รวมงานเขียน

Page 1

วิกฤติจริยวิบตั ภิ าคธุรกิจ โดยพื้นฐานของมนุษย์ล้วนแล้วแต่มีความอยากได้ หรือตอบสนองต่อสิ่วเร้าใจหรือแรงจูงใจต่างๆ ที่ มี ผู้ ม าเสนอให้ หรื อ ตามการชั ก จู ง ของโฆษณา ขึ้ น ชื่ อ ว่ า มนุ ษ ย์ แ ล้ ว ก็ ย่ อ มมี ค วามโลภเป็ น ธรรมดา โดยเฉพาะในวงการธุรกิจที่มีกระแสเงินตราไหลเวียนจานวนมหาศาล จนทาให้เกิดปัญหาสังคมที่รุนแรง อย่าง ความเสี่ยงทางศีลธรรม หรือจรรยาวิบัติ ในการทาสัญญาธุรกรรมร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของ เจ้าหนี้ ลูกหนี้ ระบบธนาคาร และเศรษฐกิจ จริยวิบัติหรือภัยทางศีลธรรม ที่เรีย กว่า Moral Hazard นี้คือ แนวโน้มที่คนจะเปลี่ยนพฤติกรรมไป ในทางที่ไม่พึงประสงค์ เนื่องจากไม่ต้องการรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นหลังจากการทาสัญญา เป็นความไม่ ซื่อตรงต่อตนเองและผู้อื่น ซึ่งการกระทานั้นๆ จะสร้างผลเสียให้กับคู่สัญญา ในลักษณะของการสูญสัย มูลค่าของทรัพย์สินหรือความเสียหายในทางการเงินต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น หากบุคคลหนึ่งกู้ยืมเงินจากธนาคารไป โดยบอกว่าจะนาไปใช้ลงทุนทาธุรกิจ หาก เขากลับใช้เงินที่กู้ยืมมาไปกับการซื้อสินค้าบริโภคอันฟุ่มเฟือย แทนการลงทุน เมื่อถึงคราวต้องชาระเงินกู้ คืนนั้นก็ไม่มีเงินมาคืนให้ แต่กลับกล่าวอ้างว่านาเงินกู้ไปลงทุนแล้ว และการลงทุนเกิดความเสียหายไม่อาจ สร้างรายได้ดังที่คาดการณ์ไว้ได้ ธนาคารไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าการที่ลูกหนี้ประสบปัญหาการชาระหนี้คืน นัน้ เป็นเพราะลูกหนี้ใช้เงินกู้ไปตรงตามที่ควรแล้ว แต่ประสบปัญหาทางธุรกิจจริงๆ หรือเป็นเพราะใช้เงินกู้ ไม่ถูกทางกันแน่ กล่ าวคือในส่ วนของเจ้ าหนี้ก็มี ทั้ง เจ้ าหนี้ดีและเลว เจ้ าหนี้จ ะพยายามนาเสนอการให้กู้เงิ นใน รูปแบบต่างๆ เพื่อให้คนมาใช้บริการ แต่ในบางครั้งเจ้าหนี้ปล่อยเงินกู้แบบลวกๆ ไม่ประเมินศักยภาพของ ลูกหนี้ในการช าระหนี้อย่างจริง จั ง ไม่ส นใจติดตามหนี้อย่างเคร่ง ครัด ลูกหนี้จึ ง ไม่ นาเงิ นมาใช้ คืนตาม กาหนดเวลา ทาให้เกิดดอกเบี้ยที่ชาระช้าขึ้น ดอกทบต้น ต้นทบดอก กลายเป็นหนี้สินพูนทวี จนท้ายสุดไม่ สามารถนาเงินมาชาระหนี้ได้ กลายเป็นกองหนี้เสียมหาศาล ผู้ปล่อยกู้หรือธนาคารมีความหละหลวม ไม่แยแสว่าลูกนี้นั้นมีค วามสามารถที่จะชดใช้หนี้คืนได้ หรือไม่ และเมื่อปล่อยกู้ออกไปแล้วก็ไม่มีการติดตามผล ที่เป็นอย่ างนี้เพราะเมื่อลูกหนี้ไม่มีปัญญาจะชดใช้ ธนาคารก็ยังจะหากไรคืนได้จากการยึดทรัพย์ ไปขายทอดตลาด และผู้รับซื้อรายต่อไปก็สามารถนาไปแปล เป็นสินทรัพย์ได้ ซึ่งวิธีการแบบนี้จะเป็นการผลัก๓ระความเสี่ยงไปให้ผู้ที่รับช่วงต่อนั่นเอง เป็นห่วงโซ่เลวๆ ที่ ส่งต่อผลัดมือกันไป ผู้ที่มาขอกู้เหล่านี้เป็นผู้ที่ซื้อบ้านและที่ดิน แต่ตนเองกลับมีรายได้ต่าเกินกว่าเงินที่จะใช้ผ่อนหนี้ใน แต่ละเดือน ซึ่งโดยปกติแล้วธนาคารจะไม่ปล่อยกู้ให้กับบุคคลเหล่านี้ เพราะมีความเสี่ยงสูงและมีโอกาสใช้ หนี้ธนาคารสาเร็จได้น้อยมาก เพราะบ้านนั้นมีราคาสูง ธนาคารจะใช้วิธียึดบ้านแล้วนาไปขายเพื่อแปลง เป็นตัวเงินอีกครั้ง


เมื่อสังคมการลงทุนในยุคโลกาภิวัฒน์นี้มีภาวะ Moral Hazard ที่รุนแรง ทั้งความโลภ และความ อยากมีอยากได้โดยไม่สนวิธีการขอเพียงแค่ตนได้ผลประโยชน์เป็นพอ จึงทาให้วิธีคิดของธนาคารเปลี่ยนไป ด้วย ธนาคารจะยอมปล่อยกู้ให้กับผู้ที่มีรายได้ต่าพร้อมผ่อนปรนให้ผู้กู้มีโอกาสได้บ้าน แม้พวกลูกหนี้จะรู้ว่า ตนมีโอกาสน้อยที่จะผ่อนสาเร็จ แต่ก็ยังเลือกที่จะคว้าโอกาสนั้นไว้ เพราะถ้าหากชดใช้ไม่ได้ก็นาไปขาย ทอดตลาดเสีย พฤติกรรมที่แย่เหล่านี้กลับกลายเป็นค่านิยมที่ผู้ต้องการผลประโยชน์เลือกใช้ พฤติกรรมเห็นแก่ตัวของผู้ปล่อยกู้และผู้กู้ดังกล่าวไม่ได้จากัดอยู่เพียงในวงแคบๆเท่านั้น แต่ลุกลาม กลายเป็นปัญหาระดับประเทศ ดีมานความต้อ งการซื้อที่ต่าผกผันกับความต้องการขายที่มีสูง ทาให้เกิด ภาวะที่มีบ้านรอขายอยู่ในระบบเศรษฐกิจมากมาย แต่ไม่มีผู้ที่ต้องการซื้อ ท้ายที่สุดเมื่อไม่อาจแปลกลับมา เป็นเงินสู่ระบบได้ จึงกลายเป็นภาวะหนี้เสีย พร้อมอัตราการเติบโตของตัวเลข NPL หลายครั้งมีกรณีที่เจ้าหนี้เป็นธนาคารรัฐและถูกผู้มีอานาจทางการเมืองสั่งให้ปล่อยเงินกู้มากๆ โดย ตั้งเงื่อนไขง่ายๆ เพียงเพื่อต้องการเรียกคะแนนนิยม โดยไม่รู้ว่าจะได้เงินคืนหรือไม่ และไม่สนใจกลั่นกรอง ลูกหนี้ เพราะรู้ดีว่าถึงอย่างไรรัฐก็ต้องเข้ามา “อุ้ม” ธนาคารถ้าเกิดหนี้เสียหรือขาดทุน เพราะรัฐเกรงว่าจะทา ให้ความเชื่อมั่นหดหายไป และทาให้ธนาคารอื่นๆพากันล้มตามไปด้วย เงินที่เอามาใช้นี้ก็เป็นเงินภาษีของ ประชาชนตาดาๆ ที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย แต่กลับต้องเป็นผู้เข้ามารับ ภาระจ่ายต้นทุน แทนลูกหนี้ที่หนี หนีห้ รือผิดนัด และเจ้าหนีท้ ล่ี ะเลยในการปฏิบัติงานเป็นการใช้เงินภาษีของประชาชนในทางที่ไม่ถูกต้อง จึง เป็นธรรมดาที่ประชาชนจะลุกขึ้นมาโวยวาย สะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนแอในระดับโครงสร้างสถาบันต่างๆ เช่นความอ่อนแอของภาครัฐในการกากับดูแลภาคการเงิน ภาครัฐควรรีบเข้ามากากับดูแลสถาบันการเงินอย่างจริงจั งและเคร่งครัด ให้ภาคการเงินทางาน อย่างเป็นธรรม จากัดปัญหา Moral hazard ให้เหลือน้อยที่สุด ทั้งมุมมองของลูกหนี้และเจ้าหนี้ ก่อนที่ สถานการณ์จะลุกลามจนทาให้เศรษฐกิจภาวะตกต่าซบเซา ควรวางแนวนโยบายที่เข้มงวดในการกู้ยืม ผ่อนชาระ และติดตามหนี้ รวมถึงต้องสร้างจิตสานึกให้กับผู้ปล่อยกู้และธนาคารไม่ให้เอารัดเอาเปรียบผู้กู้ และแสวงหากาไรระยะสั้นเข้าระบบและผลักภาระความเสียงไปให้ผู้อื่นและผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องอย่างที่ทากันอยู่ ในตอนนี้

งานเขียน : หัวข้อ Moral hazard


เลีย้ งกระต่ าย “แก้ ชง” หรือ “ทุกข์ ลาภ” กองโต? เมื่อย่างเข้าสู่ปะเถาะหรือปีกระต่ายนี้กระแสที่ดังจี้ตามมาติดๆ คงไม่พ้นกระแส “กระต่ายฟีเวอร์” ทั้งหาซื้อมา เลี้ยงเอง ซื้อให้เป็นของขวัญ หรือซื้อมาฝากเพื่อนหรือคนรักก็ตาม กระต่ายสัตว์เลี้ยงตัวน้อยแสนน่ารักถูกหลายคนหาซื้อ มาเลี้ยงเพียงเพราะตามกระแส หนักไปกว่านั้นถูกเลี้ยงเพื่อใช้เป็นเครื่องมือ “แก้ชง” หรือ “สะเดาะเคราะห์” แทนที่จะหามา เลี้ยงเพื่อความรัก เมื่อไร้ซึ่งความรักอย่างแท้จริงและเวลาว่างที่จะดูแลเอาใจใส่แล้ว ในท้ายที่สุดกระต่ายพวกนี้ก็กลับกลายเป็น ภาระกองโตที่ต้องหาวิธีกาจัดทิ้ง โดยนาไปปล่อยทิ้งไว้ให้สวนสัตว์เลี้ยงรับภาระเลี้ยงเลี้ยงดูแทน พวกเขาจะรู้ ไหมว่ า กระต่ า ยพวกนี้ มั น ก็มี จิ ต ใจ ต้ อ งการความรั ก และการดูแ ลเอาใจใส่ จ ากผู้ เ ป็ นเจ้ า ของ เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าใครนึกจะเลี้ยงก็นามาเลี้ยง ใครนึกจะทิ้งก็ทิ้ง อย่างนี้เจ้ากระต่ายพวกนี้คงได้แต่นั่งน้าตาซึม รอคอยวันที่ จะถูกทอดทิ้งเท่านั้นกัน ตอนนี้ถ้าใครได้แวะไปเที่ยวที่สวนสัตว์ดุสิต คุณก็จะเห็นพื้นที่จากัดเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยกระต่ายหลายสิบตัวที่ถูก คนนามาทิ้งไว้จนไม่มีที่จะอยู่ เพียงเพราะเลี้ยงไม่ไหว ไม่มีเวลาดูแล บางบ้านกระต่ายก็ออกลูกจนเลี้ยงไม่ไหว จนต้อง นามาให้สวนสัตว์ดุสิตเลี้ยงตั้งแต่ก่อนปีใหม่แล้ว จนตอนนี้สวนสัตว์ไม่มีพื้นที่จะรับเลี้ยงได้อีกต่อไป กระทั่งต้องออกมา ประกาศหาผู้ที่ใจบุญมารับเลี้ยงกระต่ายพวกนี้ กระต่ายที่เคยสดใสหลายตัวเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นเศร้า เซื่องซึม หงอยเหงา ไม่ร่าเริง และไม่อยากอาหาร เพราะ สภาพจิตใจบอบช้า ตรอมใจ ที่ถูกเจ้าของนามาทิ้ง หนักไปกว่านั้นหลายตัวก็ป่วย ติดเชื้อ และใกล้จะตาย จนต้องแยก ออกไปดูแล ถ้าหนักมากก็จะถูกส่งเข้าโรงพยาบาล เพื่อให้สัตวแพทย์ทาการรักษาต่อไป ที่สาคัญบางตัวก็ได้แต่รอคอยวัน ตายเท่านั้น ส่วนตัวไหนที่สภาพยังคงดีหน่อยก็จะถูกนามาเลี้ยงรวมกันไว้ในกรง คนที่จะเลี้ยงกระต่ายควรพึงระลึกไว้ว่า แม้กระต่ายจะเป็นสัตว์ที่น่ารัก เลี้ยงง่าย และขยายพันธุ์ง่าย แต่ก็ตายง่าย ไม่แพ้กันด้วย กระต่ายเป็นชีวิตที่เปราะบางมาก การเลี้ยงกระต่ายไม่เหมือนกับการเลี้ยงหมา เลี้ยงแมว คาถามหลักที่ว่ากระต่ายเป็นสัตว์ที่น่ารักเลี้ยงง่าย เลี้ยงกระต่ายแล้ว “แก้ชง” “สะเดาะเคราะห์” “เสริมดวง” แบบ ที่หลายคนเข้าใจนั้นเป็นความเชื่อที่ถูกต้อง หรือเป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น...? ด้วยความเชื่อที่ว่าเมื่อเลี้ยงกระต่ายแล้วจะสะเดาะเคราะห์ แก้ชงได้ เป็นการเสริมดวงให้กับผู้ เลี้ยง จึงทาให้เกิด กระแสเลี้ยงกระต่ายฟีเวอร์ขึ้น ส่วนปีชงนั้น ถ้าเรียกกันง่ายๆ ก็คือ ปีที่ไม่ถูกกันนั่นเอง คนที่งมงาย และหลงเชื่อต่างก็ไปซื้อ กระต่ายมาเลี้ยง หรือซื้อเป็นของขวัญของฝาก และซื้อให้กับคนรักเลี้ยงจานวนมาก และกระต่ายก็มีราคาก็ไม่แพง ราคา เริ่มต้นอยู่ที่ 200 บาท จนถึงหลักหมื่นบาท สิ่งที่ทาให้ฉันฟังแล้วรู้สึกใจหายและหดหู่ใจ คงหนีไม่พ้นคากล่าวของนักกระต่ายฟีเวอร์ 8 ใน 10 คน ที่กล่าวว่า “ราคานี้ แก้ชง ทาให้ดวงดีได้ ตายไปก็ไม่เสียดาย” แล้วคนเลี้ยงพวกนี้ได้คิดถึงชีวิตของพวกเขาบ้างไหม ชีวิตของคนเราแม้จะเป็นเพียงยาจกคนยากไร้ก็ยังมีค่า แล้ว นับประสาอะไรกับกระต่ายพวกนี้ซึ่งก็มีชีวิต มีจิตใจ มีเลือดมีเนื้อ ไม่ต่างไปจากคนเราไม่ใช่หรือ หรือเพราะเห็นว่ามันเป็น เพียงสัตว์ตัวเล็กๆ เท่านั้น จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่จาเป็นต้องไปสนกัน ‘ชี วิตหนึ่งชี วิต คุม้ กับเงิ นแค่ไม่กี่ร้อย ไม่กี่พนั กับความเชื ่อผิ ดๆ และบาปที ่จะได้ เพราะการทาร้ายชี วิตของพวก เขาแล้วจริ งหรื อ’ คนส่วนใหญ่มักมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องของกระต่ายหลายอย่าง อาทิเช่น มีกระต่ายพันธุ์แคระ จริงๆแล้ว นั้นไม่มี หรือห้ามซื้อกระต่ายที่ยังไม่อดนม วิธีสังเกตคือดูตัวที่มันลืมตาแล้ว และมีร่างกายแข็งแรง ความเชื่อผิดๆ เรื่องการ


