การศึกษาปฐมวัย 1071103

Page 1

วิชา การศึกษาปฐมวัย 1071103

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ศศิพันธุ์ เปี๊ ยนเปี่ ยมสิน หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย คณะครุ ศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต 2553


คำนำ เอกสารชุดวิชา ECED 201 : การศึกษาปฐมวัย (Early Childhood Education) เล่มนี ้ จัด ท าขึน้ เพื่ อ เป็ นหนัง สื อ ประกอบการจัด กิ จ กรรมการเรี ย นการสอน ส าหรั บ นัก ศึก ษาระดับ ปริญญาตรี ศึกษาศาสตรบัณฑิต หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย โดยแบ่งเนื ้อหาเป็ นหัวเรื่ องไว้ อย่าง ละเอียด ซึง่ มีเนื ้อหาประกอบด้ วย ความรู้ พื ้นฐานเกี่ยวกับการศึกษาปฐมวัย แนวคิดและทฤษฎี ของนัก การศึก ษาที่ เ กี่ ย วข้ อ งกับ การศึก ษาปฐมวัย วิ วัฒ นาการทางการศึก ษาปฐมวัย ของ ต่างประเทศ (การศึกษาปฐมวัย ในซีกโลกตะวัน ตก การศึกษาปฐมวัยในซีกโลกตะวัน ออก) วิวฒ ั นาการทางการศึกษาปฐมวัยในประเทศไทย (การศึกษาปฐมวัยในประเทศไทย รู ปแบบการ จัดการศึกษาปฐมวัยในประเทศไทย) และนวัตกรรมทางการศึกษาปฐมวัย เอกสารชุดวิชาเล่มนี ้เป็ นการเขียนในลักษณะที่มีข้อมูลประกอบเชิงบรรยาย ที่ม่งุ เน้ นให้ นักศึกษาใช้ เป็ นแหล่งศึกษาอ่านประกอบการเรี ยน เพื่อให้ เกิดความรู้ ความเข้ าใจ และสามารถนา ความรู้ที่ได้ ไปปรับประยุกต์ใช้ ในการปฏิบตั ิการจัดกิจกรรมสาหรับเด็กปฐมวัยได้

ศศิพนั ธุ์ เปี๊ ยนเปี่ ยมสิน 12 เมษายน 2553


(ข)


(ค)

สำรบัญ หน้ ำ คานา สารบัญ สารบัญภาพ สารบัญตาราง

บทที่ 1 ควำมรู้พนื ้ ฐำนเกี่ยวกับกำรศึกษำปฐมวัย ความหมายของเด็กปฐมวัย ความสาคัญของเด็กปฐมวัย ความหมายของการจัดการศึกษาปฐมวัย ความสาคัญของการจัดการศึกษาปฐมวัย องค์ประกอบของการจัดการศึกษาปฐมวัย หลักการจัดการศึกษาปฐมวัย จุดมุง่ หมายของการจัดการศึกษาปฐมวัย นโยบายการจัดการศึกษาปฐมวัย สรุป คาถามทบทวน เอกสารอ้ างอิง

บทที่ 2 แนวคิดและทฤษฎีของนักกำรศึกษำที่เกี่ยวข้ องกับ กำรศึกษำปฐมวัย แนวคิดและทฤษฎีของจอห์น อาโมส คอมมิวนิอสุ แนวคิดและทฤษฎีของฌอง จาค รุสโซ แนวคิดและทฤษฎีของโจฮานน์ ไฮน์ริค เปสตาลอสซี่ แนวคิดและทฤษฎีของเฟรดเดอริค วิลเฮล์ม โฟรเบล แนวคิดและทฤษฎีของมาเรีย มอนเตสซอรี่ แนวคิดและทฤษฎีของจอห์น ดิวอี ้ แนวคิดและทฤษฎีของจอง เพียเจต์

(ก) (ค) (ช) (ฌ) 1 1 3 4 6 9 11 13 18 21 22 23 25 26 26 28 29 30 32 34


(ง) การประยุกต์แนวคิดและทฤษฎีของนักการศึกษาในการจัดการศึกษาปฐมวัย สรุป คาถามทบทวน เอกสารอ้ างอิง

บทที่ 3 กำรศึกษำปฐมวัยในซีกโลกตะวันตก ประวัติความเป็ นมาของการศึกษาปฐมวัยในยุโรป โรงเรี ยนปฐมวัยแห่งแรกของโลก การศึกษาปฐมวัยในประเทศอังกฤษ การศึกษาปฐมวัยในประเทศสวีเดน การศึกษาปฐมวัยในประเทศสหรัฐอเมริกา สรุป คาถามทบทวน เอกสารอ้ างอิง

บทที่ 4 กำรศึกษำปฐมวัยในซีกโลกตะวันออก การศึกษาปฐมวัยในประเทศนิวซีแลนด์ การศึกษาปฐมวัยในประเทศญี่ปนุ่ การศึกษาปฐมวัยในประเทศอิสราเอล สรุป คาถามทบทวน เอกสารอ้ างอิง

บทที่ 5 กำรจัดกำรศึกษำปฐมวัยในประเทศไทย การจัดการศึกษาปฐมวัยในสมัยก่อนมีระบบโรงเรี ยน การจัดการศึกษาปฐมวัยสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ าเจ้ าอยูห่ วั การจัดการศึกษาปฐมวัยสมัยมีระบบโรงเรียน การจัดการศึกษาปฐมวัยสมัยก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง การจัดการศึกษาปฐมวัยหลังการเปลีย่ นแปลงการปกครอง การฝึ กหัดครูกบั การศึกษาปฐมวัยในประเทศไทย นโยบายการจัดการศึกษาปฐมวัยในประเทศไทย สรุป

36 40 41 42 43 43 45 46 53 56 66 66 67 69 69 76 79 85 86 87 89 89 91 93 95 98 105 109 124


(จ) คาถามทบทวน เอกสารอ้ างอิง

บทที่ 6 รูปแบบและแนวทำงกำรจัดกำรศึกษำปฐมวัยในประเทศไทย สภาพและปั ญหาของการจัดการศึกษาปฐมวัย ยุทธศาสตร์ ในการพัฒนาเด็กปฐมวัย ทิศทางการจัดการศึกษาสาหรับเด็กปฐมวัย บทบาทหน้ าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้ องถิ่น รูปแบบการจัดการศึกษาปฐมวัย แนวการจัดประสบการณ์สาหรับเด็กปฐมวัย สรุป คาถามทบทวน เอกสารอ้ างอิง

บทที่ 7 นวัตกรรมทำงกำรศึกษำปฐมวัย ความหมายของนวัตกรรมทางการศึกษาปฐมวัย ความสาคัญของนวัตกรรมทางการศึกษาปฐมวัย ประเภทของนวัตกรรมทางการศึกษาปฐมวัย นวัตกรรมทางการศึกษาปฐมวัยประเภทการสอน นวัตกรรมทางการศึกษาปฐมวัยประเภทสือ่ การเรี ยนรู้ นวัตกรรมทางการศึกษาปฐมวัยประเภทหลักสูตร นวัตกรรมทางการศึกษาปฐมวัยประเภทการบริหาร ประโยชน์ของนวัตกรรมทางการศึกษาปฐมวัย บทบาทของผู้ที่เกี่ยวข้ องทางการศึกษาปฐมวัยกับการใช้ นวัตกรรม ทางการศึกษาในการจัดประสบการณ์ สรุป คาถามทบทวน เอกสารอ้ างอิง

บรรณำนุกรม

125 126 127 127 132 139 142 144 150 168 169 170 173 173 175 176 178 194 197 210 223 224 227 227 228 231


(ฉ)


(ช)

สำรบัญภำพ หน้ ำ ภาพที่ 2.1 ฌอง จาค รุสโซ (1712-1778) ภาพที่ 2.2 โจฮัน ไฮน์ริค เปสตาลอสซี่ (1746 – 1827) ภาพที่ 2.3 เฟรดเดอริค วิลเฮล์ม ออกัส โฟรเบล (1782 – 1852) ภาพที่ 2.4 มาเรี ย มอนเตสซอรี่ (1870 – 1952) ภาพที่ 2.5 จอห์น ดิวอี ้ (1859 – 1952) ภาพที่ 2.6 ฌอง เพียเจต์ (1896 – 1980) ภาพที่ 7.1 กิจกรรมต่าง ๆ ในกลุม่ ประสบการณ์ชีวิต ภาพที่ 7.2 กิจกรรมต่าง ๆ ในกลุม่ ประสาทสัมผัส ภาพที่ 7.3 กิจกรรมต่าง ๆ ในกลุม่ วิชาการ ภาพที่ 7.4 การอ่านและเขียนคาจากพยัญชนะต้ น “ว” ภาพที่ 7.5 การจัดมุมหนังสือที่เอื ้ออานวยต่อการพัฒนาทางภาษา ภาพที่ 7.6 ทัศนศึกษานอกสถานที่ แหล่งน ้าตามธรรมชาติ ภาพที่ 7.7 คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีแห่งการเรี ยนรู้ ภาพที่ 7.8 ห้ องเด็กเล็กรดน ้าต้ นไม้ ภาพที่ 7.9 ลงแปลงทานา ภาพที่ 7.10 แผนภูมิรูปภาพวงล้ อของการเรี ยนรู้ (High/Scope Wheel of Learning)

30 32 33 34 36 38 199 200 201 204 205 207 214 218 220 222


(ซ)


(ฌ)

สำรบัญตำรำง หน้ ำ ตารางที่ 2.1 ตารางที่ 5.1 ตารางที่ 6.1 ตารางที่ 6.2

สรุปแนวคิดของนักการศึกษาที่มีบทบาทต่อการจัดการศึกษาปฐมวัย 39 ตัวอย่างระยะเวลาในการเรียนของโรงเรี ยนอนุบาลละอออุทิศ 101 สภาพของการดูแลเด็กปฐมวัย อายุ 0 – 5 ปี 129 ยุทธศาสตร์ สาคัญที่จะนาไปสูก่ ารปฏิบตั ิตอ่ การพัฒนาเด็กปฐมวัย 137 ในระยะยาว พ.ศ. 2549 – 2559 ของกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงพัฒนาสังคมและความมัน่ คงของมนุษย์


บทที่ 1 ความรู้ พนื ้ ฐานเกี่ยวกับการศึกษาปฐมวัย สภาพทางสัง คมและสภาวะทางเศรษฐกิ จของประเทศไทยในปั จจุบัน พ่อแม่จะต้ อง ออกไปประกอบอาชีพนอกบ้ าน ทาให้ พ่อแม่ต้องส่งลูกเข้ าโรงเรี ยนหรื อสถานรับเลี ้ยงเด็กเร็ วขึ ้น กว่าเดิม ความต้ องการในการจัดการศึกษาสาหรั บเด็กปฐมวัยจึง เพิ่มมากขึน้ เป็ นเงาตามตัว ดังนันการจั ้ ดโรงเรี ยนอนุบาลหรื อสถานรับเลี ้ยงเด็กที่มีประสิทธิภาพจะช่วยแบ่งเบาภาระในการ ดูแลเด็กให้ กบั พ่อแม่ ช่วยในการแก้ ปัญหาของสังคม อีกทังยั ้ งมีส่วนช่วยในการพัฒนาเด็กอย่าง ถูกต้ องเหมาะสมตามพัฒนาการอีกด้ วย จากการศึกษาและวิจยั ของนักจิตวิทยาและนักการศึกษา ต่าง ๆ ได้ ชี ้ให้ เห็นถึงความสาคัญของเด็กในช่วง 5 ปี แรกของชีวิตว่าเป็ นระยะที่สาคัญมากต่อการ วางรากฐานบุคลิกภาพของชีวิตมนุษย์ ซึง่ แสดงให้ เห็นว่าเราควรจะพิจารณาถึงการจัดการศึกษา ในระดับปฐมวัยอย่างจริ งจัง และหาวิธีการในการจัดการศึกษาสาหรับเด็กในวัยนีอ้ ย่างเหมาะสม รัฐบาลได้ เล็งเห็นถึงความสาคัญในเรื่ องนี ้ จึงได้ วางนโยบายสนับสนุนการจัดการศึกษาปฐมวัย โดยรัฐเป็ นผู้ดาเนินการจัดเองส่วนหนึ่ง และส่งเสริ มให้ เอกชนและสถาบันต่าง ๆ ในสังคมจัดการ อบรมเรื่ องการเลี ้ยงดูเด็กอีกส่วนหนึง่ ดังนันในการจั ้ ดการศึกษาสาหรับเด็กปฐมวัยสิง่ ที่พอ่ แม่ ครู นักการศึกษาและผู้ที่เกี่ยวข้ อง ควรทราบจึงได้ แก่ ปรั ชญาและแนวคิดเกี่ ยวกับการจัดการศึกษาสาหรับเด็กปฐมวัย ตลอดจน ความเป็ นมาและแนวโน้ ม ของการจัด การศึก ษาในระดับ นี ้ เพื่ อ เป็ นพื น้ ฐานส าหรั บ การจัด การศึกษาปฐมวัยที่เหมาะสม

ความหมายของเด็กปฐมวัย คาว่า “เด็กปฐมวัย” มีผ้ เู รี ยกชื่อแตกต่างกันไป เช่น เด็กก่อนวัย เรี ยน เด็กเล็ก เด็กระดับ ก่อนประถมศึกษา เด็กอนุบาลศึกษา ซึง่ คาเหล่านี ้มีความหมายในตัวเอง แต่ไม่ว่าจะใช้ ชื่อใดย่อม มีความหมายเดียวกัน สาหรับในเอกสารประกอบการสอนนี ้จะใช้ คาว่า “เด็กปฐมวัย” ซึ่งจะ ครอบคลุมคาที่กล่าวถึงข้ างต้ นนีท้ ัง้ หมด ได้ มีผ้ ูที่ปฏิบัติงานทางด้ านปฐมวัยหลายท่านให้ ความหมายของเด็กปฐมวัยไว้ หลากหลายดังนี ้


2 พัชรี สวนแก้ ว (2536, หน้ า 1) กล่าวว่า เด็กปฐมวัย คือ เด็กที่มีอายุตงแต่ ั ้ 1 ½ ปี หรื อ 2 – 6 ปี ซึง่ มีการเจริญเติบโตในลักษณะที่คอ่ นข้ างช้ า เมื่อเปรี ยบเทียบกับช่วงระยะการเจริ ญเติบโตใน วัยเด็กอ่อนหรื อวัยทารก วราภรณ์ รักวิจัย (2540, หน้ า 35) กล่าวว่าเด็กปฐมวัย คือ เด็กที่มีอายุตงแต่ ั ้ แรกเกิด จนถึง 6 ขวบ เป็ นช่วงวัยทองของชีวิต สุธิภา อาวพิทกั ษ์ (2542, หน้ า 2) ได้ ให้ ความหมายของเด็กปฐมวัย หมายถึง เด็กที่มีอายุ ตังแต่ ้ แรกเกิด – 6 ปี ซึ่งมีการเจริ ญเติบโตและพัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ วอย่างเห็นได้ ชัด เรี ยนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ รวดเร็ ว จะสะท้ อนพฤติกรรมที่ผ้ ใู หญ่แสดงออกมาให้ เห็นในทุก ๆ ด้ าน จึงมีคา กล่าวไว้ วา่ เด็ก คือ กระจกเงาที่สะท้ อนให้ เห็นถึงพฤติกรรมของผู้ใหญ่ ทัศนา แก้ วพลอย (2544, หน้ า 1) กล่าวว่า เด็กปฐมวัย หมายถึง เด็กที่มีช่วงอายุตงแต่ ั้ 0 – 6 ปี เป็ นวัยเริ่ มต้ นของการพัฒนาการในทุกด้ าน ได้ แก่ ด้ านสติปัญญา ด้ านร่ างกาย ด้ าน อารมณ์ จิตใจ และด้ านสังคม จึงเป็ นวัยที่มีความสาคัญและเป็ นพื ้นฐานของการพัฒนาบุคคลให้ เจริญเติบโตอย่างมีคณ ุ ภาพ พัชรี เจตน์เจริ ญรักษ์ (2545, หน้ า 8 – 9) กล่าวว่า เด็กปฐมวัย หมายถึง วัยเด็กตอนต้ น โดยนับ ตัง้ แต่แ รกเกิ ด ถึ ง 6 ปี เป็ นวัย ที่ เ ตรี ย มตัว เพื่ อ เข้ า สู่สัง คมได้ ร้ ู จัก บุค คลอื่ น ๆ มากขึน้ นอกเหนือจากคนในครอบครั วตนเอง เด็กวัยนี ้เพิ่งจะออกจากบ้ านไปสู่โรงเรี ยน ยังไม่พร้ อมที่จะ ช่วยเหลือตนเองหรื อรับรู้ กฎข้ อบังคับต่าง ๆ ของโรงเรี ยน ต่อเมื่ออายุถึง 6 ปี เด็กเริ่ มช่วยเหลือ ตัวเองได้ มากขึน้ มี ความพร้ อมมากขึน้ รู้ จักเล่น กับเพื่ อน จึง เป็ นวัยที่ ก าลัง มี ความคิดริ เริ่ ม สร้ างสรรค์ คนทัว่ ไปมักเรี ยกเด็กวัยนี ้ว่า เด็กเล็ก เด็กปฐมวัย หรื อเด็กอนุบาล กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (2546, หน้ า 1) กล่าวถึงเด็กปฐมวัยว่า หมายถึง เด็กที่ มีอายุตงแต่ ั ้ ปฏิสนธิจนถึง 5 ปี 11 เดือน 29 วัน ทังในระบบการศึ ้ กษาและนอกระบบการศึกษาซึ่ง พัฒนาการด้ านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญากาลังพัฒนาอย่างเต็มที่ อาจสรุ ปได้ ว่า เด็กปฐมวัย หมายถึง เด็กที่มีอายุตงแต่ ั ้ เริ่ มปฏิสนธิจนถึง 6 ปี ซึ่งเป็ นวัยที่ พัฒนาการด้ านต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จะมีธรรมชาติและลักษณะเฉพาะที่แตกต่างไป จากบุคคลในวัยอื่น ๆ เป็ นวัยที่กาลังสนใจสิ่งแวดล้ อมรอบตัว มีความอยากรู้อยากเห็น ช่างสงสัย ช่างซักถาม ชอบค้ นคว้ า สารวจ อยู่ไม่นิ่ง ชอบอิสระเป็ นตัวของตัวเอง มีลกั ษณะของการยึด ตนเองเป็ นศูนย์กลางจึงมักแสดงอารมณ์ ต่าง ๆ อย่างเปิ ดเผย ชอบทาตามและเลียนแบบผู้อื่น ใน ขณะเดียวกันก็ มีความคิดริ เริ่ มสร้ างสรรค์ จึงเป็ นวัยที่ มีความสาคัญและเป็ นพืน้ ฐานของการ พัฒนาบุคคลในด้ านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญาให้ เจริญเติบโตอย่างมีคณ ุ ภาพ


3

ความสาคัญของเด็กปฐมวัย เด็กวัยเริ่ มแรกของชีวิต หรื อที่เรี ยกว่า “เด็กปฐมวัย” จัดได้ ว่าเป็ นระยะที่สาคัญที่ สดุ ของ ชีวิต เพราะพัฒนาการทุก ๆ ด้ านของมนุษย์ทงด้ ั ้ านร่างกาย อารมณ์ สังคม บุคลิกภาพ โดยเฉพาะ ด้ านสติปัญญาจะเจริ ญมากที่สุดและพัฒนาการใด ๆ ในวัยนีจ้ ะเป็ นพื ้นฐานที่มีความสาคัญต่อ พัฒนาการในช่วงอื่น ๆ ของชีวิตเป็ นอย่างมาก ดังที่ เยาวพา เดชะคุปต์ (2542, หน้ า 13) ได้ กล่าวถึงความสาคัญของเด็กปฐมวัยตามแนวคิดของนักจิตวิทยาและนักการศึกษาไว้ ดงั นี ้ ซิกมันต์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) ชี ้ให้ เห็นว่าประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ได้ รับในตอนต้ น ของชีวิตจะมีอิทธิ พลต่อชีวิตของคนเราจนถึงวาระสุดท้ าย เขาเชื่ อว่าการอบรมเลี ้ยงดูในระยะ ปฐมวัยจะมีผลต่อการพัฒนาบุคลิกภาพของเด็กในอนาคต ดังนันการปลู ้ กฝั งทัศนคติ ค่านิยมและ บุคลิกภาพ รวมทังการส่ ้ งเสริมการเรี ยนรู้ให้ กบั เด็กจะทาได้ ดีที่สดุ ในช่วงนี ้ อลิซาเบธ เฮอร์ ลอค (Elizabeth Hurlock) กล่าวว่า วัยเด็กนับเป็ นวัยแห่งวิกฤติการณ์ใน การพัฒนาบุคลิกภาพ เป็ นระยะสร้ างพื ้นฐานของจิตใจวัยผู้ใหญ่ต่อไป บุคลิกภาพในวัยผู้ใหญ่ แม้ ว่าจะมีความแตกต่างไปจากวัยเด็กมากเท่าใดก็ตามแต่จะเป็ นความแตกต่างที่ถือกาเนิดจาก รากฐานในวัยเด็ก เบนจามิน เอส บลูม (Benjamin S.Bloom) มีความเชื่อและเข้ าใจว่าสติปัญญาของมนุษย์ มากกว่ า 3 ใน 4 จะได้ รั บ การพัฒ นาเมื่ อ เด็ ก ซึ่ง ถ้ า หากว่ า ไม่ ไ ด้ รั บ การพัฒ นาอย่ า งถูก ต้ อ ง ความสามารถในการเรี ยนรู้อาจจะถูกยับยัง้ นอกจากนันบลู ้ มยังพบว่าสิ่งแวดล้ อมมีสว่ นสาคัญที่ จะทาให้ พฒ ั นาการของบุคคลชะงักงันหรื อเพิ่มขึ ้นได้ ซึ่งแสดงว่าสิ่งแวดล้ อมมีผลต่อ พัฒนาการ ทางสติปัญญาของเด็กในระยะ 6 ปี แรกของชีวิตมากกว่าในระยะอื่น ๆ อีริค อีริคสัน (Erik Erikson) กล่าวว่า วัยทารกตอนปลายเป็ นช่วงวัยที่เรี ยนรู้เจตคติของ ความมัน่ ใจหรื อไม่มนั่ ใจ ซึง่ ขึ ้นอยูก่ บั การที่พอ่ แม่ให้ สงิ่ ที่เด็กต้ องการด้ านอาหาร การดูแลเอาใจใส่ และความรักอย่างชื่นชม เจตคติเหล่านี ้เด็กจะมีอยู่มากหรื อน้ อยตลอดชีวิต สามารถสร้ างความรู้ ความเข้ าใจต่อคนทัว่ ไปและสถานการณ์ของบุคคลได้ โจ แอล ฟรอสท์ (Joe L.Frost) กล่าวว่าเด็กในช่วง 4 – 5 ปี แรกของชีวิตเป็ นช่วงเวลาที่ ความเจริ ญทางด้ านร่ างกายและจิตใจเกิดขึ ้นอย่างรวดเร็ วที่สดุ นอกจากนี ้ยังมีความรู้ สึกที่ไวต่อ อิทธิพลจากสิง่ แวดล้ อมภายนอก นอกจากนี ้ กมล รอดคล้ าย (2537, อ้ างถึงในวีรพล สารบรรณ, 2547, หน้ า 7) ได้ กล่าวถึง ความสาคัญของเด็กปฐมวัยไว้ ว่า เด็กเป็ นทรัพยากรที่มีค่ายิ่ง เป็ นความหวังของครอบครัวและ สังคม เป็ นผู้สืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมและความเป็ นมนุษยชาติ เป็ นพลังสาคัญในการพัฒนา


4 ประเทศ อนาคตของประเทศจึงขึ ้นอยู่กบั คุณภาพของเด็ก เด็กที่มีความสมบูรณ์และมีพฒ ั นาการ ในทุก ๆ ด้ านที่เหมาะสมกับวัย ไม่ว่าจะเป็ นพัฒนาการทางด้ านร่ างกาย สติปัญญา อารมณ์ และ สังคม จะเป็ นผู้ที่สามารถดารงชีวิตและอยูใ่ นสังคมได้ อย่างมีความสุข สรุ ปได้ ว่าช่วงปฐมวัยเป็ นช่วงที่สาคัญที่สดุ ของชีวิต เพราะเป็ นช่วงที่พฒ ั นาการทุกด้ าน เจริ ญขึน้ อย่างรวดเร็ ว ทัง้ ด้ านร่ างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคมและสติปัญญา การพัฒนาเด็ก ในช่วงวัยนี ้จะเป็ นการวางพื ้นฐานทางด้ านจิตใจ อุปนิสยั และความสามารถ ซึง่ หากผู้ที่เกี่ยวข้ อง สามารถสร้ างแบบแผนทางพฤติกรรมและเจตคติที่ ดีให้ แก่เด็กปฐมวัยได้ แล้ ว เด็กปฐมวัยจะ สามารถเติบโตและมีชีวิตอยูใ่ นสังคมได้ อย่างมีความสุข

ความหมายของการจัดการศึกษาปฐมวัย การจัดการศึกษาสาหรับเด็กปฐมวัยมีผ้ เู รี ยกชื่อแตกต่างกันไป เช่น การศึกษาระดับ ก่อน ประถมศึกษา การศึกษาก่อนวัยเรี ยน การศึกษาปฐมวัย ซึง่ แต่ละชื่อที่เรี ยกมีวิธีการและลักษณะ ในการจัดกิจกรรม ซึง่ มีจุดมุ่งหมายที่จะช่วยในการพัฒนาเด็กเหมือนกัน ในเอกสารประกอบการ สอนนี ้จะเรี ยกว่า “การจัดการศึกษาปฐมวัย” การจัดการศึกษาปฐมวัย ถื อว่าเป็ นการจัดการศึกษาที่เป็ นพืน้ ฐานของชีวิต เพราะใน ปั จจุบนั ข้ อมูลความรู้ตลอดจนงานวิจยั ต่าง ๆ เป็ นที่ประจักษ์ แล้ วว่า เด็กตังแต่ ้ แรกเกิดจนกระทัง่ ถึง อายุ 6 ปี เป็ นวัยที่สาคัญที่สดุ ในการปูพื ้นฐานในการพัฒนาไปเป็ นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์ในอนาคต ทัง้ ในด้ านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา สาหรับความหมายของการจัดการศึกษาปฐมวัยมี นักการศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้ องกับการพัฒนาเด็กปฐมวัยได้ ให้ ความหมายดังต่อไปนี ้ คาร์ เตอร์ วี กู๊ด (Carter V. Good, 1945, p.200 อ้ างถึงในเยาวพา เดชะคุปต์, 2542, หน้ า 14) ได้ ให้ ความหมายของคาว่า การจัดการศึกษาปฐมวัย หมายถึง โครงการหรื อหลักสูตรที่ จัดสาหรับเด็กในโรงเรี ยนเด็กเล็ก โรงเรี ยนอนุบาล หรื อระดับชันประถมศึ ้ กษาปี ที่ 1 – ชัน้ ประถมศึกษาปี ที่ 3 ฮิมส์ (Hymes, 1969, p.65 อ้ างถึงในเยาวพา เดชะคุปต์, 2542, หน้ า 14) ได้ ให้ ความหมายของการจัดการศึกษาปฐมวัย หมายถึง การจัดการศึกษาสาหรับเด็กที่มีอายุตงแต่ ั ้ แรก เกิดจนถึง 6 ปี ซึง่ การจัดการศึกษาดังกล่าวจะมีลกั ษณะพิเศษที่แตกต่างไปจากระดับอื่น ๆ ทังนี ้ ้ เพราะเด็กในวัยนี ้เป็ นวัยที่สาคัญต่อการวางรากฐานบุคลิกภาพและการพัฒนาทางสมอง สุโขทัยธรรมาธิราช (2537, หน้ า 6) ได้ ให้ ความหมายของการจัดการศึกษาปฐมวัย หรื อ การปฐมวัยศึกษา หมายถึง การจัดการศึกษาให้ แก่เด็กปฐมวัย เพื่อส่งเสริ มให้ เด็กมีความพร้ อม


5 และพัฒนาทังด้ ้ านร่ างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม สติปัญญา มีบคุ ลิกภาพที่เหมาะสมตามวัยและ พร้ อมที่จะรับการศึกษาในระดับต่อไป เยาวพา เดชะคุปต์ (2542, หน้ า 14) ได้ ให้ ความหมาย การจัดการศึกษาปฐมวัย หมายถึง การจัดการศึกษาสาหรับเด็กที่มีอายุตงแต่ ั ้ แรกเกิดจนถึง 6 ปี ซึ่งการจัดการศึกษาดังกล่าวจะมี ลัก ษณะพิ เ ศษที่ แ ตกต่ า งไปจากระดับ อื่ น ๆ ทัง้ นี เ้ พราะเด็ ก ในวัย นี เ้ ป็ นวัย ที่ ส าคัญ ต่ อ การ วางรากฐานบุคลิกภาพและการพัฒนาทางสมอง การจัดการศึกษาสาหรับเด็กในวัยนี ้มีชื่อเรี ยก ต่างกันไปหลายชื่อ ซึง่ แต่ละโปรแกรมก็มีวิธีการและลักษณะในการจัดกิจกรรม ซึง่ มีจดุ มุ่งหมายที่ จะช่วยพัฒนาเด็กในรูปแบบต่าง ๆ กัน มาสโซเกลีย (Massoglia, 1977, pp. 3 – 4 อ้ างถึงในเยาวพา เดชะคุปต์ , 2542, หน้ า 34) กล่าวว่า การจัดการศึกษาปฐมวัยควรมีส่วนช่วยให้ เด็กเกิดพัฒนาการและการเรี ยนรู้ อย่างเต็มที่ ซึง่ แนวคิดในการจัดการศึกษาสาหรับเด็กในวัยนี ้ทุกรูปแบบควรมีสว่ นสาคัญดังนี ้ 1. เป็ นการส่งเสริมพัฒนาการของเด็กทุกด้ าน นับตังแต่ ้ แรกเกิดจนเริ่มเข้ าเรี ยนในระบบ โรงเรี ยน 2. วางพื ้นฐานทางสุขภาพอนามัยให้ กบั เด็กตังแต่ ้ ต้น รวมทังเด็ ้ กที่มีข้อบกพร่องต่าง ๆ 3. สิง่ แวดล้ อมทางบ้ านควรมีสว่ นช่วยให้ เด็กเจริญเติบโตและพัฒนาในทุก ๆ ด้ าน 4. พ่อแม่ควรเป็ นครูคนแรกที่มีความสาคัญต่อลูก 5. อิทธิพลจากทางบ้ านควรมีผลต่อกระบวนในการพัฒนาเด็ก และสามารถนาไปเป็ น หลักในการจัดการศึกษาสาหรับเด็กปฐมวัย กรมวิชาการ (2546, หน้ า 1) กล่าวถึงการจัดการศึกษาปฐมวัยไว้ วา่ การศึกษาปฐมวัยเป็ น การพัฒนาเด็ก ตังแต่ ้ แรกเกิดถึง 5 ปี 11 เดือน 29 วัน บนพื ้นฐาน การอบรมเลี ้ยงดูและการ ส่งเสริ มกระบวนการเรี ยนรู้ ที่สนองต่อธรรมชาติ และพัฒนาการของเด็กแต่ละคน ตาม ศักยภาพ ภายใต้ บริ บทสังคม-วัฒนธรรม ที่เด็กอาศัยอยู่ ด้ วยความรัก ความเอื ้ออาทร และความเข้ าใจของ ทุกคน เพื่อสร้ างรากฐานคุณภาพชีวิตให้ เด็กพัฒนาไปสู่ความเป็ นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เกิดคุณค่าต่อ ตนเองและสังคม วัชรี ย์ ร่วมคิด (2547, หน้ า 1) ได้ ให้ ความหมายของ การจัดการศึกษาปฐมวัย หมายถึง การจัดการศึกษาสาหรับเด็กวัย 0 – 6 ปี เพื่อเตรี ยมความพร้ อม (readiness) และส่งเสริ ม พัฒนาการ (development) ด้ านร่างกาย ด้ านอารมณ์ จิตใจ ด้ านสังคม และด้ านสติปัญญาให้ กบั เด็กวัยนี ้ หรื ออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ ว่า เป็ นการจัดประสบการณ์ หรื อกิ จกรรมที่มีจุดมุ่งหมาย สาคัญ คือ การส่งเสริ มพัฒนาการทุกด้ านให้ แก่เด็กปฐมวัย รวมทังการปลู ้ กฝั งคุณธรรม จริ ยธรรม


6 และค่านิ ยมที่ เหมาะสม เพื่ อให้ เด็กเติบโตขึน้ อย่างมี คุณภาพ และพร้ อมที่ จะรั บการศึกษาใน ระดับสูงขึ ้นอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป สานัก วิชาการและมาตรฐานการศึกษา (2548, หน้ า 1) ได้ กล่าวถึงการจัดการศึกษา ปฐมวัย ตามความหมายที่เป็ นสากล หมายถึง การจัดการศึกษาในลักษณะการอบรมเลี ้ยงดูและ ให้ การศึกษา เพื่อเตรี ยมความพร้ อมให้ เด็กแรกเกิด – 5 ปี ก่อนเข้ าเรี ยนในระดับประถมศึกษา อาจสรุ ปได้ ว่า การจัดการศึกษาปฐมวัย เป็ นการจัดการศึกษาให้ กบั เด็กที่มีอายุตงแต่ ั ้ แรก เกิดจนถึง 6 ปี ในลักษณะของการอบรมเลี ้ยงดูที่มีความสาคัญอย่างยิ่งในอันที่จะช่วยส่งเสริ มให้ เด็ กปฐมวัย ได้ รับ การพัฒนาในทุก ด้ า น ทัง้ ด้ านร่ า งกาย อารมณ์ จิ ตใจ สัง คมและสติปั ญญา ตลอดจนการปลูกฝั งคุณธรรม จริ ยธรรม ไปในทิศทางที่ถกู ต้ องเหมาะสม สอดคล้ องกับพัฒนาการ ตามวัย ความสามารถ และความแตกต่างระหว่างบุคคล เป็ นการเตรี ยมความพร้ อมที่จะเรี ยนรู้ และวางรากฐานบุคลิกภาพ และการพัฒนาสมอง เพื่อให้ เด็กเติบโตขึ ้นอย่างมีคณ ุ ภาพ และพร้ อม ที่จะรับการศึกษาในระดับที่สูงขึน้ อย่างมีประสิทธิ ภาพต่อไป ซึ่งการจัดการศึกษาดังกล่าวจะมี ลักษณะพิเศษที่แตกต่างไปจากระดับอื่น ๆ

ความสาคัญของการจัดการศึกษาปฐมวัย การจัดการศึกษาปฐมวัยนับวันจะมีความสาคัญต่อชุมชนมากยิ่งขึ ้น เนื่องจากสังคมไทย ในอดีตเด็กอยูใ่ นครอบครัวที่มีผ้ ใู หญ่ดแู ล เพราะครอบครัวไทยแต่โบราณเป็ นครอบครัวแบบขยาย มี ปู่ ย่า ตา ยาย อยู่รวมกัน แต่ปัจจุบนั สังคมไทยกลายเป็ นครอบครัว เดี่ยวที่มีแต่พ่อ แม่ ลูก และ แม่ยงั ต้ องออกไปประกอบอาชีพนอกบ้ านเพื่อเพิ่มรายได้ ให้ กบั ครอบครัว พ่อแม่จึงนาลูกไปฝากไว้ ตามสถานรับเลี ้ยงเด็ก สถานบริ บาลทารก หรื อโรงเรี ยนอนุบาลเร็ วขึ ้น การศึกษาปฐมวัยจึงกลายเป็ น ความจาเป็ นของชี วิตมากขึน้ กว่าเดิม นักจิตวิทยา นักการศึกษา รวมทัง้ ผู้เชี่ ยวชาญในวงการ การศึกษาต่างก็เล็งเห็นถึงความสาคัญของการจัดการศึกษาสาหรับเด็กปฐมวัย เพราะจากการ ค้ นคว้ าและวิจัยพบว่า พัฒนาการทุก ๆ ด้ านของบุคคลมีรากฐานมาจากการพัฒนาในวัยเด็ก โดยเฉพาะในช่วงอายุ 0 – 6 ปี ดังนัน้ การปลูกฝั งทัศนคติ ค่านิยมและบุคลิกภาพ รวมทัง้ การ ส่งเสริมการเรี ยนรู้ให้ กบั เด็กจะทาได้ ดีที่สดุ ในช่วงนี ้ซึง่ เป็ นวัยเริ่มต้ นของชีวิต การจัดการศึกษาปฐมวัยที่เหมาะสม ควรคานึงถึงการเสริ มสร้ างพัฒนาการด้ านร่ างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคมและสติปัญญาอย่างได้ สดั ส่วน กล่าวคือเปิ ดโอกาสให้ เด็กได้ สร้ างเสริ ม พัฒนาการด้ านร่างกายทังกล้ ้ ามเนื ้อใหญ่และกล้ ามเนื ้อเล็ก ได้ รับอาหารที่มีคณ ุ ค่าทางโภชนาการ และถูกส่วน ได้ รับการปลูกฝั งและเสริ มสร้ างพัฒนาการด้ านอารมณ์ จิตใจ สังคมและสติปัญญา


7 อย่างเต็มที่ เพื่อให้ เด็กเจริ ญเติบโตเป็ นบุคคลที่มีประสิทธิภาพและมีคณ ุ ค่าแก่สงั คม การพัฒนา บุคคลให้ มีคุณภาพมีผลมาจากการส่งเสริ มพัฒนาการตังแต่ ้ ปฐมวัย ซึ่งเป็ นระยะวิกฤติที่เด็ก สามารถเรี ยนรู้ สิ่งต่าง ๆ ได้ อย่างรวดเร็ ว การกระตุ้นทางตา หู จมูก ลิ ้นและกาย ให้ ได้ เห็น ได้ ยิน ได้ สมั ผัส และได้ เรี ยนรู้ โดยการเล่นตังแต่ ้ ปฐมวัย โดยเฉพาะการได้ รับความรัก ความอบอุ่น การ ดูแลจากพ่อแม่ จะช่วยให้ ใยประสาทในเซลล์สมองขยายงอกงาม ทาให้ เด็กสามารถเรี ยนรู้ได้ ง่าย รู้เหตุผล อันเป็ นพื ้นฐานการพัฒนาเด็กให้ สมบูรณ์มากที่สดุ เด็กเล็ก ๆ จะเรี ยนรู้ ทกุ อย่างในวัยที่ เขายังเล็กอยู่ แต่ถ้าหากเด็กวัยนี ้ไม่ได้ รับการเอาใจใส่ เมื่อพ้ นวัยนี ้ไปเด็กจะเรี ยนรู้ สิ่งต่าง ๆ ได้ ด้ วยความยากลาบากและในบางอย่างก็จะไม่สามารถเรี ยนรู้ได้ อีกเลย บุปผา เรื องรอง (2525, หน้ า 20) กล่าวถึงการจัดการศึกษาปฐมวัย ว่ามีความสาคัญ และจะส่งผลดีในด้ านต่าง ๆ ดังนี ้ 1. ด้ านพัฒนาการเด็ก เป็ นที่ยอมรับกันโดยทัว่ ไปแล้ วว่าเด็กตังแต่ ้ แรกเกิดจนกระทัง่ ถึง วัย 6 ขวบ จัดว่าเป็ นช่วงวัยที่สาคัญของชีวิตมนุษย์ ทัง้ นีเ้ ป็ นเพราะพื ้นฐานสาคัญที่สุดของการ พัฒนาการทังทางด้ ้ านร่ างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม สติปัญญาและบุคลิกภาพ ประสบการณ์ ต่าง ๆ ที่เด็กได้ รับในช่วงวัยนี ้จะเป็ นผลสร้ างเสริมให้ เด็กได้ พฒ ั นาการต่อไปในภายหน้ า ผลการศึกษาของนักจิตวิทยา นักการศึกษา และนักสังคมวิทยาหลายท่านได้ ศกึ ษาและ กล่าวว่าองค์ประกอบสาคัญในการส่งเสริ มพัฒนาการของเด็กนัน้ คือ พันธุกรรมและสิ่งแวดล้ อม โดยมีข้อสรุป ดังนี ้ ฮาวิกเฮิร์ท และ แนนการ์ แทน (Havighurst & Nengarten) กล่าวว่าองค์ประกอบที่สง่ ผล ต่อการเรี ยนของเด็กในโรงเรี ยนมี 4 ประการ คือ 1. ความสามารถที่ติดตัวมาแต่กาเนิด 2. ชีวิตในครอบครัว 3. คุณภาพของการศึกษาเล่าเรี ยน 4. สังกัปหรื อแรงจูงใจของเด็ก แต่ความสามารถที่มีมาแต่กาเนิดนันเป็ ้ นความแตกต่างระหว่างบุคคลเท่านัน้ แต่จะไม่ ปรากฏว่าแตกต่างกันในหมูช่ นที่มีความแตกต่างกันด้ านพื ้นฐานทางสังคม เช่น เชื ้อชาติ ศาสนา หรื อสภาพภูมิศาสตร์ ที่แตกต่างกัน ฉะนัน้ การจัด การศึ ก ษาปฐมวัย จึ ง เป็ นการช่ ว ยเหลื อ เด็ ก ปฐมวัย ให้ มี โ อกาสอยู่ ใ น สิง่ แวดล้ อมที่ดี ซึง่ จะช่วยให้ เด็กมีพฒ ั นาการที่สมบูรณ์ในทุกด้ าน


8 2. ด้ านการจัดการศึกษา การจัดการศึกษาปฐมวัยที่จดั ขึ ้นในสังคมปั จจุบนั เป็ นการช่วย ให้ เด็กได้ รับการเลี ้ยงดูที่ถูกต้ องและปลอดภัย ในขณะเดียวกันเป็ นการให้ ความรู้ แก่พ่อแม่และ ผู้เลี ้ยงดูเด็กให้ มีการอบรมเลี ้ยงดูที่ถกู ต้ องด้ วย 3. ด้ านโอกาสในการเข้ ารั บการศึกษา จากการที่รัฐได้ ขยายการจัดการศึกษาปฐมวัย ไปสูช่ นบทหรื อที่ให้ เอกชนรับผิดชอบ ทาให้ เป็ นผลดีตอ่ โอกาสในการเข้ ารับการศึกษาของเด็กอย่าง เท่าเทียมกันทังในเมื ้ องและชนบท สมร ทองดี (2537, อ้ างถึงใน รัศมี ตันเจริ ญ, 2544, หน้ า 5) ได้ กล่าวถึงความสาคัญของ การศึกษาปฐมวัยว่า มีความสาคัญต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เนื่องจากเด็กปฐมวัยเป็ นวัย แห่งการวางรากฐานและเตรี ยมตัวเพื่อชีวิต เป็ นระยะของการพัฒนารากฐานของบุคลิกภาพและ คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของสังคมและประเทศชาติ นอกจากนี ้ ในทางการศึกษายังถือได้ ว่าชีวิต ในช่วงปฐมวัยเป็ นวัยที่กระบวนการของการศึกษาจะได้ เริ่ มต้ นเสริ มสร้ างและพัฒนาการเรี ยนรู้ ซึง่ จะต้ องพัฒนาให้ สงู ขึ ้นไปตามลาดับประกอบกับโดยธรรมชาติแล้ ว กระบวนการศึกษาของมนุษย์ นัน้ เป็ นกระบวนการที่มีการพัฒนาต่อเนื่องไปตลอดชีวิต วัชรี ย์ ร่วมคิด (2547, หน้ า 3 – 4) ได้ กล่าวถึงความสาคัญของการจัดการศึกษาปฐมวัยไว้ ดังต่อไปนี ้ 1. ความสาคัญต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ นักจิตวิทยาและนักการศึกษาหลายท่านมี ความเห็นที่สอดคล้ องกันว่าเด็กปฐมวัย เป็ นวัยเริ่ มต้ นของชีวิตมนุษย์และนับเป็ นช่วงวัยที่สาคัญ ที่สดุ ช่วงหนึง่ เพราะเป็ นช่วงวัยของการวางรากฐานและเตรี ยมตัวเพื่อชีวิต ทังยั ้ งเป็ นช่วงระยะที่เกิด การเรี ยนรู้มากที่สดุ ในชีวิตด้ วย 2. ความสาคัญต่อการเสริ มสร้ างคุณลักษณะที่ พึง ประสงค์ นักจิ ตวิทยาหลายท่านมี ความเห็นสอดคล้ องกันว่า ช่วงวิกฤติของชีวิตในระยะ 5 ปี แรก เป็ นระยะสาคัญในการวางรากฐาน บุคลิกภาพของมนุษย์ ดังนันการพั ้ ฒนาคุณภาพของประชาชนจึงจาเป็ นต้ องเริ่มพัฒนา ตังแต่ ้ ระยะ ปฐมวัย เพื่ อ ให้ เ ติ บ โตขึ น้ เป็ นคนที่ มี คุณ ภาพและมี คุณ ลัก ษณะที่ พึ ง ประสงค์ ข องสัง คมและ ประเทศชาติ 3. ความสาคัญต่อกระบวนการจัดการศึกษา เพียเจท์ (Jean Piaget) ผู้สร้ างทฤษฎีทาง ปั ญหาที่แพร่หลายที่สดุ กล่าวว่า เด็กในช่วงอายุ 2 – 6 ปี เป็ นช่วงวัยที่เด็กเริ่ มเรี ยนรู้ภาษาพูด และสามารถเรี ยนรู้สงิ่ ต่าง ๆ ได้ ดีขึ ้น แต่ความสามารถในการเรี ยนรู้ยงั อยู่ในลักษณะจากัด ดังนัน้ เด็กในวัยนี ้จึงจาเป็ นต้ องได้ รับการฝึ กทักษะการใช้ ประสาทสัมผัส ซึง่ การจัดสภาพแวดล้ อมและ ประสบการณ์ที่เหมาะสมจะช่วยเสริมสร้ างพัฒนาการในด้ านการคิดและพัฒนาการเรี ยนรู้เพื่อ


9 พัฒนาโครงสร้ างทางสติปัญญาในขันต่ ้ อไปให้ สมบูรณ์ยิ่งขึ ้น 4. ความสาคัญต่อการวางรากฐานในการพัฒนาประเทศ การพัฒนาประเทศชาติ บ้ านเมืองนัน้ จะต้ องเริ่ มต้ นจากการพัฒนาประชากรให้ มีคณ ุ ภาพก่อนเป็ นอันดับแรก เพื่อให้ เป็ น ทังคนเก่ ้ ง คนดี คนที่มีสติปัญญา มีความสามารถและมีคณ ุ ธรรมจริ ยธรรม ซึ่งคุณสมบัติต่าง ๆ เหล่านี ้จะต้ องได้ รับการปลูกฝั ง อบรมสัง่ สอนตังแต่ ้ ยงั เด็ก ทั ง้ ต้ องอาศัยความร่ วมมือจากสถาบัน ทางสังคมทุกสถาบันร่วมมือกันพัฒนาเด็กตังแต่ ้ เยาว์วยั สรุปได้ ว่าการจัดการศึกษาปฐมวัยมีความสาคัญต่อการวางรากฐานการพัฒนาทรัพยากร มนุษย์ เพื่อพัฒนาให้ เป็ นคนที่มีคณ ุ ภาพตามคุณลักษณะที่พงึ ประสงค์ของสังคมและประเทศชาติ กระบวนการจัดการศึกษา การจัดสภาพแวดล้ อมและประสบการณ์ที่เหมาะสมสาหรับเด็กปฐมวัย จะช่วยเสริ มสร้ างพัฒนาการในด้ านการคิดและพัฒนาการเรี ยนรู้ ทางสติปัญญาในขัน้ ต่อไปให้ สมบูรณ์ยิ่งขึ ้น ทังนี ้ ้ต้ องอาศัยความร่ วมมือจากสถาบันทางสังคมทุกสถาบันร่ วมมือกัน หาก ผู้เ กี่ ย วข้ องกับ เด็ ก ปฐมวัย ทุ ก ฝ่ ายได้ ต ระหนัก ถึ ง ความส าคัญดัง กล่า ว และร่ ว มมื อ กัน พัฒ นา การศึกษาระดับปฐมวัยเป็ นอย่างดีแล้ ว ก็จะส่งผลให้ ได้ ประชากรที่มีคณ ุ ภาพซึง่ จะเติบโตมาเป็ น กาลังแห่งการพัฒนาประเทศได้ ในที่สดุ

องค์ ประกอบของการจัดการศึกษาปฐมวัย ในปั จจุบนั การจัดการศึกษาปฐมวัยมีรูปแบบที่แตกต่างกัน ทัง้ นี ้ขึ ้นกับจุดมุ่งหมายของ หลักสูตร ปรั ชญา ความเชื่ อ รู ปแบบวิธีการเรี ยนการสอน รวมตลอดถึงการจัดสิ่งแวดล้ อม อย่างไรก็ตาม โกร์ ดอนและวิลเลียมส์ บราวน์ (Gordon & Williams – Browne อ้ างถึงใน นภเนตร ธรรมบวร, 2551, หน้ า 15) กล่าวถึงการจัดการศึกษาปฐมวัยว่ามีองค์ประกอบที่สาคัญร่วมกัน 3 ประการ คือ 1. อัตราส่วนของครูผ้ สู อนต่อเด็ก 2. ขนาดของชันเรี ้ ยน 3. การศึกษา และประสบการณ์ของครู และผู้ดแู ลเด็ก นอกจากนี ้ สมาคมการอนุบาลศึกษาแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา (National Association for the Education of Young Children หรื อ NAEYC อ้ างถึงใน นภเนตร ธรรมบวร, 2551 หน้ า 15 - 16) ได้ กาหนดมาตรฐานการจัดการศึกษาปฐมวัยที่มีคณ ุ ภาพไว้ ดงั ต่อไปนี ้ 1. ปฏิสมั พันธ์ระหว่างเด็กและผู้ใหญ่ในชันเรี ้ ยน การจัดการศึกษาปฐมวัยที่มีคณ ุ ภาพ ควรส่งเสริมปฏิสมั พันธ์ระหว่างเด็กและผู้ใหญ่ ทังนี ้ ้เพื่อเปิ ดโอกาสให้ เด็กได้ พฒ ั นาความเข้ าใจใน


10 ตนเอง และบุคคลรอบข้ าง 2. หลักสูตรการเรี ยนการสอนควรส่งเสริมให้ เด็กเป็ นผู้ลงมือปฏิบตั ิจริงในชันเรี ้ ยน โดยผ่าน การจัดกิจกรรมที่เหมาะสม ทังนี ้ ้ต้ องคานึงถึงความสนใจ และประสบการณ์เดิมของเด็ก 3. การติดต่อสื่อสารกับพ่อแม่ ผู้ปกครอง ถือเป็ นองค์ประกอบที่สาคัญมากในชีวิตของเด็ก โรงเรี ยนจึงควรส่งเสริม และกระตุ้นให้ พอ่ แม่ ผู้ปกครองมีสว่ นร่วมในการจัดการเรี ยนการสอน 4. บุคลากรในสถานศึก ษาปฐมวัย ควรผ่ านการอบรมเกี่ ยวกับพัฒนาการเด็ ก และ การศึกษาปฐมวัย รวมตลอดถึงเป็ นผู้ที่ตระหนักในความต้ องการของเด็ก ทังนี ้ ้เนื่องจากคุณภาพและ ความสามารถของบุคลากรถื อเป็ นองค์ ประกอบที่ สาคัญในการตัดสินคุณภาพของสถานศึกษา ปฐมวัย 5. การให้ ความสาคัญกับโครงสร้ างของระบบการบริ หารบุคลากรในสถานศึกษาปฐมวัย ทัง้ นีเ้ พื่อเป็ นหลักประกันว่า ความต้ องการและความสนใจของเด็ก รวมตลอดถึงปฏิสัมพันธ์ ระหว่างเด็กและผู้ใหญ่จะได้ รับการตอบสนอง 6. การบริ หารงานที่มีประสิทธิภาพ การจัดการศึกษาปฐมวัยที่มีประสิทธิภาพส่วนหนึ่ง ขึ ้นอยูก่ บั คุณภาพของการบริ หารงาน การบริ หารงานที่มีประสิทธิภาพรวมถึงการติดต่อสื่อสารที่ดี การมีความสัมพันธ์ที่ดีกบั ชุมชน ความมัน่ คงทางเศรษฐกิจการเงิน รวมตลอดถึงการให้ ความเอา ใจใส่ตอ่ ความต้ องการ และการทางานของบุคลากรในการปกครอง 7. การจัดสิ่งแวดล้ อมทางกายภาพทังภายในและภายนอกชั ้ นเรี ้ ยน ควรคานึงถึงการมี ส่วนร่วมของเด็กในกิจวัตรประจาวันและปฏิสมั พันธ์ระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ 8. การดูแลสุขภาพ ความปลอดภัยของเด็กและผู้ใหญ่ การจัดการศึกษาปฐมวัยที่ มี คุณภาพจาเป็ นต้ องคานึงถึงการป้องกันโรคภัยไข้ เจ็บและอุบตั ิเหตุอนั อาจเกิดขึ ้น รวมตลอดถึงให้ ความรู้แก่เด็กเกี่ยวกับความปลอดภัย และการดูแลรักษาสุขภาพของตนเอง 9. โภชนาการที่ดี การจัดการศึกษาปฐมวัยที่มีคณ ุ ภาพควรคานึงถึง หลักโภชนาการที่ดี กล่าวคือ เด็กจาเป็ นต้ องได้ รับสารอาหารที่พอเพียงและมีคณ ุ ค่า รวมตลอดถึงมีสขุ นิสยั ในการ รับประทานอาหารที่ดี 10. การประเมินผลที่เป็ นระบบและมีความต่อเนื่อง การประเมินผลเป็ นองค์ประกอบที่ สาคัญในการปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพของการจัดการศึกษาปฐมวัย การประเมินผลควรมุง่ เน้ น ที่ประสิทธิภาพของการจัดการศึกษาปฐมวัยในการตอบสนองความต้ องการของเด็กและผู้ปกครอง อาจสรุปได้ วา่ องค์ประกอบที่สาคัญในการจัดการศึกษาปฐมวัย ได้ แก่ เด็ก พ่อแม่ และครู ดังนันพ่ ้ อแม่ ครู และผู้ที่เกี่ยวข้ องควรมีความรู้ ความเข้ าใจเกี่ยวกับจิตวิทยาพัฒนาการ ธรรมชาติ


11 ของเด็ก ตลอดจนเข้ าใจความคิดและความต้ องการของเด็ก โดยการจัดการศึกษาปฐมวัยจะต้ อง จัดให้ สอดคล้ องกับพัฒนาการด้ านต่าง ๆ ตามวัยของเด็ก คานึงถึงความสนใจ ความสามารถ ความถนัด และความแตกต่างระหว่างบุคคล นอกจากนันการให้ ้ การศึกษาแก่พ่อแม่ในการอบรม เลี ้ยงดูเด็กปฐมวัย เพื่อให้ พอ่ แม่เป็ นแบบอย่างที่ดีแก่ลกู อย่างแท้ จริ ง จึงมีความสาคัญและจาเป็ น อย่างยิ่งต่อการพัฒนาเด็กปฐมวัย

หลักการจัดการศึกษาปฐมวัย เนื่องจากการเจริ ญเติบโตของเด็กตังแต่ ้ แรกเกิดจนถึง 6 ปี เป็ นระยะที่สาคัญที่สุดของ พัฒนาการทังทางด้ ้ านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม สติปัญญาและบุคลิกภาพ ประสบการณ์ตา่ ง ๆ ที่เด็กได้ รับมีอิทธิพลต่อการเสริมสร้ างความพร้ อมของเด็กที่จะพัฒนาตนเองในขันต่ ้ อไปให้ บรรลุถึง ศักยภาพแห่งพัฒนาการ ดังนันนั ้ กการศึกษาปฐมวัยหลายท่านจึงได้ เสนอแนะหลักการในการจัด การศึกษาปฐมวัยซึ่งควรมีความแตกต่างจากการศึกษาระดับอื่น ดังที่สิริมา ภิญโญอนันตพงษ์ (2538, หน้ า 8 – 10) กล่าวโดยสรุปไว้ ดงั นี ้ โจน เฮนดริ ค (Joanne Hendrick) ยึดหลักในการจัดการศึกษาว่า “เด็กคือใครและเด็ก ต้ องการอะไร” ซึง่ การจัดการศึกษาปฐมวัย พื ้นฐานสาคัญควรยึดหลักดังต่อไปนี ้ คือ 1. เด็กมีพฒ ั นาการทุกขันตอน ้ ดังนัน้ ควรจัดเตรี ยมการศึกษาให้ เหมาะสมกับระดับชัน้ 2. เพิ่มความสามารถในการพัฒนาเด็ก โดยเน้ นให้ เด็กมีความมัน่ ใจในตนเองและเห็น คุณค่าของตนเอง 3. พัฒนาการทางด้ านร่างกายและอารมณ์ให้ ดีอยูเ่ สมอ 4. เด็กเรี ยนรู้ ด้วยกระบวนการ เช่น ปฏิบตั ิจริ ง มีสว่ นร่ วมประสบการณ์กบั บุคคลและทา กิจกรรมต่าง ๆ เปิ ดโอกาสให้ เด็กเรี ยนรู้อย่างอิสระโดยผ่านการเล่น มีโอกาสตัดสินใจด้ วยตนเอง เคทส์ (Katz) สนับสนุนว่า หลักในการจัดการศึกษา ควรยึดขอบข่ายต่อคาถามที่ว่า “เด็กต้ องการอะไร” โดยเสนอว่าพื ้นฐานความต้ องการของเด็กนันเป็ ้ นสิ่งสาคัญที่ผ้ ใู หญ่ต้องรู้ว่ามี อะไรบ้ างและจะตอบสนองอย่างไรจึงจะพัฒนาเด็กอย่างได้ ผล ความต้ องการพื ้นฐานของเด็กคือ 1. เด็กต้ องการความรู้ สกึ ปลอดภัยอย่างแท้ จริ ง ในส่วนความต้ องการที่พฒ ั นาตัวเด็กใน ระยะนีน้ ัน้ ความรู้ สึกที่ผูกพันอย่างมั่นคงไม่ใช่เพียงแต่ผ้ ูใหญ่ให้ ความอบอุ่นเท่านัน้ แต่ต้องให้ ความปลอดภัยหรื อความมัน่ คงแก่เด็ก 2. เด็กทุกคนต้ องการความเพียงพอหรื อความสามารถที่จะทา ควรเสริ มสร้ างเด็กให้ มี ความคิดเกี่ยวกับตนเองว่าเป็ นคนดี โดยคิดคานึงให้ อยูใ่ นขอบเขตที่เพียงพอไม่ใช่วา่ ตนเองดีเกิน


12 ความเป็ นจริง 3. เด็กทุกคนควรมีความรู้ สึกหรื อประสบการณ์ เกี่ยวกับชีวิตของเขาในทางที่ดีว่า ชีวิตมี คุณค่า ความพอใจอย่างมีเหตุผล ความสนใจ ความแท้ จริ ง ดังนันควรท ้ าในสิ่งที่เด็กรู้สกึ ว่าชีวิต ของเขาเป็ นความจริง 4. เด็ ก มี ค วามต้ อ งการที่ จ ะให้ ผ้ ูใ หญ่ กับเพื่ อ นเด็ กอื่ น ๆ ร่ วมให้ เขาต้ อ งตัดสิน ใจด้ ว ย ประสบการณ์ตนเอง ไม่ควบคุมเด็กทุกด้ าน ปล่อยให้ เรี ยนรู้และตัดสินใจที่จะกระทากิจกรรมอะไร ด้ วยตนเอง 5. เด็กต้ องการให้ ผ้ ใู หญ่ยอมรับว่ามีอานาจในตัวเขาเอง 6. เด็กต้ องการผลที่ดีที่สดุ จากการสนองตอบกลับมาจากผู้ใหญ่และเพื่อน ๆ ซึง่ คุณสมบัติ ที่ควรให้ แก่เด็กนันได้ ้ แก่ ความสามารถ ความซื่อสัตย์ ความใจดี ความเมตตา การยอมรับใน ความแตกต่างของผู้อื่น ความต้ องการทัง้ 6 ประการนี ค้ วรเป็ นหลักของความรับผิดชอบที่ผ้ ูใหญ่ควรจัดให้ เด็ก ดังนันจึ ้ งถือเป็ นหัวใจหลักในการจัดการศึกษาปฐมวัย สมาคมการอนุบาลศึกษาแห่งประเทศสหรัฐอเมริ กา (National Association for the Education of Young Children หรื อ NAEYC) ซึ่งเป็ นหน่วยงานที่รับผิดชอบทางด้ านการจัด การศึกษาปฐมวัยของสหรัฐอเมริ กา ชี ้แนวทางว่าการจัดการศึกษาปฐมวัยว่า ควรเน้ นความคิดเรื่ อง ความเหมาะสมของพัฒนาการ ซึง่ ได้ แก่ ความเหมาะสมของอายุและความเหมาะของแต่ละบุคคล เยาวพา เดชะคุปต์ (2542, หน้ า 22) ได้ สรุปหลักการจัดการศึกษาปฐมวัยไว้ ว่าควรมุ่ง พัฒนาเด็ก 3 ประการ ดังนี ้ 1. ความเสมอภาคทางโอกาส เด็กทุกคนไม่ว่าจะมาจากที่ใด สังคมใดมีความเสมอภาค เท่ าเที ยมกัน ในการที่ จ ะได้ รั บ การพัฒ นาในระดับ ปฐมวัย เพื่อ ให้ เ จริ ญ เติ บ โตไปสู่ความเป็ น พลเมืองดี มีคณ ุ ภาพ โดยเฉพาะเด็กในชนบท ชุมชนแออัด หรื อเด็กที่อยู่ในครอบครัวที่ยากไร้ ควรได้ รับการพิจารณาช่วยเหลือเป็ นพิเศษ เพื่อให้ ได้ รับการพัฒนาตามแนวทางเช่นเดียวกับเด็ก ในเมืองได้ รับ 2. การพัฒนาศักยภาพของเด็ก มนุษย์ทกุ คนมีศกั ยภาพหรื อความสามารถอยู่ภายในตัว ซึ่งติดตัวมาตังแต่ ้ กาเนิด ศักยภาพต่าง ๆ เหล่านี ้สามารถพัฒนาได้ และสามารถจะนาออกมาใช้ เมื่อได้ รับการกระตุ้นทังจากสิ ้ ่งเร้ าภายนอกและแรงจูงใจภายในตนเอง การจัดการศึกษาสาหรับ เด็กวัยนี ้จะต้ องพยายามดึงเอาศักยภาพของเด็กแต่ละคนออกมา และพัฒนาศักยภาพนันให้ ้ เจริ ญ งอกงามสมบูรณ์


13 3. ความแตกต่างระหว่างบุคคล ความแตกต่างระหว่างบุคคลเป็ นธรรมชาติของมนุษย์ เด็กแต่ละคนมีความแตกต่างกันตามคุณสมบัติประจาตัวและสิ่งแวดล้ อมที่ได้ รับ การจัดการศึกษา ปฐมวัยจะต้ องตระหนักถึง หลักความจริ งนี ้ การตระหนักถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลจะเป็ น พื ้นฐานในการวางแนวทางการพัฒนาเด็กตามลักษณะเฉพาะของเขา และเป็ นการพยายามเข้ าถึง ตัวเด็กแต่ละคนด้ วย สรุปได้ วา่ หลักในการจัดการศึกษาเพื่อการพัฒนาเด็กปฐมวัย ควรจัดการศึกษาให้ กบั เด็ก ด้ วยความเสมอภาคเท่าเทียมกัน โดยต้ องพยายามดึงเอาศักยภาพของเด็กแต่ละคนออกมา และ พัฒนาศักยภาพนันให้ ้ เจริ ญงอกงามสมบูรณ์ อย่างเต็มความสามารถ ทังนี ้ ้ต้ องตระหนักถึงความ แตกต่างระหว่างบุคคลของเด็กแต่ละคน โดยการวางแนวทางการพัฒนาเด็กตามลักษณะเฉพาะ เป็ นรายบุคคล

จุดมุ่งหมายของการจัดการศึกษาปฐมวัย การจัดการศึกษาปฐมวัยเป็ นการจัดการศึกษาที่แตกต่างจากการศึกษาระดับอื่น โดยมี รู ปแบบและจุดมุ่งหมายที่จดั แตกต่างกันไปตามสภาพความต้ องการนโยบาย หรื อหลักปรัชญา การศึกษาของแต่ละหน่วยงานที่จดั จุดมุ่งหมายในการจัดการศึกษาปฐมวัยที่เหมาะสมควรมีเป้าหมายเดียวกันคือ การเน้ น การพัฒนาเด็กทุก ๆ ด้ าน (Whole Child) เพราะเด็กในวัยนี ้ถ้ าได้ รับการส่งเสริ มและพัฒนาอย่าง ถูกต้ องเหมาะสมจะส่งผลดีและเป็ นรากฐานต่อพัฒนาการและการศึกษาในระดับอื่นด้ วย ดังนัน้ การจัดการศึกษาระดับนี ้จึงควรจะเป็ นการจัดการศึกษาที่เสริ มสร้ างพัฒนาการและประสบการณ์ ของเด็กให้ มีความพร้ อมให้ มากที่สดุ เท่าที่จะทาได้ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ (2526, หน้ า 336) ได้ กาหนดจุดมุ่งหมาย ของการจัดการศึกษาปฐมวัยไว้ ดงั ต่อไปนี ้ 1. เพื่อส่งเสริมพัฒนาการทางกายของเด็กอย่างเต็มที่ จะได้ เป็ นพลเมืองที่สมบูรณ์แข็งแรง 2. เพื่อส่งเสริมพัฒนาการด้ านบุคลิกภาพ อารมณ์และสังคมของเด็ก เพื่อให้ เป็ นผู้ใหญ่ที่ มีสขุ ภาพสมบูรณ์ มีความเข้ มแข็งทางจิตใจที่จะเผชิญอุปสรรคและอันตรายได้ 3. เพื่อให้ เด็กมีคณ ุ ลักษณะนิสยั ที่พึงประสงค์ มีความขยัน ซื่อสัตย์ มีระเบียบวินยั ประหยัด และรักความสะอาด 4. เพื่อส่งเสริมความคิดสร้ างสรรค์ด้านต่าง ๆ 5. เพื่อเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างบ้ านกับโรงเรี ยน หรื อศูนย์เด็กก่อนวัยเรี ยนในการ


14 ส่งเสริมพัฒนาการด้ านต่าง ๆ ของเด็ก 6. เพื่อตระหนักในปั ญหาความเบี่ยงเบนของพัฒนาการตังแต่ ้ แรกและดาเนินการต่อไป โดยเหมาะสม หน่วยศึกษานิเทศก์ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ (2528, หน้ า 3) กล่าวว่า เป้าประสงค์ของการจัดการศึกษาระดับปฐมวัยมีหลายประการดังนี ้ 1. พัฒนาเด็กในด้ านค่านิยม มีพฤติกรรมที่ดีเหมาะสมกับชีวิต 2. เตรี ยมเด็กให้ พร้ อมทางด้ านร่างกาย อารมณ์ สังคมและจิตใจ 3. พัฒนาเด็กให้ ร้ ูจกั ตนเองและใช้ ชีวิตกับผู้อื่นอย่างมีความสุข 4. จัดประสบการณ์ให้ แก่เด็กอย่างกว้ างขวางต่อเนื่องกัน 5. ส่งเสริมความสามารถและความชานาญในการสื่อสารติดต่อสัมพันธ์ทางสังคม 6. ส่งเสริมความสามารถทางการทางานง่าย ๆ และความคล่องตัวในการเคลื่อนไหว 7. ส่งเสริมความสามารถในการควบคุมอารมณ์ 8. เพิ่มความสามารถในการควบคุมตนเอง 9. เพิ่มความชานาญในการคิดวิจารณ์และแก้ ปัญหา 10. ให้ โอกาสเด็กได้ แสดงออกและมีความซาบซึ ้งในสิง่ สวยงาม สมาคมการอนุบาลศึกษาแห่งประเทศสหรัฐอเมริ กา (National Association for the Education of Young Children หรื อ NAEYC, 1987 อ้ างถึงใน สิริมา ภิญโญอนันตพงษ์ , 2550, หน้ า 4) ได้ ชีแ้ นะแนวทางว่า การจัดการศึกษาปฐมวัยที่ มีอายุตัง้ แต่แรกเกิ ดถึง 8 ปี ควรเน้ น แนวความคิดเรื่ องความเหมาะสมตามธรรมชาติ ความเจริญของเด็กดังนี ้ 1. จัดให้ เหมาะสมกับวัยของเด็ก เด็กในช่วงอายุตงแต่ ั ้ แรกเกิดถึง 8 ปี มีการเปลี่ยนแปลง และเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทังทางด้ ้ านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา ดังนันความรู ้ ้ และประสบการณ์ตา่ ง ๆ ที่เด็กได้ รับในวัยนี ้ จึงมีความสาคัญมากต่อพัฒนาการของเด็ก ครูต้อง เตรี ยมสิง่ แวดล้ อมและประสบการณ์ที่เหมาะสมให้ กบั เด็กวัยนี ้ 2. จัดให้ ตอบสนองเด็กเป็ นรายบุคคล เด็กแต่ละคนมีความเป็ นหนึง่ ในตนเอง มีรูปแบบ อัตราการเจริญเติบโต บุคลิกภาพ แบบของการเรี ยนรู้ และพื ้นฐานทางด้ านครอบครัวในแต่ละส่วน แตกต่างกัน ดังนัน้ การจัดประสบการณ์และความสัมพันธ์ที่ผ้ ใู หญ่จะให้ กบั เด็กแต่ละคน ควร แตกต่างกัน


15 เอสสา (Essa 1996, pp 19 – 20) กล่าวถึงการจัดการศึกษาปฐมวัยว่าได้ รับการพัฒนาขึ ้น มาจากแรงผลักดันของสังคม และความต้ องการของสังคม ทาให้ เกิดการจัดโครงการการบริ การ ต่าง ๆ กัน ทังเพื ้ ่อการดูแลและการศึกษา ซึง่ ในการพัฒนาการศึกษาปฐมวัยนี ้มีจดุ ประสงค์เพื่อ 1. บริการให้ การดูแลและเลี ้ยงดูเด็กให้ เป็ นไปอย่างเหมาะสมกับพัฒนาการ 2. ให้ การศึกษาเพื่อส่งเสริมการปรับตัวเข้ ากับสังคม ทักษะทางปั ญญา และพัฒนาการ ในทุกด้ าน 3. จัดเป็ นบริการเพื่อการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส เด็กยากจน ให้ ได้ รับการศึกษา การดูแล สุขภาพ การดูแลฟั น โภชนาการและการศึกษาสาหรับผู้ปกครอง นิตยา ประพฤติกิจ (2539, หน้ า 11 – 12) กล่าวว่า เป้าหมายการสอนเด็กปฐมวัยควร ประกอบด้ วย 1. สร้ างเสริมให้ เด็กเกิดความคิดรวบยอดที่ดีตอ่ ตนเอง มีเจตคติที่ดีตอ่ ตนเองและมีการ เริ่มต้ นในโรงเรี ยนที่ดี เพื่อส่งเสริมให้ เด็กพัฒนาถึงขีดสุดยอด 2. ให้ โอกาสเด็กได้ พฒ ั นาบุคลิกภาพทุก ๆ ด้ านโดยการ 2.1 จัดประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางสังคม 2.2 ฝึ กใช้ กล้ ามเนื ้อใหญ่และเล็กเพื่อพัฒนาร่างกาย 2.3 ยอมรับการแสดงออกทางด้ านอารมณ์ของเด็ก 2.4 สร้ างประสบการณ์ที่สร้ างเสริมให้ เด็กใช้ ความคิดวิเคราะห์ปัญหาและแก้ ไข ปั ญหาได้ ในหลาย ๆ รูปแบบ 3. กระตุ้นให้ เด็กมีพฒ ั นาการทางภาษาโดยจัดให้ เด็กได้ ฝึกฟั งและพูด 4. พัฒนาการรับรู้ (awareness) โดยผ่านประสาทสัมผัสทัง้ 5 5. ส่งเสริมให้ เด็กสามารถพึง่ พาตนเอง 6. ช่วยเหลือเด็กในการค้ นคว้ าสารวจสิง่ แวดล้ อม และช่วยให้ เด็กรู้สกึ พอใจหรื อสนใจใน ความอยากรู้อยากเห็นของตน 7. ช่วยสร้ างเด็กให้ มีนิสยั ที่ดีในการทางาน 8. มีประสบการณ์ที่ดีกบั เพื่อน ๆ 9. จัดประสบการณ์ที่สนองความต้ องการของเด็กแต่ละคนและเด็กเป็ นกลุม่ 10. พัฒนาให้ เด็กมีเจตคติที่ดีตอ่ ครู โรงเรี ยน และเข้ าใจสายใยสัมพันธ์ระหว่างบ้ านกับ โรงเรี ยน 11. สร้ างเสริมประสบการณ์ที่เด็กยังไม่มีที่บ้าน


16 นอกจากนี ้ กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ ได้ มีการกาหนดหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546 ขึ ้น เพื่อใช้ เป็ นแนวทางในการพัฒนาเด็กปฐมวัยได้ อย่างถูกต้ องเหมาะสม มี ประสิทธิภาพและมาตรฐานเดียวกัน สอดคล้ องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 และหลักสูตรการศึกษาขันพื ้ ้นฐาน พุทธศักราช 2544 โดยกาหนดจุดมุง่ หมายของการพัฒนาเด็กแต่ละวัย ดังนี ้ เด็กอายุต่ากว่ า 3 ปี การพัฒนาเด็กอายุต่ากว่า 3 ปี มุง่ ส่งเสริมให้ เด็กมีพฒ ั นาการด้ านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญาที่เหมาะสมกับวัย ความสามารถ ความสนใจและความแตกต่างระหว่าง บุคคล เพื่อให้ เด็กมีคณ ุ ลักษณะที่พงึ ประสงค์ ดังนี ้ (กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ, 2546, หน้ า 7) 1. ร่างกายเจริญเติบโตตามวัยและมีสขุ ภาพดี 2. ใช้ อวัยวะของร่างกายได้ คล่องแคล่วประสานสัมพันธ์กนั 3. มีความสุขและแสดงออกทางอารมณ์ได้ เหมาะสมกับวัย 4. รับรู้และสร้ างปฏิสมั พันธ์กบั บุคคลและสิ่งแวดล้ อมรอบตัว 5. ช่วยเหลือตนเองได้ เหมาะสมกับวัย 6. สื่อความหมายและใช้ ภาษาได้ เหมาะสมกับวัย 7. สนใจเรี ยนรู้สงิ่ ต่าง ๆ รอบตัว เด็กอายุ 3 – 5 ปี หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยสาหรับเด็กอายุ 3 – 5 ปี มุ่งให้ เด็กมีพฒ ั นาการด้ านร่ างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคมและสติปัญญา ที่เหมาะสมกับวัย ความสามารถและความแตกต่างระหว่าง บุคคล จึงกาหนดจุดมุ่งหมายซึง่ ถือเป็ นมาตรฐานคุณลักษณะที่พงึ ประสงค์ ดังนี ้ (กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ, 2546, หน้ า 26) 1. ร่างกายเจริญเติบโตตามวัยและมีสขุ นิสยั ที่ดี 2. กล้ ามเนื ้อใหญ่และกล้ ามเนื ้อเล็กแข็งแรงใช้ ได้ อย่างคล่องแคล่วและประสานสัมพันธ์ กนั 3. มีสขุ ภาพจิตดี และมีความสุข 4. มีคณ ุ ธรรม จริยธรรมและจิตใจที่ดีงาม 5. ชื่นชมและแสดงออกทางศิลปะ ดนตรี การเคลื่อนไหว และรักการออกกาลังกาย 6. ช่วยเหลือตนเองได้ เหมาะสมกับวัย 7. รักธรรมชาติ สิง่ แวดล้ อม วัฒนธรรมและความเป็ นไทย


17 8. อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ อย่างมีความสุข และปฏิบตั ิตนเป็ นสมาชิกที่ดีของสังคมในระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็ นประมุข 9. ใช้ ภาษาสื่อสารได้ เหมาะสมกับวัย 10. มีความสามารถในการคิดและการแก้ ปัญหาได้ เหมาะสมกับวัย 11. มีจินตนาการและความคิดสร้ างสรรค์ 12. มีเจตคติที่ดีตอ่ การเรี ยนรู้และมีทกั ษะในการแสวงหาความรู้ ความพร้ อมในการเรียนของเด็กปฐมวัย องค์ประกอบของความพร้ อมในการเรี ยนของเด็กปฐมวัย ได้ แก่ ความพร้ อมด้ านร่างกาย ความพร้ อมด้ านอารมณ์ จิตใจและสังคม ความพร้ อมด้ านสติปัญญา ความพร้ อมด้ านร่ างกาย ประกอบด้ วย การบังคับกล้ ามเนือ้ ใหญ่และกล้ ามเนือ้ เล็ก การใช้ ประสาทสัมผัส การเจริญเติบโตทางร่างกาย สุขภาพอนามัยและบุคลิกภาพ ความพร้ อมด้ า นอารมณ์ จิ ต ใจและสั ง คม ประกอบด้ ว ย ความสามารถในการ ช่วยเหลือตนเอง การปฏิบตั ิตนในการอยู่ร่วมกัน ความอดทน อดกลัน้ ความเชื่อมัน่ ในตนเอง ความร่ าเริ งแจ่มใส ความมีน ้าใจเอื ้อเฟื อ้ เผื่อแผ่ ความเมตตากรุ ณา มารยาทเรี ยบร้ อย การใช้ วาจาที่ไพเราะ การมีวินยั ในตนเอง การตรงต่อเวลา การเคารพในสิทธิของผู้อื่น การยอมรับและ เข้ าใจเมื่อกระทาความผิด รู้จกั การแก้ ปัญหาเฉพาะหน้ าและการรักษาความสะอาด ความพร้ อมด้ านสติปัญญา ประกอบด้ วย ความรู้พื ้นฐานทางภาษา ได้ แก่ ความพร้ อม ในการฟั ง พูด อ่านและเขียน ความรู้ พืน้ ฐานทางคณิ ตศาสตร์ ได้ แก่ การเปรี ยบเทียบสิ่งที่ อยู่ รอบตัว การจาแนกความแตกต่างและความคล้ ายคลึงของภาพและเสียง การจัดประเภทของ สิง่ ของ การลาดับเหตุการณ์ การนับและรู้คา่ ของจานวนหนึง่ ถึงสิบ การมีความคิดริ เริ่ มสร้ างสรรค์ ความจา และความคิดรวบยอด จากจุดมุง่ หมายดังกล่าวเป็ นที่มาของหลักการจัดการศึกษาปฐมวัย การส่งเสริ มพัฒนาการ ของเด็กให้ พร้ อมที่ จะดาเนินชีวิตในภายหน้ า ขึ ้นอยู่กบั การวางรากฐานขันต้ ้ นให้ แก่เด็กในระยะที่ เด็กกาลังพัฒนา เยาวพา เดชะคุปต์ (2542, หน้ า 18 – 19) ได้ กล่าวถึงการจัดการศึกษาปฐมวัย ว่ า เป็ นการจัด การศึก ษาที่ มุ่ง เน้ น การอบรมเลี ย้ งดูเ ป็ นส่ว นใหญ่ เพื่ อ ให้ เ ด็ ก พัฒ นาทุก ด้ า น ดังต่อไปนี ้ 1. ด้ านร่ างกาย ส่งเสริ มความเจริ ญเติบโต ความแข็งแรงของร่ างกาย ปลูกฝั งสุขนิสยั ทางสุขภาพอนามัย ฝึ กกิจนิสยั และสุขนิสยั รู้ จกั รักษาความสะอาด เลือกรับประทานอาหารที่มี ประโยชน์ รู้จกั การใช้ ห้องน ้า ห้ องส้ วมได้ ถกู ต้ อง ฝึ กให้ เล่นและออกกาลังกายเพื่อเป็ นการบริหาร


18 กล้ ามเนื ้อและประสาทสัมผัส รู้จกั การพักผ่อนอย่างถูกวิธี 2. ด้ านอารมณ์ และจิตใจ ส่งเสริ มด้ านสุขภาพจิต เช่น ปลูกฝั งให้ ร้ ูจกั ควบคุมอารมณ์ มี จิ ต ใจร่ า เริ ง แจ่ ม ใส ชื่ น ชมต่ อ ความไพเราะและสิ่ ง สวยงาม ฝึ กให้ มี จิ ต ใจเมตตากรุ ณ า เอื ้อเฟื อ้ เผื่อแผ่ ซื่อสัตย์ มีสมั มาคารวะ กตัญญูกตเวที เคารพเชื่อฟั ง ประหยัด ขยันหมัน่ เพียร อดทน มีระเบียบวินยั และเชื่อถือในคาสัง่ สอนของศาสนา 3. ด้ านสังคม ส่งเสริ มการพัฒนาลักษณะนิสยั เช่น ปลูกฝั งให้ เด็กรู้ จักเคารพตนเอง กล้ าพูด กล้ าแสดงออกด้ วยตนเองในทางที่ถูกต้ องตามขนบธรรมเนียมประเพณี รู้ จักเล่นและ ทางานร่ วมกับผู้อื่น เคารพสิทธิและหน้ าที่ ตลอดจนความรับผิดชอบ ฝึ กให้ ร้ ู จกั การรับ การให้ พร้ อมที่จะปรับตัวเข้ ากับสังคมและสิ่งแวดล้ อมที่ดี 4. ด้ านสติปัญญา ส่งเสริ มพัฒนาการด้ านสติปัญญา เช่น ให้ ร้ ู จักหาเหตุผลจนเกิด ความเข้ าใจและรู้ จกั ตัดสินใจด้ วยตนเอง สนใจต่อสิ่งต่าง ๆ รอบตัว มีความคิดริ เริ่ มสร้ างสรรค์ ฝึ กให้ เป็ นคนว่องไว รักการเรี ยนรู้ รู้จกั การใช้ เวลาว่างให้ เป็ นประโยชน์และมีประสบการณ์พอที่จะ เรี ยนในระดับต่อไป ดังนันจุ ้ ดมุ่งหมายของการจัดการศึกษาปฐมวัยควรเป็ นการจัดเพื่อพัฒนาเด็กในทุกด้ าน พร้ อม ๆ กัน และควรส่งเสริ มให้ บ้านและโรงเรี ยนได้ มีการร่ วมมือในการส่งเสริ มพัฒนาการให้ แก่ เด็กปฐมวัยไปพร้ อมกันด้ วย

นโยบายการจัดการศึกษาปฐมวัย ประเทศไทยมีแผนการพัฒนาเด็กมาตังแต่ ้ ปี 2522 โดยได้ จดั ให้ มีการทาแผนพัฒนาเด็ก ระยะยาวและแผนพัฒนาเยาวชนระยะยาว นอกจากนีย้ งั ได้ จัดทาแนวนโยบายการดาเนินการ พัฒนาเด็กโดยใช้ สภาวะความต้ องการพื ้นฐานและบริ การสาหรับเด็ก (สพด.) ด้ วย ในแผนพัฒนา เด็กทุกแผนจะกล่าวถึงการพัฒนาเด็กโดยรวมตังแต่ ้ 0 – 18 ปี หรื อ 0 – 25 ปี แต่ไม่มีแผนที่เน้ น เฉพาะเด็กปฐมวัย 0 – 5 ปี หน่ วยงานที่ รับผิดชอบโดยตรงในการพัฒนาเด็กและเยาวชน คือ สานักงานคณะกรรมการส่งเสริมและประสานงานเยาวชนแห่งชาติ จากมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2542 เรื่ องนโยบายการศึกษาขันพื ้ ้นฐาน 12 ปี ข้ อ 2.1 ระบุว่ารัฐบาลให้ ความสาคัญ กับการพัฒนาเด็กปฐมวัย (0 – 5 ปี ) เพราะการพัฒนาเด็กในวัยนี เ้ ป็ นช่วงเวลาสาคัญสาหรับการ พัฒนาการทางสมองของบุคคล การศึกษาระดับนี ้ควรเป็ นการศึกษาเพื่อเตรี ยมความพร้ อมโดย การส่งเสริ มให้ ชมุ ชน หรื อสถาบัน หรื อองค์กรในท้ องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันครอบครัว ควร มีส่วนร่ วมในการจัดการศึกษาระดับนี ้ควบคู่กันไปด้ วย ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ


19 พ.ศ.2542 และที่แก้ ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 ซึง่ มีหลายมาตราที่เกี่ยวข้ องกับการพัฒนา เด็กปฐมวัย ได้ แก่ มาตรา 13 (1) ก าหนดให้ บิดา มารดา หรื อ ผู้ป กครองมี สิท ธิ ไ ด้ รั บ สิท ธิ ประโยชน์ ก าร สนับสนุนจากรัฐ ให้ มีความรู้ ความสามารถในการอบรมเลี ้ยงดู และการให้ การศึกษาแก่บตุ รหรื อ บุคคลซึง่ อยูใ่ นความดูแล มาตรา 14 (1) บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอื่น ซึ่งสนับ สนุนหรื อจัดการศึก ษาขัน้ พื ้นฐาน มีสิทธิได้ รับสิทธิประโยชน์การสนับสนุนจากรัฐให้ มีความรู้ ความสามารถในการอบรม เลี ้ยงดูบคุ คลซึง่ อยูใ่ นความดูแลรับผิดชอบ มาตรา 18 และ 18 (1) การจัดการศึกษาปฐมวัย และการจัดการศึกษาขันพื ้ ้นฐาน ให้ จดั ในสถานศึกษาดังต่อไปนี ้ ได้ แก่ ศูนย์เด็กเล็ก ศูนย์พฒ ั นาเด็กเล็ก ศูนย์พฒ ั นาเด็กก่ อนเกณฑ์ ของสถาบันศาสนา ศูนย์บริ การช่วยเหลือระยะแรกเริ่ มของเด็กพิการและเด็กซึ่งมีความต้ องการ พิเศษ หรื อสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยที่เรี ยกชื่ออย่างอื่น มาตรา 47 ให้ มีระบบการประกันคุณภาพการศึกษา เพื่อพัฒนาคุณภาพและมาตรฐาน การศึกษาทุกระดับ ประกอบด้ วยระบบการประกั นคุณภาพภายในและระบบการประกันคุณภาพ ภายนอก (สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2550, หน้ า 1 – 2) ดังนันรั ้ ฐจึงมีบทบาทโดยตรง หรื อมีส่ว นร่ วมและส่งเสริ มสนับสนุนให้ บุคคล ครอบครัว องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้ องถิ่น เอกชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการและสถาบันสังคมอื่น มีส่วนร่ วมในการพัฒนาเด็กปฐมวัยให้ ทวั่ ถึงมีคณ ุ ภาพ และได้ มาตรฐานเท่าเทียมกัน ต่อมาเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2550 คณะรัฐมนตรี มีมติให้ ความเห็นชอบ นโยบายและ ยุทธศาสตร์ การพัฒนาเด็กปฐมวัย (0 – 5 ปี ) ระยะยาว พ.ศ. 2550 – 2559 และได้ มอบหมายให้ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมัน่ คงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย กระทรวงและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้ อง ร่ วมรับผิดชอบในการนานโยบายสู่ การปฏิบตั ิให้ ปรากฏผลเป็ นรู ปธรรม เพื่อสร้ างเด็กไทยให้ เป็ นบุคลากรที่มีคุณภาพของประเทศ ด้ วยความสาคัญรวมทังหลั ้ กการและเหตุผลดังที่ได้ กล่าวแล้ ว สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา จึงได้ ดาเนินการเสนอนโยบายและยุทธศาสตร์ การพัฒนาเด็กปฐมวัย (0 – 5 ปี ) ระยะยาว พ.ศ. 2550 – 2559 ประเด็นต่าง ๆ ดังนี ้


20 วิสัยทัศน์ ในปี 2559 เด็กปฐมวัยทุกคนได้ รับและมีการพัฒนาที่ดีและเหมาะสมอย่าง รอบด้ าน สมดุล เต็มศักยภาพ พร้ อมทังเรี ้ ยนรู้ อย่างมีความสุข เติบโตตามวัยอย่างมีคณ ุ ภาพ เพื่อเป็ นรากฐานอันสาคัญยิ่งในการพัฒนาเด็กในระยะต่อ ๆ ไป วัตถุประสงค์ ของนโยบายและยุทธศาสตร์ 1. เพื่อให้ มีแนวคิดและแนวทางร่วมกันทังระดั ้ บชาติและทุกระดับในการส่งเสริมสนับสนุน เด็กปฐมวัยทุกคนให้ มีพฒ ั นาการสูงสุดตามศักยภาพของตน 2. เพื่อให้ กระทรวง และหน่วยงานที่เกี่ ยวข้ องนานโยบายและยุทธศาสตร์ การพัฒนาเด็ก ปฐมวัย ฯ ไปดาเนินการจัดทาเป็ นยุทธศาสตร์ /แผนปฏิบตั ิการอย่างเป็ นรู ปธรรม เพื่อการพัฒนา เด็กปฐมวัยอย่างมีประสิทธิภาพ 3. เพื่อเป็ นแนวทางในการเก็บข้ อมูล ข้ อสนเทศ การวิจยั การติดตาม และประเมินผล 4. เพื่อให้ การพัฒนาเด็กปฐมวัยเป็ นส่วนสาคัญของการปฏิรูปการศึกษา นโยบาย พัฒนาเด็กปฐมวัยช่วงอายุ 0 – 5 ปี ทุกคน อย่างมีคุณภาพ เต็มศักยภาพ มี ครอบครั วเป็ นแกนหลัก และผู้มีหน้ าที่ดูแลเด็กและทุกภาคส่ วนของสังคมได้ มีส่วนร่ วมใน การจัดบริ การและสิ่งแวดล้ อมที่ดี เหมาะสม สอดคล้ องกับสภาพของท้ องถิ่นและการพัฒนาเด็ก ตามวัย กลุ่มเป้าหมาย ได้ แก่ 1. เด็กอายุ 0 – 5 ปี ทุกคน 2. พ่อแม่ สมาชิกในครอบครัว ผู้เตรี ยมตัวเป็ นพ่อแม่ 3. ผู้ที่เกี่ยวข้ องกับเด็กโดยตรง ได้ แก่ ผู้บริ หารสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย ครู ผู้ดแู ลเด็ก พี่เลี ้ยงเด็ก ผู้สงู อายุที่ดแู ลเด็ก แพทย์ พยาบาล นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ เจ้ าหน้ าที่ สาธารณสุข ฯลฯ 4. ชุมชน ได้ แก่ องค์ กรปกครองส่วนท้ องถิ่ น องค์ กรชุมชนต่าง ๆ ผู้นาทางศาสนา อาสาสมัครในรูปแบบต่าง ๆ กลุม่ อาชีพ นักเรี ยน/เยาวชน 5. สังคม ได้ แก่ สถาบันทางสัง คม สื่อมวลชน สถาบันวิจัย สถาบันการศึกษา นัก วิชาชีพและองค์กรวิชาชีพต่าง ๆ องค์กรของรัฐ องค์กรเอกชน องค์กรธุรกิจ องค์กรระหว่าง ประเทศ ฯลฯ ยุทธศาสตร์ หลัก ยุทธศาสตร์ หลัก เป็ นแนวคิดและทิศทางที่จะนาไปเป็ นกรอบในการจัดทาแผนปฏิบตั ิการ ที่ชดั เจนต่อไป ยุทธศาสตร์ หลัก ประกอบด้ วย 3 ยุทธศาสตร์ 1. ยุทธศาสตร์ การส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย


21 2. ยุทธศาสตร์ การส่งเสริมพ่อแม่ และผู้ที่เกี่ยวข้ องเพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัย 3. ยุทธศาสตร์ การส่งเสริ มสภาพแวดล้ อมที่เอื ้อต่อการพัฒนาเด็กปฐมวัย (สานักงาน เลขาธิการสภาการศึกษา, 2550, หน้ า 17 – 20) จากนโยบายดังกล่าวแสดงให้ เห็นถึงการให้ ความสาคัญของการให้ การศึกษาแก่เด็กปฐมวัย ทุกกลุ่มทังเด็ ้ กปกติและเด็กพิเศษ ซึง่ ปรากฏออกมาในรูปแบบของการจัดการศึกษาทัง้ 3 รู ปแบบ คือ การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย โดยสามารถจัดใน สถานศึกษาได้ เช่นเดียวกับการศึกษาขันพื ้ ้นฐาน ซึ่ง ต้ องมีระบบการประกันคุณภาพภายใน เพื่อ นาไปสู่การพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา ขณะเดียวกันก็ ให้ ค วามสาคัญแก่พ่อแม่ ผู้ปกครอง และผู้ที่เกี่ยวข้ อง ให้ มีความรู้เรื่ องการอบรมเลี ้ยงดูเด็กอย่างถูกต้ องเพื่อให้ บริการแก่เด็ก อย่างทัว่ ถึง

สรุ ป เด็กปฐมวัยเป็ นวัยที่สาคัญที่สดุ ของชีวิตเพราะเป็ นช่วงที่พฒ ั นาการทุกด้ านของเด็กเจริ ญ ขึ ้นอย่างรวดเร็ ว ทังด้ ้ านร่ างกาย อารมณ์ จิตใจสังคม สติปัญญาและบุคลิกภาพ การพัฒนา เด็กในช่วงวัยนี ้จะเป็ นการวางพื ้นฐานทางด้ านจิตใจ อุปนิสยั และความสามารถซึง่ จะมีผลต่อไปใน อนาคตของเด็ก ดังนันการจั ้ ดการศึกษาปฐมวัยจึง มีส่วนช่วยให้ เด็กเกิดการพัฒนาการและการ เรี ยนรู้อย่างเต็มที่ องค์ประกอบที่สาคัญของการจัดการศึกษาปฐมวัยมี 3 ประการ คือ เด็ก พ่อแม่ และครู การจัดการศึก ษาปฐมวัย มุ่ง พัฒ นาเด็ก โดยยึดหลักความเสมอภาคทางโอกาส การพัฒนา ศักยภาพของเด็กและความแตกต่างระหว่างบุคคล พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และที่แก้ ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2545 กาหนดนโยบายในการพัฒนาเด็กปฐมวัยโดยให้ ทุกส่วนของสังคมมีส่วนร่ วมในการจัดบริ การให้ สอดคล้ องกับสภาพของท้ องถิ่นและผู้รับบริการ เพื่อให้ เด็กทุกคนได้ พฒ ั นาอย่างเต็มศักยภาพและ คุณภาพ


22

คาถามทบทวน 1. จงอธิบายความหมายของเด็กปฐมวัยและการจัดการศึกษาสาหรับเด็กปฐมวัย ตาม ความเข้ าใจของท่าน 2. ท่านคิดว่าเด็กปฐมวัยมีความสาคัญอย่างไร 3. การจัดการศึกษาสาหรับเด็กปฐมวัยมีแนวคิดในการจัดอย่างไร 4. จงอธิบายความสาคัญของการจัดการศึกษาปฐมวัย ตามความคิดเห็นของท่าน 5. ท่านคิดว่าอะไรเป็ นองค์ประกอบสาคัญที่สง่ ผลต่อการเรี ยนของเด็กในโรงเรี ยน 6. จงอธิบายหลักในการจัดการศึกษาปฐมวัย ตามความคิดของท่าน 7. การจัดการศึกษาปฐมวัยมุง่ พัฒนาเด็กในด้ านใดบ้ าง 8. ท่านคิดว่าจุดมุง่ หมายในการจัดการศึกษาปฐมวัยที่เหมาะสมควรมีลกั ษณะอย่างไร 9. หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546 กาหนดจุดมุ่งหมายของการพัฒนาเด็ก แต่ละวัยไว้ อย่างไร ดังนี ้ 1. เด็กอายุต่ากว่า 3 ปี 2. เด็กอายุ 3 – 5 ปี 10. จงอธิบายองค์ประกอบของความพร้ อมในการเรี ยนของเด็กปฐมวัย


23

เอกสารอ้ างอิง คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, สานักงาน. (2526). การจัดบริการศูนย์ การศึกษาเด็กก่ อน วัยเรียน. กรุงเทพ ฯ : สานักนายกรัฐมนตรี . ........... (2528). การจัดสถานการอบรมในศูนย์ เด็กปฐมวัย. กรุงเทพ ฯ : ศรี เดชา. ........... (2542). การพัฒนาเด็กปฐมวัย. กรุงเทพ ฯ : สานักนายกรัฐมนตรี . ........... (2545). พระราชบัญญัตกิ ารศึกษาแห่ งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ และที่แก้ ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๔๕. กรุงเทพ ฯ : สานักนายกรัฐมนตรี . ทัศนา แก้ วพลอย. (2544). กระบวนการจัดประสบการณ์ พัฒนาการเรียนรู้เด็กปฐมวัย. ลพบุรี: สถาบันราชภัฏเทพสตรี . ทิพย์สดุ า สุเมธเสนีย์. (2543). การพัฒนาเด็กปฐมวัยตามแนวพระราชบัญญัตกิ ารศึกษา แห่ งชาติ พ.ศ.2542. กรุงเทพ ฯ : สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ นภเนตร ธรรมบวร. (2551). หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย (พิมพ์ครัง้ ที่3 ฉบับปรับปรุง). กรุงเทพ ฯ : สานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. นิตยา ประพฤติกิจ. (2539). การพัฒนาเด็กปฐมวัย. กรุงเทพ ฯ : โอเดียนสโตร์ บุปผา เรื องรอง. (2525). การปฐมวัยศึกษา. นครศรี ธรรมราช : วิทยาลัยครูนครศรี ธรรมราช. พัชรี เจตน์เจริญรักษ์ . (2545). เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 1072307 การเตรียมความ พร้ อมเพื่อการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย. ลพบุรี : สถาบันราชภัฏเทพสตรี . พัชรี สวนแก้ ว. (2545). เอกสารประกอบการสอน จิตวิทยาพัฒนาการและการดูแลเด็ก ปฐมวัย พิมพ์ครัง้ ที่ 2. กรุงเทพ ฯ : ดวงกมล. เยาวพา เดชะคุปต์. (2542). การศึกษาปฐมวัย. กรุงเทพ ฯ : แม็ค ........... (2542). การจัดการศึกษาปฐมวัย. กรุงเทพ ฯ : แม็ค รัศมี ตันเจริญ. (2544). เอกสารประกอบการสอนรายวิชาการศึกษาปฐมวัย. กรุงเทพ ฯ : สถาบันราชภัฏบ้ านสมเด็จเจ้ าพระยา. เลขาธิการสภาการศึกษา, สานักงาน. (2550). นโยบายและยุทธศาสตร์ การพัฒนาเด็ก ปฐมวัย (0 – 5 ปี ) ระยะยาว พ.ศ.2550 – 2559. กรุงเทพ ฯ : วี.ที.ซี. คอมมิวนิเคชัน่ . วราภรณ์ รักวิจยั . (2540). การอบรมเลีย้ งดูเด็กปฐมวัย. กรุงเทพ ฯ : แสงศิลป์การพิมพ์. วิชาการ, กรม กระทรวงศึกษาธิการ. (2546). หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546. กรุงเทพ ฯ : โรงพิมพ์ครุ ุสภาลาดพร้ าว.


24 วิชาการและมาตรฐานการศึกษา, สานัก. (2548). แนวดาเนินงานศูนย์ ปฐมวัยต้ นแบบ. กรุงเทพ ฯ : ม.ป.ท. วัชรี ย์ ร่วมคิด. (2547). การพัฒนาหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยในประเทศไทย. เลย : คณะ ครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย. สิริมา ภิญโญอนันตพงษ์ . (2538). แนวคิดสู่แนวปฏิบัติ : แนวการจัดประสบการณ์ ปฐมวัย ศึกษา (หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย). กรุงเทพ ฯ : ดวงกมล. ........... (2550). การศึกษาปฐมวัย. กรุงเทพ ฯ : มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสติ . สุโขทัยธรรมาธิราช, มหาวิทยาลัย. (2537). ประมวลสาระชุดวิชาสัมมนาการปฐมวัยศึกษา หน่ วยที่ 1 – 3. นนทบุรี : สานักพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. สุธิภา อาวพิทกั ษ์ . (2542). การดูแลเด็กปฐมวัย. อุตรดิตถ์ : สถาบันราชภัฏอุตรดิตถ์. หรรษา นิลวิเชียร. (2535) ปฐมวัยศึกษา : หลักสูตรและแนวปฏิบัต.ิ กรุงเทพ ฯ : โอเดียนสโตร์ . Carter V. Good. (1945). Dictionary of education. New York and London: McGraw – Hill Book. Essa, Eva. (1996). Introduction to Early Childhood Education. 2nd ed. Albany : Delmar Publishers. Hymes, J.L. (1969). Early childhood education: An introduction to the program. Washington D.C.: The National Association for Education of Young Children.


