทันทีที่ศีรษะเปลือยของเจ้าเลคแมนอยู่ในระดับเดียวกับพื้นกระดาน 342 : โมบี-ดิ๊ก
กัปตันและกองก�าลังติดอาวุธของเขาโดดไปที่ถังปราการ รีบเลื่อนปิดบาน ประตูหอ้ งใต้ดาดฟ้าฝังคนงานทัง้ กลุม่ ไว้ในนัน้ พร้อมทัง้ ตะโกนสัง่ ให้เด็กรับใช้ เอาสายยูทองเหลืองมาคล้องทางลงบันได จากนั้นเลื่อนประตูเปิดช่องเล็กๆ กัปตันกระซิบกระซาบบางอย่างลงไปทางช่องนั้นแล้วลั่นกุญแจขังคนสิบคน ไว้ในนั้น ส่วนที่เหลือบนดาดฟ้าอีกประมาณยี่สิบคน หรือมากกว่านั้น ยังคง ไม่เลือกข้างฝ่ายใด “ตลอดทั้งคืนการเฝ้ายามยังคงด�าเนินอย่างต่อเนื่อง นายเรือทุกคนตื่น ตัวเดินยามทั้งด้านหน้า และด้านท้ายเรือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณห้องใต้ ดาดฟ้าเรือส่วนหน้า และหน้าประตูทางลงดาดฟ้า ซึ่งต้องคอยระวังไม่ให้ พวกกบฏโผล่ขึ้นมาหลังจากผลักดันให้ลงไปอยู่ในนั้นได้ ทว่าหลายชั่วโมง ผ่านไปท่ามกลางความมืดอันเงียบสงบ กลุ่มคนงานยังคงท�าหน้าที่ของตน อย่างหนักอยู่บริเวณเครื่องสูบ เสียงคริ๊งแคร๊งดังสะท้อนเสียงห่อเหี่ยวไปทั่ว ล�าเรือตลอดค�่าคืนอันน่าเบื่อ “รุง่ เช้ากัปตันเดินไปด้านหน้าเคาะดาดฟ้าปลุกให้นกั โทษลุกขึน้ มาท�างาน แต่พวกเขายังคงตะโกนปฏิเสธตอบกลับมา เขาจึงหย่อนน�้าลงไปให้พวกเขา พร้อมด้วยขนมปังกรอบหนึ่งก�ามือโยนตามลงไป จากนั้นก็ลั่นกุญแจขังพวก เขาไว้ตามเดิม เสร็จแล้วกัปตันก็เดินกลับไปยังดาดฟ้าท้ายเรือ เขาท�าเช่นนัน้ วัน ละสองครัง้ เป็นเวลาติดต่อกันนานสามวัน และแล้วในเช้าวันทีส่ มี่ เี สียงทะเลาะ โหวกเหวกดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงตะลุมบอนกัน มีเสียงเรียกร้องให้ปล่อยตัว จากที่คุมขังดังขึ้นมาให้ได้ยิน เมื่อประตูเปิดออกคนงานสี่คนโผล่พรวดขึ้น มาจากห้องใต้ดาดฟ้าบอกว่าพวกเขาพร้อมจะกลับไปท�างานแล้ว คงเพราะ อากาศเหม็นอับ และความอดอยากหิวโหยร่วมกับความหวาดกลัวต่อผลกรรม จนถึงขีดสุดกระมังเป็นผลผลักดันให้พวกเขาจ�าต้องยอมจ�านน นัน่ ท�าให้กปั ตัน มีกา� ลังใจทีจ่ ะกล่าวย�า้ ค�าสัง่ ของตนกับคนทีเ่ หลืออยู่ แต่สตีลกิลต์ตะโกนกลับ ขึน้ มาด้วยถ้อยค�ารุนแรงว่าให้เขาหยุดพล่ามแล้วกลับไปยังทีข่ องตัวเองซะ เช้า วันทีห่ า้ กบฏอีกสามคนหนีขนึ้ มาสูดอากาศด้านบนโดยเหล่าเดนตายด้านล่าง เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 343
ไม่อาจยับยั้งไว้ได้อีกต่อไป เวลานี้จึงเหลือเพียงอีกสามคนด้านล่าง “‘ตอนนี้อยากกลับขึ้นมารึยัง?’ กัปตันส่งเสียงเย้ยหยันอย่างคนแล้งน�้าใจ “‘เพื่อจะได้ขังพวกเราไว้ข้างบนนั่นอีกน่ะสิ ใช่มั้ยล่ะ!’ สตีลกิลต์ร้องตอบ กลับมา “‘โอ้! แน่ล่ะ’ กัปตันพูด ขณะกุญแจลั่นกริ๊ก “ตอนนีเ้ อง...ท่านสุภาพบุรษุ ...ความโกรธแค้นจากเพือ่ นร่วมกลุม่ ก่อนหน้า นี้ที่ตีตัวออกห่าง ความเจ็บปวดจากเสียงเย้ยหยันที่โห่ร้องใส่เขาเมื่อล่าสุด ร่วมกับความหงุดหงิดจากการถูกขังให้อยูใ่ นสถานทีม่ ดื มิดพอๆ กับก้นบาดาล แห่งความสิ้นหวัง ความรู้สึกทั้งหมดทั้งปวงนี้ท�าให้สตีลกิลต์ชักชวนสอง คานาลเลอร์ให้รวมใจเป็นหนึง่ เดียวกับเขาหาทางหนีจากห้องขังขึน้ มารวมตัว กันทีป่ อ้ มปราการ ใช้มดี เสีย้ วพระจันทร์ของพวกเขา (อาวุธขนาดใหญ่ยาวเป็น รูปพระจันทร์เสีย้ วมีดา้ มจับทีป่ ลายทัง้ สองด้าน) ตวัดว่อนจากเครือ่ งเสาหัวเรือ ไปจนถึงราวท้ายเรือ และหากเป็นไปได้กใ็ ห้ใช้ความโหดเหีย้ มร้ายกาจยึดครอง เรือล�านีเ้ สียเลย ส�าหรับตัวเขาเองแล้ว เขาจะท�าแน่ เขาบอก...ไม่วา่ คานาลเลอร์ ทั้งสองจะร่วมมือกับเขาหรือไม่ก็ตาม คืนนั้นควรเป็นคืนสุดท้ายที่เขาจะใช้ ชีวติ อยูใ่ นกรงขังนี้ แผนการนัน้ ไม่เพียงไม่ถกู คัดค้านจากเพือ่ นร่วมชะตากรรม ทั้งสอง พวกเขายังกล่าวค�ามั่นว่าพร้อมร่วมปฏิบัติการ ไม่ว่าจะให้ท�าในเรื่อง บ้าๆ หรือเรื่องอะไรก็ตามยกเว้นเรื่องการยอมแพ้ ยิ่งไปกว่านั้นทั้งสองต่าง แย่งกันขอเป็นคนแรกที่จะได้ขึ้นไปบนดาดฟ้าทันทีที่โอกาสมาถึง ทว่าใน เรื่องนี้ผู้น�าของพวกเขาคัดค้านอย่างหนักว่าควรจะให้ตัวเขาเป็นคนแรกที่ได้ ขึ้นไปก่อน นั่นเพราะสหายคู่แฝดของเขาคงไม่ยอมให้อีกคนขึ้นไปก่อนตน เป็นแน่ ด้วยเหตุนี้เองทั้งคู่จึงไม่มีทางได้ข้ึนไปเป็นคนแรก อีกทั้งบันไดยังใช้ ปีนขึ้นได้ทีละคนเท่านั้น เวลานั้นเอง...ท่านสุภาพบุรุษ...ความคิดสกปรกของ คนชั่วทั้งสองจึงเริ่มขึ้น “เมื่อได้ยินแผนการบ้าคลั่งของผู้น�า ทั้งสองต่างมีความคิดแตกแยกกับ เขาในทันที ดูเหมือนว่านั่นเป็นความคิดที่ไม่ต่างอะไรกับการทรยศหักหลัง 344 : โมบี-ดิ๊ก
กล่าวคือความต้องการเป็นคนน�าพังประตูออกก็เพือ่ จะได้เป็นคนแรกในสามคน แม้จะเป็นคนล่าสุดในสิบคนทีย่ อมแพ้ แต่กม็ นั่ ใจได้วา่ น่าจะมีโอกาสได้รบั การ ละเว้นโทษบ้างไม่มากก็นอ้ ย แต่เมือ่ สตีลกิลต์บอกให้รถู้ งึ ความตัง้ ใจของเขาที่ มุง่ มัน่ จะน�าพวกเขาให้ได้ ทัง้ สองจึงใช้เลห์เพทุบายทีซ่ กุ ซ่อนไว้กอ่ นหน้านีห้ า โอกาสใช้น�้ายาแห่งความชั่วร้ายกับเขา เมื่อผู้น�างีบหลับไปความคิดของพวก เขาถูกเผยออกมาด้วยการกระท�าในสามขัน้ ตอน อันดับแรกจับผูห้ ลับใหลมัด ด้วยเชือก ปิดปากเขาด้วยเชือก และส่งเสียงกรีดร้องเรียกกัปตันกลางดึก “คิดถึงการฆาตกรรมทีก่ า� ลังใกล้เข้ามา กลิน่ คาวเลือดสีแดงเข้ม กัปตันกับ พวกผูช้ ว่ ยกัปตันพร้อมอาวุธในมือ และนักพุง่ ฉมวกของเขารีบรุดมายังดาดฟ้า หน้าเรือ ภายในเวลาไม่กี่นาทีประตูทางลงห้องดาดฟ้าก็ถูกเปิดออก หัวโจก ดิ้นรนขัดขืนในสภาพถูกมัดมือมัดเท้าขณะถูกน�าตัวขึ้นมากลางดาดฟ้าโดย พันธมิตรผูท้ รยศของเขา ทัง้ สองรีบอ้างถึงคุณความดีทจี่ บั กุมชายผูซ้ งึ่ ช�านาญ การฆาตกรรมได้ ทว่าทัง้ หมดถูกใส่ปลอกคอ และลากไปตามดาดฟ้าเหมือนเช่น วัวควายที่ตายแล้ว และถูกมัดเรียงกันด้วยเชือกเสากระโดงท้ายเรือเหมือน ขาเนื้อสามชิ้น พวกเขาถูกแขวนไว้อย่างนั้นจนรุ่งเช้า ‘ไอ้พวกอัปรีย์’ กัปตัน ร้องด่าขณะก้าวขึ้นมาและเดินวนไปมาหน้าคนทั้งสาม ‘แร้งยังไม่อยากแตะ ต้องพวกแก...ไอ้คนชั่ว!’ “รุง่ เช้านัน้ เขาเรียกประชุมลูกเรือทุกคน และแยกบรรดาผูก้ อ่ กบฏออกจาก บรรดาผู้ไม่ได้เข้าร่วมกบฏ และพูดขึ้นว่าก่อนหน้านี้เขามีความคิดที่จะเฆี่ยน ตีพวกเขาทั้งหมด เพราะในเวลานั้นเขาคิดว่า เขาต้องท�าอย่างนั้น เขาควรท�า เพือ่ ความยุตธิ รรม แต่ตอนนี้ เมือ่ พิจารณาถึงการยอมจ�านนในช่วงเวลาเหมาะ สม เขาจะปล่อยให้พวกที่กลับใจถูกประณามตามวิถีปฏิบัติของคนพื้นเมือง “‘แต่ส�าหรับพวกแก ไอ้คนพาลตัวเหม็นเน่า’ หันมายังคนทั้งสามที่สาย ระโยงเรือ ‘ส�าหรับพวกแก ฉันตั้งใจจะสับให้ละเอียดแล้วใส่หม้อต้มไขวาฬ’ พูดพร้อมกับคว้าเชือกขึน้ มา แล้วออกแรงทัง้ หมดทีเ่ ขามีตไี ปทีแ่ ผ่นหลังของคน ทรยศทั้งสอง ตีจนกระทั่งพวกเขาไม่มีเสียงร้องใดๆ ออกมาอีก ทั้งสองสลบ เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 345
คอพับไปด้านข้างเฉกเช่นสองหัวขโมยในพระคัมภีรห์ มดแรงอยูบ่ นไม้กางเขน “‘ข้อมือของฉันเคล็ดเพราะพวกแก!’ เขาร้องออกมา ‘แต่ยังมีเชือกอีกมาก พอส�าหรับพวกแก เล็กพริกขี้หนูของฉัน จะไม่ยอมแพ้แค่นี้แน่ เอาเชือกออก จากปากมัน ดูว่ามันจะพูดอะไรออกมา’ “ช่วงเวลานั้นกบฎผู้หมดแรงปากสั่นเพราะตะคริว และความเจ็บปวด รอบๆ คอ เขาส่งเสียงรอดไรฟัน ‘ที่ผมจะพูดก็คือ คิดให้ดี ถ้ากัปตันเฆี่ยนผม ผมฆ่ากัปตันแน่!’ “‘แกยังพูดอย่างนั้นได้อีกรึ ถ้างั้นมาดูกันสิว่าแกยังจะกล้าขู่ฉันได้อีกมั้ย’ กัปตันเงื้อเชือกขึ้นเตรียมฟาด “‘อย่าดีกว่า’ เจ้าเลคแมนพูดรอดไรฟัน “‘ฉันจะท�า’ เชือกถูกเงื้อไปทางด้านหลังเตรียมฟาดอีกครั้ง “สตีลกิลต์พูดอะไรบางอย่างออกมา ไม่มีใครได้ยินนอกจากกัปตันซึ่ง เวลานั้นสร้างความประหลาดใจให้กับลูกเรือทุกคน เขาก้าวถอยหลังอย่าง รวดเร็วสองสามครัง้ แล้วรีบโยนเชือกทิง้ ก่อนจะพูดขึน้ ‘ฉันไม่ทา� แล้ว ปล่อยเขา แก้มัดเขา ได้ยินมั้ย?’ ทว่าขณะเหล่าผู้ช่วยกัปตันก�าลังเร่งรีบปฏิบัติตามค�าสั่งนั้น ชายหน้าตา ซีดเซียว บนหัวพันด้วยผ้าพันแผลหยุดพวกเขาไว้ เขาคือหัวหน้าต้นเรือ...เรดนีย์ นับตัง้ แต่ถกู ต่อยจนล้ม เขานอนซมอยูบ่ นเตียงนอนมาตลอด กระทัง่ เช้าวันนัน้ เขาได้ยินเสียงเอะอะอึกทึกบนดาดฟ้าจึงค่อยๆ ย่องขึ้นมาทันเห็นเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นทั้งหมด แม้สภาพบาดแผลที่ปากของเขาเป็น ผลให้เขาพูดได้อย่าง ยากเย็น แต่เขาก็ยงั คงพึมพ�าค�าพูดบางอย่างทีบ่ อกถึงความตัง้ ใจของตน และ ท�าในสิง่ ทีก่ ปั ตันไม่กล้าท�า เขาคว้าเชือกขึน้ มา และก้าวตรงไปยังศัตรูผถู้ กู มัด แขนขาของเขา “‘นายมันคนขี้ขลาด!’ เจ้าเลคแมนส่งเสียงขู่ “‘ใช่ฉันขี้ขลาด แต่ลองนี่ดูสักหน่อย’ ต้นเรือหวดเชือกอย่างแรง แต่เสียงขู่ ทีด่ งั ขึน้ อีกครัง้ ท�าให้เขาต้องเงือ้ เชือกค้างไว้ เขาหยุดชะงักพักหนึง่ จากนัน้ ก็ไม่ 346 : โมบี-ดิ๊ก
ยัง้ มืออีก เขาท�าอย่างทีพ่ ดู แม้สตีลกิลต์จะพูดข่มขูอ่ ะไรก็ตาม จากนัน้ นักโทษ ทัง้ สามได้รบั การแก้มดั คนงานทุกคนถูกพลเรือขีห้ งุดหงิดสัง่ อย่างฉุนเฉียวให้ กลับไปท�างาน ลูกสูบเหล็กส่งเสียงดังแคล๊งๆ ขึ้นอีกครั้ง “หลังคืนวันนั้น ขณะเวรยามคนหนึ่งลงมาพักด้านล่าง เขาได้ยินเสียง ครึกโครมดังมาจากดาดฟ้าด้านหน้า คนทรยศทั้งสองวิ่งไปล้อมรอบประตู ห้องเครื่องบอกว่าพวกเขาไม่กล้าร่วมมือกับชายหัวโจกนั้นอีกแล้ว วิงวอนขอ ให้ตบตี และเตะถีบพวกเขาแทนการผลักไสให้กลับไป ทว่าค�าร้องขอนัน้ ท�าให้ พวกเขาถูกน�าตัวไปไถ่บาปอยูใ่ ต้ทอ้ งเรือส่วนกลางทีจ่ มอยูใ่ ต้นา�้ ทะเล กระนัน้ ไม่มีสัญญาณการก่อกบฏปรากฏให้เห็นอีกในกลุ่มลูกเรือที่เหลือ ตรงกันข้าม ดูเหมือนว่าสตีลกิลต์เป็นแรงดลใจให้พวกเขาตัดสินใจทีจ่ ะรักษาความสงบสุข ไว้อย่างเคร่งครัด เชื่อฟังทุกค�าสั่งจนถึงที่สุด และเมื่อเรือกลับถึงท่าพวกเขา จะพากันออกจากงานไปทัง้ กลุม่ แต่เพือ่ ให้แน่ใจว่าเรือแล่นด้วยความเร็วเต็ม ก�าลัง พวกเขาทุกคนเห็นตรงกันในอีกเรื่องหนึ่งนั่นคือ จะไม่ส่งเสียงแจ้งบอก เมื่อพบเห็นวาฬ เพราะแม้เรือจะรั่ว และแม้จะมีอันตรายใดๆ แค่ไหน แต่เรือ ทาวน์โฮยังคงมีเสากระโดงเรือ และกัปตันยังคงปรารถนาลงเรือเล็กเพื่อพิชิต วาฬในเวลานัน้ ซึง่ เป็นเวลาทีเ่ รือของเขาแล่นเข้าสูแ่ หล่งล่าวาฬ และต้นเรือเรด นีย์เองก็พร้อมเปลี่ยนที่พักของเขาไปอยู่บนเรือพิชิตวาฬแล้ว อีกทั้งปากปิด ด้วยผ้าพันแผลของเขาแสวงโอกาสได้เล่นลิ้นกับความตายจากขากรรไกร คมกริบของวาฬ “ทว่าแม้เจ้าเลคแมนจะชักจูงให้เหล่าลูกเรือยอมรับการนิ่งเฉยไม่แสดง ปฏิกริ ยิ าตอบโต้ใดๆ ออกมา แต่เขายังคงบอกถึง (อย่างน้อยก็จนกว่าทุกอย่าง จะจบสิ้นลง) ความแค้นที่เป็นเรื่องส่วนตัวของเขาที่มีต่อชายผู้ท�าให้เขาเจ็บ ฝังลึกเข้าไปในหัวใจ (อย่างน้อยก็จนกว่าทุกอย่างจะจบสิน้ ลง) เขาถูกหัวหน้า ต้นเรือเรดนีย์เฝ้าจับตามอง ราวกับว่าชายผู้ลุ่มหลงถล�าตัวสู่หายนะเกินกว่า ครึ่งทางแล้ว หลังเหตุการณ์ที่เสาระโยงเขาปฏิบัติตามค�าแนะน�าของกัปตัน ให้กลับไปเป็นผูน้ า� งานเฝ้ายามกะกลางคืน ระหว่างปฏิบตั งิ านนี้ และอีกหนึง่ เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 347
หรือสองหน้าที่ สตีลกิลต์คิดแผนล้างแค้นของเขาควบคู่ไปด้วย “คืนวันนัน้ เรดนียก์ า� ลังนัง่ อยูใ่ นท่าทีไ่ ม่เหมือนกลาสีเรือนัง่ อยูบ่ นกราบเรือ ดาดฟ้าด้านท้าย วางพาดแขนบนกราบเรือเชือดวาฬที่แขวนอยู่บนนั้น เหนือ ด้านข้างเรือเล็กน้อย ท่าทางนัน้ ท�าให้รวู้ า่ เขาครึง่ หลับครึง่ ตืน่ ตรงนัน้ มีชอ่ งว่าง ระหว่างเรือเล็กทีห่ อ้ ยอยูด่ า้ นข้างเรือเดินสมุทร ลึกลงไปด้านล่างเป็นน�า้ ทะเล สตีลกิลต์ค�านวณเวลาการท�างาน หน้าที่ถัดไปของเขาที่พวงมาลัยเรือจะถึง ก�าหนดตอนตีสองในเช้าวันทีส่ ามนับจากเหตุการณ์ทเี่ ขาถูกหักหน้า ช่วงเวลา ว่างนี้เขาใช้ไปกับการถักร้อยอะไรบางอย่างอยู่อย่างตั้งใจไปพร้อมกับงาน เฝ้ายามอยู่ด้านล่าง “‘นายก�าลังท�าอะไรอยู่ตรงนั่นน่ะ?’ เพื่อนกะลาสีเรือถามขึ้น “‘นายคิดว่ายังไงล่ะ? นี่ดูเหมือนอะไร?’ “‘น่าจะเป็นเชือกส�าหรับกระเป๋าของนายนะ แต่มนั ดูแปลกๆ เหมือนของฉัน’ ‘ใช่ ค่อนข้างแปลกทีเดียว’ เจ้าเลคแมนพูด ขณะหยิบขึน้ มากางตามความยาว ของแขนตรงหน้าเขา ‘แต่ฉนั คิดว่านีน่ า่ จะเป็นค�าตอบนะ...เพือ่ น ฉันมีไม่มากพอ จะถักเป็นเกลียว นายพอจะมีอีกมั้ย?’ ‘บนดาดฟ้าเรือด้านหน้านี่ไม่มีเลย’ ‘ถ้างั้นฉันคงต้องไปเอาจากตาเฒ่าเรด’ พูดจบเขาลุกขึ้นเดินไปยังท้ายเรือ “‘นายคงไม่คิดที่จะไปขอกับเขาหรอกนะ!’ ลูกเรือคนหนึ่งพูดขึ้น “‘ท�าไมล่ะ? นายคิดว่าเขาจะไม่ยอมให้มางั้นเหรอ ในเมื่อเชือกนี่ไว้ใช้ช่วย ชีวติ เขาเองนะเพือ่ น?’ พูดจบก็เดินไปหาต้นเรือ สตีลกิลต์มองเขาเงียบๆ และ เอ่ยปากขอสายป่านมาซ่อมเปลญวน เขาได้รบั ตามค�าขอ จากนัน้ ทัง้ สายป่าน หรือเชือกก็ไม่ปรากฏให้เห็นอีก กระทัง่ คืนวันถัดมาลูกเหล็กห่อหุม้ ด้วยตาข่าย บางส่วนกลิ้งออกมาจากกระเป๋าเสื้อคลุมของเจ้าเลคแมน ขณะเขาก�าลังพับ เสือ้ คลุมวางบนเปลญวนเพือ่ ใช้เป็นหมอน ยีส่ บิ สีช่ วั่ โมงหลังการปฏิบตั หิ น้าที่ ของเขาทีห่ างเสือเรือเงียบๆ ใกล้ชายผูส้ มควรลงไปนอนหลับใหลในหลุมฝังศพ ที่เขาได้ขุดเตรียมไว้ให้ ชั่วโมงแห่งความตายก�าลังใกล้เข้ามา ในความคิดล่วง 348 : โมบี-ดิ๊ก
หน้าของสตีลกิลต์ ต้นเรือผู้นี้ตายไปแล้ว และถูกขึงพืดเป็นซากศพ ใบหน้ามี ร่องรอยถูกฟาด “ทว่า...ท่านสุภาพบุรษุ ...คนขีข้ ลาดช่วยให้วา่ ทีฆ่ าตกรรอดพ้นจากแผนการ ทีจ่ ะท�าให้มอื ของเขาเปือ้ นเลือด เขาแก้แค้นไม่สา� เร็จ และไม่ได้เป็นผูล้ า้ งแค้น เป็นเพราะเคราะห์กรรมดลบันดาล คล้ายพระเจ้าเข้ามาฉวยภารกิจนี้ไปจาก มือเขา แล้วส่งให้เหตุร้ายที่ทรงบันดาลขึ้นมาจัดการเขาแทน “ขณะนั้นเป็นเวลาเช้ามืด และแสงอาทิตย์ของเช้าวันที่สองเริ่มสาดส่อง พวกคนงานก�าลังล้างท�าความสะอาดดาดฟ้าเรือ คนเรือโง่เซ่อชาวเทนเนรีฟ กักน�า้ ทะเลไว้ในช่องเก็บเชือกระโยง ทันใดนัน้ ทุกคนส่งเสียงร้องดังลัน่ ‘นัน่ วาฬ! นั่นวาฬ!’ พระเจ้า วาฬนั่น! มันคือโมบี้ดิ๊ก “‘โมบีด้ กิ๊ !’ ดอนซีบาสเตียนเอ่ยขึน้ ‘เซนต์โดมินคิ ! คุณชาวเรือ ว่าแต่วาฬพวกนี้ ผ่านพิธีชา� ระชะล้างบาปมาหรือ? คุณเรียกใครว่าโมบี้ดิ๊ก?’ “‘อสุรกายสีขาวเผือก โด่งดังไปทัว่ และตายยาก...ดอน แต่นนั่ ก็เป็นเรือ่ งเล่า นานมาแล้ว’ “‘ยังไง? ยังไง?’ หนุ่มชาวสเปนทั้งหมดคะยันคะยอถาม “‘เดีย๋ วก่อน...ดอน...ท่านสุภาพบุรษ...เดีย๋ ว เดีย๋ ว! ผมยังเล่าตอนนีไ้ ม่ได้ ขอให้ ผมได้พักสูดอากาศอีกเดี๋ยวก่อนเถอะนะ’ “‘เอาชิชามา! เอาชิชามา! ดอนเปโดรร้องหา ‘เพือ่ นผูก้ ระฉับกระเฉงของเรา ดูคล้ายก�าลังจะเป็นลม เติมเหล้าในแก้วของเขาที!’ “ไม่ต้องหรอก ท่านสุภาพบุรุษ แค่ขอเวลาสักครู่หนึ่ง แล้วผมก็จะเล่าต่อ เอาล่ะ ท่านสุภาพบุรษุ ทันทีทเี่ ห็นวาฬสีขาวราวหิมะห่างจากเรือไปห้าสิบหลา หนุ่มเทเนรีฟลืมไปว่าเขาอยู่ท่ามกลางกลุ่มลูกเรือที่มาเบียดเสียดรวมตัวกัน ในช่วงเหตุการณ์ตื่นเต้นนี้ เขาเผลอตะเบ็งเสียงเรียกอสุรกายขึ้นโดยไม่รู้ตัว แม้เมื่อเวลาผ่านไปและผลปรากฏว่าไม่มีวาฬโผล่มาให้เห็นจากยอดเสา กระโดงมืดสลัวทั้งสามต้น ทั้งหมดกลายเป็นเรื่องฟั่นเฟือน ‘วาฬสีขาว วาฬสีขาว!’ เสียงร้องของกัปตัน บรรดาผู้ช่วยกัปตัน และเหล่านักพุ่งฉมวก เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 349
ผู้ไม่เคยหวาดหวั่นต่อข่าวลือน่ากลัวทั้งหลาย ทั้งหมดร้อนใจอยากจับวาฬที่ มีชอื่ เสียงเลิศล�า้ และเลอค่า ขณะลูกเรือผูต้ ดิ ตามลอบส่งสายตาไม่พอใจพร้อม กับค�าสาปแช่ง ความสวยงามน่าขนลุกของก้อนน�้านมขนาดใหญ่นั้นสะท้อน แสงอาทิตย์ตรงเส้นขอบฟ้าส่องสว่างเป็นประกาย ระยิบระยับ แพรวพราว ดั่งมุกดาในน�า้ ทะเลสีครามยามเช้า ท่านสุภาพบุรุษ พรมลิขิตอันน่าอัศจรรย์ แผ่ซา่ นทัว่ ทิศทางของเหตุการณ์เหล่านี้ ราวกับถูกร่างรายละเอียดเอาไว้กอ่ น ที่โลกจะอุบัติขึ้น เหล่ากบฏล้วนเป็นฝีพายแถวหน้าของต้นเรือ และมีหน้าที่ นั่งข้างเขาขณะจับวาฬมัด เวลาเรดนีย์ยืนขึ้นบนหัวเรือพร้อมถือหอกในมือ กบฏเหล่านี้จะต้องคอยดึง หรือคลายเชือกตามค�าสั่งของเขา ยิ่งไปกว่านั้น เมือ่ เรือเชือดวาฬสีล่ า� ถูกหย่อนลงผืนน�า้ ต้นเรือเริม่ ต้นภารกิจของตน เวลานัน้ ไม่มีเสียงร้องโหยหวนด้วยความยินดีของใครดังไปกว่าสตีลกิลต์ ขณะเขาดึง ไม้แจวของเขาอย่างเต็มก�าลัง หลังไม้แจวแข็งแรงนักพุ่งฉมวกผูกเชือก และ ถือหอกเตรียมไว้ในมือ เรดนีย์โดดขึ้นไปบนหัวเรือ เขามักเป็นบ้าเสมอโดย เฉพาะเวลาอยูบ่ นเรือเชือดวาฬ เสียงกรีดร้องของเขาในตอนนีม้ วี ตั ถุประสงค์ เพือ่ ให้นา� เขาไปยังแผ่นหลังทีส่ งู ทีส่ ดุ ของวาฬ ฝีพายของเขาไม่ลงั เลกระชากเขา สูงขึน้ และสูงขึน้ ผ่านฟองเจิดจ้าทีร่ วมเอาความขาวของสองสิง่ ผสมกลมกลืน กัน กระทั่งเรือเชือดวาฬชนเข้ากับแนวหินใต้ทะเล และพลิกคว�่าเทต้นเรือ ที่ยืนอยู่ตกลงไป ชั่วพริบตานั้นเขาตกลงไปบนหลังมันลื่นของวาฬ ขณะเรือ กลับคืนล�า และถูกคลื่นซัดแฉลบไปอีกทาง เรดนีย์ถูกโยนตกทะเลไปอีกด้าน ข้างตัววาฬ เขาว่ายสะเปะสะปะผ่านละอองน�้ากระเซ็น ชั่วอึดใจนั้น มองเห็น เขาลางๆ ผ่านม่านน�า้ ก�าลังกระเสือกกระสนดิน้ รนพาตัวเองให้พน้ จากสายตา ของโมบีด้ กิ๊ ทว่าเจ้าวาฬพุง่ เข้าไปในกระแสน�า้ วนอย่างรวดเร็วงับเอานักว่ายน�า้ ไว้ในหว่างขากรรไกรแล้วพาเขาขึ้นโดดตัวลอยสูง ก่อนจุ่มหัวลงอีกครั้งและ จมหายไป “เวลานั้นเป็นช่วงจังหวะเดียวกับที่ก้นเรือพิฆาตเพิ่งแตะลงบนผิวน�้า เจ้าเลคแมนหย่อนเชือกลงเพือ่ ถอยหลังออกมาจากวังน�า้ วน เขามองเหตุการณ์ 350 : โมบี-ดิ๊ก
นัน้ อย่างเยือกเย็น ครุน่ คิดถึงความคิดของตัวเอง ทันใดนัน้ เองเรือถูกกระชากลง ด้านล่างอย่างแรง สตีลกิลต์รบี หยิบมีดของเขาขึน้ มาตัดเชือกทิง้ และปล่อยวาฬ เป็นอิสระ แต่ชว่ งจังหวะหนึง่ โมบีด้ กิ๊ โผล่ขนึ้ มาอีกครัง้ โดยมีเศษเสือ้ เชิต้ ขนสัตว์ เปือ้ นเลือดของเรดนียต์ ดิ อยูท่ ฟี่ นั ทีใ่ ช้ปลิดชีพเขา เรือพิฆาตออกไล่ลา่ อีกครัง้ แต่เจ้าวาฬก็หลบหลีกไปได้ มันอันตธานหายไปได้ในที่สุด “เมือ่ ทาวน์โฮมาถึงท่าเรือซึง่ เป็นดินแดนป่ารกทึบ เปลีย่ ววิเวก และไร้ซงึ่ คน ที่มีการศึกษาอาศัยอยู่ นั่นเป็นโอกาสเหมาะที่เจ้าเลคแมนจะน�าพวกคน งานประจ�าเสากระโดงเรือหน้าทั้งหมดห้าถึงหกคนลอบหนีหายไปท่ามกลาง ดงปาล์ม รู้กันในภายหลังว่าเขาได้ฉวยเอาเรือบดคู่ขนาดใหญ่ของคนป่าแล้ว แล่นเรือไปยังท่าเรืออื่น “ครัน้ ลูกเรือลดจ�านวนลงจนเหลือเพียงหยิบมือเดียว กัปตันจึงต้องเรียกใช้ ชาวเกาะให้มาช่วยออกแรงวิดน�า้ ออกจากเรือเพือ่ หยุดรูรวั่ แต่การต้องคอยเฝ้า ระวังเหตุวนุ่ วายอันเกิดจากพันธมิตรผูร้ า้ ยกาจของพวกเขา ซึง่ เป็นคนขาวกลุม่ เล็กๆ ที่ทา� เอาพวกเขาแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอนตลอดทั้งคืน และวัน รวมทั้ง ภารกิจหนักอึ้งที่พวกเขาเพิ่งประสบมาเป็นเหตุให้เรือจ�าต้องพร้อมแล่นออก สู่ทะเลอีกครั้ง ทว่าเหล่าลูกเรืออยู่ในสภาพเหนื่อยอ่อนจนกัปตันไม่กล้าแล่น ออกทะเลไปขณะเรือบรรทุกของหนัก หลังปรึกษากับนายเรือของเขาแล้ว กัปตันทอดสมอจอดเรือบริเวณชายฝั่งที่อยู่ห่างไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะท�าได้ ช่วยกันขน และยกปืนใหญ่สองอันจากหัวเรือออก น�าเอาปืนคาบศิลาของเขา มากองสุมบนดาดฟ้าท้ายเรือ และเตือนพวกชาวเกาะไม่ให้เข้าใกล้เรือเพื่อ ความปลอดภัยของพวกเขา จากนัน้ กัปตันพาลูกเรือคนหนึง่ ลงเรือพิฆาตวาฬ ล�าที่ดีที่สุดของเขาแจวขึ้นไปอยู่เหนือลม ลอยล�ามุ่งหน้าสู่ตาฮิติ ซึ่งอยู่ห่างไป ห้าร้อยไมล์เพื่อหาคนมาเสริมก�าลังให้กับเรือเดินสมุทรของเขา “วันที่สี่ของการล่องเรือ เขาบังเอิญเห็นเรือบดขนาดใหญ่มีทีท่าเหมือนจะ จอดบริเวณแนวหินปะการัง เขารีบหันเรือหนี แต่เรือเถือ่ นล�านัน้ กลับพุง่ พรวด มาหาเขาอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักเสียงของสตีลกิลต์ตะโกนบอกให้เขาหันหัว เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 351
เรือหาลม ไม่อย่างนัน้ เขาจะจับตัวโยนลงน�า้ กัปตันหยิบเอาปืนพกออกมาขู่ โดย หัวเรือของเขาอยู่ห่างจากคานเชื่อมเรือบดสองล�าเพียงหนึ่งฟุต เจ้าเลคแมน ส่งเสียงหัวเราะเยาะออกมา บอกย�า้ ให้รวู้ า่ ยังไม่ทนั ทีก่ ปั ตันจะได้ลนั่ ไกปืนพก เขาก็ฝังกัปตันลงในฟองและเกลียวคลื่นไปแล้ว “‘นายต้องการอะไร?’ กัปตันร้องถาม “‘กัปตันจะไปที่ไหน? และจะไปท�าไม?’ สตีลกิลต์บอกสิ่งที่เขาต้องการรู้ ‘อย่าโกหกเชียว’ “‘ฉันจะไปที่ตาฮิติเพื่อหาคนงานมาเพิ่ม’ “‘ดีเลย ขอผมขึน้ ไปบนเรือสักแป๊บนึงนะ ผมมาดี’ พูดจบเขาก็โดดจากเรือ บดลงทะเลว่ายมายังเรือเล็กและปีนกราบเรือขึ้นไปยืนเผชิญหน้ากับกัปตัน “‘ไขว้แขนของนายซะ เอาขึน้ ไปไว้หลังหัว แล้วพูดตามฉัน ทันทีทสี่ ตีลกิลต์ จากไปแล้ว ข้าขอสาบานว่าจะเอาเรือล�านี้ไปเกยท่าที่เกาะด้านโน้น และพัก อยู่ที่นั่นหกวัน หากข้าไม่ปฏิบัติตามขอให้ฟ้าผ่าข้าทันที!’ “‘ตามต�าราจัง’ เจ้าเลคแมนหัวเราะ ‘ลาก่อน ซินญอร์!’ แล้วก็โดดลงน�้า ว่ายกลับไปหาสหายของเขา “หลังยืนมองจนเห็นเรือขึ้นไปเกยบนหาด และลากไปไว้ใต้ต้นมะพร้าว เรียบร้อยแล้ว สตีลกิลต์จึงแล่นเรืออีกครั้ง และไปถึงตาฮิติทันเวลา ที่นั่นเป็น จุดหมายปลายทางของเขาด้วยเช่นกัน โชคเข้าข้างเขาเมือ่ มีเรือเดินสมุทรสองล�า ก�าลังเดินทางไปยังฝรั่งเศสและเหมือนพรหมลิขิตให้เรือก�าลังต้องการลูกเรือ จ�านวนเท่ากันกับจ�านวนคนในการดูแลของเขา ทุกคนยังคงได้ขึ้นเรือ และ เริ่มต้นงานกับอดีตผู้น�าของเขาซึ่งตั้งใจจะจ้างพวกเขาโดยให้ผลตอบแทน ตามกฎหมาย “ประมาณสิบวันหลังจากเรือฝรัง่ เศสแล่นออกจากท่า เรือเชือดวาฬก็มาถึง กัปตันจ�าต้องเกณฑ์ชาวตาฮิติที่ได้รับการศึกษามากกว่า และมีประสบการณ์ ทางทะเลมากกว่า เขายังต้องเช่าเรือสคูนเนอร์ลา� เล็กของคนพืน้ เมืองกลับมา ด้วย เมือ่ กัปตันพาคนเหล่านัน้ กลับมาถึงทีเ่ รือของเขา เมือ่ และทุกอย่างพร้อม 352 : โมบี-ดิ๊ก
แล้วการเดินเรือจึงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง “เวลานี้สตีลกิลต์อยู่ที่ไหน ท่านสุภาพบุรุษ...ไม่มีใครรู้ ทว่าบนเกาะ แนนทักเก็ต ภรรยาม่ายของเรดนียย์ งั คงกลับไปยังทะเลเพือ่ ปฏิเสธการตายของ ซากศพ ในความฝันหล่อนยังคงฝันเห็นวาฬตัวเขื่องบดขยี้เขาอยู่ทุกค�่าคืน “‘คุณเล่าจบแล้วเหรอ?’ ดอนซีบาสเตียนถามเบาๆ “‘จบแล้ว...ดอน’ “‘ถ้าอย่างนัน้ ผมวอนขอให้คณ ุ บอกผมทีเถิดว่าคุณยินดีแสดงความบริสทุ ธิ์ ของตน หากเรื่องที่คุณเล่าเป็นเรื่องจริง? มันถ่ายทอดออกมาได้เยี่ยมมาก! คุณฟังมาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือหรือไม่? โปรดอดทนกับผมสักนิดหาก ค�าถามของผมท�าให้คุณรู้สึกอึดอัดไปบ้าง’ “‘อดทนกับพวกเราหน่อยนะ คุณกะลาสี เพราะพวกเราก็อยากจะวอนขอ เช่นเดียวกับดอนซีบาสเตียน’ เพื่อนในกลุ่มพูดขึ้นอย่างกระหายใคร่รู้ “‘มีพระคัมภีรส์ กั เล่มในโรงแรมโกลด์เด้นอินน์แห่งนีห้ รือไม่...ท่านสุภาพบุรษุ ?’ “‘ไม่มีหรอก’ ดอนซีบาสเตียนเอ่ย ‘แต่ผมรู้จักกับบาทหลวงที่ควรแก่การ สรรเสริญใกล้ๆ นี้ คุณต้องรีบจัดหาพระคัมภีร์สักเล่มให้ได้เป็นแน่ หากผม ร้องขอ ว่าแต่คุณต้องการให้ผมท�าอย่างนั้นจริงหรือ? นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ’ “‘คุณควรพาบาทหลวงมาพร้อมกันด้วยนะ...ดอน?’ “‘แม้นี่จะไม่ใช่การพิพากษาสาธารณะในลิม่าเวลานี้’ เพื่อนคนหนึ่งพูด กับอีกคนว่า ‘ผมก็เกรงว่าเพื่อนกะลาสีของเราก�าลังเสี่ยงต่อกฎบัญญัติแห่ง บิชอป พวกเราถอนตัวจากวงสนทนาใต้แสงจันทร์นี่เถอะ ผมเห็นว่าไม่ควร จะเสี่ยงกับเรื่องนี้’ “‘ขออภัยที่ผมไม่อาจเห็นตามคุณ...ดอนซีบาสเตียน ซ�้าผมยังอยากขอให้ คุณช่วยไปจัดหาพระคัมภีร์เล่มใหญ่ที่สุดเท่าที่ท่านหามาได้ให้ด้วย’ ‘ท่านนี้คือบาทหลวง ท่านจะน�าคัมภีร์สาวกแห่งพระองค์มาให้คุณ’ ดอน ซีบาสเตียนพูดหน้าตาขึงขัง หลังกลับมาพร้อมกับชายรูปร่างสูง ท่าทางเคร่งขรึม “‘ขอให้ผมได้ถอดหมวกออกก่อนเถิด เอาล่ะ...คุณพ่อผู้ควรแก่การเคารพ เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 353
ก้าวมาตรงแสงสว่าง และถือพระคัมภีร์เบื้องหน้าเพื่อให้ผมสัมผัสถึง “‘ขอสวรรค์เมตตาผม ด้วยเกียรติแห่งคุณ เรือ่ งทีค่ ณ ุ ได้เล่าให้พวกคุณฟังนัน้ ท่านสุภาพบุรุษ เป็นเรื่องจริง และเป็นเรื่องส�าคัญแท้จริง ผมแน่ใจว่านี่เป็น เรื่องจริง ที่เกิดขึ้นบนโลกกลมๆ ใบนี้ ผมได้ขึ้นไปเหยียบบนเรือล�านั้นแล้ว ผมรูจ้ กั กับลูกเรือผูน้ น้ั ผมเคยพบและพูดคุยกับสตีลกิลต์หลังจากการเสียชีวติ ของเรดนีย์’”
354 : โมบี-ดิ๊ก
บทที่ 55
ภาพผิดธรรมชาติของวาฬ
ผมปรารถนาจะเขียนภาพวาฬให้คณ ุ ได้เห็นสักภาพ โดยไม่ตอ้ งวาดลงบนผืน ผ้าใบ ภาพนัน้ มีลกั ษณะใกล้เคียงกับรูปร่างแท้จริงของวาฬขณะมันปรากฏแก่ สายตาของนักล่า เวลาเขาจับร่างอันใหญ่โตของมันมัดไว้กับข้างเรือล่าวาฬ เพื่อจะได้ขึ้นไปเดินบนนั้นอย่างถนัด อาจคุ้มค่ากับเวลาที่เสียไป เพราะก่อน หน้านัน้ คนมักกล่าวอ้างถึงภาพของมันทีเ่ ขียนขึน้ จากจินตนาการของบรรดาผู้ สอดรูส้ อดเห็น แม้จนถึงทุกวันนีภ้ าพแท้จริงของมันยังคงท้าทายความศรัทธา อย่างเชื่อมั่นของคนบนฝั่ง ถึงเวลาต้องสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้โลกใบนี้ ในเรื่องนี้ด้วยการพิสูจน์ให้เห็นว่าภาพวาฬทั้งหมดที่มีอยู่นั้นล้วนไม่ถูกต้อง อาจเป็นไปได้วา่ แหล่งทีม่ าเบือ้ งต้นของภาพเขียนทีผ่ ดิ พลาดทัง้ หมดนัน้ มา จากภาพแกะสลักของชาวฮินดู ชาวอียปิ ต์ และชาวกรีกยุคโบราณ นับจากนัน้ มางานสร้างสรรค์เหล่านั้นแพร่หลายไปในช่วงสมัยซึ่งไร้การตรวจสอบ ภาพ แกะสลักบนผนังวิหาร, บนฐานรูปปั้น, โล่, เหรียญประดับ, ถ้วย และเหรียญ กษาปณ์ หรือบนแผงเสื้อเกราะห่วงเหล็กของซาลาดิน1 หรือบนหมวกเหล็ก ของเซนต์จอร์จ2 ต่างก็วาดเป็นปลาโลมา จากนั้นภาพที่ผิดพลาดท�านอง เดียวกันนี้ก็มีดาษดื่นไปทั่ว ไม่เพียงเป็นภาพวาฬที่คนทั่วไปนิยมกันมาก แต่ ยังรวมไปถึงผลงานทางวิทยาศาสตร์เกีย่ วกับมันด้วย ถึงวันนีภ้ าพเก่าแก่ทสี่ ดุ ซาลาดิน-เศาะลาฮุดดีน (ค.ศ. 1138-1193) สุลต่านผู้ปกครองอียิปต์และไซเรีย และเข้ายึดเมือง เยรูซาเล็มได้อีกครั้งจากนักรบครูเสดของยุโรป 2 เซนต์จอร์จ-ทหารโรมันในศวรรษที่สาม ซึ่งได้รับการยกย่องว่า ยอมพลีชีเพื่อคริสตศาสนา 1
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 355
ที่อ้างกันว่าเป็นภาพวาฬนั้นปรากฏอยู่ภายในเจดีย์ถ�้าอิลีเฟนต้า3ที่อินเดีย เหล่าพราหมณ์ดา� รงไว้ในภาพแกะสลักต่อเนือ่ งยาวแทบไม่ขาดตอนของเจดีย์ โบราณ ทั้งการซื้อขาย และการไล่ล่า ทุกรูปแบบการท�ามาหากินเท่าที่มนุษย์ จะท�าได้ถูกคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าก่อนเหตุการณ์เหล่านั้นจะเกิดขึ้นจริง ไม่ ต้องสงสัยเลยว่านี่จะเป็นเหตุให้บางส่วนของการประกอบอาชีพนักล่าวาฬที่ มีเกียรติของเราถูกสะท้อนออกมาจากภาพนัน้ วาฬฮินดูปรากฏในส่วนทีแ่ ยก ออกไปจากผนังด้านนี้ เป็นภาพพระวิษณุจุติลงมาเกิดเป็นสัตว์น�้าขนาดใหญ่ รู้จักกันในชื่อว่ามัตสยาวตาร4 แม้ภาพแกะสลักนี้จะเป็นรูปครึ่งคนครึ่งสัตว์ คือมีเพียงแค่หางตรงส่วนล่าง แต่ส่วนเล็กๆ นั้นก็ยังคงผิดเพี้ยนทั้งหมด มัน ดูเรียวเล็กเหมือนหางอนาคอนด้ามากกว่าจะเป็นหางวาฬที่แผ่กว้างงามสง่า แต่ถ้าไปดูในห้องแสดงภาพเก่าๆ แล้วมาดูภาพวาดวาฬของจิตรกรดัง ชาวคริสเตียน ภาพเหล่านีไ้ ม่ได้ดไี ปกว่าภาพฮินดูกอ่ นน�า้ ท่วมโลกของโนอาห์ สักเท่าไร อย่างผลงานของกุยโด5ในภาพวาดเพอร์ซิอัสช่วยนางแอนโดรเมด้า จากอสุรกายทะเลหรือวาฬ กุยโดไปเอาสัตว์ประหลาดอย่างนัน้ จากทีไ่ หนมา เป็นแบบ? เช่นเดียวกับภาพพิมพ์เหตุการณ์เดียวกันของโฮการ์ท6ในชื่อ “การ โจมตีของเพอร์ซอิ สั ” ซึง่ เขาท�าได้ดกี ว่าเล็กน้อย อสุรกายตัวใหญ่มหึมาของโฮ การ์กระเพือ่ มอยูบ่ นผิวน�า้ มีขนาดแทบไม่ถงึ หนึง่ นิว้ ของผิวน�า้ หลังมีลกั ษณะ คล้ายกูบช้าง เหนือปากอันเต็มไปด้วยเขี้ยวยื่นยาวมีน�้าพวยพุ่งขึ้นเป็นล�า จน อาจเข้าใจผิดว่าเป็นประตูน�้าตรงทางเข้าของหอคอยแห่งลอนดอน ที่เปิดรับ น�้าจากแม่น�้าเทมส์ นอกจากนี้ยังมีรูปวาฬยุคแรกๆ ของซิบบัลด์7 ซึ่งเป็น ผู้ เชีย่ วชาญชาวสก๊อต และวาฬของโยนาห์ดงั วาดไว้บนภาพพิมพ์ของพระคัมภีร์ โบราณ และภาพแกะสลักไม้ของแบบเรียนชั้นต้นสมัยก่อน จะเรียกสิ่งเหล่า อิลีเฟนต้า-เกาะในอ่าวบุมไบ (บอมเบย์) มัตสยาวตาร-อวตารเป็นปลา 5 กุยโด-ในที่นี้คือกุยโด (หรือกวีโด) เรนี (ค.ศ.1575-1642) ไม่ใช่ กุยโดแห่งเซียนา (ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 13) ซึ่งเป็นจิตรกรชาวอิตาเลียนเช่นกัน 6 โฮการ์ท-วิลเลียม โฮการ์ท (ค.ศ.1697-1764) จิตรกรภาพเขียนและภาพพิมพ์ 7 ซิบบัลด์-โรเบิร์ต ซิบบัลด์ (ค.ศ.1641-1722) แพทย์และผู้ศึกษาโบราณวัตถุชาวสก็อต 3 4
356 : โมบี-ดิ๊ก
นี้ว่าอะไรดีนะ? ส่วนภาพวาฬบนตราสัญลักษณ์ของโรงพิมพ์บุ๊คไบเดอร์8ที่ เกาะเกี่ยวคดเคี้ยวเหมือนเถาต้นองุ่นพันรอบตอไม้หลักขึ้นไป และประทับ หรือฉาบทองบนปกหลังและปกด้านในของหนังสือหลายเล่มทั้งเก่าและใหม่ นั่นเป็นภาพที่มีเสน่ห์สวยงาม แต่ดูเหลือเชื่อเกินจริง และแปลกปลอม ผม ว่าสิ่งนี้มีรูปร่างคล้ายแจกันโบราณเสียมากกว่า แม้ทั่วโลกจะเรียกมันว่าปลา โลมา แต่ผมอยากเรียกปลาบนตราสัญลักษณ์โรงพิมพ์บุ๊คไบเดอร์นี้ว่าความ พยายามที่จะเป็นวาฬ เพราะเหมือนมีความพยายามอย่างแรงกล้าที่จะให้ ภาพบนตราสัญลักษณ์นเี้ ป็นภาพของวาฬนับแต่ครัง้ แรกทีเ่ ปิดตัวสูส่ าธารณะ โดยส�านักพิมพ์อติ าเลียนเก่าแก่แห่งหนึง่ ในช่วงศตวรรษที่ 15 ซึง่ เป็นยุคฟืน้ ฟู ศิลปวิทยาในทวีปยุโรป ช่วงเวลานัน้ กระทัง่ ช่วงเวลาหลังจากนัน้ มาปลาโลมา ถูกเข้าใจว่าเป็นชนิดหนึ่งของสัตว์ทะเลยักษ์นี่ ในภาพ9เขียนเล็กๆ และส่วนแต่งเติมอื่นบนหนังสือโบราณบางเล่มคุณ อาจได้เห็นสิ่งแปลกใหม่ที่เกี่ยวกับวาฬ อาจเป็นลักษณะต่างๆ ของพวยน�้า น�า้ พุจรวด น�า้ พุร้อน และเย็น ซาราโตก้า10 และบาเดิน-บาเดิน11 ฟูฟ่องออก มาจากมันสมองทีไ่ ม่เหนือ่ ยล้าของมัน ปกในของหนังสือ “ความก้าวหน้าของ การเรียนรู้” ฉบับแรกคุณจะได้เห็นวาฬแปลกๆ บางชนิด ทว่าการยุติความพยายามอย่างไร้ความช�านาญทั้งหมดนี้ ขอให้เราได้ ช�าเลืองดูภาพสัตว์ทะเลยักษ์ที่อ้างว่าไม่ได้วาดขึ้นมาจากจินตนาการ หากแต่ วาดตามจริงจากค�าบอกเล่าของเหล่าบรรดาผูร้ ู้ ภาพการเดินเรือในหนังสือชุด ของแฮริส12 มีภาพวาฬจากหนังสือการเดินเรือฉบับภาษาดัตช์ พิมพ์ปี ค.ศ.
