WEB 3.0 ความแตกต่างระหว่าง web 1.0 - web 4.0 Web 1.0
Web 1.0 = Read Only, Static Data with simple markup Web 1.0 ผู้เข้าชมสามารถอ่านได้อย่างเดียว ( Read-only ) เป็นเทคโนโลยีที่สามารถที่ สามารถแก้ไขข้อมูล หน้าตาของเว็บไซต์ได้เฉพาะผู้ดูแลเว็บไซต์ ( Web master )เป็นเว็บที่ผู้เข้าเยี่ยม ชมไม่สามารถมีส่วนร่วมกับเว็บดังกล่าวได้ ถือว่าเป็นเว็บรุ่นแรกของเทคโนโลยีเว็บไซต์ ส่วนมาก จะใช้ภาษา html (Hyper Text Markup Language) เป็นภาษาสาหรับการพัฒนา Web 1.0 นั้นเป็น เรื่องของการที่ผู้ให้บริการนาเสนอข้อมูลให้กับบุคคลทั่วไป โดยทาในลักษณะเดียวกับหนังสือ ทั่วไป ที่ผู้อ่านมีส่วนร่วมน้อยมากในการเติมแต่งข้อมูล ต่อมาเริ่มมีการนาเอา Java Script และภาษา PHP (Hyper Text preprocessor) มาใช้งาน ตัวอย่าง Web 1.0 คลิกที่นี้ http://www.7catalog.com/Home/Home.aspx
Web 2.0
Web 2.0 = Read/Write, Dynamic Data through Web Services Web 2.0 คือ ผู้เข้าชมสามารถอ่านและเขียนได้ ( Read-Write ) เป็นเทคโนโเว็บไซต์ที่พัฒนา ต่อจาก web 1.0 เป็นเทคโนโลยีเว็บไซต์ที่สามารถโต้ตอบกับผู้ใช้งานได้ เช่น เว็บบอร์ด เว็บบล็อก วิ พีเดีย เป็นต้น ซึ่งจะใช้ฐานข้อมูลมาเกี่ยวข้อกับเทคโนโลยีนี้ด้วย บุคคลทั่วไปคือผู้สร้างเนื้อหา และ นาเสนอข้อมูลต่าง ๆ จาก Web 2.0 ในเปลือกนัท ทาให้เราเข้าใจว่าในยุคที่ 2 นั้นเป็นเรื่องของการ แบ่งปันความรู้ซึ่งกันและกันอย่างแท้จริง โดยการสร้างเสริมข้อมูลสารสนเทศ ให้มีคุณค่าและมี ข้อมูลที่ถูกต้องที่สุด ดังตัวอย่างที่เป็นสิ่งที่ทุกคนคงรู้จักกันดีอย่าง Wikipedia ทาให้ความรู้ถูกต่อ ยอดไปอยู่ตลอดเวลา ข้อมูลทุกอย่างได้มาจากการเติมแต่งอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เกิดจากการคานอานาจ ของข้อมูลของแต่ละบุคคลทาให้ข้อมูลนั้นถูกต้องมากที่สุด และจะถูกมากขึ้นเมื่อเรื่องนั้นถูกขัด เกลามาตามระยะเวลายาวนาน ยกตัวอย่าง website ได้แก่ PANTIP.COM มีวิธีการใช้งานคือ คลิกที่นี้ 1.การสมัครสมาชิก 2.การเข้าสู่ระบบเพื่อใช้งานเว็บบอร์ด เช่น การใส่ User Name จากนั้นก็ ใส่รหัส 3.การแก้ไขข้อมูลส่วนตัว 4.การโพสต์ หรือ การสร้างกระทู้คาถาม จากนั้นก็จะมีผู้สนใจหรือผู้รู้เกี่ยวกับการโพสต์มาตอบ คาถาม
ตัวอย่างเว็บไซต์ยุค Web 2.0 ที่ติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลกMySpace
การเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง Web 1.0 และ Web 2.0
รูปภาพแสดงแนวคิดของ Web 1.0 กับ Web 2.0
วีดีโอประกอบข้อแตกต่าง ระหว่าง Web 1.0 –Web 2.0 http://www.youtube.com/watch?v=YXFYkbQRgY4&feature=player_embedded
Web 3.0
Web 3.0 = Read/Write/Relate, Data with structured Metadata + managed identity Web 3.0 เป็นการนาแนวคิดของ Web 2.0 มาทาให้ Web นั้นสามารถจัดการข้อมูลจานวน มากๆ ให้อยู่ในรูปแบบ Metadata ที่หมายถึงข้อมูลที่บอกรายละเอียดของข้อมูล (Data about data) ทาให้เว็บกลายเป็น Semantic Web คือ ตัว Web จะทาหน้าที่ประมวลผลข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูล เหล่านั้น แล้วให้ Tags ตามความเหมาะสมให้เราแทน โดยข้อมูลแต่ละ Tag จะมีความสัมพันธ์กับ อีก Tag หนึ่งโดยปริยาย ทาให้อินเตอร์เน็ตกลายเป็นฐานข้อมูล ความรู้ขนาดใหญ่ ที่ข้อมูลทุกอย่าง ถูกเชื่อมต่อกันอย่างเป็นระบบมากขึ้น Web 3.0 จะพัฒนาไปในลักษณะ Segment of One คือ Segment ที่มีบุคคลแค่คนเดียว หรือ ตอบโจทย์ความเป็นส่วนบุคคล เช่น อยากไปเที่ยวภูเขาไฟฟูจิ เมื่อค้นข้อมูลแล้วเว็บไซต์จะ เชื่อมโยงข้อมูลทั้งหมดออกมา ไม่ว่าจะจากสายการบินต่างๆ แพ็กเกจ ไหนดีที่สุด