ชองทรูปลูกปญญา
ทรูปลูกปญญา
โทรทัศนความรูด สู นุก ทางทรูวชิ นั่ ส 6 ทุกรายการสาระความรู สาระบันเทิง และการปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมตลอด 24 ชั่วโมง พบกับเรื่องราวสรางแรงบันดาลใจ • รายการสอนศาสตร รายการสอนเสริมแนวใหมครบ 8 วิชา ม.3 ม.6 ติวสดทุกวันโดยติวเตอรชื่อดัง • รายการ I AM แนะนําอาชีพนาสนใจโดยรุนพี่ในวงการ • รายการสารสังเคราะห นําขาวสารมาสังเคราะหอัพเดทกัน แบบไมตกเทรนด
หน ว ยงานเพื่ อ การศึ ก ษา ภายใต ก ลุ ม บริ ษั ท ทรู คอรปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) ที่บูรณาการเทคโนโลยีและความ นิตยสารปลูก plook เชี่ยวชาญดานคอนเทนต พัฒนาเปนสื่อไลฟสไตลเพื่อสงเสริม นิตยสารสงเสริมความรูคูคุณธรรมสําหรับเยาวชนฉบับแรก การศึกษาและคุณธรรม สามารถเชื่อมโยงทุกมิติการเรียนรูได ในประเทศไทย วางแผงทุกสัปดาหแรกของเดือน หยิบฟรีไดที่ อยางครบวงจร True Coffee TrueMove Shop สถานศึกษา แหลงการเรียนรู หองสมุด และโรงพยาบาล ทั่วประเทศ หรืออานออนไลนใน www.trueplookpanya.com www.trueplookpanya.com ทรูปลูกปญญาดอทคอม คลังความรูคูคุณธรรมที่ใหญ ทีส่ ดุ ในประเทศไทย อัดแนนดวยสาระความรูใ นรูปแบบมัลติมเี ดีย แอพพลิเคชั่น Trueplookpanya.com สนุกกับการเรียนรูดวยตัวเอง ทั้งยังเปดโอกาสใหทุกคนสราง ตอบโจทยไลฟสไตลการเรียนรูข องคนรุน ใหม ดวยฟรีแอพพลิเคชัน่ เนื้อหา แบงปนความรูรวมกัน โดยไมมีคาใชจาย “Trueplookpanya.com” ใหคุณพรอมสําหรับการเรียนรูในทุก ที่ทุกเวลา รองรับการใชงานบน iOS (iPhone, iPod, iPad) และ พบกับความเปนที่สุดทั้ง 4 ดานแหงการเรียนรู Android • คลังความรู รวบรวมเนื้อหาการเรียนทุกระดับชั้นครบ 8 กลุมสาระการเรียน : www.trueplookpanya.com • คลังขอสอบ ขอสอบออนไลนพรอมเฉลยที่ใหญที่สุดใน : TruePlookpanya ประเทศไทย พรอมการประเมินผลสอบทางสถิติ • แนะแนว ขอมูลการศึกษาตอ พรอมเจาะลึกประสบการณ การเรียนและการทํางาน • ศูนยขาวสอบตรง/Admissions ขาวการสอบทุกสนาม ทุกสถาบัน พรอมระบบแจงเตือนเรียลไทม
หนังสือชุด “ติวเขม O-NET Get 100” สรางสรรคโดย ทรูปลูกปญญา มีเดีย โครงการเพื่อสังคมของบริษัท ทรู คอรปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) เลขที่ 46/8 อาคารรุงโรจนธนกุล ตึก B ชั้น 9 ถนนรัชดาภิเษก แขวงหวยขวาง เขตหวยขวาง กรุงเทพฯ 10310 โทร : 02-647-4511, 02-647- 4555 โทรสาร : 02-647-4501 อีเมล : admin@trueplookpanya.com : www.trueplookpanya.com : TruePlookpanya
หนังสือชุด “ติวเขม O-NET Get 100” ใชสัญลักษณอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส แบบ แสดงที่มา-ไมใชเพื่อการคา-อนุญาตแบบเดียวกัน 3.0 ประเทศไทย
คำนำ การสอบ O-NET หรือชื่ออยางเปนทางการวา การจัดการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (Ordinary National Educational Test) โดย สทศ. ถือเปนอีกสนามสอบที่สําคัญสําหรับนองๆ ในระดับ ป.6, ม.3, ม.6 เพื่อเปนการประเมินผลการเรียนรูของนองๆ ในระดับชาติเลยทีเดียว และยังเปนตัวชี้วัดคุณภาพการเรียน การสอนของแตละโรงเรียนอีกดวย คะแนน O-NET ก็ยังเปนสวนสําคัญในการคิดคะแนนในระบบ Admissions เพื่อสมัครเขาคณะที่ใจปรารถนา ไดคะแนนดีก็มีชัยไปกวาครึ่ง และเพื่อเปนอีกตัวชวยหนึ่งในการเตรียมความพรอมใหนองๆ กอนการลงสนามสอบ O-NET ทาง ทรูปลูกปญญาจึงไดจัดทําหนังสือชุด “ติวเขม O-NET Get 100” สุดยอดคูมือเตรียมตัวสอบ O-NET สําหรับนองๆ ในระดับ ม.3 และ ม.6 ที่เจาะลึกเนื้อหาที่มักออกสอบบอยๆ โดยเหลารุนพี่เซียนสนามในวงการติว รวบรวมแนว ขอสอบตั้งแตอดีตจนถึงปจจุบัน พรอมเฉลยอยางละเอียด และคําอธิบายที่เขาใจงาย จําไดแมนยํา นํานองๆ Get 100 ทําคะแนนสูเปาหมายในอนาคต หนังสือชุด “ติวเขม O-NET Get 100” โดยทรูปลูกปญญา ประกอบดวยวิชาคณิตศาสตร ภาษาไทย สังคมศึกษา ภาษาอังกฤษ ที่รวบรวมเนื้อหาระดับมัธยมศึกษาตอนตน และมัธยมศึกษาตอนปลาย และวิชา ฟสิกส เคมี ชีววิทยา ของระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย รวมทั้งหมด 11 เลม โดยสามารถศึกษาเนื้อหาหรือทําขอสอบ ออนไลนเพิ่มเติมไดจาก www.trueplookpanya.com ที่มี link ใหในทายบท สามารถดาวนโหลดหนังสือไดฟรี ผานเว็บไซตทรูปลูกปญญา ที่ www.trueplookpanya.com/onet ทีมงานทรูปลูกปญญา
สารบัญ เรื่อง
หนา
คุยกอนอาน บทที่ 1 โครงสรางอะตอมและตารางธาตุ
7
บทที่ 2 สารชีวโมเลกุลเบื้องตน
26
บทที่ 3 ธาตุและสารประกอบ
53
บทที่ 4 เชื้อเพลิงซากดึกดําบรรพ (Fossil)
71
บทที่ 5 พอลิเมอร (Polymer)
87
บทที่ 6 ปฏิกิริยาเคมี (Chemical reaction)
103
คุยกอนอาน หนังสือติวเขม O-NET Get 100 วิชาเคมีเลมนี้ ไดรวบรวมเนื้อหาวิชาเคมีพื้นฐานระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ที่นองๆจะตองใช ในการสอบ O-Net ตอน ม.6 ซึ่งในหนังสือเลมนี้พี่ก็เขียนใหนองอานงายๆ ใชภาษาที่เปนกันเอง เสมือนนองนัง่ ฟงพีอ่ ธิบาย สําหรับวิชาเคมีพนื้ ฐานนัน้ ก็ ไมไดเปนเร�องยากอะไรมาก หากนองตัง้ ใจ พยายามทําความ เขาใจ ไมตองทองจําอะไรมาก และกอนสอบนองไดทําขอสอบเกามาบาง พี่คิดวานองๆก็น�าจะทําขอสอบไดแลว บทที่ 1 โครงสรางอะตอมและตารางธาตุ ก็จะกลาวถึงความเปนมาของการคนพบธาตุตางๆ การทําการทดลอง ของนักวิทยาศาสตร การรูจ กั องคประกอบพืน้ ฐานของธาตุ รูจ กั การใชตารางธาตุ และอานคาตางๆ เปน ซึง่ บทนีถ้ อื วา เปนพื้นฐานที่สําคัญสําหรับการเรียนรู ในบทตอๆ ไปเลยนะ ขอใหนองทําความเขาใจดีๆนะ บทที่ 2 สารชีวโมเลกุล ในบทนี้จะคอนขางคลายกับวิชาชีววิทยาที่นองเคยเรียนมา เชน คาร โบไฮเดรต ไขมัน โปรตีน กรดนิวคลิอิก แตจะเนนมาทางโครงสรางทางเคมีมากขึ้น ในบทนี้คอนขางจะเปนความรู ใหม ซึ่งนองสามารถ นําความรู ไปเช�อมโยงกับทางชีววิทยาได ซึ่งจะทําใหนองๆ เรียนไดอยางเขาใจมากขึ้น บทที่ 3 สมบัติธาตุและสารประกอบ บทนี้คอนขางจะเปนบรรยาย นองสามารถอานไปไดเร�อยๆ เหมือนทําความ รูจักกับสมบัติของธาตุตางๆ และที่สําคัญคือเร�องของแนวโนมตามตารางธาตุ ในสวนนี้จะสอนลักษณะที่เหมือนกัน หรือตางกันตามคาบและหมูข องตารางธาตุ ซึง่ จะทําใหนอ งสามารถคาดเดาลักษณะ สมบัตติ า งๆ ของธาตุได นอกจาก นี้ยังมีเรื่อง ธาตุกัมมันตรังสี ในส่วนนี้ออกข้อสอบทุกปี เช่น การคํานวณหาค่าครึ่งชีวิต การคํานวณอายุของ ซากดึกดําบรรพ ซึ่งตองใชความรูทางดานสารกัมมันตรังสี บทที่ 4 เชื้อเพลิงและซากดึกดําบรรพ ในบทนี้นองๆ จะไดเรียนรูเกี่ยวกับชนิดของเชื้อเพลิงถานหิน นํามัน ปโตรเลียม กระบวนการผลิต การปรับปรุงคุณภาพนาํ มัน และแกสธรรมชาติ ซึง่ ถือไดวา เปนประโยชนอยางยิง่ เพราะ เชื้อเพลิงเหลานี้นองๆ ก็ใชกันอยูในชีวิตประจําวันอยูแลว บทที่ 5 พอลิเมอร บทนี้จะกลาวถึงวัสดุพอลิเมอรชนิดตางๆ การผลิต ปฏิกิริยาที่เกี่ยวของกับการผลิต ซึ่งพบได ทั่วๆ ไป เชน ขวดพลาสติก ยางรถยนต โดยจะทําใหนองๆ เขาใจถึงรายละเอียดของพอลิเมอรแตละชนิดไดดียิ่งขึ้น
คุยกอนอาน บทที่ 6 ปฏิกริ ยิ าเคมี ในบทนีถ้ อื ไดวา เปนบททีส่ าํ คัญมากหนึง่ บทเลยก็วา ได นอกจากจะออกขอสอบในทุกๆ ปแลว เร�องของการเกิดปฏิกริ ยิ าเคมีนนั้ ยังเปนพืน้ ฐานทีส่ าํ คัญ ของการเกิดปฏิกริ ยิ าตางๆ ทีน่ อ งๆ อาจจะไดเรียนตอไป หรือ เรียนในวิชาเคมีเพิ่มเติม ในบทนี้นองๆ จะไดรูจัก หลักการของการเกิดปฏิกิริยาเคมี อัตราการเกิดปฏิกิริยา พลังงาน ที่เกี่ยวของ และกฎอัตรา ฟงดูแลวอาจจะคิดวายากมากแน�เลย แตนองๆ อยาเพิ่งทอแท จริงๆ แลวไมไดยากอยางที่ คิดนะ ทุกอยางเปนเหตุเปนผล และดวยเทคนิคตางๆ ที่พี่ๆ ให จะทําใหนองเขาใจไดมากขึ้นครับ พีเ่ ขาใจดีวา “วิชาเคมี” อาจเปนยาขมของนองหลายๆ คน แตนอ งลองเปดใจรับมัน เขาใจในหลักการและเหตุผล ทีพ่ อี่ ธิบายในหนังสือเลมนี้ ไมตอ งทองจํามาก และทําขอสอบเกา เพียงเทานีพ้ กี่ เ็ ช�อวานองทุกคนจะสามารถเรียนเคมี ไดอยางมีความสุข และประสบความสําเร็จในการสอบแน�นอน
ทีมงานทรูปลูกปญญา
บทที่ 1
โครงสรางอะตอมและตารางธาตุ
Introduction
สําหรับบทที่ 1 โครงสรางอะตอมและตารางธาตุ นับไดวาเปนบทพื้นฐานที่สุดของการเรียนเคมีเลยนะ เพราะฉะนั้นพี่ อยากใหนองๆทําความเขาใจบทนี้ใหดีๆ เพราะเปนพื้นฐานที่สําคัญของบทอื่นๆ ตอไปอีกดวย เนื้อหาในบทนี้ก็จะมีตาม Outlines ในหัวขอตอไปนี้ ซึ่งเปนเสมือนกับจุดประสงคการเรียนรูของบทนี้ ที่นองๆ ตอง เขาใจหลังจากไดอานจบแลว
Outlines
1. โครงสรางอะตอม 2. อนุภาคมูลฐาน 3. ไอโซโทป ไอโซโทน ไอโซบาร ไอโซอิเล็กทรอนิก 4. คลื่นแมเหล็กไฟฟา และ สเปกตรัมเบื้องตน 5. การจัดเรียงอิเล็กตรอน 6. ตารางธาตุและการใชประโยชนจากตารางธาตุ 7. พลังงานไอออไนเซชัน (Ionization Energy : IE) 8. อิเล็กโตรเนกาติวิตี (Electronegativity : EN)
1. โครงสรางอะตอม จริงๆแลวการศึกษาทางดานเคมี มีมาชานาน ตั้งแตยุคกรีกโบราณนับจนบัดนี้ ความรูทางดานเคมีก็ยังไมสิ้นสุด ดังนั้น ในหัวขอนี้ ก็จะเปรียมเสมือนกับการสอนประวัติศาสตรของเคมีนั่นเอง ในสมัยกรีกโบราณมีนักปรัชญาอยูหลายคน ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ ลูชิพปุส (Leucippus) และ เดโมคริตุส(Democritus) ได อธิบายไววา “สสารประกอบดวยอนุภาคขนาดเล็กที่มองไมเห็น” เขาจึงใหชื่อวา อะตอม ซึ่งแปลวาไมสามารถแบงแยกไดอีก แตในขณะนัน้ มีนกั ปรัชญาหลายคนไมเห็นดวย จึงยังไมเปนทีย่ อมรับ แตแนวความคิดของเดโมคริตสุ ก็เปนแรงจูงใจในการศึกษา เคมีตอมา เวลาลวงเลยมาหลายพันป ในป ค.ศ. 1808 (พ.ศ. 2351) ก็ไดมีนักเคมีชาวอังกฤษชื่อวา จอหน ดาลตัน (John Dalton) ก็ไดเสนอทฤษฏีเกี่ยวกับรูปแบบของอะตอมไวหลายประการ โดยทฤษฏีของดอลตันไดกลาวไววา 1. สารประกอบดวยอะตอม ซึ่งเปนหนวยที่เล็กที่สุด แบงแยกตอไปอีกไมได และไมสามารถสรางขึ้นหรือทําลายให สูญหายไป 2. ธาตุเดียวกันประกอบดวยอะตอมชนิดเดียวกัน มีมวลและคุณสมบัติเหมือนกัน แตจะแตกตางจากธาตุอื่น 3. สารประกอบเกิดจากการรวมตัวของอะตอมของธาตุตั้งแต 2 ชนิดขึ้นไปดวยสัดสวนที่คงที่ 4. อะตอมของธาตุแตละชนิดจะมีรูปรางและนํ้าหนักเฉพาะตัว 5. นํ้าหนักของธาตุที่รวมกัน ก็คือนํ้าหนักของอะตอมทั้งหลายของธาตุที่รวมกัน ซึ่งทําใหเขาคาดคะเนวารูปแบบของอะตอมนาจะเปน “ทรงกลมตัน” มาถึงตรงนี้ นองๆ หลายคนอาจจะนึกไมออกวาทรงกลม ตันมันเปนอยางไร พี่อยากใหนองนึกถึงลูกบอล นั่นแหละทรงกลมตัน
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
7
ซึง่ ในปจจุบนั ก็ไดมกี ารพิสจู นทฤษฏีของดาลตันมาแลว และก็พบวาบางขอก็ถกู ตอง บางขอก็ไมถกู ตอง และในเวลาตอ มาก็ไดมีนักวิทยาศาสตรอีกหลายคนสามารถหาเหตุผล การทดลองตางๆ มาลมลางโครงสรางอะตอมของดาลตันได
ทรงกลมตัน โครงสรางอะตอมของดาลตัน กอนจะไปถึงโครงสรางอะตอมแบบตอๆ ไป พีอ่ ยากทําความเขาใจกับนองๆ กอนวา ในการศึกษาเรือ่ งโครงสรางอะตอม ในสมัยนัน้ ทําไดยากมาก เพราะวาอะตอมเปนสิง่ ทีค่ นมองไมเห็น การทีน่ กั วิทยาศาสตรในสมัยกอนเสนอทฤษฎีขนึ้ มาวารูปแบบ ของอะตอมจะเปนอยางไรนัน้ มาจากการทําการทดลอง และก็คาดคะเนถึงโครงสรางของอะตอม ดังนัน้ หากมีนกั วิทยาศาสตร ทีท่ ดลองและไดขอ มูลใหมๆ ซึง่ ไมสอดคลองกับนักวิทยาศาสตรทเี่ สนอทฤษฎีไวกอ นหนา ก็จะนําเหตุผลของตนไปลมลาง และ ตั้งทฤษฎีของตนขึ้นมาใหม และจะเปนอยางนี้ไปเรื่อยๆ พี่จึงบอกวาการเรียนในหัวขอนี้ เหมือนกับเรานั่งอานประวัติศาสตร ของการศึกษาเคมีนั่นเอง ตอมามีนักฟสิกสชาวอังกฤษชื่อวา เจ.เจ. ทอม สัน (Sir Joseph John Thomson) ไดทาํ การทดลองเกีย่ ว กับหลอดรังสีแคโทด (นองอาจจะสงสัยวาหลอดรังสี แคโทดมันคืออะไรกันนะ เอาเปนวาเดีย๋ วพีจ่ ะมาอธิบาย ทีหลังแลวกันนะ) และไดผลการทดลองที่ไมสอดคลอง กับทฤษฎีอะตอมของดาลตัน จึงไดตงั้ โครงสรางอะตอม ขึ้นมาใหมวา “อะตอมเปนทรงกลม ที่เปนกลางทาง ไฟฟา มีประจุบวก และประจุลบกระจายตัวอยางสมํ่าเสมอและเทาๆ กัน บนผิวของทรงกลม” ลักษณะเปนดังรูป นองๆ เคยสงสัยไหมวา ปกติที่เราเคยเรียนๆ กันมา เกี่ยวกับการนําไฟฟานั้น ประจุไฟฟาจะเคลื่อนที่ได จะตองผานวัสดุที่นํา ไฟฟาได เชน โลหะ แตจะไมเคลือ่ นทีใ่ นสิง่ ของทีเ่ ปนฉนวน เชน อากาศ ยาง ผา เปนตน แตทาํ ไมเวลาฟาแลบ ฟาผา ประจุไฟฟา สามารถเคลื่อนที่ในอากาศได ความสงสัยนี้ไมไดเกิดขึ้นกับนองๆ เทานั้น แตเกิดขึ้นกับ เจ.เจ. ทอมสัน ดวย เพียงแตถาสงสัย แลวปลอยมันผานไปมันก็ไมเกิดประโยชนอะไร แต เจ.เจ. ทอมสัน สงสัยแลวอยากคนหาคําตอบ จึงไดทําการทดลองโดยนํา หลอดแกวทีเ่ ปนสุญญากาศ ติดขัว้ ไฟฟาไวทงั้ สองขางปลายหลอด และตอกับแหลงกําเนิดไฟฟาทีม่ คี วามตางศักยสงู ๆ 10,000 โวลตแลววางฉากเรืองแสงที่เคลือบดวยซิงสซัลไฟด (ZnS) ไวภายในหลอด จะเห็นเสนเรืองแสงสีเขียวพุงจากแคโทด (ขั้วลบ) ไปยังแอโนด(ขั้วบวก) (เปนการจําลองการเกิดฟาแลป ฟาผา) และเรียกหลอดนี้วา “หลอดรังสีแคโทด”
8
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
ที่มา : ch-atom.blogspot.com ปรากฏวาเมื่อปลอยกระแสไฟฟาความตางศักยสูงๆ ประจุไฟฟาจากขั้วไฟฟาแคโทดสามารถเคลื่อนที่ไดในหลอดรังสี แคโทด โดยสังเกตจากรอยบนแผนเรืองแสงทีเ่ ขาไดดดั แปลงใสไวในหลอดรังสี และไดมที อมสันไดทดลองตอ โดยการนําสนาม ไฟฟามาลอประจุนั้น ปรากฏวาประจุชนิดนี้เบนเขาหาขั้วบวก นั่นก็แสดงวาประจุชนิดนี้เปน ประจุลบ (เพราะเปนประจุตางชนิด กัน จะดึงดูดกัน แตถา เปนประจุชนิดเดียวกันจะผลักกัน) ซึง่ ในเวลาตอมาประจุลบทีว่ า นัน้ ก็ไดถกู ตัง้ ชือ่ วา อิเล็กตรอน (electron) นั่นเอง พีเ่ พิม่ เติมใหสาํ หรับนองๆ ทีเ่ รียนทางสายวิทยาศาสตรอยูแ ลว (สําหรับนองๆ สายศิลป ไมตอ งกังวลหากไมเขาใจเนือ้ หา ในยอหนานี้นะ) สําหรับการทดลองของทอมสัน นอกจากจะนําสนามไฟฟามาลอประจุลบนั้นแลว ยังไดใชสนามแมเหล็กมาลอ ดวยเชนกัน ปรากฏวาประจุลบที่เคลื่อนที่ในหลอดรังสีแคโทดเบนเขาหาขั้วใตของแมเหล็ก ทอมสันจึงไดทําการลอประจุลบนั้น ดวยสนามไฟฟาและสนามแมเหล็กพรอมกัน และปรับคาของสนามไฟฟา จนใหประจุลบนัน้ ไมเบนเขาหาขัว้ ใดๆ ทัง้ นัน้ และก็ได แกสมการทางฟสกิ ส จนไดคา คงทีม่ าคาหนึง่ ซึง่ คือคาประจุตอ มวล เทากับ 1.76x1011คูลอมบ/กิโลกรัม หรือเทากับ 1.76x108 คูลอมบ/กรัม (คูลอมบ คือ หนวยของประจุไฟฟา) ทอมสันไมสามารถบอกไดวาประจุลบที่พบนั้นมีคาประจุกี่คูลอมบ และไม สามารถบอกไดวาประจุลบนั้นมีมวลเทาใด เขาบอกไดเพียงวาถานําคาประจุมาหารดวยมวลของประจุ จะไดคาคงที่ประจุตอ มวล นองๆ มาถึงตรงนี้แลว ลองคิดถึงสถานการณในสมัยนั้น ทอมสัน ทดลองหลอดรังสีแคโทดมาเยอะแยะ ไดคาประจุตอ มวลมาแลว แตไมรูวาคาประจุเทาไร ไมรูวามวลเทาไร รูแตคาสองคานี้เวลาหารกัน เพราะฉะนั้นหากมีนักวิทยาศาสตรสัก คนหนึ่งที่หาคาใดคาหนึ่งได ก็จะไดอีกคาหนึ่งไปโดยปริยาย (เพราะคานั้นมันหารกันอยู ถาหาคาหนึ่งได อีกคาก็แกสมการหา ไดเชนกัน) โชคดีวา มีนกั วิทยาศาสตรคนหนึง่ เปนนักวิทยาศาสตรชาวอเมริกนั ชือ่ วา รอเบิรต มิลลิแกน (Robert Millikan) ทําการ ทดลองหาคาประจุอิเล็กตรอนโดยใชเวลาอยู 7 ป ก็สามารถพัฒนาอุปกรณและปรับปรุงวิธีของทอมสันไดสําเร็จ
อุปกรณที่มิลลิแกนพัฒนาขึ้น
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
9
มิลลิแกนไดเปลี่ยนจากการใชนํ้ามาใชนํ้ามันเพราะระเหยไดชากวานํ้าและสามารถหาความเร็วปลายของละอองนํ้ามัน และสามารถคํานวณคาประจุแตละละอองนํา้ มันไดเทากับ 1.6x10-19 คูลอมบ ดังนัน้ จึงแกสมการหามวลของอิเล็กตรอนไดเทากับ 9.1x10-31กิโลกรัม และเรียกการทดลองนี้วา “การทดลองหยดนํ้ามันของมิลลิแกน” ตอมาในป ค.ศ.1910 (พ.ศ.2453) ไดมนี กั วิทยาศาสตรชาวนิวซีแลนด ชือ่ วา รัทเทอฟอรด (Rutherford) ไดทาํ การทดลอง ยิงอนุภาคแอลฟา ซึ่งมีประจุเปนบวกผานแผนทองคําบางๆ (หากนึกไมออก ใหนองๆนึกถึงทองคําเปลว) ซึ่งไดผลการทดลอง ที่ไมสอดคลองกับโครงสรางอะตอมของ เจ.เจ. ทอมสัน ดังนั้นเขาจึงไดตั้งทฤษฎีอะตอมแบบใหมขึ้นมา โดยโครงสรางอะตอม ของรัทเทอฟอรด มีลักษณะเปนที่วางเปนสวนมาก มีของแข็งขนาดใหญอยูตรงกลาง มีประจุบวกอยูภายในและมีอิเล็กตรอน โคจรอยูรอบนอก ซึ่งของแข็งที่วานั้น รัทเทอฟอรดเรียกวา นิวเคลียส (nucleus) และประจุบวกที่พบวาอยูในนิวเคลียสตอมาก็ คือ โปรตอน (proton) นั่นเอง ดังรูป
นิวเคลียส ภายในมีโปรตอน
อิเล็กตรอน
โครงสรางอะตอมของรัทเทอฟอรด และในเวลาตอมาก็มีนักวิทยาศาสตรชื่อ เจมส แชดวิก คนพบอนุภาคอีกชนิดหนึ่งที่เปนกลางทางไฟฟาอยูภายใน นิวเคลียสเชนเดียวกันกับโปรตอน และไดใหชื่อวา นิวตรอน (neutron) ในตอนนี้อนุภาคของอะตอมที่นองๆ รูจักก็มี 3 อยางแลวนะ ไดแก 1. โปรตอน (proton) เปนประจุบวก อยูภายในนิวเคลียส 2. นิวตรอน (neutron) เปนกลางทางไฟฟา (ไมมีประจุ) อยูภายในนิวเคลียส 3. อิเล็กตรอน (electron) เปนประจุลบ โคจรอยูรอบๆ นิวเคลียส และพวกอนุภาคพวกนี้เราเรียกรวมๆวา “อนุภาคมูลฐาน” 2. อนุภาคมูลฐาน กอนที่จะไปรูจักกับโครงสรางอะตอมอีกสองแบบที่เหลือ ไหนๆ ตอนนี้นองๆก็รูจักกับคําวาอนุภาคมูลฐานแลว พี่ก็จะ ขอสอนเรื่องอนุภาคมูลฐานกอนแลวกัน แตกอนอื่นเราตองไปทําความรูจักกับสัญลักษณของธาตุกอนนะ
10
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
สัญลักษณที่นองๆ เห็นดานขวามือนี้ เปนสัญลักษณ สากลที่ ใชสําหรับบงบอกธาตุ เราเรียกสัญลักษณ ลักษณะนี้วา “สัญลักษณนิวเคลียร”
-
X คือ ธาตุ เชน O ก็คือ ธาตุออกซิเจน C คือ ธาตุคารบอนเปนตน Z คือ เลขอะตอม (atomic number) A คือ เลขมวล (mass number)
ตอนนี้เริ่มมีศัพทใหมที่นองๆ อาจกําลังงงกันอยู แตพี่จะอธิบายใหนองเขาใจเอง ธาตุ คือ สารบริสุทธิ์ซึ่งประกอบดวยอะตอมเพียงหนึ่งชนิด และเปนกลางทางไฟฟา เชน C (คารบอน) , N (ไนโตรเจน) , Na (โซเดียม) เปนตน เลขอะตอม คือ จํานวนโปรตอนที่อยูภายในนิวเคลียสของธาตุ ซึ่งนองๆทุกคนรูแลววา โปรตอนเปนประจุบวก และเมื่อกี้พี่เพิ่ง บอกไปวาธาตุตองเปนกลางทางไฟฟา ดังนั้นถามีประจุบวกก็ตองมีประจุลบ ซึ่งก็คือ อิเล็กตรอน นั่นเอง ดังนั้นนอกจากเลข อะตอมจะบอกถึงจํานวนโปรตอนแลว ยังบอกถึงจํานวนอิเล็กตรอนของธาตุนั้นไดดวย เลขมวล คือ มวลของธาตุนั้นๆ ซึ่งเลขมวลไดมาจากจํานวนโปรตอนรวมกับจํานวนนิวตรอน นองๆ บางคนอาจจะสงสัยวา อาว ก็ไหนพีบ่ อกวาอนุภาคมูลฐานมีสามอยางอยูใ นอะตอม แตทาํ ไมพูดถึงมวลของธาตุ ไมรวมอิเล็กตรอนดวยละ? นัน่ ก็เปนเพราะ วาอิเล็กตรอนมันมีมวลนอยมากๆ เมือ่ เทียบกับมวลของโปรตอนและนิวตรอนดังนัน้ ถาใหนอ งหาจํานวนนิวตรอน ก็งา ยมากแค นําจํานวนโปรตอน (เลขอะตอม) ไปลบออกจากเลขมวล นองหลายคนอาจมองไมเห็นภาพวามวลอิเล็กตรอนมันนอยกวามากๆ ยังไง งัน้ พีจ่ ะขอบอกมวลของอนุภาคมูลฐานให นองๆไดรู แตไมตองจํานะ แคอยากใหนองๆ เห็นความนอยของมันไดอยางชัดเจน
มวลโปรตอน = มวลนิวตรอน = มวลอิเล็กตรอน =
1.67x10-27 กิโลกรัม 1.67x10-27 กิโลกรัม 9.1x10-31 กิโลกรัม
ดูอยางนี้ก็อาจจะยังไมเห็นภาพชัดเจน นองลองนํามวลโปรตอนหรือมวลนิวตรอนหารดวยมวลอิเล็กตรอนดูซิ.... จะได วามวลโปรตอนหรือนิวตรอน หนักกวาอิเล็กตรอนถึง 1,835 เทา นี่แหละคือเหตุผลวาทําไมมวลของธาตุจึงไมคิดอิเล็กตรอน ตอนนี้นองไดรูจักกับสัญลักษณนิวเคลียรของธาตุแลว งั้นพี่จะขอลองนําสัญลักษณจริงๆ มาเปนตัวอยาง ใหนองๆ ฝก ตอบตามแลวกันนะ
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
11
ธาตุ จํานวนโปรตอน จํานวนอิเล็กตรอน จํานวนนิวตรอน
ธาตุ จํานวนโปรตอน จํานวนอิเล็กตรอน จํานวนนิวตรอน
ออกซิเจน 8 8 16-8 = 8
ธาต จํานวนโปรตอน จํานวนอิเล็กตรอน จํานวนนิวตรอน
โซเดียม 11 11 23-11 = 12
ฟลูออรีน 9 9 19-9 = 10
ดังนั้น “อะตอม” ก็คือ “ธาตุ” นั่นเอง ตองเปนกลางทางไฟฟา อยางที่บอกไปแลวในหนาที่ผานมา แตเนื่องจากอะตอม ไมเสถียรในสภาพธรรมชาติอะตอมหรือธาตุกจ็ ะพยายามเปลีย่ นแปลงตนเองใหอยูใ นธรรมชาติได โดยการเปลีย่ นแปลงจํานวน อิเล็กตรอนซึ่งจากอะตอมที่เปนกลางทางไฟฟา (โปรตอน = อิเล็กตรอน) เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของอิเล็กตรอน ก็จะทําใหมัน ไมเปนกลางทางไฟฟาอีกตอไป และเราจะเรียกวาอะตอมที่มีการเปลี่ยนแปลงอิเล็กตรอนวา “ไอออน (Ion)” ซึ่งลักษณะการ เปลี่ยนแปลงก็จะแบงออกเปน 2 แบบ คือ 1) ไอออนบวก (Cation) คือ อะตอมที่เสียอิเล็กตรอนออกไป ก็จะทําใหมีจํานวนโปรตอนมากกวาจํานวนอิเล็กตรอน (มีความเปนบวกมากกวาลบ) เชน Na+ (โซเดียมไอออน) Ca2+ (แคลเซียมไอออน) เปนตน 2) ไอออนลบ (Anion) คือ อะตอมที่รับอิเล็กตรอนเขาไป ก็จะทําใหมีจํานวนอิเล็กตรอนมากกวาจํานวนโปรตอน (มีความ เปนลบมากกวาบวก) เชน O2- (ออกไซดไอออน) F- (ฟลูออไรดไอออน) เปนตน สิ่งที่เปลี่ยนไปตอนนี้ที่นองๆ คงเห็นไดชัดคือ วิธีการเรียกชื่อไอออน อยางเดิมถาเปนธาตุ Na (โซเดียม) พอมันเปน ไอออน Na+ก็อานวา โซเดียมไอออน ก็ไมไดแปลกอะไร แตทําไม O (ออกซิเจน) พอเปนไอออน O2-แลวอานวา ออกไซดไอออน หรือ ออกไซด พี่จะอธิบายการเรียกชื่อไอออนใหฟงกอนแลวกันนะ หลักการก็มีงายๆ ดังนี้ 1. ไอออนบวก ใหเรียกเหมือนชื่อธาตุเดิม และเติมคําวา “ไอออน” ไวดานหลังของชื่อเชน Mg2+ อานวา แมกนีเซียมไอออน เปนตน 2. ไอออนลบ ใหเปลี่ยนชื่อธาตุเดิมใหเปนเสียง “ไ_ด (_ide)” เชน S2- อานวา ซัลไฟด , Cl- อานวา คลอไรด เปนตน นองอาจจะเริ่มงงวาแลวทําไมอะตอมที่เปนกลางทางไฟฟาอยูดีๆ มันจะไปเปลี่ยนแปลงจํานวนอิเล็กตรอนทําไมใหยุง ยาก เดี๋ยวพี่จะขอขามเรื่องเหตุผลไปกอนนะ และจะไปอธิบายอีกทีในหัวขอการจัดเรียงอิเล็กตรอน แตตอนนี้รูคราวๆ ไปกอน วา การที่มันตองเปลี่ยนแปลงก็เพื่อใหมันสามารถอยูในธรรมชาติได เพื่อทําใหนองๆเขาใจมากยิ่งขึ้นเกี่ยวกับไอออน ลองดู ตัวอยางตอไปนี้แลวกันนะ
12
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
หลักการ 1. ถาเปนไอออนลบ 2. ถาเปนไอออนบวก
แสดงวา อะตอมรับอิเล็กตรอนเขาไป แสดงวา อะตอมเสียอิเล็กตรอนเขาไป ไอออน จํานวนโปรตอน จํานวนอิเล็กตรอน จํานวนนิวตรอน
ออกไซด (Oxide) 8 8+2 = 10 16-8 = 8
นองๆ จะเห็นไดวา “ออกไซด” เปนไอออนลบ ซึ่งหมายความวารับอิเล็กตรอนเขาไป 2 ตัว (เพราะประจุเปน -2) ดังนั้น จํานวนอิเล็กตรอนก็ตองบวกเพิ่มเขาไปอีก 2 จึงกลายเปน 10 ไอออน จํานวนโปรตอน จํานวนอิเล็กตรอน จํานวนนิวตรอน
ฟลูออไรด (Fluoride) 9 9+1= 10 19-9 = 10
นองๆ จะเห็นไดวา “ฟลูออไรด” เปนไอออนลบ ซึ่งหมายความวารับอิเล็กตรอนเขาไป 1 ตัว (เพราะประจุเปน -1 แต มักเขียนยอๆเปน -) ดังนั้นจํานวนอิเล็กตรอนก็ตองบวกเพิ่มเขาไปอีก 1 จึงกลายเปน 10
ไอออน จํานวนโปรตอน จํานวนอิเล็กตรอน จํานวนนิวตรอน
โซเดียมไอออน (Sodium ion) 11 11-1= 10 23-11 = 12
นองๆ จะเห็นไดวา “โซเดียมไอออน” เปนไอออนบวก ซึ่งหมายความวาเสียอิเล็กตรอนออกไป 1 ตัว (เพราะประจุเปน +1 แตมักเขียนยอๆ เปน +) ดังนั้นจํานวนอิเล็กตรอนก็ตองลบออกไปอีก 1 จึงกลายเปน 10
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
13
ไอออน จํานวนโปรตอน จํานวนอิเล็กตรอน จํานวนนิวตรอน
อะลูมินัมไอออน (Aluminum ion) 13 13-3= 10 27-13 = 14
นองๆ จะเห็นไดวา “อะลูมินัมไอออน” เปนไอออนบวก ซึ่งหมายความวาเสียอิเล็กตรอนออกไป 3 ตัว (เพราะประจุ เปน +3) ดังนั้นจํานวนอิเล็กตรอนก็ตองลบออกไปอีก 3 จึงกลายเปน 10 ตัวอยางขอสอบ ไอออนบวกของไฮโดรเจน (H+) ขาดอนุภาคมูลฐานใด 1. โปรตอน 2. อิเล็กตรอน 2. โปรตอนและอิเล็กตรอน 4. นิวตรอน และอิเล็กตรอน เฉลย ขอ 4. (hydrogen) มีโปรตอน 1 ตัว และอิเล็กตรอน 1 ตัว จะเห็นไดวาไมมีนิวตรอนนะ แตถาเปน เสียอิเล็กตรอนออกไป 1 ตัว เปนไอออน เพราะฉะนั้นก็จะไมมีอิเล็กตรอนเหลือดวย
ก็คือไฮโดรเจน
3. ไอโซโทป ไอโซโทน ไอโซบาร ไอโซอิเล็กทรอนิก กอนอื่นเลย นองๆควรรูความหมายของคําวา “ไอโซ (iso)” กอน ซึ่งแปลวา เทากัน ดังนั้นในหัวขอนี้ก็จะเกี่ยวของกับ ความเทากันของอะไรสักอยาง - ไอโซโทป (isotope) คือ ธาตุชนิดเดียวกัน(มีโปรตอนเทากัน) แตมีเลขมวลไมเทากัน หรือกลาวไดวา มีนิวตรอนไมเทา กับ เปนไอโซโทปกัน กัน นั่นเองเชน - ไอโซโทน (isotone) คือ ธาตุสองชนิดที่มีนิวตรอนเทากัน หลักการจํางายๆ คือ โทน น. ก็คือ นิวตรอน เชน กับ เปนไอโซโทนกัน เพราะทั้งคูตางมีนิวตรอนเทากับ 12 - ไอโซบาร (isobar) คือ ธาตุสองธาตุที่มีเลขมวลเทากัน เชน กับ จะเห็นไดวาทั้งสองธาตุมีเลขมวลเทากัน กับ นองๆจะเห็นวา - ไอโซอิเล็กทรอนิก (isoelectronic) คือ ธาตุหรือไอออนที่มีอิเล็กตรอนเทากัน เชน ทั้งโซเดียมไอออนและฟลูออไรดไอออนมีอิเล็กตรอนเทากัน ตัวอยางขอสอบ ธาตุในขอใดที่เปนไอโซโทปกับธาตุที่มีสัญลักษณเปน 1. 2. 3. 4. เฉลย ขอ 2. ไอโซโทป มันตองเปนธาตุเดียวกันใชปะ แตมีเลขมวลไมเทากัน (มีนิวตรอนไมเทากัน) ซึ่งสิ่งที่บอกวาเปนธาตุเดียวกัน ก็คือ เลขอะตอม (จํานวนโปรตอน) นั่นเอง ดังนั้น นองก็ตองเลือกกอนวา ตองเปน B ที่มีเลขอะตอมเปน 5 เหมือนกัน แตใหมี เลขมวลตางกัน
14
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
กลับมาที่เรื่องโครงสรางอะตอมของเราอีกรอบนะ จากที่พี่ได ขามไปอธิบายเรือ่ งสัญลักษณนวิ เคลียรของธาตุและไอโซโทป ไอโซโทน ไอโซบาร และไอโซอิเล็กทรอนิก สําหรับโครงสรางอะตอมในรูปแบบถัด ไปทีจ่ ะสอนนองๆ นัน้ เรียกไดวา เกิดความเปลีย่ นแปลงอยางมากจาก 3 แบบที่เราไดรูจักกันไปกอนหนานี้ เพราะวา 3 แบบกอนหนานี้ ทั้งของ ดาลตัน ทอมสัน และรัทเทอฟอรด อธิบายทฤษฎีของตนดวยการทดลอง ทางเคมีและฟสิกสแบบสมัยเกา แตตั้งแตแบบจําลองอะตอมตอไปนี้ เปนตนไปจะเขาสูชวงที่การศึกษาทางฟสิกสและเคมีกาวหนาขึ้นอยาง มาก อาจจะมีหลายสาเหตุ แตสาเหตุหนึ่งพี่คิดวาเปนเพราะอยูในชวง สงครามโลก จึงทําใหการศึกษาทางดานฟสิกสและเคมีกาวหนากวาใน อดีต นองๆ คงจะกําลังงงสิวา ทําไมการศึกษาในชวงสงครามโลกถึงไดรงุ เรือง ทัง้ ๆ ทีแ่ ตละประเทศนาจะตัง้ หนาตัง้ ตากับการ ทําสงคราม นั่นก็เปนเพราะวาในชวงการทําสงครามโลก แตละประเทศก็ทําการวิจัยอาวุธยุทโธปกรณที่ทันสมัยมาตอสูกัน ใน ชวงนั้นมีการติดตอสื่อสารแบบไรสายเปนครั้งแรก เชน พวกวิทยุสื่อสาร โทรศัพทมือถือ และที่สําคัญที่สุดก็มีนักวิทยาศาสตร ที่สามารถคิดคนอาวุธที่รายแรงที่สุดได นั่นก็คือ ระเบิดนิวเคลียร จะเห็นไดวาในชวงสงครามโลก มีการคนควาวิจัย เกิดองค ความรูใหมๆ ขึ้นมามากมาย และในชวงเวลานั้นเองก็มีนักฟสิกสชื่อวา “นีลส โบร (Niels Bohr)” ไดเสนอทฤษฎีอะตอมแบบ ใหมขึ้นมา โดยทําการทดลองเกี่ยวกับสเปกตรัมของไฮโดรเจน (สเปกตรัม คือ แถบรังสีของคลื่นแมเหล็กไฟฟา ขอใหนองๆ เขาใจไปกอนวาเปนรูปแบบหนึ่งของพลังงานแลวกัน) และไดขอสรุปเปนโครงสราง ดังรูป โดยหลักการทีเ่ ขาเสนอพีข่ ออธิบายใหเขาใจงายๆ นะ คือวา เขาทําการทดลองโดยการนําอะตอมของไฮโดรเจนมาแลว ใหพลังงานเขาไปในอะตอม ปรากฏวาอะตอมสามารถคายพลังงานทีเ่ ขาใสเขาไปออกมาได โดยเขาสามารถสังเกตเห็นพลังงาน ที่อะตอมไฮโดรเจนคายออกมาได และเขาเรียกพลังงานที่มันคายออกมาวา “สเปกตรัม (spectrum)” โบรอธิบายวา การทีเ่ ขาใหพลังงานเขาไปในอะตอมของไฮโดรเจน ทําใหอเิ ล็กตรอนทีโ่ คจรอยูใ นวงโคจรชัน้ ลาง (ground state) ถูกกระตุนใหขึ้นไปอยูในวงโคจรที่สูงขึ้น (excited state) ทําใหอิเล็กตรอนนั้นไมเสถียร จึงคายพลังงานที่รับเขาไปออก มา เพื่อจะไดกลับมาอยูในวลโคจรเดิม โดยพลังงานที่คายออกมาก็คือ สเปกตรัม นั่นเอง พี่ เ ชื่ อ ว า ตอนนี้ น อ งหลายคนกํ า ลั ง ไม เ ข า ใจว า อะไรคื อ สเปกตรั ม พอพี่ บ อกว า สเปกตรั ม คื อ แถบรั ง สี ข อง คลื่นแมเหล็กไฟฟา ก็จะเกิดคําถามตอไปอีกวา แลวอะไรคือคลื่นแมเหล็กไฟฟา? ดังนั้นพี่จะขออธิบายใหนองๆเขาใจเกี่ยวกับ คลื่นแมเหล็กไฟฟาเบื้องตนกอนนะ 4. คลื่นแมเหล็กไฟฟาและสเปกตรัมเบื้องตน คลื่นแมเหล็กไฟฟา คือ คลื่นชนิดหนึ่งที่ไมตองอาศัยตัวกลางในการเคลื่อนที่ เชน คลื่นวิทยุ รังสีอินฟราเรด คลื่นแสง รังสีอัลตราไวโอเลต รังสีเอ็กซ เปนตน สามารถเคลื่อนที่ไดในสุญญากาศ เชน แสงและความรอนจากดวงอาทิตยสามารถ เคลื่อนที่ผานสุญญากาศเขามาในโลกได ตางจากคลื่นเสียงที่เปนคลื่นที่ตองอาศัยตัวกลางในการเคลื่อนที่ ซึ่งก็คืออนุภาคของ อากาศ เสียงไมสามารถเคลื่อนที่ในสุญญากาศได เชน ถานองไปพูดบนดวงจันทร นองก็จะไมไดยินเสียงตัวเอง เพราะบนดวง จันทรไมมีอากาศ