โรงพิมพ์บุ๊คไบเดอร์-โลโก้โรงพิมพ์ของอัลดุส มานูตีอุส (ค.ศ. 1449-1515) ชาวอิตาเลียน ความก้าวหน้าของการเรียนรู้-โดยฟราสซิส เบคอน (ค.ศ. 1561-1626) นักปรัชญาชาวอังกฤษ 10 ซาราโตก้า-น�า้ พุแร่ที่มีชื่อเสียง ในนิวยอร์ก 11 บาเดิน-บาเดิน เมืองในเยอรมนีที่มีบ่อน�้าแร่ ชื่อเมืองแปลว่า "อาบน�้า" 12 แฮริส-จอห์น แฮริส (ค.ศ. 1666-1719) นักเขียนชาวอังกฤษผู้เป็นบรรณาธิการหนังสือชุด "การล่อง เรือและเดินทาง" ซึ่งรวบรวมเรื่องเล่าจากนักส�ารวจทั้งหลาย 8 9
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 357
1671 ชือ่ เรือ่ ง “ล่องเรือล่าวาฬสูส่ ปิตส์เบอร์เกน13 ในเรือโยนาห์อนิ เดอะเวล ปีเตอร์ ปีเตอร์สันแห่งฟรีสลันด์14เป็นกัปตัน” จ�านวนนั้นมีภาพวาดเต็มหน้า ภาพหนึง่ เป็นรูปวาฬหลายตัวดูคล้ายท่อนซุงหลายท่อนลอยแพอยูท่ า่ มกลาง เกาะน�า้ แข็ง หมีขาวหลายตัวก�าลังวิง่ อยูบ่ นแผ่นหลังของพวกมัน อีกภาพหนึง่ เป็นภาพวาฬตัวใหญ่เทอะทะตัวหนึ่งมีปลายหางตั้งตรง นอกจากนี้ยังมีหนังสือขนาดสี่หน้ายก เขียนโดยกัปตันคอลเนตต์ กัปตัน เรือรบแห่งกองทัพอังกฤษ ชือ่ เรือ่ ง “การเดินเรือจากแหลมเคปฮอร์นสูท่ ะเลใต้ เพื่อขยายพื้นที่ประมงล่าวาฬหัวทุย” หนังสือเล่มนี้มีภาพที่อ้างว่าเป็น “ภาพ วาฬหัวทุยวงศ์ไฟเซเตอร์ หรือวงศ์สเปอร์มาเซติวาดโดยวัดขนาดจากตัวที่ ถูกฆ่า และถูกชักรอกขึ้นดาดฟ้าเรือ บริเวณชายฝั่งแม็กซิโก เดือนสิงหาคม ปีค.ศ.1793” ผมไม่สงสัยเลยที่กัปตันน�าเอาภาพจริงนี้มาสร้างคุณประโยชน์ ให้กับเรือเดินทะเลของเขา มีติเพียงอย่างเดียวเท่านั้นนั่นคือส่วนตาวาดตาม สัดส่วนขนาดล�าตัว ส�าหรับวาฬหัวทุยโตเต็มวัยควรวาดให้ตามีลกั ษณะเหมือน หน้าต่างกระจกบานโค้งขนาดสักห้าฟุตได้ อ้า...ท่านกัปตันผู้กล้า เหตุใดท่าน จึงไม่ให้เราได้เห็นโยนาห์มองออกมาจากดวงตานั้น! แม้กระทั่งหนังสือธรรมชาติวิทยาที่มีการรวบรวมข้อมูลอย่างละเอียด รอบคอบ เพื่อให้เป็นคุณประโยชน์ส�าหรับเด็กเล็กเด็กน้อย เนื้อหาปราศจาก ข้ อ ผิ ด พลาดที่ น ่ า เกลี ย ด เมื่ อ พิ จ ารณาผลงานที่ ไ ด้ รั บ การยอมรั บ “สี สั น ธรรมชาติของโกลด์สมิท” ฉบับย่อตีพมิ พ์ในลอนดอน ค.ศ.1807 เล่มนีม้ หี น้า ทีอ่ า้ งว่าเป็นภาพของ “วาฬ” และ “วาฬนาร์วาล” ผมไม่ได้ตงั้ ใจไร้มารยาท แต่ วาฬพวกนั้นไม่น่าดูเอาเสียเลย มันคล้ายหมูตัวเมียขาขาดมากกว่า ส่วนวาฬ นาร์วาลแค่มองแวบเดียวก็รู้สึกทึ่งแล้ว ในศตวรรษที่สิบเก้านี้สัตว์ประหลาด สปิตส์เบอร์เกน-เกาะใหญ่ทสี่ ดุ และเป็นเกาะเดียวทีม่ คี นอาศัยอยูใ่ นหมูเ่ กาะสฟาลบาร์ ประเทศนอร์เวย์ เกาะนี้เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่พวกไวกิง แต่ได้รับการค้นพบในสมัยใหม่โดยวิลเลิม บาเรินตส์ นักเดินเรือ ชาวดัตช์ ใน ค.ศ. 1596 14 ฟรีสลันด์-หรือฟริสลอน จังหวัดทางตอนเหนือของดัตช์ (เนเธอร์แลนด์) 13
358 : โมบี-ดิ๊ก
อย่างฮิปโปกริฟฟ์15นั่นน่าจะถูกน�าของแท้มามอบใส่มือให้เป็นรางวัลแก่เด็ก นักเรียนชายที่มีไหวพริบกันแล้ว และในปี ค.ศ.1825 แบร์ น าร์ ด แชร์ แ มง ท่ า นเคาน์ แ ห่ ง ลาซิ เ ปด นักธรรมชาติวิทยาชื่อดังชาวฝรั่งเศส ได้พิมพ์หนังสือรวบรวมสายพันธุ์วาฬ ภายในเล่มมีภาพวาฬหลากหลายสายพันธุ์จ�านวนมาก ทั้งหมดนี้ไม่เพียงไม่ ถูกต้อง ภาพมิสทิเซทัส หรือวาฬกรีนแลนด์ (ที่บอกว่าเป็นวาฬไรท์) ยังถูก คนที่มีประสบการณ์มานานอย่างสกอร์สบี้ประกาศลั่นหลังได้เห็นภาพนั้นว่า ขออย่าให้มีสัตว์ที่เหมือนกันแบบนั้นในธรรมชาติจริงๆ เลย ทว่าฟางกองบนสุดของธุรกิจแห่งความผิดพลาดนีถ้ กู สงวนไว้ให้กบั เฟรเด รีก กูวีเยร์16 นักวิทยาศาสตร์ผู้น้องของบารอนคนดัง ในปี 1836 เขาพิมพ์ หนังสือธรรมชาติของวาฬ ภายในเล่มมีภาพประกอบที่เขาเรียกว่าเป็นภาพ ของวาฬหัวทุย ก่อนแสดงภาพนั้นให้ชาวแนนทักเก็ตได้เห็น คุณเองก็เคย ได้เห็นภาพนั้นแล้วคร่าวๆ ที่แนนทักเก็ต พูดง่ายๆ วาฬหัวทุยของเฟรเด รีก กูวีเยร์ไม่ใช่วาฬหัวทุย แต่เป็นพืชจ�าพวกแตงหรือน�้าเต้า แน่ล่ะ เขาไม่มี ผลประโยชน์อะไรเกี่ยวกับการเดินเรือล่าวาฬ (คนพวกนี้ไม่ค่อยมี) ถ้าอย่าง นั้นเขาไปได้ภาพนั้นมาจากไหน ใครบอกได้บ้าง? บางทีเขาอาจได้มาจากนัก วิทยาศาสตร์รนุ่ พีช่ าวฝรัง่ เศสทีอ่ ยูใ่ นวงการเดียวกัน...เดอส์มาแรสต์17 ได้ภาพ ทีไ่ ม่สมบูรณ์มาจากแหล่งข้อมูลทีแ่ ท้จริง นัน่ คือจากภาพวาดของชาวจีน และ เป็นภาพประเภททีเ่ ด็กหนุม่ ชาวจีนใช้ดนิ สอวาด เพราะหลักฐานจากภาพวาด บนถ้วย และจานรองแปลกๆ นั้นฟ้องพวกเรา ส่วนวาฬบนภาพลายเส้นที่ เห็นแขวนบนถนนหน้าร้านขายน�้ามันนั่น บอกอะไรเกี่ยวกับพวกมันได้บ้าง? พวกมันเหมือนวาฬสมัยพระเจ้าริชาร์ดทีส่ าม แต่ละตัวมีโหนกเดีย่ ว18บนหลัง แสนดุรา้ ย และสวาปามลูกเรือสามหรือสีค่ นเป็นพายมือ้ เช้า จากเรือล่าวาฬที่ ฮิปโปกริฟฟ์-สัตว์ในต�านาน ครึ่งม้าครึ่งเหยี่ยว เฟรเดรีก กูวีเยร์-น้องชายของจอร์จ กูวีเย นักธรรมชาติวิทยาและสัตววิทยาชาวฝรั่งเศส 17 อัลแซลม์ เดอส์มาแรสต์ (1784-1838) นักสัตววิทยาชาวฝรั่งเศส 18 โหนกเดี่ยว-อูฐพันธุ์ที่มีโหนกเดียว 15
16
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 359
มีลูกเรืออยู่เต็ม ลูกเรือร่างพิการตะเกียกตะกายอยู่ในทะเลท่ามกลางสีเลือด และสีครามของน�า้ ทะเล ทว่าความผิดพลาดนานาในการวาดภาพวาฬก็ไม่ใช่ เรื่องแปลกอะไรเลย ลองคิดดู! ภาพส่วนใหญ่วาดจากวาฬที่ขึ้นมาเกยฝั่ง ซึ่ง ภาพเหล่านี้เกือบมีความถูกต้องพอๆ กับภาพวาดเรือแตกท�าลายอับปางลง ท�าให้สามารถน�าเสนอภาพสัตว์ทมี่ ชี อื่ นีไ้ ด้อย่างถูกต้องจากจุดทีด่ ที สี่ ดุ บนตัว เรือ และเครือ่ งเสาทีไ่ ม่ได้ถกู ฟาดแตก แม้เหล่าคชสารอาจอยูใ่ นท่ายืนบนภาพ เต็มตัวของมัน แต่สัตว์ทะเลขนาดใหญ่พวกนี้แทบไม่เคยลอยตัวขึ้นมาให้ร่าง ภาพมันขณะเป็นๆได้เลย วาฬทีม่ ชี วี ติ อยูอ่ ย่างมีความหมาย และทรงอ�านาจ จะปรากฏตัวให้เห็นแต่เฉพาะในทะเลทีย่ ากหยัง่ ถึง และจะลอยตัวขนาดมหึมา ของมันเมือ่ ลับสายตาคน เหมือนเรือรบเตรียมประจันบาน จึงเป็นสิง่ ทีม่ นุษย์ ไม่มวี นั จะยกตัวมันขึน้ มาดองความใหญ่โตเป็นลูกคลืน่ ของมันได้ และไม่ตอ้ ง พูดถึงความเป็นไปได้สงู ทีล่ กู วาฬไม่หย่านมจะมีรปู ร่างแตกต่างจากสัตว์ทะเล ยักษ์กลุ่มพลาโตเนียนขนาดโตเต็มวัย อีกทั้งเมื่อครั้งมีการน�าเอาลูกวาฬไม่ หย่านมตัวหนึง่ ขึน้ มาบนดาดฟ้าเรือ รูปร่างของมันประหลาดเหมือนปลาไหล ยืดหยุ่น และเปลี่ยนแปลง นั่นจึงเป็นเหมือนถ้อยค�าชัดเจนของมันที่บอกให้รู้ ว่าปีศาจอย่างมันยากจะเอาอยู่ ทว่าเป็นไปได้หรือไม่ ภาพเหล่านั้นจินตนาการขึ้นมาจากโครงกระดูก เปล่าเปลือยของวาฬเกยตืน้ ซึง่ สัดส่วนของมันอาจช่วยให้สามารถเทียบขนาด ได้ใกล้เคียงกับรูปร่างแท้จริง ไม่อย่างแน่นอน.. นั่นเพราะหนึ่งในบรรดาเรื่อง ที่น่าสนใจของสัตว์ทะเลยักษ์ชนิดนี้ก็คือ โครงกระดูกของมันแทบไม่ได้บอก อะไรเกี่ยวกับรูปร่างของมันเลย แม้โครงกระดูกของเจอเรมี่ เบนทัม19ที่ใช้ แขวนโคมระย้าในห้องสมุดของผู้จัดการมรดกเขา ก็สื่อเสนอได้อย่างแม่นย�า ถึงหลักคิดประโยชน์นิยม20ของสุภาพบุรุษอาวุโสผู้มีรูปร่างใหญ่ก�าย�าท่านี้ เจอเรมี่ เบนทัม-(ค.ศ. 1748-1832) นักกฎหมายและนักปรัชญาชาวอังกฤษ เขาท�าพินัยกรรมให้เก็บ รักษาศพเขาไว้เพื่อประโยชน์ในการศึกษา ปัจจุบันตั้งอยู่ที่มหาวิทยาลัยลอนดอน 20 ประโยชน์นิยม-หลักปรัชญาของเบนทัมมีว่า คุณค่าของการกระท�าใดๆ ขึ้นต้องอยู่กับว่า ส่งผลให้เกิด ความสุขแก่ผู้คนมากน้อยเพียงใด 19
360 : โมบี-ดิ๊ก
และยังท�าให้สามารถร่างลักษณะกายภาพส่วนอื่นๆ ของเจอเรมี่ได้ทั้งหมด แต่สา� หรับปล้องกระดูกของวาฬไม่ได้ชว่ ยให้คาดการณ์อะไรได้เลย ความจริง เป็นดังเช่นท่านฮันเตอร์21ได้กล่าวไว้ ว่าโครงกระดูกวาฬเพียงแค่บอกว่ามัน เป็นสัตว์ที่สร้างชั้นเนื้อหนานุ่มห่อหุ้มกระดูกไว้ เหมือนแมลงสร้างใยไหมพัน รอบตัวเป็นดักแด้ ลักษณะเฉพาะนีถ้ กู เผยออกมาอย่างน่าทึง่ ในส่วนหัวของมัน ดังจะได้กล่าวถึงในบางส่วนของหนังสือเล่มนี้เมื่อโอกาสอ�านวย นอกจากนี้ ครีบด้านข้างของมันก็เป็นอีกส่วนที่มีความน่าสนใจยิ่ง กระดูกครีบมีลักษณะ เกือบใกล้เคียงกับกระดูกมือมนุษย์ ขาดไปก็แต่เพียงแค่นวิ้ โป้งเท่านัน้ กล่าวคือ มันมีลักษณะคล้ายกระดูกนิ้วสี่นิ้ว นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง และนิ้วก้อย โดยนิ้ว ทั้งหมดนี้ฝังอยู่ในก้อนเนื้อหนาที่มันสร้างขึ้นมาห่อหุ้มไว้ ขณะมนุษย์สวมมือ ในเครือ่ งห่อหุม้ ทีป่ ระดิษฐ์ขนึ้ “แต่วาฬคงไม่รหู้ รอกว่ามันสร้างก้อนเนือ้ หนาขึน้ มาเพื่อพวกเรา” สตับบ์พูดติดตลกในวันหนึ่ง “มันคงไม่รู้หรอกว่าต้องจัดการ พวกเราโดยไม่มีถุงมือนั้น” จากเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลนี้ เมื่อคุณได้รับรู้แล้ว คุณย่อมสรุปได้ว่าสัตว์ ทะเลยักษ์นี้เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งบนโลกที่ไม่มีทางจะวาดให้สมบูรณ์ได้ แน่นอน ว่าคนๆ หนึง่ อาจวาดให้รายละเอียดได้ใกล้เคียงกับอีกคน แต่ไม่มใี ครสามารถ เก็บรายละเอียดได้อย่างถูกต้องแม่นย�า จึงไม่มีทางที่มนุษย์จะศึกษาได้ว่า จริงๆ แล้ววาฬมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่ วิธีเดียวที่คุณจะได้เห็นรูป ร่างของวาฬตัวเป็นๆ คือคุณจะต้องออกล่ามันด้วยตัวคุณเอง แต่ถา้ ท�าเช่นนัน้ คุณต้องเสีย่ งไม่ใช่นอ้ ยต่ออันตรายจากเรือแตก และจมทะเลไปเพราะฝีมอื มัน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วผมคิดว่าคุณอย่าจู้จี้อยากรู้อยากเห็นในตัวสัตว์ทะเลยักษ์ ชนิดนี้มากนักจะดีกว่า
21
ท่านฮันเตอร์-จอห์น ฮันเตอร์ (ค.ศ. 1728-1793) นักกายวิภาคศาสตร์ชาวสก็อต
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 361
บทที่ 56
ภาพวาฬที่ผิดพลาดน้อยสุด และภาพการล่าวาฬที่ถูกต้อง
ต่อเนือ่ งจากเรือ่ งราวเกีย่ วกับภาพผิดธรรมชาติของวาฬ ผมใคร่ขอเริม่ จากตรง นีไ้ ปสูเ่ รือ่ งราวน่าขนลุก ซึง่ จะเห็นได้จากหนังสือทีม่ เี นือ้ หาน่าเชือ่ ถือหลายเล่ม ทัง้ เก่าแก่ และทันสมัย โดยเฉพาะอย่างยิง่ หนังสือของพลิน1ี เพอร์คสั 2, ฮักไลต์3, แฮร์ริส4, กูวีเยร์ และอื่นๆ แต่ผมขอข้ามเรื่องพวกนั้นไป ผมสนใจแค่ภาพในหนังสือเกี่ยวกับวาฬหัวทุยดีๆ แค่สี่เล่มเท่านั้น นั่นคือหนังสือของคอลเน็ตต์5, ฮักกินส์6, เฟรเดอริค กูวิเยร์ และบีล โดยใน บทถัดไปจะได้กล่าวถึงหนังสือของคอลเนตต์ และกูวีเยร์ หนังสือของฮักกิน ส์ดีกว่าของพวกเขาสองคน แต่ทั้งหมดทั้งมวลแล้วหนังสือของบีลเยี่ยมที่สุด ภาพวาฬของบีลในทัง้ หมดเป็นภาพทีม่ คี วามถูกต้อง ยกเว้นตัวกลางของภาพ วาฬสามตัวท่วงท่าต่างๆ กันในบทที่สองของเขา ภาพตรงข้ามหน้าบอกชื่อ หนังสือเป็นภาพเรือเชือดก�าลังโจมตีวาฬหัวทุย แม้คาดการณ์ได้ว่าจะเป็น เหตุให้เกิดการวิพากษ์อย่างหนักจากบรรดานักวิจารณ์ที่ดีแต่นั่งพูด แต่ภาพ นั้นก็มีความถูกต้องอย่างน่าชื่นชม และเหมือนจริงอย่างที่ควรจะเป็น ภาพ พลินี (ผู้อาวุโส)-กาเอียส พลินิอัส เซคันดัส (ค.ศ. 23-79) นักธรรมชาติวิทยาชาวโรมัน เพอร์คัส-แซมมวล เพอร์คัส (ค.ศ. 1575-1626) นักเขียนเรื่องเดินทางชาวอังกฤษ 3 ฮักไลต์-ริชาร์ด ฮักไลต์ (ค.ศ. 1552-1626) นักเขียนชาวอังกฤษ 4 แฮร์ริส-จอห์น แฮร์ริส (ค.ศ. 1666-1719) นักเขียนชาวอังกฤษ 5 คอลเน็ตต์-เจมส์ คอลเน็ตต์ (ค.ศ. 1753-1806) กัปตันเรือราชนาวีและนักส�ารวจชาวอังกฤษ 6 ฮักกินส์-วิลเลียม จอห์น ฮักกินส์ (ค.ศ. 1781-1845) จิตรกรชาวอังกฤษ 1 2
362 : โมบี-ดิ๊ก
วาฬหัวทุยบางภาพในหนังสือของเจ. รอสส์ บราวน์7ค่อนข้างมีรปู ร่างทีถ่ กู ต้อง แต่เพราะภาพเหล่านั้นถูกแกะสลักแม่พิมพ์ไว้แย่มากภาพจึงออกมาไม่ดีซึ่ง นั่นไม่ใช่ความผิดของเขา ส่วนภาพร่างของวาฬไรต์นั้น ภาพที่ดีที่สุดมีอยู่ในหนังสือของกัปตัน สกอร์สบี้ แต่ภาพเหล่านั้นวาดไว้ในขนาดที่เล็กเกินกว่าจะสร้างความรู้สึก ประทับใจอันน่าพึงพอใจได้ เขามีเพียงภาพเดียวที่เป็นภาพเหตุการณ์การล่า วาฬ น่าเสียดายว่าเพียงแค่ภาพเดียวนัน้ ไม่เพียงพอ เพราะหากมีภาพมากกว่า นัน้ คุณจะได้เห็นรายละเอียดทุกอย่างทีถ่ กู ต้องเกีย่ วกับวาฬขณะมีชวี ติ ราวกับ ได้เห็นภาพภาพนั้นผ่านสายตาของนักล่าพวกมัน แต่เมื่อพิจารณาภาพโดยรวมทั้งหมดแล้ว แม้แต่ภาพที่ดีที่สุดก็ยังให้ราย ละเอียดทีไ่ ม่ถกู ต้องเสียทีเดียวนัก ในจ�านวนภาพวาฬและภาพการล่าวาฬทีม่ ี อยูด่ าษดืน่ ทัว่ ไปนัน้ มีภาพพิมพ์แกะสลักขนาดใหญ่สองภาพของชาวฝรัง่ เศส คนหนึ่งท�าออกมาได้ดีเยี่ยม เป็นภาพที่ได้มาจากหนังสือของการ์เนอรี8 ทั้ง สองภาพเป็นการถ่ายทอดเหตุการณ์การโจมตีวาฬหัวทุย และวาฬไรต์โดย ตามล�าดับ ภาพแรกวาฬหัวทุยสง่างามตัวหนึ่งถูกถ่ายทอดออกมาอย่างทรง พลัง เป็นภาพขณะมันโผล่ขึ้นมาจากใต้มหาสมุทรดันเอาเรือเชือดวาฬยก ตัวลอยขึ้นสูงกลางอากาศ เรือเชือดบนแผ่นหลังของมันนั้นแตกอับปางลง เป็นเศษไม้ หัวเรือบางส่วนยังไม่แตกและถูกวาดให้พยุงตัวอยู่บนกระดูกสัน หลังอสุรกาย การยืนอยู่บนหัวเรือนั้นท�าได้เพียงชั่วอึดใจเท่านั้น คุณจะเห็น ฝีพายคนหนึ่งแทบถูกบดบังอยู่ในม่านพวยน�้าเดือดของวาฬ ในท่าขณะก�าลัง กระโดดนั้นราวกับเขาก�าลังโดดจากหน้าผา ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดถ่ายทอด ออกมาได้ดีเยี่ยมและสมจริง ถังที่เกือบจะว่างเปล่าลอยบนผิวน�า้ ทะเลสีขาว ด้ามไม้ฉมวกผลุบโผล่กระจายอยู่รอบบริเวณ หัวของลูกเรือที่ก�าลังว่ายน�้า กระจัดกระจายอยู่รอบตัววาฬท�าให้เห็นภาพอาการตกใจที่แตกต่างกันอย่าง สิน้ เชิง ขณะพายุสดี า� แล่นรีม่ าทางเบือ้ งหลังเรือใหญ่ ภาพนีอ้ าจมีรายละเอียด 7 8
เจ. รอสส์ บราวน์-จอห์น รอสส์ บราวน์ (ค.ศ. 1821-1875) จิตรกร นักเขียน และนักเดินทางชาวอเมริกนั การ์เนร์รี-อัมบรัวส์ หลุยส์ การ์เนรี (ค.ศ. 1783-1857) จิตรกรและนักเขียนชาวฝรั่งเศส
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 363
ทางโครงสร้างของวาฬผิดพลาดอย่างร้ายแรง แต่ชา่ งมันเถอะ เพราะชัว่ ชีวติ นี้ ผมคงไม่สามารถวาดออกมาได้ดีขนาดนั้น ในภาพที่สอง เรืออยู่ในลักษณะแล่นเคียงข้างไปกับวาฬไรต์ที่ก�าลังแหวก ว่ายอยูใ่ นทะเล เมือ่ มันพลิกตัวทีเ่ ต็มไปด้วยวัชพืชสีดา� กองโตดูคล้ายทางลาด หินจากบนหน้าผาพาทาโกเนียนตลอดทางเต็มไปด้วยตะไคร่นา�้ พวยน�า้ ด�าพุง่ แรงคล้ายเขม่าด�าจนดูเหมือนควันจ�านวนมากลอยออกมาจากปล่องไฟ คุณ อาจนึกว่าคงก�าลังมีการปรุงอาหารชั้นเลิศอยู่ภายในล�าไส้ขนาดใหญ่นั้น นก ทะเลก�าลังจิกกินปูตัวเล็กๆ หอย สัตว์น�้าสีสันต่างๆ และคราบดินเลนตาม แหที่ในบางครั้งวาฬไรต์ใช้ก�าจัดสิ่งน่าร�าคาญบนหลังของมัน ชั่วเวลานั้นสัตว์ ทะเลยักษ์รมิ ฝีปากหนาก�าลังด�าดิง่ ลงทะเลลึก ทิง้ ร่องรอยไว้เป็นน�า้ นมขาวข้น หลายตัน เป็นเหตุให้เรือล�าน้อยแกว่งไกวอยู่ในก้อนคลื่นขนาดใหญ่ ดูคล้าย เรือกรรเชียงเล็กๆ ก�าลังถูกดูดเข้าใกล้ใบจักรเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ ด้วย เหตุนี้แม้ส่วนหน้าของภาพอยู่ในความชุลมุนวุ่นวายสับสน หากแต่ส่วนหลัง ให้อารมณ์ตัดกันอย่างน่าชื่นชม เป็นบรรยากาศความสงบนิ่งของท้องทะเล ใบเรือของเรือไร้แรงลมดันแฟบลง ร่างไม่ไหวติงของวาฬทีต่ ายแล้วกลายเป็น ป้อมปราการส�าหรับประกาศชัย ธงแสดงสิ่งที่ยึดมาได้ชักห้อยเอื่อยๆ อยู่บน ยอดเสาที่สอดไว้ในช่องพวยน�้าของวาฬ จิตกรการ์เนร์รีเป็นใครหรือเคยเป็นใคร ผมเองก็ไม่รู้ รู้แต่เพียงว่าถ้าเขา ไม่มีความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาที่ตัวเองศึกษา ก็ต้องได้รับการอบรมบ่ม เพาะมาอย่างดีจากนักล่าวาฬที่มีประสบการณ์ ชาวฝรั่งเศสผู้นี้เป็นคนหนุ่ม ที่ชื่นชอบการวาดภาพ เขาเดินทางไปศึกษาภาพวาดต่างๆทั่วทั้งยุโรป คุณ จะหาห้องแสดงภาพแห่งใดจัดแสดงภาพความวุ่นวายของสิ่งมีชีวิต ขณะยัง มีชวี ติ บนผืนผ้าใบได้ดงั เช่นหอแสดงความยินดีในชัยชนะทีพ่ ระราชวังแวร์ซาย ทีท่ ผี่ มู้ มี านะจะบากบัน่ ไปถึงความโกลาหลวุน่ วาย ผ่านการสูร้ บทีย่ ดื ยาวของ ฝรั่งเศส ที่ที่ดาบทุกเล่มสะท้อนแสงราวกับแสงเหนือ พระราชาและกษัตริย์
364 : โมบี-ดิ๊ก
นักรบหลายพระองค์ทรงร่วมรบเหมือนเช่นการโจมตีของเซนทอร์9 ไม่มีภาพ การสู้รบในท้องทะเลภาพใดของการ์เนร์รีที่ไม่คู่ควรจัดแสดงในห้องภาพนั้น ความถนัดแต่ก�าเนิดของชาวฝรั่งเศสผู้นี้ในการมองความงดงามของสิ่ง ต่างๆ ได้อย่างลึกซึ้ง ดูเหมือนจะถูกถ่ายทอดออกมาให้ประจักษ์ชัดจากราย ละเอียดของภาพการล่าวาฬในภาพวาดและภาพพิมพ์เหล่านั้น ไม่ถึงหนึ่งใน สิบของผูม้ ปี ระสบการณ์ในวงการประมงประเทศอังกฤษ และไม่ถงึ หนึง่ ในพัน ส่วนของผู้มีประสบการณ์ชาวอเมริกัน จะสามารถวาดภาพการล่าวาฬออก มาได้เหมือนจริงราวกับมีชีวิต และถึงแม้ทั้งสองชาติจะวาดได้ก็เพียงแค่ร่าง ออกมาจนเสร็จเป็นภาพได้เท่านัน้ โดยมากแล้วช่างเขียนภาพวาฬชาวอังกฤษ และอเมริกันแทบทั้งหมด ท�าได้เพียงแค่ร่างลายเส้นแข็งๆ ของสิ่งต่างๆ เช่น โครงร่างทือ่ ๆ ของวาฬ ซึง่ ไม่ได้มคี วามงดงามอะไรเลย คุณภาพพอๆ กับร่าง โครงร่างพีระมิด แม้สกอร์สบี้ ผูไ้ ด้ชอื่ ว่าเป็นนักล่าวาฬไรต์ทมี่ ชี อื่ เสียง ได้สร้าง ความเพลิดเพลินให้กับพวกเราด้วยภาพเต็มตัวของวาฬกรีนแลนด์ และภาพ ย่อส่วนของวาฬนาร์วาล และปลาโลมาสามหรือสี่ภาพ รวมทั้งชุดภาพพิมพ์ แบบดั้งเดิม ทั้งไม้ค�้าถ่อ, มีดสับ10 และขอเกี่ยว11 ทว่าภาพเหล่านั้นเปรียบ ได้กับความพยายามงมเข็มในมหาสมุทรของลูเวนฮัค12 ที่แสดงภาพขยาย ด้วยกล้องจุลทรรศน์ของผลึกหิมะขั้วโลกเหนือในเอกสาร 96 แผ่น ผมไม่ได้ คิดจะดูหมิ่นนักเดินทางผู้มีคุณงามความดีท่านนี้ (ผมนับถือเขาในฐานะผู้มี ประสบการณ์) ทว่าประเด็นส�าคัญก็คอื มีการมองข้ามบางอย่างไปแน่นอน นัน่ คือไม่ได้มกี ารจัดหาค�าให้การเป็นลายลักษณ์อกั ษรส�าหรับผลึกทุกชิน้ ทีน่ า� ขึน้ เสนอเบื้องหน้าผู้พิพากษาแห่งกรีนแลนด์ นอกจากภาพพิมพ์แกะสลักงามวิจิตรของการ์เนร์รีแล้ว ยังมีภาพพิมพ์ เซนทอร์-สัตว์ในต�านาน ครึ่งคนครึ่งม้า มีดสับ-ในที่นี้หมายถึงมีดที่มีด้ามจับอยู่ด้านหลัง (สันมีด) 11 ขอเกี่ยว-หรือสมอเรือขนาดเล็ก 12 ลูเวนฮัค-อันโทนี ลูเวนฮัค (ค.ศ. 1632-1723) นักวิทยาศาสตร์ชาวดัตช์ ที่ถือเป็นบิดาแห่งวิชาจุล ชีววิทยา เขาไม่ได้เขียนหนังสือใดๆ ขึน้ เขียนแต่จดหมายการค้นพบของเขาไปยังราชสมาคมแห่งลอนดอน (สมาคมนักปราชญ์แห่งวิทยาศาสตร์) ซึ่งได้ตืพิมพ์เผยแพร่จดหมายของเขา 9
10
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 365
อีกสองภาพของชาวฝรั่งเศสอีกท่านหนึ่งที่มีคุณค่าคู่ควรกับการบันทึกไว้ ทั้ง สองภาพนั้นเขียนโดยผู้ที่เรียกตัวเองว่า “เอช. ดูรองด์”13 ภาพหนึ่งแม้ไม่ตรง วัตถุประสงค์ของเราเสียทีเดียวนัก แต่ก็สมควรกล่าวถึงในคุณประโยชน์อื่น มันเป็นภาพเหตุการณ์ตอนเที่ยงวันอันเงียบสงบ ท่ามกลางเกาะน้อยใหญ่ ในมหาสมุทรแปซิฟิก นักล่าวาฬชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งทอดสมอจอดเทียบฝั่ง ในความสงบเงียบเขาก�าลังดื่มน�้าอยู่อย่างสบายบนเรือ ใบเรือถูกผ่อนลง มี ใบยาวของต้นปาล์มเป็นฉากหลังทั้งหมดอ่อนแรงอยู่ในสายลมเอื่อย ภาพ นั้นให้ความรู้สึกผ่อนคลาย เมื่อพิจารณาลายเส้นที่ถ่ายทอดภาพชาวประมง ร่างกายก�าย�าพักผ่อนอยู่ในอิริยาบถต่างๆ ส่วนอีกภาพเป็นเรื่องที่แตกต่าง กันมากทีเดียว เป็นภาพของเรือหลักหยุดอยู่กลางทะเลกว้าง ในใจกลางวิถี ของสัตว์ทะลยักษ์ซึ่งมีวาฬไรต์อยู่ข้างๆ เรือยกตัวขึ้นสูงเหนือเจ้าอสุรกาย ราวกับขึ้นจอดเทียบท่า (ในลักษณะเฉกเช่นก�าลังช�าแหละไขวาฬ) ขณะเรือ เชือดวาฬเร่งรุดออกห่างจากเหตุการณ์นี้ ต่างก�าลังไล่ล่าวาฬตัวอื่นๆ ที่อยู่ ห่างออกไป ฉมวก และหลาววางเตรียมไว้สา� หรับใช้งาน ฝีพายสามคนก�าลัง ตั้งเสากระโดงเรือเข้าช่องเสียบ จังหวะนั้นคลื่นทะเลซัดกระหน�่าท�าให้เรือล�า เล็กแทบตัง้ ล�าขึน้ จากผืนน�า้ เหมือนเช่นม้าหนุม่ ยกขาหน้าชูขนึ้ ไอน�า้ จากวาฬ ทีก่ า� ลังดิน้ รนด้วยความเจ็บปวดทรมานพวยพุง่ ดัง่ ไอหมอกจากหมูบ่ า้ นช่างตี เหล็ก และลอยไปตามลม ก้อนเมฆสีด�าตั้งเค้าพายุฝนเหมือนเร่งเร้ากิจกรรม อันน่าตื่นเต้นของเหล่าชาวทะเล
13
ฌ็อง อ็องรี ดูรองด์ (ค.ศ. 1814-1879) จิตรกรชาวฝรั่งเศส
366 : โมบี-ดิ๊ก
บทที่ 57
ภาพวาฬในรูปวาด, เขี้ยว, ไม้, เหล็กแผ่น, หิน, ภูเขา และดวงดาว
จากเนินหอคอย1 เมื่อคุณลงไปถึงท่าเรือลอนดอน คุณจะได้เห็นขอทานขา ขาด (หรือที่ลูกเรือเรียกกันว่าเคจเกอร์) ถือแผ่นภาพวางตรงหน้า เป็นภาพ เหตุการณ์น่าเศร้าที่ท�าให้เขาต้องเสียขาไป วาฬสามตัว และเรือเล็กสามล�า หนึ่งในนั้น (สมมติว่ามีขาที่ขาดหายไปอยู่ในต้นร่างฉบับสมบูรณ์นั้น) ก�าลัง ถูกบดขยี้อยู่ในกรามกรรไกรของวาฬตัวแรกสุด พวกเขาบอกกับผมว่าชายผู้ นั้นถือภาพนั้นมาร่วมสิบปีแล้ว และจัดแสดงขาด้วนของเขาให้ประจักษ์แก่ สายตาโลกที่กังขา ทว่าเวลาแห่งการพิสูจนความบริสุทธิ์ของเขามาถึงแล้ว วาฬสามตัวของเขาเป็นวาฬที่มีค่าพอจะป่าวประกาศให้ผู้คนใกล้ท่าเรือใน ลอนดอนได้ประจักษ์ ขาด้วนของเขาจะไม่เป็นที่กังขาเหมือนดังเช่นขาด้วน ที่คุณจะได้พบในหมู่อเมริกันชนผู้จากบ้านทางตะวันตกมา ทว่าแม้ลุกขึ้นยืน ด้วยขาด้วนนั้นได้ แต่ขาด้วนนั้นก็ไม่ได้ช่วยให้นักล่าวาฬผู้น่าสงสารท�าอะไร ได้นอกเสียจากยืนท�าตาละห้อยคร�า่ ครวญครุน่ คิดถึงเหตุการณ์ทสี่ ญ ู เสียขาไป ทุกหนทุกแห่งในมหาสมุทรแปซิฟิก รวมทั้งในแนนทักเก็ต นิวเบดฟอร์ด และแซกฮาร์เบอร์ คุณจะได้พรึงเพริดไปกับภาพร่างวาฬ และภาพการล่าวาฬ ทีช่ าวประมงเป็นผูแ้ กะสลักด้วยตัวเองบนเขีย้ วของวาฬหัวทุย หรือบนโครงเสือ้ รัดรูปสตรีที่ท�าขึ้นจากกระดูกวาฬไรต์ และสิ่งของอื่นๆ ที่คล้ายกับสคริมซอ ชื่อที่นักล่าวาฬเหล่านี้ใช้เรียกงานประดิษฐ์สร้างสรรค์ชิ้นเล็กชิ้นน้อยจ�านวน 1
เนินหอคอย-เนินที่หอคอยแห่งลอนดอนตั้งอยู่
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 367
มากที่พวกเขาแกะสลักขึ้นอย่างประณีตจากวัตถุหยาบกระด้างในชั่วโมงว่าง ขณะลอยเรือกลางมหาสมุทร บางคนถึงขนาดมีกล่องเครือ่ งมือคล้ายกับเครือ่ ง มือหมอฟัน โดยเฉพาะบรรดาผูท้ ตี่ งั้ ใจจะค้าขายชิน้ งานแกะสลักเขีย้ ววาฬ แต่ โดยส่วนใหญ่แล้วพวกเขาสร้างสรรค์ชิ้นงานเหล่านั้นขึ้นด้วยมีดพับเล่มเดียว มีดพับขนาดใหญ่นี้แทบจะเป็นเครื่องมือสารพัดนึกของเหล่าลูกเรือ พวกเขา สามารถท�าให้คุณพึงพอใจได้ด้วยวิถีแห่งจินตนาการของชาวเรือ การผลัดถิ่นฐานจากคริสตจักรและอารยธรรมมานาน ย่อมหนีไม่ พ้นที่มนุษย์เราจะกลับคืนสู่สภาพเดิมที่พระเจ้าทรงก�าหนดไว้แต่แรกเริม่ นั่น คือสิง่ ทีเ่ รียกว่าความป่าเถือ่ น นักล่าวาฬตัวจริงของคุณเป็นคนป่าเถือ่ นเสียยิง่ กว่าชาวเผ่าอินเดียนแดง ผมเองก็เป็นคนป่าเถื่อนผู้ไม่ยอมสวามิภักดิ์แม้กับ ราชาแห่งคานิบอล และพร้อมต่อต้านเขาตลอดเวลา เนื่องจาก...หนึ่งในคุณลักษณะเฉพาะของคนป่าคือการรับใช้คนใน บ้านด้วยความอดทนอุตสาหะอย่างน่าอัศจรรย์ ไม้พลองสู้รบหรือด้ามหอก ของชาวฮาวายสมัยก่อนจึงมีศักยภาพการใช้งานหลากหลาย และมีลวดลาย แกะสลักประณีตถือเป็นของที่ระลึกชิ้นเยี่ยมจากความอุตสาหะของมนุษย์ พอๆ กับพจนานุกรมภาษาละติน เพียงเปลือกหอยแตกชิ้นเล็ก หรือเขี้ยว ฉลาม พวกเขาก็สามารถสลักลวดลายวิจิตรตระการตาบนเนื้อไม้ได้ส�าเร็จ และชิ้นงานนั้นใช้งานได้คงทน และคงคุณค่านานหลายปี ชาวฮาวายป่าเถื่อนเพียงไร ลูกเรือคนขาวก็ป่าเถื่อนเพียงนั้น ด้วย ความอดทนอดกลั้นจนน่าทึ่งเหมือนกัน และด้วยเขี้ยวฉลามอันเดียวเหมือน กัน ซึ่งใช้แทนเป็นมีดพับ เขาสามารถแกะสลักกระดูกชิ้นเล็กๆ ให้กับคุณ แม้ ฝีมือไม่ดีเท่าไรนักแต่ก็อัดแน่นด้วยลวดลายซับซ้อน เหมือนเช่นโล่ของอะคิล ลีส2...ชาวกรีกป่าเถือ่ น และด้วยความคิด แลเจตนาไร้อนารยะดังเช่นภาพพิมพ์ ของคนป่าชาวดัทช์ผู้ละเอียดอ่อน...อัลเบิร์ต ดูเรอร์3 2
อะคิลลีส-วีรบุรุษตามต�านานกรีกโบราณ ในสงครามเมืองทรอย
3
อัลเบิร์ต ดูเรอร์-หรือ อัลเบรชท์ ดือเรอร์ (ค.ศ. 1471-1528) จิตรกรและนักทฤษฎีชาวเยอรมัน
368 : โมบี-ดิ๊ก
วาฬไม้ หรือตัววาฬแกะสลักจากแผ่นไม้ขนาดเล็กสีด�า ไม้ในป่าแห่งการ สู้รบที่ทะเลใต้ พบเห็นได้บ่อยบริเวณดาดฟ้าเรือของนักล่าวาฬอเมริกัน วาฬ ไม้เหล่านี้บางชิ้นท�าได้สัดส่วนที่ถูกต้องทีเดียว บนหลังคาหน้าจัว่ ของบ้านบางหลังในชนบทสมัยก่อน คุณจะเห็นวาฬทอง เหลืองแขวนส่วนหางไว้ส�าหรับใช้เป็นที่เคาะประตูริมถนน เมื่อยามเฝ้าประตู งีบหลับไป หัวของวาฬจะเป็นทั่งตีให้เกิดเสียงดังขึ้น ทว่าวาฬเคาะประตูพวก นีไ้ ม่คอ่ ยได้รบั การยอมรับว่าเป็นผลส�าเร็จทีน่ า่ เชือ่ ถือเท่าไรนัก บนยอดแหลม ของโบสถ์สมัยก่อนบางแห่งคุณจะเห็นแผ่นเหล็กรูปวาฬวางอยู่บนนั้นใช้เป็น ไก่ลม4 แต่มนั ถูกวางไว้สงู จนเกินไป หน�าซ�า้ ทัง้ หมดยังตัง้ ใจ และจงใจติดป้าย “ห้ามจับ!” เอาไว้ คุณจึงไม่สามารถเพ่งพิจมันได้ใกล้พอมองเห็นคุณค่าของมัน บริเวณกระดูก และชายโครงของโลก ที่ซึ่งเป็นฐานที่ตั้งของหน้าผาสูงหิน หลายก้อนวางเรียงรายในกลุ่มก้อนบนทุ่งกว้าง ที่นั่นคุณมักจะได้เห็นรูปร่าง คล้ายลักษณะสัตว์ทะเลยักษ์ตวั แข็งทือ่ มีหญ้าขึน้ ปกคลุมเป็นหย่อมๆ ท�าให้ใน วันทีม่ ลี มแรงดูคล้ายคลืน่ ลมซัดกระหน�า่ พวกมันท่ามกลางระลอกคลืน่ สีเขียว เช่นเดียวกับประเทศที่มีภูเขาสูงรายล้อม ที่ซึ่งนักท่องเที่ยวถูกโอบล้อม ด้วยภูเขาล้อมรอบ หากคุณโชคดีได้อยู่ในจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นภาพ วาฬได้หลายแห่งบนสันเขาเป็นลอนคลื่นนั้น แต่คุณคงต้องเป็นนักล่าวาฬที่ รอบคอบจึงจะได้เห็นภาพเหล่านี้ ไม่เพียงแค่นั้น หากคุณต้องการจะกลับมา ที่นี่เพื่อดูภาพนั้นอีกครั้ง คุณต้องแน่ใจ ว่าได้ก�าหนดจุดตัดเส้นละติจูด และ ลองติจูดที่คุณยืนอยู่ในตอนแรกได้แม่นย�า มิเช่นนั้นแล้วโชคชะตาจะน�าพา ให้การเห็นภาพบนเนินเขาเหล่านี้ ณ จุดเดิมที่คุณเคยยืนอยู่นั้นอาจต้องใช้ เวลานานในการมองหาวาฬให้พบอีกครั้ง เฉกเช่นหมู่เกาะโซโลมอนที่ยังคง เป็นปริศนา แม้ครัง้ หนึง่ มันดาญา5ในชุดแผงคอตัง้ สูงเคยได้เหยียบย�า่ บนแผ่น ดินนั้นมา และฟีเกรา6ก็บันทึกเรื่องราวเหล่านั้นไว้แล้วก็ตาม ไก่ลม-เครื่องชี้ทิศทางลม ส่วนมากท�าเป็นรูปไก่ อัลบาโร เด มันดาญา เด เนย์รา (ค.ศ. 1542-1595) นักส�ารวจชาวสเปน ผู้ค้นพบหมู่เกาะโซโลมอน 6 ฟีเกรา-(ค.ศ. 1571-1644) นักเขียนชาวสเปนผู้เขียนบันทึกการเดินทางของมันดาญา 4 5
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 369
เฉกเช่นเดียวกับที่คุณจะได้ประสบ ยามเมื่อมองสูง...สูงขึ้นไป แล้วไม่พบ วาฬฝูงใหญ่บนท้องฟ้าพร่างพราวดวงดาว และไม่พบเรือเล็กที่ไล่ล่าพวกมัน ทั้งๆ ที่นานมาแล้วบนนั้นเต็มไปด้วยภาพสงคราม ชนชาติตะวันออกมอง เห็นกองทัพติดอยู่ในวงล้อมท่ามกลางเมฆหมอก บนแผ่นฟ้าทางด้านเหนือ ผมไล่ล่าสัตว์ทะเลยักษ์รอบบริเวณขั้วโลกเหนือครบหนึ่งรอบ ยามเมื่อถึงจุด สว่างโชติที่ส่องให้ผมได้เห็นมันเป็นครั้งแรก ใต้แผ่นฟ้าทางด้านใต้ ผมขึ้นเรือ อาร์โกนาวิส7สนุกกับการล่าอสุรกายทะเลซีตสั 8 ห่างออกไปไกลโพ้นทีน่ นั่ งูไฮ ดรัส9 เป็นกลุ่มดาวขนาดเล็กในซีกฟ้าใต้ และปลาบิน10แผ่ขยายเหยียดยาว ด้วยสมอเรือรบล�าใหญ่ส�าหรับใช้เป็นบังเหียน และด้ามหอกกระตุ้นการ ขับเคลื่อนท�าให้ผมขึ้นไปอยู่บนตัววาฬนั้นได้ และโจนตัวสู่ท้องฟ้าสูงสุดเพื่อ มองลงมาดูเทพนิยายแห่งสรวงสวรรค์เรื่องราวทั้งหมดปักหลักบิดเบือนไป จากภาพแห่งความเป็นความตายของผม!
เรืออาร์โกนาวิส-กลุม่ ดาวเรืออาร์โก กลุม่ ดาวหนึง่ ทีเ่ คยระบุชอื่ ไว้ตงั้ แต่สมัยโบราณ โดยถือเป็นสัญลักษณ์ ของเรือที่เจสันตามต�านานเทพกรีก ใช้แล่นออกไปเสาะหาขนแกะทองค�า 8 ซีตัส-กลุ่มดาวซีตัส หรือกลุ่มดาววาฬ ในเทพปกรณัมกรีก กลุ่มดาวนี้แทนวาฬหรือสัตว์ทะเลยักษ์ 9 งูไฮดรัส-กลุ่มดาวงูไฮดรัส 10 ปลาบิน-กลุ่มดาวปลาบิน กลุ่มดาวขนาดเล็กในซีกฟ้าใต้ 7
370 : โมบี-ดิ๊ก
บทที่ 58
ทุ่งแพลงก์ตอน
จากหมู่เกาะโครเซตต์เราหันหางเสือมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ หลงเข้าไปในวงล้อมของแพลงก์ตอน1แพใหญ่สีเหลืองละเอียด ซึ่งเป็นแหล่ง อาหารขนาดใหญ่ของวาฬไรต์มอี าณาบริเวณกินกว้างหลายต่อหลายลีก ลอน คลื่นกระเพื่อมไหวรอบตัวเรานั้นท�าให้รู้สึกราวกับก�าลังล่องเรือผ่านทุ่งข้าว สาลีสุกเหลืองอร่ามไร้ขอบเขต วันทีส่ องของการล่องเรือบริเวณนี้ วาฬไรต์จา� นวนมากโผล่มาให้เห็น พวก มันปลอดภัยจากการโจมตีของเรือล่าวาฬหัวทุยอย่างพีควอด แต่ละตัวอ้าปาก กว้างขณะว่ายเอื่อยผ่านทุ่งสีเหลืองทอง แพลงก์ตอนเข้าไปติดอยู่ที่เส้นฝอย ของแผ่นกระดูกอันน่าทึ่งในปากมัน แผ่นกระดูกนี้มีไว้เพื่อกรองแพลงก์ตอน ไม่ให้ไหลตามน�า้ ออกจากปากมันไป เฉกเช่นคนตัดหญ้ายามเช้า เดินเคียงข้างกันไปอย่างช้าๆ รุดหน้าไปพร้อม เคียวตัดหญ้าของตนต่างสะบั่นหั่นผ่านทุ่งหญ้าชื้นแฉะเป็นทางยาว อสุรกาย เหล่านีก้ เ็ ช่นกันส่งเสียงตัดหญ้าฟังแปลกหู และทิง้ ร่องรอยสะบัน่ หัน่ เป็นทาง สีครามไร้ขอบเขตบนผืนน�้าสีเหลืองอร่าม2 แพลงก์ตอน-แพลงก์ตอนพืช เช่น สาหร่าย มักมีสเี ขียว ในทีน่ คี้ อื แพลงก์ตอนสัตว์ เช่น แมงกะพรุน หวีวนุ้ และตัวอ่อนของสัตว์หลายชนิด เช่น กุ้ง ปู กั้ง หอย ปลาบางชนิด 2 ทะเลบริเวณนีเ้ ป็นทีร่ จู้ กั กันดีในกลุม่ นักล่าวาฬว่า “ฝัง่ บราซิล” ซึง่ ไม่ได้มอี ะไรเกีย่ วข้องกับชือ่ เลย ต่างกับ ชายฝัง่ นิวเฟาด์แลนด์ทถี่ กู เรียกตามสภาพบริเวณนัน้ อันเป็นพืน้ ทีท่ มี่ หี าดตืน้ และมีเสียงก้องทัว่ บริเวณ ทว่าชื่อทะเลบริเวณนี้ถูกเรียกจากลักษณะแปลกตาที่ดูคล้ายทุ่งหญ้า ซึ่งเกิดขึ้นจากแพลงก์ตอนจ�านวน มากลอยตามผืนน�า้ เป็นแผ่นกว้างใหญ่ครอบคลุมอาณาบริเวณเส้นละติดจูดที่เป็นแหล่งล่าวาฬ 1
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 371
ทว่านั่นก็เป็นเพียงแค่เสียงที่เกิดขึ้นเฉพาะขณะมันลอยตัวท่ามกลางทุ่ง แพลงก์ตอน ซึ่งท�าให้ชวนนึกถึงคนตัดหญ้า หากมองจากยอดเสากระโดงเรือ นี่โดยเฉพาะเวลาที่พวกมันหยุดอยู่กับที่ชั่วขณะ รูปร่างขนาดใหญ่สีด�าของ พวกมันดูเหมือนก้อนหินขนาดใหญ่ไร้ชีวิตมากกว่าจะเป็นอย่างอื่น และเป็น ดังเช่นเมืองนักล่าแห่งอินเดีย ผู้มาเยือนจากแดนไกลอาจผ่านเลยฝูงคชสาร ที่นอนเกือกกลิ้งอยู่ตามทุ่งกว้างโดยไม่สังเกตเห็นพวกมัน เพราะเข้าใจว่า นั่นคือเนินดินสีด�าจึงมองผ่านไปเฉกเช่น ผู้พบเห็นสัตว์ทะเลยักษ์ชนิดนี้เป็น ครั้งแรก ตราบเมื่อสังเกตเห็นมันชัดถนัดตา ขนาดตัวใหญ่มโหฬารของมันก็ ท�าให้แทบไม่อยากเชื่อสายตาว่านั่นจะโตเต็มที่ของมันแล้ว ซึ่งโดยรวมแล้วมี ลักษณะคล้ายสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะเหมือนหมาหรือม้า อันที่จริงแล้ว อาจกล่าวได้ว่าคุณแทบไม่ได้ค�านึงถึงสัตว์ชนิดใดในทะเล ลึกด้วยความรู้สึกอย่างเดียวกับที่คุณมีกับสัตว์บนบก นักธรรมชาติวิทยา3ผู้ อาวุโสบางท่านเคยยืนยันว่าสัตว์ทกุ ชนิดบนผืนดินจะมีสตั ว์ทคี่ กู่ นั กับพวกมัน อยูใ่ นท้องทะเลด้วย หากเปิดใจกว้างมองสิง่ นี.้ ..ก็อาจจะได้เห็น ยิง่ เมือ่ เฉพาะ เจาะจงด้วยค�าถาม ดังเช่นว่าบริเวณแห่งใดในมหาสมุทรจะจัดหาปลาชนิดใด มาเทียบเคียงคุณลักษณะฉลาดเป็นมิตรของสุนัขได้? ก็คงจะมีเพียงฉลาม น่าชังนั่นปะไรที่พอเทียบเคียงได้คล้ายคลึงกับมัน ทว่าส�าหรับผู้ใช้ชีวิตบนบกโดยส่วนใหญ่แล้ว คนที่มีถิ่นอาศัยอยู่ในท้อง ทะเลมักถูกมองด้วยความรู้สึกไม่อยากพูดคุยด้วย ไม่อยากคบค้าสมาคม และรังเกียจเดียดฉันท์ แม้เราจะรู้ดีว่าผืนทะเลเป็นส่วนกว้างใหญ่ไพศาลเห ลือคณานับ ด้วยเหตุนี้โคลัมบัสจึงล่องเรือไปทั่วโลกกว้าง หากแต่ค้นพบผืน ดินเพียงแค่เศษเสี้ยวส่วนด้านตะวันตก และแน่นอนว่าแม้เหตุภัยพิบัติร้าย แรงเคยเกิดขึน้ มานานนมนับแสนนับล้านครัง้ ทว่าบรรดาผูล้ ว่ งลับสูท่ อ้ งทะเล ยังไร้ผเู้ หลียวแล และถึงแม้ทงั้ หมดจะได้รบั การพิจารณาถึง นัน่ ก็เพียงเด็กรุน่ หลังใช้อวดอ้างความรู้ความสามารถของตน และในอนาคตข้างหน้าความรู้ 3
นักธรรมชาติวิทยา-ศึกษาโลกธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตววิทยาและชีววิทยา
372 : โมบี-ดิ๊ก
ความสามารถนัน้ จะทวีเพิม่ ความสอพลอมากยิง่ ขึน้ ตลอดไป และตลอดไปจน กระทั่งถึงวันโลกาวินาศ ทะเลจะจู่โจมและท�าลายพวกเขา รวมทั้งบดขยี้เรือ พิฆาตไม่วา่ พวกเขาจะสร้างไว้แข็งแกร่ง และใหญ่โตเพียงไร แต่ถงึ อย่างนัน้ แม้ ภาพเหตุการณ์ฝงั ใจเหล่านีจ้ ะเกิดขึน้ ซ�า้ แล้วซ�า้ อีกแค่ไหน มนุษย์ยงั คงหลงลืม ความรู้สึกน่าสะพรึงกลัวของท้องทะเลที่เป็นต้นก�าเนิดแรกเริ่มของพวกเขา เรือล�าแรก4ที่เราเคยรู้มาลอยล�าในมหาสมุทร น�าเอาความเคียดแค้นของชาว โปรตุเกสเข้าท่วมท้นโลกทัง้ ใบไม่เหลือแม้แต่หญิงม่าย มหาสมุทรเดียวกันนัน้ ก่อลูกคลื่นขึ้นใหม่ มหาสมุทรเดียวกันนั้นท�าลายเรือเดินสมุทรอับปางลงเมื่อ ปีที่แล้ว ใช่แล้ว...มนุษย์ผู้โง่เขลา น�้าท่วมครั้งใหญ่ในคริสต์ศาสนายังไม่ลดลง อีกสองในสามของโลกที่น่าอยู่ใบนี้ยังไม่ได้ถูกท่วม ระหว่างผืนน�า้ และผืนดิน ต่างกันตรงไหน ปาฏิหาริยท์ เี่ กิดในดินแดนหนึง่ จะไม่เกิดปาฏิหาริย์ในอีกดินแดนหนึ่งก็หาไม่ เหตุรุนแรงสยองขวัญเยื้องย่าง ถึงชาวยิว เมื่อผืนดินใต้สองเท้าของโคราห์5และผู้ติดตามของเขาปริแยกแตก ออกเป็นปากกว้างกลืนกินพวกเขาสู่ดินแดนไร้ดวงอาทิตย์สาดแสงส่องถึง ตลอดกาล ทว่าลักษณะเดียวกันนี้...ทะเลคลั่งก็กลืนกินเรือเดินสมุทรและลูก เรือเช่นกัน หน�าซ�้าทะเลไม่เพียงเป็นภัยต่อมนุษย์ผู้แปลกหน้าเท่านั้น มันยังอ�ามหิต แม้แต่กับเชื้อสายของมันเอง โหดร้ายเสียยิ่งกว่าเจ้าบ้านชาวเปอร์เซียสังหาร อาคันตุกะของเขาเอง6 ไม่เว้นแม้แต่สัตว์ที่ก�าลังวางไข่ คล้ายนางเสือร้ายก ระโจนเข้าพงป่าทับลูกของมัน ทะเลพุ่งใส่ แม้กระทั่งวาฬตัวใหญ่ยักษ์ยังโดน ชนจนกระแทกโขดหิน และทิง้ ให้พวกมันลอยเคียงข้างซากปรักพังของเรือเดิน สมุทร ไม่มีความเมตตา ไม่มีอานุภาพใด นอกเสียจากมันควบคุมตัวมันเอง 4 5
เรือล�าแรก-เรือโนอาห์ โคราห์-ชาวยิวโบราณผู้ท้าทายอ�านาจของโมเสสและอารอน (พี่ชายของโมเสส) จนพระเจ้าพิโรธ และ บันดาลให้ธรณีสูบโคราห์และสาวก
6 ชาวเปอร์เซียสังหารอาคันตุกะของเขาเอง-ผู้เชี่ยวชาญหลายคนก็ยังไม่ทราบว่า เมลวิลล์หมายถึงใคร
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 373
หายใจหอบแรงคล้ายม้าศึกตื่นคลั่งไร้ผู้ขับขี่ มหาสมุทรไร้ผู้ควบคุมไหลล่วง ล�้าท่วมโลก ลองพิจารณาถึงความลึกลับของท้องทะเล สัตว์ร้ายจ�านวนมากเพียงใด เวียนว่ายอยู่ใต้ผืนน�้านั้น ส่วนใหญ่เร้นกาย และท�าตัวลับล่อผลุบโผล่ใต้แผ่น สีฟ้าม่วงงามตา และลองพิจารณาถึงประกายความโหดเหี้ยม และความ สวยงามของเผ่าพันธุ์ที่ไร้ความปราณีจ�านวนมากเหล่านั้น ดังเช่น รูปร่าง ประณีตงดงามของฉลามหลายสายพันธุ์ พิจารณาอีกครั้งถึงสัตว์ล่าเนื้อที่มี อยู่ทุกหนแห่งในท้องทะเล สัตว์ทุกตัวต่างล่ากันและกันเป็นอาหาร ต่างธ�ารง ไว้ซึ่งสงครามชั่วนิรันดร์นับตั้งแต่โลกก่อก�าเนิดขึ้น พิจารณาทั้งหมดทั้งมวลนี้ แล้วมองย้อนกลับมายังโลกสีเขียว นุ่มนวล และโอนอ่อนที่สุด ครุ่นคิดให้ถ้วนถี่ทั้งสองแดนดินถิ่น ทั้งผืนน�้าและผืนดิน คุณไม่เห็นสิง่ คล้ายคลึงกันนัน้ ในตัวคุณเองหรือ? เพราะมหาสมุทรน่าสะพรึง กลัวโอบล้อมดินแดนเขียวขจีนไี้ ว้ ด้วยเหตุนจี้ ติ วิญญาณของมนุษย์ทอดเงาอยู่ บนเกาะตาฮิติ ดินแดนแห่งความสงบสุขและสันติ ทว่าแวดล้อมด้วยความน่า หวาดหวั่นของสิ่งมีชีวิตลี้ลับ ขอพระองค์ทรงคุ้มครองท่าน! อย่าออกห่างจาก เกาะนั้น มิเช่นนั้นท่านจะไม่ได้ย้อนกลับไปอีก!
