วารสารการวิจัยเพื่อพัฒนาชุมชน ปีที่ 9, ฉบับที่ 2 (2559): พฤษภาคม - สิงหาคม 2559

Page 1


วารสารการวิจยั เพือ่ พัฒนาชุมชน (มนุ ษยศาสตร์และสังคมศาสตร์) ปี ที่ 9 ฉบับที่ 2 ประจาเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2559 ที่ปรึกษา ศาสตราจารย์ ดร.สุจินต์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ภูพงษ์ ศาสตราจารย์ ดร.รัตนะ

จินายน พงษ์เจริญ บัวสนธ์

บรรณาธิการ รองศาสตราจารย์ ดร.ศักดิ์ชัย

วิทยาอารีย์กุล

กองบรรณาธิการ Professor Dr. George Professor Dr. Jennifer Associate Professor Dr. Rita ศาสตราจารย์ ดร.ชูชัย ศาสตราจารย์ ดร.ดวงฤดี ศาสตราจารย์ ดร.ยศ ศาสตราจารย์ ดร.อานันท์ รองศาสตราจารย์ ดร.เกียรติสดุ า รองศาสตราจารย์ ดร.ศรัณย์ รองศาสตราจารย์ ดร.พัชรินทร์ รองศาสตราจารย์ ดร.มาฆะสิริ รองศาสตราจารย์ ดร.ภาณุวัฒน์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.บุญญรัตน์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วนาวัลย์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อุษา

W. Noblit C. Greene O’Sullivan สมิทธิไกร สุขแสง สันตสมบัติ กาญจนพันธุ์ ศรีสขุ วรรธนัจฉริยา สิรสุนทร เชาวกุล ภักดีวงศ์ โชคบันดาลชัย ดาตี้ พัดเกตุ

University of North Carolina, Chapel Hill University of Illinois, Urbana Champaign University of North Carolina, Chapel Hill มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ Eastern Illinois University, Illinois มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร มหาวิทยาลัยนเรศวร มหาวิทยาลัยนเรศวร มหาวิทยาลัยนเรศวร มหาวิทยาลัยนเรศวร มหาวิทยาลัยนเรศวร

ผูช้ ่วยบรรณาธิการ นางสาวกัลยกร

เทียมแก้ ว

ออกแบบปก นายสรญา

แสงเย็นพันธ์

หน่วยงานที่รบั ผิดชอบ งานวิจัยและวิเทศสัมพันธ์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยนเรศวร 99 หมู่ 9 อาคารมหาธรรมราชา โซน A ชั้น 1 ต.ท่าโพธิ์ อ.เมือง จ.พิษณุโลก 65000 โทร. 0-5596-8844 โทรสาร 0-5596-8844

ค่าสมาชิก 100 บาทต่อปี หรือ 250 บาทต่อ 3 ปี ต้ นฉบับทุกเรื่องที่ลงตีพิมพ์ได้ รับการตรวจทางวิชาการ โดยผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) เฉพาะสาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ อย่างน้ อย 2 ท่าน ต่อ 1 บทความ การตีพิมพ์ซา้ ต้ องได้ รับอนุญาตจากกองบรรณาธิการเป็ นลายลักษณ์อกั ษร


ISSN 1905-7121 Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

1

บทความวิจยั Integrating Mind Map in PBL Activities on Variation to Promote Analytical Thinking Skills Ladda Lertsri and Supot Seebut…………………………………………………………………………………….……………………………………………………………………1 Using PBL with FILA Chart to Design Learning Activities on Fundamental Principle of Counting to Support Problem-Solving Skills Pariyakorn Suphap and Supot Seebut………………………………………………………………………………………………………………………………………………12 The Relationships between National Culture and Employee Performance Among US Multinational Companies in Bangkok Rosesakorn Krongchuchuen and Chittapa Ngamkroeckjoti……………………………………………………………………………………………………………..23 ปั จจัยทีม่ ีผลต่อการประยุกต์นโยบายส่งเสริมความหลากหลายทางวัฒนธรรมของอาเซียน: ในบริบทของผูป้ กครอง/ชุมชน ในโรงเรียนโครงการ Spirit of ASEAN ของสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้ นฐาน (สพฐ.) จุฬาภรณ์ ขอบใจกลาง…………………………………………………………………………………………………………………………….………………………………………………30 ผลกระทบของการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศต่อการเคลือ่ นย้ายของแรงงานระหว่างประเทศ ชุติกา เกียรติเรืองไกร……………………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….48 ผลของการจัดกิจกรรมการเรียนรูโ้ ดยใช้เทคนิค KWDL ทีม่ ีต่อความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหา และความคงทนในการเรียนคณิตศาสตร์ เรือ่ ง ระบบสมการเชิงเส้นสองตัวแปร กนกพร เทพธี และวีรยุทธ นิลสระคู……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..63 การประเมินเครื่องมือวัดพฤติกรรมการมีจิตอาสาของนักศึกษาปริญญาตรี และความไม่แปรเปลีย่ นของโมเดลการวัด อนันต์ แย้มเยื้อน………………………………………………………………………………………………………………………………….………………………………………………..81 ลักษณะหลักทรัพย์ทกี่ องทุนรวมเลือกลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่ งประเทศไทย จันทิมา พิพฒ ั นเดช และธนโชติ บุญวรโชติ ………………………………………………………………………..……………………………………………………………….96 การเปรียบเทียบผลการดาเนินงานของกองทุนรวมทีล่ งทุนในหุน้ ทีบ่ ริหารโดยบริษทั หลักทรัพย์จดั การกองทุน ทีถ่ อื หุน้ ใหญ่และไม่ถือหุน้ ใหญ่โดยธนาคารพาณิชย์ บุณณชนก เดชเพ็ชร์ และธนโชติ บุญวรโชติ ……………………………………………………………………………………………………………………………………….106 หน้าที่ทางวัจนปฏิบตั ิศาสตร์ของคาว่า “โอเค” ในบทสนทนาภาษาไทย วีณา วุฒิจานงค์………………………………………………………………………………………………………………………..………………………..………………………………..115 การศึกษาแนวคิด เรื่อง แผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 6 สมฤดี มากเพียร, รัตนา สนัน่ เมือง และสิรินภา กิจเกื้อกูล………………………………………….………………………………………………..………………….128 การบริหารความเสีย่ งของสานักงานกองทุนสงเคราะห์การทาสวนยาง สานิตย์ แก้ววังสัน………………………………………………………………………………………………………………………………..…………………………………….………..143 การมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการเขตอนุ รกั ษ์สตั ว์น้ า: กรณีศึกษา หมู่ที่ 1 ตาบลป่ าขาด อาเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา อรทัย หนูสงค์, เยาวนิจ กิตติธรกุล และจารุณี เชีย่ ววารีสจั จะ…………………………………………….…………………………………………………………….160


2

ISSN 1905-7121 Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ความเชื่อและพิธีกรรมลิมนต์ในจังหวัดสงขลา นันทิยา ชูดา…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..….171 ฐานข้อมูลชุมชนเพือ่ การจัดการอุทกภัย โดยการประสานความร่วมมือระหว่างชุมชนกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิน่ : กรณีศึกษา 2 ตาบลในพื้ นทีล่ ่มุ น้ าทะเลสาบสงขลา วราภรณ์ ทนงศักดิ์, เยาวนิจ กิตติธรกุล, สมพร ช่วยอารีย์ และสมพร คุณวิชิต………………………………….…………………………………………..181 ลีลาการตีทบั ของนายทับสมหมาย ละอองสม ในการแสดงโนรา กนกวรรณ ขวัญยืน……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………194 การพัฒนาตัวบ่งชี้ และการศึกษาสภาพการดาเนินงานกิจกรรมนักเรียน นักศึกษา ตามระเบียบ องค์การนักวิชาชีพในอนาคตแห่งประเทศไทยในสถานศึกษา สังกัดสานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ภาคเหนือ ชนะจิต คาแผง และนงลักษณ์ ใจฉลาด…………………………………………………………………………………………………………………………………………..202 ปั จจัยทีส่ ่งผลต่อพฤติกรรมการซื้ ออาหารออร์แกนิคในเขตจังหวัดกรุงเทพมหานคร รัฐนันท์ แย้มเกษสุคนธ์ และวรัญญา ติโลกะวิชยั ……………………………………………………………………………………………………………………….……….218 ความยินดีทจี่ ะจ่ ายในการเลือกเป็ นสมาชิกโทรทัศน์ดาวเทียมและเคเบิลทีวีในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล นันทนิตย์ ทองศรี ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..228 การส่งเสริมการเรียนรูแ้ บบมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการศูนย์สาธิตการตลาดชุมชนบ้านคาไผ่ อาเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ ์ สุกญ ั ญา ดวงอุปมา, อาภาศรี พ่อค้า และพีรพจน์ นิติพจน์……………………………………………………………………..……………………………………….240 ความสัมพันธ์ระหว่างเจตคติต่องานบริการ บุคลิกภาพแบบคุณลักษณะเฉพาะ และการใช้เหตุผลเชิงจริยธรรม กับคุณภาพการบริการของบุคลากรผูใ้ ห้บริการผูป้ ่ วยโรงพยาบาลอินเตอร์เวชการ จังหวัดพิษณุ โลก สิตาณัฏฐ์ จริยวิทยาวัฒน์, รังสิมา หอมเศรษฐี และมุกดา ศรียงค์……………………………………………………………………………….……………………250


ISSN 1905-7121 Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

3

บทบรรณาธิการ วารสารการวิจัยเพื่ อพั ฒ นาชุ มชน (มนุ ษยศาสตร์และสังคมศาสตร์) ISSN 1905–7121 ฉบับนี้ เป็ นปี ที่ 9 ฉบับที่ 2 เน้ นเนื้อหาด้ านมนุ ษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ เผยแพร่ ผลงานวิจัยและบทความปริทัศน์ด้านภาษาศาสตร์ มนุ ษ ยศาสตร์ นาฏศิ ล ป์ ดุ ริ ยางคศิ ล ป์ สังคมศาสตร์ การศึ กษา กฎหมาย การบริ ห ารธุรกิจ เศรษฐศาสตร์ และ การสื่อสาร หรืออื่นๆ ที่เกี่ยวข้ อง วารสารนี้ได้ รับการรับรองมาตรฐานโดยศูนย์ดัชนีอ้างอิงวารสารไทย (Thai Journal Citation Index: TCI) กลุ่ ม ที่ 1 (ผลการรั บ รอง ตั้ งแต่ 1 มกราคม 2558 – 31 ธั น วาคม 2562) ในฉบั บ นี้ ประกอบด้ วย บทความวิจัย จานวน 4 เรื่อง และได้ รวบรวมบทความวิจัยดีเด่น สาขามนุ ษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ จานวน 17 เรื่อง จากงานประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจัยระดับบัณฑิตศึกษาแห่ งชาติ ครั้งที่ 38 “บัณฑิตศึกษากับ การพั ฒ นาสู่โลกาภิ วั ฒ น์ ” ที่จั ด โดย บั ณ ฑิ ต วิ ท ยาลั ย มหาวิ ท ยาลั ย นเรศวร ร่ วมกับ คณะผู้ บ ริ ห ารบั ณ ฑิต ศึ ก ษา มหาวิทยาลัยของรัฐและมหาวิทยาลัยในกากับของรัฐ (ทคบร.) และสานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) กระทรวงศึกษาธิการ ผู้สนใจบทความใดของวารสารการวิจัยเพื่อพัฒนาชุมชน (มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์) สามารถดาวน์โหลด บนเว็บไซต์ของวารสารการวิจั ยเพื่ อพั ฒนาชุมชน (มนุ ษยศาสตร์และสังคมศาสตร์) ที่ www.journal.nu.ac.th ภายใต้ ระบบ ThaiJO ของศูนย์ดชั นีการอ้ างอิงวารสารไทย ปั จจุบันรับบทความเพื่อเข้ ากระบวนการพิจารณาลงตีพิมพ์ในระบบ Online Submission เท่านั้น สามารถส่งบทความได้ ท่ี www.journal.nu.ac.th โดยลงทะเบียนผู้ใช้ แล้ วใช้ Username และ Password ดั งกล่ าว ตามขั้ น ตอนการส่ งบทความง่ ายๆ หากมี ปั ญ หาในกระบวนการสามารถติ ด ต่ อสอบถามได้ ท่ี 0-5596-8844

รองศาสตราจารย์ ดร.ศักดิ์ชัย วิทยาอารีย์กุล บรรณาธิการ


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

1

Integrating Mind Map in PBL Activities on Variation to Promote Analytical Thinking Skills Ladda Lertsri and Supot Seebut* Department of Mathematics Statistics and Computer, Faculty of Science, Ubon Ratchathani University 85 Sathollmark RD. Warinchamrab Ubon Ratchathani, Thailand * Corresponding author. E-mail address: supot.s@ubu.ac.th Abstract

Analytical thinking is considered as higher order thinking and more important than that, analytical thinking is considered as the basic of all kind of thinking that has an influence in human learning and living in daily life. However because of abstract form of thinking, finding the way to move it from abstract to concrete becomes a key successful in learning design. The purpose of this study is to develop learning activities using PBL with integrating mind map as a scaffolding tool applied for supporting students to present analytical thinking skills in concrete form simultaneously with motivating it by problem solving process on Variation. To determine the effect of using learning activities based on PBL with integrating mind map on the levels of students’ analytical thinking skills, three subjective tests about subject matter on Variation are administered as posttest to student. The rubric score is employed to determine the level of students’ analytical thinking skills through their performing in subjective tests. Data from rubric for evaluating student’ analytical thinking skills is analyzed using descriptive statistics to find frequency of students identifying particular student’ skill levels in analytical thinking for each of essential features of analytical thinking skills and to compute the mean skill levels in analytical thinking of students for each essential features. The results have verified the significant effect that learning activities using PBL with integrating mind map have an effect on students’ analytical thinking skills. Keywords: Analytical Thinking Skills, Mind Map, Problem Based Learning, Problem Solving, Variation

Silver, 2004). However, because of abstract form of thinking, it is quite hard to know what students think Analytical thinking is considered as higher order and its significant results in problem solving; moreover, thinking and more important than that, analytical direction of training skills of analytical thinking is not thinking is considered as the basic of all kind of apparent followed by skills needed in developing. This thinking. By this reason, analytical thinking has an disadvantage has an effect on the successful of students’ influence in human learning and living in daily life and learning in long term because students cannot analyze analytical thinking of human is able to develop and important information and condition from given problem improve for increasing potential by various methods that situations. At this point, finding the way to move related with training skills of analytical thinking (Heong analytical thinking from abstract to concrete is very et al., 2011; Nayef, Rosila, Yaacob & Ismail, 2013). helpful in training students to improve analytical thinking One crucial activity in mathematics learning that can skills in expected direction (Takahashi & Meguro, train students in analytical thinking skills is problem 2005; Areesophonpichet, 2013). solving because students learn to solve problems Mind map is considered as a scaffolding tool to simultaneously with thinking analytically. By this reason, support students to transfer what they think into concrete every time encourage students in problem solving as form through constructing mind map (Brinkman, 2003; well as encourage them in analytical thinking (Hmelo- Radix & Abdool, 2013; Rochmad, 2014). Instructor Introduction


2

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

can design instructional sequence and instructional materials to train students in skills of any kind of thinking especially analytical thinking skills for our goal by assigning mind map construction during problem solving. Students will practice their analytical thinking skills concretely from constructing mind map in problem solving process (Takahashi & Meguro, 2005; Areesophonpichet, 2013).

This study was designed to investigate the effect of integrating mind map to create learning activities using PBL on Variation. Each activity was designed to train student to perform analytical thinking skills through constructing mind map to find procedures to solution of mathematics problem related to subject matter about Variation. The results were wishful to be observed is that the evidence of analytical thinking skills from mind map and subjective tests.

Key Concept of Learning Design Using PBL with Integrating Mind Map

Figure 1 Key concept of learning design with integrating MIND MAP

For the development of mathematics learning activities using PBL with integrating mind map on Variation, Six stages of Problem-Based Learning were applied from Hmelo-Silver (2004). Mind map would be played as a scaffolding tool for support students to perform in the stage of Problem Understanding that motivated students to employ analytical thinking skills with problem situations and then they could transform their thinking into mind map construction. All of stages

could be summarized in Figure1 and could be given by details of each stage as follow; Satge 1: Problem Identifying Problem situations would be posed for students in many forms including with video clip, narratives, and documents. Stage 2: Problem Understanding By using group process, students in each group were assigned to construct mind map underlying analytical thinking about problem situations including thinking


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

analytically about problem identifying, condition and information from problem situations, additional information needed to search for finding problem solution, and possible procedures for solving problems. Stage 3: Knowledge Exploring Students were suggested to use mind map like a navigator to investigate additional information related to procedure. Stage 4: Knowledge Synthesizing Students were in problem solving process and formulated answers to the problems Stage 5: Solution Evaluating Students concluded and evaluated their solution. Stage 6: Solution Presenting Students presented their solution from solving problems

3

for scoring subjective tests based on essential features of analytical thinking skills related with the level of Marzano higher order thinking skills searched from Heong et al. (2011) and Bloom’s taxonomies of educational objective domain searched from Nayef et al. (2013) were developed. In the rubric, each of the four essential features (classification, categorization, connection, and conclusion) was represented by four levels (emergent, developing, proficient, and exemplary), each indicating a different level of achievement of that feature. Procedures A total of 32 eighth grade students involved in this study were engaged in learning activities using PBL with integrating mind map on Variation. Three subjective tests about Variation were administered as posttest to students. The rubric score was employed to Methodology determine the level of students’ analytical thinking skills through their performing in subjective tests. Participants Data Analysis This study was designed to investigate the effect of Data from rubric for evaluating student’ analytical integrating mind map to create learning activities on thinking skills was analyzed using descriptive statistics Variation. The subjects were 32 eighth grade students to find frequency of students identifying particular from Kantromwittayakom School, Sisaket Province, student’ skill levels in analytical thinking for each of Thailand, in the academic year 2015. essential features of analytical thinking skills and to Instruments compute the mean skill levels in analytical thinking of There were 3 lesson plans in content knowledge students for each essential features. about Variation. Each activity was designed to support student not only to access contents knowledge about An Example of Learning Activity Using PBL Variation but also to promote analytical thinking skills with Integrating Mind Map by reflecting students’ thinking analytically from Students were separated in 4 people per group by abstract into concrete form through constructing mind map in process of problem solving. To investigate the using equal ability criterion for each group. There were effect of using learning activities using PBL with eight groups to perform learning activities of each integrating mind map on the levels of students’ learning stage hereinafter. Stage 1: Problem Identifying analytical thinking skills, three subjective tests about Problem situation in the figure 2 would be posed for subject matter on Variation were created. The rubrics students to inquire.


4

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

Figure 2 Problem situation about a quantity of rubber and its price

Stage 2: Problem Understanding By using group process, students in each group were assigned to construct mind map underlying analytical thinking about problem situations including thinking analytically about problem identifying,

condition and information from problem situations, additional information needed to search for finding problem solution, and gather information to formulate procedure for solving problems (see figure 3).

Figure 3 An example of mind mapping from student’s construction in the Stage 2 (Problem Understanding) of PBL.

Figure 3 could be separated based on student’ what is the ratio of raw rubber price and rubber milk performing in analytical thinking skills in problem solving. quantity?, what is the kind of equations of variation in Figure 4 showed that students think analytically with this situation? and so on. problem identifying and they could identify five issues from problems and represented with mind map such as does rubber price have direct variation with its quantity?,


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

5

Figure 4 Students’ mind map related with performing analytical thinking skill in problem identifying.

Figure 5 showed that students think analytically rubber quantity and its price and the information about with condition and information given by problem relationship said that rubber price increase when its situations and students demonstrate their thinking in quantity increase. their mind map including the relationship table between

Figure 5 Mind map of student’ thinking analytically with condition and information of problem situation

Figure 6 showed that students think analytically with additional information needed to search for finding problem solution and students demonstrate their thinking in their mind map including the procedure to compute rubber price when rubber milk quantity change

to 1 / 3 of initial quantity and the graph representing relationship between rubber price and its quantity. They would use this part of mind map like a navigator for their searching in Stage 3 (Knowledge Exploring).


6

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

Figure 6 Mind map of student’ thinking analytically with additional information needed to search for finding problem solution

Figure 7 showed that students think analytically with possible procedure for solving problems and students demonstrate their thinking in their mind map such as defending the involved variables and mathematical symbolic, presenting variation equation, solving for the

constant k in variation equation, and so on. They would use this part of mind map with information from Stage 3 (Knowledge Exploring) to synthesize important knowledge for formulating procedure for finding solutions of the problems in Stage 4 (Knowledge Synthesizing).

Figure 7 Mind map of student’ thinking analytically with possible procedures for solving problems

After finished with stage of constructing mind map, students would be led to the next stage of learning until in the Stage 6 that they would present their learning

outcome and instructor would give additional information for completing conceptual knowledge. Some atmosphere of classroom learning was presented in figure 8.


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

7

Figure 8 Some atmosphere in classroom of learning activity using PBL with integrating mind map

Analytical Thinking Skills from Learning Using PBL with Integrating Mind Map

thinking skills to accomplish problem solving would be determined by three subjective tests after the instructional sequence had been finished.

The observation of students’ learning outcome from the support of learning activities on their analytical

Figure 9 The number of students at each skill level for each essential feature of analytical thinking skills from subjective test 1


8

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

From performing subjective test 1 , figure 9 shows the number of students that reached each skill level for each essential feature of analytical thinking skills. It can be seen that learning activities with integrating mind map raised the skill level in classification of many students to between developing and proficient, raised

the skill level in categorization of many students to between emergent and proficient, raised the skill level in connection of many students to between proficient and exemplary, and raised the skill level in conclusion of many students to between developing and proficient.

Figure 10 The number of students at each skill level for each essential feature of analytical thinking skills from subjective test 2

From performing subjective test 2, figure 10 shows the number of students that reached each skill level for each essential feature of analytical thinking skills. It can be seen that learning activities with integrating mind map raised the skill level in classification of many students to between proficient and exemplary, raised the

skill level in categorization of many students to between emergent and developing, raised the skill level in connection of many students to between proficient and exemplary, and raised the skill level in conclusion of many students to between developing and proficient.


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

9

Figure 11 The number of students at each skill level for each essential feature of analytical thinking skills from subjective test 3

From performing subjective test 3, figure 11 shows the number of students that reached each skill level for each essential feature of analytical thinking skills. It can be seen that learning activities with integrating mind map raised the skill level in classification of many students to between proficient and exemplary, raised the

skill level in categorization of many students to between emergent and proficient, raised the skill level in connection of many students to between proficient and exemplary, and raised the skill level in conclusion of many students to between developing and proficient.


10

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

Figure 12 The mean score for skill levels of students for each essential feature of analytical thinking skills from performing in three subjective tests.

From performing all subjective tests, figure 1 2 present the mean skill level of students for each essential feature of analytical thinking skills to indicate the tendency of students’ analytical thinking skill levels used in the process of problem solving. It can be seen obviously that learning activities with integrating mind map have an effect on analytical thinking skills in classification of students in proficient, analytical thinking skills in categorization of students in developing, analytical thinking skills in connection of students in proficient, and analytical thinking skills in conclusion of students in proficient.

problem solving process, we had verified the significant effect that learning activities with integrating mind map had an effect on students’ analytical thinking skills. Students could acquire all topics on Variation through problem solving process. Students supported their analytical thinking to each other when encountered with problems by resolving process. In working groups with constructing mind map, their thinking were reflected on mind map in concrete form during they collaborated to identify problems, helped each other search information for solution, and made a discussion to reach conclusion. Thus, learning activities with integrating mind map not only encouraged students to learn content knowledge on Summary Variation but also supported them to practice analytical thinking skills though constructing mind map in Concerning our study goals, the attempt to explore problem solving. the supportive use of learning activities with integrating mind map on the student’s skill level in analytical thinking skills simultaneously happened in their


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

Acknowledgements We would like to acknowledge the Department of Mathematics Statistics and Computer, Faculty of Science, Ubon Ratchathani University for research grants, all facilities, and all convenience.

11

Hmelo-Silver, C. E. (2004). Problem-based learning: What and how do students learn? Educational psychology review, 16(3), 235-266. Nayef, E. G., Rosila, N., Yaacob, N., & Ismail, H. N. (2013). Taxonomies of educational objective domain. Int. J. Acad. Res. Bus. Soc. Sci, 3(9), 165-175.

References Areesophonpichet, S. (2013). A development of analytical thinking skills of gradute students by using concept mapping. In Shamim Ali ( Ed.), The Asain Conference on Education 2013 Official Conference Proceedings, 2013 (pp. 795-816). Osaka, Japan.

Radix, C. A., & Abdool, A. (2013). Using mind maps for the measurement and improvement of learning quality. The Caribbean Teaching Scholar, 3(1), 3-21.

Rochmad, Bintang, G. M., & Arifudin, R. (2014). Mind mapping learning to increase mathematical reflective thinking ability of junior high school students. Brinkmann, A. (2003). Graphical knowledge display– In Sutikno, ST. MT., Widiyatmoko, M. Pd. & Harjito, mind mapping and concept mapping as efficient tools in M.Si. ( Eds.), International Conference on Mathematics, mathematics education. Mathematics Education Review, Science, and Education 2014 (ICMSE 2014), 19 16, 35-48. August 2014 (pp. 17-22). Konya, Turkey. Heong, Y. M., Othman, W. B., Yunos, J. B. M., Kiong, T. T., Hassan, R. B., & Mohamad, M. M. B. (2011). The level of marzano higher order thinking skills among technical education students. International Journal of Social Science and Humanity, 1(2), 121.

Takahashi, Y., & Meguro, H. (2005). Using diagram analysis to develop analytical skill. In K. BradfordWatts, C. Ikeguchi, & M. Swanson (Eds.), JALT 2 0 0 4 Conference Proceedings, October 2005 (pp. 599-609). Tokyo, Japan: JALT.


12

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

Using PBL with FILA Chart to Design Learning Activities on Fundamental Principle of Counting to Support Problem-Solving Skills Pariyakorn Suphap and Supot Seebut* Department of Mathematics Statistics and Computer, Faculty of Science, Ubon Ratchathani University 85 Sathollmark RD. Warinchamrab Ubon Ratchathani, Thailand * Corresponding author. E-mail address: supot.s@ubu.ac.th Abstract The key successful in mathematical problem solving is that students could employ problem-solving skills for performing in problem-solving process related to mathematical problems posed by instructors in a mathematics classroom. However, it is found that there are many students frustrated with using problem-solving skills in practice because thinking simultaneously with mathematics problems and procedures in solving them based on problem-solving skills seem to be abstract and very difficult for students. The purposes of this study are to develop learning activities using PBL with FILA chart as a scaffolding tool applied for supporting students to use problem-solving skills in performing with mathematics problems on Fundamental Principle of Counting step by step. To determine the effect of using learning activities using PBL with FILA chart on the levels of students’ problem solving skills, three subjective tests about subject matter on Fundamental Principle of Counting are administered as posttest to student. The rubric score is employed to determine the level of students’ problem solving skills through their performing in subjective tests. Data from rubric for evaluating student’ problem solving skills is analyzed using descriptive statistics to find frequency of students identifying particular student’ skill levels in problem solving for each of essential features of problem solving skills and to compute the mean skill levels in problem solving of students for each essential features. The results have verified the significant effects that learning activities using PBL with an effect FILA chart. Keywords: FILA Chart, Problem Based Learning, Problem Solving, Problem Solving Skills, Fundamental Principle of Counting

mathematics classroom. However, it is found that there are many students frustrated with using problemOne crucial activity in mathematics learning is solving skills in practice because thinking simultaneously problem solving because it is an integral part of all with mathematics problems and procedures in solving mathematics learning. Instructional programs should them based on problem-solving skills seem to be enable all students to build new mathematical knowledge abstract and very difficult for students. By this reason, through problem solving, to solve problems that arise in finding scaffolding tools to move all these abstracts into mathematics and in other contexts, to apply and adapt a concrete process that could help students to successfully variety of appropriate strategies to solve problems, and perform problem-solving skills becomes important to monitor and reflect on the process of mathematical learning design in mathematics classroom (Jozwiak, problem solving (National Council of Teachers of 2004; Mourtos, Okamoto, & Rhee, 2004; Sulong Mathematics, 2000). et al., 2007; Cote, et al., 2010). FILA chart as a The key successful in mathematical problem solving scaffolding tool is applied for supporting students to use is that students could employ problem-solving skills for problem-solving skills in performing with mathematics performing in problem-solving process related to problems step by step. By conforming procedures assigned mathematical problems posed by instructors in a Introduction


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

by FILA chart including component as follow; Fact (F), Ideas (I), Learning issues (L), and Action (A), students could write down their abstract thinking about problems and procedures on FILA chart that set steps as stage in training problem-solving skills for students in concrete from (Sulong et al., 2007; Manaf, Ishak, Hanafi, & Yassin, 2013; Peen & Arshad, 2013). This study was designed to investigate the effect of using PBL with FILA chart to create learning activities

13

on Fundamental Principle of Counting. Each activity was designed to train student to perform procedures based on problem solving skills with mathematics problem related to subject matter about Fundamental Principle of Counting through assigning FILA chart construction. The results were wishful to be observed is that the evidence of problem solving skills from FILA chart and subjective tests.

Learning Design Using PBL with FILA Chart

Figure 1 Key components for learning design using PBL with FILA chart

For the development of mathematics learning activities using PBL with FILA chart on Fundamental Principle of Counting, Six stages of Problem-Based Learning were applied from Hmelo-Silver (2004). FILA chart would be played as a scaffolding tool for support students to perform in the stage of Problem Understanding. All of stages could be summarized in Figure1 and could be given their details as follow; Satge 1: Problem Identifying When students encountered with problems situations related to subject matter on Fundamental Principle of

Counting, they were encouraged in brainstorming process with their group mate for identifying what the problems would like to know and recorded the specific goal of the problems on their work sheet. Stage 2: Problem Understanding When students had known what the problems needed, in this stage each group would work with FILA chart construction that assigned students to employ problem-solving skills to analyze problems situations and write details about problem situations on FILA chart followed by Fact (F), Ideas (I), Learning issues


14

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

(L), and Action plan (A) that could give scope of meaning in this four component as follows; Fact (F): From problem situation, what was important information students received. Ideas (I): From important information, what were important ideas emerged by students to be guidelines for finding answers to the problems. Learning issues (L): From important ideas, students needed to explore more details of knowledge about all ideas. Action plan (A): students employed what their knowledge plan to draft possible plan to solve problems. Stage 3: Knowledge Exploring When students had constructed FILA chart, they would use their FILA chart as a navigator to search for knowledge and procedure in their problem solving process. Stage 4: Knowledge Synthesizing Students were in problem solving process and formulated answers to the problems Stage 5: Solution Evaluating Students concluded and evaluated their solution. Stage 6: Solution Presenting Students presented their solution from solving problems

was designed to support student not only to access contents knowledge about Fundamental Principle of Counting but also to perform problem solving skills through constructing FILA chart in process of problem solving. To investigate the effect of using learning activities based on PBL with FILA chart on the levels of students’ problem solving skills, three subjective tests about subject matter on Fundamental Principle of Counting were created. The rubrics for scoring subjective tests based on essential features of problem solving skills related with Mourtos et al., 2004; Polya, 2014 were developed. In the rubric, each of the four essential features (understanding the problem, devising a plan, carrying out the plan, and looking back) was represented by four levels (emergent, developing, proficient and exemplary), each indicating a different level of achievement of that feature. Procedures A total of 35 eleventh grade students involved in this study were engaged in learning activities using PBL with FILA chart on Fundamental Principle of Counting. Three subjective tests about Fundamental Principle of Counting were administered as posttest to students. The rubric score was employed to determine the level of students’ problem solving skills through their performing in subjective tests. Methodology Data Analysis Data from rubric for evaluating student’ problem Participants solving skills was analyzed using descriptive statistics to This study was designed to investigate the effect of find frequency of students identifying particular student’ using PBL with FILA chart to create learning activities skill levels in problem solving for each of essential on Fundamental Principle of Counting. The subjects features of problem solving skills and to compute the were 35 eleventh grade students from Phutthaisong mean skill levels in problem solving of students for school, Buriram Province, Thailand, in the academic each essential features. year 2015. Instruments There were 3 lesson plans in content knowledge about Fundamental Principle of Counting. Each activity


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

15

were eight groups to perform learning activities of each learning stage hereinafter. Stage 1: Problem Identifying Students were separated in 4 or 5 people per group Problem situation in the figure 2 would be posed for by using equal ability criterion for each group. There students to investigate. An Example of Learning Activity Using PBL with Fila Chart

Figure 2 Problem situation about the way that the boy dress up

problem solving skills with problem situation in the Stage 2: Problem Understanding By using group process, students in each group following component of FILA chart including Fact (F), complete FILA chart given in the figure 3. Followed by Ideas (I), Learning issues (L), and Action plan (A). this FILA chart, students would be assigned to employ

Figure 3 An example of mind mapping from student’s construction.

Figure 4 showed that students could identify important write it on component F of FILA chart including information and condition from problem situation and number of shirts, pants, shoes.


16

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

Figure 4 Students’ FILA chart related with performing problem solving skill in problem identifying.

Figure 5 showed that students could formulate their possible ideas for finding solutions of the problems and

gather them in component I of FILA chart.

Figure 5 FILA chart of student’ problem solving skill with formulating possible ideas for solving problems

Figure 6 showed that students could point out additional information needed to search for finding problem solution and students write this topic in the

component L of FILA chart to investigate more details in Stage 3 (Knowledge Exploring).


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

17

Figure 6 FILA of students’ problem solving skill related with investigation of additional information for solving problems

Figure 7 showed that students could draft their possible plan in the component A of FILA chart for running continuously in problem solving process. They would use this information and additional knowledge

from stage 3 ( Knowledge Exploring) to synthesize important knowledge for formulating procedure for finding solutions of the problems in Stage 4 (Knowledge Synthesizing).

Figure 7 FILA chart of student’ problem solving skill with possible procedures for solving problems

After finished with stage of constructing FILA, for completing conceptual knowledge. Some atmosphere students would be led to the next stage of learning until of classroom learning in stage 6 (Solution Presenting) in the Stage 6 that they would present their learning was depicted in figure 8. outcome and instructor would give additional information


18

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

Figure 8 Some atmosphere in classroom of learning activity in solution presenting

Problem-Solving Skills from Learning Based on PBL with Fila Chart

accomplish problem solving would be determined by three subjective tests after the instructional sequence had been finished.

The observation of students’ learning outcome from the support of learning activities on their skills to

Figure 9 The number of students at each skill level for each essential feature of problem solving skills from subjective test 1

From performing subjective test 1 , figure 9 shows be seen that learning activities using PBL with FILA the number of students that reached each skill level for raised the skill level in understanding the problem of each essential feature of problem solving skills. It can many students to between proficient and exemplary,


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

raised the skill level in devising a plan of many students to between developing and proficient, raised the skill level in carrying out the plan of many students to

19

between proficient and exemplary, and raised the skill level in looking back of many students to between developing and proficient.

Figure 10 The number of students at each skill level for each essential feature of problem solving skills from subjective test 2

From performing subjective test 2, figure 10 shows the number of students that reached each skill level for each essential feature of problem solving skills. It can be seen that learning activities using PBL with FILA raised the skill level in understanding the problem of many students to between proficient and exemplary,

raised the skill level in devising a plan of many students to between developing and proficient, raised the skill level in carrying out the plan of many students to between developing and exemplary, and raised the skill level in looking back of many students to between developing and proficient.


20

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

Figure 11 The number of students at each skill level for each essential feature of problem solving skills from subjective test 3

From performing subjective test 3, figure 11 shows the number of students that reached each skill level for each essential feature of problem solving skills. It can be seen that learning activities using PBL with FILA raised the skill level in understanding the problem of many students to between proficient and exemplary,

raised the skill level in devising a plan of many students to between developing and proficient, raised the skill level in carrying out the plan of many students to between proficient and exemplary, and raised the skill level in looking back of many students to between developing and proficient.


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

21

Figure 12 The mean score for skill levels of students for each essential feature of problem solving skills from performing in three subjective tests

From performing all subjective tests, figure 1 2 present the mean skill level of students for each essential feature of problem solving skills to indicate the tendency of students’ skill levels in problem solving. It can be seen obviously that learning activities using PBL with FILA have an effect on problem solving skills in understanding the problem of students in proficient, problem solving skills in devising a plan of students in developing, problem solving skills in carrying out the plan of students in proficient, and problem solving skills in looking back of students in developing. Summary Concerning our study goals, the attempt to explore the supportive use of learning activities using PBL with FILA chart on the student’s skill level in problem solving, we had verified the significant effect that learning activities using PBL with FILA chart had an effect on students’ problem solving skills. Students could acquire all topics on Fundamental Principle of

Counting through problem solving process. Students supported each other when encountered with problems by resolving process. In working groups with constructing FILA chart, they collaborated to identify problems, helped each other search information for solution, and made a discussion to reach conclusion. Thus, learning activities using PBL with FILA not only encouraged students to learn content knowledge on Fundamental Principle of Counting but also supported them to practice problem solving skills. In conclusions, the results we have created satisfy the results in Sulong et al., 2007; Manaf et al., 2013; Peen and Arshad, 2013. In other words, FILA is efficient and significant solving problems in order to reduce abstract procedures in PBL. Acknowledgements We would like to acknowledge the Department of Mathematics Statistics and Computer, Faculty of Science, Ubon Ratchathani University for research grants, all facilities, and all convenience.


22

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

National Council of Teachers of Mathematics (Ed.). (2000). Principles and standards for school Cote, D., Pierce, T., Higgins, K., Miller, S., Tandy, R., mathematics (Vol. 1). Reston, VA: NCTM. & Sparks, S. (2010). Increasing skill performances of problem solving in students with intellectual disabilities. Peen, T. Y., & Arshad, M. Y. (2013). FILA-MMS Education and Training in Autism and Developmental chart in chemistry PBL lesson: A case study of its implementation during problem analysis. PBL Across Disabilities, 45(4), 512-524. Cultures, 4(2-3), 154-162. Hmelo-Silver, C. E. (2004). Problem-based learning: What and how do students learn? Educational Polya, G. (2014). How to Solve It: A New Aspect of Mathematical Method: A New Aspect of Mathematical psychology review, 16(3), 235-266. Method. Princeton, NJ: Princeton University Press. Jozwiak, J. (2004). Teaching Problem-Solving Skills to Adults. Journal of Adult Education, 33(1), 19-34. Sulong, M. S., Sahdan, M. Z., Saim, H., Mohd Tawil, S. N., Sanudin, R., & Morsin, M. (2007). A problemManaf, N. A. A., Ishak, Z., Hanafi, Z., & Yassin, S. M. based learning approach in teaching mask design for (2013). Crafting a good PBL scenario in company mosfet fabrication. In 2 nd Regional Conference on secretarial practices course. PBL Across Cultures, 4(2- Engineering Education, 3-5 December 2007 (pp. 3), 254-263. 3 0 8 -3 1 0 ) . Johor Bahru, Malaysia: Universiti Tun Hussein Onn Malaysia. Mourtos, N. J., Okamoto, N. D., & Rhee, J. (2004, February). Defining, teaching, and assessing problem solving skills. 7th UICEE Annual Conference on Engineering Education, 9-13 February 2004. Mumbai, India: UICEE Annual Conference on Engineering Education. References


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

23

The Relationships between National Culture and Employee Performance Among US Multinational Companies in Bangkok Rosesakorn Krongchuchuen* and Chittapa Ngamkroeckjoti 18 Soi 37 Sukhumvit 101 Bangchak Prakanong Bangkok 10260 Science in Management, Assumption University, Bangkok Thailand * Corresponding author. E-mail address: rosesakorn@gmail.com Abstract This paper aims to study the relationships between National Culture (Power Distance, Individualism and Collectivism, Masculinity and Femininity, and Uncertainty Avoidance) and Employee Performance (Work Result, Job Knowledge, and Job Satisfaction). This research using descriptive research with survey questionnaire. The selected 400 respondents are low-to-middle management level employees, who are working with the US Multinational Corporation (MNC) located in Bangkok during June 2013 to August 2013. Employees are classified by gender of which this study have normally distributed to 49.5 percent male (198 respondents) and 50.5 percent female (202 respondents). Methodology used in this research is Pearson Correlation Analysis testing relationships between National Culture and Employee Performance. All hypotheses show that there is a significant relationship between National Culture and Employee Performance. The research result supported by Newman and Stanley (1996), suggested that National Culture is the central principle of organization as it also the principle of employee understanding of their work and which type of action is preferable by others. Additionally, study of Taras, Steel, and Kirkman (2011) indicated that National Culture does influence Employee Performance base on the nature of the job. They believe National Culture affect peoples' attitudes, perception, and behavior which does influence on performance but whether in good or bad way depends on the fit between culture and individual nature of the job. This research will benefit 3 parties including, organization with US MNC management style to understand the relationship of National Culture and Employee Performance. So they can manage to run their organization more effectively with better performance and lead to better profit. This research would benefit the readers who have no idea about US MNC, this research would give them an insightful information of what US MNC is all about. Lastly this research would benefit the researcher herself as she is now working in the US MNC. Conducting this research allows the researcher to know deep information of the US MNC in terms of strong and weak point, number of imports and export between US and Thailand each year, and the signifying relationship between National Culture and Employee Performance.

Keywords: National Culture, Employee Performance, Multinational Company (-ies)

Introduction Globalization can be defined as the movement of knowledge (technology) and people (labor) across the border. With globalization, people can now access to better technology, more capital, larger export market, and cheaper imported goods (International Monetary Fund, 2008). This benefits and the access in foreign capital market from developed nations lead to more efficiencies and productivity that increase growth and created better job performance in the developing countries (United Nations, 2000). Multinational Corporations (MNCs) as

a consequence of globalization means corporation that has an asset in at least one country other than their home country. In this study, the corporations that have their office or factory in US with centralized management decision. According to the Bureau of East Asian and Pacific Affairs in 2013, United States of America (US) is the third largest trading partner to Thailand after Japan and China. US is also one of the largest investors in Thailand with bilateral trade value of more than USD 41 billion in 2012 (U.S. Department of State, 2014). Thailand is the largest growing economic market, US MNCs can


24

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

conveniently trade with China, India, and countries in Southeast Asian Nations (ASEAN) with total population of nearly USD 600 million in 2014 and growing (Solheim, 2014). It is expected that in 2013 Thailand economic growth would be 6% to 8%, this expected number would surely create the investment opportunities for US companies (U.S. Commercial service, 2013). In 2013, Thailand was US 24th largest goods trading partner with approximately $38 billion in two ways goods trade: main export goods of Thailand to US include computer parts, semi–conductor, cotton, jewelry, seafood, clothing, natural rubber, auto parts, rice, and furniture (Avery and Dolven, 2014). Thailand and US enjoy special commercial relationships of 178 years under Treaty of Amity and Commerce. The treaty allows US MNCs to operate in Thailand with the same entities as Thai corporate but still with restriction in business sectors such as transport, banking sector, exploitation of natural resources, and communication. This research used convenience sampling techniques with 400 completed quesitionnaires. All respondents are low-to-middle management level working in US MNCs, 50% of the questionnaires were distributed face-to-face while another 50% of the questionnaires was sent by electronic mail as well as Facebook and Line in the form of Google Spreadsheet. Methodology This research used quantitative method in collecting primary data, the researcher tested reliability of questionnaire from pretest group of 50 respondents and later distributed to all respondents for hypothesis testing. Convenience sampling was used in understanding the non probability sampling method all respondents in this research are Thai white collar employees who are working at US MNCs in Bangkok.

Population size of this research cannot be specified, as not all US MNCs have registered their company to Thai government agencies. Therefore, Berenson and Levine (1999) calculating method of unknown population was used. The researcher use desired level of confidence of 95% and maximum random sampling error of 5%. The minimum questionnaires for the unknown population is equaled to 385 sets, however 400 sets was collected for this study. Moreover, the researcher screened all questionnaires to find errors if found the researcher will eliminate them. Thus, only valid questionnaire used to analyze for data analysis. The reliability test of 50 and 400 sets questionnaire showed reliability prior to go further statistical process of Cronbach’s coefficient alpha result of more than 0.6. According to Malhotra and Birks (2003), they explained Cronbach’s coefficient alpha of greater than 0.6 indicates satisfactory internal reliability. All data have shown the reliability value of more than 0.6 which indicated that this research questionnaire can be further examining all hypothesis. The frequency analysis analyzed demographic information of respondents was used. This analysis helped researcher in understanding the characteristics of participated respondents. Descriptive analysis analyzed each question was used in order to understand its mean score and standard deviation. The Pearson Correlation Coefficient Analysis was used to test the relationships between National Culture and Employees Performance. Findings and Discussions Frequency analysis on demographic data of respondents shown 49.5 percent of respondents were male (198 respondents) and 50.5 percent female (202 respondents). If classified by age, 8 percent of respondents age under 25 years old (32 respondents), 42.8 percent age between 25–30 years old (171 respondents), 34.5 percent age between 30-35 years old (138 respondents),


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

10.8 percent age between 35–40 years old (43 respondents), 4 percent age 40 years and above (16 respondents). If classified by education, 5.8 percent (23 respondents) high school graduated, 55.8 percent (223 respondents) bachelor degree graduated, 38 percent (152 respondents) master degree graduated, and 0.5 percent (2 respondents) doctoral degree graduated. If classified by industry, 7.5 percent (30 respondents) working in light industry sector, 77.3 percent (309 respondents) working in service and public utility sector, 6.3 percent (25 respondents) working in electronic industry sector, 1.3 percent (5 respondents) working in mining, ceramics, and basic metals sector, 4.3 percent (17 respondents) working in machinery and transport equipment sector, and 3.5 percent (14 respondents) working in chemicals, paper, and plastic sector. The correlation coefficient (r) result of Uncertainty Avoidance and Employee Performance in term of Work Result indicating very low positive relationships of 0.272 . Following by the (r) result of Power Distance and Employee Performance(Work Result) indicating very low positive relationhip of 0.262. Moreover, result of Individualism and Collectivism and Employee Performance (Work Result) indicating very low positive relationships of 0.130. Furthermore Masculinity and Femininity and Employee Performance (Work Result) indicating very low negative relationships of -0.163. The relationships of National Culture and Work Result supported by the research of Merchant and Stede (2003), they explained that National Culture has directly effected on Performance Management as it is the cause for each employee in reacting differently on similar performance. Mendonca and Kanungo (1996) found that High Power Distance country, MNCsare operate in fixed positions with strong hierarchy. Individual in this type of working culture believe that obedience is the way to hold their position and the virtue simply come from

25

the authority. For effective Performance Management, individual performance and goal setting for each individual is to coach closely by manager. Countries with Collectivism success of individual is mean to maintain the well being of family. While Individualism individual success is for self fulfillment and accomplishment. The performance management would be more effective in High Individualism as individual is more focus on their personal job performance. In Femininity, individual are more rely on interpersonal relationships rather than achieving job objective. This type of National Culture, individual subordinate performance evaluation will always be problematic as individual believe that loyalty to superior is more important than their job obligations. In Uncertainty Avoidance, individual are reluctance to take initiative role outside from their daily life. Individual in this kind of culture believes external environment control them and High Uncertainty Avoidance would be a sever constraint on the effectiveness of performance management. The correlation coefficient result of Uncertainty Avoidance and Employee Performance in term of Job Knowledge indicating very low positive relationships of 0.208. Follow by the result of Power Distance and Employee Performance (Job Knowledge) indicating very low positive relationships of 0.112. Moreover result of Individualism and Collectivism and Employee Performance (Job Knowledge) of 0.169 indicating very low positive relationships. Further more the result of Masculinity and Femininity and Employee Performance (Job Knowledge) indicating very low negative relationships of -0.161. Leyland (2006) reported that idea of Knowledge Transfer is to ensure that new knowledge is embedded within the organization. His research shows that individual is more open to their knowledge sharing when


26

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

the action is done with their peer as they believe knowledge is controllable if shared with trusted group. For a country with a high level of Power Distance, knowledge in an organization usually flows from the top down while the information from first hand, often been underestimated and later employee treated their knowledge as private property. According to Maletzky (2008) in Low Power Distance knowledge of employees can flow in all directions with open communication among top, middle, and lower level this will lead companies to better innovation, employee personal development, and company growth. Fong and Guange (2007) conducted the research in Taiwan’s firms to study organizational culture and also to determine how risk avoiding culture affects the achievement of knowledge sharing, found that a country with Individualism individual are more reluctant in sharing knowledge as knowledge is treated as powerful tool and play an important part of their success. Opposite of Collectivism explained by Qin (2008) individual in Collectivism believes knowledge belongs to an organization and individuals are inclining their personal interest for the group’s goals. Dignum and Eijk (2007) found that in high Masculinity the flow of knowledge is more difficult due to competitiveness. Whereas high Femininity knowledge flow easier due to the willingness to bridge differences and at the same time sharing their common benefits. Leyland (2006), High Uncertainty Avoidance, is careful on what they see as risky, so if MNCs can create a friendly and supportive atmosphere, then it will reduce fear and increase the willingness to accept new knowledge and new way of working. The correlation coefficient result of Individualism and Collectivism and Employee Performance in term of Job Satisfaction indicating low positive relationships of 0.308. Follow by Uncertainty Avoidance and Employee Performance (Job Satisfaction) indicating very low positive relationships of 0.295. Moreover result of Power

Distance and Employee Performance (Job Satisfaction) indicating very low positive relationships of 0.274. Testa, Mueller, and Thomas (2003) conducted research with large US headquarter cruise line with over 10,000 employees from 90 different countries found that employees from High Power Distance experience higher level of Job Satisfaction than employees from Low Power Distance culture. Newman and Stanley (1996) studied 176 work units of the US based MNCs operating in 18 countries found employee from Low Power Distance culture were the highest performing in the participative environment while the employee from a High Power Distance tend to higher perform in less participative environment. Eskildsen, Kristensen, and Antvor (2010) studied the relationships between Job Satisfaction and National Culture by collecting the data from 25,411 employees from 22 countries such as Denmark, India, Norway, Brazil, Finland and many more. The result of the study showed Masculinity and Uncertainty Avoidance plays a role in determining the level of employee Job Satisfaction in the individual country. The more Masculinity each National Culture is, the greater uncertainty and the lower Job Satisfaction of employee tend to be. Masculinity and Uncertainty avoidance play the most influential role when come to the national level of job related evaluation while Power Distance plays the role on only certain situation. Recommendations and Conclusion This research would benefit organization with US MNCs management style to understand the relationships of National Culture and Employee Performance. So, when the organization knows this truth then they can manage to run their organization more effectively with better performance and lead to better profit. Second, this research would benefit the readers who needs to gain business relationship with US MNCs, this research would them an insightful information and


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

understanding of what US MNCs is all about. In terms of strong and weak point of the MNCs, the number of imports of export between the US and Thailand each year, and the signifying relationships between National Culture and Employee Performance. US MNCs should embraced host country National Culture by at least 3–6 months training before landing in host country. Therefore, increasing level of National Culture (Power Distance, Uncertainty Avoidance, and Individualism and Collectivism), the level of Employee Performance (Work Result, Job Knowledge, and Job Satisfaction) would have tendency to increase. On the other hands, decreasing level of National Culture (Masculinity and Femininity),the level of Employee Performance (Work Result and Job Knowledge) of Thai respondents are fair and giving opportunity to both genders. In order to increase Job Knowledge US MNCs offices should not only make the local understand the expatriate but expatriate should share their culture to the local for example creating social activities together such as Loy Kathong, Wisakha Bucha, Asarnha Bucha,Songkran, and Makha Bucha Day. In terms of Uncertainty Avoidance, the MNCs should publish manual written step by step so that employee can follow and achieve MNCs goal. Then it would have tendency of increasing on Employee Performance (mostly on Job satisfaction, follow by Work Result and Job Knowledge). In terms of Individualism and Collectivism, MNCs should frequently arrange team building activities such as dinner, game, sport day, and field trip to make employees feel they belong to the group. Then it would have tendency of increasing on Employee Performance (mostly on Job Satisfaction, Job Knowledge, and Work Result). In terms of Power Distance, MNCs should include power and authority level of each manager level in

27

MNC’s manual and organization chart. Then it would have tendency of increasing on Employee Performance (mostly on Job Satisfaction and follow by Work Result, and Job Knowledge). In terms of Masculinity and Femininity, MNCs should promote their employees base on capability of their past experiences, overall performances, knowledge, and skills. Then it would have tendency of increasing on Employee Performance (mostly on Job Knowledge and follow by Work Result). Further studies 1. Further research should analyze additional factors such as gender, age, and education in order to find different correlation between National Culture (Uncertainty Avoidance, Individualism and Collectivism, Power Distance, and Masculinity and Femininity) and Employee Performance (Work Result, Job Knowledge, and Job Satisfaction). 2. The additional factors such as organizational commitment and human resource management that correlate with Employee Performance should also included in the research. 3. Further research should not only measure the relationships between National Culture (Uncertainty Avoidance, Individualism and Collectivism, Power Distance, and Masculinity and Femininity) and Employee Performance (Work Result, Job Knowledge, and Job Satisfaction) of Bangkok but also others capital city in 10 ASEAN countries such as Manila, Naypyidaw, Vientiane, Banda Seri Begawan, Singapore, Kuala Lumpur, Jakarta, Hanoi, Phnom Penh. 4. Further in depth research of relationships between Organization Culture and Employee Performance of US MNCs or other expat should also be included.


28

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

Malhotra, N., & Birks. (2003). Marketing Research: An Applied Approach (2nd ed. ). Harlow: Financial Avery, E., & Dolven, B. (2014). Thailand: Background Times Prentice Hall. and U.S. Relations. Retrieved from https://www.fas.org Mendonca, M., & Kanungo, R. (1996). Ethical /sgp/crs/row/RL32593.pdf. Dimensions of Leadership. New Delhi: Sage Publications. Berenson, M., & Levine, D. (1999). Basic Business Statistics–Concepts and Applications. New Jersey: Prentice Merchant, K., & Van der Stede, W. (2003). Management Control System-Performance Measurement, Hall. Evaluation and Incentive. New York: Prentice Hall. Dignum, F., & Eijkm, R. (2007). Agent Communication and Social Concepts. Journal of Autonomous Agents and Qin, X. (2008). The Culture relativity in the knowledge flow: An integrative framework in the Chinese context. Multiagent Systems, 14(2), 119-120. Chinese Management Studies, 2(2), 109–121. Eskildsen, J., Kristensen, K., & Antvor, H. (2010). The Relations Between Job Satisfaction and National Solheim, E. (2014). Toward Green Growth in ASEAN. Culture. The TQM Journal: Emerald Group Publishing Retrieved from http://asiafoundation.org/in-asia/2014 /06/04/toward-green-growth-in-asean/ Limited, 22(4), 369-378. References

Fong, L., & Guang, L. (2007). Risk avoiding Cultures Taras, V., Steel, P., & Kirkman, B. (2011). Three towards Achievement of Knowledge Sharing. Business decades of research on National Culture in the workplace: Do the differences still make a difference? Process Management Journal, 13(4), 522–537. Organizational Dynamic: Elsevier. International Monetary Fund. (2008). Globalization: A Brief Overview. Retrieved from http://www.imf. Testa, M., Mueller S., & Thomas, A. (2003). Cultural fit and job satisfaction in a global service environment. org/external/np/exr/ib/2008/053008.htm Management International Review, 43(2), 129-148. Leyland, M. (2006). The role of culture on knowledge transfer: the case of the multinational corporation. The U.S. Commercial Service. (2013). Doing Business in Thailand. Retrieved from http://www.thinkasiainvest Learning Organization, 13(3), 257-275. thailand.com/download/Doing%20Business%20in%2 Newman, K., & Stanley, N. (1996). Culture and 0Thailand.pdf congruence: the fit between management practices and national culture. Journal of International Business U.S. Department of State. (2014). U.S. Relations with Thailand. Retrieved from http://www.state. gov/r/pa/ Studies, 27(4), 753-779. ei/bgn/2814.htm Maletzky, M. (2008). Expatriate Power–a counteractive factor of intercultural learning. Retrieved from http://immi.se/intercultural/nr17/maletzky.htm


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

United Nations. (2000). Economic and Social Commission for Asia and the Pacific. Development through globalization and partnership in the twenty-first century: as Asia-Pacific perspective for integrating developing countries and economies in transition into the international trading system on a fair and equitable basis. New York: United Nations.

29


30

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ปั จจัยทีม่ ีผลต่อการประยุกต์นโยบายส่งเสริมความหลากหลายทางวัฒนธรรม ของอาเซียน: ในบริบทของผูป้ กครอง/ชุมชนในโรงเรียน โครงการ Spirit of ASEAN ของสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้ นฐาน (สพฐ.) จุฬาภรณ์ ขอบใจกลาง

Factors Affecting the Application of Policies to Promote Multicultural in ASEAN the Context of Guardians/Communities in Spirit of ASEAN School the Project of the Office of the Basic Education Commission Chulaporn Kobjaiklang ศูนย์อาเซียนและเอเชียศึกษา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ กรุงเทพ 10240 The ASEAN and ASIA Studies Center, National Institute of Development Administration, Bangkok 10240 Corresponding author. E-mail address: chulaporn.kobjaiklang@gmail.com บทคัดย่อ การศึกษาปั จจัยที่มีผลต่ อการส่งเสริมความหลากหลายทางวัฒนธรรมของอาเซียนโดยพิ จารณาบทบาทผู้ปกครอง/ชุมชนของโรงเรียนใน โครงการ Spirit of ASEAN ของ สพฐ. ผู้ปกครอง/ชุมชนมีบทบาทสาคัญในการให้ ความร่วมมือส่งเสริมความหลากหลายทางวัฒนธรรมใน ชุมชน และมีบทบาทโดยตรงในการปลูกฝังความตระหนักรู้เกี่ยวกับความหลากหลายทางวัฒนธรรมให้ กับบุตรหลานในครอบครัวผ่ านการ เรียนรู้จากสภาพจริงภายในชุมชนโดยรอบท้ องถิ่นของตนเอง ผู้ปกครอง/ชุมชนจึงมีบทบาทสาคัญในด้ านการส่งเสริมความหลากหลายทาง วัฒนธรรมให้ กบั นักเรียน การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความตระหนักรู้ด้านการประยุกต์นโยบายของสถานศึกษาสาหรับโรงเรียน โครงการ Spirit of ASEAN ของ สพฐ. เพื่อส่งเสริมความหลากหลายทางวัฒนธรรมในสถานศึกษาในมุมมองผู้ปกครอง/ชุมชน 2) เพื่อศึกษา ปัจจัยที่มีผลต่อผู้ปกครอง/ชุมชน ในการประยุกต์นโยบายส่งเสริมความหลากหลายทางวัฒนธรรมของอาเซียนของโรงเรียนในโครงการ Spirit of ASEAN ของ สพฐ. และ 3) เพื่อเสนอแนวทางในการประยุกต์นโยบายส่งเสริมความหลากหลายวัฒนธรรมของอาเซียน โดยการศึกษาจาก ผู้ปกครอง/ชุมชนที่อยู่ รอบๆ โรงเรียนในโครงการ Spirit of ASEAN วิธีการศึกษาใช้ การศึกษาทั้งเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) และ การศึกษาเชิงปริมาณ (Quantitative Research) ประชากรในการศึกษา คือ กลุ่มผู้ปกครอง/ชุมชน จ านวน 260 คน สาหรับการศึกษาเชิ ง ปริมาณ และกลุ่มผู้ปกครอง/ชุมชน สาหรับการศึกษาเชิงคุณภาพ จานวน 40 คน จากผลการวิจัย พบว่า ผู้ปกครอง/ชุมชนมีความตระหนักรู้ด้านการประยุกต์นโยบายของสถานศึกษาสาหรับโรงเรียนโครงการ Spirit of ASEAN ของ สพฐ. เพื่อส่งเสริมความหลากหลายทางวัฒนธรรมในสถานศึกษา ในมุมมองของผู้ปกครอง/ชุมชน พบว่า สถานศึกษามีการนา นโยบายของกระทรวงศึกษาธิการมาใช้ จริง ปั จจัยที่มีผลต่อการส่งเสริมความหลากหลายทางวัฒนธรรม ประกอบด้ วยปั จจัยด้ านลักษณะส่วน บุ คคล ได้ แก่ การตระหนักรู้ ทัศนคติ และพฤติ กรรม จากการวิ จัย พบว่ า ผู้ปกครอง-ชุมชนมี ความตระหนักรู้ ทัศนคติ และพฤติ กรรม ที่เกี่ยวข้ องกับความหลากหลายทางวัฒนธรรมอยู่ในระดับมาก โดยเฉพาะการสนับสนุนให้ บุตรหลานของตนเองอยู่ ร่วมกับกลุ่มชนที่มีความ แตกต่างทางด้ านเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม นอกจากนี้ยังพบว่า ปั จจัยสาคัญที่ส่งเสริมความหลากหลายทางวัฒนธรรม คือ ปั จจัยด้ านการ มีส่วนร่ วมของชุมชนกับโรงเรียน โดยเฉพาะการสนับสนุ นการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับความหลากหลายทางวัฒนธรรมภายในโรงเรียน และด้ าน แนวทางในการประยุกต์นโยบายส่งเสริมความหลากหลายทางวัฒนธรรมของอาเซียน ผู้ปกครอง/ชุ มชนมีส่วนร่วมและส่งเสริมในท้ องถิ่นของ ตนเองโดยช่วยให้ กลุ่มชนต่างๆ ในท้องถิ่นสามารถยอมรับและทาความเข้ าใจกลุ่มชนอื่นๆ ที่มีวัฒนธรรมแตกต่างจากตนเองได้ คาสาคัญ: ความหลากหลายทางวัฒนธรรม โรงเรียนโครงการ Spirit of ASEAN การตระหนักรู้ ทัศนคติ พฤติกรรม Abstract The study of factors affecting multicultural promotion in ASEAN as a role of guardians/communities in schools of Spirit of ASEAN following the Project of the Office of the Basic Education Commission. Guardians/Communities have important roles on


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

31

promoting of multicultural in communities and direct role that implant awareness about multicultural to their children in family through learning from the actual conditions within their own local communities. Guardians/Community plays a significant role in the promotions of multicultural to students. This research aims to: 1. study the awareness of the application to the policy with education for school project Spirit of ASEAN in the project the Office of the Basic Education Commission to promote multicultural in schools 2. study the factors affecting the guardians/communities in the application of policies to promote the multicultural in the school of the Spirit of ASEAN in the project the Office of the Basic Education Commission, and 3. offer guidance on the application of policies to promote multicultural of the region by study from guardians/communities surrounding the school in the Spirit of ASEAN. The study used both qualitative study and quantitative study. The population was a group of guardians/communities of 260 people for quantitative study and 40 people for qualitative study. The results showed that, guardians/communities awareness and application of education policies for school projects of Spirit of ASEAN in the project the Office of the Basic Education Commission. In order to promote multicultural in schools in view of guardians/communities, the education policy of the Ministry of Education were actually used. In the factors affecting the promotion of multicultural, which consisted of personal characteristics including diversity perceptions, attitudes and behaviors. The results showed that, the guardians/communities had high level of perceptions, attitudes and behaviors especially supporting their children to live together with other people with different nationality, religion and culture. Moreover the important factors in promotion multicultural were participation of communities and especially when schools supported the culture diversity. Theirs communities which contributed various groups in local area could accept and guide the application of the policy to promote multicultural of the region. Guardians/Communities involvement and promote their own local to understand people who have different culture. Keywords: Multicultural, Spirit of ASEAN School, Perception, Attitude, Behavior

บทนา จากแผนงานการจัดตั้งประชาคมสังคมและวัฒนธรรม อาเซี ย น (ASEAN Socio Cultural Community Blueprint) มี เป้ าหมายหลั ก ที่ จ ะท าให้ เกิ ด ประชาคมอาเซี ย นที่ มี ประชาชนเป็ นศูนย์กลางและเป็ นสังคมที่มคี วามรับผิดชอบ เพื่อก่อให้ เกิดความเป็ นอันหนึ่งอันเดียวกันและความเป็ น เอกภาพในหมู่ประชาชาติและประชาชนอาเซียนผ่ านการ เสริมสร้ างอัตลักษณ์อาเซียนร่วมกัน (ASEAN Identity) ความหลากหลายทางวัฒนธรรม หรือพหุ วัฒนธรรมมี กระบวนการก่อกาเนิดมาอย่ างยาวนานตั้งแต่มนุ ษย์เริ่มมี การเคลื่ อ นย้ ายถิ่ น อาศั ย และเกิ ด การปฏิ สั ม พั น ธ์ กั น ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน อันนามาซึ่งการแลกเปลี่ยนทางด้ าน วั ฒ นธรรม วิ ถี ชี วิ ต ความเป็ นอยู่ อาหาร ปั จ จั ย ในการ ดารงชีวิต และอื่นๆ ความหลากหลายในด้ านต่างๆ นั้นเป็ น จุดกาเนิดให้ เกิดการหลอมรวมกันระหว่ างวัฒนธรรมต่าง กลุ่มเพื่ อสร้ างวัฒนธรรมใหม่ และสร้ างสังคมหลากหลาย ทางวั ฒ นธรรมหรื อสังคมพหุ วั ฒ นธรรม การศึ กษาพหุ วัฒนธรรม (Multicultural Education) ของประเทศสมาชิก อาเซียนทั้ง 10 ประเทศ แต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน

ในเรื่อง ชาติพันธุ์ เชื้อชาติ ศาสนา ภาษา วัฒนธรรม ที่เป็ น เอกลักษณ์เฉพาะของตนเอง เมื่อพิจารณาถึงรายละเอียดลง ไปแล้ ว พบว่า บางประเทศมีความคล้ ายคลึงกันอยู่ในหลาย มิติ เช่ น ชาติพั นธุ์ ภาษา ศาสนา วัฒนธรรม วิถีชีวิตของ ประชาชนที่ อ ยู่ ร่ ว มกั น โดยเฉพาะบริ เวณเขตชายแดน รอยต่อของแต่ละประเทศที่มีการเคลื่อนย้ ายของประชากร ของทั้งสองประเทศไปมาหาสู่กนั อยู่ตลอดเวลา การประยุ กต์ น โยบายส่ งเสริ ม ความหลากหลายทาง วัฒ นธรรมด้ านแนวคิดเกี่ยวกับการด าเนิ นนโยบาย และ การบริ ห ารจั ด การสถานศึ ก ษาเป็ นปั จ จั ย ส าคั ญ ที่ มี ผ ล ต่ อ การส่ ง เสริ ม ความหลากหลายทางวั ฒ นธรรม ซึ่ ง ประกอบด้ วย การกาหนดนโยบาย มาจากภาครัฐฯเป็ นผู้ กาหนด การน านโยบายไปปฏิบั ติเป็ นกลุ่ มของผู้ บริห าร สถานศึกษา และครู-อาจารย์ในสถานศึกษา การติดตาม และประเมินผล ซึ่งทั้งสามขั้นตอนนั้นจาเป็ นต้ องมีปัจจัย ส าคั ญ หลายประการที่เป็ นกุ ญ แจช่ ว ยสนั บ สนุ น ให้ การ ดาเนินนโยบายประสบความสาเร็จ ในส่วนของผู้ปกครอง/ ชุมชนนั้นจัดเป็ นกลุ่มที่ต้องติดตามและประเมินผลในการ น านโยบายส่ งเสริ มความหลากหลายทางวั ฒ นธรรมมา ประยุกต์ใช้ ในสถานศึกษาซึ่งความคิดเห็นของผู้ปกครอง/


32

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ชุมชนมีผลต่อคณะผู้บริหารสถานศึกษา คณะครู-อาจารย์ และส่งผลไปถึงคุณภาพการศึ กษาของบุตรหลานของตน ดังนั้น การนานโยบายมาประยุกต์ใช้ จึงมีบทบาทสาคัญต่อ ผู้ปกครอง/ชุมชนที่ต้องตรวจสอบและติดตามผล ดั งนั้ น กระบวนการในการสร้ างส านึ กหรื อการรั บ รู้ รวมถึงการส่งเสริมความหลากหลายทางวัฒนธรรมให้ เป็ น ที่รับรู้หรืออยู่ในสานึกของประชาชนส่วนใหญ่ เป็ นสิ่งจาเป็ น ที่จ ะเป็ นการปู พ้ ื นฐานความรู้ค วามเข้ าใจและการสร้ าง ส านึ ก ร่ ว มกั น และยอมรั บ ในวั ฒ นธรรมที่ ห ลากหลาย โดยเฉพาะอย่ างยิ่ง แนวทางการด าเนิ น นโยบายส่ งเสริ ม ความหลากหลายในสถาบันการศึกษาในประเทศไทยผ่าน โครงการของสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ในโครงการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน: Spirit of ASEAN ซึ่งถือเป็ นโครงการนาร่องเพื่อเตรียมเยาวชนไทย ให้ มี ค วามพร้ อ มในการเป็ นสมาชิ ก ที่ ดี ข องประชาคม อาเซียน ทั้งนี้ ผู้ปกครอง/ชุ มชน เป็ นตัวขับเคลื่อนหลักให้ กับ นักเรียนในเรื่องการเรียนรู้การปรับตัวและการสนับสนุนใน เรื่องการศึ กษาเรื่องความหลากหลายทางวัฒ นธรรมและ ขับเคลื่อนขบวนการทางการศึกษาให้ กบั คณะครู-อาจารย์ และผู้บริหารสถานศึกษา

การทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับทฤษฏี และแนวคิดที่เกี่ยวข้อง

วัฒ นธรรม (Culture) หมายถึง ความเชื่ อ และการ กระท าหรื อ แนวทางปฏิ บั ติ ท่ี บุ ค คลในสั ง คมเชื่ อ หรื อ ยอมรั บ ว่ า มี คุ ณ ค่ า มี ค วามส าคั ญ มี คุ ณ ประโยชน์ มี ความหมาย ทาให้ เกิดการยึดถือปฏิบัติสืบทอดกันมา ซึ่ง วัฒนธรรมในที่น้ ี ได้ แก่ ความเชื่อในท้ องถิ่น ศาสนา ภาษา ขนบธรรมเนียมประเพณี รวมถึงวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้ องกับ รูปแบบการดาเนินวิถีชีวิต อันได้ แก่ การแต่งกาย อาหาร การกิน การอยู่อาศัย และการประกอบอาชีพ เป็ นต้ น พหุ ว ัฒ นธรรม (Multicultural) หมายถึ ง การรั บ รู้ หรื อสร้ างความเข้ าใจเกี่ยวกับความแตกต่ าง หรื อความ หลากหลายทั้งในระดับจุลภาค เช่น สภาพพื้นฐาน หรือภูมหิ ลัง ส่วนบุคคล ชาติพันธุ์ เพศ ภาษา ศาสนา และในระดับมหภาค เช่น สภาพสังคม การเมือง เศรษฐกิจ ประวัติศาสตร์ชุมชน หรือท้ องถิ่นในแต่ละพื้นที่ วัฒนธรรมที่แตกต่างของแต่ละ กลุ่มชน และภูมปิ ัญญาที่เจริญงอกงามในแต่ละท้ องถิ่น สัง คมพหุ ว ัฒ นธรรม (Multicultural Society) คื อ สังคมที่คนหลากหลายกลุ่มชนมาอยู่ร่วมกัน และแสดงออก ถึงความหลากหลายของแต่ ละกลุ่มชนทั้ง ชาติพั นธุ์ เพศ ภาษา ศาสนา และอื่ น ๆ อั น มี ส่ ว นท าให้ สภาพสั ง คม วัตถุประสงค์การวิจยั การเมือง เศรษฐกิจ เปลี่ยนแปลงจากสังคมวัฒนธรรมเดียว (Mono-Cultural Society) ไปสู่สงั คมที่มีความหลากหลาย 1. เพื่ อ ศึ ก ษาถึ งความตระหนั ก รู้ ด้ านการประยุ ก ต์ (Multicultural Society) เกษรา ชัยเหลืองอุไร (2556) ให้ นโยบายของสถานศึกษาสาหรับโรงเรียนโครงการ Spirit of ค านิ ยามของสังคมพหุ วั ฒนธรรม (Multicultural Society) ASEAN ของ สพฐ. เพื่ อส่ ง เสริ ม ความหลากหลายทาง ว่ าคือ สังคมที่มีวัฒนธรรมที่หลากหลายซึ่งจะตรงกันข้ าม วัฒนธรรมในสถานศึกษาในมุมมองผู้ปกครอง/ชุมชน กับสังคมวัฒนธรรมเดียว (Mono-Cultural Society) เช่ น 2. เพื่อศึกษาปัจจัยที่มผี ลต่อผู้ปกครอง/ชุมชน ในการ สั ง คมเมื อ งปั ต ตานี ถื อ เป็ นสั ง คมหลากหลายเพราะ ประยุกต์นโยบายส่งเสริมความหลากหลายทางวัฒนธรรม ประกอบด้ วย คนจีน มลายู และไทย Radtke (2003) อธิบาย ของอาเซี ย นของโรงเรี ยนในโครงการ Spirit of ASEAN ความคาว่ า สังคมพหุวัฒนธรรมในแนวทางของการอพยพ ของ สพฐ. ย้ ายถิ่นฐาน โดยกล่าวว่า พหุวัฒนธรรม อาจจากัดความว่า 3. เพื่อเสนอแนวทางในการประยุกต์นโยบายส่งเสริม เป็ นการกระจายตัวของประชากรรูปแบบหนึ่งๆ ของโลกที่ ความหลากหลายวัฒนธรรมของอาเซียน อาจหมายถึงรูปแบบสถาบันทางสังคมต่ างๆ ที่ท าให้ เกิด การเพิ่มขึ้นของความหลากหลายทางวัฒนธรรมของแต่ละ ชาติพันธุ์ อันเป็ นผลมาจากผู้อพยพที่เข้ ามาอย่างหลากหลาย และมาอยู่ร่วมกันภายในสังคมเดียวกัน


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

การยอมรับความหลากหลายทางวัฒนธรรม หมายถึง ความรู้สกึ ความคิด ความเชื่อ ความตระหนักรู้ ความเข้ าใจ ทัศนคติ และพฤติกรรม ของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่แสดง ออกมา หรือแสดงให้ เห็นถึงลักษณะ หรือสิ่งที่ส่อื ได้ ถงึ การ ยอมรั บ การแสดงความเข้ าใจ และเชื่ อถือในคุ ณ ค่ าของ วัฒนธรรมทั้งของตนเอง เช่น วัฒนธรรมในท้ องถิ่นตนเอง และวัฒนธรรมที่แตกต่างจากตนเอง เช่น ชาติพันธุ์ ภาษา ศาสนา ขนบธรรมเนี ยมประเพณี วิถีชี วิต ซึ่ งพร้ อมที่จะ ดาเนินชีวิตอยู่ในสังคมที่มีความหลากหลายโดยปราศจาก อคติ และความขัดแย้ ง แนวความคิดเรื่องสังคมพหุ วั ฒ นธรรมของ องค์การ ศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่ งสหประชาชาติ หรือ ที่เรียกกันย่อๆ ว่า ยูเนสโก (United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization–UNESCO) ซึ่ งเป็ น องค์การชานัญพิ เศษแห่ งหนึ่งขององค์การสหประชาชาติ โดยส่ ง เสริ ม ความร่ ว มมื อของนานาชาติ ท างการศึ ก ษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม เพื่อให้ ท่วั โลกเคารพในความ ยุตธิ รรม กฎหมาย สิทธิและเสรีภาพที่มนุษย์พึงมีโดยไม่ถือ เชื้อชาติ เพศ ภาษา หรือศาสนา ตามกฎบัตรสหประชาชาติ ตามรัฐธรรมนู ญของยู เนสโกมีการระบุถึง สิทธิในการให้ การศึ กษาแก่ ค นทุ กชนชั้ น เพื่ อจุ ด มุ่ งหมายในการสร้ าง ความเข้ าใจอันดีระหว่ างกันและเรียนรู้ในการอยู่ ร่วมกัน เพื่อส่งเสริมความหลากหลายทางวัฒนธรรม อาเซียนก่อตั้ง ขึ้นบนพื้นฐานของการปฏิเสธระบบความเชื่อจากภายนอก ภูมิภาคร่วมกัน แต่ไม่ใช่ ก่อตั้งจากการที่ประเทศสมาชิกมี วัฒนธรรมและค่านิยมที่สอดคล้ องเป็ นอันหนึ่งอันเดียวกัน (Breslin, 2007) การที่อาเซียนต้ องเผชิญหน้ ากับกระแส การเปลี่ยนแปลงของของโลกทั้งทางด้ านสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง กลุ่มประเทศอาเซียนจึงต้ องปรับตัวให้ เข้ ากับ สถานการณ์ท่เี ปลี่ยนไปในปั จจุบนั ความเคารพและการอยู่ ร่ วมกันในความหลากหลายทางวัฒนธรรมของประชาคม อาเซี ยน ปรากฎให้ เห็น อย่ างชั ด เจนในสภาพสังคมของ ประเทศไทยมากขึ้น ในฐานะประเทศที่อยู่ในภูมิภาคเอเชีย ตะวั นออกเฉี ยงใต้ ป ระเทศหนึ่ ง ทั้งทางด้ านเศรษฐกิจที่ สะท้ อนให้ เห็นถึงการอพยพย้ ายถิ่นฐานของประชากรที่อยู่ ในเขตชนบทเข้ ามาทางานในเขตเมือง ทางด้ านการเมือง ที่ท าให้ คนในแต่ ละกลุ่มในความหลากหลาย โดยเฉพาะ

33

ชนกลุ่ มน้ อยในสังคม และคนต่ างถิ่นที่เข้ ามาอยู่ ในพื้ นที่ ใหม่ แ สดงออกในเรื่ องสิท ธิแ ละเสรี ภ าพมากขึ้ น และที่ สาคัญ ที่สุด คือ ด้ านวัฒนธรรม ซึ่งมีการกล่ าวถึงกันอย่ าง แพร่หลาย ภัครัศ สีธิ (2544) กล่าวว่า ความรู้ (Knowledge) เป็ นการรั บ รู้ เบื้ องต้ น ซึ่ ง บุ ค คลส่ ว นมากจะได้ รั บ ผ่ า น ประสบการณ์ โดยการเรี ย นรู้ จ ากการตอบสนองสิ่ งเร้ า (Stimulus-Response) แล้ วจั ด ระบบเป็ นโครงสร้ า งของ ความรู้ท่ีผสมผสานระหว่ างความจา (ข้ อมู ล) กับสภาพ จิตวิทยา ทัศนคติ (ความชื่นชอบ/ค่ านิ ยม) ทัศนคติน้ั น เป็ นส่ วนส าคั ญ อย่ างหนึ่ งทางจิ ต ของมนุ ษ ย์ ท่ี เชื่ อ มโยง ระหว่างความรู้และพฤติกรรม เพราะเมื่อบุคคลมีการรับรู้ และความตระหนั กรู้ หรือความเข้ าใจในบางสิ่งบางอย่ าง เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ย่อมส่งผลต่อทัศนคติ ค่านิยม ความ ชื่ น ชอบ และความคิ ด อั น จะส่ งผลต่ อ พฤติ ก รรม และ แนวทางปฏิ บั ติ ใ นขั้ น สุ ด ท้ ายต่ อ ไปในอนาคต วรั ท ยา พรหมสุ น ทร (2555) ได้ อ ธิบ ายว่ า ทั ศ นคติ หมายถึ ง ความรู้สึก ความคิ ดที่บุ ค คลมี ต่ อสิ่งใดสิ่งหนึ่ งที่เป็ นผล มาจากประสบการณ์หรือสิ่งแวดล้ อมความรู้สกึ และความคิด ดั งกล่ าวเป็ นไปได้ ทั้ ง ในทางชอบ–ไม่ ช อบ เห็ น ด้ วย– ไม่ เห็ น ด้ ว ยอัน มี แ นวโน้ มที่ จ ะให้ บุ ค คลแสดงปฏิ กิ ริ ย า และกระท าต่ อสิ่งนั้ นๆ ทั้งในทางสนั บสนุ น และต่ อต้ าน Schiffman and Kanuk (1987) ได้ ให้ ความหมายของ ทัศนคติไว้ ว่าเป็ นความโน้ มเอียงที่เกิดจากการเรียนรู้ ทาให้ เกิดพฤติกรรมในลักษณะที่ชอบหรือไม่ชอบที่มตี ่อสิ่งหนึ่ง Sister School หมายถึง โรงเรียนในโครงการ Spirit of ASEAN ที่จัดการเรียนรู้เกี่ยวกับประชาคมอาเซียน และมี ศู นย์ อาเซี ยนศึ กษา เน้ นการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ การใช้ เทคโนโลยี การสื่อสารและสารสนเทศ และภาษา อาเซียนอีก 1 ภาษา (ภาษาของประเทศสมาชิกอาเซียน 9 ประเทศ คือ เวียดนาม ฟิ ลิ ปปิ นส์ อิน โดนี เซี ย สิงคโปร์ บรูไน ลาว พม่า กัมพูชา และมาเลเซีย) พร้ อมทั้งส่งเสริม พหุวัฒนธรรม Buffer School หมายถึง โรงเรียนในโครงการ Spirit of ASEAN ที่จัดการเรียนรู้เกี่ยวกับประชาคมอาเซียน และมี ศูนย์อาเซียนศึกษา เน้ นการเรียนการสอนภาษาอาเซียน 1 ภาษา (ภาษาของประเทศสมาชิกอาเซียนที่มีชายแดนติด กับที่ต้ังของโรงเรียน เช่น ลาว พม่า กัมพูชา และบาฮาซา


34

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

มาเลเซีย) และการใช้ เทคโนโลยีการสื่อสาร และสารสนเทศ พร้ อมทั้งส่งเสริมพหุวัฒนธรรม ผูป้ กครอง/ชุมชน หมายถึง กลุ่มคนที่เป็ นบิดา มารดา และผู้ปกครองของนักเรียนในสถานศึกษามีบทบาท และ ความส าคั ญ ในการก าหนดปรั ช ญา จุ ด มุ่ ง หมายของ สถานศึ ก ษา โดยโรงเรี ย นแต่ ละแห่ งมี ป รั ช ญ าและ จุ ด มุ่ งหมายแตกต่ างกั น ไม่ ม ากก็น้ อย โรงเรี ย นจะต้ อ ง ร่วมกันกาหนดขึ้นเพื่อเป็ น แนวทางและทิศทางในการจัด การศึ ก ษาของโรงเรี ย นนั้ น ๆ การก าหนดปรั ช ญาและ จุ ดมุ่ งหมายของโรงเรียนจะต้ องศึกษาทาความเข้ าใจจาก ปรัชญา และจุดมุ่งหมายของการศึกษาทั่วไป การศึกษาของ ชาติ แ ละของชุ ม ชนที่ โรงเรี ย นตั้ งอยู่ โรงเรี ย นจะต้ อ งมี ความรู้ ความเข้ าใจเกี่ ย วกับ ชุ ม ชน สภาวะแวดล้ อมทั้ ง สังคมและวั ฒ นธรรมที่โรงเรียนตั้งอยู่ อย่ างเพี ยงพอ จึ ง สามารถกาหนดปรัชญาและจุ ดมุ่ งหมายของโรงเรียนขึ้น เพื่อให้ การจัดการศึกษาของโรงเรียนสอดคล้ องกับปรัชญา จุ ด มุ่ งหมายการศึ กษาของชาติ และความต้ องการ ของ ผู้ปกครอง/ชุ มชน ดังนั้น ผู้ ปกครอง/ชุ มชนจึงมีบทบาท และความส าคั ญ ต่ อ โรงเรี ย นเป็ นอย่ างมากในการร่ ว ม ก าหนดทิ ศ ทางของการศึ กษาให้ กั บ นั ก เรี ย น และ สถานศึกษา นโยบายส่ งเสริ ม ความหลากหลายทางวัฒ นธรรม หมายถึ ง นโยบายที่ มี วั ต ถุ ป ระสงค์ เพื่ อส่ ง เสริ ม ความ หลากหลายทางวัฒนธรรมในประชาคมอาเซียน ซึ่งนโยบาย ในที่น้ ีหมายถึง นโยบายโครงการ Spirit of ASEAN ของ ส านั กงานคณะกรรมการการศึ กษาขั้น พื้ นฐาน ที่เน้ น ให้ สถานศึกษาเป็ นสถาบันหลักที่ต้องให้ ความสาคัญในการ ส่งเสริมความหลากหลายทางวัฒนธรรม โดยต้ องให้ ความ ร่วมมือ และให้ การสนับสนุนการประยุกต์นโยบายส่งเสริม ความหลากหลายทางวัฒนธรรม แนวคิ ด เกี่ ย วกับ ปั จจั ย ในการประยุ ก ต์ น โยบาย ส่งเสริมความหลากหลายทางวัฒนธรรม แนวคิดเกี่ยวกับ การด าเนิ น นโยบาย และการบริ ห ารจั ด การสถานศึ กษา กระบวนการบริห าร และการด าเนิ น นโยบาย เป็ นปั จจั ย ส าคั ญ หนึ่ งที่มี ผ ลต่ อ การส่ งเสริ ม ความหลากหลายทาง วัฒนธรรม ในขั้นตอนของการดาเนินนโยบายประกอบด้ วย 3 ขั้นตอนหลักๆ ที่สาคัญ อันได้ แก่ การกาหนดนโยบาย การนานโยบายไปปฏิบัติ การติดตามและประเมินผล ซึ่งทั้ง

สามขั้นตอนนั้ น จ าเป็ นต้ องมี ปั จจั ยส าคั ญ หลายประการ ที่เป็ นกุญ แจช่ วยสนับสนุ นให้ การดาเนินนโยบายประสบ ความสาเร็จ Luther Gulick และ Lyndall Urwick (อ้ างถึง ใน จั นทร์จารี เกตุมาโร, 2556) ได้ สร้ างตัวแบบในการ จั ด การที่ เกี่ ยวข้ องกั บ การด าเนิ นน โยบายเรี ย กว่ า “POSDCoRB” ซึ่ ง ต่ อ มากลายเป็ นแนวทางการจั ด การ องค์การ เมตตา วิวัฒนานุ กูล (อ้ างถึงใน ภริดา โกเชก, 2548) กล่ าวว่า การสื่อสารต่างวัฒนธรรม หมายถึง กระบวนการ ถ่ ายทอดและตี ค วามหมาย ปฏิสัมพั น ธ์ และสัญ ลั กษณ์ ระหว่ างคนที่ ม าจากวั ฒ นธรรมที่ ต่ างกั น ภายใต้ บ ริ บ ท ทางการสื่อสารหนึ่งๆ เพราะฉะนั้น การศึกษาเกี่ยวกับการ สื่อสารต่ างวัฒนธรรมจึงต้ องสนใจในด้ านการสร้ างความ เข้ าใจเกี่ยวกับความแตกต่างของแต่ละวัฒนธรรม สาเหตุ และองค์ประกอบของแต่ละความแตกต่างนั้นๆ ปัญหาและ แนวทางแก้ ไข เพื่อสร้ างความเข้ าใจอันดีระหว่างบุคคลที่มา จากวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ความรู แ้ ละความตระหนัก รู ้ ความรู้ เป็ นสิ่ งหนึ่ ง ที่ กาเนิดขึ้น และสั่งสมมาอย่ างยาวนานในสังคมของมนุ ษย์ ทั้งผ่านจากประสบการณ์ หรือจากระบบสถาบันทางสังคม และกระบวนการทางสังคมต่างๆ ที่มนุ ษย์ได้ มีปฏิสัมพันธ์ อันก่ อกาเนิ ดเป็ นทักษะ ทัศนคติ และแนวทางปฏิบั ติ ท่ี ส่งผลต่ อพฤติกรรม ภัครัศ สีธิ (2544) กล่ าวว่ า ความรู้ (Knowledge) เป็ นการรับรู้เบื้องต้ น ซึ่งบุคคลส่วนมากจะ ได้ รับผ่านประสบการณ์ โดยการเรียนรู้จากการตอบสนอง สิ่งเร้ า (Stimulus-Response) แล้ วจัดระบบเป็ นโครงสร้ าง ของความรู้ท่ผี สมผสานระหว่างความจา (ข้ อมูล) กับสภาพ จิต วิทยา ปารวี ร์ บุ ษ บาศรี (2555) ได้ อธิบายว่ า ความ ตระหนั ก รู้น้ั น ถื อ เป็ นขั้ น พื้ นฐานของความรู้ หากเมื่ อ มนุ ษ ย์ มี ค วามตระหนั กรู้ต่ อเรื่ องใดเรื่ องหนึ่ งแล้ ว ย่ อม ทาให้ เกิดความสนใจ ใส่ใจ และมีการตอบสนองต่อสิ่งเร้ า เหล่านั้นได้ ทัศนคติ (ความชื่นชอบ/ค่ านิยม) ทัศนคติน้ั นเป็ น ส่วนสาคัญอย่ างหนึ่งทางจิตของมนุ ษย์ท่ีเชื่อมโยงระหว่ าง ความรู้แ ละพฤติ กรรม เพราะเมื่ อบุ ค คลมี การรับรู้ และ ความตระหนักรู้ หรือความเข้ าใจในบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น อย่างต่อเนื่อง ย่อมส่งผลต่อทัศนคติ ค่านิยม ความชื่นชอบ และความคิ ด อั น จะส่ งผลต่ อพฤติ ก รรม และแนวทาง


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ปฏิ บั ติ ใ นขั้ น สุ ด ท้ ายต่ อ ไปในอนาคต Schiffman and Kanuk (1987) ได้ ให้ ความหมายของทัศนคติไว้ ว่า เป็ น ความโน้ มเอียงที่เกิดจากการเรียนรู้ ทาให้ เกิดพฤติกรรมใน ลักษณะที่ชอบหรื อไม่ ชอบที่มีต่ อสิ่งหนึ่ ง กล่ าวโดยสรุป ทัศ นคติ จึ ง หมายถึ ง ความรู้ สึกนึ กคิ ด ความโน้ มเอี ย ง สภาพจิตใจของบุคคลที่มีต่อสิ่งหนึ่งๆ อันอาจแสดงออกมา เป็ นอารมณ์ ความรู้สึกที่โน้ มเอียงไปสู่ส่งิ ที่เรียกว่ า ความ ชื่นชอบ และค่านิยม ที่สาคัญ คือ นาไปสู่การกระทา หรือ พฤติ ก รรม อั น สะท้ อ นให้ เห็ น ถึ ง ความโน้ มเอี ย งไปใน รูปแบบทั้งทางสนับสนุ น หรือต่อต้ าน ซึ่งมีความแตกต่าง กันจากปัจจัยส่วนบุคคล สิ่งที่ประสบ พฤติกรรม (ปฏิสมั พันธ์ระหว่างคนกลุ่มต่างวัฒนธรรม) พฤติกรรมเป็ นสิ่งที่ส่งผ่านต่อยอดมาจากความรู้ และความ ตระหนักรู้ กับทัศนคติ ภานุ วัฒ น์ ศิ วะสกุลราช (2558) ได้ อธิบายว่า พฤติกรรมของมนุษย์มีความหมายครอบคลุม ทั้งการแสดงออกทางร่ างกาย ที่เป็ นการแสดงออกมาให้ เห็นอย่างชัดเจน เช่น การนั่ง ยืน วิ่ง การรับชมสื่อรายการ โทรทัศน์ เป็ นอีกสิ่งหนึ่งที่ส่งอิทธิพลต่ อการยอมรับ และ เข้ าใจเกี่ยวกับความหลากหลายทางวัฒนธรรม เพราะสื่อ รายการโทรทั ศ น์ เป็ นเหมื อ นกั บ กระบอกเสี ย ง หรื อ ประชาสัมพั นธ์ความหลากหลายต่ างๆให้ กับคนที่รับชม ได้ รับรู้ กระทรวงศึกษาธิการ ได้กาหนดบทบาทการดาเนินงาน ด้านต่างประเทศเชิงรุก โดยเน้ นการกระชับความสัมพันธ์ และการขยายความร่ ว มมื อ กั บ ประเทศเพื่ อนบ้ า นและ ประเทศในภูมิภาคเอเชีย ภายใต้ กรอบความร่ วมมือด้ าน ต่างๆ โดยเฉพาะกรอบความร่วมมือด้ านการศึกษาเพื่ อให้ สอดรับนโยบายดังกล่าว สานักงานคณะกรรมการการศึกษา ขั้น พื้ นฐาน โดยส านั ก วิ ช าการและมาตรฐานการศึ กษา จึงได้ จัดทาโครงการพั ฒนาสู่ประชาคมอาเซียน (Spirit of ASEAN) ตามโครงการพัฒนาประเทศไทยเป็ นศูนย์กลาง การศึ กษาในภูมิ ภ าค (Education Hub) แผนปฏิบัติ การ ไทยเข้ มแข็ ง 2555 เพื่ อผลั ก ดั น การด าเนิ น การด้ าน การศึกษาของประเทศไทยให้ สอดรับต่อการเป็ นประชาคม อาเซี ยน และพั ฒ นาเยาวชนไทยให้ มี สมรรถนะที่ส าคั ญ สาหรับการดาเนินชีวิตในประชาคมอาเซียน

35

แนวคิดเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของชุมชน นิคม มูสกิ ะ คามะ (อ้ างถึงใน กฤษณา พันธุม์ วานิช, 2558) อธิบายถึง ความส าคั ญ ของการพั ฒ นาการศึ ก ษาให้ คนในชาติ ใ น ท้ องถิ่นมีความรู้ รักและหวงแหนใช้ วัฒนธรรมของตนเอง นั้น โดยกล่าวว่า ชุมชนในท้ องถิ่นควรมีคุณลักษณะเฉพาะ และให้ ความส าคั ญ กั บ อั ต ลั ก ษณ์ ข องท้ องถิ่ น ตนเอง ศักดิ์ชัย ภู่เจริญ (2552) ได้ กล่ าวถึง การมีส่วนร่ วมของ ชุมชนในท้ องถิ่นกับสถานศึกษาไว้ ว่า สถานศึกษาควรจัด กิจกรรมที่เปิ ดโอกาสให้ บุคคลในชุมชนและท้ องถิ่นเข้ าร่วม กิจกรรมของสถานศึกษาเปิ ดโอกาสให้ บุคคลในชุมชนและ ท้ องถิ่ น มี ส่ วนร่ วมตั ด สิน ใจในการจั ด การศึ กษา การให้ ประชาชนเข้ ามามีส่วนร่วม และในการจัดการศึกษาจะต้ อง ดาเนินการโดยไม่ได้ ต้องการให้ ประชาชนเข้ ามาสนับสนุ น ทรัพยากรหรือปั จจัยเพื่ อให้ บรรลุเป้ าหมายเท่านั้น แต่ยัง เปิ ดโอกาสให้ มีส่วนร่วมในการตัดสินใจและดาเนินการใน การจัดการศึกษาให้ สอดคล้ องกับความต้ องการของชุมชน การกาหนดเป้ าหมายไว้ เช่ นนี้จะช่ วยน าไปสู่การให้ ความ ร่วมมือกับทางสถานศึกษามากขึ้น ภริดา โกเชก (2548) ศึกษาวิจัยเรื่อง การสื่อสารต่าง วัฒนธรรมที่มผี ลต่อการปรับตัวของคนข้ ามชาติ: กรณีศึกษา ชาวพม่าในจังหวัดพรมแดนประเทศไทย จากกลุ่มประชากร ที่เป็ นคนข้ ามชาติชาวพม่าจานวน 400 คนในจังหวัดพรมแดน ประเทศไทย สุไรยา วานิ และมะรอนิง สาแลมิง (2557) ศึกษาปั จจั ยที่เอื้อต่ อการอยู่ ร่วมกันอย่ างปกติสุขของชาว ไทยพุทธและชาวมลายูมุสลิมและศึกษาแนวทางการรักษา ความสัมพันธ์ระหว่างชาวไทยพุทธและชาวมลายูมุสลิมใน พื้นที่ตาบลทรายขาว อาเภอโคกโพธิ์จังหวัดปัตตานี ในช่วง เกิด เหตุ ก ารณ์ ค วามไม่ สงบในพื้ นที่จั งหวั ด ชายแดนใต้ ชู พิ นิ จ เกษมณี (2547) จากบทความเรื่ อง การศึ กษา พหุ วั ฒ นธรรมในประเทศไทย: สถานการณ์ และความ เป็ นไปได้ กล่ าวว่ า พั ฒนาการของความคิดด้ านการศึ กษา พหุ วัฒนธรรมที่เกิดขึ้นในอเมริกาในช่ วงปี ค.ศ.1960 ใน อเมริกาเหนือมีบทสรุปบางประการที่น่าจะนาเอาประสบการณ์ ที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกามาเป็ นข้ อพิ จารณา โดยเฉพาะ การใช้ การศึ ก ษาเป็ นเครื่ อ งมื อ สร้ างการยอมรั บ ความ แตกต่างทางวัฒนธรรม และนาไปสู่การเคารพในสิทธิของ ความแตกต่างทางวัฒนธรรม


36

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

รูปแบบการวิจยั ใช้ การวิ จั ย เชิ งคุ ณ ภาพ (Qualitative Research) เป็ น หลักร่วมกับ การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) ด้ านการวิจัยเชิงคุณภาพมุ่งศึกษาความสัมพันธ์ของตัวแปร เชิ งบริ บ ท (Contextual Factors) ที่ มี ผ ลต่ อ การประยุ ก ต์ นโยบายส่ ง เสริ ม ความหลากหลายทางวั ฒ นธรรมเพื่ อ ส่งเสริมอัตลักษณ์อาเซียนในบริบทของผู้ปกครอง/ชุมชน เป็ นการศึ กษาความสัมพั นธ์เชิ งสาเหตุ และผล (Causal Relationships) การวิจัยเชิงปริมาณ ศึกษากลุ่มผู้ปกครอง/ ชุมชนบริเวณรอบๆ โรงเรียนที่สงั กัดอยู่ในโครงการ Spirit of ASEAN ซึ่งจาแนกออกเป็ น 2 ประเภท คือ Sister school และ Buffer school ในสังกัดของสานักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้ นฐาน (สพฐ.) จานวน 54 โรงเรียน ซึ่งกระจาย อยู่ ท้ั ง 5 ภาคทั่ ว ประเทศ โดยการเลื อ กมาศึ ก ษาแบบ เจาะจง ประชากรกลุ่มตัวอย่าง ผู้ ให้ ข้ อมู ลหลั กหรื อกลุ่ มประชากร คื อ ผู้ ป กครอง/ ชุ ม ชนที่ มี บุ ต รหลานศึ ก ษาในโรงเรี ย นที่ สั ง กั ด อยู่ ใ น โครงการ Spirit of ASEAN ซึ่งจาแนกออกเป็ น 2 ประเภท คือ Sister School และ Buffer School ในสังกัดของสานักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ซึ่งกระจายอยู่ ทั้ง 5 ภาคทั่วประเทศ ประกอบด้ วย ประชากรกลุ่มตัวอย่าง จานวน 40 คน สาหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) และการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) ประชากรกลุ่มตัวอย่างจานวน 260 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา การวิ จั ย เชิ ง คุ ณ ภาพ (Qualitative Research) ได้ แก่ การสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) กับผู้ปกครอง/ ชุ ม ชน และการประชุ มกลุ่ ม (Focus Group Discussion) กับกลุ่มผู้ปกครอง/ขุมชนที่เป็ นกรรมการสถานศึกษา โดย ก่ อนการเก็บข้ อมู ล จริง ผู้ วิ จั ยได้ ด าเนิ น การทดลองเก็บ ข้ อมูล (Pilot Test) ในเบื้องต้ น เพื่ อเป็ นประโยชน์ในการ ออกแบบเครื่องมือในการเก็บข้ อมู ล เช่ น บทสัมภาษณ์ ข้ อคาถามต่ างๆ เพื่ อหาข้ อบกพร่ อง และความเหมาะสม

เพื่ อนามาแก้ ไขก่อนนาไปใช้ จริง (Quantitative Research) เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถาม (Questionnaire) คุณภาพ ของเครื่องมือ ศึกษาจากตารา เอกสาร วิทยานิพนธ์ และ งานวิ จั ย ที่ เกี่ ย วข้ อ งเพื่ อเป็ นแนวทางในการสร้ า งแบบ สอบถาม ร่ า งแบบสอบถามให้ สอดคล้ องกั บ ประเด็ น ความสาคัญ เพื่ อให้ เหมาะสมกับเนื้อหาโดยพิ จารณาจาก เอกสาร ตารา บทความ และหลักการทางวิชาการ นาแบบ สอบถามที่ปรับแก้ ไขแล้ วเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบ ความเที่ยงตรง (IOC) ของแบบสอบถาม ความสมบู รณ์ ของเนื้อหา แก้ ไขความถูกต้ องของการสื่อภาษาให้ เหมาะสม กับผู้ตอบแบบสอบถาม พร้ อมทั้งขอคาแนะนาในการนามา ปรับปรุงแบบสอบถามให้ ถูกต้ องและเหมาะสม น าแบบ สอบถามที่ผ่านการพิจารณาจากผู้เชี่ยวชาญปรับแก้ ไข และ ตรวจสอบความเที่ยงตรงของแบบสอบถามอีกครั้ง นาไป ทดลองใช้ (Try Out) กั บ กลุ่ ม องค์ ก รที่ มิ ใ ช่ ป ระชากร ที่ศึ กษา จานวน 30 คน แล้ วน ามาวิเคราะห์ ห าค่ าความ เชื่อมั่น (Reliability) การเก็บรวบรวมข้อมูล จาแนกการดาเนิ นงานเป็ น 3 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ หนึ่ ง เป็ นการเก็บ ข้ อ มู ล ทุ ติ ย ภู มิ ม าวิ เคราะห์ เพื่ อสร้ า ง แบบสอบถาม โดยจะทาการสารวจเอกสารทางวิชาการต่างๆ ที่เกี่ยวข้ อง หลังจากนั้ นจะน าข้ อมู ลที่ได้ มาประมวลเพื่ อ สร้ างเป็ นแบบสอบถาม ขั้นตอนที่สอง นาแบบสอบถามที่ สร้ างขึ้นไปทดสอบก่อนนาไปใช้ จริง โดยให้ ผ้ เู ชี่ยวชาญช่วย กลั่นกรองข้ อคาถาม ขั้นที่สาม นาแบบสอบถามจากขั้นที่ สองไปเก็บข้ อมูลในภาคสนามจากกลุ่มตัวอย่างในโรงเรียน Spirit of ASEAN ทั้ง 5 ภาค การวิเคราะห์ขอ้ มูลและสถิติที่ใช้ในการวิจยั เครื่ องมื อที่ใช้ ในการวิจั ย ได้ แก่ แบบสัมภาษณ์ และ แบบสอบถาม การเก็บข้ อมูลเชิงคุณภาพใช้ การสัมภาษณ์ เชิ ง ลึ ก (in-Depth Interview), การประชุ ม กลุ่ ม (Focus Group Discussion) แ ล ะก ารป ระชุ ม เชิ งป ฏิ บั ติ ก าร (Seminar) การเก็บ ข้ อ มู ล เชิ งปริ ม าณ ค้ นคว้ าหนั งสื อ / ตารา/วารสาร/ผลงานวิจัย/สิ่งพิมพ์ทางวิชาการที่เกี่ยวข้ อง/ ข้ อมู ล ในอิ น เตอร์ เน็ ต เพื่ อน ามาประมวลกลั่ น กรอง