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
15
ที่มา : wiki.stjohn.ac.th จากภาพนี้นองจะเห็นไดวา คลื่นแมเหล็กไฟฟามีเยอะมาก เรียงจากความถี่นอย (ซาย) ไปความถี่มาก (ขวา) แตที่พี่ อยากใหนองสังเกตคือ ชองที่เขียนวา visible หรือ “แสงที่มองเห็นไดดวยตาเปลา” ซึ่งก็คือแสงที่เรามองเห็นไดอยูในชีวิต ประจําวัน ซึ่งก็มีสี มวง คราม นํ้าเงิน เขียว เหลือง แสด และแดง ทําไมพี่ถึงใหนองสังเกต visible เปนพิเศษ ก็เพราะจะบอก วา จริงๆแลวแสงหรือสีที่เรามองเห็นนั้นก็คือ คลื่นแมเหล็กไฟฟาชวงๆหนึ่ง นั่นเอง แตคลื่นแมเหล็กไฟฟาไมไดมีแคแสงที่เรา มองเห็นยังมีอกี เยอะ เชน ไมโครเวฟ รังสีอนิ ฟราเรด (คลืน่ ความรอน) รังสีอลั ตราไวโอเลต ฯลฯ ทัง้ หมดนีก้ เ็ ปนคลืน่ แมเหล็กไฟฟา ทั้งสิ้น แตที่เราเห็นไดดวยตาเปลา มีเพียงแตคลื่นชวง visible light เทานั้น สิ่งที่ตางกันของคลื่นแมเหล็กไฟฟาก็คือ ความถี่ (frequency) ความยาวคลื่น (wave length) ซึ่งคลื่นแมเหล็กไฟฟาที่ เรามองเห็นได จะมีความความยาวคลื่นอยูในชวง 400 – 700 nm (นาโนเมตร) ซึ่งถาไมไดอยูในชวงนี้มนุษยก็ไมสามารถมอง เห็นได โดยถาคลื่นที่มีความยาวเกิน 700 nm ก็จะเปนชวงของรังสีอินฟราเรด (infrared) ซึ่งเราไมเห็นแตสัมผัสไดดวยความ รอน เพราะรังสีอนิ ฟราเรดคือรังสีความรอน ในขณะทีค่ ลืน่ ทีม่ คี วามยาวคลืน่ ตํา่ กวา 400 nm ก็จะเปนชวงของรังสีอลั ตราไวโอเลต ซึ่งเราก็มองไมเห็นเชนกัน ตอนนี้พี่เชื่อวานองๆ นาจะเขาใจหลักการเบื้องตนของคลื่นแมเหล็กไฟฟาบางแลว พี่ขออธิบายไวคราวๆ หากนอง ตองการรูเพิ่มเติม นองสามารถไปสืบคนจากแหลงตางๆ ไดนะ กลับมาที่โครงสรางอะตอมของเรากอนดีกวา จากการที่นีลส โบร เสนอโครงสรางอะตอมของเขามา ทําใหสรุปไดวา ลักษณะอะตอมของเขาคลายๆ กับของรัทเทอฟอรด ตางกันตรงที่รัทเทอฟอรดไมไดอธิบายเกี่ยวกับวงโคจรของอิเล็กตรอน โคจรมากนัก เพียงแคบอกวาอิเล็กตรอนอยูในวงโคจรที่อยูรอบนอกเทานั้น แตโครงสรางอะตอมของโบร เนนไปที่ลักษณะวง โคจรของอิเล็กตรอนทีม่ ลี กั ษณะเปนชัน้ ๆ โดยอิเล็กตรอนสามารถเคลือ่ นทีข่ นึ้ – ลงระหวางชัน้ ได แตตอ งอาศัยพลังงานในการ เปลีย่ นแปลงวงโคจร (ระดับพลังงาน) ซึง่ หากเปนการเปลีย่ นระดับพลังงานจากชัน้ ลาง (ground state) ไปอยูใ นระดับพลังงาน ที่สูงกวาจะเปนการดูดพลังงาน แตหากเปนการเปลี่ยนระดับพลังงานจากชั้นบน (excited state) กลับมาอยูในระดับพลังงาน ที่ตํ่ากวา จะเปนการคายพลังงานออกมา เนื่องจากวาแบบจําลองอะตอมของโบรสามารถอธิบายเสนสเปกตรัมของธาตุไฮโดรเจนไดดีแตไมสามารถอธิบายเสน สเปกตรัมที่มีหลายอิเล็กตรอนได จึงไดมีการศึกษาเพิ่มเติมทางกลศาสตรควอนตัม มาถึงโครงสรางอะตอมแบบสุดทายเลยดีกวา โครงสรางนีม้ ชี อื่ วา “โครงสรางอะตอมแบบกลุม หมอก” คิดคนโดยกลุม นักวิทยาศาสตร ซึ่งประกอบไปดวยนักเคมีและนักฟสิกส โดยหลักการของโครงสรางอะตอมแบบนี้คอนขางยากและซับซอน เพราะใชหลักการของควอนตัมฟสกิ สมาอธิบาย แตพขี่ อพูดคราวๆ ใหนอ งๆไดพอจะรูจ กั แลวกันนะ สวนนองคนไหนทีส่ นใจเพิม่ เติมก็ลองไปหาขอมูลเพิ่มเติมไดนะ
16
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
สําหรับหลักการคราวๆ ของโครงสรางอะตอมแบบกลุมหมอก คือ ตรง กลางของอะตอมเปนนิวเคลียสทีป่ ระกอบดวยโปรตอนและนิวตรอน สวนรอบ นอกจะเปนกลุมหมอก โดยที่กลุมหมอกหมายถึงความนาจะเปนที่จะพบ อิเล็กตรอนบริเวณนั้น นองๆ จะเห็นไดวาใกลๆ กับนิวเคลียสจะมีความหนา แนนของกลุมหมอกมากกวาดานนอก นั่นหมายความวา มีโอกาสที่จะพบ อิเล็กตรอนบริเวณใกลๆ กับนิวเคลียสไดมากกวารอบนอกนั่นเองโดยใน ป จ จุ บั น เรายึ ด ถื อ โครงสร า งอะตอมแบบกลุ ม หมอกนี้ ใ นการอธิ บ าย ปรากฏการณตางๆ ของอะตอม 5. การจัดเรียงอิเล็กตรอน หลังจากที่เราไดเรียนเรื่องโครงสรางอะตอมไปแลว เราก็ไดรูจักกับ อนุภาคมูลฐานไปแลว ซึ่งไดแก โปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอน สําหรับ โปรตอนและนิวตรอนมันก็อยูภายในนิวเคลียส แตอิเล็กตรอนมันจะโคจรอยู รอบนอก ซึ่งอะตอมหนึ่งๆ ก็มีวงโคจร (ระดับพลังงาน) หลายชั้นมาก ดังนั้นในหัวขอนี้เราจะมาเรียนวาในแตละระดับพลังงาน มีอิเล็กตรอนอยูกี่ตัว และทําไมมันถึงตองอยูแบบนั้น และก็จะสามารถอธิบายการเกิดพันธะเคมีกับอะตอมธาตุอื่นๆ ไดอีกดวย เพราะฉะนั้นพี่อยากใหนองตั้งใจเรียนหัวขอนี้ดีๆ เพราะเปนหัวขอที่สําคัญมากและเชื่อมโยงกับหัวขออื่นๆ อีกมากมาย สําหรับการจัดเรียงอิเล็กตรอน จริงๆ แลว มีอยูหลายวิธี แตพี่จะขออธิบายวิธีที่พื้นฐานที่สุด เพื่อใหนองๆ เขาใจไดงาย และนําไปใชไดจริง จากรูปทีน่ อ งเห็นทางดานขวามือนี้ คือรูปแบบของอะตอมทีม่ นี วิ เคลียส ตรงกลาง และมีระดับพลังงานลอมรอบนิวเคลียสอยู กอนอื่นที่เราจะรูไดวา อิเล็กตรอนมันจัดเขาไปอยูในระดับพลังงาน เราตองรูกอนวาในแตละชั้นของ ระดับพลังงานสามารถบรรจุอเิ ล็กตรอนเขาไปอยูไ ดกตี่ วั โดยมีวธิ คี าํ นวณ ดังนี้
จํานวนอิเล็กตรอนในแตละชั้น = 2n2เม�อ n คือระดับพลังงาน
นองๆจะเห็นจากกรอบดานขวามือ นี้นะนั่น คือ จํานวนอิเล็กตรอนที่มากที่สุด ที่จะบรรจุในชั้นตางๆได ดังนั้นเราลองมา ดูตัวอยางกันนะ
n = 1 : 2(12) = 2 n = 2 : 2(22) = 8 n = 3 : 2(32) = 18 n = 4 : 2(42) = 32
n = 5 : 2(52) = 50 n = 6 : 2(62) = 72 n = 7 : 2(72) = 98
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
17
ตัวอยางที่ 1 จงจัดเรียงอิเล็กตรอนของ (คารบอน) ขั้นตอนการทํา พออานโจทยเสร็จ นองๆก็ตองรูกอนวา มีอิเล็กตรอนเทาไหร จะไดวา มีอิเล็กตรอน เทากับ 6 เนื่องจาก ระดับพลังงานที่ 1 (n=1) บรรจุอิเล็กตรอนไดมากสุด 2 ตัว เพราะฉะนั้น อิเล็กตรอนอีก 4 ตัว ก็ตองไปอยูในระดับพลังงานที่ 2 (n=2) สรุปวา จัดเรียงอิเล็กตรอนไดเปน 2,4 ตัวอยางที่ 2 จงจัดเรียงอิเล็กตรอนของ (นีออน) จากสัญลักษณของธาตุ ทําใหรูวา Ne มีอิเล็กตรอน 10 ตัว เนื่องจาก ระดับพลังงานที่ 1 (n=1) มีอิเล็กตรอนไดมากสุด 2 ตัว ดังนั้น อิเล็กตรอนอีก 8 ตัว จะอยูในระดับพลังงานที่ 2 (n=2) สรุปวา Ne จัดเรียงอิเล็กตรอนเปน 2 , 8 ตัวอยางที่ 3 จงจัดเรียงอิเล็กตรอนของ (โซเดียม) จากสัญลักษณ ทําใหรูวา มีอิเล็กตรอน 11 ตัว เนื่องจาก ระดับพลังงานที่ 1 (n=1) มีอิเล็กตรอนไดมากสุด 2 ตัว และระดับพลังงานที่ 2 (n=2) มีอิเล็กตรอนไดมากสุด 8 ตัว ดังนั้น อิเล็กตรอนอีก 1 ตัว ตองอยูในระดับพลังงานที่ 3 (n=3) สรุปวา จัดเรียงอิเล็กตรอนเปน 2 , 8 , 1 ตัวอยางที่ 4 จงจัดเรียงอิเล็กตรอนของ (โปแตสเซียม) จากสัญลักษณ ทําใหรูวา มีอิเล็กตรอน 19 ตัว เนื่องจาก ระดับพลังงานที่ 1 (n=1) มีอิเล็กตรอนไดมากสุด 2 ตัว และระดับพลังงานที่ 2 (n=2) มีอิเล็กตรอนไดมากสุด 8 ตัว ดังนั้น อิเล็กตรอนอีก 9 ตัว ตองอยูในระดับพลังงานที่ 3 (n=3) สรุปวา จัดเรียงอิเล็กตรอนไดเปน 2 , 8 , 9
แตจริงๆ แลว
ไมไดจัดอยางนี้!!! แตกลับจัดเปน 2 , 8 , 8 , 1
ทําไมละ? นองคงจะสงสัยกัน ก็ในเมื่อระดับพลังงานที่ 3 (n=3) บรรจุอิเล็กตรอนได 18 ตัว ไมใชหรอ เราใสเขาไป 9 ตัว เปน 2, 8, 9 ก็ไมนาจะผิดหนิ เดี๋ยวพี่จะอธิบายเหตุผลใหนะ ในตัวอยางดานบนที่นองๆ ไดเรียนไปนั้น เราเรียกวาเปนการจัดเรียงอิเล็กตรอนในระดับพลังงานหลัก (shell) ก็คือ n=1, 2, 3, 4… ซึ่งแทจริงแลวยังมีระดับพลังงานยอย (subshell) ลงไปอีก ไดแก s, p, d, f ดังเชน ในรูปนี้
18
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
จากรูปนี้นองจะเห็นไดชัดเจนขึ้น คือระดับพลังงานยอยจะซอนทับ กันที่ระดับพลังงานที่ 3 (n=3) โดยไปซอนทับกับระดับพลังงานที่ 4 (n=4)
ทีนี้นองคงงงวา แลวจะจัดเรียงอิเล็กตรอนได อยางไร แคระดับพลังงานหลักยังจัดไมคอ ยเปนเลย ยัง มีขอยกเวนอีก พี่ก็อยากจะแนะนําวา นองลองลืมการ จัดเรียงอิเล็กตรอนแบบระดับพลังงานหลักไปกอนนะ มาเรียนการจัดระดับพลังงานยอยดีกวา เพราะวาแทบ จะไมมขี อ ยกเวน และถาเราจัดเรียงแบบระดับพลังงาน ยอยไดแลว การจัดระดับพลังงานหลักก็งายมาก ระดับพลังงานยอย (subshell) ในหัวขอที่แลว ระดับพลังงานหลักเราเรียกชื่อแตละชั้นเปน 1 , 2 , 3… ใชไหมครับ และแตละชั้นมีอิเล็กตรอนไดไมเกิน 2n2 แตพอมาเรียนระดับพลังงานยอย มีชื่อระดับพลังงานที่นองตองจําใหม ดังนี้ s มีอิเล็กตรอนได ไมเกิน p มีอิเล็กตรอนได ไมเกิน d มีอิเล็กตรอนได ไมเกิน f มีอิเล็กตรอนได ไมเกิน
2 6 10 14
ตัว ตัว ตัว ตัว
ทีนี้พอนองจําไดแลววาระดับพลังงานยอยมี s , p , d , f แลว ขอใหนองๆดูแผนภาพขางลางนี้ใหชินตาไวนะ และควร จะเขียนใหได
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
19
แผนภาพนี้นองควรจะจําได และเขียนได เพราะนองตองใชไป ตลอดการเรียนเคมีเลยก็วาได พี่เชื่อวานองทุกคนจําไดอยูแลว ไมไดยาก เลยใชไหม?
พอนองจําแผนภาพดานบนไดแลว พี่อยากใหนองนําปากกาแดงมาขีด ลูกศรตามภาพนี้นะ นองหลายคนคงถามวาจะขีดลูกศรไปทําไม? คําตอบก็คือ วา เสนลูกศรเหลานี้คือลําดับการบรรจุอิเล็กตรอนในระดับพลังงานยอย สังเกตดีๆ นะ ลูกศรทุกเสนขนานกันนะ ถานองลากลูกศรผิด คําตอบก็จะผิดนะ เพราะฉะนั้นระวังใหดีละ ถานองจําแผนภาพไดแลว และลากลูกศรไดถูกตองแลว ตอมาเราจะ ลองมาจัดเรียงอิเล็กตรอนในระดับพลังงานยอยกัน งั้นพี่ขอใชโจทยเหมือนกับ ตัวอยางที่ผานมากอน เพื่อจะใหนองเห็นชัดๆ วามันใชแทนกันได ตัวอยางที่ 1จงจัดเรียงอิเล็กตรอนของ (คารบอน) โดยจัดในระดับพลังงานยอย ตอนนี้เรารูแลววา มีอิเล็กตรอน 6 ตัวขั้นตอนตอมาก็คือเราตองมานั่งดูแผนภาพ อานตามทิศทางของลูกศร ถาจบลูกศรเสนหนึ่งแลวใหอานอีกเสนลงมาเรื่อยๆ และคอยบวกเลขที่อยูดานบน s p d f ใหไดครบตามจํานวนอิเล็กตรอนที่ เราตองการ ดังนี้ จัดเรียงไดเปน 1s2 2s2 2p2(สังเกตวาเลขดานบนบวกกันได 6 แลว) และเมื่อตอนตนพี่บอกวาถานองจัดเรียง อิเล็กตรอนแบบระดับพลังงานยอยได นองจะสามารถแปลงกลับไปเปนระดับพลังงานหลักได ดังนี้ 1s22s22p2 n=1 มี 2 e-
n=2 มี 4 e-
ดังนั้น
จึงจัดเปน 2 , 4
ตัวอยางที่ 2 จงจัดเรียงอิเล็กตรอนของ (โซเดียม) โดยจัดในระดับพลังงานยอย เนื่องจาก เรารูวา มีอิเล็กตรอนเทากับ 11 ตัว ดังนั้น จัดเรียงอิเล็กตรอนไดเปน 1s2 2s2 2p6 3s1 1s22s22p63s1 n=1 มี 2 e-
20
n=2 มี 8 e-
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
n=3 มี 1 e-
ดังนั้น
จึงจัดเปน 2 , 8 , 1
ตัวอยางที่ 3 จงจัดเรียงอิเล็กตรอนของ (โปแตสเซียม) โดยจัดในระดับพลังงานยอย มีอิเล็กตรอน 19 ตัว เนื่องจาก เรารูวา ดังนั้น จัดเรียงอิเล็กตรอนไดเปน 1s2 2s2 2p6 3s2 3p6 4s1 เพราะฉะนั้น จัดเรียงอิเล็กตรอนในระดับพลังงานหลักไดเปน 2, 8, 8, 1 นองๆ จะเห็นไดวาการจัดเรียงอิเล็กตรอนในระดับพลังงานยอย (subshells) มีประโยชนมาก เพราะมีกฎเกณฑ ขอ ยกเวนนอยมาก และยังสามารถแปลงใหเปนในรูปพลังงานหลักไดอีกดวย แตสําหรับขอยกเวนในการจัดเรียงอิเล็กตรอนใน subshells พีข่ อไมอธิบายเหตุผลนะ เพราะวามันจะลึกเกินไปสําหรับนองๆ ทีเ่ รียนทางดานศิลป-ภาษา และศิลป-คํานวณ เพราะ หนังสือเลมนี้ทําขึ้นมาเพื่อใหครอบคลุมเนื้อหา O-net เทานั้น แตหากนองๆ ตองการรูเพิ่มเติม นองๆสามารถไปสืบคนไดนะ
ขอยกเวนในการจัดเรียงอิเล็กตรอนในระดับพลังงานยอย จะไมพบการจัดเรียงเปน 4s2 3d4 และ 4s2 3d9 แตจะเปลี่ยนเปน 4s1 3d5และ 4s1 3d10 ตามลําดับ เสมอ ขอควรรู อิเล็กตรอนที่อยูวงนอกสุด เรามักเรียกวา เวเลนซอิเล็กตรอน (valence electron) 6. ตารางธาตุและการใชประโยชนจากตารางธาตุ สิ่งที่สําคัญมากๆ ในการเรียนเคมี ก็คือ “ตารางธาตุ (periodic table)” เพราะตารางธาตุสามารถบอกรายละเอียดคราวๆของ แตละธาตุใหเราทราบได ดังนั้นเราจึงตองเรียนรูการใชประโยชนจากตารางธาตุ
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
21
6.1 การอานตารางธาตุ Carbon
ชื่อธาตุ
6
เลขอะตอม (atomic number)
C
สัญลักษณของธาตุ
12.011
เลขมวล (mass number)
6.2 สวนประกอบของตารางธาตุ IA IIA
IIIA
IVA
VIA VIIIA VA VIIA คาบ 1 คาบ 2 คาบ 3 คาบ 4 คาบ 5 คาบ 6 คาบ 7
Transition
Inner Transition คําศัพทที่ควรรู คาบ คือ แนวนอนของตารางธาตุ ซึ่งจะเรียงตามเลขอะตอมไปเรื่อยๆ ซึ่งจะมีคาบที่ 1–7 สมบัติของธาตุในแตละธาตุในคาบ เดียวกันนั้นมีลักษณะคอนขางแตกตางกันมาก หมู คือ แนวตั้งของตารางธาตุ โดยธาตุที่อยูในหมูเดียวกันจะอิเล็กตรอน วงนอกสุด (valence electron) เทากัน และแตละ ธาตุมีสมบัติคลายๆกันโดยในตารางธาตุจะแบงออกเปนได 2 หมูใหญๆ ไดแก - หมู A (representative) ซึ่งมีทั้งสิ้น 8 หมู (ตั้งแต IA – VIIIA) - หมู B (transition) คือ ธาตุทั้งหมดที่เหลือที่ไมใชหมู A เปนโลหะทั้งหมด บางครั้งเราเรียกวา โลหะแทรนซิชัน เสนขั้นบันได คือ เสนที่กั้นระหวางธาตุที่เปนโลหะและธาตุที่เปนอโลหะ โดยธาตุที่อยูทางดานขวาของเสนขั้นบันได คือ ธาตุ อโลหะธาตุที่อยูทางดานซายมือของเสนขั้นบันได คือ ธาตุโลหะ สวนธาตุที่อยูใกลๆกับเสนขั้นบันได คือ ธาตุกึ่งโลหะ
เสนขั้นบันได
22
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
6.3 การบอกตําแหนงของธาตุในตารางธาตุ จากหัวขอสวนประกอบของตารางธาตุ นองๆก็นาจะรูจักกับคําวา “คาบ” และ “หมู” แลว ซึ่งเราจะใชประโยชนใน การบอกตําแหนงของธาตุในตารางธาตุได เชน หากเราจะระบุตําแหนงของ Na (โซเดียม) เราก็จะพูดวา Na อยู หมูที่ IA คาบที่ 3 หรือ ตําแหนงของ Ca (แคลเซียม) เราจะไดพูดวา Ca อยูหมูที่ IIA คาบที่ 4 (นองดูไดจากรูปตารางธาตุ) เปนตน พี่คิดวานองคงจะเขาใจหลักการการบอกตําแหนงธาตุแลวนะ ก็คือ ตองบอกทั้งหมู และ คาบ แตสิ่งที่นองๆ จะตองแปลกใจกับความอัศจรรยก็คือ “การจัดเรียงอิเล็กตรอนสามารถบอกตําแหนงของธาตุได” ไมตอง แปลกใจนะนองๆ ก็ที่เราตองมานั่งเรียน งงแลวงงอีกกับเรื่องการจัดเรียงอิเล็กตรอน และพี่ก็ยํ้าอยูนั่นแหละวามันสําคัญ ใน ที่สุดนองๆก็ไดเห็นถึงความสําคัญของมันแลว เพราะฉะนั้นใครที่ยังไมเขาใจเรื่องการจัดเรียงอิเล็กตรอน ยอนกลับไปอาน ทบทวนเลยนะ พี่ขอบอกไวกอนนะวา “การจัดเรียงอิเล็กตรอน” ที่บอกวาสามารถบอกตําแหนงธาตุไดเนี่ย มันคือ “การจัด เรียงอิเล็กตรอนในระดับพลังงานหลัก” นะ แตก็คงไมใชปญหาของนองๆ แลวละ เพราะตอนนี้เราจัดแบบ subshells ใหได นั้น มันจะตองแปลงมาเปนแบบระดับพลังงานหลักได งั้นเราลองมาดูตัวอยางดีกวาวา การจัดเรียงอิเล็กตรอนมันบอกตําแหนงของธาตุไดอยางไร?? หลักการ 1. ตัวเลขตัวสุดทาย (อิเล็กตรอนวงนอกสุด หรือ เวเลนซอิเล็กตรอน) คือ หมู ที่ธาตุนั้นอยู 2. จํานวนตัวเลข (จํานวนระดับพลังงาน) คือ คาบ ที่ธาตุนั้นอยู 3. การบอกตําแหนงของธาตุดวยการจัดเรียงอิเล็กตรอน บอกไดแคหมู A เทานั้น ตัวอยางที่ 1 จงบอกตําแหนงของธาตุ Na (โซเดียม) ในตารางธาตุ เนื่องจากเรารูวา Na มีอิเล็กตรอน 11 ตัว มีการจัดเรียงเปน เวเลนซอิเล็กตรอน เทากับ 1
2,8,1
ดังนั้น Na อยูหมู IA คาบที่ 3
มีระดับพลังงาน 3 ระดับ Na อยูคาบที่ 3 ตัวอยางที่ 2จงบอกตําแหนงของธาตุ Br (โบรมีน) ในตารางธาตุ เนื่องจากเรารูวา Br มีอิเล็กตรอน 35 ตัว มีการจัดเรียงเปน
2 , 8 , 18 , 7
เวเลนซอิเล็กตรอน เทากับ 7 ดังนั้น Br อยูหมู VIIA คาบที่ 4
มีระดับพลังงาน 4 ระดับ Br อยูคาบที่ 4
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
23
7. พลังงานไอออไนเซชัน (Ionization Energy: IE) ไหนๆ นองก็ไดเรียนเรื่องการจัดเรียงอิเล็กตรอนแลว เราก็นาจะรูคาพลังงานบางอยางเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง อิเล็กตรอนภายในธาตุกันหนอยเนอะ พี่พูดคราวๆ นะ หากนองอยากรูเพิ่มเติม สามารถไปสืบคนเพิ่มเติมได พลังงานไอออไนเซชัน (IE) คือ พลังงานนอยที่สุดที่ธาตุรับเขาไปจนทําใหธาตุนั้นเสียอิเล็กตรอนออกไปไดโดยมันจะมี ลําดับนิดหนอย เชน IE1 (ไอออไนเซชันลําดับที่ 1) คือ พลังงานที่นอ ยที่สดุ ทีจ่ ะทําใหอเิ ล็กตรอนตัวที่หนึง่ (นับจากเวเลนซเขาไป ถึงชั้นในสุด) หลุดออกไปจากอะตอม เชน IE5 (ไอออไนเซชันลําดับที่ 5) ก็คือ พลังงานนอยที่สุดที่จะทําใหอิเล็กตรอนตัวที่ 5 (นับจากเวเลนซ) หลุดออกไปจากอะตอม ถายังไมเขาใจ ลองมาดูภาพนะ
IE3 IE2 IE3
จากรูป นองจะเห็นวาเปนอะตอมของ Na ซึง่ จัดเรียง อิเล็กตรอนเปน 2,8,1 เพราะฉะนั้น IE1 ก็จะเปนพลังงานที่ Na ดูดเขาไป เพือ่ ทําใหอเิ ล็กตรอนตัวที่ 1 นัน้ หลุดออกไป และ ก็เปนเชนนี้ไปเรื่อยๆ โดย IE1<<IE2<IE3 … ทําไมระหวาง IE1และ IE2จึงเปนสัญลักษณ <<(นอยกวามากๆ)
ก็เปนเพราะวา พออิเล็กตรอนตัวที่ 1 หลุดออกไปแลว การจะใชพลังงานมาดึงอิเล็กตรอนอีกตัวนึงที่อยูคนละระดับ พลังงานจะตองใชพลังงานเยอะมากๆ ดังนั้น คาพลังงานที่ตองใชมันเลยตางกันมาก Idea นี้มีประโยชนดวยนะนอง เพราะ เราสามารถดูคา IE และสามารถทํานายไดวาธาตุนั้นอยูหมูอะไร อยางตัวอยางนี้ IE1<<IE2แสดงวามีเวเลนซ 1 ตัว ก็เทากับ วาอยูหมู IA อีกสิ่งหนึ่งที่สําคัญก็คือวา เมื่อกี้มีคําวา “ธาตุรับพลังงาน” หรือ “ธาตุดูดพลังงาน” เขาไป นั่นหมายความ พลังงาน ไอออไนเซชัน (IE) เปนการเปลี่ยนแปลงแบบ ดูดพลังงาน (endothermic) และในเมื่อมันเปนพลังงาน ดังนั้นหนวยของ IE ก็ ตองเปนหนวยของพลังงาน เชน จูล (J) แคลอรี (cal) เปนตน ดังนั้น ธาตุที่มี IE นอยๆ ก็หมายความวา “ใชพลังงานนอยในการทําใหอิเล็กตรอนหลุดออกไป” ซึ่งก็แปลวา ธาตุนั้น มีแนวโนมเปนไอออนบวก (cation) สูง เชน พวกโลหะ ในทางกลับกัน ถาธาตุใดมี IE มากๆ หมายความวา ธาตุนั้นเสีย อิเล็กตรอนยาก ซึ่งมันจะรับอิเล็กตรอนไดดี (เปนไออนลบไดดี) เชนพวกอโลหะ ซึ่งเราจะไปเรียนกันในหัวขอตอไปนะ 8. อิเล็กโตรเนกาติวิตี (Electronegativity: EN) อิเล็กโตรเนกาติวิตี หรือ EN ตรงกันขามกับ IE อยางสิ้นเชิงเลยนะ EN คือ ความสามารถในการรับอิเล็กตรอน พี่ยํ้า นะวาเปน “ความสามารถ” ไมใชพลังงานนะ เพราะฉะนั้นมันไมมีหนวย เพียงแตไวเปรียบเทียบความสามารถในการรับ อิเล็กตรอนกับธาตุอื่นเทานั้น ถาธาตุใดมี EN สูงๆ แปลวา มีความสามารถรับอิเล็กตรอนไดดี ก็คือเปนไอออนลบไดดี เชนพวกอโลหะ ในทางกลับ กัน พวกโลหะ รับอิเล็กตรอนไดไมดี เพราะฉะนั้น EN ของโลหะจะตํ่า
24
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
นองๆ สามารถศึกษาเพิ่มเติมไดที่
Tag : สอนศาสตร เคมี อะตอม โครงสรางอะตอม ตารางธาตุ อนุภาคมูลฐาน
• 01 : โครงสรางอะตอมและตารางธาตุ http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch1-1
• 02 : ตารางธาตุ http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch1-2
• สอนศาสตร : ม.ปลาย : เคมี : โครงสรางอะตอม http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch1-3
• โครงสรางอะตอม+ตารางธาตุ ตอนที่ 1 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch1-4
• โครงสรางอะตอม+ตารางธาตุ ตอนที่ 2 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch1-5
• โครงสรางอะตอม+ตารางธาตุ ตอนที่ 3 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch1-6
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
25
บทที่ 2
สารชีวโมเลกุลเบื้องตน
Introduction
สําหรับในบทสารชีวโมเลกุลนี้ พี่ขอยํ้ากับนองๆ ทุกคนวาเปนบทที่สําคัญมาก เพราะเปนบทที่ออกขอสอบ O-Net มาก ทีส่ ดุ ในทุกๆปนะ โดยเนือ้ หาจะแตกตางจากเนือ้ หาวิชาเคมีทนี่ อ งไดเรียนมาในบทอืน่ ๆ เพราะบทอืน่ ๆ สวนมากเปนเคมีทเี่ รียก วาเคมีอนินทรีย (Inorganic Chemistry) ซึ่งก็คือเคมีที่ไมเกี่ยวของกับสิ่งมีชีวิต แตสารชีวโมเลกุลจะเปนอีกสาขาหนึ่งของเคมี คือเปนเคมีอินทรีย (Organic Chemistry) ที่เกี่ยวของกับสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย แตนองๆ ทําใจสบายๆนะ ไมไดยากเกินไป ถานอง เรียนบทนี้ไดดี พี่รับรองวาในการสอบ O-Net ในสวนวิชาเคมี นองทําไดดีอยางแนนอน
Outlines
1. คารโบไฮเดรต 2. โปรตีน 3. ลิพิด 4. กรดนิวคลิอิก 5. ตัวอยางขอสอบ
P
1. คารโบไฮเดรต (Carbohydrates) คารโบไฮเดรต เปนสารชีวโมเลกุลทีพ่ บไดมากทีส่ ดุ ในโลก มีตน กําเนิดมาจากการสังเคราะหดว ยแสง (photosynthesis) ซึ่งหนาที่ของมันก็มีมากมาย แตหลักๆ ก็คือเปนแหลงสะสมพลังงานของสิ่งมีชีวิต โดยคารโบไฮเดรต 1 กรัม ใหพลังงาน 4 กิโลแคลอรี ซึ่งหากเราพูดคําวา “คารโบไฮเดรต” มันจะมีความหมายที่กวางมาก ที่รวมถึงสารจําพวก นํ้าตาล แปง ไกลโคเจน เซลลูโลส เปนตน ที่จริงคารโบไฮเดรตยังมีอีกมากมาย แตพี่ขอพูดถึงเนื้อหาเบื้องตนที่เราตองใชในการสอบแลวกันนะ งั้นเรา มาดูกันที่หัวขอแรกกันเลย 1.1 นํ้าตาล (Saccharides) พี่เชื่อวานองๆ คงรูจักนํ้าตาลเปนอยางดี นํ้าตาลที่ใชในการปรุงอาหารนั้น ที่นองรูจักนั้น มันเปนแคสวนหนึ่งของนํ้าตาลที่พี่จะ สอนในหัวขอนี้ เดี๋ยวเราจะไดมาดูกันวา นํ้าตาล มีอะไรบาง กอนอื่นนองตองรูจักกอนวานํ้าตาลนั้นเปนสารประกอบประเภทอะไร นํ้าตาลมี 2 ประเภท ใหญๆ คือ นํ้าตาลอัลโดส และนํ้าตาลคีโตส นํ้าตาลอัลโดส คือ นํ้าตาลที่เปน “สารประกอบของพอลิไฮดรอกซีอัลดีไฮด” (polyhydroxyaldehydes) นํ้าตาลคีโตส คือ นํ้าตาลที่เปน “สารประกอบของพอลิไฮดรอกคีโตน” (polyhydroxyketones) โห!!! นี่มันสารประกอ บอะไรเนี่ย ชื่อยาวมาก แตเพื่อความงาย นองดูรูปโครงสรางของนํ้าตาลทั้งสองนี้นะ
26
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
P
H
C
O
HO
C
HO
C
H H
H
C
OH
C
หมูอัลดีไฮด
CH2OH C O H H
C C
หมูคีโตน
OH OH
CH2OH
CH2OH
จากรูปโครงสรางของนํ้าตาลสองชนิด ที่มีคารบอน 5 ตัว เหมือนกัน นองจะเห็นวามีความแตกตางกันตรงที่พี่ทํากรอบ สี่เหลี่ยมเอาไว ตรงนั้นเราเรียกวา “หมูฟงกชัน” (functional group) ซึ่งหมูฟงกชันนี้เองจะเปนตัวกําหนดสมบัติตางๆของสาร อินทรีย หากเปนนํ้าตาลอัลโดส (aldose) ก็จะมีหมูอัลดีไฮดในสารประกอบ สวนนํ้าตาลคีโตส (ketose) ก็จะมีหมูคีโตนใน สารประกอบ แตสิ่งที่เหมือนกันของนํ้าตาลทั้งสองชนิดคือ มีหมูไฮดรอกซี (hydroxy: -OH) เหมือนกัน ซึ่งนองๆ จะเห็นไดจาก ที่ชื่อสารมีคําวา “พอลิไฮดรอกซี” คําวา “พอลิ (poly)” หมายถึง จํานวนมาก นอกจากการแบงนํ้าตาลตามประเภทของหมูฟงกชันแลว ยังแบงไดตามขนาดไดอีกดวย ดังนี้ 1.2 นํ้าตาลโมเลกุลเดี่ยว (Monosaccharides) นํ้าตาลโมเลกุลเดี่ยว หรือ นํ้าตาลเชิงเดี่ยว คือ คารโบไฮเดรตที่มีนํ้าตาลเพียง 1 หนวย มีคารบอนตั้งแต 3 อะตอมขึ้น ไป มีสูตรอยางงายคือ (CH2O)n ที่สําคัญๆ อยากใหนองรูจักคือ กลูโคส ฟรุกโทส กาแลกโทส ไรโบส ไรบูโลส เปนตน
กลูโคส
ฟรุกโทส
กาแลกโทส
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
27
นองอาจจะงงวา กลูโคสกับกาแลกโทสตางกันอยางไร? ดูดีๆ นะ จะเห็นวาหมู OH ตําแหนงคารบอนที่ตําแหนงที่ 4 มันสลับกันใชไหมเอย?? การสลับกันเพียงเล็กนอยของโครงสราง ทําใหเปลี่ยนเปนนํ้าตาลคนละชนิดกันเลยนะ แตเรื่อง โครงสรางที่มันสลับกันแบบนี้นองไมตองไปเครียดมากนะ มันจะลึกเกินไป ไวไปเรียนในมหาวิทยาลัยแลวกันนะ แตพี่กลัวนอง จะไมเห็นความแตกตาง ก็เลยบอกเฉยๆ ออ มีอีกเรื่องนึง นองหลายคนอาจจะสงสัยวาทําไมเมื่อกี้พี่พูดถึงนํ้าตาลอัลโดสกับคี โตส โครงสรางมันเปนเสนตรง แลวทําไมตอนนี้นํ้าตาลมันเปนโครงสรางวงแหวนปด พี่พูดคราวๆ แลวกันนะวา ในโครงสราง ที่มันเปนเสนตรง บังเอิญวามันมีหมูฟงกชันบางตัวในเสนตรงนั้นทําปฏิกิริยากันเองได มันก็เลยทําปฏิกิริยากันจนทําใหเปนรูป วงปดนะ แตนองไมตองสนใจมาก เผื่อนองบางคนสงสัยพี่เลยอธิบายไว นํา้ ตาลโมเลกุลเดีย่ วนีส้ าํ คัญมากเลยนะนองๆ เพราะเดีย๋ วพอเรียนตอไป เราจะพบวามันเปนหนวยยอยของคารโบไฮเดรต อื่นๆ อีกเยอะแยะเลยแหละ การที่มันเปนหนวยยอยเรามีศัพทไวเรียกดวยนะ เรียกวามันเปน “มอนอเมอร (monomer)” หมายความวาถาพวก กลูโคส ฟรุกโทส กาแลกโทส มันมารวมตัวกัน ตอเปนสายยาวๆ มันจะไดสารใหมขึ้นมานะ ซึ่งสารใหมที่ เกิดขึ้นมาจากหนวยยอยพวกนี้เราก็จะเรียกวา “พอลิเมอร (polymer)” นองเริ่มสงสัยแลวใชไหมวามันรวมตัวตอกันยาวๆ แลว ไดสารอะไร งั้นเราไปดูกันในหัวขอตอไปเลย
1.3 ออลิโกแซ็กคาไรด (Oligosaccharides) ออลิโกแซ็กคาไรด คือ นํ้าตาลโมเลกุลเดี่ยวตั้งแต 2 – 10 โมเลกุล มาตอกันดวยพันธะไกลโคซิดิก (ไมตองจําชื่อพันธะ ก็ได แตพี่อยากใหนองคุนๆชื่อเอาไว) และเสียนํ้า (H2O) ออกไป 1 โมเลกุล แตในที่นี้พี่ขออธิบายเฉพาะที่นํ้าตาลโมเลกุลเดี่ยว ตอกัน 2โมเลกุล เปนนํา้ ตาลโมเลกุลคู (Disaccharides) ซึง่ นองๆนาจะไดเคยรูจ กั มาบางจากการเรียน ม.ตน เชน ซูโครส (นํา้ ตาล ทราย) มอลโทส และแลกโทส คุนๆ ไหม งั้นเรามาทบทวนกันนะ ซูโครส (sucrose) หรือนํ้าตาลทราย
แลกโทส (lactose) มอลโทส (maltose)
กลูโคส + กลูโคส
กลูโคส + ฟรุกโทส
แลกโทส + กลูโคส
นํ้าตาลโมเลกุลคูเหลานี้ที่พี่ยกมาเปนตัวอยาง สามารถแตกตัวกลับไปเปนนํ้าตาลโมเลกุลเดี่ยวไดนะนองๆ ซึ่งมีหลาย วิธี ยกตัวอยางเชน ใหความรอนและใชกรดเปนตัวเรงใชเอนไซมเปนตน
28
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