374 : โมบี-ดิ๊ก
บทที่ 59
หมึกยักษ์
เรือพีควอดลุยผ่านทุ่งแพลงก์ตอนไปอย่างช้าๆ ยังคงมุ่งหน้าทางทิศตะวัน ออกเฉียงเหนือตรงไปยังเกาะชวา สายลมแผ่วโลมไล้ทั่วล�าเรือ ท�าให้ยอด เสากระโดงสูงสามต้นไหวเอนตามแรงลมเอือ่ ยท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบ เหมือนดังต้นปาล์มสามต้นล้อเล่นลมในทุง่ กว้าง ช่วงเวลาเงียบสงัดยาวนานใน คืนจันทร์กระจ่างเช่นนี้พวยน�้าในม่านมนต์อาจปรากฏให้เห็นอีกครา เช้าวันถัดมาแสงฟ้าสว่างท่ามกลางความเงียบสงบแผ่ปกคลุมทัว่ ท้องทะเล ความสงบเงียบผิดธรรมชาตินั้นไม่ได้ท�าให้ใจสงบตาม เมื่อระยับแดดสะท้อน ผืนน�า้ เป็นทางยาวดูราวกับนิว้ สีทองวาดชีล้ งมาเบือ้ งหน้า บัญชาความลับแห่ง สรวงสวรรค์ คลื่นทะเลระยับแสงกระซิบกระซาบต่อกันขณะแล่นผ่านแผ่วผิว ความเงียบระงับในบรรยากาศกระจ่างใสเช่นนีภ้ าพมายาปรากฏแก่สายตาแด๊ กกูที่อยู่บนยอดเสากระโดงเรือหลัก ห่างออกไป ร่างสีขาวขนาดใหญ่ผุดขึ้นมาเอื่อยช้า แล้วยกตัวสูงขึ้น และ สูงขึ้น จนเห็นเด่นชัดบนฉากสีฟ้าของท้องฟ้า ที่สุดแสงประกายเบื้องหน้าหัว เรือเราดูคล้ายหิมะถล่ม เลื่อนไถลจากเนินเขา แสงระยิบเมื่อครู่นี้ค่อยๆ ลด ลงและจมหายไป แล้วโผล่ขึ้นมาอีกครั้งให้เห็นเพียงแวบเดียว มันดูไม่เหมือน วาฬ แล้วนี่จะใช่โมบี้ดิ๊กหรือไม่? แด๊กกูคิด เป็นอีกครั้งเงาหลอนนั้นเลือนหาย ไป ทว่ามันปรากฏมาให้เห็นอีกพร้อมกับเสียงร้องคล้ายคมกริชที่ท�าให้ทุกคน ต้องสะดุง้ กับการผงกหัวเรียกของมัน เจ้านิโกรร้องเสียงดังขึน้ “นัน่ ! นัน่ อีกแล้ว! เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 375
มันกระโดดขึ้นมา! ทางด้านขวาโน่น! ไอ้วาฬขาว...วาฬขาว!” เวลานั้น ลูกเรือต่างกรูกันปีนขึ้นไปที่ใบขวางบนเสาเรือ เหมือนฝูงผึ้งปรี่ เข้าไปรุมตอมกิ่งไม้ บนหัวไร้หมวกคลุมเปิดรับแสงอาทิตย์ร้อนแรง เอแฮ็บ ยืนอยู่บนเครื่องเสาหัวเรือ ยื่นมือข้างหนึ่งไปทางด้านหลังในท่าเตรียมพร้อม ให้สัญญาณสั่งการนายท้ายเรือ สายตาเพ่งจ้องไปยังทิศทางด้านบนที่แด๊กกู ยืดแขนนิ่งชี้ไปเบื้องหน้า พวยน�า้ โดดเดีย่ วทีแ่ วบให้เห็นผ่านตานัน้ ค่อยๆ ส่งผลต่อความรูส้ กึ ภายใน ของเอแฮ็บ ท�าให้ครั้งแรกเห็นวาฬเป้าหมายเขาจึงท�าใจสงบนิ่ง และสุขุมได้ เป็นอย่างดี ทว่าจะเป็นเพราะเหตุนี้ หรือเพราะถูกความทะเยอทะยานใน ตัวเองทรยศหักหลังก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุใดในที่สุดมันก็เกิดขึ้น...ยัง ไม่ทนั ทีเ่ ขาจะเห็นร่างสีขาวนัน้ ชัดถนัดตา เขารีบร้องเร่งสัง่ การให้นา� เรือเล็กลง เรือเล็กสี่ล�าถูกหย่อนลงน�้าในทันที เอแฮ็บขึ้นน�าหน้า ฝีพายทุกคนต่าง จ�้าแจวตรงไปหาเหยื่อของพวกเขาอย่างคล่องแคล่ว ฉับพลันนั้นมันจมหาย ไปอีก เป็นชั่วอึดใจที่เหล่าฝีพายต่างหยุดชะงัก พวกเราเฝ้าคอยดูการปรากฏ ตัวขึ้นของมันอีกครั้ง ดูสิ! จุดเดียวกับที่มันจมหายไป มันค่อยๆ โผล่ขึ้นมาอีก ครั้ง ช่วงเวลานั้นแทบลืมทุกเรื่องราวเกี่ยวกับโมบี้ดิ๊กไปหมด พวกเราในตอน นี้จ้องมองปรากฏการณ์มหัศจรรย์อันเร้นลับแห่งท้องทะเลจนบัดนี้ได้เผยให้ เห็นแก่สายตามนุษย์ เป็นก้อนเนือ้ นุม่ ขนาดใหญ่กว้างยาวหลายเฟอร์ลอง1ร่าง คล้ายสีครีมนั้นลอยห่างอยู่บนผิวน�้าในรัศมีห่างหลายต่อหลายช่วงแขนจาก จุดศูนย์กลาง มันก�าลังโค้งตัวบิดดูราวกับรังอนาคอนด้าฉวยเป้าหมายเคราะห์ ร้ายที่อยู่ใกล้รัศมีไว้โดยไม่ได้มอง มันไม่มีใบหน้า หรือส่วนหน้าให้เห็น ไม่มี สัญลักษณ์อะไรบ่งบอกถึงความรูส้ กึ หรือชีวติ จิตใจ เพียงกระเพือ่ มไหวอยูบ่ น คลื่นนั่น ไร้รูปร่างเหมือนผี...เป็นปีศาจน�าเคราะห์กรรมมาสู่มนุษย์ พร้ อ มๆ กั บ เสี ย งแทรกตั ว ลงไปในน�้ า มั น ค่ อ ยๆ จมหายไปอี ก ครั้ ง สตาร์บัคยังคงจ้องไปยังน�้ากระเพื่อมจุดที่มันจมลงไป พร้อมตะโกนเสียงดัง 1
1 เฟอร์ลอง เท่ากับ 220 หลา
376 : โมบี-ดิ๊ก
“ให้ฉันได้เจอกับโมบี้ดิ๊กแล้วสู้กับมัน ดีกว่าจะได้เจอกับไอ้นี่..ไอ้ปีศาจขาว!” “อะไรหรือครับ?” ฟลาสก์ถาม “ไอ้หมึกยักษ์ที่พูดถึงกันไง เรือล่าวาฬจ�านวนหนึ่งเคยเห็น และบอกเล่า เกี่ยวกับมันเมื่อกลับถึงท่า” ทว่าเอแฮ็บไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาหันหัวเรือ แล้วลอยล�ากลับไปยังเรือ เดินสมุทร เรือที่เหลือจึงตามกลับมาเงียบๆ แม้ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติเกี่ยวกับวาฬหัวทุยจะท�าให้ภาพวัตถุที่ เห็นนี้กลายเป็นเรื่องปกติทั่วไป ทว่าในความเป็นจริงแล้วการได้เห็นสิ่งมีชีวิต นี้กลับเป็นเรื่องที่ผิดปกติมาก ปรากฏการณ์นั้นมีอิทธิพลมากขนาดท�าให้มัน เป็นลางร้าย ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่ค่อยเกิดขึ้นให้เห็นบ่อยครั้งนัก นั่นจึงเป็น เหตุผลให้แม้หนึ่งในปรากฏการณ์ทั้งหมดจะเผยว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตขนาด ใหญ่ในมหาสมุทร ทว่าช่วงเวลาสั้นๆ นั้นมันไม่ได้ช่วยให้รู้อะไรมากขึ้นเกี่ยว กับลักษณะ และรูปร่างที่แท้จริงของมันเลย แต่ช่างเถอะเพราะอย่างไรเสีย พวกเขาก็เชื่อว่ามันก็แค่สิ่งที่วาฬหัวทุยใช้เป็นอาหารเท่านั้น นั่นเพราะแม้ วาฬสายพันธุ์ต่างๆหากินอาหารเหนือผิวน�้า และมักถูกพบเห็นโดยนักล่า วาฬขณะก�าลังหากิน แต่วาฬหัวทุยได้รับอาหารทั้งหมดในที่ที่มองไม่เห็นใต้ ผิวน�า้ หนทางเดียวที่ผู้คนจะคาดเดาร่องรอยของมันได้อย่างแม่นย�าจากส่วน ประกอบอาหารนัน้ บางครัง้ การไล่ลา่ อย่างกระชัน้ ชิดจะเป็นผลให้มนั ส�ารอก สิง่ ทีน่ า่ จะเป็นส่วนทีเ่ รียกว่าหนวดปลาหมึก ซึง่ หนวดเหล่านีม้ ขี นาดความยาว เกินกว่ายี่สิบ และสามสิบฟุตได้ ท�าให้พวกเขาจินตนาการได้ถึงอสุรกายที่ใช้ หนวดพวกนีเ้ ป็นขาเกาะติดใต้พนื้ มหาสมุทร และนัน่ ท�าให้วาฬหัวทุยแตกต่าง จากวาฬสายพันธุ์อื่น คือมันมีฟันส�าหรับโจมตี และฉีกทึ้งอาหาร ดูเหมือนว่านีจ่ ะเป็นฐานความคิดทีบ่ ชิ อปพอนทอพโพดัน2ใช้สร้างอสุรกาย 2
ใหญ่โตจนเหลือเชื่อ-บิชอปพอนทอพโพดัน (อีริค พอนทอพโพดัน) หัวหน้าบาทหลวงแห่งเมืองแบร์เกน นอรเวย์ ได้บนั ทึกไว้เป็นหลักฐานครัง้ แรกในหนังสือ ธรรมชาติวทิ ยาของนอร์เวย์ โดยบรรยายถึงคราเคน เอาไว้ว่า มันใหญ่พอๆ กับเกาะลอยน�้าขนาดย่อม ล�าตัวยาวถึงครึ่งไมล์
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 377
คราเคน3ขึ้นโดยสรุปว่ามันเป็นปลาหมึก ด้วยลักษณะที่บาทหลวงเห็นมัน ขณะผลุบๆ โผล่อยู่ในน�้า และอีกหลายลักษณะที่เขาเล่าถึงมัน ทั้งหมดนี้มี สอดคล้องกันอยู่สองประการ ทว่าความส�าคัญลดลงอย่างมากเมื่อเขากล่าว ถึงขนาดของมันใหญ่โตจนเหลือเชื่อ เหล่านักธรรมชาติวิทยาบางคนก็ได้ยินมาอย่างคลุมเครือเกี่ยวกับข่าวลือ เรื่องสัตว์ลึกลับ ทว่ากล่าวไว้ตรงนี้เลยว่า มันรวมอยู่ในจ�าพวกเดียวกับหมึก กระดอง4 ซึ่งจริงๆ แล้วแม้ลักษณะภายนอกจะดูคล้ายกัน แต่ต่างพันธุ์กัน เหมือนอะนัค5
คราเคน-ปลาหมึกยักษ์ในต�านานทีช่ าวทะเลเหนือหวาดกลัว มักเล่าว่าคล้ายหมึกกล้วยขนาดยักษ์ โผล่ขนึ้ จากน�า้ พรวดเดียวก็สูงกว่าเสากระโดงเรือ ชอบโจมตีเรือเดินสมุทรอย่างกะทันหัน โอบหนวดของมันรัด ล�าเรือเอาไว้ หนวดที่เหลือมันจะรัดลูกเรือจนกระดูกแหลกเหลว บ้างก็รัดเข้ามาป้อนเข้าปากอันน่ากลัว 4 หมึกกระดอง-หมึกกระดอง รูปร่างคล้ายกับหมึกกล้วย แต่ตวั กลมป้อมกว่า และมีแผ่นหินปูนรูปกระสวย สอดอยูก่ ลางหลังเรียกว่า ลิน้ ทะเล ในอดีตได้นา� หมึกของหมึกกระดองมาท�าเป็นหมึกใช้สา� หรับการเขียน 5 อะนัค-ยักษ์ในคัมภีร์ไบเบิล 3
378 : โมบี-ดิ๊ก
บทที่ 60
เชือกมหัศจรรย์
ด้วยเหตุการณ์ล่าวาฬที่จะได้เล่าถึงในไม่ช้าจะกล่าวถึงเชือก อีกทั้งเพื่อให้ เกิดความเข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้นในฉากเหตุการณ์ท�านองเดียวกันนี้ที่มีอยู่ในส่วน อืน่ ๆ ของหนังสือ ผมจึงใคร่ขอกล่าวถึงเชือกวาฬทีม่ มี นต์ขลัง...และบางครัง้ ก็ น่าขนลุกนี้สักหน่อย เชือกที่ใช้ในการประมงแต่แรกเริ่มมาจากเส้นป่านคุณภาพดี น�ามาทา บางๆ ด้วยน�้ามันดินโดยไม่ต้องให้เปียกชุ่มมากนักเพื่อใช้งานทั่วๆไป การทา น�้ามันดินทุกครั้งที่ใช้งาน ท�าให้เส้นป่านมีความยืดหยุ่นส�าหรับการถักเชือก และยังได้เชือกที่เหมาะส�าหรับลูกเรือใช้งานบนเรือเดินสมุทร อย่างไรก็ตาม ปริมาณที่พอกเพิ่มขึ้นในแต่ละวันไม่เพียงท�าให้เชือกวาฬแข็งจนเป็นปัญหา ในการขดเก็บ แต่ยังท�าให้ลูกเรือเริ่มเรียนรู้ว่าน�้ามันดินนอกจากเพิ่มความ ทนทาน หรือความแข็งแรงให้กบั เชือกแล้ว ยังท�าให้กระชับแน่นและเป็นมันเงา ระยะหลังๆ ป่านมะนิลาเริ่มเข้ามาเป็นวัตถุดิบผลิตเชือกวาฬแทนที่สาย ป่านในวงการประมงอเมริกันเกือบทั้งหมด แม้ไม่ทนทานเท่าสายป่าน แต่ก็ แข็งแรงกว่า อีกทัง้ ยังนุม่ และยืดหยุน่ กว่า ผมอยากเพิม่ เติมอีกนิด (เพือ่ ให้เกิด สุนทรียภาพมากขึ้น) มันดูดีกว่ามาก และคู่ควรกับเรือเล็กมากกว่าสายป่าน ถ้าเปรียบไปแล้วสายป่านก็เหมือนกับหนุ่มผิวด�าหน้าตาหมองคล�้าอย่างคน อินเดีย แต่เชือกมะนิลาเป็นพวกผิวขาวผมสีทองหน้าตาน่ามอง เชือกวาฬมีความหนาเพียงสองส่วนสามของหนึง่ นิว้ เห็นครัง้ แรกคุณอาจ เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 379
นึกไม่ถึงว่ามันจะแข็งแรงได้อย่างที่เป็น เมื่อทดสอบเปรียบเทียบเชือกวาฬ หนึง่ เส้น กับเส้นด้ายห้าสิบเส้นต่างสามารถใช้แขวนของน�า้ หนักหนึง่ ร้อยยีส่ บิ ปอนด์ได้ นั่นคือเชือกทั้งหมดจะรับน�า้ หนักถ่วงได้มากสุดเกือบสามตัน หาก วัดความยาวแล้ว เชือกส�าหรับจับวาฬหัวทุยทัว่ ไปวัดได้ยาวกว่าสองร้อยฟาธ อม มันถูกเก็บไว้ทางด้านหลังเรือโดยขดเป็นวงไว้ในถังเชือก ไม่เหมือนขด ลวดตัวหนอนในเครื่องกลั่นเหล้า แต่ขดรวมกันเป็นก้อนลักษณะคล้ายแผ่น เนยแข็งที่ถูกวางรวมกันเป็น “ฟ่อน” หรือขดรวมกันเป็นชั้นมีศูนย์กลางร่วม กัน ปราศจากหลุมมีเพียง “แกนกลาง” หรือท่อที่เรียงเป็นชั้นชิดติดกันขึ้นมา เป็นแนวดิง่ จากแกนกลางของแผ่นเนยแข็ง เพือ่ ให้ขดเชือกมีโอกาสเกิดพันกัน หรือขมวดปมน้อยทีส่ ดุ เวลาน�าออกมาใช้จะได้ไม่เกิดข้อผิดพลาดไปเกีย่ วแขน ขา หรืออวัยวะส่วนอื่นๆ ของใครหลุดขาด การเก็บเชือกในถังเป็นเรื่องที่ต้อง ให้ความระมัดระวังสูงสุด นักพุง่ ฉมวกใช้เวลาเกือบทัง้ ช่วงเช้าในการเก็บเชือก พวกเขาจะเอาเชือกขึ้นไปบนที่สูงแล้วร้อยผ่านลูกรอกลงไปในถัง การท�าเช่น นี้ก็เพื่อให้เชือกขดเรียงกันโดยไม่เกิดรอยย่นหรือบิดเป็นเกลียว เรือเชือดวาฬของชาวอังกฤษมักใช้สองถังแทนทีจ่ ะเป็นถังเดียว เชือกขนาด เดียวกันขดในถังทั้งสองใบต่อเนื่องกัน วิธีการนี้ดีกว่า เพราะถังคู่แฝดมีขนาด เล็กพอเหมาะพอดีกบั ล�าเรือ ท�าให้เรือไม่เกิดจุดถ่วงน�า้ หนักทีม่ ากเกิน ในทาง ตรงกันข้าม ถังเชือกของชาวอเมริกันมีขนาดเส้น ผ่าศูนย์กลางเกือบสามฟุต และมีความลึกเป็นสัดส่วนกัน ท�าให้เรือทีท่ า� จากแผ่นกระดานความหนาเพียง นิ้วครึ่งต้องบรรทุกของขนาดใหญ่เทอะทะ ซึ่งท้องเรือที่มีความหนาพอๆ กับ แผ่นน�า้ แข็งทีพ่ ร้อมปริแตกได้ตลอดเวลานัน้ ควรรับน�า้ หนักแบบเฉลีย่ กันไปจะ ดีกว่า ไม่ใช่มารวมศูนย์นา�้ หนักไว้ทจี่ ดุ เดียวมากๆ เมือ่ น�าผ้าใบทาสีมาปิดทับ ถังเชือกของชาวอเมริกนั ท�าให้เรือเล็กดูราวกับก�าลังบรรทุกเค้กแต่งงานก้อน ใหญ่โตมโหฬารไปมอบให้แก่วาฬ ปลายเชือกทัง้ สองข้างจะถูกน�าไว้นอกถัง ปลายเชือกด้านล่างถังมีลกั ษณะ เป็นวงประกบหรือรูห่วงโผล่ออกมาจากข้างก้นถัง และปล่อยติดขอบทิ้งไว้ 380 : โมบี-ดิ๊ก
อย่างนั้นโดยไม่ได้เกี่ยวไว้กับอะไร การจัดวางปลายเชือกด้านล่างไว้อย่างนี้ก็ เพือ่ ประโยชน์สองประการ ประการแรก: เพือ่ ความสะดวกในการผูกเชือกต่อ เข้ากับเชือกอีกเส้นจากเรือล�าข้างๆ ในกรณีวาฬทีไ่ ด้รบั บาดเจ็บท�าท่าว่าจะดึง เชือกเส้นแรกที่ผูกติดกับฉมวกดิ่งจมหายไปกับมันทั้งเส้น กรณีเช่นนี้การไล่ ล่าวาฬจะถูกเปลี่ยนมือคล้ายกับเหยือกเบียร์ นั่นคือจากเรือล�าหนึ่งไปอีกล�า หนึง่ แม้เรือล�าแรกจะโฉบเข้ามาใกล้เพือ่ คอยช่วยเรือคูข่ องตนก็ตาม ประการ ทีส่ อง: การจัดวางแบบนีม้ เี ป้าหมายส�าคัญเพือ่ สร้างความปลอดภัย นัน่ เพราะ หากปลายเชือกด้านล่างผูกติดกับเรือจะท�าให้เวลาวาฬลากเชือกจนสุดภายใน คราวเดียว ซึ่งบางครั้งอาจเร็วภายในพริบตา มันจะไม่หยุดอยู่แค่นั้น แน่นอน ว่ามันจะลากเรือเคราะห์ร้ายนั้นจมตามมันลงไปใต้ทะเลลึก และเมื่อเป็นเช่น นั้นแล้วคงไม่มีผู้ป่าวประกาศราษฎรใดจะตามหาเรือเจอได้อีก ก่อนน�าเรือเชือดวาฬลงทะเลเพื่อปฏิบัติการไล่ล่า ปลายเชือกส่วนบนจะ ถูกน�าออกจากถังท้ายเรือ และน�าไปพันรอบเสากลมตรงนั้น แล้วลากเชือก ไปด้านหน้าเรืออีกครั้งตลอดความยาวของเรือ โดยไขว้เชือกบนช่องยึดพาย หรือด้ามจับไม้พายของแต่ละคน ด้วยลักษณะนี้เชือกจะกระทุ้งข้อมือของ พวกเขาขณะโยกพาย และยังลากเชือกผ่านฝีพายแต่ละคนโดยพวกเขาจะนัง่ ที่กราบเรือสลับกันคนละด้าน จากนั้นจึงน�าขึ้นไปร้อยไว้ที่ตาคล้อง หรือช่อง บนปลายสุดของหัวเรือ ซึง่ จะมีลมิ่ ไม้ หรือไม้กลัดขนาดเท่ากระสวยด้ายทัว่ ไป ไว้ใช้ปอ้ งกันการลืน่ หล่น เชือกจะถูกแขวนห้อยเป็นพวงเล็กๆ อยูบ่ นตาคล้อง แล้วลากผ่านเข้ามาด้านในเรืออีกครั้ง เชือกที่เหลือยาวประมาณสิบหรือยี่สิบ ฟาทอมจะถูกขดไว้ในคอก (เรียกว่าแนวรอก) บนหัวเรือ ซึง่ อาจมีอกี บางส่วน พาดยาวไปทางกราบเรือด้านท้ายเล็กน้อย จากนั้นปลายส่วนนี้จะผูกติดกับ เชือกผูกโยง ซึง่ เป็นเชือกทีใ่ ช้เชือ่ มต่อกับฉมวกได้โดยตรง แต่กอ่ นเชือ่ มต่อกัน เชือกผูกโยงจะต้องผ่านขั้นตอนต่างๆ นานามากมายจนน่าร�าคาญ ด้วยเหตุนี้เชือกวาฬจึงพันอยู่รอบเรือในสภาพขดซ้อนกัน บิดไปพันมา เกือบทุกทิศทาง ฝีพายทุกคนอยู่ในวงล้อมบิดเบี้ยวน่ากลัวนี้ ซึ่งในสายตาตื่น เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 381
กลัวของคนบนบก อาจเห็นพวกเขาเป็นแขกเล่นปาหี่ที่มีงูร้ายเริงร่าพันเกี่ยว แขนขาของพวกเขา ทันทีทไี่ ด้เห็นไม่มมี นุษย์คนใดบนโลกใบนีท้ กี่ ล้าพาตัวเอง ไปนัง่ อยูท่ า่ มกลางวงกตสายป่านทีแ่ ทบจะขึงตรึงเขาไว้กบั ไม้พาย ลองนึกดูวา่ คนพวกนีแ้ ทบไม่รตู้ วั เลยว่าฉมวกจะถูกพุง่ ออกไปเมือ่ ไร แล้ววงล้อมบิดเบีย้ ว ของเชือกเหล่านี้จะมีสภาพคล้ายกับสายฟ้าแลบเมื่อใด พวกเขาไม่สามารถ ควบคุมตัวเองไม่ให้สั่นกลัวจนไขกระดูกสั่นกระเพื่อมอยู่ภายในราวกับเยล ลี่กระเพื่อมไหว ทว่าความเคยชินเป็นเรื่องแปลก! ความเคยชินท�าอะไรไม่ ส�าเร็จบ้าง? คนรักสนุกจะร่ายโวหารออกมาได้สนุกสนานมากกว่า ขบข�ายิ่ง กว่า และยอกย้อนได้หลักแหลมกว่า คุณจะไม่ได้ยนิ โวหารเหล่านัน้ บนโต๊ะไม้ มะฮอกกานีของคุณ แต่คณ ุ จะได้ยนิ ค�ารืน่ รมย์เช่นนัน้ บนแผ่นกระดานไม้ซดี าร์ สีขาวบางนิว้ ครึง่ ของเรือล่าวาฬ ขณะถูกแขวนอยูใ่ นบ่วงของเพชฌฆาต เหมือน พลเมืองผู้กล้าทั้งหกแห่งกาแล1 เบื้องหน้าพระเจ้าเอ็ดเวิร์ด ทั้งหกอาสาเป็น ลูกเรือมุ่งหน้าสู่กรามมฤตยูโดยมีบ่วงแขวนคออย่างที่คุณเองก็คาดการณ์ได้ หากพิจารณาเพียงสักนิดคุณจะมองภาพออกถึงหายนะภัยต่างๆทีเ่ กิดขึน้ ซ�้าแล้วซ�้าเล่าระหว่างการล่าวาฬ ซึ่งบางเหตุการณ์ได้รับการบันทึกไว้อย่าง ไม่เป็นทางการ หายนะภัยจากเชือกกระชากเอาลูกเรือคนนี้ หรือคนนั้นหาย ไปจากเรือ เมื่อเชือกถูกเหวี่ยงออกไป การนั่งอยู่ในเรือขณะนั้นเหมือนนั่ง อยู่ท่ามกลางเสียงหวีดสะท้อนกลับไปมาของเครื่องจักรกลไอน�้าที่ก�าลังเดิน เครื่องเต็มก�าลัง ช่วงเวลานั้นทุกสิ่งทุกอย่างปลิวสะบัด ทั้งคานไม้ ด้ามไม้ และห่วงล้อครูดไปบนเนื้อตัวคุณ แย่ยิ่งกว่านั้นเมื่อคุณไม่สามารถนั่งนิ่งอยู่ ใจกลางมรสุมร้ายเหล่านั้น เพราะเรือโยกไปมาราวกับเปลแกว่งไกว ท�าให้ คุณถูกโยนไปทางนัน้ ที ทางนีท้ ี โดยปราศจากสัญญาณเตือนให้รตู้ วั คุณท�าได้ เพียงแค่ทา� ตัวเองให้รา่ เริง ควบคุมสติและการกระท�าไม่ให้เลือ่ นลอย แล้วคุณ 1
ผู้น�าหกคนของคณะต่อต้านแห่งเมืองกาแล (เมืองท่าเรือทางตอนเหนือของฝรั่งเศส) ยอมสละชีพเข้า มอบตัว แต่พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่สามทางสั่งให้เอาเชือกแขวนเป็นบ่วงรอบคอก่อนออกมา แต่ภายหลังก็ ทรงละเว้นโทษประหาร
382 : โมบี-ดิ๊ก
จะรอดพ้นภัยพิบตั ไิ ด้เหมือนอย่างทีแ่ มเซปปา2ท�าได้ และหนีไปยังบริเวณทีซ่ งึ่ แสงอาทิตย์ไม่อาจส่องผ่านตัวคุณ ยิ่งไปกว่านั้น ท้องทะเลเงียบสงบมักเป็นสัญญาณให้พยากรณ์ได้ว่าพายุ ก�าลังตามมา บางครั้งอาจร้ายแรงยิ่งกว่าพายุเองเสียอีก เพราะอันที่จริงแล้ว ทะเลสงบเงียบเป็นเพียงสิ่งห่อหุ้มและลักษณะภายนอกของพายุ มันอัดแน่น ตัวมันเองไว้เหมือนดังเช่นตัวปืนเองไม่มีอันตรายอะไร หากแต่มันบรรจุผง ดินปืน ลูกกระสุน และแรงระเบิดเอาไว้ภายใน เช่นนัน้ เองเชือกทอดร่างอรชร ราวงูเลือ้ ยคดเคีย้ วอย่างเงียบๆบนตัวฝีพายแต่ละคนก่อนส�าแดงฤทธิเ์ ดชออก มานั้น ย่อมน�ามาซึ่งความน่ากลัวยิ่งกว่าความน่ากลัวอื่นใดในการปฏิบัติงาน นี้ ทว่าจะพูดมากไปท�าไม? ลูกเรือทุกคนต่างอยู่ภายในวงล้อมของเชือกวาฬ ทุกคนต่างแบกน�า้ หนักบ่วงไว้บนคอของพวกเขา ทว่าทันทีทบี่ ว่ งรัดความตาย จะเกิดขึน้ อย่างรวดเร็วและฉับพลัน มนุษย์ตา่ งตระหนักดีถงึ อันตรายแห่งชีวติ ทีเ่ งียบระงับ ลึกลับ และฉับพลันเสมอ หากคุณเป็นผูร้ หู้ ลักธรรม แม้นงั่ อยูใ่ น เรือล่าวาฬ คุณก็ไม่รู้สึกถึงความน่ากลัวกระเถิบเพิ่มขึ้นมากไปกว่าการนั่งอยู่ หน้าแสงเพลิงยามพลบค�า่ พร้อมด้วยเหล็กเขีย่ ไฟ และไม่มฉี มวกอยูข่ า้ งตัวคุณ
2
ตัวเอกในบทกวีของลอร์ด ไบรอน ถูกลงโทษให้เปลื้องผ้า มัดติดบนหลังม้าป่า แล้วปล่อยให้มันวิ่งไป ชะตากรรมของเขาจึงขึ้นอยู่กับม้าตัวนี้
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 383
บทที่ 61
สตับบ์จอมสังหาร
ถ้าส�าหรับสตาร์บัค วิญญาณหลอนของหมึกยักษ์เป็นสิ่งที่เรียกว่าลางร้าย ส�าหรับควีเควกแล้วนั่นกลับเป็นสิ่งที่ต่างออกไปมาก “ถ้านายเจอมันเมื่อไหร่ หมึกนั่น” เจ้าคนป่าพูดขณะลับฉมวกของเขากับ หัวเรือที่ห้อยอยู่ “นายจะได้พบเร็วไว มัน...วาฬ-ทุยน่ะ” วันถัดมาบรรยากาศยังคงเงียบระงับ อากาศร้อนอบอ้าวเหลือก�าลัง เหล่า ลูกเรือพีควอดไม่มีอะไรให้ต้องท�าเป็นพิเศษ พวกเขาเกือบหลับใหลไปกับ มนต์สะกดของท้องทะเลเวิ้งว้าง บริเวณมหาสมุทรอินเดียที่เราก�าลังล่องเรือ ผ่านอยูน่ ไี้ ม่ใช่จดุ ทีน่ กั ล่าวาฬเรียกกันว่าแหล่งหากิน นัน่ เพราะเห็นวาฬขนาด เล็ก โลมา ปลานกกระจอก และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ในน่านน�า้ บริเวณ นี้ น้อยกว่าบริเวณชายฝั่งแม่น�้ารีโอเดลาปลาตา หรือน่านน�้าเลียบชายฝั่งเปรู เวลานี้เป็นเวรผมต้องขึ้นไปยืนยามบนยอดเสากระโดงหน้า ผมเอนหลัง บนเชือกระโยงใบหลักหย่อนคล้อย พลิกตัวกลับไปมาอย่างเกียจคร้านอัน เป็นผลจากบรรยากาศชวนหลับใหลอย่างไม่มที างต้านทานได้ ในห้วงอารมณ์ เคลิ้มฝันสติสัมปชัญญะเลือนหาย ที่สุดจิตส�านึกผมก็ล่องลอยออกจากร่าง แม้ตัวยังคงสัปหงกราวลูกตุ้มแกว่งไปมา ทว่าพลังงานได้เคลื่อนจากไปไกล เกินกว่าฉุดรั้งกลับ ก่อนความเคลิบเคลิ้มเข้าครอบง�าเต็มจิตส�านึก ผมเหลือบเห็นลูกเรือบน เสากระโดงหลัก และเสากระโดงท้ายเรือต่างหลุดเข้าสู่ภวังค์กันไปหมดแล้ว 384 : โมบี-ดิ๊ก
พวกเราทั้งหมดต่างส่ายโงนเงนอย่างคนไร้ชีวิตบนคานไม้ ทุกๆ จังหวะของ การส่ายมีสญ ั ญาณเรียกมาจากเบือ้ งล่าง จากนายคัดท้ายเรือผูก้ า� ลังเคลิม้ หลับ คลืน่ ทะเลก็เช่นกัน ยอดคลืน่ เกียจคร้านผงกหัวเรียกให้เข้าสูภ่ วังค์มนต์สะกด แห่งท้องทะเล ตะวันออกพยักหน้าเรียกตะวันตก และดวงอาทิตย์ทกุ แห่งหน ทันใดนัน้ เอง คล้ายฟองอากาศผุดขึน้ ใต้รอ่ งหลุบเปลือกตา สองมือของผม คว้าเชือกระโยงไว้แน่นราวกับคีมจับ ความงดงามทีซ่ อ่ นกายอยูน่ นั้ ปลุกผมตืน่ จากภวังค์ ด้วยความตกใจผมกลับมามีสติอกี ครัง้ ดูนนั่ ! ใกล้ๆ กับใต้รม่ ของเรา ห่างออกไปไม่ถึงสี่สิบฟาทอม วาฬหัวทุยตัวเขื่องก�าลังม้วนตัวอยู่ในน�้าทะเล ดูคล้ายเรือรบล�าใหญ่พลิกคว�่า หลังกว้างของมันเป็นมันวาว สีคล้ายผิวชาว เอธิโอเปียนั้นส่องประกายแสงอาทิตย์คล้ายกระจกเงา ผลุบโผล่ล้อเล่นคลื่น บนท้องน�้า และพ่นพวยน�้ารื่นสุขเป็นครั้งคราว มันดูคล้ายคนเมืองลักษณะ ภูมิฐานก�าลังสูบกล้องยาเส้นอยู่ใต้ไออุ่นแสงอาทิตย์ยามเย็น ทว่ายาสูบนั้น... เจ้าวาฬน่าสังเวช...จะเป็นครั้งสุดท้ายของเจ้า ราวมนต์สะกดคลายภายใต้ไม้ คทาของผู้วิเศษ เรือล่าวาฬซึมเซาและกะลาสีที่หลับใหลในเรือต่างฟื้นตื่นขึ้น มาในทันใด ตัวโน้ตแห่งเสียงไล่ระดับจากทุกหนแห่งตลอดล�าเรือ พร้อมๆ กับโน้ตอีกสามตัวจากบนที่สูงตะโกนด้วยเสียงร้องอันคุ้นหู วาฬยักษ์ยังคง พ่นพวยน�า้ เค็มขึ้นสู่อากาศทีละน้อยๆ อย่างสม�่าเสมอ “เอาเรือลง! แล่นทวนลมไป!” เอแฮ็บตะโกนสั่ง และเพื่อปฏิบัติตามค�าสั่ง ของตัวเอง เขากระแทกพวงมาลัยลงก่อนนายท้ายเรือจะจับเอาไว้ได้ เสียงร้องตื่นเต้นของเหล่าลูกเรือคงท�าให้วาฬตกใจตื่น ก่อนเรือเล็กถูก หย่อนลงทะเล มันหมุนตัวสง่างามว่ายหันไปทางลม แต่ยังคงความสงบนิ่ง อย่างมั่นคง มีเพียงระลอกน�้ากระเพื่อมบางๆ ตามทางมันว่ายไปเท่านั้น แต่ นั่นก็ท�าให้คิดได้ว่ามันอาจไม่ได้รู้สึกตื่นตระหนกอะไร เอแฮ็บสั่งไม่ให้ใช้ไม้ พาย และไม่ให้ใครพูดอะไรแม้แต่กระซิบกระซาบต่อกัน พวกเราจึงต้องนั่ง อยู่บนขอบกราบเรือเหมือนชาวอินเดียนแดงออนตาริโอ1 ใช้มือพายน�้าอย่าง 1
อินเดียนแดงออนตาริโอ-ในแคดานา
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 385
คล่องแคล่วแต่ยังคงเงียบกริบ ลมสงบไม่ยอมให้ใบเรือไร้เสียงกางใบออก ไม่ นานนักขณะเราร่อนถลาออกไปล่า เจ้าอสุรกายก็โผขึน้ ยกหางตัง้ ฉากอยูก่ ลาง อากาศสี่สิบฟุต ก่อนจมลับตาเหมือนหอคอยถูกกลืนหายไป “นั่นปลายหาง!” เสียงร้องนั้นดังขึ้นทันทีหลังจากสตับบ์หยิบไม้ขีดขึ้นจุด กล้องยาสูบของเขา แล้วเงียบเสียงไป สิ้นเสียงเขาพักใหญ่ วาฬก็โผล่ขึ้นมา อีกครั้ง คราวนี้มันโผล่ขึ้นมาตรงหน้าเรือของนายขี้ยา และใกล้เรือของเขา มากกว่าเรือล�าอื่น สตับบ์ถือว่านี่เป็นโอกาสอันดีท่ีจะได้จับวาฬ ซึ่งเป็นที่ ชัดเจนแล้วว่าตอนนีม้ นั รับรูถ้ งึ การล่าของเขาแล้ว ดังนัน้ จึงไม่จา� เป็นต้องคอย เงียบเสียงระวังไม่ให้มนั ตืน่ ตัวอีก ลูกเรือเปลีย่ นจากใช้มอื พายน�า้ มาใช้ไม้แจว ส่งเสียงแจวดังกึกก้อง ขณะสตับบ์ยงั คงดูดควันยาเส้นพร้อมส่งเสียงเร่งเร้าลูก เรือของเขาให้เข้าจู่โจม ใช่แล้ว...การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ได้เกิดขึ้นกับวาฬตัวนี้แล้ว มันได้ล่วงรู้ ถึงอันตรายที่ก�าลังจะเกิดขึ้น เจ้าวาฬ “งอก” เอาส่วนที่ยื่นเฉียงออกมาจาก ยีสต์ที่มันหมักไว้ขึ้นมา2 “บุกมัน บุกเข้าไปหามัน หนุ่มๆ! ไม่ต้องรีบนัก เวลามีเยอะแยะ แค่บุก มันให้ได้ บุกไปหามันดั่งสายฟ้าฟาด แค่นั้นแหละ” สตับบ์ร้องเสียงดังขณะ พ่นควันออกมา “บุกไปเลย บอกให้พวกเขาจ�้าแรงๆ ไปยาวๆ แทชเทโก บุก เข้าไป แทช เจ้าลูกชาย บุกมัน เอาเลย แต่ใจเย็นๆ ล่ะ ใจเย็นๆ ท่องเอาไว้ ใจเย็นๆ ใจเย็นๆ แค่บุกเข้าหามันให้เหมือนกับมัจจุราชถมึงทึงเข้าใส่ ปีศาจ แสยะยิ้มให้ แล้วกระชากร่างไร้วิญญาณขึ้นมาจากสุสานของมัน หนุ่ม แค่นั่น แหละ บุกมันซะ!” “วู้ฮู้! วะฮี!” เจ้าเกย์เฮดเดอร์กรีดเสียงตอบรับ เงยหน้าขึ้นตะเบ่งเสียงโห่ 2
อวัยวะส่วนนี้อยู่ในเนื้อสีขาวสว่างที่เป็นส่วนประกอบทั้งหมดภายในหัวขนาดใหญ่ของวาฬหัวทุย แม้มี ขนาดใหญ่จนเห็นได้ชัด แต่กเ็ ป็นส่วนที่ลอยน�า้ ได้มากทีส่ ดุ เหตุนมี้ ันจึงสามารถยกสูงขึน้ กลางอากาศได้ ง่าย และมักท�าเช่นนัน้ เสมอในเวลาว่ายน�า้ เร็วสุดขีด นอกจากนีค้ วามกว้างของหัวส่วนหน้าด้านบน และ รูปร่างเรียวเล็กส่วนล่างท�าให้หวั ของมันยกเฉียงขึน้ จนอาจกล่าวได้วา่ มันก�าลังแปลงร่างจากเรือท้องแบน หน้าตัดเอื่อยเฉื่อย มาเป็นเรือน�าร่องนิวยอร์กหัวเรียวแหลม
386 : โมบี-ดิ๊ก
ร้องขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างช�า่ ชอง ขณะฝีพายทุกคนบนเรือขึงตรึง ต่างกระโจนไป ข้างหน้าอัตโนมัตอิ อกแรงจ�า้ สุดก�าลังตามเสียงโห่รอ้ งเร่งเร้าของเจ้าอินเดียแดง เสียงหวีดร้องบ้าคลั่งของเขาได้รับการตอบรับอย่างท้วมท้นจากคนอื่นๆ ด้วย “คีฮี! คีฮี!” แด๊กกูแผดเสียงตะโกน ขณะกระสับกระส่ายกระเถิบหน้า กระเถิบหลังอยู่บนที่นั่งของตัวเอง คล้ายดั่งเสือติดจั่นอยู่ในกรงของตน “คาลา! คูลู!” ควีเควกส่งเสียงโห่หอน คลับคลาว่าเขาจะตบริมปีปากอ้า งับชิ้นเนื้อค�าใหญ่ของทหารกองทัพ เสียงตะโกนโห่ร้อง และแรงจ�า้ ของฝีพาย ท�าให้โครงเรือจ้วงแทงน�้าทะเล ขณะเดียวกันสตับบ์ยังคงรักษาต�าแหน่งกอง หน้า ส่งเสียงกระตุน้ ลูกเรือของเขาให้เร่งจูโ่ จม ทัง้ ทีใ่ นปากพ่นควันยาสูบตลอด เวลา เหล่าลูกเรือคล้ายบ้าระห�า่ ต่างออกแรงดึง และตรึงไม้พายสุดแรงกระทัง่ เสียงแห่งความปรีดาดังให้ได้ยิน “ยืนขึ้น แทชเทโก! พุ่งหลาวใส่มัน!” ฉมวก ถูกเหวี่ยงออกไป “ทุกคน ไปทางด้านหลัง!” ฝีพายแจวทวนน�้า ช่วงเวลา เดียวกันนัน้ บางสิง่ มีอณ ุ หภูมริ อ้ นขึน้ และส่งเสียงฟูอ่ ยูต่ ามข้อมือของพวกเขา สิง่ นัน้ คือเชือกวิเศษ ช่วงจังหวะนัน้ สตับบ์รบี คว้าขึน้ มาพันเสาหลักเพิม่ อีกสอง รอบ การพันรอบเพิ่มขึ้นกะทันหันนั้นเป็นเหตุให้ความแห้งของเชือกป่านเกิด ควันลอยขึน้ มาผสมกลมกลืนไปกับควันยาสูบทีเ่ ขาพ่นออกมาเป็นพักๆ ก่อน เส้นเชือกเสียดสีรอบเสากลม ก่อนหน้านัน้ ตลอดทัง้ เส้นผ่านการเสียดสีจนเกิด ความร้อนจัดมาแล้วกับมือสองข้างของสตับบ์ที่สวมถุงมือ หรือชิ้นผ้าบุหนา ซึ่งบางครั้งอาจกร่อนขาดได้ในช่วงนี้ มันคล้ายกับการใช้ดาบคมสองเล่มยึด คมดาบของศัตรูไว้ ขณะศัตรูพยายามกระชากดาบออกจากการยึดจับของคุณ “ราดน�้าเชือก! ราดน�้าเชือก!” สตับบ์ร้องบอกฝีพายประจ�าถัง (นั่งอยู่ติด ถังเชือก) เขารีบคว้าหมวกจากหัวลงตักน�้าทะเลขึ้นสาดใส่เชือก3 แล้วท�าซ�้าๆ อีกหลายครั้งจนเชือกเริ่มกลับมามีสภาพปกติ เรือในเวลานี้จึงแล่น ผ่านน�้า เดือดคล้ายฉลามถูกตัดครีบออกหมด สตับบ์ และแทชเทโกสลับต�าแหน่งกัน 3
การกระท�าเช่นนีจ้ า� เป็นต้องกล่าวถึงไว้ตรงนีว้ า่ ในการประมงดัทช์สมัยก่อน จะใช้มดั ผ้าจุม่ น�า้ ถูไปบนเส้น เชือกทีก่ า� ลังถูกลากดึง เรือเดินสมุทรจ�านวนมากจะมีถงั ไม้เล็ก หรือถังวิดน�า้ เตรียมไว้สา� หรับใช้ในการนี้ โดยเฉพาะ อย่างไรก็ตามหมวกของคุณเป็นของที่หยิบฉวยได้ง่ายสุด
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 387
ระหว่างหัวเรือ และท้ายเรือ การเดินโงนเงนผ่านล�าเรือเช่นนั้นท�าให้เรือโยก คลอนจนเกิดโกลาหล เนื่องจากแรงสั่นสะเทือนของเชือกขยายวงกว้างออกไปตลอดช่วงบนเรือ อีกทั้งในเวลานี้มันขึงตึงเสียยิ่งกว่าสายพิณ คุณลองนึกถึงเรือที่มีโคลงสอง ส่วน ส่วนหนึ่งก�าลังพุ่งแหวกอยู่ในน�้า อีกส่วนแหวกตัวอยู่กลางอากาศ เมื่อ เรือถูกพัดปั่นจากธาตุธรรมชาติทั้งสองในเวลาเดียวกัน น�้าทะเลสาดพรมเข้า มาในเรือดังน�้าตก สายน�้าวนวนเวียนตามรอยทางน�้า ช่วงเวลานั้นเรือแทบ ไม่ได้ขยับแม้เพียงคืบ แรงสั่นสะบัดเรือเอียงจนกราบเรือกระตุกลงทะเลเป็น พักๆ ช่วงเวลานัน้ ลูกเรือทุกคนต่างรีบเกาะติดทีน่ งั่ ของตนอย่างสุดก�าลังเพือ่ ไม่ให้ถูกเหวี่ยงจมฟองคลื่นไป ร่างสูงใหญ่ของแทชเทโกก้มลงเป็นสองเท่าอยู่ ตรงหางเสือเรือเพื่อดึงศูนย์ถ่วงของเขาลง มหาสมุทรทั่วทั้งแอตแลนติก และ แปซิฟิคเหมือนจะรับรู้ถึงความพยายามของพวกเขา กระทั่งบันดาลให้วาฬ เพลาการโจมตีของมันลง “ลากมา...ลากมา!” สตับบ์ตะโกนสั่งลูกเรือ! แล้วหันหน้ากลับไปยังวาฬ ลูกเรือทุกคนดึงเรือคืบเข้าหามัน เป็นจังหวะเดียวกับทีเ่ รือถูกลากเข้าไปท�าให้ เรือขึ้นไปประชิดสีข้างมัน สตับบ์ยันเข่ากับเสาเรือไว้มั่น แล้วรีบซัดหลาวออก ไปยังวาฬที่ก�าลังโฉบหนี สิ้นเสียงค�าสั่งนั้นเรือเปลี่ยนทิศแล่นไปทางตรงกัน ข้ามวิ่งออกห่างจากการเกลือกกลิ้งน่ากลัวของวาฬ จากนั้นหลาวอันที่สอง ถูกหยิบขึ้นมาตั้งวิถีพุ่งอีกครั้ง ตอนนีก้ ระแสน�า้ สีแดงหลัง่ รินออกมาจากทุกด้านของอสุรกายคล้ายล�าธาร ไหลกรูจากเนินเขา ร่างอันเจ็บปวดไม่ได้เกลือกกลิ้งอยู่ในน�้าเค็ม แต่เป็นน�้า เลือดที่ผุดฟองขึ้นเดือดพล่านเป็นวงกว้างจากตัวมันออกไปหลายเฟอร์ลอง ความหักเหของแสงอาทิตย์บิดเบือนบ่อน�้าสีแดงเข้มในทะเลส่องสะท้อนสี เลือดแดงฉานฉายฉาบบนใบหน้าของแต่ละคนจนดูราวกับชาวอินเดียนแดง ชั่วเวลานั้นพวยน�้าจากลมหายใจสีขาวระเบิดความเจ็บปวดทรมานออกมา จากช่องหายใจของวาฬ ขณะควันยาสูบพวยพ่นจากปากเพชฌฆาตผู้ไม่อาจ 388 : โมบี-ดิ๊ก
คุมสติตน หอกทุกด้ามที่ขว้างออกไปถูกถอนกลับมาพร้อมกับคมหอกโก่งงอ (โดยกระตุกเชือกที่มัดติดไว้) สตับบ์บิดมันให้ตรงครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยการ ฟาดมันแรงๆ กับขอบบนกราบเรือ แล้วแทงไปบนตัววาฬอีกซ�้าแล้วซ�้าเล่า “ดึงขึ้น.. ดึงขึ้น!” คราวนี้เขาร้องบอกลูกเรือด้วยน�้าเสียงผ่อนคลายลง ราวกับวาฬซีดไร้สีเลือดผ่อนปรนความแค้นของเขาลง “ดึงขึ้น! เอาเข้ามา ใกล้ๆ!” จากนั้นเรือเข้าไปจอดข้างตัววาฬ เมื่อดึงมันขึ้นมาจนเกือบสูงกว่า หัวเรือ สตับบ์ใช้หลาวคมยาวแทงลงไปบนตัววาฬแล้วคว้านช้าๆ อยู่ตรงนั้น คว้านแล้วคว้านอีกอยู่อย่างนั้นราวกับก�าลังตั้งใจควานหานาฬิกาทองที่วาฬ อาจกลืนเข้าไป และเขากลัวว่ามันอาจได้รบั ความเสียหายก่อนเขาจะเกีย่ วมัน ออกมาได้ ทว่านาฬิกาทองทีเ่ ขาพยายามควานหาอยูน่ นั้ ก็คอื ดวงใจทีฝ่ งั อยูล่ กึ ข้างในตัววาฬ และตอนนีม้ นั ถูกค้นพบแล้ว และก�าลังหลุดเข้าสูส่ ภาวะทีส่ ง่ ผล ให้สง่ิ ทีเ่ รียกว่า “ไขมันเดือด” ของมันพุง่ ทะลักออกมา อสุรกายเกลือกกลิง้ อยู่ บนกองเลือด ห่อหุม้ ตัวมันเองไว้ในละอองน�า้ เดือดอย่างบ้าคลัง่ จนยากเข้าใจ กระทั่งเรือเสี่ยงต่อภัยอันตราย ฉับพลันนั้นต่างถอยหลังออกมา ตะลีตะลาน กระเสือกระสนดิ้นรนออกจากรัศมีความบ้าระห�่านั้นสู่อากาศบริสุทธิ์แห่งวัน ตราบเมื่อไขมันเดือดบรรเทาลง วาฬโผล่ออกมาให้เห็นอีกครั้ง! คลื่นซัด มันจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง กล้ามเนื้อช่องหายใจของมันขยายออก และ หดเกร็งเข้าพร้อมกับเสียงลมหายใจดังเสียดแทงแก้วหู ในทีส่ ดุ ลิม่ เลือดสีแดง ไหลทะลักออกมาราวกับตะกอนสีม่วงของไวน์แดงพุ่งเขย่าขวัญท้องฟ้า ก่อน ร่วงหล่นลงมาอีกครัง้ หลัง่ รดร่างไม่ไหวติงของมันทีล่ อยอยูใ่ นทะเล หัวใจของ มันถูกระเบิดแตกแล้ว! “มันตายแล้ว คุณสตับบ์” แด๊กกูพูดขึ้น “จริงสินะ ยาสูบหมดไปสองกล้องแล้วนี่!” พูดจบก็ถอนกล้องยาเส้นออก จากปาก สตับบ์โปรยมอดขี้เถาลงบนผืนน�้า ช่วงเวลานั้นสายตาครุ่นคิดจับ จ้องไปที่ซากขนาดใหญ่ที่เขาเป็นผู้ลงมือสังหาร
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 389
บทที่ 62
วิถีฉมวก
นั่นเป็นค�าที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในบทก่อนหน้านี้ ธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบทอดต่อๆ กันมาในวงการประมง คือเรือเชือด วาฬจะถูกปล่อยจากเรือใหญ่พร้อมกับเพชฌฆาต หรือนักฆ่าวาฬผู้ทา� หน้าที่ ถือหางเสือชั่วคราว และนักพุ่งฉมวก หรือคนผูกรัดวาฬซึ่งจะนั่งประจ�าอยู่ ต�าแหน่งฝีพายคนหน้าสุด รู้จักกันในชื่อฝีพายนักพุ่งฉมวก ต�าแหน่งนี้จ�าเป็น ต้องใช้คนที่มีช่วงแขนแข็งแรง และแม่นย�าในการขว้างเหล็กแหลมใส่วาฬ เพราะสิง่ ทีใ่ ช้ขว้างมักเป็นอาวุธหนัก คมหอกยาว ซึง่ จะต้องขว้างในวิถไี กลถึง ยีส่ บิ หรือสามสิบฟุตได้ ทว่าในกรณีวาฬทีถ่ กู ล่าหลบหนีไปไกล นักพุง่ ฉมวกยัง ต้องท�าหน้าที่ออกแรงจ�้าไม้แจวอย่างสุดก�าลังไปพร้อมๆ กันด้วย จริงๆ แล้ว เขาถูกก�าหนดให้เป็นตัวอย่างแก่ฝพี ายทีเ่ หลือให้ทมุ่ เทพละก�าลังเหนือมนุษย์ ธรรมดาในการปฏิบัติภารกิจ ไม่เพียงต้องออกแรงแจวอย่างบ้าคลั่งจนเหลือ เชื่อ แต่ยังต้องตะเบ่งเสียงโห่ร้องปลุกความหาญกล้าซ�้าๆ เพื่อผลักดันศักย ก�าลังของมนุษย์ให้ขนึ้ ถึงขีดสุด เวลานัน้ เองกล้ามเนือ้ ของเหล่าลูกเรือกระตุก ตึง มันเกิดขึน้ ได้อย่างไรไม่มใี ครรูน้ อกจากบรรดาผูท้ เี่ คยผ่านประสบการณ์นนั้ มาแล้ว ตัวผมเองไม่เคยตะโกนสุดอารมณ์ และไม่เคยร่วมแรงสุดก�าลังอย่าง บ้าระห�า่ เลยสักครัง้ ขณะตะเบ็งโห่รอ้ งสุดเสียง เวลานัน้ เขาหันหลังให้วาฬ และ ทันทีที่นักพุ่งฉมวกหมดแรงได้ยินเสียงเรียกสั่ง “ยืนขึ้น พุ่งใส่มัน!” เขาต้องรีบ หยุดวางไม้แจวของตนให้เรียบร้อยก่อนหันกลับมาคว้าฉมวกจากง่ามไว้มั่น 390 : โมบี-ดิ๊ก
มือ แล้วใช้พละก�าลังทีเ่ หลืออยูน่ อ้ ยนิดพยายามท�าทุกอย่างเพือ่ ขว้างมันออก ไปที่ตัววาฬ ไม่ใช่เรื่องแปลก...หากนักล่าวาฬรวมกันเป็นกองทัพจนเกิดโอกา สงามๆ ในการขว้างฉมวกสักห้าสิบครัง้ ทว่าสักห้าครัง้ พวกเขายังท�าไม่สา� เร็จ ไม่ใช่เรื่องแปลกหากมีนักพุ่งฉมวกอับโชคจ�านวนมากโดนประณามและลด ความน่าเชื่อถือ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเขาบางคนต้องหลั่งเลือดบนเรือเชือด วาฬ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่นักล่าวาฬหัวทุยจะหายไปจากวงการนานร่วมสี่ปีเมื่อ ได้ไขมันสีบ่ าร์เรล ไม่ใช่เรือ่ งแปลกทีเ่ จ้าของเรือจ�านวนมากมองว่าการล่าวาฬ เป็นแค่ธุรกิจเสี่ยงโชค เพราะทั้งหมดขึ้นอยู่กับนักพุ่งฉมวกที่ร่วมการเดินทาง หากคุณพรากลมหายใจไปจากร่างของเขาแล้ว จะคาดหวังได้พบลมหายใจนัน้ ที่นั่นยามปรารถนาอย่างไรได้ ครัน้ หากพุง่ ฉมวกได้สา� เร็จ เมือ่ นัน้ เหตุฉกุ เฉินจะเกิดขึน้ เป็นครัง้ ทีส่ อง นัน่ คือเมือ่ วาฬเริม่ ว่ายน�า้ หนี ผูน้ า� เรือและนักพุง่ ฉมวกจะวิง่ พร้อมกันจากหัวเรือ ไปท้ายเรือ และจากท้ายเรือไปหัวเรือในช่วงเวลาที่อันตรายใกล้จวนตัวพวก เขา และคนอื่นๆ บนเรือ เมื่อสลับต�าแหน่งกันแล้ว เวลานั้นเพชฌฆาต...คน สั่งการสูงสุดของเรือเล็กเข้าประจ�าต�าแหน่งบนหัวเรือ ตอนนี้ผมไม่ได้สนใจว่าใครจะยังคงอยู่ตรงข้ามกันอย่างไร นอกเสียไป จากว่าเรื่องนี้ทั้งโง่และไร้สาระ เพชฌฆาตควรอยู่หัวเรือตั้งแต่ต้นจนจบ เขา ควรเป็นทั้งคนพุ่งหลาว ละฉมวก ไม่ควรให้เขาต้องมานั่งแจวเรือ เว้นแต่ใน สถานการณ์ทจี่ า� เป็น ผมรูว้ า่ ธรรมเนียมปฏิบตั เิ ช่นนีค้ งเป็นเพราะความเร็วของ สัตว์ที่ถูกล่าแทบไม่ได้ลดลง แต่จากประสบการณ์อันยาวนานร่วมกับเป็นนัก ล่าวาฬหลากหลายประเภทมากกว่าหนึ่งชนชาติท�าให้ผมเชื่อมั่นว่า ความล้ม เหลวในการจับวาฬส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากความเร็วของมันมากไปกว่าอาการ หมดแรงของนักพุ่งฉมวก เพื่อให้แน่ใจในประสิทธิภาพสูงสุดของการพุ่งฉมวก นักพุ่งฉมวกบนโลก นี้ควรเริ่มภารกิจของตนจากพละก�าลังที่เต็มเปี่ยมพร้อม ไม่ใช่จากเรี่ยวแรงที่ ยังคงเหลือหลังตรากตร�างานหนัก เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 391
บทที่ 63
ง่ามพักฉมวก
ต้นไม้เติบโตแตกกิ่งก้านสาขาออกมาเป็นกิ่งไม้ฉันใด ความสมบูรณ์ของการ เล่าเรื่องย่อมควรแตกย่อยออกมาเป็นบทเพิ่มเติมฉันนั้น เนื่องเพราะง่ามถูกกล่าวพาดพิงถึงในหน้าก่อน จึงสมควรอธิบายแยก ออกมาอีกบท ลักษณะพิเศษของมันที่เป็นไม้ง่ามความยาวประมาณสองฟุต จะถูกเสียบตั้งฉากอยู่บนขอบกราบเรือขวาบริเวณใกล้หัวเรือ เพื่อใช้ส�าหรับ พักปลายไม้ฉมวกด้านไม่มีคมเงี่ยงโดยวางเอียงลาดยื่นมาจากหน้าเรือ นั่น ก็เพื่อให้อาวุธอยู่ใกล้มือคนขว้างสามารถคว้าได้ง่ายในทันทีที่ต้องการใช้งาน เหมือนดังเช่นคนป่าคว้าลูกธนูจากด้านหลังของเขา ตามปกติแล้วจะมีฉมวก สองอันวางอยู่ในง่ามนี้เรียกว่าฉมวกหนึ่งและฉมวกสอง ฉมวกสองอันนี้ต่างมีเชือกอันละเส้นและผูกติดกับเชือกวาฬทั้งสองเส้น ทัง้ นีก้ ็เพือ่ ใช้พงุ่ ออกไปทัง้ สองอันเมือ่ มีโอกาส โดยพุง่ อันทีส่ องใส่วาฬตัวเดิม ในทันที่พุ่งอันแรกไป เผื่อว่าเมื่อถูกวาฬลากไปแล้วท�าให้อันใดอันหนึ่งหลุด จากตัวมัน ก็ยังมีเหลืออีกอันที่ยังติดอยู่ เป็นการเพิ่มโอกาสในการจับวาฬ ให้ได้ ทว่าบ่อยครั้งที่หลังวาฬโดนฉมวกหนึ่งปัก มันจะกระตุกตัวว่ายหนีไป อย่างรวดเร็ว จึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่นักพุ่งฉมวกจะขว้างฉมวกสองออก ไปได้ทัน เพราะนั้นหมายถึงเขาต้องมีการเคลื่อนไวที่เร็วดังสายฟ้าแลบเลย ทีเดียว แม้กระนั้น เพราะฉมวกสองถูกผูกติดกับเชือกวาฬไว้แล้ว ดังนั้นเมื่อ เชือกถูกลากไปไม่ว่ากรณีใดก็ตาม อาวุธอันนี้ต้องรีบโยนออกนอกเรือไปใน 392 : โมบี-ดิ๊ก
ทันที เพื่อไม่ให้เกิดเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง ณ ที่ใดที่หนึ่ง หรือกรณีอื่นใดอัน จะเป็นอันตรายร้ายแรงแก่ลูกเรือทุกคน เมื่อเหล็กแหลมลงไปหกคะเมนอยู่ ในน�้าแล้วขดเชือกในถังเชือกฉมวก (เคยกล่าวถึงแล้วในบทก่อนหน้านี้) จะ ท�าหน้าที่รั้งมันไว้ในทันที ทว่าเหตุวิกฤตินี้มักเป็นเหตุให้เกิดโศกนาฏกรรม และท�าคนบาดเจ็บล้มตายเสมอ ยิ่งไปกว่านั้น คุณควรรู้ด้วยว่าเมื่อฉมวกสองถูกปาออกนอกเรือแล้ว ก็จะ ถูกเหวีย่ งห้อยไปมาอย่างน่ากลัว เหมือนม้าพยศยกขาร่าระหว่างเรือและวาฬ อยู่อย่างนั้น ท�าให้เชือกพันกันยุ่งหรือไม่ก็ตัดเชือกจนขาด และสร้างความ โกลาหลอลหม่านไปทุกทิศ ซึง่ โดยปกติแล้วจะหยุดมันได้อกี ครัง้ ก็เมือ่ วาฬถูก จับตายและกลายเป็นซากแล้ว คราวนี้ลองนึกดูสิว่าจะเป็นยังไง หากเรือสี่ล�าต่างพันตูอยู่กับวาฬที่มีไหว พริบ ปราดเปรียว และแข็งแรงผิดธรรมดา ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ของมัน ร่วม กับเหตุรา้ ยคล้ายๆ กันทีเ่ กิดขึน้ กับธุรกิจเสีย่ งภัยนีน้ บั พันครัง้ คงต้องมีฉมวก สองสักแปดหรือสิบอันห้อยแกว่งไปมาพร้อมๆ กันบนตัวมัน และแน่นอนว่า เรือแต่ละล�าย่อมต้องเตรียมฉมวกผูกเชือกไว้หลายอัน เพือ่ ไม่ตอ้ งใส่ใจกูก้ ลับ คืนเหล็กแหลมอันแรกที่พลาดเป้า เรื่องราวทั้งหมดนี้จะถูกบรรยายไว้อย่าง ตรงไปตรงมาในหนังสือเล่มนี้ อย่างไรก็ตามหลายช่วงหลายตอนอาจมีความ ซับซ้อนไปบ้าง นัน่ ก็เพราะต้องการอธิบายประเด็นทีม่ คี วามส�าคัญมากหลาย ประเด็นในเหตุการณ์ที่จะได้บรรยายต่อไปนี้
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 393
บทที่ 64
อาหารมื้อค�่าของสตับบ์
วาฬของสตับบ์ถกู ฆ่าห่างไปจากเรือใหญ่พอประมาณ เวลานีท้ ะเลสงบพอจะ โยงเรือสามล�าเข้าด้วยกันเพือ่ เริม่ ภารกิจทีต่ อ้ งใช้เวลาในการลากจูงรางวัลแห่ง ชัยชนะกลับสู่เรือพีควอด พวกเราสิบแปดคน สามสิบหกแขน นิ้วโป้งและนิ้ว มือรวมกันหนึ่งร้อยแปดสิบนิ้วช่วยกันออกแรงอย่างหนักค่อยๆ ลากซากไร้ วิญญาณอืดเอื่อยในทะเลเป็นเวลานานชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า แต่ดูเหมือนมัน แทบไม่ขยับเขยือ้ นเอาเสียเลย ตราบเมือ่ เวลาผ่านพักใหญ่จงึ ได้ประจักษ์ชดั ว่า ร่างใหญ่โตมหึมานัน้ เคลือ่ นตามแรงลากของเรา หากเป็นคลองฮวงโห หรือจะ ชือ่ อะไรก็ตามทีช่ าวจีนเรียกมันนัน้ คงต้องใช้คนงานประมาณสีห่ รือห้าคนบน ทางเท้า ฉุดลากเรือส�าเภาบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่ในอัตราความเร็วหนึ่งไมล์ ต่อชัว่ โมง แต่สา� หรับกองเรือขนส่งสินค้าอาร์โกซีข่ นาดมหึมานีเ้ ราต้องฉุดลาก ด้วยความทุลักทุเลราวกับมันบรรทุกตะกั่วหล่ออยู่ภายใน ดวงบนกราบเรือลงมา สายตาว่างเปล่าจ้องมองวาฬทีล่ ากมาชัว่ อึดใจหนึง่ แล้วเขาก็ออกค�าสัง่ ตามปกติเหมือนเช่นทุกวันบอกให้เฝ้าระวังเวรยามในเวลา ค�่า แล้วยื่นโคมไฟนั้นให้ลูกเรือคนหนึ่ง ก่อนเดินกลับไปยังห้องเครื่อง และไม่ กลับออกมาอีกกระทั่งเช้าวันใหม่ แม้ตามติดการไล่ล่าวาฬตัวนี้อย่างใกล้ชิด เอแฮ็บยังคงปฏิบัติตนเหมือน ดังเช่นปกติ ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพราะแม้ประจักษ์ชัดว่าสัตว์ตัวนี้ตายลงแล้ว ทว่า คลับคล้ายความขุ่นเคือง กระวนกระวาย และผิดหวังยังคงคุกรุ่นอยู่ในตัว 394 : โมบี-ดิ๊ก
เขา ราวกับว่าภาพร่างไร้วิญญาณนั้นตอกย�้าให้เขารู้ว่าโมบี้ดิ๊กยังคงไม่ได้ถูก สังหาร และถึงแม้วาฬอื่นใดนับพันจะถูกน�ามายังเรือของเขา ก็ไม่มีตัวใด ทดแทนได้แม้เพียงขี้เล็บของเป้าหมายที่ฝังลึกอยู่ในแรงแค้นของเขา ในเวลา อันใกล้นี้ คุณจะได้ยนิ เสียงบนดาดฟ้าเรือพีควอดขณะลูกเรือทุกคนก�าลังช่วย กันทอดสมอลงทะเลลึก โซ่เส้นใหญ่จะถูกลากไปตามดาดฟ้าเรือ และสอด เคลื่อนออกหน้าต่างใต้ท้องเรือ ทว่าเสียงแคร๊งๆ ของลูกโซ่ที่กระทบกันนั้น เป็นเสียงซากศพขนาดใหญ่ถูกผูกพันธนาการ...ไม่ใช่เรือ มันถูกมัดตั้งแต่ส่วน หัวไปถึงส่วนท้าย และจากส่วนหางมายังหัวเรือ เวลานี้วาฬจึงนอนเคียงข้าง ตัวเรือสีดา� เมื่อมองฝ่าความมืดในเวลากลางคืน ซึ่งเครื่องเสาและสายระโยง ด้านบนคลุมเครือท�าให้ทั้งเรือเดินสมุทร และวาฬดูคล้ายใส่เทียมสัตว์ใหญ่ อย่างวัวตอน ตัวหนึ่งนอนเอกเขนก ขณะอีกตัวก�าลังยืนอยู่* *ขอกล่าวรายละเอียดเพิ่มเติมตรงนี้ว่า การพันธนาการวาฬไว้ข้างเรือเดิน สมุทรนั้นกระท�าอย่างแน่นหนา และมั่นใจได้ โดยจะมัดส่วนที่เป็นเงี่ยง หรือ หางของมัน เนื่องจากบริเวณนั้นมีความหนาแน่นมากจึงค่อนข้างแข็งแรงกว่า ส่วนอื่น (ยกเว้นครีบข้างล�าตัว) มันมีความยืดหยุ่นแม้จะตายไปแล้วนั่นเพราะ เป็นส่วนที่จมอยู่ใต้น�้าดังนั้นมือของคุณจึงไม่สามารถเอื้อมจากเรือเล็กมาจับ สอดโซ่พันรอบตัวมันได้ แต่งานยากๆ นี้จัดการได้อย่างชาญฉลาดด้วยการน�า เอาเชือกเส้นเล็กแต่มคี วามแข็งแรงผูกติดกับแผ่นไม้ลอยน�า้ ทีป่ ลายเชือก ด้วยน�า้ หนักถ่วงตรงกลางขณะปลายด้านหนึง่ พันธนาการไว้อย่างแน่นหนาบนเรือเดิน สมุทรจึงท�าให้แผ่นไม้ลอยน�้าน�าปลายโซ่อีกด้านโผล่ขึ้นอีกฝั่งของตัววาฬอย่าง รวดเร็ว สายโซ่อยูใ่ นสภาพพร้อมใช้งานจะถูกไถลไปตามตัววาฬ และถูกพันรัด ส่วนที่เล็กที่สุดของหางตรงจุดเชื่อมต่อกับเงี่ยงกว้างสองด้านหรือลอนของมัน