25

บทที่ 2 แนวคิดและทฤษฎีของนักการศึกษาที่เกี่ยวข้ องกับการศึกษาปฐมวัย แนวคิดของนักปรัชญาและนักการศึกษาที่เป็ นพื ้นฐานในการจัดการศึกษาปฐมวัยเริ่ มมา ตังแต่ ้ สมัยกรี กและโรมัน การจัดการศึกษาในสมัยนันจะสะท้ ้ อนให้ เห็นสภาพทางการเมืองและ สภาพทางสังคมในยุคนัน้ เช่น กรี กจะมีการจัดการศึกษาที่เน้ นเรื่ องการเตรี ยมบุคคลและพัฒนาคน เพื่อเป็ นทหาร ฝึ กวินยั ด้ านความกล้ าหาญ ความรักชาติ ความแข็งแรง การมีไหวพริ บ ความ อดทนและความสาคัญของอิสรภาพ ส่วนทางโรมันจะมีแนวการจัดการศึกษาเพื่อประโยชน์ในการ ดารงชีวิต แนวคิดของนักปรัชญาและนักการศึกษาที่สาคัญในอดีตยังคงมีอิทธิพลต่อแนวคิดใน การจัดการศึกษาปฐมวัยในปั จจุบนั การศึกษาแนวคิดของนักปรัชญาและนักการศึกษาเหล่านัน้ จะช่วยให้ นกั การศึกษาปฐมวัยในปั จจุบนั เข้ าใจและได้ แนวทางในการจัดประสบการณ์ที่เหมาะสม สอดคล้ องกับความต้ องการตามสภาพการณ์ ดังที่ หรรษา นิลวิเชียร (2535, หน้ า 2) กล่าวถึง แนวคิดที่สาคัญของนักปรัชญาและนักการศึกษาที่ชี ้ให้ เห็นความสาคัญของเด็กปฐมวัยไว้ ดงั นี ้ พลาโต (Plato 428 – 345 B.C) และอริ สโตเติล (Aristotle 384 – 322 B.C) ได้ เล็งเห็น ความสาคัญของเด็กในช่วงอายุ 6 ปี แรกของชีวิต พลาโต (Plato) เชื่อว่ารัฐควรเตรี ยมเด็กตังแต่ ้ ทารกเพื่อให้ พร้ อมที่จะสนองความต้ องการของประเทศ ส่วนอริสโตเติล (Aristotl) เชื่อว่าบ้ านและ โรงเรี ยนควรมีสว่ นในการเลี ้ยงดูบตุ ร เขาเชื่อว่าเด็กอายุก่อน 7 ปี ควรได้ รับการดูแลที่บ้านโดยแม่ และพยาบาล จากแนวความคิดของนักปรัชญาต่าง ๆ จึงเป็ นพื ้นฐานที่สาคัญต่อการจัดการศึกษา ปฐมวัยในสมัยต่อมา หลังจากยุคกรี กและโรมันเสื่อมลง การจัดการศึกษาในระบบโรงเรี ยนตกอยู่ ภายใต้ การ ดาเนินการของโบสถ์ เด็ก ๆ ถูกมองว่าเป็ นผู้ใหญ่ขนาดเล็ก ดังจะเห็นได้ ในยุคล่าอาณานิคมของ อเมริกา เด็ก ๆ จะเป็ นเครื่ องมือทางเศรษฐกิจ ปลูกผักและทางานในโรงงาน เด็กอยู่ในครอบครัว ขนาดใหญ่จะต้ องถูกเข้ มงวดในเรื่ องระเบียบวินัย การเชื่อฟั งคาสัง่ อย่างเข้ ม งวดและไม่มีสิทธิ์ แสดงความคิดเห็น การลงโทษเป็ นเครื่ องมือสาคัญที่จะทาให้ เด็กอยู่ในระเบียบวินยั โดยเฉพาะ อย่างยิ่งมีการลงโทษที่รุนแรงและทาให้ เด็กได้ รับความอับอาย มาร์ ติน ลูเธอร์ (Martin Luther 1483 – 1546) เชื่อว่าสถาบันครอบครัวเป็ นสถาบันขันมู ้ ล ฐานที่สาคัญในการให้ การศึกษาแก่บุตรโดยการให้ การศึกษาแก่พ่อแม่ ศูนย์แม่และเด็ก บ้ านรับ เลี ้ยงเด็กและการศึกษาครอบครัว


26

แนวคิดและทฤษฎีของจอห์ น อาโมส คอมมิวนิอุส (Johann Amos Comennius) จอห์น อาโมส คอมมิวนิอสุ มีชีวิตอยู่ในช่วงระยะเวลาระหว่างปี ค.ศ.1592 – ค.ศ.1670 คอมมิวนิอุสเห็นพ้ องกับความคิดของลูเธอร์ ว่า เด็กทุกคนควรมีสิทธิ ได้ รับการศึกษาในโรงเรี ยน ด้ วยเหตุผลที่ว่าเด็กทุกคนมีความเป็ นมนุษย์เท่าเทียมกัน ดังนันเด็ ้ กทุกคนจึงควรได้ รับการศึกษา เหมือน ๆ กัน เขาเสนอแนวคิดทางการศึกษาว่า การศึกษาควรเริ่มต้ นที่บ้านเพราะแม่เป็ นบุคคลที่ มีความสาคัญอย่างยิ่งในช่วง 6 ปี แรก และในช่วงอายุ 6 – 12 ปี จึงเริ่ มเข้ าโรงเรี ยน นอกจากนี ้เขา ยังเชื่อว่า “การเล่น” เป็ นเครื่ องมือในการพัฒนาสุขภาพ อารมณ์ และเป็ นหนทางในการสร้ าง ความเป็ นจริงให้ แก่ชีวิตของเด็ก ครูที่มีความสามารถจะทาให้ เด็กอยากเรี ยนโดยไม่มีการบังคับใน ด้ านเนื ้อหา การศึกษาควรเป็ นไปตามลาดับขันของธรรมชาติ ้ ครูจาเป็ นต้ องสังเกตลาดับขันตอน ้ ตามธรรมชาติดงั กล่าวและจัดการเรี ยนรู้สาหรับเด็ก เด็กควรได้ ลงมือปฏิบตั ิจริ ง การศึกษาจึงเป็ น กระบวนการที่เริ่ มตังแต่ ้ แรกเกิดและดาเนินต่อไปจนตลอดชีวิต แนวความคิดของจอห์น อาโมส คอมมิวนิอสุ กลายเป็ นพื ้นฐานที่สาคัญของแนวความคิดทางการศึกษาของจอห์น ดิวอี ้

แนวคิดและทฤษฎีของฌอง จาค รุ สโซ (Jean Jacques Rousseau)

ภาพที่ 2.1 ฌอง จาค รุสโซ (1712-1778) นักปราชญ์ชาวฝรั่งเศส เชื่อในอิสรภาพ ประสบการณ์ และพัฒนาการของเด็ก ที่มา (http://fr.wikipedia.org/wiki/Jean-Jacques_Rousseau) ฌอง จาค รุสโซ มีชีวิตอยู่ในช่วงระยะเวลาระหว่างปี ค.ศ.1712 – ค.ศ.1778 รุสโซได้ ให้ ความสาคัญกับการจัดการศึกษาสาหรับเด็กในช่วงวัยแรกของชีวิต โดยชี ้ให้ เห็นถึงวิธีการเลี ้ยงดู เด็ ก ให้ ใ กล้ ชิ ด กับ ธรรมชาติ เขามี ค วามคิ ด ว่ า หน้ า ที่ ที่ ยิ่ ง ใหญ่ ข องการศึก ษาคื อ การค้ น ให้ พ บ ธรรมชาติของมนุษย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งธรรมชาติที่ปรากฏอยู่ในตัวเด็กและมีการประคับประคอง


27 ให้ มีการดาเนินไปอย่างถูกวิธี รุสโซเน้ นความสาคัญของเด็กในแง่ของความเป็ นมนุษย์ เขามีความ เข้ าใจในตัวเด็ก มองเด็กว่ามีการเจริ ญเติบโตอย่างเป็ นขันตอน ้ แต่ละขันตอนของพั ้ ฒนาการจะมี การเรี ยงลาดับต่อเนื่องกัน อาจเรี ยกได้ ว่ารุ สโซเป็ นต้ นกาเนิดของจิตวิทยาเด็ก เขาชีใ้ ห้ เห็นว่า พัฒ นาการของเด็ ก มี 4 ขัน้ ตอน ใน 2 ขัน้ ตอนแรกจะกล่ า วถึ ง การศึ ก ษาในเด็ ก เล็ ก ( early childhood education) ในขันแรกของพั ้ ฒนาการจะเป็ นช่วง 5 ปี แรกของชีวิต รุ สโซมีความคิด เดี ยวกับ เพี ย เจต์ และนัก การศึก ษาสมัยนัน้ ซึ่ง ต่า งก็ ตระหนัก ถึง ความสาคัญ ของพัฒนาการ ทางด้ านร่ างกาย ในขันที ้ ่สองของพัฒนาการเริ่ มจากอายุ 5 – 12 ปี เด็กในวัยนี ้จะเรี ยนรู้ ทกุ สิ่งทุก อย่างจากประสบการณ์โดยตรงของเขาเองและจากการสารวจจากสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวเขา ซึ่ง ความคิดนีไ้ ด้ เคยมีผ้ กู ล่าวไว้ ก่อนแล้ วคือคอมมิวนิอุส และยังถูกนามากล่าวซ ้าโดยเปสตารอสซี และโฟรเบล การศึกษาของรุสโซนันจะเริ ้ ่มศึกษาจากธรรมชาติของเด็ก โดยกล่าวเน้ นว่า เด็กไม่ใช่ ส่วนย่อของผู้ใหญ่ (เด็กไม่ใช่ผ้ ูใหญ่ตวั เล็ก ๆ) ธรรมชาติให้ เด็กเป็ นเด็ก ก่อนที่เขาจะเป็ นผู้ ใหญ่ เด็กควรเติบโตไปตามธรรมชาติ รุสโซแยกรูปแบบและเนื ้อหาของการสอนเด็กเล็กจากวิธีการที่ใช้ กับเด็กโตและผู้ใหญ่ อีกทังยั ้ งตระหนักถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลของเด็ก การจัดการศึกษา จะต้ องเจริ ญงอกงามจากความสนใจตามธรรมชาติและความอยากรู้อยากเห็น เด็กควรจะเรี ยนรู้ จากการมีปฏิสมั พันธ์กบั สิ่งแวดล้ อม จากธรรมชาติ กิจกรรมต่าง ๆ จะช่วยสนับสนุนความสามารถ ในการใช้ เหตุผล วิธีการของรุสโซนี ้ได้ ชื่อว่าธรรมชาตินิยม รุสโซเชื่อว่าการศึกษาโดยธรรมชาติจะ เกิดขึ ้นจากสามแหล่งด้ วยกันคือธรรมชาติ ผู้คนและสิ่งของ รุ สโซตระหนักถึงคุณ ค่าของการเล่น ความแตกต่างกันของความสนใจและคุณค่าในการเล่นระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ การเรี ยนรู้ของเด็กจะ เกิดขึ ้นจากประสบการณ์เท่านัน้ เด็กจะต้ องไม่ได้ รับคาสัง่ ที่เป็ นคาพูดทุกชนิด เด็กต้ องไม่ได้ รับการ ลงโทษและต้ องไม่ถูกขอร้ องให้ กล่าวคาขอโทษ เขามีความรู้ สึกว่าการปราบปราม ความทรมาน และการบีบบังคับเป็ นการทาลายธรรมชาติของเด็ก ในความคิดของรุ สโซเขามีความเชื่อว่า หัวใจ ของการศึกษาคือชีวิตในครอบครัว พ่อและแม่มีบทบาทสาคัญในการเลี ้ยงดูและดูแลบุตรของตน รุสโซเสนอแนะว่าการศึกษาควรสะท้ อนความดีงามตามธรรมชาติของเด็กและบรรยากาศการเรี ยน การสอนควรยืดหยุ่นได้ โดยคานึงถึงความต้ องการและความสนใจของเด็กเป็ นหลัก นอกจากนัน้ วัสดุอปุ กรณ์ที่ใช้ ในการเรี ยนการสอนเด็กเล็กควรเป็ นรูปธรรม (นภเนตร ธรรมบวร, 2551, หน้ า 7) แนวความคิดของรุ สโซเป็ นพื ้นฐานแนวคิดทางการศึกษาของเปสตาลอสซี่ โฟรเบล มอนเตสซอรี และดิวอี ้ ซึง่ ทาการศึกษาเกี่ยวกับเด็กปฐมวัยในระยะต่อมา


28

แนวคิดและทฤษฎีของโจฮัน ไฮน์ ริค เปสตาลอสซี่ (Johann Heirnrich Pestalozzi)

ภาพที่ 2.2 โจฮัน ไฮน์ริค เปสตาลอสซี่ (1746 – 1827) นักปฎิรูปการศึกษาชาวสวิส เป็ นผู้ริเริ่ม ความเชื่อในเรื่ องความพร้ อมของเด็ก ที่มา (http://www.centrorefeducacional.com.) โจฮัน ไฮน์ริค เปสตาลอสซี่ มีชีวิตอยู่ในช่วงระยะเวลาระหว่างปี ค.ศ.1746 – ค.ศ.1827 ได้ รับพื ้นฐานทางความคิดจากรุ สโซมาใช้ ในการจั ดการศึกษา เขาได้ นาเอาความคิดใหม่ ๆ จาก ทฤษฎีทางการศึกษามาปรับปรุงใช้ ในห้ องเรี ยน เปสตารอสซีศกึ ษาถึงความไม่เท่าเทียมกันของเด็ก ที่มีฐานะยากจน เด็กที่มีพื ้นฐานวัฒนธรรมต่าง ๆ กันและพยายามหาแนวทางในการช่วยเหลือเด็ก เหล่านัน้ งานของเปสตารอสซีแสดงให้ เห็นถึงจุดเริ่มต้ นของรูปแบบความคิดใหม่ ๆ เกี่ยวกับการจัด โรงเรี ยนสาหรับเด็กเล็ก เขาเชื่อว่า เด็กแต่ละคนมีความสามารถ และมีความแตกต่างระหว่าง บุคคลในเรื่ องความสนใจ ความต้ องการ และความสามารถในการเรี ยนรู้ เปสตารอสซี่เป็ นผู้ริเริ่มใน เรื่ องของความพร้ อม นั่นคือไม่ควรบังคับเด็กให้ เรี ยนโดยการท่องจา เด็กจะเกิดการเรี ยนรู้ ด้วย ตนเองตามความสามารถแต่จ ะต้ อ งให้ เ วลา และประสบการณ์ ต่า ง ๆ เปสตาลอสซี่ มุ่ง เน้ น ความคิดของการจัดหลักสูตรแบบบูรณาการ ซึ่งสอดคล้ องกับการพัฒนาเด็กอย่างเป็ นองค์รวม ซึง่ เป็ นแนวคิดต่างจากรุสโซตรงที่มงุ่ เน้ นการสอนเด็กเป็ นกลุม่ มากกว่าการสอนเด็กเป็ นรายบุคคล (นภเนตร ธรรมบวร, 2551, หน้ า 8 – 9)


29

แนวคิดและทฤษฎีของเฟรดเดอริค วิลเฮล์ ม ออกัส โฟรเบล (Friederich Wilhelm August Froebel)

ภาพที่ 2.3 เฟรดเดอริค วิลเฮล์ม ออกัส โฟรเบล (1782 – 1852) นักการศึกษาชาวเยอรมัน ได้ รับการยกย่องว่าเป็ น ”บิดาแห่งการศึกษาปฐมวัย” ที่มา (สุโขทัยธรรมาธิราช , 2547, หน้ า 63) เฟรดเดอริ ค วิลเฮล์ม ออกัส โฟรเบล มีชีวิตอยู่ในช่วงระยะเวลาระหว่างปี ค.ศ.1782 – ค.ศ.1852 โฟรเบลเป็ นนักการศึกษาชาวเยอรมัน ได้ ศกึ ษางานของเปสตาลอสซี และวางแนวการ จัดการศึกษาปฐมวัยโดยอาศัยพื ้นฐานทางความคิดของเปสตาลอสซี โฟรเบลได้ รับการยกย่องว่า เป็ น ”บิดาแห่งการศึกษาปฐมวัย” เพราะจัดตังโรงเรี ้ ยนอนุบาลแห่งแรกในปี ค.ศ.1842 เขาเรี ยก โรงเรี ยนอนุบาลที่ ตัง้ ขึน้ ว่า “Kindergarten” ซึ่ง แปลว่า “สวนเด็ก ” โฟรเบลเชื่ อว่าเด็กทุกคนมี ความสามารถอยูภ่ ายในและจะแสดงออกถ้ าได้ รับการสนับสนุน ครูควรจะส่งเสริ มพัฒนาการตาม ธรรมชาติของเด็กให้ เจริ ญขึ ้นด้ วยการกระตุ้นให้ เกิดความคิดอย่างเสรี โดยใช้ การเล่นและกิจกรรม เป็ นเครื่ อ งมื อ การจัด สภาพแวดล้ อ มในโรงเรี ย นพยายามจัด ให้ เ ป็ นธรรมชาติ ม ากที่ สุด ให้ เหมือนกับเด็กเล่นอยู่ในสวนไม่ได้ เป็ นการมาโรงเรี ยน เขาจะเน้ นเรื่ องกิจกรรมของเด็ก โฟรเบล พบว่าเด็กจะสามารถเรี ยนได้ ดีในสังคมที่เขามีความสุขนอกห้ องเรี ยน โรงเรี ยนอนุบาลที่ดีจึงควร จะมีจดุ มุ่งหมายเฉพาะเพื่อพัฒนาเด็ก โดยอาศัยวิธีการในการให้ เด็กได้ เคลื่อนไหวและแสดงออก จากการเข้ าสังคมกับเด็กอื่น ๆ เป็ นแนวทาง จากแนวคิดดังกล่าว โฟรเบลตอบสนองความต้ องการของเด็กโดยคิดเครื่ องมือให้ เด็กเล่น หลายชุด และเรี ยกเครื่ องมือนี ้ว่า ชุดของขวัญ (Gifts) และชุดอาชีพ (Occupations) ซึง่ ออกแบบ มาสาหรับพัฒนาการเรี ยนรู้ โดยการสัมผัส ชุดของขวัญประกอบด้ วยไหมพรม ไม้ บล็อก วัสดุจาก ธรรมชาติ รูปทรงเรขาคณิต ส่วนชุดอาชีพจะประกอบด้ วยกิจกรรมต่าง ๆ อันได้ แก่ การปั น้ การตัด


30 การพับ การร้ อยลูก ปั ด การเย็ บปั ก กิ จกรรมเหล่านี ไ้ ด้ แสดงให้ เห็ น ความเชื่ อของโฟรเบลที่ ว่า การศึกษาจะเริ่มต้ นที่รูปธรรมและพัฒนาไปสูน่ ามธรรม โฟรเบลกาหนดว่าเด็ก ๆ ทุกคนจะต้ องมีของเล่นชุดเดียวกันก่อน ครูแนะนาให้ เด็กเล่นโดย ทดลองทาพร้ อม ๆ กัน เมื่อเด็กเข้ าใจและทาได้ บ้างแล้ วจึงให้ โอกาสเด็กแต่ละคนคิด ทดลองทา ด้ วยตนเองอี ก ครั ง้ หนึ่ง การเล่น เครื่ องเล่นดัง กล่าว โฟรเบลจะเน้ น ระเบียบการเตรี ยมตัวและ ขันตอนในการปฏิ ้ บตั ิ ตลอดจนการเก็บของเล่นแต่ละอย่างอย่างถูกวิธี พร้ อมทังก ้ าหนดเวลาของ กิจกรรมต่าง ๆ ประจาวันไว้ อย่างแน่นอน กิจกรรมอื่นที่สาคัญอีกอย่างหนึ่งคือ นิทาน โฟรเบลได้ แต่งนิทานสาหรับเด็กเป็ นเรื่ องของสัตว์เลี ้ยงมีชีวิตและความเป็ นอยู่เหมือนคน ขณะเดียวกันก็ให้ เด็ก ๆ รู้ จกั รักธรรมชาติของสัตว์ โดยการร้ องเพลงและทาท่าเลียนแบบ ซึ่งเด็ก ๆ ชอบมากและมี ความเพลิดเพลินตลอดเวลาที่มาอยู่ในโรงเรี ยน (สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, 2526, หน้ า 99 – 110)

แนวคิดและทฤษฎีของ มาเรีย มอนเตสซอรี่ (Maria Montessori)

ภาพที่ 2.4 มาเรี ย มอนเตสซอรี่ (1870 – 1952) นักจิตแพทย์ชาวอิตาลี จัดสถานที่เรี ยนให้ เหมือนกับบ้ าน พัฒนาอุปกรณ์ที่ใช้ ประสาทสัมผัส ที่มา (สุโขทัยธรรมาธิราช , 2547, หน้ า 66) มาเรี ย มอนเตสซอรี่ มีชีวิตอยูใ่ นช่วงระยะเวลาระหว่างปี ค.ศ.1870 – ค.ศ.1952 มาเรี ย มอนเตสซอรี่ เป็ นแพทย์ และนัก จิตวิท ยาชาวอิตาลี เป็ นอี กผู้ห นึ่งที่ วางแนวความคิดในการจัด การศึกษาให้ แก่เด็กอนุบาลและเป็ นที่ยอมรับกันจนถึงปั จจุบนั เช่นเดียวกับโฟรเบล แนวความคิด ของมอนเตสซอรี่ ส่วนใหญ่จะเห็นด้ วยกับหลักการของโฟรเบลแต่มีความขัดแย้ งกันเป็ นบางเรื่ อง


31 มอนเตสซอรี่ ได้ คิดหาวิธีการสอนแบบเอกัตบุคคล (Individualized Instruction) โดยให้ เสรี ภาพแก่ เด็กในการแสวงหาความรู้ และยังเน้ นวิธีการจัดสิ่งแวดล้ อมทางกายภาพและจิตวิทยาที่จะช่วยใน การเจริ ญเติบโตของเด็กจนเด็กสามารถปรับตัวให้ เข้ ากับสิ่งแวดล้ อมได้ โดยคานึงถึ งพัฒนาการ ของเด็กเป็ นสาคัญ มุ่งส่งเสริ มให้ เด็กพัฒนาความสามารถและความสนใจของตนเองอย่างเต็มที่ ปล่อยให้ เด็กมีประสบการณ์จากสิ่งแวดล้ อมด้ วยตนเองและด้ วยความสมัครใจ โดยยึดหลักความ แตกต่างระหว่างบุคคลเป็ นแนวทางในการปฏิบตั ิกิจกรรมที่เด็กชอบ เพื่อยัว่ ยุให้ เด็กหาความรู้ตาม ความสนใจ โดยครูเป็ นผู้สงั เกตแนะนาช่วยเหลือ จัดโปรแกรมการศึกษาให้ กบั เด็ก แม้ แต่เก้ าอี ้ของ เด็ก มอนเตสซอรี่ ก็ออกแบบให้ เล็กเหมาะสมกับความสูงของเด็กและเคลื่อนย้ ายไปมาได้ สะดวก ตามโอกาสและความเหมาะสมของกิจกรรมที่เด็กสนใจ นอกจากนี ้เธอยังเชื่อว่าความสามารถ ทางด้ านสติปัญญาของเด็กขึ ้นอยู่กับการฝึ กประสาทสัมผัส อุปกรณ์ ต่าง ๆ ที่เธอสร้ างขึ ้นนันจึ ้ ง เป็ นการฝึ กประสาทสัม ผัส ทัง้ สิน้ แนวความคิ ดของมอนเตสซอรี่ สอดคล้ อ งกับ แนวความคิ ด ของเพียเจต์ ซึง่ เน้ นว่าการให้ เด็กทากิจกรรมเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวจะเป็ นพื ้นฐานเพื่อวัดผลของ พัฒนาการทางสติปัญญา ห้ องเรี ยนของมอนเตสซอรี่ ประกอบด้ วย อุปกรณ์ที่เน้ นให้ เด็กพัฒนาประสาทสัมผัสและ การเรี ยนรู้ มโนทัศน์ สื่อการสอนจะวางไว้ ในที่ที่เด็กจะหยิบมาใช้ ได้ อย่างระมัดระวัง และใช้ ได้ อย่างอิสระ สื่อเหล่านี ้จะถูกแบ่งตามระดับความสามารถ จากสิ่งที่เรี ย นรู้ แล้ วไปยังสิ่งที่ยงั ไม่ร้ ู จากรู ปธรรมไปหานามธรรม การสอนมโนทัศน์ก็จะแยกเป็ นอิสระจากกัน เพื่อป้องกันการสับสน เช่น เมื่อเรี ยนเรื่ องรูปร่าง (Shape) สื่อจะต้ องอยูใ่ นลักษณะที่เน้ นให้ สนใจเฉพาะรูปร่างอย่างเดียว โดยจะออกแบบให้ เด็กวัดผลและแก้ ไขข้ อผิดพลาดของตนเองได้ หลักการพื ้นฐานของห้ องเรี ยนของมอนเตสซอรี่ คือ เด็กเรี ยนรู้จากประสบการณ์ตรง เด็ก เรี ยนโดยการสังเกตและปฏิบตั ิ การฝึ กประสบการณ์ชีวิต เช่น การติดกระดุม รู ดซิป การตัด การ ขัดถู และการทาสวน ช่ว ยให้ เ ด็กรู้ จักช่วยเหลื อตัวเอง รู้ จัก การอนุรักษ์ สิ่ง แวดล้ อม ซึ่ง จะมี ประโยชน์ในชีวิตในอนาคต มอนเตสซอรี่ ให้ ความสาคัญกับสื่อการเรี ยนมาก เพราะเขาเชื่อว่าสื่อ การเรี ยนช่วยให้ เด็กฝึ กประสาทสัมผัส ฝึ กการแยกขนาด รูปร่าง สี พื ้นผิว เสียง อุณหภูมิ ตลอดจน การเรี ยน เขียน อ่าน และเลข กิจกรรมจะจัดให้ เด็กฝึ กเป็ นรายบุคคลมากกว่าเป็ นรายกลุม่ เด็ก ๆ จะได้ รับอนุญาตให้ เคลื่อนไหวอย่างอิสระ และเลือกกิจกรรมของตนเอง ถึงแม้ ว่าจะไม่มีการเน้ น เรื่ องพัฒนาการทางด้ านสังคมและอารมณ์ แต่ครูผ้ สู อนก็มีความเชื่อว่าเด็กจะพัฒนาความรู้สกึ ที่ดี เกี่ยวกับตนเอง ในขณะที่เด็กพัฒนาความสามารถในการเรี ยน


32 การจัดสิ่งแวดล้ อมโรงเรี ยนอนุบาลของมอนเตสซอรี่ คานึงการจัดด้ วยหลักการเดียวกับ โฟรเบล โดยการจัดสิ่งแวดล้ อมในบริ เวณโรงเรี ยนด้ วยธรรมชาติ มีสนามให้ เด็กได้ วิ่งเล่น เพื่อ ออกกาลังกาย มีเครื่ องเล่นสนามให้ เด็กได้ ปีนป่ าย ห้ อยโหน ฯลฯ ให้ เด็ก ๆ ได้ เลือกเล่นตามความ พอใจ ฝึ กฝนให้ เด็กทาสวนครัว เลี ้ยงสัตว์ ปลูกดอกไม้ รดน ้าต้ นไม้ พรวนดิน ตามความพอใจ ความสนใจและความรัก เนื่องจากมอนเตสซอรี เป็ นแพทย์จึงเน้ นถึงสุขภาพอนามัยของเด็กเป็ น เรื่ องสาคัญ จัดให้ มีการตรวจสุขภาพ วัดส่วนสูง รอบอก รอบแขน รอบศีรษะ ชัง่ น ้าหนักอย่าง น้ อยเดือนละครัง้ เพื่อศึกษาความเจริ ญเติบโต นอกจากนันยั ้ งส่งเสริ มให้ เด็กมีกิจกรรมอันเป็ น นิสัยที่ ดีทัง้ การรั บประทาน การขับถ่าย การพักผ่อน ซึ่งนับว่าเป็ นความสมบูรณ์ ของการจัด การศึกษาปฐมวัย สิ่งที่ได้ กล่าวมานี ้เป็ นแนวทางนาไปสู่การปฏิบตั ิเพื่อการจัดการเรี ยนการสอน ตามแนวคิดการสอนแบบมอนเตสซอรี่ ทวั่ โลก แต่อย่างไรก็ตามหลักจากที่ดาเนินไปได้ ระยะหนึ่งก็ ได้ รับคาวิพากษ์ วิจารณ์ว่า แนวคิดของมอนเตสซอรี่ ขาดจุดเน้ นในเรื่ องพัฒนาการด้ านภาษาและ สังคม เน้ นความคิดสร้ างสรรค์ ดนตรี และศิลปะน้ อยมาก ซึ่งนับว่าเป็ นจุดอ่อนของแนวคิด นี ้ (สุกญ ั ญา กาญจนกิจ, 2537, หน้ า 8)

แนวคิดและทฤษฎีของ จอห์ น ดิวอี ้ (John Dewey)

ภาพที่ 2.5 จอห์น ดิวอี ้ (1859 – 1952) นักปฏิรูปการศึกษาชาวอเมริกนั เขาเชื่อว่าเด็กควรเรี ยนรู้ ด้ วยการกระทา (Learning by Doing) ที่มา (http://www.infed.org/thinkers/et-dewey.htm)


33 จอห์น ดิวอี ้ มีชีวิตอยู่ในช่วงระยะเวลาระหว่างปี ค.ศ.1859 – ค.ศ.1952 ดิวอี ้เป็ น นัก ปฏิ รู ปการศึก ษาชาวอเมริ กัน ได้ ป ฏิ รู ป การศึก ษาจากระบบเก่ า หรื อ การศึก ษาแบบดั ง้ เดิ ม (Traditional) เป็ นระบบก้ าวหน้ าหรื อการศึกษาแบบพิพฒ ั นาการ (Progressivism) การศึกษาแบบ ดังเดิ ้ มในทัศนะของดิวอี ้ มีลกั ษณะเป็ นการเสนอจากเบื ้องบนและเบื ้องนอก เป็ นการศึกษาที่ พยายามจะแทรกใส่ความรู้ ความคิดของผู้ใหญ่ ตลอดจนวิธีการต่าง ๆ เข้ าไปในตัวเด็กซึ่ งกาลัง เติบโตขึ ้นทีละน้ อยไปสูร่ ะดับวุฒิภาวะ การเรี ยนรู้ในความหมายดังเดิ ้ ม หมายถึง การแสวงหาสิ่งที่ มีอยู่แล้ วในตารา หรื อในผู้ที่มีอาวุโสกว่า ยิ่งกว่านัน้ สิ่งที่ สอนจะต้ องถูกต้ องเสมอไม่สามารถ เปลี่ยนแปลงได้ ดิวอึ ้ไม่เห็นด้ วยกับบทบาทของนักเรี ยนที่จะต้ องเป็ นฝ่ ายรับ ต้ องพึ่งพาผู้ใหญ่ให้ คอยสอนอยู่ตลอดเวลา การเรี ย นรู้ ของเด็ กเป็ นแบบท่ องจาและอยู่ภายใต้ การควบคุมอย่า ง เข้ มงวดของครู เขาได้ สรุปความคิดของเขาเกี่ยวกับโรงเรี ยนแบบก้ าวหน้ า (Progressive School) ไว้ วา่ โรงเรี ยนเป็ นสถาบันทางสังคมขนาดเล็กซึง่ จะแสดงถึงชีวิตที่เหมาะสมและสมบรูณ์ให้ กบั เด็ก เหมื อ นกับ บ้ า น ดัง นัน้ การศึก ษาจึง หมายถึง กระบวนการของชี วิต ที่ ด าเนิ น ตลอดเวลา มิ ไ ด้ หมายถึงการเตรี ยมการเพื่ออนาคต โรงเรี ยนจึงควรทาหน้ าที่เหมือนกับสังคมขนาดเล็กที่จะช่วยฝึ ก พืน้ ฐานประชาธิ ปไตยในแง่การอยู่ร่วมกัน ความร่ วมมือซึ่งกันและกัน ความเป็ นมนุษย์ การ ตัดสินใจ การแก้ ปัญหาต่าง ๆ ร่ วมกันและการจัดอาชีพที่เหมาะสม โดยเน้ นความสนใจของเด็ก เองเป็ นส่วนใหญ่ นอกจากนีใ้ นการเสริ มสร้ างทักษะบางอย่าง การสอนให้ เด็กมีทักษะในการ ดารงชีวิตควรเป็ นจุดประสงค์ที่สาคัญในหลักสูตร ทักษะเหล่านี ้ ได้ แก่ การตัดสินใจ การคิด อย่างสร้ างสรรค์ การแก้ ปัญหา การประเมินผลและการตระหนักในสิง่ ต่าง ๆ ดิวอี ้ ได้ อธิบายความหมายของคาว่า ประชาธิปไตยในชันเรี ้ ยนว่า ประชาธิปไตยไม่ได้ หมายความว่าจะต้ องมีการปฏิบตั ิต่อทุกคนเหมือนกันหรื อให้ เสรี ภาพอย่างไม่มีขอบเขต เสรี ภาพ และโอกาสนันได้ ้ มีอยู่แล้ วกับบุคคลทุกคน แต่จะต้ องวางรากฐานอยู่บนความต้ องการของบุคคล นันด้ ้ วย เขาคิดว่าประสบการณ์ จะเป็ นตัวปรับความสมดุลระหว่างเด็กกับสิ่งแวดล้ อและขยาย ความคิดของเด็กให้ กว้ างออกไปอีกด้ วย สิ่งแวดล้ อมเป็ นโลกของประสบการณ์ของเด็กที่พึงได้ รับ การเตรี ย มสภาพแวดล้ อ มให้ เ ด็ ก สามารถที่ จ ะเรี ย นรู้ หรื อ มี ป ระสบการณ์ ต รงด้ ว ยตนเองเป็ น รากฐานที่จะสร้ างความเข้ าใจที่แท้ จริ งมากกว่าที่จะให้ เด็กเรี ยนรู้ จากตารา ความรู้ ที่เกิดขึ ้นจาก การค้ นพบนันจะเป็ ้ นความรู้ที่จดจาได้ นาน ดิวอี ้ มองครูในฐานะที่เป็ นผู้จดั เตรี ยมประสบการณ์ให้ เกิดขึ ้นกับเด็กโดยการช่วยเหลือและส่งเสริมวางแนวทางที่เหมาะสมต่อเนื่องกันไป จากปรัชญาการศึกษาของดิวอี ้ จะนามาสูก่ ารเตรี ยมประสบการณ์ในโรงเรี ยนอนุบาลหรื อ สถานรับเลี ้ยงเด็ก ในแง่ให้ เด็กเรี ยนรู้เรื่ องราวและมีประสบการณ์เกี่ยวกับสังคม โดยเน้ นว่าให้ เด็ก


34 กระทาในสิ่งที่ ตนสนใจ เขาเชื่อว่าประสบการณ์ เรี ยนรู้ ที่จัดให้ กับเด็กมีความต่อเนื่องและการ เรี ยนรู้ จะเกิดขึ ้นเมื่อเด็กมีส่วนร่ วมในกิจกรรมอย่างกระฉับกระเฉง (Actively Involved) และเด็ก ควรมีอิสรภาพในการเรี ยน คาพูดที่ว่า “การเรี ยนโดยการกระทา (Learning by Doing)” เป็ น ปรัชญาที่สาคัญของเขา ดิวอี ้ เป็ นนักการศึกษาที่มีวิธีการคิดแบบวิทยาศาสตร์ คืออาศัยเหตุผลและข้ อมูลในการ วิเ คราะห์ สิ่ง ต่า ง ๆ และต้ องมี ก ารตัง้ สมมุติ ฐานก่ อ นการตัด สิน ใจ เขาเชื่ อ ว่าการพัฒนาทาง สติปัญญาของเด็กจะต้ องฝึ กให้ เด็กคิดแบบวิทยาศาสตร์ และคิดอย่างมีระบบ (เยาวพา เดชะคุปต์, 2542, หน้ า 21 – 22)

แนวคิดและทฤษฎีของ ฌอง เพียเจต์ (Jean Piaget, 1896-1980)

ภาพที่ 2.6 ฌอง เพียเจต์ (1896 – 1980) ทฤษฎีขนตอนพั ั้ ฒนาการทางสติปัญญา ที่มา (http://www.piaget.org/) ฌอง เพียเจต์ มีชีวิตอยู่ในช่วงระยะเวลาระหว่างปี ค.ศ.1896 – ค.ศ.1980 เป็ นผู้สนใจ ทางด้ านชีววิทยามาตังแต่ ้ วัยเด็ก การฝึ กฝนทางด้ านชีววิทยาของเพียเจต์ ส่งผลต่อการพัฒนา ความคิดของเขาเกี่ยวกับความรู้ และพื ้นฐานทฤษฎีเบื ้องต้ นของการเจริ ญเติบโตทางสติปัญญา นอกจากจะสนใจวิชาชีววิทยาแล้ ว เพียเจต์ยงั สนใจวิชาปรัชญาด้ านญาณวิทยาหรื อการศึกษา เกี่ ยวกับความรู้ ดัง นัน้ คาถามที่ ว่า เรารู้ อย่างไร คิด อย่างไร จึง เป็ นส่วนสาคัญของงานวิจัย ของเพียเจต์ในระยะต่อมา เพียเจต์มี ความประสงค์ที่จะศึกษาค้ นคว้ าหลักการทางชีววิทยาและ ปรัชญาเพื่อรวมเข้ าด้ วยกัน เขาจึงได้ ศึกษาจิตวิทยาพัฒนาการ ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์ (Freud) เพียเจต์เกิดความสงสัยว่าเด็กมีกระบวนการการคิดหาเหตุผลอย่างไร เขาจึงเริ่ มทาการ


35 วิจยั เกี่ยวกับความคิดของเด็กอย่างเป็ นหลักฐาน วิธีการวิจยั ของเพียเจต์จะใช้ วิธีการสนทนาโดย อิสระเป็ นหลัก วิธีการนี ้เป็ นวิธีการที่เขาคิดขึ ้นเองโดยมีความเชื่อว่าความคิดที่เกิดขึ ้นมาเองของ เด็กเป็ นสิ่งที่มีคณ ุ ค่าต่อการสันนิษฐานว่าเด็กคิดหรื อเข้ าใจอย่างไร เพียเจต์ใช้ เทคนิควิธีการแบบ คลินิก (Clinical Method) เพื่อแสดงกระบวนการคิดของเด็ก โดยสนทนากับเด็กอายุ 5 ปี 6 เดือน ในปี 1940 เพียเจต์ทางานวิจยั ด้ านความเข้ าใจมโนทัศน์คณิตศาสตร์ ของเด็ก เช่น เรื่ องระยะทาง เวลาและจานวน เขาปรับปรุงวิธีการวิจยั ซึง่ เน้ นทางด้ านภาษามาเป็ นการทากิจกรรมโดยยึดความ จริ งที่ว่า เด็กเล็กไม่สามารถคิดในสิ่งที่เป็ นนามธรรมและบรรยายความคิดเป็ นคาพูดได้ เพียเจต์ ใช้ วิธีผสมผสานเทคนิคสนทนากับการใช้ ของจริ งประกอบ เช่น ดอกไม้ ก้ อนหิน แก้ วนา้ นา้ ส้ ม กระดุม เป็ นต้ น บุตรสามคนของเพียเจต์ มีบทบาทสาคัญในการเป็ นตัวอย่างการวิจัยของเขา ตลอดจนเด็กอื่น ๆ นับพันคน เพียเจต์ ได้ กล่าวถึงประเภทของความรู้ที่เด็กสร้ างขึ ้นมีอยู่ 3 ประเภท สรุปได้ คือ 1. ความรู้ ที่เกิดจากการปฏิสมั พันธ์ทางสังคม โดยการเรี ยนรู้จากบุคคลต่าง ๆ ตัวอย่างของ ความรู้ประเภทนี ้คือ ภาษา ค่านิยม คุณธรรม พฤติกรรมต่าง ๆ ที่เหมาะสมในวัฒนธรรมของเด็กเอง 2. ความรู้ ทางกายภาพ ความรู้ ชนิดนี ้เกิดจากผลของการกระทาต่อวัตถุอยู่ในรู ปของการ ค้ นพบคุณสมบัติของวัตถุจะเป็ นผู้ให้ ข้อมูลแก่เด็ก ทาให้ เด็กเกิดการเรี ยนรู้ 3. ความรู้ ทางตรรกศาสตร์ – คณิตศาสตร์ เป็ นความรู้ ที่ไม่สามารถสังเกตได้ โดยตรง แต่ เกิดขึ ้นในจิตใจของเด็กขณะที่เด็กคิดเกี่ยวกับวัตถุนนั ้ ๆ พัฒนาการทางความคิดของตรรกศาสตร์ และคณิตศาสตร์ คือความสามารถในการคิดอย่างเป็ นเหตุเป็ นผล ทาให้ เด็กพัฒนาความคิด เกี่ ยวกับความสัมพันธ์ ของวัตถุต่าง ๆ ความรู้ ทางตรรกศาสตร์ – คณิ ตศาสตร์ และความรู้ ทาง กายภาพจึงมีความสัมพันธ์ ร่วมกันและต้ องอาศัยซึ่งกันและกัน (Herdrick, 1992 อ้ างถึงใน สุกญ ั ญา กาญจนกิจ, 2537, หน้ า 38) ผลการวิจยั ของเพียเจต์แพร่ หลายในยุโรปตังแต่ ้ ปี 1930 เป็ นที่ร้ ู จกั และได้ รับการยอมรับใน สหรัฐอเมริกาตังแต่ ้ ปี 1960 ทฤษฎีขนตอนพั ั้ ฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ได้ ถกู นาไปใช้ อย่าง ขว้ างขวางในการศึกษาเด็ก และการจัดหลักสูตรการศึกษา นับได้ ว่าเพียเจต์เป็ นผู้นาสาคัญคนหนึ่ง ในการศึกษาพัฒนาการของเด็กและการจัดการศึกษาปฐมวัย (หรรษา นิลวิเชียร, 2535, บทนา 6 – 7) จากแนวความคิดเกี่ยวกับการจัดการศึกษาปฐมวัยที่กล่าวมาของนั กปรัชญาการศึกษา ต่าง ๆ พบว่ามีความคล้ ายคลึงกันในหลายประการ เช่น มุ่งให้ เด็กเกิดอิสรภาพในการเรี ยนรู้ และ เป็ นประสบการณ์ตรงที่เด็กได้ ลงมือปฏิบตั ิ ค้ นคว้ าทดลองด้ วยตนเอง ซึง่ แนวความคิดของนักการ ศึกษาต่าง ๆ ได้ มีผ้ ปู ระยุกต์มาใช้ ในการจัดการศึกษาปฐมวัยปั จจุบนั อย่างกว้ างขวางหลายรูปแบบ


36

การประยุกต์ แนวคิดและทฤษฎีของนักการศึกษาในการจัดการศึกษาปฐมวัย การศึกษาปฐมวัยเป็ นเรื่ องที่มีผ้ ใู ห้ ความสนใจมาตังแต่ ้ กลางคริ สศตวรรษที่ 16 สาหรับ ความคิดเรื่ องการจัดการศึกษาปฐมวัยได้ เริ่ มต้ นขึ ้นโดยนักการศึกษาที่มีความคิดริ เริ่ มจากประเทศ ต่า ง ๆ ได้ ว างรากฐานของการจัด การศึก ษาระดับ นี ไ้ ว้ โดยนัก การศึก ษาเหล่า นัน้ ได้ เ ล็ง เห็ น ความสาคัญของเด็ก เข้ าใจในพัฒนาการและการเรี ยนรู้ของเด็ก เน้ นพัฒนาการของเด็กทางด้ าน ร่ า งกาย อารมณ์ สัง คม จิ ต ใจและสติ ปั ญ ญา พวกเขาอาศัย ความเข้ า ใจในธรรมชาติ แ ละ สิ่งแวดล้ อมของเด็กเป็ นปั จจัยสาคัญ นักการศึกษาที่ศึกษาเรื่ องเด็กปฐมวัยในระยะแรก ๆ ได้ แก่ รุสโซ โฟรเบล เปสตาลอสซี่ มอนเตสซอรี่ จอห์น ดิวอี ้ นักการศึกษาเหล่านี ้ได้ วางแนวความคิด ด้ านการเรี ยนรู้ ของเด็กตังแต่ ้ แรกเกิด การให้ ความรู้ แก่มารดาในระยะตังครรภ์ ้ การจัดกิจกรรม และบทเรี ยนง่าย ๆ เช่น การให้ เด็กรู้จกั สิ่งแวดล้ อม ได้ แก่ พืช สัตว์ ร่างกาย เป็ นต้ น การเรี ยนรู้ของ เด็กในระยะนี ้จะต้ องไม่ให้ เป็ นในลักษณะของการบีบบังคับ ซึง่ จะเป็ นการทาลายธรรมชาติของเด็ก การจัดกิจกรรมเพื่อเป็ นการส่งเสริ มพัฒนาการทางร่ างกาย การให้ เด็กได้ มีโอกาสเล่นและสารวจ สิง่ แวดล้ อมเพื่อให้ เด็กได้ เกิดประสบการณ์ตรง รวมทังการให้ ้ ความรักและการเอาใจใส่ตอ่ เด็ก แนวความคิดของรุ สโซ รุสโซเชื่อว่าแม่จะเป็ นผู้ที่ดแู ลเด็กได้ ดีที่สดุ และหัวใจทางการ ศึกษาคือชีวิตในครอบครัว เด็กควรเติบโตไปตามธรรมชาติ มีอิสระที่จะเรี ยนแต่ไม่ใช่การเรี ยน จากหนังสือ ควรเป็ นการเรี ยนจากประสบการณ์ ตรงที่ เด็กได้ สัมผัสกับธรรมชาติ โดยเน้ นให้ ตระหนักถึงความสาคัญของกิจกรรมทางร่ างกาย ในช่วง 5 ปี แรกของชีวิตและวัย 5 – 12 ปี เป็ น ช่วงที่เด็กจะเรี ยนรู้ ทุกสิ่งจากประสบการณ์ และการสารวจค้ นคว้ าสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว แนวคิด ของรุ สโซที่มีอิทธิพลต่อการศึกษาปฐมวัยในปั จจุบนั ได้ แก่ การส่งเสริ มให้ เด็กเล่นเสรี ซึง่ มาจาก แนวความคิดที่ว่า เด็กโดยธรรมชาติแล้ วเป็ นคนดี และมีความสามารถที่จะเลือกสิ่งที่ตนต้ องการ ที่จะเรี ยนรู้ การจัดสิ่งแวดล้ อมที่มงุ่ ให้ เสรี ภาพแก่ผ้ เู รี ยน และส่งเสริ มให้ ผ้ เู รี ยนควบคุมตนเอง รวม ตลอดถึงวัสดุอปุ กรณ์ที่ใช้ ในการเรี ยนการสอนควรเป็ นรูปธรรม (นภเนตร ธรรมบวร, 2551, หน้ า 8) ต่อมาเปสตารอสซี่ โฟรเบล ดิวอี ้ และเพียเจต์ ได้ นาความคิดของรุ สโซมาปรับปรุ งใช้ ในการจัด การศึกษา แนวความคิดของเปสตาลอสซี่ เปสตาลอสซี่เน้ นการสอนคนให้ นบั ถือตนเอง เขาเชื่อว่า เด็กแต่ละคนมีความแตกต่างกันในด้ านความสนใจ ความต้ องการและอัตราการเรี ยนรู้ นอกจากนี ้ เปสตาลอสซี่ยงั เป็ นคนริ เริ่ มความเชื่อเรื่ องความพร้ อมของเด็ก นัน่ คือไม่ควรบังคับเด็กให้ เรี ยนโดย การท่องจา แต่ควรให้ เวลาและประสบการณ์แก่เด็กในการทาความเข้ าใจสิง่ ต่าง ๆ รอบตนเอง ให้ เด็กได้ เรี ยนตามความสามารถและเรี ยนจากประสบการณ์ตรง


37 แนวความคิดของโฟรเบล โฟรเบลเชื่อว่าการเล่นเป็ นกิจกรรมพื ้นฐานที่สาคัญที่ช่วยให้ เด็กเกิดการเรี ยนรู้ การศึกษาจะเริ่ มต้ นที่ที่รูปธรรมและพัฒนาไปสู่นามธรรม การจัดสิ่งแวดล้ อม ในโรงเรี ยนอนุบาลเน้ นการจัดการให้ เป็ นธรรมชาติที่สดุ โดยให้ ถือว่าเด็กทุกคนมีความสามารถอยู่ ภายในซึง่ จะแสดงออกเมื่อได้ รับการสนับสนุน เช่น การเล่น การร้ องเพลง การแสดงท่าทางต่าง ๆ เป็ นต้ น โฟรเบลตอบสนองความต้ องการของเด็กโดยคิดเครื่ องมือประกอบด้ วยชุดของขวัญและ ชุดอาชี พ ซึ่งเป็ นเครื่ องมือสาหรับพัฒนาการเรี ยนรู้ โดยการสัมผัส ชุดของขวัญประกอบด้ วย ไหมพรม ไม้ บล็อก วัสดุธรรมชาติ รู ปทรงเรขาคณิต ส่วนชุดอาชีพประกอบด้ วยกิจกรรมต่าง ๆ ได้ แ ก่ การปั ้น การตัด การพับ การร้ อยลูก ปั ด และการเย็ บ ปั ก หลัก สู ต รของโฟรเบลเน้ น ความสาคัญของการเล่นและการพัฒนาศักยภาพของตนเอง โฟรเบลมีความเชื่อว่าเด็กเล็ก ๆ เกิด มาพร้ อมกับ ความรู้ และทัก ษะที่ ส ะสมอยูภ ายใน หน้ า ที่ ที่ ส าคัญ ของครู คื อ การพยายามดึง ความสามารถที่มีอยู่ภายในของเด็กออกมาและชวยให้ เด็กตระหนักถึงความสามารถของตนเอง (นภเนตร ธรรมบวร, 2551, หน้ า 9) แนวคิดทางการศึกษาปฐมวัยของโฟรเบลมี 3 ประการคือ 1. เด็ก ในฐานะที่เป็ นมนุษย์ควรได้ รับการพัฒนาอย่างเต็มที่และได้ รับความสาเร็ จจาก การมีสว่ นสัมพันธ์ทางสังคม 2. การเล่น เป็ นหัวใจสาคัญของการพัฒนาเด็ก 3. โรงเรี ยนอนุบาล ซึง่ เป็ นสังคมของเด็ก ไม่ควรบังคับให้ เด็กอยู่ในระเบียบวินยั ซึง่ การ จากัดเด็กให้ อยูใ่ นระเบียบต่าง ๆ เป็ นการสกัดกันความคิ ้ ด และสติปัญญาของเด็ก แนวความคิดของมอนเตสซอรี่ มอนเตสซอรี่ มีแนวความคิดคล้ ายคลึงกับโฟรเบลมาก โดยเน้ นการจัดสิ่งแวดล้ อมในโรงเรี ยนให้ เป็ นธรรมชาติที่สดุ เธอเชื่อว่าเด็กเรี ยนรู้ได้ ดีจากการสัมผัส ซึง่ การสัมผัสจะพัฒนาไปสูค่ วามรู้และทักษะเฉพาะอย่าง เด็กมีแรงจูงใจที่จะเรี ยนรู้โดยการสารวจ หาประสบการณ์และความรู้ ที่เหมาะสมกับวัยของตน เธอให้ ความสนใจเรื่ องคุณค่าของการเป็ น มนุษย์ ความเป็ นอิสระ ความเป็ นตัวของตัวเอง และความเป็ นคนที่มีคณ ุ ภาพของเด็กเป็ นอย่าง มาก ห้ องเรี ยนของมอนเตสซอรี่ มีหลักการพื ้นฐานคือเด็กเรี ยนรู้จากประสบการณ์ตรง เด็กเรี ยนรู้ โดยการสังเกตและปฏิบตั ิ การฝึ กประสบการณ์ชีวิต เช่น การติดกระดุม รูดซิป การตัด การขัดถู และการทาสวน ช่วยให้ เด็กรู้จกั ช่วยเหลือตนเอง ซึง่ จะมีประโยชน์ต่อชีวิตในอนาคต กิจกรรมจะ จัดให้ เด็ก ได้ ฝึกเป็ นรายบุคคลมากกว่าเป็ นรายกลุ่ม กิ จกรรมจะไม่มีการเน้ นเรื่ องพัฒนาการ ทางด้ านสังคมและอารมณ์ แต่ครู จะมี ความเชื่ อว่าเด็กจะพัฒนาความรู้ สึกที่ ดีเกี่ ยวกับตนเอง ในขณะที่เด็กพัฒนาความสามารถในการเรี ยนหลักสูตรของมอนเตสซอรี จะให้ ความสาคัญกับ


38 การศึกษาทางด้ านสัมผัส (Education of the senses) เพราะถือว่าเป็ นรากฐานของพัฒนาการ ทางสติปัญญา นอกจากนัน้ มอนเตสซอรี ยัง ให้ ความสาคัญกับสายสัมพัน ธ์ ระหว่างบ้ านและ โรงเรี ยน แนวคิดของมอนเตสซอรี่ ที่มีอิทธิพลต่อการศึกษาระดับปฐมวัยในปั จจุบนั คือ 1. ความเป็ นอิสระในการเลือกกิจกรรม มอนเตสซอรี่ เสนอว่า ครูควรเปลี่ยนบทบาทจากผู้ ที่มีหน้ าที่ในการสอนแต่อย่างเดียวมาเป็ นผู้สงั เกตการณ์ ผู้จดั หาอุปกรณ์และอานวยความสะดวก ต่าง ๆ ให้ เด็กและคอยสังเกตดูวา่ เด็กจะทาอะไรบ้ าง 2. ความเชื่อมัน่ ในเรื่ องอิสรภาพทางการศึกษา โดยเน้ นให้ เด็กมีอิสระในการเลือกกิจกรรม ที่ตนเองสนใจ เธอได้ เสนออุปกรณ์ การศึกษาให้ เด็กได้ เล่น ซึ่งเป็ นจุดเริ่ มต้ นของอุปกรณ์ ทาง การศึกษาในปั จจุบนั 3. การฝึ กการรับรู้ควรเป็ นทักษะเบื ้องต้ นของการอ่าน การเขียนและการสอนคา 4. การให้ การศึกษาแก่พอ่ แม่เป็ นสิ่งสาคัญในการจัดการศึกษาแก่เด็ก โดยควรให้ พ่อแม่มี ความรู้ด้านสุขภาพอนามัย วิธีการอบรมเลี ้ยงดูเด็ก ฯลฯ แนวความคิดของจอห์ น ดิวอี ้ ดิวอี ้เน้ นความสาคัญของความรับผิดชอบต่อสังคมใน ระบอบประชาธิปไตย เด็กควรจะได้ มีเสรี ภาพในการคิด การแสดงออก การจัดการศึกษาจะต้ อ ง ยึดเด็กเป็ นศูนย์กลาง เน้ นการยอมรับนับถือตัวบุคคล คานึงถึงความสนใจและความสามารถของ เด็ก หลักสูตรควรมีลกั ษณะยืดหยุ่นได้ และสัมพันธ์กบั เหตุการณ์ในชีวิตประจาวันของเด็ก ให้ เด็ก มีโอกาสเลือกทากิจกรรมด้ วยตนเอง เรี ยนโดยประสบการณ์ตรงและการทดลอง เนื ้อหาวิชาจะถูก นามาบูรณาการ บทบาทของครู คือเป็ นผู้จดั เตรี ยมประสบการณ์ และสภาพแวดล้ อมให้ กับเด็ก โดยครูจะเป็ นผู้คอยให้ ความช่วยเหลือ แนะนา ส่งเสริ มและวางแนวทางที่เหมาะสมแก่เด็กอย่าง ต่อเนื่องกันไป แนวคิดของดิวอี ้ที่มีตอ่ การศึกษาปฐมวัย ได้ แก่ 1. การศึกษาไม่ใช่การเตรี ยมการเพื่อชีวิต แต่เป็ นกระบวนการต่อเนื่องตลอดชีวิต 2. การเรี ยนรู้จะเป็ นผลผลิตจากการทากิจกรรมซึง่ จะแสดงถึงความสนใจของเด็ก โดยเน้ น “การให้ เด็กเป็ นศูนย์กลางของการเรี ยนรู้ ” 3. การให้ อิสรภาพในการเรี ยนจะเป็ นพื ้นฐานของพัฒนาการของการดารงชีวิตแบบ ประชาธิปไตย (เยาวพา เดชะคุปต์, 2542, หน้ า 21 – 22)


39 ตารางที่ 2.1 สรุ ปแนวคิดของนักการศึกษาที่มีบทบาทต่ อการจัดการศึกษาปฐมวัย นักการศึกษา

ระยะเวลา

แนวคิดที่สาคัญ

คอมมิวนิอสุ

ค.ศ.1592 – 1670

รุสโซ

ค.ศ.1712 – 1778

เปสตาลอสซี่

ค.ศ.1746 – 1827

โฟรเบล

ค.ศ.1782 – 1852

ดิวอี ้

ค.ศ.1859 – 1952

- การศึกษาที่มงุ่ เน้ นประสาทสัมผัส - การปฏิรูปทางสังคมด้ านการศึกษา - พัฒนาระบบการจัดชันเรี ้ ยนให้ ควบคูก่ บั สติปัญญา - ส่งเสริมให้ เด็กเล่นเสรี - การจัดสิ่งแวดล้ อมที่มงุ่ ให้ เสรี ภาพแก่ผ้ เู รี ยน - ส่งเสริมให้ ผ้ เู รี ยนควบคุมตนเอง - วัส ดุอุป กรณ์ ที่ ใ ช้ ใ นการเรี ย นการสอนควรเป็ น รูปธรรม - เชื่อในอิสรภาพ ประสบการณ์ และพัฒนาการ ตามธรรมชาติของเด็ก - การจัดหลักสูตรแบบบูรณาการ - การจัดการศึกษาแก่เด็กควรรวมถึงพัฒนาการทาง ร่างกาย สติปัญญา และจริยธรรม - เด็กเรี ยนรู้ได้ ดีที่สดุ จากการค้ นพบด้ วยตนเอง - ริเริ่มการจัดการศึกษานอกห้ องเรี ยนเป็ นครัง้ แรก - เน้ นความสาคัญของการเล่น และการพัฒนา ศักยภาพของตนเอง - กระตุ้นให้ แม่เล่นกับลูก - ประดิษฐ์ ของเล่นทางการศึกษาโดยใช้ ชื่อว่า “ชุดของขวัญ” - บิดาแห่งการศึกษาปฐมวัย (ค.ศ.1842) - โรงเรี ยนควรมุง่ เน้ นที่ธรรมชาติของเด็ก - การจัดการเรี ยนการสอนที่เน้ นผู้เรี ยนเป็ น ศูนย์กลาง


40 ตารางที่ 2.1 สรุ ปแนวคิดของนักการศึกษาที่มีบทบาทต่ อการจัดการศึกษาปฐมวัย นักการศึกษา มอนเตสซอรี่

ระยะเวลา ค.ศ.1870 – 1952

แนวคิดที่สาคัญ - ให้ ความสัมพันธ์ระหว่างบ้ านกับโรงเรี ยน - พัฒนาอุปกรณ์ที่ใช้ ฝึกประสาทสัมผัส และการ จัดการเรี ยนการสอนแบบมอนเตสซอรี่ - เน้ นวิธีการเฉพาะในการดาเนินการกับเด็กเรี ยนช้ า

ที่มา (ดัดแปลงจากนภเนตร ธรรมบวร, 2551, หน้ า 10)

สรุ ป แนวคิดเกี่ ยวกับการจัดการศึกษาปฐมวัย ได้ เริ่ มมีขึน้ ตัง้ แต่ปลายศตวรรษที่ 15 โดย นักปราชญ์ชาวยุโรป ได้ แก่ คอมมิวนิอสุ รุสโซ และเปสตาลอสซี่ ได้ มองเห็นความสาคัญในการ ให้ การศึกษาแก่ เด็ก ปฐมวัย ชี ใ้ ห้ สัง คมตระหนักถึง ความสาคัญของเด็ก แนวการจัดกิ จกรรม สาหรั บเด็กปฐมวัย ควรมุ่งที่ ตัว เด็ก โดยจัดให้ สอดคล้ องกับธรรมชาติและพัฒนาการ ต่อมา โฟรเบล นักการศึกษาชาวเยอรมัน ซึง่ เรายกย่องให้ เป็ น “บิดาแห่งการอนุบาล” ได้ รับอิทธิพล จากแนวคิดรุ่ นก่อน จึงพัฒนาแนวการจัดกิจกรรมสาหรับเด็ก โดยเน้ นเด็กเป็ นศูนย์กลาง ซึ่ง แนวคิดนี ้ทาให้ ประเทศต่าง ๆ หันมาสนใจและถือเป็ นแบบแผน นับได้ ว่าการจัดการศึกษาปฐมวัย เริ่ มเกิดขึน้ ในประเทศเยอรมันเป็ นแห่งแรก และต่อมาแพร่ หลายไปยังประเทศต่าง ๆ ในยุโรป ก่อนที่จะไปถึงสหรัฐอเมริกา และหลังจากนันจึ ้ งได้ เผยแพร่ไปทัว่ โลก


41

คาถามทบทวน 1. จงอธิบายแนวคิดและทฤษฎีทางการศึกษาของคอมมิวนิอสุ ตามความเข้ าใจของท่าน 2. รุสโซมีความเชื่อว่า “เด็กไม่ใช่สว่ นย่อของผู้ใหญ่” ท่านมีความคิดเห็นอย่างไร 3. จงอธิบายแนวคิดและทฤษฎีทางการศึกษาของรุสโซ ตามความเข้ าใจของท่าน 4. ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรต่อการให้ เด็กเรี ยนโดยการท่องจา 5. จงอธิบายแนวคิดทางการศึกษาปฐมวัยของโฟรเบล ตามความเข้ าใจของท่าน 6. กิ จ กรรมที่ ส าคัญ ตามแนวคิ ด ของโฟรเบลมี อ ะไรบ้ า ง จงอธิ บ ายความส าคัญ ของ กิจกรรมนันๆ ้ ตามความเข้ าใจของท่าน 7. เพราะเหตุใดมอนเตสซอรี่ จงึ ให้ ความสาคัญต่อสื่อที่ใช้ ในการเรี ยนมากที่สดุ 8. จากแนวคิดของมอนเตสซอรี่ ท่านคิดว่าครู ปฐมวัยควรมีบทบาทในการจัดกิ จกรรม ให้ กบั เด็กอย่างไร 9. การจัดกิจกรรมตามแนวคิดของดิวอี ้ที่ว่า “การเรี ยนโดยการกระทา” (Learning by doing) ควรมีการจัดกิจกรรมอย่างไร 10. สมมุติว่าท่านจะตังโรงเรี ้ ยนอนุบาล ท่านคิดว่าโรงเรี ยนของท่านจะใช้ แนวคิดและ ทฤษฎีทางการศึกษาปฐมวัยของนักการศึกษาท่านใด จงอธิบายเหตุผล


42

เอกสารอ้ างอิง คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, สานักงาน. (2526). การจัดบริการศูนย์ การศึกษาเด็กก่ อน วัยเรียน. กรุงเทพ ฯ : สานักนายกรัฐมนตรี . นภเนตร ธรรมบวร. (2551). หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย (พิมพ์ครัง้ ที่ 3 ฉบับปรับปรุง). กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. นิตยา ประพฤติกิจ. (2539) การพัฒนาเด็กปฐมวัย. กรุงเทพ ฯ : โอเดียนสโตร์ เยาวพา เดชะคุปต์. (2542) การศึกษาปฐมวัย. กรุงเทพ ฯ : แม็ค ........... (2542) การจัดการศึกษาปฐมวัย. กรุงเทพ ฯ : แม็ค สิริมา ภิญโญอนันตพงษ์ . (2538). แนวคิดสู่แนวปฏิบัติ : แนวการจัดประสบการณ์ ปฐมวัย ศึกษา (หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย). กรุงเทพ ฯ : ดวงกมล. สุกญ ั ญา กาญจนกิจ. (2537). “การปฐมวัยศึกษาของต่างประเทศในปั จจุบนั ” ประมวลสาระชุด วิชาหลักการและแนวคิดทางการปฐมวัยศึกษา. หน่ วยที่ 1 – 4. นนทบุรี : มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. สุโขทัยธรรมาธิราช, มหาวิทยาลัย. (2547). พฤติกรรมการสอนปฐมวัยศึกษา หน่ วยที่ 1 – 8 (พิมพ์ครัง้ ที่ 14). นนทบุรี : มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. หรรษา นิลวิเชียร. (2535) ปฐมวัยศึกษา : หลักสูตรและแนวปฏิบัต.ิ กรุงเทพ ฯ : โอเดียนสโตร์ . ดิวอี ้ [Online] Available : http://www.infed.org/thinkers/et-dewey.htm. [2006, สิงหาคม 28]. เปสตาลอสซี่ [Online] Available : http://www.centrorefeducacional.com. [2006, สิงหาคม 28]. เพียเจต์ [Online] Available : http://www.piaget.org/ [2006, สิงหาคม 28]. รุสโซ [Online] Available : http://fr.wikipedia.org/wiki/Jean-Jacques_Rousseau. [2006, สิงหาคม 28].


43

บทที่ 3 การศึกษาปฐมวัยในซีกโลกตะวันตก การศึกษาปฐมวัยเป็ นสาขาวิชาที่เกิดขึ ้นมานานแล้ วและมีการพัฒนาอยู่เสมอ การพัฒนา ทางการศึกษาปฐมวัยเป็ นการพัฒนาเพื่อหาวิธีการช่วยเหลือเด็กให้ มีการเจริ ญเติบโตอย่างเต็มที่ และเมื่อเราศึกษาแนวคิดของนักการศึกษาที่สาคัญ ๆ ในอดีตจะเห็นได้ วา่ แนวคิดของนักการศึกษา เหล่านันไม่ ้ แตกต่างไปจากแนวคิดที่เรายึดในปั จจุบนั นี ้มากนัก ทังนี ้ ้เนื่องจากธรรมชาติของมนุษย์ มีการเปลี่ยนแปลงไปเพียงเล็กน้ อยเท่านัน้ อย่างไรก็ตามการศึกษาเรื่ องราวในอดีตตังแต่ ้ แรกเริ่ ม จนถึงปั จจุบนั จะช่วยให้ เข้ าใจถึงความเปลี่ยนแปลงเพื่อการพัฒนาทางการศึกษาปฐมวัยมาโดยตลอด แนวคิดเกี่ยวกับการศึกษาปฐมวัยเริ่ มต้ นตังแต่ ้ ศตวรรษที่ 17 เป็ นต้ นมาโดยนักการศึกษา แถบทวีปยุโรป ได้ มีการศึกษาเรื่ องเด็กเล็ก ๆ ซึ่งผลจากการศึกษาทาให้ เข้ าใจธรรมชาติของเด็ก มากขึน้ รู้ ว่าจะจัดโรงเรี ยนและจัดการเรี ยนการสอนอย่างไรจึงจะพัฒนาเด็กให้ มีศกั ยภาพสูงสุด แนวความคิดในยุคแรกย ้าให้ เห็นความสาคัญของเด็กและได้ วิวฒ ั นาการมาเป็ นหลักการศึกษาและ วิ ธี ก ารสอนเด็ ก ปฐมวัย จนเป็ นรู ป แบบการศึก ษาปฐมวัย ที่ ใ ช้ ใ นปั จ จุบัน อิ ท ธิ พ ลแนวคิ ด ทาง การศึกษาปฐมวัยจากทวีปยุโรปแพร่ หลายไปยังทวีปอื่น ๆ โดยเฉพาะทวีปอเมริ กาเหนือ ประเทศ สหรัฐอเมริกาได้ รับอิทธิพลแนวคิดมาจากทวีปยุโรปและพัฒนาแนวคิดของตนขึ ้น

ประวัตคิ วามเป็ นมาของการศึกษาปฐมวัยในยุโรป ความสนใจที่จะจัดตังโรงเรี ้ ยนสาหรับเด็กปฐมวัยได้ มีมานานแล้ ว เช่น ในยุโรประหว่า ง ค.ศ.1592 – ค.ศ.1670 คอมมิวนิอุส ได้ มองเห็นความสาคัญของระบบโรงเรี ยนสาหรับเด็ก ๆ เพราะเห็นคุณค่าของความเป็ นมนุษย์ เขาเชื่อว่าบ้ านเป็ นโรงเรี ยนแห่งแรกสาหรับเด็ก เขาจึงได้ ตงั ้ โรงเรี ยนสาหรับเด็กที่ มีลักษณะเหมือนบ้ านขึน้ และในปี ค.ศ.1657 เขาได้ เขียนเรื่ องโรงเรี ยน สาหรับเด็กวัยก่อนหกปี ไว้ ในหนังสือ The Great Didactic และคาว่าโรงเรี ยนในที่นี ้หมายถึง บ้ านที่ เด็กอยู่นนั่ เอง แต่เป็ นโรงเรี ยนที่มีแม่เป็ นผู้สอน จึงเรี ยกว่า Mother’s School ซึง่ มีเด็กจาก ครอบครัวอื่นเข้ ามาเรี ยนด้ วย นอกจากนี ้คอมมิวนิอสุ ยังได้ จดั การศึก ษาสาหรับมารดาก่อนคลอด เพื่อให้ มีความพร้ อมและเข้ าใจเด็กวัยทารก เนื ้อหาวิชาที่สอนเขาได้ กล่าวไว้ ในหนังสือชื่อ School of Infancy ซึ่งตีพิมพ์ ครัง้ แรกในประเทศเยอรมนี ปี ค.ศ.1633 เนือ้ หาของหนังสือเล่มนี ้ ประกอบด้ วยบทเรี ยนง่าย ๆ เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ เช่น ก้ อนหิน พืชและสัตว์ ชื่อและหน้ าที่ของส่วน


44 ต่าง ๆ ของร่ างกาย การจาแนกสี ความสว่างและความมืด สภาพห้ องเรี ยน ทุ่งนา ถนนและทุ่ง เลี ้ยงสัตว์ การฝึ กฝนให้ ร้ ู จกั ประมาณตน ความเคร่งครัด การเชื่อฟั งคาสัง่ และการสวดมนต์อ้อน วอนพระผู้เป็ นเจ้ า คอมมิวนิอสุ ยังได้ แต่งหนังสือ ภาพสาหรับเด็ก ชื่อว่า Orbis Pictus ขึ ้นในปี ค.ศ.1658 หนังสือเล่มนีใ้ ช้ กันอย่างแพร่ หลายและแปลเป็ นภาษาสาคัญ ๆ หลายภาษาทั่วโลก คอมมิวนิอสุ ถือหลักสาคัญที่ใช้ ในโรงเรี ยนของเขาว่า เด็กจะต้ องฝึ กฝนตนทางด้ านจิตใจ (Heart) ไปพร้ อม ๆ กับทางด้ านสติปัญญา (Head) ไม่ว่าเด็กจะอยู่ชัน้ ใดหรื อวัยใดก็ ตาม คือตนเองมี ความรู้สกึ อย่างไรก็ต้องไวต่อความรู้สกึ ของผู้อื่นด้ วย ในศตวรรษที่ 17 ชาวฝรั่งเศสได้ เล็งเห็นถึงความสาคัญของความอบอุ่นใกล้ ชิดที่มีผลต่อ ความรู้สกึ ของเด็ก Fineion (Leeper, et. al. 1984, p.7) ได้ กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างความ ไว้ วางใจและความซื่อสัตย์ของผู้ใหญ่กบั เด็ก เขาเชื่อว่าเด็กจะไม่ไว้ วางใจผู้ใดเลยถ้ าหากไม่ได้ รับ ความไว้ วางใจจากผู้ใดมาก่อนใน ค.ศ.1681 เขาได้ กล่าวถึงทฤษฎีการศึกษาโดยวิธีการเล่นใน หนังสือชื่อ The Education of Daughters ไว้ วา่ ... ข้ าพเจ้ าได้ เห็นเด็กจานวนมากที่เรี ยนรู้การอ่านจากการเล่น เราควรให้ หนังสือแก่เด็ก อาจเป็ นหนังสือที่ตกแต่งอย่างสวยงาม มีหลาย ๆ อย่างที่สง่ เสริมจินตนาการของเด็ก สิง่ เหล่านี ้จะช่วยให้ เด็กเรี ยนรู้ ดังนันเราจึ ้ งความเลือกสรรหนังสือที่มีเรื่ องราวสัน้ ๆ และสนุกสนาน เพียงแค่นี ้ก็ช่วยให้ เด็กเรี ยนรู้การอ่านได้ อย่างถูกต้ อง ... ต่อมาในระหว่างปี ค.ศ.1712 – ค.ศ.1778 ได้ มีนกั ปฏิวตั ิความคิดทางการศึกษา ชื่อ ฌอง จาค รุสโซ เขาเป็ นคนแรกที่รณรงค์เรื่ องสิทธิของเด็กที่ว่า “เด็กก็คือเด็ก ไม่ควรปฏิบตั ิตอ่ เด็ก เหมือนกับว่าเด็กเป็ นผู้ใหญ่ย่อ ส่วน” เขามีความเชื่อว่าเด็กทุกคนดีมาแต่กาเนิดเหมือนผ้ าขาว บริสทุ ธิ์ แต่สงั คมทาให้ เด็กแปดเปื อ้ น ในปี ค.ศ.1762 รุสโซได้ พิมพ์หนังสือออกเผยแพร่ชื่อ Emile ทาให้ วงการการศึกษาตื่นตัว หันมาให้ ความสนใจการศึกษาเบื ้องต้ นกันมากขึ ้น เขากล่าวไว้ ในหนังสือเล่มนี ้ว่า การศึกษาควร เริ่ มต้ น ตัง้ แต่แรกเกิ ดจนกระทั่ง อายุ 25 ปี เขาเน้ น ถึง ความจาเป็ นที่ ต้องให้ เด็กพัฒนาไปตาม ธรรมชาติมากกว่าการเตรี ยมความพร้ อมเพื่ออนาคต เขายังได้ กล่าวถึงกระบวนการการศึกษาซึ่ง จัดขึ ้นตามความสนใจตามธรรมชาติของเด็กและกิจกรรมต่าง ๆ ที่เป็ นธรรมชาติของเด็ก รุ สโซย ้า ว่า “สิง่ ที่ธรรมชาติมอบให้ แก่มนุษย์นนมิ ั ้ ใช่อานาจ หากแต่เป็ นเสรี ภาพ ข้ าพเจ้ าถือว่ามันเป็ นกฎ


45 ที่สาคัญอย่างยิ่ง มนุษย์ เรามีเสรี ภาพกันทุกคนเพียงแต่ต้องประยุกต์ไปใช้ ให้ เหมาะสมกับเด็ก จากนันความรู ้ ้ หรื อกฎต่าง ๆ ด้ านวิชาการก็จะไหลตามมาเอง” (Leeper, et.al.1984, p.7) รุสโซ ยืนยันว่า “การรับรู้จากการใช้ ประสาทสัมผัสเป็ นพื ้นฐานที่แท้ จริงในการแสวงหาความรู้ของมนุษย์ ” บุคคลต่อมาที่สนใจการปฐมวัยศึกษาคือ โจฮานน์ ไฮน์ริค เปสตาลอสซี่ เป็ นชาวฝรั่งเศส มีอายุอยูร่ ะหว่าง ปี ค.ศ.1746 – ค.ศ.1827 เขาชื่นชมในผลงานของรุสโซมาก เขาเห็นพ้ องในเรื่ อง ที่ว่าการศึกษาต้ องเป็ นไปตามธรรมชาติและเป็ นการพัฒนาตนเอง เขาถือว่าการสอนให้ คนมีใจ เมตตากรุณาต่อกันมีคณ ุ ค่ามากกว่าการสอนให้ มีความรู้ เปสตาลอสซี่ ได้ เขียนหนังสือเกี่ยวกับการจัดการศึกษาไว้ หลายเล่ม แต่ที่สาคัญมากและ รู้จกั กันอย่างแพร่หลายมีอยู่ 2 เล่ม คือ Leonard and Gertrude และ How Gertrude Teaches Her Children หนังสือทังสองเล่ ้ มนี ้มีอิทธิพลอย่างมากต่อการศึกษาในยุโรปและในอเมริกา หลักการที่เขายึดถือในการสอนก็คือ ครูจะต้ องคานึงถึงธรรมชาติของเด็กและความพร้ อม ของเด็กเป็ นสาคัญ การสอนจะต้ องให้ เด็กได้ รับประสบการณ์ตรง ได้ ลงมือค้ นคว้ าหาความรู้ด้วย การใช้ ประสาทสัมผัส โรงเรี ยนสาหรับเด็กปฐมวัยตามหลักของเปสตาลอสซี่ จะมีสภาพเหมือนบ้ านและเหมือน โรงฝึ กงาน เด็ก ๆ จะสามารถคิดค้ นและทดลองตามความต้ องการของตนเอง แต่เด็กจะถูกฝึ กให้ มีวินยั ในตนเองด้ วยความรักและความอบอุน่ (นิตยา ประพฤติกิจ, 2539, หน้ า 1 – 3)

โรงเรียนปฐมวัยแห่ งแรกของโลก บุคคลทัง้ 3 คนที่กล่าวมาข้ างต้ นนันนั ้ บว่าเป็ นผู้วางรากฐานเกี่ยวกับการปฐมวัยศึกษาไว้ แต่ผ้ ทู ี่ริเริ่มงานการปฐมวัยศึกษาอย่างแท้ จริงก็คือ เฟรดเดอริ ค วิลเฮล์ม โฟรเบล ชาวเยอรมัน มี อายุระหว่างปี ค.ศ.1782 – ค.ศ.1852 โฟรเบลได้ รับแนวคิดจากการศึกษาของเปสตาลอสซี่ เขาถือ ว่าสิง่ ที่สาคัญที่สดุ ในการปฏิรูปการศึกษาจะต้ องเน้ นที่การศึกษาระดับปฐมวัย ก่อนที่โฟรเบลจะหันมาสนใจเกี่ยวกับการศึกษา เขาเป็ นครู ในสถานเลี ้ยงดูเด็กกาพร้ า ต่อมาเป็ นครู สอนในโรงเรี ยนชาย และที่ นี่ทาให้ เขารู้ สึกตัวว่าเขาไม่มีความรู้ เกี่ ยวกับการสอน เพียงพอ เมื่อทราบข่าวเกี่ยวกับโรงเรี ยนของเปสตาลอสซี่ในประเทศสวิสเซอร์ แลนด์ ซึง่ จัดระบบ การเรี ยนแบบอาศัยกิจกรรมที่ไม่เคร่งเครี ยด เด็ก ๆ ได้ รับทังความรั ้ กและความเข้ าอกเข้ าใจจากครู ทาให้ เขาสนใจแนวการจัดการศึกษาแบบดังกล่าวมากขึ ้น เพราะในประเทศเยอรมนีระบบโรงเรี ยน มีแต่ความเข้ มงวดและใช้ อานาจบังคับเด็ก เขาจึงได้ ไปสอนในโรงเรี ยนของเปสตาลอสซี่ และรู้สกึ ประทับใจในการปฏิบตั ิตอ่ เด็กเช่นนัน้


46 ในปี ค.ศ.1837 หลังจากที่โฟรเบลได้ เฝ้าสังเกตมารดาของเด็ ก ๆ ในหมู่บ้านของตนจึง ตัดสินใจจัดตังโรงเรี ้ ยนปฐมวัยขึ ้นเพื่อฝึ กฝนเด็กและมารดาของเด็กเหล่านันด้ ้ วย เขาได้ รวบรวม เด็กวัย 1 - 7 ปี ในเมืองแบลงเกนเบอร์ กได้ กลุม่ หนึง่ แล้ วสอนที่โรงงานแป้งเก่า ๆ แห่งหนึ่ง เขาจัด กิจกรรมและให้ เด็กเล่นเกมตามที่ตนเคยเห็นเด็กเล่นในหมู่บ้านนัน้ และพัฒนาการสอนมาเรื่ อย ๆ โดยอาศัยการสังเกตพฤติกรรมของเด็กขณะที่ทากิจกรรมเหล่านัน้ เขาตังชื ้ ่อโรงเรี ยนของเขาว่า Kindergarten ซึง่ แปลว่า “สวนเด็ก” (Children’s Garden) เหตุที่ตงชื ั ้ ่อโรงเรี ยนนี ้เพราะเขาเชื่อว่า เด็กจะพัฒนาได้ ต้องอาศัยการดูแลเอาใจใส่ เช่นเดียวกับที่ต้นพืชเติบโตได้ เพราะมีการดูแลอย่างดี เขาถือว่ากิจกรรมสาหรับเด็กจะต้ องเหมาะสมกับขันพั ้ ฒนาการของเด็กขณะนัน้ การสอนของเขา จะต้ องอาศัยวัสดุอปุ กรณ์และการให้ เด็กเล่นอย่างธรรมชาติ หลังจากที่โรงเรี ยนของเขาพัฒนาขึ ้น เขาได้ จดั กิจกรรมสาหรับเด็กอย่างมีระบบมากขึ ้น อุปกรณ์หลักของเขาเรี ยกว่า “ของขวัญ” (Gifts) มีทงหมด ั้ 6 ชิ ้นด้ วยกัน คือกล่องไม้ ขนาด เล็ก และขนาดไล่เลี่ยกัน แต่ละกล่องจะมีรูปทรงเรขาคณิตขนาดต่าง ๆ กัน อาทิเช่น ของขวัญชิ ้น ที่ 3 ประกอบด้ วย ลูกบาศก์ ขนาด 1 นิ ้ว 8 ลูก ของขวัญชิน้ ที่ 4 ประกอบด้ วยบล็อกรู ปทรงแบบ ก้ อนอิฐขนาด 2 นิว้ 8 แท่ง เวลาทากิจกรรมเด็กจะได้ รับของขวัญชนิดเดียวกันและปฏิบตั ิตาม คาสัง่ ของครูเกี่ยวกับการถือและการเรี ยนรู้ของแต่ละชิ ้นในกล่องนัน้ ๆ นอกจากนี ้ยังมีกิจกรรมการ เรี ยนรู้ เกี่ ยวกับอาชี พทัง้ ในและนอกห้ องเรี ยน เช่น การจักสานตอกเป็ นรู ปร่ างต่าง ๆ การสาน กระดาษ การพับกระดาษ การวาดบนทราย หรื อบนกระดาษตาหมากรุ ก กิ จกรรมเหล่านี ้ ส่งเสริมให้ เด็กระบายความประทับใจจากการได้ รับของขวัญ นอกจากนี ้เด็ก ๆ ยังมีสว่ นร่วมในการ ทากิจกรรมในวงกลม และการเคลื่อนไหว การดูแลสวน และการเดินชมธรรมชาติ ทุกสัปดาห์ โฟรเบลได้ รวบรวมและจัดทาหนังสือเพลง ร้ อยกรอง รูปภาพและการเล่นโดยใช้ มือ สาหรับใช้ เป็ น คูม่ ือครูและมารดาในการสอนเด็ก ให้ เรี ยนรู้เกี่ยวกับชุมชนของตนเองและมองเห็นคุณค่าของงาน แนวคิดของเขาแพร่ หลายไปทั่วประเทศเยอรมนี และลูกศิษย์ ชัน้ เยี่ยมของเขาก็ ไ ด้ น า แนวคิดไปเผยแพร่ในต่างประเทศด้ วย (นิตยา ประพฤติกิจ, 2539, หน้ า 4 – 6)

การศึกษาปฐมวัยในประเทศอังกฤษ การศึกษาปฐมวัยของประเทศอังกฤษได้ เริ่ มต้ น มาตัง้ แต่ศตวรรษที่ 18 โดยการจัดตัง้ โรงเรี ยนเด็กเล็กของโรเบอร์ ต โอเวน (Robert Owen) ที่เมืองแลนาร์ ด (Lanark) ในปี ค.ศ.1816 แต่ ในระยะนันการศึ ้ กษาปฐมวัยยังไม่ได้ รับความนิยมในหมูช่ าวอังกฤษนัก อาจเป็ นเพราะแนวปฏิบตั ิ ทางการศึกษาของโรงเรี ยนเด็กเล็กเหล่านันเปลี ้ ่ยนแปลงไปเรื่ อย ๆ ทาให้ ผ้ ปู กครองไม่เห็นด้ วยกับ


47 แนวปฏิบตั ิทางการศึกษาจึงงดส่งบุตรหลานไปโรงเรี ยน ปี ค.ศ.1870 ประเทศอังกฤษได้ ออก พระราชบัญญัติการศึกษากาหนดให้ เด็กตังแต่ ้ อายุ 5 ปี ขึ ้นไปต้ องเรี ยนหนังสือ สาหรับเด็กที่อายุ ต่ากว่า 5 ปี ลงมา รัฐบาลมิได้ เข้ าไปดาเนินการอย่างจริงจัง เพียงแต่รัฐบาลสนับสนุนให้ มีโรงเรี ยน บริ บ าลส าหรั บ เด็ ก อายุ 3 – 4 ปี ในปี ค.ศ.1944 มี พ ระราชบัญ ญั ติ ก ารศึ ก ษาก าหนดให้ คณะกรรมการการศึกษาส่วนท้ องถิ่น ตระหนักถึงความต้ องการในอันที่จะจัดชันเด็ ้ กเล็กให้ แก่เด็ก อายุต่ากว่า 5 ปี จนกระทัง่ ถึงปี ค.ศ.1964 ได้ มีการเปลี่ยนแปลงพระราชบัญญัติการศึกษาบาง ประการ ทาให้ โรงเรี ยนเด็กเล็กเพิ่มขึน้ อย่างเพียงพอกับความต้ องการของผู้ปกครอง และจะ พิจารณาเด็กที่ด้อยโอกาสก่อน หลักการและรูปแบบการจัดการศึกษาปฐมวัย การศึกษาปฐมวัยในประเทศอังกฤษได้ รับอิทธิ พลจากปรัชญาและแนวคิดของโฟรเบล รุ สโซ และโอเบอร์ ลิน ซึ่งเน้ นวิธีการเรี ยนรู้ ด้ วยตนเองโดยให้ เด็กสารวจสิ่งแวดล้ อมรอบตัวใน ชีวิตประจาวัน ทาให้ เด็กเกิดความอยากรู้อยากเห็นและมีความสุขในการเรี ยน การจัดการศึกษา ในระดับนี ้ยังไม่มีการกาหนดจุดมุ่งหมายหลักของการจัดการศึกษาอย่างชัดเจน แต่ถ้าพิจารณา จากการจัดบริ การแก่เด็กจะมุ่งการเลี ้ยงดูเด็กโดยพัฒนาทางอารมณ์ สติปัญญา และความคิด สร้ างสรรค์ รู ปแบบของการจัดการศึกษาปฐมวัย การจัดการศึกษาปฐมวัยในประเทศอังกฤษ มี ลักษณะการจัด 2 รูปแบบ ดังนี ้ 1. โรงเรี ยนบริบาล (Nursery school) 2. โรงเรี ยนสาหรับเด็กวัยแรก (Infant school) 1. โรงเรี ยนบริบาล (Nursery school) เป็ นโรงเรี ยนที่จดั สาหรับเด็กอายุแรกเกิด – 5 ปี ทังชายและหญิ ้ ง มีจานวนประมาณห้ องละ 20 คน อัตราส่วนระหว่างครูตอ่ เด็กคือ 1 : 3 จุดมุ่งหมายของโรงเรียนบริบาล คือ 1. พัฒนาการทางสังคม อารมณ์ บุคลิกภาพและสติปัญญา 2. พัฒนาการใช้ ภาษาซึง่ เป็ นพื ้นฐานของความคิด 3. พัฒนาความคิดสร้ างสรรค์ 4. พัฒนาทักษะที่จาเป็ นในการดารงชีวิต เช่น ทักษะการช่วยเหลือตนเอง การเรียนการสอนของโรงเรียนบริบาล เน้ นความต้ องการของเด็กเป็ นสาคัญ และไม่มีการสอนที่เน้ นเนื ้อหาวิชาการ ถึงแม้ ว่าเด็กจะมีอิสระในการเลือกทากิจกรรมตามความ ต้ องการ แต่จะมีการสอดแทรกกิจกรรมหรื อการเล่นที่ครูได้ วางแผนอย่างดีไว้ แล้ วเข้ าไปด้ วย


48 2. โรงเรียนสาหรับเด็กวัยแรก (Infant school) เป็ นโรงเรี ยนที่จดั สาหรับเด็กอายุ 5 – 7 ปี ทังหญิ ้ งและชาย การจัดกลุม่ เด็กในโรงเรี ยนสาหรับเด็กวัยแรกมี 2 แบบ แบบที่หนึ่ง เรี ยกว่า การจัดกลุม่ ตามลักษณะครอบครัว และแบบที่สอง เรี ยกว่าการจัดกลุม่ แยกตามวัยของครอบครัว การจัดกลุ่มตามลักษณะครอบครัว (Family grouping หรื อ Mixed – age grouping) เป็ นการจัดกลุม่ เด็กที่อายุตา่ งกันไว้ ด้วยกัน ซึง่ ประกอบด้ วยเด็กอายุตงแต่ ั ้ 5 – 7 ปี ใน ชันเรี ้ ยนเดียวกัน การจัดกลุ่มแบบนี ้มาจากพื ้นฐานแนวคิดที่ว่า การเรี ยนรู้ ที่สาคัญที่สดุ ของเด็ก คือการได้ พฒ ั นาภาษาที่ใช้ ในชีวิตประจาวัน และการที่เด็กต่างอายุกนั อยู่ร่วมกันจะทาให้ เกิดการ เรี ยนรู้ซงึ่ กันและกัน และสามารถพัฒนาการใช้ ภาษาอย่างรวดเร็วตามธรรมชาติได้ ดีที่สดุ การจัดกลุ่มแยกตามวัยของครอบครัว (Transitional family grouping หรื อ Age – grouping) เป็ นการจัดกลุ่มแยกตามอายุของเด็ก โดยแยกเป็ นกลุ่มเด็กเล็กและเด็กโต การจัดกลุ่มแบบนี ้ทาให้ เด็กเล็กขาดการเรี ยนรู้ และเลียนแบบจากเด็กโต และเด็กโตขาดโอกาสที่ จะช่วยเหลือและดูแลเด็กเล็ก ทาให้ ขาดโอกาสฝึ กการเป็ นผู้นา จุดมุ่งหมายของโรงเรียนเด็กวัยแรก จุดมุ่ง หมายของโรงเรี ยนเด็กวัยแรก คือ เน้ นพัฒนาการทั่วไปของเด็ก ความ ต้ องการของเด็ก และพยายามช่วยให้ เด็กแต่ละคนได้ พฒ ั นาทุกด้ านตามศักยภาพของตัวเด็กเอง การเรี ยนการสอนของโรงเรี ยนเด็กวัยแรก การเรี ยนการสอนของโรงเรี ยน เด็กวัยแรกมีจดุ มุง่ หมายหลัก 3 ประการ คือ 1. ให้ เด็กรู้จกั หนังสือประเภทต่าง ๆ เช่น หนังสืออ่านเพื่อความเพลิดเพลิน หนังสืออ่านเพื่อให้ ความรู้ ฯลฯ 2. ให้ เด็กเกิดความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์ ขนพื ั ้ ้นฐาน เช่น ความคิดรวบ ยอดเรื่ องตัวเลข สัญลักษณ์ การวัด การชัง่ การเปรี ยบเทียบขนาด ฯลฯ 3. ให้ เด็กสามารถใช้ ภาษาทังการพู ้ ดและการเขียนได้ คล่องแคล่ว ดังนันการเรี ้ ยนการสอนของโรงเรี ยนเด็กวัยแรกพอสรุปได้ ดงั นี ้ 1. เน้ นกิจกรรมการเล่ น ซึง่ เด็กสามารถเลือกได้ ตามใจชอบ เช่น เล่นเครื่ องเล่น ปี นป่ าย บ่อทราย เลี ้ยงสัตว์ เพาะปลูก เด็กอาจเล่นคนเดียวหรื อเล่นเป็ นกลุ่มก็ได้ ตารางเวลา เล่นนี ้ไม่ได้ บงั คับ เด็กมีอิสระเลือกได้ ตามความพอใจ 2. จัดกิจกรรมบูรณาการ เช่น จัดกิจกรรมต่าง ๆ ที่มีทงสร้ ั ้ างสรรค์วิชาการ ศิ ล ปะและพลศึก ษาเข้ า ด้ ว ยกัน เด็ ก จะได้ เ รี ย นรู้ สิ่ ง ต่า ง ๆ รอบตัว ท าให้ เ ด็ ก มี ป ระสบการณ์ กว้ างขวาง


49 3. จัดมุมประสบการณ์ ให้ เด็กเรียนรู้ในห้ องเรียน เช่น มุมศิลปะ มุมอ่าน มุมห้ องสมุด มุมบทบาทสมมุติ มุมคณิตศาสตร์ เป็ นต้ น จุดมุ่งหมายของการจัดการศึกษาปฐมวัย การศึ ก ษาปฐมวัย ในประเทศอัง กฤษไม่ มี จุ ด มุ่ง หมายหลัก ที่ แ น่ น อน นอกจากจะมี หน่วยงานหรื อสมาคมต่าง ๆ ได้ เขียนเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายของการศึกษาปฐมวัยไว้ แต่ทว่าก็ไม่ได้ เป็ นที่ยอมรับอย่างแพร่หลาย สมาคมการศึกษาของคนงาน (Workers Educational Association) ได้ กล่าวถึงจุดมุง่ หมายของการศึกษาปฐมวัยไว้ ดงั นี ้ คือ 1. เพื่อเตรี ยมให้ เด็กสามารถที่จะสื่อสารกับผู้ใหญ่ได้ อย่างเหมาะสม อีกทังให้ ้ เด็กได้ มี โอกาสเล่นเครื่ องเล่นต่าง ๆ โดยการดูแลจากคนที่มีความรู้และทักษะเป็ นอย่างดี 2. เพื่อเป็ นการฝึ กโอกาสให้ เด็กได้ ติดต่อกับบุคคลภายนอก นอกจากบุคคลในครอบครัว ของตนเองรวมทังสร้ ้ างสัมพันธ์ที่ดีกบั บุคคลภายนอก 3. เพื่อให้ เด็กได้ รับการเลี ้ยงดูจากบุคคลที่มีความสามารถและได้ รับการฝึ กฝนมาอย่างดี 4. เป็ นการช่วยเหลือเด็กที่มีความต้ องการพิเศษ เช่น เด็กที่ต้องอยูค่ นเดียวในตึกสูง ๆ เด็กที่พ่อแม่ต้องออกไปทางาน เด็กที่มีพี่น้องมาก เด็กที่มาจากสิ่งแวดล้ อมที่เลวร้ าย เด็กพิการ เด็กที่มาจากครอบครัวที่อพยพมาจากที่อื่น เป็ นต้ น อย่างไรก็ตามถ้ าพิจารณาที่ จุดมุ่งหมายหลักใหญ่ ๆ อาจเห็นเป็ นวิวฒ ั นาการอย่างที่แพรี่ และอาเธอร์ (Parry and Archer : 1972) ได้ กล่าวไว้ วา่ จุดมุง่ หมายในปี ค.ศ.1918 มุง่ ที่การเลี ้ยงดูเด็ก จุดมุง่ หมายในปี ค.ศ.1939 มุง่ ที่การพัฒนาทางอารมณ์และความคิดสร้ างสรรค์ จุดมุง่ หมายในปี ค.ศ.1967 มุง่ ที่การพัฒนาทางสติปัญญา เนื่องจากการศึกษาปฐมวัยไม่มีจดุ มุง่ หมายที่เป็ นหลักแน่นอน ดังนันจุ ้ ดมุง่ หมายในแต่ละ โรงเรี ย นย่อมจะต้ องแตกต่างกันไปบ้ าง ซึ่ง ความแตกต่างนัน้ ย่อมเป็ นผลมาจากอิท ธิ พลของ ครูใหญ่และผู้ปกครองของเด็กในท้ องถิ่นนันเอง ้ ส่วนรัฐบาลมุ่งที่การดูแลสุ ขภาพและโภชนาการที่ โรงเรี ยนจัดให้ แก่เด็กเป็ นหลักเท่านัน้ หลักสูตรและการจัดการศึกษาปฐมวัย โรงเรียนบริบาล โรงเรี ยนหรื อชันบริ ้ บาลในประเทศอังกฤษนัน้ เน้ นหนักไปในทางกิจกรรมการเล่นสาหรับ เด็ก สาหรับตัวครูแล้ วมักปล่อยให้ สอนไปตามสัญชาติญาณของตนเอง ครูจะต้ องเป็ นผู้นาในการ เล่นของเด็กทังในร่ ้ ม และกลางแจ้ ง โดยใช้ อปุ กรณ์ที่แตกต่างหลากหลาย


50 การศึกษาปฐมวัยในปั จจุบนั เน้ นให้ ครู และพยาบาลผู้ดแู ลได้ ตระหนักและเข้ าใจวิธีการใช้ ภาษาของเด็ก เพื่อจะช่วยให้ เด็กพัฒนาทักษะการคิดของเขาได้ กว้ างขวาง กิ จกรรมที่ จัดขึน้ จะต้ องคานึงถึงความต้ องการทางสังคม ทางอารมณ์ และจะต้ องนาไปสูก่ ารพัฒนาสติปัญญาด้ วย การเล่นของเด็กจะต้ องมีจดุ ประสงค์ที่จะช่วยให้ เกิดการเรี ยนรู้ ครูจะต้ องจัดเวลาในการสอนทักษะ ที่จาเป็ นให้ แก่เด็ก ถึงแม้ ว่าเด็กจะมีอิสระที่จะเลือกทากิจกรรมใด ๆ ตามที่เด็กต้ องการ แต่ก็ จะต้ องมีการสอดแทรกกิจกรรมหรื อการเล่นที่ครู ได้ วางแผนไว้ อย่างดีแล้ วเข้ าไปด้ วย ทุก ๆ วันครู จะต้ องจัดสภาพสิง่ แวดล้ อมที่จะเอื ้อให้ เด็กมีโอกาสได้ สารวจ ค้ นคว้ ากับสิ่งของวัตถุตา่ ง ๆ ได้ ร้ ูจกั รู ปร่ างรู ปทรง ได้ สัมผัสผิว ของสิ่ง ต่า ง ๆ แปลก ๆ รู้ จักสี ได้ ยิน เสียงต่าง ๆ โรงเ รี ยนถื อเป็ น จุดประสงค์หลักที่จะช่วยให้ เด็ก ๆ ได้ พฒ ั นาบุคลิกภาพไปในทางที่พึงประสงค์ ให้ ร้ ู จกั พึ่งตนเอง โดยไม่ต้องรอความช่วยเหลือจากผู้อื่นและในเวลาเดียวกันก็ให้ ความร่วมมือกับผู้อื่นด้ วย สิง่ ต่าง ๆ เหล่านีจ้ ะช่วยปูพื ้นฐานสาหรับการเรี ยนคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษา โดยเน้ นที่การมี ความคิดสร้ างสรรค์ด้วย ทัง้ นีม้ ิได้ หมายความว่าโรงเรี ยนบริ บาลเหล่านี ้ จะเตรี ยมความพร้ อม สาหรับให้ เด็กได้ ไปเรี ยนต่อการศึกษาภาคบังคับอย่างเดียว ในขณะที่โรงเรี ยนเหล่านี ้อยู่อย่างโดด เดี่ยวเป็ นเอกเทศ ชันบริ ้ บาลในโรงเรี ยนประถมก็ประสบปั ญหาที่อาจจะต้ องปิ ดตัวเองลงในเวลา ต่อไป ในโรงเรี ย นหรื อ ชัน้ บริ บ าลจะไม่ มี ก ารเรี ย นการสอนเป็ นเรื่ อ งเป็ นราว เด็ ก ๆ จะได้ สนุกสนานกับการฟั งนิทาน ดนตรี โคลงกลอนและเล่นตามธรรมชาติ เด็ก ๆ จะเล่นตามใจชอบ จะเล่นคนเดียว หรื อจะเล่นกับคนอื่น ๆ ก็ได้ เล่นในร่ มหรื อออกไปกลางแจ้ งก็แล้ วแต่จะเลือก มี กิจกรรมสาหรับฝึ กออกกาลังกายโดยใช้ เครื่ องเล่นต่าง ๆ สาหรับปี นป่ าย มีสระน ้า มีสนามทรายไว้ ให้ เด็กได้ เล่นฝึ กทดลองต่าง ๆ อุปกรณ์หลายอย่างจัดไว้ สาหรับเด็ก ๆ จะได้ ค้นพบความรู้ ใหม่ ๆ เป็ นการปูพื ้นฐานสาหรับการเรี ยนวิทยาศาสตร์ ต่อไป แท่ง ไม้ และอิฐบล็อกใช้ สาหรับให้ สร้ างหรื อ ต่อรูปต่าง ๆ ดินเหนียว สีและดินสอเทียนก็มีจดั ไว้ ให้ สาหรับพัฒนาความสามารถในทางศิลปะของ เด็ก หนังสือที่เลือกมาอย่างดีแล้ วจะช่วยส่งเสริ มจินตนาการและความสามารถทางภาษาของ เด็กได้ เป็ นอย่างดี วรรณคดีต่าง ๆ ก็เป็ นอุปกรณ์ที่สาคัญ มากสาหรับการเรี ยนรู้ ของเด็ก ตุ๊กตา เครื่ องเรื อนจาลอง และของเล่นต่าง ๆ ช่วยเสริ มสร้ างทักษะทางสังคมและครอบครัว ของเล่นที่ เป็ นภาพตัดต่อต่าง ๆ ปริ ศนาคาทาย ล้ วนนามาใช้ ประโยชน์ ในการเพิ่มประสบการณ์ และการ ค้ นพบใหม่ ๆ ของเด็กที่จะช่วยในการปรับตัวให้ เข้ ากับสภาพแวดล้ อมได้


51 โรงเรียนสาหรับเด็กวัยแรก โรงเรี ย นส าหรั บ เด็ ก วัย แรกจะเน้ น โดยตรงเกี่ ย วกับ พัฒ นาการทั่ว ๆ ไปของเด็ ก โดย พิจารณาความต้ องการของเด็ก และพยายามช่วยให้ เด็กแต่ละคนได้ เจริญพัฒนาไปในทุกด้ านตาม ศักยภาพของเด็กอย่างเต็มที่ในการเปิ ดโอกาสให้ เด็กมีประสบการณ์อย่างกว้ างขวาง โรงเรี ยนได้ จัดให้ เขาได้ ทดลองกับวัตถุตา่ ง ๆ เช่น ทราย น ้า ดินน ้ามัน สีและแท่งไม้ เด็ก ๆ จะใช้ แท่งไม้ บล็อก ก่อสร้ างสิง่ ต่าง ๆ แสดงละครตามจินตนาการของตน ฟั งนิทาน ฟั งดนตรี ที่เขาชอบ กิจกรรมเหล่านี ้ ในบางครัง้ จะบูรณาการเข้ าด้ วยกันกับการอ่าน การเขียนหรื อกับคณิตศาสตร์ ง่าย ๆ โรงเรี ยนสาหรับเด็กวัยแรกบางแห่งจะมีวนั หนึง่ ที่เรี ยกว่า “วันบูรณาการ” (The integrated day) เป็ นวันที่การสอนประจาวันจะรวมกิจกรรมต่าง ๆ ที่มีทงสร้ ั ้ างสรรค์ วิชาการ ศิลปะ และพละ เข้ าไว้ ด้วยกัน นักเรี ยนทุกคนได้ รับบริ การของโรงเรี ยน ห้ องเรี ยนก็เปลี่ ยนไปเป็ นห้ องทางานและ เด็ก ๆ สามารถจะทางานของตนได้ ตามลาพังหรื อจะไปรวมกลุม่ กับคนอื่นก็ได้ แผนการสอนแบบ บูรณาการนี ้จะจัดกิจกรรมต่าง ๆ ให้ เด็ก ๆ ได้ เรี ยนรู้ จากสิ่งที่ล้อมรอบตัวเด็กอยู่ เด็กจะพอใจและ กระตือรื อร้ นมากที่จะค้ นคว้ าหาคาตอบด้ วยตนเอง เต็มใจที่จะทาในสิ่งที่ยากและท้ าทายได้ อย่าง ประสบความสาเร็จ แผนการสอนแบบบูรณาการยังช่วยส่งเสริ มให้ เด็กได้ ใช้ ความคิดเกี่ ยวกับสิ่งต่าง ๆ ได้ พัฒนาการใช้ ภาษา และมีประสบการณ์ การเรี ยนรู้ อย่างมากมาย ทาให้ การศึกษาเล่าเรี ยนเป็ น กระบวนการที่ต่อเนื่อง นอกจากนัน้ ยังอานวยความสะดวกในเรื่ องวัสดุอุปกรณ์ หรื อเครื่ องมือ ทดลองต่าง ๆ ให้ เด็ก ๆ ได้ ใช้ อย่างพอเพียง เด็ก ๆ จะใช้ เวลาในการสารวจการเรี ยนรู้ ในสิ่งที่เรี ยนแต่ละเรื่ อง อย่างสนอกสนใจโดยใช้ เวลาไม่มากนัก การให้ โอกาสเด็ก ๆ ได้ มีประสบการณ์นี ้จะไม่กาหนดเวลาตายตัว เด็กจะได้ เรี ยนรู้ หลาย ๆ ด้ าน บางครัง้ อาจจะทากิจกรรมที่ต้องใช้ สมาธิและความสนใจอย่างมาก บางครัง้ ก็จะได้ เล่นหรื อทาอะไรที่สบาย ๆ สนุกสนาน ซึง่ จะโยงต่อเนื่องไปยังกิจกรรมอื่น ๆ ต่อไป ครู จะเป็ นผู้จดั หากิจกรรมต่าง ๆ ให้ เด็กทา โดยบูรณาการเข้ ากับกิจกรรมของตัวเด็กเอง แต่ก็ยงั ยึดปรัชญาที่ว่า ลักษณะของกิจกรรมทังหลายจะต้ ้ องเป็ น “การเล่น” เสมอ ความจริ งแล้ ว สาหรับเด็กในวัยนี ้ จะเล่นหรื อเรี ยนก็ไม่มีอะไรแตกต่างกันนัก และเด็กเองก็ยงั แยกไม่ออกด้ วยซ ้า ระหว่างวิชาต่าง ๆ ที่เรี ยนไป เมื่อเด็กมาถึงโรงเรี ยนในตอนเช้ า ก็จะเห็นรายการกิจกรรมต่าง ๆ สาหรับวันนั น้ เขียนไว้ บนกระดาน เด็ก 6 คนอาจจะไปนัง่ รวมกลุม่ กันอ่านหนังสือที่มมุ อ่าน เด็กอีก 6 คนอาจจะไปที่มมุ ห้ องสมุด และอีก 6 คน อาจจะไปที่มมุ เล่นแต่งตัว เด็ก ๆ มีสทิ ธิ์จะเลือกกิจกรรมของตัวเองและ


52 ทาไปจนกว่าจะได้ ผลงานที่พอใจ สาหรับความต่อเนื่องของความคิดรวบยอดในการแบ่งกลุ่มแบบครอบครัวนัน้ คือในการ จัดห้ องเรี ยนจะไม่มีโต๊ ะเดี่ยว ๆ และเด็กก็จะไม่ต้องนัง่ ตามที่ประจา ห้ องเรี ยนจะจัดในลักษณะเอา โต๊ ะมาต่อกันและใช้ ต้ หู นังสือล้ อมเป็ นส่วน ๆ ไม่มีโต๊ ะครู ครู จะเดินดูไปทัว่ ๆ ตามโต๊ ะต่าง ๆ และ ช่วยเหลือเด็กที่ต้องการคาแนะนาเป็ นรายบุคคล หน่ วยงานรับผิดชอบ ประเทศอังกฤษมีหน่วยงานที่ดแู ลรับผิดชอบเด็กตังแต่ ้ แรกเกิด – 5 ปี อยู่ 3 หน่วยงาน คือ 1. กระทรวงศึกษาธิการและแรงงาน (Department For Education And Employment) ดูแ ลรั บ ผิ ด ชอบโรงเรี ย น ซึ่ ง จะมี รั ฐ มนตรี ผ้ ูค วบคุม ทางด้ า นการศึ ก ษาและ วิทยาศาสตร์ เป็ นผู้รับผิดชอบควบคุมดูแลการบริ หาร กระทรวงนี ้จัดตังขึ ้ ้นในเดือนกรกฎาคม ปี ค.ศ.1995 โดยการรวมกระทรวงศึกษาธิการเดิมและเกือบทังหมดของกระทรวงแรงงานเดิ ้ มเข้ า ด้ วยกัน ส่วนในการดาเนินงานจะมีคณะกรรมการการศึกษาส่วนท้ องถิ่น สภาท้ องถิ่นที่ได้ รับ มอบหมายให้ รับผิดชอบด้ านการศึกษา ปฏิบตั ิงานโดยได้ รับคาแนะนาจากเจ้ าหน้ าที่ที่เชี่ยวชาญ ทางการศึกษา อานาจการควบคุมและการบริ หารโรงเรี ยนจะอยู่ที่ครู ใหญ่ทัง้ หมด ในประเทศ อังกฤษครูใหญ่จะมีอิสระและอานาจในการบริหารโรงเรี ยนของตนมากกว่าครูใหญ่ในประเทศอื่น ๆ ส่วนหน่วยงานกรมการศึกษาและวิทยาศาสตร์ นนั ้ ไม่ได้ เข้ ามามีส่วนเกี่ยวข้ องกับหลักสูตรหรื อ วิธีการสอน หรื อแม้ แต่เข้ ามาควบคุมดูแลเกี่ยวกับเนือ้ หาหรื อลักษณะของหนังสือที่อนุญาตให้ โรงเรี ยนใช้ เลย แต่จะเข้ ามามีบทบาทในการควบคุมประสิทธิภาพในการสอน และการส่งเสริ ม มาตรฐานของโรงเรี ยนโดยการจัดหาครูที่ชานาญมานิเทศการสอน 2. กรมอนามัยและสวัสดิการสังคม (Depaartment Of Health And Social Security) จะมีหน้ าที่ดแู ลสถานรับเลี ้ยงเด็กสาหรับเด็กแรกเกิดถึง 5 ปี ซึง่ เป็ นสถานที่ในลักษณะให้ การเลี ้ยง ดูเป็ นส่วนใหญ่จึงเป็ นหน้ าที่สนองความต้ องการและความจาเป็ นของมารดาที่จะต้ องทางานนอก บ้ าน มารดาที่ไม่สามารถเลี ้ยงดูบตุ รด้ วยตนเอง และเด็ก ๆ ที่มาจากสภาพแวดล้ อมที่ไม่เหมาะสม ต่อสุขภาพ 3. องค์ การบริ หารการศึกษาท้ องถิ่น (Local Education Authorities) มีหน้ าที่ รับผิดชอบในการกาหนดและจัดสรรงบประมาณให้ โรงเรี ยน ภายในแผนการบริ หารโรงเรี ยน ท้ องถิ่น ซึง่ ได้ แก่ โรงเรี ยนของเขต และโรงเรี ยนอาสาสมัคร โดยองค์การบริ หารการศึกษาท้ องถิ่น จะต้ องมอบอานาจอย่างน้ อยร้ อยละ 85 ของงบประมาณที่เป็ นไปได้ ของโรงเรี ยนตามที่กาหนดไว้ ให้ แก่โรงเรี ยน งบประมาณของแต่ละโรงเรี ยนได้ รับการจัดสรรตามสูตรที่องค์การบริ หารการศึกษา


53 ท้ อ งถิ่ น ก าหนดโดยได้ รั บ การอนุมัติ จ ากรั ฐ มนตรี ว่ า การกระทรวงศึก ษาธิ ก าร ซึ่ง ส่ ว นใหญ่ งบประมาณที่ ใ ห้ จะก าหนดจากจ านวนนัก เรี ย น และโรงเรี ย นมี อิ ส ระที่ จ ะตัด สิ น ใจใช้ จ่ า ย งบประมาณได้ อย่างเต็มที่ บุคลากรดาเนินการ ครู ระดับการศึกษาปฐมวัยในประเทศอังกฤษนันจะเป็ ้ นครู ที่ ได้ รับการฝึ กฝนเป็ นเวลา 3 ปี ในมหาวิทยาลัยหรื อวิทยาลัยก่อนที่จะได้ รับประกาศนียบัตรการศึกษาระดับธรรมดา หลังจากนัน้ ครู เหล่านีก้ ็จะต้ องทดลองปฏิบตั ิงานเป็ นเวลาอีก 1 ปี จึงถือได้ ว่าเป็ นครู ที่มีคณ ุ สมบัติครบถ้ วน ตามที่กาหนดไว้ (ประภาพรรณ สุวรรณศุข, 2547, หน้ า 84) โดยครูมีเงินเดือนประจาตามสัญญา ที่ทาไว้ กับรัฐ แต่ไม่ใช่ข้าราชการ ครู ที่สอนอยู่ในระดับเด็กเล็กหรื อโรงเรี ยนเด็กวัยแรกนัน้ จะมี ฐานะและได้ รับเงินเดือนเช่นเดียวกับครู ในโรงเรี ยนประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ที่มีคุณวุฒิ การศึกษาเท่ากัน โดยรัฐให้ อานาจแก่คณะกรรมการการศึกษาส่วนท้ องถิ่นที่ได้ รับเลือกตังในการ ้ แต่งตังครู ้ ใหญ่และเลือกจ้ างครูผ้ สู อน นอกจากครูแล้ วยังมีพยาบาลสาหรับเด็กเล็กซึง่ เป็ นผู้ช่วยครู ในโรงเรี ยนเด็กเล็ก หรื อในชันเด็ ้ กเล็กหรื อชันเด็ ้ กวัยแรก ซึง่ ผู้ช่วยครู เหล่านี ้จะต้ องมีอายุเกินกว่า 18 ปี และได้ รับการฝึ กอบรมเป็ นเวลาอีก 2 ปี ส่วนใหญ่เป็ นการฝึ กโดยการกระทา ในขณะเดียวกัน ผู้หญิงที่สงู อายุและเคยมีประสบการณ์ในการเลี ้ยงเด็กอาจทาหน้ าที่เป็ นผู้ช่วยครู ได้ โดยจะต้ อง ได้ รับการฝึ กเป็ นเวลาอีก 1 ปี

การศึกษาปฐมวัยในประเทศสวีเดน ประเทศสวีเดนเป็ นประเทศหนึ่งในยุโรปซึ่ งให้ ความสาคัญกับการศึกษาปฐมวัย โดยมี กฎหมายรองรับอย่างมีประสิทธิภาพ มีการตังวิ ้ ทยาลัยครู อนุบาลและได้ รับความร่ วมมือจากทุก ฝ่ ายเป็ นอย่างดี การศึกษาปฐมวัยในประเทศสวีเดนเกิดขึน้ จากการเปลี่ยนแปลงสภาพสังคม ภายหลังการเกิดสงครามโลกครัง้ ที่ 2 สตรี ซึ่งแต่เดิมเคยทางานในบ้ านเลี ้ยงดูลกู มีความจาเป็ น จะต้ องออกไปทางานนอกบ้ า นเพื่อช่วยเหลือเศรษฐกิ จในครอบครั ว การเลีย้ งดูเด็กจึง ต้ องมี หน่วยงานอื่นเข้ ามาช่วยดูแล ทาให้ เกิดบริการการอบรมเลี ้ยงดูในรูปแบบต่าง ๆ ขึ ้น อัลวา ไมล์ดาล (Alva Myrdal) เป็ นผู้บกุ เบิกทางการศึกษาปฐมวัยของสวี เดน ได้ ก่อตัง้ วิทยาลัยครู อนุบาลแห่งแรกขึน้ ในกรุ งสต๊ อกโฮล์ม เพื่อให้ การฝึ กอบรมแก่บุคลากรที่ทางานใน โรงเรี ยนอนุบาล ซึ่งต่อมาในปี ค.ศ.1960 ได้ มีการจัดวางโปรแกรมการปฏิบตั ิงานในโรงเรี ยน อนุบาลเพื่อปฏิรูปและส่งเสริมการศึกษาสาหรับเด็กวัยก่อน 7 ปี โดยรัฐบาลได้ จดั ตังคณะกรรมการ ้ เพื่อดาเนินการในเรื่ องนี ้


54 หลักการและรูปแบบการจัดการศึกษาปฐมวัย การจัดการศึกษาปฐมวัยของสวีเดนนันจั ้ ดขึ ้นเพื่อบริ การแก่ครอบครัวที่สมาชิกต้ องออกไป ทางานนอกบ้ าน โดยให้ การดูแลเอาใจใส่เด็กเป็ นอย่างดี มีการจัดสภาพแวดล้ อมที่ใกล้ เคียงกับ บ้ านมากกว่าที่จะเป็ นโรงเรี ยน การจัดการศึกษาปฐมวัยในประเทศสวีเดนมีรูปแบบดังนี ้ 1. โรงเรียนอนุบาล (The Kindergarten) ตังขึ ้ ้นเพื่อเป็ นสถานดูแลและให้ การศึกษาแก่ เด็กวัยอนุบาลเพื่อช่วยเหลือให้ เด็กปรับตัวเข้ ากับสิ่งแวดล้ อมได้ โรงเรี ยนจะรับเด็ก 2 รอบ รอบแรก คือเวลา 09.00 – 12.00 น. และรอบหลังคือเวลา 14.00 – 17.00 น. รับเด็กอายุตงแต่ ั ้ 4 – 6 ปี แต่ อาจจะยืดหยุ่นไปในแต่ละท้ องถิ่น คือ ถ้ าท้ องถิ่นใดมีเด็กมากจะรับเด็กอายุมาก คือ 6 ปี ก่อน เพื่อจะได้ เข้ าเรี ยนในชันประถมศึ ้ กษาปี ที่ 1 เมื่อย่างขวบเข้ าอายุ 8 ปี ส่วนในท้ องถิ่นใดมีเด็ กไม่ มากนัก ก็อาจจะพิจารณารับเด็กอายุ 3 ปี ก่อน 2. สถานเลีย้ งเด็ก (Nursery) ตังขึ ้ ้นเพื่อช่วยเหลือมารดาที่ออกไปทางานนอกบ้ าน มี รูปแบบการให้ บริการคือ 2.1 สถานเลี ้ยงเด็กกลางวัน (Day nursery) รับเด็กอายุ 6 เดือน – 7 ปี ศูนย์ เหล่านี ้จะทางานเวลา 06.30 -19.00 น. ในวันธรรมดาและเวลา 06.30 – 14.30 น. ในวันเสาร์ ส่วนในวันอาทิตย์ปิด 2.2 สถานเลี ้ยงเด็กแบบครอบครัวในเขตเทศบาล (Municipal family day nursery) เป็ นสถานเลี ้ยงเด็กที่จดั ขึ ้นในบ้ านโดยได้ รับการอนุมตั ิจากผู้บริ หารท้ องถิ่น งานส่วนใหญ่ คือการเลี ้ยงเด็ก นอกจากนี ้ยังรับดูแลเด็กที่มีปัญหาทางด้ านสุขภาพด้ วย 2.3 สถานเลี ้ยงเด็กในเขตเกษตรกรรม (Farming day nursery) รับดูแลเด็กอายุ 1 – 7 ปี ที่ผ้ ปู กครองต้ องออกไปทางานในนาระหว่างฤดูเก็บเกี่ยว เป็ นการให้ บริการดูแลเด็กเต็มวัน ดาเนินการโดยการบริหารส่วนจังหวัด 2.4 สถานเลี ้ยงเด็กเวลาบ่ายหรื อศูนย์นนั ทนาการ (Afternoon nursery recreation center) จะเปิ ดให้ บริ การเด็กตังแต่ ้ เวลา 16.00 น. ทุก ๆ วัน เว้ นวันสุดสัปดาห์หรื อวัน ปิ ดเทศกาลต่าง ๆ โดยรับดูแลเด็กที่ทางบ้ านไม่มีใครดูแลหลังจากที่โรงเรี ยนอนุบาลเลิกแล้ ว จุดมุ่งหมายของการจัดการศึกษาปฐมวัย 1. เพื่ อสนับ สนุน ส่ง เสริ มพัฒนาการของเด็ กต่อจากทางบ้ าน จัด สภาพแวดล้ อมให้ สมบูรณ์ ที่สดุ ที่เด็กจะได้ พฒ ั นาทังทางด้ ้ านสังคม อารมณ์ ร่ างกายและสติปัญญา รวมทังการ ้ พัฒนาทางบุคลิกภาพ มีทศั นคติที่ดีตอ่ ตนเองและมีอิสระที่จะเรี ยนรู้ในสิ่งต่าง ๆ เด็กทุกคนจะต้ อง ได้ รับการปลูกฝั งให้ เกิดความมัน่ คงภายใน และทาให้ เขาได้ เรี ยนรู้ ในการที่จะมีความสัมพันธ์ กบั ผู้อื่นด้ วย


55 2. เพื่อให้ ได้ รับการฝึ กให้ ร้ ูจกั มารยาทที่ดี ให้ มีทกั ษะในการช่วยเหลือตนเอง การพัฒนา กล้ ามเนื ้อใหญ่และกล้ ามเนื ้อเล็ก การเคารพกฎระเบียบต่าง ๆ ของส่วนรวม และความสามารถใน การติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นได้ อย่างมีประสิทธิภาพ หลักสูตรและการจัดการศึกษาปฐมวัย หลักสูตรการจัดการศึกษาปฐมวัยของประเทศสวีเดนมีพื ้นฐานมาจากทฤษฎีพฒ ั นาการ ของ อาร์ โนล กีเซล (Arnold Gesell) เพียเจต์ (Jean Piaget) และอีริค อีริคสัน (Erik Erikson) คือ ครูจะต้ องเรี ยนรู้เกี่ยวกับอัตราและขันตอนของพั ้ ฒนาการของเด็กทัว่ ๆ ไป และจะใช้ วิธีการสอนที่มี ส่ ว นคล้ ายคลึ ง กั บ โรงเรี ย นเด็ ก เล็ ก ของอัง กฤษ ที่ เ รี ย กว่ า วิ ธี ส อนแบบค้ น พบด้ ว ยตนเอง (Discovery method) จุ​ุ ดประสงค์ในการสอนก็เพื่อกระตุ้นให้ เด็กเกิดความสนใจในสิ่งแวดล้ อม ทังทางสั ้ งคมและทางกายภาพให้ มากขึ ้น และในสภาพแวดล้ อมที่ปราศจากความกดดันเช่นนี ้จะ ช่วยให้ เด็กได้ ค้นพบและเรี ยนรู้ เกี่ยวกับโลกของตนเอง ไม่ได้ เน้ นการเตรี ยมเด็กอย่างที่เป็ นเรื่ อง เป็ นราว และมีการเตรี ยมสาหรับการสอนอย่างจริ งจังน้ อยมาก เด็ก ๆ จะมีอิสระที่จะทดลองสิ่ง ต่าง ๆ ที่สนใจได้ โดยมีผ้ ใู หญ่คอยดูแลและให้ คาแนะนาเมื่อต้ องการเขาจะได้ รับการเตรี ยมตัวให้ พร้ อมในทักษะต่าง ๆ ที่จาเป็ นสาหรับการเข้ าร่วมในสังคมกับเพื่อน ๆ รุ่นราวคราวเดียวกันหรื อกับ คนอื่ น ๆ รอบ ๆ ตัว จุด มุ่ง หมายที่ ส าคัญ ของหลัก สูต รก็ คื อ ให้ เ ด็ ก ได้ มี พัฒ นาการทางด้ าน บุคลิกภาพมีทศั นคติที่ดีต่อตนเองและมีอิสรเสรี ที่จะเรี ยนรู้ ในสิ่งต่าง ๆ ซึ่งจะเป็ นการช่วยพัฒนา เด็กทังทางสั ้ งคม อารมณ์ ร่ างกายและสติปัญญา วิชาที่จะใช้ สอนให้ แก่เด็ก ได้ แก่ ทักษะการ ช่วยเหลือตนเอง การพัฒนากล้ ามเนื ้อใหญ่และกล้ ามเนื ้อเล็ก การเคารพกฎระเบียบ ข้ อห้ ามต่าง ๆ และความสามารถในการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นได้ อย่างมีประสิทธิ ภาพ การเรี ยนจะเรี ยนใน อาคารชันเดี ้ ยว ซึง่ ออกแบบสร้ างขึ ้นเป็ นพิเศษสาหรับเด็กแต่ละกลุม่ อายุ มีเครื่ องเล่นและอุปกรณ์ การเรี ยนรู้ไว้ อานวยความสะดวกกับเด็กด้ วย หน่ วยงานที่รับผิดชอบ การจัดการศึกษาปฐมวัยในสวีเดนรัฐบาลสนับสนุนให้ บรรดาผู้นาในท้ องถิ่นอาสาสมัคร เข้ ามาดาเนินการ หน่วยงานที่มีอานาจสูงสุดทางการศึกษาปฐมวัย ได้ แก่ กระทรวงสาธารณสุข และสังคม (Ministry of health and social affairs) ได้ แต่งตังคณะกรรมการสาธารณสุ ้ ขและ สวัสดิการแห่งชาติ ให้ เป็ นผู้ดแู ลและคอยให้ คาแนะนาในการดาเนินงานของโรงเรี ยนอนุบาล การ บริ หารจะแบ่งออกเป็ นมณฑลและท้ องถิ่น โดยมีผ้ รู ับผิดชอบคือ คณะกรรมการบริ การสังคม ซึ่ง เป็ นสาขาของเทศบาลท้ องถิ่นเป็ นผู้ดแู ลรับผิดชอบสถานรับเลี ้ยงเด็กและศูนย์ทงหมด ั้ (สานักงาน คณะกรรมการวิจยั แห่งชาติ, 2534, หน้ า 186)