ดึงหูกระต่าย จริงๆแล้วกระต่ายห้ามดึงหู เพราะเป็นส่วนที่มีเส้นประสาทมากที่สุด ต้องใช้วิธีอุ้มเอาเท่านั้น เรื่องกระต่าย ชอบกินของสด เช่น ผักบุ้ง แตงโม แตงกวา ถั่วฝักยาว จริงๆ ห้ามให้กินเด็ดขาดเพราะเปอร์เซ็นต์เสี่ยงท้องเสียจะสูง กระต่ายอาจจะเสียชีวิตลงได้ หรือเรื่องที่ห้ามกระต่ายตากฝน ตากแดดจะดี จริงๆกระต่ายไม่มีต่อมเหงื่อ ห้ามเลี้ยงในที่มี แดดจัด ต้องอยู่ในที่ร่ม และอากาศถ่ายได้สะดวก คนที่เลี้ยงกระต่ายเป็นแฟชั่นหรือซื้อมาเพราะแก้ชง ถ้าไม่รักจริงหรือศึกษาข้อมูลการเลี้ยงดูกระต่าย นิสัยใจคอ อาหารการกิน ที่อยู่อาศัย มาก่อนก็ไม่ควรที่จะซื้อมาเลี้ยง เพราะการเลี้ยงกระต่ายไม่ใช่เรื่องง่าย ที่สาคัญคนที่จะเลี้ยง กระต่ายได้นั้น ต้องมีความพร้อม และมีเวลาที่จะดูแลมันให้ดี มิใช่ซื้อมาแล้วก็ไม่เอาใจใส่ เลี้ยงแบบทิ้งๆ ขว้างๆ จนทาให้ มันตรอมใจ เหงาหงอยซึมเศร้า ป่วย ติดเชื่อ หรืออาจถึงขั้นตายได้ในที่สุด ต้องถามตัวเองวันละหลายๆ รอบก่อนว่า ตัวคุณเองและคนรอบข้างที่คุณจะซื้อกระต่ายไปมอบให้กับเขาว่า นอกจากจะซื้อมันเพราะรักหรืองมงายแล้ว คุณมีความพร้อมแล้วหรือยังกับเวลา 6 – 7 ปีที่จะอยู่กับกระต่าย และมีเวลาวัน ละมากกว่า 10 ชั่วโมงหรือไม่ที่จะให้กับมัน และคุณก็ควรมีเวลาอย่างน้อยวันละครึ่งชั่วโมงที่จะเล่นกับกระต่ายของคุณ ไม่อย่างนั้นมันจะมีอาการซึมเศร้าได้ กระต่ายไม่ใช่วัตถุมงคลที่คนเอามาตั้งแล้วจะทาให้ผู้เป็นเจ้ าของร่ารวย หรือดวงดี อีกอย่างกระต่ายนั้นเป็น สิ่งมีชีวิต ที่มีชีวิตจิตใจ ถ้ามันสามารถเลือกได้ก็คงอยากจะอยู่กับคนที่รักและอยากเลี้ยงมันจริงๆ ถ้าใครจะซื้อเพราะคิดว่าตามกระแส หรือเสริมดวงเท่านั้นก็อย่าซื้อเขามาเลย ถ้าเลี่ยงแล้วมันตาย แทนที่คุณจะ ได้บุญ ก็กลับกลายเป็นได้บาปไปเสีย ดวงจะตกเอาเปล่าๆ กระต่ายอาจจะช่วยเสริมดวงได้จริง แต่เขาไม่ได้หมายถึงกระต่ายจริง จะใช้ตุ๊กตา รูปปั้น หรือพวงกุญแจ ฯลฯ ก็ ค่าเท่ากัน และก็ไม่ได้จากัดว่าเสริมเฉพาะปีกระต่ายเท่านั้นด้วย ถ้าเกิดเราต้องซื้อสัตว์มาเลี้ยงเพื่อแก้ชงและเสริมดวงแล้ วอย่างนี้ทุกครั้งที่ขึ้นต้นปีนักษัตรใหม่ ก็เท่ากับว่ามีปีชง ทุกปี และต้องหาสิ่งมาเสริมดวง คนที่เป็นปีชงไม่ต้องไปหาซื้อสัตว์ตามปีนักษัตรมาเลี้ยงกันหมดหรือ ทั้งปีเสือ ปีม้า ปีมังกร หรือปีงู แล้วอย่างนี้ทาจะไปหามาจากไหนได้ละ มันเป็นอะไรที่เป็นไปไม่ได้ อย่างปีก่ อนๆ ก็ไม่เห็นมีวิธีแก้ชงแบบนี้ ที่เห็น จะมีก็คงเป็นการไปไหว้ บูชาเทพเจ้า ละซื้อสิ่งของมงคลเท่านั้น นอกจากตัวผู้ซื้อเองแล้วที่สร้างปัญหาก็ยังมีผู้ค้าบางประเภทที่หวังทาเงิน หวังฟันกาไรจากกระแสความเชื่อเลี้ยง กระต่ายแก้ชงนี้ มาล่อลวงประชาชน ทั้งพยายามโฆษณา หลอกล่อด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อให้คนมาซื้อกระต่ายอยู่เหมือนกัน ร้านขายกระต่ายหลายร้านแข่งกันติดป้ายโฆษณาชวนเชื่อทานองว่า เลี้ยงกระต่ายแล้วเสริมดวง ทาให้ดวงดีในปีเถาะมา ติดกัน และส่วนใหญ่จะเอากระต่ายเด็กคัวเล็กๆ มาหลอกขาย คนที่ไม่มีข้อมูลจะถูกหลอกให้ซื้อกระต่ายเด็ กกันเยอะ เพราะเห็นว่าตัวเล็กน่ารัก พวกนี้เลี้ยงเอาไว้ไม่นานก็จะตายเพราะมันยังไม่อย่านมนั่นเอง วิธีการและความเชื่อเหล่านี้มัน เป็นเพียงแค่กลยุทธ์ในการค้าของแม่ค้า พ่อค้าเท่านั้น ส่วนคนที่จะซื้อก็ต้องใช้วิจารณญาณกันด้วย นอกจากราคากระต่ายที่ผู้ซื้อต้องจ่ายแล้วนั้น จริงๆ ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆอีกมากมายที่นักเลี้ยงกระต่ายตามกระแส ต้องจ่าย เช่นนอกจากราคากระต่ายที่จะอยู่ไม่กี่ร้อยไปจนถึงหลักหมื่นบาทแล้ว ยังมีค่ากรงกระต่ายซึ่งขนาดมาตรฐาน ราคาเริ่มต้นที่ 700 บาท อาหารเม็ดเริ่มต้นที่ถุงละ 200 บาท หญ้าแห้งราคาเริ่มต้นที่ถุงละ 150 บาท อุปกรณ์ให้น้ากระต่าย ราคาเริ่มต้นที่ 100 บาทเป็นต้น ไหนจะค่ากระต่าย ค่าอาหาร ค่ายา ค่าหมอ ค่าอุปกรณ์การเลี้ยง ค่าข้าวของที่เสียหาย ค่า ... และเวลาที่ต้องใช้ ดูแลเขาอีก ถ้าไม่ได้รัก ไม่ได้ชอบแล้วจะเอาเขามาเป็นภาระทาไม ไม่แน่พอพ้นปีนี้ไปตัวเสริมดวงพวกนี้อาจจะถูกทิ้ง แล้ว พวกเขาจะได้ไปอยู่ที่ไหนกัน ไม่ใช่ว่าซื้อกระต่ายมาแล้วจะจบเพียงเท่านั้น ยังมีเรื่องอาหารการกิน เรื่องที่อยู่ เรื่องความสะอาดที่เป็นเรื่อง สาคัญมากๆ ตามมาอีก คนที่ไม่ศึกษาก็จะไม่รู้ ต้องเปลี่ยนน้า อาหาร และเปลี่ยนถาดรองของเสียทุกวัน ถ้า ปล่อยปละ


ละเลยเรื่องความสะอาดก็อาจมีสิทธิจะทาให้กระต่ายติดเชื้อได้ จึงไม่ควรเลี้ยงในห้องแอร์ และไม่ดูแลความสะอาด เพราะ สุขภาพก็จะแย่ไปตามๆ กัน จะเกิดอันตรายทั้งกับสัตว์เลี้ยงและผู้เลี้ยงได้ แหล่งซื้อกระต่ายที่ใหญ่ที่สุดคือตลาดจตุจักร โดยเฉพาะกระต่ายพันธุ์ฮอลแลนด์ลอปจะขายดีที่สุด ราคาเริ่มต้น ที่ 2,500 บาท เป็นกาลังซื้อสาหรับแฟนพันธ์แท้ที่รักกระต่ายจริง ส่วนสาหรับขาจรพันธุ์กระต่ายที่ขายดีที่สุดคือพันธุ์ไทย ผสม ราคาจะเริ่มต้นที่ 200 บาท ซึ่งถือว่าไม่แพงเลย สาหรับกระต่ายที่กาลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้มี 5 สายพันธุ์ ได้แก่ 1. พันธุ์ฮอลแลนด์ลอป เพราะเป็นพวก กระต่ายหูตูบที่ถูกพัฒนาขึ้นมาใหม่ให้ตัวเล็กลงและหูสั้นขึ้น คล้ายลูกสุนัข ขี้อ้อน ฝึกเรียกชื่อฝึกเข้าห้องน้าก็ได้ ถือเป็น กระต่ายที่ฉลาดและมีคนหาซื้อมากที่สุดและราคาสูงที่สุดด้วย ราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่ 2,500 – 20,000 บาท 2. เนเธอร์แลนด์ ดรอฟ จะเสน่ห์อยู่ที่มีสีให้เลือกสรรเยอะ 3. วูดดี้ทอย ขนฟูตัวเล็กที่คนไทยพัฒนาขึ้นมาเอง 4. มินิเร็กซ์ ขนกามะหยี่น่าฟัด และ 5. พันธุ์ดัชต์และพันธุ์มินิล็อปที่ขายดีอันดับต้นๆของร้าน และตลาดกระต่ายโดยรวม กระแสความฮิตที่สื่อมวลชนประโคมกระแสซื้อกระต่ายฟีเวอร์ จริงๆ แล้วนั้น กระแสความฮิตมีมาก่อนหน้านี้แล้ว จุดพีคที่สุดของกระต่ายคือช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา โดยมีกระต่ายสายพันธุ์ฮอลแลนด์ลอป เป็นตัวจุดกระแสความนิยม ต่อมาความนิยมเริ่มอยู่ตัว และก็พีคอีกครั้งหลังเข้าสู่ปีกระต่าย อีกด้านหนึ่งสาหรับตลาดธุรกิจการค้านั้น กระแสกระต่ายฟีเวอร์นับเป็นเรื่องดี ทาให้ผู้ค้ามีรายได้และกาไรมาก ขึ้น มีเงินตราไหลสะพัด ถ้าจะลงทุนเปิดร้านกระต่ายตอนนี้ถือว่ารายได้ดีมาก เมื่อหักค่าใช้จ่ายก็ถือว่าคุ้มกับการลงทุน ปัจจุบันตลาดฟาร์มกระต่ายกาลังบูมได้เงินดีจริง เพราะคนนิยมเลี้ยงเพื่อแก้ชงเสริมดวงชะตาค่อนข้างเยอะ แต่สิ่งหนึ่งที่ตามมาหลงเม็ดเงินคือ ผู้ขายจะต้องรักและเข้าใจกระต่ายจริงๆ เพราะต้องอยู่กับมันตลอดเวลา และ กระต่ายก็เป็นสัตว์เลี้ยงที่ต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิด ห้ามปิดร้านแม้สักวันเพราะถ้ากระต่ายขาดน้า อากาศถ่ายเท และ อาหารไม่นานอาจจะทาให้ตายยกร้านได้ สิ่งที่หลายคนไม่รู้คือแท้จริงแล้วตามวัฒนธรรมของจีนและเรื่องแก้ปีชงของจีนนั้น ไม่เคยมีกล่าวไว้ในตาราว่า ปี กระต่ายต้องซื้อกระต่ายมาเลี้ยงแก้เคล็ด หรืออะไรทานองนี้เลย ถามเพื่อนที่มีเป็นคนจีนก็บอกว่าไม่เคยได้ยินเหมือนกัน แม้แต่ซินแส ภาณุวัฒน์ พันธุ์วิชาติกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านโหรศาสตร์จีนมาหลายสิบปี ยังกล่าวถึงเรื่องที่คนเข้าใจว่า เลี้ยงกระต่ายแล้วแก้ชงได้ว่า เป็นเรื่องไม่ได้ประโยชน์แถมยังเหลวไหลสิ้นดี เป็นเรื่องที่แก้ไม่ได้แน่นอน การแก้ชงคือการทาดี พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ที่ชราภาพอยู่ คุณเลี้ยงท่านดีแล้วหรือยัง บุญทานที่ผ่านมาได้ทาบ้าง หรือเปล่า การเลี้ยงกระต่ายที่เป็นสัตว์ที่ผสมพันธุ์ง่าย เลี้ยงไว้ไม่นานก็มีลูกออกมาเต็มบ้าน แล้วพอเลี้ยงไม่ไหวก็ต้องนาไป แจกคนอื่นให้ช่วยเลี้ยง หรือนาไปปล่อยให้สวนสัตว์เลี้ยงแทน เป็นการสร้างภาระให้กับคนอื่ นเขาเสียอีก แล้วอย่างนี้คน เลี้ยงจะ “โชคดี” หรือ “โชคร้าย” กันแน่ การเลี้ยงสัตว์ให้ได้บุญนั้นเขาว่าไว้ว่า การเลี้ยงสัตว์ให้ได้บุญ เราต้องเลี้ยงด้วยความรัก ความเอาใจใส่ ต้องดูแล เขาอย่างดี ถึงจะได้บุญ ต้องให้ข้าวให้น้า เวลาไม่สบายก็ต้องรักษา การที่เราต้องมาดูแลเลี้ยงดู ก็เพราะมีเวรกรรมร่วมกัน มา ชาตินี้เราถึงต้องมาคอยให้ข้าวให้น้า ให้อาหาร ให้ที่อยู่ พวกเขานั่นเอง ถ้าเราเลี้ยงเขาไม่ดี ไม่ดูแลเอาใจใส่ ทิ้งๆ ขว้างๆ ก็จะกลายเป็นการสร้างบาปแทนเสียนี่ การเลี้ยงสัตว์ทุกชนิด หากขาดการเอาใจใส่ดูแล ทั้งเจตนาและไม่เจตนาก็เป็นบาป เท่ากับเอาเขามาทรมาน สุดท้ายถ้าคุณต้องถามตัวเองอย่างจริงจัง และไตร่ตรองดูให้ดีก่อนที่จะซื้อกระต่าย หรือสัตว์อื่นมาเลี้ยงว่าคุณมี ความพร้อมแค่ไหน มีเวลาพอไหมที่จะเลี้ยงดูมัน ถ้าไม่ก็อย่าซื้อมันมาเลี้ยงให้ทรมาน ให้มีเวรกรรมต่อกัน เลย คุณควรจะ เลี้ยงด้วยความเอาใจใส่ ใจรักจริงๆ หากไม่มีใจรักจริงก็อย่าเลี้ยงดีกว่า มิเช่นนั้นบุญจะกลายเป็นบาปเท่านั้นเอง และเดี๋ยว จากจะเสริมดวงแก้ชงจะกลายเป็นทุกข์ก้อนโตเสีย

