คำำ นำำ รำยงำนฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชำประวัติศำสตร์อิสลำม IS 203-118 ซึ่งในรำยงำนฉบับนี้จะศึกษำ วิเครำะห์ ค้นหำ เกี่ยวข้อง กับกำรพิชิตหรือกำรขยำยดินแดน และกำรทหำรในสมัยคู ลำฟำอฺอัรรอซีดีน สุดท้ำยนี้กลุ่มของข้ำพเจ้ำหวังเป็นอย่ำงยิ่งว่ำ รำยงำนฉบับนี้ อำจจะมีประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจไม่มำกก็น้อย และหวังว่ำกำรทำำ รำยงำนในครั้งนี้จะถูกตอบรับจำกอัลลอฮฺซุบอำนำฮุวำตำอำลำ ด้วยกำรตั้งเจตนำที่บริสุทธิ์ ถ้ำมีข้อผิดพลำดประกำรใดใคร่ขอมำ อัฟ ณ ที่นี้้ดว ้ ย
คณะผู้จ ัด ทำำ
1
สำรบำญ ก เรื่อ ง
หน้ำ
คำำนำำ
ก
สำรบำญ
ข
•
ควำมนำำ
•
คอลีฟะฮฺท่ำนแรก อบูบักรฺ อัศศิดดีก o o
o
•
ปฐมบทภ
4-5
กำรพิชิตดินแดนในสมัยคอลีฟะฮฺ อบูบักร อัศศิดดีก 5-6 กำรทหำรในสมัยคอลีฟะฮฺ อบูบักร อัศศิดดีก 6-7
คอลีฟะฮฺท่ำนที่สอง อูมัร อัลคอฏฏอบ o
o
o
•
3
ปฐมบท 9
8-
กำรพิชิตดินแดนในสมัยคอลีฟะฮฺ อูมัร อัลคอฏฏอบ 9-10 กำรทหำรในสมัยคอลีฟะฮฺ อูมัร อัลคอฏฏอบ 10-11
คอลีฟะฮฺท่ำนที่สำม อุษมำน บิน อัฟฟำน 2
o
ปฐมบท
o
กำรพิชิตดินแดนในสมัยคอลีฟะฮฺ อุษมำน บิน อัฟ ฟำน
o
•
12
13
กำรทหำรในสมัยคอลีฟะฮฺ อุษมำน บิน อัฟฟำน 14
คอลีฟะฮฺท่ำนที่สี่ อะลี บิน อบีฏอลิบ o o
o
ปฐมบท
15
กำรพิชิตดินแดนในสมัยคอลีฟะฮฺ อะลี บิน อบีฏอลิบ 16 กำรทหำรในสมัยคอลีฟะฮฺ อะลี บิน อบีฏอลิบ 16-17
•
สรุกำรพิชิตดินแดน
18
•
บรรณนำนุกรม
19
ข ควำมนำำ ประวัติศำสตร์เป็นเรื่องที่น่ำศึกษำเป็นอย่ำงยิ่งยวด ยิ่งเป็น ประวัติคุลำฟำอฺอัรรอซีดีนถือได้ว่ำกำรปกครองในสมัยนั้นมีควำม แตกต่ำงอย่ำงสิ้นเชิงกับปัจจุบันที่ฉำยำว่ำเป็น “ยุคแห่งคอรัปชั่น” แต่ในสมัยคุลำฟำอฺอัรรอซีดีนเป็น “ยุคแห่งทรงธรรม” ไม่ว่ำจะเป็น
3
ระบบกำรปกครอง เศรษฐกิจ กำรเมือง กำรทหำร กำรจัดระเบียบ สังคม ต่ำงๆมำกมำยก็มีควำมแตกต่ำงอย่ำงสิ้นเชิง กำรพิชิตดินแดนถือเป็นกำรขจรกระจำยอำำนำจกำรปกครอง ให้ทั่วไพศำล ด้วยอัลอิสลำมที่งดงำม ในสมัยคอลีฟะฮฺท่ำนที่สอง สำมรถพิชิตครองเมืองเป็นพื้นที่แล้ว 2.5 ล้ำนตำรำงไมล์ นับได้ว่ำ ใช่เวลำเร็วมำก เหตุใดที่ท่ำนสำมรถทำำเช่นนี้ได้และสำมำรถถล่ม ยักษ์ใหญ่ในสมัยนั้นได้คือ อำณำจักรโรมันและเปอร์เซีย กำรทหำร นับได้ว่ำชนชำวอำหรับตั้งแต่เด็กๆ สอนให้รู้จัก กำรใช้ดำบ ธนู ว่ำยนำ้ำและอื่นๆซึ่งเขำยึดถือเป็นประเพณีปฏิบัติ ซึ่งผู้ชำยจะบทบำทอย่ำงชัดเจนมำกกว่ำฝ่ำยหญิง และไม่ใช่แค สอนกำรยิงธนู ใช้ดำบ แต่ยังสอนถึงกำรขี่ม้ำอีกด้วย (รศ.มะฮฺยุด ดีน หะยียะหฺยำ,2005:211-212) ด้วยสำเหตุนี้กำรประพฤติเช่นนี้ เป็นเรื่องธรรมดำของชำวอำหรับ จึงทำำให้ชำวอำหรับมีควำม ชำำนำญชำำชองกับสงครำมเป็นอย่ำงมำก จำกกำรศึกษำพบว่ำ เกือบจะทุกสงครำมที่อิสลำมเข้ำร่วมเกือบทุกครั้งที่อิสลำมสำมำรถ คว้ำชัยเหนือศัตรู บวกกับควำมเคร่งครัดในหลักคำำสอนของ อิสลำม ด้วยเหตุหลำยๆประกำรทั้งปวงทำำให้อิสลำมสำมำรถคงอยู่ ถึงปัจจุบัน
4
คอลีฟะห์อบูบักร ( ฮ.ศ. 11-13 ) ปฐมบท ท่ำนอบูบักรมีชื่อจริงว่ำ อับดุลลอฮฺ ท่ำนเป็นบุตรของ อบูกุ ฮำฟะฮฺ ท่ำนได้รับฉำยำนำมว่ำ “อัศศิดดิ๊ก” แปลว่ำ “ผู้ยืนยันถึง ควำมจริง” สำเหตุที่ท่ำนได้รับฉำยำนำมเช่นนี้ เนื่องจำกว่ำ ท่ำน นบีมูฮำำหมัด
ได้เดินทำงอิสรออฺจำกมัสยิดหะรอมไปยังมัสยิดอัก
