Blank Megazine

Page 1

ISSUE 07 Nov.

LIVING - RAFT แพจิ๋วอันมีชีวิต กลยุทธลับลอยตัว

HATSHEP

ฟาโรหหญิงแหงอียิปต ผูถูกลบเลือน

RASPUTIN

พอหมอจอมคาถา ที่กลายเปนคนสำคัญแหง ราชวงศรัสเซีย

BLANK




editor TALK TO

เมื ่ อ สองสามเดื อ นที ่ ผ ่ า น มา ฉั น ได้ ร ั บ บั ต รเชิ ญ ร่ ว มงานคอนเสิ ร ์ ต หลาย งานมา มี ท ุ ก แนวดนตรี ตั ้ ง แต่ ป ็ อ ปใสๆไปยั น ร็ อ ค เมทั ล ด้ ว ยเพราะฉั น เป็ น คนไม่ ป ิ ด กั ้ น ด้ ว ยมั ้ ง จึ ง ทำ � ให้ ม ี เ พื ่ อ นเยอะมาก มี หลายบุ ค ลิ ก มากแต่ น ั ่ น ก็ สนุ ก ดี ไ ด้ เ จออะไรที ่ แ ปลก

ใหม่ ร วมไปถึ ง การฟั ง ดนตรี ด ้ ว ย เช้ า วั น อาทิ ต ย์ ท ี ่ เ ท่ า ไหร่ ไ ม่ ร ู ้ จ ำ � ไม่ ไ ด้ เ พื ่ อ นชื ่ อ โจ๋ ปณพรรธณ์ แก้ ว ฉ่ ำ � (บรรณาธิ ก าร นิ ต ยสาร Allure) ได้ ย ื ่ น บั ต รคอนเสิ ร ์ ต ลำ � ลึ ก ศิ ล ปิ น แนวดิ ส โก้ ค นนึ ง ชื ่ อ ว่ า Boney M อั น ที ่ จ ริ ง ฉั น ก็ ไ ม่ ร ู ้ จ ั ก หรอก นะว่ า เขาคื อ ใคร แต่ ท ี ่ ร ู ้ ๆ คื อ อยากดิ ้ น ก็ เ ลยไปไว้ ก ่ อ นยั ง ไงเพื ่ อ นโจ๋ ก ็ ใ ห้ บ ั ต ร ฉั น ฟรี อ ยู ่ แ ล้ ว เราก็ ร ั บ บั ต รอย่ า งไม่ ไ ด้ คิ ด อะไร แต่ แ น่ น อนว่ า การไปคอนเสิ ร ์ ต แต่ ล ะงานที ่ เ ราไม่ ร ู ้ จ ั ก ศิ ล ปิ น มาก่ อ นก็ ต้ อ งมี ก ารทำ � การบ้ า น เราก็ ต ้ อ งมี ก าร ซึ ม ซั บ สั ก หน่ อ ย ก็ เ ลยทำ � การเสิ ร ์ ช หา ชื ่ อ ศิ ล ปิ น ใน Youtube ซะเลย เพลง แรกที ่ เ ด้ ง ขึ ้ น มาชื ่ อ ว่ า Rasputin อั น ดั บ แรกที ่ ส งสั ย คื อ เอ้ า ! รั ส ปู ต ิ น นี ่ เ ป็ น พ่ อ หมอที ่ ร ้ า ยกาจไม่ ใ ช่ ห รอ มั น จะกลาย เป็ น ชื ่ อ เพลงแนวดิ ส โก้ ท ี ่ ด ู ส นุ ก ครึ ก ครื ้ น ได้ ย ั ง ไง ..จากเหตุ ก ารณ์ เ ล็ ก ๆครั ้ ง นั ้ น ก็ เ กิ ด อารมณ์ ว ่ า อยากจะรู ้ จ ั ก กั บ รั ส ปู ติ น เพิ ่ ม ขึ ้ น เพราะยั ง ไม่ เ คยได้ ศ ึ ก ษา บุ ค คลๆนี ้ ม ากมายเท่ า ไหร่ ท ั ้ ง ๆที ่ ก ็ ค ่ อ น ข้ า งจะมี ช ื ่ อ เสี ย งในเรื ่ อ งประวั ต ิ ศ าสตร์ พอสมควร นั ่ น แหละคื อ สาเหตุ ท ี ่ เ กิ ด เป็ น ฉบั บ นี ้

Expectation Knowledge Excited Dazzled Remarkable

Fill in blank, in your head


BLANK คือนิตยสาร รายปักษ์ สำ�หรับคน ขี้สงสัย สนใจความรู้ รอบตัว วิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ สารคดี และไม่ละเลยข่าวสารที่ ไม่ เคยหยุดหมุนและพร้อมจะ เติบโตไปกับมัน เราอัพเดท สิ่งที่คุณอยากรู้รอบ จักรวารมาอยู่ ในรูปแบบ

ย่อยง่าย ตามแบบที่คุณ ต้องการจะเพิ่มรอยหยัก ในสมองให้ ไม่ BLANCK ไม่ต้องกลัวตามโลกไม่ทัน หรือตกหล่นในอดีตสุดพิศ ดารที่เคยเกิด ติดตามและ สอบถามข้อมูลและพูดคุย กับพวกเราได้ทุกโซเชียลมี เดียภายใต้ชื่อ #blankmagazine และ Hashtag #blanckmagazine ญาณิน พันธัย บรรณาธิการบริหาร editor@blank


content p.8 How about you Do you beleive in ghost? รศ.ดร.ชัยวัฒน์ คุป ระตกุล ผู้เป็นทั้ง นักวิทยศาสตร์ , นักวิชาการ และอีก หลายๆนักจะคิดอย่างไรกับเรื่องที่คนไทยยังยึดติดและ เชื่อว่ามีอยู่จริง นั่นคือเรื่องวิญญาณ หรือเรียกภาษา บ้านๆว่าผี มาฟังความคิดเห็นของนักที่มีอาชีพที่คอนท ราสกับเรื่องลี้ลับกัน ว่าเขาคิดยังไงกับเรื่องแบบนี้

p.12 Haven't known yet MOLECULA GASTRONOMY ประสบการณ์การกิน รูปแบบใหม่ที่มากทั้งประสบการณ์และสีสันการกิน มา ร่วมเอ็นจอยการกินรูปแบบที่คุณไม่เคยรู้จักได้ในคอลั่มนี้


p.14

p.16

insecta

long time ago

LIVNG RAFT แพมีชีวิต ฉบับนี้เรื่องแมลงๆเรามาพูดกัน ถึงแมลงที่เราเจอพบกันได้บ่อยครั้ง แม้ตัวจะเล็กดูตาย ง่าย แต่มันมีเรื่องราวลับๆอีกเพียบให้มนุษย์ตัวใหญ่ได้ ทึ่งกัน และกับความคิดที่ว่ามดคันไฟอยู่ในน้ำ�ไม่ได้ คุณจะ ต้องเปลี่ยนความคิดไปกับเรา

GRIGORI EFMOVICH RASPUTIN ชายผู้ที่ขึ้นชื่อว่ามี ความน่ากลัวและลึกลับ แม้ดวงตาที่จ้องมองก็ยังทำ�ให้ คุณต้องสพรึงไปกับพลังอำ�นาจบางอย่าง จากการเป็ย สามัญชนคนรากหญ้ากลับไต่เต้ามาเป็นคนสำ�คัญในราช วงศ์รัสเซีย เป็นไปได้อย่างไร เรื่องราวเคสตัวอย่างของ ความงมงายจนบังเกิดความล่มจม

p.22

p.24

femenine

Flavors of secret

HATSHEPSUT ว่าด้วยเรื่องฟาโรห์หญิงที่ยุคอียิป อยากลบเลือน มาศึกษาเรื่องราวในอดีตที่ผู้หญิงอย่าง เราๆสามารถทำ�อะไรได้ไม่แพ้ผู้ชาย แม้ในยุคนั้นอาจไม่ได้ รับการยอมรับแต่เธอก็เป็นอีกคนนึงที่สามารถยกระดับ ความสามารถหญิงๆได้อย่างน่าทึ่ง

ปาท่องโก๋ หลายครั้งที่เคยถามแม่ว่า ปาท่องโก๋แปลว่า อะไร แม่ก็ตอบแต่เพียงว่ามันคงเพี้ยนมาจากภาษาจีนมั้ง ลูก แต่ก็ไม่ได้มีข้อมูลมาบอกเรามากกว่าคำ�ตอบนี้ พอ โตมา จากขนมธรรมดาๆที่สังคมไทยคุ้นเคยกันทุกเช้า กลับมีที่มาที่ไปที่คาดไม่ถึง และความลับของขนมนี้จะคือ อะไร ต้องเปิดอ่าน


>>

How About You : ศรศมน อมรชัยมงคล

Mr.