56 บุคลากรดาเนินการ ในประเทศสวี เดนมี ก ารตัง้ วิ ท ยาลัยครู อนุบาลเป็ นวิท ยาลัยเอกเทศเฉพาะ หลักสูต ร การศึกษาจะเน้ นหนักไปทางวิชาการ ซึง่ จะเป็ นสวัสดิการแก่เด็กปฐมวัยโดยเฉพาะ โดยไม่เลือกว่า เด็กนันอยู ้ ใ่ นสภาพใด วิทยาลัยครูอนุบาลจึงผลิตนักศึกษาเพื่อรับผิดชอบทางสวัสดิการของชุมชน เกี่ยวกับเด็กตังแต่ ้ แรกเกิดจนถึง 7 ปี ทัว่ ประเทศทังในและนอกโรงเรี ้ ยน รวมทังในสถานเลี ้ ้ยงดูเด็ก อ่อนของรัฐหรื อสมาคมองค์กรต่าง ๆ ดังนันครู ้ อนุบาลของสวีเดนจึงได้ รับการอบรมและฝึ กฝนมา เป็ นอย่างดี ครู จะผ่า นการศึก ษา 2 – 4 ปี จากวิท ยาลัย รั ฐบาลจะจ่า ยเงิ น เดือ นครู ตามวุฒิ โรงเรี ยนที่เปิ ดสอนเต็มวันจะต้ องมีครู ใหญ่และครู อนุบาลห้ องละ 2 คน อัตราส่วนของครู ต่อเด็ก อายุเกิน 2 ปี จะเป็ น 1 : 5 ถ้ าเป็ นเด็กทารกอัตราส่วนจะเป็ น 1 : 4 และยิ่งถ้ าเป็ นเด็กที่จะต้ องดูแล เป็ นพิเศษอัตราส่วนก็จะยิ่งต่าลงอีก ในกรณีที่ขาดแคลนครูอนุบาลโรงเรี ยนจะต้ องพยายามจัดหา พยาบาลแผนกเด็กมาประจาการแทน สาหรับโรงเรี ยนที่เปิ ดสอนไม่เต็มวัน อัตราส่วนของครู ต่อ เด็กจะเป็ น 1 : 40 สุาหรับเด็กอายุ 5 – 6 ปี และ 1 : 30 สุาหรับเด็กที่อายุน้อยลงมา อัตราส่วน สาหรับบางโรงเรี ยนที่มีการจัดแบบสบาย ๆ คือ 1 : 5 สาหรับในสถานเลี ้ยงเด็กแบบครอบครัวจะมีมารดาทางานในการช่วยดูแลเด็ก มารดา เหล่านี ้จะต้ องผ่านการฝึ กอบรมเกี่ยวกับการอบรมเลี ้ยงดูเด็ก เพื่อจะได้ มีความรู้และประสบการณ์ เพิ่ ม มากขึ น้ ด้ วย สถานเลี ย้ งเด็ ก หรื อ ศู น ย์ เ ลี ย้ งเด็ ก จะมี ค ณะท างานที่ ป ระกอบไปด้ ว ย ผู้อานวยการหรื อครูใหญ่ ครูอนุบาล พยาบาล คนครัวและภารโรง (Muecller, 1971 อุ้างถึงใน สานักงานคณะกรรมการวิจยั แห่งชาติ, 2534, หน้ า 186)

การศึกษาปฐมวัยในประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศสหรัฐอเมริ กาเป็ นประเทศหนึ่งในทวีปอเมริ กาเหนือ ซึง่ มีความเจริ ญทังทางด้ ้ าน เศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและการศึกษาเป็ นอย่างมาก การจัดการศึกษาปฐมวัยใน ประเทศสหรัฐอเมริ กานันประกอบด้ ้ วยแนวคิดหลายรู ปแบบและหลายบุคคล จึงมีรูปแบบการจัด การศึกษาที่แตกต่างกันออกไป ประวัตคิ วามเป็ นมา ในปี ค.ศ.1885 Mrs. Carl Schurz ลูกศิษย์เอกของโฟรเบล ได้ ก่อตัง้ โรงเรี ยนปฐมวัยแห่ง แรกขึ ้น ณ เมืองวอเตอร์ ทาวน์ในรัฐวิสคอนซิน โรงเรี ยนนี ้ใช้ ภาษาเยอรมันในการสอนและใช้ บ้าน ของเธอเป็ นที่เรี ยน ต่อมาเธอได้ พบกับ มิสอลิซาเบต พีบอดี ้ ที่เมืองบอสตัน และได้ เล่าเกี่ยวกับการ ปฐมวัยตามหลักของโฟรเบล ดังนัน้ ในปี ค.ศ.1860 พีบอดี ้ ได้ จดั ตังโรงเรี ้ ยนปฐมวัยขึ ้นในเมือง


57 บอสตัน นับว่าเป็ นโรงเรี ยนปฐมวัยเอกชนแห่งแรกที่สอนโดยใช้ ภาษาอังกฤษและใช้ หลักการของ โฟรเบลในการสอน ในปี ค.ศ.1873 ถื อว่าเป็ นปี สาคัญในประวัติการศึกษาของประเทศสหรั ฐอเมริ กาเมื่ อ Susan E. Blow กับ William T. Harris ได้ ก่อตังโรงเรี ้ ยนปฐมวัยของรัฐขึ ้นเป็ นแห่งแรกในเมือง เซนต์หลุยส์ มลรัฐมิสซูรี่ และได้ รับความสาเร็ จอย่างมาก จนทาให้ โรงเรี ยนประถมศึกษาของรัฐ หลายโรงได้ จดั ให้ มีชนปฐมวั ั้ ย (Kindergarten) ขุึ ุ้นและมีถึง 53 โรง ในปี ค.ศ.1879 ได้ มีชนั ้ ปฐมวัยเพิ่มขึ ้นในมลรัฐต่าง ๆ ประมาณ 30 รัฐ ในช่วงที่มีการใช้ แนวคิดของโฟรเบล ในการสอนเด็กปฐมวัยในสหรัฐอเมริ กานันได้ ้ เกิดมีผ้ ู สงสัยและปฏิวตั ิหลักการและอุปกรณ์ตามแบบของโฟรเบล เธอผู้นี ้คือ แพทตี ้ สมิทธ ฮิลล์ (1868 – 1946) ซึง่ เป็ นครูสอนเด็กยากจนในเมืองหลุยส์วิลล์ มลรัฐเคนตัก๊ กี ้ ฮิลล์ ไ อ จ ุักการและวิธีการของ จี สเตนเลย์ ฮอลล์ ในเรื่ องการใช้ แบบสอบถาม การใช้ ระเบียนพฤติการณ์ (Anecdotal Records) การเน้ นการพัฒนากล้ ามเนือ้ ใหญ่ก่อนกล้ ามเนื ้อเล็ก การจัดหาเครื่ องเล่นที่มีขนาดใหญ่ขึ ้น การให้ เด็กมีกิจกรรมและเสรี ภาพ มากขึ ้น และที่สาคัญถือว่าด้ านอารมณ์เป็ นพื ้นฐานที่สาคัญกว่าด้ านสติปัญญาของเด็ก โรงเรี ยนของฮิลล์ อเสียงแพร่หลาย มีผ้ เู ยี่ยมชมจานวนมาก รวมทัง้ จอห์น ดิวอี ้ ุ้วย ฮิลล์ ได้ นาหลักการของ ดิวอี ้ าใช้ ในโรงเรี ยนของเธอด้ วย เช่น การสร้ างห้ องเรี ยนให้ มีบรรยากาศ เหมื อ นบ้ า น นัก เรี ย นเป็ นผู้ว างแผนกิ จ กรรมเอง ปฏิ บัติ ต ามแผนและประเมิ น ผลเอง การ ปฏิ สัม พัน ธ์ ท างสัง คม และการให้ เ วลาเด็ ก อย่ า งเพี ย งพอ เพื่ อ ส่ง เสริ ม การสร้ างสรรค์ แ ละ จินตนาการของเด็ก นอกจากนี ้ ฮิลล์ ยุังใช้ การสังเกตพฤติกรรม การจดบันทึก การจัดหาบล็อก ขนาดใหญ่ เครื่ องปี นชนิดใหญ่ การเล่นกลางแจ้ ง และสิ่ง ของต่าง ๆ ที่สง่ เสริ มการเล่นสมมติและ การให้ เวลาเด็กเล่นอย่างเสรี ด้วย ฮิลล์ ถุื อว่ากระบวนการ (Process) ุี ุ่ เด็กทากิจกรรมมี ความสาคัญกว่าผลงาน (Product) ของเด็ก (Lundsteen & Tarrow, 1981) จากการที่ ฮิลล์ ุันมาเน้ นเรื่ องสุขภาพของเด็ก กิจกรรมที่ใช้ กล้ ามเนื ้อใหญ่ และการ พัฒนาด้ านอารมณ์ ทาให้ เกิดข้ อโต้ แย้ งกับผู้นิยมหลักการของโฟรเบล ซึง่ มีผ้ นู าคือ ซูซาน อี โบลว์ แต่อย่างไรก็ตาม ทัง้ ดิวอี ้และนักวิชาการอื่น ๆ ในสหรัฐอเมริ กาได้ โจมตีเรื่ อง “การนั่งเรี ยนนิ่ง ๆ และการทากิจกรรมที่ใช้ กล้ ามเนื ้อเล็ก” ซึง่ สนับสนุนแนวคิดของฮิลล์ ุาให้ เกิดการเปลี่ยนแปลง ขึ ้นอีกหลายอย่าง เช่น จัดหาอุปกรณ์ที่มีขนาดใหญ่และมีหลากหลายชนิดขึ ้น เปิ ดโอกาสให้ เด็ก ได้ สร้ างสรรค์มากขึ ้น และมีอิสรเสรี ในการทากิจกรรมและก่อสร้ างสิ่งต่าง ๆ และลักษณะการเข้ า สังคม เน้ นแบบไม่เป็ นทางการ มีความยืดหยุน่ มีความเหมาะสมทังด้ ้ านร่างกายและจิตใจของเด็ก


58 จากอิทธิพลของการจัดโปรแกรมปฐมวัยของฮิลล์ ซุึ ุ่ งอาศัยหลักการและวิชาการ ของดิวอี ้ ฮอลล์และนักการศึกษาสาคัญอื่น ๆ ยังผลให้ การปฐมวัยศึกษาในประเทศสหรัฐอเมริ กามี ลักษณะเป็ นเอกลักษณ์ของตนเองมากขึ ้น (นิตยา ประพฤติกิจ, 2539, หน้ า 6 – 7) โรงเรียนมอนเตสซอรี่ (Montessori School) ในระหว่างที่ ประเทศสหรั ฐอเมริ กากาลังมี การเปลี่ยนแปลงด้ านโปรแกรมการปฐมวัย ศึกษาอยู่นนั ้ ได้ เกิดแนวคิดใหม่เกี่ยวกับการปฐมวัยศึกษาขึ ้นในประเทศอิตาลี ผู้นาความคิดใหม่ มาใช้ นี ้ก็คือ ดร.มาเรี ย มอนเตสซอรี่ (1870 – 1952) เป็ นนักจิตแพทย์ชาวอิตาลี เป็ นคนเฉลียวฉลาด มีความเพียรพยายามและขยันขันแข็ง มอนเตสซอรี่ เป็ นแพทย์หญิงคนแรกของประเทศอิตาลี ก่อนสาเร็ จการศึกษาได้ ฝึกงานที่ คลินิกจิตเวชในกรุ งโรม และเกิดความสนใจเด็กปั ญญาอ่อนที่ถูกกักกันให้ อยู่รวมกันโดยไม่ทา อะไรเลยในสถานพยาบาลแห่งนัน้ เธอจึงเริ่มต้ นสอนเด็กปั ญญาอ่อน จนกระทัง่ เด็กเหล่านี ้สามารถ เรี ยนรู้ หลาย ๆ อย่าง และสามารถสอบผ่านเหมือนเด็กปกติทั่วไป มอนเตสซอรี่ เริ่ มมองเห็นว่า การศึกษาของเด็กปกติก็ต้องมีการพัฒนาเช่นกัน ดังนัน้ ในปี ค.ศ.1907 เธอได้ เริ่ มอาชีพด้ วยการเป็ นผู้ดแู ลเด็กยามพ่อแม่ไปทางาน บ้ านที่ เธอดูแลเด็กนี ้ตังอยู ้ ่ในแหล่งสลัมของกรุงโรม เธอใช้ วิธีการสังเกตและทดลอง ใช้ วิธีการต่าง ๆ เช่น เด็กจะต้ องเรี ยนรู้ เกี่ยวกับการดูแลตนเอง การรักษาความสะอาดทังที ้ ่บ้านและการแต่งกาย เด็ก ที่นี่เริ่ มเรี ยนรู้ ขึ ้นมากจนเป็ นที่ปรากฏ และมีผ้ ู คนมาเยี่ยมชมสถานที่นี ้ซึ่งเธอเรี ยกว่า “บ้ านเด็ก” (Children’s House) ลักษณะเด่นของระบบนี ้ก็คือ การจัดสถานที่เรี ยนให้ เหมือนกับบ้ าน เพื่อสร้ างบรรยากาศ ที่เป็ นกันเอง ไม่มีเก้ าอี ้เรี ยงแถว เพราะเป็ นการบังคับและจากัดเสรี ภาพของเด็ก จัดให้ มีโต๊ ะ เก้ าอี ้ และชันวางของขนาดเล็ ้ กเหมาะสาหรับเด็ก มีเครื่ องเล่นแบบมอนเตสซอรี่ ุี ุ่ เปิ ดโอกาสให้ เด็ก ได้ เล่นเองและตรวจสอบแก้ ไขด้ วยตนเอง เด็ก ๆ มีเสรี ภาพที่จะเลือกทากิจกรรมต่าง ๆ ตามความ สนใจของตนเอง ไปหยิบอุปกรณ์ หรื อของเล่นเอง แล้ วนาไปเก็บเข้ าที่เอง เด็กส่วนมากไม่ต้อง อาศัยครู ช่วยแนะนา แต่ครู มีหน้ าที่เฝ้าดูห่าง ๆ และพร้ อมที่จะแนะนาเครื่ องเล่นชิ ้นต่อไปให้ เด็ก ถ้ าหากเด็กสามารถทางานชิ ้นเก่าประสบผลสาเร็ จแล้ ว นอกจากนี ้เด็กจะต้ องทางานบ้ านต่าง ๆ เช่น เช็ดถูโต๊ ะ กวาดถูพื ้น ทาความสะอาดกระจก ทาอาหารและแบ่งปั นให้ เพื่อน ๆ การดูแล รักษาสุขภาพของตัวเองและการดูแลสวน มอนเตสซอรี่ ได้ ประดิษฐ์ อปุ กรณ์หลายชนิดเพื่อส่งเสริมการพัฒนาด้ านสติปัญญาของเด็ก เช่น การเรี ยนรู้เกี่ยวกับรูปทรงกระบอกที่มีความยาว กว้ าง ลึก ตื ้น ต่าง ๆ การใช้ ลกู ปั ดเพื่อเรี ยนรู้


59 ความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์ เรื่ องหลักหน่วย (Units) และหลักสิบ (Tens) การใช้ กระดิ่งเพื่อ เรี ยนรู้ เกี่ยวกับดนตรี ของเล่นดังกล่าวถูกลอกเลียนนาไปใช้ ทวั่ โลก มีผ้ คู นจานวนมากไปเยี่ยมชม ระบบการจัดโรงเรี ยนและการสอนตามแบบมอนเตสซอรี และสรุ ปได้ ว่า ระบบนี ้ไม่ได้ ปล่อยให้ เด็ก เรี ยนไปตามธรรมชาติ แต่เรี ย นอยู่ในวงแคบเป็ นระบบกลไก มี แบบแผน (ตามเครื่ องเล่นหรื อ อุปกรณ์ที่จดั ไว้ ให้ ) จากัดการแสดงออกของเด็ก ไม่เปิ ดโอกาสให้ เด็กเล่นโดยใช้ จินตนาการและไม่ ส่งเสริมพัฒนาการทางภาษา ซึง่ ไม่สอดคล้ องกับหลักการที่กาลังนิยมอยูใ่ นปั จจุบนั นี ้นัก โรงเรี ยนปฐมวัยตามระบบมอนเตสซอรี่ เริ่ มจัดตังขึ ้ ้นโดยเอกชนในประเทศสหรัฐอเมริ กา ในกลางปี ค.ศ.1920 แต่อยู่ได้ ไม่นานก็เลิกไปบ้ างหรื อเปลี่ยนเป็ นระบบอื่นบ้ าง จนกระทัง่ ปี ค.ศ. 1958 ได้ มีผ้ ฟู ื น้ ระบบนี ้ขึ ้นมาอีกและจัดตังสมาคม ้ “American Montessori Society or AMS” ขึ ้น โรงเรี ยนนี ้ได้ พยายามแก้ ไขจุดบกพร่ องที่นักการศึ กษาในสหรัฐวิจารณ์ ไว้ คือ เปิ ดโอกาสให้ เด็ก แสดงออกมากขึ ้นทังในด้ ้ าน ศิลปะ ดนตรี และการปฏิสมั พันธ์ทางสังคม (Social Interaction) แต่ โรงเรี ยนระบบนีส้ ่วนใหญ่เป็ นของเอกชน และเมื่อไม่นานมานีม้ ีโรงเรี ยนของรัฐบาลบางโรงได้ เลือกใช้ ระบบการจัดชันเรี ้ ยนแบบมอนเตสซอรี่ (นิตยา ประพฤติกิจ, 2539, หน้ า 7 – 8) หลักการและรูปแบบการจัดการศึกษาปฐมวัย ประเทศสหรัฐอเมริ กาถื อว่าเด็กเป็ นทรัพยากรที่มีความสาคัญสูงสุด เพราะเด็ก ๆ คือ อนาคตของชาติ การหล่อหลอมในช่วงปี แรก ๆ ของชีวิตเด็กเป็ นความรับผิดชอบของสังคมและ นโยบายสัง คม ปั จจุบัน สหรั ฐอเมริ กาได้ ก าหนดวิสัยทัศน์ ท างการศึกษาไว้ ในกฎหมายชื่ อว่า “Goals 2000 : Educate America Act” ในปี ค.ศ.1994 และมีผลบังคับใช้ ในปี ค.ศ.1996 เพื่อ สนับสนุนการปรับปรุ งการเรี ยนการสอน โดยการจัดสร้ างกรอบแนวคิดและเป้าหมายการศึกษา ของชาติเพื่อการปฏิรูปการศึกษา ซึง่ มี การกาหนดเป้าหมายการศึกษาไว้ 8 ประการ โดยมีสว่ นที่ เกี่ ย วข้ อ งกับ การศึก ษาปฐมวัย คื อ เป้ าหมายข้ อ ที่ 1 ในเรื่ อ งความพร้ อมที่ จ ะเรี ย น ( School Readiness) ซุึ ุ่ งระบุไว้ ว่า “ในปี ค.ศ.2000 เด็กทุกคนในสหรัฐอเมริ กามาโรงเรี ยนด้ วยความ พร้ อมที่จะเรี ยน” (ทิพย์สดุ า สุเมธเสนีย์, 2542, หน้ า 41 – 42) จุดประสงค์ของเป้าหมายข้ อนี ้ คือ 1. เด็กปฐมวัยทุกคนจะได้ รับการศึกษาที่พฒ ั นาอย่างเหมาะสมและมีคณ ุ ภาพสูง เพื่อ เตรี ยมความพร้ อมทางการเรี ยนของเด็กเมื่อเข้ าสูร่ ะบบโรงเรี ยน 2. พ่อแม่ของเด็กทุกคนในสหรัฐอเมริกาถือเป็ นครูคนแรกของลูก ผู้ซงึ่ อุทิศเวลาแต่ละวัน เพื่อเตรี ยมความพร้ อมในการเรี ยนให้ ลกู ทังนี ้ ้พ่อแม่สามารถเข้ ารับการฝึ กอบรมและรับบริการที่ จาเป็ นในการปฏิบตั ิหน้ าที่ดงั กล่าว 3. เด็กทุกคนจะได้ รับประสบการณ์ที่เกี่ยวกับกิจกรรมหลายหลากและการดูแลสุขภาพ


60 เพื่อเข้ าสู่ระบบโรงเรี ยนด้ วยสุขภาพที่แข็งแรงทังกายและใจ ้ กระฉับกระเฉงพร้ อมที่จะเรี ยนรู้ มี การจัดระบบอนามัยแม่และเด็กที่ดีเพื่อลดจานวนเด็กแรกเกิดที่มีน ้าหนักต่ากว่ามาตรฐาน สาหรับรู ปแบบการจัดการศึกษานัน้ ประเทศสหรัฐอเมริ กามีรูปแบบการจัดการศึกษา ปฐมวัย 3 รูปแบบใหญ่ ๆ คือ 1. โรงเรี ยนอนุบาล ในช่วงแรก ๆ จะรับเด็กในช่วงอายุ 3 – 7 ปี ต่อมาในปี ศตวรรษที่ 20 ได้ จากัดอายุให้ แคบลง กาหนดให้ รับเด็ก 4 – 5 ปี ส่วนใหญ่จะรับเลี ้ยงเด็กเพียงครึ่ งวัน โดยมี ตารางเวลาเรี ยนประมาณ 2 ชัว่ โมง หรื อ 2 ชัว่ โมงครึ่ง แต่มีบางแห่งที่ตา่ งออกไปมีการเรี ยนเต็มวัน ตังแต่ ้ เวลา 8.20 – 15.30 น. 2. โรงเรี ยนเด็กเล็ก รับเด็กวัย 3 – 4 ปี จัดตังขึ ้ ้นโดยมีพื ้นฐานที่จะเลี ้ยงดูเด็กทังหลายให้ ้ มีพฒ ั นาการทางด้ านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์และสังคม 3. ศูนย์เลี ้ยงเด็กหรื อสถานรับเลี ้ยงเด็ก จัดขึ ้นเพื่อให้ การดูแลเด็กที่แม่ต้องออกไปทางาน มากกว่าที่จะมุ่งให้ การศึกษาแก่เด็ก ศูนย์เลี ้ยงเด็กหรื อสถานรับเลี ้ยงเด็กจะแบ่งออกเป็ น 3 แบบ ใหญ่ ๆ คือ สถานรั บเลีย้ งเด็ก ตามบ้ า น สถานรั บเลีย้ งเด็กแบบครอบครั วและศูน ย์ ดูแลเด็ก นอกจากนี ้ยังมีสถานรับเลี ้ยงเด็กย่อย ๆ อีกหลายแบบ แต่หลักการและวิธีปฏิบตั ิก็จะคล้ ายคลึงกับ แบบใดแบบหนึ่ ง ใน 3 แบบ ที่ ก ล่ า วมานี ม้ ี ลัก ษณะการด าเนิ น งานสรุ ป ได้ ดัง นี ้ (ส านัก งาน คณะกรรมการวิจยั แห่งชาติ, 2534, หน้ า 141 – 143) สถานรับเลี ้ยงเด็กในบ้ าน จะจัดให้ เด็กได้ อยู่ในบรรยากาศที่ค้ นุ เคยเหมือนบ้ าน ตนเอง ได้ ทากิจกรรมต่าง ๆ ที่กาหนดไว้ เช่นเดียวกับที่เคยทาที่บ้าน ผู้ดแู ลเด็กจะทาหน้ าที่ในการ ทาความสะอาด ทาอาหาร และงานบ้ านอื่น ๆ รวมทังรั ้ บผิดชอบดูแลเด็ก ๆ ด้ วย เด็ก ๆ จะได้ เรี ยนรู้ ในสิ่งที่เป็ นประโยชน์และได้ รับการเลี ้ยงดูแบบที่บ้าน เด็กจึงไม่ค่อยได้ รับประสบการณ์ใน ด้ านต่าง ๆ เท่าที่ควร และไม่คอ่ ยได้ มีโอกาสปฏิสมั พันธ์กบั เพื่อน สถานรับเลี ้ยงเด็กแบบครอบครัว จะรับเด็กอายุตา่ ง ๆ กัน เด็ก ๆ มีโอกาสเล่นกับ เพื่อน ๆ และผู้ปกครองสามารถเลือกผู้ดแู ลที่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับการเลี ้ยงดู อบรมเด็กที่เหมือน หรื อใกล้ เคียงกับตนเองได้ เพราะสถานรับเลี ้ยงเด็กในลักษณะนี ้มีให้ เลือกมาก แต่สถานรับเลี ้ยง เด็ ก เหล่ า นี ไ้ ม่ ค่ อ ยจะได้ รั บ ความช่ ว ยเหลื อ จากผู้ช านาญที่ จ ะช่ ว ยให้ โ ปรแกรมการเลี ย้ งดูมี ประสิทธิภาพ และบางแห่งก็ไม่คอ่ ยมัน่ คงนักเพราะบางครัง้ ผู้ดแู ลก็ปิดกิจการโดยไม่แจ้ งล่วงหน้ า ศูนย์ ดูแลเด็ก จะมีตารางเวลาการดูแลที่แน่นอน สถานที่ทาการศูนย์ มีความ มัน่ คง โปรแกรมสนับสนุนความสาคัญของกลุม่ และประสบการณ์การเรี ยนรู้ของเด็กเป็ นโปรแกรม ที่ได้ รับอนุญาตถูกต้ องมีใบรับรองและคณะที่ทางานเป็ นมืออาชีพ แต่บรรยากาศของศูนย์ไม่มี


61 บรรยากาศอบอุ่นของบ้ าน บางครัง้ อาจมีการดูแลเด็กอย่างเข้ มงวด ผู้ปกครองไม่สามารถเลือก ผู้ดแู ลเด็กที่มีความเห็นตรงกันในเรื่ องแนวทางการอบรมดูแลเด็กได้ จุดมุ่งหมายของการจัดการศึกษาปฐมวัย การจัดการศึกษาของประเทศสหรัฐอเมริ กาเป็ นระบบการกระจายอานาจ จึงทาให้ แต่ละ รัฐนันมี ้ สิทธิเต็มที่ในการจัดการศึกษาในรัฐของตน จุดมุ่งหมายของการจัดการศึกษาปฐมวัยใน ประเทศสหรัฐอเมริกาแบ่งออกเป็ น 5 ด้ านใหญ่ ๆ คือ 1. เพื่ อ ให้ เด็ ก ได้ มี โ อกาสพัฒ นาสติ ปั ญ ญา และการเรี ย นรู้ โดยได้ เ รี ย นรู้ เกี่ ย วกั บ สิ่งแวดล้ อม พัฒนาความสามารถในการแก้ ปัญหา ให้ มีทศั นคติที่ดีตอ่ การเรี ยนรู้ การแสดงออก เกี่ยวกับตนเองในการพูดและสื่อสารกับผู้อื่น โดยจัดให้ มีกิจกรรมต่าง ๆ ที่เหมาะสม 2. เพื่อให้ เด็กได้ พฒ ั นาอารมณ์ที่มนั่ คง โดยการสร้ างมโนคติทางบวกให้ แก่ตนเอง อีก ทังรู้ ้ จกั คุณค่าของตนเอง รวมไปถึงการพัฒนาความมัน่ ใจในตนเองและผู้อื่น การยอมรับและปรับ ตนเองเมื่อมีอปุ สรรค 3. เพื่ อ ให้ เ ด็ ก สามารถปรั บ ตัว เข้ า กับ สัง คมได้ เ ป็ นอย่ า งดี โดยสร้ างสัม พัน ธ์ ที่ ดี ต่ อ ครอบครัวและผู้อื่น เรี ยนรู้ที่จะยอมรับสิทธิของตนเองและสิทธิของผู้อื่น มีความรับผิดชอบต่องาน ที่กระทา 4. เพื่อพัฒนาการแสดงออกในด้ านต่าง ๆ ให้ เด็กประสบความสาเร็จด้ วยตนเอง ยอมรับ ความแตกต่างและความไม่เท่าเทียมกันในความสามารถของตนเองและผู้อื่น 5. พัฒนาความสัมพันธ์ ให้ เกิดความต่อเนื่องระหว่างบ้ านและโรงเรี ยน เพื่อส่งเสริ มและ สนับสนุนการศึกษาปฐมวัยให้ มีประสิทธิภาพยิ่งขึ ้น หลักสูตรและการจัดการศึกษาปฐมวัย หลัก สูตรการศึก ษาปฐมวัยในประเทศสหรั ฐอเมริ กานัน้ มี มากมายหลายแบบด้ วยกัน นับตังแต่ ้ การจัดโปรแกรมเพื่อดูแลเด็กไปจนถึงโปรแกรมการเลี ้ยงดูเพื่อการส่งเสริ มพัฒนาการของ เด็กมีทงั ้ หลักสูตรที่มีโครงสร้ างที่แน่นอนและหลักสูตรที่ไม่มีโครงสร้ างเลย ซึ่งปั จจุบนั ได้ มีการ ทดลองการใช้ รูปแบบการศึกษาปฐมวัยอยู่มากมายก็ยงั หาข้ อสรุปไม่ได้ เนื่องจากมีแนวคิดในการ จัดหลักสูตรมากมาย อีกทัง้ ในแต่ละรัฐนัน้ ก็มีหลักสูตรที่แตกต่างกันออกไป จึงมีการยากที่จะ กล่าวถึงหลักสูตรหนึ่งโดยเฉพาะ แต่อย่างไรก็ตามทุกหลักสูตรต้ องมีส่วนสาคัญที่ช่วยในการ เรี ยนรู้ ตามจุดมุ่งหมายเป็ นไปอย่างมีประสิทธิ ภาพโดยการจัดเตรี ยมสถานที่ ต่าง ๆ ไว้ สาหรั บ กิจกรรมที่ จาเป็ นในหลักสูตร กิ จกรรมที่เด็กทาในพืน้ ที่ต่าง ๆ เหล่านีจ้ ะช่วยพัฒนาเด็กทัง้ ทาง ร่างกาย อารมณ์และสติปัญญา เด็ก ๆ ไม่เบื่อที่จะเล่นหรื อทากิจกรรมเหล่านี ้ทุก ๆ วัน พื ้นที่ตา่ ง ๆ เหล่านี ้อาจจะปรับเปลี่ยนได้ ตามวัตถุประสงค์และขนาดของกลุ่ม และใช้ ได้ ทงในการเล่ ั้ น อิสระ


62 ของเด็กหรื อการทากิจกรรมตามที่กาหนดไว้ หลักสูตรจะต้ องไม่จากัดขอบเขตสาหรับพื ้นที่เหล่านี ้ และสิ่งสาคัญก็คือจะต้ องยืดหยุ่นและปรับให้ เหมาะสมได้ (สานักงานคณะกรรมการวิจยั แห่งชาติ, 2534, หน้ า 149 – 151) โปรแกรมปฐมวัยไฮ / สโคป ( The high / scope perry preschool project) เป็ นการศึกษาระยะยาว (Long – term study) เพื่อประเมินว่าโปรแกรมปฐมวัยที่มี คุณภาพสูง มุ่งเน้ นรูปแบบการเรี ยนรู้ที่ยึดผู้เรี ยนเป็ นศูนย์กลางและเปิ ดโอกาสให้ ผ้ เู รี ยนรู้ได้ ลงมือ กระทากิจกรรมต่าง ๆ ด้ วยตนเอง สามารถส่งผลทางบวกทังระยะสั ้ นและระยะยาวต่ ้ อเด็กยากจน หรื อเด็กที่อยูใ่ นสภาวะเสี่ยงต่อการล้ มเหลวด้ านการเรี ยนโดยมีการรายงานและติดตามผลการวิจยั เป็ นระยะ ๆ ดังที่ นภเนตร ธรรมบวร (2542, หน้ า 1) สรุปไว้ ดงั นี ้ - อายุ 5 ปี มุง่ เน้ นพัฒนาการทางด้ านสติปัญญา - อายุ 8 ปี มุง่ เน้ นความสาเร็จด้ านการเรี ยน - อายุ 15 ปี มุง่ เน้ นความสาเร็จด้ านการเรี ยนและพฤติกรรมทางสังคม - อายุ 19 ปี มุง่ เน้ นการเข้ าสูส่ ภาวะความเป็ นผู้ใหญ่ - อายุ 27 ปี มุง่ เน้ นสถานภาพของความเป็ นผู้ใหญ่และความสาเร็จ องค์ ประกอบสาคัญของโปรแกรมไฮ / สโคป องค์ประกอบสาคัญที่สง่ ผลให้ โปรแกรมไฮ / สโคปประสบความสาเร็จมีดงั ต่อไปนี ้ 1. หลักสูตรที่มงุ่ เน้ นผู้เรี ยนเป็ นศูนย์กลาง ผู้เรี ยนมีสว่ นร่วมในการเรี ยนและเป็ น ผู้ลงมือกระทากิจกรรมต่าง ๆ ด้ วยตนเอง 2. การนิ เ ทศการใช้ หลัก สู ต รอย่ า งสม่ า เสมอและการอบรมครู ป ระจ าการ (Inservice training) อย่างเป็ นระบบซึง่ ส่งผลระยะยาวต่อการจัดโปรแกรม 3. มีการประเมินผลโปรแกรมและการสังเกตความก้ าวหน้ าของเด็กอย่างต่อเนื่อง และสม่าเสมอ 4. เน้ นการมีส่วนร่ วมของผู้ปกครองในกิจกรรมต่าง ๆ ของโรงเรี ยน เช่น เยี่ยม ผู้ปกครอง (Home visits) อาทิตย์ละครัง้ ครัง้ ละ1½ ชัว่ โมง เป็ นต้ น ซึ่งถือเป็ นองค์ประกอบที่ สาคัญต่อความสาเร็จของโปรแกรม สาระสาคัญของหลักสูตรไฮ / สโคป หลักสูตรของโปรแกรมไฮ / สโคปจะเน้ นที่การมีส่วนร่ วมของผู้เรี ยนในการเรี ยนและการ เปิ ดโอกาสให้ ผ้ เู รี ยนได้ ลงมือกระทาสิ่งต่าง ๆ ด้ วยตนเองเป็ นองค์ประกอบหลัก ขณะเดียวกันก็ มุ่งเน้ นถึงความสาคัญของสภาพแวดล้ อมว่าต้ องมีวสั ดุอปุ กรณ์ในการสอนที่พอเพียง นอกจากนัน้ กิจกรรมต่าง ๆ ที่เด็กทาในชันเรี ้ ยนก็มงุ่ เน้ นว่าต้ องเป็ นกิจกรรมที่เด็กเป็ นผู้ริเริ่ม (Child – initated


63 activities) ซึง่ ประกอบด้ วยกระบวนการหลัก ๆ 3 ประการ (PDR – Plan – Do – Review) 1. เด็กเป็ นผู้วางแผนกิจกรรมว่าต้ องการจะทาอะไร 2. เด็กเป็ นผู้ดาเนินกิจกรรมด้ วยตนเอง 3. เด็กสะท้ อนความคิดต่อกิจกรรมที่ตนทาว่า ตนเรี ยนรู้อะไรจากกิจกรรมดังกล่าว ทังนี ้ ้ โดยต้ องคานึงถึงความสนใจของเด็กเป็ นสาคัญ บทบาทของผู้ใหญ่ หรือครูในการมีส่วนร่ วมในกิจกรรมของเด็ก บทบาทของผู้ใหญ่หรื อครูในหลักสูตรแบบไฮ / สโคป คือ การสังเกต สนับสนุนและส่งเสริ ม กิ จ กรรมต่ า ง ๆ ของเด็ ก โดยการจัด สิ่ ง แวดล้ อ มที่ ค านึ ง ถึ ง ความสนใจของเด็ ก เป็ นส าคัญ นอกจากนัน้ กิ จ กรรมต่า ง ๆ ที่ เ กิ ด ขึน้ และด าเนิ น ไปในชัน้ เรี ย นควรอยู่ใ นรู ป แบบของกิ จ วัต ร ประจาวัน เพื่อให้ เด็กสามารถพัฒนาความรู้สกึ ของการเป็ นเจ้ าของหลักสูตร เข้ าใจกิจกรรมต่าง ๆ ที่ดาเนินไปในชันเรี ้ ยนได้ เพื่อเด็กจะได้ สามารถวางแผน ดาเนินกิจกรรมและสะท้ อนความคิดต่อ กิจกรรมต่าง ๆ ได้ นอกจากนันครู ้ หรื อผู้ใหญ่ควรมีสว่ นร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ของเด็ก โดยการถามคาถามที่ เหมาะสม เพื่อช่วยให้ เด็กวางแผนและคิดเกี่ ยวกับกิ จกรรมที่ ตนจัดได้ ลักษณะของคาถามที่ มุ่งเน้ น คือ คาถามปลายเปิ ด (Open-Ended Questions) ที่มุ่งให้ เด็กคิดมากกว่าต้ องการ คาตอบที่ถกู ต้ อง (นภเนตร ธรรมบวร, 2542, หน้ า 18 – 20) โครงการ Head start ประเทศสหรัฐอเมริกา โครงการ Head start เป็ นโครงการระดับซาติที่ให้ บริการด้ านพัฒนาการแก่เด็กอายุ 3–5 ปี ที่ พ่อแม่ มีรายได้ น้ อยและบริ ก ารด้ านสัง คมแก่ครอบครั วของเด็กเหล่านัน้ การบริ การเฉพาะ สาหรับเด็กเน้ นเรื่ องการศึกษาพัฒนาการด้ านอารมณ์ สังคม สุขภาพทางกาย จิตใจและโภชนาการ พื น้ ฐานส าคัญ ของโครงการคื อ การมี ส่ว นร่ ว มของพ่อ แม่แ ละชุม ชน ซึ่ง เป็ นหนึ่ง ใน โครงการปฐมวัยที่ประสบความสาเร็จที่สดุ ของประเทศ (กมล สุดประเสริฐ, 2542, หน้ า 25) โครงการ Head start มีจดุ ประสงค์ 5 ประการ ดังนี ้ 1. ส่งเสริมความเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็ก 2. สร้ างครอบครัวให้ เข็มแข็งในการเป็ นผู้เลี ้ยงดูเด็กขันต้ ้ น 3. ให้ เด็กได้ รับการบริการทางการศึกษา สุขภาพและโภชนาการ 4. เชื่อมโยงเด็กและครอบครัวต่อการบริการชุมชนที่มีความต้ องการจาเป็ น 5. ประกันโครงการที่จดั การที่ดีวา่ พ่อแม่มีสว่ นร่วมในการตกลงใจ มาตรการการวัดการปฏิบตั ิงานของโครงการช่วยให้ เห็นคุณภาพของการปฏิบตั ิงานของ โครงการ Head start ทังระดั ้ บชาติ ระดับภาคและระดับท้ องถิ่น


64 หน่ วยงานที่รับผิดชอบ หน่ ว ยงานที่ รับผิดชอบในการจัดการศึกษาปฐมวัยของประเทศสหรั ฐอเมริ กามีห ลาย หน่วยงาน เนื่องจากกระบวนการปกครองและระบบการศึกษาของประเทศเป็ นระบบการกระจาย อานาจ แบ่งภาระรับผิดชอบตามหน่วยงานที่สามารถสรุปได้ ดังนี ้ 1. กาหนดเขตโรงเรี ย น การสร้ างโรงเรี ยนจะต้ องมี การเลือกสถานที่ และก าหนดเขต โรงเรี ยน โดยที่โรงเรี ยนนันจะต้ ้ องไม่อยู่ในเขตที่มีเสียงรบกวน หน่วยงานที่กาหนดเขตโรงเรี ยน ได้ แก่ คณะกรรมการกาหนดเขตของเมือง 2. อาคารโรงเรี ยน ในการก่อสร้ างอาคารโรงเรี ยนนัน้ จะต้ องได้ รับอนุญาตจากแผนก อาคารของท้ องถิ่นหรื อของรัฐเสียก่อนจึงจะสร้ างได้ 3. กระทรวงสาธารณสุขแห่งรัฐ เป็ นผู้รับผิดชอบในการตรวจสอบสภาพของโรงเรี ยนใน เรื่ องของความปลอดภัยและสุขภาพของเด็ก 4. การออกใบอนุญาตให้ เปิ ดโรงเรี ยน ในการเปิ ดโรงเรี ยนนันจะต้ ้ องขอใบอนุญาตจาก หน่วยงานของรัฐก่อน ซึง่ ขึ ้นอยู่กบั แต่ละรัฐ หน่วยงานของรัฐนี ้จะเป็ นผู้กาหนดว่าโรงเรี ยนแต่ละ โรงเรี ยนนันควรจะรั ้ บนักเรี ยนกี่คน โดยถือมาตรฐานว่าพื ้นที่ในอาคารนันควรจะต้ ้ องมีประมาณ 35 ตารางฟุต และพื ้นที่นอกอาคารจะต้ องมีอย่างน้ อย 75 ตารางฟุตต่อนักเรี ยน 1 คน ในบาง รัฐใบอนุญาตนี ้อาจจะรวมทังอั ้ ตราส่วนระหว่างครูและนักเรี ยน รวมทังคุ ้ ณสมบัติของครูอีกด้ วย 5. การจัดรถรับส่งนักเรี ยน โรงเรี ยนจะต้ องได้ รับอนุญาตจากแผนกการขนส่งของรัฐก่อน 6. คุณสมบัติของบุคลากรในโรงเรี ยนกาหนดโดยกระทรวงศึกษาธิการแห่งรัฐ ซึง่ ในแต่ละ รัฐจะกาหนดคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป 7. การจัดโปรแกรมและหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย ผู้รับผิดชอบได้ แก่ หน่วยการศึกษา ของรัฐบาลกลาง กระทรวงศึกษาธิการแห่งรัฐหรื อคณะกรรมการการศึกษาท้ องถิ่นทังนี ้ ้ขึ ้นอยู่กบั ว่า โรงเรี ย นนัน้ ๆ ได้ รั บ เงิ น อุด หนุน จากใคร ถ้ า โรงเรี ย นนัน้ รั บ เงิ น อุด หนุน จากรั ฐ บาลกลาง โปรแกรมและหลักสูตรจะต้ องเป็ นไปตามความต้ องการของรัฐบาลส่วนกลาง ส่วนโรงเรี ยนเอกชน มี อิส ระในการจัดโปรแกรมและหลัก สูตรได้ ต ามต้ องการ แต่ก็ ต้องอยู่ภายใต้ การแนะน าของ กระทรวงศึกษาธิการแห่งรัฐ บุคลากรดาเนินการ คุณสมบัติของบุคลากรในโรงเรี ยนอนุบาลในประเทศสหรัฐอเมริกานันจั ้ ดได้ ว่ามีมาตรฐาน มาก เพราะบุคลากรเหล่านันจะต้ ้ องผ่านการฝึ กฝนมาจากสถาบันที่ได้ รับการยอมรับในแต่ละรัฐ แล้ ว ซึง่ คุณสมบัติของบุคลากรแต่ละประเภทมีลกั ษณะดังนี ้


65 1. ผู้อานวยการ จะต้ องได้ รับการศึก ษาอย่างน้ อยขันอนุ ้ ปริ ญญา จนถึงปริ ญญาเอกจาก วิทยาลัยหรื อมหาวิทยาลัยที่ได้ รับการยอมรับในสาขาการศึกษาเด็กปฐมวัย จะต้ องมีอายุไม่ต่า กว่า 21 ปี มีประสบการณ์ในการสอนในโรงเรี ยนเด็กปฐมวัยเป็ นเวลา 1 – 4 ปี และเรี ยนเกี่ยวกับ การบริหารการศึกษาไม่น้อยกว่า 3 หน่วยกิต 2. ครู ต้ อ งได้ รั บ การศึก ษาตัง้ แต่ร ะดับ อนุป ริ ญ ญาจากวิ ท ยาลัย ชุม ชนหรื อ วิ ท ยาลัย หลักสูตร 2 ปี จนถึงระดับปริ ญญาตรี โท เอก ในมหาวิทยาลัยหรื อวิทยาลัยซึ่งเป็ นสถาบันที่ ได้ รับการยอมรับ หรื ออาจจะได้ รับประกาศนียบัตรการสอนจากคณะกรรมการการศึกษาแห่งรัฐ ต้ องมีอายุไม่ต่ากว่า 18 ปี มีประสบการณ์ในการสอนอย่างน้ อย 3 ชัว่ โมงต่อวัน เป็ นเวลา 100 ชัว่ โมง ภายใต้ การแนะนาของผู้เชี่ยวชาญ และหลักสูตรที่เรี ยนจะต้ องเรี ยนในวิชาการศึกษาที่ เกี่ยวข้ องกับเด็กปฐมวัยอย่างน้ อย 12 หน่วยกิต ครู ที่สอนในโรงเรี ยนอนุบาลนันมั ้ กจะมีคณ ุ สมบัติสงู กว่าครู ที่สอนในโรงเรี ยนเด็กเล็กใน ศูนย์เลี ้ยงเด็ก ที่เป็ นเช่นนีเ้ พราะโรงเรี ยนอนุบาลนัน้ ส่วนใหญ่เป็ นของรัฐ ดังนัน้ การรับครู จึงมี ข้ อกาหนดมากมาย ไม่น้อยกว่าการเป็ นครู ในโรงเรี ยนประถมศึกษา ส่วนโรงเรี ยนเด็กเล็กนัน้ มักจะเป็ นของเอกชนหรื อองค์กรต่าง ๆ เสียมากกว่า จึงทาให้ การรับครู เข้ ามาทางานไม่เข้ มงวด เหมือนโรงเรี ยนของรัฐ โดยที่ครู เหล่านี ้ไม่จาเป็ นต้ องมีประกาศนียบัตรการสอน แต่ทว่าจะต้ องมี การศึกษาและประสบการณ์ตามมาตรฐานที่หน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐหรื อเอกชนตังไว้ ้ คือ อย่าง น้ อยที่สดุ จะต้ องได้ รับการยอมรับจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้ อง 3. ผู้ ช่ ว ยครู ต้ องได้ รั บ ประกาศนี ย บัต รการส าเร็ จ การศึ ก ษาที่ เ รี ย นจากวิ ท ยาลัย มหาวิทยาลัย สมาคมวิชาชีพ สมาคมของรัฐของโรงเรี ยน ของเขตการศึกษา หรื อของท้ องถิ่น เป็ นต้ น จนถึงได้ รับอนุปริญญาจากวิทยาลัยชุมชนหรื อวิทยาลัยหลักสูตร 2 ปี โดยมีคณ ุ สมบัติอื่น ๆ เหมือนกับครู ในปั จจุบนั สหรัฐอเมริ กาได้ ให้ ความสาคัญกับการพัฒนาบุคลากรทางการศึกษาปฐมวัย เป็ นอย่างมาก เพราะตามกฎหมาย “Goal 2000 : Educate American Act” ได้ มีการกาหนด เป้าหมายเกี่ยวกับการศึกษาของครูและการพัฒนาอาชีพครูไว้ เป็ นเป้าหมายข้ อที่ 4 ที่ระบุว่า “ในปี ค.ศ.2000 คณะครู ผ้ สู อนของชาติจะเข้ าโครงการปรับปรุ งทักษะวิชาชีพอย่างต่อเนื่อง มีโอกาส ได้ รับความรู้และทักษะที่จาเป็ นต่อการสอนและเตรี ยมนักเรี ยนอเมริ กนั ทังหมดเข้ ้ าสูศ่ ตวรรษหน้ า ” โดยมี ก ารจัด กิ จ กรรมพัฒ นาวิ ช าชี พ ส าหรั บ ครู แ ละผู้บ ริ ห ารโรงเรี ย นอย่ า งกว้ า งขวาง (กมล สุดประเสริฐ และสุนทร สุนนั ท์ชยั , 2540, หน้ า 39 – 40)


66

สรุ ป แนวคิดเกี่ยวกับการศึกษาปฐมวัยในซีกโลกตะวันตก เริ่ มตังแต่ ้ ศตวรรษที่ 17 เป็ นต้ นมา ในทวีปยุโรป ได้ แก่ ประเทศอังกฤษ สวีเดน ซึง่ ได้ เห็นความสาคัญของการจัดการศึกษาปฐมวัย จึ ง พัฒ นาการจัด การศึ ก ษาระดับ นี จ้ นได้ รั บ การยอมรั บ ว่ า จัด การศึ ก ษาปฐมวัย ได้ อ ย่ า งมี ประสิทธิ ภาพ ส่วนประเทศสหรั ฐอเมริ กาซึ่งเป็ นประเทศในทวีปอเมริ กาเหนื อได้ มีการพัฒนา แนวคิดและวิธีการจัดการศึกษาปฐมวัย จนได้ รับการยอมรับว่ามีประสิทธิภาพเช่นเดียวกับการจัด การศึกษาปฐมวัยในประเทศยุโรป การจัดการศึกษาปฐมวัยในซีกโลกตะวันตกมีรูปแบบการจัดที่คล้ ายคลึงกัน 2 รูปแบบคือ สถานเลี ้ยงเด็ก โรงเรี ยนเด็กเล็กและโรงเรี ยนอนุบาล

คาถามทบทวน 1. ให้ นกั ศึกษาเขียนสรุปแนวคิด รู ปแบบและจุดมุ่งหมายของการจัดการศึกษาปฐมวัย ของประเทศอังกฤษ 2. จงอธิบายคุณสมบัติของครูปฐมวัยในประเทศอังกฤษ 3. หลักสูตรการจัดการศึกษาปฐมวัยของประเทศอังกฤษมีลกั ษณะอย่างไร จงอธิบาย 4. จงเปรี ยบเทียบจุดมุ่งหมายและการจัดการเรี ยนการสอนของโรงเรี ยนบริ บาลและ โรงเรี ยนเด็กวัยแรกของประเทศอังกฤษ 5. ให้ นกั ศึกษาเขียนสรุปแนวคิด รู ปแบบและจุดมุ่งหมายของการจัดการศึกษาปฐมวัย ของประเทศสวีเดน 6. จงอธิบายคุณสมบัติของครูปฐมวัยในประเทศสวีเดน 7. หลักสูตรการจัดการศึกษาปฐมวัยของประเทศสวีเดนมีลกั ษณะอย่างไร จงอธิบาย 8. ให้ นกั ศึกษาเขียนสรุปแนวคิด รู ปแบบและจุดมุ่งหมายของการจัดการศึ กษาปฐมวัย ของประเทศสหรัฐอเมริกา 9. หลักสูตรการจัดการศึกษาปฐมวัยของประเทศสหรัฐอเมริกามีลกั ษณะอย่างไร 10. ให้ นกั ศึกษาเปรี ยบเทียบการจัดการศึกษาปฐมวัยของประเทศอังกฤษ สวีเดนและ สหรัฐอเมริกา ในหัวข้ อต่อไปนี ้ ก. แนวคิดในการจัดการศึกษาปฐมวัย ข. รูปแบบการจัดการศึกษาปฐมวัย ค. จุดมุง่ หมายของการจัดการศึกษาปฐมวัย ง. คุณสมบัติของครูปฐมวัย จ. หลักสูตรการจัดการศึกษาปฐมวัย


67

เอกสารอ้ างอิง กมล สุดประเสริฐ และ สุนทร สุนนั ท์ชยั . (2540). รายงานการปฏิรูปการศึกษาของประเทศ สหรัฐอเมริกา. กรุงเทพ ฯ : สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. กมล สุดประเสริฐ. (2542). ประสบการณ์ การศึกษาปฐมวัยต่ างประเทศ. กรุงเทพ ฯ : สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. คณะกรรมการการวิจยั แห่งชาติ, สานักงาน. (2534). การศึกษาปฐมวัยเปรียบเทียบ. กรุงเทพ ฯ : โรงพิมพ์ครุ ุสภาลาดพร้ าว. ทิพย์สดุ า สุเมธเสนีย์. (2542). ประสบการณ์ การศึกษาปฐมวัยต่ างประเทศ. กรุงเทพ ฯ : สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. นภเนตร ธรรมบวร. (2542). ประสบการณ์ การศึกษาปฐมวัยต่ างประเทศ. กรุงเทพ ฯ : สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. นิตยา ประพฤติกิจ. (2539). การพัฒนาเด็กปฐมวัย. กรุงเทพ ฯ : โอเดียนสโตร์ . ประภาพรรณ สุวรรณสุข. (2547). “พัฒนาการการปฐมวัยศึกษาในต่างประเทศ” เอกสารการ สอนชุดวิชาพฤติกรรมการสอนปฐมวัยศึกษา หน่ วยที่ 1 – 8 (พิมพ์ครัง้ ที่ 14). นนทบุรี : มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. สุกญ ั ญา กาญจนกิจ. (2537). “การปฐมวัยศึกษาของต่างประเทศในปั จจุบนั ” ประมวลสาระชุด วิชาหลักการและแนวคิดทางการปฐมวัยศึกษา. หน่ วยที่ 1 – 4. นนทบุรี : มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.


68


69

บทที่ 4 การศึกษาปฐมวัยในซีกโลกตะวันออก การศึ ก ษาในระดับ ปฐมวัย เป็ นการศึ ก ษาที่ มุ่ง เตรี ย มความพร้ อมในด้ า นต่ า ง ๆ มี วัตถุประสงค์เพื่อจัดและส่งเสริ มให้ เด็กได้ รับการพัฒนาทางร่ างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคมและ สติ ปั ญ ญาตามศัก ยภาพและให้ มี ค วามสมดุล กัน ในทุ ก ด้ า นทัง้ ในระดับ ความคิ ด ค่ า นิ ย ม พฤติกรรมและกระบวนการเรี ยนรู้ ดังนันในปั ้ จจุบนั นี ้ประเทศต่าง ๆ จึงได้ ตระหนักถึงความสาคัญ ของการจัดการศึกษาปฐมวัยมากขึ ้น แต่การจัดการศึกษาสาหรับเด็กปฐมวัยของแต่ละประเทศ อาจมี รู ป แบบและแนวทางการจัด ที่ แ ตกต่า งกัน ทัง้ นี ข้ ึ น้ อยู่กับ สภาพทางสัง คม เศรษฐกิ จ ปรัชญาและนโยบายในการจัดการศึกษาของแต่ละประเทศ การศึกษาปฐมวัยของประเทศต่าง ๆ ในซีกโลกตะวันออกที่น่าสนใจ ได้ แก่ การศึกษาปฐมวัยของประเทศนิวซีแลนด์ การศึกษาปฐมวัยของประเทศญี่ปนุ่ การศึกษาปฐมวัยของประเทศอิสราเอล

การศึกษาปฐมวัยในประเทศนิวซีแลนด์ ในปี ค.ศ.1889 เมื่อสาธุคณ ุ ดร.รัทเธอร์ ฟอร์ ด วัดเดลล์ (Reverend Dr.Rutherford Waddell) ได้ สงั เกตเห็นเด็กเล็ก ๆ ซึง่ เป็ นลูกของชนชันแรงงานเล่ ้ นกันอยู่ในดินโคลนตามถนนของ เมืองดูเนอดิน (Dunedin) จึงได้ จดั ให้ มีการประชุมสาธารณชน ผลจากการประชุมดังกล่าว ชาวเมืองดูเนอดินที่มงั่ คัง่ กลุ่มหนึ่งได้ รวมตัวกันจัดตังคณะกรรมการและอี ้ กหลายสัปดาห์ต่อมา ได้ มีการก่อตังโรงเรี ้ ยนอนุบาลแห่งแรกขึ ้นในนิวซีแลนด์จดั ตังขึ ้ ้นในบริ เวณโบสถ์ ของ ดร.วัดเดลล์ โดยที่กรรมการแกนนาจานวนสามคนซึง่ มีส่วนร่ วมในการก่อตังโรงเรี ้ ยนอนุบาลแห่งเมืองดูเนอดิน เป็ นผู้ที่ยึดถือปรัชญาของโฟรเบลอย่างมัน่ คง ดัง นันจึ ้ งมีการจ้ างครู อนุบาลที่ได้ รับการฝึ กอบรม ตามปรัชญาของโฟรเบล และนาอุปกรณ์ การศึกษาที่โฟรเบลได้ พฒ ั นาไว้ มาใช้ ในการเรี ยนการ สอนของโรงเรี ยน ด้ วยเหตุนี ้ความเมตตาสงสารที่มีต่อลูกหลานของผู้ที่ยากจนจึงเป็ นแรงจูงใจที่อยู่เบื ้องหลัง การก่อตัง้ โรงเรี ยนอนุบาลในประเทศนิ วซีแลนด์ เนื่ องจากบริ บทด้ านเศรษฐกิ จและสังคมของ ประเทศนิวซีแลนด์ในช่วงหัวเลี ้ยวหัวต่อระหว่างศตวรรษเก่าที่กาลังจะสิ ้นสุดลงและศตวรรษใหม่ที่


70 กาลังจะเริ่มต้ นนัน้ มีลกั ษณะของครอบครัวที่ทงพ่ ั ้ อและแม่ออกไปทางานนอกบ้ านเป็ นจานวนมาก บรรดาอาสาสมัครผู้ก่อตังโรงเรี ้ ยนอนุบาลมีความเชื่อว่าเด็กเล็ก ๆ ของครอบครัวที่ยากจน เหล่านี ้ได้ รับการปฏิบตั ิอย่างต่าต้ อยและสูญเสียสิทธิที่พึงได้ รับ เนื่องมาจากสภาพแวดล้ อมของ ครอบครั วรวมทัง้ ยังเชื่ ออีกด้ วยว่า เด็กเหล่านี จ้ ะไม่สามารถพัฒนาตนเองและเรี ยนรู้ ได้ อย่าง เหมาะสม นอกจากนี ้จะมีปัจจัยแทรกแซงภายนอกบางอย่างเกิดขึ ้น การก่ อ สร้ างโรงเรี ย นอนุบ าลในสภาพแวดล้ อ มซึ่ง มี ก ารออกแบบเป็ นพิ เ ศษ และมี วัตถุประสงค์เพื่อการใช้ ประโยชน์เฉพาะอย่าง (purpose – built surroundings) นันถื ้ อเป็ นจุดเน้ น ตังแต่ ้ ระยะเริ่มแรกของการก่อตังโรงเรี ้ ยนอนุบาล ทังนี ้ ้เพื่อให้ เ ป็ นไปตามข้ อกาหนดของโฟรเบลใน เรื่ องสภาพแวดล้ อมทางกายภาพที่สวยงาม และสมาคมโรงเรี ยนอนุบาลแห่งเมืองโอคแลนด์ (The Auckland kindergarten association) ก็ได้ ก่อสร้ างอาคารโรงเรี ยนอนุบาลถาวรแห่งแรกขึ ้นในปี ค.ศ.1910 โรงเรี ยนอนุบาลที่ ก่อตัง้ ขึน้ ในระยะแรกได้ บรรจุครู ซึ่ งเป็ นหญิ งสาวที่ มีบุคลิกดีจาก ครอบครัวชนชันกลางและได้ ้ รับการฝึ กอบรมเพื่อการเป็ นครูอนุบาลมาแล้ ว โรงเรี ยนอนุบาลที่ก่อตังขึ ้ ้นในระยะแรกมีคณะกรรมการระดับท้ องถิ่นซึง่ เป็ นอาสาสมัครทา หน้ าที่บริ หารงาน คณะกรรมการดังกล่าวปฏิบตั ิงานอย่างอิสระทังในการก่ ้ อสร้ างโรงเรี ยนในเขต รับผิดชอบและการฝึ กอบรมครู อนุบาล โดยระยะเริ่ มแรกเป็ น “การฝึ กอบรมระหว่างประจาการ” ต่อมาจึงเป็ นการฝึ กอบรมในศูนย์ของตนเอง ในปี ค.ศ.1904 เมื่อรัฐบาลเริ่ มมีนโยบายให้ การ สนับสนุนงบประมาณแก่โรงเรี ยนอนุบาล ก็ได้ ให้ เงินอุดหนุนแก่คณะกรรมการดังกล่าว จนถึงปี ค.ศ.1947 สมาคมโรงเรี ยนอนุบาลแต่ละสมาคมจึงได้ จัดทาหลักสูตรฝึ กอบรม ของตนเองขึ ้น รวมทังจั ้ ดฝึ กอบรมและให้ ประกาศนียบัตรด้ วย การจัดฝึ กอบรมครู ให้ แก่โรงเรี ยน อนุบ าลที่ อ ยู่ใ นเขตรั บผิ ดชอบ และการได้ รับ ความสนับ สนุน ด้ านการเงิ น จากรั ฐบาลสาหรั บ ดาเนินการดังกล่าว ทาให้ สมาคมโรงเรี ยนอนุบาลมีสถานภาพเป็ นองค์กรบริ หารโรงเรี ยนอนุบาลที่ ได้ รับการรับรองแล้ ว การยอมรับโครงสร้ างองค์กรที่มีรูปแบบคล้ ายกันโดยการสร้ างศูนย์เด็กเล่นรู ปแบบใหม่ ในช่วงทศวรรษระหว่าง ค.ศ.1940 – ค.ศ.1949 ได้ เพิ่มการสนับสนุนการรับรองสถานภาพของ สมาคมโรงเรี ยนอนุบาล เนื่องจากผู้บริ หารและผู้จดั การของโรงเรี ยนอนุบาลแต่ละโรงอยู่ภายใต้ การควบคุมดูแลของสมาคมดังกล่าว สถานภาพของสมาคมโรงเรี ยนอนุบาลได้ รับการรับรองอย่าง เป็ นทางการเมื่อมีการประกาศใช้ ระเบียบข้ อบังคับโรงเรี ยนอนุ บาล ค.ศ.1959 (The Kindergarten Regulations)


71 หลักการและรูปแบบการจัดการศึกษาปฐมวัย การศึกษาปฐมวัยในประเทศนิวซีแลนด์มีการจัดบริการหลายประเภทเพื่อตอบสนองความ ต้ องการที่หลากหลายของผู้ปกครองและบุตรหลานที่มีอายุก่อนเข้ าเรี ยนประถมศึกษา ซึ่งรวมถึง การบริ การการศึกษาที่เปิ ดกว้ างอย่างการให้ บริ การดูแลและจัดการศึก ษาที่บ้าน (home – based services) และศูนย์เด็กปฐมวัย (early children centres) สาหรับบริ การการศึกษาประเภทศูนย์ เด็กปฐมวัยนันได้ ้ มีการกาหนดไว้ ในพระราชบัญญัติการศึกษา ค.ศ.1989 (Education Act 1989) การจัดบริการการศึกษาดังกล่าวมีหลายประเภท ได้ แก่ โรงเรี ยนอนุบาล (Kindergartens) ศูนย์เด็กเล่น (Play centers) ศูนย์ดแู ลและสอนภาษาสาหรับเด็กชนเผ่าเมารี (Kohanga reo) ศูนย์ดแู ลเด็กเล็ก (Childcare centers) ศูนย์เด็กปฐมวัยแห่งหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก (Pacific island early childhood education centres) ศูนย์เด็กเล็กในชุมชน (Community playgroups) โรงเรี ยนอนุบาล เป็ นประเภทของบริการการศึกษาปฐมวัยแบบเป็ นช่วง ๆ (Sessional early childhood education) ให้ แก่เด็กซึง่ ส่วนใหญ่มีอายุ 3 – 5 ปี ช่วงเช้ าสัปดาห์ละ 5 วัน เป็ น ชันเรี ้ ยนสาหรับเด็กอายุ 5 ปี ส่วนช่วงบ่ายสัปดาห์ละ 3 วัน เป็ นชันเรี ้ ยนสาหรับเด็กอายุต่ากว่า 5 ปี (เนื่องจากไม่เห็นด้ วยกับการศึกษาแบบเต็มวัน) โรงเรี ยนอนุบาลสามารถรับเด็กอายุระหว่าง 2 – 6 ปี เข้ ารับการศึกษาได้ แต่มีสมาคมโรงเรี ยนอนุบาลบางสมาคมที่จากัดร้ อยละของเด็กซึง่ มี อายุต่ากว่า 3 ปี ซึง่ สามารถเข้ าเรี ยนได้ โรงเรี ยนอนุบาลเป็ นสมาชิกอยูภ่ ายใต้ การบริหารของ สมาคมโรงเรียนอนุบาลระดับท้ องถิ่น ซึง่ สมาคมดังกล่าวเป็ นสมาชิกขององค์กรบริหารระดับชาติ ประเภทใดประเภทหนึง่ คือ สมาคมโรงเรี ยนอนุบาลอิสระแห่งนิวซีแลนด์ (New Zealand Free Kindergarten Association) หรื อ สหพันธ์โรงเรี ยนอนุบาล (Kindergarten Frderation) หลักสูตรและการจัดการศึกษาปฐมวัย หลักสูตรการจัดการศึกษาปฐมวัยของประเทศนิวซีแลนด์ ยึดปรัชญาของจอห์น ดิวอี ้ คือ การเน้ นผู้เรี ยนเป็ นสาคัญ (Child Centered) ผู้เรี ยนเรี ยนรู้จากการปฏิบตั ิ (Learning by doing) โดยมุ่งเน้ นให้ ผ้ เู รี ยนสามารถนาความรู้ ไปใช้ ในการแก้ ปัญหาและประยุกต์ใช้ ในชีวิตประจาวันได้ เป็ นการศึกษาเพื่อชีวิต (Learn for life) การเรี ยนการสอนจึงเน้ นให้ ผ้ เู รี ยนสามารถคิดได้ ปฏิบตั ิ ได้ และสามารถแก้ ปัญหาได้ โดยครูจะเรี ยนรู้ควบคูไ่ ปกับนักเรี ยนและสรุปบทเรี ยนร่วมกัน เพราะ ถือว่าการเรี ยนการสอน ครู จะมีความรู้ ควบคู่ไปกับเด็กจึงให้ ความสาคัญกับเด็กเป็ นส่วนใหญ่


72 บทบาทของครู เป็ นผู้ปลุกเร้ าให้ เด็กคิดหรื อทา เป็ นผู้กระตุ้นให้ เกิดแรงจูงใจในการเรี ยน เป็ น นักวิเคราะห์ และผู้ท้าทายให้ เด็กคิด เป็ นผู้สื่อสารทางความคิด ตลอดจนเป็ นผู้อานวยความ สะดวก (Facilitator) เป็ นผู้ประสานการเรี ยนการสอนแก่นกั เรี ยน (พิณสุดา สิริธรังศรี , 2540, หน้ า 24) การจัดชันเรี ้ ยนเป็ นไปตามระดับอายุของชันเรี ้ ยน ในการเลื่อนระดับชันใช้ ้ วิธีเลื่อนตาม กลุ่มอายุ ไม่มีการสอบอย่างเป็ นทางการเพื่อเลื่อนชัน้ โรงเรี ยนอนุบาลส่วนใหญ่จะอยู่รวมกับ โรงเรี ยนระดับประถมศึกษาและการศึกษาภาคบังคับ ซึง่ มีอายุระหว่าง 5 – 16 ปี การลงทุนของรัฐบาลเพื่อการจัดการศึกษาระดับอนุบาลได้ เพิ่มขึ ้นอย่างต่อเนื่องตลอด ศตวรรษที่ 20 ความสนับสนุนของรัฐบาลในระยะแรกเริ่มขึ ้นเนื่องจากพิจารณาเห็นว่า การศึกษา ระดับนี ้จะช่วยเตรี ยมบุตรหลานของชนชันแรงงานให้ ้ มีความรู้ ความสามารถในการประกอบอาชีพ มากขึ ้น การตระหนักถึงความสาคัญของการศึกษาปฐมวัยซึง่ ส่งเสริ มการเลี ้ยงดูของครอบครัวให้ สมบูรณ์ ได้ เพิ่มมากขึ ้นในช่วงทศวรรษระหว่าง ค.ศ.1930 – ค.ศ.1940 ดังนันรั ้ ฐบาลจึงได้ ตอบสนองด้ วยการสนับสนุนอย่างเป็ นทางการให้ มีการดูแลเด็กแบบไม่เต็มวัน โรงเรี ยนอนุบาลใน ฐานะที่ เ ป็ นหน่ ว ยงานหลัก ในการจัด การศึก ษาปฐมวัย แบบเป็ นช่ ว ง ๆ จึ ง ได้ ยึ ด ครองตลาด การศึกษาปฐมวัยรูปแบบใหม่นี ้ ความต้ องการการศึกษาปฐมวัยที่เพิ่มขึ ้นอย่างรวดเร็วอันเป็ นผลจาก “ภาวะการเจริญพันธุ์ สูงมากหลังสงครามโลกครัง้ ที่ 2” (baby boom) ในช่วงทศวรรษระหว่าง ค.ศ.1940 – ค.ศ.1959 ทาให้ มีการจัดตังโรงเรี ้ ยนอนุบาลขึ ้นเพื่อเป็ นสถานศึกษาแห่งแรกที่ให้ การศึกษาปฐมวัยและในช่วง ระยะเวลาดังกล่าว ความสนับสนุนด้ านการเงินของรัฐบาลที่ให้ แก่โรงเรี ยนอนุบาลได้ เพิ่มขึ ้นสูงสุด อย่างเห็นได้ ชดั ในปี ค.ศ.1948 รัฐบาลนิวซีแลนด์ได้ กาหนดอัตราเงินเดือนของครูอนุบาลเพื่อให้ สมาคมโรงเรี ยนอนุบาลสามารถตอบสนองความต้ องการที่ เพิ่มขึน้ ของประชากรในการเข้ ารั บ การศึกษาระดับอนุบาล และขณะเดียวกันก็ เป็ นการสานต่อนโยบายของรัฐบาล ในการให้ เงิน อุดหนุนตามจานวนรายหัวนักเรี ยนแก่สมาคมโรงเรี ยนอนุบาล ต่อมาในปี ค.ศ.1955 รัฐบาลจึงได้ ปรับอัตราเงินเดือนของครู อนุบาลเพื่อส่งเสริ มให้ สตรี มาเป็ นครู มากขึ ้น เพื่อแสดงให้ เห็นถึงความ ไม่เพียงพอกับความต้ องการของการจัดการศึกษาระดับนี ้ ในพระราชบัญญัติการศึกษา ค.ศ.1964 (Education Act 1964) ได้ นบั รวมครูอนุบาลว่า เป็ นบุคลากรทางการศึกษาด้ วย ซึ่งนิย ามของคาดัง กล่าวได้ ระบุไว้ ในพระราชบัญญัติแห่งรั ฐ ค.ศ.1988 (State Sector Act 1988) ฉะนันครู ้ อนุบาลจึงมีสถานภาพเช่นเดียวกับบุคลากรทาง การศึกษาระดับชันอื ้ ่น ๆ ของรัฐ สิง่ ที่กล่าวแล้ วข้ างต้ นมีความหมายดังนี ้


73 1. คณะกรรมการการบริการแห่งรัฐ มีหน้ าที่รับผิดชอบการเจรจาต่อรองในการทาสัญญา จ้ างเป็ นหมูค่ ณะของครูอนุบาล 2. สมาคมโรงเรี ยนอนุบาลจะต้ องเป็ นผู้ปฏิบตั ิตามนโยบายการเป็ นผู้ว่าจ้ างที่ ดี และ พัฒนานโยบายและแผนงานเพื่อสร้ างโอกาสการจ้ างงานที่เสมอภาคกัน 3. การแต่งตังครู ้ อนุบาลทุกคนซึ่งมีฐานะเป็ นลูกจ้ างของรัฐจะใช้ ระบบคุณธรรมเป็ น เกณฑ์ในการพิจารณา หน่ วยงานที่รับผิดชอบ การจัด การศึ ก ษาปฐมวัย ในนิ ว ซี แ ลนด์ รั ฐ บาลลงทุ น จัด การศึ ก ษาปฐมวัย เพื่ อ ว่ า ประชาชนจะได้ ตระหนักถึงประโยชน์ของบริการการศึกษาดังกล่าวที่มีตอ่ สังคม โดยสรุปประโยชน์ สาธารณะ 4 ประการ ที่เกิดจากบริการการศึกษาปฐมวัยไว้ ดังนี ้ 1. ประโยชน์ด้านการศึกษา การศึกษาปฐมวัยช่วยเสริ มสร้ างคุณภาพผลผลิตของ การศึกษาและสังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กที่ด้อยโอกาสด้ านต่าง ๆ 2. ประโยชน์ด้านตลาดแรงงาน บริ การการศึกษาปฐมวัยจะช่วยสร้ างตลาดแรงงานที่มี ประสิทธิภาพและประสิทธิผลด้ วยการทาให้ ผ้ ดู แู ลเด็กเข้ าสูต่ ลาดแรงงานง่ายขึ ้น 3. ประโยชน์ด้านสวัสดิการ บริ การการศึกษาปฐมวัยมีบทบาทให้ สงั คมและปั จเจกชนใน สังคมได้ รับสวัสดิการ ด้ วยมาตรการการจัดสภาพแวดล้ อมที่ปลอดภัยสาหรับเด็ก การสนับสนุน ผู้ปกครองและการส่งเสริมให้ ผ้ ปู กครองมีทกั ษะการเลี ้ยงดูและอบรมบุตรหลาน (Parenting skills) 4. ประโยชน์ด้านภาษาและวัฒนธรรม หน่วยงานที่มีอานาจทางการจัดการศึกษาปฐมวัยในนิวซีแลนด์ มี 2 หน่วยงานหลัก ได้ แก่ 1. สมาคมโรงเรี ยนอนุบาลอิสระแห่งนิวซีแลนด์ ซึง่ รับผิดชอบการจัดการโรงเรี ยนอนุบาล 362 โรง โดยสมาคมโรงเรี ยนอนุบาลอิสระแห่งนิวซีแลนด์วา่ จ้ างเจ้ าหน้ าที่สองคนเป็ นผู้ปฏิบตั ิงาน และมีคณะกรรมการบริ หารระดับชาติ ซึง่ มาจากการเลือกตังจ ้ านวนเจ็ดคนเป็ นผู้บริ หารงาน การ ด าเนิ น งานของสมาคมโรงเรี ย นอนุ บ าลอิ ส ระแห่ ง นิ ว ซี แ ลนด์ ค รอบคลุ ม ถึ ง การประสาน ความสัมพันธ์ ระหว่างนายจ้ างกับลูกจ้ างในระดับชาติ การจัดสัมมนาเพื่อการพัฒนานโยบาย ระดับชาติและการให้ ความสนับสนุนแก่สมาคมโรงเรี ยนอนุบาลเฉพาะราย 2. สหพันธ์โรงเรี ยนอนุบาล เกิดจากการรวมตัวของสมาคมโรงเรี ยนอนุบาล 4 สมาคม แต่ ละสมาคมสามารถกาหนดนโยบายของตนเอง นอกเหนือจากจุดมุ่งหมายร่ วมที่กาหนดไว้ และ สมาคมอาสาที่จะดาเนินการร่วมกัน การดาเนินงานของสหพันธ์โรงเรี ยนอนุบาล เน้ นการให้ ความ ร่ วมมื อของส่ว นรวม การให้ ความส าคัญ กับการจัดการที่ มี ประสิท ธิ ภ าพ รวมทัง้ การพัฒนา


74 บุค ลากรของสหพัน ธ์ คณะกรรมการผู้ป กครองระดับ ท้ อ งถิ่ น และกลุ่ม เป้ าหมายให้ มี ค วามรู้ ความสามารถ เพื่อที่จะตอบสนองความต้ องการการเรี ยนรู้ ของผู้เรี ยนให้ มากที่สดุ (สานักงาน คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ , 2542 , หน้ า 17 - 20) โครงสร้ างองค์ กรบริหารโรงเรียนอนุบาลในนิวซีแลนด์ โครงสร้ างการบริ หารและการจัดการของโรงเรี ยนอนุบาลในประเทศนิวซีแลนด์ มีการ กระจาย อานาจที่ยืดหยุ่น และระดับความรับผิดชอบร่ วมกันหลายระดับ ในปี ค.ศ.1926 ได้ มี การจัดตังองค์ ้ กรบริ หารโรงเรี ยนอนุบาลระดับชาติแห่งแรกคือ สหภาพโรงเรี ยนอนุบาลอิสระแห่ง นิวซีแลนด์ (New Zealand free kindergartenunion) เพื่อสนองตอบความต้ องการในเรื่ องความ สอดคล้ องและการสร้ างเครื อข่าย ด้ วยการขยายการก่อสร้ างโรงเรี ยนอนุบาลอย่างรวดเร็ ว หน้ าที่ หลักของสหภาพคือจะต้ องอานวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนข่าวสารข้ อมูลระหว่างสมาคม โรงเรี ยนอนุบาล ต่อ มา สหภาพดัง กล่า วได้ เปลี่ ยนชื่ อ เป็ นสมาคมโรงเรี ยนอนุบาลอิสระแห่ ง นิวซีแลนด์ ในปี ค.ศ.1991 สมาคมโรงเรี ยนอนุบาล 4 สมาคมประกอบด้ วย สมาคมโรงเรี ยน อนุบาลแห่งเมืองโอคแลนด์ (Auckland) เมืองไวกาโต (Waikato) กรุงเวลลิงตัน (Wellington) และเกาะเหนือตอนกลาง (Central north island) ได้ ตดั สินใจที่จะถอนตัวจากการเป็ นสมาชิก ของสมาคมโรงเรี ยนอนุบาลอิสระแห่งนิวซีแลนด์ และร่วมกันจัดตังสหพั ้ นธ์โรงเรี ยนอนุบาลขึ ้น บทบาทขององค์กรทังสองในปั ้ จจุบนั คือ การรักษาสิทธิของสมาชิกในองค์กร โดยร่ วมมือ กันดาเนินการในเรื่ องที่เป็ นผลประโยชน์ร่วมกัน เช่น การเจรจาต่อรองการทาสัญญาจ้ างงาน บุคลากรดาเนินการ อาจารย์ ใหญ่ ในฐานะผู้บริ หารด้ านวิชาการ โดยทัว่ ไปอาจารย์ใหญ่มีภาระหน้ าที่ 2 ประการ คือ ประการแรก อาจารย์ ใหญ่ จะให้ คาแนะน าและแนะแนวการสอนแก่ครู ประเมินการ ดาเนินงาน ติดตามการพัฒนาวิชาชีพ จัดการประชุมบุคลากร จัดให้ ครู และบุคลากรก้ าวทันกับ การพัฒ นาและความรู้ ในการจัด การศึก ษาปฐมวัย รวมทัง้ การติ ด ต่อ สื่ อ สารตัด สิ น ใจระดับ นโยบายของสมาคมให้ ครูทราบ ประการที่สอง ให้ ความสนับสนุนทางวิชาการและให้ การแนะแนวแก่นายจ้ าง คือสมาคม โดยการจัดทารายงานเกี่ยวกับคุณภาพของหลักสูตร และมีสว่ นร่วมในการบรรจุบคุ ลากรในฐานะ ที่ปรึ กษาทางวิชาการ ซึ่งช่วยให้ มีความมัน่ ใจว่า ได้ มีการนานโยบายไปปฏิบตั ิและดาเนินงาน ตามข้ อกาหนดที่ระบุไว้ ในกฎหมายและสัญญา ครู และผู้สอน ครู อนุบาลในนิวซีแลนด์ มีหน้ าที่รับผิดชอบในเรื่ องการจัดการเรี ยนการ สอนเด็กปฐมวัย การติดตามการเข้ าเรี ยนของเด็ก จัดทาเอกสารจานวนนักเรี ยน เก็บสถิติอบุ ตั ิเหตุ


75 และการรั ก ษาทางการแพทย์ ข องเด็ ก ครู ใ นนิ ว ซี แ ลนด์ ต้ อ งได้ รั บ การจดทะเบี ย นครู โดย คณะกรรมการทะเบียนครู (Teachers Registration Board) จึงถือว่าเป็ นครูที่มีคณ ุ ภาพและได้ การ ยอมรับจากโรงเรี ยนและสังคมทังนี ้ ้คณะกรรมการทะเบียนครูจะมีหน้ าที่ 1. ตัดสินว่าครูคนใดจะได้ ขึ ้นทะเบียน 2. ปรับปรุงทะเบียนและจัดทาประกาศนียบัตร 3. รักษาทะเบียนครูและให้ ข้อมูลครูที่ขึ ้นทะเบียนแก่คณะกรรมการบริหารโรงเรี ยน 4. ตัดสินว่าครูคนใดจะถูกคัดออกจากทะเบียนครู 5. ให้ ข้อมูลรายชื่อครูที่ถกู คัดออกจากทะเบียนแก่คณะกรรมการบริหารโรงเรี ยน ผู้บริ หารหรื ออาจารย์ใหญ่จะเป็ นผู้สรรหาและจ้ างครู ที่ผ่านการขึ ้นทะเบียนครู เพื่อให้ ได้ ครู หรื อบุคลากรที่มีคุณภาพ จากนัน้ จะมีการปฐมนิเทศ เพื่อเป็ นการสร้ างความเข้ าใจในการ ปฏิบตั ิงานร่ วมกันระหว่างผู้บริ หารและครู ในเรื่ องเป้าหมาย นโยบาย และความต้ องการของ โรงเรี ยน บทบาทและภาระหน้ าที่ของครูและความก้ าวหน้ าต่าง ๆ ที่ครูพงึ จะได้ รับจากโรงเรี ยน มี การสร้ างขวัญและกาลังใจ โดยการจดบันทึกความดี ความชอบของครู เพื่อเป็ นหลักฐานในการ เลื่อนขันเงิ ้ นเดือน ส่วนในเรื่ องของการพัฒนาครู โรงเรี ยนจะส่งครู เข้ ารับการอบรมพัฒนาตาม หลักสูตรที่กาหนด และมีการติดตามผลการอบรมเพื่อให้ ทราบว่ามีการนาไปและพัฒนาการเรี ยน การสอน ขณะเดียวกันครูใหญ่อาจพัฒนาครูด้วยการนิเทศ การประชุมชี ้แจงและให้ ความรู้การจัด เอกสารให้ อา่ น ฯลฯ การให้ ออกจากงาน โรงเรี ยนจะพิจารณาให้ ครู ออกจากงานด้ วยสาเหตุ 2 ประการ คือ กรณีที่ครูไม่ปฏิบตั ิหน้ าที่ตาม Job description ที่กาหนดตามสัญญา และกรณีเกษี ยณอายุซงึ่ กาหนดที่อายุ 65 ปี เมื่อครูออกจากงานจะได้ รับค่าตอบแทนใน 2 ประเภทคือ เงินสะสมที่รัฐ หัก ไว้ เป็ นรายเดื อ นและที่ รั ฐ สะสมให้ และกรณี ที่ รั ฐ ไม่ ไ ด้ หัก เงิ น สะสมไว้ รั ฐ จะจ่ า ยเงิ น ประกันสังคมเป็ นค่าอาหารรายสัปดาห์ สัปดาห์ละประมาณ 2,100 บาท การสร้ างเจตคติของครู เนื่องจากครู ในนิวซีแลนด์เป็ นครู ที่ผ่านการจดทะเบียนครู ซึ่ง หมายถึงการประกันคุณภาพครู การได้ รับเงินเดือนที่เพียงพอ (ประมาณ 45,000 บาท) การได้ รับ การยอมรับจากสังคม การรู้ ความก้ าวหน้ าของตนเองรวมทังมี ้ ระบบการติดตามตรวจสอบและ พัฒนาครู ที่ชดั เจน ครู ของนิวซีแลนด์จึงเป็ นครู ที่ตงใจสอน ั้ มีความรักในอาชีพ ครู ส่วนใหญ่มีวิถี ชี วิ ต ที่ เ รี ย บง่ า ยและเอาใจใส่ต่อ นัก เรี ย นค่อ นข้ า งสูง จึ ง ส่ง ผลต่อ คุณ ภาพการเรี ย นของเด็ ก (พิณสุดา สิริธรังศรี , 2540, หน้ า 25)


76

การศึกษาปฐมวัยในประเทศญี่ปุ่น การจัดการศึกษาระดับปฐมวัยในประเทศญี่ปนได้ ุ่ เริ่ มต้ นขึ ้นในปี ค.ศ.1876 โดยจัดตัง้ โรงเรี ยนอนุบาลแห่งแรกขึ ้นในที่เดียวกันกับวิทยาลัยครูสตรี แห่งโตเกียว วัตถุประสงค์ของโรงเรี ยน อนุบาลในระยะนี ้เพื่อพัฒนาความถนัดตามธรรมชาติ ปลูกฝั งคุณธรรม ส่งเสริ มสุขภาพอนามัย พัฒนาความสามารถในการใช้ วาทศิลป์ และมีแบบอย่างการแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสม ต่อมา ในปี ค.ศ.1889 และ ค.ศ.1890 ได้ มีระเบียบเกี่ยวกับการศึกษาระดับปฐมวัยออกมาทาให้ วัตถุประสงค์ของการจัดการศึกษาระดับนี ้ชัดเจนขึ ้นและจานวนโรงเรี ยนอนุบาลก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ ้น เรื่ อย ๆ ในขณะที่การศึกษาระดับปฐมวัยกาลังแพร่ ขยายไปทัว่ ประเทศญี่ปนุ่ สิ่งที่ปรากฏอย่า ง ชั ด เจน คื อ ความไม่ เ หมาะสมของระเบี ย บที่ ไ ด้ ออกมากั บ สถานการณ์ ใ นขณะนั น้ กระทรวงศึกษาธิการจึงได้ ประกาศกฎหมายเกี่ยวกับระเบียบการจัดการศึกษาระดับปฐมวัยและ กฎหมายเกี่ยวกับการจัดอานวยความสะดวกและอุปกรณ์ตา่ ง ๆ ขึ ้นในปี ค.ศ.1899 กฎหมายนี ้ได้ กาหนดอายุของเด็กที่ จะรั บเข้ าเรี ยน เวลาที่ ใช้ ในการเรี ยน จานวนนักเรี ยน สิ่งอานวยความ สะดวกในอาคารเรี ยน หลักสูตร อุปกรณ์ การเรี ยนการสอน และสิ่งจาเป็ นพื ้นฐานของการจัด การศึกษา หลักการและรูปแบบการจัดการศึกษาปฐมวัย โรงเรี ยนอนุบาลที่จดั ขึ ้นในช่วงแรกนันได้ ้ รับอิทธิพลมาจากแนวความคิดของโฟรเบลและ แนวความคิดเกี่ยวกับการจัดการศึกษาปฐมวัยของอเมริกา แม้ จะได้ รับอิทธิพลมาจากโฟรเบลและ อเมริ กาก็ ตาม ญี่ ปุ่นได้ ทาการปรั บแนวความคิดเหล่านัน้ ให้ สอดคล้ องกับความต้ องการและ วัฒนธรรมของตน ดังจะเห็นได้ จากจุดมุ่งหมายของการศึกษาปฐมวัยที่กล่าวไว้ ว่า “การศึกษา ปฐมวัยนัน้ มุ่งเพื่อฝึ กให้ เด็กเกิดการรับรู้ ตามธรรมชาติ พัฒนาให้ จิตใจตื่นอยู่เสมอ อีกทังก่ ้ อให้ ร่างกายแข็งแรง ปลูกฝั งความหนักแน่นของอารมณ์ พร้ อมทังฝึ ้ กให้ ใช้ ภาษาและท่าทางที่สภุ าพ” (ประภาพรรณ สุวรรณศุข, 2547, หน้ า 72) หลังสงครามโลกครั ง้ ที่ 1 ลัทธิ ชาตินิยมเริ่ มมีอิทธิ พลต่อการศึกษาในทุก ๆ ระดับ วัตถุประสงค์ ของการจัดการศึกษาปฐมวัยจึงกลายเป็ นชาตินิยมไปในที่ สุด ต่อมาในระหว่าง สงครามโลกครัง้ ที่ 2 โรงเรี ยนอนุบาลหลายแห่งถูกทาลายเสียหายจนต้ องเลิกสอน โรงเรี ยน อนุบาลที่เหลืออยู่ก็ต้องเปลี่ยนเป็ นสถานเลี ้ยงเด็ กกลางวันระหว่างสงครามเพราะที่ มีอยู่เดิมไม่ เพียงพอกับความจาเป็ น จนกระทัง่ หลังสงครามโลกครัง้ ที่ 2 จึงได้ มีประกาศรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่เปลี่ยนวัตถุประสงค์ของการศึกษาเน้ นไปในทางการศึกษาเพื่อชีวิตที่มีความสุขและสันติแทน


77 การจัดการศึกษาปฐมวัยในประเทศญี่ปนุ่ มีรูปแบบการจัด 2 ประเภท คือ 1. โรงเรี ยนอนุบาล รับเด็กอายุระหว่าง 3 – 5 ปี แบ่งกลุม่ ตามอายุ คือ กลุม่ อายุ 3 ปี กลุ่มอายุ 4 ปี และกลุ่มอายุ 5 ปี จานวนกลุม่ ละ 40 คน เด็กเหล่านี ้จะเรี ยนอยู่ที่โรงเรี ยนวันละ 4 ชัว่ โมง โดยกาหนดเวลาเรี ยนต้ องมากกว่า 220 วันต่อ 1 ปี และมีวตั ถุประสงค์เพื่อเสริ มสร้ าง สุขภาพทางร่ างกายและจิตใจของเด็ก ๆ ให้ เจริ ญควบคู่กนั ไป พร้ อมทังช่ ้ วยสร้ างแบบแผนขันต้ ้ น แห่งความประพฤติในชีวิตประจาวันของเด็กด้ วยการจัดสิ่งแวดล้ อมที่เหมาะสม 2. สถานรับเลีย้ งเด็ก จัดขึ ้นเพื่อรับเลี ้ยงเด็กที่พ่อแม่ต้องออกไปทางาน โดยเฉพาะเด็ก ที่มาจากครอบครัวที่ฐานะยากจน ซึง่ โดยปกติจะใช้ เวลาให้ การเลี ้ยงดูวนั ละ 8 ชัว่ โมง โดยที่เด็ก จะมาที่สถานรับเลี ้ยงเด็กประมาณ 08.30 น. และกลับบ้ านเวลา 16.30 น. สาหรับเด็กที่มารับ บริการจะรับเด็กตังแต่ ้ แรกเกิด – 5 ปี การแบ่งกลุม่ เด็กจะแบ่งตามขันพั ้ ฒนาการเป็ นสาคัญ โดยมี การจัดกลุม่ และจัดชันแบบรวม ้ หลักสูตรและการจัดการศึกษาปฐมวัย หลักสูตรและการจัดการศึกษาปฐมวัยในประเทศญี่ปนุ่ จุดประสงค์ของการจัดการศึกษา ในโรงเรี ยนอนุบาลจะเน้ นการพัฒนาเด็กตามธรรมชาติ ปลูกฝั งคุณธรรมและการส่งเสริ มคุณภาพ อนามัย โดยได้ นาหลักสูตรแกนกลางหรื อหลักสูตรระดับชาติมาพัฒนาเป็ นหลักสูตรสถานศึกษา สะท้ อนปรัชญาการศึกษาของชาติที่เน้ นการส่งเสริมพัฒนาการเด็กแบบองค์รวม โดยจัดกิจกรรมที่ คานึงถึงความแตกต่างระหว่างวัยของเด็ก ระยะเวลาในการสอนและสภาพของท้ องถิ่น สาระหลัก ของหลักสูตรแกนกลาง 6 สาระ คือ 1. พลานามัย เน้ นให้ เด็กเรี ยนรู้สขุ นิสยั และการออกกาลังกายเพื่อความมีสขุ ภาพดี 2. สังคมศึกษา มุง่ ให้ เด็กเรี ยนรู้สงั คมและพัฒนาลักษณะนิสยั ที่พงึ ประสงค์ ทังโดย ้ ส่วนตัวและส่วนที่สมั พันธ์กบั สังคม 3. ธรรมชาติศกึ ษา เป็ นการเรี ยนรู้เกี่ยวกับสัตว์ พืช และปรากฏการณ์ธรรมชาติ เด็กจะ ได้ รับการฝึ กการสังเกต การวิเคราะห์ การเรี ยนรู้สงิ่ ต่าง ๆ รอบตัว 4. ภาษา เป็ นการพัฒนาทักษะภาษา การใช้ ภาษาได้ ถกู ต้ อง 5. ดนตรี และจังหวะ เพื่อให้ เด็กได้ สนุกสนานกับการฟั งดนตรี ส่งเสริมการร้ องเพลง การ เล่นกับเครื่ องดนตรี ต่าง ๆ ให้ อิสระในการที่เด็กจะแสดงออกทังทางความคิ ้ ดเห็น ความรู้ สกึ ทาง เสียงเพลงและการแสดงท่าทางอย่างเสรี 6. การวาดภาพและงานฝี มื อ เพื่ อ พัฒ นาทางด้ า นสุ น ทรี ย ภาพ ช่ ว ยให้ เด็ ก ได้ มี ประสบการณ์ที่สนุกสนานในการวาดภาพและงานฝี มือต่าง ๆ อย่างมีอิสระ


78 หลักสูตรสาหรับสถานรับเลี ้ยงเด็ก ถ้ าเป็ นเด็กกลุ่มอายุเท่ากันกับเด็กโรงเรี ยนอนุบาลนัน้ หลักสูตรจะตังอยู ้ ่บนพื ้นฐานของ “มาตรฐานหลักสูตรอนุบาล” ในสถานรับเลี ้ยงเด็กมีกิจกรรม ต่าง ๆ ดังนี ้ การตรวจสุขภาพประจาวัน การนอนพักผ่อนกลางวัน การตรวจผิวหนังและอุ ณหภูมิ ร่ างกาย การตรวจความสะอาดเมื่อนักเรี ยนมาโรงเรี ยน การเล่นอย่างอิสระ ซึ่งอาจเลือกเล่น ดนตรี กิจกรรมเข้ าจังหวะ การวาดภาพ ศิลปะปฏิบตั ิ ศึกษาธรรมชาติ สังคมศึกษาหรื อเล่นเกม กันเป็ นกลุม่ ตามปกติแล้ วสถานรับเลี ้ยงเด็กจะดูแลเด็กวันละ 8 ชัว่ โมง หน่ วยงานที่รับผิดชอบ การจัดการศึกษาปฐมวัยในประเทศญี่ปนุ่ ไม่ใช่การศึกษาภาคบังคับ การจัดการศึกษา ในระดับนี ้เป็ นหน้ าที่ของจังหวัด (Prefecture) ซึ่งเป็ นหน่วยงานราชการส่วนภูมิภาค โดยมี คณะกรรมการการศึกษาของจังหวัด (Prefectural Board of Education) มีหน้ าที่ในการบริ หาร การศึกษาขันพื ้ ้นฐาน คือบริ การให้ คาปรึ กษาและข้ อมูลเกี่ยวกับโปรแกรม สารวจความต้ องการ ในการเรี ยนรู้ ของประชาชน และพัฒนาโปรแกรมการศึกษาเพื่อส่งเสริ มการเรี ยนรู้ ตลอดชี วิต พร้ อมทังรั้ บผิดชอบจัดการฝึ กอบรมสาหรับผู้จดั โปรแกรม ตลอดจนเตรี ยมระบบและวิธีการสาหรับ ฝึ กอบรมดังกล่าว นอกจากจังหวัดจะเป็ นผู้รับผิดชอบจัดการศึกษาแล้ วยังมีหน่วยงานอื่น ๆ ที่ สนับสนุนและกากับดูแลการจัดการศึกษาในแต่ละรูปแบบ ดังนี ้ 1. กระทรวงศึกษาธิ การ วิทยาศาสตร์ การกีฬาและวัฒนธรรม รับผิดชอบดูแล โรงเรี ยนอนุบาล ทัง้ โรงเรี ยนอนุบาลของรัฐที่ ท้องถิ่ นหรื อจังหวัดดูแลรับผิดชอบ และโรงเรี ยน อนุบาลเอกชน โดย กระทรวงศึกษาธิการจะออกกฎที่ใช้ เป็ นหลักในการพิจารณาค่าเล่าเรี ยนซึง่ จะ คานึงถึงจานวนปี ที่จะต้ องเรี ยน ชัว่ โมงที่สอน มาตรฐานของตึกเรี ยน เครื่ องมือภายในโรงเรี ยน การฝึ กฝนจานวนครูและครูใหญ่ และหลักสูตรอย่างกว้ าง ๆ 2. กระทรวงสาธารณสุขและการสงเคราะห์ จะดูแลรับผิดชอบสถานรับเลี ้ยงเด็กโดย มีการกาหนดมาตรฐานอย่างต่าของสถานรับเลี ้ยงเด็กไว้ ซึง่ มาตรฐานนันรวมถึ ้ งสถานที่ เครื่ องมือ สาหรับเลี ้ยงดูทารก ห้ องเลี ้ยงเด็ก อัตราส่วนระหว่างครูกบั นักเรี ยน ส่วนหลักสูตร เครื่ องมือและ ของเล่นต่าง ๆ สาหรับเด็กอายุ 3 – 5 ปี นัน้ เหมือนกับของโรงเรี ยนอนุบาลทุกประการ สาเหตุที่จดั เหมื อ นกั น ก็ เ นื่ อ งมาจากข้ อตกลงระหว่ า งกระทรวงสาธารณสุ ข และการสงเคราะห์ กั บ กระทรวงศึกษาธิการในปี ค.ศ.1963 เงินสนับสนุนในการดาเนินงานของสถานรับเลี ้ยงเด็ก นัน้ ได้ รับจากการร่ วมมือกันระหว่างส่วนบริ หารงานส่วนท้ องถิ่ นกับรั ฐบาล โดยที่ รัฐบาลให้ ความ ช่วยเหลือผ่านทางองค์การสังคมสงเคราะห์ตา่ ง ๆ ส่วนค่าเล่าเรี ยนนันขึ ้ ้นอยูก่ บั ฐานะครอบครัวเด็ก เป็ นหลัก ถ้ าเด็กที่มาจากครอบครัวที่มีฐานะต่าก็แทบจะไม่ต้องจ่ายเงินเลย


79 บุคลากรดาเนินการ 1. บุคลากรในโรงเรียนอนุบาล จะประกอบไปด้ วย ผู้อานวยการ คณะครูและอาจจะ มีบคุ ลากรอื่น ๆ อีก แต่ในสถานการณ์พิเศษก็อาจมีการยกเว้ นได้ ผู้อานวยการ เป็ นผู้บงั คับบัญชาและดูแลรับผิดชอบ รวมทังให้ ้ คาปรึกษาแก่ผ้ ู ร่ วมงานอื่น ๆ มักจะเป็ นผู้ที่ได้ รั บประกาศนียบัตรครู ระดับชัน้ เยี่ยมและมีประสบการณ์ ในการ ปฏิบตั ิงานทางด้ านการศึกษาไม่น้อยกว่า 5 ปี ครู ประจาการที่ปฏิบัติงานเต็มเวลา ซึ่งมีหน้ าที่ดแู ลรับผิดชอบเด็ก มักจะมี วุฒิปริ ญญาตรี หรื ออนุปริ ญญาตรี จากวิทยาลัย ในบางกรณีอาจมีผ้ ชู ่วยครูที่ทางานเต็มเวลาหรื อ ครูประจาการที่ทางานได้ ไม่เต็มเวลา มาสอนแทนบ้ าง แต่ครูผ้ ชู ่วยหรื อครูแบบทางานไม่เต็มเวลา เหล่านี ้ก็จะต้ องมีวฒ ุ ิอย่างน้ อยมัธยมปลาย โรงเรี ย นอนุบาลทุกแห่ ง จะมี หัวหน้ าซึ่ง ท าหน้ าที่ ช่วยเหลือผู้อานวยการ มี ครู พยาบาล หรื อผู้ช่วยและเสมียน นอกจากนีถ้ ้ าสามารถจัดหาในโรงเรี ยนอนุบาลก็จะได้ จัดหา แพทย์ ทันตแพทย์และเภสัชกรรมไว้ ด้วย ห้ องเรี ยนแต่ละห้ องควรมีครูเต็มเวลาประจาอย่างน้ อย 1 คน ต่อนักเรี ยนที่อายุเท่ากันไม่เกิน 40 คน 2. บุคลากรของสถานรับเลีย้ งเด็ก ประกอบด้ วย พยาบาลกลางวันและแพทย์ที่มาประจา เฉพาะบางเวลา สาหรับพยาบาลกลางวันนันจะมี ้ อตั ราส่วน 1 คน ต่อเด็กอายุต่ากว่า 3 ปี จานวน 6 คน และอย่างน้ อย 1 คน ต่อเด็กอายุระหว่าง 3 – 4 ปี จานวน 20 คน สถานรับเลี ้ยงเด็กทุกแห่งควรมี พยาบาลประจาอย่างน้ อยที่สดุ แห่งละ 2 คน พยาบาลเหล่านี ้ควรจะมีวฒ ุ ิทางพยาบาลจากสถาบันที่ กระทรวงสาธารณสุขและการสงเคราะห์หรื อองค์กรอื่นที่เกี่ยวข้ องรับรองแล้ ว (ประมุข กอรปสิริพฒ ั น์, 2534)

การศึกษาปฐมวัยในประเทศอิสราเอล อิสราเอลถือได้ วา่ เป็ นประเทศที่ให้ ความสาคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็ นอย่างสูง ประเทศหนึ่ง โดยเฉพาะทางด้ านการศึกษา ระบบการศึกษาของประเทศอิสราเอลตัง้ ขึน้ บน พื ้นฐานความเชื่อว่า เด็กควรได้ รับการศึกษาให้ เร็ วที่สดุ เท่าที่จะเป็ นได้ เพื่อว่าเด็กทุกคนจะได้ รับ โอกาสที่จะพัฒนาศักยภาพของตนให้ สงู ที่สดุ การศึกษาของประเทศอิสราเอลมุ่งเน้ นที่การเตรี ยม เด็กให้ เป็ นสมาชิ ก ที่ มี ความรั บผิ ดชอบในสัง คมประชาธิ ป ไตย ซึ่ง ประกอบด้ ว ยกลุ่มคนหลาย เชื ้อชาติ หลายวัฒนธรรม หลายศาสนาและมีพื ้นฐานที่แตกต่างกัน


80 อิทธิพลทางประวัติศาสตร์ และการเมืองที่มีผลต่อกระบวนการจัดการศึกษาในอิสราเอล ปี ค.ศ.1980 Eliezer Ben ตังคณะกรรมการสร้ ้ างภาษาพูดฮิบรู และตังอนุ ้ บาลเพื่อสอน เด็กให้ พูดภาษาฮิบรู เรี ยกว่า “โรงเรี ยนอนุบาลฮิบรู ” สอนโดยครู ยิว จากยุโรป ใช้ หลักการ/ ปรัชญาการสอนของโฟรเบล ปี ค.ศ.1940 – 1950 ครูอนุบาลถูกส่งไปเรี ยนที่วิทยาลัย Bank St. ในมลรัฐนิวยอร์ ค สหรัฐอเมริ กา ใช้ หลักการสอนของ จอห์น ดิวอี ้ ดังนันหลั ้ กสูตรจึงควรเน้ น “เด็กเป็ นศูนย์กลาง” ให้ เด็กได้ ฝึกคิด วิเคราะห์ การจัดสิ่งแวดล้ อมของโรงเรี ยน ให้ ถือว่าโรงเรี ยนเป็ นส่วนส่งเสริ ม ครอบครัว บ้ าน ชุมชน และสังคม โรงเรี ยนเป็ นที่ฝึกกฎเกณฑ์ทางสังคม ครูจงึ ควรจัดบรรยากาศ ของห้ องเรี ยนและโรงเรี ยนให้ มีการปฏิสมั พันธ์ในกลุม่ มากขึ ้น ปี ค.ศ.1953 รัฐสภาออกกฎหมายการศึกษาภาคบังคับที่เป็ นการศึกษาให้ เปล่า เด็กวัย 5 ปี ทุกคนต้ องเข้ าเรี ยนอนุบาล เพื่อจะได้ เรี ยนภาษาฮิบรู และเรี ยนรู้วฒ ั นธรรมประจาชาติ ครู ต้อง มีคณ ุ ภาพ ต้ องเรี ยนวิชาชีพครูเป็ นเวลา 4 ปี มีการออกกฎหมายว่าด้ วยการกากับดูแล เพื่อสร้ าง ความมัน่ ใจว่าโรงเรี ยนอนุบาลทุกโรงต้ องได้ รับการกากับ ดูแลและนิเทศก์ ปี ค.ศ.1960 – ค.ศ.1970 เด็กอายุ 3 – 4 ปี ได้ รับการศึกษาชันปฐมวั ้ ย ปี ค.ศ.1989 กระทรวงศึกษาธิ การ พยายามให้ มีการสอน การอ่าน/เขียนในโรงเรี ยน อนุบาล ซึ่ง ขัดกับปรั ช ญาดัง เดิมของการให้ ก ารศึกษา จึง ได้ มีการน าวิธีการสอนภาษาแบบ ธรรมชาติมาใช้ โดยเน้ นการจัดสิ่งแวดล้ อมที่เต็มไปด้ วยภาษาเขียน และเปิ ดโอกาสให้ เด็กได้ พดู และเขียน นอกจากนีย้ งั พาเด็กไปทัศนศึกษานอกสถานที่ ได้ เรี ยนรู้ ศิลปะ ดนตรี ละคร และ คอมพิวเตอร์ ปี ค.ศ.1990 – ปั จจุบนั กระทรวงศึกษาธิการ เพิ่มการเรี ยนวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ในทุกระดับการศึกษา รวมทังระดั ้ บปฐมวัย จัดเป็ นโปรแกรมที่ให้ เด็กได้ หดั สังเกตสิ่งรอบตัว โดย ผนวกเข้ าในกิจกรรมการเล่นบทบาทสมมุติ กิจกรรมสร้ างสรรค์ต่าง ๆ การเล่านิทานหรื อการทา โครงงาน หลักการและรูปแบบการจัดการศึกษาปฐมวัย การศึกษาปฐมวัยในประเทศอิสราเอลนัน้ มุ่งที่จะพัฒนาเด็กในทุกด้ านตังแต่ ้ พฒ ั นาการ ทางด้ านร่ างกาย อารมณ์ สังคม สติปัญญาและจริ ยธรรม ทัง้ นี โ้ ดยคานึงถึงความแตกต่าง ระหว่างบุคคลของเด็กเป็ นหลัก จุดประสงค์ประการสาคัญของการจัดการศึกษาระดับปฐมวัยใน ประเทศอิสราเอลนันเพื ้ ่อที่จะส่งเสริ มเด็กในการพัฒนาทักษะชีวิต (Life Skills) โดยคานึงถึง สุขภาพและความปลอดภัยเป็ นสาคัญ นอกจากนัน้ ยังมุ่งเน้ นถึงการพัฒนาทัศนคติทางบวกต่อ


81 ตนเองและผู้อื่น จุดมุ่งหมายประการสุดท้ ายคือ เพื่อที่ จะพัฒนาเด็กให้ มีทักษะการเรี ยนรู้ และ พฤติ ก รรมที่ สัง คมยอมรั บ มี พื น้ ฐานของความเป็ นมนุ ษ ยชนโดยค านึ ง ถึ ง วัฒ นธรรมและ ประเทศชาติเป็ นหลัก การศึกษาปฐมวัยในประเทศอิสราเอลนันพั ้ ฒนาจากรากฐานความเชื่อว่า การเรี ยนรู้ คือ กระบวนการของการสร้ าง (Construction) ที่เกิดขึ ้นภายใน(With in) การจัดรวบรวมข้ อมูลความรู้ ที่มีอยู่แล้ วให้ เป็ นระบบระเบียบพร้ อมที่จะนามาใช้ ได้ ตลอดเวลา และคือการสะสมความรู้ ใหม่ ๆ (Assimilating New Knowledge) การเรี ยนรู้ของเด็กปฐมวัยนันเกิ ้ ดขึ ้นทุกหนทุกแห่งและเกิดขึ ้น ตลอดเวลา เด็ก ปฐมวัยเรี ย นรู้ ทัง้ ทางตรงโดยผ่านประสบการณ์ การเรี ยนรู้ ที่ ผ้ ูใหญ่ จัดให้ และ ทางอ้ อมโดยผ่านประสบการณ์ในชีวิตประจาวันของตน ประสบการณ์การเรี ยนรู้ที่เกิดขึ ้นไม่ว่าจะ เป็ นทางตรงหรื อทางอ้ อมล้ วนส่งผลต่อพัฒนาการการเรี ยนรู้ของเด็กทังสิ ้ ้น เนื่องจากเด็กปฐมวัยนันไม่ ้ สามารถที่จะมุ่งสมาธิ (Concentratr) ในสิ่งหนึ่งสางใดได้ เป็ น ระยะเวลานาน ๆ ยิ่งกว่านันการเข้ ้ าร่ วมกิจกรรม (Participate) ของเด็กปฐมวัยก็ขึ ้นอยู่กบั ความ สนใจของเด็กเป็ นสาคัญดังนันในการจั ้ ดการศึกษาให้ กบั เด็กปฐมวัย (3 – 6 ปี ) ควรมีความ หลากหลายของกิจกรรมโดยมีพื ้นฐานที่การเล่นเป็ นหลัก รูปแบบการจัดการศึกษาปฐมวัยในประเทศอิสราเอล แบ่งเป็ นรูปแบบ 3 รูปแบบ ดังนี ้ 1. ศูนย์เด็กเล็ก (Day Care Centres) รับเด็กตังแต่ ้ อายุ 3 เดือน – 4 ปี อยูภ่ ายใต้ การ ดูแลขององค์การอาสาสมัครของสตรี และกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม จัดขึ ้นเพื่อบริ การแม่ ที่ต้องทางาน กระทรวงแรงงาน ฯ จะเป็ นผู้สนับสนุนค่าใช้ จ่ายโดยคานึงถึงรายได้ ของแต่ละครอบครัว เป็ นหลัก ศูนย์เลี ้ยงเด็กของเอกชนหลายแห่ง ไม่ได้ รับเงินอุดหนุนจากภาครัฐ 2. สถานรับเลี ้ยงเด็ก (Nursery School) รับเด็กอายุ 3 – 5 ปี อยูภ่ ายใต้ การดูแลของ สภาเทศบาล ซึ่งสภาเทศบาลอุดหนุนเรื่ องสถานที่ อุปกรณ์ เงินเดื อนผู้ช่วย และค่าใช้ จ่ายอีก เล็กน้ อย ส่วนกระทรวงศึกษาธิ การ จะเป็ นผู้จ่ายเงิ นเดือนครู และให้ การนิเทศ เงิ นอุดหนุนแก่ ครอบครัวของเด็ก ทังนี ้ ้ขึ ้นอยู่กบั รายได้ ของแต่ละครอบครัว อย่างไรก็ตาม ยังมีสถานรับเลี ้ยงเด็ก ของเอกชนที่มีการจดทะเบียนและดูแลโดยกระทรวงศึกษาธิการ แต่ไม่ได้ รับเงินอุดหนุน ครูในสถาน เลี ้ยงเด็กทุกคนจะต้ องมีคณ ุ สมบัติตามที่กาหนด 3. โรงเรี ยนอนุบาล (Kindergarten) รับเด็กอายุ 5 – 6 ปี การศึกษาระดับชันอนุ ้ บาล เป็ นการศึกษาภาคบังคับ และจัดโดยไม่คิดค่าใช้ จ่าย หน่วยการศึกษาของเทศบาล ให้ เงิน สนั บ สนุ น ค่ า อาคารสถานที่ อุ ป กรณ์ เงิ น เดื อ นครู ผ้ ู ช่ ว ยและเงิ น ค่ า ใช้ จ่ า ยอื่ น อี ก ก้ อน กระทรวงศึกษาธิการจะให้ เงินเดือนครูและนิเทศการสอนด้ วย ครูอนุบาลทุกคนจะต้ องมีคณ ุ สมบัติ


82 ตามที่กาหนด สัดส่วนของเด็กต่อครู เด็กอายุ 4 – 6 ปี จานวนเด็ก 35 คน : ครู 1 คน ครูผ้ ชู ่วย 1 คน เด็กอายุ 2 – 3 ปี จานวนเด็ก 12 คน : ครู 1 คน เด็กอายุ 1 ½ – 2 ปี จานวนเด็ก 10 คน : ครู 1 คน เด็กอายุ 3 เดือน – 1 ½ ปี จานวนเด็ก 6 คน : ครู 1 คน ทางกระทรวงศึกษาธิการ บังคับให้ ผ้ ทู ี่เลี ้ยงเด็ก 2 – 3 ปี ต้ องได้ รับการฝึ กหัดเป็ นครูสถาน รับเลี ้ยงเด็ก (ตามกฎหมายว่าด้ วยการดูแลเด็กอายุ 2 ปี ) หลักสูตรและการจัดการศึกษาปฐมวัย การจัดกิจกรรมการเรี ยนการสอนระดับปฐมวัยของประเทศอิสราเอลนัน้ คานึงถึงความ หลากหลายของกิจกรรม โครงสร้ างการเรี ยนรู้ ช่วงระยะเวลาในการเรี ยนและสถานที่เป็ นหลัก สาคัญ ในการจัดกิจกรรมการเรี ยนการสอนให้ กบั เด็กปฐมวัยในชันเรี ้ ยนของตนนัน้ ครูอิสราเอล ได้ คานึงถึงสิ่งต่าง ๆ ต่อไปนี ้ อันได้ แก่ การเล่นเสรี (Free Play) กิจกรรมการแสดงออกต่าง ๆ (Expressie Activties) การสัมผัสโดยตรงกับวัสดุตา่ ง ๆ (Contact With Materials) กิจกรรมการ สอนโดยตรง (Diactic Activties) และการเรี ยนรู้โดยมีการแนะนา (Guided Learning) เป็ นหลัก ทัง้ นี โ้ ดยที่ กิ จ กรรมต่ า ง ๆ เหล่ า นี น้ ัน้ อาจจัด ได้ ห ลายรู ป แบบ เช่ น กิ จ กรรมเป็ นรายบุค คล (Individual) กิจกรรมกลุม่ ย่อย (Small group) หรื อกิจกรรมกลุม่ ใหญ่ (Enyire Class) เป็ นต้ น รู ปแบบของกิจกรรมต่าง ๆ ที่กล่าวถึงข้ างต้ นนัน้ อาจเกิดขึ ้นทันทีทันใด (Spontaneous) โดยไม่มีการวางแผนหรื ออาจมีการวางแผน (Planned) ไว้ ลว่ งหน้ าก็ได้ นอกจากนันรู ้ ปแบบของ กิจกรรมที่กล่าวถึงจะเกิดขึ ้นใน 2 ลักษณะคือ ในชันเรี ้ ยนและนอกชันเรี ้ ยน อาจเป็ นกิจกรรมเสรี หรื อกิจกรรมที่มีครูเป็ นผู้แนะนาก็ได้ กิจวัตรประจาวันของเด็กปฐมวัยนันมี ้ ความหลากหลายมาก เวลาโดยส่วนใหญ่ของเด็ก จะมุง่ เน้ นไปที่กิจกรรมกลุม่ ย่อยหรื อกิจกรรมเป็ นรายบุคคลมากกว่ากิจกรรมกลุม่ ใหญ่ โดยมุ่งเน้ น ไปที่การเล่นและการให้ เด็กได้ มีโอกาสสัมผัสกับวัสดุต่าง ๆ โดยที่กิจกรรมกลุ่มใหญ่ เช่น การร้ อง เพลง การฟั งนิทาน การพูดคุย จะได้ รับความสาคัญน้ อยกว่า หลักในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนระดับปฐมวัย การจัดกิจกรรมการเรี ยนการ สอนในระดับปฐมวัยของประเทศอิสราเอล ได้ คานึงถึงสิง่ ต่าง ๆ ต่อไปนี ้เป็ นหลัก คือ


83 1. การจัดการกับสถานที่ (Organization Of Space) ในการจัดสิ่งแวดล้ อมสาหรับ เด็กปฐมวัยนัน้ ครูอิสราเอลคานึงถึงการใช้ พื ้นที่ใน 2 ลักษณะคือ พื ้นที่ในชันเรี ้ ยนหรื อในอาคาร เรี ยน และพื ้นที่ในสนาม พื ้นที่ดงั กล่าวข้ างต้ นจะได้ รับการแบ่งเป็ นมุมต่าง ๆ โดยคานึงถึงความปลอดภั ย ความ หลากหลายของกิจกรรม ความสะดวกในการเข้ ามาใช้ พื ้นที่ โดยมีการยืดหยุ่นได้ เพื่อตอบสนอง การเรี ยนรู้ ความสนใจและความต้ องการของเด็กเป็ นสาคัญ กิจกรรมต่าง ๆ ที่จดั ขึ ้นมุง่ ให้ เด็กได้ มี การสารวจ ค้ นคว้ าโดยผ่านประสาทสัมผัสทัง้ 5 2. การจัดการกับเวลา (Organization Of Time) ตารางกิจวัตรประจาวันในระดับ ปฐมวัยของประเทศอิสราเอลนันยื ้ ดหยุ่นได้ ตารางกิจวัตรประจาวันประกอบด้ วยกิจกรรมต่าง ๆ ในหลายรูปแบบด้ วยกัน อันได้ แก่ การเล่นเสรี ซึง่ หมายรวมถึง การแสดงบทบาทสมมติ การเล่น บล็อกต่าง ๆ เป็ นต้ น นอกจากนันก็ ้ มีกิจกรรมที่ ส่งเสริ มพัฒนาการทางด้ านกล้ ามเนื ้อใหญ่และ กล้ ามเนื ้อเล็ก กิจกรรมที่สง่ เสริ มทักษะในการดารงชีวิตต่าง ๆ รวมตลอดถึงกิจกรรมการเรี ยนรู้ที่มี การวางแผนล่วงหน้ า เวลาส่วนใหญ่ในโรงเรี ยนอนุบาลหรื อในศูนย์เด็กจะมุง่ เน้ นไปที่กิจกรรมกลุม่ ย่อย (Small Groups) หรื อกิจกรรมเป็ นรายบุคคล (Individuals) หรื อมิฉะนันก็ ้ เน้ นรู ปแบบ กิ จกรรมที่ เด็ก สนใจและเลื อกที่ จะมี ส่วนร่ วม เช่น การเล่น การแสดงออกในรู ปแบบต่าง ๆ เป็ นต้ น เวลาส่วนน้ อยเท่านันที ้ ่จะใช้ กบั กิจกรรม ในโรงเรี ยนอนุบาลของรัฐที่เน้ นทางด้ านการสอน ศาสนานัน้ ตารางกิจวัตรประจาวันจะกาหนดเวลาสวดมนต์ การเรี ยนคัมภีร์ทางศาสนาและ กฎหมายชาวยิวรวมอยูด่ ้ วย ตารางกิจวัตรประจาวันของโรงเรี ยนอนุบาลในอิสราเอลจะกาหนดเวลาที่เพียงพอสาหรับ กิจกรรมต่าง ๆ ทังกิ ้ จกรรมที่ม่งุ พัฒนาด้ านร่ างกาย และกล้ ามเนื ้อ กิจกรรมที่ม่งุ เน้ นพัฒนาด้ าน อารมณ์ ประสบการณ์ ทางสังคม ประสบการณ์ ที่สร้ างเสริ มพัฒนาการทางด้ านสติปัญญาและ ทักษะในการดารงชีวิตรวมตลอดถึงกระบวนการในการค้ นหาความรู้ด้วย

07.45 น. – 08.30 น. 08.30 น. – 09.00 น.

