มะเร็ง Cancerebook super 12e case1

Page 1

มะเร็ง เบาหวาน ความดัน ภูมิแพ้ กับ จุลพฤกษาเคมี ธรรมชาติ บาบัดรักษา ทางเลือก ที่จาเป็น ความคิดที่แตกต่าง ผิดหรือที่คิดแตกต่าง ความคิดส่งผลต่อตัวเรา ใช่ครับหมอๆ คิดได้ 3 วิธี ตามที่เรียนมา คนอื่นคิดได้ก็มีหลายวิธี บาบัดและรักษา ผลประโยชน์กับชีวิต มีเงินไม่มีเงินเหมือ มีชีวิต กับ ไม่มีชีวิต คิด ได้ไง กับทางที่จะเลือก ความจริงที่โดนกรีดกัน หรือ? ด้วยศักดิ์ศรี มาตราสาร มวลแห่งความสุช


คิดที่แตกต่างมันก็ดีกว่าคิดตาม คนอื่นเขา ผิดหรือในโลกสมัยใหม่

1. 2. 3. 4.

ใครกําหนดว่าชื่อมะเร็ง ผมจะเรียกมันว่า สิว ผิดหรือ ใครคิดว่าเป็นแล้วต้องตาย ผมว่ามันไม่ตาย ผิดหรือ ใครว่าคนเป็นมะเร็งหายแล้วไม่ตาย ผมว่า มันก็ตายกันทุกคนนะ ใครว่ามีเงินแล้วจะฉลาด ผมว่า ก็บางคนนะ

เมื่อคนที่คุณรัก หรือตัวคุณเป็นโรคร้าย และ สิ่งที่คุณต้องเจอคือ คนโน้น คนนี้ คนนั้น บอกอย่างโน้น อย่างนี้ อย่างนั้น ไอ้นั้น ไอ้โน้น ไอ้นี่ ดี มียาดี เขาหายกันมาหลายคนละ (ไอ้เขานะใครวะ)ยาหมอเทวดา ยาผีบอก ยาหมาเห่า ยาหมาหอน ยาหม้อ หมอคนนั้นเก่ง หมอโรงพยาบาลนี้ดี สารา พันธุ์นานา (เขาก็หวังดีกับคุณนะ) แต่ตัวคุณเองที่โง่ไปเชื่อเขาเพราะการขาดสติ ตกใจ กลัว ตั้งสติ คิดดูดีๆ รวมกับโชคชะตาคุณด้วย ถามตัวเองก่อนว่า ไปตรวจหมอๆ บอก ว่าคุณเป็นมะเร็ง แค่นี้คุณก็เชื่อหมอละ (จิตร ตกเลย ใช่ดิหมอเรียนมานี่ ...หมอเรียนมา จากใครนะ ...อาจารย์หมอ...แล้วอาจารย์หมอเรียนมาจากใคร ..อาจารย์ของอาจารย์...) เอออย่าไปเถียงกับหมอเลย....ตําราเล่มเดียวกันหมด และถ้าผมบอกคุณว่าคุณเป็นสิว ภายใน อักแสบ คุณจะเชื่อไหม?


ใครคิดว่าเป็นมะเร็ง แล้วต้องตาย ผมว่ามันไม่ตาย ผิดหรือ ทุกคนนั้นมีเชื้อ มะเร็ง ทั้งนั้นเพียงแต่ว่ามันจะโตขึ้นมาเมื่อไร จริงป่าว ละอย่าอยู่กินใน กลุ่มเสี่ยงที่ทําให้มันโตขึ้นละกันเออ ถามผู้รู้ต่อว่า หมอ(ห)ครับ ผ่าตัดแล้วจะหายเหรอ (ห)อันนี้หมอก็ไม่รับรองว่ามันจะเป็นอีกไหม นึก ในใจ=(ใจ) เอ้าก็เรียนมาไม่ใช่เหรอ ที่เรียนเขาไม่บอกเหรอ (ห)ถ้ามันรามไปก็ต้องทํา เคมี(คีโม) คนป่วยถาม(ป)แล้วโอกาสหายมีไหมครับ (ห) มันก็ต้องรอดูอาการต่อไปว่า มันจะรามไปถึงไหน (ใจ) เวรละนี้จะบอกกันได้ไหมว่าเรียนมาเขาสอนอะไรบ้าง (ป) แล้วถ้าทําเสร็จแล้วจะต้องดูไปอีกนานไหมครับ (ห) ถ้าไม่เยอะก็จะทําการฉายรังสีต่อ เลย เอาๆๆเดียวหมอนัดผ่าตัดก่อนละกันน๊ะครับ (ป) (ใจ) เวรละ กูยังไม่เห็นผลตรวจ เลย อะไรอะไรก็จะผ่า จะทําคีโม ละ ไหนละผลตรวจ รูปภาพ (ห)เอาครับเดียวหมอนัด อีกทีนะครับ (ป) ครับ สวัสดี เดินออกมาอย่างใจห่อเหี่ยว กูเป็นมะเร็งหรือนี่ ไปจ่ายตัง พร้อมรอใบนัด คืนนี้นอนไม่หลับเลย คิดแล้วคิดอีก จนไม่ได้นอน ตืน่ มาก็คิดนั่งก็คิด เดินก็คิดโอ้ยๆๆ(คุณรู้ได้ไงว่าที่เขาเรียนมานั้นถูกต้อง ทําไมคุณให้คนอื่นมาตัดสินว่า คุณเป็นละ) คําแนะนํา เอาเวลาที่คิดมาศึกษาหาความรู้แบบจริงๆกันดีกว่า ว่ามะเร็งกับสิวทางออก ของมัน หรือว่ามันคืออะไร ถ้าเชื่อว่าเป็น ก็เขียนออกมาตามข้อดังต่อไปนี้


1. มันเป็นชนิดไหนวะ เป็นตรงไหน เป็นระยะเท่าไร เห็นกับตาเหรอ ภาพถ่ายใช่ ของเราปล่าวน๊ะ เชื่อได้เหรอ 2. มันเป็นเชื้อโรค อะปล่าว มันอักแสบ อะปล่าว 3. การผ่าตัดมันจะไปกระทบมันแล้วมันจะลามไปหรือปล่าว 4. ทําคีโม คีโมมันเป็นอย่างไร เคมีนี่ว่า อัดตราการรอดกี่% 5. ฉายแสง เออมันเป็นอย่างไร ทําไม รู้ได้อย่างไร 6. ค่าผ่าตัด ทําคีโม ฉายแสง เท่าไรวะนี้ (มะเร็งดูดเงิน มะยิงกูตาย) 6.1. มีตังแต่ไม่มีสมองไม่ศึกษา ก็ทําไปเถอะ(จงเชื่อในสิ่งที่เห็น) 6.2. ไม่มีตัง รองไปหาหมอแผนโบราณกินสมุนไพร ดีไหม (น่าสงสารจังตังไม่มี แต่อาจมีบุญอยู่บ้าง) 6.3. ตังไม่มี บุญไม่มี ความรู้ไม่มี ลูกหลานคนรอบข้างไม่เอาใจใส่ (เวรละ รีบ ไปทําบุญไว้ได้เลย เพราะกรรมที่ทําไว้ คิดอย่างนี้ก็สบายใจกว่า ไม่ทรมานอีก) นี่ละครับ ทําหรือใช้เวลาให้คุ้มค่าและเป็นปรกติ คิดค้นไปที่ละข้อๆ อย่างมีสติ จิตร สงบ แล้วคุณก็จะเจอกับการแก้ปัญหาในตัวของคุณเอง ตัวอย่างว่า เวลาคุณตกใจ ทําไมคุณยกตุ่มน้ําหนักๆได้ เวลาคุณเครียดทําไมท้องไส้ มันปวดๆหัวหน้าตาโซลมเหนื่อยง่ายกินไม่ได้นอนไม่หลับ (คิดดิ ครับว่ามันเป็น เพียงแค่ สิวอักแสบ)


Shafin de Zane คิดอย่างไร? มะเร็ง เป็น ที่น่าเสียดายว่า คุณหมอทั่วโลก บอกกับเราว่า วิธีการรักษามะเร็ง คือ การบําบัดด้วย-คีโม หรือการทําลายเซลล์มะเร็งด้วยรังสี แต่สิ่งที่คุณหมอไม่ได้บอกเราคือ ทําไมเซลล์มะเร็งจึงผ่า เหล่าตั้งแต่แรก ? อย่างไรก็ตาม-เมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป เซลล์อีกจํานวนมากก็จะผ่า เหล่า-ต่อไปอีก-ไม่เร็วก็ช้า นั่นเป็นสาเหตุที่เราพบเห็นผู้ป่วยมะเร็งถูกให้คีโม ดีขึ้น เพียงชั่วคราว แล้วกลับทรุดลงไปใหม่อีก จากมุมมองของเซลล์ หากมันไม่ผ่าเหล่า-มันจะต้องตาย การผ่าเหล่าของเซลล์จึงเป็นธรรมชาติ มะเร็ง แท้จริงแล้ว คือ วิวัฒนาการของกลุ่มเซลล์ที่พยายามรอดตายจากสภาพแวดล้อมที่เป็น พิษ แต่ทั้งหมดนี้ก็กลายเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ เพราะเซลล์เหล่านั้นลงเอยด้วยการ-ฆ่าร่างกาย แต่นั้นไม่ใช่ประเด็นที่แท้จริง เอาละ คุณจะลงมืออย่างฉับพลัน-เพื่อปรับปรุงสภาพแวดล้อมของคุณอย่างรวดเร็วได้อย่างไร มีวิธีการง่ายๆด้วยกัน 3 วิธี คือ: 1. หายใจลึกๆ - หายใจลึกๆ สิ่งแรกที่กระตุ้นให้เซลล์ผ่าเหล่าและกลายเป็นเซลล์มะเร็งคือ การขาดออกซิเจน เซลล์ มะเร็งปรับตัวเพื่อรอดชีวิตในสภาพแวดล้อมที่มีระดับออกซิเจนต่ํา ยิ่งมีออกซิเจนต่ํา เท่าไร เซลล์มะเร็งก็ยิ่งเติบโตได้มากขึ้นเท่านั้น เพราะนี่คือวิวัฒนาการของเซลล์ที่ปกติซึ่ง ต้องการจะรอดชีวิตอยู่ได้ในสภาพ แวดล้อมที่มีระดับออกซิเจนต่ํา - วิธีแก้ไขคือ หายใจลึกๆ ซึ่งเป็นการออกกําลังง่ายๆที่ทําได้ทุกเช้าเพื่อเพิ่มระดับออกซิเจนให้กับ เลือด เดิน 5 นาที แล้วหายใจแบบนี้ คือ หายใจเข้า 4 ครั้ง ติดกัน


กลั้นหายใจแล้วนับ 1 ถึง 4 หายใจออกช้าๆ 4 ครั้ง ติดกัน ทําอย่างนี้ครับ >>>> 1-2-3-4 <<<<

ทําอีกครั้งครับ >>>> 1-2-3-4 <<<<

ผมหายใจเข้าทางจมูก >>>> กลั้นใจแล้วนับ 1-2-3-4 หายใจออกทางปาก <<<< หายใจเข้าไปในท้อง ไม่ใช่หายใจเข้าไปในอก นี่คือวิธีการหายใจที่ถูกต้อง ถ้าหากไม่มีที่เดิน ให้เดินในห้องนอนของคุณ เพราะมันมีที่พอสําหรับการออกกําลังของเราทุก วิธี วิธีที่ 2 หยุดรับประทาน-กรด สิ่ง ที่สองที่มากระตุ้นเซลล์ให้ผ่าเหล่ากลายเป็นเซลล์มะเร็ง คือ สภาพแวดล้อมที่เป็นกรด เพราะนั่นคือการตอบสนองที่จะทําให้เซลล์รอดชีวิตได้ในสภาพแวดล้อมที่เป็นกรด เซลล์ที่ผ่า เหล่าจะตายในสภาพแวดล้อมที่เป็นด่าง และเติบโตในสภาพแวดล้อมที่เป็นกรด คุณจะทําให้ ร่างกายของคุณเป็นด่างได้ ก็ด้วยการรับประทานอาหารที่เป็นด่างมากขึ้น น้ําผัก น้ําผลไม้ มีประสิทธิภาพสูงมาก งดน้ําตาล โคคา-โคล่า เปปซึ่ และน้ําอัดลมทุกชนิด กาแฟ เนื้อสัตว์ นม บุ หรี่ และ แอลกอฮอล์ รับ ประทานผักสดสีเขียว ผลไม้สด น้ําด่าง และน้ํามะพร้าว หากคุณต้องการเห็นการ


เปลี่ยนแปลงของสุขภาพอย่างน่าอัศจรรย์ในระยะเวลาอัน สั้น ดื่มน้ําผักสดปั่นทุกเช้า โดยไม่ ต้องรับประทานอะไรอีกเลย จนกว่าจะถึงมื้อเที่ยง-นําผักใบเขียวหลากชนิด มะเขือเทศ แตงกวา ปั่นกับน้ําสะอาดแล้วดื่ม คุณอาจจะคิดว่า มันไม่น่าดื่มเลย แต่มันไม่เลวร้ายและออก จะอร่อยด้วยซ้ําไปเมื่อคุณคุ้นเคยกับมัน วิธีที่ 3 ดูแลร่างกายของคุณ ความเครียด ทําให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ความเครียด คือ ฆาตกรเบอร์หนึ่ง และเป็นต้นเหตุที่ก่อให้เกิดโรค-ทุกโรค ความ เครียด เพิ่มกรดและส่งผลกระทบต่อทุกสิ่งทุกอย่างในร่างกาย มันจึงเป็นสิ่งที่สําคัญมาก ที่เราจะต้องทําจิตใจให้แข็งแรงเบิกบานอยู่เสมอ คุณจะทําเช่นนั้นได้อย่างไร ? ทํา สมาธิ ดูหนังตลก ละเว้นจากการดูข่าวร้ายและเรื่องเลวร้าย อ่านหนังสือดีๆที่ทําให้เกิดแรง บันดาลใจ หาสัตว์มาเลี้ยง พบเพื่อนใหม่ๆ สัมพันธภาพใหม่ๆ ปลดความทุกข์ความสลดใจ เก่าๆและสิ่งเลวร้ายต่างๆที่ผ่านไปแล้ว และแชร์ข้อมูลนี้ให้กับผู้อื่นต่อไปให้มากที่สุดที่คุณจะ ทําได้ ความเจ็บปวด และ ความเสียหาย ที่เกิดจากการบําบัดด้วยคีโม เลยเถิดไปอย่างเหนือคําบรรยาย ช่วย ให้ผู้อื่นตื่นจากฝันร้ายที่เกิดจากโฆษณาชวนเชื่อของผู้ผลิตยากันเสียที การป้องกันและ รักษาตนเองให้หายจากมะเร็งเป็นสิ่งที่ง่ายดายเสียจนแทบจะเป็น เรื่องตลกอย่างเหลือเชื่อ ใช้ความคิดให้ถูกต้อง จงเปลี่ยนน้ําในบ่อปลาเมื่อปลาป่วย เพราะการทําลายบ่อปลา ไม่ใช่ทางออกที่ ถูกต้อง มาช่วยกันทําให้โลกของเราในวันนี้-น่าอยู่ขึ้น Shafin de Zane - บรรยาย (ภาษาอังกฤษ) http://www.youtube.com/watch?v=P_OHAtVzeB0 ดร.ชนิสา อรรถจินดา - แปล


ใช่ครับหมอ 3 วิธีที่เรียนมา

วิธีการรักษามะเร็งวิธีมาตรฐานในโรงพยาบาล 3 วิธี คือผ่าตัด ฉายแสง และเคมีบําบัด ตามปกติ การรักษาโรคมะเร็งส่วนใหญ่ ใช้วิธีเคมีบําบัด ซึ่งหมายถึงการรักษาโรคโดยการใช้ยาสังเคราะห์ ยา นี้สามารถให้โดยทางรับประทาน ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ฉีดเข้าเส้นเลือดดํา ผู้ป่วยมักได้รับเคมีบําบัด หลายๆ ตัวร่วมกัน โดยมักให้เป็นชุดๆ ห่างกันชุดละ 3-4 สัปดาห์ จุดประสงค์ของการให้เคมีบําบัด เพื่อที่จะฆ่ามะเร็ง หรือป้องกันการกลับมาเป็นใหม่ของมะเร็ง เมื่อรับการรักษาด้วยเคมีบําบัด ยาจะ ถูกดูดซึม เข้าไปในกระแสเลือด เลือดในร่างกายจะนํายาไปยังก้อนมะเร็ง เมือ่ ยาถึงก้อนมะเร็ง ยาจะ ขัดขวางการแบ่งตัว และการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง และทําให้เซลล์มะเร็งตาย เคมีบําบัดมี วิธีการทําลายเซลล์มะเร็งต่างๆ กัน ถ้าเซลล์มะเร็งไม่สามารถถูกทําลายด้วยเคมีบําบัดชนิดหนึ่ง ดื้อ( ทําให้ต้องเปลี่ยนชนิดของเคมีบําบัด อย่างไรก็ตามการใช้เคม )ยาีบําบัด จากสารเคมีสังเคราะห์อาจ เกิดผลกระทบข้างเคียงต่อเซลล์ปกติได้ เนื่องจากเซลล์ในร่างกายมีการแบ่งตัวตลอดเวลา ดังนั้น เคมี จึงมีผลต่ออวัยวะปกติในร่างกาย ทําให้เกิดอาการข้างเคียงกับผู้ป่วย เช่น การกดไขกระดูก ทําให้ สร้างเม็ดเลือดขาวลดลง หรืออาจมีอาการอื่นๆร่วมด้วย มีผื่น คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร เป็นหมัน แผลในปาก ถ่ายเหลว ท้องผูก ผมร่วง อย่างไรก็ตามสําหรับผู้ป่วยบางราย การรักษาแบบวิธีนี้ไม่ได้ ช่วยอะไร และมีผลข้างเคียงต่อร่างกายค่อนข้างมาก เช่น ทําลายระบบภูมิคุ้มกัน ทําให้ร่างกาย อ่อนแอติดเชื้อง่าย ผมร่วง ร่างกายทรุดโทรม และยังไม่สามารถกําจัดมะเร็งให้หายขาดได้ทุกราย แม้ ผู้ป่วยบางรายจะดูเหมือนดีขึ้น แต่ผ่านไปไม่กี่ปี โรคมะเร็งก็กลับมาเป็นซ้ําอีก และแพร่กระจายไป ทั่วร่างกาย ทําให้ต้องใช้ยาเคมีบําบัดมากขึ้นจนกว่าร่างกายจะทนไม่ไหว


มีเงินไม่มีเงิน เหมือ มีชีวิต กับไม่มีชีวิต คิดได้ไงกับทางที่จะเลือก

การรักษาโรคมะเร็งด้วยวิธีการแพทย์ทางเลือก (alternative cancer therapy) เป็นอีกทางเลือก หนึ่งที่ช่วยปกป้องเซลล์ ยับยั้งมะเร็ง และป้องกันการกลับมาเป็นซ้ําของเซลล์มะเร็งได้ โดยการใช้ สารอาหาร หรือสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่สกัดได้จากสมุนไพร เช่นพืชบางชนิด หรือเชื้อราประเภทที่ 2 ที่มีคุณสมบัติเฉพาะในการกําจัดเซลล์มะเร็ง และกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย หรือที่เรียกว่าเคมี ธรรมชาติบําบัด (Natural Chemical Therapy) ซึ่งใช้หลักการในการรักษา 3 รูปแบบ ได้แก่ (1) การ ฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (Immune therapy) โดยการเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับเซลล์ที่มี หน้าที่ในการทําลายเซลล์มะเร็ง เช่น Dendritic Cell, NK Cell เซลล์เพชฌฆาต เซลล์สําคัญในการตรวจ ค้นและทําลายเซลล์มะเร็ง, (2) การทําลายเซลล์มะเร็งด้วยสารออกฤทธิ์ชีวภาพ (Biotherapy), โดยการ ใช้สารสกัดทีท่ ําหน้าที่คล้ายเคมีบําบัด แต่เป็นเคมีบําบัดธรรมชาติ ซึ่งจะส่งผลต่อเฉพาะเซลล์มะเร็ง เท่านั้น ไม่มีผลข้างเคียงต่อเซลล์อื่น จึงทําให้ร่างกายไม่อ่อนเพลีย เม็ดเลือดขาวไม่ถูกทําลาย ระบบของ ร่างกายทํางานได้ตามปกติ และ (3) ให้สารอาหารและพลังงาน เช่น ให้ออกซิเจนแก่เซลล์ ช่วยปรับ สมดุลการทํางานของร่างกายทั้งระบบด้วยสารอาหาร และการบําบัดจากสารสกัดจากธรรมชาติ (Health balancing) วิธีเคมีบําบัดธรรมชาติ มีประเภทของสารที่นํามาใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง


มะเร็งโรคร้าย มันชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ต้องทําให้ได้ 1. โปรตีน มันชอบมาก เพราะ มันได้แข็งแรงและแตกตัว โปรตีน มีอยู่ในเนื้อสัตว์ทุกชนิด อาหารที่ทามาจากสัตว์หรือได้ ออก มาจากสัตว์ ตัองพิจารณาก่อน เช่น แบ รนด์ ต่างๆ น้าปลา กะปิ ไข่ นม น้ามันหอย เป็นต้น หรือพืชที่มีโปรตีน มาก เช่น งา ถั่ว ฯลฯ

2. ไขมัน

สร้างเนื้อร้ายให้โตขึ้นๆ

ไขมัน จากสัตว์ ของทอดอมน้ามัน อาหารผัดน้ามันมากๆ ฯ

3. เกลือ

เป็นภูมิของมัน(อันตราย)

เกลือ โซเดียม ที่ผสมในอาหารแต่ละชนิดฯ

4. อาหารรสจัดๆ หวานจัด เค็มจัด เปรี้ยวจัด เผ็ดจัด ต้องระวัง มันชอบ 5. ผลไม้บางชนิดที่มีรสหวานจัด เช่น สับประรถ ทุเรียน แคนตาลูป (อย่ากินเป็นดี)

ผูป้ ่วยต้องการ มากที่สุด คือ 1. วิตามิน ซี มีในผ้กผลไม้ สดๆ พยามให้ได้มากๆ 2. เบต้าแคโรทีน , พืชผ้กใบเขียว สีส้ม เบต้ากูลแคน

สําหรับเบต้ากลูแคนมีการรวบรวมสรรพคุณไว้ระบุว่า เป็นสารที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ แข็งแรงช่วยสร้างสมดุล ทําให้อาการภูมิแพ้ของผู้ป่วยดีขึ้น ช่วยในการฟื้นตัวของเม็ดเลือดต่างๆ ในไขกระดูก ต้านอนุมูลอิสระ ลดไขมันและน้ําตาลในเส้นเลือด กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดฮอร์โมนแห่งความเครียด และ ลดอันตรายจากโลหะหนักและ เพราะกระแสการดูแลสุขภาพตามวิถีธรรมชาติกําลังเป็นที่นิยมอย่างมากๆ หลายคนจึงแสวงหาทางเลือกใหม่ในการดูแลสุขภาพ ป้องกันตนเองจากการเจ็บป่วย ทั้งนี้ ไม่ใช่ว่าเห็ดทุกชนิดจะสามารถเสริมสร้างภูมิคุ้มกันได้หมด ต้องพิจารณาเลือกรับประทาน ตามความเหมาะสม เพราะยังมีสายพันธุ์เห็ดอีกเป็นจํานวนมากที่ยังไม่ได้รับการวิเคราะห์ทาง เภสัชวิทยาหรือพืชสมุนไพร ซึ่ง นอกจากจะไม่ได้รับคุณค่าทาง อาหารแล้ว อาจจะทําให้เกิดอันตรายได้

3. เซราเนียม มีใน หอมแดง หอมใหญ่ กระเทียม

ฯลฯ (ต้นยาเห็ดเลยครับ)


ความจริงที่โดนกรีดกันด้วยอํานาจต่างๆนานา เงิน ใครบ้างไม่อยากได้ โดนซื้อตัวและโคลงการ งานวิจัย เอาไปดอง เพื่อ ผลประโยชน์ทางด้านธุรกิจผลิตขายยา แถมยังได้ประโยชน์จากการหักภาษี โดยยึดถือ เอาเป็นว่า บริจาคให้เพื่อการวิจัย (เห็นมาเยอะ) เอาหน้า งานวิจัยของนักศึกษาเอามาออกว่าตัว และคณะ ฟังแล้วเหมือว่า จ่าไป จับโจรมาแล้ว ออกแถลงข่าวว่า ตนและคณะ อย่างไงอย่างงั้น ฟังแล้วชินๆนะครับ ที่ แท้ก็เรียนมาทางยีนนี่เอง ท่านอาจารย์หมอ,พระ ดีๆคิดได้ว่า สมุนไพร ชนิดไหนเอามาทํายารักษาผู้ป่วย ท่านอาจารย์,พระ เหล่านี้ผมโคตรนับถือๆว่าท่านเป็นหมอ กับ เทวดาจริง ที่คิดค้นมา จนได้ แต่ท่านก็ต้องจากไปโดยทิ้งผลงานไว้ให้ศึกษาต่อ เป็นทุน (กราบเรียนท่าน อาจารย์ครับ ผมและคณะได้ทําต่อจากท่านและเพิ่มเติมจากท่านไปอีกถึง 2 ชั้นครับ คือ การเลือกเอาแต่สารเคมีธรรมชาติที่ดีๆเอาออกมาใช้ และ ก็ไม่มีผลข้างเคียง หรือ ผลเสียต่อตับ ครับท่าน) เรียนท่านผู้อ่านที่เคารพ กลุ่มเราและคณะ ทําการวิจัยคิดค้นต่อยอด จากหลาย แห่งหนตําบลต่างๆ มาเพื่อที่จะได้ สารเคมีธรรมชาติ มารักษาผู้ป่วยเป็นโรคภัยต่างๆ โดยไม่หวังผลตอบแทน เงินทุน เวลา ก็มาจากของคนในกลุ่มในคณะกัน โดยเราต่าง คนต่างหน้าที่ มาพบกันและสร้างกลุ่มคณะนี้ขึ้นมา แต่เราไม่สามารถรักษาได้ทุกคน บนโลกใบนี้ เนื่องจาก ตัวยาในธรรมชาติบางตัวที่หายาก ซึ่งมีอยู่ในป่าบ้านเราได้โดน ซื้อจากชาวต่างชาติไปเกือบหมดแล้ว หากมีปัญหาควรปรึกษาแพทย์ หากท่านโชคดีก็ มีโอกาสที่จะได้เจอแพทย์ดีๆก็เป็นได้ (ข้อมูลทั้งหลายเหล่านี้มีที่มาที่ไปและเอกสารอ้างอิง เยอะมาก)


จุดประสงค์คือให้ท่านมีสติในการตัดสินใจให้กับ ความเป็นความตาย (ห้ามลอกเรียนแบบ เพราะถ้าท่านไม่รู้จริงอย่างผู้เชี่ยวชาญ อาจจะทําให้ท่านเสียใจหรืออาจจะถึงแก่เสียชีวิต )

ผมในนามของกลุ่มและคณะ ขอให้ท่านทั้งหลายจงโชคดี บุญกุศลที่พวกเราได้ ทําในทุกๆครั้ง จงส่งผลให้เรามีความสุข ความสงบ ความสบายทั้งกายและใจ รวมถึง ครอบครัวพวกเราด้วยเทอร และหรือ ให้คนป่วยของเราทุกคนจงหายเจ็บหายป่วยหาย จากโรคร้ายด้วยเทรอ อ่านต่อไปนะครับ ยังมีอีกเยอะ


ตํารา ยาแก้มะเร็ง รักษามะเร็ง เป็นสูตรยาของหลวงพ่อฤาษีลิงดํา วัดท่าซุง ประกอบด้วยแห้วหมู ขมิ้นชัน ปู นกินหมาก เป็นตํารับยาหมอชีวกโกมารภัจ สูตรนี้เอามะเร็งเบาหวานอยู่ พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมญาณเรียนวิชาแพทย์แผนโบราณมาตั้งแต่ยังไม่ บวช หลังจากบวชแล้วก็ได้เป็นผู้ช่วย หลวงปู่ปาน รักษาคนไข้ และได้เรียนวิชาแพทย์จากท่านที่มีอทิสสมานกายอีกมาก วิชาเหล่านี้ต่อมาจากท่านละทิ้งหมด จนกระ ทั้งเริ่มรับลูกศิษย์ และเห็นทุกขเวทนาของลูกศิษย์บางคน จึงได้บอกสูตรยาต่าง ๆ ให้ รายละเอียดมีดังนี้ สูตรยาแก้โรคมะเร็งและโรคอักเสบภายในต่างๆ สูตรตัวยามีดังนี้ ขมิ้นชัน ๑ กํามือ กับหญ้าแพรก ๑ กํามือ โขลกให้ละเอียดคั้นกับน้ําปูนใส (ปูนกินกับหมาก) แล้วกรองด้วยผ้า ขาวบาง วิธีใช้ รับประทานครั้งละประมาณ ๑ ถ้วยชา หรือประมาณ ๓๐ ซี.ซี รับประทานวันละ ๑ ครั้ง ก่อนอาหารเช้า ๓๐ นาที หรือ ๑๕ นาที เป็นอย่างน้อย รักษาโรคมะเร็ง และโรคอักเสบต่าง ๆได้ทั้งหมด เช่น โรคกระเพาะ โรคลําไส้อักเสบ ตับอักเสบ ไตอักเสบ ฯ ล ฯ ถ้าโรคเบาหวาน ขณะที่กินยา ห้ามกินกะปิกับของแสลง คือของหวานในช่วงกินยา ๓ วันหาย ประวัติของยานี้หลวงพ่อเล่าให้ฟัง เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๒๘ ยานี้ท่านหมอ โกมารภัจมาบอกหลวงพ่อ โดยหลวงพ่อเล่าให้ ฟังว่า “ ยานี้คือยารักษาโรคมะเร็ง โรคเบาหวานเพียงแค่พื้น ๆ โรคกระเพาะ โรคตับนี้รักษาง่าย ท่านบอกว่า แต่อย่าไปรับรองชาวบ้าน เขานะ ห้ามรับรองชาวบ้านเขา ฝีในท้องกิน ๓ ระยะ ๆ ๓ วัน เว้น ๗ วันหาย บอกว่าถ้าหัวฝีแตกยิ่งดีใหญ่ โรคไต ๓ ถ้วยหายโรคอักเสบทั้งหมดรักษาได้ทุกอย่าง โรคเบาหวานห้ามกินกะปิ และของหวานใน ช่วงเวลาที่กินยา คนไข้คนไหนไม่เว้นของแสลง ไม่ควรสงสาร เพราะว่าตัวเขาเองยังไม่รัก แล้วเราจะไปรักทําไมต้องถือคตินี้นะ ประวัติ ความเป็นมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๓ ตอนนั้นอยู่ชัยนาท คุณสมศรี เธอเป็นโรคมะเร็งในมดลูก รักษาตัวมาเป็นเดือนหมดเงิน เป็นหมื่น มะเร็งระยะสองไม่หาย เธอมาปรารภอาการป่วยให้ฟัง ยาฉันก็ไม่มี ฉันไม่รู้จะไปหาที่ไหน นั่งนึกถึง ท่านโกมารภัจ ท่านก็มาท่านบอกให้แม่มันไป ตลาดโพธิ์นางดํา ไปถามหมอโบราณที่นั่น หมอชื่ออะไร รูปร่าง


อย่างไร ท่านก็ไม่บอก บอกไปเถอะไปเจอใครเขาบอกยาองเขารักษาหาย ให้เอามารักษาจะหาย ไม่ใหม่ประวัติความเป็น มาจําไว้ นะ แล้ว แกก็ไปหาทันที ไปรอลงเรือที่ ประตูน้ําเขื่อนเจ้าพระยา ก็ไปรอลงเรือ ไอ้ท่าเรือก็มีผู้ชายคนหนึ่งผอมโปร่งผิวขาว แต่งตัวเรียบร้อยไม่พูดไม่จากับใคร นั่งเฉยหัว ก็ขาวโพลน นั่งเฉยคอยเรือเกือบชั่วโมงไม่พูดกับใครเลย เวลาลงเรือหางยาวบังเอิญ นั่งคู่กันไป เรือวิ่งไปประมาณ ๑ กิโลเมตร แกหันมาถามว่าหนูจะไปไหน บอกจะไป ตลาดโพธิ์นางดํา ถามไปทําไม บอกลูกสาวประจําเดือนออกไม่หยุด หมอบอกเป็นมะเร็งที่มดลูก ชายคนนั้น แกถามต่อไปว่า แล้วนี่จะไปไหน บอกไปหาหมอ ถามหมอชื่ออะไร แกบอกไม่รู้ บอกไม่รู้ไปอย่างไร บอกว่าพระท่านบอกถ้าไปเจอหมอที่ โพธิ์นางดํา ท่านเป็นหมอโบราณ ถ้าท่านบอกยารักษาหายให้นํามาเลย บอกถ้าอย่างนั้นไม่ต้องไป ยาที่ฉันมีพอเรือหางยางสวนมาแกกวักมือบอกกลับได้ แล้ว ปรากฏว่าวันหลังไปถามเรือหางยาวคนนั้นว่า คนรูปร่างแบบนั้นขึ้นที่ไหน ไอ้เรือหางยาวเขารู้จักกันบอกเวลานั่งมาเห็น เลา ขึ้นไม่เห็นตอนขึ้นเขาเก็บสตางค์ ไม่เห็นโดดน้ําไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แก่ทํากินไม่ถึงถ้วยชา แคครึ่งถ้วยชา ถ้วยเดียวหาย แต่ท่านบอกว่าให้กิน ๓ ถ้วย แล้วจะหายสนิทมะเร็งนี่นะ ไอ้โรคเบาหวานเรื่อง เล็ก ๆ เล็ดหมดเลย เบาหวานขนาดม้า มะเร็งขนาดช้าง ท่านเลยบอกว่า หาย ไอ้โรควัณโรคนานหน่อยนะ กิน ๓ วันติด ๆ กัน เว้น ไป ๗ วัน ๓ ระยะ เท่ากับกิน ๙ ถ้วยหาย ท่านก็เลยสรุปอักเสบทั้งหมดใช้ได้หมดเลย เดี๋ยวลองถามท่านกินบ่อย ๆ จะได้ไหม ท่านบอกว่าป้องกันโรคต่าง ๆ ปีละงวด ๓ ถ้วย กิน ๓ วัน ถ้ากินป้องกันร่างกายทรุดโทรม ๖ เดือนงวด จะไปกินเร็วกว่านั้นไม่ได้ ๖ เดือนกิน ๓ ถ้วย แต่ท่านบอกว่าอย่าไปรับรองใครเขานะ บอกเราเคยกินหายมาแล้ว เราอย่าไปรับรองผล ถ้าบังเอิญมันเป็นระยะปลาย และคนนั้น จะต้องตายมีอยู่ อย่าไปรับรองเขา แล้วท่านบอกว่า หญ้าแพรกทําให้เย็น ขมิ้นรักษา และน้ําปูนใสทําให้อย่างแห้งเร็ว หมายเหตุ ก่อนกินยานี้ให้นําดอกไม้ธูปเทียนบูชาพระ ขอพระองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ช่วยให้โรคหายไปจากร่างกาย ขอพรท่านโกมารภัจเจ้าของยา ขอให้ท่านช่วยให้ยานี้มีฤทธิ์ทําลายโรคให้หมดไป ขอพรท่านแม่ศรีช่วยด้วย ขอให้โรคทั้งหลาย สลายตัวไปให้หมด นับตั้งแต่กินยานี้เข้าไปแล้ว ยานี้ใช้ได้ผลเฉพาะบุคคลที่มีความเชื่อในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริย สงฆ์ เท่านั้น


สูตรยาสมุนไพรที่มีผู้นาออกมาเผยแพร่ ที่ผมไปเจอมาเลยนามาลงไว้ เพื่อ เป็นแนวทางหรือข้อมูลสาหระบ ผู้ที่กาละงมองหาวิธีระกษาโรคมัเร็งด้วย สมุนไพรไทย ที่มีคุณค่าน่าอะ ศจรรย์ ที่มาของสูตรยาสมุนไพรระกษามัเร็ง สูตรยาสมุนไพรหละกที่ใช้ระกษา ผู้ป่วยมัเร็ง ที่มาระบการระกษาที่อโรคยศาล มีทะ้งหมด 2 สูตร คือ สูตรยอดยาแก้ มัเร็งทุกชนิด แลั สูตรยาสมุนไพรสมานฉะนท์ ซึ่งสูตรยาสมุนไพรนี้ได้คิดค้น นามาใช้ระกษามัเร็งโดย พรัอาจารย์ปรัพนพะชร์ เจ้าอาวาสวะดคาปรัมง ผู้ก่อตะ้งอ โรคยศาล ซึ่งท่านเคยอาพาธด้วย โรคมัเร็งในโพรงจมูก เมื่อ พ.ศ.2539 โดยหลวงตาได้ทดลองใช้สูตรยา สมุนไพรนี้กะบหลวงตาเอง ซึ่งเริ่มแรกท่านได้เข้าระบการระกษาที่โรงพยาบาลจุฬาฯ โดยหลวงตาได้ระบการดูแลจาก แพทย์ โดยการฉายแสง แลัเคมีบาบะดติดต่อกะนทะ้งวะนทะ้งคืนโดยไม่หยุดเป็นอาทิตย์ แต่อาการยะงไม่ดีขึ้น ยะงปวดอยู่ ตลอดเวลา จนเช้ามืดวะนหนึ่งพรัอาจารย์ได้ใช้สมาธิช่วย โดยนะ่งสมาธิตะ้งแต่ตี 3 จนถึง 6 โมงเช้า แล้วก็ต้ม สมุนไพรดื่มบรรเทาอาการ ก็พบว่า มะนได้ผล จากนะ้นอาการของพรัอาจารย์ก็เริ่มดีขึ้น โดยกินข้าวได้ หายใจ สัดวกขึ้น มีเรี่ยวแรง จากนะ้นจึงศึกษาเกี่ยว ตาระบยาต่าง ๆ เรื่อยมา ทดลองค้นคว้าด้วยตะวเองจนอาการดีขึ้นเป็น ลาดะบ ซึ่งความรู้เรื่องสมุนไพรนะ้น พรัอาจารย์ได้ศึกษาจากจากตาราสมุนไพรหลายเล่ม โดยเฉพาัเล่มที่เป็นแรงบะนดาลใจของท่านมาก คือ หนะงสือ เพชรน้าเอกกรุยอดยาตาระบสมุนไพร แลัคาอธิบายตาราพรัโอสถพรันารายณ์ รวมทะ้งท่านได้ศึกษาความรู้เรื่อง การใช้ยาสมุนไพรกะบผู้รู้หลายท่าน แล้วนาความรู้ต่างๆ ที่รวบรวมได้มาปรัมวลเข้าด้วยกะน จึงตะ้งเป็นตาระบยา สมุนไพรระกษาโรคมัเร็งของพรัอาจารย์เอง หละงจากนะ้นชาวบ้านที่ได้ทราบข่าวจึงพากะนมาพึ่งสูตรยา พึ่งการ บาบะดทางจิตกะนมากมาย จนเกิดการตะ้งอโรคยศาลขึ้นเพื่อใช้เป็นที่พะกพึงของผู้ป่วยเรื่อยมาจนถึง ปัจจุบะน ส่วนผสมของสูตรยา สูตรยาสมุนไพรระกษามัเร็งที่ใช้ในการระกษาผู้ป่วยที่อโรคยศาล มี 2 สูตรหละก คือ สูตรที่ 1 ยอดยากินแก้มัเร็ง ทุกชนิด แลั สูตรที่ 2 สูตรยาสมุนไพรสมานฉะนท์ ซึ่งทะ้งสองสูตรจัมีขะ้นตอนการปรุงยาที่เหมือนกะน แต่จั แตกต่างกะนที่สมุนไพรที่ใช้เป็นส่วนปรักอบของแต่ลัสูตร ดะงนี้


