คอมพิวเตอร์ และระบบ คอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ ความหมายของคอมพิวเตอร์ไว้วา่ “เครื่ องอิเล็กทรอนิกส์แบบ อัตโนมัติทาำ หน้าที่เหมือนสมองกลใช้สาำ หรับ แก้ปัญหาต่างๆ ที่ ง่ายและซับซ้อนโดยวิธีทางคณิ ตศาสตร์ ”
“...คอมพิวเตอร์ จงึ เป็ นเครื่ องจักรอิเล็กทรอนิกส์ที่ถกู สร้ างขึ ้นเพื่อ ใช้ ทำางานแทนมนุษย์ในด้ านการคิดคำานวณและสามารถจำาข้ อมูลทัง้ ตัวเลข และตัวอักษรได้ เพื่อการเรี ยกใช้ งานในครัง้ ต่อไปนอกจากนี ้ยัง สามารถจัดการกับสัญลักษณ์ได้ ด้วยความเร็วสูง โดยปฏิบตั ติ ามขันตอน ้ ของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ยงั มีความสามารถในด้ านต่างๆอีกมากอาทิ เช่น การเปรี ยบเทียบทางตรรกศาสตร์ การรับส่งข้ อมูล การจัดเก็บ ข้ อมูลในตัวเครื่ องและสามารถประมวลผลจากข้ อมูลต่างๆ ได้ ...”
ประวัตคิ วามเป็ นมาของคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์ เกิดจากการประดิษฐ์ คดิ ค้ นของมนุษย์เพื่อใช้ ในการคำานวณ มี วิวฒ ั นาการมาจากเครื่ องมือในการคำานวณของชาวจีน ที่เรี ยกว่า”ลูกคิด”(Abacus) จนกระทัง่ นักคณิตศาสตร์ ชาวอังกฤษ ชื่อ ชาร์ ล แบบเบจ (Charles babbage) ได้ ประดิษฐ์ เครื่ องวิเคราะห์ (Analytical Engine) ซึง่ สามารถคำานวณค่า ตรีโกณมิติ ฟั งก์ชนั่ ต่างๆทางคณิตศาสตร์ หลังการของ“แบบเบจ” นี ้ได้ นำามาพัฒนาและ สร้ างจนเป็ นเครื่ องคอมพิวเตอร์ ที่ใช้ ในปั จจุบนั
(พ.ศ.2489 – 2501) สามารถจัยุดคแบ่ทีง1่ คอมพิ วเตอร์ ออกเป็ น 5 ยุค ดัเป็ งนีน้ การประดิษฐ์
เครื่องคอมพิวเตอร์ทม ี่ ใ ิ ช่เครื่องคำานวณ แต่มก ี ารใช้ เครื่องคอมพิวเตอร์ในการสำารวจสำามะโนประชากรประจำา ปี ลัก ษณะเฉพาะของเครื่อ งคอมพิว เตอร์ย ค ุ ที่ 1 - ใช้อุปกรณ์ หลอดสุญญากาศ (Vacuum Tube) เป็นส่วน ประกอบหลัก ทำาให้ตัวเครื่องมีขนาด ใหญ่ ใช้พลังงาน ไฟฟ้ามาก และเกิดความร้อนสูง - ทำางานด้วยภาษาเครื่อง (Machine Language) เท่านัน ้ - เริ่มมีการพัฒนาภาษาสัญลักษณ์ (Assembly / Symbolic Language) ขึ้นใช้งาน
ยุคที่ 2 (พ.ศ.2502 – 2506) ยุคนี ้ยังได้ มีการคิดภาษาเพื่อใช้ กบั เครื่ อง คอมพิวเตอร์ เช่นภาษาฟอร์ แทน (FORTRAN) จึงทำาให้ งา่ ยต่อการเขียนโปรแกรมสำาหรับ ใช้ กบั เครื่ อง ลักษณะเฉพาะของเครื่ องคอมพิวเตอร์ ยุคที่ 2 -ใช้ อปุ กรณ์ ทรานซิสเตอร์ (Transistor) - เก็บข้ อมูลได้ โดยใช้ สว่ นความจำาวงแหวนแม่เหล็ก (Magnetic Core) - มีความเร็วในการประมวลผลในหนึง่ คำาสัง่ ประมาณหนึง่ ในพันของวินาที (Millisecond : mS) - สัง่ งานได้ สะดวกมากขึ ้น เนื่องจากทำางานด้ วยภาษาสัญลักษณ์ (Assembly Language) - เริ่ มพัฒนาภาษาระดับสูง (High Level Language) ขึ ้นใช้ งานในยุคนี ้