แม้อารมณ์แปรปรวนของเอแฮ็บนิ่งสงบลงแล้วในเวลานี้ อย่างน้อยๆ ก็เป็น ทีป่ ระจักษ์ชดั กันบนดาดฟ้า ทว่าสตับบ์ผเู้ ป็นต้นหนของเรือ รืน่ เริงกับชัยชนะ เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 395
และทรยศหักหลังกับความเคยชิน ทว่าคงความตืน่ เต้นไว้ในทางทีค่ วร อารมณ์ พลุ่งพล่านที่ไม่เคยเป็นมาก่อนนั้นท�าให้สตาร์บัค ต้นเรือผู้มีต�าแหน่งสูงว่า สตับบ์ ซึ่งวางตัวสุขุมเสมอต้นเสมอปลาย ถึงกับเอ่ยปากกล่าวค�าอ�าลาเพื่อ ขอตัวไปใช้เวลาส่วนตัวอย่างเงียบๆ อาหารหนึ่งจานเป็นเหตุแห่งความเริง รื่นทั้งหมดในตัวสตับบ์ ซึ่งมันก�าลังถูกเผยออกมาอย่างน่าแปลกใจ สตับบ์ เป็นพวกสุรุ่ยสุร่าย เขาลุ่มหลงหัวปักหัวป�าที่จะเอาเนื้อวาฬมาแตะเพดาน ปากเพื่อชิมรสชาติของมัน “สเต็ก ฉันอยากกินสเต็กสักชิ้นก่อนนอน! เฮ้ย...แด๊กกู! ลงน�้าไปตัดเนื้อ ชิ้นจ้อยของมันมา!” เป็นที่รู้กันว่าแม้หมู่ชาวประมงเป็นคนป่าเถื่อน ทว่าการกระท�าเช่นนี้โดย ทั่วไปแล้วถือเป็นเรื่องไม่ควร เฉกเช่นหลักปฏิบัติของกองทัพผู้กล้าจะไม่ให้ ข้าศึกเป็นผู้ชดใช้ค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นในสงคราม (อย่างน้อยก็ก่อนการ เดินทางจะบรรลุผล) กระนั้นบางครั้งคราคุณจะพบว่าชาวแนนทักเก็ตบาง คนชื่นชอบรสชาติถึงเนื้อถึงรสของวาฬหัวทุย ส่วนที่สตับบ์ระบุซึ่งเป็นชิ้นเนื้อ ปลายแหลมเรียวของวาฬ ประมาณเทีย่ งคืน เนือ้ ส่วนนัน้ ถูกตัดออกมาปรุงเป็นอาหาร ภายใต้แสงไฟ จากโคมไขวาฬสองดวง สตับบ์ยนื แข็งขันตรวจสอบชิน้ เนือ้ สเต็กวาฬหัวทุยของ เขาบนหัวกว้านสมอ ท�าราวกับเครือ่ งกว้านเป็นดังตูจ้ ามชาม สตับบ์ไม่ได้เดียว ดายอยูใ่ นงานเลีย้ งเนือ้ วาฬเพียงล�าพังในค�า่ คืนนัน้ เสียงเคีย้ วบดง�าๆ ของเขา กลมกลืนสังสรรค์รว่ มกับเหล่าฉลามโหยนับพันนับหมืน่ ตัว ทีว่ า่ ยวนไปมารอบ ซากศพสัตว์ทะเลยักษ์ โฉบกัดกินความอุดมสมบูรณ์ของมันอย่างเอร็ดอร่อย ผู้หลับใหลอยู่บนที่นอนด้านล่างสะดุ้งตกใจในทุกครั้งเมื่อหางของพวกมัน ฟาดแรงไปที่ตัวเรือ ห่างไปเพียงไม่กี่นิ้วจากหัวใจของพวกเขา เพียงมองไป ด้านข้างคุณก็จะเห็นพวกมัน (เห็นก่อนที่คุณจะได้ยินเสียงพวกมันเสียอีก) เกลือกกลิง้ อยูใ่ นน�า้ ขุน่ มัว และพลิกตัวกลับหลังเมือ่ ขุดตักชิน้ เนือ้ วาฬเป็นรูป ทรงกลมขนาดใหญ่เท่าหัวคน ความสามารถเฉพาะตัวเช่นนีข้ องฉลามช่างเป็น 396 : โมบี-ดิ๊ก
เรื่องน่าอัศจรรย์ ผิวเนื้อที่ยากต่อการโจมตีเช่นนั้น เหตุใดพวกมันจึงสามารถ แซะออกมาได้เต็มค�า เรื่องนี้ยังคงเป็นปัญหาชวนคิดตลอดมา รอยกัดที่พวก มันทิ้งไว้บนตัววาฬเปรียบได้กับรูที่ช่างไม้เจาะไว้ส�าหรับใส่ตะปูควง ช่วงขณะความโหดเหีย้ ม และสยดสยองคละคลุง้ ทัว่ สนามรบแห่งท้องทะเล ต่างฝ่ายต่างรู้ดีว่าฉลามก�าลังจ้องกระหายมายังดาดฟ้าเรือ ดังเช่นสุนัขหิว กระหายเดินป้วนเปีย้ นรอบโต๊ะทีก่ า� ลังช�าแหละชิน้ เนือ้ พวกมันพร้อมรุมทึง้ ลูก เรือทีถ่ กู สังหารแล้วโยนลงทะเลไปให้ และแม้นคนแล่เนือ้ ผูอ้ งอาจจะแล่เนือ้ กิน สดๆ ด้วยมีดฉาบทอง และประดับพูร่ ะหง ฉลามเองก็ประดับปากของมันด้วย คมเขี้ยวแข็งราวเพชรพลอย พวกมันต่างแย่งกันช�าแหละเนื้อที่ตายแล้วอยู่ใต้ โต๊ะอาหารนัน้ และแม้นคุณพลิกกลับเรือ่ งราวทัง้ หมดนี้ มันยังคงเป็นเรือ่ งเดิม ไม่มีวันแปรเปลี่ยน กล่าวคือความตะกละตะกลามมีมากพอส�าหรับทุกฝ่าย อีกแม้นฉลามยังถือเป็น ผู้คุมเรือขนทาสข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกทุกล�าที่ ล่องเรือตามเส้นทางเดิมเป็นนิจสิน ทัง้ นีเ้ พือ่ ความสะดวกแก่เรือในการน�าหีบ ศพพกติดไปด้วยทุกแห่งหน หรืออีกนัยหนึง่ เพือ่ ให้ศพของทาสทีต่ ายไปได้ถกู จัดการอย่างเหมาะสม และแม้นจะมีตวั อย่างอืน่ อีกหนึง่ หรือสองตัวอย่างดัง จะได้เขียนบันทึกไว้เกีย่ วกับช่วงเวลา สถานที่ และโอกาสทีฉ่ ลามจะรวมกลุม่ กันร่วมสังสรรค์ และกินเลี้ยงกันอย่างสนุกสนาน ซึ่งจะไม่มีช่วงเวลาใด หรือ โอกาสใดที่คุณจะได้เห็นพวกมันจ�านวนมากมายเหลือคณานับต่างเบิกบาน และเริงร่ารอบซากศพวาฬหัวทุยทีถ่ กู ผูกมัดติดกับเรือล่าวาฬกลางทะเลเช่นนี้ หากคุณไม่ได้เห็นภาพนั้นอย่าเพิ่งตัดสินใจอะไรเกี่ยวกับความถูกต้องในการ บูชาภูตผีปีศาจ และความเหมาะสมในการเป็นมิตรกับปีศาจ ทว่าในเวลาเช่นนีส้ ตับบ์ไม่ได้สนใจเสียงงึมง�าของงานเลีย้ งอาหารใกล้ๆ เขา เช่นเดียวกับฉลามก็ไม่ได้สนใจเสียงเคี้ยวปากเสพสุขของเขา “พ่อครัว...คนครัว! เจ้าแก่ขนแกะไปไหนแล้ว” เขาร้องเสียงเหยียดยาว พร้อมกับถ่างขากว้างขึ้นกว่าเดิมราวกับต้องการให้ได้ฐานที่มั่นส�าหรับกิน อาหารมื้อค�่าของตน เวลาเดียวกันเขาใช้ส้อมแทงไปบนจานเหมือนปะหนึ่ง เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 397
จ้วงแทงหลาวของเขาออกไป “คนครัว...เจ้าคนครัว! มาทางนี้ที พ่อครัว!” ก่อนหน้านีช้ ายชราผิวด�าไม่ได้มคี วามยินดีดว้ ยนักทีต่ อ้ งลุกขึน้ มาจากเปล ญวณอุ่นๆ ของตนเพื่อร่วมสุงสิงอยู่กับคนเอะอะตึงตังไม่เป็นเวล�่าเวลาเช่น นี้ แกเดินลากขาออกมาจากห้องครัวของตน ดังเช่นชายชราผิวด�าส่วนใหญ่ มักมีปัญหาบริเวณกระดูกสะบ้า ซึ่งแกไม่ได้เฝ้าดูแลขัดเงามันให้ดีเหมือนดัง เช่นกระทะในครัวของตน ชายชราผู้ที่ใครๆ เรียกขานว่าเฒ่าขนแกะผู้นี้ เดิน งุม่ ง่ามกะเผลกขาโดยใช้คมี เป็นตัวช่วยพยุงการก้าวเดิน ด้วยลักษณะคีมทีด่ ดั ตรงมาจากห่วงเหล็กท�าให้ใช้งานได้ไม่คอ่ ยดีนกั ชายชราผิวด�าตะเกียกตะกาย ออกมารับค�าสัง่ แกมาหยุดยืนเงือ่ งหงอยอยูต่ รงข้ามตูจ้ านชามของสตับบ์ มือ สองข้างกุมไว้บนคีมไม้เท้าสองขาตรงหน้า ก้มหลังงองุม้ ให้โก่งโค้งมากกว่าเดิม พร้อมกับเอียงหัวไปด้านข้างเพื่อให้หูข้างที่ฟังชัดของตนได้ยินเสียงค�าสั่งนั้น “พ่อครัว” สตับบ์เรียก แล้วรีบอ้าปากให้เห็นชิน้ เนือ้ สีแดงในปากเขา “นาย ไม่คิดว่าสเต็กชิ้นนี้สุกไปหรือ? หวดมันมากไปนี่...พ่อคนครัว มันเลยนิ่มเกิน ฉันไม่เคยบอกเลยว่าท�าอย่างนี้ดี สเต็กวาฬต้องเหนียวไม่ใช่หรือ? ฝูงฉลาม ข้างเรือนัน่ นายรูไ้ หมมันชอบเนือ้ วาฬเหนียว และไม่สกุ จนเกินไป? นัน่ ...พวก มันส่งเสียงเอะอะอะไรกันน่ะ! พ่อครัว ไปบอกพวกมันที บอกว่าพวกมันจะได้ รับความเอือ้ เฟือ้ นีห้ ากมีความสุภาพ รูจ้ กั พอประมาณ และต้องเงียบด้วย ส่ง เสียงเอะอะอึกทึกอย่างนั้นจะท�าให้ข้าไม่ได้ยินเสียงตัวเอง ไปสิ... คนครัว เอา ค�าพูดของข้าไปถ่ายทอด เอานี.่ ..เอาโคมไฟนีไ้ ป” เขาคว้าโคมไฟจากตูจ้ านชาม ของตนส่งให้ “ทีนี้ก็ไปได้แล้ว และสั่งสอนพวกมันด้วย!” ชายชราขนแกะรับโคมไฟที่ยื่นมาโดยไม่พูดไม่จา แล้วเดินกะเผลกข้าม ดาดฟ้าเรือไปยังกราบเรือ หย่อนแสงไฟในมือข้างหนึ่งออกไปส่องสว่างทั่ว ทะเลจนเห็นภาพเหล่าฝูงชุมนุมชัดเจน จึงใช้มอื อีกข้างยกคีบไม้เท้ากวัดแกว่ง ตามอย่างพิธกี รรมทางศาสนา พร้อมชะโงกหน้าออกไปข้างเรือส่งเสียงพึมพ�า ปราศรัยกับฝูงฉลาม ช่วงจังหวะนั้นสตับบ์แอบย่องตามมาทางด้านหลังทัน ได้ยินค�าพูดเหล่านั้นทุกถ้อยค�า 398 : โมบี-ดิ๊ก
“สัตว์ผู้เป็นพื่อนทุกข์ทั้งหลาย ฉันขอออกค�าสั่งกับพวกเจ้าตรงนี้ว่าพวก เจ้าต้องหยุดส่งเสียงรบกวนบ้านั่นซะ ได้ยินมั้ย? หยุดท�าเสียงจ๊วบๆ บนปาก ของเจ้าซะ! เจ้านายสตับบ์บอกว่าพวกเจ้าสวาปามให้เต็มคราบได้ แต่ให้ตาย เถอะ! พวกเจ้าต้องเลิกส่งเสียงหนวกหูนั้นซะ!” “พ่อครัว” สตับบ์พูดแทรกขึ้นมา พร้อมกับตบผลั๊วไปบนบ่า “พ่อครัว! ท�าไม...อย่าท�าตาอย่างนั้นนะ นายไม่ควรใช้ค�าพูดสบถอย่างนั้นตอนแสดง ธรรม เพราะมันไม่ช่วยให้คนบาปกลับตัว พ่อคนครัว!” “ใครกันคนบาป? ถ้าอย่างนั้นต้นหนก็ไปเทศนาพวกมันเองแล้วกัน” แล้ว หันหลังกลับช้าๆ “ไม่...พ่อครัว นายเทศนาต่อ เทศนาไป” “ถ้างั้นก็...สัตว์ผู้เป็นเพื่อนทุกข์ที่รักยิ่ง” “น่าน!” สตับบ์รอ้ งบอกด้วยความพอใจ “โน้มน้าวพวกมันให้ทา� ตาม เอ้า... ลองดู” ขนแกะเฒ่ากล่าวต่อ “พวกเจ้าล้วนเป็นฝูงฉลาม มีนสิ ยั ตะกละตะกลาม ฉันจะบอกแก่พวกเจ้า... เพือ่ นผูร้ ว่ มทุกข์ ว่าความตะกละตะกลามนัน้ ท�าให้หางของพวกเจ้าก่อ ‘เสียง อึกทึกโครมครามขึ้น’ พวกเจ้าจะได้ยินได้อย่างไรหากยังคงส่งเสียงบ้าๆ นั่น และกัดแทะอยู่ตรงนั้น?” “พ่อครัว” สตับบ์เรียกเสียงดังขณะกระชากคอเสื้อของแก “ฉันไม่ต้องการ ให้สบถออกมา พูดกับพวกมันอย่างสุภาพสิ” การเทศนาเริ่มขึ้นอีกครั้ง “ความตะกละตะกลามที่เจ้ามี...เพื่อนผู้ร่วมทุกข์ ฉันไม่คิดต�าหนิเจ้า นั่น เพราะมันเป็นธรรมดานิสัย และเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ แต่จงควบคุมความชั่ว ร้ายนั้นไว้ แม้พวกเจ้าจะเป็นฉลามพญามาร ทว่าหากเจ้าคุมความตะกละใน ตัวเองได้ ไฉนเลยจะเป็นเทพยดาไปไม่ได้ เทพยดานัน้ เล่าไม่ได้เป็นมากไปกว่า ฉลามที่รู้จักควบคุมตัวเอง เอาล่ะ...ฟังนะ ฉันเพียงต้องการให้พวกเจ้าท�าตัว มีมารยาทในการแทะเนื้อวาฬนั้น อย่าฉีกทึ้งก้อนไขมันนั้นจากปากของเกลอ เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 399
เจ้า ฉันขอร้อง คงไม่มีฉลามตัวใดแบ่งปันเนื้อวาฬนั้นให้กับฉลามวัยอ่อนนั่น ใช่มั้ย? ให้ตายเถอะ พวกเจ้าไม่มีใครมีสิทธิ์ในตัววาฬนั่น วาฬตัวนั้นเป็นของ คนอื่น ฉันรู้ว่าพวกเจ้ามีปากใหญ่...ใหญ่กว่าอวัยวะส่วนใดๆ แต่ว่าปากขนาด ใหญ่บางครัง้ ก็อาจมีกระเพาะทีเ่ ล็ก ดังนัน้ ความใหญ่ของปากใช่จะช่วยให้กลืน ได้มาก จงแบ่งไขมันนัน่ ให้กบั ลูกฉลามตัวเล็กๆ ทีไ่ ม่อาจแทรกฝูงแออัดเข้าไป แทะกินเองได้ด้วยเถิด” “ดีมาก เฒ่าขนแกะ!” สตับบ์พูดดังขึ้น “คริสต์ศาสนิกชน จงเทศน์ต่อไป” “ไม่มปี ระโยชน์ทจี่ ะเทศน์ตอ่ ไป พวกมันเอาแต่ตงั้ หน้าตัง้ ตารุมทึง้ และแย่ง ฉกกันกิน ต้นหนสตับบ์ พวกมันไม่ฟังเลยสักค�า ไม่มีประโยชน์ที่จะเทศนาให้ พวกตะกละทีต่ น้ หนเรียกนัน้ ฟัง จนกว่าท้องของมันจะอิม่ และไม่มที วี่ า่ งเหลือ อีก แม้พวกมันกินกันจนอิ่มแล้ว พวกมันก็ยังไม่ฟังหรอก กินอิ่มแล้วพวกมัน ก็ดิ่งลงทะเลไป รีบไปเข้านอนตามหินปะการัง และไม่ได้ยินเสียงอะไรอีก ไม่ ได้ยินอีกนานเท่านาน” “ส่วนลึกในใจ ฉันยังคงคิดเห็นเช่นเดิม ฉะนั้นจงประสาทพรต่อไป เฒ่า ขนแกะ ส่วนฉันจะกลับไปกินอาหารค�่าต่อ” คราวนี้ เฒ่าขนแกะกุมสองมือขึ้นเหนือฝูงปลา แล้วร้องเสียงแหลมดังว่า “สัตว์ร่วมทุกข์อัปรีย์! จงส่งเสียงบ้านั้นให้ดังที่สุดเท่าที่พวกเจ้าจะท�าได้ สวาปามกันให้เต็มคราบ กินให้อิ่มจนท้องแตกตายไปซะ” “เฮ้ย คนครัว” สตับบ์เรียก ขณะลงมือจัดการอาหารค�่าของตนที่เครื่อง กว้านสมอ “ยืนตรงที่นายยืนก่อนหน้านี้ ตรงนั้นแหละ ตรงข้ามฉัน แล้วตั้งใจ ฟังให้ดี” “พร้อมรับ ‘ค�าบัญชา’” ขนแกะเฒ่าพูดขึน้ พร้อมกับก้มตัวโค้งเหนือไม้เท้า คีมในท่าสบายของแก “ดี” สตับบ์พูดขณะปล่อยตัวตามสบาย “คราวนี้ฉันจะกลับมาพูดถึงเรื่อง สเต็กชิ้นนี้ เริ่มแรกนายอายุเท่าไรแล้ว พ่อครัว?” “แล้วมันเกี่ยวกับอะไรกับสเต็กนั้น” ชายชราผิวด�าพูดเสียงขุ่น 400 : โมบี-ดิ๊ก
“เงียบเหอะ! นายอายุเท่าไรแล้ว พ่อครัว?” “ประมาณเก้าสิบได้มั้ง” แกพึมพ�าตอบเสียงต�่าลง “นายใช้ชวี ติ บนโลกนีม้ านานเกือบร้อยปีแล้ว..พ่อครัว แต่ยงั ไม่รวู้ ธิ ที า� สเต็ก วาฬอีกเหรอ?” สตับบ์รีบกลืนชิ้นเนื้อในปากไปพร้อมกับค�าพูดสุดท้าย และ ราวกับชิ้นเนื้อค�านั้นเป็นเหตุให้เกิดค�าถามต่อไป “นายเกิดที่ไหน พ่อครัว?” “หลังช่องดาดฟ้า ในเรือเฟอรี่ ขณะเดินเรือไปที่แม่น�้าโรนโนก” “เกิดในเรือเฟอรี!่ แปลกจัง เออ...แล้วนายเกิดทีป่ ระเทศอะไรล่ะ พ่อครัว!” “ผมก็บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าที่เมืองโรนโนก?” แกพูดเสียงแหลมขึ้น “เปล่า นานยังไม่ได้บอก พ่อครัว แต่เอาเถอะฉันรูแ้ ล้วว่าจะบอกอะไร พ่อ ครัว นายควรกลับไปเกิดใหม่ที่บ้านนะ นายยังไม่รู้วิธีท�าสเต็กเลย” “พับผ่าเถอะ ถ้างั้น ผมจะท�าให้ใหม่” แกค�ารามออกมาด้วยความโกรธ แล้วหันหลังเดินจากไป “กลับมานี่ก่อน พ่อครัว มา ส่งคีมนั่นมาให้ฉัน ลองชิมเนื้อนี่ดู แล้วบอกที ว่าสเต็กชิน้ นีใ้ ช้ได้หรือไม่? ฉันบอกให้ชมิ ไง” ยืน่ คีมไปทีแ่ ก “เอาไป แล้วชิมซะ” ปากเหีย่ วย่นเของนิโกรเฒ่าคีย้ วชิน้ เนือ้ แผ่วเบาชัว่ ขณะ ก่อนพึมพ�าออกมา “เป็นสเต็กที่ปรุงได้รสชาติดีเยี่ยมเท่าที่ผมเคยกินมา อร่อย อร่อยมาก” “พ่อครัว” สตับบ์พดู ขึน้ ขณะผ่อนคลายตัวเองอีกครัง้ “นายเคยไปโบสถ์มยั้ ?” “เคยผ่านครั้งหนึ่งตอนอยู่ที่เคปดาว์น” ชายชราพูดเสียงขุ่น “ครั้งหนึ่งในชีวิตนายเคยผ่านไปที่โบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ในเคปทาว์น ซึ่งแน่นอน ว่านายต้องได้ยินบุรุษผู้เคร่งศาสนากล่าวเทศนาแก่ผู้ฟังดังคนเหล่านั้นเป็น เพื่อนร่วมทุกข์ที่รักของเขา ใช่มั้ยล่ะ...พ่อครัว! นายช่วยมาตรงนี้หน่อยเถอะ แล้วบอกทีว่าความลวงอันเลวร้ายใดที่นายเพิ่งได้กระท�าลงไปรึ?” สตับบ์พูด “แล้วนายตั้งใจจะไปไหนล่ะ พ่อครัว?” “จะรีบกลับไปนอน” แกพึมพ�าขณะกึ่งหันกลับมาพูด “หยุด! หันกลับมา! ฉันหมายถึงเมือ่ นายตายไปแล้ว พ่อครัว นีเ่ ป็นค�าถาม จริงจัง บอกมา ค�าตอบของนายคืออะไร?” เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 401
“เมื่อตาเฒ่าคนนี้ตายลง” นิโกรเฒ่าพูดออกมาช้าๆ เปลี่ยนสีหน้า และ ท่าทาง “ตัวเขาจะไม่ไปไหนทัง้ นัน้ แต่จะรอเทวดาลงมาน�าตัวเขาไปด้วยเถิด” “มาพาไปงั้นรึ? พาไปยังไง? เอาราชรถมาเกย เหมือนพวกเขามารับตัว ท่านศาสดาอีไลจาห์อย่างนั้นรึ? แล้วจะพาไปที่ไหนล่ะ?” “บนนั่นไง” เฒ่าขนแกะพูด พร้อมกับถือคีมไม้เท้าของแกชี้ขึ้นเหนือหัว ค้างไว้อย่างนั้นด้วยท่าทีขึงขัง “อ่อ...อย่างนั้นรึ นายหวังจะได้ขึ้นไปอยู่บนยอดเสานั่นเมื่อนายตายไป แล้วอย่างนั้นหรือ พ่อครัว? นายรู้มั้ยว่ายิ่งปีนขึ้นสูงไปเท่าไร ก็ยิ่งหนาวมาก ขึ้นเท่านั้น? บนยอดเสานั่นรึ?” “ไม่ต้องบอกเรื่องพวกนั้นหรอก” เฒ่าขนแกะพูดหน้าตาบึ้งตึงขึ้นอีกครั้ง “นายบอกว่าจะขึ้นไปบนนั้น ใช่มั้ย? ลองมองดูนายตอนนี้สิ ดูว่าคีมไม้ เท้าของนายชี้ไปที่ไหน บางทีนายอาจได้ขึ้นสวรรค์ด้วยการคลานผ่านช่อง เสากระโดงเรือ1ก็ได้นะ...พ่อครัว แต่...อย่าเลย อย่าดีกว่า พ่อครัว นายจะไม่ ได้ขึ้นไปบนนั้นเว้นแต่จะขึ้นไปตามทางปกติ ปีนเชือกระโยงนี้ขึ้นไป มันเป็น งานที่ยากแต่ก็ต้องท�าให้ได้ ไม่อย่างนั้นไม่มีทางจะขึ้นไปได้ พวกเรายังไม่มี ใครปีนขึ้นไปบนสวรรค์ได้ วางคีมไม้เท้าของนายลงเถอะ...คนครัว และฟัง ค�าสั่งฉัน ได้ยินมั้ย? ถือหมวกของนายไว้ในมือข้างหนึ่ง แล้ววางมืออีกข้างไว้ บนหัวใจ ขณะฉันพูดค�าสั่งออกไป...พ่อครัว ว่าไงล่ะ! หัวใจของนาย อยู่นั่น ไง? อยู่ด้านในตัวของนาย! สูงขึ้น! สูงขึ้น! นั่นล่ะ นายวางมือบนหัวใจไว้แล้ว วางมือไว้ตรงนั้นแล้วตั้งใจฟังให้ดี” “พร้อมรับ ‘ค�าบัญชา’” ชายชราผิวด�าพูดขึ้น ขณะวางสองมือไว้ตาม ปรารถนา แกล้งกระดิกหัวของแกไปมา ราวกับต้องการให้หูทั้งสองข้างขึ้น มาอยู่ด้านหน้าพร้อมๆ กัน “เอาล่ะพ่อครัว นายเห็นแล้วนะว่าสเต็กวาฬชิ้นนี้ของนายรสชาติแย่มาก ซึง่ ฉันจะโยนมันทิง้ ไปให้พน้ ๆ ตาเดีย๋ วนีแ้ หละ นายเห็นแล้วใช่มยั้ ? ทีนี้ คราว 1
เป็นช่องอยู่ในเสากระโดงเรือส�าหรับลูกเรือที่ยังขาดประสบการณ์ปีนขึ้นไปบนแท่นรังกาบนยอดเสา แต่ ส�าหรับลูกเรือที่มีความช�านาญจะปีนเสากระโดงที่ด้านนอกเสา
402 : โมบี-ดิ๊ก
หน้าที่นายปรุงสเต็กวาฬให้ฉันโดยเฉพาะบนโต๊ะส่วนตัวนี่ บนเครื่องกว้าน สมอนี่ ฉันขอให้นายช่วยปรุงโดยอย่าใช้ไฟแรงนัก ถือชิ้นเนื้อด้วยมือข้างหนึ่ง แล้วใช้มืออีกข้างเอาถ่านไฟจี้ลงไป แค่นั้นพอ แล้วเอาใส่จาน เข้าใจมั้ย? เอา ล่ะ...ในวันพรุ่งนี้...พ่อครัว ช่วงที่เราช�าแหละวาฬ นายจงมายืนข้างๆ เพื่อเอา ส่วนเนื้อครีบของมันไปดองไว้ ส่วนปลายเงี่ยงทั้งสองข้างเอาไปแช่เกลือ...พ่อ ครัว เอาล่ะ...ทีนี้นายไปได้แล้ว” ทว่าเฒ่าขนแกะเดินไปได้เพียงสามก้าวเท่านั้น แกก็ถูกเรียกอีกครั้ง “คนครัว...คืนพรุ่งนี้ท�าเนื้อทอดเป็นอาหารค�่าให้ข้าตอนเฝ้าเวรยามกลาง ดึกด้วยนะ ได้ยินมั้ย? เอาล่ะไปได้แล้ว เฮ้! หยุดก่อน! โค้งค�านับก่อนไป หยุด ลากเสียงแบบนั้นนะ! ท�าลูกชิ้นส�าหรับมื้อเช้าด้วย อย่าลืมล่ะ” “ได้โปรดเถอะ พระเจ้า! ขอให้วาฬกินเขาแทนที่เขาจะได้กินวาฬ หวังว่า มันคงไม่ตะกละตะกลามมากไปกว่าเพชฌฆาตจอมตะกละนี่หรอกนะ” ชาย ชราพึมพ�าอย่างระมัดระวังขณะเดินลากขาไปยังเปลญวนของแก
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 403
บทที่ 65
เมนูเนื้อวาฬ
คนเราควรกินสัตว์ที่เติมไฟในตัวเขา คุณก็อาจกล่าวได้ว่า สตับบ์เลยกินตาม แบบฉบับของตนเสียเลย นีอ่ าจดูพกิ ลเหลือแสน จึงต้องย้อนกลับไปหลักและ ดูที่มาที่ไปเสียหน่อย ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า สามศตวรรษที่ผ่านมาลิ้นวาฬไรต์ได้รับการ ยกย่องว่าเป็นอาหารชั้นเลิศในฝรั่งเศส และมีราคาสูงที่นั่น ยิ่งไปกว่านั้นใน ยุคของพระเจ้าเฮนรีทแี่ ปด1 พ่อครัวประจ�าราชส�านักจะได้รบั รางวัลอย่างงาม ส�าหรับการคิดค้นน�า้ ซอสทีใ่ ห้รสชาติเข้ากันดีกบั บาร์บคี วิ เนือ้ โลมาปากสัน้ ซึง่ คุณเองคงจะจ�าได้วา่ มันเป็นสายพันธุห์ นึง่ ของวาฬ จริงๆ แล้วโลมาปากสัน้ ยัง คงเป็นที่นิยมกินกันจนถึงทุกวันนี้ เนื้อของมันจะถูกน�ามาท�าลูกชิ้นขนาดเท่า ลูกบิลเลียด และมีรสชาติจัดจ้านถูกปากจนอาจนึกไปว่าเป็นพวกลูกชิ้นเนื้อ วัว บรรดาบาทหลวงเก่าแก่แห่งดันเฟิร์มไลน์2ชื่นชอบอาหารจานนี้มาก พวก เขาได้ลิ้มรสเนื้อโลมายักษ์3จากพระราชาผู้ทรงพระราชทานให้ ขาวที่มาตายเกยฝั่งพันธุ์นี้ได้ แต่ขอสงวนลิ้นและเนื้อส่วนอร่อยไว้ให้ พระองค์เอง จริงๆ แล้วในหมู่นักล่าอาจมองว่าวาฬเป็นอาหารชั้นเลิศได้บ้าง หากมัน พระเจ้าเฮนรีที่แปด ปกครองอังกฤษและไอร์แลนด์ตั้งแต่ ปี 1509-1547 ดันเฟิร์มไลน์-โบสถ์ในเมืองดันเฟิร์มไลน์ สกอตแลนด์ 3 โลมายักษ์-วาฬขาวทางเหนือ พระเจ้ามัลคอล์มที่สี่ (ค.ศ. 1141-1165) แห่งสกอตแลนด์ ทรงอนุญาต ให้พวกบาทหลวงเมืองดันเฟิร์มไลน์ กินหัววาฬ 1 2
404 : โมบี-ดิ๊ก
มีไม่มากนักส�าหรับพวกเขา ทว่ายามเมื่อคุณนั่งตรงหน้าชิ้นเนื้อที่มีความยาว เกือบร้อยฟุต ความอยากอาหารของคุณย่อมหมดไปสิ้น ทุกวันนี้จะมีก็แต่ เพียงบุคคลผู้ไร้ซึ่งอคติเฉกเช่นสตับบ์เท่านั้นที่ยังคงร่วมลิ้มรสเนื้อวาฬปรุง กระนั้นเหล่าเอสกิโมก็ไม่ได้จู้จี้เกินไปนัก เราต่างรู้ดีว่าพวกเขาอาศัยวาฬใน การด�ารงชีพ และมีกรรมวิธีเก่าแก่ในท�าน�้ามันไขวาฬ4อย่างน่าชมเชย โซก รันดา5 หนึ่งในหมอที่มีชื่อเสียงที่สุดของเอสกิโมพวกนั้นแนะน�าว่า ชิ้นเปลว ไขมันดีสา� หรับทารกเพราะอุดมด้วยคุณค่าอาหารอย่างมาก อีกทั้งยังย่อยได้ ง่าย เรื่องนี้ทา� ให้ผมนึกถึงชาวอังกฤษกลุ่มหนึ่ง ซึ่งนานมาแล้วพวกเขาถูกเรือ ล่าวาฬปล่อยทิง้ ไว้โดยบังเอิญทีก่ รีนแลนด์ คนกลุม่ นีม้ ชี วี ติ อยูร่ ว่ มหลายเดือน โดยกินเศษซากเนือ้ วาฬทีถ่ กู ทิง้ ไว้บนฝัง่ หลังทดลองกินเปลวไขมันแล้ว นักล่า ชาวดัทช์เรียกเศษเนื้อพวกนี้ว่า “ทอดมัน” นั่นเพราะจะว่าไปแล้วขณะสดๆ มันจะมีสีนา�้ ตาลกรอบ แถมมีกลิ่นคล้ายโดนัท หรือแป้งทอดของแม่บ้านชาว อัมสเตอร์ดัมสมัยก่อน หน้าตาที่น่ากินของมันท�าเอาคนที่ไม่เคยลิ้มลองยาก จะหักใจวางมือจากมันได้ ทว่ า สิ่ ง ที่ ท� า ให้ ว าฬลดคุ ณ ค่ า ของความเป็ น อาหารรสเลิ ศ ก็ คื อ ความ สมบูรณ์ทม่ี ากเกินของมันนัน่ เอง มันเปรียบได้กบั วัวตอนราคาดีแห่งท้องทะเล มีไขมันมากจนเกินกว่าจะมีรสอร่อย ทีนลี้ องมาพิจารณาหนอกของมันบ้าง ดู แล้วน่าจะกินอร่อยเหมือนหนอกกระบือ (ซึ่งนิยมกินกันแบบดิบๆ) มันไม่ใช่ ไขมันแข็งทรงพีระมิด แต่เป็นไขจากหัววาฬ ทัง้ นุม่ และเหนียวข้นจนดูเหมือน ลูกมะพร้าวขนาดสามเดือนที่มีเนื้อขาวจนเกือบเป็นวุ้นใส ทว่าเลี่ยนเกินกว่า จะเอามาใช้แทนเนย ถึงอย่างนัน้ นักล่าวาฬหลายคนก็มวี ธิ ผี สมมันเข้ากับเนือ้ อย่างอืน่ กิน หลังออกจากกะท�างานหนักอันยาวนาน6 ก็เป็นธรรมดาอยูเ่ องที่ เหล่าลูกเรือมักใช้ขนมปังแข็ง7จุม่ ลงในหม้อน�า้ มันขนาดใหญ่ และแช่ทงิ้ ไว้อย่าง น�้ามันไขวาฬ-ท�าจากเปลวไขมันระหว่างผิวหนังและกล้ามเนื้ออกของวาฬ โซกรันดา-อีกฉายาหนึ่งของวิลเลียม สกอร์ส์บี (ค.ศ. 1789-1857) นักส�ารวจขั้วโลกเหนือชาวอังกฤษ 6 กะท�างานอันยาวนาน-กะละประมาณ 5-6 ชั่วโมง 7 ขนมปังแข็ง-ที่ใช้เป็นเสบียงของทหาร ท�าจากแค่แป้งกับน�้า 4 5
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 405
นั้นชั่วครู่ และนี่เป็นอาหารค�่าหลายมื้อที่ผมเองก็ชอบท�ากินเช่นกัน แต่ถ้าเป็นวาฬหัวทุยตัวเล็ก สมองของมันถือเป็นอาหารชั้นยอด กล่อง กะโหลกจะถูกทุบแตกด้วยขวาน แล้วดึงก้อนเนื้อที่เป็นลอนสีขาวสองก้อน ออกมา (มันดูคล้ายขนมพุดดิ้งขนาดใหญ่สองชิ้นไม่มีผิด) จากนั้นน�ามาผสม กับแป้งปรุงได้รสชาติอร่อยที่สุด รสชาติของมันเหมือนสมองลูกวัวซึ่งเป็น อาหารจานโปรดของนักกิน ทุกคนก็รู้ว่าม้าหนุ่มในกลุ่มนักกินชอบกินสมอง ลูกวัวเป็นอาหารเย็นทุกมื้อ นานวันเข้าก็เริ่มรับเอาสมองเล็กๆ นั้นมาเป็น ของตนจนแยกแยะได้ว่าสมองไหนของตน และสมองไหนของลูกวัว ซึ่งตาม จริงแล้วไม่ต้องใช้วิธีแยกแยะพิสดารอย่างนั้นก็ได้ และนั่นเป็นค�าตอบว่าเหตุ ใดภาพม้าหนุ่มมากไหวพริบขณะมองหัวลูกวัวตรงหน้า จึงเป็นหนึ่งในภาพ สะเทือนอารมณ์ยามเมือ่ คุณได้เห็น หัวนัน้ มองเขามันอย่างต�าหนิดว้ ยสายตา ที่เหมือนกับจะถาม “เจ้าด้วยหรือบรูตัส”8 บางทีอาจไม่ใช่เพราะวาฬมีไขมันมากเกินจนคนบนบกมองว่าการกินมัน เป็นเรื่องน่าขยะแขยง ค�ากล่าวนี้เป็นผลมาจากการคิดก่อนพูด กล่าวคือเรา ควรกินสัตว์ที่เพิ่งฆ่าตายใหม่ๆ ในทะเล และกินมันตามสภาพของมัน ทว่า อย่ากังขาหากบุคคลแรกทีฆ่ า่ วัวตายจะถูกมองว่าเป็นฆาตกร เขาอาจถูกแขวน คอ และถึงแม้ถูกเหล่าประชากรวัวน�าตัวไปสอบสวน นั่นก็เป็นเรื่องสมควร แล้ว เขาควรได้รับโทษทัณฑ์เฉกเช่นเดียวกับฆาตกร ลองไปตลาดค้าเนื้อใน คืนวันเสาร์ และเฝ้าดูฝูงสัตว์สองเท้าจ้องมองไปยังสัตว์สี่เท้าที่นอนตายเป็น ทิวแถวนั่น สายตาเหล่านั้นไร้แววคมเขี้ยวของมนุษย์กินคนหรือ? มนุษย์กิน คน? ใครบ้างไม่กินเนื้อสดๆ? ผมบอกให้ว่าชาวฟิจิยังมีความอดรนทนรอได้ มากกว่า เพราะเขาจะน�าเอามิชชันนารีตวั ผอมมาหมักเกลือเก็บในหลุมใต้ดนิ เอาไว้กินในช่วงขาดแคลน วิธีอดเปรี้ยวกินหวานแบบนี้ผมบอกได้เลยว่าย่อม ส่งผลดีแก่ชาวฟิจิเมื่อวันพิพากษามาถึง และเป็นผลดีมากกว่าท่านนักชิมผู้มี การศึกษา และรอบรู้ ท่านผู้จับห่านกดลงพื้นแล้วยัดอาหารอัดแน่นจนเต็ม 8
“เจ้าด้วยหรือบรูตัส”-ค�าอุทานก่อนตายของจูเลียส ซีซาร์ เมื่อเห็นบรูตัสเพื่อนสนิท ก็เป็นคนหนึ่งใน กลุ่มลอบสังหาร
406 : โมบี-ดิ๊ก
ท้องมัน เพียงเพื่อให้กลายเป็นตับบดบนจานของท่าน แล้วสตับบ์ล่ะ เขากินเนื้อวาฬตามสภาพของมันเองไม่ใช่หรือ? และนั่น เป็นการสบประมาทต่อภัยอันตรายใช่หรือไม่? ลองดูที่ด้ามมีดของพวกคุณดู สิ นักชิมผู้มีการศึกษาและรอบรู้ของผม มีดที่ก�าลังใช้หั่นเนื้อย่างนั้นด้ามของ มันท�ามาจากอะไรกัน? มิใช่กระดูกของเหล่าพี่น้องของวัวรสเลิศที่คุณก�าลัง กินอยูห่ รอกหรือ? แล้วคุณใช้อะไรแคะฟัน หลังกลืนกินเนือ้ ห่านตัวโตไปแล้ว? คุณแคะฟันด้วยขนของสัตว์ปีกชนิดเดียวกันนั่นแหละ แล้วขนนกชนิดใดที่ เลขาธิการสมาคมป้องกันการทารุณกรรมห่าน9ใช้ลงนามอย่างเป็นทางการ ในจดหมายเวียน? เพิ่งเดือน หรือสองเดือนให้หลังมานี่เอง ที่สมาคมผ่านมติ สนับสนุนไม่ให้ใช้อะไรอื่นนอกเหนือจากปากกาด้ามเหล็ก
9
สมาคมปราบปรามการทารุณกรรมห่าน-เมลวิลล์ลอ้ เลียนสมาคมป้องกันการทารุณกรรมสัตว์แฟห่งแรก ซึ่งก่อตั้งในอังกฤษเมื่อปี 1824
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 407
บทที่ 66
ฝูงฉลามเพชฌฆาต
ส�าหรับการประมงทางตอนใต้ หลังศึกหนักเป็นเวลานานจนเหนื่อยล้า วาฬ หัวทุยที่จับได้และน�ากลับมาลอยเทียบข้างล�าเรือในช่วงใกล้คา�่ โดยปกติแล้ว มักไม่ค่อยช�าแหละเสร็จได้ในครั้งเดียว การช�าแหละไขวาฬเป็นงานที่ต้องใช้ แรงงานมาก และไม่เสร็จภายในเวลาอันรวดเร็ว อีกทั้งยังต้องใช้แรงงานของ ลูกเรือทุกคน เหตุนใี้ นการปฏิบตั จิ งึ ต้องลดใบเรือลงแล้วบิดพวงมาลัยหันเรือ ไปทางอับลม จากนั้นให้ทุกคนกลับไปนอนที่เปลญวนของตนจนรุ่งอรุณวัน ใหม่ โดยมีเงือ่ นไขว่าก่อนถึงวันรุง่ ขึน้ ต้องจัดเวรยามให้ลกู เรือผลัดกันเฝ้ารอบ ละสองคนในหนึง่ ชัว่ โมง โดยแต่ละคูจ่ ะหมุนเวียนกันขึน้ มาบนดาดฟ้าเรือเพือ่ ดูว่าทุกอย่างยังปกติเรียบร้อยดี ทว่าใช่จะได้ผลเสมอไป โดยเฉพาะเส้นทางเดินเรือในแปซิฟกิ วิธกี ารนีไ้ ม่ ได้ช่วยอะไรเลย เพราะฝูงฉลามเจ้าบ้านมากมายเหลือคณานับจะรวมตัวกัน วนเวียนรอบซากวาฬที่ถูกพันธนาการ ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้สักหกชั่วโมง บอก ได้เลยว่าซากวาฬขนาดใหญ่จะเหลือเพียงแค่โครงกระดูกให้เห็นในวันรุ่งขึ้น อย่างไรก็ตามบริเวณอืน่ ของมหาสมุทรนีโ้ ดยมากปลาชนิดนีไ้ ม่ได้มชี กุ ชุมมาก นัก ด้วยเหตุนคี้ วามตะกละตะกลามจนน่าพิศวงของมันอาจท�าให้ลดลงไปได้ บ้าง ด้วยการใช้เสียมช�าแหละวาฬคอยฟาดลงไปในน�้าเพื่อไล่พวกมันไป แม้ ในบางกรณีวธิ กี ารนีอ้ าจเพียงแค่กระตุน้ ให้พวกมันยิง่ รุมทึง้ มากขึน้ ก็ตาม เชือ่ เถอะว่าคนที่ไม่คุ้นเคยกับภาพอย่างนั้นมาก่อน เมื่อได้เห็นเหตุการณ์ข้างเรือ 408 : โมบี-ดิ๊ก
ในคืนนั้น อาจคิดไปได้ว่าทั่วท้องทะเลกลายเป็นเนยแข็งก้อนใหญ่ โดยมีฝูง ฉลามเป็นเหมือนหนอนยั่วเยี้ยอยู่รอบซากศพวาฬ หลังเสร็จจากอาหารมือ้ ค�า่ สตับบ์ทา� หน้าทีเ่ ฝ้ายามกระทัง่ หมดชัว่ โมงของเขา ควีเควกและลูกเรือประจ�าดาดฟ้าหัวเรือขึ้นมาบนดาดฟ้าเพื่อรับช่วงต่อ กระนั้นฝูงฉลามก็ไม่ได้ตื่นตกใจแม้แต่น้อย เพื่อให้งานช�าแหละไขข้างเรือยุติ โดยเร็ว เมื่อหย่อนโคมไฟสามดวงลงไปส่องสว่างจนเห็นความวุ่นวายในน�้า ทะเลขุน่ ลูกเรือทัง้ สองทิม่ แทงเสียมช�าแหละวาฬ1ของตนสังหารเหล่าฉลามไม่ หยุดมือ พวกเขาเล็งคมเหล็กกล้าเจาะไปยังกะโหลก ซึง่ ดูเหมือนว่านัน่ จะเป็น อวัยวะส่วนส�าคัญของพวกมัน กระนัน้ เหล่าเจ้าถิน่ ดิน้ รนต่อสูช้ ลุ มุนอยูใ่ นทะเล จนเกิดฟองน�า้ ขุ่นข้น แม้มือแทงฉลามเก่งๆ ก็ไม่อาจเล็งเป้าได้ทุกครั้งไป นั่น ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ใหม่อนั เป็นความโหดร้ายเหลือเชือ่ พวกมันไล่ตะครุบ กัดกันเองอย่างดุร้าย ไม่ใช่แค่ควักไส้ควักพุงของกันและกันเท่านั้น แต่ล�าตัว ที่บิดงอเหมือนสายธนูโก่งขึ้นนั้นวกกลับมางับตัวเอง กระทั่งปากเดียวกันนั้น ก็กลืนกิน และกินกลืนไส้จนหมดพุงกลายเป็นบาดแผลลึกกลวงโบ๋ กระนั้น ซากศพและวิญญาณของสัตว์ร้ายเหล่านี้ยังมีพิษสงเกินกว่าจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว อาจเป็นเรือ่ งปกติ หรือไม่กเ็ ป็นเพราะพลังอ�านาจ2ทีฝ่ งั อยูใ่ นข้อต่อและกระดูก ของพวกมัน ซึง่ สิง่ นีจ้ ะเกิดขึน้ หลังชีวติ ดับสูญ เมือ่ ฉลามถูกฆ่าตายและน�าซาก มันขึ้นมาบนดาดฟ้าเรือเพื่อถลกหนัง ฉลามตัวหนึ่งเกือบท�าควีเควกมือขาด ขณะเขาก�าลังเอื้อมมือไปปิดปากเพชฌฆาตของมัน “ควีเควกไม่สนว่าพระเจ้าสร้างฉลามมาท�าไม” เจ้าคนป่าพูดขณะสะบัดมือ ไปมาด้วยความเจ็บปวด “จะพระเจ้าของฟิจิ หรือพระเจ้าของแนนทักเก็ต ถ้า สร้างฉลามขึ้นมา พระเจ้านั่นต้องเป็นเครื่องจักรห่วย” เสียมช�าแหละวาฬใช้ส�าหรับช�าแหละเนื้อวาฬท�าจากเหล็กกล้าเนื้อดี มีขนาดใหญ่เหมาะมือคนช�าแหละ ลักษณะโดยรวมคล้ายอุปกรณ์ทา� สวนซึ่งเป็นที่มาของชื่อที่ใช้เรียก เว้นแต่ด้านข้างแบนราบ ส่วนปลาย ด้านบนแคบกว่าด้านล่าง อาวุธชนิดนี้ต้องดูแลให้คมกริบอยู่เสมอ และทุกครั้งที่ใช้งานเสร็จจะต้องลับ คมให้เหมือนกับใบมีดโกน ในเบ้าเสียบมีทอ่ นไม้แข็งยาวประมาณยีส่ บิ ถึงสามสิบฟุตเสียบไว้เป็นด้ามจับ 2 พลังอ�านาจ-ในที่นี้หมายถึงความเชื่อที่ว่า พระเจ้าคือธรรมชาติ
1
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 409
บทที่ 67
ช�าแหละไขวาฬ
หลังค�่าคืนวันเสาร์ผ่านพ้น รุ่งขึ้นจะเป็นวันสะบาโต1! และก็เป็นวันหยุดงาน ของเหล่านักล่าวาฬทุกคนล้วน เรือพีควอดสีงากึง่ กลายเป็นโรงฆ่าสัตว์ กะลาสี ทุกนายกลายเป็นพ่อค้าช�าแหละเนื้อ จนคุณอาจนึกไปว่าพวกเราก�าลังมีพิธี ถวายเนื้อวัวสีแดงสดกว่าหมื่นตัวแด่เทพแห่งท้องทะเล เริม่ แรกรอกช�าแหละ2ซึง่ อยูท่ า่ มกลางข้าวของใหญ่โตเทอะทะ อันประกอบ ด้วยพวงรอกที่มักถูกทาไว้เป็นสีเขียว ไม่มีมนุษย์คนใดยกของพวกนี้ได้ องุ่น เขียวพวงนี้ถูกชักรอกขึ้นไปบนยอดเสากระโดง และมัดแน่นไว้กับเสากระโดง ล่าง จุดทีแ่ ข็งแรงสุดบนดาดฟ้าเรือ ปลายเชือกพวนคดเคีย้ วผ่านความซับซ้อน นีก้ อ่ นน�าไปยังเครือ่ งกว้านสมอ ลูกรอกใหญ่ตวั ล่างของรอกช�าแหละจะถูกดึง ขึ้นไปแกว่งไกวอยู่บนตัววาฬ รอกตัวนี้ติดตะขอขนาดใหญ่น�้าหนักร่วมร้อย ปอนด์ ตอนนัน้ สตาร์บคั กับสตับบ์ แขวนตัวอยูบ่ นนัง่ ร้านข้างตัววาฬ สองผูช้ ว่ ย กัปตันใช้เสียมด้านยาวในมือเริม่ เจาะรูเสียบบริเวณเหนือครีบสองข้างของวาฬ ขึ้นมาเล็กน้อย เสร็จแล้วก็กรีดเป็นเส้นครึ่งวงกลมเป็นแนวกว้างรอบรูเสียบ น�าตะขอมาสอดเกี่ยวไว้ จากนั้นลูกเรือกลุ่มใหญ่เริ่มประสานเสียงบรรเลงโห่ ดังกึกก้อง พร้อมกรูกนั ดันเครือ่ งกว้าน ต่างช่วยกันออกแรงสุดก�าลัง ฉับพลัน วันหยุดสุดสัปดาห์นั่นเอง มาจากค�าว่า “ซับบาธ” ที่แปลว่า “พัก” พระเจ้าทรงสร้างโลก เว้นและพักวัน ที่ 7 เพือ่ ให้มนุษย์ได้ปฏิบตั เิ ป็นแบบอย่าง ถือเป็นวันบริสทุ ธิห์ า้ มท�ากิจกรรมใดๆ ได้ถอื ว่าวันนีเ้ ป็นวันพัก ผ่อนประจ�าสัปดาห์ ให้ทา� กิจกรรมทีเ่ ป็นกุศล เช่น การอธิษฐาน การอ่านพระคัมภีร์ และขอบคุณพระเจ้า 2 รอกช�าแหละ-ใช้ยกห้อยแผ่นไขวาฬที่ช�าแหละออกมาแล้ว 1
410 : โมบี-ดิ๊ก
นั้นเรือทั้งล�าเอียงเทไปด้านข้าง เรือกระตุกทุกจังหวะกว้านถูกขึงตรึงดังเช่น หัวตะปูบ้านเก่าในฤดูหนาวจัด เรือสะท้าน สั่นระริกรัว และยอดเสากระโดง สั่นไหวอยู่ในท้องฟ้า เรือยิ่งเอนไปทางตัววาฬมากขึ้นเรื่อยๆ ช่วงเวลานั้น แรงยึดของเครื่องกว้านได้รับเสียงตอบรับจากเสียงครวญครางของคลื่นทะเล กระทั่งในที่สุดเสียงสะบัดฉีกกระตุกดังให้ได้ยิน พร้อมๆ กับเสียงคลื่นขนาด ใหญ่ซัดเรือยกตัวสูง และถอยห่างจากตัววาฬ รอกถูกยกขึ้นมาให้เห็นความ ส�าเร็จ ตะขอเกี่ยวปลายครึ่งวงกลมของไขมันชิ้นแรกติดมาด้วย เวลานี้ไขมัน ที่หุ้มตัววาฬไม่ต่างอะไรกับเปลือกส้ม มันถูกถลกลอกออกจากตัวเหมือนผล ส้มถูกลอกเปลือกหมุนขดเป็นวง เชือกถูกดึงขึน้ อย่างต่อเนือ่ งจากแรงฉุดของ เครื่องกว้าน ท�าให้วาฬหมุนรอบไปมาในน�้า กระทั่งไขมันถูกลอกออกมาเป็น เส้นยาวเรียกว่า “ผ้าพันคอยาว” จังหวะนีส้ ตาร์บคั กับสตับบ์กช็ ว่ ยกันใช้เสียม ช�าแหละไปพร้อมกัน สองผูช้ ว่ ยกัปตันช�าแหละเร็วพอๆ กับทีม่ นั หลุดลอกออก จริงๆ แล้วต้องบอกว่ามันแทบจะลอกออกตามแรงดึงของเครือ่ งกว้าน ตลอด เวลาไขมันชิ้นนี้ถูกดึงสูงขึ้น สูงขึ้นจนส่วนบนสุดเฉียดยอดเสา กลุ่มลูกเรือที่ เครื่องกว้านหยุดออกแรงดัน เพียงหนึ่งหรือสองอึดใจก้อนไขมันขึ้นมาแกว่ง ไกวอยู่บนดาดฟ้า เลือดมหาศาลร่วงพราวหยดราวหยาดฝนจากท้องฟ้า ทุก คนต้องคอยหลบเวลาทีม่ นั แกว่งไปมา เพือ่ ไม่ให้ถกู มันฟาดเข้าทีก่ กหูและโยน ตัวพวกเขาร่วงหล่นลงทะเลไป ช่วงนี้นักพุ่งฉมวกคนหนึ่งในกลุ่มที่ก�าลังยืนตั้งตาคอยอยู่ จะก้าวขึ้นหน้า มาพร้อมกับอาวุธคมยาวเรียกว่าดาบประจันบาน3 เพื่อรอจังหวะเจาะช่อง ขนาดใหญ่ด้านล่างสุดของก้อนไขมันที่ก�าลังแกว่งไปมา จากนั้นใช้ตะขอที่ อยูป่ ลายรอกใหญ่อกี อันเสียบไว้ เพือ่ ยึดก้อนไขมันนีเ้ ตรียมพร้อมส�าหรับการ ช�าแหละในขัน้ ตอนต่อไป หลังจากนีน้ กั ดาบนัน่ จะเอ่ยปากเตือนลูกเรือทุกคน ให้ถอยห่างออกไป แล้วจ้วงแทงก้อนไขมันอีกครั้ง โดยพุ่งสุดตัวไปทางด้าน ข้างเล็กน้อย และออกแรงตวัดไขมันออกเป็นสองส่วน ส่วนที่มีขนาดสั้นกว่า 3
ดาบประจันบาน-ดาบที่ใช้ในการรบ ยามประชิดตัวข้าศึก
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 411
อยู่ด้านล่างและถูกยึดไว้กับที่ ขณะส่วนด้านบนที่ยาวกว่าเรียกว่าผ้าห่ม4ยัง คงแกว่งไปมา และพร้อมจะถูกน�าลงมา เหล่าลูกเรือประจ�าเครื่องกว้านเริ่ม ต้นบรรเลงเสียงโห่ขึ้นอีกครั้ง ช่วงเวลานั้นรอกอีกตัวดึงไขมันชิ้นที่สองลอก ออกจากตัววาฬ ขณะรอกลูกแรกค่อยๆ หย่อนไขมันชิ้นแรกผ่านช่องทางลง ใต้ท้องเรือตรงลงไปยังห้องโล่งที่ยังไม่ได้ตกแต่งอะไร เรียกกันว่าห้องไขมัน ภายในห้องแสงสลัวนัน้ ลูกเรืออีกส่วนหนึง่ ช่วยกันพับเก็บผืนผ้าไขมันราวกับงู ยักษ์ถูกม้วนพับเป็นก้อนขนาดใหญ่ จากนั้นกระบวนการท�างานด�าเนินอย่าง เป็นขั้นตอน รอกสองตัวถูกยกขึ้น และหย่อนลงในเวลาเดียวกัน ทั้งวาฬและ เครื่องกว้านถูกขึงตรึง ลูกเรือประจ�าเครื่องกว้านส่งเสียงปลุกพลัง ลูกเรือใน ห้องไขมันช่วยกันขดม้วนผ้าพันคอของสองผู้ช่วยกัปตัน โครมครามไปทั้งล�า เรือ พวกลูกเรือต่างก่นด่าออกมาพักๆ เพื่อช่วยบรรเทาแรงเสียดสีที่มี
4
ผ้าห่ม-ที่เรียกแบบนี้เพราะเป็นชั้นไขมันส่วนที่หุ้มโดยรอบตัววาฬเหมือนผ้าห่ม ปกติแล้วจะมีขนาดราว 5x20 ฟุต
412 : โมบี-ดิ๊ก
บทที่ 68
ผืนผ้าห่ม
ผมไม่เคยนึกใส่ใจเป็นทุกข์เป็นร้อนกับเรือ่ งหนังวาฬเลยสักนิด แม้เคยโต้เถียง เรือ่ งของมันมาบ้างกับเหล่านักล่าวาฬผูม้ ปี ระสบการณ์ขณะลอยล�าเรืออยูก่ ลาง ทะเล และเคยเรียนรูจ้ ากนักธรรมชาติวทิ ยาขณะใช้ชวี ติ อยูบ่ นฝัง่ ทว่าความเห็น เดิมของผมยังคงไม่เปลี่ยนแปลง อย่างไรเสียมันก็เป็นแค่ความเห็นเท่านั้น ค�าถามคือ หนังวาฬคืออะไรและอยู่ที่ไหน คุณคงรู้แล้วว่าไขมันของมัน เป็นยังไง มันเป็นอะไรที่เหนียวแน่นพอๆ กับเนื้อวัวลอกหนัง แต่เหนียวกว่า ยืดหยุน่ กว่า และอัดตัวแน่นกว่า มันยืดได้ยาวจากแปดหรือสิบนิว้ ไปจนถึงสิบ สองนิ้ว และหนาสิบห้านิ้ว ช่างเป็นเรือ่ งน่าขัน ทีเ่ พิง่ คิดจะกล่าวถึงหนังสัตว์ทมี่ คี วามเหนียวและหนา ขนาดนัน้ ทัง้ ทีช่ ดั เจนว่าไร้ขอ้ โต้แย้งใดต่อสมมติฐานนี้ เพราะนอกจากไขมันของ มันแล้ว คุณไม่มที างลอกชัน้ ห่อหุม้ อืน่ ใดจากตัววาฬได้อกี และชัน้ ห่อหุม้ ด้าน นอกสุดของสัตว์จะเป็นอะไรได้อกี นอกจากผิวของมัน? จริงแท้ทวี่ า่ จากซากวาฬ ไร้รอยต�าหนิ คุณสามารถขูดเอาหนังบางเฉียบและใสเหมือนแผ่นไมกา1 แสนบาง มันมีความยืดหยุน่ และนุม่ เกือบพอๆ กับผ้าแพร แต่เมือ่ แห้งแล้วไม่เพียง หดตัวหนา แต่ยังเปราะอีกด้วย ผมมีเศษหนังวาฬแห้งอยู่หลายอันเอาไว้ใช้ คั่นหนังสือวาฬของผม มันโปร่งใสอย่างที่ผมได้กล่าวไว้ และถูกน�ามาวางบน หน้าหนังสือ บางครั้งผมชอบนึกไปว่ามันเป็นแว่นขยายได้ด้วย อย่างไรก็ตาม 1 ไมกา-แร่กลิบหิน
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 413
เป็นเรือ่ งน่ายินดีทไี่ ด้อา่ นเรือ่ งเกีย่ วกับวาฬผ่านแว่นขยายของมันเอง คุณอาจ กล่าวเช่นนั้น ทว่าสิ่งที่ผมจะกล่าวอย่างรวดเร็วต่อไปนี้ก็คือ เนื้อหนังบางใส ราวเนือ้ กระจกซึง่ ผมยอมรับว่ามันปกคลุมร่างกายทัง้ หมดของวาฬนัน้ ยังมีไม่ มากพอจะถือว่าเป็นหนังของสัตว์ชนิดนี้ได้ แต่ควรจะเป็นผิวหนังของผิวหนัง มากกว่า กล่าวได้อย่างนั้น นั่นเพราะเป็นเรื่องน่าขันมากที่จะบอกว่าผิวหนัง ที่เหมาะสมกับวาฬตัวมหึมานั้นบาง และนุ่มเสียยิ่งกว่าผิวของทารกเกิดใหม่ แต่ทว่านี่ไม่ใช่ค�ากล่าวเกินจริง หากสมมติให้ชั้นไขมันเป็นผิวหนังของวาฬ ในกรณีผิวของวาฬหัวทุยตัว ใหญ่ให้ผลผลิตน�้ามันจ�านวนหนึ่งร้อยบาร์เรล เมื่อเป็นเช่นนี้ปริมาณ หรือน�า้ หนักน�า้ มันทีบ่ บี คัน้ ออกมาแล้วจะมีเพียงแค่สามในสีส่ ว่ น ซึง่ ไม่ใช่สว่ นทัง้ หมด ที่ปกคลุมตัวมัน อีกมุมหนึ่งอาจมองได้วา่ ความใหญ่โตของก้อนเนือ้ มีชวี ิตนั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งของส่วนห่อหุ้มที่ให้ผลผลิตเป็นของเหลวบ่อใหญ่ ซึ่งหาก เทียบน�้าหนักสิบบาร์เรลเป็นหนึ่งตัน คุณจะได้น�้ามันหนักสุทธิสิบตัน หรือ คิดเป็นสามในสี่ส่วนของผิวหนังวาฬจริงๆ เมื่อพิจารณาวาฬตัวเป็นๆ ผิวหนังภายนอกของวาฬหัวทุยยังไม่ใช่เรื่อง น่าพิศวงที่สุดของมัน ตลอดทั่วทั้งผิวหนังที่เปรียบเหมือนเสื้อผ้าไม่เคยถอด เปลี่ยนถูกกากบาทซ�้าแล้วซ�้าอีกด้วยรอยขีดเป็นเส้นตรงนับครั้งไม่ถ้วน ร่อย รอยเหล่านั้นเหมือนภาพแกะสลักลายเส้นงดงามอย่างชาวอิตาเลียน ทว่า สัญลักษณ์ลายเส้นเหล่านี้เหมือนไม่ได้สร้างความประทับใจบนเนื้อหนัง กระจกดังได้กล่าวอ้างข้างต้น แต่เหมือนมันถูกมองผ่านราวกับว่าลายเส้น เหล่านัน้ ถูกแกะสลักโดยตัวมันเอง ยิง่ ไปกว่านัน้ หากกวาดตาส�ารวจอย่างเร็ว สัญลักษณ์ลายเส้นในภาพแกะสลักของแท้ ก็เพียงแค่รา่ งไว้สา� หรับวาดต่อเป็น ภาพ อักษรอียปิ ต์โบราณเหล่านีว้ า่ ไปแล้วก็คอื ...อักขระปริศนาดังทีค่ ณ ุ ใช้เรียก อักขระบนผนังพีระมิดอียปิ ต์โบราณ นัน่ เป็นค�าทีเ่ หมาะส�าหรับใช้เชือ่ มโยงกับ ปัจจุบัน ในความทรงจ�าผมรู้สึกประทับใจอักขระโบราณ2รูปวาฬหัวทุยเป็น 2
อักขระโบราณ-อักษรอียิปต์โบราณ เป็นอักษรภาพ
414 : โมบี-ดิ๊ก
พิเศษ ผมติดใจภาพอักขระอินเดียโบราณที่สลักเป็นงานจิตรกรรมมีชื่อบน ชายฝั่งแม่น�้ามิสซิซิพปีตอนบน เฉกเช่นภาพปริศนาบนหน้าผา ภาพปริศนา ของวาฬยังคงไม่สามารถถอดรหัสออกมาได้ เมื่อกล่าวพาดพิงถึงโขดหินของ ชาวอินเดียแล้วท�าให้ผมนึกถึงเรื่องๆ หนึ่ง ยิ่งเมื่อพิจารณาร่องรอยทั้งหมดที่ ปรากฏบนผิวหนังวาฬ ซึง่ มันมักเผยให้เห็นแผ่นหลัง โดยเฉพาะอย่างยิง่ สีขา้ ง ของมัน ท�าให้ลบล้างความเชื่อเกี่ยวกับรอยเส้นตรงสม�่าเสมอ ด้วยลักษณะ รอยขีดข่วนจ�านวนมาก รวมทัง้ ลักษณะเส้นทีไ่ ม่มแี บบแผนไม่สม�า่ เสมอ ผมจะ ขออ้างถึงเทือกเขานิวอิงแลนด์บนชายฝั่งทะเล ซึ่งอะกัสซิส3คิดว่าสัญลักษณ์ บนนัน้ เป็นรอยครูดทีเ่ กิดจากภูเขาน�า้ แข็งขนาดใหญ่ลอยมาเฉีย่ วชนอย่างแรง ทีก่ ล่าวถึงเรือ่ งนีเ้ พราะสัญลักษณ์บนเทือกเขาเหล่านัน้ ไม่มลี กั ษณะคล้ายคลึง กับรอยขีดข่วนบนตัววาฬหัวทุยเลยแม้แต่น้อย ผมยังเชื่ออีกด้วยว่ารอยข่วน บนตัววาฬน่าจะเกิดจากการปะทะกับวาฬตัวอื่น แต่นั่นผมกล่าวอ้างถึงพวก มันในสายพันธุ์ที่มีขนาดเท่ากับวัวตัวผู้โตเต็มวัยขนาดใหญ่ ค�าพูดหนึง่ หรือสองค�าทีเ่ กีย่ วข้องกับผิวหนัง หรือไขมันของวาฬซึง่ ได้กล่าว ไปแล้วนัน้ คือส่วนทีล่ อกจากตัววาฬออกมาเป็นชิน้ ยาวเรียกว่าผืนผ้าห่ม เพือ่ ให้เหมาะกับสภาพการใช้ชีวิตอยู่ในน�้าทะเลมากที่สุด เนื้อหนังส่วนนี้มีความ เหมาะสมและมีความส�าคัญมาก วาฬถูกห่อหุม้ ด้วยไขมันซึง่ ท�าหน้าทีเ่ หมือน ผ้าห่มหรือผ้าคลุมเตียง หรือจะเปรียบให้ดีกว่านั้นอาจเปรียบได้กับผ้าคลุม กันฝนของชาวอินเดียนแดงที่ใช้สวมทางศีรษะ และปล่อยชายยาวคลุมไป จนถึงปลายหางของมัน เพราะร่างกายซุกตัวอยู่ในผ้าห่มอุ่นสบายนี่เองจึง ท�าให้วาฬสามารถใช้ชีวิตสุขกายสบายใจได้ในทุกสภาพอากาศ ทุกท้องทะเล ทุกช่วงเวลา และทุกกระแสน�า้ ขึน้ ลง อะไรจะเกิดขึน้ กับวาฬกรีนแลนด์ทอี่ าศัย อยู่ในอากาศหนาวสั่นของทะเลน�้าแข็งทางตอนเหนือ หากไม่มีเสื้อคลุมให้ ความอบอุน่ กับมัน? แน่ละ่ ปลาชนิดอืน่ กระฉับกระเฉงกันดีในน่านน�า้ อาร์ตกิ แต่ถา้ พิจารณาให้ถอ่ งแท้แล้ว ปลาพวกนัน้ เป็นสัตว์เลือดเย็นทีไ่ ม่มปี อด ท้องของ 3
หลุยส์ อะกัสซิส (ค.ศ. 1807-1873) นักธรณีวิทยาชาวสวิส-อเมริกัน เขาเป็นคนแรกที่แนะน�าว่า โลกได้ผ่านยุคน�า้ แข็งมาแล้วครั้งหนึ่ง
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 415