สูตรที่ 1 ยอดยากินแก้มัเร็งทุกชนิด สูตรนี้ปรักอบด้วยสมุนไพรจานวน 11 ชนิด นามาต้มรวมกะน โดยมีปริมาณของสมุนไพรแต่ลัชนิดดะงนี้ 1. หะวร้อยรู หนะก 50 กระม 2. ไม้สะกหิน หนะก 50 กระม 3. ข้าวเย็นเหนือ หนะก 200 กระม 4. โกฐจุฬา หนะก 50 กระม (ใช้ทะ้งต้น) 5. ข้าวเย็นใต้ หนะก 200 กระม 6. โกฐเชียง หนะก 50 กระม 7. กาแพงเจ็ดชะ้น หนะก 50 กระม 8. เหงือกปลาหมอ หนะก 200 กระม 9. ผีหมอบ หนะก 100 กระม 10. หญ้าหนวดแมว หนะก 50 กระม 11. ทองพะนชะ่ง หนะก 200 กระม (ใช้ทะ้งต้น)

สูตรที่ 2 สูตรยาสมุนไพรสมานฉะนท์ สูตรนี้ปรักอบด้วยสมุนไพรจานวน 10 ชนิด นามาต้มรวมกะน โดยมีปริมาณของสมุนไพรแต่ลัชนิดดะงนี้ 1. กาละงเสือโคร่ง หนะก 100 กระม (ใช้เปลือกต้นไม้) 2. ม้ากรัทืบโรง หนะก 50 กระม 3. ช้างน้าว หนะก 40 กระม (ใช้ส่วนของเปลือกแลัลาต้น)


4. จ้อนเน่า หนะก 30 กระม (ใช้ส่วนของเปลือกแลัลาต้น) 5. ตัไคร้ต้น หนะก 30 กระม (ใช้ส่วนของเปลือกแลัลาต้น) 6. ขะนทอง หนะก 30 กระม (ใช้ส่วนของลาต้น) 7. ย่านางแดง หนะก 30 กระม (ใช้ทะ้งต้น) 8. ฝางแดง หนะก 30 กระม (ใช้ส่วนของเปลือกแลัลาต้น) 9. ฟ้าทัลายโจร หนะก 5 กระม (ใช้ทะ้งต้น) 10. แฮ่ม หนะก 5 กระม (ใช้ส่วนของเปลือกแลัลาต้น) วิธีปรุงยาสมุนไพรระกษามัเร็ง สูตรยาสมุนไพรระกษามัเร็งที่ใช้ในการระกษาผู้ป่วยที่อโรคยศาล มี 2 สูตรหละก คือ สูตรที่ 1 ยอดยากินแก้มัเร็ง ทุกชนิด แลั สูตรที่ 2 สูตรยาสมุนไพรสมานฉะนท์ ซึ่งทะ้งสองสูตรจัมีขะ้นตอนการปรุงยาที่เหมือนกะน ดะงนี้ วิธีต้มยา 1. นาตะวยาทะ้งหมดใส่ลงไปในหม้อดินที่มีขนาดใหญ่ที่สุด (แหล่งจาหน่ายอยู่ที่เกราัเกร็ด จ.นนทบุรี) 2. ใส่น้าฝน (เน้นย้าน้าฝนที่ดีที่สุด) ลงไปในหม้อดินแช่น้ายาไว้ปรัมาณ 10 นาที ให้พอท่วมยา จากนะ้นตะ้งไฟ แรงปานกลางปิดฝาหม้อ 3. ต้มให้เดือดนาน 15 นาทีไว้ในหม้อเคลือบใหญ่มีหูหิ้ว ขนานเบอร์ 32 (คระ้งที่ 1) จากนะ้นเติมน้าลงไปให้ ท่วมตะวยา แล้วต้มให้เดือดนาน 15 นาที 4. รินน้ายาเก็บรวมไว้กะบของเก่า (คระ้งที่ 2) ใส่น้าให้ท่วมตะวยาใหม่อีกคระ้ง ต้มให้เดือดนาน 15 นาที แล้วริน น้ายาเก็บรวมไว้กะบของเก่า (คระ้งที่ 3) ส่วนกากยาที่เหลือทิ้งให้เย็นจึงนาไปเทที่ต้นไม้โพธิ์ หมายเหตุ : เวลา 15 นาที เริ่มนะบตะ้งแต่น้ายาเดือด สาหระบผู้ที่ไม่เป็นมัเร็ง ก็สามารถกินยานี้เพื่อป้องกะนก่อนได้


ข้อปฏิบะติ จุดธูป 3 ดอกเทียนคู่ ทาสมาธิ รัลึกถึงคุณพรัพุทธ พรัธรรม พรัสงฆ์ พร้อมทะ้งสวดพรัคาถาสะกกะตวา 3 จบ แลั อะญเชิญบารมีของพรัพุทธไภษะชยคุรุไวฑูรยปรัภา (พรักริ่งอโรคยศาล) แลัท่านบรมครูชีวกโกมารภะจจ์ ซึ่งเป็นผู้คิดตารานี้ แลันาไปปักไว้กลางแจ้ง วิธีการใช้ยา วิธี การใช้ยาสมุนไพรนี้ เป็นการใช้สมุนไพรสูตรหละก (ยอดยาแก้มัเร็งทุกชนิด) แก่ผู้ป่วยโรคมัเร็ง เมื่อผู้ป่วยได้ ผ่านวิธีการต้มยาจากพรัอาจารย์แล้ว พรัอาจารย์จับอกวิธีการต้มยา เพื่อให้ผู้ป่วยหรือญาติสามารถต้มยาได้เอง ในหม้อต่อไป โดยยาสมุนไพร 1 หม้อ สามารถดื่มได้ปรัมาณ 10 - 12 วะน ทะ้งนี้จัขึ้นอยู่กะบความ สามารถของผู้ป่วยในการดื่มยา ซึ่งจัมีการอุ่นยา (อย่างน้อยวะนลั 1 คระ้ง) ไว้กินเรื่อยๆ ก่อนอาหาร 3 เวลา ปรัมาณ 30 นาที คระ้งลั 1 ถ้วยกาแฟ (มีห)ู หรือปรัมาณ 250 ซีซี ต่อ 1 คาบ แลัก่อน กินยาทุกคระ้งให้สวดคาถาพรัสะกกะตวาฯ 3 จบ เมื่อหมดน้ายาก็ให้ทาใหม่ ต้มกินไม่เกิน 5 หม้อ (หรืออาจจัมากกว่านะ้น) โรคมัเร็งชนิดนะ้นๆ หายแน่นอนแลฯ (หากว่า มัเร็งลุกลามไปมากให้ทานยาเพิ่มขึ้นอีกในแต่ลัมื้อ แลัอาจจัต้องกินเพิ่มอีกหลายหม้อ) กรณีที่ผู้ป่วยมี อาการหนะกมากแล้ว ก่อนที่จัเข้ามาระกษาที่อโรคยศาล หละงจากที่ผู้ป่วยระบปรัทานยานี้เข้าไปแล้วก็อาจจัทาให้ ผู้ป่วยสิ้นชีวิตไป อย่างสงบ ไม่ทุรนทุรายมากนะก หมายเหตุ : ผู้ป่วยจัต้องมีจิตที่ศระทธามะ่นคง ตะวยาจึงจัมีศะกดานุภาพมหาศาล อ้างอิงจาก - หนะงสือสมาธิบาบะด อโรคยศาล วะดคาปรัมง - เอกสารปรักอบการพิจารณาเสนอใหปริญญาวิทยาศาสตรดุษฎีบะณฑิตกิตติมศะกดิ์ (วท.ด.) สาขาวิชาสาธารณสุขชุมชน


หมอสมหมาย ได้มอบสูตรตํารับยาสมุนไพรให้แก่ องค์การเภสัชกรรม

สูตรยาของหมอสมหมายประกอบไปด้วย พุทธรักษา ไฟเดือนห้า ปีกไก่ดํา พญายอ เหงือกปลาหมอ แพงพวย และข้าวเย็นเหนือ ข้าวเย็นใต้ แต่สมุนไพรปีไก่ดํายังขาดแคลนอยู่มาก และหายาก ไม่นานมานี้ ยาของหมอเทวดา “หมอสมหมาย” เจ้า ของสูตรยาสมุนไพรรักษา มะเร็งปลื้ม อยใช่รักษาได้ขึ้นทะเบียนระบุสรรพคุณเป็นยาแก้น้ําเหลืองเสียไม่. โรคมะเร็ง อย่างที่หลายๆคนเข้าใจกัน(จะไปเอาอะไรกับ อะหย่อย กินแล้วหายก็ดีถ้า ไม่มีผลค้างเคียงกับ ตับ ไต นะครับ ผลประโยชน์ตามฝรั่งมัน) ตอนนี้กัญชา อเมริกา เปิดขายแล้ว แล้วอีกหน่อยเราก็คงเป็นอย่างมันน๊ะ แต่จริงๆแล้ว สารในกัญชา รักษา มะเร็งได้ดีที่เดียวครับ มีสารอ้างอิงเยอะแยะไปหาดูเอาเอง


คำแปล จำก สมุนไพร 20 ชนิดที่ช่วยต้ำนมะเร็ง สองมาตรฐาน คริส(Woollams; CANCERactive )มันเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าสมุนไพรที่ได้รับ การกินสําหรับคุณสมบัติสุขภาพให้พวกเขาเป็นพัน ๆ ปี ประวัติความเป็นมาและประสบการณ์บอกเรา จะกินไทม์ แต่ไม่ราตรีตาย ผ่านการฝึกอบรมผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรแพทย์รู้ว่าสิ่งที่สมุนไพรสามารถ และไม่สามารถทํา แตกต่างจาก บริษัท ยาบางชนิด, สมุนไพรดังกล่าวยังไม่ได้จ่ายเงินหลายล้านดอลลาร์เพื่อหลีกเลี่ยงการ ดําเนินการที่ศาลอ้างว่าพวกเขาซ่อนตัวอยู่การศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นผลเป็นลบ สมุนไพรในปีที่ผ่านมา ไม่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสุขภาพเดิมเพียงเพื่อจะ'withdrawn' ต่อมาหลังจากที่ก่อให้เกิดความ ผิดปกติ, โรคหัวใจและ / หรือเสียชีวิต การจิบเครื่องดื่มค็อกเทลของยาตามใบสั่งแพทย์ไม่สมุนไพรเป็น จํานวนหนึ่งสาเหตุของการตายในรัฐเช่นฟลอริด้า ในขณะที่รัฐบาลของคุณเป็นอันขาดเสรีภาพของคุณในการเลือกที่จะซื้อบุหรี่ที่เคาน์เตอร์ทั่วประเทศ อังกฤษแม้จะมีความเสี่ยงต่อสุขภาพที่ชัดเจนสร้างความเสียหายก็จะไม่ให้เสรีภาพเดียวกันในการเลือกที่ จะซื้อสารธรรมชาติเช่นสมุนไพร แปลกที่คุณจําเป็นต้องได้รับการปกป้องจากการกินสมุนไพร แต่ไม่ สูบบุหรี่ (หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ) ซึ่งแตกต่างจากจีเอ็มอาหารที่มีมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่มีอยู่ในถนนสูง แต่ไม่ค่อยหากเคยไปผ่านการควบคุม อย่างเข้มงวดของรัฐบาลหรือการวิจัยอิสระและถูกสร้างขึ้นสังเคราะห์เพียงไม่กี่ปีที่ผ่านมาสมุนไพร ทั่วไปที่ haven't เปลี่ยนมานานหลายศตวรรษจะไม่สามารถใช้ได้ใน ยาเม็ดและของเหลวบนถนน สูงเดียวกันหลังจาก 2011 พฤษภาคม 1EU Directive จะเอาพวกเขาสําหรับเหตุผลด้าน ความปลอดภัยต่อสุขภาพ


นี่ยี่สิบสมุนไพรที่อาจจะช่วยให้การต่อสู้กับโรคมะเร็งคือ คุณจะยินดีที่จะรู้ว่าแม้หลังจากที่ 1 2011 พฤษภาคมคุณยังสามารถมีพวกเขากําหนดและสร้างขึ้นมาเพื่อคุณโดยผู้เชี่ยวชาญการทํางาน ร่วมกับ CANCERactive 1Astragalus( Huang Qi :)สมุนไพรจีน;สนับสนุนระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่รู้จักกัน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการผลิตของร่างกายตามธรรมชาติของ interferon นอกจากนี้ยังช่วยให้ระบบ ภูมิคุ้มกันของร่างกายระบุเซลล์โกง ทํางานร่วมกับสมุนไพรในทั้งสองกรณีโรคมะเร็งและโรคเอดส์ ได้รับการส่งเสริมMD Anderson ศูนย์มะเร็งในเท็กซัดําเนินการวิจัยแสดงให้เห็นว่าการตาตุ่ม เมื่อมีรังสีสองครั้งการอยู่รอด 2Berberis Family เช่น(podophyllum peltanum ช้าประจุที่ใช้งาน :)การวิจัย ได้แสดงให้เห็นสมุนไพรเหล่านี้จะมีการดําเนินการที่แข็งแกร่งกับโรคมะเร็งและพวกเขาได้ถูกนํามาใช้ กับโรคมะเร็งโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคมะเร็งรังไข่ 3รากเลือด (Sanguinaria canadensisนว่ากิจกรรมการต่อต้านเนื้อการวิจัยแสดงให้เห็ :) งอกที่สอดคล้องกันมันเป็นผลดีกับเนื้องอกโรคมะเร็งและสามารถหดพวกเขา; และได้รับการพิสูจน์ที่ เป็นประโยชน์กับมะเร็ง 4ButchersBROOM( Ruscus aculeatus :)ส่วนผสมของสมุนไพรนี้ได้รับการ พบว่ามี ruscogenins ซึ่งมีความสามารถเนื้องอกหดตัวและต่อต้าน oestrogenic ดังนั้น การใช้ในการรักษาโรคมะเร็งเต้านม 5ตาแมวก้ามปู (Uncaria tormentosa :)adaptogen และมีประสิทธิภาพภูมิคุ้มกัน กระตุ้นที่จะช่วยเพิ่มเม็ดเลือดขาวทําความสะอาดกระบวนการ (phagocytosis )มันเป็นสหายที่ ดีในการตาตุ่มขมิ้นชันและ Echinacea วิจัยชี้ให้เห็นก็สามารถลดขนาดของเนื้องอกได้โดยเฉพาะ อย่างยิ่งกับมะเร็งผิวหนัง นอกจากนี้ยังช่วยลดผลข้างเคียงของเคมีบําบัดและรังสีบําบัด


6CHAPARRAL( Larrea Mexicana :)โรคมะเร็งดูครอบคลุมการศึกษาวิจัยที่สําคัญ จากสหรัฐอเมริกาซึ่งกองสรรเสริญเกี่ยวกับสมุนไพรนี้ แต่ดูเหมือนว่ามันจะช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน ของร่างกายหยุดการแพร่กระจายและลดขนาดของเนื้องอกได้ ดูเหมือนว่าที่น่าสนใจโดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคมะเร็งเต้านม นอกจากนี้ยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและป้องกันจุลินทรีย์ที่มีความเป็นพิษต่ํา 7curcumin( ขมิ้น :)เครื่องเทศนี้ (ขมิ้นชันหรือรากขมิ้น )ได้รับการแสดงที่จะมีกิจกรรมการต้าน จุลินทรีย์และต้านการอักเสบอย่างมีนัยสําคัญ ที่อยู่คนเดียวดูเหมือนว่าเพียงพอสําหรับโรงพยาบาล บางอย่างในอเมริกาที่จะต้องพิจารณาการใช้มันในการรักษาติ่งและมะเร็งลําไส้ใหญ่ แต่งานวิจัยใหม่ แสดงให้เห็นว่าทั้งสองสามารถลดขนาดเนื้องอกโรคมะเร็งและยับยั้งการเจริญเติบโตการส่งเลือดไปยัง เนื้องอก มันเป็นสารที่มีประสิทธิภาพที่มีประโยชน์ในการป้องกันตับและทําได้ดีกว่ายาต้านการอักเสบ หลายโดยไม่มีผลข้างเคียงในการวิจัย 8DANG SHEN ROOT( Codonopsis pilosula :)เพิ่มขึ้นทั้งเซลล์เม็ดเลือดขาว และระดับเม็ดเลือดแดงดังนั้นจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับผู้ป่วยที่มีการรักษาด้วยเคมีบําบัดและรังสี บําบัดหรือผู้ป่วยที่มีโรคมะเร็งลดระดับของการอย่างใดอย่างหนึ่ง 9Echinaceaอีกที่รู้จักกันในการส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายได้รับชื่อเส :ียงประชานิยม ในการรักษาโรคหวัด มีงานวิจัยเกี่ยวกับความเอื้ออาทรที่มีเนื้องอกในสมองนอกเหนือจากความสามารถ ในการเพิ่มระดับของเซลล์สีขาวบางภูมิคุ้มกันในร่างกาย 10feverfew :สมุนไพรนีเ้ กิดพายุเมื่อการวิจัยจากมหาวิทยาลัยโรเชสเตอร์ในนิวยอร์กแสดงให้ เห็นว่ามันจะเป็นผลดีกว่า cytarabine ยาเสพติดในการฆ่าเซลล์มะเร็งสหรัฐอเมริกาอาหารและยา ของหน่วยงานที่ใช้งานใส่ส่วนผสม parthenolide ในโปรแกรมการติดตามอย่างรวดเร็ว ไม่มี อะไรได้ยังได้ยิน แต่แล้วองค์การอาหารและยาไม่เคยได้รับการอนุมัติสมุนไพรสําหรับใช้ในการรักษา โรคมะเร็ง


11Goldenseal :สาเหตุหนึ่งของโรคมะเร็งกระเพาะอาหารอาจเป็นเชื้อแบคทีเรียเชื้อ Helicobacter pylori นี้เข้าไปในโพรงเยื่อบุเมือกของกระเพาะอาหารจะซ่อนตัวจากกรดใน กระเพาะอาหารแล้วทําให้เกิดการระคายเคือง, กรดไหลย้อน, แผลและแม้กระทั่งมะเร็ง Goldenseal ทั่วไปต่อต้านจุลินทรีย์และใช้ในแคริบเบียนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับปรสิต Goldenseal ช่วยด้วยแร่บิสมัทจะฆ่าเชื้อ Helicobacter pylori สัตวแพทย์ดูเหมือนจะ รู้นี้แม้ว่าแพทย์ห้าม 12MilkThistle :เป็นที่รู้จักมานานหลายปีที่จะเป็นประโยชน์ต่อตับ, สมุนไพรนีไ้ ด้รับตอนนี้ แสดงให้เห็นว่ามีความสามารถในการปกป้องตับในระหว่างการรักษาด้วยเคมีบําบัด วิจัยในอเมริกา พบว่าผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดที่เอา Thistle นมได้ลดความเป็นพิษของตับและคีโม ผลข้างเคียง มีหลักฐานว่ามีกิจกรรมต้านมะเร็งของตัวเองเกินไป 13PAU D'ARCO :เปลือกต้นไม้ต้นนี้เป็นความคิดเดิมทีจ่ ะเป็นสารต้านมะเร็งที่มีความ แข็งแกร่ง แต่แล้วการกระทําที่ได้รับการชี้แจงเป็นอย่างยิ่งป้องกันแบคทีเรียยีสต์ป้องกันและต่อต้าน จุลินทรีย์ ที่อยู่คนเดียวอาจจะเพียงพอในบางกรณีของการเกิดมะเร็ง แต่งานวิจัยใหม่เกี่ยวกับส่วนผสมที่ แตกต่างกันได้แสดงให้เห็น quinoids มีความสามารถเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและดูเหมือนจะ ช่วยในกรณีที่มีเลือดและน้ําเหลืองโรคมะเร็ง 14RED CLOVER การวิจัยจากหมายเลขของศูนย์รวมทั้งรอยัล :Marsden ได้แสดงให้ เห็นศักยภาพของมันเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมการรักษาโรคมะเร็งกับสโตรเจนที่ขับเคลื่อนจากเต้า นมต่อมลูกหมาก หนึ่งในสารออกฤทธิ์ในที่เรียกว่าสมุนไพรของฮิปโปเครติสเป็นต่อต้านฮอร์โมน Genistein 15SHEEP'S SORRELL ใช้ใน :Essiac และสมุนไพรอื่น ๆ มันเป็นน้ํายาทําความ สะอาดและช่วยสร้างเนื้อเยื่อที่มีสุขภาพดี มีข้อเสนอแนะจากการวิจัยที่จะช่วยปรับเซลล์และเนื้อเยื่อที่ เสียหายเป็น นอกจากนี้ยังเป็น'vermifuge' การยกย่องอย่างสูง - พยาธิมีความต้านทานน้อย


16SKULLCAP(Scutellaria barbataการวิจัยได้แสดงให้เห็นการกระทําที่ต่อต้าน :) มะเร็งหลายชนิดเช่นกับโรคมะเร็งของปอดกระเพาะอาหารและลําไส้ 17SUTHERLANDIA( มะเร็งบุช )ทบทวนการศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่าสมุนไพรนี้เป็น ต้านการอักเสบต้านไวรัสและป้องกันเชื้อรา จะช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันและยับยั้งเนื้องอกเนื้อร้ายปัจจัย ที่เป็นที่รู้จักกันในการผลักดันการสูญเสียในผู้ป่วยมะเร็ง 18THOROWAX หรือ HARES EAR( Bulpleurum scorzoneraefoliumการวิจัยได้แสดงให้เห็นความสามารถในการเพิ่มประสิทธิภาพการ :) ผลิตของinterferon ธรรมชาติและดูเหมือนว่ามีประโยชน์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการรักษามะเร็ง กระดูก 19 WHEATGRASSต้นข้าวสาลีหนึ่งในโรงพยาบาลเอกชนชั้นนําในเอเชียตะวันออกเฉียง : ใต้จ้วงประโยชน์ของข้าวสาลี juiced สดใหม่ หนึ่งยิงช่วยให้คุณคลอโรฟิลของบางหรือมากกว่า 12กิโลกรัมของผักชนิดหนึ่ง จะทําหน้าที่เป็นเครื่องฟอกเลือดและตัวแทนตับและไตทําความสะอาด หลังจากสองสัปดาห์ของการใช้ชีวิตประจําวัน, เลือดและออกซิเจนเนื้อเยื่อในระดับดีขึ้นเช่นเดียวกับ การไหลเวียน และออกซิเจนเป็นศัตรูของเซลล์มะเร็งในขณะที่อ็อตโตวอร์เบิร์กบอกโลก 20WORMWOODอีกสมุนไพรจีนนี้มีประสิทธิภาพสูงกว่ายาต้านมาลาเรียบางอย่างและ : ตอนนี้ใช้โดยหน่วยงานช่วยเหลือมันเป็นแรงต่อต้านจุลินทรีย์และต่อต้านยีสต์และสามารถนํามาใช้เป็น ส่วนหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการรับประทานอาหารที่ต่อต้านเชื้อราแคนดิดา นอกจากนีก้ ารรักษา โรคมะเร็งบางอย่างที่ก่อให้เกิดความตะกละของยีสต์ในรูปแบบ ตัวอย่างเช่น(ในการรักษาลูคีเมีย )ที่ คุกคามสุขภาพของผู้ป่วยต่อไป ยีสต์เกินจะรู้สึกได้โดยผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็งบางอย่างที่จะเป็นหนึ่งใน สาเหตุของโรคมะเร็ง แต่ในงานวิจัยล่าสุดกลุ้มได้รับการแสดงที่จะมีคุณสมบัติต้านมะเร็งโดยตรง สมุนไพรเหล่านี้ต้อง สดใหม่ผ่านการฆ่าเชื้อหรือไม่มีเชื้ออื่นๆปนเปื้อน


คําเตือนสุขภาพ ! กรุณามีความชัดเจน ไม่มีใครบอกว่าสมุนไพรเหล่านีไ้ ม่มีผลข้างเคียง อย่างเท่าเทียมกันที่พวก ยาอาจ ขัดแย้งกับยาบางชนิดจุดสําคัญคือการที่เรายังคงค้นพบจํานวนมากของผลประโยชน์ของพวกยา แม้จะ ช้ามากเพราะสมุนไพรแต่ละท้องถิ่นก็ไม่ได้มีเงินทุนในการดําเนินการทดลองทางคลินิกขนาดใหญ่เช่น ยาเสพติด บริษัท ทํา อย่างจริงจังคุณควรพิจารณาประโยชน์ของสมุนไพรที่เป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรม ต้านมะเร็งของคุณ พวกยาก็อาจจะสร้างความแตกต่างอย่างร้ายแรงต่อสุขภาพของคุณ แต่โปรดให้แน่ใจ ว่าคุณไปใช้ที่สมุนไพรผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคําแนะนําที่ชัดเจนและแจ้งให้ทราบ

รูปภาพข้างล่างนี้ก็เป็นอีกส่วนที่เราศึกษาหา สารเคมีเอามารวมกันอย่างได้ผล เพื่อทําการรักษาและบําบัด โรคร้ายต่างๆ


สารเคมีธรรมชาติ ที่สําคัญในการรักษาของเรา มาจากธรรมชาติล้วนๆ ไม่มี ผลข้างเคียง ผลิตจากห้อง Lab ก่อนอื่นมารู้จักสารก่อมะเร็งก่อนดีกว่าครับ อวัยวะต่างๆ แตกต่างชัดเจนจากกลุ่มที่ไม่ได้รับสารนั้น อาศัยทั้ง 2 วิธีนี้ร่วมกันเราจึงสรุปได้ ว่า ในขณะนี้มีสารอยู่เกือบ 30 ชนิด ที่ทําให้เกิดมะเร็งได้ในคน และมีอีกกว่า 200 ชนิด ที่มี หลักฐานแน่นอนว่าทําให้เกิดมะเร็งในสัตว์ แต่ในคนยังไม่พบหลักฐานชัดเจน ช่วยยกตัวอย่าง สารก่อมะเร็งในคนที่สาคัญ พร้อมทั้งที่มาและชนิดของมะเร็งที่ทราบด้วย ดูจากตารางที่ 1 และ 2 ตารางที่1 ตัวอย่างสารก่อมะเร็งในคน ที่สถาบันวิจัยมะเร็งนานาชาติยอมรับ สารก่อมะเร็ง ก.ที่ได้จากอาหารหรือยา

ที่มา

ทางได้รับ

1. สารพิษอะฟล่าหรืออะฟ อาหารที่มีราบาง กิน, หายใจ ล่าท้อกซิน ชนิดขึ้นทีพ่ บมาก (Aflatoxin) ได้แก่ ถั่วลิสงบด , ข้าวหมาก, เนย, ถั่วเหลือง ,พริกแห้ง หัวหอมและ กระเทียมแห้งที่มีรา ดําขึ้น 2.ไนโตรซามีน( อาหาร ที่มีสารไน กิน Nitrosamine) เตรท ไนไตรท์ปน อยู่มาก เช่น อาหาร หมักดองหรือใส่ดิน ประสิว, แหนม ไส้

อวัยวะที่เกิดมะเร็ง

ตับ

ตับ,ปอด,ลําไส้


กรอก ,กุนเชียง, หมูยอ ปลากระป๋อง และเนื้อกระป๋อง ในผักผลไม้ที่ใส่ปุ๋ย ไนเตรตมากๆ 3.ไซโคลฟอส( ยารักษามะเร็งหรือ กิน ,ฉีด Cyclophospamind) โรคไตบางชนิด 4.เมลฟาแลน( ยารักษามะเร็ง กิน ,ฉีด Melphalan) 5.ไดเอลธิลสติลเบสตรอล ฮอร์โมนที่เติมให้ กิน (Diethyl หญิงในหญิง stibestrol) ตั้งครรภ์เพื่อป้องกัน การแท้งบุตร (ขณะนี้เลิกใช้แล้ว) ข.ได้รับจากงานอาชีพ, โรงงานอุตสาหกรรมและ หรือปนมาในสิ่งแวดล้อม 1. สารประกอบที่มีสารหนู โรงงานที่เกี่ยวข้อง ( Arsenic ,ยาฆ่าแมลงและ compound) วัชพืชบางชนิด, โรงงานกลั่นน้ํามัน 2.แอสเบสตอส( โรงงานที่ทําสารนี้, Asbestos) โรงทอผ้า,ใยแก้ว กันความร้อน,อู่ต่อ เรือ 3.เบนซิดีน โรงงานผลิตสี,ผลิต (Benzidine) ยาง,โรงทอผ้า.โรง ย้อมผ้า

กระเพาะปัสสาวะ อวัยวะสร้างเลือด มดลูกและช่อง คลอด

หายใจ,กิน,ผิวหนัง ผิวหนัง,ปอด,ตับ

หายใจ,กิน

ปอด,ลําไส้

กิน,หายใจ ,ผิวหนัง

กระเพาะปัสสาวะ


4.สารเคมีแนฟธิลามีน ( 2Naphthylamine)

โรงงานผลิตสี,ผลิต ยาง,โรงทอผ้า.โรง ย้อมผ้า 5.สารเคมี NN-Bis( 2- โรงงานผลิตสี,ผลิต chloroethyl) ยาง,โรงทอผ้า.โรง -2 Naphthylamine ย้อมผ้า 6.สารเคมี โรงงานสังเคราะห์ Bis chloromethyl สารโพลิเมอร์ ether สารเคมีดังกล่าว, สาร(พลาสติค ), สารเรซิน 7.สารเคมี โรงงานสังเคราะห์ Chloromethylสารโพลิเมอร์ methyl ether สารเคมีดังกล่าว, สาร(พลาสติค ), สารเรซิน 8.แก๊ซมัสตาด โรงงาน Mustard gas อุตสาหกรรม 9.ไวนิล คลอไรด์ โรงงานสังเคราะห์พ ( Vinyl chloride) ลาสติค( polymer) 10. เขม่า( Soot) คนงานปั๊มน้ํามัน, น้ํามันดิน( tar) ราดยางถนน,เหมือง น้ํามันเครื่อง(Oil) แร่หรือถ่านหิน,โรง ถลุงแร่,โรงงาน กลั่นน้ํามัน,โรงทอ ผ้า,คนงานคุม เครื่องจักรต่างๆ

กิน

กระเพาะปัสสาวะ

หายใจ,ผิวหนัง ,กิน

กระเพาะปัสสาวะ

หายใจ

ปอด

หายใจ

ปอด

หายใจ

ปอด-หลอดเสียง

หายใจ,ผิวหนัง

ตับ-สมอง-ปอด

หายใจ,ผิวหนัง

ปอด-ผิวหนัง


ตารางที่ 2 ตัวอย่างสารก่อมะเร็งอื่นๆที่พบแน่นอนว่าทําให้เกิดมะเร็งในสัตว์ สําหรับในคนแม้ยังไม่มี หลักฐานชัดเจนแต่ก็สมควรจะหลีกเลี่ยง สารก่อมะเร็ง 1.สีผสมอาหาร ( Aze dyes)

2.สารพิษในลูกปรง ( cycasin) 3.ดี.ดี.ที 4.อาหารเผาไหม้เกรียม ( Pyrolyate product) 5.บุหรี่

6.สารกัมมันตรังสี 7.หมาก( พลู,ยาสูบ ,ปูน) 8.สีย้อมผมหลายชนิด

ที่มา ทางได้รับ สีบางชนิดที่ กิน นอกเหนือจาก กระทรวงสาธารณสุข ยอมรับ พืชดังกล่าว กิน

อวัยวะที่เกิดมะเร็ง ตับ,ต่อมน้ําเหลือง

มีปะปนในอาหาร พืช ผัก ผลไม้ อาหารที่ปิ้งเกรียม, ทอดหรือย่างจนไหม้ ไฟ สารอินทรีย์หลายชนิด ที่เกิดมีอาการขณะเผา ไหม้ อาชีพ,การงาน ,อุบัติเหตุ จากสารดังกล่าว

กิน

ตับ

กิน,หายใจ

ตับ

กิน,หายใจ

ปอด

ผิวหนัง

มะเร็งเม็ดเลือดขาว

ผิวหนัง,เยื่อบุ

อวัยวะในช่องปาก

ผิวหนัง

ผิวหนัง

อาชีพ,การย้อมผม บ่อยๆ

ตับ,ไต


เคมีป้องกันมะเร็ง :กลไกการป้องกันของยาและสารจากธรรมชาติ Cancer Chemoprevention from Dietary Phytochemical Veerapol Kukongviriyapan Department of Pharmacology Faculty of Medicine and Liver Fluke and Cholangiocarcinowa Research Center, Khon Kaen University .