ซอ ในยำมคำ่ำคืนแล้วกลับมำในตอนใกล้รุ่งเช้ำ แล้วท่ำนได้เล่ำ เหตุกำรณ์ที่เกิดขึ้นให้พวกกุเรชซึ่งเป็นกำฟิรฟัง พวกเขำไม่เชื่อ พวกเขำจึงเล่ำเหตุกำรณ์ที่เกิดขึ้นให้ท่ำนอบูบักรฟัง แล้วถำมว่ำ ท่ำนเชื่อเหตุกำรณ์นี้หรือไม่ ท่ำนอบูบักรกล่ำวว่ำ “เชื่อ”และเชื่อยิ่ง กว่ำเหตุกำรณ์นี้อีก เชื่อข่ำวที่มูฮำำหมัดนำำมำจำกฟำกฟ้ำ ” ท่ำนจึง ได้รับฉำยำนำมว่ำ “อัศศิดดิ๊ก” ท่ำนอบูบักรสืบเชื้อสำยตระกูล ตะมีม เผ่ำกุเรช ท่ำนเกิดใน เมืองมักกะห์ หลังจำกท่ำนนบีมูฮำำหมัด 2 ปี ท่ำนเป็นเพื่อนร่วม อพยพของท่ำนนบีมูฮำำหมัด
จำกเมืองมักกะห์ไปยังเมืองมะดีนะห์
และท่ำนเป็นที่ปรึกษำของท่ำนนบีในกำรบริหำรกิจกำรของ 5
อำณำจักรอิสลำม ท่ำนได้เข้ำร่วมทำำสงครำมกับท่ำนนบีทุกครั้ง และเป็นซอฮำบะห์เพียงไม่กี่คนที่ยืนหยัดต่อสู้ ในสงครำมหุไนนฺ ขณะที่มีข่ำวลือว่ำ ท่ำนนบีมูฮำำหมัด
เสียชีวิตแล้ว ท่ำนได้สละ
ทรัพย์สินจำำนวนมำกเพื่อเป็นค่ำใช้จ่ำยในหนทำงของอัลลอฮฺ และ ได้ซอ ื้ ทำสมุสลิม จำำนวน 7 คน ปล่อยให้เป็นอิสระ ขณะที่พวกเขำถู กกุเรช ทรมำนอย่ำงแสนสำหัส เพื่อให้พวกเขำละทิ้งอิสลำม แล้ว หันมำบูชำรูปเจว็ดเช่นเดิม ในบรรดำทำสเหล่ำนี้ได้แก่ ท่ำนบิลำล อิบนุรอบำหฺ มุอัซซินของท่ำนนบีมูฮำำหมัด
ท่ำนเป็นผู้ที่มีควำมรู้
ควำมเข้ำใจในบัญญัตศ ิ ำสนำ มีควำมละเอียดอ่อนในกำรใช้ควำม คิด ท่ำนอบูบักรได้รับกำรแต่งตั้งจำกท่ำนนบีมูฮำำหมัด
ให้
เป็นผู้นำำบรรดำมุสลิม เดินทำงไปประกอบพิธีฮัจญ์ในปี ฮ.ศ.9 และ เป็นอิมำมนำำบรรดำมุสลิมละหมำด ขณะที่ท่ำนนบีมูฮำำหมัดป่วย หนัก ระว่ำงที่บรรดำมุสลิมทะสงครำมยัรมูก ท่ำนอบูบักรได้ถึงแก่ กรรมลง ท่ำนอุมัรอิบนุคอฏฏอบ ได้ดำำรงตะแหน่งคอละฟะห์คนที่ 2 ท่ำนได้ส่งหนังสือไปแจ้งแก่ท่ำนคอลิด อิบนุวะลีด ซึ่งเป็นแม่ทัพ ของบรรดำมุสลิม โดยปลดท่ำนออกจำกตำำแหน่ง และหท่ำนอบูอุบั ยดะห์ อิบนุ ญิรรอห์ ดำำรงตำำแหน่งแทน ท่ำนคอลิดได้ปกปิดข่ำวนี้ ไว้ โดยเกรงว่ำจะเกิดควำมระสำ่ำระส่ำยขึ้นภำยในกองทัพ ท่ำนคอ ลิดได้นำำกำำลังทหำรมุสลิมทำำกำรสู้รบจนกระทั่งประสบชัยชนะ ท่ำนจึงได้ประกำศกำรถึงแก่กรรมของท่ำนอบูบักรและกำรดำำรงตะ
6
แหน่งคอลีฟะห์ของท่ำนอุมัร และได้มอบตำำแหน่งแม่ทัพให้แก่ท่ำน อบูอุบัยดะห์อิบนุญิรรอห์ อบูบักรถึงแก่กรรมเดือนญำมำดิ้ลอำคิร ฮ.ศ.13 ในเมืองมะดี นะห์ และถูกฝังอยู่เคียงข้ำงท่ำนนบีมูฮำำหมัด
โดยอำยุได้ 63 ปี
ดำำรงตำำแหน่งคอลีฟะห์ 2 ปี 3 เดือน (หลักสูตรอิสลำม ศึกษำ.โรงเรียนอิกอมะตุ้ลมุอฺมีนีน(ออนไลน์)ค้นหำเมื่อ 18/9/55) กำรพิช ิต ดิน แดนในสมัย ท่ำ นอบูบ ัก รฺ ในสมัยคอลีฟะห์อบูบักร มีกำรพิชิตดินแดนต่ำงๆมำกมำย กล่ำวคือ กำรพิช ิต อิร ัก ฮ.ศ. 12 มีอำณำเขตติดต่อกับอ่ำวอำหรับ และมีแม่นำ้ำที่สำำคัญ 2 สำย ไหลผ่ำน คือ แม่นำ้ำยูเฟรติส และแม่นำ้ำไพคิส ขณะนั้นตกอยู่ภำย ใต้กำรปกครองของเปอร์เซีย ชำวเมืองได้รับกำรกดขี่ข่มเหง คอ ลีฟะห์อบูบักรจึงส่งกองทัพมุสลิมโดยมีคอลิด อิบนุวะลีด เป็นแม่ทัพ เดินทำงไปพิชิตดินแดนแห่งนี้ และปลดปล่อยประชำชนให้เป็น อิสระ จำกกำรตกอยู่ภำยใต้กำรกดขี่ของเปอร์เซีย โดยเอำชนะต่อ ฮุรมุซ แม่ทัพของเปอร์เซียในอิรัก กำรพิช ิต ดิน แดนชำม ฮ .ศ. 13 ดินแดนชำมนั้นเป็นเมืองขึ้นของโรมัน ซึ่งอยู่ทำงตอนเหนือ ของคำบสมุทรอำหรับ ขณะนี้ได้แยกออกเป็นประเทศต่ำงๆคือ ปำเลสไตน์ จอร์แดน เลบำนอน ซีเรีย คอลีฟะห์อบูบักร ได้จัดส่ง กำำลังทหำรมุสลิมโดยแบ่งออกเป็น 4 กองทัพ โดยมีอบู อุบัยดะห์
7