งานเขียน : หัวข้ออิสระ


One Day Chill Out @ SUAN PHUENG เอ๊.... วันหยุดสุดสัปดาห์นี้เพื่อนๆ มีแผนจะไปไหนกันบ้างเอ่ย ถ้าไม่มีวันนี้เราชาว Ars มีทริปวันเดียวเที่ยว ชิลล์ๆ วิวสวยๆ มาฝากกันค่ะ นอกจากจะสนุกแล้วยังคุ้มอีกด้วย เพื่อนๆ สามารถไปกลับได้ในวันเดียว สาหรับใคร ที่ไม่ค่อยมีเวลาว่างมากนักก็ไปได้สบายๆ หายห่วง ถึงเวลาจากัด แต่ความสนุกไม่จากัดค่ะ ที่ที่เราจะพาไปเที่ยว นั้นมีคาขวัญที่ว่า “สวนผึ้ง สาวกะเหรี่ยง เคียงตะนาวศรีลาภาชี แก่งส้มแมวแนวหินผา ธารน้าร้อนบ่อคลึง ตรึงติด ตา น้าผึ้งป่า หวานซึ้งตรึงใจ” รู้กันรึยังคะว่าเราจะพาไปไหน... นั่นก็คือ อาเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี เมืองในฝัน ใกล้กรุงเทพฯ นั่นเองค่ะ ใครจะคิดว่าแค่ขับรถออกจากกรุงเทพฯ เพียงร้อยกว่ากิโล ใช้เวลาแค่ 1-2 ชั่วโมง ก็จะพบสถานที่เที่ยว สวยๆ ทั้งธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ ทิวเขาสลับซับซ้อน ป่าไม้เขียวขจี ธารน้าใส กิจกรรมสนุก น่ารักๆ อย่างที่สวน ผึ้ง ราชบุรี สุดเขตแดนตะวันตกแห่งนี้ ว่าแล้วก็ออกเดินทางกันเลย... ล้อหมุนออกจากจุดนัดหมายย่านจรัญสนิทวงศ์ 9 โมงเช้า ผ่านถนนเพชรเกษม ทางหลวงหมายเลข 4 ผ่านอาเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ข้ามสะพานเข้าสู่ตัวเมืองราชบุรี แล้วเลี้ยวขวาไปตามทางหลวงหมายเลข 3208 อีกประมาณ 60 กิโลเมตร จึงถึงอาเภอสวนผึ้ง จ.ราชบุรี ก่อนที่เราจะไปถึงจุดหมายเราขอพาชาว Ars แวะชม ‘ถ้าเขาบิน’ เป็นที่แรกก่อนเลยค่ะ พวกเราไปถึงเวลา 10.30 น. ก่อนเข้าไปชมในถ้าต้องซื้อตั๋วก่อน ค่าเข้าไม่แพง คนละ 20 บาทเท่านั้น ส่วนเด็ก 10 บาท พนักงานบอก ว่าในถ้ามีระยะทาง 500 เมตร ไม่ไกล เดินกันได้สบาย ๆ แต่ขอบอกไว้ก่อนนะคะว่าข้างในถ้า อากาศจะค่อนข้าง ร้อนแล้วก็อบอ้าวพอสมควร บรรยากาศโดยรอบก็มืดและทางเดินค่อนข้างลื่นเอามากๆ ภายในถ้าประดับไฟฟ้าทาให้เห็นความสวยงามของหินงอกหินย้อย เสาหิน และหลอดหินย้อยซึ่งเกิดใหม่ อย่างชัดเจน ภายในถ้าเขาบินแห่งนี้แบ่งออกเป็น 8 ห้องใหญ่ แต่ละห้องจะมีชื่อเรียกตามลักษณะหินงอกหินย้อย ได้แก่ โถงอาคันตุกะ ศิวะสถาน ธาราโนดาษ สองสกุณชาติคูหา เทวสภาสโมสร กินนรทัศนาหรือกินนรีทัศนา พฤกษาหิมพานต์ และอุทยานทวยเทพ แต่ละชื่อเริ่ดหรู ไพเราะเพราะพริ้งทั้งนั้นเลย เมื่อเท้าก้าวแรกที่ได้เหยียบเข้าไปในถ้า เหมือนได้เข้ามาอยู่อีกโลกนึงเลยค่ะ ขอบอกว่าความสวยงาม อลังการ สมกับชื่อเรียกของแต่ละห้องจริงๆ เดินไปตามทาง มีป้ายบอก ชี้ทางเข้า -ออก ถึงค่อนข้างมืดแต่สามารถ มองเห็นป้ายได้ชัดเจนค่ะ ค่อยๆ เดินชื่นชมความสวยงามของหินงอกหินย้อยกันไปเพลินๆ แต่ละห้องของถ้าก็มี ขนาดแตกต่างกันไป ช่องที่ต้องเดินผ่านก็สูงๆต่าๆ เล็กๆใหญ่ๆ บวกกับทางเดินลื่นๆ ก็ทุลักทุ เลพอควร และบาง ช่วงก็มืดด้วย แต่ภาพที่ได้เห็นก็ทาให้รู้สึกประทับใจ ไม่เคยพบเห็นมาก่อนค่ะ เมื่อชมความงามกันจุใจแล้วเราก็จะไปยังจุดหมายของเรากันต่อค่ะ ขณะรถมุ่งหน้าเข้าสู่สวนผึ้งฝนค่อยๆ ตกลงมาพราๆ แต่ก็ไม่มากเท่าไหร่ไม่เป็นอุปสรรคสาหรับการเดินทาง ท้องฟ้ายัง เปิดอยู่ กว่าฝนจะหยุดก็จะเป็น เวลาเที่ยง แล้วเราก็มาถึงที่หมายนั่นคือโป่งยุบ ซึ่งตั้งอยู่ที่บ้านท่าเคยก่อนถึงตัวอาเภอสวนผึ้ง 5 กม. โป่งยุบนี้เกิด จากการยุบตัวของแผ่นดิน ทาให้มีลักษณะเป็นหน้าผาสูงชัน ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับแพะเมืองผีที่จังหวัดแพร่ หรือ ฮ่อมจ๊อม อาเภอนาน้อย จังหวัดน่านค่ะ


ใครที่เจอแต่ถนนเรียบๆ ในกรุงเทพฯลองมาสัมผัสถนนลูกรังของถนนแยกโป่งยุบกันบ้าง ว่าฝุ่นลูกรัง กับ ฝุ่นคอนกรีตต่างกันยังไง ที่นี่เก็บเงินค่าเข้าครั้งละ 50 บาท ไม่ว่าคุณจะมาคนเดียวหรือเป็นกลุ่มก็ตาม ระหว่าง ทางเดินไปดูโป่งยุบจะมีป้ายชี้บอกทางเข้า เดินไปตามลูกศรเพื่อชมความมหัศจรรย์ของธรรมชาติกันได้เลยค่ะ เดิน ตามทางลงไป แล้วเราก็จ ะได้พ บหน้ าผาที่ มีลัก ษณะแปลกๆ สร้ างความทึ่ งกับ ความเป็น ไปของ ธรรมชาติที่ได้พบเห็นนี้มาก เดินมาเรื่อยๆ ชมผาชมไม้ ถ่ายรูปกันเพลินๆ ก็พบว่าตัวเองได้ขึ้นมาสู่ข้างบนของผาที่ เพิ่งเดินผ่านมาเมื่อกี๊แล้วละค่ะ มองลงไปคุณจะเห็นหลุมกว้างมากมายหลายหลุม แต่ละหลุมก็มีความลึกสม พอควร ขึ้นมาบนนี้รู้สึกปลอดโปร่งมาก หายใจได้เต็มปอด เห็นท้องฟ้าได้กว้างสุดลูกหูลูกตาเหมาะแก่การถ่ายรูป เป็นอย่างมากค่ะ น่าเสียดายที่วันที่พวกเราไปฟ้าค่อนข้างครึ้ม ไม่งั้นคงได้เก็บภาพท้องฟ้าโปร่ง สดใส เรียงรายไป ด้วยภูเขาสีเขียวมาฝากผู้อ่านได้หลายรูปแน่ๆ แต่ถึงแม้ท้องฟ้าจะไม่เป็นใจพวกเราก็ลั่นชัตเตอร์กันไปได้หลายแชะ ออกจากโป่งยุบพวกเราแวะบ้านหอมเทียนต่อ หน้าทางเข้ามีป้ายบ้านหอมเทียน สีส้มใหญ่สะดุดตา พอ ลงจากรถแว๊บแรกที่เห็นคือ สภาพแวดล้อมที่ร่มรื่น อาคารไม้โดดเด่น สะดุดตา และการตกแต่งประดับประดาด้วย ของเก่าๆ เช่น รถรุ่นคุณปู่ ตุ๊กตา กระป๋องลูกอมที่สมัยนี้ไม่มีขายแล้วค่ะ ทาให้นักท่องเที่ยวหลายๆ คน รู้สึกว่าได้ ย้อนกลับไปสมัยเด็กๆ หรือในอดีตอีกครั้ง บ้ านหอมเที ย นเป็ น แหล่ ง ท่ อ งเที่ ย วอีก แห่ งของอ าเภอสวนผึ้ ง ตั้ง อยู่ บ นหลั ก กิ โลเมตรที่ 33 เป็ น ทั้ ง ร้านอาหาร ร้านกาแฟ และที่พัก แต่ความพิเศษ ซึ่งเป็นจุดขายของที่แห่งนี้คือ การขายเทียนหอมหลากสีสันหลาย แบบ ซึ่งทางร้านจะทาและออกแบบกันเอง จุดเด่นอีกอย่างของที่นี่คือ กาแฟ และไอศกรีม ในกระบอกไม้ไผ่ที่แม่ค้า แม่ขายพร้อมนามาเสิร์ฟลูกค้าที่แวะเวียนมาสั่ง จะขายกันกระบอกละ 50 บาท แม่ค้าแนะนาเราว่ากระบอกไม้ไผ่ อย่าทิ้งนะคะ เมื่อกินหมดแล้วสามารถนาไปเป็นแจกัน หรือว่าปลูกต้นไม้ก็ได้ เก๋ไก๋ไปอีกแบบหนึ่งเหมือนกันค่ะ จากการได้สอบถามผู้ที่ค้าขายอยู่ที่นั่น ก็ได้ความว่าที่นี่เปิดมากว่า 8 ปีแล้ว เริ่มแรกเป็นแค่บ้านหอมเทียน ขายเทียนอย่างเดียวเท่านั้น ที่นี่เน้นความเป็นธรรมชาติ สังเกตได้จากบรรยากาศแวดล้อมที่ร่มรื่นหรือการนาสิ่งที่ เป็นวัสดุธรรมชาติมาใช้ นักท่องเที่ยวที่เข้ามาส่วนใหญ่ก็เพื่อมาซื้อเทียนโดยเฉพาะ และวันหยุดที่นี่จะคับคั่งไป ด้วยนักท่องเที่ยวแทบทุกตารางเมตรเลยทีเดียว นักท่องเที่ยวที่มาที่นี่ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “ประทับใจมาก มีบรรยากาศและการตกแต่งที่มีความสวยงาม เป็นธรรมชาติ ถ้าได้มาเที่ยวอีกครั้ง ก็ต้องขอแวะมาที่บ้านหอม เทียนอีกแน่นอน” เทียนดีไซน์สวย ลายเก๋ๆ น่ารักๆ ใครแวะเวียนเข้ามาก็มักจะได้เทียนหอมนี้ติดไม้ติดมือกลับไปทุกราย ราคาก็ไม่แพง มีตั้งแต่ 25 บาท ถึง 300 กว่าบาท นอกจากนั้นยังมีตะเกียง หรือแก้วสาหรับเอาไว้ใส่จุดเทียนหอม ด้วยนะคะ เห็นแล้วต้องร้องว้าวเลย สวยๆ ทั้งนั้น ราคาก็เริ่มต้ นที่ 60 บาท โดยราคาจะขึ้นอยู่กับดีไซน์และขนาด เล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ค่ะ ภายในร้านจัดตกแต่งไว้อย่างสวยงามด้วยเทียนหอม และแสงไฟที่โลดแล่น ส่ายไหวอยู่ ตามมุมต่างๆของร้าน นอกจากนั้นเรายังสามารถลองทาเทียนเองได้ด้วย ซึ่งทางร้านจะจัดโต๊ะ เตรียมของไว้ให้ พร้อม และมีคนสอนทายืนแสตนด์บาย ถ้าใครอยากได้เทียนสวยๆ ฝีมือตัวเองกลับไปฝากคนที่บ้าน หรือเพื่อนฝูงก็ อย่าพลาดนะคะ รับรองคนรับต้องปลื้มและประทับใจไม่รู้ลืมแน่นอนค่ะ พวกเราตกลงกันว่าจะไปหาอะไรกินที่จุดหมายข้างหน้า เพราะอยู่ไม่ไกลบ้านหอมเทียนเท่าไร นั่งรถต่อไป แค่ไม่กี่นาที จะพบภูผาผึ้งรีสอร์ทแล้วก็เลี้ยวซ้ายขับไปเรื่อยๆก็ถึงแล้วละค่ะ ต้องขอแอบบอกนะคะว่าที่นี่เป็นที่ที่ เราอยากมามากที่สุดสาหรับทริปในวันนี้เลย นั่นก็คือ... The Scenery resort & Farm นั่นเองค่ะ


The Scenery resort & Farm นี้เป็นรีสอร์ทเปิดค่ะ ผู้ที่ไม่ใช่แขกของรี สอร์ทก็สามารถเข้าชมได้ แต่จะให้ เข้าเฉพาะตรงส่วนของฟาร์มด้านหน้านะคะ ในส่วนของรีสอร์ทสร้างง่ายๆ ด้วยสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน สีขาวตัดกับ ท้องฟ้ากว้าง และฝูงแกะ ช่างเป็นอะไรที่สวยงาม น่ารักจริงๆ นอกจากนั้นยังมีธารน้าอยู่หลังรีสอร์ทด้วย เนื่องจากทิวทัศน์ที่สวยงาม ที่นี่จึงกลายมาเป็นโลเคชั่นยอดนิยมสาหรับถ่ายแฟชั่น ถ่ายภาพแต่งงาน โดยเฉพาะอย่างหลังมีลูกค้ามาใช้บริการเป็นประจาจนต้องมีการนามาจัดเข้าไว้ในรายการโปรโมชั่นของทางรี สอร์ทกันเลยทีเดียว ใครอยากสัมผัสน้องแกะตัวเป็นๆ ยกมือขึ้นแล้วตามมาทางนี้เลยค่า ก่อนเข้าไปหาน้องแกะเราต้องจ่ายค่า เข้ากันก่อนคนละ 40 บาทค่ะ พร้อมมีหญ้าเนเปีย 1 กา ถ้าอยากได้เพิ่มก็ต้องเสียอีกกาละ 20 บาทค่ะ นอกจากชม น้องแกะแล้วยังมีกิจกรรมอื่นให้เพื่อนๆ ทาอีกนะคะ ทั้งยิงธนู 12 ดอก 100 บาท (อันนี้มีรางวัลค่ะ ) ขี่ม้า 3 รอบ 100 บาท ขึ้นเฮลิคอปเตอร์เพื่อชมทิวทัศน์ของสวนผึ้ง 1,500 บาทต่อคน อ้อ ปั่นจักรยาน พายเรือคายัคก็มี แต่ว่า จะเป็นกิจกรรมของลูกค้าที่เข้าพักในรีสอร์ทเท่านั้นค่ะ การเข้าชมแกะ ขี่ม้า และยิงธนูจะเปิดให้บริการวันจันทร์ ศุกร์ 10.00-18.00 น./เสาร์-อาทิตย์ 9.00-18.00 น. แกะที่นี่ขอบอกว่าฉล๊าดฉลาดกันทั้งนั้น ทั้งน่ารัก น่าหมั่นไส้เลยละค่ะ แหมพอเราเข้าไปในฟาร์ม เจ้าแกะ พวกนี้จะรีบแล่นเข้ามาหาเราทันทีเลย ก็เพราะหญ้าในมือเรานั่นแหละค่ะ สงสัยเจ้าแกะพวกนี้จะไม่อิ่มง่ายๆ เห็น กินกันทั้งวัน มันจะเดินเข้ามากินหญ้ากับเรา บางตัวก็นอนอาบแดดก็มี เจ้าแกะพวกนี้พฤติกรรมมันแปลกๆ ตลกๆ ดีเหมือนกันนะคะ จะตลกยังไงอันนี้เพื่อนๆ คงต้องมาสัมผัสด้วยตัวเองแล้วถึงจะรู้ค่ะ ถ้าสังเกตดูรู้สึกเหมือนว่า พวกมันไม่ค่อยชอบให้เราไปจับไปแตะที่หัวมันซักเท่าไร มันจะหันหัวหนีมือเรา เป็นกันเกือบทุกตัว ก่อนกลับเพื่อนๆ สามารถแวะซื้อของฝาก หรือโปสการ์ดน่ารักๆ ติดไม้ติดมือไปฝากคนที่ไม่ได้มาได้ที่ร้าน ‘Sheepie Sheep’ จุดหมายต่อไปของเราคือ ไร่สมปรารถนา บ้านอ้อมกอดขุนเขา และสวนผึ้งออคิดส์ ในระหว่างทางที่ขับรถ กลับออกมาจาก Scenery Resort เราก็ได้พบกับ Swiss Valley Hip Resort รีสอร์ทที่เปิดให้เข้าชมแกะอีกแห่ง เราออกมาสู่ถนนสายหลักหมายเลข 3208 แล้วขับรถต่อไป อีกนิดนึงก็ผ่าน ‘ไร่สมปรารถนา’ ค่ะ อยู่ทางด้าน ขวามือ มีป้ายและทางเข้าเล็กๆ จุดหมายที่เราจะไปชมกันก็คือ สวนผึ้งออคิดส์ ที่เปิดให้ได้เข้าชมกล้วยไม้สวยๆ และสามารถซื้อหากลั บ บ้านได้ด้วย ซึ่งเราก็ได้เตรียมการดูแผนที่มาเรียบร้อย เพียงมุ่งหน้ามาตามถนนสายหลักก็จะพบกับสวนผึ้งออคิดส์ อยู่ทางด้านขวา แต่พอมองดูนาฬิกาแล้ว 6 โมงเย็น เริ่มมืดแล้วค่ะ พวกเราจึงตัดสินใจกลับกรุงเทพฯดีกว่า ขอติด สวนผึ้งออคิดส์ เอาไว้ก่อนนะคะ ไว้วันหลังโอกาสดีๆ เราจะแวะไปชมความสวยงามเก็บเอามาฝากอีกแน่นอน สิ้นสุดการเดินทางวันเดียวเที่ยวสนุกในครั้งนี้ รู้สึกมีความสุข ผ่อนคลายมากๆ เพราะไม่บ่อยนักที่ได้ ออกมาต่างจังหวัด ได้มาสูดอากาศบริสุทธิ์ ซึมซับความเป็นธรรมชาติเช่นนี้ ช่างเป็นการพักผ่อนสมองชั้นเลิศเลย ทีเดียว