ความสาคัญ และปัญหา การป้องกันการเกิดมะเร็งโดยการใช้ยาเคมีป้องกัน (cancer chemoprevention) เป็น หัวข้อที่ได้รับความสนใจอย่างมากในปัจจุบัน ทั้ง นี้เนื่องจากสาเหตุการเสียชีวิตของประชากรใน ปัจจุบันเนื่องจากการเป็นมะเร็ง มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ที่พบได้บ่อยได้แก่มะเร็งจากเซลล์บุผิวเช่น มะเร็ง ลําไส้ รังไข่ ปอด เต้านม ต่อมลูกหมาก ตับอ่อน และที่พบมากที่สุดในประชากรภาค ตะวันออกเฉียงเหนือคือมะเร็งตับชนิดที่เกิด กับท่อทางเดินน้ําดี โดยมีสถิติที่พบอุบัติการณ์สูงสุดของ โลก 1 การใช้ยาเคมีป้องกัน (มะเร็ง) เป็น การใช้วิธีทางเภสัชวิทยาเพื่อที่จะหยุดยั้งกระบวนการก่อ มะเร็งต่อเซลล์ปกติ หรือทําให้เซลล์ผิดปกติหวนกลับมาเป็นปกติ หรือตายไป ก่อนเซลล์มะเร็งจะบุกรุก และแพร่กระจายออกไป การศึกษาถึงประสิทธิผลและความเป็นไปได้ในการใช้ในมนุษย์มักเริ่มต้นใน สัตว์ทดลองและเซลล์เพาะเลี้ยงที่เป็นแบบจําลองของมะเร็งชนิดต่างๆ การศึกษาในมนุษย์ที่เป็น clinical trial ขนาด ใหญ่ได้ผลลัพธ์ออกมาทั้งได้ผลและไม่ได้ผลในการป้องกัน และทีน่ ่าวิตกกว่า นั้นคือการศึกษาที่พบว่าการให้ยาเคมีป้องกันทําให้เพิ่ม อุบัติการณ์ของมะเร็งมากกว่าปกติ เช่นกรณีของ การศึกษา Alpha-Tocopherol Beta Carotene Cancer Prevention (ATBC)Trail 2, beta Carotene and Retinol Efficacy Trial (CARET)3 และ Alpha-tocopherol ในการป้องกัน second primary head and neck cancer4. ผลการศึกษาที่แตกต่างกันเช่นนี้ทําให้มีความจําเป็นที่ต้องทําความเข้าใจในกระบวนการ ก่อมะเร็งที่ถ่องแท้เสียก่อน ทั้ง นี้เพื่อที่จะได้สามารถพิสูจน์หาเป้าหมายของยาที่เหมาะสมในระดับ โมเลกุลและ ระดับเซลล์ เพื่อให้ได้ยาทีม่ ีประสิทธิภาพและปลอดภัยในการใช้เป็นยาเคมีป้องกัน การ เกิดมะเร็งเป็นกระบวนการเชิงซ้อนที่อาศัยปัจจัยจํานวนมากร่วมกันชักนําให้เกิด ผลสุดท้าย ขึ้น ไม่ได้เกิดขึ้นจากความผิดปกติเพียงจุดใดจุดหนึ่ง และในช่วงเวลาที่เซลล์ผิดปกติเหล่านี้พัฒนาไป ความผิดปกติก็มีมากหลากหลายแบบยิ่งขึ้น เซลล์ต่างชนิดกันความผิดปกติก็อาจไม่เหมือนกัน ดัง นั้น จึงมีโอกาสน้อยมากที่จะได้ยามหัศจรรย์ที่จะได้ผลต่อมะเร็งทุกชนิด แม้มะเร็งชนิดเดียวกันแต่อยู่ใน


ระยะของโรคที่ต่างกัน ประสิทธิภาพของยาก็อาจแตกต่างกันได้ ดังนั้นการกําหนดขอบเขตว่า ประชากรกลุ่มใดที่เหมาะสมในการใช้ยาเคมีป้องกันจึงอาจจําเป็น รายงานจํานวนมากใช้กลุ่มประชากร ที่มีความเสี่ยงสูง เช่นในการศึกษา ATBC trial และ CARET 2, 3 ใช้ กลุ่มคนที่สูบบุหรี่ และ กลุ่มคนที่สูบบุหรี่และทํางานเกี่ยวข้องกับแอสเบสตอส ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสําคัญต่อมะเร็งปอด หรือ การศึกษาบางครั้งใช้ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งซึ่งรับการรักษาแล้ว จะป้องกันการเป็นซ้ํา (second primary cancer)4 ทั้ง นี้เพราะกลุ่มประชากรนี้มีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งสูงกว่าประชากร ทั่วไป มาก จึงทําให้สามารถประเมินประสิทธิผลของยาเคมีป้องกันได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นโดย ใช้จํานวน อาสาสมัครที่ไม่มากนัก แม้กระนั้นปัจจุบันยังเชื่อว่าการเลือกประชากรโดยพิจารณาจากปัจจัยเสี่ยงที่ เป็นปัจจัยแวดล้อมอย่างเดียวน่าจะไม่เพียงพอแล้ว5 เนื่อง จากมะเร็งมีความหลากหลายอย่างมากแม้ เป็นมะเร็งที่ตําแหน่งเดียวกันก็ตาม ชนิดของเซลล์อาจแตกต่างตามจุลกายวิภาค ระยะการพัฒนา และ การแสดงออกของจีนบางชนิด อาจมีความสําคัญต่อประสิทธิภาพของยาเคมีป้องกันที่จะใช้ 5 ดังนั้น การคัดเลือกอาสาสมัครอาจจําเป็นต้องพิจารณาจัดชั้น (stratification) ตามชนิดเนื้อเยื่อโดยใช้ เทคนิค tissue array ร่วมกับใช้โมเลกุลบ่งชี้ (biomarker) หรือลักษณะทางพันธุกรรมของ ผู้ป่วยและของเนื้อเยื่อมะเร็งประกอบ การก่อมะเร็ง (Carcinogenesis) เนื่อง จากมะเร็งส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากการเหนี่ยวนําด้วยสารเคมีที่ได้รับ สารเคมีเหล่านั้นอาจได้ โดยการบริโภคเป็นอาหาร หรือจากการปนเปื้อน และจากสิ่งแวดล้อม สารเคมีเกือบ ทั้งหมด ยกเว้น บางชนิด เช่นสารหนู ใยหิน ยารักษามะเร็งบางชนิด และสารกัมมันตรังสี เป็นต้น สามารถเหนี่ยวนําให้ เกิดกระบวนการก่อมะเร็งได้โดยตรง สารเคมีอื่นๆมักต้องถูกเปลี่ยนแปลงให้อยู่ในรูปที่ว่องไวทํา ปฏิกิริยาก่อน จึงจะสามารถทําปฏิกิริยากับโมเลกุลร่างกาย 6 การเปลี่ยนแปลงโมเลกุลของสารก่อมะเร็ง ที่ยังไม่มีฤทธิ์ (procarcinogen) มักอาศัยเอนไซม์ในกลุ่มเอนไซม์เปลี่ยนแปลงยา (drug metabolizing enzyme) ที่สําคัญคือ cytochrome P450 (CYP)7, 8 เนื่องจากการก่อ มะเร็งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีความซับซ้อนมาก จากการศึกษาในสัตว์ทดลองทําให้สามารถแบ่งระยะ การเกิดมะเร็งเป็นอย่างน้อย 3 ระยะ ได้แก่ ระยะเริ่มก่อตัว (Initiation) ระยะส่งเสริม (Promotion) และระยะก้าวหน้า (Progression)9 แต่ละระยะมีคุณลักษณะ มีการ เปลี่ยนแปลงที่แตกต่างกัน เช่นมีการผ่าเหล่า (mutation) มีการเปลี่ยนแปลงวิถีการส่งสัญญาณ


ภายในเซลล์ (signal transduction) การ แสดงออกของจีนและความว่องไวต่อปัจจัยสนับสนุน หรือยับยั้งแตกต่างกัน ในระยะเริ่มก่อตัว สารก่อมะเร็งมักถูกเปลี่ยนแปลงโดยกลุ่มเอนไซม์เปลี่ยนแปลง ยาให้ได้สารว่องไว ปฏิกิริยา (reactive metabolite) ก่อนที่จะทําปฏิกิริยากับชีวโมเลกุลสําคัญ ในเซลล์ ซึ่งนําไปสู่การผ่าเหล่าของ DNA ในขั้นตอนต่อไปเซลล์ที่มีสารพันธุกรรมที่ผิดปกตินั้น จะ ได้รับการซ่อมแซมถ้าให้เวลาเพียงพอที่ระบบเอนไซม์ซ่อมแซม DNA จะแก้ไขได้ 10 ในขั้นตอนนี้ ถ้าร่างกายได้รับสารเคมีที่ส่งเสริม (promoter)ให้เซลล์ผิดปกติเหล่านี้คงอยู่ต่อไปหรือเพิ่มจํานวน ขึ้น จะทําให้เซลล์มีโอกาสทวีความผิดปกติในการผ่าเหล่าเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ (progression) จนถึง ขีดหนึ่งที่เซลล์ผิดปกตินั้นสามารถดํารงอยู่ได้อิสระหลุดพ้นจากการควบคุมของเซลล์ข้างเคียงหรือของ ร่างกาย การยับยั้งการเพิ่มจํานวนของเซลล์ผิดปกติ การยับยั้งการออกฤทธิ์ของสาร promoter หรือ แม้กระทั่งการชักนําให้เซลล์ผิดปกติที่ซ่อมแซมไม่ได้ให้ตายไปเอง (Apoptosis) จัดเป็นตําแหน่ง หรือเป้าหมายของยาเคมีป้องกันที่สามารถออกฤทธิ์ได้ผล ดูรูปที่ 1

รูปที่ 1. การพัฒนาของเซลล์สู่ในระยะต่างๆ ก่อนที่จะเกิดเป็นมะเร็ง ยาเคมีป้องกันอาจออกฤทธิ์โดยมี กลไกยับยั้งการก่อสารก่อมะเร็ง ด้วยการยับยั้งเอนไซม์เปลี่ยนแปลงยา phase I เปลี่ยนแปลงสาร procarcinogen เป็นสารมีฤทธิ์ (reactive metabolite) ในอีกด้านการกระตุ้นเอนไซม์ เปลี่ยนแปลงยา phase II ให้ทํางานมากขึ้นเพื่อเปลี่ยนแปลงให้หมดฤทธิ์ ในระยะ promotion และ progression สารกลุ่ม suppressing agent ออกฤทธิ์โดยยับยั้งการแบ่งเซลล์ กระตุ้น ให้เซลล์ผิดปกติตายเอง (apoptosis) และการยับยั้งการทํางานของ COX2 เป็นต้น (ดัดแปลงจาก Chen & Kong 2004) กลยุทธของยาเคมีป้องกัน


การ ออกฤทธิ์ของยาเคมีป้องกันอาจแบ่งกว้างๆได้เป็น กลุ่มที่ยับยั้งการก่อหรือกระตุ้นให้สารก่อ มะเร็งให้ทําปฏิกิริยากับชี วโมเลกุลร่างกาย (Blocking agents) และกลุ่มที่ยับยั้งการพัฒนา เซลล์มะเร็ง (Suppressing agents) 11, 12 ยาในกลุ่มแรกออกฤทธิ์โดยการยับยั้งการสร้างการ เปลี่ยนแปลงสารก่อมะเร็งที่ยังไม่มีฤทธิ์ (procarcinogen)ให้มีฤทธิ์หรือว่องไวต่อปฏิกิริยามาก ขึ้น ด้วยการ 1. ยับยั้งเอนไซม์เปลี่ยนแปลงยาเหล่านี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอนไซม์ตระกูล CYP 2. เหนี่ยวนําให้เพิ่มการทําลายฤทธิ์หรือลดความว่องไวต่อปฏิกิริยาของสารก่อมะเร็งลงโดยการ conjugation ด้วยเอนไซม์เปลี่ยนแปลงยาระยะที่ 2 (phase II enzyme) หรือ 3. เร่งทําลาย ฤทธิ์ของอนุมูลอิสระหรือสาร electrophile ที่มาจากสาร procarcinogen โดยเอนไซม์ของ ระบบต้านอนุมูลอิสระ (รูปที่ 1) กลไกในขั้นนี้จะยับยั้งไม่ให้สารว่องไวปฏิกิริยามีโอกาสทําปฏิกิริยา กับชีวโมเลกุลสําคัญของเซลล์ ซึ่งเป็นการยับยั้งขั้นตอน initiation ในกลุ่มยาที่ยับยั้งการพัฒนาเซลล์มะเร็งได้แก่ ยาที่สามารถยับยั้งกระบวนการ promotion และ progression ด้วยการยับยั้งการเพิ่มจํานวนเซลล์ ยับยั้งการ differentiation เช่นการ ยับยั้งการออกฤทธิ์ของสารก่อมะเร็งที่มีฤทธิ์เป็น mitogen ยับยั้งกระบวนการใน cell cycle ใน เซลล์มะเร็ง ตลอดจนการชักนําให้เซลล์ผิดปกติดังกล่าวตายลงเอง (apoptosis) และอาจสามารถให้ เซลล์ผ่าเหล่านั้นหวนคืนกลับเป็นปกติ นอกจากนั้นอาจทําการหยุดยั้ง หรือชลอกระบวนการ progression ของเนื้อเยื่อมะเร็งให้ช้าลง ยายับยั้งการสร้างสารก่อมะเร็ง (Blocking agents) ยาในกลุ่มนี้จะป้องกันเซลล์ไม่ให้ได้รับบาดเจ็บจากสารว่องไวปฏิกิริยาที่สร้างขึ้นโดยฤทธิ์เอนไซม์ เปลี่ยนแปลงยา เอนไซม์ที่สามารถสร้างอนุมูลว่องไวปฏิกิริยาประกอบด้วยทั้งเอนไซม์ phase I ได้แก่ CYP1A1, CYP1A2, CYP2A6, และ CYP2A13 เป็นต้น 8, 13, 14 และเอนไซม์ เปลี่ยนแปลงยา phase II บางชนิด เช่น เอนไซม์ arylamine N-acetyltransferase-1 (NAT1) และ NAT-2 15 เอนไซม์พวกนี้จะเปลี่ยนแปลงสารและมีความสัมพันธ์กับมะเร็งบาง ชนิด เช่นแสดงในตารางที่ 1 ดังนั้นการยับยั้งการทํางานเอนไซม์กลุ่มนี้จึงเป็นการยับยั้งการสร้างสารก่อ มะเร็งในร่างกาย ในขณะที่เอนไซม์เปลี่ยนแปลงยา Phase II มักมีบทบาทในการกําจัดฤทธิ์ (detoxification) ของสารหรืออนุมูลว่องไวปฏิกิริยาให้หมดฤทธิ์ และช่วยการขับออกจาก ร่างกาย ตัวอย่างเช่น glutathione S-transferase (GST), UDP-


glucuronosyltransferase (UGT), sulfotransferase (SULT), epoxide hydrolase และ NADPH-quinone oxidoreductase (NQO1) โดยทําปฏิกิริยา ชนิด conjugation กับสารตัวรับเช่น glutathione, glucuronate, sulfate มีการเติม โมเลกุลของน้ํา (trans-addition) และการรีดิวซ์สาร quinones ด้วย 2 อิเล็คตรอน ตามลําดับ เป็นต้น การเพิ่มการทํางานของเอนไซม์เหล่านี้จะลดโอกาสการทําปฏิกิริยาของสารก่อมะเร็งพวกนี้ 12, 16 นอกจากนี้ยังเพิ่มคุณสมบัติการละลายน้ําและเร่งการกําจัดออกจากร่างกาย การยับยั้งสารก่อมะเร็ง ยังอาจทําได้ด้วยการเพิ่มการทํางานของระบบต้านอนุมูลอิสระ เช่น เอนไซม์ต่อต้านออกซิเดชัน (antioxidant enzyme) ได้แก่ glutathione S-transferase (GST), superoxide dismutase (SOD), glutathione reductase, glutamycystein ligase (GCL), heme oxygenase-1 (HO-1) และที่ไม่ใช่เอนไซม์ เช่น ferritin และ bilirubin เป็นต้น ตารางที่ 1 บทบาท drug metabolizing enzyme ในการ เปลี่ยนสารก่อมะเร็งให้มีฤทธิ์และ ตําแหน่งของมะเร็งที่เกิด CYP Procarcinogen/substr Cancer site ate CYP1A1 Polycyclic aromatic Lung, larynx hydrocarbon CYP1A2 Aflatoxin Liver CYP2A6, NNN, NNK Lung CYP2A13 CYP2E1 Dimethylnitrosamine, Liver NAT1, NAT2 Heterocyclic amines Colon, bladder (IQ, MeIQ), benzidine, 2-AF


สารเคมีจํานวนมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งสารจากธรรมชาติกลุ่ม polyphenol, coumarin, และ สารที่มีอะตอม sulfur อยู่ภายในโมเลกุล เช่น isothiocyanate สาร 2 กลุ่มนี้สามารถกระตุ้น เพิ่มการแสดงออกและการทํางานของเอนไซม์เปลี่ยนแปลงยา phase II และเอนไซม์ต้าน ออกซิเดชัน สารเคมีดังกล่าวพบในอาหารประเภทผักและผลไม้ต่างๆจํานวนมาก สารที่มีการศึกษากัน มากได้แก่ curcumin ที่พบในขมิ้นชัน epigallo-catechin gallate (EGCG) และสาร catechin อื่นๆ ซึ่งเป็นสารกลุ่ม flavanol ในชาเขียว Quercetin และ rutin 12, 17 พบใน พืชผลไม้แทบทุกชนิดเช่น กลุ่ม citrus (ส้ม มะนาว) และยังพบในใบหม่อน ใบฝรั่ง สารในกลุ่มที่ เข้า sulfur ได้แก่ sulforaphane, phenethyl isothiocyanate (PEITC) พบใน ผักบรอคคอรี่ ผักกะหล่ํา และผักอื่นๆ (ตารางที่ 2) ตารางที่ 2 สารเคมีมีฤทธิ์เคมีป้องกันพบในพืชที่มีฤทธิ์กระตุ้นเอนไซม์กําจัดพิษ (Chen & Kong 2004) Class of chemicals Representatives Source Phenolic Phenols Ferulic acid Rice, fruits, Curcumin Ginger, curry EGCG, EGC, EC, ECG Green tea (Camellia Resveratrol sinensis) Grape Flavonoids Quercetin Citrus fruits Genistein Soy bean Silymarin Milk thristle SulfurIsothiocyan Allyl isothiocyanate Brussel sprouts containing ates Benzyl isothiocyanate Garden cress Phenethyl isothiocyanate Turnips, watercress Sulforaphane Broccoli Organosulfu Allicin Garlic, onion r Diallyl trisulfide, S-allyl Garlic, garlic oil


cysteine Miscellaneo Indoles Brassinin, indole-3us carbinol Diterpenes Cafestol, kahweol Coumarins Coumarins & lactones Auraptene Inorganic Selenium

Cruciferous vegetables Green coffee bean Leguminosae species Citrus species Meat, wheat, dairy & fish

กลไกการออกฤทธิ์ของสารเหล่านี้มีลักษณะร่วมกันหลายประการ ได้แก่การมีฤทธิ์ต้าน ออกซิเดชันโดยตรงเนื่องจากการมีกลุ่ม polyphenolic หรือเป็น metal chelator ยับยั้ง ปฏิกิริยา Fenton ในการสร้างอนุมูลอิสระ 18, 19 มีฤทธิ์กระตุ้นเอนไซม์ phase II ยับยั้งการ ทํางานของเอนไซม์ phase I 20 และฤทธิ์กระตุ้นเอนไซม์ต้านออกซิเดชันที่กล่าวข้างต้นให้ทํางาน เพิ่มขึ้น นักวิทยาศาสตร์ 12, 16 เรียกสารมีฤทธิ์กระตุ้นเพิ่มการทํางานของเอนไซม์ phase II เรียกว่า “Monofunctional inducer” ในขณะที่สารบางชนิดนอกจากกระตุ้นเอนไซม์ ดังกล่าวข้างต้นยังกระตุ้นการทํางานของ CYP อีกด้วย เรียกว่า “Bifunctional inducer” สาร bifunctional inducer ได้แก่ -naphthoflavone และ indole-3-carbinol แม้ว่าการกระตุ้น CYP1A1 อาจจะเกิดผลเสียเพราะมีการเปลี่ยนแปลงสารก่อมะเร็งให้มีฤทธิ์เพิ่มขึ้น แต่เนื่องจากเพิ่มการทํางานของเอนไซม์ phase 2 และเอนไซม์ต้านออกซิเดชันมีมากกว่าทําให้ สารเคมีพวกนี้มีผลเป็นเคมีป้องกัน สารเคมีหลายชนิดได้แสดงฤทธิ์ป้องกันมะเร็งแบบต่างๆใน สัตว์ทดลอง เช่น EGCG ป้องกันมะเร็งผิวหนัง ตับ ลําไส้ใหญ่ และ forestomachในหนู21 Sulforaphane ยับยั้งมะเร็งเต้านม มะเร็งผิวหนัง 22 Curcumin ยับยั้งมะเร็งตับ 23 Genistein ยับยั้งมะเร็งเต้านม ต่อมลูกหมาก ผิวหนัง24, 25 ยาเคมีป้องกันที่น่าสนใจอีกชนิดคือ Oltipraz เป็นสารสังเคราะห์มีฤทธิ์ยับยั้ง CYP1A และยังมีฤทธิ์กระตุ้นเอนไซม์แบบ monofunctional inducer โดยกระตุ้นเอนไซม์ระยะที่ 2 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง GST, NQO1 และ GCL26. Oltipraz เป็นยาเคมีป้องกันที่ได้ทดลอง clinical trial ในกลุ่ม


ประชากรจีนตอนใต้ป้องกันมะเร็งตับ โดยประชากรกลุ่มนี้มีโอกาสได้รับสาร aflatoxin สูง การศึกษาพบว่า aflatoxin-albumin adduct ในพลาสมาลดลง สารเมแทโบไลท์ aflatoxin M1 ที่เกิดจากปฏิกิริยา phase 1 โดย CYP1A2 มีระดับลดลง พร้อมกันนั้นระดับ aflatoxin-mercapturic acid derivative สารเมแทโบไลท์จากปฏิกิริยา phase 2 เพิ่มขึ้นในปัสสาวะ 27 กลไกระดับโมเลกุลของยาเคมีป้องกัน: สารเหล่านี้มักออกฤทธิ์โดยการเหนี่ยวนําเพิ่มการแสดงออกของ จีนเอนไซม์ phase 2 และเอนไซม์ต้านออกซิเดชัน โดยช่วง promoter ของจีนเหล่านี้มีลําดับเบสสําคัญที่ เป็น enhancer sequence ที่เรียกว่า “Antioxidant response element หรือ electrophile response element (ARE /EpRE) 12, 16 มีผลเพิ่มการแสดงออกของจีนที่อยู่ถัดลงไป Transcription factor ที่สําคัญที่ สามารถจับและกระตุ้น ARE/EpRE คือ nuclear factor erythroid 2p45-related factors 2 (Nrf2) สารเคมีที่เป็น monofunctional inducer มักสามารถกระตุ้น Nrf2 ให้ทํางาน ปกติ Nrf2 จะจับกับโปรตีน Keap 1 ใน cytoplasm ทําให้ไม่ทํางาน สารกระตุ้นเหล่านี้จะมีผลให้ Keap 1 ถูกออกซิไดซ์ ทําให้ Nrf2 เป็นอิสระสามารถเข้าจับกับ ARE/EpRE การกระตุ้น Nrf2 อาจเกิดขึ้นได้อีกวิถีทางหนึ่งคือถูกเติมหมู่ ฟอสเฟต ด้วยเอนไซม์ phosphatidyl inositol 3-kinase (PI3K), protein kinase C (PKC) หรือกลุ่ม เอนไซม์ mitogen activated protein kinase (MAPK) ที่เป็นทํางานเป็นเครือข่าย cascade ซึ่ง ประกอบด้วยวิถีย่อยต่างๆ เช่น วิถี c-Jun N-terminal kinase (JNK) หรือ extracellular signal-regulated protein kinase (ERK) ทําให้ Nrf2 หลุดเป็นอิสระ16, 28 สามารถจับกับ ARE/EpRE และกระตุ้นการ แสดงออกจีน phase 2 และจีนต้านออกซิเดชัน GSTA, NQO1 และ HO-1 สารเคมีจากพืชหลายชนิด เช่น EGCG, sulforaphane และ PITC สามารถกระตุ้น JNK, ERK และ p38 MAPK ใน HepG2 และ HT-29 cell แล้วนําไปสู่การกระตุ้นเอนไซม์ระยะที่ 2


รูปที่ 2. แสดงวิถีทางการชักนํา cytoprotective gene (phase 2 enzymes & antioxidative enzymes) โดย ยาเคมีป้องกัน สารเหล่านี้ออกฤทธิ์โดย oxidize หมู่ sulfhydryl ของ Keap1 ทําให้ Nrf2 ถูกปล่อยเป็น อิสระไปสะสมในนิวเคลียส Nrf2 สามารถถูกกระตุ้นด้วยการ phosphorylation ด้วย PKC, MAPK หรือ PI3K Nrf2 สามารถเข้าสู่นิวเคลียสรวมกับ small Maf protein ได้ complex ที่สามารถจับกับ ARE เพิ่ม การแสดงออกของจีน cytoprotective ทั้งหลายรวมทั้ง 26S proteosome มีผลให้ช่วยกําจัดพิษของสาร ก่อมะเร็ง เพิ่มการเปลี่ยนแปลง เร่งการขับถ่าย เพิ่มการทํางานของระบบต่อต้านออกซิเดชัน (จาก Kwak et al 2004) ยากดการพัฒนาเซลล์มะเร็ง (Suppressing agents) การป้องกันขัน้ ตอน tumor promotion ประกอบด้วยการชักนําให้วัฎจักรของเซลล์หยุด (cell cycle arrest) ทําให้เซลล์ตายเอง (apoptosis) และยับยั้งการส่งสัญญาณภายในเซลล์ที่ทําให้เพิ่มจํานวน เซลล์ กลไกการออกฤทธิ์ที่สําคัญในการยับยั้งขั้นนี้ได้แก่ การยับยั้งการทํางานของ cyclooxygenase 2 (COX-2)29-31, ยับยั้งการกระตุ้นของ transcription factor: activator protein-1 (AP-1) หรือ nuclear factor-kappa B (NF-KB)17, 30, 32 สารเคมีในอาหาร เครื่องดื่ม ที่พบในชีวิตประจําวันจํานวนมากมีฤทธิ์ ยับยั้ง tumor promotion จึงอาจสามารถใช้เป็นยาเคมีป้องกัน


สารก่อมะเร็งออกฤทธิ์เป็น tumor promoter อาจทํางานโดยกระตุ้นผ่านวิถีที่หลากหลายของ MAPK เช่น ERKs, JNKs และ p38 kinases17, 30, 32 สาร phorbol ester (PMA) สารออกฤทธิ์คล้าย epidermal growth factor (EGF) และ platelet-derived growth factor (PDGF), ultraviolet (UV), okadaic acid และ สารหนู สารก่อมะเร็งเหล่านี้และสารอื่นๆอาจใช้วิถีการส่งสัญญาณภายในเซลล์ที่จําเพาะและแตกต่าง กันได้ การนําสัญญาณขั้นสุดท้ายจะกระตุ้น transcription factor ที่สําคัญได้แก่ AP-1 หรือ NF-KB สาร tumor promoter อาจกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลง (transformation) ของเซลล์ เพิ่มจํานวนและยับยั้ง apoptosis ของเซลล์ผิดปกติ ยาเคมีป้องกัน resveratrol, EGCG, caffeic acid หรือ gingerol และ paradol (สารเคมีจากขิง) มีรายงานว่าสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตและชักนําให้เซลล์มะเร็งเพาะเลี้ยงเกิด apoptosis 33 การยับยั้ง Cyclooxygenase-2 เป็นกลไกของยาเคมีป้องกัน: เอนไซม์ COX ทําหน้าที่สังเคราะห์ prostaglandin (PGs) จาก arachidonic acid ซึ่งมีหน้าที่ภายในเซลล์มากมาย เอนไซม์มี 2 รูปแบบคือ COX-1 ซึ่งจีนจะแสดงออกและมีการทํางานตลอดเวลาเพื่อสังเคราะห์ PGs และมักเกี่ยวข้องกับการ ทํางานปกติของร่างกาย ในขณะที่ COX-2 เป็นจีนที่ถูกเหนี่ยวนําให้เพิ่มการทํางาน (inducible) ด้วย สัญญาณจากภาวะอักเสบและเซลล์บาดเจ็บต่างๆ เช่น cytokines สาร mitogen และโปรตีนจากจีน oncogene29 มีรายงานมากมายที่พบว่าในเนื้อเยื่อมะเร็งมีการทํางานของ COX-2 เพิม่ มากขึ้น เช่น มะเร็งของ head and neck, breast, esophagus, colon, bladder, liver และรวมทั้งมะเร็งท่อทางเดินน้ําดี (cholangiocarcinoma)31, 34, 35 การเพิ่มการแสดงออกของ COX-2 เป็นผลจากความผิดปกติการควบคุม ทั้งระดับ transcriptional และ post-transcriptional และมักสัมพันธ์กับการเกิด mutation ของจีน p53 36 ดังนั้น การเสียการควบคุมของ tumor suppressor gene และเพิ่มการกระตุ้น oncogene มีผลเพิ่มการ ทํางานของ COX-2 ซึ่งมีผลให้สร้าง PGs ออกมาจํานวนมาก เนื่องจาก PGs เหล่านี้มีฤทธิ์มากมายและ เกี่ยวข้องกับการก่อมะเร็ง เช่น การกระตุ้นให้แบ่งเซลล์ ทําให้เซลล์เคลื่อนที่ 29 แต่ยับยั้งการทํางานของ เซลล์ในระบบอิมมูนโดยลดการหลั่ง cytokine และการทํางานของ NK cell 37 ยับยั้ง apoptosis โดยการ เพิ่มการทํางานของจีนที่ช่วยการอยู่รอด Bcl2 และ Akt และยังกระตุ้นการสร้างหลอดเลือดใหม่ (angiogenesis) โดยเพิ่ม VEGF, bFGF และ PDGF38, 39 ดังนั้นการยับยั้งการทํางานของ COX-2 จึงเป็น วิธีการสําคัญในการยับยั้งกระบวนการ tumor promotion


การยับยั้ง COX-2 อาจทําได้โดยการยับยั้งที่เอนไซม์ COX-2 โดยตรง เช่นการใช้ Non-steroidal antiinflammatory drugs (NSAIDs) ซึง่ มีรายงานจํานวนมากที่พบว่าการใช้ NSAIDs ที่แม้แบบไม่ จําเพาะต่อ COX เช่น aspirin หรือ sulindac ก็สามารถป้องกันมะเร็งลําไส้ใหญ่กลุ่ม familial adenomatous polyposis40, 41 ยาได้ผลยับยั้งมะเร็งในสัตว์ทดลองอีกหลายประเภท การยับยั้ง COX-2 อาจสามารถทําได้โดยการยับยัง้ การส่งสัญญาณภายในเซลล์ที่นําไปสู่การเพิ่มการแสดงออกของจีน COX-2 ในส่วนของ promoter ของจีน COX-2 มีตําแหน่งที่จับของ transcription factor: NF-KB และ cAMP response element (CRE) สัญญาณกระตุ้นจาก oncogne (growth factor) หรือการอักเสบ (cytokine) จะกระตุ้น COX-2 ผ่านวิถีสัญญาณสําคัญคือ protein kinase C (PKC) และ Ras-MAPK การ ยับยั้งการส่งสัญญาณ MAPK, PKC รวมทั้งการยับยั้งการกระตุ้น NF-KB และ AP-1 จะมีผลยับยั้งการ กระตุ้น COX-2 ได้ 17, 30, 32 สารเคมีที่มีผลยับยั้งการกระตุ้น NF-KB มีผลยับยั้งการแสดงออกของ COX2 และมีผลลดการอักเสบ เช่น curcumin, vitamin E, quercetin, resveratrol, capsaicin, caffeic acid phenethyl ester, sulforaphane เป็นต้น17, 30 สารเคมีสังเคราะห์ออกแบบมาเพื่อยับยั้งเอนไซม์ kinase อย่างจําเพาะในวิถี เช่น ERKs ตัวอย่างเช่น MEK1/2 inhibitor PD98059 สารใหม่เหล่านี้มีโอกาสในการ พัฒนาต่อไปเป็นยาเคมีป้องกัน การยับยั้งสัญญาณในวิถี epidermal growth factor (EGF) เป็นกลไกของเคมีป้องกัน: ตัวรับ ตระกูล ErbB เช่น ErbB2 (HER2), ErbB3 (HER3) และ ErbB4 (HER4) เป็น receptor tyrosine protein kinase (RTK) การส่งสัญญาณในวิถีนี้มีความสําคัญมากสําหรับการส่งสัญญาณให้เซลล์แบ่งตัว เกิด differentiation, transformation, angiogenesis และ migration30, 31 กลไกการกระตุ้นในวิถี ErbB receptor ได้แก่ 1. การทํางานของ receptor ที่มากเกินไป (overexpression) เนื่องจากการผ่าเหล่าของ receptor oncogene 2. การผ่าเหล่าที่ทําให้ receptor เกิด activation ได้เอง (ไม่ต้องการ ligand) 3. การ สังเคราะห์ ligand มากผิดปกติโดยการกระตุ้น oncogene 4. การกระตุ้นผ่านจาก receptor อื่นๆ เซลล์มะเร็งหลายประเภทเช่นมะเร็งลําไส้ใหญ่มีการแสดงออกของจีนเหล่านี้มากผิดปกติ การยับยั้งที่ EGF receptor หรือการทํางานของเอนไซม์ tyrosine protein kinase (PTK) หรือเอนไซม์ในวิถีที่อยู่ใต้ จากนั้นเช่น วิถี Ras, Raf และ MAPK หรือวิถี PI3K และ Akt มีผลเป็นยาเคมีป้องกัน เช่นการใช้ยา EKB-569 ซึ่งเป็น EGFR inhibitor ในการป้องกันมะเร็งช่องปาก การยับยั้งการกระตุ้น transcription factor : AP-1 และ NF-KB


สารก่อมะเร็งหลายชนิดชักนําให้เซลล์เกิดเปลี่ยนแปลงใช้วิถีต่างๆโดยสุดท้ายด้วยการกระตุ้น transcription factor : AP-1 หรือ NF-KB. AP-1 เป็น transcription factor ประกอบด้วย subunit ที่เป็น homodimer หรือ heterodimer ของโปรตีนตระกูล Jun, Fos, ATF และ MAF. AP-1 ควบคุม กระบวนการภายในเซลล์ ได้แก่การแบ่งตัว และ apoptosis และมีความสัมพันธ์กับการก่อมะเร็งในช่วง tumor promotion/progression การยับยั้งการกระตุ้น AP-1 ทําให้การพัฒนามะเร็งถูกยับยั้งลง ใน ทํานองเดียวกัน การกระตุ้น NF-KB อย่างผิดปกติจะนําไปสู่การเพิ่มการแสดงของจีน เช่น COX-2 เพิ่ม การแสดงออกของจีน antiapototic เช่น Bcl2-2, Bcl-xL, TNF receptor-associated factor (TRAF), MnSOD, Cyclin D1, GCL, c-Myc และจีนอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการก่อมะเร็ง EGFR, iNOS, VEGF, matrix metalloproteinase-9 เป็นต้น 17, 32 สารที่เป็น tumor promoter ที่กระตุ้น NF-KB ได้แก่ phorbol ester และ tumor necrosis factor-K AP-1 และ NF-KB เป็น transcription factor ที่ปรากฏมากมายในเซลล์ ร่างกาย ชักนําให้เซลล์มีการตอบสนองต่างๆ หลากหลายจากการกระตุ้นด้วยสัญญาณ ทั้งจากภายใน และภายนอกเซลล์ ดังนั้น transcription factor นี้จึงเป็นเป้าหมายสําคัญของยาเคมีป้องกันมะเร็ง (รูปที่ 3)


รูปที่ 3 การออกฤทธิ์ของสารเคมีป้องกันจากพืชต่อ NF-KB และ AP-1. การกระตุ้น NF-KB เกิดเมื่อ inhibitory subunit IKB ถูก phosphorylation ทําให้ NF-KB หลุดเป็นอิสระสามารถชักนําการแสดงออก ของจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง antiapoptosis genes. IKB ถูก phosphorylation ด้วยเอนไซม์ในวิถี IKK และ MAPK ได้แก่ Erk และ p38 และยังผ่านวิถี PI3K ส่วน c-Fos และ c-Jun ที่ประกอบเป็น AP-1 ถูก กระตุ้นด้วย p38 และ JNK. AP-1 สามารถชักนําการแสดงออกของจีน antipoptosis เช่นกัน สารเคมี ป้องกันจะยับยั้งเอนไซม์ kinase เหล่านี้โดยขึ้นอยู่กับความเข้มข้นและชนิดของเซลล์ สิ่งกระตุ้นการ ทํางานของ NF-KB และ AP-1 ได้แก่ PMA และ UV เป็นต้น สารธรรมชาติที่มีฤทธิ์เคมีป้องกันที่สามารถออกฤทธิ์ต่อ AP-1 และ NF-KB ได้แก่ curcumin, EGCG, gingerol และ capsaicin สารข้างต้นสามารถยับยั้ง tumor promotion ใน การทดสอบกับมะเร็งผิวหนัง การทา curcumin ยับยั้ง PMA ชักนําการกระตุ้น AP-1 และ NF-KB ที่ผิวหนัง 42 โดยการยับยั้งการ phosphorylation ของ IkB (subunit ที่เป็น inhibitor ของ NF-KB) ซึ่งจะทําให้ NF-KB เป็นอิสระออกฤทธิ์ได้ โดยการยับยั้ง IKK, ERK1/2 และ p38 MARK ที่จะไป phosphorylation ต่อ IKB Gingerol สารในขิง ยับยั้ง AP-1 activation ด้วย PMA และ TNF-K ในขณะที่ capsaicin ยับยั้งการกระตุ้น NF-KB ด้วยกลไกคล้ายคลึงกับ curcumin42 นอกจากนี้สารธรรมชาติเช่น EGCG สาร polyphenol จากชาเขียว และ genistein จากถั่วเหลืองสามารถยับยั้งการกระตุ้น NF-KB จากการเหนี่ยวนําด้วย PMA, UV-B ต่อผิวหนัง รวมทั้งสามารถยับยั้งการกระตุ้น AP-1 ด้วย 30, 43 นอกจากนี้ EGCG และ genistein ยังยับยั้ง cell cycle และชักนํา apoptosis ใน human epidermoid carcinoma cell30, 44 เคมีป้องกันในมะเร็งท่อน้าดี มะเร็งท่อน้ําดีในประเทศไทยเชื่อกันว่ามีสาเหตุหลักจากการติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับOpisthorchis viverrini45 และร่วมกับสารก่อมะเร็งอื่นที่มีฤทธิ์เป็น tumor promoter การศึกษาใน สัตว์ทดลอง สาร nitrosoamine ร่วมกับการติดพยาธิ มีผลชักนําให้ก่อมะเร็งท่อน้ําดีได้อย่าง สม่ําเสมอ 46 อย่าง ไรก็ตามสารเคมีอื่นอาจมีส่วนเกี่ยวข้องได้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสูบบุหรี่ อย่างไรก็ตามหลักฐานทางระบาดวิทยาไม่พบความสัมพันธ์ของมะเร็งชนิดนี้กับการ สูบบุหรี่หรือดื่ม แอลกอฮอล์ 47, 48 นอกจากนี้ภาวะติดเชื้อเรื้อรังและการเกิด endogenous nitrosation ได้รับ


เสนอขึ้นมา49 บทบาทของอนุมูลอิสระ nitrogen และ oxygen ในภาวะที่มีการอักเสบเรื้อรัง เนื่องจากการติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับได้แสดงในหนูทดลอง50 (อ่านเพิ่มบทความเรื่อง กลไกการเกิดมะเร็ง ท่อน้ําดีที่สัมพันธ์กับการติดพยาธิใบไม้ตับโดยผ่านทางอนุมูล ในฉบับเดียวกันนี)้ นอกจากนี้เนื้อเยื่อ มะเร็งในผู้ป่วยพบ over-expression ของ COX-234, 35 นอกจากนี้ยังพบ overexpression ของ EGFR ทั้งในเนือ้ เยื่อและเซลล์มะเร็งเพาะเลี้ยง34 การ วิเคราะห์ในเนื้อเยื่อ มะเร็งจากผู้ป่วยในคนไทย ญี่ปุ่นและสหรัฐพบว่ามีความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างการแสดงออกของ COX-2 และ ErbB2 โดยไม่ขึ้นกับเชื้อชาติและถิ่นฐานของผู้ป่วย การแสดงออกของ COX-2 และ ErbB2 สัมพันธ์กับระยะของ differentiation34, 51 โดยเนื้อเยื่อคนปกติมีการแสดงออกของ จีนดังกล่าวน้อยกว่ามาก เช่น เดียวกับเนื้อเยื่อผู้ป่วย bile duct hyperplasia และ primary sclerosing cholangitis ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อมะเร็งท่อน้ําดีมีการแสดงออกของ COX-2 และ ErbB2 สูงกว่าคนปกติมาก51 การทดลองในเซลล์มะเร็งท่อน้ําดีเพาะเลี้ยงพบว่า NSAIDs ชัก นําให้เซลล์เกิด apoptosis ได้ 40 ดัง นั้น COX-2 และ ErbB2 จึงดูเหมือนเป็นเป้าหมายที่ สําคัญของยาเคมีป้องกันที่อาจยับยั้งการพัฒนาของ เซลล์ผิดปกติไม่ให้พัฒนาต่อไปเป็นมะเร็ง อย่าง ไร ก็ตามการใช้ NSAID ในประชากรจริงยังต้องพิจารณาปัจจัยอื่นๆ เช่น ความคุ้มค่าของประสิทธิผล และผลข้างเคียงจากยาและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ดัง เช่นกรณีของ NSAID ในการป้องกันมะเร็งลําไส้ ใหญ่ที่มีการศึกษาที่ดีกว่ามาก และมีหลักฐานทางระบาดวิทยาในประชากรที่ใช้ยามีความเสี่ยงต่อมะเร็ง ลดลงอย่าง ชัดเจน41, 52, 53 แต่กระนั้นทางการสหรัฐยังไม่ได้แนะนําให้ใช้ยาดังกล่าวป้องกัน ทั้งนี้ เนื่องจากปัญหาผลข้างเคียงจากยา ประสิทธิผลในการรักษาประชากรจํานวนมากยังไม่อาจทัดเทียมการ ตรวจด้วยกล้องและ ผ่าตัดออกเมื่อตรวจพบ ในกรณีของ มะเร็งท่อน้ําดี ยังคงต้องการหลักฐานของการ ป้องกันโรคโดย NSAID ในคน นอกจากนี้ตัวชี้วัดเบื้องต้นทางชีวภาพ (biomarker) หรือการ ตรวจด้วยวิธีอื่นที่มีประสิทธิภาพและปฏิบัติได้จริงเพื่อบ่งชี้ ประสิทธิภาพการป้องกัน แม้ serum MUC5AC จะมีความไวและความจําเพาะในมะเร็งท่อน้ําดี54 แต่ ปัจจุบันยังไม่ปรากฏว่ามีตัวบ่งชี้ หรือ biomarker ที่น่าพอใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยในระยะแรก สิ่งบ่งชี้เบื้องต้นมีความจําเป็น อย่างยิ่งเพื่อประเมินประสิทธิผลและเพื่อ คัดเลือกประชากรในกลุ่มเสี่ยงสูง (อ่านเพิ่มเติมบทความเรื่อง Tumor marker in Cholangiocarcinoma ในฉบับเดียวกันนี)้


วิถกี ารป้องกันที่เห็นเด่นชัดแต่ยังไม่สัมฤทธิ์ผลที่ชัดเจนในทางปฏิบัติคือการป้องกันการติดเชื้อ พยาธิใบไม้ตับ อุบัติการณ์การติดเชื้อดังกล่าวแม้ว่าจะลดลงเนื่องจากการใช้ยาถ่าย ขับพยาธิ55์ แต่สถิติ อุบัติการณ์ของมะเร็งยังอาจต้องรอคอย และที่น่าวิตกยิ่งขึ้นคือการลดการติดเชื้อนั้นเป็นการลดอย่าง แท้จริงหรือ เพียงเป็นการติดเชื้อซ้ําซากใหม่หลังการรับประทานยาขับพยาธิ หลักฐานทางระบาดวิทยา ได้วิเคราะห์ว่าปัจจัยที่ป้องกันมะเร็งท่อน้ําดีได้ดีที่สุดคือการบริโภคพืชผัก และผลไม้ ผู้ที่รับประทาน ผักมาก (3-4 ส่วน/วัน) จะเสี่ยงน้อยกว่าผู้ที่รับประทานน้อยกว่าหรือเท่ากับ 1 ส่วนต่อวันกว่า 10 เท่า48 รายงาน ดังกล่าวสอดคล้องและยืนยันผลการศึกษาอื่นๆที่ผ่านมาที่ศึกษาในประชากรเชื้อ ชาติต่างๆและ ในการป้องกันมะเร็งอย่างไม่จําเพาะกับการบริโภคผักรวมๆ41 แม้ จะเชื่อว่าสารสําคัญในผักที่ออกฤทธิ์ เป็นสาร phenolic, วิตามินและธาตุบางชนิดที่มีฤทธิ์ antioxidants แต่การศึกษาโดยใช้สาร antioxidants หรือวิตามินเดี่ยวๆหรือวิตามินผสมมักได้ผลลัพธ์ที่น่าผิดหวังมากกว่า2-4 ดัง นั้นจึง ยังมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้อีกมากในบทบาทของสารเคมีจากธรรมชาติและสาร เคมีอื่นๆในการป้องกันมะเร็ง ก่อนที่จะมาใช้ทางคลินิกอย่างแท้จริง เอกสารอ้างอิง1. Vatanasapt V, Tangvoraphonkchai V, Titapant V, Pipitgool V, Viriyapap D, Sriamporn S: A high incidence of liver cancer in Khon Kaen Province, Thailand. Southeast Asian J Trop Med Public Health 1990;21:489494. 2. The effect of vitamin E and beta carotene on the incidence of lung cancer and other cancers in male smokers. The Alpha-Tocopherol, Beta Carotene Cancer Prevention Study Group. N Engl J Med 1994;330:1029-1035. 3. Omenn GS, Goodman GE, Thornquist MD, Balmes J, Cullen MR, Glass A, et al.: Effects of a combination of beta carotene and vitamin A on lung cancer and cardiovascular disease. N Engl J Med 1996;334:1150-1155. 4. Bairati I, Meyer F, Gelinas M, Fortin A, Nabid A, Brochet F, et al.: A randomized trial of antioxidant vitamins to prevent second primary cancers in head and neck cancer patients. J Natl Cancer Inst 2005;97:481-488. 5. Kim ES, Hong WK: An apple a day...does it really keep the doctor away? The current state of cancer chemoprevention. J Natl Cancer Inst 2005;97:468-470. 6. Guengerich FP: Metabolic activation of carcinogens. Pharmacol Ther 1992;54:17-61. 7. Gonzalez FJ, Kimura S: Role of gene knockout mice in understanding the mechanisms of chemical toxicity and carcinogenesis. Cancer Lett 1999;143:199-204. 8. Guengerich FP: Common and uncommon cytochrome P450 reactions related to metabolism and chemical toxicity. Chem Res Toxicol 2001;14:611-650. 9. Pitot HC: The molecular biology of carcinogenesis. Cancer 1993;72:962-970. 10. Harris CC: p53 tumor suppressor gene: at the crossroads of molecular carcinogenesis, molecular epidemiology, and cancer risk assessment. Environ Health Perspect 1996;104 Suppl 3:435-439. 11. Prevention of cancer in the next millennium: Report of the Chemoprevention Working Group to the American Association for Cancer Research. Cancer Res 1999;59:4743-4758.