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

เรี ยบเรี ยงข้ อ มู ลที่ ได้ น ามาวิ เคราะห์ สร้ างแบบสอบถาม กาหนดสเกลแบบสอบถาม สเกลที่เลือกใช้ จะใช้ Summate Rating Scale จ าแนกเป็ น 5 ระดั บ Likert การวิ เคราะห์ ข้ อมูล ข้ อมูลจากแบบสัมภาษณ์จะวิเคราะห์โดยใช้ วิธีการ เชิงคุณภาพ ส่วนข้ อมูลจากแบบสอบถามใช้ สถิติพรรณนา (Descriptive Statistics) ได้ แ ก่ ร้ อ ยละ ค่ าเฉลี่ ย และค่ า เบี่ยงเบนมาตรฐาน ประมวลผลข้ อมูลด้ วยโปรแกรม SPSS ผลการศึกษา 1. การวิเคราะห์ขอ้ มู ลเกี่ยวกับนโยบายการสนับสนุ น ในสถาบันการศึกษาของผู ป้ กครอง-ชุมชนรอบสถาบัน การศึ ก ษา Spirit of ASEAN การวิ เคราะห์ ด้ านความ คิด เห็น ของผู้ ป กครอง-ชุ มชนในเรื่ องของนโยบาย การ พั ฒ นา การปรับปรุง การส่งเสริมและการมีส่วนร่ วมของ ทุ ก ภาคส่ ว น พบว่ า โรงเรี ย นมี ก ารน านโยบายของ กระทรวงศึ ก ษาธิการในเรื่ อ งการพั ฒ นาการศึ กษาเพื่ อ

37

รองรั บ การเป็ นประชาคมอาเซี ย นร่ ว มกั น มาก าหนด แนวทางปฏิบัติ โดยมีการปรับโครงสร้ างการบริหารจัดการ ให้ สอดคล้ องกั บ ความหลากหลายทางวั ฒ นธรรมของ ท้ องถิ่น มีการพัฒนาหลักสูตรอาเซียนศึกษาเพื่อให้ ผ้ ูเรียน เกิด ความเข้ าใจในความหลากหลายทางวั ฒ นธรรมของ ประชาคมอาเซียน โรงเรียนมีกิจกรรมที่ส่งเสริมประเพณี ท้ องถิ่น ส่งเสริมความหลากหลายทางวัฒนธรรมของชุมชน รอบๆ มีการนาเสนอให้ ความรู้ในเรื่องประชาคมอาเซียน ร่วมจัดกิจกรรมกับนักเรียนและครูอาจารย์ โรงเรียนมีการ ว่าจ้ าง ครู-อาจารย์ท่เี ป็ นผู้เชี่ยวชาญหรือเป็ นนักวิชาการใน ด้ าน “สังคมพหุ วั ฒ นธรรม” เป็ นผู้ ดู แลรับผิ ด ชอบการ พัฒนาหลักสูตรด้ านนี้โดยเฉพาะ โรงเรียนมีการปรับปรุง และพั ฒนาการเรียนการสอนในวิชาต่างๆ ให้ มีสอดแทรก และการบู รณาการความรู้ในด้ านความหลากหลายทาง วั ฒ นธรรมครู นั ก เรี ย นของโรงเรี ย น Sister School และ Buffer School

รูปที่ 1 ความคิดเห็นของผู้ปกครอง-ชุมชนด้ านนโยบายการสนับสนุนในสถาบันการศึกษา

จากภาพที่ 1 พบว่ า ผู้ ปกครองมีความคิดเห็นใน เรื่องของโรงเรียนในโครงการ Spirit of ASEAN มีการนา นโยบายของกระทรวงศึ กษาธิการมาใช้ มี การปรั บ ปรุ ง พัฒนาหลักสูตรอย่างต่อเนื่อง จ้ างครู-อาจารย์ท่เี ชี่ยวชาญ หรือเป็ นผู้ เชี่ยวชาญด้ านอาเซียนมาสอน โรงเรียนมีการ ส่งเสริมประเพณีท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมความหลากหลายทาง วัฒ นธรรมของชุ มชนรอบๆ โรงเรียน ผู้ปกครอง-ชุ มชน รับทราบถึงความรู้ความเข้ าใจของครู-อาจารย์ นักเรียนใน

เรื่องความตระหนักรู้เกี่ยวกับประชาคมอาเซียนและทราบ ว่ามีโรงเรียนเครือข่ายของกลุ่มสถาบันการศึกษา Spirit of ASEAN 2. เพื่อศึ กษาปั จจัยที่ มีผลต่ อผู ป้ กครอง/ชุมชน ใน การประยุ ก ต์น โยบายส่ งเสริ ม ความหลากหลายทาง วัฒนธรรมของอาเซี ยนของโรงเรียนในโครงการ Spirit of ASEAN ของ สพฐ. จากผลการวิจัย พบว่ า การประยุกต์ ใช้ นโยบายส่ งเสริ มความหลากหลายทางวั ฒ นธรรมของ


38

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ผู้ปกครอง/ชุมชน ซึ่งแสดงให้ เห็นถึงการยอมรับในความ หลากหลายทางวัฒนธรรมที่มีอยู่ในสังคมในด้ านปั จเจกชน สามารถแสดงออกมาด้ วยกัน 3 ปัจจัย คือ ปั จจัยที่ 1 ความรูแ้ ละความตระหนักรูท้ างวัฒนธรรม การสร้ างความรู้และความตระหนักรู้น้ันเกิดจากการเรียนรู้ ในสังคม ซึ่งการเรียนการสอนและการจัดกิจกรรมต่ างๆ ของทางโรงเรียนที่มีการเชิญชวนให้ ทางผู้ปกครอง/ชุมชน เข้ ามามี ส่ ว นร่ ว ม ส่ ง ผลให้ เกิ ด การตระหนั ก รู้ ในเรื่ อ ง วัฒนธรรมมากขึ้น การส่งเสริมให้ เกิดความตระหนักรู้น้ัน ทางผู้บริหารโรงเรียนควรสร้ างบรรยากาศพหุวัฒนธรรมขึ้น ครู นักเรียนร่วมกันปฏิบัติ และเชิญชวนผู้ปกครอง/ชุมชน เข้ ามามีส่วนร่วมเพื่อเกิดความเป็ นสังคมพหุวัฒนธรรมได้ ง่ายขึ้น โดยเน้ นที่บรรยากาศของความเสมอภาค ยุติธรรม และการยอมรับความหลากหลาย สอดคล้ องกับการศึกษา ของ ปารวีร์ บุษบาศรี (2555) ได้ อธิบายว่า ความตระหนักรู้น้ัน ถือเป็ นขั้นพื้นฐานของความรู้ หากเมื่อมนุษย์มคี วามตระหนักรู้ ต่ อเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้ วย่ อมทาให้ เกิดความสนใจ ใส่ใจ และมีการตอบสนองต่อสิ่งเร้ าเหล่านั้นได้ ปั จจัยที่ 2 ทัศนคติ โรงเรียนในเขตเมืองมักจะมี ความหลากหลายของประชากรในมุมของประชากรที่มาจาก ต่ างถิ่ น ปั ญ หาเหล่ านี้ มั กเกิด ขึ้ นกับ คนไทย ยกตั วอย่ าง ครอบครัวหรือผู้ปกครอง/ชุมชนที่มาจากภาคอีสาน ในยุค ก่อนมีการเหยียดกันด้ วยคาพูดว่า ลาว ถ้ าเราทาสิ่งใดที่ไม่ ถูกหรือเปิ่ นๆก็จะมีการล้ อเลียนกันว่าเป็ นลาวคนภาคกลาง มักจะเหมารวมเรียกคนที่มาจากภาคอีสานว่า ลาวในมุมมอง ของผู้ ป กครองซึ่ งมาจากภาคอีส าน แต่ มาตั้ งถิ่ น ฐานใน กรุงเทพฯ ได้ กล่ าวถึงประเด็นนี้ว่า โดยส่วนตัวไม่มีความ อายเพราะภูมิใจในชาติกาเนิดของตน คนไทยเชื้อสายจีน คนไทยในภาคกลาง ในทัศนะของผู้ปกครองการมีเพื่อนที่ หลากหลายช่ วยให้ เปิ ดใจยอมรับความแตกต่างของคนได้ มากขึ้นเกิดการเรียนรู้วัฒนธรรมต่างๆ เปิ ดรับ ปรับสร้ าง ทัศนคติท่ีดี และรู้คุณค่ าของความเป็ นมนุ ษย์ นอกจากนี้ ความหลากหลายของการนับถือศาสนาก็เป็ นสิ่งที่พบเห็น ได้ ในปั จ จุ บั น นั ก เรี ย นนั บ ถื อ ศาสนาพุ ท ธ คริ ส ต์ และ อิ ส ลาม สอดคล้ องกั บ การศึ ก ษาของ Schiffman and Kanuk (1987) ได้ ให้ ความหมายของทัศนคติไว้ ว่า เป็ น ความโน้ มเอียงที่เกิดจากการเรียนรู้ ทาให้ เกิดพฤติกรรมใน ลักษณะที่ชอบหรื อไม่ ชอบที่มีต่ อสิ่งหนึ่ ง กล่ าวโดยสรุป

ทัศ นคติ จึ ง หมายถึ ง ความรู้ สึกนึ กคิ ด ความโน้ มเอี ย ง สภาพจิตใจของบุคคลที่มีต่อสิ่งหนึ่งๆ อันอาจแสดงออกมา เป็ นเป็ นอารมณ์ ความรู้สึกที่โน้ ม เอีย งไปสู่ส่ิงที่เรี ยกว่ า ความชื่นชอบ และค่านิยม ที่สาคัญ คือ นาไปสู่การกระทา หรือพฤติกรรม อันสะท้ อนให้ เห็นถึงความโน้ มเอียงไปใน รูปแบบทั้งทางสนับสนุน หรือต่อต้ าน ปั จจัยที่ 3 พฤติ กรรม พฤติกรรมอันเกิดจากการ โยกย้ ายถิ่ น ฐาน ยกตั วอย่ าง นั กเรี ย นจากโรงเรี ย นอุ ด ร พิทยานุ กูลที่มีประสบการณ์ในการย้ ายตามคุณพ่ อไปอยู่ท่ี สมุทรปราการในช่ วงแรก นั กเรียนคนนี้มีพฤติกรรมที่ไม่ ค่อยพูดเก็บเนื้อเก็บตัว เพราะไม่กล้ าพูดกับเพื่ อนกลัวจะ โดนว่ า “นี่ ม าจากอีส าน” หรื อ “คนลาว” แต่ กรณี ข อง ภาคใต้ ท่เี กี่ยวข้ องกับปั ญหาการก่อการร้ ายในสามจังหวัด ชายแดนภาคใต้ ภาพสะท้ อนของการอยู่ร่วมกันโดยเฉพาะ ความเอื้อเฟื้ อเผื่อแผ่ของคนไทยมุสลิม และคนไทยพุทธใน สามจังหวัด สอดคล้ องกับการศึกษาของ ภานุวัฒน์ ศิวะสกุลราช (2558) ได้ อธิบายว่ า พฤติกรรมของมนุ ษย์มีความหมาย ครอบคลุมทั้งการแสดงออกทางร่ างกาย ที่เป็ นการแสดง ออกมาให้ เห็นอย่ างชัดเจน เช่ น การนั่ง ยืน วิ่ง การรับชม สื่อรายการโทรทัศ น์ เป็ นอีกสิ่งหนึ่ งที่ส่ งอิท ธิพ ลต่ อการ ยอมรับ และเข้ าใจเกี่ยวกับความหลากหลายทางวัฒนธรรม เพราะสื่อรายการโทรทัศน์ เป็ นเหมือนกับกระบอกเสียง หรื อ ประชาสั ม พั น ธ์ค วามหลากหลายต่ างๆให้ กับ คนที่ รับชมได้ รับรู้ 3. ผลการวิเคราะห์ความหลากหลายทางวัฒนธรรม ของประชาคมอาเซี ย นของผู ้ป กครอง - ชุ ม ชนรอบ สถาบันการศึกษา Spirit of ASEAN 3.1 ความรู ้ แ ละความตระหนั ก รู ้ เ กี่ ย วกั บ อาเซี ยนจากข้อค าถามเกี่ ยวกับความรู ข้ องประชาคม อาเซี ยนของผู ป้ กครอง-ชุมชนรอบสถาบันการศึ กษา Spirit of ASEAN ในเรื่ อ งของความตระหนั ก รู้ เกี่ ย วกั บ อาเซียน พบว่า กลุ่มของผู้ปกครอง-ชุมชนมีความสนใจใน เรื่องของอาเซียนและความหลากหลายทางวัฒนธรรมของ ประชาคมอาเซี ยน ซึ่ งจะมี ประโยชน์ ในการน าความรู้มา ถ่ายทอดให้ กบั นักเรียนในความดูแล ประกอบกับสามารถ อยู่ร่วมกัน มีส่วนร่ วมในการพั ฒนาความรู้ของบุตรหลาน และชุมชน ดังนั้น ผู้ปกครองต้ องมั่นหาความรู้เพิ่มเติมใน ทุ ก ๆ ด้ า นที่ เกี่ย วกั บ ประชาคมอาเซี ย นทั้ ง 3 เสา เพื่ อ


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

สามารถถ่ ายทอดให้ กับ นั ก เรี ย นและชุ ม ชนที่ส นใจให้ มี ความก้ าวหน้ าทางการศึกษา อีกทั้ง ต้ องเปิ ดกว้ างรับการ เรียนรู้ หมั่นหาความรู้ใหม่เพื่อต่อยอดความรู้เดิมอยู่เสมอ เพื่ อเป็ นแบบอย่ างที่ดีให้ กับลู กหลานและชุ มชน ให้ เกิด ความรู้และความตระหนักรู้เกี่ยวกับอาเซียน 3.2 ความเคารพและการอยู่ ร่วมกัน ในความ หลากหลายทางวัฒนธรรมของประชาคมอาเซี ยนของ ผูป้ กครอง-ชุมชนรอบสถาบันการศึกษา Spirit of ASEAN พบว่ า ผู้ ป กครอง-ชุ ม ชนให้ ความส าคั ญ ในเรื่ อ งความ หลากหลายทางวัฒนธรรมของประชาคมอาเซียนค่อนข้ าง สูง จากการศึกษา พบว่า ผู้ปกครอง-ชุมชนให้ ความสาคัญ กับวัฒนธรรมไทยมีรากฐานความเป็ นมายาวนานและเป็ น เสาหลั กในการสร้ างชาติ ไทยให้ มี ค วามแข็งแกร่ งเหนื อ

39

ชนชาติอ่นื ๆ คนไทยต้ องปกป้ องมิให้ ให้ วัฒนธรรมชาติอ่นื มาครอบงาวัฒนธรรมไทย เรื่องนิสัยที่ชอบใฝ่ เรียนรู้และ ชอบเข้ าร่ ว มงานประเพณี กับ คนชาติ ต่ างๆ ในอาเซี ย น พบว่ า ที่แ ตกต่ างกับ เราทั้ง เชื้ อชาติ ศ าสนา ภาษา และ วัฒ นธรรมเป็ นการเสริม สร้ างอัตลั กษณ์ อาเซี ยนที่ดี จาก การศึกษา พบว่า ผู้ปกครอง-ชุมชนให้ ความสาคัญค่อนข้ าง สูง หน้ าที่ของโรงเรียน/ชุ มชนในการเตรียมความพร้ อม ประเทศไทยสู่ประชาคมอาเซียน คือ การสร้ างความรู้สึก ร่วมของคนในโรงเรียน/ชุมชนให้ เคารพและอยู่ร่วมกันกับ คนที่ ม าจากเชื้ อชาติ ศาสนา ภาษาและวั ฒ นธรรมจาก ประเทศเพื่ อนบ้ านในอาเซี ยนที่แ ตกต่ างไปจากคนไทย พบว่า ผู้ปกครอง-ชุมชนให้ ความสาคัญค่อนข้ างสูง

รูปที่ 2 เรื่องความเคารพและการอยู่ร่วมกันในความหลากหลายทางวัฒนธรรมของประชาคมอาเซียนของผู้ปกครอง-ชุมชน รอบโรงเรียนในโครงการ Spirit of ASEAN

จากภาพที่ 2 พบว่ า ผู้ ป กครอง-ชุ มชนให้ ความ สนใจในเรื่ อ งวั ฒ นธรรมไทยที่ มี ร ากฐานความเป็ นมา ยาวนาน ให้ ความร่ วมมือกับการร่ วมงานประเพณีกับคน ชาติต่างๆ ในอาเซียนและทราบหน้ าที่ในด้ านความร่วมมือ ระหว่ างโรงเรี ย นและชุ ม ชนในการเตรี ย มความพร้ อ ม ประเทศไทยสู่ประชาคมอาเซียนอยู่ในระดับปานกลาง 4. ผลการวิเคราะห์องค์ประกอบการสื่อสารในสังคม ที่ มี ค วามหลากหลายทางวัฒ นธรรมของผู ้ป กครองชุมชนรอบสถาบันการศึกษา Spirit of ASEAN 4.1 ความรูแ้ ละความตระหนักรู ้ ด้านงานประเพณี การอนุ ร ัก ษ์ ศิ ล ปะการแสดง ประวัติ ศ าสตร์ชุ ม ชน ลักษณะทางภู มศาสตร์ และวัฒ นธรรมประจาท้องถิ่น

ของผู ป้ กครอง-ชุมชนรอบสถาบันการศึ กษา Spirit of ASEAN จากการศึ ก ษา พบว่ า ผู้ ปกครอง-ชุ ม ชนให้ ความสาคัญเรื่องของประวัติศาสตร์ชุมชน อันประกอบด้ วย ความหลากหลายด้ านเชื้ อชาติ ศาสนา และวั ฒ นธรรม ประเพณีเป็ นเรื่องสาคัญ ในฐานะของผู้ปกครองแบบอย่าง ที่ดีในการถ่ายทอดเรื่องราวของประวัติชุมขนตัวเองให้ กับ ลูกหลานและคนอื่นที่สนใจได้ ทราบประวัติความเป็ นมา ของชุ มชนทั้งทางด้ านความหลากหลายของเชื้ อชาติและ วัฒนธรรม การอนุรักษ์ศิลปะการแสดงและการละเล่นของ ท้ อ งถิ่ น คนพื้ นเมื อ งชาติ ต่ า งๆ ซึ่ ง ถื อ ว่ า เป็ นสิ่ ง ที่ ดี ใ ห้ ประชาชนได้ มี โอกาสชื่ น ชมความงดงามของวั ฒ นธรรม ชาติ อ่ ื น ๆ พร้ อมไปกั บ การชื่ น ชมวั ฒ นธรรมของไทย


40

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ผู้ปกครอง-ชุ มชนให้ ความสาคัญในเรื่องของวัฒ นธรรม ประจ าถิ่น และทราบดี ว่ามีอะไรบ้ าง ผู้ ป กครอง-ชุ มชน เชื่ อ มั่ น ว่ า การเข้ าร่ ว มงานประเพณี กั บ คนต่ า งถิ่ น ต่ า ง วัฒนธรรมที่มพี ้ ืนฐานทางวัฒนธรรมแตกต่างไปจากตนเอง จะไม่ ค่ อ ยทะเลาะหรื อ มี ปั ญ หาบาดหมางกั น ในฐานะ ผู้ป กครองต้ องทาความเข้ าใจในเรื่องการอยู่ ร่วมกัน ของ ความหลากหลายทางวัฒ นธรรม ภาษา ศาสนา เชื้ อชาติ เพื่อแสดงถึงความเอาใจใส่ในบุตรหลานและมีส่วนร่วมใน การรั บผิด ชอบสังคม ลั กษณะทางภูมิ ศาสตร์ พื้ นที่และ จานวนครัวเรือน จานวนประชากรและลักษณะโครงสร้ าง ทางสั ง คมและประชากรของชุ ม ชน ผู้ ป กครอง-ชุ ม ชน

ส่วนใหญ่ เป็ นคนในภูมิลาเนาท่านทราบดีว่ามีเป็ นอย่างไร จากการศึกษา พบว่ า ผู้ปกครอง-ชุมชนให้ ความสาคัญใน เรื่ อ งประวั ติ ศ าสตร์ ค วามเป็ นมาของความหลากหลาย เชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรมมากที่สุด และในเรื่องของ การอนุรักษ์ศิลปะการแสดงและการละเล่นของท้ องถิ่น คน พื้นเมืองเชื้อชาติต่างๆ ผู้ปกครองชุมชนในฐานะของเจ้ าถิ่น ควรได้ มีส่วนร่ วมกับทุกภาคฝ่ ายในเรื่องความรู้และความ ตระหนักรู้ ด้ านงานประเพณี การอนุ รักษ์ศิลปะการแสดง ประวั ติ ศ าสตร์ ชุ ม ชน ลั ก ษณ ะทางภู มิ ศ าสตร์ และ วัฒนธรรมประจาท้ องถิ่น

รูปที่ 3 ความรู้และความตระหนักรู้ ด้ านงานประเพณี การอนุรักษ์ศลิ ปะการแสดง ประวัติศาสตร์ชุมชน ลักษณะทางภูมศาสตร์ และวัฒนธรรมประจาท้องถิ่น ของผู้ปกครอง-ชุมชน

จากภาพที่ 3 ผู้ปกครอง-ชุมชนให้ ความสาคัญเรื่อง ของประวัติศาสตร์ชุมชนการอนุ รักษ์ศิลปะการแสดงและ การละเล่นของท้ องถิ่น คนพื้นเมืองชาติต่างๆ ซึ่งถือว่าเป็ น สิ่ ง ที่ ดี ใ ห้ ประชาชนได้ มี โอกาสชื่ น ชมความงดงามของ วัฒนธรรมชาติอ่ ืนๆ ผู้ปกครอง-ชุมชนให้ ความสาคัญใน เรื่องของวัฒนธรรมประจาถิ่น การร่ วมงานกับคนต่ างถิ่น ต่างวัฒนธรรมผู้ปกครอง-ชุมชนมองว่าเป็ นประสบการณ์ท่ี ดีและสามารถอธิบายลักษณะทางภูมศิ าสตร์พ้ ืนที่ได้ 4.2 ทัศนคติ (ความชื่นชอบ/ค่านิยม) ด้านภาษา ชุดแต่งกายประจาชาติ การละเล่นท้องถิน่ ขนบธรรมเนียม ประเพณี ประเพณี ด้ ังเดิ ม ของผู ้ปกครอง-ชุ มชนรอบ สถาบัน การศึ ก ษา Spirit of ASEAN จากผลการศึ ก ษา พบว่า ผู้ปกครองให้ ความสาคัญในเรื่องของทัศนคติ ความ ชื่ น ชอบ/ค่ า นิ ย ม ด้ าน ภาษา ชุ ด แต่ ง การประจ าชาติ

การละเล่ นท้ องถิ่น ขนบธรรมเนียมประเพณีและประเพณี ดั้งเดิมสูงมาก ผู้ปกครอง-ชุมชน ให้ ความสาคัญสูงมากกับ เรื่องของศิลปะการแสดงและการละเล่นของท้ องถิ่นของคน พื้นเมืองเชื้อชาติต่างๆ ผู้ปกครอง-ชุมชน เห็นว่า ควรได้ รับ การอนุรักษ์และสืบสานต่อไป เช่นเดียวกับศิลปะการแสดง ประจ าชาติ จะเห็ น ได้ ถึ ง ความมุ่ งมั่ น และสนั บ สนุ น ให้ นักเรียนมีการศิลปะการแสดงการละเล่นท้ องถิ่นของตน ใน เรื่องของการใช้ ภาษาแตกต่างกันไม่ได้ เป็ นเครื่องวัดคุณค่า ความเป็ นคนแตกต่างกัน คนทุกคนมีค่าเท่ากันแม้ พูดภาษา ต่างกัน เรื่องของคนที่มาจากกลุ่มชนชาติท่แี ตกต่างกัน ควร มีโอกาสเรียนรู้และเข้ าใจขนบธรรมเนียมประเพณีของกัน และกัน ซึ่งเป็ นพื้นฐานในการอยู่ร่วมกัน เรื่องของชุดแต่งกาย ประจ าชาติ ข องคนเชื้ อชาติ ต่ า งๆ ล้ ว นมี ค วามสวยงาม ควรจะได้ รับการอนุรักษ์เช่นเดียวกับชุดประจาชาติของไทย


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

41

ประเพณีสงกรานต์ซ่งึ มีส่วนใกล้ เคียงกับประเทศเพื่อนบ้ าน สงกรานต์ในประเทศไทย ผู้ปกครอง-ชุมชนให้ ความสาคัญ เช่ น ลาว พม่ า กัมพู ชา ผู้ปกครอง/ชุ มชน มีความคิดว่ า ค่อนข้ างสูง ควรอนุ รั ก ษ์ ไว้ และให้ ความส าคั ญ กั บ การจั ด ประเพณี

รูปที่ 4 ทัศนคติ (ความชื่นชอบ/ค่านิยม)ของผู้ปกครอง-ชุมชน

ภาพรู ป ที่ 4 พบว่ า ผู้ ป กครอง-ชุ ม ชนให้ ความ สาคัญในเรื่องของศิลปะการแสดงการละเล่นท้ องถิ่น การใช้ ภาษาที่แตกต่างกัน คนที่มาจากกลุ่มชนชาติท่แี ตกต่างควร มีโอกาสได้ เรียนรู้และเข้ าใจขนบธรรมเนียมประเพณีของ กันและกัน ชุดแต่งกายของแต่ละเชื้อชาติ เป็ นการแสดงให้ เห็นถึงทัศนคติ (ความชื่นชอบ/ค่านิยม) ซึ่งเป็ นองค์ประกอบ การสื่อสารในสังคมที่มคี วามหลากหลายทางวัฒนธรรม

4.3 พฤติ ก รรม (ปฏิ ส ัม พัน ธ์ระหว่ างคนกลุ่ ม ต่ างวัฒนธรรม) ด้านการสื่อสารโดยใช้ภาษา ศาสนาที่ แตกต่าง กิจกรรมสาคัญทางศาสนา สื่อรายการโทรทัศน์ ของผู ป้ กครอง-ชุมชนรอบสถาบันการศึ กษา Spirit of ASEAN จากการวิ จั ย พบว่ า ผู้ ป กครอง-ชุ ม ชนให้ ความสาคัญสูงในเรื่องของการทางานร่วมกับเพื่อนร่วมงาน หรือเพื่อนบ้ านที่นับถือศาสนาที่ต่างกัน ผู้ปกครอง-ชุมชน ให้ ความส าคัญค่ อนข้ างมากในเรื่องของการเรียนรู้ภาษา อาเซียน การเข้ าร่วมกิจกรรมในวันสาคัญทางศาสนาอื่นๆ เมื่อมีโอกาส ชอบเข้ าร่ วมกิจกรรมในวันสาคัญทางศาสนา อื่นๆ เสมอๆ เมื่อมีโอกาส เพื่ อเป็ นการเรียนรู้จากความ แตกต่ างของศาสนาต่ างๆ รวมทั้งการดู รายการทีวี ห รื อ ละครทีวีของประเทศสมาชิกอาเซียน


42

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

รูปที่ 5 พฤติกรรม (ปฏิสมั พันธ์ระหว่างคนกลุ่มต่างวัฒนธรรม)

จากภาพที่ 5 ด้ านพฤติกรรม พบว่า การสื่อสารโดย ใช้ ภาษา ศาสนาที่แตกต่าง กิจกรรมสาคัญทางศาสนา สื่อ รายการโทรทั ศ น์ ข องผู้ ปกครอง-ชุ ม ชนรอบสถาบั น การศึกษา Spirit of ASEAN พบว่ า ผู้ปกครอง-ชุมชนให้ ความสาคัญในเรื่องของการเข้ าร่วมงานกับเพื่อนบ้ านแม้ จะ ต่ างศาสนา สามารถเรี ยนรู้ภ าษาอาเซี ยนของเพื่ อนบ้ าน ชอบเข้ าร่ วมกิจกรรมในวันสาคัญเมื่อมีโอกาสและอาจจะดู รายการทีวีเพื่อนบ้ านประเทศอาเซียนอื่นๆ บ้ าง ด้า นการมี ส่ ว นร่ ว มของชุ ม ชน ในทั ศ นะของ ผู้ปกครอง เห็นว่ า การสอดแทรกเรื่องวัฒนธรรมเข้ าไปสู่ การเรียนรู้ในวิชาเรียนของเด็กนั้น เป็ นเรื่องที่สมควรเป็ น อย่ างยิ่งเพราะถือว่ าเป็ นสิ่งที่อาจจะช่ วยให้ เด็กเกิดความ อ่อนโยนทางจิตใจ และมีผลทาให้ นักเรียนมีพฤติกรรมที่ไม่ ก้ าวร้ าว นักเรียนต้ องได้ รับการสนับสนุ นจากผู้ปกครองให้ ทากิจกรรมควบคู่ ไปกับการเรียน ผู้ ปกครองต้ องให้ การ สนั บสนุ นหรือให้ โอกาสเด็กนักเรียน ผู้ ปกครองควรต้ อง เข้ าใจกั บ การเรี ย นการสอนในสมั ย ปั จจุ บั น ที่ ข้ อมู ล สารสนเทศสามารถหาได้ จากอินเตอร์เน็ท เด็กสามารถหา แหล่ ง เรี ย นรู้ ในอิ น เตอร์ เน็ ท ได้ และไม่ จ าเป็ นต้ องใช้ หนังสือเป็ นสื่อการเรียนรู้เพียงอย่างเดียว ในขณะที่การจัด กิจกรรมทางวัฒนธรรมของชุ มชนก็ช่วยทาให้ ท้ังนักเรียน และคนในชุ มชนเกิดการเรียนรู้ เกิดการแลกเปลี่ ยนทาง วัฒนธรรมระหว่ างนักเรียนกั บชุมชน รวมถึงโรงเรียนกับ หน่ วยงานราชการต่ างๆ ตั้งแต่ เทศบาล องค์การบริ หาร ส่ ว นต าบล และจั ง หวั ด ซึ่ ง ท าให้ องค์ ค วามรู้ ทางด้ าน วัฒนธรรมในพื้ นที่เข้ มแข็งมากขึ้น โดยเฉพาะในประเด็น ความรู้เกี่ยวกับ อาเซี ยน โรงเรีย นมีผ ลอย่ างมากต่ อ การ

เผยแพร่ ค วามรู้ไปยั งชุ มชน ซึ่ งจะน าไปสู่ก ารเกิด ความ ตระหนั ก ในการเป็ นพลเมื อ งอาเซี ย น สอดคล้ องกั บ การศึกษาของ ศักดิ์ชัย ภู่เจริญ (2552) ได้ กล่าวถึง การมี ส่ ว นร่ ว มของชุ มชนในท้ องถิ่ น กั บ สถานศึ ก ษาไว้ ว่ า สถานศึกษาควรจัดกิจกรรมที่เปิ ดโอกาสให้ บุคคลในชุมชน และท้ องถิ่นเข้ าร่วมกิจกรรมของสถานศึกษา เปิ ดโอกาสให้ บุคคลในชุ มชนและท้ องถิ่นมีส่วนร่ วมตัดสินใจในการจัด การศึกษา การให้ ประชาชนเข้ ามามีส่วนร่วม และในการจัด การศึกษาจะต้ องดาเนินการโดยไม่ได้ ต้องการให้ ประชาชน เข้ ามาสนับสนุนทรัพยากรหรือปั จจัยเพื่อให้ บรรลุเป้ าหมาย เท่านั้น แต่ยังเปิ ดโอกาสให้ มีส่วนร่ วมในการตัดสินใจและ ด าเนิ น การในการจั ด การศึ ก ษาให้ สอดคล้ องกั บ ความ ต้ องการของชุ มชน การกาหนดเป้ าหมายไว้ เช่ นนี้จะช่ วย นาไปสู่การให้ ความร่วมมือกันมากขึ้น สรุปผลการวิจยั และอภิปรายผลการศึกษา ผู้ปกครอง/ชุมชนในสถานศึกษาที่มีลูกหลานศึกษาอยู่ นั้น ทราบเป็ นอย่ างดี และให้ ความสาคัญมากในเรื่องของ การนานโยบายของกระทรวงศึกษาธิการมาดาเนินการเพื่อ การรองรับการเข้ าสู่ประชาคมอาเซียน โดยพบว่าโรงเรียนมี การพัฒนาหลักสูตรอาเซียนอย่ างต่อเนื่องเพื่อให้ นักเรียน เกิดความเข้ าใจในเรื่องความหลากหลายของวัฒนธรรมของ ประเทศในกลุ่ มประชาคมอาเซียน โรงเรียนมีกิจกรรมที่ ส่งเสริม ประเพณีท้องถิ่น ส่งเสริมความหลากหลายทาง วัฒนธรรมของชุมชนรอบๆ โรงเรียน โรงเรียนให้ ความรู้ใน เรื่องประชาคมอาเซียน และอัตลักษณ์อาเซียนเป็ นประจา


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

และต่ อเนื่ อง โดยให้ ผู้ ป กครอง/ชุ มชนได้ เข้ ามาร่ วมจั ด กิจกรรมกับนักเรียนและครูอาจารย์ด้วยเสมอ นอกจากนี้ ผู้ปกครองชุ มชนยังทราบดีว่า โรงเรียนมีการว่ าจ้ าง ครู อาจารย์ ท่ี เป็ นผู้ เชี่ ย วชาญหรื อ เป็ นนั ก วิ ช าการในด้ าน “สั ง คมพหุ วั ฒ นธรรม” และ/หรื อ เกี่ ย วกั บ อั ต ลั ก ษณ์ อาเซียนที่จะเป็ นผู้ดูแลรับผิดชอบการ พัฒนาหลักสูตรด้ าน นี้โดยเฉพาะ รวมถึงโรงเรียนมีการปรับปรุง และพัฒนาการ เรียนการสอนในวิชาต่ างๆ ให้ มีการสอดแทรก และการ บูรณาการความรู้ในด้ านความหลากหลายทางวัฒนธรรม ผู้ปกครองค่ อนข้ างเชื่อมั่นใน ครู -อาจารย์ นั กเรียนของ โรงเรี ย น Sister School และ Buffer School ว่ า มี ค วามรู้ ความเข้ าใจและความตระหนักเกี่ยวกับประชาคมอาเซียน และสามารถใช้ ภ าษาต่ างประเทศติ ด ต่ อกั บ ประเทศใน อาเซียน และโรงเรียนเครือข่าย ประชาชนในชุมชนรายรอบ โรงเรียนมีความรู้ความเข้ าใจเกี่ยวกับอาเซียน ผู้ปกครอง/ ชุมชนโดยส่วนใหญ่ ให้ ความร่วมมืออย่างดีกับการส่งเสริม ความรู้ความเข้ าใจเกี่ยวกับอาเซียน และการส่งเสริมความ หลากหลายทางวัฒนธรรม เห็นได้ จากบางโรงเรียนผู้ปกครอง เข้ ามามีส่ วนร่ วมในการสนั บสนุ นด้ านงบประมาณในการ จัดการเรียนการสอน เช่ น การจัดการสอนภาษาอาเซียน ภายในโรงเรียน แต่กระนั้น การมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง/ ชุมชนในหลายโรงเรียนนั้นยังอยู่ในขั้นของการยอมรับ และ มีทัศนคติ ท่ีดีต่ อนโยบายเกี่ยวกับการส่งเสริมประชาคม อาเซียน และความหลากหลายทางวัฒนธรรมมากกว่ า แต่ ยังไม่ถึงขั้นของการเข้ ามามีส่วนร่วมกับการดาเนินนโยบาย โดยเฉพาะในขั้นของการนาไปปฏิบัติให้ เกิดผล ทัศนะของ ผู้ปกครอง เห็นว่ า การสอดแทรกเรื่องวัฒนธรรมเข้ าไปสู่ การเรียนรู้ในวิชาเรียนของเด็กนั้น เป็ นเรื่องที่สมควรเป็ น อย่ างยิ่ง เพราะถือว่ าเป็ นสิ่งที่อาจจะช่ วยให้ เด็กเกิดความ อ่ อนโยนทางจิ ต ใจ และมี ผ ลท าให้ เขามี พ ฤติ ก รรมที่ไม่ ก้ าวร้ าว ยิ่งในสังคมที่มคี วามหลากหลายทางด้ านวัฒนธรรม อาจจะเป็ นการช่วยละลายพฤติกรรมของคนต่างๆ เหล่านั้น ให้ เกิดความเข้ าใจในวัฒนธรรมของกันและกัน อาจจะช่วย ยังยั้ งการเกิดความขัดแย้ งในเรื่องวัฒ นธรรมที่แตกต่ าง เอกลั กษณ์ ของโรงเรียนที่มีการแข่ งขันสูง หนึ่ งในนั้ นคือ โรงเรียนที่ผ้ ูปกครอง/ชุมชนมีความใส่ใจ เมื่อผู้ปกครอง/ ชุมชนใส่ใจก็ทาให้ การทากิจกรรมมีความง่ายขึ้น โรงเรียน

43

ที่มีผ้ ูปกครอง/ชุมชนที่สามารถสนับสนุนในกิจกรรมต่างๆ ในการขับเคลื่อนในลักษณะของโรงเรียนแบบพหุ พาคีได้ ผู้ปกครอง/ชุ มชน ในโรงเรียนขนาดใหญ่ พิ เศษมีความรู้ ความสามารถมาก โรงเรี ย นสามารถน าความรู้ ความ สามารถของผู้ปกครองเหล่ านั้นมาเป็ นสื่อชักนาให้ กบั เด็ก เยาวชนในโรงเรียนนามาปรับใช้ ในขณะที่โรงเรียนขนาด เล็กมีปัจจัยเรื่องการสนับสนุนน้ อยแต่เมื่อโรงเรียนขอความ ช่วยเหลือ ผู้ปกครองก็ยินดีช่วยเสมอ ดังนั้น นักเรียนต้ อง ได้ รับการสนั บสนุ นจากผู้ ปกครอง/ชุ มชนให้ ทากิจกรรม ควบคู่ไปกับการเรียน บางครั้งเด็กอยากช่วยแต่ผ้ ูปกครอง ไม่ สนั บสนุ นทาให้ เด็กไม่ มีโอกาสเข้ าร่ วมทากิจกรรมกับ โรงเรียน ซึ่งตรงนี้กข็ ้ นึ อยู่กบั ผู้ปกครองด้ วยว่าจะสนับสนุน หรือให้ โอกาสเขามากแค่ไหน นอกจากนี้ ผู้ปกครองต้ องให้ อิสรภาพทางความคิดแก่ เด็ก โดยให้ นั กเรียนคิดก่ อนว่ า อยากจะทาอะไร แล้ วมาคุยกันหาข้ อดีข้อเสีย การที่ผ้ ปู กครอง บอกให้ ทาจะเท่ากับเป็ นการบังคับหรือในบางครั้งฝื นใจเด็ก ถ้ าสิ่งที่นักเรียนทาไม่เต็มใจผู้ปกครองก็ไม่ควรบังคับหรือ ชี้นาจนเกินเหตุ ควรให้ ทาในสิ่งที่เด็กชอบเพราะถ้ าเขาฝื น นักเรียนอาจจะต่ อต้ าน ผู้ ปกครองควรต้ องเข้ าใจกับการ เรียนการสอนในสมัยปั จจุ บันที่ข้อมูลสารสนเทศสามารถ หาได้ จ ากอิน เตอร์ เน็ท ผู้ ป กครองบางคนมองว่ าเด็กใช้ คอมพิวเตอร์เพื่อเล่นเกมส์ซ่งึ ในความเป็ นจริง เด็กสามารถ หาแหล่งเรียนรู้ในอินเตอร์เน็ทได้ แล้ วและไม่จาเป็ นต้ องใช้ หนังสือเป็ นสื่อการเรียนรู้เพียงอย่างเดียว ในขณะที่การจัด กิจกรรมทางวัฒนธรรมของชุ มชนก็ช่วยทาให้ ท้ังนักเรียน และคนในชุ มชนเกิดการเรียนรู้ เกิดการแลกเปลี่ ยนทาง วัฒนธรรมระหว่ างนักเรียนกับชุมชน รวมถึงโรงเรียนกับ หน่ วยงานราชการต่ างๆ ตั้งแต่ เทศบาล องค์การบริ หาร ส่ ว นต าบล และจั ง หวั ด ซึ่ ง ท าให้ องค์ ค วามรู้ ทางด้ าน วัฒนธรรมในพื้ นที่เข้ มแข็งมากขึ้น โดยเฉพากับประเด็น ความรู้เกี่ยวกับอาเซียน การเผยแพร่ความรู้ไปยังชุมชน ซึ่ง จะนาไปสู่การเกิดความตระหนักในการเป็ นพลเมืองอาเซียน อีกด้ วย ในเรื่องของความตระหนักรู้เกี่ยวกับอาเซียน จาก ผลการวิจั ย แสดงให้ เห็น ว่ า กลุ่ มของผู้ ปกครอง/ชุ มชน มีความสนใจในเรื่องของอาเซียน และความหลากหลายทาง วัฒนธรรมของประชาคมอาเซียน ซึ่งจะมีประโยชน์ในการ นาความรู้มาถ่ายทอดให้ กบั นักเรียนในความดูแล ประกอบ


44

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

กับสามารถอยู่ร่วมกัน มีส่วนร่วมในการพัฒนาความรู้ของ บุตรหลาน และคนในชุมชนให้ เกิดความรู้ ความตระหนักรู้ เกี่ยวกับอาเซียน และความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่มี เข้ ามาในสังคมและชุมชนของตนเอง ในด้ านของการเคารพ และอยู่ร่วมกัน พบว่า ผู้ปกครอง/ชุมชนให้ ความสาคัญใน เรื่องความหลากหลายทางวัฒนธรรมของประชาคมอาเซียน ค่ อนข้ างสูง จากการศึ กษา พบว่ า ผู้ ป กครอง/ชุ มชนให้ ความสาคัญกับวัฒนธรรมไทย และวัฒนธรรมของคนต่าง ถิ่นที่แตกต่ างจากตนเอง โดยเฉพาะวัฒนธรรมของเพื่ อน บ้ านอาเซียน มีความชื่นชอบใฝ่ เรียนรู้ และชอบเข้ าร่วมงาน ประเพณีกับคนชาติต่างๆ ในอาเซียนที่แตกต่างกับเราทั้ง เชื้อชาติ ศาสนา ภาษาและวัฒนธรรม จากการศึกษาในด้ าน ของปั จเจกชนทั้ งด้ าน ความรู้ต ระหนั กรู้ ทั ศ นคติ และ พฤติกรรมที่เป็ นองค์ประกอบของการสื่อสารทางวัฒนธรรม เพื่ อการเรียนรู้ท่จี ะยอมรับ เข้ าใจ ปรับตัว และอยู่ร่วมกัน ในสังคมหลากหลายวัฒนธรรม ยังพบอีกว่ า ผู้ปกครอง/ ชุ มชนให้ ความส าคัญ เรื่ องของประวัติ ศาสตร์ ชุ มชน อัน ประกอบด้ วยความหลากหลายด้ านเชื้อชาติ ศาสนา และ วัฒนธรรมประเพณีซ่ึงเป็ นเรื่องสาคัญ เนื่องจากในฐานะ ของผู้ปกครอง/ชุมชน ต้ องถ่ายทอดแบบอย่ างที่ดีในเรื่อง ของประวัติชุมชนของตัวเองให้ กบั ลูกหลานและคนที่สนใจ ให้ ทราบประวัตคิ วามเป็ นมาของชุมชน ซึ่งมีความหลากหลาย ทั้งทางด้ านความหลากหลายของเชื้ อชาติและวัฒ นธรรม นอกจากนี้ ผู้ปกครอง/ชุมชน ยังให้ ความสาคัญในเรื่องของ วัฒ นธรรมประจ าถิ่ น และทราบดี ว่ ามี วั ฒ นธรรมส าคั ญ อะไรบ้ างในท้ องถิ่นตน มีความเชื่อมั่นว่ า การเข้ าร่ วมงาน ประเพณี กั บ คนต่ างถิ่ น ต่ างวั ฒ นธรรมที่ มี พ้ ื นฐานทาง วัฒ นธรรมแตกต่ างไปจากตนเองจะช่ วยลดความขัดแย้ ง ทางวัฒนธรรมได้ นอกจากนี้ ผู้ปกครอง/ชุมชนยังเห็นว่ า ต้ องท าความเข้ าใจในเรื่ อ งการอยู่ ร่ ว มกั น ของความ หลากหลายทางวั ฒ นธรรม ภาษา ศาสนา เชื้ อชาติ เพื่ อ แสดงออกให้ บุตรหลานได้ เรียนรู้ถึงแนวทางการอยู่ร่วมกัน และการมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบต่อสังคม ด้ านทัศนคติ จากผลการศึกษาพบว่ าผู้ปกครองให้ ความสาคัญในเรื่อง ของทัศนคติ ความชื่นชอบ/ค่านิยม ด้ าน ภาษา ชุดแต่งกาย ประจาชาติ การละเล่ นท้ องถิ่น ขนบธรรมเนี ย มประเพณี และประเพณี ด้ั งเดิ มสูงมาก มี ค วามมุ่ งมั่ น และมี ค วาม พร้ อมให้ การสนับสนุ นกับนักเรียน มีการศิลปะการแสดง

การละเล่นท้ องถิ่นของตน ผู้ปกครอง/ชุมขนให้ ความสาคัญ สูงมากในเรื่องของการใช้ ภาษาแตกต่างกัน เพราะเห็นว่ า ไม่ ได้ เป็ นเครื่องวัด คุ ณ ค่ าความเป็ นคนแตกต่ างกัน คน ทุ กคนมี ค่ าเท่ ากัน แม้ พู ด ภาษาต่ างกัน นอกจากนี้ ยั งมี ทัศนคติท่ีดีต่อกลุ่มชนชาติท่ีแตกต่ างกัน และวัฒนธรรม ประเพณีของกลุ่มเชื้อชาติท่แี ตกต่างจากตนเอง ในด้ านของ พฤติกรรม และการปฎิสมั พันธ์ระหว่างกลุ่มต่างวัฒนธรรม พบว่า ผู้ปกครอง/ชุมชนให้ ความสาคัญสูงในเรื่องของการ ทางานร่วมกับเพื่อนร่วมงานหรือเพื่อนบ้ านที่นับถือศาสนา ที่ต่างกัน ศาสนาเป็ นเรื่องละเอียดอ่อน ดังนั้น ผู้ปกครองชุมชนในฐานะเจ้ าบ้ านมีหน้ าที่รับแขกต้ องให้ ความสาคัญ กับเรื่องของศาสนาเป็ นอย่ างมาก และให้ ความสาคัญกับ การเรียนรู้ภาษาอาเซียน การเข้ าร่วมกิจกรรมในวันสาคัญ ทางของศาสนาอื่นๆ นั้น เป็ นการเรียนรู้จากความแตกต่าง ของศาสนา ภาษา วัฒนธรรม วิถชี ีวิตต่างๆ ที่อยู่ร่วมกันใน สังคม การนาผลงานวิจยั ไปประยุกต์ใช้ สามารถน าผลการวิ จัยไปประยุ กต์ ใช้ ดั งนี้ 1) น าผล การศึกษาไปประยุ กต์ใช้ กับผู้ปกครอง/ชุ มชน ที่ต้องการ การบู ร ณาการด้ านการเรี ย นการสอนเข้ ากั บ วั ฒ นธรรม พื้ นถิ่ น โดยหาจุ ด ได้ เปรี ย บที่ท้ องถิ่ น มี จ ากผู้ ป กครอง/ ชุมชน โดยการเรียนการสอนแบบคู่ขนานไปกับการเรียน การสอนที่ทางโรงเรียนจัดการเรียนการสอน 2) เน้ นพื้นที่ท่ี ต้ องปรับตัวอย่ างเร่ งด่ วนที่คือ โรงเรียนในแถบชายแดน หรื อโรงเรี ยนชายขอบ ที่ยั งขาดความพร้ อมในด้ านการ เตรี ย มความพร้ อมในการเข้ าสู่ป ระชาคมอาเซี ย น เน้ น การศึ กษาภาษาเพื่ อนบ้ าน ภาษาอังกฤษ และการเรียนรู้ วัฒ นธรรมในแต่ ละพื้ นที่ โดยกระตุ้นให้ ทางผู้ ปกครอง/ ชุ มชนร่ วมสนั บสนุ น เพื่ อให้ เกิดประสิทธิผลอย่ างเต็ม ที่ 3) นาผลการศึกษาในเรื่องของการประยุกต์ใช้ นโยบายของ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ด้ าน ความร่ วมมือของผู้ปกครอง/ชุ มชน 4) จัดหาบุ คคลจาก กลุ่มผู้ปกครอง/ชุ มชน เป็ นตัวแทนเข้ าร่ วมกิจกรรมการ เรียนการสอนกับทางคณะครู-อาจารย์ รวมถึงแลกเปลี่ยน ความคิดเห็นเพื่อให้ เกิดประโยชน์สงู สุดกับบุตรหลานหรือ นักเรียน


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

45

การส่งเสริมของชุมชนจะอยู่ในรูปของสมาคมศิษย์เก่าหรือ สมาคมผู้ปกครอง ในขณะที่โรงเรียน Buffer School ด้ วย เนื่องจากการศึกษาครั้งนี้เป็ นการศึกษาแบบภาพรวม ความที่ต้งั อยู่ในชุมชนที่มีขนาดเล็กทาให้ ความสัมพันธ์กับ ถ้ าต้ องการให้ เห็นเป็ นรูปธรรม ควรศึกษาเจาะรายละเอียด ชุมชนเป็ นไปอย่างใกล้ ชิดมากกว่า ลงไปในแต่ละชุมชน ดังนี้ 1) ที่ต้งั โรงเรียน Sister School เอกสารอ้างอิง เป็ นโรงเรียนที่ต้งั อยู่ในเขตอาเภอเมืองของจังหวัด ในขณะ ที่ Buffer School เป็ นโรงเรียนที่ต้ังอยู่ตามอาเภอชายขอบ ติดกับพรมแดนประเทศเพื่ อนบ้ าน 2) ความหลากหลาย กฤษณา พั นธุ์ ม วานิ ช . (2558). การรั ก ษาวั ฒ นธรรม ทางวัฒนธรรม โรงเรียน Sister School ความหลากหลาย ของความเป็ นชาติ . สื บ ค้ นจาก http://www.m-culture. ทางวัฒนธรรมของกลุ่มชนที่อยู่รอบๆ บริเวณโรงเรียนจะเป็ น go.th/young/ewt_news.php?nid=165&filename=index [1] กลุ่มชนจากประเทศเพื่อนบ้ านที่เข้ ามาอาศัยหรือมาทางาน เกษรา ชัยเหลืองอุไร. (2556). ความขัดแย้ งในสังคมพหุ อยู่ ใ นประเทศไทย ในขณะที่ โ รงเรี ย น Buffer School วั ฒ นธรรม. สื บ ค้ นจาก http://61.19.238.229/dsdw สามารถจาแนกได้ เป็ นสองกลุ่ม คือ กลุ่มแรก มีนั กเรียน 2011/doc_pr/20130403161459.pdf [2] ที่ ม าจากประเทศเพื่ อนบ้ านมาเรี ย นกับ กลุ่ ม ที่ ส องเป็ น นักเรียนกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ 3) ความแตกต่างทางชนชั้น จันทร์จารี เกตุมาโร. (2556). อาชีวอนามัย (พิมพ์ครั้งที่ โรงเรี ย น Sister School รูป แบบของสั งคมเมื อ งท าให้ มี 2). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยรามคาแหง. [3] ความแตกต่างของชนชั้นของชุมชนหรือผู้ปกครองมากกว่า โรงเรียน Buffer School 4) อาชีพที่แตกต่ างกัน โรงเรียน ชู พิ นิ จ เกษมณี . (2547). การศึ ก ษาพหุ วั ฒ นธรรมใน Sister School รูปแบบของสังคมเมืองทาให้ มคี วามหลากหลาย ประเทศไทย: สถานการณ์และความเป็ นไปได้ . สืบค้ นจาก ของอาชี พของคนชุ มชนหรือผู้ปกครองมากกว่ าโรงเรียน https://www.gotoknow.org/posts/250376 [4] Buffer School การประกอบอาชีพในชุมชนส่งผลโดยตรง ต่ อการจั ด การศึ กษาในโรงเรี ย น เพราะจากผลการวิ จั ย ปารวีร์ บุษบาศรี. (2555). ความตระหนักรูแ้ ละทัศนคติ พบว่าถ้ าเป็ นโรงเรียน Sister School เป้ าหมายของนักเรียน ของผูบ้ ริหารและพนักงานต่อการประชาสัมพันธ์ภายในของ คือ การเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย แต่ถ้าเป็ นโรงเรียน บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้าภาคตะวันออกจากัด ใน Buffer School มุ่ ง การเรี ย นสายอาชี พ เพื่ อน าไปใช้ (มหาชน). (การศึกษาค้ นคว้ าอิสระปริญญามหาบัณฑิต). ประกอบอาชี พ ได้ ในอนาคต 5) พื้ นฐานของโรงเรี ย น มหาวิทยาลัยหอการค้ าไทย, กรุงเทพฯ. [5] นอกจากระดับชั้นของการให้ การศึกษาที่แตกต่างกันระหว่าง ภริดา โกเชก. (2548). การสือ่ สารต่ างวัฒ นธรรมที ่มีผล โรงเรี ยนระดั บประถมศึ กษา โรงเรี ยนระดั บมั ธยมศึ กษา ต่ อการปรับตัวของคนข้ามชาติ : กรณี ศึ กษาชาวพม่ าใน และโรงเรียนขยายโอกาสแล้ ว ขนาดของโรงเรียนที่มีต้งั แต่ จังหวัดพรมแดน ประเทศไทย. (วิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎี ระดับเล็ก กลาง ใหญ่ แ ละใหญ่ พิ เศษ ก็ท าให้ เกิดความ บัณฑิต). มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, กรุงเทพฯ. [6] แตกต่างเช่ นกัน 6) ความสามารถในการเข้ าถึงเทคโนโลยี สารสนเทศ โรงเรี ย น Sister School ซึ่ ง เป็ นโรงเรี ย นใน ภั ครัศ สีธิ. (2544). ความสัมพันธ์ระหว่างบุ คลิ กภาพกับ เมืองและเป็ นโรงเรียนขนาดใหญ่ การเข้ าถึ งเทคโนโลยี การปรับเปลี ย่ นกระบวนทัศน์วฒ ั นธรรมและค่ านิ ยมในการ สารสนเทศของนั กเรี ย นย่ อมเข้ าถึ งได้ ง่ ายกว่ าโรงเรี ย น ท างานของเจ้าหน้าที ่ของรัฐตามตั วแบบ I AM READY Buffer School 7) ความเข้ มแข็งของชุมชน การที่โรงเรียน ของหน่ วยงานราชการบริ หารส่ วนภูมิภาค สังกัดกระทรวง Sister School ตั้งอยู่ในเขตเมือง รูปแบบการสนับสนุนของ มหาดไทย จังหวัด เชี ย งใหม่ . (การศึ กษาค้ นคว้ าอิ ส ระ ชุมชนต่อโรงเรียนเป็ นรูปแบบที่แตกต่างจาก Buffer School ปริญญามหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, เชียงใหม่. [7] ข้อเสนอแนะเพิม่ เติม


46

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ภานุ วั ฒ น์ ศิ วะสกุ ล ราช . (2558). แนวคิ ด พื้ นฐาน Translated Thai References พฤติ ก รรมมนุ ษ ย์ . สื บ ค้ นจาก http://www.geh2001. Bunrasri, P. (2012). Awareness and Attitude of the ssru.ac.th/file.php/1/u1.pdf [8] Management and Employees to Boost Publicity of the วรัทยา พรหมสุนทร. (2555). ความคิ ดเห็นของเด็กและ Internal Eastern Water Resources Development เยาวชนต่อความสาคัญของปัญหาสังคม: ศึ กษาเฉพาะกรณี Company Co., Ltd. (Master’s Independent Study). เด็กและเยาวชนในจังหวัดสงขลา. (วิทยานิพนธ์ปริญญา University of Thai Chamber of Commerce, Bangkok. มหาบั ณ ฑิ ต ). สถาบั น บั ณ ฑิ ต พั ฒ นบริ ห ารศาสตร์ , [in Thai] [5] กรุงเทพฯ. [9] Chailaungurai, K. (2013). Conflicts in a multicultural ศั ก ดิ์ ชั ย ภู่ เจริ ญ . (2552). ความหมายของภาวะผู้ น า. society. Retrieved from http://61.19.238.229/dsdw สืบค้ นจาก http://www.kruinter.com/show.php?id_quiz 2011/doc_pr/20130403161459.pdf [in Thai] [2] =98&p=1. [10] Getmaro, C. (2013). Occupational Health and Safety สุ ไ รยา วานิ และมะรอนิ ง สาแลมิ ง . (2557). การอยู่ (2nd ed.). Bangkok: Ramkhamhaeng University. [in Thai] ร่วมกันของชุมชนในสังคมพหุวัฒนธรรมกรณีศึกษา ตาบล [3] ทรายขาว อาเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี. วารสารการเมือง Katemanee, C. (2004). Multicultural Study in Thailand: การปกครอง, 4(1), 205-219. [11] On Situation Possible. Retrieved from https://www. Breslin, S. (2007). Theorising East Asian gotoknow.org/posts/250376 [in Thai] [4] Regionalism(s): New Regionalism and Asia’s Future(s). Advancing East Asian Regionalism. London: Routledge. Kochek, P. (2005). Intercultural Communication that Influence the Adaptation of the Multinational: Case Study Radtke, F. O. (2003). Multiculturalism in Germany: Burmese Border in Thailand. (Doctoral dissertation). Local Management of Immigrants’ Social Inclusion. Thammasat University, Bangkok. [in Thai] [6] International Journal on Multicultural Societies, 5(1), Panvanich, K. (2015). The Protection of Thai National 55-76. Culture. Retrieved from http://www.m-culture.go.th/ Schiffman, L. G., & Kanuk, L. L. (1987). Consumer young/ewt_news.php?nid=165&filename=index [in Thai] behavior (3rd ed.). London: Prentice-Hall International. [1] UNESCO. (2007). Advocacy Kit for Promoting Promsoontorn, W. ( 2 0 1 2 ) . Opinion Children and Multilingual Education: Including the Excluded. Youth on the Importance of Social Problem: A Case Study of Children and Youth in Songkhla Province. Bangkok: UNESCO. (Master’s thesis) . National Institute of Development Administration, Bangkok. [in Thai] [9] Pucharean, S. (2009). What is Leadership. Retrieved from http://www.kruinter.com/show.php?id_quiz=98 &p=1. [in Thai] [10]


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

47

Siwasakulraj, P. (2015). The Basic Concept of Human Wani, S., & Salaeming, M. (2014). The Coexistence Behavior. Retrieved from http://www.geh2 0 0 1 . of Communities in a Multicultural society Case Study ssru.ac.th/file.php/1/u1.pdf [in Thai] [8] Khok Pho Sai district, Pattani province. Journal of Political Management, 4(1), 205-219. [in Thai] [11] Sritree. P. (2001). The Relationship between Personality and the Paradigm Shift in the Culture and Values of Government staff Model I AM Ready of the Unit Regional administration under the Ministry of the Interior Chaing Mai Province. (Master’s Independent Study). Chiang Mai University, Chiang Mai. [in Thai] [7]


48

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ผลกระทบของการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศต่อการเคลือ่ นย้าย ของแรงงานระหว่างประเทศ ชุติกา เกียรติเรืองไกร

The Effect of Outward Foreign Direct Investment on International Labor Migration Chutika Kiatruangkrai คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถนนพญาไท เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330 Faculty of Economics, Chulalongkorn University, Phayathai Road, Pathumwan, Bangkok 10330 Corresponding author. E-mail address: chutika.kia@gmail.com บทคัดย่อ งานวิ จั ยนี้ มี วั ต ถุ ป ระสงค์ เพื่ อ ศึกษาผลกระทบของการลงทุ นโดยตรงในต่ างประเท ศ (Outward Foreign Direct Investment) ต่ อ การ เคลื่อนย้ ายของแรงงานระหว่ างประเทศผู้ ลงทุ นและประเทศผู้ รับ ทุ นในทิศทางต่ างๆ ที่มี การแบ่ งกลุ่ มประเทศตามระดั บการพั ฒ นาทาง เศรษฐกิจ โดยใช้ แบบจ าลองโน้ มน้ าว (Gravity Model) ในการประมาณค่ าเพื่ อประเมิ นผลกระทบดั งกล่ าวจากข้ อมู ลประเทศผู้ลงทุน 20 ประเทศ และประเทศผู้รับทุน 121 ประเทศ ระหว่างปี 1990-2010 (เป็ นข้ อมูลทุกๆ 5 ปี ) ด้ วยวิธี Pooled OLS ซึ่งผลการศึกษา พบว่า การ ลงทุนโดยตรงในต่างประเทศของทิศทางการลงทุนจากประเทศพัฒนาแล้ วไปยังประเทศพัฒนาแล้ ว (DC-DC) ไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสาคัญ ต่อการเคลื่อนย้ ายของแรงงานขาเข้ าซึ่งเคลื่อนย้ ายมาจากประเทศผู้รับทุนมายังประเทศผู้ลงทุน ในขณะที่ทศิ ทางการลงทุนจากประเทศพัฒนา แล้ วไปยังประเทศกาลังพัฒนา (DC-DI) มีนัยสาคัญในเชิงลบ นอกจากนี้ ผู้วิจัยยังทาการศึกษาถึงผลกระทบของปั จจัยทางเศรษฐกิจและมิใช่ ทางเศรษฐกิจที่มีต่ อการเคลื่อนย้ ายของแรงงานขาเข้ าในทิศทางดังกล่ าว ซึ่งพบว่ า ทิศทาง DC-DC จะขึ้ นอยู่กับปั จจัยทางฝั่งของประเทศ ผู้ลงทุน ได้ แก่ รายได้ ต่อหัว ระดับของประชากร อัตราการว่างงาน และปั จจัยทางด้ านการเมือง ส่วนทิศทาง DC-DI จะขึ้นอยู่กับปั จจัยด้ าน ประชากรของทั้งประเทศผู้ลงทุนและประเทศผู้รับทุน และการเปิ ดการค้ าระหว่างประเทศ สาหรับปั จจัยด้ านเครือข่ายและปั จจัยด้ านภูมิศาสตร์ พบว่ า มีนัยสาคัญกับทั้งสองทิศทาง โดยทิศทาง DC-DI มี ขนาดของผลกระทบมากกว่ าทิศทาง DC-DC ในขณะที่ปั จจัยด้ านวัฒ นธรรม มีนัยสาคัญเพียงแค่ทศิ ทาง DC-DC เท่านั้น คาสาคัญ: การลงทุนโดยตรงในต่างประเทศ การเคลื่อนย้ ายของแรงงาน การพัฒนาทางเศรษฐกิจ วิธี Pooled OLS Abstract The objective of this paper is to analyze effects of outward foreign direct investment (OFDI) on international labor migration between home and host countries in the different direction of the flows which are classified by levels of economic development. By using gravity model to examine such effects with a sample including 20 home countries and 121 host countries during 1990-2010 (five-year intervals data), it is estimated by pooled OLS regression. This empirical result suggests that the effect of OFDI flows from developed countries to developed countries (DC-DC direction) on immigration, who moves from host to home countries, is not statistically significant as from developed countries to developing countries (DC-DI direction) is negatively significant. In addition, this paper also examines the economic and non-economic determinants of immigration in those directions and finds that DC-DC direction depends on home-country side factors such as per capita income, population level, unemployment rate and political factor. At the same time, DC-DI direction depends on demographic factors of both home and host countries and trade openness. Moreover, this result finds a significant role played by network and geographical factors in both directions, while cultural factors are statistically significant only in DC-DC direction. Keywords: Outward Foreign Direct Investment, Migration, Economic Development, Pooled OLS


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

บทนา โลกาภิวัฒน์และความก้ าวหน้ าในการเปิ ดเสรีทางการค้ า การลงทุ นต่ างๆ ได้ เกิดขึ้น ไปพร้ อมกับสถานการณ์ การ เคลื่ อนย้ ายของแรงงานระหว่ างประเทศ (International Labor Migration) ที่สูงขึ้นอย่ างต่ อเนื่ อง อันเนื่ องมาจาก แรงกดดันของจานวนประชากรโลกที่เพิ่มขึ้น และความไม่ เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจ ซึ่งจากรายงาน พบว่า สต็อคของ ผู้ ย้ ายถิ่ น ระหว่ างประเทศ (International Migrant Stock) ของโลกได้ เพิ่ มขึ้นจาก 154.2 ล้ านคน ในปี 1990 เป็ น 231.5 ล้ านคน ในปี 2013 หรือคิดเป็ นร้ อยละ 3.2 ของ ประชากรโลก (United Nations, DESA, Population Division, 2013) ในขณะเดียวกัน กระแสการออกไปลงทุนโดยตรง ในต่างประเทศ (Outward Foreign Direct Investment: OFDI) ของนานาประเทศทั่วโลกมีแนวโน้ มสูงขึ้นอย่ างเห็นได้ ชัด จากมู ล ค่ า การลงทุ น โดยตรงขาออกของโลก 240.9 พันล้ านดอลลาร์สหรัฐในปี 1990 ได้ เพิ่มขึ้นเป็ น 1,410.6 พั น ล้ านดอลลาร์ สหรั ฐ ในปี 2013 แม้ ว่าจะมี การชะลอ ตัวลงในช่ วง 2-3 ปี ที่ผ่ านมา (UNCTAD, 2014) ทั้งนี้ การลงทุ นโดยตรงดังกล่ าวได้ มีบทบาทมากขึ้นท่ ามกลาง เศรษฐกิ จ โลกที่ ก าลั งเปลี่ ย นแปลง ซึ่ งกลายเป็ นแหล่ ง เงินทุนที่สาคัญของประเทศผู้รับทุนโดยเฉพาะในประเทศ ก าลั งพั ฒ นา ในขณะที่ ป ระเทศพั ฒ นาแล้ วอยู่ ในฐานะ ประเทศผู้ ลงทุ น ที่ ส าคั ญ (สถาบั น วิ จั ย เพื่ อการพั ฒ นา ประเทศไทย, 2554) แต่ อ ย่ า งไรก็ต าม บทบาททาง เศรษฐกิจได้ เปลี่ยนแปลงไปทาให้ ประเทศกาลังพัฒนาเริ่ม หั น มามี บ ทบาทเป็ นประเทศผู้ ลงทุ น มากขึ้ น ซึ่ ง เป็ น ปรากฏการณ์ ท่ี ค่ อ นข้ างขั ด แย้ งกั บ ในอดี ต (อลงกรณ์ ธนศรีธญ ั ญากุล, 2554) การลงทุ นโดยตรงในต่ างประเทศ (Outward Foreign Direct Investment: OFDI) นับเป็ นปั จจัยหนึ่งที่มีบทบาท ส าคัญ ทางเศรษฐกิจ เนื่ องจากมีผลกระทบทางตรงผ่ าน ตลาดแรงงานที่มี ส่ วนช่ วยในการสร้ างการจ้ างงาน และ ผลกระทบทางอ้ อมผ่านการเติบโตทางเศรษฐกิจในการลด ความแตกต่ างทางเศรษฐกิจ ระหว่ างประเทศ (Sauvant et al., 1993; UNCTAD, 1996) ซึ่ งเป็ นช่ อ งทางหนึ่ งที่ สามารถลดแรงจูงใจในการเคลื่อนย้ ายของแรงงานระหว่าง

49

ประเทศได้ แต่อย่างไรก็ตาม การพิจารณาถึงทิศทางในการ ลงทุ น เป็ นสิ่ ง ส าคั ญ เนื่ องจากการลงทุ น โดยตรงจาก ประเทศต่ า งๆ อาจมี แ รงจู ง ใจในการออกไปลงทุ น ที่ แตกต่างกัน อาทิ การออกไปลงทุนเพื่อแสวงหาทรัพยากร ธรรมชาติ (Resource Seeking) การออกไปลงทุ น เพื่ อ แสวงหาตลาด (Market Seeking) และการออกไปลงทุนเพื่อ แสวงหาประสิทธิภาพ (Efficiency Seeking) อย่างไรก็ตาม แรงจู งใจไม่ ได้ มี ลั กษณะตายตัวอย่ างชั ดเจน (Dunning, 1993) ทั้ งนี้ ขึ้ นกับศั กยภาพในการลงทุ น ของประเทศ นั้นๆ และปั จจัยแวดล้ อมของประเทศที่เลือกออกไปลงทุน ทั้งด้ านโครงสร้ างทางเศรษฐกิจ ทรัพยากร หรือแม้ กระทั่ง ประเภทของแรงงาน ซึ่ งสามารถบ่ ง ชี้ ได้ จากระดั บ การ พัฒนาของประเทศทั้งสอง (Dunning, 1981) ในขณะเดี ยวกัน แรงงานเป็ นปั จจัยการผลิ ตประเภท หนึ่งที่สาคัญในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ ซึ่งมีความ จาเป็ นต่อทั้งประเทศพัฒนาแล้ วและประเทศกาลังพัฒนา การที่ อุ ป สงค์ แ ละอุ ป ทานด้ านแรงงานไม่ ส มดุ ล กั น อาจส่ งผลต่ อการพั ฒ นาเศรษฐกิจของประเทศนั้ น ๆ ได้ จึงทาให้ การเคลื่อนย้ ายของแรงงานระหว่างประเทศเป็ นสิ่ง ที่มิอาจหลี กเลี่ ยง โดยอาจก่ อให้ เกิดผลดีหรื อผลเสียต่ อ เศรษฐกิจและสังคมของทั้งประเทศปลายทางและต้ นทางได้ ซึ่งโดยทั่วไปสามารถแบ่งประเภทของแรงงานออกได้ เป็ น แรงงานฝี มื อ (Skilled Labor) และแรงงาน ไร้ ฝี มื อ (Unskilled Labor) ทั้ ง นี้ พบว่ า มี เหตุ ผ ลและแรงจู ง ใจ ในการเคลื่อนย้ ายที่แตกต่างกัน โดยแรงงานฝี มือจะมีการ กระจายตัวเข้ าสู่ประเทศที่มีศั กยภาพในการจ้ างงานและ เคลื่อนย้ ายเข้ ามาตามการลงทุนที่จาเป็ นต้ องใช้ ทักษะสูง ในขณะที่แรงงานไร้ ฝีมอื จะเคลื่อนย้ ายเพื่อตอบสนองภาวะ ขาดแคลนแรงงานในประเทศปลายทาง และมั กมาจาก ประเทศเพื่ อนบ้ านที่ ใ กล้ เคี ย งเนื่ องจากง่ า ยต่ อ การ เคลื่อนย้ าย โดยมีสาเหตุหลักมาจากความยากจน การขาด ความรู้และการศึกษา และปั ญหาว่ างงานภายในประเทศ ต้ นทาง (กระทรวงแรงงาน, 2557) ดังนั้น การควบคุมการ เคลื่อนย้ ายของแรงงานที่เหมาะสมไม่ว่าจะเป็ นแรงงานฝี มอื หรือแรงงานไร้ ฝีมอื จึงเป็ นสิ่งที่จาเป็ น จากที่กล่าวมาข้ างต้ น อาจสรุปได้ ว่า การลงทุนโดยตรง ในต่างประเทศส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนย้ ายแรงงานของ


50

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ประเทศผู้ รั บ ทุ น ที่ ล ดลง เนื่ องจากการลงทุ น โดยตรง ดังกล่ าวสามารถกระตุ้นหรือสร้ างการจ้ างงานในประเทศ ผู้รับทุน ทาให้ ค่าจ้ างแรงงานภายในประเทศเพิ่มขึ้นและลด ความแตกต่างของค่าจ้ างระหว่างประเทศได้ ซึ่งเป็ นไปตาม ทฤษฎี ส านั ก นี โ อคลาสสิ ค (Borjas, 1989, 1999; Sauvant et al., 1993) และสอดคล้ องกับหลายงานวิ จั ย ก่อนหน้ า ได้ แก่ Massey & Espinosa, 1997; Gonzalez & Maloney, 2005; Sanderson & Kentor, 2008; Wang et al., 2013 ในทางกลับกัน จากกรอบแนวคิดของ Sassen (1988, 1993) ได้ เสนอว่ า การลงทุ น โดยตรงสามารถสร้ าง วัฒ นธรรมและความเชื่ อมโยงด้ านลั ทธิ ระหว่ างประเทศ ผู้ ลงทุ น และประเทศผู้ รั บทุ น ซึ่ งจะสนั บ สนุ น ให้ เกิด การ ย้ ายถิ่น (Campos & Bonilla, 1982; Labrianidis et al., 2004) ประกอบกับบางงานวิจัยที่ศึกษา พบว่า การลงทุนโดยตรง ที่มีแนวโน้ มเป็ นการผลิตแบบทุนเข้ มข้ น (Capital Intensive) และประหยัดแรงงาน (Labor-Saving) ซึ่งเข้ ามาแทนที่การ ผลิตแบบแรงงานเข้ มข้ น (Labor Intensive) เดิมในประเทศ จะทาให้ การลงทุ นโดยตรงในกรณี น้ ี สนั บสนุ นให้ เกิดการ ย้ ายถิ่นได้ เช่นเดียวกัน (Morrison, 1982; Ricketts, 1987) ดังนั้ น จะเห็นได้ ว่ า ความสัมพั นธ์ระหว่ างการลงทุ น โดยตรงในต่ างประเทศและการเคลื่อนย้ ายแรงงานยังคง เป็ นประเด็นที่ไม่แน่ชัด ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากประเภทการ ลงทุนและประเภทของแรงงานของแต่ละประเทศที่มีความ แตกต่ า งกั น อี ก ทั้ ง งานวิ จั ย ที่ ผ่ า นมานิ ย มศึ ก ษาใน ทิศ ทางการลงทุ น จากประเทศพั ฒ นาแล้ วไปยั งประเทศ ก าลั ง พั ฒ นาหรื อ สนใจเพี ย งแค่ ก ารลงทุ น ที่ เข้ า มายั ง ประเทศกาลังพัฒนาเท่านั้น (Sanderson & Kentor, 2008; ตารางที่ 1 แหล่งที่มาของข้ อมูล VARIABLES Bilateral migration flows Bilateral FDI outflows GDP Population Population age 15-24 years Population density Unemployment rate Bilateral trade flows

Wang et al., 2013) ซึ่งไม่ได้ มีการวิเคราะห์ เปรียบเทียบ กับทิ ศ ทางอื่น ๆ จึ ง ท าให้ งานวิ จั ย นี้ มี วั ต ถุ ป ระสงค์ เพื่ อ ศึกษาผลกระทบของการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศที่มี ต่อการเคลื่อนย้ ายของแรงงานระหว่างคู่ประเทศลงทุน โดย เปรี ยบเทียบทิศทางการเคลื่ อนย้ ายของทุ น และแรงงาน ระหว่ า งกลุ่ ม ประเทศต่ า งๆ ตามระดั บ การพั ฒ นาของ ประเทศ ซึ่งสามารถบ่ งชี้ความสามารถในการลงทุ นและ รูปแบบการเคลื่อนย้ ายของแรงงานระหว่ างประเทศนั้นๆ ได้ นอกจากนี้ ยั งศึ กษาถึ งปั จจั ยทางเศรษฐกิจ และมิ ใช่ เศรษฐกิ จ อื่ น ๆ ที่ มี ผ ลต่ อ การเคลื่ อ นย้ ายของแรงงาน ระหว่ างประเทศในทิศทางต่ างๆ อีกด้ วย โดยงานวิจั ยนี้ ถื อ เป็ นงานวิ จั ย ชิ้ นแรกที่ ท าการศึ ก ษาเปรี ย บเที ย บถึ ง ประเด็นดังกล่าว ซึ่งผลการศึกษาจะสามารถทาให้ เข้ าใจถึง รู ป แบบการเคลื่ อ นย้ ายของทุ น และแรงงานในระดั บ มหภาคของแต่ ล ะคู่ ป ระเทศลงทุ น และน าไปสู่การวาง กรอบนโยบายที่เหมาะสมต่อการพัฒนาการลงทุน แรงงาน และเศรษฐกิจของประเทศต่อไป โดยใช้ การลงทุนโดยตรง ในต่ า งประเทศเป็ นเครื่ อ งมื อ หนึ่ ง ในการควบคุ ม การ เคลื่อนย้ ายของแรงงานไปในทิศทางที่เหมาะสม วิธีการศึกษา ศึกษาโดยใช้ ข้อมูลทุติยภูมิท่มี ีการรวบรวมไว้ จากแหล่ง ต่ างๆ ดังตารางที่ 1 เพื่ อมาวิเคราะห์ ผลกระทบของการ ลงทุนโดยตรงในต่างประเทศ และปั จจัยอื่นๆ ที่มีต่อการ เคลื่อนย้ ายแรงงานระหว่างประเทศผู้ลงทุน (Home Country) และประเทศผู้รับทุน (Host Country) ในทิศทางต่างๆ

SOURCE Abel and Sander (2014) OECD database, UNCTAD database World Development Indicators (WDI), Penn World Table (PWT 8.1) United Nations statistics United Nations statistics World Development Indicators (WDI) World Development Indicators (WDI) COMTRADE


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

51

ตารางที่ 1 (ต่อ) VARIABLES Mean years of schooling Political freedom Geographical and Cultural factors

SOURCE Barro and Lee’s data set Freedom House website CEPII

สาหรับการศึ กษาได้ แบ่ งกลุ่ มประเทศตามระดับการ พั ฒ นาทางเศรษฐกิ จ ออกเป็ น 2 กลุ่ ม หลั ก คื อ กลุ่ ม ประเทศพั ฒ นาแล้ ว (Developed Countries: DC) และ กลุ่ ม ประเทศก าลั ง พั ฒ นา (Developing Countries: DI) โดยกลุ่ ม ประเทศพั ฒ นาแล้ ว (DC) ประกอบด้ ว ยกลุ่ ม Developed Economies ในขณะที่กลุ่มประเทศกาลังพัฒนา (DI) ประกอบด้ วยกลุ่มประเทศที่เหลือ ได้ แก่ Developing Economies และ Transition Economies ทั้งนี้ กลุ่มประเทศ ดังกล่ าวได้ ถูกนิยามตามเกณฑ์ของ UNCTAD, 2013 ซึ่ง ในที่ น้ ี จะท าการศึ ก ษาในทิศ ทางการลงทุ น จากประเทศ

พัฒนาแล้ วไปยังประเทศพั ฒนาแล้ ว (DC-DC) และการ ลงทุนจากประเทศพั ฒ นาแล้ วไปยังประเทศกาลังพั ฒนา (DC-DI) จากข้ อมู ล ที่ ป ระกอบด้ วยตั ว อย่ า งประเทศ ผู้ลงทุน 20 ประเทศ และประเทศผู้รับ ทุ น 121 ประเทศ ดังตารางที่ 2 และ 3 ตามล าดับ ระหว่ างปี 1990-2010 ซึ่งเป็ นข้ อมูล Panel Data ทุกๆ 5 ปี โดยใช้ เครื่องมือทาง เศรษฐมิ ติ ด้ วยวิ ธี Pooled OLS เนื่ องจากข้ อมู ล ที่ ใ ช้ มี ลั กษณะเป็ น Unbalanced Panel และจ านวนปี ที่ใช้ ศึ กษา ค่อนข้ างสั้น

ตารางที่ 2 รายชื่อประเทศผู้ลงทุนที่ใช้ ในการศึกษา (Home Country) Developed Country (DC) (20) Australia Finland Italy Austria France Japan Canada Germany Netherlands Denmark Iceland New Zealand ตารางที่ 3 รายชื่อประเทศผู้รับทุนที่ใช้ ในการศึกษา (Host Country) Developed Country (DC) (34) Australia Denmark Iceland Austria Estonia Ireland Bulgaria Finland Israel Canada France Italy Croatia Germany Japan Cyprus Greece Latvia Czech Republic Hungary Malta Developing Country (DI) (87) Albania Cameroon Gabon Argentina Central African Rep. Gambia Armenia Chile Ghana Bahrain China Guatemala Bangladesh Colombia Honduras Barbados Congo, Rep. Hong Kong, China

Norway Poland Portugal Spain

Sweden Switzerland United Kingdom United States

Netherlands New Zealand Norway Poland Portugal Romania Slovakia

Slovenia Spain Sweden Switzerland United Kingdom United States

Korea, Rep. Kuwait Kyrgyzstan Lao PDR Liberia Macao, China

Morocco Mozambique Namibia Nepal Niger Pakistan


52

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ตารางที่ 3 (ต่อ) Belize Costa Rica Benin Côte d' Ivoire Bolivia Dominican Republic Botswana Ecuador Brazil Egypt, Arab Rep. Brunei Darussalam El Salvador Cambodia Fiji Developing Country (DI) Saudi Arabia Sudan Senegal Swaziland Singapore Syrian Arab Republic South Africa Tanzania Sri Lanka Thailand

India Indonesia Iran, Islamic Rep. Jamaica Jordan Kazakhstan Kenya

Malawi Malaysia Maldives Mali Mauritania Mauritius Mexico

Panama Paraguay Peru Philippines Qatar Russian Federation Rwanda

Togo Trinidad and Tobago Tunisia Turkey Uganda

Ukraine Uruguay Venezuela Viet Nam Yemen, Rep.

Zambia Zimbabwe

ทั้งนี้ กาหนดตัวแปรตาม (Dependent Variable) เป็ น อัตราการเคลื่ อนย้ ายแรงงานขาเข้ าของประเทศผู้ ล งทุ น (IMMIGij) โดยใช้ ตัวชี้วัด คือ สัดส่วนของการเคลื่อนย้ าย แรงงานจากประเทศผู้ รั บ ทุ น ไปยั ง ประเทศผู้ ล งทุ น ต่ อ ประชากรของประเทศผู้รับทุน และตัวแปรต้ น (Independent Variable) เป็ นการลงทุ น โดยตรงในต่ า งประเทศของ ประเทศผู้ลงทุน (OFDIji) โดยใช้ ตัวชี้วัด คือ สัดส่วนการ ลงทุ น โดยตรงในต่ างประเทศของประเทศผู้ ลงทุ นไปยั ง ประเทศผู้รับทุนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศผู้รับทุน และตัวแปรควบคุมอื่นๆ ได้ แก่ ระดับผลิตภัณฑ์มวลรวม ต่อหัวของประเทศผู้รับทุนและประเทศผู้ลงทุน (GDPPCi และ GDPPCj) ระดับประชากรของประเทศผู้ รับทุนและ ประเทศผู้ ลงทุ น (POPi และ POPj) ความหนาแน่ น ของ ประชากรในประเทศผู้รับทุน (DENPOPi) สัดส่วนประชากร อายุ 15-24 ปี ของประเทศผู้ ลงทุ น (SHARE1524j) อัตราการว่างงานของประเทศผู้รับทุนและประเทศผู้ ลงทุน (UNEMPLOYi และ UNEMPLOYj) การเปิ ดการค้ าระหว่าง

ประเทศ (TRADEij) ระดับการศึ กษาเฉลี่ ยของประชากร ในประเทศผู้รับทุนและประเทศผู้ลงทุน (YR_SCHi และ YR_SCHj) ปั จจัยด้ านเสรีภาพทางการเมือง (RPOLITICij) และปั จจั ย ด้ านเครื อข่ าย (NETWORKij) โดยใช้ ตั วชี้ วั ด คือ อัตราการเคลื่อนย้ ายแรงงานขาเข้ าของประเทศผู้ลงทุน ณ ช่ ว งเวลาก่ อ นหน้ า นอกจากนี้ ยั ง รวมถึ งปั จ จั ย ด้ า น วัฒนธรรมและภูมิศาสตร์ ได้ แก่ ระยะทางระหว่างประเทศ (DISTij) การมีพรมแดนประเทศติดกัน (BORDERij) การ ใช้ ภาษาทั่วไปที่เหมือนกัน (COMLANGij) การเป็ นอาณานิคม ร่ วมกันในอดีต (COLONYij) และลักษณะภูมิประเทศที่ ไม่ มีทางออกทางทะเลของประเทศผู้ รับทุ นและประเทศ ผู้ลงทุน (LANDLOCKEDi และ LANDLOCKEDj) ทั้งนี้ กาหนดให้ ตัวแปรต้ นทั้งหมดที่ข้ นึ กับเวลา (Time-Variant Variable) เป็ น Lagged Variable โดยประยุ ก ต์ ใ ช้ แบบ จาลองโน้ มน้ าว (Gravity Model) จากงานวิจัยของ Wang et al., 2013; Gubert & Nordman, 2009 ดังต่อไปนี้


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

กาหนดให้ i หมายถึง ประเทศผู้รับทุน (Host Country) j หมายถึง ประเทศผู้ลงทุน (Home Country) t หมายถึง ปี ที่นามาศึกษา (t = 2000, 2005, 2010 และ t-1 = 1995, 2000, 2005) IMMIGijt หมายถึ ง สัด ส่ วนของจ านวนผู้ ย้ายถิ่น จาก ประเทศ i ไปยังประเทศ j ต่อจานวนประชากรของประเทศ i ณ ปี ที่ t (หน่วย: ร้ อยละ) OFDIjit-1 หมายถึง สัดส่วนของมูลค่าการลงทุนโดยตรง จ าก ป ร ะ เท ศ j ไป ยั ง ป ร ะ เท ศ i ต่ อ ผ ลิ ต ภั ณ ฑ์ มวลรวมของประเทศ i ณ ปี ที่ t-1 (หน่วย: ร้ อยละ) GDPPCit-1 หมายถึ ง ผลิ ต ภั ณ ฑ์ ม วลรวมต่ อ หั ว ของ ประเทศ i ณ ปี ที่ t-1 (หน่วย: ดอลลาร์สหรัฐ) GDPPCjt-1 หมายถึ ง ผลิ ต ภั ณ ฑ์ ม วลรวมต่ อ หั ว ของ ประเทศ j ณ ปี ที่ t-1 (หน่วย: ดอลลาร์สหรัฐ) POPit-1 หมายถึง จานวนประชากรของประเทศ i ณ ปี ที่ t-1 (หน่วย: คน) POPjt-1 หมายถึง จานวนประชากรของประเทศ j ณ ปี ที่ t-1 (หน่วย: คน) POPDENit-1 หมายถึง ความหนาแน่นของประชากรใน ประเทศ i ณ ปี ที่ t-1 (หน่วย: คน/กิโลเมตร2) SHARE1524jt-1 ห ม าย ถึ ง สั ด ส่ ว น ข อ งจ าน ว น ประชากรอายุ 15-24 ปี ต่อจานวนประชากรของประเทศ j ณ ปี ที่ t-1 (หน่วย: ร้ อยละ) UNEMPLOYit-1 หมายถึ ง อั ต ราการว่ า งงานของ ประเทศ i ณ ปี ที่ t-1 (หน่วย: ร้ อยละ) UNEMPLOYjt-1 หมายถึ ง อั ต ราการว่ า งงานของ ประเทศ j ณ ปี ที่ t-1 (หน่วย: ร้ อยละ) TRADEijt-1 หมายถึง สัดส่วนของผลรวมมูลค่ าการค้ า ระหว่ างประเทศ i และประเทศ j ต่ อผลิ ตภั ณ ฑ์มวลรวม ของประเทศ i ณ ปี ที่ t-1 (หน่วย: ร้ อยละ)

53

YR_SCHit-1 หมายถึ ง จ านวนปี การศึ ก ษาเฉลี่ ย ของ ประเทศ i ณ ปี ที่ t-1 (หน่วย: ปี ) YR_SCHjt-1 หมายถึ ง จ านวนปี การศึ ก ษาเฉลี่ ย ของ ประเทศ j ณ ปี ที่ t-1 (หน่วย: ปี ) RPOLITICijt-1 หมายถึ ง ระดับความเสรีภาพทางการ เมืองของประเทศ i เทียบกับประเทศ j ณ ปี ที่ t-1 NETWORKijt-1 หมายถึง สัดส่วนของจานวนผู้ย้ายถิ่น จากประเทศ i ไปยั งประเทศ j ต่ อจ านวนประชากรของ ประเทศ i ณ ปี ที่ t-1 (หน่วย: ร้ อยละ) DISTij หมายถึ ง ระยะทางระหว่ า งประเทศ i และ ประเทศ j (หน่วย: กิโลเมตร) BORDERij คือ ตั วแปรหุ่ น (Dummy Variable) มีค่ า เท่ากับ 1 เมื่อทั้งสองประเทศมีพรมแดนติดกัน COMLANGij คื อ ตั ว แปรหุ่ น (Dummy Variable) มี ค่าเท่ากับ 1 เมื่อทั้งสองประเทศใช้ ภาษาทั่วไปเหมือนกัน COLONYij คือ ตัวแปรหุ่ น (Dummy Variable) มีค่ า เท่ากับ 1 เมื่อทั้งสองประเทศเคยเป็ นอาณานิคมซึ่งกันและกัน LANDLOCKEDi คือ ตัวแปรหุ่ น (Dummy Variable) มีค่าเท่ากับ 1 เมื่อประเทศ i เป็ นประเทศที่ไม่ มีทางออก ทางทะเล LANDLOCKEDj คือ ตัวแปรหุ่ น (Dummy Variable) มีค่าเท่ากับ 1 เมื่อประเทศ j เป็ นประเทศที่ไม่ มีทางออก ทางทะเล Fi คือ Host Country Fixed Effect Fj คือ Home Country Fixed Effect Ft คือ Time Fixed Effect β0 – β20 คือ ค่าสัมประสิทธิ์ εijt คือ ค่าความคลาดเคลื่อน


54

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ผลการศึกษา จากรู ป ที่ 1 แสดงถึ ง แนวโน้ มของการเคลื่ อ นย้ าย แรงงานและการลงทุนโดยตรงในต่ างประเทศของทิศทาง DC-DC และ DC-DI โดยทิศทาง DC-DC แสดงถึงการ ลงทุนจากประเทศพัฒนาแล้ วไปยังประเทศพัฒนาแล้ วหรือ การเคลื่ อ นย้ ายแรงงานจากประเทศพั ฒ นาแล้ วมายั ง ประเทศพั ฒ นาแล้ ว และทิ ศ ทาง DC-DI แสดงถึ ง การ ลงทุนจากประเทศพั ฒ นาแล้ วไปยังประเทศกาลังพั ฒนา หรือการเคลื่อนย้ ายแรงงานจากประเทศกาลังพัฒนามายัง ประเทศพั ฒ นาแล้ ว ซึ่ ง ค านวณได้ จากข้ อมู ล ตั ว อย่ า ง ประเทศผู้ ลงทุ น 20 ประเทศและประเทศผู้ รั บทุ น 121 ประเทศ ระหว่างปี 1990-2010 ทั้งนี้ กาหนดให้ เส้ นประ แสดงถึงแนวโน้ มจ านวนผู้ ย้ายถิ่นขาเข้ า (IMMIG) และ เส้ นทึบแสดงถึงแนวโน้ มมูลค่ าการลงทุ นโดยตรงขาออก (OFDI) เมื่ อพิ จารณาภาพรวมของการลงทุ น โดยตรงใน ต่ างประเทศ พบว่ า ทิศ ทาง DC-DC มี มู ล ค่ าการลงทุ น โดยตรงขาออกมากกว่ า ทิ ศ ทาง DC-DI ตลอดช่ วง ระยะเวลาศึกษาและมีแนวโน้ มที่จะเพิ่ มขึ้นต่ อเนื่องในทั้ง สองทิศทาง ในขณะที่ภาพรวมของการเคลื่อนย้ ายแรงงาน พบว่ า ทิ ศ ทาง DC-DC ที่มี ป ระเทศพั ฒ นาแล้ วเป็ นทั้ ง ประเทศต้ นทางและปลายทางของผู้ ย้ ายถิ่ น มี ก าร เคลื่อนย้ ายของแรงงานขาเข้ าน้ อยกว่ าทิศทาง DC-DI ที่มี

ประเทศก าลั งพั ฒ นาเป็ นประเทศต้ น ทางและประเทศ พัฒนาแล้ วเป็ นประเทศปลายทาง ซึ่งจากที่กล่าวมาข้ างต้ น สามารถบ่งชี้ได้ ว่าประเทศพัฒนาแล้ วมีสดั ส่วนในการลงทุน กับประเทศพัฒนาแล้ วด้ วยกันมากกว่าประเทศกาลังพัฒนา ค่ อ นข้ างมาก ในขณะที่ก ารเคลื่ อ นย้ ายแรงงานระหว่ าง ประเทศพั ฒ นาแล้ วด้ วยกั น มี สั ด ส่ ว นน้ อยกว่ า การ เคลื่ อ นย้ ายแรงงานที่ม าจากประเทศก าลั งพั ฒ นามายั ง ประเทศพัฒนาแล้ ว นอกจากนี้ หากเปรียบเทียบแนวโน้ มการเคลื่อนย้ าย แรงงานและการลงทุ น โดยตรงในต่ า งประเทศของทั้ ง สองทิศทางระหว่ างช่ วงเวลาใดๆ พบว่ า แนวโน้ มทั้งสอง กระแสมีทิศทางในตรงกัน ข้ าม กล่ าวคื อ หากช่ วงปี ใดมี มู ล ค่ าการลงทุ น โดยตรงขาออกสูงขึ้ น จ านวนผู้ ย้ ายถิ่ น ขาเข้ าระหว่ างคู่ประเทศลงทุนใดๆ ในช่ วงปี ดังกล่ าวจะมี ขนาดลดลงเมื่อเทียบกับช่วงปี ก่อนหน้ า ในทางตรงกันข้ าม หากช่วงปี ใดมีมูลค่าการลงทุนโดยตรงขาออกลดลง จานวน ผู้ย้ายถิ่นขาเข้ าจะมีขนาดเพิ่มขึ้น ซึ่งแสดงถึงความสัมพันธ์ ระหว่ างการเคลื่อนย้ ายแรงงานและการลงทุนโดยตรงใน ต่ างประเทศ อย่ างไรก็ตาม แนวโน้ มของการเคลื่ อนย้ าย แรงงานที่เกิดขึ้นอาจไม่ได้ เป็ นผลมาจากการลงทุนโดยตรง เพี ย งอย่ างเดี ย ว แต่ อาจเป็ นผลจากปั จ จั ย ผลั กดั น และ ปัจจัยดึงดูดอื่นๆ หรือแม้ กระทั่งเหตุการณ์ในช่วงปี นั้นๆ ที่ เข้ ามาเกี่ยวข้ อง

รูปที่ 1 มูลค่าการลงทุนโดยตรงขาออกรวมและจานวนผู้ย้ายถิ่นขาเข้ ารวมของทิศทาง DC-DC และ DC-DI ระหว่างปี 1990-2010


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ดั ง นั้ น เพื่ อวิ เคราะห์ ผ ลของการลงทุ น โดยตรงใน ต่างประเทศและปั จจัยอื่นๆ ที่มีต่อการเคลื่อนย้ ายแรงงาน ระหว่างประเทศของแต่ละทิศทาง จึงได้ ทาการประมาณค่า แบบจาลองโน้ มน้ าวข้ างต้ นด้ วยวิธี Pooled OLS ซึ่งในที่น้ ี

55

ประกอบด้ วย (1) ทิศทางการลงทุ นจากประเทศพั ฒ นา แล้ วไปยังประเทศพั ฒนาแล้ ว (DC-DC) และ (2) ทิศทาง การลงทุ น จากประเทศพั ฒ นาแล้ วไปยั ง ประเทศก าลั ง พัฒนา (DC-DI) (ตารางที่ 4)

ตารางที่ 4 ผลการประมาณค่าแบบจาลองด้ วยวิธี Pooled OLS (Dependent Variable: IMMIGijt) (1) VARIABLES DC-DC -0.00049 OFDIjit-1 (0.00208) 0.01580 GDPPCit-1 (0.04980) 0.16700** GDPPCjt-1 (0.06930) 0.11400 POPit-1 (0.14400) -0.74400** POPjt-1 (0.30200) -0.00024 POPDENit-1 (0.00053) -0.00044 SHARE1524jt-1 (0.00422) -0.00216 UNEMPLOYit-1 (0.00178) 0.00386* UNEMPLOYjt-1 (0.00209) -0.00185 TRADEijt-1 (0.00292) -0.15500 YR_SCHit-1 (0.10900) 0.15300 YR_SCHjt-1 (0.10500) -0.03760* RPOLITICijt-1 (0.02150) 0.72700*** NETWORKijt-1 (0.18900) -0.04090*** DISTij (0.01250) -0.03350* BORDERij (0.01830)

(2) DC-DI -0.00529** (0.00257) -0.00809 (0.03380) 0.20400 (0.17100) 0.29200* (0.17500) -2.66000*** (0.70500) 0.00015** (0.00007) -0.02310*** (0.00819) 0.00151 (0.00328) -0.00224 (0.00280) 0.00136* (0.00071) 0.06130 (0.11100) 0.09090 (0.16900) -0.00802 (0.02480) 0.73800*** (0.05400) -0.06340*** (0.02300) 0.08940 (0.23900)


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

56

ตารางที่ 4 (ต่อ) VARIABLES COMLANGij COLONYij LANDLOCKEDi LANDLOCKEDj CONSTANT

Notes:

(1) DC-DC 0.05930*** (0.02110) -0.02130 (0.02170) -0.55700 (0.89800) -2.08100** (0.82500) 11.19000* (6.04800) 1,126 0.602

OBSERVATIONS R-SQUARED (i) Standard errors in brackets. (ii) ***, **, * Significant at 1%, 5% and 10%, respectively.

ผลการประมาณค่ าแบบจ าลองที่ (1) ดั งตารางที่ 4 ข้ างต้ น เป็ นการพิ จารณาทิศ ทางการลงทุ น โดยตรงจาก ประเทศพั ฒนาแล้ วไปยังประเทศพั ฒนาแล้ ว (DC-DC) ซึ่ งเป็ นกรณี ท่ีป ระเทศผู้ รั บทุ น และประเทศผู้ ลงทุ น เป็ น ประเทศพั ฒ นาแล้ ว ทั้งคู่ พบว่ า การลงทุ น โดยตรงจาก ประเทศพั ฒ นาแล้ วไปยั งประเทศพั ฒ นาแล้ ว (OFDIji) ไม่มีนัยสาคัญทางสถิติต่ออัตราการเคลื่อนย้ ายแรงงานจาก ประเทศพั ฒ นาแล้ วมายั ง ประเทศพั ฒ นาแล้ วด้ วยกั น (IMMIGij) อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาปั จจัยทางเศรษฐกิจ และมิใช่ เศรษฐกิจอื่นๆ พบว่า ปั จจัยที่มีผลกระทบอย่ างมี นั ย ส าคั ญ ต่ อ อั ต ราการเคลื่ อ นย้ ายแรงงานในทิ ศ ทาง ดังกล่าว ได้ แก่ ระดับผลิตภัณฑ์มวลรวมต่อหัวของประเทศ ผู้ลงทุ น (GDPPCj) ระดับประชากรของประเทศผู้ลงทุ น (POPj) อัตราการว่างงานของประเทศผู้ลงทุน (UNEMPLOYj) ปั จจั ย ด้ าน เสรี ภ าพ ทางการเมื อ งระห ว่ างป ระเทศ (RPOLITICij) และปั จจั ย ด้ านเครื อข่ าย (NETWORKij) นอกจากนี้ ยั งมี ปั จจั ยทางวั ฒ นธรรมและภูมิศ าสตร์ ท่ีมี นัยสาคัญทางสถิติ ได้ แก่ ระยะทาง (DISTij) การมีพรมแดน ประเทศติดกัน (BORDERij) การใช้ ภาษาทั่วไปที่เหมือนกัน (COMLANGij) และลักษณะภูมปิ ระเทศที่ไม่มีทางออกทาง ทะเลของประเทศผู้ ลงทุ น (LANDLOCKEDj) โดย สามารถอธิบายผลได้ ดังนี้

(2) DC-DI 0.03430 (0.03620) 0.02330 (0.03150) 0.02110 (0.09670) -9.79300*** (2.58400) 45.28000*** (11.75000) 1,101 0.832

ปั จจัยทางด้านเศรษฐกิจและประชากร ได้ แก่ ระดับ ผลิตภัณฑ์มวลรวมต่อหั วของประเทศผู้ลงทุน (GDPPCj) พบว่า มีผลกระทบเชิงบวกต่ออัตราการเคลื่อนย้ ายแรงงาน ขาเข้ า หรืออัตราการเคลื่อนย้ ายแรงงานจากประเทศผู้รับ ทุนมายังประเทศผู้ลงทุน กล่ าวคือ การเพิ่ มขึ้นของระดับ ผลิ ต ภั ณ ฑ์มวลรวมต่ อหั วของประเทศผู้ ลงทุ น ร้ อยละ 1 จะส่ งผลกระทบต่ ออั ต ราการเคลื่ อนย้ ายแรงงานขาเข้ า เพิ่ มขึ้ นร้ อยละ 0.1670 ส าหรั บ ระดั บ ประชากรของ ประเทศผู้ ล งทุ น (POPj) พบว่ า มี ผ ลกระทบเชิ ง ลบต่ อ อัต ราการเคลื่ อนย้ ายแรงงานขาเข้ า กล่ าวคื อ หากระดั บ ประชากรของประเทศผู้ลงทุนเพิ่ มขึ้นร้ อยละ 1 อัตราการ เคลื่ อนย้ ายแรงงานเข้ ามาจะลดลงร้ อยละ 0.7440 และ เมื่ อพิ จารณ าอั ต ราการว่ า งงานของประเทศผู้ ลงทุ น (UNEMPLOYj) พบว่ า มีผลกระทบเชิงบวกต่ ออัตราการ เคลื่อนย้ ายแรงงานขาเข้ า กล่ าวคือ หากอัตราการว่ างงาน ของประเทศผู้ลงทุนเพิ่มขึ้นร้ อยละ 1 จะส่งผลให้ อตั ราการ เคลื่ อ นย้ า ยแรงงานที่ เข้ ามายั งประเทศผู้ ล งทุ น เพิ่ ม ขึ้ น 0.0039 ปั จ จัยด้านเสรี ภ าพทางการเมื อ งระหว่ างประเทศ (RPOLITICij) พบว่ า มี ผ ลกระทบเชิ ง ลบต่ อ อั ต ราการ เคลื่ อ นย้ ายแรงงานขาเข้ า โดยมี ค่ าสั ม ประสิ ท ธิ์เท่ ากั บ -0.0376 กล่ าวคือ หากประเทศผู้ รับทุ นมีความเสรีทาง


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

การเมืองน้ อยกว่ าประเทศผู้ ลงทุ น จะส่งผลให้ อัตราการ เคลื่อนย้ ายแรงงานเข้ าประเทศผู้ลงทุนลดลง หรืออีกนั ย คือ หากประเทศผู้รับทุนมีความเสรีทางการเมืองมากกว่ า ประเทศผู้ลงทุน จะส่งผลให้ อัตราการเคลื่อนย้ ายแรงงาน เข้ าประเทศผู้ลงทุนเพิ่มขึ้น ปั จจัยด้านเครือข่าย (NETWORKij) พบว่า มีผลกระทบ เชิ งบวก กล่ าวคื อ หากอัต ราการเคลื่ อนย้ ายแรงงาน ณ ช่ ว งเวลาก่ อ นเพิ่ มขึ้ นร้ อยละ 1 จะส่ ง ผลให้ อั ต ราการ เคลื่ อนย้ ายแรงงาน ณ ช่ วงเวลาปั จ จุ บั น เพิ่ ม ขึ้น ร้ อยละ 0.7270 ปั จ จั ย ทางด้า นวัฒ นธรรมและภู มิ ศ าสตร์ พบว่ า ปั จจั ยที่มี ผลกระทบเชิ งบวก ได้ แก่ การใช้ ภาษาทั่วไปที่ เหมื อนกัน (COMLANGij) โดยมี ค่ าสัม ประสิท ธิ์เท่ ากับ 0.0593 ในขณะที่ ปั จจั ย ที่ มี ผ ลกระทบเชิ ง ลบ ได้ แก่ ระยะทาง (DISTij) การมีพรมแดนประเทศติดกัน (BORDERij) และลั ก ษณะภู มิ ป ระเทศที่ ไม่ มี ท างออกทางทะเลของ ประเทศผู้ลงทุน (LANDLOCKEDj) โดยมีค่าสัมประสิทธิ์ เท่ากับ -0.0409, -0.0335 และ -2.0810 ตามลาดับ ส่วนผลการประมาณค่าแบบจาลองที่ (2) ดังตารางที่ 4 ข้ างต้ น เป็ นการพิ จารณาทิศ ทางการลงทุ น โดยตรงจาก ประเทศพั ฒนาแล้ วไปยังประเทศกาลังพั ฒนา (DC-DI) ซึ่ งเป็ นกรณี ท่ีป ระเทศผู้ รับ ทุ น เป็ นประเทศก าลั งพั ฒ นา และประเทศผู้ลงทุนเป็ นประเทศพั ฒ นาแล้ ว พบว่ า การ ลงทุนโดยตรงจากประเทศพั ฒนาแล้ วไปยังประเทศกาลัง พัฒนา (OFDIji) มีนัยสาคัญทางสถิติต่ออัตราการเคลื่อนย้ าย แรงงานจากประเทศกาลังพัฒนามายังประเทศพัฒนาแล้ ว (IMMIGij) เมื่ อพิ จ ารณาปั จ จั ย ทางเศรษฐกิ จ และมิ ใ ช่ เศรษฐกิจอื่นๆ พบว่า ปั จจัยที่มีผลกระทบอย่างมีนัยสาคัญ ต่ออัตราการเคลื่อนย้ ายแรงงานในทิศทางดังกล่ าว ได้ แก่ ระดับประชากรของประเทศผู้รับทุนและประเทศผู้ลงทุ น (POPi และ POPj) ความหนาแน่นของประชากรในประเทศ ผู้รับทุ น (DENPOPi) สัดส่ วนประชากรอายุ 15-24 ปี ของ ประเทศผู้ ลงทุ น (SHARE1524j) การเปิ ดการค้ าระหว่ าง ประเทศ (TRADEij) ปั จจัยด้ านเครือข่าย (NETWORKij) และปั จ จั ย ด้ านภู มิ ศ าสตร์ คื อ ระยะทาง (DISTij) และ ลักษณะภูมิประเทศที่ไม่ มีทางออกทางทะเลของประเทศ

57

ผู้ ลงทุ น (LANDLOCKEDj) โดยสามารถอธิ บ ายผลได้ ดังนี้ ปั จ จั ย ด้า นการลงทุ น หรื อ การลงทุ น โดยตรงจาก ประเทศพั ฒ นาแล้ วไปยังประเทศกาลั งพั ฒ นา (OFDIji) พบว่า มีผลกระทบเชิงลบต่ออัตราการเคลื่อนย้ ายแรงงาน จากประเทศกาลังพัฒนามายังประเทศพัฒนาแล้ ว (IMMIGij) กล่ าวคือ หากการลงทุ นโดยตรงจากประเทศพั ฒ นาแล้ ว ไปยังประเทศกาลั งพั ฒ นาเพิ่ มขึ้น ร้ อยละ 1 จะส่ งผลให้ อัตราการเคลื่อนย้ ายแรงงานจากประเทศกาลังพัฒนามายัง ประเทศพัฒนาแล้ วลดลงร้ อยละ 0.0053 ปั จจัยทางด้านเศรษฐกิจและประชากร พบว่ า ระดับ ประชากรของประเทศผู้รับทุน (POPi) และความหนาแน่น ของประชากรในประเทศผู้รับทุน (DENPOPi) มีผลกระทบ เชิ ง บวก โดยมี ค่ าสั ม ประสิ ท ธิ์ เ ท่ า กั บ 0.2920 และ 0.0002 ตามลาดับ ในขณะที่ระดับประชากรของประเทศ ผู้ลงทุน (POPj) และสัดส่วนประชากรที่มีอายุ 15-24 ปี ของประเทศผู้ลงทุน (SHARE1524j) มีผลกระทบเชิงลบ ต่ออัตราการเคลื่อนย้ ายแรงงานที่เข้ ามายังประเทศผู้ลงทุน โดยมี ค่ า สั ม ประสิ ท ธิ์ เท่ า กั บ -2.6600 และ -0.0231 ตามลาดับ สาหรับการเปิ ดการค้ าระหว่างประเทศ (TRADEij) พบว่า มีผลกระทบเชิงบวกต่ออัตราการเคลื่อนย้ ายแรงงาน ขาเข้ า กล่ าวคือ หากอัตราการเปิ ดการค้ าระหว่างประเทศ เพิ่มขึ้นร้ อยละ 1 จะส่งผลให้ อัตราการเคลื่อนย้ ายแรงงาน จากประเทศกาลังพั ฒนามายังประเทศพัฒนาแล้ วเพิ่ มขึ้น ร้ อยละ 0.0014 ปั จจัยด้านเครือข่าย (NETWORKij) พบว่ า มีผลกระทบ เชิงบวก กล่าวคือ อัตราการเคลื่อนย้ ายแรงงาน ณ ช่วงเวลา ก่ อนเพิ่ มขึ้น ร้ อยละ 1 จะส่ งผลให้ อัตราการเคลื่ อนย้ าย แรงงาน ณ ช่วงเวลาปัจจุบนั เพิ่มขึ้นร้ อยละ 0.7380 ปั จจัยทางด้านภู มิศาสตร์ พบว่ า ปั จจัยที่สาคัญ คือ ระยะทาง (DISTij) และลักษณะภูมิประเทศที่ไม่มีทางออก ทางทะเลของประเทศผู้ลงทุน (LANDLOCKEDj) ซึ่งส่งผล ให้ อตั ราการเคลื่อนย้ ายแรงงานลดลง โดยมีค่าสัมประสิทธิ์ เท่ากับ -0.0634 และ -9.7930 ตามลาดับ


58

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

อภิปรายผลการศึกษา จากผลการศึกษาข้ างต้ น พบว่า เมื่อพิจารณาผลกระทบ ของการลงทุ น โดยตรงทั้งสองทิศ ทาง พบว่ า การลงทุ น โดยตรงในทิศทาง DC-DC หรือจากประเทศพัฒนาแล้ วไป ยังประเทศพั ฒนาแล้ วไม่มีผลกระทบอย่ างมีนัยสาคัญต่ อ อัตราการเคลื่อนย้ ายแรงงานจากประเทศพัฒนาแล้ วมายัง ประเทศพัฒนาแล้ วด้ วยกัน ซึ่งสะท้ อนให้ เห็นว่า การลงทุน โดยตรงระหว่ างกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ วด้ วยกันไม่ได้ เป็ น ปั จจัยส าคัญ ที่ก่ อให้ เกิด การเคลื่ อนย้ ายแรงงานระหว่ าง กลุ่มประเทศดังกล่ าว ในขณะที่การลงทุนในทิศทาง DCDI หรือจากประเทศพัฒนาแล้ วไปยังประเทศกาลังพัฒนา มีผลกระทบเชิงลบอย่างมีนัยสาคัญต่ออัตราการเคลื่อนย้ าย แรงงาน ซึ่งสอดคล้ องกับงานวิจัยของ Sanderson and Kentor, 2008; Wang et al., 2013 ที่ได้ ท าการศึ ก ษาผลกระทบ ของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศต่ อการเคลื่อนย้ าย แรงงานออกของกลุ่มประเทศกาลังพั ฒนา ทั้งนี้ แสดงให้ เห็นว่ าการลงทุนจากประเทศพัฒนาแล้ วอาจมีส่วนช่วยใน การจ้ างงานภายในประเทศก าลั ง พั ฒ นา และช่ ว ยให้ เศรษฐกิจมี การเติ บโตและตอบสนองต่ อการจ้ างงานได้ (Borjas, 1989, 1999; Sauvant et al., 1993) เมื่ อ เปรี ย บเที ย บผลการวิ เคราะห์ ข องปั จ จั ย อื่ น ๆ ระหว่ างกลุ่ ม ประเทศในทิ ศ ทาง DC-DC และ DC-DI พบว่ า ระดับผลิตภัณฑ์มวลรวมต่อหัวของประเทศผู้ลงทุน มีค วามส าคัญ ในทิศ ทาง DC-DC ซึ่ งสะท้ อนถึ งแรงงาน ระหว่ างกลุ่ มประเทศพั ฒ นาแล้ วด้ วยกั น มองถึ ง โอกาส ทางด้ านรายได้ ห รื อ มาตรฐานความเป็ นอยู่ ท่ี ดี ก ว่ าของ ประเทศปลายทาง ในขณะที่ DC-DI ไม่มนี ัยสาคัญ ส าหรั บ ระดั บ ประชากรของประเทศผู้ ลงทุ น ที่ ม าก เกินไปจะส่งผลให้ แรงงานย้ ายเข้ ามาลดลงทั้งสองทิศทาง โดยในทิศทาง DC-DI จะมีความรุนแรงจากแรงกดดันของ ประชากรมากกว่า ทั้งนี้ นอกจากจะมีขนาดของผลกระทบที่ สูงกว่ า ยังมีผลของแรงผลักของระดับและความหนาแน่ น ของประชากรในประเทศผู้รับทุนซึ่งเป็ นประเทศต้ นทางอีก ด้ วย (Lim & Abella, 1994) รวมทั้งมีผลของแรงดึงจาก สัดส่วนประชากรอายุ 15-24 ปี ในประเทศผู้ลงทุนที่ลดลง ซึ่ ง สะท้ อ นให้ เห็ น ว่ า ประเทศผู้ ลงทุ น ซึ่ ง เป็ นประเทศ ปลายทางอยู่ ในภาวะขาดแคลนแรงงาน และจาเป็ นต้ อง

น าเข้ าแรงงานจากนอกประเทศ โดยสาเหตุดั งกล่ าวมั ก เกิ ด ขึ้ นกั บ ประเทศพั ฒ นาแล้ วที่ ก าลั ง ประสบกั บ การ เปลี่ยนแปลงโครงสร้ างประชากรเข้ าสู่สงั คมสูงอายุ ส าหรั บ อั ต ราการว่ างงาน พบว่ า มี นั ย ส าคั ญ เฉพาะ ทิศ ทาง DC-DC โดยการเพิ่ ม ขึ้น ของอั ต ราว่ างงานของ ประเทศผู้ลงทุนส่งผลให้ อตั ราการเคลื่อนย้ ายแรงงานเข้ ามา เพิ่ มขึ้น ซึ่งขัดแย้ งกับสมมติฐานทางทฤษฎีและยังคงเป็ น ประเด็น ที่ยั งหาข้ อ สรุป ที่ แ น่ ชั ด ไม่ ได้ แต่ อ ย่ างไรก็ต าม งานวิจัยของ Gubert and Nordman, 2009 ได้ ระบุว่า ผลลัพธ์ ดังกล่ าวอาจเกิดขึ้นได้ จากการมี Welfare Magnet Effect มากกว่ า ซึ่ งจะดึ งดู ด แรงงานให้ ย้ ายเข้ ามาแม้ ว่ าจะต้ อง เผชิญกับอัตราการว่ างงานในระดับที่สูง ในขณะที่ทิศทาง DC-DI มี เครื่ อ งหมายเป็ นไปตามสมมติ ฐ าน แต่ ไม่ มี นัยสาคัญ ส าหรั บ การเปิ ดการค้ าของประเทศเป็ นปั จจั ย ที่ มี ความสาคัญต่อทิศทาง DC-DI ซึ่งสะท้ อนถึงอัตราการเปิ ด การค้ าที่มากขึ้น ระหว่ างประเทศพั ฒ นาแล้ วกับ ประเทศ กาลังพั ฒนาส่งเสริมให้ แรงงานจากประเทศกาลังพั ฒ นา ย้ ายมายั งประเทศพั ฒ นาแล้ วมากขึ้ น ซึ่ งสอดคล้ องกั บ งานวิจัยของ Wang et al., 2013 ในขณะที่ DC-DC ไม่ มี นัยสาคัญ ส าหรั บ ปั จ จั ย ด้ านเสรี ภ าพทางการเมื อ ง พบว่ า มี นั ย ส าคั ญ เฉพาะในทิ ศ ทาง DC-DC ในขณะที่ DC-DI ไม่มีนัยสาคัญ ซึ่งสะท้ อนให้ เห็นว่า การเคลื่อนย้ ายแรงงาน ระหว่ างประเทศพั ฒ นาด้ วยกันให้ ความส าคัญ กับสภาพ ทางการเมือง โดยตัวอย่างของกลุ่มประเทศในกรณีดงั กล่าว ส่ ว นใหญ่ จ ะมี เ สรี ภ าพทางการเมื อ งค่ อ นข้ า งสู ง หรื อ มี ลักษณะเป็ นระบอบประชาธิปไตย ซึ่งมีระดับที่แตกต่างกัน เล็กน้ อย จึงเป็ นไปได้ ว่า ประเทศที่มีเสรีภาพทางการเมือง น้ อยกว่าโดยเปรียบเทียบจะมีกฎระเบียบในการเคลื่อนย้ าย แรงงานที่เข้ มงวดกว่า หรืออีกนัยหนึ่ง คือประเทศต้ นทาง ที่มีเสรีภาพทางการเมืองสูงมีแนวโน้ มที่คนจะเคลื่อนย้ าย ออกได้ ง่ายกว่า (Vogler & Rotte, 2000) สาหรับปั จจัยด้ านเครือข่าย พบว่า มีความสาคัญกับทั้ง สองทิศทาง โดยการมีผ้ ูย้ายถิ่นจากประเทศผู้รับทุนย้ ายมา อาศั ยอยู่ ประเทศผู้ ลงทุ นก่อนหน้ านี้ จะสร้ างเครือข่ ายที่ ทาให้ ผ้ ูย้ายถิ่นใหม่ มีแนวโน้ มย้ ายเข้ ามาเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็ นไป ตามแนวคิดของ Massey and Espinosa, 1997 ที่กล่ าวว่ า


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

การมีเครือข่ายจะช่ วยลดต้ นทุนด้ านข้ อมูลและความเสี่ยง ในการย้ ายถิ่น ส าหรั บ ปั จจั ย ด้ านวั ฒ นธรรมและภู มิ ศ าสตร์ พบว่ า ระยะทาง และลักษณะภูมิประเทศที่ไม่มีทางออกทางทะเล ของประเทศผู้ลงทุนเท่านั้นที่มีนัยสาคัญกับทั้งสองทิศทาง ซึ่งแสดงถึงต้ นทุนในการเดินทาง โดยประเทศที่ห่างไกลกัน มากหรือไม่มีทางออกทางทะเลจะมีต้นทุนในการเดินทางที่ ค่อนข้ างสูง ส่งผลให้ การเคลื่อนย้ ายของแรงงานน้ อยกว่ า ประเทศที่อยู่ใกล้ กันหรือมีทางออกทางทะเลที่มีการขนส่ง สินค้ าและแรงงานสะดวกกว่า (Sassen, 1988) ทั้งนี้พบว่า ทิศทาง DC-DI จะมีขนาดของผลกระทบของทั้งสองตั ว แปรดังกล่ าวมากกว่ าทิศทาง DC-DC ซึ่งแสดงถึงแรงงาน จากประเทศก าลั งพั ฒ นามี ต้ น ทุ นในการเดิ น ทางสูงกว่ า แรงงานจากประเทศพั ฒนาแล้ ว ในขณะที่การมีพรมแดน ติดกัน และการใช้ ภาษาทั่วไปที่เหมือนกันไม่ มีนัยส าคัญ ทางสถิ ติ กั บ ทิ ศ ทาง DC-DI แต่ มี นั ย ส าคั ญ กั บ ทิ ศ ทาง DC-DC เมื่อพิจารณาการมีพรมแดนติดกันของประเทศพัฒนา แล้ วด้ วยกั น พบว่ า จะส่ ง ผลให้ อั ต ราการเคลื่ อนย้ าย แรงงานเข้ ามาลดลง หรื ออีกนั ย คื อ การไม่ มี พ รมแดน ประเทศติดกันจะส่งผลให้ อตั ราการเคลื่อนย้ ายแรงงานเข้ า มาเพิ่ มขึ้น ในกรณี DC-DC ซึ่ งเป็ นผลลั พ ธ์ท่ีขัดแย้ งกับ สมมติฐานทางทฤษฎี ทั้งนี้ งานวิจัยของ Gubert and Nordman, 2009 ได้ เสนอว่ า ผลกระทบในทิศทางดังกล่ าวจะเกิดขึ้น ในกรณีท่มี ีการเคลื่อนย้ ายแรงงานที่มกี ารศึกษาสูง ในขณะ ที่แรงงานที่มีการศึกษาต่าจะมีแนวโน้ มเคลื่อนย้ ายระหว่ าง พรมแดนที่ติดกัน ซึ่งสอดคล้ องกับโครงสร้ างแรงงานใน กรณี DC-DC ที่ประเทศพัฒนาแล้ วจะมีการกระจุกตัวของ แรงงานที่มีการศึกษาค่อนข้ างสูง หรือแรงงานฝี มอื มากกว่า โดยเปรียบเทียบ นอกจากนี้ หากพิจารณาถึงการใช้ ภาษา ทั่วไปที่เหมือนกันซึ่งเป็ นปั จจัยทางด้ านวัฒนธรรม ปั จจัย ดังกล่ าวจะช่ วยลดต้ นทุนในปรับตัวเข้ ากับสังคมใหม่ ซึ่ง ส่งเสริมให้ เกิดการเคลื่อนย้ ายเข้ ามาของแรงงานมากกว่ า ประเทศที่ใช้ ภาษาแตกต่างกัน

59

สรุปผลการศึกษา จากการเพิ่ มขึ้ นของประชากรโลกส่ ง ผลให้ การ เคลื่อนย้ ายแรงงานระหว่างประเทศเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยง ไม่ ได้ ประกอบกับระดับทางเศรษฐกิจที่แตกต่ างกัน และ โลกาภิวัฒน์ ทาให้ แรงงานมีช่องทางและแรงจู งใจในการ เคลื่ อนย้ ายเพื่ อตอบสนองความต้ องการของตนเอง ใน ขณะเดียวกันการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศได้ มแี นวโน้ ม เพิ่ มขึ้ นอย่ างต่ อเนื่ องเช่ น เดี ย วกัน ซึ่ งสามารถสร้ างการ จ้ างงาน และลดแรงกดดันของการย้ ายถิ่นได้ จึงอาจเป็ น เครื่องมื อหนึ่ งที่มีบทบาทในการควบคุ มการเคลื่ อนย้ าย แรงงานที่เกิดขึ้นระหว่ างประเทศให้ มีความเหมาะสมได้ งานศึกษานี้จึงได้ ทาการวิเคราะห์ผลกระทบของการลงทุน โดยตรงในต่ างประเทศ และปั จจั ย อื่น ๆ ที่ มี ผ ลต่ อ การ เคลื่อนย้ ายแรงงานในทิศทางระหว่างกลุ่มประเทศที่มรี ะดับ การพั ฒ นาทางเศรษฐกิ จ ที่ เหมื อ นกั น และแตกต่ างกั น ได้ แ ก่ ทิ ศ ทางการลงทุ น จากประเทศพั ฒ นาแล้ วไปยั ง ประเทศพัฒนาแล้ ว (DC-DC) และการลงทุนจากประเทศ พัฒนาแล้ วไปยังประเทศกาลังพัฒนา (DC-DI) ประกอบด้ วย ข้ อมูลประเทศผู้ลงทุน 20 ประเทศ และประเทศผู้รับ ทุน 121 ประเทศ ระหว่างปี 1990-2010 ซึ่งเป็ นข้ อมูลทุกๆ 5 ปี เพื่ อเปรียบเทียบผลการวิเคราะห์ จากทั้งสองทิศทาง โดยใช้ วิธกี ารประมาณค่าแบบ Pooled OLS ผลการศึกษา พบว่า การลงทุนโดยตรงในทิศทาง DCDC ไม่มีนัยสาคัญต่ออัตราการเคลื่อนย้ ายแรงงานระหว่ าง กลุ่ ม ดั ง กล่ าว แต่ มี นั ย ส าคั ญ เชิ งลบในทิ ศ ทาง DC-DI ซึ่งแสดงให้ เห็นว่ า การลงทุนโดยตรงจากประเทศพั ฒนา แล้ วมายังประเทศกาลังพัฒนาสามารถทดแทนการนาเข้ า แรงงานจากประเทศกาลังพัฒนาได้ นอกจากนี้ พบว่า ปั จจัยอื่นๆ ที่มีความสัมพันธ์อย่างมี นัยสาคัญ กับอัตราการเคลื่อนย้ ายแรงงานขาเข้ าหรือการ เคลื่ อนย้ ายจากประเทศผู้ รับทุนมายังประเทศผู้ลงทุ นใน ทิศทางการลงทุน DC-DC ได้ แก่ ระดับผลิตภัณฑ์มวลรวม ต่ อหั วของประเทศผู้ ลงทุ น ระดับประชากรของประเทศ ผู้ลงทุน อัตราการว่ างงานของประเทศผู้ลงทุน ปั จจัยด้ าน เสรีภาพทางการเมือง ปั จจัยด้ านเครือข่าย และปั จจัยด้ าน วัฒนธรรมและภูมิศาสตร์ เช่ น ระยะทาง การมีพรมแดน


60

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ประเทศติดกัน การใช้ ภาษาทั่วไปที่เหมือนกัน และลักษณะ ภูมิประเทศที่ไม่ มีทางออกทางทะเลของประเทศผู้ลงทุ น ในขณะที่อตั ราการเคลื่อนย้ ายแรงงานขาเข้ าในทิศทางการ ลงทุ น DC-DI จะขึ้นอยู่ กับปั จจั ยทางด้ านประชากรเป็ น ส่วนมาก ได้ แก่ ระดับประชากรของประเทศผู้ลงทุนและ ผู้รับทุน ความหนาแน่ นของประชากรในประเทศผู้รับทุน และสั ด ส่ ว นของประชากรอายุ 15-24 ปี ของประเทศ ผู้ ลงทุ น นอกจากนี้ ยั งขึ้ นอยู่ กั บ การเปิ ดการค้ าระหว่ า ง ประเทศ ปั จจัยด้ านเครือข่าย และปั จจัยด้ านภูมิศาสตร์ เช่ น ระยะทาง และลักษณะภูมิประเทศที่ไม่มีทางออกทางทะเล ของประเทศผู้ ลงทุ น เช่ นเดียวกับทิศทาง DC-DC แต่ มี ขนาดของผลกระทบที่มากกว่า ทั้งนี้ ผลการวิเคราะห์ในทิศทางที่แตกต่างกันแสดงให้ เห็นว่าการลงทุนโดยตรงระหว่างกลุ่มประเทศที่มีระดับการ พั ฒ นาทางเศรษฐกิจที่เหมื อนและแตกต่ างกัน อาจมีผ ล หรือไม่ มีผลต่ ออัตราการเคลื่อนย้ ายแรงงานระหว่ างกลุ่ม ประเทศดังกล่าว เนื่องจากทิศทางสามารถบอกถึงศักยภาพ และเป้ าหมายในการลงทุนได้ ซึ่งจาเป็ นต้ องพิจารณาร่วมกับ ประเภทของแรงงานในประเทศนั้นๆ ด้ วย โดยการศึกษา ดั งกล่ าวจะสามารถท าให้ เห็ น ภาพรวมและเข้ าใจความ สัมพั นธ์ระหว่ างการเคลื่ อนย้ ายของทุ นและแรงงานของ ประเทศคู่ ลงทุ น ที่แตกต่ างกัน ในระดั บ มหภาค แต่ ห าก การศึ กษาต่ อ ๆ ไปสามารถแยกประเภทของการลงทุ น โดยตรงในต่างประเทศตามเป้ าหมายการลงทุนที่มีต่อการ เคลื่ อนย้ ายแรงงานในแต่ ละทิศ ทาง อาจท าให้ เห็น ภาพ ที่ ชั ด เจนขึ้ น และน าไปสู่ ก ารวิ เคราะห์ เชิ ง นโยบายเพื่ อ วางแผนการพัฒนาเศรษฐกิจที่จาเป็ นต้ องใช้ การลงทุนและ แรงงานในการขับเคลื่อนให้ เป็ นไปอย่ างเหมาะสมได้ ใน อนาคต

สามารถรวมเข้ ากัน ได้ อย่ างไรก็ตาม ชุ ด ข้ อมู ลดั งกล่ าว อาจจะยังไม่ใช่ ชุดข้ อมูลที่ดีท่ีสุด ผู้วิจัยจาเป็ นต้ องทาการ ตรวจสอบและเปรียบเทียบกับชุดข้ อมูลอื่นๆ ซึ่งไม่ได้ กล่าว ไว้ ในบทความนี้ กิตติกรรมประกาศ ผู้ วิ จั ย ขอขอบพระคุ ณ ผศ.ดร.ดนุ พ ล อริ ย สัจ จากร อาจารย์ ท่ีป รึกษาวิ ทยานิ พ นธ์ ที่กรุณ าให้ ค าปรึกษาและ ข้ อคิดเห็นต่างๆ ตลอดจนชี้แนะแนวทางและปรับปรุงแก้ ไข ข้ อบกพร่ อ งต่ างๆ ระหว่ างการท าวิ ท ยานิ พ นธ์ท่ีผ่ านมา ตั้งแต่ต้นจนถึงปั จจุบันเป็ นอย่ างดี รวมทั้งขอขอบพระคุณ ผศ.ดร.วั ล ลภั ช สุ ข สวั ส ดิ์ และ ดร.ภคพร วั ฒ นด ารงค์ กรรมการผู้ ทรงคุ ณ วุ ฒิ มหาวิ ท ยาลั ย นเรศวร ส าหรั บ ข้ อ เสนอชี้ แนะเพิ่ มเติ ม ท าให้ บทความฉบั บ นี้ มี ค วาม สมบูรณ์ย่งิ ขึ้น เอกสารอ้างอิง กระทรวงแรงงาน. (2557). โครงการเตรียมการรองรั บ การเคลื่อนย้ ายของแรงงานสู่การเป็ นประชาคมอาเซียน. สื บ ค้ นจาก http://www.mol.go.th/anonymouse/content /Asean2012 [1] สถาบั น วิ จั ย เพื่ อการพั ฒ นาประเทศ ไทย. (2554). โครงการศึกษาแนวทางการเจรจา และผลกระทบของการ จั ด ท าความตกลงการค้ าเสรี ไทยกั บสหภาพยุ โรป: การ ลงทุน การจัดซื้อจัดจ้ างภาครัฐ การคุ้มครองทรัพย์สนิ ทาง ปั ญ ญา. สื บค้ น จาก http://www.thaifta.com/trade/study/ theu_book3_ch1.pdf [2]

อลงกรณ์ ธนศรีธัญ ญากุ ล . (2554). กระแสการออกไป ลงทุ นโดยตรงในต่ างประเทศของไทย: ทางเลือกต่ อการ สาหรับข้ อมูล Bilateral FDI Outflows ในที่น้ ี ผู้วิจัยได้ รักษาความสามารถในการแข่งขัน. สืบค้ นจาก http://www. ทาการรวมกันระหว่ าง 2 แหล่ งข้ อมูลเข้ าด้ วยกัน เพื่ อลด econ.tu.ac.th/oldweb/doc/news/409/econtu_40_alon ปั ญ หาการขาดหายของข้ อมู ล (Missing Value) โดย gkorn.pdf [3] เลื อ กใช้ ข้ อ มู ล ที่ บั น ทึ ก เป็ น FDI Outflows ทั้ ง หมดจาก OECD Database เป็ นลาดับแรก จากนั้นตามด้ วย UNCTAD Abel, G. J., & Sander, N. (2014). Quantifying Global Database ในกรณีท่ขี ้ อมูลจาก OECD Database ไม่สมบูรณ์ International Migration Flows. Science, 343(6178), ทั้งนี้ ข้ อมูลทั้งสองแหล่งต้ องมีการเก็บที่สอดคล้ องกันจึงจะ 1520-1522. ข้อจากัดของการศึกษา


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

61

Borjas, G. J. (1989). Economic Theory and International Lim, L. L., & Abella, M. (1994). The Movement of Migration. International Migration Review, 23(3), People in Asia: Internal, Intra-Regional and 457–485. International Migration. Asian and Pacific Migration Journal, 3(2-3), 209-250. Borjas, G. J. (1999). Economic Research on the Determinants of Immigration: Lessons for the European Massey, D. S., & Espinosa, K. E. (1997). What’s Union. Technical Paper No.438. Washington, DC: World Driving Mexico–US Migration? A Theoretical, Bank. Empirical, and Policy Analysis. American Journal of Sociology, 102(4), 939–999. Campos, R., & Bonilla, F. (1982). Bootstraps and enterprise zones: the underside of late capitalism in Puerto Morrison, T. K. (1982). The Relationship of Aid, Rico and the United States. Review, 4, 556-590. Trade and Investment to Migration Pressures in Major Sending Countries. International Migration Review, Dunning, J. H. (1981). Explaining the international direct 16(1), 4–26. investment position of countries: towards a dynamic and development approach. Weltwirtschaftliches Archiv, 117, Ricketts, E. (1987). US Investment and Immigration 30-64. from the Caribbean. Social Problems, 34(4), 374-387. Dunning, J. H. (1993). Multinational Enterprises and Sanderson, M., & Kentor, J. (2008). Foreign Direct the Global Economy. Reading, MA: Addison-Wesley. Investment and International Migration: A Cross-National Analysis of Less-Developed Countries, 1985–2000. Gonzalez, P. A., & Maloney, W. F. (2005). Migration, International Sociology, 23(4), 514–539. Trade and Foreign Direct Investment in Mexico. World Bank Economic Review, 19(3), 449–472. Sassen, S. (1988). The Mobility of Labor and Capital: A Study in International Investment and Labor Flow. Gubert, F., & Nordman, C. J. (2009). Migration from Cambridge: Cambridge University Press. MENA to OCED Countries: Trends, Determinants, and Prospects. Shaping the Future: A Long-Term Sassen, S. (1993). Economic Internationalization: The Perspective of People and Job Mobility for the Middle New Migration in Japan and the United States. East and North Africa. Background Papers Vol.2. International Migration, 31(1), 73–102. Washington, DC: World Bank. Sauvant, K. P., Mallampally, P., & Economou, P. Labrianidis, L., Lyberaki, A., Tinios, P., & (1993). Foreign Direct Investment and International Hatziprokopiou, P. (2004). Inflow of Migrants and Migration. Transnational Corporations, 2(1), 33-69. Outflow of Investment: Aspects of Interdependence between Greece and the Balkans. Journal of Ethnic and UNCTAD. (1996). Foreign Direct Investment, Trade, Aid and Migration. Geneva: United Nations. Migration Studies, 30(6), 1183–1208. UNCTAD. (2013). UNCTAD Handbook of Statistics 2013. New York and Geneva: United Nations.


62

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

UNCTAD. (2014). World Investment Report, 2014: Translated Thai References Investing in the SDGs: An Action Plan. New York and Ministry of Labour. (2014). Preparation for Flow of Geneva: United Nations. Labor in the ASEAN Community. Retrieved from United Nations, DESA, Population Division. (2013). http://www.mol.go.th/anonymouse/content/Asean20 International Migration Report 2013. New York: 12 [in Thai] [1] United Nations. Tanasritunyakul, A. (2011). Outward Foreign Direct Vogler, M., & Rotte, R. (2000). The effects of Investment by Thailand: The Choice on Maintaining development on migration: Theoretical issues and new Competitiveness. Retrieved from http://www.econ.tu. empirical evidence. Journal of Population Economics, ac.th/oldweb/doc/news/409/econtu_40_alongkorn.pdf 13(3), 485-508. [in Thai] [3] Wang, M., Wong, M. C. S., & Granato, J. (2013). The Effect of Foreign Direct Investment on International Migration: Does Education Matter? The World Economy, 36(5), 537–562.

Thailand Development Research Institute. (2011). Study on Negotiating Guidelines and Impact of the Free Trade Agreement (FTA) between Thailand and European Union: Investment, Government Procurement, Protection of Intellectual Property Rights. Retrieved from http://www.thaifta.com/trade/study/theu_book3 _ch1.pdf [in Thai] [2]


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

63

ผลของการจัดกิจกรรมการเรียนรูโ้ ดยใช้เทคนิค KWDL ทีม่ ีต่อความสามารถ ในการแก้โจทย์ปัญหาและความคงทนในการเรียนคณิตศาสตร์ เรือ่ ง ระบบสมการเชิงเส้นสองตัวแปร กนกพร เทพธีa* และวีรยุทธ นิลสระคูb

Effects of Organizing Learning Activity Using KWDL Techniques on Mathematics Word Problem-Solving Ability and Learning Retention on Systems of Linear Equations in Two Variables Kanokporn Thepteea* and Weerayuth Nilsrakoob a

สาขาวิชาคณิตศาสตรศึกษา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ภาควิชาคณิตศาสตร์ สถิติและคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี a Program in Mathematics Education, Faculty of Science, Ubon Ratchathani University b Department of Mathematics Statistics and Computer, Faculty of Science, Ubon Ratchathani University * Corresponding author. E-mail address: kanokpornwaw@gmail.com b

บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการแก้ โจทย์ปัญหาและความคงทนในการเรียนคณิตศาสตร์ ระหว่ างกลุ่มที่ ได้ รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ เทคนิค KWDL กับกลุ่มที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบปกติ เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้ นสองตัวแปร กลุ่ม ตัวอย่างที่ใช้ ในการวิจัยครั้งนี้เป็ นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 3 โรงเรียนละหานทรายรัชดาภิเษก อาเภอละหานทราย จังหวัดบุรีรัมย์ ภาคเรียน ที่ 1 ปี การศึกษา 2558 จานวน 2 ห้ องเรียน จานวนนักเรียน 94 คน ได้ มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือในการวิจัยประกอบด้ วย 1) แผนการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ เทคนิค KWDL 2) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบปกติ 3) แบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ โจทย์ ปัญหาคณิตศาสตร์ 4) แบบทดสอบวัดความคงทนในการเรียนคณิตศาสตร์ ผลการวิจัย พบว่า 1. นักเรียนที่ได้ รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ เทคนิค KWDL มีความสามารถในการแก้ โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ สูงกว่ านักเรียนที่ ได้ รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบปกติ อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่รี ะดับ .01 2. นักเรียนที่ได้ รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ เทคนิค KWDL มีความคงทนในการเรียนคณิตศาสตร์ สูงกว่านักเรียนที่จัดกิจกรรม การเรียนรู้แบบปกติ อย่างมีอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่รี ะดับ .01 คาสาคัญ: การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ เทคนิค KWDL ความสามารถในการแก้ โจทย์ปัญหา ความคงทนในการเรียนคณิตศาสตร์ Abstract The purpose of this research is to compare the word problem solving ability and retention on mathematics of students between a group who learned using KWDL technique with the conventional approach for management at a linear equation with two variables. The samples consisted of 94 grade 9 students attending in the first semester of the academic year in 2015, LahansaiRatchadapisek School, Lahansai District, Buriram Province, who were selected through the random cluster sampling technique. The research instruments were: 1) the lesson plans for organization of using KWDL technique. 2) the lesson plans for organization of the conventional approach. 3) the test of mathematical problem solving ability. 4) the test of the learning retention of mathematics. The results of the research were as follows: 1. The student who learned using KWDL technique showed higher mathematical the word problem solving ability than those who learned using the conventional approach at the .01 level of significance.


64

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

2. The student who learned using KWDL technique showed higher mathematical retention skills than those who learned using the conventional approach at the .01 level of significance. Keywords: Learning Activities Using KWDL Technique, Mathematics Word Problem Solving Ability, Retention on Mathematics

บทนา ที่มาและความสาคัญ การแก้ ปัญหาทางคณิตศาสตร์ (Mathematical Problem Solving) เป็ นหนึ่งในทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ ที่นักเรียนควรจะเรียนรู้ ฝึ กฝน และพัฒนาให้ เกิดขึ้นในตัว นั กเรียน เพราะการเรี ยนการแก้ ปั ญ หาทางคณิ ตศาสตร์ จะช่ วยให้ นั กเรียนมีแนวทางการคิดที่หลากหลาย มีนิ สัย กระตือรือร้ นไม่ ย่อท้ อและมีความมั่นใจในการแก้ ปั ญหา ที่เผชิญอยู่ท้งั ภายในและภายนอกห้ องเรียน ตลอดจนเป็ น ทักษะพื้นฐานที่นักเรียนสามารถนาติดตัวไปใช้ แก้ ปัญหาใน ชีวิตประจาวันได้ นานตลอดชีวิต เพราะในชีวิตประจาวัน นั้น มนุษย์ต้องเผชิญกับปัญหามากมาย ซึ่งในบรรดาปัญหา เหล่ านี้ มีท้ังปั ญหาที่ไม่ ซั บซ้ อน สามารถแก้ ปั ญหาโดยใช้ เพี ยงความรู้ห รือประสบการณ์ เดิม และปั ญ หาที่มีความ ยุ่ งยากซั บซ้ อนมากจนไม่ ส ามารถแก้ ปั ญ หานั้ น ได้ ทั น ที จาเป็ นต้ องอาศั ยความรู้ ทักษะกระบวนการ และเทคนิ ค ต่างๆ มาช่ วยแก้ ปัญหา ถ้ าเรามีความรู้หรือแหล่ งความรู้ ที่เพียงพอ เข้ าใจขั้นตอนหรือกระบวนการในการแก้ ปัญหา เลื อ กเทคนิ ค หรื อ กลยุ ท ธ์ใ นการแก้ ปั ญ หาที่ เหมาะสม ตลอดจนมี ป ระสบการณ์ ในการแก้ ปั ญ หามาก่ อ นก็จ ะ สามารถแก้ ปัญหาได้ ดแี ละมีประสิทธิภาพ (สถาบันส่งเสริม การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2551) สภาครูคณิตศาสตร์แห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (National Council of Teachers of Mathematic: NCTM) ซึ่ ง เป็ น องค์กรส าคัญ ที่มีบทบาทอย่ างมากต่ อการเรียนการสอน คณิตศาสตร์ระดับโรงเรียน ทั้งในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก ได้ ระบุไว้ ในหนังสือประจาปี ค.ศ.1980: การแก้ ปัญหาทาง คณิ ตศาสตร์ระดับโรงเรียน (Problem Solving in School Mathematic) ว่ า “การแก้ ปั ญ หาต้ องเป็ นจุ ดเน้ นที่สาคัญ ของการเรียนการสอนคณิตศาสตร์” สิ่งนี้ส่งผลให้ นักการศึกษา ทั่วโลกหันมาสนใจศึกษาการแก้ ปัญหาทางคณิตศาสตร์ใน ทุ ก ระดั บ ชั้ น ของหลั ก สู ต รคณิ ต ศาสตร์ (Krulik et al., 1980) และจากการศึ กษาการเตรียมความพร้ อมของครู

สาหรับหลักสูตรการแก้ ปัญหาในสิงคโปร์ พบว่า การแก้ ปัญหา เป็ นหั วใจส าคั ญ ของหลั กสูต รคณิ ตศาสตร์ ของสิงค์ โปร์ (Leong et al., 2011) ดังนั้ น การแก้ ปั ญหาจึ งเป็ นหั วใจ ของคณิตศาสตร์ ซึ่งนักเรียนต้ องอาศัยความคิดรวบยอด ทักษะการคิดคานวณ หลักการ กฎ และสูตรต่างๆ นาไปใช้ แก้ ปั ญ หา โดยเฉพาะทั ก ษะในการแก้ ปั ญ หาถื อ ว่ า มีความสาคัญต่อชีวิต และสามารถสร้ างให้ เกิดขึ้นได้ ดังนั้น การสอนนักเรียนให้ ร้ จู ักแก้ ปัญหาจะช่วยส่งเสริมให้ ผ้ ูเรียน รู้จักคิดอย่ างมีเหตุผล มีข้นั ตอน มีระเบียบแบบแผน และ รู้ จั ก ตั ด สิ น ใจอย่ างถู ก ต้ อง (สิ ริ พ ร ทิ พ ย์ ค ง, 2544) ครูผ้ สู อนจึงมีความจาเป็ นอย่างยิ่งที่จะจัดการเรียนการสอน ที่ส่งเสริมให้ นักเรียนได้ พัฒนาทักษะการแก้ ปัญหา (Krulik et al., 1980) การจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ท่สี อดคล้ องกับแนวทาง ดั งกล่ าวมี ห ลายวิ ธี โดยเทคนิ ค รูป แบบหนึ่ ง ที่ค รูผ้ ู ส อน สามารถน ามาจัดกิจกรรมการเรียนการสอนการแก้ โจทย์ ปัญหา คือ เทคนิค KWDL ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยคาร์และโอเกิล (Carr and Ogle) เป็ นเทคนิคเพื่อใช้ ฝึกและสอนทักษะการ อ่าน สรุป เรื่องที่อ่ านและมีการน าเสนอเรื่องจากแผนผัง อันเป็ นการพัฒนาทักษะการเขียน และการพูด นอกเหนือ ไปจากทักษะการฟั ง และการอ่าน โดยมีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อพัฒนาทักษะภาษา ผู้เรียนจะได้ รับการฝึ กให้ ตระหนัก ในกระบวนการทาความเข้ าใจตนเอง การวางแผน การตั้ง จุ ด มุ่ งหมาย การตรวจสอบความเข้ า ใจในตนเอง การ จัดระบบข้ อมูลเพื่อนามาใช้ ภายหลังได้ อย่างมีประสิทธิภาพ จึงมีประโยชน์ในการฝึ กทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ เขียน สรุป และนาเสนอ (ปรีชา เนาว์เย็นผล, 2554) จึงสามารถ น ามาประยุ ก ต์ ใ ช้ ในการเรี ย นรู้ วิ ช าคณิ ต ศาสตร์ โดย สามารถนามาใช้ เพื่ อช่ วยส่งเสริมทักษะและความสามารถ ในการแก้ โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ เพราะสาเหตุท่นี ักเรียน ส่วนใหญ่แก้ โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ไม่ได้ น้นั เนื่องมาจาก นักเรียนไม่ เข้ าใจคา และภาษาในโจทย์ อ่านโจทย์แล้ วไม่ ทราบว่ าจะใช้ วิธีใดคานวณ และยังขาดยุ ทธวิธีท่ีใช้ ในการ แก้ โจทย์ ปั ญ หา จึ ง จ าเป็ นต้ องสอนให้ นั ก เรี ย นมี ความ


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

สามารถในการตี ความ หรื อเข้ าใจภาษาโจทย์ เพื่ อช่ วยให้ นักเรียนสามารถแก้ โจทย์ปัญหาได้ ดีข้ ึน (ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์, 2552) และจากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้ องกับการสอน โดยใช้ เทคนิค KWDL เนตรนรินทร์ พิ มละมาศ (2550) และศิ ริ พั ฒ น์ คงศั ก ดิ์ (2550) พบว่ า เทคนิ ค การสอน ดังกล่ าว เมื่อ มีการแบ่ งนั กเรียนเป็ นกลุ่มๆ ละ 4–5 คน โดยแต่ละกลุ่ม ประกอบด้ วย นักเรียนที่คละความสามารถ คือ กลุ่มเก่ง กลุ่มปานกลาง กลุ่มอ่อน และเมื่อนาแผนผัง KWDL มาใช้ จะสามารถช่ ว ยท าให้ นั ก เรี ย นสามารถ แก้ โจทย์ปัญหาและมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น และ สาเหตุ ห นึ่ งที่ ท าให้ นั ก เรี ย นมี ผ ลสั ม ฤทธิ์ ท างการเรี ย น คณิตศาสตร์ต่ า อาจเนื่องมาจากนักเรียนไม่ มีความคงทน ในการเรี ยนคณิ ต ศาสตร์ เพราะการวั ด ผลสัม ฤทธิ์ห รื อ ความรู้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งนั้น ส่วนหนึ่งวัดประเมินว่านักเรียน มีความคงทนในการเรียนรู้เพี ยงใด ซึ่ง Adarms (1967, p. 9) ได้ กล่าวว่า ความคงทนในการเรียนคณิตศาสตร์ เป็ น การคงไว้ ซ่ึงผลทางการเรียนหรือความสามารถในการระลึก ถึงสิ่งที่เคยเรียนมาหรือมีประสบการณ์ มาก่ อน หลังจาก ทิ้ งช่ ว งไประยะเวลาหนึ่ ง และ Nunnally (1959, pp. 105-108) ได้ กล่ า วว่ า ระยะเวลาที่ ใ ช้ ในการวั ด ความ คงทนในการเรี ย นเพื่ อให้ เกิด ความคลาดเคลื่ อ นต่ างๆ น้ อยลง ควรเว้ น ช่ องเวลาในการท าแบบทดสอบห่ างกัน อย่ างน้ อย 2 สัปดาห์ เพราะความเคยชิน ในการท าแบบ ทดสอบจะทาให้ ค่าสหสัมพันธ์ระหว่ างคะแนนทั้งสองครั้ง สูง ดังนั้ น Reys et al. (1998) จึงได้ ให้ ข้อสรุปว่ า ความ คงทนในการเรียนคณิตศาสตร์เป็ นเป้ าหมายหนึ่งที่สาคัญ ของการศึ กษาคณิ ต ศาสตร์ ฉะนั้ น ในการจั ด การเรี ย น การสอนครูจึงต้ องตระหนักถึงการสร้ างความคงทนในการ เรียนคณิตศาสตร์ให้ เกิดขึ้นแก่นักเรียนด้ วย จากการศึกษาสภาพการจัดการเรียนการสอน เกี่ยวกับ โจทย์ ปั ญ หาของนั กเรียนชั้ นมัธยมศึ กษาปี ที่ 3 โรงเรียน ละหานทรายรั ช ดาภิ เษก อ าเภอละหานทราย จั ง หวั ด บุรีรัมย์ พบว่า นักเรียนส่วนใหญ่ไม่สามารถแก้ โจทย์ปัญหา ได้ โดยเฉพาะอย่ างยิ่งที่มีความซับซ้ อนต้ องอาศัยการน า ความรู้ต่างๆ ทางคณิตศาสตร์ มาใช้ ในการแก้ โจทย์ปัญหา หรื อโจทย์ ปั ญ หาที่มี ค วามแตกต่ างจากที่ค รูยกตั วอย่ าง นั ก เรี ย นจะไม่ ส ามารถแก้ โจทย์ ปั ญ หาข้ อ นั้ น ได้ ท าให้

65

คณิ ต ศาสตร์ เป็ นเรื่ อ งที่ ย ากส าหรั บ นั ก เรี ย น และท าให้ ไม่อยากเรียนคณิตศาสตร์ จึงส่งผลให้ นักเรียนไม่สามารถ แก้ ปัญหาได้ ซึ่งสอดคล้ องกับคากล่าวของ นา้ ทิพย์ ชังเกตุ (2547, น. 5) ที่กล่าวว่า การที่นักเรียนไม่สามารถแก้ โจทย์ ปั ญ หาคณิ ตศาสตร์ได้ น้ั น เป็ นเพราะนั กเรียนขาดทักษะ ในการคิดวิเคราะห์ โจทย์ปัญ หา การสอนแก้ โจทย์ปั ญหา โดยการน าเทคนิ ค KWDL มาใช้ ในการจั ด กิจกรรมการ เรียนรู้ จึงเป็ นวิธกี ารสอนหนึ่งที่สามารถแก้ ปัญหาในเรื่อง นักเรียนไม่สามารถแก้ โจทย์ปัญหาได้ เพราะนักเรียนต้ อง ฝึ กทั ก ษะกระบวนการทางคณิ ต ศาสตร์ ท่ี ห ลากหลาย สามารถเข้ าใจและคิดวิเคราะห์ แยกแยะปั ญหาออกเป็ น ส่วนๆ อย่ างมีข้ันตอนทาให้ สามารถแก้ ปั ญ หาต่ างๆ ได้ ด้ วยตนเอง สอดคล้ องกั บ เสาวนี ย์ บุ ญ แก้ ว (2553, น. 39-90) ที่ ก ล่ า วว่ า การสอนโดยใช้ เทคนิ ค KWDL จะฝึ กให้ นักเรียนคิดวิเคราะห์โจทย์ปัญหาอย่างเป็ นขั้นตอน ละเอียดถี่ถ้วน ท าให้ นั กเรียนเข้ าใจโจทย์ปั ญ หาได้ อย่ าง ชัดเจน ส่งผลให้ สามารถแสดงวิธที าเพื่อหาคาตอบและสรุป ค าตอบตามขั้ น ตอนในการแก้ ปั ญ หาได้ อย่ า งถู ก ต้ อง นอกจากนี้ การจั ด กิ จ กรรมการเรี ย นรู้ โดยใช้ เทคนิ ค KWDL ยังส่งผลให้ นักเรียนเกิดการเรียนรู้แ ละจดจาสิ่งที่ เรียนได้ (ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์, 2553) เนื่องจากเป็ น เทคนิ คการสอนที่ช่วยชี้น าความคิด แนวทางในการอ่ าน และการแก้ ปั ญ หา และยั ง สามารถน าไปใช้ ในการจั ด กิจกรรมการเรียนรู้ท่เี ร้ าความสนใจในการเรียนได้ เป็ นอย่าง ดี ทาให้ นักเรียนตระหนักในการทาความเข้ าใจตนเอง เช่น การวางแผน การตั้ งจุ ดมุ่ งหมาย ตรวจสอบความเข้ าใจ ตนเอง การจัดระบบข้ อมู ล ซึ่ งทาให้ นั กเรียนสามารถดึง ข้ อมูลมาใช้ ภายหลังได้ อย่างมีประสิทธิภาพ จึงมีประโยชน์ ในการฝึ กทั ก ษะการแก้ ปั ญหา คิ ด วิ เ คราะห์ (วั ช รา เล่ าเรี ย นดี , 2553) และยั งช่ วยให้ ผู้ เรี ยนเกิด การจดจ า บทเรียนและมีความคงทนในการเรียนรู้มากขึ้น (บรรพต สุวรรณประเสริฐ, 2544) ดังนั้น ครูผ้ สู อนจึงจาเป็ นต้ องจัด กิจกรรมการเรียนรู้สาหรับผู้เรียน เพื่อทาให้ ผ้ ูเรียนได้ เกิด การเรี ย นรู้แ ละกระท าสิ่งต่ างๆ ด้ วยตนเอง เพื่ อให้ เกิด พฤติกรรมที่ต้องการและเกิดการเรียนรู้ท่ีคงทน (อัมพร ม้ าคะนอง, 2546)


66

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

จากปั ญหาและแนวคิดดังกล่ าวข้ างต้ น ผู้วิจัยจึงสนใจ ที่จะศึกษาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ เทคนิค KWDL ที่มีต่อความสามารถในการแก้ โจทย์ปัญหาและความคงทน ในการเรียนคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 3 เพื่ อเป็ นประโยชน์ ในการส่ งเสริ ม ความสามารถในการ แก้ โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ อันจะส่งผลให้ นักเรียนได้ ฝึก กระบวนการแก้ โจทย์ปัญ หาคณิตศาสตร์อย่ างเป็ นระบบ มีความคงทนในการเรียนคณิตศาสตร์ และเป็ นแนวทาง ในการปรับปรุงและพั ฒ นาความสามารถในการแก้ โจทย์ ปัญหาคณิตศาสตร์ของนักเรียนต่อไป วัตถุประสงค์ของการวิจยั 1. เพื่ อเปรี ย บเที ย บความสามารถในการแก้ โจทย์ ปั ญ หาคณิ ต ศาสตร์ ของนั กเรี ย นชั้ น มั ธยมศึ ก ษาปี ที่ 3 ที่ได้ รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ เทคนิ ค KWDL กับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบปกติ เรื่อง ระบบสมการ เชิงเส้ นสองตัวแปร 2. เพื่อเปรียบเทียบความคงทนในการเรียนคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 3 ที่ได้ รับการจัดกิจกรรม การเรียนรู้โดยใช้ เทคนิ ค KWDL กับการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้แบบปกติ เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้ นสองตัวแปร สมมติฐานการวิจยั 1. ความสามารถในการแก้ โจทย์ปั ญ หาคณิ ตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 3 ที่ได้ รับการจัดกิจกรรม การเรียนรู้โดยใช้ เทคนิค KWDL สูงกว่ านั กเรียนที่ได้ รับ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบปกติ 2. ความคงทนในการเรียนคณิตศาสตร์ ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 3 ที่ได้ รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดย

ใช้ เทคนิค KWDL สูงกว่านักเรียนที่ได้ รับการจัดกิจกรรม การเรียนรู้แบบปกติ วิธีการศึกษาและวัสดุอุปกรณ์ กรอบแนวคิดในการวิจยั ผู้ วิ จั ยได้ ศึ ก ษากรอบแนวคิ ด ที่เกี่ยวข้ อ งกับ งานวิ จั ย ดังนี้ 1. เทคนิค KWDL เป็ นเทคนิคการสอนคณิตศาสตร์ท่ี ช่ วยชี้น าความคิด และการแก้ ปัญหาพร้ อมทั้งหาค าตอบ ของคาถามต่างๆ ซึ่งสามารถนาไปใช้ ในการจัดการเรียนรู้ เพื่อเร้ าความสนใจของนักเรียน ส่งเสริมให้ ผ้ เู รียนตระหนัก ถึงการทาความเข้ าใจ การวางแผน การตรวจสอบความ เข้ าใจของตนเอง และการหาข้ อสรุป ซึ่งผู้วิจัยพั ฒนาจาก แนวคิดของ คาร์และโอเกิล (Carr & Ogle, 1987) ประกอบด้ วย 4 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้น K (What we KNOW) หมายถึง เป็ นขั้นตอน ที่กระตุ้นให้ นักเรียนได้ ระดมความคิดเพื่ อทบทวนความรู้ หรือระบุข้อมูลพื้นฐานที่นักเรียนมี ขั้น W (What we WANT to know) หมายถึง เป็ น ขั้นตอนที่กระตุ้นให้ นักเรียนได้ ระบุเกี่ยวกับสิ่งที่อยากรู้หรือ ต้ องการค้ นหาคาตอบพร้ อมทั้งวางแผนการเรียนรู้ และการ ค้ นหาคาตอบ ขั้น D (What we DO to find out) หมายถึง เป็ น ขั้นตอนการดาเนินการเพื่อหาคาตอบ ขั้น L (What we LEARNED) ห ม ายถึ ง เป็ น ขั้ น ตอนที่ ให้ นั ก เรี ย นได้ สรุ ป เกี่ ย วกั บ เรื่ อ งที่ เรี ย นหรื อ ตรวจสอบคาตอบ จากแนวคิดดังกล่ าวข้ างต้ น จึงสามารถนามาใช้ ใน การก าหนดขั้ น ตอนการจั ด กิ จ กรรมการเรี ย นรู้ โดยใช้ เทคนิ ค KWDL ซึ่ งสรุป ขั้ น ตอนในการจั ด กิจ กรรมการ เรียนรู้ ดังแสดงในรูปที่ 1


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

67

รูปที่ 1 แสดงขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ เทคนิค KWDL

2. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบปกติ เป็ นการสอน ที่ ยึ ด แนวการสอนตามคู่ มื อ ครู วิ ช าคณิ ต ศาสตร์ จ าก แบบเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์พ้ ืนฐาน รหัสวิชา ค 23101 ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 3 ตามหลักสูตรสถานศึกษาขึ้นพื้นฐาน ของโรงเรียนละหานทรายรัชดาภิ เษก พุ ทธศักราช 2551 ซึ่งมีข้นั ตอนการสอน ดังนี้ ขั้นที่ 1 ขั้นนาเข้าสู่บทเรียน เป็ นขั้นที่ครูทบทวน ความรู้พ้ ื นฐานและสิ่งที่นักเรียนได้ เรียนรู้ในชั่วโมงที่แล้ ว ให้ กับนั กเรี ยน พร้ อมบอกให้ นั กเรี ยนรู้ถึงสิ่งที่นั ก เรีย น จะได้ เรียนในชั่วโมงนี้ ขั้นที่ 2 ขั้นสอน เป็ นขั้นที่ครูสอนเนื้อหาโดยการ อธิบาย ซักถามและสาธิตประกอบเนื้อหา แล้ วให้ นักเรียน ทาแบบฝึ กหัด ขั้นที่ 3 ขั้นสรุป เป็ นขั้นที่ครูและนักเรียนช่วยกัน สรุปเนื้อหา 3. ความสามารถในการแก้ โจทย์ปั ญ หาคณิ ตศาสตร์ เป็ นกระบวนการที่ ผ้ ู แ ก้ ปั ญ หาน าประสบการณ์ ความรู้ ความเข้ าใจ มาประยุกต์หาวิธกี ารเพื่อหาคาตอบของปัญหา ในสถานการณ์ ใ หม่ ๆ ซึ่ ง ผู้ วิ จั ย ศึ ก ษาแนวคิ ด ในการ แก้ ปัญหาของ โพลยา (Polya, 1957) ซึ่งได้ เสนอขั้นตอน การแก้ โจทย์ ปั ญ หาซึ่ ง เป็ นที่ ย อมรั บ และใช้ กั น อย่ า ง แพร่หลายที่เรียกว่า กระบวนการแก้ ปัญหา 4 ขั้นตอนของ โพลยา ประกอบด้ วยขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ 1 การทาความเข้าใจปั ญหา (Understanding the Problem) ขั้นนี้เป็ นขั้นการวิเคราะห์เพื่อทาความเข้ าใจ ปั ญหา โดยอาจหาว่ าสิ่งที่ต้องการรู้คืออะไร ข้ อมูลมีอะไร

บ้ าง เงื่ อนไขคื ออะไร จะแก้ ปั ญ หาตาเงื่ อนไขได้ ห รื อไม่ เงื่อนไขที่ให้ มาเพี ยงพอที่จะหาสิ่งที่ต้ องการหรือไม่ การ วาดภาพ การใช้ สั ญ ลั ก ษณ์ การแบ่ ง เงื่ อ นไขออกเป็ น ส่วนย่อยๆ อาจช่วยให้ เข้ าใจปัญหาดีข้ นึ ขั้นที่ 2 การวางแผนงาน (Devising a Plan) ขั้นนี้ เป็ นขั้นการเชื่อมโยงระหว่ างข้ อ มูลกับสิ่งที่ต้องการทราบ หากไม่สามารถเชื่อมโยงได้ ทันทีอาจต้ องใช้ ปัญหาอื่นช่ วย เพื่อให้ ได้ แผนงานแก้ ปัญหาในที่สดุ ผู้แก้ ปัญหาอาจเริ่มต้ น ด้ วยการคิ ด ว่ า ตนเคยเห็ น ปั ญ หาลั ก ษณะนี้ จากที่ ไ หน มาก่อนหรือไม่ หรือเคยเห็นปั ญหาในรูปแบบที่คล้ ายคลึง กั น นี้ หรอไม่ จะใช้ ความรู้ หรื อ วิ ธี ก ารใดแก้ ปั ญ หา จะ แก้ ปั ญหาส่วนใดได้ ก่อนบ้ าง จะแปลงข้ อมู ลที่มีอยู่ อย่ าง เหมาะสมแล้ วหรือยัง ขั้นที่ 3 การดาเนินการตามแผน (Carry out the Plan) ขั้นนี้ เป็ นการลงมือท างานตามแผนที่ วางไว้ ควรมี การตรวจสอบแต่ ล ะขั้ น ย่ อ ยๆ ของงานที่ ท าว่ าถู ก ต้ อง หรือไม่ จะแน่ใจได้ อย่างไร ขั้นที่ 4 การตรวจย้อ นกลับ (Looking Back) ขั้นนี้เป็ นการตรวจสอบคาตอบหรือเฉลยที่ได้ ว่าสอดคล้ อง กับ ข้ อมู ลและเงื่อนไขที่ก าหนดในปั ญ หาหรื อไม่ ซึ่ งอาจ ครอบคลุ ม ถึ ง การขยายความคิ ด จากผลหรื อ ค าตอบ ที่ได้ และใช้ วิธกี ารอื่นแก้ ปัญหา จากแนวคิดดังกล่ าวข้ างต้ น ผู้ วิจั ยจึ งสนใจศึ กษา ความสามารถในการแก้ โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ในการใช้ ความรู้ความชานาญในการแก้ ปั ญหา โดยการน าแนวคิด การแก้ ปัญหาของ โพลยา (Polya, 1957) มาใช้ เป็ นแนวทาง


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

68

ในการศึกษาความสามารถในการแก้ โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ แสดงวิธที าเพื่อหาคาตอบ และการสรุปคาตอบ ดังแสดงใน 3 ด้ าน ประกอบด้ วย การทาความเข้ าใจโจทย์ปัญหา การ รูปที่ 2

รูปที่ 2 แสดงลักษณะของทักษะกระบวนการต่ างๆ เกี่ยวกับความสามารถในการแก้ โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์

4. ความคงทนในการเรี ย นคณิ ต ศาสตร์ เป็ นความ สามารถของผู้เรียนในการระลึกถึงประสบการณ์ท่เี คยได้ รับ มาก่ อน หรื อ สิ่ งที่ได้ เคยเรี ย นรู้ม าแล้ ว หลั งจากทิ้ งช่ ว ง ระยะเวลาไว้ ระยะหนึ่ง ซึ่งผู้วิจัยพัฒนาจากแนวคิด Nunnally (1959, pp. 105-108) ซึ่ ง ได้ กล่ า วว่ า ระยะเวลาที่ ใ ช้ ในการวั ด ความคงทนในการเรี ย น เพื่ อให้ เกิ ด ความ คลาดเคลื่อนต่างๆ น้ อยลง ควรเว้ นช่องเวลาในการทาแบบ ทดสอบห่ างกันอย่ างน้ อย 2 สัปดาห์ เพราะความเคยชิน

ในการท าแบบทดสอบจะท าให้ ค่ าสหสั ม พั น ธ์ร ะหว่ า ง คะแนนทั้งสองครั้งสูง ดังนั้น ผู้วิจัยจึงศึกษาเพื่อวัดความ คงทนในการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียน โดยวัดความ คงทนในการเรียนคณิตศาสตร์หลังการทดลองผ่านไปแล้ ว 2 สัปดาห์ จากการศึ ก ษาวิ จั ย ครั้ ง นี้ จึ ง ได้ สรุ ป เป็ นกรอบ แนวคิดในการวิจัย ดังแสดงในรูปที่ 3

ตัวแปรต้น - การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ เทคนิค KWDL - การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบปกติ

ตัวแปรตาม - ความสามารถในการแก้ โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ - ความคงทนในการเรียนคณิตศาสตร์

รูปที่ 3 แสดงกรอบแนวคิดการวิจัย

แบบแผนการวิจยั การวิ จั ย ครั้ ง นี้ เป็ นการวิ จั ย กึ่ ง ทดลอง (Quasi Experimental Research) ซึ่งประกอบด้ วย กลุ่มทดลอง 1 กลุ่มตัวอย่าง E C

ทดสอบก่อนการทดลอง ความสามารถในการแก้ โจทย์ ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ความสามารถในการแก้ โจทย์ ปัญหาทางคณิตศาสตร์

จัดการทดลอง X X

กลุ่ม และกลุ่มควบคุม 1 กลุ่ม โดยแบบแผนการทดลอง มีลักษณะ ดังนี้

ทดสอบหลังการทดลอง ความสามารถในการแก้ โจทย์ ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ความสามารถในการแก้ โจทย์ ปัญหาทางคณิตศาสตร์

ทดสอบหลังการทดลอง ผ่านไปแล้ว 2 สัปดาห์ ความคงทนในการเรียน คณิตศาสตร์ ความคงทนในการเรียน คณิตศาสตร์


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

69

สัญลักษณ์ที่ใช้ในแบบแผนการทดลอง E แทน กลุ่มการทดลอง (Experiment Group) C แทน กลุ่มการควบคุม (Control Group) X แทน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ เทคนิค KWDL X แทน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบปกติ

ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรที่ใช้ ในการการวิจั ยครั้งนี้ เป็ นนั กเรี ยนชั้ น มั ธ ยมศึ ก ษาปี ที่ 3 ภาคเรี ย นที่ 1 ปี การศึ ก ษา 2558 โรงเรี ย นละหานทรายรั ช ดาภิ เษก อ าเภอละหานทราย จั ง หวั ด บุ รี รั ม ย์ สั ง กั ด ส านั ก งาน เขตพื้ นที่ ก ารศึ ก ษา มั ธ ยมศึ ก ษา เขต 32 จ านวน 10 ห้ องเรี ย น จ านวน นักเรียนทั้งหมด 440 คน กลุ่ มตัวอย่ างที่ใช้ ในการวิจั ยครั้ งนี้ ได้ มาโดยการสุ่ม แบบกลุ่ ม (Cluster Random Sampling) โดยการสุ่ ม มา จานวน 2 ห้ องเรียน จากจานวน 10 ห้ องเรียน แต่ละห้ องมี นักเรียนประมาณ 44 คน ที่มีการจัดห้ องเรียนแบบคละ ความสามารถกัน โดยผู้วิจัยเลือกกลุ่มตัวอย่างจากค่าเฉลี่ย เลขคณิ ตของคะแนน ผลสั ม ฤทธิ์ ท างการเรี ย นวิ ช า คณิตศาสตร์พ้ ืนฐานในภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2557 ที่ ใกล้ เคียงกัน 2 ห้ องเรี ยน เพื่ อเลื อกใช้ รูป แบบการสอน ผลปรากฏว่ า นั กเรียนชั้นมัธยมศึ กษาปี ที่ 3/10 จานวน 47 คน เป็ นกลุ่มทดลองโดยจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ เทคนิ ค KWDL และนั ก เรี ย นชั้ น มั ธ ยมศึ ก ษาปี ที่ 3/9 จานวน 47 คน เป็ นกลุ่มควบคุมโดยการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้แบบปกติ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจยั 1. เครื่องมือที่ใช้ ในการทดลอง ประกอบด้ วย แผน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ เทคนิค KWDL สาหรับ กลุ่มทดลอง และแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบปกติ ส าหรั บ กลุ่ ม ควบคุ ม ซึ่ ง มี อ งค์ ป ระกอบต่ างๆ ในแผน เหมือนกัน มีเพี ยงกิจกรรมการเรียนรู้ข้ันสอนเท่ านั้ นที่มี ขั้นตอนแตกต่ างกัน จ านวน 5 แผน ใช้ เวลาในการสอน กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมแผนละ 2 ชั่วโมง โดยใช้ เวลา ในการสอนทั้งหมด 10 ชั่วโมง ซึ่งครอบคลุมเนื้อหาสาระ การเรียนรู้เกี่ยวกับโจทย์ปั ญหาเรื่องระบบสมการเชิงเส้ น สองตั วแปร ชั้ น มั ธยมศึ กษาปี ที่ 3 กลุ่ มสาระการเรี ยนรู้

คณิตศาสตร์ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 2. เครื่องมือที่ใช้ ในการเก็บรวบรวมข้ อมูล ประกอบด้ วย แบบทดสอบวั ด ความสามารถในการแก้ โจทย์ ปั ญ หา คณิ ต ศาสตร์ ซึ่ งเป็ นข้ อ สอบอั ต นั ย แบบขนาน 3 ฉบั บ ฉบับละ 5 ข้ อ โดยแต่ ละฉบับประกอบด้ วยโจทย์ปั ญ หา ที่อ ยู่ ในลั กษณะของข้ อ ความที่ป ระยุ ก ต์ เนื้ อหาเกี่ย วกับ โจทย์ปั ญหาคณิ ตศาสตร์ เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้ นสอง ตั ว แปร ได้ แก่ โจทย์ ปั ญ หาเกี่ ย วกั บ การหาจ านวนรู ป เรขาคณิต อัตราส่วนและร้ อยละ การเคลื่อนที่และอัตราเร็ว และแรงงาน ซึ่ งครอบคลุ ม เนื้ อหาสาระการเรี ย นรู้ คณิตศาสตร์ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 3 ใช้ เวลาในการทา แบบทดสอบฉบั บละ 90 นาที ซึ่ งผู้ วิ จั ย สร้ างขึ้ นเพื่ อใช้ ในการทดสอบก่อนการทดลอง หลังการทดลอง และหลัง การทดลองผ่ านไปแล้ ว 2 สัปดาห์ ของกลุ่ มทดลองและ กลุ่ ม ควบคุ ม ซึ่ ง แบบทดสอบผ่ านการตรวจสอบความ เที่ ย งตรงของเนื้ อหาความเหมาะสมด้ านภาษาของข้ อ คาถาม และให้ ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมโดยผู้ทรงคุณวุฒิ การเก็บรวบรวมข้อมูล 1. ทดสอบก่ อ นการทดลองโดยใช้ แ บบทดสอบวั ด ความสามารถในการแก้ โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ฉบับก่อน เรียน กับนักเรียนกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมพร้ อมกัน ใช้ เวลาในการทาแบบทดสอบ 90 นาที 2. ดาเนินการสอนตามแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้ เทคนิค KWDL สาหรับกลุ่มทดลอง และสอนตาม แผนการจั ด กิ จ กรรมการเรี ย นรู้ แบบปกติ ส าหรั บ กลุ่ ม ควบคุ ม จ านวน 5 แผน แผนละ 2 ชั่ ว โมง รวมใช้ เวลา ในการสอนทั้งหมด 10 ชั่วโมง 3. ด าเนิ น การจั ด กิ จ กรรมการเรี ย นรู้ ต ามเนื้ อหาที่ กาหนดไว้ ในแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้ ครบทุกแผน แล้ วผู้วิจัยดาเนินการทดสอบหลังจากเสร็จสิ้ นการทดลอง โดยใช้ แบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ โจทย์ปัญหา


70

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

คณิตศาสตร์ฉบับหลังเรียน กับนักเรียนกลุ่มทดลองและ กลุ่มควบคุมพร้ อมกัน ใช้ เวลาในการทาแบบทดสอบ 90 นาที 4. ทดสอบวั ด ความคงทนในการเรี ย นคณิ ต ศาสตร์ โดยใช้ แบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ โจทย์ปัญหา ฉบับหลังการทดลองผ่ านไป 2 สัปดาห์ กับนักเรียนกลุ่ม ทดลองและกลุ่ ม ควบคุ ม พร้ อมกั น ใช้ เวลาในการท า แบบทดสอบ 90 นาที 5. นาข้ อมูลที่ได้ จากการทดลองไปวิเคราะห์ ทางสถิติ เพื่อสรุปผลการทดลอง

3. วิเคราะห์ความคงทนในการเรียนคณิตศาสตร์ ของ กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม โดยคานวณหาค่าเฉลี่ย ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยด้ วย การทดสอบสมมติฐานโดย ใช้ ค่าที (t–Independent Samples Test) ที่ระดับนัยสาคัญ .01 4. วิ เคราะห์ ค วามสามารถในการแก้ โ จทย์ ปั ญหา คณิ ต ศาสตร์ จากการท าแบบทดสอบ ของนั กเรี ยนกลุ่ ม ทดลองและกลุ่มควบคุม แบบแยกส่วนเป็ นรายด้ าน 3 ด้ าน คือ การทาความเข้ าใจปั ญหา การแสดงวิธที าเพื่อหาคาตอบ และการสรุปคาตอบ เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมการแก้ โจทย์ ปัญหาทางคณิตศาสตร์ในเชิงเนื้อหา

การวิเคราะห์ขอ้ มูล 1. วิ เคราะห์ ค วามสามารถในการแก้ โ จทย์ ปั ญหา ผลการศึกษา คณิตศาสตร์ ก่อนและหลังการทดลองของกลุ่มทดลองและ กลุ่มควบคุม โดยคานวณหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผู้วิจัยได้ วิเคราะห์ข้อมูลแล้ วนาเสนอตามลาดับขั้นตอน ทดสอบความแตกต่ า งของค่ า เฉลี่ ย ด้ วยการทดสอบ ดังต่อไปนี้ สมมติ ฐานโดยใช้ ค่ าที (t–Independent Samples Test) ที่ 1. ผลการเปรียบเทียบความสามารถในการแก้ โจทย์ ระดับนัยสาคัญ .01 ปั ญ หาคณิ ต ศาสตร์ ของกลุ่ ม ทดลองและกลุ่ มควบคุ ม 2. วิ เคราะห์ ค วามสามารถในการแก้ โ จทย์ ปั ญหา ปรากฏดังตารางที่ 1 และ 2 ตามลาดับ คณิตศาสตร์ ของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมเมื่อพิจารณา เป็ นรายด้ านแต่ละด้ าน และพิจารณาในภาพรวม ตารางที่ 1 แสดงผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนก่อนการทดลอง ของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม (คะแนนเต็ม 50 คะแนน) t p N x S.D. กลุ่มทดลอง 47 8.60 4.63 1.193 0.118 กลุ่มควบคุม 47 10.06 7.05

จากตารางที่ 1 พบว่ า คะแนนทดสอบวั ด ความ สถิติท่รี ะดับ .01 แสดงให้ เห็นว่า ความสามารถในการแก้ สามารถในการแก้ โจทย์ ปั ญ หาคณิ ต ศาสตร์ ก่ อ นการ โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ ก่อนการทดลองของนักเรียนทั้ง ทดลองของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ไม่มนี ัยสาคัญทาง สองกลุ่มไม่แตกต่างกัน ตารางที่ 2 แสดงผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนหลังการทดลอง ของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม (คะแนนเต็ม 50 คะแนน) t p N x S.D. กลุ่มทดลอง 47 39.60 8.26 7.513 0.000** กลุ่มควบคุม 47 26.28 8.92 ** มีนัยสาคัญทางสถิติท่รี ะดับ .01

จากตารางที่ 2 พบว่ า คะแนนทดสอบวั ด ความ (t–Independent Samples Test) พบว่ า กลุ่มทดลองมีความ สามารถในการแก้ โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ หลังการทดลอง สามารถในการแก้ โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ หลังการทดลอง ของกลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 39.60 และกลุ่มควบคุม สูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสาคัญทางสถิตทิ ่รี ะดับ .01 มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 26.28 เมื่อทดสอบสมมติฐานโดยใช้ ค่าที


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

2. ผลการเปรียบเทียบความสามารถในการแก้ โจทย์ ปั ญหาคณิตศาสตร์ ของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมเมื่อ

71

พิ จารณาเป็ นรายด้ านแต่ ละด้ านและพิ จารณาในภาพรวม ปรากฏดังตารางที่ 3

ตารางที่ 3 แสดงผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนหลังการทดลอง ของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม โดยวิเคราะห์แยกเป็ นรายด้ านและวิเคราะห์ในภาพรวม กลุ่มทดลอง กลุ่มควบคุม ความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหา คะแนนเต็ม ร้อยละ ร้อยละ x x S.D. S.D. การทาความเข้ าใจปัญหา 10 9.70 0.62 97.02 6.72 2.52 67.23 การแสดงวิธที าเพื่อหาคาตอบ 20 15.87 3.55 79.36 11.57 4.04 57.87 การสรุปคาตอบ 20 13.96 4.68 69.79 7.96 5.00 39.79 รวม 50 39.60 8.26 79.19 26.28 8.92 52.55

จากตารางที่ 3 พบว่ า คะแนนทดสอบวั ด ความ สามารถในการแก้ โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ เมื่อพิ จารณา เป็ นรายด้ าน คื อ ด้ านการท าความเข้ า ใจปั ญ หา กลุ่ ม ทดลองมี ค่ าเฉลี่ ย เท่ ากั บ 9.70 กลุ่ ม ควบคุ ม มี ค่ าเฉลี่ ย เท่ ากับ 6.72 ด้ านการแสดงวิ ธีท าเพื่ อหาค าตอบ กลุ่ ม ทดลองมี ค่ าเฉลี่ ยเท่ ากับ 15.87 กลุ่ ม ควบคุ มมี ค่ าเฉลี่ ย เท่ ากับ 11.57 และด้ านการสรุป ค าตอบ กลุ่ มทดลองมี ค่ า เฉลี่ ย เท่ า กั บ 13.60 กลุ่ ม ควบคุ ม มี ค่ า เฉลี่ ย เท่ า กั บ 26.28 จากค่ าเฉลี่ ยของคะแนนข้ างต้ น แสดงให้ เห็น ว่ า นักเรียนกลุ่มทดลองมีความสามารถในการแก้ โจทย์ปัญหา คณิ ต ศาสตร์ โดยมี ค่ า เฉลี่ ย ของคะแนนในแต่ ล ะด้ าน ทุกด้ านและในภาพรวมสูงกว่ากลุ่มควบคุม ความสามารถในการแก้ โจทย์ ปัญ หาในการพั ฒนาใน รายด้ าน โดยวิเคราะห์เชิงเนื้อหาเป็ นดังนี้

การทาความเข้าใจปั ญหา เมื่อพิจารณาด้ านการทาความเข้ าใจปั ญหา พบว่า กลุ่ม ทดลองมีคะแนนความสามารถในการแก้ โจทย์ปัญหาสูงกว่า กลุ่มควบคุม โดยมีนั กเรียนกลุ่มทดลอง จานวน 40 คน คิด เป็ นร้ อยละ 85.11 และกลุ่ มควบคุ มจ านวน 29 คน คิดเป็ นร้ อยละ 61.70 ที่สามารถนาเสนอแนวคิดในการแก้ โจทย์ ปั ญ หา แปลผลจากปั ญ หาหรื อ สถานการณ์ ไ ปสู่ รูปแบบที่เข้ าใจง่ ายหรือประโยคสัญลักษณ์ หรือสามารถ ระบุตัวแปรแทนสิ่งที่โจทย์ต้องการทราบได้ ถูกต้ อง และมี นักเรียนกลุ่มทดลองจานวน 7 คน คิดเป็ นร้ อยละ 14.89 และกลุ่มควบคุมจานวน 18 คน คิดเป็ น ร้ อยละ 38.30 ที่ ยังไม่ สามารถแปลผลจากปั ญหา เขียนข้ อมูลไม่ ครบถ้ วน หรือเขีย นได้ เพี ย งบางส่ วนเท่ า นั้ น เช่ น เขียนสิ่งที่โจทย์ กาหนดให้ หรือเขียนเฉพาะตัวแปรแทนสิ่งที่โจทย์ต้องการ ทราบอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังรูปที่ 5


72

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

กลุ่มทดลอง

กลุ่มควบคุม รูปที่ 5 ตัวอย่างการเปรียบเทียบความสามารถในการแก้ โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ด้านการทาความเข้ าใจโจทย์ปัญหา

การแสดงวิธีทาเพือ่ หาคาตอบ เมื่อพิจารณาด้ านการแสดงวิธที าเพื่อหาคาตอบ พบว่ า กลุ่มทดลองมีคะแนนความสามารถในการแก้ โจทย์ปัญหา สูงกว่ากลุ่มควบคุม โดยมีนักเรียนกลุ่มทดลอง จานวน 24 คน คิดเป็ นร้ อยละ 51.06 และกลุ่มควบคุมจานวน 12 คน คิดเป็ นร้ อยละ 25.53 ที่สามารถสร้ างสมการและแสดงวิธี ท าเพื่ อหาค าตอบของระบบสมการได้ ถู กต้ อง มี การน า ความรู้ หลั กการและวิ ธีการต่ างๆทางคณิ ต ศาสตร์ ช่ ว ย

ในการแก้ โจทย์ปัญหาได้ ทาให้ แสดงวิธหี าคาตอบได้ ถูกต้ อง ครบถ้ วนและมีนักเรียนกลุ่มทดลองจานวน 23 คน คิดเป็ น ร้ อยละ 48.94 และกลุ่มควบคุ มจานวน 35 คน คิดเป็ น ร้ อยละ 74.47 ที่ยังไม่สามารถแสดงวิธีเพื่ อหาคาตอบได้ หรือแสดงวิธีทาเพื่ อหาคาตอบได้ เพียงบางส่วน เนื่องจาก ไม่สามารถสร้ างสมการที่ถูกต้ อง จึงส่งผลให้ หาคาตอบได้ ไม่ถูกต้ อง หรือเกิดการแก้ ปัญหาผิดพลาดตั้งแต่เริ่มต้ นทา ไม่มกี ารแก้ ปัญหาในขั้นอื่นๆ ผิดพลาดไป ดังรูปที่ 6

กลุ่มทดลอง

กลุ่มควบคุม รูปที่ 6 ตัวอย่างการเปรียบเทียบความสามารถในการแก้ โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ด้านการแสดงวิธที าเพื่อหาคาตอบ


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

73

และสรุ ป ค าตอบได้ ถู ก ต้ องชั ด เจน และมี นั ก เรี ย นกลุ่ ม ทดลองจ านวน 29 คน คิดเป็ นร้ อ ยละ 61.70 และกลุ่ ม ควบคุ ม จ านวน 43 คน คิ ด เป็ นร้ อ ยละ 91.49 ที่ ยั ง ไม่ สามารถสรุปค าตอบได้ สรุปได้ ไม่ ครบถ้ วนหรือได้ เพี ยง บางส่วนเท่านั้น เช่น แสดงวิธตี รวจสอบคาตอบได้ ถูกต้ อง แต่ไม่สรุปคาตอบที่ได้ เป็ นต้ น ดังรูปที่ 7

การสรุปคาตอบ เมื่อพิจารณาด้ านการสรุปคาตอบ พบว่า กลุ่มทดลองมี คะแนนความสามารถในการแก้ โจทย์ ปั ญ หาสูงกว่ ากลุ่ ม ควบคุม โดยมีนักเรียนกลุ่มทดลอง จานวน 18 คน คิดเป็ น ร้ อยละ 38.30 และกลุ่มควบคุมจานวน 4 คน คิดเป็ นร้ อยละ 8.51 ที่สามารถแสดงวิธที าเพื่อตรวจสอบคาตอบได้ ถูกต้ อง

กลุ่มทดลอง

กลุ่มควบคุม รูปที่ 7 ตัวอย่างการเปรียบเทียบความสามารถในการแก้ โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ด้านการสรุปคาตอบ

3. ผลการเปรี ย บเที ย บความคงทนในการเรี ย น คณิตศาสตร์ ของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ปรากฏดัง ตารางที่ 4 ตารางที่ 4 แสดงผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนหลังการทดลอง และหลังการทดลองผ่านไปแล้ ว 2 สัปดาห์ ของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม (คะแนนเต็ม 50 คะแนน)

กลุ่มทดลอง กลุ่มควบคุม

หลังการทดลอง หลังการทดลองผ่านไป 2 สัปดาห์ หลังการทดลอง หลังการทดลองผ่านไป 2 สัปดาห์

N

x

S.D.

47 47 47 47

39.60 35.91 26.28 23.15

8.26 7.12 8.92 9.55

t 2.314

p 0.011

1.641

0.052

จากตารางที่ 4 พบว่ า คะแนนทดสอบวั ด ความ .01 แสดงให้ เห็นว่า นักเรียนกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม สามารถในการแก้ โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ หลังการทดลอง มีความคงทนในการเรียนคณิตศาสตร์หลังการทดลองและ และหลั ง การทดลองผ่ า นไปแล้ ว 2 สั ป ดาห์ ของกลุ่ ม หลังการทดลองผ่านไปแล้ ว 2 สัปดาห์ไม่แตกต่างกัน ทดลองและกลุ่ มควบคุ ม ไม่ มีนั ยสาคัญ ทางสถิติท่ีระดับ


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

74

ตารางที่ 5 แสดงผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนหลังการทดลองผ่านไปแล้ ว 2 สัปดาห์ ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม (คะแนนเต็ม 50 คะแนน) N

กลุ่มทดลอง 47 กลุ่มควบคุม 47 ** มีนัยสาคัญทางสถิติท่รี ะดับ .01

x

S.D.

35.91 23.15

7.12 9.55

จากตารางที่ 5 พบว่ า คะแนนทดสอบวั ด ความ คงทนในการเรียนคณิตศาสตร์ หลังการทดลองผ่านไปแล้ ว 2 สัปดาห์ ของกลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 35.91 และ กลุ่ มควบคุ มมี ค่ าเฉลี่ ยเท่ ากั บ 23.15 เมื่ อทดสอบ สมมติ ฐ านโดยใช้ ค่ า ที (t–Independent Samples Test) พบว่ า กลุ่มทดลองมีความคงทนในการเรียนคณิตศาสตร์ สูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสาคัญทางสถิตทิ ่รี ะดับ .01 อภิปรายผลการศึกษา ผลการวิจัย เรื่อง ผลของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดย ใช้ เทคนิ ค KWDL ที่มี ต่ อ ความสามารถในการแก้ โจทย์ ปั ญ หาและความคงทนในการเรี ย นคณิ ต ศาสตร์ เรื่ อ ง ระบบสมการเชิงเส้ นสองตัวแปร อภิปรายผลได้ ดังนี้ 1. จากผลการวิจัย พบว่า ความสามารถในการแก้ โจทย์ ปั ญ หาคณิ ตศาสตร์ ของนั กเรียนที่ได้ รับการจัดกิจกรรม การเรียนรู้โดยใช้ เทคนิค KWDL สูงกว่ ากลุ่มที่ได้ รับการ จั ด กิ จ กรรมการเรี ย นรู้ แบบปกติ อย่ างมี นั ยส าคั ญ ทางสถิ ติ ท่ี ร ะดั บ .01 ซึ่ ง เป็ นไปตามสมมติ ฐ านที่ ต้ั งไว้ เนื่องจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ เทคนิค KWDL เป็ นกระบวนการส่งเสริมให้ นักเรียนมีทักษะกระบวนการ ทางคณิตศาสตร์ ความสามารถในการคิดการแก้ ปัญหาโดย แต่ ล ะกลุ่ มคละความสามารถกัน นั กเรี ย นได้ ช่ วยเหลื อ ซึ่งกันและกัน ได้ แลกเปลี่ยนเรียนรู้และนาเสนอประสบการณ์ สอดคล้ องกับ วัชรา เล่าเรียนดี (2554) เมื่อนาการเรียนรู้ แบบ KWDL มาประยุกต์ใช้ ในการสอนเพื่ อพัฒนาทักษะ และความสามารถในการแก้ โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ โดยมี ขั้นตอนในการเรียนรู้ 4 ขั้นตอน คือ 1) ขั้น K สิ่งที่โจทย์ กาหนดให้ เป็ นขั้นตอนการวิเคราะห์ ปั ญหาเพื่ อหาข้ อมู ล ที่เกี่ยวข้ องกับสิ่งที่โจทย์กาหนดให้ สอดคล้ องกับแนวคิด ของ โพลยา (Polya, 1957) ที่กล่ าวว่ า การที่นักเรียนหา สิ่งที่โจทย์ต้องการทราบว่ าคืออะไร และสิ่งที่โจทย์บอกให้ ทราบว่ ามี อะไรบ้ าง เมื่อน าข้ อมู ลเหล่ านั้ นมาบัน ทึกและ

t 7.347

p 0.000**

จัดหมวดหมู่จะทาให้ เกิดความเข้ าใจง่ายขึ้น 2) ขั้น W สิ่งที่ โจทย์ต้องการทราบและวางแผนการแก้ ปัญหา เป็ นขั้นตอน ที่นั กเรียนต้ องวิเคราะห์ ปั ญ หาเพื่ อหาสิ่งที่โจทย์ต้ องการ ทราบและน าข้ อมู ลจากสิ่งที่โจทย์ก าหนดมาให้ และสิ่งที่ โจทย์ต้องการทราบมาใช้ พร้ อมทั้งเลือกวิธกี ารที่เหมาะสม ในการวางแผนแก้ ปัญหา 3) ขั้น D ดาเนินการแก้ ปัญหา เป็ นขั้นตอนที่นักเรียนแสดงวิธีการหาคาตอบของปั ญหา เพื่อให้ ได้ คาตอบในขั้นตอนนี้นักเรียนในกลุ่มจะได้ ร่วมกัน ลงมื อ แก้ ปั ญ หาที่ ได้ วางแผน ด้ วยวิ ธีก ารเขี ยนประโยค สั ญ ลั ก ษณ์ เพื่ อให้ เห็ น แนวทางว่ า จะเริ่ ม ต้ นในการ แก้ ปัญหาโดยการคิดคานวณจานวนใดก่อน จากนั้นจึงลง มือแก้ ปัญหาเพื่อหาคาตอบทีละขั้นตอน 4) ขั้น L เสนอผล การแก้ ปัญหา เป็ นการศึกษาความสามารถในการสรุปผล ของการแก้ ปัญหา และความรู้ท่ไี ด้ รับ ดังนั้น จะเห็นได้ ว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดย ใช้ เทคนิ ค KWDL เป็ นกิ จ กรรมการเรี ย นการสอน ที่ ส่ งเสริ มกระบวนการแก้ โจทย์ ปั ญ หาคณิ ตศาสตร์ ทาให้ นั ก เรี ย นได้ ฝึ กการคิ ด วิ เคราะห์ ข้ อ มู ล จากโจทย์ ปั ญ หา ซึ่งกระบวนการสอนนั้นช่วยกระตุ้นให้ นักเรียนฝึ กแก้ ปัญหา ในแต่ละขั้นตอน ทาให้ นักเรียนสามารถแก้ โจทย์ปัญหาได้ อย่างเป็ นระบบถูกต้ องเป็ นลาดับขั้นตอน ตามวัตถุประสงค์ ที่ โจทย์ ต้ องการให้ หาค าตอบ (ทั ศ นชั ย เก่ งกาลั ง พล, 2553) เช่นเดียวกับ เสาวนีย์ บุญแก้ ว (2553, น. 39) ที่ ได้ กล่าวถึงเทคนิค KWDL ว่า เป็ นเทคนิคที่ทาให้ นักเรียน คิดวิเคราะห์โจทย์ปัญหาอย่ างเป็ นขั้นตอน ละเอียดถี่ถ้วน ทาให้ นักเรียนเข้ าใจโจทย์ปัญหาได้ อย่างชัดเจน จากข้ อมูล ดังกล่ าวสอดคล้ องกับงานวิ จัยของ ซอและคณะ (Shaw et al., 1997) ที่ได้ ศึกษาการใช้ เทคนิค KWDL มาทดลอง สอนในการแก้ โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ของนักเรียนเกรด 4 จ านวน 2 ห้ อง โดยการแบ่ ง กลุ่ ม ทดลองสอน โดยใช้ เทคนิค KWDL กับกลุ่มควบคุมสอนแบบปกติ เป็ นเวลา 2 สัป ดาห์ ผลการศึ กษา พบว่ า กลุ่ ม ที่เรี ยนโดยใช้ เทคนิ ค


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

KWDL มีผลสัมฤทธิ์ในการแก้ โจทย์ ปั ญ หาคณิ ตศาสตร์ สูงกว่ ากลุ่ มที่เรียนแบบปกติ อีกสิ่งหนึ่ งที่ท าให้ นั กเรียน ที่ เรี ย นโดยใช้ เทคนิ ค KWDL มี ค ะแนนความสามารถ ในการแก้ โจทย์ ปั ญ หาสู งกว่ ากลุ่ ม ที่ เรี ย นแบบปกติ น้ั น เนื่องจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เน้ นให้ นักเรียนได้ ฝึก การท างานร่ ว มกั น เป็ นกลุ่ ม นั ก เรี ย นช่ ว ยเหลื อ ซึ่ ง กั น และกัน มีความกระตือรือร้ นในการเรียน ได้ แลกเปลี่ ยน เรียนรู้และนาเสนอประสบการณ์ เป็ นการช่ วยให้ นักเรียน เกิดการเรียนรู้ร่วมกันอีกทางหนึ่ง สอดคล้ องกับ กาญจนา รัตนวงศ์ (2554) ที่ทาการวิจัยโดยการใช้ เทคนิค KWDL ในการจัดการเรียนการสอนเปรียบเทียบกับการจัดการเรียน การสอนแบบปกติ เรื่ อง การหาร กลุ่ มสาระการเรี ย นรู้ คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 พบว่า การจัดกิจกรรม การเรียนรู้โดยใช้ เทคนิค KWDL มีประสิทธิภาพสูงกว่ าการ จัดการเรียนรู้แบบปกติ 2. จากผลการวิ จั ย พบว่ า ความสามารถในการ แก้ โจทย์ ปั ญ หาคณิ ต ศาสตร์ เมื่ อพิ จารณาเป็ นรายด้ าน ทุกด้ านและพิจารณาในภาพรวม ของนักเรียนที่ได้ รับการ จั ด กิ จ กรรมการเรี ย นรู้ โดยใช้ เทคนิ ค KWDL สู ง กว่ า นักเรียนที่ได้ รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบปกติ และ จากผลการวิเคราะห์ ความสามารถในการแก้ โจทย์ปั ญหา คณิตศาสตร์ของนักเรียนกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม แบ่ง การอภิปรายเป็ นรายด้ าน 3 ด้ านได้ ดังนี้ การท าความเข้า ใจปั ญหา เป็ นความสามารถ ในการวิ เคราะห์ ปั ญ หาเพื่ อ หาข้ อ มู ล เกี่ย วกับ สิ่งที่ โจทย์ ก าหนดมาให้ ในขั้ น ตอนนี้ จะช่ วยให้ นั ก เรี ย นแยกแยะ ประเด็นปั ญหาทาให้ นักเรียนมีความเข้ าใจมากยิ่งขึ้น จาก การทดสอบวั ด ความสามารถในการแก้ โจทย์ ปั ญหา คณิตศาสตร์ พบว่านักเรียนสามารถวิเคราะห์โจทย์ปัญหา ได้ ถู ก ต้ อง โดยนั ก เรี ย นเขี ย นสิ่ งที่ โจทย์ ก าหนดให้ และ สามารถระบุ ตัวแปรแทนสิ่งที่โจทย์ กาหนดให้ ได้ ถูกต้ อง สอดคล้ องกับ เครื อ วรรณ โดดเดี่ ย ว (2549) ที่ พ บว่ า นั กเรียนที่เรียนอ่ อนหรื อโดยส่วนมากจะท าคะแนนได้ ดี ในขั้นทาความเข้ าใจปั ญหา แต่กย็ ังมีนักเรียนบางส่วนเมื่อ โจทย์ปัญหามีความซับซ้ อนมากขึ้น นักเรียนจะไม่สามารถ หาสิ่งที่โจทย์กาหนดมาให้ หรือเขียนสิ่งที่โจทย์กาหนดให้ ได้

75

การแสดงวิธีทาเพือ่ หาคาตอบ เป็ นความสามารถ ในการน าข้ อ มู ล จากสิ่ ง ที่ โจทย์ ก าหนดให้ มาใช้ ใ นการ วางแผนเพื่ อแสดงวิ ธีการหาค าตอบของปั ญ หา ซึ่ งการ ด าเนิ น การแก้ ปั ญหานั้ น นั ก เรี ย นสามารถใช้ วิ ธี ก ารที่ หลากหลายในการหาค าตอบ จากการทดสอบวั ด ความ สามารถในการแก้ โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ พบว่า นักเรียน ทั้ ง กลุ่ ม ทดลองและกลุ่ ม ควบคุ ม สามารถด าเนิ น การ แก้ ปั ญหาได้ ถูกต้ อง แต่ ยังคิดค านวณผิดพลาดและแปล ความหมายของโจทย์ผิดบ้ าง ทาให้ ไม่สามารถสร้ างสมการ และหาคาตอบได้ ถูกต้ อง นอกจากนี้นักเรียนยังขาดทักษะ การอ่ าน การแปลความ และการวิ เคราะห์ เพื่ อท าความ เข้ าใจปั ญ หาที่ซั บซ้ อน ทาให้ ไม่ สามารถเชื่ อมโยงความรู้ พื้ นฐานเดิ มกับโจทย์ ปั ญ หาที่ซั บ ซ้ อนได้ สอดคล้ อ งกับ แนวคิ ด ของ ชายแดม (Suydam, 1980) ที่ ไ ด้ กล่ า วว่ า นักเรียนส่วนใหญ่จะทาโจทย์ปัญหาได้ เมื่อเป็ นโจทย์ปัญหา ขั้นตอนเดียวและมีข้นั ตอนการคิดคานวณเพียงขั้นเดียว การสรุ ป ค าตอบ เป็ นความสามารถในการน า ความรู้ ท่ี ได้ รั บ เสนอผลการแก้ ปั ญ หาได้ อย่ า งถู ก ต้ อง ซึ่งจากการทาแบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ โจทย์ ปั ญ หาคณิตศาสตร์ พบว่ า นั กเรียนกลุ่ มทดลองจะมี การ น าเสนอผลการแก้ ปั ญ หาโดยการตรวจสอบค าตอบและ สรุปคาตอบที่ได้ อย่ างครบถ้ วนสมบูรณ์ ส่วนนักเรียนกลุ่ม ควบคุ ม สามารถแสดงการตรวจสอบค าตอบและสรุ ป ค าตอบได้ แต่ ยั ง ไม่ ค รบถ้ วนสมบู ร ณ์ ห รื อ เขี ย นเพี ย ง บางส่ ว น นั่ น หมายความว่ า นั ก เรี ย นไม่ ต รวจสอบผล ค าตอบ เพราะมองไม่ อ อกว่ า ควรจะตรวจผลค าตอบ อย่ างไร จึ งไม่ สามารถด าเนิ น การแก้ ปั ญ หาได้ ค รบถ้ วน สมบูรณ์ทุกขั้นตอน 3. จากผลการวิ จั ย พบว่ า ความคงทนในการเรี ย น คณิตศาสตร์ของนักเรียนกลุ่มทดลอง สูงกว่านักเรียนกลุ่ม ควบคุ ม อย่ างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 เนื่องจาก การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนทั้งสองกลุ่มต่ างมี การจั ด กระบวนการเรี ย นรู้ ต ามล าดั บ เนื้ อหาอย่ า งเป็ น ขั้ น ตอนตามความยากง่ า ย โดยมี ก ระบวนการเรี ย นรู้ ท่ี คล้ ายคลึงกัน คือ ขั้นนาเข้ าสู่บทเรียน ขั้นสอน และขั้นสรุป แต่จะมีความแตกต่างกันในขั้นสอน ซึ่งการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้โดยใช้ เทคนิค KWDL นั้น เน้ นให้ นั กเรียนได้ ลงมือ


76

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ด้ วยตนเอง มีการฝึ กทาแบบฝึ กทักษะทบทวนความเข้ าใจ เรียนรู้ร่วมกันจากกระบวนการกลุ่ม และมีการร่วมกันสรุป เนื้อหาที่เรียนทุกครั้ง จึงทาให้ นักเรียนเกิดการเรียนรู้ จดจา และเกิดความเข้ าใจ ซึ่งความเข้ าใจที่เกิดจากการฝึ กฝนก็ เป็ นสิ่งหนึ่งที่ทาให้ นักเรียนมีความคงทนในการเรียนและ ทาให้ เกิดการจดจาได้ นาน ซึ่งสอดคล้ องกับคากล่ าวของ วารินทร์ รัศมีพรหม (2533, น. 35) ที่กล่าวว่า ถ้ านักเรียน ได้ เรียนรู้ส่ิงที่มีความหมายด้ วยความเข้ าใจและได้ ฝึกฝน ตนเองมากๆ ด้ วยการกระทาซา้ ๆ จะทาให้ เกิดทักษะและ ความคงทนในการเรียนรู้จนสามารถถ่ ายโยงไปใช้ ได้ อย่ าง อัตโนมัติ และสอดคล้ องกับคากล่าวของ ฮันเตอร์ (Hunter, 1993, p. 5) ที่กล่าวถึงปัจจัยที่มอี ทิ ธิพลต่อการจา สิ่งหนึ่ง ที่เป็ นปั จจั ยส าคัญ ในการจ าคื อการฝึ กหั ด (Schedule of Practice) เป็ นตัวสร้ างให้ เกิดการจา และการฝึ กหัดที่ดีควร เพิ่มความซับซ้ อนมากขึ้น ซึ่งการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดย ใช้ เทคนิค KWDL ได้ จัดให้ มีการฝึ กฝนทั้งรายบุคคลและ เป็ นกลุ่ม มีการทบทวนเนื้อหาอย่ างสม่าเสมอ โดยใช้ แบบ ฝึ กทักษะ ใบกิจกรรม เป็ นต้ น และมีการน าเสนอผลงาน เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน ซึ่งการเรียนรู้ท่เี กิดจากการ กระทาของนักเรียนเอง ส่งผลทาให้ นักเรียนเกิดความเข้ าใจ อย่ างแท้ จริงและสามารถระลึกถึงสิ่งที่ได้ เรียนรู้ต่อไปและ ยังคงอยู่ ได้ ยาวนาน ดังนั้ น การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ี ต่างกัน ย่อมส่งผลให้ นักเรียนเกิดการเรียนรู้และจดจาสิ่งที่ เรียนได้ มากหรือน้ อยแตกต่างกัน (ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์, 2553) ดังนั้ น การจั ดกิจกรรมการเรี ยนรู้โดยใช้ เทคนิ ค KWDL จึงเป็ นการจัดสถานการณ์ท่ชี ่ วยให้ ผ้ ูเรียนเกิดการ เรี ย นรู้ ที่ ดี แ ละมี ค วามคงทนในการเรี ย นรู้ มากขึ้ น ซึ่ ง ครูผ้ ูสอนควรสร้ างเงื่อนไขสาหรับผู้เรียน เพื่อทาให้ ผ้ ูเรียน ทดลองและกระทาสิ่งต่างๆ เพื่อให้ ได้ พฤติกรรมที่ต้องการ แล้ วจะเกิ ดการเรี ยนรู้ ที่ คงทน (บรรพต สุ วรรณประเสริ ฐ, 2544) การจั ด กิ จ กรรมการเรี ย นรู้ ที่ น่ าสนใจ สอนบน พื้ นฐานเดิ ม เน้ น ให้ เกิด การคิ ด ให้ เวลา และให้ โอกาส ผู้เรียน พยายามใช้ คาถาม การโต้ แย้ ง และสร้ างบรรยากาศ ในชั้นเรียนอย่ างเหมาะสมจะทาให้ ผ้ ู เรี ยนเกิดการเรียนรู้ ที่คงทน (อัมพร ม้ าคะนอง, 2553)

สรุปผลการศึกษา จากการวิจัย เรื่อง ผลของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้ เทคนิค KWDL ที่มีต่อความสามารถในการแก้ โจทย์ ปั ญ หาและความคงทนในการเรี ย นคณิ ต ศาสตร์ เรื่ อ ง ระบบสมการเชิงเส้ นสองตัวแปร สามารถสรุปผลการวิจัยได้ ดังนี้ 1. นักเรียนที่ได้ รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ เทคนิ ค KWDL มี ค วามสามารถในการแก้ โจทย์ ปั ญ หา คณิ ตศาสตร์ สูงกว่ านั กเรียนที่ได้ รับการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้แบบปกติ อย่างมีนัยสาคัญทางสถิตทิ ่รี ะดับ .01 2. นักเรียนที่ได้ รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ เทคนิ ค KWDL มี ค วามสามารถในการแก้ โจทย์ ปั ญ หา คณิ ต ศาสตร์ เมื่ อพิ จ ารณาเป็ นรายด้ านทุ ก ด้ านและ พิจารณาในภาพรวม สูงกว่านักเรียนที่ได้ รับการจัดกิจกรรม การเรียนรู้แบบปกติ 3. นักเรียนที่ได้ รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ เทคนิ ค KWDL มี ค วามคงทนในการเรี ยนคณิ ต ศาสตร์ สูงกว่ านักเรียนที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบปกติ อย่ างมี นัยสาคัญทางสถิตทิ ่รี ะดับ .01 ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะจากการวิจยั 1. ในช่ วงเริ่ มต้ นกิจกรรมการเรียนรู้นั กเรี ยนควรใช้ แผนผังหรือตารางร่วมกัน 2 คน ต่อ 1 ชุด สามารถปรึกษา หารือกัน และในการทางานกลุ่มก็ควรให้ นักเรียนใช้ แผนผัง คนละชุด เพื่อให้ นักเรียนได้ ฝึกบันทึกข้ อมูลลงตารางด้ วย ตนเอง 2. ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ช่วงแรกนักเรียนยังทา การบันทึกในแผนผัง KWDL ได้ ไม่ครบถ้ วน ดังนั้น ครูจึง ควรให้ ความสาคัญกับการตรวจแบบฝึ กหั ด การบ้ านและ ใบงานของนั ก เรี ย นพร้ อ มทั้ งให้ ผลสะท้ อ นกลั บ มี การ เสริมแรงในทางบวก เพื่อให้ นักเรียนทราบข้ อบกพร่องและ มีกาลังใจในการแก้ ไขและพัฒนาตนเองต่อไป 3. ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ เทคนิค KWDL ทุ ก ขั้ น ตอนครู จ ะต้ องคอยแนะน า ชี้ แนะ แนวทางให้ นักเรียนได้ คิดพิ จารณาและวิเคราะห์ปัญหาที่หลากหลาย เพื่ อให้ นั ก เรี ย นบั น ทึ กข้ อ มู ล ลงในตาราง KWDL ตาม


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

77

ความเข้ าใจของตัวเองและไม่ควรจากัดเวลาจนเกินไป ควร เอกสารอ้างอิง มี เวลาให้ นั กเรีย นได้ ท ากิจกรรมอย่ างเต็ม ที่แ ละควรท า แบบฝึ กหั ดสารองไว้ ส าหรับนั กเรียนที่ท างานเสร็จก่ อน กาญจนา รั ต นวงศ์ . (2554). การเปรี ย บเที ย บผลการ เรียนรู ้ เรือ่ ง การหารของนักเรียนชัน้ ประถมศึ กษาปี ที ่ 2 ที ่ เวลา เรี ยนโดยการจัด การเรี ยนรู แ้ บบ KWDL กับการจัด การ ข้อเสนอแนะสาหรับการวิจยั ต่อไป เรี ย นรู แ้ บบปกติ . (วิ ท ยานิ พ นธ์ ป ริ ญ ญามหาบั ณ ฑิ ต ). 1. ควรน าแนวปฏิ บั ติ เกี่ ย วกั บ การจั ด กิ จ กรรมการ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, มหาสารคาม. [1] เรียนรู้โดยใช้ เทคนิค KWDL ไปทาซา้ กับกลุ่มตัวอย่ างอื่น เพื่ อตรวจสอบประสิ ท ธิ ภ าพของความสามารถในการ เครื อ วรรณ โดดเดี ย ว. (2549). การเปรี ย บเที ยบ แก้ โจทย์ปั ญหาและความคงทนในการเรียนคณิ ตศาสตร์ ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยนคณิ ตศาสตร์ เรื อ่ ง โจทย์ปั ญ หา เรื่องระบบสมการเชิงเส้ นสองตัวแปร อีกครั้ง เศษส่วนของนักเรียนชัน้ มัธยมศึ กษาที ่ 6 ระหว่างวิธีการ 2. ควรมี การศึ กษาพั ฒ นาการความสามารถในการ สอนแบบ LT กับวิธีสอนแบบ Polya. (วิทยานิพนธ์ปริญญา แก้ โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ มหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา, นครราชสีมา. [2] 3 ที่ได้ รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ เทคนิค KWDL ในช่ วงก่อนเรียน ระหว่ างเรียนและหลังเรียน เพื่ อให้ เห็น ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์. (2552). 80 นวัตกรรมจัดการเรียนรูท้ ี ่ เน้นผูเ้ รียนเป็ นสาคัญ. กรุงเทพฯ: แดเน็กซ์ อินเตอร์ คอร์ พัฒนาการที่เด่นชัดของนักเรียน 3. ควรมีการศึกษาผลของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ปอเรชั่น. [3] โดยใช้ เทคนิค KWDL ที่มตี ่อความสามารถทางคณิตศาสตร์ ทัศนชัย เก่ากาลังพล. (2553). การพัฒนาชุดทักษะการ อื่นๆ เช่ น ความสามารถในการให้ เหตุผล ความสามารถ แก้โจทย์ปัญหาโดยใช้เทคนิ คการสอบแบบ KWDL เรือ่ ง ในการสื่อสาร ความสามารถใน การคิดวิเคราะห์ การคิด สมการเชิ งเส้นตัวแปรเดี ยว รายวิชาคณิ ตศาสตร์พ้ ื นฐาน สังเคราะห์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ เป็ นต้ น สาหรับนักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปี ที ่ 1. (วิทยานิพนธ์ปริญญา มหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยนเรศวร, พิษณุโลก. [4] กิตติกรรมประกาศ วิ ท ยานิ พ นธ์ ฉ บั บ นี้ ส าเร็ จ สมบู ร ณ์ ได้ ด้ วยความ ช่ วยเหลื ออย่ างดีย่ิ งจาก ผู้ ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วี รยุ ทธ นิลสระคู อาจารย์ท่ปี รึกษาวิทยานิพนธ์ ที่ได้ ให้ คาปรึกษา แนะน า และตรวจแก้ ไขจนวิ ท ยานิ พ นธ์ฉ บั บ นี้ สมบู ร ณ์ ขอขอบพระคุ ณ คณาจารย์ ป ระจ าหลั กสูต รคณิ ต ศาสตร ศึกษา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และ ผู้เชี่ยวชาญทุกท่านที่ได้ กรุณาให้ คาแนะนาและช่ วยเหลือ อย่างดีเสมอมา ผู้วิจัยขอขอบพระคุณอย่างสูง ณ โอกาสนี้

น้าทิพย์ ชังเกตุ. (2547). การพัฒ นาผลการเรี ยนรูเ้ รือ่ ง โจทย์ปั ญ หาการคูณ ของนักเรี ยนชัน้ ประถมศึ กษาปี ที ่ 4 โดยจัดการเรี ยนรูแ้ บบร่วมมื อกันเทคนิ ค STAD ร่ วมกับ เทคนิ ค KWDL. (วิ ท ยานิ พ นธ์ ป ริ ญ ญามหาบั ณ ฑิ ต ). มหาวิทยาลัยศิลปากร, นครปฐม. [5] เนตรนริ น ทร์ พิ ม ละมาศ. (2550). การพั ฒ นาผลการ เรี ยนรู เ้ รื ่อง การแก้โจทย์ปั ญ หาของนักเรี ย นชั้น ประถม ศึ กษาปี ที ่ 5 ทีจ่ ดั การเรียนรูแ้ บบร่วมมือกันโดยใช้เทคนิ ค ทีมเกมแข่งขัน TGT ร่วมกับเทคนิค KWDL. (วิทยานิพนธ์ ปริญญามหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยศิลปากร, นครปฐม. [6]


78

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

บรรพต สุวรรณประเสริฐ. (2544). การพัฒนาหลักสูตร อั ม พร ม้ าคะนอง. (2546). คณิ ตศาสตร์ : การสอบ โดยเน้น ผู ้เรี ย นเป็ นส าคั ญ . เชี ย งใหม่ : The knowledge และการเรี ย นรู ้. กรุ งเทพฯ: โรงพิ ม พ์ แ ห่ ง จุ ฬ าลงกรณ์ Center. [7] มหาวิทยาลัย. [16] ปรีชา เนาว์เย็นผล. (2554). การวิจยั การเรียนการสอน คณิ ตศาสตร์ ในประมวลสาระชุดวิชาการจัดประสบการณ์ การเรี ยนรู ้คณิ ตศาสตร์ หน่ วยที ่ 15. นนทบุ รี : มหาวิ ทยาลั ย สุโขทัยธรรมาธิราช. [8]

อัมพร ม้ าคะนอง. (2553). ทักษะและกระบวนการทาง คณิตศาสตร์: การพัฒนาเพือ่ พัฒนาการ. กรุงเทพฯ: ศูนย์ ตาราและเอกสารทางวิชาการ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. [17]

ปรียาพร วงศ์ อนุ ตรโรจน์ . (2553). จิตวิทยาการศึ กษา. กรุงเทพฯ: สหมิตรออฟเซท. [9]

Adarms, J. A. (1967). Human Memory. New York: McGraw-Hill.