พวกมันเป็นเหมือนตูแ้ ช่4ทีใ่ ห้ความเย็น สัตว์พวกนีส้ ามารถท�าตัวเองให้อนุ่ อยู่ ได้ใต้ดา้ นอับลมของภูเขาน�า้ แข็งเหมือนนักเดินทางในฤดูหนาวนอนอาบแดด หน้าโรงแรม ในทางตรงกันข้ามวาฬเป็นสัตว์เลือดอุน่ และมีปอดเหมือนมนุษย์ เมือ่ เลือดถูกแช่แข็ง วาฬก็จะตาย คงเป็นเรือ่ งแปลกหากไม่ได้รบั ค�าอธิบายใดๆ เพิม่ เติม สัตว์ใหญ่มหึมาชนิดนีจ้ า� เป็นต้องท�าร่างกายให้อนุ่ เช่นเดียวกับมนุษย์ เป็นเรื่องน่าแปลกใจหากพบว่ามันหากินในถิ่นอาศัยแถบทะเลอาร์กติก! บริเวณที่ซึ่งเมื่อลูกเรือตกทะเลไป หลังจากนั้นหลายเดือนพวกเขาจะถูกพบ ว่ายืนแช่แข็งอยู่ใจกลางทุ่งน�้าแข็งเฉกเช่นแมลงวันติดแน่นอยู่ในอ�าพัน แต่จะ แปลกมากยิง่ ขึน้ เมือ่ ได้รขู้ อ้ เท็จจริงหลังการทดลองว่า เลือดวาฬ5ขัว้ โลกเหนือ อุ่นกว่าเลือดนิโกรเบอร์เนียว6ในช่วงฤดูร้อนเสียอีก ในกรณีนี้ผมคิดว่าเราได้รู้ถึงคุณสมบัติยอดเยี่ยมของพลังชีวิตที่มีความ แข็งแกร่งเฉพาะตัว และคุณสมบัตยิ อดเยีย่ มของผนังทีม่ คี วามหนา คุณสมบัติ ยอดเยี่ยมของเนื้อที่กว้างใหญ่ภายใน โอ้...มนุษย์เอ๋ย! จงชื่นชม และปฏิบัติ ตัวท่านให้ได้อย่างวาฬเถิด! ท่านเองก็ยังคงอุ่นกายท่ามกลางทุ่งน�้าแข็งเย็น ยะเยือกใช่หรือไม่ ท่านเองก็ยงั อาศัยอยูใ่ นโลกนีไ้ ด้แม้ปราศจากความอบอุน่ ใช่ หรือไม่ เย็นกายได้ขณะอยูใ่ นแถบขัว้ โลกร้อน และอุน่ เลือดให้ไหวเวียนได้ขณะ อยู่ขั้วโลกหนาว เฉกเช่นมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์7 และเฉกเช่นวาฬตัวใหญ่พึง ปรับตัวได้ โอ้...มนุษย์! อุณหภูมิร่างกายของท่านเป็นอย่างไรในแต่ละฤดูกาล ทว่าเป็นเรื่องง่าย หรือไร้ซึ่งความหวังที่จะปลูกฝังคุณสมบัติดีเลิศเหล่านี้! ในการสร้าง...จะต้องก่อความสูงเพิม่ ขึน้ เท่าไรจึงจะเป็นได้ดงั เช่นโดมของมหา วิหารเซนต์ปีเตอร์! ในความเป็นสิ่งมีชีวิต...จะต้องมีร่างกายใหญ่โตเพิ่มขึ้นอีก เท่าไรจึงจะเท่าวาฬ! ตู้แช่-ตู้แช่อาหารให้เย็น ครั้งแรกใช้กับการขายเบียร์ ส่วนตู้เย็น (ไฟฟ้า) ที่ใช้ตามบ้านเรือนนั้น เริ่มออก สู่ตลาดใน ปี 1911 5 เลือดวาฬ-ปกติแล้วอุณหภูมิในตัววาฬนั้นเท่ากับมนุษย์ 6 เกาะกาลีมันตัน ในอินโดนีเซีย จริงๆ ชาวพื้นเมืองไม่ใช่นิโกร (แอฟริกา) แต่เป็นชาวออสโตรนีเซียน 7 มหาวิหารนักบุญเปโตร มหาวิหารเอกหนึ่งในสี่แห่งในกรุงโรม นครรัฐวาติกัน มีอุณหภูมิคงที่ตลอดปี 4
416 : โมบี-ดิ๊ก
บทที่ 69 พิธีศพ
“ดึงโซ่! ลากเอาซากมันไปทางท้ายเรือ!” ตอนนีเ้ ครือ่ งกว้านมหึมาท�าหน้าทีข่ องมันสิน้ สุดลงแล้ว ซากสีขาวของวาฬ ลอกหนังและถูกตัดหัวออกส่งประกายแสงวาบเหมือนหินอ่อนหน้าหลุมศพ แม้ สีผวิ จะเปลีย่ นไป ทว่าขนาดไม่เปลีย่ นแปลงไปเลย มันยังคงใหญ่โตอยู่ มันค่อยๆ ลอยห่างออกไปเรือ่ ยๆ เรือ่ ยๆ น�า้ ทะเลรอบตัววาฬแหวกออก และสาดกระเซ็น โดยเหล่าฝูงฉลามทีไ่ ม่รจู้ กั พอ อากาศด้านบนชุลมุนด้วยเหล่าฝูงสัตว์ปกี ทีก่ รีด เสียงต่อสูแ้ ย่งชิง จะงอยปากของพวกมันดังคมกริชจ้วงแทงไปบนตัววาฬ ร่าง ไร้วญ ิ ญาณสีขาวขนาดใหญ่ไร้หวั ลอยห่างจากเรือไปไกลขึน้ ไกลขึน้ ดูเหมือนว่า ระยะห่างแต่ละร็อด1ทีม่ นั ลอยออกไป ขยายพืน้ ทีจ่ โู่ จมของเหล่าฝูงฉลามเพิม่ ขึ้นหลายตารางรูด2และเพิ่มพื้นที่จู่โจมของเหล่าฝูงสัตว์ปีกหลายลูกบาศก์รูด แม้ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่าผัน ผ่าน ทว่าภาพสยดสยองนี้ยังคงเห็นได้จากเรือ ที่จอดสงบนิ่งใต้ผืนฟ้าสีน�้าเงินไร้เมฆหมอก บนผืนน�้าละมุนของทะเลงาม สายลมพลิ้วไหวเย็นระรื่น ซากมโหฬารของความดับสูญลอยเรื่อย เรื่อยไป กระทั่งหลุดพ้นจากสายตาชั่วนิรันดร์ ช่างเป็นงานศพที่โศกเศร้าและหลอกลวงที่สุด! ฝูงแร้งทะเลล้วนเสแสร้ง แกล้งคร�า่ ครวญ ฉลามอากาศเหล่านี้ล้วนมีสีด�าหรือเป็นรอยด่าง ผมว่าในฝูง นีค้ งมีเพียงไม่กตี่ วั เท่านัน้ ทีจ่ ริงใจให้ความช่วยเหลือวาฬ หากมันปรารถนาให้ 1 2
หน่วยวัดความยาว หนึ่งร็อดเท่ากับห้าหลาครึ่ง หน่วยวัดเนื้อที่ หนึ่งรูดเท่ากับหนึ่งส่วนสี่เอเคอร์ หรือหนึ่งส่วนสี่ของสองไร่ครึ่ง
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 417
ช่วย ทว่างานเลี้ยงในพิธีฝังศพของมัน เหล่าแร้งทะเลแสร้งโฉบตะครุบอย่าง มีศรัทธา โอ้...ช่างเป็นศรัทธาที่น่าขนลุกยิ่งนัก ลัทธิแห่งการจ้องเอาเปรียบ ผู้อ่อนแอ! เพื่อปลดปล่อยวาฬที่แข็งแกร่งที่สุดให้เป็นอิสระ ทัง้ หมดนีย้ งั ไม่ใช่ฉากจบ การท�าลายล้างยังคงด�าเนินต่อราวซากนัน้ กลาย เป็นวิญญาณอาฆาตหลุดลอยขึ้นขู่ขวัญ เหตุการณ์นั้นถูกจับตามองโดยเหล่า นักรบตาขาว หรือเรือส�ารวจที่ก�าลังลอยล�าเอื่อยเฉื่อยห่างออกไปไกล เมื่อ ระยะทางห่างไกลขึ้นภาพฝูงบินสัตว์ปีกเริ่มเลือนราง กระนั้นยังคงพอมอง เห็นภาพก้อนเนื้อสีขาวล่องลอยท่ามกลางแสงอาทิตย์ ละอองน�้ากระเซ็นสูง สาดซัดซากที่ไร้พิษภัยของวาฬ กระทั่งร่างราวนิ้วมือสั่นระริกพาดลงบนขอน ไม้ ก่อเกิดสันดอน หินโสโครก หรือแนวหิน แถบนี้จงระวังให้หนัก! หลายปี ให้หลังเรือเดินสมุทรอาจต้องหลีกเลีย่ งบริเวณนี้ อย่าริหาญข้ามมันเหมือนดัง แกะโง่เขลากระโดดข้ามความว่าง3เปล่า เพียงเพราะจ่าฝูงของมันโดดออกไป ก่อนเมื่อครั้งไม้ขวางถูกวางลง กฎของบรรทัดฐานที่มีอยู่ก่อน4 คุณประโยชน์ ของประเพณีวัฒนธรรมของพวกคุณ ล้วนเป็นเรื่องราวของความพยายามใน การสืบทอดความเชื่อเก่าแก่ซึ่งไม่มีวันหยั่งรากฐานบนโลก และไม่มีทางบิน ร่อนอยู่ในอากาศ! นั่นเป็นเพียงความเชื่อที่เชื่อตามกัน! ด้วยเหตุนขี้ ณะมีชวี ติ ซากขนาดใหญ่ของวาฬอาจสร้างความหวาดหวัน่ แก่ศตั รู ของมัน แต่เมือ่ ตายไปแล้ว วิญญาณไร้ซงึ่ พลังของมันยังคงไล่ขม่ ขวัญโลกได้อกี คุณเชื่อเรื่องผีมั้ย? เพื่อนยาก ยังมีผีอีกมากนอกเหนือจากผีที่ค็อกเลน5 และผีที่เร้นลึกยิ่งกว่าที่ดอกเตอร์จอห์นสัน6ไม่เชื่อ ว่ากันว่า ถ้าแกะตัวผู้ที่ถูกตอนแล้ว (ซึ่งจะมีกระดิ่งแขวนไว้ เพื่อเดินน�าแกะตัวอื่น) กระโดดข้ามไม้เท้า ของคนเลี้ยง แกะตัวอื่นๆ ก็จะพากันกระโดดตามด้วย แม้คนเลี้ยงแกะจะชักไม้เท้ากลับแล้ว 4 กฎของบรรทัดฐานที่มีอยู่ก่อน-ศัพท์กฎหมาย หมายถึงผู้พิพากษาจะตัดสินคดี โดยใช้หลักที่ผู้พิพากษา ในอดีตเคยสร้างไว้เป็นบรรทัดฐาน 5 ผีที่บ้านบนถนนค็อกเลน กรุงลอนดอน ในช่วงศวรรษที่ 18 ซึ่งท�าให้ผู้คนตื่นกลัวกันมาก แต่ภายหลังจึง รู้ว่าเป็นการสร้างเรื่องหลอกลวง 6 แซมมวล จอห์นสัน (ค.ศ. 1709-1784) นักเขียนและกวีชาวอังกฤษ ผู้เป็นหนึ่งในคณะตรวจสอบผีที่ค็ อกเลน และพบว่าเป็นผีปลอม 3
418 : โมบี-ดิ๊ก
บทที่ 70
สฟิงซ์กลางทะเล
ก่อนงานลอกไขมันจากสัตว์ทะเลยักษ์ตัวนี้จะเสร็จสมบูรณ์ หัวของมันจะถูก ตัดออก ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ไม่ควรมองข้ามไป เพราะการตัดหัววาฬหัวทุยเป็น งานที่ต้องอาศัยความรอบรู้ด้านสรีรวิทยาของมือผ่าตัดวาฬผู้มีประสบการณ์ ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาภูมิใจในตัวเองมาก ลองคิดดูว่าวาฬไม่มีส่วนใดที่พอจะเรียกว่าเป็นคอได้เลย ในทางตรงกัน ข้ามบริเวณส่วนที่เป็นรอยต่อระหว่างหัวกับตัวของมันเป็นส่วนที่มีความหนา มากทีส่ ดุ ขอให้ระลึกไว้ดว้ ยว่ามือผ่าจะต้องท�าการผ่ามาจากด้านบนซึง่ มีระยะ ห่างระหว่างเขา กับซากทีจ่ ะท�าการผ่าประมาณแปดหรือสิบฟุตได้ อีกทัง้ ซาก นั้นจมปริ่มอยู่ในทะเลสีเปลี่ยน มีลูกคลื่นซัดซ่า และบ่อยครั้งทะเลก่อตัวปั่น ป่วนอึกทึก พึงค�านึงด้วยว่าภายใต้สถานการณ์ไม่อา� นวยเหล่านี้ เขายังต้องผ่า ลึกลงไปในเนือ้ หลายฟุต และในลักษณะทีว่ าฬอยูใ่ ต้นา�้ ทะเลนัน้ พวกเขาไม่มี ทางมองเห็นได้เลยว่ารอยผ่าลึกยาวไปแค่ไหนแล้ว จึงต้องใช้ทักษะเฉพาะตัว ในการผ่าหลบหลีกส่วนที่ติดกับบริเวณต้องห้าม และต้องผ่าแยกกระดูกสัน หลังตรงจุดส�าคัญใกล้บริเวณที่ติดกับกะโหลกของมัน รู้อย่างนี้แล้วคุณจะทึ่ง มั้ย ถ้าได้ยินค�าโอ่ของสตับบ์ที่คุยว่า เขาตัดหัววาฬหัวทุยได้ภายในสิบนาที? ทันทีที่ผ่าแยกออกจากกันได้แล้ว หัววาฬจะถูกโยนไปทางท้ายเรือและ มัดด้วยเชือกขนาดใหญ่จนกว่าไขมันที่ตัวจะถูกลอกจนหมด งานนี้ส�าเร็จได้ โดยง่ายหากเป็นวาฬตัวเล็ก เพราะมันจะถูกดึงขึน้ ไปจัดการอย่างถนัดถนีบ่ น เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 419
ดาดฟ้าเรือ ทว่ากับสัตว์ใหญ่ตวั เต็มวัยนัน้ แทบเป็นไปไม่ได้เลย หัวของวาฬหัว ทุยมีขนาดโดยรอบเกือบหนึ่งในสามส่วนของขนาดตัวของมัน และไม่มีทาง เคลื่อนย้ายสิ่งที่มีน�้าหนักมากขนาดนั้นได้ แม้จะใช้รอกขนาดใหญ่ของเรือล่า วาฬ การกระท�าเช่นนีไ้ ร้ประโยชน์พอๆ กับการพยายามชัง่ น�า้ หนักยุง้ ฉางของ ชาวดัทช์ด้วยเครื่องชั่งในร้านเพชรพลอย หลังวาฬของพีควอดถูกตัดหัวและลอกไขมันเสร็จแล้ว หัวจะถูกดึงขึน้ ข้าง ล�าเรือ โดยโผล่เหนือน�า้ ทะเลขึน้ มาประมาณครึง่ หัว กระทัง่ ส่วนทีม่ ขี นาดใหญ่ นีล้ อยน�า้ ได้เอง แรงดึงท�าให้เรือเอียงวูบไปทางมัน ด้วยเพราะแรงลากมหาศาล จากส่วนล่างของเสากระโดง และใบขวางบนเสาเรือที่ยื่นออกมา ท�าให้ด้าน ข้างนัน้ เหมือนปัน่ จัน่ ยกของหนักเหนือคลืน่ ทะเล หัวทีม่ เี ลือดหยดตลอดเวลา ถูกแขวนไว้กลางล�าเรือพีควอด เฉกเช่นศีรษะใหญ่ของโฮโลเฟอร์เนส1แขวน อยู่บนผ้ารัดเอวของจูดิธ เมือ่ ภารกิจสุดท้ายเสร็จสิน้ ในเวลาเทีย่ งวัน และลูกเรือต่างลงไปกินอาหาร ด้านล่าง ความเงียบคืบคลานเข้าแทนที่ความวุ่นวายก่อนหน้า เวลานี้ดาดฟ้า ถูกทิ้งร้าง ความสงบเงียบสีทองแดงแรงกล้าดั่งบัวหลวงเหลืองอร่ามลานตา คลี่กลีบดอกร่วงหล่นสู่ทะเล เวลาผ่านไปช่วงสั้นๆ เอแฮ็บก้าวจากห้องเครื่องขึ้นมาบนความเงียบ หัน ไปทางดาดฟ้าด้านท้ายแล้วหยุดเหลือบมองข้างเรือ ก่อนค่อยๆ ก้าวเท้าเข้าไป ในชัน้ เก็บเชือกระโยงเสาหลัก หยิบเสียมยาวของสตับบ์ทยี่ งั คงวางไว้ทนี่ นั่ หลัง ตัดหัววาฬเสร็จ และฝังมันไว้ในใต้ส่วนล่างของก้อนเนื้อที่กึ่งถูกแขวน เขาใช้ ปลายด้านหนึง่ ค�า้ ยันแขนข้างหนึง่ ไว้แล้วยืนชะโงกหน้าจ้องตาเขม็งไปยังหัวนัน้ หัวนีม้ สี ดี า� ครอบ มันถูกแขวนไว้ทา่ มกลางความสงบเงียบของแสงอาทิตย์ เจิดจ้า ดูคล้ายสฟิงซ์กลางทะเลทราย2 “บอกมา...เจ้าหัวยักษ์น่าย�าเกรง” เอ แฮ็บพึมพ�า “ถึงไม่ไว้หนวดเครา แต่เจ้าก็มีขนหญ้ามอสขึ้นเต็มไปหมด บอก มา...เจ้าหัวมหึมา บอกความลับในตัวเจ้าให้พวกเราได้รู้ ทุกเรือ่ งเกีย่ วกับพวก 1 2
โฮโลเฟอร์เนส-นายพลแห่งอาณาจักรบาลิโลเนีย ถูกจูดิธ แม่ม่ายชาวยิวใช้เสน่ห์ล่อแล้วตัดศีรษะเขา มหาสฟิงซ์แห่งกิซ่า อียิปต์ รูปสลักขนาดมหึมา ตัวเป็นสิงโต หัวเป็นมนุษย์
420 : โมบี-ดิ๊ก
เจ้านักด�าน�า้ เจ้าเคยด�าดิง่ ใต้ทะเลลึก ทว่าท่ามกลางแสงอาทิตย์เบือ้ งบนส่อง ประกาย หัวของเจ้าเคลื่อนไหวอยู่ในสายตาผู้สร้างโลก ราชนาวีไร้ชื่อบันทึก เวลานี้เสื่อมโทรมอยู่แห่งใด ความหวังที่ไม่ได้เอื้อนเอ่ย และสมอเรือที่ผุพัง ห้องสังหารในโลกของเรือรบซึง่ ถูกถ่วงน�า้ หนักด้วยกระดูกนับล้านๆ ชิน้ ของผู้ ที่จมน�า้ มา สถานที่นั้นอยู่แห่งใดในโลกใต้น�้าที่น่ากลัวนั้น สถานที่ที่เป็นบ้าน อันเคยคุ้นของเจ้า เจ้าได้ไปในที่ที่ถังด�าน�้าหรือนักด�าน�้าไม่เคยไป ได้หลับอยู่ ข้างกายเหล่าลูกเรือ ณ ที่ซึ่งแม่ผู้ไม่เคยนอนหลับของพวกเขาน�าพาพวกเขา ล้มกายลงนอนที่นั่น เจ้าได้เห็นเหล่าคนรักโดนกักกันหลังโดดน�า้ หนีตายจาก เรือที่ถูกไฟลุกโหม จากใจถึงใจที่จมอยู่ใต้ทะเลหรรษา พวกเขาต่างสัตย์ซื่อ ต่อกันเมื่อครั้งถูกสวรรค์หลอกลวง เจ้าเห็นผู้ช่วยกัปตันโดนโจรสลัดจับโยน ทะเลไปจากดาดฟ้ากลางดึก เป็นเวลาหลายชัว่ โมงทีเ่ ขาจมดิง่ สูค่ อหอยทีไ่ ม่รู้ จักพอ ขณะผูท้ า� การฆาตกรรมเขายังคงแล่นเรือต่อไปได้โดยไม่ได้รบั อันตราย ใดๆ และยังคงส่ายแสงไฟระริกส่องหาเรือเคียงข้าง ซึง่ อาจหยิบยืน่ สิทธิค์ รอง คู่อย่างชอบธรรมให้แก่แขนที่ยื่นยาวมา โอ้...เจ้าหัววาฬ! เจ้าเห็นอะไรมามาก พอแบ่งแยกโลกออกเป็นสองส่วน และท�าให้อับบราฮัม3สูญสิ้นศรัทธา ทั้งที่ เจ้าพูดไม่ได้สักค�า!” “นัน่ เรือ...ฮู!้ ” เสียงไชโยโห่รอ้ งแสดงความยินดีดงั มาจากหัวเสากระโดงเรือ “ใช่แน่ร?ึ โอ้...ชืน่ ใจหรอก” เอแฮ็บพูดขึน้ ดัง แล้วรีบดึงตัวเองลุกขึน้ ยืน ขณะ เมฆครึม้ บนใบหน้าของเขามลายหายไป “เสียงโห่รอ้ งหึกเฮิมดังกลบความสงบ เงียบราวป่าช้าอย่างนี้ เกือบท�าให้รสู้ กึ ดีขนึ้ มาทันทีเลยพับผ่าสิ ไหน...อยูไ่ หน?” “เฉียงไปทางหัวเรือด้านขวาประมาณยี่สิบสององศาครับ ก�าลังชะลอเรือ ตรงมาที่เรา!” “ดีมาก...ดี...ไอ้หนุ่ม หวังว่าคราวนี้เซนต์พอล4คงเดินทางมากับเรือล�านี้ ด้วยนะ ความสิ้นหวังของฉันคงน�าพาความหวังของเขามาให้! โอ้...ธรรมชาติ โอ้...จิตวิญญาณแห่งมนุษย์! ทุกถ้อยค�าอุปมาของท่านเปล่งเสียงออกไปได้ไกล 3 4
อับบราฮัมไม่ซื่อสัตย์-บรรพบุรุษของลัทธิยิว เซนต์พอล-สาวกของพระเยซู ผู้ล่องเรือออกไปเผยแพร่ศาสนา
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 421
เพียงนั้นเชียวหรือ ไม่เพียงอนุภาคที่เล็กที่สุดเต้นระริก หรือมีชีวิตชีวาในวัตถุ แต่กลลวงของมันยังสร้างสิ่งคู่กันในใจฉันอีกด้วย”
422 : โมบี-ดิ๊ก
บทที่ 71
เรื่องของเรือเยโรโบอัม
เรือและสายลมพัดพาตามกัน หากแต่สายลมรวดเร็วกว่าล�าเรือ ไม่นานนัก พีควอดเริ่มโคลงเคลง ชั่วเวลาผ่าน เรือแปลกถิ่นแล่นเข้ามาในสายตา เพียงแวบมองผ่านกล้อง ส่องทางไกลออกไปเห็นเรือเล็กและยอดเสากระโดงที่มีคนคุมอยู่ก็รู้ได้ว่านั่น คือเรือล่าวาฬ แต่เพราะมันอยู่ห่างไปทางลม และทิศทางที่พุ่งตรงไปนั้นเห็น ได้ชดั ว่าก�าลังมุง่ สูน่ า่ นทะเลอืน่ เรือพีควอดแทบหมดหวังจะตามทัน จึงส่งธง สัญญาณ1จึงชักขึ้นเพื่อรอดูผลตอบรับที่จะเกิดขึ้น ถึงตอนนีก้ ล่าวได้วา่ มันคล้ายเรือของกองก�าลังนาวิกโยธิน บรรดาเรือของ กองเรือล่าวาฬอเมริกนั ต่างมีสญ ั ญาณประจ�าเรือแต่ละล�า ซึง่ สัญญาณทัง้ หมดนัน้ ถูกรวบรวมไว้เป็นเล่ม และมีตดิ ชือ่ เรือแต่ละล�าไว้ดว้ ย กัปตันทุกคนจะมีสมุดนี้ ไว้ ดังนัน้ ผูบ้ ญ ั ชาการเรือล่าวาฬจะรูไ้ ด้ทนั ทีวา่ ใครเป็นใครในมหาสมุทร แม้จะ เป็นการมองเห็นกันในระยะไกล และไม่มีอุปกรณ์ช่วยเลยก็ตาม ในที่สุดธงสัญญาณของเรือพีควอดก็ได้รับการตอบกลับจากเรือแปลกถิ่น ด้วยธงสัญญาณทีช่ กั ขึน้ สัญญาณนัน้ ท�าให้รวู้ า่ เป็นเรือเยโรโบอัมแห่งแนนทักเก็ต มันปรับระดับเพลาเรือให้ตรง พยายามขวางล�าเรือให้อยู่ด้านอับลมของเรือ พีควอด แล้วหย่อนเรือเล็กลง ไม่นานก็แล่นใกล้เข้ามา ทว่าเมื่อบันไดเชือก ถูกปล่อยลงข้างล�าเรือตามค�าสั่งของสตาร์บัค เพื่ออ�านวยความสะดวกให้แก่ 1
ธงสัญญาณ-หมายถึง “เราต้องการสื่อสารกับท่าน”
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 423
กัปตัน ผู้มาเยือน ชายแปลกหน้าผู้นั้นโบกมือจากท้ายเรือเล็กเป็นสัญญาณ ว่าการกระท�าเช่นนั้นไม่มีความจ�าเป็นเลยสักนิด นั่นก็เพราะเรือเยโรโบอัม ก�าลังเกิดโรคระบาดหนัก เมย์ฮิวผู้เป็นกัปตันกลัวลูกเรือพีควอดจะติดโรคไป ด้วย แม้ตวั เขาและลูกเรือทีเ่ หลือรอดอยูใ่ นเรือเล็กจะยังไม่ได้รบั เชือ้ มา และแม้ เรือใหญ่ของเขาจะล่องลอยอยู่ท่ามกลางท้องทะเลที่ไม่เน่าเปื่อย และอากาศ พัดไหลวนตลอดเวลา แต่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างมีส�านึกที่จะป้องกันเชื้อโรค ร้ายแพร่สู่แผ่นดินใหญ่ เขาจ�าต้องปฏิเสธการติดต่อกับเรือพีควอดโดยตรง แต่ก็ใช่ว่าจะสื่อสารกันไม่ได้เลย เพียงต้องรักษาระยะห่างระหว่างกันสัก สองสามหลาระหว่างเรือเล็กของเขาและเรือพีควอด เขาพยายามพายเรือให้ ขนานกับเรือพีควอด ขณะฝ่าคลื่นลมทะเล (ซึ่งตอนนี้สายลมพัดเย็นระรื่น) ใบเรือหลักต้านทวนลม แม้จะโดนคลืน่ ลูกใหญ่โถมเข้าใส่อย่างฉับพลันจนเรือ เล็กถูกผลักไปข้างหน้า แต่ด้วยทักษะที่ช�านาญไม่นานนักเรือก็ถูกน�ากลับเข้า ทิศทางทีเ่ หมาะสมได้อกี ครัง้ เหตุนแี้ ละเหตุอนื่ ท�านองเดียวกันนีเ้ ป็นอุปสรรค คอยขัดจังหวะอยูเ่ ป็นระยะๆ กระนัน้ การสนทนาของทัง้ สองฝ่ายยังคงด�าเนิน ต่อ ท่ามกลางปัจจัยอื่นที่มีมาเป็นเหตุขัดขวางในรูปแบบต่างๆ อีกมากมาย คนพายเรือเล็กของเรือเยโรโบอัม เป็นชายทีม่ ลี กั ษณะหน้าตาผิดธรรมดา เหมาะกันกับชีวติ ล่าวาฬอันป่าเถือ่ น ซึง่ เป็นแหล่งบ่มเพาะคุณลักษณะโดดเด่น ทั้งมวลนี้ เขาเป็นคนหนุ่มร่างเล็ก ตัวเตี้ย มีรอยตกกระเต็มใบหน้า ผมดกสี เหลือง สวมชุดหมอผีเป็นเสื้อคลุมยาวแต้มสีวอลนัทซีดจาง แขนเสื้อพับซ้อน ถูกม้วนขึ้นมาที่ข้อมือ ดวงตาฉายแววหมกมุ่น มุ่งมั่น และเพ้อคลั่ง ทันทีที่ร่างนั้นปรากฏชัดแก่ตา สตับบ์ตะโกนลั่น “นั่นเขา! นั่นเขา! ตัวตลก เสื้อคลุมยาวที่กะลาสีเรือทาวน์โฮเคยเล่าให้พวกเราฟัง!” แล้วสตับบ์ก็อ้างถึง เรื่องเล่าแปลกๆ ของเรือเยโรโบอัม และชายที่มีลักษณะแตกต่างจากลูกเรือ คนอืน่ ๆ ซึง่ ก่อนหน้านีล้ กู เรือพีควอดเคยได้พดู ถึงเรือทาวน์โฮ เนือ่ งจากเหตุนี้ และสิ่งที่ได้รับรู้ในเวลาต่อมา ประหนึ่งว่าตัวตลกที่อยู่ในความสนใจผู้นี้มี อิทธิพลเหนือกว่าแทบทุกคนบนเรือเยโรโบอัม เรื่องของเขาเป็นดังนี้ 424 : โมบี-ดิ๊ก
เขาถูกเลี้ยงดูให้เติบโตมาท่ามกลางสังคมบ้าคลั่งแห่งเนสไกอูนา เชค เกอร์ ที่ซึ่งเขาได้เป็น ผู้เผยแพร่สารคนส�าคัญ ในการชุมนุมลับของคนคลั่ง กลุ่มนี้มีหลายครั้งสืบทอดมาจากสวรรค์ ผ่านช่องทางบนเวทีการแสดงกล เปิดขวดแก้วใบที่เจ็ด2ซึ่งเขาเก็บไว้ในกระเป๋าใบเล็ก แทนที่ในขวดแก้วนั้น จะเป็นดินปืน กลับถูกสมมติว่าบรรจุทิงเจอร์ฝิ่นไว้ แล้วความคิดประหลาด ที่ว่าตัวเองเป็น ผู้เผยแพร่ศาสนาก็เข้าครอบง�าเขา ชายผู้นี้เดินทางจากเนส ไกอูนาไปยังแนนทักเก็ต ที่นี่ลักษณะนิสัยแปลกประหลาดจนเกือบเรียกว่า บ้าของเขาถูกเก็บซ่อนไว้ ภายนอกเขาดูเป็นคนมีสามัญส�านึกปกติดี พร้อม เสนอตัวเป็นสมาชิกใหม่ส�าหรับการเดินทางไปกับเรือล่าวาฬเยโรโบอัม คน พวกนั้นรับเขาไว้ แต่ทันทีที่เรือแล่นห่างออกมาจนไม่เห็นฝั่ง ความวิปลาส ของเขาเผยออกมาให้เห็นในทันใด เขาประกาศตัวว่าเป็นประมุขทูตสวรรค์ เกเบรียล และสั่งให้กัปตันโดดลงทะเลไป เขาแถลงค�าประกาศด้วยการแต่ง ตั้งตัวเองเป็น ผู้โปรดสัตว์แห่งเกาะน้อยใหญ่ในท้องทะเล และเป็นตัวแทน บิชอปแห่งหมู่เกาะโอซีแอนนิก้า ความมุ่งมั่นแน่วแน่กับถ้อยแถลงที่เขา ประกาศออกมาพร้อมกับพฤติกรรมลึกลับโลดโผนของเขาที่ไม่หลับไม่นอน มีจินตนาการร้อนแรง และอาการเพ้อคลั่งที่น่าขนลุกขนพอง ล้วนแต่ส่งผล ให้เกเบรียลผู้นี้เข้าไปมีอิทธิพลอยู่ในจิตใจลูกเรือผู้โง่เขลาส่วนใหญ่ภายใต้ บรรยากาศแห่งความศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งกว่านั้นเหล่าลูกเรือต่างหวาดกลัวเขา แม้ คนเช่นนี้จะไม่มีประโยชน์อะไรนักกับงานบนเรือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขา ปฏิเสธการท�างานยกเว้นเมื่อเขาอยากท�า และกัปตัน ผู้ไม่งมงายก็ยินดีจะ สลัดเขาออกไป แต่เมื่อได้แจ้งถึงความตั้งใจเฉพาะตนของกัปตัน ที่จะปล่อย เขาลงยังท่าเรือที่ใกล้ที่สุด ประมุขทูตสวรรค์ผู้นี้ก็รีบเปิดแผ่น ผนึกและขวด แก้วออกทันใด พร้อมกับสาปแช่งให้เรือและลูกเรือทุกคนพบกับหายนะ โดยปราศจากเงื่อนไขหากความตั้งใจของกัปตันถูกด�าเนินการ เขาพยายาม อย่างหนักในการโน้มน้าวเหล่าลูกเรือผู้เป็นสานุศิษย์ จนในที่สุดพวกเขารวม 2
ในคัมภีร์ไบเบิล (วิวรณ์) ขวดแก้ว (หรือขัน) ใบที่เจ็ดที่ทูตสวรรค์เปิดเทลงมาในอากาศ ท�าให้แผ่นดิน ไหวท�าลายเมืองต่างๆ และพายุลูกเห็บยักษ์ตกใส่ผู้คน
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 425
กลุ่มกันไปพบกัปตันเพื่อบอกว่า หากเกเบรียลถูกขับออกจากเรือแล้ว ก็จะ ไม่เหลือลูกเรือคนใดอยู่อีก ด้วยเหตุนี้กัปตันจึงจ�าต้องล้มเลิกแผนการนั้นไป อีกทัง้ ลูกเรือยังไม่ยอมให้มกี ารปฏิบตั ไิ ม่ดตี อ่ เกเบรียล เขาจะพูดหรือท�าอะไร ก็ได้ตามต้องการ ทีส่ ดุ เกเบรียลจึงมีอสิ ระเสรีอย่างเต็มทีบ่ นเรือล�านี้ ผลทีต่ าม มาหลังจากนัน้ ก็คอื ประมุขทูตสวรรค์ผนู้ แี้ ทบไม่ให้ความส�าคัญต่อกัปตันและ ผู้ช่วย เมื่อเกิดโรคระบาดขึ้นเขาท�าตัวหนักกว่าเดิม ประกาศว่าตนเองเป็นผู้ ร่ายมนต์ให้เกิดภัยพิบัตินี้ขึ้น เขาเท่านั้นที่จะควบคุม มันจะอยู่หรือไปขึ้นอยู่ กับความพอใจของเขา กะลาสีเกือบทั้งหมดกลายเป็นภูติที่น่าเวทนา ต้อง นอบน้อม และบางคนประจบเขา อยูใ่ นความเชือ่ ฟังต่อค�าสัง่ ของเขา บางครัง้ แสดงความภักดีตอ่ เขาเยีย่ งพระเจ้า แม้สงิ่ เหล่านีอ้ าจดูเหลือเชือ่ แต่มนั ก็เป็น ความจริง มันคงไม่ใช่เรือ่ งของกลุม่ ผูค้ ลัง่ ไคล้สว่ นหนึง่ ทีแ่ ห่กนั หลงตามไปกับ คนบ้าหลงตัวเองเหลือคณานับ และก็ไม่ใช่เพราะอ�านาจเหลือคณานับของเขา ในการลวงหลอก และมอมเมาคนจ�านวนมากเป็นแน่ ทว่ามันเป็นเวลาที่ต้อง ย้อนกลับไปยังเรือพีควอด “ผมไม่กลัวโรคระบาดของคุณหรอก สหาย” เอแฮ็บพูดมาจากกราบเรือ กับกัปตันเมย์ฮิวที่ยืนอยู่ท้ายเรือเล็ก “ขึ้นมาบนเรือซิ” ทว่าขณะนี้เกเบรียลขยับตัวลุกขึ้นยืนแล้ว “คิดดูเถิด คิดถึงอาการจับไข้ ตัวซีดเหลือง และอาเจียน! คุณจงระวังโรค ระบาดน่าสยดสยองนี้เถิด!” “เกเบรียล เกเบรียล!” กัปตันเมย์ฮิวตะโกนขึ้น “คุณต้องเลือกระหว่าง...” แต่ทันใดนั้นคลื่นยักษ์พุ่งหัวใส่ ผลักเรือเล็กห่างออกไปข้างหน้า ฟองคลื่นซัด สาดกลบทับทุกค�าพูดนั้น “คุณได้เห็นวาฬสีขาวหรือเปล่า?” เอแฮ็บถามขึน้ เมือ่ เรือเล็กลอยล�ากลับมา “คิดดูเถิด คิดถึงเรือล่าวาฬของคุณ มันจะแตกเป็นเสีย่ งๆ และจมหายไป! จงระวังหางที่น่าสะพรึงกลัวนั่น!” “ผมขอบอกคุณอีกครั้ง เกเบรียล...” ทว่าเป็นอีกครั้งที่เรือเล็กถลาไปข้าง 426 : โมบี-ดิ๊ก
หน้าราวกับถูกปีศาจลากไป ไม่มกี ารพูดกันในช่วงขณะคลืน่ ซัดกระหน�า่ อย่าง ต่อเนือ่ ง เวลาเดียวกันนัน้ หัววาฬหัวทุยทีถ่ กู ชักรอกไว้เขย่าไปมาอย่างแรง เมือ่ มองไปที่เกเบรียล เขาก�าลังจ้องมันอยู่ด้วยความหวาดหวั่นเกินกว่าลักษณะ อันควรในความเป็นทูตสวรรค์ของเขา เมือ่ ละครสัน้ ระหว่างฉากนีจ้ บลง กัปตันเมย์ฮวิ เริม่ เรือ่ งราวลึกลับเกีย่ วกับ โมบี้ดิ๊ก อย่างไรก็ตามยังคงมีการขัดจังหวะบ่อยครั้งจากเกเบรียล เมื่อชื่อของ เขาถูกเอ่ยถึง และทะเลป่วนดูจะเป็นพันธมิตรร่วมกันกับเขา ดูเหมือนว่าเรือเยโรโบอัมเดินทางจากบ้านมาได้ไม่นาน เมื่อได้เจอเรือล่า วาฬล�าหนึ่ง ลูกเรือได้รับค�าบอกกล่าวให้รู้ถึงตัวตนของโมบี้ดิ๊ก และหายนะ ที่มันได้ก่อไว้ เกเบรียลกระหายใคร่รู้ในข้อมูลนี้ เขากล่าวเตือนกัปตันอย่าง เคร่งเครียดต่อการโจมตีวาฬสีขาวหากเกิดพบเจ้าสัตว์รา้ ยนีเ้ ข้า สติวปิ ลาสของ เขาพูดไม่ได้ศพั ท์ถงึ วาฬสีขาวตัวนีว้ า่ เป็นอืน่ ไปไม่ได้นอกจากพระเจ้าเชคเกอร์ จุติลงมา ซึ่งเรื่องนี้ชาวเชคเกอร์รับรู้มาจากพระคัมภีร์ กระนั้นเมื่อปีหรือสอง ปีหลังจากนั้น เมซีย์หัวหน้าต้นหนมองเห็นโมบี้ดิ๊กอย่างชัดเจนจากยอดเสา กระโดงเรือ ความเร่าร้อนใคร่จะได้พบเจอมัน และกัปตันเองก็ไม่คิดปิดกั้น โอกาส เมซียล์ มื สิน้ ถึงค�าสาปแช่ง และค�ากล่าวเตือนของประมุขทูต เขาชักชวน ลูกเรือห้าคนลงเรือเล็กตามเขาไป เมซีย์ออกเรือไปกับพวกเขา เหน็ดเหนื่อย กับการพายเรือ และฝ่าอันตรายหลายครั้งแต่การจู่โจมก็ยังไม่เป็นผลส�าเร็จ กระทั่งในที่สุดเขาแทงเหล็กกล้าไปได้ครั้งหนึ่ง เวลาเดียวกันนั้น เกเบรียลปีน ขึ้นไปบนยอดเสาเรือหลัก กวัดแกว่ง แขนข้างหนึ่งด้วยท่าทางฟั่นเฟือน และ พ่นค�าท�านายถึงหายนะที่จะเกิดขึ้นในฉับพลันกับเหล่าวายร้ายผู้มีความผิด ฐานล่วงเกินเทพเจ้าของเขา ตอนนี้ เป็นช่วงจังหวะเดียวกับทีต่ น้ หนเมซียก์ า� ลัง ยืนขึ้นที่หัวเรือเล็กของเขา ด้วยพลังความบุ่มบ่ามตามแบบฉบับเผ่าพันธุ์ของ เขา เมซีย์ตะโกนเสียงดุดันไปที่วาฬ และพยายามหาโอกาสเหมาะเล็งฉมวก ในมือให้มั่น นั่น! เงาสีขาวกว้างใหญ่กระโจนขึ้นจากทะเล การพุ่งตัวปลิวขึ้น มาอย่างรวดเร็วของมัน ท�าเอากลุ่มฝีพายถึงกับหยุดหายใจไปชั่วครู่ เพียงชั่ว เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 427
อึดใจต่อมา ต้นหนผูอ้ บั โชคและบ้าระห�า่ ถูกกระแทกจนตัวลอยไปกลางอากาศ ตีโค้งยาวราวห้าสิบหลาก่อนร่วงหล่นลงทะเล เรือเล็กไม่เสียหายแม้แต่น้อย บรรดาฝีพายก็ไม่ได้รับอันตรายแม้แต่เส้นผม ทว่าต้นหนจมหายตลอดกาล ควรต้องแทรกข้อความไว้ตรงนี้ด้วยว่า อุบัติเหตุถึงตายในประมงล่าวาฬ หัวทุยในลักษณะนี้นั้นแทบจะเรียกได้ว่าเกิดขึ้นบ่อยพอๆ กับอุบัติเหตุอื่นๆ บางครัง้ ไม่มใี ครได้รบั บาดเจ็บเลยเว้นแต่ชายผูถ้ กู บดขยีด้ ว้ ยเหตุนี้ และเกิดขึน้ บ่อยยิ่งกว่าเมื่อหัวเรือถูกกระแทกหลุด หรือไม้กระดานที่มือเชือดวาฬยืนอยู่ ถูกฉีกหลุดออกไปพร้อมกับร่างของเขา ทีน่ า่ แปลกทีส่ ดุ ก็คอื กรณีทมี่ ตี วั อย่าง มากกว่าหนึง่ ครัง้ ของการกูร้ า่ งผูต้ ายขึน้ มาแล้วพบว่าร่างนัน้ ไม่มรี อ่ งรอยความ รุนแรงปรากฏให้เห็นเลย ร่างนั้นแข็งตาย ความหายนะที่เกิดขึ้นทั้งหมดรวมทั้งภาพการตกลงมาของเมซีย์เห็นได้ อย่างชัดเจนจากบนเรือใหญ่ เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้น “แก้ว!” “แก้วใบที่ เจ็ด!” เกเบรียลร้องเรียกลูกเรือที่ได้รับบาดเจ็บรุนแรงให้ยุติการไล่ล่าวาฬต่อ ไป เหตุการณ์สยดสยองนี้เพิ่มอิทธิพลให้กับประมุขทูต เพราะสาวกผู้งมงาย ของเขาเชื่อว่าเกเบรียลได้ประกาศเรื่องนี้ไว้ล่วงหน้าชัดเจนแล้ว ไม่ใช่เพียง แค่การท�านายทั่วไปที่ใครก็อาจท�าได้ เขาจึงมีโอกาสได้สร้างคะแนนนิยมจน สามารถแผ่ขยายอิทธิพลออกไปกลายเป็นบุคคลผูม้ คี วามน่ากลัวเกินบรรยาย ส�าหรับเรือล�านี้ เมย์ฮวิ สรุปการเล่าเรือ่ งของเขาลง เอแฮ็บป้อนค�าถามกับเขามากมายเสีย จนกัปตันผู้มาใหม่ไม่คิดลังเลใจที่จะถามออกไปว่า เขาตั้งใจจะล่าวาฬสีขาว เมื่อสบโอกาสใช่หรือไม่ เอแฮ็บตอบออกไปว่า “ใช่” ทันใดนั้นเกเบรียลขยับ ตัวลุกขึ้นยืนอีกครั้ง จ้องมองไปที่ชายชรา และตะโกนใส่อย่างเผ็ดร้อนพร้อม กับชี้นิ้วไปยังด้านล่าง “คิดดูเถิด คิดถึงบุคคลผู้ดูหมิ่นสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น เขาตาย และจมอยู่เบื้องล่างนั่น! จงระวังจุดจบของผู้ดูหมิ่นสิ่งศักดิ์สิทธิ์!” เอแฮ็บหันไปด้านข้างอย่างเยือกเย็น ก่อนจะกล่าวกับเมย์ฮวิ “กัปตัน ผมเพิง่ นึกได้ว่าในกระเป๋าจดหมายของผม ในนั้นมีจดหมายฉบับหนึ่งถึงลูกเรือคุณ 428 : โมบี-ดิ๊ก
ถ้าผมจ�าไม่ผิดนะ สตาร์บัคไปค้นดูที่กระเป๋าหน่อย” เรือล่าวาฬทุกล�าจะน�าเอาจดหมายจ�านวนมากของเรือต่างๆ ติดมาด้วย เพื่อส่งให้กับบุคคลผู้มีชื่อจ่าหน้า แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะมีโอกาสได้เจอเขาเหล่า นัน้ หรือไม่ในสีค่ าบมหาสมุทร เหตุนจี้ ดหมายส่วนใหญ่ไม่ถงึ มือผูร้ บั และหลาย ฉบับถึงมือผูร้ บั เมือ่ เวลาผ่านไปแล้วนานร่วมสองหรือสามปี หรือนานกว่านัน้ ไม่นานสตาร์บัคก็กลับมาพร้อมกับจดหมายฉบับหนึ่งในมือ มันยับเยิน มาก ชื้น และมีราสีเขียวแต้มเป็นรอยหมอง อันเนื่องมาจากเก็บไว้ในตู้มืด ภายในห้องเครือ่ ง จดหมายฉบับนัน้ ท�าให้ตวั เขาได้ทา� หน้าทีเ่ ป็นบุรษุ ไปรษณีย์ “อ่านไม่ออกหรือ” เอแฮ็บถาม “ส่งมานี่...พ่อหนุ่ม ใช่ ใช่มันมัวและเขียน หวัด... อะไรกันนี่” ขณะเขาก�าลังตรวจดูอยู่นั้น สตาร์บัคใช้มีดผ่าแยกปลาย ด้ามพลั่วที่เป็นไม้ยาวเอาไว้ส�าหรับใช้สอดจดหมายที่ปลายไม้นั้น เพื่อยื่นส่ง ไปที่เรือเล็กโดยไม่ต้องให้เรือเล็กเข้ามาใกล้เรือใหญ่ เวลาเดียวกันนั้น เอแฮ็บถือจดหมายอยู่ในมือ แล้วพูดพึมพ�า “คุณแฮร์.. เอ่อ...คุณแฮรี่ (ลายมืออ่อนช้อยของผู้หญิง ต้องเป็นภรรยาเขาแน่ ผมกล้า พนันเลยล่ะ) เอ่อ...คุณแฮรี่ เมซีย์ เรือเยโรโบอัม ท�าไมเป็นจดหมายของเมซีย์ ล่ะ ก็เขาตายไปแล้วนี่!” “พ่อหนุม่ ผูน้ า่ สงสาร! พ่อหนุม่ ผูน้ า่ สงสาร! นีเ่ ป็นจดหมายจากภรรยาของเขา” เมย์ฮิวถอนหายใจ “ให้ผมเก็บมันไว้เถอะ” “อย่าเลย เก็บไว้กับตัวเองเถิด” เกเบรียลตะโกนบอกเอแฮ็บ “อีกไม่นาน กัปตันก็จะไปทางนั้นอยู่แล้ว” “ค�าสาปแช่งจะเค้นคอนาย!” เอแฮ็บแผดเสียงตะโกน “กัปตันเมย์ฮิว ช่วย รับไปด้วย’’ แล้วรับเอาจดหมายส�าคัญจากมือสตาร์บัค มาเสียบไว้ที่รอยแยก ของปลายไม้ และยื่นส่งไปยังเรือเล็ก แต่ขณะเขายื่นส่งอยู่นั้น บรรดาฝีพาย ต่างหยุดพายอย่างตัง้ ใจ เรือเล็กลอยไปทางด้านท้ายเรือเดินสมุทร ราวกับเกิด อาถรรพณ์ขนึ้ ทันใดนัน้ จดหมายปลิวไปเข้ามือเกเบรียลทีค่ อยจ้องรับไว้อยู่ เขา คว้ามันได้ในทันที เหน็บจดหมายกับมีดบนเรือแล้วขว้างกลับมาทีเ่ รือพีควอด เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 429
มันตกลงที่เท้าของเอแฮ็บ แล้วเกเบรียลก็กรีดร้องให้พวกลูกเรือพายต่อไป ด้วยเหตุนี้เรือเล็กที่ควบคุมยากก็พุ่งห่างออกไปจากเรือพีควอดอย่างรวดเร็ว หลังการแสดงสลับฉากนี้จบลง บรรดาลูกเรือต่างกลับไปท�างานของตน เพื่อมุ่งหน้าค้นหาวาฬ เรื่องราวแปลกประหลาดหลายอย่างต่างบอกความ นัยถึงเรื่องราวยุ่งเหยิงนี้
430 : โมบี-ดิ๊ก
บทที่ 72
เชือกลิง
ความโกลาหลทีเ่ กิดขึน้ ขณะปฏิบตั ภิ ารกิจช�าแหละและง่วนอยูก่ บั วาฬ ลูกเรือ ทุกคนต่างวิ่งขึ้นหน้าถอยหลังกันจ้าละหวั่น เดี๋ยวตรงโน่นก็ต้องการคนช่วย เดี๋ยวตรงนี้ก็ต้องการคนช่วย แทบไม่มีใครหยุดอยู่แค่จุดเดียว เพราะทุกๆ ที่ ต่างก็ตอ้ งท�าสิง่ ต่างๆ ให้เสร็จพร้อมๆ กัน เฉกเช่นเดียวกับผมผูก้ า� ลังบากบัน่ พรรณนาถึงเหตุการณ์นี้ ซึ่งเราคงต้องย้อนเหตุการณ์กลับไปสักหน่อย กลับ ไปในช่วงที่เอ่ยถึงเป็นครั้งแรกขณะลงมือช�าแหละผ่าบนหลังวาฬ และเสียบ ตะขอไว้ในช่องแรกเริม่ ทีต่ น้ หนทัง้ สองได้เจาะเอาไว้ ทว่าตะขอทีม่ นี า�้ หนักมาก และใหญ่เทอะทะอย่างนั้นจะสอดใส่ในช่องนั้นได้อย่างไรกัน? ตะขอถูกสอด โดยควีเควกเพือ่ นของผมคนนี้ เพราะมันเป็นหน้าทีข่ องเขาในฐานะนักพุง่ ฉมวก ซึง่ จะต้องปีนลงไปทีห่ ลังเจ้ายักษ์ใหญ่เพือ่ ท�าการนัน้ โดยเฉพาะ ทว่าในหลายๆ กรณีมักเกิดเหตุการณ์ให้นักพุ่งฉมวกจ�าต้องยังอยู่บนหลังวาฬจนกว่างาน ผูกรัด และลอกไขมันจะสิน้ สุดลง ซึง่ เมือ่ สังเกตดูจะพบว่าวาฬแทบจมอยูใ่ ต้นา�้ ทั้งตัว จะมีก็แต่ส่วนที่เพิ่งตัดออกมาได้ ด้วยเหตุนี้ด้านล่างนั่นซึ่งอยู่ใต้ระดับ ดาดฟ้าเรือประมาณสิบฟุตได้ นักพุง่ ฉมวกผูน้ า่ สงสารจะต้องตะเกียกตะกาย อยู่บนตัววาฬครึ่งตัว และอยู่ในน�้าอีกครึ่งตัว ขณะเจ้ายักษ์ใหญ่พลิกตัวหมุน ตลอดเวลาราวกับเป็นลูว่ งิ่ สายพานใต้เท้าเขา ค�าถามก็คอื ควีเควกในชุดแต่งกาย อย่างชาวดอย สวมเสื้อและถุงเท้าสั้น ซึ่งอย่างน้อยในสายตาของผมเขาดูดี ทีเดียวในชุดนัน้ แทบไม่มใี ครมีโอกาสได้เห็นเขาเหมือนอย่างทีผ่ มเพิง่ ได้บอกไป เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 431
ในฐานะที่เป็นฝีพายของเจ้าคนป่า หรือก็คือคนที่ท�าหน้าที่แจวประจ�าไม้ แจวในเรือเชือดวาฬของเขา (นัง่ เป็นคนทีส่ องต่อจากคนหน้าสุด) จึงเป็นหน้าที่ ที่น่ายินดีของผมในการอยู่คอยให้ความช่วยเหลือ ขณะเขาตะเกียกตะกาย ดิ้นรนอย่างหนักอยู่บนหลังซากวาฬ คุณเคยเห็นหนุ่มออร์แกนชาวอิตาลีถือ เชือกจูงลิงที่ก�าลังเต้นร�ามั้ย นั่นล่ะจากด้านข้างเรือที่สูงชันผมยึดตัวควีเควก ไว้ก่อนเขาค่อยๆ ไต่ลงทะเลไปโดยใช้สิ่งที่เรียกกันในวงการประมงว่าเชือก ลิงผูกติดกับแถบผ้าใบที่มัดรอบตัวเขาไว้เป็นสายคาดเอว นีเ่ ป็นงานเสีย่ งภัยทีน่ า่ ขันของเราสองคน แต่กอ่ นเราจะเดินหน้ากันต่อไป คงต้องเล่าให้ฟงั ก่อนว่าเชือกลิงนีถ้ กู มัดไว้ทงั้ สองด้าน ด้านหนึง่ มัดไว้กบั แถบ ผ้าใบสายคาดเอวกว้างของควีเควก ส่วนอีกด้านมัดติดกับสายหนังคาดเอว แคบของผม ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าเหตุการณ์จะดีหรือร้าย เราสอง...ในช่วงเวลานั้น ต่างถูกผูกประสานไว้ดว้ ยกัน หากควีเควกผูน้ า่ สงสารเกิดจมน�า้ ไปแล้วไม่โผล่ กลับขึ้นมาอีกเลย ทั้งด้วยศีลธรรมอันจ�าเป็น และประเพณีปฏิบัติตามกันมา ผมต้องไม่ตัดเชือกทิ้ง และปล่อยให้เชือกนั้นลากผมร่วงลงน�้าจมตามเขาไป เวลานั้นเราสองคนจึงเป็นเหมือนแฝดสยามที่ยังมีเส้นเชือกโยงเราไว้ด้วยกัน ควีเควกเป็นพี่น้องฝาแฝดที่ไม่อาจแยกไปจากผม ผมไม่อาจตัดความรับผิด ชอบที่เสี่ยงภัยอันเนื่องมาจากเชือกป่านที่โยงเราไว้ด้วยกันนี้ได้ ผมฟุ้งซ่านอย่างหนักกับสถานการณ์ในตอนนั้น ขณะเฝ้าจับตามองการ เคลือ่ นไหวของเขา ผมส�าเหนียกชัดถึงตัวตนของผมในเวลานัน้ หลอมรวมแนบ สนิทอยูใ่ นความเป็นมิตรของเราสอง ซึง่ อิสรภาพของผมจะได้รบั ความเสียหาย อย่างรุนแรง ความผิดพลาด หรือความโชคร้ายของอีกฝ่ายอาจกระชากพาความ บริสทุ ธิข์ องผมดิง่ จมสูห่ ายนะ และความดับสูญทีผ่ มไม่ได้เป็นผูก้ อ่ ดังนัน้ ผมจึง มองเหตุการณ์นเี้ ป็นช่วงหัวเลีย้ วหัวต่อของโชคชะตา ซึง่ ความเสมอภาคเทีย่ งธรรม ไม่ควรมีใครได้ก�าไรเกินงามจากความอยุติธรรม ช่วงขณะผมยังจมอยู่ในห้วง ค�านึงนัน้ ผมกระตุกเขาเป็นครัง้ คราวให้หลุดจากการบีบอัดระหว่างตัววาฬ กับ ตัวเรือ ผมยังคงครุ่นคิดต่อ ในความคิดนั้น...ผมมองว่าสถานการณ์ของผมใน 432 : โมบี-ดิ๊ก
เวลานีเ้ ป็นสถานการณ์ทเี่ สีย่ งต่อความตายทุกขณะ และมีความเป็นไปได้มากว่า เขาเป็นเพียงคนเดียวที่ก่อให้เกิดหายนะภัยต่างๆ ขึ้นผ่านเชือกแฝดสยามไม่ ทางใดก็ทางหนึง่ ถ้าธนาคารของคุณล้มละลาย คุณก็หมดตัว ถ้าหมอยาส่งยาพิษ ให้คณ ุ ดืม่ โดยไม่ตงั้ ใจ คุณก็ตาย แน่ละ่ ...คุณอาจบอกว่าเพือ่ การป้องกันภัย คุณ จะหลีกเลีย่ งเหตุการณ์เหล่านี้ และไม่ปล่อยให้เกิดเหตุรา้ ยใดๆ กับชีวติ เป็นแน่ ทว่าการจับเชือกลิงให้ควีเควกอย่างระมัดระวังเท่าทีผ่ มจะท�าได้ บางคราวผม ก็โดนเขากระตุกแรงจนเกือบลืน่ ไถลตกเรือ ผมไม่มที างลืมหรอกว่าต้องท�าใน สิง่ ทีผ่ มควรท�า เพียงแต่ผมต้องจัดการกับสิง่ ทีต่ อ้ งท�าทีป่ ลายอีกด้านหนึง่ ด้วย1 ผมได้เกริน่ ไปแล้วว่า ผมต้องคอยกระตุกดึงควีเควกผูน้ า่ สงสารให้หลุดจาก การติดอยู่ระหว่างวาฬกับเรือ ซึ่งเขาจะหล่นลงไปในช่องนั้นเป็นครั้งคราวอัน เนื่องมาจากทั้งเรือและวาฬกลิ้งหมุน และโยกขึ้นลงตลอดเวลา ทว่านี่ไม่ใช่ อันตรายเพียงหนึ่งเดียวที่เขาต้องเสี่ยงภัย หากแต่ผมยังต้องใจหายใจคว�่ากับ ฆาตกรรมหมู่ที่เกิดขึ้นกับเหล่าฉลามในคืนวันนั้น เลือดที่ขังอยู่ภายในก่อน หน้านี้เริ่มไหลทะลักจากซากศพกลิ่นคาวฉุนยั่วยวนสัตว์หัวรุนแรงเหล่านี้ให้ รุมตอมล้อมรอบตัวมันเหมือนฝูงผึง้ ในรัง ควีเควกผูอ้ ยูท่ า่ มกลางฝูงฉลามต้อง คอยใช้เท้าทีด่ นิ้ รนตะเกียกตะกายของเขาถีบให้มนั ถอยห่างไป สิง่ ทีเ่ ป็นความ เหลือเชือ่ ก็คอื พวกมันไม่ได้สนใจเฉพาะแค่เหยือ่ วาฬทีต่ ายแล้วเท่านัน้ ฉลาม กินเนื้อเหล่านี้ไม่ค่อยได้ลิ้มรสเนื้อมนุษย์บ่อยนัก กระนั้นควรศรัทธาพวกมันดั่งนิ้วตะกละจ้องจิ้มลงในขนมพาย พึงจับตา ระแวดระวังมันไว้ นอกจากเชือกลิงที่ผมใช้กระตุกเพื่อนผู้น่าสงสารออกจาก จุดที่ใกล้คอหอยของสิ่งที่ดูเหมือนน่าจะเป็นฉลามร้ายแล้ว ควีเควกยังได้รับ การปกป้องจากทางอืน่ อีก ข้างเรือยังมีแท่นไม้อกี อันแขวนอยู่ บนนัน้ แทชเทโก และแด๊กกูจะคอยใช้คมเสียมช�าแหละโบกแกว่งข้ามหัวของเขาลงมาเพื่อคอย สังหารหมูฝ่ งู ฉลามให้ได้มากทีส่ ดุ เท่าทีพ่ วกเขาจะจ้วงแทงถึง วิธที ที่ งั้ สองใช้นนั้ 1
เชือกลิงมีอยู่ในเรือทุกล�า แต่มีเพียงแค่เรือพีควอดเท่านั้นที่จะต้องมัดเชือกลิงกับผู้ถือเชือกไว้ด้วยกัน วิธีการนี้คิดต่อยอดมาจากวิถีดั้งเดิมซึ่งเจ้าของความคิดจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากสตับบ์ เพื่อให้ นักพุ่งฉมวกผู้ตกอยู่ในอันตรายมีหลักประกันที่มั่นคงจากผู้ถือเชือกลิงที่เชื่อใจได้ และมีความรอบคอบ
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 433
ก็เพือ่ ให้แน่ใจว่าไม่ได้ใส่ใจ และให้ความเมตตากับพวกมัน ทัง้ สองมุง่ หมายต่อ ความสุขสบายของควีเควกเป็นหลัก...ผมรับรองได้ ทว่าความรีบร้อนจะผูกมิตร กับควีเควกในช่วงสถานการณ์ที่เขาและฝูงฉลามจมหายไปพร้อมกันใต้น�้า ทะเลขุน่ สีเลือดเป็นพักๆ เช่นนัน้ คมเสียมทีจ่ ว้ งแทงไปอย่างไม่ระมัดระวังอาจ ไปตัดถูกขาคนแทนที่จะเป็นหางฉลามก็เป็นได้ กระนั้นควีเควกผู้น่าสงสาร... ผมคิดว่าเขาคงก�าลังตึงเครียด และหายใจหอบอยู่ข้างล่างกับตะขอเหล็กอัน ใหญ่นนั้ ควีเควกผูน้ า่ สงสาร...ผมคิดว่าเขาคงได้แต่สวดอ้อนวอนต่อโยโจ และ มอบชีวิตให้อยู่ในอ้อมแขนพระเจ้าของเขา ดี...ดีแล้ว สหายรัก และคูแ่ ฝดของฉัน ผมคิดขณะดึงและผ่อนเชือกในแต่ละ จังหวะกระเพือ่ มของน�า้ ทะเล จะมีอะไรส�าคัญอีกเล่า? นายไม่ใช่รปู บูชาส�าคัญ ส�าหรับเราทุกๆ คนในโลกของการล่าวาฬนีม้ ใิ ช่หรือ? มหาสมุทรแห่งความไม่ มั่นคงที่นายหายใจหอบอยู่นั้นนั่นล่ะคือชีวิต ฝูงฉลามเหล่านั้น คือศัตรูของ นาย คมเสียมเหล่านั้น คือมิตรของนาย เส้นแบ่งระหว่างฉลาม และคมเสียม ที่นายยืนอยู่นั้นคือมรสุมชีวิต และชะตาอันน่าเศร้า...เพื่อนเอ๋ย กล้าไว้! ด้านบนนีม้ กี า� ลังใจดีๆ มอบให้กบั นาย...ควีเควก และตอนนัน้ เจ้า คนป่าปีนเส้นโซ่ขึ้นมายืนตัวเปียกโชกและสั่นเทาอยู่ข้างเรือ ริมฝีปากของเขา ม่วงคล�้า ดวงตาแดงก�่า เด็กบริกรก้าวเข้ามาหาด้วยสายตาแห่งเมตตา และ ปลอบโยนมอบให้กับเขา อะไรนั่น? คอนยักร้อนๆ หรือ? ไม่ใช่! สิ่งที่ยื่นให้ กับเขา พระเจ้า! เจ้านั่นยื่นถ้วยน�้าขิงอุ่นๆ ให้แก่เขา! “น�า้ ขิง? ฉันได้กลิน่ ขิง?” สตับบ์เอ่ยถามอย่างสงสัยขณะเดินเข้าไปใกล้ “ใช่นี่ ต้องเป็นขิงแน่” เขามองลงไปในถ้วยทีย่ งั ไม่ได้ลมิ้ รสแล้วลุกขึน้ ยืนราวกับมึนงง ไปชั่วขณะ ก่อนเดินเงียบๆไปหาเด็กรับใช้ที่ก�าลังหน้าตื่น พร้อมพูดช้าๆว่า “น�้าขิงรึ? น�้าขิงรึ? นายบอกฉันได้ไหม คุณโดบอยว่าขิงนี่มันมีดียังไง? ขิง! ขิงจะเป็นพลังงานที่นายใช้ล่ะสิ...โดบอย ..ใช้มันจุดไฟในตัวมนุษย์กินคนที่ หนาวสั่นนี่น่ะหรือ? ขิง! ขิงบ้านี่จะใช้อะไรได้? เป็นถ่านหินทะเลรึ? ฟืนไฟรึ? หรือเป็นไม้ขีดไฟ? ดินชนวนล่ะสิ? หรือว่าดินปืน? ฉันถามว่าน�้าขิงบ้านี่ช่วย 434 : โมบี-ดิ๊ก
อะไรได้บ้าง นายถึงเอามาให้ควีเควกผู้น่าสงสารของพวกเราตอนนี้?” “มีการเคลือ่ นไหวอย่างลับๆ ของสมาคมควบคุมสิง่ มึนเมาในธุรกิจนี”้ เขา รีบตอบออกมา ขณะรีเ่ ข้าไปหาสตาร์บคั ทีเ่ พิง่ เดินมาจากด้านหน้าเรือ “ต้นเรือ ช่วยดูเครือ่ งดืม่ ถ้วยนัน่ หน่อยเถอะครับ และถ้าจะกรุณาก็ชว่ ยดมดูดว้ ย” แล้ว จับตามองสีหน้าของต้นเรือ เขาพูดต่อว่า “คนรับใช้คนนี้...คุณสตาร์บัค...ตั้งใจ จะเอาคาโลเมล และจาแล็บให้กบั ควีเควกทีอ่ ยูต่ รงนัน้ เขาเพิง่ ขึน้ มาจากวาฬ ด้านล่างนั่น คนรับใช้ไม่ใช่หมอยา...ใช่ไหมครับ? ผมอยากถามว่ารากไม้นี่จะ ใช้ฟื้นชีวิตให้กับชายผู้เกือบจมน�้าได้หรือ?” “ผมเกรงว่าจะไม่นะ” สตาร์บัคพูดขึ้น “มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย” “ใช่แล้ว...ใช่...เจ้าบริกร” สตับบ์ร้องขึ้น “เราจะสอนนายผสมยาให้นักพุ่ง ฉมวก สิ่งที่นายเอามาทั้งหมดไม่มีอะไรใช้เป็นยาได้เลย คิดจะวางยาพวก เราอย่างนั้นรึ? นายพรากเอาความมั่นใจในความปลอดภัยไปจากพวกเรา ต้องการท�าลายฝีพายของพวกเขา และปิดบังเรื่องราวเหล่านี้ไว้อย่างนั้นรึ? “ผมเปล่านะ” โดบอยร้องบอก “ป้าแชริตตี้ า่ งหากเป็นคนเอาขิงขึน้ เรือมา และ สั่งห้ามผมเอาสารระเหยใดๆให้นักพุ่งฉมวก เว้นแต่ขิงตุ๋นนี้เท่านั้น ป้าเรียก อย่างนั้นนะ” “ขิงตุ๋น! เจ้าขิงบ้าเอ๊ย! เอาไปซะ! เอากลับไปที่ตู้แล้วเอาอะไรที่ดีกว่านี้มา ผมหวังว่าผมไม่ได้ทา� อะไรผิดนะ คุณสตาร์บัค มันเป็นค�าสั่งของกัปตันน่ะ ที่ ให้เอาเหล้าให้นักพุ่งฉมวกที่ลงไปอยู่กับวาฬ” “พอเถอะ” สตาร์บัคตอบ “แค่อย่าไปเล่นงานเด็กนั่นอีกเลย แต่...” “โอ้...ผมไม่เคยท�าร้ายใคร เว้นแต่วาฬหรือสัตว์จ�าพวกนั้น แล้วก็เจ้า พังพอนนี่ ต้นเรือจะพูดอะไรนะครับ?” “ก็แค่...ลงข้างล่างไปกับเขา แล้วหยิบเอาสิ่งที่ต้องการเองก็หมดเรื่อง” เมื่อสตับบ์กลับมาอีกครั้ง เขาน�าขวดสีด�าติดมือมาด้วย มืออีกข้างถือของ จ�าพวกชาระบาย เขายืน่ ขวดสีดา� ทีม่ เี หล้ารสแรงอยูภ่ ายในส่งให้ควีเควก ส่วน ของในมืออีกข้างซึ่งเป็นของขวัญจากป้าแชริตี้ถูกเหวี่ยงทิ้งลงทะเลไป เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 435
บทที่ 74
หัววาฬหัวทุย - ภาพเปรียบเทียบ
เวลานี้หัววาฬยักษ์สองตัววางเคียงกัน เชื้อเชิญเราสุมหัวร่วมกับมัน ในการจัดล�าดับสัตว์ทะเลยักษ์กลุม่ ใหญ่ในหนังสือขนาดสีห่ น้ายก วาฬหัวทุย และวาฬไรต์จดั อยูใ่ นล�าดับส�าคัญสุด วาฬสองชนิดนีเ้ ท่านัน้ ทีม่ นุษย์ลา่ กันเป็น ประจ�า ส�าหรับชาวแนนทักเก็ตแล้ววาฬสองชนิดนี้นับเป็นสุดยอดจากหลาก หลายสายพันธุ์ท้ังหมดที่เป็นที่รู้จัก ความแตกต่างภายนอกระหว่างวาฬสอง ชนิดนีโ้ ดยทัว่ ไปแล้วสังเกตเห็นได้ชดั ทีห่ วั ของมัน และเนือ่ งจากขณะนีห้ วั ของ วาฬทั้งสองชนิดแขวนอยู่ข้างพีควอด เราอาจผละจากหัวหนึ่งไปดูอีกหัวหนึ่ง ได้ง่ายๆ เพียงแค่ก้าวข้ามฝั่งดาดฟ้า ซึ่งผมอยากรู้ว่าคุณจะหาโอกาสไหนดี เท่าเวลานี้ที่จะได้ศึกษาวาฬภาคปฏิบัติ? เบื้องต้น คุณจะรู้สึกทึ่งกับความผิดแผกแตกต่างกันระหว่างสองหัวนี้ แน่นอนว่าทัง้ สองหัวมีขนาดใหญ่พอๆ กัน ทว่าสัดส่วนทีเ่ ท่ากันเป๊ะในหัววาฬ หัวทุยนัน้ เป็นเรือ่ งน่าเศร้าว่าหัววาฬไรต์ไม่มี หัวของวาฬหัวทุยมีคณ ุ ลักษณะ ที่ดีกว่า เมื่อคุณได้เห็นจะยอมรับโดยอัตโนมัติถึงคุณสมบัติที่เหนือกว่ามาก ของมันซึ่งครอบคลุมถึงความภูมิฐานด้วย ในกรณีนี้ก็เช่นกัน ความสง่างาม นี้เด่นชัดยิ่งขึ้นด้วยส่วนผสมของสีขาวและด�าบนจุดสูงสุดของหัว ซึ่งบอกถึง อายุ และประสบการณ์ทผี่ า่ นมาของมัน โดยสรุปมันเป็นสิง่ ทีช่ าวประมงเรียก กันว่า “วาฬหัวเทา” คราวนีเ้ รามาสังเกตกันว่า ส่วนไหนของหัววาฬสองชนิดนีม้ คี วามแตกต่าง 436 : โมบี-ดิ๊ก