Chaiwat Kupratakul do you believe in ghost?

ชื่อ “รศ.ดร.ชัยวัฒน์ คุประตกุล” ก็ถือเป็นหนึ่งในบิ๊กเนมที่คนไทยคุ้นหู ยิ่งในยามที่สังคมต้องการความเห็น เพื่ออธิบาย ปรากฏการณ์ ใดปรากฏการณ์หนึ่งในแง่มุมทางวิทยาศาสตร์......ยิ่งในสถานการณ์ที่สังคมกำ�ลังต้องการคำ�ตอบจาก คำ�ถามถึงปรากฏการณ์พิบัติภัยธรรมชาติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ชื่อนักวิชาการรายนี้ก็จะยิ่งปรากฏคุ้นหูคุ้นตามากยิ่งขึ้น... แต่สำ�หรับ BLANK ในฉบับนี้เราขอมองข้ามเรื่องราววิทยศาสตร์ ปรากฎการณ์ต่างๆนาๆไปก่อน เราขอนำ�เรื่องงมงาย มาคุยกับนักวิทยศาสตร์ตัวจริงดีกว่า ว่าจะมีมุมมองจะต่างไปจากคนธรรมดาอย่างไร ในเมื่อมีคนหลายคนเชื่อว่าเรื่อง เหล่านี้งมงาย มา เรามาฟัง รศ.ดร.ชัยวัฒน์ คุประตกุล ผู้เป็นทั้ง นักวิทยศาสตร์ , นักวิชาการ และนักอีกมากมายกัน

P.8


“ผี” ในความเชื่อของคนเรามันคืออะไร ? ผีก็คือผี (หัวเราะ) ทีนี้เจ้าสิ่งที่เราเรียกว่าผีคืออะไร ผมคิดว่า เป็นสิ่งที่น่าสนใจ เคยสังเกตไหมว่า แต่ละวัฒนธรรมมีความ เชื่อเกี่ยวกับเรื่องวิญญาณ ผี คนที่ตายแล้วมาปรากฏให้เห็น แต่ว่าผีของแต่ละวัฒนธรรมนั้นแตกต่างกัน ผีจีนไปแบบ ผีฝรั่ง ไปแบบ ผีไทยก็ไปอีกแบบ “ความเชื่อ” จึงเป็นภาพที่สั่งสมใน เชิงของวัฒนธรรมจนเป็นที่มาของผีที่เราเห็นกัน

ความเชื่อเรื่องผีเริ่มมาจากไหน?

ต้องย้อนไปตั้งแต่อดีตเลย มนุษย์รุ่นเริ่มแรกพยายามจะ อธิบายในสิ่งที่ตัวเองไม่เข้าใจ ทั้งเรื่องมนุษย์เกิดมาได้อย่างไร เกิดมาเพื่ออะไร ซึ่งผมคิดว่าคำ�อธิบายมันก็จะง่ายๆ คล้ายๆ กันทั่วโลกคือ พระเจ้าเป็นผู้สร้างทุกสิ่งขึ้นมา แล้วพระเจ้าสร้าง มนุษย์ขึ้นมาเพื่ออะไร? ในศาสนาคริสต์ ที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ ขึ้นมาก็เพื่อให้เป็นตัวแทนของพระเจ้า แต่ว่าของไทยเราโดย ทั่วๆ ไปก็เกี่ยวกับเรื่องของความเชื่อ สิ่งที่เราเรียกว่าเป็นผีนั้น ก็เป็นสิ่งที่เราเห็น หรือเป็นปรากฏการณ์ที่เกี่ยวกับผู้ที่ตายไป แล้ว และไปเชื่อมโยงเกี่ยวกับเรื่องราวของวิญญาณต่างๆ

ทำ�ไมเขาจึงคิดอย่างนั้น ?

เพราะตอนนั้นเขาเข้าใจผิดครับ วิทยาศาสตร์ตอนนั้นเข้าใจว่า มนุษย์เท่านั้นที่มีต่อมไพนีล สัตว์หรือสิ่งอื่นไม่มี แต่ต่อมาก็พบ ว่า ความคิดของเดการ์ตส์นั้นผิด เพราะไม่ใช่แค่มนุษย์เท่านั้นที่ มีต่อมไพนีล แต่สัตว์ก็มีเหมือนกัน ในวิทยาศาสตร์ยุคใหม่เราเริ่มชัดเจนแล้วว่า การที่คนเราจะ ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ มันมีคำ�ตอบที่ไม่เกี่ยวกับวิญญาณ แต่มัน เกี่ยวกับระบบการทำ�งานของอวัยวะสำ�คัญ 2 ส่วน คือหัวใจ และสมอง ซึ่งสมองสำ�คัญที่สุด เวลาแพทย์จะลงนามเพื่อ รับรองการตายอย่างเป็นทางการ ก็จะให้ความสำ�คัญกับสมอง ที่สุด ถ้าสมองหยุดทำ�งานแล้ว ก็แปลว่าคนๆ นั้นตายแล้ว

แล้วความเชื่อเรื่องวิญญาณ เรื่องผี พัฒนาขึ้นมาได้อย่างไร?

มนุษย์ ในช่วงแรกเริ่มนั้นไม่เข้าใจอะไรเลย ไม่รู้ว่าดวงดาวคือ อะไร น้ำ�ทำ�ไมจึงไหล ทำ�ไมฝนจึงตก ทำ�ไมนกบินได้ คิดง่ายๆ ว่า ทุกอย่างเป็นเพราะพระเจ้าสร้างมาให้เป็นเช่นนั้น แต่ที่น่า สนใจก็เพราะว่า ทำ�ไมความเข้าใจแบบนี้มันจึงตรงกันทั่วโลก ความเข้าใจที่ว่านี้คือ คนที่ยังมีชีวิตอยู่จะต้องมี 2 อย่าง ประกอบกัน คือ ‘ร่าง’ กับ ‘วิญญาณ’ ส่วนคนตายก็คือ วิญญาณออกไปแล้วไม่กลับมา เข้าใจว่าเหตุผลที่ทำ�ไมคนเรา จึงฝัน เพราะวิญญาณออกไปเที่ยวแล้วกลับมา แต่ถ้าไม่กลับก็ เหมือนว่าฝันแล้วตายไปเลย ตอนแรกวิทยาศาสตร์ก็รับไปตามนั้น เพราะวิทยาศาสตร์ยุค ใหม่เองก็เพิ่งจะมีอายุแค่ 300-400 ปีเท่านั้นเอง ในยุคสมัย ของ กาลิเลโอ (1564-1642 ) และนิวตัน (1642-1727 ) ตอนนั้นยังเชื่อเรื่องของความเป็นความตาย มีวิญญาณสวม อยู่ในร่าง แต่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน จนเริ่มมาชัดเจนขึ้นเมื่อนัก วิทยาศาสตร์เริ่มเข้าใจระบบการทำ�งานของร่างกายมนุษย์ คนกลุ่มแรกสุดที่ตั้งคำ�ถามเรื่องนี้ก็คือ “เรอเน เดการ์ตส์” (Rene Descartes : 1596 -1650 ) รวมถึง “ฟริดริช นิต เช่” (Friedrich Nietzsche : 1844-1900 ) เดการ์ตส์เป็น คนกล่าว (เขียน) คำ�ว่า “พระเจ้าตายแล้ว” ทำ�ให้เกิดการ สั่นสะเทือนมาก ในความหมายของเขาจริงๆ แล้วก็คือ คอน เซ็ปต์ของพระเจ้ามันไม่ใช่อย่างที่เราเข้าใจกัน เดการ์ตส์กเชื่อ เว่า มนุษย์เราต้องอาศัยทั้งวิญญาณและร่างกาย แต่ไม่รู้ว่า วิญญาณมันอยู่ส่วนไหนของตัวเรา ตอนนั้นคิดว่าอยู่ตรงต่อม ไพนีล (ต่อมใต้สมอง)

ทำ�ไมคนเราถึงเห็นผี ?