วัชรา เล่าเรียนดี. (2554). รูปแบบและกลยุทธ์การจัดการ Carr, E., & Ogle, D., (1987). KWL plus: A strategy เรี ย นรู ้เพื ่ อ พั ฒ นาทั ก ษะการคิ ด . นครปฐม: โรงพิ ม พ์ comprehension and summariza. Journal of Reading, 30, มหาวิทยาลัยศิลปากร. [10] 626-631. วารินทร์ รัศมีพรหม. (2533). การออกแบบสาระหลักการ Hunter. (1993). Retention Theory for Teacher: A และทฤษฎี . กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลั ยศรี นคริน ทรวิโรฒ Programma Book (36th ed.). El Segundo, California: ประสานมิตร. [11] Tip. ศิริพัฒน์ คงศักดิ์. (2550). การเปรียบเทียบผลการเรียนรู ้ โจทย์ ปั ญ หาคณิ ต ศาสตร์ เรื ่อ ง เวลา ของนั ก เรี ย นชั้น ประถมศึ กษาปี ที ่ 4 ที ่จ ดั การเรี ยนรู ด้ ว้ ยเทคนิ ค KWDL และการจัด การเรี ย นรู ต้ ามแนว สสวท. (วิ ท ยานิ พ นธ์ ปริญญามหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยศิลปากร, นครปฐม. [12]

Krulik, S., Rudnick, J., & Milou, E. (1980). Teaching Mathematics in Middle School. Boston: Allyn and Bacon. Leong, Y. H., Toh, T. L., Quek, K. S., & Tay, E. G. ( 2011). Teacher preparation for a problem–solving curriculum in Singapore. ZDM Mathematics Education, 43, 45–48.

สถาบั น ส่ ง เสริ ม การสอนวิ ท ยาศาสตร์ แ ละเทคโนโลยี . (2551). ทักษะ/กระบวนการทางคณิตศาสตร์ (พิมพ์ครั้ง Nunnally, J. C. (1959). Test and Measurement. New ที่ 2). กรุงเทพฯ: ส.เจริญการพิมพ์. [13] York: McGraw-Hill. สิ ริ พ ร ทิ พ ย์ ค ง. (2544). การแก้ปั ญ หาคณิ ต ศาสตร์ . Polya, G. (1957). How To Solve it: A New Aspect of กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรสุ ภาลาดพร้ าว. [14] Mathematical Method. New York: Doubleday and เสาวนีย์ บุญแก้ ว. (2553). การศึกษาความสามารถในการ Company. เรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียน เรื่อง ภาคตัดกรวย โดยการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWDL. (วิทยานิพนธ์ Reys, R. E., Suydam, M. N., Lindquist, M. M., & ปริ ญ ญามหาบั ณ ฑิ ต ). มหาวิ ท ยาลั ย เกษตรศาสตร์ , Smith, N.L. (1998). Helping Children learn Mathematics (5th ed.). Boston: Allyn and Bacon. กรุงเทพฯ. [15]


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

79

Shaw, J. W., Chambless, M. S., Chessin, D. A., Price, V., & Beardain, G. (1997). Cooperative Problem Solving: Using K W D L as an Organizational Technique. Teaching Children Mathematics, 3(39), 482–486.

Kaokalangphon, T. (2010). The Development of practice on solution problems skill drills using KWDL Technique focused on linear equations one variable of Matthayomsuksa 1 students. (Master’s thesis). Naresuan University, Phitsanulok. [in Thai] [4]

Suydam, M. N. (1980). Untangline Clues from Research on Problem-Solving, Problem Solving in school Mathematics. Virginia: National Council of Teachers of Mathematics.

Khongsak, S. (2007). A comparative study of learning outcomes on Mathematic problem solving of times of fourth grade students taught by KWDL technique and ISPT approach. (Master’s thesis). Silpakorn University, Nakhon Pathom. [in Thai] [12]

The National Council of Teacher of Mathematics (NCTM). (1989). Curriculum and Evaluation Laowreandee, W. (2011). Model and Strategy for Standards for School Mathematics. Reston, Virginia: management learning of develop thinking skills. NCTM; Inc. Nakhon Pathom: Silpakorn University. [in Thai] [10] Translated Thai References

Makanong, A. (2003). Mathematics: Teaching and Learning. Bangkok: Chulalongkorn University. [in Thai] [16]

Bunkaew, S. (2010). The study of ability in learning Mathematics on Conic section by using learning activity Makanong, A. (2010). Mathematics skills and with KWDL technique. (Master’s thesis). Kasetsart processes: The development for development. Bangkok: Center for academic papers and book Faculty of University, Bangkok. [in Thai] [15] Education, Chulalongkorn University. [in Thai] [17] Changket, N. (2004). Learning development on Multiplication of Prathomsuksa 4 students who learned Naoyenphon, P. (2011). The Research of Teaching using the STAD technique and the KWDL technique. and learning Mathematics in processing package on the (Master’s thesis). Silpakorn University, Nakhon experience of Mathematics learning Unit 15. Nonthaburi: Sukhothai Thammathirat Open University. Pathom. [in Thai] [5] [in Thai] [8] Dohtdieow, K. (2006). A Comparative Learning of Mathematics Achievement on problem solving of Pimlamat, N. (2007). Learning development in Fraction for Matthayomsuksa 6 students who learned solving problems of Prathomsuksa 5 by using using the LT and Polya Technique. (Master’s thesis). cooperative learning TGT technique and the KWDL Nakhon Ratchasima Rajabhat University, Nakhon technique. (Master’s thesis). Silpakorn University, Nakhon Pathom. [in Thai] [6] Ratchasima. [in Thai] [2] Ratsamiprom, W. (1990). The principle design and Theory. Bangkok: Srinakharinwirot University. [in Thai] [11]


80

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

Rattanawong, K. (2011). Comparisons of Learning Outcomes of Prathomsuksa 2 students who learned using the KWDL and conventional learning managements entitled the division. (Master’s thesis). Mahasarakam University, Mahasarakam. [in Thai] [1]

The institute for the Promotion of Teaching Science and Technology. (2008). Matchematical Skills and Processes (2nd ed.). Bangkok: Charoen Printing. [in Thai] [13]

Thipkong, S. (2001). Mathematic problem solving. Sutthirat, C. (2009). 80 student-centered learning. Bangkok: Ladphrao Kurusapa Printing. [in Thai] [14] Bangkok: Danex Intercorporation. [in Thai] [3] Wonganutararot, P. (2010). Education Psychology. Suwanprasert, B. (2001). Developing the Learner- Bangkok: Sahamit Offset. [in Thai] [9] Centered Curriculum. Chiang Mai: The knowledge center. [in Thai] [7]


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

81

การประเมินเครื่องมือวัดพฤติกรรมการมีจิตอาสาของนักศึกษาปริญญาตรี และความไม่แปรเปลีย่ นของโมเดลการวัด อนันต์ แย้ มเยื้อน

Evaluation of the Assessment Tool for Undergraduate Student’s Volunteering Behavior and Invariance of the Model Anan Yaemyuean คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ อาเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ 53000 Faculty of Humanities and Social Sciences, Uttaradit Rajabhat University, Muang District, Uttaradit 53000 Corresponding author. E-mail address: olan_story@hotmail.com บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสารวจของแบบวัด 2. เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับที่สอง ของแบบวัด 3. เพื่อศึกษาความไม่ แปรเปลี่ยนของโมเดลการวัดของแบบวัด และ 4. เพื่ อศึกษาความตรงของแบบวัดระหว่ างแบบวัดที่เป็ น มาตรฐานกับแบบวัดที่สร้ างขึ้นใหม่ การวิจัยครั้งนี้ได้ ทาการสุ่มตัวอย่ างโดยใช้ วิธแี บบหลายขั้นตอนกาหนดโควต้ า (Multistage Quota Random Sampling) กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาปริญญาตรี ซึ่งแบ่งออกเป็ น 3 กลุ่ม ได้ แก่ 1) กลุ่มตัวอย่ างที่ใช้ ในการวิเคราะห์คุณภาพรายข้ อและการ วิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสารวจ (Exploratory Factor Analysis) จานวน 300 คน 2) กลุ่มตัวอย่างเพื่อนามาทาการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิง ยืนยันอันดับที่สอง (Confirmatory Factor Analysis) และทาการศึกษาความไม่ แปรเปลี่ยนของโมเดลการวัด จานวน 300 คน และ 3) กลุ่ม ตัวอย่ างที่นามาหาค่ าความตรงของเครื่องมือวัดแบบ Convergent Validity จานวน 120 คน ผลการวิเคราะห์ข้อมูลสรุปได้ 4 ประการ ดังนี้ ประการแรก เมื่อวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสารวจของแบบวัด พบว่า ได้ องค์ประกอบของแบบวัด จานวน 3 องค์ประกอบ ได้ แก่ 1) รณรงค์ ช่ วยเหลือสังคม จานวน 5 ข้ อ 2) บริจาคสิ่งของช่ วยเหลือ จานวน 4 ข้ อ และ 3) กระทาเพื่ อส่วนรวม จานวน 4 ข้ อ รวมทั้งสิ้น 13 ข้ อ ซึ่ง สามารถอธิบายความแปรปรวนได้ 64.81% ประการที่สอง เมื่อทาการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับที่สอง ปรากฏว่ า โมเดลกลมกลืน กับข้ อมูลเชิงประจักษ์ โดยมีค่า Chi-Square = 60.11, df = 47, p-value = 0.09, GFI = 0.97, CFI = 1.00, RMSEA = 0.03, SRMR = 0.04 ประการที่สาม ผลการวิเคราะห์ ความไม่ แปรเปลี่ ยนของโมเดล พบว่ า ไม่ มี ความแปรเปลี่ยนของโมเดลการวั ดในเชิ งรูปแบบโมเดล (Form) และความไม่ แ ปรเปลี่ ย นของน้ าหนั ก องค์ ป ระกอบ (LY) ตามเกรดเฉลี่ ย ประการสุด ท้ า ย แบบวั ด พฤติ ก รรมการมี จิ ต อาสา มีความสัมพันธ์ทางบวกกับแบบวัดพฤติกรรมการมีจิตอาสาที่มีมาตรฐานสูง (r = 0.73) คาสาคัญ: การวิเคราะห์องค์ประกอบ ความไม่แปรเปลี่ยนของโมเดลการวัด ความตรง พฤติกรรมการมีจิตอาสา นักศึกษาปริญญาตรี Abstract The purposes of this research were (1) conducting exploratory factor analysis; (2) conducting the second order confirmatory factor analysis; (3) testing measurement invariance; and (4) testing standardized measurement with a new one. This research used multistage quota random sampling. The samples of the study were undergraduate students which were divided into three groups as followed. First, 300 students were selected for exploratory factor analysis. Second, 300 students were selected for the second order confirmatory factor analysis and testing measurement invariance. Finally, 120 students were selected for testing convergent validity measurement. The results of the research were as followed. Firstly, exploratory factor analysis found three factors; namely, five items for social care campaigns, four items for social donation, and four items for participation. Those 13 items described the variance at 64.81%. Secondly, the second order confirmatory factor analysis found that the model harmonized with the empirical evidence at Chi-Square = 60.11, df = 47, p-value = 0.09, GFI = 0.97, CFI = 1.00, RMSEA = 0.03, SRMR = 0.04. Thirdly, the result of the measurement invariance test showed that measurement invariance in terms of pattern were not changed with the grade point average. Finally, public consciousness measurement form has a positive relationship with high public consciousness standard (r = 0.73).


82

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

Keywords: Factor Analysis, Measurement Invariance, Convergent Validity, Volunteering Behavior, Undergraduate Students

บทนา จิตอาสาเป็ นคุณธรรมของพลเมืองดีและเป็ นสิ่งสาคัญ ในการพั ฒ นาสั ง คม โดยการอยู่ ร่ ว มกั น ในสั ง คมที่ มี จิตสานึกต่อบุคคล องค์กร หรือสังคม ทาให้ เกิดพลังในการ สร้ างสรรค์ เกิดความเข้ มแข็ง สิ่งเหล่ านี้เกิดขึ้นจากการมี ปฏิสัมพั นธ์ของบุคคลหรือสังคม หรือการเลียนแบบทาง สังคม ท าให้ คนในสังคมตื่ นตัว มีค วามรู้สึกนึ กคิด และ ปรารถนาเข้ าไปแก้ ไขปั ญหาวิกฤตการณ์หรือปั ญหาสังคม หรื อ มี ค วามรู้ สึ ก เป็ นเจ้ าของร่ ว มกั น ซึ่ งก่ อ ให้ เกิ ด พฤติกรรมการรวมตัวหรือมีจิตสานึกร่วมกัน ทาในสิ่งที่เกิด ประโยชน์ร่วมกัน ไม่หวังสิ่งตอบแทน ซึ่งจะทาให้ เกิดความ เข้ มแข็งแก่สงั คม และประเทศ นักศึกษาซึ่งจะเป็ นอนาคตของชาติ สามารถกระทาตน ให้ เป็ นคนดี คนเก่ง และมีสขุ ได้ โดยพฤติกรรมการมีจิตอาสา เป็ นพฤติ ก รรมที่ เสี ย สละเวลาแรงกาย สติ ปั ญ ญาเพื่ อ สาธารณะประโยชน์ มีความสุขเมื่อได้ ทาความดี อันเกิดจาก พื้นฐานความคิด ได้ แก่ การบาเพ็ญประโยชน์ต่อส่วนรวม มิใช่ เพื่ อส่ วนตั ว เช่ น การช่ วยเหลื อสังคม การออกค่ าย อาสาช่ ว ยเหลื อ สร้ างโรงเรี ย นในชนบท การออกหน่ ว ย ช่ วยเหลือเป็ นอาสาสมัครรับบริจาคสิ่งของ การช่ วยเหลือ ชุมชน การใช้ เวลาว่างให้ เกิดประโยชน์สงู สุด การนาความรู้ ที่เรียนมาช่ วยเหลือเยาวชน หรือประชาชนในชุ มชน การ ช่วยเหลือมหาวิทยาลัย การร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้ อง กับ พฤติ กรรมจิ ต อาสา โดยการการท าความดี เป็ นการ กระทาที่เป็ นไปโดยความสมัครใจ ไม่ได้ เกิดจากการบังคับ จากบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่เกิดจากพฤติกรรมของตนเอง ที่อยากจะท า เป็ นการกระท าที่ไม่ หวังผลตอบแทนในรูป สินจ้ างรางวัล ไม่หวังคากล่ าวชื่นชมยินดี ไม่ หวังตาแหน่ ง ใดๆ และเป็ นการอุ ทิศ ก าลั งกาย ก าลั งใจ และเวลาให้ ส่วนรวม มิใช่อทุ ศิ กาลังทรัพย์ให้ เพียงอย่างเดียว ในอดีตที่ผ่านมางานวิจัยในประเทศไทยด้ านพฤติกรรม ศาสตร์ท่ศี ึกษาปั จจัยเชิงเหตุของพฤติกรรมจิตอาสา หรือ จิตส่วนรวม เช่น ธิดาชนก วงค์พิทกั ษ์, 2556; ณัฐณิชากร ศรีบริบูรณ์, 2550; นันทวัฒน์ ภัทรกรนันท์, 2555 และ สุ ค นธ์ ธ า เส็ง เจริ ญ , 2556 พบว่ า แบบวั ด พฤติ ก รรม

ดังกล่าว ส่วนใหญ่ มีการทดสอบด้ วยการวิเคราะห์ทางสถิติ พื้ นฐาน เช่ น การหาค่ าอานาจจ าแนกรายข้ อ การหาค่ า สัมประสิทธิ์สหสัมพั นธ์ระหว่ างคะแนนรายข้ อกับคะแนน รวมที่ไม่ มีข้อนั้ น และการหาค่ าความเชื่อมั่นของแบบวัด เป็ นต้ น แต่ในปั จจุ บัน วิทยาการทางด้ านสถิติวิเคราะห์มีความ เจริญก้ าวหน้ ามากขึ้น จึงมีการเรียกร้ องให้ ทาการวิเคราะห์ คุ ณ ภาพของเครื่ องมื อวั ดมากยิ่ งขึ้น โดยเฉพาะอย่ างยิ่ ง การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสารวจ (Exploratory Factor Analysis) และการวิ เ คราะห์ องค์ ป ระกอบเชิ ง ยื น ยั น (Confirmatory Factor Analysis) การวิ เคราะห์ ค วามตรง เชิงโครงสร้ าง (Construct Validity) รวมทั้ง การวิเคราะห์ความ ไม่ แปรเปลี่ยนของโมเดลการวัด (Measurement Invariance) การวิเคราะห์ ด้วยเทคนิคทางสถิติเหล่านี้ยังไม่ค่อยปรากฏ ในการสร้ างแบบวั ด พฤติ ก รรมจิ ต อาสาของนั ก ศึ ก ษา ปริญญาตรีในงานวิจัยในประเทศไทย การวิจัยที่น่าเชื่อถือ จะต้ องเริ่มโดยมีเครื่องมือวัดต่ างๆ ที่มีมาตรฐานสูง โดย ต้ องผ่านการสร้ าง และวิเคราะห์ ตามหลักการทางวิชาการ ขั้นสูง โดยต้ องผ่ านการสร้ างและการพิสูจน์คุณสมบัติทาง วิชาการ เพื่อให้ แบบวัดนี้มีความพร้ อมที่จะไปใช้ ในการทา วิ จั ย ที่ ถู ก ต้ องตามหลั ก วิ ช าการและเป็ นที่ ย อมรั บ ของ นักวิชาการไทยและต่างประเทศ ดังนั้น บทความวิจัยนี้จึงนาเสนอการประเมินเครื่องมือ วัดพฤติกรรมการมีจิตอาสาของนักศึกษาปริญญาตรี โดยมี การวิ เคราะห์ อ งค์ ป ระกอบเชิ ง ส ารวจ การวิ เ คราะห์ องค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับที่สอง การวิเคราะห์ความไม่ แปรเปลี่ ย นในกลุ่ ม ผู้ ต อบที่ แ บ่ ง ตามลั ก ษณะชี ว สั งคม ภูมิหลั ง และความตรงของแบบวั ด เพื่ อแสดงให้ เห็นว่ า แบบวัดพฤติกรรมการมีจิตอาสาที่สร้ างใหม่ เป็ นแบบวัด ที่ ผ่ านการตรวจสอบอย่ า งเคร่ งครั ด ตามมาตรฐานทาง วิชาการที่เข้ มงวดทันสมัย และสามารถนาไปใช้ ได้ อย่ างน่ า มั่นใจต่อไปในอนาคต วัตถุประสงค์ของการวิจยั 1. เพื่ อวิเคราะห์ องค์ประกอบเชิงสารวจของแบบวัด พฤติกรรมการมีจิตอาสาในกลุ่มนักศึกษาปริญญาตรี


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

2. เพื่ อวิเคราะห์ องค์ประกอบเชิงยื นยันอันดับที่สอง ของแบบวั ด พฤติ ก รรมการมี จิ ต อาสาในกลุ่ ม นั ก ศึ กษา ปริญญาตรี 3. เพื่ อศึ กษาความไม่ แปรเปลี่ ยนของโมเดลการวั ด ของแบบวัดพฤติกรรมการมีจิตอาสาตามลักษณะชีวสังคม ภูมขิ องนักศึกษาปริญญาตรี 4. เพื่ อศึกษาความตรงของแบบวัดระหว่ างแบบวัดที่ เป็ นมาตรฐานกับแบบวัดที่สร้ างขึ้นใหม่ การทบทวนวรรณกรรม ในบทความวิจัยนี้ ได้ ศึ กษาการประเมินการประเมิน เครื่องมือวัดพฤติกรรมการมีจิตอาสาของนักศึกษาปริญญา ตรี และความไม่ แปรเปลี่ยนของโมเดลการวัด จึงได้ แบ่ ง หัวข้ อในการประมวลเอกสารออกเป็ น 4 หัวข้ อหลัก ได้ แก่ 1) ความหมายของพฤติ ก รรมการมี จิ ต อาสา 2) การ วิเคราะห์องค์ประกอบ และวิธวี ัดแบบมาตรประเมินรวมค่า 3) การวิเคราะห์ความไม่แปรเปลี่ยนของโมเดลการวัด และ 4) การหาค่าความตรงสาหรับแบบวัดที่สร้ างขึ้นใหม่ เพื่ อ จุดมุ่งหมายในการกาหนดสมมติฐานต่อไป พฤติกรรมการมีจิตอาสา นั ก วิ ช าการหลายท่ า นได้ ให้ ความหมายของค าว่ า จิ ต อาสา และค าที่ เกี่ ย วข้ อ งกั บ จิ ต อาสา เช่ น ปิ ยะนาถ สรวิ สู ต ร (2552) ได้ ให้ ความหมายของจิ ต ค านึ ง ถึ ง ส่วนรวมร่วมกัน คือ 1) การเกิดความรู้สกึ สงสาร เนื่องจาก พบเห็นผู้ท่มี ีความเดือนร้ อนมากกว่าตนเองและเห็นสังคม ไม่ น่ าอยู่ อยากจะหาหนทางช่ วยเหลื อสังคมส่วนรวม 2) ประสบการณ์ท่ไี ด้ ช่วยเหลือผู้อ่นื ช่วยเหลือสังคมด้ วยตนเอง และได้ รับความสุขจึงอยากที่จะช่ วยเหลือผู้อ่ ืนและสังคม ส่ ว นรวม 3) ความรู้ สึ ก ต่ อ เนื่ อ ง เมื่ อ บุ ค คลได้ รั บ การ ช่วยเหลือและรู้สึกประทับใจจึงอยากทาสิ่งดี ๆ เพื่อให้ เกิด ประโยชน์ แก่ ผ้ ูคน แก่สังคมส่วนรวมร่ วมกัน ณั ฐณิ ชากร ศรีบริบูรณ์ (2550) ได้ ให้ ความหมายพื้นฐานของจิตอาสา ออกเป็ น 3 ด้ าน 1. การช่ วยเหลื อผู้ อ่ ืน หมายถึง ความ รู้สึกอย่ างหนึ่ งในตัวบุ คคลต่ อความต้ องการเอื้อเฟื้ อต่ อ ผู้อ่ นื เมื่อได้ พบสถานการณ์ท่กี ่อให้ เกิดความรู้สึกดังกล่ าว บุ ค คลจะแสดงพฤติ ก รรมในทางที่ ดี โดยการเสี ย สละ

83

กาลังกาย สิ่งของ เวลา หรือความสุขส่วนตัวเพื่อช่วยเหลือ และทาประโยชน์ ให้ ผ้ ูอ่ ืนได้ รับความสุขจากความล าบาก หรื อ ให้ สิ่งที่ เขาต้ อ งการ 2. การเสีย สละ หมายถึ ง การ ตัดสินใจ หรือตั ดกรรมสิท ธิ์ของตน ตั ดความยึด ถือเสีย การเสีย สละมี 2 นั ย คื อ สละวั ต ถุ หมายถึ ง สละทรั พ ย์ สิ่งของของตนเองเพื่อประโยชน์แก่คนอื่น และสละอารมณ์ หมายถึง เป็ นคนรู้จักปล่อยวางอารมณ์ท่เี ป็ นข้ าสึกต่อความ สงบทางใจ 3. มุ่งมั่นพัฒนา หมายถึง ความรู้สกึ ที่ต้องการ ความก้ าวหน้ ากว่ าเดิม พฤติกรรมที่เอื้อต่อการพัฒนา คือ การใฝ่ หาความรู้ มีความคิดริเริ่ม ขยัน สุจริต รับนวัตกรรม หรือแนวคิดใหม่ๆ มาใช้ ในการแก้ ปัญหาเพื่อพัฒนาตนเอง ธิดาชนก วงค์พิทักษ์ (2556) กล่ าวว่ า จิตอาสา หมายถึง การปฏิบัติกิจกรรมที่แสดงออกถึงความเอื้อเฟื้ อเผื่อแผ่ การเสียสละเวลา สิ่งของ เงินทอง แรงกาย สติปัญญา เพื่อ สาธารณะประโยชน์ หมายรวมถึงกิจกรรมที่ทามาแล้ ว และ กาลังจะเข้ าร่วมในอนาคต หรือเป็ นจิตใจที่มีความสุขเมื่อ ได้ ทาความดี ได้ ช่วยเหลือผู้ อ่ ืนและสังคม เพื่ อให้ ผ้ ู อ่ ืนมี ความสุขด้ วยความสมัครใจ และไม่ หวังผลตอบแทน การ เข้ าร่ วมกิจกรรมที่เป็ นสาธารณะประโยชน์ การมีจิตสานึก ของบุ คคลที่มีต่ อส่ วนร่ วม เอาใจใส่ ป้ องกันแก้ ไขปั ญ หา สังคมโดยการกระทาด้ วยความสมัครใจ ไม่ใช่ภาระหน้ าที่ท่ี ต้ องรับผิดชอบ คมนา วัชรธานินท์ (2546) ได้ ให้ ความหมาย ของพฤติกรรมอาสา หมายถึง การทางานช่วยเหลือบาเพ็ญ ประโยชน์ แก่ประชาชน และสังคม ในลักษณะต่ างๆ เช่ น สละเวลา สละแรงกาย สละทุนทรัพย์ส่วนตัวบางส่วนในการ ดาเนินกิจกรรมที่กระทาเพื่อช่วยเหลือบุคคลที่ด้อยโอกาส ด้ วยความสมัครใจและเต็มใจโดยไม่รับค่าจ้ าง งานวิจัยในปัจจุบนั ที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมจิตสาธารณะ จิตสานึ กต่ อสังคม จิตส่วนรวม หรือจิตอาสา ยังไม่ มีการ สร้ างแบบวัดที่มีมาตรฐานที่ถูกต้ องตามหลักวิชาการ โดย ไม่ มี การวิ เคราะห์ องค์ ประกอบเชิ งส ารวจ การวิ เคราะห์ องค์ ป ระกอบเชิ ง ยื น ยื น หรื อ การวิ เ คราะห์ ความไม่ แปรเปลี่ยนของโมเดลการวัด เช่น งานวิจัยของ โกศล มีความดี (2547) ศึ ก ษาเรื่ อ ง ปั จ จั ย ทางจิ ต สังคมที่ เกี่ย วข้ อ งกั บ การมี จิ ต สาธารณะของข้ า ราชการต ารวจ งานวิ จั ย ของ สุพัฒนา บุญแก้ ว (2556) ศึกษาเรื่อง ปั จจัยทางจิตสังคม ที่เกี่ยวข้ องกับพฤติกรรมอาสาสมัครของอาสายุ วกาชาด


84

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ในเขตกรุงเทพมหานคร งานวิจัยของ วิมลพรรณ อาภาเวท และเณรศา ชัยศุ ภมงคลลาภ (2556) ศึ กษาเรื่อง ความ สัมพันธ์ระหว่ างการเปิ ดรับข่าวสารกับพฤติกรรมจิตอาสา ของวัยรุ่นในเขตกรุงเทพมหานคร ธนิดา ทองมีเหลือ และ คนอื่นๆ (2550) ศึกษาเรื่อง ปั จจัยทางจิตสังคมที่ส่งผล ต่อจิตสาธารณะของนิสติ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ งานวิจัยที่ทาการแบ่งองค์ประกอบของแบบวัดพฤติกรรม จิ ต อาสา เช่ น งานวิ จั ยของ จารุ ณี จั น ทร์ เจริ ญ (2555) ศึกษาเรื่อง ปั จจัยทางจิ ต สังคมที่เกี่ยวข้ องกับพฤติกรรม จิตสาธารณะของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้ น ได้ แบ่งองค์ประกอบของพฤติกรรมจิตสาธารณะ ออกเป็ น 3 องค์ประกอบ ได้ แก่ ด้ านความตระหนักถึงปั ญหาที่เกิดขึ้น ต่อส่วนรวม ด้ านการมีส่วนร่วมในการดูแลรักษา และด้ าน การเคารพสิทธิในการใช้ ส่ิงของส่ วนรวม สอดคล้ องกับ งานวิจัยของ จุฑาพร นาครอด (2554) ศึกษาเรื่อง ปั จจัย เชิงสาเหตุท่ีส่ งผลต่ อการมีจิ ตสาธารณะของนั กเรี ยนชั้ น มัธยมศึกษาปี ที่ 2 ในเขตพื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 3 สุคนธ์ธา เส็งเจริญ (2556) ศึกษาเรื่อง การวิเคราะห์ โครงสร้ างความสัมพันเชิงสาเหตุของปั จจัยที่มีอทิ ธิพลต่อ จิตสานึกสาธารณะในนิสิตระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัย ศรี น คริ น ทรวิ โรฒ ได้ แ บ่ งองค์ ป ระกอบของพฤติ กรรม จิตสาธารณะ ออกเป็ น 3 องค์ประกอบ ได้ แก่ ด้ านการใช้ ด้ านการถื อ เป็ นหน้ าที่ และด้ านการเคารพสิ ท ธิ ผ้ ู อื่ น งานวิจัยของ นั นทวัฒน์ ภั ทรกรนั นท์ (2555) ศึ กษาเรื่อง การพั ฒ นาชุ ด ฝึ กอบรมโดยใช้ กระบวนการเรี ย นรู้ จ าก ประสบการณ์เพื่อเสริมสร้ างจิตสาธารณะสาหรับยุวกาชาด ได้ แบ่ งพฤติกรรมจิตสาธารณะออกเป็ น 4 องค์ประกอบ ได้ แก่ 1) การหลี ก เลี่ ย งการกระท าที่ ก่ อ ให้ เกิ ด ความ เสียหายแก่ ส่ วนรวม 2) การมี ส่ วนร่ วมท าประโยชน์ ต่ อ สังคมโดยเกิดจากความเต็มใจ ไม่หวังสิ่งตอบแทนตามวิสยั ที่จะกระทาได้ 3) การมีส่วนร่ วมแสดงความคิดเห็น และ สื่อสารเพื่อประโยชน์แก่ส่วนรวม และ 4) การเคารพสิทธิ์ และการปฏิ บั ติ ใ นสิ่ ง อั น เป็ นสาธารณะของบุ ค คลอื่ น งานวิ จั ยของ ธิด าชนก วงค์ พิ ทักษ์ (2556) ศึ กษาเรื่ อง ปั จ จั ย จิ ต สัง คมที่ส่ ง ผลต่ อ พฤติ ก รรมจิ ต อาสาของนิ สิ ต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ได้ แบ่ งองค์ประกอบของ พฤติ กรรมจิ ต อาสาได้ 3 องค์ ป ระกอบ ได้ แ ก่ ด้ านการ ช่ วยเหลือผู้อ่ ืน ด้ านการเสียสละต่ อสังคม และด้ านความ

มุ่งมั่นพั ฒนา ซึ่งสอดคล้ องกับการแบ่ งองค์ประกอบของ ผลตอบแทน ณัฐณิชากร ศรีบริบูรณ์ (2550) เป็ นต้ น จากการประมวลเอกสารข้ างต้ น สรุปได้ ว่า พฤติกรรม การมีจิตอาสา หมายถึง การแสดงพฤติกรรมเอื้อเฟื้ อเผื่อแผ่ การเสียสละ สิ่งของ แรงกาย สติปัญญา เพื่ อให้ บุคคลอื่น มีความสุขด้ วยความสมัครใจ รวมถึงการเข้ าร่ วมกิจกรรม ที่ เป็ นประโยชน์ การแสดงออกถึ งส่ วนรวมโดยไม่ ห วั ง ผลตอบแทน เช่ น การบริจาคสิ่งของให้ กับหน่ วยงานหรือ องค์กรที่ท างานเกี่ยวกับการให้ ความช่ วยเหลือผู้ อ่ ืนและ สังคม การให้ คาแนะนาแก่พ่ี เพื่อนและน้ องให้ ปฏิบัติตาม กฎระเบี ยบของมหาวิ ทยาลั ย การบริจาคเพื่ อช่ วยเหลื อ ผู้ประสบภั ย เช่ น น้าท่ วม หรือไฟไหม้ เป็ นต้ น และเมื่อ เพื่ อนไม่ มีอุปกรณ์การเรียน ฉั นแบ่ งอุปกรณ์การเรียนให้ เพื่อน เป็ นต้ น การวิ เคราะห์ อ งค์ป ระกอบ และวิ ธี ว ดั แบบมาตร ประเมินรวมค่า การวิเคราะห์ องค์ประกอบ (Factor Analysis) ซึ่งเป็ น เทคนิคการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติท่มี ีไว้ เพื่อการแสวงหา มิติหรือโครงสร้ างโดยแบ่ งเป็ น 2 ประเภท ได้ แก่ 1) การ วิ เคราะห์ อ งค์ ป ระกอบเชิ ง ส ารวจ (Exploratory Factor Analysis) และ 2) การวิเคราะห์ องค์ประกอบเชิ งยื น ยั น (Confirmatory Factor Analysis) โดย การวิเคราะห์องค์ประกอบ เชิงสารวจ (Exploratory Factor Analysis) เป็ นวิธกี ารวิเคราะห์ ที่ทาเป็ นขั้นแรก เพื่อสารวจว่าคาตอบจากแบบวัดชุดหนึ่งๆ ของคนประเภทหนึ่ง บางข้ อจะสามารถรวมกลุ่มกัน เป็ น กลุ่มๆ เรียกว่า องค์ประกอบ และข้ อที่อยู่ในองค์ประกอบ ที่มีความสาคัญน้ อย หรือไม่เข้ าองค์ประกอบใดๆ ก็จะถูก ตัดออกจากแบบวัดนั้น ส่วนขั้นที่สองเป็ นการการวิเคราะห์ องค์ประกอบเชิงยื นยัน (Confirmatory Factor Analysis) ก็คือ การตรวจสอบความกลมกลืน คล้ ายคลึงของโมเดล ที่ได้ จากคาตอบของผู้ตอบ กับโมเดลที่กาหนดจากพื้นฐาน ทางทฤษฏี หรือจากข้ อสรุปจากผลวิจัยจากการวิเคราะห์ องค์ประกอบเชิงสารวจ จึงทาให้ เกิดความน่ าเชื่อถือทาง วิชาการว่า องค์ประกอบที่ค้นพบนั้น ได้ รับการยืนยันจาก กลุ่มตัวอย่ างที่ใกล้ เคียงกันที่เป็ นกลุ่มใหม่ด้วย นงลักษณ์ วิรัชชัย (2537) นั ก วิ ช าการในต่ า งประเทศและนั ก วิ ช าการสายจิ ต พฤติกรรมศาสตร์มักนิยมใช้ แบบวัดชนิดมาตรประเมินรวม


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ค่ า เนื่ อ งจากแบบวั ดชนิ ด นี้ มี คุ ณ สมบั ติ ท่ีดี แ ละสะดวก ในการวัด คุ ณ ลั กษณะต่ างๆ ซึ่ ง ดวงเดือน พั น ธุมนาวิ น (2550) ได้ สรุปลักษณะที่สาคัญของมาตรประเมินรวมค่า ได้ แก่ 1) มาตรประเมิ น รวมค่ า ต้ องมี ข้ อและมาตร ประกอบเป็ นคู่ๆ อย่างน้ อย 10 ข้ อขึ้นไป 2) มาตรประเมิน รวมค่า เหมาะที่จะให้ ผ้ ูตอบแสดงปริมาณการยอมรับแต่ละ ข้ อ ในปริ ม าณต่ า งๆ แต่ ล ะข้ อ ถ้ า มี ม ากหน่ วยบนมาตร ประกอบ เช่น 6 หรือ 8 หน่วย เมื่อใช้ หลายข้ อหลายมาตร แล้ วนาคะแนนคาตอบมารวมกัน จะยิ่งวัดความละเอียด แตกต่างมากยิ่งขึ้น ทาให้ เป็ นแบบวัดที่ไวต่อการพบความ แตกต่ าง หรือพบความเปลี่ยนแปลงของคะแนนแม้ เพี ยง ปริมาณเล็กน้ อย 3) เครื่องมือวัดแบบมาตรประเมินรวมค่า มีลักษณะที่น่าสนใจ ใช้ ง่าย และผู้ตอบตอบสนองได้ ง่าย โดยการขีดตอบที่หน่วยใดหน่วยหนึ่งบนมาตรที่ใช้ ประกอบ แต่ละประโยค ทาให้ ใช้ ได้ จานวนมากข้ อในคราวเดียวกัน ในการวั ด ตั ว แปรอิ ส ระและตั ว แปรตามได้ ห ลายตั ว ใน งานวิจัยหนึ่งๆ และ 4) จะสังเกตได้ ว่า ในโลกยุคปั จจุบัน ประชาชนมีการศึกษามากขึ้น ส่วนใหญ่สามารถคิดได้ ในเชิง ปริมาณในหลายระดับ แบบวัดชนิดมาตรประเมินรวมค่ า จึงเหมาะสมกับคนรุ่นใหม่ในยุคปั จจุ บัน และจะเหมาะสม มากขึ้ นเรื่ อ ยๆ ในการใช้ วั ด คนในอนาคต นอกจากนี้ Spector (1992) ยังชี้ให้ เห็นเพิ่ มเติมถึงข้ อดีของแบบวัด ชนิดนี้อกี ว่า เป็ นแบบวัดที่ใช้ วัดตัวแปรหนึ่งๆ ยังสามารถ สร้ างให้ มคี ุณสมบัตสิ าคัญของเครื่องมือวัด คือ มีค่าจาแนก รายข้ อ มีความตรง และความคงที่ได้ โดยนั กวิจั ยอาจใช้ เวลา และงบประมาณที่ไม่มากเท่าการสร้ างเครื่องมือชนิด อื่นๆ การวิ เคราะห์ คุ ณ สมบัติของแบบวัดที่สร้ างใหม่ ใน ปั จจุ บันนิยมใช้ เทคนิคการวิเคราะห์องค์ประกอบ (Factor Analysis) ซึ่งแบบวัดชนิดมาตรประเมินรวมค่าที่สร้ างขึ้น ในงานวิจัยนี้ เอื้ออานวยต่อการวิเคราะห์ องค์ประกอบได้ อย่างเหมาะสมมาก

85

แปรเปลี่ยนของโมเดลการวัดว่ า ความแตกต่ างกันในผล ของการวัด อาจเกิดจาก 1) นักวิจัยไม่สามารถคิดเองได้ ว่า ข้ อ ค าถามหรื อประโยคในแบบวั ด ต่ างๆ จะไม่ มี ผ ลกั บ กระบวนการการรับรู้ของผู้ตอบ 2) ผู้ตอบจะต้ องอ่านและ ตี ค วามข้ อค าถามเหล่ านี้ ซึ่ งผู้ ต อบจะตั ด สิน ใจตอบบน พื้ นฐานจากประสบการณ์ของแต่ ละคนที่ได้ รับการอบรม ปลู กฝั งและถ่ ายทอดทางสั งคมที่ไม่ เหมือนกัน และ 3) ความสามารถทางภาษาอาจเป็ นอีกปั จจัยหนึ่งที่มีอิทธิพล ต่อการตีความข้ อคาถามนั้นๆ (Borsboom, 2006; Reise et al., 1993; Roe, 2006; Wu et al., 2007) นอกจากนี้ Meredith & Teresi (2006) และ Meredith (1993) กล่ าวว่ า นักวิจัยต้ องให้ ความสาคัญ กับความไม่ แปรเปลี่ยน เพราะประเด็นเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่าง บุคคลในการวัด จะนาไปสู่ความเข้ าใจในเนื้อหาการวัดที่ แตกต่างกัน และในบางครั้งนาไปสู่การเกิด “อคติ” ในการ วัด ดังนั้น จึงจาเป็ นจะต้ องพิสจู น์ “ความยุตธิ รรม” (Fairness) และ “ความเท่าเทียมกัน” (Equity) ของการวัดด้ วย นักวิชาการหลายท่าน Vandenberg & Lance (2000) และสุภมาศ อังศุโชติ และคนอื่นๆ (2554) กล่าวถึง การ ทดสอบความไม่แปรเปลี่ยนของโมเดลการวัด อาจกระทา เพียง 4 ประการที่สาคัญ ได้ แก่ ประการแรก การทดสอบ ความไม่ แปรเปลี่ยนของรูปแบบโมเดลหรือองค์ประกอบ (Pattern same or Factor form Invariance) หรื อ “Configural Equivalence” ซึ่งเป็ นการทดสอบที่สาคัญที่สุด ถ้ าไม่ ผ่าน ขั้น นี้ แสดงว่ า รูปแบบของโมเดลการวั ดของแต่ ละกลุ่ ม มี ค วามแตกต่ างกั น เช่ น มี จ านวนองค์ ป ระกอบต่ างกัน เป็ นต้ น ประการที่สอง เมื่อรูปแบบโมเดลไม่ แปรเปลี่ยน แล้ วนั้น จึงทาการทดสอบความไม่แปรเปลี่ยนของนา้ หนัก องค์ประกอบ (Factor Loading) ประการสาม เมื่อนา้ หนัก องค์ประกอบไม่แปรเปลี่ยนแล้ ว จึงทาการทดสอบความไม่ แปรเปลี่ยนของความคลาดเคลื่อนของตัวแปรสังเกตได้ (Item Error Variance) และประการที่ส่ี เมื่อความคลาดเคลื่อน การวิเคราะห์ความไม่แปรเปลีย่ นของโมเดลการวัด วงวิชาการในปั จจุบันมีการตั้งข้ อสังเกตถึงผลการวิจัยที่ ของตัวแปรสังเกตไม่ แปรเปลี่ ยนแล้ ว จึ งท าการทดสอบ มีความไม่ สอดคล้ องอันเนื่ องมาจากอิทธิพลจากแบบวัด ความไม่ แปรเปลี่ยนของความแปรปรวนของตัวแปรแฝง Vandenberg & Lance (2000) นั กวิ ช าการหลายท่ านได้ แต่ในการวิจัยครั้งนี้ได้ ทาการทดสอบความไม่แปรเปลี่ยน เสนอว่ า ผู้ตอบแต่ละประเภทอาจมีความแตกต่างของการ ของโมเดลการวัดเพียงสองประการแรกเท่านั้น รับรู้หรือตีความแบบวัด กล่ าวคือ การวิเคราะห์ ความไม่


86

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

การวิเคราะห์ความตรงสาหรับแบบวัดที่สร้างขึ้ นใหม่ การสร้ างแบบวัดใหม่ น้ัน จาเป็ นต้ องมีการทดสอบว่ า แบบวัดที่สร้ างขึ้นใหม่น้ ีวัดในสิ่งที่ต้องการวัดจริงหรือไม่ ซึ่งนั่ นก็คื อ “ความตรง” (Validity) แบ่ งออกเป็ นหลาย ประเภท เช่ น Construct Validity และ Criterion Validity เป็ นต้ น ซึ่ งเป็ นความตรงที่ส าคั ญ ที่ใช้ ในการใช้ ทดสอบ เครื่องมือวัดแบบใหม่ ส าหรั บในงานวิ จั ย นี้ ได้ ท าการทดสอบความตรงเชิ ง เหมือน (Convergent Validity) ซึ่งเป็ นการแสดงให้ เห็นว่า แบบวั ด ที่ ส ร้ างใหม่ ท่ี ต้ องการวั ด คุ ณ ลั ก ษณะหนึ่ งมี ความสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกันกับแบบวัดอีกแบบหนึ่ง หรื อ ตั ว แปรอื่ น ๆ ที่ วั ด หรื อ แสดงคุ ณ ลั ก ษณะในกลุ่ ม เดียวกันหรือที่คล้ ายกัน Gregory (2007) หรืออาจกล่ าว อีกนั ยหนึ่ งได้ ว่า การแสดงหลักฐานจากหลายแหล่ งที่มา จากข้ อมู ล หลายแนวทาง ซึ่ งหลั กฐานเหล่ านี้ แสดงหรื อ สะท้ อนถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของตัวแปรเดียวกันหรือ ใกล้ เคียงกัน Kerlinger & Lee (2000) ดังนั้น ในงานวิจัยครั้งนี้ผ้ ูวิจัยได้ ทาการหาค่ าความตรง สาหรับแบบวัดพฤติกรรมการมีจิตอาสาที่สร้ างขึ้นใหม่ โดย ทาการตรวจสอบ Convergent Validity จากการหาความ สัมพันธ์กบั แบบวัดที่มีคุณลักษณะเดียวกัน ดังรายละเอียด ดังนี้ แบบวัดพฤติกรรมจิตอาสาของ ธิดาชนก วงค์พิ ทักษ์ (2556) เป็ นแบบวัดที่วัดคุณลักษณะเดียวกันกับพฤติกรรม การมีจิตอาสาที่ผ้ ูวิจัยสร้ างขึ้น มีข้อคาถามทั้งหมด 15 ข้ อ โดยให้ ความหมายของพฤติกรรมจิตอาสา หมายถึง การ ปฏิบัติกิจกรรมที่แสดงออกถึงความเอื้อเฟื้ อเผื่อแผ่ การ เสีย สละ เวลา สิ่ งของ เงิ น ทองแรงกายสติ ปั ญ หา เพื่ อ สาธารณะประโยชน์ หมายรวมถึงกิจกรรมที่เคยกระท า มาแล้ ว และกาลังจะเข้ าร่ วมในอนาคต หรือเป็ นจิตใจที่มี ความสุ ข เมื่ อได้ ท าความดี ได้ ช่ ว ยเหลื อผู้ อื่ น และสั งคม เพื่ อให้ ผู้ อ่ ื น มี ค วามสุ ข ด้ ว ยความสมั ค รใจ และไม่ ห วั ง ผลตอบแทนการเข้ าร่วมกิจกรรมที่เป็ นสาธารณะประโยชน์ การมีจิตสานึ ก การมีจิตส านึ กของบุ คคลที่มีต่ อส่วนรวม เอาใจใส่ ป้ องกัน แก้ ไขปั ญ หาสังคม โดยการกระท าด้ วย ความสมัครใจ ไม่ใช่ภาระหน้ าที่ท่ตี ้ องรับผิดชอบ และแบบ วั ด พฤติ กรรมการมี จิ ต อาสาของผู้ วิ จั ย แบ่ งออกเป็ น 3 องค์ประกอบ ได้ แก่ 1) รณรงค์ช่วยเหลือสังคม 2) บริจาค

สิ่งของช่ วยเหลือ และ 3) กระทาเพื่อส่วนรวม จานวน 13 ข้ อ เป็ นแบบวัดชนิดมาตราประเมินรวมค่า โดยแต่ละข้ อมี มาตร 6 หน่วยประกอบ จาก “จริงที่สดุ ” ถึง “ไม่จริงเลย” จึ ง คาดในงานวิ จั ย นี้ ได้ ว่ า พฤติ ก รรมจิ ต อาสามี ค วาม สัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการมีจิตอาสาที่สร้ างขึ้นใหม่ สมมติฐานในงานวิจยั สมมติฐาน 1 การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสารวจของ แบบวัดพฤติกรรมการมีจิตอาสา ควร 1) ได้ องค์ประกอบ อย่างน้ อย 3 องค์ประกอบ 2) แต่ละองค์ประกอบมีจานวน ข้ ออย่ างน้ อย 3 ข้ อ และ 3) อธิบายความแปรปรวนของ ตัวแปรได้ อย่างน้ อย 50.00 % สมมติ ฐาน 2 การวิ เคราะห์ องค์ ป ระกอบเชิ งยื น ยั น อัน ดั บ ที่ สองของแบบวั ด พฤติ ก รรมการมี จิ ต อาสา โดย แต่ ละแบบวัดยังคงองค์ประกอบเดิมตามผลการวิเคราะห์ องค์ประกอบเชิงสารวจ สมมติ ฐาน 3 เมื่อทาการวิเคราะห์ความไม่แปรเปลี่ยน ของโมเดลการวัดตามเกรดเฉลี่ยของนักศึกษาปริญญาตรี พบว่า อย่างน้ อยโมเดลการวัดของแบบวัดพฤติกรรมการมี จิตอาสามีความไม่แปรเปลี่ยนอย่ างน้ อย 2 ประการ ได้ แก่ 1) ความไม่แปรเปลี่ยนรูปแบบของโมเดล (Form Invariance) และ 2) ความไม่ แ ปรเปลี่ ย นของน้าหนั ก องค์ ป ระกอบ (Factorial Invariance) สมมติฐาน 4 ค่าสหสัมพันธ์ของแบบวัดพฤติกรรมการ มี จิ ต อาสาที่ เป็ นมาตรฐานกับ แบบวั ด ที่ ส ร้ างขึ้ นใหม่ มี ค่าสัมประสิทธ์สหสัมพันธ์ต้งั แต่ 0.30 ขึ้นไป วิธีการศึกษา กลุ่มตัวอย่างและวิธีการสุ่ม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ในการวิจัยนี้ คือ นักศึกษามหาวิทยาลัย ชั้นปี ที่ 2 และ 3 เนื่ องจากนั กศึ กษาทั้งสองชั้นปี สามารถ ปรับตัวเข้ าสู่ชีวติ มหาวิทยาลัยและเข้ าร่วมชมรม หรือกิจกรรม มากที่สดุ โดยงานวิจัยนี้ใช้ การสุ่มแบบหลายขั้นตอนกาหนด โควตา (Multistage Quota Random Sampling) โดยผู้ วิ จั ยได้ ทาการกาหนดกลุ่มตัวอย่างและวิธกี ารสุ่มออกเป็ น 3 กลุ่ม ดังนี้


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

กลุ่มตัวอย่างและวิธีการสุ่มครั้งที่ 1 เพื่อนามาทาการ วิ เคราะห์ คุ ณ ภาพรายข้ อเบื้ องต้ น และท าการวิ เคราะห์ องค์ ป ระกอบเชิ ง ส ารวจ (Exploratory Factor Analysis) โดยมีตัวแปรในการสุ่มตัวอย่ าง ดังนี้ คือ 1) จานวนของ มหาวิทยาลัย จานวน 2 มหาวิทยาลัย ได้ แก่ มหาวิทยาลัย ราชภั ฏ บ้ านสมเด็จเจ้ าพระยา และมหาวิ ทยาลั ยราชภั ฎ วไลยอลงกรณ์ 2) จ านวนวิ ช าเอกต่ อสายการเรี ย น (3 วิชาเอก) 3) ชั้นปี ของนักศึกษา (ชั้นปี ที่ 2 และชั้นปี ที่ 3) และ 4) จานวนนักศึกษาโดยเฉลี่ยต่อห้ อง 25 คน ซึ่งเก็บ ข้ อมูลได้ เป็ นจานวนอย่างน้ อย 300 คน กลุ่มตัวอย่างและวิธีการสุ่มครั้งที่ 2 เพื่อนามาทาการ วิ เคราะห์ องค์ ป ระกอบเชิ งยื น ยั น (Confirmatory Factor Analysis) และทาการศึกษาความไม่แปรเปลี่ยนของโมเดล การวั ด โดยมี ตั ว แปรในการสุ่ ม ตั ว อย่ า ง ดั ง นี้ คื อ 1) จานวนของมหาวิทยาลัย จ านวน 2 มหาวิทยาลั ย ได้ แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ และมหาวิทยาลัยราชภั ฏ ลาปาง 2) จานวนวิชาเอกต่อสายการเรียน (3 วิชาเอก) 3) ชั้ น ปี ของนั ก ศึ ก ษา (ชั้ น ปี ที่ 2 และชั้ น ปี ที่ 3) และ 4) จานวนนักศึกษาโดยเฉลี่ยต่อห้ อง 15 คน ซึ่งเก็บข้ อมูลได้ เป็ นจานวนอย่างน้ อย 300 คน กลุ่มตัวอย่างและวิธีการสุ่มครั้งที่ 3 เพื่อนามาหาค่า ความตรงของเครื่ อ งมื อ วั ด ชนิ ด ความตรงเชิ ง เหมื อ น (Convergent Validity) ตัวแปรในการสุ่มตัวอย่าง ดังนี้ คือ 1) จานวนของมหาวิทยาลัย จานวน 1 แห่ง คือ มหาวิทยาลัย ราชภั ฏอุตรดิตถ์ 2) จานวนวิชาเอกต่ อสายการเรียน (2 วิชาเอก) 3) ชั้นปี ของนักศึกษา (ชั้นปี ที่ 2 และชั้นปี ที่ 3) และ 4) จานวนนักศึกษาโดยเฉลี่ยต่อห้ อง 25 คน ซึ่งเก็บ ข้ อมูลได้ เป็ นจานวนอย่างน้ อย 120 คน

87

การวิ เคราะห์อ งค์ป ระกอบเชิ งส ารวจของแบบวัด พฤติกรรมการมีจิตอาสา เมื่ อ ท าการวิ เคราะห์ คุ ณ ภาพเบื้ องต้ นของแบบวั ด พฤติ กรรมการมี จิ ต อาสา ปรากฏว่ า มี ข้ อที่ คั ด เลื อ กไว้ จานวน 17 ข้ อ หลังจากนั้นนาทั้ง 17 ข้ อนี้มาทาการวิเคราะห์ องค์ ป ระกอบเชิ ง ส ารวจ (Exploratory Factor Analysis: EFA) ด้ วยโปรแกรมสาเร็จรูป SPSS โดยใช้ การวิเคราะห์ แบบ Principal Component Analysis (PCA) และท าการ หมุ น แกนแบบมุ ม ฉาก (Varimax Orthogonal Rotation) โดยใช้ ข้ อมู ล จากนั กศึ กษาปริญ ญาตรี จ านวน 300 คน เมื่ อ ท าการวิ เ คราะห์ อ งค์ ป ระกอบ มี ก ารปรั บ การจั ด รวมกลุ่มของตัวแปรขึ้นเป็ นองค์ประกอบ และสกัดจนเหลือ องค์ประกอบที่จับกลุ่มรวมกันเด่นชัด ซึ่งสามารถรวมเป็ น องค์ประกอบของกลุ่มตัวแปร (รายข้ อ) ที่มีความหมาย โดย โมเดลสุดท้ าย ปรากฏว่า แบบวัดพฤติกรรมการมีจิตอาสา ประกอบด้ วย 3 องค์ประกอบที่มีค่า Eigenvalue มากกว่ า 1.00 ขึ้นไป รวมทั้งสิ้น 13 ข้ อ ซึ่งสามารถทานายพฤติกรรม การมีจิ ตอาสาได้ 64.81% และผลการทดสอบค่ า KMO and Bartlett’s test มีค่าเท่ากับ 0.89 ซึ่งมีค่ามากกว่าเกณฑ์ ที่ ต้ั งไว้ คื อ 0.60 ส าหรั บ ค่ า Chi-Square มี ค่ า เท่ า กั บ 1884.56 ค่ า df เท่ ากั บ 78 และมี ค่ านั ย ส าคั ญ ที่ 0.00 แสดงว่ า ข้ อมู ล มี ค วามส าพั น ธ์ กั น มากพอที่ จ ะท าการ วิเคราะห์ข้อมูลในขั้นต่อไปได้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล

การวิเคราะห์องค์ประกอบ โดยแบ่งเป็ น 2 ประเภท คือ หนึ่ ง การวิเคราะห์ องค์ประกอบเชิงสารวจ (Exploratory Factor Analysis: EFA) ใช้ โปรแกรมสาเร็จรูป SPSS โดย การหาคุณภาพเบื้ องต้นของแบบวัดพฤติกรรมการมี ใช้ ค าสั่ ง Data Reduction และวิ ธี ก ารห มุ นแกนแบบ จิ ตอาสา Varimax และสอง การวิ เคราะห์ องค์ ป ระกอบเชิ งยื น ยั น แบบวั ดนี้ ตั้ งต้ นจ านวน 30 ข้ อ ถู กน าไปทดสอบกับ อัน ดั บ ที่ ส อง (Second-order Factor Analysis: CFA) ใช้ กลุ่มตัวอย่ างกลุ่มแรกจานวน 100 คน แล้ วนามาคานวณ โปรแกรมส าเร็จ รูป LISREL และการวิ เคราะห์ เกี่ยวกับ ค่ า อ านาจจ าแนกรายข้ อ (ค่ า t) และค่ า สั ม ประสิ ท ธิ์ โม เด ลการวั ด ค วาม ไม่ แ ป รเป ลี่ ย น (Measurement สหสัมพันธ์ระหว่างข้ อนั้นกับคะแนนรวมที่ไม่มีข้อนั้น (ค่า Invariance) ใช้ โปรแกรมสาเร็จรูป LISREL r) ปรากฏผลว่ า มี ข้ อที่ผ่ านเกณฑ์ท้ังสองเกณฑ์ จ านวน ทั้งหมด 25 ข้ อ จึงคัดเลื อกข้ อที่มีคุณภาพดีท่ีสุดจานวน 17 ข้ อ


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

88

ผลการศึกษา 1. ผลการวิเคราะห์ องค์ประกอบเชิงส ารวจของแบบ วั ด พฤติ ก รรมการมี จิ ต อาสา พบว่ า ประกอบด้ วย 3 องค์ประกอบ รวม 13 ข้ อ ดังนี้ ตารางที่ 1 ค่า Cumulative Percentage และค่า Factor Loading ของแบบวัดพฤติกรรมการมีจิตอาสา ลาดับ

ข้อ

ประโยค

Antiimage

Factor loading Factor Factor Factor 1 2 3

ฉันและเพื่อนร่วมกันเสนอกิจกรรมเพื่อพัฒนามหาวิทยาลัยหรือสังคม .90 .84 อย่างสร้ างสรรค์และหลากหลาย ฉันร่วมมือกับเพื่ อนๆ ในมหาวิทยาลัยระดมความคิดเพื่ อหาแนวทาง 2. VA12 .92 .82 ในการแก้ ปัญหาและพัฒนามหาวิทยาลัย ฉั น ร่ ว มมื อ กั บ เพื่ อนหรื อ บุ ค คลอื่ น ๆ คิ ด กิ จ กรรมหรื อ แนวทางที่ 3. VA16 เสริมสร้ างให้ เพื่อนหรือคนในชุมชนมีจิตสานึกที่ดีต่อมหาวิทยาลัยและ .89 .82 ส่วนรวม ฉันเขียนบทความ และข้ อคิดเพื่อเชิญชวนให้ เพื่อนและบุคคลอื่นๆ ทา 4. VA15 .93 .79 กิจกรรมบาเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคมและชุมชน ฉั นร่ วมรณรงค์ ให้ ค นในสังคมตระหนั ก ถึ งปั ญ หาและร่ วมกันแก้ ไข 5. VA13 .93 .74 ปั ญหาที่เกิดขึ้นในสังคมหรือชุมชน ฉั น บริ จ าคเงิ น เพื่ อช่ วยเหลื อ ผู้ ท่ ีป ระสบภั ย ธรรมชาติ เช่ น น้า ท่ ว ม 6. VA7 .87 .80 คลื่นสึนามิ ฉันมักจะนาสิ่งของมาบริจาคเพื่ อช่ วยเหลือผู้ประสบภัย เช่ น น้าท่วม 7. VA3 .85 .80 หรือไฟไหม้ เป็ นต้ น ฉั นบริจาคสิ่งของให้ กับหน่ วยงานหรือองค์กรที่ทางานเกี่ยวกับการให้ 8. VA1 .90 .79 ความช่วยเหลือผู้อ่นื และสังคม 9. VA6 บ่อยครั้งที่เพื่อนไม่มีเงิน ฉันซื้ออาหารกลางวันเลี้ยงเพื่อน .93 .59 10. VA8 ฉันต้ องทางานเพื่อส่วนร่วมให้ สาเร็จก่อนเสมอ ถึงแม้ จะเลยเวลา .81 .78 11. VA9 ฉันทางานเพื่อส่วนรวมโดยไม่ต้องมีใครขอร้ อง .81 .76 12. VA4 เมื่อเพื่อนไม่มีอุปกรณ์การเรียน ฉันแบ่งอุปกรณ์การเรียนให้ เพื่อน .86 .56 ฉั นสนใจเฉพาะเรื่อ งหรือปั ญ หาของตนเองและบุ คคลในครอบครั ว 13. VA14 .89 .54 เท่านั้น Eigenvalue 5.64 1.48 1.31 % of variance 43.37 11.40 10.04 Cumulative % 43.37 54.77 64.81 หมายเหตุ: แต่ละข้ อมีมาตรประเมิน 6 หน่วย ตั้งแต่ “จริงที่สดุ ” “จริง” “ค่อนข้ างจริง” “ค่อนข้ างไม่จริง” “ไม่จริง” “ไม่จริงเลย” 1.

VA17

องค์ป ระกอบที่ 1 คื อ รณรงค์ช่วยเหลือสังคม ซึ่ ง เป็ นข้ อความทางบวกทั้ ง หมด โดยสามารถอธิ บ าย เป็ นการร่วมมือกันจัดกิจกรรม ชักชวน เพื่อนหรือบุคคลให้ พฤติกรรมการมีจิตอาสาได้ 43.37% องค์ประกอบที่ 2 คื อ บริ จาคสิ่งของช่ วยเหลือ เข้ าร่วมกิจกรรมจิตอาสา ซึ่งมีค่า Eigenvalue เท่ากับ 5.64 ประกอบด้ วย 5 ข้ อ คือ ข้ อที่ 17, 12, 16, 15 และ 13 การบริ จาคทรั พ ย์ สิน หรื อสิ่งของต่ างๆ ช่ วยเหลื อ เช่ น นา้ ท่วม ไฟไหม้ เป็ นต้ น ซึ่งมีค่า Eigenvalue เท่ากับ 1.48


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ประกอบด้ วย 4 ข้ อ คื อ ข้ อที่ 7, 3, 1 และ 6 ซึ่ ง เป็ น ข้ อความทางบวกทั้งหมด โดยสามารถอธิบายพฤติกรรม การมีจิตอาสาได้ 54.77% องค์ประกอบที่ 3 คื อ กระท าเพื่อส่ วนรวม การ กระทาที่คานึงถึงคนรอบข้ างมากกว่ าที่จะคานึงถึงตนเอง

89

ซึ่งมีค่า Eigenvalue เท่ากับ 1.31 ประกอบด้ วย 4 ข้ อ คือ ข้ อที่ 8, 9, 4 เป็ นข้ อความทางบวก และข้ อ 14 เป็ น ข้ อ ความทางลบ โดยสามารถอธิ บ ายพฤติ ก รรมการมี จิตอาสาได้ 64.81% ดังนั้นจึงสนับสนุนสมมติฐานที่ 1

0.86 0.81 0.86

รณรงค์ช่วยเหลือ สังคม

VA17

0.25,R2=0.75

VA12

0.34,R2=0.66

VA16

0.26,R2=0.74

VA15

0.37,R2=0.63

VA13

0.37,R2=0.63

VA7

0.56,R2=0.44

VA3

0.53,R2=0.47

VA1

0.44,R2=0.56

VA6

0.82,R2=0.18

VA8

0.41,R2=0.59

VA9

0.22,R2=0.78

VA4

0.88,R2=0.12

VA14

0.85,R2=0.15

0.79 0.80

0.67

0.66 0.68

บริ จาคสิ่ งของ ช่วยเหลือ

พฤติกรรมการมี จิตอาสา

0.75 0.42

0.83

0.71 0.77 0.89

กระทาเพื่อ ส่ วนรวม

0.34

0.38

รูปที่ 1 ผลการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับที่สอง (Second-order Factor Analysis) ของแบบวัดพฤติกรรมการมีจิตอาสา


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

90

2. ผลการการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับที่ สอง ของแบบวั ด พฤติ กรรมการมี จิ ต อาสา พบว่ า การ วิเคราะห์ องค์ประกอบเชิงยื นยั นอันดับที่สอง (Secondorder Factor Analysis) ของแบบวั ด พ ฤติ ก รรมการมี จิตอาสา ซึ่งใช้ รายข้ อที่ได้ จากการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิง ส ารวจ (EFA) จ านวน 13 ข้ อ (ตารางที่ 1) โดยใช้ โปรแกรมสาเร็จรูป LISREL ทาการวิเคราะห์ข้อมูลปรากฏ

ว่า ในกลุ่มรวม โมเดลการวัดมีความกลมกลืนกับข้ อมูลเชิง ประจักษ์ โดยมีค่าดัชนีความกลมกลืนของโมเดล โดยมีค่า Chi-Square = 60.11, df = 47, p-value = 0.09, GFI = 0.97, CFI = 1.00, RMSEA = 0.03, SRMR = 0.04 แสดงว่า โมเดลมีความสอดคล้ องเชิงประจักษ์ (ตารางที่ 2) ดังนั้นจึงสนับสนุนสมมติฐานที่ 2

ตารางที่ 2 ดัชนีความกลมกลืนของโมเดลของแบบวัดพฤติกรรมการมีจิตอาสา ค่าสถิต เกณฑ์พิจารณา Chi-Sqare Chi-Square ไม่มีนัยสาคัญทางสถิติ 60.11 RMSEA น้ อยกว่า 0.60 CFI มากกว่า 0.95 GFI มากกว่า .95 SRMA 0.06

3. ผลการวิเคราะห์ความไม่แปรเปลี่ยนของโมเดลการ วัดของแบบวัดพฤติกรรมการมีจิตอาสา พบว่า เมื่อทาการ วิเคราะห์ ความไม่ แปรเปลี่ยนของโมเดลการวัดตามเกรด เฉลี่ยของนักศึกษาปริญญาตรี โดยแบ่ งเป็ นนักศึกษาที่มี เกรดเฉลี่ ยน้ อยจ านวน 106 คน และนั กศึ กษาที่มี เกรด เฉลี่ยมาก จานวน 94 คน พบว่ าโมเดลการวัดของแบบวัด

ค่าสถิติในโมเดล p-value 0.09 0.03 1.00 0.97 0.04

df 47

นี้มีความไม่แปรเปลี่ยนอย่างน้ อย 2 ประการ (ตารางที่ 3) ได้ แก่ 1) ความไม่ แปรเปลี่ยนรูปแบบของโมเดล (Form Invariance) 2) ความไม่แปรเปลี่ยนของนา้ หนักองค์ประกอบ (LY) (Factorial Invariance) ดังนั้น จึงสนับสนุ นสมมติฐาน ที่ 3

ตารางที่ 3 ผลการวิเคราะห์ความไม่แปรเปลี่ยนของการวัด ของแบบวัดพฤติกรรมการมีจิตอาสา ซึ่งแบ่งตามเกรดเฉลี่ย Model ตามสมมติฐาน

x2

df

1.โมเดลรูปแบบเดียวกัน 2. (1) + LY = IN 3. (2) + GA = IN 4. (3) + TE = IN 5. (4) + PS = IN

198.75 213.79 217.73 234.13 246.94

124 134 137 150 153

ดัชนีความกลมกลืน P x2/df RMSEA value 1.60 0.00 0.07 1.60 0.00 0.07 1.59 0.00 0.07 1.56 0.00 0.07 1.61 0.00 0.07

4. ผลการวิ เคราะห์ ผ ลความตรงของแบบวั ด ที่เป็ น มาตรฐานและแบบวัดที่สร้ างขึ้นใหม่ พบว่ า การวิเคราะห์ ค ว าม ต รง (Validity) ป ระเภ ท Convergent Validity กล่าวคือ แบบวัดพฤติกรรมการมีจิตอาสา มีความสัมพันธ์ ทางบวกกับแบบวัดพฤติกรรมการมีจิตอาสาที่มีมาตรฐาน สูง (r = 0.73) ได้ แก่ แบบวัดของ ธิดาชนก วงค์พิ ทักษ์ (2556) โดยมี เนื้ อหาของแบบวั ด สองคล้ องกับแบบวั ด ที่สร้ างขึ้นใหม่ ซึ่งสนับสนุนสมมติฐานที่ 4

NNFI

CFI

0.94 0.94 0.95 0.95

0.95 0.95 0.95 0.95

x2 15.04 3.94 16.40 12.81

ค่าความแตกต่าง Critical df x2 10 18.30 3 7.81 13 22.36 3 7.81

CFI

MI

0 0 0 0

/ / / / x

การอภิปรายผลการศึกษา สามารถอภิ ปรายผลตามวัตถุประสงค์ของการวิจัยได้ ดังนี้ 1. การวิเคราะห์ องค์ประกอบเชิ งส ารวจของแบบวัด พฤติกรรมการมีจิตอาสา พบว่า ประกอบด้ วย 3 องค์ประกอบ รวม 13 ข้ อ ดังนี้ องค์ประกอบที่ 1 คือ รณรงค์ช่วยเหลือ สังคม เป็ นการร่ วมมือกันจัดกิจกรรม ชักชวนเพื่ อนหรือ


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

บุ ค คลให้ เข้ าร่ วมกิจ กรรมจิ ต อาสา โดยสามารถอธิบาย พฤติกรรมการมีจิตอาสาได้ 43.37% องค์ประกอบที่ 2 คือ บริจาคสิ่งของช่ วยเหลือ การบริจาคทรัพย์สนิ หรือสิ่งของ ต่างๆ ช่วยเหลือ เช่น นา้ ท่วม ไฟไหม้ เป็ นต้ น โดยสามารถ อธิบายพฤติกรรมการมีจิตอาสาได้ 54.77% องค์ประกอบ ที่ 3 คื อ กระท าเพื่ อส่ ว นรวม การกระท าที่ ค านึ งถึ งคน รอบข้ างมากกว่ าที่จะคานึงถึงตนเอง โดยสามารถอธิบาย พฤติกรรมการมีจิตอาสาได้ 64.81% ซึ่งสอดคล้ องกับงานวิจัย ของ จุ ฑ าพร นาครอด (2554) และสุ ค นธ์ ธา เส็ งเจริ ญ (2556) ได้ แบ่งองค์ประกอบของพฤติกรรมการมีจิตอาสา ไว้ 3 องค์ประกอบด้ วยกัน ได้ แก่ ความตระหนักถึงปั ญหา ที่เกิดขึ้นต่อส่วนรวม การมีส่วนร่ วมในการดูแลรักษา การ เคารพสิทธิในการใช้ ของส่วนรวม 2. การวิเคราะห์ องค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับที่สอง แบบวั ด พฤติ กรรมการมี จิ ต อาสายั งคงประกอบด้ ว ย 3 องค์ประกอบ คือ 1) รณรงค์ช่วยเหลือสังคม 2) บริจาค สิ่งของช่ วยเหลื อ และ 3) การกระท าเพื่ อส่ วนรวม เมื่ อ พิจารณาในรายละเอียดแล้ ว พบว่า องค์ประกอบที่สอง คือ บริจาคสิ่งของช่ วยเหลือ มีสัมประสิทธิ์ถดถอยของตัวแปร แฝงภายในบนตัวแปรแฝงภายนอกมากที่สุด (0.83) จึง เป็ นองค์ประกอบที่สาคัญที่สุด ประกอบด้ วยข้ อที่ใช้ วัด 4 ข้ อ โดยข้ อที่มี น้าหนั กองค์ประกอบมากที่สุด คือ VA 1 (ฉั น บริ จาคสิ่งของให้ กับหน่ วยงานหรือองค์กรที่ท างาน เกี่ยวกับ การให้ ความช่ วยเหลื อ ผู้ อ่ ืนและสังคม) ซึ่ งเป็ น ข้ อความทางบวก (น้าหนักองค์ประกอบ = 0.75) ดังนั้น จะเห็ น ได้ ว่ า นั ก ศึ ก ษาปริ ญ ญาตรี ไ ด้ ตระหนั ก ถึ ง การ เสี ย สละทรั พ ย์ สิน ส่ ว นตั ว เพื่ อการช่ วยเหลื อสั งคมหรื อ องค์กรเพื่ อนาสิ่งของเหล่ านี้ ไปใช้ ให้ เกิดประโยชน์ สูงสุด สอดคล้ องกับนักวิจัย ธิดาชนก วงค์พิทกั ษ์ (2556) กล่าวว่า การปฏิบัติกิจกรรมที่แสดงออกถึงความเอื้อเฟื้ อเผื่อแผ่ การเสียสละเวลา สิ่งของ เงินทอง แรงกาย สติปัญญา เพื่อ สาธารณะประโยชน์ หมายรวมถึงกิจกรรมที่ทามาแล้ ว และ กาลังจะเข้ าร่วมในอนาคต หรือเป็ นจิตใจที่มีความสุขเมื่อ ได้ ทาความดี ได้ ช่วยเหลือผู้ อ่ ืนและสังคม เพื่ อให้ ผ้ ู อ่ ืนมี ความสุขด้ วยความสมัครใจ และไม่ หวั งผลตอบแทน การ เข้ าร่ วมกิจกรรมที่เป็ นสาธารณะประโยชน์ การมีจิตสานึก ของบุ คคลที่มีต่ อส่ วนร่ วม เอาใจใส่ ป้ องกันแก้ ไขปั ญ หา

91

สังคมโดยการกระทาด้ วยความสมัครใจ ไม่ใช่ภาระหน้ าที่ท่ี ต้ องรับผิดชอบ เมื่อพิจารณาข้ อความในกลุ่มองค์ประกอบ นี้ ข้ อ VA7 VA3 และ VA6 มีความสอดคล้ องในความหมาย เดียวกัน ข้ อ VA7 (ฉันบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ท่ปี ระสบ ภั ย ธรรมชาติ เช่ น น้าท่ วม คลื่ น สึน ามิ ) ข้ อ VA3 (ฉั น มักจะนาสิ่งของมาบริจาคเพื่ อช่ วยเหลือผู้ประสบภัย เช่ น น้าท่วม หรือไฟไหม้ เป็ นต้ น ) และข้ อ VA6 (บ่ อยครั้งที่ เพื่ อนไม่ มีเงิน ฉั นซื้ออาหารกลางวันเลี้ยงเพื่ อน เป็ นการ เสียสละช่วยเหลือเพื่อนซึ่งเป็ นการแสดงออกถึงการมีนา้ ใจ ให้ กนั และกัน) องค์ประกอบที่สาม คือ การกระทาเพื่อส่วนรวม มี สัมประสิทธิ์ถดถอยของตัวแปรแฝงภายในบนตัวแปรแฝง ภายนอกรองลงมา (0.71) ประกอบด้ วยข้ อที่ใช้ วัด 4 ข้ อ โดยข้ อที่มีน้าหนั กองค์ประกอบมากที่สุด คือ VA9 (ฉั น ท างานเพื่ อส่ ว นรวมโดยไม่ ต้ องมี ใครขอร้ อ ง, น้า หนั ก องค์ประกอบ = 0.89) VA8 (ฉันต้ องทางานเพื่อส่วนร่วม ให้ สาเร็จก่อนเสมอ ถึงแม้ จะเลยเวลา, นา้ หนักองค์ประกอบ = 0.77) VA14 (ฉั น สนใจเฉพาะเรื่ อ งหรื อ ปั ญ หาของ ตนเองและบุคคลในครอบครัวเท่านั้น, นา้ หนักองค์ประกอบ = 0.38) VA4 (เมื่อเพื่ อนไม่ มีอุปกรณ์การเรียน ฉั นแบ่ ง อุปกรณ์การเรียนให้ เพื่อน, นา้ หนักองค์ประกอบ = 0.34) องค์ประกอบแรก คือ รณรงค์ช่วยเหลื อสังคม มี สัมประสิทธิ์ถดถอยของตัวแปรแฝงภายในบนตัวแปรแฝง ภายนอกน้ อยที่สุด (0.71) ประกอบด้ วยข้ อที่ใช้ วัด 5 ข้ อ โดยข้ อที่มีนา้ หนักองค์ประกอบมากที่สุดเท่ากัน 2 ข้ อ คือ VA17 และ VA16 (ฉั นและเพื่ อนร่ วมกันเสนอกิจกรรม เพื่ อพั ฒ นามหาวิ ทยาลั ยหรือสังคมอย่ างสร้ างสรรค์และ หลากหลาย, น้าหนักองค์ประกอบ = 0.86) (ฉันร่ วมมือ กั บ เพื่ อนหรื อ บุ ค คลอื่ น ๆ คิ ด กิ จ กรรมหรื อ แนวทางที่ เสริ ม สร้ างให้ เพื่ อนหรื อ คนในชุ ม ชนมี จิ ต ส านึ ก ที่ ดี ต่ อ มหาวิทยาลัยและส่วนรวม, นา้ หนักองค์ประกอบ = 0.86) VA12 (ฉันร่วมมือกับเพื่อนๆ ในมหาวิทยาลัยระดมความคิด เพื่อหาแนวทางในการแก้ ปัญหาและพัฒนามหาวิทยาลัย , นา้ หนักองค์ประกอบ = 0.81) VA13 (ฉันร่วมรณรงค์ให้ คนในสังคมตระหนั กถึงปั ญ หาและร่ วมกัน แก้ ไขปั ญหาที่ เกิดขึ้นในสังคมหรือชุ มชน, น้าหนั กองค์ประกอบ = 0.80) VA15 (ฉั น เขี ย นบทความ และข้ อ คิ ด เพื่ อเชิ ญ ชวนให้


92

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

เพื่ อนและบุคคลอื่นๆ ทากิจกรรมบาเพ็ญประโยชน์ เพื่ อ สังคมและชุมชน, นา้ หนักองค์ประกอบ = 0.79) ดังนั้ น สรุป การอภิ ป รายผลการวิ เคราะห์ พบว่ า องค์ประกอบที่สอง สาม และหนึ่ง มีความสาคัญในการนา แบบวั ด พฤติ ก รรมการมี จิ ต อาสาไปใช้ เนื่ องจากมี ค่ า สัมประสิทธิ์ถดถอยของตัวแปรแฝงภายในบนตัวแปรแฝง ภายนอก (0.83, 0.71 และ 0.67) ตามลาดับ 3. การวิเคราะห์ความไม่แปรเปลี่ยนของโมเดลการวัด ตามเกรดเฉลี่ยโมเดลการวัดของแบบวัดพฤติกรรมการมี จิตอาสา มีความไม่แปรเปลี่ยนอย่างน้ อย 2 ประการ ได้ แก่ 1) ความไม่แปรเปลี่ยนรูปแบบของโมเดล (Form Invariance) และ 2) ความไม่ แ ปรเปลี่ ย นของน้าหนั ก องค์ ป ระกอบ (Factorial Invariance) นั่ น คื อ นั ก ศึ กษาที่มี เกรดเฉลี่ ย ที่ แตกต่ า งกั น ได้ แก่ นั ก ศึ ก ษาที่ มี เกรดเฉลี่ ย มาก และ นั ก ศึ ก ษาที่ มี เกรดเฉลี่ ย น้ อย ยั ง คงมี พ ฤติ ก รรมการมี จิ ต อาสาที่ป ระกอบไปด้ วย 3 องค์ ป ระกอบ ค่ าน้าหนั ก องค์ประกอบและค่าความคลาดเคลื่อนของตัวแปรที่สงั เกต ได้ เท่ากัน 4. ความตรงของแบบวัดพฤติกรรมการมีจิตอาสา ที่ สร้ างขึ้ นใหม่ แ ละท าการวิ เคราะห์ ห าค่ า สั ม ประสิ ท ธิ์ สหสัม พั น ธ์ระหว่ างแบบวั ด ที่ ส ร้ างใหม่ กั บ แบบวั ด ที่ มี คุณลักษณะเดียวกันที่สร้ างขึ้นไว้ แล้ ว ซึ่งผลการวิเคราะห์ได้ ยืนยันว่าแบบวัดที่สร้ างขึ้นใหม่น้ มี มี าตรฐานสูง (r = 0.73) ซึ่ ง สอดคล้ องกั บ แบบวั ด ที่ ส ร้ า งไว้ แล้ วของ ธิ ด าชนก วงค์ พิ ทั ก ษ์ (2556) กล่ า วว่ า จิ ต อาสา คื อ การปฏิ บั ติ กิจกรรมที่แสดงออกถึงความเอื้อเฟื้ อเผื่อแผ่ การเสียสละ เวลา สิ่งของ เงินทอง แรงกาย สติปัญญา เพื่ อสาธารณะ ประโยชน์ หรือเป็ นจิตใจที่มีความสุขเมื่อได้ ทาความดี ได้ ช่วยเหลือผู้อ่ นื และสังคม เพื่อให้ ผ้ ูอ่ นื มีความสุขด้ วยความ สมัครใจ และไม่หวังผลตอบแทน และ คมนา วัชรธานินท์ (2546) กล่ าวว่ า พฤติ กรรมอาสา หมายถึ ง การท างาน ช่ วยเหลื อบ าเพ็ ญ ประโยชน์ แ ก่ ป ระชาชนและสังคม ใน ลักษณะต่ างๆ เช่ น สละเวลา สละแรงกาย สละทุนทรัพย์ ส่ ว นตั ว บางส่ ว นในการด าเนิ น กิ จ กรรมที่ ก ระท าเพื่ อ ช่วยเหลือบุคคลที่ด้อยโอกาสด้ วยความสมัครใจและเต็มใจ โดยไม่รับค่าจ้ าง

ข้อเสนอแนะ 1. แบบวัดพฤติกรรมการมีจิตอาสา ทั้ง 3 องค์ประกอบ ได้ แก่ 1) รณรงค์ช่วยเหลือสังคม เป็ นการร่ วมมือกันจัด กิ จ กรรม ชั ก ชวนเพื่ อนหรื อ บุ ค คลให้ เข้ า ร่ ว มกิ จ กรรม จิตอาสา 2) บริจาคสิ่งของช่วยเหลือ การบริจาคทรัพย์สิน หรือสิ่งของต่างๆ ช่วยเหลือ เช่น นา้ ท่วม ไฟไหม้ เป็ นต้ น และ 3) กระท าเพื่ อส่ ว นรวม การกระท าที่ ค านึ งถึ งคน รอบข้ างมากกว่ าที่จะคานึงถึงตนเอง ดังนั้น มหาวิทยาลัย หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้ อง ควรให้ ความสาคัญและตระหนัก ถึงองค์ประกอบ 3 ด้ าน ของพฤติกรรมการมีจิตอาสา โดย การน าเข้ า ไปสอดแทรกในวิ ช าเรี ย น หรื อ จั ด กิ จ กรรม พฤติกรรมการมีจิตอาสา โดยใช้ องค์ประกอบที่กล่ าวมา เป็ นหัวข้ อในการจัดอบรมหรือกิจกรรมต่อไป 2. งานวิจัยนี้นับเป็ นการสร้ างแบบวัดพฤติกรรมการมี จิตอาสาของนักศึกษาปริญญาตรีท่มี ีพ้ ื นฐานมาจากทฤษฏี และองค์ความรู้อย่ างครบถ้ วน มีกระบวนการและขั้นตอน ในการสร้ างและประเมินคุณภาพแบบวัดที่ถูกต้ องตามหลัก ทางวิชาการสมัยใหม่ ดังนั้ น จึงเป็ นการสร้ างองค์ความรู้ ใหม่ ให้ แก่ วงการวิ ชาการโดยเฉพาะในประเทศไทย แต่ อย่ างไรก็ตาม ควรทาการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน อีกครั้ ง เมื่ อ น าแบบวั ด พฤติ กรรมการมี จิ ต อาสานี้ ไปใช้ ในการวิจัยในอนาคต 3. แบบวัดพฤติกรรมการมีจิตอาสา อาจนาไปทาวิจัย ใช้ เพื่ อสร้ างเป็ นดัชนี ท่ีสาคัญ ประการหนึ่งทางสังคมของ วัยรุ่นไทย รวมทั้งสามารถนาแบบวัดไปทาการศึกษาวิจัยใน ฐานะตั ว แปรเชิ ง ผล เพื่ อแสวงหาปั จจั ย เชิ ง เหตุ ข อง พฤติกรรมการมีจิตอาสาได้ อกี ด้ วย เอกสารอ้างอิง โกศล มีความดี. (2547). ปั จจัยทางจิตสังคมที เ่ กีย่ วข้อง กับการมีจิตสาธารณะของข้าราชการตารวจ. (วิทยานิพนธ์ ปริญ ญามหาบั ณ ฑิต ). มหาวิ ทยาลั ยศรี น คริ น ทรวิโรฒ, กรุงเทพฯ. [1]


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

93

คมนา วั ช รธานิ น ท์ . (2546). ปั จ จัย เชิ ง เหตุ แ ละผลที ่ นงลั ก ษณ์ วิ รั ช ชั ย . (2537). ความสัม พั น ธ์ โครงสร้า ง เกี ย่ วข้องกับพฤติ กรรมอาสาสมัครพัฒ นาของนักศึ กษา เชิ ง เส้น (LISREL). กรุ ง เทพฯ: โรงพิ ม พ์ จุ ฬ าลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). สถาบัน มหาวิทยาลัย. [9] บัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, กรุงเทพฯ. [2] นันทวัฒน์ ภัทรกรนันท์. (2555). การพัฒนาชุดฝึ กอบรม จารุ ณี จั น ทร์ เ จริ ญ . (2555). ปั จจั ย ทางจิ ต สั ง คมที ่ โดยใช้กระบวนการเรียนรูจ้ ากประสบการณ์เพื อ่ เสริมสร้าง เกีย่ วข้องกับกับพฤติ กรรมจิตสาธารณะของนักเรียนระดับ จิ ต สาธารณะส าหรับ อาสายุ ว กาชาด. (ปริ ญ ญานิ พ นธ์ มัธยมศึ กษาตอนต้น อ าเภอเมื องลพบุ รี จังหวัด ลพบุ รี . ปริ ญ ญาดุ ษ ฏี บั ณ ฑิ ต ). มหาวิ ทยาลั ย ศรี น คริ น ทรวิ โรฒ (วิ ท ยานิ พ นธ์ ป ริ ญ ญ ามหาบั ณ ฑิ ต ). มหาวิ ท ยาลั ย ประสานมิตร, กรุงเทพฯ. [10] ศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร, กรุงเทพฯ. [3] ปิ ยะนาถ สรวิสูต ร. (2552). แรงจูงใจของผูน้ าเยาวชน จุ ฑาพร นาครอด. (2554). ปั จจัยเชิงสาเหตุ ที่ส่ งผลต่ อ ที ่มี จิ ต อาสาในการท ากิ จ กรรมเพื ่ อ สัง คม: กรณี ศึ ก ษา การมีจติ สาธารณะของนักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปี ที ่ 2 ในเขต สภาเยาวชนกรุ ง เทพมหานคร. (วิ ท ยานิ พ นธ์ ป ริ ญ ญา พื้ นที ่การศึ กษากรุ งเทพมหานคร เขต 3. (วิทยานิ พ นธ์ มหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, กรุงเทพฯ. [11] ปริญ ญามหาบั ณ ฑิต ). มหาวิ ทยาลั ยศรี น คริ น ทรวิโรฒ, วิ ม ลพรรณ อาภาเวท และเณรศา ชั ย ศุ ภ มงคลลาภ. กรุงเทพฯ. [4] (2556). ความสัม พั น ธ์ ร ะหว่ างการเปิ ดรับ ข่ า วสารกับ ณั ฐณิ ชากร ศรี บริ บู รณ์ . (2550). การพั ฒ นาโมเดลเชิ ง พฤติ กรรมจิ ต อาสาของวัย รุ่ น ในเขตกรุ งเทพมหานคร. สาเหตุของจิตอาสาของนักเรียนมัธยมศึ กษาตอนปลายใน (รายงานผลการวิจัย). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี โรงเรี ย นสัง กัด ส านั ก งานคณะกรรมการการศึ ก ษาขั้น ราชมงคลพระนคร. [12] พื้ นฐาน. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). จุ ฬาลงกรณ์ สุ ค นธ์ ธา เส็ง เจริ ญ . (2556). การวิ เคราะห์ โครงสร้า ง มหาวิทยาลัย, กรุงเทพฯ. [5] ความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของปั จจัยทีม่ ีอิทธิพลต่อจิตสานึ ก ดวงเดือน พันธุมนาวิน. (2550). Pros และ Cons ในการ สาธารณะในนิ สิตระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยศรีนคริน วัดด้ วยมาตรประเมินรวมค่า โดยให้ ผ้ ูตอบรายงานตนเอง. ทรวิโรฒ. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัย วารสารพัฒนาสังคม, 9(2), 94-117. [6] ศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร, กรุงเทพฯ. [13] ธนิดา ทองมีเหลือ, ณิธีย์ หล่ อเลิศวิทย์ , รพีวัฒน์ เลิศวุฒิ สกุล, ภัคธร วิศิษฏ์วิริยะชัย, กริส จุฑานันท์ และเรวดี ทรง เที่ยง. (2550). ปั จจัยทางจิตสังคมที่ส่งผลต่อจิตสาธารณะ ของนิสติ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. วารสารพฤติกรรม ศาสตร์, 13(1), 92-103. [7]

สุพัฒนา บุญแก้ ว. (2556). ปั จจัยทางจิตสังคมทีเ่ กีย่ วข้อง กับพฤติ กรรมอาสาสมัค รของยุ ว กาชาดในเขตกรุ งเทพ มหานคร. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร, กรุงเทพฯ. [14]

สุภมาส อังศุโชติ, สมถวิล วิจิตรวรรณา และรัชนีกลู ภิญโญ ธิดาชนก วงค์พิทกั ษ์. (2556). ปั จจัยทางจิตสังคมทีส่ ่งผล ภานุ วั ต น์ . (2554). สถิ ติ วิ เคราะห์ ส าหรับ การวิ จ ัย ทาง ต่ อพฤติ กรรมจิตอาสาของนิ สิตมหาวิทยาลัยศรีนคริ นทร สัง คมศาสตร์ แ ละพฤติ กรรมศาสตร์ : เทคนิ ค การใช้ วิโรฒ. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต ). มหาวิทยาลัย โปรแกรม LISREL (พิ มพ์ ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ: เจริญ ดี ศรีนครินทรวิโรฒ, กรุงเทพฯ. [8] มั่นคงการพิมพ์. [15]


94

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

Borsboom, D. (2006). When does measurement invariance matter? Medical Care, 44, 176-181.

