แนวคิดรูปแบบของไทย ผานภูเขาแหงความศรัทธาตามรอยการวิเคราะหของเพลโต Thai Concept of Forms: A Case of Mountain Religion through Platoian Analysis พิมพวดี เอื้อมธุรพจน หัวหนาสํานักงานพัฒนาวิชาการและวิจัย คณะสถาปตยกรรมศาสตรและการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร ศูนยรังสิต อําเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี 12121 Pimwadee Eomthurapote Head, Department of Academic and Research, Faculty of Architecture and Planning, Thammasat University Rangsit Campus, Klongluang, Patumtani 12121 e-mail: khunpim@yahoo.com บทคัดยอ ภูเขาในที่นี้ไมใชภูเขา แตเปนภูเขาที่แสดงถึงความยิ่งใหญแหงความศรัทธา และอยูบนยอดเจดียตามคติความเชื่อเรื่อง ไตรภูมิที่มีเขาพระสุเมรุเปนศูนยกลางแหงจักรวาล บทความนี้เปนการวิเคราะหแนวคิดรูปแบบของไทยผานสัญลักษณ ของภูเขาแหงความศรัทธาโดยใชทฤษฎีแบบของเพลโต โดยการทบทวนวรรณกรรม การเกิดปรากฏการณ และการ ตีความดานคติความเชื่อ ซึ่งการวิเคราะหทฤษฎีแบบของเพลโตกับแนวคิดของไทยสามารถนํามาอธิบายเปนการรับรู เชิงรูปธรรมในโลกสมมติ และการรับรูเชิงปญญาในโลกแหงแบบ โดยแบงออกเปน 4 ระดับ ไดแก 1) จินตนาการ 2) ความเชื่อ 3) เหตุผล และ 4) ปญญาที่แทจริง การรับรูเชิงรูปธรรมสอดคลองกับการเขาถึงความรูในรูปแบบความรู เชิงบริสุทธิ์ โดยใชตัวอยางจากการสรางศาสนสถานในประเทศไทยที่แสดงรูปแบบจากอิทธิพลความเชื่อของภูเขา และการนอมรับแนวคิดที่ไดมีการเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา Abstract The Mountain in this context is not the physical mountain, but is interpreted on huge belief of faith. The mountain appears on the pinnacle of Thiphum which is symbolized the Mount Meru as the center of the universe. This paper is the analysis of Thai concept of Forms inspired by mountain through Platoian’s Theory of Forms. After studying inductive reasoning from literatures, phenomena, and the interpretation of religious space manipulation, the analysis of Plato’s Theory of Forms could explain two perceptions of forms; the objective world and recognition of the intellectual world. Plato’s World of Forms also elaborates levels of perceptions in four levels, that are 1) Imagining 2) Belief 3) Reasoning, and 4) Perfect Intelligence. The perception of concrete in accrodance with the access to knowledge in the pure form. The paper raises cases of how monasteries in Thailand were influenced by the mountain’s concept and how the ideological recognition has changed over time. Keywords ทฤษฎีแบบ (Theory of Forms) ไตรภูมิ (Triphum) รูปธรรม (Concrete - Know what can be touched with the body) นามธรรม (Abstract - No image is one thing that does not know to along with concrete)
1
1. บทนํา อยางแรกเรี ยกวา ภูมิวั ฒ นธรรม คํา วา มนุษยทุกคนถูก รอบลอมดวยสภาวะแวดลอมสามอย า ง ภูมิวัฒนธรรมไมไดหมายความถึงภูมิประเทศ แตหมายความถึงความสัมพันธของคนที่มีตอภูมิประเทศ ไมใชภูเขา แตคนใชประโยชนจากภูเขาอยางไร คนมีความสัมพันธกับภูเขาอยางไร อยางนี้เรียกวาภูมิวัฒนธรรม อยางที่สอง เรียกวา นิเวศวัฒนธรรม หมายความถึง ภูเขา แมน้ํา ทะเล ฯลฯ มนุษยไดเขาไปใชประโยชนจากระบบนิเวศนั้นได อยางไร และสุดทายเรียกวา สังคมวัฒนธรรม ดังนั้น ถาไดศึกษาวัฒนธรรมอยางมีพลวัตแลว เปนที่เขาใจไดวา มนุษยไดอยูทามกลางสิ่งแวดลอมอะไร แตไมไดหมายความถึงการศึกษาสิ่งแวดลอม แตศึกษาวามนุษยสัมพันธกับ สิ่งแวดลอมนั้นไดอยางไร ทั้งสามอยาง ไมวาจะเปน ภูมิวัฒนธรรม นิเวศวัฒนธรรม หรือสังคมวัฒนธรรม ไดพบวา มีการเปลี่ยนแปลงอยูตลอดเวลา ทั้งจากปจจัยภายในและ/หรือปจจัยภายนอก (นิธิ เอียวศรีวงศ, 2553) การนําสัญลักษณของภูเขาซึ่งไมใชภูเขาในโลกแหงความเปนจริง แตเปนภูเขาที่แสดงถึงความยิ่งใหญแหง ความศรัทธา และอยูบนยอดเจดียตามคติความเชื่อเรื่องไตรภูมิที่มีเขาพระสุเมรุเปนศูนยกลางแหงจักรวาล โดยนํา สัญลักษณของภูเขามาวิเคราะหกับแนวคิดรูปแบบของไทยและประยุกตใชกับทฤษฎีแบบ (Theory of Forms) ของ เพลโต (Plato) ซึ่งเปนทฤษฎีสุนทรียศาสตรที่มีการผสมผสานอยางสรางสรรคในเรื่องธรรมชาติของการเลียนแบบ ในเรื่องเกี่ยวกับ "แบบ" (Forms) หมายความถึง วัตถุหรือสิ่งของทางกายภาพ หรือการกระทําตางๆ ที่มองเห็นได ในโลกของเรา เชน "ความงาม" "ความดี" และ "ความยุติธรรม" ที่ปรากฏบนโลก โลกที่เปนวัตถุ สิ่งของ การ กระทําตางๆ ลวนมีสวนรวมใน "แบบของความเปนนามธรรม" ซึ่ง เพลโต นักปรัชญาชาวกรีก เรียกวา "โลกที่ สามารถเขาใจได" (the Intelligible World) โลกของ "แบบ" (Forms) ที่ไมตองอาศัยเรื่องของกาลเวลา ไมตองอาศัย เรื่องของที่วาง เพลโตถือวาโลกมีอยู 2 โลก คือ โลกแหงวัตถุ (Material World) ซึ่งเปนโลกที่รูไดทางประสาทสัมผัส ไดแก ตา หู จมูก ลิ้น และกาย เหลานี้ทําใหมนุษยรูจัก รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส ซึ่งเพลโตถือวาเปนโลกแหง ผัสสะ (Sensible World) ซึ่งโลกแหงวัตถุนี้เปนสิ่งที่มีอยูเพียงชั่วคราว มีแลวก็เปลี่ยนแปลงไปไมคงที่ (Subjective Reality) เปนโลกแหงมายาที่ไมจริงแท ซึ่งเปนโลกแหงความไมสมบูรณ สวนโลกที่สมบูรณนั้น เพลโตเชื่อวาเปน โลกแหงสัจจะแท (The Absolute Reality) ที่ไมแปรปรวน เปนโลกนิรันดร นั่นคือโลกแหงแบบ (World of Forms or Pattern) หรือโลกเหนือประสาทสัมผัส (Transcendental World) หรือโลกแหงมโนภาพ (World of Idea) ทฤษฎีแหง มโนภาพ (Idea) หรือ “แบบ” (Forms) ของเพลโต หรือทฤษฎีแบบ (Theory of Forms) ไดอธิบายถึงธรรมชาติของ การดํารงอยูของสรรพสิ่งตางๆ (ทวีเกียรติ ไชยยงยศ, 2552) ซึ่งบทความนี้ เปนการนําทฤษฎีแบบมาวิเคราะหกับ แนวคิดรูปแบบของไทย โดยผานภูเขาแหงความศรัทธาตามรอยการวิเคราะหของเพลโต 2. คําถามการวิจัย ทฤษฎีแบบของเพลโตสามารถประยุกตใชกับความเชื่อและความศรัทธาของคนไทยไดอยางไร 3. วัตถุประสงค เพื่อสรางความเขาใจเกี่ยวกับประวัติศาสตรของพื้นที่และความสัมพันธทางศาสนา – จินตภาพ โดยการ จําลองเชิงพลวัตที่สามารถนํามาวิเคราะหใชกับทฤษฎีแบบของเพลโต ทั้งเรื่องความเชื่อและความศรัทธาของคน ไทย โดยนําแนวความคิดเรื่องไตรภูมิมาเปรียบเทียบกับทฤษฎีแบบตามแนวคิดของเพลโต และรูปแบบของภูเขาใน เชิงสัญลักษณ 4. วิธีวิจัย (1) การทบทวนวรรณกรรม และวิเคราะห รวมถึงการเปรียบเทียบเนื้อหาที่เกี่ยวของกับแนวคิดผานความเชื่อ ภูเขาในสังคมไทย
2
(2) วิธีเชิงอุปนัยโดยการรวบรวมขอเขียนและขอสังเกตจากการตีความหมายของปรากฏการณในลักษณะ ความสัมพันธของโลกกายภาพกับมิติทางสังคม และศาสตรอื่นๆ ที่เกี่ยวของ 5. ทฤษฎีแบบของเพลโตตออิทธิพลแนวความคิด เปนเวลากวา 2,500 ป ที่หลักปรัชญาของเพลโตมีอิทธิพลตอแนวความคิดในการศึกษาดานตาง ๆ เชน ปรัชญา จิตวิทยา ธรรมชาติ และวิทยาศาสตร เพลโตเปนนักปรัชญาและนักวิทยาศาสตรที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคน หนึ่งของโลก เพลโตเกิดเมื่อ 427 ปกอนคริสตศักราช ที่กรุงเอเธนส ประเทศกรีซ เพลโตไดศึกษาวิชาการดานตาง ๆ กับ โสเครตีส (Socrates) ผูเปนอาจารย ซึ่งทฤษฎีแบบ (Theory of Forms) ของเพลโต เปนทฤษฎีที่ไดรับแนวความคิด ทางปรัชญามาจากโสเครตีสที่วา ความรูทั้งปวงมาจากแบบ และทฤษฎีที่วาดวยแบบนี้เปนหัวใจหลักของปรัชญา ทั้งหมดของเพลโต แตทฤษฎีของเพลโตแตกตางจากโสเครตีส เนื่องจากเพลโตไดนํามาขยายเนื้อหาทางอภิปรัชญา ที่กวางขวางขึ้น โดยแบบของเพลโตมีความเปนอิสระและอยูเหนือจิต และไดนําหลักปรัชญานี้มาพิจารณาความ เปนไปของธรรมชาติ ซึ่งสรุปวา ไมมีสรรพสิ่งใด ๆ ในโลกนี้ที่มีลักษณะแนนอนตายตัว (ทวีเกียรติ ไชยยงยศ, 2552) “แบบ” ของเพลโต เปนการอธิบายถึง วัตถุสิ่งของที่สามารถพบเห็นในชีวิตประจําวัน เปนสิ่งจําลองมาจาก ของจริงหรือตนฉบับ สิ่งที่เปนแมแบบหรือตนฉบับนั้นไดแก “แบบ” (Forms) หรือ “มโนคติ” (Ideas) ซึ่งในการศึกษา เรื่องของแบบนั้น จะตองทําความเขาใจเกี่ยวกับความรู (ปญญา) ของเพลโต ตามทัศนะของเพลโตเห็นวา ความรูที่ (ปญญา) อันบริสุทธิ์ เปนความรูที่แทจริง ความรูชนิดนี้ไดมาจาก 2 ทาง คือ ความรูที่ไดจากการคํานวณ และจาก สัญลักษณทางคณิตศาสตร แตความรูอันบริสุทธิ์เปนความรูที่เปนความจริงสูงสุดหรือมโนคติ ซึ่งไดมาจากการใช ปญญาหรือพุทธิปญญา (สภาพจิตที่รับรูมโนคติโดยตรงเปนสภาพจิตที่บริสุทธิ์ อยูเหนือการรับรูดวยประสาทสัมผัส) และความรูที่แทจริงตามหลักปรัชญาของเพลโตจากระดับขั้นต่ําสุดจนถึงระดับขั้นสูงสุด ตามลําดับความสําคัญของ เหตุผลมี 4 ประการ (Capistran, 2000) ดังตอไปนี้ (1) จินตนาการ (Imagining) คือ ภาพที่จิตรับรูเปนจินตภาพ การรับจินตภาพเรียกวา จินตนาการ เพราะภาพ ที่จิตคิดเห็นเปนแคภาพเหมือนหรือเงาของวัตถุ (2) ความเชื่อ (Belief) คือ หากมนุษยเราคิดถึงใครมาก อาจสรางจินตนาการถึงรูปรางหนาตา กิริยาทาทาง ของเขา แตตัวเขาที่เห็นในจินตนาภาพยอมสูตัวเขาที่ไปพบปะพูดคุยจริงๆ ไมได การไดพบตัวจริงถือวาเปน ความรูระดับสัญชาน ซึ่งเรียกความรูระดับนี้วาความเชื่อ (3) เหตุผล (Reasoning) การทําใหพบสิ่งที่เปนสากลดวยเหตุผล (4) พุทธิปญญา (Perfect Intelligence) หมายถึงสภาพจิตที่รับรูมโนคติโดยตรง และจิตเปนอิสระจากสิ่งที่รับรู ดวยประสาทสัมผัส จิตเขาถึงมโนคติไดโดยไมตองผานสัญลักษณ พุทธิปญญาเปนความรูที่แทจริง เพราะ เขาถึงความจริงสูงสุดคือมโนคติ ความรูจึงหมายถึงการรูจักมโนคติ (Ideas) เชน แบบของสามเหลี่ยม แบบของมนุษยที่แยกจากสิ่งที่เปนวัตถุกายภาพเปนรูปทรงสามเหลี่ยม ที่เปน “แบบบริสุทธิ์ (Pure Form)” โดยไมตองใชการอางอิงสัญลักษณจากสิ่งที่มองเห็นอีกตอไป 6. ไตรภูมิ (Traiphum) ไตรภูมิ หรือ ไตรโลก หมายถึง สามโลก ซึ่งเปนคติเกี่ยวกับโลกสัณฐานตามความเชื่อในพุทธศาสนา ไตรภูมิ ประกอบดวย กามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ และไตรภูมิไดกลาวถึง โลกมนุษย นรก และสวรรค สําหรับคนไทยไดรับ ความรูเรื่องไตรภูมิมาพรอมๆ กับการรับพระพุทธศาสนาเปนศาสนาประจําชาติ ไตรภูมิไดกลาวถึง จักรวาลที่มีโลกซึ่ง มนุษยอาศัยอยูนี้เปนหนวยหนึ่งของอนันตจักรวาลอันหาขอบเขตจํากัดไมได จักรวาลใดๆ ยอมมีสภาพเหมือนกัน ทั้งสิ้น ในจักรวาลหนึ่งๆ นั้น มีเขาพระสุเมรุเปนแกนกลาง และมีเขาสัตบริภัณฑลอมอยูโดยรอบเปนวงแหวนเจ็ดวง 3