ยุคที่ 3 ( พ.ศ.2507 – 2512 ) มีการประดิษฐ์ คิดค้ นเกี่ยวกับวงจรรวม (Integrated-Circuit) ทำาให้ สว่ นประกอบและวงจรต่างๆ สามารถวางลงได้ บนแผ่น ชิป (chip) เล็กๆเพียงแผ่นเดียว จึงมีการนำาเอาแผ่นชิปมาใช้ แทนทรานซิสเตอร์ ทำาให้ ประหยัดเนื ้อที่ได้ มาก มีการใช้ งานระบบจัดการฐานข้ อมูล มีการพัฒนาเครื่ องคอมพิวเตอร์ ให้ สามารถทำางานร่วมกันได้ หลายๆ งานในเวลาเดียวกันและมีระบบที่ผ้ ใู ช้ สามารถโต้ ตอบกับ เครื่ องได้ หลายๆ คน พร้ อมๆ กัน ลักษณะเฉพาะของเครื่องคอมพิวเตอร์ ยุคที่ 3 - ใช้ อปุ กรณ์ วงจรรวม (Integrated Circuit : IC) - ความเร็วในการประมวลผลในหนึ่งคำาสัง่ ประมาณหนึ่งในล้ านของวินาที (Microsecond : MS) - ทำางานได้ ด้วยภาษาระดับสูงทัว่ ไป
ยุคที่ 4 (พ.ศ.2513 – 2532) มีการประดิษฐ์ ไมโครโพรเซสเซอร์ (Microprocessor) ขึ ้น ทำาให้ เครื่ องมีขนาดเล็ก ราคาถูกลงและมีความสามารถในการ ทำางานสูงและรวดเร็วมากจึงทำาให้ มีคอมพิวเตอร์ สว่ นบุคคล (Personal Computer) ถือกำาเนิดขึ ้นมาในยุคนี ้ ลักษณะเฉพาะของเครื่องคอมพิวเตอร์ ยุคที่ 4 - ใช้ อปุ กรณ์ วงจรรวมสเกลขนาดใหญ่ (Large Scale Integration : LSI) และ วงจร รวมสเกลขนาดใหญ่มาก (Very Large Scale Integration : VLSI) เป็ นอุปกรณ์ หลัก - มีความเร็ วในการประมวลผลแต่ละคำาสัง่ ประมาณหนึง่ ในพันล้ านวินาที (Nanosecond : nS) และพัฒนาต่อมาจนมีความเร็ วในการประมวลผลแต่ละคำาสัง่ ประมาณหนึ่งในล้ านล้ าน ของวินาที (Picosecond : pS)
ยุคที่ 5 (พ.ศ.2533-ปั จจุบนั ) ในยุคนี ้ ได้ มงุ่ เน้ นการพัฒนาความ สามารถในการทำางานของระบบคอมพิวเตอร์ และความสะดวกสบายในการใช้ งาน เครื่ องคอมพิวเตอร์ อย่างชัดเจน มีการพัฒนาสร้ างเครื่ องคอมพิวเตอร์ แบบพกพา ขนาดเล็ก (Portable Computer) ขึ ้นใช้ งานในยุคนี ้
ประเภทของคอมพิวเตอร์ จำาแนกออกได้ 4 ชนิด 1.ซุปเปอร์ คอมพิวเตอร์ (Super Computer) หมายถึง เครื่ องประมวลผลข้ อมูลที่มีความสามารถในการประมวลผลสูงที่สดุ โดยทัว่ ไปสร้ างขึ ้นเป็ นการเฉพาะเพื่องานด้ านวิทยาศาสตร์ ที่ต้องการ การประมวลผลซับ ซ้ อนและต้ องการความเร็วสูง เช่นงานวิจยั ขีปนาวุธงานโครงการอวกาศสหรัฐ (NASA) งานสื่อสารดาวเทียม หรื อ งานพยากรณ์อากาศ เป็ นต้ น
2.เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (Mainframe Computer) หมายถึง เครื่ องประมวลผลข้ อมูลที่มีสว่ นความจำาและความเร็ วน้ อยลงสามารถใช้ ข้ อมูลและคำาสัง่ ของเครื่ องรุ่นอื่นในตระกูล (Family) เดียวกันได้ โดยไม่ต้องดัดแปลงแก้ ไขใดๆ นอกจากนันยั ้ งสามารถทำางานในระบบเครื อข่าย (Network) ได้ เป็ นอย่างดี โดย สามารถเชื่อมต่อไปยังอุปกรณ์ที่เรี ยกว่า เครื่ องปลายทาง (Terminal)จำานวนมากได้ สามารถทำางานได้ พร้ อมกันหลายงาน (Multitasking) และใช้ งานได้ พร้ อมกันหลายคน (MultiUser)ปกติเครื่ องเมนเฟรมที่ใช้ กนั แพร่หลายก็คือคอมพิวเตอร์ ของธนาคารที่เชื่อม ต่อไปยังตู้ATMและสาขาของธนาคารทัว่ ประเทศนัน่ เอง
