Art history in Thailand
CONTENTS LESSON 2 Art history in Thailand After 19th century Buddhist Sukohtai Ayuttaya Rattanakosin ศิลปะในประเทศไทย เป็นศิลปะที่เกิดขึ้นในดินแดนไทยซึ้ งมีมา ตั้งแต่ยุคก่อนประวิตศาสตร์จนกระทั้งถึงปัจจุบัน ก่อให้เกิดงาน ศิลปะอีกมากมาย อีกทั้งยังไม่รับอิ ทธิพลจากศิลปะอินเดีย ที่มี เข้ามามีบทบาทสาคัญที่ทาให้เกิดรูปแบบเฉพาะตนขึ้นสามารถแบ่ง ยุ ค ส มั ย ขอ ง ศิ ล ป ะเพ าะต น ขึ้ น สามารถแบ่ ง ยุ ค สมั ย ของศิ ล ปะใน ประเทศไทยได้ อ อกเป็ น 2 ยุ ค คื อ ศิ ล ปะในประเทศไทยก่ อ นพุ ทธ ศตวรรษที่ 19 และ ศิ ล ปะในประเทศ ไทยหลังพุทธศตวรรษที่ 19
Editor ’s
Lette r
เอกสารประกอบการเรียนการสอนในวิชาศิ ล ปศึก ษา ซึ่งมี เนื้ อหาเกี่ ยวกั บ ประวัติศาสตร์ศิลปะในประเทศไทยที่ได้เรียบเรียงขึ้นและใช้ในการวิจัยเรื่องผลการใช้ เอกสารประกอบการสอนแบบออนไลน์ในแอพพลิเคชั่น อิสสู (ISSUU) ร่วมกับการ จัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) เรื่อง ประวัติศาสตร์ ศิล ปะในประเทศไทย ชั้นมั ธยมศึ กษาปีที่ 5 โรงเรียนเชียงของวิทยาคม จังหวัด เชียงราย ขอขอบคุ ณ รศ.วัชริน ทร์ ศรีรัก ษา และ ผศ.ดร.ศิ ริพ งษ์ เพี ยศิ ริ อาจารย์คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่ได้ให้คาแนะนา คาปรึกษาตลอด การจัดทาเอกสารประกอบการสอนนี้ และหวังว่าผู้อ่านจะได้ความรู้ และสามารถ นาไปใช้ทั้งในการเรียนแล้วเป็นประโยชน์ในชีวิตประจาวันได้ ถ้ามีข้อผิดพลาดประการ ใดขออภัย มา ณ ที่นี้ด้วย เกียรติศกั ดิ์ ต้าวก๋า
งานลอยกระทง เผาเทียน เล่นไฟ สุโขทัย อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย จังหวัดสุโขทัย
ศิลปะในสมัยสุโขทัย
Su-koh-thai ความเจริญของอาณาจักรสุโขทัยมีมาตั้งแต่สมัย พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ประกาศตั้งสุโขทัย เป็นอิสระไม่ ขึ้นกับขอมเมื่อราว พ.ศ.1780 และเจริญสูงสุดในสมัย พ่อขุนรามคาแหงมหาราช อันเป็นสมัยที่มีการประดิษฐ์ อั ก ษรไทยขึ้ น ใช้ เป็ น ครั้ ง แรกศิ ล ปะ สุ โขทั ย ได้ รั บ การ ยอมรับกั นว่ าเป็น สมัย ที่ศิ ลปะไทยเจริญ ถึ งขั้น สู งสุ ด (Classic)มีความงดงามเป็นเยี่ยม โดยเฉพาะการสร้าง พระพุทธรูปมีลักษณะเป็นของตนเองมากที่สุด
เจดีย์วัดช้างล้อม นิยมสร้างในสมัยสุโขทัย
Architecture û
เจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ วัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย
เจดี ย์ ท รงพุ่ ม ข้ า วบิ ณ ฑ์ หรื อ ทรง ยอดดอกบั ว ตู ม บริ เวณฐานเป็ น ลู ก แก้ ว อ ก ไก่ ป ร ะดั บ ลั ก ษ ณ ะแบ บ ล้ าน น า ส่วนกลางเป็นฐานบัวลูกฟักและย่อมุม มี ใบขนุนและบันแถลง เหมือนปราสาทของ ขอม ส่ ว นยอดน าเจดี ย์ ท รงระฆั ง ที่ ไม่ มี บัลลังก์ รูปแบบพุกามนามาใส่ส่วนบน ซึ่ง เป็นรูปแบบเฉพาะของสุโขทัย พบเฉพาะวัด ที่สาคัญๆ เช่นวัดมหาธาตุสุโขทัย ซึ่งเป็น ศู น ย์ ก ลางของเมื อ ง เจดี ย์ ท รงพุ่ ม ข้ าว บิ ณ ฑ์ ข องสุ โขทั ย ได้ รั บ อิ ท ธิ พ ลหลายที่ ผ่ านเข้ามา และช่างจึงคิดรูปแบบออกมา เป็นรูปแบบเฉพาะของตัวเอง
เจดีย์ทรงระฆังของสุโขทัยจะเป็นแบบที่เรียบง่ายมาก ที่สุด ฐานส่วนใหญ่เป็นฐานบัวคว่า – บัวหงาย และนิยม ประดับช้างโดยรอบ ซึ่งรับคติการสร้างช้างมาจากลังกา ที่เรียกว่าช้างล้อมหรือช้างรอบ เนื่องจากช้างเป็นผู้คล้า จุล ศาสนาและจั ก รวาล ตามความเชื่ อ ของทั้ ง พุ ท ธและ พราหมณ์ ฐานบัวของเจดีย์จะมีชั้นเดียว นอกนั้นเป็น ฐานเขียงสี่เหลี่ยมตรงหรือแปดเหลี่ยม ส่วนรองรับองค์ ระฆังเรียกว่า ฐานบัวถลา เป็นลักษณะบัวคว่าอย่างเดียว บัลลังก์ของสุโขทัยเป็นแบบเรียบง่ายไม่มีย่อมุม ส่วนที่ ได้รับอิทธิพลจากศิลปะอินเดีย และศิลปะลังกา คือฐาน 3 ชุด ของอยุธยาเปลี่ยนจากฐานบัวถลาเป็นฐานลูกแก้วที่ เหมื อ นพวงมาลัยซ้อ นกัน เรียกว่า มาลั ยเถาว์ ที่ ก้าน ฉัตรบริเวณบัลลังก์ของอยุธยาจะมีเสาหาร
เจดีย์ระฆัง ฐานช้างล้อม วัดช้างล้อม จังหวัดสุโขทัย
Sculpture û
พระพุ ท ธรู ป สุ โขทั ย ถื อ เป็ น พระพุ ท ธรู ป ที่ ส วยที่ สุ ด หรื อ ยุคคลาสสิก ลักษณะพระพุทธรูปสุโขทัยแบ่งออกเป็น 4 หมวด หมวดที่ 1 หมวดใหญ่ มีพระพักตร์ รู ป ไข่ พระขนงโก่ ง พระนาสิ ก งุ้ ม พระ โอษฐ์ อ มยิ้ ม รั ศ มี เป็ น เปลว พระอั ง สา ใหญ่ปั้นพระองค์เล็ก พระองค์อ่อนช้อย งามสง่า จีวรไม่แข็งกระด้าง ครองจีวร ห่ ม เฉี ย งชายจี ว รยาวลงมาถึ ง พระนาภี ปลายเป็ น ลายเขี้ยวตะขาบ ปางมารวิชัย ประทั บ นั่ ง ขั ด สมาธิ ร าบ ฐานเป็ น หน้ า กระดานเกลี้ ย ง พระพุ ท ธรูป หมวดใหญ่ จัดว่าเป็นแบบสุโขทัยแท้ พบมากที่สุด ห ม ว ด ที่ 2 ห ม ว ด ก าแพ ง เพ ช ร เหมือนกับหมวดใหญ่ทุกอย่าง เว้นพระนลาฎ หรื อ หน้ าผากจะกว้ างพระหนุ เสี้ ย ม ขมวด พระเกศาจะเล็ ก แหลม พระรั ศ มี เป็ น เปลวมี สัดส่วนที่สู งกว่าหมวดใหญ่ ส่ วนใหญ่ พ บที่ กาแพงเพชร
หมวดที่ 3 หมวดพระพุ ท ธชิ น ราช พระพั ก ตร์ รู ป ไข่ ค่ อ นข้ า งกลม พระปรางค่ อ นข้ า งอวบพระอาการ สงบเสงี่ยม พระองค์แข็งมากกว่าอ่อน ช้อ ย ค่ อ นข้างอวบอ้วนนิ้ วพระหัต ถ์ ทั้งสี่มีปลายเสมอกัน