อำมิร อิบนุญิรเรำะห์ ยะซีด อิบนุอบีซุฟยำน ชุเรำะห์บีล อิบนุ หะ สะนะห์ และ อัมร์ อิบนุอำศ เมื่อพวกโรมันทรำบข่ำวว่ำพวกมุสลิม ได้ตระเตรียมกำำลังทหำรจำำนวนมำก เพื่อทำำสงครำมกับพวกเขำ โดยยกกองทัพไปยังแม่นำ้ำยัรมูก ซึ่งเป็นที่ตั้งของกองทัพมุสลิม ขณะเดียวกันท่ำนอบูบักรก็มีคำำสั่งให้ท่ำนคอลิด อิบนุวะลีด เดิน ทำงมำจำกอิรัก เพื่อช่วยกำำลังทหำรมุสลิมทำำสงครำม ท่ำนคอลิด จึงจัดขบวนทัพ โดยให้ทหำรมุสลิมทั้งหมด ขึ้นตรงต่อแม่ทัพคน เดียว ส่วนทหำรโรมันก็ถูกผูกด้วยโซ่ตรวนเพื่อป้องกันกำรหลบหนี กำรต่อสู้ระหว่ำง 2 ฝ่ำย ได้เริ่มขึ้นหลังจำกที่ได้ต่อสู้กัน ประปรำยเป็นเวลำ 3 เดือน กองทัพมุสลิมมีคอลิด อิบนุวะลีด เป็น แม่ทัพ และกองทัพโรมันมี เฮรำคลียุส เป็นแม่ทัพ โดยดำำเนินไป อย่ำงดุเดือด มีกำรตะลุมบอนอย่ำงรุนแรง ในที่สุด บรรดำมุสลิม ก็ได้รับชัยชนะ สงครำมครั้งนี้มีชื่อว่ำ “สงครำมยัรมูก” เพรำะกำรสู้ รบเกิดขึ้นใกล้กับแม่นำ้ำยัรมูก กำำลังทหำรมุสลิมมีทั้งหมด 30,000 คน เสียชีวิตประมำณ 3,000 คน ในจำำนวนนี้มี อิกรีมะห์ อิ บนุ อบีญะห์ รวมอยูด ่ ้วย โดยที่มีบำดแผล 70 แห่งทั่วร่ำงกำยของ เขำ ส่วนทหำรโรมันมีกว่ำ 200,000 คน และเสียชีวิตเป็นจำำนวน หลำยพันคน เฮรำคลียุส ได้กล่ำวก่อนที่จะคอนกองทัพออกจำกดินแดนชำม กลับไปยังอำณำจักรโรมัน ไบเซ็นตีน ว่ำ “โอ้ ซีเรีย ฉันขอลำเจ้ำ เป็นครั้งสุดท้ำย เพรำะฉันคงจะไม่ได้พบเจ้ำอีกแล้ว หลังจำกวันนี้” ระหว่ำงสงครำมมีผู้นำำสำรของคอลีฟะห์ อิบนุคอฏฏอบ ไป มอบให้แก่คอลิด โดยบอกถึงกำรถึงแก่กรรมของท่ำนอบูบักร และ กำรดำำรงตำำแหน่งของคอลีฟะห์อุมัร พร้อมกับให้แต่งตั้งให้ท่ำนอบู 8
อุบัยดะห์ อิบนุญิรเรำะห์ เป็นแม่ทัพแทนท่ำนคอลิด ท่ำนคอลิดได้ ปิดบังข่ำวไว้จนเสร็จสงครำม ท่ำนจึงมอบตำำแหน่งทัพให้แก่ท่ำ นอบู อุบัยดะห์ และประกำศข่ำวกำรถึงแก่กรรมของท่ำนอบูบักร และกำรดำำรงตำำแหน่งคอลีฟะห์ของท่ำนอุมัร สำเหตุของกำรปิดบัง ก็เพื่อ มิให้เกิดควำมระสำ่ำระส่ำยขึ้นภำยในกองทัพมุสลิม
กำรทหำรในสมัย คอลีฟ ะฮฺ อบูบ ัก ร อัศ ศิด ดีก คำำ สั่ง เสีย ของท่ำ นอบูบ ัก รแก่เ หล่ำ ทหำร คอลีฟะห์อบูบักรได้สั่งเสียแก่เหล่ำทหำร มีใจควำมว่ำ : “ท่ำน ทั้งหลำยจงปฏิบัติดีตอ ่ กัน อย่ำแสดงกำรบิดพลิ้ว อย่ำแสดงกำร อวดดี อย่ำทำำกำรเกินขอบเขต อย่ำได้ประจำนผู้ตำย อย่ำฆ่ำเด็ก คนชรำ และสตรี เมือ ่ ศัตรูยอมจำำนน ท่ำนทั้งหลำยก็จงรับในข้อ เสนอของพวกเขำ ท่ำนทั้งหลำยจงตัดต้นไม้ผล อย่ำฆ่ำ แพะ แกะ หรือ วัว หรือ อูฐ นอกจำกเท่ำที่จะเป็นอำหำร ท่ำนจะพบกับผู้ที่ บำำเพ็ญเพียรอยู่ในโบสถ์ วิหำร ท่ำนทั้งหลำยจงอย่ำรบกวนพวก เขำ” (หลักสูตรอิสลำมศึกษำ.โรงเรียนอิกอมะตุ้ลมุอฺมี นีน(ออนไลน์)ค้นหำเมื่อ 18/9/55) กำรเผยแพร่ศำสนำอิสลำมมิได้มีจุดมุ่งหมำยเพื่อกำรรุกรำน หรือทำำสงครำมแต่ประกำรใด หรือเป็นกำรจุดชนวนสงครำม อิสลำมจึงได้วำงกฎกำรทำำศึกให้มุสลิมได้ยึดถือปฏิบัติดังนี้ (มูนีร มู หะหมัด,2551:30-32) 1.
กำรทำำสงครำมจะต้องเป็นไปในรูปแบบของกำรปรำบ ปรำม และขจัดควำมอธรรม 9
2.
อนุญำตให้มุสลิมทำำสงครำมกับผู้ที่ขัดขวำง ผู้บอ ่ น ทำำลำย และเป็นศัตรูกับอิสลำม
3.
ให้มุสลิมนำำสัจธรรมด้วยวิทยปัญญำ ในกำรเข้ำรับ นับถือศำสนำอิสลำม และไม่อนุญำตอย่ำงเด็ดขำดที่จะ ข่มขู่ในกำรเข้ำรับนับถืออิสลำม
4.
เมื่อเดินผ่ำนกลุ่มชนใดกลุ่มชนหนึ่ง หมู่บ้ำน เรือกสวน ไร่นำ ก็จงนำำอิสลำมไปเสนอกับพวกเขำ และให้ควำม คุ้มครองแก่พวกเขำ เพื่อแสดงให้เห็นว่ำศำสนำอิสลำม เป็นศำสนำที่ส่งเสริมสันติภำพ
5.
ทหำรมุสลิมจะต้องไม่ทำำลำยต้นไม้ ไม้ผล พืชไร่ต่ำงๆ ไม่วำงเพลิง
6.
ทหำรมุสลิมจะต้องไม่เข้ำไปอำศัยบ้ำนของประชำชน ภำยในเมืองและในหมู่บ้ำน ควรตั้งค่ำยอยู่นอกเมือง เพื่อไม่สร้ำงควำมหนักใจแก่ประชำชนในกำรใช้ชีวิต
7.