09.00 น. – 10.30 น.

ตารางกิจวัตรประจาวัน เด็กมาถึงโรงเรี ยน กิ จ กรรมวงกลม สนทนาพูด คุย กับ เด็ก เกี่ ย วกับ เรื่ อ ง อากาศ เรื่ องทัว่ ๆ ไปเกี่ยวกับตัวเด็ก เปิ ดโอกาสให้ เด็ก ได้ แสดงออกหน้ าชัน้ กิจกรรมเสรี เด็กแยกย้ ายทากิจกรรมตามมุมต่าง ๆ


84 10.30 น. – 11.00 น. 11.00 น. – 12.00 น. 12.00 น. – 13.00 น. 13.00 น. – 13.30 น.

รับประทานอาหารว่าง กิ จ กรรมกลางแจ้ ง ในขณะเดี ย วกัน ครู จ ะสอนเด็ ก ประมาณ 6 คน ในกลุม่ ย่อย เกมการศึกษา กิจกรรมสงบ นิทาน สรุปกิจกรรมตลอดวัน

* ตารางกิจวัตรประจาวันนีส้ ามารถยืดหยุ่นได้ ตามความเหมาะสม เด็กนักเรียนในประเทศอิสราเอลไปโรงเรียนสัปดาห์ ละ 6 วัน 3. การจัดการกับเนือ้ หาหลักสูตร (Organization Of Content) หลักสูตรในระดับ ปฐมวัยของประเทศอิสราเอลมีความยืดหยุ่นสูงและประกอบด้ วยเนื ้อหา การเรี ยนรู้ ด้านต่าง ๆ หลายด้ า นด้ ว ยกัน โปรแกรมการเรี ย นการสอนในระดับ ปฐมวัย มุ่ง เน้ น ที่ ก ารพัฒ นาทัก ษะ ความสามารถของเด็กรวมตลอดถึงความเหมาะสมของเนื ้อหากับความสนใจ ความต้ องการและ พัฒนาการของเด็ก ในประเทศอิสราเอลนัน้ ครู มีอิสระในการกาหนดเนื ้อหา การเรี ยนการสอนโดยคานึงถึง ความต้ องการและความสนใจของเด็ ก เป็ นสาคัญ ในขณะเดียวกัน เนื อ้ หาการเรี ย นการสอน จาเป็ นต้ องสอดคล้ องกับชุมชนที่โรงเรี ยนตังอยู ้ ่ด้วย หลักสูตรการเรี ยนการสอนของอิสราเอลมุ่งเน้ น การจัดประสบการณ์ตรง (Direct Learning - Experiences) ให้ กบั เด็กโดยคานึงถึงวัฒนธรรมและ สังคมที่เด็กเติบโตด้ วย สาหรับการประเมินผลเด็กในระดับปฐมวัยนัน้ มีจุดมุ่งหมายที่จะดูความสนใจและความ ต้ องการของเด็กเป็ นสาคัญ เพื่อนาข้ อมูลที่ ได้ ไปใช้ ใ นการจัดโปรแกรมการเรี ยนการสอนเพื่อ พัฒนาศักยภาพของเด็กแต่ละคนต่อไป เมื่อเป็ นเช่นนีก้ ารประสบความสาเร็ จอย่างเป็ นทางการ (Formal Achievements) หรื อคะแนนจึงมิใช่จดุ มุง่ หมายที่สาคัญที่สดุ สาหรับการศึกษาปฐมวัย หน่ วยงานที่รับผิดชอบ การศึกษาปฐมวัยในประเทศอิสราเอลมุ่งให้ การศึกษาเด็กตังแต่ ้ อายุ 3 – 6 ปี ถึงแม้ ว่า โปรแกรมการศึกษาในศูนย์ เด็กจะไม่ได้ ถือเป็ นการศึกษาภาคบังคับแต่อย่างใด และมี การเสีย ค่าใช้ จ่ายเป็ นรายหัว แต่โดยส่วนใหญ่แล้ วมักได้ รับการสนับสนุนจากองค์กรท้ องถิ่น องค์กรสตรี และองค์เอกชน โดยอัตราค่าใช้ จ่ายที่ผ้ ูปกครองต้ องเสียจะถูกกาหนดโดยกระทรวงแรงงานและ สวัสดิการสังคม ส่วนการศึกษาในโรงเรี ยนอนุบาลสาหรับเด็กวัย 5 ปี นันถื ้ อว่าเป็ นการศึกษาภาค บังคับและไม่ต้องเสียค่าใช้ จ่ายแต่อย่างใด


85 หน่วยงานที่สนับสนุนและกากับดูแลการจัดการศึกษาในแต่ละรูปแบบ ได้ แก่ 1. องค์การอาสาสมัครของสตรี และกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม องค์การอาสา สมัครของสตรี มีหน้ าที่กากับดูแลศูนย์เด็กเล็ก กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม จะเป็ นผู้ ตรวจสอบแม่บ้านและมีการอบรมให้ ความรู้แก่แม่บ้าน ในเรื่ องการจัดสภาพแวดล้ อมที่เหมาะสม และวิธีการดูแลเด็ก รวมทังสนั ้ บสนุนค่าใช้ จ่ายโดยคานึงถึงรายได้ ของแต่ละครอบครัว 2. สภาเทศบาล มีหน้ าที่ดแู ลสถานรับเลี ้ยงเด็กและโรงเรี ยนอนุบาล โดยให้ การสนับสนุน ค่าใช้ จ่าย เรื่ องอาคารสถานที่ อุปกรณ์ เงินเดือนครูผ้ ชู ่วยและค่าใช้ จ่ายอื่น ๆ 3. กระทรวงศึกษาธิการ รับผิดชอบค่าใช้ จ่ายเงินเดือนครูอนุบาลและให้ การนิเทศการ สอนแก่ครูอนุบาล โดยจัดสรรงบประมาณ 11 % ของทังหมดแก่ ้ การศึกษาเด็กปฐมวัย บุคลากรดาเนินการ ครู อนุบาล ผู้ที่จะเป็ นครู อนุบาลในประเทศอิสราเอลจะต้ องเข้ าฝึ กอบรมในศูนย์ฝึกหัดครู ซึง่ มีอยู่ 10 แห่ง ทัว่ ประเทศ ใช้ เวลาอบรม 3 ปี และเพิ่ม 1 ปี จะได้ ปริ ญญาตรี หลักสูตรเป็ นวิชา ทัว่ ไปและวิชาการศึกษาปฐมวัย ในระยะเวลา 4 ปี นี ้ ต้ องไปฝึ กงานในโรงเรี ยนอนุบาลอย่างน้ อย 2 วัน / สัปดาห์ และจะเลือกชานาญทางการศึกษาภาคปกติหรื อภาคพิเศษก็ได้ สาหรับการศึกษา ภาคปกติจะเลือกเรี ยนเกี่ยวกับเด็ก 0 – 5 ปี หรื อ 3 – 8 ปี ก็ได้ ผู้ที่เรี ยนการศึกษาภาคปกติจะต้ อง เรี ยนวิชาที่เกี่ยวกับเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือเป็ นพิเศษด้ วย กระทรวงศึกษาธิการ จะจัดหน่วยศึกษานิเทศก์มาให้ การอบรมครู อนุบาล การอบรมจะ เป็ นการสะสมแต้ มของครู และจะเป็ นการเพิ่มเงินเดือนด้ วย นอกจากนีก้ ระทรวงศึกษาธิ การ บังคับให้ ผ้ ทู ี่เลี ้ยงเด็ก อายุ 2 – 3 ปี ต้ องได้ รับการฝึ กหัดเป็ นครู สถานรับเลี ้ยงเด็ก (ตามกฎหมาย ว่าด้ วยการดูแลเด็ก 2 ปี )

สรุ ป แนวคิดเกี่ยวกับการศึกษาปฐมวัยในซีกโลกตะวันออก เริ่ มตังแต่ ้ ศตวรรษที่ 18 เป็ นต้ นมา ประเทศต่าง ๆ ในซีกโลกตะวันออก ได้ เห็นความสาคัญของการจัดการศึกษาปฐมวัยมากขึ ้น จึง พัฒนาการจัดการศึกษาระดับนี ้ โดยได้ รับอิทธิ พลและยึดแนวทางการปฏิบตั ิตามแนวคิดของ โฟรเบลและมอนเตสซอรี นามาพัฒนาจัดการศึกษาปฐมวัยในประเทศของตนให้ มีเหมาะสมตาม บริบทและมีประสิทธิภาพ


86 การจัดการศึกษาปฐมวัยในซีกโลกตะวันออกมีรูปแบบการจัดที่คล้ ายกับการจัดการศึกษา ปฐมวัยในซีกโลกตะวันตก โดยมี 2 รู ปแบบคือ สถานเลี ้ยงเด็ก โรงเรี ยนเด็กเล็ก และโรงเรี ยน อนุบาล

คาถามทบทวน 1. ให้ นกั ศึกษาสรุปแนวคิดและรูปแบบการจัดการศึกษาปฐมวัยของประเทศนิวซีแลนด์ 2. หลักสูตรการจัดการศึกษาปฐมวัยของประเทศนิวซีแลนด์มีลกั ษณะอย่างไร จงอธิบาย 3. ให้ นกั ศึกษาสรุปแนวคิดและรูปแบบการจัดการศึกษาปฐมวัยของประเทศญี่ปนุ่ 4. หลักสูตรการจัดการศึกษาปฐมวัยของประเทศญี่ปนมี ุ่ ลกั ษณะอย่างไร จงอธิบาย 5. ให้ นกั ศึกษาสรุปแนวคิดและรูปแบบการจัดการศึกษาปฐมวัยของประเทศอิสราเอล 6. หลักสูตรการจัดการศึกษาปฐมวัยของประเทศอิสราเอลมีลกั ษณะอย่างไร จงอธิบาย 7. จงอธิบายความสาคัญของสาระหลักของหลักสูตรแกนกลางของประเทศญี่ปนุ่ 8. จงอธิบายหลักในการจัดกิจกรรมการเรี ยนการสอนระดับปฐมวัยของประเทศอิสราเอล 9. จงเปรี ยบเทียบแนวคิดและรู ปแบบการจัดการศึกษาปฐมวัยของประเทศนิวซีแลนด์ ญี่ปนุ่ และอิสราเอล 10. จงเปรี ยบเทียบลักษณะของหลักสูตรการจัดการศึกษาปฐมวัยของประเทศนิวซีแลนด์ ญี่ปนุ่ และอิสราเอล


87

เอกสารอ้ างอิง คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, สานักงาน. (2542). ประสบการณ์ การศึกษาปฐมวัยของ นิวซีแลนด์ . กรุงเทพ ฯ : สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. นภเนตร ธรรมบวร. (2539). “หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยในประเทศอิสราเอล” วารสารครุ ศาสตร์ . ก.ค. – ก.ย., หน้ า 38 – 50. ประภาพรรณ สุวรรณศุข. (2547). “พัฒนาการการปฐมวัยศึกษาในต่างประเทศ” เอกสารการ สอนชุดวิชาพฤติกรรมการสอนปฐมวัยศึกษา หน่ วยที่ 1 – 8 (พิมพ์ครัง้ ที่ 14). นนทบุรี : มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. ประมุข กอรปสิริพฒ ั น์. (2534). “การอนุบาลศึกษาในประเทศญี่ปน” ุ่ เอกสารประกอบการ สัมมนาความคิดสร้ างสรรค์ กับเด็กปฐมวัย. กรุงเทพ ฯ : โรงพิมพ์สหพัฒนะการพิมพ์. พิณสุดา สิริธรังศรี . (2540). รายงานการปฏิรูปการศึกษาของประเทศนิวซีแลนด์ กรุงเทพ ฯ : สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กปฐมวัย. (2542). การศึกษาปฐมวัย สร้ างชาติ สร้ างชาติ. กรุงเทพ ฯ : สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ


88


89

บทที่ 5 การศึกษาปฐมวัยในประเทศไทย การศึกษาปฐมวัยในประเทศไทยเป็ นการจัดการศึกษาเพื่อส่งเสริ มพัฒนาการและทักษะ ทุกด้ านของเด็กวัย 3 – 6 ปี หรื อที่เรี ยกกันว่า “เด็กปฐมวัย” ซึง่ ประเทศไทยเห็นถึงความสาคัญ และให้ ความสนใจการจัดการศึกษาให้ กบั เด็กระดับนี ้มาเป็ นระยะเวลายาวนาน ตังแต่ ้ สมัยโบราณ จนกระทัง่ ปั จจุบนั โดยที่รูปแบบการจัดการศึกษาสาหรับเด็กปฐมวัยนันอาจมี ้ การเปลี่ยนแปลง แตกต่างกันไปบ้ าง ทังรู้ ปแบบ วิธีการและการเรี ยกชื่อที่ทาให้ เห็นเป็ นความแตกต่างกัน ในเอกสาร ประกอบการสอนนีข้ อเรี ยกว่า การจัดการศึกษาปฐมวัย สาหรับในประเทศไทยสามารถแบ่ง พัฒนาการของการจัดการศึกษาปฐมวัยได้ เป็ น 5 ยุค ดังนี ้ การจัดการศึกษาปฐมวัยในสมัยก่อนมีระบบโรงเรี ยน การจัดการศึกษาปฐมวัยสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ าเจ้ าอยูห่ วั การจัดการศึกษาปฐมวัยสมัยมีระบบโรงเรี ยน การจัดการศึกษาปฐมวัยสมัยก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง การจัดการศึกษาปฐมวัยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

การจัดการศึกษาปฐมวัยในสมัยก่ อนมีระบบโรงเรียน การจัดการศึกษาในสมัยโบราณก่อนที่จะมีการจัดเป็ นระบบโรงเรี ยนนัน้ ยังไม่มีการจัดที่ เป็ นรูปแบบที่แน่นอน ผู้คนยังไม่ให้ ความสาคัญกับการศึกษามากนัก เด็กผู้ชายพ่อแม่นิยมไปฝาก ไว้ ที่วดั ส่วนเด็กผู้หญิงให้ อยู่ที่บ้านหรื อไปฝากไว้ ในวังเจ้ านาย ซึง่ ลักษณะของการศึกษาในช่วงนี ้ แบ่งออกเป็ น 2 ลักษณะ คือ 1. วัดกับการศึกษาก่ อนมีระบบโรงเรี ยน การศึกษาของไทยตังแต่ ้ สมัยสุโขทัยจนถึง สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ าเจ้ าอยู่หวั นับเป็ นการศึกษาก่อนมีระบบโรงเรี ยนเนื่องจาก ยังไม่มีโรงเรี ยนสาหรับเรี ยนหนังสือโดยเฉพาะ ไม่มีหลักสูตร ไม่มีการกาหนดเวลาเรี ยนและไม่ มี การวัดผลการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐไม่ได้ เป็ นผู้จดั การศึกษาโดยตรงแต่มอบให้ วดั เป็ นผู้จดั ตามความสามารถและความเหมาะสมของแต่ละวัด โดยมีพระสงฆ์เป็ นครูผ้ สู อน ในสมัยนี ้เด็กผู้ชายพ่อแม่จะส่งไปอยู่วดั เพื่อเรี ยนหนังสือและวิชาต่าง ๆ เมื่อโกนจุกหรื อ อายุประมาณ 11 – 13 ปี ส่วนเด็กผู้หญิงมักจะไม่ได้ รับโอกาสให้ ออกไปเรี ยนหนังสือ ให้ อยูบ่ ้ าน


90 หรื อส่งไปเป็ นเด็กรับใช้ ในวังเจ้ านายหรื อบ้ านข้ าราชการ เพื่อฝึ กอบรมมารยาทและเรี ยนวิชา การบ้ านการเรื อน การจัด การศึก ษาสาหรั บเด็ ก ผู้ชายที่ วัดเป็ นผู้จัดนัน้ นัก เรี ยนที่ เข้ ามาเรี ยน ในวัด มี 3 ประเภท แบ่งได้ คือ ประเภทที่ 1 นักเรี ยนที่เป็ นพระภิกษุ เป็ นนักเรี ยนที่มีอายุตงแต่ ั ้ ครบอุปสมบท เป็ นพระภิกษุ ประเภทที่ 2 นักเรี ยนที่เป็ นสามเณร เป็ นนักเรี ยนที่มีอายุตงแต่ ั ้ 11 ปี ขึน้ ไป หลังจากที่เด็กได้ โกนจุกและได้ บวชเป็ นสามเณร ศึกษาเล่าเรี ยนอยูใ่ นวัด ประเภทที่ 3 นักเรี ยนที่เป็ นศิษย์วดั เป็ นนักเรี ยนที่มีอายุตงแต่ ั ้ 7 – 8 ปี ขึ ้นไป ซึง่ มีทงที ั ้ ่พ่อและแม่นามาฝากให้ เป็ นศิษย์วดั เพื่อศึกษาเล่าเรี ยนและกินอยู่ประจาวัด อีกพวกหนึ่ง เป็ นเด็กไปเช้ ากลับเย็น สาหรับเวลาเรี ยนศิษย์วดั จะเริ่ มศึกษาเล่า เรี ยนหลังจากพระสงฆ์ฉันอาหารเช้ าเรี ยบร้ อย แล้ ว หรื อหลัง จากเวลาประมาณ 8.00 น. ไปจนถึ ง 10.30 น. แล้ วจึง หยุดพักเพื่อเตรี ยมให้ พระสงฆ์ฉนั เพล และเริ่มเรี ยนต่อในเวลา 14.00 – 16.00 น. จึงเลิกเรี ยน วิธีการสอนก็ใช้ วิธีการท่องจาเป็ นส่วนใหญ่ โดยครู เป็ นผู้ต่อหนังสือ ให้ แล้ วศิษย์เอาไป ท่องจาหรื อหัดเขียนเอง ตาราเรี ยนมีทงต ั ้ าราเรี ยนธรรมดาสาหรับอ่านเขียน ได้ แก่ หนังสือปฐม ก.กา ปฐมจินดาเล่ม 1 ปฐมจินดาเล่ม 2 และตาราเรี ยนวิชาชีพ หรื อที่เรี ยกว่าตาราพิเศษ ตารา หมอดู ตาราหมอยา และเลขวิชาต่าง ๆ เป็ นต้ น 2. การศึกษาปฐมวัยกับการศึกษาก่ อนมีระบบโรงเรี ยน การให้ การศึกษาปฐมวัย สมัยก่อนมีระบบโรงเรี ยนนัน้ จัดแบ่งออกได้ 3 ประเภทตามประเภทของเด็ก ประเภทแรก ได้ แก่ การให้ การศึกษาสาหรับเจ้ านาย เชื ้อพระวงศ์ ซึง่ ส่วนใหญ่ จะจัดการศึก ษาในพระบรมมหาราชวัง โดยจ้ างอาลักษณ์ มาท าการสอนหนัง สือแก่ เด็กอายุ ประมาณ 3 ปี ขึ ้นไป จนถึง 7 ปี การเรี ยนในระดับปฐมวัยยังเรี ยนรวมกันทังเด็ ้ กหญิงและเด็กชาย ประเภทสอง ได้ แก่ การให้ การศึกษาปฐมวัยสาหรับบุคคลที่มีฐานะดี พ่อแม่ก็ จะจ้ างครูมาสอนหนังสือให้ แก่เด็กที่บ้าน ประเภทที่สาม ได้ แก่ การให้ การศึกษาปฐมวัยแก่บุคคลธรรมดาที่ พ่อแม่มี ฐานะยากจน มีความจาเป็ นต้ องไปประกอบอาชีพไม่มีผ้ ดู แู ลเด็ก ซึง่ พ่อแม่ไม่สามารถอบรมเด็ก ให้ เป็ นคนดีได้ ก็จะนาเด็กไปฝากไว้ ที่วดั เป็ นลูกศิษย์วดั เพื่อให้ เรี ยนหนังสือและศึกษาพระธรรม วินยั และถ้ าเด็กที่ยงั เล็กมาก พระสงฆ์จะทาหน้ าที่ดูแลเลี ้ยงดูเรื่ องการกิน การนอน ตลอดจน


91 การอบรมสัง่ สอนและการให้ การศึกษาด้ วยตามลาดับ (เยาวพา เดชะคุปต์, 2542, หน้ า 38 – 44)

การจัดการศึกษาปฐมวัยสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ าเจ้ าอยู่หวั การจัดศึกษาสาหรับเด็กปฐมวัยสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ าเจ้ าอยู่หั ว เริ่ มเป็ น รูปร่างมากขึ ้น โดยในสมัยนี ้แบ่งลักษณะการจัดการศึกษาออกเป็ น 2 ลักษณะ คือ 1. โรงเรียนราชกุมารและโรงเรียนราชกุมารี ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ าเจ้ าอยู่หวั วัดยังคงทาหน้ าที่ให้ การศึกษา อบรมสัง่ สอนแก่เด็ก แต่งานด้ านการจัดการศึกษาสาหรับเด็กก่อนวัยเรี ยนก็ได้ พฒ ั นาขึ ้นโดยการที่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ า ฯ ได้ จดั ตังโรงเรี ้ ยนราชกุมารในปี ร.ศ.111 (พ.ศ. 2435) และ โรงเรี ยนราชกุมารี ในปี ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) สาหรับเป็ นสถานศึกษาของสมเด็จพระเจ้ าลูกยาเธอ ที่ยงั ทรงพระเยาว์ มีแนวความคิดในการจัดที่ม่งุ ส่ง เสริ มให้ มีการสร้ างแรงจูงใจแก่เด็ก ใช้ วิธีการ สอนที่ ทาให้ เด็ก เรี ยนรู้ ด้ วยความสนุกสนาน สาหรั บวิชาที่ เรี ยนและวิธีการสอน นอกจากจะ ส่งเสริมให้ เด็กอยากรู้แล้ วยังใช้ วิธีสอนแบบเรี ยนปนเล่น และสนับสนุนเด็กให้ ลงมือกระทากิจกรรม ด้ วยตนเอง การจัดชันเรี ้ ยน กาหนดไว้ 3 ชัน้ คือ ชันที ้ ่ 1 นับเป็ นชันต้ ้ นเทียบได้ กบั ชันมู ้ ล ตารา เรี ยนที่ใช้ ในชันแรกหรื ้ อชันที ้ ่ 1 ใช้ แบบเรี ยนเร็ว เล่มที่ 1 ชันที ้ ่ 2 ตาราเรี ยนใช้ แบบเรี ยนเร็ ว เล่มที่ 2 ชันที ้ ่ 3 ตาราเรี ยนใช้ แบบเรี ยนเร็ ว เล่มที่ 3 วิชาที่เรี ยนมีทงอ่ ั ้ าน เขียนและเลข ส่วน เวลาเรี ยน กาหนดไว้ 3 ตอน ดังนี ้ ตอนที่ 1 เรี ยนตังแต่ ้ เวลา 10.00 – 12.00 น. ตอนที่ 2 เรี ยนตังแต่ ้ เวลา 13.00 – 14.30 น. ตอนที่ 3 เรี ยนตังแต่ ้ เวลา 15.00 – 16.00 น. 2. การจัดการศึกษาปฐมวัยในรูปของสถานเลีย้ งเด็กหรือโรงเลีย้ งเด็ก การจัดการศึกษาปฐมวัยของไทยในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ า ฯ ได้ พฒ ั นา ต่อมาในรู ปของสถานเลี ้ยงเด็กหรื อโรงเลี ้ยงเด็ก โดยพระอัครชายาเธอพระองค์เจ้ าสายสวลีภิรมย์ กรมขุนสุทธาสินีนาฎ ในรัชกาลที่ 5 เป็ นผู้ดาริก่อตังขึ ้ ้นเมื่อ พ.ศ.2433 เนื่องจากสาเหตุที่พระองค์ ต้ องสูญเสียพระราชธิดา เจ้ าฟ้านภาพรจารัสศรี อันเป็ นพระราชธิดาองค์ที่ 45 ของพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้ า ฯ ซึง่ สิ ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ปี ฉลู พ.ศ. 2324 ในขณะที่มีพระชนมายุ ได้ เพียง 6 ชันษาเท่านัน้ ด้ วยเหตุนี ้ทาให้ พระอัครชายาเธอทรงคิดถึงเด็กในวัยเดียวกันนี ้ที่ต้องประสบเคราะห์กรรม ต่าง ๆ โดยเฉพาะเด็กพ่อแม่ยากจนที่มีอยู่เป็ นจานวนมากที่พ่อแม่ไม่สามารถให้ การเลี ้ยงดูอบรม ให้ การศึกษา ให้ เป็ นคนดีได้ เด็กมักจะถูกปล่อยปละละเลยได้ รับอันตราย ถ้ ามีชีวิตรอดมาได้ เด็ก ก็เจริ ญเติบโตมาอย่างขาดการอบรมเลี ้ยงดูที่ดี ไม่ได้ รับการศึกษา เด็กจึงมัว่ สุ มและประพฤติตวั


92 ไปในทางที่เสียหาย เช่น ปล้ นสดมภ์ เป็ นต้ น ดังนันพระอั ้ ครชายาเธอจึงมีดาริ ที่จะรวบรวมเด็ก กาพร้ ายากจน เด็กจรจัดเหล่านี ้ เข้ ามาเลี ้ยงไว้ ที่โรงเลี ้ยงเด็กเพื่อให้ การดูแลเรื่ องอาหาร การนอน สุขภาพ และการศึกษา เพื่อช่วยให้ เด็กได้ รอดพ้ นอันตราย มีความปลอดภัย และเจริญเติบโตเป็ น พลเมืองดีตอ่ ไป พระองค์จงึ ได้ นาความกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ า ฯ ปรากฏ ว่าทรงอนุญาต และสนับสนุนให้ เป็ นไปด้ วยพระราชประสงค์ของอัครชายาเธอทุกประการ ด้ วย เหตุผลดังกล่าว โรงเลี ้ยงเด็กจึงได้ ก่อตังขึ ้ ้นที่ตาบลสวนมะลิ ถนนบารุงเมือง และเปิ ดเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2433 และได้ ขยายให้ กว้ างขวางเพื่อรับเด็กให้ มากขึ ้นในเวลาต่อมา โรงเลี ้ยงเด็ก แห่งแรกนี ้ได้ ดาเนินการมาเป็ นอย่างดีมีอาคารหลายหลัง สาหรับเลี ้ยงเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชาย มี โรงเลี ้ยงอาหาร โรงครัว โรงพยาบาล มีบริ เวณกว้ างขวางร่ มรื่ นไปด้ วยต้ นไม้ ดอกไม้ และผลไม้ มีสนามหญ้ าให้ เด็กได้ วิ่งเล่น มีที่ให้ เด็กทาสวนครัวและพักผ่อนหย่อนใจ และเป็ นสถานที่ฝึกเด็ก ได้ เป็ นอย่างดี เกณฑ์การรับเด็กและวิธีการในการรับเด็กเพื่อเข้ ารับการอบรมในโรงเลี ้ยงเด็ก มี หลักเกณฑ์ดงั ต่อไปนี ้ 1. โรงเลี ้ยงเด็กจะรับเลี ้ยงเด็กชายหญิงที่พ่อแม่มีฐานะยากจน หรื อกาพร้ าพ่อแม่ หรื อ เป็ นคนพิการไม่สามารถเลี ้ยงดูเด็กได้ เอง 2. อายุของเด็ก เด็กที่เข้ าสถานเลี ้ยงเด็ก กาหนดอายุตงแต่ ั ้ แรกเกิดจนถึงอายุไม่เกิน 11 ปี สาหรับเด็กหญิง และไม่เกิน 13 ปี สาหรับเด็กชาย 3. การอบรมเลี ้ยงดู เด็กชายและเด็กหญิงในโรงเลี ้ยงเด็กจะได้ รับการดูแลในเรื่ องการกิน การนอน สุขภาพ ให้ ได้ รับการรักษาพยาบาลเมื่อเจ็บป่ วย และเมื่อมีอายุพอสมควรก็ให้ เรี ยน หนังสือ ฝึ กอาชีพและหางานให้ ทาตามลาดับ 4. การอบรมเลี ้ยงดูเด็กดังกล่าว จะจัด ให้ ฟรี พ่อแม่ไม่ต้องเสียค่าใช้ จ่ายแต่อย่างใด ทัง้ ในขณะที่ยงั เล็กหรื อเมื่อเติบโตขึ ้นออกไปประกอบอาชีพได้ ด้วยตนเอง 5. พ่อแม่ที่นาบุตรมาฝากที่โรงเลี ้ยงเด็กต้ องทาสัญญายกให้ เป็ นสิทธิแก่โรงเลี ้ยงเด็กไปจน โตจนกว่าจะทามาหากินเองได้ และจะมาขอเด็กคืนไปไม่ได้ เว้ นแต่ผ้ เู ลี ้ยงดูเด็กจะเห็นสมควรและ อนุญาตจึงจะรับคืนไปได้ แต่ในขณะที่เด็กอยูใ่ นโรงเลี ้ยงเด็กอนุญาตให้ พ่อแม่ไปเยี่ยมเยียนเด็กได้ และจะมาอยูร่ ักษาพยาบาลเด็กเมื่อป่ วยไข้ ก็ได้ 6. บรรดาเด็กที่อยู่ในโรงเลี ้ยงเด็ก จะได้ รับการดูแลให้ ความปลอดภัยและพิทกั ษ์ ให้ พ้น จากความเดือดร้ อน การทุจริ ตทังภายในและภายนอก ้ อนึ่งในการให้ การเลี ้ยงดูเด็กก็จะปฏิบตั ิ เสมือนเด็กเป็ นบุตรของผู้เลี ้ยงดู ทังนี ้ ้เพื่อเด็กจะได้ รับความอบอุ่น ปลอดภัยและเจริ ญพัฒนาได้ อย่างราบรื่ น


93 7. โรงเลี ้ยงเด็กนี ้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ า ฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้ าให้ เรี ยกชื่อ ว่าโรงเลี ้ยงเด็กของพระอัครชายาเธอ และทรงสนับสนุนอย่างเต็มที่ในทุก ๆ ด้ าน โรงเลี ้ยงเด็กของ พระอัครชายาเธอเปิ ดดาเนินการตังแต่ ้ วนั ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2433 เด็กที่เลี ้ยงไว้ มีทงสิ ั ้ ้น 108 คน เป็ นเด็กชาย 74 คน เด็กหญิง 34 คน เด็กเหล่านี ้ได้ รับ การอุปการะเลี ้ยงดูทงในด้ ั ้ านการกิน การ นอน และการศึกษาเป็ นอย่างดียิ่ง เวลาเจ็บป่ วยก็ได้ รับการรักษาพยาบาล และเมื่อโตขึ ้นก็มีการ โกนจุกตามพิธีทางศาสนา ผู้อานวยการโรงเลี ้ยงเด็กคนแรกคือ กรมหมื่นดารงราชานุภาพ ได้ ทรงวางระเบียบในการ เลี ้ยงดูเด็กไว้ ดงั นี ้คือ สาหรับเด็กทารกที่เพิ่งคลอด ให้ พี่เลี ้ยงนางนมคอยดูแลให้ คว่า คลาน เดิน และพูดจา เมื่อเข้ าใจภาษาดีแล้ วจึงเริ่มให้ อา่ น เขียน ตามลาดับ ดังนันจะเห็ ้ นว่าการอบรมเลี ้ยงดูเด็กของโรงเลี ้ยงเด็กของพระอัครชายาเธอในระยะแรกก็ มุ่งสนองตอบความต้ องการพื ้นฐานของเด็กเป็ นสาคัญ ในเรื่ องอาหารการกิน การพักผ่อนและ สุขภาพ แล้ วจึงฝึ กอบรมมารยาทและเรี ยนหนังสือเมื่อเด็กเจริ ญเติบโตขึ ้น ในด้ านการสอนก็มีครู อาจารย์มาอบรมสัง่ สอนครบถ้ วน การให้ การศึกษามีการจูงใจเด็กให้ เกิดอยากเรี ยนรู้ด้วยการสอน เกี่ยวกับการเล่น การร้ องราทาเพลง มีของเล่ น มีต๊ กุ ตาให้ เด็กได้ เล่นและส่งเสริ มการเรี ยนรู้ ของ เด็กเป็ นอย่างดี อนึ่งโรงเลี ้ยงเด็กแห่งนี ้ได้ รับการสนับสนุนและสมทบทุนทรัพย์จากเจ้ านายผู้ใหญ่ และขุนนางในราชสานักเป็ นอย่างดี การอบรมสัง่ สอนเด็กก็ได้ รับการเอาใจใส่จากครู อย่างเต็มที่ จนกล่ า วได้ ว่ า เด็ ก ที่ เ กิ ด และเติ บ โตในสมัย พระพุท ธเจ้ า หลวงนัน้ แม้ จ ะเกิ ด ในบรรดาบุต ร ข้ าราชการหรื อผู้ดีมีสกุลบางคนก็ยงั ไม่ได้ รับการอบรมบ่มนิสยั ดีเท่าเด็กจากโรงเลี ้ยงเด็ก จึงเป็ น ประกันได้ วา่ เด็กเหล่านี ้จะเติบโตและมีฐานะดี มีตาแหน่งหน้ าที่ในราชการในเวลาต่อมา นับได้ ว่า โรงเลี ้ยงเด็กของพระอัครชายาเธอ เป็ นการริ เริ่ มงานปฐมวัยศึกษาขึ ้นครัง้ แรกในรูปของสถานเลี ้ยง เด็ก หรื ออาจกล่าวได้ ว่าพระองค์ได้ เริ่ มงานประชาสงเคราะห์เป็ นคนแรกของเมืองไทยในการจัด การศึกษาและการบริ ก ารแก่เด็กกลุ่มเสียเปรี ยบ เพื่อยกระดับความเป็ นอยู่และคุณภาพของ ประชากรของชาติให้ ดขี ึ ้น (เยาวพา เดชะคุปต์, 2542, หน้ า 38 – 44)

การจัดการศึกษาปฐมวัยสมัยมีระบบโรงเรียน ภายหลังจากที่ได้ มีการดาเนินการจัดการศึกษาสาหรับเด็กปฐมวัยในลักษณะโรงเลี ้ยงเด็ก ของพระอัครชายาเธอในสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ า ฯ แล้ ว ต่อมาได้ มีการเริ่ มจัด การศึกษาที่เป็ นระบบมากขึ ้น ซึง่ มีลกั ษณะและรายละเอียดดังนี ้


94 1. โครงการศึกษาชาติ พ.ศ. 2411 กับการศึกษาปฐมวัย การจัดการศึกษาสาหรับเด็ก ปฐมวัยสมัยมีระบบโรงเรี ยน เริ่มนับตังแต่ ้ มีโครงการศึกษาชาติ พ.ศ. 2411 เป็ นต้ นมา ซึง่ โครงการ ศึกษาฉบับนี ้ได้ กล่าวถึง “โรงเรี ยนมูลศึกษา อันเป็ นการศึกษาเบื ้องแรก” หรื อเบื ้องต้ น ซึง่ เทียบได้ กับการศึกษาก่อนวัยเรี ยน โรงเรี ยนมูลศึกษาแบ่งออกเป็ น 1.1 โรงเรี ยนบุรพบท โรงเรี ยนบุรพบทมูลศึกษาอาจจัดเป็ นโรงเรี ยนต่างหาก หรื อเป็ นสาขาของโรงเรี ยนประถมก็ได้ รับเด็กอายุภายใน 7 ปี โดยมีจดุ มุ่งหมายเพื่อ ฝึ กเด็กให้ มี ความรู้ในชันสู ้ งเพื่อเข้ าเรี ยนในโรงเรี ยนประถมศึกษาต่อไป 1.2 โรงเรียน ก ข นโม 1.3 โรงเรี ยนกินเดอกาเตน สาหรับโรงเรี ยน ก ข นโม และโรงเรี ยนกินเดอ กาเตนนัน้ รับผู้เข้ าเรี ยนไม่จากัดอายุ และให้ เรี ยนเขียน อ่าน คิดคานวณตามวิธีเรี ยนอย่างเก่ า ส่วนสถานที่เรี ยนก็จดั ให้ เรี ยนตามวัดบ้ าง ตามบ้ านบ้ าง อนึ่งการจัดชันมู ้ ลศึกษาในเวลานัน้ นิยมฝากไว้ ในโรงเรี ยนประถมศึกษาและเป็ นการจัด เพื่อเตรี ยมเข้ าเรี ยนชันประถมศึ ้ กษา จึงจัดกันเองไม่มีหลักสูตร ไม่มีระบบการสอน 2. โครงการศึกษาชาติ พ.ศ. 2445 พ.ศ. 2451 พ.ศ. 2452 พ.ศ. 2456 และพ.ศ. 2465 กับการศึกษาปฐมวัย ในปี พ.ศ. 2445 ได้ มีการเปลี่ยนแปลงโครงการศึกษาชาติ พ.ศ. 2441 ขึ ้น ทังนี ้ ้เพราะได้ รับอิทธิพลจากการศึกษาของประเทศญี่ปนโดยเจ้ ุ่ าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) พระยาอนุกิจวิธูร (สั นทัด เทพหัสดิน ณ อยุธยา) และพระยา ชีวบรรณาคม ได้ กลับจากการดูงานการศึกษาในประเทศญี่ปนุ่ และได้ นาเอาแผนการศึกษาของ ญี่ปนมาดั ุ่ ดแปลงใช้ ให้ เหมาะสมกับประเทศไทย โครงการศึกษาชาติ พ.ศ. 2445 มีส่วนที่ เกี่ ยวข้ องกับการปฐมวัยศึกษา ได้ แก่ การ กาหนดให้ มีขนการศึ ั้ กษาเบื ้องต้ นขึ ้น เรี ยกว่า ประโยคมูลศึกษา เพื่อสอนเด็กให้ มีความรู้พื ้นฐาน เพื่อเรี ยนต่อในชันประถมศึ ้ กษา การกาหนดให้ มีการสอบไล่ประโยคมูลศึกษา และกาหนดวิชา เรี ยนให้ อา่ นเขียนและเรี ยนเลข เป็ นต้ น โครงการศึกษาชาติ พ.ศ. 2451 ได้ กาหนดให้ โรงเรี ยนประถมศึกษาที่ไม่มีแผนกมูลศึกษา ให้ จดั ชันเตรี ้ ยมขึ ้นอีก 1 ชันก็ ้ ได้ โครงการศึกษาชาติ พ.ศ. 2452 ได้ ประกาศใช้ หลักสูตรมูลศึกษา กล่าวถึงเวลาเรี ยนซึ่ง กาหนดไว้ 2 – 3 ปี และเด็กที่เข้ าเรี ยนอายุตงแต่ ั ้ 7 – 9 ปี วิชาบังคับให้ เรี ยน ได้ แก่ ภาษาไทย จรรยามารยาท วิชาเลือก ได้ แก่ ศิลปะ ซึง่ รวมวาดเขียน ขับร้ องและกายบริ หาร โดยเปลี่ยนชื่อ จากชันมู ้ ลมาเป็ นชันเตรี ้ ยมประถม


95 โครงการศึกษาชาติ พ.ศ. 2456 และ พ.ศ. 2464 มิได้ ระบุเรื่ องการจัดชันมู ้ ลไว้ แต่ได้ มี การจัดชัน้ เรี ยนที่เรี ยกว่า เตรี ยมประถม สาหรับเตรี ยมเด็กเพื่อเข้ าเรี ย นชัน้ ประถมศึกษาปี ที่ 1 (เยาวพา เดชะคุปต์, 2542, หน้ า 38 – 44)

การจัดการศึกษาปฐมวัยสมัยก่ อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง การจัดการศึกษาตามโครงการศึกษาชาติ ได้ มีการพัฒนาปรับปรุงระบบการจัดการศึกษา ชันมู ้ ลเรื่ อยมา เมื่อประเทศไทยได้ มีการติดต่อกับต่างประเทศมากขึ ้น รูปแบบการจัดการปฐมวัย ศึกษาก็มีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง การจัดการศึกษาได้ มีการเปลี่ยนแปลงขึ ้นอีกตามแนวความคิดการจัดการ ดังนี ้ 1. แนวความคิดการจัดการศึกษาปฐมวัย การให้ การศึกษาแก่เด็กปฐมวัยได้ พฒ ั นา เรื่ อ ยมา โดยจัด ในรู ป แบบชัน้ มูล หรื อ โรงเรี ย นมูล ศึก ษาหรื อ ชัน้ เตรี ย มประถมศึก ษา ต่อ มา การศึกษาปฐมวัยสมัยก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองก็พฒ ั นาขึ ้น ในรู ปแบบของการอนุบาล (Kindergarten) ตามแนวความคิดของโฟรเบลและมอนเตสซอรี่ ซึ่งได้ นามาประเทศไทยตังแต่ ้ ปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ าเจ้ าอยู่หวั ดังปรากฏหลักฐานเกี่ยวกับการสอนเด็ก ในหนังสือ “นรางกุโรวาท” เมื่อ ร.ศ.129 (พ.ศ.2453) ดังนี ้ ........ทารกประจวบขวบครึ่ งจึ่งพอสอน เปรี ยบเสมือนป้ อนข้าวกล้วย ช่วยถนอม ทาของเล่นเป็ นท่อน ๆ อักษรพร้อม ทาสีสนั หว่านล้อมซ้อมให้จา จงหาเหตุให้สงั เกตประเภทของ เรี ยกไรต้องมิ ให้ยากถลากถลา ล่อให้ชีส้ ีแสง แดงดา เล่นลูกประคาคลาลูกปั ดหัดประเมิ น สองขวบแล้วแคล่วคล่องต้องหาเลิ ศ ให้รู้เหตุผลแท้แต่เผิ นเผิ น เช่นรู้ชอ้ นป้ อนข้าวเรากิ นเพลิ น ไฟร้อนเกิ นจับอย่าได้ใกล้กราย หัดนับหนึ่ง สองสามตามสะดวก หัดลบบวกเทียบเคียงเพียงง่าย ๆ ชวนให้คิดลูกปั ดสี อธิ บาย ทัง้ ลองทายอักษรสะกดกระถดไป ได้สามขวบรู้จกั ควบพยัญชนะ กับสระเชีย่ วชาญพออ่านได้ ร้อยลูกปั ด หัดเขี ยนเพียรตามใจ รู้จกั ใช้สิ่งของทีต่ อ้ งการ ให้รู้จกั กลัวชัว่ ช้าฆ่ามดบี ้ หรื อ ทุบตีแมวหมาน่าสงสาร ของของเขาอย่าเข้าปองเป็ นพ้องภาร เลิ กคิ ดอ่าน พูดเจเช็ดอาญา ให้เอือ้ เฟื ้ อเผือ่ แผ่แก่ใคร ๆ มีอะไรให้ปันหัดหันหา ห้ามส่อเสียด เกี ยจกันฉันทา ยัว่ ปรารถนานิ ยมอย่างทางทีด่ ี สีข่ วบถ้วนควรอ่านหนังสือออก ให้หดั ลอกเขี ยนหนังสือหรื อภาพสี ล่อทางานอย่าให้คร้านเบื ่องานลี ้ เล่นเครื ่องเล่นเห็นวิ ธีในทางเรี ยน


96 ถึงห้าขวบรวบลัดหัดให้คล่อง พอจัดห้องให้คล้ายเสมียน แขวนรู ปหรู น่าดูชูความเพียร ตัง้ โต๊ะเขี ยนหนังสือไว้ให้นิยม ทัง้ กระดาษดิ นสอมีสีต่าง ๆ จะได้ร่างจะได้เขี ยนเรี ยนขรม ตูส้ มุดชุดนิ ทานอ่านตะบม รู ปภาพสมฝี มือ เด็กเล็กลอกลาย ให้ปลืม้ ปลุกสนุกสนานการศึกษา จูงสมัครรักวิ ชาอย่า เสียหาย ถึงเล่นชนผละเล่นเป็ นอุบาย รู้แยบคายแต่ขา้ งหนุนคุณวิ ชา หกเจ็ดขวบจวบสมัยไปโรงเรี ยน ต้องฝึ กเพียรประหยัดตัวกลัวโทษา เข้าหลักสอนตอนค่าตามตารา ทารกอายุควรเหมือนพรวนดิ น แลโรยปุ๋ ยคุน้ ร่ วนสงวนถูก ถึงจะปลูกพืชเพาะก็เหมาะสิ้ น คงงอกงามตามเฉลยเชยอาริ นทร์ ชุมธรณิ นทร์ โอชารสสดงดงาม ถึงจะปลูกพืชเพาะก็เหมาะสิ้ น ก็พีพนู ภิ ญโญ โตอร่ าม เช่น เด็กหัดกระหายวิ ชาพยาบาล ต้องมีความรู้กล้าปรี ชาชาญ...... จากหลักฐานแสดงให้ เห็นว่า ความคิ ดเรื่ องการอนุบาลศึกษาเริ่ มเข้ าสูป่ ระเทศไทยตังแต่ ้ สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ าเจ้ าอยู่หวั เนื่องจากพระองค์ได้ เคยเสด็จประพาสทวีปยุโรป และโปรดเกล้ า ฯ ให้ ผ้ ูมี หน้ า ที่ จัดการศึกษาและดูง านต่างประเทศ นอกจากนี ใ้ นรั ชสมัยของ พระองค์ ไ ด้ มี สัม พัน ธ์ ไ มตรี กับ ต่ า งประเทศ พวกมิ ช ชัน นารี ไ ด้ เ ข้ า มามี บ ทบาทส าคัญ ยิ่ ง ใน การศึกษาของไทย 2. การศึกษาปฐมวัยในรูปของอนุบาล การจัดการศึกษาปฐมวัยในรูปของอนุบาลตาม แนวความคิดของโฟรเบลและมอนเตสซอรี่ ได้ เข้ าสูป่ ระเทศไทยและเริ่ มจัดดาเนินงานโดยโรงเรี ยน ราษฎร์ เป็ นส่วนใหญ่ โรงเรี ยนราษฏร์ ที่ได้ เปิ ดแผนกอนุบาลขึ ้น ได้ แก่ โรงเรี ยนวัฒนาวิทยาลัย โรงเรี ยนราชินี และโรงเรี ยนมาร์ แตร์ เดอี โรงเรี ยนวัฒนาวิทยาลัยหรื อโรงเรี ยนวังหลัง ได้ จัดตังขึ ้ ้นโดยศาสนทูตอเมริ กันที่เข้ ามา เผยแพร่ คริ สต์ศาสนาในเมืองไทย ครัง้ แรกได้ จัดการศึกษาสาหรับเด็กชายและขยายต่อมาถึง การศึกษาสาหรับเด็กหญิง หลายปี ต่อมาโรงเรี ยนวัฒนาวิทยาลัยได้ จัดตังแผนกอนุ ้ บาลขึ ้นใน พ.ศ. 2454 นับเป็ นโรงเรี ยนอนุบาลแห่งแรกที่เปิ ดขึน้ และดาเนินการโดยนางสาวโคลด์ ( Miss Edna Cold) จัดการเรี ยนการสอนตามแนวคิดของโฟรเบล โรงเรี ยนอนุบาลแห่งนี ้มีครู ไทยที่ สาเร็ จการศึกษาด้ านการอนุบาลศึกษาเป็ นคนแรกจากประเทศสหรัฐอเมริ กา ได้ นาความรู้ และ แนวคิดมาปรับปรุ งการจัดการปฐมวัยศึกษาให้ ถกู ต้ องตามหลักเกณฑ์มากยิ่งขึ ้น ทังในด้ ้ านวัสดุ ครุ ภัณฑ์ และการเรี ย นการสอน นับได้ ว่าโรงเรี ยนวัฒนาวิท ยาลัยเป็ นโรงเรี ยนที่ เปิ ดสอนชัน้ อนุบาลศึกษาโดยครูสตรี ไทยคนแรกที่สาเร็จการศึกษามาโดยตรง


97 เกณฑ์ การรับและอบรมเด็ก แม้ ว่าโรงเรี ยนวัฒนาวิทยาลัยจะเป็ นโรงเรี ยนสตรี แต่ก็รับ เด็ ก ชายและเด็ ก หญิ ง ที่ มี อ ายุ 3 – 6 ปี มาฝึ กหัด อบรมในเรื่ อ งต่ า ง ๆ เช่ น มารยาทในการ รับประทานอาหาร การอบรมและสร้ างสุขนิสยั แก่เด็ก เป็ นต้ น ส่วนวิธีสอนก็ฝึกเด็กตามแบบของ โฟรเบลที่เรี ยกว่า เรี ยนปนเล่น มีการนาเอาวิชาศิลปะ การร้ องรา เพลง ดนตรี มาฝึ กความ พร้ อมทางด้ านสายตาและกล้ ามเนื ้อให้ ทางานประสานสัมพันธ์กนั โรงเรี ยนราชินีนบั เป็ นโรงเรี ยนแห่งที่ 2 ที่เปิ ดแผนกอนุบาลขึ ้น เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2466 และเป็ นโรงเรี ยนอนุบาลแห่งแรกที่ดาเนินการโดยคนไทยคือ ม.จ.หญิงพิจิตร จิราภา เทวกุล ซึ่งเป็ นศิษ ย์ ของมิสโคลด์ รั บเด็กอายุ 3 – 5 ปี และท าการสอนตามแนวคิดของมอนเตสซอรี่ และโฟรเบลตามที่ได้ ศกึ ษามาจากประเทศญี่ปนุ่ มุง่ สอนให้ เด็กช่วยตนเอง เช่น ล้ างหน้ า แปรงฟั น ใส่และถอดกระดุมเสื ้อ เอาใจใส่ดแู ลเรื่ องอาหาร การพักผ่อน การออกกาลังกาย ฝึ กการฟ้อนรา และศิลปะแบบไทย ๆ โรงเรี ยนราชินีแผนกอนุบาลมีชื่อเสียงมากเกี่ยวกับการฟ้อนราและการละคร นาออกแสดงให้ ชาวต่างประเทศชมและได้ รับคาชมเสมอ โรงเรี ยนราชินีก็เช่นเดียวกับโรงเรี ยนวังหลังหรื อโรงเรี ยนวัฒนาวิทยาลัย คือเป็ นโรงเรี ยน สาหรับสตรี แต่สาหรับแผนกอนุบาลรับทังเด็ ้ กชายและเด็กหญิงเพื่อรับการอบรมดังได้ กล่าวมาแล้ ว โรงเรี ยนมาร์ แตร์ เดอี ได้ เปิ ดรับนักเรี ยนอนุบาลในปี พ.ศ. 2470 นับเป็ นโรงเรี ยนแห่งที่ 3 ที่เปิ ดแผนกอนุบาล รับนักเรี ยนชายและหญิง โดยใช้ แนวการสอนตามแบบอย่างของประเทศ อังกฤษ ซึง่ ได้ แก่แบบโฟรเบล ทังนี ้ ้อาจเป็ นเพราะมาแมร์ เทเรชา ชาวเบลเยี่ยมได้ เคยเป็ นครูสอน ณ ประเทศอังกฤษ จึงได้ นาเอาวิธีสอน ตลอดจนระเบียบการจัดชันเรี ้ ยนมาเป็ นแนวการสอนของ โรงเรี ยน และที่โรงเรี ยนนี ้พระบาทสมเด็จพระเจ้ าอยู่หวั อานันทมหิดล และพระบาทสมเด็จพระ เจ้ าอยูห่ วั ภูมิพลอดุลยเดช ได้ ทรงเคยศึกษาเล่าเรี ยนชันอนุ ้ บาลในสมัยทรงพระเยาว์ 3. พระราชบัญญัตโิ รงเรี ยนราษฎร์ ฉบับแรกกับการศึกษาปฐมวัย ในปลายรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้ าเจ้ าอยู่หวั สมัยที่เจ้ าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี เป็ นเสนาบดีกระทรวง ธรรมการ ได้ มีโรงเรี ยนราษฎร์ เพิ่มมากขึ ้น ทังโรงเรี ้ ยนราษฎร์ ที่มีคนไทยเป็ นเจ้ าของและที่มีคน ต่างชาติเป็ นเจ้ าของ การจัดสอนวิชาต่าง ๆ ก็สอนกันตามความพอใจของแต่ละโรงเรี ยน ไม่เป็ น ระเบียบแบบแผนเดียวกัน รัฐจึงได้ ตราพระราชบัญญัติโรงเรี ยนราษฎร์ ฉบับแรกของไทยขึ ้น โดยมี สาระสาคัญในการให้ โรงเรี ยนราษฎร์ ทกุ โรงจะต้ องจดทะเบียนและอยู่ในความดูแลของเจ้ าหน้ าที่ กระทรวงธรรมการ พร้ อมทังปฏิ ้ บตั ิตามระเบียบแบบแผนที่วางไว้ พระราชบัญญัติโรงเรี ยนราษฎร์ ฉบับนี ้ประกาศใช้ เมื่อวันที่ 5 มิถนุ ายน พ.ศ. 2461 และในพระราชบัญญัตินี ้นับเป็ นหลักฐานที่


98 สาคัญและเด่นชัดที่ แสดงให้ เห็นว่า การปฐมวัยศึกษาในรู ปแบบของอนุบาลได้ เริ่ มขึน้ แล้ วใน ประเทศไทย ซึง่ ได้ กล่าวถึงโรงเรี ยนอนุบาลไว้ ดงั นี ้ ........ลักษณะที่ 4 โรงเรี ยนอนุบาล มาตราที่ 27 โรงเรี ยนอนุบาลเป็ นโรงเรี ยนที่มงุ่ เอาการเลี ้ยงดูเด็กอ่อน ๆ เป็ นสาคัญ และสอนให้ เด็กรู้อา่ น รู้เขียน รู้นบั ไปพลางในระหว่างเวลานันด้ ้ วย โรงเรี ยนเช่นนี ้ ครูอนุบาลในโรงเรี ยนไม่ต้องมีประกาศนียบัตรก็ควรเป็ นได้ ส่วนลักษณะของครูก็ระบุไว้ วา่ ไม่ต้องมีประกาศนียบัตร เพียงสอนให้ เด็กอ่านออก เขียนได้ บ้าง....... (เยาวพา เดชะคุปต์, 2542, หน้ า 38 – 44)

การจัดการศึกษาปฐมวัยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 เป็ นต้ นมา การศึกษาปฐมวัยได้ รับ ความสนใจเพิ่มมากขึ ้นบรรดานักศึกษา ผู้ที่เกี่ยวข้ องกับการจัดการศึกษาในสมัยนัน้ ได้ เล็งเห็น และตระหนักถึงความสาคัญของวัยเด็ก จึงได้ จดั การศึกษาแก่เด็กในวัยนี ้กว้ างขวางขึ ้น ดังนันค ้ า ว่า มูลศึกษาหรื อการศึกษาเบื ้องต้ น ก็ยงั คงปรากฏอยู่ในโครงการศึกษาชาติ พ.ศ.2479 ซึ่งได้ กาหนด “มูลศึกษา” เป็ นการศึกษาสาหรับเด็กอายุต่ากว่าเกณฑ์การศึกษาภาคบังคับ และเป็ น การศึกษาเบื ้องแรก โรงเรียนอนุบาลแห่ งแรกของรัฐ การเตรี ยมการจัดตัง้ โรงเรี ยนอนุบาล ดังที่กระทรวงธรรมการและผู้ที่มีบทบาทสาคัญ ในการศึกษาได้ เล็ง เห็ น ความสาคัญของการจัดการศึกษาปฐมวัย จึง ได้ เริ่ มเตรี ยมการจัดตัง้ โรงเรี ยนอนุบาลศึกษาขึน้ โดยได้ จดั ตังคณะกรรมการจั ้ ดตังโรงเรี ้ ยนอนุบาลของกระทรวงขึ ้นในปี พ.ศ. 2480 ประกอบด้ วย นายนาท เทพหัสดิน ณ อยุธยา ม.ล.มานิจ ชุมสาย และนางจานง เมืองแมน (นางพิณพาท พิทยเพท) ในระหว่างปี พ.ศ. 2480 – พ.ศ. 2482 กระทรวงธรรมการได้ จัดส่งครูหลายท่านไปศึกษาและดูงานการอนุบาลศึกษาในประเทศญี่ปนุ่ อาทิ นางจิตรา ทองแถม ณ อยุธยา ไปศึกษาและฝึ กงาน ณ ประเทศญี่ปนเป็ ุ่ นเวลา 6 เดือน และได้ กลับมาจัดเตรี ยมการ ดาเนินงานโรงเรี ยนอนุบาล นางสาวสมถวิล สวยสาอาง (นางสมถวิล สังขะทรัพย์) ไปศึกษา การอนุบาลศึกษา ณ ประเทศญี่ปุ่ น และในปี พ.ศ.2482 กระทรวงธรรมการจึงได้ คดั เลือกครู 3 คน คือ นางสาวสวัสดี วรรณโกวิท นางสาวเอื ้อนทิพย์ วินิจฉัยกุล (นางเอื ้อนทิพย์ เปรมโยธิน)


99 และนางสาวเบญจา ตุงคะสิริ (นางเบญจา แสงมะลิ) ได้ รับการคัดเลือกไปศึกษาการอนุบาล ณ ประเทศญี่ปนุ่ ซึง่ ท่านเหล่านี ้ก็ได้ กลับมาเป็ นผู้นาทางการอนุบาลศึกษาของไทยในเวลาต่อมา การเปิ ดโรงเรี ย นอนุ บ าล เมื่ อ กระทรวงธรรมการได้ เ ตรี ย มความพร้ อมทัง้ ในด้ า น บุคลากรและอื่น ๆ จึงได้ เปิ ดโรงเรี ยนอนุบาลแห่งแรกของรัฐขึ ้นในจังหวัดพระนคร ชื่อว่า โรงเรี ยน อนุบาลละอออุทิศ ซึ่งได้ รับเงิ นบริ จาคในกองมรดกของ น.ส.ลออ ลิ่มเซ่งไถ่ สาหรับสร้ างอาคาร เรี ยน โรงเรี ยนอนุบาลละอออุทิศ ได้ เปิ ดทาการสอนเมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ.2483 ในสังกัด กรมการฝึ กหัดครู ซึง่ มี ม.ล.มานิจ ชุมสาย เป็ นหัวหน้ ากองฝึ กหัดครูในขณะนัน้ และมีนางจิตรา ทองแถม ณ อยุธยา เป็ นครูใหญ่ ในเรื่ องการอนุบาลศึกษานี ้ บุคคลที่มีความสาคัญในวงการและเป็ นผู้บกุ เบิกการอนุบาล ศึกษาของไทย ได้ แก่ ม.ล.มานิจ ชุมสาย โดยได้ สาเร็ จปริ ญญาตรี และปริ ญญาโททางการศึกษา จากประเทศอังกฤษ และเป็ นผู้ที่มีความรู้ ความสนใจ และเชี่ยวชาญในเรื่ องเด็กเล็ก และการ ประถมศึกษา เป็ นผู้วางโครงการก่อสร้ างอาคารเรี ยนโรงเรี ยนอนุบาลละอออุทิศ ให้ การสนับสนุน และเผยแพร่ เครื่ องมือการสอนของมอนเตสซอรี่ ตลอดจนสนับสนุนให้ มีการผลิตสื่อการสอน อนุบาล เพื่อช่วยให้ การอนุบาลศึกษาดาเนินไปได้ อย่างมีประสิทธิภาพ โรงเรี ยนอนุบาลละอออุทิศที่ จดั ตังขึ ้ ้นในระยะแรกนัน้ มีวตั ถุประสงค์เพื่อทดลองจัดการ อนุบาลศึกษา และเพื่อทดสอบความสนใจ ความเข้ าใจของประชาชนในเรื่ องการอนุบาลศึกษา และรั บ นัก เรี ย นชาย หญิ ง ที่ มี อ ายุร ะหว่ า ง 3 ½ ปี ขึ น้ ไป จนถึ ง 6 ปี หรื อ จนเข้ า เรี ย นในชัน้ ประถมศึกษา (เยาวพา เดชะคุปต์, 2542, หน้ า 38 – 44) ความมุ่งหมายและวิธีการอบรม 1. เพื่อเตรี ยมสภาพจิตใจของเด็กให้ พร้ อมที่จะรับการศึกษาในชันต่ ้ อไป หัดใช้ เครื่ องมือในการเรี ยน การเล่น และการประดิษฐ์ อบรมให้ เป็ นคนช่างคิด ช่างทา ขยันไม่อยู่นิ่งเฉย และเป็ นคนว่องไวกระฉับกระเฉง 2. เพื่ออบรมเด็กให้ เป็ นคนมีความสังเกต มีไหวพริ บ เฉลียวฉลาด คิดหาเหตุผล ให้ เกิดความเข้ าใจด้ วยตนเอง มีความพากเพียรพยายามและอดทนไม่จบั จด 3. เพื่ออบรมให้ เป็ นคนที่พงึ่ ตนเอง สามารถทา หรื อปฏิบตั ิอะไรได้ ด้วยตนเอง เด็กในโรงเรียนอนุบาลนี ้จะต้ องอบรมให้ ชว่ ยตนเองให้ มากที่สดุ เช่น หัดแต่งตัว ใส่เสื ้อ นุง่ กางเกง กระโปรง หวีผม รับประทานอาหารเอง ฯลฯ ทังนี ้ ้จะต้ องทาให้ เป็ นเวลาด้ วย โดยที่ไม่มีพี่เลี ้ยง คอยตักเตือนหรื อคอยรับทาให้ ครูเป็ นผู้คอยดูควบคุมอยูแ่ ต่ห่าง ๆ เท่านัน้


100 4. เพื่อหัดมารยาทและศีลธรรมทัง้ ในส่วนตัวและการปฏิบตั ิ ต่อสังคม และหัด มารยาทในการนัง่ นอน เดิน และการรับประทานอาหาร ฯลฯ หัดให้ เป็ นคนสุภาพเรี ยบร้ อย ฝึ ก นิสยั ให้ เป็ นคนมีศีลธรรมอันดี จิตใจเข้ มแข็ง มีระเบียบรักษาวินยั มีความสามัคคีซงึ่ กันและกัน 5. เพื่ อ ปลูก ฝั ง นิ สัย ทางสุข ภาพอนามัย รู้ จัก ระวัง สุข ภาพของตน เล่น และ รับประทานอาหารเป็ นเวลา รู้จกั รักษาร่างกายให้ สะอาดและแข็งแรงอยูเ่ สมอ 6. เพื่ออบรมให้ เป็ นคนร่าเริงต่อชีวิต มีการสอนร้ องเพลงและการเล่นที่สนุกสนาน ทังนี ้ ้เพื่อจะได้ เป็ นนักสู้ซงึ่ เต็มไปด้ วยความร่าเริงเบิกบานและคิดก้ าวหน้ าเสมอ นับได้ วา่ การปฐมวัยศึกษาในระยะนี ้มุง่ เตรี ยมเด็กให้ พร้ อมทังสภาพร่ ้ างกายและจิตใจและ ส่งเสริ มพัฒนาการของเด็กทังร่้ างกาย อารมณ์ สังคม สติปัญญา เน้ นการฝึ กให้ คิดตัดสินใจได้ รู้จกั ช่วยตนเองตังแต่ ้ เยาว์วยั การเรี ยนการสอนก็คานึงถึงตัวเด็กเป็ นสาคัญ การจัดกิจกรรมต่าง ๆ ส่งเสริมเด็กให้ เป็ นผู้เรี ยนที่คล่องแคล่วว่องไว เลือกและลงมือปฏิบตั ิกิจกรรมอย่างอิสระ มีครูเป็ น เพียงผู้ชี ้แนะและคอยดูแลช่วยเหลือ จัดสิ่งแวดล้ อมบรรยากาศที่เอื ้ออานวยให้ เด็กพัฒนาอย่าง ราบรื่ น เป็ นขันตอนและพั ้ ฒนาอย่างเต็มที่ถึงขีดสุด การจัดการเรี ยนการสอน โรงเรี ยนอนุบาลละอออุทิศ ได้ จัดการเรี ยนการสอนตาม แนวความคิดของโฟรเบล บิดาแห่งการอนุบาลศึกษาและใช้ วิธีการสอนแบบ Play Way Method หรื อเรี ยนปนเล่น นาเกม การร้ องรา การละเล่น ดนตรี เข้ าเป็ นส่วนสาคัญในการเรี ยนของเด็ก และส่งเสริมให้ เด็กลงมือปฏิบตั ิกิจกรรมด้ วยตนเอง สาหรับการสอนอนุบาลกาหนดไว้ 2 ปี คือ ชัน้ อนุบาลปี ที่ 1 และชันอนุ ้ บาลปี ที่ 2 เด็กที่เพิ่งเข้ าเรี ยนและยังเด็ก พยายามจัดให้ เล่น การปฏิบตั ิ กิจวัตรประจาวันจนเด็กค่อยคุ้นเคยจึงเพิ่มความรู้ให้ มากขึ ้น เพื่อเตรี ยมตัวเด็กเข้ าเรี ยนในระดับชัน้ ประถมต่อไป การสอนทุกวิชาครูหดั ให้ เด็กสังเกต คิด สนทนา เล่านิทาน ใช้ วิธีสอนที่ยวั่ ยุให้ เด็ก อยากเรี ยนรู้ และการเรี ยนรู้ได้ เป็ นไปอย่างสนุกสนาน ระยะเวลาในการเรียน ในการเรี ยนชันอนุ ้ บาล ระยะเวลาเรี ยนสัน้ แต่สง่ เสริมให้ เด็กได้ พักผ่อนให้ มาก และประกอบกับความสนใจของเด็กสัน้ จึงไม่ควรให้ เด็กเรี ยนหรื อทากิจกรรม อย่างหนึง่ อย่างใดนานเกินควร แต่ควรเปลี่ยนวิชาและกิจกรรมหรื อการเล่นอยูเ่ สมอ


101 ตารางที่ 5.1 ตัวอย่ างระยะเวลาในการเรียนของโรงเรียนอนุบาลละอออุทศิ วิชา หน้ าที่พลเมือง การเล่นฝึ กเชาวน์ ภาษาไทย เลขคณิต ความรู้เรื่ องเมืองไทย วาดเขียนและการฝี มือ ขับร้ อง สุขศึกษา การเล่นและการทาสวน รวมเวลา

ชั่วโมง/สัปดาห์

หมายเหตุ

1 2 3 1 1½ 2 2 1 3

การประชุม สวดมนต์ สรรเสริญพระบารมี ให้ มี สัปดาห์ละครัง้ ในวันสุดท้ าย ของวันเรียนในสัปดาห์และ ไม่ควรเกิน ½ ชัว่ โมง

16 ½

ที่มา (สุโขทัยธรรมาธิราช, มหาวิทยาลัย, 2547 , หน้ า 129)

09.00 – 09.15 น. 09.15 – 09.30 น. 09.30 – 09.45 น. 09.45 – 10.00 น. 10.15 – 10.45 น. 10.45 – 11.00 น. 11.00 – 11.15 น. 11.15 – 11.30 น.

ตารางสอนประจาวัน เข้ าแถวเคารพธงชาติ ร้ องเพลงชาติ ตรวจร่างกาย ศีลธรรม สุขศึกษา ความรู้ เรื่ องเมืองไทย และความรู้ เกี่ยวกับ หน้ าที่พลเมือง ใช้ เล่านิทานและภาพประกอบการสนทนา ดูเลข นับ คิดเลข วาดเขียน และการฝี มือ พักผ่อน เล่นกลางแจ้ ง ทาสวนครัว สนทนาเพื่อฝึ กภาษาไทย เล่นตัวอักษรและหัดผสม หัดเขียน หัดปั น้ หัดคัดตัวอักษร ร้ องเพลง และการเล่นเบ็ดเตล็ด การเล่นเกี่ยวกับการฝึ กเชาวน์ ฝึ กการสังเกต ความจาและประสาท จัดโต๊ ะรับประทานอาหารและที่นอน


102 11.30 – 12.00 น. 12.00 – 14.00 น. 14.00 – 14.30 น. 14.30 – 14.45 น. 14.50 – 15.00 น.

รับประทานอาหารเสร็จแล้ ว เก็บโต๊ ะเข้ าแถวเดินออกจาก ห้ องอาหารไปล้ างปากและมือ เตรี ยมตัวนอน ล้ างมือและเท้ า นอน ตื่นนอน อาบน ้า เก็บตู้เสื ้อผ้ า ข้ าวของ ตรวจความเรียบร้ อย อาหารว่าง ชักธงลง ทาความเคารพและกลับบ้ าน

กิจกรรมประจาวันนอกตารางสอน 1. ก่ อ นเข้ าเรี ย น เมื่ อ เด็ ก มาถึ ง โรงเรี ย นตอนเช้ ามี ก ารตรวจร่ า งกายและ เครื่ องนุ่งห่ม การตรวจร่างกายได้ แก่ ตรวจหู ตา จมูก ปาก ฟั น เล็บ และผิวหนัง 2. การทาสวน เมื่อเด็กได้ รับการตรวจร่างกายและเครื่ องนุ่งห่มเสร็จเรี ยบร้ อยแล้ ว ก็ให้ เด็กช่วยกันทาสวน เช่น รดน ้าต้ นไม้ ดูแลสัตว์เลี ้ยง 3. ก่อนเข้ าห้ องเรี ยน นักเรี ยนทุกคนเข้ าแถวร้ องเพลงชาติ ทาพิธีชกั ธงชาติขึ ้นสู่ เสา ทาความเคารพ 4. ก่อนกลับบ้ าน ครูให้ เด็กตรวจและจัดตู้เสื ้อผ้ า เก็บข้ าวของของตนให้ เรี ยบร้ อย 5. เวลาเช้ าและเวลาเลิกเรี ยน ให้ เด็กกล่าวคาว่า สวัสดี แก่ครู อาจารย์ และเพื่อน 6. การจะให้ เด็กทาอะไรก็ตามฝึ กหัดให้ เข้ าแถวและเข้ าคิวเสมอ ครู และบุคลากร โรงเรี ยนอนุบาลละอออุทิศ ตังแต่ ้ เริ่มเตรี ยมการเปิ ดโรงเรี ยนอนุบาล กระทรวงก็ได้ แต่งตังบุ ้ คคลที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในเรื่ องการอนุบาล และการประถมศึกษา อย่างดี เป็ นกรรมการจัดโครงการโรงเรี ยนปฐมวัยศึกษา คือ ม.ล.มานิจ ชุมสาย ซึง่ ขณะนันท่ ้ าน สาเร็จปริญญาตรี และปริญญาโททางการศึกษาจากประเทศอังกฤษ เป็ นผู้ที่สนใจและสนับสนุน ให้ มีการเปิ ดโรงเรี ยนอนุบาล รวมทังได้ ้ เผยแพร่สื่อการสอนปฐมวัยศึกษาโดยได้ นาตัวอย่างมาจาก ต่างประเทศและมาออกแบบผลิตขึ ้นในประเทศไทยด้ วย นับได้ วา่ บุคลากรในการเตรี ยมการและ ดาเนินการเกี่ยวกับการปฐมวัยศึกษาได้ วางรากฐานที่ถกู ต้ อง และท่านได้ รับยกย่องว่าเป็ น ปรมาจารย์ทางการอนุบาลศึกษาในประเทศไทย ครูใหญ่ โรงเรี ยนอนุบาลละอออุทิศมีครูใหญ่ที่ได้ รับการคัดเลือกไปศึกษาดูงานและสาเร็ จ การอนุบาลศึกษาโดยตรงจากประเทศญี่ปนุ่ เช่น นางจิตรา ทองแถม ณ อยุธยา นางสมถวิล สังขะทรัพย์ และนางสาวเบญจา ตุงคะสิริ บุคคลดังกล่าวมีความรู้ ความเชี่ยวชาญเป็ นอย่างดี ในเรื่ องการอนุบาลศึกษา สามารถจัดการอนุบาลศึกษาได้ อย่างมีประสิทธิภาพ


103 คณะครู โรงเรี ยนอนุบาลละอออุทิศในระยะเริ่ มเปิ ดโรงเรี ยน ครูที่ทาการสอนในโรงเรี ยน อนุบาลละอออุทิศเป็ นผู้ที่ได้ รับการฝึ กหัดสาเร็ จการอนุบาลศึกษามาโดยตรง เช่น นางสมถวิล สังขะทรัพย์ ก็ได้ เป็ นครูผ้ สู อนก่อนที่จะเลื่อนตาแหน่งเป็ นครูใหญ่ ต่อมาเมื่อเปิ ดโรงเรี ยนฝึ กหัดครู อนุบาลขึ ้น ครู ที่สาเร็ จการศึกษาจากโรงเรี ยนฝึ กหัดครู อนุบาลรุ่ นแรกส่วนหนึ่งก็ได้ มาเป็ นครู สอน ในโรงเรี ยนอนุบาลแห่งนี ้ ซึง่ หลักสูตรฝึ กหัดครู อนุบาลก็ได้ กาหนดคุณสมบัติสาหรับผู้ที่จะเรี ยนครู อนุบาลไว้ ว่า มีนิสยั รั กเด็ก ใจเย็น อดทน แคล่วคล่องว่องไว ชอบการดนตรี และการฝี มือ เบ็ดเตล็ด ฉะนันนั ้ บได้ ว่าโรงเรี ยนอนุบาลละอออุทิศในระยะแรกมีบุคลากรที่มีความรู้ อย่างถูกต้ อง ตามหลัก การ และมี คุณ สมบัติที่เ หมาะสมส าหรั บการสอนเด็ก และเป็ นแบบอย่างที่ ดีแ ก่เด็ ก (สุโขทัยธรรมาธิราช, มหาวิทยาลัย, 2547 , หน้ า 128 – 130) ต่อมา พ.ศ.2485 กระทรวงศึกษาธิการ ได้ ประกาศตังโรงเรี ้ ยนอนุบาลในส่วนภูมิภาคแห่ง แรกขึ ้น คือ โรงเรี ยนอนุบาลนครราชสีมา สังกัดกรมสามัญศึกษา และรัฐเห็นความสาคัญของ การอนุบาลศึกษา จึงได้ เปิ ดขยายโรงเรี ยนอนุบาลประจาจังหวัดทุกจัง หวัดและสามารถเปิ ด โรงเรี ยนอนุบาลได้ ทวั่ ทุกจังหวัดในปี พ.ศ. 2511 ตังแต่ ้ พ.ศ.2479 เป็ นต้ นมา รัฐบาลเริ่ มมีนโยบายสนับสนุนให้ เอกชนเปิ ดสอนระดับ อนุบาล เพื่อเป็ นการแบ่งเบาภาระของรัฐ ในขณะเดียวกันหน่วยงานต่าง ๆ ก็เริ่ มเข้ ามามีสว่ นร่วม ในการจัดการศึกษาในระดับนี ้มากขึ ้น ดังนันบทบาทของเอกชนที ้ ่มีตอ่ การจัดการศึกษาปฐมวัยจึง มีความสาคัญขึ ้น และรัฐบาลก็ให้ การช่วยเหลืออุดหนุนทางด้ านการเงินและยังชวยผลิตครู และ อบรมครูแก่โรงเรี ยนอนุบาลเอกชนด้ วย (เยาวพา เดชะคุปต์, 2542, หน้ า 45) โครงการศึกษาชาติ พ.ศ.2494 กับการศึกษาปฐมวัย โครงการศึกษาชาติ พ.ศ.2494 ยังมีลกั ษณะคล้ ายกับโครงการศึกษาชาติ พ.ศ.2479 โดยรวมแนวความคิดเรื่ องอนุบาลศึกษาหรื อที่ เรี ยกว่ามูลศึกษา ซึ่ง เดิมเป็ นโรงเรี ยนบุรพบท โรงเรี ยน ก ข นโม และกินเดอกาเตนรวมเข้ าไว้ ด้วยกัน และเปลี่ยนจากมูลศึกษาเป็ นอนุบาลศึกษา ในแผนการศึกษาชาติ พ.ศ.2494 กาหนดอายุของเด็กต่ากว่า 8 ปี ลงมาหรื อในระหว่างอายุ 3–7 ปี เข้ าเรี ยนในชันมู ้ ลศึกษา ดังนันจะเห็ ้ นว่าชันมู ้ ลศึกษาหรื อการศึกษาวัยก่อนเกณฑ์บงั คับเรี ยนนัน้ ยังไม่ได้ กาหนด จุดมุ่งหมายเพื่อเตรี ยมความพร้ อมแก่เด็ก หากแต่มุ่ งเตรี ยมให้ เด็กอ่านออก เขียนได้ เป็ นสาคัญ ส่วนอายุเด็กนัน้ กาหนดอายุนักเรี ยนที่ จะเข้ าเรี ยนในชัน้ ประถมศึกษาปี ที่ 1 ไว้ ว่าย่างเข้ าปี ที่ 8


104 ดังนันเด็ ้ กชันมู ้ ลศึกษา มีอายุต่ากว่า 8 ปี ลงมา หรื อในอายุระหว่าง 3 – 7 ปี (สุโขทัยธรรมาธิราช, มหาวิทยาลัย, 2547, หน้ า 133) การศึกษาปฐมวัย พ.ศ. 2501 – พ.ศ. 2534 แผนการศึกษาชาติ พ.ศ. 2503 การศึกษาก่อนวัยเรี ยนได้ รับความสนใจและสนับสนุน จากรัฐบาล ได้ มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ ้น จานวนโรงเรี ยนอนุบาลในรู ปแบบต่าง ๆ ก็ เกิดขึ ้นมากดังที่กล่าวมาแล้ ว ต่อมาในปี พ.ศ. 2516 ก็ได้ มีการขยายการจัดตังโรงเรี ้ ยนอนุบาล ประจาจังหวัดครบทุกจังหวัด ซึง่ เป็ นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ตงแต่ ั ้ เริ่มดาเนินการจัดการศึกษา แผนการศึกษาชาติ พ.ศ. 2503 มีสว่ นสาคัญที่เกี่ยวข้ องกับการศึกษาก่อนวัยเรี ยนดังที่ได้ ระบุและกล่าวถึงการศึกษาก่อนวัยเรี ยน สรุปสาระสาคัญดังนี ้ 1. การอนุบาลศึกษา เป็ นระบบหนึ่งของการศึกษา และเป็ นการศึกษาก่อนการศึกษา ภาคบังคับ อาจจัดเป็ นอนุบาลที่มีขึ ้น 2 ชันหรื ้ อ 3 ชัน้ หรื อชันเด็ ้ กเล็กในโรงเรี ยนประถมศึกษา 2. การอบรมเบื ้องต้ น เพื่อให้ กลุ บุตร กุลธิดาพร้ อมที่จะรับการศึกษาในชันระดั ้ บประถมศึกษา 3. อายุ กาหนดอายุเด็กก่อนวัยเรี ยนระหว่าง 3 – 6 ปี แผนการศึกษาชาติ พ.ศ. 2520 ในปี พ.ศ. 2520 ได้ มีการเปลี่ยนแปลงแผนการศึกษา ชาติฉบับใหม่ และมีสาระสาคัญที่เกี่ยวข้ องกับการศึกษาก่อนวัยเรี ยนดังนี ้ 1. การศึกษาก่อนประถมศึกษา เป็ นการศึกษาระดับหนึง่ 2. รัฐพึงเร่ งรัดและสนับสนุนการอบรมเลี ้ยงดูเด็กในวัยก่อนประถมศึกษา รัฐจะสนับสนุน ให้ ท้ องถิ่ น และภาคเอกชนจัด การศึ ก ษาระดับ นี ใ้ ห้ ม าก รั ฐ จะจัด เป็ นตัว อย่ า งและเพื่ อ การ ค้ นคว้ าวิจยั เท่านัน้ 3. การศึกษาก่อนประถมศึกษา เป็ นการศึกษาที่ม่งุ อบรมเลี ้ยงดูเด็กก่อ นการศึกษาภาค บังคับ เพื่อเตรี ยมเด็กให้ มีความพร้ อมทุกด้ านที่จะรับการศึกษาต่อไป 4. การจัดการศึก ษาก่ อนประถมศึกษา อาจจัดเป็ นการศึกษาในระบบโรงเรี ยน หรื อ การศึกษานอกโรงเรี ยน โดยอาจจัดเป็ นสถานรับเลี ้ยงเด็กหรื อศูนย์เด็กปฐมวัย หรื ออาจจัดเป็ นชัน้ เด็กเล็ก หรื อโรงเรี ยนอนุบาล จะเห็นได้ วา่ การจัดการศึกษาสาหรับเด็กปฐมวัยตังแต่ ้ พ.ศ.2501 – 2520 รัฐเน้ นความ สาคัญของการศึกษาระดับนี ้มาก และให้ มีความยืดหยุ่นในการจัดรูปแบบต่าง ๆ ได้ ทังนี ้ ้เพื่อให้ มี การบริการเด็กในลักษณะหรื อรูปแบบต่าง ๆ ให้ มากขึ ้น ซึง่ ปรากฏว่าหน่วยงานทั ง้ ของรัฐบาลและ เอกชนต่างก็ได้ ให้ ความสนใจช่วยกันจัดการศึกษาปฐมวัยเพื่อช่วยเหลือเด็กมากขึ ้น เช่น กรมการ พัฒนาชุมชน กรมประชาสงเคราะห์ กรมอนามัย กรมการศาสนา ทบวงมหาวิทยาลัย กรมการ


105 ฝึ กหัดครู มูลนิธิโสสะ เป็ นต้ น (สุโขทัยธรรมาธิราช, มหาวิทยาลัย, 2547, หน้ า 133 – 134) ใน พ.ศ. 2523 กระทรวงศึก ษาธิ ก าร ได้ ป ระกาศตัง้ ส านัก งานคณะกรรมการการ ประถมศึก ษาแห่ ง ชาติ โดยโอนโรงเรี ยนระดับอนุบ าลและประถมจากกรมสามัญศึกษาและ องค์การบริ หารส่วนจังหวัดมาสังกัด มีภารกิจสาคัญคือจัดการศึกษาระดับประถมศึกษา ซึง่ เป็ น การศึกษาภาคบังคับตามพระราชบัญญัติประถมศึกษา พ.ศ.2523 นอกจากนี ้ยังได้ รับมอบหมาย จากรัฐให้ จดั การศึกษาระดับก่อนประถมศึกษาให้ แก่เด็กวัยก่อนเกณฑ์การศึกษาภาคบังคับกลุ่ม อายุ 4 – 6 ปี และระดับมัธยมศึกษาตอนต้ นอีกส่วนหนึง่ ด้ วย การจัดการศึก ษาระดับก่ อนประถมศึกษาในระยะแรก สานักงานคณะกรรมการการ ประถมศึกษาแห่งชาติ จัดตามนโยบายของรัฐที่กาหนดไว้ ในแผนการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2520 แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และมติคณะรัฐมนตรี โดยจัดทาเป็ นโครงการ ได้ แก่ โครงการสงเสริ มการศึกษาในท้ องถิ่นที่ใช้ ภาษาอื่นมากกว่าภาษาไทย โครงการเปิ ดขยาย ชัน้ เด็ก เล็ก ในพืน้ ที่ ที่มี ปัญหาทางเศรษฐกิ จ โครงการจัดชัน้ เด็กเล็กในโรงเรี ยนประถมศึกษา โครงการวิ จัย พัฒนาการศึก ษาระดับก่อนประถมศึกษา การดาเนิ นงานในระยะนี เ้ ป็ นการจัด การศึกษาเพื่อเป็ นตัวอย่างและเพื่อการศึกษาวิจยั ผลของการดาเนินงานพบว่า เด็กวัย 4 – 6 ปี มีวฒ ุ ิภาวะสูงขึ ้น มีความสามารถในการเรี ยนรู้และมีความมัน่ ใจในตนเองมากขึ ้น ในปี พ.ศ.2529 คณะรั ฐมนตรี ได้ อนุมัติให้ กระทรวงศึกษาธิ การ ดาเนินงานโครงการ อนุบาลชนบท สานัก งานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่ ง ชาติ จึง ได้ ดาเนิ น การเปิ ดชัน้ อนุบาลชนบทเริ่ มตังแต่ ้ ปีการศึกษา 2529 เป็ นต้ นมา และได้ มีการประกาศใช้ พระราชบัญญัติ คณะกรรมการการประถมศึก ษา (ฉบับ ที่ 2) พ.ศ.2535 แก้ ไ ขเพิ่ ม เติ ม อ านาจหน้ า ที่ ข อง คณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ เพื่อให้ มีอานาจหน้ าที่ครอบคลุมการจัดการศึกษาใน ระดับอนุบาลด้ วย นอกจากนี ้ยังได้ ดาเนินการจัดอนุบาล 3 ขวบ เพื่อเป็ นการทดลองใน 5 ภูมิภาค คือ โรงเรี ยนอนุบาลสามเสน โรงเรี ยนอนุบาลนครนายก โรงเรี ยนอนุบาลแพร่ โรงเรี ยนอนุบาล สุรินทร์ และโรงเรี ยนอนุบาลชุมพร ซึง่ ได้ ดาเนินการต่อเนื่องจนถึงปั จจุบนั

การฝึ กหัดครู กับการศึกษาปฐมวัยในประเทศไทย การเตรี ยมครู อนุบาลในกรมการฝึ กหัดครู การฝึ กหัดครู ได้ เริ่ มจัดตังเมื ้ ่อ พ.ศ.2484 ภายหลังจากกระทรวงธรรมการได้ จดั ตังโรงเรี ้ ยนอนุบาลละอออุทิศขึ ้น ในสังกัดกองฝึ กหัดครู กรม สามัญศึกษา ระยะแรกของการจัดตังโรงเรี ้ ยนอนุบาลละอออุทิศได้ จดั ตังขึ ้ ้นเพื่อศึกษา ทดสอบ ความสนใจและความเข้ าใจของประชาชนในเรื่ องการอนุบาลศึกษา ผู้ดาเนินการอนุบาล คือ


106 ม.ล.มานิจ ชุมสาย หัวหน้ ากองฝึ กหัดครู และนางจิตรา ทองแถม ณ อยุธยา หัวหน้ าแผนก โรงเรี ยนอนุบาลละอออุทิศ ผลปรากฎว่าเป็ นที่น่าพอใจยิ่งในระยะหนึ่งที่ เปิ ดโรงเรี ยนอนุบาล ประชาชนได้ ใ ห้ ค วามสนใจและพากัน ส่ง บุต รหลานเข้ า มาเรี ย นเป็ นจ านวนมากประกอบกับ กระทรวงธรรมการก็มีนโยบายที่จะเปิ ดโรงเรี ยนอนุบาลขึ ้นตามจังหวัดต่าง ๆ ดังนันการที ้ ่จะขยาย เปิ ดโรงเรี ยนอนุบาลขึ ้นให้ กว้ างขวาง และการที่จะขยายชันเรี ้ ยนของโรงเรี ยนอนุบาลละอออุทิศ จึงเกิดความจาเป็ นที่จะต้ องผลิตครู อนุบาลขึ ้น เพื่อปฎิบตั ิงานในโรงเรี ยนอนุบาลที่เปิ ดใหม่ ดังนันในปี ้ พ.ศ.2484 ม.ล.มานิจ ชุมสาย หัวหน้ ากองฝึ กหัดครู จึงให้ โรงเรี ยนอนุบาล ละอออุทิศ เปิ ดรับนักเรี ยนฝึ กหัดครู ที่สาเร็ จประโยคครู ประถม เข้ ารับการอบรมวิชาการอนุบาล และปฏิบตั ิงานด้ านอนุบาล ในปี นี ม้ ีนกั เรี ยนฝึ กหัดครู ที่สาเร็ จประกาศนียบัตรประโยคครู ประถม มาสมัครเรี ยนจานวน 10 คน นางจิตรา ทองแถม ณ อยุธยา ได้ ทาหน้ าที่ทงั ้ ครู ใหญ่โรงเรี ยน อนุบาลละอออุทิศ และหัวหน้ าแผนกอบรมครู อนุบาล จึงนับได้ ว่าโรงเรี ยนอนุบาลละอออุทิศเป็ น สถาบันฝึ กหัดครูอนุบาลแห่งแรกของประเทศไทย หลักสูตรการอบรมครูอนุบาลปี พ.ศ.2484 ประกอบด้ วย 1. วิชาที่เรี ยน ได้ แก่ วิชาครู อนุบาล จิตวิทยาเด็กเล็กและการปกครอง วิธีการ สอนแบบมอนเตสซอรี่ และวิ ธี ใ ช้ เ ครื่ อ งมื อ ของมอนเตสซอรี่ วิ ธี ส อนวิ ช าเฉพาะ ซึ่ง ได้ แ ก่ ภาษาไทย นิทาน เลขคณิต สุขศึกษา สังคมศึกษา ฝึ กประสาท เพลงและดนตรี การเต้ นและ การราตามจังหวะเพลง การทาสวนครัว วาดเขียน ปั น้ ตัด ปะ พับ สานกระดาษ วิชาการทา อุปกรณ์การสอนและการประดิษฐ์ ของจากวัสดุเหลือใช้ 2. วิชาการสังเกต ให้ สงั เกตการจัดและดาเนินงานชันอนุ ้ บาลโรงเรี ยนบางแห่ง 3. การฝึ กสอน จัดให้ นักเรี ยนฝึ กหัดครู อนุบาลได้ ฝึกการสอนทุกวันในภาคเช้ า ตลอดปี จนจบหลักสูตร 1 ปี 4. เวลาเรี ยน การจัดเวลาเรี ยนภาคเช้ าเป็ นการเรี ยนภาคปฏิบตั ิ มีการฝึ กสอน ทุกเช้ า ส่วนภาคบ่ายเป็ นการเรี ยนทฤษฎีและเรี ยนทุกภาคบ่ายตลอดปี เช่นกัน นักศึกษารุ่ นแรกสาเร็ จการศึกษาครู อนุบาลมีจานวน 10 คน และได้ คดั เลือกไว้ เป็ นครู ใน โรงเรี ยนอนุบาลละอออุทิศส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งได้ ออกไปเป็ นกาลังสาคัญในการสอนโรงเรี ยน อนุบาลในส่วนภูมิภาค ต่อมา พ.ศ.2485 ได้ เปลี่ยนหัวหน้ าแผนกการอนุบาลเป็ นนางสาวสมถวิล สวยสาอางค์ ซึ่ง สาเร็ จ การอนุ บ าลศึก ษามาจากประเทศญี่ ปุ่ นและท าหน้ าที่ เ ป็ นครู อ นุบ าลในขณะนัน้ ได้ ดาเนินงานปฐมวัยศึกษาทังด้ ้ านโรงเรี ยนอนุบาลและนักเรี ยนฝึ กหัดครู เนื่องจากจานวนครูอนุบาล


107 ที่ผลิตยังไม่เพียงพอที่จะดาเนินการให้ กว้ างขวาง ดังนันโรงเรี ้ ยนฝึ กหัดครู จึงรับนักเรี ยนที่สาเร็ จ ประโยคครูประถมและครูการเรื อนชันสู ้ งเข้ ารับการฝึ กหัดครูอนุบาลอีก 9 คนในปี ดังนี ้ พ.ศ.2486 กระทรวงธรรมการยังคงขยายงานโรงเรี ยนอนุบาล และมีความจาเป็ นที่จะต้ อง จัดหาครู อนุบาลอย่างเร่ งด่วนเพื่อให้ เพียงพอกับการสอนในโรงเรี ยนอนุบาล จึงทาให้ จังหวัด คัดเลือกผู้ที่จะเข้ ารับอบรมครูจากผู้ที่สาเร็จประโยคครูมธั ยมและประโยคครูการเรื อนชันสู ้ งมาเรี ยน 1 ปี โดยระบุลกั ษณะของครู อนุบาลไว้ ในระเบียบ ฯ ว่าควรเป็ นผู้ที่มีนิสยั รักเด็ก ใจเย็น อดทน แคล่วคล่องว่องไว ชอบการดนตรี และการฝี มือ และกระทรวงให้ เงินอุดหนุนจนจบหลักสูตร 1 ปี แต่มีเงื่อนไขว่าเมื่อเรี ยนสาเร็จแล้ วต้ องกลับไปทางานในต่างจังหวัด พ.ศ.2486 นางสาวเบญจา ตุงคะสิริ สาเร็ จการศึกษาอนุบาลจากประเทศญี่ ปุ่นได้ กลับมา และได้ รับแต่งตังเป็ ้ นหัวหน้ าแผนกฝึ กหัดครูอนุบาล ในสมัยนี ้การฝึ กหัดครูจึงย้ ายมาจัดที่ อาคารไม้ ด้านหลังโรงเรี ยนอนุบาลละอออุทิ ศ และเปลี่ยนจากการฝึ กหัดครู อนุบาลเป็ น “โรงเรี ยน ฝึ กหัดครูอนุบาล” และในปี นี ้กรมสามัญศึกษาได้ รับนักเรี ยนฝึ กหัดครู อนุบาลทังในส่ ้ วนกลางและ ส่วนภูมิภาคเข้ ารับการอบรมจานวน 45 คน เป็ นนักเรี ยนทุนทังหมด ้ หลักสูตร โรงเรี ยนฝึ กหัดครู อนุบาลได้ ปรับปรุ งหลักสูตรการอบรมครู อนุบาล พ.ศ.2484 โดยเพิ่มวิชาโรคของเด็ก หลักการสอน งานธุรการ เพลงเกมและการแสดงท่าทาง วิธีทาโปสเตอร์ การสอนในที่ประชุม การเล่านิทาน และวรรณคดีเด็ก เวลาในการเรี ยน นักเรี ยนโรงเรี ยนฝึ กหัดครู รุ่นแรกก็ได้ อาจารย์ผ้ สู อนที่มีความรู้ ดีและ เชี่ยวชาญเฉพาะสาขามาทาการสอน เช่น หัวหน้ ากองฝึ กหัดครู (ม.ล.มานิจ ชุมสาย) นายแพทย์ อรุณ เนตรศิริ สอนวิชาโรคเด็ก เป็ นต้ น พ.ศ.2486 โรงเรี ยนฝึ กหัดครู ได้ ย้ายไปอยู่ที่จงั หวัดฉะเชิงเทรา แผนกฝึ กหัดอนุบาลได้ ไป ดาเนินงานที่โรงเรี ยนสตรี ดดั ดรุ ณ ทังนี ้ ้เพราะอยู่ในระหว่างสงครามโลกครัง้ ที่สอง ซึง่ ได้ มีการทิ ้ง ระเบิดในกรุงเทพมหานครหลายครัง้ และใกล้ บริ เวณโรงเรี ยน กระทรวงธรรมการจึงได้ ปิดโรงเรี ยน ในกรุงเทพย้ ายที่ทาการไปอยูต่ า่ งจังหวัดใกล้ เคียง พ.ศ.2487 ในระหว่างที่นางสาวเบญจา ตุงคะสิริ หัวหน้ าแผนกฝึ กหัดครู อนุบาลได้ เปิ ด โรงเรี ยนอนุบาลที่เพชรบูรณ์ อาคารของแผนกการฝึ กหัดครู อนุบาลได้ ถกู ทาลายหมด ดังนันการ ้ อบรมครูอนุบาลจึงได้ เปิ ดอบรมที่โรงเรี ยนฝึ กหัดครูประถม หลังกระทรวงศึกษาธิการ และให้ มีการ สอนนักเรี ยนอนุบาลซึง่ เพิ่มเป็ น 2 ชัน้ ในโรงเรี ยนฝึ กหัดครูประถมเช่นกัน


108 ต่อมา พ.ศ.2490 นางเอื ้อนทิพย์ เปรมโยธิน ได้ รับการแต่งตังให้ ้ เป็ นหัวหน้ าแผนกฝึ กหัด ครูอนุบาลและได้ ย้ายโรงเรี ยนจากโรงเรี ยนฝึ กหัดครูประถมพระนครมาใช้ อาคารเรี ยนวิทยาศาสตร์ ของโรงเรี ยนการเรื อนพระนคร (วิทยาลัยครูสวนดุสติ ) การรับนักเรี ยนฝึ กหัดครูก็ดาเนินมาเรื่ อยมาจนปี พ.ศ.2500 กระทรวงศึกษาธิการจึงได้ ตงั ้ คณะกรรมการจัดทาหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาการศึกษาชันสู ้ งอนุบาลขึ ้น กาหนดเวลาเรี ยน 2 ปี โดยรับจากผู้สาเร็จหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาการศึกษา (ป.กศ.) หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาการศึกษาชันสู ้ งอนุบาล (ป.กศ.ชันสู ้ งอนุบาล) ได้ เริ่ มใช้ เมื่อ พ.ศ.2501 วิชาที่เรี ยนมีดงั นี ้ 1. วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย สังคมศึกษา 2. วิชาอนุบาล ได้ แก่ วิชาสุขภาพเด็ก วรรณคดีเด็ก ดนตรี และจังหวะเพลง การเล่นและเครื่ องเล่นเด็ก ศิลปะการช่างเกี่ยวกับเด็ก พัฒนาการเด็ก การจัดโรงเรี ยนเด็ก 3. วิชาการศึกษา ได้ แก่ การศึกษาแผนใหม่เบื ้องต้ น หลักการสอนและวิธีสอน เบื ้องต้ น การบริหารโรงเรี ยน การเรี ยนรู้ของเด็ก วัสดุการสอน 4. การฝึ กสอน กาหนดเวลาไว้ 6 สัปดาห์ หลักสูตรประกาศนี ยบัตรวิชาการศึกษาชัน้ สูงอนุบาล (ป.กศ.ชัน้ สูงอนุบาล) ได้ ใช้ รับ นักเรี ยนจนถึงปี พ.ศ.2510 จึงได้ ยกเลิกการสอนนักเรี ยนประกาศนียบัตรวิชาการศึกษาชัน้ สูง อนุบ าลประเภท 2 ปี และกลับ มาสอนนัก เรี ย นฝึ กหัดครู ป ระกาศนี ย บัต รประโยคครู อ นุบ าล หลักสูตร 1 ปี แทน พ.ศ.2512 จึงได้ เปิ ดสอนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาการศึกษาชัน้ สูงอนุบาล (ป.กศ. ชัน้ สูงอนุบาล) หลักสูตร 2 ปี ควบคู่ไปกับการสอนนักเรี ยนประกาศนียบัตรประโยคครู อนุบาล หลักสูตร 1 ปี ด้ วย นับได้ วา่ กรมการฝึ กหัดครูเป็ นสถาบันผลิตครูปฐมวัยแห่งแรกของไทย ซึง่ เป็ นต้ นแบบของ การจัด การอนุบ าลที่ รั บเอาแนวคิ ดและแบบอย่า งของโฟรเบลและมอนเตสซอรี่ มาปรั บใช้ ใ ห้ เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย (สุโขทัยธรรมาธิราช, มหาวิทยาลัย, 2547, หน้ า 136 – 138) ปั จจุบันมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต สังกัดสานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ยังคงดาเนินการสอนผลิตครู ปฐมวัยแต่เปิ ดเป็ นหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย ระดับปริ ญญาตรี หลักสูตร 5 ปี ครุ ศาสตร์ บณ ั ฑิต นอกจากนัน้ ยังทาหน้ าที่ให้ บริ การฝึ กอบรมบุคลากรที่ทางาน เกี่ ย วข้ อ งกับ เด็ ก ให้ แ ก่ ห น่ ว ยงานต่า ง ๆ เช่ น กรมการพัฒ นาชุม ชน กรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงมหาดไทย สานักอนามัย กรุงเทพมหานคร เป็ นต้ น


109

นโยบายการจัดการศึกษาปฐมวัยในประเทศไทย นโยบายของชาติที่เกี่ ยวข้ องกับการจัดการศึกษาปฐมวัย ตังแต่ ้ อดีตจนถึงปั จจุบัน มี องค์ประกอบ 3 ประการ ดังนี ้ 1. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 2. แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ 3. แผนการศึกษาแห่งชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่ งชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ เริ่ มขึ ้นเนื่องจากระบบงบประมาณที่มีอยู่เดิม ไม่สามารถสนองตอบต่อความต้ องการของระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการจัดสร้ าง ระบบโครงข่ายพื ้นฐาน ซึ่งจาเป็ นต้ องได้ รับการจัดสรรทรัพยากรอย่างต่อเนื่องเป็ นเวลาหลายปี จึงได้ มีการจัดตังส ้ านักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจ ทาหน้ าที่ในการจัดทาแผนพัฒนาของ ประเทศ ปั จจุบนั ประเทศไทยอยู่ในระยะการใช้ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2550 – 2554) ซึง่ เริ่มต้ นใช้ ในตังแต่ ้ วนั ที่ 1 ตุลาคม 2550 สาระสาคัญของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 – 10 ที่เกี่ยวข้ องกับเด็ก ปฐมวัย สรุปได้ ดงั นี ้ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ.2540 – 2544) เป็ นจุดเปลี่ยน สาคัญของการวางแผนพัฒนาประเทศที่ให้ ความสาคัญกับการมีสว่ นร่วมของทุกภาคส่วนในสังคม และมุ่งให้ “คนเป็ นศูนย์ กลางการพัฒนา” และใช้ เศรษฐกิจเป็ นเครื่ องมือช่วยพัฒนาให้ คนมี ความสุข และมี คุณ ภาพชี วิ ต ที่ ดี ขึน้ พร้ อมทัง้ ปรั บ เปลี่ ย นวิ ธี ก ารพัฒ นาแบบแยกส่ว นมาเป็ น บูร ณาการแบบองค์ ร วม เพื่ อ ให้ เ กิ ด ความสมดุล ระหว่ า งการพัฒ นาเศรษฐกิ จ สัง คม และ สิง่ แวดล้ อม สาหรับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ.2540 – 2544) ได้ กาหนด แนวทางการพัฒนาหลักที่เกี่ยวข้ องกับเด็กปฐมวัยด้ านต่าง ๆ ดังนี ้ การเตรี ยมความพร้ อมของเด็ก ปฐมวัย 1. สนับสนุนและส่งเสริ มให้ เยาวชน คู่สมรสและพ่อแม่ มีความรู้ เกี่ยวกับชีวิตครอบครัว และวิธีการเลี ้ยงดูที่ถกู ต้ องเหมาะสม โดยมอบให้ หน่วยงานที่ เกี่ยวข้ องประสานการดาเนินงานไป ในทิศทางเดียวกัน 2. สนับสนุนและส่งเสริ มให้ เด็กปฐมวัยได้ รับการบริ การในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ศูนย์พฒ ั นา เด็ก สถานรับเลี ้ยงเด็กในที่ทางานและในสถานประกอบการ โดยดาเนินการร่วมกันระหว่างภาครัฐ


110 ภาคเอกชน และครอบครัว 3. สนับสนุนให้ เด็กทุกคนได้ รับการส่งเสริ มด้ านโภชนาการอย่างเพียงพอ และมีคณ ุ ภาพ (สานักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2540) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2545 – 2549) (สานักงาน คณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2545) ได้ อญ ั เชิญแนว “ปรั ชญาของ เศรษฐกิจพอเพียง” ตามพระราชดารัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้ าอยู่หวั ฯ มาเป็ นปรัชญานา ทางในการพัฒนาและบริ หารประเทศ ควบคูไ่ ปกับกระบวนทัศน์การพัฒนาแบบ บูรณาการเป็ น องค์รวม โดยใช้ แนวคิดที่ยดึ "คนเป็ นศูนย์ กลางของการพัฒนา" ต่อเนื่องจากแผนพัฒนา ฯ ฉบับ ที่ 8 โดยให้ ค วามส าคัญ กับ การพัฒ นาที่ ส มดุล ทัง้ ด้ า นตัว คน สัง คม เศรษฐกิ จ และ สิ่งแวดล้ อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้ างระบบบริ หารจัดการภายในที่ดีให้ เกิดขึ ้นในทุกระดับ อัน จะท าให้ เ กิ ด การพัฒนาที่ ยั่ง ยื น และความอยู่ดีมี สุข ของคนไทย มุ่ง พัฒนาสัง คมสู่ "สั ง คมที่ เข้ มแข็งและมีดุลยภาพ" ใน 3 ด้ าน คือ สังคมคุณภาพ สังคมแห่ งภูมิปัญญาและการ เรียนรู้ สังคมสมานฉันท์ และเอือ้ อาทรต่ อกัน สาหรับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 (พ.ศ.2545 – 2549) กล่าวถึง แนวทางการพัฒนาที่เกี่ยวข้ องกับเด็กปฐมวัย ดังนี ้ 1. สร้ างคนทุกคนให้ เป็ นคนดี คนเก่ง พร้ อมด้ วยคุณธรรม จริยธรรม มีวินยั มีความ รับผิดชอบ พึง่ ตนเองได้ มีคณ ุ ภาพชีวิตที่ดี มีความสุขอยูใ่ นสภาพแวดล้ อมที่ดี 2. เปิ ดโอกาสให้ ทกุ คนสามารถคิดเป็ น ทาเป็ น มีเหตุผล มีความคิดริเริ่มสร้ างสรรค์ สามารถเรียนรู้ได้ ตลอดชีวิต รู้เท่าทันโลก เพื่อพร้ อมรับกับการเปลีย่ นแปลง 3. มีสถาบันครอบครัวที่เข้ มแข็ง ตลอดจนเครื อข่ายชุมชนทั่วประเทศ (สานักงาน คณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2545) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 (พ.ศ.2550 – 2554) สานักงานคณะ กรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ จดั ทาแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2550 – 2554) สาหรับใช้ เป็ นแผนยุทธศาสตร์ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงใน ระยะ 10 – 15 ปี ข้ างหน้ า และขับเคลือ่ นยุทธศาสตร์ ที่มีความสาคัญสูงให้ เกิดผลทางปฏิบตั ิใน ระยะ 5 ปี ของแผน โดยยังคงอัญเชิญ “ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" มาเป็ นหลักปฏิบตั ิใน การพัฒนาและบริหารประเทศ โดยยึดหลักกระบวนทัศน์การพัฒนาแบบบูรณาการเป็ นองค์รวมที่มี "คนเป็ นศูนย์ กลางการพัฒนา" ต่อเนื่องจากแผนพัฒนา ฯ ฉบับที่ 8 และแผนพัฒนา ฯ ฉบับที่ 9 และยึดการมีสว่ นร่วมของประชาชนจากทุกภาคส่วนในสังคมเพื่อมุง่ พัฒนาสู่ "สังคมอยู่เย็นเป็ น สุขร่ วมกัน (Green and Happiness Society) คนไทยมีคุณธรรมนาความรอบรู้ รู้เท่ าทัน


111 โลก ครอบครัวอบอุ่น ชุมชนเข้ มแข็ง สังคมสันติสุข เศรษฐกิจมีคุณภาพ เสถียรภาพ และ เป็ นธรรม สิ่งแวดล้ อมมีคุณภาพและทรัพยากรธรรมชาติท่ ยี ่ งั ยืน อยู่ภายใต้ ระบบบริหาร จัดการประเทศที่มีธรรมาภิบาล ดารงไว้ ซ่ งึ ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็ น ประมุขและอยู่ในประชาคมโลกได้ อย่ างอย่ างมีศักดิ์ศรี" โดยมีพนั ธกิจของการพัฒนาประเทศ ที่สาคัญดังนี ้ คือ การพัฒนาคุณภาพคนในชาติให้ มีความรู้ คูค่ ณ ุ ธรรม พร้ อมรับการเปลี่ยนแปลง เสริมสร้ างความเท่าเทียมกัน และความเข้ มแข็งของสังคม ปฏิรูปโครงสร้ างเศรษฐกิจ และพัฒนา ระบบบริหารจัดการประเทศให้ เกิดธรรมาภิบาลในทุกระดับ (http://www.bps2.moe.go.th) สาหรับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 (พ.ศ.2550 – 2554) กล่าวถึง แนวทางการพัฒนาที่เกี่ยวข้ องกับเด็กปฐมวัย ดังนี ้ 1. พัฒนาคนให้ มีคณ ุ ภาพ เป็ นคนดี คนเก่ง พร้ อมด้ วยคุณธรรม จริยธรรม มีความสุข อยูใ่ นครอบครัวที่อบอุน่ และสภาพแวดล้ อมที่ดี พึง่ ตนเองได้ มีความมัน่ คงในการดารงชีวิต 2. เปิ ดโอกาสให้ ทกุ คนสามารถคิดเป็ น ทาเป็ น มีเหตุผล มีความคิดริเริ่มสร้ างสรรค์ สามารถเรียนรู้ได้ ตลอดชีวิต รู้เท่าทันโลก เพื่อพร้ อมรับกับการเปลีย่ นแปลง 3. มีการเชื่อมโยงบทบาทสถาบันครอบครัว สถาบันศาสนา สถาบันการศึกษา สาธารณสุข ตลอดจนชุมชนทัว่ ประเทศ เป็ นเครื อข่ายที่เข้ มแข็ง แผนพัฒนาการศึกษาแห่ งชาติ แผนพัฒ นาการศึก ษาแห่ ง ชาติ ถื อ เป็ นนโยบาย เป้ าหมาย และวิ ธี ด าเนิ น งานด้ า น การศึกษาที่กาหนดขึ ้นในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ถือเป็ นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ ในระยะแรกที่มีแผนพัฒนาประเทศนันยั ้ งไม่มีการศึกษาโดยตรง เพราะตามแผนพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับแรก ไม่ได้ เน้ นความสาคัญของการพัฒนาสังคมและกาลังคน มากนัก การพัฒนาการศึกษาเริ่ มมีความสาคัญอย่างแท้ จริ งในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ ฉบับที่ 3 แผนพัฒนา ฯ ฉบับดังกล่าวถือว่าการพัฒนาการศึกษาเป็ นการพัฒนาด้ าน หนึง่ ที่มีความสาคัญควบคูก่ บั การพัฒนาด้ านอื่น ๆ สาระสาคัญของแผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติแต่ละฉบับสรุปได้ ดงั นี ้ 1. การพัฒนาการศึกษาแห่งชาติในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ.2504 – 2509) ในแผนพัฒนาการศึกษาฉบับนี ้ไม่ได้ กล่าวถึงการจัดการศึกษาปฐมวัยโดยตรง 2. การพัฒนาการศึกษาแห่งชาติในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2510 – 2514) นโยบายที่สาคัญของรัฐตามแผนพัฒนาการศึกษาฉบับ นี ้ คือ การขยาย การศึกษาภาคบังคับให้ ทวั่ ถึงบริบรู ณ์ แต่ยงั ไม่ได้ เน้ นการศึกษาปฐมวัยโดยตรงเช่นกัน