ลองสังเกตดูนะครับ คนที่เจอผีนั้น มักจะเจอตอนที่ทัศนะวิสัย ไม่ดี ตอนโพล้เพล้ ตอนกลางคืน และในบรรยากาศที่วังเวง คำ�กล่าวของผู้เฒ่าผู้แก่นั้นน่าสนใจมาก “ถ้าเจอผีแล้วอย่า วิ่งหนี แต่ให้ตั้งสติจ้องหน้าผีไปเลย แล้วผีมันจะกลัวเราและ หายไปเอง” ซึ่งตรงนี้วิทยาศาสตร์อธิบายว่า มันเป็นเรื่องของ จินตนาการไม่บริสุทธิ์ เป็นเรื่องของการทำ�งานของระบบสมอง ที่เราเคยเข้าใจกันว่า สิ่งสำ�คัญที่สุดของการเห็นด้วยตานั้น ความจริงแล้วมันไม่ใช่ ตาเป็นแค่หน้าต่างให้แสงเข้ามา แต่ตัว ที่จะต้องนำ�ไปตีความต่อก็คือสมอง และการทำ�งานของสมอง จะขึ้นอยู่กับสภาพของจิตใจและความเชื่อของคนๆ นั้นอีกต่อ หนึ่งด้วย คนที่ยิ่งเชื่อเรื่องผีมากเท่าไหร่ สภาพบรรยากาศ วังเวงเท่าไหร่ แนวโน้มที่สมองจะตีความไปทางนั้นก็สูงมาก บท สรุปทางวิทยาศาสตร์นั้น แนวโน้มคือ “ผีไม่มีจริง” อาจจะสูง ถึง 80-90% แต่ก็อย่าไปยึดถือกับตัวเลขมากมายนักนะครับ อยากให้มองเพียงแค่ให้เห็นระดับสูงต่ำ�เท่านั้น P.9


แล้วอีก 10-20 เปอร์เซ็นต์ล่ะ? วิทยาศาสตร์จะต้องไม่ปฏิเสธรายงานหรือข้อมูลขั้น ต้นใดๆ เลย จริงๆ แล้วเราต้องเข้าไปตรวจสอบพิสูจน์ ในกระบวนการทั้งหมด ซึ่งแน่นอนว่า ยังมีรายงานอีก มากมายที่ยังไม่ได้เข้าไปตรวจสอบ หรือยังตรวจสอบ ไม่ได้ อาจจะด้วยข้อมูลที่ยังไม่เพียงพอจะให้สรุปได้ ผมอยากจะบอกว่าวิทยาศาสตร์มันเป็นอย่างนี้ แต่ก็ ไม่ได้หมายความว่าวิทยาศาสตร์จะถูกต้องเสมอไป เพราะว่าถ้าเกิดวันข้างหน้ามีข้อมูลใหม่ มีหลักฐาน ใหม่ขึ้นมา ไม่ต้องมากหรอก ขอแค่เพียงหลักฐาน เดียวที่ทำ�ให้เราไม่สามารถปฏิเสธได้ เราก็จะยอมรับ

จริงหรือเปล่าที่ว่า คนเชื่อเรื่องผีเท่านั้น ถึงจะเห็นผี?

อันนี้ไม่จริง แต่ส่วนใหญ่มันเป็นอย่างนั้น มีบางคนที่ไม่เชื่อเรื่อง ผีเลยแต่ก็เห็นปรากฏการณ์นั้น เพียงแต่ว่าคนที่ยิ่งเชื่อเรื่อง ผีมากเท่าไหร่ โอกาสที่จะเห็นผีก็มีมากเท่านั้น เพราะเป็นการ ทำ�งานของสมอง สมองเป็นตัวตีความ ผมถึงบอกว่า คำ�พูดที่ ว่า “ถ้าเจอผีให้จ้องมองมัน แล้วเราก็จะเจอความจริง” อันนั้นก็ เป็นวิทยาศาสตร์ครับ

บางคนเคยเกิดเหตุการณ์เหมือน วิญญาณออกจากร่างได้ ลอยสูงขึ้น แล้ว ก็เห็นร่างตัวเองอยู่บนเตียงผ่าตัด เห็น หมอกำ�ลังช่วยชีวิตตัวเอง แล้วสักพักก็ กลับมามีชีวิตเหมือนเดิม อย่างนี้คืออะไร ?

เรื่องนี้มีการศึกษาเยอะมากครับ เขาเรียกว่าเป็น Near Death Experience (สภาวะใกล้ตาย) เกิดขึ้นเยอะมากกับคนที่ป่วย หนัก บางคนได้เห็นว่าตัวเองออกไปได้ไกลๆ ไปที่ต่างๆ ไปเจอ คน ไปเจอยมบาล แต่ยมบาลบอกว่ายังไม่ถึงเวลาของเขา แล้ว ก็ปล่อยตัวกลับมา

แบบนี้วิทยาศาสตร์เข้าไปศึกษาไหม?

ศึกษาครับ แล้วก็ติดตามทุกกรณี แต่สรุปแล้วก็เป็นเรื่องของ แนวโน้มอีกนั่นแหละ มีแนวโน้มนะครับว่า มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ในสมอง สิ่งที่เขาเห็นนั้นมักจะคล้ายๆ กัน เพราะสิ่งเหล่านี้มัน อยู่ในความทรงจำ�ของคนเราทั่วไป และในภาวะใกล้ตายก็จะมี สถานการณ์แบบนี้ขึ้นมาได้ คือถ้าไม่ได้เอาเครื่องมือไปวัดกัน ให้ละเอียดจริงๆ ก็คงเหมือนกับตายแล้ว แต่จริงๆ เขาอาจจะ ยังไม่ตายครับ P.10

เคยมีการศึกษาเรื่องตายแล้วฟื้นบ้าง ไหม? มีกรณีตัวอย่างคนที่อยู่ในภาวะเหมือนกับใกล้ตาย แต่ เขาไม่ยอมตาย คือเขาป่วยหนักมาก เครื่องวัดนี่วัด อะไรเขาไม่ค่อยได้แล้ว พูดง่ายๆ คือตายแล้วฟื้นขึ้นมา เขาบอกว่าตอนที่อยู่ในสภาพเหมือนตายนั้น เขายัง ได้ยินเสียงหมอหนุ่มกับหมอแก่คุยกัน หมอแก่บอกว่า หมดหวังแล้ว เขาตายแล้ว แต่หมอหนุ่มบอกว่า ลอง พยายามต่ออาจจะมีโอกาสฟื้น ซึ่งเขาได้เกิดฮึดขึ้นมา เพื่อจะพยายามบอกหมอว่า “ผมยังไม่ตาย และจะไม่ ยอมตาย” แล้วสุดท้ายเขาก็ฟื้นขึ้นมาได้ แล้วก็มาเล่า เรื่องราวเหล่านี้ ซึ่งเสียงที่เขาได้ยินนั้นเป็นเรื่องจริง สิ่งที่หมอหนุ่มกับหมอแก่คุยกันก็มีการเขียนบันทึกไว้ จริง กรณีนี้คือ เขายังไม่ตาย เพียงแต่เครื่องมือวัดวัด โดยทั่วๆ ไปนั้นมันไม่ละเอียดพอที่จะไปจับความมีชีวิต ของเขาได้ ดังนั้น “กำ�ลังใจ” จึงเป็นสิ่งสำ�คัญ

วิทยาศาสตร์จะอธิบายเรื่อง “รูปถ่ายติด วิญญาณ” อย่างไร ? ผมไม่ได้สัมผัสโดยตรง แต่ว่ามีคนส่งภาพและให้ผม ช่วยดู โดยเฉพาะช่วงหลังเกิดคลื่นยักษ์สึนามิเมื่อ ปี 2004 ที่มีข่าวการถ่ายภาพในวัดแล้วมีแสงสว่าง เป็นดวงๆ ซึ่งเชื่อกันว่าว่านั่นเป็นวิญญาณคนตาย ผมก็ถามไปว่า ใช้กล้องดิจิตอลถ่ายใช่ไหม? ซึ่งส่วน ใหญ่ก็ ใช่ คือกล้องดิจิตอลทำ�งานโดยจับสัญญาณ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าโดยตรง ถึงแม้เขาจะออกแบบมา ให้จับเฉพาะคลื่นหลัก แต่จริงๆ มันก็จับหมดนั่นแหละ และคลื่นรบกวนบนโลกมันก็มีเยอะแยะไปหมดเลย เพราะฉะนั้นมันก็เกิดขื้นได้ ปรากฏการณ์แบบนี้มีกรณีหนึ่งที่ดังมาก เรื่องเกิดขึ้น ที่ฮาวาย มีคนไปนั่งเรือแล้วก็ถ่ายวิดีโอ ปรากฏว่าได้ ภาพเป็นฉากยุคกลางติดเข้ามาในวิดีโอ เป็นภาพคน ชุมนุมกันแล้วแต่งตัวในยุคกลาง พอกลับบ้านมาเปิด ดูก็สงสัยว่ามันคืออะไร ทำ�ไมมันมีภาพนี้เข้ามา ทุกคน ก็เข้ามาดูขั้นต้นก็คิดว่า เป็นภาพผีหรือวิญญาณจาก ยุคโบราณ จนกระทั่งมีเพื่อนบ้านคนหนึ่งเกิดจำ�ได้ว่า มันคือฉากหนึ่งในหนังเรื่อง Dangerous Liaisons


แล้วภาพจากฉากในหนังมันเข้ามาใน กล้องได้อย่างไร?