หมวดที่ 4 หมวดเบ็ ด เตล็ ด หรื อ หมวดวั ด ตะกวน พระพุ ท ธรู ป หมวดนี้ มี อิทธิพลของสมัยเชียงแสนมาก คือมีรัศมี เป็นดอกบัวตูม ชายจีวรหรือสังฆาฏิสั้น พระนลาฏแคบฐานประดับด้วยกลีบบัว
สังคโลก เครื่องเคลือบดินเผาวัฒนธรรมสุโขทัย ค าว่ า "สั ง คโลก" เป็ น ค าเรี ย กเครื่ อ งถ้ ว ย เฉพาะที่ ผลิตที่จังหวัดสุโขทัย ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ถึง ต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๒ การเริ่มต้นการผลิตนั้น อาจจะ มี ก าร พั ฒ น าภ าย ใน ชุ ม ชน ม าก่ อ น เพ ร าะได้ พ บ เครื่องปั้นดินเผาพื้นเมือง ทั้งที่เป็นภาชนะใช้สอยชนิดไม่ เคลือบ และชนิดเคลือบ เครื่องถ้วยชนิดเคลือบ เนื้อดิน ปั้น มีลักษณะเช่นเดียวกับพวกภาชนะที่ไม่เคลือบ คือ มี เนื้อดินปั้นหยาบหนาเป็นสีเทาอมม่ วง และเคลือบ เฉพาะ ด้านใน เป็นต้นว่า จาน ไห และกระเบื้อ ง มุงหลังคา สีที่ นิยมคือ สีเขียวมะกอก เครื่อ งถ้วยแบบนี้ส่วนใหญ่ ไม่มี ลาย แต่ บ างใบ ก็ มี ล ายขู ด เป็ น เส้ น ๆ คล้ า ยลายหวี ใต้ เคลือบ
ฝ้าย สุภาพร มะลิซ้อน ชุดประจาชาติไทยที่ถอดแบบมาจาก เทวรูปในพิพิธภัณฑ์สุโขทัย ในศิลปะสุโขทัย ในการประกวด Miss Grandthailand 2016
ศิลปะในสมัยอยุธยา
A-yut-ta-ya ศิลปะอยุธยา เริ่มต้นพร้อมกับการสร้างกรุงศรีอยุธยา เมื่อ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ใน พ.ศ.1893 ความเชื่อของชาวกรุงศรีอยุธยามีลักษณะแตกต่าง ไปจากความเชื่อของชาวสุโขทัย แม้ว่าจะนับถือศาสนาพุทธนิกาย หินยานเหมือนกันแต่ กรุงศรีอยุธยานั้นปกครองด้วยระบบกษัตริย์ โดยเชื่อว่ากษัตริย์คือ สมมุติเทพ อันเป็นความเชื่อที่ได้รับอิทธิพล จากลัทธิเทวราช ของขอม ซึ่งขอมนับถือศาสนาพราหมณ์หรือ ฮิ น ดู บางสมั ย ก็ นั บ ถื อ ศาสนาพุ ท ธแบบมหายาน เมื่ อ ไทยได้ รั บ อิ ท ธิ พ ลทางศาสนาและวั ฒ นธรรมจากขอม ความเชื่ อ ระบบ กษัตริย์และพิธีกรรมต่าง ๆ ของฮินดู ก็มาปรากฏในพิธีการต่าง ๆ ของอยุธยาด้วยการสร้างศิลปกรรมของอยุธยาจึงปรากฏ อิทธิพลขอมเข้ามาด้วย อย่างชัดเจน เช่นการสร้างปรางค์หรือ ปราสาทแบบขอม และการสร้างพระพุทธรูป ทรงเครื่อง เป็นต้น ขณะเดียวกันก็รับแบบอย่างทางศิลปะจากสุโขทัยและอู่ทองด้วย
Sculpture û พระพุทธรูปในสมัยอยุธยาได้รับอิทธิพลจากศิลปสุโขทัย แต่ยังคงลักษณะของอู่ทองไว้บ้าง จึงดูไม่งดงามเท่าที่ควร แต่ ฐ านมี ลวดลายเครื่ อ งประดั บมากมาย หลังจากรั ชกาล ของพระรามาธิบดีที่ 1 แล้ว พระพุทธรูปนิยมสลักด้วยศิลา ทรายมาก เพราะพระเจ้ าปราสาททองปราบกั มพู ชาได้ จึ ง นิ ย มใช้ ศิ ล า สลั ก พระพุ ท ธรู ป พระพุ ท ธรู ป ในสมั ย พระเจ้ า ปราสาททองและพระนารายณ์ มหาราช