ทหำรมุสลิมจะต้องไม่ทำำร้ำย สตรี เด็ก คนชรำ ผูท ้ ี่ไม่มี ทำงสู้ นักบวช นักพรต แต่ให้ปฏิบัติต่อพวกเขำด้วย ควำมดีงำม
10
อูม ัร บิน อัล คอฏฏอบ
ปฐมบท คอลีฟะห์อุมัร เป็นบุตรของอัลคอฏฏอบ บุตรของนุไฟอฺ มี ฉำยำนำมว่ำ อัลฟำรุก ( ผู้จำำแนกระหว่ำงควำมจริงกับควำมเท็จ ) มีชื่อเล่นว่ำ อบูฮัฟสฺ ท่ำนสืบเชื้อสำยมำจำก ตระกูลตะดียฺ จำกเผ่ำ กุเรช ท่ำนเกิดหลังจำกท่ำนนบีมูฮำำหมัด 13 ปี ท่ำนได้รับกำรเลี้ยง ดูให้มีควำมกล้ำหำญ ชอบช่วยเหลือผูอ ้ ื่น และพูดจริง ท่ำนนบีมูฮำำหมัด ประกำศศำสนำอิสลำม ท่ำนอุมัรเป็นผู้หนึ่ง ที่ตอ ่ ต้ำนอย่ำงรุนแรง และได้ทำำร้ำยต่อบรรดำมุสลิม จนกระทั่งอัล เลำะห์ทรงเปิดหัวใจของท่ำนให้นับถือศำสนำอิสลำม ท่ำนจึงกลำย เป็นกำำลังสำำคัญ ในกำรปกป้องศำสนำอิสลำม และมุสลิมจำกกำร ทำำร้ำยของกำฟิร ลักษณะและอุปนิสัยของคอลีฟะห์อุมัร คอลีฟะห์ อุมัรเป็นผู้ที่มีร่ำงกำยสูงใหญ่ แข็งแรง มีผิวขำวปนแดง เสียงดังไม่ ค่อยหัวเรำะ อ้วนท้วม มีควำมเด็ดขำดและยุติธรรม มีสติปัญญำ เฉียบแหลม รังเกียจควำมอธรรม ยืนหยัดในควำมจริง มีควำม
11
บริสุทธิ์ในศำสนำ กำรดำำรงตำำแหน่งคอลีฟะห์ เมื่อคอลีฟะห์อบูบักร ป่วยลง ท่ำนได้เรียกบรรดำซอฮำบะห์ของท่ำนร่อซูล มำเพื่อ ปรึกษำหำรือ ถึงผู้ที่จะดำำรงตำำแหน่งคอลีฟะห์คนต่อไป ท่ำนได้ เสนอให้ท่ำนอุมัรเป็นคอลีฟะห์เนื่องจำกว่ำท่ำนอุมัร เป็นผู้ที่มีควำม เด็ดขำด มีควำมยุติธรรม ยืนหยัดอยู่กับควำมจริง และกลัวว่ำจะ เกิดควำมแตกแยกระหว่ำงมุสลิม บรรดำซอฮำบะห์ของท่ำนนบีมูฮำำ หมัด เห็นชอบด้วยที่จะให้ท่ำนอุมัรเป็นคอลีฟะห์สืบต่อจำกท่ำนอบู บักร กำรถึง แก่ก รรมของคอลีฟ ะห์อ ุม ัร ขณะที่คอลีฟะห์อุมัรเป็นอิมำมนะละหมำดซุบฮิ ในตอนเช้ำ ของวันหนึ่ง อบู ลุลอ ุ ะห์ ซึ่งเป็นผู้บูชำไฟ และเป็นคนใช้ของมุฆี เรำะห์ อิบนุชวะยะห์ ได้เข้ำมำแทงท่ำน ทำำให้ท่ำนล้มลง ท่ำนจึงได้ ใช้ให้ท่ำนอับดุลเรำะห์มำน อิบนุอำฟ นำำละหมำดต่อไปจนเสร็จ แล้วท่ำนกล่ำวว่ำ : “ไม่มีตำำแหน่งใดในอิสลำม สำำหรับผู้ที่ละทิ้งละหมำด” บรรดำมุสลิมได้หำมท่ำนอุมัร ซึ่งมีเลือดไหลนอง เข้ำไปในบ้ำน ของท่ำน เพื่อทำำกำรทำำแผล เนื่องจำกอำกำรของท่ำนสำหัสมำก จึงถึงแก่กรรมในเวลำต่อมำ ก่อนที่ท่ำนจะถึงแก่กรรม ท่ำนรู้ว่ำผู้ที่ ฆ่ำท่ำนไม่ใช่มุสลิม ท่ำนจึงกล่ำวว่ำ :
12
“มวลกำรสรรเสริญเป็นของอัลเลำะห์ โดยที่ผู้ที่ฆ่ำฉัน ไม่ใช่ผู้ที่สูญู ดต่ออัลเลำะห์” ท่ำนถึงแก่กรรมโดยมีอำยุได้ 63 ปี ดำำรงตำำแหน่งคอลีฟะห์เป็น เวลำ 10 ปี 6 เดือน และท่ำนถูกฝังเคียงข้ำงคอลีฟะห์อบูบักร อัซ ซิดดิ๊ก (หลักสูตรอิสลำมศึกษำ.โรงเรียนอิกอมะตุ้ลมุอฺมี นีน(ออนไลน์)ค้นหำเมื่อ 18/9/55) กำรพิช ิต ดิน แดนในสมัย คอลีฟ ะฮฺ อูม ัร อัล คอฏฏอบ
ดินแดนของรัฐอิสลำมนั้นหลังจำกที่ท่ำนนบีมูฮัมมัด j เสียชีวิต ลงในปีฮิจเรำะฮฺที่สิบ ณ ตอนนั้นมีพื้นที่ทั้งหมดหนึ่งล้ำนตำรำงไมล์ โดยครอบคลุมส่วนหน้ำของคำบสมุทรอำรเบียจรดทะเลแดง ทะเล อำหรับอ่ำวโอมำนและเปอร์เซียทั้งหมด และหลังจำกที่ท่ำนอบูบักรฺ อัศศิดดีกได้เข้ำมำดำำรงตำำแหน่งเป็นคอลีฟะฮฺคนแรกปกครอง รัฐอิสลำมเป็นเวลำสองปีเศษๆ ดินแดนรัฐอิสลำมก็ขยำยมำทำงทิศ ตะวันออกเฉียงเหนือด้ำนทะเลเมอิเตอร์เรเนียนเพิ่มอีกสำมแสน ตำรำงไมล์ ต่อมำเมื่อท่ำนอูมัร อัลคอฏฏอบ
ขึ้นดำำรงตำำเหน่งเป็นคอ
ลีฟะฮิคนที่สองแทนท่ำนอบูบักรที่เสียชีวิตในปีที่ สิบสำม ของฮิจเร ำะฮฺศักรำช ท่ำนทำำกำรปกครองรัฐและพิชิตดินแดนอย่ำงต่อเนื่อง เป็นเวลำสิบปี ปรำกฏว่ำภำยในช่วงระยะเวลำดังกล่ำวนั้น ท่ำน สำมำรถขยำยดินแดนทำงด้ำนเหนือ ตะวันออก และตะวันตกเพิ่ม 13
ขึน ้ อีก หนึ่งล้ำนห้ำแสนตำรำงไมล์ (ชัมซฺ อัลอูลำมำอฺ,1981: 2/1 อ้ำงถึงใน จงรักศักดิ์, 2011: 78) ในบำงสำยรำยงำนกล่ำวกันว่ำ “พื้นที่ที่ตกอยู่ภำยใต้กำรพิชิตของอูมัรนั้นเกินกว่ำ 2.5 ล้ำนตำรำง ไมล์” (นะญีบ อะบำดี 2552: 391) อิบนูกะษีรฺ (1988:7/19-125 อ้ำงถึงใน จงรักศักดิ์, 2011: 7879) ได้กล่ำวถึงกำรขยำยอำณำเขตของรัฐอิสลำมในสมัยคอลีฟะฮฺ อูมัร อัลคอฏฏอบ •
