1
คำ�ปรารภ ธรรมชาติมใิ ช่เป็นแค่ทรัพยากรสำ�หรับการดำ�รงชีวติ หรือสิง่ สวยงามน่าตืน่ ตาตืน่ ใจเท่านัน้ หากยังสามารถน้อมใจ ให้สงบเย็น และเป็นสื่อนำ�พาเราให้เข้าถึงธรรมอันลุ่มลึก การได้อยูใ่ กล้ชดิ กับธรรมชาติเป็นประสบการณ์อนั ลํา้ ค่าทีม่ ี ความหมายต่อจิตใจ ผู้ที่ปรารถนาความสุขและความเจริญ งอกงามในจิตใจจึงมักแสวงอาศัยธรรมชาติเป็นวิหารธรรม อยู่เนืองนิตย์ ข้อเขียนในหนังสือเล่มเล็กนี้มีที่มาจากการพินิจ ใคร่ครวญในยามที่อยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ แต่คงไม่มี การถ่ายถอดเป็นความเรียง หากไม่ได้รับการนิมนต์จาก คุณอโนทัย เจียรสถาวงศ์ ซึ่งบัดนี้ได้นำ�มาตีพิมพ์โดยมีภาพ ประกอบอย่างงดงามจากผลงานของ คุณจริยา เจียมวิจิตร จึงขออนุโมทนาและขอบคุณทั้งสองท่านมา ณ ที่นี้ด้วย หวังว่าหนังสือเล่มนี้จะมีส่วนช่วยน้อมใจเราให้ถือ เอาธรรมชาติเป็นครูที่ยิ่งใหญ่ พระไพศาล วิสาโล
7
๑ มกราคม ๒๕๕๓ วันเพ็ญ พระจันทร์วันเพ็ญส่องสว่างกระจ่างฟ้า สาด แสงลูบไล้แผ่นดินไปไกลสุดสายตา แม้ดึกเพียงใด ความมืดของราตรีกาลก็มิอาจลบเลือนความสว่าง ของพระจันทร์ได้เลย ความสว่างนั้นปรากฏ ณ ที่ใด ย่อมขับไล่ ความมืดให้เลือนหายไป ส่วนความมืดนั้นกลับไม่
11
๒ มกราคม ๒๕๕๓ ภูมิต้านทานความทุกข์
ทัง้ ๆ ทีห่ า่ งกันแค่ ๕๐๐ เมตร ภูหลงกับภูจกิ กลับแตกต่างกันราวกับอยู่คนละเทือกเขา เขาลูก แรกนั้นปกคลุมด้วยป่าดิบแล้ง เขียวขจีตลอดปี มี ต้นไม้สูงใหญ่ลำ�ต้นตรงมากมาย ส่วนเขาลูกหลัง เป็นป่าเบญจพรรณ เต็มไปด้วยต้นไม้แคระแกร็น ลำ�ต้นหงิกงอ เปลือกเป็นตะปุ่มตะปํ่า พอถึงหน้า แล้งก็ทิ้งใบแทบทั้งป่า
13 ขณะที่ป่าภูหลงนั้นไม่เคยเจอไฟป่ามาเลย เนื่องจากเป็นป่าดิบ ความชื้นสูง ไฟติดยาก ดังนั้น จึงมีเปลือกบาง ไม่สามารถต้านทานไฟได้ ครั้นถูก ไฟลามเลีย เปลือกก็ติดไฟง่ายและลามไหม้ทั้งตน จนล้มครืนลงมา หาไม่ก็ยืนตายคาต้น ไฟป่าปีแล้วปีเล่าทำ�ให้ปา่ ภูจกิ มีภมู ติ า้ นทาน ไฟ ตรงข้ามกับป่าภูหลงซึ่งไม่มีภูมิต้านทานไฟเลย เมื่อสถานการณ์แปรเปลี่ยน มีไฟเข้ามาซํ้าซากจึง เสื่อมลงเป็นลำ�ดับ ถึงตอนนี้จำ�ต้องพึ่งคนช่วยดับ ไฟแล้ว ถ้าไม่มีคนคอยควบคุมไฟ ไม่เกิน ๒๐ ปี ภูหลงก็คงกลายเป็นเขาหัวโล้นไม่ต่างจากเขาลูก อืน่ ๆ ที่อยู่บริเวณเดียวกัน ภูทงั้ สองลูกเจอปัญหาอย่างเดียวกัน แต่ผลลัพธ์ ต่างกัน เพราะมีภูมิต้านทานต่างกัน ฉันใดก็ฉันนั้น คนเราแม้เจอปัญหาอย่างเดียวกัน บางคนเป็นทุกข์
17
๓ มกราคม ๒๕๕๓ เดินทวนกระแส
เมื่อเดินย้อนทางนํ้า ยิ่งใกล้ต้นนํ้า ก็ยิ่ง เหนื่อย เพราะทางจะชันขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยลำ�ธารทุก สายล้วนไหลจากที่สูงทั้งสิ้น แต่รางวัลที่ได้จากการ ออกแรงมากขึ้น ก็คอื ได้รบั ความชุม่ เย็นจากธารนํ้าใส เห็นปลาแหวกว่ายอย่างเบิกบานใจ ขณะเดียวกัน บรรยากาศก็จะร่มรื่นกว่าเดิม เต็มไปด้วยแมกไม้
21
๕ มกราคม ๒๕๕๓ จาริกบุญ
ทุกวัฒนธรรมก็วา่ ได้ยอ่ มมีประเพณีจาริกบุญ โดยสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มักอยู่บนยอดเขา ว่าเฉพาะ ประเทศที่นับถือพุทธศาสนา จุดหมายของบุญจาริก ย่อมเกีย่ วข้องกับพระพุทธเจ้า ในเมืองไทยมีพระธาตุ ดอยสุเทพ พม่ามีเจดียจ์ ไิ ทโย ศรีลงั กามีศรีปาทะ ธิเบต มีเขาไกรลาศ ภูฐานมีวิหารตักซัง ทุกแห่งล้วนอยู่บน เขาสูงชันที่ตั้งโดดเด่นเป็นสง่า แต่ไปได้ยากอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสมัยที่ยังไม่มีรถยนต์หรือถนนเข้าถึง
23 เมื่อลุถึงสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ศรัทธาปสาทะจะ บันดาลใจให้เกิดปีติ อิ่มเอิบ ยิ่งได้มาถึงยอดเขาที่สูง เทียมเมฆ ได้เห็นทัศนียภาพอันกว้างไกลสุดขอบฟ้า จิตใจก็ยงิ่ รูส้ กึ ปลอดโปร่งโล่งเบา ราวกับห้วงนภากาศ อันเวิ้งว้างที่อยู่เบื้องหน้า ไม่เพียงกายเท่านั้นที่ไต่ขึ้น มาอยู่บนที่สูง แต่ใจก็ถูกยกขึ้นมาให้อยู่สูงด้วยเช่น กัน ใช่หรือไม่ว่านี้คือรางวัลแห่งความเพียรที่ต้องฝ่า ความยากลำ�บาก บนยอดเขาเราสามารถมองเห็นโลกในมุมสูง สิ่งที่เห็นอยู่เบื้องล่างน่าจะเตือนให้เราตระหนักว่า มนุษย์เรานั้นช่างเล็กกะจิดริด เมื่อมองลงไปจะพบ ว่าไม่มีความแตกต่างระหว่างคนรวยกับคนจน คน ขาวกับคนดำ� เศรษฐีกับยาจก นายก ฯ หรือชาวบ้าน ไทยหรือฝรั่ง พุทธหรือมุสลิมฯลฯ สมมุติบนพื้นโลก ไม่มีความหมายเลยเมื่อมองลงมา
27
๙ มกราคม ๒๕๕๓ พระพุทธรูปในก้อนหิน