12. Chen C, Kong AN: Dietary chemopreventive compounds and ARE/EpRE signaling. Free Radic Biol Med 2004;36:1505-1516. 13. Jalas JR, Ding X, Murphy SE: Comparative metabolism of the tobacco-specific nitrosamines 4(methylnitrosamino)-1-(3-pyridyl)-1-butanone and 4-(methylnitrosamino)-1-(3-pyridyl)-1-butanol by rat cytochrome P450 2A3 and human cytochrome P450 2A13. Drug Metab Dispos 2003;31:1199-1202. 14. Park BK, Kitteringham NR, Maggs JL, Pirmohamed M, Williams DP: The role of metabolic activation in drug-induced hepatotoxicity. Annu Rev Pharmacol Toxicol 2005;45:177-202. 15. Hein DW, Rustan TD, Doll MA, Bucher KD, Ferguson RJ, Feng Y, et al.: Acetyltransferases and susceptibility to chemicals. Toxicol Lett 1992;64-65:123-130. 16. Kwak MK, Wakabayashi N, Kensler TW: Chemoprevention through the Keap1-Nrf2 signaling pathway by phase 2 enzyme inducers. Mutat Res 2004;555:133-148. 17. Surh YJ: Cancer chemoprevention with dietary phytochemicals. Nat Rev Cancer 2003;3:768-780. 18. Middleton E, Jr., Kandaswami C, Theoharides TC: The effects of plant flavonoids on mammalian cells: implications for inflammation, heart disease, and cancer. Pharmacol Rev 2000;52:673-751. 19. Lopes GK, Schulman HM, Hermes-Lima M: Polyphenol tannic acid inhibits hydroxyl radical formation from Fenton reaction by complexing ferrous ions. Biochim Biophys Acta 1999;1472:142-152. 20. Muto S, Fujita K, Yamazaki Y, Kamataki T: Inhibition by green tea catechins of metabolic activation of procarcinogens by human cytochrome P450. Mutat Res 2001;479:197-206. 21. Park OJ, Surh YJ: Chemopreventive potential of epigallocatechin gallate and genistein: evidence from epidemiological and laboratory studies. Toxicol Lett 2004;150:43-56. 22. Tseng E, Scott-Ramsay EA, Morris ME: Dietary organic isothiocyanates are cytotoxic in human breast cancer MCF-7 and mammary epithelial MCF-12A cell lines. Exp Biol Med (Maywood) 2004;229:835-842. 23. Chuang SE, Kuo ML, Hsu CH, Chen CR, Lin JK, Lai GM, et al.: Curcumin-containing diet inhibits diethylnitrosamine-induced murine hepatocarcinogenesis. Carcinogenesis 2000;21:331-335. 24. Wei H, Saladi R, Lu Y, Wang Y, Palep SR, Moore J, et al.: Isoflavone genistein: photoprotection and clinical implications in dermatology. J Nutr 2003;133:3811S-3819S. 25. Lambert JD, Hong J, Yang GY, Liao J, Yang CS: Inhibition of carcinogenesis by polyphenols: evidence from laboratory investigations. Am J Clin Nutr 2005;81:284S-291S. 26. Kwak MK, Egner PA, Dolan PM, Ramos-Gomez M, Groopman JD, Itoh K, et al.: Role of phase 2 enzyme induction in chemoprotection by dithiolethiones. Mutat Res 2001;480-481:305-315. 27. Wang JS, Shen X, He X, Zhu YR, Zhang BC, Wang JB, et al.: Protective alterations in phase 1 and 2 metabolism of aflatoxin B1 by oltipraz in residents of Qidong, People's Republic of China. J Natl Cancer Inst 1999;91:347-354. 28. Nguyen T, Yang CS, Pickett CB: The pathways and molecular mechanisms regulating Nrf2 activation in response to chemical stress. Free Radic Biol Med 2004;37:433-441. 29. Chun KS, Surh YJ: Signal transduction pathways regulating cyclooxygenase-2 expression: potential molecular targets for chemoprevention. Biochem Pharmacol 2004;68:1089-1100. 30. Bode AM, Dong Z: Targeting signal transduction pathways by chemopreventive agents. Mutat Res 2004;555:3351. 31. Dannenberg AJ, Lippman SM, Mann JR, Subbaramaiah K, DuBois RN: Cyclooxygenase-2 and epidermal growth factor receptor: pharmacologic targets for chemoprevention. J Clin Oncol 2005;23:254-266. 32. Bharti AC, Aggarwal BB: Nuclear factor-kappa B and cancer: its role in prevention and therapy. Biochem Pharmacol 2002;64:883-888.


33. Shimizu M, Deguchi A, Lim JT, Moriwaki H, Kopelovich L, Weinstein IB: (-)-Epigallocatechin gallate and polyphenon E inhibit growth and activation of the epidermal growth factor receptor and human epidermal growth factor receptor-2 signaling pathways in human colon cancer cells. Clin Cancer Res 2005;11:2735-2746. 34. Han C, Wu T: Cyclooxygenase-2-derived prostaglandin E2 promotes human cholangiocarcinoma cell growth and invation through EP1 receptor-mediated activation of epidermal growth factor receptor and AKT. J Biol Chem 2005. 35. Kim HJ, Lee KT, Kim EK, Sohn TS, Heo JS, Choi SH, et al.: Expression of cyclooxygenase-2 in cholangiocarcinoma: correlation with clinicopathological features and prognosis. J Gastroenterol Hepatol 2004;19:582-588. 36. Leung WK, To KF, Ng YP, Lee TL, Lau JY, Chan FK, et al.: Association between cyclo-oxygenase-2 overexpression and missense p53 mutations in gastric cancer. Br J Cancer 2001;84:335-339. 37. Joshi PC, Zhou X, Cuchens M, Jones Q: Prostaglandin E2 suppressed IL-15-mediated human NK cell function through down-regulation of common gamma-chain. J Immunol 2001;166:885-891. 38. Gately S, Li WW: Multiple roles of COX-2 in tumor angiogenesis: a target for antiangiogenic therapy. Semin Oncol 2004;31:2-11. 39. Lim SC, Park SY, Do NY: Correlation of cyclooxygenase-2 pathway and VEGF expression in head and neck squamous cell carcinoma. Oncol Rep 2003;10:1073-1079. 40. Wu GS, Zou SQ, Liu ZR, Tang ZH, Wang JH: Celecoxib inhibits proliferation and induces apoptosis via prostaglandin E2 pathway in human cholangiocarcinoma cell lines. World J Gastroenterol 2003;9:1302-1306. 41. Umar A, Viner JL, Richmond E, Anderson WF, Hawk ET: Chemoprevention of colorectal carcinogenesis. Int J Clin Oncol 2002;7:2-26. 42. Surh YJ, Han SS, Keum YS, Seo HJ, Lee SS: Inhibitory effects of curcumin and capsaicin on phorbol esterinduced activation of eukaryotic transcription factors, NF-kappaB and AP-1. Biofactors 2000;12:107-112. 43. Chen YC, Liang YC, Lin-Shiau SY, Ho CT, Lin JK: Inhibition of TPA-induced protein kinase C and transcription activator protein-1 binding activities by theaflavin-3,3'-digallate from black tea in NIH3T3 cells. J Agric Food Chem 1999;47:1416-1421. 44. Valachovicova T, Slivova V, Bergman H, Shuherk J, Sliva D: Soy isoflavones suppress invasiveness of breast cancer cells by the inhibition of NF-kappaB/AP-1-dependent and -independent pathways. Int J Oncol 2004;25:1389-1395. 45. Kurathong S, Lerdverasirikul P, Wongpaitoon V, Pramoolsinsap C, Kanjanapitak A, Varavithya W, et al.: Opisthorchis viverrini infection and cholangiocarcinoma. A prospective, case-controlled study. Gastroenterology 1985;89:151-156. 46. Thamavit W, Pairojkul C, Tiwawech D, Shirai T, Ito N: Strong promoting effect of Opisthorchis viverrini infection on dimethylnitrosamine-initiated hamster liver. Cancer Lett 1994;78:121-125. 47. Prawan A, Kukongviriyapan V, Tassaneeyakul W, Pairojkul C, Bhudhisawasdi V: Association between genetic polymorphisms of CYP1A2, arylamine N-acetyltransferase 1 and 2 and susceptibility to cholangiocarcinoma. Eur J Cancer Prev 2005;14:245-250. 48. Chernrungroj G: Risk factors for cholangiocarcinoma: A case-control study [Dissertation for the degree of Ph.D.]: Yale University; 2000. 49. Ohshima H, Bandaletova TY, Brouet I, Bartsch H, Kirby G, Ogunbiyi F, et al.: Increased nitrosamine and nitrate biosynthesis mediated by nitric oxide synthase induced in hamsters infected with liver fluke (Opisthorchis viverrini). Carcinogenesis 1994;15:271-275.


50. Pinlaor S, Ma N, Hiraku Y, Yongvanit P, Semba R, Oikawa S, et al.: Repeated infection with Opisthorchis viverrini induces accumulation of 8-nitroguanine and 8-oxo-7,8-dihydro-2'-deoxyguanine in the bile duct of hamsters via inducible nitric oxide synthase. Carcinogenesis 2004;25:1535-1542. 51. Endo K, Yoon BI, Pairojkul C, Demetris AJ, Sirica AE: ERBB-2 overexpression and cyclooxygenase-2 upregulation in human cholangiocarcinoma and risk conditions. Hepatology 2002;36:439-450. 52. Hallak A, Alon-Baron L, Shamir R, Moshkowitz M, Bulvik B, Brazowski E, et al.: Rofecoxib reduces polyp recurrence in familial polyposis. Dig Dis Sci 2003;48:1998-2002. 53. Ishikawa H: Chemoprevention of carcinogenesis in familial tumors. Int J Clin Oncol 2004;9:299-303. 54. Boonla C, Wongkham S, Sheehan JK, Wongkham C, Bhudhisawasdi V, Tepsiri N, et al.: Prognostic value of serum MUC5AC mucin in patients with cholangiocarcinoma. Cancer 2003;98:1438-1443. 55. Sriamporn S, Pisani P, Pipitgool V, Suwanrungruang K, Kamsa-ard S, Parkin DM: Prevalence of Opisthorchis viverrini infection and incidence of cholangiocarcinoma in Khon Kaen, Northeast Thailand. Trop

สารสกัดที่ได้จา กธรรมชาติ ส่วนใหญ่ไม่ได้ไปฆ่าหรือทําลาย เซลล์มะเร็งได้ โดยตรง แต่มันไปกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย และยับยั้งการเจริญเติบโต ของเซลล์มะเร็ง และทําลายตัวเซลได้ การกระตุ้นภูมิคุ้มกันด้วยสารสกัดจะมีผลทั้งต่อเซลล์เม็ดเลือดขาว รวมถึง สารเคมีสื่อสัญญาณระหว่างเซลล์เพื่อต อบสนองต่อสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย เมื่อร่างกายแข็งแรง สร้างภูมิคุ้มกันให้ดี มันย่อมเป็นสิ่งที่ดีต่อร่างกายเราเอง สรรพคุณในการยับยั้งเซลล์มะเร็ง คือ สารโพลีแซคคาไลน์ สารไตรโตรปินอย สาร เนเชอรัลสเตอรอยด์ ที่เข้าไปช่วยยับยั้งการโตของเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งต่อม ลูกหมาก มะเร็งตับ มะเร็งปอด และอีกหลายๆโรคด้วยครับ เช่นความดัน เบาหวาน (เห็ดกระทินพิมานและถั่งเช่าสีทอง รวมทั้ง ตาหรับยาต่างๆ ใช้รวมกัน ) การใช้สาร จากธรรมชาติ ควรศึกษาให้ดีก่อนนะครับ ด้วยความปรารถนา ดี จาก กลุ่มคนรักสาร ธรรมชาติธรรมชาติ Line ID : krisbigdick หรือ sgmaddog2 หมายเหตุ ข้อมูลทั้งหมดนี้บางส่วนได้มาจากwebsiteที่ทําการเผยแพร่ในโลกออนไลย์ที่เราได้รวบรวมมาให้อ่านกันครับ



Phellinus Linteus (เห็ดกระถินพิมาน ) By Cathy Wong, ND AlternativeMedicine Expert

Phellinus Linteus เป็นอีก1ชนิดของ เห็ดสมุนไพร ที่ขึ้นอยู่บนต้นหม่อน ใช้งานมานานใน รูปแบบยา แผนโบราณ (เช่น แพทย์แผนจีน ) ก็คิดว่าจะกระตุ้น ระบบภูมิคุ้มกัน และป้องกันโรค บาง คนแนะนําว่า Phellinus Linteus ยังสามารถช่วยต่อสู้กับโรคมะเร็งบางชนิดรวมทั้ง มะเร็งเต้า นม และ มะเร็งปอด ใน การแพทย์แผนจีนแบบดั้งเดิม PhellinusLinteus มักจะดําเนินการในการรวมกันกับเห็ด สมุนไพรอื่น ๆ (เช่น เห็ดหลินจือ และ Maitake ) มันมีจํานวนของสารที่คิดว่าจะมีผลต่อสุขภาพ รวมทั้งกรด ellagic และกรด caffeic (สองชนิดของสารเคมีธรรมชาติที่มีผลกระทบสารต้าน อนุมูลอิสระ) ประโยชน์ด้านสุขภาพของ Phellinus Linteus การ วิจัยทางคลินิคมีการทดสอบผลกระทบต่อสุขภาพของPhellinusLinteus จากการศึกษา เบื้องต้นชี้ให้เห็นว่าเห็ดนี้อาจจะมีผลต่อสภาวะสุขภาพ บางอย่าง ดูที่ผลการวิจัยที่สําคัญหลายประการ จากการศึกษา


1) โรคมะเร็ง Phellinus Linteus มีสารต้านมะเร็งทางเลือกตามรายงานที่ตีพิมพ์ใน Current Medicinal Chemistry ในปี 2008ในการวิเคราะห์ของพวกเขาการวิจัยที่มีอยู่บน Phellinus Linteus ผู้เขียนรายงานยังพบว่ามันอาจจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของยาต้านมะเร็งที่ ใช้ ในการรักษาโรคมะเร็งการวิจัยครั้งนี้รวมถึงจํานวนของการศึกษาเบื้องต้นแสดง ให้เห็นว่าสารสกัด จาก PhellinusLinteus อาจช่วยเพิ่มการทํางานของภูมิคุ้มกันลดการอักเสบและยับยั้งการ เจริญเติบโตและ การแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง

2) โรคเบาหวาน Phellinus Linteus อาจช่วยยับยั้งการเติบโตของโรคเบาหวาน(โรคเบาหวานชนิดระบบ ภูมิคมุ้ กันของ ร่างกายจะต่อต้านและทําลายเซลล์ที่มีหน้าที่ผลิตอินซูลิน) ในการศึกษาที่ตี พิมพ์ใน InternationalImmunopharmacology ในปี 2010 การทดสอบในหนูแสดงให้เห็นว่า polysaccharides (สารโพลิแซ็คคาไรด์) ที่สกัดจาก PhellinusLinteus อาจจะช่วย ป้องกันโรคเบาหวานโดยการควบคุมการแสดงออกของเซลล์ที่เกี่ยวข้องใน การตอบสนองทาง ภูมิคุ้มกัน

3) กลาก การศึกษาที่ตีพิมพ์ใน BMC Complementary and Alternative Medicine ใน ปี 2012 แสดงให้เห็นว่า Phellinus Linteus อาจช่วยรักษาโรคผิวหนังแพ้(ชนิดที่เกี่ยวข้อง กับความผิดปกติของระบบภูมิคุ้ม กัน) สําหรับการศึกษานักวิทยาศาสตร์ตรวจสอบผลของสารสกัดจาก Phellinus Linteus ในเซลล์ของมนุษย์และในหนู ผลการศึกษาพบว่า Phellinus Linteus อาจช่วยต่อสู้กับโรคผิวหนังภูมิแพ้โดยการลดระดับของเซลล์ที่มีผลสําคัญในการ อักเสบที่ เกี่ยวข้องกับโรคกลาก


Phellinus Linteusจะช่วยในการรักษาหรือการป้องกันปัญหาสุขภาพดังต่อไปนี้ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคอุจจาระร่วง กลาก โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคตับ นอกจากนี้ PhellinusLinteus กล่าวจะช่วยลด การอักเสบ และ ลดอาการปวด Phellinus Linteus ปลอดภัยหรือไม่ ในธรรมชาติแล้ว อาจเกิดความแตกต่างได้เพราะว่า มีเชื้อราหรือเชื้ออื่นๆปนเปื้อนอยู่ แม้ ว่าจะไม่ค่อย เป็นที่รู้จักเกี่ยวกับความปลอดภัยของการใช้ PhellinusLinteus ในระยะยาว มีความกังวลว่าเห็ด นี้อาจเป็นอันตรายต่อผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ําหากคุณมี ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนที่จะรับประทาน แต่ Phellinus Linteus ของเราที่ได้การรับรองผลเป็นของแท้ มีความสะอาดปลอดภัย สูง ไร้สารเจือปนและไม่มีสารตกค้างใดๆ รวมถึงไม่มีเชื้อราหรือเชื้อตัวอื่นๆร่วมอยู่ด้วย เพราะว่าเราปลูกในห้องและขวดปลอดเชื้อจาก ห้องเพาะเนื้อเยื่อ ที่ดีทีสุด สถานที่ ที่จะหา PhellinusLinteus ใน ต่างประเทศผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มP ี hellinusLinteus ที่มีขายในร้านค้าอาหารธรรมชาติ มากและร้านค้าอื่น ๆที่เชี่ยวชาญในผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ อาหารเสริมเหล่านี้มักจะมีสูตรสมุนไพรที่ รวมPhellinus Linteus กับเห็ดสมุนไพรอื่น ๆซึ่งในประเทศไทย ก็มีแต่ PhellinusLinteus ของเราที่เดียวที่ได้มาจากธรรมชาติแล้วนํามาเพาะปลูกเนื้อเยื่อจนเป็น ผลสําเร็จโดยที่ไม่มีสารเคมีเจือปนและ ไม่มีสารตกค้างใดๆ รวมถึงไม่มีเชื้อราหรือเชื้อตัวอื่นๆร่วมอยู่ ด้วย ติดต่อเราได้ครับทาง app line ID : krisbigdick or sgmaddog2

หมายเหตุ ข้อมูลทั้งหมดนีบ้ างส่วนได้มาจากwebsiteที่ทําการเผยแพร่ในโลกออนไลย์ที่เราได้รวบรวมมาให้อ่านกันครับ


อ้างอิง Chang HY, Sheu MJ, Yang CH, Lu TC, Chang YS,Peng WH, Huang SS, Huang GJ. "Analgesic effects and the mechanisms ofanti-inflammation of hispolon in mice." Evid Based Complement AlternatMed. 2011;2011:478246. Hwang JS, Kwon HK, Kim JE, Rho J, Im SH."Immunomodulatory effect of water soluble extract separated from myceliumof Phellinus linteus on experimental atopic dermatitis." BMC ComplementAltern Med. 2012 Sep 18;12:159. Kim HM, Kang JS, Kim JY, Park SK, Kim HS, LeeYJ, Yun J, Hong JT, Kim Y, Han SB. "Evaluation of antidiabetic activity ofpolysaccharide isolated from Phellinus linteus in non-obese diabeticmouse." Int Immunopharmacol. 2010 Jan;10(1):72-8. Sliva D, Jedinak A, Kawasaki J, Harvey K,Slivova V. "Phellinus linteus suppresses growth, angiogenesis and invasivebehaviour of breast cancer cells through the inhibition of AKTsignalling." Br J Cancer. 2008 Apr 22;98(8):1348-56. Zhu T, Kim SH, Chen CY. "A medicinalmushroom: Phellinus linteus." Curr Med Chem. 2008;15(13):1330-5.

หมายเหตุ ข้อมูลทั้งหมดนี้บางส่วนได้มาจากwebsiteที่ทําการเผยแพร่ในโลกออนไลย์ที่เราได้รวบรวมมาให้อ่านกันครับ


ชาวเอเชียตะวันออกสกัดเห็ด "phellinus linteus" มาทํายารักษาโรคกันนานหลายร้อยปีแล้ว ดร.แด เนียล ซลีวา จากสถาบันวิจัยเมโธดิสต์ ในเมืองอินเดียนาโปลิสสหรัฐอเมริกา จึงนําเห็ดนี้มา ศึกษาบ้างและพบว่า สารสกัดจากเห็ดนี้สามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งหน้าอก เป็นไป ได้ว่ามันอาจสามารถควบคุมเอนไซม์ "เอเคที" ที่มีหน้าที่ควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์ เห็ด "phellinus linteus" มี ชื่อในตํารายาจีนว่า "ซ้องเกิ้น" ชื่อ "ซางฮวัง" ในภาษาเกาหลี และ ชื่อ "เมชิมาโคโบะ" ในภาษาญี่ปุ่น เคยถูกนําไปทดลองและพบว่ามีฤทธิ์ยับยั้งเนื้อร้ายที่เซลล์ผิวหนัง ปอด ต่อมลูกหมาก ในการทดลองกับมะเร็งทรวงอกของ ดร.ซลีวา ทําให้เข้าใจหลักการทํางานของสารสกัดจากเห็ด "phellinus linteus" มากกว่า เดิมว่า มันช่วยลดการเจริญเติบโตของเนื้อร้ายด้วยการกดการ เจริญเติบโตของเซลล์ และกั้นเส้นเลือดไม่ให้นําอาหารไปเลี้ยงเซลล์ร้าย "แม้ว่าการค้นพบจะยังไม่ สามารถนําไปประยุกต์ใช้กับยาแผนปัจจุบัน แต่หวังว่าผลงานวิจัยจะเป็นแรงบันดาลใจให้นักวิจัยอื่นๆ มาต่อยอดการศึกษา เพื่อนําสารสกัดจากเห็ดไปรักษาผู้ป่วยต่อไป" ดร.ซลีวากล่าว

ทางกลุ่มเรา มิได้นําพืชหรือเห็ดชนิดเดียว มาทํา เราสรรหาสารเคมี ธรรมชาติจาก ตระกูลพืช ผัก ผลไม้ เชื้อรา เห็ด จุลินทรีย์ และอื่นๆอีก มากมาย ที่ได้จากธรรมชาติหรือการเพาะเลี้ยงจากห้อง เพาะเนื้อเยื่อ เพื่อที่จะได้สิ่งที่ปลอดภัยไร้สารปนเปื้อนรวมทั้งสารตกค้างใดๆที่ไม่พึง ประสงค์และหรืออาจเป็นผลเสียต่อร่างกาย เราต้องทําจากใจเพราะ เรา ทําสําหรับ พ่อ แม่ พี่ น้อง และ ญาติ ร่วมทั้งเพื่อนๆ เรากินและรักษา ด้วยกัน


การเกิดแก่ เจ็บตาย เป็นเรื่องธรรมดา จงเตรียมตัวรับกั บความเจ็บปวดอันที่ ต้องเสียคนที่คุณรักไป แต่พวกเราขอเวลาอีกสักพัก เพื่อทําใจ และ ได้มีเวลา อยู่กับคนที่รัก ด้วยตัวยาอันเป็นที่สุดของนางฟ้าเทวาดา จงช่วยให้เราได้มี โอกาสได้เห็นคนที่เรารักได้ยืดเวลาอยู่กับเราไปจนกว่าเวลาของเขาหมดไป ด้วยเทรอ




คําขอของผู้ป่วยและครอบครัว ขอชีวิตให้มีความสุขอีกสักระยะ ก่อนจะถึงวันที่ต้องจากกันไป ขอให้ได้ตอบแทนพระคุณอีกสักระยะ ก่อนที่ท่านจะจากไป ขอได้ใช้ชีวิต และ ตั้งตัวเตรียมรับ กับความคิดถึง อีกสักระยะเทรอ และสุดท้ายเราก็หนีไม่พ้นกับการที่ต้องจากไปอย่างไม่ทรมาน สาธุๆๆๆ

ข้าพเจ้าและคณะ

http://youtu.be/Dn--rtoepJA

อิทัง ปุญญะผะลัง ผลบุญใด ที่ข้าพเจ้า ได้บําเพ็ญแล้ว ณ โอกาสนี้ ข้าพเจ้าขออุทิศส่วน กุศลนี้ ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ที่เคยล่วงเกินมาแล้ว แต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ขอเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย จงโมทนา ส่วนกุศลนี้ ขอจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้า ตั้งแต่วันนี้ ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน และข้าพเจ้าทั้งหลาย ขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เทพเจ้าทั้งหลาย ที่ปกปักรักษาข้าพเจ้า และเทพเจ้าทั้งหลาย ทั่วสากลพิภพ และพระยายมราช ขอเทพเจ้าทั้งหลาย และพระยา ยมราช จงโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงเป็นสักขีพยาน ในการบําเพ็ญกุศล ของข้าพเจ้าใน ครั้งนี้ด้วยเถิด และขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่ท่านทั้งหลาย ที่ล่วงลับไปแล้ว ที่เสวยความสุขอยู่ก็ดี เสวยความทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี ขอท่านทั้งหลาย จงโมทนาส่วนกุศลนี้ พึงได้รับประโยชน์ ความสุขเช่นเดียวกับข้าพเจ้า จะพึงได้รับ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด


ผลบุญใดที่ข้าพเจ้า ได้บําเพ็ญแล้ว ณ โอกาสนี้ ขอผลบุญนี้ จงเป็นปัจจัย ให้ข้าพเจ้า ได้ เข้าถึง ซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เถิด เมื่อนักศึกษาแพทย์กําลังจะเป็นมะเร็ง เกริ่นเรื่อง: โรคร้ายไม่เคยปราณีใครแม้แต่คนที่ต่อไปจะช่วยชีวิตคนอีกมากมาย 6 เม.ย. 56 , View: 3990 , Post : 33

สวัสดีครับ ห่างหายDek-Dไปนานเลย เนื่องด้วยแก่แล้ว(จริงๆนะ) ตอนนี้ผมเป็นนักเรียนแพทย์ป5ี แล้ว และวันนี้ก็มีประสบการณ์ชีวิตที่ดูไม่ค่อยดีนัก มาแชร์ให้เพื่อนๆพี่ๆน้องๆ ได้อ่านกัน ตั้งแต่เกิดมาผมคลอดจากแม่ด้วยน้ําหนัก3,500กรัม ถือว่าเป็นเด็กทารกที่อุดมสมบูรณ์มากครับดูดนมเก่งด้วย แต่ว่าตั้งแต่จําความได้ บวกกับที่แม่เล่าตอนที่ผมจําความไม่ได้ ผมเป็นเด็กขี้โรคคนนึงเลย ป่วยบ่อยมากครับ ไปหาหมอที่คลินิคบ่อย จนหมอแค่เห็นหน้าก็ชวนนอน รพ.แทบทุกครั้งไป แต่ผมก็นอนรพ.บ่อยจริงๆนะ เคยแม้กระทั่งไข้สูงจนชักเลยก็มี ชีวิตช่วงแรกๆ ก็วนเวียนกับการเข้าๆออก รพ. อยู่เสมอบ่อยๆ เงินทองก็หดหาย มีบางครั้งเข้า รพ จะออก รพ อยู่แล้วพ่อแม่มีเงินจ่ายค่ารักษาไม่พอ ต้องไปยืมเงินห้องข้างๆ ได้มา50บาท มาจ่ายค่ารักษาก็ยังมี ...แต่ผมก็ผ่านจุดนั้นมาได้ครับ ผมเติบใหญ่ขึ้น สุขภาพร่างกายแข็งแรงมากขึ้น ไม่เจ็บป่วยบ่อยเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป ไม่เคยนอน รพ. อีกเลย ผมก็เติบโตมาเรื่อยๆครับ จนเข้าสู่รั่วมหาลัย ในคณะแพทย์ ร่างกายแข็งแรงครับ ผมเป็นนักกีฬาฟุตบอลของคณะตั้งแต่ป1ี เล่นเป็นจริงเป็นจัง แข่งทุกงาน ตั้งแต่ระดับคณะทั่วมหาวิทยาลัย กีฬาบุคลากรโรงพยาบาล จนถึงกีฬาแพทย์ทั่วประเทศ ชีวิตมีความสุขมากครับ


จนกระทั่งขึ้นปี4 ด้วยภาระเรียนหนักขึ้น แต่ผมก็ยังหาเวลาออกกําลังบ้าง ดูแลสุขภาพตัวเอง แต่สิ่งเดียวที่เลียงไม่ได้เลยคือนอนดึกครับ ซึ่งเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้จริงๆครับ สุขภาพที่เคยขึ้นสู่จุดpeakตอนช่วงปี1-3 มันเริ่มถดถอย แต่ร่างกายผมก็ยังแข็งแรงอยู่นะ ฟิตเนสจนกล้ามเป็นมัดๆทั่วตัวเลย (ตอนปั๊มหัวใจคนไข้จึงแรงดีไม่มีตก ช่วยคนรอดตาย ก็เยอะ) แต่ตอนช่วงปลายๆของปี4 ผมมีความรู้สึกเหมือนผม เพลียง่ายเหลือเกิน บางทีไม่ได้เรียนหนัก แต่กลับห้องมาทีไรต้องนอนทุกที ซึ่งไม่เคยเป็นมาก่อนครับ จนถึงวันสุดท้ายของปีการศึกษา เมื่อวันที1่ 8กุมภาพันธ์56 สิ้นสุดการสอบภาคปฏิบัติวิชานรีเวช ชีวิตผมไม่เริ่มไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป หลังสอบผมขับรถกลับบ้านที่พะเยาทันที เพื่อจะไปฝึกงานที่โรงพยาบาลชุมชนที่บ้านเกิด1สัปดาห์ ทุกคืนที่กลับบ้าน ผมรู้สึกว่าผมหนาวมาก มันหนาวจนสะดุ้งตื่นทุกๆคืน ตอนนั้นผมไม่แน่ใจว่าผมเป็นอะไร จน1สัปดาห์ผ่านไป สิ้นสุดการฝึกงานผมจึงกลับเชียงใหม่ ไปช่วยแฟนผมที่ทําร้านยาที่เชียงใหม่ หวังจะได้ความรู้เรื่องยาให้มากขึ้นในช่วงปิดเทอมที่เหลือ2สัปดาห์ ตอนนี้มันมาแล้วครับ... หลังจากผมไปฟิตเนสตอนเย็น ผมกลับห้องมาแล้วเป็นไข้ คิดว่าไม่ได้เป็นอะไรแล้วกินยาพาราลดไข้ไป ไข้ก็ลง แต่มันก็กลับมาใหม่ เป็นอย่างนี้ทุกๆคืน จนผ่านไป7วันไม่หาย จึงไปหาหมอที่ รพ.มหาราช มีรุ่นพี่แพทย์ประจําบ้านช่วยดูให้ สงสัยภาวะติดเชื้อ จึงเจาะเลือดทุกอย่างเลย ไข้เลือดออก ฉี่หนู ไข้รากสาด มาลาเรีย X-rayปอด ย้อมเสมหะดูวัณโรค ฯลฯ ปรากฏว่า ปกติทุกอย่าง แต่ไข้มันไม่ยอมหาย จนกระทั่ง2สัปดาห์ของการปิดเทอมผ่านไป ไข้ผมก็ลง ในวันอาทิตย์ก่อนเปิดเทอมที่มีการปฐมนิเทศน์ก่อนขึ้นชัน้ เรียน ปี5


ผมคิดว่าผมหายแล้ว ตอนนี้เปิดเทอมแล้ว ผมกลับมาเรียนปี5ที่ รพ.ลําปางซึ่งเป็นศูนย์แพทย์ชนบท ที่ผมสังกัดอยู่ ซึ่งผมขึ้นฝึกแผนกอายุรกรรมเป็นแผนกแรก วันพุธผมอยู่เวรเป็นวันแรกช่วงค่ํา ไข้ที่มันเคยหายไปกลับมาเล่นงานผมอีกครั้ง ก็กินยาไปผ่าน2-3วันไม่หายจึง เข้าไปหาอาจารย์แพทย์ ที่เป็นPulmologist หรือหมออายุรกรรมด้านปอดโดยเฉพาะ ก็ไม่ทราบว่าเป็นอะไรเพราะมีแค่ไข้ ไอนิดหน่อย ตรวจร่างกายปกติทุกอย่าง เลยส่งX-rayปอดซ้ํา และย้อมเสมหะดูเชื้อวัณโรคอีกครั้ง เพราะนักเรียนแพทย์ต้องเจอคนไข้ที่เป็นวัณโรคแทบทุกวัน โอกาสติดเชื้อรับมาจึงสูงกว่าบุคคลทั่วไปหลายเท่า แต่ผลมันก็ยังปกติครับ การวินิจฉัยของผมจึงเป็น

"ไข้ไม่ทราบสาเหตุ" โดยที่ยังไม่สามารถรักษาใดๆได้เพราะไม่ทราบว่าไข้จากอะไร ต้องรอให้มีอาการอื่นโผล่มา อีกเท่านั้นจึงจะไปถูกทาง เวลาผ่านไปความเลวร้ายมันเพิ่มมากขึ้น ผมไข้มาแล้ว30วันแล้วครับ มันเล่นงานผมทุกวัน ตลอด24ชั่วโมงเลย ชนิดที่ว่า ถ้าไม่กินยาพาราเซตามอลป้องกันไว้ มันเล่นงานผมล่ะ ไข้ทีนึงก็ 38.6องศา สูงสุดเคยแตะ 39.6องศาเลยทีเดียว ตอนกลางคืนจะต้องสะดุ้งตื่นตอนตี4ตี5ทุกคืน เพราะไข้ขึ้นแล้วมันหนาวสั่น ต้องลุกมากินยาแล้วนอนขดอยู่ในผ้าห่มจนยาออกฤทธิ์แล้วไข้ลง ทั้งๆที่อากาศในลําปางช่วงนี้ร้อนมากๆ ร่างกายก็ทรุดโทรมมากครับ เพราะนอนไม่พอ นอนดึกอยู่แล้วต้องสะดุ้งตื่นเพราะไข้ต4ี ตี5ทุกวัน แถมตื่นเช้าไปเรียนอีก แต่มันเลวร้ายยิ่งกว่าคือ...