ทำ�ไมคนที่เห็นผีมักจะบอกว่า ผีมักจะมา แบบลางๆ ไม่มาเป็นตัว?

ก็พอดีว่าช่วงที่เขาถ่ายวิดีโอนั้น หนังเรื่องนี้กำ�ลังฉาย ทางทีวีอยู่พอดี สัญญาณจากเคเบิล จากดาวเทียม มันก็ส่งไปทั่ว กล้องก็เลยจับสัญญาณได้ ส่วนใหญ่ กล้องดิจิตอลจะเป็นอย่างนี้เยอะ ตอนนี้ผู้ผลิตกล้อง ก็กำ�ลังพัฒนา เพื่อจะตัดคลื่นรบกวนเหล่านี้ออกให้ มากที่สุด

เพราะสมองมันต้องทำ�หน้าที่ตีความอะไรบางอย่าง ออกมา และการตีความไปแบบนั้นมันจะง่ายที่สุด สมองของเราจะตีความทันทีทันใดตามสภาวะ ถ้าใน สภาวะปกติ อย่างในห้องที่มีแสงสว่างมันก็จะชัดเจน ไม่มีอะไรให้ตีความ แต่ว่าถ้าในสภาวะที่คลุมเครือ สมองก็จะตีความไปก่อนทันที ตามความเชื่อ ตาม ความคิดที่น่าจะเป็น เป็นส่วนหนึ่งของการสืบทอด ทางความเชื่อ วัฒนธรรม โดยที่มีบางอย่างคล้าย คลึงกัน

แล้วกล้องโพลารอยด์ที่ถ่ายติดวิญญาณ ล่ะ จะอธิบายอย่างไร? มันมี 2 อย่าง 1. สร้างฉากขึ้นมา 2. ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริง เรื่องนี้อยู่ในส่วนที่ยังอธิบายไม่ได้ แต่เท่าที่พบ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเรื่องของการจัดฉากซะ มากกว่า ส่วนภาพที่เขาบอกว่าไม่ได้จัดฉากนั้น สำ�หรับผมก็ ถือว่าเป็นอีกทางหนึ่งที่ต้องหาข้อมูล ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็น่า สนใจ คงจะไปอยู่ในส่วน 10-20% ที่เหลือก็ได้ครับ

ทำ�ไมผีฝรั่งชอบทำ�ร้ายคน แต่ผีไทยชอบ หลอกให้หัวโกร๋น? อยู่ที่แต่ละท้องถิ่น แต่ละวัฒนธรรมมากกว่า แต่เดี๋ยวนี้โลก กว้างขึ้น เพราะฉะนั้น ผีในแต่ละวัฒนธรรมก็เลยชักจะหลาก หลายขึ้น ผีจีนก็เลยเอาแบบผีฝรั่งบ้าง ผีไทยก็เอาแบบหนังผี จีนบ้าง ผีจีนก็เอาแบบผีไทย (หัวเราะ)

แล้วอาจารย์เชื่อเรื่องผีหรือเปล่า ? ถามว่าเชื่อไหม? ผมเชื่อแบบแนวคิดอย่าง วิทยาศาสตร์ครับ

บทสรุปสุดท้าย สำ�หรับในทาง วิทยาศาสตร์แล้ว ผีมีจริงหรือเปล่า?

แนวโน้มว่าจะไม่มีครับ แต่ว่าวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่ปิดประเด็น เรื่องนี้ ตอนนี้เราก็ยังรออยู่ ยังเปิดรับข้อมูลใหม่ๆ คำ�อธิบาย ใหม่ๆ หรือแม้แต่ข้อมูลเก่าแต่มีคำ�อธิบายใหม่ขึ้นมา และเราก็ เคารพในความคิดเห็นที่ต่างเสมอ

ภาพจากโทรทัศน์ที่เราดู หนังสือที่เรา อ่าน มีส่วนทำ�ให้เราเห็นหรือเชื่อเรื่องผี เห็นผี หรือกลัวผีหรือเปล่า?

มีส่วนครับ อันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อการตีความของ สมอง คือถ้าลองได้เชื่อแล้ว แนวโน้มมันก็จะตีความไปทางนั้น ซะเยอะ ผู้เฒ่าผู้แก่เคยพูดว่า ผีมักจะปรากฏกับคนที่กลัวผี ถ้าคนที่ไม่กลัว ผีจะไม่ค่อยยุ่งหรอก แต่ถ้าในเรื่องความเชื่อ มรดกความเชื่อที่สืบทอดกันมา มันทำ�ให้เรากลัวผี

P.11


>>

Haven’t Known yet : รัตติยา ศรีบูระไชย

the

MOLECULA

Gastronomy

...is a subdiscipline of food science that seeks to investigate the physical and chemical transformations of ingredients that occur in cooking. Its program includes three axes, as cooking was recognized to have three components, which are social, artistic and technical. [4] Molecular cuisine is a modern style of cooking, and takes advantage of many technical innovations from the scientific disciplines.

ห้ อ งแลปกั บ ห้ อ งครั ว ดู เ ป็ น สถานที่ ที่ ไ ม่ น่ า จะสามารถเข้ า กั น ได้ แต่เมื่อมีการนำ�กระบวนทางวิทยาศาสตร์มาดัดแปลงกับอาหารของ โลก จึงทำ�ให้ Molecular Gastronomy หรือ อาหารประดิษฐ์จาก โมเลกุล เกิดขึ้น! Molecular Gastronomy (โมเลคูล่า กาสโทรโนมี) คือ นวัตกรรมการรังสรรค์อาหารรูปแบบใหม่ ซึ่งโด่งดังมากในต่าง ประเทศโดยเฉพาะในนิวยอร์ก ลอนดอน แอลแอ และในยุโรปบางแห่ง แต่บ้านเรามาโด่งดังจากรายการเชฟกระทะเหล็กรายการแข่งขันทำ� อาหารยามค่ำ�คืน ยกตัวอย่างเช่น เช่น การทำ�ซาซึมิ หรือปลาดิบ ของญี่ปุ่น เชฟอาหารประดิษฐ์จากโมเลกุล จะนำ�ปลาดิบสดๆ แปรรูป ด้วยวิธีทางกลศาสตร์ อาจจะปั่นจนเนื้อเนียน เป็นมูส เป็นเจล หรือ เป็ น นำ้� เสิ ร์ ฟ แบบเย็ น บนข้ า วปั้ น ที่ อ าจแปรรู ป เป็ น เจลาติ น หรื อ วุ้ น เมื่อ ลิ้มลองเข้า ไปก็ยัง ได้รับรสชาติ แ บบเดิ มอย่ างไม่ มีผิ ดเพี้ ยน... เกิดจากการนำ�หลัก การของวิ ทยาศาสตร์เคมี , ฟิ สิก ส์, มาเปลี่ ยน รู ป ของวั ต ถุ ดิ บ ดั ด แปลงอนุ ภ าคในมวลสารนั้ น ๆจั บ อาหารเดิ ม ที่ มี อ ยู่ ม าตั ด แต่ ง อะตอมข้ า งในใหมเกิ ด เป็ น รู ป แบบใหม่ เ ช่ น เป็ น ลั ก ษณะเยลลี่ เ ม็ ด กลมเป็ น ฟองลอยอยู่ บ นจานหรื อ เป็ น ลั ก ษณะ เหมื อ นวุ้ น !!!ซึ่ ง คงรสชาติ ยั ง คงเดิ ม ไม่ มี ผิ ด เพี้ ย นแต่ สิ่ ง ที่ ไ ด้ คื อ รู ป ลั ก ษณ์ ที่ เ ปลี่ ย นไปและดู น่ า ตื่ น เต้ น มี สี สั น มากกว่ า เดิ ม P.12


แล้วอาหารวิธีการโมเลกุลเหล่านี้ มีอันตรายหรือไม่?