หินผาแข็งกระด้าง เนื้อหยาบ ไร้รูปทรง ย่อม สลักเสลาให้เป็นพระพุทธรูปอันงดงาม พระพักตร์ อิ่มเอิบ มีรอยยิ้มน้อย ๆ เส้นสายอ่อนช้อยได้ ใคร ที่แลเห็นย่อมชื่นชมความสามารถของประติมากร และอดพิศวงไม่ได้ว่าทำ�เช่นนั้นได้อย่างไร แต่หาก ถามประติมากรชั้นครู เขาอาจตอบว่าแท้จริงเขา ได้เห็นพระพุทธรูปอันงดงามสถิตอยู่ในหินผานั้น
29
ในทำ�นองเดียวกัน จิตของทุกคน ไม่วา่ หยาบ หรือละเอียด ย่อมมีพทุ ธภาวะอยูแ่ ล้วทัง้ นัน้ แต่พทุ ธภาวะนัน้ จะปรากฏแสดงอย่างสมบูรณ์เป็นทีป่ ระจักษ์ หรือไม่ อยู่ที่เราจะสามารถเอา “ส่วนเกิน”ออกไป จากใจหรือไม่ ส่วนเกินนั้นมิใช่อะไรอื่นหากได้แก่กิเลส คือ โลภะ โทสะ และโมหะ ซึ่งทำ�ให้เกิดความยึดติด ถือมั่นในตัวตน นำ�ไปสูก่ ารไขว่คว้าสิง่ อืน่ ๆ มาพอก หนายิ่งขึ้น มิใช่แค่ทรัพย์สมบัติ ชื่อเสียงเกียรติยศ และอำ�นาจเท่านั้น หากยังรวมถึงอารมณ์หมักหมม นานาชนิด เช่น ความเศร้าหมอง ความท้อแท้
33
๑๒ มกราคม ๒๕๕๓ ความงามแห่งรุ่งอรุณ
ท้องฟ้ายามอรุณรุง่ คือความงดงามทีช่ นื่ ชมได้ ไม่รู้เบื่อ แต่จะงามประทับจิตยิ่งขึ้นหากได้ตื่นขึ้นมา ก่อนฟ้าสาง เมื่อท้องฟ้าเริ่มแปรเปลี่ยน จากมืดมิด แล้วค่อย ๆ เรื่อเรืองด้วยแสงเงินแสงทอง จิตใจของ ผู้ชมก็จะค่อย ๆ แจ่มใสและเบิกบาน จนรู้ตื่นเต็มที่ เมื่อท้องฟ้าสว่างไสวไปทุกทิศ
37
๑๖ มกราคม ๒๕๕๓ จิตประภัสสร ดวงอาทิตย์นั้นสุกสว่างตลอดเวลา แต่สาเหตุ ที่อากาศมืดครึ้ม มิใช่เพราะอาทิตย์อับแสง หากเป็น เพราะมีเมฆมาบดบัง แต่ก็เป็นแค่ชั่วคราวเท่านั้น เมื่อเมฆเลือนหาย ความสว่างกระจ่างตาก็ปรากฏ ในทำ�นองเดียวกัน ไม่มีสุริยุปราคาครั้งใดยืนยาว เลย แม้ความมืดดูเหมือนจะกลืนกินอาทิตย์ทั้งดวง แต่แท้จริงดวงอาทิตย์ยังส่องสว่างดังเดิม เป็นแต่ สายตาของเราต่างหากที่ถูกดวงจันทร์บดบัง
41
๒๔ มกราคม ๒๕๕๓ ต้นไม้สอนธรรม
ต้นไม้ไม่เคยดูดนํ้าและปุ๋ยจากดินมาเลี้ยง ตัวอย่างเดียว หากยังคายนํ้าและทิ้งกิ่งใบให้เป็น ปุ๋ยกลับคืนผืนดิน อีกทั้งยังให้อาหารและที่พักพิง แก่สรรพชีวิต แผ่คาคบให้นกสร้างรัง เพื่อตอบแทน ที่ช่วยหว่านเมล็ดพันธุ์ไปทั่วป่า มนุษย์เราก็เช่นกัน ไม่ควรเป็นผูร้ บั ฝ่ายเดียว
45
๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ เปิดใจรับความสุข
