หนองจอก : ลำนำเรื่องราวชุมชนทางรถไฟถึงชายทุ่ง

Page 1


หนองจอก

ลํ า นํ า เ รื่ อ ง ร า ว ชุ ม ช น ท า ง ร ถ ไ ฟ ถึ ง ช า ย ทุ ง

โครงการเพิ่มพูนทักษะนักศึกษาดวยการวิจัยภาคสนามทางมานุษยวิทยา ณ ชุมชนหนองจอก อําเภอทายาง จังหวัดเพชรบุรี วันที่ 27 พฤษภาคม - 2 มิถุนายน 2559 คณาจารยและนักศึกษาสาขาวิชามานุษยวิทยา ชั้นปที่ 3 ภาควิชามานุษยวิทยา คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร วังทาพระ กรุงเทพมหานคร ปการศึกษา 2558

ภาควิชามานุษยวิทยา


ชื่อหนังสือ

คณะผู้จัดทำ ที่ปรึกษำ

บรรณำธิกำร กองบรรณำธิกำร ออกแบบปก

พิสูจน์อักษร พิมพ์ครั้งที่ จำนวนที่พิมพ์ ปีที่พิมพ์ พิมพ์ที่

หนองจอก: ลำนำเรื่องรำวชุมชนทำงรถไฟถึงชำยทุ่ง หนังสือรวบรวมงำนศึกษำภำคสนำมของนักศึกษำสำขำมำนุษยวิทยำ ชั้นปีที่ 3 ปีกำรศึกษำ 2558 โครงกำรเพิ่มพูนทักษะนักศึกษำด้วยกำรวิจัยภำคสนำมทำงมำนุษยวิทยำ ณ ชุมชนหนองจอก อำเภอท่ำยำง จังหวัดเพชรบุรี วันที่ 27 พฤษภำคม - 2 มิถุนำยน 2559 นักศึกษำสำขำวิชำเอกมำนุษยวิทยำ ชั้นปีที่ 3 คณะโบรำณคดี มหำวิทยำลัยศิลปำกร รุ่นที่ 59 อำจำรย์พุฒ วีระประเสริฐ อำจำรย์ธัญธีรำ ยิ้มอำนวย ผู้ช่วยศำสตรำจำรย์ ดร.เอกรินทร์ พึ่งประชำ อำจำรย์ ดร.พรสวรรค์ ตรีพำสัย ผู้ช่วยศำสตรำจำรย์ ดำรงพล อินทร์จันทร์ อำจำรย์ศศิธร ศิลป์วุฒยำ ผู้ช่วยศำสตรำจำรย์ ชินวร ฟ้ำดิษฐี อำจำรย์วิฑูรย์ คุ้มหอม นำยจักรี โพธิมณี ผู้ช่วยศำสตรำจำรย์ ดำรงพล อินทร์จันทร์ ศิวัช คงสกุล, ทีปกำ โยธำรักษ์, รัชดำภรณ์ เหมจินดำ, ฐิตินันท์ ใกล้ชิด, วิกันดำ สุขสมำน, ณัฐพล ส่งศิริ, พิมพ์ชนก เลิศทวีพรกุล รัชดำภรณ์ เหมจินดำ ภำพถ่ำยปกหน้ำโดย ผู้ช่วยศำสตรำจำรย์ ดร.เอกรินทร์ พึ่งประชำ ภำพถ่ำยปกหลังโดย ผู้ช่วยศำสตรำจำรย์ ดำรงพล อินทร์จันทร์ บวรวิชญ์ ศรีมำศ, พิชญำ อัมพรจินดำรัตน์, วีรยำ เอื้อเกษม 1 100 สิงหำคม 2559 ห้ำงหุ้นส่วนจำกัด เอ็ม แอนด์ เอ็ม เลเซอร์พริ้นต์ 1491, 1493-1495 ถนนพระรำม 4 แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10310


คำนำ

หนึ่งในคำแนะนำแรกสำหรับพื้นที่หนองจอกของคณะนักศึกษำผู้ทำ หน้ำที่บันทึกข้อมูลภำคสนำม คือ คำว่ำ “ไข่ขำวและไข่แดง” หนองจอก ที่ รู้ จั ก อำจเป็ น เพี ย งสถำนี ร ถไฟหนึ่ ง ที่ เ ลยจำกเมื อ ง

เพชรบุรีได้ไม่ไกล แต่ทว่ำก็เหมือนกับสถำนที่ทุกที่ กล่ำวคือเต็มเปี่ยมไปด้วย เรื่องรำวของผู้คน สังคม และวัฒนธรรม ซึ่งกำรศึกษำชิ้นนี้เป็นกำรเก็บ รวบรวมข้อมูลภำคสนำมของพื้นที่หนองจอก ซึ่งจำกอดีตเคยเป็นศูนย์กลำง ของอำเภอ แต่ปัจจุบันเป็นเพียงเทศบำลตำบล แล้วก็จัดทำขึ้นเป็นข้อมูลเชิง ชำติพันธุ์วรรณำที่เป็นลำยลัก ษณ์อักษรจำกข้อมูลสนำมที่เป็นคำบอกเล่ำ ประกอบไปด้วยพื้นที่ “ไข่ขำว และไข่แดง” ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ตำบลหนอง จอก กำรศึกษำข้อมูลในส่วน “ไข่แดง” คือ ตัวหนองจอกเอง หรือที่ตั้ง ของตลำด และสถำนีรถไฟ เป็นชุม ชนที่ เติบโตขึ้นมำด้วยเส้นทำงรถไฟ แรงงำนคนจีนคนท้องถิ่ นที่ช่วยกันสร้ำงพื้นที่ตรงนี้ให้เป็นชุมชนขนำดใหญ่ ในกำรศึกษำชิ้นนี้ได้แบ่งพื้นที่ไข่ขำวออกเป็น 2 หัวข้อหรือสองพื้นที่ ได้แก่ (1)


พื้นที่ “บ้ำนตลำด” หมู่ที่ 6 ต.หนองจอก ในชื่อ บ้านตลาด จากอดีตถึง ปัจจุบัน และ พื้นที่ “หลังสถำนีรถไฟ” หรือชุมชนบ้ำนฝั่งห้วย หมู่ที่ 5 ที่อยู่ คนละฝั่ ง กั บ บ้ ำ นตลำดโดยมี ท ำงรถไฟกั้ น ในชื่ อ ร้ อ ยเรี ย งเคี ย งฝั่ ง ห้ ว ย พัฒนาการของชุมชนหลังทางรถไฟบ้านฝั่งห้วย ไข่ ข ำว คื อ พื้ น ที่ ร อบนอกของชุ ม ชนทำงรถไฟ เป็ น ชุ ม ชน เกษตรกรรมที่มีควำมโดดเด่นในด้ำนต่ำงๆ โดยจะถูกนำเสนอผ่ำน 3 เรื่องใน 3 หมู่บ้ำน ได้แก่ บ้ำนหนองเกตุ หมู่ที่ 4 ตำบลหนองจอก ในชื่อ ความ เชื่อบนวิถีความเปลี่ยนแปลง : งานบุญศาลและงานปีผมี ด หมู่ที่ 10 ในผล กำรศึกษำที่ชื่อว่ำ น้า หนอง คลอง นา : ว่าด้วยวิถีเกษตร เศรษฐกิจ และ สังคมบนระบบนิเวศหันตะเภา และ สุดท้ำยคือบ้ำนห้วยทบ หมู่ที่ 8 ในชือ่ บ้านห้วยทบกับเกษตรกรรมที่เปลี่ยนไป ทั้ง 5 ผลงำนนี้ถูกรวบรวมและเรียบเรียงไว้ใต้ชื่อว่ำ “หนองจอก: ล้าน้าเรื่องราวชุมชนทางรถไฟถึงชายทุ่ง ” จึงดูจะเป็นควำมเหมำะสม อย่ำงยิ่ง เพรำะหนองจอกที่มีศูนย์กลำงที่บ้ำนตลำด และบ้ำนฝั่งห้วย ไม่อำจ ดำรงอยู่ได้อย่ำงโดดเดี่ยวหำกปรำศจำกทรัพยำกรหรือผู้คนที่มีปฏิสัมพันธ์กัน อยู่ตลอดเวลำ เรื่องรำว วิถีชีวิต และวัฒนธรรมจำกอดีตถึงปัจจุบัน จึงต้อง เกี่ยวล้อกันโดยตลอด เนื้อหำของทั้ง 5 เรื่อง 5 พื้นที่ จึงเป็นเสมือนลำนำ แห่งวิถีของผู้คนที่ไหลเอื่อยไปไม่จบสิ้น

(2)


ท้ำยที่สุดแล้ว ทั้งหมดเป็น กำรลงเก็บและรวบรวมข้อมูลทำงสังคม และวัฒนธรรม หรือข้อมูลชำติพันธุ์วรรณำของทั้ง 5 พื้นที่ศึกษำนั้นเป็นกำร เพิ่ ม พู น ทั ก ษะนั ก ศึ ก ษำด้ ว ยกำรวิ จั ย ภำคสนำมทำงมำนุ ษ ยวิ ท ยำ ตำม โครงกำรของภำควิชำมำนุษยวิทยำ คณะโบรำณคดี มหำวิทยำลัยศิลปำกร วังท่ำพระ เพื่อให้นักศึกษำได้เสริมสร้ำงประสบกำรณ์จริงจำกกำรศึกษำวิจัย ภำคสนำมนอกสถำนที่ สำมำรถบู ร ณำกำรควำมรู้ แนวคิ ด ทฤษฎี ไป ประยุกต์ใช้ในกำรศึกษำวิจัยภำคสนำมด้วยมิติอันหลำกหลำยภำยใต้คุณธรรม และควำมรับผิดชอบต่อสังคม และนำเสนอข้อมูลเหล่ำนี้เพื่อเป็นประโยชน์ แก่สังคม และประเทศชำติ คณะผู้จัดทำจึงคำดหวังเป็นอย่ำงยิ่ง สำหรับข้อมูล เนื้อหำ ต่ำงๆ ที่ ปรำกฏใน “หนองจอก: ลำนำเรื่องรำวชุมชนทำงรถไฟถึงชำยทุ่ง ” นี้ จะ สำมำรถนำไปใช้ต่อยอดเพื่อประโยชน์ในกำรศึกษำ ฟื้นฟู หรืออนุรักษ์ไว้ซึ่ง วั ฒ นธรรมหรื อ วิ ถี ชี วิ ต ของผู้ ค นในอดี ต และปั จ จุ บั น ที่ ยั ง เหมำะสมกั บ โลกำภิ วั ฒ น์ อั น จะเป็ น กำรสร้ ำ งฐำนข้ อ มู ล ส ำคั ญ ที่ เ ป็ น ประโยชน์ ต่ อ สำธำรณชนอย่ำงที่สุด และหำกข้อมูลที่ปรำกฏผิดพลำดประกำรใดทำงคณะ ผู้จัดทำก็ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย คณะผู้จัดทำ

(3)


1 11 17 87 149

สำรบัญ

คำนำ ภำคสนำมในกระบวนทัศน์ทำงมำนุษยวิทยำ ลำนำเรื่องรำว ตำบลหนองจอก บ้ำนตลำด จำกอดีตสู่ปจั จุบัน ร้อยเรียงเคียง 'ฝั่งห้วย' พัฒนำกำรของชุมชนหลังทำงรถไฟบ้ำนฝั่งห้วย ตำบลหนองจอก อำเภอท่ำยำง จังหวัดเพชรบุรี

ควำมเชื่อบนวิถีควำมเปลี่ยนแปลง : งำนบุญศำลและงำนปีผีมด

ณ บ้ำนหนองเกตุ หมู่ที่ 4 ตำบลหนองจอก อำเภอท่ำยำง จังหวัดเพชรบุรี

243

นำ หนอง คลอง นำ :

345 410

บ้ำนห้วยทบกับเกษตรกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป คณะผู้จัดทำ

ว่ำด้วยวิถีเกษตร เศรษฐกิจ และสังคม บนระบบนิเวศของหันตะเภำ


1

ภาคสนาม (fieldwork) เป็นหนึ่งในองค์ประกอบสาคัญพื้นฐานหรือ กระบวนทั ศ น์ ใ นขนบทางวิ ช าการของสาขาวิ ช ามานุ ษ ยวิ ท ยา โทมั ส คู ห์ น (Thomus Kuhn, 1962) เสนอว่า “กระบวนทัศน์หนึ่ง (a paradigm) เป็นตัว แบบทางความคิดของระเบียบวิธีทางวิชาการ การเรียนรู้เป็นกระบวนการขัด เกลาทางสังคมผ่านนักเรียนนักศึกษาที่กาลังตระเตรียมเป็นสมาชิกภายใต้ขนบ วิธีหรือศาสตร์ทางวิชาการ” กระบวนทัศน์พื้นฐานของมานุษยวิทยานั้นก่อร่าง จากฐานรากที่ บู ร ณาการแก่ น องค์ ป ระกอบหลั ก ที่ บ่ ง ชี้ ร ะเบี ย บวิ ธี ข อง มานุษยวิทยาจานวน 9 องค์ประกอบ ได้แก่ วั ฒ นธรรม (culture) เป็ น แก่ น ของมานุ ษ ยวิ ท ยาสั ง คมวั ฒ นธรรม, ภาคสนาม เป็นปฐมวิธีของมานุษยวิทยาสังคมวัฒนธรรม การทางานภาคสนาม เป็นระยะยาวนานอยู่บนฐานของการสังเกตการณ์อย่างมีส่วนร่วม “สนาม” (field) ทางมานุษยวิทยาเหมือนเป็นคู่ตรงข้ามกับ “ห้องทดลอง” (laboratory) ทางวิ ท ยาศาสตร์ , มโนทั ศ น์ เ ปรี ย บเที ย บข้ า มวั ฒ นธรรม (cross-cultural comparative perspective) เป็นกระบวนวิธีทางมานุษยวิทยาในการค้นหา ความสม่าเสมอ รูปแบบ และลักษณะสากลทั่วไป กฎเกณฑ์ หรือ กฎหมาย เกี่ยวกับมนุษย์และพฤติกรรมทางสังคม ตลอดจนการวิเคราะห์ระดั บมหภาค


2

(macro- analysis) ในลั ก ษณะอั น เป็ น สากล, งานเขี ย นชาติ พั น ธุ์ ว รรณนา (ethnography) เป็นกรณีศึกษาเชิงลึกต่อวัฒนธรรมของกลุ่มคนหรือชุมชนแห่ง ใดแห่ ง หนึ่ ง ในรู ป แบบการวิ เ คราะห์ ร ะดั บ จุ ล ภาค (microanalysis) แบบ เฉพาะเจาะจง, มโนทัศน์แบบองค์รวม (holistic perspective) เป็นการพินิจ พิจารณาความเป็นไปของมนุษย์ด้วยมุ ม มองอย่างรอบด้าน เน้นปฏิสัมพันธ์ ท่ามกลางความแตกต่างของชีวิต และยืนยันว่า บางวัฒนธรรมจาต้องทาความ เข้าใจไม่เพียงเปิดเผยในระดับถิ่นที่เท่านั้น ยังต้องแสดงความสัมพันธ์ในบริบท โลกอันกว้างให้ปรากฏขึ้นอีกด้วย, กระบวนวิธีเก็บคัดสรรข้อมูลจากหลายแหล่ง (eclectic approach) ทั้งในแง่ประเด็นและเชิงทฤษฎี ขยายความเกี่ยวข้ อง ออกไปอย่างหลากหลาย ไม่เน้นตัวแบบเชิงทฤษฎีเพียงฝ่ายเดียว, กระบวนวิธี ทางมนุษยศาสตร์ (Humanistic approach) ความคิดมนุษยนิยมที่เน้นไปยัง ผู้คนด้วยการประยุกต์เป้าหมายเพื่อลดความเสื่อม และส่งเสริมสภาวะความเป็น มนุษย์มากขึ้น แม้จะถือเป็นทัศนะจากยุครู้แจ้ง (the Enlightenment vision) ก็ตาม ก็ทาให้มานุษยวิท ยาเป็นทั้ งรูปแบบของการวิพ ากษ์และส่งเสริ ม ทาง วัฒนธรรมอีกด้วย, กระบวนวิธีเชิงวิท ยาศาสตร์ (Scientific approach) ทั้ง ประจักษ์นิยม (Empiricism) และวิธีการทางวิทยาศาสตร์นาพาการสังเกต การ นิยามความหมาย การอภิปราย การสารวจทดลอง และการขยายความเชิง ทฤษฎีต่อปรากฏการณ์ทางธรรมชาติบนรากฐานของประสบการณ์ตรงและการ สั ง เกตการณ์ , และมโนทั ศ น์ ผ สมผสานอั ต วิ สั ย และภาวะวิ สั ย (Combined subjective/objective perspective) มานุ ษ ยวิ ท ยาจ าต้ อ งพิ นิ จ พิ จ ารณา ระหว่างอัตวิสัยของผู้มีส่วนร่วม ตัวละคร หรือทัศนะแบบคนใน (emic) และ ภาวะวิสัยของผู้สังเกตการณ์ ตัวนักมานุษยวิทยา หรือ ทัศนะแบบคนนอก (etic) อย่างเท่าๆ กัน 9 องค์ ป ระกอบดั ง กล่ า วจ าต้ อ งสั ม พั น ธ์ เ ชื่ อ มโยงกั น จะท าให้ นั ก มานุษยวิทยาเห็นว่างานภาคสนามนั้นสัมพันธ์กับ 8 องค์ประกอบที่เหลืออย่างไร


3

ถือได้ว่า งานภาคสนามเป็นหนึ่งในคุณลักษณะสาคัญของกระบวนทัศน์ทาง มานุษยวิทยาเลยทีเดียว ทั้งในแง่ของจุดตั้งต้น ตาแหน่งแห่งที่ ฐานราก และข้อ โต้แย้งต่อกรอบความคิดและทฤษฎีนับตั้งแต่ยุคแรกเริ่ มของกระบวนวิธีของ มานุ ษ ยวิ ท ยามาแล้ ว แม้ อ าจมี แ รงกดดั น ในแง่ ท ฤษฎี ม าช้ า นาน หากการ สร้างสรรค์งานภาคสนามก็ทาให้จินตนาการทางมานุษยวิทยางอกงามเบ่งบาน และนาพาผลผลิตที่มีแบบฉบับเฉพาะตัว มีมุมมองสาคัญที่แตกต่างจากมุมอง ทางสังคมศาสตร์อื่น ๆ แนวทางอั น ดี ใ นการกรุ ย ทางสู่ ง านภาคสนามนั้ น ย่ อ มเริ่ ม จากการ พิ จ ารณานิ ย ามซึ่ ง สามารถกระท าโดยการทบทวนงานที่ เ คยว่ า ไว้ อาทิ สารานุ ก รมสั ง คมศาสตร์ น านาชาติ (International Encyclopedia of the Social Sciences, 1969) นิ ย ามภาคสนามจากผลงานของ Hortense Powermaker เรื่อง Stranger and Friend: The way of an Anthropologist (1969) ซึ่งถือเป็นหนังสือที่อ่านกันอย่างกว้างขวางแวดวงการศึกษาภาคสนาม ทางมานุ ษ ยวิ ท ยา ซึ่ ง อภิ ป รายถึ ง ข้ อ ผิ ด พลาด ความส าเร็ จ และอารมณ์อัน ซับซ้อนในการวิจัยสนามในเมลานีเซีย (Melanesia) โรดีเซียเหนือ (Northern Rhodesia) และสหรัฐอเมริกา Powdermaker ได้กล่าวถึงการเตรียมตัว เริ่มต้น ในการทางานภาคสนาม ข้อดี ข้อเสียของการทางานคนเดียว ครอบครัว และ คณะวิจัย การรับรองความร่วมมือและเอกสิทธิ์ ผลตอบรับ เจตนาอันดี และ ความยิ น ยอมของผู้ มี ส่ ว นร่ ว มในการวิ จั ย ขั้ น แรกของกระบวนการท างาน ภาคสนาม การมีส่วนร่วมในวัฒนธรรม ภาวะวิสัย และอิทธิพลการชี้นาของ ทฤษฎีในหมู่คนทางานภาคสนามว่า ภาคสนาม เป็นการศึกษาผู้คน และวัฒนธรรมของพวกเขาใน ถิ่นที่ตามธรรมชาติ ภาคสนามทางมานุษยวิทยาถูกกาหนด ลักษณะโดยการฝังตัวระยะยาวของนักสารวจ การมีส่วนร่วม และการสังเกตการณ์ในสังคมนั้น ๆ ความพยายามในการทา


4

ความเข้าใจมุมมองจากคนในกลุ่มชนพื้นเมือง และเชื่อมโยง อย่างเป็นองค์รวมกับมุมมองของนักวิจัยทางสังคมศาสตร์เอง ... ผลงานของ Argonauts of the Western Pacific (1922) ของมาลิ น อฟกี (Malinowski) แสดงถึ ง ศั ก ยภาพของงาน ภาคสนาม การศึกษาผู้คนในหมู่เกาะโทรเบียน (Trobriand Islanders) ซึ่งมาลินอฟกีได้อยู่อาศัยที่นั่นเป็นระยะเวลานาน เกือบ 3 ปี ถือเป็นการวางรากฐานต่อคนทางานสนามอย่าง ต่อเนื่อง ภาคสนามจึงกลายเป็นมาตรฐานในการเข้าถึงสังคม ชนเผ่า การเรียนรู้เท่าที่จะเป็นไปได้ในการสนทนา ความคิด ความเห็น สิ่งที่ปรากฏ ความรู้สึก และกิจกรรมของสมาชิกใน วั ฒ นธรรมนั้ น ๆ และในขณะเดี ย วกั น ก็ ถื อ เป็ น นั ก มานุ ษ ยวิ ท ยาฝึ ก หั ด จากวั ฒ นธรรมที่ แ ตกต่ า งออกไป (Powermaker, 1969: 418) ขณะที่ นิ ย ามภาคสนามของ Charlotte Seymour – Smith ใน พจนานุ ก รมมานุ ษ ยวิ ท ยา (Dictionary of Anthropology) ปี ค.ศ. 1986 กล่าวว่า การวิจัยของนักมานุษยวิทยา หรือนักชาติพันธุ์วิทยานั้นต้อง ก าหนดพื้ น ที่ ห รื อ ชุ ม ชนทางชาติ พั น ธุ์ ขึ้ น ขณะที่ นั ก มานุษยวิทยาสมัยใหม่อาจไม่จาเป็นมากนักต่อชนเผ่าแบบ ดั้ ง เดิ ม หรื อ ชุ ม ชนกสิ ก รรม และการศึ ก ษาสั ง คมเมื อ ง อุตสาหกรรม หรือชุมชนอื่น ๆ ที่นักมานุษยวิทยาเลือกตาม วัตถุประสงค์ในการวิจัยอย่างเข้มข้น มุมมองทางมานุษยวิทยา เปรียบประหนึ่งการศึกษาวัฒนธรรมย่อย และการวิจัยเชิง สถาบันในสังคมอุตสาหกรรมสมัยใหม่ ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า มานุ ษ ยวิ ท ยาเป็ น การศึ ก ษาผู้ ค นที่ เ ป็ น ชนดั้ ง เดิ ม มี ค วาม


5

แปลกแตกต่างทางวัฒนธรรม หรือชนเผ่าที่ไม่เป็นที่รู้จักอย่าง กว้ า งขวางนั ก หรื อ ชุ ม ชนเกษตรกรรม ส่ ว นการวิ จั ย ของ มานุษยวิทยาสมัยใหม่อาจไม่เป็นไปตามมาตรฐานนี้เท่าใดนัก และต้องนิยามวิธีการทางานภาคสนามและการวิเคราะห์ที่มี ลั ก ษณะเฉพาะอั น แตกต่ า งออกไป ในหลายกรณี ศึ ก ษา ขอบเขตของระเบี ย บวิ ธี อ าจไม่ ชั ด เจนในการศึ ก ษาสั ง คม อุตสาหกรรมและสังคมเมือง ขึ้นกับการปรากฏตัวของการ สังเคราะห์ระเบียบวิธีและทฤษฎีขึ้นจากการผสมผสานและ การแลกเปลี่ยนในหลากศาสตร์ อันเป็นสหวิทยาการมากขึ้น (Seymour –Smith, 1986: 117-118) ช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970 และ1980 ปรากฏมโนทัศน์แบบหลังสมัยใหม่ และเพิ่มข้อโต้แย้งและคตินิยมสรรผสาน (eclecticism) ในมานุษยวิทยาสังคม วัฒนธรรม ความระแวดระวังต่อความสั มพันธ์ระหว่างอานาจและการสร้ า ง ความรู้นาไปสู่การผลิตงานด้วยบทสะท้อนย้อนคิด (reflexivity) เป็นแนวทาง รูปแบบใหม่ของความสัมพันธ์ภาคสนามและการเขียนงานชาติพันธุ์วรรณนา แนวโน้ ม การท างานภาคสนามที่ บ้ า น (at home) มี ก ระบวนวิ ธี ก ารแปล ความหมายทางวัฒนธรรม ว่าด้วยการตีความ (hermeneutic approach) การ พัฒนามานุษยวิทยาแนวสตรีนิยม การเติบโตของการเขียนอัตชาติพันธุ์วรรณนา (autoethnography) ของชนพื้ น เมื อ ง ชาติ พั น ธุ์ ว รรณนาในแบบเรื่ อ งเล่ า (narrative ethnography) กระทั่งประวัติศาสตร์ชีวิต (life - history) ของผู้คน ดั ง เช่ น แนว testimonio1 ฉะนั้ น การอ่ า นงานเขี ย นชาติ พั น ธุ์ ว รรณนาจึ ง ถู ก พิจารณาในฐานะ “ตัวบท” (text) หนึ่งเท่านั้น 1 testimonio

หรือ testimonial narrative เป็นรูปแบบของเรื่องเล่าทางชาติ พันธุ์วรรณนาแบบหนึ่งที่เป็นการเขียนบันทึกบุคคลต่อสถานการณ์จริงซึ่งเกี่ยวข้องกับแรง กดดัน ความเป็นชายขอบ และความรุนแรง ซึ่งมีค่อนข้างมีบทบาทในฐานะเรื่องเล่า ซึ่ง


6

การพัฒนางานภาคสนามยุคหลังสมัยใหม่แบบอื่นๆ ซึ่งถือเป็นงานเขียน ชาติพันธุ์วรรณนาแบบใหม่ ก็คือการเพิ่มข้อตกลงเชิงแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน และงานวิจัยแบบร่วมมือ (collaborative research) มากขึ้น การเก็บรวบรวม ข้ อ มู ล อั น เป็ นวั ต ถุป ระสงค์แ บบเดิ ม ของงานภาคสนามที่ Powermaker เคย ประมวลไว้ในคริส ต์ท ศวรรษ 1960 ว่า “นักมานุษยวิทยาไม่ได้มีความสนใจ เบื้องแรกในความช่วยเหลือผู้ให้ข้อมูล แม้ว่าเขาอาจจะกระทามันโดยไม่ตั้งใจก็ ตาม หากแรงจูงใจของเขาคือข้อมูลอันแน่นหนา” (Powermaker, 1966: 296) อย่างไรก็ตามในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1980 รูปแบบของการวิจัยในลักษณะ แลกเปลี่ยนต่างตอบแทน (reciprocity) มากขึ้น หรือการนาเสนอผลงานหรือ บางสิ่งบางอย่างกลับคืนสู่ผู้มีส่วนร่วมในการวิจัย (participants) ซึ่งให้ความ ร่วมมือของการวิจัย และในแง่จริยธรรมของการทางานภาคสนาม แนวทางทาง ดังกล่าวนาไปสู่รูปแบบใหม่ ของมานุษยวิทยาประยุกต์ซึ่งรับใช้บริการชุมชน ท้องถิ่น หรือการเก็บรวบรวมข้อมูลทางชาติพันธุ์วรรณนามีความสาคัญเทียบเท่า กับผลพลอยอันจะส่งยังประโยชน์ต่อคนท้องถิ่น นักวิจัยจาต้องพิจารณาว่า การ ผลิตผลงานวิจัยของตนนั้นจะส่งผลต่อคนท้องถิ่นอย่างไรด้วย ในกรณีนี้จึงปรากฏ การพัฒนางานภาคสนามในลักษณะแบบสร้างการมีส่วนร่วมและหุ้นส่วนในการ วิจัย (research partnerships) มากขึ้น ซึ่งเป็นงานวิจัยที่ร่วมกันทาทั้งสองฝ่าย และแบบปั จ เจกบุ ค คล (ดู ตั ว อย่ า งและรายละเอี ย ดใน Clifford, 1980; Kennedy, 1995; Kuhlmann, 1992 และMarcus and Mascarenhas, 2005)

ยืนยันประจักษ์พยานและติเตียนการละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่น เรื่ องเล่าเกี่ยวกับละติน อเมริ ก าในช่ ว งคริ ส ต์ ท ศวรรษ 1970 ในรู ป แบบอั ต ชาติ พั น ธุ์ ว รรณนาที่ มี ชื่ อ เสี ย งคื อ I. Rigoberta MenchÚ: An Indian Woman in Guatemala (1984) งานแนว testimonio ของ Rigoberta MenchÚ เล่มดังกล่าวทาให้เธอได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปี ค.ศ. 1992


7

ผลงาน หนองจอก: ลำนำเรื่องรำวชุมชนทำงรถไฟถึงชำยทุ่ง ถือได้ว่า เกิดขึ้นจากการวิจัยแบบมีส่วนร่วมภายใต้โครงการเพิ่มพูนทักษะนักศึกษาด้วย การวิจัยภาคสนามทางมานุษยวิทยา ระหว่างคณาจารย์ภาควิชามานุษยวิทยา และนั ก ศึก ษาสาขาวิช าเอกมานุษ ยวิ ท ยา ชั้ น ปี ที่ 3 ปี ก ารศึ ก ษา 2558 คณะ โบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ และชาวชุมชนหนองจอก อาเภอท่า ยาง จังหวัดเพชรบุรี อันประกอบด้วยชุมชนในเขตเทศบาลตาบลหนองจอก จานวน 2 หมู่ คือ หมู่ที่ 5 บ้านฝั่งห้วย และหมู่ที่ 6 บ้านตลาด และชุมชนใน เขตองค์การบริหารส่วนตาบลหนองจอก จานวน 3 หมู่ ได้แก่ หมู่ที่ 4 บ้าน หนองเกตุ หมู่ ที่ 8 บ้ า นห้ ว ยทบ และหมู่ ที่ 10 บ้ า นหั น ตะเภา โดยด าเนิ น การศึกษาภาคสนามระหว่างวันที่ 27 พฤษภาคม - 2 มิถุนายน 2559 ความ ร่วมมือดังกล่าวได้รับการประสานงานของอาจารย์โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัย ราชภัฎเพชรบุรี คณะผู้บริหารของหน่วยงานในระดับท้องถิ่น ความเอื้อเฟื้อของ ท่านเจ้าอาวาสวัดหนองจอก ตลอดจนชาวหนองจอกทุกคนที่ต้อนรับคณะวิจัย อย่างอบอุ่น และให้ข้อมูลอย่างเต็มความสามารถเท่าที่แต่ละท่านจะกระทาได้ หนังสือ หนองจอก: ลานาเรื่องราว ฯ นับเป็นหนึ่งในการผลิตผลงานวิจัย แบบร่วมมือของสถาบันวิชาการและชุม ชนท้องถิ่น ภายใต้องค์ประกอบของ ระเบียบวิธีทางมานุษยวิทยา นาเสนอข้อมูลภาคสนามจากชุมชนเป็นสาคัญ การ เขียนงานชาติพันธุ์วรรณนาในลักษณะเรื่องเล่าของคนในชุมชนเชื่อมโยงอย่าง เป็ น องค์ ร วมร่ ว มกั บ ทั ศ นะของคนนอก ผสานกรอบแนวคิ ด และทฤษฎี ท าง มานุษยวิทยา นักศึกษาสาขามานุษยวิทยาชั้นปีที่ 3 ในฐานะนักมานุษยวิทยา ฝึกหัด ได้ทาหน้าที่นักวิจัยภาคสนามทางมานุษยวิทยาสังคมวัฒนธรรมในพื้นที่ ชุมชนท้องถิ่นภายใต้สังคมร่วมสมัยของไทย วัตถุประสงค์ด้วยระยะเวลาและ ข้อจากัดขององค์ความรู้ ย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงข้อบกพร่องผิดพลาด อย่างไรก็ ตามหวังว่า ผู้อ่านทั้งคนในชุมชนและผู้อ่านในสังคมวงกว้าง จะพิจารณาลานา เรื่องราวเกี่ยวกับชุมชนหนองจอกนี้ในฐานะตัวบทหนึ่งของงานชาติพันธุ์วรรณนา


8

จากปฏิบัติการภาคสนามด้วยการมีศึกษาแบบสังเกตการณ์อย่างมีส่วนร่วมตาม ขนบการศึกษาทางมานุษยวิทยา ความพยายามทางานร่วมกันอยู่บนพื้นฐานของ การแลกเปลี่ ย นต่ า งตอบแทนและความร่ ว มมื อ ซึ่ ง กั นและกั น ดั ง ที่ นั ก มานุษยวิทยาสตรีท่า นหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า “หุ้นส่วนระหว่างนักวิจัยฝึกหัดและ สมาชิกของชุมชนซึ่งไม่ได้ถูกฝึกในการวิจัยทางสังคม แต่เป็นบุคคลซึ่งให้ความ สนใจในการทาวิจัยเพื่อชุมชนของตนเอง บางครั้งหุ้นส่วนอาจจะไม่จาเป็นต้อง เท่าเทียมกัน แต่ความร่วมมื อกันได้เปิดเผยสุ้มเสียงและแบ่งปันประสบการณ์ และนาเสนอส่งคืนกลับสู่ชุมชนอย่างเหมาะสม ตลอดจนเป็นข้อมูลวิจัยที่ทุกคน เข้าถึงได้” (Julie Park,1992) ดารงพล อินทร์จันทร์ ภาควิชามานุษยวิทยา คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ กลางฤดูฝน พุทธศักราช 2559


9

รำยกำรอ้ำงอิง Clifford, James. (1980). “Fieldwork and Reciprocity and the Making of Ethnographic Texts.” Man. 3: 518-532. Kennedy, Elizabeth Lapovsky. (1995). “In Pursuit of Connection: Reflections on Collaborative Work.” American Anthropologists. 97 (1): 26-33. Kuhlmann, Annette. (1992). “Collaborative Research among the Kickapoo Tribe of Oklahoma.” Human Organization. 51 (3): 274-283. Kuhn, Thomas. (1962). The Structure of Scientific Revolutions. Chicago: University of Chicago Press. Marcus, George and Fernando Mascarenhas. (2005). Ocasião: The Marquis and the Anthropologist, A Collaboration. Walnut Creek, CA: Alta Mira. Malinowski. Bronislaw. (1922). Argonauts of the Western Pacific. New Yorlk: Dutton. Park, Julie. (1992). “Research Partnerships: A Discussion Paper based on Case Studies from “The Place of Alcohol in Lives of New Zealand Woman Project.”” Women’s Studies International Forum. 15 (5/6): 581-591. Powdermaker, Hortense. (1969). Stranger and Friend: The Way of an Anthropologist. New York: Norton. Seymour-Smith, Charlotte. (1986). “Fieldwork”in Dictionary of Anthropology. (pp.117-118). Boston: Macmillan.


10


11

ประวัติความเป็นมา ในอดีตหนองจอกเคยเป็นที่ตั้งของที่ว่าการอาเภอชะอา โดยได้มีการ ย้ายที่ว่าการอาเภอนายาง มายังตาบลหนองจอก เมื่อ พ.ศ. 2457 เนื่องจากมี การสร้างสถานีรถไฟหนองจอกในตาบล ซึ่งอานวยความสะดวกในการคมนาคม ดิ น เหมาะแก่ ก ารท าเกษตรกรรมและได้ เปลี่ ย นชื่ อ เป็ น อ าเภอหนองจอก ภายหลังสงครามมหาเอเชียบูรพา กระทรวงมหาดไทยได้ย้ายที่ว่าการอาเภอ หนองจอกไปตั้งที่ตาบลชะอาและได้เปลี่ยนเป็นอาเภอชะอา เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2487 เพื่อสอดรับกับการเป็นแหล่งท่องเที่ยวตากอากาศชายทะเล ส่วน ตาบลหนองจอกปัจจุบันอยู่ในความปกครองของอาเภอท่ายางจนถึงทุกวันนี้ จากการที่เคยเป็นที่ตั้งของที่ว่าการอาเภอศูนย์กลางของเขตปกครอง ในระดั บ "อ าเภอ" มาก่ อ นและมี ส ถานี ร ถไฟในการอ านวยความสะดวกแก่ ประชาชนจึงทาให้เหมาะแก่การตั้งบ้านเรือนในพื้นที่นี้ การตั้งบ้านเรือนจึงมี ความหนาแน่นระดับหนึ่งที่สามารถจัดตั้งเป็นสุขาภิบาลได้ กระทรวงมหาดไทย จึงได้พิจารณาจัดตั้งสุขาภิบาลหนองจอก เมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2506 และ ได้ยกฐานะเป็นเทศบาลตาบลหนองจอก เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2542


12

สภาพทั่วไป และพื้นที่ ภูมิประเทศของตาบลหนองจอกเป็นพื้นที่ราบลาดเทเล็กน้อย โดยมี ความลาดเทจากทิศตะวันออกไปทางทิศตะวันตก ลัก ษณะภู มิ อ ากาศมี 3 ฤดู อากาศร้อ น ฝนตกตามฤดู ก าล และฤดู หนาวไม่หนาวมาก อากาศอบอุ่น ตาบลนี้อยู่ห่างจากที่ว่าการ อ.ท่ายางไปทางทิศตะวันออก ประมาณ 12 กิโลเมตร เป็นที่ราบลุ่ม มีคลองชลประทานไหลผ่าน 3 สาย พื้นที่เหมาะแก่ การเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ ตาบลหนองจอกเป็นตาบลหนึ่งใน 12 ตาบล ของอาเภอท่ายาง จังหวัด เพชรบุ รี ห่ างจากที่ ว่ าการอ าเภอท่ ายางไปทางทิ ศ ตะวัน ออก ประมาณ 12 กิโลเมตร มีอาณาเขตติดต่อกับตาบลต่างๆ ดังนี้ คือ ทิศเหนือ ติดต่อกับ ตาบลหนองขนานและตาบลดอนยาง อาเภอเมืองเพชรบุรี ทิศใต้ ติดต่อกับ ตาบลหนองศาลาและตาบลนายาง อาเภอชะอา ทิศตะวันออก ติดต่อกับ ตาบลปึกเตียน อาเภอท่ายาง ทิศตะวันตก ติดต่อกับ ตาบลมาบปลาเค้า อาเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี ตาบลหนองจอก ประกอบไปด้วย 14 หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่ที่ 1 บ้านสายหนึ่ง หมู่ที่ 8 บ้านห้วยทบ หมู่ที่ 2 บ้านหนองบัว หมู่ที่ 9 บ้านหนองจิก หมู่ที่ 3 บ้านหนองบัว หมู่ที่ 10 บ้านหันตะเภา หมู่ที่ 4 บ้านหนองเกตุ หมู่ที่ 11 บ้านบ่อพันงู หมู่ที่ 5 บ้านฝั่งห้วย หมู่ที่ 12 บ้านแคใหญ่ หมู่ที่ 6 บ้านตลาด หมู่ที่ 13 บ้านเตาปูน หมู่ที่ 7 บ้านดอนยี่พรม หมู่ที่ 14 บ้านห้วยยาง


13

จ านวนหมู่ บ้ านพื้ น ที่ เทศบาลต าบลหนองจอกมี จ านวน 4 หมู่ บ้ า น ได้แก่ หมู่ที่ 5 บ้านฝั่งห้วย, หมู่ที่ 6 บ้านหนองจอก, หมู่ที่ 7 บ้านดอนยี่พรม, หมู่ที่ 9 บ้านหนองจอก นอกนั้นจะเป็นพื้นที่ในความรับผิดชอบขององค์การ บริหารส่วนตาบลหนองจอก

วัดหนองจอก ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 6 ตาบลหนองจอก สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย มีเนื้อที่ ประมาณ 14 ไร่ ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2435 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อ พ.ศ. 2479 อาคารเสนาสนะ ประกอบด้วย อุโบสถ เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก ศาลาการเปรียญ (สร้างเมื่อ พ.ศ. 2540) หอสวดมนต์ (สร้างเมื่อ พ.ศ. 2503) กุฏิสงฆ์ วิหาร ศาลาเอนกประสงค์ และศาลาบาเพ็ญกุศล เจ้าอาวาสปัจจุบัน : พระวชิรธรรมคณี เจ้าคณะจังหวัดเพชรบุรี

อาชีพ ชาวชุมชนตาบลหนองจอกประกอบอาชีพหลัก ได้แก่ การทานา และ มี อาชีพเสริม ได้แก่ การรับจ้าง

สาธารณูปโภค - ไฟฟ้า มีครบทุกครัวเรือน - ประปา ใช้ประปาหมู่บ้านของกรมอนามัย และน้าจากคลอง ชลประทาน - โทรทัศน์ มีโทรศัพท์สาธารณะ โทรศัพท์บา้ น และโทรศัพท์เคลื่อนที่


14

ผลิตภัณฑ์ จักสาน ธูปฤาษี (ต้นกก)

ประชากร ประชากรในเขตเทศบาลตาบลหนองจอก ทั้งหมด 2,752 คน ความหนาแน่นประมาณ 570 คน/ตร.กม. (1,500 คน/ตร.ไมล์)

การคมนาคม เทศบาลตาบลหนองจอก มีเส้นทางคมนาคมที่สาคัญ คือ ทางหลวง แผ่ น ดิ น หมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม) และถนนของกรมโยธาธิ ก ารเป็ น ถนนลาดยางเป็ น หลั ก ห่ า งจากกรุ ง เทพฯ 158 กิ โลเมตร ใช้ เวลาเดิ น ทาง ประมาณ 2 ชั่วโมง 15 นาที และอยู่ห่างจากจังหวัดประมาณ 24 กิโลเมตร ใช้ เวลาเดิน ทาง 30 นาที ภายในเขตชุมชนตลาดหนองจอกเป็นถนนลาดยางและถนนคอนกรีต สภาพเส้นทางระหว่างหมู่บ้านเป็นถนนคอนกรีตและถนนลูกรัง สามารถสัญจร ไปมาติดต่อกันได้ทุกฤดูกาล

การเดินทาง รถยนต์ จากถนนเพชรเกษม ถึง ต.หนองจอก ระยะทาง 12 กม. ใช้ เวลาประมาณ 15 นาที รถไฟ จาก อ.เมื อ ง ถึ ง ต.หนองจอก ระยะทาง 17 กม. ใช้ เวลา ประมาณ 25 นาที


15

แผนที่เทศบาลตาบลหนองจอก

รถโดยสารประจาทาง เดินทางจากเทศบาลตาบลหนองจอก ถึงอาเภอ ท่ า ยาง ค่ า โดยสาร 30 บาท และจากเทศบาลต าบลหนองจอก ถึ ง จั ง หวั ด เพชรบุรี ค่าโดยสาร 35 บาท


16

รายการอ้างอิง สื่ออิเล็กทรอนิกส์ Otop one tambon one product. (มปป). ข้อมูลตาบลหนองจอก. เข้าถึง เมื่อ 10 สิงหาคม 2559. เข้าถึงได้จาก http://www.thaitambon. com/tambon/760504 เทศบาลตาบลหนองจอก. (มปป). ข้อมลพื้นฐาน. เข้าถึงเมื่อ 10 สิงหาคม2559. เข้าถึงได้จากhttp://www.nongchokcity.go.th/site/index.php ?option=com_content&view=article&id=57&Itemid=68 วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. (2556). เทศบาลตาบลหนองจอก. เข้าถึงเมื่อ 10 สิงหาคม 2559. เข้าถึงได้จาก https://th.wikipedia.org/wiki/ เทศบาลตาบลหนองจอก ศูนย์ข้อมลู ประเทศไทย. (มปป). ตาบลหนองจอก. เข้าถึงเมื่อ 10 สิงหาคม 2559. เข้าถึงได้จาก http://phetchaburi.kapook.com/ท่ายาง/ หนองจอก


17

บ้านตลาด จากอดีตสู่ปัจจุบัน

โดย กวิน ก้อนทอง ชาลิสา พัทรดารงรัตน์ ณัฐวุฒิ พิมพ์สาราญ บุษราคัม แก้วกลาง พิชญา อัมพรจินดารัตน์ ภัทรา ผ่านไชย วรัญญา กุลวราภรณ์


18

บทคัดย่อ การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาเกี่ยวกับประวัติดั้งเดิมของชุมชนบ้าน ตลาด ตาบลหนองจอก อาเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี ที่เดิมทีแล้วเป็นชุมชนที่มี ความเจริญคึกคักเป็นอย่างมาก ซึ่งมาจากปัจจัยต่างๆ เช่น ในชุมชนมีวัดใหญ่ที่ เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวพุทธ และยังเป็นพื้นที่ตั้งของตลาดนัดอีกด้วย และ ประกอบกับเป็นชุมชนที่มีรถไฟสัญจรผ่าน อีกทั้งชุมชนบ้านตลาดยังเป็นชุมชนที่ มีการประกอบธุรกิจการค้ามากมาย ทาให้ในอดีตชุมชนบ้านตลาดจึงเป็นชุมชน ที่มีความเจริญเป็นอย่างมาก แต่เนื่องด้วยกาลเวลาเปลี่ยนแปลงไป นาสิ่งใหม่ๆ เข้ามาในชุมชนไม่ว่าจะเป็นถนนตัดผ่าน เทคโนโลยีใหม่ๆ ทาให้ชุมชนบ้านตลาด เกิดการเปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน ทาให้ในสมัยปัจจุบันนั้นชุมชนบ้านตลาดที่ เราพบเห็นกลับเป็นชุมชนที่ค่อนข้างเงียบเหงา บ้านเรือนจากที่เคยเปิดกิจการ ค้าขายก็เงียบเหงา ไม่คึกครื้นเหมือนในอดีต เมื่อความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี การศึกษาและการคมนาคม เข้ามาภายในชุมชนบ้านตลาด ทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายภายในชุมชน บ้านตลาด ไม่ว่าจะเป็นชีวิตความเป็นอยู่ ในด้านการประกอบอาชีพ หรือในด้าน การใช้ชีวิตประจาวัน จะเห็นได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปมาก ที่เห็นได้ชัดมาก ที่สุดคือในสมัยปัจจุบันจะพบว่าบ้านเรือนส่วนใหญ่ในชุมชนที่เคยเปิดเป็นร้าน ขายของช าหรือ ห้ า งร้า นต่ างๆ ได้ ปิ ด ตั ว ลงเป็ น จ านวนมาก ซึ่ งบริเวณพื้ น ที่ เหล่านั้นกลายเป็นเพียงบ้านเรือนที่ใช้สาหรับเป็นที่อยู่อาศัยเท่านั้น หรือบาง บ้านนอกจากปิดร้าน ก็ได้ย้ายแหล่งที่อยู่อาศัยไปในตัวเมืองหรือในจังหวัดอื่นๆ และปิดบ้านเดิมทิ้งไว้เป็นที่เก็บของหรือไม่ก็ใช้เป็นที่ พักผ่อนในวันหยุดเท่านั้น หรือในเรื่องการศึกษาก็จะเห็นได้ว่าบางครอบครัวได้ส่งลูกหลานเข้าไปศึกษาใน ตัวเมือง และเมื่อลูกหลานได้เรียนจบมีความรู้กลับมา ก็จะกลับมาพาครอบครัว ของตนไปอยู่ในตัวเมืองหรือในจังหวัดอื่นๆ ทาให้ชุมชนบ้านตลาดในปัจจุบันจึง ค่อนข้างเงียบเหงาและในส่วนของถนนที่ตัดผ่านชุมชนบ้านตลาด ทาให้รถไฟที่


19

วิ่งผ่านชุมชนนั้นถูกลดบทบาทลง และการคมนาคมโดยรถยนต์มีความนิยม มากกว่า ทาให้บริเวณทางรถไฟเริ่มเงียบเหงา จากเดิมที่มีนักท่องเที่ยวเดินทาง โดยรถไฟมาแวะเที่ยวที่ ชุมชนบ้านตลาด หรือการแลกเปลี่ยนสินค้าผ่านทาง รถไฟที่เคยรุ่งเรืองมากในอดีต ก็เหลือแต่เพียงภาพความทรงจาที่ถูกเล่ากันมา ปากต่อปากของคนในสมัยก่อนเท่านั้น เพราะในยุคปัจจุบันนั้นไม่มีภาพเหล่านั้น ให้เห็นอีกแล้ว ดังนั้นการศึกษาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ที่ จะเก็บข้อมูลศึกษาประวัติ ความเป็นมาของชุมชนบ้านตลาดว่าแต่เดิมนั้ นมีความเป็นมาอย่างไร และใน ปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง โดยที่จะเน้นการสัมภาษณ์และฟังเรื่อง เล่ า จากปากของคนในชุ ม ชน เพื่ อ น ามาวิ เ คราะห์ ใ นประเด็ น ของการ เปลี่ยนแปลง (Social Change) อีกทั้งยังเก็บข้อมูลมาในรูปแบบของแผนที่เดิน ดินและแผนที่รูปแบบขยายของตัวชุมชน เพื่อที่จะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงใน ตัวของพื้นที่และคนในชุมชนได้อย่างชัดเจนอีกด้วย

1. บทนา ครั้ งหนึ่ งในอดี ต หมู่ 6 บ้ านตลาด ต าบลหนองจอก อ าเภอท่ า ยาง จังหวัดเพชรบุรี เคยเต็มไปด้วยสีสัน มีผู้คนมากหน้าหลายตาหลั่งไหลกันเข้ามา ในพื้นที่โดยมีรถไฟเป็นปัจจัยสาคัญ ท่ามกลางความคึกคักที่เกิดขึ้นบ้านตลาด กลายเป็นแหล่งการแลกเปลี่ยนที่สาคัญ มีร้านค้าและบริการเกิดขึ้นในบริเวณ ชุมชนมากมาย จนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นชุมชนการค้าก็ว่าได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ถนนเข้ามาเป็นปัจจัยสาคัญแทนที่รถไฟ นั่นทาให้บ้านตลาดที่เป็นศูนย์กลางและ พื้นที่การค้าได้รับผลกระทบโดยตรง จากชุมชนที่เคยเป็นแหล่งสินค้า มากด้วย ผู้คน มีสี สัน สดใสและมีชีวิตชีวา กลับค่อยๆ จางหายไป เหลือไว้เพียงชุมชน เก่าแก่ที่เต็มไปด้วยร่องรอยของชุมชนการค้าในอดีตอย่างเช่นในปัจจุบัน


20

งานชิ้นนี้ได้เกิดขึ้นจากการลงพื้นที่ชุมชนบ้านตลาดและพบว่าบ้านเรือน ในชุมชนเป็นไปในรูปแบบที่มีความเก่าแก่ มีบ้านเรือนจานวนไม่น้อยที่ถูกทิ้งร้าง หรือปิดตายลงไป รวมถึงการที่ประชากรในชุมชนโดยส่วนมากที่พบมักจะเป็น คนชรา มีเด็กบ้างประปราย และแทบจะไม่ พบคนรุ่นวัยทางานเลย นอกจากนี้ จากการสารวจพบว่าในชุมชนโดยส่วนมากมักจะประกอบอาชีพค้าขายโดยใช้ บ้านของตนเองเป็นหลักและพบร่องรอยของการทาการค้าที่เกิดขึ้นในชุมชน ตั้งแต่อดีต งานชิ้นนี้มุ่งให้ผู้อ่านได้เห็นและเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของชุมชนบ้าน ตลาดโดยการนาผู้อ่านย้อนกลับไปในในอดีตครั้งยังเป็นแหล่งการค้าที่สาคัญ ผ่ า นมุ ม มองและค าบอกเล่ า ของผู้ เฒ่ า ผู้ แ ก่ ใ นชุ ม ชน ก่ อ นจะแสดงให้ เห็ น พัฒนาการของชุมชนบ้านตลาดจวบจนกระทั่งในปัจจุบัน

2. ข้อมูลทั่วไปของชุมชนบ้านตลาด บ้านตลาด หมู่ที่ 6 เป็น 1 ใน 14 หมู่บ้าน ของตาบลหนองจอก อาเภอ ท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี ชุมชนบ้านตลาดมีจานวนประชากรในเดือนเมษายนใน ปี พ.ศ. 2559 ทั้งสิ้น 755 คน แบ่งเป็นประชากรชาย 352 คน และประชากร หญิง 403 คน มีอาณาบริเวณทางด้านทิศเหนือติดกับชุมชนบ้านหนองจิก หมู่ที่ 9 ด้านทิศตะวันออกติดกับบ้านดอนยี่พรม หมู่ที่ 7 ด้านทิศตะวันตกติดกับบ้าน ฝั่งห้วย หมู่ที่ 5 และด้านทิศใต้ติดกับบ้านหนองเกตุ หมู่ที่ 4 ลักษณะของชุมชน บ้านตลาดเป็นชุมชนที่มีผู้คนเข้ามาตั้งถิ่นฐานมาอย่างยาวนาน ลักษณะเด่นที่ทา ให้ชุมชนบ้านตลาดแตกต่างจากชุมชนอื่นๆในละแวกนี้ คือ ชุมชนบ้านตลาดเป็น ชุมชนการค้าขายสาคัญตั้งแต่ในอดีต อีกทั้งชุมชนบ้านตลาดแห่งนี้ยังมีเส้นทาง การเดินรถไฟตัดผ่าน ซึ่งเป็นปัจจัยสาคัญที่ทาให้ชุมชนบ้านตลาดเป็นศูนย์กลาง ของการค้าขายในละแวกนี้ โดยประวัติความเป็นมาของชุมชนบ้านตลาดที่สาคัญ สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ช่วงเวลา คือ ช่วงก่อนการเข้ามาของรถไฟ ช่วงการ


21

เข้ามาของรถไฟ/อาเภอหนองจอก/ตาบลหนองจอก และช่วงการเข้ามาของ ถนนเพชรเกษม

3. ประวัติศาสตร์ชุมชนบ้านตลาด ตาบลหนองจอก เป็นตาบลที่มีความอุดมสมบรูณ์เพราะมีสระน้า หนอง น้าและลาห้วยลึก อีกทั้งยังทาให้สังเกตได้ว่า หมู่บ้านบริเวณรอบๆ นั้นมีคาว่า “หนอง” นาหน้า เช่น หนองเกตุ หนองจิก หนองเตาปูน เป็นต้น ซึ่งก็แสดงให้ เห็นว่าบริเวณชุมชนนี้มียังคงเป็นชุมชนที่มีความอุดมสมบูรณ์อยู่มาก ซึ่งกลุ่ม ของผู้ศึกษาได้ศึกษาชุมชนบ้านตลาดในตาบลหนองจอกและการได้ทราบว่าที่มา ของชื่อชุมชนบ้านตลาด จากการสัมภาษณ์คุณ เข็มทอง ขาขม อายุ 69 ปี ได้ ความว่าในสมัยก่อนบริเวณชุมชนบ้านเรือนที่อยู่อาศัยได้เปิดเป็นร้านขายของ ต่างๆ มากมาย แทบจะทุกบ้านจะต้องเปิดเป็นร้านขายของในบริเวณบ้านตัวเอง ทาให้มีลักษณะเหมือนตลาดคนในชุมชนจึงเรียกชุมชนแห่งนี้ว่า บ้านตลาด สมัยป้าเด็กนะ แถวบ้านป้าเกือบทุกบ้านจะเปิดร้านขาย ของกันคึกคักมากเลยลูก ทั้งอาหาร ของใช้บางบ้านก็ตั้งขายหน้า บ้านเลย คนจากทุกซอยก็ออกมาซื้อของกันเยอะเลยลูก เมื่อก่อน บ้ านตลาดขายของกั น คึ ก คั ก มาก คนที่ นี่ ก็ เลยเรีย กที่ นี่ ว่ าบ้ า น ตลาด (เข็มทอง ขาขม, 2559: สัมภาษณ์)

โดยประวัติศาสตร์ชุมชนผู้ศึกษาได้แบ่งออกเป็น สามช่วงเวลา คือ ช่วง ก่อนที่รถไฟจะเข้ามาในชุมชน ช่วงที่รถไฟเข้ามา และ ช่วงถนนเพชรเกษม


22

3.1. ช่วงก่อนที่รถไฟจะเข้ามาในชุมชนบ้านตลาด จากการสัมภาษณ์ คุณยายฉะอ้อน ปักษานนท์ อายุ 89 ปี (สัมภาษณ์ 29 พฤษภาคม 2559) ทาให้ทราบว่าชุมชนบ้านตลาดตอนนั้นลักษณะพื้นที่ทาง กายภาพโดยทั่วไปส่วนมากจะเป็นป่าเกือบทั้งหมด แต่จะมีเพียงแค่บริเวณซอย หนึ่งเท่านั้นที่เริ่มมีผู้บุกเบิกเข้ามาอยู่อาศัยและคนที่เข้ามาอยู่อาศัย ในบริเวณ ซอยหนึ่งนั้นมีทั้งคนไทยและคนไทยเชื้อสายจีน อาศัยอยู่ ทาให้เห็น ว่าบริเวณ ชุมชนบ้านตลาดนี้มีความหลากหลายทางเชื้อชาติอยู่มาก และนามสกุลแรกๆ ที่ เข้ามาอยู่ยังพื้นที่แห่งนี้ คือ ตระกูลไม้แก้วและตระกูลเหรียญทอง ซึ่งทั้งสอง ตระกู ล ก็ เป็ น ญาติ กั น เนื่ อ งจากพวกเขาอาศั ย อยู่ ในละแวกเดี ย วกั น และมี ปฏิสัมพันธ์กัน โดยพวกเขาซึ่งอาศัยอยู่ในตอนนั้นก็มักจะประกอบอาชีพ ทาไร่ ทานา เนื่องด้วยลั กษณะทางกายภาพที่ เป็ นป่า โดยผลผลิตที่ ปลู กได้ก็มักจะ น ามาบริโภคในครอบครัว และหากมี ส่ วนที่ เกิน ความต้ อ งการก็จะน าไปขาย บริเวณชุมชนให้คนละแวกใกล้เคียงได้มาแลกเปลี่ยนสินค้าและบริโภคซึ่งต่อมา เมื่อเริ่มมีการค้าขายสินค้าในชุมชนมากขึ้นก็เริ่มมีการเข้ามาบุกเบิก ซอย 2 และ ซอย 3 เพื่อสร้างเป็นที่อยู่อาศัยและเปิดร้านเพื่อทาการค้าขาย มีทั้งคนไทยใน พื้นที่และคนจีนที่อพยพเข้ามาและแต่งงานกับคนไทยมาเปิดร้านค้าต่างๆ เช่น ร้านโชว์ห่วย เป็นต้น ทาให้บริเวณชุมชนบ้านตลาดเริ่มคึกคักมากขึ้นจากการ ย้ายเข้ามาอยู่อาศัยและมาเปิด ร้านขายของ ซึ่งก็ทาให้เกิดซอย 2 และซอย 3 ตามมาดังที่มีในปัจจุบัน โดยในชุมชนบ้านตลาดมีวัดหนองจอกเป็นศูนย์กลางชุมชนเพราะคนใน ชุมขนส่วนมากนับถือพุทธศาสนา แต่เดิมวัดหนองจอกตั้งอยู่บริเวณสถานีตารวจ (ใกล้กับสถานีรถไฟในปัจจุบัน) แต่ต่อมาเมื่อมีโครงการจะสร้างรถไฟ วัดหนอง จอกจึงต้องย้ายที่ตั้งและมาสร้างใหม่ที่ชุมชนบ้านตลาด โดยได้สร้างให้ใหญ่ขึ้น กว่าเดิม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าวัดยังคงมีความสาคัญกับชาวหนองจอกที่โดยมากนับ ถือศาสนาพุทธอยู่มาก เพราะพบว่าในวัดจะมีลานประเพณี ในวัด เช่น การจัด


23

งานปีใหม่ในวัด ที่คนในชุมชนทั้งคนไทยและคนไทยเชื้อสายจีนจะเข้ามาร่วมกัน เพื่อจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองขึ้น ซึ่งจะทาให้คนในชุมชนทั้งหมดออกมาร่วมงาน และสร้างปฏิสัมพันธ์ร่ วมกัน ดังคาสัมภาษณ์จาก คุณ ตั้ งงิ้ม โง้วกาญจนนาค อายุ 83 ปี (สัมภาษณ์ 30 พฤษภาคม 2559) ที่เล่าว่า สามีของคุณป้าซึ่งเป็นคน จี น แท้ ๆ แต่ ก็ เป็ น กรรมการในการจั ด งานเลี้ ย งวั น ปี ใ หม่ ซึ่ ง ก็ จ ะท าหน้ า ที่ ประสานงานกันคนในชุมชนทุกคนให้มาช่วยกันจัดงานเพื่อทุกคนในชุมชนจะ ได้มาร่วมงานที่ช่วยกันจัดขึ้น อีกทั้งวัดหนองจอกแห่งนี้ ยังมีพิธีกรรมต่างๆ ที่ผูก ติดกับวัด เช่น งานเข้าพรรษา งานออกพรรษา งานบวช งานศพ เป็นต้น เพราะ เมื่อ มีงานบุ ญ ต่างๆเหล่ านี้ ขึ้น ทุ กคนในชุมชนที่ มี ความสัมพั น ธ์ร่วมกัน ได้ ม า ช่วยงานบุญและสร้างความสัมพันธ์ที่ดียิ่งขึ้นในชุมชน 3.2. ช่วงการเข้ามาของรถไฟ/อาเภอหนองจอก/ตาบลหนองจอก ในช่วงนี้นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชาวบ้านบ้านตลาดเป็น อย่างมากเพราะเมื่อมีรถไฟตัดผ่านหมู่บ้านเข้ามา การพัฒนา เทคโนโลยีและ ความสะดวกสบายต่างๆ ก็เริ่มแพร่กระจายเข้ามาในชุมชนอย่างต่อเนื่องโดย รถไฟได้เริ่มเข้ามาสู่บ้านหนองจอกเมื่อ ปี พ.ศ. 2442 และได้สร้างสถานีหนอง จอกรวมทั้ งเส้นทางการเดินรถไฟเสร็จเมื่อ ปี พ.ศ. 2446 ในช่วงสมัยของการ สร้างเส้นทางการเดินรถไฟนั้น แรงงานส่วนใหญ่ในการขุดดินและสร้างทางรถไฟ เป็นชาวจีนซึ่งอพยพมาจากที่อื่นทั้งจากประเทศจีนโดยการล่องเรือสาเภาและ อพยพมาจากจังหวัดอื่นๆ ในประเทศไทย ชาวจีนที่อพยพเข้ามารับจ้างสร้าง เส้ น ทางรถไฟในสมั ย นี้ เป็ น ชาวจี น กลุ่ ม แรกๆ ที่ เริ่ ม เข้ า มาตั้ งถิ่ น ฐานอยู่ ใน บริเวณชุมชนแห่งนี้และส่วนมากจะมีภรรยาเป็นคนท้องถิ่น โดยคนจีนกลุ่มแรก ที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณบ้านตลาดจะตั้งบ้านเรือนอยู่ในบริเวณซอย 1 และส่ ว นใหญ่ จ ะประกอบอาชี พ ค้ าขาย เช่ น ขายผ้ า ขายหมู และขายของ เบ็ดเตล็ดต่างๆ ท าให้ พื้ น ที่ บริเวณซอย 1 กลายเป็น ย่านการค้าที่ สาคัญ ของ


24

ชุมชนบ้านตลาดในสมัยนี้ หลังจากที่บ้านตลาดมีเส้นทางรถไฟตัดผ่านและ มี ย่านการค้าที่สาคัญ ชุมชนหนองจอกจึงได้รับเลือกให้พัฒนาขึ้นมาเป็น อาเภอ หนองจอกในปี พ.ศ. 2457 แต่หลังจากที่ชุมชนหนองจอกได้รับการพัฒนาขึ้นมา เป็นอาเภอได้ไม่นาน อาเภอหนองจอกก็ถูกลดลงเป็นเพียงตาบลหนองจอก และ เมื่ออาเภอหนองจอกถูกลดลงมาเป็นเพียงตาบลหนองจอก ชะอาซึ่งได้รับเลือก ให้ถูกพัฒนามาเป็นอาเภอชะอาแทนอาเภอหนองจอก ก็ต้องการให้ตาบลหนอง จอกเป็นตาบลหนึ่งในอาเภอชะอา แต่ชาวบ้านในตาบลหนองจอกไม่ต้องการให้ ตาบลหนองจอกเป็นหนึ่งในตาบลของชะอา เพราะระยะทางจากตาบลหนอง จอกไปยังอาเภอชะอานั้นไกลกว่าระยะทางไปยังอาเภอท่ายาง หากต้องการ เอกสารหรือติดต่ อธุระทางราชการจึงไม่ ค่อยสะดวก ท าให้ ตาบลหนองจอก กลายเป็นตาบลหนึ่งในอาเภอท่ายางมาจนถึงปัจจุบัน ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวนับตั้งแต่การเข้ามาของรถไฟ การพัฒนาจาก ชุมชนหนองจอกมาเป็นอาเภอหนองจอกจนกระทั่งถูกลดลงมาเป็นตาบลหนอง จอก ทาให้วิถีชีวิตของชาวหนองจอกโดยเฉพาะชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในบริเวณ บ้านตลาดเปลี่ยนไป เนื่องจากการเข้ามาของรถไฟในสมัยนี้ทาให้พื้นที่บริเวณนี้ สามารถเข้าถึงได้ง่ายและการสัญจรมีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น จนทาให้คน จากพื้นที่อื่นๆ ไม่ ว่าจะเป็นคนไทยหรือคนจีนเริ่มอพยพเข้ามา ตั้งถิ่นฐานใน บริเวณชุมชนบ้านตลาดจนเกิดการขยับขยายพื้นที่อยู่อาศัยและพื้นที่ทากินเป็น ซอย 2 และซอย 3 ตามมา โดยกลุ่มคนจีนที่เข้ามาอาศัยอยู่ในบริเวณซอย 2 เป็นกลุ่มแรกๆ คือ เจ๊กตี๋ เจ๊กเอ็งและเจ๊งลึมโป๊ย โดยเจ๊กตี๋ได้เข้ามาเปิดร้านขาย ขนมเปี๊ยะโง้วฮั้งเฮงหรือร้านขนมเปี๊ยะหนองจอก ซึ่งเป็นร้านขายขนมเปี๊ยะที่ขึ้น ชื่อของหนอกจอกและปัจจุบันร้ านขนมเปี๊ยะยังคงเปิดกิจการ เป็นรุ่นที่ 3 แล้ว ส่วนเจ๊กเอ็งและเจ๊กลึมโป๊ยเข้ามาเปิดร้านขายของชา ต่อมาคนจากพื้นที่อื่นๆ ก็ ยังคงอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณซอย 2 อย่างต่อเนื่องจนทาให้เกิดซอย 3 ตามมา ซึ่งคนที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณซอย 3 เป็นบ้านแรก คือ บ้านของ


25

ครูเบญจา ซึ่งเป็นคุณครูสอนอยู่ที่หนองศาลาและมีสามีเป็นตารวจได้เข้ามาเช่า ที่ดินปลูกบ้านและภายหลังเจ้าของที่ก็ได้ขายที่ให้กับครูเบญจา แต่ปัจจุบันบ้าน หลังนี้ได้กลายเป็นบ้านเช่าแล้ว นอกจากเจ๊กทั้ง 3 และครูเบญจาแล้ว ยังมีอีก หนึ่งเจ๊กที่สาคัญและเป็นที่รู้จักกันดีของคนในชุมชนบ้านตลาด คือ เจ๊กสอน ซึ่ง เป็นต้นตระกูลของตระกูลลิ้มลิขิตอักษรในช่วงแรกของการอพยพเข้ามาตั้งถิ่น ฐานในบริเวณชุมชนบ้านตลาด บ้านของเจ๊กสอนอยู่บริเวณตรงข้ามกับสถานี อนามัยเก่า แต่ต่อมาเจ๊กสอนก็ได้ย้ายเข้ามาสร้างบ้านอยู่ในบริเวณกลางซอย 3 และได้เปิดกิจการทาเส้นก๋วยเตี๋ยวและเดินรถเมล์เครื่อง (รถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง) จนสามารถกลายเป็นตระกูลที่ร่ารวยขึ้นมา จากการอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานของทั้งคนไทยและคนจีน ณ บริเวณ ชุมชนบ้านตลาดอย่างหนาแน่น อีกทั้งอาชีพส่วนใหญ่ของคนในบริเวณชุมชน บ้านตลาดโดยเฉพาะคนจีน คือ อาชีพค้าขาย ทาให้พื้นที่บริเวณซอย 1 ซอย 2 และซอย 3 กลายเป็นย่านการค้าที่ สาคัญ ของตาบลหนองจอก โดยในสมัยนี้ ชุม ชนบ้ านตลาดมี ทั้ งร้านขายของช า ร้านขายขนมเปี๊ ยะ ร้านทอง ร้านขาย กาแฟ โรงสีข้าว โรงฝิ่น ร้านยาต้ม(ยาไทย) คลินิกผดุงครรภ์(หมอตาแย) โรงหนัง ถาวร โรงหนังกลางแปลง วิกลิเก โรงงิ้ว โรงเรียน ศาลเจ้า วัดและตลาดนัด ซึ่ง ตลาดนัดในช่วงยุคนี้ ส ามารถแบ่งการเปลี่ยนแปลงได้เป็น 3 ยุค คือ ยุคแรก ตลาดนัดจะทาการค้าขายแลกเปลี่ยนอยู่บริเวณซอย 1 ลักษณะตลาดจะเป็น ตลาดแบบที่ชาวบ้านและพ่อค้าแม่ค้านาสินค้าต่างๆ เช่น ข้าว ขนม ผลไม้ ผ้า และสินค้าอุปโภคบริโภคอื่นๆ ใส่กระด้ง กระจาด หรือหาบ และนาสินค้ามา วางขายตามถนนซอย 1 ยุคที่ 2 ตลาดนัดบริเวณถนนซอย 1 นี้ก็ได้ย้ายเข้าไป ค้าขายในบริเวณวัดหนองจอก และยุคสุดท้ายในช่วงสมัยของเจ้าอาวาสองค์ ปั จจุบั น (พระวชิรธรรมคณี ) ตลาดนั ดแห่ งนี้ ก็ได้ ย้ายออกจากการค้ าขายใน บริเวณวัดหนองจอกออกมาทาการค้าขายยังบริเวณพื้นที่โรงเรียนเก่าหลังวัด หนองจอกจนถึงปัจจุบัน โดยตลาดนัดหลังวัดแห่งนี้จะเปิดให้ค้าขายในทุกๆ วัน


26

อาทิ ตย์ พ่ อค้าแม่ ค้าส่ วนใหญ่ จะเป็นคนภายในชุมชนบ้านตลาดและบริเวณ ใกล้เคียง เช่น บ้านหนองเกตุ บ้านหนองบัว สินค้าที่จาหน่ายในตลาดนัดแห่งนี้ก็ จะมีทั้งอาหารปรุงสาเร็จ อย่างเช่น ก๋วยเตี๋ยว ข้าวมันไก่ ข้าวแกง น้าเต้าหู้ปลา ท่องโก๋ มีของสด อย่างเช่น ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ต่างๆ นอกจากอาหารแล้วตลาด นัดแห่งนี้ ยังมีร้านของชา ร้านขายเสื้อผ้า และสินค้าอื่นๆจาหน่ายอีกมาก ซึ่ง ตลาดนัดหลังวัดแห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ในการซื้อขาย-แลกเปลี่ยนสินค้ากัน เท่านั้น เพราะตลาดนัดหลังวัดแห่งนี้ยังเป็นเสมือนสถานที่พบปะสังสรรค์พูดคุย และแลกเปลี่ยนความคิดรวมไปถึงประสบการณ์ ระหว่างคนที่เข้ามาใช้พื้นที่แห่ง นี้ อี ก ด้ ว ย ไม่ ว่ า จะเป็ น การพู ด คุ ย แลกเปลี่ ย นทั้ ง ความรู้ ความคิ ด และ ประสบการณ์ระหว่างแม่ค้ากับแม่ค้าด้วยกันเอง หรืออาจเป็นการแลกเปลี่ยน ระหว่างแม่ค้ากับลูกค้าตลอดจนการแลกเปลี่ยนระหว่างลูกค้ากับลูกค้าด้วยกัน เอง นอกจากตลาดนัดแห่งนี้แล้วในสมัยนี้ยังมีพื้นที่อื่นๆ ที่เป็นสถานที่ สามารถ เป็นพื้นที่ในการสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนในชุมชนได้ เช่น ร้านกาแฟ ร้านขาย ของต่างๆ ตลอดจนวัดและศาลเจ้าก็เป็น พื้นที่ สาคัญ ในการสร้างปฏิสัมพัน ธ์ ให้กับคนในชุมชนได้ อย่างในกรณีของวัด ซึ่งในสมัยนี้เป็นยุคที่คนไทยและคน จีนค่อนข้างกลมกลืนและเริ่มจะมีปฏิสัมพันธ์ ระหว่างกันมากขึ้น คนในชุมชน ส่วนมากกลายเป็นคนไทยเชื้อสายจีน คนในชุมชนทั้งคนไทยและคนจีน (คนไทย เชื้อสายจีน) เริ่มเข้ามาทากิจกรรมร่วมกันในวัดมากยิ่งขึ้น เช่น เตี่ยของน้าหงส์ ร้านขายขนมเปี๊ ยะหนองจอกที่ ถึงแม้ ว่าจะเป็นคนจีนแต่ก็ยังเข้าวัดไปท าบุ ญ ทอดกฐินและมีตาแหน่ งเป็นคณะกรรมการวัด เมื่อวัดมีการจัดงานต่างๆ เช่น งานปีใหม่ งานทอดกฐิน งานสงกรานต์ รวมไปถึงงานอื่นๆ เตี่ยของน้าหงส์ก็ ยินดีที่จะมาร่วมงานและช่วยจัดงานเสมอ ในช่ ว งยุ ค นี้ ซึ่ งเป็ น ช่ ว งที่ รถไฟก าลั งได้ รั บ ความนิ ย มอย่ า งมาก การ เดินทางส่วนใหญ่ของคนภายในชุมชนบ้านตลาดและชุมชนใกล้เคียงจึงเดินทาง สั ญ จรโดยรถไฟ อย่ า งกรณี ข องคุ ณ ภลดา โง้ว กาญจนนาค (สั ม ภาษณ์ 30


27

พฤษภาคม 2559) หรือน้าหงส์ อายุ 45 ปี ได้บอกเล่าถึงความนิยมในการใช้ รถไฟในช่วงที่ตนยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมว่า น้าหงส์รวมถึงเด็กๆ ในชุมชนบ้านตลาด และชุมชนใกล้เคียง เช่น ดอนยี่พรม ในดง หนองจิก ที่ต้องเดินทางเข้าไปเรียน ในตัวเมืองเพชรบุรี ส่วนมากก็จะใช้การเดินทางโดยรถไฟ ในสมัยนี้ถือว่ารถไฟ ได้ รั บ ความนิ ย มมากจนมี ตั๋ ว โดยสารรถไฟแบบรายเดื อ นจ าหน่ า ย โดยเด็ ก นักเรียนทุกคนก็จะใช้ตั๋วแบบรายเดือนเพราะสะดวก ราคาถูกกว่าซื้อแบบเที่ยว เดียวและต้องใช้รถไฟในการเดินทางเป็นประจาอยู่แล้ว โดยเด็กนักเรียน ในสมัย ยุคนี้ถ้าใครบ้านอยู่ใกล้สถานีก็จะเดินจากบ้านมาขึ้นรถไฟ แต่ถ้าใครบ้านไกลก็ จะนิ ยมปั่ น จักรยานมาจอดทิ้ งไว้ที่ ส ถานี พ อตอนเย็น กลับ มาจากโรงเรียนถึ ง สถานีหนองจอกก็จะปั่นจักรยานกลับบ้าน นอกจากนี้รถไฟก็ยังได้รับความนิยม ในการขนส่งสินค้าทั้งส่งสินค้าจากภายในชุมชนออกไปขายยังพื้นที่อื่นๆ และ การขนส่งสินค้าจากพื้นที่อื่นๆ เข้ามาขายในชุมชน และถึงแม้ในยุคนี้รถไฟจะ ได้รับความนิยมจากชาวบ้านในการสัญจรไปมาแล้วแต่การสัญจรในยุคนี้ก็ไม่ได้มี เพียงแค่รถไฟเท่านั้น เกวียนและเรือก็เป็นอีกยานพาหนะที่สาคัญ อย่างเช่น กรณีของคุณยายฉะอ้อน ปักษานนท์ (สัมภาษณ์ 29 พฤษภาคม 2559) หรือ ยายอ้อน อายุ 89 ปี ที่ได้เล่าว่า สมัยตอนที่ยายอ้อนอายุประมาณ 8 ขวบ คุณ แม่ของยายอ้อนจะพายายอ้อนเดินทางไปยังกรุงเทพฯ ซึ่งวิธี เดินทางจากบ้าน ตลาดไปกรุงเทพฯมี 2 วิธีด้วย คือ 1) เดินทางโดยรถไฟ และ 2) เดินทางโดยเรือ ซึ่งในการเดินทางครั้งนั้นคุณแม่ของยายอ้อนเลือกเดินทางโดยเรือเพราะถึงแม้ว่า การเดินทางโดยเรือจะช้าและลาบากกว่าโดยรถไฟ เนื่องจากต้องเดินเท้าจาก บ้านตลาดไปยังท่าเรือในตัวเมืองเพชรบุรี จากนั้นขึ้นเรือจากเมืองเพชรบุรีไปลง ที่ท่าเรือแม่กลอง และขึ้นเรือจากท่าเรือแม่กลองไปลงที่คลองหมาหอน ต้อง เดินทางถึง 3 ต่อ กว่าจะถึงกรุงเทพฯ แต่การเดินทางโดยเรือนั้นมีราคาที่ถูกกว่า การเดินทางโดยรถไฟถึง 3.20 บาท เพราะค่าโดยสารเรือทั้งหมดนั้นราคา 1 บาท แบ่งเป็น 2 ครั้ง ครั้งละ 50 สตางค์ ยายอ้อนไม่ต้องเสียค่าโดยสารเพราะ


28

เป็นเด็ก แต่ถ้าเดินทางโดยรถไฟต้องเสียเงินทั้งหมด 4.20 บาท แบ่งเป็นแม่ยาย อ้อน 2.80 บาท และยายอ้อน 1.40 บาท การเดินทางไปกรุงเทพฯ ครั้งนี้แม่ ยายอ้อนจึงเลือกเดินทางโดยเรือ ส่วนการเดินทางสัญจรโดยเกวียนในสมัยนั้น มักจะใช้เกวียนในการขนย้ายข้าวของหรือสินค้า เช่น ข้าวและฟืน จากคาบอก เล่าของคุณลุงพลอย ศรีวิจิตร (สัมภาษณ์ 30 พฤษภาคม 2559) อายุ 83 ปี ได้ บอกเล่ า เรื่ อ งราวเกี่ ย วกั บ การสั ญ จรโดยเกวี ย นในสมั ย นี้ ว่ า เกวี ย นเป็ น ยานพาหนะหลักในการขนฟืนไปขายให้กับสถานีรถไฟเพราะในสมัยที่รถไฟเข้า มายุคแรกๆ ยังเป็นรถไฟแบบหัวรถจักรไอน้า ที่ต้องอาศัยฟืนเป็นเชื้อเพลิง สมัย นี้จึงมีการรับเหมานาเกวียนไปขนฟืนจากชาวบ้านและขนฟืนเหล่านั้นมาส่งให้ยัง สถานีรถไฟ นอกจากนั้นเมื่อถึงช่วงเก็บเกี่ยวข้าวชาวบ้านก็มักจะใช้เกวียนในการ ขนส่งข้าวรวมถึงใช้สัญจรไปยังที่อื่นๆ ต่อมาในปี พ.ศ.2487 ซึ่งเป็นช่วงของสงครามมหาเอเชียบูรพา ทหาร ญี่ปุ่นได้เข้ามาตั้งฐานทัพในบริเวณบ้านหนองบวยซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านตลาด และได้สร้างถนนดินลูกรังเพื่อสัญจรไปมาในระหว่างสงคราม ซึ่งถนนเส้นที่ทหาร ญี่ปุ่นได้เข้ามาสร้างไว้นี้ นับเป็นถนนเส้นสาคัญที่ชาวบ้านใช้สัญจรไปมาตั้งแต่ ในช่วงสมัยสงครามและในปัจจุบันถนนเส้นนี้ก็ยังได้รับความนิยมในการใช้เป็น เส้นทางในการสัญจรเป็นอย่างมาก โดยถนนเส้นนี้ในสมัยอดีตชาวบ้าน จะเรียก ถนนเส้นนี้เป็น 2 ชื่อ บ้างก็บอกว่าชื่อถนนสาย 19 มาตั้ งแต่ในสมัยอดีต บ้างก็ บอกว่าก่อนจะกลายมาเป็นถนนสาย 19 ถนนเส้นนี้ชื่อถนนสาย 39 มาก่อนและ พอวันเวลาผ่านไปคนก็เรียกถนนเส้นนี้สั้นลงเรื่อยๆ จนเหลือเพียงถนนสาย 19 ซึ่งถนนสาย 19 นี้ ในปัจจุบันก็คือถนนเพชรเกษม ซึ่งหลังจากที่ถนนสาย 19 ได้รับการพั ฒ นาจนกลายเป็นถนนเพชรเกษม ชุมชนบ้านตลาดก็ได้เกิด การ เปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อวิถีการดาเนินชีวิตครั้งสาคัญอีกครั้งหนึ่ง


29

3.3. ช่วงการเข้ามาของถนนเพชรเกษม เมื่อมีการเข้ามาของถนนเพชรเกษม ทาให้ความสาคัญของรถไฟน้อยลง เนื่องจากพอมีการสร้างถนน ท าให้การคมนาคมสะดวกขึ้นเพราะมีการใช้รถ ส่วนตัวกันมากขึ้น และจากการสัมภาษณ์ คุณภลดา โง้วกาญจนนาค (สัมภาษณ์ 30 พฤษภาคม 2559) อายุ 45 ปี ทาให้ทราบว่าช่วงก่อนที่ถนนเพชรเกษมจะ สร้างเด็กนักเรียนในชุมชนจะใช้รถไฟเป็นพาหนะในการไปโรงเรียนแต่ก็มีปัญหา คือ มักจะเกิดความล่าช้าอยู่บ่อยครั้ง แต่พ อมีการสร้างถนนทาให้ผู้ปกครอง ส่วนมากเลิกให้ลูกๆ ไปโรงเรียนด้วยรถไฟ แต่มักจะให้โดยสารไปกับรถรับส่ง ของโรงเรียน เพราะมีความสะดวกและรวดเร็วกว่ารถไฟเป็นอย่างมาก หรือบาง บ้ า นก็ ใ ช้ ร ถส่ ว นตั ว ไปรั บ ส่ ง ลู ก หลาน เพราะหากใช้ ร ถยนต์ รถรั บ ส่ ง ก็ ไ ม่ จ าเป็ น ต้ อ งรอไปหรื อ กลั บ ตามเวลารถไฟ (ซึ่ งอาจจะมี ก ารเปลี่ ย นแปลงได้ ตลอดเวลา) ทาให้ในความสาคัญของรถไฟลดลงอย่างมาก อีกทั้งการเข้ามาของ ถนนยังนาความเจริญเข้ามาในชุมชนอย่างมาก ทั้งการประปา และการไฟฟ้า เพราะเมื่ อมี ก ารตื่น ตั วของผู้ อยู่ อาศั ยท าให้ ค วามเจริญ ด้านอื่น ๆ แพร่เข้ า มา มากมาย และเมื่อมีไฟฟ้าเข้ามา ก็มีอุปกรณ์ใช้ไฟฟ้าต่างๆ ตามมา เช่น โทรทัศน์ วี ดี โอ ซึ่ ง นี่ ก็ ท าให้ วิ ก หนั ง ในชุ ม ชนปิ ด ตั ว ลงไป เพราะความเจริ ญ ที่ เข้ า มา เนื่องจากหากคนมีเครื่องใช้ไฟฟ้าไว้ที่บ้าน การจะดูหนังก็ไม่จาเป็นต้องเดินทาง ออกไปดูที่วิกอีกต่อไป ดังนั้น นี่ก็จะเห็นว่าเมื่อความเจริญและเทคโนโลยีเข้ามา ก็ทาให้สภาพของสังคมค่อยๆ เปลี่ยนไป และอีกด้านที่เปลี่ยน คือ การทามาหา กิน เช่น ร้านขายขนมเปียที่เปิดร้านและขายตั้งแต่ที่ชุมชนบ้านตลาดยังเป็นป่าที่ เริ่มมาบุกเบิกอยู่อาศัยซึ่งก็ถือเป็นร้านค้าร้านแรกๆ ที่เปิดขายเล่าว่า แรกๆทาง ร้านก็ใช้แรงงานคนในชุมชนมาช่วยทาขนมขายและใช้เตาจากถ่าน และพัฒนา เป็นเตาขนาดเล็กที่พอหาซื้อได้ แต่เมื่อมีการสร้างถนนทาให้สะดวกต่อการขนส่ง ท าให้ ท างร้ า นสั่ ง เครื่ อ งจั ก รจากต่ า งประเทศ ซึ่ งเริ่ ม แรกส่ ง มาทางเรื อ จาก ต่ า งประเทศและเมื่ อ มาถึ ง ประเทศไทยก็ ใ ช้ ร ถขนส่ ง มาที่ ร้ า น ซึ่ ง นี่ ก็ เป็ น


30

เครื่องจักรที่อานวยความสะดวกในการทาขนมทาให้ทาได้ในปริมาณที่มากขึ้น และเร็วขึ้น ทั้งนี้ก็เพราะเมื่อมีการสร้างถนนการที่ลูกค้าจะเข้าถึงสินค้าก็เป็นไป ได้ง่ายขึ้น เพราะการสัญ จรมาซื้อเป็นเรื่องง่ายดังนั้นจึงทาให้มีความต้องการ บริโภคในตั วสิ น ค้ ามากขึ้ น จึ งท าให้ ก ารค้ าขายในช่วงนี้ เน้ น ผลก าไรมากขึ้ น เพราะจากที่แต่ก่อนขายแค่คนในชุมชนหรือใกล้เคียงก็กระจายวงกว้างออกไป นั่นเอง ซึ่งนี่ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทาให้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เ กิดในชุมชน แห่งนี้ อีกทั้งการสร้างถนนยังทาให้เกิดการตั้งร้านค้าและบริการใหม่ๆ อันเกิด มากจากการย้ายถิ่นฐานทั้งเข้าและออก เพราะมีคนในชุมชนบ้างส่วนที่เลือกที่ จะย้ายออกจากชุมชนแห่งนี้เพื่อไปทางานที่กรุงเทพฯ หรือจังหวัดอื่นๆ ทาให้ เกิดพื้ น ที่ ว่างและก็มี คนจากภายนอกเข้ามาอยู่อาศั ยและมาเปิ ด ร้านค้ าและ บริ ก ารต่ า งๆ ที่ มี ค วามหลากหลายมากขึ้ น เช่ น ร้ า น pre-wedding ร้ า น อินเทอร์เน็ต ร้านเกม เป็นต้น และจากทั้งหมดที่กล่าวมาจะเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยต่างๆ ของชุมชนบ้านตลาด คือ ช่วงแรกช่วงก่อนรถไฟก็จะมีคนไทยและคนไทยเชื่อ สายจีนมาบุกเบิกอยู่อาศัยและมีปฏิสัมพันธ์กัน ซึ่งต่อมาก็มีการสร้างรถไฟก็ทา ให้ มี ค นจี น ที่ ม ากั บ การสร้างรถไฟเข้ ามาตั้ งถิ่ น ฐานท าให้ เกิ ด การขยายพื้ น ที่ เพิ่มขึ้น คือ บริเวณซอยสองและซอยสาม และได้เปิดร้านค้าต่างๆ ต่อมาเมื่อมี ถนนเพชรเกษมก็ทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เข้ามา เช่น ไฟฟ้า ประปา การขนส่งคมนาคม และเทคโนโลยีต่างๆ ที่เข้ามายังชุมชน แต่แม้ว่าสิ่งต่างๆ ใน ชุมชนจะเปลี่ยนแปลงไป แต่ สิ่ งหนึ่งที่ ยังคงอยู่ในชุมชนบ้ านตลาดแห่ งนี้ คือ ระบบเครือญาติที่ทุกคนยังคงช่วยเหลือเกื้อกูลกันและอยู่ด้วยกันอย่างเป็นชุมชน ที่มีปฏิสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้นดังเช่นในปัจจุบันนี้


31 รางรถไฟ

N

ทางรถไฟ

ซอย 2

ซอย 1 ซอยแม่ชี

ซอย 3

วัดหนองจอก

ซอยผลัดอุทิศ

โรงเรียนวัดหนองจอก

ร้านของชา ร้านอาหาร เกษตรกร ร้านขายยา ร้านทอง

โรงสี ร้านเย็บผ้า ร้านตัดผม บ้านหมอตาแย ร้านอุปกรณ์ไฟฟ้า

วัฒนธรรมบันเทิง ร้านขายรองเท้า

ภาพที่ 1.1 แผนที่แสดงร้านค้าในอดีตของบ้านตลาด


32

วิถีชีวิตพื้นที่บ้านตลาด หมู่ 6 ตาบลหนองจอก อาเภอท่ายาง จังหวัด เพชรบุรี ที่เคยเป็นพื้นที่อาเภอหนองจอกเก่าและยังเคยเป็นตลาดศูนย์กลางของ ชุมชน เพื่อให้เห็นภาพในอดีตตั้งแต่ช่วงเริ่มสร้างทางรถไฟเมื่อปี พ.ศ. 2442 จนถึงปัจจุบันพบว่าในบริเวณบ้านตลาดมีทั้งร้านค้าขายของโชห่วย ร้านอาหาร โรงสีข้าว ร้านตัดเย็บเสื้อผ้า ร้านทอง ร้านรองเท้า ร้านอุปกรณ์ไฟฟ้า ร้านขาย ยา บ้านหมอตาแย และวัฒนธรรมบันเทิงต่างๆ ดังนี้ 1) ร้านขายของชาพบ 10 ร้าน ในซอย 1 พบประมาณ 7 ร้าน จาก การสัมภาษณ์นางวันดี ศรีทอง อายุ 69 ปี ที่เคยมีร้านในบริเวณ ซอย 1 ซึ่งเริ่มเปิดร้านมาตั้งแต่แต่งงานใหม่ๆ ทาให้ทราบว่าส่วน ใหญ่ จ ะรั บ ของมาจากตั ว เมื อ งเพชร หรื อ มี ร ถมาส่ ง ของ และ สามารถสั่ งของกั บ รถสองแถวที่ ม าจากบริเวณใกล้ เคี ยงได้ เช่ น หนองจิ ก หนองตะปู สิ น ค้ า จะเป็ น ประเภทข้ า วสาร ข้ า วของ เครื่องใช้ในบ้าน อุปกรณ์เบ็ดเตล็ดต่างๆ ลูกค้าเป็นทั้งคนในพื้นที่ หมู่ 6 และคนนอกพื้นที่อย่าง หมู่ 7 หนองเกตุ แม้กระทั่งคนที่ใช้ บริการรถไฟหรือสัญ จรไปมา นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปชะอา โดยสินค้าจะขายส่งให้กับพ่อค้าแม่ค้าที่จะนาสินค้าไปขายในตลาด ที่อื่นด้วย เช่น หนองศาลา เมื่อก่อนเปิดร้านถึง 5 ทุ่มโดยเฉพาะ ช่วงที่เป็นเทศกาล มีงานวัด เพราะคนจะเยอะและคึกคักมาก จึงมี ลูกค้าอยู่ตลอด ในซอย 2 พบร้านขายของชา 1 ร้าน ส่วนบริเวณ ซอย 3 พบ 2 ร้าน คือร้านโชครุ่ง ซึ่งแต่เดิมขายอุปกรณ์การเกษตร ด้วย 2) ร้านอาหารพบ 8 ร้าน ในซอย 1 มีร้านอาหารประเภทเส้น เช่น ก๋วยจั๊บ ก๋วยเตี๋ยว ผัดไท เช่น ร้านของยายน้อย จันทรวงศ์ อายุ ประมาณ 80 ปี เป็น ร้านที่สืบทอดมาจากแม่ แต่เดิมแม่ของคุณ ยายเคยหาบขายตามทางรถไฟ และรับช่วงต่อเมื่ออายุประมาณ


33

14-15 ปี โดยรับของมาจากตัวเมืองเพชร มาขายผัดไทในตลาดนัด สมัยที่ตลาดยังอยู่ในวัดหนองจอก ลูกค้าก็เป็นทั้งคนในพื้นที่และ คนนอกพื้นที่ หรือแม้กระทั่งนักท่องเที่ยวที่ผ่านไปมา ร้านกาแฟ ของผู้ใหญ่ฟัก บัวสิริ เปิดตั้งแต่ 7.00 น. ถึงประมาณสายๆ ลูกค้าที่ เข้ามาซื้อเป็นทั้งคนหนองจิก หมู่ 7, 9 และนักท่องเที่ยว เนื่องจาก พื้นที่ข้างร้านเป็นศาลาของการทางรถไฟและยังใช้เป็นที่พักรอรถ ไฟด้ วย ร้านขนมเปี๊ ย ะ แต่ ก่ อ นท าแป้ งด้ ว ยมื อ เมื่ อ รถไฟเป็ น ที่ ขนส่งสินค้าสาคัญและสามารถสั่งสินค้าจากต่างประเทศได้จึงเริ่ม ใช้เครื่องทาขนมแทน ขายทั้งในช่วงไหว้เจ้า ตรุษจีน สารทจีน ปี ใหม่ ถือว่าเป็นของขึ้นชื่อของหนองจอก เป็นของฝาก เนื่องจากอยู่ ไม่ไกลจากทางรถไฟมากนัก 3) โรงสีข้าว พบ 5 แห่ง ด้วยกัน ได้แก่ของนายใช้, นายสงวน, นายยิ่ง โพธิ์ทอง, นายผล คาพ่วง และของช่างเปรียญ โรงสีของเจ๊กใช้จะ ใช้มื อในการสี ข้าว ส่ วนของช่างเปรียญจะใช้เครื่องในการสีข้าว ร้านที่ รับซื้อข้าวเปลือกจากหนองจิก หนองตะปู อย่างเช่น ข้าว กันตัง ข้าวเหลืองปะทิว ข้าวเหลืองเกษตร ข้าวแตงโม ข้าวเหล่านี้ เป็ น ข้ า ว 6 เดื อ น (ทองพู ล เหลื อ งประภาสิ ริ , สั ม ภาษณ์ , 28 พฤษภาคม 2559) เมื่อประมาณ 40-50 ปีก่อนราคาข้าวถังละ 7 บาท หรือไม่ก็โรงสีจะสีข้าวให้ฟรีแต่เก็บราข้าวกับปลายข้าวไว้เพื่อ นาไปขายต่อให้แก่เกษตรกรที่ทาการเลี้ยงสัตว์ (วรีพร ศิลาสิทธิพร, สัมภาษณ์, 28 พฤษภาคม 2559) 4) ร้านเย็บผ้า มีประมาณ 4 ร้าน รับตัดเสื้อ ชุดไทย ชุดนักเรียน ชุด ข้าราชการ เป็นการสั่งตัดไม่มีตัดขายหน้าร้าน ตัดเสื้อราคาตัวละ ประมาณ 80 บาท จะเป็นผ้าของทั้งทางร้านเองหรือของลูกค้าที่


34

ซื้อมาจากตัวเมืองเพชรหรือกรุงเทพฯ ใช้เวลาประมาณ 3 วันก็ตัด เสร็จ 5) ร้านทอง ทราบว่าเป็นพื้นที่ของนางเทศน์ อุดมศิลป์ แต่ไม่ทราบว่า เริ่มมีตั้งแต่เมื่อใด 6) ร้านอุปกรณ์ไฟฟ้าในซอย 2 เป็นร้านของเจ๊กเอ็ง ขายหลอดไฟ 7) ร้านรองเท้าพบในซอย 2 ตั้งอยู่ข้างกับร้านขายอุปกรณ์ไฟฟ้า เป็น ร้านของเจ๊กโป้ว รับรองเท้ ามาจากหัวหิน ส่วนใหญ่ เป็นรองเท้า เกี๊ยะ 8) ร้านขายยาทิพย์โอสถของยายถม ไม้แก้ว ตั้งอยู่บริเวณซอย 1 ขาย ยาหม้อ ยาแก้หวัด แก้ร้อนใน สมุนไพรจาพวกฟ้าทะลายโจร โดย รับสินค้ามาจากนอกพื้นที่ 9) บ้ านหมอต าแยตั้ งอยู่ บ ริเวณซอย 1 จากการสั ม ภาษณ์ คุ ณ ยาย ฉะอ้อน อายุ 89 ปี ยายฉะอ้อนเล่าว่าหมอตาแยเคยมาทาคลอดให้ ตั้งแต่มีลูกชายคนโต 10) วัฒนธรรมบันเทิง ในอดีตตามคาบอกเล่าของคุณยายฉะอ้อนเล่าว่า บริ เวณซอย 1 มี โรงฝิ่ น ของเจ๊ ก เฮง ลู ก ค้ า ส่ ว นใหญ่ เป็ น คนจี น โรงหนังของนายสีหมึก ไม้แก้วในซอย 3 ตั๋วราคาประมาณ 5 บาท ฉายหนังไทยเป็นแบบฟิล์มขาว-ดา เช่น หนังในยุคที่สรพงษ์ ชาตรี เล่นเป็นพระเอก นายสีหมึ กยังพากย์หนังเองด้วย เปิดอาทิตย์ละ ครั้ง เริ่มฉายประมาณ 1 ทุ่ม โดยฉายวันละเรื่อง และถือว่าเป็นจุด นั ด พบของวั ย รุ่ น คนจากในพื้ น ที่ ห รื อ นอกพื้ น ที่ จ ากหนองจิ ก หนองเกตุ หน้าโรงหนังจะให้คนเช่าร้านขายอ้อยควั่น กล้วยทอด เป็นร้านของคนในพื้นที่ ซึ่งโรงหนังของนายสีหมึก จะไม่มีช่วงขาย ยาเนื่ อ งจากเสี ย ค่ า ตั๋ ว หนั ง แตกต่ า งจากวิ ก หนั งกลางแปลงใน


35

บริเวณวัดหรือบริเวณสนามเด็กเล่นในปัจจุบันซึ่งจะดูฟรีและมีช่วง พักโฆษณาขายยาด้วย 10.1. วัฒนธรรมดนตรี วั ฒ นธรรมบั น เทิ งของบ้ านตลาดมี ลั ก ษณะที่ 1) ความบั น เทิ งแบบ ปั จ เจกบุ ค คล เป็ น ของฆราวาส (Individualistic, Secular) และ 2) ความ บันเทิงที่สมาชิกของสังคมเป็นเจ้าของร่วมกัน ที่มีความศักดิ์สิทธิ (Collective, Sacred) ซึ่งความบันเทิงทั้ งสองรูปแบบนี้ล้วนเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา และ เทคโนโลยีที่ยุคสมัยเหล่านั้นนามาด้วยหรือบางครั้งอาจเปลี่ยนสถานะไปตามยุค สมัยอีกด้วย เช่น โทรทัศน์ขาวดา คือเมื่อโทรทัศน์ขาวดาเข้ามาในชุมชนเป็น เครื่องแรก บ้านแรกที่มีมักเป็นผู้ใหญ่บ้าน ทาให้มีการนัดดูโทรทัศน์รวมกันใน ชุมชนในวันศุกร์เย็น (คัมภีร์ เอี่ยมสะอาด อายุ50ปี , สัมภาษณ์ 28 พฤษภาคม 2559) ต่อมาเมื่ อโทรทั ศน์ สีเข้ามา และมี ราคาถูกลง ก็กลายเป็ นของประจา ครัวเรือนที่มีกันทั่วไป ซึ่งภาพของผู้คนชมภาพยนตร์ยามว่างในบ้านของตนนี้ ก็ คือหนึ่งในความบันเทิงที่เปลี่ยนสภาพไปเป็นของส่วนตัวนั่ นเอง ซึ่งการเข้ามา ของเทคโนโลยีหรือการคมนาคมรูปแบบใหม่เหล่านี้ นอกจากจะทาให้เกิดการ เข้าไปศึกษาในกรุงเทพฯ และตัว เมื องเพชรบุรีมากขึ้น แล้ว ยังท าให้ รูป แบบ วัฒ นธรรมบันเทิ งที่ มีอยู่ในบ้านตลาดปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยอีกด้วย โดย วัฒนธรรมที่มีบทบาททั้งในทางส่วนตัวและส่วนรวม ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ใน ปัจจุบันนั้น คือวัฒนธรรมดนตรีของบ้านตลาด 10.1.1. วงปี่พาทย์เพชรงามภิรมย์ ในปี พ.ศ. 2559 ต าบลหนองจอกมี วั ฒ นธรรมดนตรีที่ เชื่ อ มโยงกั บ พิธีกรรมเป็นส่วนใหญ่ คือการจ้างวงดนตรีมาใช้ในพิธีกรรม เช่น งานศพ, งาน บวช, งานผี ม ด ซึ่ งงานที่ เฉพาะเจาะจงว่ าต้ อ งใช้ วงปี่ พ าทย์ ก็ มี เพี ย งงานศพ


36

เท่านั้น โดยไพบูลย์ เพชรงาม อายุ 70 ปี (สัมภาษณ์ 30 พฤษภาคม 2559) หัวหน้าวงปี่พาทย์เพชรงามภิรมย์ ได้ให้ข้อมูลถึง “โอกาส” เล่นของวงปี่พาทย์ ในยุคหลัง (ไม่ทราบปีแน่ชัด) ว่า งานประจาที่มีมานานแล้วคืองานศพ แต่สมัย พ่ อ ของตนยั งเป็ น หั วหน้ าวงอยู่ส ามารถรับ งานได้ เยอะและหลากหลายกว่า เพราะทั้งลิเกและงานรื่นเริงก็ยังจ้างวงปี่พาทย์ แต่ปัจจุบันงานหลักจะเน้นไปใน งานพิธีกรรมของวัดเสียมากกว่า และหากจะมีงานประเภทอื่นนอกจากงานศพ และลิเก (ที่จัดน้อยลง) ถึงมีก็ไม่บ่อยนัก และต้องเดินทางเข้าตัวเมืองเพชรบุรีไป เล่น วงปี่พาทย์เพชรงามภิรมย์ในอดีตเป็นของ หลี่ เพชรงาม ผู้เป็นบิดาของ ไพบูลย์ ผู้อยู่อาศัยที่วัดหนองจอกในวัยเด็ก เรื่ อ งของปู่ ห ลี่ ถื อ เป็ น ลั ก ษณะหนึ่ ง ที่ ท าให้ ว งปี่ พ าทย์ เกี่ ย วข้ อ งกั บ “ความเป็นส่วนรวม” และ “ความศักดิ์สิทธิ์” เนื่องจากในสมัยของปู่หลี่ ผู้เรียน ดนตรีไทยมักเป็นผู้อาศัยวัด และ “คุณพ่อแฝง” เจ้าอาวาสวัดหนองจอกในสมัย นั้น มีนโยบายให้ครูสอนดนตรีจากในตัวเมืองเข้ามาสอนเด็กในวัดที่สนใจดนตรี ไทย ด้วยความที่เป็นนายช่างที่รับงานของวัดอยู่แล้ว ปู่หลี่จึงทาเครื่องดนตรีใน วงบางชิ้นเอง เช่น แกะท่อนไม้ให้เป็นฐานระนาด, ฐานฆ้องวงใหญ่, ฐานฆ้องวง เล็ก, ทากลองทัด กลองตะโพน, รวมถึงทาตัวฆ้องเอง การแกะสลักไม้จะเป็ น การทาเครื่องมอญ คือมีลวดลายประดับ และการเน้นสีแดงกับสีทองเป็นหลัก ในปั จ จุ บั น ไพบู ล ย์ ก็ รับ ต าแหน่ งต่ อ จากพ่ อ ของตน แต่ เขาเล่ าว่าความรู้ช่ าง บางอย่างก็ไม่ได้รับการสืบทอดมา เพราะตนเคยเรียนดนตรีไทยช่วงวัยรุ่น แต่ กว่ า จะกลั บ มาสนใจก็ เป็ น ตอนต้ อ งกลั บ มาสื บ ทอดจากบิ ด าแล้ ว งานช่ า ง บางอย่างจึงหายไปด้วย เช่น การแกะไม้ให้เป็นฆ้องวงมอญ ที่มีฐานเป็นรูปตัว “U” แนวตั้งนั้น ต้องใช้ทักษะและประสบการณ์มากพอสมควร ไพบูลย์จึงแกะ ฐานของเครื่องอื่นอย่าง ระนาดเอก, ระนาดทุ้ ม และทากลองหนังเอง แต่ไม่ สามารถทาอุปกรณ์ ที่เป็นเหล็กเองได้ ซึ่งในปัจจุบันก็หาซื้อได้ง่ายกว่า ดังนั้น อุปกรณ์ที่เป็นโลหะจึงทาเองแค่การตั้งเสียงเท่านั้น


37

การสืบต่อวงปี่พาทย์ทางเครื อญาติไม่ได้จบที่รุ่นของไพบูลย์ เพราะมี ทายาทรุ่ น ต่ อ ไป คื อ โค้ ก หรื อ พิ เชฐ เพชรงาม อายุ 30 ปี (สั ม ภาษณ์ 30 พฤษภาคม 2559) ผู้เป็นทั้งลูกชายคนเล็ก และมือฆ้องเล็กประจาวง ขุน นันทพล เพชรงาม อายุราว 31-35 ปี (สัมภาษณ์ 30 พฤษภาคม 2559) ลูกคนกลางของไพบูลย์ เล่นกลองตะโพนให้วงเมื่อว่างกลับมาบ้าน ทั้งขุน และโค้กไม่ได้เล่นดนตรีไทยเพียงอย่างเดียว หากว่างก็จะเล่นเครื่ องตะวันตก เป็นวงด้วยกัน ซึ่งอิทธิพลจากดนตรีตะวันตกก็แสดงออกมานอกห้องซ้อมของทั้ง คู่บ้าง โดยเฉพาะในเพลงมอญท่าทรายที่เล่นในงานศพ ซึ่งโดยปกติแล้ววงจะ กาหนดให้มือกลองตีจังหวะหน้าทับ คือ เป็นอัตราส่วนสั้น ที่ขุนบอกว่าวงเพชร งามภิรมย์กาหนดเพียงโครงเพลงให้เท่านั้น ส่วนนักดนตรีแต่ละคนสามารถพาวง ออกนอกโครงเพลงได้ตามชอบหากมีทักษะพอ ซึ่งในเพลงมอญท่าทราย กลอง ตะโพนมีการตีจังหวะสั้นแบบหน้าทับจริง แต่บางท่อนมีการเพิ่มจังหวะเหวี่ยง (Swing) เข้าไปด้วย ในอีกกรณีก็พบว่ามีบางเพลงที่มือระนาดเอกพาทั้งวงออก จากโครงเพลงไปเลยก็มี คือ นาออกจากเพลงด้วยการเล่นเร็วแบบด้น ทาให้วง ต้องตามและไปจบที่อีกเพลง ซึ่งแม้การเล่นลักษณะนี้จะมีอยู่ใน “เพลงเรื่อง” (เพลงที่ประกอบด้วยหลายเพลงเชื่อมกัน) อยู่แล้ว แต่ปฏิสัมพันธ์ของสมาชิกใน วงเป็นลักษณะหันไปคุยกันระหว่างเล่นเพื่อนัดจังหวะ มีการพูดเล่นเมื่อจบลง จังหวะในเพลงด้น ซึ่งจะไม่ใช่ลักษณะการประชันวัดฝีมือ ความสัมพันธ์ของภายในวงจึงไม่ใช่แบบครูเพลง เพราะวัดหนองจอกใน ปัจจุบันไม่มีพระที่ดูแลเครื่องดนตรีเป็นแล้ว วัดจึงไม่ใช่ที่เรียนดนตรีเหมือนก่อน แต่เป็นการส่งนักเรียนไปเรียนกับครูจากตัวเมืองมากกว่า บรรยากาศการเล่ นจึง ไม่ตึงเครียดหรือกดดันมาก และปัจจัยหนึ่งที่ทาให้ความสัมพันธ์ต่างจากวงปี่ พาทย์เดิมเพราะมี ลักษณะเป็นกึ่งโรงเรียนกวดวิชาด้วย เพราะนักดนตรีจาก คณะเพชรงามภิรมย์ในรุ่นหลังมานี้ก็มีจานวนหนึ่งที่สอบเข้าคณะดุริยางคศิลป์ที่ มหาวิทยาลัยมหิดลหรือบางส่วนก็เลิกเล่นดนตรีไปเลยเมื่อเข้าเรียนต่อ ซึ่งจะ


38

ต่างกับวงปี่พาทย์อีกวง ที่เจ้าของวงอยู่ในสมัยของระบบครูเพลงแบบเดิม ซึ่งก็ คือวงของครูรอด 10.1.2. วงปี่พาทย์ครูรอด ปัจจุบัน รอด คาหงส์ หรือครูรอด มีอายุ 94 ปีแล้ว และมีปัญหาด้าน การได้ยิน ภาพความสัมพันธ์ของคนดนตรีจึงถูกเล่าโดย น้อง คาหงส์ อายุ 60 ปี (สัมภาษณ์ 30 พฤษภาคม 2559) ลูกสาวคนเล็กของครูรอด ที่เล่าเกี่ยวกับความ เป็นมาของวงปี่พาทย์ที่แทบไม่เหลือร่องรอยแล้ว ครูรอดเดิมอยู่ตาบลมาบปลาเค้า เริ่มสนใจดนตรีช่วงวัยรุ่น ราวปี พ.ศ. 2481 ด้วยการนั่งฟังใต้ถุนบ้านครูสอนระนาด ที่ไม่ยอมรับตนเป็นศิษย์ แต่ก็หัด ฟังกลับไปฝึกเองจนเล่นได้ เมื่อย้ายมาตั้งถิ่นฐานมีภรรยาที่หนองจอกก็ไม่ยึด อาชีพอื่นนอกจากการเล่นและสอนดนตรี ด้วยความที่ครู รอดเล่นเครื่องในวงได้ ครบทุกชิ้น จึงรับลู กศิษย์ได้ทุ กเครื่อง โดยจากคาบอกเล่าของป้ าน้อง ทั กษะ ระนาดเอกของครูรอดในช่วงที่ยังเล่นได้คล่องแคล่ว สามารถปิดตาเล่นระนาด เอกเพลงเร็วได้ งานที่ครูรอดรับนอกจากสอน คือ งานเกี่ยวกับวัดต่างๆ และ งานลิเก แต่ช่วงเวลานั้น “ไม่มีเครื่องมอญ” ในวง เป็นเครื่องไทยทั้งหมด เป็น ช่ ว งที่ ปี่ พ าทย์ ยั ง เป็ น ความบั น เทิ ง หลั ก ในด้ า นเสี ย ง เพราะลิ เกที่ ส นุ ก นั้ น นอกจากบทดีก็ต้องมีเสียงที่เร้า หรือชักนาอารมณ์ผู้ชมด้วย ทาให้การจ้างวงปี่ พาทย์มีบ่อยกว่าปัจจุบันที่ดนตรีตะวันตกได้ความนิยมมากกว่า จากความทรงจาของป้าน้อง เดิมเครื่องวงปี่พาทย์ในหนองจอกมีเพียง เครื่องไทยเท่านั้น เพลงที่เล่นก็เป็นเพลงไทย เครื่องมอญและลักษณะการเล่น เพลงมอญนั้นถูกนามาผสมผสานด้วยเมื่อป้าน้องอายุประมาณ 15 ปี คือราวๆปี พ.ศ. 2514 เท่านั้น และเครื่องมอญก็กลายเป็นเครื่องมาตรฐานของวงปี่พาทย์ ในตาบลหนองจอกตั้งแต่นั้นมา


39

เนื่องจากปัจจุบันครูรอดขายวงปี่พาทย์ไปแล้ว คือ ขายเครื่องดนตรี ออกจากบ้านไปหมดและเลิกรับงานดนตรี ความรู้ที่ถูกสืบทอดต่อจึงเป็นหน้าที่ ของศิษย์ คือ “ตาแผว” (แผว ไม้แก้ว) ที่เป็นครูสอนดนตรีที่โรงเรียนหนองจอก วิทยา ปัจจุบั นป้าน้องมีรายได้หลักจากการทาสวนและเลี้ยงหมู และไม่ได้จับ เครื่องดนตรีม านานแล้ ว แต่เนื่ องจากลู กศิษ ย์รุ่นที่ เรียนกับครูรอดโดยตรงก็ เสียชีวิตไปมากแล้ว จึงทาให้หลักฐานเรื่องเสียงไม่ปรากฏเท่าใดนัก 10.1.3. วงดนตรีงานบวช

ภาพที่ 1.2 เมโลดี้หลักเพลงงานบวช วงดนตรีที่นามาใช้ในการเทียบวัฒนธรรมดนตรีของตาบลหนองจอกใน กรณี นี้ คือ วงงานบวช บันทึ กเสียงในช่ วงแห่ขบวนเต้นของผู้เข้าร่วมงาน วง ประกอบไปด้วยเครื่องเป่าทองเหลืองอย่างทรัมโบน, แซ็กโซโฟน และเครื่อง ประกอบจังหวะอย่างเบสดรัม, ฉาบ เป็นต้น เมื่อบันทึกชุดโน้ตซ้า (motif) ของ แซ็ ก โซโฟนโดยไม่ ก าหนดสั ด ส่ ว นเวลาและก าหนดกุ ญ แจฟาเป็ น เครื่อ งเป่ า ทองเหลืองอื่นที่เล่นตอบ โดยแบ่งท่อนส่งอยู่ในสองท่อนแรกและท่อนเล่นตอบ รั บ อยู่ ใ นสองห้ อ งหลั ง พบว่ า วงมี ลั ก ษณะการเล่ น แบบดนตรี ไ ทย หรื อ เฉพาะเจาะจงกว่านั้นคือเล่นเพลงคล้ายคลึงกับปี่พาทย์ เพราะในการเล่นรับส่ง ในห้องสุดท้ายนั้น เป็นการเล่ นขั้นคู่แปดตอบกันระหว่างเครื่อง โดยมีกลองตี


40

กากับในจังหวะที่ 1 และ 4 คือตัว “Bb” (ทีแฟลต) ที่เมื่อนาสัญลักษณ์กากับคีย์ (Key Signature) มาประกอบในการบั น ทึ ก ด้ ว ย ก็ นั บ ได้ ว่ า อยู่ ใ นคี ย์ “Bb Major” ซึ่งอยู่ในย่านเสียงใกล้เคียงกับดนตรีไทยที่สุด


41

2.3.1 บ้านตลาดในปัจจุบัน

ภาพที่ 1.3 แผนผังชุมชนบ้านตลาดปัจจุบัน


42

จากการลงพื้นที่เก็บข้อมูลภาคสนามที่ชุมชนบ้านตลาด กลุ่มของพวก เราได้ทาการทาแผนที่ภายในชุมชนแบบขยายเพื่อแสดงให้เห็นถึงประวัติความ เป็นมาและพัฒนาการตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันของย่านชุมชนบ้านตลาดได้อย่าง ชัดเจน โดยอาศัยการเก็บข้อมูลจากการสอบถามเจ้าของบ้าน หรือชาวบ้านใน บริเวณนั้น แบ่งเป็นทั้งหมด4 ส่วน ได้แก่ ซอย1 ซอย2 ซอย3 และบริเวณหน้า สถานีรถไฟ โดยมีข้อมูลดังนี้ ซอย 1 เป็นซอยที่ตั้งของวัดหนองจอก อาจเป็นเหตุผลที่ทาให้เป็นซอย ที่มีความคึกคักมากที่สุดในชุมชนบ้านตลาด เพราะชุมชนบ้านตลาดมีวัดหนอง จอกเป็นเสมือนศูนย์รวมจิตใจของชาวพุทธในชุมชน อีกทั้งในวันอาทิตย์ยังเป็น พื้นที่ตลาดนัดเช้าอีกด้วย โดยพื้นที่ในซอย 1 ที่สามารถรวบรวมข้อมูลมาได้มี ดังนี้ดังนี้ 1) ร้านขายของชา จานวน 5 ร้าน โดยประมาณ ซึ่งส่วนใหญ่นั้นจะ เป็นร้านขายของชาที่ขายของตั้งแต่อดีตและปัจจุบันก็ยังคงดาเนิน กิจการต่อไป ยกตัวอย่างเช่น บ้านของคุณป้ารัชนี ได้กล่าวว่า แต่ก่อนก็ขายของชา ขายตั้งแต่ร้านเดิมอยู่หน้าวัด ส่วน ใหญ่ขายของใช้ทั่วไปนี่แหละ ชาวบ้านก็ขับมอไซต์มาซื้อกันตลอด แต่เย็นๆเริ่มเงียบก็ปิดร้านแล้ว (รัชนี ผ่องแพ้ว, 2559: สัมภาษณ์)

หรือร้านชาของน้าหนู ได้เล่าให้ฟังว่า เดิ ม แม่ น้ า เป็ น คนจี น ท าร้ า นขายของช ามานานแล้ ว ตอนนี้ก็ยังเปิดร้านอยู่นะขายพวกข้าวสาร อาหารแห้ง (ธารณี พยมธนะ, 2559: สัมภาษณ์)


43

2) ร้านอาหาร จานวน 2 ร้าน โดยประมาณ ซึ่งร้านที่หนึ่งเป็นร้าน สภากาแฟของคุณยายฉะอ้อน ซึ่งคุณยายได้เล่าว่า ขายกาแฟมานานแล้ว เปิ ด ตั้ งแต่ เช้ าเลย สายๆ ก็ ปิ ด เดี๋ย วนี้ เปิ ด เป็ น สภากาแฟให้ คนมานั่ งคุย กั น ขายวัน ละ 8 แก้ ว เท่านั้นแหละ (ฉะอ้อน ปักษานนท์, 2559: สัมภาษณ์)

3) เกษตรกรรม จานวน 2 บ้าน โดยประมาณ ยกตัวอย่างเช่น บ้าน ของคุณป้าสุวรรณ แก้วสะอาด ได้เล่าให้ฟังว่า เดิมทีป้าไม่ใช่คนที่นี่ เป็นคนสุพรรณเพิ่งย้ายเข้ามาไม่ นาน ทาอาชีพทานาทาไร่ ปลูกพวกมะนาว กล้วย มะละกอ ขาย ตามนัดนี่แหละ ขายเองบ้าง มีคนมารับไปขายบ้าง แต่มะนาวจะ ขายส่ ง ให้ แ ม่ ค้ า ที่ ค ลองเตย มะม่ ว งก็ มี น ะตอนนี้ ข ายโลละ 60 บาท (สุวรรณ แก้วสะอาด, 2559: สัมภาษณ์)

4) ร้านเสื้อผ้าและซักรีด จานวน1 ร้าน ซึ่งตั้งอยู่บริเวณตรงข้ามกับวัด เจ้าของ คือ พี่กาญจนี เพิ่งมาเปิดร้านซักรีดในบริเวณนี้ได้ประมาณ 10 ปี โดยได้เล่าว่า จริงๆ เป็นคนนครพนมแล้วได้แฟนเป็นคนที่นี่ เลยย้าย มาอยู่กับแฟน แล้วก็เปิดร้านซักรีดนี่แหละ (กาญจนี, 2559: สัมภาษณ์)


44

ส่วนอีกร้านหนึ่งจากการสอบถามได้ความว่าเป็นการเช่าพื้นที่ เพื่อทาร้านตัดเย็บเสื้อผ้า เจ้าของร้านจะเข้ามาในวันเสาร์อาทิตย์ เท่านั้น 5) ร้านเสริมสวย ตัดผม จานวน 1 ร้าน นั่นคือร้านเสริมสวยของป้า นาง ได้กล่าวถึงบ้านของตนที่ได้เช่ามาทาเป็นร้านเสริมสวยว่า ป้าเช่าเขาเดือนละ 1,000 บาทเอง เดิมอยู่หนองเกตุ แต่ ตอนนั้นน้าประปาไม่ดี เลยมาเช่าที่นี่ทาร้านทาผม ลูกค้าเยอะนะ เป็ นชาวบ้านนี่ แหละ หรือบางที คนที่ มางานวัดนี่ เขาก็มาท าผม แต่งหน้ากันตลอด (ศิริณทิพย์ เกตุรัตน์, 2559: สัมภาษณ์)

ในส่วนของบ้านที่เหลือ จากการสอบถามชาวบ้านบริเวณนั้นพบว่าส่วน ใหญ่จะเป็นบ้านเรือนที่อยู่อาศัยมากกว่าเป็นร้านค้า อีกทั้งส่วนใหญ่จะมีอาชีพ รับราชการที่ตอนกลางวันจะปิดบ้านไว้ แต่จะกลับมาบ้ านในตอนเย็นๆหรือ หัวค่าแล้ว ซอย 2 เป็นซอยที่อยู่ตรงกลางชุมชนบ้านตลาด ในปัจจุบันจะเป็นซอย ที่ค่อนข้างเงียบมากที่สุด ซึ่งจากการสอบถามและสัมภาษณ์แล้วพบว่าส่วนใหญ่ จะเป็นบ้านเรือนที่อยู่อาศัยที่ถูกปิดทิ้งไว้ เพราะเจ้าของบ้านมักจะย้ายไปอาศัย อยู่ ในตั วเมื อ งหรือ ในกรุงเทพฯ และจะกลั บ มาบ้ านในวัน หยุ ด หรือ เทศกาล เท่านั้น แต่ถึงอย่างไรก็ยังมี บางหลังที่ยังคงเปิดใช้งานอยู่ยกตัวอย่างเช่น ร้าน ขนมเปี๊ยะของเจ๊กตี๋ ที่ใช้ห้องแถวจานวน 5 ห้องติดกัน อยู่บริเวณต้นซอย 2 ใช้ เป็นโรงงานผลิตขนมเปี๊ยะชื่อดัง ซึ่งร้านขนมเปี๊ยะนี้ เป็นของขึ้นชื่อประจาชุมชน แห่ งนี้ ไม่ ว่าใครที่ ม าหนองจอกก็ มั กจะแวะซื้ อ ขนมเปี๊ ย ะเป็ น ของฝากทั้ งสิ้ น นอกจากนั้นยังมีร้านขายยา จากการสอบถามชาวบ้านทราบว่าเป็นคนกรุงเทพฯ


45

มาเปิดร้านเพียงไม่กี่ปีเท่านั้นและถัดมากลางซอยก็เป็นร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ที่ อยู่กลางซอย2 จากคาบอกเล่าของน้าหนูได้กล่าวว่า “มาที่นี่ไม่ค่อยเห็นเด็กๆ หรือวัยรุ่น ความจริงแล้วมันไปอยู่กันในร้านเกมส์นี่แหละ ออกไปสุมหัวกันตั้งแต่ เช้ า เย็ น ๆ นู่ น ถึ ง จะกลั บ เข้ า บ้ า นกั น ” (ธารณี พยมธนะ, สั ม ภาษณ์ , 30 พฤษภาคม 2559) นอกจากนั้นยังมีร้านต่างๆ ภายในซอย 2 อาทิเช่น ร้านตัด ผม ร้านผัดไท ร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ เป็นต้น ซอย 3 เป็นซอยที่แต่เดิมนั้นเป็นพื้นที่โล่งๆ มีแต่ป่าหญ้า แต่ปัจจุบัน กลายเป็นย่านที่มีชาวบ้านมาสร้างบ้าน หมู่บ้านจัดสรร และมีการสร้างถนนเป็น ทางผ่านไปยังปึกเตียนได้ ทาให้ซอย 3 เริ่มคึกคักและมีผู้คนสัญจรไปมามากขึ้น ทั้งคนในชุมชนและนักท่องเที่ยว ซึ่งจากการสอบถามพบว่าในซอย 2 ส่วนมาก จะเป็นบ้านเรือนที่อยู่อาศัย นอกจากนั้นจะเป็นร้านต่างๆ ได้แก่ ร้านตัดเสื้อผ้า ร้านเสริมสวย ร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ ร้านอาหาร ร้านขายของชาและ โต๊ะ สนุ๊กเกอร์ เป็นต้น โดยมีข้อมูลดังนี้ 1) ร้านตัดเสื้อผ้า ซึ่งอยู่บริเวณต้นซอย 3 เป็นร้านของภรรยาคุณลุง ไพศาล ซึ่งคุณลุงได้เล่าว่า เดิมเป็นคนอยุธยาแต่มาเป็นตารวจที่ นี่ ส่วนแฟนก็ท า ร้านตัดเย็บเสื้อผ้า ตอนนี้รับแค่งานเล็กๆ เท่านั้นแหละ พวกงาน แก้ซิป ตัดผ้าเล็กน้อย ถ้าตัดเป็นชุดเขาก็ไม่ได้ทาแล้ว (ร้อยตารวจโทไพศาล สมทอง, 2559: สัมภาษณ์)

2) ร้านขายของชา ในปัจจุบันมีทั้งหมด 3 ร้านโดยประมาณซึ่ง 2 ร้าน ที่เป็นร้านเก่าแก่ทากิจการเปิดร้านขายของชามาตั้งแต่เดิม ส่วนอีก 1 ร้าน เป็นผู้มาเช่าที่เพื่อเปิดกิจการภายในหลัง ซึ่งจาก คาบอก เล่าของ เจ้าของร้านโชครุ่ง ได้กล่าวว่า


46 ร้านของพี่เป็นร้านขายของชาเปิดมาตั้งนานแล้ว แทบ เป็ น ร้ า นใหญ่ ที่ สุ ด ในย่ า นนี้ เ ลย ลู ก ค้ า มี ทั้ ง คนในชุ ม ชนกั บ นั ก ท่ อ งเที่ ย ว เพราะถนนเส้ น นี้ มั น ตั ด ไปปึ ก เตี ย นได้ แ ล้ ว นักท่องเที่ยวขับเข้ามา 5 โลเอง เขาก็เข้ามาซื้อของร้านพี่อะ ร้าน พี่ ข ายหลายอย่างพวกของช า ขนม เครื่อ งเขี ย น เครื่อ งมื อ ช่ าง เครื่องมือทางการเกษตรมีหมดแหละ ทาให้ลูกค้าก็เยอะนะ มีเข้า มาซื้อตลอด (สิทธิพงศ์ อินทนิล, 2559: สัมภาษณ์)

ในส่วนบริเวณพื้นที่หน้าสถานีรถไฟ จะเห็นได้ว่าส่วนใหญ่เป็นบ้านคนที่ รกร้างหรือ บางบ้ านจะถู ก ปิ ด ตาย ซึ่ งจากค าบอกเล่ าจากชาวบ้ านคนเล่ าว่า ภายในปี พ.ศ. 2560 ที่ ดินบริเวณนี้จะถูกการรถไฟเวนคืนเพื่ อที่จะสร้างทาง รถไฟรางคู่และบ้านบริเวณนี้ก็จะต้องถูกเชิญออกทั้งหมด ทาให้บางบ้านได้ทา การย้ายออกไปก่อนหน้านี้แล้ว หรือบางบ้านเมื่อทราบข่าวก็ปล่อยบ้านเรือนให้ อยู่ในสภาพทรุดโทรมไม่ได้ดูแลอะไร เพราะทราบดีว่าวันหนึ่งก็ต้องย้ายออกไป ทาให้บริเวณหน้าสถานีรถไฟค่อนข้างเงียบเหงา มีเพียงร้านขายของชา สภา กาแฟ ร้านอาหารและบ้านเรือนไม่กี่หลังเท่านั้น ยกตัวอย่างบ้านของคุณป้าเข็ม ทอง ได้เล่าให้ฟังว่า ป้าเคยเป็นครูมาก่อน แต่ตอนนี้เกษียนแล้ว ป้าอยู่บ้าน ตรงนี้ มาตั้งแต่ เล็ก เมื่อ ก่อนตรงสถานี คึกคักมาก มี คนมาเที่ ย ว เยอะ ข้างๆ บ้านป้าเป็นสภากาแฟก็มีลูกค้ามานั่งเยอะ ทั้ง คนที่นี่ แล้วก็นักท่องเที่ยว แต่เดี๋ยวนี้มันเงียบ บ้านข้างๆ เขาก็ย้ายออกไป นานแล้ว เขาจะทารางรถไฟคู่ไง ต่อไปป้าก็จะย้ายออกแล้ว ตอนนี้ ปลูกบ้านอยู่ใกล้จะเสร็จแล้ว (เข็มทอง ขาขม, 2559: สัมภาษณ์)


47

ซึ่ งจากการรวบรวมข้ อ มู ล ทั้ งหมด อาจสรุป ได้ ว่า บริ เวณซอย 1 ใน ปัจจุบันยังคงคึกคักมากที่สุดเหมือนในอดีต อาจเป็นเพราะใกล้กับ วัดหนองจอก มากที่สุด แต่พบว่ามีการปิดตัวของร้านค้าลงหลายร้านแต่เปลี่ยนมาบ้านเรือนที่ ใช้อยู่อาศัยเท่านั้น นอกจากนั้นยังพบว่ามีคนนอกพื้นที่เข้ามาอาศัยและประกอบ อาชีพในชุมชนบ้านตลาดมากยิ่งขึ้น ส่วนซอย 2 ในปัจจุบันเป็นซอยที่คึกคักน้อย ที่สุด เนื่องจากส่วนใหญ่ เป็นบ้านพักอาศัยและบางหลั งถูกปิดไว้ไม่มีคนอยู่ มี เพียงบางบ้านที่จะกลับมาในวันเสาร์อาทิตย์เท่านั้น และซอย 3 ถือว่าเป็นซอยที่ มีการพัฒนามากขึ้น เพราะจากเดิมเป็นซอยที่เจริญน้อยที่สุดและมีพื้นที่ที่เป็น ป่า แต่ปัจจุบันเมื่อมีถนนตัดผ่านไปยังปึกเตียน ทาให้เกิดร้านขายของชาเพิ่มขึ้น และเกิ ด การสร้ า งบ้ า นเรื อ นและบ้ า นจั ด สรรมากขึ้ น นอกจากนั้ น ยั ง มี นักท่องเที่ยวที่ใช้ถนนตัดไปยังปึกเตียนสัญจรไปมามากขึ้นและบางครั้งก็ใช้เป็น เส้นทางเพื่อมาซื้อของใช้ที่ร้านขายของชาในซอย 3 ทาให้ซอย 3 มีความคึกคัก มากกว่าเดิมเป็นอย่างมาก

4. ระบบเครือญาติในชุนชนบ้านตลาด เพื่ อให้เห็ น ภาพของชุม ชน การตั้งถิ่น ฐานและปฏิ สัมพั น ธ์ของคนใน ชุมชนบ้านตลาดในอดีตได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น การสืบข้อมูลเรื่องระบบเครือ ญาติผ่านตระกูลเก่าแก่ในพื้นที่จึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถช่วยขยายภาพของ ทั้งตัวชุมชนทางกายภาพและคนในชุมชนได้ โดยจากการลงพื้นที่เ ก็บข้อมูลใน ชุ ม ชนพบว่ า ตระกู ล ที่ เข้ า มาตั้ ง ถิ่ น ฐานในพื้ น ที่ บ ริ เวณชุ ม ชนบ้ า นตลาดใน ปัจจุบันมีทั้งหมด 6 ตระกูลด้วยกัน คือ


48

4.1. ตระกูลไม้แก้ว ตระกูลไม้แก้วเป็นตระกูลที่ประกอบอาชีพทานาและค้าขายเป็นหลัก โดยต้นตระกูลเข้ามาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่บ้านตลาดในปี พ.ศ. 2475 โดยประมาณ บ้านหลังแรกของตระกูลอยู่ในบริเวณโรงเรียนวัดหนองจอกเก่า ก่อนจะย้ายออก จากพื้นที่โรงเรียนหนองจอกเก่าไปสร้างบ้านบริเวณถนนซอย 3 ใกล้กับสถานี อนามัยเก่าในปัจจุบัน ปัจจุบันสายตระกูลไม้แก้วมีการกระจายตัวกันออกไปยัง จังหวัดต่างๆ และพื้นที่ใกล้เคียง มีเพียงบางส่วนที่ยังคงอาศัยอยู่ในพื้นที่บ้าน ตลาด โดยสายตระกู ล ไม้ แ ก้ วที่ ยั งคงอาศั ย อยู่ ในพื้ น ที่ มี ก ารสร้างที่ อ ยู่ อ าศั ย กระจายกันในบริเวณซอย 3 (จรัส ไม้แก้ว, สัมภาษณ์, 30 พฤษภาคม 2559) 4.2. ตระกูลดิษฐ์วงศ์ ตระกูลดิษฐ์วงศ์ เป็นตระกูลเชื้อสายไทยแท้ ต้นตระกูลคือ นายอุดม และนางม้อย ดิษฐ์วงศ์ เข้ามาตั้งถิ่นในพื้นที่บ้านตลาดครั้งแรกในปี พ.ศ. 2489 โดยประมาณ บ้านหลังแรกและหลังเดียวของตระกูลดิษฐ์ วงศ์ตั้งอยู่บริเวณกลาง ซอย 2 พื้นที่ร้านขายส้มตาในปัจจุบัน ซึ่งร้านขายส้มตานอกจากจะเป็นกิจการ ของลูกหลานในตระกูลแล้วก็ยังคงเป็นที่ อยู่อาศัยของสายตระกูลที่ยังอาศัยอยู่ ในพื้นที่ปัจจุบันด้วย (บุนนาค ดิษฐ์วงศ์, สัมภาษณ์, 30 พฤษภาคม 2559) 4.3. ตระกูลกัลยาณสิทธิ์ ต้นตระกูลของกัลยาณสิทธิ์อย่างนายจันและนางพูล กัลยาณสิทธิ์ เดิม เป็นคนในพื้นที่หนองจอกอยู่แล้ว โดยเข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณซอย 1 หลังร้าน ขายของชาตาเท้ง ใกล้กับประตูวัดหนองจอก เพราะอาชีพหลักของคนในตระกูล คือทาโรงสีข้าว ทาให้บ้านของตระกูลกัล ยาณสิทธิ์กลายเป็นพื้นที่ของโรงสีข้าว ไปด้วย ซึ่งก็มีการขยายสาขาของโรงสีประจาตระกูลไปยังพื้นที่หลังสถานีก่อน


49

จะเลิกกิจการแล้วกลายเป็นร้านขายของชาของสายตระกูลกัลยาณสิทธิ์ไป (เรือง แก้ว แร่เพชร, สัมภาษณ์, 30 พฤษภาคม 2559) 4.4. ตระกูลธรรมภูษิต (แซ่เจียม) ตระกูลธรรมภูษิตเป็นอีกตระกูลซึ่งยึดอาชีพค้าขายมาตั้งแต่สมัยที่ต้น ตระกูลอย่างนายหงอ และนางหมา บัวศิริ เข้ามา เดิมทีนายหงอเป็นคนนอกพื้น อาศัยอยู่ที่นาพรม ก่อนจะย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณหัวมุมซอย 1 ข้างบ้าน ของนางฉะอ้อน ใกล้กับร้านโทรศัพท์และร้านเสริมสวยปัจจุบัน โดยใช้เป็นร้าน ขายของชาประกอบไปกับเป็นที่พักอาศัย ก่อนที่จะย้ายบ้านมายังซอย 2 และ พื้นที่บ้านเดิมก็กลายเป็นร้านโทรศัพท์และร้านเสริมสวยไปอย่างเช่นที่เห็ นใน ปัจจุบัน (จิรภัทร ธรรมภูษิต, สัมภาษณ์, 30 พฤษภาคม 2559) 4.5. ตระกูลตระกูลไทยรักษ์ (แซ่เอ็ง) สายตระกู ล ของตระกู ล ไทยรั ก ษ์ แ บ่ งออกเป็ น 2 ฝั่ งใหญ่ ๆ ตามต้ น ตระกูล คือ สายตระกูลซึ่งมาจากนางมอญ สุขสวัสดิ์ และสายตระกูลซึ่งมาจาก นางไกล โดยที่ทั้งสองคนเป็นภรรยาของเจ๊กเอง ซึ่งเป็นชาวจีนกวางตุ้งที่ล่อง สาเภาเข้ามาแล้วมาตั้งถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่ ก่อนจะแต่งงานกับนางมอญ สุขสวัสดิ์ คนไทยซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่บ้านหนองเกตุ แล้วจึงไปแต่งงานอีกครั้งกับนางไกล ชาวลาวพวน อาชีพแต่เดิมของตระกูลตระกูลไทยรักษ์คืออาชีพค้าขาย โดยเปิด ร้านค้าอยู่ที่หัวมุมซอย 2 และใช้เป็นที่พักอาศัยด้วย แต่ในปัจจุบันบ้านหลังนี้มี สภาพที่เก่าและพุพังจนต้องปิดไป สายตระกูลที่ยังอาศัยอยู่ในพื้นที่บ้านตลาดจึง มีการสร้างบ้านกระจายกันออกไปในบริเวณซอย 1-2 มีบางส่วนที่กระจายไปยัง หมู่อื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียง (ธารนี พยมธนะ, สัมภาษณ์, 29 พฤษภาคม)


50

4.6. ตระกูลโง้วกาญจนนาค (แซ่โง้ว) ตระกูลเจ้าของกิจการร้านขนมเปี๊ยะหนองจอก ขนมเปี๊ยะชื่อดังของ หนองจอก เป็นกิจการที่เริ่มกันมาตั้งแต่สมัยนายตี๋ แซ่โง้ว ซึ่งเป็นต้นตระกูลของ โง้วกาญจนนาคที่ล่องสาเภามาจากประเทศจีน ก่อนจะเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ใน พื้ น ที่ แ ละแต่ งงานกั บ นางเง้อ เหยี ย นหลุ น ชาวจี น ที่ อ าศั ย อยู่ ในหนองจอก บริเวณร้านขนมเปี๊ยะหนองจอกในปัจจุบันเป็นบ้านหลังแรกและหลังเดียวของ ตระกูลโง้วกาญจนนาค สร้างมาตั้งแต่สมัยนายตี๋เข้ามา เดิมหน้าร้านขนมเปี๊ยะ หนองจอกหันหน้าไปทางถนนซอย 3 แต่ในปัจจุบันเปลี่ยนมาเป็นหันหน้าออก สนามเด็กเล่นแทน และยังคงเป็นทั้งที่พักอาศัยและร้านขายขนมเช่นเดียวกับใน อดีต (ตั้งงิ้ม โง้วกาญจนนาค, สัมภาษณ์, 29 พฤษภาคม 2559)


ภาพที่ 1.4 แผนผังตระกูลไม้แก้ว ภาพโดย พิชญา อัมพรจินดารัตน์

51


52

ตระกูลไม้แก้ว 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. 9. 10. 11. 12. 13. 14. 15. 16. 17. 18. 19. 20. 21. 22. 23. 24. 25.

ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ นางโป่ง ไม่ทราบนามสกุล นางสร้อย ไม่ทราบนามสกุล นายกวน ไม้แก้ว นางสาลี ไม่ทราบนามสกุล ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ นางจี๊ด ไม่ทราบนามสกุล นางน้อง ไม่ทราบนามสกุล ไม่ทราบชื่อ นายฮวด ไม่ทราบนามสกุล ไม่ทราบชื่อ นางสาวแมว ไม่ทราบนามสกุล นางสาวม้วย ไม่ทราบนามสกุล นางสม ไม่ทราบนามสกุล ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ นายสวัสดิ์ ไม่ทราบนามสกุล ไม่ทราบชื่อ นางอรุณ บุญเปี่ยม นายชลนัย บุญเปี่ยม

26. 27. 28. 29. 30. 31. 32. 33. 34. 35. 36. 37. 38. 39. 40. 41. 42. 43. 44. 45. 46. 47. 48. 49. 50.

นายจรัส ไม้แก้ว ไม่ทราบชื่อ นางเบญจมาศ ช่องเกตุ นายสุภาพ ช่องเกตุ ไม่ทราบชื่อ นายมนตรี ไม้แก้ว ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ นางสาวดาว ไม่ทราบนามสกุล นางสาวดา ไม่ทราบนามสกุล นายบอส ไม่ทราบนามสกุล นางสาวนฤนาถ ไม้แก้ว นางสาวนรินรัตน์ ไม้แก้ว นายพงศธร ช่องเกตุ นายต้อง ไม่ทราบนามสกุล ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ


ภาพที่ 1.5 แผนผังตระกูลดิษฐ์วงศ์ ภาพโดย พิชญา อัมพรจินดารัตน์

53


54

ตระกูลดิษฐ์วงศ์ 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. 9. 10. 11. 12. 13. 14. 15. 16. 17. 18. 19. 20. 21. 22. 23. 24. 25. 26.

นายอุดม ดิษฐ์วงศ์ นางม้วย ดิษฐ์วงศ์ นางปราณี ไม่ทราบนามสกุล นายบุญยิ่ง ไม่ทราบนามสกุล นางปราศรัย เมืองสุข นายจาลอง เมืองสุข นายพิกุล ดิษฐ์วงศ์ นางลัดดา ดิษฐ์วงศ์ นายบุนนาค ดิษฐ์วงศ์ นางระเบียบ ดิษฐ์วงศ์ นางบุญเติม ดิษฐ์วงศ์ ไม่ทราบชื่อ นางอมรศรี ไม่ทราบนามสกุล ไม่ทราบชื่อ นางบุญเปี่ยม ไม่ทราบนามสกุล ไม่ทราบชื่อ นางมลฤดี ไม่ทราบนามสกุล ไม่ทราบชื่อ นางอรัญญา ไม่ทราบนามสกุล ไม่ทราบชื่อ นายนิยม ไม่ทราบนามสกุล ไม่ทราบชื่อ นางตั้ม ไม่ทราบนามสกุล ไม่ทราบชื่อ นายโต้ง ไม่ทราบนามสกุล ไม่ทราบชื่อ

27. 28. 29. 30. 31. 32. 33. 34. 35. 36. 37. 38. 39. 40. 41. 42. 43.

นางสาวพิ้งค์ ไม่ทราบนามสกุล นางสาวแพน ไม่ทราบนามสกุล นางสาวเบญจมาศ ดิษฐ์วงศ์ นายบัลลังก์ ดิษฐ์วงศ์ นายโตโต้ ไม่ทราบนามสกุล นางสาวจิ๊บจ๊อย ไม่ทราบนามสกุล นางสาวเกด ไม่ทราบนามสกุล นายหนุ่ย ไม่ทราบนามสกุล นายที ไม่ทราบนามสกุล นายแทน ไม่ทราบนามสกุล นายท็อป ไม่ทราบนามสกุล ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ


ภาพที 1.6 แผนผังตระกูลกัลยาณสิทธิ์ ภาพโดย พิชญา อัมพรจินดารัตน์

55


56

ตระกูลกัลยาณสิทธิ์ 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. 9. 10. 11. 12. 13. 14. 15. 16. 17. 18. 19. 20. 21. 22. 23. 24. 25. 26.

นายจัน กัลยาณสิทธิ์ นางพูล กัลยาณสิทธิ์ นางพาด ไม่ทราบนามสกุล ไม่ทราบชื่อ นางผ่อง ไม่ทราบนามสกุล ไม่ทราบชื่อ นางผิว ไม่ทราบนามสกุล ไม่ทราบชื่อ นางผล ไม่ทราบนามสกุล ไม่ทราบชื่อ นายหนู กัลยาณสิทธิ์ ไม่ทราบชื่อ นายใช้ กัลยาณสิทธิ์ นางเลียบ กัลยาณสิทธิ์ นายมานอง กัลยาณสิทธิ์ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ นางวารี ไม่ทราบนามสกุล ไม่ทราบชื่อ นายสุวรรณ กัลยาณสิทธิ์ ไม่ทราบชื่อ นายอดุลย์ กัลยาณสิทธิ์ ไม่ทราบชื่อ นายสุเมธ กัลยาณสิทธิ์ ไม่ทราบชื่อ

27. 28. 29. 30. 31. 32. 33. 34. 35. 36. 37. 38. 39. 40. 41. 42. 43. 44. 45. 46. 47. 48. 49. 50. 51. 52.

นางชาลี กัลยาณสิทธิ์ ไม่ทราบชื่อ นายสิงหล กัลยาณสิทธิ์ ไม่ทราบชื่อ นายสงเคราะห์ กัลยาณสิทธิ์ ไม่ทราบชื่อ นางเรืองแก้ว แร่เพชร นายประลอง แร่เพชร นางนุชนาถ ไม่ทราบนามสกุล ไม่ทราบชื่อ นายวิสุทธิ์ กัลยาณสิทธ์ ไม่ทราบชื่อ นายนที ไม่ทราบนามสกุล ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ


57 53. 54. 55. 56. 57. 58. 59. 60. 61. 62. 63. 64. 65. 66. 67. 68. 69. 70. 71. 72. 73.

ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ


ภาพที่ 1.7 แผนผังตระกูลธรรมภูษิต ภาพโดย พิชญา อัมพรจินดารัตน์

58


59

ตระกูลธรรมภูษิต 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. 9. 10. 11. 12. 13. 14. 15. 16. 17. 18. 19. 20. 21. 22. 23. 24. 25. 26.

นายหงอ บัวศิริ นางหมา ไม่ทราบนามสกุล นางวัน ไม่ทราบนามสกุล ไม่ทราบชื่อ นายปฐม ธรรมภูษิต นางสาหร่าย ธรรมภูษิต นางคง แซ่เจียม นายกวง แซ่เจียม นายฝัก ธรรมภูษิต นางหมวย ธรรมภูษิต นายเพชร ธรรมภูษิต นางพัว ธรรมภูษิต นายเฉลิม ธรรมภูษิต ไม่ทราบชื่อ นายอุดม ธรรมภูษิต นางวารุณี ธรรมภูษิต นายสมบูรณ์ ธรรมภูษิต นายจรูญ ธรรมภูษิต นางสาฤทธิ์ ธรรมภูษิต นายจิรภัทร ธรรมภูษิต นางเจนจิรา ธรรมภูษิต นายจารัส ธรรมภูษิต นางเสน่ห์ ธรรมภูษิต นายสมชัย ธรรมภูษิต นางกรสุดา ธรรมภูษิต นางสาวบุญศรี ธรรมภูษิต

27. 28. 29. 30. 31. 32. 33. 34. 35. 36. 37. 38. 39. 40. 41. 42. 43. 44. 45. 46. 47. 48. 49. 50. 51. 52.

นายสมประสงค์ ธรรมภูษิต ไม่ทราบชื่อ นางชูศรี ไม่ทราบนามสกุล นายตึ๋ง ไม่ทราบนามสกุล นายชัยวัฒน์ ธรรมภูษิต ไม่ทราบชื่อ นางสาวตั๊ว ไม่ทราบนามสกุล นายเล็ก ไม่ทราบนามสกุล นายตุ๊ ไม่ทราบนามสกุล นายแดง ไม่ทราบนามสกุล นางสาวนวล ไม่ทราบนามสกุล นายกนก ไม่ทราบนามสกุล นางสาวนิ้ง ไม่ทราบนามสกุล ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ


60 53. 54. 55. 56. 57. 58. 59. 60. 61. 62. 63. 64. 65. 66. 67. 68. 69. 70.

ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ


ภาพที่ 1.8 แผนผังตระกูลตระกูลไทยรักษ์ ภาพโดย พิชญา อัมพรจินดารัตน์

61


62

ตระกูลตระกูลไทยรักษ์ 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. 9. 10. 11. 12. 13. 14. 15. 16. 17. 18. 19. 20. 21. 22. 23. 24. 25. 26.

นางมอญ สุขสวัสดิ์ ไม่ทราบชื่อ นางไกล ไม่ทราบนามสกุล ไม่ทราบชื่อ นางเซียง ไม่ทราบนามสกุล ไม่ทราบชื่อ นายซูจื้อ ไม่ทราบนามสกุล ไม่ทราบชื่อ นางออ พยมธนะ นายเปลี่ยน พยมธนะ นางอ้อ ไม่ทราบนามสกุล ไม่ทราบชื่อ นางกิมเลี้ยง ไม่ทราบนามสกุล ไม่ทราบชื่อ นางซูอิง ไม่ทราบนามสกุล ไม่ทราบชื่อ นางสาอาง เปียผ่อง ศ.ดร.สุวิทย์ เปียผ่อง นายสุขสวัสดิ์ ไทยรักษ์ ไม่ทราบชื่อ นางสะอาด เทียมประเสริฐ พ.อ. (พิเศษ) สง่า เทียมประเสริฐ นางโสภา ไม่ทราบนามสกุล ไม่ทราบชื่อ นางเชียร ไม่ทราบนามสกุล นางวันดี ศรีทอง

27. 28. 29. 30. 31. 32. 33. 34. 35. 36. 37. 38. 39. 40. 41. 42. 43. 44. 45. 46. 47. 48. 49. 50. 51. 52.

นายวิลาส ศรีทอง ไม่ทราบชื่อ นายเทพ ไม่ทราบนามสกุล นายมงคล ไม่ทราบนามสกุล นายขาว ไม่ทราบนามสกุล นายดา ไม่ทราบนามสกุล ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ นางสาวกนกรัตน์ ไม่ทราบนามสกุล นายอนุต พยมธนะ ไม่ทราบชื่อ นางสาวธารนี พยมธนะ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ พ.ต.ท.ธนาวุธ เปียผ่อง ไม่ทราบชื่อ นางลลิดา กานุวงศ์


63 53. 54. 55. 56. 57. 58. 59. 60. 61. 62. 63. 64. 65. 66. 67. 68. 69. 70. 71. 72. 73. 74. 75. 76.

พ.อ.อินทรา กานุวงศ์ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ นางจันทิมา นพวิจิตร นายประชา นพวิจิตร นางนันทวัน พันธุ์บ้านแหลม นายอนันต์ พันธุ์บ้านแหลม ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ


ภาพที่ 1.9 แผนผังตระกูลโง้วกาญจนนาค ภาพโดย พิชญา อัมพรจินดารัตน์

64


65

ตระกูลโง้วกาญจนนาค 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. 9. 10. 11. 12. 13. 14. 15. 16. 17. 18. 19. 20.

นายตี๋ แซ่โง้ว (โง้วกาญจนนาค) นายเง้อ โง้วกาญจนนาค นางสุพร ไม่ทราบนามสกุล ไม่ทราบชื่อ นายณรงค์กฤช โง้วกาญจนนาค นางตั้งงิ้ม โง้วกาญจนนาค นางประมวนศรี ไม่ทราบนามสกุล ไม่ทราบชื่อ นายตุ๋ง ไม่ทราบชื่อนามสกุล ไม่ทราบชื่อ นายต๋อย ไม่ทราบนามสกุล ไม่ทราบชื่อ นางแป๋ว ไม่ทราบนามสกุล ไม่ทราบชื่อ นายป้า ไม่ทราบนามสกุล ไม่ทราบชื่อ นางทัศนี ไม่ทราบนามสกุล ไม่ทราบชื่อ นางสาวมณีรัตน์ โง้วกาญจนนาค นายชัชวาล โง้วกาญจนนาค

21. 22. 23. 24. 25. 26. 27. 28. 29. 30. 31. 32. 33. 34. 35. 36. 37. 38. 39. 40.

ไม่ทราบชื่อ นายกิตติพจน์ โง้วกาญจนนาค นางรอง โง้วกาญจนนาค นายสิรชัย โง้วกาญจนนาค นางสาวภลดา โง้วกาญจนนาค นางสาวชัญญานุช โง้วกาญจนนาค ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ นายไม้ โง้วกาญจนนาค ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ นางสาวป่าน โง้วกาญจนนาค ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบช

จากการศึกษาเรื่องเครือญาติในชุมชนบ้านตลาดโดยมุ่งเน้ นไปยัง 6 ตระกูลเก่าแก่ที่กล่าวมาทั้งหมดทาให้ทราบว่าตระกูลเก่าแก่ในชุมชนบ้านตลาดมี ทั้งตระกูลที่มีเชื้อสายไทยแท้และตระกูลเชื้อสายจีน โดยตระกูลที่มีเชื้อสายไทย คือ ตระกูลไม้แก้ว ตระกูลดิษฐ์ วงศ์ และตระกูลกัลยาณสิทธิ์ ตระกูลเชื้อสายจีน


66

คือ ตระกูลตระกูลไทยรักษ์ (แซ่เอ็ง) ตระกูลธรรมภูษิต (แซ่เจียม) และตระกูล โง้วกาญจนนาค (แซ่โง้ว) ในส่วนของการตั้งถิ่นฐานของแต่ละตระกูลในพื้นที่ พบว่าเป็นไปในรูปแบบที่กระจายตัว กล่ าวคือ ไม่มีการกาหนดขอบเขตพื้นที่ หรือกั้นเขตระหว่างตระกูลไทยและตระกูลจีน โดยส่วนมากพบว่ามีการตั้งถิ่น ฐานอยู่บริเวณซอย 2 และซอย 3 เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งการที่มีการตั้งถิ่นฐานที่เกาะ กลุ่มกันอยู่ในบริเวณดังกล่าว ประกอบกับในอดีตพื้นที่โดยรอบเป็นป่า อีกทั้ง อาชีพดั้งเดิมของแต่ละตระกูลซึ่งส่วนมากตระกู ลไทยมักจะประกอบอาชีพทา การเกษตรและตระกูลจีนมีอาชีพค้าขาย ทาให้คนในตระกูลไทยและตระกูลจีน จะต้ อ งมี ป ฏิ สั ม พั น ธ์ ติ ด ต่ อ แลกเปลี่ ย นกั น อยู่ โดยตลอด จนท าให้ เกิ ด การ ผสมผสานวัฒนธรรมระหว่างกันและเป็นเช่นนี้มาจวบจนปัจจุบัน

ภาพที่ 1.10 แผนผังการตั้งถิ่นฐานตระกูลเชื้อสายไทยและจีนในอดีต


67

ภาพที่ 1.11 แผนผังการตั้งถิ่นฐานแต่ละตระกูลในอดีต


68

ภาพที่ 1.12 แผนผังการตั้งถิ่นฐานแต่ละตระกูลในปัจจุบัน

5. ผู้คน พื้นที่ และปฏิสัมพันธ์ หมู่บ้านตลาด หรือชื่อที่ชาวบ้านหลายคนรู้จักในชื่อ “บ้านหนอกจอก” ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับตาบล เป็นหมู่บ้านที่หลากหลายด้วยเรื่องราวทางสังคม เป็น ปฏิ สั ม พั น ธ์ ท างสั ง คมซึ่ ง เกิ ด จากวิ ถี ชี วิ ต อั น ปรกติ ข องชาวบ้ า น รู ป แบบ ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นได้ปรากฏออกเป็นสองมิติหลัก คือ ปฏิสัมพันธ์ระหว่า ง ผู้ ค นที่ เกิ ด ขึ้ น ในพื้ น ที่ อ ย่ างหลากหลายจึ งน าไปสู่ ค วามสั ม พั น ธ์ ในมิ ติ ที่ ส อง ระหว่างปฏิสัมพันธ์ของผู้คนต่อการใช้สอยพื้นที่อันเฉพาะเจาะจง ยังผลไปสู่การ เกิดพื้นที่ทางสังคมระหว่าง “คน” กับ “พื้นที่” ผ่าน “ปฏิสัมพันธ์” อันทับซ้อน กันในหลากหลายมิติ


69

จุดเด่นสาคัญของบ้านหนองจอก คือ การเป็นจุดศูนย์กลางของชุมชน ในละแวกใกล้เคียงหรือพูดอย่างเข้าใจง่ายคือการเป็นศูนย์กลางของตาบลในทุก มิติ โดยเฉพาะเป็นศูนย์กลางการเมืองการปกครอง อันถูกให้ภาพความสาคัญนี้ ผ่านสถานที่ราชการตามประสงค์ของรัฐ จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่า ครั้งหนึ่ง ชุมชนแห่งนี้เคยถูกจัดวางให้อยู่ในตาแหน่งที่มีความสาคัญทางราชการ โดยรัฐ กล่าวคือ ในอดีตตาบลหนองจอกเคยดารงฐานะเป็นหนึ่งในอาเภอของ จังหวัดเพชรบุรี ก่อนที่จะมีการย้ายตัวอาเภอไปยังตาบลชะอาซึ่งได้ยกฐานะขึ้น เป็นอาเภอในลาดับต่อมา นอกจากนี้ด้วยนานาปัจจัยที่มีอยู่จึงยังผลให้ หมู่บ้าน ตลาดหรือบ้านหนอกจอกแห่งนี้ มีความโดดเด่นในมิติของการเป็นศูนย์กลางทาง เศรษฐกิจและการแลกเปลี่ยนของหมู่บ้านอื่นๆ ด้วย ซึ่งทาให้เกิดภาพของการ ปฏิสัมพันธ์กันทางสังคมทั้งทางตรงและโดยอ้อม ทั้งภายในชุมชน และระหว่าง ชุมชน เป็นปรากฏการณ์ทางสังคมอย่ างหนึ่งที่ชัดเจนของชุมชนแห่งนี้จากอดีต ถึงปัจจุบัน ซึ่งจากจุดสังเกตนี้เองจึงนาไปสู่การทาความเข้าใจภาพความสัมพันธ์ อันโยงใยอย่างซับซ้อนในเชิงความหลากหลายหาใช่ในมิติของความขัดแย้งใดใด เพื่อให้เห็นภาพของปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น ผู้เขียนจึงพยายามจัดแบ่ง หมวดหมู่ของรูปแบบของปฏิสัมพันธ์สัมพั นธ์ดังกล่าวตามลักษณะของการใช้ สอยพื้นที่อันได้แก่ พื้นที่ทางเศรษฐกิจ พื้นที่วัฒนธรรมบันเทิง และพื้นที่ทาง ความเชื่อ ในลาดับต่อไป

6. ตลาด: พื้นที่แห่งการแลกเปลี่ยนในมิติของพื้นทางเศรษฐกิจ “ตลาด” ตามความหมายทางสั ง คมทั่ ว ไปหมายถึ ง พื้ น ที่ ที่ มี ก าร แลกเปลี่ ย นระหว่ า งผู้ ค นเป็ น ส าคั ญ ทั้ ง ที่ มี สื่ อ กลางในการแลกเปลี่ ย นเช่ น เงินตรา หรือที่ไม่อาศัยสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน เมื่อเอ่ยถึง “ตลาด” สิ่งที่ คิดถึงอันดับแรกก็ คือ การซื้อและการขายวัตถุสิ่งของระหว่างมนุษย์ ส่วนการ แลกเปลี่ ย นสิ น ค้ า และวั ต ถุ โ ดยไม่ ใ ช้ ตั ว กลางที่ มี มู ล ค่ า หรื อ เงิ น ตรา การ


70

แลกเปลี่ยนนี้อาจใช้วัตถุที่มีค่าอื่นๆ แทนเงิน การแลกเปลี่ยนสินค้าเป็นสิ่งที่ เกิ ด ขึ้ น ได้ ต ลอดเวลาและไม่ ต้ อ งที่ พื้ น ที่ เฉพาะ ส่ ว นตลาดในความหมาย “สถานที่” จะเกิดขึ้นอย่างมีเวลาจากัด มีขอบเขตพื้นที่ที่ชัดเจน สถานที่ที่เป็น ตลาดจะใช้สาหรับการติดต่อซื้อขายสินค้าของคนกลุ่มต่างๆ (David Levinson and Melvin Ember, 1996. อ้างถึงใน นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ, 2551: ออนไลน์) สาหรับ “ตลาด” ในบริบทของบ้านตลาดนั้น ค่อนข้างครอบคลุมถึง ความหมายและรูปแบบที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ตลาดนัด ซึ่งมีระยะเวลาและ พื้ น ที่ จ ากั ด และความที่ เป็ น ชุ ม ชนตลาด ซึ่ ง ได้ ใ ห้ ภ าพของการซื้ อ ขายแลกเปลี่ยนกันภายใต้ขอบเขตและเวลาที่ไม่แน่นอน ทาให้ภาพรวมของทั้งชุมชน ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศของการซื้อขาย-แลกเปลี่ยนกันอย่างหลากหลายมิติ โดย ตลาดนัด ถูกทาให้เป็นพื้นที่สาหรับการซื้อขาย-แลกเปลี่ยนกันอย่างอิสระ ระหว่างพ่อค้าแม่ขายและผู้ที่มาจับจ่ายใช้สอยอย่างเป็นนิจ คาว่า “นัด” มาจาก คาว่านัดหมาย ซึ่งสื่อถึงสิ่งหรือกิจกรรมที่ถูกกาหนดไว้ล่วงหน้า เป็นข้อตกลง ร่วมกันของผู้ที่เกี่ยวข้อง ในที่นี้หมายความถึงผู้ซื้อและผู้ ขายซึ่งก็คือชาวบ้านทุก คนที่รับรู้การมีอยู่ของตลาดนัด วันที่ถูกนัดคือทุกเช้าของวันอาทิตย์ ในบริเวณ อีกฟากหนึ่งของลาห้วยหนองจอกในตาแหน่งที่ตรงกันข้ามกับวัดหนองจอกทาง ทิศใต้ สาหรับ “ผู้คน” ที่คลาคล่าอยู่ “พื้นที่” ของตลาดนัด คือ ชาวบ้านทั้งใน ชุมชนและนอกชุมชนที่หมุนเวียนสับเปลี่ยนกันในการซื้อและขายสินค้าอยู่เป็น กิจวัตร ในสมัยก่อนชาวบ้านจะนาของกินมาแลกข้าว เช่น นา ปลาเค็มมาแลกข้าว และต่อมาจึงค่อยมีการซื้อขายกันในตลาด (ธาราพร ชูบริบูรณ์พงษ์, 2559: สัมภาษณ์)


71

ประสบการณ์ ชี วิต จากค าบอกเล่ าธาราพร ท าให้ เห็ น ถึ งพั ฒ นาการ รูปแบบของการแลกเปลี่ยนที่เกิดขึ้นในพื้นที่ผ่านกาลเวลา กล่าวคือ ในช่วงเวลา หนึ่งการนาอาหารซึ่งเป็นต้นทุนตั้งต้นของชาวบ้านเข้ามาแลกข้าวสารในตลาด เป็ น สิ่งที่ ถู ก ยอมรับ ได้ ในแง่ก ารแลกเปลี่ ยนที่ ไม่ อ าศั ยสื่ อ กลางอย่างเงิน ตรา ก่อนที่จะมีการซื้อขายกันในภายหลัง แต่อย่างไรก็ตาม ผลิตผลที่ได้จากต้นทุนใน พื้นที่อย่าง การทาปลาเค็ม ได้ถูกทาให้เป็นหนึ่งในสินค้าของตลาดเสมอ พ่อค้า แม่ขายบางส่วนเป็น “พ่อค้าแม่ขายเร่” หมายถึงว่า ลักษณะของ “ผู้ขาย” หนึ่ง ในองค์ประกอบที่ทาให้ตลาดมีความสมบูรณ์ ทาการค้าขายแบบเคลื่อนย้ายไป เรื่อยๆ ตาม “การนัด” ของตลาด ในอดีตพบว่านอกจากตลาดนัดที่หนองจอกก็ พบที่ หนองบ่อ ท่ายาง หนองศาลา หนองไม้เหลือง และชะอาด้วย ในสมัยก่อน ที่การคมนาคมยังไม่สะดวก การเดินเท้าไปขายของได้เป็นหนึ่งในวิถีชีวิตของ ผู้ขายหลายคน และเมื่อการคมนาคมมีการพัฒนาขึ้น รูปแบบและวิถีชีวิตของ ผู้ขายก็เปลี่ยนไป การเดินเท้าเป็นนั่งรถไฟ และจากรถไฟได้เปลี่ยนเป็นรถยนต์ ส่วนบุคคลในที่สุด นอกจากตลาดนัด ความเป็นตลาดยังหมายรวมถึงพื้นที่ของชุมชนแทบ จะทั้งหมด โดยเฉพาะในแถบด้านทิศตะวันตกของชุมชนซึ่งพบว่ามีความเป็น ชุมชนตลาดอยู่พอสมควร ร้านรวงต่างๆ ที่ถูกเปิดขึ้นเป็นไปเพื่อสอดรับและ บริการความต้องของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นร้านตัดผม โรงสี โรงหนัง ร้านขายของชา ร้านขายไม้แปรรูป ร้านอาหาร หรือกระทั่งสภากาแฟ ก็ล้วนแต่เป็นส่วนหนึ่ง และมี ส่ วนช่ วยเติม เต็ม ความสมบู รณ์ ของตลาดทั้ งในอดี ต และปั จจุบั น อย่ าง มองข้ามไม่ได้ อย่ า งไรก็ ต าม ค าว่ า “ตลาด” จากที่ ก ล่ า วล้ ว นสะท้ อ นให้ เห็ น ถึ ง ปฏิ สั มพั น ธ์ท างสั งคมโดยเฉพาะในมิ ติท างเศรษฐกิ จที่ มี ก ารแลกเปลี่ยนเป็ น สาคัญ ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างผู้คน และพื้นที่ ทั้งทางกายภาพและชีวภาพ ทั้งในพื้นที่ ของตลาดนัด และพื้นที่ทั่วทั้งชุมชนซึ่งก็พบว่ามีความเป็นชุมชนตลาดอยู่แต่เดิม


72

แล้ว “ตลาด” จึงถือเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ถือได้ว่ามีความสาคัญและถือเป็นหนึ่งใน ภาพแทนของ “ตัวตน” ของชุมชนแห่งนี้

7. วัด: ศูนย์กลางแห่งจิตวิญญาณ คือ ตอนย้ ายวัดมาอยู่ต รงนี้ ใหม่ ๆ วัด ก็สร้างอาคารกั บ ศาลาเอง แต่พวกพื้นคอนกรีตที่เราเห็นกันทุกวันนี้ มาจากโยมมา ช่วยสร้างนะ วัดไม่ได้ทาเองหรอก (ท่านเจ้าคุณพระวชิรธรรมคณี, 2559: สัมภาษณ์)

ตามคาบอกเล่าของท่านเจ้าคุณพระวชิรธรรมคณี เจ้าอาวาสวัดหนอง จอก เมื่อครั้งที่วัดย้ายมาสร้างใหม่นั้น ญาติโยมอาสามาช่วยแบ่งเบางานก่อสร้าง เพื่ อประหยัดค่าใช้จ่ายของทางวัดในการปูพื้นคอนกรีต ซึ่ งเป็นภาพของการ พึ่งพาอาศัยกัน ซึ่งความเป็น “ศูนย์กลาง” ของวัดหนองจอกนี้ไม่ได้อยู่เพียงใน ด้านเศรษฐกิจอย่างการจัดกิจกรรมในวัดเท่านั้น แต่เป็นในเรื่องของความเชื่อ และสานึกในบ้านเกิดด้วย วัดหนองจอกถือเป็นศูนย์ กลางทางความเชื่อของชุมชนหนองจอก ที่ โดยมากนั บ ถื อ ศาสนาพุ ท ธเป็ น หลั ก ซึ่ งระหว่า งการศึ ก ษาก็ พ บว่ ามี ก ารจั ด กิจกรรม หรือพิธีกรรมที่ วัดอยู่ถึง 2 จาก 7 วัน ที่กลุ่มได้อยู่ในพื้นที่ งานที่พบ คื อ งานบวชใหญ่ ถ วายพระราชกุ ศ ลและงานบวชทั่ ว ไป ซึ่ งในปั จ จุ บั น วัด ได้ เปลี่ยนรูปแบบไปเป็นการจัดกิจกรรมใหญ่ ตามเทศกาลหรืองานบุญ ประจาปี เนื่องจากญาติโยมที่มาวัดเป็นประจามีจานวนลดลง แต่สาหรับงานประจาปี เช่น งานวัน เข้าพรรษา หรือ วัน พระใหญ่ ต่างๆ ทางวัด ก็จะจัด เป็ น งานให้ ผู้ค นมา รวมตัวพบปะกัน โดยท่านเจ้าคุณพระวชิรธรรมคณี เจ้าอาวาสวัดหนองจอกจะ แสดงธรรมในโอกาสเหล่านั้น วัดจึงเป็นที่พบปะของคนในชุมชนบ้านตลาด และ


73

เป็นศูนย์กลางทางความเชื่ออยู่ แม้จะไม่เห็นญาติโยมในชุมชนเข้า วัดบ่อยครั้ง แต่ การท าบุญ ตัก บาตรของชาวบ้ านตลาดก็ยังคงท าอยู่ทุ กเช้า ซึ่ งปฏิ สัมพั น ธ์ ระหว่างชุมชนกับวัดนี้จะถูกเล่าผ่านประสบการณ์ของ “เชวง นกน้อย” ผมย้ ายไปอยู่ แก่ งกระจานแล้ว กลับ มาดู สวนบ้ าง แต่ ส่วนใหญ่มาเวลาวัดมีงาน พวกเข้าพรรษา วันมาฆะฯ งานศพ ก็ มาเจอเพื่อนในงานพวกนี้นี่แหละ (เชวง นกน้อย, 2559: สัมภาษณ์)

จากประสบการณ์ ของ เชวง นกน้อย ได้เล่าถึงประสบการณ์ วัยหนุ่ม ของตนที่ผูกพันกับวัดหนองจอกเป็นอย่างมาก เพราะอยู่อาศัยที่วัดเมื่อครั้งย้าย เข้ามาทางานในชุมชน กล่าวคือ เมื่อครั้งย้ายเข้ามานั้น วัดมีส่วนช่วยเหลือให้มี สถานที่พักในช่วงสร้างเนื้อสร้างตัวของเขานั่นเอง วัดในวัยหนุ่มของเชวงเป็น เหมื อ นสถานที่ ที่ ค นบ้ า นตลาดเข้ า ออกกั น เป็ น ประจ า ซึ่ ง ก็ มี จุ ด ประสงค์ หลากหลายกั น ไป เช่ น ขอค าปรึ ก ษา, ท าบุ ญ , ฟั งธรรม และที่ ก ารเข้ าร่ ว ม พิธีกรรม เช่น งานศพ งานบุญ งานบวช เป็นต้น ซึ่งความสาคัญของพิธีกรรม เหล่านี้ประการแรกคือเป็นช่วงเวลาที่คนในชุมชนได้พบปะพูดคุยกัน ตัวอย่าง แรกของการพบปะที่เห็นได้ชัด คือ งานศพ ในวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เชวงและไพบู ล ย์ เพชรงาม (อายุ 70 ปี ) ได้ นั ด เจอกัน ที่ งานศพ เหตุ ม าจาก ไพบูลย์เป็นหัวหน้าวงปี่พาทย์ในงาน และเชวงได้ย้ายบ้านไปอยู่แก่งกระจานแล้ว แต่ก็พบว่ามีเพื่อนเก่าแก่ที่ย้ายถิ่นฐานไปแล้วได้กลับมาพูดคุยในงานศพเช่นกัน ซึ่งจากการสัมภาษณ์ของกลุ่มจะพบเห็นการย้ายถิ่นฐานอยู่ในหลายบ้าน ที่บาง บ้ านย้ ายไปอยู่ กั บ ลู ก ในตั ว เมื อ ง หรือ ลู ก ในกรุงเทพฯ พิ ธีก รรมในวั ด จึ งเป็ น เหตุผลที่ดึงคนเหล่านั้นกลับมายัง “บ้าน” ของตนด้วย


74

อีกหนึ่งพิธีกรรมที่ยังคงสาคัญอยู่ในปัจจุบัน คือ งานบวช เพราะการ บวชเป็นเหมือนการสร้างกุศลที่ใหญ่ที่สุดสาหรับผู้ชาย ซึ่งหมายถึงหากลูกชาย บวช พ่ อ แม่ แ ละคนที่ ช่ ว ยงานก็ จ ะได้ บุ ญ ไปด้ ว ย การบวชเป็ น เรื่ อ งของทั้ ง ครอบครัวและชุมชนด้วย หากเป็นงานบวชที่โยมจัดกันเองก็จะมีขบวนแห่อย่าง ยิ่งใหญ่ มีการจ้างเครื่องเป่าทองเหลืองและกลอง พร้อมผู้ร่วมยินดีมาร่วมเต้นกัน อย่างสนุกสนาน เพราะถือเป็นวันมงคลสาหรับผู้บวชนั่นเอง ทาให้พิธีกรรมและ ศาสนาไม่สามารถถูกแยกออกจากสถาบันครอบครัว , กลุ่มเพื่อน และสานึกใน บ้านเกิดได้เสียทีเดียว เพราะล้วนเกี่ยวโยงอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ทั้งหมดทั้งมวลจะเห็นภาพของ “วัดหนองจอก” ซึ่งด้วยบทบาทและ ตาแหน่งที่ตั้งของวัดซึ่งถือได้ว่าได้อยู่ในบริเวณย่านที่ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับ ชุมชน และก่อเกิดความสัมพันธ์กับชุมชนขึ้นในหลากหลายรูปแบบ ทั้งรูปแบบ การใช้สอยพื้นที่วัดในแง่ของพิธีกรรมทางศาสนาพุทธ เช่น การบวชซึ่งถือเป็น หนึ่งในพิธีกรรมเปลี่ยนผ่านของชีวิตนั้น ก็ได้พบว่า ชาวบ้านในละแวกใกล้เคียง ได้เข้ามาใช้อุโบสถของวัดหนองจอกเพื่อประกอบพิธีอุปสมบท หรือในส่วนของ การใช้สอยพื้นที่วัดในมิติอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ลานวัดเป็นพื้นที่ของตลาดนัด ในยุคสมัยหนึ่ง คือ ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2529 จนถึง ปี พ.ศ. 2546 ก่อนที่จะย้ายไป บริเวณด้านหลังวัดในปัจจุบัน ดังนั้น ภาพอันสลักสาคัญ ของวัดหนองจอกจึง เป็นไปในแง่ที่ว่า “ผู้คน” ที่เข้ามาใช้สอย “พื้นที”่ ของวัดในการธารงปฏิสัมพันธ์ ทางสังคมโดยเฉพาะในมิติของพื้นที่ทางความเชื่อ และในบางขณะก็ได้ให้ภาพ ความเกี่ยวโยงกับเรื่องราวทางเศรษฐกิจอย่างเลื่อนไหล


75

8. โรงหนัง: อดีตอันรุ่งโรจน์ในฐานะสื่อบันเทิงของชุมชน “โรงหนัง” เป็นหนึ่งในพื้นที่ปฏิสัมพันธ์ของผู้คนในฐานะที่เป็นพื้นทาง ความบันเทิงของชุมชน โดยโรงหนังแห่งแรกของชุมชนคือ “โรงหนังวัดวิก” ซึ่ง เป็นชื่อที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากซึ่งหมายถึงโรงลิเกและโรงหนังสือซึ่งใช้พื้นที่ ร่วมกันในวัดหนองจอก พระคุ ณ เจ้าวชิรธรรมคณี อายุ 63 พรรษา เจ้าคณะจัง หวัดเพชรบุ รี (สัมภาษณ์, 31 พฤษภาคม 2559) เล่าว่า วัดวิกเปิดมาตั้งแต่หลวงพ่อยังเป็นเด็กและเพิ่งมาเลิกเอา ตอนปี พ.ศ. 2516 แต่ก่อนทาเป็นที่ให้คนมาขอฉาย เรียกว่าปิดวิก ฉายในวันหยุด ตอนกลางคืน โดยเฉพาะในวันพระที่มีการหยุดไถ นา แปดค่ า สิ บ สี่ ค่ า ก็ ถื อ เป็ น ว่ า หยุ ด งาน คนก็ ม าดู ห นั ง กั น ในช่วงนั้นก่อนเข้าก็มีการเก็บตังค์ เด็ก 1 บาท ส่วนผู้ใหญ่ 3 บาท ลักษณะของโรงหนังก็เป็นเก้าอี้ไม้ยาวๆ หนังที่มีคนดูเยอะที่สุดคือ เรื่อง มนตร์รักลูกทุ่ง 300 คนเห็นจะได้

จากคาบอกเล่าข้างต้นพอจะทาให้เห็นภาพว่าโรงหนังที่ตั้งอยู่ในวัดนั้นมี ลักษณะเป็นพื้นที่อเนกประสงค์ เพราะยังพบว่ามีคณะลิเกเร่เข้ามาจัดแสดงอยู่ เนื อ งๆ สลั บ กั บ คณะหนั งเร่ อ ยู่ ต ลอดเวลา นอกจากโรงหนั งในวั ด แล้ ว ยั ง มี โรงหนังตาหมึก ซึ่งในอดีตตั้งอยู่ในอีกฟากฝั่งของหมู่บ้านตรงกันข้ามกับวัดหนอง จอกไปทางทิศเหนือ ซึ่งก็พบว่ามีลักษณะเป็นโรงหนังอเนกประสงค์เช่นเดียวกับ โรงหนังวัดวิก เหตุเพราะมีนักดนตรีมาเล่นอย่างไม่ขาดสาย อาทิ ชาย เมืองสิงห์ จากบทสัมภาษณ์ของเชวง นกน้อย


76 แต่ก่อนมีนักดนตรีมาเล่น เช่น สุรียา ชินพันธ์ และชาย เมืองสิงห์ เชวง นกน้อย อายุ 75 ปี (เชวง นกน้อย, 2559: สัมภาษณ์)

ด้วยพื้นที่ของโรงหนังเป็นพื้นที่ของวัฒนธรรมบันเทิงโดยตัวของพื้นที่ เอง การเกิดขึ้นของโรงหนังในชุมชนแห่งนี้จึงถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งซึ่งชี้ชัดให้เห็นถึง ความหลากหลายของพื้นที่สาหรับปฏิสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นอย่างหลากหลายร่วมกับ พื้ น ที่ อื่ น ๆ โรงหนั งจึ งถื อ เป็ น หนึ่ งส่ วนส าคั ญ ของวัฒ นธรรมบั น เทิ งและเป็ น เสมื อ นพื้ น ที่ ท างเลื อ กอั น เพิ่ ม เติ ม เข้ ามาจากมิ ติ พื้ น ฐานของชี วิต อื่ น ๆ อย่ าง เศรษฐกิจ ความเชื่อ กล่าวคือ ความบันเทิงผ่านรูปแบบของการดูหนังมีส่วนใน การเปิดพื้นที่ให้เกิดมิติของความสัมพันธ์อีกแห่งหนึ่ง นอกจากที่กล่าวมายังพบว่าในชุมชนยังคงเกิดพื้นที่ทางสังคมที่เคลือบ ทับด้วยปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้คนอันหลากหลายแง่มุม ไม่ว่าจะเป็น สภากาแฟ ร้านตัดผม ร้านซ่อมรถ ร้านขายยา ร้านอาหาร ก็ล้วนมีหน้าที่ในการดารงอยู่ใน สั งคมภายใต้ ชุ ด ความสั ม พั น ธ์ ในมิ ติ อื่ น ๆ และมี รู ป แบบที่ ไม่ ต ายตั ว แต่ ทั้ ง หมดแล้ว ด้วยปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นทั้งหมดในชุมชนแห่งนี้ล้วนเกิดขึ้น และธารงอยู่บนพื้นฐานของวิถีในชีวิตในแบบฉบับของบ้านตลาดผ่านการสอด ประสานระหว่าง “ผู้คน” “พื้นที”่ และ “ปฏิสัมพันธ์”

9. บ้านตลาด: จากอดีตสู่ปัจจุบัน บ้านตลาดเป็นชุมชนย่านการค้าสาคัญที่เป็นศูนย์กลางการค้าขายของ ชาวบ้านในตาบลหนองจอกและบริเวณใกล้เคียง นับตั้งแต่สมัยก่อนรถไฟเข้ามา และรุ่งเรื่องอย่างมากในช่วงที่มีรถไฟ แต่ในช่วงหลังจากยุคที่มีการตัดผ่านถนน เพชรเกษมเข้ามาจนถึงช่วงยุคปัจจุบัน ศูนย์กลางการค้าขายแห่ งนี้กลับได้รับ ความนิยมน้อยลง คนท้องถิ่นเริ่มอพยพออกจากพื้นที่และเข้าไปอาศัยอยู่ตาม


77

เมืองใหญ่ๆ มากยิ่งขึ้น สาเหตุที่ทาให้ชุมชนการค้าแห่งนี้เกิดการเปลี่ยนแปลง และเริ่ม ซบเซาลงเรื่อ ยๆ มี อ ยู่ ห ลายปั จ จั ย โดยปั จ จั ย ส าคั ญ ที่ ส่ งผลต่ อ การ เปลี่ยนแปลงชุมชนแห่งนี้อย่างเห็นได้ชัดมี 2 ปัจจัย ดังนี้ 9.1. การพัฒนาและเทคโนโลยี จากการลงภาคสนามเพื่อพูดคุยและเก็บข้อมูลจากชาวบ้านที่อาศัยอยู่ ในชุมชนบ้านตลาดพบว่า หลังจากที่มีถนนเพชรเกษมตัดผ่านอย่างเป็นทางการ การสัญจรและความนิยมในการใช้รถไฟขนส่งสินค้าก็ได้รับความนิยมลดลง คน ในชุม ชนหั น มานิ ย มสั ญ จรและขนส่ งสิ น ค้าผ่ านทางรถยนต์ที่ มีค วามสะดวก รวดเร็วและสามารถเข้าถึงพื้นที่ห่างไกลได้มากกว่า และนอกจากที่รถไฟจะได้รับ ความนิยมลดลงแล้ว วัฒ นธรรมบันเทิง เช่น วิกหนัง วิกลิเก และกิจการการ ค้าขายเก่าแก่ที่เคยมีมาในครั้งอดีตก็ได้รับความนิยมลดลงเช่นกัน อย่างในกรณี ของวั ฒ นธรรมบั น เทิ งที่ ในอดี ต นั้ น เคยมี ทั้ งโรงหนั งกลางแปลง วิ ก ลิ เกและ วิกหนัง แต่ในปัจจุบันกลับไม่มีเหลือ หรืออย่างในกรณีของกิจการการค้าเก่าแก่ ที่เคยมีในอดีตแต่ในปัจจุบันเหลือเพียงไม่กี่กิจการและบางกิจการก็ได้เลิกกิจการ ไปหมดแล้ว เช่น โรงสี บ้านหมอตาแย ร้านขายยาไทย ร้านขายทองร้านตัดเย็บ เสื้ อ ผ้ าและร้านขายของช าที่ มี จ านวนลดลง ซึ่ งสาเหตุ ที่ ท าให้ กิ จการเหล่ านี้ หายไปและมีจานวนลดลงก็เป็นผลมาจากการพัฒนาและเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เข้า มาพร้อมกับถนนเพชรเกษมเช่นกัน ซึ่งการเข้ามาของการพัฒนาและเทคโนโลยี นั้นมิได้เพียงแต่ทาให้สิ่งเก่าๆ ในอดีตจางหายไปเท่านั้น แต่การพัฒนาเหล่านี้ยัง น ามาซึ่ งวั ฒ นธรรมบั น เทิ งและกิ จ การในรู ป แบบใหม่ ๆ เข้ ามาอี ก ด้ ว ย เช่ น โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟนซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่สะดวก ทันสมัย และสามารถรับชมได้ตลอดเวลาเข้ามาท าหน้าที่ เป็นวัฒ นธรรมบั นเทิงให้แก่ ชาวบ้ านในชุ ม ชนแทนวัฒ นธรรมบั น เทิ งในรูป แบบเก่ า หรือ ร้านเกมส์ ร้าน


78

อินเทอร์เน็ต ร้าน Pre-wedding และร้านค้ามินิมาร์ทที่เข้ามาเป็นกิจการใหม่ๆ ที่ทันยุคทันสมัยมากกว่ากิจการรูปแบบต่างๆในอดีต 9.2. การศึกษา ชาวบ้านในชุมชนบ้านตลาดให้ความสาคัญกับการศึกษาของบุตรหลาน มาก ค่านิยมส่วนใหญ่ของชาวบ้านในชุมชนแห่งนี้มักนิยมส่งบุตรหลานให้เรียน ในระดับสูงๆ และมักจะส่งบุตรหลานเข้าไปเรียนในระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียน ในเมืองเพชรบุรี ส่วนการศึกษาในระดับอุดมศึกษาก็มักจะส่งให้บุตรหลานเข้าไป เรียนในกรุงเทพฯ และมหาวิท ยาลัยชื่อดังในจังหวัดต่างๆ ซึ่ งจากการที่บุตร หลานได้รับการศึกษาในระดับสูงและได้เข้าไปใช้ชีวิตตามเมืองใหญ่ต่างๆ ทาให้ บุตรหลานเหล่านั้นรับเอาค่านิยมสมัยใหม่มาจากการเรียนในมหาวิทยาลัยและ การใช้ ชีวิต ในเมือ งที่ มี ความหลากหลายและทั น สมัย เหล่ านั้ น ซึ่ งการรับ เอา ค่านิยมสมัยใหม่เหล่านั้นนามาซึ่งการเปลี่ยนแปลงในชุมชนบ้านตลาดทั้งในแง่ ของการนาเอาค่านิยมใหม่ๆ เข้ามาในหมู่บ้านตลาดและการนามาซึ่งความเงียบ เหงาซบเซาของชุมชนบ้านตลาด ในแง่ของการนาค่านิยมใหม่ๆ จากข้างนอกเข้า มาสู่ชุมชนนั้น สามารถพบเห็นได้ง่าย เช่น รูปแบบของบ้ านที่เปลี่ยนแปลงไป เพราะในอดีตลักษณะบ้านในชุมชนแห่งนี้จะเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวที่มีลักษณะเป็น เหมือนกับห้องแถว ซึ่งในปัจจุบันยังสามารถพบเห็นได้ทั่วทั้งชุมชน แต่บ้านที่ถูก สร้างขึ้นใหม่ในปัจจุบันมักเป็นบ้านปูนที่มีลักษณะทันสมัยมีทั้งแบบชั้นเดียวและ สองชั้น นอกจากนี้บางบ้านที่เจ้าของบ้านเข้าไปอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ก็ได้นาบ้าน ของตนเองมาทาเป็นบ้านเช่าให้กับคนนอกพื้นที่เข้ามาเช่าเพื่ออยู่อาศัยและเปิด กิจการต่างๆ ส่วนในแง่ของการนามาซึ่งความเงียบเหงาและซบเซาของชุมชนนั้น ก็เกิดขึ้นเนื่องมาจากทั้งการย้ายเข้าไปทางานและอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ของเหล่า บุตรหลานที่ได้รับการศึกษาในระดับสูงๆ ส่วนพ่อแม่ก็จะอาศัยอยู่ในชุมชนและ


79

เมื่อพ่อแม่เสีย บ้านก็ถูกทิ้งร้าง และอีกกรณีหนึ่งคือย้ายเข้าไปอาศัยอยู่ในเมือง ใหญ่ทั้งครอบครัวและทิ้งบ้านให้ร้าง 10. สรุป การเปลี่ยนแปลงของชุมชนบ้านตลาดถือเป็นตัวอย่า งที่เด่นชัด ในด้าน ผลกระทบของเทคโนโลยีที่มีต่อผู้คน ส่งผลให้วิถีที่เคยปฏิ บัติมาต้องปรับเปลี่ยน ตามปัจจัยและความต้องการใหม่ที่เทคโนโลยีเปิดทางให้ รวมถึงการเดินทาง ออกจากชุมชนที่สะดวกขึ้นหลังการเข้ามาของถนนเพชรเกษม ที่ทั้งเปิดช่องทาง ให้เยาวชนรุ่นใหม่ได้โอกาสไปเล่าเรียนในต่างเมืองมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ ลดโอกาสที่จะกลับมาใช้ชีวิตในถิ่นฐานเดิมเช่นกัน เนื่องจากไม่มีงานที่รองรับ บุคลากรจากการศึกษาตามระบบมากนักในชุมชน ‘การศึกษา’ ที่ทาให้หลายคน ต้องออกจากชุมชนไปนี้ ไม่ได้มาจากเพียงเทคโนโลยีเท่านั้น แต่เกิดจากความ ต้องการทางเศรษฐกิจที่ขยายตัวขึ้นอีกด้วย และประเด็นของถนนเพชรเกษมกับ การศึกษานี้ ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เทคโนโลยีได้นาความเปลี่ยนแปลงเข้ ามาในชุมชน บ้านตลาด แต่เป็นรถไฟ แรกเริ่มที่รถไฟเข้ามามีบทบาทในบ้านตลาด เศรษฐกิจได้เฟื่องฟูขึ้นมา ก็เพราะรถไฟ ทั้งการส่งออกสินค้าและนาเข้าผู้บริโภค ที่สะดวกสบายขึ้น และ ใกล้กับชุมชนนี้ ก็เป็นผลพวงจากการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีเช่นกัน ดังนั้น ความสัมพันธ์ระหว่าง ‘เทคโนโลยี-เศรษฐกิจ-วิถีชีวิต’ จึงเป็นวงจรที่ส่งผลต่อกัน แต่ตัวแปรหนึ่งที่ทาให้การเปลี่ยนแปลงในด้านเหล่านี้เกิดขึ้น กลับเป็นสิ่งที่ ดูไกล ตัวอย่าง ‘การเมือง’ เนื่องจากจุดเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดของบ้านตลาดมีด้วยกัน 3 จุด คือ 1) การมีสถานีรถไฟ และ 2) การตัดถนนเพชรเกษม ที่ดูจะเป็นเพียงการ พัฒนาด้านเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ในความจริงแล้ว ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าเกิด จากนโยบายการบริหารของภาครัฐทั้งคู่ คือ ‘การพัฒนาประเทศ’ ตามนโยบาย


80

ด้านเศรษฐกิจของรัฐทั้งสิ้น และ 3) การย้ายที่ทาการอาเภอ ซึ่งส่งผลให้ตาบล หนองจอกไม่ใช่ ศูนย์กลางด้านเศรษฐกิจอีกต่อไป และแม้ปัจจัยนี้จะเกิดจาก บุคลากรด้านการเมืองจริงหรือไม่ก็ตาม การเปลี่ยนศูนย์กลางในครั้งนั้นก็อาจมี ผลจากแนวทางด้านเศรษฐกิจของจังหวัดด้วย เพราะการท่องเที่ยวก็ถือเป็น รายได้จานวนมาก ดังนั้นศูนย์กลางที่ใกล้กับแหล่งท่องเที่ยวก็มีเหตุจากนโยบาย ของภาครัฐที่เน้นรายได้จากการท่องเที่ยวด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้น นโยบายของภาครัฐก็ไม่ถือว่าเป็นคนร้ายของเรื่องไปเสีย ทีเดียว เพราะศูนย์กลางของการศึกษาในระบบโดยมากมักอยู่ในอาเภอเมือง หรือในกรุงเทพฯ การออกไปศึกษานอกบ้านเกิดของคนรุ่นหลังจึงเป็นทางเลือก ทางเศรษฐกิจ คือ เพื่อหารายได้ให้ครอบครัวและรายได้เหล่านั้นก็จะกลับมาสู่ ชุมชนผ่านการซื้อขายอีกที และด้วยแนวทางธุรกิจที่มีร้านสะดวกซื้อมากอยู่แล้ว จึงมีรายได้หมุนเวียนภายในอยู่มาก เพราะไม่จาเป็นต้องออกไปซื้ อของใช้ทั่วไป นอกชุมชน ดังนั้นการที่คนรุ่นใหม่ส่งรายได้ให้รุ่นพ่อแม่ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทาให้ ชุมชนยังมีรายได้ประจาเพิ่ม นอกจากนี้แล้วยังมีเรื่องของการนาความรู้นอก ชุมชนกลับมาใช้ด้วย เช่น จากเดิมอาจต้องไปซ่อมรถข้างนอก เมื่อมีคนในชุมชน ทาธุรกิจซ่อมรถ ก็จะไม่มีเงินที่ใช้ในการซ่อมรถออกไปนอกชุมชน เป็นต้น หรือ กรณี ข องร้ านอิ น เตอร์เน็ ต ที่ เพิ่ ม การเชื่ อ มต่ อ ระหว่างคนในชุ ม ชนกั บ ข้ อ มู ล มหาศาลจากภายนอก และร้านโทรศัพท์มือถือ ที่ถือเป็นธุรกิจใหม่ที่เปลี่ยนวิถี ชีวิตของชุมชนไปอย่างมาก ซึ่งธุรกิจประเภทใหม่เหล่านี้คงไม่เกิดขึ้นหากไม่ มี การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี และร้านซ่อมรถคงเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มีถนนตัด ผ่านมาตั้งแต่แรก การเปลี่ยนแปลงของชุมชนบ้านในปัจจุบันอาจดูเงียบเหงา แต่วิถีที่ถูก เปลี่ยนไปนั้นยังคงอยู่ร่วมกับปัจจัยด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง อยู่บ่อยครั้ง เช่น ร้านกาแฟที่ดูเงียบเหงาหลังบ่ายโมงก็อาจคึกคักขึ้นมาได้ในช่วง เช้า, ร้านขนมเปี๊ยะที่ดูทางานไม่หยุดหย่อนก็สามารถเป็นบ้านที่พักผ่อนได้ทุก


81

สองสามชั่วโมง หรือ ชายวัยหลั งเกษี ยณนั่ งอยู่ บ้ านอาจกลายเป็ น คนคุ ม วงปี่ พาทย์ได้เมื่อมีงานเทศกาล, แม้กระทั่งลานวัดที่เงียบสงัดก็กลายเป็นงานบวชที่มี ชีวิตชีวาได้ กล่าวคือ บ้านตลาดยังคงมีความครึกครื้นในแบบของบ้านตลาดอยู่ เพียงแต่อยู่ที่ผู้มองจะมองเห็น ‘ชีวิต’ เหล่านั้นได้ในช่วงเวลาและสถานที่ใด ซึ่ง ชุมชนบ้านตลาดเองก็ยอมรับว่าความครึกครื้นในครั้งที่รถไฟยังนานักท่องเที่ยว มาพักผ่อนนั้นอาจไม่มีอีกแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีสิ่งอื่นมาทดแทน ความสัมพันธ์ ระหว่าง ‘การเมือง-เทคโนโลยี-เศรษฐกิจ-วิถีชีวิต’ จึงยังพยายามเติมเต็มกันอยู่ ตลอดโดยผู้คนในชุมชนบ้านตลาดนี้เอง เมื่อปัจจัยหนึ่งเปลี่ยนไป ก็จะเกิดการ ปรับตัวขึ้นเพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการในด้านอื่นขึ้น วิถีชีวิตของคนบ้าน ตลาดในปัจจุบันอาจเกิดการย้ายถิ่นฐานออกไปมาก แต่เทคโนโลยีก็ทาให้การ ติดต่อทางไกลง่ายขึ้นเช่นกัน โดยจะเห็นจากการ ‘หัดเล่น Line’ ของผู้สูงอายุใน ชุมชนและธุรกิจเกี่ยวกับอินเตอร์เน็ต และการเปลี่ยนแปลงนี้ก็นามาซึ่ งชุมชนที่ หลากหลายขึ้น เกิดการออกไปศึกษาในด้านอื่น มากขึ้น และสุดท้ ายคือการ กลั บ มาเยี่ ย มบ้ า นเกิ ด ซึ่ ง สิ่ ง ที่ ก ลั บ มาก็ ไ ม่ ใ ช่ เพี ย งรายได้ เท่ า นั้ น แต่ เป็ น ประสบการณ์และความรู้เฉพาะทางของตนด้วย การเปลี่ยนแปลงของชุมชนบ้านตลาด ที่เกิดจากความสัมพันธ์เหล่านี้ จึงนามาซึ่ งบรรยากาศที่ ดูเงียบเหงาส าหรับ คนเมือง แต่ยังมีวิถีเดิมของผู้คน ปฏิสัมพันธ์กันอยู่เสมอ ทั้งด้านการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและด้านวัฒนธรรม และยังคงความครึกครื้นไว้ได้ในรูปแบบที่เปลี่ยนไป


82

กิตติกรรมประกาศ การลงภาคสนามในครั้งนี้ จะไม่ ส ามารถส าเร็จ ลุ ล่วงได้ เลยหากขาด ความร่ว มมื อ ร่ วมใจของชาวบ้ านบ้ านตลาดหมู่ 6 ทุ ก ๆ คน ที่ ค อยให้ ค วาม ช่วยเหลือ ถามไถ่ถึงความคืบในงานครั้งนี้ และความเป็นกันเองของคนในชุมชน ที่ต้อนรับพวกเราอย่างอบอุ่น ขอขอบพระคุณ คุณ ยายฉะอ้อน สาหรับข้อมูล รายละเอียดในเรื่องประวัติศาสตร์ชุมขน, ผู้พันสิทธิพร นพคุณ, ผศ.สุวิทย์ เปีย ผ่อง และชาวบ้านท่านอื่นๆ ที่ คอยเล่าและตอบทุกๆ คาถามรวมถึงเรื่องราว สนุกๆ ทั้งในอดีตและปัจจุบันจนทาให้งานชิ้นนี้แม้จะไม่สมบูรณ์นัก แต่ในที่สุดก็ สามารถเป็นรูปเป็นร่างได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขอขอบพระคุณพี่เกด อ.ศศิธร ศิลป์วุฒยา ที่ปรึกษากลุ่ม ของพวกเราสาหรับคาแนะนา คาปรึกษา ความช่วยเหลือที่ทาให้งานออกมาเป็น ชิ้นเป็นอันได้ในที่สุด อาจารย์ดารงพล อินทร์จันทร์ อาจารย์ผู้รับผิดชอบและ ประสานงานรายวิชาที่อานวยความสะดวกในทุกด้าน และตลอดจนอาจารย์ ประจาภาควิชามานุษยวิทยาทุกๆ ท่านทั้งคาติ คาชม ข้อเสนอแนะต่างๆ ที่เป็น ประโยชน์สาหรับการลงพื้นที่เก็บข้อมูลในครั้งนี้ คณะผู้จัดทา


83

รายการอ้างอิง สื่ออิเล็กทรอนิกส์ Levinson, David and Ember, Melvin. (1996). Encyclopedia of Cultural Anthropology. New York: Henry Holt and Co. อ้างถึงใน นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ, (2559). อะไรคือตลาด. เข้าถึงเมื่อ 2 กรกฎาคม. เข้าถึงได้จาก http://www.sac.or.th/main/article_detail.php?article_id=1 6&category_id=11. การสัมภาษณ์ เข็มทอง ขาขม. (2559). สัมภาษณ์, 28 พฤษภาคม. จุฑามาศ เอียมทอง. (2559). สัมภาษณ์, 28 พฤษภาคม. จรัส ไม้แก้ว. (2559). สัมภาษณ์, 30 พฤษภาคม. จิรภัทร ธรรมภูษิต. (2559). สัมภาษณ์, 30 พฤษภาคม. ฉะอ้อน ปักษานนท์. (2559). สัมภาษณ์, 29 พฤษภาคม. ชะลอ ฉิมงาม. (2559). สัมภาษณ์, 28 พฤษภาคม. ชู ช าติ ชู บ ริ บู ร ณ์ พ งษ์ . (2559). ผู้ ช่ ว ยผู้ ใ หญ่ บ้ า นหมู่ ที่ 6. สั ม ภาษณ์ , 28 พฤษภาคม. เชวง นกน้อย. (2559). สัมภาษณ์, 29 พฤษภาคม. ตั้งงิ้ม โง้วกาญจนนาค. (2559). สัมภาษณ์, 29 พฤษภาคม. ทนงศักดิ์ อนันตนิติเวทย์. (2559). สัมภาษณ์, 28 พฤษภาคม. ทองพูล เหลืองประภาสิริ. (2559). สัมภาษณ์, 28 พฤษภาคม. ธารณี พยมธนะ. (2559). สัมภาษณ์, 29 พฤษภาคม. ธาราพร ชูบริบูรณ์พงษ์. (2559). สัมภาษณ์, 28 พฤษภาคม.


84

นัฐวรรณ์ พันธุ์บ้านแหลม. (2559). สัมภาษณ์, 29 พฤษภาคม. นันทพล เพชรงาม. (2559). สัมภาษณ์, 30 พฤษภาคม. นิด เอียมทอง. (2559). สัมภาษณ์, 28 พฤษภาคม. น้อง คาหงส์. (2559). สัมภาษณ์, 30 พฤษภาคม. น้อย จันทรวงศ์. (2559). สัมภาษณ์, 30 พฤษภาคม. บุญชู นกน้อย. (2559). สัมภาษณ์, 29 พฤษภาคม. บุญเชิน ศรีนาก. (2559). สัมภาษณ์, 30 พฤษภาคม. บุนนาค ดิษฐ์วงศ์. (2559). สัมภาษณ์, 30 พฤษภาคม. พระวชิรธรรมคณี. (2559). เจ้าคณะจังหวัดเพชรบุรี. สัมภาษณ์, 31 พฤษภาคม. พลอย ศรีวิจิตร. (2559). สัมภาษณ์, 30 พฤษภาคม. พิเชฐ เพชรงาม. (2559). สัมภาษณ์, 30 พฤษภาคม. เพ็กม่วย เขียวอร่าม. (2559). สัมภาษณ์, 30 พฤษภาคม. ไพบูลย์ เพชรงาม. (2559). สัมภาษณ์, 30 พฤษภาคม. ไพศาล สมทอง, ร้อยตารวจโท. (2559). สัมภาษณ์, 30 พฤษภาคม. ภลดา โง้วกาญจนนาค. (2559) สัมภาษณ์, 30 พฤษภาคม. รจนา โคทอง. (2559). สัมภาษณ์, 30 พฤษภาคม. รัชนี ผ่องแพ้ว. (2559). สัมภาษณ์, 29 พฤษภาคม. เรืองแก้ว แร่เพชร. (2559). สัมภาษณ์, 30 พฤษภาคม. วรีพร ศิลาสิทธิพร. (2559). สัมภาษณ์, 29 พฤษภาคม. วันดี ศรีทอง. (2559). สัมภาษณ์, 29 พฤษภาคม. วิลาส ศรีทอง. (2559). สัมภาษณ์, 29 พฤษภาคม. ศิริณทิพย์ เกตุรัตน์. (2559). สัมภาษณ์, 30 พฤษภาคม. สิทธิพงษ์ อินทนิล. (2559). สัมภาษณ์, 30 พฤษภาคม. สิทธิพร นพคุณ. (2559). สัมภาษณ์, 28 พฤษภาคม.


85

สุชาติ โพธิ์ทอง. (2559). สัมภาษณ์, 29 พฤษภาคม. สุรีย์ อินทนิล. (2559). สัมภาษณ์, 30 พฤษภาคม. สุวรรณ แก้วสะอาด. (2559). สัมภาษณ์, 30 พฤษภาคม. สุวิทย์ เปียผ่อง, ผู้ช่วยศาสตราจารย์. (2559). สัมภาษณ์, 29 พฤษภาคม. อนันต์ พันธุ์บ้านแหลม, จ่าเอก. (2559). สัมภาษณ์, 29 พฤษภาคม.


86


87

ร้พัฒอนาการของชุ ยเรียงเคี ย ง ‘ฝั ง ่ ห้ ว ย’ : มชนหลังทางรถไฟบ้านฝั่งห้วย ตาบลหนองจอก อาเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี

โดย ชยพล เจริญลาภกุล ณธษา วังปรีชา นงนภัส ร่มสุขวนาสันต์ นวพร แสงวิรุณ เพชรไทย ขุนทองจันทร์ ศิวัช คงสกุล อรวรรณ สวัสดี


88

บทคัดย่อ บทความเรื่อง "ร้อยเรียงเคียง 'ฝั่งห้วย' : พัฒนาการของชุมชนหลังทาง รถไฟ บ้ า นฝั่ ง ห้ ว ย ต าบลหนองจอก อ าเภอท่ า ยาง จั ง หวั ด เพชรบุ รี " มี วัต ถุ ป ระสงค์ เพื่ อ ศึ ก ษาค้ น คว้าเกี่ ย วกั บ ประวัติ ค วามเป็ น มา การตั้ งถิ่ น ฐาน พัฒนาการ ตลอดจนวิถีการดาเนินชีวิตของผู้คนในชุมชนบ้านฝั่งห้วยและศึกษา ถึ งปั จ จั ย ที่ ท าให้ เกิ ด พั ฒ นาการและการเปลี่ ย นแปลง รวมไปถึ งผลจากการ เปลี่ยนแปลงภายในชุมชนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน อันจะนาไปสู่ข้อเสนอในการ นาผลการศึกษาที่ได้มาใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานสาหรับการพัฒนาชุมชนบ้านฝั่งห้วย อย่างยั่งยืนต่อไป พื้นที่ศึกษาได้แก่ บริเวณชุมชนบ้านฝั่งห้วย หมู่ที่ 5 ตาบลหนองจอก อาเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ เน้น การลงพื้นที่ภาคสนามและงานเอกสาร โดยใช้การสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม และสัมภาษณ์ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ผลการศึกษาพบว่า ชุมชนบ้านฝั่งห้วยมีประวัติศาสตร์และพัฒนาการ มาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2435 โดยผ่านเหตุการณ์สาคัญหลายเหตุการณ์ที่ ต่างก็ส่งผลทาให้บ้านฝั่งห้วยเกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาและกลายเป็น บ้านฝั่งห้วยอย่างที่เป็นในปัจจุบัน อีกทั้งยังมีปัจจัยต่างๆที่ช่วยส่งเสริมให้เกิด การพัฒนา ซึ่งมีปัจจัยหลัก 3 ประการ คือ 1)ระบบนิเวศและทรัพยากร 2)การ คมนาคม และ 3)การเข้ามาของหน่วยงานรัฐและเอกชน ปัจจัยสามประการ ข้างต้นนี้เป็นปัจจัยที่ซ้อนทับกันอยู่และไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ทั้งนี้จะ อธิบายผ่านการตั้งถิ่นฐานและลักษณะการตั้งถิ่นฐานของชาวบ้านฝั่งห้วย ซึ่งยัง สามารถสะท้อนให้เห็นถึงลักษณะเฉพาะบางประการของชุมชนบ้านฝั่งห้วยอีก ด้วย


89

1. บทนา จังหวัด เพชรบุ รีเป็ น เมื อ งเก่ าแก่ ที่ มี ค วามเป็ น มาทางประวัติ ศ าสตร์ ศิ ล ปะ วั ฒ นธรรม ประเพณี ที่ สื บ เนื่ อ งกั น มาตั้ ง แต่ อ ดี ต จนถึ ง ปั จ จุ บั น ขณะเดียวกันเพชรบุรียังเป็นหัวเมืองทางตะวันตกและเป็นเมืองท่าที่สาคัญเป็น จุดเชื่อมต่อที่จะเข้าสู่กรุงเทพมหานคร ทางจังหวัดเพชรบุรีจึงได้มีการพัฒนา แผนพัฒนาเศรษฐกิจจังหวัดเพชรบุรีขึ้นเพื่อพั ฒนาจังหวัดให้มีความพร้อมใน หลายๆ ด้ าน โดยแผนพั ฒ นาเศรษฐกิ จ จั งหวัด เพชรบุ รี พ.ศ. 2553 – พ.ศ. 2556 ทางจั ง หวั ด มี วิ สั ย ทั ศ น์ เ กี่ ย วกั บ การพั ฒ นา คื อ “เพชรบุ รี เ มื อ ง ประวัติศาสตร์มีชีวิต น่าเที่ยว น่าอยู่ เป็นแหล่งผลิตอาหารปลอดภัยสู่สากล” ซึ่ง นาไปสู่ประเด็นยุทธศาสตร์การพัฒนาในแผนพัฒนาเศรษฐกิจของปี พ.ศ. 2557 – พ.ศ. 2560 ที่ เน้ น ในด้ า นการพั ฒ นาให้ เป็ น เมื อ งที่ น่ าอยู่ แ ละประชากรมี คุณภาพชีวิตที่ดี (สานักงานจังหวัดเพชรบุรี , 2557: 3) แผนการพัฒนาในด้าน ต่างๆนี้ได้มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ชุมชนรับการพัฒนาอย่างเต็มตัว ส่งผลให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในชุมชนเพื่อรองรับการเข้ามาของความเจริญและให้ สอดคล้องกับการพัฒนา ชุ ม ชนบ้ า นฝั่ ง ห้ ว ย ตั้ ง อยู่ ที่ ห มู่ 5 ต าบลหนองจอก อ าเภอท่ า ยาง จังหวัดเพชรบุรี เป็นชุมชนที่มีประวัติความเป็นมาอย่างยาวนาน ชื่อ “บ้านฝั่ง ห้ ว ย” มาจากการที่ มี น้ าจากล าห้ ว ยไหลสู่ ห มู่ บ้ า นตลอดทั้ งปี มี ค วามอุ ด ม สมบู ร ณ์ ในเรื่ อ งของทรั พ ยากรธรรมชาติ แ ละมี ค วามสะดวกสบายในการ คมนาคม อีกทั้งยังเคยเป็นศูนย์กลางในด้านการค้าและเศรษฐกิจ วิถีชีวิตของ ผู้คนในชุมชนตั้งอยู่พื้นฐานของการเกษตรกรรมและยังมีความสัมพันธ์กับพื้นที่ ใกล้ เคี ย ง รูป แบบสั งคมของชุ ม ชนบ้ านฝั่ งห้ วยเป็ น สั งคมขนาดเล็ ก มี ค วาม ใกล้ชิดผูกพันกันภายในชุ มชน ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทานา เลี้ยง สัตว์ ในปัจจุบันชุมชนได้มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากเมื่อเทียบกับ สภาพของชุมชนในอดีตที่ผ่านมา เนื่องด้วยการพัฒนาทั้งจากส่วนกลางและส่วน


90

ท้องถิ่น พัฒ นาการที่ เกิดขึ้นสามารถแบ่งได้ออกเป็น 3 ยุค โดยแบ่งตามการ เปลี่ยนแปลง ซึ่งแต่ละยุคมักจะนามาซึ่งความเจริญในด้านต่างๆ ทั้งในด้านสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม เช่น การมีระบบสาธารณูปโภคโภคที่ครบ ครัน ซึ่ งได้แก่ การมี ไฟฟ้ าและน้ าประปา ถนนลาดยางและคอนกรีตภายใน ชุม ชน การเกิ ด ขึ้น ของสถานที่ ราชการต่ างๆ เช่ น เทศบาลต าบลหนองจอก สถานีตารวจภูธรตาบลหนองจอก และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลหนอง จอก เป็นต้น พัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชุมชนบ้านฝั่งห้วยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2435 นั้ น มี ส าเหตุแ ละปั จจัยมาจากหลายๆปั จจัย ไม่ว่าจะเป็ นปั จจัย ภายในชุมชน อันได้แก่ ความสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ และระบบนิเวศที่ มีอยู่ชุมชน การตั้งถิ่นฐานของชาวบ้าน หรือปั จจัยภายนอกชุมชน เช่น การ ขยายตัวของชุมชนบ้านตลาดที่อยู่บริเวณใกล้เคียงและการเข้ามาของหน่วยงาน รัฐและเอกชน ซึ่งล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นภายใน ชุมชนบ้านฝั่งห้วย ด้วยเหตุนี้จึงทาให้ทางกลุ่มผู้ศึกษามีความสนใจในประเด็น พัฒนาการ ของชุ ม ชนหลั งทางรถไฟบ้ านฝั่ งห้ วย ทั้ งนี้ เพื่ อ ค้ น คว้าเกี่ ย วกั บ ประวัติ ค วาม เป็นมา การตั้งถิ่นฐาน พัฒนาการ ตลอดจนวิถีการดาเนินชีวิตของผู้คนในชุมชน และการศึกษาถึงปัจจัยที่ทาให้เกิดพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลง รวมไปถึงผล จากการเปลี่ยนแปลงในชุมชน เพื่อให้ทราบถึงความเป็นมาและการดารงอยู่ของ ชุมชนในหลากมิติตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เพื่อจะได้นาผลการศึกษาที่ได้มาใช้ เป็นข้อมูลพื้นฐานสาหรับการพัฒนาชุมชนบ้านฝั่งห้วยอย่างยั่งยืนต่อไป


91

2. ลักษณะทั่วไป ชื่อ “บ้านฝั่งห้วย” เป็นชื่อเรียกที่คนท้องถิ่นเรียกกันมาแต่เดิมเนื่องจาก เป็นพื้นที่ที่มีห้วยธรรมชาติไหลผ่านกลางชุมชน พื้นที่โดยทั่วไปในอดีตก่อนถาง เป็นถนน ที่ดินอยู่อาศัยและที่ทากิน มีลักษณะเป็นป่าเบญจพรรณ มีทั้งต้นสะแก แขนงพร้อย หนามพรม หนามเล็บเหยี่ยว ไผ่รวก ไผ่สีสุก และพืชพันธุ์ต่างๆ ขึ้น แซมกันไป จนในปัจจุบันพื้นที่ฝั่งห้วยนั้นเป็นพื้นที่ที่ชาวบ้านอยู่อาศัยโดยอาศัย ทรัพยากรในพื้นที่ที่ยังคงมีอยู่ในพื้นที่ บ้านฝั่งห้วย หมู่ที่ 5 ตาบลหนองจอก อาเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี ตั้งอยู่ห่างจากอาเภอท่ายาง ไปทางทิศตะวันออกประมาณ 8 กิโลเมตร โดยมี อาณาเขตติดต่อดังต่อไปนี้

ภาพที่ 2.1 ภาพถ่ายดาวเทียมพื้นที่บ้านฝั่งห้วย (ที่มา : Google Maps)


92

ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก

ติดต่อกับ ติดต่อกับ ติดต่อกับ ติดต่อกับ

บ้านหนองจิก บ้านหนองบัว บ้านตลอด บ้านในดง

หมู่ที่ 9 ตาบลหนองจอก หมู่ที่ 3 ตาบลหนองจอก หมู่ที่ 6 ตาบลหนองจอก หมู่ที่ 9 ตาบลหนองจอก

บ้านฝั่งห้วยมีเนื้อที่ทั้ งหมดประมาณ 2,000 ไร่ เป็นหมู่บ้านที่มีพื้นที่ ราบล้อมรอบด้วยห้วยธรรมชาติที่ได้รับการปรับปรุงและพัฒนาให้อยู่ในสภาพใช้ งานได้อยู่เสมอ มีคลองชลประทานสาย 2 เป็นคลองส่งน้าสายหลักมาจากเขื่อน แก่ งกระจานผ่ านเขื่ อ นเพชรบุ รี ทั้ งยั งมี ก ารตั ด ถนนเพชรเกษมตั ด ผ่ านใกล้ บริเวณชุมชนและมีถนนเส้นรองตัดผ่านภายในชุมชน


93

ภาพที่ 2.2 แผนที่เดินดินบ้านฝั่งห้วย หมายเลข 1: หมายเลข 2: หมายเลข 3: หมายเลข 4:

ประปาเขตเทศบาล สถานีตารวจภูธรหนองจอก เทศบาลตาบลหนองจอก สถานีอนามัย

หมายเลข 5: หมายเลข 6: หมายเลข 7:

ศาลเจ้าปึงเถ่ากง สหกรณ์เครดิตยูเนียน หนองจอก ที่ทาการผู้ใหญ่บ้านหมู่ 5


94

2.1. ประชากร มีทั้งหมด 256 ครัวเรือน มี ประชากรทั้ง 774 คน แบ่งเป็นชาย 353 คน และเป็ น หญิ ง 421 คน (สถิ ติ ข องเทศบาลต าบลหนองจอก เมื่ อ ปี พ.ศ. 2558) 2.2. การศึกษา การศึกษาในบ้านฝั่งห้วย สามารถแบ่งออกเป็น 2 ระบบ คือ การศึกษา ในระบบและการศึกษานอกระบบ สาหรับการศึกษาในระบบ มีศูนย์กลางอยู่ที่ โรงเรี ย นศรี ส รรค์ พ านิ ช (วั ด หนองจอก) มี นั ก เรี ย นทั้ ง หมด 266 คน ส่ ว น การศึ ก ษานอกระบบ จะเป็ น การสร้ า งเครื อ ข่ า ยเพื่ อ การเรี ย นรู้ ในหมู่ บ้ า น (เทศบาลตาบลหนองจอก, 2559: 2)

3. ประวัติศาสตร์ชุมชน ชื่อ “ฝั่ งห้ วย” หรือ “บ้ านฝั่ งห้ วย” เป็ น เพราะพื้ น ที่ ข องฝั่งที่ มี ห้ วย ขนาดใหญ่ โดยจากหลักฐานและคาบอกเล่าแสดงให้เห็นว่า ชุมชนบ้านฝั่งห้วยมี ความเก่าแก่สืบย้อนได้ว่าตั้งถิ่นฐานมาไม่ต่ากว่า 120 บ้านฝั่งห้วย จึงเป็นชุมชน ประวัติศาสตร์ ที่ผ่านเหตุการณ์สาคัญหลายเหตุการณ์ อีกทั้งเหตุการณ์ดังกล่าว ยังส่งผลให้บ้านฝั่งห้วยนั้นเปลี่ยนแปลงไปด้วย ดังนั้นจึงแบ่งประวัติศาสตร์ชุมชน ออกเป็น 3 ช่วง เพื่อให้สะดวกในการทาความเข้าใจในความเป็นมาของบ้านฝั่ง ห้วยได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยใช้เหตุการณ์สาคัญต่างๆเป็นเกณฑ์ เพื่อให้เห็นการ เปลี่ ย นแปลงของบ้ า นฝั่ งห้ ว ยได้ อ ย่ า งชั ด เจนมากขึ้ น ด้ ว ย ซึ่ งมี ร ายละเอี ย ด ดังต่อไปนี้


95

3.1. ยุคที่ 1 : แรกเริ่ม ฝั่งห้วยเดิม (ประมาณปี พ.ศ. 2435 – พ.ศ. 2459) ในยุคแรกเริ่มนี้เป็นยุคที่สืบทราบได้ว่ามีการก่อสร้างวัดหนองจอกเดิม ก่อนที่วัดหนองจอกจะมาตั้งอยู่ที่ บ้านฝั่งตลาดหรือหมู่ 6 ในปั จจุบั น โดยวัด หนองจอกเดิมได้ตั้งอยู่บริเวณสถานีตารวจในปัจจุบัน จากนั้นเมื่อมีนโยบาย สร้า งทางรถไฟสู่ ส ายใต้ ส่ งผลให้ มี พื้ น ที่ บ างส่ ว นของวั ด กลั บ ไปทั บ ซ้ อ นกั บ เส้นทางรถไฟ วัดหนองจอกเดิมจึงจาเป็นจะต้องย้ายจากพื้นที่จากบ้านฝั่งห้วย มาตั้งอยู่ฝั่งหมู่ 6 บ้านตลาดดังที่ปรากฏในปัจจุบัน พบว่า มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับการย้ายวัดหนองจอกที่คนในรุ่นปู่ย่าตายายได้ เล่าต่อๆ กันมา ผู้ใหญ่บ้านวิเชียร รักษาราษฎร์ ได้เล่าไว้ว่ ผู้ ใหญ่ เขาเล่ า ต่ อ ๆ กั น มาว่ า แต่ ก่ อ นวั ด หนองจอก มี ขรัว1อยู่ 2 คน ไม่ถูกกัน คนหนึ่งย้ายไปอยู่ที่หนองเตาปูน อีกคน ก็ประจาอยู่ที่นี้แกเสีย แต่ขรัวที่ย้ายไปหนองเตาปูน อยู่ไปอยู่มาก็ ไม่มีคนไปใส่บาตร เพราะเสือมันชุมเหลือเกิน เลยกลับมาสร้างวัด หนองจอกในพื้นที่ปัจจุบัน (วิเชียร รักษาราษฎร์, 2559: สัมภาษณ์)

จากคาบอกเล่าข้างต้นพอที่จะทาให้เห็นภาพของบ้านฝั่งห้วยในอดีตได้ ว่า เป็นพื้นที่ที่มีประชากรจานวนหนึ่งอาศัยอยู่แต่เดิม และเมื่อวัดได้มาสร้างใน พื้นที่ในฝั่งบ้านตลาด ส่งผลให้พื้นที่ทางฝั่งบ้านตลาดนั้น มีความคึกคักมากขึ้น และหลังจากที่วัดย้ายไปแล้วนั้น พื้นที่วัดเดิมจึงร้างไป เนื่องจากเป็นพื้นที่วัดเก่า ชาวบ้านจึงไม่นิยมเข้ามาสร้างเป็นที่อยู่อาศัย พื้นที่บริเวณนั้นจนกลายเป็นที่รก ร้าง จนการพัฒนาจากภาครัฐเข้ามาในชุมชน พื้นที่บริเวณดังกล่าว จึงเหมาะ 1

คาเรียกภิกษุที่มีอายุมากหรือฆราวาสผู้เฒ่า


96

อย่างยิ่งต่อการตั้งเป็นพื้นที่ทาการ เนื่องจากเป็นพื้นที่ว่างเปล่า ไม่มีชาวบ้าน อาศัยอยู่ ในปัจจุบันเราจึงเห็นหน่วยงานรัฐตั้งอยู่บริเวณพื้นที่วัดเดิมทั้งหมด ต่อมาในปี พ.ศ. 2452 โครงการสร้างทางรถไฟต่อจากเมืองเพชรบุรีสู่ สงขลาได้ตัดผ่านมายังหนองจอก ส่งผลให้เกิดการเข้ามาตั้งถิ่นฐานและทากิน ของกลุ่มคนที่หลากหลายยิ่งขึ้นทั้งในรูปแบบของคนไทยและคนจีน ในรูปแบบ ของพ่อค้าก็ดีหรือเข้ามาเป็นแรงงานสร้างทางรถไฟก็ดี โดยการเข้ามาของกลุ่ม คนที่หลากหลายมากขึ้นก็ได้ส่งผลให้เกิดการแต่งงานกับคนในพื้นที่และย้ายเข้า มาอยู่อาศัยในพื้นที่นี้ ทาให้จานวนประชากรของหนองจอกมีมากขึ้นเรื่อยๆ และ ในปี พ.ศ. 2457 ทางการได้ย้ายอาเภอนายาง มาตั้งที่หนองจอกและเปลี่ยนชื่อ จาก “อาเภอนายาง” เป็น “อาเภอหนองจอก” พื้นที่หนองจอกจึงได้กลายเป็น ศูนย์กลางทางการปกครองในส่วนท้องถิ่นไปโดยปริยาย ต่อมาในปี พ.ศ. 2459 การสร้ างเส้ น ทางรถไฟจากเมื อ งเพชรบุ รี สู่ ส งขลาได้ เสร็ จ สิ้ น ลง ระบบการ คมนาคมของหนองจอกจึงได้รับผลประโยชน์โดยตรงจากการสร้างทางรถไฟนี้ รถไฟที่ตัดผ่านช่วยให้ชาวบ้านสามารถเดินทางได้อย่างสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น คนหนองจอกสามารถโดยสารรถไฟเพื่อนาสินค้าจากชุมชน เช่น เข่ง ถ่าน กะปิ เป็นต้น ไปขายที่หัวเมืองเพชรบุรีได้ 3.2. ยุคที่ 2 : หน่วยรัฐช่วย เสริมรากฐาน (ประมาณปี พ.ศ. 2460 – พ.ศ. 2489) ช่วงยุครอยต่อถือว่าเป็นยุคที่เราสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงของฝั่ง ห้วยได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของระบบคมนาคมที่สะดวกขึ้น รวมไป ถึงการเข้ามาของภาครัฐที่นามาซึ่งความเปลี่ยนแปลงในหนองจอกและฝั่งห้วย อันส่งผลกระทบในหลากมิติ ดังต่อไปนี้ ในปี พ.ศ. 2489 ได้มีการเข้ามาของระบบชลประทาน โดยบ้านฝั่งห้วย เป็นหมู่แรกที่สามารถรับน้าจากคลองชลประทานที่ส่งตรงมาจากแก่งกระจาน


97

ผ่านเขื่อนเพชรบุรี พื้นที่ ฝั่งห้วยจึงอุดมสมบูรณ์ ยิ่งขึ้นในแง่ของน้าที่ใช้ในการ เพาะปลูก จากเดิมที่เป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์อยู่แล้วก็ยิ่งสมบูรณ์มากขึ้น ไปอีก จากเดิมที่ชาวบ้านสามารถทาการเกษตรได้เฉพาะหน้าน้า ก็กลายเป็น สามารถทาได้ตลอดทั้งปี ไม่จาเป็นที่จะรอน้าฝนเพียงอย่างเดียว พื้ น ที่ ข องบ้ า นฝั่ ง ห้ ว ยนั้ น ไม่ ไ ด้ เ ป็ น พื้ น ที่ ร าบเสมอกั น ทั้ ง หมด ยกตัวอย่างเช่น “นาสวรรค์” เป็นพื้นที่ที่มีความสูงกว่าบริเวณอื่นของหมู่บ้าน ทาให้น้าในบางปีไม่เพียงพอต่อการทาการเกษตร แต่เมื่อมีระบบชลประทานเข้า มาจึงทาให้พื้นที่บริเวณนี้สามารถทาการเกษตรได้มากขึ้ น (ปรี เปรียญทองคา, 2559: สัมภาษณ์) สืบเนื่องจากการเข้ามาของระบบชลประทานที่ได้กล่าวไปในข้างต้นว่า ระบบชลประทานทาให้พื้นที่บ้านฝั่งห้วยทาการเกษตรได้มากขึ้น โดยการทา การเกษตรที่มากขึ้นนี้ยิ่งส่งผลให้สภาพพื้นที่เดิมที่เต็มไปด้วยต้นสะแก 2 ต้นตาล ต้นไผ่ อันถือว่าเป็นต้นไม้ประจาถิ่น ค่อยๆ ลดจานวนลง เนื่องจากถูกถางทา เป็นที่เพาะปลูกโดยเดิมทีนั้น ชาวบ้านสามารถนาพืชเหล่านี้มาใช้ประโยชน์ได้ มาก ยกตั วอย่ างเช่ น ไม้ ส ะแก ที่ ช าวบ้ านมั ก จะน ามาเผาเพื่ อ ท าเป็ น ถ่ านไว้ ประกอบอาหารภายในครัวเรือน หรือต้นไผ่ ที่สามารถนามาสานเป็นผลิตภัณฑ์ ที่หลากหลายได้ ในปี พ.ศ. 2487 อาเภอหนองจอกได้ย้ายไปตั้งที่ อาเภอชะอา ท าให้ อาเภอหนองจอกถูกลดระดับเป็นสุขาภิบาล3 บรรยากาศของการเป็นศูนย์กลาง การปกครองจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะซบเซาลงไปบ้างตามสถานการณ์ แต่หนอง จอกก็ยังคงเป็นชุมชนที่เรียกได้ว่ามีความเจริญทางการค้ามั่งคั่งเหมือนเช่นเคย 2

เป็นไม้ยืนต้น มีหนาม สามารถทามาเผาทาเป็นถ่านหุงต้มได้ ชาวบ้านฝั่งห้วยมัก เรียกต้นสะแกว่า “ตะแก” 3 เป็นเขตการปกครอง ที่มีอานาจหน้าที่รักษาความสะอาดในท้องถิ่น เพื่อป้องกัน โรคภัย อันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทั่วไป เช่น ท่อระบายน้า ห้องน้า ไฟฟ้า เป็นต้น


98

3.3. ยุคที่ 3 : ปัจจุบันกาล พัฒนาการคมนาคม (ประมาณปี พ.ศ. 2490 -ปัจจุบัน) หลังจากที่อาเภอได้ย้ายไปตั้งอยู่ที่ชะอาและหนองจอกถูกลดบทบาทลง เป็นเขตสุขาภิบาล ในปี พ.ศ. 2489 ทางภาครัฐได้เข้ามาตั้งที่พักสายตรวจ เพื่อ อานวยความสะดวกเรียบร้อยแก่ราษฎร อย่างไร ก็ตาม ที่พั กสายตรวจ ดังกล่าวนี้ ไม่สามารถรับแจ้งความและตัดสิ นคดีเองได้ตามระเบี ยบราชการ เนื่องจากไม่มีตารวจ ในตาแหน่งที่สามารถตัดสินโทษได้ ทั้งนี้ สืบเนื่องจากการ เข้ามาของเขตสุขาภิบาลทาให้ชุมชนหนองจอกได้เปลี่ยนแปลงและรุดหน้าไป อย่างรวดเร็ว กล่าวคือ หลังจากที่เป็นเขตสุขาภิบาล ระบบสาธารณูปโภคขั้น พื้นฐาน อย่างระบบไฟฟ้า ระบบน้าประปา ตลอดจนการวางท่อระบายน้ารอบ ชุมชน ยิ่งส่งเสริมให้ชุมชนบ้านฝั่งห้วยมีความเจริญมากขึ้นตามลาดับ ในช่วงปี พ.ศ. 2497 ได้มีเกิดการขยายตัวของชุมชนหนองจอกที่เรียก ได้ว่าเป็นระลอกใหญ่ระลอกหนึ่ง กล่าวคือ หลังจากที่เส้นทางรถไฟนี้ ไปเปิดใช้ บริการไปแล้วเป็นเวลาเกือบ 40 ปี เส้นทางรถไฟสายนี้จึงจาเป็นอย่างมากที่ จะต้องได้รับการซ่อมบารุง นายปรี เปรียญทองคา อายุ 88 ปี ได้เล่าให้ฟังว่า ตาเป็นคนคุมก่อสร้างทางรถไฟอยู่ 20 ปี เดิมอยู่ที่ เขา ทะโมน มาได้เมียเป็นคนที่นี่ เลยอยู่ที่นี่ คนงานมีแต่คนไทย ไม่มี คนจีนเลย เป็นคนไทยทั้งหมด เป็นคนหนองจอกบ้าง เป็นคนต่าง ถิ่นบ้าง ก็แต่งงานกันแล้วก็อยู่ซะที่น่ี (ปรี เปรียญทองคา, 2559: สัมภาษณ์)

จากการพู ด คุ ย ข้ า งต้ น นี้ สะท้ อ นให้ เห็ น ว่ า หนองจอกในช่ ว งนี้ ยั ง ประชากรเพิ่มขึ้นอยู่เรื่อย ๆ ผ่านการแต่งงานระหว่างคนในและนอกพื้นที่ หนอง


99

จอกจึงมีจานวนประชากรเพิ่มมากขึ้นไปพร้อมๆ ในเวลาเดียวกันกับการพัฒนา ด้านสาธารณูปโภค จนกระทั่งประมาณปี พ.ศ. 2505 ได้มีการตัดถนนทางหลวงหมายเลข 4 หรือ ถนนเส้ น เพชรเกษม เพื่ อ เพิ่ ม ความสะดวกรวดเร็วด้ านคมนาคมของ ประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับที่ 14 ณ ขณะนั้น โดยหนองจอก เป็นพื้นที่ที่ตั้งอยู่ตาแหน่งที่ไม่ไกลจากถนนเส้นนี้มากนัก จากที่ชาวหนองจอก เคยอาศัยทางรถไฟเป็นหลัก ก็สามารถเดินทางด้วยรถส่วนตัวหรือรถสาธารณะ จากหมู่บ้านที่วิ่งจากตัวตลาดไปสู่ตัวเมืองเพชรบุรีโดยตรงทางถนนเส้นนี้ได้ นาง เทียม กลั่นจุ้ย ได้เล่าเรื่องรถโดยสาธารณะหรือรถสองแถวว่า เมื่อ 30 ปีก่อน หนองจอกเนี่ยคึกคัก ตอนเช้ามีรถสอง แถว วิ่ง 3 รอบ 7 8 9 โมง พวกแม่ค้าเนี่ยแหละขึ้นรถไปซื้อของ สดของแห้งมาขายที่นี้อีกที แต่เดี๋ยวนี้พอคนมันมีรถส่วนตัวมันก็ไม่ นั่งแล้ว ออกรถกันง่ายเหลือเกิน เดี๋ยวนี้มันเลยไม่มีสองแถววิ่งแล้ว ตอนแรกก็เรื่อย 2 รอบ แล้วก็รอบเดียว จนคนขับเขาไม่ไหวก็เลิก ไปแล้ว (เทียม กลั่นจุ้ย, 2559: สัมภาษณ์)

นอกจากนั้นนางเทียมยังได้กล่าวเสริมต่อไปอีกว่า

4

แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1 มุ่งขยายการผลิต ส่งเสริมการ กิ จ กรรมทางการค้ า และการลงทุ น ( ที่ ม า : http://coop.eco.ku.ac.th/coopeco/ learning1/ five11.html )


100 ตลาดมั น ก็ เริ่ ม เงี ย บไปเรื่ อ ยๆ คนย้ า ยออกกั น ไปอยู่ กรุงเทพบ้าง ตายกันไปบ้าง พอประมาณทุ่มกว่าๆ ก็เงียบ ไม่มีใคร เข้าไปแถวนั้นแล้ว แถวบ้านป้านะยังจะสว่างกว่าอีก (เทียม กลั่นจุ้ย, 2559: สัมภาษณ์)

คาบอกเล่าของนางเทียมแสดงให้เห็นว่า ในระยะแรกของการเข้ามา ของถนนเพชรเกษม ทาให้หนองจอกเป็นพื้นที่ที่มีความเจริญ หลั่งไหลเข้ามา ผู้คนสามารถเดินทางเข้าออกจากหมู่บ้านไปยังตัวจังหวัดได้อย่างสะดวกสบาย แต่ในระยะหลังที่ชาวหนองจอกนิยมออกรถส่วนตัวกันทาให้สามารถออกไป จับจ่ายซื้อของในตัวเมืองที่มีข้าวของเครื่องใช้ครบครันกว่าในตลาด ตลอดจน การย้ายออกของคนในพื้นที่เอง กลับส่งผลกรายๆ ให้บรรยากาศของหนองจอก เริ่มเงียบเหงาและซบเซาตามลาดับ จนในปี พ.ศ. 2538 ภาครัฐได้เข้ามาปรับปรุงและพัฒนาบริเวณลาห้วย นี้ ด้วยการลอกและขยายให้ กว้างขึ้น เพื่ อให้ ส ามารถผลิ ต น้ าประปาได้ อย่ าง เพียงพอต่อจานวนประชากรในเขตเทศบาล จากคาบอกเล่าของ นายสิทธิกร แย้มดี เจ้าหน้าที่ควบคุมเครื่องผลิตน้าประปา อายุ 46 ปี เล่าให้ฟังว่า ประปาที่นี้ ผลิตวันละ 500 คิว ต่อวัน ผลิตไปใช้ไป แต่ ก่อนผู้ใช้น้ามีประมาณ 500 รายเอง ตอนนี้เพิ่มเป็น 2,000 ราย แล้ว แต่น้าก็ผลิตพอนะ จะมีก็ตอนที่น้าท่วมใหญ่ เครื่องผลิตน้า จมไปเลยพังทั้งหมด

และยังเล่าเสริมต่อไปว่า


101 ที่เห็นๆ อยู่นี้ ถมไปแล้วหลายรอบนะแต่ก่อนที่ฝั่งนี้มัน ต่ ามาก ปกติ ก็ ท่ ว มทุ ก ปี แ ต่ แ ปปเดี ย วก็ ผ่ า นไป เพราะมั น เป็ น ทางผ่านน้ าแต่ปี นั้ น น้ ามาเยอะจริง ๆ เยอะจนน้าท่ วมรางรถไฟ สถานี ต ารวจ เทศบาล อนามั ย ก็ โดนน้ าท่ วม เอกสารราชการ หายไปหมด เก็บไว้ไม่ได้เลย (สิทธิกร แย้มดี, 2559: สัมภาษณ์)

จะเห็ น ได้ ว่า จ านวนประชากรในเขตสุ ข าภิ บ าลที่ ต่ อ มาได้ แ ยกการ ปกครองออกเป็นเขตเทศบาลและองค์การบริหารส่วนตาบลในปี พ.ศ. 2542 นั้น มีจานวนผู้ใช้น้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนมีจานวนผู้ใช้น้าเพิ่มเป็น 2,000 คน ดังที่ ปรากฏในปัจจุบัน แม้ ว่าบรรยากาศของหนองจอกจะดูซ บเซาลงเรื่อยๆ แต่การเข้ามา พัฒนาด้านสาธารณูปโภคของภาครัฐ ก็ยังคงดาเนินการต่อไป ในปี พ.ศ. 2539 หน่วยงานรัฐได้สร้างสะพานปูนในบริเวณที่ห้วยตัดผ่าน ซึ่งแต่ก่อนเป็นบริเวณที่ ข้ามห้วยยากมาก เพราะมีลักษณะเป็นห้วยลึก ต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะ ข้ามบริเวณนี้ไปได้จนเหมือนว่าบ้านฝั่งห้วยนี้แบ่งแยกออกเป็นสองส่วน โดย อาศัยลาห้วยเป็นตัวแบ่ง ต่อมาเมื่อภาครัฐได้เข้ามาสร้างสะพานปูนส่งผลให้ การจราจรดีและสะดวกขึ้นมาก โดยไม่ใช่เพียงแค่คนในชุมชนเดียวกันเท่านั้นที่ สามารถติด ต่อกัน ได้อ ย่างสะดวกขึ้น แต่ยังรวมไปถึงชาวบ้ านจากหมู่อื่ นที่ มี อาณาบริเวณติดกับอีกฝั่งของลาห้วยที่สามารถสัญ จรได้อย่างสะดวกมากขึ้น เช่นกัน ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของบ้านฝั่งห้วยจึงเป็นประวัติศาสตร์ที่มี ความเป็นมาและสั่งสมมายาวนาน ผ่านเหตุการณ์สาคัญหลายเหตุการณ์ที่ต่างก็ ส่งผลทาให้บ้านฝั่งห้วยเกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาและกลายเป็นบ้านฝั่ง ห้วยอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน


102

4. เศรษฐกิจ เศรษฐกิ จ ในพื้ น ที่ ฝั่ งห้ วย หรือ หมู่ 5 ส่ วนใหญ่ ยั งตั้ งอยู่ บ นฐานของ เกษตรกรรมด้วยสภาพภูมิประเทศที่เหมาะสมแก่การทาเกษตรทั้งการทานา ทาไร่ และเลี้ยงสัตว์ ผสานไปกับอาชีพอื่นๆ ที่เกิดจากทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ ในพื้นที่อย่างการสานเข่ง การเผาถ่าน โดยในอดีตวิถีการดารงชีพนั้นขึ้นอยู่กับ ฤดูกาลการเกษตร กล่าวคือ นอกฤดูกาลเพาะปลูก ชาวบ้านก็จะหั นมาทางาน หัตถกรรมอย่างการสานเข่ง และหารายได้เสริมด้วยการเผาถ่านเพื่อส่งขายใน พื้นที่ใกล้เคียง วิถีการดารงชีพของชาวบ้านฝั่งห้วยจึงมีความสัมพันธ์กับหมู่บ้าน หรือพื้นที่ใกล้เคียงทั้งในเขตเทศบาลตาบลหนองจอก นอกเขตเทศบาล ไปจนถึง ตั วเมื อ งเพชรบุ รี เนื่ อ งจากในอดี ต ที่ ห นองจอกเป็ น ศู น ย์ ก ลางย่ อ ยๆ ในทาง การค้าด้วยการคมนาคมที่สะดวกสบาย สามารถติดต่อ กับพื้นที่ต่างๆ ได้ง่าย ทั้งนี้พื้นที่ฝั่งห้วยยังเรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางแห่งพื้นที่เศรษฐกิจที่สาคัญของพื้นที่ รอบๆ ก็ว่าได้ ดังที่ปรากฏว่าเป็นที่ก่อตั้งของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนหนองจอก อันเป็นสหกรณ์ที่ใหญ่และมีเงินหมุนเวียนมากเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศไทย จวบจนถึ งปั จ จุ บั น ด้ ว ยสภาพแวดล้ อ มและเงื่อ นไขทางเศรษฐกิ จ ที่ เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัยและผลของการพัฒนาทั้งจากส่วนกลางและจาก ท้องถิ่น ส่งผลให้วิถีดารงชีพในวัฒนธรรมของชาวบ้านเปลี่ยนแปลงไปบ้างตาม เงื่อนไขและกาลเวลา ถึงกระนั้นก็ตาม รากฐานการดารงชีพของชาวบ้านฝั่งห้วย ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง วิถีการดารงชีพในอดีตยังคงดารงอยู่เป็นอาชีพ ดั งที่ พ บเห็ น ในปั จ จุ บั น โดยในส่ วนนี้ จ ะมุ่ งอธิบ ายเป็ น ส่ วนในแต่ ล ะอาชี พ ที่ ปรากฏในพื้นที่บ้านฝั่งห้วย ดังนี้


103

4.1. กสิกรรม ด้วยลักษณะภูมิประเทศของฝั่งห้วยที่เป็นที่ราบลุ่มประกอบกับมีห้วย ขนาดใหญ่ที่เดิมทีเป็นห้วยธรรมชาติ (กนก บัวศิริ, 2559: สัมภาษณ์) และต่อมา ถู ก จั ด การอย่ างเป็ น ระบบให้ ก ลายเป็ น ส่ ว นหนึ่ งของระบบชลประทานของ ท้องถิ่นตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. 2486 (อารักษ์ สิรินธราพรรณ, 2559: สัมภาษณ์) ส่งผลให้พื้นที่ฝั่งห้วยยิ่งมีลักษณะที่เหมาะสมแก่การกสิกรรม ดังที่ปรากฏว่าการ กสิกรรมทั้งการทานาและทาไร่นั้นเป็นอาชีพหลักของชาวบ้านฝั่งห้วยจนเรียกได้ ว่ า เป็ น “อู่ ข้ า วอู่ น้ า ” ของหนองจอกก็ ว่ า ได้ (ปรี เปรี ย ญทองค า, 2559: สัมภาษณ์) การทานาและทาไร่ในพื้นที่ฝั่งห้วยเดิมทีขึ้นอยู่กับฤดูกาลเป็นหลักการ ทานาในอดีตจึงเป็นการทานาแบบนาปี ต่อมาด้วยระบบชลประทานที่ถูกพัฒนา ในแต่ละยุคสมัยทาให้การทานาและทาไร่นั้นพอยืดหยุ่นไปได้ในแต่ละฤดูกาลจึง เริ่มปรากฏการทานาปรังร่วมด้วย การเพาะปลูกในพื้นที่ฝั่งห้ว ย อาศัยคลอง ชลประทานสาย 2 ที่ เป็ น เส้ น ทางส่ งน้ าจากเขื่ อ นเพชรบุ รี เป็ น เส้ น ทางการ กระจายน้าเพื่อการเพาะปลูก โดยในแต่ละพื้นที่การเพาะปลูกจะมี “เหมือง” หรือคันดินที่ชาวบ้านขุดไว้เพื่อระบายน้าเข้าสู่ที่ดินของ มีลักษณะเป็นทางน้า ขนาดเล็กถึงกลางใช้ในการกระจายน้า สามารถใช้ในการระบายน้าจากถนนหรือ ทุ่ง หรือใช้ในชลประทานส่งน้าจากบริเวณหนึ่งไปยังบริเวณที่ต้องการน้าเพื่อ เพาะปลูก มักจะพบได้ในบริเวณไร่นาหรือพื้นที่การเกษตร (Wikipedia, 2556: ออนไลน์) ในปั จจุบั น เหมื องดิน ได้เปลี่ ยนไปเป็น เหมืองปู นเสียส่วนใหญ่ ด้วย ความสะดวกในการดูแลที่ง่ายกว่า (กนก บัวศิริ, 2559: สัมภาษณ์) ในอดีตการทานาและทาไร่ในพื้นที่ฝั่งห้วยเป็นการเพาะปลูกเพื่อบริโภค ภายในครัวเรือนและเพื่อแลกเปลี่ยนตามลักษณะสังคมเกษตรกรรมทั่วไป ต่อมา เมื่อเศรษฐกิจในท้องถิ่นเริ่มเติบโตขึ้นจึงเกิดการเพาะปลูกเพื่อขายเลี้ยงชีพดังที่ ปรากฏทั่วไปในปัจจุบัน เดิมทีชาวบ้านฝั่งห้วยส่วนใหญ่มีที่นาในครอบครอง แต่


104

ด้วยปัญหาทางเศรษฐกิจที่ชาวบ้านต้องประสบทาให้บ้างก็ต้องขายที่นาเพื่อใช้ หนี้ ทั้งยังมีการเข้ามาซื้อที่นาของคนนอกชุมชนทาให้ชาวบ้านบางส่วนไม่มีที่นา ในการท ากิ น จนต้ อ งออกไปรับ จ้ าง ดั ง ที่ จ ะกล่ าวในส่ วนต่ อ ไป นอกจากนี้ มี ชาวบ้านบางส่วนที่ประกอบอาชีพรับจ้างทานาภายในชุ มชน โดยคิดค่าแรงเป็น เงินค่าจ้างหรือเป็นผลผลิตจากที่นาที่ตนไปรับจ้างตามแต่ตกลงกัน เช่นนายยวง ภูมิสวัสดิ ปัจจุบันอายุ 87 ปี ที่เคยรับจ้างทานาให้กับญาติเล่าว่า เมื่อครั้งยัง หนุ่ม เคยรับจ้างท านาโดยคิดค่าแรงวันละ 8 บาท บ้างก็แบ่งผลผลิตระหว่าง เจ้าของที่นากับผู้รับจ้างในสัดส่วนครึ่งต่อครึ่ง และในระยะต่อมาเปลี่ยนแปลงไป ในสัดส่วน 2:1 บ้างก็รับจ้างเป็นแรง โดยคิดราคาแรงละ 30 บาท ส่วนเจ้าของที่ นาที่จ้างเป็นทั้งคนในบ้านฝั่งห้วยและคนในฝั่งตลาดหนองจอก ที่นาที่ไปรับจ้าง นั้นก็มีทั้งอยู่ในและนอกบริเวณฝั่งห้วย ส่วนข้าวที่ได้เป็นผลผลิตนั้นในอดีตจะ ขายให้โรงสีภายในชุมชน จากการสืบค้นข้อมูลและสัมภาษณ์นั้น ปรากฏว่าโรงสี ในพื้นที่ฝั่งห้วยมี 2 โรง คือ โรงสีของนางพวงแก้ว กัลยาณสิทธิ์ และโรงสีของ อารักษ์ ศิรินธราพรรณ ซึ่งร่วมหุ้นกับเพื่อนตระกูลเหลืองประภาศิริ ที่สีข้าวได้ถึง วันละ 2 ตัน โดยรับซื้อข้าวจากชาวบ้านฝั่งห้วยเป็นหลัก แต่ในปัจจุบันโรงสี ดังกล่าวได้ปิดตัวลงไปหมดแล้ว เนื่องจากการย้ายถิ่นฐานเข้าไปอาศัยในเมือง และการกระจุกตัวของความเจริญที่โยกย้ายไปจากบริเวณหนองจอกที่เคยเป็น ศูนย์กลางทางการค้าหนึ่งไปยังเมืองเพชรบุรีหลังจากการตัดถนนเพชรเกษมเข้า มา (คาสัมภาษณ์ของอารักษ์ ศิรินธราพรรณ, แวะ สุปรีรัชชกร, พร้อม สุปรีรัช ชกร, ยวง ภูมิสวัสดิ์ และสายันห์ เปรียญทองคา, 2559) นอกจากการท านา พื้ นที่ ฝั่ งห้วยยังปรากฏการท าไร่และปลู กพื ชผัก ต่างๆ ควบคู่ไปกับการทานาปลูกข้าว กล่าวคือ มีการปลูกพืชผักสวนครัวและ ผลไม้เพื่อบริโภคภายในครัวเรือน เช่น พริก มะนาว กล้วย ละมุด มะม่วง เป็น ต้น นอกจากนี้ยังมีการทาสวนผักและผลไม้เพื่อส่งขาย เช่น สวนมะนาวของ กนก บัวศิริ ตั้งอยู่บริเวณข้างอ่างเก็บน้า และปั จจุบันการทานานั้นได้ไม่คุ้ม เสีย


105

ด้วยเงื่อนไขทางเศรษฐกิจต่างๆ อย่างราคาข้าวที่ตกต่าลงในขณะที่ต้ นทุนนั้นมี แนวโน้ ม สู ง ขึ้ น เรื่ อ ยๆ จึ ง หั น มาท าสวนมะนาวในวงบ่ อ ซี เมนต์ ที่ ส ามารถ คาดการณ์ผลผลิตได้ค่อนข้างแน่นอนแทนการทานา โดยผลผลิตที่ได้นั้นจะส่ง ขายที่ตลาดกลางท่ายาง 4.2. ปศุสัตว์ การเลี้ยงวัวเพื่อใช้เป็นแรงงานในการทานาทั้งในขั้นตอนการเตรียมดิน และขั้นตอนการนวดข้าว รวมไปถึงการเลี้ยงเพื่อใช้เทียมเกวียนอันปรากฏทั่วไป ในพื้ น ที่ ฝั่งห้ วยครั้งในอดีต โดยมั กเลี้ ยงไว้ครัวเรือนละ 2-3 ตัว ขึ้น กั บ ความ ต้องการใช้งานของแต่ละครัวเรือน ทั้งนี้การเลี้ยงวัวเพื่อใช้แรงงานก็ถูกแทนที่ ด้ ว ยเท คโนโลยี เ ครื่ อ งมื อ การเพ าะปลู ก หรื อ ท านา รวมไปถึ ง การใช้ รถจักรยานยนต์และรถยนต์ด้วยการพัฒนาถนนหนทางให้สะดวกสบายในการ เดินทางมากขึ้น การเลี้ ย งวัว ที่ ป รากฏในปั จ จุ บั น จึ งเป็ น การเลี้ ย งวั วเพื่ อ ส่ งขายแทบ ทั้งหมด พันธุ์ที่นิยมเลี้ยงในฝั่งห้วย คือ พันธุ์ไทย พันธุ์ชาร์โลเล่ส์ หรือที่ชาวบ้าน เรียกว่า “วัวเล่” และพันธุ์ผสม โดยเลี้ยงไว้เพื่อขาย ส่วนใหญ่ผู้ซื้อมักซื้อไปวิ่ง ลาน และจะขายเมื่อลูกวัวอายุประมาณ 5-6 เดือน หรือในบางรายก็มาซื้อเมื่อ ลูกวัวหย่านม การขายจะขายเฉพาะลูกวัวตัวผู้ เนื่องจากวัวตัวเมียสามารถเก็บ ไว้เป็นแม่พันธุ์ได้ ส่วนลูกวัวตัวผู้จะขายได้ราคาดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับลักษณะรูปร่าง หากมีขายาวเรียว หนอกสูงใหญ่ ลายสวยจะขายได้ราคาดี โดยเฉลี่ยราคาจะอยู่ ที่ประมาณ 8,000-10,000 บาทขึ้นไป แต่หากเป็นลูกของพ่อพันธุ์ที่เคยวิ่งลาน ชนะก็จะยิ่งทาให้วัวมีมูลค่าสูงขึ้นไปอีก เพ็ญศรี กัลยาณสิทธิ์ (2559: สัมภาษณ์) เล่าว่า ครั้งหนึ่งมีแม่วัวให้กาเนิดลูกวัวจากพ่อพันธุ์ที่เคยวิ่งชนะ เมื่อมีอายุได้ เพียง 3 วัน ก็มีผู้มาขอซื้อแล้ว เนื่องจากเชื่อว่าเป็นวัวที่วิ่งดีเหมือนพ่อพันธุ์ อีก ทั้งวัวที่เคยแข่งชนะหากนาไปขายก็จะยิ่งได้ราคา ส่วนพ่อพันธุ์ที่นามาผสมนิยม


106

นามาจาก อ.ท่าลาด อันเป็นที่ที่มีชื่อเสียงในเรื่องวัวลาน โดยเสียค่าทับครั้งละ ประมาณ 1,000 บาท เป็นค่าบรรทุก 500 บาท และค่าทับอีก 500 บาท ส่วนผู้ ซื้อส่วนใหญ่มาจากละแวกใกล้เคียงอย่างหนองเกตุและหนองจิกซึ่ งซื้อไปวิ่งลาน กันเป็นปรกติ การเลี้ยงวัวที่ปรากฏมีทั้งการเลี้ยงแบบกึ่งปล่อย กล่าวคือ บ้างก็มี คอก บ้างก็ผูกไว้ตามต้นไม้และเสาไฟฟ้า หากวัวที่มีสุขภาพไม่ดีหรือเพิ่งคลอด นั้น เจ้าของก็จะนาวัวไปอยู่ในคอกเพื่อรักษาสุขภาพวัวให้ดีขึ้นก่อน บ้างก็ปล่อย ให้วัวหากินตามทุ่งนาทั่วไปตามแต่ความสะดวกของผู้เลี้ยง นอกจากการเลี้ยงวัว ในฝั่งห้วยยังมีการเลี้ยงแพะและเลี้ยงหมูร่วมด้วย แต่ไม่เป็นที่นิยมเท่าการเลี้ยงวัว จากการลงพื้นที่พบว่า การเลี้ยงแพะนั้นมีแค่เจ้า เดียว โดยเจ้าของแพะคือ คุณสมานย์ แสงศิลา อายุ 61 ปี (2559: สัมภาษณ์) ให้ข้อมูลว่า เลี้ยงไว้เพื่อขายและเพื่อกิน การเลี้ยงเป็นการเลี้ยงแบบปล่อย โดย จะเลี้ยงปีละ 2 คอก เมื่อถึงเวลาจะมีพ่อค้าจากชะอามารับซื้อที่ฝั่งห้วย ส่วนหมู นั้น ในอดีตก็มีการเลี้ยงกันบ้าง บางบ้านจะเลี้ยงหมู 1-2 ตัว เรียกว่าหมูน้า เป็น หมูพันธุ์ไทย เลี้ยงด้วยราและผักตบชวา นิยมเลี้ยงเพื่อขายลูกหมูให้แก่คนใน ละแวกใกล้เคียง บ้างก็จะมีคนจีนจากฝั่งตลาดมากว้านซื้อ (ปรี เปรียญทองคา, 2559: สั ม ภาษณ์ ) ส่ ว นในปั จ จุ บั น พบว่ า มี ไ ม่ กี่ ค รั ว เรื อ นที่ ยั ง เลี้ ย งหมู อ ยู่ เนื่องจากมีข้อห้ามจากทางเทศบาลในการเลี้ยงหมูเพราะปั ญหามลภาวะทาง กลิ่น อย่างไรก็ตาม การเลี้ยงหมูก็ดูเหมือนจะมีแนวโน้มเป็นทางเลือกใหม่ในการ ประกอบอาชีพดังที่พบว่า มีชาวบ้านกลับมาเลี้ยงหมู 1 ครัวเรือน โดยให้เหตุผล ว่าเป็นการ “ฝากพุงไว้กับหมู” ซึ่งหมายถึงการนาเงินไปลงทุนกับการเลี้ยงหมู เพื่อไว้ใช้เมื่อขายหมูได้ หรือกล่าวได้ว่าเป็นการฝากปากท้องของตนไว้ที่การขาย หมูนั่นเอง อันสะท้อนถึงทางเลือกหนึ่งในการละใช้เงินฟุ่มเฟือยเพื่อมาลงทุน เลี้ยงหมู โดยการเลี้ยงหมูนี้จะขายได้เมื่อหมูอายุประมาณ 4 เดือน โดยลงทุน ค่ า อาหารหมู ป ระมาณ 400 บาท ต่ อ 5 วั น (แวะ สุ ป รี รั ช ชกร, 2559: สัมภาษณ์)


107

4.3. ธุรกิจส่วนตัว และรับจ้าง อาชีพรับจ้างเป็นอีกอาชีพหนึ่งที่ชาวบ้านฝั่งห้วยทากันมายาวนาน ดังที่ กล่าวในข้างต้นว่า เงื่อนไขทางเศรษฐกิจทาให้ชาวบ้านบางส่วนไม่มีที่ดินและที่ นาส าหรั บ ท ากิ น ส่ ง ผลให้ ต้ อ งออกไปรั บ จ้ า งท านาท าสวนและท าไร่ แต่ นอกเหนือจากการรับจ้างดังกล่าวแล้ว ชาวบ้านฝั่ง ห้วยยังทางานรับจ้างทั่วไป ภายในละแวกพื้ น ที่ บ้ า งก็ รั บ จ้ า งท างานในร้ า นอาหาร เป็ น พนั ก งาน ห้างสรรพสินค้าใน อ.ท่ายาง และรับงานพิเศษอย่างรับเย็บผ้าเพื่อเป็นรายได้ เสริมจากการเลี้ยงสัตว์ รวมไปถึงการก่อตั้งธุรกิจส่วนตัวอย่างธุรกิจไม้แปรรูป แต่ก็ไม่ได้ประกอบธุรกิจภายในฝั่งห้วย (คาสัมภาษณ์ของ รวิวัลย์ สุปรีรัชชกร, พร้อม สุปรีรัชชกร และเพ็ญศรี กัลยาณสิทธิ์, 2559)

ภาพที่ 2.3 ป้าจุ๋มกับการสานเข่งปลาทู (ถ่ายภาพโดย ณธษา วังปรีชา เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2559)


108

4.4. หัตถกรรม - การสานเข่ง พื้นที่บ้านฝั่งห้วย เป็นพื้นที่หนึ่งที่อุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยทรัพยากรที่ สามารถนามาใช้ประโยชน์ได้ เช่น ไผ่รวก ไผ่สีสุก เป็นต้น ซึ่งไผ่ทั้งสองชนิดนี้ เป็นวัสดุสาคัญในการจักสานเครื่องมือของใช้ต่างๆ จนกลายเป็นภูมิปัญญาหนึ่ง ของชาวบ้านฝั่งห้วยดังที่ปรากฏตั้งแต่ในอดีตว่ามีการสานเข่งเป็นอาชีพหลักใน บ้านฝั่งห้วย โดยการสานเข่งที่พบจากการลงพื้นที่นั้นมีการสานเข่ง 2 ประเภท คือ เข่งหาบ และเข่งปลาทู ในฝั่งห้วย ครัวเรือนที่สานเข่งหาบเป็นอาชีพปรากฏว่ามี 2 ครัวเรือน แต่ในปัจจุบันเลิกสานกันไปหมดแล้ว เนื่องจากไปหันไปยึดอาชีพทาไร่ที่มีรายได้ มากกว่า รวมทั้งไม่มีใครในชุมชนสืบต่ออาชีพนี้ โดยเข่งหาบเป็นเข่งที่สานตา กว้างๆ มีฐานเป็นหกเหลี่ยม ปากเข่งเป็นวงกลม ด้ามถือยาวสามารถนาไม้สอด เพื่อหาบหรือจะสะพายข้างก็ได้ ชาวบ้านใช้เข่งหาบในการใส่ของเบ็ดเตล็ด ทั้ง ข้าวของเครื่องใช้และอาหาร วัสดุที่ นามาสานเข่งหาบนั้นมี 2 อย่าง คือ ไผ่สีสุก ซึ่งเป็นไผ่เนื้อนิ่ม และหวาย ซึ่งใช้ในการขึ้นโครงเพราะแข็งพอสมควร โดยไผ่ สีสุกสามารถหาได้ในบริเวณพื้นที่บ้านฝั่งห้วย แต่หวายนั้นต้องอาศัยซื้อมาจาก ฝั่งตลาด (ปราณี ปิ่นคง, 2559: สัมภาษณ์) วิธีการสานเข่งหาบมีขั้นตอน คือ นาไผ่มาทาเป็นตอกโดยใช้มีดตอก เป็ น เส้ น บางๆขนาดประมาณ 5 มิ ล ลิ เมตร น ามาสานขั ด กั น ขึ้ น เป็ น ฐานหก เหลี่ยมแล้วสานขึ้นมาเป็นปาก จากนั้นใช้มีดตอกเหลาไม้ไผ่เป็นตอกที่ใหญ่และ หนาเพื่อใช้เป็นปาก นาหวายมาสานมัดเป็นปาก แล้วจึงใช้หวายขึ้นเป็นเส้ นเป็น สายหาบ 2 สาย เป็ นอัน เสร็จสิ้ น ในอดีตขายเข่งเป็น คู่ คู่ละ 10 บาท จนถึง ปัจจุบันมีราคาคู่ละ 70-80 บาท โดยจะนาไปฝากขายที่ตลาด ลูกค้าบางรายก็ มารับที่บ้านเองตามแต่ตกลงกัน บางส่วนก็นาส่งขายตามละแวกใกล้เคียง อย่าง หนองจิ ก ตั ว เมื อ งเพชรบุ รี ไปจนถึ ง จั ง หวั ด ราชบุ รี (ปราณี ปิ่ น คง, 2559: สัมภาษณ์)


109

ส่วนเข่งปลาทูก็เป็นอีกงานจักสานหนึ่งที่ปรากฏจนถึงปัจจุบัน โดยยังมี ครัวเรือนหนึ่งที่ยึดการสานเข่งปลาทูเป็นอาชีพและได้สืบทอดมาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ แล้ว คุณจุ๋ม เผือกผ่อง อายุ 53 ปี (2559: สัมภาษณ์) เล่าว่า เมื่อก่อนแม่ของ เธอก็เป็นคนหนึ่งที่สานเข่งหาบ แต่การสานเข่งหาบต้องใช้เวลามากกว่าเข่งปลา ทู เมื่อต้องเลี้ยงลูกหลายๆ คนเข้า จึงเปลี่ยนมาสานเข่งปลาทูแทน โดยเข่งปลาทู เป็นเข่งสูงประมาณหนึ่งคืบ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณฟุตครึ่ง ใช้ใส่เข่งปลาทู เล็กๆ เพื่อนึ่งปลาทู เริ่มแรกดูแบบจาก “ฝาตะแกรงตากปลา” แล้วจึงประยุกต์ ลายมาใช้กับเข่งปลาทู โดยคุณจุ๋มสืบทอดอาชีพสานเข่งปลาทูเนื่องจากในอดีต ช่วยแม่สานขายมาตลอด จนกระทั่งแม่ป่วยเป็นเบาหวานจึงไม่สามารถทาต่อได้ ปัจจุบันจึงสานเข่งขายอยู่แต่เพียงผู้เดียว แต่ในบางสุดสัปดาห์ น้องสาวที่รับ ราชการอยู่ต่างถิ่นจะมาเยี่ยมแม่และช่วยสานด้วย วัสดุที่ใช้เป็นหลัก คือ ไผ่สีสุกและไผ่รวก โดยไผ่สีสุกเป็นไม้อ่อนใช้สาน ในอดี ต สามารถหาได้ ใ นฝั่ งห้ ว ย ส่ ว นไผ่ ร วกเป็ น ไม้ แ ข็ ง ใช้ ขึ้ น รู ป แทนหวาย บางครั้งมักไปตัดมาจากจากดอนยี่พรม หนองตะปูน หนองจิก และหมู่บ้านอื่น ๆ ใกล้เคียง ตกราคาลาละ 20-30 บาท แต่ตั้งแต่ช่วง 4-5 ปีก่อนแหล่งป่าไผ่เดิม ถูกถางกลายเป็นที่นาหมด จึงต้องไปตัดเองจากบ้านคอละออม ตาบลท่าแลง อาเภอท่ายาง ใกล้กับเขื่อนเพชรบุรี ราคาลาละ 60-70 บาท จนปัจจุบันจ้างตัด และให้มาส่งที่บ้านตกราคาลาละ 100 บาท หากสั่งครั้งหนึ่งจะสั่ง ไม้รวก 50 มัด ราคา 5,000 บาท ไม้สีสุก 30 ลา ราคา 3,000 บาท รวมทุน 8,000 บาท คิ ด ค านวณเมื่ อ ขายได้ ห มดได้ ป ระมาณ 40,000 บาท อย่ างไรก็ ต าม คุ ณ จุ๋ ม เผือกผ่องก็กล่าวไว้ว่า “เยอะแต่ตัวเลข แต่เมื่อหักลบหนี้สินก็เหลือนิดเดียว” เนื่องจากเวลาขายก็จะทยอยขายไปตามยอดสั่ง ซึ่งจะน้อยในช่วงฤดูกาลที่ปลา วางไข่ เนื่ อ งจากรั ฐ มี ม าตรการห้ า มจั บ ปลาในฤดู นั้ น (จุ๋ ม เผื อ กผ่ อ ง, 2559: สัมภาษณ์)