ทั้งเขาพระสุเมรุและเขาสัตบริภัณฑถูกหอมลอมดวยสีทันดรสมุทรที่แผกวางไปทุกทิศจนครอบจักรวาล รอบนอก ของเขาสัตบริภัณฑในทิศใหญทั้งสี่ทิศ เปนที่ตั้งของทวีปใหญสี่ทวีป และทวีปนอยอีกสี่ทวีป ซึ่งทวีปใหญทั้งสี่ ไดแก อุตรกุรุทวีปที่ตั้งอยูทางทิศเหนือของเขาพระสุเมรุ บุรพวิเทหะทางทิศตะวันออก ชมพูทวีปทางทิศใต และอมรโคยาน ทางทิศตะวันตก ทวีปใหญแตละทวีปเปนที่เกิดของมนุษย มนุษยแตละทวีปจะมีลักษณะเฉพาะของตน แตเฉพาะ ในชมพูทวีปเทานั้น ที่เปนดินแดนที่เกิดของพระพุทธเจา พระปจเจกพุทธเจา และพระเจาจักรพรรดิ (พระศรีสุธรรมเมธี, 2553) ความเชื่อเรื่องไตรภูมิกับวิถีชีวิตในพุทธศาสนาของสังคมไทยมีมายาวนาน ไมนอยกวา 660 ป นับตั้งแต ครั้งสมเด็จพญาลิไท (พระมหาธรรมราชาที่ 7) กษัตริยองคที่ 7 แหงกรุงสุโขทัย ทรงพระราชนิพนธไตรภูมิกถาหรือ ไตรภูมิพระรวง หนังสือฉบับนี้ไดตกทอดเปนมรดกความเชื่อทางพุทธศาสนาจวบจนปจจุบัน ทําใหแนวความคิดและ คติความเชื่อเรื่องภูมิจักรวาลที่มีมากอนพุทธกาลในศาสนาพราหมณหรือฮินดู ที่อธิบายถึงเรื่องไตรภูมิ เรื่องการ เวียนวายตายเกิด บาปบุญคุณโทษ ตามแนวทางปรัชญาในพระพุทธศาสนา และเรื่องอื่นๆ ที่มีอิทธิพลตอการ สรางสรรคศิลปกรรมไทยทุกประเภท ทั้งจิตรกรรม ประติมากรรม สถาปตยกรรม งานประณีตศิลป และศิลปะ พื้นบาน (ธนาคารกรุงเทพ จํากัด (มหาชน), 2555) โดยผานเรื่องราวทางเนื้อหาดานความเชื่อเรื่องไตรภูมิโดยตรง หรือการแสดงรูปสัญลักษณ เพื่อแทนความหมายที่เปนภพภูมิตางๆ รวมถึงพระพรหม ในคติพระพุทธศาสนา ซึ่ง เปนพรหมชั้น "รูปพรหม" ในไตรภูมิพระรวง ฉบับกรุงธนบุรีในคติพุทธศาสนา พระพรหม เปนชาวสวรรคชั้นสูงขั้น หนึ่งที่สูงกวาเทวดาทั่วไป เรียกวา "พรหม" พระพรหมยังอยูในกามาวจรภพ มีการวนเวียนวายตายเกิด อยูใน สวรรคที่เรียกวาชั้นพรหม (พรหมภูมิ) พระพรหมแบงออกเปน 2 ประเภท คือ พรหมที่มีรูป เรียกวา "รูปพรหม" มี ทั้งหมด 16 ชั้น และพรหมที่ไมมีรูป เรียกวา "อรูปพรหม" มีทั้งหมด 4 ชั้น โดยอรูปพรหมจะสูงกวารูปพรหม (สมคิด สวยล้ํา, 2553) อรูปพรหมเปนพรหมที่ไมมีรูป มีแตนามขันธ 4 เชน ในอรูปภูมิทั้ง ๔ ถึงแมจะเรียกวาภูมิ แตภูมินี้ไมปรากฏวามีรูปรางสัณฐานอยางหนึ่งอยางใด เพราะเปนภูมิที่มีแตอากาศวางเปลาอยู สําหรับอรูปพรหมนี้ เปนพรหมที่ไมมีรูป มีแตนามขันธ 4 เกิดขึ้นติดตอกันโดยไมมีระหวางคั่นนับตั้งแตปฏิสนธิมา (พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ, 2535) 7. การนําทฤษฎีแบบของเพลโตมาวิเคราะหแนวคิดเกี่ยวกับภูเขา แนวคิดเกี่ยวกับภูเขานี้ ไดนําแนวคิดมาจากหลักของพระพุทธศาสนา ซึ่งจากการเสวนาหัวขอ “ไตรภูมิ จักรวาลทัศนของชาวพุทธ ความเชื่อกับภูมิวัฒนธรรม" (ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม และ รุงโรจน ภิรมยอนุกูล, 2554) ที่กลาวถึง ภูเขาไววาเปนสัญลักษณสากลอันเปนตัวแทนของสิ่งที่เหนือโลก หรือการเชื่อมตอระหวางมนุษยกับ จักรวาลอันไพศาล หรือการเชื่อมตอระหวางรูปกับนาม หรือการเชื่อมระหวางความคิดกับความจริง หรือการเชื่อม ระหวางความศรัทธาของผูคนในชุมชน ในเมือง ในเชื้อชาติ ในกลุมความเชื่อการเกิดขึ้นของคติปรัมปราในอดีต ที่ เชื่อมความคิดกับจินตนาการ ซึ่งสงผลตอนามธรรม สวนรูปทรงของสถูปเจดียไดรับอิทธิพลจากรูปทรงของภูเขาที่ ไดรวมความศรัทธาของมนุษยจนกลายเปนศูนยรวมความเชื่อในภูมิวัฒนธรรม โดยไดมีการถายทอดคติจักรวาล ออกมาเปนผังวัด การสรางงานสถาปตยกรรม โดยจําลองเจดียเปนเขาพระสุเมรุ มีวิหารทิศเปนทวีปทั้ง 4 การสราง ซุมประตูโขงเปนศูนยกลางจักรวาลหรือเขาพระสุเมรุที่ประดิษฐานพระพุทธรูป ซึ่งทรงประทับอยูที่ศูนยกลางจักรวาล ทั้งนี้ ไดจําลองภาพสันนิษฐานจักรวาลตามคติไตรภูมิในพุทธศาสนา (ภาพที่ 1) โดยยกตัวอยางของ พระปรางค วัดอรุณ ราชวราราม (ภาพที่ 2) และ ยอดแหลมของเจดียภูเขาทอง วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร (ภาพที่ 3) มา ประยุกตใชเพื่อการอธิบายในทฤษฎีแบบของเพลโต
4
ภาพที่ 1 จักรวาลตามคติไตรภูมิในพุทธศาสนา ที่มา: 7wondersthailand, 2553. (ดัดแปลง)
ก. วัดอรุณราชวราราม ราชวราราม
ข. รู ป ทรงของพระปรางค วั ด อรุ ณ
ภาพที่ 2: วัดอรุณราชวราราม และพระปรางควัดอรุณราชวราราม ที่มา: ภาพ ก. เขียนศักดิ์ แสงเกลี้ยง, 2555 ภาพ ข. สมคิด จิระทัศนกุล, 2554. (ดัดแปลง) ภาพที่ 2 ก. และ ข. แสดงภาพวัดอรุณราชวราราม และพระปรางควัดอรุณราชวราราม ซึ่งเปนแบบที่มีความ งดงามตามสถาปตยกรรมไทยและไดสะทอนภาพของไตรภูมิ จากสวนเดนชัดของสิเนรุบรรพตและเขาพระสุเมรุ และรูปทรงของพระปรางค เปน “ทรงจอมแห” ที่มีโครงรูปเสนรอบนอกเปนลักษณะแอนโคงเหมือนอาการทิ้ง น้ําหนักตัวของ “แห” ที่ถูกยกขึ้น รูปทรงเชนนี้ เคยถูกนํามาใชในการออกแบบพระเจดียสมัยตนกรุงรัตนโกสินทร การออกแบบ “รูปทรงจอมแห” อยูที่การเนนสวนฐานดวยการซอนชั้นจํานวนนับไมถวนเพื่อเปนการเสริมใหอาคารมี 5