น้ําหนักผมลด ลดลง3กิโลกรัมในช่วง2สัปดาห์ จากเดิมที่น้ําหนักคงที65มาตลอด มันลดลง เหลือ62 มันเป็นสิ่งที่บ่งชี้ถึงโรคร้ายคือ 'มะเร็ง' (ที่จริงวัณโรคก็น้ําหนักลดได้ แต่ตรวจเสมหะ3ครั้งปกติ X-rayปอดก็ปกติ จึงไม่คิดถึงโรคนี)้ ผมจึงกลับไปหาอาจารย์คนเดิม อาจารย์จึงเจาะเลือดเพิ่มเติม ซวยซ้ําซวยซ้อนครับ ผลเลือด CBC


(เป็นการนับดูเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกร็ดเลือดครับ) บอกว่าเม็ดเลือดขาวผมต่ําลงมา4300 ค่าคนปกติจะต้องสูงกว่า5000 เครียดแล้วครับ มันไม่ธรรมดาแล้ว อาจารย์จึงแนะนําให้ไปคุยกับอาจารย์สาขาโลหิตวิทยาครับ ผมไม่รอช้าไปเบิกสไลด์เลือดของผมมาจากห้องแล็ป รพ. มาให้อาจารย์โลหิตวิทยาส่องกล้องจุลทรรศน์ดู ก็เจอสิ่งที่ไม่ควรเจอครับ เม็ดเลือดขาวตัวอ่อน ที่มันควรจะอยู่ในไขกระดูก กลับโผล่มาอยู่ในกระแสเลือดแถมหน้าตาก็ดูไม่ดีซะด้วย อาจารย์ก็บอกว่า ไขกระดูกของผมจะต้องโดนอะไรซักอย่างแน่ๆ อาจารย์จึงตรวจร่างกายผมอย่างละเอียด ก็พบว่ามีต่อมน้ําเหลืองโตที่คอ ซึ่งเดิมมันไม่เคยโตมาก่อน สรุปแล้วตอนนี้ผม ไข้สูงหนาวสั่น30กว่าวันครับ มีเหงื่อออกกลางคืน น้ําหนักลดอย่างมีนัยยะสําคัญ ตรวจร่างกายพบต่อมน้ําเหลืองที่คอโต แค่อาการพวกนี้ก็บ่งชี้ถึงมะเร็งต่อมน้ําเหลืองครับ คือมีอาการครบทุกข้อเลย บวกกับเม็ดเลือดขาวตัวอ่อนที่อาจารย์เห็นจากสไลด์เลือด ก็อาจจะพ่วงมะเร็งเม็ดเลือดขาวหรือที่ทุกคนรู้จักว่าโรค

'ลูคีเมีย'อีกโรคด้วย ผมไม่รอช้าอีกต่อไป จึงไปขอทําX-ray คอมพิวเตอร์ หรือที่เรียกว่าCT scan ตั้งแต่ คอ ทรวงอก และท้องครับ ผล ออกมาแทบลมจับ มันมีก้อนครับ !! อยู่กลางทรวงอกผมเลยอยู่ติดหลอดลมเลย อยู่บนหัวใจนิดเดียว ซึ่งมันคือต่อมน้ําเหลืองที่โตครับ โตหลายก้อน ติดๆกันขนาดตั้งแต่ 0.5cm จนถึง2.5cmเลยทีเดียว ...ซึ่งมันไม่ปกติเลย


ในรูปที่เอามาให้ดูตรงกลางที่ผมขีดเส้นนั้นคือต่อมน้ําเหลืองที่โต เส้นขาวๆที่อยู่ชิดๆกันคือหลอดเลือดหัวใจ พื้นที่ดําๆ2ข้างคือเนื้อปอดครับ ผมมีไอ่ก้อนโตขนาดนั้นที่อกครับ มันคงโตมานานแล้วแต่อาการมันเพิ่งเป็น ในฟิล์มX-rayมันก็ดันมองไม่เห็น เพราะมันอยู่ซะกลางเลย สิ่งที่เห็นมันช่วยเพิ่มน้ําหนักให้กับ มะเร็งต่อมน้ําเหลืองมากขึ้น ผมนําข่าวร้ายนี้บอกกับพ่อแม่และพี่ชาย ทุกคนในบ้านตกใจมาก เครียดกันทุกคนเลย ส่วนผมเองก็ได้กําลังใจมากมาย จากเพื่อนๆแพทย์รุ่นพี่และ อาจารย์ที่มาคุยมาให้กําลังใจไม่ขาดสาย มันก็สะท้อนอะไรหลายๆถึงความเหนี่ยวแน่นในองค์กรแพทย์ด้วยกัน และความเมตตาของอาจารย์หลายๆท่าน


ที่เสียสละเวลาดูเคสเราทั้งที่งานของอาจารย์ก็เหนื่อยอยู่แล้ว ตอนนี้สิ่งที่ผมจะทําต่อไปเพื่อให้ได้การวินัจฉัยขั้นสุดท้ายครับ คือ ผลชิ้นเนื้อครับ ในเมื่อให้น้ําหนักไม่ได้ ว่าจะเป็นแค่มะเร็งต่อมน้ําเหลืองธรรมดา หรือเป็นมะเร็งต่อมน้ําเหลืองที่มันเริ่มจะกลายเป็นลูคีเมียไปแล้ว หรือจะเป็นแค่เรื่องตลกโปกฮาที่เป็นแค่ติดเชื้อแล้วลามเข้าไขกระดูก (ซึ่งจริงๆแล้วน่าจะเป็นมะเร็งมากกว่าประมาณ80%แล้วครับ) เลยต้องผ่าเอาต่อมน้่เหลืองที่คอมาตรวจ แล้วก็เอาเข็มแท่งใหญ่ๆ เส้นผ่าศูนย์กลางครึ่งเซ็นติเมตร มาเจาะกระดูกสะโพกเอาไขกระดูกไปตรวจ ซึ่งจะทําในวันองคารและพุธนี้ติดๆกันเลย ซึ่งคงจะได้การวินิจฉัยที่แน่นอนในเร็ววันนี้แล้วล่ะครับ ซึ่ง ณ วันนี้6เมษายน56 ผมก็ป่วยมาแล้ว41วัน ร่างกายก็ผ่ายผอมน้ําหนักที่ตอนแรกลดลงมา3กิโล ตอนนี้ลดลงมา5กิโลแล้วครับ ทุกคนก็กังวลมากขึ้น แต่ผมดูเหมือนจะเป็นคนที่กังวลน้อยที่สุด ไม่ได้ปลงตกนะครับ แต่ผมรู้โรคพวกนี้รักษาหายซะส่วนมากครับ ถึงแม้ว่าจะเป็นมะเร็งที่ถ้าเกิดในเด็กจะดุร้ายมาก และว่ามันก็ตายด้วยยาคีโม ได้ง่ายมากเหมือนกันครับ แถมโอกาสหายขาดสูงด้วย แต่สําหรับตัวผมนั้นอาจจะมากกว่านั้น เพราะถ้ามีลูคีเมียพ่วงมาด้วย ผมต้องรับคีโมล้างผลาญมะเร็งให้ตายเกลี้ยงก่อน แล้วจึงปลูกถ่ายไขกระดูก โชคดีที่มีพี่ชาย จึงมีคนถ่ายไขกระดูกให้ ผมอาจจะต้องหยุดเรียนประมาณ1ปี เพื่อรักษาตัว แต่นั่นแหล่ะครับ ชีวิตมันไม่เที่ยงครับ โรคร้าย ขนาดคนที่กําลังจะจบไปเป็นแพทย์อีก2ปีข้างหน้า มันยังเล่นงานเราเลยครับ ทั้งๆที่เราดูแลสุขภาพดีแล้ว โรคภัยมันยังถามหาเลย ภาระหน้าที่การเรียนแพทย์มัน เหนื่อยหนักจริงๆนะครับ ขนาดผมป่วยแบบนี้่ผมยังต้องอ่านหนังสือ


อยู่เวร นอนตี2 ตื่น7โมงไปดูคนไข้ทุกวันเลยครับ ไม่ถึกจริงทําไม่ได้นะ เพราะฉะนั้นดูแลสุขภาพให้ดีครับ มองโลกในแง่บวกครับ อย่าประมาทกับชีวิตมากนัก โรคที่ผมกําลังจะเป็นมันไม่ค่อยทําให้ตายไวนักหรอกครับ อุบัติเหตุมากกว่า ดูจะเป็นสิ่งที่ทําให้ตายไว ฉะนั้นขับรถขับราระวังให้ดีครับ คาดเข็มขัด สวมหมวกกันน็อคด้วยครับ ส่วนตัวผมนั้นไม่รู้จากนี้ไปจะเป็นยังไงต่อ ผมคิดว่าผมหายนะ แต่ไม่แน่ใจว่าจะหายขาดชัวร์ๆมั้ย ผมไฝ่ฝันที่จะเป็นหมอผ่าตัด เป็นGeneral surgeonเพราะผมค่อนข้างจะมี พรสวรรค์ในการทําหัตถการทุกๆอย่าง แต่สุขภาพของผมหลังจากหายโรคร้ายนี้อาจจะทําให้ ความฝันของผมพังทลายลงไปก็ได้ ถ้าโรคของผมกลับมาเป็นซ้ํา เพราะการเป็นหมอผ่าตัดสุขภาพนั้นสําคัญมาก ภาระงานของหมอผ่าตัดจะดูดพลังชีวิตลงไปมาก จึงเห็นอยู่บ่อยๆที่หมอผ่าตัดอายุมักจะสั้น เพราะงานหนัก ไม่ใช่แค่หมอผ่าตัดหรอกครับ หมออื่นๆก็เหมือนกัน คุณภาพชิวิตพวกเราย่ําแย่มากนะครับ ฉะนั้นใครจะมาเรียนหมอขอให้คิดให้ดีก่อนละกันครับ ด้วยความเป็นห่วงครับ เอาเป็นว่า พิมพ์ มายาวเลย คิดว่าคงมีน้อยคนที่จะอ่านของผมจนจบ ผมก็พยายามพิมพ์ภาษาแพทย์ให้น้อยที่สุดให้คนทั่วไปอ่านรู้เรื่องครับ สุดท้ายก็อวยพรให้ทุกท่านสุขภาพแข็งแรงไม่เจ็บไม่ป่วยนะครับ หมออย่างผมจะได้ไม่ต้องทํางานหนัก ส่วนผลการตรวจผมสุดท้ายจะลงเอยยังไง ไว้จะมาบอกเล่าให้ฟังครับ : ) สาบานครับว่านี่เป็นเรื่องจริง... นศพ. ลัทธพล เกิดสุข นักศึกษาแพทย์ชั้นปีท5ี่ ศูนย์แพทยศาสตร์ศึกษาชั้นคลินิค โรงพยาบาลลําปาง


ต้านมะเร็งลําไส้ดัวยเนื้อไก่

เมื่อ เอ่ยถึง โรคมะเร็ง หลายคนคงยอมรับถึงความน่ากลัว และอันตรายอขงโรคร้ายชนิดนี้ เนื่องจาก การป้องกัน และการดูแลรักษาโรคร้ายนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ทํากันได้ง่ายนัก แต่จากหลักฐานการวิจัย ใน หลายปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าอาหารการกิน เป็นหนึ่งในปัจจัยสําคัญ ที่เพิ่มความเสี่ยงการเกิด โรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร ผลรายงานการวิจัยหลายชิ้นพบว่า อาหารจําพวก เนื้อแดง หรือเนื้อสัตว์ที่ผ่านการแปรรูป อย่างพวกไส้กรอก เบคอน น่าจะเป็นตัวการสําคัญ ที่ก่อให้เกิด โรคมะเร็งลําไส้ได้ ล่า สุดไม่นานมานี้ มีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร The American Journal of Gastroenterology เผยว่าการ กินเนื้อไก่ในปริมาณมาก อาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งในลําไส้ โดยงานวิจัยนี้ได้ศึกษา และรวบรวมข้อมูลจากผู้ป่วย 1,500 คนที่มีก้อนติ่งเนื้อในผนังลําไส้ (adenomatous polyps) และเข้ารับ การรักษาเพื่อตัดก้อนเนื้อนี้ทิ้ง ซึ่งเกือบทั้งหมดของผู้ป่วยโรคมะเร็งลําไส้ใหญ่ จะเริ่มจากการเป็นติ่งเนื้อ แบบไม่ร้ายแรงในผนังลําไส้ก่อน แล้วจึงค่อยๆ โตขึ้นจนกลายเป็นเนื้อร้ายแพร่กระจายไปยังบริเวณ ต่างๆ โดยผู้ป่วยกลุ่มนี้จะต้องให้ข้อมูลเกี่ยวกับอาหารการกินในช่วง 1-4 ปีที่ผ่านมา และต้องเข้ารับการ ส่องกล้อง เพื่อตรวจลําไส้ใหญ่ซ้ําประมาณ 1 และ 4 ปีถัดมาหลังจากการผ่าตัด เพื่อตรวจสอบว่ามีก้อน ติ่งเนื้อใหม่เกิดขึ้นซ้ําหรือไม่


ปรากฏ ว่าผู้ป่วยที่กินเนื้อสัตว์ ผ่านกระบวนการแปรรูป เช่น ไส้กรอก แฮม เบคอน มีโอกาสเกิดก้อนติ่ง เนื้อ ที่ผนังลําไส้ใหญ่ซ้ํา ขณะที่ผู้ป่วยที่กินเนื้อไก่ในปริมาณมาก จะลดความเสี่ยงของการเกิดใหม่ ของ ก้อนติ่งเนื้อ ที่ผนังลําไส้ได้ถึงร้อยละ 39 จึงเป็นไปได้ว่าการรับประทานเนื้อไก่ ในปริมาณมากในแต่ละ มื้ออาหาร อาจช่วยลดความเสี่ยง ในการเกิดก้อนเนื้อที่ผนังลําไส้ และอาจป้องกันไม่ให้ก้อนเนื้อนี้ กลายเป็นมะเร็งได้ อย่างไรก็ตาม กลุ่มนักวิจัยนี้ยังไม่สามารถสรุป ถึงสาเหตุที่แน่ชัดว่า ทําไมการ รับประทานเนื้อไก่ในปริมาณมาก จึงช่วยลดความเสี่ยง ในการเกิดมะเร็งลําไส้ ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าแร่ ธาตุซีลีเนียม และแคลเซียมในเนื้อไก่ อาจช่วยลดความเป็นพิษของน้ําดี ที่ถูกสร้างขึ้น เพื่อใช้ในการย่อย ไขมัน ในระบบทางเดินอาหาร หรือช่วยในการลดการเจริญเติบโต ของเซลล์มะเร็งก็เป็นได้ หรือเกิด จากการรับประทานปริมาณของเนื้อไก่ ที่เพิ่มขึ้นในแต่ละมื้ออาหาร ทําให้ลดปริมาณการรับประทาน เนื้อสัตว์ ที่ผ่านการแปรรูปต่างๆ ลงตาม อย่าง ไรก็ดี ผลงานวิจัยชิ้นนี้ให้ผลคล้ายคลึงกับงานวิจัยก่อนหน้านี้ ซึ่งนอกจากจะพบว่า การ รับประทานเนื้อไก่ในปริมาณมาก จะช่วยลดโรคมะเร็งลําไส้แล้ว ยังพบว่าการเกิดโรคมะเร็งลําไส้นั้น ไม่มีความสัมพันธ์กับการรับประทานไขมัน หรือเนื้อแดงอย่างที่หลายคนเข้าใจกัน แต่จะขึ้นอยู่กับการ รับประทานเนื้อสัตว์ ที่ผ่านกระบวนการแปรรูปมากกว่า นอกจากนี้ การรับประทานอาหารประเภทผัก ผลไม้และกากใยอาหาร จะช่วยลอดความเสี่ยงในการเกิดโรคได้ ขณะที่การรับประทานเนื้อปลานั้น จะ ไม่มีผลเพิ่มหรือลดมะเร็งลําไส้

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับน้ํามันมะพร้าว ในปัจจุบันมีกระแสการบริโภคน้ํามันมะพร้าวกันมากโดยเฉพาะผูป้ ่วยมะเร็ง จึงขอนําเสนอความ จริงเกี่ยวกับน้ํามันมะพร้าว โดยพบว่าในน้ํามันมะพร้าวสกัดเย็นจะมีกรดไขมันอยู่หลายชนิดทั้งกรด ไขมันอิ่ม ตัวและไม่อิ่มตัว แต่งานวิจัยที่รายงานถึงผลดีส่วนใหญ่จะเป็นการวิจัยแยกชนิดของกรดไขมัน ออกมา ไม่ได้ทําทั้งหมด จึงยังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะยืนยันให้ผู้ป่วยมะเร็งควรต้องบริโภค ผู้ป่วย มะเร็งที่ต้องระวังการบริโภคน้ํามันมะพร้าว คือ ผู้ป่วยมะเร็งตับและมะเร็งตับอ่อน ไม่แนะนําให้ รับประทานน้ํามันมะพร้าวแบบบริสุทธิ์เดี่ยวๆ (แบบตักรับประทานทีละช้อนชาเพราะจะทําให้ระบบ ) ลําไส้และทางเดินอาหารย่อยยาก ส่งผลให้เกิดอาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย จนทําให้รับประทานอาหาร ชนิดอื่นได้น้อยลง อันส่งผลให้เกิดภาวะการขาดสารอาหารในที่สุด


อาหารที่จะขอแนะนําในสัปดาห์นี้ก็คือ เมนูปลากรายสวรรค์ คะ ซึ่งเป็นอาหารที่มี คอเลสเตอรอล (CHO) = 0.7 G ไขมัน (FAT) = 13.85 G โปรตีน (PROT = 93.65 G พลังงาน (E) = 500 Kcal ส่วนรายละเอียดเพิ่มเติมในส่วนของวิธีการทําอาหารต่างๆ และอาหารที่เหมาะกับผู้ป่วย โรคมะเร็ง ดิฉันแนะนําให้ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม มะเร็งต่อมน้าเหลือง เป็นมะเร็งที่เกิดจากเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซด์ มีการเพิ่ม จํานวนและเจริญเติบโตผิดปกติ ทําให้ต่อม น้ําเหลืองโตเร็วมาก มักพบบริเวณ ต่อมน้ําเหลือง ที่คอ รักแร้ และขาหนีบ ซึ่งหากไม่ได้ รับการรักษาแต่ ต้นแล้ว มะเร็งจะกระจายไปสู่ระบบต่างๆ ของร่างกาย และทําให้การทํางานของร่างกาย ล้มเหลวถึงแก่ ชีวิตได้ มะเร็งต่อมน้าเหลืองแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ 1. มะเร็งต่อมน้ําเหลืองชนิดฮ๊อดกิ้น (Hodgkin's Lymphoma) ส่วนมากพบ ในเด็กและวัยหนุ่มสาว 2. มะเร็งต่อมน้ําเหลืองชนิดนันฮ๊อดกิ้น (Non - Hodgkin's Lymphoma) มักพบในผู้ใหญ่ หรือผู้ที่มีการ ติดเชื้อโรคเอดส์ และพบในคนไทยมากกว่า ชนิดฮ๊อดกิ้น อาการ 1. ต่อมน้ําเหลืองโต หรือมีก้อนที่โตเร็วไม่เจ็บบริเวณคอ รักแร้ และขาหนีบ 2. ปวดท้อง ท้องเสียเรื้อรัง 3. แผลเรื้อรังที่กระพุ้งแก้ม โพรงจมูก 4. ไข้สูงไม่ทราบสาเหตุ


อาการดังกล่าวส่วนมากไม่พบแต่เฉพาะในมะเร็งต่อมน้ําเหลืองเท่านั้น อาจพบ ในมะเร็งระบบอื่นได้ เช่นกัน การรักษา 1. การใช้ยาเคมีบําบัด 2. การรักษาด้วยรังสี 3. การผ่าตัด 4.การใช้สารเคมีธรรมชาติบําบัด ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็งต่อมน้ําเหลืองด้วย การตรวจวินิจฉัย 1. ตรวจร่างกาย 2. เอ็กซเรย์ 3. การตรวจทางพยาธิวิทยา

คีโมกับมะเร็งและการดํารงชีวิต 1. ทุกๆ คนมีเซลมะเร็งอยู่ในร่างกาย เซลมะเร็งเหล่านี้จะไม่ปรากฎด้วยวิธีการตรวจสอบ ตาม มาตรฐาน จนกระทั่งมันขยายตัวเพิ่มขึ้นในระดับพันล้านเซล(1,000,000,000 เซล) เมื่อแพทย์บอกว่าไม่มี เซลมะเร็งในร่างกาย ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับการรักษาแล้ว มันหมายถึงว่าระบบไม่สามารถตรวจสอบ เซลมะเร็งได้ เพราะว่าจํานวนของมันยังไม่มากพอ จนถึงระดับที่สามารถตรวจจับได้เท่านั้น 2. เซลมะเร็งเกิดขึ้นระหว่าง 6 ถึงมากกว่า 10 ครั้งในช่วงอายุของคนๆหนึ่ง 3. เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงเพียงพอ เซลมะเร็งจะถูกทําลาย และป้องกันไม่ให้เกิดการ ขยายตัวและกลายเป็นเนื้องอก 4. เมื่อใครก็ตามเป็นมะเร็ง มันกําลังบอกว่าคนๆนั้นมีความบกพร่องหลายประการเกี่ยว


กับโภชนาการ ซึ่งอาจเกิดจากยีน สิ่งแวดล้อม อาหารและปัจจัยอื่นๆในการดํารงชีวิต 5. เพื่อ เอาชนะภาวะบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ การเปลี่ยนแปลงประเภทของ อาหาร รวมทั้งสารอาหารบางอย่างจะช่วยให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น 6. การทํา คีโมคือการให้สารเคมีที่มีความเป็นพิษกับเซลมะเร็งที่กําลังเติบโตอย่างรวด เร็ว แต่ ขณะเดียวกัน มันก็จะทําลายเซลที่ดีที่กําลังเติบโตอย่างรวดเร็วในไข กระดูก ทําลายระบบทางเดิน อาหาร ฯลฯ และเป็นสาเหตุทําให้อวัยวะบางส่วนถูกทําลาย เช่น ตับ ไต หัวใจ ปอด ฯลฯ 7. การฉายรังสีแม้ว่าจะเป็นการทําลายเซลมะเร็ง แต่ก็ทําให้เกิดอาการไหม้ เป็นแผลเป็น และทําลายเซล ที่ดี เนื้อเยื่อ และอวัยวะ 8. การ บําบัดโดยคีโม และการฉายรังสีมักจะช่วยลดขนาดของเนื้องอกได้ในช่วงแรกๆ อย่าง ไรก็ตาม ถ้าทําไปนานๆพบว่ามักไม่ส่งผลต่อการทําลายเซลเนื้องอก 9. เมื่อ ร่างกายได้รับสารพิษจากการทําคีโมหรือการฉายรังสีมากเกินไป ระบบภูมิคุ้มกัน อาจปรับตัวเข้า กันได้หรือไม่ก็อาจถูกทําลายลง ดังนั้นคนๆนั้นจึงอาจตกอยูใ่ น อันตรายจากการติดเชื้อหลายชนิดและ ทําให้โรคมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น 10. การทํา คีโมและการฉายรังสีอาจเป็นสาเหตุทําให้เซลมะเร็งกลายพันธุ์ ดื้อยา และยากต่อการ ทําลาย การผ่าตัดก็อาจเป็นสาเหตุทําให้เซลมะเร็งกระจายไปทั่วร่าง กาย 11. วิธีที่ดีที่สุดในการทําสงครามกับมะเร็ง คือการไม่ให้เซลมะเร็งได้รับอาหารเพื่อนําไปใช้ในการ ขยายตัว อะไรคืออาหารที่ป้อนให้กับเซลมะเร็ง a. น้ําตาล คืออาหารของมะเร็ง การตัดน้ําตาลคือการตัดแหล่งอาหารสําคัญที่จ่ายให้กับเซล มะเร็ง สาร ทดแทนน้ําตาลอย่างเช่น "" "" อีควล "" "" นิวตร้าสวีต "" สปูนฟูล "" ฯลฯ ล้วนทํามาจากสารให้ความ หวาน ซึ่งเป็นอันตราย สารทดแทนซึ่งเป็นกลางที่ดีกว่าคือน้ําผึ้งมานูคา (จากนิวซีแลนด์) หรือน้ําอ้อย แต่ในปริมาณน้อยๆเท่านั้น เกลือสําเร็จรูปก็ใช้สารเคมีในการฟอกขาว ควรหันไปเลือกใช้ "" แบรก อมิ โน "" หรือเกลือทะเลแทน


b. นม เป็นสาเหตุทําให้ร่างกายผลิตเมือก โดยเฉพาะในระบบทางเดินอาหาร เซลมะเร็งจะ ได้รับอาหาร ได้ดีในสภาวะที่มีเมือก การใช้นมถั่วเหลืองชนิดไม่หวานแทนนม จะ ทําให้เซลมะเร็งไม่ได้รับอาหาร c. เซล มะเร็งเติบโตได้ดี ในภาวะแวดล้อมที่เป็นกรด อาหารจําพวกเนื้อจะสร้างสภาวะกรดขึ้น ดังนั้นจึง ควร หันไปรับประทานปลาจะดีที่สุด รองลงไปคือรับประทานไก่แทนเนื้อและหมู ในเนื้ออาจมียาฆ่า เชื้อ ฮอร์โมนที่สร้างการเจริญเติบโตในสัตว์ และเชื้อ ปรสิตบางประเภทตกค้างอยู่ ซึ่งล้วนเป็น อันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เป็นมะเร็ง d. อาหาร ที่ประกอบด้วยผักสด 80% และน้ําผลไม้ พืชจําพวกหัว เมล็ด ถั่วเปลือกแข็ง และผลไม้จํานวน เล็กน้อย จะช่วยทําให้ร่างกายมีสภาวะเป็นด่าง อาหารอีก 20% อาจได้มาจากการทําอาหารร่วมกับพืช จําพวกถั่ว น้ําผักสดจะให้เอ็น ไซม์ซึ่งสามารถดูดซึมได้ง่ายและซึมเข้าสู่ระดับเซลภายใน 15 นาที เพื่อ บํารุง ร่างกายและส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลที่ดี เพื่อให้ได้เอ็นไซม์ในการ สร้างเซลที่ดี ให้ พยายามดื่มน้ําผักสด ( ผักส่วนใหญ่รวมทั้งถั่วที่มีหน่อหรือต้นอ่อน) และรับประทานผักสด ดิบ 2-3 ครั้ง ต่อวัน เอ็นไซม์จะถูกทําลายได้ง่ายที่อุณหภูมิ 140 องศา F ( ประมาณ 40 องศา C) e. ให้ หลีกเลีย่ งกาแฟ น้ําชา และช๊อกโกแลต ซึ่งมีคาเฟอีนสูง ชาเขียวถือเป็นทางเลือกที่ดีและมี คุณสมบัติในการต้าน มะเร็ง น้ําดื่มให้เลือกดื่มน้ําบริสุทธิ์ หรือที่ผ่านการกรอง เพื่อหลีก เลี่ยงท๊อกซิน และโลหะหนักในน้ําประปา น้ํากลั่นมักมีสภาพเป็นกรด ให้หลีกเลี่ยง 12. โปรตีน จากเนื้อจะย่อยยาก และต้องการเอ็นไซม์หลายชนิดมาช่วยในการย่อย เนื้อสัตว์ ที่ไม่ สามารถย่อยได้ในระบบทางเดินอาหาร จะเกิดการบูดเน่าและมีความเป็นพิษมากขึ้น 13. ผนัง ของเซลมะเร็งจะมีโปรตีนห่อหุ้มไว้ การงดหรือการรับประทานเนื้อสัตว์น้อย ลง จะทําให้มี เอ็นไซม์เหลือมากพอมาใช้โจมตีกําแพงโปรตีนที่ห่อหุ้มเซล มะเร็ง และช่วยให้เซลของร่างกายสามารถ กําจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น 14. สาร อาหารบางอย่างอาจช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน สาร ( IP6 [inositol hexaphosphate หรือ phytic acid], สาร Flor-essence, สาร Essiac, สารแอนตีอ๊้ อกซิ- แดนส์ , วิตามิน , เกลือแร่ , EFAs ฯลฯ) เพื่อ


ช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกําจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น สาร อาหารอื่นๆเช่น วิตามินอี เป็นที่ทราบกันดี ว่าทําให้เกิดการตายลงของเซล หรือกําหนดระยะเวลา การตายของเซล ซึ่งเป็นกลไกธรรมชาติของ ร่างกายในการกําจัดเซลที่ถูกทําลาย ซึ่ง ไม่เป็นที่ต้องการ หรือไม่มีประโยชน์ออกไป 15. มะเร็ง เป็นโรคที่สัมพันธ์กับจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณ การป้องกันเชิงรุก และการคิดในเชิงบวก จะช่วยให้เราสามารถอยู่รอดจากการทําสงครามกับ มะเร็ง.... ความโกรธ การไม่รู้จักให้อภัย และความ ขมขื่นใจ จะทําให้ร่างกายเกิดความตึงเครียดและมีสภาวะเป็นกรดเพิ่ม ขึ้น ให้เรียนรู้ที่จะมีความรักและ จิตวิญญาณแห่งการให้อภัย เรียนรู้ที่จะ ผ่อนคลายและมีความสุขกับชีวิต 16. เซล มะเร็งไม่สามารถเจริญเติบโตได้ในสภาวะที่มีอ๊อกซิเจนเป็นจํานวนมาก การออก กําลังกายทุก วัน และการหายใจลึกๆจะช่วยให้ร่างกายได้รับอ๊อกซิเจนเพิ่มขึ้นลง ไปจนระดับเซล การบําบัดด้วย อ๊อกซิเจนถือเป็นวิธีการอีกอย่างที่ใช้ในการทําลาย เซลมะเร็ง วิธีง่ายๆ สาหรับใส่ใจดูแลสุขภาพ อาหาร การ รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โปรตีนจากเนื้อ นมไข่ ไขมันจากพืชหรือ เนื้อสัตว์ คาร์โบไฮเดรตจากข้าง แป้ง วิตามินและเกลือแร่จากผัก ผลไม้ เป็นต้น โดยอาหารต้องถูก สุขลักษณะ สะอาดปลอดภัยจากสารปนเปื้อนหรือสารพิษต่อร่างกาย ต้องคํานึงความเหมาะสมด้าน ปริมาณ คือ บริโภคให้เพียงพอในแต่ละวัน การรับประทานอาหารให้ตรงเวลาโดยเฉพาะมื้อเช้าเป็นมื้อ อาหารที่สําคัญ ในยุคปัจจุบันด้วยสภาพสังคมที่มีความรีบเร่งไม่เอื้ออํานวยต่อพฤติกรรมการ บริโภคที่ ถูกสุขอนามัย การรับประทานอาหารจานด่วน อาหารสําเร็จรูปที่ประกอบด้วยสารกันบูด หรือวัตถุปรุง แต่งรสอาหารที่หากบริโภคในปริมาณมากเกินไปอาจเป็นโทษต่อร่าง กาย การบริโภคอาหารควรมี ความหลากหลาย และ ควรคํานึงถึงความเหมาะสมเฉพาะบุคคลด้วย เช่น วัยสูงอายุ คนป่วย คนอ้วน หรือผอมเกินไป ผู้ที่มีโรคประจําตัว เพราะบุคคลบางกลุ่มต้องมีการควบคุมอาหาร หรือบริโภคใน ปริมาณที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงอาหารประเภทไขมัน ควบคุมปริมาณน้ําตาลและคลอ เรสเตอรอล อาหารรสจัด เช่น รสเค็มจัด อารมณ์ อารมณ์ เป็นสิ่งที่บุคคลแสดงออก สามารถบ่งบอกสภาวะด้านร่างกาย และจิตใจ หากสุขภาพ กายดี สุขภาพจิตย่อมดีตามไปด้วย และในทางกลับกันการมีสุขภาพจิตดีย่อมส่งเสริมให้ร่างกาย


แข็งแรง ความเครียด อาการหงุดหงิดฉุนเฉียว ความวิตกกังกล ส่งผลกระทบต่อกระบวนการทํางาน หรือระบบในร่างกาย เช่น การย่อยอาหาร การหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร ร่างหลั่งสารเคมีบางอย่างมากเกินไปส่งผลเสียและก่อให้เกิดโรค ดังนั้นการควบคุมอารมณ์ การทํา จิตใจให้สบาย การมองโลกในแง่ดีและการมีอารมณ์ขัน รู้จักผ่อนคลายความเครียดด้วยการทํากิจกรรม ต่างๆ ทํางานอดิเรก ทําจิตใจให้ผ่องใสเบิกบานออกกําลังกาย ท่องเที่ยวตามโอกาสที่เหมาะสม เป็น วิธีการง่ายๆ ที่ทําไรอารมณ์ดี ออกกาลังกาย การ ออกกําลังกายเป็นวิธีการง่ายๆ ที่ทําให้สุขภาพดี โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ สามารถทําได้แทบทุกสถานที่ ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน บ้านที่มีบริเวณสามารถใช้การออกกําลังกายเป็น เครื่องมือในการสร้างสุขภาพและ ความอบอุ่นในครอบครัวได้โดยสมาชิกในครอบครัวออกกําลังกาย ร่วมกัน การทํางานบ้านแบบต่างๆ นับว่าเป็นการออกกําลังกายที่ดีอย่างยิ่งและได้ประโยชน์ทั้งสอง ประการ คือ ร่างกายแข็งแรง และบ้านสะอาดเป็นการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีเพิ่มขึ้น สถานที่ทํางานก็ สามารถออกกําลังกายได้ เช่น การขึ้น ลง บันได การออกกําลังกายแบบเบาๆ โดยใช้อุปกรณ์สํานักงาน เป็นเครื่องมือสําหรับทํากายบริหาร ในช่วงเวลาพักสั้นๆ ควรออกกําลังกายอย่างสม่ําเสมออย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ระยะเวลาในการออกกําลังกาย ครั้งละ ประมาณ 30 นาที เพราะเป็นเวลาที่เหมาะสมร่างกายสามารถเผาผลาญพลังงานได้เต็มที่ อย่างไรก็ ตาม การออกกําลังกายควรเลือกสรรให้เหมาะสมกับปัจจัยอื่นๆ เช่น วัย แต่ละช่วงวัยจะมีวิธีการออกกําลัง กายที่ให้ประสิทธิภาพต่างกัน ประเภทของกีฬา หรือการออกกําลังกาย ข้อจํากัดของบุคลที่มโี รค ประจําตัว ระยะเวลา ช่วงเวลาที่เหมาะสม การออกกําลังกายช่วงเช้าช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตดี ร่างกายปลอดโปร่ง สิ่งแวดล้อม เป็นปัจจัยที่มีผลโดยตรงต่อทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต การ อยู่อาศัยในสถานแวดล้อมที่ ดีช่วยส่งเสริมสุขภาพให้ดีตามไปด้วย สิ่งแวดล้อมที่ดี คือ ความสะอาด ปลอดภัย จากเชื้อโรค ฝุ่น ละออง ควันพิษ มลภาวะอันได้แก่ อากาศเสีย น้ําเสีย สถานที่เสียงดังรบกวน แหล่งเสื่อมโทรม ผิดหลัก สุขลักษณะ วิธีการง่ายๆ ในการดูแลสิ่งแวดล้อมก็เริ่มจากสถานที่ใกล้ตัว บ้านพักอาศัย รักษาความ


สะอาดภายในและภายนอกบริเวณ สภาพแวดล้อมของบ้าน ฝุ่นละออง แสงสว่าง สัตว์มีพิษ แมลงนํา โรค เช่นแมลงสาบ หรือหนู เหล่านี้มีล้วนมีผลต่อผู้อยู่อาศัย นอกจากการใส่ใจดูแลสุขภาพ ดําเนินตามแนวทางที่เหมาะสมแล้วสิ่งสําคัญอีกประการคือการ หลีกเลี่ยง “พฤติกรรมเสี่ยง” เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มสุรา การใช้สารเสพติด ภาวะความเครียด ความ กดดัน

มะเร็งผิวหนัง เป็นมะเร็งที่พบได้น้อย ประมาณร้อยละ 5 ของมะเร็งทั้งหมด มักพบในผู้ที่มีอายุมาก กว่า 40 ปี และพบ ในเพศชายมากกว่าเพศหญิง สาเหตุ ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่พบว่าการระคายเคืองต่อผิวหนังเป็นระยะเวลานานๆ เป็นสาเหตุ ให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้ เช่น 1. แสงแดดและแสงอุลตราไวโอเลต พบว่า ผิวหนังส่วนที่ถูกแสงแดด เป็นระยะเวลา นานๆ จะมีโอกาสเป็นมะเร็งมากกว่าส่วนอื่น 2. ยาที่มีส่วนประกอบของสารหนู ทั้งยาจีน ยาไทย เมื่อรับประทานนาน ๆ จะทําให้ เป็นโรคผิวหนังและกลายเป็นมะเร็งในที่สุด 3. หูด ไฝ ปาน หรือแผลเรื้อรังที่มีการระคายเคืองเป็นเวลานานๆ อาจกลายเป็นมะเร็ง ได้ อาการ ส่วน ใหญ่เริ่มจากมีการเปลี่ยนแปลงของไฝ ปาน หรือเริ่มต้นเป็นแผลเล็ก ๆ แล้วค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้น ขรุขระ อาจมีสีดําที่ขอบ ๆ และเมื่อเป็นมาก จะเป็นก้อนคล้ายดอก กระหล่ําปลี มะเร็งผิวหนังส่วนใหญ่มักพบที่บริเวณใบหน้า แขน ขา ฝ่ามือ ฝ่าเท้า และ


ลําตัว การตรวจวินิจฉัย ทําได้โดยการตรวจร่างกาย และตัดชิ้นเนื้อไปตรวจดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ การรักษา ขึ้น อยู่กับชนิด ขนาด และตําแหน่งของมะเร็ง แพทย์อาจใช้วิธีการผ่าตัดเอาส่วนที่เป็น มะเร็งออก ซึ่งบางครั้งต้องตัดต่อมน้ําเหลืองที่เป็นทางกระจายของมะเร็งออกด้วย การ ใช้ยาเคมีและรังสีรักษาเสริมการผ่าตัด จะทําให้มีโอกาสหายขาดมากขึ้น การป้องกัน 1.ไม่ควรให้ผิวหนังถูกแสงแดดจนไหม้เกรียม 2.ระมัดระวังการใช้ยาที่เข้าสารหนู 3.สังเกตความเปลี่ยนแปลงของหูด ไฝ ปาน 4. แผลเรื้อรังที่ผิวหนัง รักษาแล้วไม่ดีขึ้นภายใน 2 สัปดาห์ ควรพบแพทย์

การตรวจค้นหามะเร็งระยะเริ่มแรก การ ตรวจค้นหามะเร็งระยะเริ่มแรก เป็นการตรวจร่างกายของบุคคลที่มีสุขภาพสมบูรณ์ ที่ไม่มี อาการผิดปกติใด ๆ เพื่อค้นหามะเร็งตั้งแต่ระยะเพิ่งเริ่มก่อตัว ซึ่งสามารถจะบําบัดรักษาให้หายได้ค่ะ หลักการตรวจค้นหามะเร็งในระยะเริ่มแรก มีหลักการที่สําคัญคือ 1. การสอบถามประวัติโดยละเอียด 2. การตรวจร่างกายโดยละเอียด 3. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ


1. การสอบถามประวัติโดยละเอียด มีความสําคัญเพราะว่าประวัติต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับท่าน อาจเป็น แนวทางเบื้องต้นที่ช่วยในการวินิจฉัยได้ เช่น ประวัติส่วนตัว อุปนิสัยและความเป็นอยู่ส่วนตัวของแต่ละบุคคลก็อาจเป็นเหตุ ส่งเสริมให้เกิดโรคมะเร็งบางชนิด เช่น 

ผู้ที่สูบบุหรี่มาก ๆ เป็นระยะเวลานาน ๆ จะมีโอกาสเป็นมะเร็งปอดมากกว่าผู้ที่ไม่ สูบบุหรี่ ผู้ที่มีประวัติการร่วมเพศตั้งแต่อายุน้อย มีประวัติสําส่อนทางเพศ, หรือผู้มีบุตรมาก จะมีโอกาสเป็นมะเร็งปากมดลูกได้มาก ประวัติครอบครัว มะเร็ง ส่วนใหญ่ไม่ใช่โรคที่สืบเนื่องโดยตรงเกี่ยวกับพันธุกรรม แต่มะเร็งบางชนิดมีความโน้มเอียงที่จะเกิดในพี่น้องครอบครัวเดียวกัน เช่น มะเร็ง ตาบางประเภทมะเร็งเต้านม เป็นต้น ประวัติสิ่งแวดล้อม ปัจจุบัน นี้ยังไม่ทราบแน่นอนว่า มะเร็งเกิดจากสาเหตุใด แต่ก็มี ข้อสังเกตว่า สิ่งแวดล้อมบางอย่าง อาจเป็นเหตุส่งเสริมให้เกิดโรคมะเร็งบางชนิด ได้ เช่น ผู้ที่ทํางานเกี่ยวกับสารกัมมันตภาพรังสีในระยะเวลานาน ๆ อาจเป็น โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว มากกว่าผู้ที่ประกอบอาชีพอื่น เป็นต้น ประวัติเกี่ยวกับอาการเจ็บไข้ต่าง ๆ เช่น

     

เป็นตุ่ม ก้อน แผล ที่เต้านม ผิวหนัง ริมฝีปาก กระพุ้งแก้มหรือที่ลิ้น ตกขาวมาก หรือมีเลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติ เป็นแผลเรื้อรังหายยาก ท้องอืด เบื่ออาหาร ผอมลงมาก หูด หรือปานที่โตขึ้นผิดปกติ เสียงแหบอยู่เรื่อย ๆ ไอเรื้อรัง


การเปลี่ยนแปลงของระบบการขับถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะผิดไปจากปกติ 2. การตรวจร่างกายโดยละเอียด เป็น สิ่งสําคัญที่ช่วยในการวินิจฉัยโรค ในด้านการปฏิบัติแพทย์ไม่ สามารถจะตรวจร่างกายได้ทุกอวัยวะทุกระบบโดยครบถ้วน จึงมีหลักเกณฑ์ว่า ในการตรวจ ร่างกายทั่วไป เพื่อตรวจหามะเร็งระยะเริ่มแรกนั้น ควรตรวจอวัยวะต่าง ๆ เท่าที่สามารถจะตรวจ ได้ดังต่อไปนี้  ผิวหนัง และเนื้อเยื่อบางส่วน  ศีรษะ และคอ  ทรวงอก และเต้านม  ท้อง  อวัยวะเพศ  ลําไส้ใหญ่ส่วนล่าง และทวารหนัก 3. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ และการตรวจอื่น ๆ 

1. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ มีประโยชน์ที่จะช่วยในการตรวจค้นหา การวินิจฉัย การ รักษารวมทั้งการตรวจติดตามผลการรักษาโรคมะเร็งด้วยค่ะ การตรวจได้แก่ o o o

การตรวจเม็ดเลือด การตรวจปัสสาวะ, อุจจาระ การตรวจเลือดทางชีวเคมี

2. การตรวจเอกซเรย์ มีประโยชน์ในการวินิจฉัยและการรักษาโรคมะเร็งบางชนิด ซึ่งมี วิธีการหลายอย่าง เช่น o o o

การเอกซเรย์ปอด เป็นวิธีการพื้นฐานอย่างหนึ่ง ในการตรวจสุขภาพ การเอกซเรย์ทางเดินอาหาร ในรายที่มีปัญหาของระบบทางเดินอาหาร การตรวจเอกซเรย์เต้านม เป็นการตรวจลักษณะก้อนผิดปกติทเี่ ต้านม


3. การตรวจทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์ หลัก สําคัญในการตรวจคือ ให้ผู้ป่วยกลืน, ฉีดสาร กัมมันตภาพรังสีบางชนิด สารดังกล่าวจะไปรวมที่อวัยวะบางส่วน แล้วถ่ายภาพตรวจการ กระจายของสารกัมมันตภาพรังสีนั้น ๆ เช่น การตรวจเนื้องอกของต่อมไทรอยด์, สมอง, ตับ, กระดูก เป็นต้น 4. การตรวจโดยใช้เครื่องมือพิเศษ เพื่อตรวจลักษณะเยื่อบุภายในของ อวัยวะบางอย่าง เช่น หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลําไส้ หลอดลม เป็นต้น 5. การตรวจ ทางเซลล์วิทยา และพยาธิวิทยา เป็นวิธีการตรวจหามะเร็งในระยะเริ่มแรกของอวัยวะต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น o o

การขูดเซลล์จากเยื่อบุอวัยวะบางส่วน เช่น ปากมดลูก, เยื่อบุช่องปาก เป็นต้น เก็บเซลล์จากอวัยวะบางส่วน เช่น ในช่องคลอด ในช่องปอด ในช่องท้อง เป็นต้น

การ ตรวจเนื้อเยื่อทางพยาธิวิทยา เป็นการตรวจที่สําคัญที่สุดในการวินิจฉัยโรคมะเร็ง โดย การตัดเนื้อเยื่อ แล้วนําไปตรวจละเอียดโดยกล้องจุลทรรศน์ อนึ่ง โรคมะเร็งอาจเกิดแก่อวัยวะต่าง ๆ กัน มะเร็งบางชนิดอาจตรวจวินิจฉัยได้ง่ายบางชนิด ตรวจวินิจฉัยได้ยาก แต่มีข้อสังเกตว่า มะเร็งที่พบได้บ่อย ๆ ในประเทศของเรา เช่น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม มะเร็งช่องปาก เป็นโรคที่อาจตรวจวินิจฉัยได้ไม่ยาก ถ้าสนใจตรวจสุขภาพเป็นประจําดังที่ กล่าวแล้วค่ะ การตรวจค้นหามะเร็งระยะเริ่มแรกนั้นมีประโยชน์เป็นอย่างมาก เพราะมะเร็งระยะเริ่มต้น อาจรักษาได้ผลดีมาก จนหายได้ค่ะ ------------------------------

หมายเหตุ ข้อมูลทั้งหมดนี้บางส่วนได้มาจากwebsiteที่ทําการเผยแพร่ในโลกออนไลย์ที่ เราได้รวบรวมมาให้อ่านกันครับ


สารหนู ไต้หวัน-- -- หญิงคนหนึ่งเลือดออกทางทวารทั้ง 7 โดยไม่รู้สาเหตุ เสียชีวิตในข้ามคืนเดียว จากการ ชันสูตรศพเบื้องต้น ลงความเห็นว่าตายเพราะพิษสารหนู แล้วสารหนูมาจากไหนล่ะ ตํารวจเริ่ม สืบสวนในวงกว้าง และเชิญศาสตราจารย์ ทางนิติเวชมาร่วมคลี่คลายคดี ศาสตราจารย์ตรวจวิเคราะห์ สิ่งตกค้างในกระเพาะ ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็เปิดโปงสาเหตุการตายฉับพลัน "ผู้ตายไม่ได้ฆ่าตัวตายไม่ได้ ถูกลอบสังหารแต่ตายเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ถูก มันฆ่า" ศาสตราจารย์ฟันธง ผู้คนงงเป็นไก่ตาแตก อะไรคือ"มันฆ่า"แล้วสารหนูมาจากไหน ศาสตราจารย์กล่าวว่า สารหนู เกิดในกระเพาะผู้ตาย ผู้ตายกินวิตามินซีทุกวัน นี่ไม่ใช่ปัญหา ปัญหาอยู่ที่เธอกินกุ้งจํานวนมากในมื้อ เย็น กินกุ้งโดยลําพังก็ไม่มีปัญหา คนในบ้านกินกันก็ไม่เห็นเป็นไร แต่ผู้ตายกินวิตามินซีพร้อมกันด้วย ปัญหาจึงเกิดตรงนี้แหละ นักวิจัยมหาวิทยาลัยชิคาโก เคยทําการ ทดลอง พบว่าสัตว์เปลือกอ่อนเช่นกุ้งมีสารประกอบอาเซนิกเข้มข้นในปริมาณสูง สารประกอบชนิดนี้เข้าไปอยู่ในร่างกายก็ไม่มีพิษภัยอะไร แต่เมื่อรับประทานวิตามินซีพร้อมกัน จะ เกิดปฏิกิริยาทางเคมี ทําให้สารประกอบเดิมที่มีสูตรเคมี As2O5 หรืออาเซนิก เพนตะออกไซด์ซึ่งไม่ มีพิษ กลายเป็นสารประกอบที่มีสูตรเคมี As2O3 หรืออาเซนิกไตรออกไซด์ ซึ่งมีพิษ หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่าสารหนูนั้นเอง พิษสารหนูจะทําให้การทํางานของเส้นโลหิตฝอยและเอนไซม์ของซัลฟีดรีลขัดข้อง เกิด อาการเลือดคั่งในหัวใจ ตับ ไต และลําไส้ เซลล์ผิวหนังตายด้าน เส้นโลหิตฝอยขยายตัว ดังนั้น ผู้ที่รับ พิษจนตาย จะมีเลือดออกทางทวารทั้งเจ็ด เพราะฉะนั้น ในระยะที่รับประทานวิตามินซี ต้องงดกิน อาหารประเภทกุ้ง เพื่อความไม่ประมาท


โรคแบคทีเรียกินเนื้อคน โรคแบคทีเรียกินเนื้อคน หรือโรคเนื้อเน่า Necrotizing fasciitis เป็นการติดเชื้อแบคทีเรียที่ เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังได้แก่ไขมันใต้ผิวหนัง พังผืด และกล้ามเนื้อ พบไม่บ่อย แต่มีความรุนแรงมากซึ่ง อันตรายถึงกับชีวิตหากรักษาไม่ทัน เชื้อจะทําลายเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง กล้ามเนื้อ หากท่านเป็นคนแข็งแรง มีภูมิปกติ และมีการดูแลแผลอย่างถูกต้องโอกาศที่จะเป็นโรคนี้จะน้อย สาเหตุ เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่เรียกว่า Streptococcus หรือ ที่เรียกว่าแบคทีเรียกินเนื้อคน เมื่อเชื้อเข้าสู่เนื้อเยื่อโดยผ่าน ทางแผลเล็กที่ผิวหนัง เชื้อจะเจริญอย่างรวดเร็วและหลัง่ สารพิษที่เรียกว่า Toxin ซึ่งจะทําลายเนื้อเยื่อ และทําให้ เลือดมาเลี้ยงบริเวณนั้นไม่พอ เมื่อกล้ามเนื้อตาย เชื้อจะเข้า กระแสเลือดและลามไปทั่วร่างกาย อาการของโรค จะสงสัยว่าเป็นโรคเนื้อเน่าหรือแบคทีเรียกินเนื้อคนเมื่อมีอาการดังต่อไปนี้ 

  

มีอาการปวดแขนณที่เป็นโรคอย่างมากไม่สอดคล้องกับสิ่งที่เห็น เช่นมีผื่นที่ผิวหนังขาหรือบริเว/ เล็กน้อย โรคเนื้อเน่าเกิดกับส่วนใดๆของร่างกายก็ได้ แต่พบบ่อยที่ แขนขา บริเวณฝีเย/็บ และลําตัว มักจะมีปะวัติได้รับอุบัติเหตุ ไปเที่ยวทะเล ถูกก้างปลา อาการจะเริ่มจากมีก้อนซึ่งเจ็บขึ้นที่ผิวหนัง ก้อนนั้นโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และเปลี่ยนเป็นสีออกม่วงและมี อาการปวดมาก


 

บริเวณรอบของก้อนจะกลายเป็นเนื้อตายมีสีดํา ผิวจะแยกออก และมีน้ําเหลือไหลออกมา

อาการทั่วไป      

ไข้สูง หนาวสั่น คลื่นไส้อาเจียน เหงื่อออก เป็นลม ช็อกหมดสติ

อาการของโรคแบ่งตามระยะเวลาที่เกิดโรค อาการของโรคเนื้อเน่าตั้งแต่วันที1่ -2 

 

  

จะมีอาการปวดบริเวณที่เกิดโรค บวม และแดง ลักษณะจะคล้ายกับผิวหนังอักเสบ หรือไฟลาม ทุ่ง แต่โรคเนื้อเน่าเกิดในชั้นลึกซึ่งมองไม่เห็น อาการปวดจะรุนแรงมากขึ้นซึ่งไม่สอดคล้องกับอาการทางผิวหนังที่ตรวจพบ ขอบเขตของโรคไม่ชัดเจน พบว่าบริเวณที่กดเจ็บจะกว่ากว่าบริเวณผื่นผิวหนังอักเสบจะกดเจ็บ( )เฉพาะบริเวณผื่น ไม่ตอบสนองต่อยาปฏิชีวนะ ไม่ค่อยมีท่อน้ําเหลืองอักเสบ ผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีอาการไข้ ครั่นเนื้อครั่นตัว หัวใจเต้นเร็ว มีลักษณะขาดน้ํา

อาการของโรคเนื้อเน่าวันที2่ -4  

พบว่าบริเวณที่บวมจะกว้างกว่าบริเวณผิวหนังที่แดง มีผื่นพุพองซึ่งบ่งบอกว่าผิวหนังขาดเลือด และมีเลือดออกในพุพองซึ่งไม่พบในผู้ป่วยผิวหนัง( )อักเสบ


    

ผิวจะมีสีออกคล้ําเนื่องจากผิวหนังเริ่มตาย เมื่อกดผิวหนังจะพบว่าแข็ง ไม่สามารถคล้ําขอบเขตของกล้ามเนื้อ)ต่างจากผิวหนังอักเสบ( อาจจะคลําได้กรอบแกรบใต้ผิวหนังเนื่องจากเกิดก๊าซใต้ผิวหนัง อาการปวดอาจจะมากหรืออาจจะไม่ปวดเนื่องจากเส้นประสาทเริ่มตาย หากมีแผลจะพบว่าแผลจะแยกง่ายเลือดไม่ค่อยไหล

อาการของโรควันที4่ -5  

จะมีความดันโลหิตต่ํา และมีภาวะโลหิตเป็นพิษ ผู้ป่วยจะไม่ค่อยรู้สึกตัว

ความสําคัญของโรคแบคทีเรียกินเนื้อคน หรือโรคเนื้อเน่า Necrotizing fasciitis 

โรคนี้วินิจฉัยในระยะเริ่มต้นของโรคยาก เพราะจะมีอาการเหมือนกับโรคผิวหนังอักเสบ cellulitis อาการที่สําคัญที่ทําให้คิดถึงโรคนี้ได้แก่ อาการไข้สูง อาการปวด และกดเจ็บบริเวณแผล อาการ ของผู้ป่วยมากกว่าที่ตรวจพบ จะมีผื่นพุพอง และผิวหนังบริเวณที่เกิดโรคจะมีสําคล้ําม่วงๆซึ่งไม่พบในผู้ป่วยโรคผิวหนัง( อักเสบ cellulitis) หากพบอาการดังกล่าวจะต้องรีบให้การรักษาทันที

เชื้อที่เป็นสาเหตุโรคแบคทีเรียกินเนื้อคน หรือโรคเนื้อเน่า Necrotizing fasciitis ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย แต่สามารถแบ่งได้ดังนี้ 

Type 1 -เกิดจากเชื้อแบคทีเรียหลายชนิดทั้งที่ใช้ออกซิเจน aerobic และไม่ใช้ ออกซิเจน anaerobic bacteriaการติดเชื้อนี้มักพบในผู้ป่วยที่ภูมิคุ้มกันไม่ดี หรือมี โรคเรื้อรัง Type 2 -เกิดจากเชื้อ Group A streptococcus (GAS):เป็นการติดเชื้อกับ คนที่แข็งแรง


Type 3 - เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชนิด Gram-negative monomicrobial infection: o เช่น Vibrio spp. และ Aeromonas hydrophila, กลุ่มนี้มักจะเกิดติด เชื้อกับผู้ป่วยที่เป็นโรคตับโดยเชื้อจะเข้าตามผิวหนัง ที่มีแผลเดิม หรือแผลถูกตํา o การติดเชื้อนี้จะรุนแรงและเสียชีวิตใน 48 ชั่วโมง Type 4 -เกิดจากเชื้อราได้แก่: o Zygomycetes ติดเชื้อหลังจากเกิดแผล หรือไฟไหม้. o เชื้อ Candidal infectionเกิดในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกัยบกพร่อง o อัตราการเสียชีวิตสูงเช่นกัน

ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคแบคทีเรียกินเนื้อคน หรือโรคเนื้อเน่า Necrotizing fasciitis

ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคเนื้อเน่าได้แก่  

 

ผิวหนังมีแผลจากแมลงกัดต่อย อุบัติเหตุถูกของมีคมตําหรือบาด แผลผ่าตัดS มีโรคประจําตัวเช่น ติดสุรา ติดยาเสพติด โรคตับ โรคไต โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง โรคภูมิคุ้มกัน บกพร่อง วัณโรค อาจจะเกิดหลังจากป่วยเป็นโรคไข้สุกใส มีการใช้ยา Steroid

การวินิจฉัยโรคแบคทีเรียกินเนื้อคน หรือโรคเนื้อเน่า Necrotizing fasciitis โรคนี้วินิจฉัยได้โดยประวัติ การตรวจร่างกาย แพทย์จะเจาะเลือดตรวจเลือดทั่วไป เคมีของเลือด เพาะ เชื้อจากเลือด เพื่อเตรียมผ่าตัด หากสงสัยให้ผ่าตัดทันทีซึ่งจะพบลักษณะสําคัญคือ จะมีเนื้อตายสีเทา เลือดไม่ค่อยไหล เส้นเลือดอุดตัน เนื้อเยื่อแยกจากกันง่าย


การตรวจวินิจฉัยโรคแบคทีเรียกินเนื้อคน หรือโรคเนื้อเน่า Necrotizing fasciitis 

การตรวจเลือดจะพบว่า เม็ดเลือดขาวสูง เลือดมีความเป็นกรด โปรตีนในเลือดต่ํา ไตทํางาน เสื่อม o เม็ดเลือดขาวมากกว่า >15.4 x 109/L. o เกลือแร่โซเดี่ยมต่ํา 135 mmol/L. o Raised CRP ( >16 mg/dL). o Raised CK level (>600 U/L). o Urea >18 mg/dL. Microbiology: o เจาะเลือดเพื่อเพาะเชื้อ o นําหนองจากแผลไปเพาะเชื้อ o นําหนองไปย้อมหาเชื้อโรค o เพาะหาเชื้อรา การตรวจทางรังสี o การ x-ray หรือ CT หรือ ultrasound อาจจะพบก๊ายในเนื้อเยื่อ

การรักษาโรคแบคทีเรียกินเนือ้ คน หรือโรคเนื้อเน่า Necrotizing fasciitis ความสําคัญของการรักษาอยู่ที่การวินิจฉัยให้เร็ว และผ่าตัดเอาเนื้อที่ตายหรือเนื้อที่ติดเชื้อออกให้มาก ที่สุด 

  

จะต้องได้รับยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดทันทีที่วินิจฉัยได้ ในระยะแรกควรจะครอบคลุ่มเชื้อที่ เป็นสาเหตุเมื่อได้ผลเพาะเชื้อจึงเปลี่ยนยา ปฏิชีวนะตามผลเพาะเชื้อ ผ่าตัดเพื่อระบายเอาหนองออก และตัดเนื้อเยื่อที่ตาย หากติดเชื้อรุนแรงอาจจะจําเป็นต้องตัดอวัยวะนั้นออก จะต้องให้น้ําเกลืออย่างเพียงพอ


ผลการรักษา ขึ้นกับปัจจัยดังต่อไปนี้     

การวินิจฉัย หากวินิจฉัยได้เร็ว และให้การรักษาเร็วก็จะให้ผลการรักษาดี สุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย ตัวเชื้อแบคทีเรีย การแพร่กระจายของเชื้อ ประสิทธิภาพของการรักษา

โรคแทรกซ้อนของโรคเนื้อเน่าหรือแบคทีเรียกินเนื้อคน    

อัตราการเสียชีวิตจะสูง เกิดภาวะโลหิตเป็นพิษ การติดเชื้ออาจจะทําให้เส้นประสาท กล้ามเนื้อและหลอดเลือดถูกทําลาย อาจจะต้องตัดอวัยวะทิ้ง

การป้องกันโรคเนื้อเน่า การป้องกันการติดเชื้อ Group A streptococcal infection (GAS)มีดังนี้  

ผู้ที่สัมผัสผู้ป่วยทุกรายควรจะได้รับข้อแนะนําการปกฺบัติตัว และอาการของโรค การให้ยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันจะให้ในกรณี o ทารกหรือแม่ที่คนใดคนหนึ่งติดเชื้อ invasive GAS. o ผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดและมีอาการของการติดเชื้อ เช่นเจ็บคอ ไข้ ติดเชื้อผิวหนัง o สมาชิกในครอบครัวควรจะได้ยาปฏิชีวนะหากมีสมาชิกในครอบครัวปวดด้วยโรคนี้ มากกว่า2คนใน 1 เดือน Penicillin V เป็นยาที่นิยมให้เพื่อป้องกัน หากแพ้ยา penicillin ก็ใช้ยา azithromycin แทน


การดูแลแผล การดูแลแผลจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการป้องกันโรคเนื้อเน่า  

 

เมื่อเกิดแผลแม้ว่าจะเล็กน้อยต้องรีบทําความสะอาดแผลด้วยน้ําสะอาดจนแผลสะอาด จะต้องทําความสะอาดแผลทุกวัน และใช้อุปกรณืทําแผลที่สะอาด และปิดแผล จนกระทั่งแผล หายสนิท ระหว่างที่มีแผลพยายามหลีกเลี่ยงการใช้สระน้ําร่วมกัน การใช้อ่างอาบน้ํา ล้างมือทุกครั้งก่อนและหลังสัมผัสแผล

โรคภูมิแพ้ มีคนไม่น้อยที่ผจญกับอาการ โรคภูมิแพ้ แต่มีเพียงไม่มากที่รักษาอย่างจริงจัง มารู้จักและรู้วิธีอยู่ ร่วมกับ "โรคภูมิแพ้" น้ําฝน ยิ้มหน้าบานทันทีที่เห็นแฟนหนุ่มหอบดอกไม้ช่อโตมาเซอร์ไพรส์ถึงออฟฟิศ คงเป็น อย่างที่นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมว่าไว้ "เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว" เพราะเพื่อนสาวที่นั่งโต๊ะข้างๆ ออกอาการฟึดฟัด หน้าตาแดงก่ํา น้ําหูน้ําตาไหล ให้เห็นต่อหน้าต่อตา ไม่ใช่อิจฉาหรอกนะ แต่เธอแพ้ เกสรดอกไม้ต่างหาก แสดงอาการคนขี้แพ้ตั้งแต่ชายหนุ่มยังไม่เดินออกมาจากลิฟต์ "โรคภูมิแพ้ เป็นมหันตภัยที่อาจเกิดกับคนใกล้ตัว ใน 5 คนจะพบคนเป็น โรคภูมิแพ้ ถึง 2 คน ถือว่าชุกชุมพอสมควร" รศ.พญ.จรุงจิตร์ งามไพบูลย์ จากภาควิชากุมารเวช คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กําลังจะมาบอกวิธีเอาชนะให้คนขี้แพ้ อาการแสดงออกของ โรคภูมิแพ้ ที่พบมากคือ หอบหืด เกิดจากการได้รับสารก่อ ภูมิแพ้ บาง ชนิดเข้าไปทางหลอดลม และคนที่ร่างกายรับรู้สิ่งแปลกปลอมได้เร็วกว่าปกติ ร่างกายจะกระตุ้น ภูมิคุ้มกันฟูมฟายออกมาต่อต้านสารดังกล่าว และเกิดการอักเสบ มีเสมหะ น้ํามูก และน้ําเหลือง บริเวณ หลอดลม ทําให้หายใจลําบาก


โรคภูมิแพ้ จะถูกแบ่งตามอาการที่เกิดขึ้นกับอวัยวะ เช่น โพรงจมูกอักเสบจาก ภูมิแพ้อากาศ หอบหืด โรคภูมิแพ้ ผิวหนัง รวมถึงปฏิกิริยาแพ้รุนแรงที่เกิดจากการแพ้ยา แมลงกัดต่อย และแพ้อาหาร บางชนิด ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นโรคที่เข้าข่าย โรคภูมิแพ้ ทั้งสิ้น อาการของ โรคภูมิแพ้ มีตั้งแต่ ไอ จาม หอบหืด ไปจนถึงหลอดลมอุดตัน และเสียชีวิตก็มี คน ที่ดูภาพยนตร์เรื่องเดอะ ดาวินชี โค้ด อาจงงตอนใกล้จบเรื่องที่ผู้ร้ายสมรู้ร่วมคิดคนหนึ่ง หยิบเหล้ามาดื่มแล้วชัก ดิ้นชักงอ แต่ผู้ร้ายตัวจริงกลับดื่มแล้วไม่เป็นไร เหล้าน่ะไม่มียาพิษหรอก แต่ ผู้ร้ายที่กระดกเหล้าแล้วตายแหงแก๋ เป็นเพราะเขาแพ้เนยถั่วอย่างแรง เหล้ากระปุกนั้นใส่ถั่วไว้ (รสชาติ คงพิลึก) บางคนแพ้ช็อกโกแลต เลยอดลิ้มรสชาติแสนอร่อยของขนมหวานมหัศจรรย์ บางคนแพ้กุ้งแพ้ ปูก็น่าสงสาร ของอร่อยทั้งนั้น บ้างก็แพ้หอมหัวใหญ่ เพราะฉะนั้นถ้ารู้ตัวว่าแพ้อะไรยิ่งต้องระวังให้ดี ผู้ป่วยที่เสียชีวิตด้วย โรคภูมิแพ้ ส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่ สาเหตุหลักมาจากความประมาท ไม่ ดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากปัจจัยก่อ โรคภูมิแพ้ รวมถึงกรณีที่ใช้ยาพ่น ขยายหลอดลมในยามคับขันไม่ ถูกวิธี ทําให้ยาไม่ลงไปถึงหลอดลม และเสียชีวิตในที่สุด "ปัจจุบันการเสียชีวิตจากอาการ ภูมิแพ้ จะลดลงมาก เนื่องจากมียาช่วยชีวิตไว้ทันเวลา แต่ โรคภูมิแพ้ ก็ ยังไม่หมดไป และยังคงความรุนแรงจนถึงขัน้ ทําให้เสียชีวิตอยู่เหมือนเดิม หรือเป็น เจ้าชายนิทรา เนื่องจากไม่ดูแลตัวเอง ไม่กินยา แถมบางคนยังคงสูบบุหรี่จัด" ผู้เชี่ยวชาญ โรคภูมิแพ้ กล่าว ปัจจัยที่ทําให้เกิดสารก่อ ภูมิแพ้ ติดอันดับหนึ่งคือ ไรฝุ่น ที่พบมากในที่นอน รองลงมาเป็น โรคภูมิแพ้ จากแมลงสาบ ขนสัตว์ ไปจนถึงละอองเกสรและดอกหญ้า ซึ่งล้วนกระตุ้นอาการ โรคภูมิแพ้ ได้เช่นกัน คนที่เป็น โรคภูมิแพ้ จะรับรู้สิ่งแปลกปลอมได้ไวกว่าปกติ หรือที่เรียกว่า จมูกไว ไม่ว่าจะ อากาศเปลี่ยน ฝนตก ได้กลิ่นควันบุหรี่ กลิ่นดอกไม้ ก็จะสามารถรับรู้ได้ไวกว่าคนปกติ อาการเริม่ ต้นที่ แสดงออกของ โรคภูมิแพ้ คือ ไอ ซึ่งเป็นอาการนําของการจับหืด เมื่อลองเงี่ยหูฟังจะได้ยินเสียงวี้ด ขณะหายใจ เกิดจากหลอดลมถูกบีบรัด เนื่องจากมีเสมหะสะสมอยู่โดยไม่ทันตั้งตัว อาการดังกล่าวจะ หายไปได้หากใช้ยาพ่นขยายหลอดลม


"อาการ หอบหืด จาก ภูมิแพ้ เกิดขึ้นได้เมื่ออากาศเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเวลากลางคืนที่มี โอกาสสัมผัสกับสารก่อ ภูมิแพ้ ใกล้ตัว คือที่นอน นอกจากนี้ความกังวล อาการเครียด บางครั้งในเด็กที่ หัวเราะมากๆ วิ่งเล่นมากๆ ก็พบเห็นอาการ หอบหืด เช่นกัน" คุณหมอกล่าว แม้ การออกกาลังกายจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง และช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน แต่ในกรณีของผู้ป่วย หอบหืด และยังไม่ได้รับการรักษา การออกกาลังกายเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทาให้อาการกาเริบได้ ผู้ป่วยส่วน ใหญ่เลือกที่จะซื้อยากินและยาพ่นมาใช้เอง โดยไม่ปรึกษาแพทย์ก่อน ทาให้มีโอกาสเสี่ยงสูงต่อชีวิต ขณะที่อาการจับหืดกาเริบรุนแรง หากใช้ยาไม่ถูกวิธี หากผู้ป่วยสงสัยว่าตนเองเข้าข่าย โรคภูมิแพ้ โดยเฉพาะในเด็ก ควรรีบมาพบแพทย์ เพื่อ ซักถามประวัติ และหาสาเหตุของสารระคายเคืองชนิดที่แพ้ ซึ่งแพทย์จะตรวจเลือด เอกซเรย์ปอด และ ทดสอบผิวหนัง (skin test) หรือทดสอบหยดสารระคายเคืองชนิดต่างๆ ลงบนผิวหนัง เพื่อสังเกต อาการที่เกิดขึ้น เช่น ตุ่มแดง หรือผื่นคัน ซึ่งจะช่วยบอกผู้ป่วยได้ว่าแพ้อะไร และควรจะดูแลตัวเอง อย่างไรให้ห่างไกลจากสารก่อภูมิแพ้ คนที่โพรงจมูกอักเสบจาก โรคภูมิแพ้ พร้อมกับอาการหอบหืด โดยจากสถิติพบเกิดอาการ ร่วมกันประมาณ 50-80% จําเป็นต้องรักษา 2 อาการไปพร้อมกัน ที่ผ่านมา คนไทยสนใจรักษา ตัวเองจากโรคภูมิแพ้น้อย บ้างอ้างว่าไม่มีเวลา ทําให้การรักษาไม่ได้ผลเท่าไหร่ จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทําไมจึงยังมีผู้เสียชีวิตจาก โรคภูมิแพ้ อยู่บ่อยครั้ง แพทย์หญิงจรุงจิตร์กล่าวและเตือนด้วยว่า การซื้อยามาพ่นเองเป็นประจา อาจทาให้เกิดการใช้ ยาเกินความจาเป็น และดื้อยาในที่สุด ยาสเตรียรอยด์บางชนิด หากใช้มากเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อ การเจริญเติบโต และความคิดตัดสินใจได้เช่นกัน ปัจจุบันแพทย์สนับสนุนให้ผู้ป่วย โรคภูมิแพ้ ใช้ยา 2 ชนิดร่วมกันเพื่อลดการใช้สเตรียรอยด์


โดย : นายแพทย์ทีปทัศน์ ชุณหสวัสดิกุล สําหรับเนื้อหาที่นํามาบรรยายในหัวข้อนี้เป็นประสบการณ์ที่ศูนย์ธรรมชาติบําบัด บัลวี ได้ใช้ในการ ดูแลผู้ป่วยเบาหวานมาระยะเวลาหนึ่ง เป็นการดูแลรักษาโดยใช้ธรรมชาติบําบัด ก่อนอื่นขอปูพนื้ สักนิด เรื่องเบาหวาน เป็นข้อมูลเชิงการแพทย์ เบาหวานคืออะไร เบาหวาน ภาษาทางการแพทย์เรียกว่า “Diabetes Melitus” เป็นโรคที่มีความ ผิดปกติของการนําน้ําตาลไปใช้เป็นพลังงาน (Glucose Utilization) ซึ่งจริงๆ แล้ว สามารถแบ่งแยกย่อยได้หลายชนิด ทางการแพทย์มี 5-6 ชนิด แต่ที่รู้จักกันมี 2 ชนิด คือ 1. DM type I ซึ่งพบน้อยประมาณ 10% 2. DM type II พบประมาณ 90% ความแตกต่างระหว่างเบาหวาน 2 ชนิด DM type I เบาหวานชนิดที่หนึ่ง เป็นความผิดปกติของการสร้างฮอร์โมนที่เรียกว่า อินซูลิน (Insulin) คือไม่สามารถสร้างได้ เนื่องจากเซลล์ทอี่ ยู่ในตับอ่อนหรือ Beta cell ถูกทําลาย ฉะนั้นการรักษาในทางการแพทย์ตะวันตก เนื่องจากไม่มีอินซูลิน จึงต้องใช้ อินซูลินฉีดเข้าไปเพื่อทดแทน DM type II เบาหวานชนิดที่สอง พบมากกว่าและปัญหาทางด้านสาธารณสุข เนื่องจากมี ความผิดปกติทางร่างกายที่ทําให้มีภาวะดื้อต่ออินซูลิน พูดง่ายๆ ก็คือ ร่างกายยังผลิตอินซูลินได้ บ้าง แต่ว่าอินซูลินที่ผลิตออกมานั้นร่างกายไม่สามารถตอบสนองต่อฤทธิ์ของมันได้ ฉะนั้นการ รักษาเบาหวานประเภทนี้ใช้ได้ 2 แบบ คือ 1. ใช้ในการฉีดอินซูลินเข้าไปทดแทน ในกรณีที่อินซูลินแทบจะทํางานไม่ได้ 2. ใช้การกินยาเข้าไป อย่างที่คุณหมอเทวัญฯ ได้เกริ่นนําไปแล้ว การกินยามีหลายชนิด มีชนิด หนึ่งไปกระตุ้นให้อินซูลินทํางานได้ดีขึ้น ลดภาวะการดื้อต่ออินซูลิน หรือเพิ่มการหลั่งอินซูลิน จากเบต้าเซลล์


เป้าหมายหลักของการรักษาเบาหวาน ระดับน้ําตาลที่เราตรวจกัน จริงๆ แล้วไม่ใช่เป้าหมายหลักของการรักษาโรคเบาหวาน แต่ที่เรา กลัวกันเวลาคนเป็นเบาหวานคือ การมีภาวะแทรกซ้อนบางอย่างเกิดขึ้น แบ่งออกได้หลายชนิด 1. Micro vascular Complication หรือภาวะหลอดเลือดขนาดเล็กที่มีปัญหา 2. Macro vascular Complication หรือภาวะหลอดเลือดขนาดใหญ่ที่มี ปัญหา 3. ภาวะของน้ําตาลไม่ถูกนําไปใช้ มีพลังงานเหลือใช้ ร่างกายจะเปลี่ยนไปเป็นไขมัน ทําให้มี ภาวะไขมันในเลือดสูง (Hyperlipidemia) 4. เนื่องจากร่างกายไม่สามารถใช้แหล่งพลังงานหลักได้ คือ น้ําตาล ร่างกายต้องหาแหล่ง พลังงานทดแทน ต้องใช้แหล่งโปรตีน ฉะนั้นคนที่เป็นเบาหวานระยะหนึง่ จะมีปัญหากล้ามเนื้อ ลีบฝ่อลง หรือถ้าเป็นมากมีภาวะเสียสมดุลมากๆ ทําให้เลือดเป็นกรดมาก จะทําให้เกิดภาวะช็อค ได้ เรียกว่า Diabetic ketoacidosis (DKA) หรือ Hyperosmolar coma หมดสติไปได้ 5. นอกจากน้ําตาลที่สูงมากจะมีผลต่อการทํางานเม็ดเลือดขาวบางชนิด ทําให้เกิดภาวะภูมิ ต้านทานด้อยลง (Immunocompromise) ทาไมเราถึงห่วงเรื่อง Micro vascular complication วิธีการอธิบายว่า เบาหวานทําให้เกิดหลอดเลือดเล็กมีปัญหา ต้องดูที่เม็ดเลือดแดง มีลักษณะเป็น แผ่นกลมๆ เหมือนจานเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 7 µm ถ้ามองดูทางข้างเม็ดเลือดแดงจะมี รอยบุ๋มตรงกลาง ทําไมร่างกายจึงออกแบบเม็ดเลือดแดงให้มีรอยบุ๋มตรงกลาง เพราะว่าโดยปกติ เส้นเลือดที่ออกจากหัวใจจะเป็นเส้นเลือดใหญ่ แตกแขนงแยกย่อยลงไป เหมือนรากต้นไม้ พอ ไปถึงบริเวณปลายอวัยวะแขนงนี้จะเล็กมาก เล็กที่สุดเรียกว่า หลอดเลือด Capillary เส้น ผ่านศูนย์กลางแค่ 4 µm หรือ 4 หน่วยเท่านั้น แต่ปลายก่อนถึง Capillary คือ