112 3. แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ.2515 – 2519) ได้ ระบุไว้ ว่า จะ ปรับปรุ งคุณภาพโรงเรี ยนอนุบาลของรัฐให้ ดีขึ ้น เพื่อเป็ นตัวอย่างแก่เอกชนในการจัดการศึกษา และมีการเปิ ดโรงเรี ยนอนุบาลในอาเภอใหญ่ที่มีความเจริญทางเศรษฐกิจและมีประชากรหนาแน่น 4. แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ ฉบับที่ 4 (พ.ศ.2520 – 2524) ได้ ระบุไว้ ว่า การ จัดการศึกษาปฐมวัยนัน้ รัฐจะไม่เข้ าไปดาเนินการเอง แต่จะส่งเสริ มให้ ท้องถิ่นและหน่วยงานที่ เกี่ยวข้ องช่วยจัดการศึกษาก่อนการศึกษาภาคบังคับในรูปแบบต่าง ๆ ตามความจาเป็ นของท้ องถิ่น โดยรั ฐจะกาหนดระเบียบในการจัดการศึกษาระดับนี ไ้ ว้ ในแผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ ซึ่ง สอดคล้ องกับแผนการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2520 ที่มีรายละเอียดระบุไว้ ดงั นี ้ “16. รัฐพึงเร่งจัดและสนับสนุนการอบรมเลี ้ยงดูเด็กในวัยก่อนประถมศึกษา โดย รัฐจะสนับสนุนให้ ท้องถิ่นและภาคเอกชนจัดให้ มากที่สดุ สาหรับการจัดการศึกษาในระดับนี ้ของ รัฐจะจัดทาเพียงเพื่อเป็ นตัวอย่างและเพื่อการค้ นคว้ าวิจยั เท่านัน” ้ “30. การศึกษาระดับก่อนประถมศึกษา เป็ นการศึ กษามุ่งอบรมเลี ้ยงดูเด็กก่อน การศึกษาภาคบังคับ เพื่อเตรี ยมให้ มีความพร้ อมทุกด้ านดีพอที่จะเข้ ารับการศึกษาต่อไป การจัด สถานศึกษาระดับก่อนประถมศึกษานันอาจจั ้ ดเป็ นการศึกษาในระบบโรงเรี ยน หรื อการศึกษานอก ระบบโรงเรี ยน โดยอาจจัดเป็ นสถานรับเลี ้ยงเด็กหรื อศูนย์เด็กปฐมวัย และในบางกรณีอาจจัดเป็ น ชันเด็ ้ กเล็กหรื อโรงเรี ยนอนุบาลได้ ” 5. แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ ฉบับที่ 5 (พ.ศ.2525 – 2529) ได้ กาหนดนโยบายการ จัดการศึกษาปฐมวัยไว้ ว่า รัฐจะสนับสนุนให้ ท้องถิ่นและเอกชนจัดการศึกษาระดับนี ้ให้ มากที่สดุ โดยรั ฐ จะจัด ท าเพี ย งเพื่ อ เป็ นตัว อย่ า งและการวิ จัย เท่ า นัน้ มุ่ง ส่ง เสริ ม สร้ างสุข ภาพอนามัย โภชนาการ และเตรี ยมความพร้ อมของเด็กทุกด้ านเพื่อเข้ าศึกษาระดับต่อไป ชันเด็ ้ กเล็กให้ เน้ นการ จัดในท้ องถิ่นที่นกั เรี ยนพูดภาษาถิ่น 6. แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ ฉบับที่ 6 (พ.ศ.2530 – 2534) ได้ กาหนดนโยบายการ จัดการศึกษาปฐมวัยไว้ ว่า รัฐจะมุ่งขยายโครงการและการกระจายบริ การทางการศึกษาระดับนี ้ ไปสูส่ ว่ นภูมิภาคชนบท สนับสนุนให้ เอกชนจัดชันอนุ ้ บาลให้ มากขึ ้น พัฒนารูปแบบและวิธีการจัด การศึกษาระดับก่อนประถมศึกษาให้ สอดคล้ องกับสภาพสังคมของแต่ละท้ องถิ่น 7. แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ ฉบับที่ 7 (พ.ศ.2535 – 2539) ได้ กาหนดนโยบายการ จัดการศึกษาปฐมวัยไว้ ว่า เพื่อจัดส่งเสริ มให้ เด็กปฐมวัยได้ รับการพัฒนาการทางด้ านร่ างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และสติปัญญา ให้ สอดคล้ องตามหลักจิตวิทยาพัฒนาการ และให้ มีการ เตรี ยมความพร้ อมก่อนเข้ าเรี ยนระดับประถมศึกษาอย่างทัว่ ถึง รวมทังเด็ ้ กที่ด้อยโอกาส (เยาวพา


113 เดชะคุปต์, 2542, หน้ า 52 – 56) 8. แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ.2540 – 2544) ได้ กาหนดให้ มีการยก ระดับการศึกษาพื ้นฐานของปวงชน โดยมีวตั ถุประสงค์เพื่อเปิ ดโอกาสให้ ประชาชนทุกคนได้ รับการ บริการการศึกษาขันพื ้ ้นฐานที่ครอบคลุมตังแต่ ้ การเตรี ยมความพร้ อมก่อนที่จะมีครอบครัว เด็กแรก เกิดที่ควรได้ รับการเลี ้ยงดูอย่างถูกต้ องและได้ ตงเป ั ้ ้ าหมายให้ เด็กปฐมวัยทุกคนได้ รับการเตรี ยม ความพร้ อมอย่างน้ อย 1 ปี ก่อนเข้ าเรี ยนระดับประถมศึกษาก่อนปี พ.ศ.2544 และขยายปริ มาณ การเข้ าถึงบริ การการศึกษาระดับก่อนประถมศึกษาของเด็กปฐมวัย (3 – 5 ปี ) จากร้ อยละ 65 เป็ น ไม่ต่ากว่าร้ อยละ 90 ในปี พ.ศ. 2544 พร้ อมทังได้ ้ วางแนวทาง/มาตรการในการขยายบริ การ การ เตรี ยมความพร้ อมแก่เด็กปฐมวัยไว้ ดงั นี ้ 1. จัดกิจกรรมและเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับชีวิตครอบครัว การวางแผนครอบครัว วิธีการเลี ้ยงดูลกู ที่ถกู ต้ องเหมาะสมแก่คสู่ มรส พ่อแม่ และสมาชิกของครอบครัว ผ่านสื่อประเภท ต่าง ๆ อย่างกว้ างขวาง 2. รัฐและองค์กรทางสังคมสนับสนุนให้ เด็กได้ รับอาหารหลัก อาหารเสริม (นม) อย่างเพียงพอและมีคณ ุ ภาพโดยมีมาตรการเสริ มเป็ นพิเ ศษสาหรับเด็กที่อยู่ในภาวะทุพโภชนาการ และเด็กที่ด้อยฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม 3. ส่งเสริม สนับสนุนการเตรี ยมความพร้ อมอย่างมีมาตรฐานแก่เด็กปฐมวัยใน รูปแบบที่หลากหลาย โดยดาเนินการเป็ นกระบวนการร่วมกันระหว่างหน่วยงานรัฐ ชุมชน และ ครอบครัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กด้ อยโอกาสให้ ได้ รับบริการแบบให้ เปล่า (สานักงานคณะกรรมการ การศึกษาแห่งชาติ, 2540) 9. แผนพัฒนาการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ ระยะที่ 9 (พ.ศ. 2545 - 2549) นโยบายการศึกษาขันพื ้ ้นฐานกาหนดไว้ ดงั นี ้ “เร่งรัดจัดการศึกษาขันพื ้ ้นฐานที่มี คุณภาพให้ ครอบคลุมทุกกลุม่ เป้าหมาย ตังแต่ ้ ระดับก่อนประถมศึกษาถึงระดับมัธยมศึกษาอย่าง ทัว่ ถึงและเป็ นธรรม” โดยกาหนดเป้าหมายไว้ วา่ 1. เด็กปฐมวัยทุกคนได้ รับการพัฒนาเพื่อเตรี ยมความพร้ อมอย่างน้ อย 2 ปี ก่อน เข้ าเรี ย นระดับ ประถมศึ ก ษา ทั ง้ ด้ า นร่ า งกาย อารมณ์ สัง คม จิ ต ใจ และสติ ปั ญ ญา โดย กระทรวงศึกษาธิการจะรับภาระร้ อยละ 96 ของนักเรี ยนในกลุม่ เป้าหมาย 2. นักเรี ยนระดับก่อนประถมศึกษาได้ รับอาหารเสริ ม (นม) และอาหารกลางวัน อย่างทัว่ ถึง โดยกระทรวงศึกษาธิการจะรับภาระร้ อยละ 93 ของนักเรี ยนกลุม่ เป้าหมาย พร้ อมทัง้ วางมาตรการเพื่อดาเนินการดังนี ้


114 1) รณรงค์ให้ พอ่ แม่ผ้ ปู กครอง ตระหนักถึงความสาคัญ และสนับสนุนบุตรหลาน ให้ ได้ รับการศึกษาจนจบการศึกษาขันพื ้ ้นฐาน 2) ประสานงานกับหน่วยงานทังภาครั ้ ฐและเอกชนที่รับผิดชอบการจัดการศึกษา ขันพื ้ ้นฐานในการกาหนดกลุม่ เป้าหมายที่จะรับบริการให้ เหมาะสม 3) กาหนดมาตรฐานขันพื ้ ้นฐานในการจัดการศึกษา ทังปั ้ จจัย และกระบวนการ และจัดหาวัสดุ ครุ ภณ ั ฑ์ อุปกรณ์การศึกษาและบุคลากรให้ แก่สถานศึกษาอย่างน้ อยให้ ถึงเกณฑ์ มาตรฐานทุกสถานศึกษา โดยให้ ความสาคัญแก่สถานศึกษาที่ขาดแคลนเป็ นอันดับแรก 4) พัฒนาสถานศึกษาทุกระดับ ทุกประเภท ให้ เป็ นปั จจุบนั 5) ดาเนินการ จัดหาอาหารเสริม (นม) และอาหารกลางวันให้ แก่เด็กในระดับก่อน ประถมศึกษา และประถมศึกษาอย่างทัว่ ถึง โดยเน้ นกลุม่ ผู้ด้อยโอกาสเป็ นพิเศษ 6) ให้ ความรู้แก่พอ่ แม่ และผู้ปกครอง ในการอบรมเลี ้ยงดูเด็กเพื่อเสริ มการพัฒนา เด็กอย่างถูกต้ อง และสามารถสังเกตแววความถนัดของบุตรหลานได้ 7) จัดบริการการศึกษาในรูปแบบที่ยืดหยุน่ หลากหลาย เพื่อให้ บริ การอย่างทัว่ ถึง กว้ างขวาง รวมทัง้ การพัฒนารู ปแบบการจัดการศึกษาแก่ผ้ ดู ้ อยโอกาส และผู้ที่มีความสามารถ พิเศษ 8) สนับสนุนให้ ศาสนบุคคลให้ ความรู้ อบรมจริยธรรม คุณธรรมแก่นกั เรี ยน นักศึกษา เยาวชนและประชาชนอย่างทัว่ ถึง 9) ประสานงานกับหน่วยงานที่รับผิดชอบด้ านสาธารณสุข เพื่อให้ เด็กในระดับ ปฐมวัยทุกคนได้ รับการสร้ างภูมิค้ มุ กันเพื่อป้องกันโรคที่ป้องกันได้ (สานักงานคณะกรรมการ การศึกษาแห่งชาติ, 2545 ก) 10. แผนการศึกษา ศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรมแห่งชาติ (พ.ศ.2545 - 2559) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ได้ กาหนดแนวนโยบายพื ้นฐานแห่งรัฐใน ส่วนที่ เกี่ ยวกับการศึก ษาไว้ ในมาตรา 81 อาทิ ให้ รัฐต้ องจัดให้ มีกฎหมายเกี่ ยวกับการศึกษา แห่งชาติ ปรับปรุ งการศึกษาให้ สอดคล้ องกับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม การ พัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ปลูกฝั งจิตสานึกที่ถกู ต้ อง ส่งเสริ มภูมิปัญญาท้ องถิ่น ศิลปะ และวัฒนธรรมของชาติ จึงได้ มีการตราพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ให้ เป็ น กฎหมายแม่บทเชื่อมต่อกับบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็ นฐานหลักในนโยบายแห่งรัฐด้ าน การศึกษา ศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรมของประเทศ และเพื่อเป็ นกรอบแนวทางในการปฏิรูป การศึกษาของประเทศ


115 พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 33 ได้ บัญญัติให้ มีการจัดทา แผนการศึ ก ษา ศาสนา ศิ ล ปะ และวั ฒ นธรรมแห่ ง ชาติ ซึ่ งจะเปลี่ ย นชื่ อ ใหม่ เ ป็ น “แผนการศึกษาแห่ งชาติ” เพื่อเป็ นกรอบแนวทางในการจัดทาแผนพัฒนาการศึกษาขันพื ้ ้นฐาน แผนพัฒนาการอาชีวศึกษา แผนพัฒนาการอุดมศึกษา และแผนพัฒนาด้ านศาสนา ศิลปะ และ วัฒนธรรม ตามมาตรา 34 รวมทังใช้ ้ เป็ นกรอบแนวทางในการจัดทาแผนปฏิบตั ิการในระดับเขต พื ้นที่การศึกษาและในระดับสถานศึกษา เพื่อให้ มีการพัฒนาด้ านการศึกษา ศาสนา ศิลปะ และ วัฒนธรรมที่สอดคล้ องกันทังประเทศต่ ้ อไป (สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, 2545 ข) แผนการศึกษาแห่ งชาติ ประเทศไทยเริ่ มมีการใช้ แผนการศึกษาชาติเป็ นครัง้ แรก ในรัชสมั ยพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้ าเจ้ าอยูห่ วั คือเมื่อประเทศไทยเริ่มจัดการศึกษาอย่างมีระบบและมีระบบโรงเรี ยน การ จัดการศึกษาอย่างมีระบบจึงจาเป็ นต้ องมีแผนการศึกษาชาติขึ ้น เพื่อเป็ นแนวทางให้ สถานศึกษา ถือเป็ นแม่บทในการจัดการศึกษา ซึง่ รายละเอียดของแผนการศึกษาชาตินั น้ โดยทัว่ ไปมักกล่าวถึง ความมุง่ หมายของการศึกษา นโยบายการศึกษา ระบบการศึกษา การบริ หารการศึกษา และอื่น ๆ จากรั ช สมัย ของพระบาทสมเด็ จ พระจุล จอมเกล้ า เจ้ า อยู่หัว มาจนถึ ง ปั จ จุบัน ประเทศไทยมี แผนการศึกษาชาติรวม 10 ฉบับ ระยะก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 เรี ย กว่า โครงการศึกษาชาติ ระยะหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 เป็ นต้ นมา เรี ยกว่า แผนการศึกษาชาติ รู ป แบบแผนการศึ ก ษาชาติท่ ีป ระเทศไทยใช้ เ ป็ นแนวทางในการจัด การศึ ก ษา แบ่งเป็ น 3 ระยะ คือ 1. แผนการศึกษาชาติ ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง (พ.ศ.2441 – 2475) นโยบาย ของรัฐเกี่ยวกับการจัดการศึกษาสาหรับเด็กปฐมวัย มิได้ กาหนดไว้ อย่างเป็ นทางการ เนื่องจากใน อดี ต ที่ ผ่ า นมาไม่ ไ ด้ เ น้ น ความส าคัญ ของการจัด การศึก ษาส าหรั บ เด็ ก ปฐมวัย เท่ า กับ การจัด การศึกษาระดับอื่น ๆ ในระยะก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองมีโครงการศึกษาชาติอยู่ 4 ฉบับ คือ โครงการศึกษาชาติ พ.ศ.2441 โครงการศึกษาชาติ พ.ศ.2445 และฉบับแก้ ไข พ.ศ.2452 โครงการศึกษาชาติ พ.ศ.2456 และฉบับแก้ ไข พ.ศ.2458 และโครงการศึกษาชาติ พ.ศ.2464 ในโครงการศึกษาชาติ พ.ศ.2441 เริ่ มมีการจัดการศึกษาปฐมวัยอย่างมีรูปแบบเป็ นครั ง้ แรก เรี ยกว่า ชันมู ้ ลศึกษา ซึง่ มุ่งสอนเด็กก่อนระดับประถมศึกษา เพื่อให้ มีความรู้ที่จะเข้ าเรี ยนในการ เรี ยนระดับสูงขึ ้นไป เด็กที่เข้ ารับการศึกษามีจานวนไม่มากนัก ส่วนใหญ่อยู่ในเมืองและพ่อ แม่มี ฐานะทางเศรษฐกิจค่อนข้ างดี


116 2. แผนการศึกษาชาติ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง (พ.ศ.2475 – 2494) หลังการ เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 เป็ นต้ นมา การศึกษาปฐมวัยได้ รับความสนใจเพิ่มมากขึ ้น มีการจัดการศึกษาให้ แก่เด็กในวัยนี ้อย่างกว้ างขวางขึ ้น ซึง่ ได้ กาหนด “มูลศึกษา” เป็ นการศึกษา สาหรับเด็กอายุต่ากว่าเกณฑ์การศึกษาภาคบังคับและเป็ นการศึกษาเบื ้องแรก แต่ยงั ไม่ได้ กาหนด จุดมุ่งหมายเพื่อเตรี ยมความพร้ อมแก่เด็ก หากแต่ม่งุ เตรี ยมให้ เด็กอ่านออกเขียนได้ เป็ นสาคัญ กาหนดอายุนกั เรี ยนเข้ าเรี ยนในระดับชันประถมศึ ้ กษาปี ที่ 1 ไว้ ว่า ย่างเข้ าปี ที่ 8 ดังนันเด็ ้ กชันมู ้ ล ศึกษาจะมีอายุต่ากว่า 8 ปี ลงมา หรื ออายุระหว่าง 3 – 7 ปี 3. แผนการศึกษาแห่งชาติปัจจุบนั (ระหว่าง พ.ศ.2494 – ปั จจุบนั ) แบ่งได้ ดงั นี ้ 3.1 แผนการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2503 การจัดการศึกษาปฐมวัยได้ รับ ความสนใจและสนับสนุนจากรัฐบาล ในปี พ.ศ.2511 กาหนดให้ มีโรงเรี ยนอนุบาลครบทุกจังหวัด ซึ่งเป็ นไปตามเป้าที่วางไว้ วาระสาคัญที่เกี่ยวข้ องกับการศึกษาปฐมวัยตามแผนการศึกษาชาติ พ.ศ.2503 ระบุไว้ ดงั นี ้ 3.1.1 การศึกษาปฐมวัย เป็ นระดับหนึง่ ของการศึกษาก่อนการศึกษา ภาคบังคับ อาจจัดเป็ นอนุบาลที่มี 2 ชัน้ หรื อ 3 ชัน้ หรื อชันเด็ ้ กเล็กในโรงเรี ยนประถมศึกษา 3.1.2 การอบรมเบื ้องต้ น เพื่อให้ กลุ บุตร กุลธิดา พร้ อมที่จะรับการศึกษา ในระดับชันประถมศึ ้ กษา 3.1.3 อายุ กาหนดอายุเด็กปฐมวัยระหว่าง 3 – 6 ปี 3.2 แผนการศึกษาแห่ ง ชาติ พุท ธศักราช 2520 มีสาระสาคัญที่ เกี่ ยวข้ องกับ การศึกษาปฐมวัยดังนี ้ 3.2.1 การศึกษาก่อนประถมศึกษา เป็ นการศึกษาระดับหนึง่ 3.2.2 รัฐพึงเร่งรัดและสนับสนุนการอบรมเลี ้ยงดูเด็กในวัยก่อนประถม ศึกษา รัฐสนับสนุนให้ ท้องถิ่นและภาคเอกชนจัดการศึกษาระดับนี ้ให้ มากขึ ้น รัฐจะจัดเป็ นตัวอย่าง และเพื่อการค้ นคว้ าวิจยั เท่านัน้ 3.2.3 การศึกษาก่อนประถมศึกษา เป็ นการศึกษาที่มงุ่ อบรมเลี ้ยงดูก่อน การศึกษาภาคบังคับ เพื่อเตรี ยมให้ เด็กมีความพร้ อมทุกด้ านพอที่จะรับการศึกษาต่อไป 3.2.4 การจัดการศึกษาก่อนประถมศึกษา อาจจัดเป็ นการศึกษาใน ระบบโรงเรี ยน หรื อการศึกษานอกโรงเรี ยน โดยอาจจัดเป็ นสถานรับเลี ้ยงเด็กหรื อศูนย์เด็กปฐมวัย หรื ออาจจัดเป็ นชันเด็ ้ กเล็กหรื อโรงเรี ยนอนุบาล


117 จะเห็นว่าการจัดการศึกษาปฐมวัย ตังแต่ ้ พ.ศ.2501 – พ.ศ.2520 รัฐเน้ นความสาคัญของ การศึกษาระดับนี ้มากขึ ้น และให้ มีความยืดหยุน่ ในการจัดในรูปแบบต่าง ๆ ได้ 3.3 แผนการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2535 ระบบการศึกษาตามแผนการ ศึกษาแห่งชาติฉบับนี ้ เป็ นระบบที่ให้ บคุ คลได้ ศกึ ษา และเรี ยนรู้ อย่างต่อเนื่องไปตลอดชีวิต เพื่อ พัฒนาตนเองทังในด้ ้ านสติปัญญา จิตใจ ร่ างกาย และสังคมอย่างสมดุล สามารถสร้ างเสริ ม ความเจริ ญก้ าวหน้ าให้ แก่ ประเทศภายใต้ ระบอบประชาธิ ปไตยอัน มีพระมหากษัตริ ย์ ทรงเป็ น ประมุข ระบบการศึก ษาตามแผนการศึก ษาแห่ ง ชาติ ฉ บับ นี จ้ ะเปิ ดโอกาสให้ บุค คลเรี ย นรู้ เพื่ อ พัฒ นาตนเองได้ เ หมาะสมกับ วัย กล่า วคื อ การศึก ษาในช่ ว งปฐมวัย เป็ น การศึกษาที่ม่งุ เน้ นการอบรมดูแล และพัฒนาความพร้ อมของเด็กเพื่อการเรี ยนรู้ ในระดับชันต่ ้ อไป โดยมีสาระสาคัญดังนี ้ การศึกษาระดับก่อนประถมศึกษา เป็ นการศึกษาในลักษณะของการ อบรมเลี ้ยงดูและพัฒนาความพร้ อมของเด็กทังทางร่ ้ างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ บุคลิกภาพ และสังคม เพื่อรับการศึกษาในระดับต่อไป การจัดการศึกษาระดับนี ้อาจจัดในรู ปของชันเด็ ้ กเล็ก ชันอนุ ้ บาลศึกษา หรื อในรูปของศูนย์พฒ ั นาเด็กประเภทต่าง ๆ ทังนี ้ ้ขึ ้นอยูก่ บั สภาพของแต่ละพื ้นที่และกลุม่ เป้าหมาย นโยบายการศึก ษาตามแผนการศึก ษาแห่ ง ชาติ พุท ธศัก ราช 2535 นโยบายการศึกษาระดับปฐมวัยตามแผนการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2535 มีจดุ เน้ นดังนี ้ 1. จัดการศึกษาและส่งเสริ มอบรมเลี ้ยงดูที่เป็ นประโยชน์ต่อพัฒนาการ ของเด็ ก ตามสภาวะความต้ อ งการพื น้ ฐานตามวัยตัง้ แต่ป ฏิ สนธิ แ ละพัฒนาคุณลัก ษณะที่ พึง ประสงค์ 2. ส่งเสริมให้ เด็กปฐมวัยทุกคนได้ รับบริการ เพื่อเตรี ยมความพร้ อมอย่าง น้ อย 1 ปี ก่อนเข้ าเรี ยนระดับประถมศึกษา แนวทางการศึกษาตามแผนการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2535 แนว ทางการดาเนินงานตามแนวนโยบายการศึกษาในระดับปฐมวัยจะเน้ นที่ขยายบริ การการอบรม เลี ้ยงดูเด็กปฐมวัยให้ กว้ างขวาง โดยเฉพาะในชนบทห่างไกลและชุมชนแออัดในทุกจังหวัด โดยให้ โรงเรี ยนประถมศึกษาทุกโรงเรี ยนทัง้ ของรัฐและท้ องถิ่นจัดบริ การเตรี ยมความพร้ อมสาหรับเด็ก อย่างน้ อย 1 ปี ก่อนเข้ าเรี ยนระดับประถมศึกษา (เยาวพา เดชะคุปต์, 2542, หน้ า 47 – 49 )


118 3.4 แผนการศึกษาแห่งชาติ (พ.ศ.2545 – 2559) แผนการศึกษาแห่งชาติฉบับนี ้ จัดทาภายใต้ กรอบนโยบายที่กาหนดไว้ ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ในส่วนที่เกี่ยวข้ องกับการศึกษา โดยมีกฎหมายแม่บทเชื่อมต่อกับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ คือ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 เป็ นฐานหลักของนโยบายแห่งรัฐด้ านการศึกษา ศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรมของชาติ และเพื่อเป็ นกรอบแนวทางในการปฏิรูปการศึกษาของ ประเทศ ใช้ เป็ นแนวทางในการจัดการศึกษาของชาติ ซึง่ เป็ นแผนยุทธศาสตร์ ระยะยาว 15 ปี แผนการศึกษาแห่งชาติฉบับนีม้ ีหลักการและสาระสาคัญที่ชดั เจนแตกต่างจาก แผนการศึกษาแห่งชาติฉบับอื่น ๆ คือ 3.4.1 เป็ นแผนยุทธศาสตร์ ระยะยาว 15 ปี ที่นาความมุง่ หมาย หลักการ และมาตรการ ดัง ก าหนดในพระราชบัญ ญัติ ก ารศึก ษาแห่ ง ชาติ พ.ศ.2542 มาก าหนดเป็ น เจตนารมณ์ของแผน 2 ประการ 1) มุง่ พัฒนาทุกชีวิตให้ เป็ น “มนุษย์ที่สมบูรณ์ทงทางร่ ั้ างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้และคุณธรรม มีจริ ยธรรม และวัฒนธรรมในการดารงชีวิต สามารถอยู่ ร่วมกับผู้อื่นได้ อย่างมีความสุข” 2) มุ่งพัฒนาสังคมไทยให้ เป็ นสังคมที่มีความเข้ มแข็งและมี ดุลยภาพใน 3 ด้ า น คือเป็ นสัง คมคุณภาพ สัง คมแห่ ง ภูมิปัญญาและการเรี ยนรู้ และสัง คม สมานฉันท์และเอื ้ออาทรต่อกัน ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 3.4.2 เป็ นแผนปฏิรูปการศึกษาภาพรวมของประเทศ ได้ แก่ การปฏิรูป ระบบการศึกษา การปฏิรูปการเรี ยนรู้ การปฏิรูประบบการบริ หารและการจัดการศึกษา การ ปฏิรูประบบการประกันคุณภาพ การปฏิรูปครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา การปฏิรูป ระบบทรัพยากรและการลงทุนเพื่อการศึกษา และการปฏิรูประบบสื่อเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา 3.4.3 เป็ นแผนชีน้ ากรอบแนวทางในการจัดทาแผนพัฒนาการศึกษา ขันพื ้ ้นฐาน แผนพัฒนาการอาชีวศึกษา แผนพัฒนาการอุดมศึกษา และพัฒนาด้ านศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรมและการกีฬาที่บรู ณาการเข้ ากับการศึกษาทุกระดับ (สานักงานคณะกรรมการการศึกษา แห่งชาติ , 2546, หน้ า 27 – 30) แผนการศึกษาแห่งชาติ (พ.ศ.2545 – 2559) ดาเนินการขึ ้นโดยอยู่บนพื ้นฐาน ของปรัชญาหลัก กรอบแนวคิด และเจตนารมณ์ดงั นี ้ ยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ตามแนวพระราชดารัสของพระบาทสมเด็จ พระเจ้ าอยู่หวั ฯ ที่ยึดทางสายกลางบนพื ้นฐานของความสมดุลพอดี รู้ จกั ประมาณอย่างมีเหตุผล


119 มีความรอบรู้ เท่าทันโลก เป็ นแนวทางในการดาเนินชีวิต เพื่อมุ่งให้ เกิด “การพัฒนาที่ยงั่ ยืนและ ความอยู่ดีมีสขุ ของคนไทย” มาเป็ นพื ้นฐานเพื่อเป็ นแนวทางในการกาหนดมาตรการด้ านต่าง ๆ ของแผน ฯ ที่จะดาเนินการต่อไป ยึด “คน” เป็ นศูนย์ กลางการพัฒนา เพื่อให้ คนไทยมีความสุข พึง่ ตนเอง และ ก้ าวทันโลก โดยยังรักษาเอกลักษณ์ความเป็ นไทยไว้ สามารถเลือกใช้ ความรู้ และเทคโนโลยีได้ อย่างคุ้มค่า เหมาะสม มีระบบภูมิค้ มุ กันที่ดี มีความยืดหยุ่นพร้ อมรับการเปลี่ยนแปลง ควบคูไ่ ป กับการมีคณ ุ ธรรมและความซื่อสัตย์สจุ ริต เป็ นแผนบูรณาการแบบองค์ รวม กระบวนการในการบูรณาการของชีวิตเป็ น องค์รวมของการศึกษา ศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม และธรรมชาติ อย่างมีสมดุล พึ่ งพาอาศัย ส่งเสริ มสนับสนุนซึง่ กันและกัน มีก ารพัฒนาอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต โดยครอบครัวเป็ นสถาบัน หลักที่มีความสาคัญที่สดุ พัฒนาชีวิตให้ เป็ นมนุษย์ ท่ สี มบูรณ์ เป็ นคนดี คนเก่ง และมีความสุข สมบูรณ์ ทังร่้ างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ คุณธรรม มีจริ ยธรรมในการดารงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับ ผู้อื่นได้ อย่างมีความสุข พัฒนาสังคมให้ เข้ มแข็งและมีดุลยภาพ ได้ แก่ 1) สังคมคุณภาพ ที่มีความ เที่ยงธรรม มัน่ คงโปร่งใส ประชาชนมีสทิ ธิเสรี ภาพสมบูรณ์ 2) สังคมแห่งภูมิปัญญาและการเรี ยนรู้ ที่ ทุก คนและทุก ส่ว นในสัง คม มี ค วามใฝ่ รู้ และพร้ อมที่ จ ะเรี ย นรู้ อยู่เ สมอ 3) สัง คมแห่ ง ความ สมานฉันท์ และเอื ้ออาทรต่อกัน เป็ นสังคมที่ม่งุ ฟื น้ ฟูสืบสาน และธารงไว้ ซงึ่ เอกลักษณ์ ศิลปะ และ วัฒนธรรมไทย (สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, 2545 ง, หน้ า 5 – 6) แผนการศึ ก ษาแห่ ง ชาติ (พ.ศ.2545 – 2559) ก าหนดแนวนโยบายด้ า น การศึกษาปฐมวัยไว้ ดงั นี ้ วัตถุประสงค์ 1 : พัฒนาคนอย่ างรอบด้ านและสมดุลเพื่อเป็ นฐานหลักของการพัฒนา แนวนโยบายเพื่อดาเนินการ 1 : การพัฒนาทุกคนตัง้ แต่ แรกเกิดจนตลอดชีวิตให้ มีโอกาส เข้ าถึงการเรียนรู้ เป้าหมาย คือ เด็กปฐมวัยอายุ 0 – 5 ปี ทุกคนได้ รับการพัฒนาและเตรี ยม ความพร้ อมทุกด้ านก่อนเข้ าสูร่ ะบบการศึกษา แนวทางการดาเนินงานตามแนวนโยบาย 1. ส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาและการเตรี ยมความพร้ อมของเด็กปฐมวัยใน รูปแบบที่หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ ความรู้แก่พ่อแม่ ผู้ปกครอง รวมทังผู ้ ้ ที่เตรี ย มตัว เป็ นพ่อแม่


120 2. ส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาปฐมวัยให้ มีคณ ุ ภาพ ครอบคลุมกลุม่ เป้าหมาย เพื่อพัฒนารากฐานพัฒนาการของทุกชีวิตอย่างเหมาะสม 3. จัดบริ การการศึกษาขันพื ้ ้นฐาน ทังที ้ ่เป็ นการศึกษาในระบบ นอกระบบ และ ตามอัธยาศัย เพื่อให้ บคุ คลสามารถเข้ าถึงบริ การทางการศึกษาที่หลากหลาย เพื่อการเรี ยนรู้และ การพัฒนาตนเองได้ ตามความต้ องการและความสนใจอย่างต่อเนื่อง 4. จัดบริ การการศึกษาด้ วยรู ปแบบที่เหมาะสมสาหรับบุคลที่มีความสามารถ พิเศษด้ านต่าง ๆ 5. ส่งเสริ มให้ มีการจัดการศึกษาพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นที่ทางการรับ รอง และการเผยแผ่ศาสนธรรมทังที ้ ่เป็ นการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัยในทุกระดับ และประเภทการศึกษา ยุทธศาสตร์ การดาเนินงานตามแนวนโยบาย รัฐบาล 1. ส่งเสริ มและสนับสนุนให้ พ่อ แม่ ผู้ปกครอง และผู้เตรี ยมตัวเป็ นพ่อแม่ มี ความรู้ มีความสามารถในการอบรมเลี ย้ งดูเด็กตังแต่ ้ ในครรภ์มารดาและแรกเกิดได้ อย่างถูกต้ อง เหมาะสม และสามารถเตรี ยมความพร้ อมของเด็กปฐมวัยอย่างมีคณ ุ ภาพ เพื่อให้ เด็กมีวฒ ุ ิภาวะ และสามารถเข้ าสูร่ ะบบการศึกษาได้ อย่างเหมาะสมต่อไป 2. ส่งเสริ มบุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้ อ งถิ่น เอกชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอื่น ให้ สามารถจัด การศึ ก ษาปฐมวัย และการศึ ก ษาขัน้ พื น้ ฐานได้ อ ย่ า งมี คุณ ภาพในรู ป แบบที่ หลากหลาย และได้ ตามมาตรฐานการศึกษาของประเทศที่กาหนดไว้ ในพระราชบัญญัติการศึกษา แห่งชาติ 3. ส่งเสริ ม สนับสนุนการจัดการศึกษาของคณะสงฆ์ด้านศาสนศึกษาให้ มีความ เข้ มแข็งและมีศักยภาพ เพื่อสืบทอดศาสนธรรมและศาสนทายาทของแต่ละศาสนาอย่างเป็ น ระบบ รวมทังส่ ้ งเสริ มการเรี ยนการสอนวิชาพระพุทธศาสนาและศาสนอื่นที่ทางการรับรองให้ มี สาระสอดคล้ องกับความรู้ ทั่วไป และเหมาะสมกับวัยของผู้เรี ยน โดยให้ มีความต่อเนื่ องและ เชื่อมโยงกันในทุกระดับชัน้ 4. ส่งเสริ มการจัดการศึกษาทุกระดับสาหรับบุคคลที่มีความสามารถพิเศษด้ าน ต่า ง ๆ ได้ แ ก่ ภาษา คณิ ต ศาสตร์ วิ ท ยาศาสตร์ ศิ ล ปะ ดนตรี และกี ฬ า ด้ ว ยรู ป แบบที่ เหมาะสม โดยคานึงถึงความสามารถของบุคคลนัน้


121 องค์ กรปกครองส่ วนท้ องถิ่น สนั บ สนุ น และด าเนิ น การให้ สถานศึ ก ษาในสัง กั ด มี ค วามพร้ อมในการจั ด การศึกษาในรู ปแบบที่หลากหลายได้ อย่างทั่วถึง มีคุณภาพและได้ ตามมาตรฐานการศึกษาที่ กาหนด โดยประสาน ร่ วมมือ และช่วยเหลือซึ่งกันและกันระหว่างหน่วยงานที่ เกี่ยวข้ อง เพื่อ ผลประโยชน์ของชุมชนท้ องถิ่นและผู้เรี ยนเป็ นสาคัญ สถานศึกษา 1. สถานพัฒนาเด็กปฐมวัยมีการจัดอบรมและให้ ความรู้แก่ผ้ ปู กครอง ครู และ บุคลากรที่เกี่ยวข้ องสาหรับเด็กปฐมวัย และมีการจัดเตรี ยมความพร้ อมสาหรับเด็กปฐมวัยใน รูปแบบที่หลากหลาย ทัว่ ถึง และมีคณ ุ ภาพตามมาตรฐานการศึกษาที่กาหนด 2. สถานศึกษาทุกแห่งและทุกระดับจัดทานโยบายและหลักสูตรการศึกษาและ ดาเนินกิจกรรมการเรี ยนการสอนสาหรับผู้มีความต้ องการพิเศษ โดยคานึงถึงศักยภาพและความ เชี่ยวชาญของสถานศึกษานัน้ ๆ 3. สถานศึกษาทาหน้ าที่ประสานกับแหล่งเรี ยนรู้หรื อหน่วยงานที่เกี่ยวข้ องเพื่อให้ พ่อแม่ ผู้ปกครอง และผู้ที่เตรี ยมตัวเป็ นพ่อแม่มีความรู้ ความสามารถในการอบรม เลี ้ยงดูและ ให้ การศึกษาบุตรหรื อบุคคลที่อยูใ่ นความดูแล 4. สถานศึกษาจัดให้ มีการเรี ยนการสอนวิชาพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นที่ ทางราชการรับรองและจัดบรรยากาศการเรี ยนการสอนให้ สอดคล้ องกับผู้เรี ยนทุกระดับชันตาม ้ ความเหมาะสม โดยสนับสนุนส่งเสริ มครู ให้ มีความรู้ ความสามารถในการสอนวิชาศาสนา และ เปิ ดโอกาสให้ พระภิกษุ สามเณร เป็ นผู้สอนวิชาพระพุทธศาสนา ศีลธรรมในสถานศึกษา และ นักบวช ผู้นาทางศาสนาเป็ นผู้สอนวิชาศาสนาอื่นที่ทางราชการรับรองในสถานศึกษาที่มีการสอน ศาสนานัน้ ๆ ประชาชน / องค์ กรประชาคม / ภาคเอกชน บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน เอกชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอื่น สามารถจัดการศึกษาปฐมวัยและ การศึกษาขันพื ้ ้นฐาน โดยได้ รับการสนับสนุนจากรัฐให้ มีความรู้ และความสามารถในการอบรม เลี ้ยงดู และจัดการศึกษา ควบคู่กบั การให้ ความรู้ด้านศาสนธรรม ศีลธรรม คุณธรรม จริ ยธรรม และค่านิยมอันดีงามให้ แก่บุตรหรื อผู้อยู่ในอุปการะ เพื่อการปูพื ้นฐานชีวิตที่ดีงามของเยาว ชน ทังนี ้ ้ในการจัดการศึกษาดังกล่าวมีสทิ ธิได้ รับเงินอุดหนุนและการลดหย่อน หรื อยกเว้ นภาษี สาหรับ ค่าใช้ จ่ายทางการศึกษาตามที่กฎหมายกาหนด และได้ รับการสงเสริ มให้ มีความเข้ มแข็งเพื่อให้


122 สามารถร่ วมกันจัดการศึกษาได้ อย่างครบวงจร สอดคล้ องกับความต้ องการในการเรี ยนรู้ ขอ ง ชุมชนนัน้ ๆ จนถึงการพัฒนาชุมชนให้ มีศกั ยภาพในการจัดการศึกษาตลอดชีวิต แนวนโยบายเพื่อดาเนินการ 2 : การปฏิรูปการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียนตามธรรมชาติและ เต็มตามศักยภาพ เป้าหมาย คือ ผู้เรี ยนเป็ นคนเก่งที่พฒ ั นาตนเองได้ อย่างเต็มศักยภาพ เป็ นคนดี และมีความสุข ครู ทุกคนได้ รับการพัฒนาให้ มีความรู้ และความสามารถในการจัดกระบวนการ เรี ยนรู้ที่เน้ นผู้เรี ยนมีความสาคัญที่สดุ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูทกุ คนได้ รับใบอนุญาตประกอบ วิชาชีพ สถานศึกษาทุกแห่งมีการประกันคุณภาพการศึกษา แนวทางการดาเนินงานตามแนวนโยบาย ได้ แก่ การปฏิรูปการเรี ยนรู้ ที่เน้ น ผู้เ รี ย นเป็ นส าคัญ การปฏิ รู ป ครู คณาจารย์ และบุค ลากรทางการศึก ษา และการก าหนด มาตรฐานการศึกษาและการประกันคุณภาพการศึกษา ยุทธศาสตร์ การดาเนินงานตามแนวนโยบาย รัฐบาล 1. กาหนดมาตรฐานการศึกษาของชาติและการประเมินคุณภาพทางการศึกษา ในแต่ละระดับการศึกษา เพื่อเป็ นเป้าหมายและแนวทางการจัดการศึกษาของประเทศ โดยคานึง ถึงความหลากหลายในการปฏิบตั ิ 2. พัฒนาหลักสูตรแกนกลางให้ ตอบสนองมาตรฐานการศึกษาของชาติ และ ของแต่ ล ะระดับ การศึก ษา รวมทัง้ มี ส าระของความรู้ ที่ ส อดคล้ อ งกับ วัฒ นธรรมการเรี ย นรู้ การเปลี่ยนแปลงทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีในยุคโลกาภิวตั น์กบั เทคโนโลยีสารสนเทศในยุค สังคม สื่อข่าวสาร สร้ างความสามารถในการใช้ ทกั ษะภาษาไทยและภาษาต่างประเทศเพื่อการ สื่อสารในระดับสากล รวมทังสาระของความรู ้ ้ ด้านศิลปะ ดนตรี และกีฬา เพื่อพัฒนาคนอย่าง สมดุลรอบด้ าน 3. พัฒนาหลักสูตรการศึกษาระดับต่าง ๆ สาหรับบุคลที่มีความต้ องการพิเศษ ซึง่ ต้ องมีลกั ษณะหลากหลาย ทังนี ้ ้ให้ จดั ตามความเหมาะสมของแต่ละระดับ โดยมุ่งพัฒนาชีวิต ของบุคคลให้ เหมาะสมแก่วยั และศักยภาพ องค์ กรปกครองส่ วนท้ องถิ่น สนับสนุนสถานศึกษาให้ จดั การเรี ยนการสอนได้ อย่างมีคณ ุ ภาพ ที่เน้ นทังความรู ้ ้ คู่คุณธรรม และสอดคล้ องตามหลักการปฏิรูปการเรี ยนรู้ ที่เน้ นผู้เรี ยนเป็ นสาคัญ มีการประกัน คุณภาพภายในเพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาให้ เต็มตามศักยภาพ


123 สถานศึกษา 1. สนับสนุนพ่อแม่ ผู้ปกครอง คนในชุมชน ปราชญ์ ชาวบ้ าน พระภิกษุ นักบวช ผู้นาทางศาสนา และผู้ประกอบอาชีพต่าง ๆ ให้ มีสว่ นร่วมในกระบวนการเรี ยนรู้ที่ม่งุ ประโยชน์แก่ ผู้เรี ยนเป็ นสาคัญ เพื่อพัฒนาให้ ผ้ เู รี ยนเป็ นคนดี คนเก่ง และมีความสุข 2. สถานศึกษาในทุกระดับการศึกษาจัดให้ มีระบบการประกันคุณภาพภายใน เป็ นส่วนหนึง่ ของกระบวนการบริหารการศึกษาที่ต้องดาเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาคุณภาพ ให้ เ ป็ นไปตามมาตรฐานการศึก ษา และจัด ท ารายงานประจ าปี เพื่ อ เปิ ดเผยแก่ ส าธารณชน รวมทังจั ้ ดเตรี ยมเอกสารหลักฐานต่าง ๆ เพื่อรับการประเมินคุณภาพภายนอก แนวนโยบายเพื่อดาเนินการ 3 : การปลูกฝั งและเสริมสร้ างศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม ค่ านิยมและคุณลักษณะที่พงึ ประสงค์ ในระบบวิถีชีวิต ที่ดีงาม เป้าหมาย คือ คนไทยส่วนใหญ่มีคา่ นิยม และพฤติกรรมที่เหมาะสมตามระบบ วิถีชีวิตที่ดีงาม แนวทางการดาเนินงานตามแนวนโยบาย ได้ แก่ ปฏิรูปโครงสร้ างเนื ้อหาของ หลักสูตรในทุกระดับการศึกษา ให้ มีสาระของความรู้ เกี่ยวกับความจริ งของชีวิตและธรรมชาติ หลักธรรมของศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมอันดีงามของระบบวิถีชีวิตและเอกลักษณ์ไทย ยุทธศาสตร์ การดาเนินงานตามแนวนโยบาย รัฐบาล 1. กาหนดลาดับความสาคัญของคุณลักษณะที่พงึ ประสงค์ที่จะต้ องเร่งเสริมสร้ าง ให้ เกิดขึ ้นกับคนไทยทุกคนในช่วงแรก และช่วงเวลาต่อ ๆ ไป อาทิ มีความเพียร รู้จกั เก็บออม มี คุณธรรม มีวินยั ซื่อสัตย์ มีความสามัคคี ชื่นชมคนดี/คนสุจริ ต มีจิตสานึกรับผิดชอบต่อสังคม ส่วนรวม รักชาติ รักแผ่นดิน เป็ นต้ น 2. ส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนาหลักสูตรแกนกลาง โดยการมีสวนร่วมของทุกฝ่ าย ที่เกี่ ยวข้ อง ให้ มีสาระของความรู้ เกี่ ยวกับความจริ งของชี วิตและธรรมชาติ และหลักธรรมของ ศาสนา คุณธรรมและจริยธรรม ค่านิยมอันดีงามของระบบวิถีชีวิตเอกลักษณ์ไทย และคุณลักษณะ ที่พงึ ประสงค์ตา่ ง ๆ ตามลาดับความสาคัญที่กาหนดไว้ โดยบูรณาการอย่างเหมาะสมตามวัยของ ผู้เรี ยนในแต่ละระดับการศึกษา 3. ส่งเสริ มให้ สถานศึกษา สถาบันศาสนา และองค์กรต่าง ๆ ที่จดั และร่ วมจัด การศึกษา จัดการเรี ยนการสอนโดยผสมผสานสาระความรู้ทางศาสนาและวิชาสามัญเข้ าด้ วยกัน อย่างสมดุล มีการปลูกฝั งคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมที่ดีงามแก่ผ้ เู รี ยนที่เหมาะสมกับวัยอย่าง


124 ต่อเนื่องทุกระดับ ประชาชน / องค์ กรประชาคม / ภาคเอกชน บิดามารดาและสมาชิกทุกคนในครอบครัวต้ องทาหน้ าที่อบรมสัง่ สอนศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พงึ ประสงค์ ตามระบบวิถีชีวิตที่ดีงามของคนไทยแก่เยาวชน แนวนโยบายเพื่อดาเนินการ 4 : การพัฒนากาลังคนด้ านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเอง และเพิ่มสมรรถนะการแข่ งขันใน ระดับนานาชาติ เป้าหมาย คือ คนไทยทุกคนมีความรู้ ความคิด และความใฝ่ รู้ ทัง้ ทางด้ าน วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ควบคูไ่ ปกับสังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ แนวทางการด าเนิ น งานตามแนวนโยบาย ได้ แ ก่ ส่ง เสริ ม สนับ สนุน ผู้มี ความสามารถพิเศษด้ านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีให้ ได้ รับการพัฒนาเต็มตามศักยภาพอย่าง ต่อเนื่องตังแต่ ้ เยาว์วยั ยุทธศาสตร์ การดาเนินงานตามแนวนโยบาย รัฐบาล พัฒนาหลัก สูตรให้ มี เนื อ้ หาวิชาด้ านวิท ยาศาสตร์ และเทคโนโลยีในสัดส่วนที่ เหมาะสมในแต่ละระดับการศึกษา เพื่อให้ ผ้ เู รี ยนมีพื ้นฐานด้ านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีตงแต่ ั้ ระดับการศึกษาปฐมวัยอย่างพอเพียงและต่อเนื่องจนถึงระดับอุดมศึกษาและรู้จกั การนาเทคโนโลยี ใหม่ ๆ มาปรับใช้ ในชีวิตประจาวัน เพื่อการดารงชีวิตอยูใ่ นสังคมได้ อย่างมีความสุข สถานศึกษา จัดกระบวนการเรี ยนรู้ วิทยาศาสตร์ ที่เหมาะสมในแต่ละระดับการศึกษา ตังแต่ ้ ระดับการศึกษาปฐมวัย เพื่อส่งเสริ มให้ ผ้ เู รี ยนมีความสามารถในการคิด วิเคราะห์ ใช้ เหตุ ผลเชิง วิทยาศาสตร์ และเรี ยนรู้ตลอดชีวิตด้ วยตนเอง สามารถนาความรู้ ความเข้ าใจ และใช้ ศกั ยภาพ ของวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ไปใช้ ประโยชน์ในการดาเนินชีวิตประจาวัน และการประกอบ อาชีพต่อไป (สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, 2545 ง)

สรุ ป การจัดการศึกษาปฐมวัยในประเทศไทย สมัยเริ่มแรกก่อนมีระบบโรงเรี ยนมุง่ ให้ การศึกษา แก่เด็กเล็กโดยวัด ต่อมาจึงพัฒนามาเป็ นโรงเรี ยนสาหรับเจ้ านายเชื ้อพระวงศ์ ภายหลังจึงจัดใน รู ปของสถานรั บเลี ย้ งเด็ ก ในสมัย มี ระบบโรงเรี ย นจัด ในรู ป ของชัน้ มูลศึก ษาซึ่ง อาจฝากไว้ ใ น โรงเรี ยนประถมศึกษา มุ่งสอนให้ เด็กมีความรู้ เพื่อเรี ยนต่อในชัน้ ประถมศึกษา ในรัชกาลที่ 6


125 แนวคิดการจัดการศึกษาปฐมวัยตามแบบโฟรเบลและมอนเตสซอรี่ เข้ ามาสูป่ ระเทศไทย โดยมีการ จัดชัน้ อนุบาลขึน้ ในโรงเรี ยนราษฎร์ ต่อมาจึงมีการตัง้ โรงเรี ยนอนุบาลของรั ฐแห่งแรกขึน้ คือ โรงเรี ยนอนุบาลละอออุทิศ ซึ่งถือเป็ นแบบอย่างในการจัดโรงเรี ยนอนุบาล ในสมัยต่อมารัฐได้ ดาเนินการขยายโรงเรี ยนอนุบาลในส่วนภูมิภาค พ.ศ.2516 สามารถเปิ ดโรงเรี ยนอนุบาลในส่วน ภูมิภาคครบทุกจังหวัด ในทางปฏิบตั ิรัฐสนับสนุนให้ เอกชนจัดการศึกษาปฐมวัยในรู ปแบบต่าง ๆ สาหรับรัฐจัดการศึกษาปฐมวัยเพื่อเป็ นตัวอย่างและเพื่อการวิจยั เท่านัน้ รัฐเน้ นความสาคัญของ การศึกษาปฐมวัย ดังปรากฏในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แผนพัฒนาการศึกษา แห่งชาติ และแผนการศึกษาชาติ มาเป็ นลาดับจนถึงปั จจุบนั

คาถามทบทวน 1. จงอธิบายถึงการจัดการศึกษาปฐมวัยในสมัยก่อนมีระบบโรงเรี ยน 2. จงอธิบายการจัดการเรี ยนการสอนในโรงเรี ยนราชกุมารและโรงเรี ยนราชกุมารี 3. โรงเลี ้ยงเด็กจัดตังขึ ้ ้นโดยมีจดุ มุง่ หมายอย่างไร 4. จงอธิบายถึงการจัดการศึกษาปฐมวัยในสมัยมีระบบโรงเรี ยน 5. การจัดการศึกษาปฐมวัย ในรูปของอนุบาลตามแนวคิดของโฟรเบล ได้ เข้ ามาใน ประเทศไทยสมัยใดและ มีโรงเรี ยนใดบ้ างที่เปิ ดดาเนินการในสมัยนัน้ 6. พระราชบัญญัติโรงเรี ยนราษฎร์ พ.ศ.2461 มีสาระสาคัญที่เกี่ยวข้ องกับการจัด การศึกษาปฐมวัยอย่างไร 7. โรงเรี ยนอนุบาลแห่งแรกของรัฐ ตังขึ ้ ้นเพื่อวัตถุประสงค์ใด มีแนวคิดและลักษณะใน การจัดการศึกษาปฐมวัยอย่างไร 8. จงวิเคราะห์หลักการในการจัดการศึกษาปฐมวัยของประเทศไทยสมัยก่อนการ เปลี่ยนแปลงการปกครอง และหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองว่ามีความเหมือนกันและต่างกัน อย่างไรบ้ าง 9. จงเปรี ยบเทียบแนวนโยบายของรัฐในการจัดการศึกษาปฐมวัย ตามแผนการศึกษา ชาติ พ.ศ.2503 แผนการศึกษาชาติ 2520 แผนการศึกษาชาติ พ.ศ.2535 แผนการศึกษาแห่งชาติ (พ.ศ.2545 – 2559) ว่ามีความเหมือนกันและต่างกันอย่างไรบ้ าง 10. จงอธิบายเกี่ยวกับนโยบายของรัฐในการจัดการศึกษาปฐมวัยตามแผนพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ


126

เอกสารอ้ างอิง คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. สานักงาน. (2540). สานักนายกรัฐมนตรี . แผนพัฒนา การศึกษาแห่ งชาติ ฉบับที่ 8 พ.ศ.2540 – 2544. กรุงเทพ ฯ : โรงพิมพ์ครุ ุสภา. .......... (2545 ก). แผนพัฒนาการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ ระยะที่ 9 (พ.ศ.2545 – 2549). กรุงเทพ ฯ : โรงพิมพ์ครุ ุสภา. .......... (2545 ข). แผนการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมแห่ งชาติ (พ.ศ.2545 – 2549). กรุงเทพ ฯ : โรงพิมพ์ครุ ุสภา. ........... (2545 ค). พระราชบัญญัตกิ ารศึกษาแห่ งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ และที่แก้ ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๔๕. กรุงเทพ ฯ : สานักนายกรัฐมนตรี . ........... (2545 ง). แผนการศึกษาแห่ งชาติ (พ.ศ.๒๕๔๕ – ๒๕๔๙) ฉบับสรุ ป. กรุงเทพ ฯ : พริกหวานกราฟฟิ ค. ........... (2546). สภาการศึกษา : จากอดีตถึงปั จจุบนั สู่มิตใิ หม่ ในการพัฒนานโยบาย การศึกษาของชาติในอนาคต. กรุงเทพ ฯ : สานักงานคณะกรรมการการศึกษา แห่งชาติ. คณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. สานักงาน. (2540). แผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่ งชาติ ฉบับที่ 8 พ.ศ.2540 – 2544. กรุงเทพ ฯ : โรงพิมพ์ครุ ุสภา. ........... (2545). แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่ งชาติ ฉบับที่ 9 พ.ศ.2545 – 2549. กรุงเทพ ฯ : โรงพิมพ์ครุ ุสภา. วัฒนา ปุญญฤทธิ์. (2542). การจัดสภาพแวดล้ อมในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย. กรุงเทพ ฯ : สถาบันราชภัฏพระนคร. เยาวพา เดชะคุปต์. (2542). การศึกษาปฐมวัย. กรุงเทพ ฯ : แม็ค. ........... (2542). การจัดการศึกษาปฐมวัย. กรุงเทพ ฯ : แม็ค. สุโขทัยธรรมาธิราช, มหาวิทยาลัย. (2547). พฤติกรรมการสอนปฐมวัยศึกษา หน่ วยที่ 1 – 8 (พิมพ์ครัง้ ที่ 14). นนทบุรี : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 (พ.ศ.2550 – 2554) [Online] Available : http://www.bps2.moe.go.th. 2008, กุมภาพันธ์ 2].


127

บทที่ 6 รู ปแบบและแนวทางการจัดการศึกษาปฐมวัยในประเทศไทย การจัดการศึกษาปฐมวัยในประเทศไทยในอดีต แม้ ว่าจะไม่ได้ กาหนดให้ เห็นเป็ นระบบไว้ อย่า งชัด เจน แต่ก็ ไ ด้ มี ก ารริ เ ริ่ ม และด าเนิ น งานอย่า งต่อ เนื่ อ ง จนถึ ง ปี พ.ศ.2520 ได้ มี ก าร ประกาศใช้ แผนการศึกษาชาติ ซึง่ ในแผนการศึกษาฉบับนี ้ได้ ระบุนโยบายและวิธีการจัดการศึกษา สาหรับเด็กปฐมวัยไว้ อย่างชัดเจน โดยระบุว่า “รัฐพึงเร่งและสนับสนุนการอบรมเลี ้ยงดูเด็กในวัย ก่อนประถมศึกษา โดยรัฐจะสนับสนุนให้ ท้องถิ่นและภาคเอกชนจัดให้ มากที่สดุ สาหรับการจัด การศึกษาในระดับนี ้ของรัฐ จะจัดทาเพียงเพื่อ เป็ นตัวอย่างและเพื่อการค้ นคว้ าวิจยั เท่านัน” ้ และ กล่าวว่า “การศึกษาระดับก่อนประถมศึกษา” เป็ นการศึกษาที่ม่งุ อบรมเลี ้ยงดูเด็กก่อนการศึกษา ภาคบังคับ เพื่อเตรี ยมเด็กให้ มีความพร้ อมทุกด้ านดีพอที่จะเข้ ารับการศึกษาต่อไป การจัดการ ศึกษาระดับก่อนประถมศึกษานัน้ อาจจะจัดเป็ นการศึกษาในระบบโรงเรี ยน หรื อการศึกษานอก โรงเรี ยน โดยอาจจัดเป็ นสถานรับเลี ้ยงดูเด็กหรื อศูนย์เด็กปฐมวัยและในบางกรณีอาจจัดเป็ นชัน้ เด็กเล็กหรื อโรงเรี ยนอนุบาลก็ได้ จากนโยบายของแผนการศึกษาชาติฉบับนีจ้ ึงเป็ นแนวนโยบายที่มีการสานต่อเนื่องมา จนถึงปั จจุบนั และการจัดการศึกษาสาหรับเด็กปฐมวัยได้ มีการจัดโดยหน่วยงานของรัฐหลาย หน่วยงาน รวมทังการด ้ าเนินงานโดยภาคเอกชน มีลกั ษณะการให้ บริการที่หลากหลาย

สภาพและปั ญหาของการจัดการศึกษาปฐมวัย ในระยะแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 (พ.ศ.2550 - 2554) ยังคง กล่าวถึงอันตรายจากกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกที่เกิดขึ ้นอย่างต่อเนื่อง และทวีความรุนแรง ขึน้ เรื่ อ ย ๆ การเปลี่ ย นแปลงดัง กล่า วนัน้ มี ผ ลกระทบต่อ สภาวะทัง้ ด้ า นเศรษฐกิ จ การเมื อ ง วัฒนธรรม ค่านิยมของคนในประเทศ นอกจากนี ้การเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้ อมโลกที่เกิดจาก ทรั พ ยากรธรรมชาติถูก ทาลายได้ ส่ง ผลให้ เกิ ด อุบัติภัยร้ ายแรงแก่ภูมิภ าคทั่วโลก และระบุว่า ประเทศไทยยังคงต้ องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงและผลกระทบที่จะเกิดขึ ้น โดยอัญเชิญ “ปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง” มาเป็ นแนวปฏิบตั ิในการพัฒนาแบบบูรณาการเป็ นองค์รวมที่มี “คนเป็ น ศูนย์กลางการพัฒนา”


128 บริบทของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้ อมมีผลกระทบ ต่อเด็กปฐมวัย เช่น เดีย วกัน กับคนทัง้ หลายทัง้ ในชี วิต ปั จจุบัน และชี วิตในอนาคต กระแสการ เปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมทาให้ สญ ู เสียวัฒนธรรมเดิมที่ดีงาม ค่านิยมที่ไม่พงึ ประสงค์ปรากฏให้ เห็นอยู่ทวั่ ไปในสังคม เด็กเล็ก ๆ ที่ฐานรากทางวัฒนธรรมยังไม่เข้ มแข็งขาดความสามารถในการ คัดกรองสิ่งที่เหมาะสมมาสู่ตนเอง อีกทังยั ้ งมีธรรมชาติของการเรี ยนรู้ โดยการเลียนแบบจากตัว แบบในสังคม ดังนี ้สถานการณ์ที่เด็กเผชิญอยูจ่ งึ เป็ นสถานการณ์ที่น่าวิตกอย่างยิ่ง สภาพการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและสิ่งแวดล้ อมที่กระทบต่ อเด็กปฐมวัย กระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกมิได้ มีผลกระทบต่อคนทัว่ ไปเท่านัน้ หากแต่สง่ ผลกระทบ ต่อเด็กปฐมวัยด้ วยเช่นกัน ซึง่ ปรากฏสภาพดังนี ้ 1. สภาพการไหลบ่าทางวัฒนธรรมที่มาจากการสื่อสารไร้ พรมแดน ทาให้ วัฒนธรรม ค่า นิ ย มที่ ดี ง ามลดน้ อ ยถอยลง ภูมิ ปั ญ ญาท้ อ งถิ่ น ถูก ละเลย ลัก ษณะของสัง คมไทยที่ เ คย ช่วยเหลือเกือ้ กูล เอือ้ อาทร เอาใจใส่ดูแลรักใคร่ ฉันญาติมิตรพี่น้องเริ่ มเสื่อมถอย สังคมเมือง ขยายตัวมากขึ ้น เกิดกระแสวัตถุนิยมเป็ นค่านิยมของคน วิถีชีวิตที่เคยพึ่งพาตนเองมีการใช้ ชีวิต แบบเรี ยบง่ ายสูญหายไป ความสัมพันธ์ ของคนในชุมชนลดน้ อยลง ต่างคนต่างอยู่ จิตสานึก สาธารณะไม่มี เกิดความรู้ สกึ ว่าธุระไม่ใช่ ไม่สนใจความประพฤติของตนว่าจะส่งผลเสียหายต่อ ผู้อื่นหรื อสังคม เด็กปฐมวัยจึงอยู่ท่ามกลางสภาพสังคมที่บกพร่ องด้ านคุณธรรม ตัวแบบที่ดีไม่มี หรื อหายาก เด็กจึงเติบโตขึ ้นมาอย่างขาดคุณภาพ 2. การทาลายทรัพยากรและใช้ ทรัพยากรอย่างไม่ค้ มุ ค่า ขาดการเอาใจใส่ดูแลจัดการ อย่างมีคณ ุ ภาพ ทาให้ เกิดปั ญหาด้ านสิ่งแวดล้ อม ธรรมชาติขาดความสมดุล เกิดปั ญหาระบบ นิเวศ มีอุบตั ิภยั ทางธรรมชาติเกิดขึ ้นมากมาย รวมทังโรคภั ้ ยไข้ เจ็ บที่รุมเร้ ามนุษย์และสิ่งมีชีวิต ปั ญหาสิ่งแวดล้ อมเป็ นพิษเกิดมลพิษในสิ่งแวดล้ อม ปริ มาณขยะและของเสียอันตรายมากขึน้ แบบแผนการดาเนินวิถีชีวิตไม่เหมาะสม ความสุขในชีวิตจึงลดน้ อยลง อุบตั ิภยั และโรคภัยต่าง ๆ ทาภัยมนุษย์มากขึ ้น เด็กปฐมวัยจึงเติบโตขึ ้นมาท่ามกลางภาวะแห่งความทุกข์ยาก จากบริบทการเปลี่ยนแปลงของโลกและสังคมโลก ซึง่ อาจจะเรี ยกได้ ว่าการเปลี่ยนแปลงที่ เกิดจากการกระทาของมนุษย์ เด็กปฐมวัยต้ องอยู่ในสังคมแห่งการแปรปรวนนี ้ วิถีชีวิตที่ดีงามใน อดีตค่อยลดลง เด็กจะต้ องเผชิญกับโลกที่มีสภาวะยากลาบากยิ่งขึ ้นต่อไป (วัฒนา ปุญญฤทธิ์, 2551) สภาพปั จจุบนั ของการดูแลเด็กปฐมวัย 0 – 5 ปี ข้ อมูลการดาเนินการเกี่ยวกับการพัฒนาเด็กปฐมวัย ในปี พ.ศ. 2547 มีเด็กอายุ 0 – 5 ปี จานวน 5,842,069 คน เป็ นเด็กอายุ 0 – 3 ปี จานวน 2,850,937 คน และเด็กอายุ 3 – 5 ปี


129 จานวน 2,991,132 คน การเลี ้ยงดูและพัฒนาเด็กจะได้ รับการเลี ้ยงดูโดยครอบครัว เด็กที่ ครอบครัวไม่สามารถเลี ้ยงดูได้ จะส่งเด็กไปสถานบริการหรื อสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย ซึง่ มีรูปแบบ การให้ บริการที่หลากหลาย สรุปได้ 3 รูปแบบ คือ 1. ศูนย์เด็ก/หรื อสถานรับเลี ้ยงเด็ก 2. ชันเด็ ้ ก เล็ก 1 ปี และ 3. ชันอนุ ้ บาล อายุ 3 – 5 ปี เด็กอายุ 0 – 3 ปี ส่วนใหญ่จะได้ รับการเลี ้ยงดูและพัฒนาโดยครอบครัว เด็กอายุ 3 – 5 ปี ส่วนใหญ่จะเข้ ารับบริการการศึกษา ในปี พ.ศ. 2547 พบว่าเด็กอายุ 3 – 5 ปี ได้ รับการบริการจากสถานพัฒนาเด็ก เป็ นจานวน 2,466,693 คน คิดเป็ นร้ อยละ 82.5 ของประชากรอายุ 3 – 5 ปี (สานักงานเลขาธิการสภา การศึกษา, 2550, หน้ า 10) ตารางที่ 6.1 สภาพของการดูแลเด็กปฐมวัย อายุ 0 – 5 ปี

อายุ อายุต่ากว่า 3 ปี ประชากร 2,850,937 คน

ครอบครัว 2,784,167 คน ร้ อยละ 97.7

อายุ 3 – 5 ปี ประชากร 2,991,132 คน

ร้ อยละ 17.5 ที่มา (กระทรวงศึกษาธิการ, 2548, หน้ า 7)

เลีย้ งดูโดย สถานบริการ ได้ รับบริ การ 66,770 คน (สถานรับเลี ้ยงเด็ก) ร้ อยละ 2.3 ได้ รับบริการ 2,466,693 คน - ศูนย์เด็กเล็ก 641,482 คน - ชันเด็ ้ กเล็ก 11,575 คน - อนุบาล 1,813,636 คน สัดส่วน รัฐ : เอกชน 79.6 : 20.4 - รัฐ 1,964,384 คน - เอกชน 502,309 คน ร้ อยละ 82.5


130 ปั ญหาของการจัดการศึกษาปฐมวัย ปั จจุบันเป็ นที่ น่าวิตกและถื อเป็ นวิกฤตของเด็กปฐมวัย เนื่ องจากข้ อเท็จจริ งจากการ ประเมินสถานการณ์และทดสอบพัฒนาการอย่างคัดกรองในเด็กปฐมวัย (อายุ 0 – 5 ปี ) พบว่า โดยภาพรวมเด็ ก ปฐมวัย มี แ นวโน้ มพัฒ นาการล่ า ช้ า ในด้ า นร่ า งกาย อารมณ์ จิ ต ใจ สัง คม สติปั ญญา และจริ ย ธรรม เมื่ อ พิ จารณาจากประเด็น ต่าง ๆ แล้ ว สานักงานเลขาธิ การสภา การศึกษา (2550, หน้ า 12 – 17) สรุปปั ญหาของการจัดการศึกษาปฐมวัยได้ ดงั นี ้ 1. ขาดความเข้ าใจเรื่ องปรัชญาการพัฒนาเด็กปฐมวัย ปั จจุบนั การเรี ยนการสอนเด็ก ปฐมวัย ดาเนินการโดยปราศจากความเข้ าใจปรัชญาพื ้นฐานที่มีมนุษย์ โดยเฉพาะในช่วงปฐมวัย ของชี วิต รวมทัง้ ความรู้ ความเข้ าใจเรื่ องสิทธิ เด็กและสิทธิ มนุษยชนมีน้อย จึงทาให้ ขาดความ เข้ าใจถึงความสาคัญของการคุ้มครองป้องกันให้ เด็กทุกคนอยู่รอดปลอดภัย มีพฒ ั นาการและ เจริญเติบโตตามวัยทุกด้ าน 2. ขาดการวิจัย/ความรู้ เชิงสังเคราะห์ ที่จะเอือ้ ต่อการเรี ยนรู้ และพัฒนาการของเด็ก มี การศึกษาวิจยั องค์ความรู้ ใหม่ ๆ องค์ความรู้ เรื่ องพัฒนาการของเด็ก องค์ความรู้ เรื่ องการอบรม เลี ้ยงดูเด็กอย่างเหมาะสม และทฤษฎีการเรี ยนรู้ เพื่อการดูแลเด็กปฐมวัยในต่างประเทศมากมาย แต่ ก ารน าองค์ ค วามรู้ เหล่ า นี ม้ าศึก ษาและน ามาปรั บ ใช้ ใ ห้ เ กิ ด ประโยชน์ ต่ อ การบริ ก ารและ การศึกษาปฐมวัยในบริ บทของประเทศไทยมีน้อย ขาดการกระตุ้นให้ เกิ ดการวิจัยและพัฒนา รวมทังการเผยแพร่ ้ ที่จะนาสูก่ ารส่งเสริ มให้ มีความเชี่ยวชาญแก่ผ้ ทู ี่สอนและผู้วิจยั ระดับอุดมศึกษา ในอันที่จะนามาใช้ ฝึกอบรมให้ ได้ ประโยชน์แก่เด็กปฐมวัยในระยะยาว 3. ขาดวิธีบริ หารจัดการที่มีคณ ุ ภาพประสิทธิภาพ ผู้บริ หารจัดการด้ านการบริ การและ การศึกษาเด็กปฐมวัย ส่วนใหญ่ไม่ได้ รับความรู้ เฉพาะทางที่จะช่วยให้ การบริ การแก่เด็กปฐมวัย เป็ นไปอย่างมีคุณภาพ รวมทัง้ การจัดหาและการใช้ ทรัพยากรที่เหมาะสมแก่เด็กตามวัย การ จัดทาฐานข้ อมูลที่เป็ นภาพรวมของการพัฒนาเด็กปฐมวัยทุกด้ าน ตลอดจนการใช้ ข้อมูลที่มีอยู่ใน การบริหารจัดการ 4. ขาดการบูรณาการที่มีประสิทธิภาพ การพัฒนาเด็กปฐมวัยอย่างเป็ นองค์รวม ต้ องมี บูรณาการของงานด้ านต่าง ๆ ได้ แก่ สุขภาพ การศึกษา การปกป้องคุ้มครอง ความมัน่ คงทางสังคม สวัสดิการ โดยมีการประสานกับครอบครัว ชุมชน สังคมอย่างมีประสิทธิภาพ และจาเป็ นต้ องมี การปรับเปลี่ยนให้ ทนั เหตุการณ์ มีบคุ ลากรพอเพียงกับการประสานความรู้และทักษะในทุกระดับ ทังในระดั ้ บท้ องถิ่น ระดับประเทศ และระดับนานาชาติ


131 5. ขาดการประสานงานระหว่างหน่วยงานจัดบริ การ/พัฒนา หน่วยงานที่ดาเนินการ จัดบริการเกี่ยวกับการพัฒนาเด็กปฐมวัย (0 – 5 ปี ) และการให้ ความรู้พอ่ แม่ ผู้ปกครอง เกี่ยวกับ การอบรมเลี ้ยงดูลูก ทัง้ ภาครัฐและเอกชนมีไม่น้อยกว่า 8 กระทรวง 35 หน่วยงาน แต่ก็ยังไม่ สามารถจัดบริ การเสริ มกาลังครอบครัว เพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัยได้ ครอบคลุม ทั่วถึง ทัง้ ในเชิง ปริ มาณและคุณภาพ ขาดการประสานงาน และไม่มีเอกภาพของนโยบาย ตลอดจนทิศทางในการ จัดการศึกษา 6. ขาดการมีสว่ นร่ วมของชุมชน ประชาชน ประชาชนและชุมชนต้ องมีสว่ นร่ วมและใส่ใจ ในการพัฒนาเด็กปฐมวัยให้ มากขึ ้น เพื่อให้ พลังชุมชนและท้ องถิ่น เป็ นขุมกาลังที่ช่วยดูแลเด็กได้ อย่างต่อเนื่องและมีคณ ุ ภาพ 7. ขาดการทอนแผนระยะสันและระยะยาวไปสู ้ ่การปฏิบตั ิ ประเทศไทยมีนโยบายและ แผนการพัฒนาเด็กมาเป็ นเวลากว่า 20 ปี แต่ไม่ได้ กาหนดผู้รับผิดชอบโดยตรงของการนาแผน ไปสู่การปฏิบตั ิ ขาดกลไกการดาเนินงานทังในระดั ้ บชาติ และระดับท้ องถิ่น นอกจากนี ้ยังไม่มี การติดตาม และประเมินผล ให้ สามารถดาเนินการให้ เป็ นไปตามนโยบายและแผนต่าง ๆ 8. ขาดการระดมทรัพยากร ทุกภาคส่วนของสังคมโดยเฉพาะภาครัฐยังไม่ได้ “ลงทุน” เพื่อการพัฒนาเด็กปฐมวัยให้ ชดั เจนเหมาะสมและต่อเนื่อง นอกจากนี ้ สิริมา ภิญโญอนันตพงษ์ (2550, หน้ า 31 – 32) ยังกล่าวถึงปั ญหาของการ จัดการศึกษาปฐมวัยไว้ ดงั นี ้ 1. การขาดคุณภาพ ผลการประเมินการจัดบริการพัฒนาเด็ก 3 – 5 ปี พบว่าด้ อยคุณภาพ ทังในด้ ้ านการบริ หารและจัดการ ขาดคุณภาพในเรื่ องวิธีการเรี ยนรู้ ของเด็ก เช่น การเรี ยนรู้ โดย การให้ เด็กท่องจาอย่างเดียว ไม่สง่ เสริ มให้ เด็กใช้ ความคิดตังแต่ ้ เล็ก ๆ การให้ เด็กนัง่ อยู่กบั ที่ทงวั ั้ น การจัดหลักสูตรตายตัว การเร่ งสอนอ่าน เขียน คิดเลข เพื่อให้ สอบเข้ าชันประถมศึ ้ กษาปี ที่ 1 ได้ ไม่ให้ อิสระในการแสดงออก ห้ ามเด็กพูด ให้ นงั่ เงียบ ๆ บังคับ ให้ ทาการบ้ านทุกวัน ความเข้ าใจ ผิดเกี่ยวกับวิธีการเรี ยนรู้ที่ยดึ ผู้เรี ยนเป็ นสาคัญ 2. ขาดการให้ ความรู้แก่ พ่อแม่ ผู้ปกครองอย่างทัว่ ถึง พ่อแม่ไม่มีโอกาสเรี ยนรู้วิธีการเป็ น พ่อแม่ที่ดี และวิธีรักลูกในทางที่ถกู ที่ควร พ่อแม่จานวนหนึ่งยังมีความเข้ าใจผิดในเรื่ อ งการเลี ้ยงดู ลูก เช่นให้ ความรักด้ วยวิธีการให้ สิ่งของเป็ นรางวัล ตีเด็กทุกครัง้ ที่ทาผิด ขู่เด็กว่า จะไม่รัก ถ้ าไม่ เชื่อฟั ง เด็กไม่มีสทิ ธิพดู เวลารับประทานอาหาร ให้ เด็กกลัวในตัวบุคคลที่ผิด ๆ เช่น หมอ ตารวจ 3. ขาดการฝึ กอบรมบุคลากรที่เกี่ยวข้ อง กระบวนการผลิตครูและการเตรี ยมบุคลากร เช่น ผู้ดแู ลเด็กที่จะทางานกับปฐมวัยจะต้ องเน้ นการเสริมสร้ างให้ บคุ ลากรมีคณ ุ สมบัติที่เหมาะสม


132 มีความรู้ความเข้ าใจ โดยเฉพาะด้ านจิตวิทยาเด็ก ปั จจุบนั ยังขาดการฝึ กอบรม ทังก่ ้ อนประจาการ และระหว่างประจาการอย่างเป็ นระบบ ควรจัดฝึ กอบรมได้ ทงในระบบโรงเรี ั้ ยน นอกระบบโรงเรี ยน และตามอัธยาศัย ในสถานที่ ๆ บุคคลนันจะเข้ ้ าทางาน 4. ขาดการกาหนดมาตรฐาน การจัดบริการสาหรับเด็กปฐมวัยที่มีอายุต่ากว่า 3 ปี และ บริ การสาหรับเด็กอายุ 3 – 5 ปี ไม่มีการกากับดูแลคุณภาพมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง รวมทังไม่ ้ มี การกาหนดมาตรฐานคุณภาพที่เหมาะสม เช่น ขาดการกาหนดตัวบ่งชี ้คุณภาพ ขาดระบบให้ การ รับรองคุณภาพ ด้ วยความตระหนักถึงสถานการณ์ปัญหาของเด็กปฐมวัยที่กาลังเกิดขึ ้นในขณะนี ้ รวมทัง้ เจตนารมณ์ ของรัฐบาลที่จะแก้ ไขปั ญหาที่เกิดขึ ้น กระทรวงศึกษาธิ การ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตลอดจนผู้แทนวิชาชีพองค์กรต่าง ๆ ที่ เกี่ ยวข้ องกับการพัฒนาเด็ก จึงร่ วมระดมสมองจัดทานโยบายและยุทธศาสตร์ การพัฒนาเด็ก ปฐมวัยขึ ้น

ยุทธศาสตร์ ในการพัฒนาเด็กปฐมวัย นับตังแต่ ้ มีพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 เป็ นต้ นมา นโยบายของรัฐให้ ความสาคัญกับการพัฒนาเด็กปฐมวัยเป็ นอย่างมาก โดยมุ่ งที่จะเตรี ยมความพร้ อมให้ แก่เด็ ก ปฐมวัยก่อนวัยเข้ าเรี ยนในระดับประถมศึกษา โดยพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และที่แก้ ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 มีสาระที่เกี่ยวข้ องกับเด็กปฐมวัย ดังนี ้ การจัดการศึกษาเป็ นการศึกษาตลอดชีวิต จึงมีความหมายครอบคลุมการศึกษาตังแต่ ้ แรกเกิดจนตาย ดังนัน้ “การศึกษาปฐมวัย” จึงเริ่มตังแต่ ้ แรกเกิด เด็กปฐมวัยตามนัยคณะรัฐมนตรี (16 มีนาคม 2542) หมายถึง เด็กอายุตงั ้ แต่แรกเกิ ดจนอายุ 5 ปี 11 เดือน 29 วัน ในการจัด การศึกษาปฐมวัย ทุกส่วนของสังคมมีสว่ นร่วมในการจัดการศึกษา การศึกษาปฐมวัยจัดอยู่ในการศึกษาขันพื ้ ้นฐาน รัฐบาลยังคงให้ ความสาคัญกับการ พัฒ นาเด็ ก ปฐมวัย (0 – 5 ปี ) เพราะการพัฒ นาเด็ ก ในวัย นี เ้ ป็ นช่ ว งเวลาส าคัญ ส าหรั บ การ พัฒนาการทางสมองของบุคคล การที่กาหนดนโยบายการจัดการศึกษาขันพื ้ ้นฐาน 12 ปี โดยไม่ ครอบคลุม การศึก ษาของเด็ ก ปฐมวัย เนื่ อ งจากการศึก ษาระดับ ก่ อ นประถมศึก ษาควรเป็ น การศึกษาเพื่อเตรี ยมความพร้ อม โดยการส่งเสริ มให้ ชุมชนหรื อสถาบัน หรื อองค์กรในท้ องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันครอบครัว มีส่วนร่ วมในการจัดการศึกษาระดับนี ้ควบคู่ไปด้ วย ดังนัน้ ในการจัดทาแผนปฏิบตั ิการในนโยบายและมาตรการการจัดการศึกษาขัน้ พื ้นฐาน 12 ปี จึงได้


133 กาหนดให้ ครอบคลุมการพัฒนาเด็กปฐมวัย (0 – 5 ปี ) พ่อแม่ ผู้ปกครอง บุคคลและสถาบันสังคม ต่าง ๆ มีสทิ ธิที่จะได้ รับความรู้ในการอบรมเลี ้ยงดู ได้ รับเงินอุดหนุนจากรัฐ ได้ รับยกเว้ นภาษี ตามที่ กฎหมายกาหนด การจัดการศึกษาปฐมวัย สามารถจัดได้ ทงั ้ 3 รูปแบบ คือ การศึกษาในระบบ การศึกษา นอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย การจัดการศึกษาปฐมวัยสามารถจัดได้ ในสถานศึกษา เช่นเดียวกับการศึกษาขันพื ้ ้นฐาน คือ จัดในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย โรงเรี ยน หรื อศูนย์การเรี ยน การจัดการศึกษาปฐมวัยต้ องเน้ นผู้เรี ยนเป็ นสาคัญ จัดกระบวนการเรี ยนรู้ตามความถนัด และความสนใจของผู้เรี ยน การประเมินผู้เรี ยนโดยพิจารณาจากพัฒนาการ ความประพฤติ การ ร่วมกิจกรรม และจากการทดสอบ ท้ องถิ่นและสถานศึกษาเอกชนสามารถจัดการศึกษาปฐมวัยได้ สถานศึกษาเอกชนได้ รับ การสนับสนุนเงินอุดหนุนลดหย่อนภาษี ตามความเหมาะสม และสถานศึกษาเอกชนนันต้ ้ องเป็ น นิติบคุ คล สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย โรงเรี ยน ศูนย์การเรี ยนที่จดั การศึกษาปฐมวัย ต้ องมีระบบ ประกันคุณภาพการศึกษาภายใน เพื่อนาไปสูก่ ารพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา ในการ จัด การศึ ก ษาปฐมวัย สามารถให้ ค วามรู้ แก่ พ่ อ แม่ หรื อ ผู้ป กครอง ตลอดจนผู้เ รี ย นได้ ด้ ว ย เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา (สถาบันแห่งชาติเพื่อการศึกษาสาหรับเด็กปฐมวัย, 2542, หน้ า 2 – 29) มติคณะรัฐมนตรีในการพัฒนาเด็กปฐมวัย (0 – 5 ปี ) ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2542 เรื่ อง นโยบายการศึกษาขันพื ้ ้นฐาน 12 ปี ข้ อ 2.1 ระบุว่ารัฐบาลยังคงให้ ความสาคัญกับการพัฒนาเด็กปฐมวัย (0 – 5 ปี ) เพราะการ พัฒนาเด็กในวัยนี ้เป็ นช่วงเวลาสาคัญสาหรับพัฒนาการทางสมองของบุคคล การศึกษาระดับนี ้ ควรเป็ นการศึกษาเพื่อเตรี ยมความพร้ อม โดยการส่งเสริ มให้ ชุมชนหรื อสถาบันหรื อองค์กรใน ท้ องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันครอบครัวมีสว่ นร่วมในการจัดการศึกษาระดับนี ้ควบคู่ไปด้ วย ดังนัน้ การจัดทาแผนปฏิบตั ิการในนโยบายและมาตรการการจัดการศึกษาขันพื ้ ้นฐาน 12 ปี ต้ อง ให้ ครอบคลุมการพัฒนาเด็กปฐมวัย (0 – 5 ปี ) ซึง่ คณะกรรมการการศึกษาและพัฒนาเด็กปฐมวัย ของกระทรวงศึกษาธิ การ (ในโครงการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิ การ) ได้ กาหนด วิสยั ทัศน์ของการจัดการศึกษา และพัฒนาเด็กปฐมวัย (กระทรวงศึกษาธิการ. 2544) ไว้ ว่า “เด็ก ปฐมวัยทุกคนได้ รับบริ การที่เ หมาะสม เพื่อให้ เติบโตเรี ยนรู้ อย่างมีความสุขและพัฒนาทุกด้ าน อย่างสมดุล เต็มตามศักยภาพบนพื ้นฐานของความเป็ นไทย” และกาหนดยุทธศาสตร์ ระยะแรก ตังแต่ ้ ปี พ.ศ. 2543 – 2545 ส่วนหนึง่ ไว้ วา่


134 1. การพัฒนาเด็กอายุต่ากว่า 3 ปี ใช้ หลักการ บ้ านและชุมชนเป็ นฐานในการเลี ย้ งดู ซึง่ บุคคลสาคัญคือ พ่อแม่ ผู้ปกครอง และครอบครัว 2. เด็กอายุ 3 – 5 ปี ใช้ สถานพัฒนาเด็กหรื อรูปแบบอื่นที่เป็ นทังในระบบ ้ นอกระบบและ ตามอัธยาศัย โดยให้ ผ้ ดู แู ลเด็ก ฯลฯ มีลกั ษณะเป็ นมืออาชีพ และร่ วมมือกับพ่อแม่ ผู้ปกครอง และครอบครัว 3. การพัฒนาเด็กอายุ 0 - 5 ปี ที่ดีและมีคณ ุ ภาพ ต้ องมีระบบการส่งต่อเพื่อเชื่อมโยงจาก บ้ านไปศูนย์พฒ ั นาเด็กปฐมวัย และโรงเรี ยน ฯลฯ ยุทธศาสตร์ ระยะหลัง ตังแต่ ้ ปี พ.ศ. 2546 เป็ นต้ นไป เมื่อชุมชนมีความเข้ มแข็งพอ รัฐจะ กระจายความรับผิดชอบไปยังชุมชน ท้ องถิ่น บุคคล ครอบครัว องค์กร สถาบันต่าง ๆ ดาเนินการ เต็มที่ในทุก ๆ ด้ าน ซึ่งรัฐจะเป็ นเพียงผู้กาหนดนโยบาย รู ปแบบ การตรวจสอบมาตรฐาน การ ประเมินผล และการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสกลุม่ ต่าง ๆ เท่านัน้ รัฐสนับสนุนให้ องค์การบริ หารส่วน ท้ องถิ่น (องค์การบริ หารส่วนตาบล, องค์การบริ หารส่วนจังหวัด, เทศบาล, เอกชน และชุมชน) จัดการศึกษาปฐมวัยแทนรัฐ (http : // www.moe.go.th) ในปั จ จุบัน ได้ มี ก ารเสนอนโยบายและยุท ธศาสตร์ ก ารพัฒ นาเด็ ก ปฐมวัย (0 – 5 ปี ) ระยะยาว พ.ศ. 2550 – 2559 โดยความร่ วมมือของ 3 กระทรวง คือ กระทรวงศึกษาธิ ก าร กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมัน่ คงของมนุษย์ ซึง่ คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นควรให้ มีการบูรณาการแผนในทุกมิติ ไม่เฉพาะภาครัฐเท่านัน้ แต่ควรสนับสนุนให้ เอกชน เข้ ามามีสว่ นร่วมจัดการศึกษาปฐมวัยด้ วย กระทรวงศึกษาธิการกาหนดแนวนโยบายและยุทธศาสตร์ การพัฒนาเด็กปฐมวัย (0 – 5 ปี ) ระยะยาว พ.ศ.2550 – 2559 ไว้ ดังนี ้ วิสัยทัศน์ เด็กปฐมวัยทุกคนได้ รับและมีการพัฒนาที่เป็ นเลิศและเหมาะสมอย่างรอบด้ าน สมดุล เต็มศักยภาพ พร้ อมทังเรี ้ ยนรู้อย่างมีความสุข และเติบโตตามวัยอย่างมีคณ ุ ภาพ เพื่อเป็ น รากฐานอันสาคัญยิ่งในการพัฒนาเด็กในระยะต่อ ๆ ไป นโยบาย พัฒนาเด็กปฐมวัยช่วงอายุ 0 – 5 ปี ทุกคนอย่างเต็มศักยภาพและมีคณ ุ ภาพ เต็มที่ โดยให้ ครอบครัวเป็ นแกนหลัก และให้ ผ้ มู ีหน้ าที่ดแู ลเด็กและทุกส่วนของสังคมมีสว่ นร่วมใน การจัดบริการและสิ่งแวดล้ อมที่ดี เหมาะสมสอดคล้ องกับสภาพของท้ องถิ่นและเหมาะสมกับเด็ก ตามวัย กลุ่มเป้าหมาย เด็กอายุ 0 – 5 ปี ทุกคน พ่อแม่ สมาชิกในครอบครัว ผู้เตรี ยมตัวเป็ นพ่อ แม่ ผู้ที่เกี่ยวข้ องกับเด็กโดยตรง ได้ แก่ ผู้บริหารสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย ครู ผู้ดแู ลเด็ก พี่เลี ้ยงเด็ก ผู้สงู อายุที่ดแู ลเด็ก แพทย์ พยาบาล นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ เจ้ าหน้ าที่สาธารณสุข ชุมชน


135 ได้ แก่ องค์กรปกครองส่วนท้ องถิ่น องค์กรชุมชนต่าง ๆ ผู้นาทางศาสนา สังคม ได้ แก่ สถาบันทาง สังคม สื่อมวลชน สถาบันวิจยั สถาบันการศึกษา นักวิชาชีพและองค์กรวิชาชีพทังภาครั ้ ฐและ เอกชน รวมทังองค์ ้ กรธุรกิจและองค์กรระหว่างประเทศ ยุทธศาสตร์ การส่ งเสริมการพัฒนาเด็กปฐมวัย ประกอบด้ วย 1. การพัฒนาเด็กอายุต่ากว่า 3 ปี ให้ ครอบครัวเป็ นแกนหลักในการดูแลและส่งเสริ ม พัฒนาการทุกด้ าน 2. การพัฒนาเด็กอายุ 3 – 5 ปี เด็กอายุ 3 – 5 ปี ครอบครัวยังคงเป็ นแกนหลักในการดู และส่งเสริมพัฒนาการ และให้ สถานพัฒนาเด็ก สถานศึกษา หรื อรูปแบบอื่น ทังในระบบและนอก ้ ระบบและตามอัธยาศัย เป็ นที่ให้ บริการพัฒนาเด็ก 3. การพัฒนาเด็กอายุ 0 – 5 ปี ต้ องดีและมีคณ ุ ภาพรวมทังมี ้ การให้ บริการสุขภาพเด็ก อย่างสม่าเสมอ และมีระบบการส่งต่อที่ดีและทันต่อสถานการณ์เพื่อเชื่อมโยงจากบ้ านไปยังศูนย์ พัฒนาเด็กปฐมวัย โรงเรี ยน และหน่วยปรึกษาทางการแพทย์ ยุทธศาสตร์ การส่ งเสริมพ่ อแม่ และผู้เกี่ยวข้ องเพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัย ประกอบด้ วย 1. การพัฒนาเด็กปฐมวัย 0 – 5 ปี ให้ ใช้ หลักการที่มีบ้านและครอบครัว โดยมีพ่อแม่ ผู้ปกครอง และสมาชิกในครอบครัวเป็ นบุคคลสาคัญ เป็ นฐานในการอบรมเลี ้ยงดูและพัฒนาเด็ก ปฐมวัยอย่างเป็ นองค์รวม 2. พัฒนาความรู้และทักษะแก่ผ้ ทู ี่เกี่ยวข้ องกับเด็กปฐมวัย ในด้ านจิตวิทยาพัฒนาการเด็ก ตังแต่ ้ ยงั อยู่ในครรภ์จนถึงอายุ 5 ปี รวมถึงการให้ ความรู้ พื ้นฐานด้ านพัฒนาการเด็กอายุ 5 ปี รวมถึงการให้ ความรู้พื ้นฐานด้ านพัฒนาการเด็กอายุ 6 - 8 ปี เพื่อให้ เกิดความเข้ าใจอย่างต่อเนื่อง ของการพัฒนาการเด็กปฐมวัย ยุทธศาสตร์ การส่ งเสริมหน่ วยงานทางสังคมเพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัย ประกอบด้ วย 1. รัฐและสังคมร่วมรับผิดชอบในการจัดสิ่งแวดล้ อมและบริการให้ ครอบครัวและผู้เลี ้ยงดู ได้ พฒ ั นาเด็กปฐมวัยอย่างครบวงจร ตังแต่ ้ การวางแผนปฏิบตั ิการเฝ้าระวัง ตรวจสอบและ ประเมินผล 2. สร้ างความพร้ อมทางเศรษฐกิ จ และสัง คมให้ ชุม ชนและองค์ ก รท้ อ งถิ่ น ให้ เ อื อ้ ต่อ ครอบครัวที่มีเด็กปฐมวัย สามารถดาเนินการและจัดประสบการณ์การเรี ยนรู้เพื่อการพัฒนาเด็ก ปฐมวัยได้ อย่างมีประสิทธิภาพ 3. ให้ รัฐบาลกระจายความรับผิดชอบไปยังชุมชนท้ องถิ่น (ครอบครัว ชุมชน องค์การ บริหารส่วนตาบล เทศบาล เอกชน องค์กรเอกชน องค์กรธุรกิจ และอื่น ๆ) ดาเนินการเต็มที่ในทุก


136 ด้ านโดยรัฐมีหน้ าที่ กาหนดนโยบายระดับชาติ แนวทาง รู ปแบบ การตรวจสอบ มาตรฐาน การ ประเมินผลการสนับสนุน และการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสกลุม่ ต่าง ๆ พร้ อมทังสร้ ้ างสิง่ แวดล้ อมและ สื่อที่เอื ้อต่อการรับรู้และการพัฒนาเด็ก 4. สื่อมวลชนมีบทบาทสาคัญในการสร้ างเสริ มพัฒนาการของเด็กปฐมวัย ด้ วยการ เผยแพร่ ความรู้ และทักษะให้ พ่อแม่และผู้เลี ้ยงดูเด็กในรู ปแบบต่าง ๆ รวมถึง กระตุ้นให้ สงั คมเห็น ความสาคัญของการพัฒนาเด็กปฐมวัย กระทรวงสาธารณสุข เสนอนโยบายและยุทธศาสตร์ พ.ศ. 2549 – 2551 ไว้ ดังนี ้ 1. ยุทธศาสตร์ การส่งเสริมบริการทางการแพทย์ในการพัฒนาเด็กปฐมวัย 2. ยุทธศาสตร์ พฒ ั นาสถานรับเลี ้ยงเด็กให้ มีศกั ยภาพ 3. ยุทธศาสตร์ พฒ ั นาเด็กปฐมวัยให้ ได้ รับการพัฒนาศักยภาพสูงสุด 4. ยุทธศาสตร์ ประชาสัมพันธ์และพัฒนาสื่อเพื่อส่งเสริมการพัฒนาเด็ก 5. ยุทธศาสตร์ การจัดการปรับปรุงกฎหมายให้ เอื ้อต่อการพัฒนาเด็ก กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นาเสนอแผนปฏิบตั กิ าร พัฒนาเด็กปฐมวัย (0 – 6 ปี ) พ.ศ. 2551 – 2553 ไว้ ดงั นี ้ 1. แผนงานที่ 1 การเตรี ยมความพร้ อมสังคมไทยเพื่อการพัฒนาเด็กปฐมวัย (0 – 6 ปี ) การเตรี ยมความพร้ อมสังคมไทยเพื่อการพัฒนาเด็กปฐมวัย กลุ่มเป้าหมายที่ต้องเตรี ยมความ พร้ อม ประกอบด้ วยคูส่ มรสใหม่ พ่อ แม่ ครอบครัว ญาติ พี่เลี ้ยงเด็กที่อยู่บ้าน ชุมชน กลุม่ แกนนา อาสาสมัคร องค์กรพัฒนาเด็กในชุมชนและประชาชนทัว่ ไป 2. แผนงานที่ 2 การพัฒนาผู้เลี ้ยงดูเด็กปฐมวัย (0 – 6 ปี ) ที่ปฏิบตั ิงานที่สถานรับเลี ้ยงเด็ก และอาสาสมัครผู้ดแู ลเด็กในชุมชน 3. แผนงานที่ 3 การจัดสภาพแวดล้ อม สื่อ กระบวนการในการพัฒนาเด็กปฐมวัย (0 – 6 ปี ) ในการส่งเสริ มสนับสนุนให้ ผ้ ูดาเนินกิจการสถานรับเลี ้ยงเด็กเห็นความสาคัญของการจัด สภาพแวดล้ อมสื่อ และกระบวนการในการพัฒนาเด็ก


137 ตาราง 6.2 ยุทธศาสตร์ สาคัญที่จะนาไปสู่การปฏิบัตติ ่ อการพัฒนาเด็กปฐมวัย ในระยะ ยาว พ.ศ. 2549 – 2559 ของกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.2550 – 2559

กระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2549 – 2551

กระทรวงพัฒนาสังคมและ ความมั่นคงของมนุษย์ พ.ศ. 2551 – 2553 1. ยุทธศาสตร์ การส่งเสริมการ 1. ยุทธศาสตร์ การส่งเสริม 1. ยุทธศาสตร์ การเตรี ยมความ พัฒนาเด็กปฐมวัย บริการทางการแพทย์ในการ พร้ อมสังคมไทยเพื่อการ 2. ยุทธศาสตร์ การส่งเสริมพ่อ พัฒนาเด็กปฐมวัย พัฒนาเด็กปฐมวัย (0 – 6 ปี ) แม่และผู้เกี่ยวข้ องเพื่อพัฒนา 2. ยุทธศาสตร์ พฒ ั นาสถานรับ 2. ยุทธศาสตร์ การพัฒนาผู้ เด็กปฐมวัย เลี ้ยงเด็กให้ มีศกั ยภาพ เลี ้ยงดูเด็กปฐมวัย (0 – 6 ปี ) 3. ยุทธศาสตร์ การส่งเสริม 3. ยุทธศาสตร์ พฒ ั นาเด็ก 3. ยุทธศาสตร์ การจัดสภาพ หน่วยงานทางสังคมเพื่อ ปฐมวัยให้ ได้ รับการพัฒนา แวดล้ อม สื่อ กระบวนการใน พัฒนาเด็กปฐมวัย ศักยภาพสูงสุด การพัฒนาเด็กปฐมวัย 4. ยุทธศาสตร์ ประชาสัมพันธ์ และพัฒนาสื่อเพื่อส่งเสริมการ พัฒนาเด็ก 5. ยุทธศาสตร์ การจัดการ ปรับปรุงกฎหมายให้ เอื ้อต่อ การพัฒนาเด็ก ที่มา (http://www.aihd.mahidol.ac.th/) จะเห็นได้ ว่าในอนาคตการจัดการศึกษา และพัฒนาเด็กปฐมวัย ได้ รับความสนใจ เห็น ความสาคัญและส่งเสริ มให้ มีการจัดรูปแบบที่หลากหลาย วิธีการที่จดั ในปั จจุบนั สามารถนามาใช้ ได้ เพียงแต่ต้องพิจารณาหน่วยงาน หรื อองค์กรที่จดั ให้ มีความเป็ นเอกภาพ และพัฒนาคุณภาพ การจัดให้ ได้ มาตรฐาน ดังนัน้ การจัดการศึกษาปฐมวัยของเด็กในช่วงอายุ 0 – 3 ปี อาจจัดในรูป ศูนย์พฒ ั นา หรื อสถานศึกษา หรื อที่เรี ยกอย่างอื่น แต่โดยส่วนใหญ่จะเรี ยกว่า อนุบาล สามารถ


138 จัดให้ เหมาะสมกับสภาพแวดล้ อม เศรษฐกิจ สังคมของชุมชน และผู้ปกครอง ทังนี ้ ้เนื่องจากการ จัดการศึกษาระดับนี ้มีความสาคัญคือ 1. ผลการศึกษาของนักจิตวิทยา เช่น เพียเจต์ สกินเนอร์ ฯลฯ ได้ ทาการศึกษาเกี่ยวกับ พัฒนาการของเด็ก พบว่า องค์ประกอบส่วนหนึง่ ที่จะส่งผลต่อการพัฒนาความเจริญงอกงามของ เด็ก โดยเฉพาะเด็กที่อยู่ในวัยเริ่ มต้ นของชีวิต คือ สิ่งแวดล้ อม ดังนัน้ เด็กปฐมวัยถ้ าเข้ าสูร่ ะบบ การพัฒนาที่ถูกต้ อง ยิ่งเร็ วเท่าไรจะเกิดประโยชน์แก่ชีวิตเด็กมากเท่านัน้ เพราะจะเป็ นผลดีใน ด้ านการพัฒนาสมอง ซึ่ง จะต้ องมี ก ารกระตุ้น ที่ ถูกวิธี รวมทัง้ การพัฒนาทางบุคลิกภาพ ซึ่ง สอดคล้ องกับจิตวิท ยาพัฒนาการที่ ว่า ประสบการณ์ ต่าง ๆ ที่ เด็กรั บในตอนต้ น ของชี วิต จะมี อิทธิพลต่อเด็กในอนาคต 2. เด็กที่ด้อยโอกาส เช่น ร่ างกายพิการ พ่อแม่ยากจน เด็กประเภทนี ้จะไม่ได้ รับการ เลี ้ยงดูที่ถกู ต้ อง ขาดการกระตุ้น ส่งเสริ มศักยภาพ การจัดศูนย์พฒ ั นาเด็กหรื อสถานศึกษาที่มี คุณภาพจะทาให้ เด็กเหล่านี ้ได้ เข้ ามาอยูใ่ นสภาพแวดล้ อมที่ดี 3. สภาพเศรษฐกิจและสังคมในปั จจุบัน พ่อ แม่ ผู้ปกครองของเด็กวัยนี ้ ส่วนใหญ่ มี ภารกิจในการประกอบอาชีพ ประกอบกับสตรี มีโอกาสได้ รับการศึกษาสูงขึ ้น และนิยมทางานนอก บ้ านทาให้ ไม่สามารถเลี ้ยงดูลกู ด้ วยตนเองได้ จึงทิ ้งเด็กไว้ กบั พี่เลี ้ยง หรื อญาติผ้ ใู หญ่ อาจดูแล เด็กไม่มีคณ ุ ภาพเท่าที่ควร ซึ่งอาจก่อให้ เกิดปั ญหาสุขภาพ เช่น การขาดสารอาหาร ฯลฯ และ ปั ญหาสังคม เช่น การใช้ โทรทัศน์เลี ้ยงเด็ก ซึง่ จะมีผลต่อพัฒนาการของเด็ก ฯลฯ ตามมา 4. พ่อ แม่ ผู้ปกครองเด็ก นิยมส่งลูกเข้ าโรงเรี ยนอนุบาล ซึง่ รับเด็กตังแต่ ้ อายุ 3 ปี เข้ า เรี ยนในอนุบาลปี ที่ 1 และเรี ย น 3 ปี จนถึง อนุบาลปี ที่ 3 หรื อนิยมส่ง บุตรหลานเข้ าเรี ยนใน โรงเรี ยนอนุบาลเอกชนในปี ที่ 1 และย้ ายโรงเรี ยนในโรงเรี ยนอนุบาล ซึ่งจัดอนุบาล 2 ปี ซึง่ จะรับ เด็กอายุ 3 ½ - 4 ปี เข้ าเรี ยนในชันอนุ ้ บาลปี ที่ 1 ในกรณีที่ชมุ ชนนันไม่ ้ มีโรงเรี ยนอนุบาลเอกชน ผู้ปกครองที่มี ภารกิจจะนาลูกไปฝากไว้ ใน ศูนย์พฒ ั นาเด็ก หรื อที่เรี ยกชื่อเป็ นอย่างอื่น เพื่อเข้ าชันเรี ้ ยนอนุบาลก่อนพาไปเข้ าเรี ยนในโรงเรี ยน อนุบาลในปี ต่อไป ดังนัน้ การจัดการศึกษาระดับอนุบาล โดยเฉพาะสาหรับเด็กอายุ 3 – 5 ปี มีความสาคัญ ซึง่ จะมีผลต่อชีวิตเด็กทุก ๆ ด้ าน รัฐควรมีนโยบายการให้ บริ การการศึกษาด้ านนี ้อย่างเต็มที่ ส่วน พ่อ แม่ ผู้ปกครองเด็กที่มีความพร้ อมอาจไม่ใช้ บริการนี ้จะอบรมเลี ้ยงดูให้ การศึกษาด้ วยตนเองก็ได้ ถือเป็ นการศึกษาตามอัธยาศัย (http://www.aihd.mahidol.ac.th/)


139

ทิศทางการจัดการศึกษาสาหรับเด็กปฐมวัย ในการจัดการศึกษาสาหรับเด็กปฐมวัย ควรดาเนินการภายใต้ ข้อตกลงเบื ้องต้ น หมายถึง การทาความเข้ าใจในทิศทางที่ตรงกันร่วมกัน ซึง่ สิริมา ภิญโญอนันตพงษ์ (2550, หน้ า 33 – 36) ได้ กล่าวทิศทางการจัดการศึกษาสาหรับเด็กปฐมวัยดังต่อไปนี ้ 1. ทิศทางการจัดการศึกษาเด็กปฐมวัย ควรครอบคลุมดังนี ้ เด็กปฐมวัยโดยธรรมชาติ แล้ วมีความอยากรู้ อยากเห็น มีความสามารถในการเรี ยนรู้ มีความกระตือรื อร้ นที่จะเรี ยนรู้ การ จัดประสบการณ์การจัดกิจกรรมการเรี ยนรู้ในสภาพแวดล้ อมที่สนับสนุนและส่งเสริ มเด็กกระตุ้นให้ เด็กเกิดการเรี ยนรู้ เป็ นคนเก่ง คนดี และมีความรู้ สขุ สามารถริ เริ่ มและสามารถกากับการเรี ยนรู้ ของตนเองได้ สามารถสร้ างสรรค์ความรู้ขึ ้นได้ จากการมีปฏิสมั พันธ์กบั บุคคลอื่นและได้ รับสื่อวัสดุ อุปกรณ์ ที่มีความหมายในสถานการณ์ ที่เป็ นจริ ง มีพัฒนาการด้ านสติปัญญา ร่ างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคมในระดับและอัตราที่ต่างกัน เด็กควรได้ รับการพัฒนาพร้ อมกันโดยรวมกันทุก ด้ านในช่วงแปดปี แรกซึง่ เป็ นวัยพัฒนาที่สาคัญ 2. ทิศทางการเรียนรู้ มีดงั นี ้ กระบวนการเรี ยนรู้เริ่มจากรูปธรรมไปสูน่ ามธรรมโดยอาศัย การเสาะแสวงหาและค้ นหาคาตอบ การจัดสภาพแวดล้ อมหลากหลายที่กระตุ้นการเรี ยนรู้ การจัด สภาพสังคมที่กระตุ้นให้ ปฏิสมั พันธ์ กับผู้เรี ยน ผู้มีประสบการณ์ จดั กิจกรรมขันตอนการเรี ้ ยนรู้ ที่ เหมาะสม เมื่อเกิดการเรี ยนรู้แล้ วย่อมเข้ าฝั งลึกภายในจิตใจ มีความหลากหลายทางสติปัญญาที่ แตกต่างกันในการเรี ยนรู้ เช่น ด้ านภาษา คณิตศาสตร์ มิติสมั พันธ์ กล้ ามเนื ้อ การเคลื่อนไหว ทางร่างกาย การเข้ าใจผู้อื่น การเข้ าใจตนเองและอื่น ๆ การเรี ยนรู้ทงหมดเป็ ั้ นพื ้นฐานสังคมมา จากพื ้นฐานของเด็กช่วงปฐมวัย 3. ทิศทางความรู้ มีดงั นี ้ ความรู้ มีรากฐานมาจากความสามารถทางภาษา ความเชื่อ และวัฒนธรรม ประเพณีที่ต่างกัน ความรู้ มีหลากหลายสาขาวิชา ทังผลงานการผลิ ้ ตและทักษะ วิธีการมีความสาคัญต่อการได้ มาซึง่ ความรู้ ความรู้ ที่ผ่านกระบวนการแก้ ปัญหาจะช่วยให้ ความรู้ ความยัง่ ยืนกว่าการจดจา 4. ทิศทางการเรียนการสอน มีดงั นี ้ 1) ครู ผ้ ูสอน จะต้ องได้ รับการฝึ กอบรมทักษะการสอนเป็ นพิเศษ โดยเฉพาะ อย่างยิ่งในการสอนเด็กปฐมวัย 2) การเรี ย นการสอน ต้ อ งเป็ นการสอนที่ เ น้ น ตอบสนองผู้เ รี ย นเป็ นส าคัญ มากกว่าเน้ นทักษะการท่องจาเนื ้อหาสาระตามหลักสูตร เน้ นการส่งเสริ มเป็ นรายบุคคลและเป็ น กลุม่ เล็ก ครอบคลุมและตอบสนองต่อการค้ นคว้ าวิจยั ที่เกิดขึ ้นใหม่และความรู้ใหม่ ๆ เกี่ยวกับการ


140 เจริ ญงอกงาม พัฒนาการและการเรี ยนรู้ ของผู้เรี ยน ครอบคลุมและตอบสนองต่อขอบข่ายการ เรี ยนรู้ที่ขยายมากขึ ้นอย่างไม่จบสิ ้นในทุกสาขาวิชา ต้ องยอมรับความแตกต่างทางด้ านวัฒนธรรม และลีลาการเรี ยนรู้ ที่ แตกต่างกันของผู้เรี ยน การเรี ยนการสอนจะต้ องดาเนินควบคู่ไปกับการ ประเมินอย่างต่อเนื่องกันไปด้ วยกันและกลมกลืนเป็ นสิง่ เดียว 5. ทิศทางการประเมินการเรี ยน มีดงั นี ้ การประเมินด้ วยการเปรี ยบเทียบผลงาน ระหว่างกันในกลุ่มทังหมดเป็ ้ นสิ่งที่เกือบไม่มีคณ ุ ค่าใด ๆ การประเมินการเรี ยนรู้ โดยเน้ นผู้เรี ยน เป็ นสาคัญ มิใช่การสะท้ อนปริ มาณความรู้ ที่มีอยู่แต่เป็ นการสะท้ อนปฏิสมั พันธ์ระหว่างบุคคลกับ สิ่ง แวดล้ อมและความสามารถที่ เกิ ดขึน้ แต่เป็ นการประเมิน สภาพที่ มีรากฐานของการสร้ าง หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ในการให้ ข้อมูลทางด้ านพัฒนาการ ความคิดและจิตวิทยา เป็ นการ ประเมินสภาพจริ งที่ให้ ข้อมูลสารสนเทศที่เที่ยงตรงเกี่ยวกับผู้เรี ยนรวมทังกระบวนการเรี ้ ยนรู้ ต้อง พิ จ ารณาถึ ง สติ ปั ญ ญาที่ แ ตกต่า งกัน ลี ล าการเรี ย นรู้ ที่ แ ตกต่า งกัน และสภาพการเรี ย นรู้ ที่ แตกต่างกันและสะท้ อนความเข้ าใจได้ ถกู ต้ องที่สดุ จากความแตกต่างของมนุษย์ การประเมินตาม สภาพจริงมีรากฐานจากความรู้ด้านการเจริ ญงอกงามและพัฒนาการของผู้เรี ยนที่สามารถทานาย การปฏิบตั ิในอนาคตได้ เที่ยงตรง รูปแบบการประเมินเชิงคุณภาพสามารถให้ ข้อมูลเกี่ยวกับผู้เรี ยน ได้ อย่างปรนัยและเชื่อถือได้ การประเมินที่เหมาะสมกับพัฒนาการได้ มาจากการพัฒนาหลักสูตร ได้ อย่างเหมาะสมกับพัฒนาการและในทางกลับกัน หลักสูตรมีความเหมาะสมกับการพัฒนาการ ของผู้เรี ยนได้ มาจากการประเมินที่เหมาะสมกับพัฒนาการ การประเมินการเรี ยนรู้ เน้ นผู้เรี ยนเป็ นสาคัญเป็ นการประเมินตามสภาพจริ ง ที่ต้องเปิ ด โอกาสให้ ผ้ ูเ รี ยนและครู ผ้ ูสอนสะท้ อนความคิดเห็นต่อเป้าหมายและแนวทางสู่ความสาเร็ จได้ แนวคิด หลักการ และทิศทางในการจัดการเรี ยนการสอนของระดับปฐมวัย ซึง่ เมื่อมองภาพการ จัดการศึกษาในระดับนี ้โดยรวมแล้ วมุ่งเน้ นพัฒนาเด็กโดยส่วนรวมทุกด้ านคือ ร่ างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา แนวโน้ มการจัดการศึกษาในระดับปฐมวัยจึงมีแนวโน้ มการจัดการเรี ยนเน้ นผู้เรี ยนเป็ น สาคัญ มีลกั ษณะดังนี ้ มุง่ เสริมสร้ าง/สนับสนุน เกี่ยวกับวุฒิภาวะพัฒนาการและการเรี ยน มุง่ เน้ น พัฒนาการที่เกิดขึ ้นอย่างเด่นชัด มุ่งให้ ความสาคัญกับจุดเด่นของผู้เรี ยน มุ่งเน้ นผลจากการจัด หลักสูตรการเรี ยนการสอนที่เน้ นผู้เรี ยนเป็ นสาคัญ มุ่งเน้ นสถานการณ์ ที่สอดคล้ องกับชีวิตจริ ง มุ่ง อาศัย การปฏิ บัติ มุ่ง สอดคล้ อ งกลมกลื น กับ การเรี ย นการสอน มุ่ง เน้ น การเรี ย นรู้ อย่า งมี จุดหมาย มุ่งดาเนินควบคู่ไปกับทุกสภาพแวดล้ อม มุ่งสามารถให้ ภาพเรื่ องราวการเรี ยนรู้ และ ความสามารถของผู้เรี ยนทัว่ ๆ ไป มุง่ อาศัยความร่วมมือกันระหว่างผู้ปกครอง ครูและนักเรี ยน