110

ในอดีตเข่งปลาทูนี้จะส่งไปขายที่ตลาดเพชรบุรี แต่ในปัจจุบันลูกค้าบาง เจ้าก็จะมารับเองถึงบ้าน ซึ่งมาทั้งจากการบอกต่อและเป็นคนในชุมชนเอง หาก ลูกค้าเจ้าใดสั่งเยอะ ก็จะโทรมาสั่งไว้ก่อน เมื่อทาเสร็จก็จะนัดวันรับของอีกครั้ง ระยะเวลาในการทาหากจานวน 200 ใบ อย่างช้าสามารถทาเสร็จภายใน 10 วัน หากลูกค้ามารับเองที่บ้านก็จะส่งให้ครั้งละประมาณ 50 ใบ หากเป็นลูกค้าเจ้า ประจาในละแวกใกล้เคียงก็สามารถฝากไปกับรถประจาทางได้ ส่วนใหญ่สั่งครั้ง หนึ่งประมาณ 100 ใบ ราคาของเข่งในรุ่นแม่ของคุณจุ๋มนั้นตกราคาใบละ 15 บาท จนในปัจจุบันขึ้นเป็น 30 บาท (จุ๋ม เผือกผ่อง, 2559: สัมภาษณ์) การสานเข่งปลาทูนั้นก็มีขั้นตอนคล้ายกับเข่งหาบ คือ จักตอกไผ่สีสุก เพื่อการเหลาไผ่ให้มีลักษณะเป็นเส้นแบนและเรียบ จากนั้นจึงขึ้นรูปด้วยไผ่รวก ที่ผ่านการจักตอกให้เป็นโครง สานให้เป็นรูป เลาะขอบ เพื่อตัดปลายไผ่ที่สาน แล้วเกินออกมาเพื่อไม่ให้บาดนิ้ว แล้วจึงร้อยขอบตัดเก็บเส้นไผ่ให้เรียบร้อยเป็น อันเสร็จสิ้น (จุ๋ม เผือกผ่อง, 2559: สัมภาษณ์)

ภาพที่ 2.4 รูปแบบการเผาถ่านในอดีต (ถ่ายภาพโดย อรวรรณ สวัสดี เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2559)


111

4.5. การเผาถ่าน เมื่ออาชีพหลักของชาวบ้านฝั่งห้วยคือการทานา ในช่วงว่างเว้นจากการ ทานา ชาวบ้านจึงมีอีกอาชีพหนึ่งเพื่อหารายได้ คือ การเผาถ่าน ซึ่งเป็นอีกภูมิ ปัญญาของชาวฝั่งห้วย ไม้ที่ใช้เผาถ่านเป็นไม้ที่ได้จากป่าสะแก หรือที่ชาวบ้าน เรียกว่า “ตะแก” ซึ่งมีอยู่จานวนมากในฝั่งห้วย โดยในป่าตะแก จะอุดมไปด้วย ไม้สะแก แขนงพร้อย หนามพรม และหนามเล็บเหยี่ยว การเผาถ่านของฝั่งห้วย มี 2 ลักษณะ คือ เผาแบบมูลดิน และเผาแบบเตาอุโมงค์ (ปรี เปรียญทองคา, 2559: สัมภาษณ์) ในอดีต การเผาถ่านมักเป็นการเผาแบบมูลดิน สืบทราบว่ามีต้นแบบมา จากหนองจิก โดย ปรี เปรียญทองคา อายุ 88 ปี (2559: สัมภาษณ์) ได้รับสืบ ทองจากแม่และย้ายมาอยู่กับพี่เขยที่หนองถ่าง จึงได้นาการเผาถ่านมาประกอบ อาชีพหารายได้ การเผามูลดิน คือ การเผาถ่านโดยการตัดไม้มาตั้งสุมเป็นหน้า จั่วกองซ้อนสูงขึ้นไป จากนั้นนาไม้มาตอกรอบกองฟืนเป็นวงกลม เอาใบไม้มาถม รอบวง นาขี้หญ้ ามาถมทับกัน จากนั้นจึงเอาดินมาถมทับทั้งหมดขึ้นเป็นโดม ขนาดเล็กให้มิดชิดปิดตาย โดยไม้ที่นามาเผานั้นจะตัดเป็นท่อนๆ จากนั้นนามา จุดไฟเผา ประมาณ 1 วัน 1 คืน แล้วจึงรอใหญ่เย็นอีกประมาณ 2 วัน และใช้ คาดเกี่ยวถ่ายออกมาจากดิน โดย 1 เตาให้ถ่านประมาณ 2-3 กระพ่อง (1 กระ พ่อง เท่ากับประมาณ 2-3 ปี๊บ) ปริมาณการเผาแต่ละครั้งขึ้นอยู่กับไม้ที่หามาได้ ต่ อ มาจึ งเริ่ ม เปลี่ ย นมาเผาแบบเตาอุ โมงค์ เนื่ อ งจากเผาครั้ งหนึ่ ง ได้ ปริ ม าณที่ เยอะกว่ า เผาแบบมู ล ดิ น เตาอุ โมงค์ มี ลั ก ษณะเป็ น อุ โมงค์ โค้ ง สู ง ประมาณช่วงตัวคน สร้างขึ้นจากดินเหนียว มีปล่องไฟสองข้างเหมือนหู มีประตู ปิดด้านหน้า ด้านใต้เป็นหลุมลึกประมาณ 30 เซนติเมตร การเผาถ่านแบบเตา อุโมงค์ใช้เวลาเผาประมาณ 4 วัน โดยจุดไฟรอบเดียว เมื่อควันไม่ออกก็ปิดปาก ปล่องจนครบ 4 วัน รอให้เย็นอีกประมาณ 3 วัน ระหว่างนี้นิยมนาขี้เลนมาอาบ ผิวเตาเพื่อลดความร้อนให้เย็นเร็วขึ้น โดยอาบทั้งเช้าและเย็น จากนั้นจึงเอาถ่าน


112

ออก เดือนหนึ่งเผาประมาณ 4 เตา ใช้ปริมาณไม้ไม่ถึง 1 ไร่ (ประชา จันทวงศ์, 2559: สัมภาษณ์) โดยปัจจุบันบ้างจะรับจ้างเผาถ่านให้ โดยผู้ว่าจ้างจะต้องนาไม้ มาให้เผาและรับถ่านกลับไปพร้อมจ่ายค่าเผา เป็นเงินขึ้นอยู่กับตามที่ตกลงกัน และปริ ม าณไม้ ที่ น ามาให้ เผา ผู้ จ้ า งเผามั ก มาจากหนองจิ ก ให้ ร าคาเตาละ ประมาณ 500-1,000 บาทตามแต่ขนาดและปริมาณไม้ (ปรี เปรียญทองคา, 2559: สั ม ภาษณ์ ) บ้ างก็ ซื้ อ ไม้ ม าเผาเอง หรือ ที่ เรีย กกั น ว่า “ซื้ อ ยกป่ า ” คื อ เหมาเป็ น ไร่ ไม้ ที่ เผาได้ ร าคาดี ที่ สุ ด คื อ ไม้ ต ะแก ทั้ ง ยั ง เหมาะกั บ ใช้ ง านใน ครัวเรือน ผู้ที่มาซื้อส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านละแวกใกล้เคียง ทั้งฝั่งตลาด หนองจิก หนองเกตุ เป็นต้น โดยขายยกกระสอบได้ราคาประมาณกระสอบละ 350-400 บาท ทั้งยังแบ่งขายเป็นถุงถุงละประมาณ 20 บาท อย่างที่พบเห็นได้ตามร้าน ขายของชาในชุมชน อย่างไรก็ตาม การเผาถ่านนั้นถูกเทศบาลห้ามไม่ให้เผาใน บริเวณใกล้เคียงที่มีผู้อยู่อาศัยจานวนมาก เนื่องจากเป็นการรบกวนทางมลภาวะ (ประชา จันทวงศ์, 2559: สัมภาษณ์) 4.6. สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน หนองจอก “ยามมี ม าฝาก ยามยากมาถอน ยามเดือ ดร้อนมากู้ อยู่ร่วมกัน ด้วย สวัสดิการ" คือ คาขวัญของสหกรณ์เครดิตยูเนียนหนองจอก ซึ่งริเริ่มจัดตั้งมา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522 ด้วยปัญหาเศรษฐกิจที่ชาวบ้านต้องประสบจึงต้องหาเงินกู้ เพื่ อ เป็ น ทุ น ท ากิ น และจุ น เจื อ ครอบครั ว เนื่ อ งจากนายทุ น ที่ ป ล่ อ ยเงิ น กู้ ใน ขณะนั้นเอาเปรียบชาวบ้าน อย่างการให้กู้เงิน 1,000 บาท จะคิดดอกเบี้ย 400 บาท พร้อมกับข้าวอีก 4 ถัง (สุวิทย์ เปียผ่อง, 2559: สัมภาษณ์) สหกรณ์ เครดิ ต ยู เนี ย นหนองจอกจึ ง ถู ก จั ด ตั้ ง ขึ้ น ด้ ว ยแนวคิ ด ที่ ว่ า “ชาวบ้านเอาเงินมารวมกันเพื่อช่วยเหลือกันและกัน” ริเริ่มจัดตั้งโดย คุณสุวิทย์ เปียผ่อง ปัจจุบันอายุ 78 ปี โดยริเริ่มจัดตั้งเป็นสหกรณ์ในโรงเรียนวัดหนองจอก (ศรีสรรค์พานิช) และจากนั้นพัฒนาเป็นสวัสดิการกลุ่มพัฒนาอันเป็นต้นแบบ


113

ของสวัส ดิ ก ารโรงเรีย นและกลุ่ ม โรงเรีย นทั่ ว จั งหวัด และทั่ วประเทศ มี ก าร แนะน าให้คนจนทุ กคนช่วยเหลื อตนเองและผู้อื่น โดยการประหยัด อดออม ประจา ทุกเดือน เดือนละตั้งแต่ 10 บาท ถึง 100 บาท ตามสมัครใจ จากนั้นจึง เริ่มจัดตั้งกองทุนชุมชน ซึ่งสามารถกู้ยืมได้โดยเสียดอกเบี้ยอัตราไม่เกินร้อยละ 1 บาทต่อเดือน ทั้งยังสอนให้เกื้อกูลกันภายในชุมชน โดยมุ่งหมายให้สมาชิกรู้จัก สะสมทรัพย์ที่ละน้อยจนเป็นเงินก้อน ช่วยเหลือเพื่อนสมาชิกด้วยกัน ใช้สิทธิ ฝากเงินสะสมกู้เงินในยามเดือดร้อน โดยจะได้รับเงินปันผล (ดอกเบี้ย) และ ได้รับสวัสดิการต่างๆ เช่น ได้รับเงินขวัญ ถุงเมื่อมีบุตร แต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่ บวช และได้รับสวัสดิการเป็นเงินหากป่วยต้องรักษาตัวที่โรงพยาบาล ประสบภัย ทางธรรมชาติ เบี้ยสูงอายุ ไปจนถึงค่าทาศพ ตั้งแต่จัดตั้งในปี พ.ศ. 2522 จนถึงปัจจุบัน สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนหนอง จอก มีสมาชิกกว่า 200,000 คน หรือ 55% ของชาวจังหวัดเพชรบุรี จึงเรียกได้ ว่า หนองจอกฝั่งห้วยเป็นศูนย์กลางแห่งพื้นที่ เศรษฐกิจที่สาคัญของพื้นที่รอบๆ ก็ว่าได้ดังที่ปรากฏว่าเป็นที่ก่อตั้งของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนหนองจอกอันเป็น สหกรณ์ที่ใหญ่และมีเงินหมุนเวียนมากเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศไทย (สุวิทย์ เปียผ่อง, 2559: สัมภาษณ์) ดังจะเห็นได้ว่า ระบบเศรษฐกิจในพื้นที่ฝั่งห้วยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน อิงอยู่บนฐานของระบบนิเวศและทรัพยากรที่มีอยู่ในพื้นที่ หากแต่มีปัจจัยที่ทา ให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในด้านการทากินของชาวบ้านตามเงื่อนไขทางกายภาพ ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างการพัฒนาของระบบชลประทาน เส้นทางการคมนาคม ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพเศรษฐกิจ เช่น การถางป่าเพื่อทานา โดยปัจจัยและเงื่อนไขทั้งหมดทั้งมวลนี้ส่งผลถึงกันและกัน จนกลายเป็นกระบวนการปรับตัวให้เข้ากับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน


114

5. การเมืองการปกครอง ศูนย์กลางการปกครองของชุมชนหนองจอกในสมัยก่อนจะอยู่ที่บ้าน ของก านั น ขุ น พรพลารั ก ษ์ (พร ศรีป รั่ ง) ซึ่ งเป็ น ผู้ ที่ ช าวบ้ า นต่ างนั บ ถื อ ท่ า น เพราะท่านเป็นคนดีมีเมตตา มีคุณ ธรรม ตัดสินคนผิดด้วยความยุติธรรมและ เที่ยงธรรม ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2487 หลังจากที่อาเภอหนองจอกได้ย้ายไปตั้งที่ อาเภอชะอา ทาให้อาเภอหนองจอกถูกลดระดับเป็นตาบลหนองจอก จากการที่ เคยเป็นที่ตั้งของที่ว่าการอาเภอศูนย์กลางของเขตปกครองในระดับอาเภอมา ก่อน และมีสถานีรถไฟในการอานวยความสะดวกแก่ประชาชนจึงทาให้เหมาะ แก่การตั้งบ้านเรือนในพื้นที่นี้ การตั้งบ้านเรือนจึงมีความหนาแน่นระดับหนึ่งที่ สามารถจั ด ตั้ ง เป็ น สุ ข าภิ บ าลได้ กระทรวงมหาดไทยจึ ง ได้ พิ จ ารณาจั ด ตั้ ง สุขาภิบาลหนองจอก เมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2506 โดยมีนายกสุ ขาภิบาล เป็นหัวหน้า สุขาภิบาลหนองจอกได้เข้ามาจัดการกับระบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ระบบชลประทานที่ ท าให้ชาวบ้านสามารถใช้น้าได้ทั่วถึงและทาให้น้าไหลได้ ดีกว่าเดิม รวมไปถึงเรื่องไฟฟ้าและน้าประปาด้วย นอกจากนี้ ในช่วงเดียวกันยังได้มีการจัดตั้งที่พักสายตรวจขึ้นในส่วน ของการดูแลความเรียบร้อย มีตารวจชั้นประทวนเป็นหัวหน้าชุดโดยจะมีตารวจ 3-4 นายมาเฝ้าและผลัดเวรกันรักษาความปลอดภัย แต่ไม่สามารถแจ้งความได้ (ถ้าชาวบ้านต้องการจะแจ้งความ จะต้องไปที่สถานีตารวจอาเภอท่ายางแทน) ซึ่งมีเรื่องเล่าว่าตารวจได้ปราบเสือได้ ทาให้ชาวบ้านส่วนหนึ่ งหันมาเคารพใน กฎหมายมากขึ้น การปกครองในขณะนั้นจึงมีอยู่ 2 รูปแบบ คือ การปกครอง แบบไม่เป็นทางการ โดยจะปกครองกันเองของชาวบ้าน ซึ่งจะมีศูนย์กลางอยู่ที่ บ้านของกานันขุนพรพลารักษ์ และการปกครองแบบเป็นทางการ จะเป็นการ ปกครองแบบรัฐจะอยู่ที่สุขาภิบาลตาบลหนองจอกและสถานีตารวจภูธรตาบล หนองจอก (วิเชียร รักษาราษฎร์, 2559: สัมภาษณ์)


115

ในปี พ.ศ. 2493 เมื่อถนนเพชรเกษมได้สร้างเสร็จ ความเจริญจึงได้เข้า มาสู่จังหวัดเพชรบุรีและตาบลหนองจอกมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้เกิดการโยกย้ายของ ประชากรเข้ามาในตาบลหนองจอกมากขึ้น จนถึงปี พ.ศ. 2521 ได้มีนายตารวจ ชั้นสัญญาบัตรเป็นหัวหน้า อานาจการสอบสวนขึ้นอยู่กับตารวจภูธรอาเภอท่า ยาง ต่อมาปี พ.ศ. 2541 กรมตารวจจึงได้ยกฐานะให้สถานีตารวจภูธรตาบล หนองจอกมี อ านาจในการสอบสวนคดี อ าญาได้ เอง โดยมี น ายต ารวจระดั บ สารวัตรมาดารงตาแหน่งเป็นหัวหน้าปกครองบังคับบัญชา

ภาพที่ 2.5 : ภาพถ่ายสถานีตารวจภูธรตาบลหนองจอกในอดีต (ที่มา : http://www.njork.police7.go.th/history.htm) ต่อมาในปี พ.ศ. 2542 สุขาภิบาลตาบลหนองจอกก็ได้รับการยกฐานะ ให้เป็นเทศบาลตาบลหนองจอกตามพระราชกฤษฎีกาเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2542 ต่อมาเมื่ อวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2545 ได้รับการยกฐานะจาก สารวัตรเป็นรองผู้กากับการฯ จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 ได้รับการยก ฐานะสถานีตารวจให้มีผู้กากับการเป็นหัวหน้า ซึ่งคนปัจจุบันคือ พันตารวจเอก ศิลปชัย มีช่วย


116

ภาพที่ 2.6 ภาพสานักงานเทศบาลตาบลหนองจอก (ที่มา : http://www.nongchokcity.go.th/site/) ในปัจจุบัน การปกครองภายในชุมชนหมู่ที่ 5 บ้านฝั่งห้วย เป็นแบบ ระบอบประชาธิปไตยโดยมีผู้นาอย่างเป็นทางการ ดังต่อไปนี้ ผู้ใหญ่บ้าน : นายจักรพันธ์ จันทร์เพชร ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน : นางรอง ดิษฐ์วงศ์ และนายสมหมาย บัวงาม สมาชิกสภาเทศบาล : นายสมาน ดิษฐ์วงศ์, นายฉกาจ ดิษฐ์วงศ์ และ นายเกษม แก้วละเอียด สารวัตรกานัน : นายสนิท บัวเจริญ และนายน้อย คงทิพย์ นายกเทศมนตรีเทศบาลตาบลหนองจอก : นายจรัญ ไม้จันทร์ เมื่อเกิดความขัดแย้งทางความคิด ความขัดแย้งในผลประโยชน์ จะมี การจัด การความขัด แย้ง โดยผู้ ใหญ่ บ้ านจะเป็ น ผู้ ไกล่ เกลี่ ย เพื่ อ ให้ เกิ ดความ สามัคคี ปรองดอง เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน ประชาชนมีส่วนรวมในการ ตัดสินใจเรื่องต่างๆในหมู่บ้าน มีการปรึกษาหารือร่วมกัน ผู้ใหญ่บ้านจะเรียกการ ประชุ ม เวลามี งานต่ างๆ เข้ ามา เพื่ อ ร่วมฟั งความคิ ด เห็ น ของชาวบ้ าน สรุป ภาพรวมและนามาปฏิบัติ (เทศบาลตาบลหนองจอก, 2558: 2)


117

ข้าราชการส่วนมากจะเป็นคนในพื้นที่ตาบลหนองจอกเองและมักจะมี บ้านอยู่ไม่ไกลจากส่วนราชการ ในส่วนของข้าราชการที่ย้ายมาจากจังหวัดอื่น โดยในอดีตจะมาเช่าบ้านของนายเมื้ อน อินทนินท์ ที่อยู่บริเวณหมู่ที่ 6 บ้าน ตลาด ในปัจจุบันก็จะเช่าบ้านอยู่บ้าง โดยตารวจจะพักอาศัยที่อาคารบ้านพัก ตารวจซึ่งอยู่บริเวณหลังสถานีตารวจ นอกจากนี้ยังมีนางสาววาสนา อิ่มอุธรณ์ หัวหน้าสานักปลัด ได้เช่าบ้านของอดีตสมาชิกสภาเทศบาลชื่อ แก้วตา แช่มช้อย ที่พักอาศัยอยู่หมู่ที่ 7 เรื่องของการตัดชุดข้าราชการที่ต้องใส่ไปปฏิบัติงานนั้น ในอดีตจะมี ร้านตัดเสื้ออยู่หมู่ที่ 6 บริเวณซอย 2 ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นบ้านพักของเจ้าของ ร้านขายผัดไท ส่วนการตัดเสื้อข้าราชการในปัจจุบัน จะมีช่างตัดเสื้อจากในตัว อาเภอท่ายางมาบริการวัดขนาดตัวที่ท างาน โดยราคาจะอยู่ที่ 1,800-2,000 บาท โดยข้าราชการแต่ละคนจะเลือกใช้บริการกับช่างคนที่ตนถูกใจเสียส่วนมาก (ประชา นามทิพย์, 2559: สัมภาษณ์)

6. ระบบเครือญาติ การสร้างที่อยู่อาศัยจึงอิงอยู่กับความสัมพันธ์ทางเครือญาติที่มาต่อกัน ทาให้ภายในพื้นที่บ้างฝั่งห้วย คนมีการตั้งบ้านเครือเป็นกลุ่มเครือญาติขึ้นมา โดยมีทั้งคนที่อาศัยอยู่ในท้องถิ่นแต่เดิมและคนที่อพยพหรือย้ายถิ่นฐานเข้ามาตั้ง ในท้องถิ่นภายหลัง ผสมผสานทางเครือญาติผ่านการแต่งงานและสืบเชื้อสาย ต่อมาจนถึงปั จจุบั น โดยสายสกุ ลที่ ค าดว่าเป็ น สายสกุลที่ มีม าอยู่แต่เดิม คื อ สายสกุลไม้แก้วและสายสกุล ดิษฐ์วงศ์ โดยสายสกุลไม้แก้ว มี ยายแจ่ ไม้แก้ว เป็นผู้เก่าแก่ที่สุดเท่าที่สืบได้จากลูกหลานปัจจุบัน และสายสกุลดิษฐ์วงศ์มีปู่แดง และย่าทอง ดิษฐ์วงศ์ เป็นรุ่นเก่าแก่ที่สุดเท่าที่สืบค้นจากคนรุ่นปัจจุบัน ในปั จ จุ บั น ภายในชุ ม ชน มี ส ายสกุ ล ที่ อ าศั ย อยู่ ในพื้ น ที่ บ้ านฝั่ งห้ ว ย บริเวณตั้งแต่ข้างศาลเจ้าจนถึงนาสวรรค์ ทั้งหมด 4 ตระกูลเท่านั้น ได้แก่


118

1) สายสกุลดิษฐ์วงศ์ 2) สายสกุลเปรียญทองคา 3) สายสกุลกัลยาณสิทธิ์ 4) สายสกุลจันทร์เหมือน สายตระกูล 3 ตระกูลหลังนี้ เป็นตระกูลดั้งเดิมในตาบลหนองจอกเช่นกัน แต่ ไม่ได้อยู่ในพื้นที่บ้านฝั่งห้วยมาแต่เดิม แต่เข้ามามีความสัมพันธ์ผ่านกรแต่งงาน กั บ คนในพื้ น ที่ บ้ า นฝั่ งห้ ว ยและสื บ ทอดทายาทออกเป็ น รุ่ น ลู ก และหลายใน ปัจจุบัน o สายสกุลเปรียญทองคา คือ นายปรี เปรียญทองคา แต่เดิมเกิดที่หนอง จิกแต่งงานกับ นางแย้ม เปรียญทองคา (สกุลเดิม ดิษฐ์วงศ์) o สายสกุลกัลยาณสิทธิ คือ จ่าสิบตรีปรีชา กัลยาณสิทธิ์ เป็นคนเชื้อสาย จีนที่อาศัยอยู่ในชุมชนฝั่งตลาด แต่งงานกับนางพวงแก้ว กัลยาณสิทธิ์ (สกุลเดิม จันทร์เหมือน) o และสายสกุลจันทร์เหมือน คือ นายโต จันทร์เหมือน เดิมเป็นอาศัยอยู่ ที่ดอนยี่พรมก่อนจะเข้ามาแต่งงานกับ นางเก็บ จันทร์เหมือน(สกุลเดิม ดิษฐ์วงศ์) อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันรุ่นที่อาศัยอยู่ในชุมชนบ้านฝั่งห้วยจะเป็นรุ่นลูกของ เหล่าต้นสายตระกูลข้างต้นซึ่ง รุ่นลูกปัจจุบันมีอายุระหว่าง 60-90 ปี และรุ่น หลาน ซึ่งมีอายุตั้งแต่ 40-60 ปี อาศัยอยู่พร้อมกับครอบครัว

7. ประเพณีและความเชื่อ สาหรับในส่วนของประเพณีและความเชื่อนี้ แบ่งการนาเสนอออกเป็น 4 ส่วนหลัก ได้แก่ ส่วนแรก คือ ปฏิทินชีวิต ที่จะบอกเกี่ยวกับประเพณีที่ส่งผล ให้ เกิดการเปลี่ยนผ่ านของสถานะของบุคคลให้ มีสถานะใหม่ ส่วนที่ สอง คือ ประเพณีในรอบปี ซึ่งจะมีความเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของคนในชุมชนที่มีวันสาคัญ


119

ต่างๆร่วมกัน และมีความเชื่อที่สอดแทรกอยู่ในวิถีชีวิตเหล่านั้น ส่วนที่สามคือ ความเชื่อที่ยังคงอยู่ในปัจจุบันของชุมชนพื้นที่ที่เป็นกรณีศึกษา ส่วนสุดท้าย คือ ความเชื่ออื่นๆ ตามการประกอบอาชีพของแต่ละบุคคล 7.1. ปฏิทินชีวิต ในอดี ต การคลอดลู ก จะคลอดโดยหมอต าแย (นางแจ่ ไม้ แ ก้ ว) ซึ่ งก็ จาเป็นที่จะต้องทาพิธีอยู่ไฟซึ่งเป็นประเพณีที่เกี่ยวข้องกับการเกิด อันมีขั้นตอน ดังนี้ ขั้นแรกเมื่อมารดาของเด็กกาลังตั้งครรภ์ได้ประมาณ 8 เดือน ก็จะมีการตัด ไม้มาวางขัดกันเป็นซุ้มหน้าจั่วที่สามารถจุดไฟได้ แต่จะยังไม่จุดไฟ เมื่อเด็กกาลัง จะคลอดก็ไปเตะให้ไม้ล้ม เมื่อเด็กคลอดแล้วจึงนาไม้ไปใส่กะละมังที่มีดินอยู่ ครึ่งหนึ่งแล้วจุดไฟ แล้วจะให้แม่ของเด็กมานอนตะแคงอยู่บนแผ่นไม้ยางข้างๆ โดยในครั้ งแรกจะให้ ห มอต าแยบริ ก รรมคาถาเพื่ อ ดั บ พิ ษ ไฟ (เพื่ อ ลดความ เจ็บปวด) ซึ่งเชื่อว่าจะทาให้ไฟไม่ร้อนจนเกินไป หลังจากนั้นก็ต้องอยู่อย่างนี้ไป อี ก เป็ น เวลา 15 วัน และเมื่ อ ครบก็ จ ะไปเรี ย กหมอต าแยมาพรมน้ ามนต์ ใส่ ร่างกายของแม่เด็กเป็นอันจบพิธีกรรม แต่ในปัจจุบันคนเลือกที่จะไปคลอดที่ โรงพยาบาลมากกว่า และจะกินยาตรางูเห่าพร้อมเหล้าแทนการอยู่ไฟ อีกหนึ่งช่วงเวลาที่สาคัญของคนในชุมชนโดยเฉพาะประชากรเพศชาย คือการบวช ซึ่งชาวบ้านมักจะทาพิธีบวชในช่วงเดือนที่ 4 ถึงเดือนที่ 7 จากคา กล่าวของคุณกิติ ดิษฐ์วงศ์ (2559: สัมภาษณ์) จึงได้ทราบว่างานบวชที่ฝั่งห้วยนี้ จะแห่นาคประมาณ 16.00 น. ซึ่งแตกต่างกับที่อื่นที่ทาการแห่ในเวลาเช้า ด้วย เหตุผลว่า ในเวลาช่วงเย็นผู้คนจะมีความสนุกสนานครึกครื้นกว่าตอนเช้ าเพราะ ชาวบ้านมีความพร้อมมากกว่าและคืนก่อนบวชอาจจะกินเลี้ยงกันจนเมาถ้าต้อง ตื่นเช้าไปงานบวชอาจจะไม่ไหว จึงมาจัดในเวลาเย็นแทน ส าหรั บ ในปั จ จุ บั น ของพื้ น ที่ บ้ า นฝั่ งห้ ว ยแล้ ว การแต่ ง งานก็ มั ก จะมี ลักษณะงานเหมือนที่อื่นที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไป นั่นคือ สู่ขอ สินสอด มีงาน


120

รื่นเริง ดนตรี จัดเลี้ยง ไหว้เจ้าภูมิที่ เลี้ยงพระ หากแต่พบว่าการสร้างครอบครัว ในอดี ต นั้ น มี ค วามน่ าสนใจอย่ างหนึ่ ง ตามค าบอกเล่ าของนางปราณี ปิ่ น คง (2559: สัมภาษณ์) ที่ว่า “ยายไม่เคยแต่งงาน” ทาให้ทราบว่า ในอดีตเมื่อมีคนที่ ชอบพอกันก็มักจะหนีไปอยู่ด้วยกันที่ บ้ านของฝ่ายชาย แล้วเมื่อเวลาผ่านไป (หรือมีลูก) ก็จะให้ผู้ใหญ่ของทางฝ่ายชายมาคุยกับผู้ใหญ่ของทางฝ่ายหญิง ซึ่ง สอดคล้องกับคากล่าวของนายปรี เปรียญทองคา และนางแย้ม เปรียญทองคา ที่ก็ไม่ได้แต่งงานและหนีไปอยู่ด้วยกันก่อนเช่นกัน และในท้ายที่สุดแล้วคือพิธีกรรมสุดท้ายของการมีชีวิตของมนุษย์นั่นคือ พิธีกรรมอันเกี่ยวข้องกับความตาย ซึ่งหมายถึงงานฌาปนกิจศพนั่นเอง โดยที่ หมู่บ้านหนองจอกฝั่งห้วยจะแบ่ งออกเป็น 2 รูปแบบหลักๆ คือ จะทาพิธีหลัง เสียชีวิตเลย (เยื่อ ดิษฐ์วงศ์, 2559: สัมภาษณ์) หรือเก็บร่างไว้ที่บ้านเป็นเวลา 9 วันก่อนจึงจะจัดพิธี (ประจวบ ภูมมิ , 2559: สัมภาษณ์ ) โดยพิธีจะจัดขึ้นที่วัด หนองจอก โดยที่ในสมัยก่อนจะสวดสามวัน และเผาหนึ่งวันครึ่ง ซึ่งจะต้ องเสีย เงินกว่า 1,500 บาทในการทาพิธี ในปัจจุบันมีการสวดอยู่ 2 แบบหลัก คือ สวด 3 วัน หรือสวด 5 วัน ซึ่งราคาสวดนั้นตกคืนละ 10,000 บาท ถ้าสวด 5 วัน ก็ ราคา 50,000 บาท ซึ่งสามารถหาเงินได้โดยการทาประกัน ซึ่งมีสองกลุ่มเงินทุก ให้ทาหลักๆ คือ “กลุ่มสตรี” โดยที่หากเป็นสมาชิก ก็จะต้องจ่ายเงินให้กับกลุ่ม เมื่อมีคนเสียชีวิตคนละ 20 บาท และถ้าคนในครอบครัวเสียชีวิตก็จะได้รับเงิน ประมาน 260,000 บาท และอีกบริษัทหนึ่งคือสหกรณ์ยูเนี่ยน ที่หากเป็นสมาชิก จะต้ อ งจ่ า ยเงิ น ให้ กั บ กลุ่ ม เมื่ อ มี ค นเสี ย ชี วิ ต คนละ 250 บาท และถ้ า คนใน ครอบครัวเสียชีวิตก็จะได้รับเงินประมาน 160,000 บาท (เยื่อ ดิษฐ์วงศ์, 2559: สัมภาษณ์)


121

7.2. ประเพณีในรอบปี (ตามจันทรคติไทย) เริ่มต้นจากเดือน 1 และเดือน 2 ซึ่งเป็นเดือนที่มีการเก็บเกี่ยวข้าว โดย จะมีการจุดธูปไหว้บอกผีไร่ผีนาเพื่อแจ้งว่าจะลงมือทาและเก็บเกี่ยวแล้ว จุดธูป 5 ดอก ตั้งสารับอาหารมีข้าวกับแกงมีขนม มักเป็นขนมต้ม เมื่อมาถึงเดือน 3 ก็ จะมี ก ารไหว้เจ้าที่ ศ าลเจ้ าพ่ อปึ งเถ้ากง ซึ่ งมี อ ยู่ 2 งานหลัก ประกอบด้ วยวั น ตรุษจีน และงานประจาปีของศาลเจ้าที่จะจัดขึ้นหลังวันตรุษจีน 15 วัน และ ในช่วงนี้ยังเป็นช่วงที่ เกษตรกรจะต้องมีการทาบุญ ลาน (นิมนต์พระมาสวดที่ ลาน) อีกด้วย ต่อมาในช่วงระหว่างเดือน 4 เดือน 5 เดือน 6 และเดือน 7 ก็จะเป็น ช่วงเวลาของการทาพิธีบวชนาค และพิธีงานปีผีมด ยกเว้นเพียงเดือน 5 ที่จะไม่ จัดงานปีผีมด เพราะถือว่าเป็นเดือนร้อน จนมาถึงช่วงเดือน 7 และเดือน 8 จะ เป็ น ช่ ว งนี้ ท าการเพาะกล้ า และด านา อี ก ทั้ ง เดื อ น 8 ยั ง เป็ น เดื อ นที่ มี วั น เข้าพรรษาอีกด้วยแล้วจึงค่อยมาเป็นเดือน 9 ซึ่งมีวันสารทจีนและเดือน 10 ที่มี วันสารทไทยและประเพณีกวนกระยาสารท (ปัจจุบันไม่กวนเอง แต่หาซื้อแทน) และเป็นช่วงที่ขาวบ้านทาขวัญข้าวด้วยเช่นกัน พอถึงเดือน 11 จึงเป็นวันออก พรรษา สุดท้ายเมื่อมาถึงเดือน 12 ก็วนครบปีกลับมาสู่ช่วงของการเกี่ยวข้าวซึ่ง มีความต่อเนื่องไปจนถึงเดือน 2 อีกครั้ง 7.3. ความเชื่อที่ยังคงอยู่ในปัจจุบัน 7.3.1. ศาลเจ้าพ่อปึงเถ่ากง ณ บริเวณหมู่ที่ 5 หรือฝั่งห้วยนั้นเป็นบริเวณที่ตั้งของศาลเจ้าปึงเถ้ากง ของชุมชน ซึ่งมีเทพที่สถิตอยู่คือ “ฮ่อเฮียตี๋” โดยที่มีการเชิญเจ้าขึ้นศาลเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2477 แต่เดิมเป็นเพียงอาคารไม้ ที่มุงหลังคาด้วยใบจาก แต่ ต่อมาได้มีการปรับปรุงเป็นอาคารปูนที่มีลักษณะแตกต่างไปจากบ้านของคนใน ชุมชนส่วนใหญ่ที่เป็นเรือนปันหยา จึงได้ชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “พ่อตึก” ซึ่งการ


122

ปรับปรุงมาเป็นอาคารปูนนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณกว่า 90 ปีก่อน และเมื่อ 20 ปี ก่อนเองก็ได้มีการบูรณะตัวศาลโดยการทาสีใหม่ (สายัญ เปรียญทองคา, 2559: สัมภาษณ์) ปัจจุบันศาลดูแลโดยคุณสละ สันติปรีดาธรรม อายุ 74 ปี ซึ่งได้บอก กล่าวให้ทราบว่าจวบจนถึงปัจจุบันศาลเจ้านี้จะมีคนมาไหว้ขอพรอยู่เสมอ อีกทั้ง ยังมีการจัดงานวันสาคัญต่างๆ เช่น วันตรุษจีน วันสารทจีน และรวมไปถึงงาน เลี้ยงศาลประจาปีที่จะจัดขึ้นหลังจากวันตรุษจีน 15 วัน อีกด้วย ข้อมูลที่ได้รับ ทาให้ทราบว่าคนในชุมชนรวมไปถึงคนในชุมชนใกล้เคีย งต่างก็ยังให้ความสาคัญ กับตัวศาลและพิธีกรรมความเชื่อที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษคนจีนอยู่เช่นกัน ดังจะเห็นได้จากข้อมูลที่คุณสละให้ไว้ว่ายังคงมีคนมาขอพรหรือบนแล้วแก้บน ด้วยการซื้อน้ามันมาถวายเติมที่ตะเกียง จากนั้นก็จะขอน้ามันกลับบ้านไปตัวเพื่อ แก้อาการเจ็บป่วยตามร่างกาย ในอดีตการแก้บนจะใช้การจ้างงิ้วมาเล่น แต่ปัจจุบันหายไปแล้ว เพราะ ค่าจ้างเล่นงิ้วแพงขึ้นอย่างมาก และศาลไม่มีเงินมากอย่างในอดีต เนื่องมาจาก คนจีนแท้เริ่มเสียชีวิตจากไปและลูกหลานชาวจีนก็มีการย้ายออกไปจากพื้นที่ ท าให้ ศาลเจ้าจีน นี้ เริ่ม มี บ ทบาทความส าคัญ น้ อยลง จึงเปลี่ย นเป็ น เชิ ญ หนั ง กลางแปลงมาเล่นแทน โดยการเรี่ยรายเงินให้ได้ประมาณ 3,000-4,000 บาทต่อ ครั้ง หรือใช้การถวายน้ามันหรือขนมเปี๊ยะไปไหว้แก้บนแทน ทว่าแม้ว่าชาวจีนแท้จะเสียชีวิตไปจนเกือบหมดแล้ว แต่ลูกหลานชาว ไทยเชื้อ สายจีน ที่ ยังคงอยู่ในพื้ น ที่ เองก็ ไม่ ได้ล ะทิ้ งความเชื่อ วัฒ นธรรมหรือ ประเพณีไปเสียหมด เพราะจะเห็นได้ว่าลูกหลานในปัจจุบันก็ยังคงไปไหว้เจ้าใน วันสาคัญเช่นวันตรุษจีนและวันสารทจีนเสมอ อีกทั้งยังมีการมารวมตัวกินเลี้ยง ในงานประจาปีของศาลอีกด้วย ซึ่งงานเลี้ยงนั้นจะจัดขึ้นที่บริเวณลานหน้าวัด และมีโต๊ะประมาณ 47 โต๊ะ โดยคิดราคาคนละ 250 บาท แต่ทว่าสิ่งที่เปลี่ยนไป คือความหมายของงานเลี้ยงประจาปี กล่าวคือ จากในอดีตความหมายของงาน เลี้ยงประจาปีนี้เป็นงานที่มีขึ้นเพื่อให้คนในชุมชนที่เป็นทั้งเครือญาติกันหรือคน


123

ใกล้ ชิ ด สนิ ท สนมกั น ได้ ม าพบหน้ า พั ฒ นาความสั ม พั น ธ์ ซึ่ ง กั น และกั น กลั บ กลายเป็นเพียงการไปทานอาหารเพื่อสร้างงบประมาณสมทบทุนในการบารุง สถานที่ ดังเช่น คากล่ าวของผู้ที่ ยังคงไปร่วมงานบางท่านที่ว่า “ไปกิน แล้วก็ กลับ” บางทีก็ไม่ได้ไป แต่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ไปก็ยังคงมีการช่วยสมทบทุนบริจาค (ใส่ซอง) อยู่เสมอ แต่ทั้งนี้ไม่ได้มีเพียงแค่วันสาคัญเท่านั้นที่คนในชุมชนจะไป กราบไหว้เจ้าพ่อปึงเถ้ากง แต่ยังคงมีผู้คนให้การกราบไหว้อย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ สามารถแบ่งการกราบไหว้ออกเป็นสองแบบ กล่าวคื อไหว้ด้วยความเคารพไม่ได้ ขอพรใดๆ แบบนายพลอย ศรีวิจิตร (2559: สัมภาษณ์) หรือไหว้ขอพรบนบาน ศาลกล่าวอย่างมารดาของคุณภลดา โง้วกาญจนานาค (2559: สัมภาษณ์) 7.3.2. ร่างทรงพ่อเตีย่ ศาลหลักของพ่อเตี่ยอยู่ที่เขาใหญ่ อ.ชะอา ร่างทรงพ่อเตี่ยในพื้นที่หนอง จอกนี้มีร่างทรงอยู่เพียงคนเดียวคือ คุณดวงใจ เปรียญทองคา อายุ 64 ปี ซึ่งคุณ ดวงใจเองก็เป็นคนชะอา แต่ได้ย้ายเข้ามาอยู่หนองจอกเพราะแต่งงานกับคุณสา ยัญ เปรียญทองคาที่เป็นคนในท้องที่ ชาวบ้านเรียกร่างทรงดวงใจว่า “ทรงใจ” โดยทรงใจเล่ า ขณะทรงอยู่ ว่ า เหตุ ผ ลที่ เลื อ กร่ า งของ “ดวงใจ” เพราะมี ความสัมพันธ์กันเมื่อตอนอยู่บนสวรรค์ และร่างเป็นผู้ที่มีจิตใจดี ทาบุญทาทาน ซึ่งจากการสัมภาษณ์ในขณะที่ลงทรงอยู่ทาให้ทราบได้ว่า “พ่อเตี่ย” เป็นทหาร จีนที่มาสิ้นบุญที่ชะอาเมื่อ 2,000 ปีก่อน ที่ชาวบ้านตั้งศาลใหญ่ให้ตรงเขาใหญ่ อ.ชะอา (ดวงใจ เปรียญทองค า ขณะทรง “พ่ อเตี่ย ”, สั มภาษณ์ : 2559) ซึ่ ง ปัจจุบันร่างทรงเป็นที่ปรึกษาของคนในหมู่บ้านเมื่อ เดือดเนื้อร้อนใจ โดยเฉพาะ อย่างยิ่งคนในฝั่งหนองพะเนินพระ และยังช่วยรักษาอาการเจ็บป่วยโดยการร่าย คาถาและนวดไปตรงบริเวณที่เจ็บ หรือปวดอีกด้วย (แวะ สุปรีรัชชกร, 2559: สัมภาษณ์) ไม่เพียงเท่านั้น ร่างทรงยังมีหน้าที่เป็นผู้บอกให้ใครต้องจัดงานปีผีมด (เย็นฤดี โคทอง, 2559: สัมภาษณ์) และใครต้องทาบุญ ซึ่งส่วนใหญ่จะไปทาบุญ


124

ที่วัดหนองจอก นอกจากนี้คุณดวงใจ เปรียญทองคา ยังเป็นร่างทรงของเจ้าพ่อ ปึงเถ้ากงอีกด้วย โดยให้เหตุผลว่าแท้จริงแล้วเจ้าพ่อปึงเถ้ากง และพ่อเตี่ยเป็น คนแซ่เดียวกันแต่เจ้าพ่อปึงเถ้ากงจะมาเข้าทรงไม่บ่อยนัก ซึ่งจวบจนถึงปัจจุบัน คนในชุมชนบางส่วนยังคงให้ความสาคัญกับพ่อเตี่ยและมักจะมาขอพรหรือบน บานเสมอ โดยมักจะขอหรือบนเกี่ยวกับการสอบเข้าโรงเรียน ติดข้าราชการ แล้วจึงแก้บนด้วยข้าวเหนียวกวนน้ากะทิ กับยาสูบ 7.3.3. งานปีผีมด ดังที่กล่าวไว้ว่าจะจัดในเดือน เดือน 4 เดือน 6 และเดือน 7 ตามปฏิทิน จันทรคติไทย คนพื้นที่ฝั่งห้วยส่วนใหญ่รู้ถึงประวัติและรายละเอียดเกี่ยวกับงาน พอสมควร และในบริเวณฝั่งห้วยนี้เองก็มีผู้ที่เคยทางานปีผีมด หรือไปร่วมชม งานของบ้านใกล้เคียงอยู่จานวนหนึ่ง เพราะที่งานมีดนตรีสนุกคึกครื้น โดยที่งาน ปีผีมดจะแบ่งออกเป็น “งานปี” ซึ่งเป็นงานใหญ่จัดตอนกลางวัน “งานผีมด” เป็นงานที่จัดกลางคืน ในปัจจุบันพื้นที่บริเวณฝั่งห้วยนั้นไม่มีร่างทรงสาหรับงาน ปีผีมดเหลืออยู่แล้ว การจะจัดงานจาเป็นที่จะต้องไปเชิญร่างทรงมาจากหมู่ 4 บ้านหนองเกตุ ให้มาช่วยทาพิธี จวบจนปัจจุบันงานปีผีมดก็ยังคงมีบทบาทต่อ การใช้ชีวิตของคนในชุมชนอย่างมาก เช่น หากแม่ทาลูกก็ต้องทา เป็นต้น ด้วย การฝังความเชื่อที่หลากหลาย เช่น หากจัดงานแล้วจะช่วยให้การทามาหากิน เป็นไปได้ดี หากไม่ทาก็จะไม่เจริญ หรือหากถึงปีบวชแล้วก็ห้ามทางานปี ผีมด เพราะจะทาให้บวชแล้วเป็นบ้า ประกอบกับค่าใช้จ่ายในการทางานปีผีมดนั้นสูง มากประมาณหลักหมื่น ทาให้ส่งผลต่อสถาบันครอบครัวตามมานั่นคือ หากจะมี คู่ แ ต่ คู่ ยั ง ไม่ จั ด งานปี ผี ม ดก็ จ ะถู ก น ามาพิ จ ารณาว่ า ไม่ น่ า เอามาเป็ น คู่ ค รอง เนื่องจากหากแต่งงานเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ต้ องเสียเงินจัดงานซึ่งจัดครั้ง หนึ่งก็ต้องใช้เงินเป็นจานวนมากทาให้สิ้นเปลืองนั่นเอง


125

เยื่อ ดิษฐ์วงศ์ (2559: สัมภาษณ์) ก็เป็นคนหนึ่งที่เคยทางานปี (งานเช้า) เพราะคนรุ่นก่อนทาจึงต้องรับช่วงต่อ ซึ่งจะต้องมีการเชิญ ทรงและต้องมีการ เตรียมตัว เตรียมเครื่องเซ่นไหว้ เช่น ข้าวเหนียวกวน แมงดา ขนมทอด ขนมต้ม ปู ไข่เป็ด หมู หรือสารับต่างๆ เมื่อจัดของเสร็จก็จะมีการเชิญทรงมา บางคนก็ ทาที่บ้าน แต่คุณเยื่อไปทาในวัดที่ตัวเมืองจังหวัดเพชรบุรี 7.3.4. เจ้าที่ : ศาลพระภูมิ ศาลตายาย และศาลเจ้าจอม เบื้องต้นพบว่า บ้านของคนในชุมชนมักจะมีศาลประจาบ้านอยู่ถึง 3 ศาลด้วยกัน จึงได้ท าการสอบถามจากร่างทรงพ่ อเตี่ย หรือคุณ ดวงใจ ท าให้ ทราบว่าลาดับชั้นของศาลจากสูงสุดไปต่าสุด คือ ศาลพระภูมิมีศักดิ์สูงสุดอัน เป็นที่อยู่ของ “พระชัยมงคล” รองมาจึงเป็นศาลตายาย หรือ ตากรียายกรา ผู้ เป็นเจ้าคุ้มพื้นดิน เป็นเจ้าพ่อหรื อผีชั้นสูงที่มีอานาจ ซึ่งมีความเชื่อว่าเป็นศาล ของวิญญาณผู้ที่เสียชีวิตในที่ดินนั้นมาหลายร้อยปี และไม่ได้นาไปประกอบพิธี ทางศาสนา จึงกลายเป็นวิญญาณเจ้าที่ ที่จะช่วยปกปักรักษาผู้อาศัยในบ้าน หาก ศาลนี้ อ ยู่ ที่ พื้ น ที่ น าก็ จ ะมี ห น้ าที่ ดู แ ลที่ นั้ น โดยแต่ ล ะศาลจะมี ชื่ อ เฉพาะของ วิญญาณหรือเทพนั้นๆ ที่แตกต่างกันไป ยกตัวอย่างเช่นบ้านของป้าแวะ อายุ 53 ปี ที่มีการตั้งศาลพ่อปู่ดา ศาลพ่อทองแดง ซึ่งตั้งจากการไปถามร่างทรงพ่อเตี่ย โดยเมื่อตั้งแล้วก็จะมีการเซ่นไหว้ศาลในวันพระ ของเซ่นไหว้จะเป็นจาพวกข้าว แกง ขนมหวาน เป็นต้น และท้ายที่สุดคือ ศาลเจ้าจอม (ปลวก) เมื่อมีจอมปลวก ปรากฏขึ้ น เป็ น สั ญ ญาณว่ า มี ผี ม าอยู่ ซึ่ ง มี ค วามเชื่ อ ว่ า จะต้ อ งตั้ ง ศาลให้ ผี ไม่เช่นนั้นจะถูกรังควาน คนในบ้านจะถูกเข้าฝัน หรือคนในบ้านจะเจ็บไข้ได้ป่วย ซึ่งคนฝั่งห้วยมักจะตั้งทั้งสามศาลไว้ในบ้านของตนเป็นส่วนใหญ่


126

7.4. ความเชื่ออื่นๆตามการประกอบอาชีพของแต่ละบุคคล 7.4.1. การทานา สาหรับความเชื่อที่เกี่ยวกับการทานานั้น พบว่าจะต้องมีการทาพิธีแรก นาขวัญแบบชาวบ้าน ซึ่งก็คือการ ใช้วัวไถสามรอบ แล้วหว่านข้าว พอถึงเวลา เก็บเกี่ยวจะเกี่ยวข้าวมา 2 ฟ่อน ก่อนเป็นการเอาฤกษ์เอาชัย แล้วใช้วัวนวดข้ าว 4-5 ตัว จับผูกเป็นแถว มีภาชนะที่ใส่ข้าวเรียกว่า “กะหลอม” เป็นไม้ไผ่สาน ทรงกระบอก สมัยนี้ใช้กระสอบใส่แทน นอกจากนี้ก็ยังมีการทาขวัญข้าวในเดือน 10 ตามปฏิทินจันทรคติไทยอีกด้วย ซึ่งมีการกราบไหว้แม่โพสพให้ช่วยดูแลข้าว และขอขมาต่อแม่โพสพถ้าหากมีการล่วงเกินไป เมื่อถึงฤดูเกี่ยวข้าวก็จะต้องมี การจุดธูปไหว้บอกผีไร่ผีนาเพื่อแจ้งว่าจะลงมือทาและเก็บเกี่ยวแล้ว โดยจะต้อง จุดธูป 5 ดอก ตั้งและสารับอาหารมีข้าวกับแกงมีขนม โดยที่ขนมมักจะเป็นขนม ต้ม หลังจากเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จก็จะต้องมีการทาบุญลานซึ่งก็คือการนิมนต์พระ มาสวดที่ลานนวดข้าว เพื่อให้การปลูกข้าวครั้งต่อไปมีผลผลิตที่ดี 7.4.2. การเลี้ยงวัว ความเชื่อเกี่ยวกับการเลี้ยงวัวนั้นก็จะมีเมื่อลูกวัวครบ 6 เดือนจะมีการ สนตะพายให้ เพื่ อ ใส่ เชื อ กจู งจมู ก และก็ จ ะมี ก ารไหว้ เจ้ าที่ เมื่ อ แม่ วั ว ใกล้ จ ะ ออกลูก เพื่อให้ออกลูกได้ง่าย ของเซ่นก็จะมีจาพวกหัว หมู ผลไม้ เหล้า เป็นต้น เป็นการไหว้กลางแจ้ง โดยไม่ต้องมีศาลอาจจุดธูปหรือเพียงบอกกล่าวแค่นั้น ซึ่ง จะไหว้เฉพาะช่วงนอกพรรษาเท่านั้น พื้นที่บริเวณฝั่งห้วยมีความเชื่ออันหลากหลายทับซ้อนกันอยู่ ซึ่งแต่ละ ความเชื่อต่างก็จะได้รับความเคารพนับถือจากคนในพื้นที่อย่างมาก ความเชื่อ เหล่านี้ไม่ได้อยู่ด้วยเพียงความเชื่อเดียว แต่จาต้องมีความเกี่ยวโยงกับความเชื่อ อื่นๆ ด้วย ดังจะเห็นได้จากการที่ร่างทรงพ่อเตี่ยก็ได้มี การเข้าทรงเจ้าพ่อปึงเถ้า กงด้วย หรือการที่ร่างทรงพ่อเตี่ยจะมีการแนะนาคนในชุ มชนในเรื่องของการตั้ง


127

ศาลเจ้าที่ หรือยังเป็นผู้ที่เลือกวันเวลาและบุคลากรที่จะต้องจัดพิธีงานปีผีมดอีก ด้วย หรือยังจะสามารถเห็นได้จากการที่คนที่จัดงานปีผีมดจะไม่สามารถบวช นาคได้ในปีนั้นอีกด้วย สิ่งเหล่านี้ล้วนแสดงให้เห็นถึงความเคารพในความเชื่อที่ แม้จะมีความแตกต่างกัน แต่คนในชุมชนก็ยังคงให้ความเคารพอย่ างเท่าเทียม กันในฐานะของอานาจที่อยู่เหนือธรรมชาติที่สามารถช่วยเหลือในการใช้ชีวิตของ ตนให้ก้าวหน้าต่อไปได้ ทั้งนี้ความเชื่อดังกล่าวล้วนเป็นความเชื่อที่คนในชุมชน ฝั่งห้วยมีร่วมกัน แต่ทว่าในพื้นที่นี้ยังคงมีความเชื่อที่ขึ้นอยู่กับวิถีการประกอบ อาชีพของแต่ละคนอีกด้วย ดังเช่น พิธีแรกนา พิธีทาบุญลาน หรือพิธีไหว้บอกผี ของผู้ที่ทาการเกษตรปลูกข้าว เป็นต้น จึงแสดงให้เห็นว่าความเชื่อในบริเวณนี้ นั้นยังคงมีหน้าที่ทางสังคม และมีความหมายต่อการดารงชีวิตของคนในชุมชน อย่างชัดเจน

8. ร้อยเรียงเคียง “ฝั่งห้วย” : พัฒนาการของชุมชนหลังทางรถไฟ จาก “ลักษณะทางกายภาพและวัฒนธรรมของฝั่งห้วย” ที่ได้เรียบเรียง และนาเสนอไว้ในข้างต้นแสดงให้เห็นถึงความเป็น “ฝั่งห้วย” อันเป็นชุมชนที่มี ประวัติศาสตร์และพัฒนาการมาอย่างยาวนาน ผ่านเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละ ยุคสมัยที่สั่งสมให้เกิดเป็ นเงื่อนไขอันก่อให้เป็นพื้นที่หนึ่งที่ถูกพัฒนาทั้งทางตรง และทางอ้อม ทั้งด้วยพื้นฐานของฝั่งห้วยที่มีความเหมาะสมทางกายภาพร่วมกับ สิ่งที่ถูกสร้างขึ้นใหม่โดยการเข้ามาของภาครัฐพร้อมกับอานาจที่แฝงมาควบคู่ การจัดตั้งหน่วยงานราชการต่างๆ ในพื้นที่ฝั่งห้วย ในส่ ว น “ร้อ ยเรี ย งเคี ย ง ‘ฝั่ งห้ ว ย’ : พั ฒ นาการของชุ ม ชนหลั งทาง รถไฟ” จึงเป็นส่วนที่มุ่งร้อยเรียงถึงเงื่อนไขและปัจจัยต่างๆ อันส่งผลต่อสังคม และวัฒนธรรมในฝั่งห้วยที่ได้รับการพัฒนาแต่ไม่ได้สะบัดทิ้งเค้ารากเดิมที่สั่งสม มาดังที่ได้ถูกเขียนไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ของฝั่งห้วย สิ่งที่จะนาเสนอต่อไปใน ส่วนนี้จะน าไปสู่ความเข้าใจในความเป็ น “ฝั่งห้วย” ทั้ งในแง่พั ฒ นาการของ


128

ชุมชนและสภาพสังคมวัฒนธรรมของพื้นที่ ผ่านการอธิบายถึงเรื่องราวการตั้งถิ่น ฐานของชาวบ้านฝั่งห้วยถึงลักษณะความเป็นชุมชนที่เพิ่งรวมตัวใหม่และปัจจัย หลั ก 3 ประการที่ ส่ ง ผลให้ ฝั่ ง ห้ ว ยมี พั ฒ นาการดั ง ที่ ป รากฏในปั จ จุ บั น คื อ 1) ระบบนิเวศและทรัพยากร 2) การคมนาคม และ 3) การเข้ามาของ หน่วยงานรัฐและเอกชน บ้านฝั่งห้วย : ชุมชนที่เพิ่งรวมตัวใหม่ เมื่ อ พิ นิ จ ถึ ง สภาพบริ บ ททั้ ง ทางกายภาพ สั ง คมวั ฒ นธรรม และ ประวัติศาสตร์ของชุมชนฝั่งห้วยดังที่นาเสนอมาในส่วนงานชาติพันธุ์วรรณนาก็ จะเห็นได้ว่า ชุมชนฝั่งห้วยเป็นชุมชนที่เรียกได้ว่าเป็น “ชุมชนที่เพิ่งรวมตัวใหม่” ดังที่ปรากฏว่าการตั้งถิ่นฐานของชาวบ้านฝั่งห้วย ณ ปัจจุบันนั้นเป็นการตั้งถิ่น ฐานที่เป็นการกระจุกตัวเป็นกลุ่มบ้านเรือนที่ค่อนข้างแสดงให้เห็นถึงการเข้ามา ตั้งถิ่นฐานของชาวบ้านในแต่ละระลอก ด้วยปัจจัยที่หลากหลายอย่างระบบนิเวศ ที่ อุด มสมบู รณ์ มาตั้ งแต่ เมื่ อครั้งในอดีต การพั ฒ นาทั้ งทางการคมนาคมและ ชลประทาน รวมไปถึงการเป็นที่ ตั้งของสานักงานในส่วนราชการต่างๆ ยิ่งเป็น การส่งเสริมให้เกิดการหลั่งไหลเข้ามาตั้งถิ่นฐานในฝั่งห้วย ด้วยการที่ระบบนิเวศของพื้นที่ชุมชนบ้านฝั่งห้วยเป็นระบบนิเวศที่มี ลักษณะเป็นพื้นที่ราบลุ่มประกอบกับมีห้วยธรรมชาติขนาดใหญ่ อันเป็นระบบ นิเวศเหมาะสมแก่การตั้งถิ่นฐานด้วยการมีสภาพภูมิประเทศและสภาพแวดล้อม ทางกายภาพที่เหมาะแก่เกษตรกรรม ทั้งการเพาะปลูกและการเลี้ยงสัตว์เพื่อ ดารงชีพและการค้าขาย ทั้งยังอุดมไปด้วยด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่สามารถ นามาใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย จึงเหมาะสมแก่การเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ชุมชนฝั่งห้วยนั้นมีเป็นชุมชนที่มีการตั้งถิ่นฐานมายาวนานแล้ว โดยการ ตั้งถิ่นฐานในช่วงเริ่มแรก สืบได้จากคาบอกเล่าของคนในชุมชนว่ามีผู้มาตั้งถิ่น ฐานตั้งแต่ช่วงสมัยรัชกาลที่ 4 สืบเนื่องมาจนถึงช่วงรัชกาลที่ 5 ที่ปรากฏเป็น


129

หลักฐานเด่นชัดว่ามีวัดหนองจอกเดิมที่ตั้งอยู่ ณ บริเวณสถานีตารวจภูธรหนอง จอกปัจจุบัน จึงอนุมานได้ว่า หากมีการสร้างวัดเป็นศูนย์กลางของชุมชนก็ต้องมี ผู้อาศัยและชุมชนอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว แต่ไม่ปรากฏถึงข้อมูลทั้งทางเอกสารและ คาบอกเล่าของคนในชุมชนว่าเป็นคนกลุ่มใดที่อาศัยและตั้งถิ่นฐานในขณะนั้น ชาวบ้านเล่าถึงตระกูลที่เป็นผู้ตั้งถิ่นฐานเก่าแก่ที่สุดเท่าที่สืบทราบได้ใน ปัจจุบัน คือ ตระกูลไม้แก้วและตระกูลดิษฐ์วงศ์ จากคาบอกเล่าของ คุณอุบล แก้วสะอาด อายุ 61 ปี ลูกหลานตระกูลไม้แก้ว (2559: สัมภาษณ์) เล่าว่า แต่ก่อนอยู่ที่บ้านพะเนินพระตั้งแต่สมัยปู่ย่า ซึ่งตอนนั้น เป็นที่ที่ตระกูลไม้แก้วอาศัยอยู่รวมในบริเวณเดียวกัน เดิมทีพื้นที่ ทั้งหมดตั้งแต่บริเวณบ้ านพะเนิน พระ บ้านนาสวรรค์ และส่วน ใหญ่ของบ้านฝั่งห้วยเป็นของตระกูลไม้แก้ว ยกเว้นเพียงแต่ตรงหัว มุมตรงข้ามศาลเจ้าที่เป็นของตระกูลดิษฐ์วงศ์

จากนั้นตระกูลไม้แก้วได้ขายที่ดินให้ตระกูลดิษฐ์วงศ์ในขณะนั้น แล้ว ตระกูลดิษฐ์วงศ์จึงนาที่ดินมาแบ่งสรรให้ลูกหลานเพื่อตั้งบ้าน พื้นที่บริเวณหลัง ถนนบ้านฝั่งห้วยจึงเป็นที่อยู่อาศัยของตระกูลดิษฐ์วงศ์ ดังคาบอกเล่าของ แย้ม เปรียญทองคา อายุ 86 ปี เดิมนามสกุล ดิษฐ์วงศ์ แต่ได้แต่งงานจึงใช้นามสกุล ปัจจุบันว่า พื้นที่ด้านหลังถนนบ้านฝั่งห้วยแต่ก่อนไม่มีใครอาศัยอยู่ เป็นทางเกวียนที่เต็มไปด้วยป่าสะแกริมทาง ลูกหลานของยายเป็น คนเข้าไปบุกเบิกพื้นที่สร้างบ้านเรือน ทาให้ในปัจจุบันมีแต่บ้าน ของเครือญาติตระกูลดิษฐ์วงศ์ (แย้ม เปรียญทองคา, 2559: สัมภาษณ์)


130

การตั้งถิ่นฐานของสองตระกูลดังกล่าวนี้ จึงมีอาณาบริเวณอยู่ในละแวก บ้านพะเนินพระ บ้านนาสวรรค์ไปจนถึงบริเวณศาลเจ้าปึงเถ่ากง นอกจากสอง ตระกู ล ดั งกล่ าวข้ างต้ น แล้ ว ยั งมี ต ระกู ล จั น ทร์เหมื อ น โดยโต จัน ทร์เหมื อ น (ไพโรจน์ จันทร์เหมือน, 2559: สัมภาษณ์) พื้นเพเป็นคนดอนยี่พรม ได้แต่งงาน กับ เก็บ จันทร์เหมือน เดิมนามสกุลดิษฐ์วงศ์ และได้ย้ายเข้ามาอยู่ในฝั่งห้วยร่วม บริเวณกับตระกูลดิษฐ์วงศ์คนอื่นๆ เช่นเดียวกับตระกูลกัลยาณสิทธิ์ที่แรกเริ่ม จ่า สิ บ ตรีป รีช า กั ล ยาณสิ ท ธิ์ ชาวไทยเชื้ อ สายจี น ที่ เดิ ม อาศั ย อยู่ ในฝั่ งตลาดมา แต่งงานกับ พวงแก้ว กัลยาณสิทธิ์ เดิมนามสกุลจันทร์เหมือน แล้วจึงย้ายเข้ามา อยู่ในอาณาบริเวณเดียวกันกับตระกูลดิษฐ์วงศ์ (สงเคราะห์ กัลยาณสิทธิ์, 2559: สัมภาษณ์) ตระกูลดังที่กล่าวมาในข้างต้น 4 ตระกูลหลักที่เป็นทั้งตระกูลที่อยู่มา ก่อนและตระกูลที่แต่งงานเข้ามา จึงเรียกได้ว่าเป็นตระกูลที่ตั้งถิ่นฐานในฝั่งห้วย ในอาณาบริเวณดังกล่าวมายาวนานและได้ตั้งบ้านอยู่ในบริเวณเดียวกันโดยการ สร้างบ้านในบริเวณของครอบครัวเครือญาติตนเอง กล่าวคือ เป็นการอาศัยอยู่ แบบครอบครัวขยายทั้งยังแต่งงานและมีทายาทเป็นตระกูลใหญ่ในฝั่งห้วยดังที่ ปรากฏในปั จ จุ บั น โดยอาศั ย การด ารงชี พ ที่ อิ ง อยู่ บ นฐานระบบนิ เวศและ ทรัพยากรที่มีในพื้นที่อย่างการเกษตรกรรมทั้งการทานา ทาสวน ทาไร่ การเลี้ยง สั ตว์ รวมไปถึงการจักสานเข่ง การเผาถ่าน และการค้าขาย เนื่ องจากมี การ คมนาคมที่สะดวกทั้งทางรถไฟและทางถนนหลวง นอกจากการตั้งถิ่นฐานอยู่แ ต่เดิม ในฝั่งห้วยแล้ว จากการลงพื้ น ที่ยัง ปรากฏการตั้งถิ่นฐานบริเวณฝั่งห้วยในปัจจุบันด้วยเงื่อนไขทางเศรษฐกิจอย่าง ความซบเซาของฝั่งตลาด อันเนื่องมาจากการตัดผ่านของถนนเพชรเกษมใกล้ บริเวณชุมชนที่ทาให้ศูนย์กลางความเจริญเคลื่อนตัวไปอยู่ที่ตัวจังหวัด ผู้คนที่ทา การค้าขายอยู่ในฝั่งตลาดแต่เดิมจึงเริ่มหันมาหาอาชีพอื่นนอกเหนือจากการค้า ขาย เช่ น การหั น มาปลู ก พื ช ผั ก ผลไม้ เพื่ อ ส่ ง ขาย อย่ า งกนก บั ว ศิ ริ (2559: สัมภาษณ์) ที่เดิมทีบ้านอยู่ฝั่งตลาดและทาธุรกิจโรงโม่น้าแข็ง แต่ในปัจจุบันมา


131

ปลูกบ้านอยู่ในฝั่งห้วยบริเวณคลองประปาและทาสวนมะนาวในบริเวณเดียวกั น เช่นเดียวกันกับ จุ๋ม เผือกผ่อง (2559: สัมภาษณ์) ที่เดิมทีอาศัยอยู่ในฝั่งตลาด แต่ด้วยความสะดวกสบายในพื้นที่ฝั่งห้วยจึงเลือกซื้อที่บริเวณใกล้คลองประปา เพื่ อ ปลู ก บ้ า นใหม่ แต่ ยั ง คงประกอบอาชี พ สานเข่ ง ปลาทู ดั ง เดิ ม และ นอกเหนือจากการย้ายมาตั้งบ้านจากฝั่งตลาดมาสู่ฝั่ งห้วยแล้ว ยังปรากฏการ ย้ายเข้ามาประกอบอาชีพในฝั่งห้วยจากพื้นที่ใกล้เคียงอื่นๆ อย่างหนองถาง เช่น สนธยา จันทร์เหมือน อายุ 68 ปี (2559: สัมภาษณ์) เดิมบ้านอยู่ที่หนองถาง ประกอบอาชีพทานา แต่ได้ย้ายมาทากินโดยการเปิดร้านขายของชาที่ฝั่งห้วย ใกล้ศาลเจ้าปึงเถ่ากง โดยให้เหตุผลว่า “ตอนอยู่หนองถางโจรเยอะ ของหาย บ่อย” อย่างไรก็ตาม สนธยา จันทร์เหมือน กลับต้องเช่าที่ของคนกรุงเทพฯ เป็น ที่ทากิน จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่า การย้ายถิ่นฐานเข้ามาในฝั่งห้วย ที่เป็น ที่ ตั้งของหน่ วยงานราชการ ทั้ งสถานี ตารวจภู ธรหนองจอก สานั กงาน เทศบาลหนองจอก โรงพยาบาล และคลองประปา ดูเหมือนเป็นเหตุผลหลักที่ ทาให้เกิดการเข้ามาตั้งถิ่นฐานในฝั่งห้วยมากขึ้นในช่วง 3-4 ปีให้หลังมานี้ ทั้ง ด้ วยเหตุ ผ ลด้ านความปลอดภั ย ความสะดวกสบายในการด ารงชี วิ ต ทั้ งการ เดินทางและการชลประทาน ดังที่ กนก บัวศิริ (2559: สัมภาษณ์) ให้ข้อมูลไว้ว่า ที่ ดิ น บริ เวณนี้ มี แ นวโน้ ม ว่ า จะมี ร าคาเพิ่ ม ขึ้ น เรื่ อ ย ๆ เนื่องจากใกล้หน่วยงานราชการและสหกรณ์เครดิตยูเนียน ทั้งยัง เดินทางสะดวกทั้งทางรถไฟและทางถนนเพชรเกษม (กนก บัวศิริ, 2559: สัมภาษณ์)

ทั้งนี้ นอกเหนือจากการตั้งถิ่นฐานตั้งแต่ครั้งในอดีตและการเพิ่งเข้ามา ตั้งถิ่นฐานในฝั่งห้วยด้วยเงื่อนไขต่าง ๆ ดังที่กล่าวข้างต้น ยังมีการเข้ามาอาศัย อยู่ในฝั่งห้วยด้วยการประกอบอาชีพเป็นข้าราชการ แม้ส่วนมากข้าราชการที่


132

ทางานในหน่วยงานจะเป็นคนในหนองจอกและพื้นที่ใกล้เคีย ง หรือมักไปเช่า บ้านอยู่ในฝั่งตลาด แต่ในฝั่งห้วยก็ยังปรากฏการเข้ามาอาศัยอยู่ของข้าราชการ ตารวจที่มักเข้ามาอาศัยในบ้านพักตารวจที่หลังสถานีตารวจภูธรหนองจอกร่วม ด้วย อย่างไรก็ตาม การอพยพย้ายออกไปตั้งถิ่นฐานก็ปรากฏร่วมไปกับการ ย้ายเข้ามาในฝั่งห้วย เช่น อารักษ์ ศิรินธราพรรณ (2559: สัมภาษณ์) ที่เดิมที ร่วมหุ้นประกอบกิจการโรงสีอยู่ในฝั่งห้วย แต่ด้วยสภาพร่างกายที่ไม่แข็งแรง เหมื อ นแต่ ก่อ นและปั ญ หาการไม่ มี ลู ก จ้างมาท างาน ท าให้ ล ะเลิ ก ท ากิ จการ ผนวกกับการชักชวนของบุตรหลานให้ไปอยู่ด้วยกันที่กรุงเทพฯ จึงย้ายออกไป จากหนองจอก แต่ก็กลับมาที่หนองจอกทุกสัปดาห์เนื่องจากมีที่ดินทาสวนทาไร่ ทาให้ต้องกลับมาดูแลเป็นประจา ดั งจะเห็ น ได้ ว่ า การตั้ ง ถิ่ น ฐานของชาวบ้ า นฝั่ ง ห้ ว ยนั้ น เป็ น การตั้ ง บ้านเรือนเป็นกลุ่ม ๆ ตามเครือญาติและช่วงระยะเวลาที่เข้ามาตั้งถิ่นฐาน ทั้ง ด้วยการพัฒนาที่หลั่งไหลเข้ามาในฝั่งห้ วยด้วยสถานะแห่งการเป็นส่วนหนึ่งของ การปกครองในเขตเทศบาลหนองจอก ยิ่งส่งผลให้มีการเข้ามาตั้งถิ่นฐานด้วย ความเหมาะสมของพื้นที่ที่สะดวกสบายทั้งในการอยู่อาศัยและทากิน โดยการตั้ง ถิ่นฐานในลักษณะเช่นนี้ถือเป็นลักษณะเฉพาะในการตั้งถิ่นฐานแบบชุมชนฝั่ง ห้วยอันประกอบสร้างจากหลากปัจจัยดังต่อไปนี้ 1) ระบบนิเวศและทรัพยากร ลักษณะของระบบนิเวศของตาบลหนองจอกโดยพื้นฐานมีลักษณะเป็น พื้นที่ราบลุ่มลาดเทเอียงจากทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตก มีห้วยธรรมชาติ ขนาดใหญ่ในพื้นที่อันเป็นลักษณะแห่งความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศ จากคา บอกเล่าของคนในชุมชน พื้นที่เดิมทางด้านบ้านฝั่งห้วยนี้เคยมีลักษณะเป็นป่า เบญจพรรณ ก่อนที่จะกลายเป็นสถานะที่ตั้งบ้านเรือนในปัจจุบัน อุดมไปด้วยพืช


133

พันธุ์นานาชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม้ยืนต้นจาพวกสะแก ที่เป็นไม้ยืนต้นขนาด เล็กถึงกลางและสามารถนาไปใช้สร้างบ้านเรือนรวมไปถึงการเผาถ่าน และไม้ยืน ต้ น อื่ น ๆ เช่ น แขนงพล้ อ ย หนามพรม หนามเล็ บ เหยี่ ย ว นอกจากนี้ ยั งมี พื ช ตระกูลไผ่ เช่น ไผ่รวก ไผ่ สีสุ ก ที่ คนในพื้ นที่ มักใช้ไม้ไผ่สีสุกนี้ในการก่อสร้าง บ้านเรือนในอดีต อีกทั้งยังใช้ทากระล้อมที่เป็นเครื่องเรือนที่ใช้เก็บข้าวสารที่ได้ จากการทานาในอดีต นอกจากนี้ยังมีการใช้ไผ่สีสุกเป็นวัตถุดิบในงานจักรสาน ได้แก่ การสานเข่งปลาทูและเข่งขนมจีนที่ยังคงสามารถพบเห็นได้ในปัจจุบัน นอกจากนี้ ในพื้นที่ บ้านฝั่งห้วยในอดีตมีต้นตาลโตนดขึ้นตาลริมทาง เกวี ย น ซึ่ งตาลโตนดนี้ ส ามารถน าผลไปแปรรู ป ท าเป็ น น้ าตาลได้ โดยจะใช้ กระบอกรองที่ทาจากลาบ้องของไผ่สีสุกรองน้าเลี้ยงจากงวงตาล และนาไปกวน ในกระทะจนสุกจนได้เป็นน้าตาลปี๊บ หรือนาไปหยอดลงบนพิมพ์รูปถ้วยที่รอง ด้วยผ้าขาวบางและนาไปตากแดดก็จะได้น้าตาลปึกเพื่อใช้บริโภคในครัวเรืองได้ อีกทั้งลาต้นของตาลยังสามารถนาไปใช้สร้างอาคารบ้ า นเรือนโดยมีลักษณะ พิเศษที่ไม้ตาลน้าสามารถป้องกันการกัดกร่อนจากแมลงและปลวกได้เป็นอย่างดี ในส่ วนของพื้ นที่ เป็นที่ ดินท ากินของชาวบ้ าน เมื่อครั้งในอดีตก่อนที่ ระบบชลประทานจะเข้ามามีบทบาท พื้นที่บริเวณบ้านฝั่งห้วยนี้มีแปลงนาและ แปลงพืชไร่ไม่มากเท่าปัจจุบัน เนื่องจากพื้นที่นามีลักษณะเป็นที่ราบที่สูงกว่า ห้วยธรรมชาติทาให้การทานาต้องทาเป็นนาปีและสามารถต้องพึ่งพาน้าฝนเป็น หลักใหญ่ ต่อมาเมื่อระบบชลประทานเข้ามามีบทบาทด้วยลักษณะของพื้นที่ที่ ลาดเอี ย งนี้ เองที่ ท าให้ น้ าจากระบบชลประทานไหลผ่ านพื้ น ที่ น าอย่ างอุ ด ม สมบูรณ์ก่อนจะไหลลงสู่ห้วย ทั้งนี้ก็ด้วยการที่ฝั่งห้วยเป็นหมู่แรกที่ได้รับน้าจาก คลองชลประทานสาย 2 พื้ น ที่ จึ งมี ค วามอุ ด มสมบู ร ณ์ ต่ อ การท านามากขึ้ น สามารถทานามากขึ้นมาสามารถท านาปรังได้ ประกอบกับพื้นที่มีความอุดม สมบูรณ์ทางทรัพยากรป่าไม้เบญจพรรณโดยพื้นฐานอยู่แล้ว ชาวบ้านจึงมีการ ย้ายเข้ามาสร้างอาคารบ้านเรือนและบุกเบิกพื้นที่เพื่อทาการเกษตรทั้งแปลงนา


134

และพื ช สวนไร่ม ากขึ้น และจากพื้ น ที่ บุ กเบิ กนี้ ส่ งผลให้ การตั้ งบ้ านเรือ นของ ชาวบ้านให้มีลักษณะอาณาบริเวณที่กว้างขวางเพียงพอที่จะสามารถทาปศุสัตว์ ขนาดเล็กในครัวเรือนเพื่อใช้บริโภคในครัวเรืองและค้าขายได้ สัตว์ที่เลี้ยงได้แก่ หมู ไก่ และแพะไว้บริโภค และวัวไว้ใช้ขายและใช้งาน โดยวัวที่เลี้ยงจะเป็นวัว ลานเพื่อใช้ในการเทียมเกวียนในอดีตจนในปัจจุบันการเลี้ยงวัวและแพะสามารถ สร้างรายได้และเป็นรายได้หลักทางหนึ่งให้กับคนในชุมชนได้อีกด้วย จะเห็นได้ว่า ด้วยความเป็น จุดยุทธศาสตร์แห่งทรัพยากรของฝั่งห้วย ประกอบกับการเป็นพื้นที่ที่หน่วยราชการเลือกเข้ามาตั้งหน่วยงานด้วยความเป็น พื้นที่ที่เป็นที่ตั้งเดิมของบางหน่วยราชการมาก่อนหน้า ส่งผลให้ฝั่งห้วยเป็นพื้นที่ ที่แฝงไปด้วยการพัฒนาทั้งทางตรงและทางอ้อม อันก่อให้เกิดเงื่อนไขที่ส่งผลต่อ ลักษณะทั้ งทางกายภาพและวัฒ นธรรมที่ นาไปสู่ความเปลี่ยนแปลงจากการ ปรับตัวจนกลายเป็นฝั่งห้วยดังที่เห็นและเป็นอยู่ในปัจจุบัน 2) การคมนาคม การเดินทางที่สะดวกสบายเป็นตัวชี้วัดความเจริญและการพัฒนาอย่าง หนึ่ ง ไม่ ว่าจะเป็ น ถนนหนทางที่ ดี ทางรถไฟ ตลอดจนท่ าอากาศยาน ต่ างก็ สามารถเป็นเกณฑ์ชี้วัดความเจริญของแต่ละพื้นที่ได้เป็นอย่างดี แต่การเดินทาง ที่สะดวกนี้ไม่เพียงแต่นาความเจริญมาให้เท่านั้น แต่การคมนาคมยังนาพามาซึ่ง การเปลี่ ย นแปลงในหลากมิ ติ อี ก ด้ ว ย ในส่ ว นการคมนาคมของบ้ า นฝั่ งห้ ว ย สามารถแบ่งออกเป็น 2 ทางหลัก คือ รถไฟและรถยนต์ โดยการคมนาคมทั้ง 2 ลั ก ษณะนี้ ต่ า งก็ ส่ ง ผลต่ อ การเปลี่ ย นแปลงของบ้ า นฝั่ ง ห้ ว ยทั้ ง สิ้ น อั น มี รายละเอียดดังที่จะกล่าวต่อไปนี้


135

รถไฟ ในช่วงก่อนปี พ.ศ. 2459 “เกวียน” เป็นพาหนะหลักในการเดินทาง แต่เมื่อโครงการสร้างทางรถไฟ ในช่วงปี พ.ศ. 2452 ต่อจากเมืองเพชรบุรีไปสู่ สงขลา ที่แล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ.2459 ส่งผลให้ประชาชนในหนองจอกสามารถ เดินทางได้สะดวกสบายมากขึ้น ชาวบ้านสามารถโดยสารรถไฟไปทาการค้าขาย ที่เมืองเพชรบุรีได้ง่ายและสะดวก ทั้งยังสามารถนาสินค้าไปขายได้มากขึ้นด้วย และดังที่กล่าวไว้ข้างต้น การเดินทางที่ดีขึ้นไม่ได้นามาเพียงแค่ซึ่งความเจริญ เท่านั้น แต่การสร้างรถไฟผ่านหนองจอกครั้งนี้ยังส่งผลให้ชุมชนบ้านฝั่งห้วยเกิด การขยายตัวในแง่ประชากรร่วมด้วย การขยายตัวของชุมชนบ้านฝั่งห้วยเกิดขึ้นในช่วงที่มีการสร้างทางรถไฟ ในปี พ.ศ. 2452 กล่าวคือ การสร้างทางรถไฟ จาเป็นที่จะต้องอาศัยแรงงาน จานวนมากจึงมี การจ้างงานทั้ งคนในพื้นที่ และคนต่างถิ่น ไม่ว่าจะเป็นคนใน อ าเภอใกล้ เคี ย งหรือ จากเมื อ งเพชรบุ รี อี ก ทั้ งยั งมี ก ารสั น นิ ษ ฐานว่ า คนจี น อาจจะเข้ามาในช่วงการสร้างทางรถไฟด้วยการเป็นแรงงานสร้างทางรถไฟ และ ต่อมาแรงงานเหล่านี้ก็ได้แต่งงานกับคนพื้นในที่ทาให้เครือญาติและการตั้งบ้าน ของบ้านฝั่งห้วยนั้นเกิดการขยายตัวใหญ่ขึ้นตามไปด้วย ต่อมาในปี ในปี พ.ศ. 2497 ได้มีการซ่อมบารุงทางรถไฟ จึงเกิดการเข้า มาของคนต่างถิ่นที่เข้ามาในรูปแบบของแรงงานสร้างทางรถไฟอีกระลอกหนึ่ง แต่ในยุคนั้นจะมีเพียงคนไทย ไม่มีคนจีนเหมือนในอดีต แต่การเข้ามาของกลุ่ม คนในครั้งนี้ก็ท าให้ชุม ชนบ้านฝั่ งห้วยนั้น เกิดการขยายตัวขึ้นอีกระลอกหนึ่ง อย่ า งในกรณี ข องคุ ณ ปรี ช า กั ล ยาณสิ ท ธิ์ ดั งที่ ได้ ก ล่ า วไว้ ในส่ ว นของข้ อ มู ล พื้นฐาน


136

รถยนต์ ประเทศไทยได้มีการปรับปรุงและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอยู่เสมอ ใน อดีตการคมนาคมเพื่อติดต่อกับต่างถิ่นเคยอิงอยู่กับการโดยสารรถไฟเป็นหลัก แต่ด้วยเงื่อนไขทางเศรษฐกิจที่เปิดโอกาสให้โอกาสในการจับจ่ายเงินตราและ ค่านิยมในลักษณะของสังคมทุนนิยม รถยนต์จึง ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ จนเรียกได้ว่าเป็น พาหนะหลั กไปโดนปริยาย ในช่วงปี พ.ศ. 2505 รัฐบาลได้ จัดสร้างถนนสายเพชรเกษมตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่ง ชาติเพื่อให้ ลดระยะเวลาในการเดินทางไปสู่ภาคใต้ โดยจังหวัดเพชรบุรีก็เป็นประตูทางผ่าน ก่อนที่จะลงไปสู่ประจวบคีรีขันธ์และจังหวัดชุมพรต่อไป ถนนเพชรเกษมได้เริ่มแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2505 ส่งผลให้ชาวหนอง จอกสามารถเดินทางไปยังภาคใต้หรือขึ้นมายังกรุงเทพมหานครได้สะดวกขึ้น อีก ทั้งถนนเพชรเกษมยังส่งผลทาให้เกิดถนนสายสาคัญ ๆ อีกมากมาย ยกตัวอย่าง เช่น ถนนสาย 3499 ที่ตัดมาจากถนนเพชรเกษม ผ่านบ้านฝั่งห้วยไปยังปึกเตียน เป็นต้น ในช่วงที่ถนนเพชรเกษมสร้างเสร็จใหม่ๆ ชาวหนองจอกยังไม่นิยมซื้อรถ ส่ ว นตั ว กั น มากนั ก เนื่ อ งจากราคาสู ง การเดิ น ทางของคนในหนองจอกจึ ง จาเป็นต้องอาศัยรถโดยสารประจาทางสายเพชรบุรี -หนองจอก โดยตรงที่เริ่ม ให้บริการหลังจากที่ถนนเพชรเกษมสร้างเสร็จได้ไม่นาน การโดยสารรถโดยสาร ขณะนั้นได้รับความนิยมเป็นอย่างมากสาหรับพ่อค้าแม่ค้า เพราะรวดเร็ว ราคา ไม่แพง อีกทั้งยังสามารถซื้อของในปริมาณที่มากขึ้นด้วย แม้ว่ารถโดยสารจะรับ ความนิยมมากยิ่งขึ้น แต่รถไฟก็ยังคงเป็นทางเลือกในการเดินทางสาหรับคนใน สมัยนั้นอยู่ดี รถไฟยังไม่ได้ซบเซาไปเลยเสียทีเดียว สถานีหนองจอกยังคงคึกคัก ไปด้วยผู้คนหลากหลายกลุ่มที่มีการติดต่อและเดินทางไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นประมาณ 20 ปี ชาวบ้านเริ่มนิยมซื้อรถยนต์ ส่วนตัวมากขึ้น แทบทุกครัวเรือนมองว่าเป็นการดีและจาเป็นที่จะต้องมีรถยนต์


137

ส่วนตัวอย่างน้อยหนึ่งคัน จนอาจกล่ าวได้ว่า รถยนต์ได้กลายเป็นหน่วยชี้วัด ฐานะของคนในสมั ย นั้ น เมื่ อ ทุ ก บ้ านเริ่ม มี รถยนต์ เป็ น ของตนเองก็ ส ามารถ เดินทางได้เองโดยไม่ต้องอาศัยรถโดยสาร ชาวบ้านสามารถเดินทางไปซื้อเครื่อง อุปโภคบริโภคได้เองที่ตลาด ไม่ต้องซื้อผ่านกลุ่มพ่อค้าคนกลางที่รับมาขายที่ ตลาดอีกทอดที่ราคาจะสูงกว่าราคาในท้องตลาดทั่วไป ส่งผลให้ตลาดหนองจอก ถูกลดระดับความสาคัญลงและรถโดยสารค่อ ยๆ เงียบเหงาลงไปจนเลิกกิจการ ไปบางส่วนในที่สุด นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงของระบบคมนาคมจากรถไฟเป็นรถยนต์ ยังส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของการตั้งถิ่นฐานร่วมด้วย กล่าวคือ เมื่อ รถยนต์ได้รับความนิยมมากขึ้น ถนนก็กลายเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลโดยตรงกับ การตั้งถิ่นฐาน ในปัจจุบันเราจึงพบว่า บ้านหลายหลังที่ถูกปล่อยร้าง เนื่องจาก เจ้าของบ้านย้ายออกไปอยู่ที่อื่น ยกตัวอย่างเช่น กรุงเทพฯ หัวหิน เป็นต้น บ้าน ฝั่งห้วยในปัจจุบันจึงเงียบเหงาลงไปมากหากเปรียบเทียบกับเมื่อก่อน จากที่ กล่าวทั้ งหมดนี้ท าให้เห็นว่า การคมนาคมเป็นตัว กลางที่ทาให้ ชุมชนเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในหลากหลายมิติด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นมิติของเครือ ญาติ หรือมิติทางเศรษฐกิจ การคมนาคมต่างก็มีส่วนทาให้หนองจอกนั้นเกิดการ เปลี่ยนแปลงจนกลายเป็นหนองจอกอย่างที่เห็นในปัจจุบัน 3) การเข้ามาของหน่วยงานรัฐ จากข้อมูลลักษณะทางกายภาพและวัฒนธรรมที่ได้เรียบเรียงไว้ข้างต้น แสดงให้เห็นถึงบทบาทของรัฐที่มีต่อคนในชุมชนอย่างมาก สิ่งที่เกิดขึ้นจากการ เข้ามาของรัฐในพื้นที่ฝั่งห้วย คือความเปลี่ยนแปลงของชุมชนไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ของทรัพยากร การคมนาคม หรือแม้กระทั่งการประกอบอาชีพของคนในชุมชน จนแปรเปลี่ยนจากอดีตมาเป็นดังที่สามารถพบเห็นได้ในปัจจุบัน บทบาทของรัฐ นั้ น สื บ ย้ อ นกลั บ ไปในช่ ว งที่ มี ก ารย้ า ยอ าเภอหนองจอกไปเป็ น อ าเภอชะอ า


138

อันส่งผลให้พื้นที่หนองจอกปัจจุบันขึ้นอยู่กับอาเภอท่ายาง จากข้อมูลที่ได้รับ จากการลงพื้นที่ทาให้ทราบว่าได้มีการเริ่ มขุดคลองชลประทานในปี พ.ศ. 2486 ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นช่วงแรกเริ่มของการเข้ามาจัดการพื้นที่โดยภาครัฐ ซึ่งต่อมาได้มี การจัดตั้งสุขาภิบาลขึ้นมาในวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2506 อันก่อให้เกิดความ เปลี่ยนแปลงในการเข้าถึงทรัพยากรของชุมชน กล่าวคือเป็นช่วงที่เริ่มมีระบบ ไฟฟ้า ประปา และระบบชลประทานในชุมชน จึงนามาสู่การพัฒนาของระบบ เกษตรอย่างเห็นได้ชัด เพราะในอดีตการทานาของชาวบ้านมักจะเป็นการทานา ในรู ป แบบที่ ห วั งผลได้ ไม่ แ น่ น อน ก็ พั ฒ นาสู่ ก ารท านาที่ ส ามารถท าได้ ทั้ ง ปี ยกตัวอย่างเช่น เรื่องของนาสวรรค์ที่เป็นพื้นที่สูงทาให้การเพาะปลูกเป็นเรื่องที่ ค่อนข้างลาบาก และเมื่อมีระบบชลประทานเข้ามาก็ได้ทาให้น้าจะต้องไหลผ่าน พื้นที่บริเวณนี้ก่อนจึงทาให้พื้นที่นาสวรรค์กลายเป็นพื้นที่ที่สามารถปลูกนาได้ดี ขึ้น เป็นต้น ไม่เพียงเท่านั้นการเข้ามาของสุขาภิบาลยังก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ในพื้นที่อีกเช่น การสร้างสะพานข้ามห้วย หรือการสร้างทางเกวียน เป็นต้น ซึ่ง ต่อมาสะพานข้ามห้วยที่สุขาภิบาลสร้างเป็นสะพานไม้ไว้นั้นก็ได้รับการบูรณะให้ เป็นสะพานปูนในปี พ.ศ. 2539 เช่นเดียวกับที่พักสายตรวจซึ่งถูกสร้างขึ้นมาเมื่อ ครั้งที่สุขาภิบาลได้ถูกจัดตั้งขึ้นมาในพื้นที่ไม่นาน แม้จะมีเวรยามผลัดกันเฝ้าเพื่อ ความปลอดภัยแต่ก็ยังไม่สามารถแจ้งความได้ในช่วงแรกจวบจนปี พ.ศ. 2541 จึงได้มีการยกฐานะให้สถานีตารวจภูธรตาบลหนองจอกมีอานาจในการสอบสวน คดีอาญาได้เองในที่สุด สุ ข าภิ บ าลได้ ท าหน้ าที่ ดู แ ลคนในชุ ม ชนมาตลอดช่ ว งเวลาหนึ่ งจวบ จนกระทั่งในวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2542 กระทรวงมหาดไทยได้ยกระดับ ฐานะของสุขาภิบาลให้เป็นเทศบาลตาบลหนองจอก ซึ่งการยกระดับครั้งนี้เองได้ นามาซึ่งความเปลี่ยนแปลงอีกเช่นกัน สิ่งที่สามารถเห็นได้อ ย่างชัดเจนมากที่สุด ก็คงจะเป็นเรื่องการเข้ามาของอนามัยท้องถิ่นที่ปัจจุบันได้กลายเป็นโรงพยาบาล


139

ส่ งเสริม สุ ข ภาพต าบลหนองจอก (รพ.สต.) ซึ่ งได้ ก ลายเป็ น ส่ วนหนึ่ งที่ ได้ ย ก คุ ณ ภาพชี วิ ต ของคนในชุ ม ชนให้ มี ค วามปลอดภั ย มากขึ้ น ไม่ เพี ย งเท่ า นั้ น สาธารณูปโภคเองก็ยังคงไปรับการพัฒนาดังคากล่าวของ คุณสงเคราะห์ ที่กล่าว ไว้ว่าในปัจจุบันระบบไฟฟ้า และระบบประปาของคนในพื้นที่นั้นมีคุณภาพที่ดี ขึ้นกว่าเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้วมาก หรือการลาดยางถนนหนทาง ที่เกิดขึ้น แทนทางเกวียนเก่าเป็นต้น ในขณะเดียวกันการเข้ามาของภาครัฐก็ได้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง วิถีชีวิตของคนในชุมชนด้วย โดยเฉพาะเรื่องของการประกอบอาชีพ เพราะจาก การลงพื้นที่เก็บข้อมูลทาให้ทราบว่าในอดีตเกือบทุกหลังคาเรือนมักจะมีการ เลี้ยงหมู ซึ่งจะมีลักษณะการเลี้ยงที่หลากหลายแต่ที่เห็นจะชัดเจนนั้นมักจะเป็น การเลี้ยงเพื่อนาลูกหมูไปขายเสียมากกว่า แต่เมื่อเทศบาลตาบลหนองจอกมาตั้ง ก็ได้มีการสั่งห้ามไม่ให้เลี้ยงหมูในพื้นที่ที่อยู่ใกล้เคียงกับสานักงานของเทศบาล ตาบลหนองจอกเนื่ องจากมี กลิ่ นเหม็ นที่ รุนแรง ก็ท าให้ ในปั จจุบัน บ้ านเรือน บริเวณใกล้เคียงกับสานักงานเทศบาลไม่มีการเลี้ยงหมูอีกต่อไป เฉกเช่นเดียวกับ กลุ่มผู้ประกอบอาชีพเผาถ่าน จากการสัมภาษณ์คุณปรี เปรียญทองคา ทาให้ ทราบได้ว่าในสมัยก่อนลุงปรีเองก็ทาอาชีพเผาถ่านขาย แต่การเผาถ่า นนั้นทาให้ เกิดควันไฟในปริมาณมากและสร้างกลิ่นไหม้ซึ่งไม่พึงประสงค์แก่ผู้อื่น สานักงาน เทศบาลต าบลหนองจอกจึ งสั่ งห้ ามไม่ ให้ ท าการเผาถ่ านในบริเวณใกล้ เคี ย ง เช่นกัน หากผู้ใดจะเผาถ่านจาต้องไปเผาในบริเวณที่ห่างออกไป สิ่งเหล่านี้ได้ สะท้อนให้เห็นภาพของความสัมพันธ์เชิงอานาจที่รัฐมีอานาจในการควบคุมคน ในชุมชนให้ทาตามข้อกาหนดที่รัฐตั้งขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้ น จึ งอาจสรุป ได้ ว่า บทบาทของรัฐ ที่ มี ต่ อชุ ม ชนนั้ น ได้ ก่ อ ให้ เกิ ด ความเปลี่ย นแปลงที่ ห ลากหลายต่ อวิถี ชีวิต ของคนในชุม ชนดั งเรื่องของการ ประกอบอาชีพ แต่ในขณะเดียวกันรัฐก็ได้นาสิ่งที่เรียกว่าคุณภาพชีวิตที่ดี และ ความปลอดภั ย มาสู่ ชุ ม ชนด้ ว ยเช่ น กั น เพราะไม่ ว่ า จะเป็ น เรื่ อ งของการน า


140

สาธารณสุขในการอุปโภคบริโภคเข้ามาในชุมชน หรือที่พักสายตรวจซึ่งได้รับ การยกระดับให้เป็นสถานีตารวจที่สามารถรับแจ้งความได้ หรือการนาอนามัย เข้ ามาแล้ ว พั ฒ นาจนได้ ก ลายเป็ น โรงพยาบาล หรือ กระทั่ งการจั ด ระเบี ย บ กิจกรรมของชุมชนอย่างเรื่องการเลี้ยงหมูและการเผาถ่าน ต่างก็ล้วนเป็นสิ่งที่ทา ให้คนในชุมชนมีความปลอดภัยในการใช้ชีวิตจากเหตุร้ายหรือสิ่งอื่นและสามารถ ที่จะป้องกันเหตุฉุกเฉิน หรือป้องกันและกาจัดโรคร้ายในชุมชนได้ ยิ่งไปกว่านั้น การตัดถนนลาดยางก็ส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจของคนในชุมชนอย่างมากเพราะ ทาให้การคมนาคมติดต่อค้าขายกับคนภายนอกเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น จะเห็นได้จาก ข้อมูลเหล่านี้ว่าบทบาทกับรัฐนาพาความเปลี่ยนแปลงมาสู่ชุมชนมากมาย ซึ่งทา ให้คนในชุมชนได้รับผลประโยชน์จากความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่น้อย ดังนั้น แล้วจึงสามารถที่จะกล่าวได้อย่างชัดเจนว่า “รัฐ” เป็นส่วนสาคัญส่วนหนึ่งที่ทา ให้ชุมชนบ้านฝั่งห้วยนี้พัฒนามาไกลอย่างงดงามดังเช่นที่พบเห็นได้ในปัจจุบันนี้ 4) หน่วยงานเอกชน หน่ วยงานเอกชนหลั กที่ อยู่ในพื้ น ที่ ฝั่ งห้ วยที่ เด่น ชัดนั้ น คือ สหกรณ์ เครดิตยูเนี่ยนหนองจอก จากัด ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในสิ่งสาคัญที่ทาให้ชุมชน บ้านฝั่งห้วยเกิดการพัฒนาอย่างชัดเจน เพราะว่าองค์กรนี้ถูกจัดตั้งขึ้นมาเพื่อให้ ชุ ม ชนสามารถดู แ ลตนเองได้ โดยมี ก ารน าเงิ น ของชาวบ้ า นมารวมกั น เพื่ อ ช่วยเหลือชาวบ้านเองในหลายๆด้าน ทาให้ปัจจุบันตัวองค์กรมีสมาชิกประมาณ 200,000 คน และความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นคือการกระจายรายได้ เนื่อ งด้วย สหกรณ์ยูเนี่ยนเองก็มีการสร้างสินค้าและผลิตภัณฑ์ส่งออกจาหน่ายทั้งในและ นอกชุมชน และยังมีงานการจัดการระบบต่างๆภายในองค์กร ซึ่งล้วนแล้วแต่ เป็นงานที่ต้องใช้แรงงานมนุษย์ทั้งสิ้นส่งผลให้อัตราการจ้างงานในชุมชนเพิ่ม สูงขึ้น ประกอบกับการเปิดให้กู้ยืมเงินด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่าทาให้คนในชุมชนมี ช่องทางในการประกอบอาชีพมากขึ้น อีกทั้งการอดออมของคนในชุมชนก็ยัง


141

ส่ ง ผลให้ ค นกลุ่ ม นี้ มี เงิ น เก็ บ เป็ น ก้ อ น และยั ง ได้ รั บ การสนั บ สนุ น ทางด้ า น สวัสดิการอีกด้วย อันเป็นสิ่งที่ส่งผลให้คุณภาพชีวิตของคนในชุมชนพัฒนาได้ อย่างมั่นคง กล่าวคือทาให้คนในชุมชนเริ่มมีฐานอานาจทางเศรษฐกิจมากขึ้นจึง ทาให้สามารถเข้าถึงทรัพยากรต่างๆได้มากขึ้นเช่นกัน ดังนั้นแล้วจึงสามารถกล่าวได้ว่าองค์กรทางเอกชนเองก็มีบทบาทต่อ ความเปลี่ยนแปลง และการพัฒนาชุมชนไม่ด้อยไปกว่าภาครัฐ หากแต่มักจะเป็น การพัฒนาในเชิงเศรษฐกิจของคนในชุมชนนี้เสียมากกว่า ทั้งนี้อาจเป็นเพราะ ภายใต้สังคมทุนนิยมนั้น “เงิน” ยังคงเป็นปัจจัยที่แสนสาคัญในระดับต้นๆ ของ การใช้ชีวิและเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่สิ่งที่เป็นหลักฐานอันแสดงออกถึงความเจริญ และความสุขของคนในสังคมเมืองปัจจุบันเช่นกัน

9. ร้อยเรียงเคียงเรื่องราว : บ้านฝั่งห้วยที่เราเห็นกับชุมชนที่เป็นอยู่ “บ้านฝั่งห้วยที่เราเห็นกับชุมชนที่เป็นอยู่” เป็นภาพสะท้อนการพัฒนา ในมิติต่างๆ ที่เกิดจากการพัฒนาโดยหน่วยงานต่างๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งส่งผลให้บ้านฝั่งห้วยเกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จนกลายเป็นบ้านฝั่ง ห้วยอย่างที่เห็นในปัจจุบันและผลของการพัฒนาบ้านฝั่งห้วย สามารถจาแนก เป็น 5 ประเด็น ได้แ ก่ กายภาพ เศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง ประเพณี วัฒนธรรมและความเชื่อ 9.1. กายภาพ บ้านฝั่งห้วย เป็นบริเวณที่มีความอุดมสมบูรณ์ อยู่มาก ซึ่งเห็นได้จาก การมีลาห้วยขนาดใหญ่และกลายเป็นชื่อเรียก แต่พื้นที่ทั้ งหมดของฝั่งห้วยนั้น มี อาณาบริเวณค่อนข้างกว้างขวางและมีระดับความสูงต่าไม่เท่ากัน พื้นที่บริเวณ ริมทางรถไฟจะมีระดับพื้นดินอยู่ต่ากว่า พื้นดินบริเวณพะเนินพระและนาสวรรค์


142

ซึ่ ง หากไม่ มี ป ริ ม าณน้ าที่ ม ากพอ น้ าก็ จ ะไม่ ส ามารถไหลไปยั ง บริ เวณพื้ น ที่ ดังกล่าวได้เลย ส่งผลให้การเกษตรในบริเวณนั้น สามารถทาได้อย่างจากัด แต่ ห ลั ง จากที่ มี ร ะบบชลประทาน น้ าสามารถเข้ า ถึ ง ทุ ก พื้ น ที่ ด้ ว ย ปริมาณเท่ากันๆ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่สูงหรือต่า ต่างก็สามารถได้รับน้าในปริมาณที่ เพียงพอต่อความต้องการได้ ซึ่งในสมั ยก่อนนั้นลาห้วย เป็นแหล่งน้าเพียงแห่ง เดียว ที่ชาวบ้านอาศัยใช้ทั้งอุปโภคและบริโภค แต่เมื่อมีระบบชลประทานเข้ามา เพื่อช่วยเรื่องน้าทางการเกษตร ทาให้น้าในบริเวณห้วยธรรมชาติ สามารถนาไป ผลิตเป็นน้าประปาเพื่อบริโภคมาจนถึงในปัจจุบัน อีกทั้งลาห้วยใจปัจจุบันนี้ ยัง ได้รับการลอกและขยายลาห้วยให้กว้างขึ้น เพื่อให้สอดรับกับการเพิ่มขึ้นของ ประชากรอีกด้วย พื้นที่ของบ้านฝั่งห้วย มีระดับความสูง -ต่าไม่เท่ากัน ทาให้เกิดปัญ หา การขาดแคลนน้ า เพื่ อ ใช้ ใ นการอุ ป โภคและบริ โภค ซึ่ ง หลั ง จากที่ มี ร ะบบ ชลประทานเข้ามา ก็สามารถแกแก้ปัญญาในจุดของการต้องพัฒนาอีกมากมาย ของการพัฒนาอย่างระบบชลประทานี้ สามารถแก้ปัญหาเรื่องพื้นที่ ที่มีความ สูง-ต่าไม่เท่ากัน 9.2. เศรษฐกิจ ในด้ า นเศรษฐกิ จ ของพื้ น ที่ ฝั่ ง ห้ ว ยแต่ เดิ ม มี พื้ น ฐานอยู่ บ นการท า เกษตรกรรมไม่ว่าจะเป็นการทานา ทาไร่ และการเลี้ยงสัตว์ ผสานไปกับอาชีพ อื่น ๆ ที่เกิดจากทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ในพื้นที่อย่างการสานเข่ง การเผาถ่าน การเกษตรกรรมของชุมชนได้รับการพัฒนาอยู่เรื่อยมา ทั้งด้านชลประทานและ สาธารณูปโภคตามที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น และการคมนาคมที่เจริญมากขึ้นก็ ทาให้ชุมชนนี้กลายเป็นศูนย์กลางแห่งพื้นที่เศรษฐกิจที่สาคัญของพื้นที่รอบ ๆ ดังเช่นการเป็นที่ก่อตั้งของสหกรณ์เครดิตยูเนียนหนองจอก สหกรณ์ที่ใหญ่และมี เงินหมุนเวียนมากเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศไทย


143

ท้ายที่สุดแม้ว่าพัฒนาการจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร รากฐานการดารง ชีพของชาวบ้านฝั่งห้วยในอดีตก็ยังคงดารงอยู่บนการประกอบอาชีพดังที่พบเห็น ในปัจจุบัน 9.3. การเมืองการปกครอง การปกครองของบ้ านฝั่งห้ วย สามารถแบ่งได้เป็ น 2 ลักษณะ ได้แก่ เป็ น ทางการ คื อ การปกครองจากส่ ว นกลาง และไม่ เป็ น ทางการ คื อ การ ปกครองที่ ไม่ ได้ ม าจากส่ ว นกลาง ซึ่ ง ทั้ ง 2 ลั ก ษณะนี้ มี ข้ อ ดี ที่ แ ตกต่ า งกั น ดังต่อไปนี้ การปกครองอย่างเป็นทางการ มีส่วนอย่างมากต่อการพัฒนาและการ เปลี่ยนแปลงในมิติต่างๆ กล่าวคือ เมื่อหนองจอกกลายเป็นเขตสุขาภิบาล ระบบ สาธารณูปโภคพื้นฐานต่า งๆ เช่น ถนน ประปา ท่อระบายน้า เป็นต้น ก็เข้าสู่ ชุมชนบ้านฝั่งห้วย ทาให้เกิดการพัฒนาไปยังด้านอื่นๆด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือระบบชลประทาน อันส่งผลอย่างมากต่อการขยายตัวของเขตเกษตรกรรม จากที่เคยปลูกพืชแบบไม่สามารถคาดคะเนผลที่จะได้รับได้ อีกทั้งต้องรอน้าฝน เพียงอย่างเดียวนั้น ก็สามารถปลูกพืชได้ตลอดทั้งปี ซึ่งทาให้ชาวบ้านขยายพื้นที่ ทางการเกษตรให้ใหญ่ขึ้น เพื่อให้ได้ผลผลิตมากขึ้น สาหรับการปกครองแบบไม่เป็นทางการนั้น เป็นการจะอาศัยเครือญาติ ความเคารพนับถือ มากกว่าใช้การเลือกตั้งอย่างเป็นทางการแบบในปัจจุบัน แต่ เมื่อภาครัฐได้เข้ามาจัดการกับชุมชนมากขึ้น รูปแบบการปกครอง จึงเปลี่ยนเป็น แบบทางการมากขึ้น มีขั้นตอน มีการเลือกตั้งอย่างจริงจัง แต่ทั้ งนี้ ทั้ งนั้น การปกครองในรูป แบบไม่เป็ นทางการนั้น ก็ยังคงอยู่ การใช้เครือญาติแ ละการเคารพนับ ถือเพื่ อเลือกผู้นานั้น ยังเป็นปัจจัยสาคัญ ปัจจัยหนึ่งสาหรับการเลือก แม้ว่าจะมีการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการแล้วก็ตาม


144

9.4. เครือญาติ ชาวบ้ า นที่ อ าศั ย อยู่ บ นพื้ น ที่ บ้ า นฝั่ ง ห้ ว ยพบว่ า ส่ ว นใหญ่ มี ก ารตั้ ง บ้านเรือนกันเป็นกลุ่มๆ โดยมักจะเป็นเครือญาติเดียวกัน ซึ่งมีทั้งคนในท้องถิ่น แต่เดิมและคนจากภายนอกที่ ย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานในภายหลัง รวมถึงมีการ แต่งงานกันระหว่างคนท้องถิ่นกับคนภายนอก เกิดการขยับขยายของแต่ละวงศ์ ตระกูลและสืบเชื้อสายกันต่อมาจนปัจจุบัน ด้วยความเจริญของเมืองที่มากขึ้น เรื่อยๆ ส่งผลให้ประชากรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้ส่วนมากอยู่ในวัย 40-90 ปี และ อยู่อาศัยกันในลักษณะของครอบครัวขยาย 9.5. ประเพณีวัฒนธรรมและความเชื่อ ในปัจจุบันรูปแบบประเพณีวัฒนธรรมและความเชื่อ ได้เปลี่ยนแปลงไป มาก เนื่องจากวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป จากเดิมที่เคยดารงชีวิตแบบเกษตรกรรม ซึ่ง วิถีเกษตรกรรมนี้ ก็มักจะประกอบไปด้วยความเชื่อมากมายเกี่ยวกับสิ่งเหนือ ธรรมชาติหรือการถือฤกษ์ยาม ยกตัวอย่างเช่น การแรกไถ่ แรกเกี่ยว การลงแขก เป็นต้น และเมื่อวิถีชีวิตของคนที่นี้เปลี่ยนไป ประเพณีความเชื่อเหล่านี้จึงค่อยๆ เลือนหายตามไปด้วย ส าหรับ ประเพณี ชี วิต พื้ น ฐานอย่ าง การเกิ ด บวช แต่ งงานและตาย ก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน กล่าวคือ สมัยก่อนการเกิดต้องอาศัยหมอตาแย ก็จะมี การผู ก ข้ อ มื อ เพื่ อ รั บ ขวั ญ แม่ แ ละเด็ ก แต่ ใ นปั จ จุ บั น เด็ ก ส่ ว นใหญ่ เกิ ด ที่ โรงพยาบาลแล้ว พิธีกรรมเหล่านี้จึงหายไป ส่วนประเพณีอื่นๆ อย่างการบวช แต่งงานและการตาย ก็ยังคงกระทากันอย่างปกติ แต่จะไม่เคร่งครัดเหมือนใน อดีต มักจะขึ้นอยู่กับฤกษ์สะดวกและความเหมาะสมมากกว่า แม้ว่าความเชื่อแบบดั้งเดิมนั้นจะค่อยๆ เลือนหายไป แต่ความเชื่อใน ปัจจุบัน กลับมีความหลากหลายมากกว่า ทั้งพุทธ ผี และจีน เพื่อตอบสนอง ความต้องการทางจิตใจของกลุ่มคนที่มีความหลาหลายมากกว่าในอดีต ไม่ว่าจะ


145

เป็น งานปีผีมด ศาลปึงเถ่ากง หรือ ร่างทรงพ่อเตี่ย ต่างก็มีส่วนช่วยบรรเทาทุกข์ ทางจิตใจของคนในหมู่บ้านและมีอิทธิพลต่อคนในชุมชนบ้านฝั่งห้วยมาจนถึง ปัจจุบัน ซึ่งทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้ เปรียบเสมือนชิ้นส่วนต่างของชุมชน ที่หาก น ามาประกอบรวมกั น แล้ ว จะกลายเป็ น ชุ ม ชนบ้ านฝั่ งห้ ว ย ที่ เราเห็ น อยู่ ใน ปัจจุบัน ที่เราอาจจะไม่สามารถเข้าใจได้เลยหากการศึกษา “อดีต” เสียก่อน ดั ง นั้ น หากเราท าความเข้ า ใจในการเปลี่ ย นแปลงและน าการเปลี่ ย นแปลง เหล่านั้น มาใช้เป็นเครื่องมือมองปัจจุบัน เสมือนการนาเรื่องราวต่างๆ มา “ร้อย เรียง” ต่อกัน จากนั้นก็นาเรื่องราวในอดีตมา “เทียบเคียง” สิ่งที่เราได้ คือความ เข้ าใจทั้ งในอดี ต และปั จ จุ บั น อย่ างที่ ได้ รวบรวมและร้อ ยเรีย งจนกลายเป็ น “ร้อยเรียงเคียง ฝั่งห้วย”


146

รายการอ้างอิง เอกสารทางราชการ เทศบาลตาบลหนองจอก. (มปป). "บ้านฝั่งห้วย หมู่ที่ 5 ตาบลหนองจอก อาเภอ ท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี." เอกสารอัดสาเนา. สื่ออิเลกทรอนิกส์ สุนันทา เจริญปัญญายิ่ง. (มปป). รถไฟสายใต้. เข้าถึงเมือ่ 15 มีนาคม 2559. เข้าถึงได้จาก http://www.tri.chula.ac.th/triresearch/ south/south.html สานักงานจังหวัดเพชรบุรี. (2557). แผนพัฒนาจังหวัดเพชรบุรี (พ.ศ.25572560) ฉบับทบทวน. เข้าถึงเมื่อ 4 กรกฎาคม 2559. เข้าถึงได้จาก http://www.phetchaburi.go.th/phet2/CODE/files/142294666 0_plan57_60.pdf การสัมภาษณ์ กนก บัวศิริ. (2559). สัมภาษณ์, 31 พฤษภาคม กิติ ดิษฐ์วงศ์. (2559). สัมภาษณ์, 29 พฤษภาคม จุ๋ม เผือกผ่อง. (2559). สัมภาษณ์, 29 พฤษภาคม ดวงใจ เปรียญทองคา. (2559). สัมภาษณ์, 31 พฤษภาคม เทียม กลั่นจุ้ย. (2559). สัมภาษณ์, 29 พฤษภาคม ประจวบ ภูมมิ. (2559). สัมภาษณ์, 30 พฤษภาคม ประชา จันทวงศ์. (2559). สัมภาษณ์, 30 พฤษภาคม ประชา นามทิพย์. (2559). สัมภาษณ์, 31 พฤษภาคม


147

ปราณี ปิน่ คง. (2559). สัมภาษณ์, 31 พฤษภาคม ปรี เปรียญทองคา. (2559). สัมภาษณ์, 28 พฤษภาคม เพ็ญศรี กัลยาณสิทธิ์. (2559). สัมภาษณ์, 28 พฤษภาคม พร้อม สุปรีรัชชกร. (2559). สัมภาษณ์, 30 พฤษภาคม พลอย ศรีวิจิตร. (2559). สัมภาษณ์, 30 พฤษภาคม ไพโรจน์ จันทร์เหมือน. (2559). สัมภาษณ์, 30 พฤษภาคม ภลดา โง้วกาญจนนาค. (2559). สัมภาษณ์, 28 พฤษภาคม เย็นฤดี โคทอง. (2559). สัมภาษณ์, 31 พฤษภาคม แย้ม เปรียญทองคา. (2559). สัมภาษณ์, 30 พฤษภาคม เยื่อ ดิษฐ์วงศ์. (2559). สัมภาษณ์, 29 พฤษภาคม ยวง ภูมิสวัสดิ. (2559). สัมภาษณ์, 29 พฤษภาคม รวิวัลย์ สุปรีรัชชกร. (2559). สัมภาษณ์, 30 พฤษภาคม วิเชียร รักษาราษฎร์. (2559). สัมภาษณ์, 29 พฤษภาคม แวะ สุปรีรัชชกร. (2559). สัมภาษณ์, 30 พฤษภาคม สมานย์ แสงศิลา. (2559). สัมภาษณ์, 29 พฤษภาคม สายันห์ เปรียญทองคา. (2559). สัมภาษณ์, 28 พฤษภาคม สิทธิกร แย้มดี. (2559). สัมภาษณ์, 29 พฤษภาคม สุวิทย์ เปียผ่อง. (2559). สัมภาษณ์, 1 มิถุนายน สงเคราะห์ กัลยาณสิทธิ์. (2559). สัมภาษณ์, 29 พฤษภาคม สนธยา จันทร์เหมือน. (2559). สัมภาษณ์, 29 พฤษภาคม อุบล แก้วสะอาด. (2559). สัมภาษณ์, 30 พฤษภาคม อารักษ์ สิรินธราพรรณ. (2559). สัมภาษณ์, 30 พฤษภาคม


148


149

ความเชื่อบนวิถีความเปลี่ยนแปลง : งานบุญศาลและงานปีผีมด ณ บ้านหนองเกตุ หมู่ที่ 4 ตาบลหนองจอก อาเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี

โดย กฤตกรณ์ อมรานนท์ ชัยภัทร นิม่ สกุล ชุติพร อินทรวสุ บวรวิชญ์ ศรีมาศ พิมพ์ชนก เลิศทวีพรกุล รัชดาภรณ์ เหมจินดา วาศินี กลิน่ สมเชื้อ วีรยา เอื้อเกษม


150

บทคัดย่อ หมู่บ้านหนองเกตุเป็นหมู่บ้านที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับพิธีกรรมและความ เชื่ อ จากค าบอกเล่ า ของชาวบ้ า นและตั ว แทนองค์ ก รท้ อ งถิ่ น เมื่ อ กล่ า วถึ ง ประเพณีและพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อเรื่องผีแล้ว ชื่อของหมู่บ้านหนอง เกตุมักจะถูกพู ดถึ งอยู่เสมอ ในอดีตเมื่ อมี พิ ธีกรรมและงานบุ ญ ประจาปี ของ หมู่ บ้านครั้งใด ผู้ คนจากหมู่ บ้ านรอบข้างมั กเดิน ทางมาร่วมงาน หรือ มาชม มหรสพกันอย่างคับคั่ง ความโดดเด่นในด้านความเชื่อของหมู่บ้านหนองเกตุได้ ดาเนินเรื่อยมา คือ งานบุญกลางบ้านและงานปีผีมด หากแต่ในปัจจุบันมีการ เปลี่ยนแปลงในรูปแบบของการผสมผสานของความเชื่อดั้งเดิมและความเชื่อใน สมั ย ใหม่ ทั้ งในตั วรู ป แบบพิ ธี ก รรมและองค์ ป ระกอบต่ างๆ ในพิ ธีก รรมด้ ว ย เหตุ ผ ลทางสภาพแวดล้ อ ม เศรษฐกิ จ ครอบครั ว และวิ ถี ก ารด ารงชี วิ ต ที่ เปลี่ยนแปลงไป ด้ ว ยเหตุ นี้ ค ณะผู้ ศึ ก ษาจึ งเกิ ด ความสนใจศึ ก ษาประเพณี พิ ธี ก รรม ความเชื่อของบ้านหนองเกตุ โดยขอยกสองพิธีกรรมที่โดดเด่นของหมู่บ้านหนอง เกตุขึ้นมาศึกษาดังที่กล่าวไว้ข้ างต้น คือ งานบุญกลางบ้านและงานปีผีมด ด้วย เหตุผลที่ว่าทั้งสองพิธีกรรมนี้ชาวชุมชนบ้านหนองเกตุยังคงให้ความสาคัญ โดย ยังคงประกอบพิธีกรรมและยังศรัทธาและยึดถือความเชื่อทั้งสองนี้อย่างเหนียว แน่นจนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ไม่อาจสามารถละเลยพิธีกรรมทั้งสองได้เพราะ วิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นหรือแย่ลงนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับทั้งสองพิธีกรรมนี้โดย สิ้นเชิง


151

1. ข้อมูลทั่วไปของหมู่บ้านหนองเกตุ 1.1. ลักษณะทางกายภาพ บ้านหนองเกตุ ตั้งอยู่หมู่ที่ 4 ตาบลหนองจอก อาเภอท่ายาง จังหวัด เพชรบุรี ห่างจากตัวอาเภอท่ายางไปทางทิศตะวันออก 15 กิโลเมตร ลักษณะ พื้นที่ส่วนใหญ่ เป็นพื้นที่ ราบลุ่มเหมาะแก่การทาเกษตรกรรมและเลี้ยงสัตว์ มี พื้นที่ทั้งหมดจานวน 1,505 ไร่ มีคลองชลประทานจากเขื่อนแก่งกระจานไหล ผ่านหมู่บ้านใช้สาหรับทาการเกษตรและอุปโภค มีอาณาเขตติดต่อ ดังนี้ ทิศเหนือ ติดต่อกับหมู่ที่ 6 บ้านตลาด ตาบลหนองจอก อาเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี ทิศใต้ ติดต่อกับ ตาบลหนองศาลา อาเภอชะอา จังหวัดเพชรบุรี ทิศตะวันออก ติดต่อกับหมู่ที่ 8 บ้านห้วยทบ ตาบลหนองจอก อาเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี ทิศตะวันตก ติดต่อกับหมู่ที่ 3 บ้านหนองบัว ตาบลหนองจอก อาเภอ ท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี


152

ภาพที่ 3.1 แผนที่แสดงตาแหน่งจังหวัดเพชรบุรี และแผนที่แสดงตาแหน่ง อาเภอท่ายาง (ที่มา http://www.thaiwest.su.ac.th/)


153

ภาพที่ 3.2 แผนที่แสดงตาแหน่งอาเภอท่ายาง (ที่มา http://www.thaiwest.su.ac.th/)

ภาพที่ 3.3 แผนที่แสดงหมู่บา้ นใกล้เคียงของบ้านหนองเกตุ (ที่มา: Google)


ภาพที่ 4 แผนที่เดินดินบ้านหนองเกตุ หมู่ที่ 3.4 ตาบลหนองจอก อาเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี ภาพโดย วาศินี กลิ่นสมเชื้อ

154


155

1.2. แผนที่เดินดิน จากภาพแผนที่ เดิน ดิ น อัน เป็ น ผลมาจากการลงพื้ น ที่ สารวจหมู่ บ้ าน และสัมภาษณ์เส้นทางจากชาวบ้าน ทาให้ทราบถึงภาพรวมสถานที่สาคัญๆ และ ขอบเขตโดยรอบของหมู่ที่ 4 ดังที่ ปรากฏในแผนที่ดังกล่าวข้างต้นตามความ เข้าใจของชาวบ้านสามารถแบ่งพื้นที่ภายในหมู่บ้านออกเป็น 5 ส่วนใหญ่ๆ ตาม หมายเลขที่ปรากฏบนแผนที่ โดยมีชื่อเรียกท้องถิ่น ดังนี้ หมายเลขหนึ่ง เรียกว่า “หัวบ้าน” มีอาณาบริเวณครอบคลุมทั้งสองฝั่ง ถนน ภายในพื้นที่มีสถานที่สาคัญ คือ ศาลหัวบ้าน (ศาลประจาหมู่บ้าน) และ บ้านของนายนิมนต์ใหญ่ ผู้มีหน้าที่สาคัญในการประกอบพิธี กรรมงานปีผีมด ซึ่ง จะกล่าวถึงในเนื้อหาส่วนต่อไป หมายเลขสอง เรี ย กว่ า “ดอนเชิ ง หวาย” มี อ าณาบริ เวณเป็ น กลุ่ ม บ้านเรือนทางถัดจากหัวบ้านไปทางซ้ายมือ หมายเลขสาม เรียกว่า “กอกลาง” มีอาณาบริเวณพื้นที่ติดกับคลอง ชลประทานฝั่ งตรงข้ามหั วบ้ าน ภายในพื้ น ที่ มี สถานที่ ส าคั ญ คือ ศาลกลางหมู่บ้าน (ศาลประจาหมู่บ้าน) ซึ่งสันนิษ ฐานว่าเป็นศาลประจาหมู่บ้านดั้งเดิมที่ แรกของหมู่บ้าน และหนองน้าบริเวณด้านหลังศาลกลางบ้านและคอกวัวที่แต่ เดิมเคยปรากฏหนองน้าขนาดใหญ่ อันเป็นที่มาของชื่อบ้านหนองเกตุ หมายเลขสี่ เรียกว่า “ในบ้าน” มีอาณาบริเวณถัดจากกอกลางขึ้นไป บริเวณบ้านของผู้ใหญ่บ้าน หมายเลขห้า เรียกว่า “ต้นถนน” มีอาณาบริเวณเป็นกลุ่มบ้านเรือน ทางฝั่งขวาของในบ้านไล่ขึ้นจนถึงปากทางเข้าหมู่บ้าน กล่าวโดยสรุปบ้านหนองเกตุ เป็นหมู่บ้านหนึ่งที่มีลักษณะทางกายภาพ เป็นพื้นที่ราบลุ่มเกือบทั้งหมดและมีสภาพดินเป็นดินร่วนมีความอุดมสมบูรณ์ ทาให้พื้นที่ในหมู่บ้านเหมาะแก่การทาเกษตรกรรม ใช้ทานา ทาไร่ ทาสวนผลไม้ เช่น ชมพู่ มะม่วง กล้วย เป็นต้น และเลี้ยงวัวเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังมีคลอง


156

ชลประทานไหลผ่ าน ซึ่ งเป็ น แหล่ งน้ าส าคั ญ ส าหรับ อุ ป โภคและบริโภคของ ชาวบ้าน โดยพื้นที่ในหมู่บ้านแบ่งออกได้เป็น 5 ส่วน ในแต่ละส่วนจะมีชื่อเรียกที่ รู้กันในหมู่ชาวบ้าน ได้แก่ หัวบ้าน มีสถานที่สาคัญ คือ ศาลหัวบ้าน, ดอนเชิง หวาย, กอกลาง มีสถานที่สาคัญ คือ ศาลกลางหมู่บ้าน, ในบ้าน และต้นถนน 1.3. ประชากร ประชากรของบ้านหนองเกตุมีทั้งหมด 649 คน แบ่งเป็น ชาย 311 คน หญิง 338 คน รวมเป็นจานวนครัวเรือนทั้งหมด 177 หลังคาเรือน (องค์การ บริหารส่วนตาบล, 2557) 1.4. ระบบเครือญาติ และการจัดการทางสังคม ลักษณะครอบครัวของบ้านหนองเกตุมีลักษณะเป็นครองครัวขยายใน อดีตจะแต่งงานข้ามสายตระกูล ไปมาภายในหมู่บ้ าน ไม่นิ ยมแต่งงานกับ คน ภายนอก เนื่องจากในอดีตการคมนาคมยากลาบากและใช้การเดินเท้าเป็นหลัก เมื่อแต่งงานแล้วฝ่ายชายจะนิยมย้ายเข้ามาอาศัยกับฝ่ายหญิง โดยจะตั้งเรือนใน พื้ น ที่ ใกล้ เคี ยงกั บ พ่ อ และแม่ ของฝ่ ายหญิ ง และได้ รับ ส่ วนแบ่ งมรดกที่ ดิ น ใน จานวนที่เท่าๆ กัน ด้วยเหตุนี้ทาให้กลุ่มคนในหมู่บ้านเป็นญาติกันทั้งหมด โดย สายตระกูลดั้งเดิมของหมู่บ้านมีทั้งหมด 8 นามสกุล คือ ชลภาพ, อินทะนิล, มิ่ง แม้น, จ๋องาม, สุขสวัสดิ์, เกิดทอง, งามขา และเหรียญทอง อย่ างไรก็ ต ามผล จากการสั ม ภาษณ์ นายทิ พ ย์ เกตุ แ ก้ ว อายุ 75 ปี พบว่าในอดีตมีกลุ่มคนจีนที่เข้ามาเป็นแรงงานสร้างทางรถไฟ ได้เข้ามาแต่งงาน กับชาวบ้านหนองเกตุเช่นกัน โดยคนจีนที่เข้ามาส่วนใหญ่ประกอบอาชีพค้าขาย อาทิเช่น น้ามันก๊าด ไตจุดไฟ เป็นต้น จากนั้นจะอพยพออกไปตั้งร้านในตัวตาบล หนองจอก ทาให้ในปัจจุบันคนจีนไม่หลงเหลืออยู่ภายในหมู่บ้านอีกต่อไปมีเพียง


157

1–2 บ้านเท่านั้นที่สามารถสืบสายตระกูลขึ้นไปแล้วพบว่าบรรพบุรุษ ของตน เคยเป็นคนจีนมาก่อน (ทิพย์ เกตุแก้ว, 2559: สัมภาษณ์) ปัจจุบันคนรุ่นใหม่ของหมู่บ้านมักแต่งงานกับคนต่างถิ่น ทั้งกับหมู่บ้าน อื่นๆ ใกล้เคียงและต่างจังหวัด เนื่องจากการคมนาคมที่ส ะดวกสบายมากขึ้น เกิดการติดต่อปฏิสัมพันธ์และออกไปทางานกับกลุ่มคนภายนอกมากยิ่งขึ้น ด้วย เหตุนี้ทาให้ชาวบ้านมีอาชีพที่หลากหลายมากตามไปด้วย ซึ่งต่างจากเดิม ที่มี เพียงการทานา ทาไร่และใช้คนจากครัวเรือน หรือเครือญาติเป็นแรงงานในภาค การเกษตรเปลี่ยนไปเป็นแรงงานจากการว่าจ้างแทน ทาให้ความสัมพันธ์ของคน ในหมู่บ้านไม่แน่นเฟ้นเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป สาหรับ การควบคุ ม หรือการจัดการทางสั งคมในอดีต มีอ ยู่ด้ วยกั น 2 ลักษณะ คือ หนึ่ง ผู้นาตามธรรมชาติ หมายถึงผู้ที่ได้รับการยอมรับจากคนทั้ง หมู่บ้านว่ามีความสามารถและเป็นที่เคารพนับถือแก่คนหมู่มาก ซึ่งโดยส่วนใหญ่ มักจะอิงอยู่กับความสัมพันธ์ทางระบบเครือญาติเป็นหลัก สอง เสือ หรือกลุ่ม โจรผู้ มี อิ ท ธิ พ ลในหมู่ บ้ า นในแง่ ข องผู้ ดู แ ลรั ก ษาชาวบ้ า นจากกลุ่ ม เสื อ อื่ น ๆ ภายนอก มิให้เข้ามาทาอันตรายใดๆ ภายในหมู่บ้านได้ เนื่องจากเสือมีลักษณะ เป็นกลุ่มเครือข่ายพันธมิตรกลุ่มใหญ่คอยคานอานาจระหว่างกัน ไม่ให้ก ลุ่มอื่นๆ เข้ ามามี อิ ท ธิ พ ลเหนื อ ตนและน าทรั พ ยากรที่ ได้ จ ากภายนอกเข้ า มาจุ น เจื อ หมู่บ้าน ซึ่งถือเป็นลักษณะการปกครองโดยนัยอีกรูปแบบหนึ่ง ปั จ จุ บั น หมู่ บ้ า นได้ เปลี่ ย นเข้ า สู่ ก ารปกครองของรั ฐ ลั ก ษณะการ ปกครองแบบเสือเริ่มเลือนหายไปหลังจากความเจริญ และหน่วยงานของรัฐเข้า มาสอดส่องดูแล ซึ่งจากการสัมภาษณ์พบว่าเสือคนสุดท้ายของหมู่บ้าน คือ เสือ วัน ส่วนผู้นาของหมู่บ้านจะถูกเลือกตามกระบวนการของภาครัฐ มีผู้ใหญ่บ้าน เป็นผู้นาภายใต้การดูแลขององค์การบริการส่วนตาบล (อบต.)