1.4 พอลิแซ็กคาไรด (Polysaccharides) พอลิแซ็กคาไรด ก็คือ การนํานํ้าตาลโมเลกุลเดี่ยว (monosaccharides) หลายๆตัว (มากกวา 10 โมเลกุล) มาตอเขาดวยกัน ดวยพันธะไกลโคซิดิก ทําใหเกิดเปนสารตางๆ ที่มีสมบัติแตกตางกันออกไป ในที่นี้พี่จะอธิบายแค แปง(starch) เซลลูโลส (cellulose) และ ไกลโคเจน (glycogen) 1) แปง (starch) นองๆ คงจะรูจักแปงเปนอยางดี แปงก็คือ อาหารจําพวกแปง แบบที่เราเรียนกันตั้งแตประถมอะนะ เชน ขาว แปงมัน สําปะหลัง เปนตน แตตอนนี้เราจะมาเรียนรูโครงสรางกันหนอยนะ เนื่องจากแปงเปนพอลิแซ็กคาไรดที่ใหญมาก จึงประกอบ ดวยพอลิแซ็กคาไรดยอยๆ อีก 2 ชนิด ไดแก ก.อะไมโลส (Amylose) อะไมโลส เปนพอลิแซ็กคาไรดชนิดหนึ่ง มีหนวยยอยๆเปนกลูโคส มีลักษณะเปนเสนตรง เปนองคประกอบของแปงประมาณ 20% ทดสอบกับสารละลายไอโอดีนไดสีนํ้าเงิน
ข. อะไมโลเพกติน (Amylopectin) อะไมโลเพกติน เปนพอลิแซ็กคาไรดสว นใหญของแปง คือประมาณ 80% มีหนวยยอยเปนกลูโคสเหมือนกับอะไมโลสแหละ แต วามันเปนโครงสรางทีต่ อ กับอะไมโลสแลวเปนกิง่ แยกยอยออกมา ทดสอบกับสารละลายไอโอดีนไดสนี าํ้ ตาลแดง ทําใหโครงสราง ของแปงเปนโครงสรางแบบกิ่งนะนองๆ
การยอยสลายแปง การยอยสลาย (Hydrolysis) ของแปง ทําไดหลายวิธี เชน เติมกรด นํ้าลาย (มีเอนไซมยอยอยู) ยีสต ตมใหรอน เปนตน และเนื่องจากแปงมีขนาดโมเลกุลใหญมาก การสลายตัวเลยไมไดกลูโคสในตอนแรก แตจะเปนลําดับยอยสลายลงมา เรื่อยๆ ดังนี้ แปง เด็กซตริน มอลโทส กลูโคส 2) ไกลโคเจน (glycogen) ไกลโคเจน เปนคารโบไฮเดรตที่สะสมในเซลลของสัตว มักจะพบในตับและกลามเนื้อไกลโคเจนมีลักษณะเปนโซกิ่ง แต มีขนาดและมวลโมเลกุลมากกวา อะไมโลเพกตินมีหนวยยอยเปนกลูโคสเชนกัน
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
29
3) เซลลูโลส (cellulose) เซลลูโลส เปนคารโบไฮเดรตที่พบมากที่สุดในโลกเลยนะนองๆ เพราะวามันเปนสวนประกอบของผนังเซลล (cell wall) ของสาหรายสีเขียวและพืช เซลลูโลสมีพอลิเมอรของกลูโคสโครงสรางเปนเสนตรง และเซลลูโลสเปนโครงสรางทีแ่ ข็งแรงมาก ในชีวิตประจําวันของเราก็มีการใชประโยชนจากเซลลูโลสเยอะนะ เชน สําลี กระดาษทิชชู ฝาย เปนตน
เซลลูโลสทําหนาที่เปนโครงสรางของพืช เมื่อยอยสลายเซลลูโลสจะได Disaccharides ที่มีชื่อวา “เซลโลไบโอส” ซึ่ง เปนไอโซเมอรของมอลโทส และถายอยตอไปอีกก็จะไดกลูโคส การทดสอบคารโบไฮเดรต กอนอืน่ เราตองรูก อ นวา “การทดสอบ” คืออะไร และทําไปเพือ่ อะไร เพราะวาอีกสามหัวขอทีต่ อ จากนีเ้ ราก็จะตองเรียน เรื่องการทดสอบ พี่เลยขออธิบายความหมายและจุดประสงคไปกอนดีไหม? นองๆ จะไดเขาใจกันวาเราเรียนทําไม ถาสมมติวานองเขาไปทําแล็ปในหองแล็ป มีสารใสอยูในบีกเกอรหลายใบ เรามองแลวก็ดูเหมือนๆ กัน ไมตางกัน ไมสามารถ แยกแยะออกไดวาคือสารอะไร เพราะฉะนั้นเราจึงตองเรียนวิธีการทดสอบดวยวิธีตางๆ เพื่อจะไดสรุปวาสารที่อยูในบีกเกอร ตางๆ คืออะไร นองๆ จะสังเกตเห็นไดวาจริงๆ แลวหนวยยอยที่สุดของคารโบไฮเดรตก็คือ นํ้าตาล นั่นเอง เพราะฉะนั้นเราก็ ตองรูวิธีการทดสอบนํ้าตาล เราจะใช “สารละลายเบเนดิกต” ในการทดสอบนํ้าตาล โดยไมใชวานํ้าตาลทุกชนิดจะทดสอบได แตพี่อยากใหนองจํา ไวแคตัวเดียวที่ทดสอบกับเบเนดิกตไมได คือ ซูโครสหรือนํ้าตาลทรายนั่นเอง สวนสาเหตุพี่ขออธิบายสั้นๆ งายๆ วา ซูโครสมัน
30
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
ไมมีหมู Aldehyde group ที่ใชในการเกิดปฏิกิริยากับสารละลายเบเนดิกตเหมือนกับตัวอื่น เลยทําใหทดสอบไมได แลวเราจะรูไดอยางไรวาสารในบีกเกอรของเรามันเปนสารละลายนํ้าตาล?? หลังจากที่นําสารนั้นมาตมกับเบเนดิกต (สารสีฟา) แลว สารละลายในบีกเกอรจะมีตะกอนสีแดงอิฐ เกิดขึ้น
สมการที่เห็นขางบนนี้ นองไมตองจํานะ รูแควาถาสารที่เราทดสอบเปลี่ยนสีสารละลายเบเนดิกตจากสีฟาเปนตะกอน สีแดงอิฐ ก็แสดงวาสารนั้นเปนนํ้าตาล โจทยตัวอยาง พิจารณาขอมูลของสาร A B และ C ตอไปนี้ สาร
แหลงที่พบ
A
โครงสราง
การละลายนํ้า
ในคนและสัตว
โซกิ่ง
ไมละลาย
B
ในพืชเทานั้น
สายยาว
ไมละลาย
C
ในพืชที่เปนเมล็ดและหัว
โซตรงและโซกิ่ง
ละลายนํ้าไดเล็กนอย
สาร A B และ C นาจะเปนสารอะไร ตัวเลือก
A
B
C
1
ไกลโคเจน
เซลลูโลส
แปง
2
เซลลูโลส
ไกลโคเจน
แปง
3
ไกลโคเจน
แปง
เซลลูโลส
4
แปง
เซลลูโลส
ไกลโคเจน
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
31
ตอบขออะไรนองๆ?? เฉลยก็คือ ..... ขอ 1. มาดูวิธีการคิดกันนะ พี่เลือกดู B กอน เขาบอกวามีแตในพืชเทานั้น ก็แสดงวาตองเปน “เซลลูโลส” เพราะเซลลูโลสเปนสวน ประกอบของผนังเซลลของพืช ซึ่งมาดูที่ตัวเลือก B เปนเซลลูโลสก็มี 2 ขอ เหลือสาร A และ C ที่ตองคิด ซึ่งนองจะเลือกดู จากอะไรก็ได พีว่ า ก็พอๆ กัน เชน สาร A เขาบอกวาพบในคนและสัตว พีก่ ค็ ดิ วาตองเปน “ไกลโคเจน” แนเลย เพราะวาไกลโคเจน เปนคารโบไฮเดรตที่สะสมในกลามเนื้อและตับของคนและสัตว และสาร B ก็ตองเปนแปง ซึ่งอาจจะดูไดจากพบในพืชที่เปนหัว และเมล็ด 2. โปรตีน (Protein) เปนสารชีวโมเลกุลที่มีมวลโมเลกุลมาก ประกอบดวยธาตุ C H O N เปนหลัก โดยหนวยที่เล็กที่สุดของโปรตีนคือ “กรด อะมิโน (Amino acid)” หมายความวาโปรตีนเปนพอลิเมอรของกรดอะมิโนนัน่ เองนะนองๆ นอกจากนีโ้ ปรตีนก็เปนแหลงพลังงาน ของรางกายเชนกันกับคารโบไฮเดรต และโปรตีน 1 กรัมใหพลังงาน 4 กิโลแคลอรี เหมือนกับคารโบไฮเดรต กรดอะมิโนคืออะไร?? คําถามที่ตามมาของนองๆใชไหม กรดอะมิโนก็คือ กรดอินทรียชนิดหนึ่ง ที่มีหมูคารบอกซิล (-COOH) กับ อะมิโน (-NH2) เกาะอยูที่คารบอนเดียวกัน ( -amino อานวา แอลฟาอะมิโน) ดังรูป
R หมูอะมิโน
H2N
C
หมูโซขาง
COOH
หมูคารบอกซิล
H
โดยพืน้ ฐานของกรดอะมิโน ก็คอื จะมีหมูค ารบอกซิลและหมูอ ะมิโนเกาะทีค่ ารบอนเดียวกัน ( -amino) แบบนีน้ ะ แตวา ที่ ทําใหกรดอะมิโนแตกตางกันก็คือ หมูโซขางที่จะเขามาเกาะนั่นเอง รูปดานลางนี้เปนชื่อและโครงสรางของกรดอะมิโนมาตรฐานนะ ทําไมถึงตองมีคําวา “มาตรฐาน” นั่นก็เปนเพราะวามี กรดที่มีสมบัติตางๆ เหมือนกรดอะมิโน คือ มีหมูคารบอกซิลและหมูอะมิโนเกาะอยูที่คารบอนเดียวกัน ( -amino) แตไมไดเปน สวนประกอบของโปรตีนแตในระดับเรารูเทานี้ก็พอแลว ใครอยากรูเพิ่มไปลองหาอานไดนะ ดังนั้นเราจะเรียกกรดอะมิโนที่เปน สวนประกอบของโปรตีนวา “กรดอะมิโนมาตรฐาน” นองๆ ไมตองจําโครงสรางของมัน อานชื่อใหพอคุนหูคุนตาก็พอแลว
32
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
ที่มา : www.proteinsynthesis.org 2.1 กรดอะมิโนจําเปน (Essential Amino Acid: EAA) คือ กรดอะมิโนที่รางกายไมสามารถสังเคราะหขึ้นเองได ตองรับจากภายนอก ไดแก เมไทโอนิน ทรีโอนิน ไลซีน เวลีน ลิวซีน ไอโซลิวซีน ฟนิลอะลานีน ทริปโตเฟน ฮิทิดีน (สําหรับในเด็กทารกมี อารจีนีน เพิ่มดวย) และถาโปรตีนที่เรารับประทานเขาไป มีกรดอะมิโนจําเปนครบ เราจะเรียกวา “โปรตีนสมบูรณ (complete proteins)” เชน เนื้อ ปลา เปด ไก ไข นม แตถาโปรตีนที่มี EAA ไมครบเราจะเรียกวา “โปรตีนไมสมบูรณ (incomplete proteins)” เชน พืชตระกูลถั่ว ธัญพืช เปนตน 2.2 พันธะเพปไทด (peptide bond) พันธะเพปไทด ก็คือ พันธะที่เชื่อมระหวางกรดอะมิโนตั้งแต 2 โมเลกุลขึ้นไป ตอกันไปเรื่อยๆ จนเปนพอลิเมอรของกรดอะมิโน ซึ่งก็คือ โปรตีน นั่นเอง
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
33
จากรูป นองๆเห็นไหมวา มีกรดอะมิโนอยู 2 โมเลกุล (ดานบน) มันจะมาตอกันดวยพันธะเพปไทด มันตองมีการสูญเสีย นํ้า (H2O) ออกไป 1 โมเลกุล จึงจะเกิดพันธะเพปไทดได ขอสังเกตจากรูปนะนองๆ อันนี้พี่เสริมใหนะ คือ เนื่องจากกรดอะมิโนมันมีปลาย 2 ฝง ก็คือ ปลาย –COOH (เราเรียก วา C-terminus) และปลาย –NH2 (เราเรียกวา N-terminus) การสูญเสียนํ้า (H2O) จะมีการดึง OH ออกจาก C-terminus และ ดึง H ออกจาก N-terminus เมื่อมารวมกันก็จะไดนํ้า (H2O) 1 โมเลกุล พอดีและตอจากนี้นองๆ ก็คงดูตําแหนงของพันธะ เพปไทดเปนแลวใชไหม?? ซึ่งก็คือตําแหนง –CO-NH- งั้นเราลองมาดูตัวอยางโมเลกุลของโปรตีน และใหนองๆ ลองแยกออก มาใหเปนกรดอะมิโนยอยๆ โดยการตัดที่ตําแหนงพันธะเพปไทดนะ
H2 N
O C
H3C
N H
C O
H N
O CH3 OH C NH C H H O
นองลองมาคอยๆ ตัดทีต่ าํ แหนงพันธะเพปไทด (-CO-NH-) ดูซวิ า โมเลกุลโปรตีนทีเ่ ห็นนีป้ ระกอบดวยกรดอะมิโนยอยๆ กีโ่ มเลกุล
H2 N H3C
O C
N H
C O
H N
O CH3 OH C NH C H H O
จากรูปที่พี่ตัดใหดูนี้ นองๆก็จะเห็นไดวาโมเลกุลโปรตีนที่ใหไปนั้น ประกอบไปดวยกรดอะมิโนยอยๆ 4 โมเลกุล (เททระเพปไทด) 2.2.1 การเรียกชื่อพอลิเพปไทด เนื่องจากโปรตีนก็คือกรดอะมิโนที่มาเรียงตอกันดวยพันธะเพปไทด โปรตีนบางตัวก็อาจจะมีกรดอะมิโนมาตอกันเพียงสอง โมเลกุล โปรตีนบางตัวก็อาจจะมีกรดอะมิโนมาตอกัน 3 4 5 … โมเลกุล ใชไหม? ทีนี้เราจะเรียกชื่อมันยังไงละ? สมมติพี่ให แทนสัญลักษณของกรดอะมิโน และแทนพันธะเพปไทดแลวกันนะถามีกรดอะมิโน 2 โมเลกุล เชื่อมกันดวยพันธะเพปไทด เรา เรียกวา ไดเพปไทด
ไตรเพปไทด เททระเพปไทด
34
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
นองๆ หลายคนมักจะงงกับจุดนี้ เพราะวา การอานมันจะขึ้นตนดวย จํานวนที่เปนภาษาละตินและกรีก (โมโน ได ไตร เททระ...) และตามดวยคําวา “เพปไทด” ซึ่งถานองลองยอนกลับไปดูรูป Sense มันมักจะบอกวา มันบอกจํานวนพันธะเพปไทด ใชไหม? เชน เททระเพปไทดมนั มี 3 พันธะเพปไทด มันก็นา จะชือ่ วา “ไตรเพปไทด” แตจริงๆ ไมใชนะ จํานวนทีร่ ะบุนนั้ เปนจํานวน ของกรดอะมิโนเลย เพราะฉะนั้น มีกรดอะมิโน 4 โมเลกุล ก็ชื่อวา “เททระเพปไทด” เลย ระวังดีๆนะ!!
ตัวอยางขอสอบ
H
O
H
H
O
N
C
C
N
C
C
H
H
H
N
จํานวนพันธะเพปไทด
O
C
C
HH C H
จากรูป มีพันธะเพปไทดกี่พันธะ มีกรดอะมิโนกี่โมเลกุล และมีกรดอะมิโนกี่ชนิด ตัวเลือก
H
H
กรดอะมิโน (โมเลกุล)
กรดอะมิโน (ชนิด)
1
2
2
3
2
2
3
2
3
3
3
3
4
3
4
2
เฉลย ถานองลองวงกลมตัดที่พันธะเพปไทด จะไดรูปอยางที่พี่วงนี้นะ ซึ่งมีพันธะเพปไทด 2 พันธะ มีกรดอะมิโน 3 โมเลกุล แตมีกรด อะมิโนเพียง 2 ชนิด เพราะโมเลกุลแรกและโมเลกุลที่สอง เปนกรดอะมิโนชนิดเดียวกัน
H
O
H
H
O
N
C
C
N
C
C
H
H
H
N
H
O
C
C
HH C H H
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
35
2.3 โครงสรางของโปรตีน โครงสรางปฐมภูมิ (Primary structure)
โครงสรางปฐมภูมิก็คือโครงสรางที่งายๆมีกรดอะมิโนมา เรียงตอกันเปนสายยาวๆ อาจจะมีพันธะที่เกิดขึ้นระหวาง กรดอะมิโนดวยกันเองนอกเหนือจากพันธะเพปไทดได เชน พั น ธะไดซั ล ไฟด ที่ เ กิ ด ระหว า งกรดอะมิ โ นซิ ส เทอี น (Cysteine)
ที่มา : http://imgarcade.com/1/collagen-primary-structure/ โครงสรางทุติยภูมิ (Secondary structure) ประกอบดวย 2 ลักษณะ ไดแกเกลียวแอลฟาและแบบจีบเบตา
ที่มา : https://lebiochemblog.wordpress.com/2013/02/25/amino-acids-proteins-p2/
เปนเสนออนนุม เชน Fibrin พบเปนโครงสรางหลักในเคอราทิน โครงสรางตติยภูมิ (Tertiary structure) เกิดจากโครงสรางแบบเกลียวแอลฟา แตสวนที่ ไมใชเกลียวแอลฟา มวนตัวเขาหากันเพราะมีแรง ยึดเหนี่ยวออนๆ โครงสรางแบบนี้จะมีลักษณะ จําเพาะขึ้นอยูกับการเรียงตัวของกรดอะมิโนและ พรอมที่จะทําหนาที่ตางๆ ในสิ่งมีชีวิต ที่มา: http://kvhs.nbed.nb.ca/gallant/biology/tertiary_structure.jpg\
36
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
โครงสรางจตุรภูมิ (Quaternary structure) เกิดจากการรวมตัวของหนวยยอยชนิดเดียวกัน หรือตางชนิดกันของโครงสรางแบบตติยภูมิ โดยอาจจะรวมตัวเปนโปรตีนกอนกลมหรือ โปรตีนเสนใย ที่มา : https://lebiochemblog.wordpress.com/2013/02/25/amino-acids-proteins-p2/ 2.4 การทดสอบโปรตีน เชนเดียวกับการทดสอบคารโบไฮเดรตนะนองๆ โปรตีนเราก็ตองรูวิธีการทดสอบเชนกันนะ โดยการทดสอบโปรตีนเรา จะใช “สารละลาย CuSO4ในสารละลายเบส NaOH” ซึ่งมีสีฟาโดยเมื่อทดสอบแลวถามีโปรตีนจะไดสีมวง - ชมพู วิธีการนี้เรา เรียกวา “การทดสอบไบยูเร็ต” ซึ่งการทดสอบนี้ก็มีขอจํากัดนะ คือ ทดสอบไดแตโปรตีนที่มีพันธะเพปไทดตั้งแต 2 พันธะขึ้นไป (ไตรเพปไทดขึ้นไป) ดังนั้นการทดสอบไบยูเร็ตนี้จึงไมสามารถใชทดสอบกรดอะมิโนได
จากรูปดานบนนี้ สารสีมวง – ชมพู ที่ไดจากการทดสอบโปรตีน ก็เปนเพราะวาเปนสีของสารเชิงซอนของ Cu นั่นเอง คําถามตอมานองคงสงสัยวาแลวถาเราอยากจะทดสอบกรดอะมิโนจะทําไง?? มันก็มีอีกวิธีหนึ่งที่ใชในการทดสอบกรดอะมิโน นั่นก็คือ เราจะใชสารนินไฮดริน ในการทดสอบ โดยถามีกรดอะมิโน จะไดสีมวงในการทดสอบดวยนินไฮดริน 2.5 การเสียสภาพโปรตีน (Protein Denaturation) กอนอื่นนองตองเขาใจหลักการของ “การเสียสภาพ” กอนนะ คือ การเสียสภาพของโปรตีน มันตางจากการไฮโดรไลส (Hydrolyse) เพราะการไฮโดรไลสคือการสลายพันธะไปเลย ซึ่งสําหรับโปรตีนก็คือการสลายพันธะเพปไทด แตถาเปนการไฮ โดรไลสของคารโบไฮเดรตก็จะเปนการสลายพันธะไกลโคซิดกิ ทีเ่ ชือ่ มระหวางโมเลกุลของนํา้ ตาลโมเลกุลเดีย่ ว แตการเสียสภาพ ของโปรตีนคือการที่โปรตีนสูญเสียสภาพโครงสรางจตุรภูมิ ตติยภูมิ ทุติยภูมิ มาเปน ปฐมภูมิ กลาวคือ พันธะเพปไทดยังคงอยู แตสภาพการทํางานของโปรตีนนั้นๆ อาจจะเสียสภาพไป งั้นเรามาดูปจจัยที่ทําใหโปรตีนเสียสภาพกัน มีดังนี้ 1) ความรอน 2) สารละลายกรด 3) สารละลายเบส 4) แอลกอฮอล 5) โลหะหนัก
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
37
2.6 ประเภทและหนาที่ของโปรตีน ประเภท
หนาที่
ตัวอยางของโปรตีน
เอนไซม
- ยอยสลายซูโครส - ยอยสลายโปรตีน
- ซูเครส - ทริปซิน
โครงสราง
- สรางเอ็นและกระดูกออน - สรางผม ขน และผิวหนัง
- คอลลาเจน - เคราติน
ลําเลียงสาร
- ลําเลียงออกซิเจน
- ฮีโมโกลบิน
ฮอรโมน
- เพิ่มประสิทธิภาพการเผาผลาญกลูโคสใน รางกาย - ทําใหรางกายเจริญเติบโตไดปกติ
- อินซูลิน
- ภูมิคุมกัน
- อิมมูโนโกลบูลิน
แอนติบอดี
- ฮอรโมนเจริญเติบโต (Growth Hormone)
จริงๆ แลวประเภทและหนาที่ตางๆ ของโปรตีนยังมีอีกเยอะแยะเลยนะ แตพี่เลือกที่สําคัญๆ มาใหนองดูกันนะ 2.7 คุณคาทางชีววิทยา คุณคาทางชีววิทยา คือ โปรตีนจากแหลงอาหารที่รางกายสามารถนําไปใชสรางเนื้อเยื่อได เชน ไข มีคุณคาทาง ชีววิทยา 100 แสดงวา ไข มีแหลงโปรตีนที่รางกายสามารถนําไปสรางเนื้อเยื่อได 100% เราลองมาดูตารางคุณคาทาง ชีววิทยากันนะ โปรตีนจากแหลงอาหาร
คุณคาทางชีววิทยา
ไข
100
นมวัว
93
เนื้อสัตวและปลา
75
ขาว
86
ขาวโพด
72
ถั่วลิสง
56
ขาวสาลี
44
ที่มา : หนังสือสาระการเรียนรูพื้นฐานสารและสมบัติของสาร
38
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
3. ลิพิด (Lipid) ลิพิด คืออะไร? ลิพิดก็คือ ไขมัน (Fat) หรือนํ้ามัน (Oil) ฟอสโฟลิพิด (Phospholipid) ไข (Wax) และสารสเตียรอยด (Steroid) นั่นเอง นองหลายคนอาจจะสงสัยวาไขมันและนํ้ามัน ตางกันอยางไร? เดี๋ยวบทนี้เราจะมาเฉลยคําตอบแลวกันนะ 3.1 ไขมันและนํ้ามัน (Fat and Oil)
ที่เกิดปฏิกิริยาเอส ไขมันและนํ้ามัน มีสวนประกอบที่เหมือนกันก็คือ เปนสารประเภทเอสเทอร (Ester) เทอริฟเคชัน (Esterification) จากกลีเซอรอลและกรดไขมัน นองหลายคนอาจจะงงกับยอหนานี้.... อะไรคือเอสเทอร? และ เอสเทอริฟเคชัน มันคืออะไรเนี่ย? เอาเปนวาพี่จะอธิบายคราวๆ นะ ในทางเคมีอินทรียเรามีการศึกษาปฏิกิริยาหลายๆ อยาง แตปฏิกิริยาที่สําคัญปฏิกิริยาหนึ่ง เรียกวา “ปฏิกิริยาเอส เทอริฟเคชัน (Esterification)” เปนปฏิกิริยาที่เกิดจาก การนําสารที่เปนแอลกอฮอล (Alcohol) มาทําปฏิกิริยากับ สารที่เปนก รดอินทรียหรือเรียกวา กรดคารบอกซิลิก (Carboxylic acid) โดยมีตัวเรงปฏิกิริยาเปนกรดแก จะทําใหเกิดสารประเภทหนึ่ง ขึ้น เราเรียกวาสารประเภท “เอสเทอร (Ester)” อันนี้เปนหลักการคราวๆ นะ ซึ่งเราลองกลับมาดูที่รูปดานบนของเรากันนะ จะเห็นไดวาแอลกอฮอลที่นํามาทําปฏิกิริยานี้คือ กลีเซอรอล (Glycerol) มาทําปฏิกิริยากับกรดไขมัน ซึ่งก็คือกรดอินทรีย นั่นเอง มีตัวเรงและความรอน ทําใหไดไขมันและนํ้ามันออกมาเปนผลิตภัณฑทางดานขวา ซึ่งไขมันและนํ้ามันก็คือสารประ เภทเอสเทอรนั่นเองหรือบางทีเรามักเรียกไขมันหรือนํ้ามันวา “ไตรกลีเซอไรด (Triglyceride)” คํานี้นองนาจะเคยคุนๆหูบาง เนอะ เพราะฉะนั้นตอไปนี้หากไดยินคํานี้อีก ก็ใหเขาใจวาเปนไขมันและนํ้ามันแลวกัน ทีนี้สิ่งที่ตามมาก็คือ แลวอะไรละที่เปนตัวแบงแยกวาปฏิกิริยาไหนจะเกิดไขมัน และปฏิกิริยาไหนจะเกิดนํ้ามัน? คํา ตอบก็คือ กรดไขมัน นั่นเอง แลวจะดูไดยังไงละ? เราลองมาดูกันในหัวขอถัดไปนะ 3.2 กรดไขมันอิ่มตัวและกรดไขมันไมอิ่มตัว (Saturated and Unsaturated Fatty Acid) สิ่งที่จะบอกเราไดวาผลิตภัณฑของเราที่ไดหลังเกิดปฏิกิริยาสะปอนนิฟเคชัน วาจะไดไขมัน หรือ นํ้ามัน ขึ้นอยูกับกรด ไขมัน เพราะเราสามารถแบงกรดไขมันออกเปน 2 ชนิด ดังนี้ 1) กรดไขมันอิ่มตัว (Saturated Fatty Acid) กรดไขมันอิ่มตัว คือ กรดไขมันที่ไมมีพันธะคูอยูภายในโครงสรางโมเลกุลเลย มีแตพันธะเดี่ยว (Single bond) ที่เรา
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
39
เรียกวาอิ่มตัว เพราะวาโครงสรางของมันอิ่มตัวไปดวยไฮโดรเจน (H) ไมสามารถเติมอะไรลงไปไดอีก มีสูตรเคมีเปน CnH2n+1COOHเพราะฉะนั้นเวลามันเกิดปฏิกิริยากับกลีเซอรอล จะได “ไขมัน (Fat)” ซึ่งจะมีลักษณะเปนของแข็งที่อุณหภูมิ หอง เชน พวกไขมันสัตว เปนตน 2) กรดไขมันไมอิ่มตัว (Unsaturated Fatty Acid) กรดไขมันไมอิ่มตัว คือ กรดไขมันที่มีพันธะคูอยางนอย 1 ตําแหนงในโครงสราง ทําใหโครงสรางไมไดอิ่มตัวดวย ไฮโดรเจน (H) เวลาเกิดปฏิกิริยากับกลีเซอรอลก็จะได “นํ้ามัน” ซึ่งมีลักษณะเปนของเหลวที่อุณหภูมิหอง เชน นํ้ามันพืช เปนตน หมูฟงกชันของ กรดไขมัน พันธะคูนี้ ไมนับนะนองๆ
ที่มา : vichakarn.triamudom.ac.th
ลองมาดูรูปนี้ นองๆ จะเห็นวาถาเปนโครงสรางที่อิ่มตัว โครงสรางจะเปนเสนตรง ดูคอนขางหนาแนน แตถาเปนโครงสราง ไขมันที่ไมอิ่มตัว ตําแหนงที่เปนพันธะคูจะทําใหเกิดมุมงอมุมบิดในโครงสราง ทําใหโครงสรางไมหนาแนนนะ ดังนั้นหลักการจํางายๆ ก็คือ ถาโครงสรางมันหนาแนน (อิ่มตัว) เวลาเกิดปฏิกิริยา ผลิตภัณฑที่ไดจะเปนของแข็ง (ไข มัน) แตถาเปนโครงสรางที่ไมหนาแนน (ไมอิ่มตัว) จะไดผลิตภัณฑที่เปนของเหลว (นํ้ามัน) นองๆ ควรจะรูจักกรดไขมันอิ่มตัวและไมอิ่มตัวไวบางนะ ดูจากตารางขางลางนี้ กรดไขมันอิ่มตัว
40
กรดไขมันไมอิ่มตัว
ลอริก (C11H23COOH)
โอเลอิก (C17H33COOH)
ไมรีสติก (C13H27COOH)
ไลโนเลอิก (C17H31COOH)
ปาลมิติก (C15H31COOH)
ไลโนเลนิก (C17H29COOH)
สเตียริก (C17H35COOH)
กรดไขมันจําเปน
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
สาเหตุที่ไลโนเลอิกและไลโนเลนิก เปนกรดไขมันจําเปนเพราะวารางกายไมสามารถสังเคราะหขึ้นมาไดเอง จึงตองรับมาจาก อาหาร 3.3 การทดสอบความอิ่มตัวของกรดไขมัน ก็เหมือนกับหัวขอที่ผานมา เราตองรูวิธีการทดสอบ สําหรับการทดสอบความอิ่มตัวของกรดไขมัน ไมยากเลย แตวาพี่ ยํ้ากับนองๆ ทุกคนนะวา หัวขอนี้ออกขอสอบทุกป ยํ้า!! ออกทุกป ปละ 1-2 ขอ เพราะฉะนั้นนองๆ ตองเรียนรูอยางตั้งใจ และทําความเขาใจ และเดี๋ยวทายบทเราลองมาดูขอสอบดวยกัน วิธีการที่เราใชทดสอบความอิ่มตัวของกรดไขมัน ที่เราเรียนในชั้น ม.ปลายนี้ จะบอกไดแควาอะไรอิ่มตัวหรือไมอิ่มตัว มากกวากัน คือเปนแคการเปรียบเทียบความอิ่มตัวของกรดไขมันตั้งแต 2 ชนิดขึ้นไป แตเราไมสามารถบอกไดวาอิ่มตัวหรือไม อิ่มตัวมากนอยขนาดไหนนะอานแลวอาจจะงง ไวลองไปดูตัวอยางดวยกันนาจะเขาใจขึ้น สําหรับวิธีที่เราใช และเปนวิธีงายๆ คือ การทดสอบดวยการหยดนํ้าคลอรีน (Cl2) นํ้าโบรมีน (Br2) หรืออาจจะเปน สารละลายไอโอดีน (I2) ก็ได (ใชสารประกอบของธาตุหมู VIIA เพราะมีสมบัติรับอิเล็กตรอนไดดี) โดยพวกสารประกอบหมู VIIA นี้ มีสมบัติที่เห็นไดชัดคือมันเปนสารที่มีสี เชน คลอรีนมีสีเขียวเหลือง โบรมีนมีสีนํ้าตาล ไอโอดีนมีสีมวง เมื่อหยดสาร พวกนี้ลงไปในสารละลายกรดไขมันที่เตรียมไว มันจะถูกฟอกจางสี (สีของสารจะหายไป) เนื่องจากเกิดปฏิกิริยาการแทนที่ หรือปฏิกิริยาการเติมกับสารละลายกรดไขมัน (ไมตองซีเรียสเรื่องชื่อของปฏิกิริยานะ) ซึ่งเราจะดูความอิ่มตัว-ไมอิ่มตัวไดจาก จํานวนหยดที่เราหยดสารประกอบหมู VIIA จนกวาสารละลายกรดไขมันจะไมสามารถฟอกจางสีได พูดงายๆ ก็คือ เราจะนับ จํานวนหยดที่เราหยดพวกสารประกอบหมู VIIA ไปเรื่อยๆ จนกวาสีมันจะไมจางหายไปนั่นเองโดยถาจํานวนหยดที่หยดลงไป จนกวาสีจะไมหายเปนจํานวนมาก หมายความวา กรดไขมันนั้นมีความไมอิ่มตัวมากในทางกลับกันถาจํานวนหยดที่หยดลงไป จนกวาสีจะไมหาย เปนจํานวนนอย หมายความวา กรดไขมันนั้นมีความอิ่มตัวมาก หยดมาก หยดนอย
ไมอิ่มตัว อิ่มตัว
3.4 สมบัติตางๆ ของกรดไขมัน 1. กรดไขมันที่เสถียรมักจะมี C เปนเลขคู สวนใหญพบ C 16 อะตอม และ C 18 อะตอม 2. ในกรณีที่มีจํานวนคารบอนเทากัน ไขมันจะมีจุดเดือดสูงกวานํ้ามัน เพราะกรดไขมันอิ่มตัวจะมีมวลโมเลกุลสูงกวา และมีรูป รางที่มีความหนาแนนสูง จึงทําใหมีจุดเดือดสูงกวา 3. ในกรณีที่มีจํานวนคารบอนเทากัน การเผาไหมนํ้ามันจะเกิดเขมามากกวาไขมัน 4. ไขมันและนํ้ามันจะละลายในตัวทําละลายอินทรีย เพราะเปนสารที่ไมมีขั้ว 5. การเหม็นหืน นํ้ามันจะเหม็นหืนไดงายกวาไขมัน เพราะการเหม็นหืนเกิดจาก O2 ในอากาศเขาทําปฏิกิริยากับตําแหนง พันธะคู ไดแอลดีไฮด และกรดไขมันเล็กๆ ซึ่งเหม็นหืน ** ในปจจุบัน นํ้ามันพืช มักเติมสาร BHA BHT หรือวิตามิน E ทําใหไมเหม็นหืน 6. ในรางกายของคนและสัตว มีกรดไขมันอิ่มตัวเปนสวนมาก 7. หากรับประทานไขมันอิ่มตัวมากๆ อาจจะสงผลใหเปนโรคเสนเลือดหัวใจอุดตัน
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
41
ตัวอยางขอสอบ ตาราง ปริมาณกรดไขมันชนิดตางๆ ในนํ้ามันบางชนิด
นํ้ามัน
รอยละของกรดไขมัน C17H31C O2H
C17H29C O2H
4.3
2.3
0.0
26.0
8.0
7.9
0.0
17.6
40.3
2.1
32.1
1.4
10.5
3.4
26.0
46.9
6.1
C11H23C O2H
C13H27C O2H
C15H31C C17H35C O2H O2H
A
43.8
23.4
13.6
9.6
B
22.7
11.5
19.0
C
0.0
0.0
D
0.0
0.0
C17H33C O2H
จากขอมูลในตาราง นํ้ามันชนิดใดฟอกจางสีนํ้าโบรมีนใหหายไปไดมากที่สุด ................? เฉลย นํ้ามันชนิด D เพราะวา มีความไมอิ่มตัวสูงที่สุด โดยดูจากรอยละของกรดไขมันที่มันมี เนื่องจากนองๆ รูวา สูตรเคมีของกรดไขมันที่อิ่มตัวคือ CnH2n+1COOH จะเห็นไดวากรดไขมันที่ไมอิ่มตัวก็จะมี C17H33CO2H C17H31CO2H C17H29CO2H ใชไหม? และนํ้ามันชนิด D ก็มีรอยละของกรดไขมันพวกนี้สูงที่สุด ก็เลยตองใชนํ้าโบรมีนในการ ฟอกสีมากที่สุด 3.6 การทดสอบไขมันและนํ้ามัน อันนี้ตางจากการทดสอบความอิ่มตัวนะ โดยการทดสอบไขมันและนํ้ามันนั้นงายมากๆ เพียงแตทดสอบดวยกระดาษ หากเปนไขมันและนํ้ามันจะทําใหกระดาษที่ทดสอบโปรงแสง 3.7 สบูและผงซักฟอก นองรูห รือไมวา สบูแ ละผงซักฟอกหรือผลิตภัณฑทาํ ความสะอาดเกือบทุกชนิด ทํามาจากอะไร? แนนอนวาพีเ่ อามาสอน ในหัวขอนี้ นองก็คงตอบไดแลววา..... สบูและผงซักฟอกมันมีที่มาจากลิพิดแนนอน เฉลยนะ สบูและผงซักฟอกที่เราใชกันอยู ทุกวันทํามาจากไขมันหรือนํ้ามัน ขึ้นอยูกับประเภท ชนิด ของผลิตภัณฑ เพราะฉะนั้นในหัวขอนี้เราก็จะมาดูโครงสรางและหลัก การทํางานของผลิตภัณฑทําความสะอาดที่เราใชกันทุกๆ วัน
สบู/ผงซักฟอก ไขมัน (Triglyceride)
42
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
กลีเซอรอล
เกลือโซเดียมคารบอกซิเลต
ดูจากสมการดานบนนี้นะ สบูและผงซักฟอกทั่วๆ ไปเปน เกลือของกรดไขมัน นองคงจะงงวา “อาว สบูที่เราใชทุกวัน เปนเกลือหรอเนี่ย?” อาๆ มาดูสมการกันกอนแลวกัน เริ่มจากเรามีไขมันซึ่งก็คือ ไตรกลีเซอไรด ทําปฏิกิริยากับเบสแก (ในที่นี้ คือโซเดียมไฮดรอกไซด : NaOH) ตมใหรอน เราจะไดผลิตภัณฑเปนสบู ซึ่งเปนเกลือของกรดไขมัน 3 โมล (หนวยของการวัด ปริมาณสาร) และไดกลีเซอรอลออกมาดวย โดยสวนมากเบสที่เรานํามาใชตมก็มักจะเปนโซเดียมไฮดรอกไซด (NaOH) หรือ โซดาไฟ หรืออาจจะใชโพแทสเซียมไฮดรอกไซด (KOH) หรือดางคลี ก็ได 3.7.1 สบูกอน VS. สบูเหลว นองๆ เคยสงสัยไหมวา.... สบูก อ นและสบูเ หลวตางกันอยางไร หรือมีวธิ กี ารผลิตตางกันอยางไร ..... จริงๆ แลวกรรมวิธี ไมแตกตางกันเลยนะ ก็ใชสมการเมื่อกี้นี้แหละ แตถาตองการสบูกอน เราจะใชไตรกลีเซอไรดที่เปน “ไขมัน (Fat)” จําไดไหม.. ไขมัน พี่สอนไปแลววามันเปนของแข็ง เพราะโครงสรางมันหนาแนน (ถาลืมกลับไปอานใหมเลยนะ) สวนถาเปนสบูเหลวจะใช “นํ้ามัน (Oil)” เพราะโครงสรางไมหนาแนน เวลาไดเปนสบูออกมาก็จะไดสบูเหลวนั่นเอง 3.7.2 การทํางานของสบูและผงซักฟอก สบูและผงซักฟอกมันทําความสะอาด รางกายและเสื้อผาของเราไดอยางไร? เราลองมาดูที่โครงสรางของสบูกันกอน แลวกัน
จากรูป นองจะเห็นโครงสรางของ สบู ซึ่งเราจะแบงเปน 2 สวน คือ สวนหัวที่ มีขั้ว (polar head) และสวนหางที่ไมมีขั้ว (nonpolar tail) ซึ่งลักษณะที่โครงสรางของ มันมีทั้ง สวนที่มีขั้วและไมมีขั้ว จึงทําใหมัน สามารถทําความสะอาดสิ่งสกปรกได
ขัว้ ในทีน่ หี้ มายถึง ขัว้ ของโมเลกุล ซึง่ เปนสภาพทางไฟฟานะ นองไมตอ งซีเรียสมาก เอาเปนวา Na+ เปนหัวของโครงสราง เราจะเห็นวา Na+ มีประจุบวกอยู นัน่ แหละ เราเรียกวามันมีขวั้ สวนหางทีไ่ มมขี วั้ ก็จะเปนสวนทีเ่ ปนไฮโดรคารบอน (สารประกอบ ที่มีแต H และ C) ของกรดไขมัน สวนนี้จะไมมีขั้วนะ ทีนี้ความพิเศษมันอยูตรงที่ อะไรก็ตามที่มีขั้วมันจะละลายไดในสารที่มีขั้ว และอะไรก็ตามที่ไมมีขั้วจะละลายไดในสารที่ ไมมีขั้ว เราเรียกหลักการนี้วา “like dissolve like” โดยสบูเนี่ยมันมีสวนที่มีขั้วและไมมีขั้วอยูภายในโมเลกุลเดียวกัน เลยทําให มันละลายนํ้าได (นํ้ามีขั้ว) และสามารถดึงคราบไขมัน (ไขมันไมมีขั้ว) ออกจากรางกายได
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
43
เวลาเราอาบนํ้า สบูมันจะละลายนํ้า และอยูในรูป “ไมเซลล (micelle)” ดังรูปดานขวานี้ นองจะเห็นคําวา “Hydrophillic head” ซึ่งมันก็คืออันเดียวกับคําวา “polar head” คือมันเปน สวนที่ชอบนํ้า ซึ่งคําวา (phil แปลวา ชอบ) ดังนั้นมันก็จะหัน หัวออกไปในนํ้า ทําใหสบูสามารถละลายนํ้าได สวนหางที่หันไป รวมกันดานใน “Hydrophobictail” (pho แปลวา ไมชอบ) คืออัน เดียวกับ “nonpolar tail” มันเปนสวนที่ไมชอบนํ้า หรือสวนที่ ไมมีขั้ว มันก็จะหันตัวเองหนีนํ้า ซึ่งทําใหสามารถไปดึงเอาพวก คราบสกปรก คราบไขมันออกมาได (ไขมันไมมีขั้ว ก็จะละลาย อยูในสวน nonpolar tail) 3.7.3 ทําไมนํ้ากระดางทําใหสบูหมดประสิทธิภาพ? นองๆ คงจะรูจ กั “นํา้ ออน” และ “นํา้ กระดาง” กันตัง้ แตสมัย ม.ตน แลวใชปะ ลืมกันไปหรือยัง งัน้ พีจ่ ะทวนใหนดิ หนอย แลวกันนะ แตกอนเราเรียนกันมาวา “นํ้ากระดาง” คือนํ้าที่ทําใหสบูไมมีฟอง แตมา ม.ปลาย แลว เราตองรูเพิ่มขึ้น ก็คือการที่มัน ทําใหสบูไมเกิดฟอง เปนเพราะวามันไปทําใหสบูหมดประสิทธิภาพการทําความสะอาด โดยการไปทําใหสบูตกตะกอน แตไมใช ตะกอนแบบกอนหินนะ แตมันจะเปนตะกอนเบา ที่เราเรียกวา “ไคลสบู” คลายเปนคราบโดยที่นํ้ากระดางมันจะมี Mg2+ , Ca2+ งั้นเราลองมาดูสมการกันดีกวา
