Hex

Page 1





ทีม



The begining is like a feeling when awaken up at something. กนกวรรณ ภู่ระหงษ์












บอกก่อนว่า นี่ไม่ใช่คอลัมน์ How To ถ้าต้องการหาคำ�ตอบทีแ่ ท้จริง เราขอยิ้ม และส่ายหน้าตอบว่า ไม่มี

การจัดกระเป๋าเป็นเรื่องยาก เรามีของที่เป็นของเราอยู่ในห้องมากมาย บางชิ้นก็ ใช้บ่อยมาก แต่บางชิ้นก็ถูกปล่อยวางเอาไว้เฉยๆ เรามักจะซื้อของมาด้วยความรู้สึกแรก คืออยากได้ แต่พอเราได้เป็นเจ้าของแล้ว ความอยากนั้น ก็จะค่อยๆหมดลงไป เราอยากนำ�ของหลายชิ้นใส่ลงไปในกระเป๋า แต่ด้วยการที่ถูกจำ�กัดให้ต้องใส่ของทั้งหมดลงไป ในพื้นที่ของกระเป๋า28นิ้ว และน้ำ�หนักที่ไม่เกิน 30กิโลกรัม ทำ�ให้เราต้องเลือกของที่เราต้องใช้จริงๆ และสำ�คัญเพื่อจัดลงไป เสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัว รองเท้า กระเป๋า คอมพิวเตอร์ ฮาร์ดดิส ไอแพด ปลัก๊ สามตา เครือ่ งเขียน กล้องถ่ายรูปดิจิตอล กล้องถ่ายรูปฟิล์ม กล้องถ่ายรูป โพราลอยด์ ดีวีดีหนัง หนังสือ สมุดวาดรูป พู่กัน สีน้ำ� ตุ๊กตา หมอนเน่า ... ไม่เห็นมีอย่างไหนที่ดูไม่สำ�คัญเลยสักนิด ของสำ�คัญของเรา คนอื่นอาจจะมองว่ามันไม่สำ�คัญ เพราะถ้าทุกคนเห็นตรงกันว่าเป็นของสำ�คัญ ของสำ�คัญนั้นก็คงไม่สำ�คัญ อย่างหมอนเน่า เราว่าทุกคนคงมีสักอย่างที่ติดเวลานอน ใช่ เรามีหมอนเน่า ก่อนนอนเราจะต้องหยิบมันมาวางข้างแก้ม หรือเอามาอยู่ให้ใกล้ที่สุด หมอนเน่า ขึ้นชื่อว่าเน่า สภาพคงไม่น่าจับ หรือสัมผัส แต่หมอนเราหอมนะ ดมไหม ?


กระเป๋า30กิโลกรัมนีห่ นัก นะ เราจัดของสำ�คัญ ใส่ กระเป๋าเดินทางสำ�หรับ สองเดือน เราจัดกระเป๋า แล้ว เราไม่ลมื ของและเรา ก็รวู้ า่ เราเอาของสำ�คัญมา มากกว่า30กิโลกรัมด้วย แหละ ถามว่าเราใช้ของ สำ�คัญทีน่ �ำ มาทัง้ หมดไหม “ไม่”

กล้องถ่ายรูป เป็นเครีอ่ งมือหนึง่ ทีช่ ว่ ยเตือนความจำ� กล้องถ่ายรูปไม่ได้จำ�แทนเรา แต่มันช่วยให้เรา สามารถเห็นภาพที่เตือนความทรงจำ� ให้เราคิดถึง เหตุการณ์ในภาพนั้นได้ เราไม่ได้เลือกกล้องคุณภาพดี หรือเลนส์คณ ุ ภาพ สูง เราเลือกกล้องดิจิตอลตัวเล็ก เพราะมันสะดวก ต่อการเดินทาง เราสามารถพกมันไปได้ทุกที ทันทีที่ อยากบันทึก ก็แค่

เราจัดกระเป๋าเอง เราเลือก ของทีเ่ ราคิดว่าเราต้องใช้ จริงๆ และสำ�คัญเอง แต่ ก็ยังคงมีบางอย่าง ที่เรา ไม่ได้ใช้

แชะ!

เราสามารถจดจำ�ได้ แต่เราไม่มีทางจดจำ�ได้หมด ปลั๊กสามตา ขนาดมันใหญ่ กินพื้นที่มากด้วย แต่ด้วยความที่เป็น คนกลัวปลัก๊ ไฟ ปลัก๊ ไหนทีไ่ ม่รจู้ กั ไม่เคยเสียบมาก่อน ก็คงต้องขอบายนะ แต่พอมีปลั๊กสามตาปุ๊บ ชีวิตดีขึ้น มาทันที ไอ้ปุ่มแดงๆปุ่มนั้น ถ้าเราปิดมัน มันจะทำ�ให้ เรามั่นใจได้ว่า ตอนเสียบจะไม่มีไฟแลบออกมาแน่ๆ เชื่อว่าอย่างนั้น เราสำ�คัญ สำ�คัญที่เรา ถ้าจะให้บอกว่า อะไรบ้างที่ควรนำ�ไป เราขอตอบว่า เราก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะตอนเราจัดกระเป๋าเราก็แค่ คิดว่า อันนีม้ นั สำ�คัญต่อเรา เราก็หยิบมันใส่กระเป๋าไป ทุกอย่างสำ�คัญหมดแหละ แต่มันสำ�คัญที่เรา มากกว่าที่จะมองเห็นว่าอย่างไหนสำ�คัญ

เรายกกระเป๋า30กิโลกรัม ออกจากสายพานไหวด้วย แหละ เราออกเดินทางไกล เพื่อหาความรู้ และพบ เจอกับประสบการณ์ใหม่ๆ บางทีของสำ�คัญที่อยู่ใน กระเป๋าขนาด28นิ้ว กับ น�ำ้ หนัก30กิโลกรัม อาจจะ ไม่มคี วามสำ�คัญเลยก็ได้ หรือว่าบางที เราควรจะ ลากกระเป๋าเปล่าๆมาแทน สวัสดี บริสเบน

อะไรในกระเป๋า

การนอนให้หลับในสถานทีแ่ ปลกใหม่ และยังไม่คนุ้ เคย การที่มีสิ่งของคุ้นเคยอยู่ด้วย อาจจะทำ�ให้เราคุ้นเคย ได้ง่ายขึ้น เราเชื่อว่าอย่างนั้น กล้องถ่ายรูป ทุกคนคงมีเสียงคิดอยูใ่ นหัวว่ามันก็ตอ้ งสำ�คัญอยูแ่ ล้ว หรือเปล่ากล้องถ่ายรูปนี่ ใช่ มันสำ�คัญ แต่ แต่ละคน เห็นความสำ�คัญของกล้องถ่ายรูปกันอย่างไร แค่ถ่าย เก็บไว้ แค่ให้รู้ว่าตัวเองมา แค่เอาไปให้แม่ดู แค่เอา ไว้อัพโหลดลงอินสตาแกรม...