Arteryo มันจะมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 8-9 µm เทียบกับขนาดเม็ดเลือดแดง เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 7 µm สังเกตว่าส่วนปลายสุดเส้นผ่าศูนย์กลางเม็ดเลือดแดงใหญ่ กว่า ในภาวะปกติเม็ดเลือดแดงมาจากบริเวณเส้นเลือดใหญ่ๆ เข้าไปได้ตรง Arteryo พอไป ถึงคอคอด Capillary มันต้องบีบตัวให้เล็กลงโดยผ่านรอยบุ๋ม บิดตัวทําให้เล็กลงเป็นรูปรีๆ จึงจะสอดตัวเองผ่านเข้าไปใน Capillary ได้ แต่คนที่เป็นเบาหวาน น้ําตาลในเลือดมาก ฉะนั้นน้ําตาลในเลือดจะดองเม็ดเลือดตัวเอง เราเคยเห็นผลไม้แช่อิ่มไหม ถ้านํามากินมันจะ กรอบๆ ไม่นุ่มเหมือนเดิม เม็ดเลือดแดงถูกน้ําตาลในเลือดดองนานๆ เม็ดเลือดแดงจะแข็ง ปัญหา คือเม็ดเลือดแดงเข้าไปใน Capillary ไม่ได้ มันแข็ง ทําให้บริเวณอวัยวะต่างๆ ที่มี หลอดเลือดเล็กๆ มันขาดเลือด เกิดเป็นปัญหาเกิดขึ้น ถ้าเกิดบริเวณปลายมือ ปลายเท้า เส้นเลือด ไปเลี้ยงไม่พอ แผลจะหายยาก เกิดเป็นแผลเรื้อรัง จะพบได้บ่อย คนเป็นเบาหวานต้องตัดนิ้ว ตัด เท้า เพราะเลือดไปเลี้ยงไม่พอ ที่ไตก็เหมือนกัน ในหน่วยไตหลอดเลือดจะเล็กมาก ถ้าเป็น เบาหวาน เลือดไปเลี้ยงที่ไตไม่พอ จะเกิดปัญหาภาวะไตเสื่อม เป็นมากๆ ไตวาย ถ้าบริเวณตา ของเราจอประสาทเล็กไม่แพ้กัน ทําให้เลือดไปเลี้ยงจอประสาทตาไม่พอ ทําให้เกิดการเสื่อมจอ ประสาทตา เรียกว่า “เบาหวานขึ้นตา” บริเวณปลายนิ้วมือ ตัวเส้นประสาทจะเล็ก เส้นประสาทถ้าเส้นเล็กๆ จะมีเส้นเลือดไปเลี้ยงเป็นคู่อยู่ด้วย ทําให้มีปัญหาเรื่องชาตามปลายมือ ปลายเท้าตามมา รวม ไปถึงเส้นประสาทที่อยู่ในลําตัวของเรา ที่เลี้ยงระบบประสาทอัตโนมัติ (ANS neuropathy) ตัวอื่นๆ บางคนมีปัญหา Paralysis of stomach (Gastro paresis) กระเพาะคราก บางคนเป็นเบาหวานจะมีปัญหาการย่อยดูดซึม ท้องอืดบ่อยๆ หรือ บางคนมีปัญหาเรื่องการถ่ายท้อง (Chronic Diarrhea) หรือบางคนเป็น Orthostatic hypotension เวลาเราเปลี่ยนแปลงท่าลุกนั่ง เวลาลุกยืน แรงดึงดูด ของโลกจะดึงตัวเลือดที่ไปเลี้ยงสมองให้ตกลงมาตามแรงดึงดูด แต่ที่เราไม่หน้ามืดเป็นลม เพราะเส้นประสาทของเราไปเลี้ยงหัวใจและหลอดเลือดปรับตัวได้ทัน ทําให้หัวใจบีบตัวแรงขึ้น ทําให้เลือดถูกส่งไปเลี้ยงที่ศีรษะได้ทันเวลายืนขึ้น คนปกติจะไม่มีปัญหา แต่คนที่เป็นเบาหวาน ระบบประสาทเสื่อมจากการที่หลอดเลือดไปเลี้ยงไม่ดี ทําให้มีปัญหาเวลาลุกนั่ง เปลี่ยนจากนั่ง เป็นยืน ปรับตัวไม่ทัน มีอาการโคลงเคลง หน้ามืด ต้องลุกขึ้นยืนซักพักจึงจะอยู่ได้ หรือบางคน


เส้นประสาทที่ไปเลี้ยงกระเพาะปัสสาวะมันบีบตัวไม่ดีมีปัญหาเรื่อง Neutrogena bladder หรือกระเพาะปัสสาวะคราก การบีบตัวได้ไม่ดี

ปัญหาอื่นๆ ที่เกิดจากเบาหวาน นอกจากนี้ ยังเกิดปัญหาหลอดเลือดใหญ่ด้วย (Macro vascular complication) เบาหวานทําให้ไขมันในเลือดสูง จะเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจขาดเลือด เพิ่มความ เสี่ยงต่อการเป็นอัมพฤต อัมพาต ภาวะไขมันในเลือดสูงที่เกิดขึ้นร่วมด้วย จะทํา ให้เกิดหลอด เลือดเสื่อมตัวเร็ว เกิด atherosclerosis ได้ง่ายขึ้น เกิดโรค Peripheral vascular disease เส้นเลือดบริเวณปลายมือปลายเท้าไม่ดี จะมีอาการเส้นเลือดอุดตัน ได้ง่าย ซึ่งหลอดเลือดปกติจะเป็นรูกลมๆ พอมีไขมันในเลือดสูงๆ จะไปเกาะเป็นทาง ทําให้เกิด การอุดตันขึ้น โรค เบาหวานไม่ใช่โรคเดี่ยวๆ ถูกจัดอยู่ในกลุ่มโรค Metabolic Syndrome คือ มี น้ําหนักตัวมาก และมีน้ําตาลในเลือดสูง แต่ก่อนกําหนดว่าเป็นเบาหวานเมื่อน้ําตาลในเลือดเกิน 126 mg% ล่าสุดถ้าตรวจพบน้ําตาลในเลือดมากกว่า 100 mg% แพทย์จะให้ตรวจซ้ํา เนื่องจากมีภาวะเสี่ยงเป็นเบาหวาน บริษัทออริสเตรท บอกว่าน้ําตาลเกิน 100 mg% ทําให้ Oral glucose test มากมีภาวะเสี่ยง จะเริ่มให้กินยาตั้งแต่ยังไม่เบาหวาน Metabolic Syndrome (Syndrome X) เป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากความ ผิดปกติที่มี Insulin-resistant Diabetic คนที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 จะมีภาวะ อื่นๆ ร่วมด้วยเสมอ เช่น โรคความดันในเลือดสูง ไขมันในเลือดสูง หรือโรคอ้วน พวกนี้ความ เสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า เป็นภาวะที่ต้องรักษา เพราะ การใช้พลังงานของร่างกายของเรา เวลาเรากินอาหารเข้าไปเกิดแป้งและน้ําตาล พอกินและดูด ซึมไปในกระแสเลือด ทําให้น้ําตาลในเลือดสูงขึ้น ถ้าร่างกายของเราจัดการได้ ใช้น้ําตาลได้ดีทํา ให้สุขภพดี แต่ถ้าร่างกายใช้น้ําตาลไม่ได้ น้ําตาลไม่รู้จะไปไหน มันทําให้เกิดภาวะน้ําตาลใน เลือดสูง เราเรียกว่า “เบาหวาน” แต่ร่างกายเราไม่ชอบใจนัก เพราะรู้ว่าน้ําตาลในเลือดสูงจะ เป็นอันตรายต่อร่างกาย ร่างกายก็จะพยายามเปลี่ยนน้ําตาลไปเป็นตัวอื่น คือ เป็นไตรกลีเซอไรด์


ซึ่งเป็นไขมันชนิดหนึ่ง จากไตรกลีเซอไรด์ก็จะเปลี่ยนไปเป็น คลอเรสเตอรอล ฉะนั้นเราจะพบ บ่อยๆ ว่า คนที่เป็นเบาหวาน นอกจากต้องกินยาเบาหวานแล้วต้องกินยาลดไขมันด้วย เพราะไตร กลีเซอไรด์สูงมาก คลอ เรสเตอรอล บางคนขึ้น-300 บางคนไตรกลีเซอไรด์ขึ้นไป 400 จะ เป็นปัญหาพ่วงกันมา เมื่อไหร่ก็ตามทําให้น้ําตาลลดลงซักพัก ไตรกลีเซอไรด์ก็จะลงตาม ไขมัน ในเลือดลดลงเป็นการแก้ปัญหาทีเดียว ความรุนแรงของปัญหาโรคเบาหวาน พบว่าอัตราการเกิดโรคเบาหวาน เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในยุโรปเพิ่มขึ้น อเมริกาเพิ่มขึ้น รวมทั้งโลก เพิ่มขึ้น โรคเบาหวานประเภทที่ 2 มีความชุกสูงและเป็นปัญหาสําคัญของสาธารณสุขหลาย ประเทศโดยเฉพาะในประเทศยุโรป ประเทศสหรัฐอเมริกา เบาหวานเป็นสาเหตุการตายอันดับ 5 ในปีล่าสุด จํานวนผู้ป่วยมากกว่า 213,000 คน ที่ตายจากโรคเบาหวาน หรือโรคแทรก ซ้อนจากเบาหวาน คิดเป็นค่ารักษาต่อปีถึง 132,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ในปี 2002 ใน ประเทศไทยเองก็มีอัตราของผู้ป่วยเบาหวานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ข้อมูลล่าสุดจากการสํารวจ สถานะสุขภาพประชาชนไทย พบว่าในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ความชุกของโรคเบาหวานเพิ่มมาก ขึ้นอย่างน้อย 2 เท่า เป็นปัญหามากขึ้นเรื่อยๆ ค่าใช้จ่ายในการรักษาเพิ่มขึ้นขนาดไหน สหรัฐอเมริกาเอง ปี 1992 ค่ารักษาอยู่ประมาณไม่ถึง 250 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนในปี 2110 เพิ่มขึ้นจนถึงประมาณ 22,500 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ นี่คือ ยอดขายยาเบาหวานในแต่ละปี มี การทดลองอันหนึ่งที่น่าสนใจของ UKPDS พบว่าในระยะยาว ไม่ว่าคุมน้ําตาลได้แค่ ไหน ไม่ว่าใช้ยาหรือไม่ ใช้ยาเล็กน้อย ค่าเฉลี่ยของ HbA1c จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่า คุมดีแค่ไหนก็ตาม จาก 7 ผ่านไป 6 ปี จะเพิ่มขึ้นเป็น 8 เพิ่มเป็น 12 ปี ผู้ป่วยเบาหวานเป็น นานๆ จะเพิ่มเป็น 9 จะคุมได้ยากขึ้น เป็นเหตุผลว่าคนไข้ที่เป็นเบาหวานจึงต้องกินยาเพิ่มขึ้น เรื่อยๆ ไม่หยุด เกิดจากความเสื่อมของร่างกายและอวัยวะต่างๆ ตามมาทําให้คุมได้ยาก หรือ แม้แต่คุมแบบ intensive คือ ใช้ยามากเป็นพิเศษ พบว่าจาก 7 คุมได้ดีจนเหลือ 6 HbA1c คุมยังไงก็จะขึ้นเรื่อยๆ ผ่านไป 12 ปี คุมได้ไม่ดีจะเป็น 8 ฉะนั้นเราหวังพึ่งยา หลีกเลี่ยงไม่พ้น ใช้ยามากขึ้น ค่าใช้จา่ ยเพิ่มขึ้น ยิ่งใช้ยามากเท่าไหร่ น้ําตาลจะยิ่งแกว่ง


ทาไม ? น้าตาลในเลือดจึงแกว่ง จากการที่ใช้ยากินมากเม็ดจะยิ่ง มีอาการหิวบ่อยมากเท่านั้น เป็นผลข้างเคียงอันหนึ่ง และถ้ากิน อาหารที่มี Glycemic index สูง ถ้าเกิดกินยาแล้วมีน้ําตาลต่ํา หมอจะแนะนําให้อมลูก อม แต่การอมลูกอมไม่ใช่การแก่ปัญหา เพราะการอมลูกอมเป็นการกระตุ้นให้น้ําตาลขึ้นไปสูง และการตอบสนองของอินซูลินในผู้ป่วยเบาหวานประเภทที่ 2 จะหลั่งออกมามาก ทําให้ดึง น้ําตาลลงมาระยะยาว และมีภาวะน้ําตาลต่ําเป็นระยะๆ ทําให้หิว ยิ่งทําให้เกิดการหิว ยิ่งกินอีกยิ่ง หิว ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่าเวลาเรากินน้ําตาลเข้าไป ภายใน 0-5 นาที กลูโคสจะไปกระตุ้นให้ เกิดการหลั่งอินซูลิน ระดับอินซูลินจากเดิมที่อยู่ในระดับ Basal จะไปถึง 1st phase Insulin หลังจากนั้นแล้วจะไปกระตุ้นให้ตับอ่อนสร้างอินซูลินเพิ่มเติม เวลาผ่านไปครึ่ง ชั่วโมงหรือหนึ่งชั่วโมง ร่างกายจะหลั่งอินซูลินออกมาเป็นอีกระลอกหนึ่ง เรียกว่า 2nd phase ถ้าเรากินอาหารที่ให้น้ําตาลสูง พอกินแล้วน้ําตาลขึ้นไปจนถึงจุดหนึ่ง จะไปกระตุ้น ร่างกายสร้างอินซูลินเพิ่มเติม ซึ่งอินซูลินนี้มันมากเกินไป จะไปดึงทําให้น้ําตาลในเลือดลงมา แต่ เนื่องจากมี 2nd phase Insulin น้ําตาลดึงลงไป ในช่วงท้ายของ phase 2 ที่มี การหลั่งอินซูลิน ก็จะดึงให้อินซูลินในเลือดลงต่ํากว่าระดับปกติ ทําให้ร่างกายมีภาวะ Hypoglycemia แล้วหิว ถ้าหิวแล้วกินอาหารผิดประเภท ยังเลือกกินอาหารที่ทําให้ น้ําตาลสูงขึ้น จะทําให้น้ําตาลขึ้น กระตุ้นอินซูลินรอบที่ 2 น้ําตาลจะแกว่งขึ้นลง คนเป็น เบาหวานและกินยาบ่อยๆ เป็นกําๆ จะมีอาการซัก 10 โมง หรือบ่ายสอง บ่ายสาม จะบ่นหิว หาสาเหตุไม่ได้ พอหิว มือสั่น ใจสั่น ถ้ายังไม่คุมอาหาร เลือกกินอาหารประเภทแป้ง น้ําตาล จะ อยู่ในวงจรอุบาทว์ แกว่งขึ้นลงทั้งวัน พบหมอหมอจะว่าคุมน้ําตาลไม่ดี เพิ่มยาอีกก็ยิ่งหิว เป็น สาเหตุทําให้หิวบ่อย

กินอย่างไร ? น้าตาลจึงไม่แกว่ง


แต่หลังๆ เริ่มมีการศึกษาพบว่า อาหารบางประเภททําให้น้ําตาลไม่สูงขึ้น เทียบกันระหว่าง อาหาร 2 ประเภท ประเภทที่ 1 คือ ประเภทที่เป็นน้ําตาลล้วนๆ หวานจัด หรือเป็นน้ําตาล แป้ง ขัดขาว พวกนี้จะทําให้หลังจากกินเข้าไประยะเวลาไม่นาน ระดับน้ําตาลจะสูงขึ้น แต่ถ้าเลือกกิน อาหารประเภทที่ 2 อาหารจากธรรมชาติ เช่น ข้าวกล้อง เผือก มัน Complex คาร์โบไฮเดรต พวกนี้จะมีไฟเบอร์รวมอยู่ด้วย ทําให้การดูดซึมน้ําตาลน้อยลง ทําให้เวลากินเข้า ไประดับน้ําตาลจะไม่สูงขึ้นมาก ต่างกันตรงที่ถ้าเรากินน้ําตาลเปล่าๆ หรือแป้งขัดขาว จะทําให้ น้ําตาลในเลือดสูงขึ้น จะไปสร้างน้ําตาล ขณะเดียวกันทําให้อินซูลินจากตับอ่อนเพิ่มขึ้น หน้าที่ ของอินซูลินมีอยู่ 2-3 อย่าง อินซูลินทําให้น้ําตาลลด แต่หน้าที่นี้เกิดการดื้อ ในกรณีที่เป็น เบาหวาน มันก็จะทําให้ไขมันเก็บสะสมมากขึ้น เรียกว่า “อินซูลินแทรบ” เป็นกับดักของ อินซูลิน พออินซูลินออกมาใช้ลดน้ําตาลไม่ได้ มันจะรีบเปลี่ยนจากน้ําตาลมาเป็นไขมัน ทําให้ คนเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 อ้วน ถ้า เราหลีกเลี่ยงโดยกินอาหารที่เป็น Complex คาร์โบไฮเดรต หรือมี Glycemic Index ต่ํา พวกนี้จะทําให้น้ําตาลไม่ขึ้นสูงมากนัก พอกินเข้าไปมันย่อยยาก มีไฟเบอร์ด้วย จะ ทําให้น้ําตาลไม่ขึ้นสูงจนถึงจุดที่ไปทําให้อินซูลินออกมามาก อินซูลินขึ้นเล็กน้อย จะทําให้ น้ําตาลไม่ลงจนถึงเกิดอาการหิว มีแนวโน้มใหม่ การศึกษาอาหารบางประเภท Glycemic Index ต่างๆ แนะนําให้ผู้ป่วยเบาหวานกิน จะคุมน้ําตาลได้ดีกว่า มีสูตรอาหารของ Australian University ให้กินถั่ว แป้ง ข้าว ที่เป็นแป้งไม่ขัดขาว พวกนี้ Glycemic Index ต่ํา จะทําให้ไม่เกิดอาการหิวบ่อย คุมน้ําตาลได้ดีขึ้น ฉะนั้นเทียบได้ ว่าถ้ากินอาหารที่มี Glycemin Index สูง ทําให้น้ําตาลแกว่งมาก จะมีน้ําตาลต่ํา หิวบ่อย กินบ่อย แต่ถ้าเป็นพวก Glycemin Index ต่ํา พวกแป้ง ข้าว ที่ไม่ขัดขาว น้ําตาลจะแกว่ง น้อย ยิ่ง Glycemin Index ต่ํา น้ําตาลจะแกว่งน้อยเท่านั้น และคุมน้ําตาลค่าเฉลี่ยได้ดี ขึ้น

หลักการที่ใช้ในการคุมน้าตาลในเลือด ไม่ต้องพูดถึงคนที่เป็นเบาหวาน กินยาลดน้ําตาล กินแป้ง ข้าว ชนิดที่หวาน ไม่คุมอาหาร ยิ่ง


แกว่งไม่รู้เรื่อง พอน้ําตาลสูงขึ้น อินซูลินออกมามาก ดึงน้ําตาลลงมาต่ํา แล้วไปกินยาอีก ยาดึง น้ําตาลลงมาต่ํามากขึ้น ถ้าต่ํามากๆ หิวจัด คุมอาหารไม่ไหว ปัญหาการรักษาแบบใช้ยาอย่างเดียว โดยไม่คุมอาหาร น้ําตาลในเลือดจะสูงขึน้ แพทย์จะเพิ่มปริมาณยา ยิ่งทําให้น้ําตาลแกว่งขึ้นมาก ตอนสูงก็สูงจัด ตอนต่ําก็ต่ําเกินไป หิวตอนน้ําตาลต่ํา ผู้ป่วยไม่รู้จะกินอะไร หมอไม่สอนไว้ ก็ กินอาหารที่มี Glycemin Index ที่สูงๆ กินเหมือนเดิม คือของหวาน น้ําตาล ค่าเฉลี่ยสูง ตลอด จากตรงนี้แก้ไม่ได้ซักที วิธีการแก้ทางธรรมชาติบําบัด ถ้าเราเลือกกินอาหารที่ให้ Glycemin Index ต่ําๆ ทําให้น้ําตาลไม่สูงขึ้น ถ้าน้ําตาลในเลือดสูงแทนที่จะเพิ่ม ปริมาณยา แต่ลดปริมาณยาลด น้ําตาลจะแกว่งตัวน้อยลง จากการที่เราลดปริมาณยา หิวน้อยลง แต่ตอนหิวให้กินอาหารที่มี Glycemin Index ต่ําๆ น้ําตาลจะไม่แกว่งขึ้นสูง จะทําให้ ค่าเฉลี่ยน้ําตาลลดลง วิธีการง่ายๆ แค่นี้เอง คือ เอาน้าตาลเข้าให้ช้าและน้อยที่สุด ใช้พลังงานที่ เหลือใช้เพิ่มเติมให้มากที่สุด นอกจากนี้สิ่งที่ทําให้น้ําตาลในเลือดแกว่งได้อีกอย่างก็คือ ภาวะความเครียด ซึ่งทําให้ร่างกาย ตอบสนองด้วยการหลั่งสารความเครียดออกมา เช่น คอซอล พวกนี้มีฤทธิ์ในการต่อต้านการ ทํางานของอินซูลิน ปกติอินซูลินก็ทํางานลําบากอยู่แล้ว ยังไปเจอสารต้านการทํางานของ อินซูลินอีก น้ําตาลก็ยิ่งขึ้นสูงที่สําคัญที่สุดไม่ว่าจะเป็นการรักษาแบบไหน ก็คือการเปลี่ยนแปลง ทัศนคติในการกินและการออกกําลังกายของผู้ป่วย หลัก การ 4 อย่างนี้ เป็นหลักในการรักษาผู้ป่วยแบบบัลวี คือ การคุมอาหารเพื่อให้น้ําตาลแกว่ง น้อยด้วยการกินอาหารสูตรกินเนื้อกินผัก ซึ่งเป็นอาหารที่มี Glycemic Index ที่ต่ํา ใช้ พลังงานให้มากในผู้ป่วยเบาหวาน ต้องเน้นการออกกําลังกาย ต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการกิน วิธีการอยู่ และต้องควบคุมอาหารในระยะยาว การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมก็คือการสั่งจิตใต้ สํานึก Subconscious training คือ สะกดจิต บอกให้เลิกกินน้ําตาล ส่วนวิธีการที่ ใช้ลดความเครียด ก็จะใช้วิธีการฝึกจิต ฝึกสมาธิ การคุมอาหารสูตรกินเนื้อกินผัก คิดโดย นายแพทย์วิศาล เยาวพงศ์ศิริ ท่านเป็นอาจารย์อยู่ภาควิชาสรีระวิทยา มหาวิทยาลัยมหิดล โดยอิงหลัก 3 ข้อ


1. คนที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 เนื่องจากมีการกระตุ้นการหลั่งอินซูลินจากการกินอาหาร ประเภทแป้งและน้ําตาล โดยมีปัญหา Delayed phase Insulin Secretion 2. ถ้าผู้ป่วยรับประทานอาหารที่มีไขมันและโปรตีน พวกนี้กินเข้าไปไม่ได้เปลี่ยนเป็นน้ําตาล โดยตรง ต้องใช้ระยะเวลาหนึ่ง คือ ต้องเปลี่ยนกระบวนการที่เรียกว่า Beta Oxidation เปลี่ยนหมู่ของไขมันให้เป็นน้ําตาลในเลือด มันต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง ทําให้น้ําตาลของเราไม่ สูงขึ้นเร็วจนเกินไป ทําให้ Glycemic Index ค่อนข้างต่ํา 3. นอกจากนี้การที่กินผัก ผักมี Glycemic Index ต่ํา มีน้ําตาลต่ํา ไม่ทําให้น้ําตาลขึ้น ถ้าเกิดกินแต่ผัก ผักไม่อยู่ท้อง ทําอย่างนั้นต้องกินไขมันร่วมด้วย เพราะไขมันมีฤทธิ์ทําให้เกิด Delay gastric emptying time ทําให้กระเพาะของเราอยู่ท้องมาก ทําให้อมิ่ นาน สรุปได้หลักการดังกล่าว ผู้ป่วยเบาหวานต้องงดอาหารประเภทแป้ง ข้าว และคาร์โบไฮเดรตทุก ชนิด เช่น เผือก มัน มันเทศ ขนมปัง พวกเส้นทั้งหลาย แม้แต่ผลไม้ก็ให้น้ําตาล ถือว่ามี Glycemic Index สูง ควรงดผลไม้ทุกชนิด รวมทั้งพืชผักที่เป็นหัวและราก เช่น หัวไช เท้า เผือก มัน พวกนี้มีแป้งมาก Glycemic Index สูง แต่อาหารที่กินได้คือให้กินผักเป็น ใบ ใบเขียวทั้งหลาย และกินเนื้อโปรตีนได้ทุกชนิด เพราะว่าเนื้อโปรตีนไม่ทําให้น้ําตาลสูง กิน ไขมันหรือเนื้อติดมันได้ ที่สําคัญคือ ต้องกินผักมากกว่าเนื้อ จะกินเนื้ออย่างเดียวไม่ได้ ต้องกิน ผักมากกว่าเนื้อ 2 เท่า เป็นหลักง่ายๆ บางคนคิดว่าเราจะอยู่ได้อย่างไร ถ้าไม่กินข้าว ให้นึกถึงว่าเรากินสุกี้ ข้าวเราไม่กิน กินแต่ลูกชิ้น ไก่ ปลา กินเนื้อสวรรค์ กินผัก ถามว่าอิ่มไหมมื้อนั้น ก็อิ่มนะ หรือกินเนื้อย่างเกาหลี กินแต่เนื้อ ย่าง กินแต่ผัก ไม่กินข้าวเลย ก็อิ่มเหมือนกัน อยู่ท้องด้วย ใช้ได้กับทุกร้านอาหาร กินส้มตํา ซุป หน่อไม้ คอหมูย่างได้ แต่ห้ามกินข้าวเหนียว กินโต๊ะจีนยังได้ เป็ดปักกิ่ง กินหมูหัน กินคอหมูย่าง กินผัดผักได้ แต่ห้ามกินซาลาเปา ห้ามกินผัดหมี่ อิ่มและอยู่ได้นาน

ทดลองอย่างนี้ รวบรวมข้อมูล ได้นําผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานมารักษาที่บัลวี และผู้ป่วยที่ติดตาม


การรักษาอย่างสม่ําเสมอ มาแบบ OPD Case มาเจอกันมากกว่า 5 ครั้ง และผู้ป่วยถ้าเข้า คอร์ส 10 วัน แต่ไม่รวมผู้ป่วยที่มีโรคแทรกซ้อนอย่างอื่นร่วมด้วย ทําให้กินโปรตีนไม่ได้ พวกนี้เราจะไม่เอา หรือผู้ป่วยที่เป็นโรคแทรกอื่นที่มีผลต่อการควบคุมระดับน้ําตาล โรคตับ ซึ่ง ตับมีหน้าที่เก็บไกลโคเจน ทําให้ระดับน้ําตาลในเลือดคงที่ ระหว่างมื้ออาหาร ถ้าไม่ได้กิน อาหารน้ําตาลจะไม่แกว่งลงมาก เพราะตับใช้ไกลโคเจนผลิตมาเป็นน้ําตาลในกระแสเลือด ถ้า เกิดเป็นโรคตับ น้ําตาลแกว่งอยู่แล้ว ถ้าทําแบบนี้คงไม่สําเร็จตั้งแต่ต้น และผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน แต่มารักษาโรคอย่างอื่น เช่น ปวดเข่ามาฝังเข็ม เราก็ไม่เอา สรุปแล้วเราได้ผู้ป่วย 40 คน ใน จํานวนนี้เป็นเบาหวาน ถ้าใช้อินซูลินฉีด 10 คน ผู้ป่วยที่กินแต่ยา 30 คน ผลออกมาเป็น อย่างไร จากการคุมเบาหวานน้อยกว่า 140 mg% ตลอดเวลาเป็นระยะเวลาหนึ่ง จะพบว่าผู้ป่วย กลุ่มนี้มีอัตราการเกิดพวกแทรกซ้อนน้อยกว่าพวก Micro vascular และ Macro vascular พวกเบาหวานขึ้นตา โรคไตต่างๆ ลดลง ถ้าเกิดควบคุมได้น้อยกว่า 140 mg% ถือว่าใช้ได้ ถ้าเกิดเปลี่ยนยาฉีดเป็นยากินได้ ถือเป็นความสุขอย่างหนึ่งของผู้ป่วย เบาหวาน ไม่ต้องฉีดอินซูลิน แล้วกลับมากินยาได้ ถือว่าเป็นผลการรักษาที่น่าพอใจ หรือผู้ป่วย ที่เคยกินยาอยู่แล้วเลิกกินยาได้ ก็ถือว่าประสบผลความสําเร็จของการรักษา เป็นผลดี ฉะนั้นดู 3 ปัจจัย คือ ควบคุมน้ําตาลได้ดีขึ้น ลดยาได้ หรืองดกินยาได้ ถือว่าเป็นพวกที่ดี

เราแบ่งระดับของการรักษาเป็น 4 ระดับ คือ ระดับที่ 1 ควบคุมอาหารอย่างเดียว ระดับที่ 2 ควบคุมอาหารโดยใช้ยากินร่วมด้วย ระดับที่ 3 ควบคุมอาหาร ใช้ยากินและใช้อินซูลินฉีด แต่ฉีดเฉพาะตอนก่อนนอน ระดับที่ 4 ควบคุมอาหาร ใช้อินซูลินฉีดอย่างเดียว ถ้า เกิดเมื่อไหร่ก็ตาม เข้าการทดลองแล้วเปลี่ยนระดับการรักษาจากระดับ 4 ฉีดยาอินซูลินอย่าง เดียว มาเป็นกินยาได้ แสดงว่าได้ผลดีมาก หรือจากใช้ยากินและยาฉีด เอามากินอย่างเดียว จาก


ระดับ 3 มาระดับ 2 ถือว่าดีมาก หรือควบคุมอาหารและใช้ยามาควบคุมอาหารอย่างเดียว ไม่ ต้องใช้ยา ถือว่าผลการรักษาดี เป็นการรักษาง่ายๆ แบ่งออกเป็น 4-5 กลุ่ม ปรากฏว่าผลออกมา เป็น ผู้ป่วยที่ตอบสนองดีมาก คือ งดยาได้ มีถึง 42% และพวกที่ยังงดยาไม่ได้ แต่ใช้ยาน้อย กว่าเดิม ทั้งฉีดทั้งกิน มีถึง 30% รวมแล้ว 70% พวกที่เหลือควบคุมได้ปานกลาง ควบคุมได้ ไม่ดี มีอยู่ 2 คน ควบคุมได้ไม่ดี คุมแล้วน้ําตาลขึ้น เพราะ 2 คน มี 2 ปัญหา คนที่ 1 เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 มันไม่มีอินซูลินอยู่แล้ว กินอาหารสูตรไหนน้ําตาลก็ขึ้น คน ที่ 2 เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 แต่ตอนนี้เครียดมาก มีปัญหาทางบ้าน เครียดทุกวัน คุมน้ําตาล ไม่ได้ เพราะเครียดทําให้สารความเครียดออกมา จะต้านกับอินซูลิน ทําให้คุมได้ไม่ดี ส่วนคน อื่นไม่มีปัญหา ควบคุมด้วยอาหารสูตรกินเนื้อกินผักได้ดีอยู่กว่า 70%

การออกกาลังกายกับเบาหวาน พบว่า กรณีที่อินซูลินใช้น้ําตาลไม่ได้เอง 100% น้ําตาลในเลือดไม่ถูกเปลี่ยนเป็นพลังงาน ฉะนั้นน้ําตาลในเลือดจะสูงขึ้น แล้วไกลโคเจนที่กล้ามเนื้อต่างๆ ไม่สามารถใช้งานได้ จะถูก เปลี่ยนเป็นรูปไขมัน ทําให้ไขมันในเลือดสูง โปรตีนกล้ามเนื้อใช้งานไม่ได้ จะถูกเปลี่ยนเป็น ไขมัน ฉะนั้นคนไข้เป็นเบาหวานน้ําตาลในเลือดสูง ไขมันในเลือดสูง โปรตีนกล้ามเนื้อลีบฝ่อ ผลลัพธ์คือ น้ําหนักตัวเพิม่ ขึ้น กล้ามเนื้อลีบฝ่อ ไขมันในเลือดสูง มีการ วิจัยหนึ่งค้นพบกล้ามเนื้อหลังที่ถูกใช้งาน หลังออกกําลังกาย พบว่า มีภาวะดื้อต่ออินซูลิน (Insulin resistance) ลดลง ถ้าออกกําลังกาย กล้ามเนื้อพวกนี้จะทํางานได้ดีขึ้น สรุปว่าการออกกําลังกายช่วยให้อินซูลินทํางานได้ดีขนึ้ ผ่านกระบวนการการทํางานที่เรียกว่า Upreglulation ของ glucose transport system และการเพิ่มขึ้นของ GLUT-4 Protein Expression และ Insulin receptor Substrate-1 Protein Expression ทําให้กล้ามเนื้อเผาผลาญพลังงานต่างๆ ได้ ดีขึ้น จากการทดลองนี้ 1. น้ําตาลที่เหลือใช้จับมันกินอาหารงดแป้ง น้ําตาล, น้ําตาลที่เหลือใช้น้อยลง 2. ให้ออกกําลังกายเพิ่มขึ้น น้ําตาลถูกใช้มากขึ้น ทําให้น้ําตาลที่สูงอยู่จะต่ําลง และเปลี่ยนจาก


ไขมันกลับมาใช้น้ําตาล ไขมันที่เคยมีอยู่สะสมจะลดลง ความอ้วนลดลง ไขมันในเลือดลดลง โปรตีนและกล้ามเนื้อมีพลังทดแทนจากน้ําตาลแล้วจะใช้น้ําตาลได้มากขึ้น กล้ามเนื้อที่เคยลีบฝ่อ จะลดลง นอกจากนี้แล้วการออกกําลังกายบางอย่าง เช่น การเล่น Weight เป็นการเพิ่มให้ กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น กล้ามเนื้อที่เคยลีบฝ่อจะดีขึ้น แก้ไขน้ําหนักที่เพิ่มขึ้นให้ลดลง การเล่น Weight กล้ามเนื้อที่เคยลีบฝ่อกลับมาดีขึ้น ไขมันลดลง งดแป้ง การกินโปรตีน กินผัก ไขมันในเลือดลดลง ออกกําลังกายใช้น้ําตาลเพิ่มขึ้น

ความเครียดกับเบาหวาน มีงานวิจัย ภาวะความเครียดมีผลอย่างกว้างขวางต่อ Metabolic activity ทําให้มี counter regulatory hormones ออกมา กลุ่มนี้มีฮอร์โมนหลายตัว โดยเฉพาะ ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้อง stress hormone จะส่งผลให้ระดับน้ําตาลในเลือดสูงขึ้น ในขณะ ที่รอผลของอินซูลิน หรือ Insulin resistance มากขึ้น ปกติคนเราถ้าเครียด น้ําตาลจะ สูงมากขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่เป็นปัญหามาก เพราะอินซูลินทํางานชดเชยได้ แต่ปัญหาของคนที่เป็น เบาหวาน อินซูลินใช้งานไม่ได้ พอ stress hormone ออกมาเกิด relative โดย เปรียบเทียบกับฤทธิ์ของการที่มีน้ําตาลในเลือดสูงขึ้น มี การทดลองแบบ Intervention studies พบว่าคนที่ควบคุมความเครียดได้ดี สามารถคุมน้ําตาลในเลือดได้ดีกว่า ในผู้ป่วยเบาหวาน เราเอาหลักตรงนี้มาใช้ โดยใช้วิธที ี่ รศ. สมพร กัณฑรดุษฎี ได้สอนผู้ป่วยเริ่มเดินจงกรม หายใจเข้าออกยาวๆ พบว่าระดับน้ําตาลใน เลือดของผู้ป่วยทั้งก่อนและหลัง ลดลงทุกคน มีอยู่ 2 คนเท่านั้นที่ไม่ลง จาก 155 ค่าเฉลี่ย ลดลงเหลือ 153 ถ้าควบคุมความเครียดได้ น้ําตาลในเลือดจะลดลง คุม อาหารทําให้น้ําตาลลดลง คุมออกกําลังกายทําให้น้ําตาลลดลง เดินจงกรมทําให้น้ําตาลลดลง แต่ปัญหาสําคัญที่สุดคือ ผู้ป่วยทําได้อยู่พักเดียวแล้วเลิก เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่ ตอนแรกตื่นเต้น ทําได้ดี แต่ตอนหลังเริ่มหายเห่อ เลิกทํา เป็นปัญหาระยะยาว คุมไม่ได้ ยกตัวอย่าง เช่น บอกให้ คุมอาหารสูตรใดก็ตาม ทําไปได้พักหนึ่งแล้วเลิก เพราะผู้ป่วยติดหวาน เราพบบ่อยๆ ว่าระหว่าง ที่เราคุมน้ําตาลในผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยจะบอกว่าไม่ได้กินข้าว ไม่มีแรง รู้สึกเหนื่อย เพลีย และ


ไปเจาะเลือดดูตอนนั้น น้ําตาลไม่ต่ํา แล้วเพลียจากอะไร เพลียจากจิตใต้สํานึก ตนเองไปสั่งจิตว่า อย่าไปกินหวาน กินหวานไม่อร่อย กินข้าวก็ไม่อร่อย เหลือข้าวมากเลย กินเนื้อกินผักอร่อยมาก สั่งอยู่ 10 กว่าวัน เราพบว่าผู้ป่วยจํานวนหนึ่ง พอตอนนี้ 1 ปี ก็ยังกินผักได้ ซื่อสัตย์มาก เพราะคนเราติดน้ําตาล เจาะเลือดดูจะมีสารเอ็นโดรฟีนออกมา ทําให้ติด ฉะนั้นถ้าเราไปสั่งจิต ตอนหลังกินน้ําตาลแล้วบาดคอ รู้สึกว่ากินแล้วไม่อร่อย เปลี่ยนพฤติกรรมระยะยาวได้ หายติด หวาน คุมน้ําตาลได้ดีจน 1 ปี เรารักษาแบบองค์รวม คอร์สเบาหวานของบัลวี โดยนําผู้ป่วยเข้า ค่าย 10 วัน คุมอาหารกินเนื้อกินผัก ออกกําลังกาย เดินจงกรม และสั่งจิตใต้สํานึก ผลของการรักษาเบาหวานแบบองค์รวม พบว่าผู้ป่วยน้ําตาลลดลงเกือบทุก คน ที่เห็นว่าแกว่งขึ้นแกว่งลง เพราะว่าเมื่อมีการลดยา คุม น้ําตาลได้ 3 วัน คุมน้ําตาลได้ดี ลดยาลงเล็กน้อย คุมต่อ ลดลงๆ ได้ดี ให้หยุดยา น้ําตาลแกว่ง ขึ้น สถิติสูงสุดที่เราทําได้ คือ มีคุณป้าคนหนึ่งเฉลี่ยมีน้ําตาล 386 mg% เหลือ 162 mg% ตอน 10 วัน แล้วเราทําต่ออีก 1 เดือน น้ําตาลเหลือ 126 mg% แค่สามอย่างนี้ จาก 386 mg% เหลือ 126 mg% ซึ่งเป็นวิธีที่น่าสนใจ แต่ ถ้าตรวจน้ําตาลปลายนิ้ว การเจาะเลือด FBS เป็นแค่ค่าของวันนั้นอย่างที่คุณหมอเทวัญได้ เกริ่นนําไปแล้ว ผู้ป่วยเบาหวานหลอกหมอ อีกสองวันจะไปตรวจ อดข้าว อดน้ําอย่างดี น้ําตาล ลดลง มันยังไม่พอ ต้องดูค่าเฉลี่ยของน้ําตาลในเลือด ถ้าจะให้ดีต้องดู HbA1c หรือ Hemoglobin A1C ในตามหลักมาตรฐาน HbA1C ตรวจทุกสามเดือน คนไข้ที่มา เข้าคอร์สตรวจทุก 10 วัน วันแรกที่เข้าคอร์สเราตรวจ 1 ครั้ง แล้วพอออกจากคอร์สเราก็ตรวจ HbA1c พบว่าลดลง มีคุณป้าคนหนึ่ง น้ําตาล 386mg% จาก HbA1c 14 ลดลง แล้วประมาณ 8 กว่า ตอนสิ้นสุดคอร์ส และพออีกหนึ่งเดือน HbA1c ลดมาเหลือระดับ 7 ถือว่าคุมได้ภายใน 10 วัน ลดลงมาตั้งมาก เหลือคุณลุงอีกหนึ่งคน จาก HbA1c ประมาณ 9 เริ่มแรก พอจบคอร์ส HbA1c เหลือประมาณ 6.5 โดยเฉลี่ยลดลงทุกคน การ ที่ให้กินเนื้อกินผัก แล้วคนไข้ที่เป็นเบาหวานและมีปัญหาโรคไตจะไม่มีปัญหาหรือ เนื่องจากคนที่เป็นโรคไตแล้วกินโปรตีนมากจะทําให้ไตทํางานหนัก เราได้ทําการทดลองผู้ป่วย ที่เข้าคอร์ส 10 วัน ใช้สูตรกินอาหารกินเนื้อกินผัก เจาะน้ําตาลดู เริ่มต้น Creatine