2C17H35COOH + Ca2+ สบู
C H COOH Ca + Na+ 17 35 สบูที่ถูกแทนที่ดวย Ca2+ มีลักษณะเปนของแข็ง
3.7.4 ผงซักฟอก โครงสรางของผงซักฟอกก็คลายๆสบูแตตางกันตรงที่ Polar Head
44
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
ผงซักฟอกมีหลายชนิด ดังนี้
โครงสรางที่ 1 : เปนโซตรง จุลินทรียสามารถยอยสลายไดทั้งหมด กอใหเกิดปญหาสิ่งแวดลอมนอย โครงสรางที่ 2 : เปนโซกิ่งและมีวงเบนซีน จุลินทรียสามารถยอยสลายไดเปนสวนใหญ กอใหเกิด ปญหาสิ่งแวดลอม โครงสรางที่ 3 : เปนโซกิ่งมากและมีวงเบนซีน จุลินทรียไมสามารถยอยสลายได กอใหเกิดปญหา สิ่งแวดลอม 3.7.5ปญหาของผงซักฟอก 1. โครงสรางบางชนิดสลายตัวไดยาก ทําใหเกิดปญหาตอสิ่งแวดลอม 2. ในผงซักฟอกมีสารประกอบพวกฟอสเฟต (PO43-) จากสาร Na5P3O10 (โซเดียมไตรฟอสิฟอสเฟต) ซึ่งเปนสารชวย ทําความสะอาด และลดความกระดางของนํ้า สารนี้จะทําใหพืชเจริญเติบโตไดดี เพราะเหมือนเราเติมปุย P ใหพืช และเมื่อพืช เหลานี้ตายลงตองยอยสลายดวย O2 ทําใหนํ้ามี O2 ไมเพียงพอทําใหเกิดปญหานํ้าเนาได 3.7.6 การทดสอบฟอสเฟต การตรวจสอบฟอสเฟตทําไดโดยเติมสารละลายแอมโมเนียมโมลิบเดต (NH4)2MoO4ลงไปในนํ้าตัวอยาง ถานํ้านั้นมีฟอสเฟตจะ ไดตะกอนสีเหลือง ลองดูสมการนิดนึงแลวกันนะ
3NH4+ + 12MoO42- + PO43- + 24H+
(NH4)3PO4 12MoO3 + 12H2O
นอกจากไขมันและนํ้ามันที่เรารูแลววาคือลิพิดแลว ยังมีสารอีกหลายชนิดที่ก็เปนชนิดหนึ่งของลิพิดดวย แตในชั้น ม.ปลาย พี่จะขอพูดถึงแค ฟอสโฟลิพิด ไข และสเตียรอยด นะ 3.8 ฟอสโฟลิพิด (Phospholipid) ฟอสโฟลิพิด คือ ไตรกลีเซอไรด (ไขมันหรือนํ้ามัน) ที่ถูกแทนที่ดวยฟอสเฟต (PO43-) 1 ตําแหนง โดยสวนของกรดไขมัน ก็จะเปนสวนที่ไมมีขั้ว (nonpolar tail) ซึ่งไมชอบนํ้าในขณะที่ฟอสเฟต (PO43-) เปนโมเลกุลที่มีขั้ว เพราะฉะนั้นก็จะเปน (polar head) ซึ่งชอบนํ้า อานแลวก็คลายๆกับเรื่องสบูเลยใชไหม? หลักการคลายๆกัน เราลองมาดูโครงสรางกันกอน
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
45
อันนี้เปนโครงสรางของ ไตรกลีเซอไรด หรือไขมัน ที่เรารูจักกัน จะเห็นไดวามีกลีเซอรอล 1 โมเลกุล และมีกรด ไขมัน 3 โมเลกุลมาเกาะ
ถาเปนฟอสโฟลิพิด ก็จะเปนฟอสเฟต มาเกาะแทนที่กรดไขมันไป 1 ตําแหนง
ที่มา:http://homepage.smc.edu/wissmann_paul/anatomy2textbook/phospholipids.html
46
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
เราจะพบฟอสโฟลิพิดอยูที่เยื่อหุมเซลล (Cell membrane) โดยเปนโครงสรางที่หันสวนที่มีขั้ว (polar head) ออกไป สองฝง (ฝงในเซลลและนอกเซลล) และหันสวนที่ไมมีขั้ว (nonpolar tail) เขาหากัน นอกจากเยื่อหุมเซลลแลวยังพบไดที่ เซลลประสาท อีกดวย 3.9 ไข (Waxes) ไข คือ ไขมันชนิดหนึ่ง แตเปนไขมันที่เกิดจากกรดไขมันที่มีโซยาว (C14– C30) และแอลกอฮอลที่มีโซยาว (C16– C30) ตัวอยาง ไข เชน ขี้ผึ้ง
C15H31COOH + C30H61OH
C15H31COOC30H61 + H2O
3.10 สเตียรอยด (Steroids) สเตียรอยด คือ ลิพิดที่ไมมีกลีเซอรอล และกรดไขมัน มีโครงสรางเปนวง สเตียรอยด จะมีโครงสรางหลักๆ ที่ เหมือนๆ กันก็คอื รูปนีน้ ะ เราเรียกวา “สเตีย รอยด นิวเคลียส (steroid nucleus)” สวนสิง่ ที่ทําใหสารส เตียรอยดตางกันก็คือหมูที่จะ มาเกาะที่ตําแหนงตางๆ ของสเตียรอยด นิวเคลียส
ที่มา: http://cnx.org/resources/4e1c51290fa732e94a25cbdf7bf159df/Figure_09_01_08.jpg
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
47
จากแผนภาพสเตียรอยดนี้ นองก็จะเห็นวาสารสเตียรอยดมีเยอะมาก แตหลักๆ ก็จะมีสเตียรอยด นิวเคลียสเหมือนกัน และ ตางกันที่หมูที่มาเกาะ ก็จะทําใหชื่อและหนาที่มันเปลี่ยนไปแลว ที่เอามาใหดูนั้นเปนฮอรโมนในรางกายมนุษย จริงๆยังมีสารส เตียรอยดอีกเยอะแยะ ใครอยากรูเพิ่มเติมไปคนเพิ่มได 4. กรดนิวคลิอิก (Nucleic Acid) นองคงรูจักกับ “กรดนิวคลิอิก” แลวนะ เพราะเรียนมาในชีวะ ตั้งแต ม.4 แลว และเราจะเอามาเรียนในเคมีดวย เพื่อ เปนการตอกยํา้ แตการเรียนในวิชาเคมีไมไดละเอียดเทากับในชีวะนะ เราเนนเฉพาะลักษณะทัว่ ๆ ไป อยางทีน่ อ งๆ รูก รดนิวคลิอกิ เปนกรดที่เปนสวนประกอบของสารพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต กรดนิวคลิอิกมี 2 ชนิด ก็คือ 1) DNA (Deoxyribonucleic Acid) 2) RNA (Ribonucleic Acid) DNA เปนรหัสพันธุกรรมในรางกายที่ควบคุมลักษณะตางๆ บนรางกายเรา มันก็จะมีอยูทุกๆ เซลลอะนะ สวน RNA ก็ จะมีอีกหลายประเภท ซึ่งนองๆ เรียนมาในชีวะ (สําหรับเด็กสายวิทย) สําหรับขอสอบ O-Net ก็ไมไดออกยากขนาดนั้น งายๆ ก็ คือ RNA ทําหนาเกี่ยวกับการสังเคราะหโปรตีนเพื่อนํามาใชประโยชนในเซลลและรางกายของเรา
4.1 DNA (Deoxyribonucleic acid) รูปทางดานขวามือนี้ก็คือหนาตาของ DNA ที่เปนสาร พันธุกรรมของรางกายสิ่งมีชีวิตก็จะมีลักษณะเปน เกลียวบันไดเวียนขวา และนองเห็นราวบันไดทีเ่ ปนเม็ด กลมๆ สีฟาและสีแดงไหม และเห็นขั้นบันไดแตละขั้น ไหมพีใ่ หนอ งทายวามันคืออะไร….? เดีย๋ วอานไปเรือ่ ยๆ นองก็จะรูคําตอบเอง
ที่มา : www.astrochem.org 4.1.1 โครงสรางและองคประกอบของ DNA DNA มีหนวยยอยๆ (มอนอเมอร) เปน “นิวคลีโอไทด (nucleotide)” เพราะฉะนั้นเวลามันเปนสายยาวๆ ก็คือมันเปนพอลิเมอรของนิวคลีโอไทด เพราะฉะนั้นเราก็อาจจะเรียกวา “พอลินิวคลีโอไทด (polynucleotide)” งั้นเรา มาดูโครงสรางของนิวคลีโอไทด ก็จะรูโครงสรางของ DNA โครงสรางพืน้ ฐานของนิวคลีโอไทดกจ็ ะเปนแบบรูปดานขวานีก้ ค็ อื มีเบส (base), นํา้ ตาลดีออกซีไรโบส (deoxyribose sugar) และฟอสเฟต (phosphate) แตนอ ง ก็คงจะรูมาจากชีวะแลววา นิวคลีโอไทดมี 4 แบบ ซึง่ ตัวที่ทําใหตางกันก็คอื เบส (ไนโตรจีนสั เบส) ทีม่ าเกาะนัน่ เองทีม่ ี A (adenine) , T (thymine) , G (guanine) ,และ C (cytosine) แตหลักๆก็คือ นํ้าตาลดีออกซีไรโบส และฟอสเฟตก็เหมือนกันนะ
48
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
ที่มา : http://www.bio.miami.edu/tom/courses/protected/MCB6/ch02/2-17.jpg
หมายเหตุ Uracil เปนเบสที่พบใน RNA โดยทําหนาที่แทน Thymine ที่อยูใน DNA 4.1.2 เบสคูสม (complementary base) และโครงสรางแบบเกลียวของ DNA จริงๆ แลวตอนแรกๆ ที่นักวิทยาศาสตรศึกษา DNA เขาไมรูหรอกวา DNA มีลักษณะเปนเกลียวคูอยางที่เราเห็นในรูป แตเผอิญวามีนักวิทยาศาสตรคนนึงเขาตั้งขอสังเกตวาเบส A และ T มีสัดสวนเทาๆกัน และเบส G และ C ก็มีสัดสวนเทาๆ กัน ประกอบกับตอมานักวิทยาศาสตรอีกคนก็ไดใชเทคนิคการเลี้ยวเบนของรังสีเอ็กซ (ไมตองจําชื่อการทดลองนะ) ปรากฏวา พบวา DNA มันเรียงตัวเปนเกลียวคู เหมือนขั้นบันได โดยขั้นบันไดก็คือเบสคูสมกัน (complementary base) เกิดพันธะ ไฮโดรเจนกัน โดยเปน A จับกับ T ดวย 2 พันธะไฮโดรเจน และ C จับกับ G ดวย 3 พันธะไฮโดรเจนและบริเวณราวบันได (DNA Backbone) ก็คือ นํ้าตาลดีออกซีไรโบสและฟอสเฟต
ที่มา: http://legacy.owensboro.kctcs.edu/gcaplan/lab/Image173.gif
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
49
จากรูปนองก็คงเห็นและไดคําตอบที่พี่ถามไวตอนแรกแลว ถานองสนใจรายละเอียดตางๆ ของ DNA นองๆ ก็ไปเรียน ในชีวะหรือหาขอมูลเพิ่มเติม ในเคมีนองๆ เรียนเทานี้พอแลว 4.2 RNA (Ribonucleic acid) RNA ก็เปนอีกหนึ่งชนิดของกรดนิวคลีอิก ทําหนาที่เกี่ยวกับการสังเคราะหโปรตีนที่ใชในรางกายและเซลล โครงสราง คลายกับ DNA มาก แตตางกันที่ “นํ้าตาล” เพราะ RNA เปนนํ้าตาลไรโบส
ที่มา : http://classconnection.s3.amazonaws.com/1527/flashcards/610287/jpg/picture123.jpg
นองเห็นความแตกตางไหม ที่ตําแหนงที่ 2 ถาเปนนํ้าตาลไรโบส ก็จะมี –OH แตถาเปน นํ้าตาลดีออกซีไรโบสก็คือ เอา O (oxygen) ออก ไป มันเลยชื่อวา Deoxy- ไง เพราะ De แปลวา “ไมม”ี oxy ก็คอื oxygen รวมกันก็เลยแปลวา “ไมมี ออกซิเจน” สําหรับสวนประกอบอื่นๆ ทั้งไนโตรจีนัส เบส (Nitrogenous base) และฟอสเฟต (Phosphate) ที่มาเกาะนํ้าตาลก็เหมือนๆกับ DNA แตตางกันที่ใน RNA ไมมีเบส T (Thymine) แตมี U (Uracil) แทนนะ โครงสรางของ RNA จะเปนเสนเดียว ธรรมดาๆ (single strand) มันจะไมเปนเกลียวคู เหมือนกับ DNA ซึ่งก็คือ สัดสวนของคูเบสจะไม สัมพันธกนั (แตถา นองไปเรียนในมหาลัยอาจจะเจอ RNA ที่เปนเกลียวได ในบางกรณีเพื่อประโยชน ของกระบวนการในเซลล แตสวนมากมันก็จะเปน สายเดี่ยวนะ)
50
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
ที่มา : http://images.tutorvista.com/cms/ images/81/dna-and-rna.png
จากรูป เปนการเปรียบเทียบระหวาง RNA และ DNA จะเห็นวา RNA มันไมเปนเกลียวเหมือน DNA และก็ไมมีเบส T แตมี U แทน สําหรับนองทีเ่ รียนสายวิทย นองก็จะไดเรียนวา RNA มีหลายชนิด ไดแก rRNA mRNA tRNA แตสาํ หรับใน O-NET เอาเทานี้พอ ถาอยากรูเพิ่มเติมลองไปสืบคนไดนะ ตัวอยางขอสอบ ขอความใดตอไปนี้ถูกตอง ก. ไตรกลีเซอไรด 1 โมเลกุล ประกอบดวย กรดไขมัน 1 โมเลกุลและกลีเซอรอล 3 โมเลกุล ข. พันธะเพปไทดพบไดในโมเลกุลของโปรตีน ค. สารชีวโมเลกุล เปนสารที่มีคารบอนและไฮโดรเจนเปนหลัก พบไดทั้งในสิ่งมีชีวิตและไมมีชีวิต ง. ปุยฝายเกิดจากกลูโคสมาเชื่อมตอกันเปนสายยาว 1. ก และ ข 3. ข และ ง
2. ข และ ค 4. ค และ ง
เฉลย ขอ..... 3. เรามาดูทีละตัวเลือกเลยแลวกันนะ ขอ ก. ผิด เพราะวา ไตรกีเซอไรด ประกอบดวยกลีเซอรอล 1 โมเลกุลและกรดไขมัน 3 โมเลกุล ขอ ค. ผิด เพราะ สารชีวโมเลกุล พบไดในสิ่งมีชีวิตเทานั้น ตัวอยางขอสอบ กําหนดสาย DNA มาให จงหาลําดับเบสที่เปนคูสมกับสายดังกลาว 3’ G A T G T C A 5’ 1. 5’ T G A C A T C 3’ 2. 5’ C A T C A G T 3. 5’ C T A C A G T 3’ 4. 5’ T G A G T A C 3’ เฉลย ขอ 3. กอนอื่นนองๆ ตองจําไดกอนวาเบสตัวไหนคูกับตัวไหน ซึ่งก็คือ A คูกับ T และ G คูกับ C สวนที่มีเขียนวา 3’ และ 5’ ก็คือเปนตัวเลขกํากับวาปลายนั้นคือปลายอะไรนะ ไมตองสนใจอะไร
นองๆ สามารถศึกษาเพิ่มเติมไดที่
Tag : สอนศาสตร เคมี เคมีอินทรีย สารชีวโมเลกุล กรด กรดนิวคลีอีก ไขมัน คารโบไฮเดรต โปรตีน
• 15 : เคมีอินทรีย 2 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch2-1
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
51
• 17 : โปรตีนและคารโบไฮเดรต http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch2-2 • 18 : ไขมันและกรดนิวคลีอิก http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch2-3
• สอนศาสตร เคมี ม.ปลาย : เคมีอินทรีย http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch2-4
• สารชีวโมเลกุล ตอนที่ 1 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch2-5
• สารชีวโมเลกุล ตอนที่ 2 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch2-6
• สารชีวโมเลกุล ตอนที่ 3 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch2-7
• เคมีอินทรีย ตอนที่ 1 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch2-8
• เคมีอินทรีย ตอนที่ 2 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch2-9
• เคมีอินทรีย ตอนที่ 3 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch2-10
52
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
บทที่ 3
ธาตุและสารประกอบ
Introduction
สําหรับบทนี้ “ธาตุและสารประกอบ” เปนบทที่เรียกไดวาเปนความรูรอบตัวทางดานเคมีก็วาได เพราะมันเปนอะไรที่ คอนขางประยุกต เราตองอาศัยความจําและความเขาใจชวยกันจึงจะทําขอสอบในบทนีไ้ ด บทนีน้ อ งๆ จะเจออะไร? เราผานบท ที่ 1 มาแลว ไดรูจักกับตารางธาตุ และพี่ก็ไดเกริ่นๆ ไปนิดนึงแลววาธาตุในตารางธาตุมันมีความสัมพันธกัน โดยที่ธาตุในหมู เดียวกันจะมีสมบัตทิ คี่ ลายๆ กัน ในบทนีเ้ ราก็จะมาเรียนกันวาธาตุในแตละหมูท วี่ า มีสมบัตคิ ลายกัน มันมีสมบัตอิ ยางไร นอกจาก เรือ่ งตารางธาตุแลวพีก่ จ็ ะเสริมเรือ่ ง “พันธะเคมีเบือ้ งตน” ใหดว ย จริงๆแลวในเคมีพนื้ ฐานมันไมไดเรียน แตวา ขอสอบมันออก มาถามนิดหนอย ดังนั้นเราจึงตองรูไว อีกเรื่องหลักๆก็คือเรื่องครึ่งชีวิตของธาตุกัมมันตรังสี ซึ่งมีการคํานวณนิดหนอย ไมยาก มาก พี่บอกแลวนะวาบทนี้ตองใชทั้งความจําและความเขาใจ ก็ขอใหนองๆ ทําใจสบายๆ บทนี้ไมยาก งั้นเราก็มาเริ่มเรียนกัน เลย
Outlines
1. สมบัติตามหมูของตารางธาตุ 2. ตําแหนงของธาตุไฮโดรเจนในตารางธาตุ 3. พันธะเคมีเบื้องตน (Chemical bond) 4. เลขออกซิเดชัน (oxidation number) 5. แนวโนมตามตารางธาตุเบื้องตน 6. ธาตุกัมมันตรังสี
1. สมบัติตามหมูของตารางธาตุ กอนที่เราจะเริ่มเรียนกันในหัวขอนี้ นองๆ ตองไปทบทวนเนื้อหาเบื้องตนเกี่ยวกับตารางธาตุกอนนะ ใครจําไมไดก็ไป อานทบทวนไดที่บทที่ 1 พี่เคยบอกไปแลววาธาตุที่อยูในหมูเดียวกันในตารางธาตุจะมีสมบัติคลายๆ กัน ในหัวขอนี้เราก็จะมาเรียนรูกันวาที่วา มันคลายกัน สมบัติอะไรของมันที่คลายกัน และจะทําใหตอไปเวลาเราเจอโจทยที่บรรยายสมบัติของธาตุมา และใหเราตอบวา มันคือธาตุอะไรหรืออยูห มูอ ะไร เราก็จะใชความรูต รงนีไ้ ปตอบ และก็ถงึ แมพจี่ ะเปนคนที่ไมคอ ยใหนอ งๆ เรียนโดยทองจํา พีจ่ ะ เนนความเขาใจ แตวาเนื้อหาสวนนี้หลีกเลี่ยงไมไดจริงๆ ที่ตองจําบาง แตพี่จะพยายามอธิบายเหตุผลประกอบใหนองๆ เขาใจ
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
53
ทีนี้ทําความเขาใจกอนนะ จริงๆ พี่ก็เคยพูดไปแลวในบทที่ 1 แตขอยํ้าอีกทีแลวกันนะ “ธาตุในหมูเดียวกันจะมีสมบัติ คลายกัน” หมายถึงเฉพาะธาตุในหมู A เทานั้น ถาดูในรูปตารางธาตุดานบนนี้ ก็คือสวนที่แรเงานั่นเอง สวนพวกธาตุหมู B หรือ โลหะแทรนซิชัน (Transition metal) ในหมูเดียวกันจะไมคอยคลายกันงั้นเรามาเริ่มเรียนทีละหมูไปเลยนะนองๆ 1.1 สมบัติธาตุหมู IA (Alkali metal) 1. เปนของแข็งชนิดออนสามารถใชมีดตัดได นําความรอนและไฟฟาไดดี 2. หมู IA เปนหมูที่มีความเปนโลหะมากที่สุดเมื่อเทียบในคาบเดียวกัน 3. มีความหนาแนนตํ่า (Li Na K ลอยนํ้าได) 4. มีขนาดอะตอมใหญที่สุดเมื่อเทียบในคาบเดียวกัน 5. มีคาพลังงานไอออไนเซชันลําดับที่ 1 ตํ่าที่สุดเมื่อเทียบในคาบเดียวกัน ทําใหเสียอิเล็กตรอนไดงาย หรือเรียกวา เปน“ตัวรีดิวซ” ที่ดี จึงเปนไอออนบวก (cation) 6. ธาตุหมู IA เมื่อรวมตัวกับธาตุอโลหะเกิดพันธะไอออนิก โดยธาตุหมู IA มีเลขออกซิเดชัน (ประจุ) +1 เสมอ 7. ธาตุหมู IA มีความวองไวในการเกิดปฏิกิริยามาก เชน ทําปฏิกิริยากับนํ้าแลวระเบิด 8. เมื่อหลอมเหลวหรือละลายนํ้าสามารถนําไฟฟาได 9. มีจุดเดือดจุดหลอมเหลวสูงมาก เพราะเปนการทําลายพันธะไอออนิก ประโยชนของธาตุหมู IA 1. Cs ใชทําโฟโตเซลลที่เปลี่ยนสัญญาณแสงไปเปนสัญญาณไฟฟา เพราะ Cs เมื่อถูกแสงสามารถเสียอิเล็กตรอนไดงายกวา โลหะอื่นในหมู IA 2. Na และ K ทําหนาที่ถายเทความรอนจากเตาปฏิกรณปรมาณูเพราะ Na นําไฟฟาและความรอนไดดี และราคาถูก 3. Na+ และ K+ มีสวนชวยในกระบวนการตางๆ ในรางกาย เชนระบบกลามเนื้อ 4. ไอออนหมู IA ใชปรุงอาหารได เชน NaCl (เกลือแกง) , KCl 1.2 ธาตุหมู IIA (Alkaline Earth metal) มักพบในดิน 1. สารประกอบหมู IIA เปนสารประกอบไอออนิกยกเวนสารประกอบของ Be เชน BeCl2 เปนสารประกอบโคเวเลนต เพราะ คา IE และ EN มีคาสูงเนื่องจากอิเล็กตรอนบรรจุเต็ม ทําใหมีความเสถียรมาก จึงเสียอิเล็กตรอนไดยาก 2. มีจุดเดือดจุดหลอมเหลวสูงเพราะเปนสารประกอบไอออนิก
54
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
3. เมื่อหลอมเหลวหรือละลายนํ้าสามารถนําไฟฟาได แตนอยกวาหมู IA 4. ทุกธาตุเปนของแข็ง มีความหนาแนนมากกวาหมู 1 ไมสามารถใชมีดตัดได ประโยชนของธาตุหมู IIA 1. Mg ใชทําไสหลอดไฟในแฟลชของกลองถายรูป เพราะเมื่อลุกไหมจะเกิดแสงสวาง 2. โลหะผสมระหวาง Mg และ Al ใชทําสวนประกอบของเครื่องบินเพราะนํ้าหนักเบา 3. Ca และ Mg ใชเปนตัวรีดิวซในการเตรียมโลหะบริสุทธิ์เชนการเตรียมไทเทเนียม (Ti) 4. CaSO4 (แคลเซียมซัลเฟต)ใชทําแผนยิบซัม, Mg(OH)2 (แมกนีเซียมไฮดรอกไซด) ใชในยาสีฟนและยาลดกรดใน กระเพาะอาหาร 5. โลหะผสมระหวาง Be และ Cu ใชทําสวนประกอบของเรือเดินทะเล เพราะทนตอนํ้าทะเล 1.3 ธาตุหมู VIIA (Halogen)
1.
สาร
สถานะ
สี
F2
แกส
เหลือง
Cl2
แกส
เขียว
Br2
ของเหลว
นํ้าตาลแดง
I2
ของแข็ง
มวง
2. ธาตุแฮโลเจนทุกชนิดเปนพิษ หากทําการทดลองจะตองใชตูดูดควัน 3. เปนอโลหะไมนําไฟฟา 4. มีจุดเดือดจุดหลอมเหลวตํ่า เพราะเปนการทําลายแรงลอนดอนเทานั้น ไมไดทําลายพันธะ (อานเพิ่มไดในหัวขอพันธะเคมี เบื้องตน) 5. มีคา IE (Ionization Energy: พลังงานที่ทําใหเสียอิเล็กตรอน) EN (Electronegativity : คาความสามารถในการรับอิเล็กตรอน) สูงจึงรับอิเล็กตรอนไดงาย เปนไอออนลบ (anion) 6. ธาตุหมู VIIA มีเลขออกซิเดชันไดหลายคา เชน KClO , KClO2 , KClO3 , KClO4 โดยที่ Cl มีเลขออกซิเดชัน -1 -3 -5 -7 ตาม ลําดับ (ถานองงงกับคําวา “เลขออกซิเดชัน” ใหขามไปอานเรื่องเลขออกซิเดชัน กอนก็ไดนะ) ปฏิกิริยารีดิวส / ออกซิไดส ของธาตุภายในหมู VIIA เรือ่ งทีส่ าํ คัญของธาตุหมู VIIA หรือธาตุฮาโลเจน คือปฏิกริ ยิ าการรีดวิ ส/ออกซิไดส (ปฏิกริ ยิ าทีม่ กี ารถายเทของอิเล็กตรอน พูดงายๆ ก็คอื ปฏิกริ ยิ าทีส่ ารตัวหนึง่ ทําหนาทีใ่ หอเิ ล็กตรอน และอีกตัวทําหนาทีร่ บั อิเล็กตรอน) ของธาตุภายในหมู VIIA ซึง่ เรือ่ ง นี้ออกขอสอบบอย พี่เลยอยากใหนองๆ ทําความเขาใจใหดีๆ
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
55
สาร
สี
F2
เหลือง
Cl2
เขียว
Br2
นํ้าตาลแดง
I2
มวง
พี่อยากใหนองๆ ทุกคนจําสีของโมเลกุลของธาตุหมู VIIA ไวหนอย อันนี้จําเปนจริงๆ และพี่ยํ้านิดนึง สีที่พี่ให จําพวกนี้ มันเปนสีของโมเลกุล คําวาโมเลกุลก็คือเปน สารประกอบ (ในทีนี้คือเปนสารประกอบที่มี 2 อะตอม) ไมใช ธาตุหรือไอออน เพราะธาตุมี 1 อะตอม เชน F Cl อันนี้คือ ธาตุ สวนถาเปนไอออนก็เชน F- Cl-เปนตน
F Cl Br I
ทางดานขวามือนี้ สมมติวาคือหมู VIIA ในตารางธาตุ พี่อยาก ใหนองๆ จําวา “ธาตุดานบนชิงอิเล็กตรอนไดเกงกวาตัวลาง” ลําดับความเกงก็จะลดหลั่นตามลูกศรลงมา ก็คือ
F ชิงอิเล็กตรอนไดดีกวา Cl Br I Cl ชิงอิเล็กตรอนไดดีกวา Br I Br ชิงอิเล็กตรอนไดดีกวา I
พูดอยางนี้นองคงไมเห็นภาพ พี่จะอธิบายดวยสมการ และนองก็ลองสังเกตวาหลักการมันก็แลวกันเชน
KBr + Cl2 ไมมีสี
สีเขียว
Br2 + KCl สีนํ้าตาล แดง
ไมมีสี
ถาดูจากสมการนี้ สมมติเรามีนํ้าคลอรีน (Cl2) สีเขียวอยูในหลอดทดลอง และตอมาเราก็นํา KBr (เปนตัวแทนของ Brไมจําเปนตองเปน KBr อาจจะเปน NaBr ก็ได ขอแคเปน Br-) มาเติม ก็จะเกิดการถายเทอิเล็กตรอนกัน ไดเปนนํ้าโบรมีน (Br2) ซึ่งมีสีนํ้าตาลแดง ก็คือวาสีเขียวมันจะหายไป แตเปลี่ยนเปนสีนํ้าตาลแดงแทน การนําไปใชก็คือ เวลาเราทําแล็ปเนี่ย เราไมรู หรอกวาสารที่เรามีคือสารอะไร จริงไหม? เราจะใชการสังเกตสีเดิม และสีที่เปลี่ยนไป เปนเฉลยวาสารที่เรามีคืออะไร เพราะ ฉะนั้นพี่เลยใหนองจําสีไง เพื่อเสริมความเขาใจเพิ่มขึ้น ที่พี่บอกไปแลววา “ธาตุดานบนชิงอิเล็กตรอนไดเกงกวาตัวลาง”เราตองมาขยายความ นิดนึง จริงๆ แลวมันคือ “สารประกอบของธาตุที่อยูดานบน ชิงอิเล็กตรอน จากไอออนที่อยูลางมันไดดีกวา” นองลองดูจาก สมการก็ได สารประกอบของธาตุที่อยูดานบน ก็คือ Cl2ชิงอิเล็กตรอนของไอออนที่อยูลาง ก็คือ Br- (โบรไมดไอออน) ไดดีกวา มันเลยทําใหเกิดปฏิกิริยาได งั้นเราลองดูตัวอยางปฏิกิริยาที่เกิดไมไดบาง
NaCl + I2 ไมมีสี สีมวง
56
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
ปฏิกิริยาดังภาพนี้ ไมเกิดปฏิกิริยา เพราะอะไร? ก็เพราะวา สารประกอบของธาตุหมู VIIA ในปฏิกิริยานี้คือ I2 (ไอโอดีน) ซึ่ง มันอยูตํ่ากวา Cl- อยางนี้ก็ไมสามารถเกิดปฏิกิริยาได สมมติเปนสารที่เราไมรูวาคือสารอะไร (unknown) ในทีนี้ก็บรรยายไดวา “เมื่อเติมสารละลายใส ไมมีสีลงไปในสารละลายสีมวง จะไมเกิดการเปลี่ยนแปลง) 1.4 แกสเฉื่อยหรือแกสมีตระกูล (inert gas or noble gas) 1. แกสเหลานี้ 1 โมเลกุล มี 1 อะตอม 2. แกสเหลานี้ไมทําปฏิกิริยากับธาตุอื่น เพราะมีความเสถียรแลว เนื่องจากอิเล็กตรอนวงนอกสุด (เวเลนซอิเล็กตรอน) ครบ 8 แลว ยกเวน He ที่มีเวเลนซอิเล็กตรอน เทากับ 2 ประโยชนของแกสเฉื่อย 1. He บรรจุในลูกบอลลูน แทน H2เพราะอาจเกิดระเบิดได 2. แกสเฉื่อยบรรจุในหลอดไฟจะทําใหไดแสงสีตางๆ 3. Ar ใชบรรจุหลอดไสธรรมดา แทนอากาศ เพราะ Ar ไมทําปฏิกิริยากับลวดรอน จึงทําใหมีอายุการใชงานยาวนาน 1.5 โลหะแทรนซิชัน (Transition metal) 1. ธาตุทรานซิชันมีความเปนโลหะนอยกวาธาตุหมู IA และ IIA 2. แข็ง มีจุดเดือด จุดหลอมเหลวและความหนาแนนสูง สูงกวาโลหะหมู IA และ IIA ในคาบเดียวกัน เพราะมีขนาดเล็ก จึงมี พันธะโลหะที่แข็งแรงกวา 3. ธาตุทรานซิชันมีสมบัติคลายกันในคาบมากกวาในหมู 4. นําไฟฟาและความรอนไดดี 5. สารประกอบของโลหะทรานซิชันมักมีสี 6. ธาตุทรานซิชันมีเลขออกซิเดชันไดหลายคา ยกเวน Ag+ , Zn2+ , Sc3+ เทานั้น 7. ขนาดอะตอมเล็กลงจากซายไปขวา แตใกลเคียงกันมาก เพราะอิเล็กตรอนไดเพิ่มขึ้นมานั้นไมไดเพิ่มที่ชั้นนอกสุดของ อะตอม แตเพิ่มในชั้นที่ถัดลงมา ทําใหเกิดการบดบังแรงดึงดูดระหวางโปรตอนและอิเล็กตรอนชั้นนอกสุดทําใหอะตอมไมได เล็กลงมากถึงแมโปรตอนจะเพิ่มก็ตาม 2. ตําแหนงของธาตุไฮโดรเจนในตารางธาตุ บางครั้งเราอาจจะเคยเห็นตารางธาตุแบบนี้ ใชไหมนองๆ H อยูตรงกลางและมีเสนประลากเชื่อมระหวางหมู IA และ VIIA เปนเพราะอะไรกันนะ เคยสงสัยกันไหม
ที่มา : http://www.maceducation.com/e-knowledge/2422210100/17_files/17-3.jpg
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
57
มันเปนเพราะวานักวิทยาศาสตรสรุปไมไดวา H ควรอยูหมูอะไรดี เพราะมันมีสมบัติที่คลายทั้งหมู IA และหมู VIIA เขาจึงใหมันอยูตรงกลางและลากเสนเชื่อมไว เรา ลองมาดูสมบัติที่มันคลายกันทั้งสองหมู จากตารางดานลางนี้นะ สมบัติ เวเลนซอิเล็กตรอน เลขออกซิเดชัน การนําไฟฟา
หมู IA
หมู VIIA
ไฮโดรเจน
1
7
1
+1
-1,+1,+3,+5,+7
+1 หรือ -1
นําไฟฟา
ไมนําไฟฟา
ไมนําไฟฟา
พลังงานไอออไนเซชัน ลําดับที่ 1
ตํ่า
สูง
สูง
อิเล็กโตรเนกาติวิตี
ตํ่า
สูง
คอนขางสูง
สถานะที่อุณหภูมิหอง ความเปนโลหะ – อโลหะ
ของแข็ง โลหะ
ของแข็ง ของเหลว แกส อโลหะ
แกส อโลหะ
3. พันธะเคมีเบื้องตน (Chemical bond) นองคงเคยไดยนิ คําวา “พันธะเคมี” ใชไหม เมือ่ ธาตุตงั้ แตสองอะตอมขึน้ ไปมาเกิดพันธะเคมีกนั ก็จะไดเปน “สารประกอบ (compound)” คําถามก็คือทําไมธาตุตางๆ ตองเกิดพันธะเคมี นั่นก็เปนเพราะวา ธาตุ มันไมเสถียร มันเลยตองเปลี่ยนแปลงนิด หนอย โดยการไปจับมือรวมกับธาตุอีกอะตอมนึงเพื่อใหมันเสถียรมากขึ้น และอะไรคือ “ความเสถียร” ความเสถียรพูดงายๆ ก็ ประมาณวา สามารถอยูในธรรมชาติได ความเสถียรของธาตุเราจะดูที่เวเลนซอิเล็กตรอน (อิเล็กตรอนวงนอกสุด) โดยธาตุที่ เสถียรจะมีเวเลนซอิเล็กตรอนเปน 8 (ตามกฎออกเตต) นองๆ ลองคิดถึงพวกแกสเฉื่อย หมู VIIIA เชน He Ne Ar พวกนี้มีเว เลนซอิเล็กตรอนวงนอกเปน 8 (เลยอยูหมู VIIIA) เราจะเรียกแกสพวกนี้วา แกสเฉื่อย (inert gas) หรือ แกสมีตระกูล (noble gas) ที่มันเฉื่อยก็เพราะวามันเสถียรแลว ไมตองดิ้นรนไปเกิดพันธะ หรือเกิดปฏิกิริยาอะไรใหเสถียรมากขึ้น ดังนั้นธาตุอื่นๆ ก็ เลยอยากเลียนแบบแกสเฉื่อย ก็จะพยายามใหเวเลนซอิเล็กตรอนของตนครบ 8 ใหได แตมันก็มีหลายวิธี และเราก็จะมาเรียน กันทุกวิธีเลย แบบคราวๆ ที่พี่บอกวามันมีหลายวิธีที่จะทําใหมีเวเลนซครบ 8 ซึ่งนั่นก็คือ พันธะชนิดตางๆ ไดแก พันธะโลหะ (metallic bond) พันธะไอออนิก (ionic bond) และพันธะโคเวเลนต (covalent bond) 3.1 พันธะโลหะ (Metallic bond) พันธะชนิดนีง้ า ยมาก พีก่ ข็ อพูดแคคราวๆ นะ พันธะโลหะนีก้ ค็ อื พันธะทีท่ าํ ใหอะตอมของธาตุทเี่ ปนโลหะ ยึดติดกัน เปน โครงสรางนองหลายคนชอบทองวา “พันธะชนิดนี้จะเกิดกับอะตอมของโลหะเทานั้น” เชน แผนเหล็ก (Fe) ก็จะประกอบดวย อะตอมของ Fe (iron) จํานวนมากมายมหาศาลมายึดเกาะกันดวยพันธะโลหะ ทําใหเปนแผนโลหะอยางที่เราเห็น
58
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
พั น ธะโลหะ ยึ ด เหนี่ ย วกั น ดวยแรงดึงดูดทางไฟฟาสถิต นองๆ จะเห็นวาที่อะตอมของโลหะมันเปน ไอออนบวก และก็ มี อิ เ ล็ ก ตรอน เคลือ่ นทีอ่ ยูร อบๆ ก็ทาํ ใหดงึ ดูดกันได
สมบัติของพันธะโลหะ - ตีเปนแผนได - ดึงเปนเสนได - นําความรอนไดดี - นําไฟฟาไดดีและนําไดทุกทิศทาง - มีความเงา
ลักษณะของโลหะที่ยึด ดวยพันธะโลหะ
ที่จริงสมบัติตางๆ ของโลหะนี้มีเหตุผลอธิบายได แตพี่ขอละไวแลวกัน หากนองอยากรู สามารถไปสืบคนเพิ่มเติมได 3.2 พันธะไอออนิก (Ionic bond) พันธะไอออนิกจะเกิดกับธาตุสองธาตุ (บางครั้งอาจจะเปนสองอนุมูลกลุม) โดยที่ธาตุหนึ่งเปนโลหะ อีกธาตุหนึ่งเปน อโลหะ ซึ่งพันธะชนิดนี้เปนแรงยึดเหนี่ยวทางไฟฟา โดยที่อะตอมของโลหะจะเสียอิเล็กตรอนออกไป กลายเปนไอออนบวก (Cation) และอะตอมของอโลหะจะรับอิเล็กตรอนเขาไป กลายเปนไอออนลบ (Anion) ทําใหมีทั้งไอออนบวกและลบอยูดวยกัน ก็เลยเกิดแรงดึงดูดทางไฟฟา (บวกกับลบดูดกัน) เราจะรูไดไงวาธาตุไหนจะเกิดเปนไอออนบวกหรือลบเทาใด? หลักการงายๆ ก็คือ เราตองจัดเรียงอิเล็กตรอนของธาตุ นัน้ ๆ ได และลองดูวา ตองเสียหรือรับอิเล็กตรอนเทาไหร เวเลนซมนั จึงเปน 8 (ตามกฎออกเตต) อานแลวอาจจะงง มาดูตวั อยาง ก็แลวกัน
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
59
เชน Na (Sodium) มีการจัดเรียงอิเล็กตรอนเปน 2 , 8, 1 ก็คือเวเลนซอิเล็กตรอนเปน 1 เราก็ลองคิดซิวาจะทําไงใหมันมีเวเลนซ เปน 8 ก็มี 2 วิธี ก็คือ รับอิเล็กตรอนเขาไป 7 ตัว หรือ เสียอิเล็กตรอนออกมา 1 ตัว นองก็คิดดูวาอะไรมันงายกวากัน.... นั่นก็ คือ..... เสียอิเล็กตรอน 1 ตัว พอมันเสียอิเล็กตรอน 1 ตัว มันก็จะเปน Na+ (Sodium Ion) จัดเรียงอิเล็กตรอนเปน 2 , 8 และ จากเมื่อกี้ที่พี่บอกวา โลหะมันจะเสียอิเล็กตรอน และอโลหะมันจะรับอิเล็กตรอน ก็สอดคลองกับตัวอยางนี้นะ ก็คือ Na เปน โลหะ มันก็จะเสียอิเล็กตรอน พี่ขอใช NaCl (เกลือแกง) เปนตัวอยางของสารประกอบไอออนิกแลวกันนะ พอเราได Na+ แลว อิเล็กตรอนที่มันหลุด ออกมา ก็จะวิ่งไปหา Cl (Chlorine atom) ที่มีการจัดเรียงอิเล็กตรอนเปน 2 , 8 , 7 พออิเล็กตรอนของ Na ที่หลุดมา วิ่งไปหา Cl ก็จะกลายเปน Cl- (Chloride) ก็จะมีการจัดเรียงอิเล็กตรอนเปน 2 , 8 , 8 นองก็จะเห็นไดวาตอนนี้ทั้ง Na+ และ Clตางก็มีเวเลนซเปน 8 แลว มันเสถียรแลว และเนื่องจาก Na+ เปนประจุบวก ก็จะเกิดแรงดึงดูดกับ Cl- ซึ่งมีประจุลบ ก็เลยทําให มันอยูดวยกันได