ส วั ส ดี ค รั บ นี่ คื อ ค อ ลั ม น์ ที่ ตั ว ผมเองยั ง ไม่ ส ามารถแน่ ใ จ ได้ ถึ ง คอนเซ็ ป ในตั ว เองสั ก เท่ า ไหร่ แ ต่ ถ้ า จะให้ นิ ย ามถึ ง เรื่ อ ง ราวที่ จ ะเกิ ด ขึ้ น ในหน้ า นี้ ค งจะ เ ป็ น ก า ร พู ด ถึ ง สิ่ ง ที่ น่ า ส น ใ จ ซึ่ ง มาตรฐานที่ เ ป็ น ตั ว ตั ด สิ น ว่ า สิ่ ง ไหนน่ า สนใจก็ คื อ ผมเองครั บ สวัสดีอีกครั้งครับ


1

.

ใช้สำ�หรับอุทาน เช่น เดินๆอยู่แล้ว บังเอิญเหยียบขี้ กรณีนี้ ให้พูด คำ�ว่า “แม่งเอ๊ย” ออกมา เพื่อน ที่ เ ดิ น อยู่ ด้ ว ยกั น จะรู้ สึ ก สะใจขึ้ น มาทันที อีกทั้งยังลดความอาย ของผู้ที่เหยียบขี้ลงไปได้นิดหน่อย

2 ใช้แทนคำ�ว่า “มัน” เช่น การถาม หาเพื่อนคนนึงด้วยประโยคที่ว่า “มันอยู่ที่ไหน” สามารถเปลี่ยน เป็น “แม่งอยู่ที่ไหน” จะทำ�ให้ ความอยากรู้ ว่ า เพื่ อ นคนนั้ น อยู่ ที่ไหนเพิ่มขึ้นไปอีกเลเวล หรือ เรา สามารถใช้ทั้งคำ�ว่า “มัน” และ “แม่ง” ควบคู่กันไป เช่น “ตาม หามันให้เจอ แล้วฆ่าแม่งซะ” ซึ่ง ข้อดีของการใช้สองคำ�ควบคู่กัน ไปคือ เพิ่มพลังให้กับรูปประโยค และ จะไม่มีคำ�ใดคำ�หนึ่งดูเฝือ

3 ใช้ขยายประโยคหรือคำ� เพื่อให้ รู ป ประโยคหรื อ คำ � นั้ น มั น ส์ ขึ้ น เช ่น การจะชมใครสั กคน ด้ วย คำ�ว่า “เก่ง” ถ้าเพิม่ เป็น “แม่งเก่ง” จะทำ�ให้รู้สึกว่า เออ คนนี้มันเก่ง จริงๆว่ะ หรือ เมื่อเติมเข้าไปใน ประโยคปฎิเสธ เช่น “ไปไม่ได้จริงๆ ช ่วงนี ้ ง านเยอะมาก” เมื ่ อเติ ม พระเอกของเราเข้าไปปุ๊ป “ไป ไม่ ไ ด้ จ ริ ง ๆช่ ว งนี้ แ ม่ ง งานเยอะ มาก” ผู้ฟังจะเพิ่มความรู้สึกว่า เออ มันคงไม่ว่างจริงๆ งานมัน ค ง เ ย อ ะ ม า ก จ ริ ง ๆ แ ห ล ะ แต่ทั้งนี้ ข้อดีของคำ�ว่า “แม่ง” ที่สำ�คัญอีกอย่างคือ เราสามารถ เ ติ ม เ ข้ า ไ ป ต ร ง ไ ห น ก็ ไ ด้ ใ น ประโยค เช่น “เราชอบเธอ” “ แ ม่ ง เ ร า ช อ บ เ ธ อ อ ะ ” “ เ ร า แ ม่ ง ช อ บ เ ธ อ อ ะ ” “เราชอบ แม ่ ง..(ก ้ มหน ้ าลงไป แสดงอาการลั ง เล)..เธออะ!!” “ เ ร า ช อ บ เ ธ อ อ ะ แ ม่ ง ” **ยิ ่ ง ในกรณี น ี ้ ที ่ เป็ น ประโยค สารภาพ ยิ่งเพิ่มความแมนใน การสารภาพให้ กั บ ผู้ พู ด อี ก ด้ ว ย

4 ทั้งนี้ทั้งนั้น “แม่ง” ก็ยังนับเป็นคำ� ไม่สุภาพที่ควรจะเลือกใช้ให้เหมาะ แต่จากเรือ่ งนี้ เราได้เห็นวิวฒ ั นาการ ของอะไรบางอย่ า งที่ ทำ � ให้ เ รา ควรจะสังเกตว่า ไม่ว่าจะเป็นคำ� หรืออะไรก็ตาม มันมีการพัฒนา ที่เกิดขึ้นในตัวเองอยู่ตลอด ซึ่ง เราไม่ ค วรจะไปตั ด สิ น ว่ า สิ่ ง นี้ มันดีหรือไม่ดี จากความเคยชิน ของเราที่มีต่อสิ่งๆนั้น เช่น ถ้าใน อ น า ค ต มี ก า ร เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง ฟังก์ชันของคำ�ว่า “แม่ง” เป็น รู ป แบบการใช้ ใ หม่ ท่ี ไ ม่ เ หมื อ น กับปัจจุบัน พวกเราในตอนนั้นก็ ไม่ ค วรจะตั ด สิ น ว่ า มั น ผิ ด อย่ า ง ไร้เหตุผล เพราะการวิวัฒนาการ ของอะไรก็ ต ามคงต้ อ งเกิ ด จาก การปรับตัวให้เข้ากับการใช้ชีวิต เพราะปัจจุบัน เรามีคำ�ใหม่ๆเพิ่ม เข้ามา ก็เพื่ออธิบายความหมาย ของสิ่งที่ต้องการจะบอกให้ลึกขึ้น และถ้ามองในเชิงสร้างสรรค์ เรา พั ฒ นาคำ � พู ด กั น ให้ เ กิ ด ความ หมายใหม่ หรือคำ�ใหม่ขึ้น ก็เพื่อ แก้ไขปัญหาการสื่อสารในเรื่องที่ ยากจะอธิบาย ให้ง่ายขึ้นและทุก คนก็เข้าใจตรงกัน สุดท้ายก่อน จากกัน ขอลาด้วยประโยคนี้ครับ “แม่งเอ๊ยย จบอย่างหล่อ”


1 ภายใน, ห้องโดยสารเครื่องบินแอร์บัส330 เที่ยวบินกรุงเทพ-โซล – กลางคืน


เสียงประกอบ : ตึ๊งๆๆๆๆๆๆ (เสียงกีต้าร์ซ้ำ�ๆจาก เอฟเฟคดีเลย์) เด็กหญิงชาวไทยในเสือ้ ผ้าหน้าผมเกาหลีก�ำ ลัง จ้องมองคิม โซยอนในที่นั่งติดกัน เพราะเสียงจากหู ฟังของคิมทะลุออกมารบกวนเธอ แต่ดูเหมือนเธอจะ สนใจว่าคิมเป็นคนเกาหลีหรือไม่มากกว่า “ยองอึล ฮัล ซู อิซซอโย๊” เด็กหญิงถามคิมเป็นภาษา เกาหลีเสียงดีเลย์ยังคงดังจากหูฟังของคิมต่อไป

เสียงประกอบ : เพลงบรรเลงของกวิน มีทำ�นองชวน ฝันและจบด้วยการเปิดเอฟเฟคดีเลย์จนกลายเป็น noise “กู้ดสตัฟนะ ขอบคุณครับ ฟีดแบคยาวกว่าอันเก่า เยอะเลย” กวินเงยหน้าจากแผงเอฟเฟคมองไปที่คิม เสียงกีต้าร์ยังคงดังค้างต่อเนื่อง “ไม่อยู่เล่นกันซักงานจริงๆหรอ” “บอกปาร์คว่าจะกลับซันเดย์น่ะ” คิมเล่นกีต้าร์คลอ ไปกับเสียงดีเลย์ที่ดังอยู่