งานเขียน : หัวข้อ สารคดีท่องเที่ยว Ars magazine


SAMUI...เสน่ ห์ท่ มี ากกว่ าทะเล เอ๊...เกาะสมุยนอกจากทะเลสีครามสดใส และหาดทรายสวยๆ แล้ว ยังมีอะไรให้เราได้เที่ยวได้เล่น อีกมั้ยน้า ร้อนๆ อย่างนี้คงหนีไม่พ้นลงไปแหวกว่ายในน้าทะเลสีสดใส สมุย ...นอกจากเสน่ห์ของท้องทะเล แสนงามแล้วยังมีกิจกรรมอีกมากมายให้คุณได้ค้นหาและเล่นสนุก สมุยวันนี้จะสมกับที่ได้ชื่อว่า “สวรรค์ กลางอ่าวไทย” จริงหรือไม่คุณคงต้องเดินทางไปพิสูจน์เองแล้วล่ะ พวกเราออกเดินทางไปสมุยกันแต่เช้า เวลากว่า 8 ชั่วโมงที่ขับ “นิสสัน อัลเมร่า” ไปชิลๆ ฟังเพลง สบายๆ ที่เราเช่ามาจาก “บัดเจ็ท” ศูนย์เช่ารถที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ก่อนจะเหยียบคันเร่งเพื่อไปให้ทัน ขึ้นเรือเฟอร์รี่ที่ท่าเรือดอนสักข้ามไปเกาะสมุยรอบสุดท้ายให้ทัน (ทันแบบเส้นยาแดงผ่าแปด 555) ใช้เวลา เพียงหนึ่งชั่วโมงครึ่งเรือก็เทียบท่าหน้าทอนในเวลาพลบค่า พวกเราจึงแวะกินข้าวที่ร้านตาโข ก่อนจะรีบเข้า ที่พัก เพื่อชาร์ตพลังให้เต็มไว้ตะลุยเที่ยวสมุย...สวรรค์กลางอ่าวไทย ดินแดนของต่างชาติ ในวันรุ่งขึ้น เราเลือกพักที่ Mimosa Resort & Spa ย่านแม่น้า เพียงแค่เหยียบย่างเข้าไปเราก็รู้สึกถึงความสงบ ความอบอุน่ และเป็นกันเอง ที่เรียงร้อยผ่านเรื่องเล่าของเหล่าต้นไม้ตระกูล mimosa...อย่างไมยราพ จามจุรี กระถิน และผักกระเฉด ได้อย่างน่ารักและเอาใจใส่ทุกรายละเอียด แม้กระทั่งอาหาร เครื่องใช้ สบู่ ยาสระ ผม ยาสีฟัน ก็ยังมี ส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าพืช ตระกูลนี้ ใครมาเยือนก็คงอดไม่ ได้ที่จ ะหลงรักรีสอร์ทแห่ง นี้ แม้แต่ตัวฉันเอง วันรุ่งขึ้นอากาศดีมาก ท้องฟ้าสวย ทะเลสีคราม น่าถ่ายรูปที่สุด ขนาดหาดหน้า Mimosa ยังสวย ขนาดนี้ แล้วหาดยอดนิยมอย่างหาดละไม และหาดเฉวงจะสวยขนาดไหนกันนะ หลังจากชื่นชม mimosa จนพอใจแล้วเราก็ออกตระเวนรอบเกาะสมุย เพื่ อหาที่ทากิจกรรม จะเห็นได้ว่าทั่วทุกมุมของเกาะนี้จะแฝง ไปด้วยแหล่งท่องเที่ยว กิจกรรม ร้านอาหาร และรีสอร์ท หลากสไตล์ เราตัดสินใจแวะไปดูหินตาหินยายก่อนเป็นอันดับแรก เดี๋ยวจะถูกหาว่ามาไม่ถึงสมุย หินตา หิน ยาย โขดหิ น รู ป ร่ า งประหลาด อยู่ บ ริ เ วณอ่ า วละไม นั บ เป็ น สั ญ ลั ก ษณ์ อ ย่ า งหนึ่ ง ของเกาะสมุ ย ที่ มี นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติต้องแวะเวียนไปชม หน้าทางเข้าหินตาหินยายยังมีร้านค้าของฝาก นานาชนิดให้ซื้อติดไม้ติดมือกลับไปเป็นที่ระลึก เช่น ร้านขายเสื้อผ้า ผ้าบาติก เครื่องประดับ งานหัตถกรรม จากมะพร้าว และกาละแม ของฝากขึ้นชื่อของเกาะสมุย ที่ต้องซื้อที่หินตาหินยายเท่านั้น หลังจากนั้นเราก็มุ่งสู่ สมุยอควาเรี่ยม (Samui Aquarium & Tiger Zoo) ไปชมการจัดแสดงสัตว์น้า สิงห์โตทะเลโชว์ นากทะเล นก เหยี่ยว และเสือเบงกอลโชว์ พร้อมทั้งเพลิดเพลินไปกับสวนสัตว์ที่อควาเรี่ยม แห่งนี้ ก่อนกลับนักท่องเที่ยวยังสามารถถ่ายรูปคู่กับเจ้าเสือแสนเชื่องไว้เป็นที่ระลึกได้ด้วย ในราคา 1 แชะ 800 บาท (จะแพงไปไหน) รับรองความปลอดภัยจากผู้ฝึกที่คอยดูแลความปลอดภัยตลอด อยากถ่ายท่า ไหนบอกครูฝึกได้


ก่อนทากิจกรรมกีฬามันส์ๆ ที่กระตุ้นต่อมอะดรีนาลีนและความท้าทาย โดยการประลองความเร็ว สาหรับผู้รักความเร็วและแรงที่สนามแข่งรถโกคาร์ทแถวย่านเฉวงสนามแห่งเดียวบนเกาะ ซึ่งมีทั้งรถแบบ Fun Kart สาหรับเด็กๆ หรือเริ่มต้น และ Pro Kart สาหรับผู้ที่ชานาญแล้ว ต่อด้วยขับรถเอทีวี ที่สมุยหน้า เมืองเอทีวี ปาร์ค เป็นกิจกรรมใหม่ที่ได้รับความนิยมสาหรับผู้ที่แสวงหาความท้าทาย ตื่นเต้น เร้าใจ ขับรถ ATV ตะลุยในสนามที่กลมกลืนไปกับธรรมชาติและเส้นทางวิบาก มีสิ่งกีดขวาง หรือมีอุปสรรคต่างๆ คอย สร้างความท้าทายในการขับขี่ ทั้งสะพานไม้ ทางลูกระนาด ถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อ หรือมีน้าขัง จะยิ่งเพิ่ม ความยากขึ้นไปอีกระดับ นับเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของการขับรถประเภทนี้ และตรงไปทดสอบสมาธิที่สนาม ยิงปืน ดูสิว่าจะแม่นแค่ไหน ใครชอบปืนแบบไหนที่นี่มีให้เลือกหมด บนเกาะนี้มีสนามยิงปืนอยู่สองแห่งคือ ที่บ่อผุดและย่านหัวถนน หลังจากทากิจกรรมที่เรียกเหงื่อและเหนื่อยมาทั้งวันแล้วเราก็มุ่งหน้าไปหาอะไรกินที่ Fisherman's Village แถวบ่อผุด ย่านการค้าเล็กๆ ที่ในอดีตเป็นหมู่บ้านชาวประมง แห่งรวมร้านอาหารและคาเฟ่ขึ้นชื่อ มากมาย อยากจะได้บรรยากาศแบบไหนมีให้เลือกหมด ช่วงค่าจะคึกคักมาก ทั้งยังมีร้านขายของที่ระลึกให้ ซื้อเป็นของฝากอีกด้วย แต่ก่อนจะไปเดินเลือกร้านฝากท้องเราขอพาคุณแวบดูพระอาทิตย์ตกชมแสงสีทอง สุดท้ายของวันกันที่ Fisherman's Village แห่งนี้ก่อนนะคะ รุ่งขึ้นอีกวันเราวางโปรแกรมกันไว้ว่าจะไปลุย หน้าเมือง ซาฟารี ปาร์ค (Namuang Safari Park) สวนสนุกขนาดใหญ่ใจกลางสมุย ซึ่งมีกิจกรรมให้ทามากมาย ทั้งสวนสัตว์ การแสดงของเหล่าสัตว์ อันได้แก่ โชว์ช้าง ละครลิง การแสดงจระเข้ โชว์นก โชว์งู แต่ละโชว์สนุกๆ ทั้งนั้น เรียกเสียงหัวเราะและความตื่นตา จากผู้ชมได้ตลอดรายการ ทั้งประทับใจ ทั้งน่ารัก พอดูโชว์จบก็สามารถไปขี้ช้างชมไพร มีแบบระยะสั้น 15 นาที และระยะยาว 30 นาที (แต่ขอแนะนาว่าระยะยาวจะคุ้มกว่ามากกกก) จะโหนรอกไปบนต้นไม้ จะขับ รถ ATV ก็ได้ หรือจะนั่งรถออฟโรดไปตะลุยป่าก็น่าสน เราเลือกนั่งออฟโรดล้อโตเข้าป่า และแวะปีนน้าตก หน้าเมือง 2 กิจกรรมที่ซาฟารีแห่งนี้เรียกเหงื่อไปได้เยอะ เล่นเอาแทบหมดแรงกันทีเดียว ก่อนตะวันจะลับฟ้าเราก็ไม่พลาดที่จะขึ้นไปจุดชมวิว ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลหน้าเมืองซาฟารีปาร์ค เพื่อ ชมวิวทิวทัศน์อันสวยงามของท้องฟ้า ป่าเขา เวิ้งอ่าวหาดละไม เกาะน้อยใหญ่ นั่งพักให้หายเหนื่อย สัมผัส อ้อมกอดสายลม ขุนเขา และอากาศบริสุทธิ์ พร้อมจิบกาแฟหรือกินอาหารที่คาเฟ่นี้ ก็ให้ความรู้สึกดีไม่ใช่ น้อย มาเยือนสมุยครั้งนี้สนุกจริงๆ ค่ะ ไม่น่าเบื่ออย่างที่คิด เพราะมีกิจกรรมมากมายให้เลือกทาเต็มไป หมด หากเบื่อๆ ก็ชวนครอบครัว ชวนเพื่อนหนีไปเที่ยวเล่นบนเกาะสมุยกันได้นะคะ รับรองไม่ผิดหวัง อ้อ .. แต่ต้องเตรียมเงินไว้ไปเที่ยวให้พอล่ะ

งานเขียน : หัวข้อ คอลัมน์ท่องเที่ยว นิตยสาร Market Plus


มหัศจรรย์ ลับแล ราลึกวันอัฐมีบชู า จริงหรือเปล่านะที่เขาว่ากันว่าเมืองแห่งตานานอย่างลับแล ที่นี่ ...ไม่พูดโกหก ไปหาคาตอบกันว่า ภายในเมืองกลางหุบเขานี้มีของดีอะไรซ่อนอยู่บ้าง ลับแลขึ้นชื่อเรื่อง สวนผลไม้ที่มีตลอดปี โดยเฉพาะทุเรียนพันธุ์พื้นเมืองอย่างหลง-หลินลับแล ที่คน ชอบทุเรียนต้องหามาลิ้มลองชิมรสสักครั้ง รับรองว่าชิมแล้วไม่ผิดหวังแน่นอน จุ๊ๆ แต่งานนี้ห้ามบ่นเรื่องราคา นะ จะสังเกตได้ว่าทุเรียนหลงลับแลจะมีร่องพูไม่ชัดเจน สีค่อนข้างจัด รสชาติหอม หวานมัน กลิ่นอ่อน ส่วน ทุเรียนหลินนั้น จะมีสีเหลืองอ่อน ร่องพูชัดเจนดูคล้ายผลมะเฟือง ส่วนรสชาติก็หวานมันไม่แพ้หลิน มีกลิ่นอ่อน มาก จะเก็บผลได้ตั้งแต่เดือนมิถุนายนไปจนถึงสิงหาคม ราคาจะอยู่ระหว่างกิโลกรัมละ 100-150 บาท นอกเหนือจากผลไม้แล้วอาหารพื้นถิ่นของลับแลก็มีเอกลักษณ์ไม่แพ้กันทั้ง หมี่พัน ที่เป็นการนาข้าว แคบของกินเล่นยอดนิยมที่ทาจากแป้งผสมน้าทาเป็นแผ่นตากแห้ง แล้วนามาม้วนห่อเส้นหมี่ที่ปรุงรสพร้อม เครื่องอยู่ขางใน คล้ายม้วนบุหรี่ อาหารอีกอย่างที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนลับแลก็คือ ข้ าวพันผัก ที่นาแป้ง ผสมน้าละเลงเป็นแผ่นบางบนปากหม้อน้าเดือดเหมือนข้าวเกรียบปากหม้อแต่ขนาดใหญ่กว่า ใส่ผักต่างๆ ลง ไปตรงกลางแล้วห่อ หรือหากต้องการไข่ก็สามารถใส่ลงไปได้ เวลารับประทานนิยมโรยกากหมู มีซอสเค็มหรือ ซอสพริกเพิ่มรสชาติ ขนมแหนบ ที่นามะพร้าวทึกทึกขูดฝอยน้าตาลอ้อย น้าตาลมะพร้าวนามาเคี่ยวผสมกัน แล้วเอามา ปั้นรวมกับแป้งข้าวเหนียว ห่อใบตอง โรยด้วยกะทิก่อนจะนาไปนึ่ง เป็นหนึ่งในขนมสาหรับประเพณีสลาก ชะลอมและค้างปูย า เทศกาลทาบุญเพื่ออุทิศส่ วนกุศลให้ กับบรรพบุรุษผู้ล่วงลับ จะจัดในวันพระช่ วง เข้ าเข้ าพรรษา ก่อนตบท้ายด้วยเมนูที่ทาจากทุเรียน อย่างข้าวเหนียวทุเรียน ทุเรียนเชื่อม และทุเรียนกวน มาเยือนที่ลับแลทั้งทีเราคงไม่พลาดแวะทานอาหารที่ ม่อนลับแล ร้านอาหารที่ไม่ใช่แค่ร้านอาหาร เพราะยังมีพิพิธภัณฑ์ผ้าซิ่นตีนจก หัตถกรรมพื้นบ้าน เช่น การทาไม้กวาดดอกตองกง การทอผ้าฝ้ายทอมือ ร้านของฝากเมืองลับแล และกาแฟสดรสชาติเข้มข้นที่ขึ้นชื่อของลับแล มาม่อนลับแลครั้งนี้เรายังได้ชิมพั้นซ์ดา หลา สีชมพูสดใส หวานหอม ชื่นใจ น้าสมุนไพรแก้กระหาย สับปะรดห้วยมุ่นที่หาทานยากและแกงเขียวหวาน ราชา ที่นาทุเรียนอ่อนมาปรุงรส หลังจากนั้นจึงไปชมสวนผลไม้ที่บ้านบนหรือบ้านบนดอย บ้านสวนแห่งลับแล ที่อยู่ไม่ไกลกันนัก ซึ่ง เป็นสวนขนาดพอเหมาะปลูกทุเรียนหลงลับแล หมอนทอง ลางสาด ลองกองและมังคุด และที่น่าสนใจคือของ ฝากเลื่องชื่ออย่างทุเรียนกวน บ้านบนดอย ลับแลยังเป็นเมืองเก่าแก่มากด้วยโบราณสถานและต้องยอมรับจริงๆ ว่าวัดหลายแห่งของที่นี่สร้างได้ สวยงามมาก อย่างวัดพระแท่นศิลาอาสน์ พระอารามหลวงที่มีพระแท่นศิลาอาสน์เป็นศิลาแลง และมีพระเสี่ยง ทายให้ตั้งจิตอธิษฐานถ้ายกพระขึ้นคาขอนั้นก็จะเป็นจริง ซึ่งขอได้ 5 เรื่อง คือ เรื่องคู่ครอง โชคลาภ วาสนา การ งาน และสุขภาพ ภายในบริเวณวัดมีพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในศาลาการเปรียญเก่า ด้านหน้าประดับประดาด้วยไม้ ดอกและสวนสมุนไพร วัดธรรมาธิปไตย ภายในเป็นที่เก็บบานประตูวิหารของวัดพระฝางคู่หนึ่ง กล่าวกันว่าเป็น