141 รวมทังบุ ้ คคลในวิชาชีพอื่น ๆ ตามความจาเป็ น วัฒนา ปุญญฤทธิ์ (2551) กล่าวถึงการจัดการศึกษาปฐมวัยตามแผนพัฒนาฉบับที่ 10 ไว้ ว่า การพัฒนาเด็กปฐมวัยให้ มีภูมิ ค้ มุ กัน มีคณ ุ ภาพเพื่อเติบโตสู่สงั คมแห่งภูมิปัญญาและสุข อย่างเพียงพอ จากสภาพที่แสดงให้ เห็นถึงบริ บทการเปลี่ยนแปลงทางด้ านสังคมและสิ่งแวดล้ อม เด็ ก ในวัน นี จ้ ึ ง ต้ อ งได้ รั บ การสร้ างภูมิ ค้ ุม กัน ให้ กับ ตัว เอง เพื่ อ ให้ เ ป็ นคนที่ ร อบรู้ เท่ า ทัน การ เปลี่ยนแปลงนัน้ และในอนาคตของเด็กที่มีภมู ิค้ มุ กันนี ้จะเป็ นผู้เข้ าไปสูฐ่ านะของผู้จดั ระบบคุ้มกัน สังคม การพัฒนาเด็กปฐมวัยของสถานศึกษามีแนวทาง ดังนี ้ 1. การปลูกฝั งคุณธรรมพื ้นฐานให้ เกิดขึ ้นซึ่งได้ แก่ คุณธรรมเรื่ องความขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ มีวินยั สุภาพ สะอาด สามัคคี และมี น ้าใจ การปลูกฝั งคุณธรรมนี ้เกิดจากการสอนสัง่ การอบรม การฝึ กให้ ทา การชมเชยยกย่องเมื่อเด็กทาดี ให้ กาลังใจเมื่อเขาประสบความลาบาก ในการทาดี การอบรมและเป็ นตัวแบบที่ดีของผู้ใหญ่ในบ้ าน ในชุมชน และในประเทศ 2. ในสถานศึก ษาปฐมวัย จัด ให้ มี ก ารจัด ประสบการณ์ ที่ เ น้ นเป้ าหมายการปลูก ฝั ง คุณธรรมควบคู่กับการจัดประสบการณ์ ด้านความรู้ โดยยึดผู้เรี ย นเป็ นศูน ย์ กลาง ฝึ กทักษะ พื ้นฐานที่จาเป็ น ฝึ กทักษะชีวิต การคิดสร้ างสรรค์ การใฝ่ หาความรู้ เรี ยนรู้ จากภูมิปัญญาและ แหล่งเรี ยนรู้ ในท้ องถิ่น เรี ยนรู้ เทคโนโลยีพื ้นบ้ านที่พึ่งพาตนเอง ปลูกฝั งจิตใจที่รักท้ องถิ่น และรู้ คุณ ค่า ของสิ่ง แวดล้ อ มทัง้ หมดนี อ้ ยู่บ นพื น้ ฐานการเรี ย นรู้ โดยการปฏิ บัติ และการแนะน าเป็ น แบบอย่างที่ดีของผู้ใหญ่ 3. จัดการพัฒนาเด็กอย่างมีส่วนร่ วม ทัง้ นีก้ ารพัฒนาเด็กคงจะไม่ประสบความสาเร็ จ หากเป็ นการจัดการเฉพาะในสถานศึกษา แต่ต้องเกิ ดจากความตัง้ ใจและการมีส่วนร่ วมของ ครอบครัว ชุมชน และสถาบันต่าง ๆ ภายในชุมชน ดังนันจึ ้ งต้ องสร้ างความตระหนักให้ แก่ชมุ ชน โดยยึดเป้าหมายว่า เด็ก ปฐมวัย ทุกคนเป็ นเด็กของชุมชน ดัง นัน้ ชุมชนต้ องมี บทบาทในการ กาหนดวัตถุประสงค์ แนวทาง วิธีการ และร่ วมกันพัฒนาเด็กของชุมชนไปยังเป้าหมายที่ชมุ ชน กาหนด 4. สถานศึกษาจะต้ องตระหนักถึงบทบาทหน้ าที่ในการจัดการเรี ยนรู้และเป็ นแหล่งเรี ยนรู้ ของชุมชนในเรื่ องที่เกี่ยวกับการจัดการศึกษาปฐมวัย ได้ แก่ การรวบรวมองค์ความรู้ที่เกี่ยวกับการ พัฒนาเด็ก การทาวิจยั ร่ วมกับชุมชนเพื่อ แก้ ปัญหาที่กระทบต่อครอบครัวและตัวเด็ก การจัดการ แหล่งความรู้ในชุมชน การรวบรวมภูมิปัญญาท้ องถิ่น และเทคโนโลยีการพึง่ พาตนเองของชุมชน เมื่อการถ่ายทอดทางวัฒนธรรมและองค์ความรู้ ตลอดจนการร่วมกับชุมชนในการปลูกฝั งให้ เด็ก ใช้ ชีวิตอย่างเป็ นมิตรกับสิ่งแวดล้ อม และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติในท้ องถิ่นอย่างเหมาะสม


142 การพัฒนาเด็กในลักษณะดังกล่าวเป็ นแนวทางหนึ่งของการจัดการการศึกษาปฐมวัยที่ มุง่ เน้ นให้ เกิดผลลัพธ์ที่ตวั เด็ก ให้ มีภมู ิค้ มุ กันที่ดี สามารถดูแลตนเองได้ สามารถสร้ างสังคมที่เป็ น สุขอย่างพอเพียงได้ กล่าวคือ ไม่เป็ นผู้สร้ างปั ญหา เป็ นผู้ป้องกันปั ญหา เป็ นผู้แก้ ปัญหา และ เป็ นผู้สร้ างสรรค์จรรโลงสิ่งที่มีคณ ุ ค่าในสังคมในอนาคต

บทบาทหน้ าที่ขององค์ กรปกครองส่ วนท้ องถิ่น นับตังแต่ ้ ปี พ.ศ. 2544 เป็ นต้ นมา รั ฐบาลมีนโยบายถ่ายโอนการศึกษาระดับปฐมวัย ให้ กบั องค์กรปกครองส่วนท้ องถิ่น บริ หารจัดการศูนย์พฒ ั นาเด็กเล็ก ซึ่งเป็ นแผนของการกระจาย อานาจให้ แก่องค์กรปกครองสวนท้ องถิ่นโดยให้ มีบทบาทในการจัดการศึกษา ดังนี ้ 1. การจัดการศึกษาระดับปฐมวัย เพื่อให้ เด็กเล็กและเด็กปฐมวัย ได้ รับการส่งเสริ ม พัฒนาและเตรี ยมความพร้ อมทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคมและสติปัญญา ให้ มีความพร้ อม ที่จะเข้ ารับการศึกษาในระดับขันพื ้ ้นฐาน 2. การจัด การศึก ษาขัน้ พื น้ ฐาน เพื่ อ ให้ เ ด็ ก ที่ มี อ ายุอ ยู่ใ นเกณฑ์ ก ารศึก ษาได้ เ ข้ า รั บ การศึกษาตามหลักสูตรอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน ให้ เกิดสมดุลทังด้ ้ านร่ างกาย จิตใจ สังคม ความมีคณ ุ ธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่ถกู ต้ อง 3. การจัดบริการให้ ความรู้ด้านอาชีพ เพื่อพัฒนาและประกอบอาชีพสร้ างรายได้ และให้ ทุกคนมีงานทา 4. การจัดการส่ง เสริ มกี ฬ า นัน ทนาการ และกิ จกรรมเด็ กและเยาวชน เพื่อ ให้ เด็ ก เยาวชน และประชาชนได้ ใช้ เวลาให้ เป็ นประโยชน์ 5. การดาเนินงานด้ านศาสนา ศิลปวัฒนธรรม จารี ตประเพณี และภูมิปัญญาท้ องถิ่น เพื่อการอนุรักษ์ บารุงรักษา และเสริ มสร้ างเอกลักษณ์ความเป็ นไทย ที่สอดคล้ องกับวิถีชีวิตและ ความหลากหลายทางวัฒนธรรม รู ป แบบการส่ง เสริ ม การจัดการศึกษาปฐมวัย ขององค์ ก รปกครองส่วนท้ องถิ่ น นัน้ มี 3 รูปแบบ คือ รู ปแบบที่ 1 เป็ นรู ปแบบที่เหมาะกับองค์กรปกครองส่วนท้ องถิ่นที่มีความพร้ อมมากใน ด้ านอาคารสถานที่ บุคลากร งบประมาณ วัสดุและการจัดการ โดยจัดในโรงเรี ยนอนุบาลประจา จังหวัด/อาเภอ และโรงเรี ยนสังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขันพื ้ ้นฐาน ซึง่ สานักงาน คณะกรรมการการศึกษาขันพื ้ ้นฐานให้ การสนับสนุนช่วยเหลือด้ านวิชาการ รูปแบบที่ 2 เป็ นรูปแบบที่เหมาะกับองค์กรปกครองส่วนท้ องถิ่นที่มีความพร้ อมระดับปานกลาง


143 ให้ องค์กรปกครองส่วนท้ องถิ่นรับภาระเกี่ยวกับการจ้ างครู พี่เลี ้ยง วัสดุฝึก สื่อต่าง ๆ โรงเรี ยนให้ สถานที่ จัดอาหารเสริม (นม) อาหารกลางวัน และดูแลด้ านวิชาการ รู ปแบบที่ 3 เป็ นรู ปแบบที่เหมาะกับองค์กรปกครองส่วนท้ องถิ่นที่มีความพร้ อมน้ อยก็ให้ โรงเรี ย นรั บ ผิ ดชอบเป็ นส่ว นใหญ่ ส่วนองค์ ก รปกครองส่ว นท้ อ งถิ่ น รั บผิ ด ชอบบางส่วน เช่ น ค่าจ้ างครูพี่เลี ้ยง หรื อค่าวัสดุ/สื่อ เป็ นต้ น กระทรวงศึกษาธิการ โดยสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขันพื ้ ้นฐาน จึงมีนโยบายลด ภาระการจัดการศึกษาระดับปฐมวัย โดยถ่ายโอนการจัดการอนุบาล 3 ขวบ ให้ แก่องค์กรปกครอง ส่วนท้ องถิ่น เริ่มตังแต่ ้ ปีการศึกษา 2544 โดยมีหลักการสาคัญ ดังนี ้ 1. โรงเรี ยนในสังกัดของกระทรวงศึกษาธิการจะไม่จดั ชันอนุ ้ บาล 3 ขวบ 2. สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขันพื ้ ้นฐาน จะให้ การสนับสนุนด้ านวิชาการและ มาตรฐานคุณภาพ เพื่อให้ องค์กรปกครองส่วนท้ องถิ่นมีความพร้ อมในการจัดการศึกษาปฐมวัย ซึ่ ง ในการด าเนิ น งานได้ ประสานงานกั บ กระทรวงมหาดไทย และแจ้ งให้ ส านั ก งานการ ประถมศึกษาจังหวัดดาเนินการตามนโยบาย โดยให้ ความร่ วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้ องถิ่น ในด้ านต่าง ๆ ดังนี ้  ด้ านอาคารสถานที่ หากองค์กรปกครองส่วนท้ องถิ่นใดขาดแคลนอาคาร สถานที่ ใ นการจั ด อนุ บ าล 3 ขวบ และประสงค์ จ ะขอให้ อาคารสถานที่ ข องสถานศึ ก ษา ให้ ดาเนินการตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้ วยการขอให้ อาคารสถานที่ของสถานศึกษา พ.ศ. 2539  ด้ านครูอตั ราจ้ างหรื อครูที่ทาการสอนอนุบาล 3 ขวบเดิม ในระหว่างที่องค์กร ปกครองส่วนท้ องถิ่นยังไม่สามารถจ้ างครู ผ้ สู อนอื่นมาทดแทนได้ ให้ สถานศึกษาให้ ความร่ วมมือ ดาเนินการสอนในปี การศึกษา 2544 ไปตามเดิมก่อน  ด้ านวิชาการ ให้ สถานศึกษาสนับสนุนด้ านวิชาการแก่องค์กรปกครองส่วน ท้ องถิ่น ทังในด้ ้ านการเป็ นห้ องเรี ยนต้ น แบบและสนับสนุนเอกสารสื่อต่าง ๆ นอกจากนันยั ้ งได้ เตรี ยมถ่ายโอนงบประมาณที่เกี่ยวข้ องกับการจัดการศึกษาระดับปฐมวัย (อนุ บาล 3 ขวบ) ให้ แก่ องค์กรปกครองส่วนท้ องถิ่นด้ วย ดังนัน้ ในปั จจุบนั กระทรวงมหาดไทยจึงเป็ นหน่วยงานหลักที่ ทาหน้ าที่ จัดการศึกษาใน ระดับปฐมวัยตามกรอบของกฎหมายของการกระจายอานาจให้ แก่องค์กรปกครองส่วนท้ องถิ่น จากการสารวจในปี พ.ศ.2549 พบว่ามีศนู ย์พฒ ั นาเด็กเล็กที่สงั กัดองค์กรปกครองส่วนท้ องถิ่น กระทรวงมหาดไทยอยูจ่ านวนรวมทังสิ ้ ้น 15,736 แห่ง


144

รู ปแบบการจัดการศึกษาปฐมวัย การจัดการศึกษาปฐมวัยของประเทศไทยสามารถจาแนกรูปแบบของการจัดสถานพัฒนา เด็กปฐมวัยได้ ใน 2 รูปแบบ คือ สถานพัฒนาเด็กในรูปแบบโรงเรี ยน และการจัดสถานพัฒนาเด็ก ในรู ป แบบศูน ย์ พัฒ นาเด็ ก โดยแต่ ล ะรู ป แบบจะมี น โยบาย วัต ถุป ระสงค์ แ ละลัก ษณะการ ดาเนินงานที่เป็ นลักษณะเฉพาะของตน ดังที่ วัฒนา ปุญญฤทธิ์ (2542, หน้ า 22 – 28) กล่าวถึง รูปแบบการจัดการศึกษาปฐมวัยในประเทศไทยไว้ ดงั นี ้ การจัดการศึกษาปฐมวัยในรูปแบบโรงเรียน การจัดการศึกษาปฐมวัยเป็ นการศึกษาในระดับขันพื ้ ้นฐานที่ไม่ใช่การศึกษาภาคบังคับ จึ ง ท าให้ มี ห ลายหน่ ว ยงานให้ ค วามสนใจเข้ า มามี ส่ว นในการด าเนิ น การ และเข้ า มามี ส่ ว น รับผิดชอบการจัดการศึกษาระดับนี ้ ซึง่ ประกอบไปด้ วย หน่วยงานภาครัฐ และเอกชน โดยที่จะมี ลักษณะการดาเนินการ และวัต ถุประสงค์เฉพาะตนของหน่วยงาน มีหลายหน่วยงานที่เข้ ามา รับผิดชอบและดาเนินการจัดการศึกษาปฐมวัยในรูปแบบโรงเรี ยน ได้ แก่ กระทรวงศึกษาธิการ เป็ นหน่วยงานหลักที่จดั การศึกษาในระดับปฐมวัยในรูประบบ โรงเรี ยน โดยมีหน่วยงานย่อยในการรับผิดชอบงาน ได้ แก่ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พื ้นฐาน สานักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน สานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา โดย แต่ละหน่วยงานมีลกั ษณะการดาเนินงานที่มีวตั ถุประสงค์เฉพาะของแต่ละหน่วย ดังนี ้ 1. สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขันพื ้ ้นฐาน นโยบายที่จดั 1) ให้ ความรู้ พัฒนาเด็กและเตรี ยมความพร้ อมให้ เด็กเพื่อเข้ าเรี ยนในชัน้ ประถมศึกษา 2) เพื่อเป็ นตัวอย่างแก่เอกชนในการจัดการศึกษาระดับนี ้ 3) เป็ นแหล่งฝึ กอบรมบุคลากรที่จะไปดูแลเด็กในโรงเรี ยน/ศูนย์เด็ก ลักษณะการดาเนินงาน เดิมจัด 2 รูปแบบ คือ ชันอนุ ้ บาล และชันเด็ ้ กเล็ก ชัน้ อนุบาลจัด 2 ปี เป็ นโรงเรี ยนอนุบาลประจาจังหวัด ทังอยู ้ ใ่ นเขตเมือง และชนบท รับเด็กอายุ 4 – 6 ปี ส่วนชันเด็ ้ กเล็ก รับเด็กอายุ 3 ปี ครึ่ง – 4 ปี เข้ าเรี ยนหลักสูตร 1 ปี จัดในโรงเรี ยนประถมศึกษา ที่ อ ยู่ใ นท้ อ งถิ่ น ที่ ใ ช้ ภ าษาอื่ น มากกว่ า ภาษาไทย เพื่ อ ให้ เ ด็ ก ได้ เ ตรี ย มความพร้ อมในการใช้ ภาษาไทยที่ถกู ต้ อง ปั จจุบนั เลิกจัดชันเด็ ้ กเล็ก แต่จดั เพิ่ม 1 ชันคื ้ อเตรี ยมอนุบาล เรี ยกว่า อนุบาล 3 ขวบ ซึง่ อนุบาล 3 ขวบ กาลังจะโอนให้ องค์การบริหารส่วนตาบลทังหมด ้


145 2. สานักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน นโยบายที่จดั 1) เพื่อแบ่งเบาภาระของผู้ปกครองในการเลี ้ยงดูเด็ก 2) เพื่อเตรี ยมความพร้ อมด้ านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคมและสติปัญญาให้ เด็ก ลักษณะการดาเนินงาน จัดการศึกษาในหลักสูตรอนุบาล 3 ปี รับเด็กวัยก่อน เกณฑ์การศึกษาภาคบังคับตังแต่ ้ อายุ 3 – 6 ปี 3. สานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา นโยบายที่จดั 1) เตรี ย มสภาพเด็ ก ให้ พ ร้ อมที่ จ ะช่ ว ยเหลื อ ตนเองได้ เพื่ อ เข้ า เรี ย นในชัน้ ประถมศึกษา 2) ส่งเสริมให้ เด็กได้ เจริญเติบโตทังทางร่ ้ างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา ปลูกฝั งนิสยั อันดีงามให้ แก่เด็กและฝึ กระเบียบวินยั 3) เพื่อเป็ นสถานศึกษาฝึ กปฏิบตั ิการสาหรับนักศึกษาสาขาการศึกษาปฐมวัย 4) เพื่ อใช้ เป็ นสถานที่ สาหรั บการศึกษา สัง เกต ทดลอง และวิจัยในเรื่ องที่ เกี่ยวข้ องกับการศึกษาระดับปฐมวัย สาหรับนิสิต นักศึกษา ครู อาจารย์ ผู้ที่เกี่ยวข้ องและผู้ที่สนใจ ทัว่ ไป ลักษณะการดาเนินงาน จัดการศึกษาในระบบโรงเรี ยนในโรงเรี ยนสาธิ ตของ มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ให้ แก่เด็กอายุ 3 – 6 ปี จานวน 2 หลักสูตร ได้ แก่ หลักสูตรอนุบาล 2 ปี และ หลักสูตรอนุบาล 3 ปี เพื่อเตรี ยมความพร้ อมให้ แก่เด็ก สานักนายกรัฐมนตรี กองบัญชาการตารวจตระเวนชายแดน สานักงานตารวจแห่งชาติ นโยบายที่จดั 1) เพื่อจัดการศึกษาระดับก่อนประถมศึกษาแก่เด็กในถิ่นทุรกันดารห่างไกลและ ตามแนวชายแดน การคมนาคมไม่สะดวก 2) ช่วยพัฒนาเด็กให้ มีความพร้ อมก่อนเข้ าเรี ยน 3) ส่งเสริมสุขภาพอนามัยและภาวะโภชนาการที่ดีให้ กบั เด็ก ลักษณะการดาเนินงาน ดาเนินการจัดการศึกษาปฐมวัยใน 2 รู ปแบบ คือ ชัน้ ก่อนอนุบาลรับเด็กอายุ 2 ½ - 3 ปี เข้ าไว้ ในสถานสงเคราะห์เด็ก และกลุม่ อายุ 3 – 6 ปี ในชัน้ ก่อนประถมศึกษา เข้ าเรี ยนในโรงเรี ยนประถมศึกษาของตารวจตระเวนชายแดน


146 กระทรวงมหาดไทย 1. กรมส่งเสริ มการปกครองส่วนท้ องถิ่น (องค์การบริ หารส่วนจังหวัด, เทศบาล, องค์การ บริหารส่วนตาบล, พัทยาและกรุงเทพมหานคร) นโยบายที่จดั 1) เพื่อช่วยเหลือผู้ปกครองในท้ องถิ่นในการแบ่งเบาภาระ 2) ช่วยพัฒนาเด็กทัง้ 4 ด้ าน ฝึ กความพร้ อมก่อนเข้ าเรี ยน 3) เผยแพร่แนวทางอบรมแก่ผ้ เู ลี ้ยงดูเด็กเล็ก ให้ มีการเลี ้ยงดูเด็กอย่างถูกต้ อง และเหมาะสม 4) แก้ ปัญหาให้ แก่ชุมชนในสังคม ส่งเสริ มให้ ประชาชนได้ เข้ ามามีส่วนร่ วมใน การดาเนินงานโดยมีกรมส่งเสริมการปกครองท้ องถิ่นให้ การสนับสนุน ลัก ษณะการดาเนิน งาน ดาเนิ นการจัดการศึกษาปฐมวัย ชัน้ เตรี ยมอนุบาล เรี ย กว่ า อนุบ าล 3 ขวบ ซึ่ง อนุบ าล 3 ขวบ ก าลัง จะได้ รั บ จากโรงเรี ย นในสัง กัด ส านัก งาน คณะกรรมการการศึกษาขันพื ้ ้นฐานทังหมด ้ จัดตังศู ้ นย์พฒ ั นาเด็กเล็กขึ ้นในตาบล หมูบ่ ้ าน 2. กรุงเทพมหานคร โดยสานักการศึกษา นโยบายที่จดั 1) เพื่อช่วยเหลือผู้ปกครองในการแบ่งเบาภาระ 2) ช่วยพัฒนาเด็ก ฝึ กความพร้ อมก่อนเข้ าเรี ยนระดับชันประถมศึ ้ กษา ลักษณะการดาเนินงาน จัดการศึกษาหลักสูตรอนุบาล 2 ปี รับเด็กอายุ 4 ปี ใน ชันอนุ ้ บาลปี ที่ 1 การจัดการศึกษาปฐมวัยในรูปแบบศูนย์ พัฒนาเด็ก การจัดการศึกษาปฐมวัยในรู ปแบบศูนย์พฒ ั นาเด็ก ได้ มีความร่ วมมือกับดาเนินการโดย หน่วยงานหลายหน่วยงานทังภาครั ้ ฐ ภาคเอกชนและชุมชนท้ องถิ่น ซึ่งต่างพยายามนารู ปแบบ และวิธีการต่าง ๆ เข้ ามาช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็ก หน่วยงานที่ดาเนินการจัดการศึกษา ปฐมวัยในรูปแบบศูนย์พฒ ั นาเด็กมีดงั นี ้ หน่ วยงานภาครัฐ ที่จดั การศึกษาปฐมวัยในรูปแบบศูนย์พฒ ั นาเด็ก มีดงั นี ้ 1. กระทรวงศึกษาธิการ โดยกรมการศาสนา ได้ จดั ศูนย์อบรมเด็กก่อนเกณฑ์ในวัด โดย ให้ พระภิกษุ สงฆ์ในวัดต่าง ๆ ทัว่ ประเทศที่มีความพร้ อม ช่วยดูแล ปลูกฝั งคุณธรรม จริ ยธรรม วัฒนธรรมและประเพณี อันดีงามให้ แก่เด็ก ตลอดจนเป็ นการเตรี ยมความพร้ อมให้ แก่เด็กทังด้ ้ าน ร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม รับเด็กอายุ 3 – 5 ปี


147 2. กระทรวงพัฒนาสังคมและความมัน่ คงของมนุษย์ มี 2 หน่วยงานที่จดั คือ 1) กรมการพัฒ นาสัง คมและสวัส ดิ ก าร โดยกองพัฒ นาสตรี แ ละเด็ ก ได้ ดาเนินการพัฒนาเด็กในชนบทตังแต่ ้ แรกเกิด – 6 ปี เพื่อให้ มีความเจริ ญเติบโตทัง้ ทางร่ างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคมและสติปัญญาอย่างถูกต้ อง โดยให้ พ่อแม่ ผู้ปกครองมีความรู้ ความเข้ าใจ และความสามารถในการอบรมเลี ้ยงดูเด็ก ตลอดจนสนับสนุนให้ องค์กรท้ องถิ่นเข้ าใจและมีสวน ร่วมในการดาเนินงานพัฒนาเด็ก 2) กรมประชาสงเคราะห์ ให้ การสนับสนุน ส่งเสริ มและควบคุมสถานสงเคราะห์ เด็กและสถานรับเลี ้ยงเด็กของเอกชน เพื่ อให้ ดาเนินงานด้ วยดีมีประสิทธิ ภาพและถูกต้ องตาม กฎหมาย โดยสถานสงเคราะห์เด็กเอกชนจะรับอุปการะเด็กกาพร้ า เด็กครอบครัวยากจน อายุ ระหว่างแรกเกิดถึง 18 ปี ส่วนสถานรับเลี ้ยงเด็กเอกชนจะรับเลี ้ยงเด็ก 2 ประเภท คือ ประเภท กลางวันและประเภทประจา อายุระหว่างแรกเกิดถึง 7 ปี นอกจากนี ้ยังจัดตังหน่ ้ วยงานของกรมประชาสงเคราะห์ เพื่อให้ การสงเคราะห์ เด็กกาพร้ า อนาถา พิการทางสมองและปั ญญา และยังจัดตังสถานรั ้ บเลี ้ยงเด็กกลางวัน ใน รูปแบบของสถานรับเลี ้ยงเด็กและพัฒนาเด็ก เพื่อเป็ นสวัสดิการแก่ข้าราชการและเจ้ าหน้ าที่ กรม ประชาสงเคราะห์และเป็ นตัวอย่างแก่สถานประกอบการของเอกชน 3. สานักนายกรัฐมนตรี 1) สถานสงเคราะห์เด็กก่อนวัยเรี ยน หรื อศูนย์พฒ ั นาเด็กก่อนวัยเรี ยนของ กองบัญชาการตารวจตระเวนชายแดน สานักงานตารวจแห่งชาติ จัดบริ การการศึกษาแก่เด็กอายุ 2 – 6 ปี ที่ ไ ม่ส ามารถรั บ บริ ก ารการศึก ษาจากหน่ ว ยงานที่ รั บ ผิ ด ชอบจัด การศึก ษาโดยตรง จัดบริ การในเขตพื ้นที่ที่เป็ นจังหวัดชายแดน และมีกองร้ อยตารวจตระเวนชายแดนตังอยู ้ ่ หรื อ พื ้นที่เป้าหมายเพื่อความมัน่ คงตามแผนมหาดไทยแม่บท 4. กระทรวงสาธารณสุข 1) กองโภชนาการ กรมอนามัย จัดในรู ปแบบศูนย์โภชนาการ มีจุดมุ่งหมาย เพื่อให้ เด็กในท้ องถิ่นที่อยู่ในวัยเด็กเล็กได้ รับการเลี ้ยงดูอย่างถูกวิธี เผยแพร่ความรู้ทางโภชนาการ แก่พอ่ แม่ของเด็ก ตลอดจนชวยเหลือครอบครัวที่ยากจน 2) กรมอนามัยและกรมการแพทย์ ได้ ดาเนินการจัดสถานรับเลี ้ยงเด็กขึ ้น ใน รู ปแบบศูนย์สาธิตเด็กเล็ก โดยมีวตั ถุประสงค์เพื่อให้ เด็กซึ่งเป็ นทรัพยากรที่สาคัญและมีค่า ได้ พัฒนาเป็ นประชากรที่มีคณ ุ ภาพ โดยได้ รับการเลี ้ยงดูให้ มีพฒ ั นาการทุกด้ าน ทัง้ ด้ านร่ างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคมและสติปัญญาอย่างเหมาะสม สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี


148 จัดบริการให้ เด็กที่ป่วยอยูท่ ี่โรงพยาบาล 5. กรุงเทพมหานคร มี 2 หน่วยงานที่จดั คือ 1) สานักงานอนามัย จัดดาเนินสถานรับเลี ้ยงเด็กกลางวันสาหรับเด็กที่มีอายุ ระหว่าง 2 ½ - 6 ปี จากครอบครัวที่ยากจนและขาดอาหาร เพื่อให้ บริการด้ านสุขภาพอนามัยและ โภชนาการ ด้ านการพัฒนาจิตใจ สติปัญญาและสังคม ด้ านความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูก โดยมีพี่เลี ้ยงเด็กเป็ นตัวประสานระหว่างพ่อแม่และลูก ช่วยชี ้แนะเกี่ยวกับการเลี ้ยงดู เพื่อเป็ นการ เตรี ยมความพร้ อมก่อนเข้ าเรี ยนชันประถมศึ ้ กษา และเสริ มสร้ างพฤติกรรมของเด็กด้ านคุณธรรม จริยธรรม ความรู้และทักษะการทางาน 2) สานักสวัสดิการสังคม ดาเนินการพัฒนาเด็กก่อนวัยเรี ยนที่มีอายุระหว่าง 3 – 6 ปี ในชุมชนแออัดและเขตรอบนอก เพื่อเตรี ยมความพร้ อมแก่เด็กก่อนเข้ าเรี ยนชันประถมศึ ้ กษา และช่วยเหลือผู้ปกครองที่ต้องออกทางานนอกบ้ าน ไม่มีเวลาดูแลเด็ก 6. กระทรวงกลาโหม จัดในรูปของสถานรับเลี ้ยงเด็ก โดยรับเด็กอายุตงแต่ ั ้ แรกเกิด – 5 ปี โดยมีหน่วยงาน คือ กองทัพบก กองทัพเรื อ และกองทัพอากาศ การจัดสถานรับเลี ้ยงเด็กมี วัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือข้ าราชการทหารในการเลี ้ยงดูบตุ รหลานขณะออกปฏิบตั ิหน้ าที่ อันเป็ น การสร้ างขวัญกาลังใจให้ กบั ข้ าราชการทหารภายในหน่วยงาน หน่ วยงานเอกชน หน่วยงานที่จดั การศึกษาปฐมวัยในรูปแบบศูนย์พฒ ั นาเด็กมีดงั นี ้ 1. มูลนิธิเด็ก มีโครงการที่จดั ทาเพื่อเด็ก 3 โครงการคือ โครงการบ้ านทานตะวัน ศูนย์ เด็กเล็กในชุมชนแออัด โครงการศูนย์เด็กเล็กเคลื่อนที่ 2. มูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก จัดโครงการแด่น้องผู้หิวโหย ให้ ความช่วยเหลือเด็กตังแต่ ้ แรกเกิดในด้ านการให้ อาหารเสริม 3. พีริยานุเคราะห์มลู นิธิ จัดโครงการให้ ความช่วยเหลือแม่และเด็ก โดยการให้ คาแนะนา แก่สตรี นอกสมรสที่ตงครรภ์ ั้ และขาดผู้อปุ การะ 4. สหทัย มูลนิธิ มี โครงการสาหรั บเด็ก 4 โครงการ คือ โครงการครอบครั วอุปการะ โครงการเลี ้ยงเด็กกลางวัน ให้ แก่ผ้ มู ีรายได้ น้อย โครงการส่งเสริ มและพัฒนาเด็กอ่อนปากเกร็ ด โครงการสงเคราะห์คนไข้ เด็กในโรงพยาบาล 5. มูลนิธิสงเคราะห์เด็กของสภากาชาดไทย รับเลี ้ยงดูเด็กกาพร้ าและสืบหาบิด า มารดา หรื อญาติของเด็ก เพื่อให้ เด็กได้ อยูก่ บั ครอบครัวของตน 6. มูลนิธิเด็กอ่อนในสลัม ชวยเหลือเด็กอ่อนในสลัมให้ ได้ รับการเลี ้ยงดูที่ถูกต้ อง มี 2 โครงการ คือ โครงการรับเลี ้ยงดูเด็กแรกเกิด โครงการให้ ความรู้แก่มารดา


149 7. โสสะมูลนิธิแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ รับเลี ้ยงดูเด็กที่ขาดที่พงึ่ ตังแต่ ้ แรก เกิด 8. สภาสตรี แห่งชาติในพระราชินปู ถัมภ์ เปิ ดดาเนินการศูนย์พฒ ั นาเด็กในวัด โดยได้ รับ การสนับสนุนจากสมาคมส่งเสริมวัฒนธรรมหญิงประจาจังหวัดนัน้ ๆ รับเด็กอายุประมาณ 3 – 5 ปี เพื่อช่วยเหลือเด็กในด้ านโภชนาการ การเตรี ยมความพร้ อม ดูแลด้ านสุขภาพอนามัยและแบ่งเบา ภาระบิดา มารดาในการเลี ้ยงดูบตุ ร โดยสรุ ปรู ปแบบของการจัดการศึกษาปฐมวัยของประเทศไทย (มูลนิธิสาธารณสุขแห่ง ประเทศไทย, 2550, หน้ า ฑ) สามารถแยกประเภทของการบริ หารงานตามหน่วยงานที่รับผิดชอบ 3 ประเภท ดังนี ้ ประเภทที่ 1 จัดตังโดยรั ้ ฐ ใช้ เงินงบประมาณแผ่นดินในการจัดตังและด ้ าเนินการ โดย หน่วยงานของรัฐ การแต่งตังบุ ้ คลากรและระบบการบริ หารจะต้ องเป็ นไปตามระเบียบของรัฐที่วาง ไว้ ทุกประการ สถานศึกษาเหล่านี ้ ได้ แก่ โรงเรี ยนอนุบาลของรัฐ โรงเรี ยนประถมศึกษาที่จดั ตัง้ ชันเด็ ้ กเล็ก (เด็กอายุ 5 ขวบ) ในท้ องที่ของเด็กด้ อยโอกาส ซึ่งจัดโดยสานักงานคณะกรรมการ การศึกษาขันพื ้ ้นฐาน นอกจากนี ้ก็มีชนอนุ ั ้ บาลหรื อชันเด็ ้ กเล็กในโรงเรี ยนสาธิตของมหาวิทยาลัย ซึง่ สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ สถานสงเคราะห์เด็กของกรมประชาสงเคราะห์ การจัดประเภทนี เ้ นื่ องจากเป็ นของรั ฐแนวการบริ ห ารจะเป็ นไปตามระเบีย บของทาง ราชการทุกประการ ทังนี ้ ้เพื่อให้ การดาเนินงานของสถานศึกษาบรรลุเป้าหมาย ประเภทที่ 2 จัดตังโดยเอกชน ้ ซึง่ หมายรวมถึงสมาคม มูลนิธิ หรื อองค์การใดองค์การ หนึ่ง สถานศึกษาเหล่านี ้รัฐจะทาหน้ าที่ควบคุมทางด้ านคุ ณภาพและการดาเนินงานบางประการ ที่กระทรวงมหาดไทยดาเนินงานอยู่ ลักษณะการบริ หารสถานศึกษาเหล่านี ้ก็จะเป็ นอีกแบบหนึ่ง กล่าวคือ การบริ หารส่วนหนึ่งย่อมขึ ้นอยู่กบั จุดมุ่งหมายของเจ้ าของสถานศึกษา แต่อีกส่วนหนึ่ง จะต้ องปฏิบตั ิตามระเบียบที่ทางราชการวางไว้ เช่น ในด้ านการเงิน ด้ านวิชาการ และงานอาคาร สถานที่ การจัดประเภทนี ้ผู้ดาเนินกิจการ ได้ แก่ เอกชน ซึง่ ส่วนใหญ่จดั อยู่ในรูปของธุรกิจ ยกเว้ น สมาคม หรื อมูลนิธิต่าง ๆ ซึง่ จัดการศึกษาด้ วยวัตถุประสงค์อื่น ศูนย์พฒ ั นาเด็กประเภทนี ้รัฐวาง แนวบริหารให้ สว่ นหนึง่ เพื่อควบคุมมาตรฐาน ประเภทที่ 3 จัดตังโดยชุ ้ มชน มีคณะบุคคลเป็ นผู้ดูแลรับผิดชอบในรู ปของกรรมการ ลักษณะของการบริหารศูนย์ก็จะเป็ นไปตามความเห็นชอบของกรรมการ แต่ละศูนย์ก็จะมีระบบไม่ เหมือนกัน หน่วยงานประเภทนี ้ ได้ แก่ ศูนย์พฒ ั นาเด็กเล็กขององค์กรปกครองส่วนท้ องถิ่น สถาน


150 รับเลี ้ยงเด็กของกระทรวงกลาโหม การจัดประเภทนี ้เป็ นการจัดโดยหน่วยงานที่มีขนาดเล็ก ผู้รับผิดชอบอาจเป็ นบุคคลเพียง คนเดียว หรื อในรู ปของกรรมการศึกษา การบริ หารจะเป็ นแนวที่ผ้ บู ริ หารพอใจและเหมาะเฉพาะ หน่วยงานนัน้

แนวการจัดประสบการณ์ สาหรับเด็กปฐมวัย กระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายให้ พฒ ั นาการศึกษาระดับปฐมวัยอย่างจริ งจัง เมื่อปี พ.ศ. 2536 ซึ่งขณะนัน้ เรี ยกตามแผนการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2535 ว่าการศึกษาระดับก่อน ประถมศึกษา เพื่อให้ การศึกษาในระดับนี ้มีมาตรฐานเดียวกันกระทรวงศึกษาธิการจึงได้ มอบหมาย ให้ กรมวิ ชาการ จัด ทาแนวการจัดประสบการณ์ และพัฒ นาเป็ นหลักสูตรก่อ นประถมศึก ษา พุทธศักราช 2540 และประกาศให้ โรงเรี ยนและศูนย์พฒ ั นาเด็กระดับก่อนประถมศึกษาทัว่ ประเทศ ใช้ ตงแต่ ั ้ ปีการศึกษา 2541 เป็ นต้ นไป ต่อมาในปี พ.ศ. 2544 กระทรวงศึกษาธิการได้ แต่งตังคณะกรรมการพั ้ ฒนาหลักสูตรระดับ ก่อนประถมศึก ษาขึน้ เพื่ อพัฒนาหลัก สูต รให้ ส อดคล้ อ งกับ สภาพการเปลี่ย นแปลงของสัง คม พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และหลักสูตรการศึกษาขันพื ้ ้นฐาน พุทธศักราช 2544 คณะกรรมการชุดดังกล่าวได้ ประชุมพิจารณาปรับปรุงหลักสูตรก่อนประถมศึกษา พุทธศักราช 2540 ได้ ร่างหลักสูตรก่อนประถมศึกษาฉบับปรับปรุงและนาเสนอเข้ าที่ประชุมรับฟั งความคิดเห็น ซึ่งผู้เข้ าประชุมมีทงภาครั ั้ ฐและภาคเอกชน ประชาชนทัว่ ไป ตลอดจนพ่อแม่และผู้ปกครอง มติที่ ประชุมให้ เปลี่ยนชื่อหลักสูตรก่อนประถมศึกษาเป็ นหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย เพื่อให้ สอดคล้ อง กับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ดังนันหลั ้ กสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546 จึงเกิดขึ ้นในปี พ.ศ. 2546 หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546 ฉบับนี ้ จัดทาขึ ้นเพื่อให้ พ่อแม่ ผู้ปกครอง ผู้เลี ้ยงดูเด็ก และ ผู้สอนใช้ เป็ นแนวทางในการอบรมเลี ้ยงดูเด็กและเพื่ อให้ สถานศึกษาและสถาน พัฒนาเด็กปฐมวัยทุกหน่วยงานทุกสังกัดที่เกี่ยวข้ อง ได้ ใช้ เป็ นแนวทางในการจัดการศึกษาให้ มี ประสิทธิภาพ และเป็ นมาตรฐานเดียวกัน และเพื่อสร้ างเสริ มให้ เด็กปฐมวัยได้ เติบโตมีพฒ ั นาการ ทุกด้ านอย่างสมดุล เหมาะสมกับวัย เป็ นคนดี คนเก่ง มีความสุขและเติ บโตเป็ นพลเมืองที่ดี มี คุณภาพต่อไป กระทรวงศึกษาธิการหวังว่าหลักสูตรฉบับนี ้จะเป็ นแนวทางในการอบรมเลี ้ยงดู และ จัดการศึกษาระดับปฐมวัยให้ แก่ผ้ ูเกี่ยวข้ องได้ เป็ นอย่างดี และสามารถนาไปใช้ จัดประสบการณ์ ให้ แก่เด็กได้ อย่างถูกต้ องตามหลักวิชาการปฐมวัยศึกษา สอดคล้ องเหมาะสมกับสภาพท้ องถิ่นที่


151 แวดล้ อมเด็ก และบรรลุผลตามจุดหมายที่ ก าหนดไว้ ในหลักสูตร (หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546) สาระสาคัญของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546 หลักสูตรการศึกษา ปฐมวัย พุทธศักราช 2546 แบ่งใหญ่ ๆ ได้ 3 ส่วนได้ ดงั นี ้ 1. ปรัชญาและหลักการของการศึกษาปฐมวัย 2. หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย สาหรับเด็กอายุต่ากว่า 3 ปี ประกอบด้ วย จุดหมาย คุณลักษณะตามวัย สาระการเรี ยนรู้ การจัดประสบการณ์ การประเมินพัฒนาการ การใช้ หลักสูตร การจัดการศึกษาปฐมวัย (เด็กอายุต่ากว่า 3 ปี ) สาหรับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะการเชื่ อมต่อค่าของ การศึกษาปฐมวัยกับการเรี ยนรู้ในสถานศึกษาพัฒนาเด็กปฐมวัย 3. หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย สาหรับเด็กอายุ 3 – 5 ปี ประกอบด้ วย จุดหมาย คุณลักษณะตามวัย ระยะเวลาเรี ยน สาระการเรี ยนรู้ การจัดประสบการณ์ การประเมินพัฒนาการ การใช้ หลักสูตร การจัดหลักสูตรสถานศึกษา การจัดการศึกษาปฐมวัยสาหรับกลุม่ เป้าหมายเฉพาะ และการกากับติดตามประเมินผลและรายงาน ในที่นี ้จะกล่าวถึงเฉพาะหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย สาหรับเด็กอายุ 3 – 5 ปี ดังนี ้ หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546 หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546 ได้ กาหนดปรัชญาการศึกษาปฐมวัยไว้ ดงั นี ้ ปรัชญาการศึกษาปฐมวัย การศึกษาปฐมวัยเป็ นการพัฒนาเด็ก ตังแต่ ้ แรกเกิดถึง 5 ปี * บนพื ้นฐาน การอบรมเลี ้ยงดู และการส่งเสริ มกระบวนการเรี ยนรู้ ที่สนองต่อธรรมชาติ และพัฒนาการของเด็กแต่ละคน ตาม ศักยภาพ ภายใต้ บริบทสังคม – วัฒนธรรม ที่เด็กอาศัยอยู่ ด้ วยความรัก ความเอื ้ออาทร และความ เข้ าใจของทุกคน เพื่อสร้ างรากฐานคุณภาพชีวิตให้ เด็กพัฒนาไปสู่ความเป็ นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เกิด คุณค่าต่อตนเองและสังคม หลักการ เด็กทุกคนมีสิทธิที่จะได้ รับการอบรมเลี ้ยงดูและส่งเสริ มพัฒนาการ ตลอดจนการเรี ยนรู้ อย่างเหมาะสม ด้ วยปฏิสมั พันธ์ ที่ดีระหว่างเด็กกับพ่อแม่ เด็กกับผู้เลี ้ยงดูหรื อบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถในการอบรมเลี ้ยงดูและให้ การศึกษาเด็กปฐมวัย เพื่อให้ เด็กมีโอกาสพัฒนาตนเอง ตามลาดับขันของพั ้ ฒนาการทุกด้ าน อย่างสมดุลและเต็มตามศักยภาพ โดยกาหนดหลักการ ดังนี ้ 1. ส่งเสริมกระบวนการเรี ยนรู้และพัฒนาการที่ครอบคลุมเด็กปฐมวัย ทุกประเภท 2. ยึดหลักการอบรมเลี ้ยงดูและให้ การศึกษาที่เน้ นเด็กเป็ นสาคัญ โดยคานึงถึงความ แตกต่างระหว่างบุคคล และวิถีชีวิตของเด็กตามบริบทของชุมชน สังคม และวัฒนธรรมไทย


152 3. พัฒนาเด็กโดยองค์รวมผ่านการเล่นและกิจกรรมที่เหมาะสมกับวัย 4. จัดประสบการณ์การเรี ยนรู้ ให้ สามารถดารงชีวิตประจาวันได้ อย่างมีคณ ุ ภาพและ มีความสุข 5. ประสานความร่วมมือระหว่างครอบครัว ชุมชน และสถานศึกษาในการพัฒนาเด็ก แนวคิดและหลักการจัดการศึกษาปฐมวัย คณะกรรมการการศึกษาขันพื ้ ้นฐาน, สานักงาน (2546, หน้ า 3 – 7) ได้ ดาเนินการจัดทา หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546 ขึ ้น โดยยึดแนวคิดและหลักการจัดการศึกษา ปฐมวัย ดังนี ้ แนวคิดการจัดการศึกษาปฐมวัย หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546 พัฒนาขึ ้นมาโดยอาศัยแนวคิดต่อไปนี ้ 1. แนวคิดเกี่ยวกับพัฒนาการเด็ก พัฒนาการของมนุษย์เป็ นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ ้น ในตัวมนุษย์ เริ่ มตัง้ แต่ปฏิสนธิ ต่อเนื่ องไปจนตลอดชี วิต ซึ่งครอบคลุมการเปลี่ยนแปลงในเชิ ง ปริ มาณและเชิงคุณภาพ พัฒนาการทางด้ านร่ างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปั ญญา จะมี ความสัมพันธ์ และพัฒนาอย่างต่อเนื่องเป็ นลาดับขัน้ ตอนไปพร้ อมกันทุกด้ าน เด็กแต่ละคนจะ เติบโตและมีลกั ษณะพัฒนาการแตกต่างกันไปตามวัย โดยที่พฒ ั นาการเด็กปฐมวัยบ่งบอกถึงการ เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ ้นในตัวเด็กอย่างต่อเนื่องในแต่ละวัย เริ่มตังแต่ ้ ปฏิสนธิจนถึงอายุ 5 ปี พัฒนาการแต่ละด้ านมีทฤษฎีเฉพาะอธิ บายไว้ และสามารถนามาใช้ ในการพัฒนาเด็ก อาทิ ทฤษฎีพฒ ั นาการทางร่ างกายที่อธิบายการเจริ ญเติบโตและพัฒนาการของเด็กว่ามีลกั ษณะ ต่อเนื่องเป็ นลาดับขันเด็ ้ กจะพัฒนาถึงขันใดจะต้ ้ องเกิดวุฒิภาวะของความสามารถขันนั ้ นก่ ้ อน หรื อ ทฤษฎีพฒ ั นาการทางสติปัญญาที่อธิบายว่าเด็กเกิดมาพร้ อมวุฒิภาวะ ซึ่งจะพัฒนาขึ ้นตามอายุ ประสบการณ์ ค่านิยมทางสังคม และสิ่งแวดล้ อม หรื อทฤษฎีพฒ ั นาการทางบุคลิกภาพ ที่อธิบาย ว่าเด็กจะพัฒนาได้ ดีถ้าในแต่ละช่วงอายุเด็กได้ รับการตอบสนองในสิ่งที่ตนพอใจ ได้ รับความรัก ความอบอุน่ อย่างเพียงพอจากผู้ใกล้ ชิด มีโอกาสช่วยตนเอง ทางานที่เหมาะสมกับวัยและมีอิสระที่ จะเรี ยนรู้ในสิง่ ที่ตนอยากรู้รอบ ๆ ตนเอง ดังนันแนวคิ ้ ดเกี่ยวกับพัฒนาการเด็กจึงเป็ นเสมือนหนึ่งแนวทางให้ ผ้ สู อนหรื อผู้ที่เกี่ยวข้ อง ได้ เข้ าใจเด็ก สามารถอบรมเลี ้ยงดูและจัดประสบการณ์ที่เหมาะสมกับวัย และความแตกต่างของ แต่ละบุคคล ในอันที่จะส่งเสริมให้ เด็กพัฒนาจนบรรลุผลตามเป้าหมายที่ต้องการได้ ชดั เจนขึ ้น 2. แนวคิ ด เกี่ ย วกั บ การเรี ย นรู้ การเรี ย นรู้ ของมนุ ษ ย์ เ รามี ผ ลสื บ เนื่ อ งมาจาก ประสบการณ์ ต่า ง ๆ ที่ ไ ด้ รั บ การเปลี่ ย นแปลงพฤติ ก รรมเกิ ด ขึ น้ จากกระบวนการที่ ผ้ ูเ รี ย น มี ปฏิสมั พันธ์ กบั บุคคลและสิ่งแวดล้ อมรอบตัว โดยผู้เรี ยนจะต้ องเป็ นผู้กระทาให้ เกิดขึ ้นด้ วยตนเอง


153 และการเรี ยนรู้ จะเป็ นไปได้ ดี ถ้ าผู้เรี ยนได้ ใช้ ประสาทสัมผัสทังห้ ้ า ได้ เคลื่อนไหว มีโอกาส คิดริ เริ่ ม ตามความต้ องการและความสนใจของตนเอง รวมทั ง้ อยู่ในบรรยากาศที่เป็ นอิสระ อบอุ่นและ ปลอดภัย ดังนัน้ การจัดสภาพแวดล้ อมที่เอื ้อต่อการเรี ยนรู้ จึงเป็ นสิ่งสาคัญที่จะช่วยส่งเสริ มการ เรี ยนรู้ ของเด็ก และเนื่องจากการเรี ยนรู้ นนเป็ ั ้ นพื ้นฐานของพัฒนาการในระดับที่สงู ขึ ้น ทังคนเรา ้ เรี ยนรู้มาตังแต่ ้ เกิดตามธรรมชาติก่อนที่จะมาเข้ าสถานศึกษา การจัดทาหลักสูตรจึงยึดแนวคิดที่จะ ให้ เด็กได้ เรี ยนรู้ จากประสบการณ์ จริ งด้ วยตัวเด็กเอง ในสภาพแวดล้ อมที่เป็ นอิสระเอือ้ ต่อการ เรี ยนรู้ และจัดกิจกรรมให้ เหมาะสมกับระดับพัฒนาการของผู้เรี ยนแต่ละคน 3. แนวคิดเกี่ยวกับการเล่ นของเด็ก การเล่นถือเป็ นกิจกรรมที่สาคัญในชีวิตเด็กทุกคน เด็กจะรู้ สกึ สนุกสนาน เพลิดเพลิน ได้ สงั เกต มีโอกาสทาการทดลอง สร้ างสรรค์ คิดแก้ ปัญหาและ ค้ นพบด้ วยตนเอง การเล่นจะมีอิทธิพลและมีผลดีตอ่ การเจริ ญเติบโต ช่วยพัฒนาร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา จากการเล่นเด็กมีโอกาสเคลื่ อนไหวส่วนต่าง ๆ ของร่ างกาย ได้ ใช้ ประสาทสัมผัส และการรับรู้ ผ่อนคลายอารมณ์ และแสดงออกถึงตนเอง เรี ยนรู้ความรู้สกึ ของผู้อื่น การเล่นจึงเป็ นทางที่เด็กจะสร้ างประสบการณ์เรี ยนรู้สงิ่ แวดล้ อม เรี ยนรู้ความเป็ นอยูข่ องผู้อื่น สร้ าง ความสัมพันธ์ อยู่ร่วมกับผู้อื่น กับธรรมชาติรอบตัว ดังนัน้ หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยฉบับนี ้จึงถือ “การเล่น” อย่างมีจดุ มุง่ หมาย เป็ นหัวใจสาคัญของการจัดประสบการณ์ให้ กบั เด็ก 4. แนวคิดเกี่ยวกับวัฒนธรรมและสังคม บริบททางสังคมและวัฒนธรรมที่เด็กอาศัยอยู่ หรื อแวดล้ อมตัวเด็ก ทาให้ เด็กแต่ละคนแตกต่างกันไป หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยฉบับนี ้ถือว่า ผู้สอนจาเป็ นต้ องเข้ าใจและยอมรับว่าวัฒนธรรมและสังคมที่แวดล้ อมตัวเด็กมีอิทธิ พลต่อการ เรี ยนรู้ การพัฒนาศักยภาพ และพัฒนาการของเด็กแต่ละคน ผู้สอนควรต้ องเรี ยนรู้บริ บททางสังคม และวัฒนธรรมของเด็กที่ตนรับผิดชอบ เพื่อช่วยให้ เด็กได้ พฒ ั นา เกิดการเรี ยนรู้ และอยู่ในกลุม่ คน ที่มาจากพื ้นฐานเหมือนหรื อต่างจากตนได้ อย่างราบรื่ น มีความสุข สืบเนื่องจากพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ผนวกกับแนวคิด 4 ประการ ดังกล่าวข้ างต้ นทาให้ หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยกาหนดปรัชญาการศึกษาให้ สถานศึกษาหรื อ สถานพัฒนาเด็กปฐมวัยได้ ทราบถึงแนวคิด หลักการพัฒนาเด็กปฐมวัยอายุ 3 – 5 ปี ทัง้ นี ้ ผู้รับผิดชอบจะต้ องดาเนินการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัยของตน และนาสู่การปฏิบตั ิให้ เด็กปฐมวัยมีมาตรฐานคุณลักษณะที่พงึ ประสงค์ที่กาหนดในจุดหมายของหลักสูตร หลักการจัดการศึกษาปฐมวัย การจัดทาหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยฉบับนี ้ ยึดหลักการจัดการศึกษาปฐมวัย ดังนี ้


154 1. การสร้ างหลักสูตรที่เหมาะสม การพัฒนาหลักสูตรพิจารณาจากวัยและประสบการณ์ ของเด็ก โดยเป็ นหลั ก สู ต รที่ม่งุ เน้ นการพั ฒ นาเด็ ก ทุกด้ าน ทัง้ ด้ านร่ างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา โดยอยู่บนพื ้นฐานของประสบการณ์เดิมที่เด็กมีอยู่ และประสบการณ์ใหม่ที่ เด็กจะได้ รับต้ องมีความหมายกับตัวเด็ก เป็ นหลักสูตรที่ให้ โอกาสทังเด็ ้ กปกติ เด็กด้ อยโอกาส และ เด็กพิเศษได้ พฒ ั นา รวมทังยอมรั ้ บในวัฒนธรรม และภาษาของเด็ก พัฒนาเด็กให้ ร้ ู สกึ เป็ นสุข ใน ปั จจุบนั มิใช่เพียงเพื่อเตรี ยมเด็กสาหรับอนาคตข้ างหน้ าเท่านัน้ 2. การสร้ างสภาพแวดล้ อมที่เอือ้ ต่ อการเรี ยนรู้ ของเด็ก สภาพแวดล้ อมที่เอื ้อต่อการ เรี ยนรู้จะต้ องอยูใ่ นสภาพที่สนองความต้ องการ ความสนใจของเด็กทังภายในและภายนอกห้ ้ องเรี ยน ผู้สอนจะต้ องจัดสภาพแวดล้ อมให้ เด็กได้ อยู่ในที่ ที่สะอาด ปลอดภัย อากาศสดชื่ น ผ่อนคลาย ไม่เครี ยด มีโอกาสออกกาลังกายและพักผ่อน มีสื่อวัสดุอปุ กรณ์ มีของเล่นที่หลากหลาย เหมาะสม กับวัย ให้ เด็กมีโอกาสได้ เลือกเล่น เรี ยนรู้ เกี่ยวกับตนเองและโลกที่เด็กอยู่ รวมทังพั ้ ฒนาการ อยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคม ดังนัน้ สภาพแวดล้ อมทังภายในและภายนอกห้ ้ องเรี ยนจึ ง เป็ นเสมื อ น หนึ่ง สัง คมที่ มี คุณ ค่า ส าหรั บ เด็ ก แต่ล ะคนจะเรี ย นรู้ และสะท้ อ นให้ เ ห็ น ว่ า บุค คลในสัง คมเห็ น ความสาคัญของการอบรมเลี ้ยงดูและให้ การศึกษากับเด็กปฐมวัย 3. การจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมพัฒนาการและการเรี ยนรู้ ของเด็ก ผู้สอนมีความสาคัญ ต่อการจัดกิจกรรมพัฒนาเด็กอย่างมาก ผู้สอนต้ องเปลี่ยนบทบาทจากผู้บอกความรู้หรือสั่งให้ เด็ก ทามาเป็ นผู้อานวยความสะดวก ในการจัดสภาพแวดล้ อมประสบการณ์ และกิ จกรรม ส่งเสริมพัฒนาการและการเรี ยนรู้ของเด็กที่ผ้ สู อนและเด็กมีสว่ นที่จ ะริ เริ่ มทัง้ 2 ฝ่ าย โดยผู้สอนจะ เป็ นผู้สนับสนุน ชี ้แนะ และเรี ยนรู้ ร่วมกับเด็ก ส่วนเด็กเป็ นผู้ลงมือกระทา เรี ยนรู้ และค้ นพบด้ วย ตนเอง ดังนันผู ้ ้ สอนจะต้ องยอมรับ เห็นคุณค่า รู้จกั และเข้ าใจเด็กแต่ละคนที่ตนดูแลรับผิดชอบก่อน เพื่อจะได้ วางแผน สร้ างสภาพแวดล้ อม และจัดกิจกรรมที่จะส่งเสริ มพัฒนาการและการเรี ยนรู้ของ เด็กได้ อย่างเหมาะสม นอกจากนี ้ผู้สอนต้ องรู้ จกั พัฒนาตนเอง ปรับปรุ งใช้ เทคนิคการจัดกิจกรรม ต่าง ๆ ให้ เหมาะกับเด็ก 4. การบูร ณาการการเรี ยนรู้ การจัดการเรี ยนการสอนในระดับปฐมวัยยึดหลักการ บูรณาการที่ว่า หนึ่งแนวคิดเด็กสามารถเรี ยนรู้ ได้ หลายกิจกรรม หนึ่งกิจกรรมเด็กสามารถ เรี ยนรู้ ได้ หลายทักษะและหลายประสบการณ์ สาคัญ ดังนันเป็ ้ นหน้ าที่ของผู้สอนจะต้ องวาง แผนการจัดประสบการณ์ในแต่ละวันให้ เด็กเรี ยนรู้ ผ่านการเล่นที่หลากหลายกิจกรรม หลากหลาย ทัก ษะ หลากหลายประสบการณ์ ส าคัญ อย่ า งเหมาะสมกับ วัย และพัฒ นาการ เพื่ อ ให้ บ รรลุ จุดหมายของหลักสูตรแกนกลางที่กาหนดไว้


155 5. การประเมินพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก การประเมินเด็กระดับปฐมวัยยึดวิธี การสังเกตเป็ นส่วนใหญ่ ผู้สอนจะต้ องสังเกต และประเมินทังการสอนของตน ้ และพัฒนาการการ เรี ยนรู้ ของเด็กว่าได้ บรรลุตามจุดประสงค์ และเป้าหมายที่วางไว้ หรื อไม่ ผลที่ได้ จากการสังเกต พัฒนาการ จากข้ อมูลเชิ งบรรยาย จากการรวบรวมผลงาน การแสดงออกในสภาพที่ เป็ นจริ ง ข้ อมูลจากครอบครัวของเด็ก ตลอดจนการที่เด็กประเมินตนเองหรื อผลงาน สามารถบอกได้ วา่ เด็ก เกิดการเรี ยนรู้และมีความก้ าวหน้ าเพียงใด ข้ อมูลจากการประเมินพัฒนาการจะช่วยผู้สอนในการ วางแผนการจัดกิจกรรม ชี ้ให้ เห็นความต้ องการพิเศษของเด็กแต่ละคน ใช้ เป็ นข้ อมูลในการสื่อสาร กับพ่อแม่ ผู้ปกครองเด็ก และขณะเดียวกันยังใช้ ในการประเมินประสิทธิ ภาพการจัดการศึกษา ให้ กบั เด็กในวัยนี ้ได้ อีกด้ วย 6. ความสัมพันธ์ ระหว่ างผู้สอนกับครอบครั วของเด็ก เด็กแต่ละคนมีความแตกต่าง กัน ทังนี ้ ้เนื่องจากสภาพแวดล้ อมที่เด็กเจริ ญเติบโตขึ ้นมา ผู้สอน พ่อแม่ และผู้ปกครองของเด็ก จะต้ องมีการแลกเปลี่ยนข้ อมูล ทาความเข้ าใจพัฒนาการและการเรี ยนรู้ของเด็ก ต้ องยอมรับและ ร่ วมมือกันรับผิดชอบ หรื อถือเป็ นหุ้นส่วนที่จะต้ องช่วยกันพัฒนาเด็กให้ บรรลุเป้าหมายที่ต้องการ ร่ วมกัน ดังนัน้ ผู้สอนจึงมิใช่จะแลกเปลี่ยนความรู้ กับพ่อแม่ ผู้ปกครองเกี่ยวกับการพัฒนาเด็ก เท่านัน้ แต่จะต้ องให้ พอ่ แม่ ผู้ปกครอง มีสว่ นร่วมในการพัฒนาด้ วย ทังนี ้ ม้ ิได้ หมายความให้ พ่อแม่ ผู้ปกครองเป็ นผู้กาหนดเนื ้อหาหลักสูตรตามความต้ องการ โดยไม่คานึงถึงหลักการจัดที่เหมาะสม กับวัยเด็ก จากแนวคิดและหลักการจัดการศึกษาปฐมวัยที่ สาคัญเกี่ ยวกับพัฒนาการของเด็กที่ มี ความสัมพันธ์ และพัฒนาอย่างต่อเนื่องเป็ นขันตอนไปพร้ ้ อมกันทุกด้ าน แนวคิดเกี่ยวกับการเรี ยนรู้ ที่ยดึ ให้ เด็กได้ เรี ยนรู้จากประสบการณ์จริงด้ วยตัวเด็กเองในสิ่งแวดล้ อมที่เป็ นอิสระเอื ้อต่อการเรี ยน รู้ และจัดกิจกรรมบูรณาการให้ เหมาะสมกับระดับพัฒนาการของผู้เรี ยนแต่ละคน โดยถือว่าการ เล่นอย่างมีจุดมุ่งหมายเป็ นหัวใจสาคัญของการจัดประสบการณ์ ให้ กับเด็ก และแนวคิดเกี่ยวกับ วัฒนธรรมและสังคมที่แวดล้ อม ซึง่ มีอิทธิพลต่อการเรี ยนรู้ การพัฒนาศักยภาพและพัฒนาการของ เด็กแต่ละคน และจากพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 หมวดต่าง ๆ หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546 จึงกาหนดสาระสาคัญ และโครงสร้ างของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยขึ ้น ซึง่ จะกล่าวรายละเอียดต่อไป


156 หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546 สาหรับเด็กอายุ 3 – 5 ปี หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546 สาหรับเด็กอายุ 3 – 5 ปี เป็ นการจัด การศึกษาในลักษณะของการอบรมเลี ้ยงดูและให้ การศึกษา เด็กจะได้ รับการพัฒนาทังด้ ้ านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคมและสติปัญญา ตามวัยและความสามารถของแต่ละบุคคล จุดมุ่งหมาย หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยสาหรับเด็กอายุ 3 – 5 ปี มุ่งให้ เด็กมีพฒ ั นาการด้ านร่ างกาย อารมณ์ จิ ต ใจ สัง คม และสติปัญ ญาที่ เหมาะสมกับวัย ความสามารถและความแตกต่า ง ระหว่างบุคคล จึงกาหนดจุดหมายซึง่ ถือเป็ นมาตรฐานคุณลักษณะที่พงึ ประสงค์ ดังนี ้ 1. ร่างกายเจริญเติบโตตามวัย และมีสขุ นิสยั ที่ดี 2. กล้ ามเนื ้อใหญ่และกล้ ามเนื ้อเล็กแข็งแรง ใช้ ได้ คล่องแคล่วและประสานสัมพันธ์พนั 3. มีสขุ ภาพจิตดี และมีความสุข 4. มีคณ ุ ธรรม จริยธรรม และมีจิตใจที่ดี 5. ชื่นชมและแสดงออกทางศิลปะ ดนตรี การเคลื่อนไหว และรักการออกกาลังกาย 6. ช่วยเหลือตนเองได้ เหมาะสมกับวัย 7. รักธรรมชาติ สิง่ แวดล้ อม วัฒนธรรม และความเป็ นไทย 8. อยูร่ ่วมกับผู้อื่นได้ อย่างมีความสุข และปฏิบตั ิตนเป็ นสมาชิกที่ดีของสังคม ในระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็ นประมุข 9. ใช้ ภาษาสื่อสารได้ เหมาะสมกับวัย 10. มีความสามารถในการคิดและการแก้ ปัญหาได้ เหมาะสมกับวัย 11. มีจินตนาการและความคิดสร้ างสรรค์ 12. มีเจตคติที่ดีตอ่ การเรี ยนรู้ และมีทกั ษะในการแสวงหาความรู้ คุณลักษณะตามวัย คุณลักษณะตามวัยเป็ นความสามารถตามวัยหรื อพัฒนาการตามธรรมชาติเมื่อเด็กอายุถึง วัยนัน้ ๆ ผู้สอนจาเป็ นต้ องทาความเข้ าใจคุณลักษณะตามวัยของเด็กอายุ 3 – 5 ปี เพื่อนาไป พิจารณาจัดประสบการณ์ให้ เด็กแต่ละวัยได้ อย่างถูกต้ องเหมาะสม ขณะเดียวกันจะต้ องสังเกตเด็ก แต่ละคนซึง่ แตกต่างระหว่างบุคคลเพื่อนาข้ อมูลไปช่วยอายุ อาจเร็ วหรื อช้ ากว่าเกณฑ์ที่กาหนดไว้ และการพัฒนาจะเป็ นไปอย่างต่อเนื่อง ถ้ าสังเกตพบว่าเด็กไม่มีความก้ าวหน้ าอย่างชัดเจนต้ องพา เด็กไปปรึ กษาผู้เชี่ยวชาญ หรื อแพทย์เพื่อช่วยเหลือและแก้ ไขได้ ทนั ท่วงที คุณลักษณะตามวัยที่ สาคัญของเด็กอายุ 3 – 5 ปี มีดงั นี ้


157 เด็กอายุ 3 ปี พัฒนาการด้ านร่ างกาย  กระโดดขึ ้นลงอยูก่ บั ที่  รับลูกบอลด้ วยมือและลาตัว  เดินขึ ้นบันไดสลับเท้ าได้  เขียนรูปวงกลมตามแบบได้  ใช้ กรรไกรมือเดียวได้ พัฒนาการด้ านอารมณ์ และจิตใจ  แสดงอารมณ์ตามความรู้สกึ  ชอบที่จะทาให้ ผ้ ใู หญ่พอใจและได้ รับคาชม  กลัวการพลัดพรากจากผู้เลี ้ยงดูใกล้ ชิดน้ อยลง พัฒนาการด้ านสังคม  รับประทานอาหารได้ ด้วยตนเอง  ชอบเล่นแบบคูข่ นาน (เล่นของเล่นชนิดเดียวกันแต่ตา่ งคนต่างเล่น)  เล่นสมมติได้  รู้จกั รอคอย พัฒนาการด้ านสติปัญญา  สารวจสิง่ ต่าง ๆ ที่เหมือนกันและต่างกันได้  บอกชื่อของตนเองได้  ขอความช่วยเหลือเมื่อมีปัญหา  สนทนา โต้ ตอบ/เล่าเรื่ องด้ วยประโยคสัน้ ๆ ได้  สนใจนิทานและเรื่ องราวต่าง ๆ  ร้ องเพลง ท่องคากลอน คาคล้ องจองง่าย ๆ และแสดงท่าทางเลียนแบบได้  รู้จกั ใช้ คาถาม “อะไร”  สร้ างผลงานตามความคิดของตนเองอย่างง่าย ๆ  อยากรู้อยากเห็นทุกอย่างรอบตัว


158 เด็กอายุ 4 ปี พัฒนาการด้ านร่ างกาย  กระโดดขึ ้นลงอยูก่ บั ที่  รับลูกบอลด้ วยมือทังสอง ้  เดินขึ ้น ลงบันไดสลับเท้ าได้  เขียนรูปสี่เหลีย่ มตามแบบได้  ตัดกระดาษเป็ นเส้ นตรงได้  กระฉับกระเฉงไม่ชอบอยูเ่ ฉย พัฒนาการด้ านอารมณ์ และจิตใจ  แสดงออกทางอารมณ์ได้ เหมาะสมกับบางสถานการณ์  เริ่มรู้จกั ชื่นชมความสามารถและผลงานของตนเองและผู้อื่น  ชอบท้ าทายผู้ใหญ่  ต้ องการให้ มีคนฟั ง คนสนใจ พัฒนาการด้ านสังคม  แต่งตัวได้ ด้วยตนเอง ไปห้ องส้ วมได้ เอง  เล่นร่วมกันคนอื่นได้  รอคอยตามลาดับก่อน - หลัง  แบ่งของให้ คนอื่น  เก็บของเล่นเข้ าที่ได้ พัฒนาการด้ านสติปัญญา  จาแนกสิง่ ต่าง ๆ ด้ วยประสาทสัมผัสทัง้ 5 ได้  บอกชื่อและนามสกุลของตนเองได้  พยายามแก้ ปัญหาด้ วยตนเองหลังจากได้ รับคาชี ้แนะ  สนทนา โต้ ตอบ/เล่าเรื่ องด้ วยประโยคต่อเนื่อง  สร้ างผลงานตามความคิดของตนเอง โดยมีรายละเอียดเพิ่มขึ ้น  รู้จกั ใช้ คาถาม “ทาไม”


159 เด็กอายุ 5 ปี พัฒนาการด้ านร่ างกาย  กระโดดขาเดียวไปข้ างหน้ าอย่างต่อเนื่อง  รับลูกบอลที่กระดอนขึ ้นจากพื ้นได้ ด้วยมือทังสองข้ ้ าง  เดินขึ ้น ลงบันไดสลับเท้ าอย่างคล่องแคล่ว  เขียนรูปสามเหลี่ยมตามแบบได้  ตัดกระดาษตามแนวเส้ นโค้ งที่กาหนด  ใช้ กล้ ามเนื ้อเล็กได้ ดี เช่น ติดกระดุม ผูกเชือกรองเท้ า ฯลฯ พัฒนาการด้ านอารมณ์ และจิตใจ  แสดงออกทางอารมณ์ได้ สอดคล้ องกับสถานการณ์อย่างเหมาะสม  ชื่นชมความสามารถ และผลงานของตนเองและผู้อื่น  ยึดตนเองเป็ นศูนย์กลางน้ อยลง พัฒนาการด้ านสังคม  ปฏิบตั ิกิจวัตรประจาวันได้ ด้วยตนเอง  เล่นหรื อทางานโดยมีจดุ มุง่ หมายร่วมกับผู้อื่นได้  พบผู้ใหญ่ รู้จกั ไหว้ ทาความเคารพ  รู้จกั ขอบคุณ เมื่อรับของจากผู้ใหญ่  รับผิดชอบที่ได้ รับมอบหมาย พัฒนาการด้ านสติปัญญา  บอกความแตกต่างของกลิ่น สี เสียง รส รูปร่าง จาแนกและจัดหมวดหมู่ สิง่ ของได้  บอกชื่อ นามสกุล และอายุของตนเองได้  พยายามหาวิธีแก้ ปัญหาด้ วยตนเอง  สนทนา โต้ ตอบ/เล่าเป็ นเรื่องราวได้  สร้ างผลงานตามความคิดของตนเอง โดยมีรายละเอียดเพิ่มขึ ้นและแปลกใหม่  รู้จกั ใช้ คาถาม “ทาไม” “อย่างไร”  เริ่มเข้ าใจสิง่ ที่เป็ นนามธรรม  นับปากเปล่าได้ ถึง 20


160 ระยะเวลาเรียน ใช้ เวลาในการจัดประสบการณ์ให้ กบั เด็ก 1 – 3 ปี การศึกษาโดยประมาณ ทังนี ้ ้ขึ ้นอยูก่ บั อายุของเด็กที่เริ่มเข้ าศึกษาหรื อสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย สาระการเรียนรู้ สาระการเรี ยนรู้ ใช้ เป็ นสื่อกลางในการจัดกิจกรรมให้ กับเด็ก เพื่อส่งเสริ มพัฒนาการทุก ด้ านทังด้ ้ านร่ างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา ซึง่ จาเป็ นต่อการพัฒนาเด็กให้ เป็ น มนุษ ย์ ที่ ส มบูร ณ์ ทัง้ นี ส้ าระการเรี ย นรู้ ประกอบด้ ว ย องค์ ค วามรู้ ทัก ษ ะ หรื อ กระบวนการ คุณลักษณะหรื อค่านิยม คุณธรรม จริยธรรม ความรู้สาหรับเด็กอายุ 3 - 5 ปี จะเป็ นเรื่ องราวที่ เกี่ยวข้ องกับตัวเด็กบุคคลและสถานที่ที่แวดล้ อมเด็กธรรมชาติรอบตัวและสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเด็กที่ เด็กมีโอกาสใกล้ ชิดหรื อมีปฏิสมั พันธ์ ในชีวิตประจาวันและเป็ นสิ่งที่เด็กสนใจ จะไม่เน้ นเนือ้ หา การท่องจา ในส่วนที่เกี่ยวข้ องกับทักษะหรื อกระบวนการจาเป็ นต้ องบูรณาการทักษะที่สาคัญและ จาเป็ นสาหรับเด็ก เช่น ทักษะการเคลื่อนไหว ทักษะทางสังคม ทักษะการคิด ทักษะการใช้ ภาษา คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ เป็ นต้ น ขณะเดียวกันควรปลูกฝั งให้ เด็กเกิดเจตคติที่ดี มี ค่ า นิ ย มที่ พึ ง ประสงค์ เช่ น ความรู้ สึ ก ที่ ดี ต่ อ ตนเองและผู้อื่ น รั ก การเรี ย นรู้ รั ก ธรรมชาติ สิง่ แวดล้ อม และมีคณ ุ ธรรม จริยธรรม ที่เหมาะสมกับวัย เป็ นต้ น ผู้สอนหรื อผู้จดั การศึกษา อาจนาสาระการเรี ยนรู้ มาจัดในลักษณะหน่ วยการสอนแบบ บูรณาการหรื อเลือกใช้ วิธีการที่สอคล้ องกับปรัชญาและหลักการจัดการศึกษาปฐมวัย สาระการเรี ยนรู้กาหนดเป็ น 2 ส่วน ดังนี ้ 1. ประสบการณ์ สาคัญ ประสบการณ์ สาคัญเป็ นอย่า งยิ่ ง สาหรั บการพัฒนาเด็กทางร่ างกาย อารมณ์ จิ ตใจ สังคม และสติปัญญาช่วยให้ เด็กเกิดทักษะที่สาคัญสาหรับการสร้ างองค์ความรู้ โดยให้ เด็กได้ มี ปฏิสัมพัน ธ์ กับวัตถุ สิ่ง ของ บุคคลต่าง ๆ ที่ อยู่รอบตัว รวมทัง้ ปลูกฝั งคุณธรรมจริ ยธรรมไป พร้ อมกันด้ วย ประสบการณ์สาคัญมีดงั นี ้ 1.1 ประสบการณ์ สาคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้ านร่ างกาย ได้ แก่ 1.1.1 การทรงตัวและการประสานสัมพันธ์ ของกล้ ามเนือ้ ใหญ่  การเคลื่อนไหวอยูก่ บั ที่และการเคลื่อนไหวเคลื่อนที่  การเคลื่อนไหวพร้ อมวัสดุอปุ กรณ์  การเล่นเครื่ องเล่นสนาม 1.1.2 การประสานสัมพันธ์ ของกล้ ามเนือ้ เล็ก  การเล่นเครื่ องเล่นสัมผัส


161  การเขียนภาพและการเล่นกับสี  การปั น้ และประดิษฐ์ สงิ่ ต่าง ๆ ด้ วยดินเหนียว ดินน ้ามัน แท่งไม้ เศษวัสดุ ฯลฯ  การต่อของ บรรจุ เท และแยกชิ่นส่วน 1.1.3 การรักษาสุขภาพ  การปฏิบตั ิตนตามสุขอนามัย 1.1.4 การรักษาความปลอดภัย  การรักษาความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่นในกิจวัตรประจาวัน 1.2 ประสบการณ์ สาคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้ านอารมณ์ และจิตใจ ได้ แก่ 1.2.1 ดนตรี  การแสดงปฏิกิริยาโต้ ตอบเสียงดนตรี  การเล่นเครื่ องดนตรี ง่าย ๆ เช่น เครื่ องดนตรี ประเภทเคาะ ประเภทตี ฯลฯ  การร้ องเพลง 1.2.2 สุนทรียภาพ  การชื่นชมและสร้ างสรรค์สงิ่ สวยงาม  การแสดงออกอย่างสนุกสนานกับเรื่ องตลก ขาขัน และ เรื่ องราว/ เหตุการณ์ที่สนุกสนานต่าง ๆ 1.2.3 การเล่ น  การเล่นอิสระ  การเล่นรายบุคคล การเล่นเป็ นกลุม่  การเล่นในห้ องเรี ยนและนอกห้ องเรี ยน 1.2.4 คุณธรรม จริยธรรม  การปฏิบตั ิตนตามหลักศาสนาที่นบั ถือ 1.3 ประสบการณ์ สาคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้ านสังคม ได้ แก่ 1.3.1 การเรียนรู้ทางสังคม  การปฏิบตั ิกิจวัตรประจาวันของตนเอง  การเล่นและการทางานร่วมกับผู้อื่น  การวางแผน ตัดสินใจเลือก และลงมือปฏิบตั ิ


162  การมีโอกาสได้ รับรู้ความรู้สกึ ความสนใจ และความต้ องการของตนเอง และผู้อื่น  การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเคารพความคิดเห็นของผู้อื่น  การแก้ ปัญหาในการเล่น  การปฏิบตั ิตามวัฒนธรรมท้ องถิ่นที่อาศัยอยูแ่ ละความเป็ นไทย 1.4 ประสบการณ์ สาคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้ านสติปัญญา ได้ แก่ 1.4.1 การคิด  การรู้จกั สิง่ ต่าง ๆ ด้ วยการมอง ฟั ง สัมผัส ชิมรส และดมกลิน่  การเลียนแบบการกระทาและเสียงต่าง ๆ  การเชื่อมโยงภาพ ภาพถ่าย และรูปแบบต่าง ๆ กับสิง่ ของหรื อสถานที่จริง  การรับรู้และแสดงความรู้สกึ ผ่านสื่อ วัสดุ ของเล่น และผลงาน  การแสดงความคิดสร้ างสรรค์ผา่ นสื่อ วัสดุตา่ ง ๆ 1.4.2 การใช้ ภาษา  การแสดงความรู้สกึ ด้ วยคาพูด  การพูดกับผู้อื่นเกี่ยวกับประสบการณ์ของตนเอง หรื อเล่าเรื่ องราว เกี่ยวกับตนเอง  การอธิบายเกี่ยวกับสิง่ ของ เหตุการณ์ และความสัมพันธ์ของสิง่ ต่าง ๆ  การฟั งเรื่ องราว นิทาน คาคล้ องจอง คากลอน  การเขียนในหลายรูปแบบผ่านประสบการณ์ที่สื่อความหมายต่อเด็ก เขียนภาพ ขีดเขียน เขียนคล้ ายตัวอักษร เขียนเหมือนสัญลักษณ์ เขียนชื่อตนเอง 1.4.3 การสังเกต การจาแนก และการเปรียบเทียบ  การสารวจและอธิบายความเหมือน ความต่างของสิง่ ต่าง ๆ  การจับคู่ การจาแนก การจัดกลุม่  การเปรี ยบเทียบ เช่น ยาว/สัน้ ขรุขระ/เรี ยบ ฯลฯ  การเรี ยงลาดับสิ่งต่าง ๆ  การคาดคะเนสิ่งต่าง ๆ  การตังสมมติ ้ ฐาน


163  การทดลองสิง่ ต่าง ๆ  การสืบค้ นข้ อมูล  การใช้ หรื ออธิบายสิง่ ต่าง ๆ ด้ วยวิธีการที่หลากหลาย 1.4.4 จานวน  การเปรี ยบเทียบจานวนมากกว่า น้ อยกว่า เท่ากัน  การนับสิง่ ต่าง ๆ  การจับคูห่ นึง่ ต่อหนึง่  การเพิ่มขึ ้นหรื อลดลงของจานวนปริมาณ 1.4.5 มิตสิ ัมพันธ์ (พืน้ ที่/ ระยะ)  การต่อเข้ าด้ วยกัน การแยกออก การบรรจุ และการเทออก  การสังเกตสิ่งต่าง ๆ และสถานที่จากมุมมองที่ตา่ ง ๆ กัน  การอธิบายในเรื่ องตาแหน่งของสิ่งต่าง ๆ ที่สมั พันธ์กนั  การอธิบายในเรื่ องทิศทางการเคลื่อนที่ของคนและสิง่ ต่าง  การสื่อความหมายของมิติสมั พันธ์ด้วยภาพ ภาพย่อย และรูปภาพ 1.4.6 เวลา  การเริ่มต้ นและการหยุดการกระทาโดยสัญญาณ  การเปรี ยบเทียบเวลา เช่น ตอนเช้ า ตอนเย็น เมื่อวานนี ้ พรุ่งนี ้ ฯลฯ  การเรี ยงลาดับเหตุการณ์ตา่ ง ๆ  การสังเกตความเปลี่ยนแปลงของฤดู 2. สาระที่ควรเรียนรู้ สาระที่ควรเรี ยนรู้ เป็ นเรื่ องรอบตัวเด็กที่นามาเป็ นสื่อในการจัดกิจกรรมให้ เด็กเกิดการ เรี ยนรู้ ไม่เน้ นการท่องจาเนือ้ หา ผู้สอนสามารถกาหนดรายละเอียดขึ ้นเองให้ สอดคล้ องกับวัย ความต้ องการ และความสนใจของเด็ก โดยให้ เด็กได้ เรี ยนรู้ ผ่านประสบการณ์ ที่สาคัญที่ระบุไว้ ข้ างต้ น ทัง้ นีอ้ าจยืดหยุ่นเนือ้ หาได้ โดยคานึงถึงประสบการณ์ และสิ่งแวดล้ อมในชีวิตของเด็ก สาระที่ที่เด็กอายุ 3 – 5 ปี ควรเรี ยนรู้ มีดงั นี ้ 2.1 เรื่ องราวเกี่ยวกับตัวเด็ก เด็กควรรู่ จกั ชื่อ นามสกุล รู ปร่ าง หน้ าตา รู้ จัก อวัย วะต่า ง ๆ วิ ธี ก ารระวัง รั ก ษาร่ า งกายให้ ส ะอาด ปลอดภัย การรั บ ประทานอาหารที่ ถูก สุขลักษณะเรี ยนรู้ที่จะเล่นและทาสิง่ ต่าง ๆ ด้ วยตนเองคนเดียวหรื กบั ผู้อื่น ตลอดจนเรี ยนรู้ที่จะ


164 แสดงความคิดเห็นความรู้สกึ และแสดงมารยาทที่ดี 2.2 เรื่ องราวเกี่ยวกับบุคคลและสถานที่แวดล้ อมเด็ก เด็กควรได้ มีโอกาสรู้ จกั และรับรู้เรื่ องราวเกี่ยวกับครอบครัว สถานศึกษา ชุมชน รวมทังบุ ้ คคลต่าง ๆ ที่เด็กต้ องเกี่ยวข้ อง หรื อมีโอกาสใกล้ ชิดและมีปฏิสมั พันธ์ในชีวิตประจาวัน 2.3 ธรรมชาติรอบตัว เด็กควรจะได้ เรี ยนรู้ สิ่ง มีชีวิต สิ่งไม่มีชีวิต รวมทัง้ ความ เปลี่ยนแปลงของโลกที่แวดล้ อมเด็กตามธรรมชาติ เช่น ฤดูกาล กลางวัน กลางคืน ฯลฯ 2.4 สิ่งต่ าง ๆ รอบตัวเด็ก เด็กควรจะได้ ร้ ู จกั สี ขนาด รู ปร่ าง รู ปทรง น ้าหนัก ผิวสัมผัสของสิ่งต่าง ๆ รอบตัว สิ่งของเครื่ องใช้ ยานพาหนะ และการสื่อสารต่าง ๆ ที่ใช้ ใน ชีวิตประจาวัน การจัดประสบการณ์ การจัดประสบการณ์สาหรับเด็กปฐมวัยอายุ 3 – 5 ปี จะไม่จดั เป็ นรายวิชา แต่จดั ในรู ป ของกิจกรรมบูรณาการผ่านการเล่น เพื่อให้ เด็กเรี ยนรู้ จากประสบการณ์ ตรง เกิดความรู้ ทกั ษะ คุณธรรม จริยธรรม รวมทังเกิ ้ ดการพัฒนาทังด้ ้ านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา โดยมีหลักการและแนวทางการจัดประสบการณ์ ดังนี ้ 1. หลักการจัดประสบการณ์ 1.1 จัดประสบการณ์การเล่นและการเรี ยนรู้เพื่อพัฒนาเด็กโดยองค์รวมอย่างต่อเนื่อง 1.2 เน้ นเด็กเป็ นสาคัญ สนองความต้ องการ ความสนใจ ความแตกต่างระหว่าง บุคคลและบริ บทของสังคมที่เด็กอาศัยอยู่ 1.3 จัดให้ เด็กได้ รับการพัฒนาโดยให้ ความสาคัญทังกั ้ บกระบวนการและผลผลิต 1.4 จัดการประเมินพัฒนาการให้ เป็ นกระบวนการอย่างต่อเนื่อง และเป็ นส่วนหนึง่ ของการจัดประสบการณ์ 1.5 ให้ ผ้ ปู กครองและชุมชนมีสว่ นร่วมในการพัฒนาเด็ก 2. แนวทางการจัดประสบการณ์ 2.1 จัดประสบการณ์ให้ สอดคล้ องกับจิตวิทยาพัฒนาการ คือ เหมาะกับอายุ วุฒิภาวะและระดับพัฒนาการเพื่อให้ เด็กทุกคนได้ พฒ ั นาเต็มตามศักยภาพ 2.2 จัดประสบการณ์ให้ สอดคล้ องกับลักษณะการเรี ยนรู้ของเด็กวัยนี ้ คือเด็กได้ ลง มือกระทา เรี ยนรู้ผา่ นประสาทสัมผัสทัง้ 5 ได้ เคลื่อนไหว สารวจ เล่น สังเกต สืบค้ น ทดลอง และคิดแก้ ปัญหาด้ วยตนเอง 2.3 จัดประสบการณ์ในรูปแบบบูรณาการ คือ บูรณาการทังทั ้ กษะและสาระการ เรี ยนรู้


165 2.4 จัดประสบการณ์ให้ เด็กได้ ริเริ่ม คิด วางแผน ตัดสินใจ ลงมือกระทาและนาเสนอ ความคิด โดยผู้สอนเป็ นผู้สนับสนุน อานวยความสะดวก และเรียนรู้ร่วมกับเด็ก 2.5 จัดประสบการณ์ให้ เด็กปฏิสมั พันธ์กบั เด็กอื่น กับผู้ใหญ่ ภายใต้ สภาพแวดล้ อม ที่เอื ้อต่อการเรียนรู้ ในบรรยากาศที่อบอุน่ มีความสุขและเรี ยนรู้การทากิจกรรมแบบร่วมมือใน ลักษณะต่าง ๆ กัน 2.6 จัดประสบการณ์ให้ เด็กปฏิสมั พันธ์กบั สื่อและแหล่งการเรี ยนรู้ที่หลากหลายและ อยูใ่ นวิถีชีวิตของเด็ก 2.7 จัดประสบการณ์ที่สง่ เสริมลักษณะนิสยั ที่ดีและทักษะการใช้ ชีวิตประจาวัน ตลอดจนสอดแทรกคุณธรรมจริยธรรมให้ เป็ นส่วนหนึง่ ของการจัดประสบการณ์การเรี ยนรู้อย่าง ต่อเนื่อง 2.8 จัดประสบการณ์ทงในลั ั ้ กษณะที่มีการวางแผนไว้ ลว่ งหน้ า และแผนที่เกิดขึ ้นใน สภาพจริงโดยไม่ได้ คาดการณ์ 2.9 ให้ ผ้ ปู กครองและชุมชนมีสว่ นร่วมในการจัดประสบการณ์ทงการวางแผนการ ั้ สนับสนุนสื่อการสอน การเข้ าร่วมกิจกรรม และการประเมินพัฒนาการ 2.10 จัดทาสารนิทศั น์ด้วยการรวบรวมข้ อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการ และการเรี ยนรู้ของ เด็กเป็ นรายบุคคล นามาไตร่ตรองและใช้ เป็ นประโยชน์ตอ่ การพัฒนาเด็กและการวิจยั ในชันเรี ้ ยน 3. หลักการจัดกิจกรรมประจาวัน กิจกรรมสาหรับเด็กอายุ 3 – 5 ปี สามารถนามาจัดเป็ นกิจกรรมประจาวันได้ หลาย รู ปแบบ เป็ นการช่วยให้ ทัง้ ผู้สอนและเด็กทราบว่าแต่ละวัน จะท ากิ จกรรมอะไร เมื่อใด และ อย่างไร การจัดกิจกรรมประจาวันมีหลักการจัดและขอบข่ายของกิจกรรมประจาวัน ดังนี ้ 3.1 หลักการจัดกิจกรรมประจาวัน 3.1.1 กาหนดระยะเวลาในการจัดกิจกรรมแต่ละกิจกรรมให้ เหมาะสมกับวัย ของเด็กในแต่ละวัน 3.1.2 กิจกรรมที่ต้องใช้ ความคิด ทังในกลุ ้ ม่ เล็กและกลุม่ ใหญ่ไม่ควรใช้ เวลา ต่อเนื่องนานเกินกว่า 20 นาที 3.1.3 กิจกรรมที่เด็กมีอสิ ระเลือกเล่นเสรี เช่น การเล่นตามมุม การเล่น กลางแจ้ ง ฯลฯ ใช้ เวลาประมาณ 40 – 60 นาที 3.1.4 กิ จ กรรมควรมี ค วามสมดุล ระหว่ า งกิ จ กรรมในห้ อ งและนอกห้ อ ง กิจกรรมที่ใช้ กล้ ามเนื ้อใหญ่และกล้ ามเนื ้อเล็ก กิจกรรมที่เป็ นรายบุคคล กลุ่มย่อยและกลุ่มใหญ่


166 กิจกรรมที่เด็กเป็ นผู้ริเริ่ มและผู้สอนเป็ นผู้ริเริ่ ม และกิจกรรมที่ใช้ กาลังและไม่ใช้ กาลังจัดให้ ครบทุก ประเภท ทังนี ้ ้กิจกรรมที่ต้องออกกาลังกายควรจัดสลับกับกิจกรรมที่ไม่ต้องออกกาลังกายมากนัก เพื่อเด็กจะได้ ไม่เหนื่อยเกินไป 3.2 ขอบข่ายของกิจกรรมประจาวัน การเลือกกิจกรรมที่จะนามาจัดในแต่ละวัน ต้ องให้ ครอบคลุมสิง่ ต่อไปนี ้ 3.2.1 การพัฒ นากล้ า มเนื อ้ ใหญ่ เพื่ อ ให้ เ ด็ ก ได้ พัฒ นาความแข็ ง แรงของ กล้ ามเนื ้อใหญ่ การเคลื่อนไหว และความคล่องแคล่วในการใช้ อวัยวะต่าง ๆ จึงควรจัดกิจกรรม โดยให้ เด็กได้ เล่นอิสระกลางแจ้ ง เล่นเครื่ องเล่นสนาม เคลื่อนไหวร่างกายตามจังหวะดนตรี 3.2.2 การพัฒ นากล้ า มเนื อ้ เล็ ก เพื่ อ ให้ เ ด็ ก ได้ พัฒ นาความแข็ ง แรงของ กล้ ามเนื ้อเล็ก การประสานสัมพันธ์ระหว่างมือและตา จึงควรจัดกิจกรรมโดยให้ เด็กได้ เล่นเครื่ อง เล่นสัมผัส เล่นเกมต่อภาพ ฝึ กช่วยเหลือตนเองในการแต่งการ หยิบจับช้ อนส้ อม ใช้ อุปกรณ์ ศิลปะ เช่น สีเทียน กรรไกร พูก่ นั ดินเหนียว ฯลฯ 3.2.3 การพัฒนาอารมณ์ จิตใจ และปลูกฝั งคูณธรรมจริยธรรม เพื่อให้ เด็กมี ความรู้สกึ ที่ดีตอ่ ตนเองและผู้อื่น มีความเชื่อมัน่ กล้ าแสดงออก มีวินยั ในตนเอง รับผิดชอบ ซื่อสัตย์ ประหยัด เมตตากรุ ณา เอื ้อเฟื อ้ แบ่งปั น มีมารยาท และปฏิบตั ิตนตามวัฒนธรรมไทย และศาสนาที่นบั ถือ จึงควรจัดกิจกรรมต่าง ๆ ผ่านการเล่นให้ เด็กได้ มีโอกาสตัดสินใจเลือ ก ได้ รับ การตอบสนองความต้ องการ ได้ ฝึกปฏิบตั ิโดยสอดแทรกคุณธรรม จริ ยธรรม ตลอดเวลาที่โอกาส เอื ้ออานวย 3.2.4 การพัฒนาสังคมนิสยั เพื่อให้ เด็กมีลกั ษณะนิสยั ที่ดี แสดงออกอย่าง เหมาะสมและอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข ช่วยเหลือตนเองในการทากิจวัตรประจาวัน มีนิสยั รักการทางาน รู้ จักระมัดระวังความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่น จึงควรจัดให้ เด็กได้ ปฏิบัติ กิจวัตรประจาวันอย่างสม่าเสมอ เช่น รับประทานอาหาร พักผ่อนนอนหลับ ขับถ่าย ทาความ สะอาดร่ างกาย เล่นและทางานร่วมกับผู้อื่น ปฏิบตั ิตามกฎกติกาข้ อตกลงของส่วนรวม เก็ บของ เข้ าที่เมื่อเล่นหรื อทางานเสร็จ ฯลฯ 3.2.5 การพัฒนาการคิด เพื่อให้ เด็กได้ พัฒนาความคิดรวบยอด สัง เกต จาแนกเปรี ยบเทียบ จัดหมวดหมู่ เรี ยงลาดับเหตุการณ์ แก้ ปัญหา จึงควรจัดกิจกรรมให้ เด็กได้ สนทนาอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เชิญวิทยากรพูดคุยกับเด็ก ค้ นคว้ าจากแหล่งข้ อมูลต่างๆ ทดลองศึกษานอกสถานที่ ประกอบอาหาร หรื อจัดให้ เด็กได้ เล่นเกมการศึกษาที่เหมาะสมกับวัย อย่างหลากหลาย ฝึ กการแก้ ปัญหาในชีวิตประจาวัน และในการทากิจกรรมทังที ้ ่เป็ นกลุม่ ย่อย


167 กลุม่ ใหญ่ หรื อรายบุคคล 3.2.6 การพัฒ นาภาษา เพื่ อ ให้ เ ด็ ก ได้ มี โ อกาสใช้ ภ าษาสื่ อ สารถ่ า ยทอด ความรู้สกึ ความนึกคิด ความรู้ความเข้ าใจในสิ่งต่าง ๆ ที่เด็กมีประสบการณ์ จึงควรจัดกิจกรรม ทางภาษาให้ มีความหลากหลายในสภาพแวดล้ อมที่เอื ้อต่อการเรี ยนรู้ มุง่ ปลูกฝั งให้ เด็กรักการอ่าน และบุคลากรที่ แวดล้ อมต้ องเป็ นแบบอย่างที่ ดีใ นการใช้ ภาษา ทัง้ นี ต้ ้ องคานึง ถึง หลักการจัด กิจกรรมทางภาษาที่เหมาะสมกับเด็กเป็ นสาคัญ 3.2.7 การส่งเสริ มจินตนาการและความคิดสร้ างสรรค์ เพื่อให้ เด็กได้ พฒ ั นา ความคิดริ เริ่ มสร้ างสรรค์ ได้ ถ่ า ยทอดอารมณ์ ความรู้ สึกและเห็ น ความสวยงามของสิ่ง ต่าง ๆ รอบตัวโดยใช้ กิจกรรมศิลปะและดนตรี เป็ นสื่อ ใช้ การเคลื่อนไหวและจังหวะตามจินตนาการ ให้ ประดิษฐ์ สิ่งต่าง ๆ อย่างอิสระตามความคิดริ เริ่ มสร้ างสรรค์ของเด็ก เล่นบทบาทสมมติในมุมเล่น ต่าง ๆ เล่นน ้า เล่นทรายก่อสร้ างสิง่ ต่าง ๆ เช่น แท่งไม้ รูปทรงต่าง ๆ ฯลฯ การประเมินพัฒนาการ การประเมินพัฒนาการเด็กอายุ 3 – 5 ปี เป็ นการประเมินพัฒนาการทางด้ านร่ างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญาของเด็ก โดยถือเป็ นกระบวนการต่อเนื่อง และเป็ นส่วน หนึ่งของกิจกรรมปกติที่จดั ให้ เด็กในแต่ละวัน ทังนี ้ ้มุ่งนาข้ อมูลการประเมินมาพิจารณาปรับปรุ ง วางแผนการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริ มให้ เด็กแต่ละคนได้ รับการพัฒนาตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตร การประเมินพัฒนาการควรยึดหลัก ดังนี ้ 1. ประเมินพัฒนาการของเด็กครบทุกด้ านและนาผลมาพัฒนาเด็ก 2. ประเมินเป็ นรายบุคคลอย่างสม่าเสมอต่อเนื่องตลอดปี 3. สภาพการประเมินควรมีลกั ษณะเช่นเดียวกับการปฏิบตั ิกิจกรรมประจาวัน 4. ประเมินอย่างเป็ นระบบ มีการวางแผน เลือกใช้ เครื่องมือและจดบันทึกไว้ เป็ นหลักฐาน 5. ประเมินตามสภาพจริ งด้ วยวิธีการที่หลากหลายเหมาะสมกับเด็ก รวมทังใช้ ้ แหล่งข้ อมูล หลาย ๆ ด้ าน ไม่ควรใช้ การทดสอบ สาหรับวิธีการประเมินที่เหมาะสมและควรใช้ กบั เด็กอายุ 3 – 5 ปี ได้ แก่ การสังเกต การ บันทึกพฤติกรรม การสนทนา การสัมภาษณ์ การวิเคราะห์ ข้อมูลจากผลงานเด็กที่เก็บอย่างมี ระบบ การจัดหลักสูตรสถานศึกษา 1. จุดมุง่ หมายของหลักสูตรสถานศึกษา สถานศึกษาหรื อสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยต้ อง ดาเนินการจัดทาหลักสูตรสถานศึกษาร่วมกับครอบครัว ชุมชน ท้ องถิ่น หน่วยงาน และ สถานศึกษาทังภาครั ้ ฐและเอกชน กาหนดจุดหมายของหลักสูตรที่มงุ่ ให้ เด็กมีการพัฒนาทุกด้ าน


168 ทังด้ ้ านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญาอย่างเหมาะสมกับวัย ความสามารถ ความแตกต่างของบุคคลเพื่อพัฒนาเด็กให้ เกิดความสุขในการเรี ยนรู้ เกิดทักษะที่จาเป็ นต่อการ ดารงชีวิต รวมทังการปลู ้ กฝั งคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมที่พงึ ประสงค์ให้ แก่เด็ก 2. การสร้ างหลักสูตรสถานศึกษา หลักสูตรสถานศึกษาหรื อสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย จะต้ องสนองต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ และปรับเปลี่ยนให้ สอดคล้ องกับธรรมชาติ และการเรี ยนรู้ของเด็กปฐมวัย ดังนันสถานศึ ้ กษาหรื อสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยควรดาเนินการ จัดทาหลักสูตร ดังนี ้ 2.1 ศึกษาทาความเข้ าใจเอกสารหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยและเอกสารหลักสูตรอื่นๆ รวมทังศึ ้ กษาข้ อมูลเกี่ยวกับตัวเด็กและครอบครัว สภาพปั จจุบนั ปั ญหาความต้ องการของชุมชน และท้ องถิ่น 2.2 จัดทาหลักสูตรสถานศึกษา โดยกาหนดวิสยั ทัศน์ ภารกิจ เป้าหมาย คุณลักษณะ ที่พึงประสงค์ สาระการเรี ยนรู้ รายปี การจัดประสบการณ์ การสร้ างบรรยากาศการเรี ยนรู้ การ ประเมิ น พัฒ นาการ สื่ อ และแหล่ ง การเรี ย นรู้ รวมทัง้ จัด ท าแผนการจัด ประสบการณ์ ทัง้ นี ้ สถานศึกษาหรื อสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยอาจกาหนดหัวข้ ออื่น ๆ ได้ ตามความเหมาะสมและความ จาเป็ นของสถานศึกษาแต่ละแห่ง 2.3 การประเมิน เป็ นขัน้ ตอนของการตรวจสอบหลักสูตรของสถานศึกษา แบ่ง ออกเป็ น การประเมินก่อนนาหลักสูตรไปใช้ เป็ นการประเมินเพื่อตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตร องค์ ป ระกอบของหลัก สู ต รหลัง จากที่ ไ ด้ ท าแล้ ว โดยอาศัย ความคิ ด เห็ น จากผู้ เชี่ ย วชาญ ผู้ทรงคุณวุฒิในด้ านต่าง ๆ การประเมินระหว่างการดาเนินการใช้ หลักสูตรเป็ นการประเมินเพื่อ ตรวจสอบว่าหลักสูตรสามารถนาไปใช้ ได้ ดี เพียงใด ควรมีการปรับปรุ งแก้ ไขในเรื่ องใด และการ ประเมินหลังการใช้ หลักสูตร

สรุ ป ทิศทางในการจัดการศึกษาสาหรับเด็กปฐมวัย เป็ นการจัดการศึกษาที่ม่งุ เน้ นเด็กเป็ น สาคัญ โดยให้ เด็กแต่ละคนได้ รับการส่งเสริ ม เกิดการพัฒนา และเรี ยนรู้ ก้ าวหน้ าอย่างสูงสุด เท่าที่เด็กทาได้ ครูผ้ สู อน ผู้บริหาร ผู้ปกครอง ตลอดจนผู้เกี่ยวข้ อง ต้ องสร้ างแนวคิดพื ้นฐานการ จัดการศึกษาสาหรับเด็กปฐมวัย โดยรู้ทนั ความเคลื่อนไหวในมิตใิ หม่แห่งการปฏิรูปการศึกษาตาม พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ที่ม่งุ เน้ นรูปแบบการเรี ยนรู้ของเด็กเป็ นสาคัญการ จัดการศึกษาและสิง่ แวดล้ อมการเรี ยนรู้สาหรับเด็กปฐมวัยจึงไม่ควรเป็ นรูปแบบมาตรฐานเดียวกัน


169 ทุกคนควรเป็ นไปตามหลักการจัดเน้ นผู้เรี ยนเป็ นสาคัญ เน้ นพัฒนาการและธรรมชาติของเด็ก สนับ สนุน ศัก ยภาพ และพัฒ นาการของผู้เ รี ย นทัง้ ทางร่ า งกาย อารมณ์ สัง คม จิ ต ใจ และ สติปัญญา เน้ นสอดคล้ องตามแนวการจัดการศึกษาปฐมวัย โดยเด็กมีส่วนร่ วมในการเรี ยนรู้ ลงมือปฏิบัติกิจกรรมอย่า งสนุกสนาน กลมกลืนไปกับการเรี ยนการสอน เกิ ดการเรี ยนรู้ และ ความก้ าวหน้ าอย่างสูงสุดในแต่ละคน ในสถานศึกษาปฐมวัยควรจัดให้ มีการจัดประสบการณ์ ที่ เน้ นเป้าหมายการปลูกฝั งคุณธรรมควบคู่กบั การจัดประสบการณ์ ด้านความรู้ โดยยึดผู้เรี ยนเป็ น ศูนย์กลาง ได้ แก่ คุณธรรมเรื่ องความขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ มีวินยั สุภาพ สะอาด สามัคคี และมีน ้าใจ จัดการพัฒนาเด็กอย่างมีสว่ นร่วม ปั จจุบันสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยในประเทศ จัดดาเนิ นงานโดยหน่วยงานของรั ฐและ เอกชน โดยมีลกั ษณะการดาเนินงานใน 2 รู ปแบบใหญ่ ๆ คือ รู ปแบบโรงเรี ยน โดยจัดชันเรี ้ ยน ระดับอนุบาล 1 – 3 รับเด็กอายุ 3 – 6 ปี ส่วนอีกรูปแบบหนึง่ จะอยูใ่ นรูปศูนย์พฒ ั นาเด็ก ซึง่ จะรับ เด็กเข้ าดูแลตังแต่ ้ อายุ 0 – 3 ปี ทังนี ้ ้โดยมีวตั ถุประสงค์ในการอบรมเลี ้ยงดูเพื่อส่งเสริ มและพัฒนา เด็กให้ มีความพร้ อมและความสามารถที่เหมาะสมกับวัย และมีพื ้นฐานเพียงพอที่จะพัฒนาในขัน้ ที่สงู ต่อไปได้ อย่างมัน่ คง

คาถามทบทวน 1. จงอธิบายถึงลักษณะการจัดการศึกษาปฐมวัยในประเทศไทย 2. นักศึกษามีความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายการจัดการศึกษาปฐมวัยของไทยอย่างไร 3. จงยกตัวอย่างแผนยุทธศาสตร์ ของรัฐบาลที่ใช้ ในการส่งเสริมการจัดการศึกษาปฐมวัย 4. ในการจัดการศึกษาปฐมวัยนักศึกษาต้ องยึดหลักการอย่างไร จงเขียนอธิบาย 5. ให้ นกั ศึกษาอธิบายทิศทางการจัดการศึกษาสาหรับเด็กปฐมวัย 6. จงวิเคราะห์ปัญหาของการจัดการศึกษาปฐมวัยในประเทศไทย 7. จงอธิบายรูปแบบและวัตถุประสงค์ของหน่วยงานที่จดั การศึกษาปฐมวัยของไทย 8. ให้ นกั ศึกษาเปรี ยบเทียบลักษณะความเหมือนและความแตกต่างของรูปแบบสถาน พัฒนาเด็กปฐมวัยของไทย 9. ให้ นกั ศึกษาแสดงความคิดเห็นว่าแนวโน้ มการจัดการศึกษาปฐมวัยของไทยจะเป็ น อย่างไร 10. จงวิเคราะห์ปรัชญาการศึกษาปฐมวัยและหลักการตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546


170

เอกสารอ้ างอิง คณะกรรมการการศึกษาขันพื ้ ้นฐาน, สานักงาน. (2547). หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546. กรุงเทพ ฯ : โรงพิมพ์ครุ ุสภาลาดพร้ าว. เลขาธิการสภาการศึกษา, สานักงาน. (2550). นโยบายและยุทธศาสตร์ การพัฒนาเด็ก ปฐมวัย (0 – 5 ปี ) ระยะยาว พ.ศ. 2550 – 2559. กรุงเทพ ฯ : วี.ที.ซี.คอมมิวนิเคชัน่ . วัฒนา ปุญญฤทธิ์. (2542). การจัดสภาพแวดล้ อมในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย. กรุงเทพ ฯ : สถาบันราชภัฏพระนคร. ........... (2551). เอกสารประกอบการสัมมนา เรื่อง แผนพัฒนาฉบับที่ 10 กับการจัด การศึกษาปฐมวัย. 25 มีนาคม 2551. วิชาการ, กรม กระทรวงศึกษาธิการ. (2546). หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546. กรุงเทพ ฯ : โรงพิมพ์ครุ ุสภาลาดพร้ าว. เยาวพา เดชะคุปต์. (2550). การจัดการเรียนรู้สาหรับเด็กปฐมวัย. กรุงเทพ ฯ : มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสติ เยาวพา เดชะคุปต์, สุทธิพรรณ ธีรพงศ์และพรรัก อินทมาระ. (2550). การบริหารจัดการศึกษา ปฐมวัย. กรุงเทพ ฯ : มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสติ ศึกษาธิการ, กระทรวง. (2548). นโยบายและยุทธศาสตร์ การพัฒนาเด็กปฐมวัย (0 – 5 ปี ) ระยะยาว พ.ศ. 2549 – 2558. กรุงเทพ ฯ : โรงพิมพ์ครุ ุสภาลาดพร้ าว. สงบ ลักษณะ. (2542). “กรอบนโยบายและแผนการศึกษาขันพื ้ ้นฐาน 12 ปี ” ใน แนวคิดและ นโยบายกระทรวงศึกษาธิการ. กรุงเทพ ฯ : โรงพิมพ์ครุ ุสภาลาดพร้ าว. สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กปฐมวัย. (2542). การศึกษาปฐมวัย สร้ างชาติ สร้ างชาติ. กรุงเทพ ฯ : สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. สาธารณสุขแห่งประเทศไทย, มูลนิธิ. (2550). รูปแบบการจัดการศึกษาปฐมวัยของประเทศ ไทย. กรุงเทพ ฯ : กระทรวงสาธารณสุข สิริมา ภิญโญอนันตพงษ์ . (2538). แนวคิดสู่แนวปฏิบัติ : แนวการจัดประสบการณ์ ปฐมวัย ศึกษา (หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย). กรุงเทพ ฯ : ดวงกมล. ........... (2550). การศึกษาปฐมวัย. กรุงเทพ ฯ : มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสติ สุโขทัยธรรมาธิราช, มหาวิทยาลัย. (2537). ประมวลสาระชุดวิชาสัมมนาการปฐมวัยศึกษา หน่ วยที่ 1 – 8. นนทบุรี : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.


171 อมรชัย ตันติเมธ. (2537). ประมวลสาระชุดวิชาการบริหารสถานศึกษาปฐมวัย หน่ วยที่ 1 – 8. นนทบุรี : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. มติคณะรัฐมนตรี ในการพัฒนาเด็กปฐมวัย (0-5 ปี ) [Online] Available : http:// www.moe.go.th/ websm/news_online04.htm [2006, กันยายน 2]. ยุทธศาสตร์ ในการพัฒนาเด็กปฐมวัยของไทย [Online] Available http://www.aihd.mahidol.ac. th/ [2008, มีนาคม 28].