158

จากข้อมูลพบว่าบ้านหนองเกตุมีผู้ใหญ่บ้านมาทั้งสิ้น 6 คน ดังนี้ 1) นาย ทองดี อินทะนิล 2) นาย อวบ ชลภาพ 3) นาย ชื่น งามขา 4) นาย อ่อน ชลภาพ 5) นาย เสิน ชลภาพ 6) นาย จิระภัทร อินทะนิล (ผู้ใหญ่บ้านคนปัจจุบัน) อย่างไรก็ตามแม้ว่าผู้นาจะไม่ใช่ผู้นาตามธรรมชาติดังเช่นอดีตอีกต่อไป แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าผู้นาภายใต้การปกครองของรัฐ ยังคงมีความสัมพันธ์ กับ ระบบเครือญาติ และผูกขาดอยู่กับกลุ่มคนในสายตระกูลดังเดิมตั้งแต่ครั้งก่อตั้ง หมู่บ้านดังเห็นได้จากนามสกุลของผู้ใหญ่บ้านตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ล้วนเป็น สายตระกูลดั้งเดิมของหมู่บ้าน นอกจากนี้ ภายในหมู่บ้านลักษณะความสัมพั นธ์ ทางระบบเครือ ญาติ ไม่ เพี ย งปรากฏในกลุ่ ม ผู้ น าการปกครองเท่ านั้ น ยั งพบ ลักษณะความสัมพันธ์ของกลุ่มผู้นาและกลุ่มผู้ประกอบพิธีกรรมทางความเชื่ออีก ด้วย ซึ่งจะกล่าวถึงเป็นข้อสังเกตในลาดับถัดไป 1.5. ประวัติความเป็นมาของหมู่บ้าน บ้านหนองเกตุ หมู่ที่ 4 เดิมทีเชื่อว่าเป็นพื้นที่ที่น้าทะเลสามารถท่วมถึง โดยสันนิษฐานจากต้นชะครามที่ ขึ้นอยู่ภายในหมู่บ้าน เนื่องจากต้นชะคราม เป็นพืชที่พบได้ทั่วไปตามชายฝั่งทะเลที่มีน้าเค็มขึ้นถึง ดังนั้นต้นชะครามจึงถือ เป็นดัชนีชี้วัดความเค็มของดินได้ และด้วยสภาพดินเช่นนี้ทาให้การทาเกษตรกร ในพื้นที่หมู่บ้านเป็นไปอย่างยากลาบาก นอกจากนี้ตามคาบอกเล่าของ นายจิระ ภัทร อินทะนิล ผู้ใหญ่บ้านคนปัจจุบันเล่าว่า ในอดีตภายในหมู่บ้านมีหนองน้า ขนาดใหญ่และในละแวกหมู่บ้านมีต้นเกตุอยู่เป็นจานวนมาก ชาวบ้านจึงพากัน


159

เรียกชื่อละแวกหมู่บ้านนี้ว่า บ้านหนองต้นเกตุ ต่อมาได้ลดทอนลงเหลือเพียง “หนองเกตุ” จนปัจจุบัน (จิระภัทร อินทะนิล, 2559: สัมภาษณ์) สาหรับกลุ่มคนกลุ่มแรกๆ ที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานไม่สามารถระบุได้อย่าง แน่ชัดว่าเป็นกลุ่มคนกลุ่มใดหรือสายตระกูลใดมาก่อน มีเพียงความทรงจา ที่เล่า ต่อกันมาเท่านั้นว่ากลุ่มคนที่ อาศัยอยู่เดิมเป็นกลุ่มคนที่อยู่มาก่อนแล้ว ไม่ได้ อพยพหรือขยับขยายพื้นที่การตั้งถิ่ นฐานมาจากบ้านหนองจอก หรือพื้นที่อื่น ตามคาบอกเล่าของนายทิพย์ อินทะนิล อายุ 75 ปี ผู้อาวุโสของหมู่บ้านว่า แต่ เดิมในพื้นที่หมู่บ้านหนองเกตุมีกลุ่มคนอาศัยอยู่ก่อนแล้วพร้อมๆ กับหมู่บ้าน อื่นๆ รอบข้าง มีการตั้งบ้านเรือนหรือที่พักอาศัยกันเป็นคุ้มๆ ไปและจะแต่งงาน กันข้ามคุ้มไปมาภายในหมู่บ้ านจนขยายพื้นที่การตั้งบ้านเรือนและเพิ่มจานวน ประชากรมากขึ้นเรื่อยๆ ดังเช่นปั จจุบัน (ทิพย์ อินทะนิล, 2559: สัมภาษณ์ ) นอกจากนี้แม้ว่าในอดีตชาวบ้านจะนิยมแต่งงานกันภายในหมู่บ้านเท่านั้น แต่ก็ ยังมีการติดต่อ ปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มคนอื่นๆ ใกล้เคียงอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ราวปี พ.ศ. 2454 ที่มีการสร้างเส้นทางรถไฟสายใต้ผ่านหมู่บ้าน การเข้ามาของทางรถไฟได้นาพากลุ่มชนชาวจีน ซึ่งรับจ้างเป็นแรงงาน สร้างทางรถไฟเข้ามาแต่งงาน ตั้งถิ่นฐาน และค้าขายอยู่ภายในหมู่บ้านอีกด้วย สาหรับหมู่บ้านหนองเกตุแม้ว่าทางรถไฟผ่านหมู่บ้าน แต่ความเจริญยังคงเข้ามา ไม่ถึงมากนัก เนื่องจากสถานีรถไฟมิได้ตั้งอยู่ภายในหมู่บ้านหนองเกตุ หากตั้งอยู่ บริเวณหมู่บ้านหนองจอก การเดินทางจึงยังคงยากลาบาก ใช้การเทียมเกวียน โดยใช้วัวลากจูงและใช้การเดินเท้าเลียบทางรถไฟขึ้นไปค้าขายหรือแลกเปลี่ยน สิ น ค้ า จากผลผลิ ต ทางการเกษตรแทน ต่ อ มาเมื่ อ ปี พ.ศ. 2509 เขื่ อ นแก่ ง กระจานเปิดใช้งานเป็นครั้งแรก ทาให้เกิดคลองชลประทานขึ้นในช่วงหลังจากปี พ.ศ. ดังกล่าว (พ.ศ. 2510 เป็นต้นไป) เข้ามายังหมู่บ้าน ส่งผลให้ชาวบ้านใช้น้า จากคลองชลประทานทาการเกษตรได้มากขึ้น เกิดการขยายพื้นที่ทางการเกษตร และจานวนประชากรเพิ่มขึ้นเพื่อใช้เป็นแรงงาน


160

ภาพที่ 3.5 ภาพบรรยากาศภายในหมู่บ้าน ภาพถ่ายโดย วีรยา เอื้อเกษม เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2559 นอกจากนี้ผู้ใหญ่บ้านคนแรกของหมู่บ้าน หรือนายทองดี อินทะนิล ยัง ได้นาพาชาวบ้านในหมู่บ้านมาร่วมขุดบ่อประปา ซึ่งผันมาจาก คลองชลประทาน อีกที ห นึ่ ง สาหรับ ใช้ในครัวเรือนเป็ น ครั้งแรกบริเวณด้านหลังศาลกลางบ้ าน เนื่องจากน้าบาดาลกร่อย (เค็ม) จนไม่สามารถนาไปใช้ได้ หลังจากนั้นถนนลูกรัง จึงเริ่มเข้ามาภายหลัง ราวปี พ.ศ. 2519 และไฟฟ้าในภายหลังระหว่างปี พ.ศ. 2524 – พ.ศ. 2525 โดยมีผู้ใหญ่ชื่น ชลภาพ (คนที่ 3) เป็นผู้นาเข้ามา ก่อนที่ ระบบการปกครององค์กรบริหารส่วนตาบล (อบต.) จะเข้ามาพัฒนาหมู่บ้านเมื่อ พ.ศ. 2539 โดยในบ้านหนองเกตุนี้มี อบต. จานวน 3 คน


161

กล่ าวโดยสรุป ภายในพื้ น ที่ บ้ านหนองเกตุ เดิ ม เป็ น พื้ น ที่ ที่ มี ก ลุ่ ม คน อาศัยอยู่ก่อนเพียงหนึ่งถึงสองตระกูล จากนั้นเกิดการแต่งงานกันภายในกลุ่ม เนื่องจากการติดต่อคมนาคมกับภายนอกไม่สะดวกมากนัก ด้วยเหตุนี้ทาให้เกิด การขยับขยายการตั้งถิ่นฐานออกไป ต่อมาเมื่อหมู่บ้านได้พัฒนาสาธารณูปโภค ต่างๆ จากภาครัฐ ส่งผลให้เกิดการแต่งงานกับกลุ่มคนภายนอกมากขึ้น รวมทั้ง การโยกย้ายเข้าออกของกลุ่มคนที่มากขึ้น ซึ่งส่งผลรวมไปถึงระบบเศรษฐกิจ ประเพณีความเชื่อ และการดารงชีวิตที่เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน 1.6. เศรษฐกิจ และวิถีการผลิต สั งคมในหมู่ บ้ านหนองเกตุ เป็ น สั งคมแบบเกษตรกรรม วิถี ชี วิต ของ ชาวบ้านตั้งแต่อดีตจึงเป็นวิถีชีวิตแบบเกษตรกรรมเป็นหลัก แม้ว่าแต่เดิมการ เพาะปลูกข้าวจะมีพื้นที่จากัด ด้วยปัจ จัยทางกายภาพที่ไม่เอื้ ออานวยมากนัก โดยผลผลิตที่ได้นามาใช้ในครัวเรือนร่วมกับแหล่งอาหารจากป่าตามฤดูกาล อาทิ พืชผัก เห็ด และสัตว์ป่า เป็นต้น และการเลี้ยงวัวสาหรับใช้เป็นพาหนะในการ เดินทางเพื่อแลกเปลี่ยนสินค้าและใช้เป็นแรงงานในการเกษตร ต่างกับปัจจุบันที่ มีเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีการผลิตจากระบบครัวเรือนมาเป็น ระบบอุตสาหกรรม เกิ ดการเปลี่ยนแปลงทางต้นทุน แรงงานและระยะเวลาซึ่ง ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อวิถีชีวิตของชาวบ้าน เป็นการผลิตเพื่อจาหน่าย แทนการผลิตเพื่อใช้ภายในครัวเรือนอีกต่อไป อย่างไรก็ตามพัฒนาการทางเศรษฐกิจ และวิถีการผลิตของบ้านหนอง เกตุที่เกิดขึ้นอย่างเป็นพลวัตตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการ พัฒนาจากภาครัฐที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง ส่งผลกระทบไปยังระบบเศรษฐกิจ ของหมู่ บ้ านอย่ างมี นั ยยะส าคั ญ ต่อ ระบบความเชื่อและพิ ธีก รรมภายในของ ชุมชน โดยสามารถสรุปอย่างกว้างๆ ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเป็นยุคสมัยได้ ดังนี้


162

1.6.1. เศรษฐกิจยุคพึ่งพาตัวเองก่อน พ.ศ. 2510 ในยุคนี้ วิถีการผลิต และระบบเศรษฐกิจของชาวบ้ านเป็ นแบบพึ่ งพา ตนเอง มีแหล่งอาหารมาจากพื้นที่ป่ารอบหมู่บ้านเป็นหลัก โดยชาวบ้านเน้นหา ของป่าและล่าสัตว์นามาบริโภคในครัวเรือนก่อน และนาบางส่วนไปแลกเปลี่ยน หรือขายให้กับหมู่บ้านอื่นบริเวณใกล้เคียง โดยมีสินค้าสาคัญ คือ ไม้สะแกที่มีอยู่ เป็ น จ านวนมากในพื้ น ที่ น าไปเผาเป็ น ถ่ า นและของป่ า อาทิ เช่ น มั น ขี้ น ก, หน่อไม้, มะขวิด, สัตว์ป่า (เก้ง, กวาง, อีเห็น, กระต่าย) นาไปแลกเปลี่ยนกับ สิ นค้ าประเภทอื่น ๆ เช่น กะปิ เกลื อ น้ าปลา และอาหารทะเล เป็ น ต้น โดย เดินทางเท้าตามทางรถไฟไปยังชุมชนอื่นๆ นอกจากนี้ชาวบ้านยังสามารถเพาะปลุกข้าวได้ในบางพื้นที่เป็นส่วน น้อยเท่านั้น เน้นผลผลิตเพื่อใช้ในครัวเรือนและหมู่บ้านเท่านั้น สาหรับการทานา จะเป็นนาดา ทา 1 ครั้ง ต่อ 1 ปี (นาปี) โดยจะทาในช่วงเดือน 8, 9 เพราะต้อง อาศัยน้าฝน ส่วนแรงงานจะอาศัยแรงงานคนจากกลุ่มเครือญาติเป็นส่วนหนึ่งใน กระบวนการผลิตและแรงงานสัตว์ คือ วัว โดยใช้วัวเทียมคันไถ 2 ตัวในการไถ นาและใช้วัวในการนวดข้ าวเมื่อเก็บเกี่ยว ทาให้มีการเลี้ยงวัวลาน (วัวไทย) มา แต่เดิม ส่วนพื้นที่การทานามีอยู่จานวนจากัด เนื่องจากสภาพพื้นดินเป็นดินเค็ม ไม่เหมาะแก่การเพาะปลู ก พื้ น ที่ ที่ ส ามารถปลุ กพื ชได้จึงมีเพี ยงที่ ดิน ดอนน้ า สามารถท่วมถึงเท่านั้น ประกอบกับการทานาที่ต้องรอฝนเพียงอย่า งเดียว ทา ให้ผลผลิตที่ได้มีจานวนไม่มากนัก 1.6.2. เศรษฐกิจยุคเกษตรกรรม พ.ศ. 2510 – พ.ศ. 2530 ในระยะนี้มีสองปัจจัยที่ก่อให้เกิดวามเปลี่ยนแปลงในวิถีการผลิตของ ชาวบ้าน ปัจจัยแรก คือ การทาถนนลูกรัง ทาให้การคมนาคมเข้า-ออกหมู่บ้าน เป็นไปง่ายขึ้น ก่อให้เกิดการติดต่อค้าขายกับนอกหมู่บ้านมากขึ้น ประกอบกับ ปัจจัยถัดมา คือ การเปิดใช้คลองชลประทานที่ผันน้ามาจาก เขื่อนแก่งกระจาน


163

ทาให้ชาวบ้านสามารถใช้น้าจากคลองชลประทานในการทานานอกฤดูการทานา หรือในหน้าแล้งได้ ต่างจากเดิมที่สามารถทานาได้เพียงครั้งเดียวต่อปี (นาปี) เนื่ อ งจากต้ อ งรอน้ าฝนเท่ า นั้ น เมื่ อ “น้ า” อั น เป็ น ปั จ จั ย หลั ก ในการท า การเกษตรมีให้ใช้ตลอดทั้งปี ชาวบ้านจึงถากถางป่าเพื่อขยายพื้นที่ในการทา การเกษตรเพิ่มมากขึ้น ทาให้มีการเลี้ยงวัวสาหรับใช้ไถนาเพิ่มขึ้นตามไปด้วย จากสองปัจจัยข้างต้นทาให้ผลผลิตมีมากขึ้นสอดคล้ องกับความสะดวก ในการขายผลผลิตออกนอกหมู่บ้าน ทาให้ในยุคนี้เริ่มมีการทานาเพื่อค้าขายแต่ ยังคงเน้นผลิตเพื่อ บริโภคในครัวเรือนเป็นหลักเพราะกระบวนการผลิตยังคง อาศัยแรงงานคนและสัตว์ การเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตรมีการลงแขกโดย อาศัยแรงจากคนในครอบครัวหรือคนในหมู่บ้าน ส่วนผลผลิตที่ได้นอกจากนาไป บริโภคภายในครัวเรือนแล้ว จะมีพ่อค้าคนกลางจากภายในหมู่บ้านและ จาก ภายนอกหมู่บ้าน โดยส่วนมากมาจากอาเภอเมืองเพชรบุรีเข้ามารับซื้อข้าวจาก ชาวบ้าน ซึ่งพ่อค้าคนกลางจะเป็นคนนาข้าวเปลือกไปที่บ้านนายกหนองศาลาซึ่ง เป็นโรงสีโดยเป็นการขายขาด นอกจากนี้ในแง่ของที่ดินโดยเฉพาะที่นาเริ่มมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเนื่องมาจาก การค้าขายข้าว ทาให้เกิดการถ่ายโอนที่ดินให้เป็นกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลผ่านทาง มรดกต่างจากในอดีตที่แ ต่ละครอบครัวจะใช้ที่นาร่วมกัน การถือครองที่ดินยัง ส่งผลต่อการเลี้ยงวัวเนื่องจากในอดีตฝูงวัวจะเดิ นไปไหนมาไหนก็ได้แต่เมื่อเริ่ม ถือครองที่ ดิน อย่างจริงจังมากขึ้น เจ้าของวัวจะต้องคอยระวังไม่ให้ ฝูงวัวของ ตัวเองไปเหยียบย่าหรือกินผลผลิตบนที่ ดินของผู้อื่น นอกจากการทานาแล้ว ชาวบ้านยังสามารถหาแหล่งอาหารเพิ่มเติมได้จากสัตว์น้าจากแหล่งน้าในพื้นที่ นาและในคลองชลประทานอีกด้วย โดยมีการจับปลาและสัตว์น้าอื่นๆ เช่น หอย ปู เป็นต้น


164

1.6.3. เศรษฐกิจยุคเพื่อขาย พ.ศ. 2530 – ปัจจุบัน ความเปลี่ยนแปลงในวิถีการผลิตในระยะนี้เกิดจากการนารถไถเข้ามา ใช้ เนื่องจากก่อนหน้านี้มีการทาถนนลูกรังทาให้การเดินทางและการติดต่อจาก ภายนอกเข้ามาภายในหมู่บ้านได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ประกอบกับมีการเพิ่มขึ้น ของการปลูกข้าวสอดคล้องกับความต้องการของตลาดจากภายนอกหมู่บ้าน ทา ให้มีการนารถไถเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มผลผลิต อาชีพหลักของชาวบ้าน ในยุคนี้คือ การทานาเหมือนในยุคก่อน แต่ต่างกันตรงที่เน้นไปที่การขายมากกว่าการเก็บไว้ บริโภคเอง สิ่งหนึ่งที่เข้ามา คือ เครื่องจักรจาพวกรถไถและรถเกี่ยวข้าว ทาให้เกิด การเปลี่ยนแปลงของแรงงานในระบบการผลิตขึ้น จากเดิมที่ใช้แรงงานคนและ สั ต ว์ (วัว) เปลี่ ย นแปลงไปการผลิ ต แบบระบบอุ ต สาหกรรมแทน มี ก ารจ้ าง แรงงานสาหรับไถนา โดยนิยมจ้างคนจากบ้านหนองบัว มารับจ้างไถและเกี่ยว ข้าวให้ในราคาจ้างไถ 350 บาทต่อ 1 ไร่ หากคนที่จ้างสามารถจ่ายเป็นเงินสดได้ จะจ่ายเพียง 300 บาท หากไม่สามารถจ่ายค่าแรง ณ ตอนนั้นก็จะคิดดอกเบี้ย เพิ่ ม อี ก 50 บาท และจ้างเกี่ย ว 530 บาทต่ อ 1 ไร่ (อ าไพ เพชรงาม, 2559: สัมภาษณ์) ด้วยรูปแบบการทานาที่เน้นผลผลิตมากยิ่งขึ้นทาให้การทานา เปลี่ยน จากการท านาด าเป็ น การท านาแบบนาหว่านและมี ก ารใช้ ส ารเคมี เพื่ อ เพิ่ ม ผลผลิตตามความต้องการของตลาด เมื่อเป็นเช่นนี้ต้นทุนค่าใช้จ่ายในการทานา หนึ่งแปลงจึงเพิ่มขึ้น จากเดิมที่ใช้เพียงแรงงานคนและสัตว์ ต้องหันมาจ้างรถไถ และเสียค่าสารเคมีซึ่งเป็นสิ่งที่จาเป็นในการเพาะปลูก เนื่องจากข้าวที่ปลูกโดย การหว่านนั้นไม่แข็งแรงเท่ าข้าวที่ ปลูกโดยการดา เมื่อข้าวไม่แข็งแรงจึงต้อง อาศัยสารเคมีช่วยในการเจริญเติบโต นอกจากนี้การใช้รถไถเตรียมดินยังก่อให้เกิดการแพร่กระจายของหอย เชอรี่ที่เป็นศัตรูพืช ทาให้ต้องใช้สารเคมีในการกาจัดศัตรูพืชควบคู่กันไปด้วย


165

และผลจากการใช้สารเคมีทาให้เกิดการปะปนสารเคมีในแหล่งน้าโดยเฉพาะ คลองชลประทานส่งผลให้ปลาและสัตว์น้าต่างๆ ที่เคยเป็นอาหาร ของชาวบ้าน เริ่มหมดไปจากคลองและสารเคมียังซึมลงในชั้นดินทาให้สภาพความเป็นกรดด่างของดินเปลี่ยนไปเพาะปลูกได้ยากขึ้นจึงต้องใช้สารเคมีมากขึ้นในแต่ละปี ในช่วงปี พ.ศ. 2554 รัฐบาลในขณะนั้นมีนโยบายจานาข้าวโดยให้ราคา สู งถึ ง เกวี ย นละ 15,000 บาท ท าให้ ช าวบ้ า นพากั น กู้ ยื ม เงิน มาลงทุ น ท านา ในช่วงเวลาดังกล่าวจึงเกิดการขยายพื้นที่ทานาขึ้นอีกระลอก แต่ต่อมาในช่วง รัฐบาลปัจจุบันราคาข้าวได้ลดลงจากเกวียนละ 15,000 บาท เหลือเกวียนละ 8,000-9,000 บาท ทาให้ชาวนาบางส่วนที่กู้ยืมเงินมาทานาขาดทุนเพราะต้นทุน ในการทานายังคงราคาสูง ทาให้บางบ้านทานาได้ไม่คุ้มเสียจึงมีชาวบ้านบางส่วน ขายที่นาแล้วหันมาเช่านาเพื่อปลูกข้าว โดยเจ้าของที่จะคิดค่าเช่าเป็นเงินหรือ ผลผลิต 1 ส่วน จากทั้งหมด 3 ส่วนต่อหนึ่งแปลง โดยส่วนมากเมื่อขายที่นาไปแล้วชาวบ้านมักจะมีความเป็นอยู่ทีลาบาก เพราะเงินที่ได้จากการขายนาส่วนหนึ่งต้องนาไปส่งเสียลูกหลานให้ ได้เรียนสูงๆ ตามค่านิยมสมัยใหม่และอีกส่วนต้องนาไปลงทุนทานา ประกอบกับในระยะหลัง มานี้มีปัญหาภัยแล้ง ทาให้เขื่อนแก่งกระจานปล่อยน้าสาหรับทานาแค่ปีละ 1 ครั้ง ชาวบ้านจึงต้องประกอบอาชี พเสริมในช่วงเวลาที่ทานาไม่ได้ อาทิ ปลูก พื ช ผั ก สวนครั วเช่ น แตงกวา แตงโม มะเขื อ เทศ ค้ า ขาย รับ จ้ า งทั่ ว ไป เช่ น รับจ้างเก็บผัก รับจ้างถางที่ร กร้าง รับจ้างพัฒนาพื้นที่ตามแนวการดาเนินงาน ของผู้ใหญ่ บ้าน รับจ้างเฝ้ าบ้าน เป็นต้น หรือบางรายก็หันไปประกอบอาชีพ ใหม่ๆ เนื่องจากสามารถเดินทางออกไปหาโอกาสและสถานภาพที่ดีขึ้นได้ อาทิ เป็นข้าราชการ หรือบางรายก็หนั มาค้าขายเป็นหลัก ดั่งเช่น นางเจือ จ๋องาม อายุ 66 ปี ที่หันมาขายแกงถุงกว่า 20 ปี เนื่องจากในระยะหลังการเข้ามาของถนนชาวบ้าน ไม่นิยมทาอาหารที่ บ้านเพราะวัตถุดิบจากนอกหมู่บ้าน อาทิ เนื้อหมู เนื้อไก่


166

หรืออาหารทะเล สามารถหาซื้อได้ง่ายขึ้นแต่ก็มีราคาสูงเช่นกัน แกงถุงจึงเป็น ทางเลือกที่ประหยัดทั้งเวลาและราคาไม่แพง สอดคล้องกับวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป ทาให้บางบ้านไม่มีเวลาทาอาหารเหมือนสมัยที่ทานาเป็นอาชีพหลักเพราะเมื่อ บางส่วนหันมารับจ้างก็จะต้องเลิกงานเป็นเวลา นอกจากนี้ราคาข้าวที่ตกต่าทาให้ เกษตรกรบางส่วนหันมาเลี้ยงโคพันธุ์ Bramont ซึ่ งเป็ น โคเนื้ อ พั น ธ์ ต่ า งประเทศเพื่ อ หารายได้ ท ดแทนรายได้ จ าก การค้าข้าวที่ลดลง แต่กระนั้นราคาโคเนื้อเองก็ถูกกดราคาโดยพ่อค้าคนกลาง ที่มารับซื้อโคจากคนในหมู่บ้านเช่นกัน จากที่กล่าวไปข้างต้นในเรื่องของระบบวิถีการผลิตและเศรษฐกิจจะเห็น ได้ว่ารูปแบบวิถีการผลิตนั้นมีความเปลี่ยนแปลง รวมถึงมีการติดต่อค้าขายและมี การสร้างความสัมพันธ์กับคนภายนอกหมู่บ้านมากขึ้น ทาให้วิถีการผลิตและ ความสาคัญในการผลิตมีบทบาทที่แตกต่างไปจากเดิม ซึ่งส่งผลต่อระบบความ เชื่อ ในส่วนของพิธีกรรมบางอย่างที่มีการปรับเปลี่ยนตามสภาพแวดล้อมและ ระบบเศรษฐกิจ เช่น องค์ประกอบในพิธีกรรมและการดาเนินพิธี กรรม ซึ่งใน รายละเอียดดังกล่าวจะขอกล่าวในลาดับถัดไป 1.7. ศาสนาและความเชื่อ สาหรับชาวบ้านบ้านหนองเกตุนับถือพุทธศาสนาควบคู่กับไปการนับถือ ผี หรืออานาจเหนือธรรมชาติ อันเป็นความเชื่อพื้นฐานดั้งเดิมของหมู่บ้าน โดยมี วัดเป็นศูนย์กลางทางความเชื่อพุทธศาสนา และศาลประจาหมู่บ้านทั้ง 2 แห่ง เป็นศูนย์กลางทางความเชื่อผี แต่อย่างไรก็ตามความเชื่อทั้งสองอย่างมักจะผสม ปนเปกันไปในการประกอบพิธีกรรมอย่างไม่อาจแยกขาดออกจากกันได้อย่าง ชัดเจนนัก


167

1.7.1. ความเชื่อเรื่องผี ความเชื่อเกี่ยวกับผี หรืออานาจเหนือธรรมชาติจาพวกภูตผีที่สิงสถิต อยู่ในธรรมชาติทั้งหลายเป็นความเชื่อดั้งเดิมของหมู่บ้าน เช่นเดียวกับคนไทยใน พื้นที่อื่นๆ ทั่วไป โดยส่วนใหญ่จะเป็นผีที่มีความเกี่ยวข้องกับการเกษตรกรรม เนื่องจากในอดีตชาวบ้านทาการเกษตรกันทุกครัวเรือน ทาให้ต้องพึ่งพาอานาจ เหนือธรรมชาติในการดาเนิ นชีวิต โดยเชื่อว่าตามป่ า เขา หรือลาน้ ามั กจะมี วิญญาณสิงสถิต ซึ่งมีทั้งผีดแี ละผีร้าย ดังนี้ ผีดี หรือวิญญาณที่ให้คุณแก่ชาวบ้าน เป็นผีที่มีหน้าที่ปกป้อง คุ้มครอง ดูแลสถานที่ที่สิงสถิตอยู่และดลบันดาลให้เกิดความอุดมบูรณ์ นาความสงบสุข มาสู่ชุมชนหรือผู้ที่ปฏิบัติตนดีงามในสังคม อาทิเช่น ผีอารักษ์ ผีเจ้านาย ผีบรรพ บุรุษ เป็นต้น สาหรับบ้านหนองเกตุกลุ่มผีดีที่ได้รับการนับถือและเป็นศูนย์กลาง ทางความเชื่อแก่หมู่บ้าน คือ เหล่าผีเจ้านายที่สิงสถิตอยู่ในศาลประจาหมู่บ้าน ทั้ง 2 แห่ง มีหน้าที่คอยปกปักรักษา ดูแลหมู่บ้านและช่วยแก้ปัญหาชีวิตแก่คน ในหมู่บ้านผ่านการบนบาน, องค์เจ้าพ่อ ผีเรือนที่ปรากฏภายในพิธีกรรมงานปีผี มดและผีที่เข้าประทับทรงช่วยในการรักษา อาการเจ็บป่วยอย่างไม่ทราบสาเหตุ ของชาวบ้าน เช่น หมอชาวบ้านที่ผสมผสานระหว่างแพทย์แผนไทยกับความเชื่อ ไสยศาสตร์ ประทั บ ทรงแล้ ว นวดรั ก ษาอาการปวดเมื่ อ ย ปั จ จุ บั น ก็ ยั ง มี อ ยู่ เพียงแต่ลดน้อยลง เป็นต้น ผีร้าย เป็นวิญญาณที่ชาวบ้านเชื่อว่าสามารถก่อให้เกิดเภทภัยแก่ผู้คนได้ อาทิเช่น ความเชื่อเกี่ยวกับผีตะกละ มีรูปร่างไม่ต่างไปจากคนทั่วไป แต่ชอบกิน อุจจาระหรือของเสีย, ผีกระสือ มีรูปร่างเป็นผีผู้หญิงแก่ที่ล่องลอยไปพร้อมกับ หัวและไส้และอวัยวะส่วนอื่น เช่น หัวใจ, ปอด และเรืองแสงได้เรืองๆ ชอบกิน ของสดคาว มักจะออกหากินในเวลากลางคืน ซึ่งโดยส่วนใหญ่ชาวบ้านเชื่อว่าผี กระสือจะออกมาเมื่อมีหญิงพึ่งคลอดในหมู่บ้าน เนื่องจากกลิ่นคาวเลือดจากการ คลอดลูกจะล่อให้กระสือออกมา ดังนั้นหญิงพึ่งคลอดลูกจึงต้องเตรียมมีด และ


168

ปักต้นหนามเกี่ยวไก่ไว้บริเวณบ้านเพื่อป้องกันผีกระสือ เพราะเชื่อว่าของแหลม เป็นสิ่งที่ผีกระสือกลัว และผีดุร้ายอื่นๆ เช่น ผีตายโหง ผีตายทั้งกลม เป็นต้น 1.7.2. ความเชื่อเรื่องพุทธศาสนา ความเชื่อทางพุทธศาสนา สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นความเชื่อที่เข้ามา ภายหลั งจากการติ ด ต่ อ กั บ หมู่ บ้ า นอื่ น ๆ ภายนอก โดยเฉพาะในช่ ว งที่ ก าร คมนาคมเข้า-ออกหมู่บ้านสะดวกขึ้น ทาให้มีการเปลี่ยนแปลงของพิธีกรรม เช่น การฝังศพเปลี่ยนจากการฝังในป่าช้าเป็นเผาที่วัด และการคมนาคมที่สะดวกขึ้น นามาซึ่งองค์ความรู้ใหม่ๆ ยามเจ็บไข้ชาวบ้านก็ออกไปหาหมอที่โรงพยาบาล มากขึ้นการรักษาด้วยไสยศาสตร์จึงลดน้อยลง เป็นต้น และมีการทาบุญทุกๆ วัน พระใหญ่ โดยศูนย์กลางอยู่ที่วัดหนองจอกและวัดหนองบัว กล่าวโดยสรุปโลกทัศน์ทางความเชื่อของบ้านหนองเกตุประกอบไปด้วย ความเชื่อเรื่องผี หรือวิญ ญาณ เป็นความเชื่อพื้นฐานดั้งเดิมของหมู่บ้ าน และ ความเชื่ อ เรื่ อ งพุ ท ธศาสนา ที่ เข้ า มาภายหลั งจากการติ ด ต่ อ ปฏิ สั ม พั น ธ์ กั บ ภายนอก ซึ่ งความสัม พั นธ์ของความเชื่อผี และความเชื่อพุ ทธได้ผูกโยงเข้าไว้ ด้วยกันอย่างใกล้ชิดผ่านความศรัทธาร่วมกันของชาวบ้านและให้ความสาคัญใน ตั ว ตนของความเชื่ อ ทั้ ง สองอย่ า งเข้ า ใจ ผ่ า นการแสดงออกในรู ป แบบของ ประเพณีและพิธีกรรมในรอบปี 1.8. ประเพณี และพิธีกรรมในรอบปี ประเพณีและพิธีกรรมในรอบปีของชาวบ้านบ้านหนองเกตุเป็นกิจกรรม ที่สัมพันธ์กับความเชื่อที่ผนวกเอาความเชื่อทางพุทธศาสนาและการนับถือผีเข้า ไว้ด้วยกัน โดยชาวบ้านจะเริ่มต้นพิธีกรรมในรอบปีจากการนับช่ วงเวลาของดวง จันทร์ที่โคจรรอบโลก สาหรับประเพณีประจาเดือนที่จัดขึ้นภายในหมู่บ้าน มี ทั้งหมด 5 เดือน ซึ่งประเพณีโดยส่วนใหญ่มักอิงอยู่กับกิจกรรมทางการเกษตร


169

ของชาวบ้าน กล่ าวคือ ชาวบ้านเริ่มต้นท ากิจกรรมการท านาครั้งแรกในช่วง กลางเดือน 6 ไปจนถึงช่วงเก็บเกี่ยวในเดือน 3 ซึ่งในระหว่างเดือนดังกล่าวนี้ พบว่ามีการประกอบพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรทั้งหมด 3 ประเพณี คือ ประเพณีรับท้องข้าวในเดือน 12, สู่ขวัญข้าวในช่วงเดือน 1–2 และ งานสลาก ข้าวเปลือกในเดือน 3–4 จากนั้นเมื่อเข้าสู่เดือน 5 ซึ่งเป็นช่วงเดือนที่เว้นว่างจากการเก็บเกี่ยว ผลผลิต เป็นประเพณีสงกรานต์ และงานบุญศาลประจาหมู่บ้าน (16 เมษายน ของทุกปี) ส่วนเดือน 6 เป็นประเพณีงานปีผีมด นอกจากนั้นจะเป็นประเพณีที่ เกี่ยวข้องกับวันสาคัญทางศาสนาพุทธทั่วไปเช่นเดียวกับในชนบทของไทย อาทิ เช่น วันวิสาขบูชา, วันมาฆบูชา, วันเข้าพรรษา และออกพรรษา เป็นต้น อย่างไรก็ตามประเพณีดังกล่าวข้างต้นได้มีการเปลี่ยนแปลงในแง่ของ รูป แบบที่ ล ดทอนลงและระยะเวลาที่ เพิ่ ม ขึ้ น ด้ วยเช่ น กั น อาทิ งานปี ผี ม ดที่ ปัจจุบันสามารถจัดเพิ่มขึ้นได้ในเดือน 4, 7 และ8 เป็นต้น สาหรับประเพณีทั้ง 5 เดือนของหมู่บ้านหนองเกตุมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 1.8.1. เดือน 1-2 สู่ขวัญข้าว ในเดือนหนึ่งและสองจะมีการสู่ขวัญข้าว เพราะเป็นช่วงเดือนที่เริ่มเก็บ เกี่ยวข้าว ชาวบ้านจะนาข้าวมาที่ลานนวดข้าวและตีฟาดข้าวนวดข้าว โดยก่อน หน้าจะมีพิธีสู่ขวัญข้าว ถือเป็นการเรียกขวัญพระแม่โพสพที่ตกหล่นตามท้องนา หลังจากเก็บเกี่ยว พร้อมกับเก็บข้าวขึ้นในยุ้งฉาง 1.8.2. เดือน 3 - 4 งานสลากข้าวเปลือก งานสลากข้าวเปลือกจัดขึ้นโดยชาวบ้านที่ร่วมกันบริจาคข้าวเปลือกของ ตน โดยนามากองรวมกันไว้บริเวณลานวัด เนื่องจากชาวบ้านว่างจากการ ทานา จึงเป็นการพบปะของชาวบ้านและถือเป็นการร่วมใจทาบุญถวายทานไปพร้อม


170

กัน ถือ เป็ น กุศ โลบายประเพณี ที่ ให้ โอกาสวัด จากการน าข้ าวเปลือ กที่ ได้รับ บริจาคจากชาวบ้านไปขายต่อ เพื่อนาเงินที่ได้มาเป็นค่าใช้จ่ายและทานุบารุงวัด 1.8.3. เดือน 5 ประเพณีสงกรานต์ และงานบุญศาลประจาหมู่บ้าน งานบุญสงกรานต์ หรือประเพณีสงกรานต์ เป็นวันเฉลิมฉลองเนื่องใน วันขึ้นปีใหม่ของไทย โดยภายในหมู่บ้านเริ่มต้นประเพณีสงกรานต์ในวันที่ 13 เมษายน พิธีกรรมในวันนั้นเป็นการรดน้าดาหัวผู้อาวุโสภายในหมู่บ้าน และปิด ท้ายด้วยวันที่ 16 เมษายน หรือตามที่ชาวบ้านเรียกกันว่าวันท้ายกรานต์ซึ่งเป็น วันที่ชาวบ้านทุกคนในหมู่บ้านจะมาร่วมกันจัดเตรียมสถานที่ สารับอาหารคาว หวาน สาหรับทาบุญให้แก่ศาลประจาหมู่บ้านและอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลแก่ ผี บรรพบุ รุ ษ และวิ ญ ญาณองค์ เจ้ า พ่ อ ที่ ค่ อ ยปกปั ก รั ก ษาหมู่ บ้ า น โดยนิ ม นต์ พระสงฆ์ จากวัดบริเวณใกล้ เคี ยง (วัดหนองจอก, วัดหนองบั ว และวัดหนอง ศาลา) สาหรับประกอบพิธีกรรมในช่วงเช้าและจัดงานรื่นเริงในช่วงเย็น 1.8.4. เดือน 6 งานปีผีมด ประเพณีงานปีผีมดเป็นประเพณีที่มีลักษณะเฉพาะในเขตพื้นที่หมู่บ้าน หนองเกตุและบริเวณใกล้เคียงเท่านั้นโดยพิธีกรรมดังกล่าวนี้ ชาวบ้านมีความ เชื่อว่าจะต้องปฏิบัติหรือประกอบพิธีตามสายตระกู ล กล่าวคือหากสายตระกูล ไหนเคยประกอบพิ ธีนี้ม าก่อนลู กหลานจาเป็น ต้องประกอบพิ ธีนี้ตามไปด้วย เพราะเชื่อว่าหากไม่ทาจะก่อให้เกิดการเจ็บป่วยได้ โดยในหนึ่งช่วงชีวิตคนต้อง จัดงานทั้งหมด 3 ครั้ง จึงถือว่าเสร็จสมบูรณ์ ในอดีตเนื่องจากจานวนสมาชิกใน หมู่บ้านมีไม่มากดังเช่นปัจจุบันระยะเวลาในการจัดจึงมีเพียงเดือน 6 เพียงเดือน เดียวเท่านั้น แต่ในปัจจุบันสามารถจัดพิธีกรรมได้ตั้งแต่เดือน 4, 6, 7 และ8 ได้ ทั้งนี้ระยะเวลาในการจัดจะขึ้นอยู่กับความพร้อมทางด้านการเงินของเจ้าภาพ


171

หากมีกาลังทรัพย์เพียงพอก็สามารถจัดงานทั้ง 3 ครั้งภายในปีเดียวได้หรือจะจัด ติดกันทุกๆ ปีก็ได้เช่นกัน 1.8.5. เดือน 12 เที่ยวงานกฐิน รับท้องข้าว เนื่องจากช่วงเดือนสิบสองเป็นฤดูที่ข้าวตั้งท้องทาให้มีการจัดพิธีกรรม รับท้องข้าว โดยมีการตั้งสารับคาวหวานในท้องนา ประกอบด้วยของคาวของ หวาน ของเปรี้ยว จัดใส่ถาดและจุดธูปปักไว้กลางนา โดยชาวบ้านมีความเชื่อว่า การบูชาข้าวจะทาให้ข้าวตั้งท้องอุดมสมบูรณ์เต็มทั่วท้องนา เปรียบเสมือนคน ตั้งครรภ์ที่แพ้ท้องอยากของคาวหวานเปรี้ยว นอกจากนี้ชาวบ้านยังมีเ วลาว่าง จากการทานาจึงมีการจัดงานกฐินเพื่อการพบปะของชาวบ้านและถือเป็นงาน บุญใหญ่ โดยจะจัดขึ้นที่วัดหนองจอกเป็นส่วนใหญ่ กล่าวโดยสรุปประเพณี และพิธีกรรมรอบปีของหมู่บ้านหนองเกตุมัก เป็นเป็นเพณี ที่ มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับปฏิ ทินการทานา ซึ่งถือเป็นอาชีพ ดั้ งเดิ ม พื้ น ฐานของชาวบ้ า น ทั้ งนี้ จึ งท าให้ ป ระเพณี ที่ เกิ ด ขึ้ น ในหมู่ บ้ านๆไม่ ครบถ้วนทั้ง 12 เดือน เนื่องจากช่วงเวลาเดือนที่เหลือได้ซ้อนทับกับกิจกรรม ทางการเกษตรของชาวบ้ านนั้ น เอง นอกจากนี้ ลั ก ษณะของประเพณี และ พิธีกรรมที่ปรากฏยังผสมผสานเอาความเชื่อหลักทั้งสองความเชื่อ คือ พุทธและ ความเชื่อผี ผนวกเข้าไว้ด้วยกันผ่านตัวพิธีกรรมอย่างแยกขาดกันไม่ได้อีกด้วย 1.9. ประเพณีเกี่ยวกับชีวิต ประเพณีเกี่ยวกับชีวิตของชาวบ้านบ้านหนองเกตุมีลักษณะที่คล้ายคลึง กับหมู่บ้านอื่นๆ ทั่วไปในแทบภาคกลาง กล่าวคือ กาหนดชีวิตขั้นสาคัญ ไว้ 4 ครั้ง ได้แก่ เกิดครั้งหนึ่ง บวชครั้งหนึ่ง แต่งงานครั้งหนึ่งและตายครั้งหนึ่ง เมื่อ อายุผ่านมาถึงขั้นนั้นๆ จะต้องประกอบพิธี โดยหวังผลให้เกิดความสวัสดิ์มงคล แก่ชีวิต ดังนี้


172

1.9.1. การเกิด อดี ต กระท าโดยหมอต าแย ซึ่ งแต่ เดิ ม มี ทั้ งหมด 2 คน คื อ มารดา ของนางจาลอง มิ่ นแม้ ง และมารดาของนางป๋ วย คาช่วย ที่ ปัจจุบั นเสียชีวิต ไปแล้วและลูกสาวทั้งสองคนไม่ได้สืบต่อการเป็นหมอตาแยอีก เนื่องจากยุคสมัย ที่เปลี่ยนไป มีโรงพยาบาลและการเดินทางที่สะดวกมากขึ้น สาหรับวิธีการทา คลอดหมอตาแย ขั้นแรกจะคัดท้องให้กับแม่เด็กก่อน จากนั้นเมื่อเด็กออกจาก ครรภ์จึงนาเด็กใส่กระด้ง ค่อยๆ ร่อนโดยหมอตาแยและใช้ใบตาลึงพอกบริเวณ หัวของเด็ก และนาขมิ้นมาทาท้องใช้เป็นสมุนไพรป้องกันหวัดแก่เด็กแรกเกิด ส่วนสายสะดือให้นาใส่หม้อดินแล้วนาไปฝังไว้ใต้บันไดหรือใต้ต้นไม้ เพราะเชื่อว่า จะทาให้เด็กไม่เที่ยวไม่ซน ส่วนแม่ของเด็กจะต้องอยู่ไฟภายในเรือนเป็นเวลา 1 - 2 เดือน เพื่อช่วยให้มดลูกกลับเข้าอูแ่ ละฟืนฟูร่างกายให้แข็งแรงขึ้น จากคาบอกเล่าของนางปาณี พุ่มงาม อายุ 56 ปี เล่าว่าในระหว่างการ อยู่ไฟแม่เด็กห้ามออกไปจากห้องโดยเด็ดขาด หากมีความจาเป็นต้องออกไป ภายนอก เช่ น เข้ า ห้ อ งน้ า จ าต้ อ งถื อ มี ด ติ ด มื อ ไปด้ ว ย (ชนิ ด ไหนก็ ได้ ) เพื่ อ ป้ อ งกั น ผีก ระสือ ที่ ต ามกลิ่ น คาวเลื อ ดมาในช่วงเวลานี้ นอกจากนี้ ก ารปั ก ต้ น หนามเกี่ยวไก่ พืชหนึ่งมีลักษณะเป็นพุ่มเตี้ย ลาต้นมีหนาม ไว้บริเวณรอบบ้าน เนื่องจากชาวบ้านเชื่อว่าจะทาให้สามารถไล่ผีกระสือออกไปได้ ส่วนลักษณะของผีกระสือในเวลาปกติจะอยู่ในร่างของคนทั่วไป แต่เมื่อ ตกกลางคืนจะออกจากร่างมาพร้อมกับลาไส้แล้วหัวใจที่สว่างวาบติดๆดับๆ โดย ภายในหมู่บ้านชาวบ้านจะรู้กันเองว่าใครเป็นผีกระสือและในเวลาปกติจะพูดคุย กันตามปกติไม่ได้เพิกเฉยต่อบุคคลนั้นนั้นเพียงแต่ ไม่พูดถึงหรือบอกเล่าให้คน อื่น ๆ ฟั ง เพราะเชื่อว่าหากพู ดออกไปจะท าให้ ต้องสืบ ทอดเป็น ผีกระสือ คน ต่อไป การรับช่วงต่อการเป็นกระสือ หลักๆ มีอยู่ทั้งหมดสองวิธีด้วยกัน คือหนึ่ง สืบทอดทางสายเลือดและสองสืบตามการเดินผ่าน กล่าวคือ หากผีกระสือตาย


173

แล้ วมี ใครสั ก คนหนึ่ งเดิ น ผ่ านมาจะท าให้ ค นคนนั้ น กายเป็ น ผี ก ระสื อ ไปโดย ปริยาย (ปาณี พุ่มงาม, 2559: สัมภาษณ์) ปั จ จุ บั น การคลอดเปลี่ ย นแปลงไปตามยุ ค สมั ย โดยมี ก ารคลอดที่ โรงพยาบาลโดยแพทย์แ ผนปั จจุบั นมากกว่าการคลอดโดยหมอตาแย ท าให้ ความเชื่อพิธีกรรมเกี่ยวกับการคลอดได้ค่อยๆ ลดหายไป ด้วยความที่ชาวบ้าน คนในชุมชนได้มีการนาเอาหลักความคิดสมัยใหม่ในทางการแพทย์เข้ามา โดยที่ จากเดิมที่ชาวบ้านคนในชุมชนต่างที่จะต้องทาคลอดกับหมอตาแยในสมัยก่อน ซึ่งมีความเสี่ยงสูงในการเสียชีวิตของเด็กทารกและแม่ของเด็ก อีกทั้งเครื่องมือที่ ใช้มีความไม่สะอาดและไม่สะดวกสบายเท่ากับการทาคลอด ที่โรงพยาบาลที่มี หลักการขั้นตอนที่ทาให้การให้กาเนิดเด็กทารกหรือตัวของแม่ของเด็กเองนั้นมี ความปลอดภัยและไม่เป็นอันตรายต่อชีวิตเหมือนกับในสมัยก่อน 1.9.2. การบวช พิธีกรรมเกี่ยวกับการบวชชาวบ้านบ้านหนองเกตุจะเข้าไปบวชเรียนที่ วัดหนองจอกและวัดหนองบัวเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากภายในหมู่บ้านไม่มีวัดทั้ง ในอดี ต และปั จ จุ บั น โดยในช่ ว งก่ อ นบวชหรื อ ในขณะที่ เป็ น นาค (แห่ น าค) จ าเป็ น ต้ อ งไปบอกกล่ าวแก่ ศ าลประจ าหมู่ บ้ านทั้ ง 2 ศาลเสี ย ก่ อ นและต้ อ ง ประกอบพิ ธี ก รรมงานปี ผี ม ดอย่ า งน้ อ ย 1 ครั้ ง ก่ อ น จึ ง จะสามารถบวชได้ เนื่องจากชาวบ้านเชื่อว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีแก่ชีวิตได้ อาทิเช่น เจ็บป่วย เกิดปัญหา ภายในงานบวช เป็นต้น หากไม่จัดงานปีผีมดก่อน แต่อย่างไรก็ตามหากมีความ จาเป็นต้องจัดงานบวชก่อน สามารถไปบอกกล่าวขอขมาแก่องค์เจ้าพ่อ ผ่านร่ าง ทรงเพื่อขอเลื่อนงานออกไปก่อนหรือขอจัดงานปีผีมดในเดือนอื่นๆ ในกรณีที่ ฤกษ์งานบวชอยูน่ อกเหนือจากเดือน 4, 6, 7 และ8 อันเป็นเดือนที่นิยมจัดงานปี ผีมด สาหรับการบวชผู้ชายจะบวชเมื่อมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ โดยการบวชถือ ว่าเป็นการอบรมบ่มนิสัยและทดแทนบุญคุณแก่พ่อแม่


174

1.9.3. การแต่งงาน สาหรับการแต่งงาน ในอดีตส่วนใหญ่ไม่มีการแต่งงานที่เป็นพิธีการมาก นัก เนื่องจากหนุ่มสาวภายในหมู่บ้านหากชอบพอกับใครก็มักจะฉุดข่มขืน หรือ หนีตามกันเสียมากกว่า จากนั้นเมื่อกลับมายังบ้านจึงขอขมาแก่พ่อแม่ ทั้งสอง ฝ่ายและบอกกล่าวแก่ผีบ้านผีเรือน โดยไม่กาหนดว่าจะเป็นบริเวณไหนของบ้าน นอกจากนี้ในกลุ่มคนที่ มีฐานะของหมู่บ้านในอดีตนิย มการคลุ มถุงชน หรือที่ เรียกว่า “ลาม” ส่วนปัจจุบัน ประเพณีการแต่งงานจะถูกจัดขึ้นตามฐานะของคู่ บ่าวสาวนั้นๆ และมีความเชื่อเช่นเดียวกับการบวชว่าจะต้องจัดงานปีผีมดก่อน จึงจัดงานแต่งได้ 1.9.4. การตาย ประเพณี เกี่ ย วกั บ การตาย ชาวบ้ า นนิ ย มตั้ งศพไว้ ภ ายในบ้ า น โดย จานวนวันสวดอภิธรรมศพแล้วแต่ผู้เป็นเจ้าภาพจะกาหนด ในอดีต ชาวบ้านใช้ พื้นที่ของป่าเป็นสถานที่ทาพิธีกรรมแก่ศพ ทั้งเผาศพในกรณีที่ผู้ตายตายดีไม่ผิด ธรรมชาติและฝังในกรณีที่ผู้ตายตายโหงหรือตายไม่ดี สาหรับสาเหตุที่ใช้ป่าช้า เป็นพื้นที่ในการฝังหรือเผาศพ เพราะการเดิน ทางออกไปนอกหมู่บ้านในอดีตมี ความยากลาบากต้องใช้การเดินทางเพียงอย่างเดียวประกอบกับพื้นที่บริเวณ หมู่บ้านโดยรอบเป็นป่าจึงเหมาะมากกว่านาศพไปเผาที่วัด ต่ า งจากปั จ จุ บั น ที่ พื้ น ที่ ป่ า ถู ก ใช้ ง านเป็ น พื้ น ที่ ท างการเกษตรแทน รวมถึงการเดินทางที่สะดวกมากขึ้นการประกอบพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับความ ตายจึงเปลี่ยนไปใช้พื้นที่ของวัน และบางส่วนนิยมเก็บศพไว้ที่วัดนาน 5–7 ปี ก่อนจะนามาเผา ซึ่งในกรณีนี้ชาวบ้านมีความเชื่อเช่นเดียวกับ งานบวชและงาน แต่งที่เจ้าภาพจัดงานจาเป็นต้องจัดงานปีผีมดอย่างน้อย 1 ครั้งจากทั้งหมด 3 ครั้งเสียก่อนจึงสามารถเผาศพที่เก็บไว้ได้


175

จากข้อมูลพื้นฐานที่กล่าวไปแล้วข้างต้นประกอบกับคาบอกเล่าของจาก สายตาคนนอกอย่างกลุ่ม องค์กรบริห ารท้ องถิ่นและชาวบ้ านในหมู่บ้านอื่น ๆ ใกล้เคียงที่มักพูดถึงความโดดเด่นทางความเชื่อของหมู่บ้านหนองเกตุ ในแง่ของ ความเชื่อเรื่องผีที่ยังคงเหนียวแน่น และยังคงดารงอยู่ได้ท่ามกลางกระแสการ เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน แม้กระทั้งพุทธศาสนาที่เข้ามาภายหลังจะเริ่ม เข้ามามีบทบาทภายในชุมชน ทว่าความเชื่อผี อันเป็นความเชื่อดั้งเดิมก็ยังมิได้ หายไปไหน ด้วยเหตุนี้คณะผู้ศึกษาจึงเกิดความสนใจโดยเลือกศึกษาเรื่องศาล ประจาหมู่บ้าน ซึ่งมีฐานะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และศูนย์รวมจิตใจประจาหมู่บ้าน และงานปีผีมดในแง่ของความเชื่อปัจเจกที่ถูกสืบทอดผ่านระบบเครือญาติ


176

แผนภาพที่ 1 วงประเพณี และพิธีกรรมในรอบปี ภาพโดย รัชดาภรณ์ เหมจินดา


177

2. ศาลประจ าหมู่ บ้ า น กั บ งานปี ผี ม ด : ภาพสะท้ อ นความเชื่ อ บ้านหนองเกตุ หากต้องการศึกษาและทาความเข้าใจเกี่ยวกับความเชื่อของหมู่บ้าน หนองเกตุอย่างเป็นรูปธรรมและเห็นถึงโครงสร้างความสัมพันธ์ของผู้คนและวิถี ชีวิตอันเป็นสิ่งที่ทาให้เข้าใจถึงที่มาที่ไปของการเกิดขึ้น การดารงอยู่ และการ เปลี่ยนแปลง ทั้งหมดนี้มิอาจทราบได้หากมองข้ามศาลประจาหมู่บ้านซึ่งถือเป็น ตัวแทนของความศักดิ์สิทธิ์และเป็นหัวใจสาคัญของหมู่บ้าน โดยมีพิธีกรรมอย่าง งานบุญหัวบ้านและงานบุญกลางบ้านเป็นสิ่งที่ตอกย้าให้เห็นถึงความสาคัญ ของ ศาลและงานปีผีมด ประเพณีที่สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อเกี่ยวกับผีที่สัมพันธ์กับ ระบบเครื อ ญาติ แ ละช่ ว งเปลี่ ย นผ่ า นของชี วิ ต ไปได้ ด้ ว ยเหตุ นี้ ศ าลประจ า หมู่บ้านและงานปีผีมดจึงถือเป็นภาพสะท้อนเอกลักษณ์ทางความเชื่อและวิถี ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านบ้านหนองเกตุได้อย่างดี 2.1. ศาลประจาหมูบ่ ้าน มนุษย์ทุกคนเมื่อเกิดความทุกข์ไม่ว่าทางกายหรือทางใจล้วนต้องการที่ พึ่ง เพื่อช่วยให้ผ่านพ้นวิกฤตการณ์ในชีวิตไปได้ ชาวบ้านในหมู่บ้านหนองเกตุก็ เช่น กัน ที่ ต้อ งการแสวงหาสิ่ งศั กดิ์ สิ ท ธิ์ม าช่วยค้ าจุน จิต ใจให้ สามารถต่ อสู้ กั บ อุปสรรคต่อไปได้ เมื่อหลายศรัทธาหลอมรวมกันเป็นกลุ่มก้อน จึงเกิดการสร้าง ศาลประจาหมู่บ้านเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือที่ชาวบ้านเรียกกัน โดยรวมว่า เจ้าพ่ อ เจ้าแม่ ภายในหมู่ บ้ านมี การตั้ งศาลประจาหมู่บ้ านขึ้ น 2 บริเวณด้วยกัน คือ บริเวณลานอเนกประสงค์ของหมู่บ้าน หรือพื้นที่ที่ชาวบ้าน เรียกว่ากอกลาง เรียกว่า “ศาลกลางบ้าน” มีจานวน 7 หลังติดกัน และบริเวณ โค้งมุมสี่แยกในพื้นที่หัวบ้าน เรียกว่า “ศาลหัวบ้าน” มีจานวน 5 หลังในปัจจุบัน


178

จากการลงภาคสนามพบว่าการกาหนดอายุของศาลกลางบ้านและศาล หัวบ้านไม่สามารถระบุอายุการก่อสร้างได้แ น่ชัดนัก ทราบเพี ยงว่าศาลทั้ง 2 บริเวณนี้ ถูก สร้างขึ้น ในเวลาไล่ เลี่ ยกั น ด้ วยน้ าพั กน้ าแรงของชาวบ้ านภายใน ชุมชนเท่านั้น ส่วนที่มาของศาลประจาหมู่บ้านทั้งสองสันนิจฐานว่าเป็นเพราะแต่ เดิ ม พื้ น ที่ โดยรอบหมู่ บ้ านเป็ น ป่ าจานวนมาก เมื่ อ มี ก ารตั้ งบ้ านเรือ นภายใน หมู่บ้านจึงจาต้องถากถางป่าหรือตัดไม้สาหรับขยายพื้นที่และนาไม้มาใช้สาหรับ สร้างบ้านเรือน ทาให้วิญญาณที่เคยอาศัยอยู่ในต้นไม้ไม่มีที่สิงสถิตอยู่ ชาวบ้ าน จึงตั้งศาลขึ้นเพื่อขอขมาและเป็นที่อยู่อาศัยให้แก่วิญญาณเหล่านั้น ต่อมาเมื่อมีคนภายในหมู่บ้านเกิดเจ็บป่วยหรือผลผลิตทางการเกษตรไม่ เป็นไปตามที่คาดหวัง จากเหตุผลทางสภาพดินฟ้าอากาศ ศาลที่เป็นที่อยู่ของ วิญญาณอันเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติจึงแปรเปลี่ยนกลายเป็นที่พึ่งทางจิตใจให้แก่ ชาวบ้านมาบนบาลแก่ศาล ขอให้อาการเจ็บป่วยทุเลาลงหรือผ่านพ้นวิกฤตไปได้ เมื่อสิ่งที่คาดหวังประสบผลสาเร็จจึงสร้างศาลขึ้นเพิ่มเติม ทาให้จานวนของศาล มี เ พิ่ ม มากขึ้ น ในปั จ จุ บั น มี ก ารขอที่ ห ลากหลายขึ้ น ตามสภาพสั ง คมที่ เปลี่ยนแปลงไป เช่น ขอให้ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ขอหวย ขอให้สอบได้ ฯลฯ ตามความต้องการที่แตกต่างกันไปของแต่ละบุคคล เป็นต้น หรือในบางกรณีที่วิญญาณเจ้าพ่อ หรือเจ้าแม่มาเข้าฝันหรือปรากฏตัว ในนิมิตของคนในหมู่บ้านที่มีสัมผัสพิเศษเพื่อขอให้ตั้งศาลให้ หากคนๆ นั้นไม่ ปฏิบัติตามที่เจ้าพ่อเจ้าแม่ขอ พวกเขาจะพบเจอแต่เรื่องวิบัติในชีวิต จึงต้องทา การแก้เคล็ดด้วยการสร้างศาลเป็นที่สถิตให้แก่ เจ้าพ่อ เจ้าแม่ เมื่อตั้งศาลแล้ว อาการเจ็บป่วยของชาวบ้านนั้นกลับดีขึ้น และหายเป็นปกติภายใน 3 วัน 7 วัน ทาให้ชาวบ้านเกิดความศรัทธาและทาต่อๆ กันมา จนมีศาลตั้งอยู่หลายหลังใน ปัจจุบัน (สายัญ จ๋องาม, 2559: สัมภาษณ์)


179

ทั้งนี้การสร้างศาลรวมไปถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สิงสถิตอยู่ทั้งในศาลกลางบ้าน และศาลหัวบ้านนั้นมีความแตกต่างกัน ศาลในแต่ละหลังจะมีชื่อเรียกของศาล โดยเฉพาะ โดยจะเป็นชื่อของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทสี่ ิงสถิตอยู่ในศาลนั้นๆ ดังนี้ 2.1.1. ศาลกลางบ้าน ศาลกลางบ้ านมี ทั้ งหมด 7 หลั ง เหตุ ที่ ต้ อ งสร้า งศาลต่ อ ๆ กั น ไปใน บริเวณเดียวกัน เพราะในอดีตพื้นที่บริเวณนี้จัดเป็นพื้นที่สาธารณะของหมู่บ้านที่ ไม่ว่าชาวบ้านคนใดก็สามารถมาใช้สอยได้ เมื่อมีการสร้างศาลหลังแรกขึ้น (ศาล เจ้าพ่อวิมาน) จึงนาไปสู่การจุดประกายให้ชาวบ้านคนต่อไปที่ต้องการสร้างศาล สามารถมาสร้างต่อกันไปได้ในพื้นที่บริเวณนี้ ปัจจุบันศาลกลางบ้านทั้ง 7 หลัง จึงมีชื่อที่แตกต่างกัน ดังนี้ 1) ศาลเจ้าพ่อยอดวิมาน 2) ศาลพรายแก้ว พรายทอง 3) ศาลเจ้าแม่กามะหยี่ 4) ศาลเจ้าพ่อศรีเพชร 5) ศาลเจ้าพ่อโปงปลา 6) ศาลเจ้าพ่อปู่ดา 7) ศาลนางไม้ ซึ่งกลุ่มศาลกลางบ้านนี้ถูกสร้างขึ้นมาก่อนกลุ่มศาลหัวบ้าน แต่ละศาล ต่างก็มีความหมายและความศักดิ์สิทธิ์เฉพาะด้านที่ไม่เหมือนกัน จากการบอกเล่าของนายจิระภัทร อินทนิล หรือผู้ใหญ่บ้าน ประวัติที่มา แน่ชัดของกลุ่มศาลกลางบ้านนั้นมีเพียง 3 หลังเท่านั้น คือ ศาลเจ้าพ่อยอดวิมาน ศาลเจ้าพ่อโปงปลา และศาลนางไม้ ส่วนศาลอื่นๆ นั้นไม่มีใครรู้ประวัติที่แน่ชัด แม้แต่ผู้เฒ่าผู้แก่ก็ไม่สามารถบอกกล่าวที่มาได้ กล่าวเพียงว่า ตั้งแต่เกิดมาก็เห็น ศาลบางหลังตั้งอยู่ก่อนแล้ว จึงทาให้ไม่มีใครสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับศาลที่


180

เหลือได้ สาหรับที่ม าของการตั้งศาลจากการสัมภาษณ์ ชาวบ้านโดยส่วนใหญ่ สร้างขึ้นเพราะองค์เจ้าพ่อมาเข้าฝันหรือเกิดอาการเจ็บป่วยอย่างไม่ทราบสาเหตุ จึงสร้างศาลถวาย เช่ น เจ็ บ ไข้ ได้ ป่ วยถึ งขนาดล้ ม หมอนนอนเสื่อ กล้ ามเนื้ อ อักเสบ เดินไม่ได้ เป็นต้น (จิระภัทร อินทนิล, 2559: สัมภาษณ์) ศาลเจ้าพ่อยอดวิมาน เป็นศาลหลังแรกที่ตั้งขึ้น ตามคาบอกเล่าของ ชาวบ้านว่า เจ้าพ่อยอดวิมานได้มาเข้าฝันคนในหมู่บ้าน ซึ่งไม่มีข้อมูลมาเข้าฝัน ใคร ต้อ งการให้สร้างศาลเพื่อเป็นที่ อยู่ โดยไม่ มีข้อมูลที่ ชัดเจนว่าใครเป็นคน สร้างกันแน่หรือชาวบ้านพร้อมใจร่วมกันสร้าง ศาลเจ้าพ่อโปงปลา สร้างขึ้นโดยนายเบือน เกิดทอง เนื่องจากภรรยา ของนายเบื อ นเกิ ด ป่ วยหนั กด้ วยอาการที่ ท างแพทย์ในสมั ย นั้ น มิ สามารถหา คาตอบได้และรักษาได้ จึงไปหาร่างทรง (ไม่ทราบชื่อ) เพื่อหาวิธีรักษา ทว่าร่าง ทรงกลับบอกให้ท่านสร้างศาลอุทิศให้เจ้าพ่อองค์นี้ หลังจากที่สร้างศาลเสร็ จไม่ นานภรรยาของตาเบือนก็หายจากอาการป่วยไปโดยปริยายกลับมาเป็นปกติ (เผือน คาช่วย, 2559: สัมภาษณ์) ศาลนางไม้ สร้างขึ้ น โดยนายจิ ระภั ท ร อิ น ทะนิ ล ผู้ ด ารงต าแหน่ ง ผู้ใหญ่ บ้านคนปัจจุบัน สาเหตุที่ สร้างมาจากภรรยาของเขาเผลอเลอนอนทับ ขอนไม้ แต่ไม่สามารถหาข้อมูลได้ว่าเป็นขอนไม้บริเวณไหน เมื่อกลับมาก็เกิ ด อาการเจ็บป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ และสังเกตได้ถึงอาการผิดปกติ จึงไปพบร่าง ทรงซึ่ ง เป็ น คนนอกหมู่ บ้ า นร่ า งทรงบอกให้ ส ร้ า งศาลอุ ทิ ศ ให้ แ ก่ น างไม้ เช่นเดียวกัน ไม่นานภรรยาของเขาก็หายภายเป็นปกติ โดยเงินที่ใช้สร้ างมาจาก ผู้ใหญ่บ้านเองทั้งหมด


181

2.1.2. ศาลหัวบ้าน ศาลหัวบ้านมี ทั้ งหมด 5 หลั ง รูปแบบการสร้างมีลักษณะเหมือนกับ ศาลกลางบ้านทุกประการ คือ สร้างเรียงเป็นแถวติดๆ กันไป ซึ่งพื้นที่ที่ใช้สร้าง เป็นของคนในตระกูลอินทะนิล ศาลแต่ละหลังมีชื่อเรียกที่แตกต่างกัน ดังนี้ 1) ศาลพ่อปู่ทองคา (หลวงพ่อเจ้าบ้าน) 2) ศาลเจ้าแม่สไบทอง 3) ศาลคุณพ่อพลาย แก้ว 4.ศาลคุณพ่อพลายทอง 5.ศาลคุณพ่อยี่สุ่น ประวัติการสร้างศาลหัวบ้านนั้นแรกเริ่มเดิมที่ในหมู่บ้านมีเพียง ศาลคุณ พ่อพลายแก้วและคุณพ่อพลายทอง ซึ่งไม่มีใครทราบถึงประวัติที่มาอย่างแน่ชัด ต่อมาศาลพ่อปู่ทองคา (หลวงพ่อเจ้าบ้าน) ถูกสร้างในปี พ.ศ. 2501 โดยคุณแอ๊ด หรื อ นายสายั ญ จ๋ อ งาม นายนิ ม นต์ ใหญ่ ค นปั จ จุ บั น สาเหตุ เกิ ด จากอาการ เจ็บป่วยที่หาสาเหตุไม่ได้และไม่สามารถลุกขึ้นไปทางานได้ ท่านจึงไปปรึกษาร่าง ทรง เพียงแต่กล่าวถึงวิธีแก้เคล็ดอาการเจ็บป่วยนี้มีเพียงการสร้างศาลอุทิศให้แก่ เจ้าพ่อจึงจะหายจากอาการป่วย ปัจจุบันศาลนี้มีอายุได้ 58 ปี และศาลคุณพ่อ ยี่สุ่นสร้างโดย นางแสน มิ่งแม้น ซึ่งเป็นคนเก่าคนแก่ของหมู่บ้าน สร้างขึ้นเพราะ คุณพ่อยี่สุ่นมาเข้าฝันว่าไม่มีที่อยู่ นางแสนจึงมาสร้างศาลถวาย (สนต์ สุขมาก, 2559: สัมภาษณ์) นอกจากนี้ ศาลหัวบ้านเพิ่งได้รับการปรับปรุงใหม่ โดยเริ่มดาเนินการ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 แล้วเสร็จเมื่อกลางปี พ.ศ. 2558 เนื่องด้วยข้อจากัดทาง งบประมาณ ส่วนศาลกลางบ้านยังอยู่ในช่วงจัดสรรงบเพื่อทาการปรับปรุงใหม่ ในเวลาอันใกล้นี้เช่นกัน


182

ภาพที่ 3.6 ศาลหัวบ้าน ณ หมู่บ้านหนองเกตุ ภาพถ่ายโดย วีรยา เอื้อเกษม เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2559 2.1.3. ลักษณะทางกายภาพของศาลประจาหมู่บา้ นที่มีร่วมกัน ลักษณะของศาลสร้างด้วยไม้ทั้งหลัง ซึ่งใช้ไม้เนื้อแข็งที่หาได้จากชุมชน โดยไม่จากัดว่าเป็ น ไม้ ชนิด ใด มี รูป ทรงเป็ น บ้ านเรือนไทยชั้น เดียว ยกพื้ นสู ง หลังคาเป็นหน้าจั่ว มีปันลม ชายคาลาดยาว มีเสาบ้าน 4 ต้น ที่เสาคู่หน้าของ ทุกศาล จะแปะไว้ด้วยกระดาษเงิน กระดาษทอง และผูกด้วยผ้า 3 สีทับไว้อีก ชั้นหนึ่ง ซึ่งเป็นขั้นตอนการทาตามรูปแบบพิธีการตั้งศาลทั้งหมดของหมู่บ้าน ชายคาศาลเป็นที่แขวนพวงมาลัย โดยใช้พวงมาลัยแบบเดียวกับที่ไหว้พระไหว้ เจ้าทั่วไปมาถวาย บริเวณชานของศาลแต่ละหลังมีกระถางธูปวางไว้ และหน้า ศาลบางหลังก็จะมีตุ๊กตาหรือวัตถุสาหรับสักการบูชา ที่ชารุดหรือเสียหายมาวาง ทิ้งไว้ เช่น พระพุทธรูป เทพเจ้าจีน ฯลฯ


183

2.1.3.1 องค์ประกอบภายในศาลประจาหมู่บ้าน สาหรับองค์ประกอบภายในศาลมีองค์ประกอบหลักๆ ทั้งหมด 7 อย่าง ดังนี้ 1) แจกันดอกไม้ 1 คู่ 2) ตุ๊กตาจาพวกคนสวย-คนงาม ( ชาย-หญิง ), ช้าง, ม้า, นางรา สาหรับ เป็นตัวแทนข้าทาสบริวาร มีจานวนไม่แน่นอน 3) ฉัตรเงิน-ทอง แสดงถึงความสูงศักดิ์และความมีอานาจขององค์เจ้าพ่อ เจ้าแม่ที่สิงสถิตอยู่ภายในศาล มีจานวน 1 คู่ 4) ต้นโพธิ์เงิน-ทอง แสดงถึงความมีอานาจและความสูงศักดิ์เช่นเดียวกับ ฉัตรเงิน-ทอง มีจานวน 1 คู่ 5) บายศรีเงิน-ทอง จานวน 1 คู่ และบายศรีปากชาม จานวน 1 สารับ สาหรับบายศรีปากชามจะมีขนาดใหญ่กว่าบายศรีเงินและทอง ทาจากใบตอง 6) ปลัดขิก 1 ตัว 7) พระขรรค์ 1 เล่ม ทาจากไม้เนื้อแข็ง มีลักษณะคล้ายไม้พายยาว ประมาณ 1 ฟุตครึ่ง ผูกด้วยผ้า 3 สี เชื่อว่าเป็นวัตถุที่เจ้าพ่อเจ้าแม่สิง สถิตอยู่ จะตั้งอยู่ตรงกลางภายในศาล


184

ภาพที่ 3.7 องค์ประกอบภายในศาลหัวบ้าน ณ หมู่บ้านหนองเกตุ ภาพถ่ายโดย วีรยา เอื้อเกษม เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2559 สาหรับลักษณะการจัดวางสิ่งของภายในศาลนั้นคล้ายคลึงกับศาลเจ้า ทั่วๆ ไป คือ แจกันจะวางไว้ข้างหน้าสุด ถัดเข้าไปก็จะเป็นตุ๊กตาบริวาร อาทิ ช้าง ม้า คนสวย คนงาม นางรา วางคละๆ กันไป ถัดเข้าไปอีกก็จะเป็นที่วาง บายศรีปากชามตรงกลาง มีบายศรีเงิน-ทอง ฉัตรเงิน-ทอง และต้นโพธิ์เงิน-ทอง ขนาบข้างเป็นคู่ๆ หากศาลไหนมีปลัดขิกก็จะวางปลัดขิกไว้ตรงกลางข้างหน้า ติดกับบายศรีปากชาม ส่วนบริเวณในสุดของศาลตรงกลางจะเป็นที่ตั้ง ของพระ ขรรค์ นอกจากนี้ศาลบางหลังยังมีตุ๊กตาช้างไม้แกะสลัก วางอยู่บริเวณหน้า ศาลด้วย ซึ่งตุ๊กตาช้างไม้เหล่านี้มาจากผู้ที่ทาการแก้บนในงานปีผีมด เมื่อจบพิธี แต่ละครั้ง คณะนายนิมนต์ก็จะมอบตุ๊กตาช้างไม้เหล่านี้ให้แก่เจ้าภาพไว้ 1 ตัว


185

เสมือนเป็นสักขีพยานว่าได้ผ่านงานพิธีแล้ว เมื่อเจ้าภาพจัดงานพิธีครบ 3 ครั้ง แล้ว ก็จะนาตุ๊กตาช้างไม้เหล่านี้มาวางไว้ที่ศาลนั่นเอง โดยหากผู้ใดแก้บนแล้วยัง จัดงานพิธีไม่ครบ ก็ต้องรอจนกว่าจะจัดครบจึงจะสามารถนามาวางไว้ที่ศาลได้ (สงัด วงศ์ประเสริฐ, 2559: สัมภาษณ์)

ภาพที่ 3.8 ศาลหัวบ้าน ณ หมู่บ้านหนองเกตุ ภาพถ่ายโดย ชุติพร อินทรวสุ เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2559 2.1.4. ประเพณีและพิธีกรรมที่สัมพันธ์กับศาลประจาหมูบ้าน จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่าศาลประจาหมู่บ้านทั้งศาลกลางบ้าน และศาลหัวบ้านนั้นมีความสาคัญต่อชาวบ้านหนองเกตุเป็นอย่างมาก อันเป็นทั้ง ที่ พึ่ งทางใจของปั จ เจกและเป็ น จุด ศู น ย์ รวมจิ ต ใจของชาวบ้ านหนองเกตุ ทุ ก ครัวเรือน ดังนั้นศาลประจาหมู่บ้านทั้งสองแห่งจึงเข้ามามีส่วนสัมพันธ์กับงาน ประเพณีและพิธีกรรมต่างๆ โดยถือว่าเป็นตัวแทนของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ซึ่งการจะจัด งานประเพณี แ ละพิ ธีก รรมนั้ น ต้ อ งให้ ค วามเคารพและให้ เกี ย รติ ศ าลประจ า


186

หมู่บ้านเสมอ ด้วยเหตุนี้เองชาวบ้านมักจะบอกกล่าวศาลหากจะจัดงานพิธีขึ้น เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์รับรู้และเข้ามาเป็นส่ว นหนึ่งของพิธีและชาวบ้านยังจัดพิธีขึ้น เพื่อให้คนในหมู่บ้านให้ความเคารพและระลึกถึงศาลประจาหมู่บ้าน ก่อให้เกิด ความเป็ นสิริมงคลต่อชีวิต นามาสู่การเกิดขึ้น ของประเพณี และพิธีกรรม ซึ่ ง ได้แก่ งานบุญกลางบ้านและงานบุญหัวบ้าน ดังนี้ 2.1.4.1. งานบุญศาลกลางบ้าน งานบุญกลางบ้าน หรือบางครั้งเรียกว่า พิธีส่งวัวส่งเกวียน เป็นพิธีกรรม ท้องถิ่นของจั งหวัดเพชรบุรี ที่ มี การสืบทอดต่อกันมาหลายชั่วอายุ ซึ่ งถือเป็ น ประเพณี ที่เกิดจากความเชื่อว่าหากหมู่บ้านใดที่บรรพบุรุษได้ทาพิธีกรรมนี้ไว้ แล้วคนรุ่นต่อมาไม่สืบทอดต่อจะทาให้หมู่บ้านเกิดภัยพิบัติ โรคร้ายและคนใน ครอบครัวจะเจ็บไข้ แต่ถ้ากระทาเป็นกระจาทุกปี หมู่บ้านก็จะเป็นสิริมงคลอยู่ เย็ น เป็ น สุ ข ท ามาค้ า ขายหรื อ ท ากิ จ การใดๆ ก็ จ ะประสบความส าเร็ จ และ เจริญรุ่งเรือง ทั้งนี้ความเชื่อที่ เป็นหลักของพิธีทาบุญ กลางบ้านนี้ คือการส่งเครื่อง บรรณาการให้แก่บรรพบุรุษ นางไม้ เทพยดาที่ปกปักรักษาหมู่บ้าน โดยจะนา วัวเรือและเกวียน ซึ่งเป็นเครื่องส่งตามพิธีกรรมไปวางไว้ที่ทางสามแพร่ง ในอดีต การทาบุญกลางบ้านจะใช้ศาลากลางหมู่บ้านเป็นสถานที่ในการทาบุญหรือทา กิจกรรมใดๆ ร่วมกัน ถือเป็นศูนย์รวมจิตใจและศูนย์รวมในการทากิจกรรมทาง ศาสนา หากหมู่บ้านใดไม่ มีศาลากลางบ้านก็มักจะใช้ลานกว้างกลางหมู่บ้าน หรืออาจเป็นลานนวดข้าวที่อยู่กลางหมู่บ้านก็ได้ ซึ่งชาวบ้านก็มักจะใช้สถานที่ นัน้ ๆ เป็นสถานที่ทาบุญสืบต่อกันมา (กรมส่งเสริมวัฒนธรรม, ม.ป.ป.: ออนไลน์) สาหรับงานบุญกลางบ้านของหมู่ 4 บ้านหนองเกตุ ตาบลหนองจอกจะ กระทาในวันที่ 16 เดือนเมษายนของทุกปี จากการสัมภาษณ์นางเผือน คาช่วย อายุ 61 ปี ท าให้ ท ราบว่ า งานบุ ญ กลางบ้ านที่ จั ด ในวั น ที่ 16 เมษายน นั้ น


187

ชาวบ้านจะเรียกว่า “วันท้ายกานต์” (วันสุดท้ายของเทศกาล สงกานต์) ถือเป็น งานทาบุญ ที่มีความเชื่อว่า ในวันนี้จะเป็นวันที่ผีบรรพบุรุษ รวมไปถึงผีดีต่างๆ เช่น ทหารเจ้านาย เจ้าพ่อ ผีไม่มีญาติ จะมารวมกันที่งานพิธี เพื่อรับผลบุญผล กุ ศ ลที่ ลู ก หลานและคนในหมู่ บ้ า นท าบุ ญ ส่ ง ไปให้ (เผื อ น ค าช่ ว ย, 2559: สัมภาษณ์) สะท้อนให้เห็นความเชื่อพื้นฐานของหมู่บ้านเกี่ยวกับผีบรรพบุรุษและผี ที่มีความเกี่ยวข้องกับหมู่บ้าน เช่น เจ้าพ่อ ผีไร้ญาติ เป็นต้น ซึ่งคนในหมู่บ้านให้ ความสาคัญสังเกตได้จากการทาบุญให้แก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วและการนา อาหารไปเซ่นไหว้ผีในหมู่บ้านที่เรียกว่าการส่งเกวียน ทั้งนี้มีจุดประสงค์ เพื่อ ก่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตและเพื่อให้ผีปกปักคุ้มครองคนในหมู่บ้าน โดยปกติแล้วพิธีจะจัดขึ้น ณ ลานปูนบริเวณหน้าศาลกลางบ้าน ซึ่งถือเป็นลาน อเนกประสงค์ของหมู่บ้าน นอกจากจะมีพิธีทาบุญในช่วงเช้าถึงเที่ยงแล้ว ในช่วง เย็นเรื่อยไปจะมีการละเล่น ถือเป็นการเฉลิมฉลองและสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ระหว่างคนในหมู่บ้าน 1) องค์ประกอบสาคัญภายในพิธีงานบุญศาลกลางบ้าน ผู้ประกอบพิธี  ผู้ใหญ่บ้าน เป็นเจ้าภาพในการจัดพิธี  พระสงฆ์จากวัดหนองจอกหรือหากพระสงฆ์ไม่พอจะนิมนต์จาก วัดโป่งเกตุ หรือวัดยางชุม นิมนต์มา 4 รูป (อดีต) 9 รูป (ปัจจุบัน)  ไวยาวัจกร 1 คน เป็นผู้ดาเนินพิธี ปัจจุบันคือ นายสน สุขมาก อายุ 57 ปี


188

อาหารคาวหวาน ไม่ได้กาหนดตายตัวแล้วแต่ว่าใครจะนาอาหารหรือขนมอะไร มาร่วมในพิธี อดีต จะใช้วัตถุดิบที่มีในหมู่บา้ นมาทาอาหารและใช้ร่วมงาน เช่น หมู ไก่ ปลา และพวกผลไม้อย่างมะพร้าว กล้วย เป็นต้น ปัจจุบัน มีการไปจับจ่ายซื้ออาหารนอกหมู่บ้าน (ตลาดหนองจอก) อาหารคาวและหวานจึงมี หลากหลายมากขึ้น มีการเพิ่มของหวาน อย่างเช่น ทองหยิบ ทองหยอด เป็น ต้น ที่ ขายกัน เป็ น ชุดสาเร็จรูปซึ่ ง ชาวบ้านจะนาอาหารและขนมหวานใส่ปิ่นโตมาแล้วนามารวมกัน ณ งาน พิธี และจะมีการเลี้ยงข้าวต้ม (ข้าวต้มหมู) และขนมหวาน เช่น ลอดช่อง รวมมิตร แก่ผู้ที่มาร่วมงานด้วย ระยะเวลา แบ่ ง ช่ ว งเวลาในการประกอบพิ ธี แ ละท ากิ จ กรรมต่ า งๆ ออกเป็น 2 ช่วง ช่วงเช้า เวลา 08.00 น.– 12.00 น ช่วงเย็น เวลา 17.00 น. – 00.00 น. การละเล่น ราวง จ้างมาจากภายนอกชื่อ คณะเพื่อนใหม่ สโนน้อยและศรี เพชร มวยตับจาก มวยทะเล การแสดง ดนตรีแ ละการละเล่ น พื้ นบ้ าน เช่น ชักกะเย่อ มอญซ่ อนผ้า เพลงพวงมาลัย (เพลงร้องโต้ตอบระหว่างหญิงและชาย) สอยดาว เป็นต้น โดยจ้างมาจากที่อื่นเช่น แก่งกระจาน หนองบัว หนองบ่อ บ้านม่วง บ้าน ลาด ปัจจุบัน


189

การละเล่ น พื้ น บ้ านบางอย่างก็ได้สูญ หายไปแล้ว เช่น มอญ ซ่อนผ้า การร้องเพลงพวงมาลัย อดี ต การละเล่ น ในงานบุ ญ สงกรานต์ มี ค วามหลากหลาย สื บ เนื่ อ งจากระยะเวลาการจั ด งานที่ ค รอบคลุ ม หลายวั น และเวลา กลางคืนเป็นเวลาเตรียมการสถานที่ทาให้มีการละเล่นเพื่อสร้างความ ครื้นเครงควบคู่กันไป การละเล่นที่มี อาทิ ชักเย่อ ราวงเพลงพวงมาลัย มอญซ่อนผ้า ลูกช่วง (การโยน-รับลูกบอลที่ทาจากผ้า) และมีการแสดงหนังตะลุงเป็น เอกลักษณ์ของงานโดยหนังตะลุงจะจัดแสดงคืนสุดท้าย ปัจจุบัน การละเล่นเหล่านี้ไม่มีแล้วเนื่องจากเสื่อมความนิยม และหายไปพร้อมกับสมาชิกเก่าๆ ส่วนนายหนังประจาหมู่บ้าน คือนาย มนต์ เกิดทอง ก็ได้เสียชีวิตไปแล้วจึ งไม่มีการเล่นหนังตะลุง ปัจจุบันต้อง ไปจ้างมาจากนอกหมู่บ้านเป็นราคาคืนละ 4,000 บาท ซึ่งชาวบ้านไม่ได้มี งบจัดงานเหลือพอสาหรับค่าหนังตะลุง ปัจจุบันจึงเหลือเพียงราวงกับ มวยน้ าที่ เป็ น การละเล่ น ประจ างานสงกรานต์ (สนต์ สุ ข มาก, 2559: สัมภาษณ์) 2) ขั้นตอนของพิธีงานบุญศาลกลางบ้าน ในวันที่ 15 เมษายน (ก่อนวันงานพิธีหนึ่งวัน) จะมีการสร้างปรัมพิธี ในสมัยก่อนจะมีการรวมคนในหมู่บ้านมาสร้างปรัมพิธีเป็นเพลิงไม้ มุงด้วยหญ้า คา ซึ่งใช้แค่ชั่วคราวเท่านั้น แต่ในปัจจุบันมีการเช่าเต็นท์ จากนอกหมู่บ้านเข้ามา เพราะสะดวกและประหยัดเวลา ช่วงเช้าเวลา 08.00 น. ถึง 09.00 น. ของวันที่ 16 เมษายน ชาวบ้าน จะน าอาหารใส่ ปิ่ น โตจากบ้ า นใครบ้ า นมั น แล้ ว น ามารวมกั น ที่ ง านพิ ธี ซึ่ ง จัดเตรียมอาหารคาวหวาน ณ บริเวณศาลากลางของหมู่บ้าน อาหารและของ


190

หวานที่ ใส่ ปิ่ น โตมาน ามารวมใส่ ไว้ ในถาด ทั้ งหมด 9 ถาด เพื่ อ เตรีย มถวาย พระสงฆ์และจัดอาหารคาวหวานเตรียมใส่เกวียน (จาลอง) จากนั้นช่วยกันทา ข้าวต้มหมูและขนมลอดช่องเพื่อแจกจ่ายให้คนที่มารวมพิธี หลั ง จากนั้ น น าส ารั บ อาหารที่ จั ด ไว้ ต่ า งหากส าหรั บ เซ่ น ไหว้ ศ าล กลางบ้านไปถวายแก่ศาลและบอกกล่าวเจ้าพ่อ เจ้าแม่ว่า วันนี้จะมีการประกอบ พิธีทาบุญ เมื่อถึงเวลา 10.30 น. ชาวบ้านเริ่มต้นถวายภัตตาหารแก่พระสงฆ์ทั้ง 9 รูป ที่นิมนต์จากวัดหนองจอก (ชาวบ้านเรียกว่าตักบาตร) พร้อมทั้งถวายถาดที่ บรรจุพระพุทธรูปขนาดเล็ก ซึ่งเป็นส่วนของการทาบังสุกุล โดยชาวบ้านจะนาผ้า สีเหลืองมาตัดให้เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดเล็ก แล้วให้ผู้ร่วมงานเขียนชื่อบิดา มารดาหรื อ บรรพบุ รุ ษ ที่ ล่ ว งลั บ ไปแล้ ว ลงในผ้ า จากนั้ น น าผ้ า ผั น ไว้ กั บ พระพุ ท ธรู ป ขนาดเล็ ก ซึ่ ง จั ด ใส่ ถ าดพร้ อ มปั จ จั ย (เงิ น ) ถวายแก่ พ ระสงฆ์ หลังจากถวายถาดภัตตาหารและถาดพระพุทธรูปแล้ว พระสงฆ์จะเริ่มสวดบท สวดมาติกา (ปัจจุบันสวดบทบังสุกุลแทน) หลังจากเสร็จช่วงพิธีทาบุญ ในเวลา 11.30 น. พระสงฆ์ฉันเพล แบ่ง ออกเป็น 2 วง เมื่อพระสงฆ์ฉันเสร็จ และนิมนต์กลับวัดเรียบร้อยแล้ว ถือเป็น การเสร็จสิ้นพิธีทาบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษ จากนั้นจะทาการส่งเกวียน (ทาเหมือนกับงานทาบุญหัวบ้าน) โดยนาเกวียนจาลองที่ทาจากไม้ไผ่ขนาดเล็ก ซึ่งในอดีตเคยใช้เกวียนไม้เทียมวัวของจริง จัดแจงใส่อาหารคาวและหวานลงไป แล้วนาไปวางไว้บริเวณทางสามแพร่งของหมู่บ้าน เป็นการแบ่งส่วนบุญส่วนกุศล ให้แก่ผีไร้ญาติหรือผีที่เคยอยู่ในบริเวณนั้นและสัมภเวสีเร่รอน


191

ภาพที่ 3.9 เกวียนไม้ไผ่จาลอง ภาพถ่ายโดย วาศินี กลิ่นสมเชื้อ เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2559 พอถึ ง ช่ ว ง 12.00 น. มี ก ารเลี้ ย งข้ า วต้ ม หมู และขนมลอดช่ อ งแก่ ชาวบ้านที่มาร่วมพิธี หลังจากที่รับประทานอาหารเที่ยงร่วมกัน ในช่วงบ่ายโมง เป็นต้นมาจะเป็นกิจกรรมรดน้าดาหัว และขอพรผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุของหมู่บ้าน ร่วมกัน ซึ่งเป็นขนบธรรมเนียมสาคัญในช่วงเทศกาลสงกานต์ หลังจากเสร็จพิธีช่วงเช้า และบ่าย งานรื่นเริงจะถูกจัดขึ้นตั้งแต่เวลา 17.00 น.เป็นต้นไป มีการละเล่นต่างๆ อาทิเช่น การละเล่นพื้นบ้าน ชักกะเยอ มอญซ่อนผ้า มวยตับจาก มวยน้า เป็นต้น ซึ่ งจะจัด ณ บริเวณลานปูนหน้าศาล กลางบ้าน ตกช่วงค่าๆก็จะมี การราวง โดยจะจ้างคณะราวงมาเต็มชุดทั้งเล่น ดนตรี นักแสดง ชาวบ้านก็จะมาร่วมร้องราด้วย การที่มีการจัดงานรื่นเริงเป็น เพราะเขาต้องการจะให้คนในหมู่บ้านใกล้ชิดกัน ร่วมเฉลิมฉลองเพราะถือว่าเป็น วันดีที่มีการทาพิธีบญ ุ ก่อนที่จะแยกย้ายกลับไปทางาน


192

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า งานบุญ ดังกล่าวนี้สะท้อนให้เห็นภาพรวมกว้างๆ ของหมู่บ้านในสองมิติ คือ หนึ่ง การให้ความสาคัญแก่ครอบครัวและเครือญาติ ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างผู้สูงอายุ ปู่ ย่า ตา ยาย และที่ล่วงลับไปแล้วอย่างผีบรรพ บุรุษ ซึ่งงานทาบุญกลางบ้านนี้อาศัยเทศกาลสาคัญในรอบปี อย่างวันสงกานต์ มาเป็นเครื่องมือในการหลอมรวมคนในหมู่บ้านให้เข้ามามีส่วนร่วมสร้างความ สามัคคีระหว่างกัน สอง คือ การรวมกลุ่ม โดยอาศัยเทศกาลสาคัญเป็นพื้นที่ในการรวบรวม คนให้เข้ามาร่วมกิจกรรมภายใต้ฐานความเชื่อเรื่องศาลร่วมกันของชาวบ้านซึ่ง สะท้อนให้เห็นผ่านการลงแรง ทั้งแรงกายและทุนทรัพย์อันเป็นผลผลิตที่ได้จาก การระดมทุนตามกาลังศรัทธาของชาวบ้านด้วยวิธีการต่างๆ เช่น ไม้กักด่าน (มี ลักษณะคล้ายประตูเงินประตูทองในพิธีแต่งงาน เพียงแต่เป็นไม้นากันบริเวณหัว ถนน เพื่อเรี่ยไรเงินบริ จาคจากผู้ผ่านไปมา), เรี่ยไร่เงินภายในหมู่บ้าน เป็นต้น นอกจากนี้งานรื่นเริงที่ถูกจัดขึ้นในช่วงเย็นยังเป็นพื้นที่ผ่อนคลายและสถานที่ พบปะพูดคุยกันของหนุ่มสาวทั้งจากภายในและภายนอกหมู่บ้านอีกด้วย 2.1.4.2. งานบุญศาลหัวบ้าน งานบุญศาลหัวบ้าน หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “งานทาบุญหน้าศาล” จากการสัมภาษณ์นายสน สุขมาก อายุ 57 ปี ผู้เป็นไวยาวัจกรทาหน้าที่ในพิธี ได้ข้อมูลว่า เป็นงานท าบุญ ประจาปีจัดขึ้นในวาระขึ้นปีใหม่เพื่อความเป็นสิริ มงคลของทั้ งหมู่บ้านให้กิน ดีอยู่ดีมี ผลผลิ ตงอกงาม ภายในงานมีทั้ งพิ ธีไหว้ผี ตั้งแต่ผีชั้นยศใหญ่ จนถึงผีเร่ร่อน เจ้าพ่อเจ้าแม่ประจาหมู่บ้าน และมีการไหว้ พระแบบพุทธ โดยในอดีตจัดช่วงเดือน 5 ซึ่งเป็นช่วงที่ชาวบ้านเสร็จสิ้นจากการ เก็บเกี่ยวจึงมีเวลาว่างสาหรับเตรียมงานบุญ ประกอบกับมีผลผลิตต่างๆ จากฤดู เก็บเกี่ยวจึงนามาทาบุญร่วมกัน


193

ปัจจุบันเปลี่ยนมาจัดวันที่ 31 ธันวาคมของทุกปี (จัดในวันดังกล่าวมา เป็นปีที่3) เหตุที่ เปลี่ยนวันจัดงานเนื่องจากวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปจากเดิมคนใน หมู่บ้านจะทานาและมีปฏิทินกิจกรรมในรอบปีที่ตรงกัน แต่ปัจจุบันจากการเข้า มาของถนนทาให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในการประกอบอาชีพ ชาวบ้านที่ทานาก็ หันมาใช้เทคโนโลยีในการเกษตรทาให้การทานาสามารถทาได้มากกว่าหนึ่งครั้ง และแต่ละบ้านทานาไม่ตรงกัน ชาวบ้านอีกส่วนหันไปประกอบอาชีพอื่นๆ ที่ หลากหลายมากขึ้น ปฏิทินรอบปีของคนในหมู่บ้านจึงไม่ได้ตรงกันอีกต่อไปจึงตั้ง ให้วันที่ 31 ธันวาคมของทุกปี ซึ่งเป็นวันหยุดของทางการเป็นวันทาบุญเพื่อที่ ชาวบ้านทุกคนสามารถร่วมงานได้ตรงกัน นอกจากนี้จากการสัมภาษณ์นายสนต์ สุขมาก ได้ข้อมูลว่ามีการเปลี่ยน วันจัดงานจากเดือน 5 มาจัดวันที่ 1 มกราคม ของทุกปี อยู่เป็นเวลากว่า 10 ปี เหตุที่เปลี่ยนเพราะหลังมีการทาถนนชาวบ้านก็เริ่มใช้รถไถทานาและวิถีการทา นาก็เปลี่ย นไปท าให้ เดื อน 5 ไม่ ใช่ เดื อนที่ ทุ ก คนว่างตรงกั น อย่างในอดี ต แต่ ต่อมาในปี พ.ศ. 2555 ได้เปลี่ยนมาจัดวันที่ 31 ธันวาคมแทน เนื่องจากวันที่ 1 มกราคม พระสงฆ์มักติดกิจนิมนต์ทาให้ไม่ว่างมาทาพิธีจึงเปลี่ยนเป็นวันที่ 31 ธันวาคมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา (สนต์ สุขมาก, 2559: สัมภาษณ์) งานจะจัดขึ้นตอนเช้าเริ่มตั้งแต่ 9.00 น. และเสร็จสิ้นประมาณ 11.00 น. จั ด ที่ บ ริเวณลานหน้ าศาลหั วบ้ านซึ่ งตั้ งอยู่ ต รงสี่ แ ยกที่ ถ นนเส้ น หลั ก ของ หมู่บ้านตัดกับถนนเส้นที่สัญจรไปรอบนอก พื้นที่จัดงานอยู่ในบริเวณบ้านของ คุ ณ ยายทั ศ น์ เหรีย ญทอง อายุ 74 ปี ในวัน งานมี เต็ น ท์ ผ้ าใบไว้ให้ ผู้ ร่วมพิ ธี ภายในจะมีปรัมพิธีสาหรับพระสงฆ์ และโต๊ะหมู่บูชา 7 ในอดีตก่อนที่เต็นท์ผ้าใบ จะแพร่ ห ลายชาวบ้ า นจั ด งานโดยใช้ ฟ างมาปู พื้ น และไม่ มี ห ลั ง คา จั ด งาน กลางแจ้งและเมื่อแดดแรงจึงหลบนั่งตามร่มไม้


194

1) องค์ประกอบสาคัญภายในพิธีงานบุญศาลหัวบ้าน ผู้ประกอบพิธี  พระสงฆ์ 9 รูปนิมนต์จากวัดหนองจอก (อดีตนิมนต์เพียง 7 รูป)  ไวยาวั จ กร 1 คน เป็ น ผู้ ด าเนิ น พิ ธี ปั จ จุ บั น คื อ นายสน สุ ข มาก อายุ 57 ปี ในอดีตคือนายผิว มิ่งแม้น อายุ 70 ปี สืบทอดโดยการ เลือกคนที่มีความรู้เกี่ยวกับการทาพิธีหรือกิจต่างๆ ของสงฆ์  ผู้ใหญ่บ้าน เป็นเจ้าภาพในการจัดพิธี อาหารคาวหวาน การเตรี ย มอาหารคาวและหวานนั้ น ไม่ ไ ด้ ก าหนดตายตั ว ใครจะนาอาหารประเภทไหนมาร่วมในพิธีก็ได้ ซึ่งวัตถุดิบแต่ ก่อนเน้นที่ หาได้ ใ นหมู่ บ้ า น เช่ น เนื้ อ หมู ไก่ ปลา และผลไม้ อย่ า งเช่ น กล้ ว ย มะพร้าว เป็นต้น แต่ในปัจจุบันได้เปลี่ ยนแปลงวัตถุดิบ และมีการเพิ่ ม ความหลากหลายของอาหาร เหมือนกันกับพิธีทาบุญกลางบ้าน ชาวบ้าน จะนาอาหารและขนมหวานใส่ปิ่นโตมารวมกัน ณ งานพิธี และอาหาร คาวหวานที่ชาวบ้านนามานี้ส่วนหนึ่งจะถูกนาไปจัดเป็นสารับเพื่อถวาย พระพุทธ พระสงฆ์ และส่วนหนึ่งจัดสารับถวายเจ้าพ่อเจ้าแม่ประจาศาล ผีบรรพบุรุษ และผีเร่ร่อน สารับไหว้นี้ประกอบด้วยข้าวสวย ไข่เป็ด หมู ต้ม ขนมหวาน น้า เหล้า และดอกไม้ 2) ขั้นตอนของพิธีงานบุญศาลหัวบ้าน พิธีจะแบ่งเป็น 2 ช่วง คือไหว้ผี และไหว้พระ


195

ไหว้ผี เริ่มขึ้นเป็นอันดับแรกในเวลา 9:00 น. โดยชาวบ้านจัดสารับเครื่องเซ่น ไหว้ทั้งหมด 5 สารับไปวางไว้หน้าศาลประจาหมู่บ้านทั้ง 5 ศาล จากนั้น นายสน สุ ข มากไวยาวั จ กรจะจุ ด ธู ป 16 ดอก (เป็ น จ านวนที่ ใช้ ในงานชุ ม นุ ม เทวดา กลางแจ้ง) จุดเทียน 2 เล่ม (ตัวแทนความดี -ความชั่ว) ปักไว้หน้าศาล แล้วจะ สวดบทสัคเคเป็นบทสวดภาษาบาลีใช้ในการอัญเชิญเทวดามาชุมนุมกลางแจ้ง แล้วตามด้วยกล่าวเบิกด่านเพื่ออาราธนาเทวดา ผีสาง ตั้งแต่ผีชั้นยศใหญ่จนถึงผี ชั้นยศน้อยให้มารับเอาเครื่องเซ่นไหว้เหล่านี้ โดยบทสวดเบิกด่านจะเริ่มต้นด้วย ข้ า พเจ้ า ขอเบิ ก ด่ านพระอิ น ทร์ พระพรหม พ่ อ ทั่ ว จักรวาล พ่อเขาใหญ่ พ่อหลักเมือง ... ทั้ง 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน ทั่วสมุทรและสายศีล

ตามด้วยการกล่าวเชิญผีเจ้าพ่อ เจ้าแม่ประจาศาลทั้ง 5 ของศาลหัวบ้าน อันได้แก่ พ่อปู่ทองคา เจ้าแม่สไบ คุณพ่อพรายแก้ว คุณพ่อพรายทองคุณพ่อยี่สุ่น และอาราธนาไปถึงเจ้าพ่อเจ้าแม่ประจาศาลกลางบ้านด้วยอันได้แก่ เจ้าพ่อยอด วิมาน เจ้าพ่อพรายแก้วพรายทอง เจ้าแม่กามะหยี่ พ่ อศรีเพชร พ่อโปงปลา พ่อ ปู่ดา เมื่อเอ่ยชื่อเทวดา ผีสาง และเจ้าพ่อเจ้าแม่ครบทุกองค์ที่ชาวบ้านนับถือจะ ถือเป็นการเสร็จสิ้นการไหว้ผีเจ้าพ่อ ลาดับถัดไปเป็นการไหว้ผีบรรพบุรุษ และผีเร่ร่อนทั้งหลายที่มีลาดับชั้น ต่ากว่าเทวดาเจ้าพ่อ ทาโดยชาวบ้านนาสารับแบบเดียวกับที่ ตั้งหน้าศาลไปวาง ไว้ตามข้างทางคูคลองต่างๆ ที่อยู่นอกบริเวณพิธี แล้วจุดธูป 5 ดอกเพื่อบอกผี เหล่านั้นให้มารับเอาของเซ่นไหว้ (ใช้ธูป 5 ดอก คล้ายกับการจุดธูป 1 ดอกไหว้ ศพธูป 5 ดอกเนื่องจากผีมีหลายประเภทกว่า) เมื่อไหว้ผีขั้นนี้เสร็จก็ถือว่าเสร็จ สิ้นขั้นตอนการไหว้ผีเข้าสู่การทาพิธีสงฆ์ต่อไป


196

ไหว้พระ พิธีสงฆ์ คือ การทาบุญตามแบบชาวพุทธทั่วไปเพื่อความเป็นสิริมงคล จะทาหลังไหว้ผีเสร็จ โดยนิมนต์พระสงฆ์ให้มาถึงบริเวณงานในเวลาประมาณ 9:30 น. พิธีสงฆ์ทาในเต็นท์ผ้าใบโดยนาสารับเช่นเดียวกับที่ไหว้ศาลแต่ยกเว้น เหล้านาไปถวายหน้าพระพุทธรูป พระสงฆ์จะสวดเจริญพระพุทะมนต์มีนายสน เป็ น ผู้ น าในการท าพิ ธี แ ละชาวบ้ า นร่ ว มฟั ง สวด เมื่ อ พระสวดเสร็ จ ท าการ กรวดน้า พระสงฆ์ประพรมน้ามนต์ให้ชาวบ้านก็ถือเป็นอันเสร็จสิ้นพิธี นายสน จะเชิญให้ชาวบ้านรับประทานอาหารร่วมกันภายในบริเวณพิธีนั้นในระหว่างที่ รับประทานอาหารจะมีชาวบ้านส่วนหนึ่งแยกออกไปทาหน้าที่ส่งเกวียน การส่งเกวียน คือ การนาสารับเครื่องเซ่นไหว้แบบเดียวกับที่ไหว้ผีจัดใส่ เกวียนจาลองที่ทาจากลาไม้ไผ่ผ่าซีก ความยาวประมาณ 1 ฟุตครึ่ ง เหลาบริเวณ หัวฝั่งหนึ่งให้เป็นรูปเขาวัวมีเชือกสาหรับลาก ชาวบ้านจะลากเกวียนจาลองนี้ไป ยังทางสามแพร่งตรงที่ถนนตัดกับรางรถไฟ เพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับผี เร่ร่อนและราลึกถึงบรรพบุรุษที่เคยใช้เกวียนเทียมวัวเป็นพาหนะในอดีต พิธีส่ง เกวียนนี้ได้รับการรื้อฟืนเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยนายสายันต์ จ๋องามนายนิมนต์ ใหญ่ของหมู่บ้าน เมื่อเสร็จจากการส่งเกวียนก็ถือเป็นอันเสร็จสิ้นพิธีงานบุญหัว บ้านประจาปี นอกจากนี้ในวันงานจะมีการเรี่ยไรเงินทาบุญ จากชาวบ้านเพื่อ นาไปเป็นค่ากิจนิมนต์ของพระสงฆ์และค่าใช้จ่ายในการจัดงาน ส่วนเงิ นที่เหลือ จะเก็บไว้เป็นค่าใช้จ่ายสาหรับจัดงานบุญ กลางบ้านซึ่งเป็นงานบุญใหญ่ ลาดับ ถั ด ไปที่ จั ด ขึ้ น ในช่ ว งสงกรานต์ ข องทุ ก ปี ซึ่ ง เงิ น บริ จ าคที่ เหลื อ จากงานวั น สงกรานต์ก็จะนามาเป็นทุนจัดงานบุญหัวบ้านปีถัดไปเช่นกัน สลับกันไปเช่นนี้มา ตั้งแต่ในอดีต นอกจากนี้ศาลหัวบ้านยังมีพิธีกรรมใหญ่อีกหนึ่งอย่างซึ่งจัดขึ้นเมื่อปีที่ ผ่านมา คือ การเชิญเจ้าพ่อเจ้าแม่ขึ้นศาลหลังจากการบูรณะศาล โดยการบูรณะ ศาลครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะศาลเก่าทั้ง 5 หลังมีสภาพทรุดโทรม ชาวบ้านนาโดย


197

ผู้ใหญ่บ้าน นายจิระภัทร อินทนิล อายุ 52 ปีจึงทาการเรี่ยไรเงินจากชาวบ้ าน แล้วบู รณะศาลใหม่ ใช้เวลาด าเนิ น การข้ามปี เริ่ม ตั้ งแต่ เดื อนกรกฎาคม พ.ศ. 2557 แล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2558 ในวันที่เชิญเจ้าพ่อเจ้าแม่กลับ ขึ้นศาลมีการทาพิธีโดยร่างทรงที่ชาวบ้านเรียกกันว่า ทรงทิน มาจาก บ้านเพรียง จังหวัดเพชรบุรีและมีชาวบ้านมาร่วมงานอย่างหนาแน่น 2.2. งานปีผีมด งานปีผีมดเป็นพิธีกรรมทางความเชื่อเรื่องผีที่สืบต่อกันผ่านสายตระกูล โดยไม่สามารถหาที่มาหรือต้นตอที่ชัดเจนได้ แต่จากคาบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ใน หมู่บ้านเล่าว่า พิธีกรรมความเชื่อดังกล่าวนี้น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับความเชื่อ เขมร ซึ่งข้อมูลดังกล่าวนี้ตรงกับคาบอกเล่าของนายนิมนต์ใหญ่บ้านหันตะเภาที่ เล่าว่างานปีผีมดมีต้นกาเนิดมาจากเขมร เนื่องจากสมัยก่อนชาวเขมรได้ปล่อย กระทงลอยมาตามสายน้า เมื่อผ่านเข้ามายังประเทศไทย ชาวไทยในอดีตไปพบ เจอเข้าจึงจับกระทง ส่งผลให้เกิดอาการเจ็บป่วยอย่างไม่ทราบสาเหตุรักษาไม่ หาย จนกระทั้ งเดินทางไปพอหมอชาวเขมรจึงทาให้ทราบว่า ผีมดทาของใส่ หากต้องการให้หายป่วยต้องไปบนบานเมื่อหายแล้วให้แก้บน โดยการราถวาย จนสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน (ธนงค์ ม่วงทอง, 2559: สัมภาษณ์) ชาวบ้ านมี ความเชื่อว่าหากบรรพบุรุษ เคยประกอบพิ ธีกรรมมาก่อน ลูกหลานทั้งชายและหญิงจาเป็นจะต้องสืบต่อพิธีกรรมด้วยเช่นกัน มิเช่นนั้นจะ ส่งผลให้เกิดการเจ็บป่วยแก่ตนได้ โดยในหนึ่ งช่วงชีวิตจะต้องทาให้ครบทั้งหมด 3 ครั้ง หากเสียชีวิตไปก่อนสามารถให้ลูกหลานหรือญาติพี่น้องทาแทนได้ ใน อดีตการจัดงานปีผีมดมักจะทาหนึ่งครั้งก่อน จากนั้นจะเว้นไว้ 5 หรือ 7 หรือ 9 ปีก่อนจึงจัดงานปีครั้งที่สองและสามเป็นลาดับต่อไป ต่างจาก 10 กว่าปีให้หลัง มานี้ตามคาบอกเล่าของนายนิมนต์ใหญ่คนปัจจุบันเล่าว่า ในปัจจุบันการจัดงาน


198

จะขึ้นอยู่กับกาลังทรัพย์ของเจ้าภาพและสามารถจัดติดกันทุกปี หรือจัดพร้อม กันทั้ง 3 ครั้งใน 1 ปีได้ขึ้นอยู่กับความต้องการของเจ้าภาพ ไม่เพียงเท่านั้น วันเวลาที่สามารถจัดงานพิธีได้เพิ่มขึ้นจากอดีตที่นิยม จัดในเดือน 6 หลังวันวิสาขบูชา (ขึ้น 15 ค่าเดือน 6) เพียงเดือนเดียวเท่านั้น ต่างจากปัจจุบันที่สามารถประกอบพิธีกรรมได้ในเดือน 4, 6, 7 และ8 เนื่องจาก มีความต้องการในการประกอบพิธีกรรมมากขึ้น นอกจากนี้ชาวบ้านยังมีความ เชื่อที่สืบต่อกันมาตั้งแต่อดีตว่า งานปีผีมดจะต้องเป็นจัดขึ้นก่อนงานบวช งาน แต่งและเผาศพ อย่างน้อย 1 ครั้งเสียก่อน มิเช่นนั้นจะส่งผลให้เกิดปัญหาขึ้น ภายในงานหรือเกิดอาการเจ็บป่วยได้ และหยุดทาพิธีในพระ (8 ค่า หรือ 15ค่า) (สายัญ จ๋องาม, 2559 : สัมภาษณ์) สาหรับพิธีกรรมจะแบ่งออกเป็น 2 ช่วงใหญ่ๆ คือ ช่วงเช้าเรียกว่า งาน ปี และช่วงเย็นเรียกว่า ผีมด ซึ่งการประกอบพิธีกรรมไม่จาเป็นจะต้องจัดขึ้นทั้ง สองช่วง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสายตระกูลนั้นๆ กล่าวคือ สามารถจัดเพียงงานปีได้ หาก สายตระกูลเคยประกอบพิธีเพียงงานปี ส่วนงานผีมดจาเป็นจะต้องจัดงานปีก่อน จึงจะสามารถจัดงานในช่วงเย็นได้ 2.2.1. องค์ประกอบสาคัญของพิธีงานปีผีมด 2.2.1.1. ระยะเวลา แบ่งออกเป็น 2 ช่วงใหญ่ๆ คือ ช่วงเช้าหรือที่เรียกว่า งานปี ในเวลา 9.00 น. – 12.00น. และช่วงเย็น จนถึงค่าหรือที่เรียกว่า ผีมด ในเวลา 18.00 น. – 00.00 น.