บานประตู ไ ม้ แ กะสลั ก ที่ มี ค วามงามเป็ นที่ สองรองลงมาจากประตู วิ ห ารวั ด สุ ทั ศ น์ ตั้ งแสดงไว้ บ นอาคาร ธรรมสภา วัดพระฝางสวางคบุรีมุนีนาถ ที่เคยเป็นวัดจาพรรษาของ เจ้าพระฝาง ประกอบด้วยโบสถ์ วิหาร และ พระธาตุ เ จดี ย์ เ ป็ น สถาปั ต ยกรรมสมั ย อยุ ธยาตอนปลาย บรรจุพ ระบรมสารี ริ ก ธาตุ และแต่ เ ดิ ม ยั ง เป็ น ที่ ประดิษฐานพระพุทธรูปเชียงแสน ส่วนบานประตูไม้แกะสลักของพระวิหารเก็บรักษาไว้ที่วัดธรรมาธิปไตย วัด ท่าถนน เป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อเพชร พระพุทธรูปสัมฤทธิ์สมัยสุโขทัยศิลปะแบบเชียงแสน ที่ชาวอุตรดิตถ์ ต่างเชื่อถือในความศักดิ์สิทธิ์ นิยมมาบนบานศาลกล่าวในเรื่องการรับราชการหรือทางานเกี่ยวกับบ้านเมือง และวัดพระบรมธาตุทุ่งยั้ง เจดีย์เก่าแก่แบบลังกา บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธรูป ทุกๆ ปีจะ มีงานอัฐมีบูชา คือพิธีถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระพระบรมศพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจาลอง เป็น ประเพณีที่จัดต่อเนื่องยาวนานมากว่า 50 ปีแล้ว จะจัดในวันแรม 8 ค่า เดือน 6 หรือหลังจากวันวิสาขบูชา วันที่ พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานไปแล้ว 8 วัน ภายในงานจะมีขบวนแห่พระพุทธสรีระ และกิจกรรมพิธีถวายพระ เพลิงฯ ประกอบการแสดงแสง-เสียง โดยสมมติว่าสถานที่จัดงานเป็นเมืองกุสินารา และมีพระเจ้ามัลละเป็น ประธานในการจัดพิธี ซึ่งมีประชาชนมาร่วมงานด้วยความศรัทธาจานวนมาก สุดท้ายแวะไปสักการะอนุสาวรีย์พระยาพิชัยดาบหัก หน้าศาลากลางจังหวัด สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติ ประวัติในความกล้าหาญรักชาติและความเสียสละ พร้อมชมพิพิธภัณฑ์ดาบเหล็กน้าพี้ที่ใหญ่ที่สุดในโลกและ พิพิธภัณฑ์พระยาพิชัยดาบหัก เมื่อมาถึงอุตรดิตถ์ทั้งทีเราต้องไปชมความสวยงามของอุทยานแห่งชาติลาน้าน่านและเขื่อนสิริกิติ์ อุทยานแห่งชาติลาน้าน่านมีพื้นที่ครอบคลุม 3 จังหวัด ได้แก่แพร่ น่าน และอุตรดิตถ์ เป็นทิวเขาสลับซับซ้อน ประกอบด้วยป่านานาชนิดที่ยังอุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งต้นน้าลาธารของอ่างเก็บน้าเหนือเขื่อนสิริกิติ์ และเป็น ที่ตั้งแพของชาวบ้าน มองไปจะเห็นเกาะกลางน้าอันเป็นที่ประดิษฐานของเจดีย์กลางน้า พวกเราตัดสินใจ ล่องเรือไปสักการะวัดพระธาตุกลางน้า เพียงแค่ 10 นาทีก็ถึงจุดหมาย ขึ้นบันได้ไป 100 กว่าขั้นพอเหงื่อตกก็ เจอองค์เจดีย์ พักให้หายเหนื่อยและถ่ายรูปจนพอใจแล้วก็ได้เวลากลับ แต่เอ๊..ทาไมเรือไม่ติดล่ะนี่ เรือเสีย เห็นๆ เราจึงต้องนั่งรอซ่อมเรือ ในระหว่างนั้นเราก็เพลิดเพลินไปกับท้องฟ้าที่กาลังเปลี่ยนสี สายน้า สายลมและ ขุนเขาในยามเย็นก่อนพระอาทิตย์จะลาลับขอบฟ้า สุดท้ายต้องพึ่งบริการเรือลาก...เราชาวคณะจึงได้กลับเข้า ฝั่งโดยสวัสดิภาพ รอดตัวจากการนอนค้างคืนที่วัดไปได้ ก่อนไปต่อที่เขื่อนสิริกิติ์ อ่างกักเก็บน้าขนาดใหญ่ ที่มีเนื้อที่กว่า 203 กิโลเมตร พร้อมชมแม่น้าสองสี ภายในเขื่อนมีทั้งที่พักและร้านอาหารพร้อมสรรพ อาหารส่วนใหญ่ก็จะเป็นเมนูปลาๆ ทั้งหลาย นั่งกินไปชมวิว ยามค่าไปแสนจะสบายใจ อาหารก็อร่อยถูกใจด้วย นอกจากนั้นถ้าใครอยากเล่นน้าตกก็ไปเล่นได้ที่น้าตกแม่ พลู น้าตกที่เกิดจากการตกแต่งธารน้าจนดูคล้ายน้าตกธรรมชาติสูงหลายชั้น มีน้าใสและไหลตลอดปี

งานเขียน : หัวข้อ Special Report ข่าวท่องเที่ยว


เรื่องยุ่งๆ ในทึนทึก ไม่ ว่ายุ คสมั ย ไหนก็มี ผู้ คนที่ ช อบมองคนแต่ภ ายนอก ทั้ ง หน้าที่ ฐานะ การศึกษา หรือการงาน รูปลักษณ์ภายนอกที่เราเห็นจะเป็นตัวตัดสินเบื้องต้นในแวบแรกที่พบ ดังในละครเรื่องทึนทึก ที่มองคนแต่ เพียงภายนอก และเมื่อมีอคติแล้ว ไม่ว่าคนๆ นั้นจะพยายามทาดีแค่ไหนก็คงยากที่จะทาให้เข้าใจและ เปลี่ยนความคิดไปในทางที่ดีได้ ทึนทึกเป็นเรื่องราวของสาวใหญ่ที่เพิ่มหัดมีความรักตอนอายุ 30 และเรื่องยุ่งๆ ที่เหล่าผองเพื่อนวัย ดึกร่วมกันก่อขึ้น ทาให้ความรักครั้งแรกนี้อลหม่าน วุ่นวายกันน่าดูกว่าเรื่องจะจบลงอย่างมีความสุขในที่สุด ป้า ปาน หรื อปานดวงใจ สาวเรี ย บร้ อ ย สุ ด เชยนั ก เขี ย นนวนิ ย ายรั ก หวานซึ้ ง โรแมนติ กที่ ย อม เปลี่ยนตัวเองให้เป็นสาวสวย เมื่อพบรักกับ หมงหรือมงคล หนุ่มชาวจีน แสนซื่อ ปากเสีย ที่มารับซ่อมบ้าน โดยการแนะนาของเบนจี้ สาวสังคมไฮโซ หญิงมั่นทันสมัย เมื่อเพื่อนๆ รู้ก็ตกใจและทาใจรับไม่ได้ที่เพื่ อนจะ คบคนที่ไม่คู่ควร มองภายนอกแล้วไม่มีอะไรดีเลย จึงวางแผนขัดขวางและกาจัดหมงให้พ้นไปจากชีวิตของ ปาน โดยมีแน็ต บรรณาธิการนิตยสารชื่อดังที่ชอบพูดคาว่าต่าเสมอ เป็นตัวต้นคิดและวางแผน มีวีจิต หรือ ดร.อารีจิต อาจารย์สาวหัวนอก พรรณราย ครีเอทีฟไดเรคเตอร์ของบริษัท โฆษณาที่มีชื่อเสียง และชายพอ หรือมรว.พอทรงวุฒิพงศ์ หม่อมราชวงศ์ผู้สูงศักดิ์ เป็นลูกมือ และได้กระแตสาวใช้จอมแสบสมคบคิดและ คอยดูต้นทางให้ แผนการครั้งนี้ทาให้หมงลังเลที่จะรัก จึงตัดใจและเดินออกจากชีวิตปาน ทิ้งปานไว้กับ ความสงสัยและความบอบช้าเสียใจ แต่เรื่องราวกลับพลิกผันเมื่อหมงเข้าใจว่าทั้งหมดเป็นเพียงการบอกให้ เขารู้จักสาวคนรักมากยิ่งขึ้น จึงรีบกลับมาหาปาน ความดีของหมงไม่เพียงเอาชนะใจของปานแต่ยังขโมย หัวใจของชาวคานทองนิเวศไปด้วย ในเรื่องหมงถูกแน็ตมองว่า ต่า เพราะเป็นคนจีน พูดไทยไม่ชัด จบแค่ปวส. มีอาม่าเป็นคนขายข้าว ขาหมู และจน เพื่อนๆของปานต่างมองคนแค่ภ ายนอก และคิดว่าความรักที่สุขสมหวัง ก็มี แต่ในนิยาย เท่านั้นไม่ใช่ในชีวิตจริง แต่อย่างไรสุดท้ายตอนจบของหนังไทยพระเองก็ยังต้องคู่กับนางเอกอยู่ดี ชีวิตของกลุ่มเพื่อนสนิทที่ร่วมเกาะเกี่ยวเหนี่ยวคานกลุ่มนี้ เป็นตัวสะท้อนภาพวิถีคนทางานของ สังคมชนชั้นกลางในเมืองได้อย่างเห็นภาพ ตัวละครทุกตัวจึงเหมือนคนจริงๆ ทึนทึกเป็นละครตลกแนว sit-com ที่เป็นละครชวนหัวร่วมสมัย แนวเรื่องจะเป็นแนวตลกสนุกสนาน ที่ถูกสร้างสรรค์ด้วยภาษากับบทพูดที่คมคาย เป็นบทละครชั้นเยี่ยมที่มีจังหวะของบทสนทนาอันแพรวพราว เต็มไปด้วยอารมณ์ขัน และตัวละครแต่ละตัวมีเอกลักษณ์เด่นชัด เรื่องราวร่วมสมัยกระทบเสียดสีและให้ ข้อคิดอย่างมีชั้นเชิง


เรื่องนี้ถ่ายทอดการแสดงได้อย่างดีเยี่ยมจากนักแสดงละครเวทีชั้นนา ฝีมือขั้นเทพ ทั้ง ศรัณยู วงศ์ กระจ่าง ธิติมา สังขพิทักษ์ อัจฉราพรรณ ไพบูลย์สุวรรณ วราพรรณ หงุ่ยตระกลู ผอูน จันทรศิริ ศิรินุช เพชร อุไร และ กนกวรรณ บุรานนท์คงต้องปรบมือดังๆให้กับนักแสดงกลุ้มนี้ที่แสดงได้เข้าถึงบทบาท ดึงคาแร็ก เตอร์ดึงความเป็นตัวตนของแต่ละคนออกมาให้เราได้เห็นกันชัดๆ ทั้งบทพูด สีหน้า ท่าทาง แววตา น้าเสียง อารมณ์ และบุคลิก การพูด การสื่ออารมณ์ ท่าทางที่สมจริงสมจังประหนึ่งเป็นตัวเอง เป็นจุดเด่นอย่างหนึ่ง ของเรื่องนี้ มีการลาดับเวลา เรื่องราวสถานการณ์ต่างๆ ได้ชัดเจนเข้าใจง่าย ฉากและอุปกรณ์ประกอบฉากก็ เข้ากับเนื้อเรื่องและยุคสมัย เป็นฉากที่เรียบๆ เพี ยงฉากเดียวแต่สามารถใส่รายละเอียดได้ครบถ้วน แต่ถ้า เทียบกับยุคสมัยนี้ก็คงจะดูเฉยๆ ส่วนเรื่องของเสื้อผ้าสามารถบ่งบอกได้ถึงยุคสมัยและรสนิยมของตัวละคร แต่ละตัวได้อย่างมีเอกลักษณ์ ทึนทึกเป็นละครที่แฝงแง่คิดสอดแทรกอยู่ในความตลกโปกฮา ความจริงในสังคมและสิ่งที่หยิบ ยกขึ้นมากล่าวในละคร มักเกิดขึ้นรอบๆ ตัวเรา รอยยิ้มเสียงหัวเราะที่ได้และสิ่งที่รังสรรค์ออกมาจะตราตรึง อยู่ในความทรงจาของเราไปอีกนาน

งานเขียน : หัวข้อ วิจารณ์ละครเวที เรื่อง ทึนทึก


ก๋ วยเตี๋ยวนายขุน ไม่ อร่ อยไม่ เอาตังค์ วันนี้คอลัมน์แวะชิมของเราลองเปลี่ยนบรรยากาศมาชิมก๋วยเตี๋ยวซึ่งเป็นอาหารหลักแบบง่ายๆ ราคา ประหยัดกันดูบ้าง ซึ่งเราสรรหาร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าเด็ดมาฝากทุกท่าน รับรองถ้าไม่อร่อยจริงไม่เก็บเงินจ้า อ๊ะอ๊ะ อันนี้คอลัมน์แวะชิมไม่ได้พูดเองน๊า แต่เป็นเจ้าของร้านเขาบอกมาเองเลยทีเดียว บอกได้คาเดียวว่า “ก๋วยเตี๋ยว นายขุน” อร่อยสมราคาคุย ร้านก๋วยเตี๋ยวนายขุน หรือมีอีกชื่อว่าร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยา เป็นร้านที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย มีบรรยากาศเป็น กันเอง สบายๆ ตั้งอยู่ริมบึงน้าใหญ่ ดูร่มรื่นและมีปลาสวายตัวโตน่ากินแหวกว่ายคอยคนใจดีมาโปรยอาหารด้วย ซึ่ง มีคนแวะเวียนมาฝากท้องกันไม่ขาดสาย โดยเฉพาะช่วงเที่ยงคนจะแน่นร้านที่จอดรถแทบไม่มีกันเลยทีเดียว ที่ร้านนี้จะเน้นขายแต่ก๋วยเตี๋ยวหมูเป็นเมนูหลัก เมนูแนะนาที่พลาดไม่ได้คือ ก๋วยเตี๋ยวหมูต้มยา เขาจะมี ให้เลือกสารพัดเส้นตามใจชอบ ใส่ทั้งเนื้อหมู และลูกชิ้น ปรุงเครื่องด้วยถั่วลิสงบด พริกขี้หนูแห้งป่น มะนาว รส ออกเปรี้ยว เค็ม เผ็ดกาลังดี จนแทบไม่ต้องปรุงซ้า ในราคาชามละ 30 บาท หรือถ้ากลัวจะไม่สะใจก็สั่งซื้อลูกชิ้น กันเป็นกิโลได้ ในราคากิโลกรัมละ 180 บาท นอกจากนี้ก๋วยเตี๋ยวร้านนายขุนยังมีเมนูอีกหลากหลายให้เลือกสั่ง กัน ในราคาย่อมเยา เช่น ก๋วยเตี๋ยวหมูน้าใส น้าตก ต้มยา, ก๋วยเตี๋ยวไก่ตุ๋น กวยจั๊บน้าข้นเส้นใหญ่ โดยจะเลือกใช้ หมูอย่างดีจากร้านเจ้าประจาที่ไม่ใช้หมูเนื้อแดงที่มีสารเคมีและยังเลือกใช้ผักที่สด มีคุ ณภาพอีกด้วย รสชาติ ก๋วยเตี๋ยวทั้งอร่อย เข้มข้น เส้นเหนียวนุ่มกาลังดี ไม่ต้องปรุงเพิ่มก็อร่อยไม่ผิดหวังที่แวะมาชิมเลยค่ะ สมกับที่ติด ป้ายไว้ว่า “ชิมก่อนปรุง” มาร้านนี้ระหว่างรอก๋วยเตี๋ยวมาเสิร์ฟต้องสั่ง ‘ลูกชิ้นหมู’ มานั่งกินไปพลางๆ ค่ะ เพราะพระเอกของร้านนี้ แท้จริงแล้วก็คือเจ้าลูกชิ้นหมูเนี่ยแหละค่ะ ซึ่งเป็นสูตรเฉพาะของร้าน ที่ทาเองและใช้แต่เนื้อหมูล้วนๆ ไม่ผสมแป้ง และสารบอแรกซ์ สะอาด โดยจะมีโรงงานย่อยๆ อยู่หลังร้านริมบึงน้า ทาเสร็จก็ต้องแช่ในถังน้าแข็งไว้ก่อนจะนา ออกมาขาย เมนูลูกชิ้นนี้ก็มี ลูกชิ้นยา ปรุงรสออกเผ็ดนา เปรี้ยว เค็ม หวาน ลูกชิ้นลวก เสิร์ฟมาในจานพร้อมน้าจิ้ม รสจัดจ้านที่ได้ความเปรี้ยวจากมะขามเปียก ลูกชิ้นทอด ที่กรอบนอกแต่นุ่มใน จิ้มกินกับน้าจิ้มรสเผ็ด เปรี้ยว เค็ม หวาน ที่ปรุงมาอย่างดี ในราคาจานละ 30 บาท และลูกชิ้นปิ้งที่สุกกาลังดี ราดด้วยน้าจิ้มสูตรมะขามรสเปรี้ยว เค็ม เผ็ดและหวาน ในราคาไม้ละ 10 บาท แม้แต่พริกขี้หนูป่น ถั่วลิสง กระเทียมเจียว ที่ร้านเขาจะคั่วกันเองไม่นิยมซื้อตามตลาด เพราะอาจจะขึ้น ราและไม่ได้คุณภาพ ถึงขนาดกล้าเขียนการันตีไว้หน้าร้านว่า “ไม่อร่อยไม่เอาตังค์” ร้านนี้เขาเปิดบริการกันทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00-17.30 น ตั้งอยู่ในซอยโพธิ์แก้ว จากถนนนวมินทร์ ผ่าน วัดบางเตย เลี้ยวเข้ามาทางซอยโพธิ์แก้วซึ่งเป็นซอยทะลุเข้าสู่ซอยลาดพร้าว 101 ร้านก๋วยเตี๋ยวนายขุน จะอยู่ ประมาณกลางซอยอยู่ทางด้านขวามือ หรือมาไม่ถูกก็โทร.สอบถามได้ที่ 08-9927-8420 งานเขียน : หัวข้อ Review ร้านอาหาร