กันน้อยที่สุด โดยไล่ไปตั้งแต่อวัยวะส่วนส�าคัญสุด ซึ่งก็คือตาและหู ไล่กลับ ไปทางด้านข้างของหัว ลงไปด้านล่างใกล้มุมขากรรไกรแต่ละข้าง ถ้าคุณมอง ส�ารวจรอบๆ บริเวณนั้นแล้วคุณจะได้เห็นดวงตาไร้ขนตา ซึ่งจะท�าให้คุณ นึกถึงตาของลูกม้าตัวเล็กๆ มันช่างไม่ได้สัดส่วนกับขนาดหัวที่ใหญ่มหึมา นั่นเอาซะเลย เมื่อตาวาฬมาอยู่ในต�าแหน่งประหลาดด้านข้างหัวเช่นนี้ ก็เป็นที่แน่ชัดว่า มันไม่เคยมองเห็นวัตถุที่อยู่ด้านหน้าเลย ทั้งยังไม่สามารถมองเห็นด้านหลัง ด้วย กล่าวคือต�าแหน่งทีต่ าวาฬอยูน่ นั้ เป็นต�าแหน่งเดียวกันกับหูมนุษย์ ลองนึก ดูวา่ ถ้าเป็นคุณ...คุณจะมีประสบการณ์อย่างไรหากต้องส�ารวจสิง่ ต่างๆ ผ่านหู ทัง้ สองข้าง คุณจะพบว่าสามารถมองเห็นได้เพียงสามสิบเปอร์เซ็นต์ของความ พยายามในการมองไปด้านหน้าตามเส้นสายตา และอีกสามสิบเปอร์เซ็นต์ใน ความพยายามมองไปด้านหลัง แม้นศัตรูผรู้ า้ ยกาจเงือ้ กริชตรงดิง่ เข้ามาหาคุณ ในเวลากลางวันแสกๆ คุณก็ไม่อาจมองเห็นเขาได้ และก็ไม่สามารถมองเห็น แม้นเขาจะลอบเข้ามาทางด้านหลัง พูดง่ายๆ คุณต้องมีด้านหลังสองส่วน จะว่าไปแล้ว คุณยังต้องมีดา้ นหน้าสองส่วน (ข้างด้านหน้า) ด้วยจึงจะสามารถ มีด้านหน้าเหมือนคนทั่วไป ทว่าแล้วตาสองข้างของมันล่ะ? นอกจากนี้ ในบรรดาสัตว์อื่นเกือบทั้งหมดที่ผมพอจะนึกออก มักมีดวง ตาตั้งอยู่ใกล้กันเสียจนช่วยให้เกิดการรวมรัศมีการมองเห็นภาพ ด้วยเหตุนี้ พวกมันจึงมองเห็นเป็นภาพเดียวในสมองไม่ใช่สองภาพ ทว่าต�าแหน่งพิกล ของตาวาฬ อยู่แยกห่างกันหลายลูกบาศก์ฟุตบนหัวรูปตัน ซึ่งมีหอสูงกั้น ระหว่างตาทัง้ สองข้างคล้ายภูผาสูงตัง้ ตระหง่านกัน้ ขวางทะเลสาบสองแห่งใน หุบเขา ซึ่งแน่ละมันแบ่งแยกภาพการมองเห็นของดวงตาแต่ละข้างที่แยกตัว เป็นอิสระจากกัน ดังนั้นวาฬจะเห็นภาพหนึ่งชัดเจนทางด้านนี้ และอีกภาพ ชัดเจนทางด้านนั้น ขณะภาพอื่นๆ ระหว่างระยะการมองเห็นของตาทั้งสอง ข้างเป็นความมืดมิด และว่างเปล่าส�าหรับมัน หากกล่าวว่ามนุษย์มองโลกกว้าง ผ่านหน้าต่างสองบานทีอ่ ยูช่ ดิ ติดกันในป้อมยาม ทว่าส�าหรับวาฬหน้าต่างสอง เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 437
บานนีอ้ ยูแ่ ยกจากกันภาพจากหน้าต่างสองบานจึงท�าให้คณ ุ ภาพการมองเห็น ลดลงอย่างน่าเศร้า ต�าแหน่งตาวาฬที่พิกลนี้เป็นเรื่องที่คนในวงการประมง ค�านึงถึงอยูเ่ สมอ และผูอ้ า่ นเองก็ควรจดจ�าไว้เพือ่ ใช้ระลึกถึงยามเมือ่ ได้กล่าว ถึงในเรื่องเล่าต่อจากนี้ ค�าถามชวนสงสัย และอยากรู้อยากเห็นอาจเริ่มขึ้นในประเด็นที่เกี่ยวกับ เรื่องการมองเห็นของสัตว์ทะเลยักษ์นี้ ทว่าผมคงต้องเกริ่นน�าเสียก่อน ตราบ เท่าที่ดวงตามนุษย์เปิดออกท่ามกลางแสงสว่าง การมองเห็นจะเกิดขึ้นโดย อัตโนมัติ กล่าวคือมนุษย์ไม่จ�าเป็นต้องท�าอะไรเพื่อให้สามารถมองเห็นวัตถุ ที่อยู่ตรงหน้า ทว่าประสบการณ์จะสอนให้รู้ว่าเราไม่สามารถกวาดสายตา เพ่งพิจารณาสิ่งของต่างๆ ได้ในเวลาเดียวกัน เป็นไปไม่ได้เลยที่มนุษย์จะตั้ง หน้าตั้งตาตรวจดูของสองสิ่งพร้อมกันได้ ไม่ว่าของชิ้นนั้นจะเป็นชิ้นเล็ก หรือ ชิน้ ใหญ่กต็ าม ไม่มที างทีจ่ ะมองเห็นได้ชดั พร้อมกันในเวลาเดียวกันแม้มนุษย์ จะมีดวงตาอยูเ่ คียงข้างกัน และมีการรวมมิตขิ องภาพไว้ดว้ ยกัน แต่ถา้ คุณแยก วัตถุสองชิน้ ออกจากกันแล้วล้อมวงของแต่ละชิน้ ด้วยความมืดมิด จากนัน้ เพือ่ ให้มองเห็นของหนึ่งในสองชิ้นนั้นชนิดที่จะท�าให้คุณจดจ�าได้ ของอีกชิ้นจะ หลุดออกจากไปการรับรู้ของคุณชั่วคราว แล้วจะเป็นยังไง ถ้าเป็นตาของวาฬ บ้าง? แน่ล่ะ... ตาทั้งสองข้างของมันโดยศักยภาพแล้วสามารถเคลื่อนไหวได้ พร้อมกัน ทว่าสมองของมันสามารถรับรู้ รวมภาพ และเข้าใจภาพได้มากกว่า มนุษย์จนท�าให้มันสามารถเพ่งพิจารณาของสองสิ่งในภาพสองภาพจากตา สองข้างได้พร้อมกันหรือเปล่า? ถ้าท�าได้ก็ถือว่านี่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ในตัวมัน เลยทีเดียว เฉกเช่นมนุษย์สามารถแก้โจทย์ทแี่ ตกต่างกันสองข้อของยูคลิก1ได้ พร้อมกัน ก็ถา้ ไม่มกี ารศึกษาอย่างจริงจังแล้วจะพบความแตกต่างในการเทียบ เคียงได้อย่างไร อาจเป็นความคิดที่ไร้สาระ แต่มันติดอยู่ในใจผมเสมอมาว่าภาพการ เคลื่อนไหวไปมาอยู่ตลอดเวลาที่วาฬเห็นยามเมื่อถูกล้อมวงโจมตีจากเรือ 1
ยูคลิก เป็นชาวกรีกผู้ให้กา� เนิดวิชาเรขาคณิต
438 : โมบี-ดิ๊ก
พิฆาตสาม หรือสี่ล�านั้น น่าจะเป็นผลให้มันตื่นกลัว และแสดงอาการตกใจ แปลกๆ ออกมาจนเป็นเรื่องปกติธรรมดา ผมยังคิดอีกด้วยว่าการมองเห็น ภาพที่แยกจากกัน และเป็นภาพต่างมุมโดยสิ้นเชิงนั้นน่าจะมีส่วนท�าให้มัน เกิดความสับสนในการตัดสินใจอยู่บ้าง ทว่าหูวาฬเป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่แพ้ตาของมัน หากคุณไม่เคยคุ้นกับเผ่า พันธุ์ของมันมาเลย แม้จะใช้เวลากวาดตามองหาหลายชั่วโมงคุณก็คงยังไม่ พบอวัยวะส่วนนี้ หูวาฬไม่มีลักษณะเป็นใบยื่นออกมาให้เห็น อีกทั้งรูหูก็เล็ก ถึงขนาดทีว่ า่ แม้สอดก้านขนนกยังเป็นเรือ่ งยากส�าหรับคุณเลย มันมีขนาดเล็ก จนน่าเหลือเชือ่ เชียวล่ะ หูวาฬอยูไ่ ปทางด้านหลังตาเล็กน้อย เมือ่ พิจารณาให้ ดีจะสังเกตเห็นความแตกต่างกันอย่างมากระหว่างหูวาฬหัวทุย กับหูวาฬไรต์ ขณะหูของวาฬชนิดแรกมีรเู ปิดด้านนอก แต่วาฬชนิดหลังกลับถูกเยือ่ บุผวิ ห่อ หุ้มมิดจนเกือบแทบมองไม่เห็น มันไม่นา่ สนใจเหรอ...วาฬทีม่ ขี นาดตัวใหญ่โตมโหฬารมองโลกผ่านดวงตา ที่มีขนาดเล็กเช่นนั้น และฟังเสียงฟ้าร้องผ่านหูที่มีขนาดเล็กเสียยิ่งกว่าหู กระต่ายป่า? ทว่าหากดวงตาของมันกว้างพอๆ กับเลนส์กล้องโทรทรรศน์อนั ใหญ่ของเฮอร์เชล2 และหูของมันกว้างพอๆ กับระเบียงโบสถ์ นั่นจะท�าให้มัน มองเห็นไกลขึ้น หรือได้ยินชัดขึ้นหรือไม่? เปล่าเลย...ท�าไมคุณไม่ลอง “ขยาย” ใจของคุณดูบ้างล่ะ? ลองครุ่นคิดให้ถ้วนถี่ดูสิ คราวนี้เราลองใช้เครื่องยนต์ขับเคลื่อนไอน�้าที่มีอยู่ใกล้ตัวจับเอาหัววาฬ หัวทุยกลับเอาส่วนล่างขึน้ ด้านบน จากนัน้ ปีนบันไดขึน้ ด้านบนสุดแล้วมองลง ไปทีป่ ากของมัน สมมติวา่ ตอนนีต้ วั ของมันยังไม่ได้ถกู แยกออกไปจากส่วนหัว เมือ่ เอาโคมไฟส่องดูเราอาจได้เดินเข้าไปในถ�า้ เคนตักกีแ้ มมมอท3ในท้องของ มันก็ได้ แต่ทว่าขอให้เราหยุดอยูท่ ฟี่ นั ของมันก่อน แล้วลองมองไปรอบๆ ตัวดู 2 3
เฮอร์เชล-เซอร์ เฟรดริก เฮอร์เชล (ค.ศ.1738-1822) นักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษ ผู้ค้นพบดาวยูเรนัส ถ�า้ เคนตักกีแ้ มมมอท-อุทยานแห่งชาติแมมมอทเคฟ ตัง้ อยูใ่ นรัฐเคนทักกี ประเทศสหรัฐอเมริกา ห่างจาก เมืองลุยส์วิลล์ประมาณ 144 กิโลเมตร ภายในอุทยานแห่งชาติ เป็นกลุ่มถ�้าที่ยาวที่สุดในโลก ซึ่งภายใน มีความยาวประมาณ 530 กิโลเมตร
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 439
สิวา่ ตอนนีเ้ ราอยูท่ ไี่ หน ช่างเป็นปากทีส่ วยบริสทุ ธิอ์ ะไรเช่นนี!้ ตัง้ แต่พนื้ จนถึง เพดานถูกบุ หรือปิดทับด้วยเนื้อเยื่อสีขาวส่องแสงแวววับ เป็นมันวาวราวกับ ผ้าแพรต่วนของชุดเจ้าสาว คราวนี้ลองออกมาข้างนอก แล้วมองไปที่ขากรรไกรล่างที่น่าเกรงขาม นี่ มันดูคล้ายกับฝาครอบยาวแคบของกล่องยานัตถุ์ขนาดใหญ่ มีบานพับอยู่ ปลายด้านหนึง่ แทนทีจ่ ะเป็นด้านข้าง ถ้าคุณงัดมันขึน้ แล้ววางไว้ดา้ นบนคุณจะ ได้เห็นแถวฟันมันดูคล้ายลูกกรงประตูเหล็กขนาดใหญ่มากจนน่ากลัว และ... อนิจจา! มันแสดงให้เห็นว่านักล่าผู้กล้าจ�านวนมากในอุตสาหกรรมประมง ถูกเดือยแหลมเหล่านี้เสียบทะลุร่างอย่างไร ทว่ามันดูสยดสยองกว่าหากได้ เห็นว่าลึกลงไปหลายฟาธอมในทะเลลึก วาฬขี้หงุดหงิดตัวหนึ่งอ้าปากง้างขา กรรไกรใหญ่มหึมารอรับอยู่ มันยาวประมาณสิบห้าฟุตห้อยตรงลงมาจากมุม ด้านขวาของล�าตัว ทุกๆ ซีด่ คู ล้ายไม้เครือ่ งเสาหัวเรือ หากวาฬตัวนีย้ งั ไม่ตาย มันคงจมอยู่กับความสิ้นหวัง ไม่สบาย เป็นโรคอุปทาน และเฉื่อยชา บานพับ ขากรรไกรของมันผ่อนลงปล่อยให้มันอยู่ในสภาพที่ไม่น่าดูนัก คงต้องต�าหนิ เผ่าพันธุ์ของมันที่ท�าให้มันถูกสาบด้วยโรคบาดทะยัก ขากรรไกรล่างนีถ้ อดบานพับหลุดออกได้โดยง่าย ด้วยฝีมอื ของผูเ้ ชีย่ วชาญ ที่มีความช�านาญ ส่วนใหญ่แล้วมันจะถูกถอดออก และชักรอกน�าขึ้นมาบน ดาดฟ้าเพื่อถอนฟันสีงาออกมาเก็บไว้ใช้ตกแต่งเสริมกระดูกแข็งสีขาว ที่ชาว ประมงนิยมเอามาท�าเป็นข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ อาทิเช่น ไม้เท้า ก้านร่ม และด้านจับแส้ควบคุมม้า ขากรรไกรถูกลากขึน้ เรือด้วยความเหนือ่ ยยาก และใช้เวลานานราวกับลาก สมอเรือ เมือ่ ลากขึน้ มาได้แล้วก็เป็นโอกาสเหมาะ หลังใช้เวลาสองสามวันก่อน หน้านีไ้ ปกับงานอืน่ ควีเควก แด๊กกู และแทชเทโกล้วนแปลงกายเป็นหมอฟัน ท�าหน้าที่ถอนฟัน ควีเควกใช้คมเสียมช�าแหละกรีดไปที่เหงือก จากนั้นน�าขา กรรไกรผูกเข้ากับห่วงกลอน และใช้รอกกว้านขึงจากด้านบน ทั้งสามช่วยกัน ถอนฟันออกเหมือนฝูงวัวมิชิแกนช่วยกันลากตอต้นโอ๊กอายุมากออกจากป่า 440 : โมบี-ดิ๊ก
รกชัฏ โดยปกติแล้ววาฬจะมีฟันทั้งหมดสี่สิบสองซี่ วาฬที่มีอายุมากฟันจะ สึกกร่อนเยอะ แต่ก็ไม่มีผุ และไม่มีใส่ฟันปลอมเหมือนเรา หลังจากถอนฟัน ออกหมดแล้วขากรรไกรจะกลายเป็นแผ่นหนาสุมกองรวมกันเหมือนไม้ขื่อ ส�าหรับบ้านที่ก�าลังสร้าง
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 441
บทที่ 75
หัววาฬไรต์ - ภาพเปรียบเทียบ
ข้ามไปอีกฝากของดาดฟ้าเรือ เรามาพิจารณาหัววาฬไรต์กันอย่างละเอียด กันดูบ้าง โดยปกติหวั วาฬหัวทุยตัวงามอาจเปรียบได้กบั รถม้าศึกโรมัน (โดยเฉพาะ อย่างยิง่ ส่วนหน้ากลมกว้าง) ด้วยเหตุนี้ ในภาพกว้าง หัวของวาฬไรต์จงึ ค่อนไป ทางดูไม่สง่างามคล้ายรองเท้าหัวตัดขนาดใหญ่ เมื่อสองร้อยปีก่อน นักเดิน ทางชาวดัตช์ยุคโบราณเปรียบรูปร่างของมันกับแม่พิมพ์ของช่างท�ารองเท้า แม่พิมพ์หรือรองเท้าข้างเดียวกันนี่แหละ ที่หญิงชราในสถานรับเลี้ยงเด็กใช้ เล่าให้เด็กๆ ที่จับกลุ่มกันฟัง อาจช่วยให้หล่อนและลูกหลานของหล่อนทุก คนมีรองเท้าสวมใส่สบาย ทว่าเมือ่ คุณเข้าใกล้หวั อันใหญ่โตนี้ จะเริม่ เห็นภาพทีต่ า่ งออกไปจากความคิด ในตอนแรก ถ้าคุณยืนอยูบ่ นยอดหัววาฬไรต์ และมองดูชอ่ งหายใจสองรูรปู ตัวเอฟ ของมัน คุณอาจเข้าใจผิดคิดว่าทัง้ หัวเป็นซอโบราณ1ตัวใหญ่มหึมา ขณะทีร่ หู ายใจ เป็นช่องในแผ่นสะท้อนเสีย2 และถ้าคุณจับตาที่เครื่องตกแต่งรูปร่างคล้ายหวี ดูแปลกตาทางด้านบนสุดของก้อนหัวนี้ สิง่ ทีม่ สี เี ขียวเกาะติดอยูน่ ชี้ าวกรีนแลนด์ เรียกว่า “มงกุฎ” ส่วนชาวประมงทะเลใต้เรียกว่า “หมวกสตรี” ของวาฬไรต์ ถ้าดู เฉพาะตรงนี้ คุณอาจคิดไปได้วา่ หัวนีเ้ ป็นเหมือนล�าต้นของโอ๊กต้นใหญ่ทมี่ รี งั นก อยู่บนง่ามกิ่ง อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณเฝ้าดูโลนที่ใช้ชีวิตท�ารังอยู่บนหมวกใบนี้ 1 2
ซอโบราณ-ซอเบส คล้ายเชลโล แผ่นสะท้อนเสียง-แผ่นไม้ในเครื่องดนตรีช่วยเพิ่มความกังวานของเสียง เช่น ไวโอลิน เปียโน
442 : โมบี-ดิ๊ก
คุณจะเกิดมโนภาพขึน้ มาทันใด กล่าวคือจินตนาการของคุณจะเชือ่ มโยงเข้ากับ “มงกุฎ” ศัพท์วชิ าการอีกค�าทีม่ นั ได้รบั มอบด้วยเช่นกัน คุณจะครุน่ คิดสงสัยว่า เหตุใดอสุรกายยักษ์จงึ กลายเป็นราชาผูส้ วมมงกุฎแห่งท้องทะเล ซึง่ มงกุฎสีเขียว ถูกสวมรวมไว้บนหัวมันในลักษณะที่น่าทึ่ง ทว่าหากวาฬไรต์เป็นพระราชา หน้าตาของมันดูขนุ่ เคืองกับการต้องสวมมงกุฎ ดูทปี่ ากห้อยต�า่ ของมันสิ! ปาก ใหญ่นนั้ ก�าลังยืน่ ท�าหน้าหมุย่ อยู!่ ปากทีย่ นื่ ออกมาท�าหน้าหมุย่ นัน้ ช่างไม้วดั ได้ ยาวประมาณยี่สิบฟุต และลึกห้าฟุต ปากที่ยื่นท�าหน้าหมุ่ยนี้ให้น�้ามันได้ราว 500 แกลลอน หรืออาจมากกว่านั้น เป็นเรือ่ งน่าเสียดายมากทีเดียว วาฬโชคร้ายตัวนีม้ ปี ากแหว่ง รอยปริอยูใ่ น แนวขวางยาวประมาณหนึง่ ฟุต อาจเป็นไปได้วา่ ช่วงตัง้ ท้องแม่ของมันว่ายลงไป ทางชายฝั่งเปรู ช่วงเกิดแผ่นดินไหวจนเป็นเหตุให้ชายหาดเปิดอ้าออก เหนือ ริมฝีปากนีเ้ ป็นเหมือนทางเข้าลืน่ ไถล ตอนนีเ้ ราเลือ่ นไหลเข้าไปในปากของมัน พับผ่าสิ...ถ้าผมอยูท่ แี่ มคกินอว์3 ผมคงใช้เส้นทางนีเ้ ข้าไปในกระท่อมอินเดียนแดง พระเจ้า! นีค่ อื ถนนทีโ่ ยนาห์เคยผ่านจริงหรือ? เพดานปากสูงประมาณสิบสองฟุต ลาดท�ามุมค่อนข้างแหลม ราวกับบนนัน่ เป็นแกนหลังคา ขณะรอบด้านปกคลุม ด้วยขนโค้งเป็นโครงนัน้ ท�าให้เราได้เห็นถึงกระดูกในปากวาฬ4 ทีม่ ลี กั ษณะเป็น ซีห่ วีคล้ายดาบโค้งเกือบตัง้ ตรงจนดูนา่ มหัศจรรย์ แต่ละด้านห้อยยาวประมาณ สามร้อยฟุตจากส่วนบนหัว หรือกระดูกมงกุฎ รูปร่างคล้ายม่านบานเกล็ดนัน้ เคยได้กล่าวถึงมาแล้วสัน้ ๆ ในบททีผ่ า่ นมา ขอบกระดูกพวกนีต้ ดิ ฝอยขนเส้นใย ซึง่ วาฬไรต์ใช้กรองน�า้ ทะเล ความซับซ้อนของเส้นใยจะช่วยกักปลาตัวเล็กไว้เวลา ทีม่ นั อ้าปากว่ายน�า้ ผ่านแพแพลงก์ตอนในช่วงหากิน บานเกล็ดกลางกระดูกที่ ขึน้ เรียงรายตามธรรมชาตินนั้ เกิดเป็นลวดลายน่าสนใจ ส่วนโค้ง ส่วนเว้า และ ส่วนนูนนีเ้ ป็นส่วนทีน่ กั ล่าวาฬใช้ในการค�านวณอายุของสัตว์ชนิดนี้ ดังเช่นการ 3 4
แมคกินอว์-บริเวณที่ทะเลสาบมิชิแกนบรรจบทะเลสาบฮูรอน วาฬทีอ่ ยูใ่ นกลุม่ วาฬบาลีน ในปากจะไม่มฟี นั เป็นซีๆ่ แต่จะมีมฟี นั ทีเ่ หมือนขนแปรงสีฟนั หรือซีห่ วีขนาดใหญ่ ห้อยลงมาจากขากรรไกรด้านบน ขนแปรงนี้เรียกว่า "บาลีน" ใช้ส�าหรับกรองอาหารจากน�้าทะเล เพราะกินได้แต่เฉพาะสัตว์ทะเลขนาดเล็กๆ เช่น แพลงก์ตอนชนิดต่างๆ และปลาขนาดเล็ก เช่น ปลาแฮร์รงิ่
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 443
ค�านวณอายุของต้นโอ๊กด้วยจ�านวนวงรอบของมัน แม้ความแม่นย�าของเกณฑ์ นีย้ งั ห่างไกลจากการพิสจู น์แน่ชดั ทว่าก็เป็นคุณลักษณะเฉพาะของความเป็น ไปได้ของสองสิ่งที่คล้ายกัน อย่างไรก็ตาม หากเรายอมรับวิธีนี้ เราจะยอมรับ ว่าวาฬไรต์มีอายุมากกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ในเบื้องต้น ในสมัยก่อนผู้คนต่างจินตนการถึงกระดูกบานเกล็ดนี้ไปต่างๆ นานา ใน หนังสือเดินเล่มหนึง่ ของเพอร์คสั 5เรียกมันว่า “หนวดแหลม” อันน่าทึง่ ในปาก วาฬ6 ส่วนในอีกเล่มก็เรียกว่า “ขนหมู” ขณะท่านสุภาพบุรุษชราในหนังสือ ของฮักไลต์7ใช้ภาษาสละสลวยดังนี้ “มีครีบประมาณสองร้อยห้าสิบอันขึ้นที่ ขากรรไกรแต่ละข้าง ซึ่งโค้งอยู่เหนือลิ้นแต่ละด้านในปากมัน” อาจสื่อถึงความเป็นผู้ร้ายให้กับสีหน้าเคร่งขรึมของมัน อย่างที่ได้รู้กันแล้วว่าส่วนที่มีชื่อเรียกต่างๆ กันไปทั้ง “ขนหมู” “ครีบ” “หนวดแหลม” “บานเกล็ด” หรือคุณจะเรียกว่าอะไรก็ตามแต่ ทว่าชิ้นส่วน เดียวกันนี้ใช้ส�าหรับท�ารองเท้าหนังส้นสูงให้กับสาวๆ และสิ่งประดิษฐ์ที่มี ความแข็งอื่นๆ ทว่าในยุคที่ต้องการความพิถีพิถันสูงเช่นเวลานี้ ท�าให้ความ ต้องการกระดูกส่วนนี้ตกต�่าไปนาน สมัยพระราชินีแอน8เป็นยุครุ่งโรจน์ของ กระดูกส่วนนี้ เพราะโครงกระโปรงสุม่ ก�าลังเป็นทีน่ ยิ ม เหล่าสตรีผสู้ งู ศักดิเ์ ยือ้ ง กายเริงร่า แม้อยูภ่ ายในขากรรไกรวาฬ คุณเองก็เช่นกัน ท่ามกลางสายฝนพร�า่ โดยไม่ทนั ได้คา� นึงคิดทุกวันนีพ้ วกเราต่างล่องลอยอยูภ่ ายใต้การคุม้ กันจากขา กรรไกรเดียวกันนี้ ร่มกันฝนก็คือกระโจมที่กางออกด้วยกระดูกชนิดเดียวกัน แต่ตอนนีล้ มื เรือ่ งบานเกล็ดและหนวดแหลมไปก่อน แล้วเข้ามายืนในปาก วาฬไรต์ มองไปรอบๆ ตัวคุณอีกครัง้ ดูแนวเสาระเบียงของกระดูกนีส่ ิ มันช่าง เรียงแถวเป็นระเบียบดีแท้ คุณไม่คิดหรือว่ามันท�าให้รู้สึกคล้ายกับคุณได้เข้า แซมมวล เพอร์ชัส (ค.ศ. 1575-1626) นักเขียนเรื่องเดินทางชาวอังกฤษ ข้อความตรงนี้ท�าให้เรารู้ว่าวาฬไรต์มีส่วนที่เป็นหนวด หรือเครา ซึ่งเป็นขนสีขาวขึ้นรอบๆ ส่วนบนของ ปลายขากรรไกรด้านนอก บางทีปอยขนพวกนี้ 7 ริชาร์ด ฮักไลต์ (ค.ศ. 1553-1616) นักเขียนชาวอังกฤษ 8 พระราชินแี อน (ค.ศ. 1665-1714) ปกครองอังกฤษ สก็อตแลนด์ และไอร์แลนด์ ในปี 1702 จนสิน้ พระชนม์ 5 6
444 : โมบี-ดิ๊ก
มาในออร์แกนใหญ่ในฮาอาเล็ม9 และมองดูท่อเสียงนับพันของมัน? ส�าหรับ พรมลาดไปยังตัวออร์แกน เรามีพรมขนไก่งวงนุ่มๆ อยู่ มันคือลิ้นที่ติดอยู่กับ พื้นปาก ทั้งหนานุ่ม จนอาจฉีกขาดเป็นชิ้นๆ ได้ตอนชักรอกขึ้นไปบนดาดฟ้า เรือ เฉพาะส่วนลิ้นที่อยู่เบื้องหน้าเราในตอนนี้ แค่มองแวบเดียวผมก็บอกได้ ว่ามันน่าจะประมาณหกถังได้ นัน่ คือมันจะให้นา�้ มันกับคุณได้ในจ�านวนเท่านัน้ ก่อนหน้านี้ คุณได้รู้กระจ่างชัดถึงสิ่งที่ผมได้เริ่มต้นเขียนบรรยายไว้ นั่นก็ คือวาฬหัวทุย และวาฬไรต์มีลักษณะหัวที่แตกต่างกันแทบทั้งหมด กล่าวโดย สรุปหัววาฬไรต์ไม่ได้มไี ขมันมากนัก ฟันไม่ได้มสี งี าเลย ขากรรไกรล่างไม่ยาว เรียวเหมือนของวาฬหัวทุย ขณะวาฬหัวทุยก็ไม่มบี านเกล็ดกระดูกขนแข็ง ไม่มี ปากล่างหนา และยังขาดแคลนส่วนทีใ่ ช้เป็นลิน้ วาฬไรต์มชี อ่ งหายใจด้านนอก สองช่อง ขณะวาฬหัวทุยมีเพียงช่องเดียว เมือ่ พิจารณาอีกทีเป็นครัง้ สุดท้ายของคุณ ดูสองหัวฝาครอบทีน่ า่ เคารพนี้ ขณะมันวางอยู่เคียงคู่กัน หัวหนึ่งจะจมหายไปในไม่ช้า และไม่มีบันทึกไว้ใน ท้องทะเล แต่อีกหัวหนึ่งคงอีกนานกว่าจะจมหายตามกันไป คุณตีความจากหัววาฬหัวทุยตรงนั่นได้มั้ย? สิ่งที่จะตายไปพร้อมกับมัน ริ้วรอยแห่งกาลเวลาบนหน้าผากของมันเลือนหายไปแล้ว ผมคิดว่าหน้าผาก กว้างของมันในเวลานี้เปรียบได้กับความเงียบสงบในทุ้งกว้าง ปราศจาก ความทุกข์กังวลต่อความตายที่เกิดขึ้น ทว่าริ้วรอยที่ปรากฏบนอีกหัวหนึ่งซึ่ง เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ที่เห็นมันอยู่ตรงริมฝีปากล่าง ถูกบีบอัดกับข้างเรือใหญ่ เพื่อยึดขากรรไกรไว้ หัวที่สมบูรณ์นี้ไม่ได้บ่งบอกถึงหนทางในการเผชิญหน้า กับความตายหรอกหรือ? ส�าหรับวาฬไรต์ผมมองว่าเป็นนักปรัชญาแห่งลัทธิ สโตอิก10 ส่วนวาฬหัวทุยก็คอื นักปรัชญาส�านักเพลโต11 ผูอ้ าจให้การสนับสนุน สปิโนซา12 ในการค้นคว้าของเขาหลังจากนั้น ออร์แกนใหญ่ในฮาอาเล็ม-ออร์แกนขนาดใหญ่ในโบสถ์เมืองฮาอาเล็ม เนเธอร์แลนด์ ส�านักสโตอิก-เน้นการยอมรับความบากล�าบากในชีวิต และสอนให้รู้จักควบคุมอารมณ์ 11 ส�านักเพลโต-ถือว่า คุณธรรมคือความรู้ และต้องเสาะหาความเข้าใจ ไม่ใช่แค่ยอมรับบัญชาของพระเจ้า 12 บารุค สปิโนซา (ค.ศ. 1632-1677) ปรัชญาชาวดัตช์ เขาเป็นนักเหตุผลนิยมและสสารนิยมที่ยิ่งใหญ่ ที่สุดของปรัชญาคริสต์ศตวรรษที่ 17 และถือว่าเป็นผู้ริเริ่มการวิพากษ์ไบเบิล 9
10
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 445
บทที่ 76
ไม้กระทุ้ง
ก่อนเลิกพูดถึงหัววาฬหัวทุยอีกต่อไป ในช่วงเวลานีผ้ มอยากให้คณ ุ ลองท�าตัว เป็นนักสรีรวิทยาผูเ้ ฉลียวฉลาดดูสกั หน่อย ง่ายๆ แค่สงั เกตดูลกั ษณะส่วนหน้า ของมันซึ่งมีทุกสิ่งทุกอย่างอัดแน่นรวมอยู่ในนั้น ผมอยากให้คุณลองส�ารวจดู ด้วยสายตาของคุณเอง และประเมินอย่างเป็นเหตุเป็นผลถึงสิง่ ใดก็ตามทีอ่ าจ ต้องใช้ไม้กระทุง้ 1มันทีต่ รงนัน้ นีเ่ ป็นเรือ่ งส�าคัญทีค่ ณ ุ จ�าต้องจัดการเรือ่ งนีด้ ว้ ย ตัวเอง หรือไม่กป็ ล่อยให้คาใจตลอดไปอันเนือ่ งมาจากหนึง่ ในเหตุการณ์ทนี่ า่ กลัวทีส่ ดุ ทว่ามันเป็นเรือ่ งจริง และบางทีนอี่ าจเป็นเหตุการณ์ทเี่ กิดขึน้ ได้ทวั่ ไป ในบันทึกประวัติศาสตร์ คุณจะสังเกตเห็นว่า ลักษณะทั่วไปในการว่ายน�้าของวาฬหัวทุยนั้น ส่วน หน้าของหัวเกือบเป็นระนาบไปกับผิวน�้า คุณจะเห็นว่าด้านล่างของส่วนหน้า เอียงลาดไปทางด้านหลัง กระทัง่ มีพนื้ ทีม่ ากพอส�าหรับเปลือกหุม้ ยาวทีใ่ ช้รบั ขากรรไกรล่าอันมีลักษณะคล้ายไม้ขวางข้างเรือ คุณจะเห็นว่าปากทั้งส่วน อยู่ใต้หัว ซึ่งถ้าเปรียบไปแล้วก็เหมือนกับปากทั้งปากของคุณไปอยู่ใต้คางนั่น แหละ ยิง่ ไปกว่านัน้ คุณจะเห็นว่าวาฬไม่มจี มูกโผล่ให้เห็นด้านนอก สิง่ เดียวที่ พอจะเรียกว่าเป็นจมูกของมันก็คอื ช่องหายใจ (ทีม่ พี วยน�า้ พุง่ ออกมา) อยูบ่ น สุดของหัว คุณจะเห็นว่า ตาและหูของมันอยูส่ องข้างของหัวเกือบหนึง่ ในสาม ของความยาวทั้งหมดจากส่วนหน้าหัว ถึงตอนนี้คุณมองภาพเห็นแล้วว่า หัว 1
ใช้ไม้กระทุ้ง-ไม้ท่อนยาวที่ใช้ในสงคราม ส�าหรับพังประตูหรือก�าแพงป้อมข้าศึก
446 : โมบี-ดิ๊ก
ของวาฬหัวทุยเป็นผนังทือ่ ๆ ตันๆ ปราศจากอวัยวะใดๆ โผล่ยนื่ ออกมาให้เห็น นอกจากนีค้ ณ ุ ยังรูอ้ กี ด้วยว่า ส่วนทีเ่ อียงไปทางด้านหลังล่างสุดของหัวส่วนหน้า เป็นร่องรอยบางๆ ของกระดูก และจะยาวได้ถึงยี่สิบฟุตจากหน้าผากเมื่อ กะโหลกมีพัฒนาการเต็มที่ เหตุนี้จึงท�าให้ก้อนเนื้อขนาดใหญ่ไร้กระดูกนี้เป็น เหมือนก้อนนิม่ ๆ ท้ายทีส่ ดุ เป็นเรือ่ งทีจ่ ะเปิดเผยในอีกไม่กอี่ ดึ ใจ นัน่ คือหัววาฬ บางส่วนประกอบด้วยเนือ้ ไขมันบอบบาง คุณยังจะได้รอู้ กี ถึงธรรมชาติของเนือ้ ไขมันนี้ ซึง่ ความบอบบางของมันเป็นสิง่ ทีจ่ ดั การได้ยากยิง่ กว่าความบอบบางของ ผูห้ ญิง ก่อนหน้านีผ้ มเคยบอกคุณถึงวิธกี ารลอกไขมันจากตัววาฬมาแล้ว ว่าเหมือน ปอกเปลือกส้ม หัววาฬก็มเี นือ้ ไขมันเช่นกัน แต่วธิ กี ารลอกจะแตกต่างออกไป แม้ไม่หนา แต่ความเหนียวของเนือ้ ไร้กระดูกทีห่ อ่ หุม้ หัววาฬซึง่ ผูท้ ไี่ ม่ได้เป็นผู้ ท�าการลอกไม่มที างรูไ้ ด้ถงึ ความเหนียวนัน้ ความแหลมคมของฉมวก ความคม กริบของหอกที่ทิ่มแทงจากแขนของคนที่แข็งแรงที่สุด ยังท�าให้อาวุธเหล่านั้น กระเด้งกระดอนอย่างไร้ท่า ราวกับหน้าผากของวาฬหัวทุยปูลาดด้วยกีบม้า จ�านวนมาก ซึ่งผมไม่คิดว่าจะมีประสาทสัมผัสซ่อนอยู่บริเวณนั้น ลองคิดพิจารณาด้วยตัวคุณเองอีกเรื่องหนึ่ง สมมติว่ามีเรืออินเดีย2สอง ล�าบรรทุกสินค้าเต็มล�า ก�าลังจะเบียดชนกันที่ท่าเรือ คุณคิดว่าลูกเรือจะท�า อย่างไร? พวกเขาจะไม่เข้าไปงัดแยกเรือทัง้ สองตรงบริเวณทีเ่ กิดการเบียดกัน โดยใช้ของแข็งอย่างเหล็กหรือไม้เท่านัน้ แต่จะใช้พวกป่านปอก้อนใหญ่และไม้ ก็อก คุ้มด้วยหนังวัวหนาและเหนียวที่สุด คั่นกันกระแทกไว้ ซึ่งมันจะมีความ ยืดหยุน่ และดูดเอาคานงัดไม้โอ๊กและชะแลงเหล็กทุกอันติดไว้แน่นด้วย นีเ่ ป็น ภาพทีผ่ มมุง่ หมายจะอธิบายให้เข้าใจได้โดยง่าย ทว่าการบรรยายเสริมในเรือ่ ง นี้ผมเองก็ยังเกิดข้อสงสัย นั่นคือโดยปกติแล้วปลาทั่วไปจะมีสิ่งที่เรียกว่าถุง ลม3อยูใ่ นตัว ซึง่ สามารถพองขยายหรือหดแฟบได้ตามใจปรารถนา แต่สา� หรับ วาฬหัวทุยเท่าที่ผมรู้มา ไม่มีเครื่องช่วยเช่นนั้นอยู่ในตัวมัน และเมื่อพิจารณา ถึงพฤติกรรมยากอธิบายอีกอย่างหนึง่ ทีม่ นั มักกดหัวลงน�า้ พร้อมกับอีกเดีย๋ ว 2 3
เรืออินเดีย-ในที่นี้คือเรือที่ค้าขายกับอินเดีย ถุงลม-ปลาจะมีถุงลมช่วยให้มันลอยตัว และปรับสภาพความดันน�้าในระดับความลึกต่างๆ
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 447
ก็จะว่ายขึน้ มายกตัวสูงโผล่พน้ น�า้ พิจารณาถึงความยืดหยุน่ ไร้การติดขัดจาก เครือ่ งห่อหุม้ ของมัน พิจารณาถึงส่วนด้านในหัวทีอ่ ดั รวมกัน ข้อสงสัยของผม คือ ปอดทีม่ ลี กั ษณะเป็นโพรงเล็กๆ คล้ายรวงผึง้ นัน้ น่าจะเชือ่ มโยงกับอากาศ ภายนอก เพือ่ ให้รถู้ งึ การขยายและการหดตัวของอากาศ ทว่าจนถึงเดีย๋ วนีจ้ ดุ เชื่อมโยงนั้นยังไม่มีใครรู้ และยังเป็นที่ข้องใจในเงื่อนง�านี้อยู่ และหากปอด ของมันมีจุดเชื่อมโยงกับอากาศภายนอกจริง ลองนึกถึงศักยภาพไร้ขีดจ�ากัด ซึ่งจะได้รับการสนับสนุนจากธาตุธรรมชาติที่ไร้ตัวตนและร้ายกาจอย่างที่สุด คราวนีข้ อให้เพ่งพิจารณาอย่างถ่องแท้ ถึงผนังตายด้าน หนังเหนียว เจาะ ท�าลายยาก และมีทนุ่ ลอยอยูภ่ ายในอันน่าทึง่ นี้ สิง่ ทีล่ อยน�า้ ซ่อนด้านหลังผนังนี้ ล้วนเป็นสิ่งมีค่าจนน่าพิศวง ใช่เพียงแค่แผ่นไม้ใหญ่สุมซ้อนกันเป็นเนื้อที่กว่า 128 ตารางฟุต และต่างท�างานประสานกันเป็นหนึ่งเดียวเหมือนดังแมลง ตัวเล็ก เมือ่ ผมบรรยายรายละเอียดให้คณ ุ ให้เห็นถึงคุณลักษณะพิเศษ และความ เข้มข้นของศักยภาพทีซ่ อ่ นอยูท่ กุ อณูภายในหัวอสุรกายใหญ่ยกั ษ์ตวั นี้ ผมหวัง ว่าคุณจะปฏิเสธทุกความแคลงใจในสิง่ ทีไ่ ม่รู้ และพร้อมจะเชือ่ ตาม แม้นผมจะบอก ว่าวาฬหัวทุยเคยเจาะทะลุผา่ นบริเวณคอคอดดาเรียน4 และเชือ่ มแอตแลนติก กับแปซิฟิกตรงจุดคอคอดนั้น คุณก็จะไม่เลิกคิ้วแสดงความกังขาออกมาแม้ แต่นิด หากเพียงยอมรับในตัววาฬ คุณจะไม่มีจิตใจคับแคบและอ่อนไหวกับ ความจริง ทว่าความจริงที่แน่ชัดมีเพียงพวกซาลาแมนเดอร์ยักษ์5เท่านั้น ที่สัมผัสรู้ เช่นนี้แล้วโอกาสจิตใจคับแคบริบหรี่เพียงใด? จะเกิดอะไรขึ้นหาก เด็กหนุ่มผู้มีจิตใจอ่อนแอยกผ้าคลุมหน้าของเทพธิดาผู้น่ากลัวแห่งไลส์?6 คอคอดดาเรียน-ปัจจุบนั คือคอคอดปานามา แผ่นดินกิว่ คอดซึง่ อยูก่ ลางทะเลแคริบเบียนและมหาสมุทร แปซิฟิก และเชื่อมทวีปอเมริกาเหนือเข้ากับทวีปอเมริกาใต้ 5 ในที่นี้ไม่ใช่สัตว์ครึ่งบกครึ่งน�้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก แต่หมายถึงสัตว์ในต�านานของยุคกลาง มี ลักษณะคล้ายสุนขั ขาสัน้ อยูท่ า่ งกลางเปลวเพลิง และมีพลังเหนือธรรมชาติ (แต่เมลวิลล์คงไม่เชือ่ เรือ่ งนี)้ 6 ในบทกวีของฟรีดริช ชิลเลอร์ (ค.ศ. 1759-1805) กวีชาวเยอรมัน ว่าถึงหนุ่มนักแสวงหาคนหนึ่งที่เดิน ทางไปเมืองไซส์ อียิปต์ มีคนบอกเขาว่า ความจริงซ่อนอยู่ใต้ผ้าคลุมหน้าของรูปปั้นเทพธิดาที่นั่น เมือ่ เขาแอบมองก็ตอ้ งขวัญหาย เขาไม่เคยบอกใครว่าเห็นอะไร แต่กเ็ ตือนทุกคนว่าอย่าแอบมองแบบเขา 4
448 : โมบี-ดิ๊ก
บทที่ 77 ถังไวน์ไฮเดลเบิร์ก
คราวนีก้ ม็ าถึงขัน้ ตอนการวิดน�า้ ในโพรงกะโหลก ทว่าเพือ่ ให้เข้าใจเรือ่ งนีอ้ ย่าง ถูกต้องคุณควรรูโ้ ครงสร้างภายในทีน่ า่ สนใจของสิง่ ทีจ่ ะท�าการผ่าตัดนีเ้ สียก่อน หากมองหัววาฬหัวทุยเป็นรูปสีเ่ หลีย่ มผืนผ้าทรงตัน จากด้านข้างคุณอาจ ตัดเฉียงแบ่งออกเป็นคอยน์ (สามเหลี่ยมทรงตัน)1ได้สองส่วน โดยส่วนล่าง เป็นโครงสร้างกระดูกที่ขึ้นรูปเป็นกะโหลก และขากรรไกร ขณะส่วนบนเป็น ก้อนเนื้อมันลื่นปราศจากกระดูกสักชิ้น ความกว้างด้านหน้าสุดเห็นเป็นเส้น ตรงแผ่ขยายนั้นขึ้นรูปเป็นส่วนหน้าของหัววาฬ ตรงกลางหน้าผากของคอย น์ส่วนบนยังแบ่งย่อยได้อีกตามแนวนอน คุณจะได้ก้อนเนื้อสองส่วนที่เกือบ เท่ากันเป๊ะ ซึ่งก่อนหน้านี้มันถูกแบ่งไว้ตามธรรมชาติอยู่แล้วโดยผนังภายใน ของเนื้อเอ็นหนา ส่วนล่างที่แยกย่อยออกมาเรียกว่าจังค์ เป็นรวงผึ้งชุ่มน�้ามันขนาดใหญ่มี ลักษณะเป็นเส้นใยสีขาวเหนียว และยืดหยุ่นมีช่องทะลุตัดกันไปมาผ่านทั่ว อาณาบริเวณทั้งหมดนับหมื่นช่อง ส่วนบนที่ตัดแยกย่อยออกมาเรียกว่าเคส หรือกะโหลก ส่วนนี้ถือได้ว่าเป็นถังหมักไวน์ไฮเดลเบิร์กของวาฬหัวทุยเลยที เดียว และเนื่องจากการผ่าแบ่งหัวออกเป็นสามชิ้นให้ได้ตามส่วนนั้นเป็นงาน 1
สามเหลี่ยมทรงตัน หรือคอยน์ (Quoin) ไม่ใช่ศัพท์ตามแบบยูคริด มันเป็นศัพท์ที่ใช้ในการค�านวณ ทางทะเลเท่านั้น ก่อนหน้านี้ผมไม่รู้ว่าค�านี้เคยมีบัญญัติความเอาไว้แล้ว คอยน์ในความหมายนี้คือรูป สามเหลี่ยมทรงตันที่แตกต่างจากรูปลิ่มตรงที่ปลายแหลมจะลาดชันด้านหนึ่งแทนที่จะเรียวแหลมทั้ง สองด้าน
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 449
ที่มีความยุ่งยาก ดังนั้นหน้าผากที่เป็นรอยย่นขนาดใหญ่ของวาฬจึงกลาย เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์เหลือคณานับในการใช้เป็นเครื่องสังเกตจุดที่ตั้ง ถังหมักอันเยี่ยมยอดของมัน ยิ่งไปกว่านั้น ไฮเดลเบิร์กมักได้รับเติมเต็มถัง อยู่เสมอด้วยไวน์ชั้นเยี่ยมจากล�าธารแม่น�้าไรน์ ด้วยเหตุนี้ถังน�้ามันของวาฬ จึงเต็มเปี่ยมด้วยคุณค่ามหาศาลของบรรดาเหล้าองุ่นรสกลมกล่อมของมัน กล่าวคือไขมันคุณภาพสูงซึ่งมีความบริสุทธิ์แท้ ใส และมีกลิ่นหอม สารที่มี คุณสมบัติยอดเยี่ยมเช่นนี้ไม่มีปรากฏในส่วนใดของสัตว์ชนิดนี้อีก ขณะวาฬ มีชีวิตสารชนิดนี้มีลักษณะเป็นของเหลวทั้งหมด แต่เมื่อโดนกับอากาศหลัง จากวาฬตายแล้วมันจะจับตัวเป็นก้อนแข็งส่องแสงเป็นประกายแวววับ เฉก เช่นช่วงแรกขณะน�้าจับตัวเป็นเกล็ดน�้าแข็งบางใส เคสของวาฬตัวใหญ่โดย ทั่วไปจะให้น�้ามันได้ประมาณห้าร้อยแกลลอน แม้มีการทะลัก รั่วไหล ซึม หยด หรือการสูญเสียใดๆ ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ในงานเก็บเกี่ยวที่มีความยุ่ง ยากเกินกว่าคุณจะควบคุมได้ ผมไม่รู้ว่าวัตถุดิบคุณภาพดี และมีราคาแพงใดที่ใช้เคลือบด้านในถังหมัก ไฮเดลเบิร์ก ทว่าไม่น่าจะมีความหรูหราใดเปรียบเทียบได้กับเนื้อเยื่อสีมุก ประกายวาวคล้ายผ้าซับในเสื้อคลุม ผ้าขนสัตว์คุณภาพดีที่ก่อตัวขึ้นเป็น ผิว ด้านในเคสของวาฬหัวทุย อย่างที่รู้กันอยู่ว่าถังไฮเดลเบิร์กของวาฬหัวทุยนั้นมีความยาวรวมเป็น ทัง้ หมดของส่วนบนของหัวไม่วา่ จะเริม่ ต้นวัดจากส่วนใดก็ตาม และเนือ่ งจาก หัวมีความยาวหนึง่ ในสามของความยาวตลอดทัง้ ตัววาฬ ดังนัน้ วาฬทีม่ ขี นาด ใหญ่เต็มทีแ่ ปดสิบฟุต คุณจะได้ถงั ทีม่ ขี นาดความลึกยีส่ บิ หกฟุต เมือ่ มันถูกชัก รอกขึ้นลงตามทางยาวอยู่ข้างเรือใหญ่ ช่วงขณะวาฬถูกตัดหัวออก เครื่องมือของผู้ท�าการผ่าตัดจะถูกน�ามาวาง ไว้ใกล้กับจุดที่เป็นทางใช้ดันไม้เข้าไปในช่องไขมัน ซึ่งผู้ท�าการผ่าตัดจะต้อง ด�าเนินการอย่างตั้งใจเป็นพิเศษ และให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด การก ระทุง้ เร็วเกินไปจะเป็นผลให้ของล�า้ ค่าหลบซ่อนอยูด่ า้ นใน และเสียเวลาเปล่า 450 : โมบี-ดิ๊ก
ท้ายที่สุดส่วนรอยตัดของหัวจะต้องยกขึ้นให้อยู่เหนือน�้าทะเล และห้อยค้าง ไว้อย่างนั้นด้วยรอกยก ซึ่งการรวมเชือกไว้ด้านหนึ่งจะท�าให้เชือกพันกันยุ่ง หนึ่งในสี่ส่วน ทีไ่ ด้บรรยายมาทัง้ หมดนัน้ ขอให้คณ ุ รูไ้ ว้วา่ ผมได้เล่าให้คณ ุ ฟังถึงเรือ่ งราว อันน่าพิศวง โดยเฉพาะการกระทุง้ ถังไฮเดลเบิรก์ ของวาฬครัง้ นีเ้ กือบเป็นการ ปฏิบัติงานที่เสี่ยงตายที่สุด
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 451
บทที่ 78
ถังเก็บและถังขุด
ด้วยความว่องไวราวกับแมว แทชเทโกปีนขึ้นไปด้านบนเสากระโดงเรือหลัก และยังคงไม่เปลีย่ นท่าตัวตัง้ ตรงขณะเดินต่อไปตามใบขวางเสาเรือจนถึงส่วน ที่ยื่นออกมาเหนือถังหมักที่ชักรอกไว้ เขาหยิบรอกตาขอขนาดเบาที่เรียกว่า ลูกรอกโยงติดมือขึ้นไปด้วย ลูกรอกโยงนี้มีเพียงสองส่วนส�าหรับร้อยเชือก ผ่านได้เพียงหนึ่งเส้น เพื่อให้รอกแข็งแรงแน่นหนาจึงต้องห้อยลงมาจากใบ ขวางเรือ เขาเหวี่ยงปลายเชือกด้านหนึ่งลงไปให้ลูกเรือบนดาดฟ้าตะครุบไว้ มั่น จากนั้นใช้มือเหนี่ยวเชือกทีละข้างไต่ลงไปยังส่วนอื่น เจ้าอินเดียนแดง ทิ้งตัวกลางอากาศโดดลงบนยอดหัววาฬอย่างคล่องแคล่ว ข้างบนนั้นยังอยู่ สูงกว่าเพื่อนที่เหลือซึ่งในเวลานี้ส่งเสียงเชียร์อย่างสนุกสนาน ดูเหมือนคนที่ ส่งเสียงร้องน่าจะเป็นผู้น�าละหมาดชาวตุรกีผู้ท�าหน้าที่ประกาศเรียกคนดีให้ สวดอ้อนวอนจากด้านบนสุดของหอสูง เวลานั้นเสียมคมแหลมด้ามสั้นถูก ส่งขึน้ ไปให้แทชเทโก เมือ่ ได้รบั แล้วเขาจัดแจงเคาะหาจุดทีเ่ หมาะส�าหรับเจาะ ลงไปในถังหมัก ในการปฏิบัติงานนี้เขาต้องท�าอย่างระมัดระวังประหนึ่งเป็น นักล่าสมบัติในบ้านร้าง คอยเคาะฟังเสียงสะท้อนจากผนังเพื่อหาจุดที่ทอง ฝังอยู่ เมื่อการค้นหาอย่างละเอียดสิ้นสุดลง ถังขุดล้อมด้วยเหล็กหนาจนดู ไม่ต่างกับถังในบ่อน�า้ ถูกมัดติดกับปลายด้านหนึ่งของลูกรอกโยง ขณะปลาย อีกด้านขึงผ่านดาดฟ้าโดยมีลูกเรือสอง หรือสามคนช่วยกันจับยึดไว้มั่นอย่าง เตรียมพร้อม คนเหล่านี้ชักรอกถังขุดขึ้นไปให้เจ้าอินเดียนแดงคว้าไว้ในมือ 452 : โมบี-ดิ๊ก
ส่วนอีกคนยื่นไม้ยาวส่งให้ หลังสอดไม้เข้ากับถังขุดเสร็จ แทชเทโกยื่นลงไป ในถังหมักกระทั่งมันหายลับไปจากสายตา จึงร้องบอกให้ลูกเรือที่ถือปลาย เชือกลูกรอกโยงอีกด้านช่วยกันสาวเอาถังขุดขึน้ มา ภายในถังเต็มไปด้วยฟอง คล้ายกับถังน�้านมเพิ่งรีดใหม่ๆ ถังขุดบรรทุกน�้ามันอยู่เต็มค่อยๆ หย่อนลง จากด้านบน ลูกเรือผู้ได้รับมอบหมายให้ท�าหน้าที่รีบคว้าไว้แล้วน�าไปเทใส่ ในถังใบใหญ่ จากนั้นถังขุดถูกชักรอกกลับขึ้นไปใหม่ และวนตามขั้นตอนเดิม อีกซ�า้ ๆ จนกว่าถังเก็บขนาดใหญ่1ไม่เหลือทีใ่ ห้ใส่อกี เมือ่ ตักไปจนถึงปลายถัง หมักแทชเทโกต้องกระทุง้ ไม้ยาวของเขาแรงมากขึน้ และลึกลงไปในถังกระทัง่ ไม้ยาวประมาณยี่สิบฟุตจมหายไป ขณะชาวเรือพีควอดก�าลังขะมักเขม้นอยู่กับงานวิดน�้ามัน กระทั่งน�้ามัน วาฬกลิ่นกรุ่นเติมเต็มถังเก็บไปได้หลายถัง ช่วงจังหวะนั้นเองได้เกิดเหตุร้าย ขึ้น หากไม่ใช่เพราะเจ้าอินเดียนแดงเถื่อนแทชเทโกขาดความเอาใจใส่ และ สะเพร่าไปชั่วขณะปล่อยมือข้างที่จับเชือกรอกยกหัวที่แขวนไว้ ก็คงเป็น เพราะบริเวณที่เขายืนอยู่นั้นไม่มั่นคง และมีของเหลวซึมออกมา หรือไม่ก็ ปีศาจซาตานเป็น ผู้บันดาลให้เรื่องนี้เกิดขึ้นโดยไม่จ�าเป็นต้องมีเหตุผลอะไร มากมายนัก อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้อย่างไรนั้นบอกไม่ได้ในตอนนี้ ทว่าขณะถัง ขุดดูดเอาน�้ามันขึ้นไปได้ประมาณถังที่แปดสิบ หรือเก้าสิบได้ ฉับพลันนั้น... พระเจ้า! แทชเทโกผู้น่าสงสาร...เหมือนกับถังน�้าคู่แฝดที่ชักรอกขึ้นลงในบ่อ น�า้ จริงๆ เจ้าอินเดียนแดงหล่นหัวทิ่มลงไปในถังหมักใบใหญ่แห่งไฮเดลเบิร์ก เสียงโกรกกรากของน�า้ มันดังน่าขนลุกก่อนเขาจมหายไป! “มีคนตกน�้า!” แด๊กกูส่งเสียงร้องดังทันทีที่รับรู้ถึงอุบัติเหตุร้ายแรงนั้น “เหวี่ยงถังขุดมาทางนี้!” เขาวางขาข้างหนึ่งลงไปในถังขุด ซึ่งน่าจะเป็นวิธีที่ ปลอดภัยกว่าใช้มือมันลื่นของเขายึดลูกรอกโยง กว้านชักรอกดึงตัวเขาขึ้นไป บนยอดหัววาฬได้ทนั ก่อนแทชเทโกจะจมดิง่ ลงไปก้นถังหมัก ช่วงเวลานัน้ เกิด ความชุลมุนวุน่ วายไปทัว่ เมือ่ เหล่าลูกเรือมองไปข้างเรือ พวกเขาเห็นหัววาฬที่ 1
ถังเก็บขนาดใหญ่-เช่น ที่ใช้เก็บน�้าฝน
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 453
ตายแล้วกระเพือ่ มแรง และยกตัวขึน้ ลงเกือบต�า่ กว่าใต้ผวิ น�า้ ทะเลประหนึง่ ว่า นัน่ เป็นช่วงวิกฤติรา้ ยแรง ด้วยเพราะช่วงเวลานัน้ เจ้าอินเดียนแดงผูน้ า่ สงสาร ก�าลังพยายามดิ้นรนให้รอดพ้นอันตรายจากการจมลงสู่ก้นบึ้งของถังหมัก เป็ น ช่ ว งจั ง หวะเดี ยวกั บ ที่ แ ด๊ ก กู ขึ้ น ไปอยู ่ บ นยอดหั ว วาฬ และก� าลั ง พยายามแกะเอาลูกรอกโยงที่เข้าไปพันกันกับรอกตะขออันใหญ่ที่ใช้ส�าหรับ ช�าแหละไขวาฬ เวลานั้นมีเสียงแครกดังขึ้น และตามมาด้วยเหตุการณ์น่าสะ พรึงยิ่งกว่า หนึ่งในสองตะขอขนาดมหึมาที่แขวนหัววาฬอยู่นั้นฉีกออกท�าให้ ก้อนหัวขนาดใหญ่แกว่งไปมาอย่างแรง กระทัง่ เรือเดินสมุทรเหมือนคนเมาเดิน โซเซ มันสั่นโคลงเคลงไปมาราวว่าชนเข้ากับภูเขาน�้าแข็ง ตะขอที่เหลืออีกอัน ทีย่ งั คงยึดหัววาฬแขวนไว้อยูท่ า� ท่าเหมือนจะพังลงมาทุกขณะ สถานการณ์ยงิ่ เลวร้ายลงเมื่อหัววาฬยังคงแกว่งตัวแรงไม่หยุด “ลงมา ลงมา!” เหล่าลูกเรือต่างตะโกนบอกแด๊กกู ทว่าเขาใช้มือข้างหนึ่ง จับรอกตะขออันหนักไว้เผือ่ ว่าหากหัววาฬตกลงไป เขาจะได้ไม่หล่นตามลงไป ด้วย เจ้านิโกรแก้เชือกที่พันกันยุ่งได้ส�าเร็จ แล้วกระแทกถังขุดลงไปในบ่อน�้า มันทีใ่ นเวลานีไ้ ด้รบั ความเสียหาย แด๊กกูหวังให้นกั พุง่ ฉมวกผูถ้ กู ฝังคว้าถังเอา ไว้ และจะชักรอกเขากลับขึ้นมา “ในนามของพระเจ้า...เจ้าหนุม่ ” สตับบ์รอ้ งบอก “นายก�าลังจะกรอกลูกปืน ใส่เพื่อเตรียมยิงอยู่รึนั่น? หยุดนะ! ท�าอย่างนั้นจะช่วยเขาได้ยังไง ถังขุดสวม วงแหวนเหล็กนั่นจะลงไปอัดใส่หัวเขาไม่รู้รึ? หยุดเดี๋ยวนี้!” “หลบไปจากรอกตะขอนั่น!” เสียงร้องดังขึ้นราวกับระเบิดปล่อยจรวด ยังไม่ทันสิ้นเสียงร้องเตือน ก้อนหัวมหึมาตกลงทะเลไปส่งเสียงดังสนั่น หวัน่ ไหว ราวกับโขดหินแห่งน�า้ ตกไนการ่าตกลงไปในวังน�า้ วน จังหวะนัน้ โครง เรือทีเ่ ป็นอิสระจากภาระหนักอย่างฉับพลันถูกฉุดรัง้ ไปอีกด้านจมลึกลงไปถึง เส้นบอกระดับน�า้ ข้างเรือจนเห็นทองแดงเคลือบส่องแสงแปลบปลาบ เหล่าลูก เรือแทบหยุดหายใจขณะเรือโยกโคลง ตอนนี้เหนือหัวเหล่าลูกเรือ และเหนือ น�้าทะเล แด๊กกูอยูท่ า่ มกลางม่านหมอกน�้าสาดกระเซ็นหายลับไปจากสายตา 454 : โมบี-ดิ๊ก
ขณะเกาะอยู่กับรอกตะขอที่แกว่งไปมา เวลาเดียวกันนั้นแทชเทโกผู้ก�าลังถูก ฝังทั้งเป็นอย่างน่าเวทนาก�าลังจมดิ่งสู่ก้นบึ้งทะเลลึก! ทว่าทันทีที่ม่านหมอก หนาเริ่มจางลง ร่างเปลือยเปล่าพร้อมดาบยาวในมือเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ขณะโดดตัวลอยเหนือกราบเรือ ครูต่ อ่ มาเสียงน�า้ สาดกระเซ็นเป็นสัญญาณบ่ง บอกว่าควีเควกผู้กล้าของผมได้ด�าลงไปให้ความช่วยเหลือแทชเทโกแล้ว ทุก คนต่างพุง่ พรวดไปอัดรวมกันอยูข่ า้ งเรือ ทุกสายตาจับจ้องทุกขณะจิตเฝ้ามอง ทุกระลอกลอนคลืน่ ทว่าไร้วแี่ ววให้เห็นทัง้ คนจม และคนด�าลงไปช่วย ลูกเรือ จ�านวนหนึ่งรีบโดดลงเรือเล็กข้างๆ แล้วหย่อนจากเรือใหญ่ลงไป “ฮ่า! ฮ่า!” แด๊กกูส่งเสียงร้องดังขึ้นมาจากราวเกาะโงนเงนเหนือหัวเขา ทันใดนั้นเมื่อมองลงไปข้างเรือ พวกเราเห็นแขนข้างหนึ่งชูขึ้นมาจากคลื่นสี ฟ้า ภาพนั้นให้ความรู้สึกแปลกราวกับแขนนั้นชูออกมาจากพื้นหญ้าเหนือ หลุมฝังศพ “ทั้งคู่! ทั้งคู่! โผล่มาทั้งคู่!” แด๊กกูร้องตะโกนขึ้นอีกครั้งด้วยเสียงแห่ง ความยินดี หลังจากนั้นไม่นานควีเควกจึงปรากฏชัดแก่สายตาขณะก�าลังตะ กรุยน�้าด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก�าเส้น ผมยาวของเจ้าอินเดียนแดง ไว้แล้วลากไปยังเรือเล็กที่ลอยล�ารออยู่ ทั้งสองถูกน�าตัวขึ้นดาดฟ้าเรืออย่าง รวดเร็ว ทว่าเป็นเวลานานกว่าแทชเทโกจะได้สติ ส่วนควีเควกเองก็ดูไม่ค่อย กระฉับกระเฉงนัก ทีนี้มาดูกันว่าการช่วยเหลือที่น่าชื่นชมนี้ส�าเร็จลงได้ยังไง? เหตุผลก็คือ ขณะด�าน�้าตามหัวที่ก�าลังจมลงไปอย่างช้าๆ ควีเควกใช้ดาบคมกริบของเขา แทงเข้าไปใกล้ๆ ส่วนท้ายของหัวเพื่อเปิดช่องบริเวณนั้นให้ใหญ่ขึ้น จาก นั้นหย่อนดาบลงไปแทงลึกจนสุดแขนแล้วดึงขึ้นจึงกระชากหัวของแทชผู้น่า สงสารออกมาได้ เขายืนยันว่าครัง้ แรกทีแ่ ทงดาบออกไปนัน้ เขาเห็นขาข้างหนึง่ ของแทชเทโก แต่รู้ว่าไม่ควรดึงที่ขาเขาออกมาเพราะอาจท�าให้สถานการณ์ ยิ่งเลวร้ายหนักขึ้น เขาดันขาแทชเทโกกลับเข้าไปแล้วออกแรงเหวี่ยงท�าให้ เจ้าอินเดียนแดงตีลังกากลับหัวลงมา แล้วพยายามอีกครั้ง คราวนี้แทชเทโก เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 455
โผล่หัวออกมาซึ่งเป็นท่าที่เหมาะจะดึงเอาตัวเขาจากช่องนั้น ซึ่งหัวของเจ้า อินเดียนแดงก็ก�าลังดุนดันดังที่ตั้งใจไว้ ด้วยความกล้าหาญ และทักษะที่ดีในการท�าคลอดของควีเควก ท�าให้ แทชเทโกเป็นอิสระ หรือคลอดออกมาได้เป็นผลส�าเร็จ แม้ต้องผ่านอุปสรรค ส�าคัญที่น�ามาซึ่งเคราะห์ร้าย และความสิ้นหวังอันเป็นบทเรียนที่ไม่มีวันลืม เลือน ซึ่งหลักสูตรการท�าคลอดเพิ่มเติมเรื่องการฟันดาบ ชกมวย ขี่ม้า และ แข่งเรือพายเข้าไปด้วย ผมรู้ว่าการเสี่ยงภัยพิลึกพิลั่นของชาวเกย์เฮดผู้นี้แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่อง เหลือเชื่อส�าหรับคนบนฝั่ง แม้พวกเขาเองอาจเคยได้เห็น หรือได้ยินมาบ้าง เกีย่ วกับเรือ่ งทีม่ คี นตกลงไปในถังเก็บบนบก ซึง่ เป็นอุบตั เิ หตุทเี่ กิดขึน้ ไม่บอ่ ย ครัง้ นักอันเป็นเหตุผลทีไ่ ม่ได้มากน้อยไปกว่าอุบตั เิ หตุทเี่ กิดขึน้ กับอินเดียนแดง ผู้นี้ ลองนึกถึงความลื่นมากเป็นพิเศษบนขอบบ่อของวาฬหัวทุยนั่นสิ ทว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีแรงผลักอันชาญฉลาดเกิดขึ้น? เราลองนึกดู ว่าเยื่อกรองห่อหุ้มภายในหัววาฬเป็นส่วนที่ท�าจากไม้ก๊อกทั้งหมด และมีน�้า หนักเบามาก หน�าซ�้าท่านผู้นั้นยังท�าให้มันจมลงไปในธาตุธรรมชาติที่มีน�้า หนักพิกัดมากกว่ามาก เราอยู่กับท่านที่นั่น ไม่ใช่แค่นั้น...ผมเองก็อยู่กับคุณ ด้วย ในช่วงขณะแทชผู้น่าสงสารตกลงไปในกะโหลกซึ่งสารน�้าหนักเบาถูก สูบออกจนเกือบหมดเหลือเพียงผนังเอ็นของบ่อที่มีความหนาแน่น เนื้อส่วน ที่ถูกทุบ และเชื่อมประสานเป็นเท่าตัวดังที่ผมได้บอกไว้ก่อนหน้านี้ว่ามีน�้า หนักมากกว่าน�้าทะเล อีกทั้งก้อนที่จมอยู่ภายในนั้นแทบเหมือนลูกดิ่ง ทว่า แนวโน้มที่จะจมลงไปในสารนั้นอย่างรวดเร็วถูกต่อต้านอย่างทันท่วงทีด้วย ส่วนอืน่ ของหัวทีย่ งั ถอดไม่ได้ดงั นัน้ มันจึงจมลงอย่างช้าๆ และแน่นอนว่าอย่าง ตัง้ ใจทีจ่ ะให้ควีเควกมีโอกาสทีด่ ใี นการท�าคลอดอย่างคล่องแคล่ว ซึง่ คุณอาจ บอกว่านัน่ เป็นการท�าคลอดบนลูว่ งิ่ ใช่แล้วนัน่ เป็นการท�าคลอดขณะแข่งขัน ก็ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เวลานีห้ ากแทชเทโกเสียชีวติ อยูภ่ ายในหัววาฬ ย่อมถือว่าเป็นการตายทีค่ มุ้ 456 : โมบี-ดิ๊ก
ค่ายิ่ง ล้อมรอบด้วยไขวาฬสีขาว รสเลิศ และหอมกรุ่น บรรจุอยู่ในหีบศพ น�า ขึน้ รถบรรทุกศพ และฝังลงหลุมในห้องลับด้านใน และอารามศักดิส์ ทิ ธิด์ า้ นใน สุดของวาฬ มีเพียงความตายทีน่ า่ อิม่ เอมเท่านัน้ ทีส่ ามารถระลึกถึงได้อย่างไม่ ลังเล ความตายทีน่ า่ เพลิดเพลินของนักล่าน�า้ ผึง้ แห่งโอไฮโอผูห้ าน�า้ ผึง้ ในโพรง ตามง่ามกิง่ ไม้ กระทัง่ พบคลังเก็บขนาดใหญ่ ทว่าเพราะเอนตัวมากเกินไปเขา จึงถูกดูดเข้าไปด้านในและถูกดองอยูใ่ นนัน้ คุณคิดว่ามีคนมากแค่ไหนทีต่ กลง ไปในหัวน�า้ ผึ้งของเพลโต2 และพบกับความตายอันน่าอิ่มเอมในนั้น?