และนามาเช็ค กับตารางของผู้ใช้ว่าตารางเวลาตรงกันไหม หรือจะนาไปเช็คกับตาราง ของเพื่อนที่ญี่ปุ่นใน Social Network เพื่อนัดเวลาที่ตรงกันเพื่อพบปะทานข้าวร่วมกันก็ได้ ในยุคสื่อ ดิจิตอล โลกอินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือสาคัญในการประยุกต์ใช้ไอทีเพราะอินเทอร์เน็ต ช่วยให้ เข้าถึงข้อมูลข่าวสารรอบโลกได้อย่างรวดเร็วช่วยให้ติดต่อกับคนหรือหน่วยงาน ภายในและนอก ประเทศได้ ภายในพริบตา รูปแบบที่ผู้บริโภคสามารถเข้าถึง (view ,create ,copy ,share etc.) ได้ทุก ที่ ทุกเวลา ด้วย อุปกรณ์ใดๆที่ เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ ก้าวต่อไปของสื่อใหม่จะเป็นการเชื่อมโยง และผสมผสาน Digital content เหล่านั้นเข้าด้วยกันที่เรียกว่า Mash Up อันเป็นพื้นฐานของเว็บ 3.0 ที่ได้รับการพัฒนาให้มี ความฉลาดรู้ หรือ มี AI (Artificial Intelligence) สามารถค้นหา และคาดเดา
ความต้องการของผู้บริโภค แต่ละคนได้ อุปกรณ์ไอที Gadget ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Notebook/ Netbook/ Smart Phone / MID (Mobile Internet Device), Digital Photo frame, Ebook หรือแม้แต่ อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน (Digital home appliance) จะได้รับการ พัฒนาให้มีความฉลาด ในการทางานมากขึ้น ทั้งขนาด คุณสมบัติ การทางาน และราคา
การเปรียบเทียบเว็บไซต์ตั้งแต่ Web 1.0 - Web 3.0
การเปรียบเทียบพัฒนาการตั้งแต่ Web 1.0 - Web 3.0
การเปรียบเทียบแนวคิดของ Web 1.0 - Web 3.0 เว็บ 3.0 ที่ได้รับการพัฒนา จะประกอบด้วย 1. AI (Artificial Intelligence) 2. semantic web 3. Automated reasoning 4. semantic wiki 5. ontology language หรือ OWL 1. AI (Artificial Intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์ เป็นการสร้างความฉลาดให้ระบบคอมพิวเตอร์ ทาให้สามารถคาดเดา พฤติกรรมและวิเคราะห์ความ ต้องการของผู้ใช้งานเว็บช่วยในการค้นหาข้อมูลซึ่งมีจานวนมากเพื่อ ให้ได้ข้อมูลที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้มากที่สุด 2. semantic web คือ การรวมของฐานข้อมลแบบ อัตโนมัติโดยใช้การคาดเดาและหลักทางคณิตศาสตร์เข้ามาช่วย ซึ่ง ผลลัพธ์ของ Application ที่สร้างขึ้นบน Semantic Web จะถูกส่งไปยังอินเทอร์เน็ต และส่งต่อไปยัง Web Browser เช่น Internet Explorer, Firefox เป็นต้นโดยเว็บเบราเซอร์ อาจจะถูกฝังตัวอยู่ใน อุปกรณ์ต่างๆ เช่น โทรศัพท์มือถือ ตู้เย็นโทรทัศน์หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งอุปกรณ์ที่ถูกฝังเว็บเบ ราเซอร์ไว้ในตัวนั้นส่วนใหญ่จะสามารถเชื่อมต่อเข้าสู่อินเทอร์เน็ตได้ 3. Automated reasoning การเขียนโปรแกรมให้ระบบคอมพิวเตอร์ร้จู ักการแก้ปัญหาเอง มีการประมวลผลได้อย่างสมเหตุสม ผลพร้อมทั้งแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าเองได้โดยอัตโนมัติ จะสามารถคาดเดาผู้ใช้งานได้ว่า
กาลังค้นหาหรือคิดอะไรอยุ่เป็นการผสมผสาน Application หรือ โปรแกรมหรือบริการต่างๆของ เว็บที่มาจากแหล่งต่างๆเข้าไว้ด้วยกันเพื่อประโยชน์ของผู้ใช้งาน 4. semantic wiki เป็นการอธิบายคาๆหนึ่งคล้ายกับดิกชันนารีดังนั้นทาให้เราสามารถหาความหมายหรือข้อมูลต่างๆ ได้ละเอียดและแม่นยามากขึ้น 5. ontology language หรือ OWL เป็นภาษาที่ใช้ในการอธิบายสิ่งต่างๆให้มีความสัมพันธ์กันโดยดู จากความหมายของสิ่งนั้นๆซึ่งก็จะ เชื่อมโยงกับระบบ Metadataคือภาษาที่ใช้เป็นตัวอธิบายข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (Data about Data) หรือ “ข้อมูลที่ใช้อธิบายความหมายของข้อมูล” หรือ Tags นั่นเอง