172


173

บทที่ 7 นวัตกรรมทางการศึกษาปฐมวัย การจัดการศึกษาสาหรับเด็กปฐมวัย เป็ นการจัดประสบการณ์แก่เด็กในลักษณะของการ อบรมเลี ้ยงดู และพัฒนาความพร้ อมทังทางด้ ้ านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา ซึง่ ปั จจุบนั การจัดการศึกษาในระดับนี ้มีความเจริญก้ าวหน้ าทังในด้ ้ านปริ มาณและคุณภาพ ส่งผล กระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชากรในทางที่ดีขึ ้น อย่างไรก็ตามนักการศึกษาปฐมวัยได้ พยายาม ศึก ษาค้ น คว้ า และวิ จัย ค้ น หาแนวคิด วิ ธีก ารหรื อการปฏิ บัติ ใ หม่ ๆ โดยการน านวัตกรรมและ เทคโนโลยีมาใช้ เพื่อพัฒนาการจัดการศึกษาระดับปฐมวัยให้ เกิดประสิทธิภาพ ซึ่งนวัตกรรมและ เทคโนโลยีนนมี ั ้ ความสาคัญสาหรับเด็กปฐมวัย เพราะเด็กวัยนี ้ต้ องเรี ยนรู้ ด้วยการกระทาจาก ประสบการณ์ตรงที่เป็ นรู ปธรรมมากกว่านามธรรม ดังนันนวั ้ ตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษา ปฐมวัยจึงเป็ นสื่อในการเสริมสร้ างและขยายประสบการณ์ในการเรี ยนรู้ให้ แก่เด็กปฐมวัย

ความหมายของนวัตกรรมทางการศึกษาปฐมวัย คาว่า “นวัตกรรม” มาจากภาษาอังกฤษว่า “Innovation” หมายถึง สิ่งใหม่หรื อการ เปลี่ยนแปลง (ชัยยงค์ พรหมวงศ์, 2536, หน้ า 32) คาว่านวัตกรรมมีนกั การศึกษาบางกลุม่ ใช้ คา ว่า นวกรรม ทังสองค ้ านี ้จึงใช้ ในความหมายเดียวกัน ดังนัน้ นวัตกรรมทางการศึกษาจึงหมายถึง ความคิดและการกระทาใหม่ ๆ ที่จะทาให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อจะแก้ ปัญหาที่เกิดขึ ้นในระบบ การศึกษา สวัสดิ์ ปุษปาคม (2517, หน้ า 1) กล่าวว่า นวัตกรรม หมายถึง การปฏิบตั ิหรื อกรรมวิธีที่ นาเอาวิธีการใหม่มาใช้ หรื อการทาการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงวิธีทาสิ่ง ๆ นันให้ ้ ดีกว่าเดิมคือ ให้ มี ประสิทธิ ภาพสูงขึน้ ตัวอย่างเช่น ในการให้ การศึกษาก็ใช้ เครื่ องมือกลช่วยการสอนที่เรี ยกว่า Teaching หรื อใช้ เครื่ องคอมพิวเตอร์ ช่วยในการสอนที่เรี ยกว่า Computer Assisted Instruction (CAI) เป็ นต้ น สาลี ทองธิว (2536, หน้ า 107) กล่าวว่า นวัตกรรมทางการศึกษา หมายความถึง แนวความคิดและวิธีการหรื อการปฏิบตั ิและกรรมวิธีใหม่ ๆ ทางการศึกษาที่กาลังทดลองใช้ แล้ ว แต่ยงั ไม่เป็ นที่แพร่หลายในสังคมนัน้ สร้ างขึ ้นโดยมีเป้าหมายในการใช้ ชดั เจน และเพื่อปรับปรุง แก้ ไขการปฏิบตั ิเดิมให้ เกิดประสิทธิภาพมากขึ ้น


174 ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2529, หน้ า 25 – 26) กล่าวว่า สิ่งที่ถือว่าเป็ น “นวัตกรรม” มีเกณฑ์ ในการพิจารณาดังนี ้ 1. จะต้ องเป็ นสิ่งใหม่ทงหมดหรื ั้ อบางส่วนอาจเป็ นของเก่าใช้ ไม่ได้ ผลในอดีตแต่ นามาปั ดฝุ่ นปรับปรุงใหม่หรื อเป็ นของปั จจุบนั ที่เราทาการปรับปรุงให้ ดีขึ ้น 2. มีการนาวิธีการจัดระบบมาใช้ โดยพิจารณาจากองค์ประกอบทังส่ ้ วนข้ อมูลที่ ใส่เข้ าไป กระบวนการและผลลัพธ์ โดยกาหนดขันตอนการด ้ าเนินการให้ เหมาะสมก่อนที่จะทาการ เปลี่ยนแปลง 3. มีการพิสจู น์ด้วยการวิจยั หรื ออยูร่ ะหว่างการวิจยั ว่า “สิ่งใหม่” นันจะช่ ้ วยให้ การ แก้ ปัญหาและการดาเนินงานบางอย่างมีประสิทธิภาพสูงขึ ้นกว่าเดิม 4. ยังไม่เป็ นส่วนหนึ่งของระบบงานในปั จจุบนั หาก “สิ่งใหม่” นัน้ ได้ รับการ เผยแพร่ และยอมรับจนกลายเป็ นส่วนหนึ่งของระบบงานที่ดาเนินอยู่ในขณะนี ้ไม่ถือว่าสิ่งใหม่นนั ้ เป็ นนวัตกรรมต่อไป แต่จะเปลี่ยนสภาพเป็ นเทคโนโลยีอย่างเต็มที่ นันทกา ปรี ดาศักดิ์ (2548, หน้ า 269) กล่าวว่า นวัตกรรม หมายถึง 1. เป็ นสิง่ ใหม่ทงหมด ั้ หรื อใหม่เพียงบางส่วน 2. เป็ นสิง่ ใหม่ที่ยงั ไม่เคยมีการนาขึ ้นมาใช้ ในที่นนั ้ กล่าวคือ เป็ นสิง่ ใหม่ในบริบท หนึง่ แต่อาจเป็ นของเก่าในอีกบริ บทหนึ่ง ได้ แก่ การนาสิ่งที่ใช้ หรื อปฏิบตั ิกนั ในสังคมหนึ่งมาปรับใช้ ในอีกสังคมหนึง่ นับเป็ นนวัตกรรมในสังคมนัน้ 3. เป็ นสิง่ ใหม่ในช่วงเวลาหนึง่ แต่อาจเป็ นของเก่าในอีกช่วงเวลาหนึง่ เช่น อาจ เป็ นสิ่ ง ที่ เ คยปฏิ บัติ ม าแล้ ว แต่ ไ ม่ ไ ด้ ผ ล เนื่ อ งจากขาดปั จ จัย สนับ สนุน ต่ อ มาเมื่ อ ปั จ จัย และ สถานการณ์เอื ้ออานวยจึงนามาเผยแพร่ และทดลองใช้ ใหม่ถือว่าเป็ นนวัตกรรมได้ จากเกณฑ์ การพิ จารณาข้ า งต้ นท าให้ แนวคิดหลักปฏิบัติระบบ กระบวนการ วิธีการ ระเบียบ กฎและสิ่งประดิษฐ์ ซงึ่ ไม่ถือเป็ น “นวัตกรรม” ในประเทศหนึ่งอาจจะเป็ นนวัตกรรมใน ประเทศอื่ น ได้ สิ่ง ที่ ถื อ ว่า เป็ นนวัต กรรมในอดี ต หากน ามาปรั บ ปรุ ง ใช้ ใ นปั จ จุบัน ได้ อ ย่ า งมี ประสิทธิภาพถือได้ วา่ เป็ นนวัตกรรม การจัดการศึกษาปฐมวัยในอดีต มีนักคิดและนักการศึกษาหลายท่านได้ เป็ นที่ริเริ่ มนา แนวปฏิบตั ิที่ว่าการจัดการศึกษาปฐมวัยควรจะแตกต่างจากการจัดการศึกษาสาหรับผู้ใหญ่โดยได้ เสนอแนวคิดตลอดจนวิธีการสอนและการใช้ อปุ กรณ์ตา่ ง ๆ ที่เหมาะสมกับวัยของเด็ก เช่น แนวคิด ของคอมมิวนิอสุ รุสโซ เปสตารอสซี่ โฟรเบลและมอนเตสซอรี่ เป็ นต้ น ในปั จจุบนั แนวคิดของ นักการศึกษาเหล่านี ้เป็ นแนวคิดที่ได้ รับการยอมรับและนามาปฏิบตั ิอย่างแพร่หลาย


175 ปั จจุบนั นวัตกรรมทางการศึกษาปฐมวัยได้ เผยแพร่ เข้ าสู่การจัดการศึกษาปฐมวัยอย่าง รวดเร็ ว และเป็ นปรากฏการณ์ที่วงการศึกษาปฐมวัยไม่อาจปฏิเสธได้ เพราะในปั จจุบนั การพัฒนา เด็กปฐมวัยให้ เป็ นไปอย่างเหมาะสมนัน้ ได้ มีการร่ วมมือกันดาเนินการโดยหน่วยงานหลายฝ่ าย ทังภาครั ้ ฐและภาคเอกชน ซึง่ ต่างก็พยายามที่จะคิดค้ นและทดลองนวัตกรรมต่าง ๆ เข้ ามาช่วยใน การพัฒนาเด็กทุกด้ าน ทังด้ ้ านร่ างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา (ทิศนา แขมมณี, สุมน อมรวิวฒ ั น์ และบุษบง ตันติวงศ์, 2535, หน้ า 22 – 23) นวัตกรรมทุกอย่างมีประโยชน์และมีค่าที่ จะทาให้ เกิดการตื่นตัว โดยเฉพาะด้ านการเรี ยนการสอนที่จะนาไปสูก่ ารเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ พึงประสงค์ของเด็ก ดังนันวรนาท ้ รั กสกุลไทย (2537, หน้ า 144) จึงกล่าวว่านวัตกรรมทาง การศึกษาปฐมวัย หมายถึง การนาแนวคิดและวิธีการหรื อการกระทาใหม่ ๆ ตลอดจนวัสดุ อุปกรณ์ตา่ ง ๆ ทางการศึกษาปฐมวัยมาใช้ ในการปรับปรุ งประสิทธิภาพการจัดการศึกษาปฐมวัย ให้ ดียิ่งขึ ้นโดยมีเป้าหมายที่ชดั เจน

ความสาคัญของนวัตกรรมการศึกษาปฐมวัย การจัดการศึกษาปฐมวัยให้ ความสาคัญในเรื่ องของความแตกต่างระหว่างบุคคล โดยมุ่ง จัดประสบการณ์ตามความถนัด ความสนใจและความสามารถของแต่ละคน เพื่อพัฒนาให้ เด็กมี ความพร้ อมในการเรี ย นและพัฒนาเด็กทุกด้ าน ทัง้ ด้ านร่ างกาย อารมณ์ จิ ตใจ สัง คมและ สติปัญญา นวัตกรรมทางการศึกษาสาหรับการศึกษาปฐมวัยนัน้ จึงเป็ นสิ่งที่ จาเป็ นและมี ความสาคัญเพราะเด็กปฐมวัยเป็ นวัยที่เรี ยนรู้ด้วยการกระทาจากประสบการณ์ตรงที่ประกอบด้ วย สิ่งที่เป็ นรู ปธรรมง่าย ๆ ไปสู่สิ่งที่เป็ นรู ปธรรมที่ยากขึน้ และนาไปสู่นามธรรมในที่สุด แต่ถ้าไม่ สามารถให้ เด็กเรี ยนรู้จากประสบการณ์ตรงได้ ก็ควรนานวัตกรรมมาใช้ เป็ นสื่อในการส่งเสริ มและ ขยายประสบการณ์ให้ เด็กได้ เรี ยนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ เด็กปฐมวัยจะต้ องเรี ยนรู้จากการสารวจที่ เป็ นประสบการณ์ตรงและมีการปฏิสมั พันธ์ กบั บุคคลอื่น ๆ รวมทังกั ้ บสื่อต่าง ๆ ไม่ใช่จากการคอย ฟั งครู บอกว่าจะต้ องทาอะไร ดัง นัน้ นวัตกรรมทางการศึกษาจึง มีอิทธิ พลเผยแพร่ เข้ าสู่วงการ การศึกษาปฐมวัยอย่างรวดเร็วและไม่อาจปฏิเสธได้ ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2521, หน้ า 15 – 16) ได้ วิเคราะห์ความสาคัญของนวัตกรรมทาง การศึกษาปฐมวัยโดยศึกษาจากพัฒนาการยุคต้ น ๆ ของการศึกษาปฐมวัยในต่างประเทศไว้ ดงั นี ้ คือ ระเบียบและวิธีสอนของคอมมิวนิอสุ เป็ นการสัมผัสรับรู้ จากธรรมชาติ ใช้ วสั ดุอปุ กรณ์สีสนั สวยงาม จัดสภาพแวดล้ อมให้ น่าอยู่ ส่วนหลักของรุสโซเน้ นให้ เด็กรับรู้สมั ผัสด้ วยตนเอง เป็ นการ อาศัยหลักของเทคโนโลยีการศึกษามาประยุกต์ซึ่งสอดคล้ องกับแนวคิดของเปสตารอสซี่ที่เน้ นใช้


176 วัสดุอปุ กรณ์และวิธีการทางเทคโนโลยีการศึกษาเข้ าช่วย และการจัดประสบการณ์ที่เป็ นรู ปธรรม และประสบการณ์ตรงของดิวอี ้ ตลอดจนการจัดห้ องเรี ยนเหมือนบ้ านของมอนเตสซอรี ล้ วนเป็ น ผลของการนานวัตกรรมทางการศึกษาเข้ ามาช่วยพัฒนาประสิทธิภาพของการศึกษาปฐมวัย ในปั จ จุบัน การพัฒ นาเด็ ก ปฐมวัย ให้ เ ป็ นไปอย่ า งเหมาะสมนัน้ ได้ มี ก ารร่ ว มมื อ กัน ดาเนินการโดยหน่วยงานหลายฝ่ ายทังภาครั ้ ฐและเอกชน ซึง่ ต่างก็พยายามที่จะคิดค้ นและทดลอง นวัตกรรมต่าง ๆ เข้ ามาช่วยในการพัฒนาเด็ก นวัตกรรมทุกอย่างมีประโยชน์และมีค่ าที่จะทาให้ เกิ ด การตื่ น ตัว โดยเฉพาะด้ า นการเรี ย นการสอนที่ จ ะน าไปสู่ก ารเปลี่ ย นแปลงพฤติ ก รรมที่ พึง ประสงค์ของเด็ก ดังนันนวั ้ ตกรรมทางการศึกษาปฐมวัยควรได้ รับการสนับสนุนจากงานวิจยั ใหม่ ๆ เพื่อให้ เกิดความเชื่อมัน่ ในการนานวัตกรรมมาใช้ (อารี สัณหฉวี, 2537, หน้ า 166) นวัตกรรมทาง การศึกษาจึงนับได้ วา่ มีความสาคัญต่อการจัดการศึกษาปฐมวัยเป็ นอย่างยิ่ง อาจกล่าวได้ ว่า นวัตกรรมทางการศึกษาปฐมวัยเป็ นการนาแนวคิดและวิธีการในการจัด การศึกษาปฐมวัย เพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัยให้ มีพฒ ั นาการโดยองค์รวมได้ อย่างมีประสิทธิภาพ และ สอดคล้ องกับหลักพัฒนาการและธรรมชาติของเด็กปฐมวัย

ประเภทของนวัตกรรมทางการศึกษาปฐมวัย ตามแนวความคิดของจอห์น มาร์ ติน วิช ( Jhon Martin Rich, 1988 อ้ างถึงใน สาลี ทองธิว, 2536, หน้ า 106) นวัตกรรมทางการศึกษาสามารถแบ่งออกได้ เป็ น 2 กลุม่ ใหญ่ ๆ คือ 1. กลุม่ นวัตกรรมหลักสูตรและการสอนที่สร้ างขึ ้นเพื่อใช้ ในการเรี ยนการสอนภายในระบบ โรงเรี ยน 2. กลุ่ม นวัต กรรมรู ป แบบหรื อ โครงสร้ างการบริ ห ารงานและการควบคุมหรื อกระจาย อานาจการบริหารทรัพยากรที่ใช้ ในการศึกษาทังระบบเป็ ้ นนวัตกรรมที่นาไปสูก่ ารเปลี่ยนแปลงทาง การศึกษาในวงกว้ าง ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2536, หน้ า 38 – 40) จาแนกประเภทนวัตกรรมออกเป็ น 1. นวัตกรรมด้ านการศึกษาในระบบโรงเรี ยน เช่น การวางแผนการเรี ยนการสอน การจัด สภาพแวดล้ อมและการประเมิน เป็ นต้ น 2. นวัตกรรมด้ านการศึกษานอกระบบโรงเรี ยน เช่น การเรี ยนด้ วยตนเอง การสอนระบบ ทางไกล เป็ นต้ น 3. นวัตกรรมด้ านการศึกษามวลชน เช่น รูปแบบสื่อการศึกษาทางไกลที่ใช้ สื่อมวลชนเป็ น สื่อหลักการประเมินการศึกษามวลชนสาหรับกลุม่ เป้าหมายต่าง ๆ เป็ นต้ น


177 สาลี ทองธิว (2536, หน้ า 118) ได้ อธิบายประเภทความพร้ อมตัวอย่างของนวัตกรรม ทางการเรี ยนการสอนไว้ พอสรุปสาระสังเขปได้ ดงั นี ้ 1. นวัตกรรมประเภทหลักสูตร เช่น หลักสูตรตามศาสตร์ วิชาเป็ นการเน้ นการเรี ยนรู้แบบ สืบเสาะค้ นคว้ าแทนการเรี ยนท่องจา หลักสูตรชดเชยเป็ นหลักสูตรที่จดั ให้ นกั เรี ยนด้ อยโอกาสทาง พื ้นฐานสังคม เศรษฐกิจ หรื อทางพฤติกรรมส่วนตัว 2. นวัตกรรมประเภทการบริ หารและการจัดการ เช่น โรงเรี ยนแบบไม่มีระดับชัน้ (Nongraded Schools) เป้าหมายจะเน้ นการจัดการเรี ยนการสอนแบบเอกัตบุคคล เพื่อให้ ผ้ เู รี ยนได้ เรี ยนตามความสามารถและในระยะเวลาที่เหมาะสมกับความสามารถของตน 3. นวัตกรรมประเภทการสอน เช่น โครงการการศึกษา 2 ภาษา (Billingual Education) โครงการนี ้ให้ นกั เรี ยนได้ เรี ยนรู้เนื ้อหาวิชาการผ่านทางวิชาการแม่ โดยสอดแทรกภาษาอังกฤษเพื่อ ใช้ เป็ นเครื่ องมือในการแสวงหาความรู้ เพิ่มเติม ซึง่ ผลปรากฏว่านักเรี ยนที่อยู่ในโครงการสามารถ เรี ยนรู้การใช้ ภาษาอังกฤษควบคูไ่ ปกับการเรี ยนวิชาต่าง ๆ ได้ อย่างเข้ าใจอีกด้ วย 4. นวัตกรรมโครงการ ตัวอย่าง โครงการเพศศึกษาในโรงเรี ยน มีจดุ มุง่ หมายหลักในการ ให้ ความรู้ แก่ผ้ เู รี ยนเกี่ยวกับเรื่ องเพศศึกษาที่จะช่วยให้ ผ้ เู รี ยนตระหนักถึงความรับชอบที่พึงมี ต่อ ครอบครัว และสามารถตัดสินใจใช้ ชีวิตร่วมกับเพื่อนต่างเพศได้ อย่างรอบคอบเหมาะสม 5. นวัตกรรมประเภทเครื่ องสมองกล (Computer) ซึง่ การใช้ เครื่ องสมองกลในโรงเรี ยนจะ แบ่งออกเป็ น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือใช้ ในงานบริหารและการจัดการศึกษา อีกประเภทหนึ่งคือการ ใช้ ในการเรี ยนการสอน จากแนวคิดและหลักเกณฑ์ประเภทของนวัตกรรมทางการศึกษาดังที่กล่าวมาข้ างต้ นหาก นามาปรับใช้ ในการแบ่งประเภทของนวัตกรรมทางการศึกษาปฐมวัยแล้ ว อาจแบ่งเป็ น 1. นวัตกรรมทางการศึกษาปฐมวัยประเภทการสอน เช่น การสอนแบบมอนเตสซอรี่ การสอนภาษาแบบธรรมชาติ (Whole Language Approach) การสอนแบบโครงการ (The Project Approach) การจัดประสบการณ์ตามแนวคิดเรกจิโอ (Reggio Emilia Approach) การสอนแบบพหุปัญญา 2. นวัตกรรมทางการศึกษาปฐมวัยประเภทสื่อการเรี ยนรู้ เช่น คอมพิวเตอร์ ช่วยสอน MATAL โปรแกรมวิทยาศาสตร์ สาหรับเด็กอนุบาล 3. นวัตกรรมทางการศึกษาปฐมวัย ประเภทหลักสูตร ตัวอย่างเช่น หลักสูตรไฮ / สโคป (High / Scope Curriculum) หลัก สู ต รใยแมงมุ ม (Web Curriculum) การศึ ก ษาวอลดอร์ ฟ (Waldorf Education)


178 4. นวัตกรรมทางการศึกษาปฐมวัย ประเภทการบริ หาร ตัวอย่างเช่น โรงเรี ยนวิถีพุทธ การรับรองมาตรฐานการประกันคุณภาพการศึกษา

นวัตกรรมทางการศึกษาปฐมวัยประเภทการสอน ตัวอย่างนวัตกรรมทางการศึกษาปฐมวัย ประเภทการสอนที่จะนามากล่าวในบทนี ้ คือ การสอนแบบมอนเตสซอรี่ การสอนภาษาแบบธรรมชาติ การสอนแบบโครงการ การจัด ประสบการณ์ตามแนวคิดเรกจิโอ เอมิเลีย การสอนแบบพหุปัญญา การสอนแบบมอนเตสซอรี่ แนวคิดการสอนแบบมอนเตสซอรี่ เป็ นแนวคิดที่คานึงถึงเด็กเป็ นหลัก ในการจัดการเรี ยน การสอน ความสนใจ ความต้ อ งการ การมุ่ง มั่น ตัง้ ใจในการเรี ย นรู้ ด้ ว ยตนเอง การแก้ ไ ข ข้ อผิดพลาดด้ ว ยตนเองของเด็ก ได้ นามาพิ จารณาและวิเคราะห์ เพื่อแสวงหาวิธี การที่ ดีที่ สุด เพื่อให้ เด็กเกิดการเรี ยนรู้ด้วยตนเอง ด้ วยความรู้สกึ ของความมีอิสระ ได้ ใช้ จิตของตนในการซึมซับ สิ่งแวดล้ อมรอบ ๆ ตัว เกิดความอยากรู้ อยากเห็นและแสวงหาความรู้ อย่างมีสมาธิ มีวินัยใน ตนเอง เกิดการพัฒนาการทุก ๆ ด้ านไปในเวลาเดียวกัน การเรี ยนการสอนแบบมอนเตสซอรี่ สามารถพัฒนาเด็กตังแต่ ้ วยั ทารกจนถึงวัยระดับมัธยมศึกษาตอนปลายทุกกลุ่ม ทังเด็ ้ กที่มีความ ต้ องการพิเศษและเด็กปกติ ทุกคนชาติ ศาสนา ดร.มาเรี ย มอนเตสซอรี่ (ค.ศ.1870 – 1952) แพทย์หญิงคนแรกชาวอิตาลี ผู้คิดวิธีการ สอนแบบมอนเตสซอรี่ ขึ ้นครัง้ แรก โดยเริ่ มจากการทางานกับเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา จากการทางานกับเด็กเหล่านี ้ มอนเตสซอรี่ เกิ ดแนวคิดและการเรี ยนรู้ ว่า ถ้ าเด็กได้ มีบ างสิ่ง บางอย่างที่จะจับต้ องและบิดหมุนด้ วยมือ สมองย่อมทาหน้ าที่ตอบสนองได้ มอนเตสซอรี่ จึงได้ คิด วิธีการสอนขึ ้นมาจากความเชื่อ ในการจัดการศึกษาให้ แก่เด็กในวัยระยะเริ่ มต้ นว่า “จุดมุ่งหมาย ในการให้ การศึกษาระยะแรกนัน้ ไม่ใช่การเอาความรู้ไปบอกให้ กบั เด็ก แต่ควรเป็ นการปลูกฝั งให้ เด็กได้ เจริ ญเติบโตไปตามความต้ องการตามธรรมชาติของเขา” ดังนันการสอนแบบมอนเตสซอรี ้ ่ จึงได้ มาจากการสังเกตเด็กในสภาพที่เป็ นจริ งของเด็ก ไม่ใช่ภาพที่ผ้ ใู หญ่ต้องการให้ เด็กเป็ น จาก การสังเกตเด็กจึงได้ พัฒนาวิธีการสอน การจัดเตรี ยมสิ่งแวดล้ อมและอุปกรณ์ การสอนต่าง ๆ ขึ ้นมาใช้ โดยมีแนวปรัชญาที่เชื่อมโยงทุกสิง่ และคานึงว่าเด็กทุกคนมีความสาคัญ แนวคิดและแนวปฏิบตั ิของมอนเตสซอรี่ สามารถสรุ ปเป็ นหลักการของการสอนได้ 5 ประเด็นดังนี ้


179 1. เด็กจะต้ องได้ รับการยอมรับนับถือ เพราะเด็กแต่ละคนมีลกั ษณะเฉพาะของตน ดังนัน้ การจัดการศึกษาให้ แก่เด็กควรจะเหมาะกับเด็กแต่ละคน โดยนักการศึกษาและผู้ปกครองจะแสดง ความเคารพนับถือเด็กได้ หลายวิธี ช่วยให้ เด็กทางานได้ ด้วยตนเอง ส่งเสริ มความเป็ นอิสระให้ แก่ เด็กและเคารพความต้ องการของเด็กแต่ละคน 2. เด็กมีจิตที่ซมึ ซับได้ จะเห็นได้ ชดั จากการที่เด็กเรี ยนภาษาแม่ได้ เอง พัฒนาการของจิต ที่ซมึ ซับได้ มี 2 ระดับคือ อายุตงแต่ ั ้ แรกเกิดถึ ง 3 ปี เป็ นช่วงที่จิตซึมซับโดยมีร้ ู สึกตัว เป็ นการ พัฒนาประสาทสัมผัสของการมองเห็น การได้ ยิน การชิมรส การดมกลิ่น และการสัมผัส เด็กจะ ซึมซับทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวอายุ 3 – 6 ปี เป็ นช่วงที่จิตซึมซับโดยไม่ร้ ู สกึ ตัว โดยเลือกสิ่งที่ ประทับใจจากสิ่งแวดล้ อมและพัฒนาประสาทสัมผัสต่าง ๆ การเลือกสรรมีความละเอียดลออ เพิ่มขึ ้น ตัวอย่างเช่น เด็กอายุตงแต่ ั ้ แรกเกิดถึง 3 ปี จะเห็นและซึมซับสีโดยไม่ได้ แยกแยะ จับคู่ และเรี ยงลาดับสีได้ 3. ช่วงเวลาหลักของชีวิต เด็กวัย 3 – 6 ปี จะรับรู้ได้ ไวและเรี ยนรู้ทกั ษะเฉพาะอย่างได้ ดี ความสนใจ อยากรู้ อยากเห็นของเด็ก จะเปลี่ยนแปลงไปตามอายุและพัฒนาการถึงแม้ ว่าเด็กจะ อยู่ในช่วงเวลาหลักเหมือนกัน แต่ขนตอนและจั ั้ งหวะเวลาของเด็กแต่ละคนจะแตกต่างกัน การ สังเกตจึงเป็ นสิ่งสาคัญสาหรับครูและผู้ปกครองครูจะต้ องสังเกตเด็กเพื่อจัดการเรี ยนการสอนให้ ได้ สมบูรณ์ที่สดุ 4. การเตรี ยมสิ่งแวดล้ อม เด็กจะเรี ยนรู้ ได้ ดีในสิ่งแวดล้ อมที่เตรี ยมเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็ น สถานที่ ใ ดก็ ต ามจุด มุ่ง หมายเพื่ อ ให้ เ ด็ ก มี อิ ส ระในการกระท าสิ่ ง ต่า ง ๆ เพื่ อ ตนเอง เด็ ก เป็ น ศูนย์กลางและมีสว่ นร่วมในการเรี ยนเด็กจะเรี ยนได้ ตามความต้ องการ โดยเฉพาะในห้ องเรี ยนต้ อง เป็ นที่ที่เด็กสามารถทาสิ่งต่าง ๆ ได้ อย่างอิสระเลือกเล่นอุปกรณ์ที่วางไว้ อย่างมีจดุ มุ่งหมายและให้ การศึกษาแก่ตนเอง เด็กจะมีอิสระในการใช้ อปุ กรณ์ที่จดั ไว้ ภายใต้ กรอบในการเลือกที่ครูได้ จดั ให้ 5. การศึกษาด้ วยตนเอง การที่เด็กมีอิสระในสิ่งแวดล้ อมที่จดั เตรี ยมไว้ อย่างสมบูรณ์ เด็ก จะเรี ยนรู้ ระเบียบวินัยของชีวิต ได้ มีโอกาสแก้ ไขข้ อบกพร่ องของตนเอง สามารถควบคุมการ เคลื่อนไหวของตนเองได้ กระบวนการจัดการเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่ 1. หลัก สูตรมอนเตสซอรี่ มีความเชื่ อถื อว่าการที่ เด็กได้ เรี ยนรู้ ตามความต้ องการด้ วย ตนเองและการซึมซับการเรี ยนรู้ จากสิ่งแวดล้ อม จะทาให้ เด็กได้ รับสิ่งที่ต้องการ เด็กจะได้ รับ เสรี ภาพในขอบเขตที่จากัดจากสิ่งแวดล้ อมที่ได้ เตรี ยมไว้ และได้ รับผลสาเร็ จตามความต้ องการของ เด็ก หลักสูตรพื ้นฐานสาหรับเด็กอายุ 3 – 6 ปี แบ่งเป็ น 3 กลุม่ ใหญ่ ดังนี ้


180

จุดมุง่ หมาย เนื ้อหา

อุปกรณ์

1) การศึกษาทางด้ านทักษะกลไกหรื อกลุม่ ประสบการณ์ชีวิต เพื่อการพัฒนาความเป็ นตัวของตัวเอง สมาธิ การประสานสัมพันธ์ และระเบียบ วินยั ในตัวเด็ก ประกอบด้ วย แบบฝึ กหัดกลุ่มประสบการณ์ชีวิต พืชและสัตว์ งานที่ปฏิบตั ิด้วย มือ ฝึ กทางด้ านการเคลื่อนไหวตามจังหวะ แบบฝึ กหัดกลุม่ ประสบการณ์ชีวิตแบ่งออกเป็ น 4 รูปแบบ ได้ แก่ การดูแลตนเอง คือ กิจกรรมประเภทที่ใช้ อุปกรณ์ ต่าง ๆ ที่พบเห็นเป็ น ประจาและเกี่ยวข้ องกับตัวของเด็ก เช่น ชุดการแต่งกาย การขัดรองเท้ า ล้ างมือ อาบน ้าตุ๊กตา เป็ นต้ น การดูแ ลสิ่ ง แวดล้ อ ม คื อ กิ จ กรรมที่ มุ่ง หวัง ให้ เด็ ก ช่ ว ยดูแ ลรั ก ษา สิง่ แวดล้ อม เช่น การปั ดฝุ่ น เช็ด เก็บของ ดูแลพืช สัตว์ เป็ นต้ น ทักษะทางสังคม คือ กิ จกรรมด้ า นสังคม กิริยามารยาทที่เหมาะสม การให้ ความช่วยเหลือผู้อื่น รู้จกั รอโอกาสของตน การควบคุม การเคลื่ อ นไหวของร่ า งกาย คื อ กิ จ กรรมเกี่ ย วกับ การ เคลื่อนไหวของร่างกาย การเดิน การถืออุปกรณ์ การฝึ กความสมดุลของร่างกาย เช่ น กรอบไม้ ชุด เครื่ อ งแต่ง กาย อุป กรณ์ ท าความสะอาด อุป กรณ์ ท าสวน อุปกรณ์ทางพลศึกษา เป็ นต้ น


181 กิจกรรมเพื่อส่ งเสริมการดูแลกิจส่ วนตน

...หวีผม

...ขัดเล็บ

กิจกรรมเพื่อส่ งเสริมการดูแลสิ่งแวดล้ อม

...ปั ดฝุ่ น

กิจกรรมเพื่อส่ งเสริมความเป็ นตัวของตัวเอง

กิจกรรมเพื่อส่ งเสริมความมีระเบียบวินัย

...จัดเตรี ยมอาหารว่าง

...นาอุปกรณ์ไปเก็บที่เดิม

ภาพที่ 7.1 กิจกรรมต่าง ๆ ในกลุม่ ประสบการณ์ชีวิต ที่มา (โรงเรี ยนอนุบาลกรแก้ ว) 2) การศึกษาทางด้ านประสาทสัมผัส จุดมุง่ หมาย

เนื ้อหา

เพื่อฝึ กประสาทสัมผัสของเด็ก ให้ จิตมุ่งไปที่ คุณสมบัติของวัสดุที่ปรากฏเห็ น ชัดเจน ฝึ กให้ ร้ ู จักสังเกตรายละเอียดของสิ่งต่าง ๆ ช่วยเพิ่มความสามารถของ เด็กในการคิด การเห็นความแตกต่าง จุดเด่น การรวมกลุม่ และจัดระเบียบหรื อ ลาดับได้ ประกอบด้ วย ประสาทสัมผัสทางตา มิติ รู ปทรง สี ประสาทสัมผัสทางการ สัมผัส โครงร่ า ง ประสาทสัมผัสทางการสัมผัสและการกะประมาณน า้ หนัก ประสาทสัมผัสเกี่ยวกับอุณหภูมิ ประสาทสัมผัสทางด้ านการสัมผัสและพิจารณา มิติ และของแข็งทรงทึบ โดยใช้ ความทรงจาทางด้ านกล้ ามเนื ้อ และตา ประสาทสัมผัสทางหู


182 อุปกรณ์

เช่น ทรงกระบอกมีจกุ ชุดรู ปสามเหลี่ยมสร้ างสรรค์แถบไม้ สี ชุดกระดาษทราย เรี ยงลาดับหยาบ – เรี ยบ รูปทรงเรขาคณิตทึบ ระฆังชุดทองเหลือง 2 ชุด เป็ นต้ น

กิจกรรมเพื่อพัฒนาประสาทสัมผัสทัง้ 5

...จับคูก่ ลิ่น

...สัมผัสอุณหภูมิ

...สารวจรสชาติ

...จัดลาดับสี

ภาพที่ 7.2 กิจกรรมต่าง ๆ ในกลุม่ ประสาทสัมผัส ที่มา (โรงเรี ยนอนุบาลกรแก้ ว) จุดมุง่ หมาย เนื ้อหา อุปกรณ์

3) การเตรี ยมสาหรับการเขียน และคณิตศาสตร์ เพื่อการเตรี ยมตัวไปสูร่ ะบบการศึกษาสามัญต่อไป เป็ นการเตรี ยมตัวสาหรับการ อ่าน การเขียน คณิตศาสตร์ และวิชาการอื่น ๆ ประกอบด้ วย การเตรี ยมตัวสาหรับการอ่าน การเขียน การนาไปสู่การเรี ยน คณิตศาสตร์ การศึกษาทางด้ านพฤกษศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ดนตรี เช่น อักษรกระดาษทราย กล่องนับท่อนไม้ 0 – 9 ชุดกรอบไม้ สาหรับศึกษา รู ปทรงของใบ ดอกไม้ และต้ นไม้ แผนที่ของทวีปต่าง ๆ ชุดของแผ่นไม้ สาหรับ ศึกษาตัวโน้ ต เป็ นต้ น


183 กิจกรรมเพื่อฝึ กทักษะทางด้ านการคิดคานวณ

...นับกระดุม

กิจกรรมเพื่อฝึ กทักษะทางด้ านภาษา

...เรี ยงตัวอักษร

ภาพที่ 7.3 กิจกรรมต่าง ๆ ในกลุม่ วิชาการ ที่มา (โรงเรี ยนอนุบาลกรแก้ ว) 2. ครู บทบาทของครูในระบบการสอนแบบมอนเตสซอรี่ จะแตกต่างจากครู โดยทัว่ ๆ ไป โดยจะต้ องเป็ นบุคคลที่ช่างสังเกตในความสนใจและความต้ องการของเด็กแต่ละคน ครู จะเป็ น เพียงผู้แนะนาและเด็กเป็ นศูนย์กลางในการเรี ยน ครูจะสาธิตการใช้ อปุ กรณ์ที่ถกู ต้ องให้ เด็กดู แต่ เด็กแต่ละคนเป็ นผู้เลือกวัสดุอปุ กรณ์เหล่านัน้ ครูต้องสังเกตพัฒนาการของเด็ กและการบันทึกการ ทางานของเด็กในการใช้ อปุ กรณ์ตา่ ง ๆ บางครัง้ ครูจะต้ องเปลี่ยนความสนใจของเด็กจากการเลือก อุปกรณ์ที่เกินความสามารถของตนที่จะทาได้ และคอยกระตุ้นเด็กที่ไม่คอ่ ยกล้ า 3. การจัดชันเรี ้ ยน และการทางานของเด็ก ห้ องเรี ยนจัดเป็ นแบบเปิ ดและจัดนักเรี ยนเข้ า เรี ยนแบบคละอายุ เพื่อให้ เด็กได้ ช่วยเหลือซึง่ กันและกัน มีเด็กประมาณ 25 – 35 คน ต่อ ผู้ใหญ่ 2 คน ในห้ องเรี ยนอุปกรณ์และชันวางของจะเป็ ้ นขนาดเล็ก อยู่ในระดับสายตาของเด็กเพื่อที่จะได้ ง่ายสาหรับเด็กในการหยิบใช้ จัดแยกเป็ นหมวดหมู่เรี ยงจากง่ายไปหายาก การจัดสิ่งแวดล้ อมจะ มีจุดมุ่งหมายเด็กสามารถทางานได้ ทงที ั ้ ่โต๊ ะหรื อ พื ้นห้ องซึ่งเป็ นสภาพตามธรรมชาติ เมื่อเด็กมี ความสนใจในกิจกรรมบางอย่าง เด็กจะมีพฤติกรรมที่เหมาะสม ถ้ าเด็กมีพฤติกรรมที่ผิดไป เป็ น หน้ าที่ของครู ที่จะช่วยให้ เด็กหันมาสนใจในงานของตนเอง เด็กแต่ละคนทางานกับอุ ปกรณ์ ของ ตนเอง จึงไม่มีการแข่งขันในห้ องเรี ยนระดับนี ้ 4. วิธีการสอน การสอนสามขันตอนเป็ ้ นวิธีการใช้ สาหรับสอนความคิดรวบยอดใหม่ด้วย การทาซ ้า ใช้ กบั การสาธิตขันต้ ้ น เมื่อเด็กไม่เข้ าใจขันตอนใดขั ้ นตอนหนึ ้ ง่ จะต้ องเริ่มสาธิตให้ ดใู หม่ ครูต้องแน่ใจว่า เด็กเข้ าใจในสิง่ ที่ทาให้ ดแู ล้ วจึงจะดาเนินการขันต่ ้ อไป


184 วิธีการสอนสามขันตอนดั ้ งกล่าว Hainstock (1978, p 7 อ้ างถึงในจีรพันธุ์ พูลพัฒน์ , 2543) อธิบายไว้ ดงั นี ้ ขันแรก ้ สังเกตเห็นลักษณะเฉพาะของสิง่ นัน้ (Recognition of Identity) ทาให้ เชื่อมโยงสิง่ ที่ครูสาธิตให้ ดกู บั ชื่อของสิ่งนันได้ ้ “นี่คือ...” ขันสอง ้ สังเกตเห็นความแตกต่าง (Recognition of Contrasts) มัน่ ใจว่าเด็ก เข้ าใจ เมื่อเด็กบอกว่า “หยิบ......” ขันสาม ้ เห็นความแตกต่างระหว่างสิง่ ของที่มีความคล้ ายคลึงกัน (Discrimination Between Similar Objects) ขันตอนนี ้ ้เพื่อที่จะได้ ทราบว่าเด็กจาชื่อสิง่ ต่าง ๆ ที่ครูสาธิตให้ ดไู ด้ หรื อเปล่า เช่น ชี ้ที่ของหลาย ๆ สิง่ แล้ วถามว่า “อันไหนคือ....” 5. การประเมินผล การสอนแบบมอนเตสซอรี่ ประเมินผลด้ วยการสังเกตความสามารถใน การทากิ จกรรมของเด็กในแต่ละกลุ่มวิชา สังเกตการใช้ อุปกรณ์ แต่ละชิน้ ของเด็ก และมีแบบ ประเมินผลความสามารถของเด็กในการใช้ อปุ กรณ์ตา่ ง ๆ (จีรพันธุ์ พูลพัฒน์, 2543) การสอนภาษาแบบธรรมชาติ (Whole Language) การสอนภาษาแบบธรรมชาติ เป็ นนวัตกรรมทางการศึกษาปฐมวัยที่เสนอแนวคิดใหม่ใน การสอนภาษา เกิดจากความพยายามของนักการศึกษาและนักภาษาศาสตร์ ซึ่ งมองเห็นปั ญหา การเรี ยนรู้ของเด็กว่าเกิดจากการสอนที่ครูมงุ่ เน้ นสาระทางภาษาเป็ นหลัก ทาให้ การเรี ยนการสอน ไม่น่าสนใจ ไม่เป็ นไปตามธรรมชาติคือไม่เหมาะสมกับวัย ความสนใจและความสามารถของเด็ก เมื่อคานึงถึงประโยชน์ที่เด็กจาเป็ นต้ องใช้ ภาษาในการเรี ยนรู้และการสื่อสารในชีวิตจริ ง พบว่าการ สอนภาษาแบบเดิม ไม่เน้ นความสาคัญของประสบการณ์และภาษาที่เด็กใช้ ในชีวิตจริ งจึงไม่ได้ ให้ โอกาสเด็กเรี ยนรู้ภาษาและใช้ ภาษาอย่างมีความหมายเท่าที่ควร (ภรณี คุรุรัตนะ, 2542, หน้ า85) ขณะนี ห้ ลายประเทศหัน มาพัฒนาภาษา ฟั ง พูด อ่านและเขียนแบบธรรมชาติแก่เด็กอย่าง กว้ างขวาง เพราะมีการยืนยันว่าเด็กมีพฒ ั นาการทางภาษาได้ รวดเร็วมากในช่วงหกปี แรกของชีวิต เด็กที่มีความสามารถทางด้ านภาษา ย่อมประสบความสาเร็ จทางการเรี ยนวิชาต่าง ๆ ได้ ดีใน อนาคต แนวทางการสอนภาษาซึง่ ยึดเอาธรรมชาติในการเรี ยนอ่าน เขียนของเด็กปฐมวัยเป็ นหลัก ในการสอน มิได้ ละทิ ้งแนวการสอนแบบสะกดตัวผสมคาและแนวการสอนแบบเป็ นคาเป็ นประโยค อย่ า งสิ น้ เชิ ง แต่ ก ารสอนตามแนวการสอนภาษาแบบธรรมชาติ จ ะมุ่ง ให้ เ ด็ ก เขี ย นเพื่ อ สื่ อ ความหมาย ในขณะเดี ย วกัน ก็ เ ปิ ดโอกาสให้ เด็ ก ได้ เรี ยนรู้ องค์ ป ระกอบย่อ ยของภาษา เช่ น ตัวสะกดและไวยากรณ์ที่ถกู ต้ อง


185 การสอนภาษาแบบธรรมชาติ มีทฤษฎีพื ้นฐานมาจากทฤษฎีที่ว่าด้ วยธรรมชาติของภาษา และทฤษฎีที่วา่ ด้ วยธรรมชาติการเรี ยนอ่านเขียนของเด็กปฐมวัย แบ่งเป็ น 3 ทฤษฎีใหญ่ ๆ ดังนี ้ 1. ทฤษฎีที่ว่าด้ วยระบบของภาษา ประกอบด้ วย 3 ระบบ คือ ระบบความหมาย ระบบ ไวยากรณ์ และระบบเสียง ความหมายเป็ นหัวใจของภาษา ส่วนไวยากรณ์ และเสียงเป็ นเพียง ส่วนประกอบ สถานการณ์ กาหนดคาซึ่งกาหนดความหมายในการสื่อสารอีกทีหนึ่ง เด็กจะไม่ พยายามอ่ า นและเขี ย นด้ ว ยการสะกดค าไปที ล ะตัว แต่เ ขาจะคิ ด หาค าที่ สื่ อ ความหมายได้ เหมาะสมที่สดุ ในสถานการณ์นนั ้ ด้ วยเหตุนี ้เด็กจึงไม่จาเป็ นต้ องรู้ จกั เสียงของตัวอักษรก่อนที่จะ สื่อความหมายโดยการอ่าน เขียนได้ 2. ทฤษฎีที่วา่ ด้ วยภาษา ความคิด และสัญลักษณ์สื่อสาร ภาษาเป็ นสัญลักษณ์สื่อสารที่ ไม่สามารถถ่ายทอดความคิดทุกเรื่ องได้ อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากเด็กไม่สามารถสื่อความคิด ออกมาโดยตรงได้ เขาจึง ต้ องคิดสัญลักษณ์ เพื่อสื่อความคิดและถ่ายทอดประสบการณ์ ต่าง ๆ สัญลักษณ์ที่ใช้ สื่อความหมายต้ องเหมาะกับเรื่ องที่จะสื่อสารและมีได้ หลายรู ปแบบ ได้ แก่ ศิลปะ ดนตรี การเคลื่อนไหวร่ างกาย ละคร และคณิตศาสตร์ การจัดประสบการณ์อ่านเขียนตามแนว การสอนภาษาแบบธรรมชาติจึงรวมเอาศิลปะ ดนตรี และละคร เป็ นส่วนสาคัญในการเรี ยนการ สอน 3. ทฤษฎีที่ว่าด้ วยการอ่านเขียนในระบบภาษา เชื่อว่า ทุกคนต้ องสะสมประสบการณ์ ทางภาษาไว้ เป็ นข้ อมูลสาหรับใช้ ต่อไป ประสบการณ์ จากภาษาพูดจะเป็ นข้ อมูลสาหรับภาษา เขียนและประสบการณ์จากการเขียนก็เป็ นข้ อมูลสาหรับภาษาพูด ความก้ าวหน้ าในการใช้ ภาษา ไม่ว่าในด้ านใดต้ องอาศัยองค์ประกอบทางภาษาหลายด้ าน เช่น ความก้ าวหน้ าในการอ่านเกิด จากการได้ ฟั งค าสั่ง และนิ ท าน การได้ พู ด คุ ย กั บ ผู้ อื่ น และการได้ พ ยายามเขี ยนถ่ า ยทอด ประสบการณ์ การได้ ฟังและพูดคาใดบ่อย ๆ จะทาให้ เด็กคุ้นเคยกับเสียงที่ประกอบกับคาเหล่านัน้ เนื่ อ งจากการอ่ า นเขี ย นเป็ นกิ จ กรรมที่ ต้ อ งสื่ อ ความหมายกับ ผู้อื่ น ซึ่ง จะช่ ว ยให้ เ ขาเข้ า ใจ ความหมายของเรื่ องมากขึ ้น การตีความเป็ นประสบการณ์ จากการเขียนในการตีความเมื่ อเด็ก อ่าน การอ่านและเขียนจึงเป็ นระบบที่ต้องพึ่งพาซึง่ กันและกัน (วรนาท รักสกุลไทย, 2537 อ้ าง จาก บุษบง ตันติวงศ์, มปป.) คุณค่ าของการพัฒนาการสอนภาษาแบบธรรมชาติ การเรี ยนรู้ภาษาแบบธรรมชาติสาหรับเด็กปฐมวัยเป็ นการฝึ กทักษะให้ เด็กได้ พฒ ั นาทังการ ้ ฟั ง พูด อ่านและเขียน โดยทาให้ เด็กรู้สกึ ว่าไม่ถกู บังคับในการจาตัวหนังสือหรื อคาศัพท์ แต่เด็ก จะเกิดทักษะทางภาษาโดยผ่านกิจกรรมและเรี ยนรู้ด้วยความสนุกสนาน การสอนภาษาโดยผ่าน


186 กิจกรรมและเรี ยนรู้ด้วยสนุกสนาน การสอนภาษาแบบธรรมชาติมีคณ ุ ค่าสาหรับเด็กปฐมวัยดังนี ้ 1. เด็กมีความสนุกสนานในการเรี ยนภาษาและมีทศั นคติที่ดีตอ่ การเรี ยนรู้ 2. ช่ ว ยให้ เด็ ก ได้ รั บ การพัฒ นาทางภาษาทัง้ ด้ า นการฟั ง พูด อ่ า นและเขี ย นอย่ า ง ครอบคลุมทุกด้ าน 3. ครู และผู้ปกครองเกิดความเข้ าใจในการพัฒนาการทางภาษา การอ่าน และการเขียน ของเด็กเพิ่มขึ ้น 4. สนองความต้ องการของผู้ ปกครองซึ่งต้ องการให้ เด็กได้ รับการพัฒนาภาษาในช่วง ปฐมวัย

ภาพที่ 7.4 การอ่านและเขียนคาจากพยัญชนะต้ น “ว” ที่มา (โรงเรี ยนสาธิตละอออุทิศ) แนวการพัฒนาการสอนภาษาแบบธรรมชาติ ให้ เด็กมีโอกาสเห็นการใช้ ภาษาที่เหมาะสม โดยการอ่านและการเขียนของครู เพื่อให้ เด็ก นาไปใช้ ตามโอกาสที่ เหมาะสมและเหมาะกับวุฒิภาวะของแต่ละคน จัดสภาพแวดล้ อมและ กิจกรรมที่เอื ้ออานวยต่อการพัฒนาทางภาษา เช่น มุมหนังสือ มุมบทบาทสมมุติ มุมเขียน โดย จัดกิจกรรมต่าง ๆ ดังตัวอย่าง เช่น การเขียนบรรยายภาพตามคาบอกของเด็ก ช่ วยเด็กเขียน บันทึก เขียนประกาศเพื่อแจ้ งข่าว อ่านนิทานร่ วมกัน ท่องคาคล้ องจอง ร้ องเพลง เล่นเกมทาง ภาษา เป็ นต้ น การยอมรับในสิง่ ที่เด็กแสดงออกโดยการพูดและการเขียน เป็ นการกระตุ้นให้ เด็ก พัฒนาภาษาอย่างรวดเร็ ว การพัฒนาทางภาษาของเด็กดูได้ จากผลงานที่รวบรวมไว้ ตามลาดับ ซึ่งสะท้ อนให้ เห็นศักยภาพภาพในตัวเด็ก ดังนันจึ ้ งไม่ควรตัดสินผลงานของเด็กโดยใช้ มาตรฐาน ของผู้ใหญ่ (วรนาท รักสกุลไทย, 2537)


187

ภาพที่ 7.5 การจัดมุมหนังสือที่เอื ้ออานวยต่อการพัฒนาทางภาษา ที่มา (โรงเรี ยนสาธิตละอออุทิศ) การสอนแบบโครงการ (The Project Approach) การสอนแบบโครงการเป็ นวิธีการหนึง่ ที่สามารถส่งเสริมให้ เด็กรู้จกั ตัดสินใจด้ วยตนเองเห็น ผลการกระทาที่ชดั เจนเป็ นรู ปธรรมและเด็กจะมีประสบการณ์จากการปฏิสมั พันธ์ กบั บุคคล วัตถุ สิง่ ของและสิ่งแวดล้ อม รวมทังการลงมื ้ อกระทาในสิง่ ที่เด็กสนใจด้ วยตนเอง หลักการของการสอนแบบโครงการ โครงการคือการสืบค้ นหาข้ อมูลอย่างลึกตามหัวเรื่ องที่เด็กสนใจควรแก่การเรี ยนรู้ จุดเด่น ของโครงการ คือความพยายามที่จะค้ นหาคาตอบจากคาถามที่เกี่ยวกับหัวเรื่ อง ไม่ว่าคาถามนัน้ จะมาจากเด็ก ครู หรื อเด็กและครู ร่วมกันก็ตาม โดยมีจดุ ประสงค์ของการเรี ยนรู้เกี่ยวกับหัวเรื่ อง มากกว่าการเสาะแสวงหาคาตอบที่ถูกต้ องเพื่อตอบคาถามที่ครู เป็ นผู้ถาม การทาโครงการไม่ สามารถทดแทนหลักสูตรได้ ทัง้ หมด สาหรับเด็กปฐมวัยถื อเป็ นส่วนที่เสริ มเพิ่มเติมให้ สมบูรณ์ เป็ นเพียงส่วนหนึง่ ของหลักสูตรเท่านัน้ งานโครงการจะไม่แยกเป็ นรายวิชาแต่จะบูรณาการทุกวิชา เข้ าด้ วยกัน โดยมีครูเป็ นผู้ชี ้แนะและเป็ นที่ปรึกษาในการทาโครงการ ส่วนเวลาที่ใช้ ในการทางาน แต่ละโครงการนันขึ ้ ้นอยูก่ บั หัวเรื่ องและความสนใจของเด็ก ประโยชน์ ของการสอนแบบโครงการ 1. ช่วยให้ เด็กมีโอกาสประยุกต์ใช้ ทกั ษะที่มีอยูแ่ ละเพิ่มความชานาญในทักษะนันยิ ้ ่งขึ ้น 2. แสดงให้ เห็นถึงความสามารถและความถนัดของเด็ก 3. แสดงให้ เห็นแรงจูงใจภายในและความสนใจที่เกิดจากตัวเด็กในงานและกิจกรรมที่ทา 4. ส่งเสริ มให้ เด็กรู้จกั ตัดสินใจว่าควรทาอะไรและผู้ใหญ่ยอมรับในความต้ องการของเด็ก โดยที่เด็กมีความสามารถในการเรี ยนรู้ด้วยตนเอง มีครูเป็ นผู้ให้ คาแนะนาและเด็กเป็ นผู้ตดั สินใจ


188 ลงมือทาด้ วยตัวเด็กเอง การสอนแบบโครงการ มีกระบวนการในการปฏิบตั ิ 5 ข้ อ ดังต่อไปนี ้ 1. การอภิปรายกลุ่ม ในงานโครงการครู สามารถแนะนาการเรี ยนรู้ ให้ เด็กและ ช่วยให้ เด็กแต่ละคนมีโอกาสแลกเปลี่ยนสิ่งที่ตนกระทากับเพื่อน โดยการพบประสนทนาในกลุ่ม ย่อยหรื อกลุม่ ใหญ่ 2. การศึกษานอกสถานที่ ระยะแรกครูอาจพาไปทัศนศึกษานอกห้ องเรี ยนที่อยู่ รอบบริเวณโรงเรี ยนซึง่ ถือเป็ นประสบการณ์การเรี ยนรู้ขนแรกของงานศึ ั้ กษาค้ นคว้ า 3. การนาเสนอประสบการณ์เดิม เด็กสามารถที่จะทบทวนประสบการณ์เดิมใน หัวข้ อเรื่ องที่ตนสนใจ มีการอภิปราย แสดงความคิดเห็นในประสบการณ์ที่เหมือนหรื อแตกต่าง กับเพื่อน 4. การสืบค้ น งานโครงการเปิ ดกว้ างให้ ใช้ แหล่งค้ นคว้ าข้ อมูลอย่างหลากหลาย ตามหัวเรื่ องที่ สนใจเด็ก สามารถสัมภาษณ์ พ่อแม่ ผู้ปกครองของตนเอง บุคคลในครอบครั ว การศึกษานอกสถานที่ ค้ นคว้ าจากหนังสือในชันเรี ้ ยนหรื อในห้ องสมุด 5. การจัดแสดงนิทรรศการ ซึง่ ทาได้ หลายรู ปแบบ อาจใช้ ฝาผนังหรื อป้ายจัด แสดงผลงานของเด็ก ครู สามารถให้ เด็กในชันได้ ้ รับทราบความก้ าวหน้ าโดยจัดให้ มีการอภิปราย หรื อการจัดแสดงให้ ผ้ ปู กครองหรื อเพื่อนต่างห้ องมาชมนิทรรศการที่ครูและเด็กร่วมกันจัดขึ ้น วิธีการจัดการสอนแบบโครงการ แบ่งเป็ น 3 ขันตอน ้ ดังนี ้ ขันที ้ ่ 1 การวางแผนและเริ่มต้ นโครงการ เด็กและครู จะใช้ เวลาส่วนใหญ่ในการอภิปรายเพื่อเลือกและปรับหัวเรื่ องที่จะทา การสืบค้ น หัวเรื่ องอาจเสนอโดยเด็ก ครู ในการเลือกหัวเรื่ องครู ควรคานึงถึงหัวเรื่ องที่เกี่ยวกับ ประสบการณ์ ที่เด็กคุ้นเคยหรื อเกี่ยวข้ องกับตัวเด็ก หัวเรื่ องควรมีขอบข่ายกว้ างพอที่จะศึกษาได้ อย่างน้ อย 1 สัปดาห์เหมาะที่จะทาการสารวจค้ นคว้ าและเป็ นหัวเรื่ องที่สง่ เสริ มทักษะพื ้นฐานทาง ภาษา วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ขันที ้ ่ 2 ลงมือปฏิบตั ิโครงการ ในขันนี ้ ้ถือเป็ นหัวใจโครงการโดยครู จะเป็ นผู้จดั หา จัดเตรี ยมแหล่งข้ อมูลให้ เด็ก ค้ นคว้ าไม่ว่าจะเป็ นของจริ ง หนังสือ วัสดุ อุปกรณ์ ต่างๆ หรื อแม้ แต่การออกไปทัศนศึกษานอก สถานที่ อาจเชิญวิทยากรมาให้ ความรู้ กับเด็ก เพื่อให้ เด็กได้ เรี ยนรู้ สังเกตและบันทึกสิ่งต่างๆ อาจมีการจัดทากราฟ แผนภูมิ การวาดภาพ การอภิปราย เล่นบทบาทสมมุติเพื่อแสดงความ เข้ าใจในความรู้ใหม่ที่ได้ ในขันนี ้ ้เองเด็กจะได้ ลงมือกระทาและปฏิบตั ิด้วยตนเองอย่างสมบูรณ์


189

ภาพที่ 7.6 ทัศนศึกษานอกสถานที่ แหล่งน ้าตามธรรมชาติ ที่มา (โรงเรี ยนสาธิตละอออุทิศ) ขันที ้ ่ 3 แสดงผลงานและสรุปโครงการ ในขัน้ นี จ้ ะเป็ นการสรุ ป โครงการที่ เ สร็ จ สิ น้ แล้ ว รวมถึ ง การเตรี ย มการเสนอ รายงานและผลที่ได้ ในรู ปของการจัดแสดงนิทรรศการ การสนทนา เล่นบทบาทสมมุติ ครู จะจัด ให้ เด็กได้ แบบเปลี่ยนสิ่งที่ตนเรี ยนรู้ กบั ผู้อื่น เด็กสามารถเล่าเรื่ องการทาโครงการให้ ผ้ อู ื่นฟั ง โดย จัดแสดงสิ่งที่เป็ นจุดเด่นให้ เพื่อน ครู พ่อแม่ ผู้ปกครองได้ เห็น ซึง่ การทาเช่นนี เ้ ท่ากับช่วยให้ เด็ก ทบทวนและประเมินโครงการทังหมด ้ ครู นาความคิดเห็นและความสนใจของเด็กไปสู่การสรุ ป โครงการและอาจนาไปสู่หวั เรื่ องใหม่ของโครงการต่อไป (ภรณี คุรุรัตนะ, 2542 อ้ างจาก katz,1994; katz and , chard , 1995) การจัดประสบการณ์ ตามแนวคิดเรกจิโอ เอมิเลีย (Reggio Emilia Approach) การจัด การศึ ก ษาตามแนวความคิ ด เรกจิ โ อ เอมิ เ ลี ย เป็ นรู ป แบบหนึ่ ง ของการจัด ประสบการณ์สาหรับเด็กปฐมวัยที่พฒ ั นาจากความเชื่อว่า การเรี ยนการสอนนันไม่ ้ ใช่การถ่ายโอน ข้ อมูลความรู้ จากผู้สอนไปสู่ผ้ เู รี ยนการเรี ยนรู้ อย่างมีประสิทธิภาพจะเกิดขึ น้ ก็ต่อเมื่อเด็กได้ เรี ยนรู้ ในสิ่งที่ตนสนใจหรื อเป็ นสิ่งที่น่าสนใจสาหรับเด็กและบทบาทของครู จะต้ องส่งเสริ มและสนับสนุน ให้ เด็กได้ เรี ยนรู้ในสิ่งที่สนใจได้ อย่างเต็มศักยภาพของเด็กครูจะต้ องมีความรู้ ความเข้ าใจว่าเด็กมี วิธีการเรี ยนรู้ ได้ อย่างไรและเด็กมีความสามารถในการสื่อออกมาถึงความรู้ ความเข้ าใจในสิ่งที่ เรี ยนรู้ ด้วยวิถีทางใด การจัดประสบการณ์การเรี ยนรู้ สาหรับเด็กปฐมวัยโดยมีเด็กเป็ นศูนย์กลาง ตามแนวคิดเรกจิโอ เอมิเลีย จึงเป็ นการจัดสภาพการเรี ยนรู้ ที่สนองต่อความอยากรู้ และแรงจูงใจ


190 ภายในของเด็กในการเรี ยนรู้ ภายใต้ การจัดสิ่ งแวดล้ อมและกิจกรรมที่เหมาะสมกับการพัฒนาการ ของเด็กแต่ละคน แนวคิดสาคัญที่นาไปสู่การปฏิบตั ิในการจัดประสบการณ์การเรี ยนรู้ สาหรับเด็กปฐมวัยมี ดังนี ้คือ 1. วิธีการมองเด็ก (The image of the child) เด็กแต่ละคนมีลกั ษณะที่เป็ นตัวของ ตัว เอง มี ศัก ยภาพและความสามารถในการรั บ รู้ และเรี ย นรู้ ในตนเองเป็ นไปตามระยะของ พัฒ นาการแต่ ล ะวัย มี ค วามปรารถนาที่ จ ะเติ บ โตและงอกงาม ความอยากรู้ อยากเห็ น ความสามารถในการแสดงออกถึงความต้ องการที่จะสัมพันธ์ และสื่อสารกับผู้อื่นซึ่งปรากฏขึ ้นมา ตังแต่ ้ แรกเกิดและเป็ นองค์ประกอบที่สาคัญเพื่อความอยู่รอดและความเป็ นอันหนึ่งอันเดียวกับ เผ่ า พัน ธุ์ ที่ ต นก าเนิ ด มา ครู ต้ อ งรั บ รู้ ถึ ง ศัก ยภาพของเด็ ก อย่ า งถ่ อ งแท้ เพื่ อ สร้ างงานและ สิง่ แวดล้ อมที่ให้ เด็กมีประสบการณ์ที่จะสนองตอบต่อศักยภาพของเด็กอย่างเหมาะสม 2. โรงเรี ยนเป็ นสถานที่บรู ณาการสิ่งมีชีวิตที่หลากหลาย เป็ นสถานที่ ใช้ ชีวิตและการมี สัมพันธภาพร่วมกันระหว่างผู้ใหญ่และเด็ก ครอบครัวและชุมชนต้ องมีส่วนร่วมและรับรู้การดาเนิน ชีวิตความเป็ นไปในโรงเรี ยน ดังนันการด ้ าเนินการจึงคานึงถึงองค์ประกอบทัง้ 3 คือเด็ก ครอบครัวและครู การจัด สภาพแวดล้ อมในโรงเรี ยนจึงมุง่ จัดโรงเรี ยนที่ให้ ความรู้สกึ อบอุ่นและเป็ นมิตรสาหรับทุกคนที่ได้ เข้ า มาสัมผัสเหมือนอยูใ่ นบ้ าน 3. ครู และเด็กเรี ยนรู้ ไปด้ วยกัน การสอนและการเรี ยนต้ องควบคู่ไปด้ วยกัน โดยให้ ความสาคัญกับการเรี ยนรู้มากกว่าการสอน วัตถุประสงค์ของการจัดการศึกษาแนวเรกจิโอเอมิเลีย คือการจัดสิ่งแวดล้ อมและให้ โอกาสเด็กได้ คิดประดิษฐ์ และค้ นพบตนเอง การเรี ยนรู้ ที่มีคุณค่า คุณค่าสาหรับเด็กจึงไม่ใช่การสอนจากครู ที่เป็ นการบอกเล่าโดยตรง แต่เป็ นการจัดสถานการณ์ที่ ก่อให้ เกิดการเรี ยนรู้ การเรี ยนเป็ นกุญแจสาคัญที่นาไปสู่การสอนวิธีใหม่ ซึง่ ครูเป็ นแหล่งของการ เรี ยนรู้ ที่สมบูรณ์ โดยการนาเสนอทางเลือกที่หลากหลายสาหรับการเสนอความคิดเห็นและเป็ น แหล่งสนับสนุนการเรี ยนรู้ 4. ครูต้องปฏิบตั ิตวั เป็ นนักศึกษา ค้ นคว้ า วิจยั เป็ นนักสารวจและตระเวนเก็บข้ อมูลจาก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้ องกับชีวิตของทุกคน เพื่อเป็ นประสบการณ์และฐานข้ อมูลเพื่อโยงเข้ าสู่ การจัดสถานการณ์หรื อประสบการณ์ที่นาเด็กไปสูก่ ารเรี ยนรู้ที่ก้าวสูก่ ารพัฒนาการทางสติปัญญา ในขันต่ ้ อ ๆ ไป


191 กระบวนการในการจัดประสบการณ์ เรียนรู้ มีดงั นี ้ คือ การจัดสภาพแวดล้ อมในโรงเรี ยน มุ่งให้ ทุกคนที่เข้ ามาสัมผัสกับโรงเรี ยนแล้ วรู้ สกึ อบอุ่ น เหมือนอยู่ในบ้ านที่เปี่ ยมไปด้ วยไมตรี จิต ลักษณะอาคารและพื ้นที่ในโรงเรี ยนจึงส่งเสริ มให้ มีการ พบปะติดต่อสื่อสารกันและมีความสัมพันธ์กนั ของบุคคลทุกระดับที่เกี่ยวข้ องกับระบบโรงเรี ยน หลักสูตร ไม่มีการกาหนดเนื ้อหาแน่นอนชัดเจน วิธีปฏิบตั ิคือแต่ละโรงเรี ยนจะรวบรวม รายชื่อหัวข้ อโครงการที่คาดว่าจะสัมพันธ์ กบั ความสนใจของเด็ก โครงการที่เตรี ยมอยู่ในมือครูนนั ้ จะมีทงโครงการระยะสั ั้ นและโครงการระยะยาว ้ แต่ถ้าเด็กสนใจเรื่ องที่อยู่นอกเหนือรายการหัวข้ อ ที่ครูกาหนดไว้ ลว่ งหน้ า กิจกรรมโครงการในห้ องเรี ยนก็จะปรับเปลี่ยนไปตามความสนใจของเด็ก การวางแผนการสอนของครู คือ การจัดเตรี ยมสถานที่และพื ้นที่ที่อานวยความสะดวกใน การเรี ยนรู้สาหรับเด็ก วัสดุอปุ กรณ์ สิ่งของเครื่ องใช้ ที่ประกอบการเรี ยนรู้ ความคิด สถานการณ์ และโอกาสหรื อจังหวะที่ก่อให้ เกิดการเรี ยนรู้ กิจกรรมการเรี ยนการสอนที่โดดเด่น คือเด็ก ๆ เกิดการเรี ยนรู้จากโครงการ ก่อนการสอน โครงการในชันเรี ้ ยน ครู ทกุ คนจะประชุมพูดคุยกันถึงโครงการที่เกิดขึ ้นได้ จากความสนใจของเด็ก ครูจะวางกรอบความคิดขันตอนแต่ ้ ละระยะของโครงการ เมื่อเริ่มโครงการในชันเรี ้ ยน ครูจะเอื ้อให้ เด็กให้ ค้นหาสิง่ ที่เป็ นที่สนใจของตนและทางานในโครงการที่ตนเองสนใจ ไม่วา่ จะเป็ นโครงการ ระยะสันหรื ้ อโครงการระยะยาว บทบาทของผู้ปกครองและครู ต้ องช่วยให้ เด็กค้ นหาคาตอบด้ วยตนเองและที่สาคัญคือ การช่วยให้ เด็กสามารถถามคาถามที่ ดีต่อตัวเด็กเองด้ วย ครู จะเป็ นผู้สังเกตและฟั งเด็กอย่าง ใกล้ ชิดเพื่อวางแผนและดาเนินการตามโครงการร่วมกับเด็ก ตารางกิจวัตรประจาวัน จะมีความยืดหยุ่นและปรับได้ ตลอดเวลาเพื่อความเหมาะสมต่อ การเรี ย นรู้ อย่า งต่อเนื่ อ งของเด็ ก เด็ ก จะเป็ นผู้ก าหนดจัง หวะโดยตนเองในการวางแผนและ ดาเนินการทากิจกรรม ศิลปะ เป็ นหนทางการสื่อความหมายให้ ผ้ ทู ี่อ ยู่รอบข้ างสามารถเข้ าใจถึงกระบวนการคิด ตลอดจนจิ น ตภาพของเด็ ก ต่ อ สิ่ ง แวดล้ อ มที่ เ ด็ ก ซึม ซับ รั บ รู้ มา เรกจิ โ อ เอมิ เ ลี ย มองการ แสดงออกทางศิ ลปะของเด็ ก ที่ ผ่า นสื่ อ กลางที่ ห ลากหลายเป็ นความสามารถในการสื่ อสารที่ อุปมาอุปไมยเป็ น “ร้ อยภาษา” (The Hundred Languages of Children ) ศักยภาพของเด็กใน ส่วนนี ้ไม่ใช่สว่ นพิเศษที่แยกออกจากหลักสูตรแต่เป็ นองค์ประกอบที่จะต้ องรวมอยูใ่ นหลักสูตร การบันทึกและการแสดงผลงานของเด็ก ครู ศิลปะและครู อื่น ๆ จะร่ วมมือกันจัดผลงาน เด็กที่สื่อถึงความคิดและการเรี ยนรู้ ของเด็กที่สื่อออกมาโดยการปั น้ การวาด การเขียน การพูด


192 การแสดงความคิดเห็น การสร้ างสิง่ ประดิษฐ์ สองมิติ หรื อสามมิติ การเล่นละคร ครูหลายฝ่ ายจะ ช่วยกันจัด นิ ทรรศการด้ วยความละเอีย ดรอบคอบ การจัดนิท รรศการผลงานของเด็ก ๆ มี ผล ตามมาหลายประการคือ 1. ผู้ปกครองรับรู้ ถึงประสบการณ์และการเรี ยนรู้ ของเด็กจากผลงานของเด็ก และเป็ นการสะท้ อนให้ ผ้ ปู กครองตระหนักถึงความสาคัญในบทบาทของตนเองในการมีสว่ นร่ วมที่ ก่อให้ เกิดการเรี ยนรู้ในเด็ก 2. ผลงานของเด็กทาให้ ครูเข้ าใจเด็กดีขึ ้นและสามารถประเมินผลงานของครู ซึง่ มีผลต่อการส่งเสริมให้ ครูพฒ ั นาทางวิชาชีพ 3. เด็กรับรู้ว่าผลงานและความพยายามของตนนันผู ้ ้ ใหญ่มองเห็นคุณค่าในงาน ของตน 4. เป็ นการเปิ ดโอกาสให้ นกั การศึกษามีการพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน 5. เป็ นการสร้ างเกียรติประวัติและผลงานของโรงเรี ยนที่มีการบันทึกถึงความ เพลิดเพลินและกระบวนการเรี ยนรู้ทงของเด็ ั้ กและครู (สุจินดา ขจรรุ่งศิลป์ และธิดา พิทกั ษ์ สนั ติสขุ , 2542) การสอนแบบพหุปัญญา ค.ศ.1983 ฮาร์ วาร์ ด การ์ ดเนอร์ ได้ เสนอแนวคิดว่า ความฉลาดหรื อเชาว์ ปัญญาของ มนุษย์นนมี ั ้ หลายด้ าน ซึง่ การ์ ดเนอร์ เรี ยกทฤษฎีของเขาว่า ทฤษฎีพหุปัญญา เป็ นความสามารถ ทางปั ญญาของเด็กที่ถนัดในหลากหลายด้ าน รวมทังหมด ้ 9 ด้ าน การจัดการเรี ยนการสอนแบบพหุปัญญา จึงเป็ นการสอนที่มุ่งพัฒนาความฉลาดหรื อ ปั ญญาให้ กับเด็ก โดยใช้ กิจกรรมหลากหลาย เพื่อพัฒนาความถนัดหรื อปั ญญาที่เด็กมีอยู่ ซึ่ง ความสามารถทางปั ญญาของเด็กที่ถนัดในหลากหลายด้ าน (สิริมา ภิญโญอนันตพงษ์ , 2550, หน้ า 132 – 133) ดังนี ้ 1.สติปัญญาด้ านภาษา (Linguistic Intelligence) หมายถึง ผู้มีความสามารถทางภาษา อาทิ นักเล่านิทาน นักพูด (ปาฐกถา) ความสามารถใช้ ภาษาในการหว่านล้ อม นักหนังสือพิมพ์ นักจิตวิทยา 2.สติปัญญาด้ านตรรกและคณิตศาสตร์ (Logical/Mathematics Intelligence) หมายถึง ผู้มีความสามารถในการใช้ ตวั เลข อาทิ นักบัญชี นักคณิตศาสตร์ นักสถิติ กลุ่มผู้ให้ เหตุผลที่ดี นักวิทยาศาสตร์ นักตรรกศาสตร์ โปรแกรมเมอร์


193 3.สติปัญญาด้ านมิติสมั พันธ์ (Visual/Spatial Intelligence) หมายถึง ผู้ที่มีความสามารถ มองเห็นภาพของทิศทาง แผนที่ที่กว้ างไกล อาทิ นายพรานผู้นาทาง พวกเดินทางไกล รวมถึงผู้ ที่มีความสามารถมองความสัมพันธ์ ภาพเกี่ยวกับพื ้นที่ เนื ้อที่ การใช้ สี เส้ น พื ้นผิว สถาปนิก มันทนากร นักประดิษฐ์ ตา่ ง ๆ 4.สติปัญญาด้ านร่างกายและการเคลื่อนไหว (Bodily/Kinesthetic Intelligence) หมายถึง ผู้ที่มีความสามารถใช้ ร่างกายของตนเองในการแสดงออกทางความคิด ความรู้สกึ อาทิ นักแสดง นักกีฬา นาฏกร และผู้ที่มีความสามารถใช้ เครื่ องมือในการประดิษฐ์ เช่น นักปั น้ 5.สติปัญญาด้ านดนตรี (Musical/Rhythmic Intelligence) หมายถึง ผู้ที่มีความสามารถ ด้ านดนตรี เช่น นักแต่งเพลง นักดนตรี นักวิจารณ์ดนตรี 6.สติปัญญาด้ านมนุษยสัมพันธ์ (Intelligence) หมายถึง ผู้ที่มีความสามารถในการเข้ าใจ อารมณ์ ความรู้สกึ ความคิด และเจตนาของผู้อื่น รวมถึงความสามารถไวในการสังเกต น ้าเสียง ใบหน้ า ท่าทาง และมีความสามารถทาให้ ผ้ อู ื่นหรื อกลุม่ อื่นปฏิบตั ิตาม 7.สติปัญญาด้ านตน หรื อ การเข้ าใจตนเอง (Interpersonal Intelligence) หมายถึง ผู้ที่มี ความสามารถในการรู้ จกั ตนเอง และสามารถประพฤติปฏิบตั ิตนได้ จากความรู้ สกึ อาทิ การรู้ จกั ตนเองตามความเป็ นจริง มีความรู้เท่าทันอารมณ์ 8.สติปัญญาด้ านรักธรรมชาติ (Naturalistic Intelligence) หมายถึง ผู้ที่มีความสามารถ เข้ าใจความสาคัญของตนเองกับสิ่งแวดล้ อม และตระหนักถึงความสามารถของตนเอง 9.สติปัญญาด้ านการดารงชีวิต (Existential Intelligence) หมายถึง ผู้ที่มีความสามารถ ในการไตร่ ตรอง สร้ างความเข้ าใจเกี่ยวกับการมีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ เข้ าใจการกาหนดของชีวิต และการรู้เหตุผลของการดารงชีวิตอยูใ่ นโลก วิธีการจัดการเรียนการสอน 1. กาหนดจุดมุ่งหมายว่าจะพัฒนาความสามารถของเด็กในด้ านใดด้ านหนึ่ง หรื อหลาย ด้ าน โดยครูผ้ สู อนต้ องศึกษาทาความเข้ าใจคาว่า “พหุปัญญา” คืออะไร ประกอบด้ วยสติปัญญา กี่ด้าน 2. เตรี ยมการสอนเพื่อพัฒนาเด็กเป็ นกลุม่ หรื อเป็ นรายบุคคล 3. ใช้ วิธีสอนหลากหลาย ได้ แก่ การเลานิทาน การะดมพลังสมอง การเขียนบันทึก ประจาวัน ใช้ วิธีการสอนสาหรับปั ญญาด้ านเหตุผล คณิตศาสตร์ ได้ แก่ การคิ ดคานวณ การจัด หมวดหมู่และแยกประเภท วิธีสอนการคิดเชิงวิทยาศาสตร์ ใช้ วิธีสอนขันต่ ้ าง ๆ ด้ านมิติ ได้ แก่ การให้ เห็นภาพ สี รูปภาพ เปรี ยบเทียบ การวาดภาพความคิด การใช้ สญ ั ลักษณ์


194

นวัตกรรมทางการศึกษาปฐมวัยประเภทสื่อการเรี ยนรู้ ตัวอย่างนวัตกรรมทางการศึกษาปฐมวัยประเภทสื่อการเรี ยนรู้ ที่จะนามากล่าวในบทนี ้ คือ MATAL โปรแกรมวิทยาศาสตร์ สาหรับเด็กอนุบาล คอมพิวเตอร์ สาหรับเด็กปฐมวัย MATAL โปรแกรมวิทยาศาสตร์ สาหรับเด็กปฐมวัย การสอนวิทยาศาสตร์ ในระดับปฐมวัยตามโปรแกรม MATAL นี ้จะมุ่งที่การเข้ าถึงวิธีการ เรี ยนการสอน การช่วยให้ เด็ก ๆ เข้ าใจกระบวนการขัน้ พืน้ ฐานของวิทยาศาสตร์ และหนทางที่ ตรวจสอบความรู้ ที่ถกต้ องเป็ นโปรแกรมที่จดั การเรี ยนการสอนให้ เด็กเป็ นศูนย์กลางมุ่งให้ ผ้ เู รี ยน เกิดปฏิสมั พันธ์กบั โลกรอบตัว เกิดความรู้ สกึ ที่เชื่อมโยงตนเองกับสังคมสิ่งแวดล้ อมต่างๆเป็ นส่วน หนึง่ ของธรรมชาติและรู้สกึ รับผิดชอบต่อสิ่งเหล่านันด้ ้ วยจุดมุง่ หมายเชิงเจตคติดงั ต่อไปนี ้ 1. เพื่อช่วยให้ เด็กเกิดความสนุกกับมีความสุขในการทางานได้ สาเร็ จ กล้ ายอมรับความจริ ง เมื่อเผชิญกับความล้ มเหลว 2. เพื่อพัฒนาจิตใจให้ เปิ ดกว้ างและรู้จกั ยืดหยุน่ เพื่อฝึ กความสามารถที่จะให้ และรับการ วิพากษ์ วิจารณ์ 3. เพื่อพัฒนาความคิดสร้ างสรรค์ ความคิดริ เริ่ ม และความตระหนักในสุนทรี และ ส่งเสริมการทางานเป็ นหมูค่ ณะ โปรแกรมนี ้ประกอบด้ วยหน่วยการเรี ยนรู้ 4 หน่วย (Unit) มุ่งการพัฒนาความคิดรวบยอด ขันพื ้ ้นฐาน และการก่อรูปของทัศนคติที่ไม่ตายตัวและถูกต้ องให้ แก่เด็ก (flexible and favorable attitudes) ซึ่งในแต่ละหน่วยมีลกั ษณะเนือ้ หาและกิจกรรมที่เข้ าใจง่ายไปสู่ลกั ษณะที่มีความ ซับซ้ อนมากขึ ้นอย่างสัมพันธ์กนั โดยยึดหลักต่อไปนี ้ 1. การบ่งชี ้และบอกรูปพรรณได้ (identity) 2. ความหลากหลาย และความเป็ นเอกลักษณ์ (diversity and individuality) 3. การคงสภาพอย่างต่อเนื่องและการเปลี่ยนแปลง (continuity and change) 4. โครงสร้ างและการปฏิบตั ิ (structure and action) กระบวนการ เนื ้อหาของโปรแกรมแบ่งออกเป็ น 4 หน่วย คือ หน่วยที่ 1 การสังเกตโลกรอบตัวเรา (Observing the world Around Us) เด็ก ๆ จะทา ความคุ้นเคยกับห้ องเรี ยน เนื ้อหา และสิ่งแวดล้ อมรอบ ๆ ตัว เพื่อเรี ยนรู้ที่จะบ่งบอกลักษณะสิ่งของ ต่าง ๆ ได้ เข้ าใจความแตกต่าง ความหลากหลาย การใช้ งาน และเฝ้าสังเกตความเปลี่ยนแปลงของ วัตถุ หรื อสิ่งรอบตัว จนได้ ค้นพบความสามารถของตนเองที่จะมองเห็นความเปลี่ยนแปลง


195 หน่วยที่ 2 ประสาทสัมผัสและการรับรู้ (Sensing and Knowing) เด็ก ๆ จะฝึ กสังเกตโลก ภายนอกโดยผ่านตนเอง และนามาเปรี ยบเทียบกับตนเอง พยายามทาความเข้ าใจต่อความสาคัญ ของประสาทสัมผัส ทังการรั ้ บรู้และการตอบสนอง หน่วยที่ 3 รูปทรงและความสัมพันธ์ (Shaping and Relating) เด็ก ๆ เรี ยนรู้ที่เชื่อมโยง ตนเองกับสิ่งต่าง ๆ จนเกิดความคิดในเรื่ องมิตสิ มั พันธ์ขึ ้น โดยอาศัยการเรี ยนรู้เชิงปฏิบตั ิการที่ต้อง มีปฏิสมั พันธ์กนั กับวัตถุในพื ้นที่ตา่ ง ๆ หน่วยที่ 4 การแยกแยะและจัดหมวดหมู่ (Sorting and Classifying) กิจกรรมมุ่งเน้ นการ เฟ้นหาคุณลักษณะที่เป็ นส่วนร่วมของวัตถุ เพื่อให้ เด็กสามารถจัดหมวดหมูแ่ ละแยกแยะสิ่งของได้ เนื่องจากโปรแกรมมาทาล มีส่วนสัมพันธ์ ใกล้ ชิดกับทักษะด้ านคณิตศาสตร์ เพื่อเสริ มให้ เด็ ก เกิ ด ความเข้ า ใจลึ ก ซึง้ เกี่ ย วกับ ธรรมชาติ ท างกายภาพและชี ว ภาพที่ แ วดล้ อ มตัว ผู้เ รี ย น โปรแกรมจะปูพื ้นฐานที่เน้ นพัฒนาการในการใช้ ภาษา เพื่อเปิ ดโอกาสให้ เด็กใช้ ภาษาเป็ นเครื่ องมือ ในการซักถาม โต้ ตอบ และนาเสนอความรู้ที่ตนค้ นพบจากสภาพแวดล้ อมที่เขาเรี ยนรู้ได้ เป็ นอย่าง ดี ทังเอื ้ ้อประโยชน์ให้ กบั เด็ก ๆ ได้ เรี ยนรู้ในเรื่ องของกฎ กติกาที่ตงไว้ ั ้ ขณะเดียวกันก็ฝึกให้ เด็ก ๆ หัดตังกติ ้ กาเอง จากเกมการศึกษาและเกมที่ใช้ กระดาษเป็ นใบฝึ กการทางาน และทาแบบฝึ กหัด อีกมากมาย เนื อ้ หาและกิ จกรรมทุกหน่วยจะบูรณาการความรู้ จากประสบการณ์ เข้ ากับงานศิลปะ สร้ างสรรค์ หมายถึงเด็กแต่ละคนสามารถนาเสนอประสบการณ์ทงในเชิ ั้ งสติปัญญา และเจตคติ ได้ โดยใช้ วสั ดุชนิดต่างๆหรื อผ่านกิจกรรมการแสดง วาดรู ป ดนตรี ตามความต้ องการและการ เลือกของแต่ละคน (ผกามาลย์ เกษมศรี , 2542, หน้ า 94 – 97) คอมพิวเตอร์ สาหรับเด็กปฐมวัย

ภาพที่ 7.7 คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีแห่งการเรี ยนรู้ ที่มา (โรงเรี ยนอนุบาลเด่นหล้ า)


196 การนาคอมพิวเตอร์ มาใช้ กบั เด็กปฐมวัยก่อให้ เกิดคาถามเกี่ยวกับการพัฒนาความพร้ อม ของเด็กรวมทังโปรแกรมการสอนและการใช้ ้ คอมพิวเตอร์ ช่วยสอนรู ปแบบของโปรแกรมได้ มีการ พัฒนาบทบาทของคอมพิวเตอร์ กบั การศึกษาระดับปฐมวัยและพัฒนาการของเด็กมีการวางแผน ตามลาดับขันการเรี ้ ยนรู้ มีการแยกโปรแกรมให้ มีขนาดเล็กลงเป็ นหน่วยที่มีความหมาย เด็กมี โอกาสทาแบบฝึ กหัดก่อนที่จะฝึ กในขันต่ ้ อไป โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ช่วยให้ เด็กทราบว่าตนเองมี ความชานาญในโปรแกรมนันเพี ้ ยงใด เพราะจะมีคาตอบที่ถกู ต้ องให้ ตรวจสอบ ถ้ าเด็กตอบผิดก็มี โอกาสในการศึกษาโปรแกรมนันใหม่ ้ หรื ออาจทาแบบฝึ กหัดใหม่อีกครัง้ หรื อสามารถเลือกโปรแกรม อื่นเข้ าช่วย การใช้ คอมพิวเตอร์ ช่วยสอนหรื อ CAI ได้ ดาเนินบนหลักการของการเรี ยนรู้ที่คล้ ายคลึงกับ โปรแกรมการสอนเด็ก แต่ละคนทางานกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โดยการพิมพ์สมั ผัสกับคีย์บอร์ ด ซึ่งความเหมาะสมของคอมพิวเตอร์ กบั เด็กปฐมวัยยังไม่ปรากฏชัด ตราบใดที่คอมพิวเตอร์ นนั ้ ๆ ยัง ต้ องพึ่ง คีย์ บอร์ ด เป็ นตัว ป้ อนค าสั่ง หรื อ ข้ อ มูล เด็ กปฐมวัย ยัง ไม่สัน ทัดต่อการพิม พ์ ตัวอักษร ขณะเดียวกันความสามารถทางภาษาก็ยงั อยูใ่ นระยะเริ่ มต้ นจึงทาให้ สงสัยได้ ว่าเหมาะสมหรื อไม่ที่ จะมาเห็นภาพเด็กพยายามป้อนคาสัง่ หรื อข้ อมูลหน้ าจอผ่านทางคีย์บอร์ ดการใช้ คอมพิวเตอร์ ช่วย สอนในระดับปฐมวัยนัน้ ผู้สอนจะต้ องพิจารณาเลือกโปรแกรมและวิธีการนาเสนอที่เหมาะสมกับ พัฒนาการและการเจริ ญเติบโตของเด็ก ทังนี ้ ้เพราะเด็กในวัยนี ้มีลกั ษณะกระบวนการคิดและการ เรี ยนรู้พิเศษเฉพาะที่ไม่เหมือนใคร ข้ อดีของการใช้ คอมพิวเตอร์ ช่วยสอนในระดับการศึกษาปฐมวัย 1. เป็ นการช่วยเตรี ยมเด็กสาหรับโลกของเทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ เมื่อเขาเติบโตเป็ น ผู้ใหญ่ในอนาคต 2. เป็ นสิง่ ที่ดีสาหรับการศึกษาด้ วยตนเอง สามารถเรี ยนรู้ตามความสามารถของเด็กเอง 3. ให้ แรงเสริมและแรงกระตุ้นสูง 4. เด็กแสดงการตอบโต้ ได้ ทนั ที 5. ช่วยให้ เด็กเกิดความรู้สกึ ที่ดีตอ่ ตนเอง 6. เด็กสามารถคิดสร้ างสรรค์ 7. ช่วยพัฒนาทักษะการคิดแก้ ปัญหา ข้ อจากัดของการใช้ คอมพิวเตอร์ ช่วยสอนในการศึกษาระดับปฐมวัย 1. คอมพิวเตอร์ มีราคาแพงเกินไปรวมทังค่ ้ าซ่อมแซม 2. ครูต้องใช้ เวลาในการเรี ยนรู้และสอนให้ เด็กรู้จกั ใช้


197 3. เป็ นการเรี ยนรู้แบบเป็ นผู้รับมากกว่าผู้ลงมือกระทาซึง่ ค้ านกับธรรมชาติของเด็กในวัยนี ้ 4. ยากต่อการวินิจฉัยพฤติกรรมการเรี ยนรู้ของเด็ก แนวทางการเลือกซอฟแวร์ ( Software) สาหรับเด็กปฐมวัย 1. โปรแกรมควรเหมาะสมกับอายุของเด็ก ให้ โอกาสเด็กเป็ นผู้ควบคุมการเล่นและหยุด เล่นได้ ทกุ เวลาด้ วยตัวเด็กเอง 2. เนื่องจากเด็กปฐมวัยอ่านหนังสือเองไม่ได้ การแนะนาการใช้ ซอฟแวร์ จงึ จาเป็ นต้ องใช้ การพูด ถ้ าเป็ นตัวหนังสือควรมีเสียงกากับและคาแนะนาในการใช้ ควรง่ายและชัดเจน 3. โปรแกรมการเรี ยนต้ องเป็ นตามลาดับขัน้ ให้ เด็กมีโอกาสสารวจและสอนทักษะที่เด็ก เรี ยนรู้แล้ ว 4. หลังจากแนะนาวิธีการใช้ โปรแกรมให้ เด็กแล้ ว เด็กสามารถใช้ โปรแกรมได้ เองโดยไม่ ต้ องมีครูแนะนา 5. ควรเป็ นโปรแกรมที่นาเสนอสิง่ ที่เป็ นรูปธรรม เด็กเรี ยนรู้โดยการค้ นพบด้ วยตนเอง 6. เป็ นโปรแกรมที่ให้ โอกาสเด็กเลือกตอบได้ โดยการลองผิดลองถูก 7. โปรแกรมต้ องมีคณ ุ ภาพ มีสื่อสาร เสียงหรื อดนตรี ดึงดูดความสนใจและตอบโต้ ได้ อย่างรวดเร็วอย่างแท้ จริ งแล้ ว ควรมีการศึกษาค้ นคว้ าวิธีการประยุกต์ใช้ คอมพิวเตอร์ เพื่อการศึกษา ให้ มีประสิทธิภาพสูงสุดการใช้ คอมพิวเตอร์ เพื่อการสอนสาหรับเด็กปฐมวัยนันจะมี ้ คณ ุ ค่ามากที่สดุ หากครู สามารถออกแบบ วางแผนกิ จกรรมให้ เหมาะสมกับธรรมชาติของเด็ก โดยบูรณาการ กิจกรรมหลาย ๆ อย่างเข้ ามาใช้ เพื่อช่วยให้ เด็กสามารถเรี ยนรู้ ได้ ดียิ่งขึน้ (วรนาท รักสกุลไทย, 2537)

นวัตกรรมและเทคโนโลยีประเภทหลักสูตร ตัวอย่างนวัตกรรมทางการศึกษาปฐมวัย ประเภทหลักสูตรที่จะนามากล่าวในบทนี ้ คือ การศึกษาวอลดอร์ ฟ (Waldorf Education) หลักสูตรไฮ / สโคป (High / Scope Curriculum) หลั ก สู ต รใยแมงมุ ม (Web Curriculum) การเรี ย นรู้ ที่ ถื อ สมองเป็ นพื น้ ฐาน (Brain-based Learning) สาหรับเด็กปฐมวัย การศึกษาวอลดอร์ ฟ (Waldorf Education) ความเป็ นมา รู ดอร์ ฟ สไตเนอร์ (1861-1925) นักปรัชญาผู้ก่อตังการศึ ้ กษาวอลดอร์ ฟ เกิดเมื่อปี ค.ศ.1861 ในฮังการี การศึกษาของเขาในช่วงต้ น คือ วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ผลงาน


198 เขียนในระยะแรกเกี่ยวกับปรัชญาของคานต์ (Kant ) ต่อมาเขาได้ ศกึ ษาวิชาวิทยาศาสตร์ ธรรมชาติ ปรั ชญา และวรรณคดี และการศึกษางานของเกอเธต์ อย่างลึก และซิลเลอร์ นัก ปรัชญาชาวเยอรมันที่มีชื่อเสียง รู ดอล์ฟ สไตเนอร์ พัฒนาปรัชญาของเขาต่ อมาอีก ด้ วยการทา วิทยานิพนธ์ ปริ ญาเอกเรื่ องทฤษฏีว่าด้ วยความรู้ อันเป็ นผลงานชิ ้นสาคัญในชีวิต โดยได้ รับการ ตีพิมพ์ในชื่อ The Philosphy of Freedom “ปรัชญา” แห่งความเป็ นอิสระและหลุดพ้ น ”งาน ของเขาตัง้ แต่นัน้ จนถึง วาระสุดท้ า ยของชี วิตคือ การศึกษาเรื่ องธรรมชาติของมนุษย์ และการ แสวงหาความจริ งมนุษยปรัชญา (Anthroposophy ) ซึ่งเขาพัฒนาขึ ้น ถือเป็ นศาสตร์ แห่งจิต วิญญาณ ( Spiritual Science)ที่ก้าวพ้ นความจากัดของการแสวงหาความจริ งเฉพาะจากการรับรู้ ของทังกายและจิ ้ ต ทังที ้ ่เป็ นรูปธรรมและนามธรรม ความรู้ ทางวิทยาศาสตร์ มิได้ แ ยกจากอารมณ์ ความรู้ สึก แต่อยู่ค่กู ันอย่างกลมกลืน จะนามนุษย์ไปสู่ความเป็ นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง นั่นคือ อิสระและการหลุดพ้ น มนุษยปรัชญานี ้เป็ นพื ้นฐานของการศึกษาวอลดอร์ ฟ โรงเรี ยนวอลดอร์ ฟแห่งแรกตังขึ ้ ้น ในช่วงเวลาแห่งความยากลาบากของชาวเยอรมัน หลัง สงครามโลกครัง้ ที่ 1 ชาวเยอรมันพยายามแสวงหาวิธีการเปลี่ยนแปลงสังคมที่โหดร้ ายทารุณต่อ มนุษยชาติให้ สิ ้นไป เอมิล มอลต์ ผู้อานวยการโรงงานยาสูบ วอลดอร์ ฟ แอสโทเรี ย ที่สตุทการ์ ท เป็ นนักอุตสาหกรรมที่ต้องเปลี่ยนแปลงสังคมเสียใหม่ใน ค.ศ. 1919 เขาได้ เชิญสไตเนอร์ ไป บรรยายแนวคิดของเขาให้ คนงานในโรงงานฟั งและได้ รับ คาขอร้ องจากทางโรงงานให้ เปิ ดโรงเรี ยน ตามปรัชญาของเขาให้ แก่บตุ รหลานของคนงาน รวมทังเปิ ้ ดหลักสูตรสาหรับการศึกษาผู้ใหญ่ด้วย การศึกษาวอลดอร์ ฟ เป็ นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวตามมนุษยปรัชญา เพื่อฟื น้ ฟู วัฒนธรรมให้ สามารถพัฒนามนุษย์ให้ ได้ ถึงส่วนลึกที่สดุ ของจิตใจ การเคลื่อนไหวตามปรัชญานี ้ ก่อให้ เกิดการพัฒนาในศาสตร์ สาขาต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ เพื่อนาไปใช้ ในโรงเรี ยน ชุมชน และสังคม ศาสตร์ เหล่านัน้ ได้ แก่ การแพทย์ เภสัชกรรม สถาปั ตยกรรม การธนาคารชุมชน วิทยาศาสตร์ ธรรมชาติแบบเกอเธต์ การละคร ดนตรี และศิลปะ ศิลปะการเคลื่อนไหวแบบยูริธมี การศึกษา การศึกษาพิเศษ ศิลปะบาบัด จิตวิทยาการแนะแนวแบบร่วมมือ เป้าหมาย เป้าหมายของการศึกษาวอลดอร์ ฟ คือ ช่วยให้ มนุษย์บรรลุศกั ยภาพสูงสุดที่ตนมีและ สามารถกาหนดความมุ่งหมายและแนวทางแก่ชีวิ ตของตนได้ อย่างอิสระตามกาลังความสามารถ ของตน แต่มนุษย์จะบรรลุศกั ยภาพสูงสุดของตนไม่ได้ ถ้ าเขายังไม่มีโอกาสได้ สมั ผัสค้ นพบส่วน ต่าง ๆ หลายส่วนในตนเอง ด้ วยเหตุนี ้ การศึกษาวอลดอร์ ฟจึงเน้ นการศึกษาเรื่ องมนุษย์และความ เชื่อมโยงทุกเรื่ องกับมนุษย์ ไม่ใช่เพื่อให้ มนุ ษย์ยึดตนในโลกมนุษย์ปรัชญาเน้ นความสาคัญของ


199 การสร้ างความสมดุลใน 3 วิถีทางที่บคุ คลสัมพันธ์กบั โลก คือ ผ่านกิจกรรมทางกาย ผ่านอารมณ์ ความรู้สกึ และผ่านการคิด การศึกษาวอลดอร์ ฟ มุง่ พัฒนาเด็กให้ เป็ นมนุษย์ที่มีบคุ ลิกที่สมดุลกลมกลืนและให้ เด็กได้ ใช้ พลังทุกด้ าน ไม่วา่ จะเป็ นด้ านสติปัญญา ด้ านศิลปะ และด้ านการปฏิบตั ิอย่างพอเหมาะ กระบวนการ 1. การจัดศึกษา การศึกษาต้ องพัฒนามนุษย์ไปสูค่ วามเป็ นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ด้ วยการ พัฒนาให้ มนุษย์เข้ าถึงสัจธรรม เด็กวัยแรกเกิดถึง 7 ปี เรี ยนรู้ด้วยการกระทา ดังนันการสอนต้ ้ อง เน้ นให้ เด็กมุ่งมัน่ ตังใจกั ้ บการกระทาความดี เด็กวัย 7 – 14 ปี เรี ยนรู้จากความประทับใจ ดังนัน้ การสอนต้ องเน้ นให้ เด็กคิดจนเกิดปั ญญา เห็นสัจธรรมและความจริ งในโลก แม้ ว่าพัฒนาการใน แต่ละช่วงวัยจะมีลกั ษณะเฉพาะแตกต่างกัน แต่การศึกษาทุกระดับต้ องพัฒนาร่ างกายและจิต วิญญาณควบคู่กนั ไป โดยให้ เกิดความสมดุลในการเรี ยนรู้ ด้วยกาย (การลงมือกระทา) หัวใจ (ความรู้สกึ ความประทับใจ) และสมอง (ความคิด) เนื่องจากเด็กวัยแรกเกิดถึง 7 ปี มีลกั ษณะที่เรี ยนรู้ พร้ อมกันไปทังตั ้ วโดยการเลียนแบบที่ มิใช่เฉพาะท่าทางภายนอก แต่เลียนแบบลึกลงไปในจิตวิญญาณ โดยที่เด็กเองไม่ร้ ู ตวั ในวัยนี ้ ความดีความงามของผู้ใหญ่รอบข้ างจะซึมซับเข้ าไปในตัวเอง ช่วยให้ เด็กพัฒนาความมุ่ งมัน่ ในสิ่ง ที่ดีงาม ดังนันการศึ ้ กษาสาหรับเด็กปฐมวัยจึงยึดหลักต่อไปนี ้ 1. การทาซ ้า เด็กควรได้ มีโอกาสทาสิง่ ต่าง ๆ ซ ้าแล้ วซ ้าเล่า จนการกระทานันซึ ้ ม ลึกลงไปในกายและจิตจนเป็ นนิสยั 2. จังหวะเวลาที่สม่าเสมอ กิจกรรมในโรงเรี ยนต้ องเป็ นไปอย่างสม่าเสมอ เหมือนลมหายใจเข้ า ออก ยามจิตใจสงบและผ่อนคลาย เด็กจะได้ ร้ ูสกึ ผ่อนคลาย เด็กจะได้ ร้ ูสกึ มัน่ คงปลอดภัย 3. ความเคารพและการน้ อมรับคุณค่า ของทุกสิ่ง กิจกรรมและสื่อธรรมชาติที่จดั ให้ เด็กเพื่อให้ เด็กเคารพและเห็นคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ ที่เกื ้อหนุนชีวิตมนุษย์ ความเคารพและน้ อม รับคุณค่าของสิง่ ต่าง ๆ จะเป็ นแก่นของจริยธรรมตลอดชีวิตของเด็ก


200

ภาพที่ 7.8 ห้ องเด็กเล็กรดน ้าต้ นไม้ ที่มา (โรงเรี ยนวรรณสว่างจิต) 2. บทบาทครู ครูอนุบาลตามแนววอลดอร์ ฟ นอกจากเป็ นแบบอย่างของความมุ่งมัน่ ตังใจให้ ้ แก่เด็กแล้ ว ยังมีบทบาทสาคัญอื่น ๆ ได้ แก่ การสังเกตเด็กขณะเด็กเรี ยน ไตร่ตรองความ เจริ ญก้ าวหน้ าและปั ญหาของเด็กหลังสอนและก่อนสอน การทางานกับพ่อแม่ให้ เกิดความเข้ าใจ กันในการพัฒนาเด็ก การปฏิบตั ิสมาธิ การทากิจกรรมศิลปวัฒนธรรมและกิจกรรมอื่น ๆ เพื่อ พัฒนาตนเอง ในแต่ละวัน ครู อนุบาลเป็ นบุคคลที่สาคัญที่สดุ ในชีวิตของเด็กขณะอยู่ที่โรงเรี ยน ความคิด ความรู้ สึกและความมุ่งมัน่ ตังใจของครู ้ ถ่ายทอดสู่เด็กโดยตรงด้ วยพลังทังหมดในตั ้ วครู ไม่ใช่เพียงผู้อานวยความสะดวกในการเรี ยนรู้ ด้ วยตนเองของเด็ก ครู มิใช่ผ้ ูเรี ยกร้ องหรื อสร้ าง กฎเกณฑ์การกระทาของเด็ก แต่ครู เป็ นผู้ส่งพลังความมุ่งมัน่ ที่มีในตัวทังหมดให้ ้ แก่ เด็ก โดยการ เป็ นแบบอย่างของบุคคลที่พฒ ั นาความเป็ นมนุษย์ในตนเองตลอดเวลา พลังความมุ่งมัน่ ตังใจของ ้ ครูจะเป็ นรากฐานสาคัญในการพัฒนากายและจิตวิญญาณของเด็กทังในวั ้ ยเด็กและวัยผู้ใหญ่ 3. การจัดบรรยากาศ การจัดบรรยากาศภายในห้ องเรี ยน อาคารเรี ยน และบริ เวณ โรงเรี ยน เป็ นองค์ประกอบสาคัญของการศึกษาวอลดอร์ ฟ ความงดงามของธรรมชาติจะปรากฏ อยู่ทงกลางแจ้ ั้ งและภายในอาคาร ภาพศิลปะ งานประติมากรรม ธรรมชาติ เป็ นส่วนที่ทาให้ บรรยากาศสงบและอ่อนโยน การจัดบรรยากาศการเรี ยนรู้สาหรับเด็ก สีที่เหมาะสมกับเด็กแรกเกิด – 7 ปี คือ สีส้มอม ชมพู เพราะเป็ นสีที่ทาให้ เด็กรู้ สกึ ถึงความรัก ความอบอุ่นและช่วยให้ ร่างกายสดชื่นแจ่มใส ช่วย ให้ เ ด็ ก สงบ มี ส มาธิ ต่อ จิ น ตนาการและความคิ ด สร้ างสรรค์ การท ากิ จ กรรมในห้ อ งที่ มี แ สง ธรรมชาติ ช่วยให้ เด็กปรับตัวให้ เรี ยนรู้ โดยไม่ต้องอาศัยสิ่งเร้ าเกินจาเป็ น เสียงที่ไพเราะอ่อนโยน และดังพอเหมาะจะช่วยให้ จิตใจอ่อนโยน ดังนันเสี ้ ยงธรรมชาติ เช่น นกร้ อง ลมพัด ใบไม้ ฝนตก


201 เสียงดนตรี และเพลงที่ไพเราะอ่อนโยนและความเงียบเป็ นส่วนสาคัญในการจัดบรรยากาศเพื่อ ส่งเสริมการเรี ยนรู้ (บุษบง ตันติวงศ์, 2542, หน้ า 22 – 32) 4. กิจกรรมประจาวัน กิ จกรรมที่ สไตเนอร์ เน้ นมากในการศึกษาปฐมวัย คือ ดนตรี จังหวะ บทเพลงและนิทาน เพราะกิจกรรมเหล่านี ้ช่วยส่งเสริ มความคิด จินตนาการของเด็กและ ช่วยพัฒนาการการเคลื่อนไหวของร่างกาย กิจกรรมประจาวันในโรงเรี ยนอนุบาลวอลดอร์ ฟ คือ ทุกเช้ าก่อนเข้ าเรี ยนจะมีคากลอน ยามเช้ า ตามด้ วยบทเพลงและการฝึ กสมาธิ เพื่อให้ เด็กมีจิตสงบและมัน่ คงที่จะเรี ยนหรื อทางาน ขันต่ ้ อไป เมื่อเข้ าห้ องเรี ยนจะมีลาดับการเรี ยนแต่ละวัน ดังนี ้ ช่วงที่หนึง่ เล่นเสรี ช่วงที่สอง กิจกรรมวงกลม มีการเล่าเรื่ อง สนทนา ร้ องเพลง ดนตรี ช่วงที่สาม เล่นกลางแจ้ ง ช่วงที่สี่ นิทาน ช่วงที่ห้า กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ ช่วงที่หก กิจกรรมปฏิบตั ิ เช่น วันจันทร์ ทาอาหาร วันอังคาร วาดภาพ วันพุธ งานประดิษฐ์ วันพฤหัสบดี งานฝี มือ วันศุกร์ ทาอาหาร และทาสวน ระยะเวลาในแต่ละช่วงให้ ครูเป็ นผู้กาหนดให้ ยืดหยุน่ ได้

ภาพที่ 7.9 ลงแปลงทานา ที่มา (โรงเรี ยนวรรณสว่างจิต)


202 เนื ้อหาในการสอนจะเป็ น “หน่วยบูรณาการ” โดยมีพื ้นฐานจากฤดูกาล ประเพณีใน ชีวิตประจาวัน ทังนี ้ ้เพื่อให้ เด็กคุ้นเคยกับธรรมชาติ สิง่ แวดล้ อมในบ้ าน ในชุมชน การเน้ นในการเล่นขายของของเด็กเป็ นการช่วยการเรี ยนคณิตศาสตร์ ดนตรี ร้ องเพลง การฟั งนิทาน การแสดงเป็ นการฝึ กทางด้ านความจา ความคิด จินตนาการและภาษา การเล่น เสรี การเล่นปฏิบตั ิช่วยสร้ างนิสยั ในการทางานและแก้ ปัญหา (อารี สัณหฉวี, 2544, หน้ า 29 – 30) หลักสูตรไฮ /สโคป (High / Scope Curriculum) ความเป็ นมา ดร. ไวคาร์ ต (Dr.David Weikart) ประธานมูลนิธิวิจยั การศึกษาไฮ / สโคป (High / Scope Educational Research Foundation) เป็ นผู้ริเริ่ มและพัฒนาร่ วมกับคณะ นักวิชาการและนักวิจยั อาทิ แมรี่ โฮแมน (Marry Hohmann) และดร. ชไวฮาร์ ต (Dr.Larry Schweinhart) ขึ ้นจากโครงการเพอรี่ พรี สคูล (Perry PreSchool Project) ตังแต่ ้ พ.ศ.2505 ซึง่ เป็ นหนึ่งในโครงการ Head Start เพื่อช่วยเหลือเด็กด้ อยโอกาสให้ มีการศึกษาที่เหมาะสมและ ประสบความสาเร็ จในชีวิต โดยมูลนิธิวิจยั การศึกษาไฮ / สโคป ศึกษาเปรี ยบเทียบเด็ก 3 กลุ่ม ประกอบด้ วย (1) กลุม่ ที่ได้ รับการสอนจากครูโดยตรง (Direct Instruction) (2) กลุม่ เนิร์สเซอรี่ แบบ ดังเดิ ้ ม (Traditional Nursery) และ (3) กลุ่มที่ได้ รับประสบการณ์หลักสูตรไฮ / สโคป ซึง่ จาก การศึกษาติดตามเด็กเหล่านี ้ตังแต่ ้ ระดับปฐมวัยจนถึงอายุ 29 ปี พบว่า กลุม่ ที่เรี ยนด้ วยหลักสูตร ไฮ / สโคป ปั ญหาพฤติกรรมทางสังคม อารมณ์ เช่น การถูกจับข้ อหาลักขโมย ทาร้ ายผู้อื่น บกพร่อง ทางอารมณ์และล้ มเหลวในชีวิตน้ อยกว่าอีก 2 กลุ่ม ดังนันหลั ้ กสูตรนี ้จึงพิสจู น์ได้ ว่าช่วยป้องกัน อาชญากรรม เพิ่มพูนความสาเร็ จทางการศึกษาและผลผลิตตลอดชีวิต (Weikart and others,1978 และ Schweinhart, 1988 และ 1997) ทฤษฎีท่ มี ีอิทธิพล ในระยะเริ่มต้ นของการพัฒนาหลักสูตรไฮ / สโคปใช้ ทฤษฎีพฒ ั นาการ ทางด้ านสติปัญญา(Cognitive Theory) ของเพียเจต์(Piaget) เป็ นพื ้นฐาน โดยเฉพาะการสร้ าง องค์ความรู้ ของผู้เรี ยน ซึง่ เน้ นการเรี ยนรู้ แบบลงมือกระทา (Active learning) แต่ต่อมามีการ ผสมผสานทฤษฎีและแนวคิดอื่นๆ เช่น ทฤษฎีของอีริกสัน (Erikson) ในเรื่ องการให้ โอกาสเด็กเป็ นผู้ ริเริ่ มการเล่นหรื อกิจกรรมต่าง ๆ อย่างอิสระและไวก๊ อตสกี ้ (Vygotsky) ในเรื่ องปฏิสมั พันธ์และการ ใช้ ภาษา เป็ นต้ น หลักการ หลักสูตรไฮ / สโคปเน้ นความสาคัญของการเรี ยนรู้แบบลงมือกระทาผ่ านมุม ประสบการณ์ หรื อศูนย์การเรี ยนที่หลากหลายด้ วยวัสดุอุปกรณ์ และกิจกรรมที่เหมาะสมกับ พัฒนาการของเด็ก การแก้ ปัญหาอย่างกระตือรื อร้ นได้ รับการส่งเสริ มในขณะเด็กวางแผนแต่ละวัน


203 ว่าจะทาอย่างไร ปฏิบตั ิตามที่วางแผนและทบทวนสิ่งที่พวกเขาได้ ทา ครูใช้ การสอนกลุม่ ย่อยเพื่อ กระตุ้นพัฒนาการ ใช้ คาถาม การสนับสนุนและการขยายการเรี ยนรู้ของเด็กๆ ไปพร้ อมๆ กับการ เพิ่มพูนทักษะการสื่อสาร (Gordon, A. M. and Willams Browne, K., 1995) มีความสมดุล ระหว่างประสบการณ์ที่เด็กริ เริ่ ม และกิจกรรมที่ครู วางแผนการสอน ครู ใช้ เทคนิคการสังเกตใน การศึกษาและเข้ าใจการเล่นของเด็ก ผู้ปกครองมีบทบาทสาคัญมากในการศึกษาแนวนี ้ เพราะ ต้ องปฏิบตั ิตอ่ ลูกของตนว่าเป็ นผู้เรี ยนรู้ที่สามารถและกระตือรื อร้ น โดยทังครู ้ และผู้ปกครองมีฐานะ เป็ นเพื่อนร่วมงาน ที่ต้องให้ เกียรติซงึ่ กันและกัน

ภาพที่ 7.10 แผนภูมิรูปภาพวงล้ อของการเรี ยนรู้ (High / Scope Wheel of Learning) ที่มา (วรนาท รักสกุลไทย, 2542 หน้ า 57) กระบวนการ วิธีการสอนที่สาคัญของไฮ / สโคป คือ การเรี ยนรู้แบบลงมือกระทา (Active learning) ซึ่งสะท้ อนบริ บทของการตอบสนองความสนใจของเด็ก ให้ เด็กเรี ยนรู้ อย่างสนุกสนาน เพลิดเพลินด้ วยสื่อการสอนที่หลากหลาย โดยที่สื่อเหล่านี ้จะเปิ ดโอกาสให้ เด็กกระทาลงมือปฏิบตั ิ สัมผัส เล่นและควบคุม เด็กมีการเลือกและตัดสินใจ ตลอดจนการใช้ ภาษาในการสื่อความหมาย ภายใต้ การสนับสนุนจากผู้ใหญ่ กิจวัตรประจาวันของเด็ก เน้ นการเปิ ดโอกาสให้ ทัง้ ครู และเด็ก เรี ยนรู้ร่วมกัน จากการทากิจกรรมกลุม่ ใหญ่ กลุม่ ย่อย และรายบุคคล โดยในแต่ละวันจะมีช่วงเวลา หนึ่ง (60 นาที) เป็ นช่วงวางแผน ลงมือปฏิบตั ิ และทบทวน (Plan Do Review) ซึง่ สอดคล้ องกับ หลักการให้ เด็กริเริ่มกิจกรรมอย่างอิสระ ทาให้ เด็กได้ พฒ ั นากระบวนการทางานอย่างมีระบบ เป็ น ขันตอนน ้ าไปสู่ความมัน่ ใจ และความเชื่ อมัน่ ในตนเอง เพราะในกระบวนการนีเ้ ด็กจะได้ เลือกทา กิจกรรมที่หลากหลายจากมุมประสบการณ์ตา่ ง ๆ ในห้ องเรี ยน และการเรี ยนรู้เกิดขึ ้นในขณะที่เด็ก กระทาสัมผัส และทดลองกับสิ่งต่าง ๆ และผู้ที่รอบข้ าง การจัดสภาพแวดล้ อมและบรรยากาศ ตลอดจนปฏิสมั พันธ์ ระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่เอื ้อต่อการเรี ยนรู้ ของเด็ก มีการเลื่อนไหลของกิจกรรม


204 ทาให้ เด็กรู้ สึกกระตือรื อร้ น การประเมินพัฒนาการเด็ก ใช้ หลักการประเมินผลตามสภาพจริ ง (Anthentic Assessment) ครู จะทางานเป็ นคณะ (Teamwork) วางแผนร่วมกันและจัดทาบันทึก ประจาวัน จากการสังเกตพฤติกรรมเด็กเป็ นรายบุคคลและสรุปลงใน Child Observation Record หรื อ COR (วรนาท รักสกุลไทย, 2542, หน้ า 55 – 59) หลักสูตรใยแมงมุม (Web Curriculum) หลักสูตรใยแมงมุม (Web Curriculum) เป็ นแนวทางที่ใช้ ความสอดคล้ องของธรรมชาติ กับความสนใจของเด็กเป็ นพื ้นฐาน Dewey ได้ เน้ นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ โดยให้ เหตุผลว่า สามารถใช้ ได้ กบั ทุกสาขาวิชา การเรี ยนรู้ของเด็กไม่ได้ ถกู แบ่งออกเป็ นรายวิชาอย่างชัดเจน ดังนัน้ เมื่อเด็ก ๆ ได้ เรี ยนรู้เองตามธรรมชาติ ก็จะสามารถบูรณาการสาระวิชาการต่าง ๆ โดยไม่ร้ ูตวั ไปสู่ สิง่ ที่ซบั ซ้ อนขึ ้น ข้ อได้ เปรี ยบของหลักสูตรนี ้ เป็ นหลักสูตรที่กว้ างและครอบคลุม ทาให้ เห็นภาพรวมว่าพูด ถึงเรื่ องใดมากหรื อน้ อยเกินไป เป็ นการเรี ยนรู้แบบธรรมชาติ เด็ก ๆ จะสนใจ และกระตือรื อร้ นใน สิ่งที่ได้ เห็นได้ ยินได้ ฟัง และได้ สมั ผัส เป็ นหลักสูตรที่มีรากฐานมาจากความสนใจของเด็ก มีความ ยืดหยุน่ ลักษณะของหลักสูตรใยแมงมุม หลักสูตรใยแมงมุมมีลกั ษณะดังนี ้ 1. หลักสูตรครอบคลุมกว้ างขวาง โดยปกติแล้ วในอดีตสิ่งที่เด็กปฐมวัยเรี ยนรู้อยูภ่ ายใต้ พื ้นฐานวิชา คือ ภาษา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา ศิลปะ การเคลือ่ นไหว ละคร และดนตรี ต่อมาได้ มีการจัดทาหลักสูตรแบบใยแมงมุม โดยบูรณาการเนื ้อหาสาระและทักษะ จัด หัวข้ อการเรี ยนเป็ นหน่วยการสอนแบบนี ้จะช่วยให้ ครูร้ ูวา่ เนื ้อหาวิชาใดที่จดั ให้ เด็กมากหรื อน้ อย เกินไป ผังของใยแมงมุมช่วยให้ มองเห็นภาพทังหมดของการจั ้ ดเนื ้อหาและกิจกรรม 2. ลักษณะหลักสูตรเป็ นการเรี ยนรู้ตามธรรมชาติ พัฒนาการของเด็กทางสติปัญญานัน้ ไม่ได้ เรี ยนรู้เป็ นวิชา ๆ เหมือนในอดีตที่ผา่ นมา เด็กต้ องการเรี ยนรู้เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเขา เด็กอยากเรี ยนรู้ในสิง่ ที่เห็น ได้ ยิน การปล่อยเด็กให้ เรี ยนรู้ตามธรรมชาติและความต้ องการ นับเป็ น การให้ เด็กเรี ยนรู้ตามธรรมชาติ ถ้ าบังคับให้ เด็กเรี ยนเป็ นวิชา ๆ นับว่าเป็ นการบังคับเด็กทาให้ ความสนใจในการเรี ยนรู้ลดน้ อยลง การเลือกหัวเรื่อง การเลือกหัวเรื่ อง เป็ นส่วนสาคัญของการจัดหลักสูตรนี ้ Katz & Chard ได้ ให้ แนวทางการคัดเลือกไว้ ดงั นี ้ การนาไปใช้ ประโยชน์ในชีวิตของเด็ก โอกาสในการใช้ ทกั ษะให้ เป็ นประโยชน์ เช่น คณิตศาสตร์ ที่จะสอนให้ เด็กนัน้ เด็กจะมีโอกาสได้ นาไปประยุกต์ใช้ ให้ เป็ น