เด็กดี...ลานสานฝั น ตอน Dr.pop Interview สังคมออนไลน์หรือโลกอินเทอร์เน็ต ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการดาเนินชีวิตของคนในยุคโลกาภิวัตน์ นานแล้ว ดังเช่นเว็บ Dek-d.com ก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน ซ้ายังติดอันดับ Top 5 เว็บฮิตของไทยอีกด้วย เพียง เอ่ยถึงคงไม่มีใครไม่รู้จัก ในแต่ละวันมีผู้เข้าชมทะลุ 2 แสน IP ทีเดียว จากผลสถิติรายวันของ Truehits.net ที่ ได้รวบรวมเอาไว้ปรากฏให้เห็น 1 เด็กดี..มหานครวัยรุ่นออนไลน์ แหล่งพบปะเพื่อนคุย แลกปลี่ยนประสบการณ์ นาเสนอความเป็น ตัวเอง ความมีเอกลักษณ์ กล้าคิดกล้าทาสิ่งดีๆ ที่ที่สร้างความสุขร่วมแบ่งปันความทรงจา ที่ที่สร้างฝัน เป็นก้าว แรกให้เดินตามใจฝัน เป็นพื้นที่ที่แสดงความเป็นตัวตนออกมาได้เต็มที่ และที่สาคัญเป็นเวทีของนักเล่า นัก อยากเขียน หรืออะไรทั้งหลายก็แล้วแต่ 2 9 ปีแล้วสินะ 9 ปีที่เราเห็น Dek-d โลดแล่นอยู่บนโลกไซต์เบอร์แห่งนี้ 9 ปีที่ประสบความสาเร็จ เติบโต จนถึงทุกวันนี้ จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของวัยรุ่นมัธยมปลายเพียง 4 คนเท่านั้นเอง... ในตอนแรกเด็กดีมีนักเขียน ไม่กี่คน มีเรื่องลงไม่กี่เรื่อง แค่ 20 กว่าเรื่องเองมั้ง แต่ลองมาดูตอนนี้สิ มีนักเขียนทั้งหมดกี่คนกัน มีเรื่องกี่เรื่อง เป็นพันเลยก็ว่าได้ ช่างเป็นสัดส่วนที่ต่างกันมากนัก ก็เหมือนกับคนเรานั่นแหละที่มีความแตกต่างกันกัน และ เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอไม่หยุดนิ่ง มีคนมากมายเหลือเกินที่ตัดสินใจเข้ามาก้าวเดินตามฝันในเด็กดีแห่งนี้ ถึงจะ ต่างที่มา ต่างความคิด แต่สุดท้ายแล้วก็มีจุดมุ่งหมายไม่ต่างกันเลย 3 กว่าที่ฉันจะเปิดคอมทางานก็ดึกมากแล้ว ฉันรีบต่อเน็ต เข้าเว็บ Dek-d โดยเร็ว เพราะจะได้ตั้งกระทู้ ถามเหล่านัก เขีย นที่อ าศัย อยู่ใ นนี้ จนกลายเป็นบ้านหลังที่สอง บ้ านที่อบอุ่ น และเต็มไปด้ว ยมิต รภาพ ใน ระหว่างที่รอฉันมองไปรอบๆ ตัว ก็เห็นแต่ความมืดที่รายล้อมอยู่ มันทาให้ฉันรู้สึกเหงา ออกวังเวงอยู่เ หมือนกัน แต่ฉันก็ต้องรีบปัดมันทิ้งไป เพราะหน้าเว็บที่โหลดเสร็จแล้วกาลังรออยู่ตรงหน้า แทบไม่น่าเชื่อว่านี่คือกระทู้จาก นักศึกษาตัวเล็กๆ ธรรมดาๆ ที่ดูไม่น่าจะมีใครสนใจ กลับได้รับกระแสตอบรับมากเกินคาด มีคนเข้ามาตอบกว่า 70 คน และอีก 600 กว่าคนที่เข้ามาดู แต่ละคนก็ได้แสดงมุมมองที่แตกต่างกันตามความคิด ความรู้ ทัศนคติ และประสบการณ์ มีบวกบ้างลบบ้าง หลายความเห็นก็ “โดนใจ” จนอดไม่ได้ที่จะหยิบมันมาใส่ในงานเขียนของ ฉัน “นักเขี ยน... จุดเริ่ มต้น... และถนนสายเล็กๆ แห่งนี .้ ..”


4 วันนี้พวกเรามีนัดสัมภาษณ์พี่ป๊อบ ฐาวรา สิริพิพัฒน์ หรือที่รู้จักกันดีในนามปากกาว่า Dr.pop (ดร. ป๊อ บ) ที่ โ อ บอง แปง สยามดิ ส คั พ เวอรี่ ถึ ง จะเป็ น ช่ว งเย็ นคนพลุ ก พล่า นแต่ ที่ร้ า นนี้ ก ลั บ มี ค นไม่ ม ากนั ก บรรยากาศก็ดี มีเพลงคลอเบาๆ เหมาะแก่การพูดคุยกัน ในระหว่างรอนั้น เราก็นั่งกินขนมไปพรางๆ พร้อมกับ ช้อนพลาสติกห่วยๆ ที่ไม่เหมาะกับราคาขนม ถาดที่หมุนได้รอบทิศ และเสียงเครื่องครัวบรรเลงเพลงคร้งเคร้ง แทรกมาเป็นระยะๆ ให้เราได้ฟังกัน ... ขนมยังไม่ทันหมดคนที่เรากาลังรอก็มาถึง พี่ป๊อบสั่งขนมมานิดหน่อย แล้วก็ได้ฤกษ์สัมภาษณ์ พี่ป๊อบบอกเราว่าเริ่มเขียนตั้งแต่อายุ 14 ตอนนั้นแค่วางโครงเรื่องยังไม่ได้ใส่รายละเอียดอะไร แค่ อยากเขียน อยากลองเปลี่ยนจากภาพเป็นตัวหนังสือ เพราะชอบวาดการ์ตูนตั้งแต่ประถม มาจริงจังตอนอายุ 16 จนตอนนี้ 24 เข้าไปแล้ว ถ้าพูดถึงแรงบันดาลใจคงมาจากการดูหนังและเล่นเกมเยอะ มันเหมือนอยากมี โลกของตัวเอง จึงลองเขียนดูบ้าง แล้วหลังจากนั้น พอคิดที่จะเอางานเขียนไปลงในเว็บกลับไม่รู้ว่าจะเอาไปลง ที่ไหนดี เพราะไม่รู้จักเว็บอะไรมากนัก เพื่อนก็แนะนาให้เอาไปลงในเว็บเด็กดี “ทาไมพี่ป๊อบถึงเลือกเขียนหนังสือล่ะ?” ฉันถาม “มันเหมือนกับว่าเรามีจินตนาการเยอะ เราก็ต้องหาทางถ่ายทอดออกมา ป๊อบรู้สึกว่าการเขียนหนังสือ มันง่าย ไม่ต้องใช้ต้นทุนอะไรมากมาย” เขาตอบ “กับงานเขียนพี่ป๊อบวางเป้าหมายหรือหวังอะไรไว้บ้าง?” เราอยากรู้ “ตอนแรกไม่หวังเลย ไม่เคยคิดว่างานเขียนจะสร้างรายได้มหาศาลเพราะรู้สึกว่า แค่ได้มีหนังสือเล่ม หนึ่งมันดูเท่ แล้วในความคิดป๊อบพอมันออกมาแล้วประสบความสาเร็จก็ต้องมีการคาดหวังต่อไปว่าเราต้องทา มันให้ดีขึ้น ต้องทาให้คนที่ติดตามๆ ตลอดไป ต้องดีกว่านี้ เพราะคนอ่านก็หวังที่จะเห็นงานของเรามีการพัฒนา มันเป็นการคาดหวังที่มีต่อไปเรื่อยๆ และเราเองก็หวังที่จะพัฒนาให้มากขึ้นด้วยหมือนกัน ” เราอึ้ง ไม่คิดว่าเขา จะใส่ใจกับคนอ่านมากขนาดนี้ “แล้วพี่ป๊อบพัฒนาไปมากไหม” เราถามต่อ “มากนะ หลายคนบอกว่าเหมือนคนละคนเขียนเลย ป๊อบรู้สึกดีใจที่ไม่ได้หยุดอยู่กับที่ อีกอย่างก็ไม่ ค่อยสนใจกระแสวิพากษ์วิจารณ์ คิดว่าหมามันเห่า มันไม่ทาอะไรเราเท่าไหร่ แทนที่เราจะเสียเซลฟ์ สู้เอาแง่ดีที่ เค้าพูดมาปรับปรุงแก้ไขงานดีกว่า เพราะคาวิจารณ์นั้นต้องมีคาวิจารณ์ที่สร้างสรรค์ แล้วงานก็จะพัฒนาไปเอง มันก็เป็นผลดีกับเรา เค้าติมาเราก็รับไว้” เขาตอบพร้อมกับหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ส่วนตัวป๊อบเอง จะไม่พยายามไปวิจารณ์งานคนอื่นเพราะรู้สึกว่าตัวเองก็ไม่ได้แน่” เขาบอก “ถ้าเราเชื่อว่ามันจะเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวมันก็เป็นอย่างนั้นเอง เมื่อคุณเชื่อว่ามันจะยิ่งใหญ่ มันต้อง ยิ่งใหญ่” พี่ป๊อบให้ข้อคิดกับเรา นอกจากนั้นยังคาดหวังให้งานเขียนถูกแปลเป็ นภาษาอังกฤษอีกด้วย โดยจะเริ่มแปลต้นปีหน้า เขา บอกกับ เราว่ าถึงจะคาดหวังให้งานไปสู่ต่างประเทศ แต่ ก็ไม่ไ ด้คาดหวังว่า มันจะประสบความสาเร็ จอะไร มากมาย เป็นเพราะระดับ Worldwide นั้น วรรณกรรมก็มีมากอยู่แล้ว ตอนนี้พี่ป๊อบเขียนแนวแฟนตาซีน้อยลง หันมาเป็น sci-fi ดราม่า ตลกร้าย มากขึ้น ที่หันมาเขียนแนวนี้ ก็เพราะโตขึ้นและมุมมองของ sci-fi มันดูอลังกาลได้มากกว่า แฟนตาซีเดี๋ยวนี้ก็มีแต่ซ้าๆ พ่อมด แม่มด เทพ


นิยาย สัตว์นิยาย มันเป็น Original ของมันเอง ซึ่งใครก็ทาได้ มันเกร่อแล้ว แต่คาว่า ‘sci-fi’ มันสามารถคิดอะไร ใหม่ๆ ขึ้นมาได้มาก จะวัดกันที่จินตนาการ การสร้างสรรค์ ความนอกโลกนอกราว และลึกลับ ตรงนี้เองที่เป็น เสน่ห์ น่าค้นหา... เขายังบอกอีกว่า ไม่อ่านวรรณกรรมเยาวชนและแฟนตาซีเลย เพราะรู้สึกว่ามันมาเป็นอิทธิพล จะอ่าน ก็แค่ Harry Potter เรื่องเดียว ส่วนใหญ่อ่านแต่หนังสือแปลเสียมากกว่า “คิดแค่ว่าฉันได้ทาสิ่งที่ฉันอยากทา ไม่ต้องแคร์อะไรทั้งนั้น” “อย่าไปแคร์ว่าคนอ่านจะชอบมั้ย ต้องแคร์ว่าฉันชอบมั้ย งานเขียนต้องสนองตัวเอง คนอื่นต้องการจะรู้ ความคิดของนักเขียน ดังนั้นนักเขียนต้องถ่ายทอดความเป็นตัวเอง ความเป็นตัวเองของป๊อบคือ สลับซับซ้อน และหักมุม คุณเดาไม่ได้หรอกครับ การเดาไม่ได้มันสนุกนะ คุณต้องการอะไร? นิยายที่อ่านแล้วรู้สึกว่าตัวเอง ฉลาดเหรอ... การที่คนเขียนทาตามตัวเอง มันเป็นการ Challenge คนอ่าน” เขาพูดอย่างรวดเร็ว อย่า งที่พี่ ป๊ อบบอกเรานั่นแหละ เขีย นเพื่ อตั ว เอง อย่ า แคร์ ค นอื่ นให้ม ากนัก เพราะจริ งๆ แล้ว เมื่อ แรกเริ่มที่คิดจะเขียน ทุกคนก็เขียนเพราะอยากเขียนและมีความสุขมิใช่หรือ... มันเป็นตัวของเราเองใช่มั้ยล่ะ “มีวิธีทาให้นิยายน่าสนใจอย่างไร?” ฉันยิงคาถามต่อไป “นิยายที่เป็นที่สนใจคือนิยายที่ต้องเป็นตัวเองที่สุดคนอ่านอ่านแล้วรู้ได้เลยว่านี่คืองานเขียนของคนๆ นี้ ของป๊อบมั่นใจว่ามีลายเซ็นในงานเขียน อ่านแล้วก็รู้ได้ทันที” เขาตอบด้วยน้าเสียงมั่นใจ “การเขียนคือเขียนอะไรก็เขียน ไม่ต้องไปกังวล นักเขียนบางคนจะเขียนตามกันหรือเขียนด้วยอีโก้สูง ว่าชั้นอยากจะเขียนงานโดยมีคุณค่าทางวรรณศิลป์ มันไม่ใช่ มันเป็นความคิดบ้าๆ ป๊อบเขียนไม่เคยนึกถึงหลัก ภาษา อย่างป๊อบไม่ได้จบภาษาศาสตร์ จะเขียนอย่างไรก็ได้ ไม่มีผิดไม่มีถูก มันออกมาจากสัญชาติญาณข้าง ใน มันเลยสนุก คนอ่านก็รู้ว่ามันสนุก” เขาได้แสดงออกถึงความเป็นตัวเองอย่างมาก “แล้วอีกอย่างคือเราต้องหาเอกลักษณ์ในงานของเราให้ ได้ งานของป๊อบมีความเป็น sci-fi ความตลก ร้าย มีจินตนาการที่เพ้อฝันอยู่เยอะ ซึ่งมันเป็น original เนื้อเรื่องต้องแปลกใหม่ หลายเรื่องที่ป๊อบเขียนเนื้อเรื่อง จะไม่ซ้ากันเลย มันไม่ซ้ากับแนวที่มีอยู่ในตลาด เลยเป็นจุดที่ดึงดูดให้คนมาอ่าน เพราะฉะนั้นคุณต้องพยายาม คิดอะไรใหม่ๆ เหมือนเพลง ศิลปินที่ดังมาก ถ้าเขาร้องเพลงแนวเดิมๆ ตลอดมันก็ดูย่ากับที่ และการที่เรามีงาน เขียนใหม่ๆ เราก็ต้องคิดอะไรที่มันใหม่ๆ ตลอดเวลา คนถึงจะสนใจเรา” เขาสอนเรา “งานเขียนที่ดีคือ ดัง แตกต่าง และลอกเลียนแบบไม่ได้” เขาสรุป มาถึงคาถามต่อไปเราถามถึงเรื่องการลอกลิขสิทธิ์ เขาบอกว่าอันนี้ไม่เคยโดน รอดูอยู่เหมือนกันว่าใคร จะกล้าทารึเปล่า ถ้าอยากลอกก็ลอกไปเลย อยากรู้เหมือนกันว่าถ้ามีเรื่องมีราวขึ้นมา บรรยากาศในศาลจะเป็น อย่างไร พี่ป๊อบบอกว่าชอบท้าทายอานาจมืด เขาหัวเราะไปกับคาตอบของตั วเอง ส่วนอันไหนที่เอาแนวไปเขา ถือว่าเป็นแรงบันดาลใจ มันไม่ผิด เพราะไม่ได้เอามาทุกประโยค ตัวเขาเองก็ได้แรงบันดาลใจมาเหมือนกัน ถ้า ไม่มีแฮรี่พ็อตเตอร์ก็อาจจะไม่มีไวท์โรดก็ได้ พี่ป๊อบบอก สาหรับงานเขียนเขาคนนี้เลือกที่จะให้มันเป็นเพียงงานอดิเรก ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่เขาอยากจะทา ตอนนี้ก็ทางานเพลงอยู่ ถ้าให้เลือกคงเลือกเพลงก่อนเพราะเป็นความฝันตั้งแต่เด็ก จริงๆแล้วไม่ได้อยากเป็น นักเขียน แต่พอได้เป็นและประสบความสาเร็จ จะด้วยอะไรหลายๆ อย่าง ทั้งโชค โอกาส ดวง และการสนับสนุน