มักจะมีพ ระเนตรและ พระโอษฐ์เป็นขอบสองชั้น หรือไม่ก็มีพระมัสสุ (หนวด) เล็ก ๆ อยู่เหนือพระโอษฐ์ นอกจากการสลักพระพุทธรูปแล้ว ก็มี พระพุ ท ธรู ป ทรงเครื่ อ ง ซึ่ ง นิ ย มท ากั น มาก ในปลายสมั ย อยุธยา ที่เรียกว่า พระทรงเครื่องใหญ่ และทรงเครื่องน้อย โดยเฉพาะพระทรงเครื่ อ งน้ อ ยจะมี ก รรเจี ย ก ยื่ น เป็ น ครี บ ออกมาเหนือใบพระกรรณด้วยซึ่งแสดงให้เห็นว่าเป็นลักษณะ แบบอยุธยาอย่างแท้จริง
Architecture û สถาปัตยกรรมในศิลปะอยุธยา แบ่งได้เป็น 3 ยุค คือ ศิลปะอยุธยาตอนต้น สมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ. 1893 จนถึงสมัย ของสมเด็จ พระบรมไตรโลกนาถใน พ.ศ.2031 ลั กษณะ สถาปัตยกรรมเป็นแบบศิลปะลพบุรี หรือศิลปะเขมรกับศิลปะ อู่ทองนิยมสร้างปรางค์เป็นประธานของวัด โดยมีลักษณะ ปรางค์เลียนแบบเขมรแต่สูงชะลูดกว่าเช่น ปรางค์ประธานวัด พุทไธสวรรย์ ปรางค์ประธานวัดมหาธาตุ ศิ ล ปะอยุ ธ ยาตอนกลางสมั ย สมเด็ จ พระบรมไตร โลกนาถเสด็จไปประทับ ที่เมือ งพิ ษ ณุ โลกใน พ. ศ. 2006 จนถึ ง สมั ย สมเด็ จ พระเจ้ า ปราสาททองในพ.ศ. 2172 สถาปัตยกรรมได้รับอิทธิผลมาจากศิลปะสุโขทัยนิยมเจดีย์ ทรงลังกาแบบสุโขทัยแทน ปรางค์แบบเขมร เช่น พระมหา สถูปสามองค์วัดพระศรีสรรเพชญ์ พระเจดีย์วัดใหญ่ ชัย มงคล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ศิ ล ปะอยุ ธ ยาตอนปลายสมั ย สมเด็ จ พระเจ้ า ปราสาททอง พ.ศ. 2172 จนสิ้นสมัยอยุธยาใน พ.ศ. 2310เป็ น ช่ ว งเวลาที่ ศิ ล ปะเขมรเข้ า มามี อิทธิพลอีกครั้ง เช่น ปรางค์ประธานวัดไชยวัฒนา รามปราสาทพระนครหลวง นอกจากนี้ ยังนิย ม สร้างพระเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองเป็นลักษณะเฉพาะ ของสถาปัตยกรรมอยุธยาสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรม โก ศ (พ .ศ . 2 2 7 5 -2 3 0 1 ) เป็ น ช่ ว ง ก าร บูรณปฏิสังขรณ์ และนิยมสร้างพระเจดีย์ย่อมุมไม้ สิบสองเช่นการบูรณปฏิสังขรณ์พระมหาเจดีย์วัด ภูเขาทอง
30
เจดี ย์ ท รงปรางค์ มั ก เรี ย กกั น สั้ น ๆ ว่ า ปรางค์ ท รง คล้ายฝั กข้าวโพดของปรางค์หรือเจดีย์ทรงอื่นก็ตามแบ่ง ตามแนวตั้งได้สามส่วน คือ ส่วนล่าง ส่วนกลาง และส่วนบน เช่น ปรางค์ประธานวัดพุทไธสวรรย์