คำ�ตอบก็คือไม่ เพราะอาหาร ประเภทนี้เพียงแต่ปรับเปลี่ยน หน้าตาด้วยวิธีทางกลศาสตร์เช่น การปั่น การบด การฉีด การพ่น ถึงแม้ในบางครั้งใช้สารเคมี ซึ่งก็ เป็นปริมาณที่น้อยมากและยังเป็น สารเคมีที่ถูกสกัดจากพืช หรือสัตว์ มาจากธรรมชาติล้วนๆที่ผ่านการ อนุมัติให้สามารถใส่ได้ลงในอาหาร ตามสหภาพยุโรปเป็นที่เรียบร้อย แล้วดังนั้นถึงหน้าตา และวิธีการจะ ดูแปลกใหม่ หวือหวาไปสักหน่อย แต่ความปลอดภัย และความอร่อย ยังครบถ้วนทุกจาน

ที่ประเทศไทยมี ให้ลองหรือยัง?

P.13

ในเมืองไทยสามารถไปลองลิ้มชิม รสของ Molecular Gastronomy ตามห้องอาหารของโรงแรมหรู ระดับ 5 ดาวขึ้นไป หรือจะลอง ทำ�กินเองก็ได้ โดยเสิร์ชหาข้อมูล ใน youtube พิมพ์ว่า Molecular Gastronomy สิ


>> Insecta

: คิม จอง อิล

s ความเสียสละของเพื่อนมด .. แพชั้นล่าง หลายคนคงเคยเห็นมดคันไฟที่ถูกน้ำ�ท่วม เพราะมด คันไฟมักจะทำ�รังใต้ดิน เวลาน้ำ�มาบางทีก็หนีไม่ทัน ต้อง ลอยไม่ตามน้ำ�ยกรัง เราก็จะสังเกตเห็นว่ามันจับตัวกัน เป็นแพ และนึกชื่นชมในความเสียสละของเพื่อนมดตัว ข้างล่าง แต่อันที่จริงแล้วพวกมันมีกลยุทธ์สุดยอด แพ ของมดนั้นแข็งแรง ปลอดภัยและจะไม่มีใครจมน้ำ�

s

มดคันไฟ น้ำ�ท่วม และลอยแพ มดคันไฟ (Solenopsis invicta) สามารถรับมือกับน้ำ� ที่ท่วมกะทันหันโดยการสร้างแพขึ้นภายในไม่กี่นาที พวก มันเกาะรวมตัวกันเป็นแพลอยน้ำ�ได้นานหลายสัปดาห์ แพนี้สามารถบรรทุกสมาชิกทุกตัวรวมทั้งสัมภาระ (ไข่) ของพวกมันได้อย่างปลอดภัยจนกว่าจะเจอแผ่นดิน P.14


>>

เทคนิคการสร้างแพ นักวิจัยจากสถาบันจอร์เจียเทค(Geogia Institute of Technology) นำ�มดคันไฟพันธุ์พื้นเมืองของอเมริกาใต้มาทำ�การศึกษาทดลองในห้อง ปฏิบัติการ เพื่อดูว่าพวกมันมีเทคนิคการสร้างแพอย่างไร จากการศึกษา พบว่า พวกมันใช้กรงเล็บ ขากรรไกร และแผ่นเหนียวขา เกาะตัวกันเป็น แพหยาบๆได้อย่างง่ายดาย ขนเล็กๆของมดช่วยกักเก็บฟองอากาศ ทำ�ให้ แพลอยได้ และยังทำ�ให้สมาชิกที่อยู่ข้างล่างมีอากาศหายใจ ครอบครัว มดที่มีสมาชิกประมาณ 200.000 อาจสร้างแพได้ใหญ่กว่าครึ่งเมตร แพ ของมดสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ มดทุกตัวสามารถสลับที่ กันได้ มดที่อยู่ด้านล่างได้อย่างรวดเร็ว ในกรณีที่มีสมาชิกสูญหายไปตาม กระแสน้ำ�หรือถูกปลากิน พวกมันสามารถรักษาเสถียรภาพของแพเอาไว้ ได้อย่างมีระบบระเบียบทีเดียว ถ้าพูดถึงสัตว์ที่ขยันขันแข็ง เสียสละ ฉลาด และมีระเบียบวินัย ต้องนับว่ามดติดอันดับต้นๆเลยทีเดียว พวกมันเป็นสิ่ง มีชีวิตที่น่ามหัศจรรย์มากจริงๆ

d

Living Raft Raft Living P.15


>>

Long Time Ago : ซัมเมอร์ แลนคอป

Grigori Efimovich RASPUTIN

Grigori Efimovich Rasputin

แท้ที่จริงแล้วเขาคือชนวนด่างพร้อยหน้าประวัติศาสตร์ รัสเซียอย่างแท้จริง หรือ แค่แพะเพื่อแบกรับข้อกล่าว อ้างสุดอื้อฉาวของการล่มสลายราชวงศ์รัสเซีย เรื่อง ราวเหล่านี้เป็นข้อคิดอันดี ในทางประวัติศาสตร์กับผล ของการเป็นเหยื่อหลงเชื่อในสิ่งลึกลบงมงายที่มาในรูป นักบวช

>>

เซนต์ ปีเตอร์เบิร์ก เป็นมหานครของ อาณาจักรรัสเซียมา 200 กว่าปี จวบ จนปี 1916 รัสเซียประสบภัยพิบัติจาก สงคราม ซึ่งก่อนมีการปฏิวัติไม่นานนัก เมืองเซนต์ ปีเตอร์เบิร์กแพร่สะพัดไป ด้วยข่าวลือเกี่ยวกับผู้ชายที่เรียกขาน ว่า “Temnyi” บุรุษแห่งความมืดหรือ เกรกอรี่ รัสปูติน ข่าวลือกระจายไปว่า บุรุษผู้นี้เป็นนักบุญที่ลุ่มหลงในตัณหา ราคะบู ชาซาตานแต่ เ ทศนาในโลกของ พระเจ้ า และพฤติ ก รรมของเขาล้ ว น

แอบแฝงไปด้วยกลโกง อีกทั้งเขายังเป็น ผู้ซึ่งมีพลังอำ�นาจสะกดจิตพระเจ้าซาร์ และยังประหารมเหสีของพระเจ้าซาร์อีก ด้วย ความจริงเขาได้รับอนุญาติให้เข้าไป ในห้องบรรทมของพระโอรสของพระเจ้า ซาร์ แ ต่ ส าเหตุ นั้ น ไม่ ไ ด้ รั บ การเปิ ด เผย แต่ก็มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถบรรเทา และรักษาอาการประชวรหนักของพระ โอรสผู้ ซึ่ ง เป็ น ผู้ สื บ ราชบั ล ลั ง ก์ โ รมา นอฟ ขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ ตำ�นาน เล่ า ขานเข้ า มาแทนที่ เ รื่ อ งราวอั น จริ ง P.16

แท้ ข องรั ส ปู ติ น ..ความตายสุ ด แสนจะ พิ ศ ดารของเขาเป็ น เพี ย งสิ่ ง เดี ย วที่ ยื น ยั น ถึ ง คำ � ล่ำ � ลื อ เกี่ ย วกั บ การกลาย ร่ า งของซาตานซึ่ ง กิ ต ติ ศั พ ท์ เ หล่ า นี้ ก็ สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน....ความจริงที่ ปรากฎเกี่ยวกับรัสปูตินนั้นเป็นเรื่องราว ของคนที่มีความแปลกแยก,คนที่เปี่ยม ไปด้ ว ยพลั ง อำ � นาจและผู้ ที่ มี แ รงดลใจ มากกว่ า บาทหลวงที่ ค ลั่ ง ไคล้ ใ นลั ท ธิ ซาตาน