Translated Thai References

Arphavet, V., & Chaisuphamongkol, N. (2013).The Geogory, R. J. (2007). Glossary: convergent validity. relationship between exposure and behavior of young In Psychological. New York, NY: Person Education. volunteers in Bangkok (Research Report). Bangkok: Rajamangala University of Technology Phra Nakhon. Kerlinger, F. N., & Lee, H. B. (2000). Foundations of [in Thai] [12] behavioral research (4th ed.). Forth Worth, TX: Harcourt College. Aungsusort, S., Wijitwanna, S., & Pinyopanuwat, R. (2011). Statistics for Social and Behavior Science: Meredith, W. (1993). Measurement invariance, factor Technical Using LISREL (3nd ed.). Bangkok: analysis and factorial invariance. Psychometric, 58, Charoenmonkongkanpim. [in Thai] [15] 525-543. Bhanthumnavin, D. (2007). Pros and Cons Summated Meredith, W., & Teresi, J. A. (2006). An essay on Rating Method with Self-Report. Journal of Social measurement and factorial invariance. Medical Care, Development, 9(2), 94-117. [in Thai] [6] 44, 69-77. Boonkeaw, S. (2013). Psychological Factors Related Reise, S. P., Wideman, K. F., & Pugh, R. H. (1993). to Volunteer Behavior of The Thai Red Cross Youth Confirmatory factor analysis and item response theory: Volunteers in Bangkok. (Master’s thesis). Srinakharinwirot Two approaches for exploring measurement invariance. University, Bangkok. [in Thai] [14] Psychological Bulletin, 114, 552-566. Chancharoen, J. (2012). Psycho-Social Factors Roe, R. A. (2006). Measurement equivalence in Related to Public Mind Behavior of Students in Muang organizational research. Retrieved form http://www. Lopburi District, Lopburi Province. (Master’s thesis). intestcom.org/Downloads/ITC2006Brussels. Srinakharinwirot University, Bangkok. [in Thai] [3] Spector, P. E. (1992). Summated rating scale Meekhuamdee, K. (2004). Psychological Factor Related construction: An introduction. London: Sage Publications. to Public Mind Behavior of The Police Office. (Master’s Vandenberg, R. J., & Lance, C. E. (2000). A review thesis). Srinakharinwirot University, Bangkok. [in Thai] and synthesis of the measurement invariance literature: [1] Suggestions, practices and recommendations for Nakrod, C. (2011). Causal Factors Influencing Public organizational research. Organizational Research Methods, Mind of Matthayomsuksa II Students in Bangkok 9, 214-227. Educational Service Area III. (Master’s thesis). Wu, A. D., Li, Z., & Zumbo, B. D. (2007). Decoding Srinakharinwirot University, Bangkok. [in Thai] [4] the meaning of factional invariance and updating practice of multi-group confirmatory factor analysis: A demonstration with TIMM data. Practical Assessment. Research and Evaluation, 12, 1-25.


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

95

Pattaragoranan, N. (2012). The Development of Using Training Package Experimental Learning Process to Enhance the Public Consciousness of Red Cross Youth Volunteers. (Doctoral dissertation). Srinakharinwirot University, Bangkok. [in Thai] [10]

Thongmeelua, T., Lualerdwit, N., Leardwutsakul, R., Wisitwiriyachi, P., Juthanan, K., & Trongtueng, R. (2007). Phycho-Social Factors on Public Mind of Srinakharinwirot University Students. Journal of Behavioral Science, 13(1), 92-103. [in Thai] [7]

Sengcharoen, S. (2013). An Analysis of Structural Causal Relationship of Factor Influencing on Public Mind of Undergraduate Student, Srinakharinwirot University. (Master’s thesis). Srinakharinwirot University, Bangkok. [in Thai] [13]

Virutchai, N. (1994). Linear Structural Relationship (LISREL). Bangkok: Chulalongkorn University Press. [in Thai] [9] Watcharatanin, K. (2003). Antecedent and Consequent Factors Relating to Volunteering Behavior of University Students. (Master’s thesis). National Institute of Development Administration, Bangkok. [in Thai] [2]

Sorrawisut, B. (2009). Motivation of Youth Leaders with Volunteer Spirit on Social Activities: A Study of Bangkok Metropolitan Youth Council. (Master’s thesis). Wongpitak, T. (2013). Effect of Psychological Factors Thummasat University, Bangkok. [in Thai] [11] to Volunteer Spirit Behavior of Undergraduate at Sriboriboon, N. (2007). Development of A Causal Srinakharinwirot University. (Master’s thesis). Model of Student’s Volunteer Mind in The Upper Srinakharinwirot University, Bangkok. [in Thai] [8] Secondary Schools under The Office of The Basic Education Commission. (Master’s thesis). Chulalongkorn University, Bangkok. [in Thai] [5]


96

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ลักษณะหลักทรัพย์ทีก่ องทุนรวมเลือกลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จันทิมา พิพัฒนเดช* และธนโชติ บุญวรโชติ

Security Characteristic Preferred by Mutual Fund in SET Chantima Pipattanadech* and Tanachot Bunworachot ภาควิชาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมเกษตร คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรุงเทพฯ 10900 Department of Agro-Industrial Technology, Faculty of Agro-Industry, Kasetsart University, Bangkok 10900 * Corresponding author. E-mail address: amoretoyou_dd@hotmail.com บทคัดย่อ การประยุกต์ใช้ Discriminant Analysis ในงานวิจัยนี้ เพื่อระบุและอธิบายปั จจัยที่มีผลต่ อการตัดสินใจลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ โดยแบ่ ง ออกเป็ น 2 กลุ่ม คือ หลักทรัพย์ท่กี องทุนเลือกลงทุน และหลักทรัพย์ ท่ กี องทุนไม่ เลือกลงทุน ของหุ้ นจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย ในกลุ่ม SET100 โดยข้ อมูลทางการเงิน ได้ แก่ ข้ อมูลรายวันของ ราคา, ปริมาณการซื้อขาย, ขนาดของกิจการ, มูลค่าทางบัญชี และราคาเสนอ ซื้อ-ขาย และข้ อมูลรายไตรมาส ได้ แก่ ROA, ROE, Net Profit Margin จาก SETSMART พบว่ า ปั จจัยที่มีผลต่ อการคัดเลือกหุ้ นทางสถิ ติ ที่ระดับนัยสาคัญ 95% มากที่สดุ แบ่ งออกเป็ นปั จจัยที่มีอิทธิพลต่อการคัดเลือกหลักทรัพย์ทางบวก ได้ แก่ มูลค่าทางบัญชี, ขนาดของบริษัท และการทากาไรจากสินทรัพย์ และปั จจัยที่มีอิทธิพลต่ อการคัดเลือกหลักทรัพย์ทางลบ ได้ แก่ ความผันผวนของราคา พบว่า มีปัจจัย 11 ตัว ที่ อยู่ ในสมการท านาย ได้ แก่ Turnover, Amihud, Quoted-Spread, Price, Volatility, PE, Growth Mcap, ROE, P/BV and Net Profit Margin ผลการทานายการตัดสินใจลงทุนในแต่ละหลักทรัพย์ของนักลงทุนสถาบัน พบว่า สมการการทานายมีความแม่นยา 78.10% คาสาคัญ: Discriminant Analysis การตัดสินใจลงทุน กองทุน Abstract Discriminant analysis has been applied in this research in order to identify and explain variable that influence the decision to invest in the stock market of local Institutions. Stocks were separated into 2 group: the stock was invested by local institutions and local institutions didn’t invest in SET 100 by financial data ; daily date are Price, Volume, Size, P/BV and Bid-ask and quarterly data are ROA, ROE, Net profit margin. It was found that positive relationship between investment selection and Book value, Size and Return on equity, negative relationship between investment selection and volatility. The findings identify 11 factors in prediction modal; Turnover, Amihud, Quoted-spread, Price, Volatility, PE, Growth Mcap, ROE, P/BV and Net profit margin and this model is predictive accuracy of 78.10% Keywords: Discriminant Analysis, Investment Decision, Mutual Fund

ทั้งในส่ วนของภาครั ฐบาลและเอกชน และน ามาซึ่ งการ ขยายตัวของเศรษฐกิจ การจ้ างงาน ดังนั้นการลงทุนจึงเป็ น การลงทุน คือ ทางเลือกหนึ่งในการจัดการเงินออมให้ ปัจจัยที่สะท้ อนสภาพเศรษฐกิจของประเทศ งอกเงยตามวัตถุประสงค์เพื่ อให้ ได้ กาไรหรือผลตอบแทน ในปั จจุ บันการลงทุนมีรูปแบบที่หลากหลายมาก เช่ น สูงสุด ในระดับที่สามารถยอมรับความเสี่ยงได้ และเพื่ อ เงินฝากประจา ตราสารทุน ตราสารหนี้ ตราสารอนุ พั นธ์ รักษาอานาจซื้ อของผู้ ออมจากภาวะเงิ นเฟ้ อ นอกจากนี้ กองทุ นต่ างๆ ตลอดไปจนการลงทุ นในอสังหาริมทรัพ ย์ การลงทุนยังมีผลต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ทาให้ นักลงทุนต้ องตระหนักถึงการวางแผนในการลงทุ น เนื่ องจากเงิน ที่นั กลงทุ นน าไปลงทุ น นั้ นจะถู กหมุ น เวียน ดั งนั้ น นั กลงทุ น จึ งจ าเป็ นต้ อ งมี ค วามรู้ ค วามเข้ าใจใน ไปยังผู้ท่ตี ้ องการเงินทุน และนาไปพัฒนาหรือขยายธุรกิจ ทางการลงทุนเกี่ยวกับสภาพแวดล้ อมทางการเงินมากขึ้น บทนา


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ซึ่งประชาชนที่มีเงินออมเหลื อพยายามหาทางเลื อกที่จะ สร้ างผลตอบแทนสูงสุดให้ กบตนเอง โดยการนาเงินออมไป ลงทุนในกิจกรรมต่างๆ อาทิเช่น การลงทุนในทองคา หรือ การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล เป็ นต้ น นอกจากนี้ สถาบัน การเงินต่ างๆ ได้ เสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินหลากหลาย รู ป แบบ เพื่ อตอบสนองต่ อ ความต้ องการของลู ก ค้ าที่ แตกต่างกัน เช่น การออกกองทุนรวมประเภทต่างๆ ทาให้ นักลงทุนประเภทบุคคลธรรมดาสามารถเลือกลงทุนผ่ าน กองทุนเหล่านั้นได้ การลงทุนเพื่อการออมผ่านกองทุนรวม เป็ นที่ ร้ ู จั ก กั น มากขึ้ น เนื่ อ งจากประชาชนเริ่ ม เข้ า ใจถึ ง ประโยชน์ของการลงทุนผ่านตัวแทนที่เป็ นมืออาชีพซึ่งจะ ลดความเสี่ยงจากการลงทุนด้ วยตนเอง สุพ ร จรูญ รั งสี (2546) ได้ ก ล่ าวว่ า ปั จจั ยที่มี ผลต่ อ พฤติ ก รรมการลงทุ น ในตลาดหลั ก ทรั พ ย์ ม ากที่ สุด คื อ ผลตอบแทน และแหล่งข้ อมูลข่าวสารที่ได้ จากการวิเคราะห์ และค าแนะน าของเจ้ าหน้ าที่การตลาด ซึ่งจากงานวิ จัยนี้ แสดงให้ เห็ น ว่ า นั กลงทุ น รายย่ อยเห็ น ว่ า กองทุ น หรื อ บริษัทหลักทรัพย์มีการวิเคราะห์การลงทุนที่ดีกว่า พนมพร อั ค รชยานั น ท์ และคนอื่ น ๆ (2557) ได้ ท าการศึ ก ษา พฤติ ก รรมและปั จจั ย ที่ มี ผ ลต่ อ การลงทุ น ในตราสาร ทางการเงินที่อยู่ ในการดู แลของตลาดหลักทรัพย์ พบว่ า ตารางที่ 1 มูลค่าการลงทุนของกลุ่มนักลงทุน (ล้ านบาท) ปี นักลงทุนสถาบัน บัญชีบริษทั หลักทรัพย์ 2553 -15199.64 -448.87 2554 -29149.48 1306.98 2555 -24302.39 7256.35 2556 108163.11 -1722.69 2557 71423.94 3581.63 2558 62543.16 -3785.13 avg. 28913.12 1031.38 ที่มา: ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (2558)

จากการศึกษาหลักทรัพย์ท่นี ักลงทุนสถาบันเลือกลงทุน โดยข้ อมูลออนไลน์ จาก Wealthmagik จะเป็ นหลักทรัพ ย์ ที่อยู่ในกลุ่ม SET100 ซึ่งการเลือกลงทุนของกองทุนศึกษา ได้ จาก Grinbaltt, Titmam and Wermers (1995) กล่ าวว่ า กองทุนส่วนใหญ่จะเลือกลงทุนในหลักทรัพย์ท่มี ผี ลตอบแทน ในอดีตสูง Chen, Jegadeesh and Wermers (2000) แสดง

97

ปัจจัยภายในที่มผี ลต่อการลงทุนมากที่สดุ คือ ความเชื่อมั่น ในการลงทุน ส่วนปั จจัยภายนอก คือ การรับข้ อมูลข่าวสาร ด้ านการลงทุน ประภัสสร วารีศรี และสุบรรณ เอี่ยมวิจารณ์ (2555) ได้ ศึกษาปั จจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจลงทุนของ นักลงทุนรายย่ อยในประเทศไทยในการลงทุนในกองทุ น รวม พบว่า พฤติกรรมการลงทุน เพื่อต้ องการผลตอบแทน มากกว่าการฝากเงินกับธนาคาร สาหรับปั จจัยด้ านการรับรู้ ข้ อมูลข่าวสารนั้น แหล่ งข้ อมูลข่าวสารที่นักลงทุนรายย่ อย เห็น ด้ วยว่ า มี ผลต่ อการตั ดสิน ใจมากที่สุด คือ หนั งสือ ชี้ชวน/เอกสารโฆษณา ซึ่งนักลงทุนรายย่อยมีข้อจากัดที่ทาให้ ไม่สามารถลงทุน ในตลาดหลั กทรั พ ย์ โดยตรงได้ เนื่ องจากนั กลงทุ น ต้ อง อาศั ย ข้ อ มู ล เพื่ อประกอบการตั ด สิ น ใจ ต้ องอาศั ย การ วิเคราะห์ท่ถี ูกต้ องแม่นยา นอกจากนั้น การตัดสินใจจะต้ อง รวดเร็ว การลงทุน จึงจะมีประสิทธิภาพและให้ ผลตอบแทน ตรงตามเป้ าหมายที่กาหนดได้ จากตารางที่ 1 พบว่ า กลุ่ม กองทุ น มี มู ล ค่ าการลงทุ น โดยรวมสูงกว่ ากลุ่ ม นั กลงทุ น รายย่ อ ยถึ ง 4 เท่ า อั น เนื่ องมาจากความช านาญในการ วิเคราะห์ ข่าวสารและข้ อมูลที่ได้ รับรวดเร็วกว่ านักลงทุ น รายย่ อย รวมทั้ งอุ ป กรณ์ แ ละเครื่ องมื อในการวิ เคราะห์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (2558) นักลงทุนต่างประเทศ 81723.80 -5119.41 76388.33 -193911.00 -36584.47 -143629.11 -36855.31

นักลงทุนภายในประเทศ -66075.30 32961.91 -59342.29 87470.58 -38421.09 84871.08 6910.82

ให้ เห็นว่า กองทุนจะมีการคัดเลือกหลักทรัพย์ จากอัตราการ เติบโต และขนาดของหลักทรัพย์ ซึ่งคุณลักษณะดังกล่ าว มี ค วามสั ม พั น ธ์ กั บ อั ต ราผลตอบแทนเฉลี่ ย Fama and French (1996) ศึกษาพบว่ า ขนาดของกิจการ มูลค่ าทาง บั ญ ชี และมู ล ค่ าทางการตลาด มี ค วามสัม พั น ธ์กับ การ ท านายอั ต ราผลตอบแทนในอนาคต ซึ่ งสอดคล้ องกั บ


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

98

Daniel and Titman (1997); Jegadeesh and Titman (1993) ศึกษาว่า การซื้อหลักทรัพย์ท่มี ผี ลการดาเนินงานดี และขาย หลั กทรัพ ย์ ท่ีผลการด าเนิ นงานไม่ ดี พบว่ า การท ากาไร ไม่ ได้ เป็ นผลมาจากความเสี่ยงจากระบบ หรือการเข้ าซื้ อ ขายช้ า แต่เป็ นผลมาจาก ขนาดของกิจการ Chen and Bakshi (1996) อธิบายการทานายอัตราผลตอบแทนในอนาคต จากข้ อ มู ล อั ต ราผลตอบแทนในอดี ต ซึ่ ง พบว่ า อั ต รา ผลตอบแทนในอดี ต ไม่ สามารถท านายได้ อย่ างมี ประสิทธิภาพ จึงได้ วิเคราะห์ ความเสี่ยงของตลาด ขนาด ของกิจการ และมู ลค่ าทางการตลาดร่ วมด้ วย และพบว่ า ปัจจัยดังกล่าวมีผลต่อการทานายอัตราผลตอบแทนที่ดี งานวิจัยชิ้นนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยต่างๆ ของ หลักทรัพย์ท่มี ีผลต่อการเลือกลงทุนของกองทุน และสร้ าง สมการจาแนกกลุ่มหลักทรัพย์ท่กี องทุนลงทุนและไม่ลงทุน ด้ วยวิ ธี ก ารวิ เ คราะห์ การจ าแนกกลุ่ ม (Discriminant Analysis) เพื่ อ ท านายว่ า หลั กทรั พ ย์ น้ั น ๆ อยู่ ในกลุ่ ม ที่ นักลงทุนสถาบันเลือกลงทุนหรือไม่

วิธีการศึกษาและวัสดุอุปกรณ์ การรวบรวมข้อมูลในการวิจยั 1. รวบรวมข้ อมู ล ทางออนไลน์ จ าก SET Market Analysis and Reporting Tool (SETSMART) ของบริษั ท จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่ม SET 100 ตั้งแต่ปี พ.ศ.2553-2558 2. รวบรวมข้ อมู ล พอร์ต การลงทุ น ของกองทุ น การ ลงทุนประเภท กองทุนรวมตราสารทุนจาก Wealthmagic ในปี 2558 3. ตัวแปรอิสระที่ใช้ ในการวิเคราะห์ ตัวแทนวัดสภาพ คล่ อง ได้ แก่ Turnover (1), Amihud (2), Roll (3), Quoted spread (4 ), Zero return แ ล ะปั จ จั ย พื้ น ฐาน เฉพาะตัวของหลักทรัพย์น้ันๆ ได้ แก่ ราคา, ปริมาณการ ซื้อขาย, ความผันผวน (ความแปรปรวนของผลตอบแทน), ขนาดของกิจการ, ผลตอบแทนสูงสุด, ความแปรปรวนของ ผลตอบแทน, P/E, Dividend Yield, ผลตอบแทนสะสม, Cumulative Mcap, Growth of Mcap, Growth (5), ROE, ROA, B/PV, EPS และ Net Profit Margin (1)

turnovert คือ อัตราส่วนระหว่ างปริมาณหุ้นที่มีการซื้อ Vi,t คือ จานวนหุ้นทั้งหมดของที่มีการซื้อขายของหุ้น i ขายของตลาดหลักทรัพ ย์ในวัน กับจานวนหุ้ นทั้งหมดใน ในเดือน t ตลาดหลักทรัพย์ของตลาดหลักทรัพย์ในเดือน t Di,t คือ จานวนวันที่มกี ารซื้อขายของหุ้น i ในเดือน t Share outstanding คื อ จ านวนหุ้ นทั้ ง หมดในตลาด หลักทรัพย์ของหุ้น i ในเดือน t (2) Amihudi,t คือ Illiquidity ratio หุ้น i ในเดือน t Di,t คือ จานวนวันที่มกี ารซื้อขายของหุ้น i ในเดือน t

Ri,t คือ ผลตอบแทนของหุ้น i ในเดือน t Vi,t คือ มูลค่าการซื้อขายของหุ้น i ในเดือน t (3)

Pt คือ ราคาปิ ดในวันที่ t

Pt-1 คือ ราคาปิ ดในวันที่ t-1


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

99

(4) Qi,t คือ ต้ นทุนในการซื้อขายของหุ้น i ในวัน t Aski,t คือ ราคาเสนอขายหุ้น i ในวัน t Bidi,t คือ ราคาเสนอซื้อหุ้น i ในวัน t

Aski,t-1 คือ ราคาเสนอขายหุ้น i ในวัน t-1 Bidi,t-1 คือ ราคาเสนอซื้อหุ้น i ในวัน t-1

(5) Gi,j คือ อัตราการเติบโตของหุ้น i ในไตรมาส j เครื่องมือในการวิจยั และวิธีการวิจยั วิเคราะห์ข้อมูลด้ วย Discriminant Analysis มีวัตถุประสงค์ เพื่ อจัด แยกกลุ่ มโดยใช้ ตัวแปรอิสระในการพยากรณ์ ค่ า ตั ว แปรตาม ( Dependent Variable, Criterion Variable, Grouping Variable) โดยมี ส มมติ ฐ าน คื อ ค่ า เฉลี่ ย ของ ตัวแปรต้ นแต่ละกลุ่มเท่ากันหรือไม่ การทดสอบนัยสาคัญ ทางสถิติเป็ นการทดสอบระยะระหว่าง Centriod ของแต่ละ กลุ่ม ทาให้ ได้ ฟังก์ชันการจาแนก เพื่ ออธิบายว่ า สามารถ จาแนกกลุ่มด้ วยตัวแปรใด และใช้ ในการพยากรณ์การเข้ าสู่

กลุ่มของข้ อมูลใหม่ กัลยา วินิชย์บัญชา (2551) จากข้ อมูล ที่มีการจัดกลุ่มไว้ ให้ แล้ ว Discriminant Analysis จะสร้ าง กฎเกณฑ์ ท่ีใช้ ในการแยกแยะกลุ่ ม ออกโดยใช้ เทคนิ ค ที่ เรี ย กว่ า Fisher’s Linear Discriminant Function Analysis ทั้งนี้ ถ้ าสมมติว่าเรามีมาตรวัดที่แสดงด้ วยตัวแปรอิสระ q ตั ว (X1 , X2 ,…….. Xq) Discriminant Analysis จะหา Function ที่ เป็ น Linear Transformation ข อ ง X1, X2 ,…….. Xq ที่อยู่ในรูป

Z = a1x1+a2x2+a3x3+…+aqxq การวิเคราะห์ Discriminant Analysis 1. การทดสอบค่ า Wilk’s Lamda เพื่ อทดสอบว่ า ตัวแปรอิสระใดมี ความสาคัญ ต่ อ Discriminant Function และหากพบว่ า ตั ว แปรอิส ระเพี ย งตั ว เดี ย วมี นั ย ส าคั ญ หมายความว่า โดยรวม Model ที่ได้ มนี ัยสาคัญ 2. การทดสอบ Box’s M test of Equality of Covariance Matrices เพื่ อพิ จารณาว่ า Covariance เท่ ากันหรือไม่ แต่ หากพบว่า Log Determinants ของกลุ่มทั้ง 2 มีค่าใกล้ เคียง กัน สามารถไม่พิจารณา Box’s M test ได้ 3. Eigenvalues บ่ งบอกสั ด ส่ ว นความส าคั ญ ของ Discriminant Functions 4. Canonical Correlation ใช้ วัดความเชื่อมโยงระหว่ าง กลุ่มที่แสดงด้ วยตัวแปรตาม และ Discriminant Function 5. Model Wilks’ Lambda ใช้ ในการทดสอบ Discriminant Function โดยรวม

Ho: กลุ่ มทั้ งสองกลุ่ ม ห รื อ มากกว่ ามี Mean Discriminant Function Scores เท่ากัน Ha : กลุ่ มทั้ งสองกลุ่ ม ห รื อ มากกว่ ามี Mean Discriminant Function Scores ไม่เท่ากัน 6. Structure Matrix แสดงความสั ม พั นธ์ ร ะหว่ า ง Discriminant Scores กั บ Predictor Variables โ ด ย ค่ า Coefficients ที่มคี ่าสูงกว่า 0.3 ถือว่า มีความสาคัญ 7. Canonical Discriminant Function Coefficients ใช้ สร้ าง Prediction Equation ซึ่ งเป็ น Linear Combination ของตัวแปรอิสระ ผลการศึกษา ผลการศึ กษาปั จจัยที่มีอิทธิพลต่ อการเลือกลงทุ นใน หลั ก ทรั พ ย์ ข องนั ก ลงทุ น สถาบั น โดยวิ ธี Discriminant Analysis


100

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

1. การทดสอบค่ า Wilk’s Lamda เพื่ อทดสอบความ เท่ากันของค่าเฉลี่ยของตัวแปรแต่ละกลุ่ม เพื่อทดสอบว่ า ตัวแปรอิสระใดมี ความสาคัญ ต่ อ Discriminant Function จากตารางที่ 2 พบว่ า ค่ าเฉลี่ ย ของ Turnover, Amihud, Quoted Spread, Price, Volatility, Size, P/E, Growth Mcap, ROE, P/BV, ROA แ ล ะ Net Profit Margin มี ความแตกต่ างกันอย่ างมีนัยสาคัญ ทางสถิติท่ีระดับความ เชื่อมั่น 95% และค่ าเฉลี่ยของ Volume, SD Return และ

EPS มีความแตกต่างกันอย่ างมีนัยสาคัญ ทางสถิติท่รี ะดับ ความเชื่อมั่น 90% % แสดงให้ เห็นว่า ปั จจัยที่มีผลต่อการ จ าแนกกลุ่ มหลั กทรั พ ย์ ท่ีก องทุ น รวมเลื อ กลงทุ น ได้ แ ก่ ปั จ จั ย ทางด้ านสภาพคล่ อ ง ได้ แก่ Turnover, Amihud, Quoted Spread, Growth Mcap และ Size ปั จจัยด้ านราคา ได้ แก่ Price, P/E และ P/BV ความสามารถในการทากาไร ได้ แก่ ROE, ROA และ Net Profit Margin และความ ผันผวน

ตารางที่ 2 ผลการทดสอบความเท่ากันของค่าเฉลี่ยของตัวแปรแต่ละกลุ่ม Turnover Zero Return Amihud Roll Quoted_Spread Price Volume Volatility Size SD_Return PE Dividend_Yield Growth_Mcap Growth ROE P/BV ROA EPS Net_Profit_Margin * มีนัยสาคัญที่ระดับความเชื่อมั่น 95% ** มีนัยสาคัญที่ระดับความเชื่อมั่น 90%

Wilks' Lambda 0.96 1.00 0.95 0.99 0.96 0.96 0.96 0.95 0.93 0.97 0.96 1.00 0.96 1.00 0.96 0.90 0.94 0.94 0.97

2. การทดสอบ Box’s M Test of Equality of Covariance Matrices เพื่ อพิ จารณ าว่ า Covariance เท่ า กั น หรื อ ไม่ ผลการทดสอบความแปรปรวนร่ ว มของตั ว แปรอิ ส ระ ทั้งสองกลุ่ม มีค่า p-value ที่น้อยกว่า 0.05 แสดงว่า ความ แปรปรวนร่ วมทั้งสองกลุ่ มแตกต่ างกันที่ระดับนั ยส าคัญ 95% ซึ่ งท าให้ ไม่ ผ่ าน เก ณ ฑ์ เบื้ องต้ น ขอ งการใช้ Discriminant แต่ หากพิ จารณาค่ า Log Determinants ของ กลุ่มที่กองทุนไม่เลือกลงทุนมีค่า 37.38 และกลุ่มที่กองทุน

P-value 0.04* 0.94 0.03* 0.47 0.05* 0.05* 0.06** 0.02* 0.01* 0.09** 0.04* 0.94 0.04* 0.57 0.05* 0.00* 0.02* 0.07** 0.03*

เลือกลงทุนมีค่า 40.48 ซึ่งใกล้ เคียงกัน โดย ดนัย ปั ตตพงศ์ (2558) กล่ าวว่า หากพบว่า Log Determinants ของกลุ่ม ทั้ง 2 มีค่าใกล้ เคียงกันสามารถไม่พิจารณา Box’s M Test ได้ 3. ผลการวิเคราะห์ ค่ าความสามารถในการแบ่ งกลุ่ ม ตัวแปรตาม Eigenvalues, Canonical Correlation และ Model Wilks’ Lambda


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ตารางที่ 3 ผลการวัดความสามารถในการจาแนกกลุ่มตัวแปรตาม Function Eigenvalue 1 0.76

จากตารางที่ 3 พบว่ า ค่ า Eigenvalue มีค่าเท่ ากับ 0.76 ซึ่งมีค่ามาก แสดงว่ า มีความแตกต่ างระหว่ างกลุ่ ม มาก และสามารถจาแนกกลุ่มหลั กทรัพย์ ท่ีกองทุ นเลื อก ลงทุ น หรื อ ไม่ ล งทุ น ได้ ดี ค่ า สหสั ม พั นธ์ ค าโนนิ ค อล (Canonical Correlation) เป็ นสถิ ติ ซ่ึ ง สามารถใช้ ในการ ตั ด สิ น ความส าคั ญ ของสมการจ าแนกเป็ นมาตรวั ด ความสัมพั นธ์ของสมการกับกลุ่มของตัวแปร ซึ่ งระบุ การ เป็ นสมาชิกของกลุ่มนั้นๆ ของตัวแปรตาม โดยชี้ให้ เห็นว่า การเป็ นสมาชิ ก กลุ่ ม มี ค วามสั ม พั น ธ์กั บ สมการที่ ห ามา

Canonical Correlation 0.66

Wilks' Lambda 0.00

ได้ มากน้ อยเพี ยงใด ดังนั้น ถ้ า ค่ าสหสัมพั นธ์คาโนนิคอล มีค่า 0.66 ค่ อนข้ างสูง แสดงว่ า การเป็ นสมาชิกของกลุ่ม สามารถอธิบายความผันแปรของตัวแปรกับสมการจาแนก ได้ ดี และจาก Model Wilks’ Lambda พบว่ า มีค่ าเท่ ากับ 0.00 ดั งนั้ น กลุ่ มทั้ งสองกลุ่ มมี Mean Discriminant Function Scores ไม่เท่ากันที่ระดับนัยสาคัญ 95% แสดงว่า สมการที่ได้ มคี วามเหมาะสม 4. ผลการวิ เ คราะห์ อิ ท ธิ พ ลของตั ว แปรต่ อการ ตัดสินใจลงทุน

ตารางที่ 4 Structure matrix & Canonical Discriminant Function Coefficients Function P/BV 0.38 Size 0.31 ROA 0.28 Volatility -0.28 Amihud -0.26 Net_Profit_Margin 0.26 Growth_Mcap 0.25 Turnover -0.24 PE 0.24 Price 0.24 Quoted_Spread -0.24 ROE 0.23 Volume 0.22 EPS 0.21 SD_Return 0.20 Roll -0.09 Growth 0.07 Dividend_Yield -0.01 Zero_Return 0.01

พิ จ ารณาจากตารางที่ 4 Structure Matrix พบว่ า ตัวแปรอิสระทั้ง 19 ตัวแปร ที่เข้ าสู่สมการจาแนกกลุ่มนั้น ดนัย ปั ตตพงศ์ (2558) กล่าวว่า ปั จจัยที่มีค่า Coefficient สูงกว่ า 0.3 ถื อ ว่ า มี นั ย ส าคั ญ ทางสถิ ติ ดั งนั้ น ตั ว แปร มูลค่าทางบัญชี (P/BV) มีอิทธิพลต่ อการตัดสินใจลงทุน

101

Canonical Discriminant Function Coefficients 0.184 0.127 0.001 -0.014 -0.070 0.012 0.173 -0.818 0.004 0.057 -5.556 0.018 -0.0002 0.147 -3.639 0.863 -0.061 -0.160 0.091

ให้ หลักทรัพย์ของนักลงทุนสถาบันมากที่สุด ส่วนตัวแปร ที่เหลือมีอทิ ธิพลรองลงมา ได้ แก่ ขนาดของกิจการ (Size), ความสามารถในการทากาไรจากสินทรั พย์ (ROA) และ ความผันผวน (Volatility) ตามลาดับ โดยปั จจัยที่ส่ งผล กระทบทางบวกกั บ การเลื อกลงทุ น ในหลั กทรั พ ย์ น้ั น ๆ


102

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ได้ แก่ มูลค่ าทางบัญชี (P/BV), ขนาดของกิจการ (Size) จากตารางที่ 4 ผลการสร้ างสมการเพื่ อท านาย และ ความสามารถในการทากาไรจากสินทรัพย์ (ROA) หลักทรัพย์ท่กี องทุนเลือกลงทุน ซึ่งเป็ น Linear Combination และปั จจัยที่ส่ งผลกระทบทางบวกกับการเลื อกลงทุ น ใน ของตั วแป รอิ ส ระ สร้ างโดย Canonical Discriminant หลักทรัพย์น้นั ๆ ได้ แก่ ความผันผวน (Volatility) Function Coefficients คือ Y = 1.543-0.82(Turnover)-0.07(Amihud)-5.56(Quoted-Spread)+0.05(Price)-0.02(Volatility) +0.01(PE)+0.17(Growth Mcap)+0.02(ROE)+0.18(P/BV)+0.01(ROA)+0.01(Net Profit Margin) โดยจากผลการทานายการตัดสินใจลงทุนในแต่ละ หลักทรัพย์ของนักลงทุนสถาบัน พบว่า สมการการทานาย มีความแม่นยา 78.10% จากผลการวิจัย พบว่ า ปั จจัยด้ านต่ างๆ มีผลต่ อ การเลื อ กหลั ก ทรั พ ย์ ใ นการลงทุ น ของกองทุ น ซึ่ ง ให้ ผลตอบแทนที่สูงกว่ านักลงทุนรายย่ อย ดังนั้น นั กลงทุ น สามารถหาหลั กทรัพ ย์ ท่ีมีคุ ณ สมบั ติตามที่ก องทุ น เลื อ ก ลงทุ น ได้ เพื่ อ ผลตอบแทนที่ ดี โดยกองทุ น รวมจะเลื อ ก ลงทุนในหลักทรัพย์มสี ภาพคล่องสูง มีความสามารถในการ ทากาไร โดยเป็ นหลักทรัพย์ท่มี ีราคาสูง และเป็ นหลักทรัพย์ ที่มคี วามผันผวนต่าเพื่อควบคุมความเสี่ยง อภิปรายผลการศึกษา งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่ อศึกษาอิทธิพลของปั จจัย ต่ างๆ ที่มีผลต่ อตัดสินใจลงทุนในหลักทรัพย์ต่างๆ ของ กองทุ น และสร้ างสมการเพื่ อท านายการลงทุ นใน หลั ก ทรั พ ย์ ข องกองทุ น โดยศึ ก ษาจากหลั ก ทรั พ ย์ ท่ี จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่ งประเทศไทย ในกลุ่ม SET100 ด้ วยวิธี Discriminant Analysis ผลการศึกษา พบว่า ปั จจัยที่มีอทิ ธิพลต่อการตัดสินใจ ลงทุนในหลักทรัพย์ใดๆ ของกองทุน ได้ แก่ ด้ าน P/BV, SIZE, ROA และ Volatility ตามลาดับ ด้ า น P/BV มี อิ ท ธิ พ ลต่ อการตั ด สิ น ใจลงทุ น ใน หลักทรัพย์ใดๆ ของกองทุนมากที่สุดในทิศทางบวก คือ หากค่ า P/BV มี ค่ า สู ง จะท าให้ มี แ นวโน้ มที่ นั ก ลงทุ น สถาบั น จะลงทุ น ในหลั ก ทรั พ ย์ น้ั น ๆ ในทางทฤษฎี ค่ า P/BV สามารถอธิบ ายได้ ด้ ว ย Equity/Number of Share ซึ่งสะท้ อนมู ลค่ าทางบัญ ชีของหลักทรัพย์ โดยทั่วไปแล้ ว หากค่า P/BV มีค่าต่า แสดงว่า เราสามารถซื้อหลักทรัพย์ ได้ ต่ า นั่ นหมายความว่ า นั กลงทุนสถาบันเลือกลงทุนใน

หลั กทรัพ ย์ท่ีมีมู ลค่ าทางตลาดสูง อัน เนื่ องมาจากปั จจั ย อื่นๆ ร่วมด้ วย Azzopardi (2006) พบว่า เมื่อราคาหลักทรัพย์ ปรั บ ตั ว สู ง ค่ ามู ล ค่ า ตลาดมี ก ารเพิ่ ม ขึ้ นเป็ นผลมาจาก แนวโน้ มบริษั ทที่ดีข้ ึน เช่ น ผลการดาเนิ นงานในเชิงบวก ความน่ าเชื่ อถื อ ของบริ ษั ท และการลงทุ น ที่ เพิ่ มขึ้ น จึ ง ท าให้ อั ต ราส่ ว น P/BV จะเพิ่ มขึ้ น แสดงให้ เห็ น ว่ า บริ ษั ท มี มู ล ค่ าที่สูงกว่ ามู ลค่ าทางบั ญ ชี ตรงกัน ข้ ามหาก อัตราส่วน P/BV ลดลง จะมีความหมายว่า เป็ นการตีราคา ที่ต่าเกินไปของมูลค่าทางบัญชี ซึ่งเกิดจากราคาหลักทรัพย์ ต่าลงหรือมูลค่าทางบัญชีเพิ่มขึ้น หรือทั้ง 2 ร่วมกันเป็ นผล ให้ นักลงทุนจะต้ องระมัดระวังในการลงทุนหรือการลงทุน อย่ างต่ อเนื่ องในบริษัทนั้นๆ ซึ่งสอดคล้ องกับ Fama and French (1996); Chen and Bakshi (1996) ซึ่งอธิบายว่า มูลค่า ทางบัญชี มีความสัมพันธ์กบั อัตราผลตอบแทน ด้ า น SIZE มี อิ ท ธิ พ ลต่ อการตั ด สิ น ใจลงทุ นใน หลักทรัพย์ใดๆ ของกองทุนในทิศทางบวก คือ หาก Size ของหลักทรัพย์มีขนาดใหญ่ จะทาให้ มีแนวโน้ มที่นักลงทุน สถาบันจะลงทุ นในหลักทรัพ ย์น้ั นๆ Gebhardt, Lee, and Swaminathan (2001) ศึ ก ษาว่ า ส าหรั บ หลั ก ทรั พ ย์ ท่ี มี ขนาดใหญ่ นักลงทุนสามารถรับรู้และเข้ าถึงข้ อมูลข่ าวสาร ได้ ง่ าย ท าให้ มี ค วามรู้ และความเข้ าใจในบริ ษั ทมากขึ้ น ซึ่ งส่ งผลให้ สามารถคาดการณ์ ค วามเสี่ยงจากการลงทุ น และผลตอบแทนที่สามารถชดเชยความเสี่ยงได้ ดีข้ นึ Fama and French (1992) พบว่ า ขนาดกิจการมีความสัมพั นธ์ ทางลบกับอัตราผลตอบแทน เนื่ องจากขนาดของบริษั ท สามารถช่วยความเสี่ยงในการลงทุน และเพิ่มความเชื่อมั่น ให้ กับนั กลงทุ นได้ Merhebi, Pattenden, Swan and Zhou (2006) ศึกษาการกาหนดค่าตอบแทนผู้บริหารกับผลการ ด าเนิ น งานและขนาดกิจ การ พบว่ า ขนาดของกิจการมี ความสัมพันธ์เชิงบวกกับผลตอบแทนอย่างมีนัยสาคัญทาง สถิติ หมายความว่ า หากบริษัทมีขนาดใหญ่ ผลตอบแทน


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ก็จะสูง ซึ่งสอดคล้ องกับ Jones and Takao (1996) ศึกษา ความแน่นอนของผลตอบแทนในสภาวะที่มีการเปลี่ยนแปลง ทางเศรษฐกิจในประเทศบัลแกเรีย พบว่า การจ่ายผลตอบแทน ไม่ ได้ เปลี่ยนแปลงตามความสามารถในการท าก าไร แต่ ขึ้ นอยู่ กั บ ขนาดของกิ จ การ และสอดคล้ องกั บ Chan, Jegadeesh, and Wermers (2000) พบว่า กองทุนคัดเลือก หลักทรัพย์ท่ีมีอัตราการเติบโตสูง และกิจการขนาดใหญ่ เนื่องจากมีความสัมพันธ์กบั ผลตอบแทน ด้ า น ROA มี อิ ท ธิ พ ลต่ อการตั ด สิ น ใจลงทุ นใน หลั กทรัพ ย์ ใดๆ ของกองทุ น ในทิศทางบวก คือ หากค่ า ROA มีค่าสูงจะทาให้ มแี นวโน้ มที่นักลงทุนสถาบันจะลงทุน ในหลักทรัพย์น้ันๆ นั้น คือ กองทุนคานึงถึงความสามารถ ในการทากาไรจากสินทรัพย์ของบริษัท และความสามารถ ในการบริ ห ารจั ด การสิ น ทรั พ ย์ ท่ี มี ใ ห้ เกิ ด ก าไรสู ง สุ ด ซึ่งสอดคล้ องกับ อธิกา แรมวิโรจน์ (2548) กล่าวว่า อัตรา ผลตอบแทนจากสินทรัพย์ท้งั หมด สามารถอธิบายได้ ด้วย Net Income/Total Assets ถื อ เป็ น อั ต ราส่ วน ที่ ใช้ วั ด ประสิทธิภาพในการบริหารงานของฝ่ ายบริหาร ซึ่งคือ การ วัดการใช้ ประโยชน์ จากสิน ทรัพ ย์ ท่ีมีอยู่ ว่าสามารถใช้ ได้ เพียงใด ด้ า น Volatility อิ ท ธิ พ ลต่ อ การตั ด สิ น ใจลงทุ น ใน หลั ก ทรั พ ย์ ใ ดๆ ของกองทุ น ในทิ ศ ทางลบ หากค่ า Volatility มี ค่ าสูงจะท าให้ มี แ นวโน้ ม ที่ นั ก ลงทุ น สถาบั น ไม่ ลงทุ น ในหลั กทรั พ ย์ น้ั น ๆ อัญ ญา ขัน ธวิ ทย์ (2547) กล่ าวว่ า ถ้ าการลงทุ น ใดมี ค วามผั น ผวนของราคา หรื อ ผลตอบแทนต่ าการลงทุ น นั้ น ย่ อ มมี ค วามเสี่ย งต่ า การ ประยุกต์ใช้ ความผันผวนในการประเมินความเสี่ยงที่เป็ นที่ รู้จัก คือ มูลค่าความเสี่ยง (VaR) ซึ่งถูกใช้ อย่างแพร่หลาย ในการจัดการกับความเสี่ยง ดังนั้น กองทุนจะจากัดความ เสี่ยงในการลงทุนด้ วยการคัดเลือกหุ้นที่มีความผันผวนของ ราคาต่า สรุปผลการศึกษาและข้อเสนอแนะ จากการศึ ก ษาอิ ท ธิ พ ลของปั จ จั ย ต่ า งๆ ที่ มี ผ ลต่ อ ตัดสินใจลงทุนในหลักทรัพย์ต่างๆ ของกองทุน และสร้ าง สมการเพื่อทานายการลงทุนในหลักทรัพย์ของกองทุน โดย ศึกษาจากหลักทรัพย์ท่จี ดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่ ง

103

ประเทศไทย ในกลุ่ ม SET100 ด้ วยวิ ธี Discriminant Analysis พบว่ า ปั จจัยที่มีผลต่อการคัดเลือกหุ้ นที่มีความ แตกต่ างกัน ทางสถิ ติในเชิ งบวก ได้ แก่ มู ลค่ าทางบั ญ ชี , ขนาดของบริษัท และการทากาไรจากสินทรัพย์ และปั จจัย ที่มีอทิ ธิพลต่อการคัดเลือกหลักทรัพย์ทางลบ ได้ แก่ ความ ผันผวนของราคา ซึ่งอธิบายได้ ว่า กองทุนคัดเลือกหุ้ นที่มี มู ลค่ าทางบั ญ ชี สูงอัน เนื่ องมาจากผลการด าเนิ นงาน ซึ่ ง สามารถอธิ บ ายได้ จากค่ า การท าก าไรจากสิ น ทรั พ ย์ เนื่ องจากเป็ นการวัดประสิทธิภาพในการบริหารงานของ ฝ่ ายบริ ห าร เพื่ อให้ ได้ ก าไรสู ง สุ ด ความเชื่ อมั่ น และ น่าเชื่อถือในบริษัทหลักทรัพย์สามารถอธิบายได้ จากขนาด ของบริษั ท เนื่องจากบริษัทขนาดใหญ่ จะมีการจัดการที่ดี มีความสามารถในการบริหาร นอกจากนี้ จากการทบทวน วรรณกรรมยั งพบว่ า อัตราผลตอบแทนแปรผั น ตรงกับ ขนาดของบริษัท และกองทุนจะควบคุมความเสี่ยงด้ วยการ เลือกหลักทรัพย์ท่มี ีความผันผวนต่า และจากผลการทานาย การตั ด สิ น ใจลงทุ น ในแต่ ล ะหลั ก ทรั พ ย์ ข องนั ก ลงทุ น สถาบัน พบว่ า สมการการทานายมีความแม่ นยา 78.1% ข้ อเสนอแนะจากงานวิ จั ยกล่ าวถึ งเฉพาะปั จ จั ยพื้ นฐาน เฉพาะตัวของหลักทรัพย์น้ันๆ ไม่ ได้ รวมถึงปั จจัย ตัวชี้วัด ทางเศรษฐกิจมหภาคให้ ผลการวิจัยละเอียดมากขึ้น กิตติกรรมประกาศ ขอขอบพระคุณ รองศาสตราจารย์ ดร. ธนโชติ บุญวรโชติ อาจารย์ท่ปี รึกษาที่ให้ ความช่วยเหลือ คาแนะนา ตรวจทาน และติดตามความก้ าวหน้ าในการดาเนินการวิจัย อันเป็ น ประโยชน์ อย่ างยิ่งในการทาวิจัย อีกทั้งแก้ ไขข้ อบกพร่ อง ต่างๆ ในการทาวิจัยนี้ตลอดมา เอกสารอ้างอิง กัลยา วานิ ชย์บัชชา. (2551). การวิเคราะห์ ขอ้ มูลหลาย ตัวแปร (พิ มพ์ ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ: ภาควิชาสถิติ คณะ พานิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. [1]


104

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ดนัย ปั ตตพงศ์. (2558). เอกสารวิชาการด้ านศาสตร์การ อธิก า แรมวิ โรจน์ . (2548). การศึ ก ษาวิ เคราะห์ ค วาม วิจัยและสถิติประยุกต์. สืบค้ นจาก http://it.nation.ac.th/ สัมพันธ์ของการเปลี ย่ นแปลงของอัตราผลตอบแทนจาก faculty/danai/download/statistics%20talks20.pdf [2] สินทรัพย์รวม อัตราผลตอบแทนจากส่วนของเจ้าของ และ อัตราส่วนหนี้ สินต่ อส่วนของเจ้าของ กับการเปลีย่ นแปลง ตลาดหลักทรัพย์แห่ งประเทศไทย. (2558). ข้ อมูลการซื้อ ของราคาหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่ งประเทศไทย ขายในตลาดหลั ก ทรั พ ย์ แ ห่ งประเทศไทย. สื บ ค้ นจาก กรณี ศึกษา: หมวดเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสือ่ สาร. http://settrade.com [3] (สารนิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, กรุงเทพฯ. [9] ตลาดหลั ก ทรั พ ย์ แ ห่ งประเทศไทย. (2558). ข้ อมู ล เกี่ยวกับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่ งประเทศ อัญ ญา ขันธวิทย์. (2547). การวิเคราะห์ ความเสีย่ งจาก ไทย. สืบค้ นจาก http://www.setsmart.com [4] การลงทุ น ในหลักทรัพ ย์ . กรุ งเทพฯ: อมริ น ทร์ พ ริ้ นติ้ ง แอนด์พับลิชชิ่ง. [10] ประภั ส สร วารีศ รี และสุบรรณ เอี่ยมวิจารณ์ . (2555). ปั จจั ยที่ มี ผ ลต่ อการตั ด สิน ใจลงทุ น ในกองทุ น รวมของ Azzopardi, P. V. (2006). Analysis of the price/ book นั ก ลงทุ น รายย่ อ ยในประเทศ ไทย. WMS Journal of ratio of two maltese listed. Bank of Valletta Review, Management Walailak University, 1(1), 10-19. [5] 17(34), 39-59. พนมพร อั ค รชยานั น ต์ , สิ นี นุ ช จิ ต ต์ อั ก ษร, สุ ด ารั ต น์ กรเจริ ญ , นิ ภ า นาคไชย, สั ม พั น ธ์ พรมเดช, นวพงศ์ มะลิทอง และพงศ์ธีร กัลยาณ. (2557). พฤติกรรมและ ปั จจั ยที่ มี อิท ธิพ ลต่ อ การตั ด สิน ใจลงทุ น ในตราสารทาง การเงิ น . วารสารการเงิ น การลงทุ น การตลาดและการ บริหารธุรกิจ, 4(1), 568-581. [6]

Chen, Z., & Bakshi, G. (1996). The spirit of capitalism and stock market prices. American Economic, 86( 1) , 133-157. Daniel, K., & Titman, S. ( 1997) . Evidence on the characteristics of cross sectional variation in stock returns. Journal of Finance, 52(1), 1–33.

เว็ล ธ์ แมเนจเม้ น ท์ ซิ ส เท็ม . (2559). ข้ อมู ลการลงทุ น . สืบค้ น จาก http://www.wealthmagik.com/Screener/Basic Fama, E. F., & French, K. R. ( 1992) . The CrossScreener.aspx [7] Section of Expected Stock Returns. Journal of Finance, 47(2), 427-465. สุพร จรูญรังสี. (2546). ปัจจัยทีม่ ีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการ ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ของนักลงทุนทัว่ ไปในประเทศไทย Fama, E., & French, K. (1996). Multifactor explanations ในเขตกรุงเทพมหานคร. (สารนิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). of asset pricing anomalies. Journal of Finance, 5 1 ( 1 ) , มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ, กรุงเทพฯ. [8] 55-84. Gebhardt, W., Lee, C. M., & Swaminathan, B. (2001). Toward an implied cost of capital. Journal of Accounting Research, 39(1), 35-176.


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

105

Grinblatt, M., Titmam, S., & Wermers, R. ( 1995) . Pattaphongse, D. (2015). Academic science research and Momentum investment sreategies, Portfolio permance, applied statistics. Retrieved from http://it.nation.ac.th/ and Herding: A study of mutual fund behavior. The faculty/danai/download/ statistics%20talks20.pdf [2] American economic review, 85(5), 1088-1105. Vanichbuncha, K. ( 2008) . Multivariate data analysis Harris, L. (1994). Minimum price variation, discrete (3rd ed.). Bangkok: Faculty of Commerce and Accountancy bid–ask spreads, and quotation sizes. Review of Chulalongkorn University. [1] Financial Studies, 7(1), 149–178. Khanthavit, A. ( 2004). Analysis of the risks of Jegadeesh, N., & Titman, S. (1993). Returns to buying investing in securities. Bangkok: Amarin Printing. [10] winners and selling losers: Implications for stock market Wareesri, P., & Ieamvijarn, S. ( 2012) . Factors efficiency. Journal of Finance, 48(1), 65–92. Affecting the Investment Decision Making on Mutual Jones, D. C., & Takao, K. (1996). The determinants of Funds of Retail Investors in Thailand. WMS Journal of chief executive compensation in transitional economies: Management Walailak University, 1(1), 10-19. [5] Evidence from Bulgaria. Labour Economics, 3 ( 3 ) , Ramwirote, A. ( 2005). The study analyzes the 319-336. relationship of the change of rate of return on total Merhebi, R., Pattenden, K., Swan, L. , & Zhou, X. assets ROA) Return on equity (ROE) and debt to (2006). Australian chief executive officer remuneration: equity ratio (D/ E Ratio) with changes in the prices of pay and performance. Accounting & Finance, 4 6 (3 ) , securities on the Stock Exchange of Thailand: A Case 481–497. Study of Information Technology and communication category. ( Master’s thesis) . Thammasat University, Translated Thai References Bangkok. [9] Akarachayanan, P., Chitacsorn, S., Kornchareon, S., Nakchai, N., Phormdech, S., Malithong, N., & Kallaya, P. ( 2014) . Behavior and factors influencing financial instrument investment decision. Journal of Finance, Investment, Marketing and Business Management. 4(1), 568-581. [6]

The Stock Exchange of Thailand. (2015). Information about market data on the Stock Exchange of Thailand. Retrieved from http://settrade.com [3]

The Stock Exchange of Thailand. (2015). Information about companies listed on the Stock Exchange of Thailand. Retrieved from http://www. setsmart.com Charoonrangsee, S. (2003). Factors influencing investment [4] behavior of investors in the stock market in Bangkok. (Master’s thesis). Srinakharinwirot University, Bangkok. Wealth Management System Limited. (WMSL). (2016) Investment information. Retrieved from http://www. [8] wealthmagik.com/Screener/Basic Screener.aspx [7]


106

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

การเปรียบเทียบผลการดาเนินงานของกองทุนรวมทีล่ งทุนในหุน้ ทีบ่ ริหาร โดยบริษทั หลักทรัพย์จดั การกองทุนทีถ่ ือหุน้ ใหญ่และไม่ถือหุน้ ใหญ่โดยธนาคารพาณิชย์ บุณณชนก เดชเพ็ชร์* และธนโชติ บุญวรโชติ

Equity Fund Performance Comparison between Bank Affiliate and Non-Bank Affiliate Subsidiary Mutual Funds Bunachanok Detpech* and Tanachote Boonvorachote ภาควิชาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมเกษตร คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรุงเทพฯ 10900 Department of Agro-Industrial Technology, Faculty of Agro-Industry, Kasetsart University, Bangkok 10900 * Corresponding author. E-mail address: bunachanok@hotmail.com บทคัดย่อ งานวิจัยนี้เป็ นการศึกษาผลการดาเนินงานของกองทุนรวมที่ลงทุนในตราสารทุนภายในประเทศ ซึ่งเก็บข้ อมูลแบบทุติยภูมิ (Secondary Data) โดยทาการศึกษาจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่าทรัพย์สนิ สุทธิของกองทุน (NAV) แบบรายเดือน โดยทาการเปรียบเทียบผลการดาเนินงาน ระหว่างกองทุนที่แตกต่ างกันตามเป้ าหมายการลงทุนของกองทุนที่บริหารโดยบริษัทจัดการหลักทรัพย์ท่ ถี ือหุ้นใหญ่ และไม่ ถือหุ้นใหญ่ โดย ธนาคารพาณิชย์ วัดผลการดาเนินงานจากการใช้ ทฤษฎีอตั ราผลตอบแทน ทฤษฎีความเสี่ยง และมาตรวัดผลการดาเนินงานตามตัวแบบ Sharpe Ratio, CAPM และแบบจาลองของจังหวะเวลาการลงทุนตามสภาวะตลาด (Market Timing) ของผู้จัดการกองทุน รวมถึงลักษณะการบริหาร ซึ่งพิจารณาจากค่าธรรมเนียมการจัดการ อัตราการเติบโตของกองทุน อายุการดาเนินงาน และขนาดของกองทุน ในการวิเคราะห์ พบว่า กองทุน ที่บริหารโดยบริษัทจัดการหลักทรัพย์ท่ ีถื อหุ้ นใหญ่ โดยธนาคารพาณิ ชย์ มี ค่าความผันผวนที่ต่ ากว่ ากองทุ นรวมที่บริหารโดยบริษัทจัดการ หลักทรัพย์ท่ไี ม่ถือหุ้นใหญ่ โดยธนาคารพาณิชย์ ซึ่งมีขนาดของกองทุนเล็กกว่า 79% และ Growth rate ที่ต่ ากว่า ซึ่งบริษัทจัดการหลักทรัพย์ท่ ี ไม่ ถือหุ้นใหญ่ โดยธนาคารพาณิชย์มีข้อเสียเปรียบในเรื่องของสาขาในการให้ บริการที่มีอยู่ จานวนน้ อยและขนาดของกองทุนที่เล็กมีจานวน เงินทุนที่น้อยกว่ าก็ส่งผลต่ อผลการดาเนินงานของกองทุน โดยภาพรวมแล้ วนั้นผลการดาเนินงานโดยเฉลี่ยของกองทุนที่บริหารโดยบริษัท จัดการหลักทรัพย์ท่ถี ือหุ้นใหญ่ โดยธนาคารพาณิชย์มีผลการดาเนินงานที่ดีกว่ ากองทุนรวมที่บริหารโดยบริษัทจัดการหลักทรัพย์ท่ไี ม่ ถือหุ้นใหญ่ โดยธนาคารพาณิชย์ คาสาคัญ: กองทุนรวม ตราสารทุน การวัดผลการดาเนินงาน ความสามารถด้ านจังหวะเวลาการลงทุน Abstract This research study about the performance of mutual funds that investment in Thai Mutual Fund with Secondary Data. To study the Net Asset Value (NAV). From monthly return data is investigated by comparing the performance of different funds according to the investment style by Bank Affiliate and Non-Bank Affiliate Subsidiary Mutual Funds. To determine the performance of the Return rate, Risk-adjusted abnormal return, Sharpe Ratio, CAPM and Market timing ability various models, Furthermore, after controlling for management fee, fund growth rate, fund age and fund size exhibit the risk of Bank Affiliate lower than Non-Bank Affiliate so, the fund size less than 79% and lower growth rate of Non-Bank Affiliate, due to disadvantage in terms of insufficient of branch service and the small size of funds, also influence the operations of the Fund. The overview, performance of mutual funds by Bank Affiliate better than Non-Bank Affiliate. Keywords: Mutual Fund, Equity Security Fund, Performance Evaluations, Market Timing


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

บทนา ตลาดหลักทรัพ ย์แห่ งประเทศไทย (Stock Exchange of Thailand: SET) เริ่มเปิ ดทาการซื้อขายหลักทรัพย์เป็ น ครั้ งแรก ในปี 2518 โดยมี วั ต ถุ ป ระสงค์ เพื่ อจะจั ด ให้ มี แหล่ งกลางส าหรั บ การซื้ อขายหลั ก ทรั พ ย์ ส่ ง เสริ ม การ ออมทรัพย์และการระดมเงินทุนในประเทศ โดยอยู่ ภายใต้ การกากับดูแลของสานักงานคณะกรรมการกากับหลักทรัพย์ และตลาดหลั ก ทรั พ ย์ (ก.ล.ต.) ตลาดหลั ก ทรั พ ย์ แ ห่ ง ประเทศไทยจึ ง เป็ นสื่ อ กลางในการระดมเงิ น ออมจาก ประชาชน ภาคธุ ร กิ จ และภาครั ฐ บาล ในช่ ว งปี 2557 ตลาดหลั ก ทรั พ ย์ แ ห่ งประเทศไทยมี ก ารเติ บ โตอย่ า ง ต่ อเนื่ องและมี มูล ค่ าซื้ อขายหลั กทรั พ ย์ เฉลี่ ยต่ อ วัน อยู่ ท่ี 45,466 ล้ านบาท สูงที่สดุ ในภูมภิ าคอาเซียนติดต่อกันเป็ น ปี ที่ 3 (ตลาดหลั กทรัพ ย์ แห่ งประเทศไทย, 2558) เมื่ อ การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ท่เี พิ่มสูงขึ้น สถาบันการเงิน หรือบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) จึงเข้ ามามี บทบาทความส าคั ญ ในการซื้ อขายหลั กทรั พ ย์ ในตลาด หลักทรัพย์ฯ มากขึ้น ความรู้ความเข้ าใจจะช่วยให้ นักลงทุน สามารถเลือกทางเลือกการลงทุนที่เหมาะสมกับความเสี่ยง และผลตอบแทนที่ต้องการได้ (สถาบันพัฒนาความรู้ตลาด ทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่ งประเทศไทย, 2548) โดยมีการ จั ด ตั้ ง กองทุ น รวม เพื่ อรวบรวมเงิ น ทุ น จากนั ก ลงทุ น รายย่ อ ย กองทุ น รวม จึ งเป็ นเครื่ องมื อ ในการลงทุ น ที่ มี ประสิทธิภาพ มี การจั ดการลงทุ น อย่ างเป็ นระบบ โดยมี จุดมุ่งหมายให้ การลงทุนได้ รับผลตอบแทนที่ดสี ดุ กองทุนรวมนับเป็ นทางเลือกการลงทุนรูปแบบหนึ่งที่ ในปั จจุบนั ได้ รับความนิยมสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจากนักลงทุน เนื่องด้ วยการลงทุนในกองทุ นรวมนั้นได้ รับผลตอบแทน ที่สูง จึงเป็ นที่ดึงดูดใจของนักลงทุน ตลาดตราสารทุนใน ประเทศไทยก็ได้ รับการตื่นตัวจากนักลงทุนที่เพิ่มขึ้น ทาให้ มีการออกกองทุนรวมที่ลงทุนภายในประเทศเป็ นจานวน มากขึ้นตามไปด้ วย ส่งผลให้ นักลงทุนสามารถเลือกลงทุน ตามการยอมรับความเสี่ยงของการลงทุน ซึ่งการลงทุนใน กองทุนรวมเป็ นการไปลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทต่างๆ ซึ่ งจะมี ค วามแตกต่ างทางเป้ าหมายการทุ น (จั กรณั ถเทพ กรินชั ย, 2544) ท าการศึ กษาเพื่ อเปรียบเทียบความเสี่ยง

107

อัตราผลตอบแทนและการดาเนิ นงานของการทุ นรวมใน ประเทศไทยจาแนกตามนโยบายการลงทุน พบว่า กองทุน รวมตราสารทุนมีความสัมพันธ์กับตลาดมากที่สุด กองทุน รวมนั้นก็จะมีความหลากหลาย นอกจากนี้ Wei & Bolong (2011) ได้ ท าการศึ กษาเพื่ อเปรี ยบเที ยบประสิทธิข อง กองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นภายในประเทศจีน โดยทาการศึกษา ความเสี่ยง การเข้ าทาจังหวะตลาด และผลการดาเนินงาน ของกองทุนโดยทาการแยกการวิเคราะห์ ตามกลยุ ทธ์การ ลงทุน และลักษณะการบริหารงาน พบว่า ประสิทธิภาพของ กองทุ นนั้นจะขึ้นกับขนาดและอายุ ของกองทุ นนั้ น ซึ่งถ้ า กองทุ น มีอายุ เพิ่ มขึ้น ประสิทธิภ าพอาจจะลดลงเพราะมี ขนาดที่ ใหญ่ ม ากขึ้น มี ค วามซั บ ซ้ อ นมากขึ้ น ท าให้ การ ดาเนินงานมีความยากลาบาก แต่ในทางกลับกันถ้ าผู้จัดการ กองทุนมีประสบการณ์ท่มี าก จะส่งผลให้ ผลการดาเนินงาน ของกองทุนรวมมีค่าดีข้ นึ ด้ วย ดังนั้น การศึกษารายละเอียดของกองทุน เป้ าหมายการ ลงทุน ประเภทของกองทุน ทั้งกองทุนที่บริหารโดยบริษัท จั ด การหลั ก ทรั พ ย์ ท่ีถื อ หุ้ นใหญ่ แ ละไม่ ถื อ หุ้ นใหญ่ โดย ธนาคารพาณิ ช ย์ ที่ ท าการลงทุ น ในตราสารทุ น ภายใน ประเทศนั้น แสดงให้ เห็นถึงผลการบริหารงานที่จะสร้ างผล การตอบแทนการลงทุนที่จะสามารถช่วยให้ ผ้ ูลงทุนในการ ตั ด สิ น ใจลงทุ น หรื อ ผู้ ที่ ส นใจท าการศึ ก ษาก่ อ นการ ตัดสินใจเลื อกกองทุ นที่มีความเหมาะสมกับตนเอง ที่มี ความต้ องการอัตราผลตอบแทนเพี ยงใด และจะสามารถ ยอมรั บ ความเสี่ ย งจากการลงทุ น ได้ มากน้ อยเพี ย งใด ทั้งหมดนี้ข้ นึ กับการตัดสินใจของนักลงทุนต่อไป มาตรวัดผลการดาเนินงานของกองทุนรวม 1. Sharpe Ratio ตามทฤษฎีการลงทุนผลตอบแทนจากการลงทุนใน หลักทรัพย์หรือสินทรัพย์ใดๆ ไม่ควรน้ อยกว่ าผลตอบแทน จากการลงทุนในสินทรัพย์ท่ปี ราศจากความเสี่ยง Sharpe Ratio เป็ นการประเมิ น ผลประกอบการ กองทุนโดยเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนของกองทุนรวม ที่ ป รั บ ค่ า ความเสี่ย งกั บ อั ต ราผลตอบแทนของตลาดที่ ปรับตัวด้ วยความเสี่ยงแล้ ว ซึ่งที่ใช้ ตามแนวคิดนี้ คือ ความ


108

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

เสี่ยงส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของอัตราผลตอบแทน Sharpe ถ้ าค่า มีค่าเป็ น ลบ แสดงว่า อัตราผลตอบแทน (1966) ของกองทุ น รวม ต่ า กว่ า อั ต ราผลตอบแทนที่ ต้ อ งการ ณ ระดับความเสี่ยง ( ) หนึ่ง 3. Treynor and Mazuy Treynor and Mazuy (TM) เป็ น การวั ด ผลการ โดย R = อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยของกองทุนรวม Rf = อั ต ราผลตอบแทนเฉลี่ ย ของหลั ก ทรั พ ย์ ดาเนินงานผู้ดูแลกองทุนความสามารถด้ านจังหวะเวลาการ ลงทุ น (Market Timing) หมายถึ ง การปรั บ เปลี่ ย นการ ปราศจากความเสี่ยง = ส่ ว นเบี่ ยงเบน มาตรฐาน ของ ลงทุ น ระหว่ างหลั กทรั พ ย์ ห รื อ กลุ่ ม หลั กทรั พ ย์ ต ราสาร ระยะสั้นที่ปราศจากความเสี่ยง หรือตราสารในตลาดเงิน กองทุนรวม Treynor & Mazuy (1966) ในการศึกษาครั้งนี้ ใช้ อัตราผลตอบแทนตั๋วเงินคลั ง และพันธบัตรรัฐบาลอายุ 1 ปี ของธนาคารแห่งประเทศไทย ค่า Sharpe Ratio ยิ่งสูง ถือว่าผู้จัดการกองทุนสามารถ โดย = อั ต ราผลตอบแทนของกองทุ น รวม ณ ทาผลตอบแทนส่ วนเพิ่ มได้ มาก ต่ อ 1 หน่ วยความเสี่ยง เวลา t ณ ระดับที่เท่าเทียมกัน = ค่ า ส่ ว นเบี่ ย งเบนมาตรฐานของอั ต รา 2. Capital Asset Pricing Model ผลตอบแทนของกองทุนรวม Capital Asset Pricing Model (CAPM) เป็ นการ = ค่ า หรือ ความเสี่ยงที่เป็ นระบบของ Model ที่แสดงความสัมพั นธ์ของผลตอบแทนและความ กองทุนรวม เสี่ยง Sharpe (1964) = อัตราผลตอบแทนของตลาดหลักทรัพย์ (Market rate of Return) ณ เวลา t = ค่ า สั ม ประสิ ท ธิ์ วั ด ความสามารถด้ าน โดย = อั ต ราผลตอบแทนของกองทุ น รวม ณ จังหวะการลงทุน เวลา t = ค่ าความคลาดเคลื่ อน (Residual term) = ค่ า ส่ ว นเบี่ ย งเบนมาตรฐานของอั ต รา ของกองทุน ณ เวลา t ผลตอบแทนของกองทุนรวม ค่าสัมประสิทธิ์ วัดความสามารถด้ านจังหวะการ = ค่ า หรื อ ความเสี่ย งที่ เป็ นระบบของ ลงทุน (Market Timing) โดยถ้ าค่า เป็ น บวก แสดงว่า กองทุนรวม = อัตราผลตอบแทนของตลาดหลักทรัพย์ ผู้จัดการกองทุนรวมนั้นสามารถหาช่วงจังหวะการลงทุนที่ดี ได้ (Market rate of Return) ณ เวลา t = ค่ าความคลาดเคลื่ อน (Residual term) วิธีการศึกษาและวัสดุอุปกรณ์ ของกองทุน ณ เวลา t การเก็บข้อมูล ถ้ าค่า มีค่าเป็ น บวก แสดงว่า อัตราผลตอบแทน ข้ อ มู ล ที่เก็บ รวบรวมจั ด เป็ นข้ อ มู ล ประเภททุ ติ ย ภู มิ ของกองทุ น รวม สู ง กว่ า อั ต ราผลตอบแทนที่ ต้ องการ (Secondary Data) ศึ ก ษาจากมู ล ค่ า ทรั พ ย์ สิ น สุ ท ธิ ข อง ณ ระดับความเสี่ยง ( ) หนึ่ง กองทุน (NAV) และรายงานผลการดาเนินงานของกองทุน ที่มีการลงทุนในตราสารทุนภายในประเทศของกองทุนรวม


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ที่ลงทุนหุ้นที่บริหารโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนที่ ถื อ หุ้ นใหญ่ โดยธนาคารพาณิ ช ย์ (Bank Affiliate) และ บริ ษั ท หลั ก ทรั พ ย์ จั ด การกองทุ น ที่ ไ ม่ ถื อ หุ้ นใหญ่ โดย ธนาคารพาณิชย์ (Non-Bank Affiliate) รวมถึงกองทุนรวม ETF (Exchange-Traded Fund) ซึ่ งจะใช้ การเปลี่ ยนแปลง ข้ อมูลรายเดือน ช่วงเวลาที่จัดเก็บข้ อมูลในการศึกษาครั้งนี้ คือ ข้ อมูลช่ วงเดือนมกราคม พ.ศ.2548 ถึงเดือนธันวาคม พ.ศ.2557 โดยท าการบั น ทึ ก ข้ อมู ล และด าเนิ น การ วิเคราะห์ผลข้ อมูลทางสถิติในโปรแกรม Microsoft Office Excel โดยกาหนดระดับความเชื่อมั่นที่ร้อยละ 95

109

วิเคราะห์ประสิทธิภาพการดาเนินงานของกองทุนรวม โดยใช้ ทฤษฎีอตั ราผลตอบแทน ทฤษฎีความเสี่ยง และ มาตรวั ด ผลการด าเนิ น งานตามตั ว แบบ Sharpe Ratio, Capital Asset Pricing (CAPM) และแบ บ จ าล องของ จั งหวะเวลาการลงทุ น Treynor & Mazuy (TM) รวมถึ ง ลักษณะการบริหารของกองทุน พิจารณาจากค่าธรรมเนียม การจั ด การ อัต ราการเติ บโต อายุ การด าเนิ น งาน ขนาด กองทุน และลักษณะของการลงทุน ในการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อศึกษาประสิทธิภาพการดาเนินงานของกองทุน ทดสอบ ค่าสถิตโิ ดยวิธี Mean Comparison

ข้อมูลเป้าหมายการลงทุนของกองทุนรวม ตารางที่ 1 เป้ าหมายการลงทุนของกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นที่บริหารโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนที่ถอื หุ้นใหญ่ (Bank Affiliate) และไม่ถือหุ้นใหญ่โดยธนาคารพาณิชย์ (Non-Bank Affiliate) Fund Type Investment Style Bank Affiliate Non-Bank Affiliate ETF Total Active 6 6 0 12 Aggressive Growth 1 1 0 2 Appreciation 1 0 0 1 Balance Fund 4 4 0 8 Growth 24 21 0 45 Income Fund 8 0 0 8 Index 9 2 8 19 Stable Fund 5 0 0 5 Stable Growth 4 3 0 7 Stable Growth Type 9 0 0 9 Stock 1 0 0 1 Value 11 2 0 13 Value Investment 1 1 0 2 Value Optimization 0 1 0 1 Total 84 40 8 133

การศึ ก ษาเป้ าหมายการลงทุ น ของกองทุ น พบว่ า กองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้ นที่บริหารโดยบริษัทหลักทรัพย์ จัดการกองทุนที่ถือหุ้นใหญ่และไม่ถือหุ้นใหญ่โดยธนาคาร พาณิ ชย์น้ั น มีความหลากหลายรูปแบบในการลงทุ น ซึ่ ง ในการที่ จ ะท าการศึ ก ษานี้ แบ่ ง ได้ ออกตามเป้ าหมาย การลงทุน ทั้งหมด 14 รูปแบบ พบว่า กลุ่ม Bank Affiliate จะเน้ นการลงทุ น แบบ Growth มากที่ สุด คิ ด เป็ น 29%

รองลงมา คือ แบบ Value คิดเป็ น 12% และแบบ Index คิดเป็ น 10% ส่วนกลุ่ม Non-Bank Affiliate เช่นเดียวกัน เน้ นการลงทุ นแบบ Growth คิดเป็ น 51% รองลงมา คือ แบบ Active คิ ด เป็ น 15% และแบบ Balance Fund คิ ด เป็ น 10%


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

110

ผลการทดลอง ผลการวิ เคราะห์ค่ าธรรมเนี ยมการจัด การ อัต ราการ เติ บ โตของกองทุ น ขนาดของกองทุ น และอายุ ก าร ดาเนินงาน

จากการวิเคราะห์ผลพบว่ าขนาดกองทุนในกลุ่ม Bank Affiliate มี ข นาดกองใหญ่ กว่ ากลุ่ ม Non-Bank Affiliate 79% ซึ่ งส่งผลให้ มีอัตราการเติบ โตของกองทุ นที่สูงกว่ า ด้ วย

ตารางที่ 2 Descriptive Statistics for Fund Characteristics of Bank Affiliate and Non- Bank Affiliate N mean min Bank Affiliate Management Fee 74 1.483 0.390 1/ Fund size 74 1,444 19 Growth Rate 74 0.092 -0.856 Fund age 74 12* 2 Non-Bank Affiliate Management Fee 38 1.350 0.430 1/ Fund size 38 806 10 Growth Rate 38 0.029 -0.554 Fund age 38 13 2 1/ = Million baht

ผลการวิเคราะห์อตั ราผลตอบแทนรายเดือนของกองทุน รวม ในช่วงเดือนมกราคม พ.ศ.2548 ถึงเดือนธันวาคม พ.ศ.2557 จากตารางที่ 3 สามารถสรุปผลสถิติอัตราผลตอบแทน รายเดือนของกองทุนรวมที่มีเป้ าหมายการลงทุนที่แตกต่าง กันและดัชนีช้ ีวัด ซึ่งในที่น้ ีใช้ ค่า Stock Index พบว่า อัตรา ผลตอบแทนรายเดือนจากค่ามูลค่าทรัพย์สนิ สุทธิ (NAV) ซึ่งพบว่ า อัตราผลตอบแทนของกลุ่ ม Bank Affiliate นั้ น

1.50% 1.71% 1.71% 5.32% 35.38% 7.94% 8.70% 5.76% 5.79%

0.54% 1.00% 1.22% 0.41% 0.69% 0.24% 0.88% 0.61% 1.64%

sd

2.170 10,644 1.628 22

0.430 2,133 0.335 6

2.140 10,001 0.727 28

0.559 2,108 0.260 6

ลั ก ษ ณ ะการลงทุ นใน รู ป แบบ Stable Growth จะให้ ผลตอบแทนเฉลี่ ยสู ง สุ ด คื อ 1.64% รองลงมาเป็ น Appreciation และ Stock ตามล าดั บ กลุ่ ม Non-Bank Affiliate การลงทุ นในรูปแบบ Value Optimization จะให้ ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงสุด คือ 1.44% รองลงมาเป็ น Value และ Index ตามลาดับ ซึ่งอัตราผลตอบแทนที่กองทุนรวม ท าได้ นั้ นสู ง กว่ า ผลตอบแทนของตลาด SET ที่ ให้ ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงสุด คือ 0.87%

ตารางที่ 3 A: Descriptive Statistics for Monthly Return 01/2005-12/2014 of Bank Affiliate Investment Styles N Proportion mean median min 1% Active 104 Aggressive Growth 119 Appreciation 119 Balance Fund 370 Growth 2461 Income Fund 552 Index 605 Stable Fund 401 Stable Growth 403

max

-8.95% -24.00% -29.40% -34.76% -39.26% -47.44% -30.83% -31.29% -27.26%

1.10% 2.00% 2.00% 1.43% 1.67% 1.31% 1.84% 1.66% 2.59%

-8.52% -21.00% -12.04% -23.93% -17.29% -24.34% -19.70% -18.39% -19.49%

99%

max

sd

8.51% 2.00% 13.85% 12.08% 13.14% 11.30% 14.21% 14.54% 12.85%

10.94% 26.00% 15.49% 14.66% 19.39% 19.19% 17.02% 15.92% 18.82%

4.57% 7.00% 6.00% 6.60% 6.11% 6.60% 6.22% 6.62% 6.74%


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ตารางที่ 3 (ต่อ) Investment Styles

N

Stable Growth Type 409 Stock 119 Value 1175 Value Investment 119 Stock Index 120 Risk-free Rate 120

111

Proportion

mean

median

min

1%

99%

max

sd

5.88% 1.71% 16.89% 1.71%

0.95% 1.17% 0.70% 1.21% 0.87% 0.09%

-23.28% -28.62% -30.36% -23.28% 1.95% 0.00%

1.90% 1.99% 1.53% 1.92% -30.18% -29.60%

-13.21% -14.01% -20.40% -11.76% -14.09% -20.93%

11.22% 13.43% 11.91% 10.11% 13.57% 16.56%

18.45% 14.68% 15.50% 10.50% 13.98% 21.93%

5.78% 6.39% 6.30% 5.48% 6.15% 7.22%

max

sd

14.64% 9.58% 16.09% 16.85% 14.70% 13.04% 16.85% 13.55% 12.94% 13.98% 21.93%

6.23% 5.26% 6.70% 6.84% 6.41% 6.10% 6.33% 6.77% 5.22% 6.15% 7.22%

ตารางที่ 3 B: Descriptive Statistics for Monthly Return 01/2005-12/2014 of Non- Bank Affiliate Investment Styles N Proportion mean median min 1% 99% Active 493 Aggressive Growth 30 Balance Fund 476 Growth 2208 Index 238 Stable Growth 308 Value 122 Value Investment 114 Value Optimization 114 Stock Index 120 Risk-free Rate 120

12.02% 0.73% 11.60% 53.81% 5.80% 7.51% 2.97% 2.78% 2.78%

0.85% 0.49% 0.70% 0.60% 1.06% 0.59% 1.22% 0.74% 1.44% 0.87% 0.09%

-27.81% -12.53% -31.52% -45.17% -29.32% -27.19% -29.21% -29.97% -25.19% 1.95% 0.00%

ผลการวิเคราะห์ค่า CAPM and Sharpe Ratio จากตารางที่ 4 A จะพบว่ า ค่ า Sharpe Ratio ของกลุ่ม Bank Affiliate มี ค่ า 0.216 ซึ่ งมากกว่ ากลุ่ ม Non-Bank Affiliate ที่มีค่า 0.089 ในการศึ กษานี้ พบค่ า Alpha ของ ทั้ง 2 กลุ่มนั้นมีค่าที่ใกล้ เคียงกัน คือ กลุ่ม Bank Affiliate

1.84% 1.12% 1.92% 1.90% 14.70% 1.60% 2.14% 1.67% 1.63% -30.18% -29.60%

-15.17% -11.38% -23.19% -23.98% -14.37% -18.62% -14.08% -20.60% -11.54% -14.09% -20.93%

12.77% 9.08% 13.43% 13.09% 13.64% 12.13% 12.91% 12.47% 12.57% 13.57% 16.56%

มีค่า 0.001 และกลุ่ ม Non-Bank Affiliate ที่มีค่ า -0.002 และค่า Beta ของกลุ่ม Bank Affiliate ที่มีค่าน้ อยกว่ ากลุ่ม Non-Bank Affiliate อย่ างมีนัยสาคัญที่ระดับความเชื่อมั่น ร้ อยละ 95 แสดงให้ เห็นว่ า กองทุนกลุ่ม Bank Affiliate มี ประสิทธิภาพในการการดาเนินงานที่ดกี ว่า

ตารางที่ 4 A: Performance and Risk Measures in CAPM and Sharpe Ratio Measures N mean Min max sd N+ N+* NBank Affiliate 82 0.216 -0.156 7.873 0.929 Sharpe Ratio Alpha 82 0.001 -0.011 0.089 0.011 39 15 44 82 0.890 0.130 1.444 0.212 82 82 0 beta 2 82 0.755 0.038 0.994 0.247 Adjusted R Non-Bank Affiliate 41 0.089 -0.106 0.328 0.083 Sharpe Ratio 41 -0.002 -0.019 0.007 0.005 14 7 27 Alpha * beta 41 0.970 0.510 1.156 0.104 41 41 0 Adjusted R2 41 0.807 0.488 0.969 0.135 * = ค่าเฉลี่ยของกองทุนในกลุ่ม Non-Bank Affiliate มีมากกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่ม Bank Affiliate ที่ระดับนัยสาคัญทางสถิติท่รี ้ อยละ 95

N-*

6 0

4 0


112

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ผลการวิเคราะห์ความสามารถด้านจังหวะเวลาการลงทุน (Market Timing) จากตารางที่ 4 B ค่ า Alpha ของทั้ง 2 กลุ่มนั้ นมีค่าที่ ใกล้ เคียงกัน คือ กลุ่ม Bank Affiliate มีค่า -0.001 และ กลุ่ ม Non-Bank Affiliate ที่ มี ค่ า -0.003 และค่ า Beta ของกลุ่ ม Bank Affiliate ที่มีค่ าน้ อยกว่ ากลุ่ ม Non-Bank

Affiliate อย่ างมีนัยสาคัญที่ระดับความเชื่อมั่นร้ อยละ 95 ในส่วนของค่ า TM นั้น กลุ่ม Bank Affiliate มีค่า 0.573 ซึ่งมากกว่ากลุ่ม Non-Bank Affiliate ที่มีค่า 0.490 แสดง ให้ เห็นว่า กองทุนกลุ่ม Bank Affiliate มีความสามารถด้าน จังหวะเวลาการลงทุนที่ดกี ว่า

ตารางที่ 4 B: Performance and Risk Measures in TM Model Measures N mean Min max sd N+ N+* NN-* Bank Affiliate Alpha 82 -0.001 -0.015 0.086 0.011 27 11 55 8 beta 82 0.908 0.160 1.557 0.225 82 82 0 0 TM Timing 82 0.573 -3.098 5.798 1.322 59 16 23 1 2 82 Adjusted R 0.757 0.030 0.994 0.246 Non-Bank Affiliate Alpha 41 -0.003 -0.017 0.009 0.006 12 6 29 7 * beta 41 0.992 0.515 1.156 0.118 41 41 0 0 0.490 -0.805 3.478 0.809 36 6 7 0 TM Timing 41 Adjusted R2 41 0.808 0.496 0.969 0.134 * = ค่าเฉลี่ยของกองทุนในกลุ่ม Non-Bank Affiliate มีมากกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่ม Bank Affiliateที่ระดับนัยสาคัญทางสถิติท่รี ้ อยละ 95

อภิปรายผลการศึกษา จากการวิเคราะห์ผลตารางที่ 2 พบว่า ขนาดกองทุนใน กลุ่ม Bank Affiliate มีขนาดกองใหญ่ กว่ากลุ่ม Non-Bank Affiliate นั้ น มี ผ ลมาจากปั จ จั ย ในการสาขาของ Bank Affiliate ที่สามารถเข้ าถึงลูกค้ าและให้ บริการได้ สะดวกกว่า แต่กย็ ังมีค่าธรรมเนียมการจัดการที่สงู กว่ากลุ่ม Non-Bank Affiliate ในขณะที่อายุเฉลี่ยของ Bank Affiliate 12 ปี และ อายุเฉลี่ยของ Non-Bank Affiliate 13 ปี จากการเปรียบเทียบ ผลการดาเนินงานของกองทุนกลุ่ม Bank Affiliate กับ NonBank โดยวิ ธี mean comparison พ บว่ า Management fee, Fund size, Growth และ Fund age ไม่ มีความแตกต่างกัน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ จากตารางที่ 3 แสดงอัตราผลตอบแทนรายเดือนของ กองทุนรวมที่มีเป้ าหมายการลงทุนที่แตกต่างกันนั้น การที่ ผลตอบแทนจะไม่เท่ากันนั้นเป็ นเพราะเป้ าหมายที่แตกต่าง กัน ของแต่ ล ะกองทุ น ซึ่ งส่ ง ผลต่ อ ผลตอบแทนที่ได้ รั บ โดยตรงเป้ าหมายการลงทุนที่แตกต่างนั้นย่อยมีความเสี่ยง จากการลงทุนที่แตกต่างกันไปด้ วย จากการเปรียบเทียบผล

การดาเนินงานของกองทุนกลุ่ม Bank Affiliate และ NonBank ที่ มี เป้ าหมายการลงทุ น แตกต่ าง กับ Stock Index โดยวิธี mean comparison พบว่า ผลการดาเนินงานของทั้ง 2 กลุ่มนั้นไม่มคี วามแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ จากตารางที่ 4 A จะพบว่ า ค่ า Sharpe Ratio ที่ใช้ วั ด ผลตอบแทนโดยเปรียบเทียบกับความเสี่ยง พบว่า ในกลุ่ม Bank Affiliate มีค่า 0.216 ซึ่งสูงกว่ากลุ่ม Non-Bank Affiliate ที่มี ค่ า 0.089 แสดงว่ า ความสามารถในการบริห ารการ ลงทุนของกองทุนกลุ่ม Bank Affiliate นั้นดีกว่ากลุ่ม NonBank Affiliate และ Sharpe (1964) ได้ เสนอทฤษฎี CAPM ในการศึ กษาครั้งนี้ ค่ า Alpha ที่แสดงอัตราผลตอบแทน ของกองทุนกับอัตราผลตอบแทนของตลาด พบว่า ในกลุ่ม Bank Affiliate มีค่า 0.001 สูงกว่ ากลุ่ม Non-Bank Affiliate ที่มีค่า -0.002 เพียงเล็กน้ อย แสดงว่ า กองทุนรวมทั้ง 2 กลุ่มนั้นสามารถสร้ างอัตราผลผลตอบแทนที่ใกล้ เคียงกับ อัตราผลตอบแทนของตลาด และค่า Beta ของกลุ่ม NonBank Affiliate มีค่า 0.970 ซึ่งสูงกว่ ากลุ่ม Bank Affiliate ที่มีค่า 0.890 อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ แสดงถึงค่าความ ผัน ผวนในกลุ่ ม Non-Bank Affiliate มี ค่ าใกล้ เคี ยงดั ชนี


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ตลาดหลั ก ทรั พ ย์ ม ากกว่ า กลุ่ ม Bank Affiliate ทั้ ง กลุ่ ม Bank Affiliate และกลุ่ ม Non-Bank Affiliate ค่ า Beta อยู่ ในช่ วง 0 < Beta < 1 แสดงผลตอบแทนเคลื่ อนไหวหรื อ เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกับตลาด แต่น้อยกว่าตลาด ค่ า Beta หรื อ Beta Coefficient คื อ ตั ว เลขที่ ได้ จากการ เปรี ย บเทีย บระหว่ างการเปลี่ ย นแปลงของมู ล ค่ าหน่ ว ย ลงทุ น และการเคลื่ อ นไหวของดั ช นี ต ลาดหลั ก ทรั พ ย์ ค่ า Beta เป็ นเครื่ องมื อชี้ วั ดความสัมพั น ธ์ระหว่ างมู ลค่ า หน่ ว ยลงทุ น กั บ ดั ช นี ต ลาดหลั ก ทรั พ ย์ ค่ า Beta ของ กองทุน ก็คือ ค่าความผันผวนของมูลค่าหน่ วยลงทุนเมื่อ เทียบกับตลาดนั่ นเอง กองทุ นที่มีค่ า Beta ต่ าจะมีความ เสี่ยงน้ อยกว่ากองทุนที่มคี ่า Beta สูง จากตารางที่ 4 B แสดงผลการวิเคราะห์ความสามารถ ด้ านจังหวะลงทุนของผู้จัดการกองทุ น (Market Timing) ด้ วยแบบจ าลอง Treynor & Muzuy: TM (1966) พบว่ า ค่าเฉลี่ย TM กลุ่ม Bank Affiliate มีค่า 0.573 สูงกว่ากลุ่ม Non-Bank Affiliate ที่ มี ค่ า 0.490 แสดงว่ า กลุ่ ม Bank Affiliate สามารถพยากรณ์ ทิ ศ ทางตลาดได้ ดี ก ว่ า จึ ง มี โอกาสสร้ างผลตอบแทนได้ ดีกว่ากลุ่ม Non-Bank Affiliate และค่า Alpha ของทั้ง 2 กลุ่มมีค่าเฉลี่ยที่ใกล้ เคียงกัน คือ กลุ่ม Bank Affiliate มีค่า -0.001 สูงกว่ากลุ่ม Non-Bank Affiliate ที่มีค่า -0.003 ซึ่งติดลบเพี ยงเล็กน้ อย แสดงว่ า กองทุนรวมทั้ง 2 กลุ่มนั้นสามารถสร้ างอัตราผลตอบแทน ที่ใกล้ เคี ยงกับอัตราผลตอบแทนของตลาด และค่ า Beta ของกลุ่ม Non-Bank Affiliate มีค่า 0.908 ซึ่งสูงกว่ ากลุ่ม Bank Affiliate ที่มคี ่า 0.992 อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ จากการศึ ก ษาในกลุ่ ม Bank Affiliate มี จุ ด แข็ง คื อ ขนาดกองทุนที่มีขนาดใหญ่ สามารถกระจายการลงทุนได้ มากกว่าและในด้ านสาขาที่ให้ บริการแก่นักลงทุนและความ เชื่อมั่นที่มีต่อกลุ่ม Bank Affiliate จุ ดอ่อน คือ ค่ าบริหาร จัดการกองทุ น (Management fee) ที่มากกว่ ากลุ่ม NonBank Affiliate และกลุ่ ม Non-Bank Affiliate มี จุ ด แข็ ง คือ ขนาดกองทุนที่มีขนาดเล็กจึงมีความยืดหยุ่นมากกว่ า ง่ ายต่ อการบริหารจัดการ และส่วนใหญ่ กลุ่ม Non-Bank Affiliate จะเป็ นการร่ ว มทุ น กั บ บริ ษั ท ต่ า งประเทศจึ ง มี ความรู้วิธี ขั้นตอนการดาเนิ นงานการลงทุ นที่ดีกว่ า และ จุดอ่อน คือ สาขาที่ให้ บริการ การเข้ าถึงนักลงทุนเป็ นไปได้

113

ยาก และยังไม่ค่อยมีความเชื่อมั่นจากนักลงทุนจึงจะต้ อง สร้ างผลตอบแทนที่ดีกว่ าเพื่ อเป็ นการเรียกความเชื่อมั่น จากนักลงทุน สรุปผลการศึกษาและข้อเสนอแนะ ผลการศึกษาการดาเนินงานของกองทุนในกลุ่ม Bank Affiliate โดยภาพรวมนั้น มีประสิทธิภาพในการดาเนินงาน ที่สงู กว่ากลุ่ม Non-Bank Affiliate แต่ยังมีค่าบริหารจัดการ กองทุ น (Management fee) ที่ ม ากกว่ า กลุ่ ม Non-Bank Affiliate ซึ่ งค่ าบริห ารจั ด การกองทุ น จะมีผ ลโดยตรงต่ อ อัตราผลตอบแทนสุทธิท่นี ักลงทุนจะได้ รับจากการลงทุนใน กองทุนรวมนั้นๆ หากค่าบริหารจัดการมีค่าสูง ก็จะทาให้ อัตราผลตอบแทนสุทธิลดลงด้ วย จากภาพรวมกองทุ น รวมในของ กลุ่ ม Non-Bank Affiliate มีขนาดกองทุนที่เล็กกว่ า 79% ในอายุท่ใี กล้ เคียง กัน ด้ วยเหตุผลที่มีเงินทุนที่น้อยกว่ าจึงส่งผลให้ อตั ราการ เติบโตของกองทุนมีค่าต่ากว่าด้ วย ทั้งนี้ เพราะกองทุนรวม ในของกลุ่ ม Non-Bank Affiliate นั้ น มีข้ อจ ากัดในเรื่ อง สาขาที่ให้ บริก ารแก่ ลู ก ค้ า ยากต่ อ การเข้ าถึ งบริ การเมื่ อ เปรียบเทียบกับกลุ่ม Bank Affiliate จึงควรทาการส่งเสริม การท าธุรกรรมแบบ Omnibus account คื อ การที่ บ ริ ษั ท หลั กทรั พ ย์ ส ามารถเป็ นตั วแทนขายกองทุ น ของ บลจ. ต่างๆ ได้ อย่ างหลากหลายภายในบัญชีการซื้อ -ขายเพี ยง บัญชี เดียวซึ่ งจะเป็ นช่ องทางที่สะดวกต่ อการท าเลื อกซื้ อ กองทุน ลดขั้นตอนการทาธุรกรรมเพื่อเป็ นการลดจุดอ่อน ด้ านจานวนสาขาของกลุ่ม Non-Bank Affiliate ในการศึกษาครั้งนี้ภาพรวม พบว่า กลุ่ม Bank Affiliate มี ป ระสิท ธิภ าพในการด าเนิ น งานที่ม ากกว่ ากลุ่ ม NonBank Affiliate ซึ่งในการศึกษาขั้นต่อไปควรที่จะศึกษาถึง เหตุ ผ ลหรื อ ปั จจั ย ที่ ท าให้ กลุ่ ม Bank Affiliate นั้ น มี ประสิทธิภาพที่สงู กว่า ในเรื่องเกี่ยวกับรายละเอียด เทคนิค การจัดการบริการกองทุน การคัดเลือกหลักทรัพย์ในการ ลงทุ น ซึ่ งจะมี ค วามแตกต่ างกัน ของเทคนิ ค การบริ ห าร จัดการของผู้จัดการกองทุนในแต่ละกองทุน


114

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

กิตติกรรมประกาศ

Sharpe, W. F. (1966). Mutual Fund Performance. Journal of Business, January, 119-138.

ขอขอบพระคุณ รศ. ดร. ธนโชติ บุญวรโชติ อาจารย์ ที่ปรึกษาที่ให้ ความช่ วยเหลือ ค าแนะนา ตรวจทาน และ Treynor, J., & Mazuy, K. (1966). Can Mutual Funds ติ ด ตามความก้ า วหน้ าในการด าเนิ น การวิ จั ย อั น เป็ น Outguess the Market? Haward Business Review 44, ประโยชน์ อย่ างยิ่งในการทาวิ จัย อีกทั้งแก้ ไขข้ อบกพร่ อง July-August 1966, 131-136. ต่างๆ ในการทาวิจัยนี้ตลอดมา Wei, H., & Bolong, C. (2011). The Performance of Chinese Open-End Stock Mutual Funds: A First. เอกสารอ้างอิง Retrieved from http://ssrn.com/abstract=1927724 จักรณัถเทพ กรินชัย. (2544). การเปรียบเทียบความเสีย่ ง Translated Thai References อัตราผลตอบแทน และผลการดาเนิ นงานของกองทุนรวม ในประไทยจาแนกตามนโยบายการลงทุน . (วิทยานิ พนธ์ ปริญ ญามหาบัณ ฑิต ) [เอกสารอัดส าเนา]. มหาวิทยาลั ย Krinchai, J. (2001). The comparison of risk, rate of return and performance of mutual funds in Thailand เกษตรศาสตร์, กรุงเทพฯ. [1] classified by their investment policies. (Master’s thesis) ตลาดหลักทรัพย์แห่ งประเทศไทย. (2558). รายงานงาน [Mimmeograph]. Kasetsart University, Bangkok. [in Thai] ป ระจ าปี 2557. สื บค้ น จาก http://www.set.or.th/th/ [1] about/annual/2014/index.html [2] Thailand Securities Institute, The Stock Exchange of สถาบั น พั ฒ นาความรู้ ต ลาดทุ น ตลาดหลั ก ทรั พ ย์ แ ห่ ง Thailand. (2005). Investment in Funds. Bangkok: ประเทศไทย. (2548). การลงทุนในกองทุน . กรุงเทพฯ: Amarin Publishing. [in Thai] [3] อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง. [3] The Stock Exchange of Thailand. (2015). Annual Sharpe, W. F. (1964). Capital asset prices: A theory Report 2014. Retrieved from http://www.set.or.th/th of market equilibrium under conditions of risk. Journal /about/annual/2014/index.html [in Thai] [2] of Finance, 19(3), 425–44.