จากหลายๆ ฝ่าย ก็ต้องทามันให้ดีที่สุดในเมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว คงทิ้งไม่ได้ก็เขียนอยู่ทุกวัน งานเยอะ ชีวิตไม่เคยได้ พัก ฉันต้องขอแอบบอกว่าเหมือนพวกเราตอนนี้เลย เราถามต่อถึงช่วงเวลาที่เขาใช้สร้างสรรค์ผลงาน “ป๊อบไม่ฟิคตัวเองเรื่องการเขียนเลยนะ บางคนบ้าระเบียบจัด เด็กรุ่นใหม่คิดว่าการเขียนต้องมีวินัย แล้วการที่จากัดกฎเกณฑ์ตัวเองในการเขียน การเขียนมันเป็นอาร์ต งานอาร์ตขึ้นอยู่กับ Emotional ขึ้นอยู่กับ ความรู้สึก ไปสั่งตั วเองให้เ ขียนมันเขียนไม่อ อกหรอก งานที่ถูก บังคั บทาดีก็ไ ม่ดีที่สุด งานเขียนอย่า บังคั บ เหมือนงานศิลปะเวลาเร่งๆ ก็ทาไม่ได้ ถ้าทาได้แล้วมันดีหรือ ... ต้องมีบ้างที่ส่งไม่ทันกาหนด ไม่ทันก็คือไม่ทัน ไม่เป็นไร เจเค โรลลิ่ง ก็เขียนไม่ทัน ใช่ว่าจะออกตามสัญญาเสมอ ถ้าตะบี้ตะบันเขียน เรื่องออกมาก็ชุ่ย จะดีจะ เลวนักเขียนก็โดน” มันโดนใจพวกเรา มาถึงคาถามอีกคาถามที่พลาดไม่ได้คือการวางโครงเรื่องนั่นเอง พี่ป๊อบเล่า ให้ฟังว่าจะวางโครงเรื่อง ละเอียดมาก บทนี้จะต้องพูดถึงอะไร หัวข้อนี้จะเขียนอย่างไรมีอะไรบ้าง แต่ละบทต้องมีจุดที่ส่งไปบทต่อไป จะต้องคิดว่าตอนต่อไปเป็นอย่างไร แต่ก่อนอื่นต้องเห็น Scope ทั้งหมดก่อน เรื่องนี้เราพูดถึงอะไร เริ่มที่ไหน แล้วจบลงตรงไหน จากนั้นจึงมาจัดรายละเอียดปลีกย่อย มีตัวละครอะไรบ้างที่จะอยู่ในแต่ละบท บทนี้เราจะ เน้น Theme อะไร ต้องตีความให้แตกในแต่ละบท นี่เป็นสิ่งที่เขาทามาตั้งแต่เด็ก “การวางโครงเรื่องต้องวางขนาดนี้แต่อย่าไปยึดติดเด็ดขาด วันนี้เราวางโครงเรื่องแบบนี้ แต่อีกวันนึง เราคิดได้อีกแบบ ก็ช่างมันเป็นไร ถ้าคิดว่ามันดีกว่า ก็เปลี่ยนไปเลย แล้วถ้าคิดอะไรใหม่ๆได้ก็ใส่ไป เวลาป๊อบ เขียนจะต้องมีการกลับไปแก้บทก่อนหน้าเพื่อให้มันสอดคล้อง เพิ่มรายละเอียดหรือจับผิดงานตัวเอง ถ้ามี บางอย่างส่งผลต่อโครงเรื่องทั้งหมด ก็แก้เลย ช่างมัน อย่าซีเรียส อย่ากลัว คุณพิ มพ์คอมนะไม่ใช่พิมพ์ดีด มัน แก้ได้” เขาเลือกที่จะแก้งานทั้งหมด แม้จะส่งต้นฉบับไปแล้วก็ตาม “ป๊อ บเป็ นคนไม่ เ สีย ดายงาน ถ้ า สมมุ ติ เ ราปล่อ ยมั นออกไปแล้ว ต้ อ งทนไปเห็นหนังสือ ที่มั นไม่ ใ ช่ จะต้องไปคิดว่าทาไมฉันไม่เปลี่ยนตรงนี้ อันนั้นทรมานกว่าอีกนะ ออกมาเป็นรูปเล่มแล้วด้ วย มันจะอยู่เป็น อมตะไปตลอด ชื่อหนังสือเล่มนี้จะอยู่ในหมายเลข ISBN ของหอสมุดแห่งชาติ เป็นตราบาปไปเลย เราต้อง เคารพความคิดตัวเอง นักเขียนต้องมีอีโก้ทางความคิดระดับหนึ่ง ใช่ไม่ใช่ วางทิ้งแล้วอย่าเสียดาย” มันเป็นแง่ คิดดีๆ ที่พี่ป๊อบบอกเรา ฉันคิดว่างั้นนะ การวางคาแร็คเตอร์ตัวละคร อันดับแรกต้องตีโจทย์ความเป็นคนให้แตกก่อน ตัวหลักต้องคิดว่าจะเป็น ตัวละครแบบไหนที่คนจะจดจาได้ และต้องมีเอกลักษณ์ด้วย “สิ่งที่ตัวละครคิดกับสิ่งที่ตัวละครพูดหรือกระทา ไม่จาเป็นต้องเหมือนกัน” เขาว่า หลังจากวางคาแร็คเตอร์ ก็จะเป็นเรื่องการแทรกข้อคิด ทัศนคติต่างๆ เข้าไปในงานเขียน เรื่อง Girls & A Doll จะชัดเจน มีข้อคิดเป็น Theme ของแต่ละบท แต่ White Road จะแฝงอยู่กับเนื้อเรื่อง อย่างข้อคิดง่ายๆ ตอนสุดท้ายของพอล ‘ เมื่อคุณมีความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ คุณก็ต้องเสียสละได้อย่างยิ่งใหญ่ ’ แสดงให้เห็นว่า เมื่อคุณมีอานาจมาก คุณจะใช้มันเพื่ออะไร ริชาร์ดใช้มันเพื่อตัวเอง เพื่อสร้างความยิ่งใหญ่ให้ตนเอง ขณะที่ พอลใช้มันเพื่อรักษาชีวิตคนหมู่มาก อันนี้เป็นประเด็น เป็นสัจธรรม โลกเรามีคนที่ยิ่งใหญ่หลายคน แต่คน เหล่านั้นจะใช้พลังในรูปแบบต่างๆ กัน และก็มีน้อยคนที่จะใช้พลังเพื่อคนอื่น...


ด้ า นการหาข้ อ มู ล ก็ แ ล้ ว แต่ ก รณี ถ้ า เป็ น แฟนตาซี แ ทบไม่ ต้ อ งหาข้ อ มู ล เลย ทุ ก อย่ า งขึ้ น อยู่ กั บ จินตนาการ จะไม่มีคาว่าถูกผิด แต่ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับ Fact มันจะต้องมี Detail มาก เพราะว่าเป็นเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นจริง ส่วนอุปสรรค จะเป็นเรื่องสมาธิสั้นและเบื่อง่าย ความสนใจจึงพุ่งตลอดเวลา เขาจะอยู่ในห้องทั้งวัน ไม่ เปิดรับสื่อหรือข่าวสาร เมื่ออยู่ในช่วงเขียนหนังสือ และต้องมี Concentrate มีอารมณ์กับตัวเอง ถ้ามันหลุดก็ ต้องดึงกลับมาให้ได้ ฉันถามออกนอกเรื่องไปบ้าง แต่ก็คงไม่ผิ ดนักถ้าฉันจะหยิบมาใส่ในงานเขียนนี้ด้วย เพราะหลายสิ่ง หลายอย่าง เป็นอะไรที่มีข้อคิดและแง่มุมดีๆ ที่ฉันอยากให้คุณได้รับรู้ไปกับฉันด้วย ฉันไม่สามารถทาใจที่จะตัด มันทิ้งออกไปได้ ถึงบางอย่างแม้จะเป็นส่วนเล็กๆ แต่มันก็มีความสาคัญในตัวมันเอง อย่างเช่น การกล่าวถึง White Road ซึ่งเป็นผลงานเรื่องแรกของพี่ป๊อบ ฉันสงสัยมาตลอดว่าทาไม White Road ภาค 3 ถึงมีลีลาการนาเสนอที่ต่างกับภาคก่อนหน้านั้นนัก โดยเฉพาะการนาเสนอแบบตัดสลับตัวละครไปมา ทีละคนจนครบทุกตัว วันนี้ฉันก็เลยจัดการไขข้อสงสัยนี้เสียเลย พี่ป๊อบบอกว่าเป็นเพราะต้องการให้เห็นโลกที่กว้างใหญ่ ในภาค 3 นี้โลกของ White Road มันใหญ่ มาก ไปทุกโลกเลย ทั้งโลกมนุษย์ อวกาศ และมิติต่างๆ ต้องการให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ว่าเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นหลายที่พร้อมกัน ถ้าเป็นเรื่อง Harry Potter คุณจะอยู่กับแฮรี่คนเดียว จะรู้แต่สิ่งที่เกิดใน Hogwarts แต่ ความจริงในขณะที่เกิดเหตุการณ์ขึ้นใน Hogwarts นั้นนอก Hogwarts ก็เกิดอะไรที่เราไม่รู้ขึ้นตั้งหลายอย่าง นี่ แหละคือใจความของ White Road ภาคนี้ “ป๊อบต้องการให้เห็นว่าโลกใบนี้ เกิดทุกอย่างขึ้นพร้อมกันและทุกคนก็เป็นพระเอกในชีวิตของตัวเอง” เขาย้ากับเรา คาถามสุดท้ายแล้วสาหรับวันนี้ ความรู้สึกที่มีต่องานเขียน ฉันเชื่อว่ามันก็มีอยู่ในตัวของทุกคนนั่น แหละ จะต่างก็ว่ารู้สึกอย่างไรก็เท่านั้น “ป๊อบชอบนะ งานเขียนทุกชิ้น ป๊อบสนิทกับมัน เพราะว่าป๊อบต้องแก้มันเยอะ งานเขียนหนึ่งเล่มกว่า จะออกมาได้แก้กันเป็นร้อยรอบ มันจะเกิดความผูกพันกับงานของเรา ถามว่าจาบทได้หมดมั้ย คงจาไม่ได้ แต่ จะรู้สึกภูมิใจทุกครั้งที่มันออกมาเพราะรู้สึกว่ามันมาจากน้าพักน้าแรง มันมาจากความตั้งใจ ทุกครั้งที่อ่านงาน ที่ออกใหม่ของตัวเองก็ติดนิสัยอยากจะแก้ตรงนั้นตรงนี้ ป๊อบเป็นคนที่แก้อะไรตลอดเวลา งานจะไม่หยุดนิ่ง เพราะฉะนั้นความรู้สึกต่องานป๊อบคือจะผูกพันและรักมันมาก” นั่นคือความรู้สึกที่พี่ป๊อบบอกกับเรา ฉันเพิ่งรู้ว่างานเขียนมันสามารถผูกพันกับเราได้มากขนาดนี้เลย หรอ คงใช่ เพราะแค่ ฉันเป็ นเพีย งคนอ่า น ยังรู้สึกว่ ามีค วามผูกพั นกั บเรื่ องนั้นๆ เลย จะมากจะน้อ ย ก็ ตาม ความชอบที่มีให้กับแต่ละเรื่องนั่นละ ตลอดระยะเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เรามักจะได้ยินเสียงหัวเราะ โทนเสียงแปลกๆ ที่เขาใช้ และท่าที สบายๆ สิ่งเหล่านี้ทาให้การพูดคุยมีสีสัน มีความเป็นกันเอง อีกทั้งการตอบคาถามที่ใช้ไทยคาอังกฤษคา ก็ทา ให้เรางงอยู่บ้า งเหมือนกัน แต่ จากการสัมภาษณ์ในครั้งนี้เราได้อะไรเยอะมาก ครอบคลุม และค่อนข้างจะ ครบถ้วน ได้รู้จักมุมมองและตัวตนของเขามากขึ้น และยังได้อัพเดทผลงานต่อไปของเขาด้วย แม้ว่าเราอาจจะ


พูดคุยในเรื่องอื่นๆที่นอกเหนือไปบ้าง แต่ฉันก็รู้สึกว่ามันเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์อยู่ดี จึงเป็นการยากมากใน ขั้นตอนถอดเทปสัมภาษณ์และการเรียบเรียง 5 นั่นเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่ฉันหยิบมาร้อยเรียง ยังมีนักเขียนอีกมากในเด็กดี ซึ่งแต่ละคนก็ให้ความหมาย ของการเขียนต่างกันไป บ้างก็ว่า......... “หัวใจนักเขียน คือ ความสุขของผู้อ่าน” “ความสุขของนักเขียนคือ การที่ได้เขียนอะไรบางอย่าง และทาให้คนอื่นอิ่มเอมไปกับมัน” “หยิบความคิดในสมองมาวางเป็นอักษรบนกระดาษ” “หนึ่งตัวอักษรที่ถูกขีดเขียน คือจินตนาการนับพันที่ถูกสันสร้าง” “จินตนาการอันไร้ขอบเขต” “The imagination make you are not alone… จินตนาการช่วยให้คุณไม่ต้องอยู่ตัวคนเดียว” “นิยายคือจินตนาการไร้ขีดจากัดที่ถ่ายทอดจากตัวเราสู่ผู้อื่น การเขียนนิยายก็ไม่ต่างจากปลดปล่อยอิสระให้แก่ตนเอง” “งานเขียนคือสิ่งที่สื่อถึงจิตใจเบื้องลึกของผู้แต่ง ดังนั้นการเขียนคือกระจก ให้ย้อนกลับมาดูตน” “การเขียนนิยายก็เหมือนถ่ายทอดเสี้ยวหนึ่งของตนเอง” “นิยาย 1 เรื่อง ก็เหมือนลูก 1 คน” “ขนาดบ้านยังไม่ได้สร้างเสร็จภายในหนึ่งวัน เพราะงั้นนิยายก็ไม่มีทางเขียนจบภายในหนึ่งวันเช่นกัน” “แรกเริ่มเขียนไปแบบไหน แต่เมื่อถึงสุดท้ายก็ยังคงเป็นแบบนั้น...หากไม่มีใครไปบิดเบือนมัน” “บางคนไม่กล้าพูด ไม่กล้าแสดงความรู้สึก...แต่เมื่อได้เขียน ความกล้ามากมายจะเกิดขึ้น และเรียงร้อยได้ง่าย กว่าคาพูดเสียอีก” “เพราะนี่คือเรื่องราวของ...ซึ่ง ‘เรา’ แต่ละคนไม่มีทางที่จะเหมือนกัน... แต่ขณะเดียวกัน ‘เรา’ ก็ไม่ต่างกัน” “การเป็นนักเขียนไม่จาเป็นต้องมีอะไรมากมาย เพียงแค่รักที่จะเขียน รักที่จะทา เราก็เป็นนักเขียนได้แล้ว” * แล้วสาหรับคุณล่ะ งานเขียนหมายถึงอะไร...? 6 ทุกความหมาย ทุกความฝัน เราคงต้องค้นหาคาตอบเอง ถ้าเราไม่ตาม ไม่ค้นหา ก็คงไม่มีวันเจอมัน มันอาจจะเป็นส่วนประสมที่สาคัญในชีวิตก็ได้ ใครจะไปรู้ และก่อนอื่นคงต้องตอบตัวคุณเองให้ได้ก่อนว่า คุณ รู้สึกหรือคิดอย่างไร และต้องการอะไร! ถึงเด็กดีจะเป็นพื้นที่เล็กๆ แต่ก็มีความหมายนะ มันเป็นจุดเริ่มต้นให้เหล่านักเขียนทั้งหลายก้าวสู่ฝัน เป็นก้าวแรกของพวกเขาที่จะนาผลงานมาเผยแพร่ ให้คนอื่นได้ร่วมเป็น ส่วนหนึ่งของจินตนาการ และยังเป็นที่ ฝึกปรือฝีมือก่อนออกสนามจริงอีกด้วย ถ้าไม่มีเว็บเด็กดี นักเขียนเหล่านี้ก็อาจจะไม่ได้สัมผัสกับประสบการณ์ ดีๆอย่างนี้ก็เป็นได้ “นั่นล่ะเด็กดี... เบื้องหลังความฝัน ความสาเร็จ” งานเขียน : หัวข้อ สารคดีอิสระ