ที่มา : taksreview.wikispaces.com
และถาเปน Mg ที่มีการจัดเรียงอิเล็กตรอนเปน 2 , 8 , 2 ละนองจะทําไง? ก็มาดูวา Mg ทําไงใหมันมีเวเลนซเปน 8 .... นั่นก็คือ เสียอิเล็กตรอนออกไป 2 ตัว และถามันจะเกิดพันธะไอออนิกกับ F ที่มีการจัดเรียงอิเล็กตรอนเปน 2 , 7 ทําไง?.... เนื่องจาก F 1 อะตอม ถาจะใหมันมีเวเลนซครบ 8 ก็แครับอิเล็กตรอนเขาไปอีก 1 ตัว เปน F- แตอันนี้ Mg มันเสียอิเล็กตรอน มาแลว 2 ตัว แต F ตองการแค 1 อิเล็กตรอน ทําไงละ? ก็ตองเพิ่ม F เปน 2 อะตอม ใหมารับอิเล็กตรอน 2 ตัวของ Mg ก็จะ กลายเปน MgF2 (magnesium fluoride)
ที่มา : http://image.tutorvista.com/cms/images/44/magnesium-fluoride.JPG
60
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
พี่ขอเสริมนะ ประจุบวกและลบของไอออนที่เรานั่งคิดเมื่อกี้ เดี๋ยวตอไปเราจะเรียกวา “เลขออกซิเดชัน (oxidation number)” ซึ่งพี่จะอธิบายอีกทีหลังจากจบเรื่องพันธะเคมี 3.3 พันธะโคเวเลนท (Covalent bond) พันธะชนิดนี้จะเกิดกับธาตุสองธาตุขึ้นไป โดยที่ทั้งสองธาตุนั้นเปนอโลหะวิธีการเกิดพันธะชนิดนี้เราเดาไดจากชื่อของ พันธะ นั่นก็คือ โค (co-) แปลวา รวมกัน เวเลนท (valent) ก็คือ เวเลนซอิเล็กตรอน ก็แสดงวาพันธะโคเวเลนทคือการใช อิเล็กตรอนวงนอกสุดรวมกันนั่นเอง ยกตัวอยางเชน แกสฟลูออรีน (F2) เกิดจากการรวมกันของธาตุฟลูออรีน (F) 2 อะตอม โดยนองๆ ก็ตองมาดูวา F มี การจัดเรียงอิเล็กตรอนเปน 2, 7 จะเห็นไดวาเวเลนซมี 7 อิเล็กตรอน จะทําไงใหครบ 8 ดีละ? เนื่องจาก F อีกอะตอมนึงก็ ตองการ 1 อิเล็กตรอนเหมือนกัน ดังนั้นมันก็เลยตกลงรวมกัน โดยการใชอิเล็กตรอนวงนอก 1 คู รวมกัน ดังรูป
จากรูปดานขวานี้ นองจะเห็นวาอะตอม ฟลูออรีน 2 อะตอม มันแชรอิเล็กตรอนกัน 1 คู ทําใหทั้งสองอะตอม มีเวเลนซเทากับ 8 e- ลักษณะการแชรอิเล็กตรอน 1 คู เราจะเรียก วา พันธะเดี่ยว (single bond)
ตัวอยางตอไป แกสออกซิเจน (O2) เกิดจากการรวมกันของธาตุออกซิเจน (O) 2 อะตอม โดยนองๆ ก็ตองมาดูวา O มี การจัดเรียงอิเล็กตรอนเปน 2, 6 จะเห็นไดวาเวเลนซมี 6 อิเล็กตรอน จะทําไงใหครบ 8 ดีละ? เนื่องจาก O อีกอะตอมนึงก็ ตองการ 2 อิเล็กตรอนเหมือนกัน ดังนั้นมันก็เลยตกลงรวมกัน โดยการใชอิเล็กตรอนวงนอก 2 ตัว รวมกัน ดังรูป
จากรูป ทั้งสองอะตอมคือ ออกซิเจน (O) นองจะเห็นวาอะตอมดานซายและดานขวาแชร อิเล็กตรอน 2 คู ทําใหแตละอะตอมมีเวเลนซ เทากับ 8 e- ในกรณีนี้มีการแชรอิเล็กตรอนกัน 2 คู เราจะเรียกวา พันธะคู (double bond)
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
61
ตัวอยางสุดทาย แกสไนโตรเจน (N2) เกิดจากการรวมกันของธาตุไนโตรเจน (N) 2 อะตอม โดยนองๆ ก็ตองมาดูวา N มีการจัดเรียงอิเล็กตรอนเปน 2, 5 จะเห็นไดวาเวเลนซมี 5 อิเล็กตรอน จะทําไงใหครบ 8 ดีละ? เนื่องจาก N อีกอะตอมนึงก็ ตองการ 3 อิเล็กตรอนเหมือนกัน ดังนั้นมันก็เลยตกลงรวมกัน โดยการใชอิเล็กตรอนวงนอก 3 คู รวมกัน ดังรูป จากรู ป ทางด า นขวานี้ ทั้ ง สองอะตอมคื อ ออกซิเจน (O) นองจะเห็นวาอะตอมดานซายและดาน ขวาแชรอิเล็กตรอน 2 คู ทําใหแตละอะตอมมีเวเลนซ เทากับ 8 e- ในกรณีนี้มีการแชรอิเล็กตรอนกัน 3 คู เรา จะเรียกวา พันธะสาม (triple bond) เราอาจจะเขียนโครงสรางโมเลกุลขางตนนี้ เปนโครงสรางแบบเสนก็ได เพื่อความสะดวกและรวดเร็ว เราจะเขียนได ดังนี้ ตามลําดับ
F - F O = ON N 4. เลขออกซิเดชัน (oxidation number) เลขออกซิเดชัน คือ เลขที่แสดงคาประจุของธาตุในสารประกอบตางๆ เลขออกซิเดชัน
หมู
หมู
เลขออกซิเดชัน
IA
+1
VA
มีหลายคา
IIA
+2
VIA
-2
IIIA
+3
VIIA
-1
IVA
มีหลายคา
โลหะทรานซิชัน
มีหลายคามากๆ
ในบางครั้งนองอาจจะเจอสารประกอบที่มี “อนุมูลกลุม” ก็คือเปนสารประกอบโคเวเลนตที่เปนมีประจุไฟฟา และเกิด พันธะไอออนิกได พี่คิดวานองดูตารางนี้ก็นาจะเพียงพอแลวละ อนุมูลกลุม
เลขออกซิเดชัน
62
-1
OH- HCO3- NO3- HSO4- H2PO4- ClO3- ClO4- CN- MnO4-
-2
SO42- CO32- HPO42- Cr2O72-
-3
PO43-
+1
NH4+
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
ตารางที่พี่ใหนี้ พี่คิดวาในวิชาเคมีพื้นฐานจําเทานี้ก็เพียงพอแลว แตถาเรียนกันจริงๆ มันมีอีกเยอะมาก แตเอาไวเทานี้ แลวกัน และถานองอยากรูเพิ่มเติมก็สามารถไปสืบคนได ตัวอยางขอสอบ ธาตุ 3 ชนิด มีสัญลักษณดังนี้ ขอใดเปนสูตรเคมีของสารประกอบฟลูออไรด ของธาตุทั้งสามชนิดตามลําดับ ZF2 2. XF Y2F3 ZF2 1. XF YF3 3. XF2 Y2F3 ZF 4. XF2 YF3 ZF เฉลย ขอ 4. สําหรับวิธีการคิดขอนี้ก็คือ นองตองจัดเรียงอิเล็กตรอนใหไดกอนนะ ก็ไดดังนี้ :2,2 : 2 , 8, 3 : 2 , 8, 7 แสดงวา X Y และ Z เปนโลหะหมู IIA IIIA และอโลหะหมู VIIA ตามลําดับ เนื่องจาก ฟลูออไรด เปนอโลหะ เพราะฉะนั้นถา เปนพันธะโลหะเกิดพันธะกับอโลหะก็ตองเปนพันธะไอออนิก และถาเปนอโลหะกับอโหละ ก็เปนพันธะโคเวเลนต ธาตุ X อยู หมู IIA มีเลขออกซิเดชันเปน +2 เพราะฉะนั้นโครงสรางที่เกิดกับฟลูออไรดที่มีประจุ -1 ก็จะเปน XF2 ธาตุ Y อยูหมู IIIA มีเลข ออกซิเดชันเปน +3 เพราะฉะนั้นโครงสรางที่เกิดกับฟลูออไรด ที่มีประจุ -1 ก็จะเปน YF3 ธาตุ Z อยูหมู VIIA ตองการ 1 อิเล็กตรอน เชนเดียวกับ F เพราะฉะนั้นมันเลยแชรเวเลนซกัน 1 คู สูตรโมเลกุลก็เลยเปน ZF 5. แนวโนมตามตารางธาตุเบื้องตน ถาเรียนกันอยางจริงจัง หัวขอเราจะเรียนแนวโนมของหลายอยางมาก แตในเคมีพื้นฐานนี้พี่ขอกลาวถึงเพียง แนว โนมของรัศมีอะตอม ความวองไวของปฏิกิริยา IE และ EN นะนองๆ โดยคําวาแนวโนมตามตารางธาตุ เราจะดูแนวโนม 2 อยางนะ คือ แนวโนมตามหมู และแนวโนมตามคาบ 5.1 แนวโนมของรัศมีอะตอมตามตารางธาตุ เล็กลง
ใหญขึ้น
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
63
กอนอื่นนองตองเขาใจกอนวารัศมีอะตอม มีอะไรเปนปจจัยสําคัญ..? ปจจัยสําคัญก็คือ ระดับพลังงานของอิเล็กตรอน ยิ่งมีระดับพลังงานมาก อะตอมก็จะมีรัศมีมาก จริงไหม? สําหรับรัศมีอะตอม หรือเรียกงายๆวา ขนาดของอะตอม ถาเปนตามคาบ มันจะเล็กลง เพราะ ในคาบเดียวกันมี จํานวนระดับพลังงานเทากันแตจํานวนโปรตอน (ประจุบวก) เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามคาบ เลยทําใหโปรตอนที่เพิ่มขึ้นมีแรงดึงดูด ทําใหระดับพลังงานมันมาอยูใกลๆ กันมากขึ้น แตถาเปนตามหมู ระดับพลังงานมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็เลยทําใหอะตอมใหญขึ้นดวย นองบางคนอาจจะสงสัยวา “อาว ก็ตามหมู โปรตอนมันก็เพิ่มขึ้น แลวเราสรุปไดไงวามันจะใหญขึ้น” จําไวนะนองๆ ระดับพลังงานมันเปนปจจัยที่สําคัญกวา หมายความวา การเพิ่มขึ้นของระดับพลังงานมีอิทธิพลตอขนาดของอะตอมมากกวาการเพิ่มขึ้นของจํานวนโปรตอน 5.2 แนวโนมของความวองไวของปฏิกิริยาตามตารางธาตุ ลดลง เพิ่มขึ้น
เพิ่มขึ้น
เพิ่มขึ้น สําหรับเรื่องความวองไวของปฏิกิริยาเคมี พี่ขอเรียกวา “ความเกง” ก็แลวกัน ซึ่งความเกง เราไมสามารถเหมารวม ทั้งตารางธาตุได เพราะในตารางธาตุเราแบงออกเปน โลหะ กับอโหละ ซึ่งทั้งโลหะและอโหละตางก็มีความเกงตางกัน เหมือนผูชายกับผูหญิง เรามาเปรียบเทียบกันไมได เพราะฉะนั้นเราเลยตองแยกกันคิด สําหรับโลหะ (เสนทึบ) ความวองไวของปฏิกิริยาจะลดลงตามคาบ และเพิ่มขึ้นตามหมู แตถาเปนอโลหะ (เสนประ) ความวองไวของปฏิกิริยาจะเพิ่มขึ้นตามคาบ (ตั้งแตหมู IV ถึงหมู VIIA ที่เราไมรวมถึงหมู VIIIA เพราะมันเปนแกสเฉื่อยนะ ไมวองไวอยูแลว) และเพิ่มขึ้นตามหมู เชนเดียวกันกับโลหะ 5.3 แนวโนมของพลังงานไอออไนเซชัน (IE) ตามตารางธาตุ เพิ่มขึ้น
ลดลง
64
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
IE หรือพลังงานที่นอยที่สุดที่ธาตุรับเขาไปแลวอิเล็กตรอนจะหลุดออกมา นองๆลองคิดตามนะ ธาตุที่อิเล็กตรอนหลุด งายๆ (เปนไอออนบวกไดงาย) ควรจะเปนธาตุจําพวกไหน .... ก็ควรจะเปนโลหะจริงไหม? สวนธาตุจําพวกอโลหะอิเล็กตรอน มันหลุดยากใชปาว (เปนไอออนลบไดงาย) เพราะฉะนั้นถาเปนโลหะ อิเล็กตรอนมันหลุดไดงาย IE มันก็ตองนอย แตอโลหะ อิเล็กตรอนมันหลุดยาก IE มันก็ตองมาก ดังนั้นตามคาบ IE มันก็ตองเพิ่มขึ้น สวนตามหมู IE มันจะลดลง เพราะวาอะตอมมี ขนาดใหญขึ้น แรงดึงดูดที่มีตออิเล็กตรอนมันก็นอย ดังนั้นอิเล็กตรอนมันก็หลุดไดงาย ก็คือ IE นอย 5.4 แนวโนมของอิเล็กโตรเนกาติวิตี (EN) ตามตารางธาตุ เพิ่มขึ้น
ลดลง แนวโนมของ EN นองก็ใชความเขาใจนะวา EN มันคือความสามารถในการรับอิเล็กตรอน ธาตุโลหะมันไมรับ อิเล็กตรอนอยูแลว สวนอโลหะก็รับอิเล็กตรอนเกง ดังนั้นตามคาบแนวโนมก็ตองเพิ่มขึ้น สวนถาเปนตามหมู เหตุผลก็คลายๆ กับ IE นะ ก็คือ อะตอมมันใหญขึ้น แรงที่มันจะไปดึงอิเล็กตรอนภายนอกเขามา มันก็นอย ดังนั้นธาตุที่อยูลางๆ ของตาราง ธาตุก็รับอิเล็กตรอนไมเกง เพราะฉะนั้นแนวโนมของ EN ตามหมู ก็เลย ลดลง 6. ธาตุกัมมันตรังสี (Radioactive element) ธาตุกัมมันตรังสี คือ ธาตุที่มีความไมเสถียรสูง ปลดปลอยพลังงานในรูปรังสีออกมาไดเพื่อใหมีความเสถียรมากขึ้น โดยการแผรังสีออกมานั้น อาจจะไดธาตุใหมหรือไมก็ได โดยเราจะเรียกรังสีที่ธาตุกัมมันตรังสีแผรังสีออกมาไดนั้นวา “กัมมันตภาพรังสี” เพราะฉะนั้นใชใหถูก ระหวางคําวา “กัมมันตรังสี” กับ “กัมมันตภาพรังสี” 6.1 รังสีที่ควรรูจัก , ) เปนนิวเคลียสของธาตุ He ซึ่งเสียอิเล็กตรอนไป 2 ตัว ดังนั้นจึงมีประจุเปน +2 รังสีแอลฟามี รังสีแอลฟา ( อํานาจทะลุทะลวงตํ่า มีพลังงานนอยเพราะแตกตัวไดดี เพียงกระดาษแผนเดียวก็กั้นแอลฟาได รังสี แอลฟา เบตา โพซิตรอน แกมมา โปรตอน ดิวเทอรอน ตริตอน นิวตรอน
สัญลักษณ
,
β+
0 −1 e
,
0 +1 e
รังสีเบตา ( , ) เปนอนุภาคที่มีสมบัติเหมือน อิเล็กตรอน มีประจุ -1 มีอํานาจทะลุทะลวงมากกวา แอลฟาประมาณ 100 เทา แตกตัวไดนอยกวาแอลฟา เบตาสามารถผานแผนโลหะบางๆได เชน แผนตะกั่ว 1 mm แผนอลูมิเนียม 5 mm
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
65
รังสีแกมมา เปนคลื่นแมเหล็กไฟฟาที่มีความยาวคลื่นสั้นมาก ความถี่สูง ดังนั้นพลังงานจึงสูงดวย ไมมีมวล ไมมี ประจุ เปนพลังงาน มีอํานาจทะลุลวงสูงที่สุด ผานไม โลหะ เนื้อเยื่อได แตผานคอนกรีตหรือตะกั่วหนาไมได ขอสังเกตนะ นองๆ รังสีแกมมาเปนพลังงาน เลยไมมีสัญลักษณของธาตุเหมือนกับรังสีอื่น “ถานองจําไดก็จะดีมากเลยนะ เพราะวาเดี๋ยวมันจะเอาไปใชในเรื่อง สมการนิวเคลียร” 6.2 สมการนิวเคลียร สมการนิวเคลียรเปนไง?? .... สิ่งที่จะออกขอสอบในหัวขอนี้ก็งายมากๆ นองก็แคดุลสมการนิวเคลียร ซึ่งเดี๋ยวพี่จะ สอนวาตองทําไง หลักการดุลสมการนิวเคลียร
ผลรวมของเลขมวลและเลขอะตอมของสารตั้งตนและผลิตภัณฑตองเทากัน ตัวอยางโจทย ……………. 1. 2. ……………. พี่เฉลยขอ 1 กอนนะ นองก็ตองดูวา ฝงสารตั้งตน In ที่มีเลขอะตอม 49 และมวล 116 เปลี่ยนไปเปน Sn ที่มีเลขอะตอม 50 และเลขมวล 116 เราเทียบกันทีละอยาง (เทียบมวลกับมวล เทียบเลขอะตอมกับเลขอะตอม) จะเห็นไดวาเลขมวลไมเปลี่ยน และเลขอะตอมเพิ่มขึ้น แสดงวารังสีที่เปนคําตอบตองเปน , −01 e สวนขอที่ 2 เราคิดทีละอยางรวมเลขมวลกอน ฝงสารตั้งตนได 24 เลขอะตอมฝงสารตั้งตนได 12 ทีนี้ฝงผลิตภัณฑ (อนุภาคแอลฟา) มีเลขมวลแลว 4 และเลขอะตอม 2 ดังนั้นธาตุที่เกิดขึ้นก็ตองเปนธาตุที่มีเลขมวล 20 และเลขอะตอม 10 สมมติเปนธาตุ X แลวกันนะ สมมติวาเราไมรูวาธาตุอะไร นองก็อาจจะเขียนไดเปน 6.3 ครึ่งชีวิตของธาตุกัมมันตรังสี (Half-life) เนื่องจากธาตุกัมมันตรังสี เปนธาตุที่ไมเสถียร ตองปลดปลอยพลังงานในรูปของรังสีออกมาตลอดเวลา ก็เลยทําให มวลของธาตุมันจะลดไปเรื่อยๆ ครึ่งชีวิต (Half–life) ใชสัญลักษณเปน คือ ระยะเวลาที่ทําใหธาตุกัมมันตรังสีมีมวลเหลือครึ่งเดียวจากตอนเริ่มตน เชน ธาตุ X มี 100 กรัม ผานไป 10 วัน เหลืออยู 50 กรัม เราจะเรียกวา “ธาตุ X มีครึ่งชีวิตเปน 10 วัน” ถาเราลองมาดูกราฟ การลดลงของมวลของธาตุกัมมันตรังสีก็จะไดดังรูปดานลางนี้ จากกราฟนี้ นองจะเห็นวาเดิมมีอยู 10 กรัม และพอลดลงเหลือ 5 กรัม (ครึง่ หนึง่ ของ 10) ใชเวลา 25 ป และใชเวลาอีก 25 ป ก็จะลดเหลือ 2.5 กรัม (ครึ่งหนึ่ง ของ 5) เปนอยางนี้ไปเรื่อยๆ เราก็เรียก วาธาตุนี้มีครึ่งชีวิตเปน 25 ป
66
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
การคํานวณครึ่งชีวิต การคํานวณครึ่งชีวิตของธาตุกัมมันตรังสี ไมใชเรื่องยาก มีอยูสูตรเดียวเอง ซึ่งสูตรก็คือ เมื่อ n คือ จํานวนครั้งที่ผานครึ่งชีวิต
คําวา “จํานวนครั้งที่ผานครึ่งชีวิต” นองงงกันไหม? ... ยกตัวอยางเชน ธาตุ X มีครึ่งชีวิต 10 ป ถาผานไปแลว 40 ป ก็แสดงวาผานครึ่งชีวิตมาแลว 4 ครั้ง ตัวอยางขอสอบ ธาตุกัมมันตรังสี X มีครึ่งชีวิตเทากับ 5,000 ป นักธรณีวิทยาคนพบซากของพืชโบราณที่มี ปริมาณธาตุกัมมันตรังสี X เหลืออยูเพียง 6.25% ของปริมาณเริ่มตน พืชโบราณนี้มีชีวิตประมาณกี่ ปมาแลว 1. 10,000 ป 2. 15,000 ป 3. 20,000 ป 4. 25,000 ป เฉลย ขอ 3. นองๆ ก็ลองใชสูตรที่เรียนไปเลยนะ โดยในที่นี้เขาไมไดกําหนดมาใหวาเริ่มตนมี X กี่กรัม แตเขาใหมาวาพบ 6.25% เราก็สมมติวาเริ่มตนมี 100% ก็แลวกัน ก็ลองไปแทนสูตร ไดเปน ก็ยายขางคํานวน ได n เทากับ 2n =16 นองก็ลองคิดซิวา 2 ยกกําลังอะไรได 16 ซึ่งก็ คือ 4 เพราะ 24 = 16 เพราะฉะนั้น n = 4 หมายความวา ผานครึ่งชีวิตมา 4 รอบ ดังนั้นพืชโบราณ นี้ก็มีอายุ 4 x 5,000 ป = 20,000 ป วิธีการตรวจสอบกัมมันตรังสี 1. ใชฟลมตรวจสอบ นําฟลมถายรูปไปหุมสารที่ตองการตรวจสอบในที่ที่ไมมีแสง นําฟลมไปลาง หากมีรอยจุดสีดํา แสดงวาวัตถุนั้นแผรังสีได 2. ใหนําสารที่คิดวาเปนสารกัมมันตรังสีเขาใกลสารเรืองแสง หากเปนสารกัมมันตรังสีจะเกิดการเรืองแสงขึ้น 3. เครื่องไกเกอรมูลเลอรเคานเตอร เมื่อรังสีเขาไปในเครื่องวัด จะไปกระทบกับ Ar ซึ่งทําใหแตกตัวเปน Ar+ ทําใหเกิด ความตางศักย เกิดกระแสไฟฟา และเครื่องจะแปลผลออกมาแสดงที่หนาปด เครื่องไกเกอรมูลเลอรเคานเตอร
ที่มา : radioactive-601.blogspot.com
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
67
ปฏิกิริยานิวเคลียร (Nuclear reaction) เปนปฏิกิริยาที่เปลี่ยนแปลงภายในนิวเคลียสของอะตอมแลวไดธาตุใหมเกิดขึ้น และใหพลังงานมหาศาล ปฏิกิริยา นิวเคลียรมี 2 ประเภท ไดแก 1. ปฏิกิริยาฟชชัน (Fission reaction) คือปฏิกิริยานิวเคลียรที่เกิดจากการยิงนิวตรอนเขาไปในนิวเคลียสธาตุหนัก ทําใหแตกออกไดธาตุเล็กลง และไดนิวตรอนออกมาอีก 2-3 อนุภาค (ฟช แปลวา แตกออก) มนุษยเราก็นําความรูเรื่อง ปฏิกิริยาฟชชันมาใชเชน การผลิตไฟฟาในโรงไฟฟาพลังงานนิวเคลียร ลองดูรูปใหเขาใจมากขึ้นนะ จากรูปนองๆ จะเห็นวา เดิมมีธาตุใหญๆ อยูธาตุ หนึ่ง และก็ยิงอนุภาคนิวตรอนเขาไป ทําใหธาตุ ใหญนนั้ แตกออกเปนอีก 2 ธาตุ และก็ไดนวิ ตรอน หลุดออกมาอีก และนิวตรอนทีห่ ลุดมาก็จะไปชน ธาตุ ทําใหแตกออกไปเรื่อยๆ เราเรียกลักษณะ ปฏิกิริยาแบบนี้วา “ปฏิกิริยาลูกโซ (chain reaction)” เพราะมันไมจบไมสนิ้ มันจะเปนอยางนีต้ อ ไปเรื่อยๆ 2. ปฏิกิริยาฟวชัน (fusion reaction) ปฏิกิริยานิวเคลียรที่นิวเคลียสของธาตุเบามา รวมกันเปนธาตุที่หนักขึ้น แตเนื่องจากเวลาเกิด ธาตุใหมขึ้น ตามหลักการมวลของธาตุหนักมัน ควรจะเทากับมวลของธาตุเล็กๆ ทีม่ ารวมกันจริง ไหม? แตปรากฏวามวลของธาตุหนักที่เกิดขึ้น ใหม นอยกวาผลรวมกันของมวลของธาตุเบา 2 ธาตุ ซึง่ มวลทีม่ นั หายไปนัน้ เอง มันเปลีย่ นไปเปน พลังงานทีป่ ลดปลอยออกมา ปฏิกริ ยิ าแบบนีเ้ กิด ขึ้นในดวงอาทิตยนะ การนํากัมมันตรังสีไปใชประโยชน - I-131 ใชตรวจสอบความผิดปกติของตอมไทรอยด - Na-24 ใชตรวจสอบการไหลเวียนของโลหิต - Co-60 รักษาโรคมะเร็ง ถนอมอาหาร - Ra-226 รักษาโรคมะเร็ง - U-238, Pu-239 ใชผลิตไฟฟาในโรงไฟฟา นิวเคลียร - C-14 หาอายุของวัตถุโบราณ ซากดึกดําบรรพ
68
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
ที่มา: www.plasma.inpe.br
โทษของสารกัมมันตรังสี หากไดรับรังสีเขาสูรางกายจะมีผลทําใหการสรางเซลลใหมในรางกายมนุษยเกิดการกลายพันธุ โดยเฉพาะเซลล สืบพันธุ สวนผลที่ทําใหเกิดความปวยไขจากรังสี เนื่องจากเมื่ออวัยวะสวนใดสวนหนึ่งของรางกายไดรับรังสี โมเลกุลของธาตุ ตางๆ ที่ประกอบเปนเซลลจะแตกตัว ทําใหเกิดอาการปวยไขได
นองๆ สามารถศึกษาเพิ่มเติมไดที่
Tag : สอนศาสตร เคมี เคมีอินทรีย สารชีวโมเลกุล กรด กรดนิวคลีอีก ไขมัน
• 03 : พันธะไอออนิก และพันธะโลหะ http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch3-1
• 04 : พันธะโคเวเลนต http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch3-2
• 05 : สมบัติของธาตุตามตารางธาตุ http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch3-3
• 06 : ปริมาณสารสัมพันธ :โมลและสารละลาย http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch3-4
• 07 : ปริมาณสารสัมพันธ : สมการเคมี http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch3-5
• สอนศาสตร เคมี ม.ปลาย : พันธะเคมี http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch3-6
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
69
• สมบัติของธาตุตามหมู http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch3-7 • ธาตุและสารประกอบ 1 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch3-8
• ธาตุและสารประกอบ 2 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch3-9
• ธาตุและสารประกอบ 3 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch3-10
• เคมี ม.ปลาย - พันธะเคมี ตอนที่ 1 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch3-11
• เคมี ม.ปลาย - พันธะเคมี ตอนที่ 2 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch3-12
70
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
บทที่ 4
เชื้อเพลิงซากดึกดําบรรพ (Fossil)
Introduction
แมวาชื่อของบทๆ นี้ จะดูสะเทือนใจสําหรับคนมีอายุเล็กนอย แตบทนี้มีเสนหของมันอยูเล็กๆ เสนหของมันก็คือ ทองจําแหลก กอนอื่นเลย มารูจักกับคําวา เชื้อเพลิงซากดึกดําบรรพ หรือ บางคนอาจเคยไดยินคําวา อินทรียวัตถุกันกอนดี กวา เชื้อเพลิงซากดึกดําบรรพหรืออินทรียวัตถุเปนเชื้อเพลิงพื้นฐานในการดํารงชีวิตที่สําคัญ ซึ่งเกิดจากการทับถมกันมาเปน เวลานานนับหลายลานป ดวยอุณหภูมิและความดันสูง จึงเกิดการยอยสลายผานกระบวนการหลายขั้นตอนและแปลงสภาพ ไป ซึ่งนองๆรูรึเปลาวา เชื้อเพลิงซากดึกดําบรรพนี้สามารถแบงไดหลากหลายประเภท
Outlines
1. ถานหิน 2. หินนํ้ามัน 3. ปโตรเลียม 4. ปโตรเคมีภัณฑ 5. มลพิษจากปโตรเคมีภัณฑ
ประเภทของเชื้อเพลิงซากดึกดําบรรพ สามารถแบง ไดเปน 3 ประเภท 1. ถานหิน (Coal) กําเนิดมาจากซากพืช ในภาวะที่มีออกซิเจน อย า งจํ า กั ด หรื อ ไม มี อ อกซิ เ จนเลย จากนั้ น จึ ง เกิ ด การ เปลี่ยนแปลงอยางชาๆ จนกลายมาเปนถานหิน ซึ่งนองเชื่อไหม วา ถานหินนี้เปนหินตะกอนชนิดหนึ่งที่สามารถใชเปนแรเชื้อ เพลิงและทําใหตดิ ไฟได และมีลกั ษณะเปนหินสีนาํ้ ตาลออนจนถึง สีดํา มีทั้งชนิดผิวมันและผิวดาน นํ้าหนักเบา และประกอบไป ดวยธาตุที่สําคัญหลายธาตุ อาทิ คารบอน ไฮโดรเจน ไนโตรเจน ออกซิเจน และกํามะถัน นอกจากนี้ยังมีธาตุหรือสารอื่น เชน ปรอท โครเมียม ทองแดง นิกเกิล สารหนู และซิลีเนียม เจือปน อยูเล็กนอยดวย ซึ่งรูไหมวา เมื่อนองๆนําถานหินไปใชเปนเชื้อ เพลิงสารที่เจือปนอยูนี้จะสามารถสงผลตอปญหาสุขภาพของ นองๆ และสิ่งแวดลอมไดดวยนะ โดยถานหินที่มีคุณภาพดีจะมี จํานวนคารบอนสูงและมีธาตุอื่นๆ ตํ่า เมื่อนํามาเผาจะใหความ รอนมาก ซึ่งสามารถแบงถานหินไดเปน 5 ประเภท มีอะไรบาง เรามาดูกัน
รูปแสดงประเภทตางๆ ของถานหิน (ที่มา : http://energyearth.co.th/product?lang=th)
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
71
1) พีต (Peat) ขั้นแรกในกระบวนการเกิดถานหิน เปนซากพืชบางสวนที่ไดสลายตัวไปแลวสามารถใชเปนเชื้อเพลิงได แตมีความชื้นมาก 2) ลิกไนต (Lignite) มีซากพืชหลงเหลืออยูเล็กนอย มีความชื้นมาก เปนถานหินที่ใชเปนเชื้อเพลิง แตจะมีควันและเถา ถานมาก นิยมใชในการผลิตไฟฟา 3) ซับบิทมู นิ สั (Subbituminous) เปนถานหินทีม่ ปี ริมาณออกซิเจนและความชืน้ ตํา่ แตมปี ริมาณคารบอนสูงกวาลิกไนต ใชเปนแหลงพลังงานสําหรับผลิตไฟฟาและงานอุตสาหกรรม 4) บิทูมินัส (Bituminous) เปนถานหินเนื้อแนน แข็ง มีสีดํามันวาว ใชเปนเชื้อเพลิงเพื่อการถลุงโลหะ 5) แอนทราไซต (Anthracite) มีอายุการเกิดนานที่สุด ลักษณะเปนสีดํา เนื้อแนน แข็งและเปนมัน มีปริมาณออกซิเจน และความชืน้ ตํา่ แตมปี ริมาณคารบอนสูงกวาถานหินชนิดอืน่ แมจะจุดไฟติดยาก แตเมือ่ ติดไฟจะมีควันนอยใหความรอนสูง อีก ทั้งไมมีสารอินทรียระเหยออกมาจากการเผาไหม จึงจัดวาเปนถานหินที่ใหความรอนไดดีที่สุด ประโยชนและโทษของถานหิน ถานหินถือเปนผลผลิตที่ไดจากธรรมชาติ และมีประโยชนอยูมากมายทีเดียว นองๆ รูรึเปลาวา แหลงถานหินใน ประเทศไทยสามารถพบไดในทั่วทุกภาคของประเทศไทยเลย แตสวนใหญจะอยูในเขตภาคเหนือซึ่งจะมีคุณภาพเปนขั้นลิกไนต และซับบิทูมินัส จึงใหความรอนไมสูงนักซึ่งนํามาใชเปนเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟา การถลุงโลหะ ผลิตปูนซีเมนต ผลิต ถานกัมมันต การบมใบยาสูบ การผลิตอาหารอีกทั้งยังสามารถนํามาทําถานสังเคราะหเพื่อดูดซับกลิ่น หรือการทําคารบอนด ไฟเบอรที่เปนวัสดุแข็งและเบาไดดวย สวนโทษของถานหิน เมื่อเกิดการเผาไหมจะทําใหเกิดแกสที่เปนมลพิษทางอากาศหลายชนิด ไดแก CO2, CO, SO2และ NO ซึ่งกาซเหลานี้นองๆทราบอยูแลวใชไหมวา เปนปจจัยของภาวะเรือนกระจกที่สงผลเสียตอโลกของเราอยางมากมาย **เกร็ดความรูเพิ่มเติม** ภาวะเรือนกระจก คือ ภาวะที่ชั้นบรรยากาศของโลกยอมใหรังสีผานลงมายังผิวโลกได อีกทั้งจะดูดกลืนรังสีคลื่นยาว ชวงอินฟราเรดทีแ่ ผออกจากพืน้ ผิวโลกเอาไวและก็จะคายพลังงานความรอนใหกระจายซํา้ ไปซํา้ มาอยูภ ายในชัน้ บรรยากาศและ พื้นผิวโลก ซึ่งผลกระทบที่ตามมานั้น สงผลโดยตรงตอสภาพภูมิอากาศของโลก และสิ่งมีชีวิตพื้นผิวโลกอยางมากมาย นองๆ รูหรือไม!? ในภาวะปกติของชั้นบรรยากาศของโลกนั้น จะประกอบดวย โอโซนไอนํ้าและกาซชนิดตางๆ ซึ่งทํา หนาทีก่ รองรังสีบางชนิดใหผา นมาตกกระทบพืน้ ผิวโลกโดยรังสีทตี่ กกระทบพืน้ ผิวโลกนีจ้ ะสะทอนกลับออกนอกชัน้ บรรยากาศ ไปสวนหนึง่ และทีเ่ หลือพืน้ ผิวโลกทีป่ ระกอบดวยพืน้ นํา้ พืน้ ดิน และสิง่ มีชวี ติ จะดูดกลืนเอาไวหลังจากนัน้ ก็จะคายพลังงานออก มาในรูปรังสีอนิ ฟราเรดแผกระจายขึน้ สูช นั้ บรรยากาศและแผกระจายออกนอกชัน้ บรรยากาศไปอีกสวนหนึง่ ผลทีเ่ กิดขึน้ คือทําให โลกสามารถ รักษาสภาพสมดุลทางอุณหภูมิไวไดจึงมีวัฏจักรนํ้า อากาศ และฤดูกาลตางๆ ดําเนินไปอยางสมดุลเอื้ออํานวยตอ การดํารงชีวิตพืชและสัตวโลกจึงเปรียบเสมือนเรือนปลูกพืชขนาดใหญที่มีไอนํ้าและกาซตางๆ ทั้งนี้ชั้นบรรยากาศมีลักษณะ คลายกับกระจกที่คอยควบคุมอุณหภูมิ และวัฏจักรตางๆ บนโลกใหเปนไปอยางสมดุลแตสิ่งที่เกิดขึ้นในปจจุบัน ชั้นบรรยากาศ ของโลกมีปริมาณกาซบางชนิดทีม่ ากเกินไปซึง่ เปนปจจัยทีท่ าํ ใหเสียสมดุลของธรรมชาติ ซึง่ กาซทีม่ ผี ลกระทบตอภาวะโลกรอน มีหลายชนิด อาทิ ไอนํ้า (H2O) นองเชื่อหรือไม วาไอนํ้าเปนกาซเรือนกระจกที่มีมากที่สุดบนโลก โดยมีอยูในอากาศประมาณ 0 - 4% เลยทีเดียว ขึ้นอยูกับลักษณะภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และอุณหภูมิเชน ในบริเวณเขตรอนใกลเสนศูนยสูตรและ ชายทะเลจะมีไอนํ้าอยูมากสวนในบริเวณเขตหนาวแถบขั้วโลกอุณหภูมิตํ่าจะมีไอนํ้าในบรรยากาศเพียงเล็กนอย ไอนํ้าเปนสิ่งจําเปนตอสิ่งมีชีวิตอีกทั้ง เปนสวนหนึ่งของวัฏจักรนํ้าในธรรมชาติ นอกจากนี้ นํ้าสามารถเปลี่ยนสถานะ ไปมาทั้ง 3 สถานะ จึงเปนตัวพาและกระจายความรอนแกบรรยากาศและพื้นผิว
72
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