2 ภายใน, ห้องซ้อมดนตรีภายในบ้านของกวิน – กลางคืน คิมเอือ้ มมือวางโทรศัพท์มอื ถือไว้บนตัง้ หนังสือ “ ฉันกำ�ลังจะอัดแล้ว ” คิมพูดภาษาไทยสำ�เนียงเกาหลี สบตากวินที่ ยักหน้าให้เล็กน้อย แล้วกดปุ่มสีแดงบนหน้าจอ กวิน ก้มปรับเอฟเฟคดีเลย์ก้อนสีขาวอย่างไม่ถนัดมือ เขาวางมือบนเฟรตบอร์ด และดีดโน๊ตตัวแรก ตัดภาพไป : คิมจ้องมองกวินที่กำ�ลังเล่นกีต้าร์สำ�เนียงฟุ้ง ฝันข้างหน้า ในงานรวมกลุ่มดนตรีทดลองเล็กๆที่ คาเฟ่เดอม็อค นั่นคือวันที่สองที่คิมมาประเทศไทย เพื่อร่วมงานแต่งงานของน้องสาวเธอ และนั่นเป็นวัน แรกที่เขาและเธอเจอกัน

เมื่อถึง ‘ซันเดย์’ ที่เธอว่า ก็จะเป็นเวลาหนึ่ง อาทิตย์พอดี ที่คิมและกวินอยู่ด้วยกันที่กรุงเทพ, ตั้งแต่วันนั้น, อย่างยากจะอธิบายที่มาที่ไป


3 ภายใน, ห้องนั่งเล่นของกวิน – กลางวัน “แทร็กสาม เดโม่..” กวินพูดกับเครื่องบันทึกเสียงขนาดเล็ก ก่อน ก้มลงไป ปรับเอฟเฟคดีเลย์สีขาวก้อนนั้นอย่าง คล่องแคล่ว เขาเริ่มดีดโน๊ตแรก กวินถูกขัดจังหวะด้วยเสียงออดที่ หน้าประตู บุรษุ ไปรษณียถ์ อื กล่องพัสดุ EMS แบน ๆ ไว้ ตัดภาพไป : พลาสติกกันกระแทกถูกขยำ�เป็นก้อน กวิน ค่อยๆกรีดเทปกาวสีน้ำ�ตาลรอบกล่องออก ภายใน กล่องคือซีดีเพลงที่หน้าปก เขียนว่า KLIE เล็กๆ บน ภาพสีน้ำ�นามธรรม ภายในมีกระดาษพับหลายทบ ตีพมิ พ์เนือ้ เพลงภาษาเกาหลี เมือ่ คลีอ่ อกเป็นกระดาษ ยาวๆที่ข้างหนึ่งเป็นรูปถ่ายผู้ชายหน้าตาใจดีในเสื้อ เชิ้ตแขนสั้นสีอ่อน ส่วนอีกข้างหนึ่งคือรูปของคิมใน เสื้อแขนกุดสีดำ� กวินจำ�เสื้อตัวนี้ได้ ตัดภาพไป : เอฟเฟคดีเลย์ขาวก้อนนั้นถูกตั้งค่าใหม่ กวิน ดีดกีต้าร์เพื่อลองฟังเสียง โน๊ตแรกถูกเล่นขึ้น ทำ�นอง เคลื่อนไปอย่างช้าๆ คล้ายว่ากวินกำ�ลังทบทวนความ จำ� และเล่นออกมาพร้อมกัน เสียงประกอบ : เพลงบรรเลงของกวิน มีทำ�นอง ชวนฝันและจบด้วยการเปิดเอฟเฟคดีเลย์จนกลาย เป็น noise เสียงดีเลย์ยังคงทำ�งานไปหลังเพลงจบ ภาพดำ�




there, there อัศนี สังแก้ว











ปากกาเคมีนาฬิกาข้อมือ ฉันวาดนาฬิกาที่ข้อมือ ด้วยปากกาเคมีชนิดหนึ่ง อวดใครต่อใคร นี่คือเครื่องบอกเวลาของฉัน ในขณะนั้นฉันยังเด็ก จึงเห็นคุณค่าของนาฬิกาเรือนนั้น คุณค่าของเครื่องบอกเวลาในขณะนั้น อวด ให้ เธอ ชม เธอ จึงบ่น ด้วยรอยยิม้ ......................................... ฉันตื่นขึ้นมาอีกวัน ในอีกวัย นาฬิกาเริ่มลบเลือน เครื่องเตือนเวลา “เลือนราง” บางเครื่องบอกเวลา มีบางสิ่งทดแทน มีหลายสิ่งแทรกในช่วงเวลา มีบางเวลาต้องให้และต้องรับ ในมือฉันอาจถืิอปากกาเคมี วาดนาฬิกาได้ทั้งข้อมือ และฝาผนัง แต่อาจไม่เห็นคุณค่าหรือจัดการมัน ในอีกวัน แต่ของละวัน อาจไม่เหลือให้เธอ ที่ห่วงใย เข้าใจเราเสมอ

- แด่ คนซื้อนาฬิกาเรือนแรกให้ฉัน12 สค.





กรุงเทพสวย ฝรั่งชาติไหนมาเที่ยวก็ชอบ มีวัดพระแก้ว มีอาคารอนุรักษ์ ชาวเมืองอยู่สบาย รัฐบาล จับมือผู้ว่าร่วมสร้างสิ่งอำ�นวยความสะดวกรายล้อม จราจรอาจจะแย่หน่อย แต่พอมีระบบ ขนส่งมวลชนให้เลือกหลากหลาย อากาศอาจจะสกปรกหน่อย แต่พอมีสวนสาธารณะจิ๋วให้ พักหายใจ แม่ค้าท้องถิ่นฉีกปากยิ้มรับนักท่องเที่ยวต่างชาติผู้มั่งคั่ง ด้วยไมตรีล้วนๆ มีเขต อาคารเศรษฐกิจ ย่านศูนย์การค้า สถานบันเทิงราตรีครบถ้วนตามแบบแผนเมืองยุคใหม่ที่ เจริญแล้ว แต่นั่นเป็นฉากละครเวที สวยงามเมื่อต้องแสง ใครเห็นก็ประทับใจและเชื่อว่ามัน ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นจากกระดาษ แต่ถ้ามีคนบางคนเกิดความสงสัย เดินเข้าไปพินิจฉากนั้นใน ระยะใกล้ขึ้น ก็จะพบว่ามันกำ�ลังบดบังความมืดมิดของโครงเหล็กสนิมเขรอะหลังเวทีอยู่ ทุก วันนี้ไม่มีใครเชื่อโครงฉากเหล่านั้นอีกต่อไป ทุกคนรับรู้อยู่ว่ามีความเสื่อมโทรมระดับเข้มข้น อยู่ห่างจากบริเวณที่เราอยู่อาศัย ใช้ชีวิตแค่คืบระยะห่างบางเพียงฉากกระดาษกั้น จากจุดที่เรานั่งเคี้ยวปลาดิบในร้านอาหารญี่ปุ่นย่านราชเทวีออกไปเพียงสองกิโลเมตร คุณพ่อลูกสามในชุมชนแออัดกำ�ลังแอบครอบครัวร้องไห้ เพราะไม่มีเงินมากพอจะซื้อปลา ทูเพิ่มให้ลูกชายอีกเพียงเข่ง เมืองของเราเต็มไปด้วยส่วนผสมที่สุดโต่ง ความขัดแย้งปะทะ รุนแรง ถูกชงให้ผสานกันโดยกาลเวลา ชุมชนแออัดย่านคลองเตยหรือสลัมคลองเตยมีที่มา จากการก่อสร้างท่าเรือกรุงเทพ ช่วงปีพ.ศ.2481–2490 เนื่องจากต้องการแรงงานและวัสดุ จำ�นวนมาก จึงเกิดการจ้างงานช่างและกรรมกร ซึ่งส่วนใหญ่มีภูมิลำ�เนาอยู่ต่างจังหวัด ความต้องการที่พักอาศัยใกล้สถานที่ทำ�งานก็ตามมา จึงมีการก่อสร้างบ้านพักคนงานขึ้นใน ที่ดินของการท่าเรือ แต่เมื่องานก่อสร้างแล้วเสร็จ ผู้อาศัยกลับไม่ยอมย้ายออก เลือกที่จะลง หลักปักฐาน ประกอบอาชีพ สร้างชุมชนย่อยๆขึ้นมา และชักชวนครอบครัวของตนให้ย้าย เข้าเมือง การท่าเรือพยายามแก้ปัญหาด้วยการจ้างคนส่วนหนึ่งเข้ามาเป็นพนักงาน และ สร้างอาคารพักอาศัยถาวรขึ้น แถวถนนอาจณรงค์ แต่ก็ไม่ประสบผลสำ�เร็จ สลัมยังคงขยาย อาณาเขตขึ้น ตลอดเวลาจนทุกวันนี้