สำมำรถสรุปได้ดังนี้
ปีฮิจเรำะฮฺที่ ๑๓ พิชิตดำมัสกัส ซีเรีย โดยกำรนำำขอ งอบูอุบัยดะฮฺ
•
ปีฮิจเรำะฮฺที่ ๑๔ พิชิตอิรัก โดยกำรนำำของ สะอัด บิน อบี วะกอศฺ
•
ปีฮิจเรำะฮฺที่ ๑๕ พิชิตเยรูซำเล็ม โดยท่ำนคอลีฟะฮฺเอง
•
ปีฮิจเรำะฮฺที่ ๒๐ พิชิตอียิปส์ โดยกำรนำำของ อัมรฺ บิน อัล-อำศ
•
ปีฮิจเรำะฮฺที่ ๒๒ พิชิตอำเซอร์ไบจัน โดยกำรนำำของนะ อีม บินมุกริน
•
ปีฮิจเรำะฮฺที่ ๒๒ พิชิตก็อรกำน โดยกำรนำำของซุวัยดฺ บินมุกริน
14
ดังนั้นอำณำเขตรัฐอิสลำมในสมัยกำรปกครองของท่ำนจึงมี ทั้งหมดสองล้ำนสำมแสนหรือบำงสำยรำยงำนห้ำแสนตำรำงไมล์ ซึ่งมีชำยแดนทำงทิศใต้จรดทะเลอำหรับ ทิศเหนือจรดทะเล เมดิเตอร์เรเนียน ทิศตะวันออกจรดตูนีเซีย แอลจีเรีย อุซเบกิสถำน และปำกีสถำน หำกดูจำกแผนที่ในปัจจุบันแล้วก็คือประเทศ ซำอุดีอำระเบีย เยเมน คูเวต คูเวต กำตำร์ โอมำน บำห์เรน สหรัฐ อำหรับเอมิเรต์ จอร์แดน ซีเรีย เลบำนอน อิสรำเอล อียิปต์ อิรัก อิหร่ำน เติอรก์เมนิสถำน อำเซอร์ไบจัน และอำร์เมเนีย ทั้งนี้สมัย ของคอลีฟะฮท่ำนอูมัร ดินแดนเหล่ำนี้ถูกแบ่งออกเป็นกำรปกครอง ออกเป็น 11 แคว้น โดยแคว้นต่ำงๆ นี้มีข้ำหลวงที่ได้รัยกำรแต่งตั้ง โดยตรงจำกท่ำน เพื่อทำำกำรบริหำรปกครอง ยกเว้นเมืองมะดีนะฮฺ ท่ำนจะปกครองด้วยตัวของท่ำนเอง
กำรทหำรในสมัย คอลีฟ ะฮฺ อูม ัร อัล คอฏฏอบ
กำรทหำรในสมัยในสมัยคอลีฟะฮฺ อูมัร อัลคอฏฏอบ นั้น สำมำรถสรุปปรำกฏกำรณ์สำำคัญหลำยอย่ำงดังนี้ (จงรักศักดิ์, 2011: 141-142) - จัดตั้งค่ำยทหำรถำวร - กำำหนดให้มีกำรเกณฑ์ทหำรภำคบังคับ - จัดตั้งจุดตรวจตำมแนวชำยแดน
15
- จำำกัดเวลำกำรพลัดพรำกจำกภรรยำของทหำรเพื่อ
ป้องกันมิให้ภรรยำทำำควำมผิดในทำงชู้สำว - จัดตั้งทหำรกองหนุน - ให้แม่ทัพนำยกองจัดส่งรำยงำนอย่ำงเป็นลำยลักษณ์
อักษรเกี่ยวกับกำรเคลื่อนไหว กำรต่อสู้ และปัญหำต่ำงๆ และ อืน ่ ๆ อย่ำงเป็นระบบ - จัดทำำบัญชีรำยชื่อ - ให้มีแพทย์
เงินเดือน ตำำแหน่ง และอื่นๆ
ผู้พิพำกษำ คณะที่ปรึกษำประจำำกองทหำร
- กำำหนดให้มีเงินรำงวัลแก่พลทหำรมุบัรริซีนใน
สงครำม (คือทหำรที่สมัครใจออกไปต่อสู้แบบตัวต่อตัวกับ ข้ำศึกก่อนที่จะเปิดกำรรบระหว่ำงกองทัพ) - ห้ำมลงโทษทหำรในขณะสงครำมหรือเมืออยู่ในดิน
แดนสงครำม
16
คอลีฟะฮฺอุสมำน ปฐมบท ท่ำนอุสมำนเป็นบุตรของอัฟฟำน บุตรของอัลอำศ ท่ำน มีชื่อเล่นว่ำ อบูอัมรฺ และมีฉำยำนำมว่ำ ซุนนูรอยนฺ เนื่องจำกว่ำ ท่ำนได้แต่งงำนกับลูกสำวของท่ำนนบีมูฮำำหมัด 2 คน คนแรกคือ นำงรุกอยยะห์ เมื่อนำงรุกอยยะห์ถึงแก่กรรม ท่ำนได้แต่งงำนกับ อุมมุกัลโซม ท่ำนสืบเชื้อสำยมำจำกตระกูลอุมัยยะห์ จำกเผ่ำกุเรช ท่ำนเกิดหลังจำกท่ำนรอซูล
5 หรือ 6 ปี
ท่ำนอุสมำนเป็นบุคคลแรกๆที่เข้ำนับถือศำสนำอิสลำม ท่ำน เป็นอำลักษณ์คนหนึ่งของท่ำนนบีมูฮำำหมัด สงครำมกับท่ำนรอซูล
และได้ร่วมทำำ
ทุกครั้ง นอกจำกสงครำมบัดรฺ เนื่องจำก
ท่ำนต้องดูแลภรรยำท่ำนที่เจ็บป่วย คอลีฟะห์อุสมำนมีควำมอ่อนโยน เป็นที่รักใคร่ในหมู่ชำ วกุเรช โดยเหตุนี้ ท่ำนรอซูล
จึงส่งให้ท่ำนเป็นทูตเพื่อเจรจำกับ
พวกชำวกุเรช และมีกำรทำำสัญญำซึ่งเรียกว่ำ “สัญญำฮุดัยบียะห์” ท่ำนเป็นผู้ที่ใจบุญ โดยบริจำคทรัพย์สินจำำนวนมำกในหนทำงขอ งอัลเลำะห์ เกี่ยวกับควำมใจบุญของท่ำนนั้น ท่ำนได้บริจำค ทรัพย์สินของท่ำนทั้งหมด ในกำรเตรียมกองทัพ เพื่อรบกับพวกฆอ ซำซีนะห์ ซึ่งกองทัพนี้มีชื่อว่ำ “กองทัพขำดแคลน” ในสมัยคอ ลีฟะห์อุมัร ได้เกิดควำมแห้งแล้งและขำดแคลนอำหำร ท่ำนได้ บริจำคสินค้ำและอำหำรในกองคำรำวำนของท่ำนทั้งหมด ให้แก่ผู้ ยำกจนในเมืองมะดีนะฮฺ ท่ำนอุสมำน อิบนุอัฟฟำน ดำำรงตำำแหน่งคอลีฟะห์ เมื่ออำยุ ได้ 70 ปี ท่ำนเป็นผู้มีควำมสุภำพอ่อนโยน มีเจตนำดี ในระหว่ำง 17