กาซคารบอนไดออกไซด (CO2) เปนกาซอีกชนิดหนึ่งที่พี่เชื่อวานองๆคงรูจักกันมาตั้งแตเด็ก ซึ่งในยุคเริ่มแรกของ โลกและระบบสุ ริ ย ะ มี ก า ซคาร บ อนไดออกไซด ใ นบรรยากาศถึ ง 98% กั น เลยที เ ดี ย ว เนื่ อ งจากดวงอาทิ ต ย ยังมีขนาดเล็กและแสงอาทิตยยังไมสวางเทาทุกวันนี้จึงทําใหกาซคารบอนไดออกไซดชวยทําใหโลกอบอุนเหมาะ สําหรับเปนถิ่นที่อยูอาศัยของสิ่งมีชีวิตเมื่อเวลาผานไป ดวงอาทิตยมีขนาดใหญขึ้นและนํ้าฝนนี่เองที่เปนตัวการ ในการละลายกาซคารบอนไดออกไซดในอากาศลงมายังพื้นผิวแพลงกตอนและสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กบางชนิด รวมถึง พืชบางชนิดมีความสามรถในการตรึงกาซคารบอนไดออกไซดในอากาศ และมาสรางเปนอาหารโดยการสังเคราะห ดวยแสง ทําใหภาวะเรือนกระจกลดลง ธรรมชาติของกาซคารบอนไดออกไซดเกิดขึ้นจากการหลอมละลายของ หินปูนซึ่งโผลขึ้นมาจากปลองภูเขาไฟ และการหายใจของสิ่งมีชีวิต กาซคารบอนไดออกไซดมีปริมาณเพิ่มขึ้น เนื่องจากการเผาไหมในรูปแบบตาง ๆเชน การเผาไหมเชื้อเพลิง โรงงานอุตสาหกรรม การเผาปาเพื่อใชพื้นที่ สําหรับอยูอาศัยและการทําปศุสัตว เปนตน โดยการเผาปาเปนการปลอยกาซคารบอนไดออกไซดขึ้นสูชั้นบรรยากาศ ไดโดยเร็วที่สุดเนื่องจากตนไมมีคุณสมบัติในการตรึงกาซคารบอนไดออกไซดไวกอนที่จะลอยขึ้นสูชั้นบรรยากาศ ดังนั้นเมื่อพื้นที่ปาลดนอยลงกาซคารบอนไดออกไซดจึงลอยขึ้นไปสะสมอยูในบรรยากาศไดมากยิ่งขึ้นและทําให พลังงานความรอนสะสมบนผิวโลกและในบรรยากาศเพิ่มขึ้นประมาณ 1.56 วัตต /ตารางเมตร(ซึ่งยังไมรวมผล ทางออมที่จะเกิดขึ้น) แลวนองๆ ทราบกันหรือเปลาวาปริมาณกาซคารบอนไดออกไซดมาจากประเทศใดมากที่สุด จากผลสํารวจเรียงจากมากไปหานอยก็คือตั้งแตป ค.ศ.1950 10 อันดับแรกก็คือ 1.สหรัฐอเมริกา 2. สหภาพยุโรป 3. รัสเซีย 4. จีน 5. ญี่ปุน 6. ยูเครน 7. อินเดีย 8. แคนาดา 9. โปแลนด 10. คาซัคสถาน เปนตน ก า ซมี เ ทน (CH 4 ) ก า ซชนิ ด นี้ เ กิ ด ขึ้ น จากการย อ ยสลายของซากสิ่ ง มี ชี วิ ต แม ว า ในอากาศจะมี เ พี ย ง 1.7 ppm แตกาซมีเทนมีคุณสมบัติของกาซเรือนกระจกสูงกวากาซคารบอนไดออกไซดในปริมาณที่เทากัน หรือ พูดงายๆก็คือ กาซมีเทนสามารถดูดกลืนรังสีอินฟราเรดไดดีกวากาซคารบอนไดออกไซด กาซมีเทนมีปริมาณ เพิ่มขึ้นเนื่องจากการทํานาขาว การทําปศุสัตวการเผาไหมมวลชีวภาพ การเผาไหมเชื้อเพลิงประเภทถานหิน นํ้ามัน และก า ซธรรมชาติ ซึ่ ง น อ งๆเชื่ อ หรื อ ไม ว า การเพิ่ ม ขึ้ น ของก า ซมี เ ทนนั้ น จะส ง ผลกระทบโดยตรงต อ ภาวะ เรือนกระจกมากเปนอันดับ 2 รองจากกาซคารบอนไดออกไซดเลยทีเดียว กาซไนตรัสออกไซด (N2O) โดยทั่วไป กาซชนิดนี้เกิดจากการยอยสลายซากสิ่งมีชิวิตโดยแบคทีเรีย แตสาเหตุที่ ทําใหปริมาณกาซไนตรัสออกไซดเพิ่มสูงขึ้นในปจจุบันนั้นมาจากอุตสาหกรรมที่ใชกรดไนตริกในกระบวนการผลิต เช น อุ ต สาหกรรมผลิ ต เส น ใยไนลอน อุ ต สาหกรรมเคมี แ ละพลาสติ ก บางชนิ ด เป น ต น ซึ่ ง น อ งๆรู ไ หมว า ก า ซไนตรั ส ออกไซด ที่ เ พิ่ ม ขึ้ น ส ง ผลกระทบโดยตรงต อ การเพิ่ ม พลั ง งานความร อ นที่ ส ะสมบนพื้ น ผิ ว โลก และ หากลอยขึ้นสูบรรยากาศชั้นสตราโตสเฟยรมันจะทําปฏิกิริยากับกาซโอโซนทําใหเกราะปองกันรังสีอัลตราไวโอเล็ต ของโลกลดนอยลงอีกดวย สารประกอบคลอโรฟลูออโรคารบอน (CFC) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งวา “ฟรีออน Freon” สารวายรายตัวการในการ เกิ ด ภาวะโลกร อ น ซึ่ ง สารชนิ ด นี้ ไ ม ไ ด เ กิ ด ขึ้ น เองตามธรรมชาติ แ ต เ กิ ด จากชี วิ ต ประจํ า วั น ของน อ งๆ นั่ น แหละ สารชนิดนี้มีแหลงกําเนิดมาจากโรงงานอุตสาหกรรมและอุปกรณเครื่องใชในชีวิตประจําวัน เชน ตูเย็น เครื่องปรับ อากาศและสเปรย เปนตน สาร CFC นี้มีองคประกอบเปนคลอรีนฟลูออไรด และโบรมีน ซึ่งความสามารถของมัน นั้นรายแรงมาก เพราะมีความสามารถในการทําลายโอโซนที่เปนชั้นบรรยากาศของนองๆ นั่นเอง ปกติแลว สาร CFC ในบริ เ วณพื้ น ผิ ว โลกจะทํ า ปฏิ กิ ริ ย ากั บ สารอื่ น แต เ มื่ อ มั น ดู ด กลื น รั ง สี อุ ล ตราไวโอเล็ ต ในบรรยากาศชั้ น สตราโตสเฟยรโมเลกุลจะแตกตัวใหคลอรีนอะตอมเดี่ยว และทําปฏิกิริยากับกาซโอโซนเกิดกาซคลอรีนโมโนออกไซด (ClO) และกาซออกซิเจน นองๆอาจจะคิดวา ถาคลอรีนจํานวน 1 อะตอมสามารถทําลายกาซโอโซน 1 โมเลกุล ก็คงไมนาจะเปนปญหาอะไรแตพี่จะบอกวามันไมใชอยางที่นองๆคิด เพราะวาคลอรีน 1 อะตอม สามารถทําลาย
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
73
กาซโอโซน 1 โมเลกุล ไดนับพันครั้งเนื่องจากเมื่อคลอรีนโมโนออกไซดทําปฏิกิริยากับออกซิเจนอะตอมเดี่ยวแลว จะสามารถเกิดคลอรีนอะตอมเดี่ยวขึ้นอีกครั้งและเกิดเปนปฏิกิริยาลูกโซไปเรื่อยๆเชนนี้ จึงเปนการทําลายโอโซน อยางตอเนื่องแมวาปจจุบันนี้ จะมีการจํากัดการใชกาซประเภทนี้ใหนอยลง แตปริมาณของสารคลอโรฟลูออโร คารบอนยังคงสะสมอยูในชั้นบรรยากาศไมสูญหายไปไหน อีกทั้งยังเปนตนเหตุที่ทําใหมีพลังงานความรอนสะสม บนพื้นผิวโลกเพิ่มขึ้นอีกดวย โอโซน (O3) เปนกาซที่ประกอบดวยธาตุออกซิเจนจํานวน 3 โมเลกุล มีอยูเพียง 0.0008% ในบรรยากาศ โอโซนมีอายุอยูในอากาศไดเพียง 20 - 30 สัปดาหแลวก็สลายตัว โอโซนเกิดจากกาซออกซิเจน (O2) ดูดกลืน รั ง สี อุ ล ตราไวโอเล็ ต แล ว แตกตั ว เป น ออกซิ เ จนอะตอมเดี่ ย ว (O) จากนั้ น ออกซิ เ จนอะตอมเดี่ ย วรวมตั ว กั บ กาซออกซิเจนและโมเลกุลชนิดอื่นที่ทําหนาที่เปนตัวกลาง แลวใหผลผลิตเปนกาซโอโซนออกมา นองๆ อาจจะสงสัย วาที่ผานมากลาววา โอโซนชวยปองกันรังสีที่มายังโลก แลวทําไมถึงเปนปจจัยหนึ่งใหเกิดสภาวะโลกรอนขึ้นได คําตอบนั้นก็คือ กาซโอโซนมี 2 บทบาท หรือ พูดงายๆ เปนทั้งพระเอก และผูรายในกาซชนิดเดียวกัน ขึ้นอยูกับวา ระดั บ ชั้ น บรรยากาศที่ อ ยู นั้ น อยู ชั้ น ไหน ซึ่ ง โอโซนที่ อ ยู ใ นชั้ น สตราโตสเฟ ย ร จ ะทํ า หน า ที่ ทํ า หน า ที่ ก รองรั ง สี อุลตราไวโอเล็ตจากดวงอาทิตยออกไป 99% กอนถึงพื้นโลก เพราะหากรางกายมนุษยไดรับรังสีนี้มากเกินไป จะทํ า ให เ กิ ด มะเร็ ง ผิ ว หนั ง ส ว นจุ ลิ น ทรี ย ข นาดเล็ ก อย า งเช น แบคที เ รี ย ก็ จ ะถู ก ฆ า ตาย ส ว นโอโซนที่ อ ยู ใ น ชั้ น โทรโพสเฟ ย ร มี คุ ณ สมบั ติ เ ป น ก า ซเรื อ นกระจกมากที่ สุ ด ซึ่ ง จะดู ด กลื น รั ง สี อิ น ฟราเรดทํ า ให เ กิ ด พลั ง งาน ความร อ นสะสมบนพื้ น ผิ ว โลก โอโซนในชั้ น นี้ เ กิ ด จากการเผาไหม ม วลชี ว ภาพและการสั น ดาปของเครื่ อ งยนต ส ว นใหญ เ กิ ด ขึ้ น จากการจราจรติ ด ขั ด เครื่ อ งยนต เครื่ อ งจั ก รและโรงงานอุ ต สาหกรรม ซึ่ ง ปะปนอยู ในหมอกควัน นั่นเอง ฯลฯ อาทิ กาซไฮโดรฟลูโรคารบอน (HFCS) กาซเปอรฟลูโรคารบอน (CFCS) และกาซซัลเฟอรเฮกซาฟลูโอโรด (SF6) เปนตน ผลกระทบจากภาวะโลกรอนหลักๆที่นองควรทราบมี 2 อยางไดแก ปรากฏการณเอลนิโญ ปรากฏการณนี้ ทําใหเกิดการกอตัวของเมฆและฝนเหนือนานนํ้าบริเวณเอเชียตะวันออกเฉียง ใตจะลดลงและจะขยับไปทางตะวันออก ทําใหบริเวณตอนกลางและตะวันออกของแปซิฟก เขตศูนยสตู รรวมทัง้ ประเทศเปรูและ ประเทศเอกวาดอรมีปริมาณฝนมากกวาคาเฉลี่ย ขณะที่มีความแหงแลงเกิดขึ้นที่อินโดนีเซียอีกทั้งบริเวณเขตรอนของ ออสเตรเลีย (พืน้ ทีท่ างตอนเหนือ) มักจะเริม่ ฤดูฝนลาชานอก จากนีย้ งั มีความเกีย่ วของเชือ่ มโยงกับความผิดปกติของภูมอิ ากาศ ในพืน้ ทีซ่ งึ่ อยูห า งไกลดวยเชน ความแหงแลงทางตอนใตของแอฟริกา ในฤดูหนาวและฤดูรอ นของซีกโลกเหนือ (ระหวางเดือน ธันวาคม – กุมภาพันธ และ เดือนมิถุนายน – สิงหาคม) รูปแบบของฝนและอุณหภูมิหลายพื้นที่ผิดไปจากปกติดวย เชนในฤดู หนาวบริเวณตะวันออกเฉียงใตของแอฟริกาและตอนเหนือของประเทศบราซิลแหงแลงผิดปกติ ขณะทีท่ างตะวันตกของประเทศ แคนาดา และตอนบนสุดของอเมริกามีอุณหภูมิสูงผิดปกติ สวนบางพื้นที่บริเวณกึ่งเขตรอนของอเมริกาเหนือและอเมริกาใต บราซิลตอนเหนือถึงอารเจนตินาตอนกลาง มีปริมาณนํ้าฝนผิดปกติ นอกจากนี้ยังมีอิทธิพลตอการเกิดและการเคลื่อนตัวของพายุหมุนเขตรอนอีกดวย โดยปรากฏการณเอลนีโญไมเอื้อ อํานวยตอการกอตัวและการพัฒนาของพายุหมุนเขตรอนในมหาสมุทรแอตแลนติก ทําใหพายุหมุนเขตรอนในบริเวณที่พี่บอก ไปลดลง ในขณะที่บริเวณดานตะวันตกของประเทศเม็กซิโกและสหรัฐอเมริกามีพายุพัดผานมากขึ้น สวนพายุหมุนเขตรอนใน มหาสมุทรแปซิฟกเหนือดานตะวันตกที่มีการกอตัวทางดานตะวันออกของประเทศฟลิปปนส มีเสนทางเดินของพายุขึ้นไปทาง เหนือมากกวาที่จะเคลื่อนตัวมาทางตะวันตกผานประเทศฟลิปปนสลงสูทะเลจีนใต ประเทศไทยโดยเฉพาะในชวงฤดูรอนและ ตนฤดูฝนมีปริมาณฝนตํ่ากวาปกติมากขึ้น สําหรับอุณหภูมิปรากฏวาสูงกวาปกติทุกฤดูโดยเฉพาะในชวงฤดูรอนและตนฤดูฝน และสูงกวาปกติมากขึ้นในกรณีที่มีขนาดปานกลางถึงรุนแรง อยางไรก็ตามในชวงกลางและปลายฤดูฝนไมสามารถหาขอสรุป
74
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
เกี่ยวกับสภาวะฝนในปเอลนีโญไดชัดเจนซึ่งพี่เชื่อวานองๆทุกคนคงไมอยากใหเกิดเพราะมันจะทําใหประเทศไทยรอน ปรากฏการณลานีญา ปรากฏการณนี้มีผลทําใหอากาศลอยขึ้นและกลั่นตัวเปนเมฆและฝนบริเวณมหาสมุทรแปซิฟก ตะวันตกเขตรอนทําใหประเทศออสเตรเลีย ประเทศอินโดนีเซียและประเทศฟลปิ ปนสมแี นวโนมทีจ่ ะมีฝนมากและมีนาํ้ ทวม ขณะ ทีบ่ ริเวณมหาสมุทรแปซิฟก เขตรอนทางดานภาคตะวันออกมีฝนนอยและแหงแลง นอกจากนีย้ งั มีอทิ ธิพลไปยังพืน้ ทีซ่ งึ่ อยูห า ง ไกลออกไปดวย ซึ่งพบวาแอฟริกาใตมีแนวโนมที่จะมีฝนมากกวาปกติและมีความเสี่ยงตออุทกภัยมากขึ้นดวยขณะที่บริเวณ ตะวันออกของทวีปแอฟริกาและตอนใตของทวีปอเมริกาใตมีฝนนอยและเสี่ยงตอการเกิดความแหงแลงทางดานประเทศ สหรัฐอเมริกาจะแหงแลงกวาปกติอุณหภูมิพื้นผิวบริเวณเขตรอนโดยเฉลี่ยจะลดลงและมีแนวโนมตํ่ากวาปกติในชวงฤดูหนาว ของซีกโลกเหนือทางตะวันตกเฉียงเหนือของมหาสมุทรแปซิฟก บริเวณประเทศญี่ปุนและเกาหลีมีอุณหภูมิตํ่ากวาปกติ ขณะทีท่ างตะวันตกเฉียงใตของมหาสมุทรรวมถึงพืน้ ทีท่ างตะวันออกเฉียงเหนือของออสเตรเลียมีอณ ุ หภูมสิ งู กวาปกติ ทางดานประเทศไทยปริมาณฝนสวนใหญสงู กวาปกติโดยเฉพาะชวงฤดูรอ นและตนฤดูฝนเปนระยะทีม่ ผี ลกระทบตอสภาวะฝน ของประเทศไทยชัดเจนกวาชวงอืน่ ทวาในชวงกลางและปลายฤดูฝนมีผลกระทบตอสภาวะฝน ของประเทศไทยไมชดั เจน หาก พิจารณาดานอุณหภูมิปรากฏวาลานีญามีผลกระทบตออุณหภูมิในประเทศไทยชัดเจนกวาฝนโดยทุกภาคของประเทศไทยมี อุณหภูมติ าํ่ กวาปกติทกุ ฤดู และพบวาลานีญาทีม่ ขี นาดปานกลางถึงรุนแรงสงผลใหปริมาณฝนของประเทศไทยสูงกวาปกติมาก ขึ้นขณะที่อุณหภูมิตํ่ากวาปกติมากขึ้น 2. หินนํ้ามัน (Oil Shale) เปนหินตะกอนที่มีสารประกอบสําคัญ คือ เคอโรเจน แทรกอยูระหวางชั้นหินตะกอนเมื่อนองๆนํา หินนํ้ามันมาสกัดดวยอุณหภูมิที่สูงพอ เคอโรเจนจะสลายตัวใหนํ้ามันหิน ซึ่งหินนํ้ามันนี้นองเชื่อไหมวาเกิดจากการสะสมและ ทับถมตัวของซากพืชและสัตวเล็กๆ ภายใตแหลงนํา้ ทีม่ ภี าวะเหมาะสมคืออยูภ ายใตความกดดันสูงและมีปริมาณออกซิเจนจํากัด ซึง่ หินนํา้ มันมีองคประกอบทีส่ าํ คัญ 2 ประเภท (พีเ่ นนใหวา นองควรเขาใจ และแยกความแตกตางของทัง้ สองชนิดดวยนะ) คือ สารประกอบอนินทรีย ไดแก แรธาตุตา งๆ ทีไ่ ดจากชัน้ หิน ซึง่ ประกอบดวยกลุม แรทสี่ าํ คัญ 3 กลุม คือ กลุม แรซลิ ิ เกต กลุมแรคารบอเนต และกลุมแรซัลไฟดและฟอสเฟต สารประกอบอินทรีย ประกอบดวย บิทูเมนและเคอโรเจน นอกจากหินนํ้ามันจะใชเปนเชื้อเพลิงหรือแหลงพลังงานไดแลว ยังสามารถนํามาผลิตเปนนํ้ามันกาด พาราฟน นํ้ามันหลอลื่น ไข แนฟทาลีน และนํ้ามันเชื้อเพลิงไดอีกดวย *** NOTE : 1. สารประกอบอินทรีย คือ สารที่ประกอบที่มีองคประกอบหลักเปน C, H และ O ซึ่งสารประกอบอินทรียสวน ใหญ มักพบในสิ่งมีชีวิต สวนสารประกอบอนินทรีย คือ สารที่มีธาตุอื่นเปนองคประกอบหลัก 2. คําวา “องคประกอบหลัก” ใน ที่นี้หมายถึง มี % รอยละโดยมวลรวมกันแลวมีคามากกวาธาตุอื่นๆ 3. ปโตรเลียม (Petroleum) กอนอื่นพี่แนะนําใหนองๆ รูถึงรากศัพทของคําวา Petroleum กันกอนดีกวา รากศัพทของ Petroleum = Petra + Oleum ซึ่ง Petra ก็หมายถึงหิน (Rock) สวน Oleum คือนํ้ามัน (Oil) ดังนั้นปโตรเลียมจึงหมายถึง “นํ้ามันที่อยูในหิน” ปโตรเลียม จึงประกอบไปดวยสารไฮโดรคารบอนเปนหลัก และอาจมีธาตุไนโตรเจน ออกซิเจน และกํามะถัน เปนองคประกอบรวมอยูดวย ซึ่งมีสถานะทั้งในรูปของแข็งและกึ่งของแข็ง (มีชื่อเรียกหลากหลาย) ของเหลว หรือแกส เชน นํ้ามันดิบ (Crude Oil) และแกส ธรรมชาติ (Natural Gas) ตามลําดับดวยเหตุนี้จึงสามารถนํามาใชประโยชนในอุตสาหกรรมปโตรเคมีไดอยางหลากหลาย แต กอนอื่น พี่จะพานองๆ มาเริ่มจากการสํารวจหาแหลงปโตรเลียมกันกอน
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
75
การสํารวจหาแหลงปโตรเลียม ถึงตอนนี้ นองๆ นาจะรูกันแลววา ปโตรเลียมคืออะไร ตัวอยางเชนอะไรบาง พี่จะพานองๆ มารูจักกับการสํารวจหา แหลงปโตรเลียมกันดีกวา แหลงปโตรเลียมสวนใหญจะอยูใตพื้นดิน จึงตองมีการสํารวจและขุดเจาะขึ้นมาใชประโยชน ซึ่งก็มี วิธกี ารสํารวจอยูห ลายวิธี ไมวา จะเปนการสํารวจทางธรณีวทิ ยา (ทําแผนทีภ่ าพถายทางอากาศ) การสํารวจทางธรณีฟส กิ ส (วัด คาความเขมของสนามแมเหล็กโลก) การวัดความโนมถวงของโลก การวัดคลื่นไหวสะเทือนและที่นิยมที่สุดคือ การเจาะสํารวจ เพื่อดูความยากงายของการขุดเจาะ จากนั้นจึงนําเขาสูกระบวนการกลั่นนํ้ามัน นอกจากนี้ยังตองสํารวจหาขอมูลทางดาน วิศวกรรมปโตรเลียมที่เกี่ยวของ เชน ความดันของแหลงปโตรเลียม อัตราการไหล ความสามารถในการผลิตปโตรเลียม และ ชนิดของปโตรเลียมในแหลงสะสมตัวอีกดวย 3.1 นํ้า มันดิบ(Crude Oil) นํ้ามันดิบที่ขุดพบจากการสํารวจนั้น ประกอบไปดวยสารไฮโดรคารบอนเปนหลัก แตก็มีสารประกอบอื่นเจือปนอยูจึง ตองทําการกลั่นแยกนํ้ามันดิบกอนนํามาใชงาน เพื่อใหเปนผลิตภัณฑนํ้ามันสําเร็จรูปชนิดตางๆ ตามตองการ และเหมาะสมตอ การใชประโยชน การกลั่นแยกนํ้ามันดิบ การกลั่นแยกนํ้ามันจะนิยมใชวิธีการกลั่นลําดับสวน (Fractional distillation) โดยนํานํ้ามันดิบมากลั่นในหอกลั่นลําดับ สวน เริ่มจากนํ้ามันดิบจะถูกสงผานเขาไปในเตาเผาที่มีอุณหภูมิสูงมาก หลังจากนั้นนํ้ามันดิบจะไหลผานไปในหอกลั่น ซึ่งใน หอกลั่นจะมีถาดเรียงกันเปนชั้น ๆ เมื่อสารไดรับความรอนจนถึงจุดเดือดจะควบแนนและกลั่นตัวลงมาเปนของเหลวในถาดชั้น นัน้ ๆ โดยชัน้ บนสุดจะเปนชัน้ ทีน่ าํ้ มันมีจดุ เดือดตํา่ ทีส่ ดุ นองๆ สงสัยไหมวา ทําไมถึงเปนเชนนี้ สาเหตุเนือ่ งจากวา สารทีม่ จี าํ นวน คารบอนนอย ทําใหมีจุดเดือดตํ่าและระเหยขึ้นไปไดสูง สวนชั้นถัดมาจะมีจุดเดือดสูงขึ้นเรื่อยๆ ดังรูปแสดงการกลั่นแยกนํ้ามัน ดิบในหอกลั่นลําดับสวนทําใหสามารถแยกชนิดของนํ้ามันดิบออกจากกันได ตามชวงจุดเดือดที่ตางกัน ตามตารางลําดับ ผลิตภัณฑที่ไดจากการกลั่นลําดับสวน หรือ พูดงายๆ ก็คือวา ยิ่งสารที่เล็กยิ่งระเหยไดงาย
รูปแสดงการกลั่นแยกนํ้ามันดิบในหอกลั่นลําดับสวน ที่มา : http://chemistryquiz.exteen.com/20081201/fractional-distillation
76
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
ตารางแสดงลําดับผลิตภัณฑที่ไดจากการกลั่นลําดับสวน และประโยขนที่ใช จํานวนคารบอน
ประเภท
ประโยชน
จุดเดือด (oC)
1–4
แกสปโตรเลียม
แกสหุงตม, เชื้อเพลิง
5–7 6 – 12 10 – 14 14 – 19
แนฟทาเบา แนฟทาหนัก นํ้ามันกาด นํ้ามันดีเซล
19 – 35
นํ้ามันหลอลื่น
นํ้ามันเบนซิน, ใชทําตัวทําละลาย นํ้ามันเบนซิน ใชกับตะเกียง, เชื้อเพลิง เชื้อเพลิงเครื่องยนต, ใชกับ เครื่องกําเนิดไฟฟา นํ้ามันหลอลื่น
มากกวา 35
ไข
นํ้ามันหลอลื่น
> 500
มากกวา 35
นํ้ามันเตา
ใชกับเครื่องยนตเรือเดินสมุทร, เครื่องกําเนิดไฟฟาขนาดใหญ
> 500
มากกวา 35
บิทูเมน
ยางมะตอย
> 500
< 30 30 - 110 65 - 170 170 - 250 250 - 340 > 350
**มุมเล็กๆ ขอเมาทมอย ตารางนี้ พยายามทําความเขาใจนะ ลําดับความคิดใหเปนแลวขอสอบจะเปนเรื่องงาย เชน ระหวาง แก็สหุงตม กับ นํ้ามันหลอลื่น ขอใดมีจุดเดือดตํ่ากวา นองๆ คิดไปพรอมๆ พี่นะ แก็สหุงตมมีสถานะเปนแก็ส นํ้ามันหลอลื่นมี สถานะเปนของเหลว แก็สยอมระเหยไดงายกวาของเหลว สารที่ระเหยไดงายกวาแสดงวาเปนสารที่ตัวเล็กกวา ดังนั้นแก็ สหุงตมจึงมีจุดเดือดตํ่ากวานํ้ามันหลอลื่นนั่นเอง เรื่องนี้ขอเนนอีกรอบ พยายามลําดับความคิดใหเปน เกร็ดความรูเพิ่มเติม** • คุณสมบัติพื้นฐานของแกสที่นองควรรูไดแก 1. คาความรอน (Heating Value) หมายถึงปริมาณความรอนที่เชื้อเพลิงที่อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส คายออก มาจากการทําปฏิกริยากับออกซิเจนและแกสไอเสียที่เกิดจากการเผาไหมถูกทําใหกลับมามีอุณหภูมิ 25 องศา เซลเซียสเหมือนเดิม 2. คาความถวงจําเพาะ (Specific Gravity) อากาศที่นองๆ รูจักกันดีนองมีคาความถวงจําเพาะเทากับ 1 ดังนั้น แกสที่มีคาความถวงจําเพาะมากกวา 1.0 เปนแกสที่มีความหนาแนนมากกวาอากาศ ซึ่งเมื่อรั่วไหลออกสู บรรยากาศในปริมาณมาก จะไหลลงไปที่พื้น แตจะลอยอยูเรี่ยๆ กับพื้น และคอยๆ กระจายออกสูบรรยากาศ อยางชาๆ 3. ความดันไอ )Vapour Pressure) คือ คาความดันของของเหลวที่ไดรับความรอนจนกระทั่งเกิดการเดือด 4. ความสามารถในการติดไฟ (Flammability) คาที่แสดงถึงความสามารถในการติดไฟ ยิ่งมีคามาก แสดงวา สามารถเกิดการติดไฟไดงาย 5. จุดติดไฟอัตโนมัติ (Autoignition Temperature) การที่เชื้อเพลิงจะเกิดการติดไฟหรือเผาไหมได จะตองมี
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
77
องคประกอบ 3 ประการ คือ เชื้อเพลิง อากาศและพลังงาน (ความรอนหรือเปลวไฟ) แตเมื่อเชื้อเพลิงผสมกับ อากาศและมีอุณหภูมิสูงเพียงพอก็จะสามารถเผาไหมไดเองโดยไมตองมีประกายไฟ • คําวา แกสหุงตมนองๆ อาจจะยังไมคุน แตหากพี่บอกวา แก็ส LPG (Liqueified Petroleum Gas) นองๆ นาจะรูจักกันมากกวา นองรูหรือไมวาแก็ส LPG ประกอบดวยแกสโพรเพน (Propane) และแกสบิวเทน (Butane) เปนสวนประกอบหลักและจะบรรจุ ในสภาพเปนของเหลวโดยการอัดใหมีความดัน ประมาณ 100 - 130 ปอนดตอตารางนิ้วกระบวนการเกิดของแก็ส LPG เกิดได 2 วิธี คือ 1. ผลิตจากกระบวนการแยกแกสของแกสธรรมชาติ 2. ผลิตจากกระบวนการกลั่นนํ้ามันในโรงกลั่นนํ้ามันตางๆ • คําวา NGV (Natural Gas for Vehicle) ที่นองรูจักกันคือ กาซธรรมชาติสําหรับยานยนต ซึ่งมีคุณสมบัติที่สําคัญ คือ 1. สัดสวน ของคารบอนใน NGV นอยกวาเชื้อเพลิงชนิดอื่น และมีคุณสมบัติเปนกาซทําใหการเผาไหมสมบูรณ มากกวาเชื้อเพลิงชนิดอื่น และปริมาณไอเสียที่ปลอยออกจากเครื่องยนตใชกาซธรรมชาติมีปริมาณตํ่ากวาเชื้อเพลิงชนิดอื่นซึ่งเปนการชวยโลกทางหนึ่ง ที่นองๆสามารถทําได 2. เปนเชื้อเพลิงที่สะอาดไมกอใหเกิดควันดําหรือสารพิษที่เปนอันตรายตอสุขภาพของประชาชน ตัวอยางขอสอบ ขอใดคือเหตุผลหลักที่ผูประกอบการใชการกลั่นลําดับสวนแทนการกลั่นแบบธรรมดาในการกลั่นนํ้ามันดิบ 1. ในนํ้ามันดิบมีสารที่มีจุดเดือดใกลเคียงกันจึงแยกดวยการกลั่นแบบธรรมดาไมได 2. การกลั่นลําดับสวนจะไมมีเขมาที่เกิดจากการเผาไหมไมสมบูรณ 3. การกลั่นแบบธรรมดาตองใชเชื้อเพลิงมากกวาการกลั่นลําดับสวน 4. การกลั่นแบบธรรมดาจะไดสารปรอทและโลหะหนักออกมาดวย เฉลยขอ 1 การกลั่นนํ้ามันดิบจะใชวิธีการกลั่นลําดับสวน เนื่องจากมีสารที่มีจุดเดือดใกลเคียงกัน ทําใหไมสามารถแยกไดดวย การกลั่นแบบธรรมดา ตัวอยางขอสอบ สมบัติของตัวทําละลายในอุตสาหกรรมเคมีที่ไดจากการกลั่นปโตรเลียมขอใดถูกตอง 1. ประกอบดวยสารไฮโดรคารบอนที่มีจํานวนคารบอนนอยกวา 5 อะตอม 2. เปนสารไฮโดรคารบอนที่ละลายนํ้าได 3. มีจุดเดือดสูงกวานํ้ามันดีเซล 4. มีสถานะเปนของเหลวที่อุณหภูมิและความดันปกติ เฉลยขอ 4 มีสถานะเปนของเหลวที่อุณหภูมิและความดันปกติเพราะตัวทําละลายในอุตสาหกรรมเคมีจะตองเปนของเหลวที่ อุณหภูมิและความดันปกติจึงสามารถใชงานได ตัวอยางขอสอบ จากภาพการกลั่นนํ้ามันปโตรเลียม
78
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
a. จํานวนอะตอมของคารบอน A มากกวา B b. จุดเดือดและความหนืดของ A มากกวา C c. เปนกระบวนการแยกทางกายภาพดวยการกลั่นแบบลําดับสวน จงพิจารณาขอความ ขอใดผิด 1. ขอ a และ b เทานั้น 2. ขอ a และ c เทานั้น 3. ขอ b และ c เทานั้น 4. ขอ a, b และ c เฉลยขอ 1 ขอ a และ b เทานั้นจากภาพพี่เชื่อวานองๆ นาจะทราบวาเปนการกลั่นลําดับสวน ที่เมื่ออุณหภูมิมากขึ้นจะทําให นํา้ มันทีม่ จี ดุ เดือดตํา่ ความหนืดนอย มวลโมเลกุลตํา่ หรือจํานวนอะตอมของคารบอนนอยกวานัน้ จะสามารถระเหยขึน้ ไปไดสงู กวา นํ้ามันที่ควรรูจัก ตอนนีพ้ จี่ ะพานองๆ มาทําความรูจ กั กับนํา้ มันกันตอดีกวา นํา้ มันมีอยูด ว ยกันหลายประเภท ทัง้ ทีไ่ ดมาจากการกลัน่ แยก นํ้ามันดิบ และที่คิดคนขึ้นมาใหมจากเทคโนโลยีขั้นสูง ดังนั้นนองๆ จึงควรรูจักและเลือกใชใหเหมาะสมกับการใชงาน (ถึงตอนนี้ พี่อยากจะใหนองๆ สังเกตดูวา ที่บานของนองๆ ใชนํ้ามันชนิดไหนกันบาง แลวเรามาดูคุณสมบัติของนํ้ามันแตละ ประเภทกันเลย) นํ้ามันเบนซินหรือแกสโซลีน เปนเชื้อเพลิงที่ระเหยไดงาย ไดมาจากการกลั่นนํ้ามันดิบในโรงกลั่นในประเทศไทยนิยม ใชเปนเบนซิน 91 และเบนซิน 95 นํ้ามันดีเซลแบงเปน 2 ชนิด คือ นํ้ามันดีเซลหมุนเร็วหรือโซลา ใชกับเครื่องยนตที่มีความเร็วรอบสูงเกิน 1,000 รอบตอนาที เชน รถยนตเครื่องยนตดีเซล นํ้ามันดีเซลหมุนชาหรือขี้โล ใชกับเครื่องยนตที่มีความเร็วรอบตํ่ากวา 1,000 รอบตอนาที เชน เครื่องจักรโรงงาน เครื่องยนต เดินทะเล แกสโซฮอลมาจากคําวา Gasoline + alcohol เปนเชื้อเพลิงที่เกิดจากการผสมระหวางนํ้ามันเบนซินกับเอทานอล แกส โซฮอลถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเปนพลังงานทางเลือกทดแทนนํ้ามันเบนซิน โดยมีการเผาไหมที่สมบูรณขึ้น เนื่องจากโครงสรางทาง เคมีของแอลกอฮอล ทําใหลดมลพิษในอากาศ อีกทั้งแกสโซฮอลมีราคาตํ่ากวานํ้ามันเบนซินโดยทั่วไป ***NOTE : นองๆ มักจะเห็นตามปมนํ้ามันเวลาคุณพอคุณแมเติมนํ้ามัน เชน Gasohol E20 นองๆ รูหรือไมวา คําวา E20 หมาย ถึงนํานํ้ามันเบนซิน มาผสมกับเอทานอลบริสุทธในอัตราสวน 80 : 20 รึพูดงายๆ คือ เบนซิน 80 สวนผสมกับเอทานอลบริสุทธ 20 สวนนั่นเอง ดีโซฮอล มาจากคําวา Diesel + alcohol เปนเชื้อเพลิงที่เกิดจากการผสมระหวางนํ้ามันดีเซลกับเอทานอลพบวาดีโซ ฮอลสามารถลดควันดําไดรอยละ 50 แตมีตนทุนการผลิตที่มีราคาแพง จึงไปผลิตไบโอดีเซลแทน ไบโอดีเซลจัดเปนสารประเภทเอสเทอร ที่ผลิตจากนํ้ามันพืช นํ้ามันสัตว ผานกระบวนการทรานสเอสเตอริฟเคชัน (Transesterification Process) โดยใชนํ้ามันทําปฏิกิริยากับแอลกอฮอล ซึ่งไบโอดีเซลถือเปนพลังงานทดแทนดีเซลได เปนอยางดี การบอกคุณภาพของนํ้ามัน เลขออกเทน ใชบอกคุณภาพนํ้ามันเบนซิน ซึ่งเปนคาตัวเลขที่แสดงเปนรอยละโดยมวลของไอโซออกเทนในของผสม ระหวางไอโซออกเทนและเฮปเทนหรือ เปอรเซ็นตของไอโซออกเทนในสวนผสมระหวางไอโซออกเทนและเฮปเทน ซึ่งแสดง ถึงความสามารถในการตอตานการชิงจุดระเบิดของเครื่องยนต
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
79
โครงสรางของไฮโดรคารบอนที่เปนกิ่งจะมีคุณคาดีกวาโครงสรางแบบโซตรง และสามารถกําหนดเลขออกเทนได ดังนี้ - เลขออกเทน 100 คือ นํ้ามันเบนซินที่มีสมบัติในการเผาไหมไดดีเหมือนกับไอโซออกเทน - เลขออกเทน 0 คือ นํ้ามันเบนซินที่มีสมบัติในการเผาไหมเหมือนกับเฮปเทน **NOTE : 1. นํา้ มันเบนซินคาออกเทน 87 มีสเี ขียวนําไปใชกบั มอเตอรไซดเครือ่ งยนตสองจังหวะ และรถยนตทมี่ เี ครือ่ งยนตเบนซิน รุนเกาที่มีกําลังอัดในหองเผาไหมนอยกวา 8.5 ตอ 1 2. นํ้ามันเบนซินคาออกเทน 91 มีสีแดงนําไปใชกับรถยนตที่มีเครื่องยนตสี่จังหวะและมีกําลังอัดในหองเผาไหมตั้งแต 8.5 - 10.0 ตอ 1 3. นํ้ามันเบนซินคาออกเทน 95 มีสีเหลืองนําไปใชกับรถยนตที่มีเครื่องยนตเบนซินสี่จังหวะและมีกําลังอัดในหองเผา ไหมมากกวา 10.0 ตอ 1 4. การใชนํ้ามันที่มีคาออกเทนสูงกวาคาที่กําหนดไวบนยานพาหนะ ไมทําใหเครื่องมี กําลังเพิม่ ขึน้ หรือ ขับไดเร็วขึน้ แต อยางใด เพียงแตจะเพิ่มคาใชจายใหมากกวาตางหาก 5. การใชนํ้ามันที่มีคาออกเทนตํ่ากวาที่กําหนดไวบนยานพาหนะ อาจทําใหเครื่องยนตเสียหายได 6. ความแรงของยานพาหนะ ไมขึ้นกับชนิดของนํ้ามัน แตขึ้นกับสภาพการใชงาน การดูแลบํารุงรักษา และสภาพ เครื่องยนตในขณะนั้น เชน นํ้ามันเบนซินที่มีเลขออกเทน 95 จะมีสมบัติการเผาไหมเชนเดียวกับเชื้อเพลิงที่เกิดจากการผสมไอ โซออกเทนรอยละ 95 กับเฮปเทนรอยละ 5 โดยมวล การเพิม่ เลขออกเทนใหนาํ้ มันเบนซิน หากตองการใหคณ ุ ภาพนํา้ มันดีขนึ้ คือ ตองมีเลขออกเทนสูงขึน้ มีวธิ กี ารเติมสารเพิม่ เลข ออกเทนได 2 วิธี คือ 1. เติมเตตระเมทิลเลด (TML : [Pb (CH3)4]) หรือ เตตระเอธิลเลด (TEL : [Pb (CH3CH2)4]) ลงในนํ้ามันเบนซิน ทําให นํ้ามันมีเลขออกเทนสูงขึ้น แตจะกอใหเกิดสารปรอท (Pb)เปนสารมลพิษตามมา 2. เติม เมทิลเทอรเทียรีบิวทิลอีเทอร (Methyl Tertiary Butyl Ether ; MTBE) อาจเรียกกันวา นํ้ามันไรสารตะกั่ว หรือยู แอลจี (Unleaded gasoline ; ULG) ทําใหนิยมใช MTBE มากกวา TEL, TML เพราะไมเกิดมลภาวะในภายหลัง
MTBE
80
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
เลขซีเทนใชบอกคุณภาพนํ้ามันดีเซล ซึ่งเปนคาตัวเลขที่แสดงเปนรอยละโดยมวลของซีเทน ในของผสมระหวางซี เทนและแอลฟาเมทิลแนฟทาลีน ซึ่งเกิดการเผาไหมหมด
กําหนดเลขซีเทนได ดังนี้ - เลขซีเทน 100 คือ นํ้ามันดีเซลที่มีสมบัติในการเผาไหมดีเหมือนกับซีเทน - เลขซีเทน 0 คือ นํ้ามันดีเซลที่มีสมบัติในการเผาไหมเหมือนกับแอลฟาเมทิลแนฟทาลีน สรุปการบอกคุณภาพของนํ้ามัน เลขออกเทน – คุณภาพนํ้ามันเบนซิน เลขซีเทน – คุณภาพนํ้ามันดีเซล **มุมเล็กๆ ขอเมาทมอย อยาลืมจําสูตรเคมีตางๆ นะ สําคัญมากสําหรับบทนี้ เพราะถานองจําสูตรได โครงสรางกเขียนได ชิวๆ เลย ตัวอยางขอสอบ ถาผสมนํ้ามันเบนซิลที่มีคาออกเทนเทากับ80 กับไอโซออกเทน ดวยอัตราสวน 3:1 จะทําใหไดนํ้ามันเบนซิลที่มีคาออกเทนเปน เทาใด 1. 95 2. 87 3. 85 4. 83 เฉลย ขอ3 มีคาออกเทน 85 โดยคิดจาก ถานํ้ามันมีคาออกเทน 300 สวน จะมีคุณภาพเหมือนไอโซออกเทน 240 สวน และถา มีคาออกเทน 100 สวนจะไดวามีคุณภาพเหมือนไอโซออกเทน100 สวน (อัตราสวน 3 : 1) จากนั้นผสมกันเปน 400 สวน จะมี ไอโซออกเทน 240+100 = 340 สวน เทียบไดเปน (340/400)*100 = 85 ตัวอยางขอสอบ นํ้ามันเบนซินชนิด 1 และ 2 มีเลขออกเทน 95 และ 75ตามลําดับ มีองคประกอบเปนสารที่มีโครงสรางในรูป A และ B
A
B
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
81
พิจารณาขอความตอไปนี้ ก. นํ้ามันเบนซิน 1 มีสาร B มากกวาเบนซิน 2 ข. นํ้ามันเบนซิน 1 มีสาร A 95 สวน แตเบนซิน แตเบนซิน 2 มีสาร A เพียง 75 หนวย ค. สาร B ทําใหประสิทธิภาพการเผาไหมของนํ้ามันเบนซิน 1 มากกวาเบนซิน 2 ง. การเติมสาร B ลงในนํ้ามันเบนซิน 1 และ 2 เปนการเพิ่มคุณภาพ เพราะเลขออกเทนสูงขึ้น ขอใดถูก 1.ข เทานั้น 2. ก, ค และ ง เทานั้น 3.ข, ค และ ง เทานั้น 4. ก, ข, ค และ ง เฉลยขอ 2 ก, ค และ ง เทานั้นที่ถูกตอง เนื่องจากสาร A คือ เฮปเทน และสาร B คือไอโซออกเทน การปรับคุณภาพนํ้ามัน 1. กระบวนการแตกสลาย (Cracking) แตกโมเลกุลขนาดใหญเปนโมเลกุลขนาดเล็กโดยใชความรอนตัวเรงปฏิกิริยาและ ความดันตํ่า
C10H22
C H 8 16
+
C2H6
2. รีฟอรมมิง (Reforming) การเปลี่ยนรูปแบบโครงสรางสาร เชน โซตรงเปลี่ยนเปนโซกิ่ง หรือ โครงสรางแบบวงเปลี่ยน เปนอะโรมาติก โดยใชความรอนตัวเรงปฏิกิริยา Catalyst
heat Catalyst heat 3. แอลคิเลชัน (Alkylation) เปนการรวมโมเลกุลของแอลเคนกับแอลคีนใหยาวขึ้นหรือมีกิ่งมากขึ้น
+
82
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
H2SO4
4. โอลิโกเมอไรเซชัน (Oligomerization) เปนการรวมตัวของโมเลกุลเล็กๆ ที่ยังไมอิ่มตัว (มีพันธะคู หรือ พันธะสาม) โดยใช ความรอนหรือตัวเรงปฏิกิริยาและเกิดเปนผลิตภัณฑที่ยังมีพันธะคูเหลืออยู