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

115

หน้าทีท่ างวัจนปฏิบตั ิศาสตร์ของคาว่า “โอเค” ในบทสนทนาภาษาไทย วีณา วุฒิจานงค์

Pragmatic Functions of “Okay” in Thai Conversation Weena Wutthichamnong สาขาวิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร 10330 Department of Thai, Faculty of Arts, Chulalongkorn University, Bangkok, 10330 Corresponding author. E-mail address: wee_ick193@hotmail.com บทคัดย่อ การใช้ คาว่า “โอเค” ซึ่งยืมมาจากภาษาอังกฤษที่ปรากฏในบทสนทนาภาษาไทยนับว่ าน่ าสนใจยิ่ง เนื่องจากปรากฏใช้ อย่ างกว้ างขวางและ มีหน้ าที่ทางวัจนปฏิบัติศาสตร์ท่ ีหลากหลาย บทความนี้มีวัตถุ ประสงค์ 3 ประการ คือ 1) เพื่ อศึกษาหน้ าที่ทางวัจนปฏิบัติศาสตร์ของค าว่ า “โอเค” ในบทสนทนาภาษาไทย 2) เพื่ อเปรียบเทียบหน้ าที่ทางวัจนปฏิบัติศาสตร์ของคาว่ า “โอเค” ในบทสนทนาภาษาไทยกับบทสนทนา ภาษาอังกฤษ และ 3) เพื่อวิเคราะห์ความหมายแก่นของคาว่า “โอเค” ในบทสนทนาภาษาไทย ข้ อมูลมาจากบทสนทนาในชีวิตประจาวันและ บทสนทนาในข้ อความในเว็บไซต์ เฟซบุ๊ก ได้ ข้ อมู ลทั้งสิ้น 140 ครั้ง ผลการวิจัยพบว่ า คาว่ า “โอเค” มี หน้ าที่ทางวัจนปฏิบัติ ศาสตร์ท้งั สิ้น 11 หน้ าที่ คื อ 1) แสดงความรั บ รู้ส่ิงที่คู่ สนทนาพู ด 2) แสดงการยอมรับ 3) สรุป 4) แสดงความเข้ าใจ 5) ประเมิ นค่ า 6) กล่ าวก่ อ น การปิ ดการสนทนา 7) ยืนยันความคิดของตนเอง 8) ยุติการสนทนา 9) เกริ่นนาก่อนการเริ่มเสนอประเด็น 10) ขอความเห็นพ้ องกับข้ อเสนอ 11) เปลี่ยนประเด็น เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้ คาว่ า “okay” ในภาษาอังกฤษพบว่า มีข้อแตกต่างที่น่าสนใจ คือ หน้ าที่ยืนยันความคิดของ ตนเองและยุติการสนทนาปรากฏเฉพาะในบทสนทนาภาษาไทยเท่านั้น และเมื่อวิเคราะห์ความหมายแก่น พบว่า ความหมายแก่นของคาว่ า “โอเค” คือ การยอมรับ คาสาคัญ: โอเค วัจนปฏิบัติศาสตร์ บทสนทนาภาษาไทย Abstract The use of the expression “okay” which is an English loan word, in Thai daily conversation is worth investigating. The expression is widely used and has various pragmatic functions. This study has 3 aims: 1) to examine pragmatic functions of “okay” in Thai conversation, 2) to compare the pragmatic functions of “okay” in Thai and English and 3) to examine the core meaning of “okay” in Thai conversation. The data elicited are from Thai daily conversation and from www.facebook.com. The data consisted of 140 cases of the use of “okay”. The findings reveal that there are eleven pragmatic functions of “okay” including acknowledging, showing acceptance, concluding, indicating the message conveyed is understood, evaluating, pre-closing, confirming, closing, introducing a new topic, asking for acceptance and changing a topic. A significant difference between the use of “okay” in Thai and English is that only Thai speakers use “okay” for confirming and closing. A semantic analysis shows that the core meaning of “okay” in Thai conversation is “acceptance”. Keywords: Okay, Pragmatics, Thai Conversation

ปริจเฉทการสื่อสารและปริบทสังคมวัฒนธรรม ในปริบท การสื่อสารภาษาไทย ผู้วิจัยสังเกตเห็นว่ า ผู้พูดภาษาไทย คาว่า “โอเค” เป็ นถ้ อยคาที่มที ่มี าจากภาษาอังกฤษ แต่ ที่อาจไม่ ร้ ูภาษาอังกฤษก็ใช้ ค าว่ า “โอเค” จนเป็ นค าพู ด ปรากฏใช้ ในปริ จ เฉทการสนทนาภาษาอื่ น ๆ มากมาย ติดปาก คาว่ า “โอเค” มักปรากฏในบทสนทนาภาษาไทย ที่ผ่านมามีนักวิจัยสนใจศึกษาการใช้ คาว่า “โอเค” ในภาษา เป็ นจานวนมาก เช่น ต่างๆ และพบว่า การใช้ คาว่า “โอเค” แตกต่างกันไปตาม บทนา


116

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

1. ส้ม พรุ่งนี้หยุดป่ ะ 2. แมว ไม่หยุด 3. ส้ม โอเค ไปรีดผ้าไป 4. แมว เค คาว่ า “โอเค” ในผลัดที่ 3 ทาหน้ าที่กล่าวก่อนการปิ ด การสนทนา ส่วนคาว่า “เค” ในผลัดที่ 4 ทาหน้ าที่ยอมรับ คาสั่ง ตัวอย่ างสถานการณ์การสื่อสารข้ างต้ นแสดงให้ เห็นว่ า ค าว่ า “โอเค” ปรากฏใช้ อยู่ ท่ัวไปในชี วิต ประจ าวั น และ มี ห น้ าที่ ท างวั จ นปฏิ บั ติ ศ าสตร์ ท่ี ห ลากหลาย กล่ าวคื อ ความหมายของคาว่ า “โอเค” ในสถานการณ์การสื่อสาร ต่างๆ ขึ้นอยู่ กับเจตนาของผู้พูดและการตีความของผู้ฟั ง จากมุ ม มองด้ านวั จ นกรรม การที่ ถ้ อยค าถ้ อยค าหนึ่ ง สามารถสื่อเจตนาได้ หลากหลายเป็ นปรากฏการณ์ทางภาษา ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง งานวิ จั ย ที่ ศึ ก ษาเกี่ ย วกั บ การใช้ ค าว่ า “โอเค” นิ ย ม ศึ ก ษาหน้ าที่ ท างวั จ นปฏิ บั ติ ศ าสตร์ ข องค าดั ง กล่ า วใน ปริจเฉทการสนทนาประเภทต่างๆ เนื่องจากคาว่า “โอเค” ปรากฏใช้ ในปริบทการสนทนาอย่ างกว้ างขวาง อีกทั้งผู้ใช้ ภาษายังใช้ คาว่ า “โอเค” ในความหมายที่แตกต่ างกันไป ตามแต่ ละสถานการณ์ อีกด้ วย งานวิจั ยเหล่ านี้ จาแนกได้ เป็ น 2 กลุ่ม คือ งานวิจัยที่ศึกษาการใช้ คาว่า “โอเค” เพียง คาเดียวและงานวิจัยที่ศึกษาคาว่า “โอเค” เปรียบเทียบกับ คาที่ทาหน้ าที่เชื่อมโยงความในปริจเฉทหรือที่เรียกว่าดัชนี ปริจเฉท (Discourse Marker) คาอื่นๆ งานวิ จั ย ที่ ศึ ก ษาการใช้ ค าว่ า “โอเค” เพี ย งค าเดี ย ว ได้ แ ก่ งานวิ จั ย ของ Gaines (2011) ที่ ศึ ก ษาหน้ าที่ ท าง วัจนปฏิบัติศาสตร์ของคาว่ า “โอเค” โดยพิจารณาทานอง เสียงว่ า การใช้ ท านองเสียงที่แ ตกต่ างกัน มีผ ลต่ อหน้ าที่ ทางวัจนปฏิบัติศาสตร์หรือไม่ งานวิจัยกลุ่มนี้แสดงให้ เห็น ว่า ในภาษาอังกฤษ ทานองเสียงเป็ นปั จจัยหนึ่งที่ทาให้ เกิด หน้ าที่ ท างวั จนปฏิ บั ติ ศ าสตร์ กล่ าวคื อ หากกล่ าวค าว่ า “โอเค” ด้ วยทานองเสียงธรรมดา ผู้พูดจะใช้ เพื่อแสดงการ ยอมรับคู่สนทนา แต่บางครั้งก็อาจเป็ นเพียงการยอมรับแต่ ยังไม่อนุ มัติให้ กระทาหรืออาจยอมรับสิ่งที่คู่สนทนากล่ าว มาแล้ วก่อนหน้ าพร้ อมกับเกริ่นสิ่งที่ต้องการจะพูดต่ อไป นอกจากนี้ ยังเป็ นเครื่องมือในการยุตกิ ารสนทนาได้ อกี ด้ วย แต่หากใช้ ทานองเสียงสูงเป็ นวลีท้ายประโยคบอกเล่าแสดง

การถาม (Question Tag) ผู้พูดอาจใช้ เพื่ อตรวจสอบผู้ฟัง ว่ า ยั งคงติด ตามผู้ พู ด และเข้ าใจผู้ พู ด หรือไม่ ใช้ เพื่ อขอ อนุญาตหรือขอความเห็นชอบในกรณีท่ผี ้ ูพูดอาจจะกระทา สิ่งที่ผ้ ฟู ั งไม่พึงประสงค์ ตลอดจนเป็ นกลวิธกี ารชิงผลัด คือ การทาให้ ตนได้ สทิ ธิ์ในการเป็ นผู้พูดโดยกล่าวคาว่า “โอเค” เพื่อปิ ดประเด็นการสนทนาแล้ วครองผลัดแทน นอกจากนี้ ในสถานการณ์การซักถามสัมภาษณ์ของตารวจยังใช้ คาว่ า “โอเค” เพื่ อปฏิเสธข้ อกล่ าวหาอีกด้ วย แต่ ปรากฏการใช้ น้ อย งานวิจัยกลุ่มที่ 2 เป็ นงานวิจัยที่ศึกษาคาว่า “โอเค” ใน ฐานะที่เป็ นดัชนี ปริจเฉท โดยศึกษาเปรียบเทียบกับดัชนี ปริจเฉทอื่นๆ เช่น คาว่า “mmhmm” “so” “right” “yeah” “anyway” (Guthrie, 1997; Othman, 2010; QuerolJulián & Bellé s-Fortuño, 2010; Huddlestone & Fairhurst, 2013) งานวิ จั ย ของ Guthrie (1997) พบว่ า ในภาษา อั ง กฤษ ค าว่ า “okay” จะใช้ เพื่ อแสดงความรั บ รู้ ว่ า จบใจความเรียบร้ อยแล้ ว ไม่มีถ้อยคาตามหลัง หรือหากมี ถ้ อยคาตามหลังก็จะเป็ นประเด็นใหม่ ในทางตรงกันข้ าม คาว่า “mmhmm” จะใช้ เพื่อแสดงให้ ทราบว่า เรื่องที่กล่าวนั้น ยังไม่จบกระแสความ และจะมีถ้อยคาอื่นๆ ตามมาอีก ส่ ว นการใช้ ค าว่ า “okay?” ด้ วยเสี ย งสู ง Othman (2010) อธิบายว่ า ผู้พู ดจะใช้ เพื่ อตรวจสอบความเข้ าใจ กล่าวก่อนปิ ดเรื่อง และเป็ นสัญญาณว่าผู้บรรยายพร้ อมจะ กล่าวถึงประเด็นถัดไปแล้ ว แต่หากใช้ คาว่า “right?” จะใช้ เพื่ อยื น ยั น ถึ ง ความรู้ ท่ี ท้ั ง ผู้ บ รรยายและผู้ ฟั งมี ร่ ว มกั น นอกจากนี้ บางครั้ งยั งใช้ ค าว่ า “alright?” เพื่ อแสดงว่ า ผู้บรรยายพยายามจะสร้ างบรรยากาศความตั้งใจก่อนที่จะ เริ่มบรรยายต่อ ส่วนคาว่า “yeah?” ใช้ เพื่อตรวจสอบความ ต่ อเนื่ องว่ า ผู้ ฟั งตามเนื้ อหาที่บ รรยายทั น หรื อ ไม่ ดั ช นี ปริจเฉทเหล่านี้ หากพูดโดยใช้ ทานองเสียงต่าจะปรากฏใน ตาแหน่งต้ นประโยค ใช้ เพื่อดึงดูดความสนใจจากผู้ฟัง แต่ มีส่วนที่ต่างกันคือการใช้ คาว่า “okay” จะสัมพันธ์กบั เรื่อง ที่กล่ าวไปแล้ วก่อนหน้ า ในขณะที่การใช้ คาว่ า “right” ใช้ กล่าวถึงสิ่งที่กาลังจะเกิดขึ้นต่อไป Querol-Julián and Bellé s-Fortuño (2010) ศึ ก ษ า คาว่า “and” “so” และ “okay” ในปริจเฉทการพูดนาเสนอ ผลงานทางวิชาการ และพบว่ าค าเหล่ านี้ มักจะไม่ ปรากฏ เดี่ ยวๆ แต่ จะปรากฏร่ ว มกั บ ค าอื่ นเป็ น “and uh,”


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

“um and so,” “and uh okay” และหากใช้ ทานองเสียงสูง แสดงว่ าผู้ พู ดพยายามดึงดู ดความสนใจจากผู้ ฟั ง อีกทั้ง ผู้ น าเสนอผลงานมั กจะก้ าวเดิ นหน้ า ถอยหลั ง ประสาน สายตากับผู้ฟังและเขย่ามือไปพร้ อมกันด้ วย ในภาษาอังกฤษแบบอัฟริกนั งานวิจัยของ Huddlestone and Fairhurst (2013) แสดงให้ เห็นว่ า ผู้พูดนิยมใช้ คาว่ า “okay” เพื่ อดึงดูดความสนใจจากผู้ฟัง เกริ่นนาก่อนเริ่ม การเสนอประเด็น เป็ นเครื่องบ่งชี้ว่าผู้พูดพูดจบแล้ ว และ ใช้ ตรวจสอบว่า ผู้ฟังเข้ าใจสิ่งที่ผ้ ูพูดพูดหรือไม่ นอกจากนี้ ยังใช้ เพื่อรักษาผลัดการพูดไว้ ในกรณีท่ผี ้ ูพูดกาลังคิดสิ่งที่ จะพูดต่อไป และใช้ เมื่อจะดัดแปลงคาพูดให้ เป็ นคาพูดของ ผู้ พู ด เอง (Introduce Reported Speech) ในขณะที่ ค าว่ า “anyway” ใช้ เพื่ อเชื่ อ มสิ่ ง ที่ ก าลั ง จะพู ด กั บ สิ่ ง ที่ ก ล่ า ว มาแล้ วก่อนหน้ า เพื่อแก้ ปัญหาเฉพาะหน้ าเมื่อไม่สามารถ แย้ งหรือแก้ ตัวกับคู่สนทนาได้ ใช้ เพื่อรับรองว่าบทสนทนา ดาเนินต่อไป ทั้งยังเป็ นกลวิธกี ารรักษาหน้ าของผู้พูด ส่วน การใช้ คาว่ า “shame” เป็ นลักษณะเด่ นของภาษาอังกฤษ แบบอัฟริกนั เนื่องจากปรากฏมากกว่าในภาษาอังกฤษแบบ อื่นๆ คาดังกล่ าวใช้ เป็ นคาอุทาน เป็ นคาแสดงความเป็ น พวกเดียวกัน และยังใช้ เป็ นสานวนในการแสดงความเสียใจ หรือการแสดงอารมณ์ความรู้สกึ ได้ อกี ด้ วย จากการทบทวนเอกสารและงานวิ จั ย ที่เกี่ย วข้ อ งกั บ การใช้ คาว่ า “โอเค” ผู้วิจัยพบว่ า แม้ จะมีนักวิจัยบางส่วน ศึกษาการใช้ คาดังกล่ าวในภาษาต่ างๆ เช่ น ภาษาอังกฤษ (Guthrie, 1 9 9 7 ; Othman, 2 0 1 0 ; Querol-Julián & Bellé s-Fortuño, 2010; Gaines, 2011) และภาษาอังกฤษ แบบอัฟริกัน (Huddlestone & Fairhurst, 2013) แต่ กย็ ัง ไม่มีผ้ ูศึกษาการใช้ คาว่า “โอเค” ในภาษาไทย จึงน่ าสนใจ ว่ า ค าว่ า “โอเค” ในบทสนทนาภาษาไทยมี ห น้ าที่ ท าง วัจนปฏิบัติศาสตร์อย่างไรบ้ าง หน้ าที่เหล่านั้นเหมือนหรือ แตกต่ า งกั บ หน้ าที่ ใ นภาษาอั ง กฤษอย่ า งไร และค าว่ า “โอเค” ในภาษาไทยมีความหมายแก่นว่าอย่างไร บทความนี้ จึ งมี ว ตั ถุ ป ระสงค์เพื่อ ศึ กษาหน้าที่ ท าง วัจ นปฏิ บ ัติ ศ าสตร์ข องค าว่ า “โอเค” ในบทสนทนา ภาษาไทย เปรียบเทียบหน้าที่ทางวัจนปฏิบตั ิศาสตร์ของ คาว่า “โอเค” ในบทสนทนาภาษาไทยกับภาษาอังกฤษ และวิ เคราะห์ ค วามหมายแก่ น ของค าว่ า “โอเค” ใน

117

บทสนทนาภาษาไทย โดยมีสมมุ ติฐานว่ าค าว่ า “โอเค” ในบทสนทนาภาษาไทยน่าจะมีหน้ าที่ทางวัจนปฏิบัตศิ าสตร์ ที่ห ลากหลาย หน้ าที่ท่ี พ บมากที่สุด น่ าจะเป็ นการแสดง การยอมรั บ หน้ าที่ บ างประการอาจจะปรากฏเฉพาะใน บทสนทนาภาษาไทยเท่ านั้ น และค าว่ า “โอเค” น่ าจะมี ความหมายแก่น คือ การยอมรับ บทความนี้ ประกอบด้ วยองค์ ป ระกอบ 4 ส่ ว น คื อ 1) วิ ธีการศึ กษาและวั สดุ อุปกรณ์ 2) ผลการศึ กษาเรื่อง หน้ าที่ ท างวั จ นปฏิ บั ติ ศ าสตร์ ข องค าว่ า “โอเค” ใน บทสนทนาภาษาไทย ความเหมือนและความแตกต่างของ หน้ าที่ทางวัจนปฏิบัติศาสตร์ของคาว่า “โอเค” ในบทสนทนา ภาษาไทยกับบทสนทนาภาษาอังกฤษ ความหมายแก่นของ คาว่า “โอเค” ในบทสนทนาภาษาไทย 3) อภิปรายผลการศึกษา และ 4) สรุปผลการศึกษาและข้ อเสนอแนะ วิธีการศึกษาและวัสดุอุปกรณ์ ผู้วิจัยแบ่งวิธกี ารศึกษาออกเป็ น 4 ขั้นตอน ดังรายละเอียด ต่อไปนี้ 1. การทบทวนเอกสารและงานวิจยั ที่เกี่ยวข้อง งานวิ จั ย นี้ เป็ นงานวิ จั ย ด้ านวั จ นปฏิ บั ติ ศ าสตร์ สุจริตลักษณ์ ดีผดุ ง (2552, น. 195) อธิบายถึงศาสตร์ ดังกล่ าวว่ า “วัจนปฏิบัติศาสตร์เป็ นการศึกษาการใช้ ภาษา ในปริบททางสังคม โดยเน้ นที่เจตนาและการตีความของ ผู้ใช้ ภาษาเป็ นสาคัญ เป็ นการศึกษาความหมายของถ้ อยคา (Utterance) ที่ไม่ เหมือนกับการศึกษาความหมายของค า หรื อ ความหมายของประโยค” ผู้ วิ จั ย ทบทวนเอกสาร เกี่ยวกับทฤษฎีวัจนกรรม (Speech Act) คู่ถ้อยวัจนกรรม (Adjacency Pairs) และคาตอบที่เป็ นไปตามคาด (Preferred Response) ซึ่งล้ วนเป็ นแนวคิดส่วนหนึ่งของวัจนปฏิบัติศาสตร์ และทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้ องกับหน้ าที่ทางวัจนปฏิบัติศาสตร์ ของคาว่ า “โอเค” ในภาษาต่างๆ เพื่อเป็ นแนวทางในการ วิเคราะห์ข้อมูล 2. การเก็บรวบรวมข้อมูล ข้ อมู ล ที่ ใ ช้ ในการวิ จั ย ทั้ ง หมดเป็ นบทสนทนา โต้ ตอบที่มีผ้ ู ร่วมสนทนาจานวน 2 คน ข้ อมูลมาจากการ สนทนาในชีวิตประจาวันและบทสนทนาจากข้ อความใน เว็ บ ไซต์ เฟซบุ๊ ก (www.facebook.com) บทสนทนาใน


118

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ชีวิตประจาวันบันทึกข้ อมู ลโดยการทาบันทึกข้ อมูลอย่ าง ละเอี ย ด (Field Note) ในบางสถานการณ์ ผ้ ู วิ จั ย เป็ น ผู้สังเกตการณ์ (Observer) และในบางสถานการณ์ ผ้ ูวิจัย เป็ นทั้ ง ผู้ ร่ ว มสนทนาและผู้ สั ง เกตการณ์ (Participant/ Observer) ไปพร้ อมกัน ส่ วนบทสนทนาจากข้ อความใน เว็บ ไซต์ เฟซบุ๊กเป็ นข้ อ มู ลที่ผ้ ู วิ จั ย เป็ นผู้ ร่ วมสนทนาทุ ก สถานการณ์ ทั้ งนี้ ในการน าเสนอผลการวิ จั ย ผู้ วิ จั ย ใช้ นามสมมุ ติ แ ทนนามจริ ง ของผู้ ร่ ว มสนทนาและผู้ ที่ ถู ก กล่ าวถึงในบทสนทนาทั้งหมด อนึ่ ง ตัวอย่ างบทสนทนา ที่มาจากข้ อความในเว็บไซต์เฟซบุ๊กทั้งหมด ผู้ วิจัยรักษา รูป เขี ย นเดิ ม ไว้ ไม่ ได้ แ ก้ ไขให้ เป็ นภาษาไทยมาตรฐาน จึงอาจปรากฏคาที่สะกดไม่ตรงตามหลักภาษาไทย 3. การคัดเลือกข้อมูล ผู้วิจัยคัดเลือกบทสนทนาส่วนที่ปรากฏการใช้ คาว่า “โอเค” รวมถึ ง ค าที่ เป็ นรู ป แปรของค าว่ า “โอเค” คื อ “โอ” “เค” “โอเช” “ออเค” “อะเค” “เคร” และ “อะเคร” มาใช้ ในการวิจัยด้ วย 4. การวิเคราะห์ขอ้ มูล 4.1 การวิเคราะห์หน้ าที่ทางวัจนปฏิบตั ิศาสตร์ของ คาว่า “โอเค” ในบทสนทนาภาษาไทย ผู้วิจัยวิเคราะห์ หน้ าที่ทางวัจนปฏิบัติศาสตร์ ของคาว่ า “โอเค” ในบทสนทนาภาษาไทย โดยพิ จารณา จากเกณฑ์ 3 ประการ (Guthrie, 1997; Othman, 2010; Querol-Julián & Bellé s-Fortuño, 2010; Gaines, 2011; Huddlestone & Fairhurst, 2013) ได้ แก่ 1) เจตนาของผลัดการสนทนาที่อยู่ใกล้ เคียง 2) ข้ อมู ล ปริ บ ทในฐานะที่ผ้ ู วิ จั ยเป็ นผู้ ร่ วม สนทนาหรือผู้สงั เกตการณ์ทุกสถานการณ์ 3) อวั จ นภาษา เช่ น การพยั กหน้ า สี ห น้ า การแสดงออกทางสายตา นา้ เสียง 4.2 การเปรียบเทียบหน้ าที่ทางวัจนปฏิบัตศิ าสตร์ ของคาว่า “โอเค” ในบทสนทนาภาษาไทยกับภาษาอังกฤษ 4.3 การวิ เ คราะห์ ค วามหมายแก่ น ของค าว่ า “โอเค” ในบทสนทนาภาษาไทย 5. อภิปรายและสรุปผลการวิจยั

ผลการศึกษา ผู้ วิ จั ย จะน าเสนอผลการวิ จั ย เป็ น 3 ประเด็น ได้ แ ก่ 1) หน้ าที่ ท างวั จ นปฏิ บั ติ ศ าสตร์ ข องค าว่ า “โอเค” ในบทสนทนาภาษาไทย 2) หน้ าที่ทางวัจนปฏิบัติศาสตร์ ของคาว่า “โอเค” ในบทสนทนาภาษาไทยเปรียบเทียบกับ ในบทสนทนาภาษาอังกฤษ 3) ความหมายแก่นของคาว่ า “โอเค” ในบทสนทนาภาษาไทย 1. หน้าที่ ทางวัจนปฏิ บ ตั ิ ศาสตร์ของค าว่ า “โอเค” ในบทสนทนาภาษาไทย จากการวิ เคราะห์ ข้ อ มู ล บทสนทนาภาษาไทยที่ ปรากฏการใช้ ค าว่ า “โอเค” จ านวน 140 ข้ อมู ล โดยใช้ เกณฑ์ท้ัง 3 ประการที่ก ล่ าวมาแล้ วข้ างต้ น ผู้ วิ จั ย พบว่ า คาว่ า “โอเค” ปรากฏใช้ ในสถานการณ์การสื่อสารต่ า งๆ อย่างหลากหลาย สามารถสรุปหน้ าที่ทางวัจนปฏิบตั ิศาสตร์ ได้ ท้งั หมด 11 หน้ าที่ ได้ แก่ แสดงความรับรู้ส่งิ ที่คู่สนทนา พูด แสดงการยอมรับ สรุป แสดงความเข้ าใจ ประเมินค่ า กล่ าวก่อนการปิ ดการสนทนา ยืนยันความคิดของตนเอง ยุ ติ ก ารสนทนา เกริ่ น น าก่ อ นการเริ่ ม เสนอประเด็ น ขอความเห็นพ้ องกับข้ อเสนอ และเปลี่ยนประเด็น หากใช้ ต าแหน่ งในการปรากฏของค าว่ า “โอเค” เป็ นเกณฑ์จะ จาแนกได้ เป็ น 2 กลุ่ม คือ คาว่า “โอเค” ปรากฏเป็ นส่วนที่ 1 ของคู่ ถ้ อยวั จนกรรม และค าว่ า “โอเค” ปรากฏเป็ น ส่วนที่ 2 ของคู่ถ้อยวัจนกรรม ดังรายละเอียดต่อไปนี้ 1.1 ค าว่ า “โอเค” ปรากฏเป็ นส่ ว นที่ 1 ของ คู่ถอ้ ยวัจนกรรม พบ 8 หน้ าที่ ดังนี้ 1) สรุป ค าว่ า “โอเค” ที่ ท าหน้ าที่ ส รุ ป ปรากฏ จานวน 21 ครั้ ง หน้ าที่ดั งกล่ าวปรากฏในสถานการณ์ ท่ี ผู้ร่วมสนทนาทั้ง 2 ฝ่ ายได้ สนทนากันมาระยะหนึ่ง แล้ วผู้ร่วม สนทนาคนหนึ่งต้ องการสรุปเรื่องที่สนทนากัน มักปรากฏ คาว่ า “โอเค” ตามด้ วยข้ อสรุปเกี่ยวกับการสนทนานั้นๆ เช่ น ตัวอย่ างที่ 1 แก้ วเป็ นรุ่นน้ องของอาย แก้ วเคยยืมชุด อุปกรณ์เครื่องบันทึกเสียงของอาย แต่ อายให้ อุปกรณ์ไป ไม่ครบจึงนัดพบกับแก้ วเพื่อนาอุปกรณ์ไปให้ เพิ่ม ตัวอย่างที่ 1 1. แก้ว วันจันทร์กีโ่ มงฮะพีอ่ าย


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

2. อาย

11 โมงจ้า ไหวเปล่า ทีพ่ ารากอน 3. แก้ว ได้ฮา้ บบบบบ 4. อาย โอเค งัน้ เจอกันวันจันทร์ เดีย๋ วเอาแจ็คไปให้ พีเ่ ก็บ ใส่กล่องดินสอแล้ว วันจันทร์อย่าลืมทวงนะ ตัวอย่ างข้ างต้ น ในผลัดที่ 4 อายกล่าวว่ า “โอเค” หลังจากที่สนทนากับแก้ วจนได้ ข้อสรุปแล้ ว เพื่ อ สรุปว่าจะนัดพบแก้ วในวันจันทร์ 2) ประเมินค่า ค าว่ า “โอเค” ที่ ท าหน้ าที่ ป ระเมิ น ค่ า ปรากฏจ านวน 11 ครั้ ง หน้ าที่ดังกล่ าวปรากฏเมื่อผู้ พู ด ต้ องการให้ คู่สนทนาประเมินค่ าเรื่องใดเรื่องหนึ่ ง ดังนั้ น ความหมายของคาว่า “โอเค” ในปริบทนี้จึงไม่สามารถระบุ ได้ อย่ างแน่ ชัด เนื่ องจากแนวกาหนดในใจ (Norm) ของ แต่ ละคนแตกต่ างกัน เกณฑ์ในการประเมินค่ าของแต่ ละ บุคคลจึงย่อมแตกต่างกันไปด้ วย คาว่า “โอเค” ที่ทาหน้ าที่ ประเมินค่านี้ปรากฏเป็ นคากริยา เช่ น ตัวอย่างที่ 2 ครูกับ ลูกศิษย์สนทนากันหลังจากครูไปร่วมงานฌาปนกิจศพพ่ อ ของครูอกี คนหนึ่ง ตัวอย่างที่ 2 1. ครู ครูเพิ่งกลับจากงานเผาพ่อ อ.กัลยา 2. ลูกศิษย์ หา เฮ่ย ไม่รูเ้ รือ่ ง อ.กัลยา โอเคไหมคะ 3. ครู โอเค ตัวอย่างข้ างต้ น ในผลัดที่ 2 และผลัดที่ 3 คาว่ า “โอเค” ในปริบทการสนทนานี้ทาหน้ าที่ประเมินค่ า มีความหมายคล้ ายกับสบายดีหรือมีสภาพจิตใจดีข้ นึ 3) กล่าวก่อนการปิ ดการสนทนา คาว่ า “โอเค” ที่ท าหน้ าที่กล่ าวก่อนการ ปิ ดการสนทนาปรากฏจ านวน 10 ครั้ ง หน้ าที่ ดั งกล่ า ว ปรากฏในสถานการณ์ช่วงท้ ายของการสนทนา เมื่อผู้ร่วม สนทนาคนหนึ่งกาลังจะปิ ดการสนทนาจึ งกล่ าวว่า “โอเค” แล้ วจึงปิ ดการสนทนา เช่น ตัวอย่างที่ 3 อาชัยเป็ นคณะกรรมการ จัดกิจกรรมการประชันกลอนสดที่มหาวิทยาลัยรังสิตและ

119

ขอให้ ฝนเป็ นพิ ธี ก ร ก่ อ นถึ ง วั น จั ด กิ จ กรรมฝนจึ ง ถาม รายละเอียดเกี่ยวกับการเดินทางไปมหาวิทยาลัยรังสิต ตัวอย่างที่ 3 1. ฝน อาชัยคะ รถตูท้ ีอ่ ยู่หมอชิต ไปธรรมศาสตร์ ผ่าน ม.รังสิต ไหมคะ 2. อาชัย ไม่แน่ใจ น่าจะผ่านนะ ม.รังสิตอยู่ พหลโยธิน 87 แล้วต้องนัง่ รถเข้าซอยอีกกิโล กว่า แต่ถา้ เขาวิ่งบนทางด่วน หรือทางยกระดับก็คงไม่ผ่าน 3. ฝน ขอบคุณค่ะ เดีย๋ วฝนลองถาม เพือ่ นดู ต้องไปถึงกีโ่ มงคะ 4. อาชัย ดีจะ้ ถึงประมาณเก้าโมงก็ได้ พิธีเปิ ดประมาณนัน้ หรือ เลทนิดหน่อย 5. ฝน ได้เลย งัน้ สบายมาก 6. อาชัย โอเค ไปละ ขอให้โชคดีนะ 7. ฝน ค่ะ สวัสดีค่ะ (ไหว้) 8. อาชัย สวัสดี ตัวอย่างข้ างต้ น ในผลัดที่ 6 อาชัยเตรียม จะปิ ดการสนทนาหลังจากสนทนากับฝนเรียบร้ อยแล้ วจึง กล่าวว่า “โอเค” แล้ วกล่าวลาเพื่อปิ ดการสนทนา 4) ยืนยันความคิดของตนเอง คาว่า “โอเค” ที่ทาหน้ าที่ยืนยันความคิด ของตนเองปรากฏจานวน 8 ครั้ง หน้ าที่ดังกล่าวปรากฏใน ผลัดการสนทนาของผู้ ร่วมสนทนาคนใดคนหนึ่ ง ไม่ ได้ มี หน้ าที่ท่ีสัม พั น ธ์กับ คู่ สนทนา แต่ ค ล้ ายกับ การคิ ด เพี ย ง ผู้เดียวแล้ วพูดกับตนเอง เช่น ตัวอย่างที่ 4 กล้ าและมุกเป็ น เพื่ อนที่ท ากิจกรรมในชมรมเดี ยวกัน ในวั น ประชุ ม ของ ชมรม ทั้งสองได้ สนทนากันในเวลาเช้ าก่อนที่จะได้ พบกัน อีกครั้งในการประชุมเวลาเย็น ตัวอย่างที่ 4 1. กล้า จ้าาาาาา แหะๆๆๆๆ เจอกัน ตอนประชุม 2. มุก หา ประชุมไรวะ อ๋อๆๆๆๆ ชมรม โอเค แหะๆ ลืม


120

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ตัวอย่ างข้ างต้ น ในผลัดที่ 2 มุกกล่ าวว่ า “หา ประชุ มไรวะ อ๋อๆๆๆๆ ชมรม โอเค แหะๆ ลื ม ” คาว่า “โอเค” ในปริบทการสนทนานี้ มุกไม่ได้ กล่าวกับกล้ า แต่ ลั กษณะคล้ ายกับ มุ กคิ ด เองและพู ด กับ ตนเองเพี ย ง ผู้เดียวว่าตนนึกออกแล้ วว่าจะต้ องเข้ าร่วมประชุม 5) ยุติการสนทนา คาว่ า “โอเค” ที่ทาหน้ าที่ยุติการสนทนา ปรากฏจานวน 6 ครั้ง หน้ าที่ดังกล่าวปรากฏในผลัดสุดท้ าย ของการสนทนา เมื่อผู้ร่วมสนทนาสนทนากันจบแล้ ว ผู้ร่วม สนทนาคนหนึ่งต้ องการยุติการสนทนาจึงกล่ าวว่า “โอเค” แล้ วปิ ดการสนทนาไปทันที อย่ างไรก็ตาม หน้ าที่ดังกล่ าว ปรากฏค่อนข้ างน้ อย อาจเนื่องมาจากการปิ ดการสนทนาใน ลักษณะดังกล่าวมีลักษณะค่อนข้ างห้ วน อาจทาให้ คู่สนทนา เข้ าใจผิ ด ได้ ว่ าผู้ พู ด อาจรู้สึกไม่ พ อใจจึ งปิ ดการสนทนา เช่ น นั้ น เช่ น ตั ว อย่ า งที่ 5 หวานเป็ นรุ่ น น้ องของฝ้ าย วันหนึ่งทั้งคู่นัดพบกันที่สถานที่ท่มี ีท้งั สถานีรถไฟฟ้ า BTS และสามารถเชื่อมต่อไปยังสถานีรถไฟฟ้ ามหานครได้ หวาน จึงถามฝ้ ายเรื่องการเดินทาง ตัวอย่างที่ 5 1. หวาน เจ้จะมายังไง 2. ฝ้ าย ใต้ดิน 3. หวาน ไหวเปล่า 4. ฝ้ าย ไหว 5. หวาน โอเค ตัวอย่างข้ างต้ น ในผลัดที่ 5 เมื่อทั้งหวาน และฝ้ ายสนทนากันจบแล้ วและหวานได้ รับคาตอบแล้ วว่ า ฝ้ ายจะเดินทางอย่ างไร หวานก็กล่ าวว่ า “โอเค” แล้ วยุ ติ การสนทนาไปเพียงเท่านั้น 6) เกริ่นนาก่อนการเริ่มเสนอประเด็น ค าว่ า “โอเค” ที่ท าหน้ าที่เกริ่ น น าก่ อ น การเริ่มเสนอประเด็นปรากฏจานวน 5 ครั้ง หน้ าที่ดังกล่าว ปรากฏเมื่อผู้ ร่วมสนทนาคนหนึ่ งต้ องการจะเริ่มกล่ าวถึง ประเด็นใดประเด็นหนึ่ง แล้ วกล่ าวคาว่ า “โอเค” ก่อนจะ กล่าวถึงประเด็นที่ตนต้ องการพูดเพื่อดึงดูดความสนใจจาก ผู้ ฟั ง ปรากฏใช้ ในลั ก ษณะคล้ ายกั บ ค าว่ า “well,…” ใน ภาษาอังกฤษ เช่ น ตัวอย่ างที่ 6 เทพและฟ้ าเป็ นเพื่ อนกัน เทพขอให้ ฟ้าช่วยตรวจเอกสารประกอบการสมัครงาน

ตัวอย่างที่ 6 1. เทพ ฟ้ าครับ ช่วยดูสานวน ภาษาอังกฤษให้เราหน่อย ได้ไหมครับ อันนี้ใส่ในรีซูเม่ เพือ่ บอกว่าเราได้อะไรจาก การฝึ กงานตอน ป.ตรี - To improve the quality of residue polymer, from the manufacturing process, and recycle it. ปรับปรุงคุณภาพ พอลิเมอร์เศษเหลือ (เป็ น ส่วนเกินจากการผลิตทีป่ กติ ต้องทิ้ง) เพือ่ นากลับมา ใช้ใหม่ - Receive a work experience in the industry. ได้รบั ประสบการณ์การทางาน ในโรงงานอุตสาหกรรม มีภาษาไทยกากับไว้อีกจะได้ รูว้ า่ เราต้องการสือ่ อะไร 2. ฟ้ า โอเค 1. มันต้องมีโครงสร้าง คู่ขนานอะ คือ ถ้าจะเขียน เป็ นข้อๆ ก็ให้ทกุ ข้อมี โครงสร้างเหมือนกัน เช่น ขึ้นด้วย to+verb ทัง้ หมด หรือถ้าเป็ นนามวลีกน็ ามวลี ทุกข้อ ถ้าเป็ นประโยคก็เป็ น ประโยคทุกข้อ 3. เทพ อ๋อ ตัวอย่ างข้ างต้ น ในผลัดที่ 2 ฟ้ ากล่ าวว่ า “โอเค” แล้ วจึงเริ่มตอบคาถามของเทพ คาว่า “โอเค” ใน ปริบทดังกล่าวไม่ได้ มคี วามหมายใดๆ แต่ใช้ เกริ่นนาก่อนที่ จะเริ่มกล่าวถึงประเด็นใหม่ 7) ขอความเห็นพ้องกับข้อเสนอ ค าว่ า “โอเค” ที่ ท าหน้ าที่ ขอความเห็ น พ้ องกั บ ข้ อ เสนอปรากฏจ านวน 2 ครั้ ง หน้ าที่ ดั งกล่ า ว ปรากฏเมื่อผู้ร่วมสนทนาคนหนึ่งต้ องการเสนอให้ คู่สนทนา กระทาการบางประการ คาว่า “โอเค” ที่ทาหน้ าที่ดังกล่ าว


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

มีความหมายคล้ ายค าว่ า “ตกลง” มักตามด้ วยค าแสดง การถาม เช่น “ไหม” “ใช่ไหม” หรือใช้ ทานองเสียงสูง เช่น ตัวอย่างที่ 7 ครูชวนให้ ลูกศิษย์ช่วยอ่านและวิจารณ์งานวิจัย ของครู แต่ลูกศิษย์มีภารกิจอื่น ไม่สามารถช่วยครูได้ ครูจึง ให้ ลูกศิษย์อกี คนหนึ่งทาล่วงหน้ าไปก่อน ตัวอย่างที่ 7 1. ครู ครูจะให้นกั ศึกษา ป.ตรี ทาไปพลางๆ ก่อน หนูมา เก็บตอนท้ายก็แล้วกัน 2. ลูกศิษย์ ค่ะ 3. ครู จะได้เป็ นอีดิเตอร์ให้ เครป่ ะ อิออิ 4. ลูกศิษย์ โอเค ตัวอย่ างข้ างต้ น ในผลัดที่ 3 ครูกล่ าวว่ า “จะได้ เป็ นอีดิเตอร์ให้ เครป่ ะ อิออิ ” เพื่ อชวนให้ ลูกศิษย์ มาช่ วยอ่ านงานวิ จั ย ของครู โดยใช้ ค าว่ า “เคร” ซึ่ งเป็ น รูปแปรของคาว่า “โอเค” ตามด้ วยคาแสดงการถาม “ป่ ะ” 8) เปลีย่ นประเด็น คาว่า “โอเค” ที่ทาหน้ าที่เปลี่ยนประเด็น ปรากฏจ านวน 1 ครั้ ง หน้ าที่ดั งกล่ าวปรากฏเมื่ อผู้ ร่ วม สนทนาคนหนึ่งต้ องการจะเปลี่ยนประเด็นในการสนทนา ค าว่ า “โอเค” ที่ ท าหน้ าที่ ดั ง กล่ า วเป็ นดั ช นี ป ริ จ เฉทที่ บ่ งบอกว่ า การสนทนานั้ นกาลั งจะกล่ าวถึงประเด็นใหม่ เช่น ตัวอย่างที่ 8 อ๋องและแตนเป็ นเพื่อนกัน แตนต้ องการ จะปรึกษาอ๋องเกี่ยวกับการจัดหน้ ากระดาษในคอมพิวเตอร์ แต่ออ๋ งเล่าถึงรุ่นพี่ท่เี รียนรุ่นเดียวกันให้ แตนฟังก่อน ตัวอย่างที่ 8 1. อ๋อง ได้คยุ กะพีเ่ อกแล้วนะ 2. แตน จริงดิ 3. อ๋อง สรุปว่ายังเรียนอยู่ แต่เหมือน ครูยงั ไม่โทรหาเลย 4. แตน อ้อ 5. อ๋อง ก็เลยคิดว่าวันจันทร์หลัง ปฐมนิเทศก็ไปคุยกะอาจารย์ 6. แตน เราก็รูแ้ ค่นนั้ เหมือนกัน 7. อ๋อง พีเ่ อกก็ไม่กล้าเข้าไป โอเค มาเรือ่ งของเธอ

121

ตั ว อย่ า งข้ า งต้ น ในผลั ด ที่ 7 เมื่ อ อ๋ อ ง กล่ าวถึงประเด็นเรื่องพี่ เอกจบแล้ ว และต้ องการเปลี่ ยน ประเด็นเป็ นเรื่องที่แตนกล่าวไว้ ว่าจะขอปรึกษา จึงใช้ คาว่า “โอเค” แล้ วเปลี่ยนประเด็นในการสนทนา 1.2 ค าว่ า “โอเค” ปรากฏเป็ นส่ ว นที่ 2 ของ คู่ถอ้ ยวัจนกรรม พบ 3 หน้ าที่ ดังนี้ 1) แสดงความรับรูส้ ิ่งที่คู่สนทนาพูด คาว่า “โอเค” ที่ทาหน้ าที่แสดงความรับรู้ สิ่งที่คู่สนทนาพู ดปรากฏจานวน 32 ครั้ง หน้ าที่ดังกล่ าว ปรากฏในสถานการณ์ ท่ี ผ้ ู ร่ ว มสนทนาคนหนึ่ ง กล่ าวถึ ง เรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้ วคู่สนทนากล่าวว่า “โอเค” เพื่อแสดง ให้ เห็นว่ าตนรับรู้ส่ิงที่คู่สนทนาพูดแล้ ว เช่ น ตัวอย่ างที่ 9 แต้ วเป็ นรุ่นพี่ของอ้ อย แต้ วและอ้ อยต้ องไปทาธุระด้ วยกันที่ ต่างจังหวัดและอ้ อยเป็ นผู้ดูแลเรื่องการจองที่พัก แต้ วถาม อ้ อยเกี่ยวกับการจองที่พัก ตัวอย่างที่ 9 1. แต้ว เราจาเป็ นต้องจองก่อนป่ าว 2. อ้อย โรงแรมสยามไม่ตอ้ ง 3. แต้ว จองนีค่ ือจ่ายมัดจา หรือ จองปาก 4. อ้อย แต่เขาบอกให้พรุ่งนี้ซกั 10 โมง โทรถามเขาอีกที เผือ่ มีเซลล์แมนเช็คเอาท์ จองปาก 5. แต้ว อืมๆ โอเค ตัวอย่างข้ างต้ น ในผลัดที่ 5 แต้ วกล่าวว่ า “อืมๆ โอเค” เพื่อแสดงความรับรู้เรื่องที่อ้อยเล่าว่าโรงแรม ให้ โทรศัพท์ถามอีกครั้งในวันรุ่งขึ้นว่ามีห้องพักว่างหรือไม่ 2) แสดงการยอมรับ ค าว่ า “โอเค” ที่ ท าหน้ าที่ แสดงการ ยอมรับปรากฏจานวน 26 ครั้ง หน้ าที่แสดงการยอมรับยัง สามารถแบ่งเป็ นประเภทย่อยได้ อกี 4 ประเภท คือ แสดง การยอมรับข้ อเสนอ แสดงการยอมรับเงื่อนไข แสดงการ ยอมรับคาขอร้ อง และแสดงการยอมรับคาสั่ง ดังนี้ ก) แสดงการยอมรับข้อเสนอ ค าว่ า “โอเค” ที่ท าหน้ าที่แสดงการ ยอมรั บ ข้ อ เสนอปรากฏในสถานการณ์ ท่ี ผ้ ู ร่ ว มสนทนา


122

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

คนหนึ่งแสดงข้ อเสนอบางประการแล้ วคู่สนทนาเห็นพ้ อง และยอมรั บ ข้ อ เสนอนั้ น ด้ ว ยการกล่ าวว่ า “โอเค” เช่ น ตัวอย่ างที่ 10 กระแตเป็ นรุ่นพี่ ของนิ้ง ทั้งสองอยู่ ร่วมใน โครงการวิจัยโครงการหนึ่งซึ่งต้ องแต่งคาประพันธ์ประกอบ นิทาน กระแตแต่งคาประพันธ์เสร็จเรียบร้ อยแล้ วจึงขอให้ นิ้งช่วยวิจารณ์ นิ้งจึงปรับการใช้ คาบางส่วน ตัวอย่างที่ 10 1. นิ้ง หีบลึกลับล็อกเมล็ดไว้ เปิ ดได้ยาก ขยับปากให้ ถูกออกทุกเสียง คิด รอบคอบสะกดชัด วัดสาเนียง หากหลบ เลีย่ งออกเสียงผิดหีบ ปิ ดตาย เจ้ หนูแก้เป็ น แบบนี้ เจ้วา่ ไง 2. กระแต โอเค เออ ลืมบอกว่า พีแ่ อบแก้ของนิ้งนิดนึง ด้วย เพราะเห็นว่าแม่ กด มากกว่าแม่อืน่ น่ะ ตัวอย่ างข้ างต้ น ในผลัดที่ 2 กระแต กล่ าวว่ า “โอเค” เพื่ อแสดงการยอมรับว่ าตนเห็นพ้ องกับ ค าประพั น ธ์ ท่ี น้ ิ งเสนอให้ ปรั บ แก้ จากนั้ น จึ ง กล่ า วถึ ง ประเด็นอื่น ข) แสดงการยอมรับเงื่อนไข ค าว่ า “โอเค” ที่ท าหน้ าที่แสดงการ ยอมรั บ เงื่ อนไขปรากฏเมื่ อ ผู้ ร่ วมสนทนาคนหนึ่ งเสนอ เงื่อนไขบางประการให้ คู่สนทนาทราบและคู่สนทนายอมรับ เงื่อนไขนั้ นด้ วยการกล่ าวว่ า “โอเค” เช่ น ตัวอย่ างที่ 11 แอ๋ ว เป็ นรุ่ น พี่ ของยศ วั น หนึ่ ง ยศต้ องการปรึ ก ษาแอ๋ ว เกี่ยวกับการทาสารนิพนธ์ ตัวอย่างที่ 11 1. ยศ พีแ่ อ๋วจ๋า ผมขอปรึกษา สารนิพนธ์ได้ป่ะพี ่ 2. แอ๋ว ยศรีบเปล่า พีข่ ออาบนา้ แป๊ บนึง เดีย๋ วพีม่ าช่วย 3. ยศ เคๆ ผมรอ ตัวอย่างข้ างต้ น ในผลัดที่ 3 ยศกล่ าว ว่ า “เคๆ ผมรอ” ยศใช้ ค าว่ า “เค” ซึ่ งเป็ นรูปแปรของ

คาว่า “โอเค” เพื่อแสดงการยอมรับเงื่อนไขที่แอ๋วเสนอว่ า จะขออาบนา้ ก่อนแล้ วจึงจะมาให้ คาปรึกษาเกี่ยวกับการทา สารนิพนธ์ ค) แสดงการยอมรับคาขอร้อง ค าว่ า “โอเค” ที่ท าหน้ าที่แสดงการ ยอมรั บค าขอร้ องใช้ เมื่อผู้ ร่ วมสนทนาคนหนึ่ งขอร้ องให้ คู่ ส นทนากระท าการบางประการและคู่ ส นทนายอมรั บ คาขอร้ องนั้นด้ วยการกล่ าวว่า “โอเค” เช่ น ตัวอย่ างที่ 12 เจ อิง และเล็กเป็ นเพื่ อนที่เรี ยนรุ่นเดียวกัน ทั้งสามคน เรียนสาขาวิชาภาษาไทย โดยเจและเล็กเรียนสายภาษาไทย ส่วนอิงเรียนสายวรรณคดีไทย เจขอให้ องิ ช่วยหาเพื่อนอ่าน บทอาศิรวาทที่เล็กเป็ นผู้ประพันธ์ ตัวอย่างที่ 12 1. เจ อิง เดีย๋ วเล็กจะแต่ง อาศิรวาท ร.5 ยังไงแล้ว ขอสายวรรณฯ อ่านซักคน สองคนเน่อ 2. อิง โอเคจ้า ตัวอย่ างข้ างต้ น ในผลั ดที่ 2 อิงกล่ าวว่ า “โอเคจ้ า” เพื่ อแสดงการยอมรับคาขอร้ องของเจที่ขอร้ อง ให้ ตนช่วยหาคนอ่านบทอาศิรวาท ง) แสดงการยอมรับคาสัง่ ค าว่ า “โอเค” ที่ท าหน้ าที่แสดงการ ยอมรับคาสั่งใช้ เมื่อผู้ร่วมสนทนาคนหนึ่ งสั่งให้ คู่ สนทนา กระท าการบางประการและผู้ รั บ ค าสั่งยอมรั บ ค าสั่งนั้ น ด้ วยการกล่ าวว่ า “โอเค” เช่น ตัวอย่ างที่ 13 แดนและพลู เป็ นเพื่ อนกัน ในการเตรียมงานจัดพิ ธีถวายราชสักการะ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ าเจ้ าอยู่หัว คณะกรรมการ จัดงานได้ ส่ังทาเครื่องถวายราชสักการะที่จะใช้ ในพิ ธี แต่ แดนไม่สามารถไปรับของที่ส่งั ไว้ ได้ จึงให้ พลูไปรับแทน ตัวอย่างที่ 13 1. แดน ของมีบายศรี 2 พาน หมาก 2 และพุ่มทองน้อย 3 จ้า 2. พลู โอเค เจ้จดั ให้จะ้ ตัวอย่างข้ างต้ น ในผลัดที่ 2 พลูกล่าว ว่า “โอเค เจ้ จัดให้ จ้ะ” เพื่อแสดงการยอมรับคาสั่งของแดน ว่าตนจะไปรับเครื่องถวายราชสักการะแทน


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

3) แสดงความเข้าใจ ค าว่ า “โอเค” ที่ ท าหน้ าที่ แ สดงความ เข้ าใจปรากฏจ านวน 18 ครั้ง หน้ าที่ดั งกล่ าวปรากฏใน สถานการณ์ท่ผี ้ รู ่วมสนทนาคนหนึ่งอธิบายเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ให้ ค่สู นทนาฟัง เมื่อคู่สนทนาเข้ าใจเรื่องราวนั้นอย่างชัดเจน แล้ วจึงกล่าวว่า “โอเค” เช่น ตัวอย่างที่ 14 พลอยและสิงโต เป็ นรุ่นพี่ รุ่นน้ องที่ร้ ูจักกัน วันหนึ่ งพลอยได้ เป็ นผู้ พิ สูจน์ อักษรบทความของสิงโต แต่ พ ลอยไม่ แ น่ ใจว่ าต้ น ฉบั บ บทความนั้นสะกดคาถูกต้ องหรือไม่ ตัวอย่างที่ 14 1. พลอย หน้า 140 โคลงจากตะเลง พ่าย บาททีส่ ี ่ “เสวยวิมตุ ติ ลาภซัน้ เสร็จซ้องปอง ประสงค์” “ซัน้ ” หรือ “ชัน้ ” 2. สิงโต ถูกแล้วครับ เขาเล่นสัมผัส ข้ามวรรค ซ โซ่ 3. พลอย โอเค เสร็จสมบูรณ์ไป 2 คน ตัวอย่ างข้ างต้ น ในผลัดที่ 3 พลอยกล่ าว ว่ า “โอเค” เพื่ อแสดงว่ า ตนเข้ าใจเหตุผลที่สิงโตอธิบาย แล้ วว่าต้ นฉบับบทความใช้ คาว่า “ซั้น” เนื่องจากต้ องการ เสียงสัมผัสอักษร จากการวิเคราะห์ หน้ าที่ทางวัจนปฏิบัติศาสตร์ของ คาว่ า “โอเค” ในบทสนทนาภาษาไทย ผู้วิจัยพบว่ า คาว่ า “โอเค” ปรากฏทั้งในส่ วนที่ 1 และส่ วนที่ 2 ของคู่ ถ้อย วัจนกรรม ตามมุมมองด้ านวัจนกรรม ถ้ อยคาจะทาหน้ าที่ เป็ นวัจนกรรมใดนั้นต้ องเป็ นไปตามเงื่อนไขวัจนกรรมทั้ง 4

123

ข้ อ คือ เงื่อนไขเนื้อความ (Propositional Condition) เงื่อนไข เบื้ องต้ น (Preparatory Condition) เงื่ อนไขความจริ ง ใจ (Sincerity Condition) และเงื่อนไขจาเป็ น (Essential Condition) ดังนั้ น การที่ถ้ อยค าหนึ่ งสามารถท าหน้ าที่เป็ นวั จนกรรม ได้ หลากหลายจึงเป็ นถ้ อยคาที่น่าสนใจอย่างยิ่ง 2. หน้าที่ ทางวัจนปฏิ บ ตั ิ ศาสตร์ของค าว่ า “โอเค” ในบทสนทนาภาษาไทยเปรี ยบเที ยบกับในบทสนทนา ภาษาอังกฤษ ในการศึกษาเปรียบเทียบ ผู้วิจัยจะใช้ ผลการวิจั ย ของงานวิ จั ยที่ศึ กษาการใช้ ค าว่ า “okay” ในบทสนทนา ภาษาอังกฤษ ได้ แก่ งานวิจัยของ Guthrie (1997); Othman (2 0 1 0 ); Querol-Julián and Bellé s-Fortuño (2 0 1 0 ); Gaines (2011) และ Huddlestone and Fairhurst (2013) มาเปรียบเทียบกับหน้ าที่ทางวัจนปฏิบัติศาสตร์ของคาว่ า “โอเค” ในบทสนทนาภาษาไทย จากการทบทวนงานวิ จั ย ที่ ก ล่ า วมาแล้ วข้ า งต้ น พบว่า ในบทสนทนาภาษาอังกฤษ คาว่ า “okay” มีหน้ าที่ ทางวัจนปฏิบัติศาสตร์จานวน 13 หน้ าที่ ได้ แก่ แสดงการ ยอมรั บ แสดงความรั บ รู้ส่ิงที่ คู่ ส นทนาพู ด แสดงความ เข้ าใจ ปฏิเสธข้ อกล่าวหา ยุติการสนทนา เกริ่นนาก่อนการ เริ่มเสนอประเด็น ขอความเห็นพ้ องกับข้ อเสนอ ชิงผลั ด กล่ าวก่ อ นการปิ ดการสนทนา บ่ ง ชี้ ว่ า ผู้ พู ด พู ด จบแล้ ว ตรวจสอบความเข้ าใจของผู้ฟัง กล่ าวก่อนดัดแปลงคาพูด ให้ เป็ นคาพูดของผู้พูดเอง และครองผลัดขณะคิดสิ่งที่จะ พู ด ต่ อ ไป ซึ่ งผู้ วิ จั ย จะแสดงการเปรี ย บเที ย บดั ง ตาราง ต่อไปนี้

ตารางที่ 1 เปรียบเทียบหน้ าที่ทางวัจนปฏิบัติศาสตร์ของคาว่า “โอเค” ในบทสนทนาภาษาไทยกับบทสนทนาภาษาอังกฤษ ปรากฏในบทสนทนา ปรากฏในบทสนทนา หน้าที่ทางวัจนปฏิบตั ิศาสตร์ของคาว่า “โอเค” ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ แสดงความรับรู้ส่งิ ที่คู่สนทนาพูด   แสดงการยอมรับ   สรุป  แสดงความเข้ าใจ   ประเมินค่า  กล่าวก่อนการปิ ดการสนทนา   ยืนยันความคิดของตนเอง 


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

124

ตารางที่ 1 (ต่อ) หน้าที่ทางวัจนปฏิบตั ิศาสตร์ของคาว่า “โอเค” ยุติการสนทนา เกริ่นนาก่อนการเริ่มเสนอประเด็น ขอความเห็นพ้ องกับข้ อเสนอ เปลี่ยนประเด็น ชิงผลัด ปฏิเสธข้ อกล่าวหา บ่งชี้ว่าผู้พูดพูดจบแล้ ว ตรวจสอบความเข้ าใจของผู้ฟัง ครองผลัดขณะคิดสิ่งที่จะพูดต่อไป กล่าวก่อนดัดแปลงคาพูดให้ เป็ นคาพูดของผู้พูดเอง ตอบรับคาขอโทษ* (ปรากฏในบทสนทนาภาษาอังกฤษใน ชีวิตประจาวัน แต่ไม่ปรากฏในผลการวิจัยที่ศกึ ษาการใช้ คาว่า “okay” ในบทสนทนาภาษาอังกฤษ)

หน้ าที่ ท างวั จ นปฏิ บั ติ ศ าสตร์ ข องค าว่ า “โอเค” ส่วนใหญ่ปรากฏทั้งในบทสนทนาภาษาไทยและบทสนทนา ภาษาอังกฤษ หน้ าที่ท่ปี รากฏในบทสนทนาภาษาใดภาษา หนึ่งอาจไม่ ได้ เป็ นลักษณะเฉพาะของภาษานั้นๆ แต่ อาจ เนื่ องมาจากงานวิจั ยที่ศึ กษาการใช้ ค าว่ า “okay” ในบท สนทนาภาษาอังกฤษบางเรื่องเลื อกศึ กษาบทสนทนาใน ปริจเฉทเฉพาะ เช่น การบรรยายทางวิชาการ การสัมภาษณ์ ของเจ้ าหน้ าที่ ต ารวจ จึ ง อาจท าให้ พบเพี ย งบางหน้ าที่ เท่ านั้น ผู้ วิจัยได้ ตรวจสอบการใช้ ค าว่ า “okay” ในภาษา อังกฤษกับเจ้ าของภาษาจานวน 3 คน ทั้ง 3 คนเป็ นผู้พูด ภาษาอังกฤษแบบอเมริกนั พบว่าหน้ าที่ท่ปี รากฏเฉพาะใน ข้ อ มู ล บทสนทนาภาษาไทยที่ ใช้ ในงานวิ จั ย นี้ ก็ส ามารถ ปรากฏในบทสนทนาภาษาอังกฤษได้ เช่นกัน อย่างไรก็ตาม เจ้ า ของภาษามองว่ า ในภาษาอัง กฤษไม่ นิ ย มใช้ค าว่ า “okay” เพื่อยืนยันความคิ ดของตนเอง และไม่ นิยมใช้ เพือ่ ยุติการสนทนา เนื่องจากอาจเป็ นการปิ ดการสนทนาที่ ไม่สภุ าพนัก ทั้งนี้ ต้ องพิจารณานา้ เสียง สีหน้ า อารมณ์ของ ผู้ร่วมสนทนาประกอบด้ วย นอกจากหน้ าที่ทางวัจนปฏิบัตศิ าสตร์ท่แี ตกต่างกัน แล้ ว จากข้ อมูลที่ใช้ ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยตั้งข้ อสังเกตว่ า การใช้ คาว่า “โอเค” ที่ปรากฏเป็ นคาซา้ หรือใช้ เครื่องหมาย ยมก ในบางสถานการณ์ อ าจมี ค วามหมายแตกต่ างกั บ การใช้ ค าว่ า “โอเค” เพี ย งครั้ งเดี ย ว เช่ น สถานการณ์

ปรากฏในบทสนทนา ภาษาไทย    

ปรากฏในบทสนทนา ภาษาอังกฤษ          

ต่อไปนี้ แอ๊วเป็ นรุ่นพี่ ของเกด ทั้งคู่ต่างกาลังทา งานวิจัย ของตน โดยเกดกาลังทางานวิจัยเกี่ยวกับคาที่มคี วามหมาย ว่ามาก วันหนึ่งแอ๊วขอให้ เกดช่วยอ่านบทความที่ตนเขียน 1. แอ๊ว พีไ่ ม่รูว้ า่ มันยากเปล่า มันก็ภาษาไทย นีแ่ หละ 2. เกด เผือ่ ๆ พักสายตาจากพีม่ ากหน่อย 55555555 3. แอ๊ว แต่มนั เป็ นทฤษฎีทีเ่ กดไม่เคยเรียน 4. เกด อุยตายยยยย งัน้ ยากแล้วแหละพี ่ 5. แอ๊ว เปล่า เพราะเกดไม่เคยเรียนนีแ่ หละ พีถ่ ึงอยากให้อ่านให้หน่อย อยากรูว้ า่ ถ้าคนอืน่ มาอ่านจะเข้าใจไหม 6. เกด โอเคๆๆๆๆ ลองไหมพี ่ 7. แอ๊ว เกดตัง้ คาถามมาได้เต็มที ่ ไม่ตอ้ งเกรงใจ 8. เกด โอเคๆ คาถามปัญญาอ่อนพีอ่ ย่าด่านะ 55555555 9. แอ๊ว มาเลย ถามอะไรก็ได้ ยกเว้นผูว้ จิ ยั ชือ่ อะไร ใน ผ ลั ด ที่ 6 แล ะใน ผ ลั ด ที่ 8 เกด ก ล่ าวว่ า “โอเคๆๆๆๆ ลองไหมพี่ ” และ “โอเคๆ คาถามปั ญญา อ่ อ นพี่ อ ย่ าด่ านะ 55555555” ตามล าดั บ การใช้ ค าว่ า


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

“โอเค” แล้ วกล่าวซา้ หลายๆ ครั้งแสดงถึงความกระตือรือร้ น เป็ นพิเศษ อย่ างไรก็ตาม การใช้ คาว่า “โอเค” ที่เป็ นคาซา้ ใน บางสถานการณ์กอ็ าจแฝงความหมายว่าผู้พูดไม่ค่อยพอใจ หรื อ ไม่ ค่ อ ยเต็ ม ใจจะต่ อบทสนทนาเท่ า ใดนั ก เช่ น สถานการณ์ ต่อไปนี้ ทิพย์และเตยเป็ นเพื่ อนกัน วันหนึ่ ง ทั้งคู่นัดกันว่าวันรุ่งขึ้นจะต้ องไปหอสมุดแห่งชาติต้งั แต่เช้ า 1. ทิพย์ เตย พรุ่งนี้วา่ ไง ไปกีโ่ มงดี ออกกีโ่ มงอ่ะ 2. เตย ต้องไปขึ้นรถตูว้ นิ ปิ่ นเกล้า ประมาณ หกโมงสิบห้า ไหวป่ ะ 3. ทิพย์ โอเคๆ ไหวก็ได้ ในผลัดที่ 3 ทิพย์กล่าวว่า “โอเคๆ ไหวก็ได้ ” คาว่า “โอเค” ในปริบทสถานการณ์ดังกล่ าวทาหน้ าที่แสดงการ ยอมรั บข้ อเสนอ แต่ เป็ นการยอมรับ ที่ไม่ ค่ อ ยเต็ม ใจนั ก สังเกตได้ จากคาว่า “ก็ได้ ” ความหมาย (1) ยอมรับความคิดของตนเอง

(2) ยอมรับความคิดของคู่สนทนา

(3) ยอมรับว่าตนรับรู้และเข้ าใจสิ่งที่ค่สู นทนาพูด (4) ยอมรับเรื่องราวทั้งหมดที่สนทนากัน

หน้ าที่ของคาว่า “โอเค” ที่ปรากฏเป็ นส่วนที่ 1 ของ คู่ถ้อยวัจนกรรมแสดงถึงการยอมรับความคิดหรือเรื่องราว ของตนเองก่อนที่จะดาเนินการสนทนาต่อไป หากปรากฏ ในช่ วงท้ ายของการสนทนาก็แสดงถึงการยอมรับเรื่องราว ทั้งหมดที่สนทนากัน ผู้พูดจึงสรุปประเด็น กล่ าวก่อนปิ ด การสนทนา และยุติการสนทนาในที่สุด ส่วนหน้ าที่ของคา

125

นอกจากนี้ หน้ าที่ตอบรับคาขอโทษเป็ นหน้ าที่ท่ไี ม่ ปรากฏในผลการวิ จั ย ของงานวิ จั ย ที่ ศึ ก ษาการใช้ ค าว่ า “okay” ในบทสนทนาภาษาอังกฤษ แต่เป็ นคาพูดติดปาก ของผู้ พู ดภาษาอังกฤษ หากมีผ้ ู กล่ าวขอโทษ ผู้พู ดภาษา อังกฤษจะตอบรับคาขอโทษนั้ นด้ วยการกล่ าวว่ า “That’s okay.” ในขณะที่ ใ นภาษาไทยจะไม่ ใ ช้ ค าว่ า “โอเค” เพื่อตอบรับคาขอโทษ แต่จะใช้ คาว่า “ไม่เป็ นไร” แทน 3. ความหมายแก่นของคาว่า “โอเค” ในบทสนทนา ภาษาไทย จากการศึ กษาการใช้ คาว่ า “โอเค” ในบทสนทนา ภาษาไทยทั้ง 11 หน้ าที่พบว่ าแม้ คาว่า “โอเค” จะมีหน้ าที่ ทางวัจนปฏิบั ติศาสตร์ แตกต่ างกัน ไปตามปริบท แต่ ก ็มี ความหมายบางส่ วนร่ วมกัน จากการพิจารณาความหมาย ดังกล่าว ผู้วิจัยพบว่าความหมายแก่นของคาว่า “โอเค” คือ “การยอมรับ” หน้าที่ทางวัจนปฏิบตั ิศาสตร์ - ประเมินค่า - ยืนยันความคิดของตนเอง - เกริ่นนาก่อนการเริ่มเสนอประเด็น - ขอความเห็นพ้ องกับข้ อเสนอ - แสดงการยอมรับข้ อเสนอ - แสดงการยอมรับเงื่อนไข - แสดงการยอมรับคาขอร้ อง - แสดงการยอมรับคาสั่ง - แสดงความรับรู้ส่งิ ที่ค่สู นทนาพูด - แสดงความเข้ าใจ - เปลี่ยนประเด็น - สรุป - กล่าวก่อนการปิ ดการสนทนา - ยุตกิ ารสนทนา ว่ า “โอเค” ที่ป รากฏเป็ นส่ วนที่ 2 ของคู่ ถ้อยวั จนกรรม ก็แสดงถึงการยอมรับว่าตนรับรู้และเข้ าใจสิ่งที่คู่สนทนาพูด ยอมรับข้ อเสนอ ยอมรับเงื่อนไข ยอมรับคาขอร้ อง ยอมรับ ค าสั่ง ของคู่ ส นทนา สอดคล้ องกับ แนวคิ ด เรื่ องค าตอบ ที่เป็ นไปตามคาด (Preferred Response) เมื่ อผู้ พู ดกล่ าว


126

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ถ้ อ ยค าแสดงเจตนาบางประการไปก็ค าดว่ า คู่ ส นทนา จะกล่าวถ้ อยคาตอบกลับเช่นเดียวกับที่ตนคาดไว้ อภิปรายผลการศึกษา คาว่ า “โอเค” ปรากฏใช้ ในบทสนทนาภาษาไทยอย่ าง กว้ างขวาง ผู้ใช้ ภาษาไทยที่อาจไม่ ร้ ูภาษาอังกฤษก็พู ดค า ดังกล่ าวจนเป็ นคาพู ดติดปาก การที่ความหมายแก่นของ คาว่า “โอเค” ในบทสนทนาภาษาไทยคือการยอมรับอาจ สะท้ อนให้ เห็นถึงลั กษณะของคนไทยที่นิ ยมแสดงความ เห็นด้ วยและยอมรับคู่สนทนามากกว่าที่จะแสดงความเห็น แย้ ง เนื่ อ งจากคนไทยค านึ งถึ งเรื่ อ งการรั ก ษาหน้ าของ คู่สนทนาและการรักษาสัมพั นธภาพที่ดีต่อไปในอนาคต สอดคล้ องกับแนวคิดเรื่องคู่ถ้อยวัจนกรรมและคาตอบที่ เป็ นไปตามคาด กล่าวคือ ในการสนทนา เมื่อผู้ร่วมสนทนา ฝ่ ายหนึ่ ง กล่ า วถึ ง เรื่ อ งใดเรื่ อ งหนึ่ ง ก็มั ก จะคาดหวั ง ว่ า คู่ ส นทนาจะรั บ ฟั ง และยอมรั บ เรื่ อ งนั้ น เช่ น หากผู้ พู ด ขอร้ องผู้ฟัง ผู้พูดก็คาดว่าผู้ฟังจะยอมรับคาขอร้ องนั้นและ กระทาสิ่งที่ผ้ พู ูดขอร้ อง เป็ นต้ น จากความหมายแก่นซึ่งหมายถึงการยอมรับ เมื่อคาว่ า “โอเค” ปรากฏใช้ ในปริบทการสื่อสารมากขึ้น จึงทาให้ เกิด การขยายความหมายของคาและดูดซับความหมายของคา ในปริ บทใกล้ เคียง ท าให้ ค าว่ า “โอเค” เกิดความหมาย ใหม่ และใช้ ในปริบทที่กว้ างขึ้น โดยเฉพาะอย่ างยิ่งค าว่ า “โอเค” ที่ทาหน้ าที่ประเมินค่า การตีความความหมายย่อม ต้ องอาศัยปริบท เนื่องจากคาดังกล่ าวไม่ ได้ มีความหมาย ที่ ชั ด เจนแน่ น อน แต่ เป็ นความหมายเชิ ง บวกของสิ่ ง ที่ กล่ าวถึ ง ดั งนั้ น หากกล่ าวประโยค “ช่ วงนี้ สุขภาพโอเค ไหม” ค าว่ า “โอเค” ในประโยคข้ างต้ นจะหมายถึ ง มี สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง แต่หากเป็ นประโยค “ทีไ่ ปเทีย่ วมา นา้ ตกทีน่ ครนายกโอเคไหม” คาว่ า “โอเค” ในประโยคนี้ จะหมายถึ ง สวย ร่ ม รื่ น น่ าประทั บ ใจ การตี ค วาม ความหมายของคาในสถานการณ์ ต่างๆ จึงต้ องพิ จารณา จากปริบทการสื่อสาร อวัจนภาษา ตลอดจนปั จจัยอื่นๆ ที่ ส่ งผลต่ อประสิท ธิภ าพในการสื่อสารแต่ ล ะสถานการณ์ ประกอบด้ วย

สรุปผลการศึกษาและข้อเสนอแนะ สรุปผลการศึกษา งานวิ จั ย นี้ มี วั ต ถุ ป ระสงค์ เพื่ อวิ เคราะห์ ห น้ าที่ ท าง วั จ นปฏิ บั ติ ศ าสตร์ ข องค าว่ า “โอเค” ในบทสนทนา ภาษาไทย เปรียบเทียบหน้ าที่ทางวัจนปฏิบัติศาสตร์ของ ค าว่ า “โอเค” ในบทสนทนาภาษาไทยกั บ บทสนทนา ภาษาอังกฤษ ตลอดจนวิเคราะห์ความหมายแก่นของคาว่า “โอเค” ในบทสนทนาภาษาไทย ผลการวิจัยพบว่ า คาว่ า “โอเค” มีหน้ าที่ทางวัจนปฏิบัติศาสตร์จานวน 11 หน้ าที่ แบ่ งเป็ นหน้ าที่ของค าว่ า “โอเค” ที่ปรากฏเป็ นส่ วนที่ 1 ของคู่ ถ้อยวัจนกรรมจ านวน 8 หน้ าที่ ได้ แก่ หน้ าที่สรุป ประเมินค่ า กล่ าวก่อนการปิ ดการสนทนา ยืนยั นความคิด ของตนเอง ยุ ติ ก ารสนทนา เกริ่ น น าก่ อนการเริ่ ม เสนอ ประเด็น ขอความเห็นพ้ องกับข้ อเสนอ และเปลี่ยนประเด็น และหน้ าที่ของค าว่ า “โอเค” ที่ปรากฏเป็ นส่ วนที่ 2 ของ คู่ถ้อยวัจนกรรมจานวน 3 หน้ าที่ ได้ แก่ หน้ าที่แสดงความ รับรู้ส่ิงที่คู่สนทนาพูด แสดงการยอมรับ และแสดงความ เข้ าใจ หน้ าที่ท่ีพบมากที่สุดคือหน้ าที่แสดงความรับรู้ส่งิ ที่ คู่สนทนาพูด ด้ านหน้ าที่ทางวัจนปฏิบัติศาสตร์ของคาว่ า “โอเค” ที่ปรากฏในบทสนทนาภาษาไทยไม่ ค่อยแตกต่าง กับในบทสนทนาภาษาอังกฤษมากนัก หน้ าที่ท่แี ตกต่างคือ หน้ าที่ยืนยันความคิดของตนเองและหน้ าที่ยุติการสนทนา ไม่ค่อยนิยมใช้ ในบทสนทนาภาษาอังกฤษ และผู้พูดภาษา อังกฤษจะไม่พูดคาว่า “okay” ซา้ ๆ หลายครั้งเหมือนผู้พูด ภาษาไทย นอกจากนี้ ค าว่ า “okay” ที่ใช้ ในการตอบรั บ คาขอโทษปรากฏเฉพาะในบทสนทนาภาษาอังกฤษเท่านั้น ไม่ ปรากฏใน บทสนทนาภาษาไทย ส่วนความหมายแก่น ของคาว่า “โอเค” ในบทสนทนาภาษาไทยคือการยอมรับ ข้อเสนอแนะ ผู้วิจัยเห็นว่ าคาว่ า “โอเค” เป็ นคาที่น่าสนใจและยังมี ประเด็นที่สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ อกี หลากหลาย งานวิจัย นี้ ศึ ก ษาเฉพาะหน้ าที่ ท างวั จ นปฏิ บั ติ ศ าสตร์ ข องค าว่ า “โอเค” เท่านั้น อาจศึกษาตาแหน่ งการปรากฏหรือศึกษา เปรียบเทียบกับภาษาต่างประเทศ เพื่อให้ เห็นความเหมือน และความแตกต่ างของการใช้ คาคาเดียวกันในปริบททาง สั ง คมและวั ฒ นธรรมที่ ต่ า งกั น และแม้ งานวิ จั ย นี้ จะ เปรี ย บเที ย บผลการวิ จั ย ที่ ศึ ก ษาหน้ าที่ ท างวั จ นปฏิ บั ติ


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

127

ศาสตร์ของค าว่ า “okay” ในภาษาอังกฤษ แต่ กย็ ั งไม่ ได้ Huddlestone, K., & Fairhurst, M. (2013). The พิ จารณาในเชิงปริมาณ ผลการศึก ษาข้ ามวัฒนธรรมอาจ pragmatic markers anyway, okay, and shame: A South เป็ นประโยชน์กบั การสื่อสารระหว่างวัฒนธรรมได้ African English corpus study. Linguistics Plus, 42, 93-110. กิตติกรรมประกาศ Othman, Z. (2010). The use of okay, right and yeah ผู้ วิ จั ย ขอกราบขอบพระคุ ณ รองศาสตราจารย์ ดร. in academic lectures by native speaker lecturers: Their ณัฐพร พานโพธิ์ทอง ที่กรุณาให้ คาปรึกษาและข้ อเสนอแนะ ‘anticipated’ and ‘real’ meanings. Discourse Studies, อัน เป็ นประโยชน์ ย่ิ งในการปรั บ แก้ บ ทความให้ ถู กต้ อ ง 12(5), 665-681. สมบู รณ์ ย่ิ งขึ้น และขอขอบคุ ณ ผู้ บอกภาษาซึ่ งเป็ นผู้ พู ด ภาษาอังกฤษแบบอเมริกนั ทั้ง 3 คน ที่กรุณาตรวจสอบและ Querol-Julián, M., & Bellé s-Fortuño, B. (2010). The use of the pragmatic discourse markers and, so and อธิบายการใช้ คาว่า “okay” ในบทสนทนาภาษาอังกฤษ okay in academic conference presentations. Language เอกสารอ้างอิง Forum, 36, 81-94. สุจริตลักษณ์ ดีผดุง. (2552). วัจนปฏิบตั ิศาสตร์เบื้องต้น Translated Thai References (พิ มพ์ ครั้ ง ที่ 2). นครปฐม: สถาบั น วิ จั ย ภาษาและ Deepadung, S. (2009). Introduction to pragmatics วัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล. [1] (2nd ed.). Nakhon Pathom: Research Institute for Gaines, P. (2011). The multifunctionality of discourse Languages and Cultures of Asia, Mahidol University. operator okay: Evidence from a police interview. [in Thai] [1] Journal of Pragmatics, 43, 3291-3315. Guthrie, A. M. (1997). On the systematic deployment of okay and mmhmm in academic advising sessions. Pragmatics, 7(3), 397-415.


128

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

การศึกษาแนวคิด เรื่อง แผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 6 สมฤดี มากเพียรa, รัตนา สนั่นเมืองb และสิรินภา กิจเกื้อกูลc

A Study of Earthquake and Volcanoes’ Concept of Grade XII Students Somruedee Makpieana, Ratana Sananmuangb and Sirinapa Kijkuakulc a,c

ภาควิชาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร 65000 ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร 65000 a,c Department of Education, Faculty of Education, Naresuan University, Phitsanulok Province, Thailand 65000 b Department of Chemistry, Faculty of Science, Naresuan University, Phitsanulok Province, Thailand 65000 Corresponding author. E-mail address: M.somruedee@hotmail.coma, ratanas@nu.ac.thb, Sirinapaki@nu.ac.thc b

บทคัดย่อ การวิจัยนี้มุ่งสารวจแนวคิด เรื่อง แผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 6 สังกัดสานักงานเขตพื้ นที่การศึกษา เขต 39 จังหวัดพิษณุโลก กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียน จานวน 30 คน แบ่งเป็ นแผนการเรียนวิทยาศาสตร์ จานวน 15 คน และแผนการเรียนที่ ไม่เน้ นวิทยาศาสตร์ จานวน 15 คน โดยการสุ่มแบบกลุ่มสองขั้นตอน มาจากโรงเรียนขนาดใหญ่ พิเศษ จานวน 10 คน โรงเรียนขนาดกลาง จานวน 10 คน และโรงเรียนขนาดเล็ก จานวน 10 คน เครื่องมือวิจัย ได้ แก่ แบบสารวจแนวคิดและแบบสัมภาษณ์ประกอบภาพตัวอย่างในการ สารวจ เรื่อ ง แผ่ นดิ นไหวและภูเขาไฟระเบิ ด ได้ แบ่ งเป็ นแนวคิด เป็ น 6 แนวคิด ย่ อ ย ได้ แก่ 1. การแบ่ งโครงสร้ างโลก 2. กระบวนการ เปลี่ยนแปลงทางธรณีภาคของโลก 3. กระบวนการเกิดภูเขา รอยเลื่อน รอยคดโค้ ง แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด 4. ปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยา 5. โครงสร้ างทางธรณีวิทยา 6. ประโยชน์ของข้ อมูลทางธรณีวิทยา จากนั้นก็นาแนวคิดที่ได้ จากการสารวจมาวิเคราะห์เชิงเนื้อหาแล้ วจัดจาแนก เป็ น 5 กลุ่ม ได้ แก่ แนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์หรือแนวคิดที่ถูกต้ อง (SU) แนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์บางส่วนหรือแนวคิดถูกต้ องบางส่วน (PU) แนวคิดทางวิทยาศาสตร์บางส่วนผนวกแนวคิดที่คลาดเคลื่อนบางส่วน (PU/MU) แนวคิดที่คลาดเคลื่อนหรือไม่ มีแนวคิดวิทยาศาสตร์หรือ แนวคิดที่ไม่ ถู กต้ อง (SM) ไม่ มี แนวคิดหรือไม่ ตอบคาถาม (NU) ผลการวิจัย ตอนที่ 1 พบว่ า นักเรียนส่วนใหญ่ มี แนวคิดวิทยาศาสตร์ บางส่ วนผนวกแนวคิ ด ที่ คลาดเคลื่ อ นบางส่ ว น (PU/MU) เกี่ ย วกั บ แผ่ น ดิ น ไหวและภู เขาไฟระเบิ ด และพบว่ า นั ก เรี ย นมี แนวคิ ด เชิ ง วิทยาศาสตร์หรือแนวคิดที่ถูกต้ อง (SU) เกี่ยวกับกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางธรณีภาคของโลกมากที่สดุ (ร้ อยละ 16.66) ตอนที่ 2 เมื่ อ วิเคราะห์แนวคิดของนักเรียนแบ่งตามสายการเรียน พบว่า นักเรียนสายการเรียนวิทยาศาสตร์มีแนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์หรือแนวคิดที่ถูกต้ อง (SU) เกี่ยวกับประโยชน์ ของข้ อมูลทางธรณี วิ ทยา มากกว่ านั กเรียนสายการเรียนที่ไม่ เน้ นวิทยาศาสตร์ แต่ นักเรียนสายการเรียนที่ไม่ เน้ น วิทยาศาสตร์ มีแนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์หรือแนวคิดที่ถูกต้ อง (SU) เกี่ยวกับกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางธรณีภาคของโลกมากกว่ านักเรียน สายการเรียนวิทยาศาสตร์ ตอนที่ 3 เมื่อวิเคราะห์แนวคิดของนักเรียนแบ่งตามขนาดของโรงเรียน พบว่า นักเรียนในโรงเรียนขนาดใหญ่ พิเศษ นักเรียนโรงเรียนขนาดกลาง และนักเรียนโรงเรียนขนาดเล็ก มีความเข้ าใจแนวคิด เรื่อง แผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด คล้ ายกัน ซึ่งนักเรี ยน ส่วนใหญ่มีความเข้ าใจแบบมีแนวคิดวิทยาศาสตร์บางส่วน ผนวกแนวคิดที่คลาดเคลื่อนบางส่วน (PU/MU) คาสาคัญ: แนวคิด นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 6 แผ่นดินไหว ภูเขาไฟ Abstract The main research objective is to explore Grade 12 students’ understandings of the earthquake and volcanos in Parmary Education Service Area office 39 in Phitsanulok province. Research samples are 15 science students and 15 non-science student, 30 students in total. Each 10 of these students were selected from the extra-large school, the medium school and the small school by two-stage clusten sampling. The research instrument are questionnaire and interview about instance. The understanding of the earthquake and volcanos is divided in 6 sub-understandings, the Earth’s structure, the Earth’s lithosphere, the original of mountains, faults, earthquake and volcanos, the geological effects, the geological structures and the benefits from geological data. Then, the students understandings were analyzed and sorted to 5 groups of understandings i.e. Scientific Understanding ( SU) , Partial Understanding ( PU) , Partial


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

129

Understanding and Misconception (PU/MU, Misconception, Scientific Misconception (SM) and Without Answer, No Conception, No Understanding (NU). In the first part of research results, most students had Partial Understanding and Misconception (PU/MU) about the earthquake and volcanos. They had Scientific Understanding ( SU) about the Earth’s lithosphere (16.66%). In the second part of research results, science students had Scientific Understanding (SU) about the benefits from geological data more than non-science students, but nonscience students had Scientific Understanding (SU) about the earth's lithosphere more than science students. In the third part of research results, students were selected from the extra-large school, the medium school and the small school, student in all understood of the earthquake and volcanos, similarly. Mostly, the students understood Partial Understanding and Misconception (PU/MU). Keywords: Understanding, Grade XII Student, Earthquake, Volcanos

บทนา หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้ นฐาน พุทธศักราช 2551 ได้ ก าหนดให้ การเรียนรู้เกี่ยวกับแผ่ นดินไหวและ ภูเขาไฟระเบิด เป็ นสาระการเรียนรู้ตามหลักสูตรในกลุ่ม สาระที่ 6 กระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลก ซึ่งสาหรับชั้น มั ธยมศึ ก ษาปี ที่ 4 ชั้ น มั ธ ยมศึ ก ษาปี ที่ 5 และชั้ น มั ธยม ศึ ก ษาปี ที่ 6 นั กเรี ยนจะได้ เรีย นรู้เกี่ย วกับ โลก การแบ่ ง โครงสร้ างโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางธรณีภาคของ โลก กระบวนการเกิดภูเขา รอยเลื่อน แผ่นดินไหว ภูเขาไฟ ระเบิด รอยคดโค้ ง ครอบคลุมถึงโครงสร้ างทางธรณีวิทยา (สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้ นฐาน กระทรวง ศึกษาธิการ, 2552, น. 83-85) โลกเป็ นดาวเคราะห์ดวงหนึ่งในระบบสุริยะของกาแลกซี่ ทางช้ างเผือก เมื่อโลกเกิดการเปลี่ยนแปลง ทาให้ แผ่นธรณี ภาคที่เรียกว่ า แผ่ นเปลือกโลกจะเคลื่อนที่และทาให้ เกิด รอยต่ อ รอยแตกเกิดเป็ นภูมิประเทศ ซึ่งภูมิประเทศเกิด การเปลี่ยนแปลงเป็ นภูเขาไฟ ภูเขาไฟส่งผลต่ ออุณหภูมิ และความดันทาให้ เกิดภูเขาไฟระเบิดเกิดเป็ นแมกมาลาวา ฝุ่ นละอองเป็ นมลภาวะทางสิ่งแวดล้ อม ทาให้ เกิดสิ่งมีชีวิต และสิ่งไม่ มี ชี วิ ต (ส านั กงานคณะกรรมการการศึ กษาขั้ น พื้ นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ, 2552, น. 83-85) ภูเขาไฟ เกิดจากการเกิดแผ่นดินไหวในไทยเป็ นการเคลื่อนตัวของ แผ่นเปลือกโลก หรือรอยเลื่อนจะเกิดใต้ ฐานภูเขาไฟเป็ น ส่ ว นใหญ่ เป็ นปรากฏการณ์ ที่ แสดงให้ เห็ น ถึ ง การ ปลดปล่ อ ยพลั ง งานของโลก การระเบิ ด จะมี อั น ตราย อย่ างยิ่ งต่ อ ทรั พ ย์ สิน ประชากรที่ เข้ าไปอาศั ย ในบริ เวณ ภูเขาไฟเป็ นอย่างยิ่ง ดังนั้น การระเบิดของภูเขาไฟในแต่ละครั้ง จึงส่งผลกระทบต่อทรัพย์สนิ และชีวิตมนุษย์ท้งั คนและสัตว์

เป็ นจ านวนมาก (สมาคมภู มิ ศ าสตร์ แ ห่ งประเทศไทย ร่ วมกั บวิ ท ยาลั ย ครูบุ รี รั ม ย์ , 2523, น. 25) นอกจากนี้ จากผลการสอบ O-Net ของวิ ชาวิทยาศาสตร์ ซึ่ งในวิ ชา วิ ท ยาศาสตร์ ก ็มี เรื่ อ งเกี่ ย วกั บ ภู เขาไฟด้ วย ปรากฏว่ า นักเรียนมีคะแนนวิทยาศาสตร์ค่าเฉลี่ยอยู่ท่ี 30.48 ซึ่งถือ ว่าต่ากว่าเกณฑ์อยู่ดี ถึงแม้ ว่าคะแนนสูงสุดจะอยู่ท่ี 93.00 และคะแนนต่าสุดจะอยู่ท่ี 3.00 คะแนนดังกล่ าวแสดงให้ เห็นว่ า นักเรียนส่วนหนึ่งยังไม่เข้ าใจเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับภูเขาไฟมากนัก ท าให้ จาเป็ นต้ องศึกษาเกี่ยวกับ เรื่ องแผ่ น ดิ น ไหวและภูเขาไฟเพื่ อให้ นั กเรี ย นมี คะแนน O-Net ที่ เพิ่ ม มากขึ้ น (สถาบั น ทดสอบทางการศึ ก ษา แห่งชาติ (องค์การมหาชน), 2557) เมื่อศึกษาปัญหาในรายละเอียด พบว่า นักเรียนส่วนใหญ่ ยังไม่ เข้ าใจเกี่ยวกับระบบภูเขาไฟมากนั ก จะเห็นได้ จาก นักเรียนไทยจะรู้จั กแต่ ภูเขาไฟ เช่ น ฟู จิยามา ครากะตั้ว วิสสุเวียส และเอตนา และอื่นๆ ที่อยู่นอกประเทศ แต่ไม่ รู้จั กภูเขาไฟในประเทศตนเอง ประกอบกับยั งไม่ เข้ าใจ ลึกซึ้งเกี่ยวกับแมกมาเกิดมาได้ อย่ างไร ไม่ เข้ าใจเกี่ยวกับ ภูเขาไฟในประเทศไทย ทาไมภูเขาไฟต้ องระเบิด ทาไมต้ อง เกิดภูเขาไฟ หากนักเรียนเกิดการเรียนรู้เกี่ยวกับภูเขาไฟ จะทาให้ นักเรียนรู้เกี่ยวกับสภาวะแวดล้ อมของตนเอง และ สามารถเข้ าใจเรื่องราวภายในประเทศของตนเอง เพื่อจะได้ เป็ นประโยชน์ ส่ วนรวมไม่ ท ากิ จกรรมที่ ส่ งผลต่ อ ระบบ ธรรมชาติจะได้ ไม่ ก่อให้ เกิดปั ญหาด้ านต่ างๆ ในประเทศ ของเราดั งที่เกิด ขึ้น ในปั จจุ บั น (สมาคมภูมิ ศ าสตร์ แห่ ง ประเทศไทยร่วมกับวิทยาลัยครูบุรีรัมย์, 2523, น. 10-11) เช่ น การเกิ ด แผ่ น ดิ น ไหวที่ เ ชี ย งรายซึ่ ง ส่ ง ผลต่ อ การ เคลื่ อ นที่ ข องแผ่ น เปลื อ กโลก ท าให้ แผ่ น เปลื อ กโลก เคลื่อนที่ ทาให้ เกิดรอยต่อ รอยแยก เป็ นเหตุให้ ภมู ปิ ระเทศ


130

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

เปลี่ยนแปลงไปด้ วย รอยแยกอาจส่งผลกระทบต่อภูเขาไฟ ที่ ดั บ อยู่ ไม่ แ น่ ภู เขาไฟในภาคเหนื อ และอาจเกิ ด การ เปลี่ ย นแปลงด้ วยก็เป็ นได้ (กนก จั น ทร์ ข จร และถนั ด ศรี บุ ญ เรื อง, 2544, น. 15) ซึ่ งการศึ กษาเรื่ องเกี่ย วกับ ภูเขาไฟในประเทศไทย ทาให้ นักเรียนตระหนักและเตรียม ตั วเพื่ อ รั บ มื อ กับ การเปลี่ ย นแปลงของสิ่งแวดล้ อ มเป็ น ตัวอย่างหนึ่งของการสอนวิทยาศาสตร์ การเรียนการสอนวิทยาศาสตร์เพื่อให้ นักเรียนเข้ าใจใน ทฤษฏีพ้ ืนฐานทางวิทยาศาสตร์ได้ น้ัน ต้ องมุ่งไปที่การสร้ าง แนวคิดทางวิทยาศาสตร์ให้ นักเรียน เพื่ อให้ นั กเรียนเกิด ทักษะในการคิดและสร้ างองค์ความรู้ แนวคิดจึงมีความ สาคัญต่อการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์เพราะช่ วยให้ การ จัดระบบความคิด เป็ นหมวดหมู่ ช่ วยในการจั ดเก็บและ ประมวลผลข้ อมูล การที่นักเรียนมีความเข้ าใจในแนวคิด สามารถทาให้ นักเรียนเกิดความเข้ าใจเพิ่มขึ้นจากการสอน จากครู ท าให้ เรี ย นได้ เร็วในเรื่ อ งต่ างๆ ที่ ใกล้ เคี ย งกั บ แนวคิด อีกทั้ง แนวคิดยังมีความสาคัญต่อการจัดหลักสูตร ที่ครูผ้ ูสอนต้ องพยายามจัดการเรียนการสอนให้ นั กเรียน เกิดแนวคิดขึ้นด้ วย (ตรีคู ณ โพธิ์หล้ า, 2554, น. 1) อีก ทั้ง ความรู้ทางวิทยาศาสตร์มีส่ วนช่ วยให้ บุคคลต่ างๆ มี ความรู้ความเข้ าใจเกี่ยวกับสิ่งแวดล้ อมรอบตัวอย่างมีเหตุมี ผล ทาให้ สามารถพิ สูจน์ความจริงต่ างๆ ได้ และสามารถ อธิบายการเกิดปรากฏการณ์ต่างๆ ได้ อกี ด้ วย อีกทั้งยังช่วย แก้ ปั ญ หาที่เกิด จากสิ่งแวดล้ อมรอบตั ว โดยวิ ธีก ารทาง วิทยาศาสตร์อย่างถูกต้ องและมีเหตุผล การได้ มาซึ่งความรู้ ทางวิ ทยาศาสตร์ ก็คื อการเรี ยนรู้แนวคิดนั่ น เอง ซึ่ งการ เรียนรู้จะเกิดได้ ผู้เรียนต้ องมีพ้ ืนฐานความรู้เดิมที่สามารถ เชื่อมโยงเข้ ากับความรู้ใหม่ได้ เป็ นการทาให้ ความรู้ใหม่น้ัน มีความหมาย หากผู้เรียนไม่สามารถเชื่อมโยงความรู้เดิมให้ เข้ ากั บ ความรู้ ใ หม่ ได้ จะท าให้ ความรู้ ที่ ผ้ ู เรี ย นมี อ ยู่ ไ ม่ สอดคล้ องกับความรู้ทางวิทยาศาสตร์ท่ีเป็ นที่ยอมรับของ นั ก วิ ท ยาศาสตร์ โดยทั่ ว ไป ท าให้ ผู้ เรี ย นเกิ ด แนวคิ ด ที่ คลาดเคลื่อนได้ ซึ่ งแนวคิดที่คลาดเคลื่อนมีผลเสียทาให้ นั กเรียนมีความรู้ท่ีไม่ ตรงตามหลั กการทางวิทยาศาสตร์ ท าให้ นั กเรี ยนเกิดการเรี ยนรู้ท่ีไม่ ถู ก ต้ องได้ การเรีย นรู้ แนวคิดเป็ นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในตัวผู้เรียนเป็ นสิ่งที่ผ้ ูเรียน

สร้ างขึ้นสัมพันธ์กับสิ่งที่พบเห็นกับความรู้ความเข้ าใจที่มี อยู่ เดิมมาสร้ างเป็ นแนวคิดของตนเอง อีกทั้ง การเรียนรู้ แนวคิดเป็ นจุดหมายสาคัญของการศึกษาในปัจจุบนั ที่ม่งุ ให้ ผู้เรียนได้ เรียนรู้ทาให้ เกิดแนวคิดในสิ่งที่เรียน และสามารถ นาเอาแนวคิดที่ได้ ไปใช้ ประโยชน์ในการเรียนรู้ส่งิ อื่นต่อไป (จิตตมาส สุขแสวง, 2549, น. 1-2) อย่ า งไรก็ต าม การเรี ย นเพื่ อให้ เข้ าใจแนวคิ ด ทาง วิ ทยาศาสตร์ เช่ น แผ่ น ดิ น ไหว และการเคลื่ อนตั วของ เปลื อ กโลกนั้ น เทคนิ ค หนึ่ ง ที่ นิ ย มน ามาใช้ ก็คื อ การ สัมภาษณ์ประกอบภาพตัวอย่ าง ซึ่งเป็ นการสัมภาษณ์ท่ใี ห้ นักเรียนได้ พูดแสดงความคิดเห็นของตนเองด้ วยรูปภาพ จัดว่า เป็ นการสัมภาษณ์ท่มี ีการใช้ แนวคิดให้ ถูกสัมภาษณ์ ตอบว่ ารู ป ภาพดั งกล่ า วจั ด อยู่ ในแนวคิ ด หรื อ ไม่ อ ยู่ ใ น แนวคิด และมีการให้ อธิบายเหตุผลดังกล่ าวประกอบด้ วย จะเห็นได้ ว่า การสัมภาษณ์ประกอบภาพตัวอย่ างมีความ ส าคั ญ แสดงให้ เห็ น ถึ งแนวคิ ด ทางวิ ท ยาศาสตร์ ท าให้ นักเรียนได้ คิดว่าอันไหนเป็ นแนวคิดทางวิทยาศาสตร์และ อันไหนไม่ใช่แนวคิดทางวิทยาศาสตร์และฝึ กการให้ เหตุผล ประกอบอีกด้ วย (ตรีคูณ โพธิ์หล้ า, 2554, น. 37) ด้ วยเหตุผลดังกล่าว ผู้วิจัยจึงมีความสนใจในการสารวจ ความเข้ าใจของนักเรี ยนว่ า นักเรียนมีความรู้ ความเข้ าใจ มากน้ อยเพี ยงใดเกี่ยวกับ เรื่ องแผ่ นดิ นไหวและภูเขาไฟ ระเบิ ด เพื่ อท าให้ ได้ ข้ อมู ลพื้ นฐานส าหรั บ เป็ นแนวทาง ในการที่ครูผ้ สู อนกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์ใช้ ในการออกแบบ กิจกรรมและวัดแนวคิดของนักเรียนในระดับชั้นอื่น และ สามารถนาไปปรับประยุกต์ใช้ กบั กลุ่มสาระอื่นได้ วิธีการศึกษา ประชากรที่ใช้ในการศึกษา นั ก เรี ย นชั้ น มั ธ ยมศึ ก ษาปี ที่ 6 ของโรงเรี ย นสั ง กั ด สานักงานเขตพื้ นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 39 จังหวัด พิษณุโลก ได้ มาจากการสุ่มแบบกลุ่มสองขั้นตอน กลุ่มตัวอย่าง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 6 จานวน 30 คน ที่ได้ จาก การสุ่มแบบกลุ่มสองขั้นตอน ดังตารางที่ 1


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

131

ตารางที่ 1 จานวนกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ในการวิจัยจาแนกตามขนาดโรงเรียนและแผนการเรียน แผนการเรียน ขนาดโรงเรียน วิทยาศาสตร์ (คน) ไม่เน้นวิทยาศาสตร์ (คน) ขนาดใหญ่พิเศษ 5 5 ขนาดกลาง 5 5 ขนาดเล็ก 5 5 รวมทั้งสิ้ น 15 15

เครื่องมือที่ใช้ในการวิจยั เครื่องมือที่จะใช้ ในเก็บรวบรวมข้ อมูล คือ แบบสารวจ แนวคิดและแบบสัมภาษณ์ประกอบภาพตัวอย่าง 1. แบบสารวจแนวคิด 1.1 ขั้นตอนการสร้างแบบสารวจแนวคิด 1.1.1 ศึ กษาเอกสาร รายงานวิจั ย แนวคิ ด และทฤษฎี ท่ี เกี่ ย วข้ อ ง เพื่ อน าผลที่ ไ ด้ ม าใช้ เป็ นกรอบ แนวคิด กาหนดนิยาม โครงสร้ างของตัวแปรที่ต้องการวัด และเพื่อใช้ เป็ นแนวทางในการสร้ างแบบสารวจแนวคิด 1.1.2 ทาตารางวิเคราะห์ โครงสร้ างของตัวแปร ที่ต้องวัดในแต่ละแนวคิด และสร้ างข้ อคาถามโดยครอบคลุม เนื้อหาในด้ านต่างๆ 1.1.3 การสร้ างแบบสารวจแนวคิด แบ่งเป็ น 2 ตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 เป็ นแบบส ารวจแนวคิ ด ข้ อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสารวจแนวคิด ตอนที่ 2 เป็ นแบบสารวจ จานวน 18 ข้ อ เป็ นคาถามปลายเปิ ด 1.1.4 นาแบบสารวจแนวคิดที่สร้ างขึ้นเสนอ ต่ อ อาจารย์ ท่ี ป รึ ก ษาวิ ท ยานิ พ นธ์ เพื่ อตรวจสอบความ ครอบคลุมข้ อคาถาม ความเหมาะสมของปริมาณข้ อคาถาม ความชัดเจนของภาษา และรูปแบบของแบบสารวจแนวคิด ความเที่ยงตรงแก้ ไขก่อนนาไปทดสอบ แล้ วนามาปรับปรุง ตามคาแนะนาของอาจารย์ท่ปี รึกษา 1.1.5 น าแบบส ารวจแนวคิ ดมาตรวจสอบ เชิ ง เนื้ อหา (Content Validity) ว่ า ตรงตามจุ ด มุ่ ง หมาย การศึกษาครั้งนี้หรือไม่ แล้ วนามาปรับปรุงที่ปรับปรุงแก้ ไข แล้ วเสนอผู้ทรงคุณวุฒิท่มี ีความเชี่ยวชาญทางด้ านการสร้ าง เครื่ องมื อวิ จั ย และด้ านการศึ กษา เพื่ อตรวจสอบความ

เที่ยงตรงของเนื้อหา พร้ อมทั้งพิจารณาความถูกต้ องชัดเจน ของภาษาที่ใช้ 1.1.6 วิเคราะห์คุณภาพของเครื่องมือโดยหา ค่ าความเที่ยงตรงเชิ งเนื้ อหา ด้ วยค่ าดั ชนี ความสอดคล้ อง IOC (Item-Objective Congruence Index) ได้ ค่ าค วาม สอดคล้ องรายข้ อมากกว่า 0.50 ขึ้นไป แล้ วนามาปรับตาม ที่ผ้ ูเชี่ยวชาญแนะนา หากค่า IOC ต่ากว่า 0.50 ก็ปรับแก้ ไข แล้ วให้ ผ้ เู ชี่ยวชาญตรวจสอบอีกครั้ง 1.1.7 น าแบบส ารวจแนวคิ ด ที่ ผ่ า นการ ตรวจสอบจากผู้ทรงคุณวุฒิ มาปรับแก้ ไข แล้ วนามาเสนอ อาจารย์ ท่ีปรึ กษาวิ ท ยานิ พ นธ์ให้ พิ จารณาความสมบู รณ์ อีกครั้งและนาไปสารวจแนวคิดแล้ วนาไปใช้ กับนักเรียนที่ ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 6 จานวน 5 คนต่อ 1 โรงเรียน 1.1.8 น าไปใช้ เก็บ ข้ อมู ลกับ กลุ่ มตั วอย่ า ง จริ ง โดยเก็บ กั บ นั ก เรี ย นชั้ น มั ธ ยมศึ ก ษาปี ที่ 6 ที่ เน้ น วิทยาศาสตร์และไม่เน้ นวิทยาศาสตร์ จานวน 30 คน 1.2 การเก็บรวบรวมข้อมูลแบบสารวจแนวคิด หลั ง จากที่ ผ้ ู วิ จั ย ได้ ร วบรวมแนวความคิ ด ทฤษฏีและผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้ องเพื่ อน ามาเป็ นแนวทาง ในการสร้ างเครื่ อ งมื อ ที่ ใช้ ในการศึ กษาตามกรอบแนว ความคิดในการวิจัย โดยผู้วิจัยได้ ดาเนินการเก็บรวบรวม ข้ อมูลการศึกษาวิจัยครั้งนี้อย่างเป็ นขั้นตอน ดังนี้ 1.2.1 ผู้วิจัยขอความอนุ เคราะห์จากบัณฑิต วิทยาลัย มหาวิทยาลัยนเรศวร ในการจัดทาหนังสือ เพื่ อ ติ ด ต่ อ กับ โรงเรี ย น เพื่ อขอนั ด สอบถามแนวคิ ด ของชั้ น มัธยมศึกษาปี ที่ 6 ที่เคยเรียนรายวิชาพื้นฐานดวงดาวและ โลกของเรา เรื่อง แผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด 1.2.2 ผู้วิจัยทาการแจกแบบสารวจแนวคิด ออกไปยังกลุ่มตัวอย่ างก่อนการสัมภาษณ์ ในการสอบถาม


132

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ทุกครั้ง ผู้วิจัยจะชี้แจงจุดประสงค์ของการสอบถาม พร้ อม ทั้งประโยชน์ ท่ีได้ รั บ เพื่ อให้ นั กเรี ยนเข้ าใจความส าคั ญ ก่อนลงมือสอบถามแนวคิดของชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 6 ที่เคย เรียนรายวิชาพื้นฐานดวงดาวและโลกของเรา เรื่อง แผ่นดิน ไหวและภูเขาไฟระเบิด โดยให้ ผ้ ูตอบแบบสารวจแนวคิด ด้ วยตนเอง 1.2.3 เก็บรวบรวมแบบสารวจแนวคิดด้ วย ตนเอง 1.2.4 ตรวจสอบความสมบูรณ์ของคาตอบ ในแบบสารวจแนวคิด 2. แบบสัมภาษณ์ประกอบภาพตัวอย่าง 2.1 ขั้นตอนการสร้างแบบสัม ภาษณ์ประกอบ ภาพตัวอย่าง โดยมีข้นั ตอนการสร้ างดังต่อไปนี้ 2.1.1 ศึ กษาเอกสาร รายงานวิจั ย แนวคิ ด และทฤษฏี ท่ี เกี่ ย วข้ อ ง เพื่ อน าผลที่ ไ ด้ ม าใช้ เป็ นกรอบ แนวคิด กาหนดนิยาม โครงสร้ างของตัวแปรที่ต้องการวัด และเพื่อใช้ เป็ นแนวทางในการสร้ างแบบสัมภาษณ์ประกอบ ภาพตัวอย่าง 2.1.2 สร้ างข้ อคาถามมีลักษณะเป็ นคาถาม จานวน 18 ข้ อ มีรูปภาพ จานวน 6 ภาพ ต่ อ 1 ข้ อ โดย ประกอบด้ วย ภาพที่แ สดงแนวคิ ดถู กต้ อง ภาพที่แสดง แนวคิ ด ที่ ผิ ด และภาพที่ มี ค วามคลุ ม เครื อ ยากแก่ ก าร ตัดสินใจว่าเป็ นแนวคิดที่ถูกหรือผิด 2.1.3 วิ เ คราะห์ คุ ณ ภาพ ของเครื่ องมื อ โดยหาค่ าความเที่ ย งตรงเชิ งเนื้ อหา ด้ ว ยค่ าดั ช นี ค วาม สอดคล้ อง IOC (Item-Objective Congruence Index) ได้ ค่าความสอดคล้ องรายข้ อมากกว่า 0.50 ขึ้นไป แล้ วนามา ปรับตามที่ผ้ ู เชี่ยวชาญแนะนา หากค่ า IOC ต่ ากว่ า 0.50 ก็ปรับแก้ ไข 2.1.4 นามาแก้ ไข ปรับปรุงเพื่อให้ เป็ นภาพ ที่ถูกต้ อง ชัดเจนและตรงตามจุ ดประสงค์ โดยแก้ ไขตามที่ ผู้เชี่ยวชาญแนะนา เช่น แก้ ไขคาถามบางข้ อทาให้ รูปภาพที่ เลื อ กมาใช้ ได้ และแก้ ไขรูป ภาพบางภาพให้ เป็ นภาพที่ ถูกต้ อง และเปลี่ยนภาพให้ มีความชัดเจนมากขึ้นแล้ วให้ ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบอีกครั้ง 2.1.5 น าไปทดลองใช้ กับกลุ่ มที่ไม่ ใช่ กลุ่ ม ตัวอย่าง (Try Out) จานวน 5 คน ต่อ 1 โรงเรียน