2
ต�านานเล่าว่า ตอนเป็นทารก ผึ้งเข้าไปน�้าผึ้งในปากของเพลโต อันสิ่งบ่งบอกว่า ค�าพูดของเขาจะหลั่ง ไหลออกไปราวน�้าผึ้ง
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 457
บทที่ 79
ท�านายนิสัยจากหัววาฬ
การตรวจดูลายเส้นบนใบหน้า หรือสัมผัสโหนกนูนบนหัวสัตว์ทะเลยักษ์ชนิดนี้ เป็นสิ่งที่ไม่มีนักท�านายนิสัยจากใบหน้า1หรือนักท�านายกะโหลก2คนใด สามารถท�าได้ โอกาสส�าเร็จในความอุตสาหะเช่นนัน้ น่าจะพอๆ กับความหวัง เต็มเปี่ยมของลาวาเทอร์3ที่ท�าการตรวจสอบริ้วรอยบนโขดหินที่ยิบรอลตาร์4 หรือกัลล์5ที่ปีนบันไดขึ้นไปปรับเปลี่ยนโดมของโบสถ์แพนทีออน6 แม้บัดนี้ งานของลาวาเทอร์ไม่เพียงด�าเนินการกับใบหน้าของคนหลายคนเท่านั้น แต่ ยังแตกสาขาไปศึกษาใบหน้าของม้า นก งู และปลา รวมทั้งยังครอบคลุม ถึงการเปลี่ยนแปลงของสีหน้าแววตาที่ปรากฏให้เห็นด้วย ต่างจากกัลล์และ สปรูซ์ไฮม์7 ศิษย์ของเขาที่ไม่สามารถโยนทิ้งข้อแนะน�าบางประการเกี่ยวกับ ลักษณะพิเศษของวิชาการท�านายนิสยั จากกะโหลกของสิง่ มีชวี ติ อืน่ นอกเหนือ จากมนุษย์ ดังนั้นแม้ว่าผมจะมีคุณสมบัติไม่ดีนักส�าหรับการเป็นผู้บุกเบิกใน การน�าเอาหลักวิชากึ่งวิทยาศาสตร์ทั้งสองนี้มาใช้กับวาฬ ทว่าผมจะท�าอย่าง นรลักษณ์ศาสตร์หรือโหงวเฮ้งนั่นเอง นักท�านายกะโหลก-การศึกษานิสัยใจคอ โดยพิจารณาลักษณะของโหลกศีรษะ ดังกล่าวถึงในบทก่อนๆ 3 โยฮันน์ คัสปาร์ ลาวาเทอร์ (ค.ศ. 1741-1801) นักท�านายนิสัยจากใบหน้าชาวสวิส 4 ดินแดนโพ้นทะเลของสหราชอาณาจักร ตัง้ อยูใ่ กล้กบั จุดใต้สดุ ของคาบสมุทรไอบีเรีย ในบริเวณช่องแคบ ยิบรอลตาร์ 5 ฟรันซ์ โยเซฟ กัลล์ (ค.ศ. 1758-1828) นักสรีรวิทยาชาวเยอรมัน และผู้บุกเบิกวิชาท�านายกะโหลก 6 โบสถ์แพนทีออน-โบสถ์ในกรุงโรม เดิมสร้างขึ้นเป็นเทวสถานพระเจ้าของกรีก หลังบูรณะใหม่ในคริสต์ ศตวรรษที่ 7 ก็ใช้เป็นคริสต์ศาสนสถานของโรมันคาทอลิก 7 โยฮันน์ สปรูซ์ไฮม์ (ค.ศ. 1776-1832) เดิมเป็นผู้ช่วยของกัลล์ แต่ภายหลังแยกตัวออกมา 1 2
458 : โมบี-ดิ๊ก
สุดความสามารถ พยายามท�าทุกอย่างเพื่อให้ได้ผลส�าเร็จอย่างที่ตั้งใจ หากพิจารณาตามศาสตร์วา่ ด้วยการท�านายโดยดูลกั ษณะใบหน้า วาฬหัว ทุยเป็นสัตว์ที่ต่างไปจากเกณฑ์ปกติ มันไม่มีจมูกอยู่ในต�าแหน่งที่เหมาะสม เนื่องจากจมูกอยู่ตรงกลาง และเป็นจุดเด่นที่สุดบนใบหน้า อีกทั้งจมูกนี้ยัง เปลี่ยนแปลงได้มากที่สุด และอาจส่งผลต่อการแสดงสีหน้าโดยรวม ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ว่าการไม่มีจมูกปรากฏให้เห็นเป็นอวัยวะภายนอกจะส่ง ผลอย่างมากต่อหน้าตาของวาฬ ในการจัดอุทยานให้มีทิศทัศน์สวยงาม สิ่งที่ มีลักษณะคล้ายยอดแหลมตึก ยอดโดม อนุสาวรีย์ หรือตึกสูงแทบเรียกได้ว่า เป็นสิง่ ส�าคัญในการสร้างทัศนียภาพทีส่ มบูรณ์ ด้วยเหตุนจี้ งึ ไม่สามารถท�านาย ลักษณะนิสยั โดยพิจารณาจากใบหน้าได้หากปราศจากซึง่ หอระฆังลายฉลุของ จมูกอยู่บนใบหน้านั้น หากกระแทกจมูกบนใบหน้ารูปปั้นหินอ่อนจูปิเตอร์ แห่งฟิเดียส8แตกหักไป ส่วนที่เหลืออยู่คงดูน่าสมเพชยิ่ง! ทว่าสัตว์ทะเลยักษ์ มีขนาดใหญ่โตกว่ามากนัก สัดส่วนของมันทัง้ หมดใหญ่โตโอ่อา่ ความบกพร่อง อันน่าเกลียดบนใบหน้าของจูปิเตอร์รูปปั้นนั้นส�าหรับมันแล้วไม่ได้ท�าให้ด่าง พร้อยอะไรเลย หน�าซ�า้ มันยังดูสง่างามมากกว่าเดิมอีก การมีจมูกส�าหรับวาฬ จึงเป็นเรือ่ งทีไ่ ม่เข้ากันกับมัน ขณะเดินทางส�ารวจใบหน้าเพือ่ ท�านายนิสยั วาฬ คุณต้องล่องเรือขนาดกลางเดินทางรอบหัวขนาดใหญ่ เวลานั้นจิตส�านึกอันมี คุณธรรมของคุณย่อมไม่ดูแคลนว่าจมูกของมันรั้งขึ้น จิตชั่วร้ายย่อมยืนกราน ในการรุกล�า้ แม้แลเห็นผูช้ ว่ ยบาทหลวงแห่งราชส�านักผูท้ รงอ�านาจอยูบ่ นราช บัลลังก์ของเขา ในบางกรณีอาจมีความเป็นไปได้ว่าภาพใบหน้าสง่างามที่จะ ได้เห็นจากวาฬหัวทุยนั้นคือบริเวณส่วนหน้าที่สมบูรณ์ของหัวมัน ลักษณะ หน้าแบบนี้จึงถือว่าดีเลิศ ความคิดที่ว่าใบหน้ามนุษย์ที่ดีต้องมีลักษณะคล้ายใบหน้าของชาวตะวัน ออกช่วงถูกปลุกให้ตนื่ ในตอนเช้า ขณะพักผ่อนอยูใ่ นทุง่ เลีย้ งสัตว์ ใบหน้าโค้ง 8
รูปปั้นหินอ่อนจูปิเตอร์แห่งฟิเดียส-เทวรูปซูส (หรือจูปิเตอร์) ที่เมืองโอลิมเปีย ประเทศกรีก สร้างเมื่อ ประมาณ 462 ปีก่อนคริสตกาล สร้างและตกแต่งด้วยทองค�า งาช้าง และอัญมณีต่างๆ มีความสูง 12 เมตร ภายหลังถูกไฟไหม้เสียหายจนหมดสิ้น นับเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 459
งอของวัวตัวผู้ย่อมให้ความรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ในตัวมัน ขณะเข็นปืนครกขึ้น ทางแคบบนภูเขา ใบหน้าของช้างย่อมดูสง่างาม ไม่วา่ มนุษย์ หรือสัตว์ ใบหน้า สง่างามเป็นเหมือนดั่งตราประทับสีทองดวงใหญ่ที่องค์กษัตริย์แห่งเยอรมัน ทรงใช้ประทับบนพระราชกฤษฎีกา มันบอกให้รู้ว่า “พระเจ้าทรงกล่าวว่า... ฉันสร้างวันนี้ขึ้นมาด้วยมือฉัน” ทว่าสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ ใช่เพียงมนุษย์เท่านั้น ล้วนมีใบหน้าเป็นแค่ลานแผ่นดินบนเทือกเขาแอลป์ทแี่ ผ่ราบตามระดับภูเขาซึง่ มีหมิ ะตลอดปี หน้าผากของคนจ�านวนหนึง่ เช่น เช็กสเปียร์ หรือเมลันช์ทอน9มี ลักษณะยกสูงมาก และลาดต�า่ มาก ดวงตาของพวกเขาเหมือนดัง่ ทะเลสาบบน ภูเขาไร้สายน�า้ และแห้งขอดชัว่ นิรนั ดร์ เหนือดวงตาขึน้ ไปริว้ รอยบนหน้าผาก นั้น คุณจะพบร่องรอยคล้ายความคิดเขากวางลงมากินน�้าตรงนั่น ขณะเหล่า นักล่าที่ราบสูงเดินแกะรอยตามเท้ากวาง ทว่าส�าหรับวาฬหัวทุยตัวใหญ่นั้น ธรรมชาติสง่างามเฉกเช่นพระเจ้าผู้สูงส่ง และทรงอ�านาจบนใบหน้ายิ่งใหญ่ กว่ามากนัก เมื่อจ้องมองมันตรงๆ อย่างเต็มตา คุณจะสัมผัสได้ถึงพลังแห่ง เทพเจ้าและซาตาน ที่มีก�าลังแรงยิ่งกว่าการได้เห็นใบหน้าของสิ่งมีชีวิตอื่นใด เมือ่ คุณไม่รถู้ งึ ต�าแหน่งส�าคัญอันแน่ชดั ก็ยอ่ มไม่มใี บหน้าชัดเจนใดเผยให้เห็น เมื่อไม่มีจมูก ตา หู หรือปาก ก็ย่อมไม่มีใบหน้า วาฬหัวทุยไม่มีอวัยวะเหล่า นี้อยู่ในต�าแหน่งที่เหมาะสม ทว่าท้องฟ้ากว้างของหน้าผากนั้นยับย่นด้วย ความพิศวงงงงวย ขมวดคิ้วด้วยความงุนงงกับชะตากรรมของเรือพิฆาต เรือ เดินสมุทร และเหล่ามนุษย์ หากมองจากรูปหน้าด้านข้างอาจท�าให้หน้าผา กกว้างใหญ่นี้ดูเล็กลงได้บ้าง ทว่าการมองจากด้านนี้จะเป็น ผลให้ความสง่า งามของมันไม่มีอิทธิพลใดๆ ต่อคุณอีก เมื่อมองจากรูปหน้าด้านข้างคุณจะ เห็นเพียงรอยบุ๋มคล้ายรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวเป็นแนวราบกลางหน้าผากนั้น ซึ่งหากเกิดขึ้นบนใบหน้ามนุษย์ในความเห็นของลาวาเทอร์ถือว่านั่นคือสิ่งบ่ง บอกแห่งความเป็นอัจฉริยะ ทว่าแล้วยังไงล่ะ? วาฬหัวทุยเป็นอัจฉริยะแล้วยังไง? วาฬหัวทุยเคยเขียน 9
เมลันช์ทอน-ฟีลิปป์ เมลันช์ทอน (ค.ศ. 1497-1560) นักเทววิทยาชาวเยอรมัน มีหน้าผากเถิกมาก
460 : โมบี-ดิ๊ก
หนังสือ หรือขึน้ กล่าวสุนทรพจน์บา้ งมัย้ ? ก็เปล่า...อัจฉริยภาพของมันไม่ได้ถกู เล่าขานผ่านการกระท�าใดๆ ของมันนอกเสียจากแค่พสิ จู น์ให้รวู้ า่ มีเท่านัน้ ยิง่ กว่านัน้ มันยังถูกเล่าขานถึงการเป็นพีระมิดไร้เสียงอีกด้วย เรือ่ งนีท้ า� ให้ผมนึก อยากรู้ว่าสัตว์ยิ่งใหญ่อย่างวาฬหัวทุยเคยเป็นที่รู้จักในหมู่ชาวอียิปต์โบราณ ทางโลกตะวันออกหรือไม่ คนพวกนีค้ งบูชามันด้วยความงมงายในไสยศาสตร์ ของพวกเขา ชาวอียปิ ต์โบราณบูชาจระเข้แห่งแม่นา�้ ไนล์เพียงเพราะจระเข้ไม่มี ลิ้น10และวาฬหัวทุยเองก็ไม่มีลิ้นด้วยเช่นกัน หรือถ้ามีก็มีขนาดเล็กมากจน ไม่สามารถยื่นออกมาได้ ภายหลังนับจากนี้ไปหากจะมีนักประพันธ์ และผู้มี วัฒนธรรมสูงชนชาติใดล่อลวงให้ย้อนกลับไปใช้สิทธิที่ได้มาแต่ก�าเนิด ท่านผู้ นั้น...พระเจ้าแต่ครั้งก่อนคริสตกาล จงยกย่องอีกคราเถิดว่า ผู้สูงส่งบนฟาก ฟ้าแห่งแห่งพระเจ้าหนึ่งเดียวเพลานี้ สูงส่งบนภูเขาที่ไร้ภูตผีสิงสู่ในเพลานี้ จงแน่ใจเถิดว่าได้ยกระดับที่นั่งแห่งองค์จูปิเตอร์ไว้สูงส่งแล้ว...ทว่าทั้งหมดทั้ง มวลนั้นวาฬหัวทุยมหาราชจะมีอ�านาจเหนือกว่าผู้ใด ฌ็ อ งโปลิ ย ง 11 สามารถถอดรหั ส อั ก ษรอี ยิ ป ต์ โ บราณที่ ส ลั ก บนหิ น แกรนิต12ได้ ทว่าไม่มีแชมพอลเลียนคนใดสามารถถอดรหัสอักษรอียิปต์บน ใบหน้ามนุษย์ทกุ คน และสิง่ มีชวี ติ ทุกชนิดได้ ศาสตร์แห่งการท�านายนิสยั จาก หน้าตาเฉกเช่นศาสตร์อนื่ ๆ ทีว่ า่ ด้วยเรือ่ งราวเกีย่ วกับมนุษย์เป็นแต่เพียงเรือ่ ง ราวที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป หากเซอร์วิลเลียม โจนส์ ผู้อ่านได้มากถึงสามสิบ ภาษา ยังไม่สามารถอ่านสีหน้าเกษตรกรผู้ไร้การศึกษาที่มีความหมายลึกซึ้ง และละเอียดอ่อนยิ่งกว่าได้ เช่นนั้นแล้วเหตุใดอิชเมลผู้ไร้การศึกษาจะอ่าน ภาษาคัลดีนา่ เลือ่ มใสบนหน้าผากของวาฬหัวทุยไม่ได้เล่า? ผมจะแค่วางหน้า ผากนั้นเบื้องหน้าคุณ หากคุณอ่านได้ก็จงอ่านเถิด เพราะจระเข้ไม่มลี นิ้ -พลูทาร์ก นักประวัตศิ าสตร์ชาวโรมันเขียนไว้วา่ ชาวอียปิ ต์โบราณบูชาจระเข้เพราะ ไม่มีลิ้น ท�าให้คล้ายกับพระเจ้า 11 ฌ็อง-ฟรองซัวส์ ฌ็องโปลิยง (ค.ศ. 1746-1794) นักวิชาการชาวฝรั่งเศส ผู้ไขความลับอักษรอียิปต์ โบราณทีส่ ลักบนศิลาโรเซตตา หรือศิลาจารึกโบราณ ทีข่ ดุ ค้นพบทีเ่ มืองโรเซตตา (ปัจจุบนั คือเมืองราชิด) 12 ภาษาคัลดี-ภาษาอาราเมคโบราณ ที่ใช้จารึกอักษรของชาวบาบิโลน 10
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 461
บทที่ 80
ก้อนสมอง
หากวาฬหัวทุยเป็นสฟิงซ์คอื มีหวั เป็นคนตัวเป็นวาฬ สมองของมันคงมีลกั ษณะ เป็นวงกลมเรขาคณิตที่ไม่สามารถปรับให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสได้ เมื่อโตเต็มวัยกะโหลกของมันจะวัดได้อย่างน้อยยาวยี่สิบฟุต หากถอด บานพับขากรรไกรล่างออก ภาพด้านข้างของกะโหลกจะมีลักษณะคล้ายกับ ภาพด้านข้างเครือ่ งร่อนทีม่ หี วั เอียงลาดโดยวางพาดอยูบ่ นฐานแนวราบ ขณะ วาฬมีชวี ติ เครือ่ งร่อนเอียงลาดนีจ้ ะถูกเติมเต็มด้วยก้อนเนือ้ ส่วนทีเ่ รียกว่าจังค์ และไขวาฬจนเกือบมีลกั ษณะเป็นรูปสีเ่ หลีย่ มดังทีเ่ ราเคยได้เห็นกันมาแล้วใน บทที่ผ่านมา ปลายสูงสุดของกะโหลกเป็นที่ตั้งของปากปล่องภูเขาไฟก่อตัว เป็นฐานพยุงก้อนไขมัน ใต้ฐานยาวของปล่องภูเขาไฟนี้ มีโพรงอีกโพรงหนึ่ง ขนาดความยาวไม่เกินสิบนิ้ว และความลึกประมาณเดียวกันเป็นที่ตั้งส่วน สมองอันน้อยนิดของเจ้าอสุรกายยักษ์ สมองที่มีความยาวอย่างน้อยยี่สิบฟุต จากหน้าผากขณะมันมีชีวิตนั้นถูกซ่อนอยู่ด้านหลังป้อมปราการขนาดใหญ่ ด้านหน้า คล้ายกับเป็นป้อมชัน้ ในสุดภายในป้อมขนาดใหญ่ของควิเบค ราวกับ นีเ่ ป็นหีบสมบัตลิ า�้ ค่าทีซ่ อ่ นอยูภ่ ายในตัวมัน ผมมีโอกาสได้รจู้ กั นักล่าวาฬบาง คนทีป่ ฏิเสธเด็ดขาดว่าวาฬหัวทุยไม่มสี มองส่วนอืน่ อีกนอกจากส่วนทีม่ องเห็น ชัดได้ดว้ ยตาซึง่ มีขนาดตามรูปทรงช่องเก็บไขวาฬของมัน ราวกับว่าเนือ้ สมอง ขดเป็นลอนแปลกตานั้น ท�าให้พวกเขาเข้าใจว่าเป็นแหล่งเก็บความนึกคิดอัน ทรงพลังที่ถือเป็นห้องลับใช้เก็บซ่อนสติปัญญาของมัน 462 : โมบี-ดิ๊ก
เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ย่อมประจักษ์ชัดว่าการวิเคราะห์หัวกะโหลกของสัตว์ ทะเลยักษ์ชนิดนีใ้ นสภาพเดียวกับขณะมันยังมีชวี ติ อยูน่ นั้ ล้วนเป็นเรือ่ งหลอก ลวงทั้งเพ คุณจะไม่มีทางรู้หรือสัมผัสความนึกคิดที่แท้จริงของมันได้ วาฬจะ ไม่ต่างอะไรกับทุกสิ่งที่มีอา� นาจมักสวมหน้ากากให้กับโลกสามัญใบนี้ หากคุณเอากองไขมันออกจากหัวกะโหลกของมัน และมองไปทางด้าน หลังของส่วนท้ายสุดซึ่งเป็นปลายสูง คุณจะพบว่ามันมีลักษณะคล้ายหัว กะโหลกมนุษย์เมื่อมองในลักษณะเดียวกันจากต�าแหน่งเดียวกัน จริงๆ แล้ว หากวางหัวกะโหลกกลับด้านนีไ้ ว้รวมกับภาพหัวกะโหลกมนุษย์ (โดยลดขนาด ให้เท่ากัน) คุณจะแยกไม่ออกว่าอันไหนคือหัวกะโหลกวาฬ และเมื่อสังเกต รอยหยักด้านบนสุดของมันคุณอาจวิเคราะห์ไปได้วา่ บุคคลนีข้ าดความเชือ่ มัน่ ในตนเอง และไม่นา่ เคารพเลือ่ มใส และจากข้อปฏิเสธเหล่านัน้ เมือ่ พิจารณา ร่วมกับข้อเท็จจริงอันประจักษ์ชัดเกี่ยวกับขนาดตัวใหญ่โตมโหฬาร และพละ ก�าลังของมัน คุณก็จะสร้างสัจธรรมในแบบฉบับของคุณเองได้ แม้ไม่ใช่ความ เข้าใจที่น่ายินดีในศักยภาพอันสูงส่งนั้นก็ตาม ทว่าหากเปรียบเทียบขนาดสมองดั้งเดิมของวาฬแล้ว คุณรู้สึกว่ามันไม่ เพียงพอต่อการส�ารวจ เช่นนัน้ ผมมีอกี ความคิดเห็นหนึง่ น�าเสนอต่อคุณ หาก คุณพิจารณากระดูกสันหลังของสัตว์สี่เท้าอย่างละเอียด คุณจะพบลักษณะ ที่คล้ายกันของข้อกระดูกบริเวณส่วนคอที่เชื่อมต่อกับกะโหลกแคระแกร็น ข้อกระดูกทุกชิ้นเป็นเค้าโครงที่จะพัฒนาขึ้นมาเป็นกะโหลก นี่เป็นความเห็น ของชาวเยอรมันทีม่ องว่าข้อกระดูกก็คอื กะโหลกทีย่ งั พัฒนาได้ไม่เต็มทีน่ นั่ เอง ทว่าความเหมือนภายนอกที่น่าสนใจนี้ ผมรู้มาว่าชาวเยอรมันไม่ใช่คนแรก ที่สังเกตเห็น ครั้งหนึ่งเพื่อนต่างชาติคนหนึ่งชี้ให้ผมดูโครงกระดูกของศัตรูที่ เขาสังหาร บริเวณข้อกระดูกสันหลังที่เขาก�าลังฝังเหลี่ยมในร่องตื้นบนหัวเรือ แคนนูรูปจะงอยปากนกของเขา มันท�าให้ผมเห็นว่านักวิเคราะห์กะโหลกมอง ข้ามสิง่ ส�าคัญไป พวกเขาส�ารวจมันสมองส่วนล่างโดยไม่คดิ ต่อยอดไปถึงโพรง กระดูกสันหลังด้วย เพราะผมเชือ่ ว่าอุปนิสยั ของมนุษย์นา่ จะมีเค้าลางมาจาก เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 463
กระดูกสันหลังของแต่ละคน ผมควรจะเข้าใจกระดูกสันหลังของคุณมากกว่า ส่วนกะโหลกไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็ตาม กระนั้นแผ่นรองกระดูกสันหลังก็ไม่ เคยท�าให้จิตวิญญาณสมบูรณ์ และสูงส่ง ผมโชคดีที่มีกระดูกสันหลังเป็นเสา ไม้กล้าแกร่งให้กับธงที่ผมเหวี่ยงออกสู่โลก เมื่อน�าเอาศาสตร์การวิเคราะห์กะโหลกมาใช้ในการวิเคราะห์กระดูกสัน หลังของวาฬหัวทุย โพรงกะโหลกของมันเชือ่ มติดกับกระดูกคอชิน้ แรก ในข้อ กระดูกสันหลังแต่ละชิ้นมีขนาดความลึกของร่องกระดูกวัดตามแนวขวางได้ สิบนิ้ว และสูงแปดนิ้ว มีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมฐานลงต�่า ร่องกระดูกจะ เชือ่ มต่อกับข้อกระดูกแต่ละชิน้ โดยมีขนาดเรียวเล็กลงเรือ่ ยๆ จนถึงปลายหาง ระยะยิง่ ห่างปริมาตรของร่องก็ยงิ่ ลดน้อยลง แน่นอนว่าร่องกระดูกย่อมต้องมี วัตถุเส้นใยอันน่าอัศจรรย์หรือที่เรียกกันว่าเส้นประสาทอัดแน่นเฉกเช่นเดียว กับส่วนสมอง และเชื่อมต่อโดยตรงกับสมองด้วย เส้นประสาทที่ยื่นจากโพรง สมองออกมาอีกหลายฟุตยังคงมีขนาดเส้นรอบวงไม่ลดลง และมีขนาดเกือบ เท่ากับสมอง ด้วยปัจจัยแวดล้อมทัง้ หมดทัง้ มวลนีน้ า่ จะเป็นเหตุอนั สมควรแก่ การส�ารวจ และวิเคราะห์กระดูกสันหลังของวาฬได้หรือไม่? หากพิจารณาจาก การค้นพบนีข้ นาดสมองทีเ่ ล็กจนน่าเหลือเชือ่ ของมันน่าจะเกินพอเทียบเคียง ได้กับเส้นประสาทไขสันหลังขนาดใหญ่ของมันแล้วกระมัง ทว่าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนักวิเคราะห์กะโหลกเป็น ผู้จัดการกับข้อ เปรียบเทียบนี้เถอะ ผมแค่อยากจะลองน�าเอาทฤษฏีเกี่ยวกับกระดูกสันหลัง มาใช้เทียบเคียงกับโหนกวาฬหัวทุยดูบา้ ง โหนกสง่างามนีถ้ า้ ผมเข้าใจไม่ผดิ น่า จะงอกมาจากข้อกระดูกขนาดใหญ่ทปี่ ดู โปนดันเนือ้ ส่วนนีน้ นู ขึน้ ด้วยลักษณะ เช่นนัน้ ผมควรจะเรียกโหนกสูงนีว้ า่ เป็นอวัยวะของความแข็งแกร่ง หรือความ ทรหดในตัววาฬหัวทุย และนั่นท�าให้อสุรกายยักษ์มีความทรหดซึ่งคุณจะได้ ตระหนักชัดด้วยตัวเอง
464 : โมบี-ดิ๊ก
บทที่ 81
พีควอดพบเวอร์จิน
เมื่อถึงวันครบก�าหนดเราได้พบกับเรือจุงเฟราตามเวลานัดหมาย เดอริค เดอ เดียร์ เป็นกัปตันเรือเมืองท่าเบรเมิน ครั้งหนึ่งนักล่าวาฬที่มีชื่อเสียงในโลกนี้ มีนักล่าวาฬที่เป็นชาวดัตช์และ ชาวเยอรมันน้อยมาก ทว่าทั่วทุกหนแห่งตลอดเส้นละติจูดลองติจูดกว้างนั้น คุณยังมีโอกาสได้พบธงของพวกเขาในมหาสมุทรแปซิฟิก ด้วยเหตุผลบางประการ เรือจุงเฟราแสดงทีท่าอยากผูกสัมพันธ์กับเรือพี ควอด แม้ยังอยู่ห่างกันมากแต่จุงเฟราก็หันหัวเรือเข้าทางลมแล้วหย่อนเรือ เล็กลง ท่าทีของกัปตันเรือดึงดูดความสนใจพวกเรามากขึน้ เมือ่ เขายืนกระสับ กระส่ายอยู่หัวเรือแทนที่จะยืนอยู่ท้ายเรือ “เขาถืออะไรไว้ในมือนั่นน่ะ?” สตาร์บัคร้องถามพรางชี้ไปยังของวูบไหว ในมือกัปตันชาวเยอรมันผู้นั้น “เป็นไปได้ไง! กาน�้ามันเติมตะเกียงเหรอนั่น!” “ไม่ใช่หรอก” สตับบ์พูด “ไม่ ไม่ใช่ นั่นมันเหยือกกาแฟต่างหาก คุณส ตาร์บัค เขาจะมาชงกาแฟให้พวกเรา นั่นล่ะชาวเยอรมัน คุณไม่เห็นกระป๋อง ใหญ่ข้างๆ เขานั่นรึ? นั่นเป็นน�้าเดือด โอ้! เขาช่างเป็นชาวเยอรมันแท้เสียนี่ กระไร” “ใครจะไปเชื่อต้นหน” ฟลาสก์พูด “นั่นมันกาเติมน�้ามันตะเกียง ส่วนนั่น ก็กระป๋องน�า้ มัน เขาน�้ามันหมดก็เลยจะมาขอเราน่ะสิ” ทว่าก็ยังคงเป็นเรื่องแปลกอยู่ดีหากเรือน�้ามันจะมาขอยืมน�้ามันบนน่าน เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 465
น�้าล่าวาฬนี่ ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แม้ฟังดูขัดแย้งกันเองดังสุภาษิตเก่าที่ว่าเอา ถ่านหินไปเมืองผลิตถ่านหินอย่างนิวคาสเซิล แต่บางครั้งเรื่องแบบนี้ก็อาจ เกิดขึ้นได้ ดังเช่นเวลานี้กัปตันเดอริค เดอ เดียร์ ถือกาเติมน�้ามันตะเกียงมา เช่นฟลาสก์ได้ว่าไว้ ขณะเขาปีนขึน้ ดาดฟ้าเรือมา เอแฮ็บรีบออกมาต้อนรับโดยไม่ได้สนใจเลย สักนิดว่าจะมีอะไรอยู่ในมือเขา แต่เพราะไม่สามารถพูดคุยภาษาเดียวกันได้ กัปตันชาวเยอรมันจึงต้องแสดงท่าทางเพื่อบอกให้รู้ว่าเขาไม่รู้จักวาฬสีขาว แล้วรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนากลับมายังเรื่องกาเติมน�้ามัน และกระป๋องน�้ามัน ของเขาโดยบอกให้รู้ว่าคืนนี้เขาคงต้องกลับไปนอนอยู่ในความมืดมิดบนเปล ญวณแน่ เพราะน�า้ มันที่เตรียมไว้จากท่าเบรเมินก�าลังจะหมด และเขายังจับ วาฬไม่ได้สกั ตัวจึงไม่มนี า�้ มันใหม่มาเสริม โดยสรุปก็คอื ขณะนีเ้ รือของเขาก�าลัง อยู่ในภาวะที่เรียกกันในวงการประมงว่าเรือสะอาด (คือเรือไม่มีน�้ามัน) ช่าง สมกับชื่อจุงเฟรา หรือเวอร์จินจริงๆ เมือ่ ได้เสบียงน�า้ มันอันเป็นสิง่ จ�าเป็นแล้ว เดอริคก็ลงเรือเล็กจากไป แต่ยงั ไม่ทันเทียบข้างเรือใหญ่ของเขา พลันวาฬจ�านวนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาให้เห็น เกือบพร้อมเพรียงกันจากบนยอดเสากระโดงของเรือเดินสมุทรทั้งสองล�า เด อริคกระตือรือร้นไล่ลา่ ขึน้ มาทันใดโดยไม่คดิ เสียเวลาเอากระป๋องน�า้ มัน และ กาเติมน�้ามันตะเกียงขึ้นเรือก่อน เขาหันหัวเรือเล็กออกไล่ตามเจ้าถังน�้ามัน ตะเกียงไปในทันที เวลานี้เจ้าสัตว์ที่ถูกล่าโผล่ขึ้นในทิศทางลม เดอริคและเรือเล็กเยอรมัน อีกสามล�าไล่ตามมันไปติดๆ นั่นเป็นการออกตัวก่อนเหล่าลูกเรือพีควอด วาฬแปดตัวถูกเฉลี่ยแบ่งการไล่ล่าโดยเรือสี่ล�า เมื่อรับรู้ถึงอันตรายที่ใกล้เข้า มา พวกมันต่างเร่งความเร็วพุ่งขึ้นไปอยู่หน้าลม สีข้างของพวกมันอยู่ใกล้กัน พอๆ กับระยะห่างระหว่างบังเหียนกับม้า พวกมันทิ้งรอยน�้าเป็นวงกว้างไว้ เบื้องหลังราวกับแผ่นหนังม้วนใหญ่คลี่ออกปูพรมผืนน�า้ ทะเลอย่างต่อเนื่อง รอยทางน�า้ นั้นแพร่กระจายอย่างรวดเร็วห่างไปไกลหลายฟาธอม รั้งท้าย 466 : โมบี-ดิ๊ก
ฝูงแลเห็นโหนกขนาดใหญ่ของวาฬแก่ตวั ผูว้ า่ ยตามหลังด้วยความเร็วทีช่ า้ กว่า อีกทั้งยังมีผิวสีเหลืองห่อหุ้มตัวอย่างผิดธรรมชาติ ราวกับมันเป็นโรคดีซ่าน หรือไม่ก็เจ็บป่วยด้วยโรคอื่น วาฬตัวนี้รวมอยู่ในกลุ่มข้างหน้าด้วยหรือไม่ยัง ไม่แน่ชัดนัก เพราะไม่ใช่เรื่องปกติที่สัตว์ทะเลยักษ์ใหญ่น่าเกรงขามเช่นนี้จะ อยูร่ วมเป็นฝูง ไม่แน่วา่ มันอาจติดอยูใ่ นรอยทางน�า้ และถูกน�า้ ส่วนหลังหน่วง ไว้ เพราะกระดูกสีขาว หรือส่วนที่ยื่นยาวออกมาจากส่วนหัวขนาดใหญ่ของ มันท�าหน้าที่เป็นกันชนเหมือนคลื่นน�้าที่ก่อตัวขึ้นเมื่อกระแสน�้าจากสองฝั่ง มาบรรจบกัน พวยน�้าของวาฬตัวนี้ยังมีลักษณะสั้น พุ่งช้า และฝืดไหลออก มาจากลมหายใจติดขัดที่ไม่ค่อยจะมีลมออกมามากนัก เป็นผลให้เกิดความ ปัน่ ปวนภายในตัวมันซึง่ ดูเหมือนว่าลมนัน้ จะหาทางมาออกอีกช่องทีฝ่ งั อยูใ่ น น�า้ ท�าให้น�้าทะเลเกิดเป็นฟองผุดขึ้นไล่หลังมัน “ใครมียาแก้ปวดบ้าง?” สตับบ์พูด “ฉันเกรงว่ามันจะปวดท้องอยู่นะ พระเจ้า...ลองนึกถึงท้องทีม่ ขี นาดครึง่ เอเคอร์นนั่ เกิดปวดขึน้ มาสิ! ลมพัดหวน คงหอบเอาคริสต์มาสมาป่วนท้องมันแน่...พวก นีเ่ ป็นลมเหม็นแรกทีฉ่ นั ได้เห็น มันพัดมาจากท้ายเรือ เฮ้...ดูนั่นสิ เจ้าวาฬนั้นว่ายเฉอย่างนั้นมาก่อนรึป่าว? ต้องใช่แน่ มันเสียด้ามหางเสือของมันไปแล้วแน่” เฉกเช่นชาวอินเดียแบกภาระหนัก พยายามน�าเรือกลับเข้าฝั่งอินเดียโดย ขนเอาฝูงม้าตืน่ อยูเ่ ต็มดาดฟ้าท�าให้เรือเอียงไปมา จมอยูใ่ ต้นา�้ สาดส่าย และ เกลือกกลิ้งไปตามทางเรือแล่น วาฬแก่ตัวนี้ก็เช่นกัน มันพยายามลากร่าง ขนาดใหญ่โตและเสื่อมโทรมของมันไปข้างหน้า และพลิกร่างอันอุ้ยอ้ายของ มันเป็นพักๆ เพราะครีบขวาสั้นกุดผิดธรรมชาติท�าให้รอยทางน�้าของมันคด เคี้ยวไปมา มันเสียครีบไปในระหว่างการต่อสู้ หรือไม่มีมาแต่ก�าเนิดนั้นยาก จะบอกได้ “รอสักครูห่ นึง่ เถิด...เจ้าเฒ่า ฉันจะโยนห่วงเชือกให้เจ้าได้คล้องแขนทีบ่ าด เจ็บนั่น” ฟลาสก์พูดเสียงเหี้ยมเกรียม พลางชี้ไปที่เชือกวาฬใกล้ตัวเขา “ระวังมันจะคล้องตัวนายด้วยเชือกนั้นล่ะ” สตาร์บัคพูดขึน้ “หลบไป หรือ เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 467
ไม่ก็ปล่อยให้ชาวเยอรมันล่ามันไปได้” เรือทุกล�าต่างมุง่ เป้าไปยังวาฬตัวนีไ้ ม่ใช่เพราะตัวมันใหญ่ หรือมีมลู ค่ามาก แต่อย่างใด แต่เป็นเพราะมันอยู่ใกล้มากที่สุด ขณะวาฬตัวอื่นๆ ต่างว่ายด้วย อัตราเร่งสุดขีด ยิง่ ไปกว่านัน้ นีเ่ ป็นช่วงเวลาท้าทายแห่งการไล่ลา่ ช่วงหัวเลีย้ ว หัวต่อนีเ้ หล่าลูกเรือพีควอดเกือบไล่ตามทันเรือเล็กสามล�าของชาวเยอรมันที่ หย่อนลงทะเลตามหลังเรือกัปตันของพวกเขา ทว่าเพราะมีโอกาสได้แล่นเรือ ก่อนท�าให้เรือของกัปตันเดอริคยังคงน�าการไล่ล่า แม้เรือคู่แข่งต่างชาติจะไล่ ตามติดทุกชั่วขณะก็ตาม สิ่งเดียวที่เหล่าลูกเรือพีควอดกลัวก็คือหากกัปตัน เดอริคไปถึงเป้าหมายได้ก่อนก็จะสามารถพุ่งเหล็กแหลมออกไปได้ก่อนพวก เขาจะตามทัน และฆ่ามันได้ ขณะเดอริคเองก็เชื่อมั่นในความได้เปรียบนี้ เขา ชูกาเติมน�้ามันตะเกียงขึ้นเขย่าในท่วงท่าเย้ยหยันมายังเรือเล็กล�าที่ไล่หลัง “หยาบคาบ ไอ้สนุ ขั เนรคุณ!” สตาร์บคั สบถดัง “มันเยาะเย้ย และท้าฉันด้วย กล่องบริจาคทีฉ่ นั เพิง่ เติมน�า้ มันให้มนั ไปเมือ่ ห้านาทีกอ่ นหน้านีเ้ อง!” แล้วกระ ซิบสั่งเสียงเข้ม “หลบไป เจ้าสุนัขไล่เนื้อ! ฉันจะล่ามันเอง!” “ฉันจะบอกให้วา่ เกิดอะไรขึน้ ...หนุม่ ” สตับบ์รอ้ งบอกลูกเรือของเขา “ความ บ้าคลัง่ นัน้ ขัดต่อหลักศาสนาของฉัน แต่ฉนั ก็ยงั อยากจะกินเนือ้ เจ้าเยอรมันชัว่ ช้านัน่ เอ้าแจว พวกนายท�าไมไม่แจวกันเล่า? พวกนายจะปล่อยให้เจ้าคนพาล ได้ชัยชนะไปงั้นหรือ? นายชอบบรั่นดีกันมั้ย? บรั่นดีถังใหญ่จะเป็นของผู้ชนะ เอาเลยสิ...ท�าไมไม่ปล่อยให้เลือดในตัวพวกนายพลุง่ พล่านออกมากันล่ะ? ใคร กันเป็นคนหย่อนสมอเรือลงทะเล พวกเราคงขยับมันไม่ได้แม้แค่นวิ้ เดียวหาก ยังคงนิ่งสงบกันอยู่อย่างนี้ เฮโล...ต้นหญ้าก�าลังงอกอยู่ที่ก้นเรือ พระเจ้า...บน ยอดเสานัน้ ก�าลังผลิใบออก สิง่ นีจ้ ะต้องไม่เกิดขึน้ ...ไอ้หนุม่ ทัง้ หลาย จงมองไป ทีเ่ จ้าเยอรมันนัน่ ! ไม่วา่ ใกล้หรือไกลแค่ไหน พวกนายจะพุง่ ไปให้ถงึ กันใช่มยั้ ?” “โอ้! ดูฟองสบู่ที่มันท�าสินั่น!” ฟลาสก์ร้องบอกพร้อมกับโดดขึ้นลง “โหนก นัน่ โอ้...ก้อนเนือ้ กองใหญ่ ลอยน�า้ เหมือนขอนไม้! โอ้! เด็กๆ ออกแรงกันหน่อย แพนเค้กและหอยกาบคืออาหารค�่าคืนนี้พวกนายรู้มั้ย...เด็กๆ เอ๋ย หอยกาบ 468 : โมบี-ดิ๊ก
ย่างและมัฟฟิน โอ้...แจว แจว ออกแรงแจวกันเข้า มันหนักร่วมร้อยบาเรล อย่า ปล่อยมันไป อย่าโอ้...อย่า! มองไปทีเ่ จ้าเยอรมันนัน่ โอ้...พวกนายจะไม่แจวเรือ แลกขนมพุดดิ้งกันหรือ...เด็กๆ ทั้งหลาย วาฬตัวนั้น! วาฬตัวใหญ่นั่น! พวก นายอยากได้ไขวาฬมั้ยล่ะ? มันท�าเงินได้ถึงสามพันดอลลาร์เชียวนะเพื่อน! เงิน! เงินทั้งนั้น! เงินทั้งหมดในธนาคารแห่งอังกฤษ! โอ้...แจว แจว แจว! เจ้า เยอรมันท�าอะไรอยู่ล่ะนั่น?” ช่ วงจั งหวะนั้นเดอริคก� า ลังโยนกาเติมน�้ ามันตะเกี ยงไปที่เ รื อ ล�าหน้า ตามด้วยกระป๋องน�้ามัน บางทีนี่อาจเป็นการหน่วงเรือคู่แข่งไปพร้อมกับเร่ง ความเร็วของเขาด้วยแรงผลักจากการโยนด้านหลังก็ได้ “ไอ้พวกเรือดัตช์ไร้มารยาท!” สตับบ์พูดเสียงดัง “แจวกันเข้า...พวก แจว เหมือนกับว่านีเ่ ป็นเรือบรรทุกกระสุนห้าหมืน่ เม็ดตามแนวเรือรบของปีศาจผม แดง นายว่ายังไงนะแทชเทโก นายจะหักกระดูกตัวเองออกเป็นสอง และยีส่ บิ ชิ้นเพื่อเป็นเกียรติให้กับบรรพบุรุษเกย์เฮดใช่มั้ย? ว่ายังไงนะ?” “ผมบอกว่ากระหน�่าแจวกันให้บ้าไปเลย” เจ้าอินเดียนแดงร้องบอก ความดุเดือดของทุกคนหลังถูกแรงกระตุ้นจากท่าทีอันยั่วยุของกัปตัน ชาวเยอรมัน ท�าให้เวลานี้เรือสามล�าของพีควอดต่างขึ้นมาเรียงแถวจนเกือบ ลอยล�าเคียงข้างกัน อีกเพียงชั่วอึดใจก็จะเข้าใกล้วาฬแล้ว ด้วยความเป็น เพชฌฆาตชัน้ เยีย่ ม ใจกว้าง และกล้าหาญ เมือ่ เข้าใกล้เหยือ่ ได้แล้ว ต้นหนทัง้ สามยืนขึน้ อย่างองอาจ และหาโอกาสถอยไปด้านหลังฝีพายคนหลังพร้อมกับ ร้องขึ้นว่า “มันร่อนอยู่ตรงนั่น! ฮูร่าเหล่าฝีพายทรงพลัง! เจ้าเยอรมันจงหลีก ไป! แซงเจ้านั่นไป!” ด้วยเพราะเดอริคออกตัวแล่นเรือมาก่อน ดังนัน้ แม้เหล่าลูกเรือทัง้ สามจะ กล้าหาญเพียงไรก็ไม่อาจเป็นผู้ชนะการแข่งขันครั้งนี้ได้ หากค�าพิพากษาอัน เทีย่ งธรรมไม่เข้าโจมตีเรือของกัปตันชาวเยอรมันเสียก่อนด้วยการดลบันดาล ให้คลื่นทะเลกระแทกพัดใบพายของฝีพายคนกลาง ขณะฝีพายซุ่มซ่ามก�าลัง งุม่ ง่ามกับความพยายามดึงไม้พายกลับท�าให้เรือของเดอริคท�าท่าจะพลิกคว�า่ เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 469
เขาค�ารามใส่เหล่าฝีพายด้วยความเดือดดาล นัน่ จึงเป็นช่วงจังหวะทีด่ สี า� หรับส ตาร์บคั สตับบ์ และฟลาสก์ ทัง้ สามตะโกนสัง่ ให้ลกู เรือทุกคนออกแรงแจวสุด ก�าลังน�าเรือพุ่งหน้าแฉลบขึ้นมาเรียงแถวหน้ากระดานร่วมกับเรือของกัปตัน ชาวเยอรมัน เพียงชัว่ พริบตาเดียวเรือทัง้ สีล่ า� แล่นเข้าสูบ่ ริเวณลอยทางน�า้ ของ วาฬ ส่วนวาฬเฒ่าครัน้ ถูกขนาบข้างด้วยเรือทัง้ สีล่ า� จากทัง้ สองด้านจึงเร่งว่าย หนีจนเกิดฟองคลื่นแผ่กระจาย นั่นเป็นภาพสยดสยอง น่าสังเวชใจ และท�าให้รู้สึกฉุนเฉียวขึ้นมาในเวลา เดียวกัน เจ้าวาฬโผล่เพียงหัวขึน้ มา และส่งพวยน�า้ พุง่ ออกไปเบือ้ งหน้า ล�าน�า้ แห่งความเจ็บปวดถูกพ่นทะลักออกมาอย่างต่อเนื่อง ขณะครีบที่เหลือเพียง ข้างเดียวนั้นตีพั่บๆ เข้าที่สีข้างด้วยความหวาดกลัว มันส่ายหัวไปทางนั้นที ทางนี้ที กระเสือกกระสนดิ้นรนว่ายน�้าหนี และทุกครั้งที่ปะทะกับคลื่นยักษ์ มันจะจมหายไปพักใหญ่ หรือไม่ก็ไถลตัวขึ้นกลางอากาศขณะครีบตีพั่บๆ อยู่ข้างตัว ภาพที่ผมเห็นนั้นไม่ต่างจากนกปีกกุดก�าลังตื่นตกใจกลัวลนลาน และพยายามตะเกียกตะกายบินหนีเหยี่ยวโจรสลัด ทว่าความหวาดกลัวของ สัตว์ทะเลยักษ์ที่เป็นใบ้นี้ถูกพันธนาการ และสาปสะกดไว้ มันไม่อาจส่งเสียง ท�าได้เพียงพ่นลมหายใจติดขัดผ่านออกมาทางช่องหายใจ ภาพนั้นท�าให้มัน ดูน่าสมเพชเหลือค�าบรรยาย ขณะกรงขากรรไกรยักษ์ และหางอันทรงพลัง ของมันยังคงมีฤทธิ์เดชพอข่มขวัญเหล่ามนุษย์หาญกล้าผู้น่าเวทนาไม่แพ้กัน เมื่อเห็นว่าอีกเพียงชั่วอึดใจเหล่าพลเรือของพีควอดจะอยู่ในต�าแหน่งที่ ได้เปรียบกว่าตน และเขาอาจเป็น ผู้แพ้ในการแข่งขันครั้งนี้ เดอริคจึงเสี่ยง พุ่งหลาวออกไปในระยะไกลเป็นพิเศษก่อนโอกาสครั้งสุดท้ายจะหนีหายไป ทว่านักพุ่งฉมวกของเขาลุกขึ้นเล็งเป้าไม่เท่าทันทหารเสือทั้งสาม ควีเค วก แทชเทโก และแด๊กกูต่างเด้งตัวลุกขึ้นยืนพร้อมเพรียงเรียงแถวยกเงี่ยง แหลมเล็งเป้าแล้วพุ่งข้ามหัวนักพุ่งฉมวกชาวเยอรมัน เหล็กแหลมแนนทัก เก็ตสามอันเจาะเข้าตัววาฬพร้อมกัน ทั่วบริเวณพร่างพราวด้วยละอองน�้า แตกกระเซ็น และคลื่นทะเลแตกฟองขาวโพลน! เจ้าวาฬโผล่หัวพุ่งพรวดด้วย 470 : โมบี-ดิ๊ก
ความเดือดดาล เรือทั้งสามล�าถูกกระชากไล่ตามอย่างเร็วรี่ท�าให้เกิดคลื่นซัด ชนข้างเรือชาวเยอรมันจนเป็นเหตุให้เดอริค และนักพุ่งฉมวกที่ยังคงยืนงงงัน อยู่ถึงกับหกคะเมนล้มลง “อย่ากังวลไปเลย เจ้าพวกกล่องเนย” สตับบ์ตะโกนบอกพร้อมช�าเลือง มองขณะแล่นเรือผ่าน “อีกเดี๋ยวพวกนายก็จะถูกเก็บไป เชื่อเถอะ ฉันเห็นฝูง ฉลามทางด้านท้ายเรือนัน่ เหล่าสุนขั ของเซนต์เบอร์นาร์ดน่ะ พวกนายรูจ้ กั กัน มัย้ มันช่วยบรรเทาทุกข์ให้กบั เหล่านักเดินทาง ฮูรา่ ! นีค่ อื หนทางของการล่อง ทะเล เรือทุกล�าต่างต้องแสงอาทิตย์! ฮูร่า! พวกเราแล่นไปราวกับหม้อดีบุก สามใบที่ปลายหางเสือภูเขาติดจั่น! มันท�าให้ฉันนึกถึงช้างสารลากรถสองล้อ ไปบนที่ราบ หนุ่มๆ เอ๋ย...กงล้อจะหมุนเร็วรี่ราวติดปีกยามเมื่อนายผูกติดกับ มันอย่างนั้น และจะตามติดด้วยอันตรายทั้งปวงเมื่อเจ้าปะทะเข้ากับเนินเขา ฮูร่า! นี่เป็นหนทางที่เหล่าเพื่อนมนุษย์จะได้สัมผัสยามเมื่อเขาเดินทางไปพบ กับปีศาจใต้ท้องทะเล ทุกคนต่างดิ่งจมลึกลงไปชั่วกาลนาน! ฮูร่า! วาฬตัวนี้ จะน�าส่งไปรษณีย์ชั่วกาลปวสาน!” ทว่าเจ้าอสุรกายว่ายไปได้ไม่ไกลมันก็ด�าดิ่งลงทะเลลึกส่งเสียงอึกทึก ครึกโครม แรงฉุดไถลลากเชือกของเรือแต่ละล�าวิ่งครูดกับเสาท้ายเรือจนเป็น ร่องลึก นักพุง่ ฉมวกทัง้ สามกลัวเชือกจะถูกลากออกไปจนหมดจึงใช้ทกั ษะอัน คล่องแคล่วของตนรีบพันเชือกทบซ�า้ หลายชัน้ เพือ่ ยึดไว้ให้แน่นกระทัง่ ในทีส่ ดุ เชือกขึงตัง้ ตรงจากตาคล้องบนเรือแต่ละล�าอันเป็นผลมาจากเชือกทัง้ สามเส้น ถูกดึงลงสู่ทะเลสีคราม ขอบหัวเรือถูกรั้งจนเกือบเสมอระดับผิวน�า้ ขณะท้าย เรือทั้งสามล�ากระดกชี้ขึ้นฟ้า ไม่นานนักเจ้าวาฬหยุดออกแรงด�าดิ่ง ทว่าช่วง เวลานั้นเหล่าลูกเรือยังคงกังวลว่าเชือกจะถูกดึงลงไปอีกทั้งที่พวกเขาเองยัง อยู่ในท่วงท่าที่ไม่มั่นคงนัก แต่ถึงแม้เรือจะถูกลากลงทะเล และจมหายไปใน ลักษณะนีก้ ต็ อ้ งถือว่าพวกเขา “จับไว้อยู”่ อย่างทีใ่ นวงการเรียกๆ กัน พวกเขา ยึดไว้ด้วยคมเงี่ยงที่เกี่ยวเข้ากับเนื้อด้านหลังวาฬซึ่งมักสร้างความเจ็บปวดให้ กับเจ้าสัตว์ทะเลยักษ์ชนิดนีจ้ นมันทนไม่ไหวต้องโผล่ขนึ้ มารับคมหอกของศัตรู เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 471
อีกครั้งในไม่ช้า หากไม่ค�านึงถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ ย่อมประจักษ์ชัดถึง ความได้เปรียบในการไล่ลา่ ครัง้ นี้ เนือ่ งจากมีเหตุผลอันเชือ่ ได้วา่ ยิง่ วาฬใช้เวลา อยู่ใต้น�้านานเท่าไร มันก็ยิ่งหมดแรงเร็วเท่านั้น นั่นเพราะผิวอันใหญ่โตของ มันมีแรงดันน�า้ มาก บางกรณีวาฬหัวทุยโตเต็มวัยมีขนาดผิวน้อยกว่า 2,000 ตารางฟุตไม่มากนัก เราต่างตระหนักดีถงึ แรงดันจากความกดอากาศยามเมือ่ เราเองลงไปอยูด่ า้ นล่างนัน้ หรือแม้กระทัง่ บนพืน้ ดินนี้ หรือในอากาศ แล้วน�า้ หนักของวาฬตัวใหญ่มหึมาล่ะ ทัง้ ยังต้องแบกน�า้ ทะเลลึกร่วมสองร้อยฟาธอม ไว้บนหลังของมันอีก! อย่างน้อยก็น่าจะมีน�้าหนักเท่ากับห้าสิบแรงดันอากาศ นักล่าวาฬคนหนึง่ ประมาณว่ามันน่าจะหนักเท่ากับเรือรบยีส่ บิ ล�าทีบ่ รรทุกปืน สัมภาระ และลูกเรือไว้เต็มล�า เรือทั้งสามลอยล�าอยู่บนทะเลคลื่นสงบ เหล่าลูกเรือต่างจ้องลงไปในน�้า สีฟ้าครามยามเที่ยงวัน ไร้ซึ่งเสียงร้องครวญคราง หรือเสียงร้องใดๆ ไม่มีสิ่ง ใดเกิดขึ้นมากไปกว่าระลอกน�้า หรือฟองอากาศผุดขึ้นมาจากใต้ทะเลลึก ใน เวลาเช่นนี้คนบนบกจะนึกถึงอะไรกัน ความเงียบ และความสงบนิ่งเบื้องล่าง นั้น อสุรกายใต้ท้องทะเลก�าลังบิดตัวชักดิ้นด้วยความเจ็บปวดทรมาน! เชือก ที่มองเห็นจากหัวเรือยาวไม่ถึงแปดนิ้ว มีโอกาสเป็นไปได้ว่าเชือกเส้นบางทั้ง สามเส้นแขวนเจ้าสัตว์ทะเลยักษ์นไี้ ว้เหมือนลูกตุม้ ยักษ์ของนาฬิกาขนาดใหญ่ มันถูกแขวนไว้? เพื่ออะไร? ก็เพื่อเรือเล็กสามล�านี้นั่นเอง สัตว์ตัวนี้ครั้งหนึ่ง จะเป็นผูก้ ล่าวด้วยความอิม่ เอมในชัยชนะ “ท่านสามารถซัดเหล็กแหลมซ�า้ ลง ไปบนผิวของมันได้หรือไม่? หรือจะซัดหัวมันด้วยหอกแทงปลา? ดาบของมันที่ วางอยูต่ รงหน้า มันไม่สามารถหยิบขึน้ มาถือไว้ในมือได้ และไม่วา่ จะเป็นหอก หลาว หรือแม้แต่เสื้อเกราะ มันประเมินเหล็กแหลมเป็นดั่งฟางข้าว เกาทัณฑ์ ไม่อาจหยุดยั้งมันหลบหนี ด้ามหอกนับว่าเป็นโคนต้น มันหัวเราะเยาะหอก สะบัดสั่น!” นี่หรอกหรือคือสิ่งสวรรค์สร้าง? มันคือสิ่งนี้หรือ? โอ้! ความไม่ สมปรารถนาจะติดตามผู้เผยแพร่ค�าสอน เพื่อเป็นรากฐานแห่งสรรพสิ่งนับ พันที่ปลายหางของมัน สัตว์ทะเลยักษ์มุดหัวด�าดิ่งใต้เทือกเขาแห่งท้องทะเล 472 : โมบี-ดิ๊ก
เพื่อซ่อนกายจากคมหอกของเหล่าลูกเรือพีควอด ล�าแสงเอียงลาดจากดวงอาทิตย์ยามบ่ายสาดส่องสะท้อนเงาเรือเล็กสาม ล�าลงใต้ผิวน�า้ แสงเงายาวกว้างฉายให้เห็นเป็นภาพกองทัพแห่งเซ็ร์คซิส ผู้ใด จะล่วงรูว้ าฬทีไ่ ด้รบั บาดเจ็บเบือ้ งล่างจะขวัญผวาเพียงใดกับภาพเงาทัพทหาร หาญกองใหญ่ที่โฉบไปมาอยู่เหนือหัวมัน “เตรียมตัวไว้...พวก มันเคลื่อนไหวแล้ว” สตาร์บัคร้องบอกขณะเชือกทั้ง สามเส้นเริ่มสั่นไหวอยู่ในน�้า ส่งแรงสะเทือนขึ้นมาให้พวกเขาสัมผัสได้อย่าง ชัดเจนราวกับสายใยแม่เหล็กสะท้อนความเป็นความตายของวาฬขึ้นมาให้ ฝีพายทุกนายรับรู้ได้จากที่นั่งของตัวเอง เวลาต่อมาแรงขึงตรึงตรงหัวเรือเริ่ม ผ่อนคลายลง เรือทัง้ หมดเด้งขึน้ ฉับพลันเฉกเช่นลานน�า้ แข็งแผ่นย่อมเขย่าขวัญ หมีขาวฝูงใหญ่ให้หวาดกลัวร่วงหล่นทะเล “ลาก! ลาก!” สตาร์บัคร้องบอกอีกครั้ง “มันก�าลังโผล่ขึ้นมา” เส้นเชือกทีก่ อ่ นหน้านีแ้ ทบไม่อาจดึงกลับมาได้แม้เพียงความกว้างสักหนึง่ ช่วงมือ เวลานี้มนั เหวี่ยงกลับขึ้นมาขดยาวอย่างรวดเร็วหอบเอาน�า้ ทะเลหยด ทั่วล�าเรือ พริบตานั้นวาฬโผล่พ้นน�้าขึ้นผ่ากลางระหว่างความยาวของเรือนัก ล่าสองล�า การเคลื่อนไหวของมันเป็นที่ประจักษ์ชัดถึงอาการหมดสิ้นเรี่ยวแรง ตาม ธรรมดาแล้วสัตว์บกส่วนใหญ่จะมีลิ้นปิด เปิด หรือประตูน�้าอยู่ตามเส้นเลือด จ�านวนมากเพื่อท�าหน้าที่ยามเมื่อมันได้รับบาดเจ็บ เลือดจะหยุดไหลทันทีที่ ประตูนา�้ นีถ้ กู ปิดลง ต่างจากวาฬสัตว์ทมี่ ลี กั ษณะพิเศษออกไป เส้นเลือดของ มันไม่มีโครงสร้างเปิดปิดเช่นที่ว่า ด้วยเหตุนี้เมื่อถูกแทงแม้เพียงรอยแผลเล็ก ของคมฉมวกแต่ก็มีผลให้เลือดไหลทะลักออกมาจนเป็นอันตรายต่อระบบ เส้นเลือดใหญ่ทั้งหมด ยิ่งเมื่อถูกแรงดันมหาศาลของความกดอากาศใต้น�้า ด้านล่างก็ยงิ่ เป็นผลให้เส้นชีวติ ของมันไหลทะลักดัง่ กระแสธาร ปริมาณเลือด มหาศาลในตัวมันส่งออกมาจากแรงดันภายในเป็นระยะ เลือดยังคงหลั่งไหล ทะลักออกอยู่นานเปรียบดังเช่นแม่นา�้ ในฤดูแล้งแหล่งน�า้ ทอดยาวบนเนินเขา เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 473
ไกลลิบ กระทั่งเหล่าลูกเรือในเรือเล็กทั้งสามล�าต่างช่วยกันฉุดกระชากลาก วาฬ และเสี่ยงเลื่อนไปดึงหางที่ก�าลังสะบัดกวัดแกว่ง หอกอีกหลายด้ามถูก ปักลงบนตัววาฬตามด้วยพวยน�้าสีแดงสดจากบาดแผลใหม่พุ่งทะลักไม่หยุด หย่อน ขณะช่องพวยน�้าที่มีมาแต่ก�าเนิดบนหัวมันมีน�้าพุ่งกระฉอกออกมา เป็นพักๆ ก่อนสารแห่งความกลัวพุ่งกระฉูดขึ้นกลางอากาศ สารมันลื่นที่ขับ ออกมานีย้ งั ไม่มเี ลือดไหลตามออกมานัน่ เพราะอวัยวะส�าคัญของมันยังไม่ถกู ท�าลาย ดวงชีวิตที่พวกเขาใช้เรียกมันนั้นยังมิได้ถูกแตะต้อง เมื่อเรือเล็กทั้งสามตีวงล้อมเข้าใกล้ตัววาฬมากขึ้นท�าให้เห็นส่วนบน ทั้งหมดของมันซึ่งยามปกติส่วนนี้มักจมอยู่ใต้น�้า ดวงตาหรือต�าแหน่งที่ตั้ง ดวงตาของมันเห็นได้ชัดเจนยิ่ง ยามเมื่อมันแผ่ราบกับพื้นน�้าลักษณะแปลก ประหลาดอันเนือ่ งจากพัฒนาการผิดปกติของลูกตาภายในช่องสีไม้โอ๊กนัน้ ปูด โปนกระเปาะขาวขุน่ ออกมาจากต�าแหน่งทีด่ วงตาตัง้ อยู่ มันน่าขนลุก และน่า เวทนาที่จะมอง ทว่าไม่มีความปราณีเกิดขึ้นที่นี่ ถึงมันจะแก่ชรา มีเพียงแขน เดียว ซ�า้ ยังตาบอด อย่างไรเสียมันก็ต้องถึงแก่ความตาย และถูกสังหารเพื่อ ไปเป็นแสงไฟส่องสว่างภายในงานมงคลสมรสอันชื่นสุข และงานเฉลิมฉลอง อืน่ ใดของมนุษย์ รวมทัง้ ให้แสงสว่างไสวภายในโบสถ์ศกั ดิส์ ทิ ธิท์ ใี่ ช้เทศนาห้าม บุคคลใดท�าร้ายผู้อื่นไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม เจ้าวาฬเฒ่าเกลือกกลิ้งในกอง เลือดอยู่นานกระทั่งเผยให้เห็นบางส่วนของก้อนเนื้อซีดจาง หรือโหนกขนาด แปดแกลลอนอยู่ต�่าลงไปที่สีข้าง “เล็งเป้าได้ดี” ฟลาสก์พูด “ขอผมแทงซ�้าตรงนั่นบ้าง” “หยุดนะ!” สตาร์บัคร้องขึ้น “ไม่จ�าเป็นต้องท�าอย่างนั้น!” ทว่าความมีเมตตากรุณาของสตาร์บัคช้าเกินไป หลาวถูกพุ่งซ�้าไปที่แผล เดิมอย่างโหดเหี้ยม มันเพิม่ ความเจ็บปวดทรมานมากเกินทน ถึงตอนนี้เลือด ข้นไหลทะลักออกมาจากตัววาฬ มันหันดวงตาขาวขุน่ จ้องอาฆาตไปยังเรือเล็ก สาดกระเซ็นหยดเลือดไปยังเรือ และเหล่าลูกเรือทีแ่ สดงความฮึกเหิมเหล่านัน้ ก่อนจะคว�่าเรือของฟลาสก์ และท�าลายหัวเรือทิ้ง นั่นเป็นแรงฟาดสุดก�าลัง 474 : โมบี-ดิ๊ก
ท�าให้มันยิ่งเสียเลือดมากขึ้น ที่สุดจึงต้องเคลื่อนออกจากซากเรืออับปางนั้น แล้วมาลอยสีข้างหอบหายใจก่อนกระพือครีบสั้นอย่างอ่อนแรงค่อยๆ หมุน ตัวซ�า้ แล้วซ�า้ อีกราวกับโลกก�าลังแตกดับ เจ้าวาฬพลิกตัวหงายเผยให้เห็นส่วน ซ่อนเร้นของท้องสีขาว มันแน่นิ่งราวกับท่อนไม้ และขาดใจตายในที่สุด ลม หายใจเฮือกสุดท้ายนั้นช่างน่าเวทนายิ่งนัก น�้าถ่ายทะลักออกจากปล่องน�า้ พุ ขนาดมหึมานัน้ ทีละน้อยโดยมือทีม่ องไม่เห็น พร้อมกับเสียงลมหายใจกระตุก ขาดห้วงเป็นช่วงๆ ล�าน�า้ ค่อยๆ ลดระดับต�า่ ลงจนเรีย่ กับพืน้ น�า้ นัน่ ล่ะพวยน�า้ จากลมหายใจเฮือกสุดท้ายของวาฬ ช่วงขณะเหล่าลูกเรือเฝ้ารอการมาถึงของ เรือใหญ่ ร่างของวาฬท�าท่าจะจมเอาสมบัติล�้าค่าที่ยังไม่ได้ตักตวงดิ่งลงทะเล ไป จังหวะนั้นสตาร์บัคสั่งให้ใช้เชือกมัดมันไว้ตามจุดต่างๆ เพื่อใช้ให้เรือเล็ก เป็นทุ่นลอยน�า้ ไปพลางๆ ก่อน ด้วยเหตุนี้วาฬจึงถูกแขวนไว้ด้วยเชือกขนาด ไม่กี่นิ้วที่รั้งพาดอยู่ใต้ตัวมัน เมื่อเรือใหญ่แล่นเข้ามาใกล้ วาฬถูกย้ายไปข้าง เรือด้วยความระมัดระวัง ก่อนจะมัดแน่นไว้ตรงนั้นด้วยโซ่ที่มีปลายเงี่ยงแข็ง แรง เห็นได้ชดั ว่าหากไม่ยกเอาไว้รา่ งของวาฬก็คงต้องจมลงสูก่ น้ ทะเลเป็นแน่ ก่อนลงมือช�าแหละวาฬด้วยคมเสียม มีความเป็นไปได้ที่จะเจอฉมวกผุ กร่อนฝังอยูใ่ นเนือ้ วาฬบริเวณส่วนทีป่ ดู โปนออกมาด้านล่างดัง่ ได้เกริน่ ไว้กอ่ น หน้านี้ อันที่จริงแล้วตอฉมวกพบได้บ่อยครั้งในร่างวาฬที่ถูกฆ่าตาย เนื้อของ มันจะประสานห่อหุม้ ฉมวกเอาไว้เป็นอย่างดี ไม่ทงิ้ ร่องรอยโหนกนูนขึน้ มาให้ สังเกตเห็น ดังนัน้ ส�าหรับโหนกเนือ้ ทีน่ นู ขึน้ มานีจ้ งึ ต้องใช้เหตุผลอืน่ มาอธิบาย ถึงสาเหตุการเกิดแผลเป็น นอกจากนีห้ วั หอกทีพ่ บท�าจากหินจึงเป็นข้อเท็จจริง ทีน่ า่ สนใจยิง่ กว่าในตัวมัน ใครกันนะเป็นผูพ้ งุ่ หอกหินนีใ้ ส่มนั ? และเมือ่ ไรกัน? อาจเป็นไปได้วา่ ชาวอินเดียตะวันตกเฉียงเหนือเป็นผูพ้ งุ่ หอกนีไ่ ว้นานแล้วก่อน ที่ชาวอเมริกาจะมาพบมัน ตู้ยักษ์ใบนี้ยังมีสิ่งน่าพิศวงอื่นใดชวนให้ค้นหาอีกนั้นยังไม่เป็นที่ประจักษ์ แจ้ง เพราะเกิดเหตุให้จา� ต้องหยุดการส�ารวจอย่างฉับพลัน เนือ่ งจากเรือใหญ่ ถูกฉุดรั้งให้เอียงกะเท่เร่อย่างไม่คาดคิดด้วยแรงดึงของศพวาฬที่เพิ่มน�้าหนัก เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 475