มองด้วยตา สลัมคือปึกแผ่นของเพิงไม้ผุและที่พักอาศัยที่สร้างขึ้นอย่างหยาบ สาเหตุ ง่ายๆคือไม่มีเงินปลูกบ้านที่มั่นคงแข็งแรง แออัดสมชื่อ แม้ในสเกลของครัวเรือน บ้านบาง หลังมีผู้อยู่อาศัยเกินยี่สิบคน ในความกว้างไม่มากไปกว่าห้องน้ำ�สาธารณะ สุขอนามัยค่อน ข้างย่ำ�แย่ สิ่งปฏิกูลหลากที่มาไหลผสมรวมกันเหลวเละริมสองข้างทาง กลิ่นสาบทั่วบริเวณ ตลอดเวลา จากปัญหาขยะล้นชุมชน แสงอาทิตย์บ่ายสามโมงส่องเข้าไม่ถึงทางเดินส่วนกลาง และไม่ค่อยมีใครสวมรองเท้า วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนในสลัม ปัจจุบันซับซ้อนและเหนือ คาด ความยากจนดูจะไม่เป็นปัญหาหลักสำ�หรับย่านชุมชนแออัด เมื่อมีงานที่ได้เงินมากมาย อย่างง่ายดาย เช่นการส่งยาเสพติดมือต่อมือ สร้างอาชีพให้ผู้อยู่อาศัยตั้งแต่เด็กยันโต สืบทอดรุ่นสู่รุ่น โฮมเธียเตอร์ โทรศัพท์ไอโฟน หรือคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค ในกระท่อมไม้โทรม ค่อยๆกลายเป็นภาพชินตา เหตุเพลิงไหม้เกิดขึ้นบ่อยจนเป็นประเพณี มือวางเพลิงปริศนา ยังคงตีพุงลอยนวล และเป็นที่เข้าใจในระดับสากลว่า คดีบุกรุกปล้นฆ่าชิงทรัพย์เป็นสิ่งปกติ คู่กันกับย่านสลัม การตายวันตายพรุ่งของเพื่อนบ้านหรือคนรู้จักคือเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายๆ กำ�จัดศพสะดวกสบายด้วยความช่วยเหลือจากคลองเน่าหลังบ้าน บุคลิกของผูค้ นทีน่ ค่ี ล้ายกัน ระแวงคนแปลกหน้า ดวงตาทุกคู่ เด็ก ผู้ใหญ่ หมา แมว จับจ้องมาด้วยความไม่ไว้วางใจ เด็ก ผู้หญิงตัวเล็กๆก็ไม่ยอมหลบสายตา เพ่งกลับมาเหมือนกำ�ลังท้าทายสัตว์ประหลาด กลุ่มเด็ก วัยรุ่นฉกรรจ์พ่นควันกลิ่นแปลก สักอักษรเต็มแผ่นหลังท่าทางดุดันน่ากลัว ต้องควบคุมตาตัว เองให้มองต่ำ�ๆแล้วรีบสาวเท้าหนี มีคุณยายคนหนึ่งท่าทางเป็นมิตร กำ�ลังป้อนอาหารแมวในเพิงไม้เล็กๆที่มีโครงสร้าง ยื่นเข้าไปหาคลองน้ำ�เน่า แต่ก็มั่นคงแข็งแรง เข้าไปขอแกถ่ายรูปแมว ไหนๆแล้วก็เลยถือ โอกาสนี้นั่งคุยและถามบางคำ�ถามที่มีในหัว เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์และความเป็นมาของชุมชน โชคดีมากที่คุณยายเป็นสมาชิกชุมชนกลุ่มแรกๆที่เข้ามาอยู่อาศัยเมื่อห้าสิบปีก่อน คุณยายเล่าว่าตั้งแต่ท่าเรือคลองเตยก่อสร้างเสร็จ การท่าเรือก็ทำ�ทุกวิธีเพื่อที่จะทวงคืน ที่ดินบริเวณนี้กลับมา(อ๋อ เพลิงไหม้ปริศนา) และล่าสุดคือติดสินบนประธานชุมชนเพื่อกดดันให้ ลูกบ้านที่เหลือย้ายๆออกไปให้พ้น เพื่อจะทำ�ให้ที่ดินบริเวณนี้กลายเป็นคอนโดหรือบ้าน จัดสรรเพื่อชาวต่างชาติสำ�หรับการเปิดเสรีอาเซียนที่กำ�ลังจะมาถึง ซึ่งมันก็เป็นเรื่องสุดวิสัย ที่เข้าใจได้ง่ายๆ ผู้มีอำ�นาจเยอะชอบการมีเงินเยอะ เพียงกวาด(หรือเผา)เหล่าขยะทิ้ง พื้นที่ ที่เหลือนี้ก็พร้อมจะอัดฉีดเม็ดเงินจากต่างชาติเข้ากระแสเลือด ให้เหล่าผู้ทรงอำ�นาจทั้งหลาย ได้นอนorgasmกันอย่างแซ่บสุข ความจริงการท่าเรือก็มีทางเลือกให้ คือที่ดินแถวมีนบุรี หนองจอก (ยายบอกว่าน้ำ� ไฟเข้าถึง แต่สภาพเป็นป่า ห่างไกลจากทุกศูนย์อนามัยและสาธารณะสุข) ซึ่งก็ต้องใช้เงิน จำ�นวนมากในการปลูกบ้าน ถ้าจะย้ายไปก็ตอ้ งสร้างหนีเ้ พิม่ โดยการกูธ้ นาคารอีก = มืดแปดด้าน ทางเดียวของยายคือ กลับบ้านนอก ไปอยู่กับลูกหลาน ถามกลับไปว่า แฟนยายที่ทำ�งานขับ รถเมล์อยู่จะทำ�งานอะไรที่บ้านนอก ยายเล่าให้ฟัง ที่นั่นเงินมีความหมายน้อยกว่ากรุงเทพ มาก ผักบุ้ง กุ้ง มีให้เก็บกินหลังบ้าน ริมเถียงนามีปู หนู นก แกงอย่างแพงก็ถุงละยี่สิบ เอื้อเฟื้อปันกับข้าวกินกันระหว่างครัวเรือน อยู่กันเป็นเดือนๆโดยไม่เกิดการหมุนเวียนของ เงินขึ้นเลย(อุดมคติมาก) แต่ยายบอกว่าถ้าให้เลือก ก็ยังอยากจะอยู่ในกรุงเทพมากกว่า เพราะ มันหาเงินได้ง่ายและเยอะกว่าบ้านนอก ถึงแม้ว่ายายจะมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งธนบัตร แต่ ก็ยังอยากให้ลูกหลานได้มีชีวิตอยู่อย่างสบายกว่าเดิม ด้วยพลังของระบบทุนนิยม อาจจะเป็น เพราะว่า เป็นสิ่งที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนในชีวิต ยายจึงยังเชื่อว่าการมีเงิน มีฐานะคือเส้น ทางสู่ความสุขที่ถูกต้องโดยธรรมชาติ