เจดีย์ทรงระฆัง เรียกกันทั่วไปว่า ทรงลังกา จาก ลักษณะที่คล้ายระฆังกลม อันเป็นองค์ประกอบหลักที่ เด่ น ชั ด ช่ ว ง เว ล าต ล อ ด ส มั ย อ ยุ ธย าไม่ มี ก าร เปลี่ ย นแปลงที่ ส าคั ญ นอกเหนื อ จากสั ด ส่ ว นหรื อ ลักษณะบางประการที่คลี่คลายมาตามยุคสมัย รูปแบบ เจดีย์ทรงระฆังที่ ส่งต่อมาสู่ยุคกลางที่ปรากฏเด่นชัด คื อ เจดี ย์ ส ามองค์ ที่ เป็ น เจดี ย์ ป ระธานวั ด พระศรี สรรเพชญ ์ สร้างสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ พ.ศ. ๒๐๓๕ ทั้งสามองค์มีรูปแบบเหมือนกัน ลักษณะพิเศษ อยู่ ที่ ส่ ว นกลาง มี มุ ข ยื่ น ออกทั้ ง สี่ ทิ ศ สั น หลั ง คามุ ข ประดั บเจดีย์ ยอด มุ ขทิ ศตะวันออกเป็น ช่อ งทางเข้าสู่ คูหาเจดีย์ อีกสามมุขเป็นซุ้มจระนาที่เคยมี พระพุทธรูป ประดิษฐานอยู่
เจดีย์ทรงสี่เหลี่ยมเพิ่มมุมเริ่มปรากฏขึ้นในยุค กลาง โดยพัฒนาจากแบบอย่างของเจดีย์ที่มีอยู่ ก่ อ นคื อ เจดี ย์ ท รงระฆั ง ทรงปรางค์ หรื อ ทรง ปราสาทยอด ซึ่งเรามักเรียกว่าการย่อมุมมากกว่า เจดี ย์ ท รงนี้ เป็ น เจดี ย์ ในแผนผั ง สี่ เหลี่ ย มด้ านเท่ า โดยเพิ่มมุมตั้งแต่ฐานขึ้นไปที่ทรงระฆังและเลยไปถึง บัลลังก์ ต่อจากนั้นขึ้นผังกลมด้วยกรวยปล้อง ไฉนและปลี ถือเป็นงานสร้ างสรรค์ชั้นเยี่ยมของ ช่างอยุธยายุคกลาง ได้แก่ เจดีย์ศรีสุริโยทัย
Painting û งานจิตรกรรมในสมัยอยุธยา มักจะ ปรากฏภาพเจดีย์ภายในพื้นที่สามเหลี่ยม เกิดจากแถบหยักฟันปลา จะเรียกว่า เส้น สินเทา ซึ่งมีไว้ในการแบ่งเรื่องราวในการ วาดภาพ จิ ต รกรรมในสมั น อยุ ธ ยา ดังเช่น งานจิตรกรรม ภาพเทพชุมนุม จิ ต รกรรมภ ายในอุ โบส ถ วั ด ให ญ่ สุวรรณาราม จังหวัดเพชรบุรี
ลายรดน้า เป็นลวดลายหรือภาพ รวม ไปถึ ง ภาพประกอบลายต่ าง ๆ ที่ ปิ ด ด้ ว ย ทองคาเปลวบนพื้นรัก โดยขั้นตอนการทา สุ ด ท้ า ยคื อ การเอาน้ ารด ให้ ป รากฏเป็ น ลวดลาย จึงกล่าวได้ว่า ลายรดน้า คือ ลาย ทองที่ล้างด้วยน้า เช่น ตู้พระธรรมฝีมือครู วั ด เซิ ง หวาย เป็ น ศิ ล ปะสมั ย อยุ ธ ยาตอน ปลาย ปั จ จุ บั น จั ด แสดงในพิ ธ ภั ณ ฑสถาน แห่งชาติ พระนคร กรุงเทพมหานคร
ศิลปะในสมัยรัตนโกสินทร์
Rat-ta-na-ko-sin
สมัยรัตนโกสินทร์ เริ่มตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอด ฟ้าจุฬาโลกทรงสถาปนากรุงเทพพระมหานครฯ ขึ้นเป็นราชธานี ตั้งแต่ พ.ศ. 2325 ทรงโปรดให้สร้างพระบรมมหาราชวัง วัด พระศรีรัตนศาสดารามและวัดวาอารามต่าง ๆ มีการก่อสร้าง สถาปัตยกรรมตามคติแผนผังกรุงศรีอยุธยา
สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ยุคอันได้แก่ 1. ยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น(รัชกาลที่ 1-3) 2. ยุครัตนโกสินทร์ตอนกลาง(รัชกาลที่ 4-9)
ยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น(รัชกาลที่ 1-3) Sculpture û