จมดิ่ง สตาร์บัคออกค�าสั่งให้ทุกคนช่วยกันฉุดรั้งไว้ให้ถึงที่สุด ฉุดรั้งไว้ด้วยใจ อันกล้าหาญ ตราบกระทั่งเรือใหญ่ท�าท่าจะพลิกคว�่าลงหากทุกคนยังคงรั้น จะยื้อยุดซากร่างวาฬไว้อย่างนี้ต่อไป เมื่อนั้นจึงมีค�าสั่งให้ปล่อยมันไป ทว่า โซ่ปลายเงี่ยง และเชือกขนาดใหญ่รัดเสาไม้บนดาดฟ้าเรือไว้แน่นจนยากขยับ จึงเป็นไปไม่ได้เลยทีจ่ ะปลดเชือกออกได้ เวลานัน้ ของทุกอย่างบนเรือพีควอด เอียงเทไปกองรวมกันทีด่ าดฟ้าด้านหนึง่ เหมือนไต่อยูบ่ นหลังคาหน้าจัว่ ของตัว บ้าน เรือส่งเสียงร้องโหยหวน และกระตุกหอบ กระดูกสีงาฝังเหลี่ยมที่กราบ เรือ และห้องเครื่องเริ่มสั่นเคลื่อนอยู่ภายในร่อง คานงัด และชะแลงถูกระดม น�ามาสอดเข้าไปในโซ่ปลายเงีย่ งทีข่ ยับไม่ได้เพือ่ งัดให้หลุดออกจากเสาไม้แต่ก็ ไร้ผล วาฬยังคงเคลื่อนคล้อยต�่าลงจมน�้าโดยไม่อาจท�าอะไรได้ และดูเหมือน ว่าน�้าหนักหลายตันจะเพิ่มขึ้นทุกขณะ ท�าให้เรือยิ่งใกล้จุดพลิกคว�่าลงเรื่อยๆ “เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวก่อนไม่ได้รึเจ้า?” สตับบ์ร้องบอกแก่ซากวาฬ “ไม่ต้องรีบ ร้อนจมลงไปนักหรอกเจ้าปีศาจ! ให้ฟ้าผ่าเถอะพวก เราต้องท�าอะไรสักอย่าง หรือไม่ก็พยายามท�าอย่างอื่น ไม่มีประโยชน์ที่จะงัดตรงนั่น หยุดเถอะ ฉัน บอกให้หยุดใช้คานงัดนั่นซะ แล้วพวกนายคนหนึ่งวิ่งไปเอาหนังสือสวดมนต์ กับมีดพกมา แล้วตัดโซ่ยักษ์นี่” “มีดเหรอ? จริงสิ จริงด้วย” ควีเควกร้องขึน้ ก่อนคว้าขวานใหญ่ของช่างไม้ มาแล้วชะโงกหน้าออกช่องใต้ท้องเรือใช้คมขวานฟันแรงๆ ไปที่โซ่ขนาดใหญ่ ทว่าฟาดไปเพียงแค่ไม่กี่ทีก็เกิดประกายไฟขึ้นท�าให้แรงดึงจากโซ่ที่ขึงตรึง กระชากโซ่ส่วนที่เหลือขาดออกจากกัน สายใยแห่งพันธนาการถูกปลดออก เรือกลับมาตั้งล�าตรง ส่วนซากจมลงน�้าไป โดยปกติแล้วโอกาสวาฬหัวทุยทีเ่ พิง่ ถูกฆ่าตายจมน�า้ นัน้ เป็นเรือ่ งทีเ่ กิดขึน้ ได้ไม่บอ่ ยครัง้ นัก อีกทัง้ ยังไม่มชี าวประมงคนใดให้คา� อธิบายในปรากฏการณ์ ลักษณะนี้ได้ชัดเจนพอ นั่นเพราะวาฬหัวทุยเมื่อตายแล้วจะลอยน�้าด้วยทุ่น ลอยน�้าขนาดใหญ่ที่อยู่ในตัวมัน สีข้างหรือท้องของมันจะโผล่ขึ้นเหนือผิวน�้า วาฬที่จมน�้ามีเพียงวาฬแก่ ผอมแห้ง และท้อแท้หมดหวังในชีวิตเท่านั้น ไข 476 : โมบี-ดิ๊ก
มันเนื้อนุ่มของวาฬแก่จะลดลง กระดูกทั้งหมดจะหนัก และมีอาการปวด ตามข้อ ด้วยเหตุนี้คุณอาจวินิจฉัยได้ว่าการจมน�้าครั้งนี้น่าจะมีสาเหตุมา จากความถ่วงจ�าเพาะที่ไม่ปกติของวาฬมีน�้าหนักมากเกินอันเป็น ผลสืบ เนื่องมาจากอวัยวะส่วนที่เป็นเหมือนทุ่นลอยน�้าในตัวมันหดหายไป ทว่า ปรากฏการณ์นจี้ ะไม่เกิดขึน้ กับวาฬหนุม่ สาวทีม่ สี ขุ ภาพแข็งแรง ล�าพองตัวด้วย แรงปรารถนา ถูกฆ่าตายก่อนวัยขณะยังคึกคะนอง และสามารถท�าอะไรได้ตงั้ มากมาย เพราะน�า้ มันอันเป็นทีป่ รารถนาภายในตัวมัน! เช่นนัน้ เองวีรบุรษุ ลอย น�า้ ผู้กล้าเก่งก็อาจจมน�้าได้เช่นกัน ถึงอย่างนัน้ ยังคงกล่าวได้วา่ วาฬหัวทุยมีแนวโน้มเกิดเหตุลกั ษณะนีไ้ ด้นอ้ ย กว่าอีกสายพันธุ์ วาฬหัวทุยหนึ่งตัวที่จมน�้าจะมีวาฬไรท์จมน�้ายี่สิบตัว ความ แตกต่างนี้ของแต่ละสายพันธุ์แน่นอนว่ามีสาเหตุมาจากกระดูกของวาฬไรท์ มีขนาดไม่เล็ก และปริมาณมากกว่า แค่กระดูกปากของมันเพียงอย่างเดียวก็ อาจมีนา�้ หนักมากถึงหนึ่งตันทีเดียว ส�าหรับวาฬหัวทุยเครื่องถ่วงน�า้ หนักเช่น นี้ไม่มีเลย ทว่าในหลายกรณีหลังจมหายไปหลายชั่วโมง หรือหลายวัน วาฬ ที่จมน�้าไปจะโผล่ขึ้นมาอีกครั้ง และลอยน�้าได้มากกว่าครั้งยังมีชีวิตเสียด้วย ซ�้า แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจกันดีอยู่แล้วว่าจะเกิดแก๊สภายในร่างกายของมัน ดันให้ตัวมันมีขนาดใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นลูกบอลลูน ถึงเวลานั้นแม้แต่เรือรบ ก็ไม่อาจกดมันไว้ใต้น�้าได้ ในการประมงล่าวาฬชายฝั่งบริเวณน�้าลึกแถวอ่าว นิวซีแลนด์ เมื่อวาฬไรท์ท�าท่าจะจมลงพวกเขาจะใช้เชือกจ�านวนมากผูกทุ่น ลอยน�้าไว้กับตัวมันเพื่อว่าเมื่อศพของมันจมลงไปพวกเขาจะได้รู้ต�าแหน่งที่ มันจะโผล่กลับขึ้นมาอีกครั้ง หลังซากวาฬจมน�้าไปไม่นานเสียงป่าวประกาศจากยอดเสาเรือพีควอด ร้องบอกให้รู้ว่าเรือจุงเฟราเอาเรือเล็กลงทะเลอีกครั้ง ทว่าภาพของพวยน�้า พุ่งที่เห็นเป็นของวาฬฟินแบค สายพันธุ์ที่ไม่มีนักล่าคนใดไล่จับนั่นเพราะมัน ว่ายน�า้ ได้เร็วจนน่าเหลือเชื่อ แต่บางครั้งพวยน�้าของวาฬฟินแบคที่มีลักษณะ คล้ายกับวาฬหัวทุยมักท�าให้ชาวประมงทีข่ าดทักษะความช�านาญเข้าใจผิดอยู่ เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 477
เสมอ เวลานี้เดอริค และเหล่าทหารของเขาห้าวหาญไล่ติดตามสัตว์ที่ไม่มีวัน ไล่ตามทัน เรือเวอร์จินกางใบเรือเต็มใบเพื่อเร่งความเร็วไล่ตามเรือลูกทั้งสี่ ล�า ไม่นานทั้งหมดก็หายไปในทิศทางลม ต่างยังคงไล่ล่าอย่างกล้าหาญ และ เต็มไปด้วยความหวัง โอ้! วาฬฟินแบคทั้งหลาย และพ้องเพื่อนเหล่าทัพเดอริค..เจ้าเพื่อนยาก ของฉัน
478 : โมบี-ดิ๊ก
บทที่ 82
ชื่อเสียงและเกียรติยศของนักล่าวาฬ
แบบแผนที่ถูกต้องมักเป็นเรื่องโกลาหลที่ต้องเอาใจใส่ในหลายกิจการ ยิง่ ผมด�าดิง่ สูแ่ บบแผนทีถ่ กู ต้องของการล่าวาฬ และเร่งรุดค้นหาต้นก�าเนิด ของมันก็ยงิ่ ท�าให้ผมรูส้ กึ ประทับใจกับความน่านับถืออย่างยิง่ ยวด และความ เก่าแก่ของมัน โดยเฉพาะเมือ่ ผมพบว่าในวงการนีม้ เี หล่าเทพ วีรบุรษุ ผูย้ งิ่ ใหญ่ และเหล่าบรรดาผูเ้ ผยวจนะทัง้ หลายซึง่ ล้วนเป็นผูส้ ร้างชือ่ ให้กบั วงการประมง ล่าวาฬในทางใดทางหนึ่ง ผมมีความยินดีใช้ตัวเองสะท้อนภาพกลุ่มคนใน อาชีพเดียวกันแม้ผมจะเป็นเพียงบุคคลระดับล่างลงมาก็ตาม เทพเพอร์ซอิ สั ผูก้ ล้าหาญ บุตรแห่งเทพจูปเิ ตอร์เป็นนักล่าวาฬคนแรก และ สิ่งที่สร้างเกียรติยศศักดิ์ศรีในกับอาชีพของเราก็คือวาฬตัวแรกไม่ได้ถูกพวก พ้องของเราโจมตีดว้ ยจุดมุง่ หมายอันโสมม ช่วงเวลานัน้ เป็นยุคอัศวินในวิชาชีพ ของเรา เวลานั้นเราเพียงยื่นแขนแบกรับความทุกข์ยาก และไม่ต้องคอยเติม เต็มน�้ามันตะเกียงให้เหล่าเพื่อนมนุษย์ ทุกคนคงเคยได้ยินเรื่องราวเล่าขาน ถึงเพอร์ซิอัสกับแอนโดรเมด้า สาวน้อยแอนโดรเมด้า เทพธิดาแห่งกษัตริย์ผู้ ถูกมัดกับโขดหินบนชายฝัง่ โดนสัตว์ทะเลยักษ์กระท�าการลักพาตัวนางไป เจ้า ชายนักล่าวาฬนามเพอร์ซอิ สั จึงเร่งรุดติดตามไปพุง่ ฉมวกใส่เจ้าอสุรกาย และ พานางกลับมากระทัง่ ได้แต่งงานกับสาวงาม พฤติการณ์เช่นนัน้ ถือเป็นศิลปะ ความกล้าหาญอันน่าชื่นชม ผลส�าเร็จที่ยากจะหานักพุ่งฉมวกฝีมือเยี่ยมใน ปัจจุบันเทียบเคียงได้ นั่นเพราะสัตว์ทะเลยักษ์ตัวนี้ถูกฆ่าตายภายในวิถีแรก เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 479
ของการพุ่งหลาว ไม่มีใครนึกสงสัยเรื่องเล่านี้แห่งนครอาร์ไคท์ ในเมืองจอป ป้า หรือในชื่อใหม่แจฟฟ่าเมืองท่าชายฝั่งซีเรีย หนึ่งในวิหารนอกรีตอันเป็น สถานที่ตั้งโครงกระดูกขนาดใหญ่มาหลายยุคสมัยจนกลายเป็นต�านานเมือง ผู้คนต่างเล่าขานว่ากระดูกที่มีลักษณะคล้ายวาฬนี้เป็นอสุรกายที่ถูกเพอร์ซิ อัสฆ่าตาย เมื่อชาวโรมันยึดครองเมืองจอปป้า โครงกระดูกเดียวกันนี้ถูกน�า ไปที่อิตาลีเพื่อฉลองชัย จุดสังเกต และประเด็นส�าคัญในเรื่องนี้ชวนให้นึกถึง เรื่องๆ หนึ่งนั่นคือสาเหตุที่ท�าให้โยนาห์ต้องล่องเรือไปจากจอปป้า เทพนิยายทีม่ เี นือ้ หาคล้ายกับเรือ่ งราวผจญภัยของเพอร์ซอิ สั และแอนโดร เมด้า ซึง่ อันทีจ่ ริงแล้วบางคนถึงกับทึกทักเอาว่าน�าเค้าโครงมาจากเรือ่ งนีเ้ ลยที เดียว นั่นคือเรื่องราวโด่งดังของเซนต์จอร์จกับมังกร1 โดยในส่วนมังกรนั้นผม ยังคงยืนยันว่าคือวาฬนัน่ เอง เนือ่ งจากประวัตศิ าสตร์ในอดีตบันทึกเหตุการณ์ เกี่ยวกับวาฬ และมังกรผสมปนกันยุ่ง และมักใช้แทนกันไปมาอยู่เสมอ “เจ้า เป็นดังราชสีห์แห่งสายน�้า และเป็นดังมังกรแห่งท้องทะเล” ค�ากล่าวของเอเซ เคียล โดยนัยนีย้ อ่ มหมายถึงวาฬอย่างชัดแจ้ง ความจริงแล้วคัมภีรไ์ บเบิล้ บาง ฉบับจะใช้ค�าว่าวาฬเลยด้วยซ�้า นอกจากนี้ชื่อเสียงของเซนต์จอร์จคงถูกลบ ทิ้งไปหากเขาเพียงแค่เผชิญหน้ากับสัตว์เลื้อยคลานบนบกแทนที่จะต่อสู้กับ อสุรกายยักษ์ในทะเลลึก คนทั่วไปอาจฆ่างู แต่ส�าหรับเพอร์ซิอัส เซนต์จอร์จ และคอฟฟิน2แล้วล้วนมีใจหาญกล้าเดินหน้าท้ารบกับวาฬ อย่าปล่อยให้ฉากนี้ในภาพวาดยุคใหม่ท�าให้เราเข้าใจผิดกันไปใหญ่ แม้ สัตว์ทอี่ ยูใ่ นฉากการต่อสูก้ บั นักล่าวาฬผูก้ ล้าในอดีตถูกถ่ายทอดออกมาอย่าง คลุมเครือว่ามีรูปร่างคล้ายกริฟฟิน3สัตว์ในเทพนิยาย และแม้การต่อสู้นั้นจะ ถูกวาดให้อยูบ่ นพืน้ ดินโดยนักบุญทีน่ งั่ อยูบ่ นหลังม้า กระนัน้ หากพิจารณาถึง ความไม่รู้อันยิ่งยวดในยุคสมัยนั้น เหล่าจิตกรย่อมไม่เคยเห็นรูปร่างแท้จริง 1 เซนต์จอร์จกับมังกร-เซนต์จอร์จคือทหารโรมัน (ค.ศ. 275-303) ผู้นับถือคริสตศาสนา ต�านานเล่าว่า เขาช่วยหญิงสาวคนหนึ่งที่ถูกจับสังเวยสัตว์ยักษ์ โดยสังหารเจ้ามังกรนั่น 2 คอฟฟิน-คนตระกูลของคอฟฟิน เป็นนักล่าวาฬที่มีชื่อเสียงแห่งเกาะแนนทักเก็ต 3 กริฟฟิน-หรือกริฟฟอน สัตว์ในต�านาน ตัวเป็นสิงห์ หัวและปีกเป็นนกอินทรี 480 : โมบี-ดิ๊ก
ของวาฬ และหากพิจารณาตามเนื้อเรื่องของเพอร์ซิอัส เช่นนั้นแล้ววาฬของ เซนต์จอร์จอาจคลานจากทะเลขึน้ มายังชายหาด ส่วนสัตว์ทเี่ ซนต์จอร์จขีห่ ลัง ก็อาจเป็นแมวน�้า หรือม้าน�้าตัวใหญ่ เมื่อพิจารณาตามนี้แล้วย่อมไม่ปรากฏ ภาพความขัดแย้งระหว่างต�านานอันศักดิ์สิทธิ์และภาพร่างยุคโบราณเกี่ยว กับเหตุการณ์ในฉากนี้ที่จะท�าให้เข้าใจว่ามังกรที่เรียกขานกันนั้นไม่ใช่อะไร อื่นนอกเสียจากเจ้าวาฬยักษ์นั่นเอง จริงๆ แล้วประเด็นที่ส�าคัญยิ่งกว่าข้อ เท็จจริงที่ถูกต้อง และแม่นย�าก็คือเรื่องราวทั้งหมดนี้มีลักษณะคล้ายกับเทพ ครึ่งปลาครึ่งคน และมีปีกของชาวฟิลิซไต์น์ ที่เรียกขานกันว่าเดกอน ซึ่งถูก สลักฝังไว้ด้านหน้าเรือโนอาห์ของชาวอิสราเอล หัวม้าและสองมือกว้างเป็น ใบปาล์มของเทวรูปนี้ร่วงหล่นหายไปเหลือเพียงแต่ล�าตัว หรือส่วนที่คล้าย ปลาอยู่เท่านั้น ด้วยเหตุนี้หนึ่งในบุคลิกลักษณะอันสง่างามของเราในฐานะ นักล่าวาฬจึงเทียบเท่ากับการเป็นผูค้ มุ้ ครองอุปถัมภ์แห่งอังกฤษ4และด้วยสิทธิ์ อันชอบธรรม พวกเราเหล่านักพุง่ ฉมวกแห่งแนนทักเก็ตควรได้รบั การลงนาม ต่อจากล�าดับชัน้ อันสูงส่งของเซนต์จอร์จ ดังนัน้ อย่ายอมรับอัศวินแห่งสมาคม อันมีเกียรตินนั้ (ผมกล้าพูดได้เลยว่าไม่มใี ครเคยจ�าต้องจัดการกับวาฬเหมือน ดังเช่นผูอ้ ปุ ถัมภ์ของพวกเขา) อย่าให้พวกเขามองชาวแนนทักเก็ตด้วยสายตา ดูหมิ่น เพราะเป็นสิทธิ์ของพวกเราที่จะได้แต่งกายด้วยเสื้อคลุมขนสัตว์ และ กางเกงเคลือบน�า้ มันดินเหมือนดังเช่นเซนต์จอร์จมากกว่าพวกเขา เราจะยอมรับเฮอร์ควิ ลีสเป็นพวกเดียวกับเราด้วยหรือไม่นนั้ เรือ่ งนีผ้ มเอง ก็เคยนึกสงสัยมานานแล้วเช่นกัน หากพิจารณาเรือ่ งเล่าในเทพนิยายกรีกของ บุคคลในอดีตอย่างคร็อกเคตต์5 และคิต คาร์สัน6 หากนักรบผู้กล้าแกร่งต่อ การท�าความดีนั่นถูกวาฬกลืนลงท้อง และคายทิ้ง เช่นนี้แล้วหากยังมีค�าถาม เซนต์จอร์จ ซึ่งเป็นนักบุญที่นับถือกันมากในนิกายอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์และออเรียนทัลออร์ทอดอกซ์ และถือเป็นหนึ่งในนักบุญผู้ช่วยศักดิ์สิทธิ์สิบสี่องค์ 5 ครอกเกตต์-เดวี หรือ เดวิด ครอกเกตต์ (ค.ศ. 1786-1836) วีรบุรุษเสือพรานผู้มีช่ือเสียงแห่งมลรัฐ เทนเนสซี 6 คิต คาร์สัน-หรือคริสโตเฟอร์ ฮุสตัน คาร์สัน (ค.ศ. 1809-1868) วีรบุรุษชายแดนของอเมริกัน 4
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 481
ที่ว่าสมควรยอมรับเขาเป็นหนึ่งในนักล่าวาฬหรือไม่ ก็คงต้องมาพินิจวิพากษ์ กันสักหน่อย ตลอดทัง้ เรือ่ งไม่มสี ว่ นไหนปรากฏให้เห็นเลยว่าเขาเคยใช้ฉมวก พุ่งใส่วาฬ เว้นแต่จัดการกับมันจากด้านใน อย่างไรก็ตามอาจนับว่าเขาเป็น นักล่าวาฬคนหนึ่งได้ เพราะถึงวาฬจะจับตัวเขาไว้แต่เขาก็จัดการกับมัน ดัง นั้นผมยอมรับเขาเป็นหนึ่งในพวกพ้องเดียวกับเรา ทว่าต้นก�าเนิดของเรื่องเป็นประเด็นขัดแย้งกันมากที่สุด เฮอร์คิวลีสและ วาฬในเทพนิยายกรีกถูกมองว่าน�าเค้าโครงมาจากต�านานของชาวฮิบรูเรือ่ งโย นาห์กับวาฬ ขณะที่อีกฝ่ายเห็นในทางกลับกัน นั่นเพราะทั้งสองเรื่องมีความ คล้ายคลึงกันมาก ก็ถา้ หากผมยอมรับเทพเทวดาแล้วไซร้เหตุใดผมจะยอมรับ ผู้เผยวจนะบ้างไม่ได้เล่า? ไม่ใช่เพียงแค่วรี บุรษุ นักบุญ เทวรูป และผูเ้ ผยวจนะทัง้ หลายเท่านัน้ ทีล่ ว้ น มีชอื่ อยูใ่ นสมาคมวงพันธุเ์ ดียวกับเรา แม้ผนู้ า� ทีย่ งิ่ ใหญ่ของเราก็ยงั มีชอื่ อยูด่ ว้ ย เช่นกัน เฉกเช่นกษัตริย์สืบทอดราชบัลลังก์ในโบราณกาล ต้นสายล�าดับชั้น ในวงศ์พันธุ์เดียวกับเราก็มีความมหัศจรรย์ไม่แพ้เทพเจ้าผู้ประเสริฐของพวก เขา ต�านานอันน่าพิศวงของชาวตะวันออกที่เล่าผ่านคัมภีร์พระเวท ท�าให้เรา ได้รู้จักพระวิษณุผู้น่าเกรงขาม หนึ่งในสามองค์เทพที่ชาวฮินดูให้การนับถือ ท�าให้เราได้รู้ว่าองค์พระวิษณุผู้ทรงศักดิ์คือพระเจ้าของเราเอง พระวิษณุทรง จุติลงมาเกิดบนโลกมนุษย์ในชาติแรกของการอวตารสิบครั้ง การจุติบนโลก มนุษย์นั้นทรงแยกร่าง และหลุดพ้นจากการเป็นวาฬ ในพระเวทคัมภีร์เล่าว่า พระพรหม หรือมหาเทพแห่งปวงเทพทัง้ หลายทรงดลบันดาลให้สร้างโลกใหม่ หลังพ้นช่วงเหตุการณ์ทา� ลายล้างหนึง่ ครัง้ พระองค์ได้ให้กา� เนิดพระวิษณุเพือ่ มาท�าหน้าที่นี้ ทว่าการได้อ่านคัมภีร์เวท หรือคัมภีร์เวทย์คาถาเป็นสิ่งจ�าเป็น ต่อพระวิษณุกอ่ นเริม่ ต้นงานสร้าง เพราะพระคัมภีรม์ ขี อ้ แนะน�าในการปฏิบตั ิ ทีเ่ ป็นประโยชน์ตอ่ ผูส้ ร้างทีย่ งั ไร้ประสบการณ์ คัมภีรเ์ วทเหล่านีน้ อนก้นอยูใ่ ต้ ทะเลลึก พระวิษณุจงึ ต้องจุตมิ าเป็นวาฬเพือ่ ใช้เป็นพาหนะด�าดิง่ ลงสูเ่ บือ้ งล่าง น�าเอาคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์กลับขึ้นมา พระวิษณุจะใช่นักล่าวาฬหรือไม่? เฉกเช่น 482 : โมบี-ดิ๊ก
มนุษย์ผู้ขี่ม้ามักถูกเรียกว่าคนขี่ม้า? เพอร์ซิอัส เซนต์จอร์จ เฮอร์คิวลีส โยนาห์ และพระวิษณุ! ล้วนสร้างชื่อไว้ เพื่อท่าน! สมาคมอื่นใดเล่านอกจากเหล่านักล่าวาฬที่จะมีต้นแบบได้ดั่งนั้น?
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 483
บทที่ 83
ประวัติโยนาห์
ข้อความเขียนอ้างอิงเรื่องราวประวัติศาสตร์โยนาห์ และวาฬในบทก่อน หน้านี้ ค่อนข้างเป็นผลให้ชาวแนนทักเก็ตบางคนเกิดความแคลงใจสงสัยใน ประวัตศิ าสตร์โยนาห์และวาฬ แต่ทว่าความกังขาของชาวกรีก และชาวโรมัน ว่าใครกันถอดแบบมาจากคนนอกรีตแท้ดงั้ เดิมในยุคสมัยของพวกเขา มีเท่าๆ กับความสงสัยในเรื่องราวเกี่ยวกับเฮอร์คิวลีสกับวาฬ1 และอารอนกับปลา โลมา2 กระนั้นความสงสัยของพวกเขาที่มีต่อจารีตนิยมเหล่านั้นไม่ได้ท�าให้ จารีตนิยมเหล่านั้นลดคุณค่าความจริงเลยแม้แต่น้อย หัวหน้านักล่าวาฬบนท่าเรือเก่าแก่แซกฮาร์เบอร์3ให้แง่คิดต่อปมปัญหา ของเรื่องเล่าชาวฮิบรูนี้ว่า...หนึ่งในคัมภีร์ไบเบิ้ลของเขาที่มีลักษณะแปลกตา ด้วยการตกแต่งประดับประดาไว้อย่างประณีต ตัวหนังสือไม่ได้เรียงพิมพ์ เป็นระบบตามหลักการ เนื้อหาที่ปรากฏในคัมภีร์ระบุว่าวาฬในเรื่องโยนาห์ มีช่องหายใจสองช่องบนหัว นั่นเป็นข้อเท็จจริงชัดแจ้งที่บ่งบอกสายพันธุ์ของ สัตว์ทะเลยักษ์ชนิดนี้ (ซึ่งก็คือวาฬไรต์ และสายพันธุ์อื่นๆ ในกลุ่มเดียวกัน) เมื่อพิจารณาถึงค�าพูดของชาวประมงผู้นี้ที่ว่า “หากเหรียญเพนนีกลิ้งตกลง ไปคงเป็นผลให้มนั ส�าลัก” นัน่ แสดงว่าทางเดินอาหารของมันเล็กมาก ทว่าใน เฮอร์คิวลีสกับวาฬ-ภารกิจอย่างที่สองของเฮอร์ติวลิสคือ ฆ่าไฮดรา หรืออสุรกายทะเล อารอนกับปลาโลมา-กวีของกรีกโบราณ เล่ากันว่าถูกโจรสลัดลักพาตัว แต่ปลาโลมาช่วยไว้ 3 แซกฮาร์เบอร์-เกาะลอง รัฐนิวยอร์ก 1 2
484 : โมบี-ดิ๊ก
ประเด็นนี้ท่านบิชอปเจบบ์4เคยได้กล่าวเอาไว้ล่วงหน้าแล้วโดยไม่จา� เป็นต้อง เกริน่ น�าท่านบิชอปถึงข้อพิจารณาของเราทีว่ า่ โยนาห์ถกู ฝังอยูใ่ นท้องวาฬ แต่ เป็นเพียงการพักแรมชัว่ คราวอยูบ่ ริเวณใดบริเวณหนึง่ ภายในปากของมัน ท่าน บิชอปผูน้ า่ เลือ่ มใสได้ให้เหตุผลไว้อย่างน่าฟังว่า จริงๆ แล้วปากของวาฬไรต์มี พื้นที่มากพอส�าหรับวางโต๊ะเล่นไพ่วิสต์5ได้ถึงสองตัว และยังมีที่พอส�าหรับผู้ เล่นทุกคนได้นงั่ กันอย่างสบาย เมือ่ เป็นเช่นนีก้ ย็ อ่ มมีความเป็นไปได้วา่ โยนาห์ น่าจะพักอยูอ่ ย่างสบายภายในช่องฟัน ทว่าเมือ่ คิดอีกครัง้ วาฬไรต์นนั้ ไม่มฟี นั อีกเหตุผลหนึ่งที่แซกฮาร์เบอร์ (เขาได้รับการเรียกขานในชื่อนี้) ยกขึ้นมา กล่าวเสริมน�้าหนักให้กับความเชื่ออย่างแรงแกล้าของเขาต่อประเด็นที่เกี่ยว กับผู้เผยวจนะท่านนี้ นั่นคือหลักฐานคลุมเครือเกี่ยวกับร่างที่ถูกจองจ�าของ เขา และของเหลวในกระเพาะวาฬ ทว่าข้อโต้แย้งนี้ก็คว้าน�้าเหลวอีกเช่นกัน นั่นเพราะผู้เชี่ยวชาญในการถอดความคัมภีร์ไบเบิ้ลชาวเยอรมันคิดว่าโยนาห์ น่าจะหลบภัยอยูใ่ นซากลอยน�า้ ของวาฬทีต่ ายแล้ว เฉกเช่นเดียวกับทหารชาว ฝรั่งเศสในสนามรบรัสเซีย6 น�าม้าที่ตายแล้วของพวกเขากลับมายังที่พัก แล้ว คลานเข้าไปซ่อนอยูใ่ นตัวมัน นอกจากนีย้ งั มีขอ้ คิดเห็นของนักวิจารณ์จากทวีป อืน่ ทีก่ ล่าวว่าขณะโยนาห์ถกู จับโยนจากเรือจอปป้าลงทะเลไป เขาย่อมต้องรีบ หลบภัยไปยังเรือล�าที่อยู่ใกล้ๆ แถวนั้น ซึ่งก็คือรูปแกะสลักของวาฬหน้าเรือ นั่นเอง ผมขอขยายความเพิ่มเติมว่ามันน่าจะเรียกว่า “รูปสลักวาฬ” ขณะที่ เรือยุคปัจจุบันขนานนามกันว่ารูปสลัก “ฉลาม” “นกนางนวล” “นกอินทรีย์” แต่ไม่วา่ จะศึกษามาอย่างไร ผูเ้ ชีย่ วชาญคัมภีรไ์ บเบิล้ ทัง้ หลายต่างเห็นตรงกัน ว่าวาฬที่กล่าวถึงในพระคัมภีร์ของโยนาห์เป็นแต่เพียงเครื่องป้องกันภัย หรือ ก็คือถุงกระเพาะพองขยายซึ่งผู้เผยวจนะที่ตกอยู่ในห้วงอันตรายว่ายเข้าไป อาศัยอยู่ และรอดพ้นเคราะห์จากภัยน�้า ดังนี้แล้วแซกฮาร์เบอร์ผู้น่าเวทนา ท่านบิชอปเจบบ์-จอห์น เจบบ์ (ค.ศ. 1775-1833) หัวหน้าบาทหลวงและนักเขียนค�าอธิบายไบเบิล ชาวไอรีส 5 ไพ่วิสต์-เล่นคล้ายไพ่บริดจ์ 6 สนามรบรัสเซีย-นโปเลียนบุกรัสเซียในปี 1812 4
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 485
ย่อมกล่าวผิดพลาดอย่างชัดแจ้ง ทว่าเขายังมีอกี เหตุผลหนึง่ ทีต่ อ้ งการเน้นย�า้ ความเชือ่ ของเขา นัน่ คือหากผมจ�าไม่ผดิ โยนาห์ถกู วาฬกลืนลงท้องไปในทะเล เมดิเตอร์เรเนียน หลังจากนัน้ สามวันเขาจึงถูกส�ารอกออกมาทีไ่ หนสักแห่งใน สามวันของการเดินทางอยูใ่ นแม่นา�้ ไทกริส7แห่งเมืองนีนะเวห์8ซึง่ การเดินทาง ข้ามจากบริเวณที่ใกล้ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่สุดต้องใช้เวลามากกว่าสามวัน เรื่องนี้จะอธิบายกันอย่างไร? กระนั้นไร้ซึ่งหนทางอื่นใดเลยหรือที่วาฬจะน�าพาผู้เผยวจนะท่านนี้ไป ปล่อยทิ้งไว้ภายในระยะทางอันสั้นของนีนะเวห์? ถูกล่ะ มันอาจน�าพาเขาวน รอบเส้นทางแหลมกู๊ดโฮป เพียงแต่ไม่เอ่ยถึงความยาวตลอดเส้นทางทะเล เมดิเตอร์เรเนียน รวมทั้งเส้นทางล่องเรือไปยังอ่าวเปอร์เซีย และทะเลแดง ข้อสมมติฐานนี้ย่อมหมายถึงชาวแอฟริกาทุกคนสามารถเดินทางรอบโลกได้ โดยสวัสดิภาพภายในสามวัน ไม่เอ่ยถึงน่านน�้าไทกริสใกล้ท่ีตั้งของเมืองนี นะเวห์เป็นน่านน�้าตื้นเกินกว่าวาฬตัวใดจะว่ายผ่าน หน�าซ�้าแนวคิดเรื่องโย นาห์รอดพ้นอุปสรรคแหลมกู๊ดโฮปมาได้ภายในระยะเวลาอันสั้นยังเป็นการ ช่วงชิงเกียรติยศศักดิ์ศรีในการค้นพบดินแดนแหลมอันมีชื่อนั้นมาจากบาร์ตู ลูเมว ดีอัช9 ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังจากการค้นพบดินแดนใหม่ และยังเป็นผลให้ นักประวัติศาสตร์รุ่นใหม่กลายเป็นคนโกหกอีกด้วย ทว่าข้อโต้แย้งไร้สาระทั้งหมดของแซกฮาร์เบอร์ผู้มากประสบการณ์เผย เพียงให้เห็นแค่ความยโสอย่างโง่เขลาในความคิดของเขา ซึ่งเป็นเรื่องที่ท�าให้ เขาควรถูกประณาม เพราะเห็นได้ชัดว่าเขาเรียนรู้ไม่มากนักด้วยการเก็บเล็ก ผสมน้อยจากดวงอาทิตย์ และท้องทะเล ผมว่ามันท�าให้เห็นถึงอาการลืมตัว แม่น�้าไทกริส เป็นแม่น�้าที่มีต้นน�้าอยู่ในเทือกเขาทางตะวันออกของประเทศตุรกี ยาวประมาณ 1,900 กิโลเมตร ไหลผ่านชายแดนประเทศซีเรีย สู่อิรัก 8 นีนะเวห์-(ในไบเบิลภาคพันธสัญญาเดิม) เมืองหลวงของอัสซีเรีย เป็นศูนย์กลางการพาณิชย์ขนาดใหญ่บน ฝัง่ ตะวันออกของแม่นา�้ ไทกริสกว่าสองร้อยปี เมืองนีพ้ งั ทลายลงเมือ่ จักรวรรดิอสั ซีเรียล่มสลาย (พระเจ้า บัญชาให้โยนาห์เดินทางไปยังเมืองนี้) 9 บาร์ตูลูเมว ดีอัช-(ราวค.ศ. 1450-1500) นักส�ารวจชาวโปรตุเกส ผู้เป็นชาวยุโรปคนแรกที่แล่นเรือรอบ แหลมใต้สุดของแอฟริกา (ค.ศ. 1488) ได้สา� เร็จ 7
486 : โมบี-ดิ๊ก
อย่างหยิ่งผยองของเขา และการต่อต้านอย่างเลวร้ายเหลือประมาณต่อ พระคริสต์ผู้น่าเลื่อมใส ส�าหรับบาทหลวงนิกายโรมันคาทอลิกชาวโปรตุเกส แล้ว เชื่อว่าการเดินทางของโยนาห์ไปยังนีนะเวห์ผ่านแหลมกู๊ดโฮปเป็น ผล ส�าเร็จได้ด้วยอภินิหารจึงท�าให้เกิดความเป็นไปได้ หน�าซ�้าทุกวันนี้ชาวตุรกีผู้ ได้รับการอบรมสั่งสอนมาเป็นอย่างดีมีความเชื่ออย่างจริงใจต่อเรื่องราวใน ประวัตศิ าสตร์ของโยนาห์ และเมือ่ ช่วงสามศตวรรษทีผ่ า่ นมา นักเดินทางชาว อังกฤษในหนังสือเก่า“การเดินทางของแฮร์รสิ ”10 ก็เล่าว่า สุเหร่าของชาวตุรกี สร้างเพือ่ เป็นเกียรติแก่โยนาห์ ซึง่ สุเหร่าเปรียบดัง่ แสงไฟแห่งปาฏิหาริยท์ สี่ อ่ ง สว่างโดยปราศจากน�า้ มันตะเกียง
10
การเดินทางของแฮร์ริส-หนังสือชุดการล่องเรือและเดินทาง ซึ่งจอห์น แฮร์ริส (ชาวอังกฤษ) เป็นนัก เขียนและบรรณาธิการ
เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 487
บทที่ 84 ปาสูง
การท�าให้รถวิ่งได้ไหลลื่นและรวดเร็ว จ�าต้องหยอดน�้ามันที่เพลาหมุน และ ด้วยวัตถุประสงค์เดียวกันนี้นักล่าวาฬบางคนปฏิบัติเช่นเดียวกันกับเรือของ เขา พวกเขาทาน�า้ มันหล่อลื่นที่ก้นเรือ การปฏิบัติเช่นนี้คงไม่ต้องนึกสงสัยว่า จะมีเหตุรา้ ยแรงใดเกิดขึน้ ได้หรือไม่ เพราะมีความเป็นไปได้ทจี่ ะเกิดเหตุการณ์ ทีไ่ ม่สมควรหมิน่ ประมาทได้ เมือ่ พิจารณาถึงความเป็นปรปักษ์ตอ่ กันระหว่าง น�า้ มัน กับน�า้ เหตุนี้น�้ามันจึงเป็นตัวหล่อลื่น และถูกน�ามาใช้เพื่อท�าให้เรือลื่น ไถลอย่างคล่องแคล่ว ควีเควกศรัทธาในเรือ่ งการทาน�า้ มัน เช้าวันหนึง่ หลังเรือ จุงเฟราของชาวเยอรมันลอยล�าลับหายไปไม่นานนัก เขาใช้ความอุตสาหะ มากกว่างานหลักทีท่ า� ประจ�าโดยการคลานลงไปใต้ทอ้ งเรือซึง่ แขวนไว้ขา้ งเรือ ใหญ่แล้วลงมือทาน�า้ มันหล่อลื่นราวกับก�าลังขะมักเขม้นตรวจหาเส้นผมจาก กระดูกงูเรือทีเ่ กรียนโกร๋น เขาท�าราวกับก�าลังปฏิบตั ติ ามค�าสัง่ ของลางสังหรณ์ ตนโดยไร้ซึ่งเหตุการณ์มารับประกัน ช่วงใกล้เทีย่ งวาฬหลายตัวโผล่ขนึ้ มาให้เห็น ทว่าทันทีทเี่ รือใหญ่ปล่อยเรือ เล็กแล่นตรงไปทีม่ นั พวกมันต่างพลุนพลันว่ายน�า้ หนีแตกกระเจิงกันไป เหล่า ฝูงบินอลหม่านเหมือนดังเช่นกองเรือของคลีโอพัตราแตกทัพจากแอคเทียม1 กระนัน้ กองเรือล่าวาฬยังคงไล่ตามไม่หยุด โดยมีเรือของสตับบ์รดุ หน้าไป ด้วยการทุ่มก�าลังสุดแรงเกิดในที่สุดแทชเทโกก็ปักเหล็กแหลมบนตัววาฬได้ 1
แอคเทียม-เมืองของกรีกโบราณ ซึ่งเป็นอาณานิคมของโรมัน ถูกตีแตกใน ค.ศ. 31 ในสงครามทางน�้า ระหว่างจักรพรรดิอ็อกตาเวียน กับมาร์ค แอนโทนีและพระนางคลีโอพัตราแห่งอียิปต์
488 : โมบี-ดิ๊ก
ส�าเร็จ ทว่าวาฬทีไ่ ด้รบั บาดเจ็บปราศจากอาการใดๆ มันยังคงพุง่ หน้าไปด้วย ความรวดเร็วยิง่ กว่าเดิม ก�าลังลากอย่างไม่หยุดพักเช่นนัน้ ไม่ชา้ ไม่นานจะเป็น ผลให้เหล็กแหลมทีฝ่ งั อยูใ่ นตัวมันหลุดออกมาอย่างแน่นอน จึงจ�าเป็นต้องพุง่ หอกใส่วาฬที่กา� ลังแล่นฉิวอยู่ในน�้า หรือไม่ก็ต้องท�าใจปล่อยมันไป ทว่าการ ลากเรือขึน้ ไปอยูบ่ นสีขา้ งของมันก็เป็นเรือ่ งทีท่ า� ได้ยาก เพราะมันว่ายน�า้ อย่าง รวดเร็ว และบ้าระห�่า เช่นนั้นควรท�าอย่างไรต่อดี? วิธีการที่เยี่ยมยอดและว่องไว คือใช้ทักษะความช�านาญ และความหลัก แหลมของนักล่าวาฬผู้มีประสบการณ์ซึ่งบ่อยครั้งมักถูกสถานการณ์บังคับให้ ได้ฝึกฝน และไม่มีอาวุธใดเยี่ยมยอดเท่ากับใช้หลาว "ปาสูง" ไม่ว่าดาบเล็ก หรือดาบใหญ่ในเรือเชือดวาฬก็ไม่มีเล่มใดเทียบเท่าวิธีนี้ มันเหมาะส�าหรับ ใช้กับวาฬที่ว่ายน�้าเร็วได้เป็นเวลานาน ลักษณะส�าคัญอันน่าทึ่งของมันคือ สามารถพุ่งในระยะไกลได้อย่างแม่นย�าจากเรือที่ถูกดึงกระชากให้รุดไปข้าง หน้าอย่างรวดเร็ว และส่ายโคลงอย่างรุนแรง ความยาวของหลาวรวมทัง้ เหล็ก และไม้ยาวประมาณสิบหรือสิบสองฟุต ด้ามหลาวบางกว่าด้ามฉมวก และท�า จากวัตถุดบิ ทีเ่ บากว่านัน่ คือไม้สน มันถูกผูกเข้ากับเชือกโยงยาวพอสมควรเพือ่ ใช้ดึงกลับมาถือไว้ในมือได้อีกครั้งหลังจากพุ่งหลาวออกไป ก่อนไปต่อในส่วนอื่น จ�าเป็นต้องเน้นย�้าตรงนี้อีกสักหน่อยว่าแม้ฉมวก อาจมีวิธีการปาสูงแบบเดียวกับหลาวได้ ทว่าไม่ค่อยท�ากันเท่าไรนัก และถึง แม้จะท�าก็มักให้ผลส�าเร็จน้อยมาก นั่นเพราะฉมวกมีน�้าหนักมากกว่า และ ยาวน้อยกว่าเมื่อเทียบกับหลาวจึงท�าให้กลายเป็นข้อเสียเปรียบ ดังนั้นโดย ทัว่ ไปแล้วคุณจึงต้องจับวาฬให้ได้โดยการใช้ฉมวกพุง่ เสียก่อนทีจ่ ะมาจับปลาย ด้ามหลาวพุ่ง ดูที่สตับบ์ตอนนี้สิ ความมีอารมณ์ขัน เยือกเย็นสุขุม และจิตใจสงบนิ่งใน สถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงช่างเป็นคุณสมบัติที่เหมาะส�าหรับการพุ่งปลาย หลาวเสียจริง ดูนนั่ ...เขาลุกขึน้ ยืนตรงบนหัวเรือทีโ่ ยกส่ายตามแรงแล่นฉิวของ เรือ ขณะฟองคลื่นสีขาวสาดกระเซ็นขึ้นปกคลุมจนมิด วาฬลากเรืออยู่ข้าง เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 489
หน้าห่างออกไปราวสีส่ บิ ฟุต สตับบ์คว้าหลาวยาวขึน้ มาถือไว้อย่างว่องไว เขา เหลือบตามองระยะเพื่อกะความแม่นย�าสอง สามครั้ง แล้วใช้มืออีกข้างสาว ขดเชือกโยงเร็วจนเกิดเสียงดังหวือ กระทัง่ ปลายอีกด้านอยูใ่ นก�ามือสะบัดส่วน ทีเ่ หลือไม่ให้กดี ขวางทาง จากนัน้ จับหลาวไว้แน่นวางตรงหน้ากึง่ กลางสายรัด เอว แล้วเล็งไปที่ตัววาฬเมื่อก�าหนดเป้าหมายได้แล้วเขาลดระดับปลายด้าม หลาวในมืออย่างแน่วแน่ ปลายหลาวถูกยกขึ้นตั้งตรงอยู่บนฝ่ามือของเขาชู เด่นขึน้ กลางอากาศราวสิบห้าฟุต ท่าทางของเขาอาจท�าให้คณ ุ นึกถึงนักเล่นกล ก�าลังเลี้ยงไม้ยาวไว้บนคาง ต่อมาแรงผลักอย่างแรงและเร็วเป็นผลให้หลาว ตีวงโค้งสูงซัดเอาปลายเหล็กแหลมลอยแหวกม่านฟองคลื่นไปปักลงบนจุด ตายของวาฬ2 พวยน�้าที่พุ่งออกมาจากช่องหายใจในเวลานี้ไม่ใช่น�้าใสๆ ส่อง ประกายระยิบอีกต่อไป หากแต่เป็นเลือดสดๆ สีแดงฉาน “หอกนัน่ กระตุกหัวก๊อกมันออกแล้ว!” สตับบ์รอ้ งบอก “วันทีส่ อี่ นั เป็นอมตะ แห่งเดือนกรกฎาคม แหล่งน�้าพุมากมายหลั่งไหลน�้าไวน์ในวันนี้! นั่นไงล่ะ วิสกีอ้ อร์ลนี ส์อายุเก่าแก่ หรือจะเป็นโอไฮโอ หรือเหล้าดีจากโมนังกาฮีลา3! เอา เถอะ แทชเทโก...ไอ้หนุม่ เอาถังไม้ไปทีพ่ วยน�า้ นัน่ เราจะดืม่ ฉลองกันทีร่ อบตัว มัน! ใช่แล้ว...ไม่ต้องสงสัย...มาครึกครื้นกัน เราเจาะเหล้าชั้นดีไว้ที่นั่นตรงช่อง หายใจของมัน ที่ตรงนั้นเหล้าถ้วยใหญ่จะท�าให้เราได้ดื่มด�า่ กันอย่างเต็มที่” พร้อมๆ กับเสียงพูดคุยอย่างสนุกสนาน คมหลาวยังคงถูกซัดไปยังเป้า หมายซ�า้ ๆ หลาวถูกดึงกลับมายังเจ้าของเหมือนสุนขั ล่าเนือ้ ถูกควบคุมไว้ดว้ ย สายบังเหียน วาฬที่ได้รับความเจ็บปวดเริ่มชักดิ้นด้วยความทรมาน เชือกโยง เริ่มหย่อนผ่อนลง หลาวพุ่งปลายถูกโยนไปทางท้ายเรือ เขายืนกอดแขนเฝ้า มองเจ้ายักษ์อย่างเงียบๆ
จุดตายของวาฬ-ต�าแหน่งที่เส้นเลือดขดลึกอยู่เป็นกลุ่ม ถ้าแทงผ่านใต้ครีบทะลุไปถึงที่นี่ เลือดก็จะพุ่ง ทะลักขึ้นไปทางช่องหายใจหรือพวยพ่นน�้า 3 เหล้าไรย์จากหุบน�้าโมนังกาฮีลา ในรัฐเพนซิลเวเนีย 2
490 : โมบี-ดิ๊ก
บทที่ 85 น�้าพุ
เป็นเวลากว่าหกพันปีมาแล้ว และไม่มีใครรู้ว่าผ่านมาอีกกี่ล้านยุคสมัย ก่อนหน้า ฝูงวาฬจ�านวนมากต่างพ่นน�า้ อยูท่ กุ หนแห่งทัว่ ท้องทะเล ละอองน�า้ และไอหมอกโปรยพรมทั่วอุทยานแห่งทะเลสีครามด้วยพวยพ่นน�้าจ�านวน มาก หลายศตวรรษให้หลังนักล่าหลายพันคนมีโอกาสได้เข้าใกล้แหล่งก�าเนิด พวยน�้าพุของวาฬ เฝ้าดูละอองน�้าและพวยน�้าพุ่ง ทว่าจนแล้วจนรอดตราบ กระทั่งถึงนาทีแห่งโชคในครั้งนี้ (เวลาบ่ายโมงสิบห้านาทีสิบห้าวินาทีของวัน ที่สิบหกเดือนธันวาคม ปีค.ศ.1851) ยังคงเป็นที่สงสัยว่าพวยน�้าพุนี้เป็นน�้า ทั้งหมดจริงๆ หรือเป็นเพียงแค่ไอหมอก แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องที่น่าสนใจยิ่ง ดังนั้น พวกเรามาพิจารณาในประเด็นนี้ พร้อมทั้งเรื่องราวที่น่าสนใจอัน เกีย่ วเนือ่ งกันสักหน่อยเป็นไร ทุกคนรูว้ า่ เหงือกปลามีคณ ุ สมบัตพิ เิ ศษ สายพันธุ์ ที่มีครีบสามารถหายใจเอาอากาศที่เป็นส่วนประกอบรวมอยู่ในน�้าที่พวกมัน แหวกว่ายกันได้ จากกรณีนี้ ปลาเฮอริ่งและปลาคอดสามารถใช้ชีวิตอยู่ใต้น�้า ได้นานเป็นศตวรรษโดยไม่ต้องโผล่หวั ขึ้นมาเหนือผิวน�า้ เลยสักครั้ง แต่เพราะ โครงสร้างภายในทีเ่ ราเห็นมันมีปอดเหมือนมนุษย์ วาฬจึงมีชวี ติ อยูไ่ ด้ดว้ ยการ หายใจเอาอากาศล้วนๆ จากบรรยากาศเหนือผิวน�า้ ดังนัน้ จึงมีความจ�าเป็นที่ มันจะต้องโผล่ขึ้นมาเยือนโลกด้านบนเป็นพักๆ ทว่ามันไม่สามารถหายใจได้ ทางปาก เพราะด้วยสรีระโดยปกติปากของวาฬหัวทุยจะฝังอยู่ใต้น�้าลึกลงไป อย่างน้อยแปดฟุต ยิง่ ไปกว่านัน้ หลอดลมของมันไม่ได้เชือ่ มต่อกับปาก ไม่เลย... เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 491
มันหายใจผ่านช่องหายใจเพียงทางเดียว และช่องหายใจนี้อยู่บนหัวของมัน หากผมกล่าวว่าระบบการหายใจของสิง่ มีชวี ติ เป็นสิง่ จ�าเป็นเพือ่ การด�ารง ชีวิตอยู่ เช่นนั้นแล้วการหายใจเป็นการดึงเอาธาตุส�าคัญออกมาจากอากาศ แล้วส่งต่อไปยังเลือดทีจ่ ะน�าไปสูเ่ ลือดในกระบวนการสร้างพลังชีวติ ผมไม่คดิ ว่าตัวเองจะเข้าใจผิด แม้ผมอาจใช้ศพั ท์วทิ ยาสตร์ฟมุ่ เฟือยไปบ้างก็เถอะ ลอง พิจารณาตามหลักที่ว่าเลือดได้รับออกซิเจนจากลมหายใจที่มนุษย์สูดเข้าไป ดังนัน้ มันอาจอุดรูจมูกไว้และไม่หายใจไปได้ระยะหนึง่ กล่าวคือมันยังสามารถ มีชวี ติ อยูต่ อ่ ไปโดยไม่ตอ้ งหายใจ อาจฟังดูเป็นเรือ่ งผิดหลักเกณฑ์ไปสักหน่อย แต่นี่เป็นเรื่องจริงเกี่ยวกับวาฬซึ่งสามารถใช้ชีวิตต่อได้ไปอีกระยะหนึ่ง (ขณะ อยู่ใต้ทะเล) เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงเต็ม หรือมากกว่านั้นโดยไม่ต้องหายใจเลย สักครั้ง หรืออยู่ได้นานเท่าลมหายใจที่สูดเข้าไป จ�าได้มั้ยว่า...มันไม่มีเหงือก มันอยูไ่ ด้ยงั ไง? นัน่ เพราะระหว่างกระดูกซีโ่ ครง และกระดูกสันหลังแต่ละข้าง ของมันมีหลอดเลือดลักษณะคล้ายเส้นหมี่อิตาลีขดไปมาอย่างน่าทึ่งราวกับ เขาวงกต หลอดเลือดเหล่านี้จะขยายรับเอาเม็ดเลือดที่มีออกซิเจนไว้เต็มใน เวลาทีม่ นั ด�าลงใต้นา�้ ด้วยเหตุนมี้ นั จึงมีพลังชีวติ เหลือเก็บไว้ในตัวส�าหรับใช้ได้ นานเป็นชัว่ โมง หรือมากกว่านัน้ ในทะเลลึกเป็นพันฟาทอม เหมือนอูฐสามารถ ทางเดินข้ามทะเลทรายแห้งแล้งได้เพราะได้ดมื่ น�า้ เก็บตุนไว้ใช้ลว่ งหน้าภายใน ช่องกระเพาะทีม่ ถี งึ สีใ่ บ ข้อเท็จจริงทางโครงสร้างของอวัยวะส่วนทีม่ ลี กั ษณะ คล้ายเขาวงกตนีเ้ ป็นเรือ่ งทีไ่ ม่อาจปฏิเสธได้ และด้วยข้อสมมติฐานทีต่ งั้ อยูบ่ น เหตุผล และความจริงนีเ้ องท�าให้ผมเชือ่ มากยิง่ ขึน้ เมือ่ คิดถึงความดันทุรงั ทีไ่ ม่ อาจอธิบายได้อีกเรื่องหนึ่งของเจ้าสัตว์ทะเลยักษ์นี้นั่นคือพวยน�า้ ที่เหล่าชาว ประมงเรียกนั้น ผมคิดว่าหากมันโผล่ขึ้นเหนือน�้าโดยไม่ได้รับอันตรายอะไร วาฬหัวทุยน่าจะใช้เวลานานเท่าๆ กันในทุกครัง้ ทีโ่ ผล่ขนึ้ มาเหนือน�า้ โดยไม่ได้ รับอันตรายใดๆ ยกตัวอย่างเช่น หากมันใช้เวลาสิบเอ็ดนาที พ่นพวยน�้าเจ็ด สิบครัง้ นัน่ คือสูดลมหายใจเข้าเจ็ดสิบอึก ดังนัน้ เมือ่ มันโผล่กลับขึน้ มาอีกครัง้ มันก็ตอ้ งสูดลมหายใจอีกเจ็บสิบอึกภายในชัว่ ระยะเวลาสัน้ ๆ ทีนถี้ า้ หลังจาก 492 : โมบี-ดิ๊ก
มันสูดลมหายใจเข้าไปเพียงไม่กี่อึกแล้วคุณท�าให้มันตื่นตกใจจนดิ่งตัวลงใต้ น�า้ ไป ไม่นานมันก็จะกลับขึ้นมาอีกเพื่อสูดอากาศเพิ่มตามปริมาณที่ต้องการ จนกว่าจะสูดลมหายใจได้ครบเจ็บสิบอึกอย่างทีบ่ อกมันจึงจะลงไปหลบอยูใ่ ต้ น�้าเต็มช่วงเวลาของมัน อย่างไรก็ตามอัตรานี้อาจมีความแตกต่างกันได้บ้าง ในวาฬแต่ละตัว แต่โดยส่วนใหญ่แล้วจะคล้ายๆ กัน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วยังมี เหตุใดอีกเล่าที่ทา� ให้วาฬต้องขึ้นมาพ่นพวยน�้า นอกเสียจากขึ้นมาสูดอากาศ สะสมให้เต็มปอดก่อนลงไปใช้เวลานานอยูใ่ ต้นา�้ ? เหตุผลชัดแจ้งเช่นนีย้ งั บอก ถึงความจ�าเป็นทีว่ าฬต้องโผล่ขนึ้ มาปรากฏกายต่ออันตรายแก่ชวี ติ จากการไล่ ล่า ไม่ด้วยตาขอ ก็ตาข่ายที่สัตว์ทะเลยักษ์ใหญ่นี้จะถูกจับหากโลดแล่นอยู่ใต้ แสงอาทิตย์พันฟาธอม โอ้...เหล่านักล่า ท่านไม่จ�าเป็นต้องมีความสามารถ มากมาย ความจ�าเป็นต่อการด�ารงชีพนั้นจัดเตรียมชัยชนะไว้แด่ท่านแล้ว! ส�าหรับมนุษย์ การหายใจด�าเนินอย่างต่อเนือ่ ง หนึง่ ลมหายใจด�ารงชีพอยู่ ได้สอง สามจังหวะเต้นของชีพจร ดังนัน้ ไม่วา่ มนุษย์ทา� กิจกรรมอะไรก็ตาม ไม่ ว่าตืน่ หรือหลับ มนุษย์ยงั คงต้องหายใจเว้นแต่จะตายไปเท่านัน้ ทว่าวาฬหัวทุย หายใจได้เพียงครั้งละเจ็ดอึก หรือเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น กล่าวได้ว่าวาฬสูดลมหายใจผ่านท่อพ่นน�้าของมัน หากบวกข้อเท็จจริงที่ ว่าลมหายใจทีม่ นั พ่นออกมานัน้ มีนา�้ ผสมอยูด่ ว้ ย เช่นนัน้ แล้วผมเห็นว่าเราควร ต้องขบคิดกันด้วยว่าเหตุใดประสาทรับกลิน่ ของมันจึงถูกท�าลายไป สิง่ เดียวที่ พอจะเป็นค�าตอบได้นนั่ ก็คอื จมูกของมันมีลกั ษณะเป็นช่องพ่นน�า้ และอุดตัน ด้วยสองธาตุธรรมชาติ (น�้ากับอากาศ) จึงไม่มีทางที่มันจะสามารถรับกลิ่น อะไรได้ แต่เนื่องจากจนถึงเดี๋ยวนี้ความลับของพวยพุ่งนี้ยังไม่ปรากฏเป็นที่ ประจักษ์ชัดบนหัวของมัน ว่าเป็นน�้า หรือไอหมอกกันแน่ จึงเป็นที่ชัดเจนว่า อย่างไรเสียวาฬหัวทุยก็ไม่มีอวัยวะดมกลิ่น ก็แล้วมันจะต้องการสิ่งเหล่านั้น ไปท�าไมกัน? ในเมื่อท้องทะเลไม่มีดอกกุหลาบ ไม่มีดอกไวโอเล็ต และก็ไม่มี กลิ่นน�า้ หอมใดๆ ยิ่งไปกว่านั้น หลอดลมของมันเปิดสู่ช่องท่อพ่น ทางน�้ายาวนั้นเหมือนกับ เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 493
คลองอิรซี งึ่ มีประตู (ส�าหรับเปิดและปิด) ให้อากาศเข้าไปเก็บไว้ และกันไม่ให้ น�้าจากด้านบนเข้าไป ด้วยเหตุนี้วาฬจึงส่งเสียงไม่ได้ เว้นแต่คุณจะจู่โจมมัน เมื่อนั้นมันจะส่งเสียงแปลกหูดังก้องให้ได้ยิน มันพูดผ่านจมูก แต่ทว่ามันพูด ว่าอะไร? ผมไม่ค่อยซาบซึ้งในค�าพูดอื่นใดที่กล่าวถึงโลกใบนี้นอกจากเสียง ตะกุกตะกักที่เล็ดรอดออกมาเพื่อสื่อถึงความต้องการมีชีวิตอยู่ โอ้! ช่างโชค ดีเสียนี่กระไรที่โลกใบนี้ยังมีผู้ฟังที่ดี! เป็นทีช่ ดั เจนแล้วว่าท่อพ่นของวาฬหัวทุยมีไว้สา� หรับเป็นทางเดินอากาศ มี ความยาวหลายฟุตตามแนวราบใต้ผวิ บนหัวมัน โดยมีเพียงข้างเดียว ท่อพ่นที่ น่าสนใจนีม้ ลี กั ษณะคล้ายกับท่อแก๊สทีเ่ ดินสายไปตามถนนในเมือง ทว่ากลับ มายังค�าถามที่ว่าท่อแก๊สนี้จะใช่ท่อน�้าด้วยหรือไม่ หรือพูดอีกอย่างก็คือท่อ พ่นของวาฬหัวทุยจะเพียงพ่นลมหายใจออกมา หรือลมหายใจนั้นปนกับน�้า ที่ได้รับทางปากแล้วพ่นออกมาทางช่องหายใจ แน่นอนว่าปากย่อมเชื่อมต่อ กับท่อพ่นโดยทางอ้อม ทว่าไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่าการเชื่อมต่อนี้เพื่อใช้ส�าหรับ พ่นน�้าออกมาทางช่องหายใจ นั่นเพราะหากเป็นเช่นนั้นจริงการพ่นน�้าทาง ช่องหายใจย่อมมีความจ�าเป็นอย่างยิง่ ยวดยามเมือ่ มันกินน�า้ เข้าไปโดยไม่ตงั้ ใจ ขณะกินอาหาร ทว่าอาหารของวาฬหัวทุยอยูใ่ ต้นา�้ ลึก ดังนัน้ มันจึงไม่สามารถ พ่นออกมาได้แม้มันต้องการจะพ่น นอกจากนี้หากคุณเข้าไปสังเกตมันใกล้ๆ และใช้เวลาในการเฝ้ามองนานพอ คุณจะพบว่ายามเมื่อมันโผล่ขึ้นมาหายใจ บนผิวน�า้ โดยไม่สา� เหนียกถึงอันตรายใดๆ จังหวะของการหายใจ และการพ่น พวยน�า้ ของมันสัมผัสสอดรับกันเป็นอย่างดี ทว่าจะต้องวุน่ วายครุน่ คิดหาเหตุผลให้กบั เรือ่ งนีไ้ ปท�าไม? ก็แค่พดู ออกมา! คุณเคยเห็นมันพ่นพวยน�า้ ก็บอกออกไปว่าเป็นพวยน�า้ คุณแยกน�า้ กับอากาศ ไม่ออกหรอกหรือ? คุณขอรับ...บนโลกใบนีไ้ ม่มอี ะไรทีแ่ ก้ปญ ั หาได้งา่ ยๆ หรอก ผมเคยเห็นแต่เรื่องง่ายๆ ของคุณนั่นแหละที่มีแต่ปัญหา ก็แม้แต่ท่อพ่นของ วาฬ คุณยังสับสน และตัดสินใจไม่ได้ว่ามันคืออะไรกันแน่ ใจกลางท่อพ่นที่ซ่อนอยู่ภายใต้หมอกส่องแสงแวววับห่อหุ้ม คุณชี้ชัดได้ 494 : โมบี-ดิ๊ก
หรือไม่ว่าน�้านั้นออกมาจากท่อพ่น ตราบเมื่อคุณเข้าไปใกล้วาฬมากพอเห็น ท่อพ่นของมันใกล้ๆ มันอยู่ท่ามกลางเสียงอึกทึกมีน�้าตกล้อมรอบ หากช่วง เวลานั้นคุณคิดว่าคุณเห็นหยดความชื้นในท่อพ่นจริง คุณจะรู้ได้อย่างไรว่า นั่นไม่ใช่แค่ไอหมอกที่กลั่นออกมาเป็นน�้า คุณจะรู้ได้อย่างไรว่านั่นไม่ใช่หยด น�้าเดียวกันกับที่ติดอยู่ในร่องของช่องพ่นที่จมลงไปในเนื้อส่วนบนสุดของหัว วาฬ? เช่นนี้แล้วหากวาฬว่ายน�้าอย่างราบรื่นผ่านท้องทะเลอันสงบเงียบยาม เที่ยงวัน หนอกของมันยกตัวสูงรับแสงแดดเฉกเช่นหนอกอูฐในทะเลทราย ขณะนั้นวาฬคงก�าลังพาอ่างน�้าเล็กๆ บนหัวมันร่อนอยู่ใต้แสงตะวันส่อง ซึ่ง คุณอาจได้เห็นร่องหินที่มีหยดน�้าฝนอยู่เต็มปริ่ม ทว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่นักล่าควรอยากรู้อยากเห็นลักษณะที่แท้จริงของท่อ พ่นของวาฬ พวกเขาไม่ควรจ้องหาเพื่อเผชิญหน้ากับมัน คุณไม่สามารถเอา เหยือกน�้าไปที่บ่อน�้าพุนั้นเพื่อเติมน�้าเต็มแล้วน�ากลับมาได้ นั่นเพราะเมื่อ เข้าไปใกล้เพียงแค่รอบนอกของละอองไอน�า้ พุง่ ผิวของคุณจะร้อนรุม่ ขึน้ มาใน ทันทีจากการสัมผัสกับความเป็นกรดของมัน ผมรูจ้ กั กับคนๆ หนึง่ ทีเ่ คยเข้าไป ใกล้พวยน�า้ นัน้ เพือ่ สังเกตการณ์ตามวัตถุประสงค์ทางวิทยาศาสตร์ หรืออะไร สักอย่างผมก็ไม่อาจทราบได้ ทว่ามันท�าให้ผิวแก้ม และแขนของเขาลอกออก ด้วยเหตุนสี้ า� หรับนักล่าวาฬแล้วพวยน�า้ ก็คอื ยาพิษ พวกเขาพยายามหลีกเลีย่ ง ทีจ่ ะสัมผัสกับมัน อีกเรือ่ งหนึง่ ทีผ่ มเคยได้ยนิ มา และผมก็ไม่แคลงใจทีจ่ ะเชือ่ ด้วย นัน่ ก็คอื หากพวยน�า้ พุง่ ใส่ตาของคุณ มันจะท�าให้คณ ุ ตาบอด ดังนัน้ วิธที ดี่ ี ทีส่ ดุ ส�าหรับนักส�ารวจ และส�าหรับผมด้วยก็คอื อย่าไปยุง่ กับพวยน�า้ มรณะนัน่ กระนั้นแม้เราไม่สามารถพิสูจน์ และระบุชี้ชัดได้ แต่เราสามารถตั้ง สมมติฐานได้ ข้อสมมติฐานของผมก็คือพวยน�้านี้ไม่ใช่อะไรอื่นเลยนอกเสีย จากไอหมอก อีกเหตุผลหนึง่ ทีผ่ มน�ามาใช้สรุปข้อสมมติฐานนีก้ ค็ อื ข้อพิจารณา เกีย่ วกับความสง่างาม และความประเสริฐทีม่ มี าแต่กา� เนิดของวาฬหัวทุย ผม ว่ามันไม่ใช่สัตว์ธรรมดา และมีสติปัญญาตื้นเขิน นั่นเพราะข้อเท็จจริงหนึ่งที่ ไม่อาจปฏิเสธได้คอื มันไม่เคยส่งเสียง หรือเข้ามาใกล้ชายฝัง่ เลย ขณะวาฬทุก เฮอร์แมน เมลวิลล์ : 495
สายพันธุเ์ คยมีปรากฏการณ์เช่นนีใ้ ห้เห็น วาฬหัวทุยทัง้ ครุน่ คิดและลุม่ ลึก ผม เชื่อเช่นนั้นนั่นเพราะบรรดาหัวสมองที่มีลักษณะครุ่นคิด และลุ่มลึกเช่น เพล โต พีโร1 ซาตาน จูปีเตอร์ ดันเต2 และคนอื่นๆ มักมีไอหมอกขึ้นให้เห็นลางๆ ขณะก�าลังหมกมุ่นครุ่นคิด เมื่อผมเขียนบทความที่เกี่ยวกับความเป็นนิรันดร ผมอยากวางกระจกไว้เบื้องหน้าตัวเองและมองภาพสะท้อนในกระจกเงานั้น ผมเห็นคลืน่ คดเคีย้ วลอยขึน้ กลางอากาศเหนือศีรษะผม ความชุม่ ชืน่ ถาวรบน เส้นผมรุกถล�าเข้าสู่ห้วงค�านึง หลังจากผมจิบชาร้อนๆ ไปหกถ้วยภายในห้อง ใต้หลังคาแผ่นบางในช่วงเวลาเที่ยงวันของเดือนสิงหาคม ดูเหมือนว่านี่น่าจะ เป็นข้อพิสูจน์ต่อสมมติฐานข้างต้น ความสง่างามยกระดับความคิดของเราที่มีต่ออสุรกายทรงพลัง ที่มีไอ หมอกบนหัวได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ยามเมื่อได้เห็นมันแหวกว่ายผ่านน่านน�้า เขตร้อนอันเงียบสงบไปอย่างน่าขนลุก หัวอันอ่อนนุ่มมหึมาของมันพ่นม่าน หมอกแห่งความครุ่นคิดที่ไม่สามารถสื่อสารให้ผู้ใดรับรู้ได้ ที่ม่านหมอกนั้น บางครั้งคราคุณจะได้เห็นแสงอันสดใสของสายรุ้งพาดผ่านราวกับสวรรค์ติด ตราประทับไว้ที่ความคิดของมัน อย่างที่รู้รุ้งกินน�้าไม่มาเยือนยามท้องฟ้า แจ่มใส เพียงแต่งแต้มสีสันยามเมื่อเกิดละอองฝน เปรียบดังหมอกหนาของ ความหมองมัวทีค่ ลุมเครือในจิตใจผม บางครัง้ คราญาณของการหยัง่ รูส้ อ่ งรังสี แห่งความหวังสว่างวาบเข้ามาในความมืดมนของจิตใจ ส�าหรับสิ่งนี้ผมรู้สึก ขอบคุณพระเจ้า ทุกคนต่างมีความสงสัย และไม่เชื่อ ทว่าความสงสัย หรือ ไม่เชื่อนั้นมีไม่มากนักที่มีดวงประทีปส่องทางสว่าง ความสงสัยทุกสรรพสิ่ง เป็นธรรมดามนุษย์โลก ความหยัง่ รูใ้ นบางสิง่ เป็นบัญชาจากสวรรค์ างสิง่ เป็นย หรือไม่เชือ่ นัน้ การผสมผสานสองสิง่ นีเ้ ข้าด้วยกันไม่ได้สร้างผูศ้ รัทธา หรือพวก นอกรีต หากแต่สร้างมนุษย์ผู้พิจารณาข้อสงสัยนั้นด้วยดวงตาอันเที่ยงธรรม พีโร-(ราว 360-270 ปีก่อนคริสตกาล) นักปรัชญากรีก ผู้ก่อตั้งลัทธิวิมตินิยม (ไม่เชื่อว่าที่เราเห็นอยู่ นั้น เป็นอย่างนั้นจริงๆ) 2 ดันเต-ดันเต อาลีกีเอรี (ค.ศ. 1265-1321) กวีและนักภาษาศาสตร์ชาวอิตาลี 1
496 : โมบี-ดิ๊ก