ไม่วา่ จะเป็นหนุม่ สาวผูท้ ะเยอทะยาน หรือผูส้ งู อายุทป่ี ล่อยวางชีวติ ตนไปนานแล้ว สุดท้าย ทุนนิยมก็ยังคงเป็นสิ่งที่มีพลังและทรงเสน่ห์ ดึงดูดมนุษย์ทุกคนให้เข้าไปสัมผัสเสพติด หนึ่งทุ่มตรง เดินย่ำ�ทีละก้าวออกจากซอกริมคลอง ทางเดินซีเมนต์เฉอะแฉะ แอ่งน้ำ�สี ดำ�ขังประปราย เสียงแจ๊ะเมื่อสัมผัสโดน และความหนืดที่พื้นรองเท้า บ่งบอกว่าไม่น่าจะใช่น้ำ� ประปาธรรมดา กลิ่นรุนแรงที่เริ่มคุ้นเคยค่อยๆจางลงตามทิวทัศน์ของสิ่งก่อสร้างที่ดูแพงขึ้น ในหัวมีแววตาและบทสนทนาของยายวนเวียนซ้ำ�แล้วซ้ำ�เล่า ระหว่างทางกลับ ค้นพบว่า เราทุกคนต่างทะเยอทะยานกันภายใต้คอนเสปท์ทุนนิยม ต้องการความสุขจากวัตถุวิเศษทั้งหลาย อยากมีเงิน อยากมีร่างกายที่สวยงาม อยากมีชีวิต ที่หรูหราน่าอิจฉา ภายใน MRT เต็มไปด้วยคนเมืองที่ทะเยอทะยานตามยุคสมัย มีแอร์เย็น มีแสงไฟนวล สีส้ม คงเป็นเพราะเพิ่งออกจากสลัม ความรู้สึกของรถไฟใต้ดินวันนี้เลยไม่เหมือนครั้งก่อนๆ ก็ไม่น่าแปลกใจอะไรมากคนเราจะตาพร่าแสง เมื่ออยู่ในบริเวณที่มืดมิดเป็นเวลานาน ถึงแม้ แสงที่เห็นจะมีความสว่างเท่าเดิม ตอนนี้ ความสว่างจู่โจมเข้ามาจากทุกทิศ ทุกคนมีสมาร์ท โฟนในมือ มีหูฟังสีขาวที่อุดอยู่ในรูหู เสื้อคอปกกับกางเกงแสล็ครีดเรียบ ทำ�สีผมและกรีดอาย ไลเนอร์ รองเท้าหนังหัวเข็มขัดวาวมัน ส้นสูงสีเบจกับประกายเพชรจากต่างหู ทุกร่างกายห่อ หุ้มด้วยเสื้อผ้าดูดี แต่เปลือกตาปรือโรยแรงเพราะมีน้ำ�หนักมหาศาลของงานโอทีกดทับอยู่ ขึ้นชื่อว่ารถไฟฟ้า ไม่ว่าโบกี้ไหนๆก็คงมีทิวทัศน์ไม่ต่างกันมาก “ยิ่งรวยยิ่งทุกข์” คำ�พูด ของยายกำ�ลังถูกreplayในหัว ถึงหอ นอนคิด ใครที่มีความสุขมากกว่ากัน คนสมถะนั่งเสื่อ ล้อมวงกินข้าวพร้อมหน้าครอบครัว ใช้เงินอาทิตย์ละไม่ถึง 500 หรือคนเมืองที่ตื่นเช้าตรู่ ราย ได้ต่อเดือนสามหมื่นห้า ทรหดทำ�งานจรดดึก แต่ยังเป็นหนี้ ทั้งสองคนตั้งใจทำ�งานที่ชีวิต มอบให้ มีครอบครัวและคนที่รักต้องดูแลในอนาคตเหมือนๆกัน นี่เราพลาดกันตรงไหน เรากำ�ลังเดินอ้อมสิ่งที่เราต้องการอยู่หรือเปล่า? เรารู้วิธีที่จะมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข โดยไม่ต้องพึ่งพาเงินเกินจำ�เป็น แต่เราเลือกที่จะ สนุกกับการใช้เงินกับสิ่งฟุ่มเฟือย(อันมีค่า)ของเรา มองอีกมุมนึง เราอาจจะไม่ได้คิดอะไรมาก ขนาดนั้น เพราะใช้ชีวิตตามต้นทุนฐานะของครอบครัว ทำ�งานหนัก ได้เงินเยอะ ซื้อความสุข ได้เยอะ สมการสามัญ แต่ทุกอย่างที่ได้รับรู้มาในวันนี้ ชวนให้ตั้งคำ�ถามจริงๆ ว่าสุดท้าย คนเราควรวิ่งไล่ตามสุขให้ทัน หรือแค่หยุด นั่งพัก รอให้มันมาหา คุณล่ะ





ว่ากันว่า ทำ�ไมตัวจริง ไม่เห็น เหมือนในรูปเลย

ถ่ายธรรมดาๆ แต่มาจบ หลังคอม

โดนหาว่า เฟค จนชินแล้ว

ไก่งามเพราะขน คนงาม เพราะแอพฯ

ภาพถ่าย ไม่ดีให้รีทัช ถ้าความรักไม่ชัดให้ รีไทร์

ฉันจะแอ๊บ อย่าเสือก

ก็ไม่แต่ง แล้วมัน ไม่มั่นใจอะ คนที่เราชอบ จะแต่งอะไร ก็น่ารัก ผู้ชายไม่ชอบผู้หญิง แต่งหน้าเยอะ หารู้ไม่ แต่งนานกว่ากูอีก แต่งหน้า เป็นคนละเรื่อง กับสวมหน้ากาก