2.1.6 ปรับปรุงข้ อคาถามให้ ถูกต้ อง ชัดเจน และตรงตามจุดประสงค์โดยการจัดทารูปให้ มขี นาดใหญ่ข้ นึ และเป็ นรูปภาพใส่กระดาษใบเดียวในแต่ละรูป 2.1.7 น าไปใช้ เก็บ ข้ อมู ลกับ กลุ่ มตั วอย่ าง จริ ง โดยเก็บ กั บ นั ก เรี ย นชั้ น มั ธ ยมศึ ก ษาปี ที่ 6 ที่ เน้ น วิทยาศาสตร์และที่ไม่เน้ นวิทยาศาสตร์ จานวน 30 คน 2.2 การเก็ บ รวบรวมข้อ มู ลแบบสั ม ภาษณ์ ประกอบภาพตัวอย่าง ผู้วิจัยใช้ การสัมภาษณ์แนวคิด ของชั้นมัธยม ศึกษาปี ที่ 6 ที่เรียนรายวิชาพื้นฐานดวงดาวและโลกของเรา เรื่อง แผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิดเป็ นการสัมภาษณ์ก่งึ โครงสร้ างซึ่งมีข้นั ตอนการเก็บรวบรวมข้ อมูล ดังต่อไปนี้ 2.2.1 ผู้วิจัย ขอความอนุเคราะห์จากบัณฑิต วิทยาลัย มหาวิทยาลัยนเรศวร ในการจัดทาหนังสือ เพื่ อ ติด ต่ อกับโรงเรี ยน เพื่ อขอนั ดสัมภาษณ์ แนวคิ ดของชั้ น มัธยมศึกษาปี ที่ 6 ที่เรียนรายวิชาพื้นฐานดวงดาวและโลก ของเรา เรื่อง แผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด 2.2.2 ผู้ วิ จั ย เก็บ รวบรวมข้ อ มู ล โดยการ สัมภาษณ์ แนวคิ ด ของชั้ น มั ธยมศึ ก ษาปี ที่ 6 ที่เคยเรี ย น รายวิชาพื้นฐานดวงดาวและโลกของเรา เรื่อง แผ่นดินไหว และภูเขาไฟระเบิด และใช้ การบันทึกเทป โดยผู้วิจัยเป็ น ผู้ซักถามและบันทึกการซักถาม 2.2.3 ในการสั ม ภาษณ์ ทุ ก ครั้ ง ผู้ วิ จั ย จะ ชี้แจงจุ ดประสงค์ของการสัมภาษณ์ พร้ อมทั้งประโยชน์ ท่ี ได้ รั บ เพื่ อให้ นั ก เรี ย นเข้ าใจความส าคั ญ ก่ อ นลงมื อ สัมภาษณ์ แนวคิ ด ของชั้ น มั ธยมศึ ก ษาปี ที่ 6 ที่เคยเรี ย น รายวิชาพื้นฐานดวงดาวและโลกของเรา เรื่อง แผ่นดินไหว และภูเขาไฟระเบิด การวิเคราะห์ขอ้ มู ลแบบสารวจแนวคิดและแบบสัมภาษณ์ ประกอบภาพตัวอย่าง ผู้วิจัยใช้ วิธกี ารวิเคราะห์ข้อมูลดังต่อไปนี้ 1. จัดระเบียบข้ อมูล โดยการถอดเทปทาต่ อเนื่องไป จนหลังเก็บข้ อมูลเสร็จสิ้น 2. การวิเคราะห์ แนวคิดของชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 6 ที่ เคยเรี ยนรายวิ ช าพื้ นฐานดวงดาวและโลกของเรา เรื่ อง แผ่ น ดิ น ไหวและภูเขาไฟระเบิ ด โดยการวิ เคราะห์ แ บบ สารวจแนวคิดและแบบสัมภาษณ์ ประกอบภาพตัวอย่ าง โดยการน าค าตอบและค าอธิบายของนั กเรียนมาตีความ


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

และทาการวิเคราะห์ เชิงเนื้ อหา (Content Analysis) ให้ มี การจาแนกเป็ นกลุ่มตามระดับความสอดคล้ องตามแนวคิด วิทยาศาสตร์ ดังต่อไปนี้ คือ สิรินภา กิจเกื้อกูล และคนอื่นๆ (2547) 2.1 แนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์หรือแนวคิดที่ถูกต้ อง (Scientific Understanding: SU) หมายถึง คาตอบที่อธิบาย เหตุ ผ ลได้ ถู ก ต้ องสมบู ร ณ์ สอดคล้ องกั บ แนวคิ ด ทาง วิทยาศาสตร์ซ่งึ เป็ นที่ยอมรับโดยทั่วไป 2.2 แนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์บางส่วนหรือแนวคิด ถู ก ต้ อ งบางส่ ว น (Partial Understanding: PU) หมายถึ ง คาตอบที่อธิบายเหตุผลบางส่วนได้ สอดคล้ องกับแนวคิด ทางวิทยาศาสตร์ และไม่ มีค าอธิบายที่ผิดไปจากแนวคิด ทางวิทยาศาสตร์ 2.3 แนวคิ ด ทางวิ ท ยาศาสตร์ บ างส่ ว นผนวก แนวคิ ด ที่ ค ลาดเคลื่ อ นบางส่ ว น (Partial Understanding and Misconception: PU/MU) หมายถึง คาตอบที่อธิบาย เหตุผลได้ ถูกต้ องบางส่วนแต่ มีคาอธิบายบางส่วนที่ผิดไป จากแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ 2.4 แนวคิ ด ที่ ค ลาดเคลื่ อนหรื อ ไม่ มี แ นวคิ ด วิ ท ยาศาสตร์ ห รื อ แนวคิ ด ที่ ไม่ ถู ก ต้ อ ง (Misconception, Specific Misconception: SM) หมายถึง ค าตอบที่อธิบาย เหตุผลไม่ถูกต้ องตามแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ 2.5 ไม่ มี แ นวคิ ด หรื อไม่ ต อบค าถาม (Without Answer, No Conception , No Understanding: NU) หมายถึง ไม่ได้ ตอบคาถาม ตอบว่าไม่เข้ าใจคาถาม ทวนคาถามหรือ ไม่ได้ อธิบายเหตุผล 3. การแสดงข้ อมูล เมื่อจาแนกเป็ นกลุ่มตามแนวคิด วิทยาศาสตร์ จะพบว่ าข้ อมู ลที่เป็ นกลุ่ มแนวคิดเดียวกัน กระจายอยู่ตามหน้ ากระดาษต่างๆ รวบรวมข้ อมูลเหล่านั้น กลับมารวมกันเป็ นกลุ่ม 4. การหาข้ อสรุป หลังจากการวิเคราะห์ แบบเป็ นกลุ่ม แนวคิ ด วิ ท ยาศาสตร์ ข องแบบส ารวจแนวคิ ด และแบบ

133

สัมภาษณ์ประกอบภาพตัวอย่ าง น ามาค านวณค่ าความถี่ และร้ อยละ ซึ่งแบบสัมภาษณ์ ประกอบภาพตัวอย่ างและ แบบส ารวจแนวคิ ด จะไม่ มี เกณฑ์ โดยเฉพาะอาศั ย การ วิ เ คราะห์ ข้ อมู ล ร่ ว มกั บ ผู้ วิ จั ย และผู้ ร่ ว มวิ จั ย (Peer Debriefing) 5. นามาตรวจสอบข้ อมูลงานวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการ ตรวจสอบข้ อมูลแบบสามเส้ า (Triangulation) เป็ นการนา แนวคิ ด ที่ได้ จากแบบส ารวจแนวคิ ด และแบบสัม ภาษณ์ ประกอบภาพตั ว อย่ า ง ซึ่ ง เก็บ ข้ อมู ล ชนิ ด เดี ย วกั น มา เปรี ย บเที ย บผลสรุ ป เพื่ อดู ว่ า ผลสรุ ป จะไปในทิ ศ ทาง เดียวกันหรือไม่ วิธนี ้ ี เรียกว่า Method Triangulation 6. มีการตรวจสอบกับผู้เชี่ยวชาญ (Peer Debriefing) เป็ นการนาข้ อมูลพร้ อมผลการวิเคราะห์ ไปให้ ผ้ ูเชี่ยวชาญ ภายนอกตรวจสอบว่ากระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลได้ ดาเนิน ไปอย่างถูกต้ องตามหลักวิชาการหรือไม่ ผลการศึกษา การวิจัยในครั้งนี้ทาการศึกษาแนวคิดวิทยาศาสตร์ เรื่อง แผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิดของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปี ที่ 6 ดังนี้ ผลการวิเคราะห์แนวคิดของนักเรียนทั้งหมด 30 คน 1. การแบ่งโครงสร้างโลก เมื่ อจั ด กลุ่ มแนวคิ ด และวิ เคราะห์ ร้ อยละ พบว่ า นักเรียนส่วนใหญ่มีแนวคิดทางวิทยาศาสตร์บางส่วนผนวก แนวคิดคลาดเคลื่อนบางส่วน (PU/MU) ถึงร้ อยละ 63.33 รองลงมา คือ ไม่มีแนวคิดหรือไม่ตอบคาถาม (NU) (ร้ อยละ 30) แนวคิดที่คลาดเคลื่อนหรือไม่มีแนวคิดวิทยาศาสตร์ หรื อแนวคิ ด ที่ไม่ ถู ก ต้ อ ง (SM) (ร้ อยละ 6.66) และไม่ ปรากฏว่า นักเรียนมีแนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์หรือแนวคิดที่ ถูกต้ อง (SU) และแนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์บางส่ วนหรือ แนวคิดถูกต้ องบางส่วน (PU) ดังรูปที่ 1


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

134

70

63.33

60

50 40

ร้อยละ

30 30 20 6.66

10 0

0

0 SU

PU

PU/MU

SM

NU

แนวคิดวิทยาศาสตร์ รูปที่ 1 แสดงแนวคิดวิทยาศาสตร์ เรื่อง การแบ่งโครงสร้ างโลก

2. กระบวนการเปลีย่ นแปลงทางธรณีภาคของโลก เมื่ อจั ด กลุ่ มแนวคิ ด และวิ เคราะห์ ร้ อยละ พบว่ า นักเรียนส่วนใหญ่มีแนวคิดทางวิทยาศาสตร์บางส่วนผนวก แนวคิ ด ที่ ค ลาดเคลื่ อ นบางส่ ว น (PU/MU) ถึ ง ร้ อยละ 46.66 รองลงมา คื อ ไม่ มี แ นวคิ ด หรื อ ไม่ ต อบค าถาม (NU) (ร้ อยละ 23.33) แนวคิ ด เชิ ง วิ ท ยาศาสตร์ ห รื อ

ร้อยละ

50 45 40 35 30 25 20 15 10 5 0

แนวคิ ด ที่ ถู ก ต้ อง (SU) (ร้ อยละ 16.66) แนวคิ ด ที่ คลาดเคลื่อนหรือไม่มีแนวคิดวิทยาศาสตร์หรือแนวคิดที่ไม่ ถูกต้ อง (SM) (ร้ อยละ 10) และแนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์ บางส่วนหรือแนวคิดถูกต้ องบางส่วน (PU) ร้ อยละ 3.33 ดังรูปที่ 2

46.66

23.33 16.66 10 3.33 SU

PU

PU/MU

SM

แนวคิดวิทยาศาสตร์ รูปที่ 2 แสดงแนวคิดวิทยาศาสตร์ เรื่อง กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางธรณีภาคของโลก

NU


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

3. กระบวนการเกิ ด ภู เขา รอยเลื่ อ น รอยคดโค้ง แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด เมื่ อ จั ด กลุ่ ม แนวคิ ด และวิ เคราะห์ ร้ อ ยละพบว่ า นักเรียนส่วนใหญ่มีแนวคิดทางวิทยาศาสตร์บางส่วนผนวก แนวคิดที่คลาดเคลื่อนบางส่วน (PU/MU) ถึงร้ อยละ 40 รองลงมา คื อ แนวคิ ด ที่ ค ลาดเคลื่ อ นหรื อ ไม่ มี แ นวคิ ด

135

วิ ท ยาศาสตร์ ห รื อ แนวคิ ด ที่ ไ ม่ ถู ก ต้ อง (SM) (ร้ อ ยละ 33.33) ไม่ มีแนวคิดหรือไม่ ตอบค าถาม (NU) (ร้ อยละ 23.33) แนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์บางส่วนหรือแนวคิดถูกต้ อง บางส่วน (PU) (ร้ อยละ 3.33) แนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์หรือ แนวคิดที่ถูกต้ อง (SU) โดยไม่ปรากฏว่านักเรียนมีแนวคิดนี้ ดังรูปที่ 3

45 40 40 33.33

35 30

23.33

25

ร้อยละ 20 15 10

3.33

5 0 0 SU

PU

PU/MU

SM

NU

แนวคิดวิทยาศาสตร์ รูปที่ 3 แสดงแนวคิดวิทยาศาสตร์ เรื่องกระบวนการเกิดภูเขา รอยเลื่อน รอยคดโค้ ง แผ่นดินไหวภูเขาไฟระเบิด

4. ปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยา เมื่ อจั ด กลุ่ มแนวคิ ด และวิ เคราะห์ ร้ อยละ พบว่ า นักเรียนส่วนใหญ่มีแนวคิดทางวิทยาศาสตร์บางส่วนผนวก แนวคิ ด ที่ ค ลาดเคลื่ อ นบางส่ ว น (PU/MU) ถึ ง ร้ อยละ 83.33 รองลงมา คือ แนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์บางส่วนหรือ

แนวคิ ดถู กต้ องบางส่ วน (PU) (ร้ อยละ 16.66) และไม่ ปรากฏว่า นักเรียนมีแนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์หรือแนวคิดที่ ถู กต้ อ ง (SU) แนวคิ ด ที่ ค ลาดเคลื่ อ นหรื อ ไม่ มี แ นวคิ ด วิ ท ยาศาสตร์ ห รื อ แนวคิ ด ที่ ไม่ ถู ก ต้ อง (SM) และไม่ มี แนวคิดหรือไม่ตอบคาถาม (NU) ดังรูปที่ 4


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

136

90

83.33

80

70 60

50

ร้อยละ

40

30 16.66

20 10

0

0

0

0 SU

PU

PU/MU

SM

NU

แนวคิดวิทยาศาสตร์ รูปที่ 4 แสดงแนวคิดวิทยาศาสตร์ เรื่อง ปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยา

5. โครงสร้างทางธรณีวิทยา เมื่ อจั ด กลุ่ มแนวคิ ด และวิ เคราะห์ ร้ อยละ พบว่ า นักเรียนส่วนใหญ่มีแนวคิดทางวิทยาศาสตร์บางส่วนผนวก แนวคิดที่คลาดเคลื่อนบางส่วน (PU/MU) ถึงร้ อยละ 40 รองลงมา คือ ไม่มแี นวคิดหรือไม่ตอบคาถาม (NU) (ร้ อยละ

26.66) แนวคิดที่คลาดเคลื่อนหรือไม่มีแนวคิดวิทยาศาสตร์ หรือแนวคิดที่ไม่ ถูกต้ อง (SM) (ร้ อยละ23.33) แนวคิด เชิ ง วิ ท ยาศาสตร์ ห รื อ แนวคิ ด ที่ ถู ก ต้ อง (SU) (ร้ อยละ 6.66) และแนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์บางส่วนหรือแนวคิด ถูกต้ องบางส่วน (PU) ร้ อยละ 3.33 ดังรูปที่ 5

รูปที่ 5 แสดงแนวคิดวิทยาศาสตร์ เรื่อง โครงสร้ างทางธรณีวิทยา


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

6. ประโยชน์ของข้อมูลทางธรณีวิทยา เมื่ อจั ด กลุ่ มแนวคิ ด และวิ เคราะห์ ร้ อยละ พบว่ า นักเรียนส่วนใหญ่มีแนวคิดทางวิทยาศาสตร์บางส่วนผนวก แนวคิดที่คลาดเคลื่อนบางส่วน (PU/MU) ถึงร้ อยละ 30 รองลงมา คือ ไม่มแี นวคิดหรือไม่ตอบคาถาม (NU) (ร้ อยละ

137

26.66) แนวคิดที่คลาดเคลื่อนหรือไม่มีแนวคิดวิทยาศาสตร์ หรื อ แนวคิ ด ที่ ไม่ ถู ก ต้ อง (SM) (ร้ อ ยละ 16.66) และ ปรากฏว่ามี แนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์หรือแนวคิดที่ถูกต้ อง (SU) และมีแนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์บางส่วนหรือแนวคิด ถูกต้ องบางส่วน (PU) ร้ อยละ 13.33 เท่ากันดังรูปที่ 6

35 30 30

26.66

25

20

ร้อยละ 15

16.66 13.33

13.33

10 5 0

SU

PU

PU/MU

SM

NU

แนวคิดวิทยาศาสตร์ รูปที่ 6 แสดงแนวคิดวิทยาศาสตร์ เรื่อง ประโยชน์ของข้ อมูลทางธรณีวิทยา

เรื่อง แผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิ ด พบว่ า นักเรียน ส่วนใหญ่ มีแนวคิดทางวิทยาศาสตร์บางส่วนผนวกแนวคิด ที่ค ลาดเคลื่ อ นบางส่ วน (PU/MU) ได้ แ ก่ แนวคิ ด ที่ 4 ปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยา (ร้ อยละ 83.33) เมื่อวิเคราะห์ ผลการวิจัย ยั งพบว่ า นั กเรียนมีแนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์ หรือแนวคิดที่ถูกต้ อง (SU) คือ แนวคิดที่ 2 กระบวนการ เปลี่ยนแปลงทางธรณีภาคของโลก รองลงมา คือ แนวคิดที่ 6 ประโยชน์ของข้ อมูลทางธรณีวิทยา แนวคิดที่ 5 โครงสร้ าง ทางธรณี วิทยา แนวคิ ดที่ 4 ปรากฏการณ์ ทางธรณี วิทยา แนวคิดที่ 3 กระบวนการเกิดภูเขา รอยเลื่อน รอยคดโค้ ง แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด และแนวคิดที่ 1 แบ่งโครงสร้ าง โลก

ผลการวิ เคราะห์แ นวคิ ด ของนัก เรี ยน แบ่ งตามแผน การเรียน ผลการวิเคราะห์ แนวคิด ของนั กเรี ยน แบ่ งตามแผน การเรี ย น พบว่ า นั ก เรี ย นสายการเรี ย นวิ ท ยาศาสตร์ ส่วนใหญ่ มีแนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์หรือแนวคิดที่ถูกต้ อง (SU) คือ แนวคิดที่ 6 ประโยชน์ของข้ อมูลทางธรณีวิทยา รองลงมา คือ แนวคิดที่ 2 กระบวนการเปลี่ยนแปลงทาง ธรณี ภาคของโลก แนวคิด ที่ 5 โครงสร้ างทางธรณี วิทยา แนวคิดที่ 4 ปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยา แนวคิดที่ 1 การ แบ่งโครงสร้ างโลก และแนวคิดที่ 3 กระบวนการเกิดภูเขา รอยเลื่อน รอยคดโค้ ง แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด นอกจากนี้ พบว่ า นั ก เรี ย นแผนการเรี ย นที่ ไม่ เน้ น วิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ มีแนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์หรือแนวคิด ที่ถูกต้ อง (SU) คือ แนวคิดที่ 2 กระบวนการเปลี่ยนแปลง ทางธรณีภาคของโลก รองลงมา คือ แนวคิดที่ 6 ประโยชน์ ของข้ อมู ลทางธรณี วิทยา แนวคิดที่ 4 ปรากฏการณ์ ทาง


138

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ธรณีวิทยา แนวคิด ที่ 3 กระบวนการเกิดภูเขา รอยเลื่อน สรุปและอภิปรายผลการศึกษา รอยคดโค้ ง แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด แนวคิดที่ 1 การแบ่ง ผลการวิเคราะห์แนวคิดของนักเรียนทั้งหมด 30 คน โครงสร้ างโลก และแนวคิดที่ 5 โครงสร้ างทางธรณีวิทยา สรุปและอภิปรายผลการวิเคราะห์แนวคิดของนักเรียน ผลการวิ เคราะห์แนวคิ ด ของนักเรี ยน แบ่ งตามขนาด ทั้งหมด 30 คน ดังนี้ โรงเรียน จากการสัมภาษณ์ พบว่ า สาเหตุส่ วนใหญ่ ท่ีนั กเรียน ผลการวิเคราะห์ แนวคิดของนั กเรียน แบ่ งตามขนาด มี แ นวคิ ด ทางวิ ท ยาศาสตร์ บ างส่ ว นผนวกแนวคิ ด ที่ โรงเรี ย น พบว่ า นั ก เรี ย นโรงเรี ย นขนาดใหญ่ พิ เศษ คลาดเคลื่อนบางส่วน (PU/MU) ในเรื่อง แผ่นดินไหวและ ส่วนใหญ่ มีแนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์หรือแนวคิดที่ถูกต้ อง ภูเขาไฟระเบิด ทั้งนี้ อาจมาจาก 1. เนื้อหาที่ออกในข้ อสอบ (SU) คือ แนวคิดที่ 2 กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางธรณี เข้ าศึ กษาต่ อมีไม่ มากนั ก ทาให้ นั กเรียนไม่ ค่ อยให้ ความ ภาคของโลก รองลงมา คื อ แนวคิ ด ที่ 5 โครงสร้ างทาง สาคัญ 2. คาตอบในส่วนที่คลาดเคลื่อนอาจมาจากนักเรียน ธรณี วิ ท ยา แนวคิ ด ที่ 4 ปรากฏการณ์ ท างธรณี วิ ท ยา เรี ยนมานานจึ งท าให้ จ าเนื้ อหาไม่ ได้ จึ งใช้ ค วามรู้เดิ ม ที่ แนวคิดที่ 1 การแบ่งโครงสร้ างโลก แนวคิดที่ 6 ประโยชน์ นักเรียนเข้ าใจมาตอบคาถามทาให้ เกิดความคลาดเคลื่อน ของข้ อมูลทางธรณีวิทยาและแนวคิดที่ 3 กระบวนการเกิด ของคาตอบสอดคล้ องกับ เนาวรัตน์ อกศรี (2551 อ้ างถึง ภูเขา รอยเลื่อน รอยคดโค้ ง แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ใน ตรี คู ณ โพธิ์ ห ล้ า, 2554, น. 25) พบว่ า แนวคิ ด ที่ พบว่า นักเรียนโรงเรียนขนาดกลางส่วนใหญ่ มีแนวคิด ผู้เรียนสร้ างขึ้นด้ วยตัวของเขาเอง มักจะอาศัยการมีแนวคิด เชิงวิทยาศาสตร์หรือแนวคิดที่ถูกต้ อง (SU) คือ แนวคิดที่ ล่ วงหน้ าหรือมีอยู่ ก่อน หรืออาศั ยแนวคิด ความรู้ท่ีศึ กษา 6 ประโยชน์ของข้ อมูลทางธรณีวิทยา รองลงมา คือ แนวคิด จากโรงเรียนสาหรับบูรณาการความรู้ใหม่ท่คี ล้ ายคลึงกัน ที่ 2 กระบวนการเปลี่ ย นแปลงทางธรณี ภ าคของโลก นอกจากนี้ พบว่า นักเรียนส่วนใหญ่ มีแนวคิดย่อย คือ แนวคิดที่ 5 โครงสร้ างทางธรณีวิทยา แนวคิดที่ 4 ปรากฏการณ์ แนวคิดที่ 2 กระบวนการเปลี่ ยนแปลงทางธรณี ภาคของ ทางธรณีวิทยา แนวคิดที่ 3 กระบวนการเกิดภูเขา รอยเลื่อน โลก ซึ่งเป็ นแนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์หรือแนวคิดที่ถูกต้ อง รอยคดโค้ ง แผ่ นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด และแนวคิดที่ 1 (SU) เป็ นแนวคิดที่ไม่ ยากมากนั กอาศั ยความรู้จากการ การแบ่งโครงสร้ างโลก เรียนภายในชั้นเรียนก็สามารถเข้ าใจ ซึ่งเป็ นความรู้พ้ ืนฐาน พบว่ า โรงเรี ย นขนาดเล็ ก ส่ ว นใหญ่ มี แ นวคิ ด เชิ ง ที่สอดคล้ องกับของนักวิทยาศาสตร์ โดยนักเรียนอาจอาศัย วิ ท ยาศาสตร์ ห รื อ แนวคิ ด ที่ ถู ก ต้ อง (SU) คื อ แนวคิ ด ประสบการณ์ในส่วนของการเรียนในชั้นเรียน รวมทั้งแบบ ที่ประโยชน์ของข้ อมูลทางธรณีวิทยา รองลงมา คือ แนวคิด สั ม ภาษณ์ ป ระกอบภาพตั ว อย่ า งก็มี รู ป ภาพที่ ชั ด เจน ที่ 2 กระบวนการเปลี่ ย นแปลงทางธรณี ภ าคของโลก สามารถอธิบายคาตอบได้ ตรงตามแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ แนวคิ ด ที่ 4 ปรากฏการณ์ ท างธรณี วิ ท ยา แนวคิ ด ที่ 5 สอดคล้ องกับ Vicentini (1993 อ้ างถึงใน ตรีคูณ โพธิ์หล้ า, โครงสร้ างทางธรณี วิ ท ยา และ แนวคิ ด ที่ 1 การแบ่ ง 2554, น. 28) พบว่ า ความเชื่ อพื้ นฐานของผู้ เรียน เกิด โครงสร้ างโลก รวมทั้งแนวคิดที่ 3 กระบวนการเกิดภูเขา จากประสบการณ์ด้วยตัวของผู้เรียนเองผู้เรียนสามารถนา รอยเลื่ อน รอยคดโค้ ง แผ่ นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ซึ่งมี ความเชื่อเหล่ านี้ไปใช้ กับเรื่องราวต่ างๆ ได้ โดยความเชื่อ แนวคิดที่เท่ากัน พื้นฐานของผู้เรียนซึ่งอาจไม่กว้ างขวางลึกซึ้งแต่สอดคล้ อง กั บ ของนั ก วิ ท ยาศาสตร์ นอกจากนี้ พบว่ า นั ก เรี ย นมี แนวคิดเชิ งวิท ยาศาสตร์ห รือแนวคิดที่ถู กต้ อง (SU) ไม่ มากนั ก ในส่ วนของแนวคิ ดที่ 1 การแบ่ งโครงสร้ างโลก อาจเนื่องมาจากการตั้งคาถามที่ลึกเกินไป ทาให้ นักเรียนมี ความเข้ าใจที่ผิดพลาดขึ้นได้ สอดคล้ องกับ Parham et al. (2010) พบว่ า นั กเรียนไม่ เข้ าใจระบบของภูเขาไฟและ


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

139

แผ่ นเปลือกโลก ซึ่งการตั้งคาถามบางค าถามที่ลึกเกินไป อาจมาจากวิ ธีก ารสอนแบบเก่ าท าให้ นั ก เรี ย นไม่ เข้ า ใจ อาจทาให้ นักเรียนมีความเข้ าใจที่ผดิ พลาดขึ้นได้ ก็เป็ นได้ ทาให้ เกิดแนวคิดที่คลาดเคลื่อน สอดคล้ องกับ ผลการวิ เคราะห์แ นวคิ ด ของนัก เรี ยน แบ่ งตามแผน Griffiths and Preston (1992, p. 612 อ้ างถึงใน ตรีคูณ โพธิ์หล้ า, 2554, น. 26) พบว่า แนวคิดที่แตกต่างจากแนวคิดที่เป็ น การเรียน ่ ่ สรุปและอภิปรายผลการวิเคราะห์แนวคิดของนักเรียน ทียอมรับทั่วไปของนักวิทยาศาสตร์ทาให้ ยากทีจะแก้ ไขให้ แบ่งตามสายการเรียน จากผลการวิเคราะห์ พบว่า นักเรียน ถูกต้ องได้ โดยใช้ วิธกี ารสอนแบบเก่า เนื่องจากมีนักเรียนแผนการเรียนวิทยาศาสตร์มแี นวคิด สายการเรียนวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ มีแนวคิดที่ 6 ประโยชน์ ของข้ อมูลทางธรณีวิทยา เนื่องจากสายวิทยาศาสตร์มีการ วิทยาศาสตร์หรือแนวคิดที่ถูกต้ อง (SU) ในแนวคิดที่ 5 เรียนที่เน้ นวิทยาศาสตร์ท่ลี ึกมากกว่า ทาให้ นักเรียนมีความ โครงสร้ างทางธรณี วิ ท ยา มากกว่ าสายการเรี ย นไม่ เน้ น เข้ าใจทฤษฏีค่อนข้ างมาก ซึ่งมีการเรียนการสอนที่นักเรียน วิ ท ยาศาสตร์ ซึ่ งอาจมาจากนั ก เรี ย นแผนการเรี ย น ่ เรียนผ่านมาแล้ ว อีกทั้ง แนวคิดดังกล่ าวก็ไม่ ยากมากนัก วิทยาศาสตร์สามารถสร้ างความรู้ทมี ีอยู่ก่อนให้ สอดคล้ อง ซึ่งการที่นั กเรียนตอบได้ แสดงว่ า นั กเรียนมีเหตุผลโดย กับแนวคิดที่ผ้ ูวิจัยสร้ างขึ้นและบูรณาการความรู้ท่ีได้ จาก อาศัยประสบการณ์ประกอบด้ วย สอดคล้ องกับ Dykstra, การเรียน เรื่อง แผ่ นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด กับแบบ Boyle, and Monarch (1992, p. 612 อ้ างถึงใน ตรี คู ณ โพธิ์ สารวจแนวคิด และแบบสัมภาษณ์ ประกอบภาพตัวอย่ าง ่ หล้ า, 2554, น. 28) พบว่ า การเกิดแนวคิดจะอาศัยการให้ ที ผ้ ู วิ จั ย จั ด ท าขึ้ นได้ ท าให้ นั ก เรี ย นสายวิ ท ยาศาสตร์ มี เหตุผล และหลักการที่อาศัยประสบการณ์ของผู้เรียน ซึ่ง แนวคิดย่ อยดังกล่ าวสูง สอดคล้ องกับ พรพันธ์ บุ๋งนาแซง ์ หลักการก็ไม่ยากมากนักซึ่งคนทั่วไปก็สามารถให้ เหตุผลได้ (2550, น. 31-32 อ้ างถึงใน ตรีคูณ โพธิหล้ า, 2554, น. 27) รวมทั้ง พบว่า นักเรียนแผนการเรียนที่ไม่เน้ นวิทยาศาสตร์ พบว่ า แนวคิ ด ของนั ก เรี ย นที่ ส ร้ างขึ้ นมาด้ วยตั ว ของ ส่วนใหญ่ มีแนวคิดที่ 2 กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางธรณี นักเรียนเอง มักจะอาศั ยการมีแนวคิดล่ วงหน้ าหรือมีอยู่ ภาคของโลก เนื่องจากนักเรียนเคยเรียนผ่านมาแล้ ว ทาให้ ก่ อ น ซึ่ ง ไม่ ค่ อ ยได้ รั บ การศึ ก ษาเล่ าเรี ย น หรื อแนวคิ ด ่ นักเรียนเข้ าใจเนื้ อหา ซึ่งนักเรียนแสดงเหตุผลโดยอาศั ย ความรู้ทีได้ จากการศึ กษาในโรงเรียน ส าหรั บบู รณาการ ประสบการณ์ ความเข้ าใจจากสื่อต่างๆ รวมทั้งแบบสัมภาษณ์ ความรู้ใหม่ เนื่องจากพบว่า นักเรียนแผนการเรียนไม่เน้ นวิทยาศาสตร์ ประกอบภาพตัวอย่างซึ่งมีรปู ภาพให้ เห็นได้ ชัดเจน จึงทาให้ นักเรียนส่วนใหญ่เข้ าใจแนวคิดนี้ ซึ่งสอดคล้ องกับ วรรณทิพา มีความเข้ าใจในแนวคิดที่ 3 กระบวนการเกิดภูเขา รอยเลื่อน รอดแรงค้ า (2540, น. 22 อ้ างถึ งใน ตรีคู ณ โพธิ์ห ล้ า, รอยคดโค้ ง แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด มากกว่ าสายการ 2554, น. 30) พบว่า แนวคิดทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียน เรียนวิทยาศาสตร์ ซึ่งไม่เข้ าใจแนวคิดนี้มากนัก เนื่องจาก ได้ พัฒนาขึ้นขณะที่นักเรียนเข้ าใจสภาพทางกายภาพของ เรื่อง แผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด นักเรียนในสายการ โลก โดยอาศั ยประสบการณ์ ความรู้ในปั จจุ บัน และจาก เรี ยนวิ ท ยาศาสตร์ น่ าจะมี ก ารจั ด การเรีย นการสอนที่ไม่ เหมือนกับการเรียนสายไม่ เน้ นวิทยาศาสตร์ อีกทั้ง การ ภาษาของตนเอง พบว่า นักเรียนแผนการเรียนวิทยาศาสตร์และที่ไม่เน้ น จัดการเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับภูเขาไฟก็มีเนื้อหาลึกไม่มาก วิ ท ยาศาสตร์ มี แ นวคิ ด เชิ ง วิ ท ยาศาสตร์ ห รื อ แนวคิ ด ที่ นัก จึงทาให้ นักเรียนเข้ าใจมากน้ อยไม่ เหมือนกัน เนื้อหา ่ ถูกต้ อง (SU) ที่ไม่มากนักในแนวคิดที่ 1 การแบ่งโครงสร้ าง เกียวกับแนวคิดนี้กไ็ ม่ซับซ้ อนมากนัก และใช้ การสัมภาษณ์ โลก แสดงว่า นักเรียนไม่เข้ าใจแนวคิดนี้ เนื่องจากส่วนใหญ่ ประกอบภาพตัวอย่ าง ซึ่งน่ าจะทาให้ นั กเรียนสายไม่ เน้ น นักเรียนไม่สามารถตอบคาถามเกี่ยวกับคลื่นไหวสะเทือน วิทยาศาสตร์มีความชานาญมากกว่ าในเรื่อ งวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็ นคลื่ นแผ่ นดินไหวที่สามารถบอกให้ ทราบลั กษณะ โลก สอดคล้ องกั บ Nunn and Braud (2013) พบว่ า การ โครงสร้ างโลกได้ รวมทั้ง เนื้อหาในเรื่องนี้กม็ คี วามซับซ้ อน เรี ย นเรื่ อ งราวเกี่ ย วกั บ ภู เขาไฟที่ ส นั บ สนุ น ให้ การคิ ด ่ เช่นกัน ทาให้ นักเรียนมีแนวคิดที่คลาดเคลื่อนเป็ นส่วนใหญ่ วิเคราะห์และการเรียนรู้เกียวกับวิทยาศาสตร์โลก เพื่อศึกษา


140

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ค้ นคว้ าเรื่ องราวประวั ติศาสตร์ ของการระเบิ ดของภูเขาไฟ ทราบแนวคิ ด ของนั ก เรี ย น และเมื่ อ ทราบแนวคิ ด ของ โดยมี การสั มภาษณ์ ท าให้ นั กเรี ยนมี ค วามรู้ ค วามเข้ าใจ นักเรียนก็นามาใช้ พัฒนาวิธกี ารสอนให้ เหมาะสมเพื่อทาให้ เรื่องราวเกี่ยวกับภูเขาไฟมากขึ้น นักเรียนเข้ าใจบทเรียนมากขึ้น 1.2 นาผลการวิจัย เรื่อง แผ่นดินไหวและภูเขาไฟ ผลการวิ เคราะห์แนวคิ ด ของนักเรี ยน แบ่ งตามขนาด ระเบิด เป็ นข้ อมูลในการพัฒนาสื่อการสอน เพื่อให้ นักเรียน โรงเรียน ่ สรุปและอภิปรายผลการวิเคราะห์แนวคิดของนักเรียน มีแนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์หรือแนวคิดทีถูกต้ อง (SU) หาก แบ่งตามขนาดโรงเรียน จากการวิเคราะห์ พบว่ า โรงเรียน ไม่ มีการนามาปรับปรุงก็อาจทาให้ นักเรียนมีแนวคิดที่ไม่ ขนาดใหญ่ พิเศษ โรงเรียนขนาดกลาง และโรงเรียนขนาด ถูกต้ องและเข้ าใจเนื้อหาไม่ถูกต้ องเช่นเดิม 2. ข้อเสนอแนะในการวิจยั ครั้งต่อไป เล็ก อยู่ในแนวคิดทางวิทยาศาสตร์บางส่วนผนวกแนวคิด 2.1 ควรท าการศึ ก ษาแนวคิ ด ของนั ก เรี ย นใน คลาดเคลื่อนบางส่วน (PU/MU) ซึ่งนักเรียนเข้ าใจแนวคิด คล้ ายกัน และไม่ ค่อยต่ างกันมากนัก ยกตัวอย่ างแนวคิด เนื้ อหา และรายวิ ชาอื่นๆ เพื่ อตรวจสอบดู ว่ า นั กเรียนที่ ย่ อ ย เช่ น แนวคิ ด ที่ 4 แนวคิ ด เกี่ ย วกั บ ความส าคั ญ เรียนในรายวิชาดังกล่ าวมีแนวคิดวิทยาศาสตร์มากน้ อย ปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยา แผ่ นดินไหว ภูเ ขาไฟระเบิด เพียงใด 2.2 มีการใช้ แบบสัมภาษณ์ประกอบภาพตัวอย่ าง ที่ มี ผลต่ อสิ่ งมี ชี วิ ตและสิ่ งแวดล้ อม ซึ่ งสู งที่ สุ ด อาจเนื่ อง มาจากนั กเรี ยนขาดความสามารถในการให้ เหตุ ผ ลเพื่ อ เพียงอย่างเดียวในการวิเคราะห์แนวคิดวิทยาศาสตร์ เชื่อมโยงกับแนวคิดใหม่ นักเรียนอาจมีแนวคิดที่ไม่ถูกต้ อง อยู่ก่อนแล้ ว หรือการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ตารา รวมไปถึงหลักสูตรที่ใช้ จัดการเรียนการสอน หากมีความ ผิดพลาด ก็มีส่วนทาให้ นักเรียนไม่ เข้ าใจหรือมีแนวคิดที่ คลาดเคลื่อนก็เป็ นได้ สอดคล้ องกับ Griffiths and Preston, 1992, p. 612; Simpson and Marek, 1988, p. 36; Osbome and Freyberg, 1985, p. 27; สุ มาลี มู ลผาลา, 2551, น. 32–34 (อ้ างถึงใน ตรีคูณ โพธิ์หล้ า, 2554, น. 28) พบว่ า สาเหตุ ท่ีท าให้ เกิด แนวคิ ด ที่ค ลาดเคลื่ อนมาจาก นักเรียนขาดทักษะในการให้ เหตุผลที่มีการปรับให้ เข้ ากับ ความรู้ ใหม่ และไม่ มี ข้ อ สรุ ป ที่ นั ก เรี ย นควรมี อ ยู่ ก่ อ น เพื่ อปรับความหมายให้ เข้ ากับความรู้ใหม่ และสาเหตุอาจ มาจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน คาอธิบายของครู ที่ขาดความเข้ าใจในแนวคิด รวมไปถึงหลักสูตรที่ใช้ จัดการ เรียนการสอนอีกด้ วย

กิตติกรรมประกาศ

ผู้วิจัยขอกราบขอบพระคุณเป็ นอย่างสูงในความกรุณา ของ รองศาสตราจารย์ ดร.รั ต นา สนั่ น เมื อ ง ประธาน ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ ที่ได้ อุตส่าห์สละเวลาอันมีค่ามาเป็ น ที่ปรึกษาพร้ อมทั้งให้ คาแนะนาตลอดระยะเวลาในการทา วิทยานิ พ นธ์ฉบั บนี้ และขอกราบขอบพระคุ ณ กรรมการ ที่ ป รึ ก ษาวิ ท ยานิ พ นธ์ ผู้ ช่ ว ยศาสตราจารย์ ดร.สิริ น ภา กิจเกื้อกูล และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปั ฐมาภรณ์ พิ มพ์ ทอง รองศาสตราจารย์ ดร.วารีรัตน์ แก้ วอุไร ที่ได้ กรุณาให้ คาแนะนาตลอดจนแก้ ไขข้ อบกพร่อง ของวิทยานิพนธ์ด้วยความเอาใจใส่ จนทาให้ วิทยานิพนธ์ ฉบับนี้สาเร็จลุล่วงได้ อย่างสมบูรณ์และทรงคุณค่า กราบขอบพระคุ ณ ผู้ อ านวยการโรงเรี ย นเตรี ย ม อุดมศึกษา ภาคเหนือ ผู้อานวยการโรงเรียนท่าทองพิทยาคม ผู้อานวยการโรงเรียนบ้ านกร่างวิทยาคม สังกัดสานักงานเขต ข้อเสนอแนะ พื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 39 เป็ นอย่างสูงที่ได้ กรุณา การศึกษาแนวคิดเรื่อง แผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด ให้ ความอนุ เคราะห์ในการเก็บข้ อมูล คณะครูทุกท่านและ นักเรียนทุกคนที่มสี ่วนเกี่ยวข้ องให้ ความร่วมมือและอานวย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 6 มีข้อเสนอแนะ ดังนี้ ความสะดวกแก่ผ้ ูวิจัยเป็ นอย่ างดีในการเข้ าไปทาวิจัยและ 1. ข้อเสนอแนะในการนาไปใช้ 1.1 ครูสามารถน าแบบสัมภาษณ์ ป ระกอบภาพ เก็บข้ อมูลการทาวิจัยในครั้งนี้ ขอกราบขอบพระคุ ณ บิดา มารดา และครอบครัวที่ให้ ตัวอย่ างไปใช้ ในการจั ด การเรี ยนการสอน เพื่ อจะท าให้ กาลังใจและให้ การสนับสนุนในทุกๆ ด้ านอย่างดีท่สี ดุ เสมอมา


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

คุ ณ ค่ าและคุ ณ ประโยชน์ อัน พึ งจะมี จากวิ ทยานิ พ นธ์ ฉบับนี้ ผู้ วิจัยขอมอบและอุทิศแต่ ผ้ ู มีพ ระคุ ณ ทุ กๆ ท่ าน ผู้วิจัยหวังเป็ นอย่ างยิ่งว่ า งานวิจัยนี้เป็ นประโยชน์ต่อการ พัฒนาการเรียนการสอนของครูและนักเรียนต่อไป

141

สิรินภา กิจเกื้อกูล และนฤมล ยุตาคม. (2547). การศึกษา แนวคิด เรื่อง การสังเคราะห์ด้วยแสงของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4. วิ ท ยาสารเกษตรศาสตร์ สาขาสังคมศาสตร์ , 25(2), 139-149. [7]

เอกสารอ้างอิง

Nunn, J. A., & Braud, J. (2013). A Servic-Learning Project on Volcanoes to Promote Critical Thinking and กนก จันทร์ขจร และถนัด ศรีบุญเรือง. (2544). วิทยาศาสตร์: the Earth Science Literacy Initiative. Retrieved from กายภาพ. กรุงเทพฯ: อักษรเจริญทัศน์. [1] http://search.proquest.com/education/docview/13189 จิ ต ตมาส สุ ข แสวง. (2549). การศึ กษาแนวคิ ด ของ 39462/fulltextPDF/564D696DBB1D43BBPQ/1?ac นักเรียนและพฤติกรรมการสอนของครู เรือ่ ง กรด-เบส ใน countid=49790. ระดับชัน้ มัธยมศึ กษาปี ที ่ 5 ของโรงเรียนแห่ งหนึ ่งในเขต Parham, T. L., Cervato, C., Gallus, W. A., Larsen, จตุจกั ร. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัย M., Stelling, P., Greenbowe, T., …Gill, T. E. (2010). เกษตรศาสตร์, กรุงเทพฯ. [2] The InVEST Volcanic Concept Survey: Exploring ต รี คู ณ โพ ธิ์ ห ล้ า. (2554). การศึ กษ าแน วคิ ดเชิ ง วิทยาศาสตร์ของนักเรียนชัน้ ประถมศึ กษาปี ที ่ 2 โรงเรียน ในศูนย์พัฒนาคุณภาพการศึ กษานาทองหนองบัว อาเภอ เชียงยืน สานักงานเขตพื้ นทีก่ ารประถมศึ กษามหาสารคาม เขต 3. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัย ราชภัฏมหาสารคาม, มหาสารคาม. [3] สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่ งชาติ (องค์การมหาชน). (2557). ค่ าสถิ ติ พ้ ื นฐานผลการทดสอบทางการศึ ก ษา ระดั บ ชาติ ข้ั น พื้ นฐาน (O-Net) ชั้ น มั ธ ยมศึ ก ษาปี ที่ 6 ปี การศึ กษา 2556. สืบค้ น จาก http://www.niets.or.th/ index.php/system_niest/index/3 [4]

Student Understanding About Volcanoes. Retrieved from http://search.proquest.com/education/docview/ 746766738/fulltextPDF/4868B04078E64872PQ/ 17?accountid=49790 Translated Thai References Chankhachon, K., & Sribunrueng, T. (2001). Physical science. Bangkok: Aksorncharoenthat Printing. [in Thai] [1] Geographical Association of Thailand cooperate with Buriram Teacher’s college. (1980). Volcanic debris in Buriram Province. Bangkok: Geographical Association of Thailand. [in Thai] [5]

สมาคมภู มิ ศ าสตร์ แ ห่ งประเทศไทยร่ ว มกั บ วิ ท ยาลั ย ครู บุ รี รั ม ย์ . (2523). ซากภู เขาไฟในจัง หวัด บุ รี รั ม ย์ . กรุงเทพฯ: สมาคมภูมศิ าสตร์แห่งประเทศไทย. [5] Kijkuakul, S., & Yutakom, N. (2004). A Study of Level 4 Students’ Photosynthesis Conceptions. สานั กงานคณะกรรมการการศึ กษาขั้นพื้ นฐาน กระทรวง Kasetsart Social Sciences Journal, 25(2), 139-149. ศึกษาธิการ. (2552). ตัวชี้วดั และสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง [in Thai] [7] กลุ่มสาระการเรี ยนรู ว้ ิทยาศาสตร์ ตามหลักสูตรแกนกลาง การศึ กษาขั้น พื้ นฐาน พุ ท ธศั ก ราช 2551. กรุ ง เทพฯ: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. [6]


142

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

National institute of Educational Testing Service (Public Organization). (2014). Standard Statistical Values of Education Testing in national level (O-Net) of grade XII students in 2013. Retrieved from http://www.niets.or. th/index.php/system_niest/index/3 [in Thai] [4] Office of the Basic Education Commission of Ministry of Education. (2009). Indicator and Learning Core of science learning section followed basic educate Currilculum in 2008. Bangkok: Agricultural Cooperatives of Thailand Printing. [in Thai] [6]

Pola, T. (2011). Pratomsuksa 2 students’ Science Concepts: The Case of Nathongnongbua Educational Development Center, Chiang Yuen District, Maha Sarakham Province. (Master’s thesis). Rajabhat Mahasarakham University, Mahasarakham. [in Thai] [3] Suksawaeng, C. (2006). A study of Mathayomsuksa Five Students’ conceptions and Teacher‘s teaching Behavior on Acid-Base at School in Jatujak District, Bangkok. (Master’s thesis). Kasetsart University, Bangkok. [in Thai] [2]


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

143

การบริหารความเสีย่ งของสานักงานกองทุนสงเคราะห์การทาสวนยาง สานิตย์ แก้ ววังสัน

Risk Management for Office of the Rubber Replanting Aid Fund Sanit Kaewwangson มหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด เขตประเวศ กรุงเทพฯ 10250 Stamford Internatational University, Pawet, Bangkok 10250 Corresponding author. E-mail address: gunner30602@gmail.com บทคัดย่อ การศึกษา เรื่อง “การบริหารความเสี่ยงของสานักงานกองทุนสงเคราะห์การทาสวนยาง” มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษา 1) ระดับสภาพและ ปัญหาการบริหารความเสี่ยงของสานักงานกองทุนสงเคราะห์การทาสวนยาง 2) เปรียบเทียบระดับสภาพและปั ญหาการบริหารความเสี่ยงตาม ความคิดเห็นจาแนกตามปั จจัยส่วนบุคคล 3) เปรียบเทียบระดับสภาพและปั ญหาการบริหารความเสี่ยงตามความคิดเห็นจาแนกตามปั จจัย สนับสนุน วิธีการดาเนินการ กลุ่มตั วอย่ างที่ใช้ ในการวิจัยเป็ นพนักงานของสานั กงานกองทุ นสงเคราะห์การท าสวนยาง จานวน 322 คน เครื่องมื อที่ใช้ คือ แบบ สอบถามการการบริหารความเสี่ยงของสานักงานกองทุ นสงเคราะห์ การทาสวนยาง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ การทดสอบค่ าที วิเคราะห์ความ แปรปรวนทางเดียว และทดสอบรายคู่ด้วยวิธขี องเชฟเฟ่ และวิธกี ารสัมภาษณ์แบบเจาะลึก ผลการศึกษา พบว่า 1. ปั จจัยส่วนบุคคล พบว่า พนักงานส่วนใหญ่ เป็ นเพศชาย ตาแหน่ งผู้ปฏิบัติงาน การศึกษาระดับปริญญาตรี และมีประสบการณ์การ ทางานไม่เกิน 5 ปี และเคยได้ รับการอบรมฝึ กอบรมด้ านบริหารความเสี่ยง สื่อสารการบริหารความเสี่ยง และใช้ ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ด้ านบริหารความเสี่ยง 2. ความคิดเห็นเกี่ยวกับระดับสภาพการบริหารความเสี่ยงภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( x = 3.66) เมื่อพิจารณาเป็ นรายด้ าน พบว่า ด้ าน การเงินมีค่าเฉลี่ยสูงสุด ( x = 3.84) และด้ านการปฏิบัติงานมีค่าเฉลี่ยน้ อยที่สดุ ( x = 3.53) สาหรับระดับปั ญหาการบริหารความเสี่ยงภาพ รวมอยู่ในระดับน้ อย ( x = 2.59) เมื่อพิจารณาเป็ นรายด้ าน พบว่า ด้ านกลยุทธ์มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ( x = 2.83) และด้ านการเงินมีค่าเฉลี่ยน้ อย ที่สดุ ( x = 2.43) 3. ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่ า ปั จจัยส่วนบุคคล ด้ านตาแหน่ ง และประสบการณ์ต่างกันมีความคิดเห็นเกี่ยวกับระดับสภาพและ ปั ญ หาการบริหารความเสี่ยง แตกต่ างกันในด้ านการเงิน ส่วนปั จจั ยสนั บ สนุ น ด้ านการฝึ กอบรมการบริหารความเสี่ยง และการใช้ ระบบ เทคโนโลยีสารสนเทศ มีความคิดเห็นเกี่ยวกับระดับสภาพและปั ญหาการบริหารความเสี่ยงต่ างกัน อย่ างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ รี ะดับ 0.05 สาหรับผลการสัมภาษณ์เชิงลึก พบว่ า การดาเนินงานจะมีกาหนดแผนงานโครงการที่มีความสอดคล้ องกับบทบาทภารกิจ และเป้ าหมายการ ดาเนินงานที่ชัดเจน มีการถ่ ายทอดงานจากระดับนโยบายลงสู่ระดั บปฏิบัติ รวมถึงระบบควบคุมติดตามความถูกต้ องด้ วยระบบเทคโนโลยี สารสนเทศ และการตรวจสอบภายในในหน่วยงาน แต่อย่างไรก็ตาม ด้ านการถ่ายโอนความรู้ให้ กับพนักงานรุ่นใหม่ค่อนข้ างน้ อย ทาให้ มีปัญหา เชิงการบริหารจัดการ นอกจากนี้บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในบางสาขาไม่เพียงพอ คาสาคัญ: การบริหารความเสี่ยง Abstract The objectives of this research was to: 1) Determine the conditions and problems associated with risk management for the Office of the Rubber Replanting Aid Fund. 2) Compare the conditions and management of risk by personal factors. 3) Compare the conditions and management of risk by supporting factors.


144

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

Research Methodology: The samples used in this research are the employee’s of the Foundation's Office Rubber Replanting Aid Fund of which 322 people were utilized. The questionnaires on risk management were analyzed by “T test One-way analysis of variance” and paired with the Scheffer Method as well as in-depth Interviews. The results were as Follows. 1. Most employees are male in the position of practitioners holding a Bachelors degree and not more than five years of work experience. They have received training in risk management, information risk management and information technology risk management. 2. The overall state of risk management is at a high level of ( x = 3.66); it was found that finance has the highest average of ( x = 3.84) and the operations have the lowest average of ( x = 3.53). The issue of risk management overall is at a low level of ( x = 2.59) when it was found that the strategy has the highest average of ( x = 2.83) and finance have the lowest average ( x = 2.43). 3. The hypothesis testing determined personal factors and the positions were of different opinions about the conditions and risk management issues. Differences in finance of the supporting factors of training in risk management. And the use of information technology opinion about the condition and risk management issues as well. Statistically significant at the 0.05 level for the in-depth interviews found that the operations would have set plans that are consistent with the mission. The operational goals clear, which is broadcast from the policy level. Down to a practical level the control system has an accurate tracking system and internal audit departments. However, the transfer of knowledge to the new generation of employees is relatively small. The problem-oriented management. In addition, personnel who have expertise in certain fields are not enough. Keyword: Risk Management

บทนา ความเป็ นมาและความสาคัญของปั ญหา การปฏิรูประบบราชการเมื่อปี พ.ศ.2545 ที่ผ่านมาได้ มีการนาหลักธรรมาภิบาลของการบริหารกิจการบ้ านเมือง ที่ดี (Good Governance) โดยเฉพาะการบริหารงานภาครัฐ แนวใหม่ (New Public Management) (สานักงานคณะกรรมการ พั ฒนาระบบราชการ, 2556) เข้ ามาประยุ กต์ใช้ ในระบบ ราชการของไทยดังเจตนารมณ์ปรากฏในมาตรา 3/1 ของ พระราชบัญญัตริ ะเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2545 ภายใต้ พระราชกฤษฎีกาว่ าด้ วยหลักเกณฑ์และ วิธีการบริหารกิจการบ้ านเมืองที่ดี พ.ศ.2546 ที่มีความ มุ่งหมายเพื่ อให้ ปฏิบัติงานของส่วนราชการตอบสนองต่ อ การพั ฒนาประเทศและให้ บริการแก่ประชาชนได้ อย่ างมี ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งการบริหารราชการและการปฏิบัติ หน้ าที่ ข องส่ ว นราชการนี้ ต้ องใช้ วิ ธี ก ารบริ ห ารกิ จ การ บ้ านเมื องที่ดี เพื่ อให้ การบริ ห ารราชแผ่ น ดิ น เป็ นไปเพื่ อ ประโยชน์สขุ ของประชาชน เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ มีประสิทธิภาพ เกิดความคุ้มค่ าในเชิงภารกิจของรัฐ ลด ขั้นตอนการปฏิบัติงานที่เกินความจาเป็ น และประชาชน ได้ รั บการอ านวยความสะดวกและได้ รั บ การตอบสนอง ความต้ องการ รวมทั้งมีการประเมินผลการปฏิบัติราชการ

อย่ างสม่ าเสมอ และมีการวางแผนยุ ทธศาสตร์การพัฒนา ระบบราชการไทย (ในช่ วงปี พ.ศ.2546–พ.ศ.2550 และ พ.ศ.2551–พ.ศ.2555) เป็ นกรอบแนวทางหลักในการ ผลักดันการพั ฒนาระบบราชการไทยตั้งแต่ ปี พ.ศ.2546 มาถึงปั จจุ บั น มี การด าเนิ น งานตามแผนงานโครงการที่ สอดคล้ องตามแผนยุ ท ธศาสตร์ ไปสู่ ก ารปฏิ บั ติ ท าให้ หน่ ว ยงานราชการได้ ป รั บ ปรุงประสิท ธิภ าพการท างาน ทบทวนปรับโครงสร้ าง บทบาท และภารกิจ ดังจะเห็นได้ ว่า การพั ฒนาระบบราชการไทยในช่ วงทศวรรษที่ผ่านมาจึงมี ความก้ า วหน้ าอย่ า งต่ อ เนื่ อ งเกิ ด ผลเป็ นรูป ธรรมอย่ า ง ชัดเจน การดาเนินงานของรัฐวิสาหกิจเป็ นหนึ่งในปั จจัยสาคัญ ต่อระบบเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศไทย ในตลอด ช่ ว งเวลาที่ ผ่ า นมา รั ฐ บาลได้ มุ่ ง มั่ น ในการปรั บ ปรุ ง ให้ รั ฐวิ สาหกิจมี ส มรรถภาพสูงขึ้ น และขยายกิจกรรมของ รัฐวิสาหกิจให้ มีบทบาทมากยิ่งขึ้นในการพัฒนาเศรษฐกิจ ของประเทศ โดยได้ พ ยายามปรั บ ปรุ ง การด าเนิ น งาน รวมทั้งการบริหารงาน เพื่อให้ การลงทุนเกิดคุณประโยชน์ แก่ ป ระเทศอย่ า งแท้ จริ ง ดั ง นั้ น การบริ ห ารจั ด การ รัฐวิสาหกิจที่ดีย่ อ มก่ อ ให้ เกิดประโยชน์ ต่ อ ประเทศเป็ น อย่ า งยิ่ ง ขณ ะที่ การบริ ห ารจั ด การรั ฐ วิ ส าหกิ จ ที่ ไ ม่ มี ประสิทธิภาพ ย่ อมก่ อให้ เกิดความเสียหายในวงกว้ างได้


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

เช่ น กั น ส านั ก งานคณะกรรมการนโยบายรั ฐ วิ ส าหกิ จ (สคร.) ในฐานะเป็ นหน่ วยงานก ากับดู แ ล ได้ พิ จารณา ระบบประเมินผลให้ มีความเหมาะสมกับการด าเนิ นงาน ของรั ฐ วิ ส าหกิ จ แบ่ ง การประเมิ น ผลการด าเนิ น งาน ออกเป็ น 3 ด้ าน คือ การดาเนินงานตามนโยบาย ผลการ ดาเนินงานของรัฐวิสาหกิจ และการบริหารจัดการองค์กร ซึ่งการบริหารจัดการองค์การ เป็ นส่วนสาคัญที่รัฐวิสาหกิจ ทุกแห่ งจะต้ องดาเนินการประเมินผล เพื่อสามารถบรรลุผล การด าเนิ น งานได้ ต ามคาดหวั งไว้ และในขณะเดี ยวกัน ก็เสริ ม สร้ างศั ก ยภาพส าหรั บ อนาคต โดยอาศั ย การมี ส่ ว นร่ ว มจากทุ ก ฝ่ าย ทั้ ง จากพนั ก งาน ผู้ บริ ห าร และ คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ ทั้งนี้ การดาเนินการและ/หรือ กระบวนการหลั กซึ่งเป็ นพื้ นฐานของการด าเนิ นงานของ รัฐวิสาหกิจที่ถูกน ามาประเมินผลฯ นั้ น ประกอบด้ วย 6 ด้ าน ได้ แ ก่ บทบาทของคณะกรรมการรัฐ วิ สาหกิจ การ บริหารความเสี่ยง การควบคุมภายใน การตรวจสอบภายใน การบริหารจั ดการสารสนเทศ และการบริหารทรัพ ยากร บุ ค คล (ส านั ก งานคณะกรรมการนโยบายรั ฐ วิ ส าหกิ จ กระทรวงการคลัง, 2554) องค์กรที่มีการบริหารจัดการที่ดี จะต้ องดาเนินงานบน พื้ นฐานของ 3 องค์ประกอบที่ส าคัญ คือ การตรวจสอบ ภายใน (Internal Audit) การควบคุ ม ภายใน (Internal Control) และการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ซึ่งสอดคล้ องกับหลักการบริหารกิจการบ้ านเมืองที่ดี การ บริหารความเสี่ยงในองค์การนั้นจะเป็ นการสร้ างฐานข้ อมูล ความรู้ท่ีมีประโยชน์ต่อการบริหารและการปฏิบัติงานใน องค์กร ทั้งเป็ นแหล่งข้ อมูลสาหรับผู้บริหารในการตัดสินใจ ด้ านต่ างๆ เนื่องจากความเสี่ยง เป็ นเครื่องมือสาคัญของ ผู้บริหารในการบริหารงาน และการตัดสินใจในด้ านต่างๆ เช่ น การวางแผน การกาหนดกลยุทธ์ การติดตามควบคุม และการวัดผลการปฏิบัตงิ าน ซึ่งจะส่งผลให้ การดาเนินงาน เป็ นไปตามเป้ าหมายและสามารถสร้ างมู ลค่ าเพิ่ มให้ แ ก่ องค์กร ช่วยให้ การพัฒนาองค์กรเป็ นไปในทิศทางเดียวกัน การบริห ารความเสี่ยงท าให้ รูปแบบการตั ดสิน ใจในการ ปฏิ บั ติ ง านขององค์ กรมี ก ารพั ฒ นาในทิ ศ ทางเดี ย วกั น รวมทั้งช่วยให้ การพั ฒนาการบริหารและจัดสรรทรัพยากร

145

เป็ นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล (ประภาพรรณ รักเลี้ยง, 2555) สานั กงานกองทุ นสงเคราะห์ การทาสวนยาง (สกย.) เป็ นรัฐวิสาหกิจ ประเภทส่งเสริมไม่ แสวงหากาไร สังกัด กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติ กองทุนสงเคราะห์ การทาสวนยาง พ.ศ.2503 เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2503 และต่อมาได้ มีการปรับปรุงแก้ ไขรวม 3 ครั้ ง ในปี พ.ศ.2505, พ.ศ.2518 และ พ.ศ.2530 วัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางเก่าในการ ปลู ก แทนด้ วยยางพั นธุ์ ดี ห รื อ ไม้ ยื น ต้ นชนิ ด อื่ นที่ มี ความส าคั ญ ทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ยั งเปิ ดโอกาสให้ เกษตรกรที่ไม่ เคยมีสวนยางมาก่อนได้ มีทางเลือกในการ ประกอบอาชีพการทาสวนยาง โดยมุ่งในพื้ นที่ท่ีเหมาะสม โดยใช้ เงินอุดหนุ น หรือใช้ งบประมาณแผ่นดิน หรือเงินกู้ ที่ รั ฐ บาลจั ด หาให้ และได้ เข้ าสู่ ร ะบบประเมิ น ผลการ ด าเนิ น งานของรั ฐ วิ ส าหกิ จ ในการวั ด ประสิ ท ธิ ภ าพ ประสิทธิผลการด าเนิ นงาน พ.ศ.2552 การบริหารเสี่ยง เป็ นเกณฑ์วัดหนึ่งที่จะต้ องมีการตรวจสอบตาม เนื่องจาก รัฐวิสาหกิจ ไม่ว่าขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ และไม่ว่าจะอยู่ใน ธุรกิจประเภทใดย่ อมเผชิญกับความไม่แน่นอนในรูปแบบ ต่างๆ ความไม่แน่นอนเหตุการณ์ท่เี กิดขึ้นแล้ วส่งผลกระทบ ต่ อการด าเนิ น งานขององค์ กร หรื อเป็ นอุ ป สรรคในการ บรรลุ วัตถุประสงค์หรือเป้ าหมาย สาเหตุของความเสี่ยง อาจจะมีท้ังปั จจัยภายใน เช่ น ความสามารถของบุคลากร ระบบสารสนเทศ หรือปั จจัยภายนอก เช่น สภาพเศรษฐกิจ การเมือง ภัยธรรมชาติ เป็ นต้ น สานักงานคณะกรรมการ นโยบายรัฐวิสาหกิจ ในฐานะหน่วยงานกากับดูแลรัฐวิสาหกิจ ให้ รัฐวิสาหกิจทุกแห่ งจะต้ องดาเนินการ ตามกระบวนการ ตามองค์ ป ระกอบตามที่ก าหนดไว้ 8 องค์ ป ระกอบ คื อ สภาพแวดล้ อมการควบคุม การกาหนดวัตถุประสงค์ การ ระบุเหตุการณ์ การประเมินความเสี่ยง การตอบสนองต่ อ ความเสี่ยง กิจกรรมการควบคุม สารสนเทศและการสื่อสาร และการติดตามประเมินผล เพื่อบริหารปั จจัยและควบคุม กิจ กรรม รวมถึ งกระบวนการด าเนิ น งานต่ างๆ และลด สาเหตุ ของและโอกาสที่จ ะเกิด ขึ้น กับ องค์ ก รให้ มี ระดั บ ความเสี่ยงและขนาดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ให้ อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ประเมินได้ ควบคุมได้ และการ


146

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ตรวจสอบได้ อ ย่ างเป็ นระบบ การบริ ห ารความเสี่ย งที่ ดี นอกจากจะช่ วยลดความสูญ เสียที่เกิดขึ้น จากเหตุ การณ์ ต่ างๆ แล้ ว ยั งช่ วยส่ ง เสริมให้ เกิด วัฒ นธรรมองค์ก รที่มี ความตระหนักถึงความเสี่ยง ทาให้ การทางานเป็ นไปด้ วย ความรอบคอบและรัดกุ ม และในที่สุดจะช่ วยให้ มีความ มั่นใจอย่างสมเหตุสมผลว่ าจะสามารถบรรลุเป้ าหมายหรือ วั ต ถุ ป ระสงค์ ท่ีต้ั งไว้ ซึ่ งจะส่ งเสริ ม พั ฒ นาทั ก ษะ ความ สามารถ ความคิดสร้ างสรรค์ของบุ คลากร รวมถึงส่งเสริม และสร้ างบรรยากาศ เพื่ อก่ อให้ เกิด นวั ต กรรมและการ สร้ างสรรค์องค์กรที่เรียกกันว่ า การบริหารความเสี่ยงเพื่ อ เพิ่ มมูลค่าขององค์กร (Value Enhancement) (สานักงาน คณะกรรมการนโยบายรั ฐ วิ ส าหกิจ กระทรวงการคลั ง , 2555) การก าหนดการตรวจสอบและประเมิ น ผล กรอบ โครงสร้ างการบริหารความเสี่ยงขององค์กรเชิงบูรณาการ และเกณฑ์การประเมินผลการดาเนินงานรัฐวิสาหกิจด้ าน การบริ ห ารจั ดการองค์ กร กระทรวงการการคลั งได้ แ บ่ ง ประเภทของความเสี่ยงออกเป็ น 4 ด้ าน คือ ความเสี่ยงด้ าน กลยุ ทธ์ (Strategic Risk) ความเสี่ยงด้ านการด าเนิ นงาน (Operational Risk) ความเสี่ยงทางด้ านการเงิน (Financial Risk) ความเสี่ยงด้ านกฎระเบียบ ข้ อบังคับ (Compliance Risk) (ส านั ก งานคณะกรรมการนโยบายรั ฐ วิ ส าหกิ จ กระทรวงการคลั ง , 2555) ส านั กงานกองทุ นสงเคราะห์ การท าสวนยาง ได้ ด าเนิ นงานด้ านการบริหารความเสี่ยง และจัดทาการบริหารความเสี่ยงตามกรอบการบริหารความ เสี่ยงองค์กร (Enterprise Risk Management: ERM) ของ The Committee of Sponsoring Organization of the Tradeway Commision: COSO และภายใต้ กรอบแนวทาง ตามหลักเกณฑ์/แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการบริหารความ เสี่ยงและควบคุมภายใน ปี 2555 ซึ่ง สกย. ได้ ตระหนักถึง ความส าคั ญ ของการบริ ห ารความเสี่ย ง และการใช้ เป็ น เครื่องมือที่เป็ นกลไกหนึ่งที่จะช่ วยให้ สนับสนุ นให้ องค์กร บรรลุวัตถุประสงค์ได้ อย่ างมีประสิทธิภาพ คณะกรรมการ สงเคราะห์การทาสวนยาง ผู้บริหารระดับสูงของ สกย. โดย คณะกรรมการสงเคราะห์ การท าสวนยาง (ก.ส.ย.) ได้ แต่ ง ตั้ ง คณะกรรมการบริ ห ารความเสี่ ย ง สกย. (Risk Management Committee: RMC) ก ากั บ ดู แ ลการบริ ห าร ความเสี่ยงองค์กรอย่ างใกล้ ชิด โดยได้ ดาเนินการประกาศ

นโยบายการบริ หารความเสี่ยง พร้ อมทั้งจัด ท าคู่ มื อการ บริหารความเสี่ยง เพื่ อให้ บุคลากรทั้งส่วนกลางและส่วน ภู มิ ภ าค รวม 58 แห่ ง ทุ ก ระดั บ ให้ มี ค วามเข้ าใจถึ ง กระบวนการบริ ห ารความเสี่ ย ง และถื อ ปฏิ บั ติ เ ป็ น วัฒนธรรมองค์กร และสามารถที่ช่วยให้ ทุกภาคส่วนของ สกย. ดาเนินการได้ ตามวัตถุประสงค์และเป้ าหมาย และ ประสบความสาเร็จในการดาเนินงาน ไปสู่การกากับดูแล กิ จ การที่ ดี (Good Cooperate Governance) สร้ างความ เชื่อมั่นให้ กบั บุคคลทั้งภายในและภายนอกได้ ว่าจะดาเนิน กิจการได้ บรรลุเป้ าหมายอย่ างยั่งยืน จากการด าเนินงาน ตามระบบประเมินผลการดาเนินงานของรัฐวิสาหกิจตั้งแต่ ปี พ.ศ.2552 จนถึงปี พ.ศ.2556 นั้น สกย. ได้ วางระบบ บริหารความเสี่ยง ตามหลักการการดาเนินงานด้ านบริหาร ความเสี่ยงที่ดี โดยการมีส่วนร่วมจากคณะกรรมการบริหาร ความเสี่ยงของ สกย. ร่วมกันวางแนวทางการบริหารความ เสี่ยงขององค์กร ดาเนินการวิเคราะห์ประเมินและการจัดทา แผนบริหารความเสี่ยงทั่วทั้งองค์กร พร้ อมทั้งได้ ถ่ายทอด องค์ความรู้ และความรับผิดชอบให้ แก่หน่ วยงานในสังกัด 58 หน่ วยงานให้ แก่ พ นั กงานทั่ ว ทั้ งองค์ กร รวมถึ งการ ปรั บ ปรุงระบบบริห ารความเสี่ยง เพื่ อก้ าวสู่องค์ กรตาม มาตรฐานการด าเนิ น งานของรั ฐ วิ ส าหกิ จ (ส านั ก งาน กองทุนสงเคราะห์การทาสวนยาง, 2557) จากการศึ กษา 1) ดวงใจ ช่ วยตระกู ล (2551) การ บริหารความเสี่ยงในสถานศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งศึกษาปัจจัยเสี่ยงในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และแนวทาง ในการบริ หารความเสี่ยง ผลการวิจั ย พบว่ า ปั จจั ยความ เสี่ยงในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานประกอบด้ วย 5 องค์ประกอบ คือ ด้ านการเรียนการสอน ด้ านการเงิน ด้ านความมั่นใจ ทางการศึ กษา ด้ านสิ่ งแวดล้ อม และด้ านบริ ห ารจั ดการ ความปลอดภั ย โดยปั จจัยความเสี่ยงของสถานศึ กษาใน เมือง นอกเมือง และในแต่ ละภูมิภาคมีความแตกต่ างกัน อย่ างมี นั ยส าคัญ ทางสถิ ติท่ีระดั บ .05 และแนวทางการ บริหารความเสี่ยงในสถานศึกษาขั้นพื้ นฐาน พบว่ า ปั จจัย ความเสี่ยงด้ านการเรี ยนการสอน ควรใช้ วิ ธีการบริ ห าร ความเสี่ยงโดยการควบคุมและหามาตรการในการป้ องกัน ความเสี่ยงรวมไปถึงถ่ายโอนความเสี่ยง ปัจจัยเสี่ยงทางด้ าน การเงินควรใช้ วิธกี ารบริหารความเสี่ยงโดยการควบคุมและ หามาตรการป้ องกันความเสี่ยง ปั จจัยความเสี่ยงด้ านความ


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

มั่นใจทางการศึ กษาควรใช้ วิธีการควบคุมหามาตรการใน การป้ องกันความเสี่ยงรวมถึงการมีส่วนร่ วมของภาคี คือ ชุมชน ผู้ปกครองและผู้ประกอบการ ปั จจัยความเสี่ยงด้ าน สิ่งแวดล้ อมควรใช้ วิธกี ารบริหารความเสี่ยงโดยการควบคุม และหามาตรการในการป้ องกั น ความเสี่ ย งรวมไปถึ ง ถ่ ายโอนความเสี่ยง ปั จจั ยความเสี่ยงด้ านบริห ารจัด การ ความปลอดภั ย ควรใช้ วิ ธี การควบคุ ม และหามาตรการ ในการป้ องกั น ความเสี่ ย งรวมไปถึ ง การมี ส่ ว นร่ ว มของ นั ก เรี ย น ผู้ ปกครอง บุ ค ลากรในสถานศึ ก ษา ชุ ม ชน คณะกรรมการสถานศึกษาที่เกี่ยวข้ อง 2) สุมนา เสือเอก (2553, บทคั ดย่ อ) การบริห ารความเสี่ยงของโรงเรี ยน อาชีวศึกษาเอกชน ในกรุงเทพมหานคร วัตถุประสงค์เพื่ อ ศึกษาการบริหารความเสี่ยงของโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชน ในกรุงเทพมหานคร ในภาพรวมและเพื่ อเปรี ย บเที ย บ การบริ ห ารความเสี่ ย งของโรงเรี ย นอาชี ว ศึ ก ษาเอกชน ผลการวิ จัย พบว่ า 2.1) ผู้ บริหารมีค วามคิดเห็นต่ อการ บริห ารความเสี่ยงโดยภาพรวมและรายด้ านอยู่ ในระดั บ ปานกลาง 2.2) ผู้บริหารชายมีความคิดเห็นต่อการบริหาร ความเสี่ยงสูงกว่าผู้บริหารหญิงอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ี ระดับ .001 ทุกด้ าน 2.3) ผู้บริหารที่มปี ระสบการณ์ในการ ทางานมากมีความคิดเห็นต่อการบริหารความเสี่ยงสูงกว่ า ผู้ บริ ห ารที่ มี ป ระสบการณ์ ใ นการท างานน้ อยอย่ า งมี นัยสาคัญทางสถิตทิ ่รี ะดับ .001 ทุกด้ าน 2.4) ผู้บริหารที่มี ฐานะทางเศรษฐกิจ สูงกับต่ า และผู้ บริหารที่มีฐานะทาง เศรษฐกิจปานกลางกับต่ า มีความคิดเห็นต่ อการบริหาร ความเสี่ยงของโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชน ในกรุงเทพมหานคร แตกต่ างกัน อย่ างมี นั ยส าคั ญ ทางสถิต ที่ระดั บ .001 แต่ ผู้บ ริหารที่มีฐานะทางเศรษฐกิจสูงกับปานกลาง มีความ คิดเห็นต่อการบริหารความเสี่ยงของโรงเรียน อาชีวศึกษา เอกชนในกรุ งเทพมหานครไม่ แ ตกต่ างกัน 3) มนสิช า แสวั ง (2552) การบริ ห ารความเสี่ย งของมหาวิ ท ยาลั ย เชียงใหม่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต้ องการศึกษาระดับความ เสี่ยงของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ศึกษาแนวทางในการจัดทา การบริหารความเสี่ยงของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผลการศึกษา สรุปได้ 3.1) ความเสี่ยงด้ านกลยุทธ์ ด้ านการดาเนินงาน ด้ านกฎหมาย และระเบียบต่างๆ มีความเสี่ยงอยู่ในระดับ น้ อย แสดงว่าทั้ง 3 ประเด็น ผู้บริหารระดับสูงของส่วนงาน

147

สามารถยอมรั บความเสี่ยงได้ แต่ ต้ องมี การควบคุ ม การ ปฏิบตั งิ านในด้ านดังกล่าว ส่วนความเสี่ยงด้ านการเงิน และ งบประมาณ มี ค วามเสี่ ย งอยู่ ใ นระดั บ สู ง แสดงว่ า ใน ประเด็นนี้ ผู้บริหารระดับสูงของส่วนงานไม่สามารถยอมรับ ความเสี่ ย งได้ ต้ องมี ก ารจั ด การกั บ ความเสี่ ย งในด้ าน การเงิ น และงบประมาณ 4) มานิ ต ลอศิ ริ กุ ล (2553) ระบบการบริหารความเสี่ยงขององค์การรัฐวิสาหกิจด้ าน พลังงานไฟฟ้ าไทย ผลการวิจัย พบว่ า 4.1) ระบบบริหาร ความเสี่ยงขององค์การรัฐวิสาหกิจด้ านพลังงานไฟฟ้ าไทย ทั้ง 3 องค์การ มีระบบบริหารความเสี่ยงองค์การตามกรอบ มาตรฐานสากล COSO–ERM โดยแบ่ งความเสี่ยงเป็ น 4 ด้ าน ได้ แก่ ด้ านกลยุทธ์และการแข่งขัน ด้ านการเงิน ด้ าน การปฏิบัติการ และด้ านการปฏิบัติตามกฎหมายระเบียบ เมื่ อเปรี ยบเทีย บระบบบริ ห ารความเสี่ยงทั้ง 3 องค์ การ พบว่ า รั ฐ วิ ส าหกิ จ ที่ ดี เด่ น ด้ า นการบริ ห ารความเสี่ ย ง องค์การ คือ กฟน. มีการจั ดระบบบริหารความเสี่ยงที่มี ประสิทธิผลสูงกว่ารัฐวิสาหกิจทั่วไปในกลุ่ม คือ กฟผ. และ กฟภ. โดยมีปัจจัยสาคัญที่แตกต่างอย่างเห็นได้ ชัดเจน คือ บทบาทผู้นาองค์การที่ให้ ความสาคัญกับการบริหารความ เสี่ยงองค์การกากับดูแลและรับผิดชอบ 4.2) ปั จจัยสาคัญ ที่ผลต่อประสิทธิผลของการบริหารความเสี่ยงองค์การทั้ง 3 องค์ ก าร ได้ แก่ ผู้ บริ ห ารระดั บ สู ง ให้ การสนั บ สนุ น มีกระบวนการบริหารความเสี่ยงที่ต่อเนื่ องทั่วทั้งองค์การ มีโครงสร้ างการบริหารความเสี่ยงที่ชัดเจน และเหมาะสม มีระบบรายงานและสอบทาน มีการสื่อสารที่มีคุณภาพ การ มี ส่ ว นร่ ว มของหน่ ว ยงานที่ เกี่ ย วข้ อ ง บุ ค ลากรมี ค วาม ซื่อสัตย์ในการให้ ข้อมูล มีการวัดผลการบริหารความเสี่ยง เชื่อมโยงกับกระบวนการบุคลากร มีการฝึ กอบรมให้ ความรู้ และมีการบริหารการเปลี่ยนแปลง 4.3) ปั ญหาอุปสรรค ของการบริ ห ารความเสี่ย งองค์ การทั้ ง 3 องค์ ก าร ที่พ บ ปั ญ หาร่ วมกัน คื อ บุ ค ลากรยั งขาดความเข้ าใจในความ หมายความเสี่ยงและการบริ หารความเสี่ยงไม่ ตรงกัน มี ปั ญ หาการเชื่ อมโยงการบริ ห ารความเสี่ยงกับ ระบบงาน ต่ างๆ ยั ง ไม่ ส ามารถปลู ก ฝั ง การบริ ห ารความเสี่ ย งให้ กลายเป็ นวั ฒ นธรรมองค์ ก าร การสื่ อ สารที่ ยั งไม่ ท่ั ว ทั้ ง องค์การ การมีส่วนร่วมของพนักงานยังเป็ นเฉพาะกลุ่มผู้มี หน้ าที่ รั บ ผิ ด ชอบ ยั ง ไม่ มี ก ารจั ด ท าแผนรองรั บ การ


148

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ด าเนิ น การธุ ร กิ จ อย่ างต่ อ เนื่ อ งในภาพรวมทั้ ง องค์ ก าร (Business Continuity Plan-BCP) และนโยบายในการ บริหารการไฟฟ้ าทั้ง 3 องค์การยังไม่มเี อกภาพ ส่วนปัญหา ที่พบเฉพาะองค์การ กฟผ. และ กฟภ. เมื่อเปรียบเทียบกับ กฟน. คื อ ผู้ บริ ห ารระดั บ สู ง ยั ง ให้ ความส าคั ญ น้ อย 5) ปณิ ส รา ติ ณ ธรานนท์ (2554) แนวทางการจั ด การ ความเสี่ยงด้ านการปฏิบัติงานในการบริหารงบลงทุนของ งานสถาปั ต ยกรรม และวิ ศ วกรรม คณะแพทยศาสตร์ ศิ ริราชพยาบาล มุ่ งศึ กษาแนวทางการจัดการความเสี่ยง ด้ านการปฏิบัติงาน ผลการศึกษา พบว่า ทัศนคติเกี่ยวกับ ความเสี่ยงด้ านการปฏิบัติงานในการบริหารงบลงทุนของ งานสถาปัตยกรรม และวิศวกรรม รองคณบดีฝ่ายทรัพย์สนิ และระบบสนั บ สนุ น หั ว หน้ างานสถาปั ต ยกรรม และ วิศวกรรม และหั วหน้ าฝ่ ายนโยบายและแผน มีทัศนคติ เกี่ยวกับความเสี่ยงด้ านการปฏิบัติงานคล้ ายคลึงกัน โดย ความเสี่ยงด้ านการปฏิบตั กิ ารที่ให้ ความสาคัญมากที่สดุ คือ ความเสี่ยงที่เกิดจากปั จจัยภายใน คือ กระบวนการ และ บุคลากร ปั จจัยภายในคือความเสี่ยงที่เกิดจากนโยบาย 6) กนกวรรณ จั น ทร (2555) การบริ ห ารความเสี่ ย งใน ห้ องสมุดมหาวิทยาลัยในด้ านวัตถุประสงค์ ผู้รับผิดชอบ ประเภทของความเสี่ยง และกระบวนการบริหารความเสี่ยง รวมทั้ ง ปั ญหาในการบริ ห ารความเสี่ ย งในห้ องสมุ ด มหาวิทยาลั ย ผลการวิ จัย พบว่ า ห้ องสมุ ดมหาวิ ทยาลั ย ส่ วนใหญ่ มี ก ารบริ ห ารความเสี่ ย งเพื่ อ ให้ สอดคล้ องกั บ นโยบายการบริ ห ารความเสี่ ย งของมหาวิ ท ยาลั ย มี คณะกรรมการความเสี่ยงเป็ นผู้รับผิดชอบการบริหารความ เสี่ ย ง และมี ก ารระบุ ค วามเสี่ ย งและปั จจั ย เสี่ ย งตาม กระบวนการบริหารความเสี่ยง สาหรับประเภทของความ เสี่ยง พบว่า ห้ องสมุดมหาวิทยาลัยประสบความเสี่ยงระดับ ปานกลางและระดับน้ อย โดยความเสี่ยงที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คื อ ความเสี่ ย งด้ า นการด าเนิ น งาน ส่ ว นปั ญ หาในการ บริหารความเสี่ยง พบว่ า ห้ องสมุ ดมหาวิ ทยาลัยประสบ ปั ญ หาในระดับปานกลาง และระดับน้ อย โดยปั ญ หาที่มี ค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ความรู้ความเข้ าใจการบริหารความเสี่ยง ของบุคลากรยังมีไม่เพียงพอ ผู้ วิ จั ย ในฐานะเป็ นพนั ก งานของส านั กงานกองทุ น สงเคราะห์ การทาสวนยาง และมีหน้ าที่ในการดาเนินงาน ด้ านบริ หารความเสี่ยงของ สกย. จึ งมี ความมุ่ งหวังที่จะ

ศึ ก ษาการบริ ห ารความเสี่ ย งของส านั ก งานกองทุ น สงเคราะห์ การทาสวนยาง ตามความคิดเห็นของพนักงาน จากปั จจั ยภายใน 4 ด้ าน ได้ แก่ ความเสี่ยงด้ านกลยุ ท ธ์ ความเสี่ยงการด าเนิ น งาน ความเสี่ย งด้ านการเงิ น และ ความเสี่ยงด้ านการปฏิบัติงานกฎหมายและหลักเกณฑ์ท่ี กาหนด วัตถุประสงค์การวิจยั 1. เพื่ อศึกษาระดับสภาพและปั ญหาการบริหารความ เสี่ยงของสานักงานกองทุนสงเคราะห์การทาสวนยาง 2. เพื่อเปรียบเทียบระดับสภาพและปั ญหาการบริหาร ความเสี่ยงตามความคิดเห็นจาแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล 3. เพื่อเปรียบเทียบระดับสภาพและปั ญหาการบริหาร ความเสี่ยงตามความคิดเห็นจาแนกตามปัจจัยสนับสนุน ขอบเขตการวิจยั ผู้วิจัยได้ กาหนดขอบเขตการดาเนินการวิจัยให้ สอดคล้ อง กับวัตถุประสงค์ของการวิจัยโดยมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้ 1. ขอบเขตด้านเนื้ อหา การศึกษาสภาพและปั ญหาการบริหารความเสี่ยง ของสานักงานกองทุนสงเคราะห์การทาสวนยาง 2. ขอบเขตด้านพื้ นที่ ส านั ก งานกองทุ น สงเคราะห์ การท าสวนยาง (สานักงานกลางและส่วนภูมภิ าค) 3. ขอบเขตด้านประชากร ประชากรที่ ใ ช้ ในการวิ จั ย ได้ แก่ พนั ก งานของ สานักงานกองทุนสงเคราะห์การทาสวนยาง ประจาปี 2558 จานวน 1,653 คน (สานักงานกลางและส่วนภูมิภาค 46 จังหวัด) กรอบแนวคิดการวิจยั 1. ตัวแปรอิสระ ประกอบด้ วย 2 ปัจจัย คือ ปัจจัยส่วนบุคคล ได้ แก่ 1) ตาแหน่ง 2) ประสบการณ์ 3) ระดับการศึกษา ปั จจัยสนั บสนุ น ได้ แก่ 1) การฝึ กอบรมด้ านการ บริหารความเสี่ยง 2) การสื่อสารด้ านการบริหารความเสี่ยง


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

149

3) การใช้ ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศด้ านการบริหารความ 1.4) ด้ านการปฏิบตั ิตามกฎหมาย และหลักเกณฑ์ เสี่ยง ที่กาหนด 2) ระดับปัญหาการบริหารความเสี่ยงของสานักงาน 2. ตัวแปรตาม 1) ระดับสภาพการบริหารความเสี่ยงของสานักงาน กองทุนสงเคราะห์การทาสวนยาง ตามประเภทความเสี่ยง กองทุนสงเคราะห์การทาสวนยาง ตามประเภทความเสี่ยง จากปัจจัยภายใน 4 ด้ าน 2.1) ด้ านกลยุทธ์ จากปัจจัยภายใน 4 ด้ าน 2.2) ด้ านการปฏิบตั งิ าน 1.1) ด้ านกลยุทธ์ 2.3) ด้ านการเงิน 1.2) ด้ านการปฏิบตั งิ าน 2.4) ด้ านการปฏิบตั ิตามกฎหมาย และหลักเกณฑ์ 1.3) ด้ านการเงิน ที่กาหนด

รูปที่ 1 กรอบแนวคิดการวิจัย

วิธีการดาเนินการ การวิจัยครั้งนี้ ผู้ วิจัยได้ เลือกใช้ วิธีการวิจัยโดยศึ กษา เชิ งปริ ม าณ (Quantitative Research) และการศึ กษาเชิ ง คุณภาพ (Qualitative Research) เพื่อให้ ได้ ข้อมูลที่มีความ ถูกต้ อง และน่าเชื่อถือ การดาเนิ นการวิจัยครั้งนี้เกี่ยวกับประชากร และกลุ่ม ตัวอย่ าง เครื่องมือที่ใช้ ในการการวิจั ย การเก็บ รวบรวม ข้ อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูล สรุปได้ ดังนี้ ผู้ วิ จั ย ได้ สร้ างเครื่ อ งมื อ ที่ ใ ช้ เก็บ รวบรวมข้ อ มู ล 2 ประเภท 1. แบบสอบถามกลุ่มตัวอย่างที่เป็ นพนักงาน จานวน 322 คน ประกอบข้ อคาถามเกี่ยวกับสภาพและปั ญหาการ บริหารความเสี่ยง 4 ด้ าน ดังนี้ 1) ด้ านกลยุ ทธ์ 2) ด้ าน การปฏิบตั งิ าน 3) ด้ านการเงิน 4) ด้ านการปฏิบตั งิ านตาม กฎหมาย และหลั กเกณฑ์ท่ีก าหนด จ านวน 55 ข้ อ การ

ทดสอบความเชื่อมั่น (Reliability) ผู้วิจัยนาแบบสอบถาม ที่ได้ ตรวจสอบแก้ ไขแล้ วไปทดลองใช้ (Try-Out) กับกลุ่ม ทดลองที่มลี ักษณะใกล้ เคียงกับกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาจานวน 30 คน มาคานวณตรวจสอบหาค่าความเชื่อมั่นโดยหาค่ า สัมประสิทธิ์แอลฟาตามวิธีการของครอนบาค (Cronbach α- coefficient 1970) โดยถ้ าค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา (αcoefficient) ≥ 0.7 จึ ง จะน ามาใช้ ในการวิ จั ย (บุ ญ ชม ศรีสะอาด, 2545, น. 96 อ้ างถึงใน ประภาพรรณ รักเลี้ยง, 2555) ซึ่งจากการทดสอบค่าทางสถิติหาความเชื่อมั่นของ แบบสอบถามได้ ระดับความเชื่อมั่นของสภาพการบริหาร ความเสี่ยง เท่ากับ 0.92 และปั ญหาการบริหารความเสี่ยง เท่ากับ 0.95 2. แบบสัมภาษณ์เชิงลึก (In–Depth Interview) เป็ น ผู้บริหาร จานวน 4 คน และพนักงานระดับปฏิบัติ จานวน 1 คน หัวข้ อการสัมภาษณ์ประกอบด้ วย ความคิดเห็นด้ าน


150

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

นโยบาย สภาพและปั ญ หาและอุป สรรคของการบริห าร จัดการความเสี่ยง รวมทั้งข้ อเสนอแนะการดาเนินงาน การเก็บรวบรวมข้ อมูล ผู้วิจัยได้ ดาเนินการเก็บรวบรวม ข้ อ มู ล แบบทางระบบสารบรรณอิ เล็ ก ทรอนิ ก ส์ และ สอบถามออนไลน์ แจกแบบสอบถามในพื้นที่ และสัมภาษณ์ เชิงลึก (In–Depth Interview) ในสานักงานกลาง การวิเคราะห์ ข้อมู ล ผู้วิจัยใช้ โปรแกรมสถิติสาเร็จรูป สาหรับทางสังคมศาสตร์ (SPSS) เพื่ อแจกแจงค่าความถี่

(Frequency) ค่ าร้ อยละ (Percentage) ค่ าเฉลี่ ย x และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) การทดสอบค่ า–ที แบบ กลุ่ มตั วอย่ างเป็ นอิส ระต่ อกัน (Independent Sample Ttest) และทดสอบความแตกต่ า งระหว่ า งกลุ่ ม โดยการ วิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One–way ANOVA) เมื่อพบความแตกต่ างอย่ างมีนัยสาคัญทางสถิติจึงทาการ ทดสอบค่าเฉลี่ยเป็ นรายคู่ โดยวิธกี ารของเชฟเฟ่ (sheffe’s Method)

ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล ตารางที่ 1 ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สภาพการบริหารความเสี่ยงตามความคิดเห็นของพนักงาน โดยรวมและรายด้ าน ประเภท S.D. ระดับ ลาดับที่ x 3.61 0.5587 มาก 2 ด้านกลยุทธ์ 3.53 0.5831 มาก 4 ด้านการปฏิบตั ิงาน 3.84 0.6446 มาก 1 ด้านการเงิน ด้านการปฏิบตั ิตามกฎหมายและหลักเกณฑ์ที่กาหนด 3.58 0.691 มาก 3 รวม 3.66 0.5598

จากตารางที่ 1 พนักงานมีความคิดเห็นเกี่ยวกับระดับ ด้ านกลยุ ทธ์ ( x = 3.61) ด้ านการปฏิบัติ ตามกฎหมาย สภาพการบริหารความเสี่ยง ในภาพรวมอยู่ ในระดับมาก และหลั ก เกณฑ์ ท่ี ก าหนด ( x = 3.58) และด้ านการ ( x = 3.66) เมื่อพิจารณาเป็ นรายด้ าน พบว่า ด้ านการเงิน ปฏิบตั งิ าน ( x = 3.53) มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ( x = 3.84) รองลงมาตามลาดับ ได้ แก่ ตารางที่ 2 ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ปั ญหาการบริหารความเสี่ยงตามความคิดเห็นของพนักงาน รายด้ าน ประเภท S.D. ระดับ x 2.83 0.7284 ปานกลาง ด้านกลยุทธ์ 2.75 0.7224 ปานกลาง ด้านการปฏิบตั ิงาน ด้านการเงิน 2.43 0.8007 น้ อย 2.50 0.7878 ปานกลาง ด้านการปฏิบตั ิตามกฎหมายและหลักเกณฑ์ที่กาหนด รวม 2.59 0.7126

ลาดับที่ 1 2 4 3

จากตารางที่ 2 พนักงานมีความคิดเห็นเกี่ยวกับระดับ ด้ านการปฏิ บั ติ ง าน ( x = 2.75) ด้ านการปฏิ บั ติ ต าม ปั ญหาการบริหารความเสี่ยง ในภาพรวมอยู่ในระดับน้ อย กฎหมายและหลักเกณฑ์ท่กี าหนด ( x = 2.50) และด้ าน ( x = 2.59) เมื่อพิจารณาเป็ นรายด้ าน พบว่า ด้ านกลยุทธ์ การเงิน ( x = 2.43) มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ( x = 2.83) รองลงมาตามลาดับ ได้ แก่


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ตารางที่ 3 ผลการเปรียบเทียบสภาพการบริหารความเสี่ยงความคิดเห็นของพนักงาน จาแนกตามตาแหน่ง รายด้ าน ผูป้ ฏิบตั ิงาน ผูบ้ ริหาร สภาพการบริหารความเสี่ยง T S.D. S.D. x x 3.62 0.5195 3.57 0.7412 0.935 ด้านกลยุทธ์ 3.54 0.5691 3.47 0.6578 0.192 ด้านการปฏิบตั ิงาน 3.84 0.6472 3.85 0.6364 4.328 ด้านการเงิน ด้านการปฏิบตั ิตามกฎหมาย 3.61 0.6787 3.42 0.7405 0.062 และหลักเกณฑ์ที่กาหนด

151

Sig 0.334 0.662 0.038* 0.803

จากตารางที่ 3 พบว่ า พนั ก งานที่ มี ต าแหน่ งต่ างกัน .05 ส่วนด้ านกลยุทธ์ ด้ านการดาเนินงาน ด้ านกฎระเบียบ มี ค วามคิ ด เห็ น เกี่ ย วกั บ สภาพการบริ ห ารความเสี่ ย ง และหลักเกณฑ์ท่กี าหนด ไม่แตกต่างกัน แตกต่างกันในด้ านการเงิน โดยมีนัยสาคัญทางสถิติท่รี ะดับ ตารางที่ 4 ผลการเปรียบเทียบปัญหาการบริหารความเสี่ยงความคิดเห็นของพนักงาน จาแนกตามตาแหน่ง รายด้ าน ผูป้ ฏิบตั ิงาน ผูบ้ ริหาร ปั ญหาการบริหารความเสี่ยง T S.D. S.D. x x 2.8 0.7473 2.99 0.5956 1.556 ด้านกลยุทธ์ 2.71 0.7369 2.93 0.6165 0.417 ด้านการปฏิบตั ิงาน 2.44 0.8305 2.34 0.6229 6.882 ด้านการเงิน ด้านการปฏิบตั ิตามกฎหมาย 2.48 0.7935 2.59 0.7582 0.067 และหลักเกณฑ์ที่กาหนด

sig 0.213 0.519 0.009* 0.796

จากตารางที่ 4 พบว่ า พนักงานที่มีตาแหน่ งต่ างกันมี ส่วนด้ านกลยุทธ์ ด้ านการปฏิบัติงาน ด้ านกฎระเบียบ และ ความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาการบริหารความเสี่ยง แตกต่าง หลักเกณฑ์ท่กี าหนด ไม่แตกต่างกัน กันในด้ านการเงิน โดยมีนั ยส าคั ญ ทางสถิติ ท่ีระดับ .05 ตารางที่ 5 ผลการเปรียบเทียบปัญหาการบริหารความเสี่ยงความคิดเห็นของพนักงาน จาแนกตามประสบการณ์ รายด้ าน ตา่ กว่า 5 ปี 5 - 10 ปี มากกว่า 10 ปี ปั ญหาการบริหารความเสี่ยง F S.D. S.D. S.D. x x x 2.81 0.7725 2.73 0.7719 3.05 0.5208 2.882 ด้านกลยุทธ์ 2.72 0.7763 2.68 0.6563 3.01 0.5462 3.29 ด้านการปฏิบตั ิงาน 2.42 0.8696 2.35 0.8104 2.6 0.4305 1.466 ด้านการเงิน ด้านการปฏิบตั ิตามกฎหมาย 2.48 0.8459 2.41 0.7652 2.66 0.5614 1.572 และหลักเกณฑ์ที่กาหนด

จากตารางที่ 5 พบว่า พนักงานที่มปี ระสบการณ์ต่างกัน มี ค วามคิ ด เห็ น เกี่ ย วกั บ ปั ญ หาการบริ ห ารความเสี่ ย ง แตกต่างกันในด้ านการปฏิบตั ิงานโดยมีนัยสาคัญทางสถิติท่ี ระดับ .05 ส่วนด้ านกลยุทธ์ ด้ านการเงิน ด้ านกฎระเบียบ และหลั กเกณฑ์ท่ีก าหนด ไม่ แตกต่ างกัน และได้ ท าการ

sig 0.058 0.039* 0.232 0.209

เปรี ย บเที ย บรายคู่ ว่ า พนั ก งานที่ มี ป ระสบการณ์ ที่ มี ประสบการณ์ต่างกันกลุ่มใด มีความคิดเห็นเกี่ยวกับปั ญหา การบริหารความเสี่ยง แตกต่างกัน ได้ ผลตามรายละเอียด ในตารางที่ 6


152

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ตารางที่ 6 การทดสอบความแตกต่างพนักงานที่มีประสบการณ์ต่างกันมีความคิดเห็นเกี่ยวกับปั ญหาการบริหารความเสี่ยง ที่มีประสบการณ์ ต่ากว่า 5 ปี 5–10 ปี และมากกว่า 10 ปี ความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ย ปั ญหาการบริหารความเสี่ยง อายุ x ตา่ กว่า 5 ปี 5- 10 ปี มากกว่า 10 ปี ต่ากว่า 5 ปี 2.72 0.04154 - 2.9158* 5- 10 ปี 2.68 - 3.3312* ด้านการปฏิบตั ิงาน มากกว่า 10 ปี 3.01 -

จากตารางที่ 6 เมื่ อ พิ จ ารณาเป็ นรายคู่ ในด้ านการ มากกว่ า พนักงานที่มีประสบการณ์ ต่ ากว่ า 5 ปี และ 5– ปฏิบัตงิ าน พบว่า พนักงานที่มปี ระสบการณ์มากกว่า 10 ปี 10 ปี มี ค วามคิ ด เห็ น เกี่ ย วกั บ ปั ญ หาการบริ ห ารความเสี่ ย ง ตารางที่ 7 ผลการเปรียบเทียบสภาพการบริหารความเสี่ยงตามความคิดเห็นของพนักงาน จาแนกตามการฝึ กอบรมการบริหารความเสี่ยง เคย ไม่เคย สภาพการบริหารความเสี่ยง T sig S.D. S.D. x x 3.64 0.5833 3.55 0.4871 0.452 0.502 ด้านกลยุทธ์ 3.52 0.6369 3.55 0.4326 9.386 0.002* ด้านการปฏิบตั ิงาน 3.87 0.6784 3.77 0.5492 4.207 0.041* ด้านการเงิน ด้านการปฏิบตั ิตามกฎหมาย 3.53 0.7436 3.70 0.4999 17.215 0.000* และหลักเกณฑ์ที่กาหนด

จากตารางที่ 7 พบว่ า พนั กงานที่ได้ รับการฝึ กอบรม ด้ านการเงิน ด้ านกฎระเบียบ และหลักเกณฑ์ท่กี าหนด โดย การบริหารความเสี่ยงต่างกันมีความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพ มี นั ย ส าคั ญ ทางสถิ ติ ท่ี ร ะดั บ .05 ส่ ว นด้ านกลยุ ท ธ์ ไม่ การบริหารความเสี่ยง แตกต่ างกันในด้ านการปฏิบัติงาน แตกต่างกัน ตารางที่ 8 ผลการเปรียบเทียบปัญหาการบริหารความเสี่ยงตามความคิดเห็นของพนักงานจาแนกตามการฝึ กอบรมการบริหารความเสี่ยง เคย ไม่เคย ปั ญหาการบริหารความเสี่ยง T sig S.D. S.D. x x 2.77 0.7651 2.97 0.6109 6.229 .013* ด้านกลยุทธ์ 2.70 0.7835 2.85 0.5465 24.45 0.000* ด้านการปฏิบตั ิงาน 2.39 0.8035 2.52 0.7907 0.003 0.956 ด้านการเงิน ด้านการปฏิบตั ิตามกฎหมาย 2.50 0.83 2.49 0.6627 12.932 0.000* และหลักเกณฑ์ที่กาหนด

จากตารางที่ 8 พบว่ า พนั กงานที่ได้ รับการฝึ กอบรม ปฏิบตั งิ าน ด้ านกฎระเบียบ และหลักเกณฑ์ท่กี าหนด โดยมี การบริหารความเสี่ยงต่างกันมีความคิดเห็นเกี่ยวกับปั ญหา นัยสาคัญทางสถิตทิ ่รี ะดับ .05 ส่วนด้ านการเงิน ไม่แตกต่าง การบริหารความเสี่ยง แตกต่างกันในด้ านกลยุทธ์ ด้ านการ กัน