กำรเป็นคอลีฟะห์ของท่ำน ได้มีกำรถอดผู้ปกครอง ซึ่งแต่งตั้งใน สมันคอลีฟะห์อุมัร ออกจำกตำำแหน่งจำำนวนมำก แต่มีกำรแต่งตั้งผู้ ใกล้ชิดให้ดำำรงตำำแหน่ง เนื่องจำกควำมไว้วำงใจในพวกเขำ เนื่องจำกผู้ปกครองบำงคนมีควำมเข้มงวด จึงทำำให้ชำวเมืองบำง คนไม่พอใจ ขณะเดียวกัน อับดุลเลำะห์ อิบนุสะบะห์ หนึ่งในมุนำ ฟิกีน (ผู้กลับกลอก) ซึ่งเป็นชำวยิว แล้วเข้ำนับถือศำสนำอิสลำม ได้จุดชนวนควำมระสำ่ำระส่ำย และควำมเข้ำใจผิดระหว่ำงมุสลิม และมีควำมรู้สึกที่ไม่ดีต่อคอลีฟะห์อส ุ มำน ทำำให้มุสลิมกลุ่มหนึ่งได้ มำรวมตัวกันที่หน้ำบ้ำนของคอลีฟะห์อุสมำน แล้วปิดล้อมท่ำนมิให้ ออกไปจำกบ้ำน พร้อมกับบุกเข้ำไปสังหำรท่ำน ในขณะที่ท่ำน ถือศีลอด และทำำกำรอ่ำนอัลกุรอำนอยู่ เหตุกำรณ์นี้เกิดขึ้นในปี ฮ.ศ. 35 ขณะนั้นท่ำนมีอำยุได้ 72 ปี และดำำรงตำำแหน่งคอลีฟะห์ เป็นเวลำ 12 ปี กำรพิชิตดินแดนในสมัยคอลีฟะฮฺอุสมำน กำรพิชิตดินแดนในสมัยคอลีฟะห์อุสมำน เป็นกำรสำนต่อกำรพิชิต ในสมัยท่ำนอุมัร
ซึ่งมีดังนี้
ในฐำนะที่เป็นคอลีฟะฮฺคนที่สำม มีนโยบำยรักษำดินแดน ตำมที่ได้ยึดมำได้ในสมัยกำรปกครองของท่ำนอูมัรที่สำำคัญที่สุดคือ แผ่นดินเปอร์เซีย เช่นในเขตคูรอซำน อำเซอร์ไบจำน อำร์เมเนีย และยังได้ทำำกำรขยำยอำำนำจกำรปกครองจำกทะเล เมดิเตอร์เรเนียนจนถึงดินแดงของแอฟรีกำ มุอำวียะฮฺ บิน อบีซุฟ ยำน เจ้ำผู้ครองนครซีเรีย ได้ขยำยดินแดนโดยเข้ำไปยึดพื้นที่ใน
18
เอเซียน้อย (ตุรกีในปัจจุบัน) จนกระทั่งถึงป้อมปรำกำรอันมั่นคง อุ นุรฺรียะฮฺ กลำงดินแดนตุรกี อันเป็นเมืองหลวงจักรวรรดิโรมันตะวัน ออก จำกนั้นได้ยึดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งมีเกำะไซปรัส ที่ ฮ.ศ. 28 และโรดส์ ซึ่งในเวลำเดียวกันนั้น อับดุลลอฮฺ บิน ซะอดฺก็ได้ส่ง กองทัพเรือ จำกอียิปต์ เพื่อไปเสริมกำำลังรบทำงทะเลอีกส่วนหนึ่ง ทีอ ่ ียิปต์ เจ้ำผู้ครองนคร อับดุลลอฮฺ บินซะอดฺ บิน อบีซัรฺ ได้ เข้ำยึดครองประเทศตูนิซในแอฟริกำ จำกนั้นกองกำำลังสมทบจำก อับดุลลอฮฺ อัซซูบัยร์ก็เข้ำไปเสริม จนกระทั่งฝ่ำยมุสลิมมีชัยชนะ เหนือจักรวรรดิโรมันและยึดครองโมร็อคโค กำรยึดตรองในขั้นต่อไป คือนุบัยยะฮฺ (อันนูบะฮฺ) ซึ่งตั้งอยู่ ตอนใต้ของแผ่นดินอียิปต์เป็นควำมพยำยำมของ อับดุลลอฮฺ บิน ซะอดฺ โดยผ่ำนเส้นทำงจำกดินแดนอียิปต์ (อับดุลลอฮฺ อัลกอ รี.2550:55-56) ในปี ฮ.ศ.30 ทหำรมุสลิมได้พิชิตเมืองต่ำงๆ มำกมำยที่สำำคัญ คือ เมืองไนซำบูร มัรวฺ และบัยฮัก ในประเทศอิหร่ำนทำำให้รัฐ อิสลำมมีรำยได้จำกกำรเก็บภำษีอย่ำงมำกมำย (มูนีร มูหะ หมัด,2552:81) สำเหตุของกำรสังหำรคอลีฟะห์อุสมำนได้ก่อให้เกิดควำม แตกแยกกันระหว่ำงมุสลิม กำรพิชิตดินแดนต่ำงๆได้หยุดชะงักลง 19
หลังจำกอำณำจักรอิสลำมได้แผ่ออกไปอย่ำงกว้ำงขวำง ทำงภำค ตะวันออก เริ่มจำกประเทศอินเดียปัจจุบัน จนจรดมหำสมุทร แอตแลนติก ทำงภำคตะวันตก ทำงด้ำนทิศเหนือ เริ่มจำกประเทศ ตุรกีปัจจุบันจรดทะเลอำหรับทำงทิศใต้ (หลักสูตรอิสลำม ศึกษำ.โรงเรียนอิกอมะตุ้ลมุอฺมีนีน(ออนไลน์)ค้นหำเมื่อ 18/9/55) กำรทหำรในสมัย คอลีฟ ะฮฺ อุษ มำน บิน อัฟ ฟำน
กำรจัดตั้งกองทัพเรือ ในสมัยคอลีฟะห์อุสมำน ได้มีกำรจัดตั้งกองทัพเรือขึ้น โดยที่มุอำวียะห์ อิบนิอบีซุฟยำน ได้จัดตั้งกองทัพเรือขึ้น ณ แคว้น ชำม (ประเทศซีเรียปัจจุบัน) พร้อมกับได้ยกกองทัพเรือ ไปพิชิต เกำะโรดส์ และเกำะไซปรัส ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน พร้อมกันนั้น อับดุลเลำะห์ อิบนิซะอัด อิบนิ อบีสะเรำะห์ ก็ได้จัดตั้งกองทัพเรือ ขึน ้ ที่อียิปต์ สงครำมครั้งสำำคัญที่เป็นผลงำนของกองทัพเรือมุสลิม คือ สงครำมซำตุซซ่อวำรี เป็นกำรทำำสงครำมระหว่ำง กองทัพเรือ ของมุสลิมซึ่งมีมุอำวียะห์ อิบนิอบีซุฟยำน และอับดุลเลำะห์ อิบนุซะ อัด กับกองทัพเรือของโรมัน ปรำกฏว่ำ กองทัพเรือของมุสลิมได้รับ ชัยชนะอย่ำงเด็ดขำด จนทำำให้น่ำนนำ้ำของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน อยู่ภำยใต้กำรปกครองของมุสลิม