+ 3.2 แกสธรรมชาติ(Natural Gas) แกสธรรมชาติ มีลกั ษณะเปนแกสทีไ่ มมสี ไี มมกี ลิน่ และมีสถานะเปนแกสทีอ่ ณ ุ หภูมแิ ละความดันปกติ โดยเกิดจากการ ทับถมและแปรสภาพของอินทรียสารในชั้นหินใตผิวโลก แกสธรรมชาตินี้จะประกอบไปดวยสารประกอบไฮโดรคารบอนหลาย ชนิดเชน มีเทน (CH4) อีเทน (C2H6) โพรเพน(C3H8) บิวเทน (C4H10) ฯลฯ รวมถึงยังมีสารประกอบอื่นที่ไมใชไฮโดรคารบอน เชน นํ้า (H2O) คารบอนไดออกไซด (CO2) ไฮโดรเจนซัลไฟด (H2S) และไอปรอท (Hg) ปนอยูดวย จึงตองนํามาผานกระบวนการ แยกแกสธรรมชาติตอไป การแยกแกสธรรมชาติ การแยกแกสธรรมชาติ ทําเพื่อแยกสารที่ไมตองการออก จากนั้นนําแกสผสมที่ผานการแยกแกสที่ไมตองการออกแลวไปเพิ่ม ความดันและลดอุณหภูมิจนกลายเปนของเหลว และนําเขาสูหอกลั่นเพื่อแยกแกสตางๆ สามารถสรุปเปนขั้นตอนได ดังนี้ 1. แยกแกสเหลวออกจากแกสธรรมชาติ โดยผานหนวยแยกของเหลว 2. ผานแกสไปยังหนวยกําจัดปรอท เนื่องจากไอปรอทมีผลตอการสึกกรอนของระบบทอแกสและเครื่องมือตางๆ 3. ผานแกสไปยังหนวยกําจัดแกสคารบอนไดออกไซด โดยใหทําปฏิกิริยากับโพแทสเซียมไฮดรอกไซด (KOH) 4. ผานแกสไปยังหนวยกําจัดความชื้น นั่นคือกําจัดไอนํ้า โดยใชสารดูดซับที่มีรูพรุนสูงและสามารถดูดซับนํ้าออกจาก แกสได 5. ทําใหแกสเปลี่ยนสถานะเปนของเหลว โดยการเพิ่มความดันและลดอุณหภูมิลง นําแกสเหลวที่ได ไปรวมกับแกส เหลวที่แยกไวในขั้นตอนที่ 1 6. ผานไปยังหอกลั่นเพื่อแยกแกสมีเทน โพรเพน และบิวเทนตามลําดับโดยการเพิ่มอุณหภูมิ ผลิตภัณฑที่ไดจากแกสธรรมชาติ 1. มีเทน (Methane) เปนสารที่มีอยูมากในแกสธรรมชาติ ใชเปนเชื้อเพลิงสําหรับการ ผลิตกระแสไฟฟาหรือเปน เชื้อเพลิงรถยนตและใชผลิตสารที่สําคัญของโรงงาน อุตสาหกรรม เชน ผลิตกาว ปุยเคมีแอมโมเนีย เปนตน 2. อีเทน (Ethane) ใชผลิตเชื้อเพลิง และการผลิตพลาสติกในอุตสาหกรรมปโตรเคมี 3. โพรเพน (Propane) ใชสําหรับผลิตพลาสติกในอุตสาหกรรมปโตรเคมี 4. บิวเทน (Butane) ใชเปนวัตถุดิบในการผลิตยางเทียมและไนลอน 5. เพนเทน (Pentane) ใชในการผลิตปุยและเมทานอล 6. คารบอนไดออกไซด (Carbon dioxide) ใชในการถนอมอาหาร,ผลิตนํ้าอัดลมหรือ ผลิตนํ้าแข็งแหง 7. แกสโซลีนธรรมชาติ (Natural Gasoline ; NGL) ประกอบดวยแกสเพนเทน เฮกเซนและสารประกอบอื่น ๆ ที่มี คารบอนผสมอยูตั้งแต C5H12 ขึ้นไป โดยแกสชนิดนี้สามารถนํามากลั่นเปนนํ้ามันเบนซิน เปนวัตถุดิบสําหรับเปนตัวทําละลาย และใชในโรงงานอุตสาหกรรมปโตรเคมีได
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
83
8. แกสปโตรเลียมเหลว (Liquefied Petroleum Gas ; LPG) ประกอบดวยแกสโพรเพนและบิวเทน ใชเปนเชื้อเพลิง ในการหุงตมในอุตสาหกรรมและครัวเรือน อีกทั้งยังใชเปนเชื้อเพลิงสําหรับรถยนตและโรงงานอุตสาหกรรมไดดวย 4. ปโตรเคมีภัณฑ ตอนนี้พี่เชื่อวา นองๆคงเชี่ยวชาญในความรูพื้นฐานของทั้งแก็ส และนํ้ามัน ชนิดตางๆ แลว ดังนั้น พี่จะพานองๆ มา รูจักกับคําวา ปโตรเคมีภัณฑกันดีกวา ปโตรเคมีภัณฑเปนการนําผลิตภัณฑที่ไดจากการแยกนํ้ามันดิบและแกสธรรมชาติ มาใช เปนสารตั้งตนในอุตสาหกรรมปโตรเคมี โดยสามารถแบงไดเปน 2 ประเภท ดังนี้ 1. อุตสาหกรรมขั้นตน เปนการนําสารประกอบไฮโดรคารบอนที่ไดจากแกสธรรมชาติหรือนํ้ามันดิบมาผลิตสารโมเลกุลขนาด เล็กที่เรียกวา มอนอเมอร (monomer) เชน อีเทนและโพรเพนผลิตเอทิลีนและโพรพิลีน แนฟทาผลิตเบนซีน โทลูอีน และไซลีน เบนซีนทําปฏิกิริยากับเอทิลีนไดเปนสไตรีนที่ใชผลิตพอลิสไตรีน 2. อุตสาหกรรมขั้นตอเนื่อง เปนการนํามอนอเมอรที่ไดจากอุตสาหกรรมขั้นตนมาผลิตสารโพลิเมอร (Polymer) ซึ่งกลายเปน โมเลกุลขนาดใหญขึ้น ผลิตภัณฑจากอุตสาหกรรมตอเนื่องนี้ จะนําไปใชเปนสารตั้งตนในอุตสาหกรรมตางๆ ตอไป 5. มลพิษจากปโตรเคมีภัณฑ เชื่อไหมวา นองๆ ทุกคนก็เคยเปนผูสรางมลพิษที่เกิดจากผลิตภัณฑปโตรเคมีภัณฑ ทําไมพี่ถึงพูดเชนนี้ เพราะชีวิต ประจําวันของคนเราไมสามารถเลีย่ งจากการสรางมลพิษได ดังนัน้ พีจ่ ะพานองๆ มารูถ งึ ผลกระทบตอสิง่ แวดลอมกันกอน ผลก ระทบตอสิง่ แวดลอมเกิดจากการเผาไหมถา นหินหรือปโตรเลียมเปนสิง่ ทีม่ นุษยใชเปนประจําในทุกๆ วัน ไมวา จะเปนการใชนาํ้ มัน หรือแกสในการเดินทางหรือขนสง การผลิตกระแสไฟฟา การทําผลิตภัณฑตางๆ เชนการผลิตยา พลาสติก และสบู จึงเกิดเปน มลพิษสูสิ่งแวดลอมเปนจํานวนมาก ทั้งที่เกิดจากการผลิตและการใชปโตรเคมี โดยมีสาเหตุหลักอยู 2 ประการ คือ การเพิ่ม จํานวนของประชากรและความเจริญกาวหนาทางเทคโนโลยี ซึ่งสามารถจําแนกมลพิษออกไดเปน 3 ทาง ไดแก 1. มลพิษทางอากาศ พี่เชื่อวา นองๆ ทุกคนเคยสรางมลพิษทางอากาศแนนอน อากาศที่มีสารเจือปนอยูในปริมาณที่สูงกวาระดับปกติเปน เวลานาน และทําใหเกิดอันตรายแกมนุษย สัตว พืช หรือทรัพยสินตางๆ มีทั้งมลพิษที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เชน ไฟไหม ภูเขาไฟระเบิด แผนดินไหว และที่เกิดจากการกระทําของมนุษย ไดแก มลพิษจากทอไอเสียของรถยนต การใชสารทําความเย็น การผลิตในขั้นตางๆ จากกระบวนการในโรงงานอุตสาหกรรม การเผาขยะ เปนตน แกสคารบอนไดออกไซด(CO2) มาจากการเผาไหมเชื้อเพลิงตางๆ เมื่อปลอยสูชั้นบรรยากาศในปริมาณมาก จะเกิด ปรากฏการณเรือนกระจก เนือ่ งจากจะเก็บความรอนบางสวนไวในโลกไมใหสะทอนกลับสูบ รรยากาศทัง้ หมด จนกลายเปนภาวะ โลกรอน แกสคารบอนมอนอกไซด (CO) เปนแกสที่ไมมีสี ไมมีกลิ่น เกิดจากการเผาไหมที่ไมสมบูรณเชื้อเพลิงของรถยนต สามารถเขาสูรางกายไดทางลมหายใจ เมื่อรวมตัวกับฮีโมโกลบิน จะขัดขวางการลําเลียงและขนสงกาซออกซิเจนของเลือดไป ยังสวนตางๆของรางกาย จนมีภาวะเลือดเปนกรดและอาจถึงขั้นเสียชีวิตได แกสซัลเฟอรไดออกไซด (SO2) เปนแกสที่ไมมีสี แตมีกลิ่นฉุนกอใหเกิดอันตรายตอระบบทางเดินหายใจ และเปน สาเหตุของฝนกรด (pH ตํ่ากวา 5.6) ซึ่งจะทําลายระบบนิเวศน ปาไม และแหลงนํ้า รวมถึงการกัดกรอนทําลายสิ่งกอสรางและ โบราณสถาน แกสไนตริกออกไซด (NO) และแกสไนโตรเจนไดออกไซด (NO2) เกิดจากการสันดาปของเชื้อเพลิงที่มีไนโตรเจนเปน องคประกอบหรือมาจากแหลงอุตสาหกรรม ซึง่ เปนอันตรายตอระบบทางเดินหายใจ โลหะผุกรอน เปนสาเหตุของฝนกรด และ
84
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
ทําใหพืชผลเสียหายและสีซีดจาง สารประกอบไฮโดรคารบอน มาจากการเผาไหมเชื้อเพลิงไมหมด มีผลตอระบบทางเดินหายใจ สารคลอโรฟลูออโรคารบอน (Chlorofluorocarbon; CFC) เปนสารใชทําความเย็น สารขับดันในกระปองสเปรย และ สารในอุตสาหกรรมโฟม สาร CFC ทําลายชั้นโอโซนในบรรยากาศและทําใหเกิดปรากฏการณเรือนกระจก 2. มลพิษทางนํ้า นํ้าเสีย คือ นํ้าที่มีสิ่งเจือปน ซึ่งมาจากแหลงกําเนิดตางๆ ไดแก อาคารบานเรือนชุมชนโรงงานอุตสาหกรรมและการ ทําการเกษตร สวนสารทีท่ าํ ใหเกิดมลพิษทางนํา้ ไดแก สารอินทรีย ฟอสเฟต และนํา้ มัน โดยเฉพาะนํา้ มันถือเปนสวนทีเ่ กีย่ วของ กับอุตสาหกรรมปโตรเลียมโดยตรง เมื่อไหลลงสูแหลงนํ้าจะลอยอยูบนผิวนํ้า ทําใหออกซิเจนในอากาศไมสามารถละลายลงสู แหลงนํ้าได สัตวนํ้าในบริเวณนั้นจึงขาดออกซิเจนและตายลงในที่สุด การบอกคุณภาพนํ้า DO (Dissolved Oxygen) คือ ปริมาณออกซิเจนที่ละลายอยูในนํ้า ซึ่งควรจะมีคา DO ไมนอยกวา 3 mg/dm3 BOD (Biological Oxygen Demand) คือ ปริมาณออกซิเจนที่แบคทีเรียใชยอยสลายสารอินทรียในนํ้า มีคาไมควรเกิน 100 mg/dm3 COD (Chemical Oxygen Demand) คือ ปริมาณออกซิเจนที่สารเคมีใชในการยอยสลายสารอินทรียในนํ้า ซึ่งควร มีคานอยๆ 3. มลพิษทางดิน มลพิษดานสุดทายนี้ คือ ปญหามลพิษของดินซึง่ เกิดจากการทําลายสมดุลทางธรรมชาติจนกอใหเกิดมลภาวะทางภาค พื้นดิน ดินเปนอนุภาคที่มีขนาดเล็ก อีกทั้งสามารถฟุงกระจายไปในอากาศความรุนแรงของมลพิษทางดินขึ้นอยูกับอนุภาคดิน นั้นมีองคประกอบอยางไรสภาพทางอุตุนิยมวิทยา สภาพพื้นที่ เปนตนหากอนุภาคดินถูกพัดพาไปยังแหลงนํ้าดินที่เปนมลสาร จะกอใหเกิดปญหามลพิษทางนํ้า โดยตรงทั้งทางคุณภาพและปริมาณ อีกทั้งยังกอใหเกิดปญหาโดยออมเมื่ออนุภาคดินนั้นมี ธาตุอาหารทีส่ ง เสริมการเจริญเติบโตของพืชนํา้ กอใหเกิดภาวะขาดออกซิเจนในแหลงนํา้ สัตวนาํ้ ในแหลงนํา้ นัน้ ไดรบั ผลกระทบ เกิดกลิ่นเหม็นของกาซไขเนา (hydrogen sulfide, H2S) อันตรายของมลภาวะทางดินตอสิ่งมีชีวิต ไดแก 1. อันตรายตอมนุษย ตัวอยางเชนพิษของสารประกอบไนเทรตไนไทรตในยาปราบศัตรูพืช จากนํ้าดื่ม นํ้าใชในแหลง เกษตรกรรมและจากผลผลิตทางการเกษตร เชน ผัก ผลไม จนถึงระดับที่เปนพิษตอรางกายได 2. อันตรายตอสัตว สัตวทหี่ ากินในดินจะไดรบั พิษจากการสัมผัสสารพิษในดินโดยตรงและจากการบริโภคอาหารทีม่ สี าร พิษปะปนอยู 3. อันตรายตอพืชและสิง่ มีชวี ติ ในดิน พืชจะดูดซึมสารพิษเขาไป ทําใหเจริญเติบโตผิดปกติ ผลผลิตตํา่ หรือเกิดอันตราย และการสูญพันธุขึ้น จากการศึกษามลพิษทางดานตางๆ ไป นองๆ รูส กึ เหมือนพีไ่ หมวา ชีวติ คนเรานีอ่ ยูไ มหา งไกลจากมลพิษเลย ดังนัน้ ทาง ที่ดีที่สุด พวกเราจึงควรดูแลรักษาสุขภาพใหดีอยูเสมอ ออกกําลังกายเปนประจํา ทานอาหารที่มีประโยชนใหครบ 5 หมู และ ถูกสุขอนามัย เทานี้นองก็จะสามารถดํารงชีวิตอยูในสังคมที่มีแตมลพิษไดอยางสบายๆ
นองๆ สามารถศึกษาเพิ่มเติมไดที่
Tag : สอนศาสตร เคมี เชื้อเพลิง ซากดึกดําบรรพ ถานหิน ปโตเลียม ผลิตภัณฑเคมี แกสธรรมชาติ นํ้ามัน
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
85
• 16 : ปโตเลียมและพอลิเมอร http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch4-1 • สอนศาสตร เคมี ม.ปลาย : เชื้อเพลิง ซากดึกดําบรรพและผลิตภัณฑ http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch4-2
• เชื้อเพลิงซากดึกดําบรรพ และผลิตภัณฑ ตอนที่ 1 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch4-3
• เชื้อเพลิงซากดึกดําบรรพ และผลิตภัณฑ ตอนที่ 2 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch4-4
• เชื้อเพลิงซากดึกดําบรรพ และผลิตภัณฑ ตอนที่ 3 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch4-5
• แกสธรรมชาติ (Natural Gasses) http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch4-6
• นํ้ามันดิบ (Oil) http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch4-7
86
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
บทที่ 5
พอลิเมอร (Polymer)
Introduction
ในบทผานๆ มา สารเคมีที่นองๆ พบเจอ มักจะเปนสารเคมีเพียงตัวใด ตัวหนึ่ง อาจจะตัวเล็ก ตัวใหญปะปนกันไป แต ในบทนี้ สารเคมีที่นองๆ จะไดพบ ไมเพียงแตจะเปนสารเคมีที่มีโครงสรางขนาดใหญ แตพี่ขอบอกวา มันใหญมากเลยทีเดียว จนไมสามารถเขียนเต็มๆ ได ทางเดียวที่นองจะเขียนสูตรโครงสรางของสารจําพวกนี้ได คือ นองตองเขียนอยางยอ และที่ สําคัญสารประเภทนี้ อยูรอบๆตัวนองทั้งนั้นเลย ซึ่งพี่ขอเรียกสารเหลานี้วาเปนสารตระกูล “พอลิเมอร” กอนที่จะเขาสูบท เรียน พี่อยากใหนองๆลองพิจารณาถึงสิ่งรอบตัววา นองๆ คิดวาสิ่งรอบตัวนองนั้น มีสิ่งใดบางที่นาจะจัดเปนสารตระกูล พอ ลิเมอร
Outlines
1. ความหมาย และชนิดของพอลิเมอร 2. ปฏิกิริยาการเกิดพอลิเมอร 3. โครงสรางและสมบัติของพอลิเมอร 4. พลาสติก 5. เสนใย 6. ยาง 7. ความกาวหนาทางเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมพอลิเมอร
1. ความหมายและชนิดของพอลิเมอร พอลิเมอร คือ สารที่มีนํ้าหนักมวลโมเลกุลสูง สามารถพบไดในสิ่งมีชีวิตทุกชนิด และนํามาใชประโยชนตอการดํารงชีวิตของ มนุษยไดมาก อีกทั้งยังมีบทบาทสําหรับกระบวนการในอุตสาหกรรมตางๆ เชน พลาสติก ยางพารา และเสนใยสังเคราะห เปนตน โดยพอลิเมอรบางชนิดสามารถเกิดขึ้นไดเองตามธรรมชาติ เชนคารโบไฮเดรต เซลลูโลส โปรตีน และยางธรรมชาติ และบางชนิดไดจากการสังเคราะหขึ้น เชน พอลิเอทิลีน พอลิโพรพิลีน พอลิไวนิลคลอไรด และพอลิเมทิลเมทาคริเลต เปนตน กอนที่จะศึกษาตอ พี่จะพานองๆ มารูจักกับรากศัพทของคําวา พอลิเมอรกันกอนดีกวา คําวา พอลิเมอร นั้นเปนทับศัพทมาจาก ภาษาอังกฤษที่เขียนวา Polymer ซึ่ง Polymer มีรากศัพทมาจาก Poly + Meros ซึ่ง Poly หมายถึง จํานวนมากและ Meros คือ สวนหรือหนวย เมื่อรวมกันจะหมายความวาสารโมเลกุลขนาดใหญที่ประกอบดวยหนวยซํ้าๆ กันของมอนอเมอร (Monomer) มาเชื่อมตอกันดวยพันธะโคเวเลนต ดังภาพ
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
87
ชนิดของพอลิเมอร พอลิเมอรเปนสารที่มีอยูหลากหลายชนิด แตละชนิดจะมีการกําเนิด คุณสมบัติ องคประกอบ และประโยชนที่ใชแตกตางกัน ออกไปจึงมีการจัดจําแนกประเภทพอลิเมอรตามเกณฑ ดังนี้ • พิจารณาตามการกําเนิดแบงได 2 ชนิด คือ - พอลิเมอรธรรมชาติ (Natural Polymers) พอลิเมอรชนิดนีเ้ กิดขึน้ เองตามธรรมชาตินอ งสามารถพบไดในสิง่ มี ชีวติ ซึง่ จะมีความแตกตางกันไปตามชนิดของสิง่ มีชวี ติ และตําแหนงทีน่ อ งๆสามารถพบในสิง่ มีชวี ติ ไดเชนไกลโคเจน กรดนิวคลี อิก เซลลูโลสเสนใยพืช และไคติน - พอลิเมอรสงั เคราะห (Synthetic Polymers) เปนพอลิเมอรทมี่ นุษยเปนผูส งั เคราะหขนึ้ โดยการนําสารมอนอ เมอรจาํ นวนมากมาทําปฏิกริ ยิ าเคมีกนั ภายใตสภาวะทีเ่ หมาะสม และเกิดพันธะโคเวเลนตตอ กันจนกลายเปนโมเลกุลพอลิเมอร ไดแก พลาสติก ไนลอน ยางสังเคราะห และเสนใยสังเคราะห เปนตนซึ่งพอลิเมอรสังเคราะหนี้ นองๆจะไมสามารถหาจาก ธรรมชาติได เพราะตองผานกรรมวิธี หรือ แปรรูปออกมาตามความตองการเทานั้น • พิจารณาตามมอนอเมอรที่เปนองคประกอบแบงได 2 ชนิด คือ - โฮโมพอลิเมอร (Homo polymer) เปนพอลิเมอรทเี่ กิดจากมอนอเมอรชนิดเดียวกันทัง้ หมดมาตอกัน (คําวา Homoหมายถึง ชนิดเดียว) เชน โฮโมพอลิเมอรธรรมชาติ: แปง เซลลูโลส และไกลโคเจน ตางก็มีมอนอเมอรคือกลูโคสสวนยางธรรมชาติมีมอนอเมอร คือไอโซพรีน โฮโมพอลิเมอรสังเคราะห: พอลีเอทิลีน มีมอนอเมอรคือเอทิลีน สวนพอลีสไตรีน มีมอนอเมอรคือสไตรีนสามารถแสดงเปน ภาพการตอกันของมอนอเมอรได ดังนี้
ตัวอยางโครงสรางของเซลลูโลส
- โคพอลิเมอร (Co - polymer) เปนพอลิเมอรประกอบดวยมอนอเมอรมากกวา 1 ชนิดขึน้ ไปเชนโปรตีน กรดนิวคลี อิก พอลิเอสเทอร พอลิเอไมดเปนตน สามารถแสดงเปนภาพการตอกันของมอนอเมอรได (คําวา Co- หมายถึง มากกวา 1 ชนิดมารวมกัน) ดังนี้
88
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
ตัวอยางโครงสรางของพอลิเพปไทด
มุมเล็กๆ ขอเมาทมอย นองๆ อาจเคยไดยินคําวา “มาโคกันนะ” หรือ “มาจอยกันนะ” ซึ่งหมายถึง มารวมกัน คําวา Homo- และ Co- เปนคําขยาย ซึ่ง Homo- หมายถึง ชนิดเดียว สวน Co- หมายถึง มากกวา 1 ชนิดมาอยูรวมกัน ดังนั้น Homopolymer จึงมีพอลิเมอรเพียงชนิดเดียว สวน Copolymer มีพอลิเมอรมากกวา 1 ชนิด ตัวอยางขอสอบ ขอใดเปนพอลิเมอรธรรมชาติทั้งหมด 1. แปง เซลลูโลส พอลิสไตรีน 2. ไกลโคเจน ไขมัน ซิลิโคน 3. โปรตีน พอลิไอโซพรีน กรดนิวคลีอิก 4. ยางพารา พอลิเอทิลีน เทฟลอน เฉลยขอ 3 โปรตีน พอลิไอโซพรีน กรดนิวคลีอิก ขอ 1. ผิด เพราะพอลิสไตรีนเปนพอลิเมอรสังเคราะห ขอ 2. ผิด เพราะไกลโคเจนเปนพอลิเมอรสังเคราะห สวนไขมันไมใชพอลิเมอร ขอ 3 ถูก เพราะโปรตีน พอลิไอโซพรีน และกรดนิวคลีอิก จัดเปนพอลิเมอรธรรมชาติทั้งหมด ขอ 4. ผิด เพราะพอลิเอทิลีน และเทฟลอน เปนพอลิเมอรสังเคราะห 2. ปฏิกิริยาการเกิดพอลิเมอร ถึงตอนนี้นองๆ นาจะรูจักพอลิเมอรชนิดตางๆ กันแลว พี่จะพานองๆ มารูจักกับกลไกในการเกิดพอลิเมอรที่นองพึ่งได เรียนรูไ ปกันดีกวา ปฏิกริ ยิ าการเกิดพอลิเมอร คือ ปฏิกริ ยิ าการรวมตัวกันของมอนอเมอรและเกิดเปนพอลิเมอร เรียกวาปฏิกริ ยิ า พอลิเมอรไรเซชัน (PolymerizationReaction) ซึ่งแบงไดเปน 2 แบบ ดังนี้ - ปฏิกิริยาพอลิเมอรไรเซชันแบบเติม (Addition Polymerization) หรือแบบรวมตัว เปนปฏิกิริยาที่เกิดจากมอนอ เมอรที่ไมอิ่มตัว (แอลคีน) มารวมตัวกันเปน พอลิเมอร โดยไมมีการกําจัดสวนใดออกจากโมเลกุลของมอนอเมอร เชน การเกิด พอลิเอทิลีน พอลีสไตรีนพอลิไวนิลคลอไรด เปนตน (ถาเทียบงายๆก็คือ สารมอนอเมอรที่เดิมทีจับสองแขน (พันธะคู) จะสละ 1 แขนเพื่อไปจับกับมอนอเมอรอีกตัว ทําใหเดิมการจับสองแขน (พันธะคู) เหลือจับเพียงแขนเดียว (พันธะดี่ยว) นั่นเอง)
+
+
ตัวเรง
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
89
- ปฏิกิริยาพอลิเมอรไรเซชันแบบควบแนน (Condensation Polymerization)เกิดจากมอนอเมอรที่ทีหมูฟงกชัน มากกวา 1 หมู มาทําปฏิกริ ยิ ากัน แลวเกิดพอลิเมอร โดยมีโมเลกุลเล็กๆ เชน H2O , NH3, HCl หรือ CH3OHเกิดขึน้ เปนผลพลอยได (นองๆลองพิจารณาคําวา ควบแนน พี่อยากรูวานองๆรูสึกเหมือนพี่ไหม พี่รูสึกวา คําวาควบแนน เหมือนกันนําสิ่งของ 2 สิ่งขึ้น ไปมารวมตัวกัน) ตัวอยาง การเกิดไนลอน 6, 6 จะมี H2O เกิดขึ้น
นํ้า : ผลพลอยได 3. โครงสรางและสมบัติของพอลิเมอร หลังจากที่นองๆ รูชนิด และกลไกการเกิดของพอลิเมอรแลว พี่จะพานองๆ มารูจักกับโครงสรางและสมบัติของ พอลิเมอรกัน ซึ่งโครงสรางขอพอลิเมอรนี้มีทั้งหมด 3 แบบใหญๆ ที่แตกตางกัน ไดแก 1. พอลิเมอรแบบเสน (Linear Polymers) มีลักษณะเปนโซตรงยาว โครงสรางจะชิดกันมาก ทําใหมีลักษณะแข็ง เหนียว ความหนาแนนสูง จุดหลอมเหลวสูง เมื่อไดรับความรอนจะออนตัวและกลับมาแข็งตัวเมื่ออุณหภูมิตํ่าสามารถจําแนก ตามโครงสรางไดเปน 3 แบบ คือ 1.1) พอลิเมอรที่สายโซเรียงชิดกันมากเปนพอลิเมอรที่แข็งแรงขุนและเหนียวเชนพอลิเอทิลีน
1.2) พอลิเมอรที่โมเลกุลอยูหางกันเปนพอลิเมอรที่ใสมากกวาพอลิเมอรที่สายโซเรียงชิดกัน เชน พอลิไวนิลคลอไรด และพอลิสไตรีน
90
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
1.3) พอลิเมอรที่มีอะโรมาติกเปนองคประกอบในสายโซเปนพอลิเมอรที่มีความใสมากที่สุด เชน พอลิเอทิลีนเทเรฟ ทาเลต (PET) หรือขวดพลาสติก
มุมเล็กๆ ขอเมาทมอย ขวดนํ้าที่นองๆ ดื่ม ก็ขวด PET นะ 2. พอลิเมอรแบบกิ่ง (Branched Polymers) มีสวนประกอบหลักอยู 2 สวน ดังตอไปนี้ 2.1) สวนที่เปนโซหลัก – ประกอบดวยมอนอเมอรชนิดเดียวเทานั้น 2.2) สวนทีเ่ ปนโซกงิ่ -เปนมอนอเมอรอกี ชนิดหนึง่ ทีไ่ มไดอยูใ นโซหลักดวยโครงสรางแบบกิง่ ทําใหพอลิเมอรชนิดนี้ ไมสามารถจัดเรียงตัวชิดกันได จึงมีความยืดหยุนสูง มีความหนาแนนตํ่า และมีจุดหลอดเหลวตํ่ากวาพอลิเมอรแบบเสน เชน พอลิเอทิลีนชนิดความหนาแนนตํ่า (Low Density Polyethylene; LDPE)
3. พอลิเมอรแบบรางแห (Cross–Linked Polymers) เปนพอลิเมอรที่เกิดจากการเชื่อมโยงระหวางพอลิเมอรที่มี โครงสรางแบบเสน หรือแบบกิ่งตอเนื่องกันเปนรางแห ซึ่งมีจุดหลอมเหลวสูง เมื่อขึ้นรูปแลวจะไมสามารถหลอมหรือ เปลี่ยนแปลงรูปรางได ถาพันธะที่เชื่อมโยงระหวางโซหลักมีจํานวนนอย พอลิเมอรจะมีสมบัติยืดหยุนและออนตัวสูง แตถามี จํานวนพันธะมาก พอลิเมอรจะแข็งและไมยืดหยุน เชน เบกาไลต เมลามีน อีพอกซี
โครงสรางของอีพอกซี
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
91
สรุป รูปโครงสรางของพอลิเมอร ไดดังนี้
โครงสรางแบบเสน
โครงสรางแบบกิ่ง
โครงสรางแบบรางแห
4. พลาสติก พลาสติก เปนพอลิเมอรอีกชนิดหนึ่งที่เกิดจากการอัดใหเปนรูปรางตางๆ เพื่อเหมาะสมตอการนําไปใชประโยขน เชน ภาชนะบรรจุของ ขวดพลาสติก จาน ชอน เกาอี้ วัสดุทําอุปกรณไฟฟา ฯลฯ อีกทั้งยังใชแทนวัสดุธรรมชาติไดโดยพลาสติกมีทั้ง ชนิดแข็ง ชนิดไมแข็ง มีหลายสีขึ้นอยูกับกระบวนการผลิต พลาสติกเปนรอยขูดขีดไดงาย เมื่อใชไปนานๆ จะเปราะแตกได และ จะละลายไดดีในตัวทําละลายอินทรีย พี่เชื่อวา นองๆ คงรูจักกับ พลาสติกอยางดีแนนอน เพราะชีวิตประจําวันของนองๆก็คง ปฏิเสธไมไดวา พบกับพลาสติกบอยมากๆ แตนองๆ ทราบรึเปลาวาพลาสติกสามารถออกแบงเปน 2 ประเภท ดังตอไปนี้ 1. เทอรมอพลาสติก (Thermoplastic) เปนพลาสติกที่สามารถเปลี่ยนรูปกลับไปกลับมาได ระหวางพลาสติกแข็งและ พลาสติกหลอม โดยจะออนตัวเมือ่ ไดรบั ความรอน แตเมือ่ อุณหภูมลิ ดลงจะแข็ง ตัว จึงสามารถเปลี่ยนรูปรางได โดยที่สมบัติของพลาสติกไมเปลี่ยนแปลง ดัง นัน้ พลาสติกประเภทนีจ้ งึ นํากลับมาใชใหมไดซงึ่ พอลิเมอรประเภทนีม้ โี ครงสราง แบบเสนหรือแบบกิง่ และมีการเชือ่ มตอระหวางโซพอลิเมอรนอ ยมาก ตัวอยาง เชน พอลิเอทิลีน พอลิไวนิลคลอไรด พอลิโพรพิลีน พอลิสไตรีนตัวอยางในชีวิต ประจําวัน เชน ขวดนํ้าพลาสติกที่นองๆ ใชดื่มกัน
2. พลาสติกเทอรมอเซต (Thermosetting plastic) เปนพลาสติกที่ไมสามารถนํากลับมาขึ้นรูปใหมไดอีกเมื่อขึ้นรูปโดยการผาน ความรอนหรือแรงดันแลว เนื่องจากพอลิเมอรประเภทนี้มีโครงสรางแบบ รางแห เมือ่ แข็งตัวแลวจะมีความแข็งมาก ทนตอความรอนและความดันได ดีกวาเทอรมอพลาสติก ถาใหอุณหภูมิสูงมากจะแตกและไหมเปนเถา ตัวอยางเชน พอลิฟนอลฟอรมาลดีไฮด พอลิเมลามีนฟอรมาลดีไฮด และ พอลิยูรีเทน ตัวอยางเชน ทอนํ้าสีตางๆ ตามบานเรือนของนองๆ
92
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
มุมเล็กๆขอเมาทมอย พลาสติกเทอรโมเซต มีคําวา “เซต” ซึ่งมาจากภาษาอังกฤษคําวา set ที่แปลวา กําหนดติดตั้ง ดังนั้นพลาสติกเทอรโมเซตจึงเปนชนิดของพลาสติกที่ถูกกําหนดติดตั้งไว จึงไมสามารถนํากลับมาขึ้นรูปใหมไดอีก ตางกับ เทอรโมพลาสติก ที่สามารถนํากลับมาขึ้นรูปใหม ตารางแสดงสูตรโครงสราง คุณสมบัติและประโยชนของมอนอเมอรและพอลิเมอรชนิด ตางๆ ที่เกิดจากปฏิกิริยาพอลิเมอรไรเซชันแบบเติม ประเภท เทอรมอพลาสติก มอนอเมอร เอทิลีน (H2C=CH2)
โพรพิลีน (H2C=CH-CH3) ไวนิลคลอไรด } (H2C=CH-Cl) เตตระฟลูออโรเอทิลีน (F2C=CF2)
สไตรีน
พอลิเมอร
คุณสมบัติ/ประโยชน เผา : กลิ่นพาราฟน ใชทําเครื่องใช ของเลน และ ฉนวนไฟฟา
พอลิเอทิลีน (PE)
เผา : กลิ่นพาราฟน ใชทําขวดนํ้าอัดลม ภาชนะบรรจุ สารเคมี
พอลิโพรพิลีน (PP)
พอลิไวนิลคลอไรด (PVC)
เผา : กลิ่นกรดเกลือ ใชทําทอนํ้า ทอสายไฟฟากระเบื้องยาง ฉนวนสายหุมไฟฟา
พอลิเตตระฟลูออโรเอทิลีน หรือ เทฟลอน (PTFE)
ใชเคลือบผิวภาชนะที่ใชในครัว ทําสายไฟ
พอลิสไตรีน (PS)
เผา : กลิ่นคลายจุดตะเกียง ใชทําโฟม วัสดุลอยนํ้า ฉนวนไฟฟา
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
93
เมทิลเมทาคริเลต
พอลิเมทิลเมทาคริเลต (PMMA)
อะคริโลไนไตรต
พอลิอะคริโลไนไตรต (PAN)
ลักษณะใส โปรงแสง ใชทํากระจกแวนตา กระจก ครอบไฟทายรถ หรือพลาสติก ตกแตงบาน ทนตอเชื้อราไดดี ใชทําเสื้อผาและผาออมเด็ก
ตารางแสดงสูตรโครงสราง คุณสมบัติและประโยชนของมอนอเมอรและพอลิเมอรที่เกิด จากปฏิกิริยาพอลิเมอรไรเซชันแบบควบแนน ประเภท เทอรมอพลาสติก มอนอเมอร ไดเมทิลเทเรฟทาเลต + เอทิลีนไกลคอล
กรดอะดิปก + เฮกซะเมทิลีนไดเอมีน
บิส – ฟนอลเอ + ฟอสจีน 1,4 – บิวเทนไดออล + เฮกซะเมทิลีนไดไอโซ ไซยาเนต
94
พอลิเมอร พอลิเอทิลีนเทเรฟทาเลต (PET) ดาครอนหรือโทรเรเทโทรอน
พอลิเอไมด (PA) หรือ ไนลอน 6,6
พอลิคารบอเนต (PC)
พอลิยูริเทน (PU)
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
คุณสมบัติ/ประโยชน ใชทําขวดนํ้าอัดลม ขวดนํ้าดื่มชนิดแข็ง และใส ทําเสนใย เอ็น แห อวน เชือก ดายเสนเทปวีดิโอ เทปเพลง หรือทํา หินออนเทียม ใชทําเชือก ดายถุงนอง ชุดชั้น ใน ชิ้นสวนเครื่องจักรกล หรือ ปลอกหุมสายไฟฟา ใชทํากลองบรรจุเครื่องมือเครื่อง โทรศัพท ขวดบรรจุนํ้าดื่ม ขวดนมเด็ก หรือภาชนะที่ใชแทนเครื่องแกว ใชทําเสนใยของชุดวายนํ้า ลอรถเข็น นํ้ายาเคลือบผิว บุเกาอี้
ประเภท เทอรมอพลาสติก ฟนอล + ฟอรมาลดีไฮด
พอลิฟนอล-ฟอรมาลดีไฮด (เบกาไลท, PF)
ใชทํากาว หรือแผงวงจรไฟฟา
ยูเรีย + ฟอรมาลดีไฮด
พอลิยูเรีย-ฟอรมาลดีไฮด (UF)
ใชทํากาว โฟม หรือแผงวงจร อิเล็กทรอนิกส
พอลิเมลามีน-ฟอรมาลดีไฮด (MF)
ใชทําถวย ชาม แผงวงจร หรือผาใบกันนํ้า
เมลามีน + ฟอรมาลดีไฮด
จากที่เห็นนองๆ อาจจะคิดวา พลาสติกจะเปนสิ่งที่มี ประโยชนและนิยมนํามาใชมาก แตหารูไมวา พลาสติกเปน ปญหาหลักทางดานการกําจัด เพราะวายอยสลายไดยาก อีก ทั้งในปจจุบันสังคมมีความคํานึงถึงสิ่งแวดลอมมากขึ้น โดยมี สมาคม อุตสาหกรรมพลาสติกแหงอเมริกา (The Society of the Plastics Industry, Inc.)ไดกําหนดสัญลักษณมาตรฐานของ พลาสติกยอดนิยมกลุมตางๆ ที่สามารถนํากลับมาหมุนเวียน หรือรีไซเคิล (Recycle) ไว 7 ประเภทหลักๆ โดยหากพลาสติก ใดสามารถนํามารีไซเคิลได ก็จะมีสัญลักษณที่ประกอบดวยรูป ลูกศร 3 ตัว วนเปนรูปสามเหลี่ยมรอบตัวเลขตัวหนึ่ง
หมายเลข
สัญญลักษณ
การใชประโยชน
ชื่อ
PETE
พอลิเอทิลีน
นิยมใชทําขวดขวดนํ้าดื่ม ขวดนํ้า อัดลม
HDPE
พอลิเอทิลีนชนิดความหนาแนนสูง
ทําเปนภาชนะบรรจุตางๆ เชน ทัป เปอรแวร ขวดนม ถังนํ้ามัน โตะ และเกาอี้แบบพับได ถุงพลาสติก
ไวนิลหรือพอลิไวนิลคลอไรด (PVC)
ทําพลาสติกหออาหาร ถุงหูหิ้ว ขวด บรรจุชนิดบีบ กลองอุปกรณตางๆ ภาชนะบรรจุเครื่องดื่มอาหาร
1
2
3
V
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
95
4
PETE
พอลิเอทิลนี ชนิดความหนาแนนตํา่
ถุงหูหิ้ว ขวดพลาสติกบางชนิด ถุงเย็นสําหรับบรรจุอาหาร
5
PP
พอลิโพรพิลีน
ใชทําภาชนะบรรจุอาหาร ขวดบรรจุ ยา สามารถนํามารีไซเคิลเปนกลอง แบตเตอรี่ในรถยนต ชิ้นสวนรถยนต
6
PS
พอลิสไตรีน
ทําโฟม พลาสติกที่ใชแลวทิ้งเชน ถวย ชอน สอม มีด
7
OTHER
อื่นๆ
สามารถนํามาหลอมใหมได
ตัวอยางขอสอบ คุณสมบัติของพลาสติกชนิดหนึ่ง มีดังนี้ a. เปนเทอรมอพลาสติก b. ประกอบดวยมอนอเมอรเพียงชนิดเดียว c. ใชทํารองเทา กระดาษติดผนัง d. เมื่อไหมไฟจะเกิดควันสีขาว กลิ่นคลายกรดเกลือ จงพิจารณาวาพลาสติกชนิดใด มีสมบัติดังกลาว 1. พอลิสไตรีน 2. พอลิไวนิลคลอไรด 3. พอลิโพรพิลีน 4. พอลิยูเรียฟอรมาลดีไฮด เฉลยขอ 2. พอลิไวนิลคลอไรด เนื่องจากเปนโฮโมพอลิเมอรที่ประกอบดวยมอนอเมอรเพียงชนิดเดียว และเปนเทอร มอพลาสติกที่สามารถนํากลับมาใชใหมได โดยโครงสรางของพอลิไวนิลคลอไรดเปน ซึ่งมี Cl อยู เมื่อไหมไฟจึงเกิดปฏิกิริยาที่มีกลิ่นคลายกรดเกลือ (HCl) เคล็บลัดที่ไมลับ ถาถามเรื่องคุณสมบัติ เราไมจําเปนตองรูคุณสมบัติทุกชนิดก็ได แตตองพิจารณาจุด เดนๆ ใหเปนมากกวา
96
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
ตัวอยางขอสอบ ขอใดจัดประเภทของพลาสติกไดถูกตอง เทอรมอพลาสติก
พลาสติกเทอรมอเซต
1
ถุงพลาสติก
ดอกไมพลาสติก
2
โฟม
เกาอี้พลาสติก
3
ดามจับเตารีด
ฟลมถายภาพ
4
กระดาษปดผนัง
เตาเสียบไฟฟา
เฉลยขอ 4. เทอรมอพลาสติก – กระดาษปดผนัง พลาสติกเทอรมอเซต – เตาเสียบไฟฟา สวนขออื่นที่ผิด เนื่องจากจัดไมตรงกับประเภทของพลาสติก และการจัดประเภทที่ถูกตอง มีดังนี้ เทอรมอพลาสติก – เกาอี้พลาสติก ดอกไมพลาสติก ฟลมถายภาพ พลาสติกเทอรมอเซต – ดามจับเตารีด