ความสูงมากๆ จึงตองยืดสวนของฐานใหกวางขึ้นกวาปกติ และเพียงพอใหสามารถเบียดทรวดทรงอาคารใหเกิด ลักษณะที่แอนโคงไดสําเร็จตามรูปทรงดังกลาว เรือนธาตุกับสวนยอดสะทอนถึงความสุนทรียะแหง “รูปทรง” ลักษณะใหมที่งดงามอยางหมดจด
ก. พระบรมบรรพต (ภูเขาทอง)
ข. ลั ก ษณะเจดี ย ท รง
ระฆัง ภาพที่ 3 พระบรมบรรพต (ภูเขาทอง) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร และเจดียทรงระฆัง ที่มา: ภาพ ก. เขียนศักดิ์ แสงเกลี้ยง, 2555. ภาพ ข. พระพรหมพิจิตร, 2495. (ดัดแปลง) จากภาพที่ 3 ก. และ ข. แสดงภาพพระบรมบรรพต (ภูเขาทอง) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร โดย สมัยรัชกาล ที่ 4 โปรดเกลาฯ ใหกอพระเจดียทรงระฆังไวบนยอดเขา เมื่อสรางแลวเสร็จ ไดพระราชทานนามใหมวา “บรมบรรพต” มีขนาดวัดไดโดยรอบ 8 เสน 5 วา สูง 1 เสน 19 วา 2 ศอก มีบันไดเวียนขึ้นลง 2 ทาง คือทางทิศเหนือและใต และ บุกระเบื้องโมเสกสีทองที่องคพระเจดีย รวมทั้งสรางพระเจดียองคเล็กๆ รายรอบพระเจดียองคใหญทั้ง 4 ทิศ ภายใน บรรจุพระบรมสารีริกธาตุในพระเจดียบนลูกแกว ซึ่งพระบรมสารีริกธาตุบนยอดพระเจดียภูเขาทองเปนการประมวล ภาพเขียนหลังพระประธานในพระอุโบสถเรื่องไตรภูมิพระรวง (Golfreeze, 2007) จากรูปทรงของพระปรางควัดอรุณราชวรารามและยอดเจดียภูเขาทอง ทั้งในเชิงการออกแบบ รูปแบบ แผนผัง และองคประกอบตกแตง สามารถตอบรับกับแนวคิดในเรื่องของ “คติจักรวาล” ตามแนวคิดของไตรภูมิ และใน ทฤษฎีแบบของเพลโตที่อธิบายไดชัดเจนวา “แบบ” เปนอสภาวะ แต “แบบ” จะอยูแยกตางหากจากสิ่งที่เปนวัตถุ กายภาพ และแบบเปน “ตัวแทน” หลักวาดวย เหตุผลในจักรวาล ดังนั้น รูปทรงของพระปรางควัดอรุณราชวราราม และยอดเจดียภูเขาทอง วัดสระเกศ จึงเปนตัวแทนของภูเขาหลอมรวมศรัทธาของผูคนในประเทศไทย ประเด็นของ ภูเขาในทฤษฎีของ “แบบ” ที่เชื่อวา เปนเพียงเงาหรือภาพสะทอน หรือลอกแบบมาจากมโนภาพในอีกทอดหนึ่ง เพราะถือวา ภูเขาเปนมโนภาพหรือโลกแหงแบบอันเปนรูปธรรม และภูเขาเปนสัญลักษณแหงความเปนจริง เชน คนกับเงา ถาไมมีคน เงาของคนก็เกิดขึ้นไมได ภูเขา จึงถูกสมมติขึ้นมาโดยอาศัยรูปรางสัณฐานในเชิงนามธรรม 8. ความสัมพันธในระหวางมนุษย สิ่งแวดลอมและอํานาจเหนือธรรมชาติ โครงสรางทางสังคมโดยพื้นฐานของมนุษย มีองคประกอบของความสัมพันธทางสังคมที่เกี่ยวพันของผูคน อยู 3 ประการ ไดแก ความสัมพันธระหวางคนกับคน ความสัมพันธระหวางคนกับธรรมชาติ และความสัมพันธ ระหวางคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ ซึ่งกอใหเกิดความรูสึกของการอยูรวมกันเปนกลุมภายในพื้นที่ทางวัฒนธรรม
6
เดียวกันความสัมพันธที่เชื่อมโยงและเปนพลวัตเหลานี้ เปนหัวใจสําคัญของการอยูรวมกันในสังคมของมนุษยใน ทองถิ่นตางๆ โดยเฉพาะความสัมพันธกับอํานาจเหนือธรรมชาตินั้น คือ สิ่งที่สะทอนใหเห็นถึงภูมิจักรวาลที่อยู เบื้องหลังของภูมิวัฒนธรรมและสัญลักษณของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสังคม และในความสัมพันธระหวางมนุษยกับอํานาจ เหนือธรรมชาติ โดยมีสัญลักษณเปนศูนยกลางของจักรวาลของผูคนในทองถิ่นเชื่อมโยงกับคนที่ตางชุมชนและ ตางเผาพันธุอยูในบานเมืองเดียวกันไดอยางราบรื่น สภาพนิเวศตามธรรมชาตินั้น ประกอบดวย แมน้ํา ลําคลอง หนอง บึง ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล ความเขาใจเรื่องพลวัตของธรรมชาติแวดลอมนั้น กอใหเกิดความสัมพันธในระบบนิเวศจากภูเขาสูงอันเปนตนน้ําลํา ธารไปจนถึงลําหวย แมน้ํา และหนองบึง ที่ไหลเวียนหมุนเปลี่ยนไปตามฤดูกาล การเชื่อมโยงของระบบนิเวศเหลานี้ ทําใหเกิดความสมดุลและรักษาคุณภาพของระบบนิเวศอันหลากหลายที่มิใชมีเพียง “น้ํา” หรือ “ปลา” แตคือสิ่งมีชีวิตใน ธรรมชาติรวมทั้งมนุษยดวย ในนิเวศตามธรรมชาติเหลานี้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ควบคุมการใชทรัพยากรใหอยูรวมกัน โดย มีการกําหนดพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งใหเปนพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ลวงล้ําไมไดและใหใชทําพิธีกรรมตามประเพณีในฤดูกาลที่ เกี่ยวของเทานั้น สิ่งศักดิ์สิทธิ์นี้จะทําหนาที่ปกปกษรักษาและคุมครองมนุษย เปนรูปแบบของความสัมพันธที่มนุษย มีความผูกพันอยูรวมกับอํานาจเหนือธรรมชาติ ซึ่งเปนสิ่งที่คนในทองถิ่นเขาใจรวมกันและจดจํารวมทั้งเลาสืบตอกันมา (ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม, 2554) 9. สัญลักษณระหวางรูปธรรมกับนามธรรม ลัก ษณะความเชื่ อที่เกิ ดขึ้นเกิด จากจิน ตนาการและความรูสึกเมื่ อ มนุษย ไ ดสัม ผัส ธรรมชาติที่เรีย กวา “ภูเขา” ซึ่งเปนสัญลักษณสากลอันเปนตัวแทนของสิ่งที่เหนือโลก หรือการเชื่อมตอระหวางมนุษยตัวเล็กๆ กับ จักรวาลอันไพศาล บางครั้งเปนจุดเชื่อมระหวางรูปธรรมกับนามธรรม ความคิดกับความจริง หรือบางครั้งเปนจุดที่ สามารถสรางความศรัทธาของผูคนในชุมชน ในอาณาจักร ในเมือง ในเชื้อชาติ ในกลุมความเชื่อ การเกิดขึ้นของคติ ปรัมปราในอดีตเกิดจากความจริงที่มองเห็นตอเนื่องกับความคิดกับจินตนาการ รูปทรงของสถูปเจดียไดถอดความ ตอเนื่องจากรูปทรงของภูเขาที่หลอหลอมความศรัทธาของผูคน เปนศูนยรวมความเชื่อในภูมิวัฒนธรรม ซึ่งทั้งความ ใหญ ความสูง ความมืดที่เกิดจากสวนเวาของภูเขา และไดสอดคลองกับทฤษฎีโลกแหงแบบ (World of Forms) ของ เพลโต ซึ่งกลาววา โลกที่มนุษยอาศัยอยูทุกวันนี้เปนโลกที่ถูกประทับ หรือทําสําเนามาจากโลกแหงแบบที่มีความ สมบูรณและเปนของจริง มนุษยจะเขาสูโลกแหงแบบไดก็ตองใชเหตุผล เพื่อเขาสูแบบที่ยิ่งใหญกวาแบบทั้งหลาย นั้นคือ แบบแหงความดี (Form of Goodness) ซึ่งจะเปนเหมือนแสงอาทิตยที่ทําใหมนุษยรูเชนเห็นแจงตอโลกแหง แบบทั้งโลก ดังนั้นความเชื่อ จึงเปนเพียงจินตนาการ เปนสิ่งที่ไมมีตัวตน ไมมีอยูจริง แตความเชื่อนั้นก็ทําใหมนุษย เรามีความสุขมากขึ้นเมื่อเราไดเชื่อและปฏิบัติตาม (สมบัติ จันทรวงศ, 2549) 10. ผลการทบทวนวรรณกรรมนํามาสูการพรรณนา การทบทวนวรรณกรรมนํามาสูการพรรณนาและสรุปเพื่อตอบวัตถุประสงค และสนับสนุนความเขาใจ เกี่ยวกับประวัติศาสตรของพื้นที่และความสัมพันธทางศาสนา – จินตภาพ โดยการจําลองเชิงพลวัตของเพลโต ที่มี อิทธิพลซึ่งกันและกันรวมถึงความขัดแยงของกระบวนการที่ตรงกันขามโดยธรรมชาติ และทางเลือกของการแสดงที่ สรางขึ้นเปนปจจัยภายในและภายนอกขอบเขตสําหรับสังคมไทยนั้น ทําใหทราบถึงแนวความคิดเชิงมโนทัศนที่ทํา ใหเกิดความเปลี่ยนแปลงของสิ่งจําเพาะที่เกิดขึ้นในโลกซึ่งเปนโลกที่เกิดจากการประทับของแบบทางมโนคติของ เพลโตนั้น แสดงออกมาในรูปแบบของความคิดที่แสดงออกมาเปนนามธรรมของคติและความคิดที่บริสุทธิ์ เปนการ แสวงหารูปแบบของสิ่งตางๆ เชน มโนทัศนข องความดี มโนทัศนข องความเปน มนุษย โดยนําเอาบริบททาง ความคิดพื้นถิ่น ไดแก ภูมิศาสตรทางวัฒนธรรมที่นําเอาความเปนเอกลักษณทางพื้นที่มาผสมผสานกับความคิด ทางจิตวิญญาณซึ่งเปนรูปแบบของความคิดที่มักเกิดขึ้นทั่วไปอยางสากล โดยนําเอาจุดเดนทางภูมิศาสตรที่มี ความสํ า คั ญ และแสดงถึง การเชื่อ มต อระหว า งมนุ ษย แ ละธรรมชาติ ซึ่ ง ในที่นี้คื อ ภูเ ขา เขา มามีบ ทบาทในการ 7
แสดงออกถึงแนวความคิดและความสัมพันธที่ผสมผสานอยางแนบแนนจนไมสามารถแยกออกจากกันไดระหวาง ภูมิศาสตรทางวัฒนธรรมและความเชื่อของชุมชน (ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม, 2554) ถึงแมวา แนวความคิดของเพลโตเปนแนวคิดของสังคมดานตะวันตก แตเปนแนวคิดสากลที่สามารถพบ แนวคิดนี้ไดทั่วไปในวัฒนธรรม ทั้งจากทางตะวันตกตลอดจนฝงตะวันออกรวมทั้งสังคมไทย ความคิดที่เปนมโนคติที่ ชัดเจนที่สุดที่พบเห็นได คือ มโนคติเรื่องไตรภูมิที่ถูกถายทอดแนวคิดเกี่ยวกับศาสนา ความดี ความชั่ว และภพภูมิ จนกระทั้งเรื่องการแบงโลกเปนสวนตาง ๆ ตามความเชื่อจากพุทธคติ และนําแนวความคิดเรื่องแผนภูมิจักรวาลที่ แสดงอยางชัดเจนในงานศิลปะ วรรณกรรม และสถาปตยกรรม (พระสมปอง มนตชาโต, 2553) โดยภูมิจักรวาลตาม ไตรภูมินั้ นเปนความคิดที่นําเสนอถึงแนวคิดของการทําความดี การประพฤติตนในศีลธรรมตามขนบธรรมเนียม ประเพณี โดยกลาวถึงบาปบุญคุณโทษ คนทําความดียอมไดรับกรรมดี คนทําความชั่วยอมไดรับผลตอบแทน เชน การแบงโลกเปน 3 ภพภูมิ คือ กามภูมิ รูปภูมิ และภูมิ (พระศรีสุธรรมเมธี, 2536) โดยแผนภูมิจักรวาลไดนําเอา ระบบความคิดเชิงคตินิเวศวัฒนธรรมเขาไปเกี่ยวโยงดวย เชน แกนกลางของจักรวาล มีภูเขา ศักดิ์สิทธิ์ที่เปนที่อยู ของผูที่กระทําแตกรรมดี นั่นคือ เขาพระสุเมรุซึ่งเปนศูนยกลางของจักรวาล แนวคิดเรื่องภูเขาที่เปนศูนยกลางของจักรวาลดังกลาวนั้น ถูกถายทอดจากประเทศอินเดีย สูดินแดน สุวรรณภูมิ อาณาจักรขอม อาณาจักรทวารวดี และประเทศไทยในปจจุบัน แนวคิดนี้เปนแกนสารทางรูปธรรมและ เปนสิ่งเชื่อมโยงทางจิตวิญญาณระหวางมนุษยกับสิ่งที่อยูเหนือธรรมชาติ ทําใหคนไทยและคนในภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใตไดสรางสิ่งที่เปนตัวแทนของความศรัทธา เชน การสรางวัดวาอารามตามภูเขาสูงหรือในภูมิประเทศ ที่เปนพื้นที่ราบไดสรางสถูปและเจดียตางๆ โดยการพัฒนารูปแบบทางความคิดที่วา ภูเขาหรือสิ่งกอสรางรูปทรง คลายภูเขานั้น แสดงถึงการดํารงไวซึ่งหลักคติความเชื่อเรื่องไตรภูมิ ความเปนศูนยกลางของจักรวาล (ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม และ รุงโรจน ภิรมยอนุกูล, 2554) โดยมีความแตกตางกันไปตามบริบททางทองถิ่นของแตละพื้นที่ตอการ พัฒนารูปแบบทางสถาปตยกรรมไทย เชน การสรางเจดียทรงระฆังคว่ํา ตอมาไดมีการพัฒนาแนวคิดทางสถาปตยกรรมจนสามารถพัฒนารูปแบบเปนเจดียทรงจอมแห เชน พระปรางควัดอรุณราชวราราม เพราะรูปแบบความคิด ทางมโนคตินั้น เปรียบเสมือนสิ่งที่เปนวัตถุจริง แตในทางกลับกัน สิ่งที่เปนสสารวัตถุนั้น เปลี่ยนแปลงไปตามบริบท ของสิ่งที่มากระทบแนวความคิดที่เปนมโนคติ เปรียบเสมือนเงาของวัตถุที่แปรเปลี่ยนรูปรางไปตามมุมองศาของ แสงที่มากระทบถึงแมวัตถุตนกําเนิดจะมีเพียง 1 เดียว แตเงาที่เกิดขึ้นบนพื้นนั้นมีมากมายหลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยูกับวาเปนเวลาใด แสงสองมาในทิศทางใด ดังนั้นความสัมพันธของพื้นที่กับแนวความคิดคติของศาสนานั้น มีความสัมพันธและสอดคลองกับแนวคิด ทฤษฎีแบบที่เพลโตเสนอไว คือ รูปแบบทางกายภาพนั้นเปนรอยประทับของแบบในมโนคติ ซึ่งมโนคติเปนความคิดใน ระดับสูงสุด ซึ่งผานการกลั่นกรองความคิดจากการการรับรู ผัสสะ สูจินตนาการ สูความเชื่อ สูแนวคิดเชิงเหตุผล และ สรุปเปนความคิดเชิงบริสุทธิ์ และสอดคลองกับมโนคติของสังคมไทยในเรื่องราวของไตรภูมิที่เนนเรื่องของความดี งาม ผานแผนภูมิจักรวาล และนํามาสูรูปแบบทางธรรมชาติเปนภูเขาที่เชื่อมโยงมนุษยกับสิ่งเหนือธรรมชาติ ตลอดจน การสรางศิลปะ และสถาปตยกรรม ที่นําเสนอรูปทรงของภูเขาผานแนวทางสถูปเจดียและพระปรางคตางๆ เปนตน ซึ่งรูปทรงเหลานี้กอ ใหเกิดการรับรูและเกิดกระบวนการคิดหาทางไปสูหนทางแหงปญญา ผานการรับรูเรื่องราวผาน รูปทรงของภูเขาและสิ่งปลูกสราง และเกิดจิตนาการเชื่อมโยงกับความเชื่อ และแนวคิดเชิงเหตุผลทําใหสะทอนถึง แนวทางของความคิดเชิงอุดมคติ เรื่องของความคิดคติทางศาสนา ความดีงามในจิตใจ ซึ่งเมื่อความคิดเชิงมโนทัศน มีการเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา ซึ่งกรอบความคิดแบบมโนทัศนที่เปลี่ยนแปลงไปนั้น นํามาทั้งความเปลี่ยนแปลง ในทางที่สรางสรรคและทําลายตอสภาพแวดลอมทั้งเชิงนามธรรมและรูปธรรม 11. การวิเคราะหทฤษฎีแบบของเพลโตและแนวคิดของไตรภูมิ การวิเคราะหทฤษฎีแบบของเพลโตกับแนวคิดของไตรภูมิ สามารถนํามาอธิบายเปนการรับรูเชิงรูปธรรม (โลกสมมติ) และการรับรูเชิงปญญา (โลกแหงแบบ) ไดโดยแบงออกเปน 4 ระดับ ไดแก 1) จินตนาการ 2) ความเชื่อ 8
3) เหตุผล และ 4) ปญญาที่แทจริง โดยเริ่มตนจากการรับรูผานประสาทสัมผัส ทั้ง 5 ไดแก ตา หู จมูก ลิน้ กาย และ ใจ โดยเพลโต นําเสนอวา ความรูระดับลางสุดคือ จินตนาการ เพราะเปนความคิดที่เกิดจากการรับรูจากสิ่งแวดลอม (ภาพที่ 4)
ภาพที่ 4 รูปธรรม (โลกสมมติ) และเชิงปญญา (โลกแหงแบบ) จากภาพที่ 4 การรับรู แบงออกเปน 4 ระดับ โดยเริ่มจากจินตนาการ ความเชื่อ เหตุผล และปญญาแทจริง ตามลําดับ เปนแนวความคิดที่เรียกวาแบบบริสุทธิ์ (Pure Form) เปนรูปแบบของสามเหลี่ยม แบบของมนุษยที่แยก ออกจากสิ่งที่เปนวัตถุกายภาพเปนรูปทรงสามเหลี่ยม เปนรูปทรงที่มีโครงสรางที่มีระเบียบมีความงาม (Tyson, 2012) สิ่งนี้เปนสิ่งที่หลอหลอมความคิดและความเชื่อทั้งในเรื่องจิตวิญญาณและหลักปฏิบัติในการดํารงชีวิต ซึ่งสิ่งที่ พบในโลกปจจุบันลวนเกิดจากโลกแหงแบบที่ทําใหสสารเกิดการรวมตัว โดยแบบที่แทจริงทําใหเกิดสิ่งเฉพาะที่มี รูปรางหรือรูปแบบที่ผิดเพี้ยนจึงเกิดความหลากหลายของธรรมชาติ โดยการรับรูเชิงปญญา เปนการมองความวาง เปลา การเขาถึงระดับปญญาบริสุทธิ์นั้น ทําใหมองเห็นความจริงซึ่งไมยึดติดอยูกับรูปแบบ เพลโตมองวา แบบ บริสุทธิ์ (Pure Form) เปนแบบที่สะทอนออกมาเปนรูปธรรมนั้นเอง
ภาพที่ 5 การวิเคราะหทฤษฎี “แบบ” ทั้งแนวคิดของเพลโตและแนวคิดของไตรภูมิ
9
ภาพที่ 5 แสดงถึงการเกิดภาพเสมือนจากวัตถุตนแบบ เปรียบเทียบไดกับวัตถุที่ตั้งอยูแลวมีแสงสองมา กระทบทําใหเกิดเงาของวัตถุ ทําใหสสารมีความผิดเพี้ยนแตกตางไปจากวัตถุตนแบบ แนวคิดนี้สอดคลองกับ แนวคิดที่นําเสนอความสัมพันธระหวางรูปแบบความคิดของไตรภูมิกับแนวคิดของเพลโต
ภาพที่ 6 กายภาพกับแนวความคิด เปนการอธิบายความสัมพันธระหวางรูปธรรมและนามธรรม จากภาพที่ 6 กายภาพกับแนวความคิด โดยผานรูปทรงของกลองเปลาและรูปทรงความเคลื่อนไหว ซึ่ง เปนสิ่งที่สื่อผานความรูความเขาใจในเรื่องที่เกี่ยวของกับรูปธรรมและนามธรรม ดังนั้นรูปแบบทางกายภาพ จึงมี ความสั ม พัน ธทางใดทางหนึ่งกับความคิดเชิงนามธรรม ไมวาจะเปนเรื่องความเชื่อ หรือ มโนคติท างความคิด เชนเดียวกับแนวความคิดทางระบบภูมิวัฒนธรรมที่รูปแบบทางกายภาพนั้นมีความสัมพันธกับรูปแบบความคิดเชิง จินตภาพได เชน สัญลักษณของภูเขาซึ่งหมายถึง สิ่งที่มีความหมายเหนือธรรมชาติ จากลักษณะทางกายภาพของ ภูเขา แสดงใหเห็นถึงการรับรูเชิงรูปธรรมสามารถสงผลตอความคิดเชิงนามธรรมได
ภาพที่ 7 รูปแบบทางกายภาพตามแนวคิดเพลโตและไทย จากภาพที่ 7 รูปแบบทางกายภาพตามแนวคิดเพลโตและไทย เปรียบเทียบไดกับกลองเปลาที่ยังขาด รูปแบบในการจัดเรียง ตามแบบของเพลโต ซึ่งเปรียบเทียบไดความคิดเชิงมโนคติ เรื่องไตรภูมิ ที่ฝงรากเรื่องคติ ความเชื่อ ความดีงามในสังคม ที่ตองการหลอหลอมใหคนในสังคมเปนคนดี โดยยึดรูปแบบแผนภูมิจักรวาลที่มี เขา พระสุเมรุเปนศูนยรวมจักรวาล สอดคลองกับความเชื่อที่นําเอาภูเขามาเชื่อมโยงกับสิ่งเหนือธรรมชาติ โดยที่ผูคนใน สังคมสมัยกอนไดยึดหลักระบบไตรภูมิ และไดมีการสรางสิ่งแวดลอมเชิงรูปธรรมที่สรางแนวความคิดใหสังคมรับรู 10