ค่าเฉลี่ย 0.9 ลดลงมาเหลือประมาณ 0.8 กว่า มีคุณป้าคนนี้ จาก Creatine 1.3 ลดลง มาเหลือ 1.1 ลดลงทุกคน เพราะเรากินเนื้อกินผัก ไตทํางานหนักขึ้นในการกินโปรตีนก็จริง แต่น้ําตาลในเลือดคุมได้ดีขึ้นด้วย หักลบกัน การทํางานของไตดีขึ้น มีอยู่สองคนเท่านัน้ เองที่ Creatine เพิ่มขึ้น ซักไปซักมา ผู้ป่วยสองคนนี้กินแต่เนื้อผักไม่กิน เป็นข้อเน้นย้ําว่า สูตร กินเนื้อกินผักจะให้ดีต้องกินผักมากกว่าเนื้อ 2 เท่า กินได้ตามสูตรนี้ Creatine ลดลง การ ทํางานของไตจะดีขึ้น นอก จากเรื่องของน้ําตาลแล้ว เราต้องดูคนว่ามีความสุขไหม ถ้าเราคุมอาหาร น้ําตาลคุมได้ดี แต่ รู้สึกว่าชีวิตนี้ขาดรสชาด ไม่มีความสุข จะไม่ดี เราต้องดูความพอใจว่า ค่าเฉลี่ยผู้ป่วยในการ ช่วยเหลือตนเอง รู้สึกว่า สามารถดูแลสุขภาพตนเองได้ดีขึ้น เลข 5 คะแนนมาก เลข 1 คะแนน น้อย จากเดิมค่าเฉลี่ยตอนนี้ดีขึ้น พบว่ามีความมั่นใจมากขึ้นเวลาเข้าสังคม เพราะรู้สึกว่าการที่ ตนเองต้องแบกถุงยาไปกินข้าว รู้สึกไม่ค่อยมีเกียรติและศักดิ์ศรี เป็นคนขี้โรค แต่ตอนนี้ไม่ต้อง ใช้ยาแล้ว รู้สึกว่าสามารถเข้าสังคมได้ดีขึ้น ได้ออกไปพบปะผู้คน อารมณ์ แต่เดิมกลางๆ ออกจากคอร์สอารมณ์ดีขึ้น ควบคุมอาหารได้ดีขนึ้ มีคุณลุงคนหนึ่งบอก ว่า ตอนน้ําตาลมากๆ ดุชะมัด เติมน้ํามันรถที่ปั๊มพูดไม่ถูกหู จะลงไปต่อยกับเด็กปั๊ม ตอนนี้ อารมณ์ดีขึ้นมาก และมีสมรรถนะทางร่างกาย จากช่วยเหลือตัวเองไม่ค่อยได้ ก็ช่วยเหลือตัวเอง ได้ดีขึ้น สุขภาพโดยรวมจากรู้สึกว่าแย่มาก ค่าเฉลี่ยดีขึ้น เกินค่ามาตรฐาน นั่นคือ มาตรฐานใน การรักษา 3 อย่าง ถ้า มีปัญหาเรื่องภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น จะรักษาอย่างไรด้วยธรรมชาติบําบัด พบว่าถ้าผู้ป่วยมี ปัญหาแผลเรื้อรังที่เท้า ที่หน้าแข้ง คุณลุงคนนี้เคยไปหกล้ม มีแผลที่หน้าแข้งเกือบ 2 เดือน ไม่ หายซักที น้ําตาลในเลือดคุมได้ไม่ดี และมีปัญหาเรื่องเลือดไปเลี้ยงแผลไม่ดี ทําให้แผลเป็น เรื้อรัง ใช้วิธีการรักษา คุมอาหาร 10 วัน จากเดิมค่าเฉลี่ยน้ําตาล 140 mg% ลงมาเรื่อยๆ จนครบ 10 วัน ลงมาเหลือ 88 mg% แล้วกลับไปให้คุมอาหารต่อเอง อาจจะคุมไม่ได้ 100% คุมได้ประมาณ 100 mg% คุมน้ําตาลได้ดีขึ้น ยาไม่ตอ้ งกินหลายเม็ด แต่เหลือ ปัญหาเรื่องแผล เลือดจากหลอดเลือดไปเลี้ยงได้ไม่ดี ออกซิเจนไปเลี้ยงไม่ถึง เราคุมน้ําตาลได้ดี แล้ว คาดว่าออกซิเจนจะไปเลี้ยงที่แผลได้มากขึ้น น่าจะหาย แต่ยังไม่ดีพอ โดยการเอาออกซิเจน ไปเติมในเลือด รักษาเพิ่มอีก 3 อย่าง


1. เติมออกซิเจนไปในเลือด ให้ปริมาณออกซิเจนสูงขึ้น 2. ให้สารสกัดในกลุ่มของใบแปะก๊วย (Gingobiloba Extract) 3. ทําแผลด้วยน้ําผึ้งแท้ การ เติมออกซิเจนในเลือด โดยมีเครื่องอยู่หนึ่งเครื่อง ดูดเลือดออกมา 80 ซีซี และออกซิเจน จากถังแก๊สเติมเข้าไป เอาออกซิเจนที่เติมในเลือดแล้ว เอาเลือดของผู้ป่วยบีบกลับเข้าไปเหมือน ให้เลือดธรรมดา ทําอย่างนี้ประมาณ 3-4 ครั้ง ปรากฏว่าแผลที่เคยมีหายไปใน 2 สัปดาห์ เป็น เทคนิคหนึ่งที่มีภาวะแทรกซ้อนของเบาหวานเกิดขึ้น สรุปว่าการรักษาด้วยธรรมชาติบําบัด จุดที่ สําคัญที่สุด คือ เราต้องสร้างความเข้าใจให้กับผู้ป่วยว่า การรักษาเบาหวานต้องเริ่มจากตัวผู้ป่วย เองสําคัญที่สุด ถ้าผู้ป่วยถูกสอนว่า ไม่เป็นไร อาหารไม่ต้องคุม ไม่ต้องดูแลตนเองก็ได้ แล้วขอยา จากหมอ ยังไงก็คุมไม่ได้ ตอนเริ่มจากก่อนที่ร่างกายจะคุมน้ําตาลไม่ได้ ต้องคุมอาหารก่อน ไม่ ว่าสูตรไหนแล้วแต่ความเชื่อ ถ้าเป็นสูตรบัลวีตอ้ งกินเนื้อกินผัก พบว่าน่าจะเป็นทางเลือกหนึ่ง สําหรับผู้ป่วย

ตัวอย่างโปรแกรมการรักษาเบาหวานด้วยธรรมชาติบาบัดของบัลวี ผู้ป่วยที่จะเข้าโปรแกรมของศูนย์ ธรรมชาติบําบัดบัลวีต้องซักประวัติ ตรวจร่างกาย มีการเจาะ เลือด ถูกสุ่ม Metabolic Syndrome เช่น น้ําตาลในเลือด, HbA1c, Lipid profile ดู 3-4 ตัวนี้เป็นหลัก นอกจาก นี้แล้ว ก่อนออกกําลังกาย เราต้องทํา Fittest เพราะผู้ป่วยเบาหวานค่อนข้างบอบ บาง มีความเสี่ยงในเรื่องหัวใจและหลอดเลือดสูง ไม่ใช่ว่าจะออกกําลังกายเท่ากันทุกคน ก่อน ออกกําลังกายเราต้องไปดูว่าหัวใจและหลอดเลือดทํางานได้ดีกี่เปอร์เซนต์ สมมุติว่าทํางานได้แค่ 50% แทนที่จะออกกําลังกายเท่าคนอื่น ก็ออกแค่ 30% ก็พอแล้ว ตรงนี้ปลอดภัยเรียบร้อย แล้ว เราจะจัดเข้าโปรแกรม 3 อย่าง ตื่น ตอนเช้า 6 โมงเช้า ฝึกสมาธิ ฝึกชี่กง 7-8 โมง รับประทานอาหาร จัดอาหารให้เพื่อเป็น การไม่ให้แอบกินนอกลู่นอกทาง ตอนสายๆ จะบรรยายความรู้เกี่ยวกับอาหาร เช่น อาหารตัวนี้ ห้ามกิน นอกจากนี้ตอนสอนให้จดตารางอาหารด้วยทุกวัน เป็นการบ้านว่าวันนี้กินอะไรบ้าง


แล้วเจาะเลือด ตรงนี้มีความสําคัญ เป็นไปไม่ได้ว่าเมนูทุกเมนูในโลกนี้มันกินไม่ได้ ต้องเป็น เรียนรู้ด้วยตนเองอย่างต่อเนือ่ ง จบคอร์สต้องไปจดต่อและจดเป็น วิเคราะห์เป็น เจาะเลือดตอน เช้าทําถึงขึ้น ย้อนกลับไปดูว่ากินอาหารอย่างไร จะเรียนรู้ด้วยตนเอง เมนูไหนกินได้บ้าง ออก กําลังกายตอนเช้า เที่ยง รับประทานอาหาร ตอนบ่าย สั่งจิต เอาไปนอนในห้องมืด สะกดจิตให้ ไม่อยากกินหวาน กินหวานไม่อร่อย กินข้าวแล้วอาเจียน กินเนื้อกินผักได้นานๆ และอร่อยมาก ทํา 10 วัน ทําไมต้อง 10 วัน เพราะในช่วงแรกที่เราทํา พอเปลี่ยนสูตรอาหารน้ําตาลจะแกว่ง เล็กน้อย ผู้ป่วยจะไม่มีความมั่นใจ ว่าจะไม่ไหว ถ้าผ่านช่วงวันที่ 5 ได้ น้ําตาลที่แกว่งลดลงเข้าที่ จะคุมน้ําตาลได้ง่ายขึ้น ต้องคุม 10 วัน ถ้า 5 วันรู้สึกแกว่ง ยังไม่เข้าที่ ออกคอร์สเราตรวจ ร่างกายอีกรอบ ชั่งน้ําหนัก วัด BMI เจาะเลือดดูน้ําตาลในเลือด, HbA1c, Lipid profile, Bun, Creatine อีกตัวที่ทําวิจัยคือ Uric ketone, Urine Albumin ถ้ามีข้อมูลออกแล้ว เราจะแสดงให้ดู มีการ วิจัยพบว่า คนที่มีระดับน้ําตาลเฉลี่ยค่อนข้างสูง แม้ว่ายังสูงไม่เกินกว่าปกติ ที่จะเรียกว่า เป็นเบาหวานได้ เช่น เกิน 100 mg% มีการวิจัยในผู้ชายประมาณ 30,000 คน ที่ ประเทศอิสราเอล พบว่าเป็นอยู่นานๆ พวกนี้อายุมากจะเป็นเร็วขึ้น ต้องคุมเรื่องการกินหวานให้ ได้ตั้งแต่ยังหนุ่มสาว จะเป็นการป้องกันไม่ให้เป็นเบาหวานในอนาคต มี 2 แนว ถ้าเป็นแนว แพทย์แผนตะวันตก ถ้าน้ําตาลสูงให้กินยาเบาหวานตั้งแต่ยังหนุ่ม ไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ เรา นําคุมอาหารหวาน พยายามกินอาหารที่เป็นธรรมชาติ กินข้าวกล้อง กิน Complex คาร์โบไฮเดรต กินเผือก มัน งาดํา กินอาหารธรรมชาติ อย่างปล่อยให้อ้วน ถ้าหิวแสดงว่ากินไม่ พอ กินได้บ่อย อาจจะ 8 มื้อ แต่ต้องอยู่กับสูตรอาหาร การเดินจงกรม ถ้าเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ทําแค่ 2 ท่าคือ ท่าที่ 1 ท่านั่ง หายใจลึกๆ ยาวๆ แล้วกลั้นไว้ นับ 1 2 3 ในใจ หายใจออกยาวๆ ท่าที่ 2 เป็นท่ายืน หายใจเข้าออกยาวๆ แต่ไม่ต้องนับ 1 2 3 ทําประมาณ 10 ครั้ง ส่วนท่า ยืนเป็นท่าเดินจงกรม เรื่องของตับอ่อน หลักง่ายๆ ถ้าใช้งานตับอ่อนหนักๆ จะเสื่อมเร็วขึ้น ในกรณีที่เรากินหวานอยู่ นานๆ ทําให้ตับอ่อนทํางานหนัก เรากินหวานไปมากๆ โดยเฉพาะน้ําตาลขึ้น ไตรกลีเซอไรด์สูง


สักพักอายุไปประมาณ 40-50 ปี เริ่มเป็นเบาหวาน เพราะตับอ่อนเริ่มทํางานไม่ไหว ผลิต อินซูลินน้อยลง ไม่มีคุณภาพเหมือนเดิม จะเป็นเบาหวานเร็วขึ้น แต่ถ้าดูแลตนเองดี แทนที่จะกิน ของหวาน แต่กินข้าวกล้อง กินขนมปังโฮลวีต กิน Complex คาร์โบไฮเดรต ควบคุมอาหาร ไม่ให้กินล้นเกิน น้ําตาลไม่มาก ตับอ่อนไม่ต้องทํางานหนักจะอยู่ได้นานขึ้น กว่าจะเป็น เบาหวาน การออกกาลังกาย มีชี่กง เล่น Weight ปั่นจักรยาน ก่อนที่จะออกกําลังกาย แต่ละคนต้องทํา fit test djvo ถ้าจะเดินเร็ว เดินแค่ 2 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถ้าหนุ่มออกกําลังกายครึ่งชั่วโมง เดินเร็วซัก 8 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขึ้นกับแต่ละคน การสั่งจิต จิตของเรามี 2 ส่วน 1. จิตสํานึก เช่น สั่งหยิบปากกา 2. จิตใต้สํานึก คือ Autonomic never system เช่น หัวใจเต้นเป็นจิตใต้สํานึก สั่งการ ตกใจ เราสั่งหัวใจเต้นช้าไม่ได้ จิตใต้สํานึกสั่งยาก แต่ถ้าใช้จิตสํานึกที่มีคุณภาพ มีความ รุนแรงพอ ฝึกให้แข็งแกร่ง เช่น ฝึกสมาธิสักพัก ใจจะเต้นช้าลง จิตมีสมาธิ มีพลานุภาพมากกว่า นั่นคือฝึกตัวเอง แต่บางคนมีปัญหาว่า ฝึกจิตตัวเองยังไม่เข้มแข็งพอที่จะสั่งจิตใต้สํานึกของ ตัวเองได้ ถ้าอย่างนั้นก็ให้คนอื่นที่มีความเชี่ยวชาญมาสั่ง แต่จะสั่งโดยตรงไม่ได้ เพราะกลไก ปกติ ถ้าจิตสํานึกยังทํางานอยู่ ร่างกายจะไม่รับคําสั่งของคนอื่น ใครจะยอมให้คนอื่นมาสั่งง่ายๆ แต่เมื่อไรก็ตาม จิตสํานึกของเราหรือสติเริ่มเบาบางลง เช่น ง่วงนอน ก่อนนอน หรือกําลัง เคลิ้มๆ ตอนนั้นจะเป็นจังหวะที่ถูกสั่งจิตได้ง่าย เริ่มแรกเข้าไปอยู่ในห้องมืด ให้ง่วงนอน ใช้ เทคนิคโดยสั่งเป็นคําพูด จินตนาการว่าเราเดินไปขั้นบันไดแต่ละขั้น รู้สึกว่าผ่อนคลายลงเรื่อยๆ รู้สึกง่วงมาก รู้สึกจนหลับไป หรือบางทีใช้ดนตรีสั่งเพื่อให้ผ่อนคลาย จิตสํานึกเริ่มเบาบางลง เริ่มป้องกันตัวเองน้อยลง จังหวะนั้นเอาคนอีกหนึ่งคนเข้าไป แล้วสั่งคําสั่งใหม่ว่า จิตใต้สํานึกฟัง นะ หลังจากเดิมที่เคยชอบแต่ของหวาน ให้เลิกชอบของหวาน จากเดิมที่เคยกินแล้วอร่อย กิน แล้วจะบาดคอ หวานแสบคอมาก ซึ่งเมื่อตื่นขึ้นมาจิตสํานึกไม่รู้ตัว แต่จิตใต้สํานึกโดนแก้ โปรแกรมแล้ว ถ้ากินไปจริงๆ จิตใต้สํานึกจะบอกว่าไม่อร่อยแล้ว มันจะหายอยาก


การฝึกสมาธิ การฝึกสมาธิเป็นจริตของแต่ละคน เพราะมีถึง 40 วิธี แล้วคนไหนชอบจริตแบบ ใด หลังจากจบคอร์สเราแนะนําต่อว่า ถ้าชอบเดินจงกรมให้เดินจงกรม แต่ถ้าชอบอานาปานสติ ก็ทํา หรือชอบเพ่งน้ํา เพ่งดิน ก็แล้วแต่คน แต่แนวทางที่เราสอนในศูนย์ฯ คือ อานาปานสติ เพราะง่าย แต่ที่เหลือจากนั้นไปทําอย่างอื่นก็แล้วแต่ เพราะให้ผลไม่แตกต่างกัน ทางการแพทย์แบบแผนมีแนวโน้มระดับ น้ําตาลที่ต้องคุมด้วยการกินยา ซึ่งจากเดิมเมื่อสิบกว่าปี ก่อน 140 mg% จึงจะเริ่มกินยากัน ตอนที่ผมจบนักศึกษาแพทย์ เหลือ 126 mg% ล่าสุดเกิน 100 mg% เริ่มคุมกันได้แล้ว ยังไม่ได้บอกว่าเป็นเบาหวาน เรื่องคุมด้วยการกิน ยา เป็นแนวที่ความเห็นส่วนตัวไม่ค่อยเห็นด้วยนัก เนื่องจาก 1. ไม่ได้ผลิตยาเอง 2. ถ้าคุมอาหารเองได้ ทําไมเราไม่คุมอาหารก่อน ให้คนเริ่มด้วยการพึ่งตนเองก่อน ใน เด็กมักจะเป็นเบาหวานประเภทที่ 1 ใช้สูตรนี้พอได้ แต่ไม่สามารถหยุดอินซูลินได้ และเด็ก มีปัญหา DHA ได้ง่าย ฉะนั้นการควบคุมตนเองทําอย่างใกล้ชิด ในเด็กไม่ควรพึ่งตนเอง ค่อนข้างยาก แต่ควบคุมเบาหวาน แนวโน้มที่น่าสนใจ มียาตัวใหม่ คือ “เดอมาบองซ์” เป็น อนุพันธ์ของสารต้านกัญชา สังเกตได้จากคนใช้กัญชาจะหิวบ่อย ฉะนั้นลดความหิว เอายาไป ต้านตัว receptor ของกัญชา เพื่อทําให้เบื่ออาหาร เหมือนกับกลไกการสั่งจิตใต้สํานึก มา สะกดจิตดีกว่าในระยะยาว การวิจัยที่ออกมา ผู้ป่วยทดลองด้วยยาตัวนี้ปรากฏว่า ออกจากการ ทดลองกลางครัน 40% เพราะทนต่อผลข้างเคียง (Side effect) ไม่ได้ คลื่นไส้ อาเจียน มึน ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก


สูตรเห็ดกระถินพิมานกับสารเคมีธรรมชาติอื่นๆ สาเหตุที่ทําให้แพ้เกิดจากสารฮีสตามีน ( Histamine ) ที่ร่างกายผลิตออกมาและเป็นตัวทําให้ ร่างกายแสดงอาการแพ้ออกมาให้เห็น ตัวอย่างเช่น เกิดตุ่มคันตามตัว หรืออาจเป็นลมพิษ เป็นต้น วิธีแก้ที่ตรงปัญหา ในเมื่อเรารู้ว่าสารฮีสตามีน( Histamine )เป็นตัวปัญหา และถ้าเรา สามารถยับยั้งไม่ให้ร่างกายผลิตสารฮีสตามีนออกมา อาการแพ้ก็จะไม่ปรากฏ หรือตุ่มคันตามตัวที่ เคยมีก็จะหายไป โรคภูมิแพ้กับเห็ดกระถินพิมานเกี่ยวข้องกันอย่างไร คําตอบก็คือเมื่อ นักวิทยาศาสตร์เปิดเผยผลการตรวจสอบองค์ประกอบทางเคมีพบว่า เห็ดกระถินพิมานมีสารสําคัญทาง ยาช่วยยับยั้งไม่ให้ร่างกายผลิตสาร ฮีสตามีน ( Histamine ) ออกมา และสารดังกล่าวคือ 1. กลุ่มสารโพลิแซ็กคาไรด์ ( Polysaccharides )ออกฤทธิ์รวมกัน ช่วยกระตุ้นการ ทํางานของเม็ดเลือดขาวชนิด บี-เซลล์ (B-cells) และทีเซลล์ (T-cells) ทําให้เกิดการเพิ่มขึ้น อย่างมากของ สารอิมมูโนโกลบูลิน ( lmmunoglobulin ) และ สารอินเตอร์ ลิวคิน (Interleukins) ซึ่งเป็นตัวต่อต้านสารที่ทําให้แพ้ ( Antiallergy ) 2. กลุ่มสารไตรเทอร์ปนิ นอยด์ชนิดขม( Bitter Triterpenoids ) มี อยู่ ประมาณ 100 ชนิดที่แตกต่างกัน และสารที่มีส่วนรักษาผู้ป่วยโรคภูมิแพ้คือ กลุ่มสารกรดกา โน เดอริค ( Ganoderic acid A, B, C1, C2, D-K, R-Z ) และ กรดลูซิเดนิค ( Lucidenic acid ) จะทําหน้าที่เป็นตัวยับยั้งไม่ให้ร่างกาย ผลิตสารฮีสตามีนออกมา (Histamine–Release inhibition activity) รวมถึงกรดไขมันชนิดโอเลอิค(Oleic acid )และสาร ไซโคลอ็อกต้าซัลเฟอร์ ( Cyclooctasulfur ) ซึ่งก็มีฤทธิ์ต้านไม่ให้ร่างกายผลิต สารฮีสตามีนออกมาเช่นกัน สรุปสารฮีสตามีน ( Histamine ) เป็นตัวปัญหา และถ้าเราสามารถยับยั้งไม่ให้ร่างกายผลิต สารฮีสตามีน ( Histamine ) ออกมา อาการแพ้ก็จะไม่ปรากฏ หรือตุ่มคันตามตัวที่เคยมีก็จะ หายไป


เพราะฉะนั้นการใช้ เห็ด กระถินพิมานในผู้ป่วยด้วยโรคภูมิแพ้ ก็คงเป็นเรื่องที่ทําได้เพราะเป็นการใช้ยาทีม่ ีหลักการรองรับไว้ประกอบกับสารเคมีธรรมชาติตัวอื่นๆ คง

ยังไปช่วยในเรื่องของ มะเร็ง เบาหวาน ความดัน ตามลําดับขั้นตอนการ ทํางานของ เซลล์เม็ดเลือดขาว ของแต่ละคน ทั้งนี้ การรับประทานยาหรืออาหารเสริม อะไรก็ตามควรตรวจสอบและศึกษาหาความรู้ รวมทั้งด้านความสะอาดเป็นหลักน๊ะครับ ดังที่ได้อ่านถึงอันตรายใกล้ตัวกับ สารตกค้างหรือปนเปื้อน อื่นๆ


ออกกาลังกายตอนเช้าอาจทาร้ายสุขภาพคิดจริงนะ ออกกําลังกายตอนเช้าหรือตอนเย็นดี..?? โดยหมอเสก จุฬาฯ คนส่วนใหญ่ตื่นเช้ามาออกกําลังคิดว่าอากาศสดชื่น มลพิษน้อย อากาศเย็น ร่างกายยังสดชื่น เพราะได้ พักมาทั้งคืน แต่อาจเป็นการทําร้ายสุขภาพมากกว่า!! เพราะตอนเย็นกินเสร็จเข้านอน ไม่ได้ใช้พลังงาน ขณะที่หลับ ตับจะทําการเปลี่ยนสารอาหาร แล้วนําไป เก็บไว้ในอวัยวะต่างๆ เช่น น้ําตาลเปลี่ยนเป็นไกลโคเจน ไตรกรี เซอร์ไรด์ ไขมันเปลี่ยนเป็นกรดไขมัน โปรตีนเปลี่ยนเป็นฟอสฟาเจน เมื่อตื่นนอนจึงไม่มีพลังงานหลงเหลืออยู่ในเลือด เหมือนกับรถยนต์น้ํามันแห้ง หากออกกําลังกาย ตับ จะต้องดึงสาร อาหารที่เปลี่ยนไปเก็บไว้ ให้กลับเป็นสารพลังงานในเลือดใหม่เกือบจะทันที ตับจะต้องทํางานหนักเพิ่มแค่ไหน จะทนสภาพนี้ได้นานเท่าไร เพราะไม่ได้พักเลย เหมือนคนกินเหล้า แล้วไม่กินอาหาร ตับต้องไปดึงสารอาหารจากที่ต่างๆ มาให้แอลกอฮอล์เผาผลาญ นานๆเข้า ในตับมีแต่ไขมัน คนนั้นอาจกลายเป็นโรคตับแข็งได้ ที่ถูกต้อง จะต้องกินอาหารและรอ 2 ช.ม.ก่อนจึงจะไปออกกําลังได้ เช่น กินอาหาร ตี 5 พอ 7 โมงเช้า จึงจะออกกําลังกายได้ ฝรั่งมีแต่คําว่า morning walk ไม่เคยได้ยิน morning jogging เลย นั่นคือ ตอนเช้าออก กําลังกายเบาๆได้เท่านั้น เช่น เดินออกกําลัง โดยก่อนเดินก็จะกินอาหารเบา ๆ เช่น แซนวิช 1 ชิ้นกับ โอวัลติน 1 ถ้วย ซึ่งจะใช้เวลาย่อยอาหารสัก 1/2 - 1 ช.ม. ก็พอ คือกินเล็กน้อย ออกกําลังกายเบาๆ ก็ ใช้พลังงานน้อย ตื่นนอนเช้า ร่างกายยังไม่มีพลังงาน จําเป็นต้องกินอาหารก่อน แต่หลังกินอาหารอิ่ม ก็ยังไม่ควรไปออก กําลังกายทันที เพราะหลังกินอาหารช่วง 2 ช.ม.แรก จะมีเลือดมารอรับอาหารที่จะถูกย่อย ที่กระเพาะและลําไส้เป็น จํานวนมาก เพื่อพาไปแจกจ่ายยังอวัยวะต่างๆของร่างกาย


ถ้าออกกําลังกายหนักๆในตอนนี้ เช่น การวิ่งซึ่งต้องการเลือดมาเลี้ยงที่ขา 20 เท่าตัวของสภาวะปกติ เมื่อเลือดมารวมอยู่ที่กระเพาะเป็นจํานวนมาก บวกกับที่ขาอีก 20 เท่าดังกล่าว จะทําให้เลือดไปเลี้ยง สมองไม่พอ ทําให้หน้ามืด เป็นลม หรือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หัวใจตายเฉียบพลัน ถึงชีวิตได้ จึงห้ามออกกําลังหลังกินอาหารไม่ถึง 2 ช.ม.เด็ดขาด รอให้อาหารย่อยหมดแล้ว เลือดที่กระเพาะก็จะกระจายกลับไปหมด ถึงตอนนี้จะออกวิ่งก็จะปลอดภัย ลองพิจารณาการออกกําลัง ตอนเย็นบ้าง ถ้าเรากินอาหารเช้ากับกลางวัน พอตกเย็นรับรองว่าพลังงานยัง มีเหลือเฟือ ตอนที่ทํางานใช้ไปไม่หมดแน่นอน สามารถออกกําลังกายได้เลย แต่อาจเติมอาหารอีกสัก เล็กน้อย ก่อนไปออกกําลัง จะทําให้ไม่รู้สึกโหย (ความจริงไม่ต้องไปกินอะไรเลยก็ได้) ข้อสําคัญ เมื่อออกกําลังตอนเย็นเสร็จแล้ว ให้ดื่มน้ํา โดยค่อยๆดื่ม จนรู้สึกอิ่ม พอกลับถึงบ้าน ท่านจะไม่ รู้สึกหิวและไม่อยากกินอะ ไรอีก และหลังออกกําลังกายตอนเย็นนี้ แล้ว เมื่อถึงเวลาเข้านอน จะเหลือสารอาหารค้างน้อยที่สุด ตับไม่ต้อง ทํางานมาก สารอาหารไม่ไปเก็บตามที่ต่างๆ จึงไม่ทําให้อ้วน และไม่เหลือค้าง ในหลอดเลือด โดยเฉพาะไขมัน จึงเป็นวิธีที่จะลดไขมันในเลือดได้ดีที่สุด โดยไม่ต้องกินยา จากงานวิจัยต่างประเทศเร็วๆนี้ พบว่า การออกกําลังกายตอนเช้าจะทําให้ภูมิต้านทานในร่างกายลดลง ส่วนการออกกําลังตอนเย็นจะทําให้ภูมิ ต้านทานเพิ่มขึ้น มีข้อแนะนํา คือ ออกกําลังกายแบบแอโรบิกก่อนนอนเช่น เดินบนสายพาน หรือขี่จักรยาน 30 นาที 60 นาที หรือยืนแกว่งแขน 20 นาที ก่อนนอน ไม่ต้องกลัวว่าจะนอนไม่หลับ เพราะ ร่างกายจะหลั่ง "เอนดอร์ฟีน" ออกมา ซึ่งมีฤทธิ์คล้ายๆมอร์ฟีนที่ใช้ฉีดให้คนไข้หลังผ่าตัด จะทําให้ง่วงนอน คลายความ เจ็บปวด คลายเครียดได้ดี ฉะนั้นออกกําลังกายเสร็จ อาบน้ํา แล้วเข้านอนเลย ท่านจะนอนหลับสนิทชนิดไม่ฝัน ซึ่งจะต้องการการ นอนเพียง 5 ช.ม. ก็เพียงพอ สังเกตว่าตอนทํางานช่วงกลางวัน จะไม่เพลีย ไม่ง่วง นอกจากนี้มีงานวิจัยใหม่ๆออกมา พบว่า คนนอน 5 ช.ม. มีโรคเส้นเลือดหัวใจอุดตัน น้อยกว่าพวก นอน 7-8 ช.ม.ด้วยซ้ําไป สรุปมาถึงตรงนี้ ..คงรู้แล้ว นะว่า ออกกําลังกายตอนเช้า หรือตอนเย็นดี


หลักของการรักษามี 4 อย่างคือ บํารุงสุขภาพ (health maintenance) รักษาโรค (disease cure) การคืนสู่สภาพ ปกติ (Rasayana /restoration of normal function) จิตวิญญาณ (spiritual approach) หลักที่สําคัญคือต้องหาสาเหตุของการเจ็บป่วยที่ทําให้เกิดการขาด ความสมดุลย์และแก้ไขส่วนขาดและลดส่วนเกิน โดยทั่วไปจะเป็นส่วนประกอบของสมุนไพรหลายๆ ชนิด ซึ่งจะเข้าไปช่วยระบบการทํางานของอวัยวะต่างๆ ของร่างกายพร้อมๆ กันและบํารุงร่างกายไป ด้วย สมุนไพรสามารถออกฤทธิ์ต่างๆ ดังนี้ 1) ระงับการสร้างเส้นเลือดใหม่ (antiangiogenesis) 2) ยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็ง (antiproliferative) 3) ระงับการอักเสบ 4) ซ่อมแซม DNA 5) ต้านการอ็อกซิไดส์ กําจัดอนุมูลอิสระ 6) ยับยั้งจุลชีพ เป็นต้น สมุนไพรต่อไปนี้ล้วนมีผลการทดสอบที่เป็นประโยชน์ต่อการรักษามะเร็ง ฟ้าทะลายโจร (Andrographis paniculata) ในอินเดียใช้กันมานานรักษาไทฟอยด์ แก้ อักเสบ แก้มาเลเรีย กระตุ้นภูมิคุ้มกัน สารสําคัญคือ andrographolide สามารถยับยั้ง เซลล์มะเร็งได้หลายชนิด มะตูม (Aegle marmelos) สารจากผลมะตูมสามารถยับยั้ง thyroid cancer และมี ฤทธิ์ยับยั้งไวรัส และต้านการอักเสบ บัวบก (Centella asiatica) มีสาร asiaticoside ที่ช่วยให้แผลเรื้อรังหายได้เร็วขึ้น เพิ่ม ภูมิคุ้มกัน และในบราซิลมีการใช้เพื่อรักษามะเร็งมดลูก ขมิ้น (Curcuma longa) สารสําคัญคือ curcumin มีฤทธิ์ต้านการอ็อกซิไดส์และต้านการ อักเสบที่แรง สามารถทําให้เกิดการตายของเซลมะเร็งหลายชนิดเช่น ผิวหนัง ลําไส้ใหญ่ กระเพาะ ลําไส้ เล็ก รังไข่ และยังมีฤทธิ์ต้านไวรัส แบคทีเรียและราอีกด้วย


หญ้างวงช้างดอกขาว (Heliotropium indicum) อายุรเวทใช้ใบในการรักษาไข้ ลมพิษ แผล การอักเสบเฉพาะที่ กลาก ปวดข้อ (rheumatism) มีอัลคาลอยด์ Indicine-N-oxide ที่ มีฤทธิยับยั้งเนื้องอก มีการทดลองทางคลีนิคในลิวคีเมีย และ solid tumour ว่านหางจรเข้ (Aloe vera) มีสาร aloe-emodin ที่กระตุ้น macrophage ให้กําจัด เซล์ลมะเร็ง และยังมี acemannan ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ว่านหางจรเข้ช่วยกระตุ้นการเจริญของ เซลล์ปกติและยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็ง Rubia cordifolia พืชตระกูลเดียวกับกาแฟมีมากในอินเดียตอนใต้ สารสกัดจากพืชนี้มีฤทธิ์ ต้านการอ็อกซิไดส์และกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และต้านมะเร็งหลายชนิดเช่น leukemia, ascetic carcinoma, melanoma, lung and large intestinal tumour เป็นต้น Whitania somnifera หรือ Indian ginseng เป็น adaptogen ที่ช่วยทําให้ ร่างกายทํางานได้เป็นปกติ โดยผ่าน Hypothalamic Pituitary Adrenal (HPA) axis มีสารสําคัญคือ whithanolide ซึ่งมีฤทธิ์เสริมภูมิต้านทาน และสามารถยับยั้งเซลล์มะเร็ง ผิวหนัง กะเพรา (Ocimum sanctum) เป็นสมุนไพรที่ใช้ในการแพทย์โบราณหลายระบบ เช่น อายุรเวท สิธธา ยูนานนิ กรีก โรมันเป็นต้น ใช้ในระบบทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ หัวใจ ผิวหนัง ฯลฯ ทุเรียนเทศ (Anona muricata) สาร acetogenin จากผลทําให้เซลล์มะเร็งตายได้ (ต้อง อยู่ในการดูแลของผูเ้ ชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะมีสารพิษทําลายตับและไต)


ลูกใต้ใบ/หญ้าใต้ใบ (Phyllanthus niruri/amarus) เป็นที่รู้จักว่าเป็น stonebreaker และมีการใช้แพร่หลายทั่วโลก ในระบบปัสสาวะและน้ําดี ตับอักเสบ หวัด วัณ โรค และโรคจากไวรัสอื่นๆ ดีปลี (Piper longum) มี piperine ซึง่ มีฤทธิ์ต้านการอ็อกซิไดส์ทั้ง in vitro และ in vivo จึงเป็นส่วนประกอบของตํารับยารักษามะเร็งของอายุรเวท Podophyllum hexandrum เป็นพืชบนเทือกเขาหิมาลัย มีสาร podophyllin และ podophyllotoxin ซึ่งยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งหลายชนิด เช่น sarcomas,adenocarcinoma และ melanoma มีการเตรียมอนุพันธ์และใช้เป็น ยารักษามะเร็งตับคือ etoposide บอระเพ็ด (Tinospora cordifolia) สารสําคัญจากบอระเพ็ดกระตุ้นภูมิคุ้มกันโดยการเพิ่ม ระดับเม็ดเลือดขาว และสามารถลดขนาดเนื้องอกได้ 58.8% เทียบเท่า cyclophosphamide รักขน (Semecarpus anacardium) ผลของรักขนมีการใช้ในอายุรเวทเพื่อรักษามะเร็ง มีงานวิจัยแสดงว่าสารสกัดคลอโรฟอร์มมีฤทธิ์ต้านมะเร็งและยืดอายุในกรณี leukemia, melanoma และ glioma ในสัตว์ทดลองที่ถูกเหนี่ยวนําให้เป็นมะเร็งตับสารสกัดจากรักขน ทําให้เนื้อเยื่อตับเป็นปกติ ยาเตรียม anacartin forte นิยมใช้รักษามะเร็งหลอดอาหาร chronic myeloid leukemia, urinary bladder และมะเร็งตับ ยังมีสมุนไพรอีกมากที่มีฤทธิ์ในการยับยั้งเซลล์มะเร็งโดยตรงหรือช่วยระงับอาการข้างเคียงต่างๆ ของ ผู้ป่วยมะเร็งซึ่งรอผลการสนับสนุนจากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์

หมายเหตุ ************ (ต้องอยู่ในการดูแลของผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะมีสารพิษทาลาย ตับ และ ไต ในพืช)


แล้วติดตามในฉบับต่อไปนะครับ


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.