ในรัชกาลที่ 1 ไม่ค่อยพบว่าได้สร้างประติมากรรมประเภท พระพุทธรูปขึ้นมาใหม่มากนัก แต่นิยมการอัญเชิญพระพุทธรูป จากโบราณสถาน ที่ ร กร้ างจากเมือ งอื่ นมาเก็บ รั กษาไว้ หรื อ อัญ เชิญ มาเป็น พระประธานในวัดต่าง ๆ ของกรุงเทพฯ เช่น รัชกาลที่ 1 ทรงอัญเชิญมาจากวัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัยมา ประดิษฐาน ไว้ที่พระอุโบสถ์วัดสุทัศน์เทพวราราม
การสร้างพระพุ ทธรูปทรงเครื่อง นิยมสร้างต่อเนื่อ ง จากสมัยอยุธยาตอนปลาย มีทั้งพระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่ และทรงเครื่ อ งน้ อ ยเช่ น กั น แต่ ส มั ย รั ต นโกสิ น ทร์ เน้ น เครื่อ งประดับ องค์ม ากกว่าทรวดทรงและสีพ ระพั ก ตร์ เช่น พระพุทธรูปพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และพระพุทธเลิศหล้า นภาลัย ประดิษฐานอยู่ที่วัด พระศรีรัตนศาสนดาราม ซึ่ง หล่อขึ้นในรัชกาลที่ 3
Architecture û สมัยรัชกาลที่ 1 นิยมสร้าง โบสถ์ วิหาร ปราสาทราช วัง เลียนแบบ สถาปัตยกรรมสมัยอยุธยาตอนปลาย เช่น การสร้างพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
สร้างในรัชกาลที่ 2
ในรัชกาลที่ 2 ศิลปกรรมแบบอย่างศิลปะอยุธยา ได้รับความ นิยมอย่างพร่หลายเช่น มีการสร้างเจดีย์ย่อมุมแบบอยุธยา เช่น เจดีย์พระศรีสรรเพชญ์ที่วัดพระเชตุพนฯและเจดีย์ทรงลังกา ตาม แบบอยุธยา เช่น เจดีย์ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
วัดเทพธิดาราม กรุงเทพมหานคร
ในสมั ย รั ช กาลที่ 3 นิ ย มสร้ างโบสถ์ วิ ห าร อั น ได้ รั บ อิทธิพ ลจากจีนเพราะมีการติดต่อค้าขายกับจีน จึงนาเอา อิทธิพลสถาปัตยกรรมจีน มาผสมผสานกับสถาปัตยกรรม ไทย จนได้ ลั ก ษณะสถาปั ต ยกรรม ตามพระราชนิ ย ม ใน รัชกาลที่ 3 คือโบสถ์ วิหาร จะไม่มีช่อฟ้าใบระกา หางหงส์ ดั ง แต่ ก่ อ น เช่ น พ ร ะวิ ห า ร ที่ วั ด เท พ ธิ ด า ร า ม กรุงเทพมหานคร การประดับตกแต่งสถาปัตยกรรมสมัยรัชกาลที่ 3 นิยม ตกแต่งสถาปัตยกรรมด้วยชามเบญจรงค์เป็นดวงดอกไม้ เช่นที่หน้าบัน โบสถ์ วิหาร มณฑป และซุ้มประตูทรงมงกุฎ ทาให้ดูงดงามแปลกตา
ยุครัตนโกสินทร์ตอนปลาย(รัชกาลที่ 4-10) ในสมัยรัชกาลที่ 4 เป็นต้นมา อยู่ในช่วงที่ประเทศไทยกาลัง เปลี่ยนแปลงพัฒนาบ้านเมือง มีการเปิดสัมพันธ์ไมตรีกับ ต่างชาติ โดยเฉพาะกับชาติตะวันตกกล่าวกันว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้ า อยู่ หั ว ทรงเป็ น พ ระมหากษั ต ริ ย์ พ ระองค์ แ รกแห่ ง กรุ ง รัตนโกสินทร์ ที่ทรงดาเนินพระราโชบายเป็นการติดต่อสัมพันธ์กับ ชาวตะวันตกอย่างกว้างขวางยิ่งกว่าสมัยใด ๆ ในอดีตกาล รัช สมั ย ของพระองค์ เป็ น เหมื อ นหั ว เลี้ ย วหั ว ต่ อ ของการปฏิ รู ป บ้านเมืองครั้งสาคัญยิ่ง เหล่านี้ ทาให้เกิดมีการผสมผสาน การ สร้ างงานศิ ล ปกรรมขึ้น ระหว่ าง รู ป แบบศิ ล ปะเดิ ม ของไทยกั บ รูปแบบ และกฎเกณฑ์ทางศิลปกรรมตะวันตก ส่งผลให้ศิลปกรรม ของไทยในยุคที่ 2 นี้ มี่ลักษณะใหม่แปลกตาขึ้น