ถึงแนวคิดทางศาสนา ซึ่งสามารถมองไดวา การรับรูเชิงรูปธรรมสอดคลองกับการเขาถึงความรูในรูปแบบความรู เชิงบริสุทธิ์ โดยสามารถสังเกตไดวา บริเวณที่มีการสรางศาสนสถานที่สําคัญๆ มักตั้งอยูบนภูเขาสูงหรือภูเขาที่ สําคัญในทองที่เพื่อสรางรูปแบบทางรูปธรรมที่สามารถสื่อถึงแนวความคิดในระบบนามธรรมที่กระตุนใหมนุษย พยายามแสวงหาความจริงในความเชื่อที่ถูกเลาผานกันมาซึ่งหลักการและเหตุผลที่แฝงอยูในรูปแบบทางกายภาพที่ ผานแนวความคิดของมนุษยที่ตองการแสดงออกถึงความรูที่แทจริงหรือการเขาแบบของเพลโต จึงเปรียบเทียบได กับการเขาถึงสภาวะอรูปพรหมในระบบไตรภูมินั้นเอง 13. สรุป ทฤษฎี แ บบของเพลโตสามารถประยุ ก ต ใ ช กั บ ความเชื่ อ และความศรั ท ธาของคนไทย เพราะได นํ า แนวความคิดเรื่องระบบไตรภูมิ เปรียบเสมือนเปนความคิดในรูปแบบของเพลโต ซึ่งความคิดดังกลาวนี้ไดพัฒนาตอ ยอดสูรากเหงาของวัฒนธรรม ตั้งแตดินแดนอาณาจักรขอมโบราณ พมา ลาว และประเทศไทยในปจจุบัน โดยการ ผสมผสานกับแนวความคิดเรื่องระบบนิเวศวัฒนธรรม ซึ่งเดิมไดรับแนวความคิดเรื่องศาสนาพุทธ เมื่อแนวความคิด เรื่องไตรภูมิและระบบจักรวาลเขามามีอิทธิพลในดินแดนแถบที่ราบลุมแมน้ํา โดยการสรางเจดียตางๆ เพื่อทําการ บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และทดแทนการขาดหายไปของสัญลักษณทางระบบนิเวศเชิงวัฒนธรรม จนนํามาสูการพัฒนา รูปแบบทางสถาปตยกรรมไทยมากมาย ทั้งเจดียทรงระฆัง พระบรมบรรพต (ภูเขาทอง) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร พระปรางครูปทรงจอมแห วัดอรุณราชวราราม กรุงเทพฯ เปนตน ซึ่งสิ่งปลูกสรางตางๆ เปนการกระตุน การรับรู ดานผัสสะของมนุษยในสังคมพระพุทธศาสนาที่หลอหลอมระบบความคิดผานความเชื่อเรื่องไตรภูมิที่ถายทอดกันมา โดยที่การรับรูทางกายภาพนี้นําไปสูการสรางความเชื่อเพื่อที่ดึงดูดใหคนในสังคมเปดใจรับฟงคําสอนขององคสัมมา สัมพุทธเจาตามหลักศาสนาพุทธที่เนนแนวความคิดเรื่องศีลธรรมความดีงามเพื่อนําไปสูการคนพบแนวทางที่คนพบ ความจริงของชีวิต นั่นคือ การหลุดพน แนวความคิดดังกลาวนี้มีความสอดคลองอยางยิ่งกับแนวคิดของเพลโตที่มุง สรางความรูที่แทจริงโดยผานการรับรูในเชิงรูปธรรมไปจนถึงนามธรรม เปนแนวความคิดที่เปนแบบบริสุทธิ์ (Pure Form) นั่นเอง เมื่อเวลาผานไป แนวคิดตางๆ ที่เคยมีอิทธิพลตอสังคมไทยในอดีตนั้น ไดเริ่มเลือนรางหายไป ปจจุบันการดําเนินชีวิตของมนุษยเปลี่ยนไป ทําใหการแสดงออกเชิงพฤติกรรมของคนในสังคมตอสิ่งแวดลอมและ รูปแบบเชิงพื้นที่นั้นแตกตางออกไป มนุษยเปลี่ยนเปาหมายในการดํารงชีพไมใชการขึ้นสวรรคในชวงหลังความตาย แตเปนการหาความสุขในโลกปจจุบัน สนใจโลกที่เปนแบบบริสุทธิ์ (Pure Form) นอยลง สิ่งเหลานี้สงผลถึงความ เชื่อเรื่องระบบนิเวศทางวัฒนธรรม มนุษยไมเคารพภูเขาหรือมองภูเขาเปนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เชื่อมระหวางมนุษย กับสิ่งเหนือธรรมชาติ แตกลับมองวาเปนทรัพยากรชนิดหนึ่งที่สามารถเปลี่ยนเปนเงินตราและสรางความมั่นคั่งได จึ ง ลงมื อ ทํ า ลายธรรมชาติ ส ง ผลให เ กิ ด ป ญ หาสิ่ ง แวดล อ มต า งๆ ส ง ผลกระทบไปทั่ ว โลก สิ่ ง เหล า นี้ แ สดงถึ ง แนวความคิดที่เปลี่ยนแปลงไป และสงผลกระทบตอการเปลี่ยนแปลงเชิงพื้นที่ดังที่เสนอแนวคิดมาขางตน กิตติกรรมประกาศ ขอขอบคุณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตรที่ไดสนับสนุนทุนเพิ่มพูนความรูในตางประเทศ ประจําป 2554 ครั้งที่ 3 เมื่อ วันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เพื่อเขารวมงาน The 4th SSEASR Conference, Institute of Language and Culture Studies (ILSC), Royal University of Bhutan, Thimphu, Kingdom of Bhutan อาจารย ดร. เขียนศักดิ์ แสงเกลี้ยง นายสุข สัน ต ชื่นอารมณ นายกสิณ ประสิทธิโ ชค นายทศธรรม สิงคาลวณิช นางสาวอิสรา หิรัญ ลักขณา และ นางสาวขวัญ พิทักษรักษสันติ คณะสถาปตยกรรมศาสตรและการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร
11
บรรณานุกรม เขียนศักดิ์ แสงเกลี้ยง. (2555). ภาพสเก็ตชวัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหารและภูเขาทอง. (ไฟลดิจิตอล). คลังปญญาไทย. (2554). วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร. สืบคนเมื่อวันที่ 13 เมษายน 2554 จาก http://www.panyathai.or.th. จํานง ทองประเสริฐ. (2509). ปรัชญาตะวันตก สมัยโบราณ. กรุงเทพฯ: แพรพิทยา เดชชาติ วงศโกมลเชษฐ. (2524). ทฤษฎีการเมืองและสังคม. กรุงเทพฯ: บพิธการพิมพ. โชติ กัลยาณมิตร. (2539). สถาปตยกรรมแบบไทยเดิม. กรุงเทพฯ: โรงพิมพมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร. นิธิ เอียวศรีวงศ. (2553). วัฒนธรรมมลายูนอกมุมมองฟอสซิล DeepSouthWatch. สืบคนเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2554. จาก http://www.deepsouthwatch.org/node/856 นิธิ เอียวศรีวงศ. (2525). ประวัติศาสตรนิพนธตะวันตก. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตําราสังคมศาสตรและมนุษยศาสตร. ทวีเกียรติ ไชยยงยศ. (2552). สุนทรียศาสตรสําหรับคนไทย (3): ทฤษฎีแบบ (Form) ของเพลโต. หนังสือพิมพบานเมือง ฉบับวันเสารที่ 13 มิถุนายน 2552. สืบคนเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2554 จาก http://www.ryt9.com. ธนาคารกรุงเทพ จํากัด (มหาชน). (2555). ลักษณะไทย มองเมืองไทยและคนไทยผานทางวัฒนธรรม. สืบคนเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2555 จาก http://www.laksanathai.com/book2/p315.aspx. ธวัชชัย องควุฒิเวทย และ วิไลรัตน ยังรอด. (2550). ทองเที่ยว-เรียนรู อยุธยา. กรุงเทพฯ: มิวเซียมเพรส, น. 80. พระสมปอง