199

2.2.1.2. ผู้ประกอบพิธี 1) นายนิมนต์ นายนิมนต์มีหน้าที่เป็นคนตีกลองร้องเพลงเชิญผีในพิธีงานปีผีมดในการ ประกอบพิธีกรรมจะใช้นายนิมนต์ 6–7 คน และจะต้องเป็นผู้ชายเท่ านั้น แบ่ง ออกเป็นนายนิมนต์ใหญ่ ที่มีฐานะเป็นหัวหน้า และครูผู้ถ่ายทอดวิชาแก่ นาย นิมนต์คนอื่นๆ ทาหน้าที่เป็นผู้ร้องเพลงเชิญผีในงานพิธีผีม ดช่วงเย็น ส่วนนาย นิมนต์คนอื่นๆ มีหน้าที่ตีโทน กรับ กลองยาว ฉิ่ง และแคน เพื่อทาจังหวะและ ทาหน้าที่เป็นคนราแหลนในงานพิธีผีมดช่วงเย็นด้วยโดยนายนิมนต์จะสืบทอด ผ่านสายตระกูลและจะต้องผ่านการครอบครูทางดนตรี รวมทั้งพิธีครอบครูโดย นายนิมนต์ใหญ่ เสียก่อนจึงจะถือเป็นนายนิม นต์ที่สมบูรณ์ โดยนาเครื่องเซ่ น ประกอบไปด้วยดอกไม้ธูปเทียนไก่ต้มเหล้าและเครื่องคาวขนมหวานทั่วไปมาทา พิธี ณ บ้านนายนิมนต์ใหญ่ สาหรับนายนิมนต์ของบ้านหนองเกตุ เป็นกลุ่มที่แยกตัวออกมาจาก คณะนายนิมนต์ที่บ้านเพรียง หมู่ที่ 5 ตาบลโพธิ์ไร่หวาน อาเภอเมือง จังหวัด เพชรบุรี ก่อตั้งเป็นคณะนายนิมนต์ของตนเอง โดยมีนายแอบ จ๋องาม เป็นนาย นิมนต์ใหญ่คนแรกของหมู่ บ้าน จากนั้นจึงสืบต่อให้ลูกชายหรือนายยิน จ๋องาม เป็นรุ่นที่สองและส่งต่อให้กับนายนิมนต์คนปัจจุบัน หรือนายสายัญ จ๋องาม ที่มี ศักดิ์เป็นน้องชายสืบต่อเป็นนายนิมนต์รุ่นที่สามต่อไป ส่วนนายนิมนต์คนอื่นๆ ปัจจุบันมีทั้งหมด 6 คน ดังนี้ นายสมปอง สุขสวัสดิ์, นายสงัด วงศ์ประเสริฐ, นายเก่ง เอียมโอภาส, นายประเสริฐ เกิดทรัพย์ (คนราแหลน), นายแผน เพชร งาม, นายผล มิ่งแม้น และนายถนอม นาเมือง


200

2) ร่างทรง ร่างทรงมีหน้าที่เป็นสื่อกลางในการติดต่อระหว่างองค์เจ้าพ่อและผู้ร่วม พิธีผ่านการเข้าทรง ทั้งช่วงเช้าและช่วงบ่ายซึ่งผู้ที่จะเป็นร่างทรงได้จะต้องเป็น เพศหญิงและเป็นบุคคลที่ถูกเลือกจากองค์เจ้าพ่อหรือผีเจ้านายเท่านั้น ที่จะดล บันดาลให้เกิดอาการเจ็บป่วยอย่างไม่ทราบสาเหตุอันเป็นสัญญาณเตือนบ่งบอก ให้ผู้ถูกเลือกเหล่านั้นทาหน้าที่เป็นร่างทรงและเมื่อยอมรับภาระหน้าที่ดังกล่าว แล้ว อาการเจ็บป่วยก็จะทุเลาลงจนหายขาดไปในที่สุด สาหรับร่างทรงในการประกอบพิธีกรรมงานปีผีมดในบ้านหนองเกตุไม่ ปรากฏว่าเคยมี ม าก่ อ น ดั งนั้ น เมื่ อ ถึ งคราวมี งานพิ ธีจึ งนิ ย มเชิ ญ ร่างทรงจาก ภายนอกหมู่บ้านเข้ามาประกอบพิธีกรรมให้แทน ซึ่งส่วนใหญ่นิยมเชิญ ร่างทรง ประทิณ เรืองสิงห์ จากบ้านเพรียงเข้ามาประกอบพิธีกรรมให้ จากการสัมภาษณ์ พบว่า นางประทิณ เรืองสิงห์ อายุ 39 ปี เริ่มมีอาการเจ็บป่วยอย่างไม่ทราบ สาเหตุ เมื่ อ อายุ ป ระมาณ 20 กว่ าปี และได้ เข้ าไปปรึ ก ษานางฮิ ม (ไม่ ท ราบ นามสกุล) ร่างทรงใหญ่ที่บ้านหนองบ่อเพื่อสอบถามถึงสาเหตุ และวิธีแก้ไข เมื่อ ทราบเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าเป็นความต้องการขององค์หลวงพ่อปู่หมั่นที่ต้องการให้ ตนเป็นร่างทรงจึงเข้าสู่วงการตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยมีหลวงพ่อปู่มั่นเป็นองค์ เจ้าประจาตัวร่างทรงประทิณนั้นแต่นั้นเป็นต้นมา 3) ประสพเมือง ประสพเมืองมีหน้าที่เป็นผู้ออกไปเซ่นไหว้ผี หรือองค์เจ้าพ่อที่เกี่ยวข้อง ทั้งหลายเข้าสู่โรงพิธีในขั้นตอนแรกก่อนการทาขั้นตอนอื่นๆ ในพิธีกรรมช่วงเย็น ของงานพิธีผีมด ซึ่งหน้าที่ นี้ถือเป็นหน้าที่ ที่ สาคัญ ที่สุด และต้องเป็นเพศหญิ ง เท่านั้น เนื่องจากพิธีกรรมจะไม่สามารถดาเนินต่อไปได้หากประสพเมืองไม่ทา การเบิกด่านเสียก่อน


201

สาหรับตาแหน่งประสพเมือง สืบทอดผ่านทางเครือญาติ แต่ไม่รับสืบ ต่อก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการส่วนบุคคลด้วย ในปัจจุบันประสพเมืองของ บ้านหนองเกตุมีทั้งหมด 2 คน คือ นางเจื่อ จ๋องาม และนางนวพร จ๋องาม ซึ่งทั้ง สองได้รับการสืบทอดหรือเรียนรู้ขั้นตอนการประกอบพิธี กรรมมาจากนางผิน จ๋องาม ประสพเมืองคนแรกของบ้านหนองเกตุที่มีความเกี่ยวข้องเป็นมารดาของ นางนวพร จ๋องาม และเกี่ยวข้องเป็นหลานสะใภ้ของนาง เจื่อ จ๋องาม 4) คนรา คนรามีหน้าที่เป็นคนราและร่างทรงในพิธีกรรมงานผีมด (ช่วงเย็น) ซึ่ง สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ หนึ่ง คนราผี มีทั้งหมด 9 คนในงานครั้งที่หนึ่ง 11 คน ในงานครั้งที่สอง และ 13 คนในงานครั้งที่สาม (สุดท้าย) คนราจาเป็นจะต้องเป็นเพศหญิงและ สามารถเป็นร่างทรงได้ ซึ่ งในอดีตคนราผีจะเป็นญาติพี่น้องหรือเพื่อนบ้านใน ละแวกใกล้เคียงกับเจ้าภาพมาช่วยแรงภายในงาน ต่างจากในปัจจุ บันที่เป็นการ จ้างวานกั น โดยบ้ านหนองเกตุ มี น างสะอิ้ง ลอดพ้ น อายุ 73 ปี เป็ น ผู้ติด ต่ อ ประสานงานกับคนราผีคนอื่นๆ สอง คนราผีเรือน คนราผีเรือนหมายถึง เจ้าของเรือนหรือเจ้าของงาน ในวัน นั้ น ๆ และสามารถให้ ผี เจ้าของเรือนหรือผีที่ มีค วามเกี่ ยวข้ องเป็ น ญาติ (ปู่ย่า ตายาย พ่อแม่ ลุงป้า น้าอา พี่น้อง หรือลูกพี่ลูกน้อง) ของเจ้าภาพมาเข้า ร่างได้ โดยคนราผีเรือนจาเป็นจะต้องเป็นเพศหญิงเช่นเดียวกับคนราผี แม้ว่า เจ้าของงานในวันนั้นจะเป็นเพศชายก็ไม่สามารถเป็นคนราผีเรือนได้ จาเป็นต้อง ให้ญาติเพศหญิงเป็นฝ่ายทาให้แทน อาทิ มารดา ภรรยา พี่สาว น้องสาว เป็นต้น ส าหรั บ คนร าผี เรื อ นจะมี ค วามแตกต่ า งจากคนร าผี ต รงที่ ความไม่ แน่นอนในการเข้าทรง กล่าวคือ ในบางครั้งคนราผีเรือนไม่สามารถเข้าทรงได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถส่ วนบุคคล ต่างจากคนราผีที่สามารถเข้าทรงได้


202

แน่นอน และในกรณีที่คนราผีเรือนสามารถให้ผีเรือนเข้าร่างได้ ในช่วงเวลานี้ เจ้าภาพและญาติพี่น้องของเจ้าภาพจะสามารถถามสารทุกข์สุขดิบและพูดคุยกับ ผีที่มาเข้าร่างได้ 2.2.1.3. อาหารคาวหวาน ส ารั บ อาหารคาวหวานส าหรั บ เซ่ น ไหว้ ใ นงานปี ผี ม ดนั้ น จากการ สัมภาษณ์ นางจาเนียร วงศ์ประเสริญ พบว่า ในสมัยก่อนนั้นจะหาตามไร่นาของ ตัวเองพืชผักผลไม้ปลูกภายในบ้านเรือนตัวเอง ขนมทาเอง เพราะการวัตถุดิบหา ในอดี ต นั้ น จะหายาก ส่ ว นในปั จ จุ บั น มี อ าหารที่ ห ลากหลายขึ้ น เนื่ อ งจาก ชาวบ้านสามารถเดินทางออกไปหาซื้อวัตถุดิบได้ง่ายมากขึ้น ทาให้จานวนของ สารับและของภายในสารับมีเพิ่มมากขึ้นกว่าในอดีตซึ่งเห็นถึงการเปลี่ยนแปลง ในส่วนของสารับอาหาร (จาเนียรวงค์ประเสริฐ, 2559 : สัมภาษณ์) สาหรับสารับสามารถแบ่งออกเป็น 3สารับใหญ่ๆประกอบด้วยสารับใช้ ถวายเจ้าพ่อจานวน 20 สารับ สารับเจ้าเสวยแบ่งเป็น สารับของคาวและของ หวานอย่างละ 2 สารับ และถาดเครื่องเล่น 1 สารับ รวมเป็น 25 สารับ โดยจาก การสัมภาษณ์ นางงามวิพา มากศรี อายุ 46 ปี พี่เลี้ยงผู้จัดเตรียมสารับเซ่นไหว้ ได้อธิบายถึงส่วนประกอบภายในสารับ ดังนี้ 1) สารับใช้ถวายเจ้าพ่อ เป็นสารับขนาดเล็กภายในประกอบด้วยกล้วย 1 หวี ,มะพร้าว 1 ลูก, เหล้าขาวใส่ขวดm150 2 ขวด, ข้าวสวย 1 ถ้วย ด้านบนวางด้วย ไข่ต้ม 1 ฟอง และหมู ส ามชั้ น 1 ชิ้ น , บุ ห รี่ , ปู , แมงดา และจานใส่ ข องหวานภายใน ประกอบด้วย ขนมเปียกหวาน (กาละแม) ซึ่งมีวัตถุดิบมาจากแป้งข้าวเจ้าและ แป้งเท้ายาม่อม, ขนมสองเกลอสามเกลอ, ขนมกงเกวียน ซึ่งมีวัตถุดิบมาจาก มะพร้าวแล้วนาไปผัด, ขนมต้ม และข้าวเหนียวแดง


203

สารับใช้ถวายเจ้าพ่อจะนาไปวางไว้บนพื้นทางด้านซ้ายภายในโรงพิธี จานวน 15 สารับส่วนอีก 5 สารับ จะนาไปไหว้ศาลตายาย, ศาลพระภูมิ, เจ้าพ่อ ก้อนทองหรือเทพคุ้มครองหมู่บ้าน, ผีเรือนและผีกลางบ้านหรือผีขอส่ วนบุญ โดยสารับเหล่านี้จะวางหน้าศาล แต่สาหรับสารับผีกลางบ้านจะไว้อยู่นอกเขต ของบ้านเพื่อไม่ให้สิ่งอัปมงคลเข้ามาในพิธีศักดิ์สิทธิ์ (งามวิพา มากศรี, 2559: สัมภาษณ์) 2) สารับเจ้าเสวย เป็นสารับที่มีขนาดใหญ่กว่าสารับใช้ถวายเจ้าพ่อ เนื่องจากมีความเชื่อ ว่าหากนาวัตถุดี ขนาดใหญ่และมีจานวนมากให้องค์เจ้าพ่อเสวยจะทาให้เจ้าภาพ ได้รับผลดีตามไปด้วย (วิฑูรย์ คุ้มหอม, 2551: 107) โดยแบ่งเป็น สารับของคาว และของหวานอย่างละ 2 สารับ วางไว้กลางโรงพิธีระหว่างร่างทรงและเจ้าภาพ สาหรับสารับของคาวนั้นประกอบด้วยบัวลอย, แกงปู, ไข่ต้มยา, ไข่แมงดา, ข้าว ดอกไม้, เม็ดแมงดาลัก, สัปปะรด, แตงโม และขนุน ด้านบนประดับด้วยดอกรัก และดอกมะลิ ส่วนสารับของหวานนั้นประกอบด้วยทองหยอด, ฝอยทอง, ขนมต้ม, ขนมถ้วยฟู, ข้าวหมากมะพร้าวอ่อน, ส้มอ้อย, ข้าวตอก มีดอกดาวเรืองประดับ ซึ่งมีความหมายเดียวกับดอกไม้ที่มีอยู่ในสารับของคาว 3) ถาดเครื่องเล่น ประกอบด้วยคันเหลา, เครื่องแก้วแหวน, คนทอง, ไก่ และเป็ด เป็นตัว ผู้และตัวเมีย (ต่างกันที่ตัวเมียจะมีการใส่ไข่เป็ดต้มสุกไว้ในนั้น) ในถาดนี้ทั้งหมด จะทามาจากถั่วเหลืองเคี่ยวกับน้าตาล ซึ่งสารับเครื่องเล่นมีความหมายโดยเป็น การแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ทั้งสิ้น สาหรับตาแหน่งถาดเครื่องเล่นจะตั้งอยู่ กลางโรงพิธี โดยถัดจากสารับเจ้าเสวย


204

นอกเหนื อ จากส ารับ อาหารคาวหวานแล้ ว ในพิ ธีก รรมช่ วงเช้ าจะมี ส ารับ ตี ค รี ใช้ ส าหรับ ประกอบพิ ธี ก รรมในขั้ น ตอนการตี ค รี อั น เป็ น ขั้ น ตอน สุดท้ายในพิธีกรรมช่วงเช้าโดยภายในประกอบด้วยดอกดาวเรืองไข่ต้ม 1 ฟอง, บุหรี่ 1 ซอง, เหล้าขาว, มะพร้าว 3 ลูก และไม้ครีทาจากไม้ประดู่ เพราะมีความ แข็งแรง ซึ่งลูกมะพร้าว 3 ลูก จะแทนสินบนการบนของเจ้าภาพ ส่วนไม้ครีจะใช้ สาหรับตีมะพร้าวให้แตก ซึ่งร่างทรงจะเป็นคนโยนลูกมะพร้าวและนายนิมนต์ เป็นคนตีในการทรงเทพองค์สุดท้าย (งามวิพามากศรี, 2559: สัมภาษณ์) สาหรับความหมายโดยนัยของเครื่องเซ่นต่างๆ จะเห็นว่า ภายในสารับ ต่ า งๆ มั ก จะมี ส่ ว นประกอบของมะพร้ าว เพราะชาวบ้ านมี ค วามเชื่ อ ว่ า ต้ น มะพร้าวเป็นต้นไม้ที่อยู่กึ่งกลางระหว่างพื้นดินและท้องฟ้า พื้นดินเปรียบได้เป็น พิภพมนุษย์ และเจ้าที่ อยู่บนดินเช่นแม่ โพสพเจ้าที่และองค์เจ้าพ่อต่างๆส่วน ท้องฟ้าเปรียบเป็นเทพที่มีอานาจในการกาหนดความเป็นไปของมนุษย์(วิฑูรย์ คุ้มหอม, 2551: 108) ดังนั้นมะพร้าวจึงมีสถานะเป็นกึ่งกลางของสิ่งศัก ดิ์สิทธิ์และเป็นสิ่งที่ พระเจ้าได้ประทานให้มนุษย์ น้ามะพร้าวจึงเป็นสิ่งที่ไม่เคยแปดเปือนมลทินใดๆ น้ามะพร้าวจึงแทนความบริสุทธิ์ รวมทั้งการที่มีมะพร้าวเป็นส่วนผสมของขนม ในเครื่องเซ่นจึงเป็นสัญ ลักษณ์ ของความเจริญ งอกงามของเจ้าภาพ (เพิ่งอ้าง, 2551: 108) ส่วนแมงดาและปูถือว่าเป็นของมีค่า เพราะสมัยก่อนเวลาทานาต้อง อาศัยระบบชลประทานน้าฝนและมีภัยธรรมชาติบ่อยครั้ง ทาให้ชาวบ้านไม่มี กาลังทรัพย์มากนัก ปูและแมงดาที่มีราคาแพง จึงถือเป็นของสาคัญที่มีโอกาสได้ กินในงานปีผีมดเท่านั้น (งามวิพา มากศรี, 2559: สัมภาษณ์)


205

ภาพที่ 3.10 – 3.11 สารับเจ้าเสวย อาหารหวาน (บน) และอาหารคาว (ล่าง) ภาพถ่ายโดย วีรยา เอื้อเกษม เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคมพ.ศ. 2559


206

ภาพที่ 3.12 – 3.13 สารับใช้ถวายเจ้าพ่อ (บน) และถาดเครื่องเล่น (ล่าง) ภาพถ่ายโดย วีรยา เอื้อเกษม เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคมพ.ศ. 2559


207

ภาพที่ 3.14 สารับครี ภาพถ่ายโดย วีรยา เอื้อเกษม เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคมพ.ศ. 2559 2.2.1.4. เครื่องดนตรี เครื่องดนตรีที่ใช้เป็นเครื่องดนตรีปี่พาทย์ประกอบไปด้วย โทน กรับ กลองยาว ฉิ่ง และแคน (เข้ามาภายหลังเพื่อสร้างจังหวะในการบรรเลงมากขึ้น) บรรเลงโดยมีนายนิมนต์เป็นผู้บรรเลง เพื่อสร้างจังหวะให้เข้ากับบทร้องในพิธี งานปีผีมด หน้ากลองและหน้าโทนทาจากหนังค่าง โดยจ้างช่างที่มีฝีมือในการ ทา เหตุที่เป็นหนังค่างเพราะตีแล้วเสียงจะดั งกังวาน ส่วนลาตัวกลองจะทามา จากไม้ขนุน เพราะมีความแข็งแรง (จาเนียร วงค์ประเสริฐ, 2559: สัมภาษณ์)


208

2.2.1.5. สถานที่ สถานที่ประกอบพิธีกรรมจะใช้พื้นที่บริเวณลานด้านนอกตัวบ้านทาเป็น โรงพิ ธี ซึ่ งในอดีต มั กจะใช้บ้ านของเจ้าภาพเป็ น สถานที่ จัด งาน ส่วนปั จจุบั น พบว่ า มี บ างส่ ว นใช้ บ้ า นของร่ า งทรงเป็ น สถานที่ จั ด เนื่ อ งจากง่ า ยต่ อ การ จัดเตรียมสถานและสารับอาหารคาวหวาน เจ้าภาพไม่ต้องจัดเตรียมสถานที่ เพียงแค่เดินทางมาทาพิธีเท่านั้น ลักษณะรูปแบบของโรงพิธีจะเป็นอาคารสี่เหลี่ยมผืนผ้าเปิดโล่งไม่มีผนัง ยกสูงจากพื้นเล็กน้อยคล้ายกับศาลา บริเวณตรงกลางโรงพิธีจะปรากฏเสา 1 ต้น หรือที่เรียกว่าต้นมะยมแสง เป็นจุดสาคัญในการประกอบพิธีกรรม เนื่องจาก ใช้ เป็ น จุ ด ที่ ค ณะผู้ ป ระกอบพิ ธี แ ละเจ้ า ท าพิ ธี ร่ ว มกั น และเปรี ย บเสมื อ น สัญ ลักษณ์แทนผนังกั้นห้องภายในตัวบ้าน ซึ่งจะใช้ในพิธีกรรมงานผีมด (งาน เย็น) โดยแบ่งออกเป็นสองฝั่ง คือ ห้องนอก (ขวา) และห้องใน (ซ้าย) 2.2.2. ขั้นตอนของพิธี สาหรับขั้นตอนในการประกอบพิธีกรรมงานปีผีมดสามารถแบ่ง ออกเป็นสองช่วงใหญ่ๆ คือ งานปี (ช่วงเช้า) และงานผีมด (ช่วงเย็น) ดังนี้ 2.2.2.1. งานปี (ช่วงเช้า) สาหรับพิธีงานปีในช่วงเช้าจะเริ่มต้นในเวลา 9.00 น. โดยก่ อนหน้านี้ หนึ่งวันเจ้าภาพจะต้องนาห่อพริก เกลือ และหมากพลู มาผูกไว้ที่ หลังคา หรือ ชายคาบ้าน เป็นการติด สินบน ไว้ก่อน อันเป็นสัญ ลักษณ์ บอกกล่าวก่อนว่า บ้านหลังนี้จะประกอบพิธีกรรม เมื่อ ถึงวันงานจึงแก้ออกนามาใช้ในพิธีร่วมกับ การเตรียมสารับ โดยการเตรียมสารับในอดีตตามคาบอกเล่าของนายนิมนต์ คน ปัจจุบันของบ้านหนองเกตุ เล่าว่า แต่เดิมจะใช้วัตถุดิบที่หาได้ตามธรรมชาติ ตามท้องถิ่นที่มีอยู่ ทั้งของคาว หวาน ผลไม้ เหล้า ดอกไม้โดยรวมมีทั้งหมด 17


209

ส ารั บ แต่ ใ นปั จ จุ บั น มี ก ารรั บ ซื้ อ จากตลาดในเมื อ ง ท าให้ อ าหารมี ค วาม หลากหลายและสะดวกรวดเร็วในการจัดสารับมากขึ้น โดยรวมมีทั้งหมด 25 สารับ ซึ่งนอกจากนี้สาเหตุที่ทาให้สารับมีการเพิ่มขึ้นจากอดีตเหตุเพราะปัจจุบัน คนนิยมนับถือเจ้าแตกต่างต่างกันไปมากขึ้น ทาให้มีการจัดสารับเผื่อ เจ้าองค์ อื่ น ๆ ของเจ้ าภาพจนกลายเป็ น 25 ถาดในปั จจุ บั น (สายัญ จ๋ อ งาม, 2559: สัมภาษณ์) สาหรับขั้นตอนในช่วงเช้าจะเริ่มต้นด้วยการเบิกด่าน โดยคนทรง และ นายนิมนต์ จากนั้นอัญเชิญองค์เจ้าพ่อเข้าประทับร่างทรงเพื่อเสวยอาหารตัด สินบนและจบลงด้วยการตีครีเป็นอันจบพิธีในช่วงเช้ า ซึ่งมีรายละเอียดขั้นตอน ดังนี้ 1) การเบิกด่าน หลังจากจัดเตรียมสารับอาหารคาวหวานเรียบร้อยแล้ว ร่างทรงและ นายนิมนต์จุดธูป 9 ดอก เพื่อบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทาง ไหว้ครู และอัญเชิญเจ้าพ่อ ต่างๆ เข้ามาในงานพิธีโดยจะมีบทท่องสวดดังนี้ เริ่มต้นท่องบท นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ 3 ครั้ง จากนั้นร่างทรงก็จะกล่าวบท อัญเชิญเพื่อทาการเบิกด่าน นะเบิกด่าน พุทเบิกด่าน ธาเบิกด่าน ข้าพเจ้าขอเบิก ด่ านด้ ว ยนะโมพุ ธทายะ ข้ าพเจ้ าขอเบิ ก ด่ า นเอก ด่ า นโท ด่ า น อิ น ทร์ ด่ านพรหม ด่ านพระยมกาลเบื้ อ งบน ด่ านสิบ หกชั้น ฟ้ า ด่านสิบห้าชั้นดิน ด่านร่มครอบจักรวาล ด่านพระแม่ธรณี ด่าน แม่น้าพระคงคา ด่านทั้งแผ่นดินแผ่นฟ้า ข้าพเจ้าขอเบิกด่านและ เบิกตรงให้ตรงอย่าปิดบัง ขัดขว้าง ข้าพเจ้าขอเบิกด่านทั้งเจ้ารับ ค่ าสิน บน ข้ าพเจ้ าขอเบิ ก ด่ านเงิน และทอง ด่ านข้ าว ด่ านหงส์ ด่านแขก ด่านงานปี ด่ านเศรษฐี ด่ านสิน บน เบิ กด่ านอยากให้


210 ลูกหลวงพ่อจนเลย ทางานก็ขอให้ลูกรวย มีเงินเก็บตลอดปีโชคดีมี ความสุขนะลูก ข้าพเจ้าขอเชิญพรหมที่ ศรีเรือน เจ้าของที่แม่ธรณี แม่น้าพระคงคา ยายกะลาตากะลี เจ้าของที่ที่นี่ทุกคน ข้ าพเจ้ าขอเชิ ญ มาเบิ ก ด่ าน ข้ าพเจ้ าขอเชิ ญ เจ้ าของที่ เจ้าของทาง เจ้าของบ้านเจ้าของช่อง ผีดงผีป่า ผีไร่ผีนา ผีหลวง เจ้าทุกองค์นี้ ข้าพเจ้าขอเชิญช่วยมาเบิกด่าน ข้าพเจ้าขอทางาน ถวายหลวงพ่อ อย่าปิดบังขัดขว้างมาเบิกด่าน ข้าพเจ้าขอเชิญองค์ เจ้าถิ่นเจ้าฐาน ดั้งเดิม ที่รักษา ในเขตนี้ ก็คือพ่อเจ้าถิ่นก้อนทอง เป็ น องค์ เจ้ า ถิ่ น ช่ ว ยมาเบิ ก ด่ าน ข้ า พเจ้ าขอเชิ ญ ครูบ าอาจารย์ เจ้าพ่อปู่ เจ้าพ่อพวงมาลัย เจ้าพ่อไพรเจ้าป่า เจ้าพ่อศรีสุข ครูบา อาจารย์ ข้าพเจ้าขอเชิญ เจ้าพ่อด่านในทุกด่าน ด่านซ้าย ด่านขวา ด่านหน้า ด่านหลัง ด่านนอก ด่านใน ข้าพเจ้าขอเชิญเจ้าพ่อด่าน ใหญ่ในทุกด่าน ลงมาเบิกด่านให้ทุกด่าน ข้าพเจ้าขอเชิญเจ้าพ่อ เจ้าของงาน คือ เจ้าพ่อสร้อยสังวาลหลักเมือง เจ้าพ่อศักดิ์สิทธิ์วัด มหาธาตุ เจ้ า พ่ อ สมเด็ จ บ้ า นแหลม เจ้ า พ่ อ ทองวั ด เตะเครา ครูบาอาจารย์ช่วยมาเบิกด่าน ข้ า พเจ้ า ขอเชิ ญ พ่ อ เจ้ า ของงานคื อ ปู่ มั่ น พ่ อ ยี่ สุ่ น พ่ อ โหราม พ่อหงส์ทองต้นบัญชี เจ้าพ่อสายน้าเขียวก็ดี ข้าพเจ้าขอ เชิญช่วยกัน มาเบิกด่าน ข้าพเจ้าขอเชิญพ่อเจ้าทุ่ง เจ้าท่า เจ้าดง เจ้าป่า เจ้าโป่ง เจ้าเป๋า ขอเชิญพระอินทร์ พระพรหม พระยมกาล เบื้องบน ขอเชิญเทวดา ทั้งสี่เหลี่ยมแปดทิศ ท้าวยมบาล ท้าวจตุ โล ก บ าล เจ้ าก รรม น าย เวรแ ล ะ เท วัญ อ งค์ เท พ รั ก ษ า เทวดารักษาและครูบาอาจารย์ทุกครู เจ้าพ่อ โรงเหนือ เจ้าพ่อโรง ใต้ เจ้าแม่แก้วโมลา เจ้าพ่อพวงมาลัย เจ้าแม่ทับทิม เจ้าแม่ศรีทอง เจ้าพ่อบ้านม่วง เจ้าพ่อวังทอง เจ้าพ่อโตนดหลวง เจ้าพ่อหนอง ศาลา เจ้าแม่เขาเขียว เจ้าพ่ อเขางู เจ้าพ่ อดาวกระจาย เจ้าพ่ อ


211 การเวก เจ้าพ่อกระบองเพชร เจ้าพ่อแก้วสามประการ กุมารดา กุมารทอง ข้าพเจ้าขอเชิญช่วยกันมาเบิกด่านสิบหกชั้นฟ้าสิบห้า ชั้นดิน เชิญมาเสวยเหล่าอาหารคาวหวาน เจ้าพ่อทั้งเหล้า ทั้งยา เชิ ญ ทุ ก ท่ านมารับ ของสังเวยต่ างๆ มาเป็ น สัก ขี พ ยาน ช่วยกันตัดสินบนให้ขาดตัดแล้วก็ให้มีความสุขร่ารวยเงินทอง คิด อะไรก็ขอให้ได้ ทุกอย่าง ขอเชิญเทวดา เจ้าพ่อทั้งหลาย มาลงร่าง ปกปักรักษาร่างทรงนี้ ให้ปกปักรักษาดูแลประชาชน ขอให้ไม่มี โรคภัยต่างๆ หากขาดตกบกพร่องอันใด ก็ขออภั ยไว้ที่นี้ จะขอ ทางานให้ตกสินบน หมดเคราะห์ หมดโศกชีวิตราบรื่นเทอญฯ (อ้างอิง จากงานพิธีงานปีช่วงเช้า วันที่ 30 พ.ค. 2559)

ภาพที่ 3.15 ร่างทรงกล่าวบทอัญเชิญเพื่อเบิกด่าน ต่อหน้าสารับเจ้าถวายและเจ้าภาพ ภาพถ่ายโดย วาศินี กลิ่นสมเชื้อ เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2559


212

ทั้งนี้การเรียกขานแต่ละองค์ จะมีการเชิญที่แตกต่างกันไปตามท้องที่ ตามเจ้าภาพหรือความเหมาะสมต่างๆ แต่รูปแบบจะเป็นการเบิกด่านที่เชิญ เทพยดา เจ้าพ่อ เจ้าแม่ และสิ่งศักดิ์สิทธ์ที่เกี่ยวข้องกับท้องที่และเจ้าของงานที่ ทาให้การทางานพิธีงานปีเป็นไปได้อย่างราบรื่นเสมือนเป็นการอวยพรและ เชิญ มาร่วมงานในพิธีเปิด โดยที่คนทรงจะเชิญเหล่าเทพ เจ้าพ่อ เจ้าแม่ สิ่งที่นับถื อ ต่างๆ ให้ได้มากที่สุด เพื่อเป็นการที่เสมือนทาให้งานมีความศักดิ์สิทธิ์และความ เป็นมงคลแก่เจ้าภาพและคนผู้ร่วมงาน 2) การถวายสารับอาหาร นายนิมนต์เริ่มต้นบรรเลงเพลง ไม่มีคาร้อง เพื่อให้องค์เจ้าพ่อต่างๆเข้า มาประทับทรง เพื่อให้มาเสวยสารับอาหารที่เจ้าบ้านงานได้เตรียมไว้ แล้วขอให้ ตัดสินบนตกหรือขาด เป็นการบอกเล่ารายระเอียดของเจ้าภาพว่า งานในครั้งนี้ เป็นครั้งที่ เท่ าไหร่ บอกชื่อ บอกที่ อยู่แก่เจ้าพ่ อ ส่วนเจ้าพ่ อให้พรแก่เจ้าภาพ หลังจากนั้นเจ้าภาพจะประเคนสารับเจ้าเสวย (สารับใหญ่ทั้ ง 4 สารับ) แก่ร่าง ทรง โดยรับผ่านดาบไม้ของเจ้าพ่อ 3) การเข้าประทับทรง หลังจากเจ้าภาพถวายสารับแก่เจ้าพ่อแล้ว คณะนายนิมนต์ จะเริ่มต้น บรรเลงเพลงอีกครั้ง ทันทีที่เสียงดนตรีขึ้นร่างทรงลุกขึ้นราตามจังหวะทานอง เพลง จากนั้ น นั่ งลงเช่ น เดิ ม แล้ วเริ่ม ต้ น รับ ประทานเหล้ าขาว น้ าเปล่ า และ อาหารภายในสารับเจ้าเสวยตรงหน้า แต่เป็นเพียงการแสดงท่าทางทาเหมือน รับประทานอาหารเท่านั้นโดยการนาช้อนสั้นแตะไปที่สารับอาหารทีละอย่าง ไม่ได้รับประทานจริงยกเว้นเหล้าขาว และน้าเปล่า เสร็จแล้วเจ้าพ่ อ จะบอกกล่ าวว่าตนเป็น ใคร มาจากไหน มีตาแหน่ ง หน้าที่อะไรและให้พรแก่เจ้าภาพก่อนจะออกจากร่างไป จากนั้นเสียงเพลงจะถูก


213

บรรเลงขึ้นอีก ซึ่งแสดงถึงการเปลี่ยนองค์เจ้าพ่อ โดยการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน ในลั ก ษณะเข้ าแล้ ว ก็ อ อกนี้ จ ะมี ทั้ งหมด 9 ครั้ง ตามจ านวนขององค์ เจ้ าพ่ อ ทั้งหมด 9 องค์ ซึ่งองค์เจ้าพ่อแต่ละองค์จะมีหน้าที่แตกต่างกันไป รวมถึงสีของ ผ้าโพกหัวและผ้าคาดเอวที่เปลี่ยนไปทุกครั้งเมื่อองค์เจ้าพ่อองค์ใหม่เข้าประทับ ร่าง ดังนี้ องค์ที่หนึ่ง เจ้าพ่อคุมเขตเพชรบุรี ผ้าโพกสีน้าเงิน เจ้าพ่อองค์นี้สามารถ เปลี่ยนได้ตามแต่เขตการคุ้มครองที่เจ้าภาพจัดงาน องค์ที่สอง เจ้าพ่อก้อนทอง หนองแกร ผ้าโพกสีน้าเงินอ่อน เป็นเจ้าพ่อ เจ้าบ้านในพื้นที่ องค์ที่สาม เจ้าพ่อสมุนไพร เขาใหญ่ ผ้าโพกสีแดง องค์ที่สี่ เจ้าพ่อสร้อยสังวาร ประจาศาลหลักเมืองเพชรบุรี ผ้าโพกสีม่วง องค์ที่ห้า เจ้าพ่อปู่มั่น เจ้าของวัว ผ้าโพกสีน้าตาล เป็นองค์เจ้าพ่อที่ร่าง ทรงนับถือ ซึ่งสามารถเปลี่ยนได้ตามที่ร่างทรงคนนั้นๆ นับถือ (ในที่นี้เจ้าพ่อปู่ มั่นเป็นองค์เจ้าพ่อประจาร่างทรงประทิณ เรืองสิงห์) องค์ที่หก เจ้าพ่อยี่สน เป็นเจ้าพ่อเจ้าของงาน ผ้าโพกสีน้าตาล องค์ที่เจ็ด เจ้าพ่อสายน้าเขียว เป็นองค์เจ้าพ่อคุมเขตทะเล ผ้าโพกสี เขียว องค์ที่แปด เจ้าพ่อโหรา เจ้าของงานกลางวัน ผ้าโพกสีน้าตาลอ่อน สุดท้ายองค์ที่เก้า เจ้าพ่อหงส์ทอง ตัดต้นบัญชี ซึ่งเป็นองค์ที่สาคัญที่สุด ในงานพิธีทั้งช่วงเช้าและช่วงเย็น เพราะเป็นเจ้าพ่อที่มีหน้าที่คอยตัดสินบนของ เจ้าภาพให้ขาด สาหรับลาดับในการลงประทับทรงทุกองค์สามารถเปลี่ยนแปลงลาดับ การเข้าได้ ยกเว้นองค์ที่หนึ่ง เจ้าพ่อคุมเขต ซึ่งเป็นผู้คุมเขตนั้นๆ และองค์ที่เก้า หรือที่เรียกว่าเจ้าพ่อหงส์ทอง ที่เป็นองค์ที่จะทาหน้าที่ตัดสินบน คอยจดบันทึก จานวนครั้งของเจ้าบ้านว่าทากี่ครั้ง


214

4) การตัดสินบน ในส่วนนี้ร่างทรงเจ้าพ่อหงส์ทอง (องค์สุดท้าย) จะเป็นผู้ดาเนินการ พร้อมกับร่ายราประกอบจังหวะเพลง พี่เลี้ยงจะยื่นถาดเครื่องเล่นให้กับเจ้าพ่อ ใส่ ทั้งกาไร แหวน ถือไก่ ถื อเป็ด จากนั้นจะโยนให้กับเจ้าภาพและผู้ร่วมงาน ส่วนคันหลาวร่างทรงจะยื่นให้เจ้าภาพกับมือโดยตรงพร้อมกับให้พร 5) การตีครี หลั ง จากร่ า งทรงแจกจ่ า ยขนมในส ารั บ เครื่ อ งเล่ น แก่ เจ้ า ภาพ และ ผู้ ร่วมงานแล้ ว ร่ างทรงจะเดิ น ออกมาบริเวณลานกว้างพร้อ มกั บ นายนิ ม นต์ ออกมาเล่นดนตรี และหนึ่งในนั้นออกมาทาหน้าที่เป็นคนตีครี ถือถาดสารับตีครี ภายในประกอบไปด้วยมะพร้าว 3 ลูก, ขนมต้ม 3 ลูก, ไข่เป็ดต้ม 3 ฟอง, บุหรี่ 1 ซอง, หมากพลู, ดอกไม้ และเงินค่าครูครี โดยร่างทรงเจ้าพ่อหงส์ทองโยนลูก มะพร้าวให้กับนายนิมนต์ใช้ไม้ครีตีให้แตกจนครบทั้ง 3 ลูก เหตุผลที่ต้องตีลูกมะพร้าวให้แตกในช่วงท้ายของพิธีนั้นเป็นการชะล้าง สิ่งสกปรกออก หากลูกมะพร้าวแตกกระจายแสดงถึงการหมดเคราะห์ประสบ ความสาเร็จในการดาเนินชีวิต แต่หากลูกมะพร้าวไม่แตกกระจาย มีความหมาย ว่าอาจไม่ ก้ าวหน้ านั ก ต้ อ งหาทางแก้ ไขให้ ดี ขึ้ น ในครั้งต่ อ ไป ดั งนั้ น การตี ลู ก มะพร้าวด้วยไม้ครีจึงเป็น การเสี่ยงทายของเจ้าภาพ (วิฑู รย์ คุ้มหอม, 2551: 108) จากนั้ นต่อด้วยการโยนไข่ แ ละขนมต้ม ภายในถาดจนหมด แล้วเจ้าพ่ อ หงส์ทองก็จะถามเจ้าภาพว่า "งานตกไหม งานขาดไหม" เจ้าภาพต้องตอบไปว่า "งานตก งานขาด" จากนั้ น ก็ ก ลั บ มานั่ ง พร้ อ มทั้ งมี ก ารประพรมน้ ามนต์ ทั้ ง เจ้าภาพและเหล่าผู้ร่วมงาน เป็นอันจบพิธีงานปีในช่วงเช้า


215

ภาพที่ 3.16 นายนิมนต์และร่างทรงกาลังทาพิธีตีครี ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายในพิธีช่วงเช้า ภาพถ่ายโดย วาศินี กลิ่นสมเชื้อ เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 ส่วนสารับอาหารคาวหวาน เจ้าภาพจะตักอาหารภายในสารับต่างๆ อย่างละนิดอย่างละหน่อยใส่ถาดนาเอาไปวางไว้นอกโรงพิธี เพื่อให้กับทหารของ องค์เจ้าพ่อที่ ลงประทั บทรงภายในงาน (งามวิพ า มากศรี, 2559: สัมภาษณ์ ) นอกเหนือจากนี้เจ้าภาพจะแจกจ่ายให้กับผู้มาร่วมงานเป็นการเอื้อเฟือเผื่อแผ่ นอกจากนี้เป็นการแสดงน้าใจของเจ้าภาพแสดงความสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้และ ผู้รับผู้รับจะต้องมีการแสดงน้าใจผู้ให้เช่นกัน (วิฑูรย์ คุ้มหอม, 2551: 149)


216

ภาพที่ 3.17 อาหารที่ถูกแบ่งสารับเหล่าทหารขององค์เจ้าพ่อ ภาพถ่ายโดย วาศินี กลิ่นสมเชื้อ เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 2.2.2.2.งานผีมด (ช่วงเย็น) พิธีกรรมในช่วงเย็น หรือที่เรียกว่า ผีมด จะเริ่มต้นขึ้นในเวลาหกโมงเย็น เป็นต้นไป โดยในอดีตตามคาบอกเล่าของ นายสายัญ จ๋องาม เล่าว่า จะทาพิธี กันตั้งแต่ช่วงเย็นจนเกือบถึงเช้าของอีกวันหนึ่ง ไม่เหมือนกับสมัยนี้ที่เลิกในเวลา เที่ยงคืน เนื่องจากปัจจุบันมีการจัดงานปีผีมดกันมากขึ้น ติดต่อกันหลายเดือน ตั้งแต่เดือน 4 ยาวไปจนถึงเดือน 8 (เว้นเดือน 5 ไว้) ทาให้ต้องลดถอนขั้นตอน ในพิธีกรรมบางส่วนลงไป เพื่อความสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น (สายัญ จ๋องาม ,2559: สั ม ภาษณ์ ) แต่ อ ย่ า งไรก็ ต ามงานพิ ธี ผี ม ดในช่ วงเย็ น ก็ มี รายระเอี ย ด ปลีกย่อยและขั้น ตอนเพิ่ ม เติม จากงานปี ในช่วงเช้า คือ คณะนายนิ มนต์ แ ละ


217

ประสพเมืองจะจัดเตรียมอุปกรณ์สาหรับงานภายในพิธีเพิ่มเติมจากสารับอาหาร คาวหวานที่มีองค์ประกอบเช่นเดียวกับสารับงานปีในช่วงเช้า ได้แก่ เสาต้ น กลางภายในโรงพิ ธี หรื อ ที่ เรี ย กว่ า ต้ น มะยมแสง โดยนาย นิมนต์จะนาดอกไม้ ที่หาได้บริเวณสถานที่ทาพิธี ซึ่งไม่ได้กาหนดว่าจะต้องเป็น ดอกไม้ชนิดใด นามาผูกไว้กับเสาต้นกลางที่ทาหน้าที่เป็นตัวแบ่งโรงพิธีออกเป็น สองฝั่ง ทางซ้ายมือ (ห้องใน) และทางขวามือ (ห้องนอก) และเป็นจุดที่ร่างทรง ประสพเมืองและเจ้าภาพนั่งเพื่อทาพิธี อาบน้าไหและเชิญเจ้าอีกด้วย สารับเชิญหิ้งและบันไดผี สาหรับประสพเมืองใช้เชิญหิ้งในขั้นตอนแรก ของพิ ธีกรรมช่วงเย็น แกงวัว สาหรับ ใส่แ ป้งปันรูปวัว และโรยเครื่องปรุงต่าง เพื่อจาลองการท าแกงวัวในขั้นตอนการราแหลน ถาดเวียน สาหรับใส่เครื่อง แต่ งตั ว ต่ างๆ แก่ ร่างทรงและคนราผี ภายในประกอบไปด้ วย กรรไกร, มี ด , กระจก, น้ามันใส่ผม, แป้ง, หมากพลู และหย่อง (เชี่ยนหมาก) พานพ่อ สาหรับ ใส่ ดอกไม้ (ข้าวดอกดอกไม้ดาวเรืองแกะเป็นฝอยเล็กๆ), ธูป 11 ดอก, เทียน 2 เล่ม, บุหรี่ และหมากพลู เพื่อถวายแก่องค์เจ้าพ่อที่ เข้าประทับร่างร่างทรงใน ขั้นตอนรับทรง เครื่องเล่นไม้ของนายนิมนต์ ประกอบไปด้วย ไห ฝอย สาหรับใช้ใน ขั้นตอนการอาบน้าไห, ดาบ, พาย, ตะหวิน, เหนเรือ, ช้าง ทาจากไม้ทองหลาง นามาแกะสลัก ,ไก่ ทาจากผ้า สาหรับใช้เล่นในช่วงสุดท้ายของงานพิธีช่วงเย็น และหิ้งวางเครื่องไม้ สาหรับวางเครื่องเล่นทั้งหมด โดยนายนิมนต์จะนาออกมา หลังจากขั้นตอนข้ามห้องเสร็จเรียบร้อยแล้ว นามาวางไว้ใต้ต้นมะยมแสง (ชญา นิ ศ ชู ช าติ , 2559: สั ม ภาษณ์ ) ส าหรั บ ขั้ น ตอนภายในพิ ธี ก รรมช่ ว งเย็ น มี รายละเอียด ดังนี้


218

ภาพที่ 3.18 เครื่องเล่นไม้ของนายนิมนต์ ภาพถ่ายโดย ชญานิศ ชูชาติ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 1) เชิญหิ้ง หลังจากจัดเตรียมสถานที่และสารับอาหารเรียบร้อยแล้ว ประสพเมือง จะเข้ าไปแต่ งตั วด้ ว ยการห่ ม สไบสี ข าวทั บ ชุ ด ที่ ใส่ อ ยู่ แ ละนุ่ งผ้ าไทยลวดลาย สวยงามเพื่อทาการเชิญหิ้ง โดยประสพเมืองจะนาถาดสารับซึ่งประกอบไปด้วย ถ้วยข้าวสาร (ดิบ) 3 ถ้วย ด้านบนวางไข่ต้มอย่างละ 1 ฟอง 2 ถ้วย ถ้วยข้าวสวย (สุก) 1 ถ้วย ถ้วยเปล่าสาหรับใส่เหล้าขาว หมากพลู และเหล้าขาว 1 ขวด จาก ตัวบ้านเข้าสู่โรงพิธีเพื่ออัญเชิญผีเรือนเข้าสู่งานเป็นการเปิดด่านหรือเปิดงาน ซึ่ง ก่อนที่ประสพเมืองจะเดินเข้ามายังโรงพิธีจะต้องทาพิธีล้างเท้าบริเวณบันไดผี ซึ่ง เป็นบันไดจาลองก่อน


219

ภาพที่ 3.19 – 3.20 ถาดเชิญหิ้ง(บน) และภาพบันไดผีและถาดที่ประสพเมือง จะต้องยกเท้าแตะก่อนจะเข้าสู่โรงพิธี(ล่าง) ภาพถ่ายโดย ชญานิศ ชูชาติ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2559


220

บริเวณโรงพิธีท างฝั่งขวาหรือที่ เรียกว่าห้องนอกจะมีบันไดผี ซึ่ งเป็ น บันไดจาลองขนาดเล็กทาจากไม้ไผ่ต่อกันอย่างง่ายๆ พาดอยู่ระหว่างพื้นโรงพิธี ที่ทาเป็นศาลายกสูงจากพื้นเล็กน้อย และทางด้านซ้ายมือของบันไดผีเป็นถาดที่ ภายในมีเหล้าขาวน้าเปล่าข้าวหินและทราย เมื่อประสพเมืองเดินมาถึงจะยกเท้า แตะของภายในถาดทั้งหมด ทาที คล้ายกับการล้างเท้าก่อนเข้าเรือน หรือ บ้าน ก่อนจะก้าวขึ้นไปยังโรงพิธีเพื่อนาถาดไปวางภายในบริเวณ ต้นมะยมแสง (เสา ต้นกลาง) เป็นอันเสร็จสิ้นพิธีในช่วงนี้ 2) การอาบน้าไห เมื่ อ ประสพเมื อ งน าถาดเชิ ญ หิ้ งไปวางภายในโรงพิ ธี เรี ย บร้ อ ยแล้ ว ขั้น ตอนต่อไป คือ การอาบน้ าไห ที่ แ สดงถึงการชาระล้างเคราะห์ กรรมและ ความเจ็บป่วยของเจ้าภาพอออกไป โดยเจ้าภาพที่ทาได้จะต้องเป็นผู้หญิงเท่านั้น หากเจ้ าภาพงานเป็ น ผู้ ชายจะให้ ญ าติ เพศหญิ งเป็ น ผู้ ท าพิ ธีแ ทนให้ เจ้าภาพ จะต้องนั่งเหยียดเท้าจากห้องในเข้าสู่ห้องนอก จากนั้นนาไห ที่มีลักษณะเป็นไม้ ไผ่ท่อนเล็กยาวประมาณ 5-6 นิ้ว จานวน 4–5 ท่อน มาวางไว้บริเวณน่องของเจ้าภาพจากนั้นใช้มือจุ่มน้าแล้วลูบไหขึ้นลง และส่งต่อไปให้ประสพเมืองนาเหล้าขาวมารดไหเปรียบเหมือนการอาบน้าแล้ว ยกไหขึ้นวนบริเวณกระถางไฟ ซึ่งภายในเป็นกากมะพร้าวจุดไฟ เพื่อให้เกิดควัน แสดงถึงสัญลักษณ์ของการอยู่ไฟ ต่ อจากนั้นจึงนาให้มาห่อด้วยใบตองแล้วปัก ด้วยฝอย ซึ่ งเป็ น ไม้ ไผ่ เหลาให้ มี ขนาดเล็ ก ลั กษณะคล้ายกับ ไม้เสียบพุ่ มกฐิน นาไปวางไว้บริเวณโคนต้นมะยมแสง (เสาต้นกลาง)


221

3) ออกประสบเมือง เมื่ออาบน้าไหเสร็จเรียบร้อยแล้ว ประสพเมืองและผู้หญิงสองคนที่ไม่ใช่ ญาติเจ้าภาพนาสารับอาหารออกไปตั้งกลางแจ้ง เพื่ออัญเชิญเจ้าองค์ต่างๆ และ ผีเรือนเข้าสู่พิธี 4) ราแทงแหลน หลังจากอัญเชิญเจ้าองค์ต่างๆ และผีเรือนเข้าสู่พิธี นายนิมนต์จะเริ่มต้น เล่นดนตรีอีกครั้งและจะมีนายนิมนต์หนึ่งคนออกมาทาหน้าที่เป็นคนราแหลน โดยการถือแหลนที่มีลักษณะคล้ายกับฉมวกแทงปลานามาร่ายราบริเวณลาน ด้านนอกโรงพิธีเพื่อจาลองการฆ่าวัวสาหรับทาแกงวัว ซึ่งจากการสัมภาษณ์ นาย สายัญ จ๋องาม อายุ64 ปี นายนิมนต์คนปัจจุบันพบว่า ในอดีตมีการฆ่าวัว และใช้ เนื้อวัวที่ได้จากการฆ่ามาทาเป็นแกงวัว สาหรับเลี้ยงแขกภายในงานจริงๆ ต่าง จากปัจจุบันที่เป็นเพียงการจาลองการทาแกงวัวขึ้นแทน โดยใช้ แป้งปันเป็นรูป วัววางอยู่ภายในถาด โรยด้วยพืชผักสวนครัว เช่น พริก กระเทียม มะนาว และ เครื่องปรุง เช่น พริกป่น เกลือ น้าปลา น้าตาล


222

ภาพที่ 3.21 – 3.22 แกงวัวจาลอง (บน) และนายนิมนต์ราแทงแหลน (ล่าง) ภาพถ่ายโดย ชญานิศ ชูชาติ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคมพ.ศ. 2559


223

สาหรับการราแหลนคนราแหลนจะเริ่มต้นราโดยการราเดินหน้า 3 ครั้ง และเดินถอยหลัง 3 ครั้ง โดยครั้งแรกรามือเปล่า 3 ครั้ง เสร็จแล้วจึงไปนาแหลน มาราเดินหน้าและถอยหลังอีก 3 ครั้ง เช่นกัน จากนั้นนาวัวปันจาลองที่เตรียมไว้ มาหั่นเป็นท่อนโดยใช้มีดและแบ่งใส่หม้อดินเผาสองหม้อ คือ หม้อต้มและหม้อ แกงเพื่อการจาลองการฆ่าวัวเพื่อถวายผีเรือนเป็นอันเสร็ จพิธี จากนั้นเจ้าภาพ ผู้ร่วมงานและผู้ประกอบพิธีกรรมพักร่วมรับประทานอาหารเย็นร่วมกัน 5) รับเจ้า (เชิญเจ้ารับเครื่องเสวย) หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว นายนิมนต์ร่างทรง และเจ้าภาพกลับเข้าสู่โรงพิธีอีกครั้ง จากนั้นจุดธูปเทียนบอกกล่าวครูบาอาจารย์ ของนายนิ ม นต์ แ ละร่ า งทรง ส่ ว นเจ้ า ภาพจุ ด ธู ป 1 ดอก และเที ย น 1 เล่ ม สาหรับปักในสารับอาหารคาวหวานทุกสารับภายในโรงพิธี ต่อจากนั้ นร่างทรง จะอันเชิญองค์เจ้าพ่อเข้ามาประทับร่าง โดยจุดธูปทั้ง 11 ดอก และเทียน 2 เล่ม ภายในพานพ่อที่ประสพเมืองเป็นผู้จัดเตรียมให้ก่อนหน้านี้ จากนั้นนายนิมนต์ จะเริ่ ม ต้ น สวดบทเชิ ญ เจ้ า เสวยของคาวหวานพร้ อ มกั บ นายนิ ม นต์ ค นอื่ น ๆ บรรเลงเพลง เมื่อองค์เจ้าพ่อเข้าประทับร่าง ร่างทรงจะลุกขึ้นยืนราหน้าสารับก่อนจะ นั่งลงดื่มเหล้าขาว หยิบบุหรี่ในพานพ่อขึ้ นสูบรี่และทาท่าทางคล้ายเสวยอาหาร เช่นเดียวกับพิธีงานปีในช่วงเช้า จากนั้นร่างทรงจะทาการแต่งตัว โดยนาผ้าสีมา คาดเอว เหน็บดาบไม้ไว้ที่เอว จัดผ้านุ่งและนาเครื่องแต่งตัวจาพวกน้ามันใส่ผม แป้ง กระจกภายในถาดเวียนขึ้นมาทาท่าทางคล้ายลักษณะการแต่งตัว จากนั้น องค์เจ้าพ่อจะบอกกล่าวแก่เจ้าภาพถึงสถานะของตนว่าเป็นใคร มีหน้าที่เช่นไร ซักถามสารทุกข์สุกดิบกับเจ้าภาพก่อนจะให้พรและลากลับไป เพื่อให้องค์เจ้าพ่อ องค์อื่นๆ เข้าประทับต่อ


224

สาหรับลักษณะของสีผ้าคาดเอวจะแตกต่างกันไปตามองค์เจ้าพ่อนั้นๆ และดาเนินไปด้วยขั้นตอนเช่นเดิมจนครบองค์พ่อที่เข้าประทับเช่นเดียวกับงานปี ในช่วงเช้า แต่จะแตกต่างกันตรงที่งานพิธีผีมดจะมีองค์เจ้าพ่อน้อยกว่า คือมี ทั้งหมด 5 องค์ ได้แก่ เจ้าพ่อประจาองค์ร่างทรง, เจ้าพ่อหลวงเพชร, เจ้าพ่อ หลวงหงส์, เจ้าพ่อหลวงคง (ทั้งสามองค์เป็นพี่น้องกันและเป็นองค์เจ้าพ่อประจา งานกลางคืน) และเจ้าพ่อหงส์ทองเป็นองค์สุดท้าย เจ้าพ่อหงส์ทองเป็นองค์เจ้าพ่อที่มีความสาคัญที่สุดเนื่องจากเป็นองค์ที่ ทาหน้าที่ลบบัญชีพิธีตัดสินบนของเจ้าภาพงาน โดยร่างทรงจะเพิ่มผ้าโพกหัว สี แดงเข้ามาในการแต่งตัวและมีการเอาดาบไม้กรีดมือเจ้าภาพพร้อมพูดตัดสินบน ให้เจ้าภาพเรียกว่าตัดสินบน จากนั้นจะนาเอาของเล่นจาลองภายในถาดเครื่อง เล่น จาพวกกาไล แหวนมาใส่ และถือเป็ด ไก่ ไว้ในมือเพื่อร่ายรา ก่อนจะโยนไป ยังบริเวณที่นั่งของแขก ส่วนเจ้าภาพจะเปลี่ยนเทียนทุกเล่ม ในสารับอาหารคาว หวานและร่างทรงจะนาดอกไม้ภายในพานพ่อมาโปรยลงบนสารับ เป็นอันเสร็จ สิ้นขั้นตอนนี้ 6) ราผี ขั้นตอนในช่วงนี้จะแบ่งออกเป็นคนราผีเรือนกับคนราผี โดยเจ้าภาพ จะเป็นผู้ราผีเรือนก่อน จากนั้นตามด้ว ยคนราผีอื่นๆ อีก 9 คน ในงานครั้งแรก 11 คน ในงานครั้งที่สอง และ 13 คน ในงานครั้งที่สาม ซึ่งทั้งคนราผีและคนราผี เรือนจะต้องแต่งชุดราผี ด้วยผ้ าสไบสีแดง 2 ผื น ไขว้กันเป็น รูปกากบาทและ ผ้านุ่งสีแดงส่วนนายนิมนต์จะเริ่มบทสวดเชิญผีราและบรรเลงเพลง ส่วนคนราผี เรือนยกถาดเวียนรอบตัว 3 รอบ จากนั้นวางลง ทาท่าไหว้และหยิบของภายใน ขึ้นมาแต่งตัว ซึ่งหากเจ้าภาพ (คนราผีเรือน) มีการลงผีจะแสดงอาการเปลี่ยนไป จากนั้นนายนิมนต์จะเริ่มต้นถามว่า “ผีมดต้องการอะไร” หากผีมดต้องการอะไร เจ้าภาพก็ต้องทาตาม ซึ่งในช่วงเวลานี้จะเป็นช่วงที่แขกผู้ร่วมงานสามารถถามไถ่


225

หรือพูดคุยกับผีเรือน (ผีบรรพบุรุษ) ได้ แต่หากเจ้าภาพไม่มีผีลง ประสพเมือง จะคอยสังเกตการณ์และเชิญเจ้าภาพออกจากพิธี นอกจากนี้หลังจากคนราผีทาการเข้าทรงผีเร่รอนอื่นๆ จนครบจานวน ทั้งหมดเรียบร้อยแล้ ว นายนิม นต์จะเปิ ดโอกาสให้กับ แขกภายในงานได้ลอง ทดสอบเป็นคนราผีอีกด้วย หากบุคคลใดสามารถเข้าทรงผีได้ในงานผีมดครั้ง ต่อๆ ไป ก็จะถูกเรียกให้ไปเป็นคนราอีก ดังเช่น นางสะอิ้ง ลอดพัน อายุ 73 ปี ที่เคยลองหัดเป็นคนราผีในงานพิธีเมื่อครั้งอายุประมาณ 20 ปี เมื่อรู้ว่าตนเอง สามารถทรงผีได้นับตั้งแต่นั้นก็เป็นคนราผีมาโดยตลอด รวมทั้งเป็นผู้ติดต่อคนรา ผีอื่นๆ เมื่อมีงานพิธีกรรมด้วย (สะอิ้ง ลอดพ้น,2559: สัมภาษณ์)

ภาพที่ 3.23 ภาพถาดเวียน และของภายใน ประกอบไปด้วย กระจก แป้ง กรรไกร มีด หมากพลู และหย่อง ภาพถ่ายโดย ชญานิศ ชูชาติ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2559


226

7) ข้ามห้อง เดิมร่างทรงประสพเมืองจะนั่งอยู่ตรงกลางโรงพิธีบริเวณต้นมะยมแสง คณะนายนิมนต์จะนั่งอยู่ด้านหลังถัดจากร่างทรงไป ซึ่งเป็นพื้นที่ทางฝั่งขวาหรือ ห้องนอกของโรงพิธี ส่วนเจ้าภาพและแขกผู้ร่วมงานจะนั่งอยู่บริเวณห้องในหรือ พื้นที่ทางฝั่งซ้ายโดยหันหน้าไปหาร่างทรงที่นั่งอยู่ตรงกลาง สาหรับพิธีข้ามห้องจะเริ่มต้นด้วยห้องนอกบริเวณที่คณะนายนิมนต์นั่ง อยู่ก่อน ใช้คนราผีทั้งหมด 7 คน ในห้องนี้ จากนั้นคณะนายนิมนต์ จะยกเครื่อง ดนตรีเดินมายังห้องในและเริ่มบรรเลงเพลงอีกครั้งโดยใช้คนราผีทั้งหมด 9 คน ซึ่งจานวนของคนราผีจะเปลี่ยนแปลงไปตามจานวนครั้งที่จัดงานที่ละ 2 คน ใน แต่ละห้อง กล่าวคือ ครั้งแรก 7 คน และ 9 คน, ครั้งที่สอง 9 คนและ 11 คน และครั้งที่สาม 11 คน และ 13 คน 8) เชิญเจ้าพ่อร่างทรงมาเล่นเครื่องเล่น นายนิมนต์ใหญ่ จะร้องเชิญ องค์เจ้าพ่อเข้าประทับร่างทรงอีกครั้งเพื่อ เล่นเครื่องเล่นที่ได้เตรียมไว้ประกอบด้วย การเล่นเรือหรือการโย้เรือ, คล้องช้าง, ต่อไก่, เล่นเหน, ชมฝอย และจับปูหาปลา ซึ่งเครื่องเล่นสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิต การเกษตรกรรมของชุมชนได้อย่างดี การละเล่นในช่วงนี้จะถือว่าเป็นช่วงที่รื่น เริงที่สุดในพิธีกรรมงานผีมด โดยมีนายนิมนต์คนหนึ่ง (ใครก็ได้) ทาหน้าที่เป็น “เขย” ท าท่ าทางร่ ายร าประกอบเพลงและเล่ น เครื่ อ งเล่ น อย่ า งสนุ ก สนาน จากนั้นนายนิมนต์ใหญ่จะมอบช้างไม้แกะสลักจากไม้ทองหลาง ขนาดเท่าฝ่ามือ ให้แก่เจ้าภาพไว้ ถือเป็นสัญลักษณ์ที่ว่าได้ผ่านการทาพิธีแก้บนมาแล้ว และให้พร แก่เจ้าภาพพร้อมกับเจ้าพ่อหลังจากนั้นนายนิมนต์จะเชิญองค์เจ้าพ่อออกจาก ร่างทรง


227

9) จุดภูมิ เป็นขั้นตอนสุดท้ายในพิธีกรรมงานผีมด โดยนายนิมนต์มีการทาภูมิไว้ ก่อนแล้ว คือ ด้ายผูกไว้กับเสาไม้ นายนิมนต์จะเป็นคนจุดภูมิซึ่งเป็นการแสดงว่า ยิ่งภูมิลุกติดไฟเจ้าภาพงานนั้นๆ จะมีชีวิตที่ดีและจะทามาหากินเจริญรุ่งเรืองซึ่ง ด้ายภูมิมีลักษณะคล้ายสายสิญจน์ โดยใช้สามสีในพิธี คือ ขาว เขียว และม่วง โดยซื้อมาจากตลาดและทาให้เป็นเส้นเล็กๆ โดยวนให้เป็นเส้นเดียวกันซึ่งในพิธี จุดภูมิ ต้องเป็นนายนิมนต์ที่เป็นคนจุด ส่วนนายนิมนต์ใหญ่จะทาหน้าที่สวดเชิญ ขวัญให้เจ้าภาพอยู่เย็นเป็นสุข (จาเนียร วงค์ประเสริฐ, 2559: สัมภาษณ์) ทั้งหมดทั้งมวลดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นพอจะทาให้เห็นถึงความเป็นมา องค์ประกอบและขั้นตอนอย่างละเอียดของพิธีกรรมงานบุญศาลและงานปีผีมด ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของกลุ่มคนต่างๆ ที่มีหน้าที่แตกต่างกันออกไป ภายในพิ ธี ก รรมดั งกล่ าว และการเปลี่ ย นแปลงที่ เกิ ด ขึ้ น อั น มี ส าเหตุ ม าจาก ข้อจากัดบางประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิถีการผลิตหรือเศรษฐกิจ จนนาไปสู่ กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางองค์ประกอบในพิธีกรรมที่เกิดขึ้นจากการปรับตัว ต่อสภาพแวดล้อมภายในและภายนอกชุมชนดังจะกล่าวในส่วนต่อไป

3. พลวัต และการสืบทอดภายใต้บริบทใหม่ ด้วยลักษณะสภาพแวดล้อมของชุมชน ที่เดิมเป็นพื้นที่ป่า พื้นที่เป็นที่ ราบลุ่มน้าท่วมถึง ดินจึงมีความอุดมสมบูรณ์ ทาให้รูปแบบการดารงชีวิตของ ชุมชนจึงสะท้อนออกมาทางด้านการเกษตรด้านเพาะปลูกเป็นอาชีพหลัก มา ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน ทั้งการทานา ทาไร่ มีการเก็บของป่าขายล่าสัตว์เล็กที่ มีในพื้นที่ ปั จ จั ย ส าคั ญ ในการด าเนิ น ชี วิ ต เพื่ อ หาเลี้ ย งปากท้ อ งนั้ น ขึ้ น อยู่ กั บ ธรรมชาติและสภาพอากาศ เพราะนอกจากน้าฝนที่นามาใช้อุปโภคบริโภคใน ครัวเรือนแล้ว ยังถือเป็นตัวแปรสาคัญต่อการทาเกษตรกรรมในด้านผลผลิตหรือ


228

การเก็ บ ของป่ า ล่ าสั ต ว์ ด้ ว ย เพราะหากฝนตกมากเกิ น ไปหรื อ น้ อ ยเกิ น ไปก็ กระทบต่อความเสียหายผลผลิตได้ เนื่องจากมนุษย์ควบคุมธรรมชาติ ไม่ได้นี่เอง ทาให้เกิดการอ้อนวอนหรือร้องขอของมนุษย์ต่อธรรมชาติขึ้นมาเพื่อตอบสนอง ในด้านจิตใจในการต่อรองกับปรากฏการณ์ ต่างๆ ที่ไม่แน่นอนของธรรมชาติ แสดงออกมาโดยผ่านการทาพิธีกรรมกับสัญลักษณ์ ที่ถือว่าเป็นสิ่งศัก ดิ์สิทธิ์ คือ เจ้าพ่อ เจ้าแม่ งานปีผีม ดของชุม ชนนั่ นเอง จึงเกิดเป็นความเชื่อที่มีลักษณะ เฉพาะตัวของชุมชน ที่ทาให้ชาวบ้านเกิดกาลังใจหรือความหวัง ในการต้องเผชิญ กับธรรมชาติและสภาวะหรือปัญหาที่ไม่สามารถควบคุม คาดคะเนได้ อย่ า งไรก็ ต ามจึ ง ปฏิ เสธไม่ ได้ ว่ า โดยพื้ น ฐานความเชื่ อ และรู ป แบบ พิธีกรรมนั้น สัมพันธ์กับวิถีการผลิตในการดารงชีวิตของชุมชนอย่างแยกจากกัน ไม่ได้ เพราะความเชื่อและวิถีการผลิตนี้รวมอยู่ในพื้นฐานการดาเนินชีวิตอันเป็น องค์ประกอบร่วมกัน กล่าวคือ หากมีรูปแบบใดแบบหนึ่งเปลี่ยนแปลงไป ส่วน อื่นก็จาต้องปรับเปลี่ยนตามไปด้วย เพราะแต่ละส่วนมีความสัมพันธ์กัน ดังนั้นเมื่อวิถีการผลิตเปลี่ยนไป รูปแบบพิธีกรรมความเชื่อจึงเปลี่ยน ตาม ด้วยเหตุนี้ลักษณะของพิธีกรรมสาคัญของหมู่บ้านทั้ง 3 พิธีกรรม คือ งานปี ผีมด งานบุญศาลกลางบ้าน และงานบุญหัวบ้าน เมื่อผ่านกาลเวลาตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบันย่อมเกิดพลวัตอยู่เสมอและส่งผลให้เกิดสืบทอดรายละเอียดบาง ประการของพิธีกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป จุดเปลี่ยนที่สาคัญ คือ การเปลี่ยนแปลง ทางสังคมในด้านเศรษฐกิจ ดังนี้ ช่วงก่อน พ.ศ. 2510 ภายในหมู่บ้านที่ยังไม่มีระบบสาธารณูปโภค และ การคมนาคมพื้นฐานจากภาครัฐ การดารงชีวิตของชาวบ้านเน้นพึ่งพาตนเอง หาของป่าและล่าสัตว์นาไปแลกเปลี่ยนเป็นหลัก และมีผลผลิตทางการเกษตร เป็ นส่วนน้อย เนื่องจากมี ข้อจากัดทางด้านกายภาพที่มีดินเค็มเป็นส่วนใหญ่ พื้นที่ทานามีจานวนน้อยและต้องรอน้าฝนเท่านั้น สารับอาหารคาวหวานหรือ วัตถุดิบที่ใช้ในพิธีกรรมจึงมีเพียงของที่หาได้ภายในหมู่บ้านเท่านั้น จนกระทั่ง


229

คลองชลประทานเกิดขึ้นภายในหมู่บ้านราวปี พ.ศ. 2510 เป็นต้นมา วิถีการ ผลิตของชาวบ้านจึงเปลี่ยนมาทาการเกษตรมากขึ้น เนื่องจากไม่ต้องรอเพียง น้าฝนอีกต่อไป แต่อย่างไรก็ตามการผลิตในช่วงนี้ยังคงเน้นเพื่อยังชีพเป็นหลัก โดยจุดประสงค์เพียงแค่ให้เพียงพอต่อการบริโภคภายในครัวเรือน และด้ ว ยเหตุ ผ ลทางการผลิ ต และวิ ถี ชี วิ ต ที่ ขึ้ น อยู่ กั บ การปลู ก ข้ า ว ระยะเวลาตลอด 1 ปี จึงอิงอยู่กับวิถีเกษตรเป็นหลัก กล่าวคือ งานประเพณีใน อดีตมักจะถูกจัดขึ้นในช่วงเดือน 3–5 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ชาวบ้านเว้นว่างจากการ ทานา เก็บเกี่ยวผลผลิตเสร็จสิ้นแล้ว สามารถนาผลผลิตที่ได้เป็นวัตถุดิบสาหรับ ใช้ในพิธีกรรมได้และถือเป็นช่วงพักหน้าดินสาหรับทานาในครั้งต่อไปดังเห็นได้ จากตารางที่ 1 (ด้านล่าง) สาหรับงานปีผีมดในอดีตจะจัดขึ้นในเดือน 4 ตาม ความเชื่อโหราศาสตร์ไทยที่ว่า งานพิธีกรรมที่ไม่เกี่ยวกับพุทธหรือเรียกง่ายๆ ว่า งานผี จะไม่จัดเดือนคี่ รวมถึงเดือนที่มีพิธีทางพุทธศาสนาทาให้ต้องมาจัดเดือน 4 ต่างจากปัจจุบันที่งานปีผีมดมีการจัดเพิ่มเดือนขึ้นเป็นเดือน 6-8 และ งานบุ ญ ศาลประจ าหมู่ บ้ า นที่ แ ต่ เดิ ม ท าช่ ว งสงกรานต์ ใ นเดื อ น 5 เท่ า นั้ น เนื่องจากเป็นวันหยุด และอยู่ในช่วงพักงานด้านการเกษตรเช่นกัน เพิ่มเติมใน ส่วนงานบุญ หัวบ้านที่จัดงานบุญ ในช่วงท้ ายปี ซึ่งถือเป็นวันหยุดโดยทั่วไปใน ปัจจุบันเพียงแต่มิได้อิงอยู่กับฐานการผลิตของชาวบ้านอีก นอกจากนี้ในช่วงระยะเวลาตลอด 1 ปียังมีพิธีกรรมอื่นๆ อีก ซึ่งทั้งหมด เป็นประเพณีที่เกี่ยวข้องกับวิถีการเกษตรทั้งสิ้น กล่าวคือ ในช่วงเวลาที่ เว้นว่าง จากการท านา (เดื อ น 3–5) มี ป ระเพณี งานสลากข้ า วเปลื อ กโดยงานสลาก ข้าวเปลือกไม่ได้กาหนดวันจัดที่แน่นอนขึ้นอยู่กับความสะดวก หลังจากนั้นตั้งแต่ เดือน 7 ไปแล้วจะเข้าสู่ช่วงทานา ทาเกษตร ยาวไปจนถึงเดือน 12 ที่ไม่มีการจัด งานใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเป็นช่วงที่ต้องทุ่มเทแรงกาย แรงใจ ทาการเกษตรอย่าง เต็มที่เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ ดี เมื่อวนกลับมาในช่วงเดือน 1-2 เป็นช่วงเก็ บเกี่ยว


230

ผลผลิตจะปรากฏพิธีนวดข้าวและสู่ขวัญข้าว อย่างไรก็ตามในปัจจุบันประเพณี ดังกล่าวนี้บางส่วนได้เลือนหายไป คงไว้แต่เพียงความทรงจาเท่านั้น เนื่องจากวิถี การผลิตที่เน้นเพื่อขาย จึงจาเป็นต้องเร่งผลผลิตในแต่ละปีให้มากขึ้นตามไปด้วย


231

ตาราง 1 ประเพณี และพิธีกรรมรอบปี

หมายเหตุ : นับเดือนตามวงโคจรดวงจันทร์ที่โคจรรอบโลก หรือโหรศาสตร์ไทย


232

หลังจาก พ.ศ. 2530 ที่มีการเจริญเติบโตและพัฒนาจากสังคมเมืองซึ่ง เป็นปัจจัยสาคัญที่ทาให้ชุมชนเกิดผลกระทบและความเปลี่ยนแปลง เริ่มจากการ ตัดถนนคอนกรีตมาสู่หมู่บ้าน ส่งผลให้การคมนาคมระหว่างภายในชุมชน กับ ภายนอกสะดวกรวดเร็ว เกิดการค้าขายแลกเปลี่ยนระหว่างกัน เมื่อเดินทาง เข้าถึงชุม ชนได้แ ล้ ว ระบบสาธารณู ป โภคต่างๆ ก็เข้าถึงเป็ นลาดับต่อมา คื อ ประปา ไฟฟ้า จานวนครัวเรือนก็มีเพิ่มขึ้นจากการขยับขยายชุมชนสิ่งอานวย ความสะดวกจากเทคโนโลยี เริ่ ม ถู ก น าเข้ า มา เช่ น โทรทั ศ น์ เครื่ อ งซั ก ผ้ า เครื่องจักร โดยเฉพาะเครื่องจักร ถูกนามาใช้ช่วยทุ่นแรงในการทางาน เช่น รถ ไถนามาแทนที่วัว รถเก็บเกี่ยวข้าวแทนที่แรงงานคนรถกระบะแทนที่เกวียน เป็น ต้น ทาให้วิถีการผลิตเริ่มเปลี่ยนไป บทบาทของเครื่องจักรเทคโนโลยีมาแทนที่ แรงงานจากคน สัตว์ เพราะมีความสะดวกรวดเร็ว ทาให้ช่วยย่นระยะเวลาใน การทากิจกรรมต่างๆ ลงจึงมีเวลาเหลือ ไปทาอย่างอื่นมากขึ้น อี ก ทั้ ง ระบบการศึ ก ษาจากภาครั ฐ ได้ เข้ า ถึ ง ชุ ม ชน ท าให้ เกิ ด การ ประกอบอาชี พ ที่ ห ลากหลายมากกว่าแต่ ก่ อ น อาทิ เช่ น รับ ราชการ ค้ าขาย พนักงานบริษัทเอกชน ซึ่งคนที่ประกอบอาชีพเหล่านี้ มีทั้งที่ยังอาศัยอยู่ในชุมชน และย้ายไปอาศัยอยู่ที่อื่นด้วยเพราะหน้าที่การงาน ก่อให้เกิดการกระจายตัวของ ประชากร รูปแบบวิถีชีวิต และวิถีการผลิตเริ่มเปลี่ยนไป จากที่ผลิตเพื่อยังชีพ เพียงแค่ในครัวเรือนได้พัฒนาเป็นผลิตเพื่อขายหวังผลกาไร เพราะผลิตได้มาก ขึ้นโดยใช้เวลาเท่าเดิมหรือน้อยลง จึงมีผลผลิตส่วนเกินเหลือจากขายหรือแลก เฉพาะส่วนที่เหลือกับคนอื่นหรือกลุ่มอื่นกลับกลายเป็นเน้นผลิตส่วนเกินให้ได้ ผลผลิตเยอะๆ เพื่อจุดประสงค์ในการขายเป็นหลักแทน เนื่องจากมีเครื่องจักร ช่วยทุ่นแรงและเวลา ในช่วงนี้เงินตราเข้ามามีบทบาทสาคัญในทุกๆ กิจกรรมใน การด ารงชี วิ ต ของชุ ม ชน เพราะความทั น สมั ย ความเป็ น เมื อ ง ได้ น าระบบ เศรษฐกิจแบบอุตสาหกรรมเข้ามาด้วย


233

เมื่อมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยและเครื่องจักรช่วยทุ่นแรงในการทางานแล้ว ช่วงเวลาที่ใช้ในการทานาจึงลดลง ส่งผลต่องานประเพณี ที่เกิดขึ้นในรอบปี ที่ เปลี่ยนแปลงและรวมถึงเลือนหายไปด้วยเช่นกัน กล่าวคือ งานปีผีม ดเดิมจัด เพียงเดือน 4 เดือนเดียว ได้จัดเพิ่มขึ้นในช่วงเดือน 6-8 ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวใน อดีตเป็นช่วงที่ต้องเตรียมการปรับที่ดิน ทานา ทาไร่ เพื่อให้ทันต่อ การเพาะปลูก แต่เมื่อเครื่องจักรและเทคโนโลยีได้เข้ามาช่วยทุ่นแรงในส่วนนี้ทาให้งานที่มีเสร็จ ในเวลาอันรวดเร็ว เช่น การใช้รถไถปรับที่ดิน ทาร่อง เป็นต้น ประกอบกับการ กระจายตัวของประชากรภายในหมู่บ้านออกไปตั้งถิ่นฐานในพื้นที่อื่นๆ หรือด้วย หน้ าที่ ก ารงานที่ ไม่ ส ะดวกในการจัด งานแก้ บ นผีม ดในเพี ย งเดื อ น 4 เท่ านั้ น ระยะเวลาที่เพิ่มขึ้นในเดือน 6–8 จึงถือเป็นช่องทางหนึ่งที่ตอบสนองข้อจากัดที่ เกิดขึ้นในยุคสมัยปัจจุบัน นอกจากนี้อีกสาเหตุหนึ่งมาจากระบบเศรษฐกิจแบบอุตสาหกรรมที่มี “เงิน” เป็นตัวขับเคลื่อนสังคม ทาให้เงินเป็นปัจจัยสาคัญกาหนดการทางานหรือ กิจกรรมต่างๆ ของชุมชน เพราะทุกๆ กิจกรรมในปฏิทินชีวิตและชุมชนนั้น ใช้ เงินเป็นสื่อกลางในการซื้อ ขาย แลกเปลี่ยนแรงงาน แทนที่การนาสิ่งของมาแลก ระหว่างกันเช่นเดิม ในแง่ของผู้ประกอบพิธีกรรมที่มีลักษณะเป็นเครือข่าย อาทิ คณะนายนิมนต์ คนทรง คนรา เป็นต้น เมื่อมีจานวนครั้งในการจัดงานที่เพิ่ม มากขึ้นย่อมได้รับผลประโยชน์จากการกระจายรายได้ที่เพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน ส่วนรูป แบบและขั้น ตอนในพิ ธีกรรมยังคงถูกรักษาคงไว้แบบเดิม ใน บางส่วนและบางส่วนได้ถูกลดถอนลงเพื่อความรวดเร็วในการประกอบพิธีกรรม เช่น ระยะเวลาจัดงานผีมด (ช่วงเย็น) ที่ลดลงให้เสร็จสิ้นพิธีในเวลาเที่ยงคืน ต่าง จากเดิมที่พิธีจะจบลงในช่วงเช้ามืดของอีกวันหนึ่ ง เป็นต้น สาหรับพิธีกรรมงาน บุญศาลประจาหมู่บ้านและรูปแบบความเชื่อของศาลและความเชื่อด้วย เช่น ชาวบ้านมักจะไปขอพรหรือบนบานกับศาลประจาหมู่บ้านในสิ่งที่ปรารถนา เป็น เรื่อยมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน การทาอย่างนี้ก็ยังมีอยู่เรื่อยๆ สืบทอดต่อกัน


234

หากแต่สิ่งที่ต่างออกไป คือ เรื่องที่ไปบนบานขอพร เช่น อดีตการทาเกษตรมี ความสาคัญต่อการเลี้ยงปากท้องมาก เนื่ อ งจากการประกอบอาชี พ ยั งไม่ ห ลากหลายและการคมนาคมไม่ สะดวก จึงต้องพึ่งพาผลผลิต ชาวบ้านก็มักขอให้ได้ผลผลิตดี จานวนมาก ดินดี มีน้ าอุดมสมบูรณ์ สภาพอากาศเป็น ใจ และในเรื่องที่เกี่ ยวกับทางจิตใจเรื่อง พื้นฐานในการดารงชีวิตทั่วไปไม่ซับซ้อน แต่ปัจจุบันเรื่องที่ขอก็กลับหลากหลาย ซับซ้อนขึ้น เป็นผลจากความหลากหลายและซับซ้อนของสังคมที่เพิ่มขึ้นจาก ความเจริญก้าวหน้า เช่น ขอให้ถูกหวย ขอให้ลูกสอบได้ ขอให้ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ฯลฯ ตามแต่ผู้ขอต้องการ ซึ่งหากผลออกไปในทางที่ดี ผู้ที่มาขอไว้ก็จะทาการแก้ บนกันต่อไป กล่าวโดยสรุป เดิมงานพิธีทาบุญศาลกลางบ้านกับงานปีผีมดจะจัดขึ้น ก็ แ ต่ เฉพาะช่ ว งที่ เว้ น ว่ า งจากการท าเกษตรกรรม แต่ ปั จ จุ บั น วิ ถี ก ารผลิ ต เปลี่ยนไป เมื่ออุตสาหกรรมเข้ามามีบทบาทมากขึ้นผู้คนมีการขยับขยายที่อยู่ เกิดการย้ายถิ่นฐาน ประกอบอาชีพหลากหลายขึ้น ระบบเศรษฐกิจจากเดิมที่ ผลิตเพียงเพื่อยังชีพก็กลายมาเป็นผลิตส่วนเกินเพื่อการค้าและผลกาไร เงินตรา เข้ามาเป็นสื่อกลางในกลางแลกเปลี่ยน ทาให้ความสัมพันธ์ทางด้านความเชื่อ ก็ ต้องปรับ เปลี่ยนตามวิถีการผลิต และการดารงชีวิตเพื่ อที่จะสามารถดารงอยู่ ต่อไปได้ ดังนั้นงานพิธีกรรมด้านความเชื่อ ทั้งงานทาบุญศาลประจาหมู่บ้านและ งานปี ผี ม ดจึ งถู ก เพิ่ ม ระยะเวลาในการจั ด เพิ่ ม ตาม เพื่ อ รองรับ ส าหรับ ผู้ ที่ ไม่ สามารถทาพิธีได้ในช่วงเวลาเดิมที่และยืดหยุ่นเพื่อสอดรับกับรูปแบบการดาเนิน ชีวิตที่เปลี่ยนไปของชุมชน


235

4. บทสรุป จากการศึกษาเรื่องพิธีกรรมและความเชื่อของหมู่ 4 บ้านหนองเกตุ ทา ให้ เห็ น ว่าในหมู่ บ้ านแห่ งนี้ แ บ่ งโลกทั ศ น์ ท างความเชื่ อออกเป็ น สองแบบ คื อ ความเชื่อผี และความเชื่อพุท ธศาสนา โดยความเชื่อทั้งสองแบบมีห น้าที่ เป็ น ตัวกาหนดความคิด และการกระทาของคนในหมู่บ้าน ก่อให้เกิดการประกอบ พิธีกรรม ซึ่งถือเป็นสิ่งที่จะนาไปสู่การริเริ่มกระทาสิ่งใหม่ที่เป็นสิริมงคลต่อชีวิต รวมไปถึงการแก้ไขหรือบรรเทาสภาวะทุกข์กายและใจ ทั้งนี้งานบุญหัวบ้าน งานบุญกลางบ้าน และงานปีผีมด จาเป็นต้องอิง อยู่กับสภาพแวดล้อมของพื้นที่และวิถีชีวิตของชาวบ้านในหมู่บ้านหนองเกตุด้วย หากสภาพแวดล้อมและวิถีชีวิตเปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัยภายนอกที่เข้ามา การ ประกอบพิธีกรรมต่างๆ ย่อมเปลี่ยนแปลงตามเช่นกัน ส่งผลให้องค์ประกอบของ พิ ธีกรรมมีการเปลี่ ยนแปลงไปตามยุค สมั ย แต่ห ลั กปฏิ บั ติห รือ กระบวนการ ประกอบพิธีกรรมยังคงอยู่ โดยได้รับการสืบทอดและฟืนฟูมาเสมอ เนื่องจาก พิธีกรรมทั้ง 3 พิธีกรรมยังคงมีหน้าที่สาคัญต่อสมาชิกในบ้านหนองเกตุตั้งแต่ใน ระดับครอบครัว ไปจนถึงระดับการปกครองของหมู่บ้านได้ นอกจากนี้ ความสั ม พั นธ์ระหว่างพิ ธีกรรมที่ เกี่ยวข้องกับ ศาลประจา หมู่บ้าน (งานทาบุญหัวบ้าน และกลางบ้าน) กับงานปีผีมดยังมีความสัมพันธ์ที่ สะท้อนให้ถึงโลกทัศน์ทางความเชื่อผี และความเชื่อพุทธที่อยู่ร่วมกันอย่างไม่ สามารถแยกขาดออกจากกันได้ แม้ว่าความสัมพันธ์ดังกล่าวจะไม่แสดงออกมา อย่างตรงไปตรงมามากนัก กล่าวคือ งานทาบุญหัวบ้านและกลางบ้านจะจัดขึ้นในช่วงเทศกาลวันสาคัญที่ บ่งบอกถึงการริเริ่มกระทาสิ่งใหม่ และการเฉลิมฉลอง ทั้งวันขึ้นปีใหม่และวัน สงกรานต์ ถือเป็นช่วงของการทาบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้แก่ผีบรรพบุรุษ และ ศาลประจาหมู่บ้านที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์สิงสถิตอยู่ เพื่อสร้างความเป็นสิริมงคลให้แก่ ชีวิต ในขณะที่งานปีผีมดจะเป็นพิธีที่จัดขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาทางกายและใจ เป็น


236

พิธีที่ในช่วงชีวิตของบุคคลแต่ละคนจะต้องจัดอย่างน้อย 3 ครั้ง เพื่อให้ชีวิตรอด พ้นจากภัยอันตรายหรือโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ จะเห็นได้ว่าในขณะที่ งานบุญ หัวบ้านและกลางบ้านจะเป็นเรื่องของ ส่วนรวม แต่งานปีผี ม ดกลับ เป็ นเรื่องของปั จเจก นอกจากสองพิ ธีกรรมนี้จะ ต่างกันในเรื่องของหน้าที่ที่สนองต่อบุคคลแล้ว องค์ประกอบต่างๆ ของพิธีกรรม รวมไปถึงระยะเวลาในการจัดพิธียังต่างกันไปด้วย ฉะนั้นหากมองในภาพรวม ใหญ่ๆ จะเห็นได้ว่าสองพิธีกรรมนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกันโดยตรง แต่จากการเก็บข้อมูลภาคสนามสัมภาษณ์ชาวบ้านในหมู่บ้านแล้วนามา วิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ของสองพิธีดังกล่าวกลับพบว่างานบุญหัวบ้าน งานบุญ กลางบ้าน และงานปีผีมดมีความสัมพันธ์กันในทางอ้อม กล่าวคืองานบุญหัวบ้าน งานบุญกลางบ้าน และงานปีผีมด แม้จะมีขั้นตอนพิธีกรรมรายละเอียดเล็กน้อย ที่ แตกต่ างกั น แต่ ทั้ ง 3 พิ ธีก รรมต่ างมี จุ ด มุ่ งหมายและมี ค วามส าคั ญ เป็ น ไป ในทางที่คล้ายกัน คือ การแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ในหมู่บ้าน รวมทั้ งเป็ น การรวมคนในหมู่ บ้ า นให้ มี ค วามปรองดองกั น ผ่ า นตั ว พิธีกรรมความเชื่อต่างๆ ที่หมู่บ้านยังคงยึดถือและปฏิบัติร่วมกันมายาวนาน แม้ หมู่บ้านจะมีความเปลี่ ยนแปลงไปอย่างไรแต่ระบบความเชื่อยัง คงอยู่ได้ด้วย ศรัทธาที่มีร่วมกัน และการเห็นคุณค่าในระบบพิธีกรรมของสมาชิกในหมู่บ้าน โดยการปรับเปลี่ยนผสมผสานความเชื่อทั้งความเชื่อผีและความเชื่อพุทธ และวิธี คิดใหม่ๆ ให้เป็นไปตามยุคสมัยเพื่อสอดคล้องต่อวิถีความเป็นอยู่ของคนในยุค ปัจจุบันนั่นเอง ไม่ เ พี ย งเท่ า ลั ก ษณะความสั ม พั น ธ์ ดั ง กล่ า วยั ง สะท้ อ นให้ เ ห็ น ถึ ง ความสัมพันธ์เชิงอานาจที่ผูกขาดอยู่กับกลุ่มเครือญาติอีกด้วย ดังเห็นได้จาก กรณี ข องการสื บ ทอดต าแหน่ ง ส าคั ญ ของผู้ ป ระกอบพิ ธี ก รรมงานผี ม ดที่ มี ความสัมพันธ์กับการสร้างศาลและฟืนฟูกิจกรรมประเพณีขึ้นภายหลัง กล่าวคือ การสืบทอดตาแหน่งนายนิมนต์ใหญ่และคนประสบเมือง อันเป็นตัวแทนของ


237

บุคคลในพิธีกรรมฝ่ายชายและฝ่ายหญิง ซึ่งจากการสอบถามพบว่านายนิมนต์ ใหญ่และคนประสบเมืองสามารถสืบขึ้นไปได้สองรุ่นเท่ากันแสดงให้เห็นว่ามีการ เข้ามาตั้งคณะในหมู่บ้านในช่วงเวลาเดียวกัน อีกทั้งบุคคล ที่เคยดารงตาแหน่ง ทั้งในอดีตและปัจจุบันที่มีความเกี่ยวข้องกับนายนิมนต์ใหญ่คนปัจจุบัน โดยมีสัก เป็นหลานของนายนิมนต์ใหญ่หรือนายสายัญ จ๋องาม

ภาพที่ 3.24 แผนผังเครือญาติ แสดงความสัมพันธ์ระหว่างนายนิมนต์ ประสพเมือง และผู้ใหญ่บ้าน ภาพโดย วาศินี กลิ่นสมเชื้อ (คาอธิบาย : นายแอบ จ๋องาม เป็นนายนิมนต์ใหญ่คนแรกของหมู่บ้านหนอง เกตุและมีน้องสาวคือ นางผิน จ๋องาม ซึ่งเป็นคนออกประสบเมือง ต่อมาเมื่อนายแอบ เสียชีวิต นายยิน จ๋องาม ลูกชายคนที่ 4 ที่แต่งกับภรรยาคนแรก คือ นางไพร ต่อมา นายยิน ก็เสี ยชีวิต ไป นายสายัญ น้ องชายจากแม่ คนที่ สอง คือ นางยอง เป็ น นาย นิ ม นต์ ใหญ่ ค นปั จ จุ บั น ส่ ว นคนออกประสบเมื อ ง เมื่ อ นางผิ น เสี ย ชี วิ ต นางเจื่ อ ลูกสะใภ้ของนายแอบและลูกสาวของนางนวพรได้สืบต่อ (ปัจจุบันในหมู่บ้านมีคนออก


238 ประสบเมือง 2 คน) และผู้ใหญ่บ้านคนปัจจุบัน คือ นายจิระภัทร อินทะนิล ก็เป็นลูก ของนางผิน ที่เป็นลูกสาวคนโตของ นายดา สุขสวัสดิ์ สามีคนแรกของนางยอง (นาง ยองเคยมีสามีมาก่อนจะแต่งงานในฐานะภรรยาคนที่สองของนายแอบ จ๋องาม) ทาให้ ผู้ใหญ่บ้านคนปัจจุบันมีศักดิ์เป็นหลานของนายนิมนต์ใหญ่นั่นเอง)

ด้วยเหตุนี้จึงสันนิษฐานว่าอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับการฟืนฟูศาลหัว บ้านที่ พึ่ งเกิดขึ้นในช่วงการดารงตาแหน่งของผู้ใหญ่ บ้านคนปัจจุบั น รวมทั้ ง ทางด้านพิธีกรรมที่ถูกจัดให้กลายเป็นงานประจาปีในวันที่ 31 ธันวาคม ด้วย แรงผลักดันของนายนิมนต์ใหญ่คนปัจจุบัน ดังนั้นจึงอาจจะเป็นคาตอบให้กับ คาถามที่ว่า เพราะเหตุใดศาลหัวบ้านจึงถูกปรับปรุงก่อนศาลกลางบ้านซึ่งเป็น ศาลที่มีความสาคัญมาก่อนศาลหัวบ้าน ลักษณะดังกล่าวนี้สะท้อนให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างผู้นาทางความ เชื่อ (นายนิมนต์ใหญ่) และผู้นาทางการปกครองอย่างเป็นทางการ (ผู้ใหญ่บ้าน) ซึ่งมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกัน ได้ยกระดับความสาคัญของศาลหัวบ้านขึ้น ดังนั้นในทางหนึ่งการแสดงออกดังกล่าวนี้จึงเป็นเสมือนสัญ ลักษณ์เชิงอานาจ เพื่อตอกย้าในสถานภาพทางสังคมที่เหนือกว่าของพวกเขา รวมทั้งก่อให้เกิดการ คงไว้ซึ่งอานาจของสายตระกูล ส่งผลให้การยอมรับของคนในหมู่บ้านต่อตระกูล เหล่านั้นเช่นกัน อย่ า งไรก็ ต ามจากที่ ก ล่ าวมาทั้ งหมดจะท าให้ เห็ น ว่ าประเพณี และ พิธีกรรมทั้ง 3 พิธีกรรม สามารถสะท้อนให้เห็นภาพรวมทั้งหมดของหมู่บ้านได้ ตั้งแต่ระบบความคิด ความเชื่อ เศรษฐกิจ เครือญาติ ตลอดจนการเมืองการ ปกครองอย่างเป็นพลวัต ผ่านรายละเอียดของขั้นตอนและรูปแบบของพิธีกรรม ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอนั่นเอง


239

กิตติกรรมประกาศ งานวิจัยครั้งนี้สามารถสาเร็จได้ด้วยความกรุณาช่วยเหลือแนะนาจาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์เอกรินทร์ พึ่งประชาอาจารย์ที่ปรึกษาประจากลุ่มงานวิจัยใน ครั้งนี้ รวมถึงผู้ช่วยศาสตราจารย์ดารงพล อินทร์จันทร์ อาจารย์ประจารายวิชา และคณะอาจารย์ ทุ ก ท่ า นที่ ให้ ค าแนะน า ค าปรึ ก ษาและข้ อ คิ ด เห็ น ในการ ดาเนินงานวิจัยมาโดยตลอดตั้งแต่เริ่มต้นจนสาเร็จเป็นรูปเล่ม คณะผู้วิจัยขอ กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ขอบพระคุณชาวชุมชนบ้านหนองเกตุ ตาบลหนองจอก อาเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี รวมถึงชาวชุมชนตาบลหนองจอกทุกท่านที่ให้ความกรุณาใน การให้ความรู้และข้อมูลกับคณะผู้วิจัยด้วยความเต็มใจและอานวยความสะดวก ต่างๆ ระหว่างการวิจัยครั้งนี้ คณะผู้ จั ด ท าจึ ง ขอขอบพระคุ ณ อย่ า งสู ง ในการช่ ว ยเหลื อ และให้ ค าแนะน าจากคณะอาจารย์ แ ละชาวชุ ม ชนต าบลหนองจอก อ าเภอท่ ายาง จังหวัดเพชรบุรี ที่ทาให้งานวิจัยสาเร็จลุล่วงด้วยดี คณะผู้จัดทา


240

รายการอ้างอิง วิทยานิพนธ์ วิฑูรย์ คุ้มหอม. พิธีกรรมปีผีมด: ภาพสะท้อนสังคมและวัฒนธรรมบ้านบ่อมอญบ่อพราหมณ์ ต.นาวุ้น อ.เมือง จ.เพชรบุรี. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหา บัณฑิต, สาขาวิชามานุษยวิทยา ภาควิชามานุษยวิทยา คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2551. เอกสารอื่นๆ ของทางราชการ องค์การบริหารส่วนตาบล. (2557). “โครงการพัฒนาหมู่บ้าน.” 4 กุมภาพันธ์. สื่ออิเล็กทรอนิกส์ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม. (ม.ป.ป.). ประเพณีบุญกลางบ้าน/ส่งวัวส่งเกวียน. เข้าถึงเมื่อ 24 มิถุนายน. เข้าถึงได้จาก http://www.culture.go.th/subculture3/images/stories/Artist/vud thanathumjungvud/ perdchaburee/boonkerngbern การสัมภาษณ์ สุรินทร์ เกตุแก้ว. (2559). ชาวบ้าน. สัมภาษณ์, 28 มิถุนายน. ป๋วย คาช่วย. (2559). ชาวบ้าน. สัมภาษณ์, 28 มิถุนายน. ปาณี พุ่มงาม. (2559). ชาวบ้าน. สัมภาษณ์, 29 มิถุนายน. ทิพย์ เกตุแก้ว. (2559). ชาวบ้าน. สัมภาษณ์, 29 มิถุนายน. ธนงค์ ม่วงทอง. (2559). นายนิมนต์ใหญ่บา้ นหันตะเภา. สัมภาษณ์, 29 มิถุนายน.


241

งามวิพา มากศรี. (2559). พี่เลี้ยง. สัมภาษณ์, 30 มิถุนายน. ลาพึง เกตุแก้ว. (2559). องค์การบริหารส่วนตาบล. สัมภาษณ์, 30 มิถุนายน. สาลี่ จันทร์แสง. (2559). ชาวบ้าน. สัมภาษณ์, 30 มิถุนายน. จิระภัทร อินทะนิล. (2559). ผู้ใหญ่บ้าน. สัมภาษณ์, 30 มิถุนายน. จาเนียร วงค์ประเสริฐ. (2559). ชาวบ้าน. สัมภาษณ์, 30 พฤษภาคม. ลาเพย สุขสวัสดิ์. (2559). ชาวบ้าน. สัมภาษณ์, 30 พฤษภาคม. อาไพ เพชรงาม. (2559). ชาวบ้าน. สัมภาษณ์, 30 พฤษภาคม. เผือน คาช่วย. (2559). หมอดู. สัมภาษณ์, 31 มิถุนายน. บัว อินทะนิล. (2559). ชาวบ้าน. สัมภาษณ์, 31 มิถุนายน. สน สุขมาก. (2559). ไวยาวัจกร. สัมภาษณ์, 31 มิถุนายน. สายัญ จ๋องาม. (2559). นายนิมนต์ใหญ่. สัมภาษณ์, 31 มิถุนายน.


242


243

น้า หนอง คลอง นา : ว่าด้วยวิถีเกษตร เศรษฐกิจ และสังคม บนระบบนิเวศของหันตะเภา

โดย ฐิตินันท์ ใกล้ชิด ทีปกา โยธารักษ์ นิจนันท์ ปาณะพงศ์ พรรณลออ พิเชฐถาวร ภูเก็ต คังคายะ วิริยา ธรรมศร อาทิตยา หมื่นละม้า


244

บทคัดย่อ น้า หนอง คลอง นา สู่อาชีพ : ข้อสังเกตและข้อเสนอแนะบางประการจาก ฐานข้อมูลเชิงชาติพันธุ์วรรณาของบ้านหันตะเภา จากข้อมู ลเชิงชาติพันธุ์วรรณนาของบ้ านหันตะเภา หมู่ที่ 10 ตาบล หนองจอก อาเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี มีความโดดเด่นของพื้นที่หันตะเภา ด้านระบบนิเวศที่ก่อให้เกิดวิธีการผลิตที่มีลักษณะเฉพาะ คือ การเกษตรที่ล้อกัน ไป 4 อย่าง ได้แก่ ข้าว ปลา วัว และตาล ผ่านยุคสมัยที่มีตัวแปรเป็นโครงสร้าง ขั้นพื้นฐาน อันนาเทคโนโลยีต่างๆ เข้าสู่ชุมชน การผลิตจึงเป็นเรื่องที่เกิดคู่กับ ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมที่ผันแปรตามปัจจัยภายนอกต่างๆ ดังในหัวข้อที่ 4 อัน เกี่ยวกับเศรษฐกิจ ได้แสดงภาพการผลิตที่เกี่ยวโยงไปของผลผลิตทั้ง 4 ภายใต้ กรอบคิดนิเวศวัฒนธรรมที่มองว่าปัจจัยทางสิ่งแวดล้อ มและเทคโนโลยีกาหนด แบบแผนการผลิ ต และการผลิ ต นี้ เองที่ ก าหนดวิ ถี ท างวั ฒ นธรรมในที่ สุ ด เพราะฉะนั้นในเนื้อหาส่วนนี้เป็นการหยิบขยายประเด็นดังกล่าวเพื่อหาแนวทาง และตั้ งค าถามไปยั งอนาคตต่ อ ความเป็ น อยู่ รูป แบบวิถี ชี วิต หรือ ที่ เรีย กว่ า “วัฒนธรรม” ที่มีการปรับตัวเพื่อดารงชีพของชาวบ้าน หันตะเภามีสภาพภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่มสลับดอน ด้วยดินปนทราย ใกล้กับทะเลทาให้เกิดพืชสาคัญ คือ ต้นตาล ที่มีจานวนมหาศาล ไม่ว่าตาลจะอยู่ มายาวนานเท่าใดก็ตามผู้ที่ใช้ ประโยชน์จากธรรมชาติ คือ มนุษย์ ตามแนวคิด นิเวศวัฒนธรรม (Cultural Ecology) ของ Julian Steward ว่าการปรับตัวของ มนุษย์ต่อสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและสังคม การปรับตัวของมนุษย์ในที่นี้ หมายถึ งกระบวนการที่ ม นุ ษ ย์ ป รั บ สภาพร่ า งกาย การด ารงชี วิ ต และสั งคม วัฒนธรรมเพื่อที่จะให้มีชีวิตรอดภายใต้สภาพแวดล้อมอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งเห็น ได้จากลักษณะของการใช้เทคโนโลยี ระบบเศรษฐกิจ และการจัดระเบียบทาง สั งคมภายใต้ ป ระสบการณ์ ท างวัฒ นธรรมที่ ก าหนดโดยสภาพแวดล้ อ มทาง


245

ธรรมชาติ ที่ปรากฏในมิติประวัติศาสตร์หรือสิ่งที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน (นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ, มปป.: ออนไลน์)

1. บทนา: การปรับตัวของเกษตรกรภายใต้บริบทสิ่งแวดล้อมและ ระบบนิเวศ ประวัติศาสตร์และสภาพปัจจุบันของหันตะเภาล้วนแล้วแต่ได้รับ การ พูดถึง “การเกษตร” โดยมี ข้าวและตาล อันเป็นผลผลิตหลัก แม้กระทั่งตานาน ก็เกี่ยวพันกับภูมิประเทศอันเอื้อให้เกิดการตั้งถิ่นฐาน ทาให้เห็นความสอดคล้อง กับแนวคิดนิเวศวัฒนธรรมที่ว่า มนุษย์จะ “ปรับตัว” ทางสภาพการดารงชีวิต และสังคมวัฒนธรรมเพื่อที่จะดารงชีวิตรอดภายใต้สภาพแวดล้อมอย่างหนึ่ง คือ การสร้างองค์ความรู้หรือภูมิปัญญาในการทาตาลเป็นอาหาร เช่น น้าตาล ลูก ตาลหรือการน ามาใช้ป ระโยชน์ อื่ น ๆ เช่ น น าไม้ ต าลมาท าบ้ านยั งรวมถึ งภู มิ ปั ญ ญาในการท านา เช่น เครื่องมื อจัก สานหรือ การท าอุ ป กรณ์ ทุ่ น แรงต่างๆ แม้ว่าภูมิปัญญาเหล่านี้จะเป็นการถ่ายทอดหรือรับเอามาจากแหล่งอื่นๆ ด้วย ความเป็นคนไทย/คนเพชรบุรี ความรู้เหล่านั้นจึงถูกสั่งสมและปรับให้เข้ากับ บริบทของชุมชน ต้ น ตาลที่ มี ม ากมายในชุ ม ชนนั่ น เองที่ เป็ น ความโดดเด่ น ที่ ส ะท้ อ น ความสัมพันธ์ระหว่างสภาพแวดล้อมและแบบแผนทางเศรษฐกิจของมนุษย์ ทั้ง ยังสัมพันธ์กับเทคโนโลยีแบบดั้งเดิม (เครื่องมือจักรสาน, การนาไม้พะองมาพาด ตาล, เครื่องมือในการทาตาลอื่นๆ) กล่าวคือ เมื่อพื้นที่โดยรอบมีต้นตาลจานวน มาก และรอบๆ ต้นตาลมักจะมีพืชที่ขึ้นแซมหนึ่งในนั้นคือ ไผ่ซอและไม้พะอง ที่ ชาวบ้านเรียนรู้ที่จะนามาใช้พาดตาล อย่างไรก็ตามวิถีชีวิตหลัก ๆ คือ ข้าว แต่ พื้ น ที่ ก ลั บ มี แ ต่ ต้ น ตาล ชาวบ้ านจึ งต้ อ งถางที่ เพื่ อ ท านาในหน้ าน้ าและตาลก็ สามารถทาได้ในฤดูแล้ง เพื่อหล่อเลี้ยงให้ชีวิตดารงอยู่ในการยังชีพด้วยการกิน


246

และใช้ วงจรเหล่านี้จึงเป็นความสัมพันธ์ระหว่างภูมิปัญญา (เทคโนโลยีดั้งเดิม) สภาพแวดล้อมและผู้คน (แบบแผนทางเศรษฐกิจหรือวัฒ นธรรม)ดังนั้นเมื่ อ สภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป สิ่งที่เกิดขึ้นในหันตะเภา คือการที่เทคโนโลยีสมัยใหม่ ได้แก่ ระบบชลประทาน ถนน และรถไถนาเดินตาม ผนวกกับความตื่นตัวใน การผลิ ต ข้ า วที่ ให้ คุ ณ ค่ าเป็ น เม็ ด เงิน สู งขึ้ น เงิน จึ งเป็ น อี ก สิ่ งส าคั ญ ที่ เปลี่ ย น การเกษตรยังชีพสู่การเกษตรเพื่อการพาณิชย์ทาให้ที่นาถูกขยายอย่างง่ายดาย ในช่วงปี พ.ศ. 2529 – ปัจจุบัน ความต้องการในการทาตาลก็ลดน้อยถอยลง ต้นตาลธรรมชาติถูกโค่นมากขึ้น ส่งผลให้ภูมิปัญญาองค์ความรู้ในการทาตาลเริ่ม จะหายไปด้วย (รายละเอียดอ่านเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อที่ 4) ความสัมพันธ์ระหว่าง ความต้องการผลิตข้ าวและตาลจึงแปรผกผันกัน (อุปสงค์ของข้าวเพิ่ม อุปสงค์ ของตาลจะลดลงหรือคงที่) ในปัจจุบัน ปี พ.ศ. 2559 เมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป น้าแล้งรุนแรง ทาให้วงจรการผลิตข้าวแทนที่ตาลเริ่มมีปัญหาอาชีพเสริมจึงกลายเป็นทางเลือก ให้เกษตรกรแสวงหาและดิ้นรนเพื่อปรับตัว ข้าวก็เริ่มประสบปัญหาเรื่องราคา อันเกิดจากนโยบายส่วนกลาง ชาวบ้าน “บางราย” จึงเริ่มรู้สึกถึงความไม่มั่นคง ในแบบแผนเศรษฐกิ จ เดิ ม ภายใต้ บ ริ บ ทหรื อ สภาพแวดล้ อ มทางสั งคมและ วัฒนธรรมที่เปลี่ยนไป การแสวงหาทางเลือกใหม่ เช่น การออกไปรับจ้าง การ ปลู ก พื ช ทางเลื อ กอื่ น ๆ จึ ง เป็ น หนึ่ ง ในความสั ม พั น ธ์ ส ามเส้ า ระหว่ า งคน สภาพแวดล้ อ ม และภู มิ ปั ญ ญา เพราะสภาพแวดล้ อ มก าหนดวิ ธี คิ ด ใหม่ ๆ คือ พื้นที่นาที่ถางไว้เริ่มเปล่าไร้ประโยชน์ จึงต้องหาวิธีคิดแบบใหม่เพื่อแสวงหา รายได้ดังที่ได้กล่าวไว้ในบทสรุป อันเป็นปัจจัยสาคัญในการดารงชีพแห่งยุคโลกา ภิวัตน์ซึ่งการปรับตัวแทรกซึมไปทุกสัดส่วนของสังคม คณะผู้ ศึ ก ษาจึ งมุ่ งเน้ น ประเด็ น ที่ ก ล่ าวมาในการศึ ก ษาชิ้ น นี้ เพราะ ข้อมูลทั้งหมดจะเสนอภาพขนาดกว้างใหญ่ของชุมชนในเชิงชาติพันธุ์วรรณา แต่ ความโดดเด่นของข้อมูลทั้งหมดนี้ล้วนหันเหและชี้ตรงมาที่วิถีการทากินราวหัว


247

ศรพุ่งจากแหล่ง โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นฐานข้อมูลสาคัญในการแสวงหา ทางเลื อ กของเกษตรกรชาวบ้ าน ผู้ น าทางถิ่น ที่ อ าจน าข้ อ มู ล ไปปรับ ใช้ เป็ น นโยบายต่างๆ เพื่อสร้างทางเลือกแก่ชุมชนในอนาคต

2. ข้อมูลทั่วไปของหมูบ้านหันตะเภา บ้านหันตะเภา หมู่ที่10 ตาบลหนองจอก อาเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของสถานีรถไฟหนองจอกประมาณ 4-5 กม. และอยู่ ห่างจากตัวเมืองเพชรบุรีประมาณ 25 กม. ขับรถใช้เวลาประมาณ 30 นาที มี ถนนตัดผ่านทั้งบริเวณทางเหนือ และทางใต้ของหมู่บ้าน ซึ่งมีอาณาเขตติดต่อ ดังนี้ ทิศเหนือ ทางทิศใต้ ทางทิศตะวันออก ทิศตะวันตก

ติดต่อกับหมู่ที่ 7 หนองขนาน อ.เมืองจ.เพชรบุรี ติดต่อกับหมู่ที่ 7 ต.หนองจอกอ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี ติดต่อกับหมู่ที่ 12 ต.หนองจอกอ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี ติดต่อกับหมู่ที่ 1ต.ปึกเตียนจ.เพชรบุรี

บรรยากาศของหมู่บ้านแห่งนี้จะเต็มไปด้วยทุ่งนาขนาดใหญ่ สลับกับดง ตาลสูงตระหง่านที่มีให้เห็นเป็นระยะๆหมู่บ้านแห่งนี้มีประวัติการอยู่อาศัยสืบ สกุลกันมาเป็นเวลานาน ราว 120-150 ปี บ้านแทบทุกหลังนั้นล้ วนเป็นเครือ ญาติกันทั้งสิ้น มีประเพณีเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องผีที่เกี่ยวโยงกับวิถีชีวิตเกษตรกร และเป็นพื้นที่ที่อุดมไปด้วยตาลธรรมชาติ และยังเป็นพื้นที่น้าท่วมขังในฤดูฝน ระบบสาธารณูปโภคของบ้านหันตะเภา มีโรงเรียนประถมศึกษาตั้งอยู่ 1 แห่ง มีร้านขายของชาขนาดเล็ก 1 แห่ง ร้านขายกาแฟ ที่เป็นร้านตัดผมไป ด้วย 1 แห่ ง รวมอยู่ในพื้ น ที่ ห มายเลข 3 (ในภาพที่ 2) แหล่งน้ าประปาของ ประปาหมูบ้ านเป็น สระน้าขนาดใหญ่ และยังคลองชลประทานไหลพาดผ่าน


248

หมู่บ้าน ได้แก่ “คลองส่งน้า” ซึ่งก็จะมีการเปิดน้าไหลเข้าพื้นที่การเกษตรเป็น ระยะๆ พื้ น ที่ บ ริเวณทางตอนเหนื อนั บ ตั้ งแต่ ค ลองชลประทานขึ้ น ไป (พื้ น ที่ หมายเลข 1 ในภาพประกอบที่ 2) และ “คลองทิ้งน้า” ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของ หมู่บ้านมีหน้าที่ระบายน้าทิ้งเกินล้นออกสู่ทะเลที่ตาบลปึกเตียน หันตะเภา มีผู้อยู่อาศัยประมาณ 270 คน มีจานวนบ้านทั้งหมด 66 หลังคาเรือน ชาวบ้านส่ วนใหญ่ ประกอบอาชีพ เกษตรกรรม การเลี้ยงโคเนื้ อ นอกจากนั้นนิยมทางานรับจ้าง

ภาพที่ 4.1 แหล่งน้าสาหรับระบบประปาหมู่บ้านในปัจจุบัน (ถ่ายภาพโดย: วิริยา ธรรมศร เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2559)


249

2.1. ลักษณะทางกายภาพ สภาพทางกายภาพของหมู่บ้าน ส่วนใหญ่จะเป็นที่ราบลุ่มเหมาะแก่การ ทานาและการปลูกพืชไร่ ในหมู่ บ้านเคยมีหนองน้าขนาดใหญ่ ซึ่งแห้งขอดและ หายไปหลังจากมีการขุดลอกคลองทิ้งน้าอย่างต่อเนื่อง สภาพดินของหมู่บ้าน ส่วนใหญ่จะเป็นดินที่มีความเค็มเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่บางส่วนที่สามารถปรับ ดินให้สามารถเพราะปลูกได้ก็จะกลายไปเป็นพื้นที่เพาะปลูก สภาพดินฟ้าอากาศของที่บ้านหันตะเภาแห่งตามปกติจะมีฝนตกเกือบ ทั้งปี ส่วนใหญ่จะเริ่มเข้าสู่ฤดูฝนประมาณช่วงเดือนพฤษภาคม จนไปสิ้นสุดที่ ช่วงต้นปีของอีกปีหนึ่ง หลังจากนั้นก็จะเป็นช่วงฤดูแล้งซึ่งจะสามารถเพาะปลูก ได้ก็ต้องพึ่งพาระบบชลประทานเท่านั้น แต่ช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาฝนเริ่มไม่ตกตาม ฤดูกาลและปริมาณน้าฝนน้อย ส่งผลให้การทานานอกฤดูต้องประสบปัญหา พื้นที่โดยรวมส่วนใหญ่ในหมู่บ้านนี้จะเป็นที่นาข้าวเป็นส่วนใหญ่เพราะ ชาวบ้านในหมูบ้านนี้ทานาเลี้ยงชีพกันมาเป็นเวลานาน จึงไม่แปลกที่ชาวบ้านใน พื้นที่นั้นจะมีอาชีพทานากันเสียส่วนใหญ่ และด้วยความที่สมาชิกในหมู่บ้านนี้ ส่วนใหญ่เป็นเครือญาติกันจึงนิยมที่จะอยู่อาศัยในบริเวณที่ใกล้เคียงกัน พื้นที่ อยู่ อาศัยของหมู่บ้านนี้จึงกระจุกรวมตัวกันอยู่ในบริเวณหนึ่งอย่างเห็นได้ชัดดังใน พื้นที่หมายเลขที่ 3 และ4 ในภาพประกอบ และมีประปรายที่แยกออกมาอยู่ บริเวณรอบนอกของหมู่บ้าน นอกจากนั้นก็ยังมีดงตาลอยู่ให้เห็นประปราย อาชี พ เกษตรกรในหมู่ บ้ านเองก็ เป็ น อาชี พ หลั ก ของคนในหมู่ บ้ านนี้ โดยเฉพาะการทานา ชาวบ้านเองก็จะทานากันทั้งปี ถ้าหากมีน้าเพียงพอสาหรับ ในการทานา แต่ช่วงหลังมานี้เนื่องจากราคาข้าวที่ตกต่านั้นก็ส่งผลให้รายได้ของ ชาวบ้านเองนั้นลดลง แต่ต้นทุนเองก็เท่าเดิม ทาให้ชาวบ้านเองก็หันมาปลูกพืช ทางเลือกเพื่อทดแทนรายได้ที่หายไปจากราคาข้าวที่ตกต่า ประกอบกับเด็กรุ่น ใหม่ ที่ เกิ ด มานั้ น ก็ มั ก จะนิ ย มที่ จ ะส่ งไปเรี ย นสู ง ๆ และท างานมากกว่ า ที่ จ ะ


250

ส่งเสริมให้มาเป็นเกษตรกร อาชีพเกษตรแบบครัว เรือนนั้นจึงมีแนวโน้มที่จะ หายไปและที่นาก็จะถูกปล่อยให้เช่ามากกว่าเจ้าของที่ทานาเอง 2.2. พื้นที่ทางสังคม ชีวิตของชาวบ้านในหมู่บ้านหันตะเภานั้นส่วนใหญ่จะออกกันไปทางาน แต่รุ่งเช้า พอเริ่มสายหลังเสร็จภารกิจต่างๆก็จะแวะเวียนกันเข้ามาที่ร้านที่ค้าที่ บริเวณศูนย์กลางของหมู่บ้าน มาพูดคุย พบปะกัน หรือมาพักหลบแดดเพื่อ เอา แรง ก่อ นจะออกไปท างานหรือกลั บ เข้าบ้ านของตน ภาพบรรยากาศแบบนี้ นอกจากมีให้เห็นในตอนสายแล้วก็ในตอนเย็นก่อนค่า ร้านค้าในหมู่บ้านแห่งนี้ (ร้านค้าตั้งอยู่ข้างโรงเรียนและศาลาประชาคม สามารถมองได้ในแผนที่เดินดิน รูปที่ 2) จึงเป็นศูนย์รวมของผู้คนในพื้นที่หมู่บ้านจานวนหนึ่ง นอกจากนั้นยังมี ร้านกาแฟ ซึ่งเป็นที่ที่ผู้คนผ่านไปผ่านมาแวะเวียนพูดคุยเช่นกันแต่ส่วนใหญ่จะ เป็นคนนอกหมู่บ้านที่ทางานในบริเวณตาบลหนอกจอก ภายในหมู่บ้านไม่มีพื้นที่สาหรับสังฆกรรม ในโอกาสวันสาคัญทางพุทธ ศาสนาชาวหั นตะเภาจะเดิน ทางไปที่ วัดหนองจอก หรือวัดหนองบั ว ซึ่ งเป็ น เช่นนั้นตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน แสดงให้เห็นความสัมพั นธ์ที่ยึดโยงชาวหันตะเภา และหนองจอก


251

ภาพที่ 4.2 แผนที่ทางอากาศหมู่บ้านหันตะเภา (ที่มาภาพ: Google Earth) จากภาพหมายเลข 1) แสดงบริเวณพื้ น ที่ ด้ านทิ ศ เหนื อ ของหมู่ บ้ า น มี ก ารอยู่ อ าศั ย กั น ไม่ หนาแน่น พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่การเกษตร 2) แสดงพื้นที่บริเวณช่วงกลางหมู่บ้าน เป็นพื้นที่ที่มีการอาศัยรวมกันใน พื้นที่นี้เป็นส่วนใหญ่ นอกจากนั้นก็ยังเป็นศูนย์กลางของหมู่บ้านที่ผู้คน มีกิจกรรมทางสังคมและพบปะกัน 3) แสดงพื้นที่บริเวณทิศใต้ของหมู่บ้าน มีการอยู่อาศัยไม่หนาแน่นมากนัก


252

ภาพที่ 4.3 แผนที่เดินดินตั้งชุมชนและสถานที่ต่างๆภายในหมู่บ้านหันตะเภา (ภาพวาดโดย: ภูเก็ต คังคายะ เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2559)

3. ประวัติศาสตร์ของ “หันตะเภา” เท่าที่รู้ เนื้อหาในส่วนนี้เป็นประวัติศาสตร์บอกเล่าโดยอาศัยเรื่องเล่าที่ยืนยัน จากผู้คนในหันตะเภา แล้วค่อยๆ ปะติ ดปะต่อ เพื่อสร้างภาพของหันตะเภาใน อดีต อย่างไรก็ตามในหลายส่วนของประวัติศาสตร์ไม่สามารถระบุช่วงเวลาได้ อย่างชัดเจน จึงอาจแบ่งยุคสมัยของหมู่บ้านได้เป็น


253

1) แรกเริ่มที่พอรู้ นั่นคือช่วงที่ผู้ศึกษาสืบย้อนไปถึงสมัยที่มีไทยทรงดา อาศัยอยู่ก่อนในพื้นที่นี้ซึ่งเรียกว่า “ร่องอ้อย” และไม่สามารถสืบลึกเข้าไปได้อีก เนื่องจากการขาดหายของบุคคลและช่วงเวลา 2) โรงเรียน เขื่อน และถนน ในยุคตะเภาหัน สู่หันตะเภาเป็นช่วงที่หัน ตะเภาต้องติดต่อกับชุมชนอื่นๆ มากขึ้น 3) หมู่บ้านสมัยใหม่ โดยอิงอาศัยกับถนนใหญ่ที่นาเทคโนโลยีรวมถึง รูปแบบการปกครองโดยรัฐที่เข้ามาอย่างสมบูรณ์จนทาให้หันตะเภากลายเป็น เช่นปัจจุบัน 3.1. แรกเริ่มทีร่ ู้ หันตะเภา เป็นชื่อที่เกิดจากเรื่องเล่า/ตานานของผู้คนแถบนี้ ว่ากันว่า ในอดีตกาลมีเรื อสาเภาแล่นเข้ามายังบริเวณต่างๆ จากปากทะเลปึกเตียนใน ปัจจุบัน นั่นคือเมื่อเรือคลายใบ พื้นที่ตรงนั้นถูกเรียกว่า “หนองทราย” เมื่อเรือ คลี่ใบ พื้นที่ตรงนั้นถูกเรียกว่า “หนองคลี่” และเมื่อเรือมาถึงบริเวณนี้เรือก็ตีวง เพื่อกลับลาจนเกิดหนองขนาดใหญ่เช่นกัน พื้นที่นี้จึงถูกเรียกว่า “ตะเภาหัน” ต่อมาจึงถูกเปลี่ยนเป็น “หันตะเภา” โดยนายประเสริฐ ผู้ใหญ่บ้านคนแรก แต่ จากค าบอกเล่ าของนางอุ ดม ปิ่ น เกล้ า อายุ 66 ปี ซึ่ งได้รับ ฟั งเรื่อ งราวจาก มารดาที่เพิ่งเสียเมื่อ ปี พ.ศ. 2551 ตอนอายุราว 90 ปี เล่าว่า แต่เดิมพื้นที่นี้ถูก เรียกว่า “บ้านร่องอ้อย” เคยมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์จนมีหลักฐานปรากฏว่า มี ชาวไทยทรงดาอาศัยอยู่ก่อนแล้วเมื่อทนแล้งไม่ไหว (พื้น ที่ตรงนี้ไม่ได้แล้งน้าใน ฤดู น้ า จึ งสั น นิ ษ ฐานว่าน่ าจะเกิ ด จากสภาพดิ น ที่ ไม่ เอื้ อ อ านวยมากกว่า) จึ ง อพยพขึ้นป่าบนหมด (อุดม ปิ่นเกล้า, 2559: สัมภาษณ์) เมื่อสืบสาวถึงชาวโซ่งปรากฏว่าชาวโซ่งมิได้หายไปจากชุมชนเสียทีเดียว หากแต่อยู่ร่วมกันกับชาวบ้านที่เป็นคนไทยหรือคนเพชรฯ มาตลอด จากการ คานวณอายุของนางพล กองแก้ว อายุ 94 ปี ซึ่งแต่งงานเข้ามาอยู่ในหันตะเภา


254

ตอนอายุ 20 ปี ยังปรากฏว่าละแวกบ้านยังคงมีโซ่งอาศัยอยู่ โดยนางผลบอกว่า พวกเขาจะนุ่งผ้าถุงสีดาลวดลายเฉพาะของลาวโซ่ง ซึ่งจะอยู่ด้วยกันและถูกกลืน กลายทางวัฒ นธรรมผ่ านทางการแต่ งงานระหว่างคนไทยเพชรบุ รี จากการ สืบสายสกุลที่พบในปัจจุบันพบว่า สายสกุล “ช้างพลาย” คือสายของโซ่งที่ผสม จากลูกครึ่งเป็นลู กเสี้ยวจนกลายเป็นคนไทยเพชรในที่สุด (ตัดสิ นจากการไม่ ยอมรับว่าตนเป็นโซ่ง) ปัจจุบันผู้หญิ งสกุลช้างพลายก็แต่งงานเป็นสกุล “ม่วง ทอง” ไปแล้ว(จากข้อมูลที่ได้มาคือ นายหืด ช้างพลายและนางไล๊ ช้างพลายเป็น ต้นตระกูลช้างพลาย แต่งงานแล้วมีบุตรสี่คน บุตรสาวหนึ่งในนั้น ปัจจุบันเป็น ร่างทรงที่ยังมีชีวิตอยู่และเป็นภรรยาของนายนิมนต์หรือนายธนงค์ ม่วงทอง ใน ปัจจุบันภรรยาเปลี่ยนเป็นนามสกุลม่วงทอง เหตุนี้ นามสกุลเดิมจึงค่อยถูกกลืน กลายไป ตระกูลช้างพลายจึงไม่ปรากฏให้เห็นในชุมชนแล้วในปัจจุบัน (ธนงค์ ม่วงทอง, 2559 : สัมภาษณ์) ซึ่งหากจะประมาณอายุข องหมู่ บ้านตามคาบอกเล่าและการสืบสาว เรื่องเครือญาติ ก็จะได้ประมาณ 120-150 ปี จากคาบอกเล่าของนางผล กอง แก้ว อายุ 94 ปี ที่บอกว่ายังมีไทยทรงดาอาศัยอยู่ร่วมกัน ซึ่งนางผลแต่งเข้ามา ในหมู่บ้านตอนอายุ 20 ปี ซึ่งมีครอบครัวและหมู่บ้านอยู่ก่อน อนึ่งมารดาของ นางอุดม ปิ่นเกล้า ซึ่งปัจจุบันเสียชีวิตแล้วเมื่อ ปี พ.ศ. 2550– พ.ศ. 2551 แต่ นางอุดมกล่าวว่าหากยังอยู่ก็จะแก่ที่สุดในหมู่บ้าน (ราว 104 ปี) ซึ่งเป็นคนเล่า ให้นางอุดมฟังว่าแต่ก่อนมีไทยทรงดาอยู่และถูกเรียกว่า “ร่องอ้อย” (อุดม ปิ่น เกล้า, 2559: สัมภาษณ์) แสดงให้เห็นว่ามีคนอยู่ก่อนแล้วอีกหนึ่งถึงสองรุ่น หาก คานวณโดยนาเอา 1-2 รุ่นที่อยู่มาก่อนก็จะได้สมัยที่หมู่บ้านถูกเรียกว่า “ร่อง อ้อย” ประมาณการอายุได้ 120-150 ปี


255

3.2. โรงเรียน เขื่อนคลองและท้องถนน (ราวปี พ.ศ. 2482– พ.ศ. 2520) อย่างไรก็ตามประวัติศาสตร์ของชุมชนนี้ นอกเหนือจากตานานชาวบ้าน มักจะเล่าผ่าน “สิ่งของ” มากกว่าจะเป็นเหตุการณ์สาคัญๆ สิ่งของซึ่งอิง อยู่กับ สภาพแวดล้อมและวิถีชีวิต ด้วยความที่ชุมชนหนึ่งไม่อาจดารงอยู่อย่างโดดเดี่ยว และตัดขาดกับชุมชนอื่น ๆ ได้ (นิวัฒน์ ฉิมพาลี, 2526) แรกเริ่มนั้นพื้นที่นี้ ถูก เรียกว่า “พื้นที่ตาบอด” คือถูกตัดขาดจากอานาจ การติดต่อและปฏิสัมพันธ์ จากตัวเมืองหนองจอก ด้วยเหตุที่หันตะเภามีลาห้วยกั้นขวางการคมนาคมทาให้ การติดต่อกับคนภายนอกเป็นไปอย่างยากลาบาก มีเพียงการเดินทางผ่านทาง ห้วยแห่งนี้เส้นทางเดียว เมื่อชาวบ้านจะเดินทาง พวกเขาจะเดินไปตามคันนา เพื่อติดต่อแลกเปลี่ยนค้าขายกับชุมชนอื่นๆ หากข้ามไปทางหนองจอกก็จะต้อง ใช้ชุด 2 ชุด กล่าวคือ เมื่อข้ามห้วยก็จะเปียกจึงต้องเปลี่ยนชุ ดก่อนจะเดินทาง ต่อไปยังที่หมาย ทว่าในฤดูน้าหลากชาวบ้านจะไม่นิยมเดินทางกันเพราะปริมาณ น้าที่มากทาให้เสี่ยงต่อการถูกน้าพัดไปจึงทาได้เพียง...รอ จนกว่าระดับน้าจะ ลดลง ซึ่งใช้เวลาไม่นานมากนักเพราะเป็นพื้นที่ใกล้ทะเล น้าจะถูกระบายออกสู่ ทะเลอย่างรวดเร็ว โรงเรียน ลายลักษณ์อักษรแรกที่บันทึกไว้ในหมู่บ้านนี้ คือ การพูดถึง “สิ่งของ” ที่เรียกว่า “โรงเรียน” บันทึกหมายเหตุรายวันของโรงเรียนบ้านหันตะเภาเขียน ไว้ว่า “โรงเรียนบ้านหันตะเภาเปิดทาการเรียนการสอนอย่างเป็นทางการ เมื่อ วันที่ 24 เดือนกันยายน พ.ศ.2482 ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-2 มีครู 2 คน มีนางชุ่มชื่น ปิ่นเกล้า เป็นครูใหญ่” เมื่อนาไปขยายความต่อก็พบว่าราว ปี พ.ศ. 2482 ลงมานั้นลาห้วยหัน ตะเภา (ปัจจุบันขุดขยายเป็นคลองทิ้งน้าหันตะเภา) กว้างและลึกการเดินทาง ยากลาบาก เต็มไปด้วยอุปสรรคดงดอนบดบังการติดต่อสื่อสาร การเดินทางไป


256

หนองจอกต้องเอาเสื้อผ้าไป 2 ชุด มักเดินไปทางหน้าหมู่บ้าน(บริเวณหน้าบ้าน นางอุดมปัจจุบันเป็นสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กข้ามห้วย) ตอนข้ามน้าจะเปียก โชกก็จะเปลี่ยนชุด (อุดม ปิ่นเกล้า , 2559: สัมภาษณ์) ทางเดินที่ใช้สัญจรเป็น ทางตามคันนาหรือทางเท้าที่ชาวบ้านทาเข้าที่นาของตัวเอง ลัดเลาะไปเรื่อยๆ (จารัส บัวเจริญ, 2559 : สัมภาษณ์) ในช่วงหนึ่งที่ชาวบ้านหันตะเภาตระหนักถึง ความสาคัญในการศึกษาและการเดินทางไปเรียนที่หนองจอกนั้นยากลาบาก จึง ร่วมกันสร้างโรงเรียนขึ้นมาโดยคนสายตระกูลปิ่นเกล้า (นางเต็ม,นายแก้ว) และ นายประเสริฐ นางนิ่ม จากสายสกุล คล้ายคลึง นาชาวบ้านสร้างอาคารเรียน ชั่วคราวโดยไม้ตาล มุงหญ้าคา โดยได้รับบริจาคที่ดินจากนายล่อม ใจเที่ยง ซึ่ง ต่อมาได้รับงบประมาณจากรัฐและเปิดสอนเป็นทางการโดยนายชุ่ม ปิ่นเกล้า ใน ปี พ.ศ. 2482 ทาให้โรงเรียนบ้านหันตะเภาเริ่มกลายเป็นศูน ย์กลางการศึกษา ของชุ ม ชนข้ างเคี ย ง ได้ แ ก่ ห้ วยทบ แคใหญ่ และหนองทราย กล่ าวกั น ว่ามี นักเรียนประถมถึง 200 คน (ทวี จ่งศรี, 2559: สัมภาษณ์) ภาวะนี้บีบค้นการเดินทาง หลังปี พ.ศ.2482– พ.ศ. 2523 ชาวบ้าน ออกแรงสร้างสะพานไม้เพื่อข้ามห้วยจากขอบตลิ่งหน้าโรงเรียนเพื่อข้ามไป (เป็น แนวสะพานคอนกรีตในปัจจุบัน) จากนั้นการเดินทางก็ทวีความสาคัญทางและ ถนนเลียบคลองส่งน้า/คลองทิ้งน้า เริ่มถูกขยายเป็นทางเกวียนและทางลูกรัง นางทองเจือ คาคล้ายกล่าวว่าตนเป็นเจ้าของรถอีแต๋นคันแรกในหมู่บ้าน ซึ่ ง อาศัยทางเกวียนและทางเลียบคลองขับพาเด็กๆ ไปเที่ยวงานพระนครคีรีราว 30 ปีก่อน (ราว พ.ศ. 2523– พ.ศ. 2529) ทาให้ประมาณการได้ว่าเทคโนโลยีและ ถนนเริ่มเข้ามาในช่วงเวลาดังกล่าว


257

คลอง อีกประการที่ละทิ้งไม่ได้คือเรื่องราวและวิถีชีวิตของชุมชนหันตะเภาที่ สั ม พั น ธ์ กั บ คลองชลประทาน ได้ แ ก่ คลองส่ งน้ าและคลองทิ้ งน้ าส าหรับ ท า การเกษตร ซึ่งเป็น “สิ่ง” เชื่อมโยงหมู่บ้านกับส่วนกลางอีกทางหนึ่ง กล่าวคือ เมื่อมีคลองส่งน้าชาวบ้านก็จะใช้ทางเลียบคลองเป็นทางเดินสัญจร แล้วขยาย จนเป็นถนนลาดยางในปัจจุบัน อีกหนึ่งประการสาคัญคือ คลองทิ้งน้า สาหรับ ระบายน้าออกจากที่นาลงทะเล ยังผลให้หนองขนาดใหญ่ที่เล่าว่าเป็นจุดที่เรือ สาเภาหัน หนองที่ชาวบ้านได้พึ่งพิงในฤดูแล้ งหายไปจากการทับถมของดินจาก คลองขุด ซึ่งปัจจุบันไม่เหลือเค้าเดิมของหนองแล้ว คงแต่สระน้าใหญ่ซึ่งใช้เป็น แหล่งน้าประปาหมู่บ้านในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามก่อนการมีถนนเลียบคลอง ชาวบ้ า นหั น ตะเภาในอดี ต ต้ อ งเดิ น ทางข้ า มห้ ว ย (จ ารั ส บั ว เจริ ญ , 2559: สัมภาษณ์) ในช่วงคาบเกี่ยวกันกับการสร้างโรงเรียนบ้านหันตะเภาคาดว่า สะพาน ไม้ที่ชาวบ้านสร้างเสร็จนั้นเชื่อมต่อระหว่างหันตะเภากับตลาดหนองจอก หรือ เทศบาลหนองจอกในปัจจุบันเป็นอย่างดี คือในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ญี่ปุ่นเข้ามาตั้งค่ายในพื้นที่หนองจอก จะมีชาวบ้านจากหลายหมู่บ้านไปรับจ้าง ถางป่า ปลูกค่ายอยู่เนืองๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ นางผล กองแก้ว โดยนางผลเล่าว่า ชาวบ้านไปรับจ้างถางหญ้าเขาก็ไม่ได้ทาอะไรชาวบ้านหรอก เห็นแต่ฝรั่งชาว ฮอลันดาโดนทรมานโดนเผา น่าสงสาร (ผล กองแก้ว , 2559: สัมภาษณ์) ซึ่งจะ เห็นการเดินทางเชื่อมต่อกับชุมชนอื่นๆ กับพื้นที่ “ตาบอด” นี้มากยิ่งขึ้น


258

3.3. หมู่บ้านสมัยใหม่ ในส่วนนี้อาจเริ่มด้วยการที่รัฐเข้ ามามีอานาจ กล่าวคือในสองประเด็น แรกจะเห็นว่าพื้นที่ค่อนข้างถูกตัดขาดทาให้หมู่บ้านเกิดระบบนักเลงดูแลท้องถิ่น ทว่าหลังการติดต่อคมนาคมเริ่มสะดวกขึ้นจากยุค พ.ศ. 2482 เป็นต้นมา ทาให้ อานาจรัฐเข้ามาหลังจากที่พักสายตรวจหนองจอกมีหัวหน้าเป็นตารวจสัญญา บัตรเพื่อดูแลท้องถิ่นอย่างเด็ดขาดหรือให้รับแจ้งความและสอบสวนคดีได้ช่วง ราวปี พ.ศ. 2521 (ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2489 เป็นแค่ที่พั กสายตรวจเท่านั้น ยังไม่มี อ านาจในการสอบสวนคดี ค วาม การแจ้ งคดี ค วามต้ อ งไปแจ้ งความที่ ส ถานี ตารวจภูธรท่ายาง) ระบบเสือหรือระบบอุปถัมภ์ของคนใจนักเลงที่เคยกระจาย อยู่ในชุมชนต่างๆ ก็เริ่มหายไป(ยุครุ่งเรืองของเหล่าเสือ ราว ปี พ.ศ. 2509– พ.ศ. 2512) รวมถึงเหล่าเสือในบ้านหันตะเภาเองด้วย ซึ่งเหลือแต่เพียงญาติพี่ น้องทั้งสนิทสนมและญาติห่างๆ (เนื่องด้วยคนเป็นญาติกันทั้งชุมชน) ซึ่งผู้ศึกษา ขอสงวนการเผยแพร่นามเพื่อรักษาสิทธิของผู้ให้ข้อมูล ในการนี้เองเป็นสิ่งแสดง ให้ เห็ น ว่ า อ านาจรั ฐ เข้ า มาจั ด การท้ อ งถิ่ น และผลั ก ดั น การติ ด ต่ อ คมนาคม จนกระทั่งหมู่บ้านเข้าสู่หมู่บ้านสมัยใหม่ในยุคทุนนิยมเฉกเช่นปัจจุบัน

4. การจัดการทางสังคม การเมืองและระบบเครือญาติภายในชุมชน หันตะเภา เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่ผูกโยงผู้ คนและสิ่งของเข้าด้วยกัน นามาสู่ เรื่องราวของเครือญาติและการจัดการทางสังคมอื่นๆ ซึ่งกล่าวกันโดยสังเขป ใน ประวัติศาสตร์ชุมชนข้างต้นไว้บ้างแล้ว เนื้อหาในหัวข้อนี้ คือ รายละเอียดที่ผู้ ศึกษาทาการสืบสาวถึงสายตระกูลหลักๆ จากคาบอกเล่าและผังเครือญาติ ซึ่ง จะแสดงให้เห็นถึงการยึดโยงหรือการจัดการทางสังคมที่เกิดจากระบบเครือญาติ ในหันตะเภา


259

ชุมชนหันตะเภาหมู่ที่ 10 แห่งตาบลหนองจอกเป็นชุมชนเก่าแก่แห่ง หนึ่ ง ตลอดช่ วงเวลาที่ เกิดเป็ น ชุม ชนขึ้น ก็เกิดการวมกลุ่มและการสร้างที่ อ ยู่ อาศัยอย่างถาวรขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีการรวมกลุ่มก็ย่อมเกิดผู้นาโดยธรรมชาติขึ้น เช่นกันและพัฒนามาจนเป็นผู้นาทางกฎหมายในปัจจุบัน ด้วยระบบการปกครองที่เปลี่ยนไปเช่นนี้ทาให้เล็งเห็นถึงสภาพสังคม ภายในที่เปลี่ยนแปลงไปเช่นกันเพราะตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันต่างก็มีปัจจัยเข้า มาส่งผลกระทบในรูปแบบที่ต่างกันไป โดยเฉพาะด้านการจัดการทางการเมือง สังคมและระบบเครือญาติภายในชุมชน โดยปัจจัยภายนอกที่กล่าวมาข้างต้นนี้ อาจอยู่ในรูปแบบของค่านิยม เทคโนโลยี ระบบเศรษฐกิจ ยาเสพติดหรื อแม้แต่ ความสะดวกสบายที่ทาให้คนอยากได้อยากมีขึ้นกว่าแต่ก่อนจึงพยายามทาทุก วิถีทางเพื่อให้ได้มา ลักษณะความต้องการเหล่านี้จึงนาไปสู่ปัญหาทางการจัดการและการ ควบคุมทรัพยากรภายในชุมชนจึงทาให้ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการปกครอง หรือการจัดการทางสังคมให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ณ ขณะนั้นด้วย การเมือง การปกครองจึงเป็นสิ่งที่มีความเลื่อนไหลอยู่ตลอดเวลา แสดงให้เห็นผ่านทาง ข้อมูลจากการสัมภาษณ์สมาชิกภายในชุมชนหันตะเภา ดังนี้ 4.1. ครอบครัวและระบบเครือญาติ ระบบการเมืองการปกครองไม่ว่าจะในยุคใดสมัยใดก็ล้วนมีทั้งอานาจ ทางตรงและอานาจแฝงอยู่หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นอานาจทางการปกครองทั้งที่ เป็ น ทางการและไม่ เป็ น ทางการเกิ ด ขึ้ น ในชุ ม ชนจั ก ถู ก เปลี่ ย นมื อ ไปเรื่ อ ยๆ ตามแต่ละยุคสมัย แต่มิเคยหลุดออกจากขอบเขตของระบบเครือญาติ ที่เป็ น ฐานปัจจัยหนึ่งในการควบคุมให้เกิดการปกครองและการจัดการกับทรัพยากร ภายในชุมชน


260

ลักษณะครอบครัว ชุมชนหันตะเภาแห่งนี้เป็นสังคมเกษตรแบบยังชีพ โดยเน้นการปลูก ข้าวเป็นหลัก จึงต้องการแรงงานจานวนมากและครอบครัวก็เป็นฐานแรงงานที่ สาคัญของชุมชนในการทานา ดังนั้นลักษณะครอบครัวจึงเป็นแบบครอบครัว ขยายที่อยู่ภายในชายคาเดียวกันหรืออาณาบริเวณเดียวกันแต่มิได้บังคับชัดเจน ว่ า ผู้ ช ายจะต้ อ งย้ า ยไปอยู่ กั บ ครอบครั ว ฝ่ า ยหญิ ง หรื อ ฝ่ า ยหญิ ง ต้ อ งอยู่ กั บ ครอบครัวของฝ่ายชายกันแน่ รูปแบบความเป็นอยู่จึงหาความชัดเจนไม่ได้มีแต่ การแต่งเข้าและแต่งออกอยู่เสมอ ทว่าบางครอบครัวก็ยังคงยึดหลักตามลักษณะความเป็นอยู่ทั่วไปของ คนไทยนั้นคือ ฝ่ายชายจะมาอยู่ในครอบครัวฝ่ายหญิงก่อน โดยนายธนงค์ ม่วง ทอง ที่รู้จักกันในนามของนายนิมนต์ประจาหมู่บ้านหันตะเภา กล่าวว่าในอดีต หากถูกตาต้องใจใครเมื่อตกลงปลงใจจะใช้ชีวิตร่วมกันแล้วฝ่ายชายจะไปสู่ขอ ฝ่ายหญิ งที่บ้านก่อน เพื่อให้พ่อแม่ของภรรยารับรู้และอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน เป็นเวลาสามวัน จากนั้นจึงค่อยตัดสินใจว่าจะอยู่บ้านหลังนั้นต่อหรือแยกตัว ออกไปสร้างบ้านของตัวเองเพื่อแยกครอบครัวไปอยู่กับภรรยา สิ่งนี้แสดงให้เห็น ว่ามี ก ารให้ เกี ย รติ แ ละนั บ หน้ าถื อ ตาพ่ อ แม่ ข องฝ่ ายหญิ งพอสมควร ทว่าใน ปั จ จุ บั น มิ ได้ ให้ ค วามส าคั ญ กั บ พิ ธีก รรมเหล่ านี้ เท่ าแต่ ก่ อ นอาจมี บ้ างให้ เห็ น บางครั้งคราวเท่านั้น (ธนงค์ ม่วงทอง, 2559: สัมภาษณ์) การแต่งงานและการย้ายถิ่นฐาน ตามประวัติศาสตร์ของชุมชนแห่งนี้เริ่มต้นจาก 3 ตระกูลหลักที่เข้ามา ตั้งถิ่นฐานในชุมชนและยังคงมีอิท ธิพลต่อชาวบ้านตระกูลอื่นๆจนถึงทุกวันนี้ เนื่องจากพวกเขาเป็นตระกูลแรกๆที่เข้ามาบุกเบิกพื้นที่บริเวณนี้จึงมีที่ดินถือ ครองมากที่สุด ทั้งจากการบุกเบิกด้วยตนเองและได้มากจากการซื้อขายมา ทั้ง 3 ตระกูลที่กล่าวมาข้างต้น คือ ตระกูลปิ่นเกล้า ตระกูลคาคล้าย และตระกูลไม้


261

แก้ว โดยนางทองเจือ คาคล้าย เล่าว่า มีสายตระกูลเก่าแก่ของชุมชนเดิม คือ สระแก้ว จนกระทั่งรุ่นทวดของเธอคือ นางสาวแก้ว สระแก้ว สมรสกับนายเติม ปิ่นเกล้า ก็เปลี่ยนนามสกุลเป็นปิ่นเกล้าตั้งแต่นั้นมา (ทองเจือ คาคล้ าย, 2559: สัมภาษณ์) หากพู ด ถึ ง ประวั ติ ศ าสตร์ ท างการเมื อ งที่ เกี่ ย วข้ อ งกั บ สายตระกู ล ดังกล่าวของชุมชนแห่งนี้ โดยเริ่มจากพื้นที่ทากินที่นางอุดม ปิ่นเกล้ากล่าวว่า พื้นที่บริเวณนี้เมื่อก่อนมันไกลปืนเที่ยงนัก ทั้งยังน้าท่วมบ่อย ตารวจจึงเข้าไม่ถึง ทาให้เกิดกลุ่มผู้มีอิ ทธิพลมากมาย อย่างกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า “เสือ” เช่น แก๊งเสือใบและเสือวง โดยเฉพาะในสมัยเสือวง เมื่ออานาจของพวกเขาเริ่มเหิม เกริม จนคุ กคามชาวบ้ าน ก็ จะมี ผู้ ที่ เป็ น ที่ นั บ หน้ าถื อ ตาของชาวบ้ านเป็ น คน ตัดสินและเชิญพวกเขาออกจากหมู่บ้านในที่สุด ซึ่งผู้ที่เคารพนับถือนั้นก็คงไม่พ้น พี่น้องสายตระกูลหลักที่กล่าวมาข้างต้นการกลายเป็นที่นับหน้าถือตาของชุมชน ช่วยผลักดันให้เขาเริ่มมาช่วยงานทางรัฐอย่างจริงจัง โดยเริ่มจาก นายดี ปิ่น เกล้าที่กลายเป็นตัวตั้งตัวตีในการสร้างระบบคลองส่งน้าให้แก่ชุมชนให้มีน้าใช้ ตลอดปี เมื่อมีระบบการจัดน้าที่ดีขึ้น ชุมชนก็ต้องการความเจริญและเทคโนโลยี มาทุ่นแรงมาในการทานาที่มีตลอดปี ทว่าด้วยสภาพเส้นทางการคมนาคมที่ไกล ปืนเที่ยง ทาให้ยากต่อการเข้าถึงทางเทคโนโลยี พวกเขาจึงร่วมกันสร้างถนน โดยเกณฑ์กาลังจากคนในหมู่บ้านมาช่วยกันขุดหลุมสร้างถนน ได้ค่าแรงถึงหลุม ละ 10 บาท เพื่อเป็นค่าตอบแทน เมื่อความเจริญเข้ามาระบบการศึกษาก็เข้ามา ในชุมชนด้วย โดยครอบครัว 3 ตระกูลนี้ก็ช่วยกันผลักดันให้ชุมชนสร้างกันเอง โดยนางทองเจือเล่าว่าสมัยบรรพบุรุษให้ชาวบ้านขนทรายกันมาจากท่ายางมา ช่วยกันสร้างโรงเรียนคนละไม้ละมือ จนแล้วเสร็จในปี พ.ศ.2482 จากนั้นให้นาง ชุ่ม ไม้แก้ว ก็ดารงตาแหน่งเป็นผู้อานวยการโรงเรียนหันตะเภาคนแรก ไม่นาน หลังจากนั้นนางชุ่ม ก็ย้ายไปอยู่ที่ กรุงเทพฯ กับสามีที่เป็นทหาร (ทองเจือ คา คล้าย, 2559: สัมภาษณ์)