P.17


The Curse of

the romanov “ราชวงศ์โรมานอฟ (Romanov dynasty) ได้ปกครองรัสเซียเป็นเวลานาน ถึง 300 ปี มีจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรหลายองค์ เช่น ปีเตอร์มหาราช คัน ทรีมหาราชินี แต่แล้วพอถึง ค.ศ. 1918 ราชวงศ์โรมานอฟ ก็ต้องประสบกับ โศกนาฏกรรมร้ายแรง ปิดฉากราชวงศ์ที่เคยยิ่งใหญ่ลง ความหายนะที่เกิดขึ้นนี้ ว่า กันว่า ส่วนหนึ่งมาจากคำ�สาปแช่งของ บุรุษที่มีพลังอำ�นาจจิตสูงส่ง นาม รัสปูติน (Rasputin) ” ปี ค.ศ. 1896 นิโคลาส และอเล็กซานดรา ทรงราชาภิเษกขึ้นเป็นซาร์และซาริน่า ปกครองอาณาจักร อันไพศาลของรัสเซีย พิธีราชาภิเษกนั้นยิ่งใหญ่ กึกก้อง กัมปนาทด้วยเสียงปืนใหญ่ ขบวนแห่สู่ พระราชวังเครมลิน ประกอบด้วยเหล่า ทหารองครักษ์ นับพัน มีการดื่มเฉลิมฉลองกันทั่วทั้งเมือง ผู้คนแก่งแย่งเบียร์และ ขนมปังที่นำ�มาแจกกันอย่างชุลมุน กลายเป็นจลาจล ราษฎรทั้งชายหญิงและเด็ก โดนเหยียบตายไปกว่าพันคน นับเป็นการเริ่มต้นรัชกาลใหม่ที่น่าสยดสยองยิ่งและ หลอกหลอนความรู้สึกของสมาชิกราชวงศ์ทุกพระองค์ตลอดเวลา สิ่งปรารถนา อันใหญ่หลวง ของพระเจ้าซาร์นั้นก็คือ เจ้าชายรัชทายาท ผู้จะเป็นประมุของค์ต่อไป ของรัสเซีย แต่แล้วก็ทรงกลับไปได้แต่พระราชธิดาถึง 4 พระองค์ นับตั้งแต่ โอลก้า ทาเทียน่า มาเรีย และ อนาสตาเซีย ซาร์และซาริน่าทรงไม่ละความพยายาม ทั้ง สองพระองค์สวดอ้อนวอน ขอพรต่อเทพเจ้าให้ประทานพระโอรส และท้ายที่สุดก็สม พระทัย ในวันที่ 5 สิงหาคม 1904 พระองค์ก็ได้เจ้าชายรัชทายาท อเล็กไซ นิโคลา วิช โรมานอฟ หากทว่า นิโคลาสกับอเล็กซานดราก็ต้องทรงระทมทุกข์อีกครั้ง เมื่อ พบว่าเจ้าชายน้อยอเล็กไซ มีพลานามัยไม่สมบูรณ์ ทรงประชวรด้วยโรคร้าย ฮีโมฟี เลีย ถ้าเป็นแผล โลหิตจะไหลไม่หยุด จนถึงอาจสิ้นพระชนม์ได้ และโรคนี้ไม่มีวิธีรักษา เรื่องนี้ ซาร์ทรงปิดเป็นความลับแก่โลกภายนอก ห้ามผู้หนึ่งผู้ใดเข้ามาเยือน ในพระราชวัง ยกเว้นผู้สนิทสนมใกล้ชิด เพียงไม่กี่คน ระหว่างนั้น ทั้งพระองค์ และ พระราชินี ก็ทรงเสาะแสวงหา หมอเก่งๆ มารักษาพระราชบุตร ด้วยเหตุ ทั้ง สององค์ทรงฝักใฝ่ ในศาสนา ตลอดจนมนตร์วิชา ลี้ลับต่างๆ การเสาะหานี้จึง ได้นำ�มาสู่ ความหายนะ แห่งราชวงศ์โรมานอฟ หนึ่งในผู้ที่ทรงเชื้อเชิญ ให้มา รักษา เป็น บุรุษลึกลับกลับจากป่าในไซบีเรีย นาม เกรกอรี่ รัสปูติน ตอนที่อเล็ก ซานดรานำ� เขาผู้นี้มาในวัง อเล็กไซ เจ้าชายน้อยกำ�ลังบรรทม เจ็บปวดรวดร้าว จากอาการเลือดตกในใกล้สิ้นพระชนม์ .. รัสปูตินสามารถช่วยชีวิตอเล็กไซไว้ได้ P.18

ปริศนาที่ยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้คือ เขารักษาอาการขององค์รัชทายาทได้ อย่างไร? บ า ง ค น มั ่ น ใ จ ว่ า เ ข า ใ ช้ วิ ธี ส ะ ก ด จิ ต บ า ง ค น แ ย้ ง ว่ า เ ป็ น เ พ ร า ะ เ ห ตุ บั ง เ อิ ญ ..แต่จะอธิบายเหตุบังเอิญได้อย่างใด ใน เมื่อการรักษาเยียวยานั้นเป็นไปอย่าง ได้ผลตลอดระยะเวลายาวนานถึง 12 ปี เรียกว่า ถ้าเจ้าชายน้อยมีแผลครั้งใด รัสปูตินก็สามารถช่วยไว้ได้ทุกครั้ง


ซาริน่าทรงเชื่อมั่นว่ารัสปูตินได้รับ พลัง อำ�นาจพิเศษจากเทพเจ้า พระนางจึง ทรงเชิญให้เขาเข้ามา พำ�นักอยู่ในพระ ราชฐานชั้นใน เพื่อดูแลถวายการรักษา อเล็กไซอย่างใกล้ชิด และนี่เองที่ทำ�ให้รัส ปูตินได้มีโอกาส คลุกคลีกับสาวสรรพ์ กำ�นัลในแห่งพระราชวัง จนกลายเป็น ข่าวลืออื้อฉาวถึงสัมพันธ์สวาทที่เขา มีต่อเหล่านางข้าหลวง ตลอดจนเจ้า หญิง และแม้กระทั่งซารีน่าอเล็กซาน ดราก็มิได้เว้น ยิ่งไปกว่านั้น รัสเซียได้เข้า ร่วม ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ใน ค.ศ. 1914 พระเจ้าซาร์ทรงเห็นความสำ�คัญ ของศึกครั้งนี้ จึงทรงออก ร่วมในการ บัญชาการ เป็นเหตุให้ต้องเหินห่างพระ ราชวัง เปิดโอกาสให้รัสปูตินได้กระทำ� การบัดสีต่างๆ ได้ตามอำ�เภอใจหนัก ขึ้น ด้วยในขณะนั้นเขาเป็นที่โปรดปราน ของ ซาริน่าอย่างยิ่ง อีกทั้งพลังสายตา อันแข็งกล้าของเขาก็ยังสยบผู้คนให้ตก อยู่ใต้ อำ�นาจได้อีกด้วย นับเป็นก้าวย่าง ที่ราชวงศ์โรมานอฟ ถึงจุดเสื่อมสลาย อย่างรวดเร็ว

>>

ความเหิมเกริมของรัสปูตินทำ�ให้เชื้อ พระ วงศ์และข้าราชบริพารกลุ่มหนึ่งไม่ อาจทนต่อไปได้ โดยเฉพาะเจ้าชาย ยูส โซปอฟ ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้มั่งคั่งที่สุด องค์หนึ่ง เจ้าชายจึงทรงวางแผนกับผู้ ใกล้ชิด ลวงรัสปูตินให้มาเยือนวังของ พระองค์ ใน นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก แล้วล่อให้เขาลงไปยังห้องใต้ดิน จากนั้น ก็ ให้รัสปูตินดื่มไวน์ชั้นเยี่ยมที่ทรงเก็บ ไว้ และกินแป้งราดครีมอันโอชะ หากทว่า ทั้งอาหารและไวน์นี้ได้เจือปนไซยาไนด์ เพียบ ขนาดฆ่าคนธรรมดาได้ถึงสิบ คนสบายๆ แต่รัสปูตินไม่ธรรมดา ทั้ง ดื่มทั้งกินสารพิษ ร้ายเข้าไปแล้วก็ยังมี ทีท่าปกติ ยูสโซปอฟ แทบไม่เชื่อสายตา ตัวเอง นี่ต้องเป็นอำ�นาจของปิศาจร้าย แน่ๆ ด้วยความโกรธและตกใจ เจ้าชาย จึงชักปืนรีวอลเวอร์ ออกมากระหน่ำ�ยิง รัสปูตินจนล้มคว่ำ� แน่ใจว่าหนนี้นักบวช ชั่วคงตายแน่นอน ยูสโซปอฟเข้าไปก้ม ดูร่างที่นอนนิ่งอยู่ หากทว่าร่างนั้นกลับ ลืมตา จ้องถมึงทึงพลางคำ�ราม “แกไอ้ บัดซบ” ยูสโซปอฟตระหนกสุดขีด แล้ว วิ่งขึ้นบันไดร้องลั่น “มันไม่ตาย! มันยัง มีชีวิต!”