มองโลกสวยได้ แต่อย่า หลอกตัวเอง

ก็ดูไปงั้นแหละ ไม่ได้คิดอะไร ผู้ชาย 90% แพ้รอยยิ้ม

เราไม่ได้โง่ แค่ไม่รู้ว่าจะฉลาด ไปทำ�ไม

เงียบก็หาว่าหยิ่ง เป็นมิตร ก็หาว่าแรด

วิธลี บสิว รอยดำ� หน้ามัน โคตรง่ายด้วย Photoshop

เราไม่สามารถ บังคับใคร ให้เป็นไปตามใจ เราได้หรอก

คนพิเศษเหมือนผม หายากครับ ตัวจริงก็หล่อ ถ่ายออกมาก็หล่อ

ถึงรูปที่แต่ง จะเฟคแค่ไหน มันก็รูปกูจริงมั้ย


ผมขอเรียกช่วงการฟังเพลงของผมตั้งแต่ต้นปีที่แล้วว่า ‘โพสต์ - โพสต์ร็อค’ นั่นแปลว่า ก่อนหน้านี้คือยุคโพสต์ร็อคของผม รวมถึงญาติๆกันอย่างShoegaze, Drone, Ambient ต่างๆ ปี 2010 คือปีแห่งดนตรีอื้ออึง หลอกหลอน ฟุ้งฝัน ฟังแล้วรู้สึกว่าตัวเองหล่อมากยืนอยู่บนเทือกเขาหิมาลัย มี ห มอกตุ ่ น ๆ ในภาพมี เ ลนส์ แ ฟลร์ ว ิ ว วั บ คนไหนเคยสนิ ท กั บ เสี ย งกี ต ้ า ร์ ด ี เ ลย์ รั บ ประทานซาวน์ อื ้ ออึ ง หลั ง อาหาร และเคยมี ศาสดาชื่อ Explosions in the - sky เหมื อนผม คงเข้ า ใจดี

we

ar e

TREES แต่ก็นั่นแหละ เรามักจะรู้สึกตัวว่ากินอะไรซักอย่างเยอะเกินไปตอนที่อ้วกออกมาแล้ว ผมรู้สึกตัวอีกที ก็เวรี่เบื่อโพสต์ร็อคไปแล้วเหมือนกัน สถานการณ์นี้มันเกิดขึ้นได้กับทุกคนที่เคยอินกับดนตรีแนวหนึ่งจัดๆ เช่นฟังบริทร๊อคมาสามปี ฟังโดโจซิตี้มาตั้งแต่อายุ 16 อย่างนี้เป็นต้น อัลบั้มที่เคยฟังได้ 28 รอบต่อวัน มาเปิดตอนนี้ผมขอสต็อปตั้งแต่แทร็กสาม ไล่ดูในเพลย์ลิสต์ก็เจอแต่โพสต์ร็อคอีก วู้ใครก็ได้ครับ หาเพลงให้ผมฟังหน่อย


นักดนตรีและคนฟังเพลงทัง้ โลกคงมีกระแสจิตบางอย่างเชือ่ มถึงกันอยู่ ทุกปีกระแสดนตรีของโลกเลยเปลีย่ นไปเสมอ โชคดี ท ี ่ โ ลกก็เ กิ ด เบื ่ อ ความฟุ ้ ง ฝันอื้อ อึงของดนตรีในปีนั้นขึ้นมาในจั ง หวะเดี ยวกั น ปี 2011 เลยเป็นโลกหลังโพสต์ร็อคของผม วงซาวน์ใหม่ๆ งอกขึ้นมาตามกันในเพลย์ลิส ร่าเริงเหมือนเด็ก อนุบาลที่เห็นเครื่องเล่นใหม่สีสันสดใสในสนามเด็กเล่น ช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นที่สุดในการหาเพลงฟังของผม คือการรูส้ กึ ว่า อุย๊ มีเพลงแบบนีด้ ว้ ยหรอ โหย ยังงีก้ เ็ ล่นได้ดว้ ย อะไรแบบนัน้ ฉะนัน้ มันรูส้ กึ ดีมากทีเ่ จอวงใหม่ๆ แล้วได้อุ๊ยว๊ายตุ๊ดแตกทั้งวัน เอ่อ ส่วนคุณโพสต์ร็อคก็อย่างอนไปนะครับ รักเราไม่เก่าเลย (ตอนเขียนเห็นภาพคุณโพสต์ร็อคนี่เป็น คุณจูน Stylish Nonsense ไม่รู้ทำ�ไม)

เปิดอัลบั้มอีพีนี้ด้วย เสียงกีต้าร์สายไนล่อนแห้งๆหยาบๆตามสไตล์ Lo-Fi , เสียงร้องจากคนเดียวกัน กับเสียงประสานของสาวสีไวโอลิน ในแทร็ค Sunrise Sunsetกลองฟลอร์ทอมกับแฉทีต่ ดี ว้ ยไม้กลองประดิษฐ์เอง หน้ า ตาประหลาดช่ ว ยดั น ให้ เ ครื ่ อ งดนตรี น ้ อ ยชิ ้ น เปิ ด อั ล บั ้ ม นี ้ ใ ห้ ค ึ ก ขึ ้ น เยอะ แทร็คทีส่ องและสามอย่าง Daniel และ Dear Chan Marshallได้พสิ จู น์วา่ เสียงร้องง่วงๆฝันๆของหนุม่ ตีแ๋ ว่น หน้ า ตาสุ ด เอเชี ย มั น เวิ ร ์ ก มากกั บ เสี ย งกี ต ้ า ร์ ไ นล่ อ นแหบๆและไวโอลิ น ของสาวแว่ น (แว่ น อี ก แล้ ว ) ซึ่งในสองแทร็คนี้ เสียงไวโอลินของเธอก็เป็นนางเอกซะเลย หลังจากที่แทร็คแรกยืนถือไว้เฉยๆไปครึ่งเพลง.. คงเก็บกดในความน้อยชิ้นของเครื่องดนตรี เสียงร้องของหนุ่มตี๋ก็ทำ�หน้าที่เป็นเครื่องดนตรีอีกหนึ่งชิ้น สี่แทร็คที่บรรจุใน EP. Boyfriend นี้ คุณจะได้ยินคำ�ว่า ‘โอโฮ้ห์’ ‘อาโฮ้ว’ ‘เอ้อะเฮอว’ ดังอยู่เกลื่อนกลาด แต่นี่แหละคือสเน่ห์ของ WE ARE TREES แทร็คสุดท้าย ความคูลทีท่ �ำ ให้ Final Round เหมาะกับการฟินาเล่อลั บัม้ อีพนี ้ ี คือเสียงกีตา้ ร์ไฟฟ้าทีฟ่ งั ดูบริท-ป๊อปเอามาก จู่ๆโผล่มา นอกจากทำ�ให้เพลงนี้ดูป๊อปและฟังง่ายที่สุดในอัลบั้มมันยังทำ�ให้ผมกลับไปฟัง EP. Boyfriend นี้อีกรอบและลืมคำ�ว่า Lo-Fi Folk อะไรพวกนั้นไป ..นี่มันเพลงป๊อปชัดๆ ฉะนั้นแล้วก็ไม่ต้องกลัวว่า Boyfriend สุดหล่อนี้จะเข้าถึงยาก มันคือเพลงป๊อปดีๆที่ถูกแก๊งค์ฮิปสามคนนี้มาแต่งตัวใหม่จนดูใหม่ จนดูแปลกจากเพื่อนไปบ้าง แต่นี่แหละคือความน่าตื่นเต้น ! WE ARE TREES เป็นหนึง่ งานสำ�หรับใครทีเ่ บือ่ ความเป็น Maximalist อยากฟังอะไรน้อยๆบ้านๆแต่ปอ๊ ปดูบา้ ง อยากติดตามวงชื่อแปลกนี้ ตามไปที่ wearetrees.bandcamp.com มีให้ฟังกันทั้ง EP. หรือถ้าอยากเห็น หน้าตาศิลปิน ตามไปที่ยูทูป เสิร์ชว่า ‘WE ARE TREES SUNRISE SUNSET’ คนที่พักหูจาก Post-Rock หรือ Shoegaze อาจไปพักใจกับดนตรี Chillwave ซาวน์คีบอร์ดโลไฟเอธตี้ๆ ที่อินอยู่เมื่อปีที่แล้ว อาจจะเพราะมันค่อนข้างฟุ้งๆฝันๆใกล้กับความเป็นชูเกสหรือดรีมป๊อปอยู่บ้าง ดนตรีโฟล์กบ้านๆอย่างEP. Boyfriend ของ คณะ WE ARE TREES ก็เป็นหนึ่งวีรบุรุษทางเลือกที่บินมา เบ่งกล้ามให้ได้กรี๊ดกันเป็นวงแรกๆ ผมเจอ WE ARE TREES ทางยูทูปกับแทร็ก ‘Sunrise Sunset’ มันเหมาะมากกับผมที่เพิ่งอ้วกแตกกับย่านเสียงมหากาพย์และความฟู่ฟ่าของโพสต์ร็อคมา เพราะนี่คือ วงดนตรี Lo-Fi Folk จากอเมริกาที่เกิดในยุคของ bandcamp.comที่เหมาเขียนใน Genre ว่าตัวเอง เป็น Minimalist ด้วย โฟล์คโดยแท้คือความเป็นพื้นบ้าน หรืออะไรแบบบ้านๆ ฉะนั้น บ้านของฮิปสเตอร์ ชายสอง หญิงหนึ่งแห่ง WE ARE TREES นี้คงมีแค่ กีต้าร์คลาสสิก ไวโอลิน และกลองทอมหนึ่งใบเท่านั้น