262

ตามสายตระกูลหลักที่กล่าวมาข้างต้นและค่อนข้างมีฐานะที่ดี สังเกตได้ จากการมีที่ดินจานวนมากในครอบครองและกลายเป็นฐานเศรษฐกิจหลักใน ชุมชน เพราะเจ้าของที่ดินเหล่านี้ ส่วนหนึ่งจะกระจายให้แก่คนในชุมชนได้ซื้อ หรือเช่าที่เพื่อทาการเกษตรต่อ บ้างก็ซื้อที่ขนาดพอปลูกบ้านได้ หนึ่งหลักเท่านั้น ส่วนเจ้าตัวก็ย้ายออกไปทางานต่างจังหวัดหรือต่างอาเภอเสียแทนเพื่อนารายได้ จากภายนอกชุมชนมาช่วยเหลื อเกื้อกูลครอบครัว เมื่อคนหัน ไปท างานนอก ชุมชนมากขึ้นก็ส่งผลต่อจานวนแรงงานภายในชุมชนที่อยู่แบบพึ่งพาอาศัยด้วย พื้นฐานเศรษฐกิจแบบเกษตรกรรม (ดูเรื่องเศรษฐกิจได้ที่หัวข้อ 4.4) ช่วงฤดูที่มี การเกี่ยวข้าวก็จะเกิดวัฒ นธรรม “เอาแรง”และ “คืนแรง” (ซึ่งก็เริ่มหายไป) การเอาแรงที่ ว่ า นี้ คื อ หากบ้ า นใดมี ก ารท านา เมื่ อ ถึ งช่ ว งเก็ บ เกี่ ย วก็ จ ะมา ช่วยกันพาญาติพี่น้องไปช่วยบ้านนั้นและเมื่อถึงคราวปลูกข้าวหรือเก็บเกี่ยวของ ตนบ้ าง ชาวบ้ านที่ เราเคยไปช่วยออกแรงก็จะมาช่วยเหลือเรากลับคืน สลับ สับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ นั่นเอง ประกอบกับเทคโนโลยีที่เข้ามาพร้อมกันการพัฒนา ด้านต่างโดยรัฐอย่าง ระบบคลองส่งน้า การคมนาคม ระบบสาธารณูปโภค สิ่ง เหล่านี้ทาให้รูปแบบการช่วยงานกันทาร่วมกันลดลงเพราะเทคโนโลยี ช่วยลด แรงงานคนลง เมื่อคนมิได้ออกไปช่วยกันทานาเช่นเดิมแล้วจึงแยกย้ายกันไปทากินใน พื้นที่ของตัวเอง บ้างก็อพยพไปยังพื้นที่อื่นเพื่อหาอาชีพทางเลือกในการสร้าง รายได้มากขึ้น ส่วนนี้อาจส่งผลต่อปฏิสัมพันธ์ที่เคยมีให้กันจากเดิมที่เคยพึ่งพา อาศัยกันกลายเป็นการสร้างปฏิสัมพันธ์แบบต่างตอบแทนในการทานา การย้าย ถิ่นฐานของคนในชุมชนเหล่านี้จึงส่งผลต่อการสร้างปฏิสัมพันธ์ของคนในชุมชน เพระมิใช่การย้ายเพียงชั่วครั้งคราวเท่านั้นแต่เป็นการหันไปตั้งรกรากที่อยู่ใหม่ หรื อ ในเมื อ งที่ มี แ หล่ ง รายได้ มั่ น คงกว่ า เดิ ม ท าให้ ข้ อ ผู ก มั ด อยู่ กั บ อาชี พ เกษตรกรรมของบรรพบุรุษหรือการต้องอยู่ติดที่ถิ่นที่อยู่เดิมเริ่มเสื่อมสลาย


263

ปัจจุบันนี้รูปแบบของการสร้างปฏิสัมพันธ์ของคนในชุมชนส่วนใหญ่ เป็นไปในทั้งรูปแบบต่างตอบแทนหรือเอื้อประโยชน์ต่อกันในกรณีที่ยังอาศัยอยู่ ในถิ่นที่อยู่เดิม เช่น การเอาแรง คืนแรง เป็นต้น และในรู ปแบบที่การต่างตอบ แทนเริ่มสลายในกรณีที่ย้ายถิ่นฐานไป ซึ่งจะเกิดช่องว่างของการปฏิสัมพันธ์ขึ้น กล่าวคือ อาจหละหลวมกว่าการอยู่ในถิ่นที่อยู่เดียวกัน แม้จะมีการติดต่อกันอยู่ เนืองๆแต่ก็ยังคงเกิดกาแพงระหว่างความสัมพันธ์ในครอบครัวและเครือญาติ เห็นได้จากข้อมูลการสัมภาษณ์ของ นางทองเจือ คาคล้าย เล่าว่า ครอบครัวของ นางชุ่มชื่นก็เป็นหนึ่งในครอบครัวที่อพยพไปอยู่ที่อื่นตามหน้าที่การงานของสามี ส่วนครอบครัวนางซิ้มก็เพิ่งย้ายไปอยู่ที่หัวหินเมื่ อไม่นานมานี้ด้วยเหตุผลส่วนตัว และการออกไปรับจ้างทานาภาคอีสานของครอบครัวของนางเสริม(มารดา)และ นางสาวสมบู รณ์ (บุ ต รสาว) (เสริม เทพคี รี , 2559: สั ม ภาษณ์ ) จากตั วอย่าง ข้างต้นทาให้เห็นว่าคนในชุนชนหันตะเภาปัจจุบันความสาคัญของถิ่นฐานบ้าน เกิ ด ลดน้ อ ยลง ซึ่ ง ขึ้ น อยู่ กั บ เงื่ อ นไขการอพยพ เพราะความจ าเป็ น ในการ ประกอบอาชีพต่าง หรือการพยายามหารายได้เพิ่มขึ้น ปฏิสัมพันธ์ในชุมชนจึง ไม่ได้อิงแอบอยู่กับวิถีสังคมเกษตรกรรมที่ต้องลงแรงช่วยกันทานาอีกต่อไป การสืบทอดมรดก ครั้นสมัยที่มีการตั้งชุมชนช่วงแรก การจะได้ที่ดินมาต้องมาจากแรงกาย แรงใจของแต่ละครอบครัว ที่ช่วยกันบุกเบิกพื้นที่ถางป่าและจับจองที่ดิ นกันเอง โดยไม่มีกฎหมายใดมาควบคุม และที่ดินเหล่านั้นก็จะส่งต่อให้ลูกหลายจากรุ่นสู่ รุ่นโดยไม่นิยมขายให้แก่คนต่างถิ่นหรือคนนอกหมู่บ้านดังนั้นเมื่อลูกหลานได้ ที่ดินทากินมาก็จะนาไปต่อยอดในทางที่ถนัดของตนเอง เช่น บางครอบครัวนา ที่ดินเหล่านั้นไปปลูกพืชเศรษฐกิจที่กาลั งเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างข้าว เป็น ต้น บางครอบครัวก็นาพื้นที่ที่ได้ไปขายต่อเพื่อนาเงินที่ได้ไปลงทุนหรือใช้ จ่ายใน ภายภาคหน้าต่อไปและอีกบางครอบครัวก็ปล่อยให้เช่าพื้นที่นั้นๆ เพื่อหารายได้


264

โดยไม่ต้องเสียแรงกายแรงใจใดๆ มากนัก ทั้งยังช่วยเกษตรกรภายในชุมชนได้ อีกด้วย เหล่านี้ล้วนเป็นการสืบทอดที่เป็นรูปธรรมเด่นชัดในชุมชน แต่ก็มีการสืบ ทอดอีกรูปแบบหนึ่งที่สามารถนาไปต่อยอดและสร้างรายได้ไม่แพ้การมีที่ดินใน ครอบครอง นั่ น คื อ การสื บ ทอดองค์ ค วามรู้ อ ย่ า งการท ามี ด ที่ แ ม้ จ ะมิ ใ ช่ วัฒ นธรรมดั้ งเดิ ม ของชุ ม ชนแต่ อ งค์ ค วามรู้ที่ พ วกเราเรีย นรู้ม าจากรุ่น สู่ รุ่น ก็ สามารถสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนมิใช่น้อยทั้งยังกลายเป็นเอกลักษณ์ประจาชุมชน อีกด้วย 4.2. การจัดการทางสังคมและการเมือง แรกเริ่มเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ระบบการเมืองการปกครอง เกิดขึ้นเพื่อจัดการสังคมให้อยู่ในความสงบ สุขและสร้างความเท่าเทียมกันให้มากที่สุดเพื่อให้สังคมสามารถเดินไปข้างหน้า ได้ ดังนั้นความสงบสุขและความเท่าเทียมเหล่านี้บางครั้งต้องแลกมาด้วยการ เสียสละของคนบางกลุ่มและการแสวงหาผลประโยชน์ของคนบางกลุ่มเช่นกัน ไม่ว่าจะในยุคใดสมัยใดก็มิอาจหนีพ้นได้ จึงต้องมีอานาจบางอย่างเข้ามาควบคุม สังคม อานาจในที่นี้จึงไม่จาเป็นต้องมาจากรัฐหรือเป็นอานาจทางกฎหมายเสมอ ไป เพียงแค่คนในสังคมยอมรับการมีอยู่ของอานาจนั้นร่วมกัน เคารพและเชื่อฟัง กฎเกณฑ์ ในชุม ชนร่วมกั น อานาจนั้ น ก็ จะสามารถขั บ เคลื่ อนชุ ม ชนต่ อไปได้ อานาจที่กล่าวมานี้จะถูกเปลี่ยนมือไปเรื่อยๆขึ้นอยู่กับแต่ละยุคสมัยและส่งต่อ จากรุ่นสู่รุ่นภายในขอบข่ายของระบบเครือญาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชุมชน เกษตรกรรมบ้ า นหั น ตะเภาแห่ งนี้ ที่ มี ก ารท านาเป็ น อาชี พ หลั ก การจั ด การ ทรั พ ยากรที่ ดิ น และการถื อ ครองจึ ง ถื อ เป็ น สิ่ ง ส าคั ญ อย่ า งยิ่ ง เพราะว่ า ยิ่ ง ครอบครัวใดมีการถือครองที่ดินมากก็จะยิ่งมีอานาจในการควบคุมจัดการระบบ อื่ น ๆในชุ ม ชนมากตามไปด้ วย สิ่ งนี้ ส่ งผลต่ อ การเลื อ กผู้ ใหญ่ บ้ านของชุ ม ชน เช่นกัน โดยลาดับเวลาตั้งแต่แรกเริ่มก่อตั้งชุมชนตามลาดับ ดังนี้


265

1. นายเสริฐคล้ายคลึง 2. นายหล่วน คล้ายคลึง(บุตรของนายเสริฐ คล้ายคลึง) 3. นายผล ดินเถื่อน(ญาติข้างแม่ของนายเสริฐ คล้ายคลึง) 4. นายจีน จงศรี 5. นายเสน่ คงเจริญวงศ์ 6. นายอิน สีม่วง 7. นายขาว คาคล้าย 8. นายสาเริง คาคล้าย ( ผู้ดารงตาแหน่งคนปัจจุบัน ) จากลาดับการดารงตาแหน่งผู้ใหญ่บ้านตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันแสดงให้ เห็ น ถึ งความสั ม พั น ธ์ฉั น ท์ เครือ ญาติแ ละการส่งต่ ออ านาจจากรุ่น สู่รุ่น โดยใช้ ความสัมพันธ์ดังกล่าวเป็นฐานคะแนนเสียงในกรณีที่มีการเลือกตั้งหรือโหวตใน ปัจจุบัน ในอดีตผู้ที่ดารงตาแหน่งผู้ใหญ่บ้านจะมีอานาจในการจัดการทางการ ปกครองและจัดสรรทรัพยากรในชุมชนให้ทุกคนได้รับตามความเหมาะสม เมื่อ เบื้องหลังเสียงโหวตนี้ม าจากกลุ่ม คนในเครือญาติ จึงไม่แปลกหากจะมีเสียง คัดค้ านจากผู้ เสี ยผลประโยชน์ ห รือ คนนอกกลุ่ ม ท าให้ เกิด กลุ่ม ผู้ที่ มี อิท ธิพ ล ภายในชุมชน เพื่อแสวงหาช่องทางที่ให้ได้ มาซึ่งผลประโยชน์แก่ตน ในชุมชนนี้ เรียกกันว่า “เสือ” ในอดีตกลุ่มเสือที่มีชื่อเสียงและมีอิทธิพลภายในชุมชนนี่ คือ เสื อ วง และเสื อ ใบ แม้ ช่ ว งเวลาของการครอบครองอิ ท ธิ พ ลต่ อ ชุ ม ชนจะไม่ แน่นอน แต่จากการคาดการณ์ตามคาบอกเล่าของนางผล กองแก้ว อายุ 94 ปี คาดว่าเสือวงเคยรุ่งเรืองในช่วงก่อน พ.ศ. 2512 ที่มีการขุดสร้างคลองเพิ่มช่วง นั้ น เริ่ม เป็ น ยุ ค ของเสื อ ใบเสี ย แล้ ว (ผล กองแก้ ว , 2559: สั ม ภาษณ์ ) อ านาจ เหล่านี้ถือว่าเป็นอานาจทางการปกครองอย่างไม่เป็นทางการ เพราะมิได้มาจาก การแต่งตั้งหรือโหวตให้เห็นผลประจักษ์ต่อสมาชิกในชุมชน ทว่าอานาจของพวก เขาก็ ส ามารถควบคุ ม คนในสั งคมได้ ไม่ ต่ า งจากหน่ ว ยงานรั ฐ ที่ ดู แ ล เพราะ หน่วยงานรัฐในช่วงสมัยนั้นยังไม่สามารถดูแลชุมชนได้อย่างทั่วถึงนัก เนื่องด้วย


266

การคมนาคมที่เข้าถึงยากและการติดต่อสื่อสารที่ดาเนินการช้ากว่าคนในชุมชน ด้วยกันเองอย่าง “เสือ” จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2520 ที่ตารวจเริ่มปราบปราม อย่างจริงจัง เสือใบถูกตารวจควบคุมตัวไปช็อตไฟฟ้า ซึ่งก่อนหน้านั้นครอบครัว เสือใบบางส่วนย้ายไปอยู่ชะอา เหลื อ เพี ยงลู กชายที่ กาลังจะบวชแต่ กลับ ถูก คู่กรณียิงเสียชีวิตระหว่างงานบวชจนกลายเป็นที่ร่าลือกันมา เล่าโดยนายธนงค์ ม่วงทองหรือนายนิมนต์ ผู้ซึ่งเป็นญาติฝ่ายแม่ของเสือใบ (ธนงค์ ม่วงทอง,2559: สัมภาษณ์) ทั้งนี้ นางแวด กู่งามยังเสริมอีกว่าในยุคที่เสือใบรุ่งเรืองเขามักปล้นจี้ คนจีนหรือคนญี่ปุ่นที่มาตั้งถิ่นฐานในหันตะเภาทั้งที่เป็นเงินและอาวุธเผื่อนาของ ที่ได้มาใช้สอยภายในกลุ่มด้วยกันเองโดยไม่เคยปล้น จากชาวบ้านภายในชุมชน ของตนเองเลยสักครั้ง ทั้งยังทาหน้าที่เป็นรั้วของชุมชนอย่างเหนียวแน่นป้องกัน การคุ ก คามจากคนนอกหรื อ ชุ ม ชนข้ า งเคี ย งได้ อ ย่ า งดี (แวด กู่ ง าม, 2559: สัมภาษณ์) แม้ว่าช่วงเวลานั้นอิทธิพลของเสือจะดูยิ่งใหญ่จนสร้างความหวาดกลัว ให้ กับ ชาวบ้ าน แต่ ค วามกลั วเหล่ านี้ ก็ กลายเป็ น บทบาทในการจัด การคนใน ชุมชนได้ดีกว่ากฎหมายและตารวจ เช่น หากเกิดเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทกันขึ้น เสือก็จะทาหน้าที่ในการไกล่เกลี่ยได้ดีกว่าตารวจ แต่ผู้ใหญ่บ้านบางยุคสมัยก็มี บทบาททางการปกครองร่วมกับเสือ เช่น หากเกิดการขโมยขึ้น ผู้ใหญ่บ้านก็จะตี โกรกที่ทาจากไม้เนื้อแข็งและเจาะให้กลวงตรงกลางเพื่อให้เกิดเสียงกังวานขณะ ตี เพื่อเรียกประชุมทั้งหมู่บ้านรวมทั้งเสือเอง เพื่อตัดสินถูกผิดด้วยกัน หากตัดสิน แล้ ว ว่ า คนๆนั้ น ผิ ด จริ ง ผู้ ใหญ่ บ้ า นก็ มี อ านาจในการไล่ ค นผิ ด ผู้ นั้ น ออกจาก หมู่บ้าน (สาเริง คาคล้าย, 2559: สัมภาษณ์) ด้วยเหตุนี้อานาจของเสือจึงอยู่ใน ลักษณะดาบ 2 คม คือทาหน้าที่เป็นรั้วให้หมู่บ้าน ปกป้องถิ่นฐานของตัวเองจาก คนนอก แต่ ในขณะเดี ย วกั น ก็ มี อิ ท ธิ พ ลต่ อ คนในหมู่ บ้ า นของตนเองอย่ า ง กฎหมายบ้านเมือง แต่หลังจาก พ.ศ. 2520 ที่ตารวจปราบปรามผู้มีอิทธิพลใน ชุมชนอย่างจริงจัง บทบาทหน้าที่ของเสือก็เริ่มลดลงตามไปด้วย


267

ช่วงเปลี่ยนผ่านสู่อานาจรัฐ จุดนี้เองที่เริ่มเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่าน ตารวจเข้าถึงหมู่บ้านแห่งนี้อย่าง ทั่วถึงขึ้นและเข้ามาปกครองคนในชุมชนแทน แต่ผู้ใหญ่บ้านสาเริง คาคล้าย เล่า ว่า ช่วงยุคนั้นเป็นช่ วงที่เกิดบ่อนการพนั นเยอะที่สุด และรายได้ส่วนหนึ่งของ ตารวจก็มาจากการเก็บค่าดูแลนั่นเอง ทาให้คนในชุมชนเหิมเกริม พากันเปิด บ่อนไก่ชน แข่งวัวลาน เล่นการพนันต่างๆ เป็นต้น บางครอบครัวเคยมีที่ดิน เกือบ 100 ไร่ กลับถูกนาไปจานองเพื่อการพนันจนสิ้นเนื้อประดาตัว จนกระทั่ง ทหารเริ่มเข้ามามี บทบาทในการจัดการภายในชุมชนอย่างจริงจัง ในสมัยอดีต นายกทักษิณ ชินวัตร (ราวปี พ.ศ. 2543 – พ.ศ. 2549)ทาให้การพนันและยา เพสติดในชุมชนค่อยๆหายไป ผู้ใหญ่สาเริงเล่าว่า ทุ กครั้งที่มีการจัดกิจกรรมใน ชุมชนก็จะมีการเล่นกีฬาตามสโลแกนที่ว่า “เล่นกีฬาต่อต้านยาเสพติด ” เพื่อ รณรงค์ให้คนในชุมชนมองว่ายาเสพติดเป็นสิ่งชั่วร้ายบั่นทอนชีวิตและชุมชน และภายหลังยุครัฐประหารที่มีพลเอกประยุทธ์เข้ามาปกครอง ในทางหนึ่งอาจ เป็นการจากัดสิทธิต่างๆด้านการทางานของการปกครองส่วนท้องถิ่น ทว่าในทาง ตรงกันข้ามส่วนภูมิภาคกลับได้รับสิทธิในการบริหารเต็มที่ โดยขึ้นอยู่กับฝ่ายการ ปกครองมิใช่ฝ่ายพัฒนา กล่าวคือ ในรัฐบาลชุดนี้ได้จัดโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ขึ้นโดยมีโครงการ 2 ประเภทที่เข้าถึงชุมชนหันตะเภาแห่งนี้ตามคาบอกเล่าของ ผู้ใหญ่สาเริง คือ โครงการหมู่บ้านละ 2 แสน โครงการตาบลละ 5 ล้าน (พิเชษฐ์ ปาณะพงศ์, 2559: สัมภาษณ์) ช่วยในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรที่นี่ ได้อย่างดี ดังนั้นผลที่ตามมาจากการเปลี่ยนมือผู้ปกครองคืออาจเกิดผลดีต่อคน กลุ่มหนึ่งแต่ก็ขัดผลประโยชน์ของคนกลุ่มหนึ่งเช่นกัน เมื่อทหารเข้ามามีบทบาท ในการปกครองมากขึ้นจึงนาไปสู่ความขัดแย้งระหว่างตารวจกับทหารความ ขัดแย้งนี้ชาวบ้านเชื่อว่ามาจากการที่ทหารไปตัดแหล่งรายได้ของตารวจนั่นคือ เงินจากอามิส สินจ้างหรือเงินจากสินบนเจ้าพนักงานนั่นเอง (สาเริง คาคล้าย, 2559: สัมภาษณ์)


268

ดั งนั้ น จะเห็ น ได้ ว่ า ไม่ ว่ า จะเป็ น ความสั ม พั น ธ์ ท างระบบเครื อ ญาติ ภายในชุมชนหรือระบบการเมืองการปกครองเองก็ตามก็มิอาจอยู่อย่างโดดเดี่ยว ได้ เพราะทุกระบบมีหัวใจสาคัญร่วมกันคือสังคม... ความเป็นสังคมหันตะเภาที่ ทุกแรงทุกหน่วยงานต้องช่วยกันผูกโยงและชักจูงให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในชุมชนก็เป็นเพียงฟันเฟืองหนึ่งที่นาไปสู่การเปลี่ยนแปลง และการพัฒนาที่ ดีขึ้นได้ดังจะเป็นได้จากพัฒนาการของลักษณะการปกครอง ภายในชุมชนที่เริ่มจากการปกครองอย่างไม่เป็นทางการด้วยระบบอาวุโสไปสู่ การปกครองภายใต้กฎหมายของประเทศที่ขึ้นอยู่กับการเลือกตั้งในการทางาน ของระบบรัฐบาลเพื่อนาชุมชนไปสู่การพัฒนาในระดับประเทศในอนาคตนั่นเอง

5. วิถีทางเศรษฐกิจในบริบทหันตะเภา เนื้ อ หาส่ ว นนี้ ผู้ ศึ ก ษาจะมุ่ งเน้ น เป็ น พิ เศษ หลั งจากที่ เนื้ อ หาที่ ก ล่ าว มาแล้วนั้นพอจะแสดงให้เห็นภาพรวมของชุมชนบ้านหันตะเภาทั้งในแง่ของ ลักษณะทั่วไปทางกายภาพ ประวัติศาสตร์ชุมชนตามคาบอกเล่าและการจัดการ ทางสังคมผ่านระบบเครือญาติของชุ มชน ซึ่งการเผยข้อมูลทั้งหมดข้างต้นนั้น สัมพันธ์อย่างยิ่งกับเนื้อหาทางด้านเศรษฐกิจซึ่งจะแสดงต่อไป กล่าวคือ วิถีการ ผลิตของชาวหันตะเภาผูกพันกับการผลิตข้าวเป็นหลัก แต่ในสภาพนิเวศกลับมี หนองน้า ห้วย รวมถึงที่นารับน้า ทาให้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยปลาและที่สาคัญคือ สภาพดินของชุมชนมีต้นตาลเป็นจานวนมาก ทาให้ชาวหันตะเภามีรูปแบบการ ผลิตที่ต้องสัมพันธ์กับระบบนิเวศต่างๆ นอกจากการผลิตข้าวเพียงอย่างเดียว ซึ่ง จะแสดงให้เห็นในหัวข้อนี้ การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ใครต่างก็ปฏิเสธได้ยากและในบางครั้งก็อาจ น้อมรับมาด้วยความเต็มใจ พื้นที่บ้านหันตะเภาก็เช่นกัน กับที่โลกหมุนไปไม่เคย หยุดนิ่ง สิ่งที่น่าสนใจจึ งอยู่ที่ว่าชาวบ้านใช้วิธีการใดเลือกเก็บหรือทิ้งบางอย่าง ด้วยเหตุผลใดหรือท าไมจึงปรับ เปลี่ ยนบางสิ่ งในวิถีชีวิต เกษตรกรรมของตน


269

เพื่อที่จะสามารถปรับตัวอยู่ในสังคมที่เวลาไม่เคยคอยใครเช่นนี้ได้จากคาบอก เล่าของชาวบ้านหลากหลายช่วงอายุ กลุ่มผู้ศึกษาพบเหตุการณ์หลากหลายที่ เป็ น เหตุ ให้ เกิ ด การเปลี่ ย นแปลง หากแต่ จ ากการสั ง เกตการณ์ ค าบอกเล่ า “ระบบคลองส่งน้า เทคโนโลยี และปัจจุบันที่ภาวะน้าน้อย” 3 เหตุการณ์นี้มัก ถู ก กล่ า วถึ งซ้ าๆ และเป็ น จุ ด เปลี่ ย นที่ ส่ งผลกระทบต่ อ หลายสิ่ ง หลายอย่ า ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อระบบเศรษฐกิจของชาวบ้านหันตะเภา ผู้ศึกษาจึงอาจแบ่ง ส่วนสมัยวิถีทางเศรษฐกิจของหันตะเภาที่ผูกโยงกับเกษตรกรรมออกเป็น 3 ช่วง สมัย คือ 1) วิ ถี ก ารผลิ ต แบบบุ ก เบิ ก กล่ า วคื อ เป็ น การผลิ ต ยุ ค แรกที่ พึ่ ง พา ธรรมชาติในระบบนิเวศเป็นหลักจนถึงการมีคลองส่งน้าชลประทาน 2) วิถีการผลิตแบบเทคโนโลยีสมัยใหม่ กล่าวคือ หลังจากคลองส่งน้า ถนน นาเอาเครื่องจักรและเครื่องมือมาเปลี่ยนแปลงวิถีดั้งเดิม 3)วิถีการผลิตในปัจจุบันพ.ศ. 2559 เป็นการแสดงข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน จากภาวะภัยแล้งรุนแรง ซึ่งชาวหันตะเภาที่นับเป็นเพียงปัจเจกบุคคลในพื้นที่ที่ ปรับตัวตามสถานการณ์เพื่ออยู่รอด ศูนย์กลางการผลิตคือการทานา เพราะการทานาถือเป็นอาชีพหลัก ของชาวหั นตะเภามาตั้งแต่สมั ยบรรพบุ รุษ กระทั่ งในปัจจุบั นยังคงพบว่ายึด อาชีพดังกล่าวนี้กันอยู่มาก หากแต่จากการลงเก็บข้อมู ล ชาวบ้านเกือบทั้งหมด ไม่ได้ประกอบอาชีพเพียงอาชีพเดียว น่าสนใจว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น เพื่อให้ เห็นภาพการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ชัดเจน กลุ่มผู้ศึกษาจึงขออนุญาตเท้าความ กลับไป โดยดาเนินเรื่องตามคาบอกเล่าของชาวบ้าน นางผล กองแก้ว หญิงชรา รูปร่างผอมบาง ทว่าท่าทางกระฉับกระเฉงแข็งแรง อายุเกือบหนึ่งร้อยปี ฉายา “คนเหล็กแห่งบ้านหันตะเภา” เป็นที่กล่าวขานของชาวบ้านตลอดการเก็บข้อมูล โดยชาวบ้านต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า อายุมากที่สุดในหมู่บ้าน อีกทั้งยัง


270

แข็งแรงพูดคุยรู้เรื่อง จะได้ข้อมูลเก่าๆ มาก ซึ่งภายหลังจากการพบปะพุดคุย ได้ ความว่า เดิ ม ยายไม่ได้เป็ น คนที่ นี่ แต่ แต่ งงานเข้ามา ก็ มาท านา เลี้ยงวัวอยู่ที่บ้านนี้ (หมู่นี้) บ้านหันตะเภาแต่ก่อนเป็นห้วยน้าขนาด ใหญ่ ปลาเยอะ น้าท่วมมาก เมื่อก่อนทานาลอย นาปี แต่ตอนนี้น้า แห้งไปหมดไม่รู้ทาไม แต่พอน้าแห้งก็ทานาปรังได้ ข้างหลังบ้านนี่มี แต่กอซอ (กอไผ่) เต็มไปหมด แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว อะไรๆ เปลี่ยนไป มากแต่ยายชอบ เมื่อก่อนไปทาบุญที่วัดหนองจอกก็เดินรวมกลุ่ม กันไปตามทางเกวียน ทานาเอาแรงกัน แต่เดี๋ยวนี้ดีมีรถไถสบาย ถนนหนทางก็ ดี ไปไหนมาไหนสะดวก (พร้ อ มกั บ ชี้ ไ ปที่ ถ นน คอนกรีตหลังบ้าน) (ผล กองแก้ว, 2559: สัมภาษณ์)

จากคาบอกเล่าของนางผล และชาวบ้านคนอื่นๆ ในชุมชน พบว่าพื้นที่ บ้านหันตะเภาสมัยก่อน (ก่อนมีคลองส่งน้า) มีความอุดมสมบูรณ์มาก เนื่องจาก มีหนองน้าขนาดใหญ่หรือที่บางครั้งชาวบ้านก็เรียกสระน้า ทรัพยากรธรรมชาติ ในพื้นที่อย่างปลาจึงชุกชุมมาก ถึงขนาดมีเรื่องเล่าว่าพวกลาวโซ่งเหมารถลงมา จากเขากระจิว เพื่อมาหาปลาเอากลับขึ้นไป นอกจากปลาแล้ว ยังปรากฏ ต้น ตาล ต้นไผ่ซอ และต้นสะแกมาก หากแต่ในช่วงเวลาของความอุดมสมบูรณ์นี้ได้ แลกมาด้วยความลาบากในการใช้ชีวิตอยู่บ้าง ดังที่นางผลได้กล่าวไปแล้วว่ามี น้า ท่ วมมาก ยายซิ้ ม หรือนางอุดม ปิ่ น เกล้ า อายุ 66ปี บ้ านถัดไปไม่ไกล ได้ให้ ข้อมูลไปทิศทางเดียวกัน กล่าวว่า


271 พื้นที่บ้านหันตะเภาเป็นพื้ นที่รับน้ า รุ่นแม่ของยาย (มี หนองน้าขนาดใหญ่ พอเข้าพรรษาน้าก็จะท่วมอยู่ร่วมๆ 2 เดือน ปลาชุกชมมาก แต่ก็ลาบาก อะไรๆ ก็เข้าไม่ถึง เป็นพื้นที่ไกลปืน เที่ยง เวลาจะไปวัดก็เดินลุยน้ากันไป เอาของทาบุญกับเสื้อผ้าอีก ชุดเทินบนหัวเอาไปเปลี่ยนที่วัด ครูก็เหมือนกัน โรงเรียนนี้บรรพ บุรุษยายก็เป็นคนสร้างไว้ ก็ต้องลุยน้ากันเข้ามาสอน ครูนี่เข้ามา ก่อน ตารวจตามมาทีหลัง เมื่อก่อนก็เลยมีเสือ (โจร) ลักขโมยวัว บ้าง ก็ใช้วิธีคนในชุมชนจัดการกันเอง ก็น้ามันท่วมไม่มีใครเข้ามา ชาวบ้านก็ทานาลอยกัน ปีหนึ่งทาครั้งเดียวรอฝนตกอย่างเดียว แต่พอมีคลองส่งน้าก็ทากันได้มากขึ้น แต่ตอนแรกๆ ยังท่วมอยู่ ช่วง พ.ศ. 2512 น้าท่วมเพราะฝนมาก คลองน้าทิ้งที่แต่ก่อนเป็น ห้วยน้าเดิมในหมู่บ้านรับน้าไม่ไหวน้าก็ท่วม พอหลังจากนั้นก็ขุด ยาวเป็นคลองน้าทิ้งลงทะเลไป น้าก็ไม่ท่วม พอน้าไม่ท่วมก็เริ่มมี การทาถนนเข้ามา ก็ได้คุณดี (คุณในที่นี้คือคุณปู่) พี่ชายคุณชุ่มชื่น ผอ. คนแรกของโรงเรียนหันตะเภา เกณฑ์คนไปรับจ้างหลวงขุด หลุมละ 10 บาท พอมีถนนก็มีรถรา ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน (อุดม ปิ่นเกล้า, 2559: สัมภาษณ์)

เมื่อสังเกตคาบอกเล่าจากผู้ให้ข้อมูลคนสาคัญอย่างนางผลที่ผ่านร้อน ผ่านหนาวมามากกว่าใคร ประกอบกับคาบอกเล่าของนางอุดม หญิงชราที่ มา จากสายตระกูลสาคัญในหมู่บ้านและชาวบ้านคนอื่น ๆ พบว่าระบบคลองส่งน้า เทคโนโลยีกับถนนและภาวะน้าน้อยในปัจจุบัน เป็นสิ่งสาคัญที่ส่งผลกระทบต่อ ระบบนิเวศและการประกอบอาชีพของชาวบ้านมาก เมื่อเทียบช่วงเวลาต่างๆ แล้ว ได้แผนภาพดังนี้


272

ภาพที่ 4.4 ช่วงเวลาเหตุการณ์สัมพันธ์กับระบบเศรษฐกิจในหมู่บ้านหันตะเภา (ภาพวาดโดย: วิริยา ธรรมศร) 5.1. การทานาในหันตะเภา การทานาเป็นการผลิตตั้งต้น หรือเป็น “ศูนย์กลางทางการผลิต” ของ ชุมชนก็ว่าได้ เป็นเสมือนฐานเศรษฐกิจหลักภายในหมู่บ้าน อาชีพที่มักจะถูก กล่าวถึงลาดับแรกๆ ของบทสนทนาและซ้าวนไปวนมาไม่ขาดสาย จากทั้งนาง ผล และนางอุดมดังที่ปรากฏในข้างต้น นอกจากนี้ยังมีชาวบ้านคนอื่นๆ อีกมาก ที่กล่าวถึงอาชีพนี้เห็นได้ชัดว่าแต่ก่อนอาชีพการทานาของชาวบ้านไม่ได้เป็น ดังเช่นทุกวันนี้ รูปแบบการทานารวมไปถึงขั้นตอนระบบระเบียบเปลี่ยนแปลง ไป บ้างหายไป บ้างเพิ่มเติม บ้างปรับเปลี่ยน แต่กระนั้นการทานาก็ยังคงอยู่ เนื้อหาในหัวข้อนี้สามารถเชื่อมโยงไปถึงผลผลิตอื่นๆ ทั้งตาล วัว และ ปลา ที่ ไม่ ส ามารถแยกออกจากกั น ได้ การแบ่ ง ยุ ค ต่ า งๆ ของการผลิ ต ข้ า ว สอดคล้องต้องกับกับการแบ่งวิถีการผลิตของผลผลิตอื่นๆ เพราะเรื่ องราวทาง เศรษฐกิจของชุมชนนี้จะเล่าผ่าน “ข้าว” เป็นหลัก


273

การผลิตข้าวแบบบุกเบิก แรกเริ่มที่ตั้งชุมชน (ผู้ศึกษาตั้งไว้เป็นก่อนปี พ.ศ. 2510 ลงไป) พื้นที่ โดยรอบในบริบทของหันตะเภานั้นเป็นพื้นที่ราบสลั บดอนอันมีดงตาลกระจาย อยู่ทั่ วไป ในยุ คแรกเริ่ม นี้ เองที่ ชาวบ้ านใช้ วิธีการ “เฉาะปล่ อง” หรือถางป่ า ทาทางเพื่อเข้าไปยังที่ที่เหมาะสมแล้วก็โค่นตาล ขุดตอ ไถดะ เพื่อทาแปลงนา ขนาดเล็กตามแต่เครื่องมืออานวย (ก็คือมีด พร้า จอบ พลั่วและวัว) การทานาจะใช้รูปแบบการทานาแบบ “นาปี” ที่มีลักษณะทาได้เพียงปี ละครั้งตามฤดูกาล เพราะน้าที่ใช้ในการทาการเกษตรคือน้าฝนเพียงอย่างเดียว ในบริบทของหมู่บ้านนั้นหน้าฝนเมื่อฝนมาจะนาน้ามหาศาลเข้าสู่พื้นที่ในช่วง เดือนกรกฎาคม ถึงธันวาคม น้าจะเอ่อนองยาวนาน แต่ไม่ได้ส่งผลต่อการการ ผลิ ต ของชาวบ้ า นแต่ อ ย่ า งใด เกิ ด การปรั บ ตั ว เป็ น อย่ า งดี ในสภาวะเช่ น นี้ ที่ ชาวบ้านเรียกว่า “การทานาลอย” คือ นาข้าวที่มีต้นข้าวลอยอยู่เหนือน้า ยก สูงขึ้นตามปริมาณน้าที่ท่วมขัง เวลาเก็บเกี่ยวจะต้องใช้เคียวเกี่ยวข้าวในขณะที่ ข้าวนั้นลอยอยู่เหนือน้า ซึ่งข้าวที่ได้มานี้ชาวบ้านจะเรียก “ข้าวเบา” เพราะลอย อยู่ในน้า รูปแบบขั้นตอนการทานานิยม “เอาแรง” กัน นายประสิทธ์ พี่น้อง บ้านทามีดที่ปัจจุบันผันตัวมาเป็นเกษตรกรทาไร่นา ได้กล่าวถึงการเอาแรงกันไว้ ด้วยว่า เราใช้แรงคนปักดา (ต้นกล้าข้าว) เรียกเป็นก๊กๆ ก๊กหนึ่ง มีประมาณ 20–30 คน คนเอาแรงกัน (ประสิทธ์ พิมพ์สุวรรณ, 2559: สัมภาษณ์)

การเอาแรงของชาวบ้านในที่นี้ คือ การทานาโดยใช้แรงคน อาจจะมา จากเครือญาติหรือเพื่อนบ้านมาช่วย เริ่มตั้งแต่การดาต้นกล้าข้าว การเกี่ยวข้าว ตลอดจนการนวดข้าว เมื่อเพื่อนบ้านมาช่วยตนในครั้งนี้ เมื่อถึงคราวของเพื่อน


274

บ้านก็จะต้องไปช่วยเขาเช่นกันเพราะ “ติดแรง” เขาไว้ ในการเอาแรงช่วยเหลือ ซึ่ งกั น และกั น ในแต่ ล ะครั้งของชาวบ้ าน “ก๊ ก ” หรื อ จ านวนคนต่ อ ครั้ งอยู่ ที่ ประมาณ 20-30 คน เป็นกลุ่มเป็นก้อนตามบ้านใกล้เรือนเคียง แต่ก็มักจะเป็น ญาติๆ กันเสียส่วนใหญ่ การทามาหากินที่ต้องใช้แรงคนช่วยเหลือกัน ทาให้เครือ ญาติมักตั้งถิ่นฐานในบริเวณใกล้เคียงกัน หลังจากเพาะปลูกแล้วช่ วงเดือน 12 ก็จะเริ่มเก็บเกี่ยว ในหันตะเภา นั้นบางหนก็ต้องลุยน้าเกี่ยวข้าว เมื่อเสร็จแล้วก็นาฟ่อนข้าวมารวมกันที่ลานโดย ใช้ขี้วัวละเลงน้าปูพื้นแล้วปล่อยให้แห้งกรัง ปักเสากลางไว้หนึ่งต้นเป็นหลัก โยน ข้าวไว้ในลานแล้วให้วัวที่เลี้ยงไว้เหยียบนวดเพื่อเอาเมล็ดออก ก่อนเก็บข้าวไว้ใน ยุ้งฉาง วัวในยุคบุกเบิกการทานานี้เอง จึงเป็นหนึ่งในวิถีการผลิตที่สาคัญ เป็น ส่วนสาคัญในการใช้เป็นแรงงานของการทานา วัวมีมาแต่ดั้งเดิม ใช้วัวไถนา แต่ละบ้านมีกันอย่างน้อย 2 ตัว บางบ้านทาเยอะ (ทานา) ก็มี 4 ตัว 6 ตัว เป็นคู่ๆ ไปเพราะ ต้องใช้วัวเป็นคู่เทียมคันไถ (เพิง่ อ้าง, 2559: สัมภาษณ์)

ภูมิปัญญาท้องถิ่นในการผลิตแบบบุกเบิก นับเป็นสิ่งที่เกิดคู่กันกับวงจรการผลิตข้าวคือภูมิปัญญาอื่นๆ เนื่องด้วย การทานาแบบดั้งเดิมเป็นวงจรในรอบปีในหน้าแล้งที่ไร้น้าชาวบ้านก็จะผลิตตาล นางผล กองแก้ว กล่าวว่า พอหน้าแล้งก็สานเข่ง ตะกร้า ตะบุง ไว้ใช้ แล้วก็ทาตาล หาบใส่เข่งใส่กะลั่วนี่แหละไปขาย (ผล กองแก้ว,2559 : สัมภาษณ์)


275

ซึ่ง “ตะบุ ง5” หรือ “กระบุ ง” เข่ง ตะกร้า และอื่นๆ เป็นภูมิปัญ ญา เครื่องจักรสานของชาวบ้ าน ที่ ว่างหลั งจากเสร็จนา และภู มิ ปั ญ ญาเหล่านี้ ก็ นาไปใช้ในการทานาด้วย เช่น ผลผลิตข้าวเมื่อแล้วเสร็จก็นาใส่กระบุงและกะ ล่อมและนาขึ้นยุ้งฉาง (ภูมิปัญญาพื้นบ้านเหล่านี้ถูกเก็บรักษาไว้ที่บ้านของนาง ทองเจือ คาคล้าย

ภาพที่ 1.5 กะล่อม หรือ กล๋อม ของนางทองเจือ คาคล้าย ภูมิปัญญาที่ไว้ใช้ เก็บข้าวเปลือก (ภาพถ่ายโดย: ฐิตินันท์ ใกล้ชดิ เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2559)

5“ตะบุง”

ตามสาเนียงคนเมืองเพชร หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ “กระบุง” เป็นภูมิ ปัญญาเครื่องจักรสานของบ้านหันตะเภา ใช้สาหรับการใส่ข้าว ในอดีตนิยมใช้ใส่ข้าว หรือ สิ่งของต่าง ๆ ที่จะนาไปแลกเปลี่ยน โดยใช้คู่กับไม้หาบได้


276

ยุ้งฉาง ยุ้งฉางนับเป็นสิ่งที่สะท้อนภาพสังคมผลิตข้าวเป็นอย่างดี แสดงให้เห็น ภูมิปัญญาในการผลิตข้าวไว้กินตลอดปี ในอดีตนั้นฉางข้าวจะยกพื้นขึ้นเล็กน้อย ราว 1 เมตร แต่ไม่ได้ล้อมผนังทั้งหมด กล่าวคือล้อมผนังไว้เฉพาะส่วนท้องห้องที่ เก็บข้าว ใต้ถุนต่าๆ ด้านล่างจะปล่อยโล่งไว้ ในท้องห้องวางกะล่อมหรือกล๋อม ใหญ่ไว้จนเต็ม จะมีช่องว่างระหว่างกะล่อมสองใบชาวบ้านก็เติมเต็มช่องว่างนั้น ด้วยกระบุงใส่ข้าวแทรกไว้ระหว่างช่องว่างดังกล่าว แต่ในปัจจุบันกระสอบปุ๋ย สามารถใช้งานแทนกระบุงและกะล่อมได้อย่างสะดวก อนึ่งในปัจจุบันเมื่อข้า ว เก็บเกี่ยวจะมีรถมารับไปขายเลย ชาวบ้านจึงเลิกใช้แล้วหันมาใส่กระสอบเก็บไว้ แต่พอกิน แล้วปรับฉางให้เป็นพื้นที่ใช้สอยอื่นๆ เช่น การเก็บเครื่องมือช่าง เก็บ ปุ๋ย เป็ น ต้น ชาวบ้ าน “บางราย” จึงล้ อมผนั งฉางไว้ให้ เป็ นเสมื อนโกดังตาม ภาพวาด

ภาพที่ 4.6 ด้านบนเป็นการเก็บข้าวในฉางในอดีต ด้านล่างเป็นยุ้งฉางที่ ประยุกต์ไว้ใช้สอย ทั้งนี้เป็นบางบ้านเท่านั้น แล้วแต่บ้านใดปรับใช้พื้นที่ (ภาพวาดโดย: ฐิตินันท์ ใกล้ชดิ เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2559)


277

อย่างไรก็ตาม การผลิตข้าวในอดีตอาจเปลี่ยนแปลงเนื่องด้วยปั จจัย ภายนอก ได้แก่ ระบบชลประทานและเทคโนโลยี คลองส่งน้าทาให้ระบบการ ผลิตแบบนาปีเป็นระบบนาปรังเทคโนโลยีจาพวกเครื่องจักร เช่น รถไถนาเดิน ตาม ยังมีปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง และอื่น ๆ ที่ เข้ามาพร้อมกับ การคมนาคมที่ท วี ความสะดวกขึ้นทาให้ชาวบ้านสามารถปรับเปลี่ยนวิธีการเพื่อเพิ่มผลผลิตข้าวได้ มากยิ่งขึ้น

ภาพที่ 4.7 พื้นที่ใช้สอยของยุ้งฉางถูกปรับเปลี่ยนไปใช้ประโยชน์ และยังก่อผนัง ด้วยอิฐปิดทึบทั้งหมด (ภาพถ่ายโดย: ฐิตินันท์ ใกล้ชดิ เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2559) การผลิตข้าวแบบเทคโนโลยีสมัยใหม่ อย่างที่กล่าวไปว่า “สิ่งต่างๆ” ที่เป็นนวัตกรรมอันแพร่กระจายเข้ามา ทาให้ชาวบ้านเลือกรับและนามาประยุกต์ การเฉาะป่องเพื่อเข้าไปทานานั้นมิได้ ลาบากแล้ว รถไถนาเดินตามมีกาลังเครื่องแรงพอที่จะบุกเบิกที่และปรับผืนดิน ซึ่งรถไถนาเดินตามเครื่องแรกมี เจ้าของ คือ ครอบครัวนางทองเจือ คาคล้าย


278

ราวสามสิบปีก่อน ทาให้การปรับที่ดินและไถที่ง่ายขึ้น(ทองเจือ คาคล้าย, 2559 : สัมภาษณ์) ในช่วงนี้ชาวบ้านเริ่มทาการ “ขุดเหมือง” หรือร่องระบายน้าเข้าที่นา ตัวเอง โดยจะเชื่อมต่อกับคลองส่งน้าทางทิศเหนือของหมู่บ้าน แม้ฝนยังไม่ตก ชาวบ้านก็สามารถใช้รหัสมือหมุนวิดน้าเข้าที่เพื่อเพาะกล้าเข้าเตรียมดาได้ทันที และเมื่อน้ามาชาวบ้านก็สามารถวิดน้าออกเพื่อปักดา น้าก็ไหลออกจากเหมือง ลงคลองทิ้งน้าหันตะเภา (ท าให้ต้องขุดลอกคลองเป็นประจาทุก 2 ปี) ทาให้ สามารถปลูกข้าวพันธุ์หนั กจาพวก พันธุ์ กข.15 ข้าวสุพรรณและอื่น ๆ ได้ ซึ่ง ข้าวเหล่านี้ให้ผลผลิตดีกว่าข้าวลอยที่ขึ้นลงตามน้า (ทองเจือ คาคล้าย,2559 : สัมภาษณ์) เมื่อข้าวมีน้าหนักข้าวก็มีราคาดีขึ้น ทาให้ชาวบ้านเริ่มขยายที่ทานา โดยการโค่ น ดงตาลเพิ่ ม ขึ้ น และลดการผลิ ต น้ าตาล ซึ่ งเตาท าน้ าตาลหายไป ในช่วงนี้ อนึ่งด้วยพื้นที่เป็นที่น้าเอ่อขังยาวนาน (ทานาเดือน 6-12) แต่ข้าวพันธุ์ หนักนั้นให้ผลผลิตเร็ วกว่าในช่วงแรกๆ ที่มีคลองส่งน้าชาวบ้านยังทานาปีอยู่ กล่าวคือเมื่อ “ข้าวเหลือง” ก็จะใช้รหัสวิดน้าทิ้งลงคลองหันตะเภา ปัญหาจึงอยู่ ที่น้าท่วมเสมอเพราะไม่อาจคานวณปริมาณน้าได้ ราวปี พ.ศ. 2512 จึงทาการ ขุดลอกคลองทิ้งน้าหันตะเภาครั้งใหญ่เพื่อระบายน้า (ทาให้หนองขนาดใหญ่ที่ว่า กันว่าเป็นตาแหน่งที่เรือสาเภาหันหน้าหมู่บ้านค่อยๆ หายไป) บรรเทาปัญหาน้า ท่วมไปได้ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ในยุคนี้ระยะที่สองคือเกษตรอาเภอเข้ามา แนะนาชาวบ้านว่าพื้น ที่นี้สามารถท านาได้ปีละ 3 ครั้ง 3 เดือนก็เก็บเกี่ยวได้ ชาวบ้านจึงค่อยๆ เปลี่ยนนาปีของตนเป็น “นาปรัง” บางรายทา 3 ครั้งต่อปี บางรายทา 2 ครั้งต่อปีเพื่อรักษาสภาพผิวดิน (และใช้สาหรับลี้ยงวัวเพื่อขาย) จนราวปี พ.ศ. 2539– พ.ศ. 2549 รถแทรกเตอร์เป็นเครื่องจักรสาคัญที่ทาให้ การทานาทวีเพิ่มขึ้น ชาวบ้านสามารถไถปรับนาเป็นแปลงขนาดใหญ่เช่นที่เห็น


279

ในปัจจุบัน และยังสามารถขยายที่ได้อีกจากการโค่นและไถดันต้นตาลทิ้ง (ด้วย ทาข้าวขายง่ายกว่า)และนโยบายตลอดจนการผลิตข้าวที่สนองรับการขายข้าวที่ เกิ ด ขึ้ น ในช่ ว งรั ฐ บาลปี พ.ศ.2539–พ.ศ. 2549 ท าให้ ก ารซื้ อ ขายข้ า ว สะดวกสบาย กล่าวคือในช่วงนาปี เมื่อเสร็จรอบปีเมื่อข้าวขึ้นฉางราวเดือน 2-4 ชาวบ้านเอาข้าวมารวมกันแล้วใส่เกวียนเข็นไปขายให้เถ้าแก่ที่หนองจอกหรือท่า ยางเมื่อมีถนนลูกรังเถ้าแก่ก็เอารถ 6 ล้อมารับที่ลานข้าว (ราวปี พ.ศ. 2520 ขึ้นมา) ในช่วงนาปรังนี้เทคโนโลยีที่เข้ามาไล่เรี่ยกันคือ “รถตัดข้าว” ในภาษา ชาวบ้าน (รถเกี่ยวนวดข้าว) โดยเมื่อข้าวพร้อมเกี่ยวชาวบ้านจะติดต่อเจ้าของ รถมาเกี่ ย วแล้ ว นวดออกมาเป็ น ผลผลิ ต เลย ซึ่ ง รถตั ด ข้ า วจะมารั บ พร้ อ ม รถบรรทุก ผลผลิตที่แล้วเสร็จจากท้องทุ่งก็ จะมุ่งตรงสู่โรงสีทันทีโดยไม่ต้องขึ้น ยุ้งฉาง (ทองเจือ คาคล้ าย, 2559 : สั ม ภาษณ์ ) ข้าวที่ เหลือไว้กินก็จะเก็บ ใส่ กระสอบไว้เล็กน้อยเท่านั้น วิถีการผลิตข้าวในยุคนี้ อาจกล่าวได้ว่าเป็นการเปลี่ยนจากการผลิตแบบ บุ ก เบิ ก หรื อ แบบยั ง ชี พ ไปสู่ ก ารผลิ ต เชิ ง พาณิ ช ย์ ด้ ว ยความเอื้ อ อ านวยจาก เทคโนโลยีและการคมนาคม และยังคงเป็นวิถีการผลิตหลัก ๆ ถึงยุคปัจจุบันที่ เห็นได้ ทว่าสิ่งที่ผู้ศึกษาต้องการแสดงข้อมูลคือ พื้นที่นี้เป็นที่สมบูรณ์ไปด้วยน้า แม้ว่าปัจจุบันปี พ.ศ. 2559 เกิดเหตุการณ์แล้งรุนแรงจนเขื่อนไม่สามารถปล่อย น้ ามายั งคลองส่ งน้ าได้ การผลิ ต ข้ าวหรื อ การท านายั งคงเป็ น เป็ น เช่ น ในยุ ค เทคโนโลยี หากแต่เกษตรกร หรือชาวบ้านมีวิธีการปรับตัวในแง่ของการแสวงหา อาชีพเสริม ซึ่งผู้ศึกษาจะกล่าวถึงในหัวข้อการเปลี่ยนแปลงของวิถีทางเศรษฐกิจ ในหันตะเภา ต่อไป เมือ่ เล่าเรื่องข้าวในหันตะเภาแล้ว อีกผลผลิตหนึ่งที่เกิดคู่กัน คือ “ตาล” อันเป็นพืชที่เกิดขึ้นเองตามระบบนิเวศ ซึ่งสามารถแบ่งเป็นยุคได้ล้อกันเป็นอย่าง ดี กั บ การผลิ ต ข้ า ว ดั งค าพู ด ของนางผล กองแก้ ว ที่ ว่ า “น้ ามาก็ ท านา พอ หน้าแล้งก็ทาตาล สานตระกร้า กระบุง”


280

5.2. การทาตาลในหันตะเภา การผลิตตาลแบบบุกเบิก ตาลไม่ใช่อาหารหลักเหมือนข้าว ต้นตาลจึงถูกโค่น ดงตาลจึงถูกถาก ถางเพื่อทานา แต่ต าลนั้นยังผลมหาศาลในการใช้ชีวิต ตั้งแต่ลาต้นที่สามารถ สร้างที่อยู่อาศัยลูกและน้าตาลที่สามารถนาไปขายได้การทาตาลจึงเป็นอาชีพที่ ได้รับความนิยมเคียงคู่กับการทานาล้อกันไปเสมอเพราะเมื่อว่างจากทานาก็ทา ตาลได้และทาได้ทุกฤดู เป็นที่ทราบกันดีกับชื่อเสียง “ตาลเมืองเพชร” บ้านหันตะเภาแห่งนี้ก็ ไม่ทิ้งลายตาลเมืองเพชรเช่นกัน ต้นตาล ถือเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่พบเห็นได้ ทั่วไปภายในหมู่บ้าน ตั้งตระหง่านสูงเด่นอยู่กลางทุ่งนา ที่แม้ในปัจจุบันชาวบ้าน จะกล่าวว่าลดน้อยลงไปมากแล้ว หากแต่ที่บ้านหันตะเภาแห่งนี้กลับถือได้ว่ามี ต้ น ตาลมากที่ สุ ด แห่ ง หนึ่ ง ในต าบลหนองจอก บ่ ง บอกถึ ง ความร่ ารวยของ ทรัพยากรต้นตาลแต่ครั้งก่อนได้เป็นอย่างดีนายประสิทธิ์ ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ อาชีพดังกล่าวนี้ไว้ด้วยว่า “แต่ก่อนคนที่นี่ทาน้าตาล แต่หายไปแล้ว ส่วนใหญ่ทา เต้าตาล (ลูกตาล) แต่ก่อนทากันทุกบ้าน ราคากิโลกรัมละ 3 บาท ปีบละ 5 บาท เมื่อก่อนหลังจากเก็บน้าตาลกันมาได้แล้ว จะมารวมตัวกันเป็นก๊กๆ กลุ่มๆ คล้าย กับที่เอาแรงทานา แต่ว่ากลุ่มหนึ่งมีไม่มาก สัก 3-4 คน มารวมตัวกันแล้วผลัด กันเคี่ยวผลัดกันต้ม ใช้เตาเดียวกัน กระจายๆ กันไปทั่วหมู่บ้าน...”(ประสิทธ์ พิมพ์สุวรรณ, 2559: สัมภาษณ์) ประกอบกับการให้ข้อมูลจากนายอนันท์และ นางสุชาดา คู่สามีภรรยาที่มีประสบการณ์การทาตาลกว่า 30 ปี ให้สัมภาษณ์ว่า “ที่บ้านนี่ทากันมานาน ทามาตั้งแต่แรก ทานาด้วยทาตาลด้วย แต่ทาเฉพาะผอม เต้าตาล (เฉาะลูกตาล) ขาย เมื่อก่อนที่นี่มีเยอะ แต่เดี๋ยวนี้ก็ลดลง ต้นสูงๆ พอ ขึ้ น ไม่ ไ ด้ ก็ โ ค่ น ขายไม้ ยิ่ ง ต้ น แก่ ๆ ไม้ ยิ่ ง แข็ ง คนเขาก็ เ อาไปท าบ้ า น ท า เฟอร์นิเจอร์ นี่ๆ ที่นั่งอยู่นี่ก็เป็นไม้ต้นตาล แผ่นดาๆ นั่นแหละๆ (กลุ่มผู้ศึกษาชี้ แผ่นไม้กระดานดังกล่าว)” (สุชาดา สังข์ประเสริฐ, 2559: สัมภาษณ์) จากคา


281

บอกเล่าที่บ่งบอกถึงประวัติศาสตร์การทาตาลมาอย่างยาวนานตั้งแต่อดีตจนถึง ปัจจุบัน การทาน้าตาลและเต้าตาลรุ่งเรืองมากตามทรัพยากรต้นตาลที่มีมากใน ขณะนั้น ทั้งนี้กลุ่มผู้ศึกษาได้เก็บรวบรวมวิธีการและขั้นตอนในการทาน้าตาลสด และการโยงตาลแบบดั้งเดิมไว้ดังนี้ การทาน้าตาลและโยงตาลอธิบายพอสังเขป การทาน้าตาลสดและน้าตาลปึกเมืองเพชร 1) เริ่มจากชาวบ้านจะใช้ไม้ ไผ่ขนาดใหญ่ แข็งแรง และมีความยาว มาก ๆ เพื่อที่จะสามารถนาไม้ไผ่นี่หรือที่ชาวบ้านเรียก “ซอ” ปีน ขึ้นไปถึงช่อดอกของต้นตาลได้

ภาพที่ 4.8 ภาพไม้พะอง (ไม้ไผ่) พาดอยู่ที่ลาต้นของต้นตาล (ภาพถ่ายโดย: วิริยา ธรรมศร เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2559)


282

2) ชาวบ้านจะใช้ไม้คาบนวดงวงตาลและลูกตาล ที่แตกต่างกันเพราะ ต้นตาลมีเพศที่ต่างกัน ซึ่งสามารถสังเกตได้ง่ายๆ จากช่อดอก ตัว เมียคือต้นที่ให้ผลเป็น “เต้าตาล” ที่เราสามารถเฉาะนาเนื้อมากิน ได้ แต่ถ้าเป็นต้นตาลเพศผู้จะมี ช่อดอกออกมาเป็นลักษณะแท่ ง ยาวๆ หรือที่เรียกว่า งวงตาล สองเพศนี้แยกต้นกันชัดเจน ไม้ที่ใช้ นวดตาลนี้เรียกไม้คาบตาลตัวผู้กับไม้คาบตาลตัวเมีย ไม้คาบตัวผู้ จะใช้สาหรับนวดทลายลูกตาลเพศเมีย และไม้คาบตาลตัวเมียจะใช้ สาหรับนวดงวงตาลตัวผู้ การนวดนี้เพื่อให้มีน้าตาลออกมาก

ภาพที่ 4.9 ภาพการสาธิตวิธีการนวดตาล (ภาพถ่ายโดย: วิริยา ธรรมศร เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2559) 3) จากนั่นก็จะทาการปาดตาล ซึ่งป้าเพ็ญบอกว่าสามารถทาได้ทั้งตัวผู้ และตัวเมีย เมื่อนามีดปาดตาลแล้วก็จะนากระบอกไม้ไผ่ขนาดใหญ่ ไปรองน้าตาลไว้ จากนั้นก็จะขึ้นไปเก็บทุกเช้า


283

ภาพที่ 4.10 ภาพน้าตาลสดที่ได้จากต้นตาลสด (ภาพถ่ายโดย: วิริยา ธรรมศร เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2559) 4) น้าตาลที่ ได้ม าก็จะนาไปกรองกับ ผ้าขาวบางเสียก่อน เพื่ อกรอง พวกแมลงอย่างเช่นผึ้ง และไม้ผะยอม ที่ป้าเพ็ญเล่าว่าใช้เป็นสาร กันบูด เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านแท้ๆ

ภาพที่ 4.11 ภาพการใช้ผ้าขาวบางกรองไม้ผะยอมและแมลง (ภาพถ่ายโดย: วิริยา ธรรมศร เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2559)


284

5) เมื่อกรองแล้วจะเทรวมกันในกระทะใบใหญ่ที่ตั้งคอยบนเตาไว้แล้ว จากนั้นก็ต้มเป็นอันเสร็จ ได้น้าตาลสดหอมหวาน จากวิธีการแท้ แบบดั้งเดิม เปลี่ยนวิธีการนิดเดียวด้วยจากการต้มเป็นการเคี่ยวจะ ได้เป็นน้าปึกแทน

ภาพที่ 4.12 ภาพน้าตาลสดขณะอยู่ในกระทะ (ภาพถ่ายโดย: วิริยา ธรรมศร เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2559) การโยงตาล 1) ชาวบ้านจะนาไม้พะองมาพาดสาหรับใช้ปีนขึ้นไปเช่นเดียวกันกับ การทาน้าตาลในขั้นแรก


285

ภาพที่ 4.13 ภาพการพาดไม้พะอง (ภาพถ่ายโดย: วิริยา ธรรมศร เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2559) 2) ก่อนการเตรียมตัวปีนต้นตาลชาวบ้านจะเตรียมอุปกรณ์ อันได้แก่ เชือก และมีด ขึ้นไปบนต้นตาลด้วย จากนั้นชาวบ้านจะเลือกตัด ทลายตาลที่ถึงระยะเวลาสามารถเก็บได้ โดยจะต้องไม่สีอ่อนหรือ เข้มเกินไป เพราะจะอ่อนและแก่เกินไป

ภาพที่ 4.14 ภาพการเตรียมปีนขึ้นต้นตาล (ภาพถ่ายโดย: วิริยา ธรรมศร เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2559)


286

3) ใช้เชือกที่เตรียมขึ้นไปด้วยมัดกับทลายตาลแล้วหย่อนลงมา หรือที่ ชาวบ้านเรียกว่า “โยง” ส่งลงมาให้คนที่รอรับที่พื้น ถ้าโยงลงมา กระแทกพื้น ลูกตาลจะช้าได้

ภาพที่ 4.15 ภาพการรับทลายตาลที่โยงลงมาจากด้านบน (ภาพถ่ายโดย: วิริยา ธรรมศร เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2559) 4) เมื่อได้ทลายตาลลงมา ชาวบ้านจะนาเอามา “ผอมเต้าตาล” หรือ การเฉาะลูกตาล เป็นอันเสร็จเรียบร้อย


287

ภาพที่ 4.16 ภาพการผอมเต้าตาล (ภาพถ่ายโดย: วิริยา ธรรมศร เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2559) ในส่วนของการโยงตาล เริ่มด้วยการใช้ไม้พะองพาดต้นตาล แต่การโยง ตาลนี้จะทาเฉพาะต้นตาลเพศเมียที่ให้ช่อดอกเป็นทลายลูกตาลเท่านั้น เครื่องไม้ เครื่องมือมีเพียงแค่ไม้พะอง มีด และเชือกเท่านั้น พอปีนขึ้นไปแล้วจะตัดทลาย ตาลใช้เชือกผูกแล้ว แล้วหย่อนลงมาหรือที่ชาวบ้านเรีย ก “โยง” เพื่อไม่ไห้เต้า ตาลช้า จากนั้นนามาเฉาะเอาลูกตาลออก ชาวบ้านเรียกขั้นตอนนี้ว่า “การผอม เต้ าตาล” เป็ น อั น เสร็จสิ้ น ได้ ลู ก ตาลลู ก อวบอ้ วนไปขายได้ แล้ ว การค้ าขาย ในช่วงนี้ นางผล คนเหล็กแห่งบ้านหันตะเภา เล่าว่า “เมื่อก่อนคนทางโตนดน้อย ทางปึกเตียน ฝั่งติดทะเล จะหาบเอาเกลือเอากะปิ มาแลกข้าวที่ นี่ บางที เราก็เอา


288 น้าตาลแลก ใส่ไห ใส่ตะบุงมาแลกกัน เกลือ กะปิที่แลกมาก็เอามาทากับข้าว ” (ผล

กองแก้ว,2559: สัมภาษณ์) ยังเป็นการแลกเปลี่ยนเล็กน้อยและเพื่อสมาชิกใน ครัวเรือนเป็นสาคัญ ไม่ได้แลกเปลี่ยนค้าขายในตลาดแต่อย่างใด การผลิตตาลแบบเทคโนโลยีสมัยใหม่ การแบ่ ง เช่ น นี้ เป็ น การแบ่ ง ให้ ล้ อ กั บ การผลิ ต ข้ า ว เป็ น การพู ด ถึ ง สถานการณ์เสียมากกว่า หากดูตามเนื้อหาการผลิตข้าวนั้นการคมนาคมและการ ติดต่อ นาเทคโนโลยีเข้ามาการผลิตข้าวทวีความสาคัญขึ้นเหนือกว่าตาลมากจาก ที่เคยผลิตเคียงคู่กันในยุคบุกเบิก แต่ตาลไม่ ได้หายไป หากแต่คนทาหรือภูมิ ปัญญาในการทาตาลและวัตถุดิบบางอย่างหายากขึ้น ในช่วงนี้ราคาของตาลก็ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก แต่ด้วยข้าวแสดงให้เห็นการลงทุนที่คุ้มและปลอดภัย (การปีนตาลนั้นเสี่ยงอันตรายมาก) ผู้คนจึงเริ่มละทิ้งทาให้สิ่งที่หายากเห็นจะเป็น คนปีนตาลและไม้ไผ่ซอกับไม้พะองที่ใช้ปีนขึ้นนั้นก็หายากจากการถากถางปรับที่ นานั่นเอง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงวิถีการผลิตนี้เกิดขึ้นเรื่อยมาจากปี พ.ศ. 2520 ที่ ถนนและเทคโนโลยีทวีความสาคัญ นาไปสู่วิถีการผลิตในปัจจุบัน พ.ศ. 2559 ซึ่ง จะกล่าวอีกครั้งในลาดับถัดไป


289

5.3. การเลี้ยงวัว ปัจจุบันภายในหมู่บ้านพบฝูงวัวเป็นจานวนมาก จากการสอบถามนาย เติม อายุราว 65 ปี คุณลุงเจ้าของฝูงวัวกว่า 10 ตัว ขณะนั่งเหลาทางมะพร้าว อยู่หน้าบ้านตรงคอกวัว ได้ความว่า “ที่นี่เลี้ยงวัวเนื้อ พันธุ์บราห์มัน (Brahman)6 ที่ ตัวโตๆ กับวัวพันธุ์ไทยพื้นเมื อง ที่อยู่ตรงข้างอีกฝั่งถนนหน้าบ้านนั่นแหละ ” (เติม ศิลปศร,2559: สัมภาษณ์) ในไร่นาของชาวบ้านนอกจากนาข้าวยาวสุดลูกหูลูก ตากับต้นตาลที่ขึ้นแซมกันเต็มไปหมด “วัว” ยังเป็นอีกสิ่งมีชีวิตหนึ่งที่สามารถ พบได้ตามทุ่งนาและบ้านเรือน ประวัติศาสตร์จากคาบอกเล่าของชาวบ้านอย่าง นายประสิทธิ์ ส่วนหนึ่งในบทสนทนาเรื่องวัว ดังที่กล่าวไว้ในข้างต้นแล้วว่า “... วัวมีมาแต่ดั้งเดิม ใช้วัวไถนา แต่ละบ้านมีกันอย่างน้อย 2 ตัว บางบ้านทาเยอะ (ทา นา) ก็มี 4 ตัว 6 ตัว เป็นคู่ๆ...” (ประสิทธ์ พิมพ์สุวรรณ,2559: สัมภาษณ์)

วัวในช่วงบุกเบิก (เลี้ยงเพื่อทานา) ยุคนี้ก็สอดคล้องไปกับการทานาเช่นเดิม กล่าวคือย้อนกลับไปราว60 ปี (หรือนานกว่านั้น) จานวนวัวในพื้นที่บ้านหันตะเภาไม่ได้มีมากนักดังที่เห็นเป็น ฝูงในปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะวัวทาหน้าที่เป็นเครื่องทุ่นแรงของชาวบ้าน การที่แต่ละ บ้านนิยมเลี้ยงวัวเป็นคู่ๆ เพราะใช้วัวสาหรับการไถนาเป็นหลัก จึงต้องใช้วัวเป็น 6“มีต้นกาเนิดในประเทศอินเดีย

แต่ถูกปรับปรุงพันธุ์ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โค พันธุ์นี้ที่เลี้ยงในบ้านเราส่วนใหญ่นาเข้ามาจากสหรัฐอเมริกา และ ออสเตรเลีย แล้วนามา คัดเลือกปรับปรุงพันธุ์โดยกรมปศุสัตว์และฟาร์มของเกษตรกรรายใหญ่ในประเทศเป็นโคที่มี ขนาดค่อนข้างใหญ่ ลาตัวกว้าง ยาว และลึก ได้สัดส่วน หลังตรง หนอกใหญ่ หูใหญ่ยาว จมูก ริมฝีปาก ขนตา กีบเท้าและหนังเป็นสีดา เหนียงทีคอและหนังใต้ท้องหย่อนยาน โคน หางใหญ่ พู่หางสีดา สีจะมีสีเขา เทา และแดง ที่นิยมเลี้ยงกันมากคือสีขาว เพศผู้โตเต็มที่ หนักประมาณ 800-1,200 กก. เพศเมียประมาณ 500-700 กก.” (ไม่ปรากฏผู้แต่ง, มปป : ออนไลน์)


290

คู่ๆ ในการเทียมคันไถ อีกทั้งสายพันธุ์ของวัวยังเป็นวัวพันธุ์ไทยพื้นเมือง หรือวัว ลานขึ้นชื่อของเมืองเพชรฯนั่นเอง แม่วัวเป็นสิ่งสาคัญมากที่แต่ละบ้านขาดไม่ได้ เพราะทาหน้าที่ผลิตวัว อันเป็นแรงงานในการทานา (เหตุการณ์ลักขโมยในอดีตมักเป็นกรณีพิพาทเรื่อง ลักวัวขโมยวัว) วัวจึงเป็นทรัพย์สินมีค่าสูงในขณะนั้น เพราะวัวแสดงถึงที่นาและ ผลผลิตที่ได้จากข้าว ทั้งนี้วัวยังถูกใช้ในพิธีกรรม เช่น งานบวชจะใช้เทียมเกวียน เพื่อแห่นาค วัวแก่จะถูกล้มเพื่อใช้เป็นอาหารในงานบุญ งานบวช หรืองานศพ ในฤดูฝนวัวจะถูกเลี้ ยงในคอกอาศั ยการเกี่ยวหญ้ าและใบข้าวให้ กิ น หรือปล่อยออกแค่บางครั้งเพื่อไม่ให้กระทบต่อต้นข้าวมากนัก แต่ในอดีตในที่นา ของหั น ตะเภามี ที่ ด อนอยู่ จึ งมั ก เลี้ ย งวั วบนที่ ด อน (ก่ อ นการไถนาปรั บ ที่ ดิ น ปัจจุบันดอนหายไปเกือบหมดแล้ว) วัวที่ทานาเป็นจะแก่ตัวลงตามเวลา ดังนั้น เมื่อแม่วัวคลอดลูกและโตเป็น “ลูกกะเลิง” หรือวัยที่กาลังเป็นหนุ่ม ชาวบ้านจะ เทียมคันไถผูกไว้กับวัวแก่ให้วัวแก่คอยฝึกไถนา เมื่อโตเต็มที่แล้วก็จะพร้อมใช้ งาน วัวที่แก่ใช้งานไม่ได้ก็ขายให้คนในหมู่บ้านหรือชุมชนใกล้เคียง ไว้ล้มกินตาม โอกาสต่างๆ วัวในช่วงเทคโนโลยีสมัยใหม่ วัวจึงไม่ ได้ถูก เลี้ ยงไว้เป็ น จานวนมากเช่น ในปั จจุบั น ตามเหตุข้างต้ น เนื่องด้วยเทคโนโลยีที่เข้ามาทาให้แรงงานวัวที่เคยสาคัญไปถูกลดบทบาท แต่วัว ไม่ได้หายไปแต่ทวีจานวนขึ้น เพราะราคาและต้นทุนที่สามารถเลี้ยงเพื่อขายได้ ปัจจุบันชาวบ้านหันตะเภาเลี้ยงวัวไว้ 3 ประเภท คือ 1. เพื่อขาย เป็นวัวเนื้อ ปกติหรือวัวทุ่งที่เลี้ยงเป็นฝูงใหญ่ๆ 2. เพื่อการกีฬา เป็นวัวลักษณะดีที่ชาวบ้าน เลือกสรรไว้เล่นวัวลาน อันเป็นกีฬาขึ้นชื่อของเมืองเพชรฯ 3. วัวขุน เป็นวัวที่ เลี้ยงเพื่อขายเนื้อโดยเฉพาะไม่ใช่วัวทุ่งที่เลี้ยงแบบปล่อย ราคาสูงเป็น 2 เท่ า ของวัวเนื้อทั่วไป


291

วัวทุ่ง ชาวบ้านบางรายที่ทานาปรัง ปีละ 2 ครั้งนิยมปล่อยที่นาให้ว่าง เพื่อเลี้ยงวัวโดยให้เหตุผลว่าทิ้งดินให้พัก และขี้วัวก็เป็นปุ๋ยชั้นดีสาหรับข้าว โดย ปัจจุบันชาวบ้านทาลวดไฟฟ้าล้อมทุ่งของตนไว้เพื่อกันวัวหลุด ส่วนวัวลานก็เป็น การคัดเลือกวัวลักษณะดีในวัวทุ่งมาเลี้ยงให้แข็งแรงปล่อยลงทุ่งให้วิ่งเพื่อนาไป แข่งขัน ส่วนวัวขุนให้ราคาแพงแต่ต้นทุนสูง อาหารสาหรับวัว 1 ตัวต่อวัน คือ 20 ถุง ถุงละ 240 บาท การเลี้ยงนั้นชาวบ้านจะเอา “ซากวัว” จากนายหน้า นอกพื้นที่มาขุนต่อ ในหันตะเภามีเลี้ยงวัวขุนไม่เกิน 20 หลังคาเรือน เมื่อขุนได้ 4 เดือนก็จะโทรติดต่อนายหน้าเพื่อมารับซื้อถึงที่ ราคาตัวละประมาณ 40,00050,000 บาท ส่วนวัวทุ่งราคา 20,000 บาทโดยประมาณ วัวตัวเมียไม่นิยมขาย วัวในยุคนี้จึงมิใช่การเลี้ยง หรือผลิตเพื่อใช้เป็นแรงงานเช่นในอดีตแต่ เป็นการเลี้ยงเชิงพาณิชย์ที่สร้างรายได้เป็นเม็ดเงินแก่วงจรการผลิตของชาวหัน ตะเภา 5.4. ปลาในหันตะเภา ระบบนิเวศของหันตะเภา เป็นพื้นที่รับน้า ซึ่งสัตว์น้าเป็นสิ่งที่มีอยู่ใน ระบบ ชาวบ้านจึงสามารถใช้เป็นแหล่งอาหารได้ อย่างไรก็ตามเมื่อเทคโนโลยีนา การปรับที่ดินทาให้ภูมิศาสตร์และระบบนิเวศเปลี่ยนปลาจึงหายไป ปลาในยุคบุกเบิก ในฤดูน้าหลากของหันตะเภาเกิดแอ่งน้าเอ่อนองไปทั่ว ชาวบ้านกล่าวว่า ปลาชุมและตัวใหญ่มาก ในนาก็มีปลาชุมไปหมด อนึ่งในฤดูแล้ง ในหนองขนาด ใหญ่ นั้ น ก็ ยังเป็ น ที่ ห าปลาให้ ช าวบ้ านได้ เสมอแทบไม่ ต้ องหาสัต ว์ชนิ ดอื่ น มา บริโภคเลย


292 แถวนี้ป ลาชุม แต่ก่อนมีห นองใหญ่ กับห้วยตรงนี้ มีกอ หญ้าขึ้นรกไปหมด อยากกินเมื่อไหร่ก็มาหาเอาตามกอหญ้าก็ได้ไม่ เคยอด (จารัส บัวเจริญ, 2559 : สัมภาษณ์)

ปลาในยุคเทคโนโลยี ช่วงที่ถนนเข้ามาสู่หมู่บ้านนั้น นายจารัส บัวเจริญ ยังเล่าให้ฟังว่าปลา สมบูรณ์จนขนาดชาวโซ่งจากป่าบน (เขากระจิว) เหมารถสองแถวลงมาจับปลา ไปเป็นคันรถ แต่ความสมบูรณ์เริ่มหายไปเมื่อมีการใช้สารเคมีในนาข้าว ซึ่งทา ให้ปลาไม่สามารถอยู่หรือกินได้ อนึ่ง คลองทิ้งน้าหรือคลองหันตะเภาที่ขุดขึ้น ส่งผลให้หนองใหญ่หายไป ไร้แหล่งพักพิงระยะยาวให้กับปลา ปลาจึงยังคงแสดงให้เห็นความผูกพันระหว่าง คน น้า ข้าว อีกอันหนึ่งที่ เทคโนโลยีเข้ามาพลิกโฉมหน้าของวิถีการดารงชีพ 5.5. วิถีที่เปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของหันตะเภา ก้าวสู่วิถีปัจจุบัน 2559 เนื้อหาส่วนนี้คือการรวบเอา การทานา ทาตาล เลี้ยงวัว และปลา ที่ กล่าวไว้ข้างต้นมาเชื่อมโยงเพื่อชี้ให้เห็นความเกี่ยวเนื่องกันอย่างมิอาจตัดขาด ซึ่งวางอยู่บนรากฐานของระบบนิเวศแห่งหันตะเภา ในท้ายที่สุดเป็นสถานการณ์ ปัจจุบันทันด่วนที่สุดที่เพิ่งเกิดขึ้นใน ปี 2559 ที่ความแล้งรุนแรงจนชาวบ้านบาง รายเลือกแสวงหาวิถีการผลิ ตแบบใหม่ ๆ อัน เป็ น ผลจากการผลิตทั้ ง 4 แบบ ข้างต้นที่ประสบปัญหา


293

วิถีทางเศรษฐกิจกับการเปลี่ยนแปลงแห่งบ้านหันตะเภา ในช่วงปี พ.ศ. 2510 เกิดระบบคลองส่งน้าขึ้น น้าจะถูกส่งมาจากเขื่อน แก่งกระจาน โดยแบ่งออกเป็น 3 สาย สาหรับบริเวณพื้นที่บ้านหันตะเภาใช้น้า จากคลองสาย 3 ระบบคลองส่งน้านอกจากจะทาให้ชาวบ้านมีน้าใช้ตลอดทั้งปี เพียงพอต่อการทาเกษตรกรรมได้มากถึง 2 ครั้งต่อปี น้าที่เคยท่วมขังในช่วงหน้า ฝนก็ห ายไป กล่ าวคื อ จากคาบอกเล่ า เมื่ อระบบคลองส่งน้ าเกิ ดขึ้น ห้ วยใน หมู่บ้านถูกทาเป็น “คลองทิ้งน้า7” รองรับน้าเมื่อยามที่ปริมาณน้าฝนและน้าที่ ส่งมาจากเขื่อนมาก แต่กลับเกิดเหตุการณ์น้าท่วมอีกครั้งช่วงประมาณปี พ.ศ. 2512 โดยน้ าในปี นั้ น มี ป ริม าณมากห้ วยของหมู่ บ้ านไม่ ส ามารถรองรับ น้ าได้ เหตุ ก ารณ์ ในครั้ งนั้ น ท าให้ เกิ ด การขุ ด คลองหั น ตะเภายาวไปจนน้ าสามารถ ระบายออกสู่อ่าวไทยได้ที่ปากหาดปึกเตียน ตาบลปึกเตียน เหตุ ก ารณ์ ในครั้งนั้ น ส่ งผลทางด้ านบวกมากกว่ าลบในมุ ม มองของ ชาวบ้าน จากการกล่าวถึงด้วยน้าเสียงที่ พอทาเนาความยากลาบากในช่วงน้า ท่วมได้ นายเฉลิม บ้านเผาถ่าน อายุอานามใกล้เข้าเลข 7 กล่าวว่า ที่นี่ทานาทาไร่ กล้วย มะพร้าว ขึ้นตาล (การโยงตาลและ ทาน้าตาลสด) แต่ทานาประจา เพราะที่นี่ไม่เคยแล้ง เมื่อก่อนคน ที่นี่ทานาปี พอมีคลองส่งน้าสักห้าหกสิบปีมานี้ ก็เริ่มทานาปรัง (เฉลิม เอมโอษฐ์,2559: สัมภาษณ์) พอมีคลองส่งน้า ได้ข้าวมากขึ้นเพราะทานาปีละหลาย ครั้งได้ จากข้าวเบา ก็มาทาข้าวหนัก ได้มากกว่า (ผล กองแก้ว,2559: สัมภาษณ์) 7คลองทิ้งน้า เป็นชื่อเรียกพื้นที่ที่ใช้สาหรับรองรับน้าที่ถูกปล่อยออกมาจากเขื่อน

เกินความต้องการของชาวบ้าน เพื่อป้องกันน้าท่วมในพื้นที่เกษตรกรรมและพื้นที่อยู่อาศัย


294

การที่ชาวบ้ านเกิดการปรับเปลี่ ยนรูปแบบการทานาไปทานาปรังได้ เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชาวบ้านหันตะเภาไปด้วย ภายหลังการเข้ามาของคลองส่งน้า ทาให้ชาวบ้านมีน้าใช้ตลอดทั้งปี รูป แบบการท านาที่ แ ต่เดิม เป็ น นาปี ก็ป รับ เปลี่ยนเป็ น “นาปรัง” ที่ ปี ห นึ่ งๆ สามารถทาได้ 2 ครั้ง ไม่ต้องรอน้าฝนตกตามฤดู นอกจากนี้ “ข้าวหนัก” ที่นาง ผลกล่าวถึงยังมีนั ยยะที่ บ่ งบอกถึงผลผลิ ตที่ เพิ่ มมากขึ้น ด้วย กล่าวคือ “ข้าว หนัก” เป็นข้าวที่เก็บเกี่ยวมาจากการปลูกข้าวบนพื้นดินอย่างที่สามารถพบเห็น ได้ทั่วไป ไม่ได้ลอยอยู่เหนือน้าที่ท่วมเป็นข้าวเบาอย่างในอดีต ผลผลิตที่ได้จะได้ มากกว่าข้าวเบาที่ทาในนาลอยกว่ามาก หากแต่เมื่อน้าไม่ท่วมขังไม่ได้แปลว่าจะ ไม่มี ปลาหลงเหลื ออยู่ ปลาในพื้ น ที่ ยังชุกชุม อาจจะไม่เท่าเมื่อครั้งที่ ยังมีห้ วย ขนาดใหญ่ แต่ตามเหมืองน้าไหลหรือช่องคันนาก็มีปลาชุกชุมไม่ต่างกัน นายประ สิทธ์เล่าว่า คนแถวนี้ใช้รอบ ลักษณะคล้ายไซ แต่รอบดักได้แต่ตัว โตๆ ดั กเอาตามเหมืองน้ าไหล ช่องคัน นา ตอนเช้าไปกู้เอาขึ้ น สมัยก่อนปลาเยอะ ไม่ต้องออกไปหาที่อื่นที่นาตัวเองก็มี 2 งาน นี่ ได้เป็นร้อยโลฯ จะมีแม่ค้าทั้งในหมู่บ้านต่างหมู่บ้านมารับซื้อเอาไป (ประสิทธ์ พิมพ์สุวรรณ,2559: สัมภาษณ์)

ชาวบ้านหันตะเภาในช่วงเวลาดังกล่าวที่ข้าวปลาอุดมสมบูรณ์ อีกทั้ง เครื่องมือเครื่องใช้ยังมาจากภูมิปัญญาท้องถิ่นของตน ที่สามารถทาได้เอง หันไป ทางใดก็ ห ยิบ จับ น ามาประกอบอาชี พ ได้ เกือ บหมด แต่ ท ว่าเหมื อ นกราฟที่ มี ลั ก ษณะแปรผกผั น อาชี พ หลั ก ที่ เป็ น ดั่ ง ฐานเศรษฐกิ จ ของหมู่ บ้ า นในช่ ว ง ระยะเวลาดังกล่าวอย่างการทานาเฟื่องฟูมาก แต่อาชีพการทาน้าตาลสดและ น้าตาลปึกกลับลดลง นายประสิทธิ์ให้คาเฉลยไว้ว่า


295 ไม่มีไม้พะองพาดตาล ไม้ไผ่หมด พะองก็หาไม่ได้ กอซอ (กอไผ่) หมด พอตัดแล้วไม้แบบนี้ไม่มีใครปลูกกัน ก็หมดไปเรื่อย ๆ จะขึ้นไปเก็บมาจากป่าก็ไม่ได้อีก ตารวจจับ ฝืนที่จะเอามาทาก็ ไม่มี ต้นตาลต้น ตาลก็น้อยลง คนไปทาไร่ทานากันมาก ทานาเป็น อาชีพหลักขยายพื้นที่กันออกไป (เพิ่งอ้าง,2559: สัมภาษณ์)

อาจกล่าวได้ว่า การเปลี่ยนแปลงที่เริ่มเกิดขึ้นในช่วงของการเกิดระบบ คลองส่ งน้ า เห็ น ได้ ชั ด คื อ ไม่ เกิ ด อุ ท กภั ย ในหน้ า ฝน ปลายั งคงอุ ด มสมบู ร ณ์ หากแต่เคลื่อนย้ายตาแหน่งมาอยู่ในนาของชาวบ้านแทนที่การอยู่ในห้วยขนาด ใหญ่ การทาตาลที่ลดจานวนลงไปบ้างจากการถากถางที่ดินเพื่อการปลูกข้าว แต่ยังมิได้สูญหายแต่อย่างใด และวัวยังคงเป็นสายพันธุ์ไทยพื้นบ้าน ลักษณะการ ใช้งานยังคงเดิมคือเพื่อการเกษตร แต่ที่ชัดที่สุดในด้านเศรษฐกิจคงต้องยกให้ อาชีพการทานา จากเดิมที่เป็นรูปแบบนาปีก็สามารถเปลี่ยนเป็นนาปรัง ซึ่งใน ด้านเศรษฐกิจถือเป็นการเพิ่มผลผลิตได้มากยิ่งขึ้นในระบบการผลิตแบบใหม่นี้ ทาให้เป็นการทานาเพื่อขายมากกว่าที่จะทาเพื่อเลี้ยงสมาชิกในครัวเรือนหรือ แลกเปลี่ยนกันเพียงเล็กน้อยอีกต่อไป นายวิชาญ ชายวัยกลายคน รูปร่างสูง โปร่ง พูดจาคล่องแคล่ว กล่าวว่า เมื่อสมัยตนยังเด็กยังพบเห็นการแลกเปลี่ยนแบบหาบใส่ ตะบุงมาแลกอยู่ตอนอายุซัก 12 ปี เคยเห็นคนทางโตนดน้อย ปึก เตียน แถบติดๆทะเลยังหาบกะปิมาแลกข้าวอยู่ แต่พอ 2-3 ปีให้ หลังก็ไม่มีแล้ว เขาเปลี่ยนไปใช้เงินกัน (วิชาญ สังข์ประเสริฐ,2559: สัมภาษณ์)


296

จากการคานวณช่วงเวลาตามคาบอกเล่าของลุงวิชาญ ประมาณราวปี พ.ศ. 2520 การแลกเปลี่ยนเริ่มมีเงินตราเข้ามาเป็นสื่อกลาง ปฏิเสธไม่ได้ว่าเงิน เป็ นหนทางในการเข้ามาของความสมั ยใหม่ อย่างเทคโนโลยี และเข้ามาเพื่ อ เปลี่ยนแปลงระบบการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ ช่วงปี พ.ศ. 2520– พ.ศ. 2525 ถนนหนทางภายในหมู่ บ้านเริ่มดีขึ้น ตั้งแต่ต้น “วัว” ที่ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบน้อยสุดในการเปลี่ยนแปลงครั้งมี ระบบคลองส่งน้า แต่ทว่าในช่วงเวลานี้วัวกลับเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ชัดมาก ที่สุด แต่เดิมชาวบ้านหันตะเภาเลี้ยงวัวสาหรับการไถนา แต่ละบ้านมีไม่มากนั ก เพราะใช้เพียงเทียมคันไถ เครื่องทุ่นแรงเพียงหนึ่งเดียวของการไถนาเช่นที่นาย ประสิทธ์เคยกล่าวไว้ พอมีรถไถบางคนก็ขายวัวทิ้ง เพราะที่คับแคบ ไม่มีที่ดอน (ประสิทธ์ พิมพ์สุวรรณ,2559: สัมภาษณ์)

เทคโนโลยีสมัยใหม่อย่าง “รถไถ” ได้เข้ามาทาหน้าที่แทนวัวสาหรับ การไถนา ตอบโจทย์กับวิถีชีวิตที่เริ่มเปลี่ยนไป การเร่งเพิ่มผลผลิตทั้งจากการทา นาปรัง การใช้รถไถที่ทุ่นแรงและรวดเร็วกว่าวัวจึงเป็นที่นิยมในหมู่ชาวบ้านมาก อีกสาเหตุที่นายประสิทธ์พูดถึงคือ “ที่คับแคบ” ทุ่งนากว้างสุดสายตาแต่ทาไม เขาจึงกล่าวเช่นนั้น แท้จริงแล้วที่คับแคบในที่นี้นายประสิทธ์หมายความว่า ไม่มี พื้นที่ที่จะทิ้งว่างให้หญ้าขึ้นเป็นอาหารวัวแล้ว ปกติแล้วชาวบ้านจะเลี้ยงวัวในที่ ดอน คือที่ๆมีหญ้าขึ้น จะไม่นิยมทานาเพราะวิดน้าเข้านาลาบาก เพราะเป็นที่สูง แต่จากการเร่งเพิ่มผลผลิตข้าวของชาวบ้านทาให้เกิดการขยายพื้นที่มากกว่า เมื่อก่อนมาก เมื่อประกอบเข้ากับการมีเครื่องไม้เครื่องมือทันสมัยเข้ามาทุ่นแรง การขยายพื้นที่จึงรุดหน้าไปมาก การทิ้งล้างที่นาเพียงเพื่อให้วัวกินหญ้ าจึงไม่ นิยมมากนัก ชาวบ้านจึงขายวัวของตนทิ้งแล้วหันไปซื้อเครื่องมือสมัยใหม่ ที่ลุง


297

ประสิทธ์เรียกว่า “โรแท็กซ์” หรือรถไถ การปรับเปลี่ยนใช้เงินเป็นสื่อกลางใน การแลกเปลี่ยนทาให้ง่ายในการซื้อเครื่องไม้เครื่องมือทันสมัยได้ง่าย ดูเหมือนรถ ไถจะท าให้ วั ว ในฐานะเครื่ อ งทุ่ น แรงท านาหายไป หากแต่ ก ารเลี้ ย งวั ว เพื่ อ จุดประสงค์อื่นได้เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ เมื่อหมดยุคของวัวไถนา นายประสิทธิ์เล่า ต่อว่า แต่ ที่ วัว กลับ มาเพราะเอามาเลี้ ย งเป็ น วัว เนื้ อ วัว ไร่ ทุ่ ง เลี้ยงมาแต่โบราณ แต่ที่คับแคบก็ลดลง คนที่มีตังค์ก็ซื้อมาเลี้ยง ซื้อมาเป็นวัวที่ยังไม่ขุน เป็นวัวผอมๆ เขาเรียกกัน ซากวัว แต่ก่อน ขับรถบรรทุกขึ้นไปเอากันเป็ นขบวน ขึ้นไปซื้อทางเหนือซื้อมาที 30-40 ตัว แล้วก็เอามาแบ่งขายให้ชาวบ้าน เอาไปขุนต่อ (ประสิทธ์ พิมพ์สุวรรณ,2559: สัมภาษณ์)

นอกจากนี้นางผลเล่าถึงเรื่องนี้ไว้บ้างว่า วัวที่เลี้ยงนี้เมื่อก่อนไถนา ตอนนี้เลี้ยงเป็นวัวเนื้อ ไม่ได้ เอาไปขายที่ไหน เดี๋ยวก็มีนายหน้ามาดูๆแล้วก็ซื้อไป วัวพันธุ์ไทยนี่ แหละ ที่หลานเลี้ยงอยู่ (ผล กองแก้ว,2559: สัมภาษณ์)

เกิดเป็นอาชีพใหม่ในหมู่บ้านที่ได้รับความนิยมมาก และยังคงนิยมมา จนถึงทุกวันนี้ ความสามารถในการทานาด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทาให้ได้ผลผลิตเพิ่ม มากขึ้น ในส่วนของการทานาที่ ปรับเปลี่ยนรูปแบบไปดังที่กล่าวไว้ในข้างต้น ช่วงเวลานี้นอกจากวัวไถนาจะเริ่มเลือนหายไปอย่างจริงจัง ขั้นตอนการทานา


298

ต่างๆ ก็มีการปรับเปลี่ยนไปด้วย การดาต้นกล้าข้าวเริ่มหายไป เปลี่ยนวิธีการ ปลูกจากดาเป็นว่านเมล็ดพันธุ์ข้าวแทน เพราะต้องทานาเป็นจานวนหลายไร่ ทา ให้ชาวบ้านเริ่มทานาแบบพึ่งพาอาศัยกันและกันน้อยลง ขั้นตอนสาคัญที่มักจะ ต้องเอาแรงกันจึงเลือนหายไป เมล็ดพันธุ์ข้าวที่นามาใช้ก็เกิดการปรับเปลี่ยน เมื่อก่อนใช้ข้าวพันธุ์พิษณุโลก พันธุ์ชัยนาท ปัจจุบันใช้ พั น ธุ์ 39 41 พั น ธุ์ใหม่ๆ แข็งแรงกว่า ส่วนมากตอนนี้ ป ลูกพั น ธุ์ ใหม่กัน (เฉลิม เอมโอษฐ์,2559: สัมภาษณ์)

ทั้งนี้เพราะการปลูกแบบหว่านจะความเสี่ยงในการงอกของเมล็ดเป็น ต้ น กล้ า จะมากกว่ า การด าที่ จ ะใช้ ต้ น กล้ า ด าลงไปเป็ น แถวเป็ น ระเบี ย บ จึ ง จาเป็นต้องใช้พันธุ์ข้าวที่มีความแข็งแรงและทนต่อสภาพแวดล้อมได้ และในช่วง เวลาที่เทคโนโลยีเริ่มเข้ามานี้ มีการนารถแทรกเตอร์และรถเกี่ยวข้าวทยอยกัน เข้ามาในพื้นที่บ้านหันตะเภา การทานาจึงสะดวกสบายและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ซึ่งผลผลิตที่ได้เป็นจานวนมากนี้ ทาให้ทั้งบรรจุภัณ ฑ์และพื้นที่ในการจัดเก็บ เปลี่ยนแปลงด้วย กล่าวคือ เกิดการเลือกใช้นวัตกรรมสมัยใหม่อย่างพลาสติกเข้า มาแทนที่เครื่องจักรสานของชาวบ้าน เมื่อก่อนได้ข้าวมาจะใส่ตะบุง แล้วก็เอาไปเก็บในกะล่อม แต่พอข้าวมันเยอะขึ้นก็เปลี่ยนไปสร้างยุ้งฉางกัน ข้าวก็ไม่ใส่ตะบุง แล้ว ใส่ถุงกระสอบเอา พวกจักรสานก็หายไป (อุดม ปิ่นเกล้า,2559: สัมภาษณ์)


299

การเข้ามาของเทคโนโลยี มิ ติห นึ่งสามารถทุ่ นแรงและอานวยความ สะดวกให้ชาวบ้านได้มาก แต่ในอีกมิติหนึ่งก็ก่อให้เกิดผลเสียเช่นกัน เครื่องจักร สาน ภูมิปัญญาท้องถิ่นอันทรงคุณค่าของชาวบ้านหันตะเภาสูญหายไป นอกจาก ตะบุ ง เครื่ อ งจั ก รสานในการใส่ ข้ า วหรื อ สิ่ ง ของอย่ า งอื่ น เวลาหาบเอาไป แลกเปลี่ยนกับคนอื่นแล้ ว “ลอบ” หนึ่งในภูมิปัญ ญาในการจับปลาก็หายไป อย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน มีแต่เพียงคาบอกเล่าของชาวบ้านที่อายุเกินเลข 3 ที่จะ สามารถกล่าวถึงรูปร่าง ลักษณะ และการใช้งานของเครื่องจักรสานชนิดนี้ได้ เครื่องจักรสานเดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว หายไปสักพักแล้ว ไม่มี ใครมานั่งทานั่งสาน เด็กใหม่ๆ เขาก็ไม่ทากัน ใส่ถุงกระสอบกัน ง่ายดี เครื่องจักรสานอื่นๆ ก็หายไปหมด (ประสิทธ์ พิมพ์สุวรรณ,2559: สัมภาษณ์)

ครั้งที่ตะบุงหายไปเหตุเพราะมีนวัตกรรมใหม่เข้ามาทดแทน หากแต่ใน กรณีของทรัพยากรธรรมชาติเช่นปลา ถือว่าเทคโนโลยีเข้ามาในมิติที่ก่อให้เกิด ผลเสีย กล่าวคือ ปลาตามเหมืองน้าไหลและช่องคันนาของชาวบ้านลดน้อยลง มากจนไม่สามารถประกอบอาชีพขายปลาเป็นหลายสิบกิโลเช่นในอดีตได้ นาย เฉลิม บ้านเผาถ่าน ให้เหตุผลว่า ปลาชุมอยู่ในสระในคู เดี๋ยวนี้หายาก ใช้สารเคมีพ้นข้าว ฝนชะลงน้าปลาตายหมด (เฉลิม เอมโอษฐ์,2559: สัมภาษณ์)


300

ในทานองเดียวกัน นายประสิทธ์ให้ข้อมูลว่า คนแถวนี้ใช้รอบ ลักษณะคล้ายไซ แต่รอบดักได้แต่ตัว โตๆ ดักเอาตามเหมืองน้าไหล ช่องคันนา ตอนเช้าไปกู้เอาขึ้น ... บางคนเขาก็มีบ่อขุดไว้ตามที่ของเขากัน จะจับปลาก็เอาเครื่องโร แท็กซ์ เป็นเครื่องดัดแปลง เอาเครื่องรถไถมาทา ต่อท่อยาว 8-9 เมตร ท่อน้าลึก วิดน้า จับปลากัน รถไถนาสารพัด เครื่องจักรพวก นี้มันทิ้งคราบน้ามันลงนา พวกปุ๋ยเคมี สารเคมีที่เร่งปลูกข้าวกัน ก็ ชะลงน้า ปลาตายหมด (ประสิทธ์ พิมพ์สุวรรณ,2559: สัมภาษณ์)

การขยายพื้นที่โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย เพื่อเร่งปริมาณการผลิต ทา ให้การขยายพื้นที่เพื่อการทานาเป็นที่นิยมมาก การขยายพื้นที่ออกไปนอกจาก จะส่งผลกระทบต่อเรื่องวัว การขยายพื้นที่ดังกล่าวนี้ยังส่งผลต่อจานวนของต้น ตาลที่ลดลงด้วย ต้นตาลที่แต่เดิมมีมากตามทุ่งนากลายเป็นสิ่งที่ไม่สามารถให้ ผลประโยชน์ได้มากเท่ากับการทานา นายสุชาติ ชายวัยกลางคน อายุประมาณ 50 ต้นๆ กล่าวว่า ที่นี่ทานาเป็นหลัก มีทั้งนาปีนาปรั ง ต้นตาลนี่เขาไม่ใช้ ประโยชน์ (สุชาติ สังข์ประเสริฐ, 2559: สัมภาษณ์)

ประกอบกับนางสุชาดากล่าวว่า เมื่อก่อนที่นี่มีเยอะ แต่เดี๋ยวนี้ก็ลดลง เขาทานากัน ต้น สูงๆ พอขึ้นไม่ได้ก็โค่นขายไม้ (สุชาดา สังข์ประเสริฐ, 2559: สัมภาษณ์)


301

โดยมีมารดาของนางสุชาดานั่งอยู่ด้วยในระหว่างการสัมภาษณ์เสริม ต่อมาว่า ยิ่ ง ต้ น แก่ ๆ ไม้ ยิ่ ง แข็ ง คนเขาก็ เ อาไปท าบ้ า น ท า เฟอร์นิเจอร์ ... ต้นมันสูงทิ้งไว้ก็เปล่าประโยชน์ บางทีเขาก็ต้อง โค่นทิ้ง รถไถ รถแทรกเตอร์มันเข้ามาไม่ได้ ต้นตาลมันขวางอยู่ (สอน ไทยเดิม,2559: สัมภาษณ์)

เห็นได้ชัดว่าอาชีพทานาเฟื่องฟูมาก ต้นตาลที่ขึ้นอยู่ภายในระบบนิเวศ เดียวกันกลายเป็นสิ่งกีดขวางการทานา ไม่เพียงแต่กินพื้นที่การผลิต หากแต่ยัง เป็นสิ่งกีดขวางสาหรับเทคโนโลยีด้วย เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ได้รับผลกระทบทางด้าน ลบเช่นกัน อาชีพที่เกี่ยวข้องกับต้นตาลอย่างการทาน้าตาลและการโยงตาลได้รับ ผลกระทบด้วย ดังที่ กล่าวไปในข้างต้นว่าความสัมพันธ์ระหว่างข้าวและตาล แปรผกผันกัน เมื่อการทานาข้าวเฟื่องฟูมาก การทาตาลก็จะลดลง ในช่วงเวลานี้ นางเพ็ญ เจ้าของเตาต้มน้าตาลรายใหญ่ของบ้านหันตะเภาเล่าว่า เพิ่งกลับมาเริ่มทาเมื่อต้นปี แต่ที่ ทาเป็นเพราะตอนเด็กๆ เคยช่วยพ่อช่วยแม่ทา เคยไปรับจ้างเขาด้วย แต่พ่อแต่งงานออก เรือนตอนอายุประมาณ 20 ก็มาทานากับสามี (เพ็ญ คาพาย,2559: สัมภาษณ์)

แล้วเหตุใดนางเพ็ญจึงกลับมาประกอบอาชีพนี้อีกครั้ง เขาให้คาตอบว่า ทาหารายได้เพิ่ม รอน้าทานา ปีนี้น้าน้อย มาช้า (เพิง่ อ้าง,2559: สัมภาษณ์)


302

คาตอบของนางเพ็ญ นี้เป็นที่น่าสนใจมากเพราะเป็นคาตอบที่ได้จาก ชาวบ้านอีกหลายคน ซ้าๆ ในหมู่บ้านหันตะเภาแห่งนี้ สู่ ปี 2559 ในสถานการณ์วิถีทางเศรษฐกิจร่วมสมัย ความพิ เศษที่ ค ณะผู้ ศึ ก ษาเห็ น ว่ า เป็ น จุ ด เปลี่ ย นสุ ด ท้ า ยคื อ เป็ น เหตุการณ์ปัจจุบันทันด่วน ในปีนี้ (พ.ศ. 2559) เกิดสถานการณ์น้าน้อยในรอบ หลายสิบ ปี เขื่อ นแก่งกระจานไม่ ส ามารถปล่ อยน้ าออกมาให้ เกษตรกรใช้ได้ เพี ย งพอต่ อ การท านาปรั ง แต่ ท ว่ า นอกจากการท านา ท าน้ าตาล เก็ บ เต้ า ตาลโตนด และเลี้ยงวัวอันเป็นอาชีพดั้งเดิมอยู่คู่กับชาวหันตะเภามาตั้งแต่อดีต แล้วนั้น หมู่บ้านหันตะเภาเกิดอาชีพใหม่ๆ ภายใต้สถานการณ์การเปลี่ยนแปลง ในแต่ ล ะช่ ว งเวลามาโดยตลอด แต่ ไ ม่ พ บมากนั ก หรื อ สามารถเห็ น เป็ น ปรากฏการณ์ได้ชัดเท่ากับที่กาลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน ที่อาชีพใหม่ต่าง ๆ ที่ปรากฏ ขึ้ น มากมายจากค าบอกเล่ า นั ย ยะของอาชี พ ทางเลื อ กต่ างๆ ทั้ งหาท าเสริม เพิ่ ม เติ ม หรื อ เปลี่ ย นไปโดยสิ้ น เชิ ง ชาวบ้ า นก าลั ง แสดงถึ ง การปรั บ ตั ว ของ ชาวบ้านเพื่อให้สอดรับกับสิ่งใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นกับพวกเขา สิ่งที่ปรากฏให้เห็นอย่างน่าสนใจต่อกลุ่มผู้ศึกษาคือ ในช่วงเวลากลางวัน ในหมู่บ้านไม่ค่อยมีผู้คนพลุกพล่านมากนัก นางอ้อย อ่วมสะอาด อายุ 42 ปี กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนั่งร้อยอวนอยู่บริเวณหน้าบ้านของตนว่า ที่ช่วง กลางวันไม่ค่อยมีผู้คนในหมู่บ้านมากนักเพราะชาวบ้านหันตะเภานิยมออกไป ทางานรับจ้างข้างนอกหมู่บ้านในช่วงหมดฤดูทานา เพื่อหารายได้เสริมมาจุนเจือ ครอบครัว โดยส่วนใหญ่ที่นิยมทาคือการรับจ้างทาป่าเผือกที่บ้านหนองแจง ใน อาเภอชะอา จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งจะมีรถมารับไปไร่ตั้งแต่ตีห้าครึ่งและกลับมาส่ง ในช่วงเย็น หน้าที่ที่ต้องทาประกอบไปด้วยการปลูกเผือก ถอนหญ้า ใส่ปุ๋ยและ หักหน่อที่แซมขึ้นมาโดยจะมีช่วงหยุดป่าเผือกเป็นเวลา 1 เดือนก็กลับมารับจ้าง ทางานอื่นๆ เช่น รับจ้างทางานก่อสร้าง ซึ่งไม่ได้มีเพียงการรับจ้างทางานในภาค


303

เกษตรเท่านั้นแต่ยังปรากฏการออกไปทางานรับจ้างในงานภาคบริการและการ ท่องเที่ยว เช่น แม่บ้าน พนักงานในโรงแรม ฟาร์ม แกะ รีสอร์ท หรือพี่สะใภ้ของ นางอ้อยเองก็ไปเป็นเชฟประจาร้านอาหารแห่งหนึ่งในบริเวณหาดชะอา นาง อ้อยยังกล่าวอีกว่า ปัจจุบันนี้ชาวบ้านนิยมไปทางานที่สาย 1 8 โดยจะเดินทาง ออกไปทางานตั้งแต่เช้าและเดินทางกลับมาบ้านในตอนเย็น ในส่วนของนางอ้อย นั้นก็ประกอบอาชีพรับจ้างเช่นเดียวกัน โดยเป็นการรับจ้างร้อยอวน เขาเล่าถึง สาเหตุที่เลือกประกอบอาชีพนี้ว่า เขาได้แต่งงานเข้ามาอยู่บ้านสามีที่หมู่บ้านหัน ตะเภา แต่เดิมนั้นเป็นคนบางแก้ว ตาบลบางแก้ว อาเภอบ้านแหลม จังหวัด เพชรบุ รี ซึ่ งเป็ นตาบลที่ อยู่ติดทะเลคนที่ โน่น จึงนิยมท าอาชีพ ร้อยอวน หรือ อาชีพที่เกี่ยวข้องกับการประมง ส่งผลให้นางอ้อยมีทักษะในการร้อยอวนเป็น ความรู้ติดตัวมา ปัจจุบันรับจ้างร้อยอวนมา 3-4ปีแล้ว รับจ้างในราคาปากละ 100 บาท ใน 1 วันสามารถร้อยได้ประมาณ 3-4 ปาก มีรายได้เฉลี่ยวันละ300 บาท โดยจะมีคนจากโรงงานแถบชะอานามาส่งให้ถึงบ้านพร้อมวัตถุดิบ อุปกรณ์ ครบทุกอย่าง ได้แก่ เส้นเอ็น เชือก ตะกั่ว ลูกทุ่น และด้าย (อ้อย อ่วมสะอาด, 2559: สัมภาษณ์) ถัดมาระหว่างบ้านนางอ้อยและร้านกาแฟรักผมรักกาแฟ บ้านหลังหนึ่ง มีคอกโคขุนตัวใหญ่อยู่บริเวณหน้าบ้าน ด้านในมีชายสูงอายุนั่งปาดทางมะพร้าว ท่ามกลางเสียงเพลงจากวิทยุ นายเติม ศิลปะศร อายุ 68 ปี กับอาชีพเสริมคือ การปาดทางมะพร้าวขาย ไว้สาหรับการนาไปทาไม้กวาดทางมะพร้าว โดยจะมี คนเข้ามารับซื้อในราคากิโลละ 15 บาท นายเติมกล่าวว่าในหนึ่งวันทาได้ราว5-6 กิ โลกรั ม ท าเป็ น อาชี พ เสริ ม ยามว่ า งควบคู่ กั บ การเลี้ ย งวั ว และทดลองปลู ก ถั่วฝักยาวเพื่อจาหน่ายในอนาคต สร้างรายได้มาเลี้ยงหลาน โดยอาชีพหลัก คือ 8เป็นการเรียกชื่อคลองส่งน้าย่อยของเขตส่งน้าสายใหญ่ที่

1 โครงการชลประทาน เพชรบุรี มีสายย่อย คือ สาย 1 สาย 2 สาย 3 คลองส่งน้าหันตะเภาอยู่ สายย่อย สาย 2


304

การทานาและเลี้ยงวัว (เติม ศิลปะศร, 2559: สัมภาษณ์) เช่นเดียวกันกับนาง ประสม ขลิบสุวรรณ อายุ 67 ปี ที่เลือกทาไม้กวาดทางมะพร้าวส่งขายในยาม ว่าง ซึ่งนางขลิบปลูกต้นมะพร้าวอยู่บริเวณหลังบ้านถัดจากที่นาอยู่แล้ว ถือเป็น การน าผลผลิ ต หลั งครัวเรือ นมาใช้ อ ย่ างเกิ ด ประโยชน์ สู งสุ ด (ประสม ขลิ บ สุวรรณ, 2559: สัมภาษณ์)

ภาพที่ 4.17 การปาดไม้กวาดส่งขายเป็นอาชีพทางเลือก (ภาพถ่ายโดย: วิริยา ธรรมศร เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2559) นอกจากนี้ยังพบการท ามีด ภูมิปัญ ญาที่ตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาอย่าง ยาวนาน อันสามารถนามาสร้างเป็นอาชีพทางเลือกที่สัมพันธ์กับวิถีชีวิตของคน ในหมู่บ้านได้อย่างดี แม้องค์ความรู้ในการทามีดนี้ได้รับการเรียนรู้มาจากที่อื่น แต่ก็มีความสัมพันธ์ซึ่งสะท้อนภาพการเปลี่ยนแปลงของหมู่บ้านหันตะเภาตั้งแต่ อดีตจนปัจจุบัน นายสอน ช่างมีดประจาหมู่บ้านพูดถึงการผลิตมีดว่าในอดีต ชาวบ้านนิยมมาสั่งทาเคียวเป็นจานวนมาก แบ่งเป็นประเภทต่างๆ ตามหน้าที่ การใช้งาน เช่น เคียววงกะโหลก เคียววงกว้าง เคียววงกลาย ควบคู่ไปกับมีด ปาดตาล แต่เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง มีการนารถไถ รถเกี่ยวข้าวเข้ามาใช้ในการ ทานา ชาวบ้านก็เกิดความนิยมสั่งเครื่องไม้เครื่องมือทามาหากินอย่างอื่นแทน


305

เช่น มีดพร้า มีดพก เป็นต้น ทว่าภูมิปัญญาดั้งเดิมก็ไม่ใช่สิ่งแน่นิ่ง นายสอนได้ ปรับเปลี่ยนเรียนรู้ไปตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน เช่น ภูมิ ปัญญาการทาด้ามมีด ในอดีตมีการนายางของตัวครั่ง9 มาใช้เป็นกาวยึดระหว่าง เหล็กและด้ามมีด เมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปตัวครั่งที่เคยอยู่ชุกชุมตาม ต้นสะแกก็ค่อยๆหายไป เนื่องมาจากการผลกระทบการใช้สารเคมีใช้การทา เกษตรมากขึ้น อีกทั้งการผลิตถ่านในปริมาณมากเพื่อจาหน่ายนาไปสู่การตัดต้น สะแกในปริมาณมากจนเริ่มหมดหายไป ภูมิปัญญาการใช้ยางจากตัวครั่งที่คิดค้น เรียนรู้และถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษก็ถึงเวลาปรับเปลี่ยนสู่สิ่งใหม่ที่เหมาะสม กับสภาพแวดล้อมมากยิ่งขึ้น นายสอนหันมาใช้การหลอมพลาสติกเพื่อให้เป็น กาวเหนียวในการยึด โดยหาจากสิ่งรอบตัว เช่น ซี่หวี ไปจนกล่องพลาสติกบรรจุ แผ่นซีดีที่กลายเป็นสิ่งหาได้ง่ายในบริบทสังคมปัจจุบัน (สอน พิมสุวรรณ, 2559: สัมภาษณ์)

9ครั่ง

คือ แมลงชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่ตามกิ่งไม้ เช่น ต้นสะแก ตัวครั่งจะใช้ปากที่มี ลักษณะเป็นปากดูด เจาะเข้าไปในกิ่งไม้เพื่อดูดน้ามาเลี้ยงเป็นอาหารและขับถ่ายครั่ง(ยาง ครั่ง) ออกมาจากภายในตัวครั่งตลอดเวลาเพื่อห่อหุ้มตัวเป็นเกราะป้องกันอันตรายจากสิ่ง ภายนอก มีลักษณะนิ่มเหนียว มีเหลืองทอง สามารถนามาใช้ประโยชน์ในทางอุตสาหกรรม


306

ภาพที่ 4.18 ช่างนา...ช่างตีเหล็กมือเอกแห่งบ้านหันตะเภา (ภาพถ่ายโดย: วิริยา ธรรมศร เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2559) ชาวบ้ านในหมู่ 10 บ้ านหั น ตะเภานี้ มี ทั ก ษะในการท าการเกษตรที่ หลากหลาย และมีการเรียนรู้ปรับตัวในด้านอาชีพตลอดเวลา ในช่วงเวลาปีนี้ ผ่านมาหมู่บ้านประสบกับปัญหาภัยแล้งอย่างหนัก ไม่มีน้าใช้เพียงพอต่อการทา นา จากการลงศึกษาภาคสนามพบว่ามีอาชีพมากมายที่เกิ ดขึ้นมาใหม่ บ้างก็เกิด จากการเรียนรู้และนาเข้ามาประยุกต์ใช้ในพื้นที่ของตน บ้างก็เป็นการรื้อฟืนภูมิ ปัญ ญาอันทรงคุณค่าที่อยู่คู่กับวิถีชีวิตชาวบ้านหันตะเภามาเนิ่นนาน ในพื้นที่ ของบ้านหันตะเภาเต็มไปด้วยต้นตาลสูงเด่นเรียงสลับท้องนา แต่ภูมิปัญญาใน การทาน้าตาลโตนดกลับเริ่มสูญหายไปจากชุมชน เพราะชาวบ้านนิยมทาตาล ขายแบบเป็นเต้าที่ประหยัดเวลาและมีขั้นตอนที่ซับซ้อนน้อยกว่า ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ น่าสนใจเมื่อในท่ามกลางสภาวะภัยแล้งนี้ครอบครัวของนายแทน ได้เลือกรื้อฟืน ภูมิปัญ ญาการทาน้าตาลโตนดกลับมาเป็นอาชีพทางเลือกในการสร้างรายได้ ระหว่างรอน้าเข้านาช่วงที่ประสบกับปัญหาภัยแล้งอย่างในปัจจุบัน โดยพื้นที่ที่ ใช้เป็นการเช่าที่ของนายพร เหลือวงศ์ ในราคาปีละ 5,000 บาท แต่ละขั้นตอน ในการทาน้าตาลเป็นกระบวนการเรียนรู้ ฝึกหัดจากประสบการณ์ของตนเอง


307

โดยอาศัยภูมิปัญญาเก่าแก่ที่เคยเรียนรู้แบบครูพักลั กจามาจากรุ่นพ่อแม่มาเป็น แนวทางโดยจะมี พ่ อ ค้ า คนกลางมารั บ ไปในราคากิ โลกรั ม ละ 70 บาท เพื่ อ จ าหน่ า ยต่ อ ที่ เขตคลองเตย กรุ ง เทพฯ (แทน ไม่ ท ราบนามสกุ ล , 2559: สัมภาษณ์)

ภาพที่ 4.19 หม้อเคี่ยวน้าตาลโตนดภูมิปัญญาที่ได้รับการรื้อฟืนขึ้นมาใหม่ (ภาพถ่ายโดย: อาทิตยา หมื่นละม้าย เมื่อวันทื่ 29 พฤษภาคม2559) บนผืนที่นาอันกว้างขวางสลับต้นตาลแซมเกิดเป็นทิวทัศน์ที่สวยงาม ทว่าบนผืนนานั้นไม่ได้มีต้นข้าวออกรวงเช่นในอดีตแต่เป็นต้นแตงโม นายสุชาติ สั งข์ ป ระเสริ ฐ อายุ 52 ปี เล่ าให้ ฟั งถึ งปั ญ หาภั ย แล้ งที่ เกิ ด ขึ้ น ส่ งผลให้ เกิ ด ความคิดเปลี่ยนรวงข้าวเป็นเถาแตงโมชั่วคราวในระหว่างรอน้าเข้านาโดยอาศัย ประสบการณ์ที่เคยทดลองปลูกในที่ดินของภรรยา นางหนู อายุ 42 ปี ในบริเวณ หมู่บ้านหนองงู เมื่อเห็นว่าได้ผลกาไรดี คุ้มค่าจึงนามาปลูกในที่ดินมรดกของ ตนเอง เริ่มปลูกเมื่อต้นปี เดือนมกราคมที่ผ่านมาบนเนื้อที่ 2 ไร่ ในการลงต้น กล้าแตงโม 1 รอบจะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ 2-3 รอบ ลงทุนโดยใช้งบประมาณราว


308

หนึ่งหมื่นสองพันบาท ซึ่งหากเทียบแล้วจะได้ราคาดีกว่าการทานาแต่การปลูก แตงโมต้องอาศัยความใส่ใจระมัดระวังโรค หากแตงโมไม่เป็นโรคก็ถือว่าได้ผล กาไรคุ้มค่าแตงโมรุ่นปัจจุบันที่เห็นมีอายุตั้งแต่ 20 วัน ในขณะพูดคุยนายสุชาติ และนางหนูพลางก็ตัดผลอ่อนและเถาที่แตกใหม่ทิ้งไป โดยให้เหตุผลว่าในการ ปลูกแตงโมต้องหมั่นตัดผลด้อยแตงโมตัดก้านผลเล็กที่ไม่สมบูรณ์อยู่เสมอเพื่อ ไม่ให้เกิดการแย่ งอาหาร ต้นหนึ่งจะเก็บไว้เพียงผลเดียวเท่านั้น ช่วงหน้าร้อน ปลูกในระยะเวลา 63 วันแตงโมก็จะได้ขนาดตรงตามมาตรฐานที่จะจาหน่ายได้ คือ 3 กิโลกรัมขึ้นไป จาหน่ายได้ในราคากิโลฯละ 10 บาท โดยจะมีพ่อค้าคน กลางมารับซื้อ ส่วนผลอ่อนที่เก็บทิ้งไปเพื่อให้เหลือผลเดียวนั้นก็สามารถนามา จาหน่ายได้เช่นกัน แต่จะได้ในราคาถูกกว่า นิยมนาไปลวกต้มกินกับน้าพริกหรือ ประกอบอาหารอื่นๆ (สุชาติ สังข์ประเสริฐ, 2559: สัมภาษณ์)

ภาพที่ 4.20 ไร่แตงโมที่เกิดขึ้นในระหว่างปัญหาภัยแล้งปัจจุบัน (ภาพถ่ายโดย:วิริยา ธรรมศร เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2559) พืชเศรษฐกิจที่เป็นความต้องการของตลาดเริ่มมีความนิยมปลูกภายใน หมู่บ้าน นอกจากแตงโมแล้วยังพบการปลูกมะเขือเทศ ในบริเวณบ้านของนาง


309

ทรัพย์ สันประเสริฐ ลูกชายของนางทรัพย์ให้เหตุผลถึงการปลูกมะเขือเทศว่า ในช่วงเวลานี้มะเขือเทศขายได้ราคากิโลฯละ 20-30 บาท จึงริเริ่มทดลองนามา ปลูกในช่วงหน้าแล้ง เนื่องจากมะเขือเทศเป็นพืชระยะสั้น ดูแลง่าย เป็นพืชที่ เจริญ ได้ดีในดินทั่วไป ปกติแล้วมะเขือเทศไม่ชอบการขาดน้าหรือแล้ง นั่นจะ ส่งผลให้ใบหงิกงอทันที ทาให้ต้องหมั่นรดน้าบ่อยๆ แต่ปริมาณน้าโดยรวมที่ใช้ไม่ มากนักเหมาะแก้การปลูกในช่วงที่น้าน้อยอย่างในปัจจุบัน (วิชาญ สันประเสริฐ, 2559: สัมภาษณ์) นอกจากนี้นางน้อง สันประเสริฐ ยังให้ข้อมูลที่สอดคล้องกัน ถึงบริบททางสังคมที่นาไปสู่การหันมาปลูกพืชเศรษฐกิจตามความต้องการของ ตลาด คือหลังจากประสบปัญหาภัยแล้งอย่างหนักที่ผ่านมาไม่สามารถทาการ เพาะปลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพนัก การทานาที่เดิมเป็นอาชีพหลักของชาวบ้าน ไม่สามารถดาเนินต่อไปได้เนื่องจาก ขาดแคลนน้าอันเป็นทรัพยากรหลักในการ ทานา เพราะระบบชลประทานไม่สามารถจัดสรรน้าให้เพียงพอต่อความต้องการ ได้ ประกอบกับภาวะราคาข้าวที่ตกต่าภายหลังที่นโยบายการรับประกันราคา ข้าวได้ถูกยกเลิกไป ทาให้ผลผลิตจากข้าวเพียงลาพังไม่สามารถนามาเป็นรายได้ เพื่อจุนเจอครอบครัวได้ ชาวบ้านจึงหันมาปลูกพืชทางเลือกหรือพืชเศรษฐกิจ ระยะสั้นจานวนมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากเป็นพืชที่สามารถเพาะปลูกได้ง่าย และ มีระยะการเก็บเกี่ยวผลผลิตที่สั้นกว่าการปลูกข้าว นอกจากนี้นางน้องยังกล่าวถึง ที่มาของการริเริ่มปลูกมะเขือเทศของตนว่าในช่วงเวลานั้นมะเขือเทศสามารถ ขายได้ราคาสูง ประกอบกับข้อมูลที่ได้มาพบว่ามะเขือเทศสามารถให้ผลผลิต จานวนมากถึงไร่ละ 2-4 ตัน และราคารับซื้อหน้าสวนที่สามารถสูงถึง 30 บาท ต่อกิโลกรัม ซึ่งราคาในตลาดจะขึ้นลงตามปริมาณของสินค้าในตลาด และความ ต้องการของผู้บริโภคมะเขือเทศเป็นพืชที่ สามารถทารายได้สูงต่อไร่ มีราคา ต้นทุนการดูแลประมาณ 9,000–10,000 บาทต่อไร่และในช่วงที่มะเขือเทศมี ราคาสูงนั้น สามารถทารายได้มากถึง 150,000–200,000 บาท ซึ่งก็มองว่าเป็น ความเสี่ยงที่คุ้มค่าต่อการลงทุน (น้อง สังข์ประเสริฐ, 2559:สัมภาษณ์)


310

ทั้งหมดนี้คือภาพทางเศรษฐกิจโดยรวมของชุมชนบ้านหันตะเภาตาม ช่วงเวลาและยุคสมัยที่คณะผู้ศึกษาพยายามแสดงให้เห็น จากช่วงบุกเบิกสู่สมัย เทคโนโลยีและเลือกเอาเหตุปัจจุบันทันด่วนมานาเสนอโดยเล่าผ่านวิถีการผลิต สาคัญๆ 4 อย่าง คือ ข้าว ตาล วัว และปลาที่โดดเด่น แม้ว่าโลกหมุนไปจะดีหรือ ร้ายชาวบ้านก็ไม่สามารถที่จะหยุดชะงักวิธีชีวิตของตนเอาไว้ได้ เงื่อนไขมากมาย ทั้ ง ระบบนิ เวศ ระบบคมนาคม เทคโนโลยี ต่ า งๆ ส าคั ญ คื อ ระบบทุ น นิ ย ม ชาวบ้านไม่สามารถใช้เงินไม่กี่พันบาทในแต่ละเดือนได้เหมือนแต่ก่ อน ลุงเฉลิม และลุงเติมที่แม้จะปลดเกษียณส่งลูกๆออกเรือนกันไปหมดแล้ว พอส่งลูกก็ต้อง ส่งหลานต่อ ภาระค่าใช้จ่ายภายในบ้านอย่างค่าน้าค่าไฟยังคงต้องเสียทุกเดือน อี ก ทั้ ง ความจ าเป็ น ในการซื้ อ หาเครื่ อ งใช้ ไฟฟ้ า เพื่ อ อ านวยความสะดวกใน ชีวิตประจาวันล้วนต้องใช้เงินทองทั้งสิ้น

6. หันตะเภาในวิถีทางความเชื่อและประเพณี เนื้อหาที่ คณะผู้ศึกษาเสนอในส่วนสุดท้ายนี้เป็นเรื่องที่มีรายละเอียด มาก นั่นคือโครงสร้างความเชื่อและพิธีกรรมของชุมชนอันเป็นประเด็นสาคัญที่ เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตและโลกทัศน์ของผู้คนในหันตะเภา ชุ ม ชนบ้ านหั น ตะเภาเป็ น ชุ ม ชนเกษตรกรรมมาเป็ น หลั ก เนื่ อ งด้ ว ย สภาพแวดล้อมที่เอื้ออานวย ทาให้ชุมชนแห่งนี้ผูกติดอยู่กับประเพณีความเชื่อ อย่างมิอาจแยกได้ ประเพณีและความเชื่อของชุมชนบ้านหันตะเภานี้สัมพันธ์อยู่ กับงานประเพณีภายในปฏิทินรอบปีของชุมชนหนองจากโดยรวม ทว่า ปฏิ ทิน รอบปีของชุมชนนี้มีทั้งประเพณีที่ปฏิบัติตามหลักศาสนาพุทธเนื่องในวันสาคัญ ทางพุ ท ธศาสนาอย่ า งวั น วิ ส าขบู ช า มาฆบู ช า อาสาฬหบู ช า เป็ น ต้ น และ ประเพณีที่เกี่ยวข้องกับข้าวอันเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของชุมชนหันตะเภาแห่งนี้ สมาชิกจึงค่อนข้างให้ความสาคัญกับพิธีกรรมตั้งแต่การเริ่มเพาะปลูกไปจนถึงฤดู การสิ้นสุดการทานา นอกจากนี้ยังมีพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับเกษตรกรรมของ


311

ชุมชนทั้งยังเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนในตาบลหนองจอกเลยก็ว่าได้ นั่น คื อ ประเพณี ผี ม ด เพราะเป็ น ประเพณี ค นทั้ งชุ ม ชนจะร่ว มกั น จั ด งานขึ้ น ไม่ เพียงแต่หมู่บ้านหันตะเภาเท่านั้น ประเพณีนี้จึงเป็นประเพณีใหญ่ที่มิได้มีขึ้นทุก ปี ขึ้นอยู่กับระบบเกษตรกรรมและเศรษฐกิจหรือความต้องการร่วมกันของคนใน ชุม ชนนั่ น เอง และที่ ข าดไม่ ได้ เห็ น จะเป็ น ประเพณี ชี วิต หรือ การจั ด พิ ธีก รรม ในช่วงเปลี่ยนผ่านของชีวิตอย่างการเกิด การบวชนาค การแต่งงาน และการ ตายที่เป็นประเพณีพื้นฐานของทุกชุมชน ทว่า ชุมชนหันตะเภาแห่งนี้ก็มีลักษณะ เด่นที่บ่งบอกได้ถึงเอกลักษณ์ของความเป็นหันตะเภาไม่น้อยกว่าชุมชนอื่น ดังนั้น ในช่วงแรกจักกล่ าวถึงโครงสร้างทางความเชื่อภายในหมู่บ้าน เพื่อให้เห็นถึงระบบความคิดและความเชื่อพื้นฐานของชุมชนหันตะเภาแห่ งนี้ว่า พวกเขาให้ความสาคัญกับระบบความเชื่อมากเพียงไรแล้วการเวลาหรือสภาพ สังคมค่านิยมจากภาพนอกมีอิทธิพลต่อความเชื่อของพวกเขามากน้อยเพียงใด จากนั้นจึงเป็นการกล่าวถึงประเพณีและพิธีกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้าง ความเชื่ อ นี้ ตามวงแหวนพิ ธี ก รรม ได้ แ ก่ ประเพณี เกี่ ย วเนื่ อ งกั บ ชี วิ ต และ ประเพณี รอบปี อนึ่ งในการแบ่ งพิ ธีก รรมสัม พั น ธ์กับ สภาพทางเศรษฐกิ จอั น เกี่ยวเนื่องกับ ข้าว และความอุดมสมบู รณ์ เพราะชุมชนแห่ งนี้ ให้ ความสาคั ญ กับข้าวเป็นหลักและสัมพันธ์กับงานปีผีมดที่รูปแบบการจัดงานสามารถเลื่อน ไหลไปได้ตลอดเวลาขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมของชุมชน งานปีผีมดจึงกลายเป็น เครื่องมือวัดความอุดมสมบูรณ์อย่างหนึ่งของชุมชน ตลอดจนพิธีกรรมทางพุทธ ศาสนาอันเป็นสิ่งที่ชาวหันตะเภาก็นับถืออยู่เป็นนิจ ความเชื่อที่พบในหมู่บ้านหันตะเภา ในส่วนนี้จะกล่าวถึงระบบความเชื่อของหมู่บ้าน เพื่อเผยให้เห็นภาพ ของโลกทัศน์ของชุมชน ได้แก่