3.มินิคอมพิวเตอร์ (MiniComputer) เป็ นคอมพิวเตอร์ ที่ธุรกิจและหน่วยงานที่มีขนาดเล็กใช้ ซึง่ ไม่จำาเป็ นต้ องใช้ คอมพิวเตอร์ ขนาดเมนเฟรมซึง่ มีราคาแพงผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ จงึ พัฒนาคอมพิวเตอร์ ให้ มี ขนาดเล็กและมีราคาถูกลง เรี ยกว่า มินิคอมพิวเตอร์ โดยมีลกั ษณะพิเศษในการทำางานร่วม กับอุปกรณ์ประกอบรอบข้ างที่มีความเร็วสูงได้ มีการใช้ แผ่นจานแม่เหล็กความจุสงู ชนิดแข็ง (Harddisk) ในการเก็บรักษาข้ อมูล สามารถอ่าน เขียนข้ อมูลได้ อย่างรวดเร็ ว หน่วยงาน และบริ ษัทที่ใช้ คอมพิวเตอร์ ขนาดนี ้ ได้ แก่ กรม กอง มหาวิทยาลัย ห้ างสรรพสินค้ า โรงแรม โรงพยาบาล และโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ
4.ไมโครคอมพิวเตอร์ (MicroComputer) หมายถึง เครื่ องประมวลผลข้ อมูลขนาดเล็กมีสว่ นของหน่วยความจำาและความเร็ว ในการประมวลผลน้ อยที่สดุ สามารถใช้ งานได้ ด้วยคนเดียว จึงมักถูกเรี ยกว่า คอมพิวเตอร์ ส่วนบุคคล ( Personal Computer : PC) ปั จจุบนั ไมโครคอมพิวเตอร์ มี ประสิทธิภาพสูงกว่าในสมัยก่อนมากอาจเท่ากับหรื อมากกว่าเครื่ องเมนเฟรมในยุคก่อน นอกจากนันยั ้ งราคาถูกลงมาก ดังนันจึ ้ งเป็ นที่นิยมใช้ มากทังตามหน่ ้ วยงานและบริ ษัทห้ าง ร้ านตลอดจนตามโรงเรี ยน สถานศึกษาและบ้ านเรื อน บริ ษัทที่ผลิตไมโครคอมพิวเตอร์ ออก จำาหน่ายจนประสบความสำาเร็จเป็ นบริ ษัทแรก คือ บริ ษัทแอปเปิ ลคอมพิวเตอร์
ระกอบของระบบคอมพิว เตอร์ มี 4 องค์ป ระกอ
ฮาร์ ดแวร์ (Hardware) ซอฟต์แวร์ (Software) บุคลากร (People) ข้ อมูล (Data)
ฮาร์ด แวร์ (Hardware)
หมายถึง อุปกรณ์ต่างๆ ทีป ่ ระกอบขึ้นเป็นเครื่อง คอมพิวเตอร์ มีลักษณะเป็นโครงร่างสามารถมองเห็นด้วยตา และสัมผัสได้ (รูปธรรม) เช่น จอภาพ คียบ ์ อร์ด เครื่องพิมพ์ เมาส์ เป็นต้น ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นส่วนต่างๆ ตามลักษณะ การทำางานได้ 4 หน่วย คือ - หน่วยรับคำาสัง่ หรื อข้ อมูล (Input Unit:IU) - หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit:CPU) - หน่วยความจำา (Memory Unit) - หน่วยแสดงผล (Output Unit:OU)
ซอฟต์แ วร์ (Software)