หกตุลาหนึ่งเก้า , ผู้บาดเจ็บคนแรกของสงครามคือสัจจะ


ในสังคมที่ลืมง่ายอย่างสังคมไทย คงจะลืมไปแล้วว่าวันที่หกตุลานั้นมี ความหมายว่าอย่างไร แต่คงไม่ใช่สำ�หรับผู้ที่เห็นว่าวันนั้นเป็นหมุดหมายอันสำ�คัญ ของการกระทำ�โหดร้ายทารุณระหว่างคนไทยด้วยกันเอง โดยเหตุการณ์เริ่มจากการที่ จอมพลถนอม กิตติขจรพยายามกลับมาประเทศไทยหลังจากที่เดินทางออกนอก ประเทศตั้งแต่เหตุการณ์สิบสี่ตุลาหนึ่งหก ประชาชนจึงได้มีการปิดประท้วงต่อ ต้านการกลับมาประเทศไทยของจอมพลคนนี้ โดยหนึ่งในนั้นมีพนักงานการไฟฟ้า นครปฐมสองคนถูกซ้อมตายระหว่างออกปิดประกาศต่อต้านจอมพลถนอม แล้วที่ สำ�คัญยิ่งคือการที่ผู้ตายถูกนำ�ศพมาแขวนไว้ในที่สาธารณะ โดยตำ�รวจก็ไม่อาจหา ผู้กระทำ�ความผิดมารับโทษได้ ความเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้ขับไล่จอมพลถนอม จึงทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆจนมีการชุมนุมของนักศึกษาในธรรมศาสตร์หลายหมื่น คน จนในวันทีส่ ี่ตุลาคม นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้มีการอภิปรายและ แสดงละคอนเกี่ยวกับกรณีการฆ่าแขวนคอพนักงานการไฟฟ้า โดยที่หน้าของผู้ แสดงไปละม้ายกับสมเด็จพระบรมฯ สถานีวิทยุยานเกราะจึงออกข่าวว่าการแสดง วันนั้น คล้ายเจ้าฟ้าชายถูกแขวนคอ วันที่ห้าตุลาคมหนังสือพิมพ์หลายฉบับโดยเฉพาะ ดาวสยาม ตีพิมพ์ภาพการแสดงละคอนและพาดหัวข่าวเชิงว่า การแสดงดังกล่าว เป็นการดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เรื่องนี้สถานีวิทยุยานเกราะก็เลยเอามาเป็นเรื่อง สำ�คัญ ในการกล่าวหาว่านิสิตนักศึกษาที่ชุมนุมเป็นคอมมิวนิสต์ ซ่องสุมกำ�ลังและ อาวุธสงคราม เจตนาจะทำ�ลายล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นการบิดเบือน ให้ประชาชนเกิดความโกรธแค้นพวกนักศึกษา การกระจายเสียงดำ�เนินต่อเนื่องไป ตลอดคืนวันที่ห้าตุลา ถึงขนาดมีการยั่วยุให้มีการฆ่านักศึกษาที่ธรรมศาสตร์ไปเสีย นิสิตนักศึกษาส่วนใหญ่มีเจตนาบริสุทธิ์ ต้องการประชาธิปไตย ต้องการช่วยเหลือ ผู้ยากจนและขจัดความอยุติธรรมจากสังคมไปให้หมดสิ้น กระนั้นเวลาประมาณ เจ็ดโมงเช้าของวันที่หกตุลา กลุ่มทหาร,ลูกเสือชาวบ้าน,กลุ่มกระทิงแดง,ตำ�รวจหน่วย คอมมานโด ก็ได้ใช้รถบัสพังประตูมหาวิทยาลัย ทั้งหมดพร้อมด้วยอาวุธหนักครบมือ ก็ได้ระดมยิงใส่นักศึกษา หลังจากนั้นนักศึกษาและประชาชนในมหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ วิ่งหนีวิถีกระสุนจากตำ�รวจตระเวนชายแดนและกลุ่มผู้ก่อเหตุ หลาย คนพยายามวิ่งหนีออกไปทางประตูต่างๆ หลายคนถูกรุมตี รุมกระทืบ เป็นภาพที่น่า สลดหดหู่อย่างที่สุด บางคนถูกทำ�ร้ายและนำ�ไปแขวนคอ กลุ่มคนบางกลุ่มลากเอา ศพนักศึกษามาเผากลางถนนราชดำ�เนิน นักศึกษาหญิงถูกบังคับให้ถอดเสื้อและ นอนกลางสนามฟุตบอล ที่สุดแล้วตำ�รวจก็ได้ควบคุมและจับกุมนักศึกษาไว้ มีคน ตายตามที่รัฐบาลรายงานสี่สิบกว่าคน แต่ที่ไม่ใช่รัฐบาลรายงานนั้นมีหลายร้อยกว่า และบาดเจ็บอีกนับพัน แกนนำ�นักศึกษาและผู้ที่แสดงละคอนถูกจับขังคุกตีตรวนราว สามปี แต่ฝ่ายผู้เข้าล้อมปราบไม่มีผู้ใดได้รับการลงโทษแม้แต่คนเดียว การล้อมปราบ ของรัฐบาลเป็นการกระทำ�ที่รู้ได้ล่วงหน้าว่ามีผู้บริสุทธิ์ต้องตาย แม้รู้ถึงอย่างนั้นก็ยัง ตัดสินใจกระทำ� ทั้งที่มีทางเลือกให้ใช้ วิถีทางประชาธิปไตย ที่ไม่มีใครต้องตายก็ไม่ใช้ แล้วเมื่อไหร่เราจะมีผู้บาดเจ็บคนสุดท้ายของสงคราม?