312

6.1. ร่างทรง ในหมู่บ้านหันตะเภาพบว่ามีร่างทรงของหลวงปู่แก้วนาคราช เจ้าพ่อ แสงอาทิตย์ และสไบแก้ว ปัจจุบันเจ้าพ่อแสงอาทิตย์จะมาประทับทรงเป็นหลัก และผู้ที่เป็นร่างทรง คือ นางทรัพย์ สันประเสริฐ เดิมนางทรัพย์ มีนามสกุลว่าแซ่ จิ๋ว เป็น คนบ้ านลาด และได้แต่งงานเข้ามาอยู่กับนาย บุ ญ ช่วย สัน ประเสริฐ (เสียชีวิตแล้ว) ซึ่งเป็นคนหมู่บ้านหันตะเภา และได้ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของนาย บุญ ช่วย ตอนอายุ 20 ปี ทว่าเมื่อนางทรัพย์อายุ 20 ปี หลวงปู่แก้วนาคราชก็ ได้มาเข้าฝัน นางทรัพย์เล่าว่า ในฝั น นางทรั พ ย์ ไ ด้ ต กน้ า แล้ ว เขาก็ จ ะมาจั บ ที่ ค อ เพื่อที่จะให้ตนเป็นร่างให้ พอตื่นขึ้นก็พบรอยที่โดนจับตรงบริเวณ คอ

นางทรัพย์ไม่ยอมที่จะมาเป็นร่างทรงให้แต่โดยดีเพราะลึกๆแล้วยังไม่ เชื่อความฝันเหล่านั้นนัก มองเป็นเพียงภาพลวงตา ระหว่างนั้นนางทรัพย์ก็จะไม่ สบาย เจ็บเล็กเจ็บน้อย ทาอะไรก็ไม่เจริญ มีแต่เสียกับเสี ย จนกระทั่งอายุ 48 ปี หลวงปู่แก้วนาคราชก็ได้เข้าฝันอีกครั้งและยื่นคาขาดว่า ถ้านางทรัพย์ไม่ยอมเป็น ร่างทรงให้ ท่านจะเอาลูกไปอยู่ด้วย 1 คน ด้วยความเป็นแม่ นางทรัพย์จึงยอมที่ จะเป็นร่างทรงให้ ระหว่างนั้นนางทรัพย์มิได้เกิดความเดือดร้อนเพียงผู้เดียวแต่ คนรอบข้างท่านและคนในชุมชนก็พลอยได้รับความเดือดร้อนต่างๆ ตามไปด้วย เช่น ทามาหากินไม่ขึ้น ชีวิตมีแต่อุปสรรคเป็นต้น จนนางทรัพย์พูดเปรียบเปรย ขึ้นมาว่า กว่าจะเป็นเจ้า ฉิบหายไปครึ่งเมือง (ทรัพย์ สันประเสริฐ, 2559: สัมภาษณ์)


313

ภาพที่ 4.21 ภาพนางทรัพย์ สันประเสริฐ ผู้เป็นร่างทรง (ภาพถ่ายโดย: ทีปกา โยธารักษ์ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2559) สาหรับหลวงปู่แก้วนาคราช ผู้เป็นพญานาคที่มีนิสัยที่ใจดี ใจเย็น ไม่ ทรมานร่างทรงให้ต้องทาสิ่งใดเกินกว่าที่ร่างกายจะรับไหวหรือหากร่างทรงไม่ เชื่อฟังตามที่ตนขอก็จะเลือกวิธีการประนีประนอมมากกว่าการบังคับท่านให้ เหตุผลว่าที่ท่านลงมาประทับที่หมู่บ้านหันตะเภาโดยผ่านร่างของนางทรัพย์นี้ เพราะต้องการที่จะช่วยเหลือชาวบ้านที่เดือดร้อนจริงๆ ทว่าเมื่อท่านแก่ตัวลง แม้จะเป็นเพียงวิญญาณที่อาศัยร่างของนางทรัพย์และวิญญาณก็มีอายุขัยที่ต้อง ด าเนิ น ต่ อ ไปไม่ ต่ า งจากมนุ ษ ย์ ป กติ ท่ า นเริ่ ม รั บ แขกไม่ ไ หวจึ ง ส่ ง เจ้ า พ่ อ แสงอาทิตย์มาประทับร่างแทนตน ซึ่งเจ้าพ่อแสงอาทิตย์จะมีลักษณะที่แตกต่าง จากหลวงปู่แก้วนาคราชโดยสิ้นเชิง คือ ท่านจะไม่ชอบให้ร่างทรงหรือนางทรัพย์ หยิบจับสิ่งใดหรือเสี่ยงอันตรายจนร่างนางทรัพย์บาดเจ็บ แต่นางทรัพย์เล่าว่าตน เป็นคนดื้อและเป็นคนที่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จึงโดนเจ้าพ่อแสงอาทิตย์ทาโทษโดย การทรมานร่างอยู่บ่อยๆ เหตุการณ์ตัวอย่างที่นางทรัพย์เล่าให้ฟังคือ


314 นางทรัพย์อยากไปเก็บผักบุ้ง เพราะอยากมีเงิน และเมื่อ ไปถึงนางทรัพย์กลับหน้ามืดเป็นลมทาให้ไม่สามารถเก็บผักบุ้งได้ ” อี ก เหตุ ก ารณ์ คื อ “ในช่ ว งเทศกาลกิ น เจ เจ้ า พ่ อ แสงอาทิ ต ย์ ต้องการให้นางทรัพย์กินเจ แต่นางทรัพย์ไม่ทาตามที่เจ้าพ่อสั่ง เจ้า พ่อจึงลงโทษนางทรัพย์ทาให้กินอะไรไม่ได้ พอกินก็อ้วกออกมา หมด จึงทาให้นางทรัพย์ต้องทาตามที่เจ้าพ่อต้องการ (ทรัพย์ สันประเสริฐ, 2559: สัมภาษณ์)

จากการที่ได้มีส่วนร่วมการพูดคุยทั้งขณะที่เจ้าพ่อประทับทรงและไม่ ประทับทรง จะเห็นได้ว่าเจ้าพ่อมีบทบาทในด้านที่พึ่งทางจิตใจของชาวบ้าน จะ คอยให้ ค าปรึกษาเมื่ อ ชาวบ้ านมี ปั ญ หา หรือต้ อ งการความช่ว ยเหลื อและไม่ สามารถหาทางออกได้ด้วยตนเอง ซึ่งก่อนที่ระบบการทานาเปลี่ยนไป ชาวบ้าน จะมาพึ่งพาและขอความช่วยเหลือในเรื่องของการเจ็บป่วย แต่เมื่อหน่วยงาน สาธารณสุขได้เข้ามามีบทบาทชาวบ้านจึงหันไปพึ่งพาด้านอาการเจ็บป่วยกับ โรงพยาบาลมากกว่าที่จะมาพึ่งร่างทรง และนอกจากจะพึ่งด้านสุขภาพแล้วนั้น ชาวบ้ านก็จะมาพึ่ งในด้านการดูฤกษ์ ยามงามดีในการประกอบกิจกรรมด้าน เกษตรกรรมต่าง ๆ หลังจากระบบการทานาได้เปลี่ยนไป ชาวบ้านประสบปัญหา ด้านเศรษฐกิจ จึงหั นมาพึ่งพาและขอคาปรึกษาจากเจ้าพ่ อด้านการเงินและ ปัญหาทางครอบครัวมากขึ้น


315

ภาพที่ 4.22 ภาพห้องที่ใช้เมื่อเจ้าพ่อประทับทรง ภาพถ่ายโดย ทีปกา โยธารักษ์ เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2559 การประทั บทรงของเจ้าพ่ อนั้นไม่ ได้เป็นที่นิยมต่อของในหมู่บ้านหั น ตะเภามากเท่าไร จึงทาให้เกิดข้อสันนิษฐานที่ว่า อาจเพราะนางทรัพย์ไม่ได้เป็น คนในพื้นที่ของหมู่บ้านหันตะเภาตั้งแต่กาเนิด เลยไม่มีความเกี่ยวข้องกับเจ้าพ่อ ที่เป็นเจ้าที่ของบ้านหันตะเภา และตระกูลของนางทรัพย์ไม่ได้เป็นตระกูลที่มีเชื้อ สายร่างทรงใด ๆ เลย ทาให้ชาวบ้านไม่ค่อยนิยมร่างทรงมากนัก เพราะจากการ เล่าจากปากของนางทรัพย์ว่า คนที่เข้ามาหาไม่ได้ให้ ความสาคัญ กับนางทรัพ ย์เป็น ที่ แรก จะไปพึ่งพาที่อื่นก่อนทุกครั้งแล้วจะมาพึ่งพานางทรัพย์เป็นที่ สุดท้าย (ทรัพย์ สันประเสริฐ, 2559: สัมภาษณ์)


316

6.2. ศาลกลางหมู่บ้าน นางนึก ม่วงทองได้อธิบายถึงลักษณะความเชื่อของศาลกลางหมู่บ้านว่า ศาลกลางหมู่บ้านนั้นมีมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ชาวบ้านหันตะเภามีความเชื่อว่าเป็น เจ้าพ่อที่เป็นเจ้าบ้านของหมู่บ้านหันตะเภาคอยสอดส่องทุกการกระทาของทุก คนในหมู่บ้านและปกปักรักษาคุ้มครองชาวบ้านให้อยู่ดีมีสุข โดยชาวบ้านจะมา ขอพรและบนบานสิ่งต่าง ๆ แต่เดิมนั้นการบนบานขอพรเป็นเกี่ยวกับการเกษตร ให้ผลผลิตผลิดอกออกผลบ้างก็เป็นการขอเพื่อส่วนรวมเพื่อชุมชน เช่น “อย่าให้ มีใครเจ็บใคร่ได้ป่วย อย่าให้มีใครต้องเจ็บต้องตาย” เป็นต้น เหตุเพราะในอดีต เคยมีทหารญี่ปุ่นมาตั้งค่ายที่ชุมชนหันตะเภาและทาร้ายบ้าง จับตัวไปใช้แรงงาน ภายในค่ายบ้าง ทั้งยังมีกลุ่มผู้มีอิทธิพลในหมู่บ้านที่แม้แต่ตารวจก็ยากที่จะรับมือ กลุ่ ม ผู้ มื อ อิ ท ธิ พ ลหรื อ เสื อ เหล่ า นี้ มี อ านาจอยู่ ใ นมื อ และฆ่ า แกงผู้ ที่ ขั ด ผลประโยชน์ กั บ ตนอย่ างไม่ เกรงกลั งกฎหมาย ชาวบ้ านเองก็ ท าสิ่ งใดไม่ ได้ นอกจากยอมจานนและปฏิบัติตามอานาจนั้น เพราะมิเช่นนั้นสิ่งที่รออยู่ข้างหน้า อาจเป็น ‘ความตายของตน’ เสียเอง และเมื่อพรที่ขอไว้สัมฤทธิ์ผล ชาวบ้านก็จะ มีการนาของเซ่นไหว้มาถวายเพื่อเป็นการตอบแทน โดยส่วนใหญ่สิ่ง ของที่ใช้ใน การเซ่นไหว้จะเป็นพืชผลทางการเกษตรที่หาได้ในชุมชนเสียส่วนใหญ่ เช่น ขนม แดง หม้อแกง ลูกตาม มะพร้าว เป็นต้น และเมื่อบ้านใดมีการจัดงานหรือทา กิจการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงานมงคลหรือไม่ก็จะมาบอกกล่าวศาลกลางบ้านก่อน เพื่อให้ท่านเจ้าพ่อดูแลคุ้มครองให้งานหรือกิ จกรรมต่างๆสาเร็จลุล่วงได้ด้วยดี เหตุนี้จึงกล่าวได้ว่าศาลกลางบ้านกลายเป็นที่ ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวบ้านใน ชุมชนหันตะเภาแห่งนี้ไม่น้อยไปกว่าการทาพิธีกรรมงานปีผีมด ทั้งยังเกี่ยวโยงอยู่ กับปฏิทินชีวิตที่ไม่สามารถละเลยได้ (นึก ม่วงทอง, 2559: สัมภาษณ์)


317

ศาลประจาหมู่บ้านหันตะเภามี 2 หลัง คือ 1) ศาลเจ้าพ่อสีนวล ตั้งอยู่ตรงกลางหมู่บ้าน

ภาพที่ 4.23 ภาพศาลเจ้าพ่อสีนวล (ภาพถ่ายโดย: ทีปกา โยธารักษ์ เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2559) 2) ศาลเจ้าพ่อสะอิ้งทอง ปู่มั่น และปู่แก้วนาคราช ประทับอยู่รวมกันใน หลังเดียวตรงบริเวณที่ดอนของหมู่บ้าน

ภาพที่ 4.24 ภาพศาลเก่าที่ชารุดศาลเจ้าพ่อสะอิ้งทอง ปู่มั่น และ ปู่แก้วนาคราช (ภาพถ่ายโดย: ทีปกา โยธารักษ์ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2559)


318

ภาพที่ 4.25 ภาพศาลใหม่ของศาลเจ้าพ่อสะอิ้งทอง ปู่มั่น และ ปู่แก้วนาคราช (ภาพถ่ายโดย: ทีปกา โยธารักษ์ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2559) 6.3. ศาลพระภูมิ สาหรับหมู่บ้านหันตะเภาพบว่าในบริเวณบ้านทุกหลังจะมีศาลพระภูมิ 2 หลังที่มีขนาดแตกต่างกัน

ภาพที่ 4.26 ภาพศาลพระภูมิประจาบ้านของชาวบ้านหันตะเภา (ภาพถ่ายโดย: ทีปกา โยธารักษ์ เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2559)


319

1) ศาลขนาดเล็ก เรียกว่า ศาลเจ้าที่ เป็นที่อยู่ของยายกะลี ตากะลา ตา อิน ชาวบ้านหันตะเภาเชื่อว่าเป็นบุคคลที่เคยเป็นเจ้าของที่ดินในอดีต 2) ศาลขนาดใหญ่ เรียกว่า ศาลพระภู มิ เป็ น ที่ อ ยู่ของพระชัยมงคล ชาวบ้านหันตะเภาเชือ่ ว่าท่านจะคอยปกปักรักษาคนในบ้าน อดีตการตั้งหรือยกศาลพระภูมิต่างๆจะเป็นหน้าที่ของพราหมณ์ เมื่อ พราหมณ์ รุ่ น เก่ า ๆ ได้ เสี ย ชี วิ ต ลงก็ จ ะมี พ ราหมณ์ รุ่ น ใหม่ เข้ า มาแทนที่ ซึ่ ง พราหมณ์รุ่นใหม่อาจไม่เข้าใจในรูปแบบของการยกศาลพระภูมิแบบดั้งเดิมนักที่ เชื่อกันว่าต้องหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือและสามารถปรับเปลี่ยนได้ ตามความเหมาะสมเพราะหากหันผิดทิศเพี้ยนก็จะทาให้คนในบ้านเกิดอาการ เจ็บป่วยหรือเกิดสิ่งไม่ดีกับคนในบ้านและจะต้องทาพิธีกรรมใหม่อีกครั้งเพื่อ ปรับเปลี่ยนทิศการหันหน้าของศาลพระภูมิ หน้าที่ที่เพิ่มมานี้เองที่กลายเป็นของ นายนิมนต์ไปโดยปริยาย เนื่องด้วยปัญหาทางเศรษฐกิจที่ทาให้ชาวบ้านหันมาให้ ความสาคัญกับผลของพิธีกรรมมากกว่าขั้นตอนพิธีกรรม กล่าวคือ แต่เดิมนั้น การเปลี่ยนทิศหน้าศาลยังเป็นบทบาทของพราหมณ์ แต่การทาพิธีของพราหมณ์ นั้นต้องมีขั้นตอนและของเซ่นไหว้จานวนมากยากต่อการจัดหาภายในระยะเวลา อันสั้น อีกทั้งการจัดเตรียมที่ใช้งบประมาณสูง ต่างจากการตั้งโดยนายนิมนต์ ที่ ขั้นตอนพิธีไม่ยุ่งยากเท่าแต่ก็ให้ผลสัมฤทธิ์ไม่ต่างกัน เพราะเหตุนี้ชาวบ้านหัน ตะเภาจึงหันมาว่าจ้างนายนิมนต์ในการปรับเปลี่ยนทิศหน้าศาลเสียมากกว่าและ สืบทอดมาจนปัจจุบัน (ธนงค์ ม่วงทอง, 2559: สัมภาษณ์) 6.4. ผีตะกละ นายเถรเล่าว่าในหมู่บ้านหันตะเภาสมัยก่อนหากเกิดการตายที่หาที่มาที่ ไปไม่ได้ อย่างเช่นอาการไหลตาย แต่อวัยวะภายในหายไปหมดก็จะเหมารวมว่า เป็นการกระทาของผีตะกละ ซึ่งก็คือผีที่คอยกินขี้แห้งของทั้งคนและสัตว์เป็น อาหารบ้างก็กินไส้สดๆของวัวควายที่ถูกทิ้งไว้กลางทุ่งนาในเวลากลางคืน โดยผี


320

ตะกละจะมีน้าลายไหลย้อยที่เรืองแสงเป็นสีเขียวตลอดทาง จะเข้าสิงร่างทรง หรือส่งต่อผ่านทางคนที่เป็นเชื้อสายสืบทอดกันมาเท่านั้น ผีตะกละจะสืบทอด กันผ่านทางน้าลายและเพศหญิงเท่านั้น สิ่งนี้สอดคล้องกับคติความเชื่อในอดีตที่ มองว่าผู้หญิ งเป็นใหญ่ กว่าผู้ชาย ส่งต่อโดยผู้เป็นแม่จะหลอกลูกของตนให้อ้า ปากแล้วจะถุยน้าลายใส่ หรือจะหยอดน้าลายของตนลงไปในน้าแล้วจะให้ลูกดื่ม กิน แต่ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป เทคโนโลยีมีความก้าวหน้าเข้ามามีอิทธิพลต่อ ชุมชนมากขึ้น เด็กสมัยใหม่ได้รับการศึกษามากขึ้น อาจไม่เชื่อความเชื่อดั้งเดิม เหล่านี้ บ้างก็ตามเท่าทันความคิดของแม่จึงไม่ถูกหลอกโดยง่าย เพราะเหตุนี้การ สืบทอดของผีตะกละจึงขาดช่วงไป ทาให้ผีตะกละไม่มีคนสืบทอดและหายไปใน ที่สุด (ธนงค์ ม่วงทอง, 2559: สัมภาษณ์) พิธีกรรมและประเพณี

ภาพที่ 4.27 วงแหวนพิธีกรรมรอบปีตามความเชื่อของชาวหันตะเภา (ภาพวาดโดย: ฐิตินันท์ ใกล้ชดิ เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2559)


321

ในเนื้อหาข้างต้นพอจะทาให้เห็นระบบความเชื่ออันหลากหลายที่มีอยู่ ทั่วไปในชุมชน ในหัวข้อย่อยนี้เป็นการหยิบเอารายละเอียดทางพิธีกรรมและ ประเพณีต่างๆ มาอธิบายเพื่อขยายภาพของโลกทัศน์ทางความเชื่อให้ชัดเจน ยิ่งขึ้นผ่าน “วงแหวนพิธีกรรม” 6.5. ประเพณี/พิธีกรรมเกี่ยวกับชีวิต ใน 4 ช่ อ งด้ า นในสุ ด ของวงแหวน คื อ พิ ธี ก รรมที่ อ าจปรากฏขึ้ น ได้ ตลอดเวลาของสมาชิก ในสังคม ซึ่งในหันตะเภาก็มีรายละเอียดทางประเพณี/ พิธีกรรมตลอดชีวิต ดังนี้ ประเพณีเกี่ยวกับการเกิด เมื่อจุดเริ่มต้นของชีวิตทุกชีวิตเริ่มต้นจากการเกิด สังคมไทยจึงค่อนข้าง ให้ความสาคัญต่อพิธีกรรมที่เกี่ยวกับการเกิดทั้งหลาย เพราะหากทารกเริ่มชีวิต ได้ดีก็จะเชื่อว่าก้าวเดินต่อไปของพวกเขาก็จะพบแต่สิ่งดีดีตามมาเช่นกัน โดย พิธีกรรมเกี่ยวกับการเกิดของแต่ละพื้นที่ จะมีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง ขึ้นอยู่ กับสภาพแวดล้อมทางสังคมและสภาพทรัพยากรทางธรรมชาติที่จะเอื้ออานวย ต่อการทาพิธี ในพื้นที่หมู่บ้านหันตะเภาแห่งนี้ก็เช่นกัน เป็นสังคมเกษตรกรรมให้ ความสาคัญ กับ “ข้าว” เป็นหลัก การดาเนินพิธีและอุปกรณ์ ที่ใช้ในพิธีกรรม ทั้งหลายล้วนเกี่ยวข้องกับการทานาทั้งสิ้น ลุงเถรหรือนายธนงค์ ม่วงทอง ผู้ดารง ตาแหน่งนายนิมนต์ประจาหมู่บ้านหันตะเภา เล่าว่า ในอดีตก่อนที่หน่วยงาน สาธารณสุ ข จะเข้ า มา ชาวบ้ า นในหมู่ บ้ า นหั น ตะเภาจะมี ห มอต าแยประจ า หมู่บ้านไว้เพื่อทาคลอดหรืออาจจะจ้าง ยายเอี่ยม ซึ่งเป็นหมอตาแยประจาบ้าน หนองทรายมาเพื่อทาคลอด ลักษณะการทาคลอดของคุณยายจึงมีเอกลักษณ์ และขั้นตอนพิธีเฉพาะตัวบางอย่าง เช่น ขั้นตอนการคัดท้องเด็กเพื่อบรรเทา อาการปวดท้องของแม่และช่วยให้เด็กกลับหัวคลอดง่ายขึ้น เรียกได้ว่ายายเอี่ยม


322

เป็นมือฉมังในการทาคลอดเลยก็ว่าได้ จากนั้นจึงตัดสายสะดือด้วยไม้ไผ่บางๆ เพราะถือเป็นส่วนที่สะอาดที่สุดเพื่อที่แ ม่และเด็กจะไม่ติดเชื่อจากสายสะดือนั้น แต่ เมื่ อ ยุ ค สมั ย เปลี่ ย นไปคุ ณ ยายเอี่ ย มได้ เสี ย ชี วิ ต ลง พร้ อ มกั บ เริ่ ม มี ร ะบบ สาธารณสุขและการแพทย์ที่มีความเจริญเข้ามา ผู้คนจึงเปลี่ยนไปพึ่งเครื่องมือ เทคโนโลยีจากภายนอกแทน โดยเชื่อว่าหากทาคลอดกับหมอที่โรงพยาบาลมี ความปลอดภั ย และสะอาดกว่ า สิ่ งเหล่ า นี้ เองที่ ท าให้ ค วามเชื่ อ ดั้ ง เดิ ม และ พิธีกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวกับการเกิดค่อยๆ หายไป เช่น การรับขวัญเด็ก : เป็นความเชื่อที่มีมาตั้งแต่โบราณ เชื่อกันว่าขวัญจะ ไม่มีตัวตน แต่มีชีวิตจิตใจเหมือนคน ซึ่งชาวบ้านหันตะเภาจะรับขวัญ เด็กโดย การนาทารกแรกเกิดไปใส่ไว้ในกระด้งและจะกวักเพื่อเรียกขวัญกาลังใจ ชีวิตมี ความเจริญก้าวหน้า เพื่อความเป็นสิริมงคล ให้ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ โดยป้าย ขมิ้นที่ท้องของเด็กและแปะตาลึงไว้บริเวณหัวเด็กเพื่อเป็นการเสริมสร้างภูมิ ต้านทานโรคหวัดให้แก่เด็ก ด้วยฤทธิ์ทางสมุนไพรที่ตาลึงสามารถขับพิษร้อน และขมิ้นแก้อาการท้องอืดได้ สิ่งเหล่านี้จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของพิธีทาขวัญเด็ก แสดงให้เห็นว่า “เด็ก” ผู้ถูกตั้งความหวังไว้ตั้งแต่วินาทีแรกที่ลืมตา ทาให้พวก เขากลายเป็นศูนย์รวมความรักของคนในครอบครัวก็ว่าได้ (เพ็ญ คาพาย, 2559: สัมภาษณ์) การอยู่ไฟ : เป็นกระบวนการดูแลหญิงหลังคลอดที่คนสมัยก่อนเชื่อว่า จะช่วยทาให้ร่างกายฟืนจากความเหนื่อยล้าให้กลับคืนสู่สภาพปกติได้โดยเร็ว โดยการอยู่ไฟจะนิยมให้คุณแม่หลังคลอดพยุงตัวเองให้นอนอยู่บนไม้กระดาน แผ่นเดียวเหนือกองเถ้าผ่านที่ยังคงให้ความร้อนอยู่ ความร้อนจากฟืนจะเข้าช่วย ลดอาการปวดเมื่อยตามตัว ทาให้มดลูกเข้าอู่ได้เร็วขึ้นและเลือดลมไหลเวียนดีทั้ง ยังช่วยปรับสมดุลร่างกายของคุณแม่ให้เข้าที่สู่สภาวะเดิม การฝังสะดือเด็ก : เมื่อคลอดเสร็จ หมอตาแยจะตัดสายสะดือเด็กด้วย ไม้ไผ่บาง จากนั้นจึงนาสายสะดือมาฝังเก็บไว้ใต้ดิน โดยมีความเชื่อว่าสามารถ


323

นามาทาเป็นยารักษาอาการเจ็บป่วยของเด็กได้ เพราะเชื่อว่าสายสะดือเป็นสาย ที่หล่อเลี้ยงชีวิตและรับสารอาหารมาจากแม่ครั้งยังอยู่ในครรภ์ สายสะดือจึงมี ความอุดมสมบูรณ์และมีคุณค่าทางอาหารครบถ้วนที่สุด (ธนงค์ ม่วงทอง, 2559: สัมภาษณ์) ประเพณีเกี่ยวกับการบวช เมื่ อ เด็ ก ผู้ ช ายเริ่ ม ก้ า วเข้ า สู่ สั ง คมที่ ใหญ่ ขึ้ น โลกที่ ก ว้ า งขึ้ น ก็ จ าเป็ น จะต้องผ่านพิธีกรรมบางอย่างเพื่อเรียกขวัญกาลังใจและประกาศให้โลกรู้ในการ กระทานี้ของเขาเพื่อให้เกิดการยอมรับต่อสังคม พิธีกรรมดังกล่าวนี้จึงเรียกว่า "พิธีกรรมเปลี่ยนผ่าน" นั่นคือการเปลี่ยนจากช่วงวัยเด็กไปสู่วัยผู้ใหญ่ที่จะต้องมี ความรับผิดชอบมากขึ้นในอนาคต และอีกนัยหนึ่งของพิธีกรรมนี้คือเป็นการ ทดแทนบุญคุณพ่อแม่หรือผู้มีพระคุณที่เลี้ยงดูมาจนโต การบวชให้ผู้มีพระคุณจึง เชื่อว่าจะได้บุญสูงสุดนั่นเอง แม้ขั้นตอนการบวชของแต่ละพื้นที่จะมีจุดประสงค์ ที่ไม่แตกต่างกันนัก แต่รายละเอียดของพิธีกรรมการอุปสมบถของแต่ละพื้นที่ กลับต่างกันสิ้นเชิงและมีเอกลักษณ์ของตัวเองตามความสอดคล้องในแต่ละพื้นที่ นั้นๆ สาหรับหมู่บ้านหันตะเภาแห่งนี้ได้ให้ความสาคัญกับการบวชไม่น้อยไปกว่า การเกิดเลย และพวกเขาเรียนรู้ที่จะนาวัตถุดิบธรรมชาติจากรอบกายมาใช้ให้ เกิดประโยชน์สูงสุด ดังนี้ ตามประสบการณ์ของนางผล กองแก้ว อายุ 94 ปี เล่าถึงงานบวชของ หมู่บ้านหันตะเภาว่าเมื่อลูกชายของตนอายุครบ 20 ปี พ่อแม่จะจัดการให้ลูก ชายของตนบวชเป็ น พระภิ ก ษุ ต ามประเพณี ช่ ว งเวลาที่ นิ ย มบวช คื อ ก่ อ น เทศกาลเข้าพรรษา จะใช้เวลาบวชประมาณ 3 เดือน ซึ่งในอดีตนั้นชาวบ้านหัน ตะเภาจะนิยมจัดงานบวชอย่างน้อย 2 วัน วันแรกจะทาการรับนาค (ผู้ที่จะบวช) ซึ่งปลงผมมาจากวัดเพื่อทาขวัญนาค โดยชาวบ้านนิยมจัดกันที่บ้าน จะมีการจัด มหรสพขึ้นในคืนรับขวัญนาค มีการจ้างหนังมาฉาย ราวง และลิเกมาแสดงเพื่อ


324

ความรื่นเริง และวันที่สองจะมีการแห่นาคจากบ้านของนาคไปลาญาติพี่น้อง ต่างๆ ให้ทั่วหมู่บ้าน ถ้าเจ้าภาพมีฐานะดีก็จะจัดขบวนแห่อย่างใหญ่โต มีเถิดเทิง กลองยาวและการละเล่นเล็กๆน้อยๆ ร่วมขบวนแห่ โดยการให้นาคขี่คอ บาง บ้านก็จะมีการเช่าม้า หรือจ้างวัวลานเทียมเกวียนเพื่อให้ นาคนั่ง เพื่อที่จะทาให้ นาคดูสง่างาม พ่อแม่จะทุ่มทุนเต็มที่เพราะตนจะมีความภูมิใจที่ได้ลูกชายของ ตนได้บวชทดแทนพระคุณพ่อแม่และสร้างความชื่นชมให้แก่ญาติมิตรทั่วไป และ ต่อมาไปยังวัดในเวลาบ่ายโมงตรง เพื่อทาพิธีต่าง ๆ ในโบสถ์เพื่อแสดงว่าเป็น พระภิกษุโดยสมบูรณ์แล้ว แต่เนื่องด้วยการเวลาที่ เปลี่ ยนไป ความเจริญ ต่าง ๆ ได้เข้ามาท าให้ สภาพชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านเปลี่ยนแปลงไป ระยะเวลาที่จัดงานบวชได้ ลดลงเหลือเพียงแค่ 1 วันเท่านั้น และด้วยอาชีพที่เปลี่ยนไปจากเดิม ชาวบ้าน ต้องไปทาไร่และรับจ้างมากยิ่งขึ้น ทาให้ไม่สามารถลางานเพื่ อมาบวชได้เป็น เวลานาน ระยะเวลาในการบวชจึงถูกลดทอนลง จะบวชแล้วแต่ความประสงค์ หรือความสะดวกของตน แต่อย่างน้อยต้อง 3 วัน และจะไม่นิยมเช่าม้า หรือจ้าง วัวลานมาเทียมเกวียน แต่จะแห่นาคโดยการใช้รถยนต์ เพื่อความสะดวกสบาย รวดเร็ว และประหยัดค่าใช้จ่ายมากยิ่งขึ้น (ผล กองแก้ว, 2559: สัมภาษณ์) ประเพณีการแต่งงาน การแต่งงาน อีกหนึ่งพิธีกรรมเปลี่ยนผ่านที่ในอดีตเชื่อว่าผู้ผ่านพิธีกรรม นี้ จ ะกลายเป็ น ที่ ย อมรั บ ของสั ง คมมากขึ้ น เพราะสามารถดู แ ลตั ว เองและ ครอบครัวได้อย่างเต็มที่ สาหรับงานแต่งของชาวบ้านหันตะเภา นางยม ม่วงทอง เล่าว่าในอดีตชาวบ้านจะไม่นิยมจัดงานแต่งงาน หากฝ่ายชายถูกตาต้องใจสาว คนใดก็จะเกี้ยวพาราสีกันผ่านทางการเขียนจดหมาย หรือการเข้าไปชวนพูดคุย แล้วช่วยฝ่ายหญิงขณะทางาน เพราะเชื่อว่าผู้หญิงที่ทางานเก่งก็จะสามารถดูแล ครอบครัวได้ดี ดังนั้นเมื่อทั้งสองตกลงปลงใจกันแล้วก็จะหนีตามกันไปสร้างบ้าน


325

ของตนเองอยู่ทันทีแต่ในปัจจุบันชาวบ้านหันตะเภาจะนิยมจัดงานแต่งงานกันใน ระยะเดือน 4 เดือน 6 เดือน 9 และเดือน 12 เพราะว่างเว้นจากการทานา และ มีเงินทองเก็บเอาไว้เพียงพอที่จะจัดงานแต่งงานแล้ว และเชื่อว่าเป็นเดือนมงคล โดยจะมีการแห่ขันหมากจากบ้านเจ้า บ่าวไปบ้านเจ้าสาว และจัดงานแต่งและ พิธีกรรมต่าง ๆ ที่บ้านเจ้าสาว เมื่อเสร็จจากพิธีกรรมและงานแต่ง คู่บ่าวสาวก็จะ พักกันที่บ้านเจ้าสาวเป็นเวลา 3 วัน หลังจากนั้นเจ้าบ่าวและเจ้าสาวจะทาการ ตกลงกันว่าจะอยู่บ้านของฝ่ายไหน หรือจะตั้งถิ่นฐานใหม่ (ยม ม่วงทอง, 2559: สัมภาษณ์) พิธีกรรมเกี่ยวกับการตาย ตามคาบอกเล่าของนางผล กองแก้ว อายุ 94 ปี เล่าว่าในอดีตหากมีคน เสียชีวิตในหันตะเภาจะจัดพิธีเผาศพในเดือน 5 เท่านั้นเพราะเชื่อกันว่าเดือน 5 นั้นเป็นเดือนที่ร้อน และเป็นเดือนที่ แห้งแร้งอัปมงคลดังนั้นแม้จะเสียชีวิตใน เดือนอื่น ๆ ที่มิใช่เดือน 5 ก็จะมีการทาพิธีเก็บศพ เรียกว่า “ผีแห้ง” นั่นคือทาง ญาติจะนาศพไปฝังไว้ในป่าช้า เมื่อถึงเดือน 5 จะขุดมาทาพิธีเผาศพ เพื่อส่งดวง วิญญาณให้สู่สุขคติ การตั้งศพนิยมตั้งที่บ้านผู้ตาย ถ้าเป็นศพของญาติผู้ใหญ่จะ ตั้งไว้หลายวันตั้งแต่ 3–7 วัน ถ้ามีฐานะยากจนจะตั้งไว้ 1-3 วัน และจะเผาโดย กองฟอน ซึ่งการเผาแบบกองฟอนนี้เองที่มีการผสมผสานวัฒนธรรมการเอาแรง ไว้ นั่นคือญาติพี่น้องหรือชาวบ้านที่ทราบข่าวการเสียชีวิตนี้ หากเป็นคนที่พวก เขารู้จักก็จะช่วยกันสร้างกองฟอนหรือกองฟางโดยนามาสมทบบ้านละนิดละ หน่ อ ยจนมี ข นาดใหญ่ พ อที่ จ ะเผ่ า ในพิ ธี ได้ ห รื อ มี เชื้ อ เพลิ ง มากพอที่ จ ะเผ่ า ผู้เสียชีวิตนั้นจนเป็นเถ้าถ่านได้ ซึ่งสอดคล้องกับคาบอกเล่าของลุงเถร หรือนาย นิ ม นต์ ป ระจ าหมู่ บ้ า นหั น ตะเภา (ผล กองแก้ ว และธนงค์ ม่ ว งทอง, 2559: สัมภาษณ์)


326

แต่ ปั จ จุ บั น ชาวบ้ า นหั น ตะเภาจะนิ ย มจั ด พิ ธี ศ พกั น ที่ วั ด ซึ่ งมี ค วาม สะดวกสบายมากกว่า เพราะทางวัดสามารถจัดหาอุปกรณ์และเตรียมการให้ทุก อย่างส่วนนี้จึงช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ดีกว่าการจัดงานศพแบบดั้งเดิม และเนื่องด้วย พื้นที่บริเวณบ้านโดยรอบของชาวบ้านถูกนาไปใช้ในการปลูกพืชหรือทาไร่ต่างๆ แล้ วจึงท าให้ ไม่ มี พื้ น ที่ ส าหรับ รองรับ แขกที่ จ ะมาร่วมพิ ธี อี ก ทั้ งป่ าช้าในเขต หมู่บ้านหันตะเภาได้หมดไปเพราะมีคนเซียน คนปราบผี หรือนักพรต มากวาด ล้างศพที่เคยฝังตามป่าช้าต่างๆโดยจะเก็บกระดูกไป เมื่อพื้นที่ป่าที่เคยศักดิ์สิทธิ์ ต้องหมดความศักดิ์สิทธิ์ไป คนนอกหมู่บ้านหรือแม้แต่ชาวบ้านด้วยกันก็จับจอง พื้นที่นั้นๆมากขึ้นเพื่อปรับเปลี่ยนพื้นที่ให้กลายเป็นนาข้าว ป่าช้าและความขลัง ของพื้ น ที่ จึ ง ค่ อ ยๆหายไปพร้ อ มกั บ พื้ น ที่ ส าหรั บ เก็ บ ศพของชาวบ้ า นด้ ว ย ชาวบ้านจึงต้องเปลี่ยนวันเวลาในการจัดพิธีศพจากเดิมที่จัดเฉพาะเดือน 5 มา เป็นการเผาทันที่ที่เสียชีวิตเรียกว่า “เผาผีสด” และหลังจากการเผาศพ ชาวบ้าน ก็จะจุดธูป 1 ดอกพร้อมถือรูปคนตาย นากลับไปอยู่บ้าน หากระหว่างทางกลับ บ้านพบทางแยก ก็จะมีการเรียกวิญญาณให้สถิตอยู่กับที่ไม่ไปไหน เมื่อพอถึง บ้านก็จะนาไปไว้บนหิ้งบรรพบุรุษประจาหมู่บ้าน 6.6. ประเพณีที่เกี่ยวข้องกับข้าว หรือเกษตรกรรมหลักของชุมชน อย่างที่กล่าวไว้ในหัวข้อใหญ่ที่ 4 อันเกี่ยวข้องกับระบบเศรษฐกิจ การ ทานาคือศูนย์กลางของระบบอาชีพและการจัดสรรทรัพยากร ดังนั้นพิธีกรรม ข้าวจึงเกิดควบคู่กับการมีอยู่ของการทานา ในวงแหวนพิธีกรรม (รูปที่ 8) จะ เป็น ระยะเวลาในเส้น วงในสี แ ดง ซึ่ งระยะการท านาของแต่ละครัวเรือนคาด เคลื่อนกันโดยอาจเริ่มก่อน 1-2 เดือน หรือเสร็จหลัง 1-2 เดือน ทั้งนี้ประเพณี/ พิธีกรรมข้าวประกอบด้วย


327

ประเพณีรับท้องข้าว จั ด ขึ้ น ในเดื อ น 12 เดื อ นพฤศจิ ก ายน ซึ่ ง ยั ง เป็ น ช่ ว งเดื อ นที่ อ ยู่ ใ น ระหว่างทานาปี เมื่อต้นข้าวเริ่มแทงยอดอ่ อนออกมาและตัวลาต้นมีสีเขียวแก่ จะนาธงไปปักไว้ในนาและนาแป้งหอมและน้ามันหอมมาทาไว้ที่ต้นข้าวต้นใดก็ ได้ในนาที่ได้นาธงไปปักไว้ มีการถวายเครื่องเซ่นไหว้ เรียกว่า เครื่องกระยาบวช ซึ่งประกอบด้วย หมาก พลู ขนมต้ม ขนมแดง กล้วย อ้อย ส้ม เผือก มัน และนา ทองไปคล้ อ งไว้ กั บ ต้ น ข้ า วที่ ไ ด้ เลื อ กไว้ แต่ ง ตั ว ของตนเองให้ ส วยงามตาม ขนบธรรมเนียม จากนั้นจึงเชิญนายนิมนต์มากล่าวบทเชิญพระแม่โพสพ ว่า พระ แม่โพสพ พระแม่โพศรี แม่ศรีมาลา เชิญขวัญแม่มา มามะมามูล มาเพิ่มมาพูน มามูลมามี กชาญะกชาหิ (ธนงค์ ม่วงทอง, 2559: สัมภาษณ์) ประเพณีรับขวัญข้าว จัดขึ้นในเดือน 2 เดือนมกราคม ซึ่งเป็นช่วงเดือนที่สิ้นสุดทานาปี จัดทา พิธีที่ลานข้าวภายในบ้าน หลังจากนวดข้าวที่เกี่ยวได้เสร็จแล้ว นาข้าวขึ้นยุ้งฉาง และน าไปใส่ ไว้ในกะล่ อ ม และตามเก็ บ เศษข้ าวที่ ต กอยู่ ต ามท้ อ งนามาใส่ ไว้ ด้ ว ยกั น ภายในกะล่ อ ม และตั้ ง เครื่ อ งกระยาบวชเหมื อ นกั บ ตอนประกอบ พิธีกรรมของประเพณีรับท้องข้าว แต่จะไม่มีการกล่าวเชิญพระแม่โพสพ (ธนงค์ ม่วงทอง, 2559: สัมภาษณ์) ในปัจจุบัน ประเพณี รับท้องข้าวมีการประกอบพิธีอยู่ให้เห็นแค่เพียง บ้ าน 2 หลังเท่ านั้ น คือ บ้ านของนายบุ ญ ธรรม กองแก้ ว และบ้ านอีกหลังไม่ ทราบชื่อ ที่ ไม่ มี การประกอบพิ ธีแ ล้ วนั้น เพราะชาวบ้ านบอกว่าพิ ธีกรรมมั น ล้าสมัยแล้ว คนไม่ค่อยทากันและประเพณีรับขวัญข้าวนั้น การประกอบพิธีไม่มี เหลือให้เห็นอยู่แล้ว เพราะปัจจุบัน ชาวบ้านเริ่มเปลี่ยนมาทานาเพื่อการค้าขาย มากขึ้นเลยทาให้เมื่อเกี่ยวและนวดข้าวเสร็จ ชาวบ้านจะไม่นาข้าวไปเก็บไว้ที่ยุ้ง ฉางเช่นในอดีต แต่จะนาข้าวที่เกี่ยวและนวดได้ไปขายเลย พิธีนี้จึงหายไป และ


328

อีกปัจจัยที่ทาให้ประเพณีรับท้องข้าวและรับขวัญข้าวมีเหลือให้เห็นอยู่น้อยลง และหายไป คือ เพราะมีการทานาเพื่อการค้าขายที่หลายแบบและทาหลายครั้ง ต่อปี อย่างการทานาปรังและการทานาเปรอะ และจากสภาพภูมิอากาศของแต่ ละฤดู ทาให้การทานาบางช่วงจะเจอน้าท่วมนาและนาแห้งแล้ง ชาวบ้านจึงต้อง หยุดทานาไปในปีนั้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ทาให้ชาวบ้านสับสนว่าควรทาตอนไหน เลยเลือกที่จะไม่ประกอบพิธีเสียดีกว่า เพื่อไม่ให้ลาบากเมื่อจัดพิธี ประเพณีรับ ท้องข้าวและรับขวัญ ข้าวจึงเหลือน้อยลงและได้หายไปในปัจจุบัน (บุญ ธรรม กองแก้ว, 2559: สัมภาษณ์) ประเพณีสลากข้าวเปลือก จัดขึ้นในเดือน 3 (เดือนกุมภาพันธ์) ซึ่งเป็นช่วงเดือนหลังจากสิ้นสุดทา นาปี พระจะมาธุดงค์เรี่ยไรข้าวเปลือก โดยพระจะนาถุงมาวางไว้ที่ลานข้าวในแต่ ละบ้าน เพื่อให้ชาวบ้าน นาข้าวที่เกี่ยวและนวดมาได้ นามาแบ่งใส่ถุงเพื่อทาบุญ และเมื่อเสร็จแล้ว พระจึงนาถุงกลับไปที่วัด แต่ต่อมามีการทานาเพื่อการค้าขาย มากขึ้ น และมี เทคโนโลยี ใหม่ ด้ า นการท านาอย่ า งรถเกี่ ย วนวดข้ า ว หรื อ ที่ ชาวบ้านเรียกว่า รถตัดข้าว ได้เริ่มเข้า มาในชุมชน ประมาณปี พ.ศ.2549 ทาให้ ชาวบ้าน มีความสะดวกสบายและสามารถเกี่ยวและนวดข้าวได้รวดเร็วมาก ยิ่งขึ้น ชาวบ้ านจึงมี เวลาเวลาว่างมากขึ้น ในการประกอบกิจ กรรมอย่างอื่ น นอกจากการทานาได้ ทาให้ชาวบ้านหันไปเข้าวัดทาบุญมากขึ้นกว่าแต่ก่อน พระ จึ ง ไม่ จ าเป็ น ต้ อ งออกมาธุ ด งค์ เรี่ ย ไรข้ า วเปลื อ กอี ก ท าให้ ป ระเพณี ส ลาก ข้าวเปลือกไม่มีให้เห็นอยู่แล้วในปัจจุบัน (ธนงค์ ม่วงทอง, 2559: สัมภาษณ์)


329

6.7. ประเพณี/พิธีกรรมสาคัญของชุมชน เป็ นประเพณี พิ ธีกรรมที่ คาบช่วงระยะเวลาหลายเดือน หากดูในวง แหวนพิธีกรรมจะเห็นว่าเริ่มจากเดือน 4 เว้นเดือน 5 ต่อเดือน 6, 7 และเดือน 8 อีกครึ่งเดือน ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ งานปีผีมด จากค าบอกเล่ า ของนายธนงค์ ม่ ว งทอง ซึ่ ง เป็ น นายนิ ม นต์ ป ระจ า หมู่บ้านหันตะเภา เล่าว่างานปีผีมดเป็นประเพณี ที่สาคัญ สาหรับชาวบ้านหัน ตะเภา และชุม ชนหนองจอก โดยประชาชนจะมารวมตั วกั น และร่วมกัน จั ด พิธีกรรมขึ้นมาอย่างโอ่อ่าให้สมกับการรอคอย เพราะพิธีกรรมนี้มิได้เกิดขึ้นทุกปี ขึ้นอยู่กับความพร้อมของชุมชนและความต้องการของสมาชิกในชุมชนร่วมกัน งานปีผีมดนี้จึงจัดขึ้นเพื่อเป็นการเซ่นสรวงต่อเทพที่มีประจาอยู่ในเขตหมู่บ้าน เพื่อขอความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตและการทาเกษตรกรรม โดยจะอัญเชิญท่าน เข้าร่างทรง เพื่อช่วยปัดเป่าทุกข์โศกโรคภัยแก่ชาวบ้านที่มาชุมนุมในพิธี งานปีผี มดนับว่าเป็นประเพณีที่มีมานานแล้วแต่ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าเกิดขึ้นในสมัยใด ชาวบ้านต่างก็เล่าให้ฟังว่า เมื่อสมัยพ่อแม่ปู่ย่าตายายของพวกเขาก็มีมาอยู่แล้ว คงเป็นเวลาร้อยปีขึ้นไปแล้วเป็นมรดกตกทอดมาถึงปัจจุบัน เพราะเป็นความเชื่อ ของผู้ที่รับมรดกมา ผู้ที่ได้รับมรดกตกทอดมาแล้วจะต้องถือปฏิบัติเช่นเดียวกัน กับบรรพบุรุษและถือว่าเป็นเรื่องสาคัญของชีวิตความเป็นอยู่ภายในครอบครัว ถ้าผู้ใดประกอบพิธีแล้ว จะทาให้มีความเป็นอยู่ดีขึ้น ครอบครัวจะอยู่เย็นเป็นสุข ไม่เจ็บป่วย มีความเจริญก้าวหน้า ทามาค้าขึ้น แต่ถ้าไม่ทาตามความประสงค์ ของผี ม ดแล้ ว จะส่ ง ผลให้ ค นในครอบครั ว เจ็ บ ป่ ว ย หรื อ ท ามาหากิ น ไม่ ขึ้ น ประเพณี นี้กระทากันในเดือน 4-7 ยกเว้นเดือน 5 (เมษายน) และในระหว่ าง เข้าพรรษา ระยะเวลาที่จะกระทาแต่ละครั้งนั้นต้องแล้วแต่เจ้าของงานปีผีมดว่า จะจัดขึ้นเมื่อไหร่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับฐานะของเจ้าภาพด้วย และในชั่วชีวิตเจ้าภาพคน


330

หนึ่งจะจัดงานปีผีมดเพียง 3 ครั้งเท่านั้น เมื่อครบแล้วไม่ต้องจัดอีกตลอดชีวิต แต่จะให้ผู้สืบสันดานรับช่วงปฏิบัติต่อไป ถ้าบุคคลใดรับช่วงงานปีผีมดไปแล้ว ละเลยไม่ปฏิบัติจะทาให้เจ็บป่วยอย่างหนัก หรือถ้าบุคคลใดยังไม่พร้อมที่จะจัด งานเมื่อถึงกาหนด ก็จะต้องไปขอผัดผ่อนไปก่อนและงานปีผีมดจัดแบ่งเป็น 2 เวลา คือ เวลาภาคเช้ากับเวลาภาคกลางคืน (ธนงค์ ม่วงทอง, 2559: สัมภาษณ์) เรื่องเล่าความเป็นมาของงานปีผีมด ผีมดมีต้นกาเนิดมาจากเขมร สมัยก่อนนั้นชาวเขมรได้ ปล่อยกระทงลอยมาตามสายน้า และในกระทงมีชฎาห่อมาด้วย เมื่อผ่านประเทศไทย คนไทยได้ไปพบเจอจึงไปจับกระทง เมื่อจับ แล้วทาให้ตนนั้นไม่สบาย จึงไปหาหมอแล้วได้ไปพบหมอชาวเขมร หมอเขมรบอกว่าโดนผีมด ให้ไปบนบานถ้าหายภายใน 3-7 วัน ให้ ราถวาย (ธนงค์ ม่วงทอง, 2559: สัมภาษณ์)

ชาวบ้านหันตะเภาประสบปัญหาด้านเศรษฐกิจเนื่องด้วยระบบการทา นาที่เป็นอาชีพหลักได้เปลี่ยนไป เพราะสภาพแวดล้อมและการขาดแคลนน้าใน พื้นที่ทากิน วิถีชีวิตของชาวบ้านหันตะเภาไม่ได้เอื้ออานวยต่อการจัดงานปีผีมด รายได้หลักจากการทานาไม่คงที่จึงทาให้งานปีผีมดมีน้อยลง เพราะการจัดงาน ในแต่ละครั้งต้องใช้งบประมาณในการจัดเป็นจานวนมาก ประมาณ 20,000– 30,000 บาท จึงทาให้ชาวบ้านผ่อนผันไปจนจะมีเงินทุนครบ เมื่อจัดครบ 3 ครั้ง ก็จะเลิกเลี้ยงผีโดยทันทีไม่มีการสืบทอดต่อ และงานปีผีมดเป็นงานในเครือญาติ ที่ จ ะมาช่ ว ยในการจั ด เตรี ย มงาน แต่ เมื่ อ วิ ถี ก ารท านาที่ เปลี่ ย นไปชาวบ้ า น จาเป็นต้องปรับเปลี่ยนอาชีพไปรับจ้างทาไร่ทาสวนมากยิ่งขึ้น จึงทาให้ชาวบ้าน


331

เลือกที่จะไปรับจ้างเพื่อรายได้ของตนมากกว่าการไปจัดเตรียมงานปีผีมด ด้วย สาเหตุนี้งานปีผีมดจึงพบน้อยมากในหมู่บ้านหันตะเภา ประเพณี/พิธีกรรมอันเกี่ยวเนื่องกับพุทธศาสนา นอกเหนือจากการท าพิธีกรรมในชีวิต พิธีกรรมอันเกี่ยวกับข้าวและ พิธีกรรมทางผีซึ่งเป็นจิตวิญ าณของชุมชนแล้ว พุทธศาสนาก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ ดารงอยู่และหล่อหลอมผู้คนไว้ด้วยกัน ชาวหันตะเภาก็นับถือพุทธศาสนาดังนั้น กิจทางศาสนาจึงเกิดขึ้นอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง อนึ่งกิจทางศาสนายังผสมผสาน ความเชื่อเก่าใหม่ไปด้วยกันอีกด้วย ได้แก่ วันขึ้นปีใหม่ จัดขึ้นในเดือน 1 เดือนธันวาคม วันที่ 31 และเดือน 2 เดือนมกราคม วันที่ 1 โดยจะมีการจัดสวดมนต์ข้ามปี และเมื่อข้ามปีแล้วหลังจากสวดมนต์ เสร็จ จะมีการพรมน้ามนต์ (ธนงค์ ม่วงทอง, 2559: สัมภาษณ์) วันมาฆบูชา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่า กลางเดือน 3 หรือประมาณราวเดือนกุมภาพันธ์ แต่หากเป็นปีอธิกมาส (ปีที่มีเดือน 8 สองครั้ง) วันมาฆบูชาจะเลื่อนไปเป็น วัน ขึ้น 15 ค่ากลางเดือน 4 หรือประมาณเดือนมีนาคม ชาวบ้านจะนิยมทาบุญตัก บาตรในตอนเช้า ฟังพระธรรมเทศนา นางยมเล่าว่าชาวบ้านหันตะเภาส่วนใหญ่ ก็จะจัดสารับคาวหวานไปทาบุญ ถวายภัตตาหาร ช่วงบ่ายชาวบ้านก็จะอยู่วัด เพื่อฟังพระแสดงพระธรรมเทศนา เจริญสมาธิภาวนา เมื่อถึงช่วงค่า ชาวบ้านทุก คนก็จะนาดอกไม้ ธูปเที ยนไปเวียนเที ยน 3 รอบที่พระอุโบสถ โดยการเวียน เทียนนั้นจะเวียนขวา จานวน 3 รอบ และช่วงเวลาที่เดินอยู่นั้นให้ระลึกถึง พระ พุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ชาวบ้านจะไปรวมตัวกัน ที่วัดหนองจอก อ.ท่ายาง จ.


332

เพชรบุรี ถือว่าเป็นวัดแห่งเดียวที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านหนองจอก(ยม ม่วงทอง, 2559: สัมภาษณ์) วันวิสาขบูชา จัดขึ้นในวัน ที่ 20 เดือน 6 เดือนพฤษภาคม เป็ นวันที่เกิดเหตุการณ์ ส าคั ญ ทางพระพุ ท ธศาสนาเกิ ด ขึ้ น คื อ การประสู ติ ตรั ส รู้ และปริ นิ พ พาน ชาวบ้านหันตะเภารวมถึงชาวบ้านหมู่อื่นๆ ในเทศตาบลหนองจอกจะไปรวมตัว กันที่วัดหนองจอก อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี โดยมีเจ้าคุณพระวชิรธรรมคณี เจ้าคณะ จังหวัดเพชรบุรีเป็นเจ้าอาวาส ชาวบ้านก็จะจัดสารับคาวหวานไปทาบุญถวาย ภัตตาหารที่วัด ปฏิบัติธรรม ฟังพระธรรมเทศนา และจะร่วมกันเวียนเทียนรอบ อุโบสถที่วัดในตอนค่า เพื่อราลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ประชาชนทั่ว ตาบลหนองจอกต่างก็มาเข้าร่วมและพร้อมใจกันประกอบพิธีบูชาพระพุทธองค์ เป็ น การพิ เศษ เพื่ อน้ อมราลึ กถึงพระกรุณ าธิคุณ พระปั ญ ญาธิคุณ และพระ บริสุทธิคุณ ของพระองค์ท่าน ผู้เป็นดวงประทีปของโลกและที่สาคัญ เป็นการ ถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถอีกด้วย (สานักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเพชรบุรี , 2559: ออนไลน์) วันเข้าพรรษา สมัยก่อนชาวบ้านส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรมการทานาเป็นหลักจะ เริ่มทาไร่ทานาปักดาข้าวกล้าก่อนพรรษา พอพระสงฆ์เข้าพรรษาก็จะเสร็จงาน ในไร่น า จะมี เวลาว่างจากการท านา ชาวบ้ านจึ งถื อ โอกาสเข้ าวัด ถวายทาน รักษาศีล ฟังธรรมและเจริญภาวนาเพิ่มพูนบุญกุศลกันมากขึ้น ดังนั้นเมื่อถึงวัน เข้าพรรษาในเดือน 8 (เดือนกรกฎาคม) ชาวบ้านก็จะพากันหาอาหารทั้งคาว หวาน ผลไม้ และเครื่อ งอุ ป โภคที่ จาเป็ น แก่ ส มณะน าไปถวายพระภิ ก ษุ ส งฆ์


333

พระภิกษุสงฆ์แนะนาสั่งสอนให้เกิดศรัทธาในการปฏิบัติตามหลักทานศีลและ ภาวนา และความไม่ประมาทในการประกอบคุณความดีอื่นๆ วันออกพรรษา จัดขึ้นในเดือน 11 เดือนตุลาคม เป็นเดือ นที่สิ้นสุดระยะเวลาการจา พรรษา 3 เดือนของพระสงฆ์ ชาวบ้านจะนิยมร่วมกันทอดกฐินในระยะเวลา 1 เดือนหลังออกพรรษา โดยจะร่วมกันทาบุญและจัดพุ่มกฐินประจาหมู่บ้านและ นาไปถวายที่วัดหนองจอก อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรีและมีการทาบุญตักบาตรอุทิศ ส่วนกุศลให้แก่ญาติผู้ล่วงลับ ไปวัดเพื่อปฏิบัติธรรม ฟังพระธรรมเทศนา ร่วม กิ จ กรรม "ตั ก บาตรเทโว" ในวั น แรม 1 ค่ า เดื อ น 11 ปั ด กวาดบ้ านเรือ นให้ สะอาด และประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือนและสถานที่ราชการและประดับ ธงชาติ และธงธรรมจักร ตามวัดและสถานที่สาคัญทางพระพุทธศาสนา (ธรรมะ ไทย, มปป: ออนไลน์) ซึ่งจากประเพณีทางพุทธศาสนาที่เกิดขึ้นทั่วไปภายในประเทศไทยที่ได้ กล่าวมาข้างต้นนั้น เป็นประเพณีที่มีลักษณะพิธีและการปฏิบัติกิจกรรมภายใน ประเพณีของชาวบ้านนั้น มีความคล้ายคลึงกับที่นายธนงค์ ม่วงทองและนายบุญ ธรรม กองแก้ว ชาวบ้านภายในชุมชนหันตะเภาได้กล่าวถึงไว้ ทาให้ทราบว่า ประเพณีเหล่านี้มีการปฏิบัติกันเสมอเหมือนทั่วประเทศไทย


334

ตารางประเพณีรอบปีของตาบลหนองจอก หมู่ที่ 10 บ้านหันตะเภา

* นับเดือนตามปฏิทินจันทรคติ


335

ระบบความเชื่ออาจแบ่งได้เป็น ความเชื่อของท้องถิ่น (ผี , ผีข้าว) และ ความเชื่ อทางพุ ท ธศาสนา ซึ่ งปรากฏผ่ านศาลเจ้าและเรื่องเล่ าและประการ ส าคั ญ คื อ ประเพณี /พิ ธี ก รรมทั้ ง หมด ได้ แ ก่ ประเพณี / พิ ธี ก รรมในรอบปี ประเพณีงานปีผีมดที่ถือว่าเป็นงานที่สาคัญ ของชุมชน ประเพณี/พิธีกรรมอัน เกี่ยวเนื่องกับข้าว และประเพณี /พิธีกรรมอันเกี่ยวเนื่องกับพุทธศาสนา ล้วน สะท้อนภาพทางความเชื่อ และรายละเอียดทางพิธีกรรมที่เผยให้เห็นกิจ กรรม ทางความเชื่อที่หมุนวนในรอบปีของชาวบ้านหันตะเภา เกี่ ยวล้อและยึดโยงกับ โครงสร้างส่วนอื่นๆ โดยเฉพาะระบบเศรษฐกิจอันมีข้าวเป็นหลัก

7. สรุป: พลวัตรในพื้นที่บ้านหันตะเภา หมู่ 10 ต.หนองจอก อ.ท่า ยาง จ.เพชรบุรี การเปลี่ยนแปลงของชุมชนหมู่ 10 บ้านหันตะเภา จากการเก็บข้อมูล โดยวิ ธี ก ารสั ม ภาษณ์ เชิ งลึ ก ต่ อ กลุ่ ม ชาวบ้ า น ด้ ว ยวิ ธี ก ารเลื อ กกลุ่ ม ตั ว อย่ า ง (Accidental Sampling) และการอ้างอิงต่อเนื่องแบบปากต่อปาก (Snowball Sampling) พบว่ามีจุดเปลี่ยนหลักที่นามาสู่การเปลี่ยนแปลงที่สัมพันธ์กับวิถี ชีวิตของชาวบ้านหันตะเภา ได้แก่ ระบบคลองส่งน้า เทคโนโลยี และภาวะน้า น้อยที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ปัจจัยเหล่านี้นามาซึ่งการเปลี่ยนแปลงในเชิงกายภาพ สภาพแวดล้ อ มที่ ส่ ง ผลต่ อ ปั จ จั ย ด้ า นอื่ น ๆ ต่ อ มา ซึ่ ง น าไปสู่ ก ารปรั บ ตั ว หลากหลายรูปแบบของชาวบ้านภายใต้การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ระบบการเมื อ งและการจั ด การปกครองภายในหมู่ บ้ านหั น ตะเภามี รากฐานอยู่บนระบบเครือญาติสืบเนื่องมาตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน จากลักษณะ ทางกายภาพในอดีตที่มักเรียกกันว่าเป็นพื้นที่ “ไกลปืนเที่ยง” ส่งผลให้มีการ จัดการปกครองและผู้นาแบบเป็นไปโดยธรรมชาติภายใต้ระบบอาวุโส และมีเสือ เป็ น ผู้ มี อ านาจแสดงอิ ท ธิพ ลภายในหมู่ บ้ าน เมื่ อ มี ระบบคลองส่ งน้ าเกิ ด ขึ้ น


336

ภายในหมู่บ้าน ระบบการปกครองยังไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก จนเมื่อเกิดถนน หนทางคมนาคมที่สะดวกในช่วง พ.ศ. 2520 –พ.ศ. 2525 หน่วยงานต่าง ๆ ของ ภาครัฐก็เริ่มมีบทบาทในการจัดการภายในชุมชน ทาให้เกิดการพั ฒนารูปแบบ ผู้นาแบบเป็นทางการ ตารวจกลายเป็นหน่วยงานหลักที่มีบทบาทในการจัดการ ดูแลความเรียบร้อยภายในชุมชนแทนที่เสือ และต่อมาระบบการปกครองส่วน ต าบลหรื อ การกระจายอ านาจสู่ ท้ อ งถิ่ น ได้ เกิ ด ขึ้ น ในหมู่ บ้ า น เกิ ด เป็ น การ ปกครองส่วนท้องถิ่นที่เข้าถึงชุมชนได้มากขึ้นใกล้ชิดชาวบ้านมากขึ้นกว่าการ ปกครองที่ขึ้นตรงกับระดับอาเภอแบบในอดีต ส่งผลต่อรูปแบบการเลือกตั้งจาก การเลื อ กตั้ ง แบบเปิ ด ที่ มี ก ารยกมื อ โหวตมาสู่ ก ารลงคะแนนเสี ย ง การ เปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้ชาวบ้านต้องปรับเปลี่ยนเรียนรู้ในสิ่งที่สัมพันธ์กับวิถีชีวิต โดยตรง การปรับตัวที่เกิดขึ้นมีชาวบ้านบางส่วนเลือกอพยพย้ายออกจากชุมชน เพื่อไปสร้างอาชีพใหม่ ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการรับค่านิยมต่าง ๆ ที่เข้ามามี อิทธิพลมากขึ้น เช่น ค่านิยมในการประกอบอาชีพรับราชการเพื่อความมั่นคง ทาให้บางครอบครัวมีการอพยพย้ายออกไปรับราชการแทนที่การทานา และใน ส่วนของระบบเครือญาติ เนื่องจากชุมชนนี้เป็นชุมชนที่มีรากฐานอยู่บนวิถีชีวิต แบบเกษตรกรรม ทาให้มีวิถีชีวิตที่สัมพันธ์อยู่บนระบบเครือญาติ โดยจากการ เก็บข้อมูลสืบประวัติชุมชนพบว่ามีนามสกุลดั้งเดิมหลัก ๆ ภายในชุมชนเพียง 3 นามสกุลนั่นคือ นามสกุลปิ่นเกล้า ไม้แก้ว และคาคล้าย และยังพบการแต่งงาน กันภายใน 3 นามสกุลนี้ ส่งผลให้ระบบเครือญาติมีฐานเป็นกลุ่มใหญ่มากยิ่งขึ้น ทุก ๆ ระบบในชุมชนโดยเฉพาะการจัดการทางสังคมและการเมืองจึงยังคงวาง อยู่ บ นฐานของระบบเครื อ ญาติ ม าจนปั จ จุ บั น แต่ ด้ ว ยบริ บ ททางสั ง คมที่ เปลี่ยนไปทาให้ปรากฏในลักษณะของครอบครัวเดี่ยวมากยิ่งขึ้น ระบบเศรษฐกิจในอดีตของหมู่บ้านมีรูปแบบการทานาแบบ “นาปี” ที่ สามารถทานาได้เพียงปีละครั้งตามฤดูกาล ซึ่งแต่ละครั้งในรอบปีก็มักจะเผชิญ ปัญหาน้าท่วมอยู่บ่อยครั้ง ส่งผลให้ชาวบ้านเกิดการปรับตัวจากการเรียนรู้ที่จะ


337

อยู่ร่วมกันกับระบบนิเวศน์ จึงเกิด “การทานาลอย” ขึ้นในช่วงเวลาที่น้าท่วม รูปแบบการทานาในอดีตเป็นการ “เอาแรง” กัน ซึ่งสัมพันธ์กับระบบเครือญาติ และการตั้งถิ่นฐานในบริเวณใกล้เคียงกัน การผลิตในช่วงนี้เป็นไปเพื่อยังชีพจึง ต้ อ งมี ก ารเก็ บ ข้ า วเอาไว้ รั บ ประทาน ภาชนะที่ ใช้ บ รรจุ ข้ าวรวมไปถึ งในทุ ก ขั้นตอนของการทาข้าว ล้วนเป็นภูมิปัญญาจักสานที่ผลิตขึ้นเองภายในครัวเรือน ต่อมาในช่วงปี พ.ศ. 2510 เกิดระบบคลองส่งน้าขึ้น ซึ่งถือเป็นปัจจัยสาคัญ ที่ นามาสู่การเปลี่ยนแปลงภายในหมู่บ้าน เพราะรูปแบบการทานาที่แต่เดิมเป็นนา ปี ได้ ป รับ เปลี่ ย นเป็ น “นาปรัง” ที่ ส ามารถท านาได้ เพิ่ ม เป็ น 2 ครั้งในรอบปี ในช่วงนี้การทานาได้รับความนิยมมากขึ้นซึ่งตรงกันข้ามกับอาชีพการทาน้าตาล สดและน้าตาลปึกที่กลับค่อยๆลดลง ราวพ.ศ. 2520– พ.ศ. 2525 ถนนหนทาง และการคมนาคมภายในหมู่บ้านได้รับการจัดการให้มีความสะดวกสบายยิ่งขึ้น นามาสู่การเข้ามาของระบบเทคโนโลยีทันสมัยอย่าง “รถไถ” ได้เข้ามาทาหน้าที่ แทนวัวในขั้นตอนการการไถนา เครื่องทุ่นแรงเข้ามาแทนที่การเอาแรง กระสอบ เข้ามาแทนที่เครื่องจักรสานหรือกะล่อม การผลิตเพื่อขายเข้ามาแทนที่การผลิต เพื่อยังชีพ ต้นตาลที่ขึ้นแซมท้องนาเริ่มกลายเป็นท้องนากว้างไร้ต้นตาลจากการ ตัดถางเพื่อขยายพื้นที่ทานา วัตถุต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนเข้ามาภายใต้การตอบสนอง วิถีชีวิตที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไป และในปีนี้ (พ.ศ. 2559) เกิดสถานการณ์น้าน้อย ที่ สุ ด ในรอบหลายสิ บ ปี เขื่ อ นแก่ ง กระจานไม่ ส ามารถปล่ อ ยน้ าออกมาให้ เกษตรกรใช้ได้เพียงพอต่อการทานา สิ่งที่พบเห็นได้เด่นชัดคือการเกิดขึ้ นของ อาชีพทางเลือกใหม่ ๆ เช่น การปลูกแตงโม มะเขือเทศ ซึ่งจากการสัมภาษณ์ถึง แนวคิดการปลูกพืชเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า ระบบตลาดเริ่มเข้ามีบทบาทต่อ ชาวบ้านภายในชุมชนยิ่งขึ้น ชาวบ้านเริ่มให้ความสาคัญกับการปลูกพืชพาณิชย์ ที่เป็นไปตามความต้องการของตลาด เกิดร้านจาหน่า ยเมล็ดพันธ์พืชเศรษฐกิจ ปุ๋ยเคมี อุปกรณ์และวัตถุดิบด้านเกษตรขนาดใหญ่ที่ให้บริการครบครัน ในช่วง เวลาปัจจุบันนี้ ในชุมชมมีการทาการเกษตรในแบบที่หลากหลายยิ่งขึ้น ไม่เพียง


338

เท่ านั้ น ยั งขยายรวมไปถึ งความนิ ย มในการท างานในภาคการท่ อ งเที่ ยวและ บริการที่เกิดขึ้นภายในหมู่บ้านอีกด้วย ซึ่งในการปรับตัวในทางอาชีพที่เกิดขึ้นนี้ จะเห็นได้ว่าเป็นการปรับตัวทั้งในรูปแบบการนาเอาองค์ความรู้จากภายนอกเข้า มาใช้ การออกไปข้างนอก และการรื้อฟืนสิ่งเก่ากลับมาใหม่ การนาเอาองค์ความรู้จากภายนอกเข้ามาใช้ คือ การรับเอาองค์ความรู้ จากที่อื่นๆ เข้ามาประยุกต์ใช้ภายในชุมชน ในพื้นที่หมู่บ้านหันตะเภานี้ สิ่งที่ รับ เข้ ามาได้ แ ก่ ภู มิ ปั ญ ญาการท ามี ด ของครอบครั วช่ างนาหรื อ นายสิ น พิ ม สุวรรณ ที่รุ่นพ่ออย่างนายผ่อน พิมสุวรรณ ได้เรียนรู้กลวิธีการทามีดมาจากบ่อ โพรงและนามาถ่ายทอดสู่ลูกๆ กลายเป็นภูมิปัญญาอันทรงคุณค่าที่ยังหลงเหลือ อยู่ภายในหมู่บ้านและสามารถสร้างเป็นอาชีพทางเลือกหนึ่งในปัจจุบัน การปรับตัวโดยการปรับ เปลี่ยนวิถีชีวิตในด้านอาชีพ โดยการออกไป รับจ้าง หรือประกอบอาชีพอื่นๆนอกพื้นที่เพียงชั่วคราว ในพื้นที่นี้ที่พบโดยส่วน ใหญ่ มั ก เป็ น การไปท างานในพื้ น ที่ ส าย 1 หรื อ ในบริ เวณพื้ น ที่ ติ ด ทะเล เช่ น อาเภอชะอา ซึ่งมีธุรกิจในภาคการท่องเที่ยวและบริการเป็นจานวนมาก ในช่วง เวลาปัจจุบันนี้จึงเกิดความนิยมการออกไปทางานในด้านนี้มากขึ้น เช่น อาชีพ แม่บ้าน พ่อครัว ทาให้เกิดปรากฏการณ์คนช่วงวัยทางานหายไปในช่วงกลางวัน ดั ง ที่ ผู้ ศึ ก ษาได้ พ บเจอ นั่ น คื อ การออกไปท างานข้ า งนอกกลายเป็ น อาชี พ ทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในชุมชนนั่นเอง อี ก ประการ คื อ การรื้อ ฟื นสิ่ งเก่ ากลั บ มาใหม่ คื อ การน าภู มิ ปั ญ ญา เก่าแก่ที่หายไปจากชุมชนกลับขึ้นมาใหม่ ซึ่งสิ่งที่ถือเป็นการปรับตัวที่น่าสนใจยิ่ง เนื่องจากจะช่วยในการอนุรักษ์ สืบทอดภูมิปัญญานั้นให้คงอยู่ต่อไป และการรื้อ ฟืนภูมิปัญ ญาที่ พ บ คือการท าน้าตาลโตนด ในส่วนนี้สิบตารวจเอกประจวบ ตาแหน่งปลัดองค์การบริหารส่วนตาบลได้กล่าวถึงความสาคัญขององค์ความรู้ เก่าแก่ที่สัมพันธ์กับวิถีชีวิตของชาวบ้านที่มิใช่เพียงในหมู่บ้านหันตะเภา แต่ยัง สาคัญต่อทั้งในระดับตาบลหนองจอกและจังหวัดเพชรบุรี การรื้อฟืนภูมิปัญญา


339

การทาน้าตาลของครอบครัวนายแทนที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านหันตะเภานี้จึงนับว่า เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะนาไปสู่การอนุรักษ์อย่างยั่งยืนสืบต่อไป ระบบความเชื่อของหมู่บ้านหันตะเภาในอดีตอิงอยู่กับความเชื่อผี เช่น ผีมด ผีบรรพบุรุษ และความเชื่อตามหลักศาสนาพุทธ ประเพณีในรอบปีและ ประเพณีชีวิตเกิดขึ้นภายใต้วิถีชีวิตแบบเกษตรกรรม ประเพณีพิธีกรรมในแต่ละ เดือ นสัม พั น ธ์กั บ การท านา และข้าวอัน เป็ น พื ชเศรษฐกิ จหลักของชุม ชนหั น ตะเภาจึงพบประเพณีและพิธีกรรมที่สัมพันธ์ตั้งแต่การเริ่มเพาะปลูกไปจนถึงฤดู การสิ้นสุดการทานา อาทิเช่น ประเพณีรับขวัญข้าว ประเพณีสลากข้าวเปลือก ประเพณีรับท้องข้าว จนกระทั่งเกิดระบบคลองส่งน้าขึ้นในหมู่บ้าน ระบบการทา นาจากเดิมเป็นการทานาปีก็เปลี่ยนแปลงเป็นการทานาปรัง เมื่อการทานาสร้าง ผลผลิตและรายได้มากขึ้น ชาวบ้านก็หันมาให้ความสาคัญกับการทานามากขึ้น การคมนาคมที่ ส ะดวกสบายน าระบบเทคโนโลยี เข้ า มาในหมู่ บ้ า น ช่ ว ยลด แรงงานและเพิ่มผลผลิต รูปแบบการผลิตข้าวจากผลิตเพื่อยังชีพจึงเปลี่ยนเป็น หันมาผลิตเพื่อขาย สิ่งเหล่านี้ทาให้วิถีชีวิตของชาวบ้านเปลี่ยนไปจากในอดีต ทั้ง ในความสาคัญของเวลาและเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ เช่น เมื่อเกี่ยวและนวดข้าว เสร็จ ชาวบ้านจะไม่นาข้าวไปเก็บไว้ที่ยุ้งฉางเช่นในอดีต แต่จะนาข้าวที่เกี่ยวและ นวดได้ไปขายทันที ส่งผลให้พิธีกรรมในส่วนประเพณีที่เกี่ยวกับข้าว ข้าวค่อยๆ หายไป นอกจากนี้การทานาที่ไม่เป็นไปตามฤดูในแต่ละปีทาให้ กาหนดวันเวลา ในการทาพิธีกรรมได้ยาก ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้จะเห็นได้ว่าการปรับตัว ของชาวบ้านในด้านประเพณี พิ ธีกรรมและระบบความเชื่อมีการปรับ เปลี่ยน เพื่ อให้เข้ากับยุคสมั ยตลอดเวลา เช่น ประเพณี สลากข้าวเปลือก ที่จัดขึ้นใน เดือน 3 (เดือนกุมภาพันธ์) ซึ่งเป็นช่วงเวลาสิ้นสุดจากการทานาปี ในอดีตพระจะ มาธุดงค์เรี่ยไรข้าวเปลือก โดยพระจะนาถุงมาวางไว้ที่ ลานข้าวในแต่ละบ้าน เพื่อให้ชาวบ้านนาข้าวที่เกี่ยวและนวดมาได้มาแบ่งใส่ถุงเพื่อทาบุญ และเมื่อ เสร็จแล้วพระจะนาถุงกลับไปที่วัด เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ระบบคลองส่ง


340

น้าทาให้มีการทานาเพื่อการค้าขายมากขึ้น มีเทคโนโลยีใหม่ๆด้านการทานา อย่างรถเกี่ยวและนวดข้าว หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า รถตัดข้าว เข้ามาในชุมชน ทา ให้ชาวบ้านสามารถเกี่ยวและนวดข้าวได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้มีเวลาว่าง มากขึ้น การปรับเปลี่ยนบทบาทระหว่างพระสงฆ์และชาวบ้ านก็เกิดขึ้นโดยที่ พระไม่ต้องออกมาธุดงค์ข้าวเปลือกจากชาวบ้านเช่นเคย แต่ชาวบ้านจะเป็นฝ่าย นาข้าวไปถวายที่ วัดแทน ต่อมาภายหลังเมื่อความสัมพันธ์ภายในระบบเครือ ญาติเปลี่ยนแปลงเกิดค่านิยมการออกไปทางานข้างนอก และการเปลี่ยนเข้าสู่ ยุคสมัยใหม่กับกลุ่มคนรุ่นใหม่ทาให้องค์ความรู้ดั้งเดิมและการให้ความสาคัญใน ประเพณีสลากข้าวเปลือกค่อยๆลดหายไปตามกาลเวลา จนไม่ปรากฏให้เห็น แล้วในปัจจุบัน ซึ่งประเพณีพิธีกรรมภายในหมู่บ้านนี้ไม่ได้สูญหายไปจนหมดสิ้น ผู้ศึกษาพบว่าได้มี การปรับตัวของชาวบ้านในด้านประเพณี พิ ธีกรรมโดยการ ปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ แ ละความเชื่อบางประการให้ ยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น มีการ ลดทอนพิธีกรรมบางส่วนโดยที่ประเพณีเดิมยังคงอยู่ เช่น งานปีผีมด ความเชื่อที่ สาคัญของชุมชนที่ประชาชนจามารวมตัวกันและร่วมกันจัดพิธีกรรมขึ้นมาอย่าง โอ่อ่า แต่ละขั้นตอนมีรายละเอียดที่ซับซ้อนและศักดิ์สิทธิ์ เช่นการเตรียมของ ไหว้ การเชิญ นายนิม นต์และร่างทรงมาร่วมงาน โดยภายหลังมากฎระเบียบ ข้อกาหนดต่างๆเริ่มลดลง ยืดหยุ่นมากขึ้น แต่สิ่งที่ยังคงไว้คือความศักดิ์สิทธิ์ใน ฐานะศูนย์รวมความเชื่อของชุมชนเช่นเดิม ซึ่งที่เห็นได้ชัดคือการปรับเปลี่ยนใน ด้านพิธีกรรมประเพณีและความเชื่อที่เกิดขึ้นในบ้านหันตะเภานี้มักเป็นการปรับ ลดขั้นตอน รายละเอียด และระยะเวลาที่ใช้ลดน้อยลง เพื่อให้สามารถประกอบ ประเพณีพิธีกรรมได้สะดวก รวดเร็วยิ่งขึ้นตามบริบทสังคมแห่งความรีบเร่งอย่าง ในปัจจุบัน แต่ยังคงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์และบทบาทสาคัญในฐานะที่พึ่งทางใจ สืบเนือ่ งตลอดมา การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ไม่ว่าเกิดจากเหตุปัจจัยใด นาไปสู่การเปลี่ยนแปลงในด้านใด เกิดผลดีหรือร้ายอย่างไรทว่าไม่สาคัญเท่ากับ


341

ชาวบ้ า นมี ก ารเรี ย นรู้ แ ละปรั บ ตั ว ที่ จ ะอยู่ ร่ ว มกั บ ระบบนิ เวศน์ นั้ น อย่ า งไร ชาวบ้านหันตะเภาเป็นชุมชนหนึ่งที่มีความตื่นตัว เรียนรู้ ลองผิดลองถูก สร้าง องค์ความรู้ใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้สามารถปรับตัวเพื่อรับมือกับภาวะน้า น้อยครั้งนี้ได้อย่างทันท่วงที และสามารถอยู่ร่วมกับระบบนิเวศน์ที่เปลี่ยนแปลง ได้ทุกยุคทุกสมัย


342

รายการอ้างอิง สื่ออิเล็กทรอนิกส์ ส านั ก งานประชาสั ม พั น ธ์ จั งหวัด เพชรบุ รี . (2559). พุ ท ธศาสนิ ก ชนจั งหวั ด เพชรบุรี เข้าวัดร่วมทาบุญ สร้างกุศลในวันวิสาขบูชา ณ วัดหนอง จอก.เข้าถึงเมื่อ 14 มิถุนายน. เข้าถึงได้จากhttp://thainews.prd.go.t h/CenterWeb/News/NewsDetail นฤพนธ์ ด้ ว งฤทธิ์ . (ม.ป.ป). Cultural Ecology. เข้ า ถึ ง เมื่ อ 5 กรกฎาคม 2 5 5 9 . เข้ าถึ งได้ จ าก http://www.sac.or.th/databases/anth ropology-concepts/glossary/28 ไม่ปรากฏผู้แต่ง. (ม.ป.ป). พันธุ์โคเนื้อ. เข้าถึงเมื่อ 20 กรกฎาคม 2559. เข้าถึง ได้จาก http://pirun.ku.ac.th/~b5310103414/page%203.html การสัมภาษณ์ จารัส บัวเจริญ. (2559). สัมภาษณ์, 28 พฤษภาคม เฉลิม เอมโอษฐ์. (2559). สัมภาษณ์, 28 พฤษภาคม เติม ศิลปะศร. (2559). สัมภาษณ์, 28 พฤษภาคม ทรัพย์ สันประเสริฐ. (2559). สัมภาษณ์, 29 พฤษภาคม ธนงค์ ม่วงทอง. (2559). สัมภาษณ์, 30 พฤษภาคม. นึก ม่วงทอง. (2559). สัมภาษณ์, 30 พฤษภาคม บุญธรรม กองแก้ว. (2559). สัมภาษณ์, 30 พฤษภาคม. ประสม ขลิบสุวรรณ. (2559). สัมภาษณ์, 28 พฤษภาคม ประสิทธ์ พิมพ์สุวรรณ. (2559). สัมภาษณ์, 29 พฤษภาคม ผล กองแก้ว. (2559). สัมภาษณ์, 28 พฤษภาคม เพ็ญ คาพาย. (2559). สัมภาษณ์, 29 พฤษภาคม


343

ยม ม่วงทอง. (2559). สัมภาษณ์, 29 พฤษภาคม วิชาญ สังข์ประเสริฐ. (2559). สัมภาษณ์, 29 พฤษภาคม แวด กู่งาม. (2559). สัมภาษณ์, 30 พฤษภาคม สอน ไทยเดิม. (2559). สัมภาษณ์, 30 พฤษภาคม สาเริง คาคล้าย. (2559). สัมภาษณ์, 31 พฤษภาคม สุชาดา สังข์ประเสริฐ. (2559). สัมภาษณ์, 31 พฤษภาคม สุชาติ สังข์ประเสริฐ. (2559). สัมภาษณ์, 31 พฤษภาคม เสริม เทพคีรี. (2559). สัมภาษณ์, 31 พฤษภาคม อ้อย อ่อมสะอาด. (2559). สัมภาษณ์, 31 พฤษภาคม อุดม ปิ่นเกล้า. (2559). สัมภาษณ์, 29 พฤษภาคม


344


345

บ้านห้วยทบกับการเกษตรกรรม ที่เปลี่ยนแปลงไป *

โดย10 ชญานิศ ชูชาติ ดลฤดี วรรณมาศ ณัฐพล ส่งศิริ ปรีเมธ เดชขุน พฤหัส สุวรรณรัตน์ วิกันดา สุขสมาน อมรเทพ สิทธิวิบูลย์

* คณะผู้เก็บข้อมูลขอขอบคุณชาวบ้านห้วยทบ และคนในชุมชนตาบลหนองจอก ที่ร่วม

10

พูดคุยและให้ข้อมูล


346

บทคัดย่อ การศึ ก ษาครั้ ง นี้ มี วั ต ถุ ป ระสงค์ เพื่ อ ศึ ก ษาวิ ถี ก ารท าการเกษตรที่ เปลี่ย นแปลงไปของชาวบ้ านห้ วยทบ หมู่ 8 ตาบลหนองจอก อาเภอท่ ายาง จังหวัดเพชรบุรี หลังการพัฒนาหรือการเข้ามาของความเจริญ ความทันสมัยใน แต่ละช่วง ทาให้วิถีการผลิตได้รับผลกระทบและเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านรูปแบบ การเพาะปลูก ชนิดของพืชที่เพาะปลูกในช่วงเวลาต่างๆ รวมถึงข้อมูลทั่วไปของ ชุ ม ชนห้ ว ยทบทั้ ง ในอดี ต และปั จ จุ บั น ซึ่ ง ประกอบไปด้ ว ย ประวั ติ ศ าสตร์ สาธารณูปโภค ได้แก่ ถนน น้าประปา ไฟฟ้า เศรษฐกิจและวิถีการผลิต ได้แก่ การติดต่อและแลกเปลี่ยนสินค้า การทานา การปลูกพืชไร่และพืชสวน การเลี้ยง สัตว์ ระบบความเชื่อ ได้แก่ ความเชื่อแม่โพสพ พิธีรับท้องข้าว ความเชื่อผีมด ความเชื่อแม่ซื้อ ระบบเครือญาติ การเมืองการปกครอง ระบบการศึกษา ทั้ง การศึกษาอย่างเป็นทางการและการศึกษาอย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วน แล้วแต่เป็นวิถีชีวิตหรือการดาเนินชีวิตของชาวบ้านห้วยทบทั้งสิ้น การเก็ บ รวบรวมข้ อ มู ล ใช้ วิ ธี เก็ บ ข้ อ มู ล ภาคสนามจากบ้ า นห้ ว ยทบ หมู่ ที่ 8 เป็ น เวลา 5 วั น ตั้ ง แต่ วั น ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 ถึ ง 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 โดยวิ ธี ก ารสั ม ภาษณ์ อ ย่ า งเป็ น ทางการและไม่ เป็ น ทางการกั บ ทั้ งชาวบ้ านและผู้ น าชุ ม ชนอย่ างผู้ ใหญ่ บ้ านและอดี ต ผู้ ใหญ่ บ้ าน รวมถึงทาการสังเกตอย่างมีส่วนร่วม เช่น การเข้าร่วมพิธีงานปีในช่วงเช้าและพิธี ผีมดในช่วงค่า เพื่อให้เกิดความเข้าใจในโครงสร้างสังคมของชุมชนห้วยทบ สิ่งที่เป็นจุดเปลี่ยนที่ส่งผลให้วิถีการผลิต วิถีการทาเกษตรกรรมของ ชาวบ้านห้วยทบเปลี่ยนแปลงไปก็ คือ สาธารณูปโภคในแต่ละช่วง ทั้งการสร้าง ถนน เขื่อนและการมีไฟฟ้าใช้ และไม่เพียงส่งผลต่อวิถีการผลิตหรือวิถีการทา เกษตรกรรมเท่านั้นแต่ยังส่งผลต่อสถาบันทางสังคมทั้ง 5 สถาบันอย่าง สถาบัน การปกครอง สถาบันการศึกษา สถาบันเศรษฐกิจ สถาบันความเชื่ อและสถาบัน


347

ครอบครัวหรือกล่าวได้ว่าปัจจัยเหล่านี้เปลี่ยนแปลงวิถีการดาเนินชีวิตต่างๆของ ชาวห้วยทบในทุกๆด้าน

1. บทนา “หมู่บ้านห้วยทบ” เป็นหมู่บ้านหนึ่งที่อยู่ในตาบลหนองจอก อาเภอท่า ยาง จังหวัดเพชรบุรี เป็นหมู่บ้านหมู่ที่ 8 จากทั้งหมด 13 หมู่บ้าน หากใครได้ยิน ชื่อหมู่บ้านนี้แล้ว คงอดสงสัยในที่มาที่ไปของชื่อหมู่บ้านนี้ไม่ได้ บ้างก็ว่าหมู่บ้าน นี้ มี ห้ วยเยอะหลากหลายสาย ท าให้ มั น เกิ ด การทบกั น ไปมา บ้ างก็ ว่าเพราะ หมู่บ้านนี้มีห้วยที่มันพาดยาวไปมาจนกลับมาพาดทบกัน จนท้ายที่สุดเกิดเป็น ชื่อหมู่บ้าน “ห้วยทบ” นี้ขึ้น พื้นที่ดั้งเดิมของหมู่บ้านห้วยทบนั้น แต่ก่อนพื้นที่จะเต็มไปด้วยป่าไผ่ โดยมีทางเดินเป็นตรอก และมีทางเกวียนไว้สาหรับเดินทางรับส่งของ ปัจจุบัน คือถนนที่ รถสามารถขั บ เข้ ามาได้ บริเวณนี้ ส มัยก่ อนยังมี ต้น ตาลขึ้น เองตาม ธรรมชาติ แต่ในปัจจุบันได้มีการตัดต้นตาลมาสร้างเป็นเครื่องมือเครื่องใช้และ สร้างตัวบ้าน เพราะไม้ของต้นตาลนั้นแข็งแรงคงทน พื้นที่ต่างๆ ที่เคยเป็นป่าก็ เริ่มกลายเป็นมีบ้านเรือนและคนในหมู่บ้านเองก็ ประกอบอาชีพหลัก คือ เป็น เกษตรกร อาณาเขตที่ติดต่อของหมู่บ้านห้วยทบ ‘ทางทิศเหนือ’ ติดกับหมู่บ้าน หันตะเภา หมู่ 10 ‘ทางทิ ศตะวันออก’ ติดกับเมืองใหม่ (หนองคลี่) ‘ทางทิศ ตะวันตก’ ติดกับเทศบาลหนองจอก และ ‘ทางทิศใต้’ ติดกับหนองศาลาเขต ชะอา โดยในหมู่บ้านห้วยทบมีผู้ใหญ่บ้านคนปัจจุบันคือ นายปกป้อง บัวเจริญ คอยดู แ ลปกครองหมู่ บ้ า นแห่ ง นี้ อี ก ทั้ ง ภายในหมู่ บ้ า นยั ง มี ป ระชากรอยู่ ที่ ประมาณ 300 คน รวมทั้งสิ้นประมาณ 74 ครัวเรือน หากมองจากอดีต ถึงปั จจุบั น หมู่ บ้ านห้ วยทบนั้ น มีเรื่องราวของการ เปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอยู่ไม่น้อย โดยทางกลุ่มของผู้ศึกษาสนใจในประเด็นการ เปลี่ ยนแปลงของหมู่ บ้ านในหลากหลายมิ ติ ทั้ งในเรื่องของการเกษตรกรรม


348

เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการเปลี่ยนแปลงด้านอื่นๆ ทั้งยังได้ทาการสัมภาษณ์ ข้อมูลต่างๆ จากผู้คนภายในชุมชนเชิงลึก เพื่อศึกษาและทาให้เห็นถึงมิติของการ เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในชุมชน โดยการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในแต่ละด้าน จะมีความสอดคล้องและส่งผลกระทบทั้งในแง่บวกและแง่ลบต่อสถาบันพื้นฐาน ทั้ง 5 ภายในสังคม อันได้แก่ สถาบันครอบครัว สถาบันการเมืองการปกครอง สถาบันศาสนา สถาบันเศรษฐกิจ และสถาบันการศึกษา ทางกลุ่มของผู้ศึกษาจึง ได้แบ่งประเด็นในการวิเคราะห์ออกเป็นแต่ละเนื้อหาโดยจะเล่าถึงภูมิหลังความ เป็นมาของหมู่บ้านห้วยทบ ตลอดจนจุดเปลี่ยนที่ทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอัน ส่งผลมายังปัจจุบัน โดยจากการที่กลุ่มของผู้ศึกษาได้ลงพื้นที่ในการหาข้อมูล และการสัมภาษณ์ ทาให้เห็นถึงวิถีชีวิตของผู้คนในหมู่บ้านห้วยทบ ไม่เพียงแต่ใน ปัจจุบัน แต่ยังรวมถึงการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่อดีตที่ส่งผลมา แสดงให้เห็นถึงการ เปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตที่มีจุดสาคัญเมื่อเกิดการสร้างเขื่อนขึ้น อันส่งผลให้การ ด ารงชี วิต ด้ านการท านาของผู้ ค นเปลี่ ย นแปลงไป เกิ ด การสร้ างรายได้ แ ละ ประกอบอาชีพอื่นๆ เพิ่ มขึ้นตามมา เช่น การปลูกพืชอื่นๆ นอกจากข้าว การ เลี้ยงวัว เลี้ยงเป็ดไก่ เป็นต้น ผู้ ศึกษาเล็งเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิต ต่างๆในหมู่ บ้ านห้ วยทบนี้ มี ค วามน่ าสนใจ จึงอยากน าเสนอถึ งเรื่อ งราวที่ ได้ ทาการศึกษามาจากการสัมภาษณ์และการเข้าไปคลุกคลีกับชาวบ้านอย่างมีส่วน ร่ว ม รวมถึ งการสั งเกตการณ์ ทั้ งนี้ ผู้ ศึ ก ษาได้ ค าดหวั งว่าความรู้แ ละเนื้ อ หา ทั้งหมดที่ได้มาจะเป็นประโยชน์สูงสุดแก่ผู้อ่านทุกท่าน

2. ประวัติศาสตร์บ้านห้วยทบ ชุมชนหมู่บ้านห้วยทบ ตั้งอยู่ที่หมู่ 8 ตาบลหนองจอก อาเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี ที่มาของชื่อหมู่บ้าน "ห้วยทบ" มาจากข้อสันนิษฐาน 2 ประการ ที่แตกต่างกัน ประการแรก สันนิษฐานว่า เนื่องจากภายในบริเวณหมู่บ้านแห่งนี้ มีห้วยที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเป็นจานวนมาก จากลักษณะของห้วยที่คดโค้ง


349

ไปมา ส่งผลให้เกิดการทบไปทบมาของห้วยหลายสายเหล่านั้น (มณี ม่วงทอง, 2559: สั ม ภาษณ์ ) ส่ ว นประการที่ ส อง สั น นิ ษ ฐานว่ า ในอดี ต พื้ น ที่ เดิ ม ของ หมู่บ้านแห่งนี้มีห้วยขนาดใหญ่ล้อมรอบพาดยาว แล้วเกิดการมาทบหรือบรรจบ กัน ทาให้เกิดเป็นพื้นที่ของหมู่บ้านขึ้น (นิจ ม่วงทอง, 2559: สัมภาษณ์) การตั้ง ถิ่นฐานของชุมชน ชาวบ้านเล่าว่าชุมชนแห่งนี้ตั้งขึ้นมาเป็นเวลานานแล้ว ไม่มี ใครทราบแน่ชัดว่าเกิดขึ้นตอนไหน แต่คนดั้งเดิมในพื้นที่เป็นคนไทย และเป็นคน เพชรบุรีแท้ๆ โดยมีตระกูลแก้วเนตรเข้ามาบุกเบิกเป็นตระกูลแรก (ปกป้อง บัว เจริญ, 2559: สัมภาษณ์)

3. ลักษณะทางกายภาพ ลักษณะทางกายภาพของหมู่บ้านห้วยทบเป็นพื้นที่ดอนสลับกับพื้นที่ลุ่ม มีลาห้วยหลายสายที่ต้นน้าเกิดมาจากเขื่อนแก่งกระจาน เส้นทางน้าจะไหลจาก แก่งกระจานมายังตาบลหนองจอก แล้วไหลผ่านมายังหมู่บ้านห้วยทบ นับว่า เป็นเส้นทางน้าหลักของหมู่บ้านแห่งนี้เลยก็ว่าได้ (ชู ฉ่าชื่น, 2559: สัมภาษณ์ ) อีกทั้งพื้นที่ภายในหมู่บ้านแห่งนี้มียังมีความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าทางธรรมชาติ เป็นอย่างยิ่ง ทาให้มีพืชป่าและดอกไม้ป่าอย่าง ดอกนมวัว ดอกขี้เหล็ก และต้น ชามะเลียงป่า ขึ้นอยู่เป็นจานวนมาก อีกทั้งยังพบน้าผึ้งป่าตามธรรมชาติเป็น จานวนมากอีกเช่นกัน (มณี ม่วงทอง, 2559: สัมภาษณ์) แต่ในปัจจุบันลักษณะ ทางกายภาพของพื้นที่เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ถึงแม้ว่าพื้นที่ของชุมชน ยังคงเป็นพื้นที่ดอนสลับกับพื้นที่ลุ่ม แต่เส้นทางน้าหลักที่ไหลเข้ามากลับไหลเข้า มาไม่ถึงพื้นที่ของหมู่บ้านบางแห่ง เนื่องจากระบบชลประทานและการตัดถนน เข้ามาใช้ใหม่ ส่งผลให้ชาวบ้านต้องอาศัยน้ าฝนในการใช้บริโภคและอุป โภค รวมถึงการทาการเกษตรกรรม (ชู ฉ่าชื่น, 2559: สัมภาษณ์) พื้นที่ชุมชนเดิมในอดีตมีลักษณะเป็นป่า ซึ่งมีพืชประเภทไผ่และซอขึ้น ปกคลุมอย่างหนาแน่น ต้นไผ่และซอจะขึ้นเรียงรายรอบข้างถนนที่มีลักษณะเป็น


350

ตรอกเดินขนาดเล็ก หรือที่เรียกว่าทางเกวียน ซึ่งเป็นทางที่ชาวบ้านจะใช้เกวียน ลากผ่านขนส่งสินค้า เพื่อซื้อขายทั้งภายในและภายนอกชุมชน (มณี ม่วงทอง, 2559: สัมภาษณ์) ในปัจจุบันพืชประเภทไผ่และซอเริ่มสูญหายไป อาจพบได้บ้างตามแนว ห้วยและคันนา แต่มีจานวนลดน้อยลง เนื่องจากถูกชาวบ้านโค่นเพื่อนาไปใช้ ประโยชน์ต่างๆ อีกทั้งล้มตายเนื่องจากสภาพดินที่เปลี่ยนแปลงไป แต่ด้วยความ ที่ พื้ น ที่ ดั้ งเดิ ม มี ความอุด มสมบู รณ์ ท าให้ เกิด พื ชชนิ ด อื่น ๆขึ้น มาแทนที่ อาทิ ต้นตาล ต้นกล้วย เป็นต้น (เพิ่งอ้าง, 2559: สัมภาษณ์) หมู่บ้านห้วยทบมีอาณาเขตที่ตั้งติดต่อกับพื้นที่ภายนอก ดังต่อไปนี้ o ทิ ศ เหนื อ ติ ด กั บ ถนนสาย 3449 ซึ่ ง ถั ด จากถนนขึ้ น ไปคื อ หมู่ 10 หมู่บ้านหันตะเภา ตาบลหนองจอก อาเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี o ทิศตะวันออก ติดต่อกับ หมู่บ้านหนองคลี่ (เมืองใหม่) ตาบลปึกเตียน อาเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี o ทิศตะวันตก ติดต่อกับ เทศบาลตาบลหนองจอก อาเภอท่ายาง จังหวัด เพชรบุรี o ทิศใต้ ติดต่อกับ ตาบลหนองศาลา อาเภอชะอา จังหวัดเพชรบุรี


351

ภาพที่ 5.1 แผนที่บ้านห้วยทบ (ภาพวาดโดย อมรเทพ สิทธิวิบูลย์)


352

4. สาธารณูปโภค ระบบสาธารณู ปโภคเป็นสิ่งที่ช่วยอานวยความสะดวกในการดาเนิน ชีวิตในด้านต่างๆ ทั้ งด้านอุป โภคและบริโภค ซึ่ งในบ้ านห้ วยทบนั้ นจะค่อยๆ เกิดการพัฒนาเข้ามาทีละอย่าง โดยเริ่มต้นที่ถนนดิน ซึ่งก่อนหน้าที่จะมีการตัด ถนนดินขึ้นนั้น ในหมู่บ้านมีเส้นทางการเดินทางที่เรียกว่าทางเกวียน ทางเกวียน เป็นเส้นถนนสาธารณประโยชน์ที่ใช้ในการเดินทางในอดีต โดยจะใช้เกวียนเป็น พาหนะบรรทุกสิ่งของเดินทางโดยใช้แรงงานสัตว์ เช่น วัว หรือควายเป็นแรงงาน ในการลากจูง เส้นทางถนนดินจึงเรียกว่าทางเกวียน ต่อมาเมื่อประมาณ 50 ปีที่ แล้วหรือช่วงปี พ.ศ. 2509 ทางสหกรณ์ชุมชนได้จัดโครงการการตัดถนนดินเข้า มาในเขตหมู่บ้านห้วยทบขึ้น ซึ่งในช่วงเวลานั้นชาวบ้านได้เข้ามามีส่วนร่วมใน การสร้างถนนดิน ด้วยเช่น กัน จนกระทั่ งในปี พ.ศ. 2545 หรือเมื่ อประมาณ 14 ปี ที่ แ ล้ ว มี ก ารตั ด ถนนลาดยาง โดยองค์ ก ารบริห ารส่ ว นต าบลได้ เข้ ามา ดาเนินโครงการตัดถนนลาดยางเข้าหมู่บ้าน (นิจ ม่วงทอง, 2559: สัมภาษณ์) ใน ส่วนของสาธารณู ปโภคด้านน้านั้น การอุปโภคและบริโภคน้าภายในหมู่บ้าน ก่อนที่ ห มู่ บ้ านจะมี ระบบน้ าประปาใช้อย่างในปั จจุบั น ชาวบ้ านส่วนใหญ่ ใน หมู่บ้านมีการใช้น้าจากแหล่งน้าธรรมชาติเพื่อการเกษตร ใช้ระบบการกักเก็บ น้าฝนโดยใช้ภาชนะกักเก็บน้า เช่น โอ่ง หรือแท็งก์น้า และใช้น้าจากการขุดบ่อ บาดาลเพื่อบริโภคและอุปโภค ซึ่งการขุดเจาะบ่อบาดาลนั้นจะทาการว่าจ้าง บริษัทรับจ้างขุดเจาะน้าบาดาลมาจากต่างพื้นที่เข้ามาทาการเจาะบ่อบาดาล โดยค่าบริการในการเจาะบ่อบาดาลแต่ละครั้งอยู่ที่ประมาณสามหมื่นบาท ต่อมา ในปี พ.ศ. 2551 หรือประมาณ 8 ปีที่แล้ว ได้มีการวางระบบน้าประปาเข้ามาใน หมู่บ้าน โดยทางคณะกรรมการหมู่บ้านห้วยทบได้ทาการยื่นเรื่องไปยังเทศบาล หนองจอกเพื่อให้ทางเทศบาลดาเนินการวางระบบน้าประปา เนื่ องด้วยเทศบาล หนองจอกมีระบบการจัดการน้าประปาที่มีมาตรฐาน ด้วยเหตุนี้จึงทาให้หมู่บ้าน ห้วยทบเป็นหมู่บ้านที่มีระบบน้าประปาเดียวกันกับที่เทศบาลหนองจอก ในขณะ


353

ที่หมู่บ้านในพื้นที่รับผิดชอบขององค์การบริหารส่วนตาบลอื่นๆ จะได้รับการวาง ระบบน้าประปาจากองค์การบริหารส่วนตาบล ในระบบสาธารณู ปโภคด้าน พลังงานไฟฟ้าและแสงสว่างนั้น จากข้อมูลการให้สัมภาษณ์ของผู้ใหญ่ปกป้อง บัวเจริญ ได้เล่าว่าเมื่อตอนที่ท่านอายุหกขวบ ชาวบ้านภายในหมู่บ้านรวมถึง ครอบครัวของผู้ใหญ่เองยังคงใช้ตะเกียงในการให้แสงสว่าง (ปกป้อง บัวเจริญ , 2559: สัมภาษณ์ ) จนกระทั้งเมื่อสี่สิบปีที่ผ่านมาหรือประมาณปี พ.ศ. 2519 ทางองค์การบริหารส่วนตาบลได้ยื่นเรื่องให้ทางการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคดาเนินการ นาระบบไฟฟ้าเข้ามาในพื้นที่หมู่บ้านห้วยทบ

5. เศรษฐกิจ และวิถีการผลิต 5.1. การทานา: จากอดีต การท าการเกษตรในอดีตจากค าบอกเล่ าของผู้ชานาญการด้ านการ เกษตรกรรมของบ้านห้วยทบ อย่างนายชู ฉ่าชื่น อายุ 60 ปี กล่าวว่า การปลูกข้าว คืออาชีพหลักของชาวห้วยทบมาตั้งแต่อดีต และได้ส่งต่อมายังรุ่นสู่รุ่นสืบมาจนถึงปัจจุบันอย่างที่ได้พบเห็นกัน ที่ดินในการทานาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีอยู่ด้วยกัน 2 ลักษณะ ได้แก่ ที่ดินที่ เป็ นของตนเองที่ ได้รับ มรดกตกทอดมาจากบรรพ บุรุษ และที่นาเช่าจากเพื่อนบ้านในชุมชนเดียวกัน ในอดีตราคา เช่ า อยู่ ที่ 1,000-2,000 บาท แต่ ในปั จ จุ บั น ราคาสู ง ขึ้ น เรื่ อ ยๆ ตั้งแต่ 5,000-6,000 บาท ไปจนถึง 10,000-12,000 บาท จนรัฐ ต้องเข้ามาควบคุมและกาหนดให้ราคาคงที่อยู่ที่ 6,000 บาท (ชู ฉ่าชื่น, 2559: สัมภาษณ์)


354

การปลูกข้าวนาปี คือ ท านาหนึ่งครั้งต่อหนึ่งปี มักปลูก ในช่วงฤดูฝน หรือที่เกษตรกรเรียกว่า ข้าวนาปี ซึ่งเป็นฤดูการทานาตามช่วงเวลาปกติ ข้าวนา ปี จ ะเป็ น พั น ธุ์ข้ า วที่ มี ก ารออกดอกตรงตามฤดู ก าล เพราะต้ อ งการช่ ว งแสง จาเพาะเพื่ อการออกดอก ช่วงระยะในการท านาปีเวลาจะแบ่งเป็น สามช่วง ได้แก่ ช่วงแรกเดือน เมษายน – พฤษภาคม จะเป็นช่ว งเพาะกล้า ช่วงที่สอง เดื อ นมิ ถุ น ายน – กรกฎาคม เป็ น ช่ ว งด านา ช่ ว งที่ ส ามเดื อ นพฤศจิ ก ายน – มกราคม จะเป็นช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิต ระหว่างนั้นช่วงเดือนสิงหาคม จะเป็นพิธี รับท้องข้าวหรือรับขวัญข้าวเพื่อให้ข้าวเจริญงอกงาม เดือน เมษายน – พฤษภาคม มิถุนายน – กรกฎาคม สิงหาคม พฤศจิกายน – มกราคม

กิจกรรม เพาะกล้า ดานา พิธีรับท้องข้าว เก็บเกี่ยวผลผลิต

ตารางแสดงกิจกรรมในแต่ละเดือน ในส่วนของพันธุ์ข้าวนาปีจะแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ได้แก่ พันธุ์ข้าว หนักและพันธุ์ข้าวเบา พันธุ์ข้าวหนักที่พบในหมู่บ้านห้วยทบ ได้แก่ ข้าวกันตัง จะมีเมล็ดเรียว ยาว หุงขึ้นหม้อ เมล็ดร่วน ไม่ค่อยมียาง พันธุ์ข้าวหนักเป็นพันธุ์ ข้ า วที่ ท นต่ อ สภาพอากาศได้ ดี ก ว่ า ให้ ผ ลผลิ ต สู งกว่ า มี น้ าหนั ก มากกว่ า ใน ปริมาณที่เท่ากัน การปลูกพันธุ์ข้าวหนักนิยมปลูกตั้งแต่ต้นฤดูกาลเพาะปลูกและ เก็บเกี่ยวในช่วงเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ เนื่องจากการเจริญเติบโตของต้น ข้าวจะมีขนาดใหญ่และใช้ระยะเวลาในการรอผลผลิตมากกว่า จึงจาเป็นต้อง คานวณระยะเวลาในการเก็บเกี่ยว สาหรับพั นธุ์ข้าวเบาที่พ บในบ้ านห้วยทบ ได้แก่ เหลืองแตงโม จะมีลักษณะเปลือกด้านนอกเป็นสีดา ด้านในเมล็ดจะมีทั้งสี


355

แดงและสีข้าว และเหลืองปะทิว ซึ่งข้าวพันธุ์ดังกล่าวจะปลูกได้ดีในพื้นที่ลุ่มน้า ขังและในพื้นที่ที่ดินเค็มหรือพื้นที่น้ากร่อย มีลักษณะเมล็ดเรียวยาวและจะมี จานวนเมล็ดมากในหนึ่งรวง พันธุ์ข้าวเบาจะมีน้าหนักเบากว่าและใช้ระยะเวลา ในการเจริญเติบโตเร็วกว่าข้าวหนักประมาณ 1-2 เดือน จึงจาเป็นต้ องรีบเก็บ เกี่ ย วตามระยะเวลาการเจริญ เติ บ โตคื อ ช่ ว งเดื อ นพฤศจิ ก ายน – ธั น วาคม เพราะหากปล่อยไว้นานเมล็ดข้าวจะเปราะและหลุดออกจากรวง นอกจากนี้ยัง นิยมปลูกไว้สาหรับการบริโภคในครัวเรือนเนื่องจากข้าวพันธุ์เบาจะหุงขึ้นหม้อ มากกว่า กระบวนการของการปลูกข้าวในอดีตตั้งแต่ก ารเก็บเกี่ยวไปจนกระทั่ง การสีข้าวเพื่อให้ได้เป็นเมล็ดข้าวสาร กรรมวิธีทั้งหมดจะใช้ “คนและสัตว์” เป็น แรงงานสาคัญ ในการผลิต ส่วนของเครื่องมือที่ช่วยทุ่นแรงนั้นจะทาจากวัสดุ ธรรมชาติที่สามารถหาได้ในพื้นที่ใกล้เคียงกับหมู่บ้าน จากการพูดคุยกับนาย สาราญ มิ่งแม้น อายุ 60 ปี ผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรมมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ และได้มีการสืบทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับการทาเกษตรมาจากรุ่นสู่รุ่น เล่าว่า แต่ก่อนที่มีการทาเกษตรกรรม การปลูกข้าว คือ อาชีพ หลักของคนภายในหมู่บ้านห้วยทบ (สาราญ มิ่งแม้น, 2559: สัมภาษณ์)

อีกทั้งนายสาราญยังเล่าถึงวิธีการปลูกข้าวในอดีตอันแสดงถึงภูมิปัญญา ของคนรุ่นก่อนว่า การปลูกข้าวในสมัยก่อนจะต้องมีการปรับหน้าดิน วิธีการก็ คือ จะใช้วัวไทยที่เลี้ยงไว้ (สมัยก่อนบ้านใดที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมจะมีวัว เลี้ยงไว้สาหรับใช้งาน) ไถปรับหน้าดินด้วยการทาดินให้ร่วนซุย จากนั้นจะใช้ คราดทาให้ดินแหลก สาหรับอุปกรณ์ในการไถนา อาทิ คันไถ หางยาม หน้ายาม คราด ฯลฯ ชาวบ้านสมัยก่อนจะใช้ไม้ที่หาได้ในป่าบริเวณรอบๆมาประดิษฐ์เป็น


356

เครื่ อ งมื อ ต่ า งๆ โดยจะต้ อ งมี ก ารสั ง เกตลั ก ษณะรู ป ทรงของไม้ เพื่ อ ดู ว่ า จะ สามารถนามาทาอุปกรณ์ชิ้นใดได้บ้าง นอกจากนี้ยังต้องมีการเลือกคุณภาพของ ไม้ให้เหมาะสมกับการใช้งานอีกด้วย ตัวอย่างเช่น คราดและหางยามจะทาจาก ไม้ประดู่หรือไม้แดง เนื่องจากไม้ทั้งสองมีความแข็งแรงคงทนต่อการใช้งานหนัก ส่วนอุปกรณ์อย่างคันไถจะใช้ไม้ตะแบกในการทาเนื่องจากหาได้ทั่วไปและไม่ จาเป็นต้องแข็งแรงเท่ากับคราดหรือหางยาม หลังจากที่ปรับหน้าดินเสร็จแล้วจะ ทาการดานา (มิถุนายน – กรกฎาคม) และเมื่อต้นข้าวเจริญเติบโตเต็มที่ก็จะมี การเก็บเกี่ยวตามระยะเวลาของพันธุ์ข้าว ซึ่งขั้นตอนการเก็บเกี่ยวจะเริ่มจากการ เตรียมลานดินสาหรับการตากข้าว โดยจะใช้ขี้วัวผสมน้าแล้วนามาทาให้ทั่วลาน ดิน ซึ่งวิธีการดังกล่าวจะช่วยให้ข้าวยังคงสภาพเป็นเมล็ดสมบูรณ์ในขณะที่อยู่ใน ขั้นตอนการแยกข้าวออกจากรวง ซึ่งจะมีการใช้วัวเหยียบวนไปมา และเมื่อเก็บ เกี่ยวข้าวแล้วจะนามามัดเป็นฟ่อนและนาฟ่อนข้าวมาตากแดดบริเวณลานดิน เป็นเวลา 3-4 วัน หลังจากตากแดดจนได้ที่ก็จะนาฟ่อนข้าวมาสุมรวมกันเป็น กองๆ หรือที่เรียกว่า การล้อมข้าว สาหรับการล้อมข้ าวนั้นเป็นการถนอมฟ่อน ข้าวให้สามารถทนต่อสภาพอากาศทั้งแดดและฝนได้ก่อนจะถึงขั้นตอนการแยก เมล็ด ขั้นตอนต่อไปคือการแยกเมล็ดข้าวออกจากรวง โดยจะนาฟ่อนข้าวแผ่ ออกบริเวณลานดิน จากนั้นจะนาวัวขึ้นย้าเป็นวงกลมจนกว่าเมล็ดข้าวจะหลุด ออกจากรวง และจะใช้คันฉายมาแยกฟางออกจากข้ าวเพื่อให้เหลือแต่เมล็ด วิธีการดังกล่าวเรียกว่า การสงข้าว หลังจากการสงข้าวแล้วจะนาคราดและไม้ กวาดทาการรวบรวมเมล็ดข้าวและฟางเป็นกองๆ ซึ่งวิธีดังกล่าวจะเรียกว่า การ ทาคานข้าว เมื่อเสร็จขั้นตอนทั้งหมดที่กล่าวมาจะได้เมล็ดข้าวเปลือกที่ยังผสม กับแกลบเพื่อนาไปสีในลาดับต่อไป สาหรับการสีข้าวจะเป็นการแยกเมล็ดข้าวออกจากแกลบ เรียกว่า การ สี ฝัด ในสมัยก่ อนยังคงใช้กระด้ งในการฝั ดข้าว แต่ต่อ มาได้มี การพั ฒ นาเป็ น เครื่องมือสีฝัดเพื่อความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ข้าวที่ได้ทั้งหมด ส่วนหนึ่งจะ


357

เก็บไว้บริโภคในครัวเรือนโดยแต่ละบ้านจะมียุ้ งฉางไว้สาหรับเก็บข้าวหรือใส่ ภาชนะที่เรียกว่า กะล่อม มีลักษณะคล้ายกับกระบุงขนาดใหญ่ที่สานด้วยไม้ไผ่ รองพื้ น ด้ วยไม้ ต าล แล้ วน าแกลบ ดิ น เลน และขี้ วัว มาฉาบปกปิ ด ไม่ ให้ เกิ ด ช่องว่างเพื่อเป็นการป้องกันแมลงหรือสัตว์ไม่ให้เข้ามากัดกินเมล็ดข้าว

ภาพที่ 5.2 กะล่อม (ถ่ายภาพโดย ดลฤดี วรรณมาศ เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2559) แต่ในปัจจุบันไม่มีการใช้กะล่อมแล้วแต่จะเก็บข้าวไว้ในฉางหรือฝาไม้ กระดานแทน ซึ่ ง ฉางท าจากไม้ ย างที่ มี ลั ก ษณะแก่ (มณี ม่ ว งทอง, 2559: สัมภาษณ์ ) ในอดีตก่อนจะนาข้าวมาบริโภคจะต้องนาข้าวเปลือกมาตาเพื่อให้ เปลือกข้าวหลุดออกจากเมล็ดข้าว โดยจะใช้ครกไม้ขนาดใหญ่และตะลุมพุก ซึ่ง เป็นไม้ที่มีลักษณะคล้ายสากขนาดใหญ่ในการตาข้าว การตาข้าวแต่ละครั้งจะตา ครั้งละไม่มากนัก โดยจะนาข้าวเปลือกไปตากแดด 1-2 วันก่อนเพื่อลดความชื้น และช่วยให้การกะเทาะเปลือกออกทาได้ง่ายยิ่งขึ้น ส่วนข้าวที่ได้อีกส่วนหนึ่งจะ นาไปขายในละแวกหมู่บ้าน รวมไปถึงตัวเมืองและโรงสีบริเวณใกล้กับวัดหนอง จอก โดยจะขายอยู่ที่ราคาเกวียนละ 700 บาท


358

5.2. การทานา: สู่ปัจจุบัน เหตุผลที่ จากอดีตเคยท านาดา แต่ในปัจจุบันได้เปลี่ยนมาทาเป็นนา หว่านนั้น เป็นเพราะการทานาดาใช้ต้นทุนสูงกว่าและการทานาหว่านสามารถ ประหยั ด แรงงานและเวลาได้ ม ากกว่า ในปั จ จุบั น มี ก ารใช้ อุ ป กรณ์ ที่ มี ค วาม ทันสมัยมากขึ้นเพื่อลดระยะเวลาในการทางาน จากเดิมที่เป็นอุปกรณ์ไม้เปลี่ ยน มาเป็นอุปกรณ์ จาพวกเครื่องจักร รถไถนา เครื่องหว่านข้าว เครื่องเกี่ยวข้าว เครื่องนวดข้าว เป็นต้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพลวัตการเปลี่ยนแปลงของการทานา ในอดีตจนถึงปัจจุบัน 3 ระดับ ได้แก่ ในอดีตตั้งแต่สมัยรุ่นบรรพบุรุษเป็นต้นมา จะใช้วัวในการทานา แต่ต่อมาเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้วได้เปลี่ยนมาใช้เป็นรถไถ มือ และเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้วจึงได้เปลี่ยนมาใช้เป็นรถไถใหญ่ในการทานา จนถึงปัจจุบัน (มณี ม่วงทอง, 2559: สัมภาษณ์) นอกจากนี้ปัจจัยสาคัญอีกหนึ่ง อย่างที่ทาให้การทานาปี (นาดา) หายไปจากบ้านห้วยทบก็คือการเข้ามาของ หน่วยงานรัฐอย่างธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการ นาพันธุ์ข้าว กข. 11 มาให้ชาวบ้านทดลองปลูก ซึ่งพันธุ์ข้าวดังกล่าวเป็นพันธุ์ ข้ า วส าหรั บ การท านาปรั ง คื อ จะมี ร ะยะเวลาในการเจริ ญ เติ บ โตสั้ น ท าให้ สามารถทานาได้ปีละสองถึงสามครั้ง อีกทั้งยังมีการจัดการที่เพียงพอสาหรับการ ทานาปรังด้วย ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงหันมาสนใจทานาปรังเนื่องจากได้ผลผลิต มากกว่าการทานาปี (สาราญ มิ่งแม้น, 2559: สัมภาษณ์) ซึ่งพันธุ์ข้าวที่ใช้ทานา ในปัจจุบัน ได้แก่ พันธุ์ กข 45, พันธุ์ กข 47, 111, 333 และข้าว CP (มณี ม่วง ทอง, 2559: สัมภาษณ์) การทานาในปัจจุบันสามารถแบ่งออกเป็นขั้นตอนได้ ดังต่อไปนี้ 1) การกาจัดหญ้าและวัชพืช: ใช้ยาฆ่าหญ้าฉีดคลุมหน้าหญ้า เพื่อถอน รากถอนโคน มีลักษณะเป็นยาฉีดน้า ยี่ห้อนิยมคือยี่ห้อโซฟิส ซึ่งหาซื้อได้จากตัว อาเภอท่ายาง ที่นาแปลงหนึ่งใช้ประมาณ 10 ขวด ราคาอยู่ที่ 7,000-8,000 บาท


359

2) การเตรียมดิน: ใส่ปุ๋ยบารุงดิน โดยโปรยลงบนหน้าดิน มีลักษณะเป็น เม็ด ซึ่งปุ๋ยที่ใช้คือปุ๋ยยูเรีย ราคาประมาณ 700-800 บาท และปุ๋ยชีวภาพ ราคา ประมาณ 250 บาทการใช้ปุ๋ยเริ่มเข้ามาเมื่อประมาณ พ.ศ. 2529 ซึ่งสามารถหา ซื้อได้จากพ่อค้าภายนอก ในการเตรียมดินมีการใช้รถไถใหญ่ควบคู่กับรถไถมือ 3) การปลูกข้าว: จะมีการวิดน้าจากคลองชลประทานเข้านา และนารถ ไถย่าดินให้เละจากนั้นจะทาการหว่านข้าว พันธุ์ข้าวที่ใช้ในปัจจุบันจะเป็นข้าว พันธุ์ กข, 111, 333 และCP หลังจากนั้น 7 วันจะใส่ปุ๋ยบารุงเพิ่มแล้ววิดน้าเข้า นาเพื่อเลี้ยงข้าว ก่อนข้าวออกรวงจะมีการฉีดยาบารุงข้าว (สเปรย์) เพื่อบารุงให้ ข้าวมีความแข็งแรง 4) การกาจัดแมลงและศัตรูพืช : แมลงที่มักพบเห็นบนนาข้าวและต้น ข้าว คือ แมลงจาพวกเพลี้ย แต่เพลี้ยของที่นี่ เรียกว่าเพลี้ยไฟ มีลักษณะลาตัวสี ขาว รูปร่างไม่แตกต่างจากเพลี้ยทั่วไป แต่จะอาศัยอยู่บนต้นข้าว คอยกินยอด ข้าวให้กุด ซึ่งยาฆ่าแมลงที่ใช้มีลักษณะเป็นที่ ฉีดพ่น ราคาอยู่ที่ประมาณ 5001,000 บาท อี ก ทั้ งยั งพบหอยเชอร์รี่ที่ ค อยกั ด กิ น ใบอ่ อ นของต้ น ข้ าว แต่ ใน ปัจจุบันพบว่าเหลือจานวนน้อยลง เนื่องจากยาเม็ดกาจัดหอยประกอบกับศัตรู ทางธรรมชาติอย่าง นกปากห่าง และนกกระยาง ที่บินโฉบลงมาเพื่อจับหอย เชอร์รี่กินเป็นอาหาร 5) การตั้งท้องของข้าว: ข้าวจะเริ่มตั้งท้อง หลังจากที่เกษตรกรปลูกข้าว ได้ ร ะยะเวลา 2 เดื อ นครึ่ ง ชาวบ้ า นจะจั ด พิ ธี ก รรมรั บ ท้ อ งข้ า วขึ้ น ซึ่ ง เป็ น พิธกี รรมสาคัญที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา 6) การเก็บเกี่ยวข้าว: หลังจากการปลูกข้าวได้ 40 วัน ชาวบ้านก็จะเริ่ม เก็บเกี่ยวข้าว โดยใช้รถเกี่ยวข้าว (เพิ่งอ้าง, สัมภาษณ์: 2559) การท านาในรอบ 1 ปี (12 เดือน) ตามปฏิทินการทานาปรังอย่างใน ปัจจุบันสามารถแบ่งช่วงเวลาได้ดังต่อไปนี้


360 เดือน พฤษภาคม -กรกฎาคม สิงหาคม – กันยายน ตุลาคม – ธันวาคม มกราคม – กุมภาพันธ์ มีนาคม – เมษายน

กิจกรรม หว่านข้าว พิธีรับท้องข้าวและอยู่ระหว่างการรอผลผลิต เก็บเกี่ยวผลผลิต กรรมาวิธีต่างๆ เพื่อให้ได้เมล็ดข้าว งานสลากข้าวเปลือก

ตารางแสดงกิจกรรมในแต่ละเดือน การทานาปลูกข้าวของชาวบ้านจะเป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เรียกว่า การติ ด แรง เจ้ า ของที่ น าจะต้ อ งท ากั บ ข้ า ว ท าขนมเพื่ อ เลี้ ย งผู้ ค นที่ เข้ า มา ช่วยเหลือ เป็นการพึ่งพาช่วยเหลือกันกลับไปกลับมา หากเราช่วยเหลือเขา เขา ก็จะกลับมาช่วยเหลือเรา แต่ในปัจจุบันเจ้าของที่นาบางแปลงก็จะว่าจ้างคนให้ มาเป็นแรงงานในการทานามากกว่า ซึ่งค่าจ้างงานจะตกอยู่ที่ชั่วโมงละ 50 บาท (มณี ม่วงทอง, 2559: สัมภาษณ์) เมล็ดข้าวที่ได้จากการทานา ชาวบ้านจะเก็บไว้กินเองภายในครัวเรือน โดยจะมียุ้งข้าวสาหรับเก็บข้าวไว้ตามแต่ละบ้าน หากมีเหลือมากก็จะแบ่งขาย เพื่ อสร้างรายได้ให้ กับ ครอบครัวชาวบ้ านจะขายข้ าวให้ กับ โรงสี ได้แ ก่ โรงสี หนองจอก และโรงสีในดงที่อยู่ภายนอกชุมชน รวมทั้งขายให้กับโรงสีห้วยทบ ซึ่ง เป็นโรงสีเพียงแห่งเดียวในชุมชน (ชู ฉ่าชื่น, 2559: สัมภาษณ์)


361

ภาพที่ 5.3 โรงสีบ้านห้วยทบ (ถ่ายภาพโดย ดลฤดี วรรณมาศ เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2559) โรงสีห้วยทบ มีเจ้าของคือคุณจันทร์อับ แช่มช้อย อายุ 58 ปี โรงสีแห่ง นี้แต่เดิมเป็นของกานันชื่อพิมพ์ คุณจันทร์อับได้ซื้อต่อโรงสีมาในปี พ.ศ. 2550 (เป็นเจ้าของโรงสีมาแล้ว 9 ปี) ซึ่งเครื่องสีข้าวขนาดใหญ่เครื่องเดียวภายในโรงสี นั้นทามาจากไม้ยาง ซื้อต่อเจ้าของเดิมมาในราคา 100,000 บาท การสีข้าวแต่ ละวัน คุณป้าจันทร์อับได้เล่าว่า ถ้าวันไหนสีข้าวตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงจะได้ข้าวประมาณ 20 ถุง หากวันไหนขยัน สีข้าวตั้งแต่เช้าถึงเย็น ก็จะได้ข้าวประมาณ 30 - 40 ถุง” โรงสีแห่งนี้มีลูกจ้าง 1 คน ราคาจ้าง แต่ก่อนจ้าง เดือนละ 10,000 บาท แต่ในปัจจุบันจ้างจากจานวนงานที่ทาได้ คิ ด ค่ า แรงเป็ น กระสอบตกกระสอบละ 15 บาท (สี ข้ าวได้ เป็ น กระสอบ) การสีข้าวจะไม่เรียกเก็บเงินจากผู้ที่นาข้าวมาสี แต่มี ข้อตกลงร่วมกันว่าจะต้องยกแกลบ รา และปลายข้าวที่ได้จากการ สี ข้ า วให้ กั บ โรงสี ซึ่ ง โรงสี จ ะน าไปขายต่ อ โดยการขายแกลบ


362 กระสอบละ 15 บาท แกลบสามารถนาไปเผาอิฐ ทาเป็นอิฐมอญ อิฐแดงได้ ส่วนราขายได้กิโลกรัมละ 10 บาท ซึ่งราสามารถนาไป เป็นอาหารเลี้ยงหมูหรือวัวได้ อีกทั้งปลายข้าวก็สามารถนาไปใช้ เลี้ยงหมูได้เช่นกัน คนภายนอกที่เข้ามาซื้อ โดยส่วนมากจะเป็น ชาวบ้านจากหันตะเภา บ่อตะแก บ่ อไร่ และหนองหมู เข้ามาซื้อ แกลบและราเพื่อนาไปเป็นอาหารสัตว์ (จันทร์อับ แช่มช้อย, 2559: สัมภาษณ์)

เวลาที่ ช าวบ้ า นว่ า งเว้ น จากการท านา ชาวบ้ า นก็ จ ะมี อ าชี พ เสริ ม อย่างเช่นรับจ้างทั่วไป บางคนก็เข้าไปหางานในกรุงเทพฯ บางคนก็เลือกที่จะทา ไร่อย่างเช่น กล้วย เนื่องจากเป็นพืชยืนต้นและไม่ต้องดูแลมากนัก อีกทั้งยังมี กิจกรรมที่เรียกว่า การวิดสระเพื่อหาปลา ซึ่งสระดังกล่าวมีทั้งสระจะอยู่บริเวณ ด้ า นข้ า งของคั น นา เป็ น สระที่ เกิ ด ขึ้ น เองตามธรรมชาติ (ชู ฉ่ าชื่ น , 2559: สัมภาษณ์) น้าที่ไหลมาเป็นน้าจากเขื่อนแก่งกระจาน เมื่อเขื่อนปล่อยน้ามา ปลา ก็ว่ายมาตามน้า และสระที่เป็นผืนนาเดิมที่เคยปลูกข้าวมาก่อนแต่ดินบริเวณ ดังกล่าวลึกจนไม่สามารถทานาได้แล้วจึงมีการทาพื้นที่ให้เป็นสระสาหรับจับปลา สาหรับปลาที่ชาวบ้านจับได้ อาทิ เช่น ปลาช่อน ปลาดุก ปลาสลิด ปลาหมอ และปลานิลจะเป็นปลาธรรมชาติไหลมาตามแหล่งน้าต่างๆ การจับปลาสามารถ สร้างรายได้ให้แก่ชาวบ้านได้ถึง 5,000-6,000 บาท ใน 1 ปี จะทาการวิดสระแค่ เพียงครั้งเดียว คือหลังจากการเก็บเกี่ยวข้าวในนาเสร็จแต่ในปัจจุบันปลาที่ว่าย มาในคันนามีจานวนลดน้อยลง เนื่องจากสารพิษจากยาฆ่าแมลงและสารเคมีที่ ใช้ ในนาซึ ม ลงสู่ ห นองน้ า ส่ ง ผลให้ ป ลาลดจ านวนลง (ปรี ช า ฉ่ าชื่ น , 2559: สัมภาษณ์)