ส่วนที่มนุษย์สมั ผัสไม่ได้ โดยตรง (นามธรรม) เป็ นโปรแกรมหรื อชุดคำาสัง่ ที่ถกู เขียนขึ ้นเพื่อ สัง่ ให้ เครื่ องคอมพิวเตอร์ ทำางาน ซอฟต์แวร์ จงึ เป็ นเหมือนตัวเชื่อมระหว่างผู้ใช้ เครื่ อง คอมพิวเตอร์ และเครื่ องคอมพิวเตอร์ สามารถแบ่งได้ ประเภทของซอฟต์แวร์ ได้ 2 ประเภท คือ - ซอฟต์แวร์ ระบบ (System Software) - ซอฟต์แวร์ ประยุกต์ (Application Software)
ซอฟต์ แวร์ ระบบ (System Software) ซอฟต์แวร์ ที่บริ ษัทผู้ผลิตสร้ างขึ ้นมาเพื่อใช้ จดั การกับระบบ หน้ าที่การทำางานของซอฟต์แวร์ ระบบคือดำาเนินงานพื ้นฐานต่าง ๆ ของระบบคอมพิวเตอร์ เช่น รับข้ อมูลจากแผงแป้นอักขระ แล้ วแปลความหมายให้ คอมพิวเตอร์ เข้ าใจ นำาข้ อมูลไปแสดงผลบนจอภาพหรื อนำาออกไปยัง เครื่ องพิมพ์ จัดการข้ อมูลในระบบแฟ้มข้ อมูลบนหน่วยความจำารอง ซอฟต์ แวร์ ประยุกต์ (Application Software) เป็ นซอฟต์แวร์ ที่ใช้ กบั งานด้ านต่าง ๆ ตามความต้ องการของผู้ใช้ ที่สามารถนำามาใช้ ประโยชน์ได้ โดยตรง
บุค ลากร
บุคลากร คือ บุคลากรทางคอมพิวเตอร์ ทั้งที่มีความรู้ทางด้าน คอมพิวเตอร์ขน ั้ สูง ไปจนกระทั่งถึงผู้ที่ใช้อย่างเดียว ตัวอย่าง บุคลากรทางคอมพิวเตอร์ มีดังนี้ ผู้บริหารระดับสูง เป็นผู้มีอำานาจในการตัดสินใจเกี่ยวกับ นโยบายการนำาคอมพิวเตอร์มาใช้ในองค์กร นักวิเคราะห์ระบบ (System Analyst) เป็นผู้วิเคราะห์และออกแบบ ระบบงานต่างๆ เพื่อจะนำามาออกแบบเป็นโปรแกรมต่อไป นักบริหารฐานข้อมูล (Database Administrator) เป็นผู้ จัดสรร ออกแบบระบบฐานข้อมูล และดูแลระบบฐานข้อมูล ให้ฐาน ข้อมูลมีประสิทธิภาพ นักเขียนโปรแกรม (Programmer) เป็นผู้เขียนโปรแกรม ตามระบบที่ได้ออกแบบไว้แล้วจากนักวิเคราะห์ระบบ แต่องค์กร เล็กๆ บางที่ นักเขียนโปรแกรมก็วิเคราะห์และออกแบบเอง นักปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ (Computer Operator) เป็นผู้ ดูแลและสั่งการให้คอมพิวเตอร์ทำางานเป็นไปตามที่นักเขียน โปรแกรมต้องการ ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ (User) เป็นผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์ทั่วๆ ไป ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ อาจเป็นผู้ที่มีความรู้ทางด้านคอมพิวเตอร์เป็น
ข้ อมูล (Data)
เป็ นองค์ประกอบที่สำาคัญอย่างหนึง่ ในระบบคอมพิวเตอร์ เป็ นสิง่ ที่ต้องป้อน เข้ าไปในคอมพิวเตอร์ พร้ อมกับโปรแกรมที่นกั คอมพิวเตอร์ เขียนขึ ้นเพื่อผลิตผลลัพธ์ที่ ต้ องการออกมา ข้ อมูลที่สามารถนำามาใช้ กบั คอมพิวเตอร์ ได้ มี 5 ประเภท คือ -
ข้ อมูลตัวเลข (Numeric Data) ข้ อมูลตัวอักษร (Text Data) ข้ อมูลเสียง (Audio Data) ข้ อมูลภาพ (Images Data) ข้ อมูลภาพเคลือ่ นไหว (Video Data)
สมาชิก ๑.นางสาวขวัญฤดี ศรี ลาเลิศ ๕๕๔๑๑๑๐๑๒ ๒.นายวงศกร สนลอย ๕๕๔๑๑๑๐๒๒ ๓.นายฐาปนพงษ์ ทัพสุวรรณ ๕๕๔๑๑๑๐๓๙ ๔.นายเจริ ญสุข กันยาลอง ๕๕๔๑๑๑๐๔๐