มนตชาโต. (2553). การศึกษาเปรียบเทียบเกณฑตัดสินความดีในปรัชญาของเพลโตกับพุทธปรัชญา เถรวาท. ปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิต, บัณฑิตวิทยาลัย, มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ. พระพรหมพิจิตร. (2495). พุทธศิลปะสถาปตยกรรมภาคตน. กรุงเทพฯ: โรงพิมพพระจันทร. พระศรีสุธรรมเมธี. (2553). อิทธิพลของพระพุทธศาสนาเถวรวาทตอความคิดทางการเมืองการปกครองของ พระเจาลิไท ศึกษาเฉพาะกรณี: ไตรภูมิพระรวม (เตภูมิกถา). ปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิต, บัณฑิตวิทยาลัย, มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ. พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ. (2535). ปรมัตถโชติกะ มหาอภิธัมมัตถสังคหฎีกา. ปริจเฉทที่ 5 เลมที่ 1. กรุงเทพฯ: สนองการพิมพ, หนา 167. วิทย วิศทเวทย. (2520). ปรัชญาทั่วไป. กรุงเทพฯ: อักษรเจริญทัศน. มูลนิธิสืบ นาคะเสถียร. (2554). ถ้ํา – อาณาจักรแหงความลี้ลับ. สืบคนเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2554 จาก http://www.seub.or.th ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม. (2554). ภูเขาศักดิ์สิทธิ์กับความเปนสากล. วารสารเมืองโบราณ. สืบคนเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2554 จาก http://www.siamganesh.com/muangboran10.html. ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม และ รุงโรจน ภิรมยอนุกูล. (2554). ไตรภูมิ: จักรวาลทัศนของชาวพุทธ “ความเชื่อ” กับ “ภูมิสถาปตยกรรม”. บันทึกการเสวนาที่จัดขึ้นโดยมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2554 จาก http://www.oknation.net/ สุจิตต วงษเทศ. (2554). ประเพณีเดือนแปดรับหนาฝนของคนเหนือ. สืบคนเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2554 จาก http://www.sujitwongthes.com, สมคิด จิระทัศนกุล. (2554). รูเรื่อง วัด วิหาร โบสถ เจดีย พุทธสถาปตยกรรมไทย. กรุงเทพฯ: สํานักพิมพมิวเซียมเพรส สมคิด สวยล้ํา. (2553). การศึกษาวิเคราะหหลักธรรมจากการตอบปญหาเทวดาของพระพุทธเจา. ปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิต, บัณฑิตวิทยาลัย, มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ.
12
สมบัติ จันทรวงศ. (2549). บทสนทนาของเพลโต. ยูไธโพร อโพโลจี ไครโต. กรุงเทพฯ: โครงการจัดพิมพคบไฟ. สํานักหอสมุดและศูนยสารสนเทศวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี. (2005). Zabout scientst around the world. สืบคนเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2554 จาก http://siweb.dss.go.th/Scientist/scientist/Plato.html อันธิกา (นามแฝง). (2554). ความงาม ความจริง ความดีกับทฤษฎีศิลปะของเพลโต. สืบคนเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2554 จาก http://hoyjubkab.exteen.com/20090603/entry-4. 7wondersthailand. (2553). ไตรภูมิพระรวง/ ไตรภูมิกถา/ เตภูมิกถา (พญาลิไท) – สุดยอดวรรณคดีสมัยสุโขทัย. สืบคนเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2555 จาก http://www.7wondersthailand.com. Capistran, M.D. (2001). “Plato’s Divided Line Analogy”. The Raleigh Tavern Society. Retrieved November 29, 2001 from http://www.raleightavern.org/dividedline.htm. Dickie, G. (2004). Introduction to Aesthetics: An Analytic Approach. Retrieved April 13, 2011 from http://www.artgazine.com/shoutouts/ Gewirth, A. (1965). Political Philosophy. London: The Macmillan Company. Golfreeze. (2007). ภูเขาทอง วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร. Retrieved April 13, 2011 from http://www.kammatan.com/board/index.php?topic=570.0 Harmon, M. J. (1954). Political Thought: From Plato to the Present. New York: McGraw-Hill Book Hegel, G.W.F. (1995). Reason in History. (translated by Hartman, R. S.). New York: The Liberal Arts Press. Lacewing, M. (2011). Plato’s theory of Forms. Retrieved April 13, 2011 from www.alevelphilosophy.co.uk. Patocka, J. (2002). Plato and Europe. (translated by Lom, P.). Stanford, California: Stanford University Press. Sahakian, W.S. (1968). History of Philosophy. New York: Barnes & Noble Books. Shields, C. (2003). Classical Philosophy: a Contemporary introduction. New York: Routledge. Tyson, P. (2012). “Reasoning within the Good: An Interview with David C. Schindler”. Radical Orlhodoxy: Theology,Philosophy Politics. Vol. 1 No 1& 2. (August, 2012) Wikipedia. (2005). Wat Arun from Chao Phraya River. Retrieved April 13, 2011 from http://th.wikipedia.org/ Wordpress. (2554). วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร. สืบคนเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2554 จากhttp://www.wordpress.com.
13