Dek-D เผยโฉมค้ นหารับตรงปี 55

Dek-D เผยโฉมโปรแกรมค้าหารับตรง 55 แห่งแรก เน้นสร้างความสะดวก รวดเร็วในการค้นรับตรง แก่เด็กม.6 กับ 4 ฟังก์ชั่นพิเศษค้นหาจากคณะ มหาลัย คุณสมบัติ และอาชีพในฝัน ยอดใช้พุ่งสูงกว่า 6 หมื่นครั้งเพียงหนึ่งอาทิตย์ เมื่อเร็วๆ นี้บริษัทเด็กดี อินเตอร์แอคทีฟ จากัด หรือเว็บ Dek-D.com ได้เปิดตัวโปรแกรมค้นหารับ ตรง 55 อย่างเป็นทางการเป็นแห่งแรก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมข้อมูลรับตรงของแต่ละมหาวิทยาลัย เข้าไว้ด้วยกัน และให้นักเรียนมั ธยมศึกษาปีที่ 6 สามารถเข้ามาค้นหาข้อมู ลรับตรงได้อย่างรวดเร็ว สะดวกสบาย ไม่พลาดข้อมูลรับตรง ซึ่งได้รับการคิดค้นจากทีมงาน Dek-D 3 ฝ่าย ได้แก่ นายมนัส อ่อนสังข์ ผู้สื่อข่าวสายการศึกษาและแอดมิชชั่นเว็บ Dek-D.com นายพิชญะ ฐิติวร โปรแกรมเมอร์ นายดุษิต สุนัน ตา ดีไซน์เนอร์ และมีนายปกรณ์ สันติสุนทรกุล เว็บมาสเตอร์ เป็นหัวหน้าทีม นายมนัส อ่อนสังข์ ผู้เสนอความคิดรวมรับตรง ได้กล่าวถึงความเป็นมาของโปรแกรมว่า ต้องการ จะรวมทุกรับตรงที่เ ปิดรับสมั ค ร เพื่อให้ส ะดวกต่อผู้ที่ต้องการข้อมู ลในเรื่ องรับตรง เพราะหลายครั้ง ที่ นักเรียนไม่ทราบข้อมูลรับตรงของมหาวิทยาลัย อาจจะรู้แค่ 1-2 มหาวิทยาลัยในขณะที่มหาวิทยาลัยอื่นๆ ยังไม่รู้ และน้องๆ นักเรียน ก็มีความสนใจเรื่องนี้กันเยอะ ดังนั้นจึงได้มีความคิดที่จะรวบรวมข้อมูลรับตรงไว้ ด้วยกัน โดยมีกลุ่มเป้าหมายสองกลุ่ม กลุ่มหลักคือ นักเรียนชั้น ม. 6 สายอาชีพหรือเทียบเท่า และเด็กซิ่ว ส่วนกลุ่มรองคือ ผู้ปกครอง ครูแนะแนว “เริ่มจากต้องการเสนอไอเดียว่ามีข่าวรับตรงและอยากรวมให้อยู่ด้วยกัน จึงสร้างโปรแกรมรวมรับ ตรงให้กับน้องๆ จะได้สะดวก บางคนรู้ของจุฬาแต่ไม่รู้ของศิลปากร บางคนรู้ของศิลปากรแต่ไม่รู้จุฬา เราก็ เลยทาโปรแกรมขึ้นมาที่เรียกว่ารับตรง รวมทุกรับตรงที่เปิดสมัคร น้องๆ กดแค่คลิกเดียวก็รู้ข้อมูลแล้ว ที่ สาคัญมีอาชีพให้ด้วย เพราะน้องบางคนไม่รู้ว่าอยากทาอาชีพนี้แล้วจะเรียนคณะไหนดี ทั้งยังไม่มีที่ไหนทา แบบนี้มาก่อน โดยใช้เวลาสร้างหนึ่งเดือนกว่าก่อนจะผ่านการทดลองใช้ปรับปรุงเพิ่มเติมเป็นที่เรียบก่อนจะ เปิดให้ใช้อย่างเป็นทางการ” นายมนัสกล่าว โปรแกรมค้นหารับตรง 55 เป็นเครื่องมือใหม่ที่จะช่วยให้ค้นหาข่าวสารรับตรงได้ก่อนใคร สามารถ ค้นหาข้อมูลรับตรงจากมหาวิทยาลัย คณะ ชั้นเรียน และอาชีพ เปรียบเทียบได้อย่างง่ายดาย โดยจุดเด่น และข้อดีของโปรแกรมนี้อยู่ที่สามารถเลือกค้นหาข่าวรับตรงได้ตามที่ ต้องการล้วนๆ โดยมี 4 รายการให้


เลือกทั้งมหาวิทยาลัย , คณะ, คุณ สมบัติผู้จ บ และอาชี พที่อยากทา ซึ่ง มีข้อมูลในระบบที่รอแสดงผล ครอบคลุม 23 กลุ่มคณะ 94 มหาวิทยาลัย และ 82 อาชีพในฝัน ทั้งนี้ข้อมูลรับตรงนามาจากมหาวิทยาลัยที่ ทาง Dek-D มีคอนเทกอยู่ และการหาข้อมูลเองตามเว็บรับสมัครของแต่ละมหาลัย การใช้โปรแกรมก็ไม่ยากเพียงแค่กด 3 คลิกเบาๆ ก็จะรู้ข่าวรับตรงที่ต้องการ สามารถเลือกค้นหาได้ สองแบบคือมี 4 ฟังก์ชั่นให้เลือกและ 1 ฟังก์ชั่นให้กรอก อย่างแรกค้นหาจากรายการจาก 4 ตัวเลือก อัจฉริยะที่กล่ อง สถาบัน คณะ คุณสมบัติ อาชีพ หรือจะเลือกค้นหาด้วยตนเองโดยพิมพ์คา ข้อความที่ ต้องการก็ได้ ซึ่งเข้าไปใช้โปรแกรมได้ที่ www.dek-d.com/admission/direct ทั้งยังมีการแสดงผลที่อัจฉริยะ ครบถ้วน และแม่นยาที่สุด เพราะมีข้อมูลบอกแบบละเอียด ตั้งแต่มหาวิทยาลัย คณะที่เปิด รับ จานวนรับ นับถอยหลังวันหมดอายุ วิธีการคัดเลือก ระเบียบการ ไปจนถึงเรียนจบคณะนี้แล้วทาอาชีพอะไรได้บ้าง และเว็บบอร์ดคณะ ผลตอบรับจากโปรแกรมรับตรง 55 นี้ได้รับผลตอบรับอย่างดีจากผู้ที่สนใจ เพียงแค่หนึ่งอาทิตย์ก็มี การเข้าใช้กว่า 6 หมื่นครั้ง “ผลตอบรับดีมาก รูส้ ึกดีใจและภูมิใจมาก เพราะได้รับการตอบรับจากน้องๆ ที่เข้าใช้เป็นอย่างดี นั่ง รีเฟรสอ่านความคิดเห็นตอบรับทุกวัน บางคนบอกดีเป็นอะไรที่ล้าหน้ามาก เล่นยังไงก็เล่นได้ ตอนนี้ยังไม่มี คู่แข่งเพราะเป็นเว็บเดียวที่ทา และที่ภูมิใจสุดๆ คือไม่ใช่แค่เด็กม.6 เท่านั้นที่ใช้ แต่ผู้ปกครองหรือครูแนะ แนวก็สามารถใช้ได้ด้วย ทั้งนี้ยังสามารถส่งลิงค์และแชร์ข้อมูลได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย ส่วนน้องๆ ก็ใส่ใจใน โปรแกรม มีอะไรขาดไปหรือควรเพิ่มเติมตรงไหนก็มาโพสพอก พี่ๆ ในบริษัทก็ตื่นเต้นว่าแค่เปิดใช้ครึ่งวัน แรกก็ยอดสูงถึง 3,000 คนแล้ว” นายมนัสเผย ด้านคณะที่ได้รับความนิยมในขณะนี้ สาหรับสายวิทย์คือคณะทันตแพทย์ศาสตร์ สายศิลป์คือ คณะครุศาสตร์ ส่วนมหาวิทยาลัยมีสองแห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ และมหาวิทยาลัยศรีนครินท รวิโรฒ ในปีหน้านายมนัสกล่าวมีแนวโน้มสูงมากที่จะพัฒนาต่อยอดโปรแกรมให้ดีกว่าเดิ ม ควบคู่ไปกับ โปรแกรมคานวณคะแนน และโปรแกรมเลือกคณะจาลอง โดยจะมีการเก็บข้อมู ลผู้ม าใช้ และนาความ คิดเห็นของผู้ใช้มาพัฒนาระบบต่อไป อาทิเช่นสามารถสมัครรับตรงผ่านทางเว็บ Dek-D ได้โดยตรง เป็นต้น โดยสามารถเข้าใช้โปแกรมและดูข้อมูลการแอดมิชชั่นได้ที่ www.dek-d.com

งานเขียน : หัวข้อ สัมภาษณ์และเขียนข่าว


พก 5 หัวใจเที่ยว เมืองไทยยั่งยืน ททท.ผุดแคมเปญ “เที่ยวหัวใจใหม่ เมืองไทยยั่งยืน ” เน้นท่องเที่ยวอย่างอนุรักษ์ หวงแหน รู้คุณค่า ด้วยความรัก โดยใช้ 5 คุณค่า สานึก สร้างสรรค์ ด้วยกัน เข้าใจ และด้วยใจ พร้อมชวนเยาวชนส่งสารคดีสั้น เข้าประกวด ในกิจกรรม ปฏิบัติการสร้างหัวใจใหม่ เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2554 เวลา 16.30 น.ณ ห้องบางลาภู โรงแรมอมารี วอเตอร์เกท ประตูน้า กรุงเทพฯ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้เปิดโครงการ “ปฏิบัติการสร้างหัวใจใหม่ ” ภายใต้ แคมเปญ เที่ยวหัวใจใหม่ เมืองไทยยั่งยืน เพื่อสร้างความเข้าใจในการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ โดยมีนายสุ รพล เศวตเศรนี ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เป็นประธาน และนายคมกฤษ ตรีวิมล ผู้กากับ ภาพยนตร์ ร่วมแถลงข่าว นายสุรพล เศวตเศรนี ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวถึงการจัดกิจกรรม ปฏิบัติการสร้างหัวใจใหม่ ภายใต้แคมเปญ เที่ยวหัวใจใหม่เมืองไทยยั่งยืน ว่า กิจกรรมในครั้งนี้จะช่วยสร้าง กระแสการท่องเที่ยวในรูปแบบใหม่ ในลักษณะการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการแบ่ง ปัน ด้วยความรัก ความหวงแหน รู้คุณค่าของทุกสถานที่ที่ ไป โดยเน้นเจาะกลุ่มเยาวชนและนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ เพื่อสร้าง จิตสานึกเรื่องการรักษาทรัพยากรการท่องเที่ยวของประเทศ ทั้งยังเป็นการสร้างทัศนคติด้านใหม่ให้กับ นักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติ ทั้งนี้เที่ยวหัวใจใหม่เมืองไทยยั่งยืน จะประกอบด้วย 5 คุณค่า ไดแก่ ‘สำนึก’ เที่ยวอย่างมีจิตสานึก อนุรักษ์ รักษา ไม่ทาลาย หรือนาความเสียหายมาสู่สถานที่ท่องเที่ยว ‘สร้ ำงสรรค์ ’เที่ยวอย่างสร้างสรรค์ เปดหู เปิดตา เปิดใจ เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการท่องเที่ยว เพื่อนาไปเป็นแรงบันดาลใจ สร้างสรรค์สิ่ง ต่างๆ ให้กับชีวิต ‘ด้ ว ยกัน ’การเที่ยวกับเพื่อน กับญาติ กับครอบครัว กับคนแปลกหน้า แม้ว่าทุกคนจะ แตกต่าง แต่ไปด้วยกัน ได้รู้จักกัน สนุกด้วยกัน มีความสุขด้วยกัน เกิดประสบการณ์ใหม่ๆ ร่วมกัน ‘เข้ ำใจ’ การไปเที่ยวอย่างเข้าใจ เข้าไปเรียนรู้ ประวัติวิถีชีวิตที่แตกต่าง แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และ ‘ด้ วยใจ’การไป เที่ยวด้วยหัวใจ นาความรัก ความปรารถนาดีไปให้กับสถานที่ รวมไปถึงผู้คนที่พบเจอ นอกจากนั้นยัง เปิดโอกาสให้กลุ่มเยาวชนได้ร่วมแสดงความคิดเห็น ความรู้ ความสามารถและ มุมมองใหม่ๆ เกี่ยวกับการพัฒนาและอนุรักษ์การท่องเที่ยวไทย ทางททท.จึงจัดกิจกรรม ปฏิบัติการสร้าง หัวใจใหม่ ที่ให้เยาวชนส่งผลงานเข้าประกวด ในรูปแบบสารคดีสั้นผ่านโทรทัศน์ ความยาวไม่เกิน 5 นาที ภายใต้ความคิดสร้างสรรค์ และถ่ายทอดสื่อสารต่อไปยังกลุ่มเพื่อน ครอบครัว ชุมชนและสังคมรอบตัว โดย เยาวชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการจะต้องศึกษาอยู่ในระดับอุดมศึกษาและรวมทีม ทีมละ 4 คน สามารถดู รายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.ปฏิบัติการสร้างหัวใจใหม่.com งานเขียน : หัวข้อ ทาข่าวแถลง


นาร่ องใช้ WiMax แม่ ฮ่องสอน เนคเทคและJICA ผุดโครงการ “แม่ฮ่องสอนไวแม็กซ์” ทุ่มงบกว่า 100 ล้านบาท พัฒนา WiMAX ตั้งเป้า 4 ด้าน E-Learning E-Community E-Health และ E-Government โครงการนาร่องเพื่อสร้างสังคมแห่งภูมิปัญญาและการเรียนรู้ ในบริบทของชุมชนชนบทด้วยเทคโนโลยีเครือข่าย ไร้ สาย เป็น โครงการติ ด ตั้ งระบบเครือ ข่ า ยไร้ สาย WiMAX โดยเป็ น โครงการความร่ วมมื อ ระหว่ างศู น ย์เ ทคโนโลยี อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) กับองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency: JICA) ซึ่งได้รับอนุมัติจากสานักงานกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ให้ทาการศึกษาวิจัยใน ระยะเวลา 3 ปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาชนบทด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง ภายใต้โครงการชื่อ “แม่ฮ่องสอนไอทีวัลเลย์ เฉลิม พระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา” หรือ “แม่ฮ่องสอนไวแม็กซ์” JICA ได้สนับสนุนงบประมาณกว่า 100 ล้านบาท และส่งผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่น 4-5 คน มาร่วมทางานกับ NECTEC ที่กรุงเทพและแม่ฮ่องสอน พร้อมมอบคอมพิวเตอร์ 50 ชุด ซอฟต์แวร์ และอุปกรณ์รับสัญญาณ WiMax สาหรับสการติดตั้งระบบเครือข่ายไร้สาย WiMax กาหนดพื้นที่การติดตั้งไว้ที่ 3 อาเภอ ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้แก่ อ.เมือง อ.ปาย และ อ.แม่สะเรียง โดยติดตั้งทั้งหมด 45 หน่วยงาน คือ กลุ่มโรงเรียน ราชการ และชุมชน ดร.กิตติ วงศ์ถาวราวัฒน์ นักวิจัยจากหน่วยปฎิบัติการวิจัยนวัตกรรมไร้สายและความมั่นคง เนคเทค หัวหน้าทีม นักวิจัย WiMAX กล่าวว่า สาเหตุที่เลือกจังหวัดแม่ฮ่องสอน เพราะมีโครงการ IT Valley อยู่แล้ว โรงเรียนมีการประสานงาน เข้มแข็ง และภูมิประเทศก็มีการติดต่อกันได้ลาบาก WiMAX จะช่วยลดการเดินทาง ลดเวลา และลดค่าใช้จ่ายได้ จึงเป็น การทดสอบที่ดี คาดว่าหากโครงการที่แม่ฮ่องสอนนี้สาเร็จ ก็สามารถประยุกต์เทคโนโลยี WiMAX ไปใช้ทาอื่นได้ นอกจากนั้นยังเป็นการหาวิธีการแก้ไขปัญหาในด้านข้อจากัดต่างๆ ในการติดตั้งระบบเครือข่าย เช่น ค่าใช้จ่ายสูง ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขา สัตว์ป่ากัดแทะสายส่งสัญญาณ ที่สาคัญคือเพื่อเพิ่มแหล่งการเรียนรู้ทางอินเทอร์เน็ตเข้าสู่ โรงเรียน พัฒนาระบบหรือโปรแกรมช่วยเหลือการทางานของหน่วยงานรัฐในด้านการสื่ อสารและแนะนาการท่องเที่ยวของ ชุมชน อีกทั้งประชาชนในพื้นที่เป้าหมายมีทักษะและความรู้ความสามารถทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศมากขึ้น การใช้งานหลักของ WiMAX เน้นใช้โครงข่ายภายในจังหวัด (Intranet) 3 ด้าน คือประชุมทางไกล (Video Conference) โทรศัพท์ฟรีภายในจังหวัด VoIP โทรหากันได้ และการเรียนทางไกลผ่านคอมพิวเตอร์ E-learning การใช้ WiMax ในแม่ฮ่องสอน จุดประสงค์หลักในการเอาไปประยุกต์ใช้ 4 ด้าน ได้แก่ E-Learning การใช้ WiMAX ในการถ่ายทอดสัญญาณทั้งภาพและเสียงของครูเพื่อใช้ในการสอน และเปิดโอกาสทางการศึกษาให้แก่เด็ก นักเรียนในพื้นที่ห่างไกล E-Community เป็นการพัฒนาการเข้าถึงข้อมูลของชุมชน สามารถเชื่อมต่อสัญญาณอินเทอร์เน็ต ได้ตลอดเวลา ทั้งยังครอบคลุมด้านการส่งเสริมการให้บริการ และการท่องเที่ยวท้องถิ่นได้ทั่วถึง E-Health ใช้ ในการ วินิจฉัยโรค โดยเชื่อมต่อสัญญาณจากสถานีอนามัยกับแพทย์ผู้ชานาญการที่โรงพยาบาลในจังหวัด ทาให้ผู้ป่วยได้รับการ รักษาที่เหมาะสมและทันท่วงที โดยไม่ต้องเดินทางไกล และ E-Government ช่วยในการบริหารงานท้องถิ่นเมื่อเกิดเหตุ พิบัติภัยใช้ประเมินสถานการณ์จากภาพเหตุการณ์ที่ถูกส่งผ่ านไปยังหน่วยปฏิบัติการ เพื่อประเมินการทางาน ให้เอื้อต่อ ความสะดวกในการทางาน ปัจจุบันคณะนักวิจัยได้ทาการเปิดระบบส่งสัญญาณแล้วโดยได้ติดตั้งเสาส่งสัญญาณไว้บนดอยกองมู มีรัศมี ให้บริการเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง WiMAX ประมาณ 5 กิโลเมตร ในเบื้องต้นสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไร้สาย ได้ประมาณ 4-7 Mbps ซึ่งในพื้นที่บริการดังกล่าวหากผู้ใดมีอุปกรณ์รับ สัญญาณ WiMAX ก็สามารถทดลองใช้งานได้ทันที

งานเขียน : หัวข้อ ข่าว WiMAX


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.