205 ประโยชน์หรื อไม่ มีแหล่งให้ ศกึ ษาค้ นคว้ าอย่างเพียงพอ อาจดึงชุมชนให้ เข้ ามามีสว่ นร่วม หรื อพา เด็กออกทัศนศึกษานอกสถานที่ ช่วงเทศกาล หรื อวันสาคัญ สภาวะอากาศ เช่น หน้ าฝน สอน เรื่ อง ฝน รุ้ง เมฆ วัฏจักรของน ้า เป็ นต้ น ตัวอย่ างหน่ วยการเรียน เริ่มจากใกล้ ตวั เด็กออกไปสูส่ งิ่ แวดล้ อมภายนอก ดังนี ้ 1. ตัวเด็ก เช่น ร่างกายของฉัน ครอบครัว บ้ าน อาหาร โรงเรี ยน ของเล่น 2. ชุมชนท้ องถิ่น เช่น โรงพยาบาล สถานีตารวจ 3. เหตุการณ์ เช่น วันสาคัญทางศาสนา งานวัด 4. เวลา เช่น เทศกาล ฤดูกาล ปฏิทิน 5. ปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ เช่น อากาศ น ้า ลม พืช หิน 6. สถานที่ เช่น แม่น ้า บึง ทะเล ภูเขา น ้าตก เมื่อเลือกหัวข้ อได้ แล้ ว ให้ ครูและเด็กร่วมกันพูดถึงสิง่ ที่ตนสนใจตามหัวข้ อนัน้ ๆ เพื่อเลือกเนื ้อหาที่ จะนามาใช้ จดั กิจกรรมให้ เข้ ากับหัวข้ อนัน้ ๆ (www.kidsquare.com/grownup/care/edu2web) การเรียนรู้ท่ถี ือสมองเป็ นพืน้ ฐาน (Brain – based Learning) สาหรับเด็กปฐมวัย ช่วงระยะเวลาที่ สาคัญที่สุดสาหรับการเรี ยนรู้ ของมนุษย์ คือ แรกเกิ ดถึง 7 ปี หากมา ส่งเสริ มหลังจากวัยนี ้แล้ วถือได้ ว่าสายเสียแล้ ว เพราะการพัฒนาสมองของมนุษย์ในช่วงวัยนี ้จะ พัฒนาไปถึง 80 % ของผู้ใหญ่ ครูควรจัดการเรี ยนรู้ให้ เหมาะสมกับวัยของเด็ก ให้ เด็กเรี ยนรู้ผ่าน การเล่น เรี ยนรู้อย่างมีความสุข จัดสภาพแวดล้ อมให้ เหมาะสม ดูแลด้ านสุขนิสยั และโภชนาการ เหมาะสม เด็กจึงจะพัฒนาศักยภาพสมองของเขาได้ อย่างเต็มความสามารถ สมองของเด็กเรี ยนรู้ มากกว่าสมองของผู้ใหญ่เป็ นพัน ๆ เท่า เด็กเรี ยนรู้ ทุกอย่างที่เข้ ามา ปะทะ สิ่งที่เข้ ามาปะทะล้ วนเป็ นข้ อมูลเข้ าไปกระตุ้นสมองเด็กทาให้ เซลล์ต่าง ๆ เชื่อมโยงกันเป็ น เครื อข่ายเส้ นใยสมองและจุดเชื่อมต่อต่าง ๆ อย่างมากมาย ซึ่งจะทาให้ เด็กเข้ าใจ และเรี ยนรู้ สิ่ง ต่าง ๆ ที่เกิดขึ ้น สมองจะทาหน้ าที่นี ้ไปจนถึงอายุ 10 ปี จากนันสมองจะเริ ้ ่ มขจัดข้ อมูลที่ไม่ได้ ใช้ ใน ชีวิตประจาวันทิ ้งไปเพื่อให้ สว่ นที่เหลือทางานได้ อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สดุ การเรี ยนรู้ ที่ถือสมองเป็ นพื ้นฐาน (Brain-based Learning) เกี่ยวข้ องกับเรื่ องสาคัญ 3 ประการ คือ 1) การทางานของสมอง 2) การจัด หลัก สูต รการเรี ย นการสอนให้ เหมาะสมกับ พัฒนาการของเด็ก 3) กระบวนการจัดการเรี ยนรู้โดยเปิ ดกว้ าง ให้ เด็กเรี ยนรู้ ได้ ทกุ เรื่ อง เนื่องจาก สมองเรี ยนรู้ ตลอดเวลา ผู้เรี ยนได้ เรี ยนรู้ ด้วยการปฏิบตั ิหรื อลงมือกระทาด้ วยตนเอง ผู้เรี ยนได้


206 เรี ยนรู้ แบบร่ วมมือ และผู้เรี ยนได้ เรี ยนรู้ แบบบูรณาการ การเรี ยนรู้ ที่ถือสมองเป็ นพื ้นฐานส่งเสริ ม ให้ เด็กไทยได้ พฒ ั นาศักยภาพสมองของเขาอย่างเต็มความสามารถ การทางานของสมอง สมองเริ่ มมีการพัฒนาตัง้ แต่อยู่ในท้ องแม่ เมื่อคลอดออกมาจะมี เซลล์ สมองเกื อบทัง้ หมดแล้ วเมื่อเทียบกับผู้ใหญ่ สมองยังคงเติบโตไปได้ อีกมากในช่ วงแรกเกิดถึง 3 ปี เด็กวัยนี ้ จะมีขนาดสมองประมาณ 80 % ของผู้ใหญ่ หลังจากวัยนีไ้ ปแล้ วจะไม่ มีการเพิ่มเซลล์ สมองอีกแต่ จะเป็ นการพัฒนาของโครงข่ ายเส้ นใยประสาท ในวัย 10 ปี เป็ นต้ นไปสมองจะ เริ่ มเข้ าสู่วยั ถดถอยอย่างช้ าๆจะไม่มีการสร้ างเซลล์สมองมาทดแทนใหม่อีก ปฐมวัยจึงเป็ นวัยที่มี ความสาคัญยิ่งของมนุษย์ สมองประกอบด้ วยเซลล์สมองจานวนกว่า 1 แสนล้ านเซลล์ ลักษณะของเซลล์สมองแต่ละ เซลล์ จ ะมี ส่ว นที่ ยื่ น ออกไปเป็ นเส้ น ใยสมองแตกแขนงออกมามากมายเป็ นพัน ๆ เส้ น ใยและ เชื่ อมโยงต่อกับเซลล์ สมองอื่น ๆ เส้ นใยสมองเหล่านี เ้ รี ยกว่า แอกซอน (Axon) และเดนไดรท์ (Dendrite) จุดเชื่ อมต่อระหว่า งแอกซอนและเดนไดรท์ เรี ยกว่า ซีนแนปส์ (Synapses) เส้ น ใย สมองแอกซอนทาหน้ าที่ส่งสัญญาณกระแสประสาทไปยังเซลล์สมองที่อยู่ถัดไป ซึ่งเซลล์สมอง บางตัวอาจมีเส้ นใยสมองแอกซอนสันเพื ้ ่อติดต่อกับเซลล์สมองตัวถัดไปที่อยู่ชิดกัน แต่บางตัวก็มี เส้ นใยสมองแอกซอนยาวเพื่อเชื่อมต่อกับเซลล์สมองตัวถัดไปที่อยู่ห่างออกไป ส่วนเส้ นใยสมอง เดนไดรท์เป็ นเส้ นใยสมองที่ยื่นออกไป อีกทางหนึ่งทาหน้ าที่รับสัญญาณกระแสประสาทจากเซลล์ สมองข้ างเคียงเป็ นส่วนที่เชื่อมติดต่อกับเซลล์สมองตัวอื่น ๆ เซลล์สมองและเส้ นใยสมองเหล่านี ้จะ มี จุดเชื่ อมต่อ หรื อซี น แนปส์ (Synapses) เชื่ อมโยงติดต่อ ถึง กัน เปรี ย บเสมื อ นกับการเชื่ อมโยง ติดต่อกันของสายโทรศัพท์ตามเมืองต่าง ๆ นันเอง ้ จากการท างานของเซลล์ ส มองในส่ ว นต่า ง ๆ ท าให้ ม นุษ ย์ ส ามารถเรี ย นรู้ สิ่ ง ต่า ง ๆ สามารถเก็บเกี่ยวข้ อมูลรอบตัวและสร้ างความรู้ขึ ้นมาได้ นัน้ คือ เกิดการคิด กระบวนการคิด และ ความคิดขึ ้นในสมอง หลังเกิดความคิดก็มีการคิดค้ นและมีผลผลิตเกิดขึ ้น ยิ่งถ้ าเด็กมีการใช้ สมอง เพื่อการเรี ยนรู้และการคิดมากเท่าไร ก็จะทาให้ เซลล์สมองสร้ างเครื อข่ายเส้ นใยสมองใหม่ ๆ แตก แขนงเชื่ อมติดต่อกัน มากยิ่ งขึน้ ทาให้ สมองมี ขนาดใหญ่ ขึน้ โดยไปเพิ่มขนาดของเซลล์ ส มอง จานวนเส้ นใยสมองและจุดเชื่อมต่อระหว่างเซลล์สมอง สมองของเด็กพัฒนาจากการทางาน ของกล้ ามเนือ้ มัดเล็กพบว่ า ทักษะความคล่ องตัวของกล้ ามเนือ้ มัดเล็กจะพัฒนาภายใน ช่ วงเวลา 10 ปี แรก ดังนัน้ ถ้ าหากเด็กได้ ฝึกฝนการใช้ มือ การใช้ กล้ ามเนือ้ มัดเล็กของมือ จะทาให้ สมองสร้ างเครื อข่ ายเส้ นใยสมองและจุดเชื่อมต่ อและสร้ างไขมันล้ อมรอบเส้ นใน


207 สมอง และเซลล์ สมองที่ทาหน้ าที่ควบคุมการทางานของกล้ ามเนือ้ มัดเล็กได้ มาก ทาให้ เกิดทักษะการใช้ กล้ ามเนือ้ มัดเล็ก สมองมีหลายส่วนทาหน้ าที่แตกต่างกันแต่ทางานประสานกัน เช่น สมองส่วนที่ทาหน้ าที่ เกี่ยวกับความจา และรับรู้ การเคลื่อนไหว สี รู ปร่ าง เป็ นต้ น หลายส่วนทาหน้ าที่ประสานกันเพื่อ รับรู้ เหตุการณ์ หนึ่ง เช่น การมองเห็นลูกเทนนิสลอยเข้ ามา สมองส่วนที่รับรู้ การเคลื่อนไหว สี และรู ปร่ าง สมองจะอยู่ในตาแหน่งแยกห่างจากกันในสมองแต่สมองทางานร่ วมกันเพื่อให้ เรา มองเห็นภาพได้ จากนันสมองหลายส่ ้ วนทาหน้ าที่ประสานเชื่อมโยงให้ เราเรี ยนรู้และคิดว่าคืออะไร เป็ นอย่างไร ทาไมถึงเป็ นเช่นนัน้ สมองสามารถเรี ยนรู้ กับสถานการณ์หลาย ๆ แบบพร้ อม ๆ กัน โดยการเชื่ อมโยงเข้ าด้ วยกัน เช่น สมองสามารถเรี ยนรู้ เกี่ ยวกับความรู้ ทางประวัติศาสตร์ และ คณิตศาสตร์ เชื่อมโยงกันได้ การทาเช่นนีไ้ ด้ เป็ นเพราะระบบการทางานของสมองที่ซบั ซ้ อน มี หลายชันหลายระดั ้ บ และทางานเชื่อมโยงกันเนื่องจากมีเครื อข่ายในสมองเชื่อมโยงเซลล์สมองถึง กันหมด เครื อข่ายเส้ นใยสมองเหล่านี ้เมื่อถูกสร้ างขึ ้นแล้ ว ดูเหมือนว่าจะอยู่ไปอีกนานไม่ มีสิ ้นสุด ช่วยให้ สมองสามารถรับรู้ และเรี ยนรู้ ได้ ทงในส่ ั ้ วนย่อยและส่วนรวม สามารถคิดค้ นหาความหมาย คิดหาคาตอบให้ กบั คาถามต่าง ๆ ของการเรี ยนรู้และพัฒนาความคิดใหม่ ๆ ออกมาได้ อีกด้ วย นอกจากนีจ้ ากการศึกษาพบว่า ความเครี ยดขัดขวางการคิดและการเรี ยนรู้ เด็กที่เกิ ด ความเครี ยดจะมีประสบการณ์ที่ไม่ดีเช่นเด็กที่ได้ รับประสบการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจทาให้ เกิด ความหวาดกลัว เครี ยด บรรยากาศการเรี ยนรู้ ไม่มีความสุข คับข้ องใจ ครู อารมณ์ เสีย ครู อารมณ์ไม่สม่าเสมอเดี๋ยวดี เดี๋ยวร้ าย ครูดุ ขณะที่เด็กเกิดความเครี ยด สารเคมีทงั ้ ร่างกายปล่อย ออกมาจะไปเปลี่ยนแปลงโครงสร้ างของสมอง ทาให้ เกิดการสร้ างฮอร์ โมนที่เกี่ยวกับความเครี ยด เรี ยกว่า คอร์ ติโซล (Cortisol) จะทาลายสมองโดยเฉพาะสมองส่วนคอร์ เท็กซ์หรื อพื ้นผิวสมองที่ทา หน้ า ที่ เกี่ ย วกับ ความคิด ความฉลาด กับสมองส่ว นฮิ ปโปแคมปั ส หรื อ สมองส่ว นที่ ท าหน้ า ที่ เกี่ยวกับอารมณ์และความจา ซึง่ ความเครี ยดทาให้ สมองส่วนนี ้เล็กลง เด็กที่ได้ รับความเครี ยดอยู่ ตลอดเวลา หรื อพบความเครี ยดที่ไม่สามารถจะคาดเดาได้ ส่งผลต่อการขาดความสามารถใน การเรี ยนรู้ ซึ่งเป็ นเรื่ องที่น่าเสียดาย เพราะเด็กมีสมองพร้ อมที่จะเรี ยนได้ แต่ถูกทาลายเพราะ ความเครี ยดทาให้ ความสามารถในการเรี ยนรู้ได้ หายไปตลอดชีวิต การจัดหลักสูตรการเรียนการสอนให้ เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็ก การจัดหลัก สูตรการเรี ย นการสอนเพื่อพัฒนาศักยภาพทางสมองจาเป็ นต้ องคานึง ถึง กระบวนการทางานของสมองและการทางานให้ ประสานสัมพันธ์ ของสมองซีกซ้ ายและ สมองซี ก ขวา สมองซี ก ซ้ า ยควบคุม ความมี เ หตุผ ลเป็ นการเรี ย นด้ า นภาษา จ านวนตัว เลข วิทยาศาสตร์ ตรรกศาสตร์ การคิดวิเคราะห์ ในขณะที่สมองซีกขวาเป็ นด้ านศิลปะ จินตนาการ


208 ดนตรี ระยะ/มิติ หากครูสามารถจัดหลักสูตรการเรี ยนการสอนให้ เด็กได้ ใช้ ความคิดโดยผสมผสาน ความสามารถของการใช้ สมองทัง้ สองซีกเข้ าด้ วยกัน ให้ สมองทัง้ สองซีกเสริ มส่ง ซึ่ง กัน และกัน ผู้เรี ยนจะสามารถสร้ างผลงานได้ ดีเยี่ยม เป็ นผลงานมีความคิดริ เริ่ มสร้ างสรรค์และสามารถแสดง ความมีเหตุผลผสมผสานในผลงานชิ ้นเดียวกัน หลักสูตรการเรี ยนการสอนสาหรับเด็กปฐมวัยควรคานึงถึงการเรี ยนรู้ในด้ านต่าง ๆ ดังนี ้ 1. การเคลื่อนไหวของร่างกาย ฝึ กการยืน เดิน วิ่ง จับ ขว้ าง กระโดด การเคลื่อนไหวไปใน ทิศทางต่าง ๆ ที่เราต้ องการ หรื อพวกนักกีฬาต่าง ๆ 2. ภาษาและการสื่อสาร เป็ นการใช้ ภาษาสื่อสารโดยการปฏิบตั ิจริ ง จากการพูด การฟั ง การอ่านและการเขียน เช่น ให้ เด็กเล่าสิ่งที่เขาได้ พบเห็น ได้ ลงมือกระทา ฟั งเรื่ องราวต่าง ๆ ที่เด็ก ต้ องการเล่าให้ ฟังด้ วยความตังใจ ้ เล่านิทานให้ ลกู ฟั งทุกวัน เล่าจบตังค ้ าถามหรื อสนทนากับลูก เกี่ยวกับเรื่ องราวในนิทาน อ่านคาจากป้ายประกาศต่าง ๆ ที่พบเห็น ให้ เด็กได้ วาดภาพสิ่งที่เขาได้ พบเห็นหรื อเขียนคาต่าง ๆ ที่เขาได้ พบเห็น 3. การรู้ จกั การหาเหตุผล ฝึ กให้ เด็กเป็ นคนช่างสังเกต การเปรี ยบเทียบ จาแนกแยกแยะ สิ่งต่าง ๆ จัดหมวดหมู่สิ่งของที่มีอยู่ในชีวิตประจาวัน เรี ยนรู้ ขนาด ปริ มาณ การเพิ่มขึ ้นลดลง การใช้ ตวั เลข 4. มิติสมั พันธ์ และจินตนาการจากการมองเห็น ให้ เด็กได้ สมั ผัสวัตถุต่าง ๆ ที่เป็ นของจริ ง เรี ยนรู้ สิ่งต่าง ๆ จากประสบการณ์ ตรง เข้ าใจความสัมพันธ์ ระหว่าง ระยะ ขนาดตาแหน่ง และ การมองเห็น สังเกตรายละเอียดของสิ่งต่างรอบตัว เข้ าใจสิ่งที่มองเห็นได้ สมั ผัส สามารถนาสิ่งที่ เข้ าใจออกมาใช้ ให้ เกิดประโยชน์ได้ 5. ดนตรี และจังหวะ ให้ เด็กได้ ฟังดนตรี แยกแยะเสียงต่าง ๆ ร้ องเพลง เล่นเครื่ องดนตรี ฝึ กให้ เด็กรู้จกั จังหวะดนตรี 6. การมีปฏิสมั พันธ์ กบั คนอื่น ฝึ กให้ เด็กอยู่ร่วมกับผู้อื่นในด้ านการช่วยเหลือ เอื ้อเฟื อ้ แบ่งปั น เข้ าใจผู้อื่น เรี ยนรู้ การทางานร่ วมกับผู้อื่น ปฏิสมั พันธ์ ในสังคมของมนุษย์เป็ นรากฐาน สาคัญของการเรี ยนรู้และสติปัญญา 7. การรู้ จักตนเอง รั บรู้ อารมณ์ ความรู้ สึกของตนเอง เข้ าใจตนเอง จะทาให้ ดูแลกากับ พฤติกรรมตนเองได้ อย่างเหมาะสม 8. การปฏิสมั พันธ์กบั ธรรมชาติและสิ่งแวดล้ อม การอยูร่ ่วมกับธรรมชาติ


209 กระบวนการจัดการเรียนรู้ เด็กปฐมวัยเรี ยนรู้ผา่ นการเล่น เรี ยนรู้อย่างมีความสุข จัดสภาพแวดล้ อมให้ เหมาะสมกับ ระดับพัฒนาการ ลักษณะกระบวนการจัดการเรี ยนรู้ เป็ นแบบเปิ ดกว้ าง จัดให้ มีประสบการณ์ ที่ หลากหลายโดยให้ เด็กได้ เรี ยนรู้ ตามความสนใจหรื อให้ เด็กได้ แสดงออกในแนวทางที่เขาสนใจ เรี ยนรู้ แบบปฏิบัติจริ ง โดยการใช้ ประสาทสัมผัสกระทากับวัตถุด้วยความอยากรู้ อยากเห็น ได้ ทดลองสร้ างสิง่ ใหม่ ๆ เด็กเรี ยนรู้ได้ เต็มศักยภาพเมื่อมีปฏิสมั พันธ์กบั คนอื่น เด็กได้ การเรี ยนรู้แบบ ร่ วมมือเป็ นกลุ่มเล็ก ๆ และเป็ นรายบุคคล การให้ เด็กได้ มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับ บุคคลอื่นทาให้ เด็กได้ ตรวจสอบความคิดของตน แต่เมื่อมีปัญหาเด็กต้ องการคาแนะนาจากผู้ใหญ่ ควรให้ เด็กได้ เรี ยนรู้แบบบูรณาการซึง่ เป็ นการเรี ยนรู้เกี่ยวกับเรื่ องราวที่เกิดขึ ้นในชีวิตจริ งเป็ นตัวตัง้ มีการเชื่อมโยงหลากหลายสาขาวิชา บทบาทของครูเป็ นผู้ให้ คาแนะนาเมื่อเด็กต้ องการและให้ การ สนับสนุนอย่างเหมาะสม ผู้ปกครองมีบทบาทอย่ างไรในการช่ วยส่ งเสริมการเรียนรู้ของเด็ก 1. ให้ เด็กได้ เรี ยนรู้สงิ่ ต่าง ๆ ด้ วยการลงมือกระทาโดยผ่านประสาทสัมผัสทัง้ 5 ในการทา กิจกรรม 1 กิจกรรมพยายามให้ เด็กได้ ใช้ ประสาทสัมผัสหลายอย่างร่วมกัน การเรี ยนจากการปฏิ บตั ิ จะทาให้เด็กเกิ ดความเข้าใจ “ ฉันฟั ง ฉันลืม ฉันเห็น ฉันจาได้ ฉันได้ทา ฉันเข้าใจ” 2. ให้ เด็กได้ พดู ในสิ่งที่เขาคิด และได้ ลงมือกระทา ถ้ าไม่ได้ พดู สมองไม่พฒ ั นา ต้ องฝึ กให้ ใช้ สมองมาก ๆ อย่างมีความสุข ไม่ให้ เครี ยด 3. ผู้ใหญ่ต้องรับฟั งในสิง่ ที่เขาพูดด้ วยความตังใจ ้ และพยายามเข้ าใจเขา สารอาหารบารุ งสมอง อาหาร 5 หมู่มีสว่ นบารุงสมองทังสิ ้ ้น โดยเฉพาะทารกในครรภ์ อาหารจะเข้ าไปช่วยสร้ าง เซลล์สมอง เมื่อคลอดออกมาแม่ต้องรับประทานอาหารให้ ครบทุกหมู่เช่นเดิม เมื่อลูกโตขึ ้นปริ มาณ ของน ้านมของแม่ไม่เพียงพอต่อความต้ องการจึงต้ องให้ อาหารเสริม ถ้ าขาดสารอาหารเซลล์สมอง จะเติบโตช้ าและมีจานวนน้ อยลง เส้ นใยประสาทมีการสร้ างไม่ตอ่ เนื่อง ตับและไข่ เด็กปฐมวัยต้ องการธาตุเหล็กจากตับหรื อไข่ ถ้ าเด็กไม่กินตับหรื อไข่ และหรื อ กินในปริมาณที่ไม่เพียงพอจะทาให้ ความจาและสมาธิด้อยลง ปลา สารจากเนื ้อปลาและน ้ามันปลามีส่วยสาคัญต่อการพัฒนาความจาและการเรี ยนรู้ เสริ มสร้ างการเจริ ญเติบโตของปลายประสาทที่เรี ยกว่า เดนไดร์ ท ซึ่งทาหน้ าที่เชื่อมโยงสัมพันธ์


210 เรื่ องราวที่เรี ยนรู้ จากเรื่ องหนึ่งไปสู่อีกเรื่ องหนึ่ง อธิบายได้ ว่าทาให้ เด็กเข้ าเรื่ องที่เรี ยนรู้ ได้ ง่ายและ เร็ว ควรให้ เด็กรับประทานเนื ้อปลาทุกวันหรื อ 2 – 3 ครัง้ ต่อสัปดาห์ โดยเฉพาะเนื ้อปลาทะเล เช่น ปลาทู ปลากะพง และปลาตาเดียว เป็ นต้ น ผักและผลไม้ ผักที่มีสีเขียว เหลืองหรื อแดง อาหารเหล่านี ้ให้ วิตามินซี เพื่อนาไปสร้ าง เซลล์เยื่อบุต่าง ๆ ทัว่ ทังร่้ างกายและวิตามินเอทาให้ เซลล์ประสาทตาทางานได้ เต็มที่ ซึ่งส่งผลทัง้ ทางตรงและทางอ้ อมในการพัฒนาสมอง วิตามินและเกลือแร่ ช่วยในการทางานของเชลล์ ในการเปลี่ยนน า้ ตาลกลูโคสให้ เป็ น พลังงาน ถ้ าขาดจะทาให้ เชลล์สมองมีการทางานลดลงและเชื่องช้ าจะกระทบต่อการเรี ยนรู้ของเด็ก ปลา ไก่ หมู นม และอาหารทะเล อาหารเหล่านีม้ ีแร่ ธาตุต่าง ๆ เช่น เหล็ก ทองแดง แมกนีเซียม สังกะสี ฟอสฟอรัส และไอโอดีน มีผลต่อการทางานของเซลล์สมอง ผักตระกูลกะหล่า (ทาให้ สกุ ) ข้ าวสาลี และน ้านมแม่ สามารถไปยับยังการเกิ ้ ดอนุมลู อิสระ ที่อาจจะทาลายเซลล์สมองได้ การพัฒนาศักยภาพทางสมองของเด็ก ขึ ้นกับอาหาร พันธุกรรม สิ่งแวดล้ อมต่าง ๆ และ สิ่ ง ส าคัญ อี ก ประการหนึ่ ง คื อ การมี โ อกาสได้ ใ ช้ ค วามคิ ด อยู่เ สมอ ให้ เ ด็ ก มี โ อกาสคิ ด ใน หลากหลายแบบ เช่ น คิ ด แสวงหาความรู้ คิ ด ริ เ ริ่ ม สร้ างสรรค์ คิ ด วิ เ คราะห์ คิ ด อย่ า งมี วิจารณญาณ คิดกว้ าง คิดไกล คิดเชิงอนาคต คิดนอกกรอบ ผู้ปกครองหรื อครู ควรจัดกิจกรรม ให้ เด็กได้ ฝึกการคิดอย่างเหมาะสมกับวัย และมีความสุข ในขณะที่ฝึกสมองจึงจะพัฒนาอย่างเต็ม ศักยภาพ (www.aihd.mahidol.ac.th)

นวัตกรรมทางการศึกษาปฐมวัยประเภทการบริหาร ตัวอย่างนวัตกรรมทางการศึกษาปฐมวัยประเภทการบริ หารที่จะนามากล่าวในบทนี ้ คือ โรงเรี ยนวิถีพทุ ธ การประกันคุณภาพการศึกษา โรงเรียนวิถีพุทธ พระพุทธศาสนาเป็ นระบบวิถีชีวิตระบบหนึ่งของสังคม แม้ จะเป็ นระบบที่มีผ้ อู ยู่ ในระบบ ไม่มากนัก เมื่อเปรี ยบเทียบกับศาสนาใหญ่ ๆ ในโลก แต่ก็มีอิทธิ พลต่อการดาเนินชีวิตที่เป็ น รากฐานอย่า งส าคัญ ยิ่ ง ในประเทศไทยของพุท ธศาสนิ ก ชน การน าระบบวิ ถี ชีวิ ตมาแสดงให้ เยาวชนซึง่ เป็ นกาลังของชาติในอนาคตได้ เข้ าใจ และตระหนักถึงบทบาทหน้ าที่ ของตนเองในการ ดารงอยู่ของสังคมไทยเป็ นสิ่งสาคัญ สาระการเรี ยนรู้ที่สาคัญในไตรรัตนะจึงจาเป็ นต้ องจัดเข้ ามา


211 อยู่ในหลักสูตรการศึกษาขันพื ้ ้นฐาน และการบริ หารงานแนวพุทธตามแนวของโครงการโรงเรี ยน วิถีพทุ ธ โรงเรี ยนวิถีพทุ ธเป็ นหนึ่งในโรงเรี ยนรูปแบบใหม่ ที่จะช่วยผลักดันให้ เด็กและเยาวชนไทย สามารถพัฒนาตามศัก ยภาพ เป็ นคนดี คนเก่ง ของสัง คม และสามารถดารงชี วิตได้ อย่างมี ความสุข กระทรวงศึกษาธิ การ. (2546, หน้ า 3 – 5) กาหนดแนวทางการดาเนินงานโรงเรี ยน วิถีพทุ ธไว้ ดงั นี ้ โรงเรี ยนวิถีพุทธ คือโรงเรี ยนระบบปกติทวั่ ไปที่นาหลักธรรมพระพุทธศาสนามาใช้ หรื อประยุกต์ ใช้ ในการบริ หาร และการพัฒนาผู้เรี ยนโดยรวมของสถานศึกษา เน้ นกรอบ การพัฒนาตามหลักไตรสิกขา อย่างบูรณาการ รูปแบบโรงเรียนวิถีพุทธ จุ ด เน้ น โรงเรี ย นวิ ถี พุท ธด าเนิ น การพัฒ นาผู้เ รี ยนโดยใช้ หลั ก ไตรสิ ก ขา คื อ ศี ล สมาธิ ปั ญญา อย่างบูรณาการ ผู้เรี ยนได้ เรี ยนรู้ผ่านการพัฒนา “การกิน อยู่ ดู ฟั ง เป็ น” คือ มีปัญญารู้ เข้ าใจในคุณค่าแท้ ใช้ กระบวนการทางวัฒนธรรมแสวงปั ญญา และมีวฒ ั นธรรม เมตตา เป็ นฐานการดาเนินชีวิต โดยมีผ้ บู ริหารและคณะครูเป็ นกัลยาณมิตรการพัฒนา ลักษณะโรงเรี ยนวิถีพุทธ เน้ นการจัดสภาพทุก ๆ ด้ าน เพื่อสนับสนุนให้ ผ้ เู รี ยนพัฒนา ตามหลักพุทธธรรมอย่างบูรณาการ โดยส่งเสริ มให้ เกิ ดความเจริ ญงอกงามตามลักษณะแห่ง ปั ญญาวุฒธิ รรม 4 ประการ คือ 1. สัปปุริสสังเสวะ หมายถึง การอยูใ่ กล้ คนดี ใกล้ ผ้ รู ้ ู มีครู อาจารย์ดี มีข้อมูล มีสื่อที่ดี 2. สัทธัมมัสสวนะ หมายถึง เอาใจใส่ศกึ ษาโดยมีหลักสูตร การเรี ยนการสอนที่ดี 3. โยนิโสมนสิการ หมายถึง มีกระบวนการคิดวิเคราะห์พิจารณาหาเหตุผลที่ดีและถูกวิธี 4. ธั มมานุ ธัมมปฏิ ปัตติ หมายถึง ความสามารถนาความรู้ ไปใช้ ในชี วิตได้ ถูกต้ อง เหมาะสม การจัดสภาพของโรงเรี ยนวิถีพุทธ ประกอบไปด้ วย ด้ านกายภาพ คือ อาคาร สถานที่ ห้ องเรี ยน แหล่งเรี ยนรู้ สภาพแวดล้ อม เป็ นต้ น ด้ านกิจกรรมพืน้ ฐานวิถีชีวิต เช่น กิจกรรมประจาวัน กิจกรรมวันสาคัญ กิจกรรมนักเรี ยนต่าง ๆ ด้ านการเรี ยนการสอน เริ่ ม ตังแต่ ้ การกาหนดหลักสูตรสถานศึกษา การจัดหน่วยการเรี ยนรู้ แผนการจัดการเรี ยนรู้ จนถึง กระบวนการเรี ยนการสอน ด้ านบรรยากาศและปฏิสัมพันธ์ ในการปฏิบตั ิตอ่ กันระหว่างครูกบั นักเรี ยน นักเรี ยนกับนักเรี ยน หรื อครูกบั ครู เป็ นต้ น และด้ านการบริหารจัดการ ตังแต่ ้ การกาหนด วิสัย ทัศน์ จุดเน้ น การก าหนดแผนปฏิ บัติ การ การสนับสนุน ติ ด ตาม ประ เมิ น ผลและพัฒ นา ต่อเนื่อง ซึง่ การจัดสภาพในแต่ ละด้ านจะมุ่งเพื่อให้ การพัฒนานักเรี ยนตามระบบไตรสิกขา


212 ด าเนิ น ได้ อ ย่ า งชัด เจนมี ป ระสิ ท ธิ ภ าพ ดัง เช่ น การจัด ด้ า นกายภาพ ควรเป็ นธรรมชาติ สภาพแวดล้ อมที่ชวนให้ มีจิตใจสงบ ส่งเสริ มปั ญญา กระตุ้นการพัฒนาศรัทธา และศีลธรรม กิจกรรมพืน้ ฐานวิถีชีวิต กระตุ้นให้ การกิน อยู่ ดู ฟั ง ดาเนินด้ วยสติสมั ปชัญญะเป็ นไปตาม คุณ ค่ า แท้ ด้ า นการเรี ย นการสอน บู ร ณาการพุท ธธรรมในการจัด การเรี ย นรู้ ชัด เจน ด้ า น บรรยากาศและปฏิสมั พันธ์ เอื ้ออาทร เป็ นกัลยาณมิตรต่อกัน ส่งเสริมทังวั ้ ฒนธรรมเมตตา และ วัฒนธรรมแสวงปั ญญา เป็ นต้ น การบริหารจัดการโรงเรี ยนวิถีพุทธ มีขนตอนส ั้ าคัญ เช่น การเตรี ยมการ เตรี ยมทัง้ บุคลากร ผู้เกี่ยวข้ อง แผนงาน ทรัพยากร ที่ม่งุ เน้ นสร้ างศรัทธาและฉันทะในการพัฒนา การ ดาเนินการจัดสภาพและองค์ ประกอบต่ าง ๆ ที่จดั เพื่อสงเสริ ม ให้ เกิดความเจริ ญงอกงามหรื อ ปั ญญาวุฒิธรรม ในการพัฒนาผู้เรี ยน การดาเนิ นการพัฒนาทัง้ ผู้เรี ยนและบุคลากรตาม ระบบไตรสิกขาอย่ างต่ อเนื่ อง โดยใช้ สภาพและองค์ประกอบที่จัดไว้ ข้างต้ น ขัน้ ต่อมา คือ การดูแลสนับสนุน ใกล้ ชิด ด้ วยท่าทีของความเป็ นกัลยาณมิตรต่อกัน ที่ทาให้ การพัฒนานักเรี ยน และงานดาเนินได้ อย่างมีประสิทธิ ภาพ ต่อจากนัน้ มีการปรั บปรุ งและพัฒนาอย่ างต่ อเนื่ อง ด้ วยอิทธิบาท 4 และหลักอุปัญญาตธรรม คือ ความไม่สนั โดษในกุศลธรรม และความไม่ระย่อใน การพากเพียร เป็ นต้ น ขันสุ ้ ดท้ ายของกระบวนการบริหารแต่เป็ นฐานสูก่ ารพัฒนาในลาดับต่อไป คือ ขันประเมิ ้ นผลและเผยแพร่ผลการดาเนินงาน ลักษณะการเกือ้ กูลสัมพันธ์ โรงเรี ยนวิถีพุทธและชุมชน จะมีลกั ษณะของการร่วมมือ ทังสถานศึ ้ กษา บ้ าน วัด และสถาบันต่าง ๆ ในชุมชน ด้ วยศรัทธาและฉันทะ ที่จะพัฒนาทัง้ นักเรี ยนและสังคมตามวิถีแห่งพุทธธรรม เพื่อประโยชน์สขุ ร่วมกัน การพัฒนาบุคลากรและคุณลักษณะบุคลากร การพัฒนาโรงเรี ยนวิถี พุทธแม้ จะยึด ผู้เรี ยนเป็ นสาคัญ แต่บคุ ลากรโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บริ หารและครู มีความสาคัญอย่างยิ่งที่จะเป็ น ปั จจัยให้ ผ้ เู รี ยนพัฒนาได้ อย่างดี ทังการเป็ ้ นผู้จดั การเรี ยนรู้ และการเป็ นแบบอย่ างที่ดีในวิถีชีวิต จริ งในลักษณะ สอนให้ ร้ ู ทาให้ ดู อยู่ให้ เห็น การพัฒนาบุคลากรของสถานศึกษามีความ จาเป็ นต้ องดาเนินการอย่างต่อเนื่องหลากหลายวิธีการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การส่ งเสริ มการ ปฏิบัตธิ รรมในชีวิตประจาวัน ทังนี ้ ้เพื่อให้ บคุ ลากรมีคณ ุ ลักษณะที่ดีตามวิถีพุทธ เชน ศรัทธาใน พระพุทธศาสนา และพัฒนาตนให้ ดาเนินชีวิตที่ดีงาม ละ เลิกอบายมุข การถือศีล 5 เป็ นนิจ ความเป็ นกัลยาณมิตรต่อศิษย์ และการเป็ นแบบอย่างที่ดี เป็ นต้ น เยาวพา เดชะคุปต์ และคณะ. (2550, หน้ า 40 – 43) กล่าวถึง สถานศึกษาปฐมวัยของ ไทยหลายแห่งได้ ศึกษาแนวทางการจัดประสบการณ์สาหรับเด็กปฐมวัยตามแนวพุทธมาเป็ นเวลา


213 หลายปี และปรากฏผลการเปลี่ยนแปลงชัดเจน โดยในระยะแรกสถานศึกษาจะเริ่มพัฒนาครูก่อน เพื่อให้ ครู นาสู่การปฏิบตั ิภายในชันเรี ้ ยนของตน สาหรับตัวอย่างการจัดประสบการณ์สาหรับเด็ก ปฐมวัยตามแนวพุทธที่จะนาเสนอในเอกสารประกอบการสอนนี ้ เป็ นตัวอย่างของสถานศึกษา ปฐมวัยแห่งหนึง่ ของไทย คือ โรงเรี ยนอนุบาลหนูน้อย ที่ดาเนินการจัดการศึกษาแนวพุทธภายใน สถานศึกษามาเป็ นเวลากว่า 10 ปี โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาเด็กให้ เป็ นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ทงั ้ พฤติกรรม จิตใจ ปั ญญา ซึ่งหมายถึง ศีล สมาธิ ปั ญญา หรื อไตรสิกขาในพระพุทธศาสนา ทังนี ้ ้ การจัดหลักสูตรของสถานศึกษา จะแบ่งเป็ น 3 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 การพัฒนาให้ เด็กเป็ นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ทังพฤติ ้ กรรม จิตใจ ปั ญญา ไปสูค่ วามดีงาม ส่วนที่ 2 การพัฒนาด้ านเนื ้อหาความรู้แบบองค์รวมสาหรับเด็ ก โดยนาเรื่ องการ รู้จกั ตนเอง สังคมรอบตัว ธรรมชาติ ให้ จิตใกล้ ชิดธรรมชาติ และการรู้เท่าทันเทคโนโลยี มาเป็ น เนื ้อหา เรี ยนแบบชีวิตจริง ไม่แยกหน่วยย่อย ส่วนที่ 3 การพัฒนาด้ านวิชาการและวิชาชีพ หมายถึง การพัฒนาสติปัญญา กระบวนการคิ ด ให้ สมกับ ศัก ยภาพของสมองมนุษ ย์ ที่ ธ รรมชาติ ใ ห้ ม า และให้ ทัก ษะความรู้ ความสามารถ สาหรับในส่วนที่ 1 ซึ่งถือว่าเป็ นส่วนที่เกี่ยวกับหลักแนวพุทธโดยตรง คือ เรื่ องของการ พัฒนาพฤติกรรม จิตใจ ปั ญญา (ศีล สมาธิ ปั ญญา) ไปสูค่ วามดีงาม ทางโรงเรี ยนอนุบาลหนูน้อย (โรงเรี ยนสยามสามไตร) ได้ นาสูก่ ารปฏิบตั ิในวิถีชีวิตประจาวันของเด็กปฐมวัย ดังนี ้ ด้ านพฤติกรรม ได้ แก่ 1) ให้ ฝึกมารยาท การอยูร่ ่ วมกัน การปฏิบตั ิตนต่อผู้อื่น การพูดไพเราะ การ กล่าวคาขอบคุณ ขอโทษ การกราบพระ การกราบผู้ใหญ่ การยืน การสวัสดี การแบ่งปั น ทาดี ต่อผู้อื่น และความอดทนต่าง ๆ 2) ให้ ฝึกการดูแลสิ่งของรอบตัวให้ มีระเบียบสวยงาม ดูแลความสะอาด การเช็ด ถู ทังของใช้ ้ ที่เป็ นส่วนตัวและของใช้ ที่เป็ นส่วนรวม การดูแลจัดเก็บให้ เรี ยบร้ อย ทังของในกระเป๋ ้ า ตนเอง รวมทังของที ้ ใช้ ศกึ ษาในห้ องเรี ยน 3) ให้ ฝึกพฤติกรรมการเสพบริโภคปั จจัย 4 แต่พอดี โดยเฉพาะการรับประทาน อาหาร ตังอธิ ้ ษฐานก่อนว่า เราจะรับประทานเพื่อบารุงร่างกายให้ แข็งแรง เพื่อทาความดีตอ่ ไป แต่เราจะไม่รับประทานเพื่อความเอร็ดอร่อยเพียงอย่างเดียว 4) ให้ ทางานของชีวิตด้ วยตนเอง เพื่อเป็ นฐานสาหรับการฝึ กจิตใจ เช่น จัดโต๊ ะ


214 อาหาร เก็บทาความสะอาดทุกครัง้ ที่เสร็ จกิจกรรม ล้ างภาชนะใส่อาหารเอง ช่วยกันแต่งตัว เป็ น ตาวิเศษ เก็บขยะ ใบไม้ ฯลฯ ด้ านจิตใจ ได้ แก่ 1) ฝึ กให้ มีความอ่อนน้ อม อ่อนโยน มีความนุ่มนวลมากขึ ้น ซึง่ จะเป็ นผลมาจาก การฝึ กพฤติกรรม คือ การปฏิบตั ิทางกาย วาจาของเด็ก 2) แผ่เมตตาต่อผู้อื่น ต่อสัตว์ ที่เหมาะสมตามวัยของเด็ก สาหรับเด็กเล็กแผ่ เมตตาเป็ นเพลง เด็กโตสวดเป็ นภาษาบาลี เมื่อเด็กคล่องภาษาบาลีแล้ วจะสวดบาลีแล้ วแปลคูก่ นั 3) ปฏิบตั ิจิตแบบง่าย ๆ ด้ วยการเดินจงกรม นัง่ สมาธิ ฝึ กความสงบ ฝึ กการ ควบคุมจิตใจและความมัน่ คงของใจ 4) สอนให้ กตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ เช่น พ่อ แม่ ครู ฯลฯ โดยเริ่มสอนให้ เด็กเห็นสิง่ ที่พอ่ แม่และครูได้ เสียสละ ได้ ให้ ความรัก ความอบอุน่ และฝึ กให้ ระลึกถึงพระคุณ 5) ปลูกฝั งเรื่ องความเมตตา โดยกระทาสิง่ ที่ดีตอ่ เพื่อนและผู้อื่น เช่น บริการ อาหาร น ้าดื่มแก่เพื่อน ขอบคุณผู้บริ การแก่เรา 6) ฝึ กให้ เห็นคุณค่าและดูแลธรรมชาติรอบตัว ซึมซับการอยูอ่ ย่างสุขแบบง่าย ๆ ให้ เด็กสัมผัสคุณค่าของธรรมชาติ และเข้ าใจวัฏจักรของการอยูก่ บั ธรรมชาติอย่างเกื ้อกูล โดยสอน ให้ เด็กรู้จกั สังเกต บันทึก เรี ยนรู้ จนกระทัง่ เด็กซึมซับรักธรรมชาติแบบไม่ร้ ูตวั ด้ านปั ญญา ได้ แก่ 1) ฝึ กให้ เด็กได้ เลือกเสพบริโภค คือ สอนให้ ร้ ูจกั พิจารณาว่าอะไรคือสิ่งที่มี ประโยชน์...อย่างไร อะไรคือสิ่งที่ไม่มีประโยชน์...อย่างไร เช่น อาหารจะฝึ กให้ เด็กรับประทาน ข้ าวกล้ อง หรื อดื่มนมถัว่ เหลือง 2) ฝึ กสังเกตและบันทึก เช่น สังเกตธรรมชาติ โดยให้ แนวคิดไว้ วา่ เด็ก ๆ จะ มองให้ เห็นอย่างละเอียดชัดเจนถึงความจริ ง มองเห็นว่านี่คืออะไร มีสีเป็ นอย่างไร ลักษณะ รู ป ร่ า ง รู ป ทรงเป็ นอย่ า งไร แล้ ว บัน ทึ ก ตามที่ เ ห็ น จริ ง โดยให้ แ ยกออกจากค าว่ า การคิ ด จินตนาการ และความรู้สกึ ส่วนตัว 3) ฝึ กสรุปวิเคราะห์ในแต่ละช่วงของกิจกรรมที่เกิดขึ ้น ว่าเด็กได้ ทาอะไรไปบ้ าง เกิดประโยชน์อะไรแก่ตนบ้ าง มีคาถามอะไรเกิดขึ ้น และใครจะช่วยตอบได้ หรื อจะไปหาคาตอบ ได้ อย่างไร 4) ฝึ กสรุปวิเคราะห์วา่ วันนี ้เด็ก ๆ ทาอะไรที่ดี อะไรที่ไม่ดี มีผลเกิดขึ ้นอย่างไร รู้สกึ อย่างไร ดีใจเสียใจ สุขหรื อทุกข์ และสิ่งที่ดีที่จะทาต่อไปคืออะไร ให้ เด็กตังอธิ ้ ษฐาน แล้ วมา


215 สรุปกันทุกวัน การจัดประสบการณ์ตามแนวพุทธสาหรับเด็กปฐมวัยได้ มีการศึกษาที่ชดั เจนขึ ้น รวมทังมี ้ การนาลงสู่การปฏิบตั ิจริ งในชันเรี ้ ยนปฐมวัย โดยเน้ นการพัฒนาพฤติกรรม จิตใจ ปั ญญา เป็ น การศึกษาจากฐานของความจริ งตามธรรมชาติ ทุกคนในสถานศึกษาต้ องฝึ กฝนพัฒนาตนเป็ น แบบอย่างที่ดี เรี ยนรู้ร่วมกันทังผู ้ ้ ใหญ่และเด็ก อีกทังยั ้ งเป็ นกัลยาณมิตรให้ แก่กนั การประกันคุณภาพการศึกษา รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มาตรา 81 กาหนดให้ มีกฎหมายเกี่ยวกับ การศึกษาแห่งชาติ จึงได้ มีการยกร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ซึง่ มีผลบังคับ ใช้ ตงแต่ ั ้ วนั ที่ 20 สิงหาคม 2542 เป็ นต้ นมา ในหมวด 6 ว่าด้ วยมาตรฐานและการประกันคุณภาพ การศึกษา มาตรา 49 ได้ กาหนดให้ มีสานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา เรี ยกโดยย่อว่า "สมศ." มีฐานะเป็ นองค์การมหาชน โดยให้ มีวตั ถุประสงค์เพื่อพัฒนาเกณฑ์และ วิธีการประเมินคุณภาพภายนอก และทาการประเมินผลการจัดการศึกษาเพื่อให้ มีการตรวจสอบ คุณภาพของสถานศึกษา โดยคานึงถึงความมุ่งหมาย หลักการ และแนวทางการจัดการศึกษาใน แต่ละระดับตามที่กาหนดไว้ ในกฎหมายว่าด้ วยการศึกษาแห่งชาติ โดยให้ มีการประเมินคุณภาพ ภายนอกของสถานศึกษาทุกแห่งอย่างน้ อยหนึ่งครัง้ ในทุกห้ าปี นับตังแต่ ้ การประเมินครัง้ สุดท้ าย และเสนอผลการประเมินต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้ องและสาธารณชน นอกจากนี ้ ได้ กาหนดไว้ ในบท เฉพาะกาลว่าจะต้ องจัดให้ มีการประเมินคุณภาพภายนอกของสถานศึกษาทุกแห่ง ภายในหกปี นับตังแต่ ้ วนั ที่พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ใช้ บงั คับ สาหรับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 80 (3) กาหนดให้ พฒ ั นา คุณ ภาพและมาตรฐานการจัด การศึ ก ษาในทุ ก ระดับ และทุ ก รู ป แบบให้ สอดคล้ อ งกั บ ความ เปลี่ ย นแปลงทางเศรษฐกิ จและสังคม จัดให้ มี แผนการศึกษาแห่ ง ชาติ กฎหมายเพื่ อพัฒนา การศึกษาของชาติ จัดให้ มีการพัฒนาคุณภาพครู และบุคลากรทางการศึกษาให้ ก้าวหน้ าทั นการ เปลี่ยนแปลงของสังคมโลก รวมทังปลู ้ กฝั งให้ ผ้ เู รี ยนมีจิตสานึกของความเป็ นไทย มีระเบียบวินยั คานึงถึงผลประโยชน์สว่ นรวมและยึดมัน่ ในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็ นประมุข การรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา โดยสานักงานรับรองมาตรฐานและ ประเมินคุณภาพการศึกษา ซึง่ เป็ นหน่วยงานที่พฒ ั นาเกณฑ์และวิธีการประเมินคุณภาพภายนอก และทาการประเมินผลการจัดการศึกษาเพื่อให้ มีการตรวจสอบคุณภาพของสถานศึกษา จะทาให้


216 สถานศึกษาแต่ละแห่งมีการจัดการศึกษาที่มีความเป็ นเอกภาพและพัฒนาไปสู่เป้าหมายเดียวกัน อันจะทาให้ สถานศึกษามีคณ ุ ภาพใกล้ เคียงกัน สาหรับการจัดการศึกษาปฐมวัยสานักวิชาการและ มาตรฐานการศึก ษา สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน ร่ วมกับ สานักงานรั บรอง มาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา ได้ กาหนดมาตรฐานการศึกษาปฐมวัย เพื่อการประเมิน คุณภาพภายในสถานศึก ษา โดยประกาศใช้ เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2548 รายละเอียดดังนี ้ มาตรฐานการศึกษาปฐมวัย สถานศึกษาในปั จจุบนั มีอิสระในการบริ หารจัดการการศึกษาด้ วยตนเอง มีการจัดทา หลักสูตรสถานศึกษาเอง จึงย่อมส่งผลกระทบถึงคุณภาพผู้เรี ยนและคุณภาพการบริ หารจัดการที่ แตกต่างกัน ดังนัน้ ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ ไขเพิ่มเติม (ฉบับ ที่ 2) พ.ศ. 2545 จึงกาหนดให้ หน่วยงานต้ นสังกัดและสถานศึกษาจัดให้ มีระบบประกันคุณภาพ ภายในของสถานศึกษา อันนาไปสู่การกาหนดให้ มีมาตรฐานการศึกษาขันพื ้ ้นฐานและมาตรฐาน การศึกษาปฐมวัยขึ ้น การก าหนดให้ มี ม าตรฐานการศึก ษาเป็ นการให้ ค วามส าคัญ กับ การจัด การศึก ษา 2 ประการ (สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา, 2550, หน้ า 2) คือ 1. สถานศึกษาทุกแห่งมีเกณฑ์เปรี ยบเทียบกับมาตรฐานซึง่ เป็ นมาตรฐานเดียวกัน 2. มาตรฐานการศึกษาจะทาให้ สถานศึกษาเข้ าใจชัดเจนว่าจะพัฒนาคุณภาพการศึกษา ไปในทิศทางใด มาตรฐานการศึกษาจึงมีคณ ุ ค่าแก่กลุม่ บุคคลที่เกี่ยวข้ องดังนี ้ 1. ผู้ เ รี ย น ผู้เ รี ย นทราบความคาดหวัง ของสัง คมและประเทศชาติ ว่าต้ อ งการคนที่ มี ลัก ษณะพึ ง ประสงค์ อ ย่ า งไร ผู้เ รี ย นจะท าอย่ า งไรจึ ง จะเป็ นผู้ที่ มี คุณ สมบัติ ต ามมาตรฐาน การศึกษากาหนด ทาให้ เกิดการปรับปรุงและพัฒนาตนเอง 2. ครู ครู จะทราบว่าครู คุณภาพที่ชาติต้องการมีคุณสมบัติ คุณลักษณะอย่างไร ต้ อง จัด การเรี ย นการสอนอย่ า งไร จึ ง จะได้ ชื่ อ ว่ า จัด การเรี ย นการสอนที่ เ น้ นผู้เ รี ย นเป็ นส าคัญ มาตรฐานการศึกษาจึงเป็ นกรอบแนวทางที่ทาให้ ครู ร้ ู ว่าจะต้ องออกแบบการจัดการเรี ยนการสอน และการประเมินผลอย่างไร เพื่อให้ ผ้ เู รี ยนมีคณ ุ ภาพตามที่มาตรฐานกาหนดไว้ 3. ท้ อ งถิ่ น และสถานศึ ก ษา มาตรฐานการศึก ษาจะเป็ นแนวทางให้ ท้ อ งถิ่ น และ สถานศึกษาร่วมมือกันจัดการศึกษาให้ บรรลุตามเป้าหมายที่ตงไว้ ั้ 4. พ่ อแม่ ผู้ปกครอง ประชาชน และผู้นาชุมชน มาตรฐานการศึกษาเป็ นเครื่ องมือ


217 สื่อสารให้ ประชาชนได้ รับทราบกระบวนการจัดการศึกษา การจัดการเรี ยนการสอนที่จะทาให้ คน ไทยในท้ องถิ่นเข้ าใจและเข้ ามามีส่วนร่ วมเพื่อให้ การจัดการศึกษาชวยยกระดับคุณภาพผู้เรี ยนให้ ได้ ตามมาตรฐานที่กาหนด 5. ประเทศชาติ มาตรฐานการศึกษาจะเป็ นเครื่ องมือที่ทาให้ ทกุ องค์ประกอบของระบบ การศึกษาขับเคลื่อนไปพร้ อม ๆ กันสูเ่ ป้าหมายเดียวกัน มาตรฐานการศึกษาทาให้ เกิดภาพการจัด การศึกษาที่มีความหมาย มาตรฐานการศึกษาปฐมวัยที่กระทรวงศึกษาประกาศให้ ใช้ เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2548 ประกอบด้ ว ย อุด มการณ์ แ ละหลัก การจัด การศึ ก ษาปฐมวั ย มาตรฐานการศึก ษา อุดมการณ์และหลักการจัดการศึกษาปฐมวัยตามมาตรฐานการศึกษาปฐมวัยมีดงั นี ้ อุดมการณ์ ของการจัดการศึกษาปฐมวัย อุดมการณ์ของการจัดการศึกษาปฐมวัย เป็ นการจัดการศึกษาขันพื ้ ้นฐานระดับแรก เพื่อ วางรากฐานชีวิตของเด็กไทยให้ เจริ ญเติบโตอย่างสมบูรณ์ มีพฒ ั นาการสมวัยอย่างสมดุล ทังด้ ้ าน ร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา บนพื ้นฐานความสามารถและความแตกต่างระหว่าง บุคคล โดยใช้ กิจกรรมกระตุ้นและส่งเสริ มพัฒนาการของสมองอย่างเต็มที่ รวมทังเตรี ้ ยมเด็กให้ พร้ อมที่จะเรี ยนรู้ในระดับการศึกษาขันพื ้ ้นฐานและระดับที่สงู ขึ ้น อันจะนาไปสูค่ วามเป็ นบุคคลที่มี คุณภาพของประเทศชาติต่อไป การศึกษาปฐมวัยมุ่งเน้ น การพัฒนาเด็กบนพื ้นฐาน การอบรม เลี ้ยงดูและส่งเสริ มกระบวนการเรี ยนรู้ ที่สนองต่อธรรมชาติ และพัฒนาการของเด็กแต่ละบุคคล ภายใต้ บริบททางวัฒนธรรม อารยธรรม และวิถีชีวิตทางสังคม ซึง่ มีลกั ษณะเฉพาะและแตกต่างกัน หลักการของการจัดการศึกษาปฐมวัย 1. หลักการพัฒนาเด็กโดยองค์ รวม โดยเริ่ มจากการพัฒนาด้ านร่ างกายให้ แข็งแรง สมบูรณ์ กระตุ้นให้ สมองได้ รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ พัฒนาด้ านจิตใจและอารมณ์ ให้ เป็ นผู้มี ความรู้ สกึ ที่ดีต่อตนเอง เชื่อมัน่ ในตนเอง ร่าเริ งแจ่มใส สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้ พัฒนา ด้ า นสัง คมโดยให้ มี โ อกาสปฏิ สั ม พัน ธ์ กับ บุค คล และสิ่ง แวดล้ อ มรอบตัว มี ม นุษ ยสัม พัน ธ์ ที่ ดี สามารถดารงชี วิตร่ ว มกับผู้อื่น ได้ อย่างมีความสุข รวมทัง้ พัฒนาสติปัญญา ส่ง เสริ มความคิด สร้ างสรรค์ บนวิถีชีวิตของเด็กตามสภาพครอบครัว บริ บทของชุมชน สังคม และวัฒนธรรมไทย 2. หลักการจัดประสบการณ์ ท่ ียึดเด็ กเป็ นสาคัญ โดยจัดการอบรมเลี ้ยงดูด้วยความ รัก ความเอาใจใส่ และจัดการเรี ยนรู้ ผ่านการเล่นและกิจกรรมที่เหมาะสมกับวัย โดยคานึงถึงความ แตกต่างระหว่างบุคคล เน้ นเรี ยนให้ สนุก เล่นให้ มีความรู้ และเกิดพัฒนาการสมวัยอย่างสมดุล 3. หลักการสร้ างเสริ มความเป็ นไทย โดยการปลูกฝั งจิตสานึกความเป็ นคนไทย ความ เป็ นชาติไทยที่มีวัฒนธรรมอันดีงาม เคารพนับถื อและกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดา มีชาติ ศาสนา


218 พระมหากษัตริ ย์ เป็ นศูนย์รวมจิตใจ ทาให้ เกิดความรักและภาคภูมิใจในตนเอง ครอบครัว ท้ องถิ่น และประเทศไทย 4. หลักความร่ วมมือ โดยครอบครัว ชุมชน และสถานศึกษาร่ วมมือกันในการอบรม เลี ้ยงดู และพัฒนาเด็กให้ มีพฒ ั นาการเหมาะสมกับวัย สามารถดารงชีวิตประจาวันได้ อย่างมี คุณภาพ และมีความสุข ตลอดจนพร้ อมที่จะเรี ยนรู้ในการศึกษาขันพื ้ ้นฐานต่อไป 5. หลักแห่ งความสอดคล้ อง อุดมการณ์และมาตรฐานในการจัดการศึกษาปฐมวัย ต้ อง สอดคล้ องกับสาระบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 พระราชบัญญัติ การศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 และแก้ ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พุทธศักราช 2545 นโยบาย การศึกษาของรัฐบาลที่แถลงต่อรัฐสภา สอดคล้ องกับมาตรฐานการศึกษาของชาติ และสัมพันธ์ เชื่อมโยงกับมาตรฐานการศึกษาขันพื ้ ้นฐาน มาตรฐานการศึกษาปฐมวัย มาตรฐานด้ านคุณภาพเด็ก ประกอบด้ วย มาตรฐานที่ 1 เด็กมีคุณธรรม จริยธรรม และค่ านิยมที่พงึ ประสงค์ ตัวบ่ งชี ้ 1.1 มีวินยั มีความรับผิดชอบ ปฏิบตั ิตามข้ อตกลงร่วมกัน 1.2 มีความซื่อสัตย์สจุ ริต 1.3 มีความกตัญญูกตเวที 1.4 มีเมตตากรุณา มีความรู้สกึ ที่ดีตอ่ ตนเองและผู้อื่น 1.5 ประหยัด รู้จกั ใช้ และรักษาทรัพยากร และสิ่งแวดล้ อม 1.6 มีมารยาทและปฏิบตั ิตนตามวัฒนธรรมไทย มาตรฐานที่ 2 เด็กมีจติ สานึกในการอนุรักษ์ และพัฒนาสิ่งแวดล้ อม ตัวบ่ งชี ้ 2.1 รับรู้คณ ุ ค่าของสิง่ แวดล้ อมและผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสิง่ แวดล้ อม 2.2 เข้ าร่วมหรื อมีสว่ นร่วมกิจกรรม/โครงการอนุรักษ์ และพัฒนาสิง่ แวดล้ อม มาตรฐานที่ 3 เด็กสามารถทางานจนสาเร็จ ทางานร่ วมกับผู้อ่ นื ได้ และมีความรู้สึกที่ดี ต่ ออาชีพสุจริต ตัวบ่ งชี ้ 3.1 สนใจและกระตือรื อร้ นในการทางาน 3.2 ทางานจนสาเร็จและภูมิใจในผลงาน


219 3.3 เล่นและทากิจกรรมร่วมกับผู้อื่นได้ 3.4 มีความรู้สกึ ที่ดีตอ่ อาชีพสุจริต มาตรฐานที่ 4 เด็กสามารถคิดรวบยอด คิดแก้ ปัญหา และคิดริเริ่มสร้ างสรรค์ ตัวบ่ งชี ้ 4.1 มีความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดจากการเรี ยนรู้ 4.2 แก้ ปัญหาได้ เหมาะสมกับวัย 4.3 มีจินตนาการ และ มีความคิดริเริ่มสร้ างสรรค์ มาตรฐานที่ 5 เด็กมีความรู้และทักษะเบือ้ งต้ น ตัวบ่ งชี ้ 5.1 มีทกั ษะในการใช้ กล้ ามเนื ้อใหญ่ – เล็ก 5.2 มีทกั ษะในการใช้ ประสาทสัมผัสทัง้ ๕ 5.3 มีทกั ษะในการสื่อสาร 5.4 มีทกั ษะในการสังเกตและสารวจ 5.5 มีทกั ษะในเรื่ องมิตสิ มั พันธ์ 5.6 มีทกั ษะในเรื่ องจานวน ปริมาณ น ้าหนัก และการกะประมาณ 5.7 เชื่อมโยงความรู้และทักษะต่าง ๆ มาตรฐานที่ 6 เด็กมีความสนใจใฝ่ รู้ รักการอ่ าน และพัฒนาตนเอง ตัวบ่ งชี ้ 6.1 รู้จกั ตังค ้ าถามเพื่อหาเหตุผล และมีความสนใจใฝ่ รู้ 6.2 มีความกระตือรื อร้ นในการเรี ยนรู้สงิ่ ต่าง ๆ รอบตัว และสนุกกับการเรี ยนรู้ มาตรฐานที่ 7 เด็กมีสุขนิสัย สุขภาพกาย และสุขภาพจิตที่ดี ตัวบ่ งชี ้ 7.1 รักการออกกาลังกาย ดูแลสุขภาพ และช่วยเหลือตนเองได้ 7.2 มีน ้าหนัก ส่วนสูง และมีสมรรถภาพทางกายตามเกณฑ์ 7.3 เห็นโทษของสิง่ เสพติดให้ โทษและสิ่งมอมเมา 7.4 มีความมัน่ ใจ กล้ าแสดงออกอย่างเหมาะสม 7.5 ร่าเริง แจ่มใส มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีตอ่ เพื่อน ครู และผู้อื่น มาตรฐานที่ 8 เด็กมีสุนทรียภาพและลักษณะนิสัยด้ านศิลปะ ดนตรี และการเคลื่อนไหว ตัวบ่ งชี ้ 8.1 มีความสนใจและร่วมกิจกรรมด้ านศิลปะ


220 8.2 มีความสนใจและร่วมกิจกรรมด้ านดนตรี 8.3 มีความสนใจและร่วมกิจกรรมการเคลื่อนไหว มาตรฐานด้ านการจัดการเรียนรู้ ประกอบด้ วย มาตรฐานที่ 9 ครูมีคุณธรรม จริยธรรม มีวุฒ/ิ ความรู้ ความสามารถตรงกับงานที่ รับผิดชอบ หมั่นพัฒนาตนเอง เข้ ากับชุมชนได้ ดี และมีครูพอเพียง ตัวบ่ งชี ้ 9.1 มีคณ ุ ธรรมจริยธรรม และปฏิบตั ิตนตามจรรยาบรรณของวิชาชีพ 9.2 มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีกบั เด็ก ผู้ปกครอง และชุมชน 9.3 มีความมุง่ มัน่ และอุทิศตนในการสอนและพัฒนาเด็ก 9.4 มีการแสวงหาความรู้และเทคนิควิธีการใหม่ ๆ รับฟั งความคิดเห็น ใจกว้ าง และ ยอมรับการเปลี่ยนแปลง 9.5 จบการศึกษาระดับปริญญาตรี ทางการศึกษาหรื อเทียบเท่าขึ ้นไป 9.6 สอนตรงตามวิชาเอก – โท หรื อ ตรงตามความถนัด 9.7 มีจานวนพอเพียง (หมายรวมทังครู ้ และบุคลากรสนับสนุน) มาตรฐานที่ 10 ครูมีความสามารถในการจัดประสบการณ์ การเรียนรู้ได้ อย่ างมี ประสิทธิภาพ และเน้ นเด็กเป็ นสาคัญ ตัวบ่ งชี ้ 10.1 มีความรู้ความเข้ าใจเป้าหมายการจัดการศึกษาและหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย 10.2 มีการวิเคราะห์เด็กเป็ นรายบุคคล 10.3 มีความสามารถในการจัดประสบการณ์ที่เน้ นเด็กเป็ นสาคัญ 10.4 มีความสามารถในการใช้ สื่อที่เหมาะสมและสอดคล้ องกับการเรี ยนรู้ของเด็ก 10.5 มีการประเมินพัฒนาการของเด็กตามสภาพจริงโดยคานึงถึงพัฒนาการตามวัย 10.6 มีการนาผลการประเมินพัฒนาการมาปรับเปลี่ยนการจัดประสบการณ์เพื่อพัฒนาเด็ก ให้ เต็มตามศักยภาพ 10.7 มีการวิจยั เพื่อพัฒนาการเรี ยนรู้ของเด็กและนาผลไปใช้ พฒ ั นาเด็ก มาตรฐานด้ านการบริหารและการจัดการ ประกอบด้ วย มาตรฐานที่ 11 ผู้บริหารมีคุณธรรม จริยธรรม มีภาวะผู้นา และมีความสามารถในการ บริหารจัดการศึกษา


221 ตัวบ่ งชี ้ 11.1 มีคณ ุ ธรรม จริยธรรม และปฏิบตั ิตนตามจรรยาบรรณของวิชาชีพ 11.2 มีความคิดริเริ่ม มีวิสยั ทัศน์ และเป็ นผู้นาทางวิชาการ 11.3 มีความสามารถในการบริหารงานวิชาการและการจัดการ 11.4 มีการบริหารที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ผู้เกี่ยวข้ องพึงพอใจ มาตรฐานที่ 12 สถานศึกษามีการจัดองค์ กร โครงสร้ าง ระบบการบริหารงานและพัฒนา องค์ กรอย่ างเป็ นระบบครบวงจร ตัวบ่ งชี ้ 12.1 มีการจัดองค์กร โครงสร้ าง และระบบการบริหารงานที่มีความคล่องตัวสูงและ ปรับเปลี่ยนได้ เหมาะสมตามสถานการณ์ 12.2 มีการจัดการข้ อมูลสารสนเทศอย่างเป็ นระบบ ครอบคลุมและทันต่อการใช้ งาน 12.3 มีระบบการประกันคุณภาพภายในที่ดาเนินงานอย่างต่อเนื่อง 12.4 มีการพัฒนาบุคลากรอย่างเป็ นระบบและต่อเนื่อง 12.5 ผู้รับบริการและผู้เกี่ยวข้ องพึงพอใจผลการบริหารงานและการพัฒนาเด็ก มาตรฐานที่ 13 สถานศึกษามีการบริหารและจัดการศึกษาโดยใช้ สถานศึกษาเป็ นฐาน ตัวบ่ งชี ้ 13.1 มีการกระจายอานาจการบริหาร และการจัดการศึกษา 13.2 มีการบริหารเชิงกลยุทธ์ และใช้ หลักการมีสว่ นร่วม 13.3 มีคณะกรรมการสถานศึกษาร่วมพัฒนาสถานศึกษา 13.4 มีการบริหารที่มงุ่ ผลสัมฤทธิ์ของงาน 13.5 มีการตรวจสอบและถ่วงดุล มาตรฐานที่ 14 สถานศึกษามีการจัดหลักสูตร และประสบการณ์ การเรียนรู้ท่ เี น้ นเด็กเป็ น สาคัญ ตัวบ่ งชี ้ 14.1 มีหลักสูตรที่เหมาะสมกับเด็กและท้ องถิ่น 14.2 มีการส่งเสริมให้ ครูจดั ทาแผนการจัดประสบการณ์การเรี ยนรู้ ที่ตอบสนองความสนใจ และเหมาะสมกับวัยของเด็ก 14.3 มีการส่งเสริมและพัฒนานวัตกรรมการจัดประสบการณ์การเรี ยนรู้ และสื่ออุปกรณ์ การเรี ยนที่เอื ้อต่อการเรี ยนรู้ 14.4 มีการจัดกิจกรรมการเรี ยนรู้โดยบูรณาการผ่านการเล่นและเด็กได้ เรี ยนรู้จาก


222 ประสบการณ์ตรง 14.5 มีการบันทึก การรายงานผล และการส่งต่อข้ อมูลของเด็กอย่างเป็ นระบบ 14.6 มีการนิเทศและนาผลไปปรับปรุงการจัดกิจกรรม/ประสบการณ์อย่างสม่าเสมอ 14.7 มีการนาแหล่งเรี ยนรู้และภูมิปัญญาท้ องถิ่นมาใช้ ในการจัดประสบการณ์ มาตรฐานที่ 15 สถานศึกษามีการจัดกิจกรรมส่ งเสริมคุณภาพเด็กอย่ างหลากหลาย ตัวบ่ งชี ้ 15.1 มีการจัดและพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือเด็กอย่างทัว่ ถึง 15.2 มีการจัดกิจกรรม กระตุ้นพัฒนาการทางสมอง ตอบสนองความสนใจ และส่งเสริ ม ความคิดสร้ างสรรค์ของเด็ก 15.3 มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมค่านิยมที่ดีงาม 15.4 มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมด้ านศิลปะ ดนตรี และการเคลื่อนไหว 15.5 มีการจัดกิจกรรมสืบสานและสร้ างสรรค์ วัฒนธรรม ประเพณี และภูมิปัญญาไทย 15.6 มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมความเป็ นประชาธิปไตย มาตรฐานที่ 16 สถานศึกษามีการจัดสภาพแวดล้ อมและการบริการที่ส่งเสริมให้ เด็ก พัฒนาตามธรรมชาติเต็มศักยภาพ ตัวบ่ งชี ้ 16.1 มีสภาพแวดล้ อมที่เอื ้อต่อการเรี ยนรู้ มีอาคารสถานที่เหมาะสม 16.2 มีการส่งเสริมสุขภาพอนามัยและความปลอดภัยของเด็ก 16.3 มีการให้ บริการเทคโนโลยีสารสนเทศที่เอื ้อต่อการเรี ยนรู้ด้วยตนเองและการเรี ยนรู้แบบมี ส่วนร่วม 16.4 มีห้องเรี ยน ห้ องสมุด สนามเด็กเล่น พื ้นที่สีเขียว และสิ่งอานวยความสะดวกพอเพียง และอยูใ่ นสภาพใช้ การได้ ดี 16.5 มีการจัดและใช้ แหล่งเรี ยนรู้ทงในและนอกสถานศึ ั้ กษา มาตรฐานด้ านการพัฒนาชุมชนแห่ งการเรียนรู้ ประกอบด้ วย มาตรฐานที่ 17 สถานศึกษามีการสนับสนุนและใช้ แหล่ งเรี ยนรู้ และภูมิปัญญาในท้ องถิ่น ตัวบ่ งชี ้ 17.1 มีการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้ อมูลกับแหล่งเรี ยนรู้และภูมิปัญญาในท้ องถิ่น 17.2 สนับสนุนให้ แหล่งเรี ยนรู้ ภูมิปัญญา และชุมชน เข้ ามามีสว่ นร่วมในการจัดทา หลักสูตรระดับสถานศึกษา


223 มาตรฐานที่ 18 สถานศึกษามีการร่ วมมือกันระหว่ างบ้ าน องค์ กรทางศาสนา สถาบันทาง วิชาการ และองค์ กรภาครัฐและเอกชน เพื่อพัฒนาวิถีการเรียนรู้ในชุมชน ตัวบ่ งชี ้ 18.1 เป็ นแหล่งวิทยาการในการแสวงหาความรู้และบริการชุมชน 18.2 มีการแลกเปลี่ยนเรี ยนรู้ร่วมกัน

ประโยชน์ ของนวัตกรรมทางการศึกษาปฐมวัย นวัตกรรมเกิดจากหลายเหตุทงโดยทางตรงและทางอ้ ั้ อม สิ่งที่ผลักดันให้ เกิดการพัฒนา นวัตกรรมทางการศึกษาประกอบด้ วย 1. ความก้ าวหน้ าของเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีการเรี ยนรู้ผา่ นเครื อข่าย 2. ความต้ องการของเด็กรายบุคคล ทาให้ เกิดความต้ องการนวัตกรรมที่แตกต่างกัน 3. การเพิ่มความเป็ นวิชาชีพทางการศึกษา 4. การพัฒนาระบบประกันคุณภาพการศึกษา 5. การแข่งขันเชิงธุรกิจ 6. การวิจยั และพัฒนาวิชาการ 7. แรงผลักดันภายในตนของครูเอง 8. การเปลี่ยนแปลงสภาวะทางสังคม นวัตกรรมทางการศึกษาเกิดขึ ้นอย่างรวดเร็ ว หลังจากมีพระราชบัญญัติการศึกษา พ.ศ. 2542 ด้ วยเหตุให้ รัฐต้ องการให้ เกิดการพัฒนาการศึกษาที่มีประสิทธิภาพ ก้ าวหน้ าทันเทคโนโลยี และการเปลี่ยนแปลงของสังคม การเกิดนวัตกรรมเป็ นสิ่งที่คาดว่าจะเพิ่มศักยภาพของเด็กให้ มาก ขึ ้นได้ และเป็ นไปตามเป้าหมายของการศึกษา ซึ่งเชื่อว่านวัตกรรมจะทาให้ เกิดผลอย่างน้ อย 4 ประการ ดังนี ้ 1. นวัตกรรมช่วยให้ บรรลุสิ่งที่คาดหวังไว้ สงู ขึ ้น เช่น การพัฒนานวัตกรรมการเรี ยน การ สอน จะช่วยให้ เด็กเกิดการเรี ยนรู้ที่ดีและเป็ นไปตามจุดประสงค์การศึกษายิ่งขึ ้น เพราะนวัตกรรม จะได้ รับการพัฒนาจากศักยภาพของเด็ก และถูกนาไปใช้ ในกระบวนการเรี ยนการสอนไม่ว่าจะเป็ น รูปแบบการเรี ยนการสอนหรื อสื่อการสอน 2. นวัตกรรมทางการศึกษาช่ วยในการปรั บปรุ งเปลี่ ยนแปลงภาวะการศึกษาให้ ทันกับ เหตุการณ์ หรื อสอดคล้ องกับเหตุการณ์ทางสังคมหรื อภาวการณ์ในปั จจุบนั 3. สามารถแข่งขันกับโลกได้ ทังนี ้ ้เพราะการศึกษาไม่ได้ จากัดเฉพาะในชุมชนในประเทศ แต่ขยายสานต่อเป็ นเครื อข่ายทัว่ โลก ทังเชิ ้ งคุณภาพและธุรกิจ


224 4. ช่วยสนับสนุนปั จเจกบุคคลในสังคมที่มีความสนใจในการผลิตและพัฒนาในฐานะ นวัตกร นวัตกรรมการศึกษาประกอบด้ วย การพัฒนาการเรี ยนการสอน หลักสูตร สื่อการสอนและ การติดตามผล โดยเน้ นผู้เรี ยนเป็ นสาคัญ เป้าหมายของนวัตกรรมการเรี ยนการสอน จะมุ่งไปที่การ สร้ างความต้ องการการเรี ยนรู้ และเพิ่มประสิทธิภาพการเรี ยนรู้ ด้ วยการสร้ างความสนใจในการ เรี ยนและเพิ่มอัตราการเรี ยนรู้ จุดมุ่งหมายของการพัฒนานวัตกรรมการศึกษามีอย่างน้ อย 7 ประการดังนี ้ 1. สร้ างความสนใจในการเรี ยน 2. ลดความคับข้ องใจในการเรี ยนการสอน 3. เพิ่มศักยภาพของเด็กตามพัฒนาการ 4. เพิ่มอัตราการเรี ยนรู้ 5. พัฒนาความคิด 6. เพิ่มสมรรถนะ 7. สร้ างการเรี ยนรู้ตลอดชีวิต ความสาเร็ จของการสร้ างนวัตกรรมไม่ได้ อยู่ที่เกิดนวัตกรรม แต่นวัตกรรมจะประสบ ผลสาเร็ จได้ นนจะต้ ั้ องสามารถทาให้ นวัตกรรมนันมี ้ ชีวิตอยู่ได้ มีผ้ นู าไปใช้ จริ ง เรามักพบว่า นวัตกรรมทางการศึกษาส่ วนใหญ่เกิดแล้ วตาย เนื่องจากมีการจัดการที่ผิดพลาดหรื อผิดวิธี (elington et.al. 1995 : 21) ลักษณะของนวัตกรรมจึงมีความสาคัญหากมีคณ ุ สมบัติที่สอดคล้ อง กับสภาพสังคม และการนาไปใช้ แล้ วนวัตกรรมนันจะมี ้ ความยัง่ ยืนมากและแพร่หลาย เช่น รูปแบบ การเรี ยนการสอนแบบโฟรเบล เป็ นต้ น (http://www.childthai.org/cic3/d089.htm)

บทบาทของผู้ท่ เี กี่ยวข้ องทางการศึกษาปฐมวัยกับการใช้ นวัตกรรมทางการศึกษา ในการจัดประสบการณ์ การนานวัตกรรมทางการศึกษาปฐมวัยมาใช้ ในสถานศึกษาให้ บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ กาหนดไว้ อย่างมีประสิทธิภาพนัน้ ผู้บริหาร ครู บุคลากรที่เกี่ยวข้ องในสถานศึกษาและผู้ปกครอง มีความสาคัญยิ่ง ทุกฝ่ ายจาเป็ นที่จะต้ องรู้ บทบาทหน้ าที่ของตนเพื่อจะพัฒนาการศึกษาอย่าง สอดคล้ องและเป็ นไปในทิศทางเดียวกัน


225 บทบาทของผู้บริหารกับการใช้ นวัตกรรมทางการศึกษาปฐมวัยในการจัดประสบการณ์ ผู้บริ หารจะต้ องพิจารณาและศึกษานวัตกรรมต่าง ๆ ทางการศึกษาปฐมวัย แล้ วตัดสินใจ เลือกใช้ ให้ เหมาะสมกับเด็กปฐมวัยและบริ บทของสถานศึกษา โดยยึดหลักการจัดประสบการณ์ที่ เหมาะสมกับวัย พัฒนาการและความแตกต่างของเด็กแต่ละคน เมื่อตัดสินใจนานวัตกรรมเข้ ามา ใช้ ในการจัดการศึกษาปฐมวัยแล้ ว ผู้บริ หารจะต้ องวางเป้าหมายและวัตถุประสงค์ในการพัฒนา ให้ ชัดเจน ระดมทรัพยากรต่าง ๆ อาทิเช่น พ่อแม่ และบุคคลในชุมชนเข้ ามาร่ วมกันกาหนด ทิศทางในการพัฒนาศักยภาพให้ กับเด็กอย่างสอดคล้ องกัน ในขณะเดียวกันก็ จะต้ องพัฒนา คุณภาพของครู พ่อแม่ และบุคคลที่เกี่ยวข้ องกับการนานวัตกรรมมาใช้ ควบคูก่ นั ไปด้ วย ผู้บริ หาร จาเป็ นต้ องสร้ างเจตคติให้ ทุกคนเกิดความสานึกรับผิดชอบ มีความรู้ สึกเป็ นเจ้ าของในงานที่ทา นอกจากนี ้ผู้บริ หารยังมีบทบาทในการสนับสนุนสร้ างแรงจูงใจในการทางาน เช่น สนับสนุนด้ าน งบประมาณ การอบรม การศึกษาดูงาน ฯลฯ บทบาทสาคัญอีกประการหนึ่งที่ผ้ บู ริ หารจะต้ องคานึงถึง คือ การติดตามกากับดูแลการ ใช้ นวัตกรรม การติดตามนี ้จะช่วยให้ ผ้ บู ริหารได้ เห็นข้ อดี ข้ อจากัดของการใช้ นวัต กรรมนัน้ ๆ เพื่อ จะได้ นาผลมาเปรี ยบเทียบและแก้ ไข ปรับปรุงการใช้ ให้ เหมาะสมและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ ้น บทบาทของครูและบุคลากรอื่น ๆ กับการใช้ นวัตกรรมทางการศึกษาปฐมวัย ครู และบุคลากรอื่น ๆ ในสถานศึกษาปฐมวัย เช่น ครู ปฐมวัย พี่เลี ้ยง นักการภารโรง เป็ นต้ น เป็ นบุคคลที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาของเด็กทังทางตรงและทางอ้ ้ อม การนานวัตกรรม ต่าง ๆ มาใช้ ภายในสถานศึกษา จะเกิ ดประสิทธิ ภาพหรื อไม่เพียงใดขึน้ อยู่กับบุคคลดังกล่าว ข้ างต้ น ดังนัน้ ครู ปฐมวัยและบุคลากรอื่น ๆ ในสถานศึกษาปฐมวัยจะมีบทบาทหน้ าที่เกี่ยวกับ การใช้ นวัตกรรมในการจัดประสบการณ์ ดังนี ้ 1. ครู ปฐมวัย ในฐานะผู้ปฏิบัติจะต้ องศึกษา ทาความเข้ าใจในหลักการ วิธีการใช้ นวัตกรรมนัน้ ๆ เพื่อจะได้ จดั ประสบการณ์ให้ กบั เด็กปฐมวัยได้ อย่างถูกต้ อง 1.1 จัดสภาพแวดล้ อมกิจกรรมต่าง ๆ ให้ ครบถ้ วนตามหลักการที่กาหนดไว้ 1.2 ดาเนินการใช้ นวัตกรรมอย่างสม่าเสมอต่อเนื่องกัน 1.3 ประเมินผลการใช้ นวัตกรรมเพื่อจะได้ แก้ ไขปรับปรุ งให้ มีประสิทธิภาพยิ่งขึ ้น 1.4 ประสานงานกับบุคคลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้ อง เช่น ผู้ปกครอง เพื่อนครู ฯลฯ เพื่อให้ เกิดความเข้ าใจและได้ รับการสนับสนุนการใช้ อย่างถูกต้ อง 1.5 ติดตามความเคลื่อนไหวของนวัตกรรมทางการศึกษาปฐมวัยอยู่ตลอดเวลา


226 1.6 เมื่อมีความคิดเห็นหรื อข้ อเสนอแนะด้ านนวัตกรรมทางการศึกษาปฐมวัยที่ พิจารณาแล้ วว่า จะมีประโยชน์ตอ่ การพัฒนาคุณภาพของสถานศึกษา ก็ควรนาเสนอต่อผู้บริ หาร ไม่ใช่เพียงปฏิบตั ิตามคาสัง่ อย่างเดียว 2. บุคลากรอื่น ๆ ในฐานะผู้สนับสนุนการใช้ นวัตกรรมทางการศึกษาปฐมวัย มีบทบาท หน้ าที่ดงั นี ้ 2.1 ร่วมมือในการจัดประสบการณ์ตา่ ง ๆ ของสถานศึกษาตามโอกาส 2.2 ติดตามความเคลื่อนไหวของนวัตกรรมทางการศึกษาปฐมวัยที่สถานศึกษา นามาใช้ 2.3 ช่วยหาทางแก้ ไข ประเมินผล และปรับปรุงการใช้ บทบาทของผู้ปกครองกับการใช้ นวัตกรรมทางการศึกษาปฐมวัย ผู้ปกครองมีบทบาทหน้ าที่โดยตรงที่จะต้ องให้ การสนับสนุนการใช้ นวัตกรรมในการจัด ประสบการณ์ในสถานศึกษาดังนี ้ 1. ให้ ความร่ วมมือกับสถานศึกษาในการเข้ ารับฟั งคาชี ้แจง แนะนา การอบรมเลี ้ยงดู บุตรหลานของตนด้ วยวิธีการใช้ นวัตกรรมต่าง ๆ ที่สถานศึก ษานามา รวมทังการเข้ ้ าร่ วมกิจกรรม ของสถานศึกษาตามที่สถานศึกษาขอมา 2. นาความรู้ ที่ได้ จากสถานศึกษาหรื อบุคลากรต่าง ๆ ทางการศึกษาปฐมวัยไปใช้ พฒ ั นา บุตรหลาน 3. ติดตามความเคลื่อนไหวของนวัตกรรมทางการศึกษาปฐมวัย หาความรู้ เพิ่มเติม เกี่ยวกับเด็กและการอบรมเลี ้ยงดูเด็ก รวมทังพั ้ ฒนาตนเองและครอบครัวของตนด้ วย 4. ให้ ความช่วยเหลือและสนับสนุนการดาเนินงานของสถานศึกษา เท่าที่จะสามารถให้ การสนับสนุนได้ ผู้ปกครองควรจะแสดงความคิดเห็นถ้ าหากว่านวัตกรรมที่สถานศึกษานันน ้ ามาใช้ แล้ วไม่ เหมาะสมกับวัย พัฒนาของเด็กของตน เพื่อที่ทางสถานศึกษาจะได้ พงึ ตระหนักและปรับปรุงการ จัดประสบการณ์ให้ ถกู ต้ อง (วรนาท รักสกุลไทย, 2537, หน้ า 197 – 201)


227

สรุ ป การพัฒนานวัตกรรมเป็ นทางหนึ่งของการสร้ างความงอกงามของศาสตร์ ทางการศึกษา การวิจัยและพัฒนาจะทาให้ นวัตกรรมการศึกษาพัฒนาอย่างมีคุณภาพ ซึ่งความยัง่ ยืนของ นวัตกรรม และความคล่องตัวของการเผยแพร่ จะอยู่ที่ลกั ษณะและรูปแบบของนวัตกรรมนัน้ ๆ ว่า มีความง่ายต่อการนาไปใช้ และให้ ประโยชน์โดยตรงแต่ผ้ รู ับระดับใด นวัตกรรมทางการศึกษาปฐมวัย เป็ นแนวคิด วิธี การหรื อการกระทาใหม่ ๆ ตลอดจนวัสดุ อุปกรณ์ ต่า ง ๆ ที่ นามาใช้ เพื่ อการปรั บปรุ ง ประสิท ธิ ภาพการจัดการศึกษาปฐมวัยให้ ดีขึน้ ซึ่ง นวัตกรรมทางการศึกษาปฐมวัยมีความสาคัญต่อเด็กปฐมวัยในฐานะเป็ นสื่อส่งเสริ มและขยาย ประสบการณ์ การเรี ยนรู้ ให้ แก่เด็ก เพราะเด็กวัยนีต้ ้ องเรี ยนรู้ ด้ วยการกระทาจากประสบการณ์ ตรงที่เป็ นรูปธรรม ผู้บริ หาร ครูและบุคลากรอื่น ๆ ในสถานศึกษาปฐมวัย รวมทังผู ้ ้ ปกครอง ควร ศึกษาและค้ นหานวัตกรรมทางการศึกษาปฐมวัยใหม่ ๆ มาปรับใช้ ในการพัฒนาเด็กปฐมวัยต่อไป

คาถามทบทวน 1. จงอธิบายความหมายและความสาคัญของนวัตกรรมทางการศึกษาปฐมวัย 2. นวัตกรรมทางการศึกษาปฐมวัยแบ่งเป็ นกี่ประเภท จงอธิบายตามความเข้ าใจ 3. การสอนแบบมอนเตสซอรี่ มีหลักการและแนวการจัดการเรี ยนการสอนอย่างไร 4. การสอนภาษาแบบธรรมชาติมีหลักการและแนวการจัดการเรี ยนการสอนอย่างไร 5. การสอนแบบโครงการมีหลักการและแนวการจัดการเรี ยนการสอนอย่างไร 6. การจัดประสบการณ์ตามแนวคิดเรกจิโอ เอมิเลีย มีหลักการและแนวการจัดการเรี ยน การสอนอย่างไร 7. นักศึกษาคิดว่าวิทยาศาสตร์ เกี่ยวข้ องกับเด็กปฐมวัยอย่างไร การสอนวิทยาศาสตร์ สาหรับเด็กปฐมวัยจะมีการจัดกิจกรรมการเรี ยนการสอนอย่างไร 8. นักศึกษาคิดว่าการสอนคอมพิวเตอร์ สาหรับปฐมวัย มีข้อดีและข้ อจากัดอย่างไร จง อธิบายตามความเข้ าใจ 9. ให้ นัก ศึก ษาเปรี ย บเที ยบความเหมื อ นและความแตกต่า งของหลักสูตรการศึกษา ปฐมวัยต่อไปนี ้ หลักสูตรไฮ / สโคป หลักสูตรใยแมงมุม การศึกษาวอลดอร์ ฟ 10. ในฐานะที่ท่านเป็ นครูปฐมวัย ท่านจะนานวัตกรรมทางการศึกษาปฐมวัยใดบ้ างไปใช้ ในการจัดประสบการณ์ให้ กบั เด็กของท่าน พร้ อมทังอธิ ้ บายเหตุผล


228

เอกสารอ้ างอิง คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, สานักงาน. (2543). สิ่งแวดล้ อมและการเรียนรู้สร้ างสมอง เด็กให้ ฉลาดได้ อย่ างไร (ฉบับพ่ อแม่ ) กรุงเทพ ฯ : องค์การค้ าคุรุสภา. จีระพันธุ์ พูลพัฒน์. (2542). “แนวคิดและแนวทางปฏิบตั ิในการสอนแบบมอนเตสซอรี ” การ เรียนรู้ของเด็กปฐมวัย. กรุงเทพ ฯ : สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. ชัยยงค์ พรหมวงศ์. (2521). นวกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษากับการสอนระดับ อนุบาล. กรุงเทพ ฯ : ไทยวัฒนาพานิช. ........... (2536). “เทคโนโลยีการศึกษากับหลักสูตรและการเรี ยนการสอน” ประมวลสาระชุด วิชาการพัฒนาหลักสูตรและวิทยวิธีทางการสอน หน่ วยที่ 12. นนทบุรี : โรงพิมพ์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. ชัยยงค์ พรหมวงศ์ และคนอื่น ๆ. (2529). เอกสารการสอนชุดวิชาเทคโนโลยีและการสื่อสาร ทางการศึกษา หน่ วยที่ 11 – 15. กรุงเทพ ฯ : น่ากังการพิมพ์. ทักษิณ ชินวัตร และคนอื่น ๆ. (2548). เด็กไทยใครว่ าโง่ : เปลี่ยนการเรียนรู้ของเด็กไทยให้ ทนั โลก. กรุงเทพ ฯ : สถาบันวิทยาการการเรี ยนรู้. ทิศนา แขมมณี และคณะ. (2545). หลักการและรู ปแบบการพัฒนาเด็กปฐมวัยตามวิถีชีวิต ไทย. กรุงเทพ ฯ : สานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. นันทกา ปรี ดาศักดิ.์ (2548). หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย. นครราชสีมา : คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา. บุษบง ตันติวงศ์. (2542).“การศึกษาวอลดอร์ ฟ” การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย. กรุงเทพ ฯ : สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. ผกามาลย์ เกษมศรี . (2542).“โปรแกรมวิทยาศาสตร์ สาหรับเด็กอนุบาล” การเรียนรู้ของเด็ก ปฐมวัย. กรุงเทพ ฯ : สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. ภรณี คุรุรัตนะ. (2542).“การสอนภาษาโดยองค์รวม” การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย. กรุงเทพ ฯ : สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. เยาวพา เดชะคุปต์ และคณะ. (2550). การจัดการเรียนรู้สาหรับเด็กปฐมวัย. กรุงเทพ ฯ : มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสติ .


229 วรนาท รักสกุลไทย. (2537).“นวกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษาปฐมวัย” ประมวลสาระชุด วิชาหลักการและแนวคิดทางการศึกษาปฐมวัย หน่ วยที่ 11. นนทบุรี : โรงพิมพ์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. วิชาการและมาตรฐานการศึกษา, สานักงาน. (2550). แนวทางการนามาตรฐานการศึกษา ปฐมวัยสู่การปฏิบัต.ิ กรุงเทพ ฯ : โรงพิมพ์ชมุ นุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย วิทยากร เชียงกูล. (2548). เรียนลึกรู้ไว : ใช้ สมองอย่ างมีประสิทธิภาพ. กรุงเทพ ฯ : สถาบัน วิทยาการการเรี ยนรู้. ศันสนีย์ ฉัตรคุปต์ และอุษา ชูชาติ. (2545). ฝึ กสมองให้ คิดอย่ างมีวิจารณญาณ. พิมพ์ครัง้ ที่ 2 กรุงเทพ ฯ : วัฒนาพานิช. สวัสดิ์ ปุษปาคม. (2517). นวกรรมและเทคโนโลยีในการศึกษา. กรุงเทพ ฯ : สุนทร กิจการพิมพ์. สิริมา ภิญโญอนันตพงษ์ . (2550). การศึกษาปฐมวัย. กรุงเทพ ฯ : มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสติ . สาลี ทองธิว. (2526). กลวิธีการเผยแพร่ นวัตกรรมทางการศึกษา สาหรับผู้บริหารและครู ก้ าวหน้ า. กรุงเทพ ฯ : โรงพิมพ์อกั ษรสัมพันธ์. ........... (2536). “นวัตกรรมทางการเรี ยนการสอน” ประมวลสาระชุดวิชาการพัฒนาหลักสูตร และวิทยวิธีทางการสอน หน่ วยที่ 9. นนทบุรี : มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. สุจินดา ขจรรุ่งศิลป์ และธิดา พิทกั ษ์ สนั ติสขุ . (2542).“การจัดประสบการณ์ตามแนวคิดเรกจิโอ เอมิเลีย” การเรี ยนรู้ ของเด็กปฐมวัย. กรุงเทพ ฯ : สานักงานคณะกรรมการการศึกษา แห่งชาติ. อารี สัณหฉวี. (2544). นวัตกรรมปฐมวัยศึกษา. กรุงเทพ ฯ : แว่นแก้ ว. อัญชลี ไสยวรรณ. (2548) . การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนทักษะการคิดแสวงหา ความรู้ สาหรั บเด็กปฐมวัย ปริ ญญานิพนธ์ การศึกษาดุษฎีบณ ั ฑิต (การศึกษาปฐมวัย). กรุงเทพมหานคร : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรี นครินทรวิโรฒ. การเรี ยนรู้ที่ถือสมองเป็ นพื ้นฐาน (Brain-based Learning) สาหรับเด็กปฐมวัย [Online] Available : www.aihd.mahidol.ac.th/www-thai [2008, มีนาคม 27]. มาตรฐานการศึกษาปฐมวัย [Online] Available : www.obec. go.th/ law_ rule/ basic_ education_standard.pdf [2006, กันยายน 2]. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 [Online] Available : http://www.bps2.moe.go.th. [2008, สิงหาคม 21].


230 หลักสูตรใยแมงมุม (Web Curriculum) [Online] Available : www.kidsquare.com/grownup/ care/edu2web [2006, กันยายน 2].


231

บรรณานุกรม กมล สุดประเสริฐ และ สุนทร สุนนั ท์ชยั . (2540). รายงานการปฏิรูปการศึกษาของประเทศ สหรัฐอเมริกา. กรุงเทพ ฯ : สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. กมล สุดประเสริฐ. (2542). ประสบการณ์ การศึกษาปฐมวัยต่ างประเทศ. กรุงเทพ ฯ : สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. คณะกรรมการการวิจยั แห่งชาติ, สานักงาน. (2534). การศึกษาปฐมวัยเปรียบเทียบ. กรุงเทพ ฯ : โรงพิมพ์ครุ ุสภาลาดพร้ าว. คณะกรรมการการศึกษาขันพื ้ ้นฐาน, สานักงาน. (2547). หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546. กรุงเทพ ฯ : โรงพิมพ์ครุ ุสภาลาดพร้ าว. คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, สานักงาน. (2526). การจัดบริการศูนย์ การศึกษาเด็กก่ อน วัยเรียน. กรุงเทพ ฯ : สานักนายกรัฐมนตรี . ........... (2528). การจัดสถานการณ์ อบรมในศูนย์ พัฒนาเด็กปฐมวัย. กรุงเทพ ฯ : ศรี เดชา. ........... (2540). สานักนายกรัฐมนตรี . แผนพัฒนาการศึกษาแห่ งชาติ ฉบับที่ 8 พ.ศ.2540 – 2544. กรุงเทพ ฯ : โรงพิมพ์ครุ ุสภา. ........... (2542). การพัฒนาเด็กปฐมวัย. กรุงเทพ ฯ : สานักนายกรัฐมนตรี . ........... (2542). ประสบการณ์ การศึกษาปฐมวัยของนิวซีแลนด์ . กรุงเทพ ฯ : สานักงาน คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. ........... (2543). สิ่งแวดล้ อมและการเรียนรู้สร้ างสมองเด็กให้ ฉลาดได้ อย่ างไร(ฉบับพ่ อแม่ ) กรุงเทพ ฯ : องค์การค้ าคุรุสภา. .......... (2545 ก). แผนพัฒนาการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ ระยะที่ 9 (พ.ศ.2545 – 2549). กรุงเทพ ฯ : โรงพิมพ์ครุ ุสภา. .......... (2545 ข). แผนการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมแห่ งชาติ (พ.ศ.2545 – 2549). กรุงเทพ ฯ : โรงพิมพ์ครุ ุสภา. ........... (2545 ค). พระราชบัญญัตกิ ารศึกษาแห่ งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ และที่แก้ ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๔๕. กรุงเทพ ฯ : สานักนายกรัฐมนตรี . ........... (2545 ง). แผนการศึกษาแห่ งชาติ (พ.ศ.๒๕๔๕ – ๒๕๔๙) ฉบับสรุ ป. กรุงเทพ ฯ : พริกหวานกราฟฟิ ค.


232 ........... (2546). สภาการศึกษา : จากอดีตถึงปั จจุบนั สู่มิตใิ หม่ ในการพัฒนานโยบาย การศึกษาของชาติในอนาคต. กรุงเทพ ฯ : สานักงานคณะกรรมการการศึกษา แห่งชาติ. คณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. สานักงาน. (2540). แผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่ งชาติ ฉบับที่ 8 พ.ศ.2540 – 2544. กรุงเทพ ฯ : โรงพิมพ์ครุ ุสภา. ........... (2545). แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่ งชาติ ฉบับที่ 9 พ.ศ.2545 – 2549. กรุงเทพ ฯ : โรงพิมพ์ครุ ุสภา. จีระพันธุ์ พูลพัฒน์. (2542). “แนวคิดและแนวทางปฏิบตั ิในการสอนแบบมอนเตสซอรี ” การ เรียนรู้ของเด็กปฐมวัย. กรุงเทพ ฯ : สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. ชัยยงค์ พรหมวงศ์. (2521). นวกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษากับการสอนระดับ อนุบาล. กรุงเทพ ฯ : ไทยวัฒนาพานิช. ........... (2536). “เทคโนโลยีการศึกษากับหลักสูตรและการเรี ยนการสอน” ประมวลสาระชุด วิชาการพัฒนาหลักสูตรและวิทยวิธีทางการสอน หน่ วยที่ 12. นนทบุรี : โรงพิมพ์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. ชัยยงค์ พรหมวงศ์ และคนอื่น ๆ. (2529). เอกสารการสอนชุดวิชาเทคโนโลยีและการสื่อสาร ทางการศึกษา หน่ วยที่ 11 – 15. กรุงเทพ ฯ : น่ากังการพิมพ์. โชคชัย คาแหง. (2548). ประมวลสาระสาคัญจากยุทธศาสตร์ การศึกษาชาติส่ ูการจัด การศึกษาท้ องถิ่น. กรุงเทพ ฯ : สานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทักษิณ ชินวัตร และคนอื่น ๆ. (2548). เด็กไทยใครว่ าโง่ : เปลี่ยนการเรียนรู้ของเด็กไทยให้ ทนั โลก. กรุงเทพ ฯ : สถาบันวิทยาการการเรี ยนรู้. ทัศนา แก้ วพลอย. (2544). กระบวนการจัดประสบการณ์ พัฒนาการเรียนรู้เด็กปฐมวัย. ลพบุรี : สถาบันราชภัฏเทพสตรี . ทิพย์สดุ า สุเมธเสนีย์. (2542). ประสบการณ์ การศึกษาปฐมวัยต่ างประเทศ. กรุงเทพ ฯ : สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. ........... (2543). การพัฒนาเด็กปฐมวัยตามแนวพระราชบัญญัตกิ ารศึกษาแห่ งชาติ พ.ศ.2542. กรุงเทพ ฯ : สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. ทิศนา แขมมณี, สุมน อมรวิวฒ ั น์และบุษบง ตันติวงศ์. (2545). หลักการและรูปแบบการ พัฒนาเด็กปฐมวัยตามวิถีชีวิตไทย. กรุงเทพ ฯ : สานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย.


233 นภเนตร ธรรมบวร. (2542). ประสบการณ์ การศึกษาปฐมวัยต่ างประเทศ. กรุงเทพ ฯ : สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. ........... (2539). “หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยในประเทศอิสราเอล” วารสารครุ ศาสตร์ . ก.ค. – ก.ย., หน้ า 38 – 50. ........... (2551). หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พิมพ์ครัง้ ที่ 3 ฉบับปรับปรุง. กรุงเทพ ฯ : สานักพิมพ์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. นันทกา ปรี ดาศักดิ.์ (2548). หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย. นครราชสีมา : คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา. นิตยา ประพฤติกิจ. (2539). การพัฒนาเด็กปฐมวัย. กรุงเทพ ฯ : โอเดียนสโตร์ บุปผา เรื องรอง. (2525). การปฐมวัยศึกษา. นครศรี ธรรมราช : วิทยาลัยครูนครศรี ธรรมราช. บุษบง ตันติวงศ์. (2542).“การศึกษาวอลดอร์ ฟ” การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย. กรุงเทพ ฯ : สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. ประภาพรรณ สุวรรณศุข. (2547). “พัฒนาการการปฐมวัยศึกษาในต่างประเทศ” เอกสารการ สอนชุดวิชาพฤติกรรมการสอนปฐมวัยศึกษา หน่ วยที่ 1 – 8 พิมพ์ครัง้ ที่ 14. นนทบุรี : มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. ประมุข กอรปสิริพฒ ั น์. (2534). “การอนุบาลศึกษาในประเทศญี่ปน” ุ่ เอกสารประกอบการ สัมมนาความคิดสร้ างสรรค์ กับเด็กปฐมวัย. กรุงเทพ ฯ : โรงพิมพ์สหพัฒนะการพิมพ์. ผกามาลย์ เกษมศรี . (2542).“โปรแกรมวิทยาศาสตร์ สาหรับเด็กอนุบาล” การเรียนรู้ของเด็ก ปฐมวัย. กรุงเทพ ฯ : สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. พัชรี เจตน์เจริญรักษ์ . (2545). เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 1072307 การเตรียมความ พร้ อมเพื่อการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย. ลพบุรี : สถาบันราชภัฏเทพสตรี . พัชรี สวนแก้ ว. (2545). เอกสารประกอบการสอน จิตวิทยาพัฒนาการและการดูแลเด็ก ปฐมวัย พิมพ์ครัง้ ที่ 2. กรุงเทพ ฯ : ดวงกมล. พิณสุดา สิริธรังศรี . (2540). รายงานการปฏิรูปการศึกษาของประเทศนิวซีแลนด์ กรุงเทพ ฯ : สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. ภรณี คุรุรัตนะ. (2542).“การสอนภาษาโดยองค์รวม” การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย. กรุงเทพ ฯ : สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. เยาวพา เดชะคุปต์. (2542) การศึกษาปฐมวัย. กรุงเทพ ฯ : แม็ค. ........... (2542) การจัดการศึกษาปฐมวัย. กรุงเทพ ฯ : แม็ค.


234 ........... (2550). การจัดการเรียนรู้สาหรับเด็กปฐมวัย. กรุงเทพ ฯ : มหาวิทยาลัยราชภัฏ สวนดุสติ . เยาวพา เดชะคุปต์, สุทธิพรรณ ธีรพงศ์ และพรรัก อินทามระ. (2550). การบริหารจัดการ การศึกษาปฐมวัย. กรุงเทพ ฯ : มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสติ . รัศมี ตันเจริญ. (2544). เอกสารประกอบการสอนรายวิชาการศึกษาปฐมวัย. กรุงเทพ ฯ : สถาบันราชภัฏบ้ านสมเด็จเจ้ าพระยา. เลขาธิการสภาการศึกษา, สานักงาน. (2550). นโยบายและยุทธศาสตร์ การพัฒนาเด็ก ปฐมวัย (0 – 5 ปี ) ระยะยาว พ.ศ. 2550 – 2559. กรุงเทพ ฯ : วี.ที.ซี.คอมมิวนิเคชัน่ . วรนาท รักสกุลไทย. (2537).“นวกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษาปฐมวัย” ประมวลสาระชุด วิชาหลักการและแนวคิดทางการศึกษาปฐมวัย หน่ วยที่ 11. นนทบุรี : โรงพิมพ์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. วราภรณ์ รักวิจยั . (2540). การอบรมเลีย้ งดูเด็กปฐมวัย. กรุงเทพ ฯ : แสงศิลป์การพิมพ์. วัชรี ย์ ร่วมคิด. (2547). การพัฒนาหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยในประเทศไทย. เลย : คณะ ครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย. วัฒนา ปุญญฤทธิ์. (2542). การจัดสภาพแวดล้ อมในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย. กรุงเทพ ฯ : สถาบันราชภัฏพระนคร. ........... (2551). เอกสารประกอบการสัมมนา เรื่อง แผนพัฒนาฉบับที่ 10 กับการจัด การศึกษาปฐมวัย. 25 มีนาคม 2551. วิชาการ, กรม กระทรวงศึกษาธิการ. (2546). หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546. กรุงเทพ ฯ : โรงพิมพ์ครุ ุสภาลาดพร้ าว. วิชาการและมาตรฐานการศึกษา, สานักงาน. (2548). แนวดาเนินงานศูนย์ ปฐมวัยต้ นแบบ. กรุงเทพ ฯ : ม.ป.ท. ........... (2550). แนวทางการนามาตรฐานการศึกษาปฐมวัยสู่การปฏิบัต.ิ กรุงเทพ ฯ : โรงพิมพ์ชมุ นุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. วิทยากร เชียงกูล. (2548). เรียนลึกรู้ไว : ใช้ สมองอย่ างมีประสิทธิภาพ. กรุงเทพ ฯ : สถาบัน วิทยาการการเรี ยนรู้. ศันสนีย์ ฉัตรคุปต์ และอุษา ชูชาติ. (2545). ฝึ กสมองให้ คิดอย่ างมีวิจารณญาณ. พิมพ์ครัง้ ที่ 2 กรุงเทพ ฯ : วัฒนาพานิช.


235 ศึกษาธิการ, กระทรวง. (2548). นโยบายและยุทธศาสตร์ การพัฒนาเด็กปฐมวัย (0 – 5 ปี ) ระยะยาว พ.ศ. 2549 – 2558. กรุงเทพ ฯ : โรงพิมพ์ครุ ุสภาลาดพร้ าว. สงบ ลักษณะ. (2542). “กรอบนโยบายและแผนการศึกษาขันพื ้ ้นฐาน 12 ปี ” ใน แนวคิดและ นโยบายกระทรวงศึกษาธิการ. กรุงเทพ ฯ : โรงพิมพ์ครุ ุสภาลาดพร้ าว. สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กปฐมวัย. (2542). การศึกษาปฐมวัย สร้ างชาติ สร้ างชาติ. กรุงเทพ ฯ : สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ สวัสดิ์ ปุษปาคม. (2517). นวกรรมและเทคโนโลยีในการศึกษา. กรุงเทพ ฯ : สุนทรกิจ การพิมพ์. สาธารณสุขแห่งประเทศไทย, มูลนิธิ. (2550). รูปแบบการจัดการศึกษาปฐมวัยของประเทศ ไทย. กรุงเทพ ฯ : กระทรวงสาธารณสุข สิริมา ภิญโญอนันตพงษ์ . (2538). แนวคิดสู่แนวปฏิบัติ : แนวการจัดประสบการณ์ ปฐมวัย ศึกษา (หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย). กรุงเทพ ฯ : ดวงกมล. ........... (2550). การศึกษาปฐมวัย. กรุงเทพ ฯ : มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสติ . สุกญ ั ญา กาญจนกิจ. (2537). “การปฐมวัยศึกษาของต่างประเทศในปั จจุบนั ” ประมวลสาระชุด วิชาหลักการและแนวคิดทางการปฐมวัยศึกษา. หน่ วยที่ 1 – 4. นนทบุรี : มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. สุโขทัยธรรมาธิราช, มหาวิทยาลัย. (2537). ประมวลสาระชุดวิชาสัมมนาการปฐมวัยศึกษา หน่ วยที่ 1 – 8. นนทบุรี : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. ........... (2547). พฤติกรรมการสอนปฐมวัยศึกษา หน่ วยที่ 1 – 8. พิมพ์ครัง้ ที่ 14. นนทบุรี : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. สุจินดา ขจรรุ่งศิลป์ และธิดา พิทกั ษ์ สนั ติสขุ . (2542).“การจัดประสบการณ์ตามแนวคิดเรกจิโอ เอมิเลีย” การเรี ยนรู้ ของเด็กปฐมวัย. กรุงเทพ ฯ : สานักงานคณะกรรมการการศึกษา แห่งชาติ. สุธิภา อาวพิทกั ษ์ . (2542). การดูแลเด็กปฐมวัย. อุตรดิตถ์ : สถาบันราชภัฏอุตรดิตถ์. สาลี ทองธิว. (2526). กลวิธีการเผยแพร่ นวัตกรรมทางการศึกษา สาหรับผู้บริหารและครู ก้ าวหน้ า. กรุงเทพ ฯ : โรงพิมพ์อกั ษรสัมพันธ์. ........... (2536). “นวัตกรรมทางการเรี ยนการสอน” ประมวลสาระชุดวิชาการพัฒนาหลักสูตร และวิทยวิธีทางการสอน หน่ วยที่ 9. นนทบุรี : มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. หรรษา นิลวิเชียร. (2535) ปฐมวัยศึกษา : หลักสูตรและแนวปฏิบัต.ิ กรุงเทพ ฯ : โอเดียนสโตร์ .


236 อมรชัย ตันติเมธ. (2537). ประมวลสาระชุดวิชาการบริหารสถานศึกษาปฐมวัย หน่ วยที่ 1 – 8. นนทบุรี : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. อารี สัณหฉวี. (2544). นวัตกรรมปฐมวัยศึกษา. กรุงเทพ ฯ : แว่นแก้ ว. อัญชลี ไสยวรรณ. (2548) . การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนทักษะการคิดแสวงหา ความรู้ สาหรั บเด็กปฐมวัย ปริ ญญานิพนธ์ การศึกษาดุษฎีบณ ั ฑิต (การศึกษาปฐมวัย). กรุงเทพมหานคร : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรี นครินทรวิโรฒ. Carter V. Good. (1945). Dictionary of education. New York and London: McGraw – Hill Book. Essa, Eva. (1996). Introduction to Early Childhood Education. 2nd ed. Albany : Delmar Publishers. Hymes, J.L. (1969). Early childhood education: An introduction to the program. Washington D.C.: The National Association for Education of Young Children. การเรี ยนรู้ที่ถือสมองเป็ นพื ้นฐาน (Brain-based Learning) สาหรับเด็กปฐมวัย [Online] Available : www.aihd.mahidol.ac.th/www-thai [2008, มีนาคม 27]. ดิวอี ้ [Online] Available : http://www.infed.org/thinkers/et-dewey.htm. [2006, สิงหาคม 28]. เปสตาลอสซี่ [Online] Available : http://www.centrorefeducational.com. [2006, สิงหาคม 28]. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 (พ.ศ.2550 – 2554) [Online] Available : http://www.bps2.moe.go.th. [2008, กุมภาพันธ์ 2]. เพียเจต์ [Online] Available : http://www.piaget.org/ [2006, สิงหาคม 28]. มติคณะรัฐมนตรี ในการพัฒนาเด็กปฐมวัย (0-5 ปี ) [Online] Available : http:// www.moe.go.th/ websm/news_online04.htm [2006, กันยายน 2]. มาตรฐานการศึกษาปฐมวัย [Online] Available : www.obec. go.th/ law_ rule/ basic_ education_standard.pdf [2006, กันยายน 2]. ยุทธศาสตร์ ในการพัฒนาเด็กปฐมวัยของไทย [Online] Available http://www.aihd.mahidol.ac. th/ [2008, มีนาคม 28]. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 [Online] Available : http://www.bps2.moe.go.th. [2008, สิงหาคม 21].


237 รุสโซ [Online] Available : http://fr.wikipedia.org/wiki/Jean-Jacques_Rousseau. [2006, สิงหาคม 28]. หลักสูตรใยแมงมุม (Web Curriculum) [Online] Available : www.kidsquare.com/grownup/ care/edu2web [2006, กันยายน 2].


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.