5. เสนใย นองๆ รูจักกับคําวา เสนใย ดีมากนอยอยางไรกันบาง หลังจากที่เราเรียนเกี่ยวกับพลาสติก ซึ่งเปนพอลิเมอรชนิดแรก ไปแลว ตอนนีพ้ จี่ ะพานองๆ มารูจ กั กับเสนใยทีเ่ ปนพอลิเมอรอกี ชนิดหนึง่ กันตอ เสนใย คือ พอลิเมอรทมี่ โี ครงสรางของโมเลกุล เหมาะสมตอการนํามาทําเปนเสนดาย สามารถเกิดขึ้นเองในธรรมชาติและไดจากการสังเคราะห จึงสามารถจําแนกประเภท ของเสนใยตามลักษณะการเกิดได 3 รูปแบบ ไดแก 1. เสนใยธรรมชาติ (Natural Fibers) เปนเสนใยที่สามารถเกิดขึ้นเองในธรรมชาติ คุณสมบัติดูดซับนํ้าไดดีและแหงชา แตขึ้นราและยับงาย มีแหลงกําเนิดจากแหลงตางๆ ดังนี้ 1.1) เสนใยจากพืช (เซลลูโลส) เปนโฮโมพอลิเมอร ประกอบดวยโมเลกุลของกลูโคสจํานวนมาก มีโครงสรางเปนโซ กิง่ ใชในการผลิตสิง่ ทอ เสนใยชนิดนี้ ไดแก เสนใยเซลลูโลส ซึง่ ไดจากสวนตางๆของพืช เชน ฝาย ปาน ปอ ลินนิ นุน ใยสับปะรด ใยมะพราว ศรนารายณ เปนตน 1.2) เสนใยจากสัตว (โปรตีน) ไดแก เสนใยไหม ขนแกะ ขนแพะผม เปนตน ซึง่ เสนใยเหลานี้ มีสมบัตคิ อื เมือ่ เปยกนํา้ ความเหนียวและความแข็งแรงจะลดลง เสนใยจะหดตัว โดยถาสัมผัสแสงแดดนานๆ จะสลายตัวดังนั้นการทําความสะอาดจึง ใชการซักแหง 1.3) เสนใยจากสินแร (ใยหิน) เชน แรใยหิน มีความทนทานตอการกัดกรอนของสารเคมี ทนไฟ และไมนาํ ไฟฟา 2. เสนใยกึ่งสังเคราะห (Semi-Synthetic Fibers) เปนเสนใยที่นําสารจากธรรมชาติ มาปรับปรุงใหเหมาะกับการใช งาน นิยมใชทําผาเช็ดตัว และผาออม ไดแก เซลลูโลสแอซีเตต วิสคอส-เรยอง และแบมเบอรกเรยอง เปนตน 3. เสนใยสังเคราะห (Synthetic Fibers) เปนเสนใยที่สังเคราะหขึ้น เพื่อใชทดแทนเสนใยจากธรรมชาติ โดยใชสาร อนินทรียหรือสารอินทรียมาสังเคราะหมีคุณสมบัติดีกวาเสนใยธรรมชาติ คือ แหงเร็ว ไมยับงาย อีกทั้งยังทนตอสารเคมี เชื้อ
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
97
รา และจุลินทรียได โดยแบงไดเปน 3 ประเภท คือ 3.1) พอลิเอสเทอร เชน ดาครอนหรือโทเรเทโทรอนมีประโยชนในการทําเชือก ฟลม ใชบรรจุในหมอน อีกทั้ง ยังเปนผาที่ทนตอความรอนและสารเคมี โดยเมื่อซักแลวจะไมตองรีด 3.2) พอลิเอไมด เชน ไนลอน มีหลายชนิด เชน ไนลอน 6 ไนลอน 6,6 หรือ ไนลอน 6,10 ซึ่งตัวเลขนี้จะแสดง จํานวนคารบอนอะตอมในมอนอเมอรของเอมีนและกรดคารบอกซิลิกตามลําดับดังรูป โครงสรางของไนลอน 66
โครงสรางของไนลอน 6
3.3) พอลิอะคริโลไนไตรลเชน โอรอน ใชเปนผาออมสําหรับเด็ก
มุมเล็กๆขอเมาทมอย
เสนใย ธรรมชาติ
เสนใยกึ่ง สังเคราะห
เสนใย สังเคราะห
เสนใยจากธรรมชาติเสนใยที่มนุษยผลิตขึ้น คําถาม หลังจากนองๆ ไดเรียนเกี่ยวกับประเภทของเสนใยไป ไหน นองๆลองยกตัวอยาง สิ่งของในชีวิตประจําวัน และลองถามตัวเองดูซิวา เปนเสนใยประเภทไหน
98
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
สรุปประเภทของเสนใย ดังแผนภาพ เสนใย เสนใยธรรมชาติ เซลลูโลส
ใยหิน
เสนใยกึ่งสังเคราะห เรยอน
เสนใยสังเคราะห พอลิเอสเทอร
โปรตีน
6. ยาง
พอลิเอไมด
พอลิอะคริโลไนไตรล
อื่นๆ
ยาง (Rubber)
นอกจาก พลาสติก และเสนใยแลว ยางก็เปนพอลิเมอรอีกชนิดหนึ่งที่นองๆนาจะรูจักกันดี นองๆ รูหรือไมวายางเปน พอลิเมอรที่มีความยืดหยุนสูง มีความตานทานแรงดัน เปนฉนวนได และออนตัวเมื่อไดรับความรอน ซึ่งยางสามารถแบงได เปน 2 ประเภทตามแหลงกําเนิด ทั้งที่กําเนิดจากธรรมชาติหรือมาจากการสังเคราะหขึ้น ดังนี้ 1. ยางธรรมชาติ (Natural Rubbers)เปนพอลิเมอรที่เกิดจากตนยาง ประกอบดวย มอนอเมอร “ไอโซพรีน” ที่เชื่อม ตอกัน 1,500 ถึง 15,000 หนวย ยางพารา หรือ พอลิไอโซพรีน มีโครงสรางเปนแบบ cis – Isoprene (มีหมูท เี่ หมือนกันอยูด า นเดียวกันของพันธะ คู) คุณสมบัติที่ดี คือ ยืดหยุนไดสูง
ยางกัตตา ยางบาราทา ยางชิคเคิล หรือ พอลิไอโซพรีนมีโครงสรางเปนแบบ trans– Isoprene (มีหมูท เี่ หมือน กันอยูดานตรงขามกันของพันธะคู) เปนยางที่ไดจากตนยางกัตตา, ตนยางบาราทาและตนยางซิคเคิล
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
99
2. ยางสังเคราะห (Synthetic Rubbers) เปนยางที่ไดจากการสังเคราะหโดยเลียนแบบยางธรรมชาติ หรือ พูด งายๆ คือ ยางชนิดนี้ไมสามารถหาไดตามธรรมชาตินะ แตไดจากการสังเคราะหเทานั้น เชน พอลีบิวทาไดอีน (ใชบิวทาไดอีน เปนมอนอเมอร) ยาง SBR (Styrene-Butadiene Rubber) พอลิบิวทาไดอีนมีความยืดหยุนนอย ประกอบดวยมอนอเมอร คือ บิวตะไดอีน หรือ 1, 3 บิวตะไดอีน พอลิคลอโรพรีนมอนอเมอร คือ คลอโรพรีน
ยาง SBR หรือ ยางสไตรีน-บิวทาไดอีนเปนโคพอลิเมอร เนือ่ งจากประกอบดวย 2 มอนอเมอร คือ สไตรีน และ บิวทาไดอีน สามารถทนตอการขัดถูไดดี เกิดปฏิกิริยากับแกสออกซิเจนไดยากกวายางธรรมชาติ และยืดหยุนไดตํ่า กระบวนการวัลคาไนเซชัน (Vulcanization) กระบวนการวัลคาไนเซชันเปนกระบวนการปรับปรุงคุณภาพของยาง ซึ่งใชไดทั้งยางธรรมชาติและยางสังเคราะห โดยการนํากํามะถันมาเผากับยางซึ่งจะเกิดพันธะโคเวเลนซ เชื่อมระหวางโซพอลิเมอรดวยอะตอมซัลเฟอรเปนโมเลกุล เดียวกัน ทําใหคงสภาพที่อุณหภูมิตางๆ ทนตอความรอนและแสงแดด อีกทั้งยังละลายในตัวทําละลายไดยากขึ้น
(อางอิงจาก:เอกสารประกอบการสอนโครงการสอนเสริม สโมสรอาจารยจุฬาฯเรื่องผลิตภัณฑปโตรเคมีและพอลิเมอร) ตัวอยางขอสอบ พิจารณาขอความตอไปนี้ a. เอทิลีนจัดเปนมอนอเมอรที่มีขนาดเล็กที่สุดในการผลิตพอลิเมอร b. ซิลิโคนที่ใชในงานศัลยกรรมจัดเปนพอลิเมอรชนิดหนึ่ง c. ไนลอนและอีพอกซีจัดเปนเทอรมอพลาสติก d. ยางธรรมชาติและยางเทียม IR ตางมีไอโซพรีนเปนมอนอเมอร ขอใดถูกตอง 1. a, b และ c 2. a, b และ d 3. a, c และ d 4. b, c และ d เฉลยขอ 2. a. ถูกตอง เนื่องจากเอทิลีนมีโครงสรางโมเลกุลเปน (H2C=CH2) จึงจัดเปนมอนอเมอรที่มีขนาดเล็กที่สุด ที่ใชในการผลิตพอลิ เมอร b. ถูกตอง เนื่องจากซิลิโคนเกิดจาก SiO2 รวมกับอัลคิวคลอไรด(RCL)จะไดสารที่เปนมอนอเมอร c. ผิด เพราะอีพอกซีจัดเปนพลาสติกเทอรโมเซต d. ถูกตอง เนื่องจากยางธรรมชาติและยางเทียม IR มีไอโซพรีนเปนสารตั้งตนเหมือนกัน
100 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
7. ความกาวหนาทางเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมพอลิเมอร ในปจจุบันนี้ นองๆ ทราบไหมวา ประชากรทั่วโลกมีแนวโนมจํานวนของประชากรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทําใหเกิดการใช ทรัพยากรที่เปนพอลิเมอรในการดํารงชีวิตประจําวันในปริมาณที่มากขึ้นตามไปดวย อีกทั้งยังมีการนําเทคโนโลยีเขามา ประยุกตใช เพื่อเพิ่มความแข็งแรง ทนทานมากขึ้น หรือเพื่อสีสันความสวยงาม ทั้งอุตสาหกรรมพลาสติก เสนใย และยาง โดยนําไปใชทั้งในดานการแพทย การทําเกษตรกรรม รวมถึงงานดานกอสรางดังนั้นกอนจะใชพอลิเมอรชิ้นหนึ่งๆ ไมวาจะเปน ขวดนํ้าดื่ม ถุงพลาสติก ภาชนะตางๆ โดยเฉพาะโฟม ก็อยาลืมคํานึงถึงภาวะมลพิษตอสิ่งแวดลอมที่ตามมา เพื่อใหโลกของ เรายังคงยั่งยืนไดตราบนานเทานาน เพราะพี่เชื่อวานองๆ ทุกคนก็คงอยากจะใหธรรมชาติอยูกับเราไปนานๆ นั่นเอง
นองๆ สามารถศึกษาเพิ่มเติมไดที่
Tag : สอนศาสตร เคมี พอลิเมอร การเกิดพอลิเมอร ยาง พลาสติก ปฏิกิริยาพอลิเมอร
• 16 : ปโตเลียมและพอลิเมอร http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch5-1
• Polymer ตอนที่ 1 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch5-2
• Polymer ตอนที่ 2 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch5-3
• Polymer ตอนที่ 3 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch5-4
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
101
• Polymer ตอนที่ 4 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch5-5 • Polymer ตอนที่ 5 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch5-6
• พลาสติก http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch5-7
102 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
บทที่ 6
ปฏิกิริยาเคมี (Chemical reaction)
Introduction
ในบทนี้ นองๆ จะไดเรียนเกี่ยวกับการเกิดปฏิกิริยาเคมี นองๆ บางคนอาจจะคิดในใจ คําวา ปฏิกิริยาเคมี มันดูลึกลับ ซับซอน แสดงวามันตองยากมากๆ แนๆ เลย ขามดีกวา แตเดี๋ยวกอน มันไมใชอยางที่นองคิดเลย กอนอื่นพี่จะพามาทําความ รูจักกับคําวา ปฏิกิริยาเคมีกันกอน ซึ่งมันก็ คือ การเปลี่ยนแปลงปริมาณของสารตั้งตนและสารผลิตภัณฑ โดยสารกอนการ เปลีย่ นแปลงเรียกวา สารตัง้ ตน (Reactant) และสารทีเ่ กิดใหมเรียกวา ผลิตภัณฑ (Product) และพีๆ่ สัมผัสไดวา อาจมีพลังงาน หรือ บางสิ่งบางอยางที่ทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลงลักษณะนี้ก็เปนได ซึ่งสิ่งๆ นั้นเราเรียกมันวา ปฏิกิริยาเคมี นองๆ รูรึเปลา วา ปฏิกริ ยิ าสังเกตไดจากอะไร คําตอบก็คอื การเปลีย่ นสีของสาร การเกิดฟองแกส การเกิดตะกอน หรือการเกิดแกส เชน การ ยอยสลายสารอาหาร การสุกของผลไม ปฏิกิริยาที่เกิดในนํ้าอัดลม การเกิดสนิมของเหล็ก เปนตน ถึงตอนนี้นองๆ นาจะคุนๆ กับปฏิกิริยาเคมีกันบางแลวใชไหม !?^^
Outlines
1. หลักการของการเกิดปฏิกิริยา 2. ประเภทของปฏิกิริยาเคมี 3. อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี 4. ปจจัยที่มีผลตอการเกิดปฏิกิริยาเคมี 5. กฎอัตราเร็ว 6. พลังงานกับการดําเนินไปของปฏิกิริยา 1. หลักการของการเกิดปฏิกิริยา เรามารูจ กั หลักการของการเกิดปฏิกริ ยิ ากันดีกวาปฏิกริ ยิ าเกิดไดจากการชนกันของอนุภาค (อะตอม ไอออน หรือโมเลกุล) ของสารที่จะเขาทําปฏิกิริยากัน โดยที่จะตองชนในทิศทางที่เหมาะสม และพลังงานในการชนตองมีคาสูงกวาพลังงานกระตุน หรือพลังงานกอกัมมันต (Activation Energy, Ea) ตามทฤษฎีการชน (Collistion Theory) ดังนั้นพี่จะสรุปหลักการเกิดปฏิกิริยา เคมีงายๆ เปนกราฟดังรูปที่ 1 หรือ พูดงายๆก็คือปฏิกิริยาเคมีนี้ก็เหมือนกับรักแรกพบของนองๆ นั่นเอง ถานองจะหลงรักใคร ซักคนหนึ่ง นองๆ มักจะหลงรักคนที่นองพบครั้งแรก และรูสึกวาคนๆ นั้นนารักกวาคนทั่วๆ ไปจนอยากจะรูจัก ที่สําคัญคงตอง เปนเวลาที่นองโสดดวย ถาไมโสดจะไปมองคนอื่นไดอยางไร จริงไหมละ
รูปที่ 1 แสดงจํานวนโมเลกุลที่เกิดปฏิกิริยาได เมื่อพลังงานในการชนตองมีคาสูงกวา พลังงานกระตุน
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
103
ตัวอยางขอสอบ ขอใดเกิดปฏิกิริยาเคมี a. การผลิตนํ้าโคก b. การบมมะละกอดิบจนเปนมะละกอสุก c. การเหม็นหืนของนํ้ามัน เมื่อทิ้งไวนานๆ d. การทําทิงเจอรไอโอดีน โดยผสมไอโอดีนกับเอทานอล 1. ขอ a, b และ c 2. ขอ a, b และ d 3. ขอ a, c และ d 4. ขอ b, c และ d เฉลยขอ 1 ขอ a. การผลิตนํ้าโคกนั้นนองๆจะตองอัดแก็สที่มีชื่อวา คารบอนไดออกไซดลงไปในนํ้า เพื่อทําใหเกิดกรดคารบอนิก ซึ่งสาร ที่ใสลงไป กับสารที่ไดมาเปนสารคนละตัว ดังนั้นฟนธง เกิดปฏิกิริยาเคมีแนนอน ขอ b. การบมผลไมนั้น นองๆจะตองใชแก็สเอทิลีน ซึ่งทําใหผลไมสุกเร็วขึ้น ดังนั้นเกิดปฏิกิริยาเคมีชัวรๆ ขอ c. นองๆ รูใ ชไหมวา ในอากาศมีกา ซออกซิเจน และกาซออกซิเจนตัวนีแ้ หละ ทีจ่ ะเขาไปทําปฏิกริ ยิ าเคมีกบั นํา้ มันพืช ทีเ่ ปน ไขมันไมอิ่มตัว และเปนปจจัยที่ทําใหเกิดการเหม็นหืน ขอ d. ไอโอดีน สามารถละลายไดในเอทานอล แตไมมีการเปลีย่ นแปลงใหเกิดสารชนิดใหมขึ้นมา ทิงเจอรไอโอดีนคือ เจือจาง ไอโอดีนดวยเอทานอลเฉยๆ เหมือนกับที่นองๆเจือจางนํ้าเชื่อมใหเปนนํ้าหวาน ดังนั้นจึงไมเกิดปฏิกิริยาเคมี 2. ประเภทของปฏิกิริยาเคมี ปฏิกิริยาเคมีสามารถจําแนกไดถึง 3 ประเภทเลย ดังนี้ 1. ปฏิกิริยารวมตัว (Combination) เปนปฏิกิริยาที่เกิดจากการรวมตัวของสารโมเลกุลเล็กๆ รวมเปนสารโมเลกุลใหญ หรือเกิดจากการรวมตัวของธาตุไดเปนสารประกอบ เชน + O2 (g) 2H2O (l) 2H2 (g) 2. ปฏิกิริยาแยกสลาย (Decomposition) เปนปฏิกิริยาที่เกิดการแยกสลายของสารโมเลกุลใหญใหเปนสารโมเลกุล เล็กลง เชน 2H2 (g) + O2 (g) 2H2O (l) 3. ปฏิกิริยาแทนที่ (Replacement) เปนปฏิกิริยาการแทนที่ของสารหนึ่งเขาไปแทนที่อีกสารหนึ่ง เชน MgSO4 (aq) + H2 (g) Mg (s) + H2SO4 (aq) **มุมเล็กๆ ขอเมาทมอย ปฏิกริ ยิ ารวมตัว ขอเรียกอยางสัน้ ๆ และเขาใจงายๆ วา หลายรวมเปนหนึง่ ปฏิกริ ยิ าแยกสลาย เรียกสั้นๆ วา หนึ่งแตกกระจาย และปฏิกิริยาแทนที่ คือ แลกคูกัน 3. อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี หลังจากนองๆ รูจักกับปฏิกิริยาเคมีแลว นองๆ มาทําความรูจักกับอัตราการเกิดปฏิกิริยากันดวยดีกวาอัตราการเกิด ปฏิกริ ยิ าเคมีนอ งๆ สามารถพิจารณาจากปริมาณสารตัง้ ตนทีล่ ดลง หรือปริมาณสารผลิตภัณฑทเี่ กิดขึน้ ณ ชวงเวลาหนึง่ ๆ โดย มีความสัมพันธกัน ดังนี้ อัตราการเกิดปฏิกิริยา (R)= ปริมาณสารที่เปลี่ยนแปลงไป ( X) เวลา ( t)
104 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
นองๆ อาจจะงงใชไหมวา ปริมาณสารที่เปลี่ยนแปลงไปหมายถึงยังไง แลวเราจะรูไดยังไงปริมาณสารที่เปลี่ยนแปลง ไป คือ ปริมาณสารตั้งตนที่ลดลงหรือผลิตภัณฑที่เพิ่มขึ้นตอระยะเวลา โดยสารที่เรานํามาคิดนั้น จะนําเฉพาะสารที่มีสถานะ เปน กาซ หรือ สารละลายเทานั้น^^เชน สมการ aA+bB cC อัตราการเกิดปฏิกิริยาของสาร _ A_ B C + t t
อัตราการเกิดปฏิกิริยาเฉลี่ย
t
_1 A_1 B 1 C + a t
c t
b t
เมื่อ
A และ B แทนสารตั้งตน C แทนสารผลิตภัณฑ a, b และ c แทนคาคงที่ใดๆ ที่ทําใหสมการเปนจริง นองลองเขียนอัตราการเกิดปฏิกิริยาเฉลี่ยของสมการนี้กันดูหนอยอยาพึ่งแอบดู H2O (l) โดยใชเวลา T เฉลย (ในกลองสี่เหลี่ยมนะ) H2(g) + O2(g) คําตอบ อัตราการเกิดปฏิกิริยาเฉลี่ย
=
แตเราจะไมเขียน
=
-
= เพราะมีสถานะเปนของเหลว
ในปฏิกิริยาหนึ่งๆ อาจมีหลายขั้นตอน ซึ่งจะเกิดชาบาง เร็วบางขึ้นกับพลังงานกระตุนที่ใช ถาใชพลังงานมาก ปฏิกิริยาจะเกิดไดชา แตถาใชพลังงานนอยจะเกิดไดเร็ว ซึ่งในปฏิกิริยาจะมีขั้นกําหนดอัตรา (Rate DeterminingStep) โดยจะ เปนขั้นที่ปฏิกิริยาดําเนินไปชาที่สุด หรือใชพลังงานกระตุน (Ea) มากที่สุดนั่นเอง ดังนั้นจากรูปที่ 2 จะไดวาขั้นกําหนด ปฏิกิริยาคือ ขั้นที่ I **มุมเล็กๆ ขอเมาทมอย หลักการเกิดปฏิกิริยา เหมือนเวลานองๆ เดินขึ้นภูเขา ถาภูเขาชันมาก นองๆ ก็ตองใชแรง มากในการกาวเดิน นองก็จะเดินอยางลําบากสุดๆ เลย แตถาภูเขามันไมคอยชัน นองการใชแรงนิดเดียวในการเดิน นองก็ สามารถเดินไดอยางสบายใจเลย ถูกไหมละ
รูปที่ 2 แสดงขั้นตอนในการเกิดปฏิกิริยาหนึ่งๆ
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
105
นองๆ รูหรือไมวา การเกิดปฏิกิริยาในขณะเริ่มตนจะเกิดไดเร็ว เพราะปริมาณสารตั้งตนยังมีมาก ทําใหปริมาณ ผลิตภัณฑเกิดขึ้นมากเชนกัน แตเมื่อเวลาผานไปอัตราการเกิดปฏิกิริยาจะชาลง เพราะมีปริมาณสารตั้งตนลดลง ทําใหเกิด ผลิตภัณฑไดชาลงตามไปดวย ถาเทียบแลวก็เหมือนนองๆ ที่ตนเดือน คุณแมใหเงินคาขนมมา อยากกิน อะไรก็ซื้องายจาย คลองกันเลยทีเดียว แตพอใกลๆ จะสิ้นเดือน เกิดปญหาเศรษฐกิจระดับโลกนั่นก็คือ เงินหมด ทําใหอาหารที่เดิมทีนองๆ ซื้อ งายจายคลอง เริ่มขาดแคลน อาหาร ขนมตางๆ เริ่มตองเสียเวลาตัดสินใจในการซื้อนั่นเอง ตัวอยางการเกิดปฏิกิริยาของสมการ 2H2O2(aq)
2H2O(l) + O2(g)
ถาพี่เอาขอมูลมาเขียนกราฟ จะสามารถเขียนกราฟแสดงความสัมพันธได ดังนี้ H2O2
H2O
O2
เวลา
เวลา
เวลา
การคํานวณอัตราปฏิกิริยาเคมี • แบบอัตราเร็วคงที่ คือ ปฏิกิริยาที่มีอัตราการลดลงของสารตั้งตน และการเกิดผลิตภัณฑคงที่ตลอดจนสารตั้งตน หมดไปเหมือนกับนองที่บริหารเงินเกงมากๆ มีการวางแผนการใชเงินตั้งแตตนเดือน จนสามารถมีเงินจับจายใชสอย ในปริมาณที่เทากันตลอดทั้งเดือน ตัวอยางขอสอบ ปฏิกิริยาของสาร A สลายตัว ดังสมการ A 4B ไดขอมูลดังตาราง เวลา (s)
สาร A ที่เหลือ (mol/L)
0
3.0
2 5
2.6 2.0
8
1.4
10
1.0
จงหาอัตราการเกิดปฏิกิริยาของสาร A ในชวง 0 – 2 วินาที และชวง 5 – 8 วินาที - ชวง 0 - 2 s = ความเขมขนA ที่เปลี่ยนไป(mol/L)= 3.0 - 2.6 mol/L = 0.2 mol/L.s เวลา (s) 2–0s - ชวง 5 - 8 s = ความเขมขนA ที่เปลี่ยนไป(mol/L)= 2.0 - 1.4 mol/L = 0.2 mol/L.s เวลา (s) 8–5s
106 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
จงหาอัตราการเกิดปฏิกิริยาของสาร A และ B - R A = ความเขมขนA ที่เปลี่ยนไป(mol/L)= 3.0 – 1.0 mol/L = 0.2 mol/L.s เวลา (s) 2–0s - R B = R Ax 4 = 0.2 mol/L.s x 4 = 0.8 mol/L.s 1 หมายเหตุ 4/1 มาจากตัวเลขในสมการของสาร A และ B ที่ดุลสมการแลว นั่นคือเมื่อสาร A สลายตัว 1mol/L จะเกิดสาร B 4 mol/L • แบบอัตราเร็วไมคงที่ คือ ปฏิกิริยาที่มีอัตราการลดลงของสารตั้งตนในชวงแรกจะเกิดอยางรวดเร็วและคอยๆ ชา ลงเรื่อยๆ จนสารตั้งตนหมดไป เหมือนกับนองๆ คนที่ปกติทั่วไป ใชจายตามใจฉัน ตนเดือนจึงเปนชวงที่มีความสุข ที่สุด เพราะอยากไดอะไร ก็มีเงินซื้อทันที แตสิ้นเดือนการจะกินขาวจานหนึ่ง ยังตองคิดแลวคิดอีก ตัวอยางขอสอบ ปฏิกิริยาเคมีระหวางลวดแมกนีเซียมกับกรดซัลฟวริก เปนดังสมการ MgSO4(aq) + H2 (g) Mg(s) + H2SO4 (aq) บันทึกเวลาการเกิดแกส H2 เริ่มตนจนถึงปริมาตร 5cm3 ดังตาราง ปริมาตร H2ที่เกิด (cm3)
สาร A ที่เหลือ (mol/L)
1
2
2 3
5 9
4
14
5
20
จากขอมูลในตาราง ขอใดถูกตอง อัตราการเกิดปฏิกิริยา (cm3/s) อัตราเฉลี่ย
อัตราชวงเกิดแกส H2ปริมาตร 3 - 5cm3
1. 2. 3.
0.16
0.18
0.25
0.18
0.50
0.25
4.
0.25
0.27
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
107
เฉลยขอ 2 MgSO4(aq) + H2 (g) ดุลสมการ Mg(s) + H2SO4 (aq) 3 3 อัตราเฉลี่ย = ปริมาตร H2ที่เกิด (cm ) = 5 (cm )= 0.25 cm3 เวลาที่ใชทั้งหมด (s) 20 (s) อัตราชวงเกิดแกส H2ปริมาตร 3 - 5cm3 = ปริมาตร H2ที่เกิด (cm3) = 5 – 3 (cm3) เวลาที่ใช (s) 20 – 9 (s) = 0.18 cm3 4. ปจจัยที่มีผลตออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี 1. ธรรมชาติของสาร สารตั้งตนที่มีพันธะที่ออนแอหรือแตกออกงายจะเกิดปฏิกิริยาไดงายกวา และสารตั้งตนที่มีความ ซับซอนของโครงสรางนอยจะเกิดปฏิกริ ยิ าไดเร็วกวาสารทีม่ โี ครงสรางซับซอน (โครงสรางขนาดใหญ) 2.อุณหภูมิ เมื่ออุณหภูมิเพิ่ม ปฏิกิริยาจะเกิดเร็วขึ้น เนื่องจากโมเลกุลของสารจะมีพลังงานจลนสูงขึ้น ทําให เกิดการชนกันของโมเลกุลมากขึ้น แสดงไดดังรูป
3. พื้นที่ผิวสัมผัส
หากสารมีพื้นที่ผิวสัมผัสตอตัวทําละลายมาก ปฏิกิริยาจะเกิดไดเร็วขึ้น เชน กอนสังกะสี > เศษสังกะสี > ผงสังกะสี ดังภาพ
4. ตัวเรงปฏิกิริยา/ตัวคะตะลิสต (Catalyst) เมื่อเติมตัวเรงลงในสารตั้งตนจะทําใหปฏิกิริยาเกิดเร็วขึ้น โดยตัวเรงจะไมมีผล ตอผลิตภัณฑเมื่อสิ้นสุดปฏิกิริยา เชนปฏิกิริยา ClO- + O2 C l-+ O3 ClO- + O2C l+ O2 จะมี Cl ทําหนาที่เปนตัวเรงปฏิกิริยาโดยลดพลังงานกระตุนลง **ถาไมเขาใจนึกถึงเวลาเราตองไปเรียน แลวมีภาพแมถือไมเรียวคอยเปนตัวกระตุน/ตัวเรงใหเรา รีบไปเรียนนั่นเอง !!
108 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
5. ตัวหนวง
เมื่อเติมตัวหนวงจะทําใหปฏิกิริยาเกิดชาลง เนื่องจากจะเขาไปเพิ่มพลังงานกระตุน **ถ า ไม เ ข า ใจนึ ก ภาพตอนน อ งๆ ถึ ง หน า โรงเรี ย น แล ว เจอเพื่ อ นชวนเข า ร า นเกม เพื่ อ นน อ งนั่ น ล ะ ตัวหนวงชั้นยอด ทําใหนองเขาโรงเรียนชาลง หรือ ไมเขาเลย !! 6. ความเขมขน สารตั้งตนที่มีความเขมขนสูง จะมีจํานวนโมเลกุลในระบบมากทําใหเกิดการชนกันไดงาย ดังนั้นปฏิกิริยาจะ เกิดเร็วขึ้น **มุมเล็กๆขอเมาทมอย ถาเทียบอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีกับโอกาสการจีบผูหญิงใหสําเร็จ ปจจัยอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี
โอการในการจีบผูหญิงสําเร็จ
ธรรมชาติของสาร
หนาตาของผูจีบ ถาหนาตาดีมีชัยไปกวาครึ่ง
พื้นที่ผิวสัมผัส
ระยะเวลาที่เขาหา เขาหามาก สําเร็จมาก
ตัวเรงปฏิกิริยา/ตัวคะตะลิสต (Catalyst)
แรงผลักดันและความรัก
ตัวหนวง
ความสูญเสียความมั่นใจ
ความเขมขน
ความตั้งใจในการจีบ
ตัวอยางขอสอบ เมือ่ นําเหล็กใสลงในสารละลายกรดไฮโดรคลอริกชิน้ หนึง่ วิธที ที่ าํ ใหปฏิกริ ยิ าเกิดเร็วขึน้ โดยไมเพิม่ ปริมาณเหล็กและกรด a. ใหความรอน b. ใชแทงแกวคนใหทั่ว c. เติมนํ้ากลั่นลงไปเทาตัว d. ใชผงเหล็กนํ้าหนักเทากันแทนชิ้นเหล็ก ขอใดถูกตอง 1. ขอ a, b และ c 2. ขอ a, b และ d 3. ขอ a, c และ d 4. ขอ a, b, c และ d เฉลยขอ 2 ขอ a. ถูก เนื่องจากการใหความรอนเปนการเพิ่มอุณหภูมิใหกับปฏิกิริยา ทําใหปฏิกิริยาเกิดไดเร็วขึ้น ขอ b. ถูก เนื่องจากการใชแทงแกวคนเปนการเพิ่มโอกาสใหโมเลกุลชนกันมากขึ้น สงผลใหปฏิกิริยาเกิดเร็วขึ้น ขอ c. ผิด เนื่องจากการเติมนํ้ากลั่นลงไปเทาตัวนั้น เปนการลดความเขมขนของกรด ซึ่ง จะสงผลใหปฏิกิริยาเกิดไดชาลง นอกจากจะไมทําใหเร็วขึ้นแลว ยังทําใหชาลงอีกดวย ขอ d. ถูก เนื่องจากการใชผงเหล็กเปนการเพิ่มพื้นที่ผิวสัมผัสหะหวางเหล็กกับกรดมากขึ้น จึงเกิดปฏิกิริยาไดเร็วขึ้น
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
109
5. กฎอัตราเร็ว (Law of Mass Action) อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีเปนสัดสวนโดยตรงกับความเขมขนของสารตั้นตนที่เขาทําปฏิกิริยา หรือพูดงายๆ คือ อัตราจะเยอะ จะนอยขึ้นกับความเขมขน ถาความเขมขนมาก อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีก็จะเกิดเร็ว ถาความเขมขนนอย อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีก็จะชา เหมือนนองๆ ถานองๆ มีเงินมาก โอกาสที่จะจับจายใชสอยก็มาก แตถานอยโอกาสที่จะจับ จายใชสอยก็จะนอยตามไปดวย เขียนเปนสัญลักษณไดวา Rate [A]m[B]n และสามารถสรุปเปนกฎอัตราไดเปน Rate = k[A]m[B]n เมื่อ
Rate แทนอัตราการเกิดปฏิกิริยา k แทนคาคงที่อัตรา [A] แทนความเขมขนของสารตั้งตน A [B] แทนความเขมขนของสารตั้งตน B m,n แทนคาคงที่ใดๆ ซึ่งหาไดจากผลการทดลองเทานั้น โดยถาเปนปฏิกิริยาขั้นตอนเดียว m และ n จะมีคาเทากับตัวเลขขางหนาของสารตามสมการที่ดุลแลว แต หากเปน ปฏิกิริยาที่มีหลายขั้นตอน อัตราเร็วของปฏิกิริยารวมจะขึ้นกับขั้นที่เกิดชาที่สุด และเรียก m + n วาอันดับของปฏิกิริยา เชน 1) ถาผลการทดลองได m = 0, n = 0 แสดงวา R = k แสดงวา สารตั้งตนไมมีผลตออัตราการเกิดปฏิกิริยา ไมวาความเขมขนจะเปลี่ยนแปลงไป อัตราการเกิดปฏิกิริยาจะไม เปลี่ยนแปลง จึงเปนปฏิกิริยาอันดับศูนยทั้งของ A, B และปฏิกิริยารวม 2) ถาผลการทดลองได m = 1, n = 0 แสดงวา R = k [A] แสดงวา อัตราการเกิดปฏิกิริยาจะขึ้นอยูกับสาร A เทานั้น ถาความเขมขนของสาร A เปลี่ยนอัตราการเกิดปฏิกิริยาจะ เปลี่ยน จึงจัดเปนปฏิกิริยาอันดับหนึ่งเมื่อเทียบกับ A เปนอันดับศูนยเมื่อเทียบกับ B และมีปฏิกิริยารวมเปนอันดับหนึ่ง 3) ถาผลการทดลองได m = 1, n = 1 แสดงวา R = k [A] [B] แสดงวา อัตราการเกิดปฏิกิริยาจะขึ้นอยูกับความเขมขนของทั้ง A และ Bถาความเขมขนของสารใดสารหนึ่งเปลี่ยน แปลงไป อัตราการเกิดปฏิกิริยาจะเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งปฏิกิริยานี้เปนอันดับหนึ่ง เมื่อเทียบกับ A หรือ B และมีปฏิกิริยารวมเปน อันดับสอง 4) ถาผลการทดลองได m = 2, n = 1 แสดงวา R = k [A]2 [B] แสดงวา อัตราการเกิดปฏิกิริยาจะขึ้นอยูกับความเขมขนของทั้ง A และ B แตขึ้นกับ A เปน 2 เทาของ B ถาความ เขมขนของสารใดสารหนึ่งเปลี่ยนแปลงไป อัตราการเกิดปฏิกิริยาจะเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งปฏิกิริยานี้เปนอันดับสอง เมื่อเทียบกับ A และเปนปฏิกิริยาอันดับหนึ่ง เมื่อเทียบกับ B และมีปฏิกิริยารวมเปนอันดับสาม 5) ถาผลการทดลองได m = 2, n = 2 แสดงวา R = k [A]2 [B]2 แสดงวา อัตราการเกิดปฏิกิริยาจะขึ้นอยูกับความเขมขนของทั้ง A และ B ถาความเขมขนของสารใดสารหนึ่ง เปลี่ยนแปลงไป อัตราการเกิดปฏิกิริยาจะเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งปฏิกิริยานี้เปนอันดับสอง เมื่อเทียบกับ A หรือ B และมีปฏิกิริยา รวมเปนอันดับสี่
110 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
6. พลังงานกับการดําเนินไปของปฏิกิริยา • ปฏิกิริยาดูดความรอน (Endothermic Reaction) สวนใหญใชในการสลายพันธะ ใหแตกออกจากกัน โดยดูดความ รอนจากสิ่งแวดลอมเขาไป มีผลทําใหอุณหภูมิตํ่าลง นึกถึงเมื่อนองๆ เอามือไปจับถุงนํ้าโคก นองๆ จะพบวามันเย็น เพราะมัน ดูดความรอนจากภายนอก และมีผลทําใหอณ ุ หภูมโิ ดยรอบลดตํา่ ลง โดยใชพลังงานเทากับพลังงานกระตุน แตจะดูดเก็บพลังงาน ไวสวนหนึ่ง ( E)ดังรูปที่ 3 เขียนสมการไดเปน A
+
B
+
E
C
+
D
• ปฏิกิริยาคายความรอน (Exothermic Reaction) สวนใหญใชในการสรางพันธะ โดยคายความรอนใหสิ่งแวดลอม มีผลทําใหอุณหภูมิเพิ่มขึ้นนึกถึงเมื่อนองๆ จับถุงใสนํ้าแกงรอนๆ นองๆ จะพบวามันรอน เพราะมันคายความรอนสูภายนอก และมีผลทําใหอุณหภูมิรอบๆ สูงขึ้น โดยใชพลังงานเทากับพลังงานกระตุน แตจะคายพลังงานออกมา ( E) ดังรูปที่ 3 เขียน สมการไดเปน A + B C + D + E
รูป 3.1 ปฏิกิริยาดูดความรอน
รูป 3.2) ปฏิกิริยาคายความรอน
ดังนั้นจึงสรุปสั้นๆ ไดวา “สรางคาย สลายดูด” ตัวอยางขอสอบ จากขอมูลตอไปนี้ สารละลาย
อุณหภูมิ (OC)
X
25
สารละลายใส ไมมีสี
Y
25
สารละลายใส ไมมีสี
Z
26
สารละลายใส ไมมีสี
X ผสม Y
23
สารละลายสีเหลือง
X ผสม Z
25
ตะกอนสีขาว
ลักษณะการเปลี่ยนแปลง
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
111
ขอสรุปใดถูก 1. X และ Z เปนสารเดียวกัน 2. Y ผสมกับ Z เกิดปฏิกิริยาดูดความรอน 3. X ผสมกับ Z เกิดปฏิกิริยาคายความรอน 4. X และ Y ไมทําปฏิกิริยากัน เฉลยขอ 2 ขอ 2 ถูก เนื่องจากเมื่อ Y ผสมกับ Z แลวมีอุณหภูมิตํ่าลง จึงเกิดปฏิกิริยาดูดความรอน ตัวอยางขอสอบ สารละลาย A, B และ C ตางก็เปนสารละลายที่ไมมีสี เมื่อนําสารแตละชนิดที่มีความเขมขนและปริมาณเทากันมาผสมกันที่ อุณหภูมิ 25 OC ไดผลดังตาราง
สารละลาย
อุณหภูมิหลังผสม (OC)
สิ่งที่สังเกตได
A ผสมกับ B
24
สารละลายสีฟา
B ผสมกับ C
25
สารละลายใส ไมมีสี
ขอสรุปใดไมถูกตอง 1. A กับ B เกิดปฏิกิริยาคายความรอน 2. B กับ C เปนสารละลายชนิดเดียวกัน 3. B กับ C ทําปฏิกิริยากัน โดยไมคายความรอน 4. B กับ C เปนสารละลายตางชนิดที่ไมทําปฏิกิริยากัน เฉลยขอ 1 ขอ 1 ผิด เนื่องจากเมื่อ A ผสมกับ B แลวมีอุณหภูมิตํ่าลง จึงเกิดปฏิกิริยาดูดความรอน
112 ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
นองๆ สามารถศึกษาเพิ่มเติมไดที่
Tag : สอนศาสตร เคมี ปฏิกิริยาเคมี สมดุลเคมี การเกิดปฏิกริยาเคมี อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี • 09 : อัตราการเกิดปฎิกิริยาเคมี http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch6-1
• 10 : สมดุลเคมี http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch6-2
• สอนศาสตร เคมี ม.ปลาย : อัตราการเกิดปฎิกิริยาเคมี http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch6-3
• สมดุลเคมี ตอนที่ 1 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch6-4
• สมดุลเคมี ตอนที่ 2 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch6-5
• สมดุลเคมี ตอนที่ 3 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch6-6
• สมดุลเคมี ตอนที่ 4 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch6-7
• สมดุลเคมี ตอนที่ 5 http://www.trueplookpanya.com/book/m6/onet-chemistry/ch6-8
ติวเขม O-NET Get 100 by TruePlookpanya
113