แม้เดินอยู่ในสวนอันรื่นรมย์ นั่งเล่นอยู่ริม ธารใสกลางป่าใหญ่ หรือยืนอยู่บนชะง่อนผายาม อาทิตย์ขึ้น แต่ถ้าใจหมกมุ่นครุ่นคิดถึงงานการหรือ คนรักที่บ้าน ก็ยากจะได้ยินเสียงนกร้อง จักจั่นเรไร กรีดปีก หรือรับรู้ถึงลมเย็นที่มาสัมผัสกายได้ บาง ครั้งก็ยังไม่เห็นแม้กระทั่งดอกหญ้างาม ๆ ที่เบ่งบาน ข้างทาง หรือกล้วยไม้ป่าที่อวดสีสันอยู่เบื้องหน้า
49
๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ ใหม่ทุกขณะ สายนํ้าที่ไหลผ่านเราไม่เคยเป็นนํ้าสายเดิม เทียนที่ลุกไหม้ก็มิใช่เทียนเล่มเดิม ทุกสิ่งที่ปรากฏ แก่ตาและใจของเรานั้น ไม่เคยเป็นของซํ้าเดิม หาก เป็นสิ่งใหม่ที่แปรเปลี่ยนอยู่เสมอ เช่นเดียวกับเข็ม นาฬิกาที่ดูเหมือนนิ่งแต่แท้จริงเคลื่อนตัวตลอดเวลา
55
๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ รับวันใหม่ด้วยใจที่สดใส
เมื่อมีสิ่งใดมากระทบ จนเกิดความหงุดหงิด ขุ่นเคือง เศร้าหมอง ท้อแท้ หากไม่รู้เท่าทัน ใจก็จะ ไปยึดฉวยมันแล้วปรุงต่อ เก็บเอามาคิดแล้วแต่ง เติม แม้คิดแล้วทุกข์ ก็ยังอยากคิด ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมวาง เว้นแต่มีเรื่องใหม่เข้ามากระทบ ก็จะ หันไปปรุงเรื่องนั้นแทน แต่เผลอเมื่อใด ก็อดหวน
59
๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ ธุลีจักรวาล
เมือ่ แหงนหน้ามองท้องฟ้ายามคํ่าคืน ดวงดาว พราวพร่างฟ้าสามารถสะกดใจเราให้สงบได้ ในยาม นัน้ แหละทีเ่ ราจะระลึกได้ถงึ ตำ�แหน่งแห่งหนทีแ่ ท้จริง ของเราในจักรวาล ไม่ ว่ า จะยิ่ งใหญ่ ม าจากไหน คุ ณ จะรู้ สึ ก ถึงความกะจิริดของตัวเองเมื่ออยู่ต่อหน้าดวงดาว นับล้านและทางช้างเผือกที่พาดผ่านฟ้า ดวงดาว เหล่านี้มีขนาดมโหฬารเกินจินตนาการ บ้างก็เป็น
61 อันละเอียดอ่อนเท่านั้นสามารถดักจับได้ แล้วเหตุ ใดเราจึงคิดว่าการตายของเราเป็นปรากฏการณ์อัน ยิ่งใหญ่ที่โลกจะไม่มีวันลืม เป็นเพราะเราคิดว่าตัวเรานั้นเป็นคนสำ�คัญ จึงเห็นความปรารถนาของตัวเองเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด ยิ่งคิดว่าตัวเองใหญ่คับฟ้า ก็ยิ่งเป็นทุกข์อย่างยิ่งเมื่อ ไม่สมหวัง อดไม่ได้ที่จะกราดเกรี้ยวต่อโลกทั้งโลก และเมื่อถึงวันที่จะลาลับโลก เราอดสงสัยไม่ได้ว่า โลกจะขับเคลื่อนอย่างไรเมื่อไม่มีเรา แต่ความจริง ก็คือการตายของเรานั้นไม่ได้ต่างอะไรเลยกับการ หายวับของฝุ่นธุลีในอวกาศ โลกก็ยังหมุนอยู่ต่อไป และในที่สุดก็จะลืมเรา