ย า พิ ษ แ ล ะ ก ร ะ สุ น ปื น ไ ม่ ร ะ ค า ย เ คื อ ง แ ก่ รั ส ปู ติ น แ ต่ เ ข า ต า ย เ พ ร า ะ จ ม น้ ำ �

“พระราชินีทรงคิดว่า พระเจ้าได้สื่อสาร กับ พระราชวงศ์โดยผ่านทางรัสปูติน เมื่อเขาพูดถึงสิ่งใด พระนางก็จะทรง ปฏิบัติตามโดยไม่รอช้า ดังนั้น เมื่อรัสปู ตินแนะนำ�ให้ตั้ง ใครดำ�รงตำ�แหน่งสูงๆ หรือขับไล่ผู้หนึ่งผู้ ใดให้พ้นไปเสียจากวัง พระนางก็จะทรงทำ�ตา มคำ�แนะนำ�ของ เขาทันทีเขา จึงเป็นผู้ที่มีอิทธิพลอย่าง ยิ่งในพระราชวัง”

P.19


>>

ไม่เพียงแต่จะพยุงร่างตัวเองขึ้นได้ แต่ รัสปูตินยังสามารถเดินโซซัดโซเซ ออก ไปยังสนามหน้าวัง โดยมีกลุ่ม ผู้วาง แผนฯ วิ่งไล่ระดมยิงตามหลัง อย่างบ้า คลั่ง แต่กระสุนปืนไม่อาจปลิดชีพ ของ นักบวชผู้มีพลังจิตนี้ได้ สุดท้ายเมื่อไม่รู้ จะ ทำ�ฉันใด เหล่าเพชฌฆาต จำ�เป็นจึง จับร่างของรัสปูตินโยนลง ในแม่น้ำ�เน วาที่ไหล ผ่านนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก อากาศที่หนาวจัดทำ�ให้น้ำ� บางส่วน กลายเป็นน้ำ�แข็ง ข่าวความตายอย่างหฤโหดของรัสปู ตินแพร่กระจายไปทั่วอาณาจักร สร้าง ความโศกศัลย์แก่อเล็กซานดรายั่ง นัก นอกจากนี้ยังทรงหวั่นไหวอย่างยิ่ง เนื่อง จากก่อนหน้าการตายไม่ นานนัก นักบวชผู้หยาบช้าได้เขียนบันทึกสั้นๆ ถึงพระองค์ไว้ว่า “ขอให้ทรงรับรู้ว่า ถ้า หากเชื้อพระวงศ์องค์ ใดทำ�ให้หม่อมฉัน ตาย พระ องค์และครอบครัวจะต้อง สิ้นพระชนม์ภายในสองปี จากฝีมือของ ประชาชนรัสเซีย” เกรกอรี รัสปูติน มีนาคม 1917 ไม่ถึง 3 เดือนหลังการ ตายของรัสปูติน กระแสแห่งการปฏิวัติ หลั่งไหลเข้ามาสู่นครหลวงของรัสเซีย ขบวนชาวนาและคนงานอุตสาหกรรม แห่กันเข้ามาถวายฎีกาปรับปรุงระบบ

การบริหารประเทศ แต่องครักษ์วัง หลวงกลับต่อต้านด้วยอาวุธปืน ความ จลาจลวุ่นวายบังเกิดขึ้น และผลสุดท้าย ซาร์ก็จำ�ต้องสละราชบัลลังก์ พระองค์ และเชื้อพระวงศ์ถูกควบคุมตัวอย่างแข็ง แรง และถูกนำ�ไปกักขังไว้ ณ ไซบีเรีย อันห่างไกลและกันดาร โดยซารีน่าและ เจ้าหญิงทั้ง สี่องค์ได้แอบซ่อนทองและ อัญมณีเอาไว้ในพระภูษาเป็นอันมาก หากทว่าไม่รอดพ้นมือ ของทหารปฏิวัติ ซึ่งขี้เมาและกักขฬะ นอกจากนี้ ยังเชื่อ กันว่าเจ้าหญิงผู้งดงาม ไร้เดียงสาบริสุ ทธิ์ทั้ง 4 องค์ ก็ไม่รอดพ้นการย่ำ�ยีทาง เพศ จากทหารเหล่านี้เช่นกัน นับเป็น ชะตากรรมที่พลิกผันชีวิตอันสูงส่ง ลง มาต่ำ�สุดอย่างน่าสมเพชยิ่งนัก เมษายน 1918 ครอบครัวราชวงศ์ โร มานอฟ ถูกนำ�ไปไว้ในบ้านหลังหนึ่ง แถบภูเขาอูรัล ถึงตอนนี้พระเจ้าซาร์ก็ ทรง ได้แต่ฝากความหวังไว้กับพระเจ้า และไม่ได้ตระหนัก รู้ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น กับ พระองค์ อีก บันทึกสุดท้ายของ พระองค์คือ “อากาศอบอุ่นและสบาย ไม่มีข่าวใดจากภายนอก”

ยามดึกของคืนวันที่ 16 กรกฎาคม 1918 ครอบครัวโรมานอฟกับบริพาร และแพทย์ผู้ดูแล รักษา ทั้งหมดถูกปลุก ขึ้นและนำ�ตัวลงไปยังห้องใต้ดิน ต่อ หน้ากลุ่มนักโทษสูงศักดิ์ นายทหารผู้ ควบคุมได้อ่านประกาศ “ ด้ ว ย เ ห ตุ ที่ ว ง ศ า ค ณ า ญ า ติ ข อ ง ท่ า นดำ � เนิ น การโจมตี โ ซเวี ย ตรั ส เซี ย ค ณ ะ ก ร ร ม ก า ร บ ริ ห า ร แ ห่ ง อู รั ล จึ ง ตั ด สิ น ป ร ะ ห า ร ท่ า น ”

P.20

แถวทหารเพชฌฆาต 12 นาย ประทับ ปืนขึ้นยิงกราดยังกลุ่มนักโทษ พวก เขาร่วงผล็อยราวใบไม้ ยูรอฟสกี้ ผู้ ควบคุมการประหารก้าวเดินสำ�รวจ เจ้าชายน้อยอเล็กไซยังไม่สิ้นพระชนม์ ยูรอฟสกี้ ยกปืนพกขึ้นยิงองค์ รัชทายาท 2-3 นัด ก็เป็นอันปิดฉาก ราชวงศ์โรมานอฟ คำ�สาปของ นักบวชอลัชชีผู้ทรงอำ�นาจจิตแรงกล้า นั้น ได้สร้างความวิบัติแก่ราชวงศ์โรมา นอฟอย่างน่าเศร้า และสยดสยองยิ่ง รู้ไหม?เจ้าโลกของรัสปู ตินยาวถึง 11 นิ้ว จัด แสดงอยู่ที่ The Russian Museum of Erotica ที่ เซนต์ ปีเตอร์เบิร์ก


The curse of The Romanov

P.21


>>

Feminine : เมธาวี วิเชียรปัญญา


ในดินแดนแห่งอียิปต์ ไม่มี ใครที่จะไม่เคยได้ยินชื่ออันเกรียงไกรของ “คลี โ อพั ต รา”แต่ น้ อ ยคนเหลื อ เกิ น ที่ จ ะรู้ ว่ า ในเวาประวั ติ ศ าสตร์ นั้นยังมี “ฟาโรห์หญิง” อีกคนอยู่ที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กันแต่กลับถูก คนบางกลุ่ ม พยายามขจั ด เธอออกจากหน้ า ประวั ติ ศ าสตร์ นั บ ตั้ ง แต่ เ ธอตายไป ได้ ป ระมาณ20ปี รู ป ปั้ น ของเธอหรื อ หลั ก ฐาน การมี ตั ว ตนอยู่ ข องสตรี ผู้ นี้ ล้ ว นแต่ ถู ก ทำ � ลายสิ้ น จนแทบไม่ ห ลง เหลื อ ถึ ง ปั จ จุ บั น ..คำ � ถามคื อ ทำ � ไมจึ ง เป็ น เช่ น นั้ น ..เธอคื อ ใคร... ซึ่งนี่คือสมมติฐานที่อาจเกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น