พระที่นั่งอนันตสมาคม สร้างตามแบบสถาปัตยกรรมสมัยเรเนอซองส์ของอิตาลี
สมัยรัชกาลที่ 5 จากการที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้ าอยู่ หั ว ได้ เสด็ จ ประพาสยุ โรปถึ ง สองครั้ ง จึ ง ได้ ท รง น า แนวคิด รูปแบบศิลปะทางยุโรป ตลอดจนนาสถาปนิก จิตรกร ประติ ม ากร ชาวยุ โรป โดยเฉพาะชาวอิ ต าลี มาปฏิ บั ติ ง านใน ประเทศไทย จึงเกิดสถาปัตยกรรม เกิดอาคารรูปทรงแปลกตา เกิดขึ้นในยุคนี้มากมาย เช่น พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เป็นแบบ ตะวันตกผสมแบบไทย
วัดนิเวศธรรมประวัติที่บางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สร้างเลียนแบบสถาปัตยกรรมของโกธิค (Gothic) สร้างในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
Sculpture û การสร้ า งพระพุ ท ธรู ป นอกจากการสร้ า งพระพุ ท ธรู ป เลียนแบบพระพุทธรูปสมัยอื่น ๆ แล้วยังหันมาสร้างพระพุทธรูป ที่มีรูปร่างเหมือนคนจริง มีกล้ามเนื้อและมีสัดส่วน ถูกต้อง เช่น รัชกาลที่ 4 ทรงโปรดฯ ให้สร้างพระพุ ทธสิหิงค์ปฏิมากร พระประธานในอุโบสถวัดราชประดิษฐ์ หล่อจาลองจากพระพุทธ สิหิงค์ ซึ่งประดิษฐาน ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ และพระพุทธรูป ปางไสยาสน์ประดิษฐาน ณ วัดราชาธิวาส รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดฯ ให้สร้างพระพุทธวชิรญาณในพระ วิหารเก๋ง วัดบวรนิเวศ อุทิศถวายรัชกาลที่ 4 และทรงโปรดฯ ให้ สร้างพระพุทธอังคีรส และพระพุทธชินราชเป็นพระประธานในพระ อุโบสถวัดราชบพิธและวัดเบญจมบพิตร
พระพุทธสิหิงค์ปฏิมากร วัดราชประดิษฐ์
พระพุทธวชิรญาณ วัดบวรนิเวศ
อนุส าวรีย์ พ ระบรมรูป ทรง ม้าในช่ว งปลายรั ชกาลที่ 5 ประเทศไทย
เปิดรับอารยธรรมตะวันตกอย่างเต็มที่มีการ นาประติมากรรมเหมือนจริง รูปสลักทาด้วย หิ น อ่ อ น สั่ ง มาจาก ยุ โรปมาประดั บ ประดา พระบรมมหาราชวัง และพระราชวัง หลาย แห่ ง อ นุ ส าว รี ย์ พ ร ะบ ร ม รู ป ท ร ง ม้ า ประดิษฐานที่หน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม ก็ สั่งทาจากประเทศอิตาลี