Be spoilt ณัฐณิชา สังวาลย์พันธุ์















พี่ชาย ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเมื่อ4วันก่อนเป็นวันเกิดพี่ของผม พีเ่ ป็นองค์ประกอบในครอบครัวทีผ่ มเกลียดทีส่ ดุ แม้ปจั จุบนั ความเกลียดจะน้อยลง แต่ก็ยังคงอยู่ เราสองคนแสดงความเกลียดใส่กันอยู่บ่อยครั้ง มันเคยเอารองเท้า ปาใส่หน้าของผม พร้อมตะโกนด่าเรือ่ งความเป็นตุด๊ ของผม ผมเคยรอให้มนั นอนหลับ แล้วเอาหมอนไปกดทีห่ น้าของมัน แต่กเ็ พียงชัว่ ขณะเดียว ทัง้ สองเหตุการณ์เกิดขึน้ แบบฉับพลัน และเพราะมีแรงหนุนของความชิงชังเป็นองค์ประกอบ มันเป็นเหตุการณ์ ที่ทั้งเศร้าและน่าขัน เนื่องจากเสียงของผมและพี่ชายคล้ายกันอย่างมาก แฟนของ ผมโทรเข้ามาทีบ่ า้ นและเข้าใจว่าคนทีร่ บั โทรศัพท์คอื ผม ซึง่ จริงๆแล้วคือพีช่ ายของ ผมเอง วันนั้นเป็นวันที่ครอบครัวได้รู้ว่าผมกำ�ลังมีความรักกับเพศเดียวกัน พ่อไม่เคยปริปากด่า แม่อาจมองด้วยสายตาแห่งความสงสัย เป็นพี่ชายที่แสดง อาการรังเกียจอย่างตรงไปตรงมาถึงเพศสภาพของผม ผมหาได้แคร์ไม่ หากความ ไม่แคร์ทำ�ให้รองเท้าข้างหนึ่งของพี่ชายของผมก็ลอยมาเกือบจะโดนหน้าของผม นั่นเอง ผมมักขี่มอเตอร์ไซค์ไปนั่งดูพระอาทิตย์ตกดินบริเวณเขื่อนที่อยู่ใกล้บ้าน บางทีก็อยากจะเอาหินถ่วงขาแล้วกระโจนลงสู่สายน้ำ�เบื้องหน้าที่ลึกและเย็นนิ่ง สุดท้ายเด็กสองคนก็เติบโตมาด้วยความรูส้ กึ ทีท่ ง้ั รักและเกลียดกัน จนกระทัง่ ตอนนี้ เราคงโตพอที่จะรู้ระยะห่างที่จะไม่ทำ�ร้ายกัน หากแต่ก็มีอยู่หลายเหตุการณ์ที่เลี่ยง ไม่ได้และผลของมันคือการกระทำ�ที่เย็นชาและเต็มไปด้วยคำ�พูดที่เจ็บปวด มีรูปถ่ายอยู่ใบหนึ่งในอัลบั้มครอบครัวที่เราสองคนพี่น้องถ่ายคู่กันพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งผมจำ�ไม่ได้แล้วว่ารอยยิ้มของเราทั้งสองเกิดขึ้นจากเหตุผลใด นอกเหนือจาก รูปใบนั้นก็เป็นรูปที่เราสองคนโดนบังคับให้นั่งคู่กันตามงานต่างๆของครอบครัว และสีหน้าของเราทั้งคู่ก็บึ้งตึงพอกัน มีเหตุการณ์อยู่เพียงสองครั้งที่ผมก็ไม่แน่ชัด พอจะเรียกการกระทำ�ในสองเหตุการณ์นน้ั ว่าความห่วงใย เหตุการณ์แรกตอนผม อายุสัก6ขวบแล้วเกิดไม่สบาย พี่เป็นคนที่เดินมาลูบหลังของผม เหตุการณ์ที่สอง ตอนที่พี่มันไม่สบาย เข้าโรงพยาบาลอยู่สองครั้ง ผมก็จะเป็นฝ่ายนอนเฝ้ารอแม่ มาเปลี่ยน เมื่อเดือนก่อนผมเอารูปตัวเองตอนเด็กๆให้อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ดู อาจารย์ชไ้ี ปทีพ่ ต่ี อนเด็กว่าคือผม ผมพูดกับอาจารย์วา่ เป็นเรือ่ งทีต่ ลกดีทย่ี ง่ิ โตขึน้ ผมยิ่งเหมือนมันตอนเด็กๆ



หวาน เวลาแห่งความลับในแววตา ใครบางคนกล่าว, คือเวลาที่ดีที่สุด ไม่โจ่งแจ้ง ไม่ปริปาก ไม่ชัดเจน ความเงียบหาใช่กำ�แพง หากเป็นเวลาแสนหวาน ใครบางคนอาจหัวร่อ หวานนั้นแค่เรื่องจอมปลอม หนึ่งนั้นหรือทั้งสอง, คือผู้เติมยาขม เมื่อความสัมพันธ์ป่น ความเงียบทิ่มแทงยิ่งกว่าคำ�พูดใด บ้างว่าความหวานไม่มีจริง ทุกอย่างแค่สามัญ, หมุนเวียนดังฤดูกาล เวลาคือตะแกรงร่อน เมื่อใดไม่มีหวานไม่มีขม นั่นต่างหาก, คือความหวาน

เมื่อความเศร้าสั่งให้เอ่ยลา ระหว่างเราไม่มีความสัมพันธ์ หวานขม, ฉันไม่รู้ควรรู้สึกเช่นไร หวานขม, ภาพคุณไม่ได้เลือนไป เมื่อไร้ตัวตนซึ่งกันและกันแล้ว ฉันรู้สึกถึงทุกสิ่งสลับกันไป คนแปลกหน้า คนรู้จัก คนรัก คนคุ้นกาย เราลิ้มทุกรสชาติตั้งแต่ฝาดเฝื่อนจนหวานหอม ทักทาย ยิ้มแย้ม ร้องไห้ กอดกัก เราก้าวผ่านทุกระยะความห่าง สถานะบ่งบอกใด, ก็ไร้ความหมาย สบายดีไหม, ก่อนเคยคิดแค่คำ�ไร้น้ำ�หนัก สบายดี, โกหกเพราะอยากให้คุณยิ้ม ฟ้ายังเหมือนเดิม ที่ตรงนี้ยังเหมือนเดิม ต่างแค่เรา สบายดีไหม, ฉันถาม ด้วยความเงียบ,คุณตอบด้วยรอยยิ้มที่ยังเหมือนเดิม เวลาแห่งความลับในแววตา คือเวลาที่ดีที่สุด, ฉันกล่าว ไม่โจ่งแจ้ง ไม่ปริปาก ไม่ชัดเจน ความเงียบหาใช่กำ�แพง แต่อาจเป็นเวลาแสนหวาน













Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.