20
คอลีฟะห์อำลี ปฐมบท คอลีฟะห์อำลี เป็นบุตรของท่ำนอบูฏอลิบ ซึ่งเป็นลุงของ ท่ำนนบีมูฮำำหมัด
ท่ำนมีฉำยำนำมว่ำ อบูตุร้อย ท่ำนเกิดภำย
หลังท่ำนนบีมูฮำำหมัด เป็นเวลำ 32 ปี ท่ำนนบีมูฮำำหมัด ได้เลี้ยงดู ท่ำนอำลีตั้งแต่เยำว์วัยจนกระทั่งท่ำนได้รับแต่งตั้งให้เป็นนบี ท่ำน อำลีเป็นเด็กคนแรกที่นับถือศำสนำอิสลำม ขณะนั้นท่ำนมีอำยุไม่ ถึง 13 ปี ท่ำนเป็นผู้ที่นอนแทนท่ำนนบีมูฮำำหมัด
ในคำ่ำคืนที่ท่ำน
นบีอพยพ ท่ำนได้เข้ำร่วมทำำสงครำมกับท่ำนนบีมูฮำำหมัดทุกครั้ง นอกจำกสงครำมตะบู้ก ท่ำนอำลีมีรูปร่ำงค่อนข้ำงเตี้ย อ้วน ผิวดำำแดง มีเครำขำว ตำโต มีควำมกล้ำหำญ ฉลำดรอบรู้ พูดจำฉะฉำน ท่ำนแต่งงำนกับ ท่ำนหญิงฟำติมะห์ บุตรสำวของท่ำนนบีมูฮำำหมัด กำรทำำสงครำมสมัยคอลีฟะห์อำลี คอลีฟะห์อำลีเริ่มงำนของท่ำนด้วยกำรสอบสวนหำผู้ที่ฆ่ำคอ ลีฟะห์อุสมำน
แต่ก็ไม่สำมำรถจับกุมผู้ที่ฆ่ำคอลีฟะห์อุสมำน 21
หลังจำกนั้นท่ำนได้ถอดผู้ปกครองหัวเมืองบำงคนที่คอลีฟะห์อุ สมำนแต่งตั้งออกจำกตำำแหน่ง เนื่องจำกกำรร้องเรียนของ ประชำชน ในพฤติกรรมของพวกเขำ ในจำำนวนนี้ยังมีท่ำนมุอำวี ยะห์ อิบนิอบีซุฟยำน รวมอยู่ด้วย โดยเหตุนี้จึงทำำให้บำงคนไม่ พอใจต่อกำรกระทำำของท่ำน ขณะเดียวกันผู้ที่อยู่ในตระกูลอุมัย ยะห์ ก็กล่ำวหำว่ำท่ำนละเลย ไม่จัดกำรหำฆำตกรผู้ฆ่ำคอลีฟะห์อุ สมำนมำลงโทษ และได้เรียกร้องให้ล้ำงแค้นให้แก่คอลีฟะห์อุสมำน ซึ่งทำำให้ชำวชำมและมุสลิมบำงคนคล้อยตำมคำำเรียกร้องของพวก เขำ ขณะเดียวกันคอลีฟะห์อำลี ก็ได้ย้ำยที่ทำำกำรจำกเมืองมะดี นะฮ์ไปอยู่ ณ เมืองกูฟะห์ ประเทศอิรัก ขณะเกิดควำมยุ่งเหยิงในหมู่มุสลิม พวกค่อวำริจ 3 คนคือ อิ บนุลมุลญิม อัลบิกรฺ อิบนุอับดิลลำห์ และอัมรฺ อิบนุบักร ได้ตกลงกัน ที่จะสังหำรบุคคล 3 คนคือ ท่ำนอำลี อิบนุอบีฏอลิบ ท่ำนมุอำวียะห์ อิบนุอบีซุฟยำน และท่ำนอัมรฺ อิบนุลด้ำศ แต่อับดุลเรำะห์มำน อิบนุ ลมุลญิม เพียงคนเดียวที่ปฏิบัติตำมแผนกำรได้สำำเร็จ โดยฆ่ำท่ำน อำลี ขณะที่ท่ำนกำำลังเดินทำงออกจำกที่พัก เพื่อไปละหมำดซุบฮิ โดยใช้ดำบอำบยำพิษฟันที่หน้ำผำกของท่ำน จึงทำำให้ท่ำนได้รับ บำดเจ็บ หลังจำกนั้นอีก 2 วัน ท่ำนก็เสียชีวิต เหตุกำรณ์นี้เกิดขึ้น ในปี ฮ.ศ. 40 โดยที่ท่ำนมีอำยุ 63 ปี และดำำรงตำำแหน่งคอลีฟะห์ เป็นเวลำ 5 ปี
22
กำรพิช ิต ดิน แดน ในสมัย คอลีฟ ะฮฺ อะลี บิน อบีฏ อลิบ
กำรพิชิตดินแดนตั้งแต่สมัยคอลีฟะฮฺอบูบักรฺ จนถึงท่ำนอุษมำ น มีกำรขยำยอำณำเขตมำตลอด ซึ่งในสมัยของท่ำนอลีนั้นกำร พิชิตดินแดนจำำเป็นต้องหยุดชั่วครำวเพรำะเนื่องจำกเหตุกำรณ์ใน บ้ำนเมือง ณ ตอนนั้นเต็มไปด้วยควำมวุ่นวำย ฟิตนะฮฺต่ำงๆ อีกทั้ง ยังมีกบฏ และลัทธิบิดเบือนอยู่รอบสำรทิศเลยทีเดียว ยิ่งไปกว่ำนั้น คดีกำรฆำตกรรมท่ำนอุษมำนก็ยังมิได้คลี่คลำย สงครำมก็ถูกจุดขึ้น มำระหว่ำงควำมแตกแยก ควำมไม่เข้ำใจกัน มีสงครำมอูฐ สงครำม ศิฟฟีน และจบลงด้วย มัจญลิซตะฮฺกีม ถึงกระนั้นก็ตำมปัญหำก็ยัง แก้ไม่จบ ท่ำนอำลีดำำรงตำำแหน่งคอลีฟะห์เป็นเวลำ 5 ปี เท่ำนั้น ส่วน ใหญ่แล้วเป็นกำรแก้ปัญหำมำกกว่ำกำรพิชิตดินแดน
กำรทหำรในสมัย คอลีฟ ะฮฺ อะลี บิน อบีฏ อลิบ
ผลงำนด้ำนกำรทหำรของท่ำนอำลีสำมำรถจำำแนกได้ดังต่อไปนี้ ก) ควำมกล้ำหำญ
คอลีฟะฮฺ อะลี บิน อบีฏอลิบ เป็นวีระบุรุษใน ประวัติศำสตร์อิสลำม ท่ำนได้เข้ำร่วมสงครำมทุกครั้งในสมัยของ ท่ำนนบี เช่น สงครำมบะดัร ยกเว้นตะบูก (อิบนูฮีชำม 1995:625 อ้ำงถึงในมำสำระกำมำ,2554:67)
23
ข) สภำพของกำรจัดระเบียบกองทัพเข้ำเมืองบัศเรำะฮฺ
หลังจำกสงครำมอูฐเสร็จสิ้นคอลีฟะฮฺอำลีได้จด ั กองทัพของ ท่ำนอย่ำงสวยงำมจะมุ่งเข้ำสู่เมืองบัศเรำะฮฺ ด้วยวิธีกำรดังนี้ 1.