ย้อนกลับไปในยุคของ ฟาโรห์ทุตโมสที่ 2 (Thutmose II) เขาคือฟาโรห์ชายชาตรีที่ล้มตายในช่วงที่รัชทายาท ฟาโรห์ ทุตโมสที่ 3 (Thutmose III)ยังทรงเยาวว์วัยเป็นอย่าง ยิ่ง และนั่นทำ�ให้ “พระนางฮัตเซปซุต” (Hatshepsut) เป็น ภรรยาได้ขึ้นถืออำ�นาจการปกครองแทนลูก แต่ด้วยฟาโรห์ ที่ 3ยังทรงอ่อนแอมาก และยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไหร่หญิงสาว ผู้ทะเยอทะยานคนนี้ก็มีอำ�นาจสูงขึ้นเทียมฟ้าเรื่อยๆ จนใน ที่สุดเธอก็ได้สถาปนาตนเองเป็น “ฟาโรห์หญิงองค์แรกแห่ง อียิปต์” ซึ่งแน่ล่ะว่ามีคนจำ�นวนมากไม่เห็นด้วย เนื่องจากใน อดีตคนที่มีสิทธิ์เป็นฟาโรห์ได้ต้องเป็นชายเท่านั้น แต่ด้วย อำ�นาจอันเกรียงไกรของเธอ จึงทำ�ให้คนที่คิดคัดค้านต่อต้าน ล้วนต้องสยบไม่อาจเหิมเกริมได้ อย่างไรก็ตาม พระนางฮัต เซปซุตก็พยายามอยากให้ขุนนางทั้งหลายยอมรับเช่นกัน ฉะนั้นเธอจึงเสริมความเป็นชายให้กับตนเอง ด้วยการนำ� สิ่ง ที่คล้ายหนวดจำ�ลอง มาติดตรงคางเสริมออร่า แต่ทว่ามีคน จำ�นวนมากที่ยังไม่ชอบเธออยู่ดี ฉะนั้นสุดท้ายเมื่อเธอสิ้นใจ ประวัติศาสตร์ของเธอจึงถูกคนหลายกลุ่มช่วยกันเข้ามา ลบเลือนให้สิ้นซาก เพื่อไม่ให้โลกรับรู้ว่าประเทศแห่งนี้เคยมี ฟาโรห์หญิง แต่สุดท้ายความลับก็ไม่มีในโลก เพราะหลักฐานชิ้นสำ�คัญ ของการมีตัวตนอยู่ของพระนางฮัตเซปซุตก็ยังเล็ดลอดออก มาได้ และมันถูกสลักไว้ในงานภาพ ที่บอกเล่าเรื่องราวว่าตอน นั้นพระนางมีอำ�นาจสูงส่ง และปกครองประชาชนได้ดีเยี่ยม สงบสุข ส่วนวิหารของพระนางฮัตเซปซุตก็ยังคงหยัดตราบ จนปัจจุบัน และนั้นคืออนุสรณ์สำ�คัญที่ทำ�ให้ชื่อของเธอยัง จารึกอยู่บนโลกนี้ ไม่ว่าจะถูกคนบางกลุ่มพยายามลบเลือน เท่าไหร่ก็ตาม

P.23


>> Flavors of Secret

: สุพรรณิกา บุญเลิศ

X

X

X

. i a u g g n beh teu

X

X

油條 油炸粿 餜子 油炸鬼

X


ปาท่องโก๋

ขนมจากความโกรธแค้น

“เช้าๆอย่างนี้... ขอโจ๊กร้อนๆสักถ้วย กับปาท่องโก๋สัก 3-4 คู่ ก็สบายท้อง แล้ว หรือใครไม่อยากกินอิ่มมากก็จัด แค่ เ ครื่ อ งดื่ ม อุ่ น ๆั ก ถ้ ว ยกั บ ปาท่ อ งโก๋ สักคู่ก็หรูดี ไม่ ใช่เล่น อืม .. จะว่าไปเราก็ คลุกคลีกับปาท่องโก๋ยู่พอสมควรนะ แต่ จะมีสักกี่คนที่ทราบว่าปาท่องโก๋ที่เรากิน อยู่ทุกวันนี้มีต้นกำ�เนิดมาจากไหนและ ใครเป็นคนทำ�ปาท่องโก๋ึ้นมาชิ้นแรก” ถึงจะเรียกว่า “ปาท่องโก๋” ซะจนติดปาก แต่ที่จริงแล้วมันเป็นการ ออกเสียงที่เพี้ยนมาจากคำ�ว่า “ปั๊กถ่ง โก๋”นภาษาจีน ซึ่งคำ�ว่า “ปั๊ก” แปลว่า สีขาว ส่วนคำ�ว่า “ถ่ง” แปลว่า น้ำ�ตาล “โก๋” แปลว่า ขนม และนอกจากนี้ยัง มีชื่อเรียกอื่นๆอีกแตกต่างกันไปตาม แต่ภูมิภาคต่างๆของเมืองจีน เช่น ชาว จีนแต้จิ๋วรียกว่า “อิ๋วใจก้วย” ส่วนษา ฮกเกี้ยนียกว่า “อิ่วเจี่ยโก้ย”หรือ “เจี่ย โก้ย”

กราบทูลแนะนำ�กษัตริย์ให้ยอมแพ้แก่ ตาด แล้วจะมีการปูนบำ�เหน็จให้อย่าง งาม และด้วยความโลภใจก๊วยจึงยอมทำ� ตาม ทำ�ให้กองทัพตาดเข้ายึดเมืองได้ แถมยังเนรเทศพระเจ้าชิวังตี่ออกนอก เมืองด้วย และสุดท้ายก็แต่งตั้งให้ใจก๊วย เป็นกษัตริย์แทน ด้วยความโลภมากของใจก๊วย ได้ออกกฎหมายขูดรีดประชาชน สร้าง ความเดือดร้อนไปทั่ว ทำ�ให้ “กังฟู” ขุนพลของอดีตพระเจ้าชิวั่งตี่ อดรนทน ไม่ไหว รวบรวมผู้คนยกทัพเข้าตีเมือง หลงได้สำ�เร็จ สร้างความประทับใจให้ ชาวบ้านอย่างมาก ครั้นกังฟูสิ้นชีวิตลง ชาวจีนจึงระลึกถึงคุณงามความดีและ พร้อมใจสร้างศาลเจ้าไว้เพื่อสักการะ บูชา แถมยังสร้างรูปปั้นใจก๊วยไว้หน้า ประตูศาลเจ้าด้วย “เอ๊ะ แต่นั่นคนไม่ดีแล้ว จะสร้างทำ�ไม”

เหตุผลที่ชาวบ้านทำ�รูปปั้นใจก๊วยไว้ นั้น ก็เพื่อให้ชาวจีนที่ไปสักการะในศาล หากจะย้อนกลับไปดูจุด เจ้ากังฟู จะได้เขกศรีษะรูปปั้นใจก๊วย เริ่มต้นของปาท่องโก๋ คงต้องย้อน เพื่อระบายความแค้นที่ถูกกระทำ� นาน ไปในประเทศจีนราว พ.ศ. 297 ซึ่งมี วันเข้ารูปปั้นคนทรนศชาติก็เหลือแค่ บุรุษนามว่า “ใจก๊วย” ซึ่งเป็นผู้สำ�เร็จ คอ แต่นั่นก็ยังไม่สาแก่ใจของชาวบ้าน ราชการแทนพระเจ้าชิวั่งตี่ มีหน้าที่คอย พวกเขาจึงทำ�ขนมใช้แป้งปั้นเป็นตัว กราบทูลแนะนำ�สิ่งต่างๆถวาย วันหนึ่ง ใจก๊วยไม่มีคอ แล้วนำ�ทอดน้ำ�มันที่กำ�ลัง เขาได้รับหนังสือลับจากกองทัพตาด ให้ เดือด และตั้งชื่อขนมว่า “อิ๊วใจก๊วย” >>

P.25

หรือแปลว่า “ใจก๊วยถูกทอดในน้ำ�มัน” “อ่าว งั้นแบบนี้ต้นตระกูลปาท่องโก๋ ก็เป็นแท่งตรงๆอันเดียวน่ะสิ”

ใช่แล้ว และจนถึงตอนนี้ในเมืองจีนเองก็ ยังขายปาท่องโก๋ที่เป็นแท่งใดๆ อันเดียว สำ�หรับเป็นอาหารที่กินตอนเช้ากับน้ำ� เต้าหู้ ส่วนที่เราเห็นๆว่าปาท่องโก๋เป็น แป้งสองชิ้นติดกันอันนี้ไม่มีใครการัน ตีเหมือนกันว่ามีที่มาจากอะไร แต่จาก ข้อมูลที่พอจะมีการบันทึกว่า ในสมัย รัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ปาท่องโก๋ มีขายในบ้านเรา และก็มาแบบเป็นแท่งๆ นั้นแหละ แต่เนื่องจากแท่งแป้งทอดนั้น ชิ้นใหญ่มาก และดูไม่งามเท่าไหร่เวลา จะหยิบขึ้นมากิน ฉะนั้นจึงมีแนวคิดที่ จะแบ่งแป้งออกเป็นสองส่วนและนำ� มาประกบกันก่อนทอด จนกลายเป็น ปาท่องโก๋แบบที่เราคุ้นเคย




ราคา 80 บา


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.