อนุสาวรีย์พระบรมรูปทรงม้า สมัยรัชกาลที่ 6 ทรงโปรดให้ตั้งโรงเรียนเพื่อการ เรี ย นการสอนทางด้ านงานช่ างศิ ล ป์ ข องไทยขึ้ น โดย พระราชทานชื่ อ ว่ า โรงเรี ย นเพาะช่ า ง ซึ่ ง นั บ ว่ า เป็ น โร ง เรี ย น ศิ ล ป ะแห่ ง แร ก ข อ ง ไท ย น อ ก จ าก นี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงเห็นความ จาเป็นในการทารูปปั้นอนุสาวรีย์ รูปปั้นและเหรียญตรา ต่าง ๆ ในปี พ.ศ.2488 จึงสั่งประติมากรจากอิตาลี ชื่อ ศาสตราจารย์ คอราโด เฟอโรชี่ (Corrado Feroci)ซึ่ง ต่อมาภายหลังได้เปลี่ยนชื่อและโอนสัญชาติเป็นไทย เป็น ศิ ล ป์ พี รศรี มาด าเนิ น งานเกี่ ย วกั บ อ นุ ส าวรี ย์ พระมหากษั ต ริ ย์ ไทย ที่ ส าคั ญ ไว้ ห ลายแห่ ง และนั บ เป็ น บุคคลที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลง ศิลปะของไทย ทั้ง ในด้านการจัดการศึกษาศิลปะ และวงการศิลปะสมัยใหม่ ของไทย ซึ่งส่งผลต่อมาถึงพัฒ นาการศิลปะร่วมสมัย ของไทยในปัจจุบัน
แบบร่างพระปฐมบรมราชานุสราวรีย์
ท้าวสุรนารี
พระศรีศากยทศพลญาณ ประธานพุทธมณฑลสุทรรศน์
อัครศิลปิน พระปรีชาสามารถทางด้านงานจิตกรรม ในสมัยรัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงศึกษาศิลปะด้วย พระองค์เอง นับเป็นพระมหากษัตริย์ ในราชวงศ์จักรี ที่ ท รงปฎิ บั ติ ง านสร้ า งสรรค์ ศิ ล ปะสมั ย ใหม่ และ พระราชทานผลงานเข้าร่วมแสดง กับศิลปินไทยทั่วไป ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505 เป็นต้นมา
ครอบครัว , สีน้ามันบนผ้าใบ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนราชสุดา ภาพสีน้ามันบนผ้าใบ
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สีน้ามันบนผ้าใบ
สามารถชื่นชม พระปรีชาสามารถทางด้าน งานศิลปะได้ ที่ www.supremeartist.org
บทสรุป
conclusion ประเทศไทยเป็นชาติที่มีศิลปะและวัฒ นธรรม ตลอดจน ขนบธรรมเนียมประเพณีของตนเองมาช้านานแล้ว เริ่มตั้งแต่ ก่อนประวัติศาสตร์ ศิลปะไทยจะวิวัฒนาการและสืบเนื่องเป็น ตั ว ของตั ว เองในที่ สุ ด พระพุ ท ธศาสนาน าเข้ ามาโดยชาว อินเดีย ครั้งนั้นแสดงให้เห็นอิทธิพลต่อรูปแบบของศิลปะไทย ในทุก ๆ ด้านรวมทั้งภาษา วรรณกรรม ศิลปกรรม โดย กระจายเป็นกลุ่มศิลปะสมัยต่าง ๆ เริ่มตั้งแต่สมัยทวาราวดี ศรีวิชัย ลพบุรี เมื่อกลุ่มคนไทยตั้งตัวเป็นปึกแผ่นแล้ว ศิลปะ ดั ง กล่ าวจะตกทอดกลายเป็ น ศิ ล ปะไทย ช่ างไทยพยายาม สร้างสรรค์ให้มีลักษณะพิเศษกว่า งานศิลปะของชาติอื่น ๆ คือ จะมีลวดลายไทยเป็นเครื่องตกแต่ง ซึ่งทาให้ลักษณะของ ศิลปะไทยมีรูปแบบเฉพาะมีความอ่อนหวาน ละมุนละไม และได้ สอดแทรกวั ฒ นธรรม ขนบธรรมเนี ย มประเพณี และ ความรู้สึกของคนไทยไว้ในงานอย่างลงตัว ดังจะเห็นได้จาก ภาพฝาผนั ง ตามวั ด วาอารามต่ า ง ๆ ปราสาทราชวั ง ตลอดจนเครื่องประดับและเครื่องใช้ทั่วไป
BY KIATTISAK T.