ทัพแรกที่เข้ำเมืองบัศเรำะฮฺ นำำโดยนำยทหำรชื่ออบูอัยยูบ อัลอันศอรีย์ ท่ำนขี่ม้ำ สะพำยดำบอยู่ข้ำงลำำตัวถือธงประจำำ หมู่ที่เขำเป็นผู้นำำ พลรบเป็นทหำรม้ำประมำณ 1,000 ตัว
2.
ทัพที่สองนำำโดยคูซัยมะฮฺ บินษำบิต ขี่ม้ำ สวมผ้ำโพกศรีษะสี เหลืองอ่อน นำำขบวนทหำรม้ำมีจำำนวน 1,000 คน เดินตำม หลังกองทัพแรก
3.
ทัพที่สำม นำำโดยอบูกอตำดะฮฺ บินรอบิอฺ ขีม ่ ้ำสี่นำ้ำตำลปน แดงที่เต็มไปด้วยพลังกำำลัง สวมผ้ำโพกศรีษะสีขำวถือดำบ และคันธนู นำำขบวนสมทบเป็นทหำรม้ำ 1,000 คน
4.
ทัพที่สี่ นำำโดยอัมมำรฺ บินยำสิรฺ ขี่ม้ำศึกสีขำวสวมผ้ำโพก ศรีษะสีดำำ เบื้องหลังท่ำนมีทหำรจำำนวนประมำณ 1,000 คน
5.
ทัพที่ห้ำ นำำโดยอับดุลลอฮฺ บิน อับบำส ขีม ่ ้ำศึกสีนำ้ำตำลลอม เทำเสื้อคลุมสีขำว ผ้ำโพกหัวสีดำำพร้อมกับท่ำนคือพี่น้องของ และหลำนๆของท่ำน
6.
ทัพที่หก นำำโดยมำลิก บินอัชตำร เป็นบุรุษที่มีร่ำงกำย แข็งแกร่งทรงพลังชุดเต็มยศ ผูบ ้ ัญชำกำรมะดีนะฮฺ ถือธงใน มือขวำ ถือหอกในมือซ้ำย ท่ำนนำำขบวนทหำรประมำณ
24
4,000 คน สร้ำงควำมประหลำดใจให้กับชำวเมืองบัศเรำะฮฺ เป็นอย่ำงมำก 7.
ทัพที่เจ็ด นำำโดยท่ำนอำลี บิน อบีฏอลิบ ด้ำนขวำและด้ำน ซ้ำยของท่ำนนั้นคือฮูเซ็น และฮำซัน ใบหน้ำทั้งสองดุจดวง จันทร์เพ็ญ เบื้องหลังของคอลีฟะฮฺนั้น เป็นทหำรที่ถืออำวุธที่ จัดระเบียบอีกจำำนวนหนึ่ง
ถ้ำสังเกตจำกกำรจัดระเบียบทหำรผู้วิจัยมีทัศนะว่ำ คอลีฟะฮฺ อำ ลี บิน อบีฏอลิบ มัศักยภำพ มัวิสัยทัศน์ในกำรจัดกองทัพถึง แม้ว่ำในกำรเดินทำงกลับเข้ำสู่เมืองบัศเรำะฮฺ คอลีฟะฮฺอำลี สำมำรถจัดให้อยู่ในระเบียบวินัยอย่ำงสวยงำม (มำสำระ กำมำ,2554:68-70)
สรุป กำรพิช ิต ดิน แดน
25
บรรณำนุก รม หนัง สือ มูนีร มูหะหมัด,2551.คอลีฟะฮฺทั้งสี่.สมำคมนักเรียนเก่ำศำสน วิทยำ.กรุงเทพมหำนคร รศ.มะฮฺยุดดีน หะยียะหฺยำ,2005, Tamadun Islam, Kursus Komprehnsif fajar bakti,Selagnor Darulihsan Malaysia ซุกรย์นูร จงรักศักดิ์ ,2011,สันติสุขบนดินแดนตะวันออก กลำงในสมัยกำรปกครองคอลีฟะฮฺอูมัร บิน อัลคอฏฏอบ .สภำยุว มุสลิมโลก สนง.ประเทศไทย.กทม.
26
อับดุลลอฮฺ อัลกอรี.2550.แปลโดย ดลมนรรจน์ บำกำ .สี่เคำะ ลีฟะฮฺผู้ทรงธรรม.สำำนักพิมพ์อิสลำมิคอะเคเดมี.กทม. ฮำมีดะฮฺ มำสำระกำมำ,2554,กำรปฏิรูปกำรปกครองของคอ ลีฟะฮฺอูมัรและอำลี กรณีศึกษำเปรียบเทียบ.โครงกำรส่งเสริมกำร วิจัยและเขียนตำำรำ มหำวิทยำลัยอิสลำมยะลำ นะญีบ อะบำดี อักบัร ชำห์.2552.ประวัติศำสตร์อิสลำม .แปล โดย อ.บรรจง บินกำซัน ศูนย์หนังสืออิสลำม กรุงเทพฯ เว็บ ไซต์ หลักสูตรอิสลำมศึกษำ.โรงเรียนอิกอมะตุ้ลมุอฺมี นีน(ออนไลน์)ค้นหำเมื่อ 18/9/55 จำก http://www.islammore.com/main/content.php? page=sub&category=26&id=7 หลักสูตรอิสลำมศึกษำ.โรงเรียนอิกอมะตุ้ลมุอฺมี นีน(ออนไลน์)ค้นหำเมื่อ 18/9/55 จำก http://www.islammore.com/main/content.php?
page=sub&category=10&id=750
27