363

5.3. การปลูกพืชไร่และพืชสวน ในบริ เวณรอบๆ คั น นา ชาวบ้ า นจะนิ ย มปลู ก พื ช ซึ่ ง พื ช ที่ ป ลู ก คื อ พืชสวนและพืชผักสวนครัว พืชสวน ได้แก่พืชจาพวก กล้วยน้าว้า มะพร้าว และ ถั่วประเภทต่างๆ ส่วนพืชผักสวนครัว อาทิเช่น พริก โหระพา กระเพรา เป็นต้น ซึ่งชาวบ้านจะปลูกไว้เพื่อใช้กินเองซะเป็นส่วนใหญ่ ส่วนเหลือใช้จะแบ่งขายใน ตลาดท่ายาง สาเหตุที่ต้องปลูกไว้ในบริเวณโดยรอบคันนา เนื่องจากจะอาศัยน้า จากท้องนามาหล่อเลี้ยงให้พืชเจริญเติบโต อีกทั้งพืชจาพวกนี้ยังเป็นพืชที่มีความ แข็งแรงทนทานต่อสภาพดินฟ้าอากาศ ทาให้เจ้าของที่นาไม่จาเป็นต้องใส่ใจดูแล พืชเหล่านี้มาก (มณี ม่วงทอง, 2559: สัมภาษณ์) นอกจากนั้นในปัจจุบันชาวบ้านในชุมชนยังมีวิธีการในการหารายได้ เสริ ม จากการปลู ก พื ช ผั ก ผลไม้ รวมถึ ง ดอกไม้ ท างเศรษฐกิ จ ภายในชุ ม ชน ตัวอย่างเช่น การปลูกมะเขือเทศ ซึ่งเป็นพืชที่สามารถปลูกในดินเค็มได้โดยไม่มี ปัญหาในการเจริญเติบโตหรือให้ผลผลิต การเพาะปลูกมะเขือเทศนั้น เริ่มด้วย ซื้อต้นกล้ามะเขือเทศในราคาต้นละ 2 บาท จากร้านตี๋การเกษตร ในตัวเมือง อาเภอท่ายาง ซึ่งเป็นร้านค้าที่ขายวัสดุอุปกรณ์การเกษตร เมล็ดพันธุ์ ต้นกล้าพืช เช่น ต้นอ่อนมะเขือเทศ และต้นอ่อนดาวเรือง รวมไปถึงรับซื้อผลผลิตทางการ เกษตรต่อจากเกษตรกรด้วย การปลูกมะเขือเทศ ก่อนทาการลงปลูกต้นกล้า มะเขือเทศนั้นจะต้องทาการเตรียมหน้าดินโดยการใช้วัสดุทึบแสงคลุมพื้นที่บน ร่องที่ทาการยกไว้ จากนั้นทาการเจาะเป็นช่องให้ มีขนาดพอเหมาะกับขนาดต้น กล้าที่เตรียมไว้ เพื่อเป็นพื้นที่ไว้ปลูกต้นกล้า การใช้วัสดุทึบแสงคลุมร่องที่ยก ปลู ก ไว้นั้ น มี ไว้เพื่ อ ปิ ด กั้ น แสงแดด ป้ อ งกั น ไม่ ให้ ห ญ้ าขึ้ น แซมต้ น มะเขื อ เทศ มะเขือเทศจะใช้เวลาในการเจริญเติบโตประมาณหนึ่งเดือนกว่าก็สามารถให้ผล มะเขือเทศและเก็บผลผลิตได้ ผลมะเขือเทศนั้นสามารถขายได้ในราคากิโลกรัม ละ 29 บาท มะเขือเทศสามารถปลูกและให้ผลผลิตได้ตลอดทั้งปี หากมีน้าใช้ใน


364

การเพาะปลูกตามความต้องการของพันธุ์พืชเพียงพอ อีกทั้งยังมีการปลูกดอก ดาวเรือง โดยการซื้อต้นกล้ามาจากร้านตี๋การเกษตรเช่นกัน โดยรับซื้ อมาใน ราคาต้นละ 2 บาท ทาการปลูกในพื้นที่ดินที่เว้นว่างจากการปลูกพืชหมุนเวียน ชนิ ด อื่ น และบริ เวณที่ ป ลู ก ต้ น ดาวเรื่ อ งต้ อ งไม่ เป็ น ดิ น ที่ เค็ ม การปลู ก ดอก ดาวเรืองนั้นจะไม่นิยมปลูกในช่วงฤดูฝน เพราะดอกดาวเรืองจะเกิดการช้าน้า และมีหนอน อีกทั้งดอกดาวเรืองนั้นไม่สามารถปลูกในพื้ นที่ที่มีดินเค็มได้ (เพิ่ง อ้าง, 2559: สัมภาษณ์) ต้นกล้าดาวเรืองนั้นใช้เวลาในการเจริญเติบโตพอที่จะให้ ดอกประมาณ 1 เดือน ก็สามารถทาการตัดดอกดาวเรืองไปขายได้ โดยราคารับ ซื้อตกอยู่ที่ดอกเล็กสามารถขายในราคาดอกละ 2 บาท ในขณะที่ดอกขนาด ใหญ่ ข ายได้ ในราคาดอกละ 5 บาท ผู้ รั บ ซื้ อ ผลผลิ ต ทั้ งมะเขื อ เทศและดอก ดาวเรืองของคุณลุงมณี คือร้านตี๋การเกษตร

ภาพที่ 5.4 แปลงปลูกดอกดาวเรือง (ถ่ายภาพโดย ดลฤดี วรรณมาศ เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2559)


365

พื้นที่ป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์จากฝนที่ตกอย่างถูกต้องตามฤดูกาล ทา ให้ภายในป่ามีพืชที่ขึ้นเองตามธรรมชาติเป็นจานวนมาก อย่าง กระถิน ยอดกูด ผักตบ และตาลปัตรฤาษี ชาวบ้านจะหารายได้เสริมจากการเก็บของป่าไปขาย โดยมากจะขายส่งไปยังตลาดท่ายาง (วัลภา บัวเจริญ , 2559: สัมภาษณ์) อีกทั้ง ภายในป่ายังมีน้าผึ้งป่าเป็นจานวนมาก ซึ่งเป็นน้าผึ้งที่ได้จากผึ้งหวี่ การเก็บน้าผึ้ง ให้ใช้คบไฟโบกแรงๆ ไปยังบริเวณรังผึ้ง ให้ไฟที่คบดับเหลือแต่สะเก็ดไฟ เพื่อให้ ควันไฟเป็นตัวทาให้ผึ้งเมาแล้วบินหนีไปจากนั้นจะใช้กรรไกรตัดลงที่กิ่งไม้เพื่อ เก็บน้าผึ้ง น้าผึ้งในเดือน 4 และ 5 สามารถนามาผสมยาหรือดองเหล้าเพื่อขาย และรัก ษาโรคได้ มี ข้ อ ดี คื อ เป็ น น้ าผึ้ งที่ ไม่ มี น้ าฝนเจื อ ปน และเกิ ด จากเกสร ดอกไม้แท้ๆ (มณี ม่วงทอง, 2559: สัมภาษณ์ ) อีกทั้งต้นไม้ต่างๆ ที่ขึ้นภายใน พื้นที่ชุมชน ชาวบ้านก็สามารถนามาใช้ประโยชน์ ซึ่งแตกต่างกันไปตามลักษณะ ของเนื้อไม้ อย่างต้นตาล ชาวบ้านจะโค่นต้นตาลเพื่อนามาใช้สร้างบ้านเพราะไม้ ตาลมีความแข็งแรง และไม่เกิดการผุจากการกินของปลวกหรือมอด อีกทั้งเมื่อ แปรรู ป ออกมาแล้ ว จะมี ค วามเรี ย บเนี ย นและสวยงาม (เพิ่ ง อ้ า ง, 2559: สัมภาษณ์) นอกจากนั้นยังมีต้นหนามซี้ด เป็นต้นไม้ชื่อแปลกของชุมชน ลักษณะ มีหนามรอบต้น สามารถนามาทาเป็นถ่าน ขายได้กระสอบละ 320 บาท (เล็ก ม่ วงทอง, 2559: สั ม ภาษณ์ ) ไม้ ไผ่ ส ามารถน ามาท าเป็ น ตะล่ อ ม ส่ ว นไม้ ย าง สามารถนามาทาเป็นฉางเอาไว้เก็บข้าว ไม้แดง และไม้ประดู่สามารถนามาสร้าง เป็นเครื่องมือในการทานา อย่างเช่น คันไถ ไผ่สีสุกสามารถนามาทาเป็นสุ่มไก่ และนามาสร้างคอกวัวได้ รวมถึงไม้ซอสามารถนามาทาประโยชน์ได้มากมาย อย่างการนามาทารั้วหรือกระทู้ (คอกสัตว์) นามาทาเป็นคันฉาย (ไม้นวดข้าว) เนื่องจากไม้ซอเป็นไม้ที่มีความทนทานแข็งแรง แต่มีลักษณะทรงคด สามารถดัด ปรับเปลี่ยนเป็นรูปร่างต่างๆ ได้ (มณี ม่วงทอง, 2559: สัมภาษณ์)


366

5.4. การเลี้ยงสัตว์ การเลี้ยงสัตว์ถือว่าเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มีความสัมพันธ์กับวิถีชีวิตของผู้คน ในชุมชน ในอดีตชาวบ้านจะเลี้ยงวัวเพื่อใช้ในการทานา ซึ่งวัวที่เลี้ยงจะเป็นวัว ลานพันธุ์ไทย มีการฝึกให้วัวเดิน เพราะต้องใช้วัวเดินย่าบนดินเพื่อเตรียมหน้า ดินในการทานาและเหยียบข้าวเพื่อนวดข้ าว อีกทั้งมีการทุบอวัยวะเพศวัวตัวผู้ เพื่อไม่ให้ไปติดวัวตัวเมีย ส่งผลให้มีพละกาลังเพียงพอในการทานา วิธีการดูแล วัวจะต้องมี การฉี ดยาป้ องกัน โรคปากเปื่ อยเท้ าเปื่อยในวัว ซึ่ ง 3 เดือนจะฉีด 1 ครั้ ง สั ต วแพทย์ จ ะเป็ น คนฉี ด ราคาเข็ ม ละ 60 บาท อาหารของวั ว ลาน ชาวบ้านจะปล่อยให้วัวลานกินหญ้ าขนในบริเวณที่นา ซึ่งถือว่าเป็นการกาจัด วัชพืชนาไปในตัว แต่ในปัจจุบัน ชาวบ้านหันมาเลี้ยงวัวเพื่อขายเพราะการทานา ได้เปลี่ยนไปใช้เครื่องมือที่มีความทันสมัยอย่างรถไถ ซึ่งวัวที่ชาวบ้านเลี้ยงคือ วัวบราห์มัน (Brahman) เป็นวัวเนื้อที่มีความสมบูรณ์ และให้เนื้อได้มากกว่าวัว ลาน จะกิ น อาหารที่ ผ สมจากข้ าวโพด มั น ส าปะหลั ง และราอย่ างดี ซึ่ งเป็ น อาหารก้อ น วัวบราห์ มั น จะต้ องถูกทุ บ อวัย วะเพศเช่น กั น เพื่ อ ให้ เกิ ดอาการ หงุดหงิด จะได้กินอาหารเพิ่มมากขึ้นรวมถึงจะต้องฉีดยาบารุงให้วัวมีสุขภาพที่ดี อยู่เสมอ วัวที่ โตเต็มวัยจะถูกขายให้กับเถ้าแก่ที่เข้ามารับซื้อจากภายนอก ใน อดีตราคา 2,000-3,000 บาท แต่ในปัจจุบันราคาสูงถึง 40,000-50,000 บาท (ปรีชา ฉ่าชื่น, 2559: สัมภาษณ์)


367

ภาพที่ 5.5(บน) และ 5.6(ล่าง) วัวบราห์มัน (ถ่ายภาพโดย ปรีเมธ เดชขุนและดลฤดี วรรณมาศ เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2559) นอกจากนั้นในอดีต ชุมชนห้วยทบแห่งนี้เคยมีฟาร์มเลี้ยงหมูขนาดใหญ่ แต่ ได้ เลิ ก กิ จ การไปเมื่ อ 3-4 ปี ที่ แ ล้ ว เนื่ อ งจากเจ้ า ของฟาร์ ม เลื อ กที่ จ ะไป ประกอบอาชีพที่ดีกว่าอย่างการเป็นเถ้าแก่ร้านข้าว อีกทั้งฟาร์มหมูแห่งนี้ยังได้ ปล่อยและระบายขี้หมูล งสู่ท้ องนาในปริมาณที่มากเกิน ส่งผลให้คุณ ภาพดิน


368

เสื่ อ ม และยั ง ส่ ง กลิ่ น เหม็ น คละคลุ้ ง เป็ น อย่ า งมาก (มณี ม่ ว งทอง, 2559: สัมภาษณ์) ส่วนในปัจจุบัน จะนิยมเลี้ยงหมูกันตามบ้าน ในหมู่บ้านห้วยทบมีการ เลี้ยงหมูมาเป็นเวลา 10 กว่าปีมาแล้ว โดยนิยมทาการเลี้ยงแม่พันธุ์ไว้ แล้วเช่า พ่อพันธุ์หมูจากหมู่บ้านใกล้เคียง เช่น หมู่บ้านหนองเกตุ ค่าเช่าในการว่าจ้างให้ มาผสมพันธุ์ (ทับ) กับแม่พันธุ์หมูนั้นอยู่ที่ 500 บาท และมีเงื่อนไขว่าถ้าทับครั้ง แรกไม่ติดลูก หรือไม่ท้อง ก็จะทาการผสมพันธุ์ใหม่ให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย หมูจะ ทั บ ได้ 2 ครั้งต่ อ ปี ในการออกลู ก แต่ ล ะครั้งแม่ พั น ธุ์จะให้ ผ ลผลิ ต เป็ น ลูก หมู ประมาณ 10-12 ตัว ซึ่งการขายลูกหมูจะทาการขายได้เมื่ออายุประมาณหนึ่ง เดือนครึ่งในราคา 1,500 บาท และอายุ 5 เดือนราคาจะตกอยู่ตัวละที่ 6,0007,000 บาท ลูกหมูที่ถูกซื้อไปนั้นส่วนมากจะนาไปเลี้ยงต่อเพื่อขุนไว้ทาการขาย เนื้อต่อไป (จันทร์อับ แช่มช้อย, 2559: สัมภาษณ์) การเลี้ยงสัตว์ปีกในชุมชน ชาวบ้านจะนิยมเลี้ยงสัตว์จาพวกเป็ดและไก่ ในอดีต ชาวนามีวิธีการกาจัดศัตรูพืช โดยการปล่อยเป็ดลงสู่ท้องนาเพื่อให้ไป กาจัดศัตรูของต้นข้าว อย่าง ปู และหอย ซึ่งถือเป็นอาหารชั้นดีของเป็ด อีกทั้ง จะงอยปากของเป็ดยังมีส่วนทาให้ดินในที่นาร่วนซุยอีกด้วย แต่ในปัจจุบันเป็ด เลี้ยงไว้เพื่อใช้ขาย เช่นเดียวกันกับไก่ ซึ่งการเลี้ยงเป็ดและไก่ จะเลี้ยงเพื่อขายทั้ง ไข่ และขายทั้งตัว (มณี ม่วงทอง, 2559: สัมภาษณ์) ในบางรายจะมีการว่าจ้างที่ เรียกว่า “ฝากเลี้ยง” มีขั้นตอนโดยจะมีเถ้าแก่จากภายนอกจะนาลูกเป็ดและ ลูกเจี๊ยบมาฝากเลี้ยงไว้ ตั้งแต่เล็ก พอเลี้ยงจนโต เถ้าแก่จะกลับมารับซื้อในราคา ตัวละ 60 บาท ส่วนค่าอาหาร ทางเถ้าแก่จะเป็นผู้ออกเงินให้ ชาวบ้านไม่ต้อ ง เสียเงินค่าอาหารเลย ซึ่งอาหารประเภทข้าวเปลือกจะทาให้เป็ดและไก่ที่ได้กิน ไปออกไข่ที่คุณภาพดี (ปรีชา ฉ่าชื่น , 2559: สัมภาษณ์) ส่วนไก่ที่ชาวบ้านเลี้ยง คือ ไก่อู มีวิธีการดูแล คือ เจ้าของต้องหมั่นอาบน้าแล้วปล่อยให้ไก่ได้ใช้ชีวิตอยู่ กลางแจ้งกลางแดดบ้าง หรือที่เรียกว่า การอาบน้าตากแดด ไก่อูตัวผู้จะเลี้ยงไว้ เพื่อชน ส่วนไก่อูตัวเมียจะเลี้ยงไว้เพื่อขาย (มณี ม่วงทอง, 2559: สัมภาษณ์)


369

5.5. การติดต่อ และแลกเปลี่ยนสินค้า ในอดีตสมัยที่ยังไม่มีเงินตราใช้เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน ชาวบ้าน จะขนสิ น ค้ าขึ้ น เกวียน แล้ วลากผ่ านทางเกวีย นเพื่ อ ไปแลกเปลี่ย นสิ น ค้ ากั บ ชุมชนภายนอก อย่างการนาถ่านที่เป็นสินค้าของชุมชนไปแลกเปลี่ยนกับเมล็ด พั น ธุ์ข้าวของชุม ชนบ้ านท่ า เขตอาเภอชะอ า (อู๋ คงทิ พ ย์ , 2559: สั ม ภาษณ์ ) ต่อมาเมื่อมีรถไฟตัดผ่านหมู่บ้านหนองจอก ก็ได้มีการขนสินค้าขึ้นรถไฟเพื่อนา สินค้าไปขายในตัวเมืองเพชรบุรี ส่วนการแลกเปลี่ยนในปัจจุบัน ก็คือการติดต่อ ซื้อขายสินค้าที่จะมีข้อตกลงจาเพาะของผู้ซื้อและผู้ขายสินค้านั้นๆ ว่าจะให้มา รับหรือให้ไปส่งสินค้า อีกทั้งมีระบบเงินตราเข้ามาเป็นตัวกลางในการใช้ซื้อขาย อีกด้วย

6. ระบบความเชื่อ 6.1. พิธีกรรมเกี่ยวกับชีวิต การทาเกษตรกรรมในสมัยก่อน ชาวบ้านไม่อาจควบคุมปัจจัยทางด้าน ธรรมชาติได้ ดังนั้นจึงต้องมีการพึ่งพาและยกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว จิตใจเพื่อเสริมสร้างกาลังใจในการประกอบอาชีพ พิธีกรรมความเชื่อต่างๆ ของ ชาวบ้านที่นี่จึงผูกติดและสัมพันธ์กับการเกษตรกรรมโดยเฉพาะพิธีกรรมความ เชื่อเกี่ยวกับข้าวหรือการทานา ซึ่งพิธีกรรมสาคัญที่ชาวบ้านที่ทานาจัดขึ้นเป็น ประจา ได้แก่ พิธีรับท้องข้าว และการบูชาพระแม่โพสพ พิธีรับท้องข้าวของชาวบ้านห้วยทบคือการรับขวัญข้าวที่กาลังตั้งท้อง (มณี ม่วงทอง, 2559: สัมภาษณ์) โดยจะจัดขึ้นหลังจากเริ่มทานาแล้ว 7 เดือน หรือในช่วงเดือน 12 ประมาณช่วงเดือนพฤศจิกายน เนื่องจากเป็นเดือนที่ข้าว ตั้งท้องแล้ว ชาวบ้านจะนาเครื่องเซ่นอาหารต่างๆ อาทิเ ช่น ขนมถั่วตัด ขนมถั่ว ขุด ขนมต้ม ขนมเปียก ข้าว ไข่ รวมถึงผลไม้อย่าง กล้วยและส้มนาไปใส่ไว้ใน ชะลอมที่สานด้วยไม้ไผ่ แล้วนาไปตั้งถวายไว้ยังบริเวณที่นาของตน มีการจุดธูป


370

3 ดอกเพื่อทาการไหว้บอกกล่าวเจ้าที่ พร้อมทั้งนาธงสีขาวไปปักไว้ยังบริเวณต้น ข้าว จากนั้นจึงทาการบอกกล่าว ขอให้ทามาหากินได้ ขอให้ผลผลิตข้าวออกมาดี ไม่ เสี ย หาย ขอให้ ที่ น ามี ค วามอุ ด มสมบู ร ณ์ เป็ น ต้ น (ช้ อ ย บั ว เจริญ , 2559: สัมภาษณ์) ในปัจจุบันชาวบ้านทานากันน้อยลง แล้วหันไปประกอบอาชีพอื่นๆ เช่น รับจ้างทั่วไป ก่อสร้าง รับราชการ รวมถึงทางานตามโรงงานต่างๆ จึงทาให้ความ เชื่อนี้ลดน้อยลง เนื่องจากผู้ที่ไม่ได้ทานาแล้วก็เลิกประกอบพิธีกรรมนี้ตามไป ด้วย แต่ยังมีชาวบ้านที่ยังคงทานาอยู่ ส่วนใหญ่ก็ยังประกอบพิธีกรรมและเชื่อใน ความเชื่อนี้อยู่ ยังคงเชื่อว่าทาแล้วจะได้ผลผลิตดี อุดมสมบูรณ์ อย่างเช่น คุณ ช้อย บัวเจริญ คุณมณี ม่วงทอง คุณนิล แสนสบาย และคุณสมหมาย เผือกแก้ว (นิล แสนสบาย, 2559: สัมภาษณ์) อีกความเชื่อหนึ่ง คือความเชื่อเกี่ยวกับการบูชาพระแม่โพสพ คนเฒ่า คนแก่ของที่นี่จะมี ความเชื่อและนับถือพระแม่โพสพเป็นอย่างมาก ซึ่งถูกส่ง ต่อมาสู่คนในรุ่นหลัง แต่ไม่พบพิธีกรรมที่ชัดเจน จะแสดงออกมาในรูปแบบของ การสั่งสอนเสียเป็นส่วนใหญ่ อย่างการห้ามทาข้าวเปลือกหรือข้าวสารตกพื้นใน เวลาเก็บเกี่ยว ขนส่งบรรทุก หรือแม้แต่ในเวลาตาข้าวและสีข้าว อีกทั้งเวลาที่ ชาวบ้านจะเผาตอข้าว จะต้องมีการจุดธูปเพื่อขอขมาลาโทษต่อพระแม่โพสพ เสียก่อน จึงจะทาการเผาตอข้าวได้ (อู๋ คงทิพย์, 2559: สัมภาษณ์) งานปีผีมด เป็นพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อเรื่องผีภายในชุมชน ใน พิธีกรรมจะมีการนาเอาผลผลิตทางเกษตรกรรมของชุมชนมาแปรรูปเพื่อใช้ใน พิ ธีก รรม เป็ น การน าเอาผลผลิ ต ที่ ช าวบ้ านปลู ก ขึ้ น เองมาใช้ ป ระโยชน์ เพื่ อ สะท้อนให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ในด้านการผลิตภายในชุมชน พิธีกรรมงานปีผีมดจะจัดขึ้นในช่วงเดือน 6-7 และเดือน 8 จะจัดขึ้นแค่ เพี ย งครึ่ งเดื อ น ยกเว้ น วั น พระจะไม่ มี ก ารจั ด พิ ธี ก รรมนี้ ขึ้ น ชาวบ้ า นจะจั ด พิธีกรรมขึ้นเพื่ออัญเชิญเจ้าต่างๆ อย่างเจ้าประจาเมือง เจ้าประจาหมู่บ้านมารับ


371

เครื่องสังเวยและให้พรกับเจ้างาน (ผู้จัดงาน) หรือจัดเพื่อแก้บน เพื่อต้องการให้ การประกอบอาชีพทามาค้าขายของตนดีขึ้น รวมถึงอาการเจ็บป่วยของตนดีขึ้น ก็ตาม (มณี ม่วงทอง, 2559: สัมภาษณ์) พิธีกรรมในช่วงเช้า เรียกว่าพิธีกรรม “งานปี” มีการนาเอาผลผลิตทาง เกษตรกรรมภายในชุมชนมาใช้ภายในพิธีกรรม ผ่านสิ่งของ อาหาร และขนม ต่างๆ ดังต่อไปนี้ 1) พานดอกไม้ ประกอบไปด้วย ดอกดาวเรือง บุหรี่ เทียน ธูปและพระ ขรรค์ที่ผูกด้วยผ้าสามสี 2) ขันทอง ประกอบไปด้วย ข้าวเปลือก สร้อยพระและเงิน 3) พานใส่ผ้า ประกอบไปด้วย ผ้าสามสี พระขรรค์และดอกไม้ 4) สารับเล็กจานวน 15 ถาด ในแต่ละถาดประกอบไปด้วย ขนมเปียก (ทาจากข้าวเหนียวที่นามากวนกับแป้งและน้าตาล) ขนมกวน ขนมลูกโดด ขนม 2 เกลอ ขนม 3 เกลอ ขนมต้ม ขนมพิมพ์ ขนมกง กล้วย หมากพลู แมงดา ปู ไข่ เนื้อหมู 3 ชั้น ดอกดาวเรือง และอ้อย 5) สารับใหญ่ 2 สารับ ของในสารับใหญ่จะเหมือนกับของในสารับเล็ก แต่เพิ่มปริมาณของแต่ละอย่างเป็น 2 เท่าของสารับเล็ก 6) ถาดเสวย จ านวน 2 ถาด แบ่ ง เป็ น ถาดของคาว ได้ แ ก่ แกงปู แกงปลา ต้มยา ถาดของหวาน ได้แก่ สับปะรด แตงโม ขนมจันอับ ซึ่งได้แก่ ฟัก เชื่อม ข้าวพองและขนมขี้หนูที่ทามาจากถั่วลิสงเคลือบน้าตาล 7) ผ้าคาดเอวหรือผ้าสไบที่คนทรงใช้ทั้ง 7 สี 11 (เปลี่ยนสีไปตามแต่ละ องค์พ่อ พ่อ 1 องค์จะใช้ผ้า 1 สี) (เพิ่งอ้าง, 2559: สัมภาษณ์) 11

เปลี่ ย นสี ไปตามแต่ ล ะองค์ พ่ อ พ่ อ 1 องค์ จ ะใช้ ผ้ า 1 สี ซึ่ ง องค์ พ่ อ ภายใน พิธีกรรมงานปีมีทั้งหมด 9 องค์ ได้แก่ พ่อแสงอาทิตย์ พ่อเจ้าบ้าน พ่อหลักเมือง พ่อโหรี พ่อ โหราม พ่อยี่สุ่น พ่อระวังภัย พ่อสายน้าเขียว และพ่อหงส์ทอง (เพิ่งอ้าง, 2559: สัมภาษณ์)


372

ภาพที่ 5.7 สารับเล็ก (ถ่ายภาพโดย ปรีเมธ เดชขุน เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2559) การประกอบพิธีกรรมงานปีมีขั้นตอนคือ ช่วงแรกนายนิมนต์ (คุณมณี ม่วงทอง อายุ 57 ปี) ทาพิธีเบิกด่าน โดยนาสารับใหญ่ไปวางบริเวณนอกโรงงาน (โรงงาน คือ บริเวณที่ ใช้ประกอบพิธีงานปี ตั้งเครื่องสังเวยหรือสารับต่างๆมี ลักษณะเป็นหลังคาผ้าใบ เสาไม้ ยกพื้นขึ้นและปูเสื่อ) แล้ วสวดบทขอเบิกด่าน ต่อมาเมื่อร่างทรง (คุณทรัพย์ สังข์ประเสริฐ อายุ 75 ปี) แต่งตัวเสร็จเรียบร้อย แล้วก็นาพระขรรค์มาถือแล้วพนมมือ สวดนะโม 3 จบ แล้วสวดบทเกี่ยวกับผี ต่างๆ เช่น โหรามโหรี เจ้าที่ เจ้าทาง ขอเบิกด่านดิน น้า ลม ไฟ ด่านพญานาค ราช อาราธนาเจ้าพ่อ เจ้าแม่ทุกสารทิศ ให้มาเสวยให้อิ่ม หลังจากนั้นจะเป็นการ ที่องค์พ่อ ทั้ง 9 องค์ เข้าร่างของร่างทรง โดยร่างทรงจะผูกผ้าแต่ละสี เปลี่ยนสี ไปตามองค์พ่อแต่ละองค์ตามลาดับ


373

พ่อองค์แรก คือ พ่อแสงอาทิตย์ ช่วยส่องแสงในการดาเนินชีวิต ร่าง ทรงจะผูกผ้าสีชมพูที่เอวและเสียบพระขรรค์ไ ว้ที่เอว แล้วลุกขึ้นราพร้อมจังหวะ ของเครื่องดนตรีที่ประกอบไปด้วย โทน กรับและฉิ่งของคณะนายนิมนต์ เมื่อร่าง ทรงราได้สักพัก ก็จะนาผ้าสีชมพูที่คาดเอวอยู่ย้ายมาพาดเฉียงที่ไหล่ นั่นแสดงว่า องค์พ่อได้เข้าร่างทรงเรียบร้อยแล้ว จากนั้นร่างทรงจะนั่งลงแล้วใช้ช้อนทาท่า เหมื อนตักอาหารในส ารับอาหารทั้ งสารับ เล็กและใหญ่ มากิน แล้วสูบ บุห รี่ที่ ผู้ช่วยร่างทรงเป็นผู้จัดเตรียมให้ หลังจากนั้นจะเป็นการพูดคุยกันระหว่างองค์ พ่อที่อยู่ในร่างของร่างทรงและเจ้างาน โดยพ่อจะถามเจ้างานว่า “เสียดายไหม” หมายถึงเสียดายเงินไหมที่จัดงานนี้ เจ้างานก็จะตอบว่า “ไม่เสียดาย” และจะ พูดคุยกันเรื่องทั่วไปต่างๆ หรือเรื่องปัญหาที่เจ้างานประสบอยู่ในการประกอบ อาชีพหรือการดาเนินชีวิตและองค์พ่อก็ให้พรเจ้างานเพื่อให้เจ้างานมีชีวิตที่ดีขึ้น เมื่อเสร็จสิ้นเสียงดนตรีโทน กรับ และฉิ่งจากคณะนายนิมนต์ก็ดังขึ้น ร่างทรง เปลี่ยนสีผ้าคาดเอวอีกครั้งและลุกขึ้นราแล้วย้ายผ้าที่คาดเอวมาวางเฉียงไว้บน ไหล่ นั่นแสดงว่าพ่อองค์ต่อไปได้เข้าร่างทรงเรียบร้อยแล้ว พ่อองค์ที่ 2 คือพ่อเจ้าบ้าน ร่างทรงเปลี่ยนสีผ้าเป็นสีขาว ร่างทรงนั่งลง แล้วใช้ช้อนทาท่าเหมือนตักอาหารในสารับอาหารทั้งหมดแล้วสูบบุหรี่ หลั งจาก นั้นเป็นการสนทนาระหว่างองค์พ่อและเจ้างาน องค์พ่อถามเจ้างานว่า “เสียดาย ไหม” เจ้างานตอบว่า “ไม่เสียดาย” อีกทั้งพ่อองค์นี้มีการให้เจ้างานที่เป็นผู้ชาย สู บ บุ ห รี่ ข ององค์ พ่ อ ด้ ว ย หลั ง จากนั้ น องค์ พ่ อ ก็ ให้ พ รเจ้ า งานเกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง ทรัพย์สินเงินทองต่างๆ เมื่อเสร็จสิ้ น เสียงดนตรีโทน กรับและฉิ่งจากคณะนาย นิมนต์ก็ดังขึ้น ร่างทรงเปลี่ยนสีผ้าคาดเอวอีกครั้งและลุกขึ้นราแล้วย้ายผ้าที่คาด เอวมาวางเฉียงไว้บนไหล่ นั่นแสดงว่าพ่อองค์ต่อไปได้เข้าร่างทรงเรียบร้อยแล้ว พ่อองค์ที่ 3 คือ พ่อหลักเมือง พ่อองค์นี้มีลักษณะประจาตัว คือ หล่อ ร่ างทรง เปลี่ยนผ้าเป็นสีม่วง นั่งลงแล้วใช้ช้อนทาท่าเหมือนตักอาหารในสารับอาหารทั้ง หมดแล้วสูบบุหรี่ หลังจากนั้นเป็นการสนทนาระหว่างองค์พ่อและเจ้างาน องค์


374

พ่อถามเจ้างานว่า “เสียดายไหม” เจ้างานตอบว่า “ไม่เสียดาย” และเจ้างานได้ พูดคุยถึงปัญหาการค้าขายที่ไม่ค่อยดี องค์พ่อหลักเมืองจึงแนะนาวิธีแก้ให้กับเจ้า งาน คือ ให้ไปเช่าปลั กขิกมาบูชา ท่ องนะโม 3 จบแล้วให้บ ทสวดแก่เจ้างาน ก่ อ นองค์ พ่ อ จะออกจากร่างของร่างทรงก็ ให้ พ รเกี่ ยวกั บ เรื่อ งสุ ข ภาพ ความ ร่ารวยต่างๆ หลังจากนั้นองค์พ่อก็จะออก พ่อองค์ที่ 4 องค์ที่ 5 และองค์ที่ 6 คือ พ่อโหรี พ่อโหรามและพ่อยี่สุ่น จะทาการเข้าพร้อมกัน เปลี่ยนผ้าเป็นสีส้ม แล้วใช้ช้อนทาท่าเหมือนตักอาหารใน สารับแล้วสูบบุหรี่ หลังจากนั้นองค์พ่อก็ถามเจ้างานว่า “เสียดายไหม” เจ้างานก็ บอกว่า “ไม่ เสี ยดาย” และพู ด คุ ยกั น เรื่อ งทั่ วไปและปั ญ หาต่ างๆ องค์ พ่ อจึ ง แนะนาให้จุดธูป 16 ดอก ตั้งนะโม 3 จบ แล้วกล่าวว่าได้จัดงานถวายพ่อแล้ว ทาแล้วจะเจริญ จากนั้นเจ้าบ้านพนมมือแล้วองค์พ่อถามเจ้าบ้านว่า “งานวันนี้ ขาดไหม” เจ้าบ้านก็จะตอบว่า “ขาดแล้ว” จากนั้นองค์พ่อก็อวยพรให้ร่ารวย แล้วพ่อก็ออกจากร่างคนทรง พ่อองค์ที่ 7 คือ พ่อระวังภัย มาจากเขาใหญ่ มีลักษณะประจาตัว คือ ชอบกินเหล้า ขี้เมา เปลี่ยนผ้าเป็นสีฟ้า จากนั้นร่างทรงจะนั่งลงแล้วใช้ช้อนทาท่า เหมือนตักอาหารในส ารับอาหารทั้ งสารับ เล็ กและใหญ่ มากิน แล้วสูบ บุห รี่ที่ ผู้ช่วยร่างทรงเป็นผู้จัดเตรียมให้ หลังจากนั้นจะเป็นการพูดคุยกันระหว่างองค์ พ่อที่อยู่ในร่างของร่างทรงและเจ้างาน โดยพ่อจะถามเจ้างานว่า “เสียดายไหม” หมายถึง เสียดายเงินไหมที่จัดงานนี้ เจ้างานก็จะตอบว่า “ไม่เสียดาย” และจะ พูดคุยกันเรื่องทั่วไปต่างๆหรือเรื่องปัญหาที่เจ้างานประสบอยู่ในการประกอบ อาชีพหรือการดาเนินชีวิตและองค์พ่อก็ให้พรเจ้างานเพื่อ ให้เจ้างานมีชีวิตที่ดีขึ้น พ่อองค์ที่ 8 คือ พ่อสายน้าเขียว เชื่อกันว่าเป็นนายด่านทะเลหรือเป็นองค์พ่อ ของสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในน้าใช้ผ้าสีเขียวช่วงแรกที่ลุกขึ้นรา ร่างทรงจะถือแมงดาและ ปูไว้ด้วย เมื่อองค์พ่อเข้าร่างแล้วจึงนั่งลงใช้ช้อนทาท่าเหมือนตักอาหารในสารับ แล้วสูบบุหรี่ จากนั้นองค์พ่อก็ถามเจ้างานว่า “เสียดายไหม” เจ้างานก็กล่าวว่า


375

“ไม่เสียดาย” และพูดคุยกันเรื่องทั่วไปและปัญหาต่างๆจากนั้นท่านจะใช้พระ ขรรค์เขียนชื่อของเจ้างานที่ตัวปูพร้อมสวดมนต์ไปด้วย แล้วให้เจ้างานนาปูนั้นไป ปล่ อ ยในท้ อ งนาในภายหลั ง เพื่ อ เป็ น การปล่ อ ยเคราะห์ ห รื อ โชคร้ า ยต่ า งๆ ออกไปหลังจากนั้นก็ให้พรแล้วออกจากร่าง พ่อองค์สุดท้าย องค์ที่ 9 คือ พ่อหงส์ทอง ผ้าที่สะพายเฉียงที่ไหล่และมี ผ้าคาดศีรษะด้วยเป็นสีแดงเช่นเดียวกัน ช่วงแรกที่ลุกขึ้นราร่างทรงจะนากาไล แหวนที่ทาจากถั่วเขียวบดผสมแป้งทอดมาใส่และถือเป็ด ตัว ผู้และตัวเมีย 1 คู่ ไก่ ตัวผู้และตัวเมีย 1 คู่ วัว ตัวผู้และตัวเมีย 1 คู่ ที่ทาจากถั่วเขียวผสมแป้งและ ภายในเป็นไข่ต้มไปด้วย ในขณะร่ายราจะโยนเครื่องเล่นหรือของเหล่านี้ให้กับ เจ้างานหรือผู้ที่มาร่วมงาน ส่วนกาไลและแหวนจะถอดให้เจ้างาน หลังจากนั้นจึง นั่งลงใช้ช้อนทาท่าเหมือนตักอาหารในสารับแล้วสูบบุหรี่ จากนั้นจะทาการตีคลี คือ ร่างทรงและคนในคณะนายนิมนต์ 2 คน จะลุกออกไปจากบริเวณโรงงาน และนายนิมนต์จะยกสารับที่มีมะพร้าว 3 ลูก เหล้า 1 ขวด ไข่ต้ม 3 ฟอง ขนม ต้ม 3 ลูกออกไปวางไว้บริเวณเสื่อนอกโรงงาน จากนั้นทาการเทเหล้าที่ไม้ตีคลี จานวน 3 ครั้ง ครั้งแรก เทบริเวณโคน ครั้งที่ 2 เทบริเวณตรงกลางของไม้ตีคลี ครั้งสุดท้าย เทบริเวณส่วนปลายของไม้ตีคลี คนในคณะนายนิมนต์คนอื่นก็จะทา การตีโทน กรับและฉิ่งไปเรื่อยๆ จากนั้นร่างทรงหรือองค์พ่อจะจะโยนมะพร้าว 3 ลู ก ให้ เขย (คนที่ ม าเล่ น ตี ค ลี กั บ องค์ พ่ อ เรี ย กว่ า เขย) ตี ให้ แ ตกทั้ ง 3 ลู ก หลังจากนั้นก็โยนไข่ต้ม 3 ฟองให้เขยทาท่าเหมือนใส่ปากกิน จากนั้นโยนขนม ต้มอีก 3 ลูกให้เข้าปากเขย เมื่อโยนครบหมดแล้วร่างทรงหรือองค์พ่อก็จะนา ซองใส่เงินค่ าตี คลี ดอกไม้ แ ละซองบุ ห รี่ม อบให้ กับ เขยแล้วท าการโปรยดอก ดาวเรือง จากนั้นเจ้างานจะนาพลูมาแล้วองค์พ่อหงส์ทองจะถามว่า “งานขาด ไหม” เจ้ า งานก็ จ ะตอบว่ า “งานขาด” แล้ ว ดึ งพลู ให้ ข าดออกจากกั น แล้ ว กลับไปยังที่นั่งที่เดิมในโรงงาน แล้วร่างทรงหรือองค์พ่อหงส์ทองก็มอบขันทองที่ ประกอบไปด้วยข้าวตอก สร้อยพระและเงินอยู่ภายในให้แก่เจ้างาน เพื่อเป็นการ


376

รับขวัญ จากนั้นเจ้างานจะแบมือให้ร่างทรงหรือองค์พ่อหงส์ทองนาพระขรรค์มา เขียนชื่อของเจ้างานที่บริเวณฝ่ามือ แล้วร่างทรงหรือองค์พ่อหงส์ทองจะจับที่ บริเวณศีรษะ ไหล่และหน้าอกด้านซ้ายของเจ้างานพร้อมทั้งสวดมนต์ อวยพรไป ด้วยโดยเฉพาะในเรื่องการค้าขาย แล้วอวยพรผู้ที่มาร่วมงานทุกคน จากนั้นองค์ พ่ อ ก็ อ อก หลั ง เสร็ จ พิ ธี ใ นช่ ว งเช้ า เรี ย บร้ อ ยแล้ ว เจ้ า งานจะต้ อ งน าอาหาร กลางวันมาเลี้ยงคณะนายนิมนต์ คนทรง ญาติพี่น้อง แขกต่างๆ ที่มาร่วมงาน

ภาพที่ 5.8 คณะนายนิมนต์ทาการตีโทนในพิธีงานปี (ถ่ายภาพโดย ปรีเมธ เดชขุน เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2559) ส่วนพิ ธีกรรมในช่วงเย็น เรียกว่าพิ ธีกรรม “ผีม ด” เป็ น พิ ธีก รรมที่ มี ลักษณะคล้ายคลึงกับพิธีกรรมในช่วงเช้า แต่มีบางขั้นตอนที่แตกต่างออกไป อีก ทั้งสิ่งของ อาหาร และขนมต่างๆ ภายในพิธีกรรมก็ได้มีการนาเอาผลผลิตทาง เกษตรกรรมภายในชุมชนมาใช้ประโยชน์เช่นกัน ซึ่งมีดังต่อไปนี้


377

1) ส ารับขนม (ของหวาน) เป็นส ารับที่ใช้ต่อจากพิ ธีกรรมในช่วงเช้า แบ่ งเป็ น ส ารับ ใหญ่ 2 ส ารับ และส ารับ เล็ ก 15 ส ารับ ของในส ารับ ใหญ่ จ ะ เหมือนกับของในสารับเล็กแต่เพิ่มปริมาณของแต่ละอย่างเป็น 2 เท่าของสารับ เล็ก ประกอบไปด้วย กล้วยน้าหว้า มะพร้าว ขนมเปียกแดง (ข้าวเหนียวแดง) ขนมเปียกดา (กาละแม) ขนมกงเกวียน ขนมสองเกลอสามเกลอ ลูกโดด ขนม ต้ม อ้อย แมงดา ปู ท ะเล หมากพลู ข้าว ไข่ต้ม น้าเปล่า เหล้าขาว และดอก ดาวเรือง

ภาพที่ 5.9 สารับใหญ่ (ถ่ายภาพโดย ชญานิศ ชูชาติ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2559) 2) สารับอาหาร (ของคาว) ได้แก่ แกงปู แกงหมู ต้มจืด ขนมจีนน้ายา ข้าว ไข่ หมูชิ้น ขนมต้ม ต้ม ถั่วดา น้ากะทิ ข้าวตอก ขนมบั วลอย ขนมจันอับ ขนมถ้วยฟู สับปะรด แตงโม อ้อย ส้มโอ เงาะ และลองกอง 3) ขันทองเหลือง ภายในใส่ ขนม ปู แมงดา มะพร้าว กล้วย หมากพลู และข้าวสาร


378

4) ถาดเวียน ภายในใส่ กรรไกร มีด กระจก หย่อง น้ามันใส่ผม แป้งผัด หน้า หมากพลู 5) ของเล่ นองค์พ่อ ได้แก่ เป็ด ไก่ วัว กาไล และแหวน ที่ ทาจากถั่ว เขียวต้ม ปันเป็นรูปแล้วชุบแป้งทอด

ภาพที่ 5.10 ของเล่นองค์พ่อ (ถ่ายภาพโดย ชญานิศ ชูชาติ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2559) 6) เชิญหิ้ง ภายในใส่ข้าวสาร ข้าวสุก ไข่ เหล้าขาว หมากพลู 7) พานพ่อประกอบไปด้วย ดอกดาวเรือง บุ หรี่ เทียน ธูป และพระ ขรรค์ที่ผูกด้วยผ้าสามสี 8) แกงวัว ในอดีตชาวบ้าวจะใช้วัวจริง แต่ในปัจจุบันเป็นการจาลองโดย การใช้แป้งปันเป็นรูปวัวโรยด้วยพืชผั กสวนครัวอย่าง พริก กระเทียม มะนาว และเครื่องปรุง เช่น เกลือ น้าปลา น้าตาล เป็นต้น


379

ภาพที่ 5.11 แกงวัว (ถ่ายภาพโดย ชญานิศ ชูชาติ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2559) 9) ต้นมะยมแสง ใช้ดอกไม้ชนิดใดก็ได้ มัดลงบนเสาตรงกลางโรงพิธี

ภาพที่ 5.12 ต้นมะยมแสง (ถ่ายภาพโดย ชญานิศ ชูชาติ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2559) 10) บันไดผีวางไว้ตรงทางเข้าโรงพิธี เป็นบันไดขนาดเล็กสร้างจากไม้ไผ่ 11) เครื่องประกอบพิธีของนายนิมนต์ประกอบไปด้วย ช้าง เรือ หิ้ ง ฝอย เหน ดาบ พาย ซ่อน ไห และตะหวิน


380

ภาพที่ 5.13 เครื่องประกอบพิธีผีมด (ถ่ายภาพโดย ดลฤดี วรรณมาศ เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2559) 12) ผ้าคาดเอวหรือผ้าสไบที่คนทรงใช้12 (เพิ่งอ้าง, 2559: สัมภาษณ์), (ชมภู่ ม่วงทอง, 2559: สัมภาษณ์), (ก่วย ฤทธิ์นิ่ม, 2559: สัมภาษณ์) การประกอบพิธีกรรมผีมดมีขั้นตอนคล้ายคลึงกับพิธีกรรมงานปีในช่วง เช้า โดยเมื่อถึงเวลาอันเป็นสมควรแล้ว พิธีกรรมจึงจะเริ่มขึ้น ซึ่งเริ่มจากการ อาบน้าไห โดยการให้เจ้าของบ้านที่เป็นเพศหญิงเท่านั้นมาประกอบพิธีกรรม นางออกสบเมือง (คุณชมภู่ ม่วงทอง อายุ 48 ปี) จะทาการรินเหล้าใส่ไหแล้วเท เหล้าลงบนมือและเท้าของเจ้าของบ้านเสมือนกับการอาบน้า จากนั้นนางออก สบเมืองจะทาการเชิญผีเรือน โดยเดินเข้ามาภายในบ้านของเจ้าบ้าน แล้วเริ่ม แต่งกายนุ่งผ้าไทยลายสวยงามและห่มผ้าสไบสีขาว จากนั้นจะทาการเชิญผีเรือน 12

องค์พ่อ ทั้ง 7 องค์ภายในพิธีกรรมผีมด ได้แก่ พ่อแสงอาทิตย์ พ่อเจ้าบ้าน พ่อ หลักเมือง พ่อเพชร พ่อหงส์ พ่อคง และพ่อขุนทอง (มณี ม่วงทอง, 2559: สัมภาษณ์)


381

ให้เดินตามไปยังโรงพิธี เมื่อถึงโรงพิธี นางออกสบเมืองจะทาการเหยียบเหล้า น้า ดิน หิน และทราย รวมถึงข้า วสาร ก่อนจะก้าวขึ้นบันไดผี เพื่อไปยังโรงพิธี เมื่อผีขึ้นมาในโรงพิธีแล้ว นายนิมนต์ (คุณมณี ม่วงทอง อายุ 57 ปี) จะเริ่มการ ท าแกงวั ว ต่ อ ด้ ว ยการร าแทงแหลน จากนั้ น นายนิ ม นต์ แ ละคนทรง (คุณแม่ทรัพย์ สังประเสริฐ อายุ 75 ปี) จะเริ่มทาการไหว้บอกกล่าวกับครู บา อาจารย์ พร้อมกับบูชาสารับอาหารที่เจ้าบ้านได้เตรียมขึ้น โดยการจุดธูปและ เทียนปักลงในสารับอาหารทุกสารับ จากนั้นคณะนายนิมนต์จะเริ่มร้องเพลงและ บรรเลงดนตรี เพื่อบอกกล่าวอัญเชิญผีให้มาเข้ายังคนทรง ซึ่งมีพิธีการเหมือนกับ พิธีกรรมงานปีในช่วงเช้าทุกขั้นตอน

ภาพที่ 5.14 อาบน้าไห (ถ่ายภาพโดย ชญานิศ ชูชาติ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2559) นอกจากนี้ยังมีพิธีกรรมเกี่ยวกับการเกิดและการตาย โดยพิธีกรรมที่ เกี่ยวกับการเกิด ได้แก่ พิธีกรรมแม่ซื้อ ซึ่งชาวบ้านที่นี่มีความเชื่อเกี่ยวกับแม่ซื้อ ว่า เมื่อเด็กคลอดแล้วจะมี “แม่ซื้อ” ซึ่งเป็นผีหรือเทพีผู้หญิงที่มาทาหน้าที่ดูแล ปกป้องคุ้มครองเด็กตลอดเวลาเพื่อให้เด็กปลอดภัยจากภัยอันตราย อุบัติเหตุ


382

หรืออาการเจ็บป่วยและโรคภัยต่างๆ (วิฑู รย์ คุ้มหอม, 2551: 74) หากเด็กมี อาการร้องไห้อย่างไม่มีสาเหตุเป็นเวลานาน เช่น ร้องไห้ทั้งคืนทาอย่างไรก็ไม่ ยอมหยุด คนในบ้านก็จะทาพิธีแม่ซื้อขึ้น คือ การให้ผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่แม่เด็ก ทาการสมมติว่าซื้อเด็กคนนี้มาเป็นลูกของตน ซึ่งอาจใช้เงินเพียง 2 บาทในการ ซื้ อ ชาวบ้ านเชื่อ ว่าหลั งจากเสร็จพิ ธีเด็ ก จะหยุ ด ร้อ งไห้ ทั น ที (มณี ม่ วงทอง, 2559: สัมภาษณ์) ส่วนพิธีกรรมเกี่ยวกับการตาย ได้แก่ พิธีศพ เมื่อมีคนตาย ญาติพี่น้อง จะจัดพิธีศพขึ้นเป็นเวลาประมาณ 4-7 วัน ทาพิธีตามความเชื่อทางพุทธศาสนา อาจจัดขึ้นที่บ้านหรือวัดก็ได้ตามสะดวก หลังจากที่สวดครบวันที่กาหนดแล้ว ใน วันสุดท้ายจะเป็ นการเผาศพ แล้วน าอัฐิมาเก็บไว้ที่ บ้านหรือเก็บ ไว้ที่เจดีย์ใน บริเวณวัด อย่างเช่น กรณี ของคุณ มณี ม่ วงทองที่เก็บ อัฐิของคุณ แม่ไว้ที่เจดีย์ ภายในวั ด หรื อ บางบ้ า นก็ จ ะเก็ บ ศพไว้ ก่ อ น อาจเป็ น ระยะเวลา 1 ปี หรื อ ระยะเวลาตามที่ญาติพี่น้องได้ตกลงกันไว้ แล้วจึงนาไปทาพิธีเผาศพในภายหลัง ส่วนอีกกรณีหนึ่ง คือ การฝังศพ ในอดีตนิยมนาศพไปฝังไว้ที่ป่าช้าหลังหมู่บ้าน แต่ในปัจจุบันการฝังศพไม่นิยมทากันแล้ว เนื่องจากพื้นที่ที่ลดน้อยลงและป่าช้า หลังหมู่บ้านก็ได้กลายเป็นพื้นที่อยู่อาศัยของผู้คนไปแล้ว (มณี ม่วงทอง, 2559: สัมภาษณ์)

7. ระบบเครือญาติ 7.1. การแต่งงาน ก่อนที่คนเราจะตกลงแต่งงานหรือใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันนั้น แน่นอนว่า คนเราต้ อ งมี ก ารคบหาดู ใ จ ศึ ก ษาเรี ย นรู้ ซึ่ ง กั น และกั น หรื อ พบเจอกั น ท า กิจกรรมต่างๆร่วมกัน ซึ่งส่วนมากชาวบ้านห้วยทบมักจะพบรักกันขณะทางาน ซะเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอดีต เนื่องจากในอดีตนั้นไม่ได้มีสถานที่ที่ ชาวบ้านจะสามารถเดินทางไปได้มากนัก ส่วนมากจะพบปะกันระหว่างการทา


383

นาและทาไร่ ซึ่งมักมีการติดแรงช่วยเหลือกัน ผู้คนจากหลากหลายครอบครัวจะ มารวมตัวช่วยเหลือกันทานา จึงทาให้หลายๆ คนได้พบกันและได้รู้จักถึงนิสัยใจ คอซึ่งกันและกัน ส่งผลให้เกิดการชอบพอกัน ชาวบ้านในสมัยก่อนมักเจอกัน หรื อ ถู ก ใจกั น ขณะที่ ก าลั ง ท างาน เช่ น พบรั ก กั น ขณะที่ อี ก ฝ่ า ยไปติ ด แรง ช่วยเหลืออีกฝ่ายทานาหรือในขณะที่ทางานให้หมู่บ้านร่วมกัน เช่น การร่วมกัน สร้ า งถนนภายในหมู่ บ้ า น อย่ า งกรณี ข องคุ ณ นิ จ ม่ ว งทอง อายุ 66 ปี อดี ต ผู้ใหญ่บ้านห้วยทบ เขาได้พบภรรยาของเขาเมื่อ 50 ปีที่แล้วหรือตอนที่เขาอายุ ประมาณ 17-18 ปี ขณะที่ ช าวบ้ า นแต่ ล ะบ้ า นออกมาร่ ว มกั น สร้ า งถนน นอกจากนั้นอาจเจอกันตามงานต่างๆที่คนในสมัยก่อนนิยมไปเพื่อพักผ่อนหรือ เพื่ อหาความสนุกและความบัน เทิ งตามสถานที่ใกล้เ คียงรอบข้างชุมชน เช่น งานวั ด งานปิ ด ทอง ซึ่ งมี ก ารจั ด แสดงลิ เกและหนั งตะลุ งที่ อ าเภอบ้ า นลาด จังหวัดเพชรบุรี เป็นต้น (นิจ ม่วงทอง, 2559: สัมภาษณ์) หลังจากที่ได้ศึกษาดูใจกันระยะหนึ่ง ต่อไปก็คือการสร้างครอบครัวหรือ การแต่งงาน ในการสร้างครอบครัวหรือการแต่งงานของชาวบ้านที่นี่ หลายคู่ เป็นการแต่งงานอย่างไม่เป็นทางการ กล่าวคือ หลายคู่จะอยู่กินกันก่อนโดยที่ไม่ มีการจัดงานแต่งงานหรือทาพิธีใดๆ เมื่ออยู่กินกันได้ระยะเวลาหนึ่ง ฝ่ายชายจะ ไปส่งข่าวให้กับครอบครัวพ่อและแม่ของฝ่ายหญิ งได้รับทราบ ซึ่ งการส่งข่าว หมายถึง การไปบอกกล่าวและนาสินสอดไปมอบให้กับครอบครัวของฝ่ายหญิง คล้ายๆกับการสู่ขอ อย่างเช่นกรณีของ คุณมณี ม่วงทอง ก็ได้นาเงินสินสอดไป มอบให้กับครอบครัวของฝ่ายหญิงจานวน 20,000 บาท เช่นเดียวกันกับกรณี ของคุ ณ เนย แก้ วเนตร ก็ ได้ น าเงิน สิ น สอดไปมอบให้ กั บ ครอบครัวฝ่ ายหญิ ง ประมาณ 10,000 บาท หลังจากที่ได้อยู่กินด้วยกันสักพักหนึ่งแล้ว โดยที่ไม่ได้มี การจัดงานแต่งงานหรือจัดพิธีใดๆ (มณี ม่วงทอง, 2559: สัมภาษณ์) ในสมัยก่อนเมื่อตกลงแต่งงานกันหรืออยู่กินด้วยกันแล้ว หากชาวบ้าน ในห้วยทบแต่งงานกับคนพื้นที่อื่น เช่น นอกชุมชนหรือจังหวัดอื่นๆ ก็มักจะนา


384

คู่ครองของตนย้ายเข้ามาสร้างบ้านเรือนใหม่หรือย้ายเข้ามาอยู่ในบริเวณพื้นที่ ของหมู่บ้านห้วยทบ หรือเรียกว่าเป็นการ “แต่งเข้า” เพราะในสมัยก่อนพื้นที่ ว่างเปล่ายังมีอยู่เป็นจานวนมาก โดยยังไม่มีผู้ใดจับจองเพื่อปลูกบ้านหรือทาไร่ นา ซึ่งต่อมาเมื่อทาการปลูกบ้านอาศัยอยู่กันเป็ นครอบครัวแล้ว ครอบครัวที่ ขยายใหญ่ ขึ้ น ก็ ได้ ส่ งผลต่ อ ความสั ม พั น ธ์ที่ แ น่ น เฟ้ น ในหมู่ เครือ ญาติ อี ก ด้ ว ย เนื่ อ งจากเมื่ อ มี พื้ น ที่ ม าก หมู่ เครือ ญาติ ก็ ส ามารถขยั บ ขยายพื้ น ที่ บ้ านได้ ใน บริเวณที่ใกล้เคียงกันหรือเรียกว่าเป็นครอบครัวแบบขยายที่มีความใกล้ชิดกัน และสามารถช่วยเหลื อพึ่งพากันได้ อย่างการช่วยกันติดแรงโดยไม่ต้องไปเสีย ค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างผู้ อื่นให้ ม าช่วยในการท ามาหากิน (ปกป้อง บั วเจริญ , 2559: สัมภาษณ์) แต่ในปัจจุบันเป็นไปในทางตรงกันข้าม คือ เมื่อตกลงแต่งงานกันหรือ อยู่ด้วยกัน แล้ ว หากชาวบ้ านในห้ วยทบแต่งงานกับ คนนอกพื้ น ที่ ห รือชุ มชน รวมถึ ง จั ง หวั ด อื่ น ๆ ก็ มั ก จะมี ก ารย้ า ยออกไปอยู่ ที่ อื่ น หรื อ เรี ย กกั น ว่ า การ “แต่ งออก” เนื่ อ งจากพื้ น ที่ ที่ ยั งไม่ มี ผู้ ใดจั บ จองหรื อ เป็ น เจ้ าของในบริ เวณ หมู่บ้านห้วยทบนั้นมีจานวนน้อย ส่งผลให้ไม่มีพื้นที่เหลือ สาหรับปลูกบ้านเรือน หรือสาหรับทาการเกษตรกรรม จึงจาเป็นต้องย้ายออกไปสร้างครอบครัวหรือตั้ง ถิ่นฐานในพื้นที่อื่นแทน ซึ่งส่งผลต่อความสัมพันธ์ภายในครอบครัวและระบบ เครื อ ญาติ อี ก ด้ ว ย กล่ า วคื อ ลั ก ษณะความใกล้ ชิ ด ในระบบเครื อ ญาติ ห รื อ ครอบครัวก็ลดน้อยลงไปตาม จากที่ในหมู่เครื อญาติเคยช่วยเหลือติดแรงกันใน การทาการเกษตร ผู้คนต่างๆ เคยมีปฏิสัมพันธ์หรือรู้จักกันขณะที่ช่วยกันทางาน หรือติดแรงกันก็เปลี่ยนไป กลายเป็นปัจจุบันนี้ต้องไปว่าจ้างผู้อื่นทั้งในและนอก ห้วยทบให้มาช่วยทาการเกษตร ไม่ได้เป็นการช่วยเหลือกันภายในครอบครัวหรือ เครือญาติเหมือนในสมัยก่อน อย่างเช่นกรณีของคุณนิล แสนสบาย อายุ 87 ปี ที่ตนและลูกชาย 4 คน ได้ย้ายไปอยู่ที่ชุมพรพร้อมกับครอบครัวประมาณ 30 ปี ที่แล้ว เนื่องจากที่ดินที่ห้วยทบมีไม่เพียงพอที่จะสามารถทานา อีกทั้งมีที่ดินว่าง


385

ให้ซื้อน้อย ซึ่งไม่พอที่จะซื้อแบ่งให้ลูกทั้งหมดสี่ค นได้ จึงซื้อที่ดินที่ห้วยทบได้ เพียงแค่ 2 ไร่ เลยยกให้ลูกสาวคนเล็กไปปลูกบ้านและทาสวนมะม่วง และกล้วย พร้อมกับเลี้ยงไก่ แล้วตนจึงหันไปซื้อที่ดินที่ชุมพรจานวน 15 ไร่ แบ่งให้ลูกชาย 4 คน คนละ 3 ไร่ และที่เหลืออีก 3 ไร่ไว้เป็นที่อยู่อาศัยของตน (นิล แสนสบาย, 2559: สัมภาษณ์) ซึ่งในกรณีของคุณนิล แสนสบายนี้จะเห็นได้ถึงการแบ่งมรดกหรือแบ่ง ที่ดินให้กับบุตรตามแบบที่ชาวบ้านห้วยทบนิยมทากัน กล่าวคือ ชาวบ้านห้วย ทบจะนิยมยกบ้านของพ่อแม่ให้กับลูกคนเล็กไม่ว่าจะเป็นลูกสาวหรือลูกชาย และบ้านหลังนี้ก็จะเป็นพื้นที่สาหรับการรวมตัวของญาติพี่น้องภายในครอบครัว ซึ่งเป็นไปตามรูปแบบเดียวกันกับครอบครัวของคุณนิล เพราะบ้านที่ยกให้ลูก สาวอยู่อาศัยก็เป็นบ้านที่ญาติๆ หลานๆ ลูกพี่ลูกน้องมาใช้เป็นที่สาหรับพบปะ พู ด คุ ย หรือ เป็ น ศู น ย์ ก ลางรวมตั วกั น ของเครือ ญาติ นั่ น เอง (เพิ่ งอ้ าง, 2559: สัมภาษณ์) เครือญาติหรือครอบครัวที่มาบุกเบิกหรือตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ห้วยทบนี้ เป็นตระกูลแรกๆ ได้แก่ ตระกูลแก้วเนตร ที่ยังคงสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน โดย นามสกุลนี้มีที่มาจากชื่อของบรรพบุรุษที่มีชื่อว่าแก้วและเนตร เป็นการนาเอาชื่อ ของบุคคลทั้งสองนี้มารวมกันแล้วตั้งเป็นนามสกุล ส่วนตระกูล หรือนามสกุลที่มี จานวนญาติพี่น้องมากที่สุดในห้วยทบ ได้แก่ สกุลบัวเจริญ รองลงมา คือ สกุล นิลเถื่อน สกุลแช่มช้อย และสกุลม่วงทอง ตามลาดับ และด้วยความเป็นตระกูล ใหญ่ มีญาติพี่น้องจานวนมาก ก็ได้ส่งผลถึงการเมืองการปกครองด้วย เนื่องจาก หากผู้ที่ลงเสียงเลือกตั้งใช้นามสกุลที่มีเครือญาติอยู่ในหมู่บ้านเป็นจานวนมาก ก็ จะช่วยเอื้อต่อการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ทาให้พวกเขามีโอกาสสูงอย่างมากที่ จะได้รับเลือกแต่งตั้งให้เป็นผู้ใหญ่บ้าน (นิจ ม่วงทอง, 2559: สัมภาษณ์)


386

8. การเมืองการปกครอง ปัจจุบันห้วยทบ มีประชากรทั้งหมด ประมาณ 74 ครัวเรือน ซึ่งจานวน ครั ว เรื อ นมี จ านวนมากกว่ า ในสมั ย ก่ อ นถึ ง ประมาณ 3 เท่ า ตั ว กล่ า วคื อ ในสมัยก่อน มีจานวนประชากรเพียง 20 ครัวเรือนหรือประมาณ 300 กว่าคน ทั้งที่มีบ้านเลขที่และไม่มีบ้านเลขที่ในทะเบียนบ้าน จากคาบอกเล่าของ นายนิจ ม่วงทอง ซึ่งเป็นอดีต ผู้ใหญ่ บ้าน ปัจจุบันมีอายุ 67 ปีเล่าว่า ก่อนที่จะมาเป็น ผู้ใหญ่บ้านนั้นเป็นทหารมาก่อน เมื่อปลดประจาการกลับมาอยู่ที่บ้านห้วยทบก็ ได้ถูกเลือกให้ขึ้นมาเป็นผู้ ใหญ่ บ้าน เนื่องจากชาวบ้านเห็นว่านายนิจได้เรียน เกี่ ยวกั บ วิชาทหารมา น่ าจะมี ค วามรู้ค วามสามารถในด้ านของการปกครอง รวมถึงการจัดการและดูแลชาวบ้านในหมู่บ้านได้ โดยในสมัยนั้นวิธีการเลือกจะ ใช้การยกมือเพื่อเป็นการให้คะแนนเสียง บทบาทของนายนิจคือต้องเป็นคน กลางประสานงานระหว่างส่วนกลาง รวมถึงเป็นผู้นาในการทากิจกรรมที่ทางรัฐ มีนโยบายมา เช่นการสร้างถนน เป็นต้น ผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งให้เป็นผู้ใหญ่บ้าน ที่ห้วยทบ มักจะเป็นผู้ที่ มี นามสกุลที่ มีเครือญาติอยู่ในชุมชนเป็นจานวนมาก เพราะชาวบ้านห้วยทบมักจะลงคะแนนเสียงให้กับญาติพี่น้องของตนเพราะรู้จัก กันดีและสามารถเอื้อประโยชน์ให้แก่กันได้ การรับตาแหน่งเป็นผู้ใหญ่บ้านนั้น เมื่อถูกเลือกแล้ วจะต้องอยู่ให้ครบ 1 วาระ คือระยะเวลา 30 ปี (นายนิจ ม่วง ทอง, 2559: สัมภาษณ์ ) เมื่ อนายนิจหมดวาระแล้ว ผู้ใหญ่ บ้ านที่ถูกเลือกคน ปัจจุบัน ก็คือ นายปกป้อง บัวเจริญ อายุ 37 ปี นั่นเอง นายปกป้อง บัวเจริญ ผู้ใหญ่บ้านคนปัจจุบัน เน้นนโยบายในเรื่องของ การพั ฒ นาคนในชุ ม ชนเป็ น หลั ก โดยจะเน้ น เป็ น พิ เศษมากกว่ า สิ่ ง อื่ น คื อ ให้ชาวบ้านอยู่อย่างมีความสุข ปลอดภัยและสงบสุข เพราะเขาเชื่อว่าถ้าคนถูก พัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นแล้ว สิ่งอื่นก็จะพัฒนาตามไปด้วย เขาจึงสร้างนโยบาย เกี่ยวกับการศึกษาขึ้นเพื่อพัฒนาความรู้ของคนทั้งในและนอกชุมชน กล่าวคือ มี การจ้างครูชาวต่างชาติมาสอนวิชาภาษาอังกฤษ ในช่วงปิดเทอม ในเวลา 08:30


387

–11:00 น. บริเวณศาลากลางบ้านให้กับชาวบ้านในห้วยทบ รวมถึงชาวบ้านจาก ภายนอกก็สามารถเข้ามาเรียนได้ โดยที่ชาวบ้านไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเรียน เลย แต่ในปัจจุบันถูกยกเลิกไปแล้วเนื่อ งจากมีงบประมาณไม่เพียงพอในการ ว่าจ้าง (ปกป้อง บัวเจริญ, 2559: สัมภาษณ์) นอกจากนี้ ใ นเรื่ อ งของสาธารณสุ ข แม้ ว่ า ภายในห้ ว ยทบจะไม่ มี โรงพยาบาล แต่ถ้าหากมีชาวบ้านคนใดเกิดเจ็บป่วยหรือมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ ต่างๆก็สามารถมาแจ้งกับผู้ใหญ่ บ้านได้ หลังจากนั้นก็จะถูกส่งตัวไปรักษายัง โรงพยาบาลใกล้เคียง เช่น โรงพยาบาลท่ายาง ซึ่งเป็นโรงพยาบาลประจาอาเภอ ท่ า ยาง หรื อ โรงพยาบาลพระจอมเกล้ า เพชรบุ รี อี ก ทั้ ง ในแต่ ล ะเดื อ นจะมี อาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) เข้ามาตรวจสุขภาพชาวบ้านทุกเดือน เดือนละ 1 ครั้งอีกด้วย (อ้างแล้ว, 2559: สัมภาษณ์) ภายในห้วยทบยังมีบริเวณที่เรียกว่า ศาลากลางบ้าน ใช้เป็นสถานที่จัด งานในวันสาคัญต่างๆ เช่น วันพ่อ วันแม่ วันเด็กแห่งชาติ วันสงกรานต์ วันขึ้นปี ใหม่ วันสาคัญทางพระพุทธศาสนาต่างๆ เป็นต้น จะมีการนิมนต์พระ ทาบุญ ตัก บาตร จัดงานจับสลากของขวัญต่างๆ บริเวณศาลากลางบ้านหลังนี้ รวมถึงยังมี กิจกรรมท าความสะอาดชุม ชนอีกด้ วย ในวัน สาคั ญ ต่างๆ ชาวบ้ านในแต่ล ะ ครอบครัวมักช่วยกันทาอาหารมาเพื่อเลี้ยงคนภายในชุมชน ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ เป็นกิจกรรมที่ช่วยสร้างความเป็นหนึ่งเดียว ความสามัคคี ความเป็นปึกแผ่น รวมถึ ง สร้ า งความสั ม พั น ธ์ อั น ดี แ ก่ ค นในห้ ว ยทบอี ก ด้ ว ย (อ้ า งแล้ ว , 2559: สัมภาษณ์)


388

9. การศึกษา 9.1. การศึกษาอย่างเป็นทางการ ด้วยบริเวณห้วยทบไม่มีที่ตั้งของโรงเรียน ชาวบ้านห้วยทบจึงต้องส่ง บุตรหลานไปศึกษาเล่าเรียนยังโรงเรียนที่อยู่ภายนอกหรืออยู่ใกล้เคียงกับชุมชน ห้วยทบ โดยโรงเรียนในบริเวณใกล้เคียงที่ส่วนมากชาวบ้านจะนิยมส่งบุตรหลาน ไปเรียน ได้แก่ 1) โรงเรียนวัดหนองจอก ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2465 ตั้งอยู่ที่ หมู่ที่ 7 บ้าน หนองจอก ตาบลหนองจอก อาเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี อย่างเช่นกรณีของ คุณมณี ม่วงทอง ที่เล่าว่า ส่งลูกเรียนที่นี่ โดยเรียนฟรี ไม่เสียค่าเล่าเรียนและ สมัยที่ลูกของเขายังเรียนหนังสืออยู่ก็ได้ให้เงินลูกวันละ 25 สตางค์ เพื่อนาไป เป็นค่าใช้จ่ายขณะไปเรียนในแต่ละวัน 2) โรงเรียนบ้ านหั น ตะเภาเป็ น โรงเรียนในสังกั ด ส านั ก งานเขตพื้ น ที่ การศึ ก ษาประถมศึ ก ษาเพชรบุ รี เขต 2 ตั้ งอยู่ ที่ หมู่ ที่ 10 ต าบลหนองจอก อาเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2482 3) โรงเรียนดอนเตาอิฐตั้งอยู่ที่ หมู่ที่ 4 บ้านดอนเตาอิฐ ตาบลปึกเตียน อาเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2499 4) โรงเรียนหนองจอกวิท ยา ตั้งอยู่ที่ หมู่ที่ 6 บ้านหนองจอก ตาบล หนองจอกอาเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2520 เช่นเดียวกัน กับคุณนิจ ม่วงทองที่ส่งลูกชายไปเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ ซึ่งมีระยะทางที่ถือว่าไม่ ไกลจากหมู่ บ้ า นห้ ว ยทบมากนั ก โดยมี ร ะยะทางห่ า งจากหมู่ บ้ า นห้ ว ยทบ ประมาณ 3 กิโลเมตร (สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ, 2558: ออนไลน์)


389

ภาพที่ 5.15 โรงเรียนบ้านหันตะเภา (ที่มา: https://www.youtube.com เข้าถึงเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2559) ชาวบ้ า นส่ ว นมากในห้ ว ยทบเลื อ กศึ ก ษาอย่ า งเป็ น ทางการภายใน โรงเรียนถึงระดับชั้นที่การศึกษาขั้นพื้นฐานของรัฐกาหนดเท่านั้น คือ เรียนจบ ชั้น ประถมศึก ษาปี ที่ 4 ประถมศึกษาปี ที่ 6 และมั ธยมศึ กษาปี ที่ 3 กล่าวคื อ ชาวบ้านส่วนมากไม่ได้เล่าเรียนในโรงเรียนจนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หรือไม่ได้ ศึกษาต่อยังระดับอุดมศึกษาหรือในมหาวิทยาลัย แต่จะออกจากโรงเรียนมา ทางานหรือช่วยครอบครัวเพื่อทาไร่ ทานาเป็นส่วนมาก อย่างเช่นกรณีของลูก ของคุณชมภู่ ม่วงทอง ที่เรียนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 แล้วออกมาช่วยครอบครัว ทางาน จะเห็นได้ว่าชาวบ้านห้วยทบเน้นให้ความสาคัญกับการศึกษาอย่างไม่ เป็นทางการมากกว่า ซึ่งเป็นการศึกษาจากสิ่งรอบตัว จากอาชีพที่ครอบครัวทา ผ่านการส่งต่อ การสังเกต และการเรียนรู้จากคนภายในครอบครัวที่ทาต่อกันมา


390

เป็นเวลายาวนานตั้งแต่อดีต ซึ่งการศึกษาอย่างไม่เป็นทางการส่วนมากจะเน้นใน เรื่องเกี่ยวกับการทาไร่ทานาต่างๆ เพราะวิถีชีวิตของคนห้วยทบส่วนใหญ่ยังคง ผูกติดกับการทาการเกษตรกรรมอยู่ โดยการศึกษาอย่างไม่เป็นทางการของ ชาวบ้านห้วยทบ มีดังต่อไปนี้ 9.2. การศึกษาอย่างไม่เป็นทางการ นอกจากการศึกษาเกี่ยวกับด้านวิชาการภายในโรงเรียนแล้ว ชาวบ้าน ห้วยทบยังได้ส่งต่อการศึกษาอย่างไม่เป็นทางการหรือภูมิปัญญาต่างๆ ในการ ประกอบอาชีพหรือการดาเนินชีวิตประจาวันต่างๆ ให้กับลูกหลานอีกด้วย เป็น การสืบทอดและส่งต่อองค์ความรู้เกี่ยวกับการเกษตรกรรม ทานา ทาไร่ จากรุ่นสู่ รุ่น เช่น กรณีของคุณจารัส บัวเจริญ อายุ 56 ปี ที่คุณแม่ของเขาได้สอนความรู้ เกี่ยวกับการรักษาโรคโดยใช้สมุนไพรหรือพืชผักต่างๆ ที่สามารถปลูกได้ภายใน ครัวเรือนหรือสามารถหาได้ ทั่ วไปภายในชุม ชน ได้ แก่ เมื่ อ ปวดท้ องให้ เคี้ย ว กะเพรา เมื่อมีอาการไอให้นาตะไคร้และข่ามาต้มเป็นน้าแล้วนามาดื่ม อาการจะ หายภายในครั้ ง แรกที่ ดื่ ม ถ้ า ตกเลื อ ดให้ น าไม้ ฝ างมาต้ ม น้ าแล้ ว ดื่ ม และ มีความเชื่อว่าเมื่อดื่มเสร็จให้ถามว่าหายไหม แล้วจึงตอบว่าหาย จากนั้นให้โยน กระป๋องที่ใส่น้าดังกล่าวทิ้งทันที (จารัส บัวเจริญ, 2559: สัมภาษณ์) รวมถึงกรณีของนายสาราญ มิ่งแม้น อายุ 60 ที่เล่าว่าตัวของเขาก็ได้รับ การถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับการเลือกไม้ และอุปกรณ์ที่ใช้ในการทานาจาก พ่อของเขา (นายสาราญ มิ่งแม้น , 2559: สัมภาษณ์) หรือจะเป็นกรณีของคุณชู ฉ่ าชื่ น อายุ 60 ปี ที่ มี อ าชี พ ท านาและลู ก ชายของเขา คื อ คุ ณ ปรี ช า ฉ่ าชื่ น อายุ 30 ปีที่ยังคงทานาต่อจากผู้เป็นพ่อ ซึ่งเขาได้รับองค์ความรู้เกี่ยวกับการทา นาหลายอย่างมาจากพ่อของเขาเอง เช่น เลี้ยงเป็ดไว้ในนาเพื่อไว้กาจัดศัตรูพืช อย่างหอยเชอรี่ ซึ่งเป็นสัตว์ที่คอยมาทาลายผลผลิตให้ผลผลิตไม่เจริญงอกงาม เป็นต้น (ชู ฉ่าชื่น, 2559: สัมภาษณ์)


391

หรือจะเป็นในกรณีของคุณเนย แก้วเนตร ที่เรียนรู้วิธีการสานสุ่มไก่มา จากการดูวิธีทา วิธีสานและวิธีเหลาตอกจากผู้อื่นและศึกษาด้วยตัวเองจากการ สั งเกตสุ่ ม ที่ ผู้ อื่ น สานไว้แ ล้ ว โดยคุ ณ เนยจะซื้ อ ไม้ สี สุ ก มาจากเขื่ อ นเพชรบุ รี เมื่อก่อนราคาลาละ 60 - 70 บาท ส่วนในปัจจุบันราคาลาละ 120 บาท โดยจะ เลือกเป็น ไม้ สีสุ กที่ แก่ ซึ่ งจะมี ลั กษณะเป็น สีท อง น าไม้ดังกล่าวมาเหลาตอก ทั้งหมดใช้เวลา 1 วัน ส่วนการสานสุ่มไก่ ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงต่อสุ่ม 1 อัน ขายได้อย่างต่าในราคาอันละ 250 บาท (เนย แก้วเนตร, 2559: สัมภาษณ์) จากข้อมู ล พื้ น ฐานทั้ งหมดข้างต้น มา อาจกล่าวได้ว่าบ้ านห้ วยทบใน ปัจจุบันได้มีรูปแบบการดาเนินวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีตมาก ซึ่งมีที่มา จากปัจจัยทั้งภายนอกและภายใน กล่าวคือ นโยบายการพัฒนาเพื่อคุณภาพชีวิต ที่ดีขึ้นของรัฐเข้ามามีพัฒนาทางด้านระบบสาธารณูปโภคทาให้เกิดความสะดวก ในการคมนาคม ระบบไฟฟ้า และการจัดการน้า อันตอบสนองต่อสิ่งอานวย ความสะดวกพื้นฐานในชีวิตของชาวบ้านห้วยทบ นโยบายและการเข้ามีบทบาท ของรัฐดังกล่าวนับเป็นปัจจัยภายนอก ส่วนปัจจัยภายในคือการที่ชาวบ้านเลือก รับสิ่งต่างๆนั้นด้วยตัวของพวกเขาเอง แต่ถึงกระนั้ นก็ไม่ได้ทาให้รูปแบบ และ มโนทัศน์ของชาวบ้านห้วยทบเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง วิถีชีวิตของชาวบ้านห้วยทบ ยังคงผู กพั น อยู่กั บ พื ชพั น ธุ์ และสั ต ว์เลี้ ยงต่ างๆ ในการยังชีพ เพี ย งแต่ มี การ ปรับเปลี่ยนไปตามบริบทของระบบสาธารณูปโภค และเทคโนโลยีที่เข้ามา

10. การพัฒนากับบทบาทของวิถีการเกษตร จากอดีตสู่ปัจจุบันเรามักจะพบเห็นการพัฒนาที่เข้าไปมีบทบาทกับวิถี ชี วิ ต ของผู้ ค นที่ อ าศั ย อยู่ ดั้ ง เดิ ม ซึ่ ง การพั ฒ นาดั ง กล่ า วมั ก มี จุ ด เริ่ ม ต้ น จาก หน่วยงานต่างๆ ทั้งของรัฐและเอกชนที่มุ่งส่งเสริมวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ให้ดี ขึ้นตามจุดมุ่งหมายของการพัฒนาด้านต่า งๆ บางครั้งรัฐอาจกลายเป็นผู้กาหนด หรื อ ผู้ ชี้ เ ป้ า หมายและทิ ศ ทางในการพั ฒ นาโดยตรงและมั ก จะเป็ น การ


392

เปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของผู้ที่ได้รับการพัฒนาไปอย่างกลายๆ (ไชยรัต น์ เจริญ สิ น โอฬาร, 2554: 97) บ้ านห้ วยทบ เป็ น อี ก พื้ น ที่ ห นึ่ งที ก าร พัฒนาจากหน่วยงานต่างๆ ได้เข้ามามีบทบาทกับวิถีความเป็นอยู่โดยจะเห็นได้ ชัดจากระบบเศรษฐกิจในส่วนของวิถีการผลิตด้านเกษตรกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป จากหน้ามือเป็นหลังมือ การเข้ามาของระบบสาธารณูปโภคอันเป็นสวัสดิการขั้น พื้นฐานของรัฐจึงกลายเป็นปัจจัยสาคัญอย่างยิ่งสาหรับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ ซึ่งปัจจัยใหญ่ๆ จะแบ่งออกเป็น 3 ปัจจัย ดังต่อไปนี้ 10.1. เส้นทางการคมนาคม: พัฒนาการของถนน บ้านห้วยทบ แต่เดิมในอดีตเส้นทางการคมนาคมของหมู่บ้านจะเป็นทางเกวียน มี ลั ก ษณะคดเคี้ ย วไปมา เส้ น ทางเกวีย นจากห้ วยทบสามารถสั ญ จรไปยั งต่ าง หมู่บ้าน ต่างตาบลหรือแม้กระทั่งเข้าตัวเมือง จากคาบอกเล่าของนางอู๋ คงทิพย์ วัย 85 ปี พบว่า สมัยก่อนมีการนาถ่านที่ได้จากการเผาไม้ที่ถางสาหรั บเตรียม พื้นที่ในการทานาใส่เกวียนและนาไปขายที่บ้านท่า อาเภอชะอา (อู๋ คงทิพย์ , 2559: สัมภาษณ์ ) ซึ่ งหากลองเที ยบระยะทางจากแผนที่ ปั จจุบั นแล้วจะเป็ น ระยะทางกว่า 23 กิโลเมตรโดยประมาณหรือการเดินทางไปยังที่ต่างๆ ก็มักจะ ใช้ทางเกวียนเป็นเส้นทางในการคมนาคมโดยพาหนะสาคัญ ก็คือ เกวียน รวมไป ถึ ง การเดิ น เท้ า ด้ ว ย ส าหรั บ การเดิ น เท้ า นอกจากการเดิ น เพื่ อ ค้ า ขายหรื อ แลกเปลี่ยนสินค้ากับคนนอกพื้นที่แล้ว ในสมัยก่อนทางเกวียนยังเป็นเส้นทาง สาหรับชาวห้วยทบที่จะพาไปสู่สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ อย่างเช่น อาเภอเขาวัง คุณยายนิล แสนสบาย วัย 87 ปี ได้เล่าถึงช่วงชีวิตสมัยยังเป็นวัยรุ่นว่า


393 เมื่อก่อนวัยรุ่นเขาจีบกัน เขาก็ชวนกันไปเที่ยว ไปเขาวัง บ้าง ชะอาบ้าง ไปเป็นกลุ่มก็มีไปสองคนก็มี เขาเดินไปสมัยนั้นไม่มี รถไปหรอก (นิล แสนสบาย, 2559: สัมภาษณ์)

นอกจากนี้ยังมีรถไฟไทยที่เป็นเส้นทางการคมนาคมที่สาคัญไม่แพ้กับ ทางเกวียน เส้นทางรถไฟยังเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการเดินทางไปค้าขายหรือ แลกเปลี่ยนสิ่งของกับคนภายนอกพื้นที่อีกด้วย จะเห็นได้ว่าในอดีตนั้นเส้นทาง คมนาคมหลักของบ้านห้วยทบก็คือ ทางเกวียนและรถไฟนั่นเอง

ภาพที่ 5.16 ภาพตัวอย่างทางเกวียน (ที่มา: http://s798.photobucket.com เข้าถึงเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2559) ต่ อ มาเมื่ อ ประมาณ พ.ศ. 2509 ได้ มี ก ารถมถนนดิ น ขึ้ น เพื่ อ การ คมนาคมที่สะดวกสบายยิ่งขึ้นโดยการทาถนนดินดังกล่าวได้ใช้วิธีการเอาแรง กล่าวคือ การร่วมมือร่วมแรงของชาวบ้านในการทาถนนเส้นนี้นั่นเองและเมื่อ


394

พ.ศ. 2545 ทางองค์ ก ารบริ ห ารส่ ว นต าบลหนองจอกได้ เข้ า มาปรั บ เปลี่ ย น ทั ศ นี ย ภาพและเพื่ อ ส่ ง เสริ ม ด้ า นการคมนาคมของชาวบ้ า นโดยการจั ด ท า ถนนลาดยางเป็นครั้งแรกที่ตัดผ่านเส้นเป็นทางคมนาคมในหมู่บ้านห้วยทบ (นิจ ม่วงทอง, 2559: สัมภาษณ์) 10.2. การบริหารจัดการน้า จากแต่เดิมที่ชาวบ้านห้วยทบอาศัยน้าเพื่ออุปโภคและบริโภคจากน้าฝน ที่ตกตามฤดูกาลโดยจะมีบ่อกักเก็บน้าอยู่บริเวณใกล้กับห้วยหรือใช้น้าจากการ ขุดบ่อบาดาลในการอุปโภคและบริโภค การเจาะน้าบาดาลนั้นจะทาการว่าจ้าง บริ ษั ท จากต่ า งพื้ น ที่ ม าท าการเจาะบ่ อ บาดาลและมี ก ารใช้ น้ าจากคล อง ชลประทานที่ผันมาจากเขื่อนเพชร อาเภอท่ายาง ซึ่งเขื่อนเพชรจะใช้น้าจาก แม่น้าเพชรบุรีและมากระจายสู่คลองชลประทานไปยังหมู่บ้านต่างๆ สาหรับ หมู่บ้านห้วยทบจะใช้น้าจากคลองชลประทานสาย 2 ที่จะผันจากเขื่อนเพชรผ่าน หมู่บ้านห้วยทบและไหลลงสู่ทะเลทางอาเภอชะอาต่อไป ทั้งนี้ การอุปโภคและ บริโภคน้าของชาวห้วยทบจึงขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก คือ น้าฝนจากธรรมชาติ และ ปั จจั ยรอง คือ น้ าจากการจัด การของคลองชลประทาน ซึ่ งการอุ ป โภคและ บริโภคส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของการทาเกษตรกรรม ดังนั้นในอดีตที่ยังไม่มีการ จัดการน้าอย่างเป็นระบบเช่นในปัจจุบันจึงส่ง ผลให้การทาการเกษตรหลักของ ชาวห้วยทบอย่างการทานาปีที่จะใช้น้าจากน้าฝนเป็นหลักและคลองชลประทาน ที่จะช่วยในการจัดการน้าให้เพียงพอต่อการใช้งานอีกทางหนึ่ง อย่างไรก็ดีการ จั ด การน้ าดั ง กล่ า วจ าเป็ น ต้ อ งขึ้ น กั บ ปริ ม าณน้ าฝนในปี นั้ น ๆด้ ว ยเช่ น กั น จนกระทั่งเมื่อประมาณ พ.ศ. 2551 ทางหมู่บ้านห้วยทบได้ยื่นเรื่องไปยังเทศบาล ตาบลหนองจอกเพื่อขอให้เทศบาลดาเนินการวางท่อประปา เพราะขณะนั้นทาง เทศบาลมีการจัดการน้าที่ค่อนข้างได้มาตรฐานและสามารถกระจายน้าประปา ไปยังพื้นที่ใกล้เคียงได้อย่างทั่วถึง (นิจ ม่วงทอง, 2559: สัมภาษณ์)


395

นอกจากนี้การจัดการน้าในพื้นที่บ้านห้วยทบยังมีอีกหนึ่งปัจจัยสาคัญที่ ให้มีการจัดการน้าอย่างเป็นระบบ นั่นก็คือ เขื่อนแก่งกระจานและเขื่อนเพชร ซึ่ง ทั้ ง สองเขื่ อ นมี บ ทบาทอย่ า งยิ่ ง ในการจั ด การน้ าที่ เข้ า สู่ บ้ า นห้ ว ยทบและ เปลี่ ย นแปลงวิถี ก ารเกษตรหลั ก จากแต่ เดิ ม ที่ เป็ น การท านาปี เมื่ อ เริ่ม มี ก าร จัดการน้าที่เป็นระบบทาให้ชาวห้วยทบมีน้าใช้อย่างเพียงพอและเกินปริมาณที่ จาเป็นต่อการท านา 1 ครั้งต่อปี ทาให้ชาวบ้านเริ่มหันมาทาปรัง คือ ทา 2-3 ครั้งต่อปีเนื่องจากมีปริมาณน้าที่เพียงพอ อีกทั้งยังได้ผลผลิตที่มากขึ้นเท่ากับว่า จะมีรายได้เพิ่มขึ้นด้วย โดยเขื่อนทั้งสองมีบทบาทสาคัญดังนี้

ภาพที่ 5.17 เขื่อนแก่งกระจาน (ที่มา: http://wrcmislab.eng.kps.ku.ac.th เข้าถึงเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2559) เขื่อนแก่งกระจาน เขื่อนแก่งกระจานเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสาคัญอันนามาซึ่งการเปลี่ยนแปลง ของวิถีการผลิตของชาวห้วยทบ อันเนื่องมาจากเขื่อนแก่งกระจานเป็นเขื่อนกัก


396

น้ าขนาดใหญ่ สร้างแล้ วเสร็จเมื่ อปี พ.ศ. 2509 ตั้ งอยู่ท างตอนเหนื อของแม่ เพชรบุรี อาเภอแก่งกระจานและอยู่ทางเหนือของเขื่อนเพชรอีกทีหนึ่ง ดังนั้น เขื่อนแก่งกระจานจึงมีหน้าที่กักเก็บไว้ใช้ยามจาเป็นอย่างช่วงฤดูแล้งซึ่งเป็น ผล ทาให้เกิดการจัดการน้าที่ดีและชาวบ้านสามารถใช้น้าในส่วนนี้ทาการเกษตร แบบใหม่ (นาปรัง) ได้อย่างเพียงพอ (วิกิพีเดีย, 2558: ออนไลน์)

ภาพที่ 5.18 เขื่อนเพชร (ที่มา: http://topicstock.pantip.com เข้าถึงเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2559) เขื่อนเพชร เขื่อนเก่าแก่ของจังหวัดเพชรบุรีอีกแห่งหนึ่ง สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2485 แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2493 ซึ่งเขื่อนเพชรจะมีลักษณะเป็นประตูน้าที่ปิดกั้นแม่น้า เพชรบุรีมิได้เป็นอ่างเก็บน้าเหมือนกับเขื่อนแก่งกระจาน ปลายทั้งสองข้างของ เขื่อนมี ลัก ษณะเป็ น ฝาย นั่ น เป็ น เพราะแต่ เดิม เขื่อ นเพชรมี ไว้สาหรับ ทั้ งการ


397

ระบายน้ าในฤดู น้ าหลากและใช้ ท ดน้ าในฤดู น้ าแล้ ง ด้ ว ยเช่ น กั น (ส านั ก ชลประทานที่ 16 กรมชลประทาน, 2558: ออนไลน์) 10.3. การไฟฟ้า จากคาบอกเล่าของนายปกป้อง บัวเจริญ อายุ 46 ปี ผู้ดารงตาแหน่ง ผู้ใหญ่บ้านคนปัจจุบันของบ้านห้วยทบได้เล่าให้ฟังว่า ไฟฟ้าเริ่มเข้ามาในหมู่บ้านในช่วง 40 กว่าปีที่ผ่านมาหรือ ช่วง พ.ศ. 2519 ซึ่งก่อนหน้าที่ไฟฟ้าจะเข้าถึงพื้นที่นั้น ชาวบ้าน ส่วนใหญ่ยังคงใช้ตะเกียงในการให้แสงสว่างในช่วงเวลากลางคืน ตามวิถีดั้งเดิมของคนสมัยก่อน (ปกป้อง บัวเจริญ, 2559: สัมภาษณ์)

ตะเกียงจึงเป็นอุปกรณ์สาคัญในการดารงชีวิตของชาวห้วยทบในอดีต โดยเฉพาะช่วงเวลากลางคืนเพราะเป็นเสมือนสิ่งเดียวที่ให้แสงสว่าง ทาให้ชาว ห้วยทบสามารถใช้ชีวิตในช่วงกลางคืนได้อย่างปลอดภัย แต่หลังจากที่มีไฟฟ้า เข้ามายังพื้นที่นอกจากจะเป็นสิ่งสาคัญในการใช้ชีวิตช่วงกลางคื นแล้ว ไฟฟ้ายัง นามาซึ่งเทคโนโลยีต่างๆ จะเห็นได้ว่าหน่วยงานต่างๆ ได้เข้ามาพัฒนาระบบสาธารณูปโภคให้มี มาตรฐานส่งผลให้ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนดีขึ้นตามลาดับและชาวห้วยทบเอง ก็สามารถปรับตัวให้สอดรับการพัฒนาที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ถนนหนทางที่มี พัฒนาการตามลาดับขั้ นก็เพื่อตอบสนองและอานวยความสะดวกให้กับทั้งตัว ชาวบ้านห้วยทบเองและผู้ที่เข้ามามีความสัมพันธ์ในด้านต่างๆ โดยเฉพาะการค้า ขาย ดั ง จะเห็ น จากการค้ า ขายและแลกเปลี่ ย นผลผลิ ต ทางการเกษตรของ หมู่บ้าน ทั้งอดีตที่ มีการนาถ่านไปแลกกับเมล็ดพันธุ์ข้าวเพื่อนามาปลูกในฤดู


398

เพาะปลูกต่อไป นอกจากการนาสินค้าออกไปขายด้วยตัวเองแล้ว ยังมีการเข้ามา ของบุ ค คลภายนอกอย่ างเช่ น ในพ่ อ ค้ าแม่ ค้ าในตั ว เมื อ งเพชรบุ รีที่ เข้ ามาซื้ อ ผลผลิตทางการเกษตรโดยจะนารถเครื่องเข้ามารับซื้อถึงในหมู่บ้าน (อู๋ คงทิพย์ , 2559: สัมภาษณ์ ) การซื้อขายลักษณะดังกล่าวยังปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน และพ่อค้าแม่ค้าที่เข้ามายังขยายพื้นที่ออกไปมากขึ้น อย่างเช่นที่พบในปัจจุบัน จากคาบอกเล่าของ นายวัชระ ฉ่าชื่น อายุ 38 ปี พ่อค้าวัวบราห์มันหรือวัวเนื้อ ในหมู่บ้านได้เล่าให้ฟังอย่างคร่าวๆ ว่า ในปัจจุบันมีนายหน้าที่เป็นทั้งแขกและ ชาวเวียดนามเข้ามาซื้อด้วยตัวเอง เช่นนั้นจึงสามารถกล่าวได้ว่าปัจจัยหนึ่งของ การเข้ามาของบุคคลภายนอกก็คือ เส้นทางการคมนาคมที่มีความสะดวกสบาย มากขึ้นยิ่งนั่นเอง นอกจากเส้นทางการคมนาคมที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมา จนถึ ง ปั จ จุ บั น แล้ ว ยั ง มี เรื่ อ งของการจั ด การน้ าเป็ น ระบบมากขึ้ น ส่ ง ผลให้ ชาวบ้านสามารถทาการเกษตรอันเป็นอาชีพหลักได้อย่างทั่วถึง กล่าวคือ ทาง หน่ ว ยงานรัฐ ได้ มี ก ารเข้ ามาจั ด การเรื่อ งของระบบชลประทานที่ มี ผ ลต่ อ วิ ถี การเกษตรของชาวบ้าน อย่างเรื่องการจัดการการปล่อยน้าตามระยะเวลาที่ กาหนด คือ ทางชลประทานจะมี การปล่ อยน้าตลอดทั้งปี จากการสอบถาม ข้ อ มู ล จากนายนิ จ ม่ ว งทอง พบว่ า ช่ ว งเดื อ นมกราคมถึ ง พฤษภาคมทาง ชลประทานจะปล่อยน้าเข้าคลองชลประทานสาย 2 ทุกๆ 10 วัน แต่หากเป็น ช่วงฤดูกาลเพาะปลูกทางการเกษตรหรือช่วงประมาณเดือนมิถุนายนถึงธันวาคม ทางชลประทานจะปล่อยน้าทุกๆ 7 วันเพื่อให้เพียงพอต่อการอุปโภคบริโภคของ ชาวบ้ า น (นิ จ ม่ ว งทอง, 2559: สั ม ภาษณ์ ) ซึ่ งในส่ ว นนี้ เองที่ ท าให้ ช าวบ้ า น สามารถปรับเปลี่ยนวิถีการเกษตรหลักที่เป็นการทานาปีมาสู่การทาปรังโดยจะ ทา 2-3 ครั้งต่อปีอย่างเช่นในปัจจุบัน


399

11. บ้านห้วยทบกับวิถีสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป สภาพภูมิประเทศที่เป็นพื้นที่ลุ่มสลับดอนของหมู่บ้านห้วยทบ อันเป็น ลักษณะที่เอื้ออานวยต่อการประกอบอาชีพเกษตรกรรมและเป็นอาชีพหลักของ คนในหมู่ บ้ านมาตั้ งแต่แ รกเริ่ม เข้ามาตั้ งพื้ น ที่ อยู่อาศั ย พื ชผลที่ นิ ยมปลูกคื อ “ข้าว” ดังที่กล่าวมาแล้วว่าการเข้ามาของเขื่อนและระบบสาธารณูปโภคเพื่อ อานวยความสะดวกของคนในท้องถิ่น เป็นปัจจัยที่ทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ของระบบการทานา นั่นหมายถึงแหล่งรายได้จากการทานาที่จะมีเพิ่มมากขึ้น จากหนึ่ งครั้งต่ อ ปี ม าเป็ น สองถึ งสามครั้งต่ อ ปี การสร้างเขื่ อ นเพชรบุ รีท าให้ สามารถเพิ่ ม ช่ ว งเวลาในการท านาของชาวบ้ า นห้ ว ยทบ ภายในรอบหนึ่ ง ปี สามารถทานาได้เพิ่มขึ้น จากหนึ่งครั้งเป็นสองถึงสามครั้งได้ เป็นเพราะมีปริมาณ น้าที่มากเพียงพอต่อการทานาตลอดทั้งปี การพัฒนาให้มีระบบเขื่อนเป็นการ เปลี่ยนแปลงจากทางภาครัฐที่ส่งผลให้การประกอบอาชีพทานาปรับเปลี่ยนทั้ง จานวนครั้งที่ทาในหนึ่งปี วิธีการปลูกข้าวในรูปแบบของนาปรัง และยังเอื้อต่อ การปลู กพื ช ชนิ ด อื่น นอกเหนื อ ไปจากข้าว เมื่ อ วิถี ก ารผลิ ต ได้ ป รับ เปลี่ย นไป กล่าวคือ ก่อนการเข้ามาของเขื่อน ชาวบ้านทานาได้เพียงปีละครั้ง (นาปี) การ ปลูกข้าวจึงยังสามารถอาศัยแรงงานคนและวัว เนื่องจากไม่ต้องเร่งมือในการ ผลิตเพื่อเตรียมผืนนาในการทานาครั้งต่อไป และการทานาได้ปีละครั้งจึงส่งผล ต่ อ รายได้ ที่ ช าวนาจะได้ รั บ จากการขายข้ า วครั้ ง เดี ย วต่ อ ปี เช่ น กั น ดั ง นั้ น ช่วงเวลาที่ว่างเว้นจากการทานา ชาวบ้านจึงต้องหาอาชีพเสริมอื่นเพื่อเป็นแหล่ง รายได้อีกทางหนึ่ง เช่น การรับจ้างถางป่า (ช้อย บัวเจริญ, 2559: สัมภาษณ์) แต่ เมื่ อ เกิ ด การสร้างเขื่ อ น วิถี ก ารผลิ ต จึ งได้ เปลี่ ย นไป เพราะการท านาที่ ท าได้ จานวนครั้งเพิ่มขึ้น ซึ่งหมายถึงรายได้จากการขายข้าวก็เพิ่มมากขึ้น และการจะ ใช้แรงงานคนและสัตว์ทานาเช่นเดิมจึงไม่สามารถผลิตได้ทันท่วงที เพราะเป็น แรงงานที่มีกาลังจากัด จึงได้มีการพึ่งพาเทคโนโลยี เช่น รถไถนาในการไถหน้า ดินแทนใช้วัวลากคราด รถนวดข้าวแทนการใช้วัวเดินเหยียบ แรงงานวัวจึงได้


400

หมดหน้าที่ในการทานาหรือเลี้ยงไว้ใช้งาน และปรับเปลี่ยนมาเป็นการเลี้ยงวัว เพื่อเอาไว้ขายเนื้อ รวมถึงการที่มีน้ากักเก็บไว้ใช้จากเขื่อ นไม่ต้องพึ่งพาน้าฝน แบบแต่ก่อน ทาให้สามารถปลูกพืชชนิดอื่นเสริมได้ เช่น มะพร้าว มะเขือเทศ กล้วยน้าว้า ซึ่ งเอาไว้ทั้ งบริโภคภายในครัวเรือนและขายด้วย (ปรีชา ฉ่าชื่น , สัมภาษณ์: 2559) เห็นได้ว่าการเข้ามาของเขื่อนได้มาปรับเปลี่ยนวิถีการผลิต ของชาวนาในหมู่บ้านห้วยทบ เป็นปัจจัยภายนอกที่ภาครัฐเข้ามาหยิบยื่นให้กับ ชาวบ้าน และชาวบ้านก็รับสิ่งนั้นเข้ามาปรับใช้ คือชาวนาปรับเปลี่ยนวิธีการ ผลิต หรือเป็นปัจจัยภายในที่พยายามปรับตัวให้สอดคล้องไปกับปัจจัยภายนอก ดั้งนั้น การเข้ามาของเขื่อนทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของชาวบ้าน ห้วยทบ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากสิ่งประดิษฐ์ที่ส่งผลต่อการผลิตพืชผล ทางการเกษตรของคนในชุ ม ชน (banjomyut, 2543: สออนไลน์ ) การ เปลี่ยนแปลงจากการยื่นมือเข้ามาสร้างสิ่งอานวยความสะดวกจากทางภาครัฐ ทาให้ลักษณะการประกอบอาชีพของคนในบ้านห้วยทบปรับเปลี่ยนตามไปด้ วย เป็นการปรับตัวของคนในหมู่บ้านที่มีต่อปัจจัยภายนอกที่เข้ามาส่งผลกระทบต่อ วิถี ชี วิ ต การประกอบอาชี พ เป็ น ปั จ จั ย พื้ น ฐานที่ จ ะสามารถท าให้ ม นุ ษ ย์ เรา สามารถด ารงชีวิตอยู่ภ ายในสั งคมได้ การปลู กข้ าวจึงนั บ เป็ น ชีวิต ของคนใน หมู่บ้าน และมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับกิจกรรมทางสังคมอื่นๆ ในฐานะสถาบัน เศรษฐกิจที่จาเป็นต้องส่งผลกระทบส่งปฏิกิริยาต่อกันไปมาระหว่างสถาบันอื่น ในสังคมอยู่ตลอดเวลา เป็นส่วนประกอบของโครงสร้างทางสังคมที่เชื่อมโยงและ ต่ างก็ ป ฏิ บั ติ ห น้ าที่ ข องตนเองอย่ างเป็ น ระบบระเบี ย บ (สุ ภ างค์ จั น ทวานิ ช , 2555: 137 - 138)


401

11.1. ด้านครอบครัวและเครือญาติ การปลูกข้าวเป็นอาชีพที่ต้องใช้แรงงานและใช้เวลาในการดูแล จึงเป็น ปกติที่สมาชิกในครัวเรือนหนึ่งจาต้องให้ความช่วยเหลือกัน เพราะเป็นเรื่องของ รายได้ที่จะมาจุนเจือครอบครัวรวมถึงการเลี้ยงสัตว์ที่หลายครัวเรือนมีการทา ควบคู่กันไปกับเกษตรกรรม สมาชิกในครอบครัวจึงมีการแบ่งงานกันทาเช่น ใน ครอบครัวของนายชู ฉ่าชื่น ประกอบอาชีพทานา ปลูกพืชสวน และเลี้ยงวัวเนื้อ เป็ด ไก่ โดยนายชูจะเริ่มขั้นตอนการทานาตั้งแต่เตรียมหน้าดิน หว่านเมล็ด เมื่อ ข้าวออกผลผลิตจึงเป็นหน้าที่ของลูกชายเขา คือ นายปรีชาจะเป็นคนเก็บเกี่ ยว ผลผลิตโดยใช้รถไถ่ และนาส่งขายให้กับโรงสีในอาเภอท่ายาง ส่วนใหญ่ นาย ปรีชาจะมีหน้าที่เลี้ยงสัตว์มากกว่า โดยวัวจะส่งขายให้กับโรงเชือดในประเทศ เวียดนาม และเป็ดไก่จะเป็นการรับซื้อมาเลี้ยงจากโรงฟักในชลบุรี เมื่อเป็ดไก่โต เต็มที่จะขายคืนให้กับโรงฟัก ส่วนตามคันนาครอบครัวนี้ยังปลูกพริก มะเขือ กล้วยน้าว้า และมะพร้าว ส่งขายที่ตลาดสดหนองบ๊วยใน อ.ท่ายาง นายปรีชายัง สอนให้ลูกสาวเริ่มรู้จักเลี้ยงวัว เพื่อเรียนรู้กิจการภายในบ้านไว้ เขาวางแผนที่จะ ให้ลูกสาวสืบอาชีพเกษตรกรและเลี้ยงสัตว์นี้ไว้เป็นมรดกตกทอดส่งต่อกันไป เรื่อยๆในสายตระกูล (ปรีชา ฉ่าชื่น, 2559: สัมภาษณ์) 11.2. ด้านการศึกษา การใช้ แ รงงานสมาชิ ก ในครอบครัว เพื่ อ แบ่ งเบาภาระหน้ าที่ ในการ ประกอบอาชีพ ทาให้เกิดการเปลี่ยนถ่ายองค์ความรู้การประกอบอาชีพนั้นๆ ส่ง ทอดกั น ต่ อ ไปภายในตระกู ล ในครอบครั ว นายชู ฉ่ าชื่ น ก็ ได้ ส่ ง ทอดอาชี พ เกษตรกรรมและการเลี้ยงสัตว์มาสู่ลูกชายคือนายปรีชา และนายปรีชาก็วางแผน อนาคตที่จะส่งทอดผืนนาที่ดินทากินนี้ให้แก่ลูกสาวของเขาไว้ทามาหากินต่อไป เช่นกัน นายชูได้สอนนายปรีชาให้รู้จักทานาตั้งแต่อายุ 12 ขวบ เพื่อให้ช่วยเหลือ ตัวเขาทานา ปัจจุบันนายปรีชายังคงช่วยพ่อเขา (นายชู) ทานา เลี้ยงสัตว์ และ


402

เริ่มสอนให้ลูกสาวรู้จักเรียนรู้การให้อาหารวัวและการฉีดยาบารุงวัวบ้างแล้ว โดยนายปรีชามีความตั้งใจว่าเมื่อลูกสาวเรียนจบชั้นมัธยมก็จะให้ทานาเลี้ยงสัตว์ ต่อเลย ถือเป็นมรดกที่ ดินท ากินและพื้นที่ อยู่อาศัยที่จะยกให้ประกอบอาชีพ ต่อไปในอนาคต (เพิ่งอ้าง, 2559: สัมภาษณ์) ปัจจุบันการศึกษาภาคบังคับจากทางรัฐเข้ามาถึงชุมชนมากขึ้น เด็กๆ ได้มีโอกาสเรียนหนังสือมากขึ้น การศึกษาได้กลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการ นาความรู้ที่ได้ไปประกอบอาชีพ ส่งผลให้มีการเข้ารับราชการเป็นลูกจ้างบริษัท นอกเหนือไปจากอาชีพชาวนาผู้ใหญ่บ้านคนปัจจุบัน นายปกป้อง บัวเจริญ ก็ได้ ให้ความสาคัญต่อการศึกษาของลูกบ้านตนเองเป็นอย่างมาก มีการจ้างครูชาว อังกฤษมาสอนพิเศษภาษาอังกฤษเพิ่มเติมให้กับเด็กภายในหมู่บ้านในช่วงปิด เทอม วันละ 4 ชั่วโมงตกค่าจ้างเดือนละ 10,000 บาท รวมถึงมีเด็กจากหมู่บ้าน อื่ น ก็ ม านั่ งเรีย นด้ ว ย แต่ ในปี นี้ ต้ อ งยกเลิ ก ไปเนื่ อ งจากงบประมาณจากทาง ภาครัฐ ที่ ให้ ม าในท้ อ งถิ่ น มี ไม่ เพี ย งพอค่ าจ้างครูต่ างชาติ (ปกป้ อ ง บั วเจริญ , 2559: สั ม ภาษณ์ ) จึ ง เป็ น ผลกระทบจากสถาบั น การปกครองมาสู่ ส ถาบั น เศรษฐกิจและสถาบันการศึกษาต่อกันมาเป็นทอดๆ 11.3. ด้านการเมืองการปกครอง ในปีนี้ (2559) คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้ประกาศให้เกษตรกร เว้นช่วงการทานาไปก่อน เนื่องจากน้าในเขื่อนแก่งกระจานมีปริมาณไม่เพียงพอ และการทานาต้องใช้น้าในปริมาณมาก ชาวบ้านจึงต้องหันมาเลี้ยงสัตว์ ปลูกพืช สวนที่ ใช้ น้ าน้ อ ย แทนที่ ก ารปลู ก ข้ า ว ซึ่ งเป็ น การปรั บ ตั ว ของชาวบ้ า นตาม สถานการณ์ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ของทางภาครัฐ สัตว์ที่คนในหมู่บ้านนิยม เลี้ยงเพื่อขายเอาเนื้อ ได้แก่ วัวพันธุ์บราห์มัน หมู เป็ด ไก่ การเลี้ยงสัตว์เหล่านี้ ต้องมีการดูแลเพื่อให้ได้เนื้อที่มากพอและมีคุณภาพ จึงมีการซื้ออาหารสาเร็จรูป ที่เน้นให้ร่างกายของสัตว์ สมบูรณ์ เช่น อาหารวัวเนื้อสาเร็จรูป มีลักษณะเป็น


403

ก้อนกลม ทามาจากข้าวโพด รา มันสาปะหลัง ปันรวมกันเป็นก้อนขนาดใหญ่ หนักกว่า 40 กิโลกรัม ราคาตกก้อนละ 350 บาท นอกจากอาหารแล้ว วัวตัว หนึ่งยังต้องฉีดยาบารุง ตกเข็มละ 800 บาท และวัคซีนป้องกันโรคเท้าเปื่อยอีก 1,000 บาท ส่ ว นการเลี้ ย งหมู จ ะให้ กิ น หยวกกล้ ว ยและร า หรื อ เป็ น อาหาร สาเร็จรูปจากโรงงาน การขายเนื้อวัวจะขายต่างจากเนื้อหมู คือวัวจะส่งขาย ให้กับโรงฆ่าสัตว์ ขายเป็นตัวๆไป ส่วนหมูจะเป็นการเพาะพันธุ์เพื่อขายลูก โดย ชาวบ้านจะเลี้ยงแม่พันธุ์ไว้แล้วจึงไปจ้างพ่อพันธุ์ให้มาผสมพันธุ์กันเอง ค่าจ้างพ่อ พันธุ์ตกครั้งละ 500 บาท ในหมู่บ้านห้วยทบไม่มีพ่อพันธุ์หมูจึงต้องจ้างพ่อพันธุ์ จากหมู่บ้านอื่นมา ส่วนเป็ดไก่จะปล่อยให้เดินตามท้องทุ่งนาหาข้าวเปลือกกิน รวมถึงมูลวัวก็เป็นอาหารของเป็ดไก่ได้เช่นกัน (เพิ่งอ้าง, 2559: สัมภาษณ์) อาชีพเลี้ยงสัตว์ ของคนกลุ่มหนึ่งยังส่งผลต่อการสร้างอาชีพอื่นให้กับ กลุ่ม คนอื่น ที่ เกี่ยวข้องกับ สั ตว์ที่ พ วกเขาเลี้ยง กล่าวคือ ในการเลี้ยงวัวก็ต้อง อาศัยอาหารสาเร็จรูป ซึ่งก็ต้องซื้อมาจากร้านค้าที่ขายอาหารสัตว์ซึ่งก็มีอาหาร หมูขายเช่นกัน ยาบารุงที่ฉีดให้กับวัว เป็นยาที่ได้จากปศุ สัตว์ของตัว อ.ท่ายาง เป็นสัตวแพทย์จากทางภาครัฐที่เตรียมไว้ให้ การขยายพันธุ์หมูก็จาเป็นต้องพึ่ง การว่าจ้างพ่อพัน ธุ์ ซึ่ งการจ้างพ่ อพั นธุ์คุ้ม ค่ามากกว่าการเลี้ยงพ่อพันธุ์ไว้เอง ส่วนเป็ดไก่ก็ต้องอาศัยคนรับจ้างทาเล้าไก่ ในขณะที่คนรับจ้างทาเล้าไก่ก็ต้องไป ซื้อไม้มาจากคนขายไม้ เช่นเดียวกับการว่าจ้างให้คนทาอาชีพรับจ้างทั่วไปมาทา คอกวัว (ช้อย บัวเจริญ , 2559: สัมภาษณ์) การสร้างรายได้ของแต่ละครัวเรือน เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจของคนภายในและภายนอกชุมชนให้มีปฏิสัมพันธ์ที่ ส่งผลถึงกันไปมาตลอด อาชีพหนึ่งได้สร้างให้เกิดอาชีพหนึ่ง เป็นกลไกทางสังคม ที่กากับคนให้ต้องประกอบอาชีพ เพื่อให้มีรายได้ที่จะสามารถจับจ่ายใช้สอยใน ชีวิตประจาวันได้ ดังนั้นนอกจากสถาบันเศรษฐกิจจะส่งผลต่อสถาบันเศรษฐกิจ ด้วยกันเอง เกิดอาชีพต่อกันไปเป็นตาข่าย แลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างกัน ต้อง พึ่งพากันไปมาของคนภายในชุมชน เป็นโครงสร้างภายในชุมชนที่ควบคุมให้คน


404

ดาเนินชีวิตกันไปอย่างเป็นระบบ แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของสถาบันการ ปกครองที่มีต่อสถาบันเศรษฐกิจ 11.4. ด้านศาสนา ในสังคมที่อาชีพหลักคือการทานา ย่อมเป็นปกติของสังคมเกษตรกรรม ที่ต้องพึ่งพาฝนฟ้าอากาศอยู่ตลอดเวลา ในการปลูกข้าวแต่ละครั้งจึงมีความเสี่ยง ต่อผลผลิตที่อาจจะไม่เจริญ งอกงาม และขายไม่ได้ราคาดี ความไม่แน่นอนนี้ สร้างความวิตกกังวลให้กับชาวนาได้ การพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงเป็นทางที่สร้าง กาลังใจให้แก่จิตใจของชาวนาก่อให้เกิดการประกอบพิธีกรรมรับท้องข้าว โดยใช้ ส้ม ดินปลวก ไข่ วางใส่ในกระแตะ นาไปถวายไว้ที่นาของตนและใช้ด้ายผูกที่ ข้ าว แล้ วจึ งพู ด ปลุ ก ขวัญ ก าลั งใจต้ น ข้ าว “รวงเท่ าหม้ อ กอเท่ ากระด้ ง ” ใน สมัยก่อนนิยมใช้ของชุดหนึ่งต่อหนึ่งแปลงนา แต่ปัจจุบันเพื่อความสะดวก ได้ ปรับเปลี่ยนมาใช้ของเซ่นไหว้ชุดเดียวกันได้ เนื่องจากนาแปลงอื่นๆ สามารถรับ การปลุกขวัญกาลังใจนี้ได้ด้วยเช่นเดียวกัน (เล็ก ม่วงทอง, 2559: สัมภาษณ์) พิ ธีก รรมวัน ปี ผี ม ดนั บ ว่ าเป็ น พิ ธีก รรมประจ าชุ ม ชนหนองจอกที่ ทุ ก หมู่บ้านมีการประกอบพิธีกรรมนี้ ในหมู่บ้านห้วยทบ มีคณะของนายนิมนต์ที่ เป็นผู้รับประกอบพิธีกรรม เป็นคณะของนายมณี ม่วงทอง หนึ่งในลูกทีมของ คณะยังประกอบด้วยน้องสาวของนายมณี คือ นางชมพู่ ม่วงทอง ทาหน้าที่เป็น คนออกสบเมือง รวมถึงภรรยาของนายมณีก็เป็นผู้ช่วยในคณะด้วย ผู้ที่ต้องการ จะประกอบพิธีกรรมในสมัยก่อนจะเป็นผู้จัดเตรียมสิ่งของที่จะใช้ในการประกอบ พิธีกรรม โดยของที่ใช้เซ่นไหว้จะเป็นพืชผลทางการเกษตรที่ผลิตได้ภายในชุมชน แต่ในปั จจุบัน สามารถจ้างเหมารวมบริการจากคณะของนายนิ มนต์ให้เป็ น ผู้ จัดเตรียมข้าวของที่ใช้ในพิธีกรรมได้เลย รวมถึงมีการทาชุดเครื่องเซ่นที่ใช้ในการ ประกอบพิธีกรรมออกมาขายเพื่ออานวยความสะดวกอีกด้วย โดยจุดประสงค์ ของการประกอบพิธีกรรมโดยรวมคือการปัดเป่าสิ่งที่ไม่ดีทุกอย่างไม่ให้ย่ากราย


405

เข้ามาในชีวิต ทั้งเรื่องสุขภาพ โรคภัยไข้เจ็บ ปัญหาอุปสรรคในชีวิต และหน้าที่ การงาน รวมถึงการทาการเกษตรไร่นาให้ออกผลอุดมสมบูรณ์ (นายมณี ม่วง ทอง, 2559: สัมภาษณ์) พิธีกรรมวันปีผีมดซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันศาสนาจึง มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถาบันเศรษฐกิจของหมู่บ้านห้วยทบในแง่ของสิ่งของที่ใช้ใน การประกอบพิ ธีกรรมที่ เป็ น ผลผลิ ตทางการเกษตร ได้แก่ ข้าว ถั่ว มะพร้าว กล้วย และไข่ มีส่วนช่วยเสริมสร้างกาลังใจแก่ชาวนาให้สามารถประกอบอาชีพ ได้อย่างราบรื่น และการว่าจ้างคณะนายนิ มนต์ การซื้อข้าวของที่ใช้ในพิธีกรรม อีกทั้งการเกิดสินค้าชุดเครื่องเซ่นไหว้ในพิธีกรรม ซึ่งเป็นเรื่องของการซื้อขาย การว่าจ้าง ที่ต้องใช้เงินแลกเปลี่ยนมาทั้งนั้น นอกจากนี้การประกอบพิธีกรรมยัง แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวที่ต้องตกทอดมรดกการทา หน้าที่เป็นนายนิมนต์ต่อกันไปเป็นรุ่นๆ คนรุ่นเก่าต้องถ่ายทอดองค์ความรู้การ เป็นนายนิมนต์ให้แก่คนรุ่นลูกรุ่นหลานได้สืบทอดตาแหน่งนี้ต่อไป รวมถึงมีความ ร่วมมือ มีการแบ่งงานภายในครอบครัว ดังครอบครัวของนายมณีที่ได้กล่าวไป แสดงให้เห็นว่านอกจากสถาบันเศรษฐกิจจะมีความสัมพัน ธ์กับสถาบันศาสนา แล้ว ยังเชื่อมโยงสถาบันครอบครัว และสถาบันการศึกษาเอาไว้ด้วย ปั จ จั ย พื้ น ฐานที่ สุ ด ที่ ท าให้ ม นุ ษ ย์ อ ยู่ ร อดได้ คื อ “อาหาร” เป็ น สิ่ ง ที่ มนุ ษ ย์ ต้ อ งบริ โภคอยู่ ในทุ ก ๆวั น อาหารเป็ น แหล่ งสร้ างพลั งงานหลั ก ให้ แ ก่ ร่างกาย ในทุกช่วงย่างก้าวของชีวิตมนุษย์ต่างจาเป็ นต้องเผาผลาญพลังงาน ไม่ ว่าจะหายใจเข้า หายใจออก นั่ง นอน ขยับแขนขยับขา เดิน วิ่ง ร่างกายล้วน แล้วแต่สูญเสียพลังงานไปทุกเสี้ยววินาที และในทุกๆ วันมนุษย์จึงจาเป็นต้องกิน เมื่อร่างกายขาดพลังงาน ร่างกายจะตอบสนองต่อการขาดอาหารออกมาเป็น ความรู้สึกหิว ท้องร้อง และเมื่อหิวมากๆ น้าย่อยในกระเพาะจะเริ่มกัดกระเพาะ ท าให้ แ สบท้ อ ง และเป็ น โรคกระเพาะได้ สิ่ งเหล่ านี้ เป็ น สั ญ ญาณเตื อ นของ ร่ า งกายให้ ม นุ ษ ย์ ต้ อ งกิ น อาหารได้ แ ล้ ว “อาหาร” จึ ง เป็ น สิ่ ง จ าเป็ น ใน ชีวิตประจาวันของมนุษย์ ในอดีตการหาอาหารของมนุษย์มาจากการเก็บของป่า


406

และล่าสัตว์ แต่เมื่อรู้จักวิธีการผลิต เพื่อให้เกิดความยั่งยืนของทรัพยากรที่มีให้ บริโภคอยู่ตลอดเวลา และเกิดเป็นระบบแลกเปลี่ยนทรัพยากรอาหารโดยผ่าน รูปแบบของระบบเงินตรา เงินได้เข้ามามีอานาจในการจับจ่ายซื้อขาย ทั้งปัจจัยสี่ สิ่งอานวยความสะดวกอื่นๆ รวมถึงบริการ ดังนั้นเพื่อจะให้ ได้มาซึ่งอานาจใน การแลกเปลี่ยนทรัพยากรหรือบริการ คนในสังคมจึงจาเป็นต้องประกอบอาชีพ และการประกอบอาชีพนี้เองที่เป็นกลไกควบคุมสถาบันเศรษฐกิจให้สามารถ ขับเคลื่อนไปอย่างเป็นระบบระเบียบ ในหมู่บ้านห้วยทบ อาชีพเกษตรกรปลูก ข้าวและเลี้ยงสัตว์ ซึ่งเป็นอาชีพหลักของชุมชน จึงเปรียบเสมือนกับวิถีชีวิตของ ชาวบ้าน เพราะในทุ กๆวันแต่ละครัวเรือนต่างก็ต้องกินต้องใช้ การประกอบ อาชีพจึงเป็นหนทางที่ได้มาซึ่งรายได้เพื่อจับจ่ายใช้สอยภายในครอบครัวทุกๆวัน สถาบันเศรษฐกิจจึงเกี่ยวข้องกับชีวิตของมนุษย์อยู่ทุกวัน รวมถึงส่งผลกระทบ ความสัมพันธ์ต่อสถาบันอื่นทางสังคมอยู่ตลอดเวลา ในฐานะที่สถาบันทั้งห้าทาง สังคมก็คือโครงสร้างที่ใช้ควบคุมปัจเจกในสังคม สังคมเป็นผู้กาหนดโครงสร้าง ขึ้นมาควบคุมสังคมเอง ทั้งนี้ก็เป็นการปรับตัวเพียงเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์ ต่อสถานการณ์และสภาพแวดล้อมที่อยู่นอกเหนือการควบคุมให้แ ปรเปลี่ยนมา เป็นสามารถอยู่รอดไปได้

12. บทสรุป หมู่ ที่ 8 ในต าบลหนองจอก อ าเภอท่ า ยาง จั งหวั ด เพชรบุ รี หรื อ ที่ ชาวบ้านเรียกกันว่าบ้านห้วยทบ ซึ่งมีที่มาจากเรื่องเล่าที่เกี่ยวกับลาห้วยจนกลาย มาเป็นชื่อประจาหมู่ ซึ่งเป็นเหมือนสิ่งสาคัญอันเนื่องมาจากการประกอบอาชีพ ส่วนใหญ่ของชาวบ้านนั้นผูกพันอยู่กับการเกษตรกรรม ทั้งการทานา ปลูกพืชไร่ หรือพื ชสวนต่ างๆ “น้ า” จึงเป็ น ปั จจัยส าคั ญ ในการขับ เคลื่อ นการประกอบ อาชีพดังทั้งหลายเหล่านั้น นอกจากนี้ความสาคัญของการทาเกษตรกรรมยังไป ผูกกับระบบความเชื่อที่สาคัญภายในชุมชน เช่น เรื่องของงานปี และงานผีมดซึ่ง


407

สิ่งของที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรมล้วนมีความเกี่ยวเนื่องกับการทาเกษตรกรรม อย่ างการท านา อย่ างไรก็ ดี ในปั จ จุ บั น ที่ บ ทบาทการพั ฒ นาของรัฐ เข้ ามาถึ ง ภายในบ้ า นห้ ว ยทบ ทั้ ง การบริ ห ารจั ด การน้ าที่ เปลี่ ย นไปใช้ น้ าจากคลอง ชลประทานจากเขื่อนเพชร ระบบสาธารณะสุข และเทคโนโลยี ก็ล้วนเป็นปัจจัย ที่ ได้ ท าให้ วิ ถี ก ารท าเกษตรกรรมของชาวบ้ า นเปลี่ ย นไปอย่ า งมาก รวมถึ ง เทคโนโลยีที่เกี่ยวเนื่องกับการทาเกษตรที่ถูกพัฒนาก็เช่นกัน ทาให้จากการทานา ปี ก็เปลี่ยนมาเป็นทาปรัง จากที่เคยเลี้ยงวัวไว้เพื่อใช้ในการทานาและมีวิถีชีวิต ผูกพันก็เปลี่ยนมาเลี้ยงวัวพันธุ์ที่ขุนเนื้อแล้วจึงปล่อยขาย ทาให้วัวหมดบทบาท ในการท านาต่ อ ชาวบ้ า นไปโดยปริ ย าย ส่ ว นการหารายได้ เสริ ม จากเวลาที่ นอกเหนือจากการทานาบางอย่างก็หายไป เช่น การขายปลาที่เข้ามาในที่นา ในช่วงหลังจากทานาซึ่งชาวบ้านไม่มีการมาจับปลาภายในคันนา แล้วนาไปขาย ตามท้องตลาดเป็นรายได้เสริม แต่ถึงกระนั้นก็มีการหารายได้เสริมรูปแบบอื่นๆ เช่น ปลูกมะเขือเทศ หรือดอกดาวเรือง ที่สามารถปลูกได้ทั้งปี หากมีน้ามาหล่อ เลี้ยงเพียงพอ ทางด้านองค์ความรู้เกี่ยวกับการสร้างเครื่องมือในการทานาก็ได้ เลือนหายไป พิธีกรรมบางอย่างถูกปรับเปลี่ยนเพื่อให้เข้ากับบริบทในปัจจุบัน ซึ่ง โดยสรุ ป แล้ ว ถึ ง แม้ ว่ า ระบบเศรษฐกิ จ และรู ป แบบวิ ถี ก ารผลิ ต ในชุ ม ชนจะ เปลี่ ย นแปลงไป แต่ ก็ ยั ง คงเป็ น หมู่ บ้ า นที่ พึ่ ง พาหาเลี้ ย งชี พ ด้ ว ยการท า เกษตรกรรมและเลี้ยงสัตว์


408

รายการอ้างอิง หนังสือ ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร. (2554). วาทกรรมการพัฒนา. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์วิภาษา. สุ ภ างค์ จั น ทวานิ ช . (2555). ทฤษฎี สั ง คมวิ ท ยา. พิ ม พ์ ค รั้ ง ที่ 5. กรุ ง เทพฯ: สานักพิมพ์จุฬาฯ. สื่ออิเล็คทรอนิคส์ วิ กิ พี เดี ย . (2558). เขื่ อ นแก่ ง กระจาน. เข้ า ถึ ง เมื่ อ 28 พฤษภาคม 2559, เข้าถึงได้จาก https://th.wikipedia.org/wiki/เขื่อนแก่งกระจาน. สานักชลประทานที่ 16 กรมชลประทาน. (ไม่ระบุปี). เขื่อนเพชร. เข้าถึงเมื่อ 28 พฤษภาคม 2559, เข้ า ถึ ง ได้ จ าก http://kmcenter.rid.go.th/ kmc16/wichakarn/dam/phet.htm. สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ. (2558). เข้าถึงเมื่อ 3 พฤษภาคม 2559. เข้าถึงได้จาก http://data bopp-obec.info/web/index_view_history.php?School_I D=1076370112&page=history. Baanjomyut. (2543). การเปลี่ยนแปลงทางสังคม. เข้าถึงเมื่อ 16 กรกฎาคม 2559. เข้าถึงจากได้ http://www.baanjomyut.com. การสัมภาษณ์ กวย ฤทธิ์นิ่ม. สัมภาษณ์ 29 พฤษภาคม 2559. จารัส บัวเจริญ. สัมภาษณ์ 30 พฤษภาคม 2559.


409

ชมภู่ ม่วงทอง. สัมภาษณ์ 28 พฤษภาคม 2559. ชู ฉ่าชื่น. สัมภาษณ์ 29 พฤษภาคม 2559. ช้อย บัวเจริญ. สัมภาษณ์ 30 พฤษภาคม 2559. ตุ้ม เขื่อนศิริ. สัมภาษณ์ 29 พฤษภาคม 2559. นิจ ม่วงทอง. สัมภาษณ์ 28 พฤษภาคม 2559. นิล แสนสบาย. สัมภาษณ์ 31 พฤษภาคม 2559. เนย แก้วเนตร. สัมภาษณ์ 30 พฤษภาคม 2559. ปกป้องบัวเจริญ. สัมภาษณ์ 29 พฤษภาคม 2559. ปรีชา ฉ่าชืน่ . สัมภาษณ์ 29 พฤษภาคม 2559. มณี ม่วงทอง. สัมภาษณ์ 28 พฤษภาคม 2559. เล็ก ม่วงทอง. สัมภาษณ์ 28 พฤษภาคม 2559. สมพงศ์ โออิฐ. สัมภาษณ์ 28 พฤษภาคม 2559. สมหมาย เผือกแก้ว. สัมภาษณ์ 31 พฤษภาคม 2559. สาราญ ไม่ทราบนามสกุล. สัมภาษณ์ 29 พฤษภาคม 2559. อนงค์ นาคเลียม. สัมภาษณ์ 28 พฤษภาคม 2559.


410

คณะผู้จัดทำ

นักศึกษาสาขาเอกวิชามานุษยวิทยา ชั้นปีที่ 3 คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร รุ่นที่ 59

นายกฤตกรณ์ อมรานนท์ นายกวิน ก้อนทอง นางสาวชญานิศ ชูชาติ นายชยพล เจริญลาภกุล นายชัยภัทร นิ่มสกุล นางสาวชาลิสา พัทรดารงค์รัตน์ นางสาวชุติพร อินทรวสุ นายฐิตินันท์ ใกล้ชิด นางสาวณธษา วังปรีชา นายณัฐวุฒิ พิมพ์สาราญ นางสาวดลฤดี วรรณมาศ นางสาวทีปกา โยธารักษ์ นางสาวนงนภัส ร่มสุขวนาสันต์ นางสาวนวพร แสงวิรุณ นางสาวนิจนันท์ ปาณะพงศ์ นายบวรวิชญ์ ศรีมาศ นางสาวบุษราคัม แก้วกลาง

นางสาวปรีเมธ นางสาวพรรณละออ นายพฤหัส นางสาวพิชญา นางสาวพิมพ์ชนก นางสาวเพชรไทย นางสาวภัทรา นายภูเก็ต นางสาวรัชดาภรณ์ นางสาววรัญญา นางสาววาศินี นางสาววิริยา นางสาววีรยา นายศิวัช นายอมรเทพ นางสาวอรวรรณ นางสาวอาทิตยา

เดชขุน พิเชฐถาวร สุวรรณรัตน์ อัมพรจินดารัตน์ เลิศทวีพรกุล ขุนทองจันทร์ ผ่านไชย คังคายะ เหมจินดา กุลวราภรณ์ กลิ่นสมเชื้อ ธรรมศร เอื้อเกษม คงสกุล สิทธิวิบูลย์ สวัสดี หมื่นละม้าย



Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.