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ตารางที่ 9 ผลการเปรียบเทียบปัญหาการบริหารความเสี่ยงตามความคิดเห็นของพนักงาน จาแนกตามการใช้ ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศการบริหารความเสี่ยง เคย ไม่เคย ปั ญหาการบริหารความเสี่ยง S.D. S.D. x x 2.87 0.5886 2.76 0.9016 ด้านกลยุทธ์ 2.76 0.6599 2.72 0.8069 ด้านการปฏิบตั ิงาน 2.45 0.7092 2.4 0.9265 ด้านการเงิน ด้านการปฏิบตั ิตามกฎหมาย 2.55 0.7482 2.42 0.8401 และหลักเกณฑ์ที่กาหนด

จากตารางที่ 9 พบว่ า พนั กงานที่ใช้ ระบบเทคโนโลยี สารสนเทศการบริหารความเสี่ยงต่ างกัน มีความคิด เห็น เกี่ยวกับปั ญหาการบริหารความเสี่ยง แตกต่ างกันในด้ าน กลยุ ทธ์ ด้ านการเงิ น ด้ านกฎระเบียบ และหลั กเกณฑ์ท่ี กาหนด โดยมีนัยสาคัญทางสถิติท่รี ะดับ .05 ส่วนด้ านการ ดาเนินงาน ไม่แตกต่างกัน สรุปผลการวิจยั จากการศึ ก ษาการบริ ห ารความเสี่ย งของส านั ก งาน กองทุนสงเคราะห์การทาสวนยาง สรุปผลได้ ดังนี้ 1. ปั จ จั ย ส่ ว นบุ ค คล พบว่ า ส่ วนใหญ่ เป็ นเพศชาย ตาแหน่ งผู้ ปฏิบัติงาน การศึ กษาระดับปริญญาตรี และมี ประสบการณ์การทางานไม่เกิน 5 ปี 2. ปั จ จั ย สนั บ สนุ น พบว่ า ส่ วนใหญ่ เคยได้ รั บ การ อบรมฝึ กอบรมด้ านบริหารความเสี่ยงและเคยได้ รับการ อบรมฝึ กอบรมด้ านบริหารความเสี่ยง สื่อสารการบริหาร ความเสี่ยง และใช้ ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศด้ านบริหาร ความเสี่ยง 3. ระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพและปั ญ หาการ บริหารความเสี่ยง 3.1 สภาพการบริหารความเสี่ยง พบว่า พนักงาน มีความคิดเห็นเกี่ยวกับระดับสภาพการบริหารความเสี่ยง ในภาพรวมอยู่ ในระดั บ มาก เมื่ อพิ จ ารณาเป็ นรายด้ าน พบว่ า ด้ านการเงินมี ค่ าเฉลี่ ยสูงสุด รองลงมาตามล าดั บ ได้ แก่ ด้ านกลยุ ท ธ์ ด้ านการปฏิ บั ติ ต ามกฎหมายและ หลักเกณฑ์ท่กี าหนด และด้ านการปฏิบตั งิ าน 3.2 ปัญหาการบริหารความเสี่ยง พบว่า พนักงาน มีความคิดเห็นเกี่ยวกับระดับปั ญหาการบริหารความเสี่ยง

153

T

sig

38.404 4.44 13.18

0.000* 0.036 0.000*

3.588

0.059

ในภาพรวมอยู่ ในระดั บน้ อย เมื่ อพิ จารณาเป็ นรายด้ าน พบว่ า ด้ านกลยุ ทธ์ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาตามลาดับ ได้ แก่ ด้ านการปฏิบัติงาน ด้ านการปฏิบัติตามกฎหมาย และหลักเกณฑ์ท่กี าหนด และด้ านการเงิน 4. ผลการทดสอบสมมติฐาน เปรียบเทียบสภาพและ ปั ญ หาการบริห ารความเสี่ยงตามปั จจั ยส่ วนบุ ค คล และ ปัจจัยสนับสนุน พบว่า 4.1 พนั กงานที่มีต าแหน่ งต่ างกันมี ความคิ ดเห็น เกี่ยวกับสภาพการบริ หารความเสี่ยง แตกต่ างกันในด้ าน การเงิน ส่วนด้ านกลยุทธ์ ด้ านการดาเนินงาน ด้ านการปฏิบัติ ตามกฎหมายและหลักเกณฑ์ท่กี าหนด ไม่แตกต่างกัน 4.2 พนั กงานที่มีต าแหน่ งต่ างกันมี ความคิ ดเห็น เกี่ยวกับปั ญหาการบริ หารความเสี่ยง แตกต่ างกันในด้ าน การเงิน ส่วนด้ านกลยุทธ์ ด้ านการปฏิบตั ิงาน ด้ านการปฏิบัติ ตามกฎหมายและหลักเกณฑ์ท่กี าหนด ไม่แตกต่างกัน 4.3 พนั ก งานที่ มี ป ระสบการณ์ ต่ า งกั น มี ค วาม คิดเห็นเกี่ยวกับปั ญหาการบริหารความเสี่ยงแตกต่างกันใน ด้ านการปฏิบัติงาน โดยพบว่า ผู้ท่มี ีประสบการณ์มากกว่ า 10 ปี มีความคิดเห็นเกี่ยวกับปั ญหาการบริหารความเสี่ยง มากกว่า ผู้ท่มี ปี ระสบการณ์ต่ากว่า 5 ปี และผู้ท่มี ปี ระสบการณ์ 5-10 ปี ส่วนด้ านกลยุทธ์ ด้ านการเงิน และด้ านการปฏิบัติ ตามกฎหมายและหลักเกณฑ์ท่กี าหนด ไม่แตกต่างกัน 4.4 ผลการเปรียบเทียบสภาพการบริหารความ เสี่ยงจาแนกตามการฝึ กอบรมการบริหารความเสี่ยงต่างกัน มี ค วามคิ ด เห็ น แตกต่ างกัน ในด้ านการปฏิบั ติ งาน ด้ าน การเงิน ด้ านกฎระเบียบ และหลักเกณฑ์ท่กี าหนด 4.5 ผลการเปรียบเทียบปั ญหาการบริหารความ เสี่ยงจาแนกตามการฝึ กอบรมการบริหารความเสี่ยงต่างกัน


154

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

มี ค วามคิ ด เห็ น แตกต่ า งกั น ในด้ านกลยุ ท ธ์ ด้ านการ ปฏิบตั งิ าน ด้ านกฎระเบียบ และหลักเกณฑ์ท่กี าหนด 4.6 ผลการเปรียบเทียบปั ญหาการบริหารความ เสี่ยงจ าแนกตามการใช้ ระบบเทคโนโลยี สารสนเทศการ บริหารความเสี่ยงต่ างกัน มีความคิดเห็นแตกต่ างกันใน ด้ านกลยุทธ์ ด้ านการเงิน ด้ านการปฏิบัตติ ามกฎหมายและ หลักเกณฑ์ท่กี าหนด 5. ผลการสัมภาษณ์เชิงลึก ในการศึ ก ษาเรื่ อ ง การบริ ห ารความเสี่ ย งของ ส านั ก งานกองทุ น สงเคราะห์ ก ารท าสวนยาง จากแบบ สัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้บริหารที่มีความเชี่ยวชาญจานวน 4 ท่าน และผู้ ปฏิบัติงาน 1 ท่ าน ประกอบด้ วย นายจิตรกร วิจิตรถาวร หั วหน้ าสานักผู้ตรวจการ นางบังอร ภูมิวัฒ น์ ผู้ ต รวจการ 8 นายชุ ม พล ไชยมาน หั ว หน้ ากองบริ ห าร ความเสี่ยงและควบคุ มภายใน นางศุ ภสุตา กาญจนรัตน์ หั วหน้ ากองนโยบายและแผน และนายภี มะ ทองเนื้ อห้ า นั กวิ ช าการคอมพิ วเตอร์ 5 ฝ่ ายเทคโนโลยี ส ารสนเทศ ส านั ก งานกองทุ น สงเคราะห์ ก ารท าสวนยาง โดยสรุ ป สาระสาคัญ ดังนี้ การกาหนดนโยบาย แผนงานโครงการตามภารกิจ ของ สกย. พบว่า การดาเนินงานส่วนใหญ่ จะมีการกาหนด แผนงานโครงการที่มีความสอดคล้ องกับบทบาทภารกิจ และเป้ าหมายการดาเนินงานที่ชัดเจน รวมถึงการมีระบบ ปฏิบั ติ งานที่มี การถ่ ายทอดงานจากระดั บ นโยบาย ลงสู่ ระดั บ ปฏิ บั ติ ซึ่ ง ผลมาจากระบบการประเมิ น ผลการ ด าเนิ น งานของรั ฐ วิ ส าหกิ จ รวมถึ งมี ระบบการควบคุ ม ติดตามรวมถึงการตรวจสอบความถูกต้ องถ่ายระบบงานได้ ต่างๆ ทั้งทางด้ านเทคโนโลยีสารสนเทศ และการตรวจสอบ ภายในในหน่ วยงาน และเครื่องมือที่สาคัญการการติดตาม มีหน่ วยงานที่กากับโดยเฉพาะ คือ ฝ่ ายวิจัยและแผน และ สานักผู้ตรวจการ เป็ นผู้ควบคุมกากับการดาเนินงานในแต่ ละงานมีการการแจ้ งเตือนมีความเสี่ยงที่อาจจะไม่เป็ นตาม เป้ าหมายการกาหนดเป้ าหมายต่างๆ แต่สาหรับการกาหนดเป้ าหมายการดาเนินงานของ สกย. บางกิจกรรม ยังขาดการวิเคราะห์ ข้อมู ลจากปั จจั ย ภายใน ภายนอก ซึ่งทาให้ การดาเนินงานบางกิจกรรม ไม่ สอดคล้ องกับข้ อมูลข้ อเท็จจริง รวมถึงระบบการติดตาม การดาเนินงานค่อนข้ างน้ อย มีผลให้ การดาเนินงานเป็ นไป

อย่ า งล่ า ช้ า และเป็ นอุ ป สรรคอาจท าให้ ภารกิ จ ที่ ท า คลาดเคลื่อน มีผลผูกโยงไปถึงงานอื่นๆ หากหน่วยงานใด ไม่มีการจัดลาดับในการบริหารแผนงาน หรืองบประมาณที่ เกิดขึ้น และพบว่ า การด้ านการเงินการจัดทาแผนปฏิบัติ การในบางพื้ นที่ ยั ง มี ค วามไม่ ส อดคล้ องกั บ งาน อาทิ ภาคเหนือ หรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การกาหนดงาน ตามภารกิจที่มีขอบเขตพื้นที่ห่างไกล รวมถึงวัสดุ อุปกรณ์ ไม่ มี ค วามอ านวยเท่ าที่ ค วร ท าให้ ค่ าใช้ จ่ ายการบริ ห าร เพิ่ มขึ้น และส่งผลต่ อความปลอดภั ย และภารกิจไม่ เป็ น ตามเป้ าหมายที่ต้งั ไว้ ได้ การดาเนิ นงาน มีระบบโครงสร้ าง อัตรากาลั งที่มี ความเหมาะสม และสนับสนุนการดาเนินงานค่อนข้ างดี ซึ่ง ทาให้ พนักงานสามารถปฏิบัติงานได้ อย่ างมีประสิทธิภาพ แต่ อย่ างไรก็ต ามด้ านการปฏิบั ติ งาน การถ่ ายทอดหรื อ ถ่ายโอนความรู้ให้ กับพนักงานรุ่นใหม่ค่อยข้ างน้ อย ทาให้ การปฏิ บั ติ งานตามภารกิจ รวมถึ งการขึ้ นสู่ต าแหน่ ง ที่ มี พนักงานมีประสบการณ์น้อย ทาให้ มีปัญหาเชิงการบริหาร จัดการได้ อย่ างมีคุณภาพ บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญใน บางสาขาที่ต้ องการความสามารถเฉพาะทางที่จ าเป็ นไม่ เพี ย งพอ ส าหรั บ ด้ านการเงิ น และด้ า นการปฏิ บั ติ ต าม กฎหมาย และหลักเกณฑ์ท่กี าหนด มีระบบการควบคุมตาม หลักเกณฑ์ท่กี าหนดไว้ แล้ ว การอภิปรายผล ผลการศึ กษาวิจั ยการบริห ารความเสี่ยงในส านั กงาน กองทุ น สงเคราะห์ การท าสวนยาง มี ป ระเด็น ที่จ ะน ามา อภิปรายได้ ดังนี้ 1. ผลการศึกษาสภาพการบริหารความเสี่ยงตามความ คิดเห็นของพนักงานอยู่ในระดับมาก ทั้งโดยรวม และราย ด้ านทุ กด้ าน อาจเนื่ องจากในปั จจุ บั นพนั กงานมีค วามรู้ ความเข้ าใจหลั กการบริ ห ารจั ด การ โดยเฉพาะด้ านการ บริ ห ารความเสี่ย งมากยิ่ ง ขึ้ น ซึ่ ง เป็ นผลโดยเฉพาะการ บริห ารงานภาครั ฐแนวใหม่ (New Public Management) เข้ ามาประยุกต์ใช้ ในระบบราชการของไทย ดังเจตนารมณ์ ปรากฏในมาตรา 3/1 ของพระราชบัญญัติระเบียบบริหาร ราชการแผ่ นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2545 ภายใต้ พระราช กฤษฎี ก าว่ า ด้ วยหลั ก เกณฑ์ แ ละวิ ธี ก ารบริ ห ารกิ จ การ บ้ านเมื อ งที่ ดี พ.ศ.2546 ที่ มี ค วาม มุ่ ง หมาย เพื่ อให้


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ปฏิ บั ติ ง านของส่ ว นราชการตอบสนองต่ อ การพั ฒ นา ประเทศและให้ บริการแก่ประชาชนได้ อย่างมีประสิทธิภาพ ยิ่งขึ้น มีความเข้ าใจในหลักการ พร้ อมแนวมาตรฐานวิธกี าร บริหารตามมาตรฐานการประเมินผลการด าเนินงานของ รัฐวิสาหกิจโดยสานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กล่ าวคือ กาหนดให้ คณะกรรมการปฏิบัติงานตามหน้ าที่ ความผิ ดชอบให้ ติ ดตามตรวจสอบอย่ างครบถ้ วนและมี ประสิทธิภาพ และประสิทธิผล และคณะกรรมการ ต้ อง ตระหนักถึงบทบาทและหน้ าที่ รวมถึงการกาหนดนโยบาย กลยุ ท ธ์ แผนงาน และเป้ าหมายที่ ชั ด เจนเป็ นรูป ธรรม ทั้งการสร้ างความมั่นใจระบบบริหารจัดการองค์กรที่สาคัญ ได้ แก่ ระบบการบริหารความเสี่ยง การควบคุมภายใน การ ตรวจสอบภายใน การบริหารจัดการสารสนเทศ และการ บริ หารทรั พ ยากรบุ คคล ตลอดจน กากับ ควบคุ ม ดู แ ล ติดตามผลการดาเนินงานขององค์กรให้ บรรลุเป้ าหมายที่ กาหนดไว้ ฉะนั้น การบริหารความเสี่ยงถือเป็ นส่วนหนึ่ ง ของกระบวนการบริ ห ารเชิ งกลยุ ท ธ์ ซ่ึ ง ทุ ก องค์ ก ร ส่ ว น ราชการ รวมถึงรัฐวิสาหกิจ ซึ่งจะต้ องใช้ การบริหารความ เสี่ยงเชิงกลยุ ทธ์ สานั กงานกองทุนสงเคราะห์ การท าสวน ยาง จึงได้ มีการกาหนดนโยบายการบริหารงานที่มีความ สอดคล้ องกับวัตถุประสงค์ข้างต้ น ส่งเสริมการเรียนรู้ให้ กบั พนักงานกระบวนการความเสี่ยงอย่างต่อเนื่องตามแผนการ บริหารความเสี่ยง และการแผนการพั ฒ นาบุ คลากรของ สานักงานกองทุนสงเคราะห์การทาสวนยาง 2. ผลการศึ ก ษาตามความคิ ด เห็ น ของพนั ก งาน เกี่ยวกับระดับปั ญหาการบริหารความเสี่ยงในภาพรวมอยู่ ในระดับน้ อย เมื่อพิจารณาเป็ นรายด้ าน เนื่ องจากส านั กงานกองทุนสงเคราะห์ การทาสวน ยาง มีการส่งเสริมการรับรู้ สื่อสาร การบริหารความเสี่ยง ซึ่งเป็ นปั จจั ยส าคัญ การพั ฒ นาการบริหารจัดการภาครั ฐ และสอดคล้ องกับหลักการตรวจสอบภายในและควบคุ ม ภายในที่จะต้ องมี การบริ ห ารจั ด การความเสี่ยงที่ดี ให้ มี มาตรฐานตามหลั ก เกณฑ์ /แนวปฏิบั ติ ก ารเกี่ย วกับ การ บริหารความเสี่ยงและควบคุมภายใน ปี 2555 (สานักงาน คณะกรรมการนโยบายรั ฐ วิ ส าหกิจ กระทรวงการคลั ง , 2555) ซึ่ งเป็ นกรอบแนวทางให้ รั ฐ วิ ส าหกิ จ จะต้ อง ด าเนิ น การไปเป็ นมาตรฐานดั งกล่ าว ส านั กงานกองทุ น

155

สงเคราะห์การทาสวนยาง ได้ พัฒนาดาเนินบริหารจัดการ ให้ สอดคล้ องกับกรอบแนวทางการดาเนินงานบริหารความ เสี่ยงให้ มีการด าเนิ นการอย่ างเป็ นระบบโดยมีการจั ดท า กรอบและนโยบายการบริหารความเสี่ยงอย่างชัดเจน โดยมี แผนการบริหารความเสี่ยงประจาปี และคู่มือการบริหาร ความเสี่ยงใน แต่ ละกิจกรรม ซึ่ งได้ รับการสนับสนุ นจาก คณะกรรมการ ผู้ บริหารระดับสูง การส่งเสริม สนั บสนุ น เข้ ามามี ส่ วนร่ วมให้ ทุ กคนในองค์กรมี ความเข้ าใจความ สาคัญ โดยการสื่อสารได้ รับรู้ข้อมูลการบริหารความเสี่ยง ทั่วทั้งองค์กร ที่เน้ นการสร้ างคุณค่า (Creates Value) การ บริหารความเสี่ยงที่มสี ่วนในความสาเร็จให้ กบั วัตถุประสงค์ องค์กร ท าให้ การดาเนินงานมีประสิทธิภาพ เป็ นไปตาม หลักธรรมาภิบาล มีความสอดคล้ องตามข้ อกฎหมาย และ ระเบียบข้ อบังคับ ซึ่งทาให้ เกิดการยอมรับจากสาธารณะ และการรักษาชื่อเสียงขององค์กร นับว่ าเป็ นปั จจัยสาคัญ ทาให้ มปี ัญหาการบริหารความเสี่ยงอยู่ในระดับน้ อย 3. ผลการศึ ก ษาตามความคิด เห็น ของพนั ก งานที่ มี ตาแหน่ งต่ างกันมีความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพและปั ญหา การบริหารความเสี่ยง แตกต่ างกัน มีความสอดคล้ องกับ สมมติฐาน ซึ่ งมี ความแตกต่ างในด้ านการเงิน อาจเนื่ อง มาจากว่ าความเข้ าใจกระบวนการด้ านการเงิ น ส าหรั บ ผู้บริหารกับผู้ปฏิบัติงานมีความเข้ าใจตามบทบาทภารกิจ หน้ าที่และความรับผิดชอบการปฏิบัติงาน สั่งการ อนุญาต หรือการอนุมัติ รวมถึงหน้ าที่การควบคุมการดาเนินงานใน เรื่องการเงิน ทาให้ มีความแตกต่างระหว่ างกลุ่มเกิดขึ้นได้ และเนื่องจากระเบียบ/ข้ อบังคับสานักงานกองทุนสงเคราะห์ การทาสวนยาง ว่าด้ วยได้ กาหนดผู้รับผิดชอบ และโครงสร้ าง หน้ าที่ความรับผิดชอบได้ กาหนดให้ ผ้ บู ริหารเป็ นผู้รับผิดชอบ การดังกล่าว ณฐพร พันธุอ์ ดุ ม (2549, น. 10) วัตถุประสงค์ การควบคุ ม การเงิ น การจั ด การเงิ น ที่ มี ป ระสิ ท ธิ ภ าพ ประสิทธิผ ล และมี การป้ องกัน ทรั พ ย์ สิ น ทางการเงิ น ให้ ปลอดภั ยจากการทุ จ ริ ต ข้ อ ผิ ด พลาด ระบบข้ อ มู ล ทาง การเงิน มีความสมบู รณ์ เพี ยงพอที่จะให้ มีการรายงานที่ ถูกต้ อง และเพี ยงพอต่ อการบริหารการเงินที่ดี นโยบาย ในการบริหารงานการเงินมีความเหมาะสม โดยสามารถ จัดหาเงินได้ จากแหล่งที่ประหยัดสุด และมีความเสี่ยงน้ อย สุด แนวทางการควบคุ มของด้ านการเงิน อาทิ การแบ่ ง


156

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

หน้ าที่ความรับผิดชอบของหน่ วยงานผู้รับ-จ่าย หน่วยงาน ตรวจสอบ การรั บ -จ่ าย หน่ ว ยงานบริ ห ารการเงิ น และ หน่ วยงานการบั ญ ชี สามารถตอบยั นตั วเลขกัน และตาม มาตรฐานการควบคุ ม ภายในทางด้ านการเงิ น ซึ่ ง การ ดาเนินการด้ านการเงินดังกล่าวเป็ นหน้ าที่ของผู้บริหาร ที่มี บทบาทความรับผิดชอบต่อการบริหารที่ต้องมีความเข้ าใจ ในการบริหารจัดการความสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงและ การควบคุ ม ปั จจั ยเสี่ยง และประเมิ นความเสี่ยง เพื่ อให้ สามารถคาดคะเนถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ เพื่อให้ การ บริหารความเสี่ยงได้ อย่างเหมาะสม ทาให้ การผลการศึกษา มีความแตกต่างกัน 4. พนั กงานที่มีประสบการณ์ ต่ างกันมีความคิดเห็น เกี่ยวกับปั ญหาการบริหารความเสี่ยงแตกต่ างกันในด้ าน การปฏิบัติงาน มีความสอดคล้ องกับสมมติฐานเนื่องจาก พบว่ า ประสบการณ์การทางาน มากกว่ า 10 ปี จะมีความ คิดเห็นกับผู้มีประสบการณ์น้อยกว่า สอดคล้ องกับ สุมนา เสือเอก ศึกษาการบริหารความเสี่ยงของโรงเรียนอาชีวศึกษา เอกชน ในกรุงเทพมหานคร พบว่า ผู้บริหารที่มีประสบการณ์ การทางานมากกว่ามีความคิดเห็นต่อการบริหารความเสี่ยง สู งกว่ า ผู้ บ ริ ห ารที่ ป ระสบการณ์ ใ นการท างานน้ อยกว่ า โดยรวมทุกด้ าน อาจกล่าวได้ ว่าผู้ท่มี ีประสบการณ์มากกว่ า มี ก ระบวนการเรี ย นรู้ การศึ ก ษา และการฝึ กอบรมที่ มี มากกว่ าทั้งทางปั จจัยภายนอก การรับรู้ สภาพสังคม และ ปั จจัยภายในในด้ านบทบาทภารกิจที่รับผิดชอบ ทั้งการ ประสบการณ์ ต รงที่ ได้ จ ากการปฏิ บั ติ งานจริ ง หรื อ การ ฝึ กอบรม ทาให้ การเรียนรู้ส่งั สมจากสภาพและปั ญหาอย่าง ลึกซึ้ง ทาให้ เกิดกระบวนการคิดแบบเป็ นระบบ มองภาพ องค์รวมได้ ค รอบคลุ ม ทั้งในการด้ านปฏิบั ติ งานเชิ งการ บริหารจัดการทาให้ ระดับการรับรู้ปัญหาหรืองานในแต่ละ ประเภทมีความแตกต่างจากผู้ท่มี ปี ระสบการณ์น้อย 5. ผลการเปรียบเทียบสภาพและปั ญ หาการบริห าร ความเสี่ยงตามความคิดเห็นจาแนกตามการฝึ กอบรมการ บริหารความเสี่ยง แตกต่างกันในด้ านการปฏิบัติงาน ด้ าน การเงิน ด้ านกฎระเบียบ และหลักเกณฑ์ท่กี าหนด สอดคล้ อง กับสมมติฐาน เนื่องจากปัจจุบันสานักงานกองทุนสงเคราะห์ การทาสวนยาง ได้ เข้ าสู่ระบบประเมินผลการด าเนิ นงาน ของรั ฐ วิ ส าหกิ จ ท าให้ การด าเนิ น งานต้ องเป็ นไปตาม มาตรฐานหลักสากล และสิ่งที่สานักงานฯ ได้ เล็งเห็นความ

สาคัญในการถ่ ายทอดความรู้ตามหลักการดังกล่ าว ทาให้ การรั บรู้ เรี ยนรู้ และเข้ าใจของพนั กงานผู้ เข้ ารั บการฝึ ก อบรมมีความตระหนักถึงความสาคัญในทุกขั้นตอน ไม่ว่า การบริหารจัดการทางาน การควบคุมดูแล และตรวจสอบ งานที่ต้ องใช้ กฎระเบี ยบวิธีการ ด้ านการเงิน รวมถึงการ ปฏิบัติงานให้ สอดคล้ องกับหลักการ จึงมีความแตกต่ าง กับ พนั ก งานที่ ไม่ เคยเข้ าร่ ว มการฝึ กอบรม แต่ อ ย่ างไร สานักงานฯ ได้ มสี ่งเสริมสนับองค์ความรู้ผ่านช่องทางต่างๆ อย่างต่อเนื่องทั่วไม่ว่าจะเป็ นหนังสือเวียน เว็บไซต์ เพื่อให้ พั ฒ นาองค์ ค วามรู้ให้ เป็ นองค์ การแห่ งการเรี ย นรู้ และ บริหารเป็ นไปตามหลักการประเมินฯ 6. ผลการเปรียบเทียบปั ญ หาการบริหารความเสี่ยง ตามความคิ ด เห็ น จ าแนกตามการใช้ ระบบเทคโนโลยี สารสนเทศการบริหารความเสี่ยง แตกต่างกันในด้ านกลยุทธ์ ด้ านการเงิน ด้ านการปฏิบัติตามกฎหมายและหลักเกณฑ์ท่ี กาหนด สอดคล้ องกับสมมติฐาน เนื่องจากสานักงานกองทุน สงเคราะห์การทาสวนยาง กาหนดแผนแม่เทคโนโลยีสารสนเทศ และสื่อสาร ของสานักงานกองทุนสงเคราะห์การทาสวนยาง ตั้ งแต่ ปี พ.ศ.2554 เพื่ อยกระดั บมาตรฐานให้ สามารถ ตอบสนองต่อนโยบายรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ และนามาใช้ ให้ เกิดสมรรถภาพ ประสิทธิภาพการบริหารจัดการและการ แข่งขัน และมูลค่าเพิ่มให้ กบั หน่วยงาน การใช้ ระบบงานบริหาร ความเสี่ยงเป็ นส่วนหนึ่งในแผนการพัฒนาระบบสารสนเทศ และตามหลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติเกี่ยวกับการบริหาร ความเสี่ยงและควบคุมภายใน ปี 2555 เรื่อง สารสนเทศ และการสื่อสาร (Information & Communication) กาหนดให้ มี สารสนเทศและการสื่อสารที่สนั บสนุ นการ บริห ารความ เสี่ยง โดยข้ อมู ลสารสนเทศที่เกี่ยวข้ องกับองค์กรทั้งจาก แหล่ งข้ อมูลภายในองค์กรและภายนอกองค์กร ได้ รับการ บั น ทึ ก และสื่ อ สารอย่ างเหมาะสมและทั น กาล เพื่ อให้ องค์กรสามารถตอบสนองต่ อความเสี่ยงได้ อย่ างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ พร้ อมนี้จะต้ องมีการสื่อสารให้ พนักงาน มีค วามตระหนั กและเข้ าใจในกระบวนการบริ ห ารความ เสี่ ย ง เมื่ อวิ เคราะห์ องค์ ป ระกอบ สภาพแวดล้ อ ม ตาม ประเภทของปั จจัยเสี่ยง ทั้ง 4 ด้ าน คือ ด้ านกลยุทธ์ ด้ าน การปฏิ บั ติ ง าน การด้ านเงิ น และด้ านการปฏิ บั ติ ต าม กฎหมาย และหลักเกณฑ์ท่กี าหนด ทาให้ พนักงานที่เคยเข้ า ใช้ งานระบบดั งกล่ าว มีความเข้ าใจการบริหารจัดการใน


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

157

แต่ละด้ านว่า มีข้นั ตอนการดาเนินงาน วิเคราะห์ หาสาเหตุ 2. ควรศึกษาปั จจัยต่ างๆ ที่มีผลต่อการบริหารความ แต่ ละขั้น ตอน ทาให้ มีค วามเข้ าใจการจั ด การสภาพและ เสี่ยงองค์กรภาครัฐ ให้ สอดคล้ องกับสถานการณ์ปัจจุบนั ปัญหารวมถึงการจัดการงาน อย่างลึกซึ้งมากว่า พนักงานที่ กิตติกรรมประกาศ ไม่เคยใช้ ระบบการบริหารความเสี่ยง ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะในการนาผลการวิจยั ไปใช้ ผลการวิจัย แสดงให้ เห็นว่าสานักงานกองทุนสงเคราะห์ การทาสวนยาง มีการดาเนินการในการบริหารความเสี่ยง อยู่ในระดับมาก ทั้งโดยรวมและรายด้ านทุกด้ าน จึงทาให้ ปั ญหาการบริหารความเสี่ยงอยู่ ในระดับน้ อย ทั้งโดยรวม และรายด้ าน ทุกด้ านเช่นกัน ผลการวิจัยนี้เป็ นไปตามหลัก วิชาการ ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะ ดังนี้ 1. ควรมี แ ผนการบริ ห ารความเสี่ ย งควบคู่ กั บ การ บริหารจัดการแผนงาน/โครงการ โดยเฉพาะการติดตามผล การดาเนินงานของข้ อมูล เพื่ อพั ฒนาคุณภาพการบริหาร จัดการ ด้ านกากับดูแลที่ดี และเพื่อปรับตัวเมื่อมีสถานการณ์ หรือสภาพแวดล้ อมที่เปลี่ยนแปลงไป 2. ควรพิ จารณาการบริหารจัดการทางด้ านบุ คลากร ความเหมาะสมความรู้ การพั ฒ นาองค์ ค วามรู้ วิ ธีก าร เปลี่ยนผ่านหรือถ่ายโอนความรู้แก่ผ้ ูท่มี ีประสบการณ์ไปสู่ พนักงานรุ่นใหม่ และพัฒนาองค์ความรู้ของพนักงานให้ มี ความหลากหลาย และสามารถปฏิ บั ติ ง านได้ อย่ า งมี ประสิทธิภาพมากขึ้น 3. ควรมี แ ผนหรื อ แนวทางสื่ อ สารแนวทางปฏิ บั ติ เกี่ ย วกั บ กระบวนการทางด้ านงบประมาณ ในวิ ธี ก าร อนุญาต อนุมตั ิ รวมถึงบทบาทหน้ าที่ของแต่ละตาแหน่งให้ ชัดเจน 4. ควรพิจารณากาหนดแผน แนวทาง ส่งเสริมความรู้ หรื อ ช่ อ งทางการสื่ อ สาร คู่ มื อ และวิ ธี ก ารปฏิ บั ติ ต าม หลักเกณฑ์และวิธกี ารที่กาหนด เพื่อให้ สามารถปฏิบัติงาน ได้ อย่างถูกต้ อง และเป็ นไปตามมาตรฐานที่กาหนด ข้อเสนอแนะในการวิจยั ครั้งต่อไป 1. ควรมีการศึกษาสภาพและปั ญหาการบริหารความ เสี่ยงกับรัฐวิสาหกิจอื่นๆ เพื่อนาผลที่ได้ มาใช้ การปรับปรุง การบริหารความเสี่ยงขององค์กรต่อไป

ขอขอบคุณท่าน ดร.อรอุมา รัตนศรีปัญญะ อาจารย์ท่ี ปรึกษาวิทยานิพนธ์ และคณาจารย์รัฐประศาสนศาสตร์ใน มหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด ที่กรุณาให้ คาแนะนา ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ในบทเรียน รวมถึงอาจารย์และ เจ้ าของงานวิ ช าการต่ างๆ ที่ ผ้ ู ศึ ก ษาได้ อ้ างถึ ง ผู้ มี ส่ ว น เกี่ย วข้ อ งทุ ก ท่ า น และที่ ให้ ความอนุ เคราะห์ ให้ ความรู้ บทเรียนได้ สมบูรณ์ย่งิ ขึ้น ขอบคุณความช่วยเหลือพนักงาน ส านั กงานกองทุ น สงเคราะห์ การท าสวนยาง ที่ให้ ความ ร่ วมมื อในการตอบแบบสอบถามอย่ างดี ย่ิ งในการตอบ แบบสอบถามการวิจัย ขอขอบคุณพลังใจจากบิดา มารดา และทุ ก คนในครอบครั ว และเพื่ อนๆ สกย. และคณะ รัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยนานาชาติ แสตมฟอร์ด เอกสารอ้างอิง กนกวรรณ จั น ทร. (2555). การบริ ห ารความเสี ่ย งใน ห้องสมุดมหาวิทยาลัย. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, กรุงเทพฯ. [1] ณฐพร พันธุอ์ ุดม. (2549). แนวทางการควบคุมภายในที ่ ดี. กรุงเทพฯ: ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย. [2] ดวงใจ ช่ วยตระกู ล . (2551). การบริ ห ารความเสี ่ยงใน สถานศึ กษาระดับการศึ กษาขัน้ พื้ นฐาน. (ปริ ญญานิ พนธ์ ปริญญาดุษฎีบณ ั ฑิต). มหาวิทยาลัยศิลปากร, กรุงเทพฯ. [3] ประภาพรรณ รักเลี้ยง. (2555). การพัฒนารูปแบบการ บริหารความเสีย่ งของสถาบันอุดมศึ กษาเอกชน. (ปริญญา นิ พ นธ์ ป ริ ญ ญาดุ ษ ฎี บั ณ ฑิ ต ). มหาวิ ท ยาลั ย นเรศวร, พิษณุโลก. [4]


158

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ปณิสรา ติณธรานนท์. (2554). แนวทางการจัดการความ เสี ย่ งด้านการปฏิ บัติ งานในการบริ ห ารงบลงทุน ของงาน สถาปั ตยกรรม และวิศวกรรม คณะแพทยศาสตร์ศิริราช พยาบาล. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัย ศิลปากร, กรุงเทพฯ. [5]

สุ ม น า เสื อ เอก. (2553). ก ารบ ริ ห ารค วาม เสี ่ ย ง ของโรงเรี ย นอาชี ว ศึ ก ษาเอกชนในกรุ ง เทพมหานคร. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต ). มหาวิทยาลัยราชภัฎ ธนบุรี, กรุงเทพฯ. [13] Translated Thai References

มนสิ ช า แสวั ง . (2552). การบริ ห ารความเสี ่ ย งของ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). Chanthorn, K. (2012). Risk Management in University Libraries. (Master’s thesis). Chulalongkorn มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, เชียงใหม่. [6] University, Bangkok. [in Thai] [1] มานิ ต ลอศิ ริ กุ ล. (2553). ระบบการบริ หารความเสี ่ยงของ องค์การรัฐวิสาหกิจด้านพลังงานไฟฟ้ าไทย. (ปริญญานิพนธ์ Chauytrakul, D. (2008). Risk Management in Basic ปริญญาดุษฎีบณ ั ฑิต). มหาวิทยาลัยรามคาแหง, กรุงเทพฯ. [7] Education Schools. (Doctoral dissertation) . Silpakorn University, Bangkok. [in Thai] [3] ส านั ก งานกองทุ น สงเคราะห์ ก ารท าสวนยาง. (2557). แผนการบริหารความเสี ย่ งระดับองค์กรสานักงานกองทุน Losirikul, M. (2010). The Risk Management System สงเคราะห์ การท าสวนยาง ประจ าปี 2557. กรุง เทพฯ: of State Enterprise Organizations in The Thai Electricity Sector. (Doctoral dissertation). Ramkhamhamhaeng สกย. [8] University, Bangkok. [in Thai] [7] ส านั กงานคณะกรรมการนโยบายรั ฐวิ สาหกิ จ กระทรวง การคลั ง . (2554). บทบาทของ สคร.ในการพั ฒ นา Office of Rubber Replanting Aid Fund. (2014). Risk รั ฐวิ สาหกิ จ. สื บค้ นจาก http://www.sepo.go.th/2011- Management Plan for Office of Rubber Replanting Aid 06-07-07-36-44/2011-06-07-08-30-38.htm [9] Fund. Bangkok: ORRAF. [in Thai] [8] ส านั กงานคณะกรรมการนโยบายรั ฐวิ สาหกิจ กระทรวง การคลัง. (2555). คู่มือปฏิ บัติเกีย่ วกับการบริหารความ เสี ่ย งและควบคุ ม ภายใน ตามหลัก เกณฑ์ / แนวปฏิ บั ติ เกีย่ วกับการบริหารความเสีย่ งและควบคุมภายใน ปี 2555. กรุงเทพฯ: สคร. [10]

Office of the Public Sector Development Commission. ( 2013) . The development strategy of bureaucracy in Thailand (2556-2561 BC). Bangkok: OPDC. [in Thai] [12] Phanudom, N. (2006). Guidelines for internal control. Bangkok: The Stock Exchange of Thailand. [in Thai] [2]

ส านั กงานคณะกรรมการนโยบายรั ฐวิ สาหกิจ กระทรวง การคลัง. (2555). หลักเกณฑ์/แนวทางปฏิบตั ิการบริหาร Raklieng, P. (2012). The Development of Risk ความเสี ย่ งและการควบคุมภายใน ปี 2555. กรุงเทพฯ: Management Model for Private Higher Education สคร. [11] Institutions. (Doctoral dissertation). Naresuan University, สานั กงานคณะกรรมการพั ฒ นาระบบราชการ. (2556). Phitsanulok. [in Thai] [4] แผนยุ ท ธศาสตร์ ก ารพั ฒ นาระบบราชการไทย (พ.ศ. 2556-2561). กรุงเทพฯ: ก.พ.ร. [12]

Saewang, M. (2009). Risk Management of Chiang Mai University. (Master’s thesis) . Chiang Mai University, Chiang Mai. [in Thai] [6]


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

159

State Enterprise Policy Office (SEPO). (2011). The role of State Enterprise Policy Office (SEPO). ( 2012) . The SEPO on State-Owned Enterprises development. Retrieved rules / guidelines on risk management and internal from http://www.sepo.go.th/2011-06-07-07-36- control in 2012 BC. Bangkok: SEPO. [in Thai] [11] 44/2011-06-07-08-30 -38.htm [in Thai] [9] Suaek, S. (2010). Risk Management of Private State Enterprise Policy Office (SEPO). ( 2012) . A Vocational Schools in Bangkok. (Master’s thesis) . practical guide on risk management and internal control Dhonburi Rajabhat University, Bangkok. [in Thai] [13] according to the rules / guidelines on risk management and internal control in 2 0 1 2 BC. Bangkok: SEPO. Tintranon, P. (2011). Operational Risk Management in Budgeting, Architecture and Engineering Department [in Thai] [10] of The FACULTY of Medicine Siriraj Hospital. (Master’s thesis). Silpakorn University, Bangkok. [in Thai] [5]


160

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

การมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการเขตอนุ รกั ษ์สตั ว์น้ า: กรณีศึกษา หมู่ที่ 1 ตาบลป่ าขาด อาเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา อรทัย หนูสงค์a*, เยาวนิจ กิตติธรกุลb และจารุณี เชี่ยววารีสจั จะc

Community Participation in Management of Aquatic Animal Protected Area: A Case Study of Moo 1, Pa - khad Subdistrict, Singhanakhon District, Songkhla Province Orathai Nusonga*, Jawanit Kittitornkoolb and Jarunee Chiayvareesajjac a

สาขาวิชาการจัดการสิ่งแวดล้ อม คณะการจัดการสิ่งแวดล้ อม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อาเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา 90110 สถาบันทรัพยากรทะเลและชายฝั่ง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อาเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา 90110 c ภาควิชาวาริชศาสตร์ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อาเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา 90110 a Faculty of Environmental Management, Prince of Songkla University, Hatyai, Songkhla Province 90110 b Marine and Coastal Resources Institute, Prince of Songkla University, Hatyai, Songkhla Province 90110 c Aquatic Science, Faculty of Natural Resources, Price of Songkla University, Hatyai, Songkhla Province 90110 * Corresponding author. E-mail address: orathainusong9921@gmail.com b

บทคัดย่อ การศึกษาวิจัยนี้มุ่งศึกษาระดับและผลลัพธ์ของการมีส่วนร่ วมในการจัดการเขตอนุ รักษ์สัตว์น้า ของชุมชนหมู่ท่ ี 1 ตาบลป่ าขาด อาเภอ สิงหนคร จังหวัดสงขลา ใช้ การวิจัยแบบผสม (Mixed Method) โดยใช้ วิธีการวิจัยเชิงปริมาณ ซึ่งเป็ นการสัมภาษณ์โดยใช้ แบบสอบถามกับ ตัวแทนครัวเรือน จานวน 92 ครัวเรือน และวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ ได้ แก่ การสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้ าง การสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม และการสนทนากลุ่ม กับแกนนาชุมชน จานวน 12 คน ผลการวิจัย พบว่า การมีส่วนร่วมของชุมชนโดยรวมอยู่ในระดับมาก และระดับการมี ส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์อยู่ในระดับมากที่สดุ รองลงมา คือ การมีส่วนร่วมในการค้ นหาสาเหตุและปั ญหา การมีส่วนร่วมในการปฏิบัติ และดาเนินการ การมีส่วนร่ วมในการติดตามและประเมินผล และการมีส่วนร่ วมในการวางแผนเพื่อแก้ ปัญหาอยู่ในระดับน้ อยที่สดุ ส่วนผลลัพธ์ ของการมีส่วนร่วมในการจัดการฯ ทั้งในระดับครัวเรือนและชุมชนตามแนวคิดการทามาหากิน พบว่า ทุนธรรมชาติเพิ่มมากที่สดุ รองลงมา คือ ทุนมนุษย์ ทุนเงินตรา ทุนกายภาพ และทุนทางสังคมตามลาดับ คาสาคัญ: การมีส่วนร่วมของชุมชน การจัดการเขตอนุรักษ์สตั ว์นา้ สงขลา ทะเลสาบสงขลา แนวคิดการทามาหากิน Abstract The research aims to study the level of community participation in management of aquatic animal protected area in Moo 1, Pa-khat Subdistrict, Singhanakhon District, Songkhla Province. A mixed method approach was employed, particularly a quantitative research method of using a questionnaire to interview representatives of ninety-two households. The qualitative research methods are semistructured interview, participant observation and focus group discussion with core-team members of the community. It is found that the overall level of community participation is high, whereas the levels of participation stages can be ranked from the ones in obtaining benefits, implementations and practices, follow-up and monitoring, and planning for solutions respectively. Based on the concept of livelihoods approach, the outcomes of community participation at the household and community levels are ranked in the same way: increases in natural capital are the highest, then human capital, financial capital, physical capital and social capital respectively. Keywords: Community Participation, Aquatic Animal Protected Area, Songkhla, Songkhla Lakeb Basin, Livelihoods Approach


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

บทนา ปั ญหาทรัพยากรธรรมชาติเป็ นปั ญหาที่ซับซ้ อน ไม่ใช่ เป็ นเพี ย งปั ญ หาของความเสื่ อ มโทรมของทรั พ ยากร ธรรมชาติเพี ยงอย่ างเดียว แต่ โยงใยไปถึงประเด็นปั ญหา สังคม ปั ญหาเศรษฐกิจ ทิศทางการพั ฒ นาประเทศ และ ปั ญ หาคุ ณ ภาพชี วิ ต ในการแก้ ปั ญ หา รัฐในฐานะผู้ ดู แ ล สังคมจะจัดการและแก้ ปัญหาโดยยึดถือมุมมองและวิธกี าร แบบรั ฐอย่ างเดียวคงไม่ ได้ ควรจะมีการเปิ ดโอกาสให้ มี ทางเลือกในการจัดการจากฝ่ ายต่ างๆ โดยทางเลือกหนึ่งที่ น่าสนใจ คือ การจัดการทรัพยากรธรรมชาติโดยชุมชน ซึ่ง ที่ผ่านมาในสังคมไทย มีบทเรียนจากหลายชุมชนที่สามารถ จั ด การทรั พ ยากรได้ อย่ างยั่ งยื น (กรมส่ งเสริ ม คุ ณ ภาพ สิ่งแวดล้ อม, 2551) งานวิจัยสร้ างจุดเปลี่ยนต่อกระบวนทัศน์ ในการจัดการทรัพยากรที่สาคัญ ทาให้ ชุมชนท้ องถิ่นหันมา ให้ ความสาคัญกับรูปแบบการจัดการทรัพยากรโดยชุมชน จากการสังเคราะห์ งานวิจัยเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากร ขนาดเล็กและขนาดกลาง เช่ น การจัด การป่ าไม้ เหมื อง ฝาย เขื่ อ น และการประมง ในหลายพื้ นที่ ท่ั ว โลกของ (Ostrom, 1990) และ (Schlager & Ostrom, 1992) ซึ่ ง พบว่า ในหลายกรณี ผู้ใช้ ทรัพยากรสามารถจัดการทรัพยากร ได้ อย่างมีประสิทธิภาพ และการจัดการทรัพยากรโดยภาครัฐ จะมี ป ระสิ ท ธิภ าพต่ ากว่ าการจั ด การโดยองค์ ก รชุ ม ชน ดั งนั้ น (Schlager & Ostrom, 1992) จึ งเสนอว่ า จ าเป็ น ต้ อ งยอมให้ ชุ ม ชนท้ องถิ่ น เข้ ามาจั ด การทรั พ ยากรด้ ว ย ตนเอง ในลั ก ษณะที่ ห ลากหลายและมี ข นาดเล็ก อย่ า ง สอดคล้ องกับบริบทของท้ องถิ่นนั้ น ทั้งทางกายภาพและ วัฒนธรรม พั ฒ นาการของการจั ด การทรั พ ยากรธรรมชาติ ใ น ประเทศไทย ในอดี ตชุ ม ชนต่ างๆ ล้ วนมี ระบบจารีต ที่มี ประสิทธิภาพในการใช้ ประโยชน์ และบารุงรักษาทรัพยากร ของชุ ม ชนดั้ งเดิ ม อยู่ แ ล้ ว (โครงการจั ด การทรั พ ยากร ชายฝั่ง, 2548) แต่การจัดการทรัพยากรของชุมชนดั้งเดิม เริ่มมีปัญหาและสั่นคลอน เมื่อรัฐไทยสมัยใหม่แยกชุมชน ออกไปจากระบบการจัดการทรัพยากร โดยเข้ ามาสร้ างสิทธิ และอานาจในการจัดการเหนือทรัพยากรแต่ เพี ยงผู้เดียว จนท าให้ เกิ ด การแย่ ง ชิ ง ฐานทรั พ ยากรและสร้ า งความ

161

ขัดแย้ งอย่างรุนแรงกับชุมชนและผู้ใช้ ทรัพยากรในท้ องถิ่น จากผลกระทบที่สาคัญและรุนแรงที่มีต่อชุ มชน ซึ่งมาจาก การจัดการทรัพยากรเพี ยงลาพั งของรัฐไทย ดังที่กล่ าวมา ข้ างต้ น จึงมีงานวิจัยจานวนมากเรียกร้ องให้ คืนสิทธิการ จัดการทรัพยากรกลับไปให้ ชุมชน หรือให้ ชุ มชนมีบทบาท สาคัญ ในการจั ดการทรัพ ยากรมากขึ้น (อีฟ เฮ็น นอกซ์ , สุวลักษณ์ สาธุมนัสพั นธุ์, กังวาลย์ จันทรโชติ และสัญชัย ตัณฑวณิช, 2549; บาเพ็ญ เขียวหวาน, 2550; อนุ วัฒน์ นทีวัฒนา, 2551; เลิศชาย ศิริชัย และนฤทธิ์ ดวงสุวรรณ์, 2552) สาหรับภาคใต้ ทะเลสาบสงขลาเป็ นทะเลสาบสามน้า (นา้ จืด นา้ กร่อย น้าเค็ม) ที่ใหญ่ ท่สี ุดในเอเชียตะวันออก เฉียงใต้ ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดสงขลา พัทลุง และนครศรีธรรมราช ปากทะเลสาบติดต่อกับอ่าวไทยในเขตอาเภอเมืองสงขลา ระดับนา้ ลึกเฉลี่ยของทะเลสาบ 1-2 เมตร เป็ นแหล่งนา้ ที่มี ลั ก ษณะเป็ นลากู น (ศู น ย์ วิ จั ย ทรั พ ยากรทางทะเลและ ชายฝั่ งอ่ าวไทยตอนล่ าง, 2552) เป็ นแหล่ งทรั พ ยากร ธรรมชาติท่ีมีคุ ณ ค่ าและความส าคัญ ต่ อประเทศและต่ อ ภาคใต้ ทั้ ง ทางด้ านเศรษฐกิ จ สั ง คม และวั ฒ นธรรม โดยเฉพาะอย่ างยิ่งในประเด็นของทรัพยากรประมง เป็ น แหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์นา้ หลายชนิด รวมทั้งสัตว์นา้ ที่หา ยากและมีแนวโน้ มใกล้ สญ ู พันธุ์ ตลอดจนเป็ นแหล่งอาหาร ที่สาคัญ แหล่งเพาะพันธุว์ างไข่ แหล่งอนุบาลตัวอ่อน และ เป็ นเส้ นทางในการอพยพของพันธุป์ ลา (สานักงานนโยบาย และแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้ อม, 2554) แต่ ในปั จจุบันความหลากหลายของทรัพยากรและสิ่งแวดล้ อม ในทะเลสาบสงขลาอยู่ ในสภาพเสื่อมโทรม สืบเนื่ องจาก หลายสาเหตุด้ วยกัน เช่ น การเปลี่ยนแปลงสภาพการใช้ ที่ดินในบริเวณที่ราบสูงของลุ่ มน้า การปล่ อยน้าเสียจาก ชุ ม ชน โรงงานอุ ต สาหกรรม การเพาะเลี้ ยงสั ต ว์ ท ะเล ปั ญหาที่สาคัญที่ปรากฏอยู่ในปั จจุ บันคือ การใช้ เครื่องมือ ประมงที่หนาแน่ นและผิดกฎหมาย (กรมทรัพยากรธรณี , 2550) ชุมชนหนึ่งในลุ่มนา้ ทะเลสาบสงขลา ซึ่งมีประสบการณ์ ในการร่ วมกันฟื้ นฟู ทรัพยากรธรรมชาติจนประสบความ ส าเร็จ คื อ ชุ มชน หมู่ ท่ี 1 ต าบลป่ าขาด อ าเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา ได้ ร่วมกัน จัดการเขตอนุ รักษ์ สัตว์ น้าของ


162

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ชุมชน เนื่องจากชุมชนประสบวิกฤติการณ์ความเสื่อมโทรม ของทรัพยากรสัตว์นา้ ตั้งแต่ พ.ศ.2547 เมื่อมีโรงงานแปรรูป สัตว์นา้ มาตั้งในพื้นที่ และปล่อยนา้ เสียลงทะเลสาบ ต่อมา เมื่ อ พ.ศ.2550 เกิ ด วิ ก ฤติ ก ารณ์ ค วามเสื่อ มโทรมของ ทรัพยากรสัตว์นา้ ปัญหาเรืออวนรุนเข้ ามาทาประมงในเขต ชุมชน ทาลายเครื่องมือประมงของชาวบ้ าน เช่น อวน ไซนั่ง ทาให้ ปริมาณสัตว์น้าลดน้ อยลง ชุมชนเกิดการเรียนรู้ท่ีจะ จัดการทรัพยากรชายฝั่งโดยชุมชนเอง จากการร่ วมกันคิด ร่ วมกันทา และร่ วมกันวิเคราะห์ ปั ญหาการเปลี่ ยนแปลง ของวิถีชีวิต เนื่องจากต้ องปรับตัวให้ อยู่ รอดในท่ามกลาง การเปลี่ยนแปลง วิกฤติการณ์ดงั กล่าวเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยาวนาน จากนั้นผู้นา แกนนาและชาวบ้ านได้ รวมกลุ่ม กัน เพื่ อประสานงานกับศู นย์ บริ ห ารจั ดการประมงทะเล ภาคใต้ ตอนล่ างสงขลาในการกาหนดเขตอนุ รักษ์ สัตว์น้า โดยใช้ เวที ป ระชาคมหมู่ บ้ าน เป็ นที่ แ ลกเปลี่ ย นความ คิดเห็นกันภายในชุมชน ในปี พ.ศ.2555 จากเดิมที่พ้ ืนที่ ชายฝั่งมีไซนั่งกีดขวางการทาประมง ชาวบ้ านจึงร่วมกันรื้อ ไซนั่งออกไป เพื่อให้ เป็ นเขตอนุรักษ์สตั ว์นา้ ของชุมชน แล้ ว ช่วยกันทา "ซั้งกอ" ซึ่งเป็ นที่อยู่อาศัยหรือบ้ านของสัตว์นา้ วัยอ่อน ทาจากวัสดุต่างๆ ที่หาง่าย เช่นทางมะพร้ าว ไม้ ไผ่ กิ่งไม้ เป็ นต้ น นามาปั กไว้ ในที่ขนาดประมาณ 5 x 5 เมตร ต่อ 1 กอ ในระยะแรกได้ ทาไว้ จานวน 120 กอ จัดวางเรียง กันเป็ นระยะทาง 2 กิโลเมตร ขนานกับชายฝั่ง พร้ อมกับ ปั กเขตไว้ เป็ นแนวเพื่ อให้ ร้ ูว่าเป็ นเขตอนุ รักษ์สัตว์น้าของ ชุมชน เพื่ อป้ องกันการรุกล้าของเรือประมงเข้ ามาในเขต อนุ รักษ์สัตว์น้าของชุ มชน หลังจากนั้ นประมาณ 6 เดือน ชาวบ้ าน พบว่ า มีสตั ว์นา้ และนกต่างถิ่นบางชนิดเข้ ามาหา กินในบริเวณเขตอนุ รักษ์สัตว์นา้ มากขึ้น ปริมาณสัตว์นา้ ที่ จั บ ได้ ในแต่ ล ะวั น เพิ่ ม มากขึ้ น นอกจากนั้ น ชุ ม ชนได้ มี ส่วนร่วมในการช่วยสอดส่องดูแล และมีการจัดอาสาสมัคร เฝ้ าระวังลาดตระเวนในตอนกลางคืนเพื่อป้ องกันการบุกรุก ของเรื อ ประมงเข้ า มาในเขตอนุ รั ก ษ์ สั ต ว์ น้ า มี ก ารวาง ระเบียบกฎเกณฑ์ การใช้ ประโยชน์ในพื้นที่และจาแนกแนว เขตอย่างชัดเจน เป็ นที่ยอมรับของชุมชน และชุมชนพื้ นที่ ใกล้ เคียง บทเรียนจากการดาเนินงานของชุ มชนมีคุณค่ า สาหรับการส่งเสริมการมีส่วนร่ วมในการจัดการทรัพยากร ของชุมชนอื่นๆ ในลุ่มนา้ ทะเลสาบสงขลาต่อไป

ผู้วิจัยจึงได้ ศึกษาระดับการมีส่วนร่วมของชุมชนในการ จั ด การเขตอนุ รั ก ษ์ สั ต ว์ น้ า และผลลั พ ธ์ ท่ี ได้ จ ากการมี ส่วนร่วมของชุมชนดังกล่าว ในช่วง พ.ศ.2555–2558 โดย ใช้ แนวคิ ด การท ามาหากิ น (Livelihoods Approach) ซึ่ ง ประกอบด้ วยทุ น มนุ ษ ย์ ทุ น สั ง คม ทุ น ธรรมชาติ ทุ น กายภาพ และทุนมนุษย์ (เยาวนิจ กิตติธรกุล และคนอื่นๆ, 2557, น. 10-12) วัตถุประสงค์ของการวิจยั เพื่อศึกษาระดับการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการ เขตอนุ รั กษ์ สัต ว์ น้า หมู่ ท่ี 1 ต าบลป่ าขาด ในช่ วง พ.ศ. 2555-2558 และผลลัพธ์ในการดาเนินการดังกล่าว วิธีการศึกษาและวัสดุอุปกรณ์ วิธีการศึกษา งานวิ จั ย นี้ ใช้ วิ ธีการวิ จั ย แบบผสม (Mixed Method) เพื่ อศึ กษาระดับการมี ส่ วนร่ วมและผลลั พ ธ์ท่ีได้ จากการ จั ด การเขตอนุ รั ก ษ์ สั ต ว์ น้ า ใช้ วิ ธี ก ารวิ จั ย เชิ ง ปริ ม าณ (Quantitative Research) เป็ นหลั ก โดยใช้ แ บบสอบถาม (Questionnaires) และเสริมด้ วยวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ซึ่ งผู้ วิจัยใช้ วิธีการสัมภาษณ์ แบบกึ่งโครงสร้ าง (Semi-Structured Interview) การสังเกตการณ์ แบบมี ส่ วน ร่วม (Participane Observation) และการสนทนากลุ่ม (Focus Group) ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ผู้วิจัยใช้ แบบสอบถามเพื่ อศึกษาระดับการมีส่วนร่ วม ของชุ ม ชนและผลลั พ ธ์ท่ี ได้ จ ากการจั ด การเขตอนุ รั ก ษ์ ประชากรที่ศึกษา คือ ครัวเรือนที่อาศัยใน หมู่ท่ี 1 ตาบล ป่ าขาด จ านวน 120 ครั ว เรื อ น โดยเก็บ ข้ อมู ล หั ว หน้ า ครั วเรื อนของกล่ ม ตั วอย่ าง จ านวน 92 ครั วเรื อ น ส่ ว น วิธกี ารวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้ การสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้ าง การสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม ในกิจกรรมการจัดการเขต อนุ รั กษ์ สัต ว์ น้า การประชุ ม การเข้ ามาศึ กษาดู งานของ บุ ค คลและหน่ วยงานภายนอก รวมถึ งกิจกรรมต่ างๆ ที่ ชุ ม ชนจั ด ขึ้ น และการสนทนากลุ่ ม กั บ กลุ่ ม เป้ าหมายที่ เกี่ยวข้ อง จานวน 12 คน เพื่อรวบรวมข้ อมูลเกี่ยวกับความ คิดเห็นในการจัดการเขตอนุรักษ์สตั ว์นา้ บทบาทหน้ าที่การ


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

163

ดาเนินงาน และผลลัพธ์ท่ีได้ จากการมีส่วนร่ วมของชุมชน ประกอบอาชีพประมงพื้นบ้ านเป็ นอาชีพหลัก มีรายได้ ต่อปี ในการจัดการเขตอนุรักษ์สตั ว์นา้ อยู่ในช่วง 35,001-60,100 บาท 2. ระดับการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการเขต อนุรกั ษ์สตั ว์น้ า การมีส่วนร่ วมของชุมชนในการจัดการเขตอนุ รักษ์ 1. ข้อมู ลลักษณะทางเศรษฐกิ จ สังคม และข้อมู ล สัตว์นา้ แบ่งเป็ น 5 ด้ าน ได้ แก่ การมีส่วนร่วมในการค้ นหา ทัว่ ไปของกลุ่มตัวอย่าง สาเหตุ แ ละปั ญ หา การมี ส่ ว นร่ ว มในการวางแผน และ ข้อมูลทัว่ ไป จากการศึ กษา พบว่ า กลุ่ มตั วอย่ างเป็ นเพศชาย แก้ ปัญหา การมีส่วนร่วมในการปฏิบัติและดาเนินการ การ มากกว่ าเพศหญิง (ร้ อยละ 75.00) มีอายุอยู่ในช่ วง 41- มีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์ในการจัดการเขตอนุรักษ์ 50 ทั้งหมดนับถือศาสนาพุทธ อาศัยอยู่ในชุมชนเป็ นเวลา สัตว์น้า และการมีส่วนร่ วมในการติดตามและประเมินผล 42 ปี จบการศึ ก ษาประถมศึ ก ษามากที่ สุ ด (ร้ อยละ โดยใช้ ค่าเฉลี่ยในการจัดระดับการมีส่วนร่ วมในแต่ละด้ าน 76.10) มีจานวนสมาชิกในครัวเรือนเฉลี่ย 4 คน ส่วนใหญ่ ได้ แก่ มากที่ สุ ด มาก ปานกลาง น้ อย และน้ อยที่ สุ ด รายละเอียดดังตารางต่อไปนี้ ผลการศึกษา

ตารางที่ 1 แสดงค่าเฉลี่ยระดับการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการเขตอนุรักษ์สตั ว์นา้ กิจกรรมการมีส่วนร่วม x 1. การค้ นหาสาเหตุและปัญหา 3.68 2. การวางแผนเพื่อแก้ ปัญหา 3.18 3. การปฏิบัติและดาเนินการ 3.50 4. การรับผลประโยชน์ในการจัดการเขตอนุรักษ์สตั ว์นา้ 3.92 5. การติดตามและประเมินผล 3.20 รวม 3.50

S.D. 1.019 1.118 1.133 0.849 1.138 1.051

การแปลผล มาก ปานกลาง มาก มาก ปานกลาง มาก

การมีส่วนร่ วมของชุมชนในการจัดการเขตอนุ รักษ์ 3. ผลลัพธ์ของการมีส่วนร่วมต่อชุมชน และครัวเรือน สัตว์ น้า อยู่ ในระดั บมาก (ค่ าเฉลี่ ย 3.50) โดยแยกเป็ น ในการจัดการเขตอนุรกั ษ์สตั ว์น้ า ด้ านต่ างๆ ดั งนี้ การมี ส่ วนร่ วมรั บ ผลประโยชน์ ในการ เมื่อพิ จารณาผลลัพธ์จากการมีส่วนร่ วมของชุมชน จัดการเขตอนุ รักษ์สัตว์นา้ อยู่ในระดับมากที่สุด (ค่าเฉลี่ย ในการจัดการเขตอนุรักษ์สตั ว์นา้ ทั้ง 5 ด้ านในระดับชุมชน 3.92) ส่วนการมีส่วนร่วมในการวางแผนเพื่อแก้ ปัญหา อยู่ และระดับครัวเรือน จากทัศนะของหัวหน้ าครัวเรือน พบว่า ในมีระดับต่าสุด (ค่าเฉลี่ย 3.18) 3.1 ผลลัพธ์ของการมีส่วนร่วมของชุมชนในการ จัดการเขตอนุรกั ษ์สตั ว์น้ า ระดับครัวเรือน (เปรียบเทียบก่อนและหลัง การมีเขตอนุรักษ์สตั ว์นา้ ในช่วงปี พ.ศ.2555–พ.ศ.2558)


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

164

ค่าเฉลี่ย

รูปที่ 1 แสดงค่าเฉลี่ยผลลัพธ์ของการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการเขตอนุรักษ์สตั ว์นา้ (ระดับครัวเรือน)

ระดับครัวเรือน (เปรียบเทียบก่อนและหลัง กายภาพ (มีค่าผลต่าง 2.06) ส่วนทุนสังคมมีค่าน้ อยที่สดุ การมีเขตอนุรักษ์สตั ว์นา้ ในช่วงปี พ.ศ.2555–พ.ศ.2558) (มีค่าผลต่าง 1.95) พบว่ า ในระดับครัวเรือนทุ นธรรมชาติเพิ่ มในระดับมาก 3.2 ผลลัพธ์ของของการมีส่วนร่วมของชุมชนใน ที่สุด (มีค่าผลต่าง 2.35) รองลงมา คือ ทุนมนุ ษย์ (มีค่า การจัดการเขตอนุรกั ษ์สตั ว์น้ า ผลต่ าง 2.29) ทุ น เงิน ตรา (มี ค่ าผลต่ าง 2.27) และทุ น ระดับชุมชน (เปรียบเทียบก่อนและหลังการมี เขตอนุรักษ์สตั ว์นา้ ในช่วงปี พ.ศ.2555–พ.ศ.2558)


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

165

ค่าเฉลี่ย

รูปที่ 2 แสดงค่าเฉลี่ยผลลัพธ์ของการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการเขตอนุรักษ์สตั ว์นา้ (ระดับชุมชน)

ระดับชุมชน (เปรียบเทียบก่อนและหลังการมี เขตอนุ รั ก ษ์ สั ต ว์ น้ า ในช่ ว งปี พ.ศ.2555–พ.ศ.2558) พบว่า ในระดับชุมชน ทุนธรรมชาติเพิ่มในระดับมากที่สุด (มีค่าผลต่าง 2.44) รองลงมา คือ ทุนมนุษย์ (มีค่าผลต่าง 2.34) ทุนเงินตรา (มีค่าผลต่าง 2.04) และทุนสังคม (มี ค่ าผลต่ าง 1.88) ส่ วนทุ นกายภาพมีค่ าน้ อยที่สุด (มีค่ า ผลต่าง 1.84) อภิปรายผลการศึกษา ระดับและผลลัพธ์ของการมีส่วนร่วมในการจัดการเขต อนุรักษ์สตั ว์นา้ ของชุมชน หมู่ท่ี 1 ตาบลป่ าขาด อาเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา ในช่วง พ.ศ.2555-2558 การที่ประชาชนเข้ าไปร่ วมกิจกรรมอย่ างใดอย่ างหนึ่ ง เพื่ อผลประโยชน์ ของประชาชนโดยส่ วนรวม ประชาชน จะต้ องมีอสิ ระในทางความคิด มีความรู้ความสามารถ และ มี ค วามเต็ม ใจที่ จ ะเข้ าร่ วมต่ อ กิ จ กรรมนั้ น ๆ โดยการมี ส่วนร่วมของประชาชนเริ่มจากการสร้ างจิ ตสานึกในตนเอง ร่ วมคิ ด ด้ ว ยกั น ว่ าอะไรที่เป็ นปั ญ หาของชุ ม ชน ร่ วมกั น

วางแผนงานการดาเนินการติดตามประเมินผล และที่สาคัญ จะต้ องร่วมรับผลประโยชน์จากการมีส่วนร่วม (อรทัย ก๊กผล, 2549) แนวคิดดังกล่าวนี้สอดคล้ องกับสถานการณ์ การมี ส่วนร่วมในการจัดการเขตอนุ รักษ์สัตว์ นา้ ของชุมชนนี้ด้วย เช่นกัน กล่าวคือ 1. ระดับการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการเขต อนุรกั ษ์สตั ว์น้ า การมีส่ วนร่ วมในการจั ดการเขตอนุ รั กษ์ ฯ อยู่ ใน ระดับมาก และเพศชายมีส่วนร่วมในการจัดการเขตอนุรักษ์ สัตว์นา้ และส่วนใหญ่ เป็ นสมาชิกกลุ่มเขตอนุ รักษ์สัตว์น้า และกลุ่ มอื่น ๆ ในชุ ม ชนด้ วย มี การศึ กษาระดั บประถม ศึกษาเป็ นส่วนใหญ่ ประกอบอาชีพประมงเป็ นหลัก และ เป็ นคนดั้ ง เดิ ม ในพื้ นที่ ชุ ม ชนจึ ง มี ค วามสั ม พั น ธ์ เชิ ง เครือญาติ หรือความรู้สึกเป็ นญาติพ่ี น้ อง ซึ่ งเอื้อต่ อการ ส่งเสริมการมีส่วนร่ วมในการทากิจกรรมในชุ มชน อีกทั้ง กลุ่มผู้นาและแกนนาเป็ นกลุ่มคนที่ชุมชนให้ ความเคารพ และเชื่อถือ เป็ นผู้มีความหวงแหนและความใส่ใจในการ ดู แลจั ดการทรั พ ยากรธรรมชาติในชุ มชน รวมทั้งมี เวลา


166

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ในการทุ่ ม เทให้ กับ งานอนุ รั กษ์ และมี ค วามรั บผิ ด ชอบ เงื่อนไขต่างๆ เหล่ านี้ล้วนแต่ ทาให้ กลุ่มอนุ รักษ์เกิดความ เข้ มแข็ง ซึ่งนับเป็ นทุนทางด้ านสังคมที่มีอยู่แล้ วในชุ มชน นอกจากนั้นพบว่า การมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ฯ ทาให้ ทุน ทางสังคมในชุมชนเพิ่มขึ้นด้ วยเช่นกัน การมีส่วนร่วมของชุมชนโดยรวมอยู่ในระดับที่มาก (ค่าเฉลี่ย 3.50) ประชาชนเข้ ามามีส่วนร่วมในการจัดเขต อนุรักษ์สตั ว์นา้ ในทุกๆ ด้ าน แต่เมื่อพิจารณาในแต่ละด้ าน พบว่า 1) ชุมชนมีส่วนร่วมรับผลประโยชน์ในการจัดการ เขตอนุ รั กษ์ สัต ว์ น้า ในระดั บ มากที่ สุด (ค่ าเฉลี่ ย 3.92) เพราะผลลัพธ์มาจากการทาที่อยู่อาศัย และแหล่งเพาะพันธุ์ สัต ว์ น้า การจั ด ให้ เป็ นเขตอนุ รั กษ์ สัต ว์ น้า ส่ งผลให้ ทุ น ธรรมชาติ เพิ่ ม ขึ้ น ท าให้ ชาวประมงสามารถจั บ สัต ว์ น้ า ได้ มากขึ้น และมีรายได้ มากขึ้น 2) การมีส่วนร่ วมในการค้ นหาสาเหตุและปั ญหา อยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย 3.68) ชุมชนเกิดการเรียนรู้และ ค้ นหาสาเหตุของปั ญ หาการลดลงของสัตว์น้า ทั้งในด้ าน ปริ มาณ ขนาด และชนิ ด ของสั ต ว์ น้าที่ จั บ ได้ ว่ าเกิ ด จาก สาเหตุหลายประการ เช่น การเพิ่มขึ้นของจานวนประชาชน การจั บสัต ว์ น้าอย่ างท าลายล้ างของคนบางกลุ่ ม การใช้ เครื่องมือผิดประเภท ความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้ อมของ ทะเลสาบ และการลดลงของแหล่ ง น้ า ถาวรที่ มี อ ยู่ ใ น ธรรมชาติ เป็ นต้ น ทาให้ ชุ มชนเกิดความตระหนั ก และ พยายามค้ นหาวิธีการแก้ ไขปั ญหา โดยการทาที่อยู่ อาศั ย ของสัตว์นา้ (ซั้งบ้ านปลา) และการกาหนดเขตอนุรักษ์สตั ว์ นา้ โดยชุมชน 3) ชุมชนมีส่วนร่ วมในการปฏิบัติและดาเนิน การ อยู่ ในระดั บ มาก (ค่ า เฉลี่ ย 3.50) ชุ ม ชนเรี ย นรู้ วิ ธีการ อนุรักษ์ทรัพยากรในชุมชน มีการจัดตั้งกลุ่มเฝ้ าระวังในเขต อนุรักษ์สตั ว์นา้ เพื่อออกตรวจลาดตระเวนการรุกลา้ เข้ ามา ทาประมงในเขตอนุรักษ์ อีกทั้งยังร่วมกันระดมเงินทุน และ ออกแรงเพื่อช่วยกันซ่อมแซมที่อยู่อาศัยของสัตว์นา้ รวมถึง การแนะน าชักจู งให้ เพื่ อนบ้ านเห็นความสาคัญของการมี เขตอนุรักษ์สตั ว์นา้ 4) การมีส่วนร่ วมในการติดตามและประเมินผล อยู่ ในระดับปานกลาง (ค่ าเฉลี่ย 3.20) เพราะประชาชน

ส่วนใหญ่ร่วมติดตามและประเมินผลในรูปแบบของการเข้ า ร่วมประชุม รวมถึงการรับฟังเสียงตามสายในหมู่บ้าน 5) การมีส่วนร่ วมในการวางแผนเพื่ อแก้ ปัญหา มี ระดับปานกลาง (ค่ าเฉลี่ย 3.18) เนื่องจากกลุ่มแกนนามี หน้ าที่ในการวางแผนเพื่อหาแนวทางการแก้ ไข ซึ่งจะต้ องมี การติดต่อกับหน่วยงานภาครัฐในระดับต้ น เช่น การกาหนด กติกาเขตอนุรักษ์สตั ว์นา้ ตามข้ อกาหนดกับกฎหมายประมง จึงทาให้ การมีส่วนร่ วมในการวางแผนเพื่ อการแก้ ปั ญ หา ของประชาชนอยู่ในระดับปานกลาง ผลงานวิจัยนี้สอดคล้ องกับผลงานวิจัยของ (ตวงพร จันทร์แก้ ว, 2550) ซึ่งศึกษาการมีส่วนร่ วมของประชาชน เพื่ อจัดทาแนวทางในการจัดการทรัพยากรชายฝั่งในเขต อาเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส โดยใช้ วิธเี ชิงคุณภาพ ใช้ การ สั ม ภาษณ์ เชิ ง ลึ ก กั บ ผู้ ที่ ร้ ู ข้ อมู ล ในท้ อ งถิ่ น เป็ นอย่ า งดี จ านวน 42 ราย และการสนทนากับชาวประมงพื้ นบ้ าน จานวน 187 ราย พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่มีส่วนร่วมในการ ดาเนิ นการและรับผลประโยชน์จากการจัดการทรัพยากร มาก เนื่องจากมีความใกล้ ชิดและพึ่งพิงธรรมชาติ จึงทาให้ ต้ องมีความตื่นตัวและหันมาให้ ความสาคัญกับการจัดการ ทรัพยากร 2. ผลลัพ ธ์ข องการมี ส่ ว นร่ ว มของชุ ม ชนในการ จัดการเขตอนุรกั ษ์สตั ว์น้ า ผลลัพธ์จากการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการ เขตอนุ รั กษ์ เมื่ อวิ เคราะห์ ด้ ว ยแนวคิ ด การท ามาหากิ น (Livelihoods Approach) พบว่ า ทุนทุกด้ านมีการเพิ่ มขึ้น ตามลาดับได้ ดังนี้ 1) ทุนธรรมชาติ เพิ่ มมากที่สุดทั้งระดับครัวเรือน และชุมชน จากการทาซั้งบ้ านปลาเพื่ อเป็ นที่อยู่อาศัยของ สัต ว์ น้าวั ยอ่ อน ซึ่ งได้ เจริ ญ เติ บโตก่ อนออกไปนอกเขต อนุรักษ์ เมื่อพื้นที่ทาประมงของชุมชนมีความอุดมสมบูรณ์ ปริ ม าณสั ต ว์ น้ า ก็เพิ่ มมากขึ้ นด้ วย ท าให้ ประชาชนที่ ประกอบอาชี พ ประมงจั บสัตว์ น้าได้ มากเช่ น กัน และยั ง พบว่า 2) ทุนมนุษย์กเ็ พิ่มขึ้นทั้งระดับครัวเรือนและชุมชน เนื่ องจากประชาชนมี ทั กษะและความรู้จ ากการเข้ าร่ ว ม อบรม การศึ ก ษาดู ง านเกี่ ย วกั บ การจั ด การทรั พ ยากร ธรรมชาติโดยชุมชน ด้ วยการสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

3) ทุนเงินตรา เมื่อพิจารณาทั้งครัวเรือนและชุมชน นี้จะเห็นได้ ว่า ไม่ แตกต่ างกันนั ก กล่ าวคือ ประชาชนจั บ สัตว์นา้ ได้ มาก ทาให้ มีรายได้ ของคนในชุมชนเพิ่มมากขึ้น หนี้ สิ น ลดลง และยั ง ลดค่ าใช้ จ่ า ยในการซื้ อสั ต ว์ น้ า มา ทาอาหารด้ วย 4) ทุนทางกายภาพ เมื่อประชาชนมีรายได้ มากขึ้น ก็มีกาลังทรัพย์ท่จี ะสร้ างสิ่งอานวยความสะดวกมากขึ้น มี การบริจาคเงินเพื่ อสร้ างทางสาธารณประโยชน์ ในชุ มชน ชุมชนจึงมีเส้ นทางการคมนาคมและระบบสาธารณูปโภคที่ ดีข้ นึ 5) ทุนทางสังคม ทั้งในระดับครัวเรือนและระดับ ชุมชนอยู่ในลาดับน้ อยที่สุด เนื่องจากเดิมในชุมชนมีความ ขัดแย้ งที่เกิดจากการเมืองท้ องถิ่น ทาให้ สมาชิกในชุมชนมี ความคิดที่ไม่ตรงกันบ้ าง แต่เมื่อมีการร่วมทากิจกรรมกลุ่ม เพื่อประโยชน์ต่อครัวเรือนและชุมชนอย่างสม่าเสมอ มีการ ร่ วมมือในการทากิจกรรมร่ วมกับครอบครัวอื่นในชุ มชน มากขึ้น มีการช่วยเหลือเกื้อกูลระหว่างครัวเรือนตนเองกับ ครัวเรือนอื่นๆ ในชุมชน นอกจากนี้ ยังมีการสร้ างเครือข่าย กับหน่วยงานบุคคลภายนอกเพิ่มขึ้นอีกด้ วย งานวิจัยนี้สอดคล้ องกับผลงานวิจัยของ (วนัธศนันท์ ดุ ษ ฎีศุ ภ การย์ , 2558) จากการศึ กษาผลลั พ ธ์ของการมี ส่ วนร่ วมในการบริ ห ารจั ด การอ่ างเก็บน้า ต่ อชุ มชนและ ครั ว เรื อ น ในพื้ นที่ ห มู่ ท่ี 3 บ้ านทั บ คริ ส ต์ อ าเภอพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี ใช้ ท้งั วิธกี ารวิจัยเชิงปริมาณ คือ แบบ สอบถามกับตัวแทนครัวเรือน จานวน 143 ครัวเรือน และ วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพด้ วยการสัมภาษณ์และการสนทนา กลุ่มแกนนากลุ่มต่างๆ ในชุมชน พบว่า ผลลัพธ์ของทุน 5 ด้ านในการบริหารจัดการน้าในพื้ นที่หมู่ ท่ี 3 ทั้งในระดับ ครัวเรือน และระดับชุมชนในด้ านของ (1) ทุนมนุษย์ (2) ทุ น ทางสังคม (3) ทุ น ธรรมชาติ (4) ทุ น กายภาพ และ (5) ทุ นเงินตรามีความสอดคล้ อง นั้ นคือ ด้ านครัวเรือน ผลลัพธ์ทุน 5 ด้ าน ได้ แก่ ทุนมนุษย์ มีระดับมากที่สดุ นั้น หมายถึง ผลจากการมีส่วนร่ วมของชุ มชนทาให้ มีความรู้ ความเข้ าใจในการบริหารจัดการนา้ และเพิ่มความสามารถ ในการทางานมากยิ่งขึ้น ในขณะที่ระดับชุมชนผลลัพธ์ทุน 5 ด้ าน ได้ แ ก่ ทุ น เงิ น ตรา มี ร ะดั บ มากที่ สุด นั้ น หมายถึ ง ชุมชนมีรายได้ เพิ่มจากภาคการเกษตรสามารถเพิ่มผลผลิต

167

มากขึ้ น ซึ่ งเป็ นรายได้ ห ลั ก และสร้ างอาชี พ เสริ ม ให้ ทั้ ง ครัวเรือนและชุมชน และส่งผลต่อรายได้ ของคนในชุมชน ซึ่งผลทั้งหมดนี้ส่งผลนาไปสู่การพัฒนาระบบองค์กรชุมชน ให้ เกิ ด ความเข้ ม แข็ง และขั บ เคลื่ อ นงานของชุ ม ชนไป ในทางเดียวกัน เมื่อทุนทั้ง 5 ด้ าน เพิ่ มขึ้นก็จะส่งผลให้ ชุมชนเกิด ความเข้ มแข็งมากขึ้น ตามแนวคิดความเข้ มแข็งของชุมชน Norman Uphoff (1986 อ้ างถึงใน อรศรี งามวิทยาพงศ์ , 2551, น. 44-45) กล่าวคือ ความเข้ มแข็งของชุมชนเกิด จากปั จจัย 4 ประการ ได้ แก่ ทุน การจัดการ กระบวนการ เรียนรู้ และจิตสานึกร่วม ผลลัพธ์จากการมีส่วนร่วมในการ อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติของชุมชนส่งผลให้ ทุนธรรมชาติ และทุ น เงิ น ตราของชุ ม ชนเพิ่ ม ขึ้ น รวมทั้ งแกนน าและ สมาชิกในชุมชนได้ เพิ่มพูนความรู้และทักษะในการจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติ จากกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันในการ บริหารจัดการเขตอนุรักษ์ฯ ซึ่งนาไปสู่การสร้ างความสามัคคี และจิตส านึ กร่ วมกันของชุ มชนในการอนุ รักษ์ ทรัพ ยากร ธรรมชาติของตน ปฏิสัมพันธ์ของปั จจัยดังกล่ าวจึงเอื้อให้ ชุมชนนี้มีความเข้ มแข็งมากขึ้น และเป็ นปั จจัยที่จะส่งเสริม ให้ ชุมชนสามารถพั ฒนาได้ อย่ างต่ อเนื่องในอนาคต ทั้งนี้ บทเรียนและประสบการณ์ในการดาเนินงานของชุมชนน่าจะ เป็ นแนวทางที่หน่วยงานต่างๆ สามารถนาไปประยุกต์ใช้ เพื่อ ส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติของชุมชนอื่นๆ ได้ เช่นกัน สรุปผลการศึกษาและข้อเสนอแนะ สรุปผลการวิจยั การมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการเขตอนุ รักษ์สตั ว์ น้ า ของชุ ม ชนหมู่ ท่ี 1 ต าบลป่ าขาด อ าเภอสิ ง หนคร จังหวัดสงขลา ในช่ วง พ.ศ.2555-2558 โดยรวมอยู่ ใน ระดับมาก ระดับการมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์อยู่ใน ระดั บ มากที่ สุ ด ซึ่ งเป็ นผลมาจากการที่ ช าวบ้ า นมี ส่ ว น ร่วมกันในการจัดทาเขตอนุ รักษ์สัตว์นา้ และช่ วยกันรักษา เขตอนุรักษ์สัตว์นา้ โดยมีกฎกติกาชุมชนในการจับสัตว์นา้ และการเฝ้ าระวังออกตรวจลาดตระเวนการทาประมงผิด กฎหมาย กระบวนการมีส่วนร่วมเริ่มจากการที่ชาวบ้ านเริ่ม ค้ นหาสาเหตุและรวมกันแก้ ไขปั ญหา และเกิดกลุ่มแกนนา


168

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ซึ่งทาหน้ าที่หลักในการบริหารจัดการทรัพยากรของชุมชน เกิ ด ผลลั พ ธ์ ท่ี ชั ด เจน ได้ แก่ การเพิ่ มขึ้ นของด้ านทุ น ธรรมชาติ ทุนมนุษย์ ทุนเงินตรา ทุนกายภาพ และทุนสังคม คือ เมื่อทรัพยากรสัตว์นา้ มีความอุดมสมบูรณ์ชาวบ้ านจับ สัต ว์ น้าได้ มากขึ้น รายได้ ก ็เพิ่ มขึ้น ด้ วย ท าให้ ฐานะทาง เศรษฐกิจดีข้ นึ ชาวบ้ านมีคุณภาพชีวิตดีข้ นึ กว่าเดิม ไม่ต้อง อพยพไปหางานท าในเมื อ ง ทรั พ ยากรประมงที่ มี อ ยู่ เพี ยงพอส าหรับการด ารงชี วิต นอกจากนี้ กระบวนการมี ส่วนร่วมทาให้ เกิดทักษะความรู้ ความเข้ าใจ เกิดความรู้สกึ เป็ นเจ้ าของ นาไปสู่การพัฒนาชุมชนให้ เกิดความเข้ มแข็ง มากขึ้น

วิชาความรู้ ผู้มีพระคุณทุกท่าน ตลอดจนผู้เขียนตาราทาง วิชาการที่ผ้ วู ิจัยอ้ างอิงทุกท่าน ขอขอบคุณบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ให้ ทุนสนับสนุนงานวิจัย

ข้อเสนอแนะ 1. รัฐควรร่ วมมือกับประชาชนในการบริหารจัดการ ทรัพยากรที่มีอยู่ในชุ มชน ในลักษณะของการจัดการร่ วม (Co-Management) โดยประชาชนเป็ นผู้ มี บ ทบาทหลั ก ในขณะที่รัฐควรมีบทบาทเป็ นผู้เสริมสนับสนุนด้ านความรู้ งบประมาณ รวมทั้งทาหน้ าที่ป้องกันและแก้ ไขข้ อพิพาทที่ เกิดขึ้นกับคนนอกชุมชน 2. เพื่ อให้ กลุ่มหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นดารงอยู่ ต่ อไป จาเป็ นต้ องมีการสร้ างผู้นารุ่นใหม่ เพื่อสืบสานเจตนารมณ์ โดยการปลูกจิตสานึก อนุ รักษ์และหวงแหนทรัพยากรที่มี อยู่ในชุมชน ให้ แก่ท้งั ประชาชนและเยาวชนในพื้ นที่ เพื่ อ เป็ นกาลังสาคัญในการอนุรักษ์ทรัยพากรสัตว์นา้

กรมส่ ง เสริ ม คุ ณ ภาพสิ่ ง แวดล้ อม. (2551). รายงาน สถานการณ์ส่ ิงแวดล้อมอย่างง่ายสาหรับชุมชน. กรุงเทพฯ: กรมส่ งเสริ มคุ ณ ภาพสิ่งแวดล้ อม, กระทรวงทรั พ ยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้ อม. [2]

กิตติกรรมประกาศ การศึกษาค้ นคว้ าด้ วยตนเองในครั้งนี้ สาเร็จลุล่วงได้ อย่ า งสมบู ร ณ์ ด้ วยความอนุ เ คราะห์ และได้ รั บ ความ ช่ วยเหลื อเป็ นอย่ างดี ย่ิ งจาก ศู น ย์ บริ ห ารจั ดการประมง ทะเลภาคใต้ ตอนล่างสงขลา สานักงานประมงจังหวัดสงขลา องค์กรปกครองส่วนท้ องถิ่นตาบลป่ าขาด และขอขอบคุณ ผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรมการเขตอนุรักษ์สตั ว์นา้ และชาวบ้ าน หมู่ท่ี 1 ตาบลป่ าขาด อาเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา ที่ให้ ความร่วมมือ และกาลังใจ รวมทั้งให้ ความช่วยเหลือแก่ผ้ ูวิจัย ด้ วยดี ผู้วิจัยขอขอบพระคุณเป็ นอย่างสูง ณ ที่น้ ี คุณค่าและประโยชน์จากการศึกษาค้ นคว้ าฉบับนี้ ผู้วิจัย ขอมอบแด่บุพการี ครูอาจารย์ทุกท่านที่ได้ ประสิทธิ์ประสาท

เอกสารอ้างอิง กรมทรั พ ยากรธรณี . (2550). โครงการส ารวจเพื ่อการ จัดการทรัพยากรธรณี ลุ่มนา้ ทะเลสาบสงขลา. สารวจธรณี เคมี แ ละการพั ง ทลายหน้ า ดิ น ลุ่ ม น ้า ทะเลสาบ สงขลา ตอนบน. กรุงเทพฯ: กรมทรัพยากรธรณี. [1]

โครงการจั ด การทรั พ ยากรชายฝั่ ง . (2548). คู่ มื อ การ จัดการร่วม. กรุงเทพฯ: โครงการจัดการทรัพยากรชายฝั่ง ( Coastal Habitats and Resources Management Project: CHARM). [3] ตวงพ ร จั น ทร์ แ ก้ ว. (2550). แน วทางการจั ด การ ทรัพยากรชายฝั่งอาเภอเมื องนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยมหิ ดล, นครปฐม. [4] บาเพ็ญ เขียวหวาน. (2550). การส่งเสริมการมีส่วนร่ วม ของชาวบ้ านในการฟื้ นฟู ท รั พ ยากรชายฝั่ ง ขององค์ ก ร พัฒนาเอกชน กรณี โครงการอันดามัน. ใน การประชุมทาง วิช าการของมหาวิ ท ยาลัย เกษตรศาสตร์ ครัง้ ที ่ 45 (น. 101-110). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. [5] เยาวนิจ กิตติธรกุล, ศิริมาศ ภูวเจริญพงศ์, วิจิตรา อุตะมะ มุ ณี ย์ และยุ รี แก้ ว ชู ช่ ว ง. (2557). การจัด การความรู ้ โครงการเพิ่ มศักยภาพการปรับตัวของชุมชนชายฝั่งทีเ่ สีย่ ง การเปลี ่ย นแปลงสภาพภู มิ อ ากาศ (INCA) (รายงาน ผลการวิจัย). สงขลา: สถาบันทรัพยากรทะเลและชายฝั่ง , มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขต หาดใหญ่. [6]


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

เลิ ศ ชาย ศิ ริ ชั ย และนฤทธิ์ ดวงสุ ว รรณ์ . (2552). พัฒนาการการใช้ทรัพยากรในทะเลสาบสงขลา ศึ กษากรณี ชุ มชนประมงพื้ นบ้าน. ชุ ด โครงการวิ จ ัย ประวัติ ศ าสตร์ ท้องถิ่ นภาคใต้บ ริ เวณลุ่ มน ้าทะเลสาบสงขลา (รายงาน ผลการวิจัย). กรุงเทพฯ: สานักงานกองทุนสนับสนุ นการ วิจัย. [7]

169

อรทัย ก๊กผล. (2549). การบริหารจัดการการมี ส่วนร่วม ของประชาชนในองค์กรปกครองท้องถิ่น. กรุงเทพฯ: คณะ รัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. [12]

อรศรี งามวิ ท ยาพงศ์ . (2551). กรอบความคิ ด เพื ่ อ การศึ กษาชุมชนอย่างบูรณาการ. ตาราประกอบการสอนใน หลักสูตร ศิ ลปะศาสตร์มหาบัณฑิต, สาขาวิชาชนบทศึ กษา วนั ธศนั นท์ ดุ ษฎีศุภการย์. (2558). การมี ส่ วนร่ วมของ และการพัฒ นา. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลั ยธรรมศาสตร์ . ชุมชนในการบริหารจัดการนา้ กรณีศึกษาโครงการอ่ างเก็บ [13] น ้ า บางทรายน วลอั น เนื ่ อ งมาจากพ ระบาทสมเด็ จ พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ชุมชนบ้านทับคริสต์ ตาบล อีฟ เฮ็นนอกซ์, สุวลักษณ์ สาธุมนัสพันธุ,์ กังวาลย์ จันทร คลองชะอุ่ น อ าเภ อพ น ม จั ง ห วั ด สุ ร าษ ฎ ร์ ธ านี . โชติ และสั ญ ชั ย ตั ณ ฑวณิ ช . (2549). คู่ มื อ ประเมิ น (วิ ท ยานิ พ นธ์ ป ริ ญ ญ ามหาบั ณ ฑิ ต ). มหาวิ ท ยาลั ย ความก้าวหน้า ในการจัด การชายฝั่ ง (เพื ่ อ ความเข้า ใจ ร่วมกันเกีย่ วกับบทบาทของการจัดการร่วม). กรุงเทพฯ, สงขลานครินทร์, สงขลา. [8] โครงการจัด การทรัพ ยากรชายฝั่ง (Coastal Habitats and ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนล่ าง. Resources Management Project: CHARM). [14] (2552). สั ต ว์ไ ม่ มี ก ระดู ก สัน หลั ง ในลุ่ ม น ้า ทะเลสาบ สงขลา. หนั ง สื อ ชุ ด โครงการศึ กษารวบรวมข้อ มู ล Ostrom, E. (1 9 9 0 ) . Governing the Commons: The สารสนเทศ และแผนที ่ความหลากหลายทางชี วภาพและ Evolution of Institutions for Collective Action. ทรัพยากรทางทะเล ลุ่มนา้ ทะเลสาบสงขลา, กรมทรัพยากร Cambridge, UK: Cambridge University Press. ทางทะเลและชายฝั่ ง. กรุ ง เทพฯ: กระทรวงทรั พ ยากร Schlager, E., & Ostrom, E. (1992). Property-Rights ธรรมชาติและสิ่งแวดล้ อม. [9] Regimes and Natural Resources: A Conceptual ส านั ก งานนโยบายและแผนทรั พ ยากรธรรมชาติ แ ละ Analysis. Land Economics, 68(3), 249-262. สิ่งแวดล้ อม. (2554). โครงการพัฒ นาลุ่มน า้ ทะเลสาบ Translated Thai References สงขลา การทบทวนและปรับปรุงแผนแม่บทการพัฒนาลุ่ม น ้า ทะเลสาบสงขลา ฉบั บ ปรับ ปรุ ง พ.ศ.2556-2559 Center for Marine and Coastal lower Gulf of Thailand. (รายงานผลการวิ จั ย). กรุงเทพฯ: กระทรวงทรั พ ยากร (2 0 0 9 ). Invertebrates in the lake basin. Book Study ธรรมชาติและสิ่งแวดล้ อม. [10] collected information, Map and biodiversity, Marine Resources Songkhla Lake Basin. Bangkok: Ministry of อนุวัฒน์ นทีวัฒนา. (2551). พื้นทีค่ มุ้ ครองสิ่งแวดล้อมใน Natural Resources and Environment. [in Thai] [9] ประเทศไทย: เป้ าหมายปี ค.ศ.2010/2012 ภายใต้ อนุ ส ัญ ญาว่าด้วยความหลากหลายทางชี วภาพ. เอกสาร ChanKaew, T. (2 0 0 7 ). Management Guidelines For เผยแพร่สานักงานอนุ รกั ษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง Coastal Resources Muang Narathiwat District, ฉบับที ่ 35. กรุงเทพฯ: กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง Narathiwat Province. (Master’s thesis). Mahidol กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้ อม. [11] University, NakhonPathom. [in Thai] [4]


170

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

Coastal Habitats and Resources Management Project. Kittitomkool, J., Puwacharoenphong, S., Autamanunee, W., (2 0 0 5 ) . Guide co-management. Bangkok: Coastal & Kaewchuchuang, Y. (2014). Knowledge Management Resources Management Project. [in Thai] [3] project to enhance the adaptability of coastal communities vulnerable to Climate Change (INCA) (Research Department of Environmental Quality Promotion. report). Songkla: Marine and Coastal Resources (2 0 0 8 ) . Report environmentally friendly community. Institute. Prince of Songkla University. [in Thai] [6] Bangkok: Ministry of Natural Resources and Environment. [in Thai] [2] Kokphon, O. (2 0 0 6 ) . Management, with the participation of citizens in local government. Bangkok: Department of Mineral Resources. (2 0 0 7 ) . Survey Faculty of Political Science. Bangkok: Thammasat Management Resources Songkhla Lake Basin, University. [in Thai] [12] Geochemical Surveys and Soil erosion on the Songkhla Lake Basin. Bangkok: Department of Mineral Resources. Nathiwatthana, A. (2 0 0 8 ). In the protection area of [in Thai] [1] environmental in thai: the target year 2010/2012 The Convention on Biological Diversity. Bangkok: Ministry Dudsadeesupakarn, W. (2015). Community Participation of Natural Resources and Environment. [in Thai] [11] in Water Management: A Case Study of Bang Sai-nuan Reservoir Project under His Majesty King Bhumbol Ngamwitthayaphong, 0. (2008). Conceptual studies Adulyadej at Thap Christ village, Kong Cha Oun for community integration. Textbooks for teaching in Subdistrict, Phanom District, Suratthani Province. the Master of Arts course, Department of Rural (Master’s thesis). Prince of Songkla University, Songkla. Education and Development. Bangkok: Thammasat [in Thai] [8] University. [in Thai] [13] Hennox, E., Sathumanutphan, S., Jantharachot, K., & Tuntawanit, S. (2 0 0 6 ) . Guide assess progress in coastal management. (To a common understanding about the role of co-management). Bangkok: Coastal Habitats and Resources Management Project: CHARM. [in Thai] [14]

Office of Natural Resources and Environmental Policy and Planning. (2 0 1 1 ) . Songkhla Lake Basin Development Review and update the master plan to develop the Songkhla Lake Basin REVISED 2 0 1 3 2016 (Research report). Bangkok: Ministry of Natural Resources and Environment. [in Thai] [10]

Keowan, B. (2007). To encourage the participation of local people in the regeneration of coastal resources, of NGO Project Andaman, Processing Symposium. In The 45th Kasetsart University Annual Conference (pp. 101110). Bangkok: Kasetsart University. [in Thai] [5]

Sirichai, L., & Dungsuwan, N. (2009). Improve the use of resources in the lake, A case study of the local fishing community. A series of research projects, local history, Southern lake watershed ( Research report). Bangkok: The Thailand Research Fund. [in Thai] [7]


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

171

ความเชื่อและพิธีกรรมลิมนต์ในจังหวัดสงขลา นันทิยา ชูดา

Belief and Limont Ritual in Songkhla Province Nantiya Choodam สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล 999 ถนนพุทธมณฑลสาย 4 ตาบลศาลายา อาเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม 73170 Research Institute for Languages and Cultures of Asia, Mahidol University 999 Phuttamonthon 4 Road, Salaya, Nakhon Pathom 73170 Corresponding author. E-mail address: Nidnoi_3@hotmail.com บทคัดย่อ การศึกษาวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความเชื่อและรูปแบบหรือกระบวนการของพิธีกรรมลิมนต์ในจังหวัดสงขลาที่ยังคงมีการประกอบ พิธีกรรมอยู่อย่างต่อเนื่อง ผู้วิจัยเลือกใช้ แนวคิดในเรื่องภูมิปัญญามาใช้ ทาความเข้ าใจความเชื่อและพิธกี รรมลิมนต์ เพราะพิธกี รรมลิ มนต์เป็ น ผลของบริบททางสังคมวัฒนธรรม ซึ่งสะท้ อนพื้นฐานรากเหง้ าของคนภาคใต้ และประยุกต์ใช้ แนวคิดของเดอร์ไคม์ในการศึกษาพิธีกรรมด้ วย การจาแนกแยกแยะระหว่างสิ่งศักดิ์สทิ ธิ์ (The Sacred) กับสิ่งสาธารณะ (The Profane) และแนวคิดของวิคเตอร์ เทอร์เนอร์ในการเปลี่ยนผ่าน สถานภาพ (Rite de passage) ในพิธีกรรมลิมนต์ การออกแบบวิจัยใช้ ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ซึ่งสามารถอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคม ผ่านการวิเคราะห์ ตีความเพื่ออธิบายความเชื่อและพิธกี รรมลิมนต์จากมุมมองของเจ้ าของวัฒนธรรมตามสภาพความเป็ นจริง ผลการศึกษา พบว่ า ในพื้ นที่อาเภอนาหม่อม และอาเภอนาทวี จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็ นพื้นที่สนาม ยังคงมีการประกอบพิธีกรรมลิมนต์อยู่ อย่ างต่ อเนื่อง อันเป็ นผลจากความเชื่อพื้นบ้ านที่มีอยู่มากมาย ได้ แก่ ความเชื่อเกี่ยวกับผีบรรพบุรุษ เครื่องรางของขลัง และเวทมนต์คาถา นายมนต์และนางทรง บทร้ องหรือบทบูชา และดนตรีพ้ ืนบ้ าน การเข้ าทรง หลอมรวมเป็ นระบบความเชื่อของลูกหลานที่มีต่อบรรพบุรษุ สะท้ อน ให้ เห็นว่า คนภาคใต้ ให้ ความสาคัญกับระบบเครือญาติ การนับถือผู้อาวุโส และจิตสานึกร่วมของสังคม ในด้ านรูปแบบหรือกระบวนการของพิธีกรรมลิมนต์ พบว่า มีความซับซ้ อน ความละเอียดอ่อน รวมทั้งสอดคล้ องกับระบบความเชื่อของ แต่ละพื้นที่ ดังปรากฏในรูปแบบตั้งแต่การจัดหาวันเวลา การรับขันหมากเพื่อบอกกล่าวการจัดงาน การจัดเตรียมงาน การประกอบพิธี ขั้นตอน พิธีกรรมต่างๆ นอกจากนี้ พบว่า มีการจาแนกแยกแยะพื้นที่ออกเป็ นพื้นที่ศกั ดิ์สทิ ธิ์และพื้นที่สาธารณะ และแสดงให้ เห็นพิธกี รรมเปลี่ยนผ่าน จากพื้นที่ท้งั สอง เช่ น การเปลี่ยนผ่านของนางทรงจากคนปกติไปสู่ร่างทรง และจากร่างทรงกลับมาสู่สถานภาพเดิม พิธกี รรมลิมนต์จึงไม่ได้ เป็ น ภูมิปัญญาหนึ่งที่บรรพบุรุษได้ สรรสร้ าง สืบทอดความเชื่อต่ อบรรพบุรุษ เชื่อในผีตายายที่ปกปั กรักษาลูกหลานเท่านั้น แต่ ยังเป็ นสานึกทาง วัฒนธรรม ช่วยสร้ างจิตสานึกร่วมของคนในท้องถิ่นผ่านรูปแบบของพิธกี รรมศักดิ์สทิ ธิ์ คาสาคัญ: ความเชื่อ พิธกี รรมลิมนต์ ผีตายาย นายมนต์ นางทรง Abstract The purpose of this research was to examine beliefs and formats or procedures of Limont Ritual (an ancestor worship ritual) in Songkhla Province that has been continually held by groups of local people. In this research, local wisdom concept was deployed to comprehend beliefs and the ritual itself since the ritual was influenced by socio-cultural context which reflects the origin of southern people. Furthermore, Emile Durkheim’s thought was used to study the ritual by separating the sacred from the profane while Victor Turner’s concept of liminality (Rite de passage) was brought to investigate the ritual. By this, qualitative research methodology was chosen as a research design in order to describe social phenomena through analyzing and interpreting methods for explaining facts of beliefs and Limont Ritual from insider view. The findings showed that Limont Ritual is plentifully held in Amphur Na-mom and Amphur Nathawee, Songkhla Province where local people are still carrying on the ritual. This consequence is resulted from folklores, such as beliefs of ancestor souls, talismans and magic, Nai Mont and Nang Song (a leader of the group that holds the ritual and a medium who communicates with spirits,


172

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

respectively), chants and folk music, and spiritualism. These unite the descendants’ belief of their ancestors which represent that southern people give precedence to their family, pay respect to the elders, and pay attention to social consciousness. The research also found that pattern or procedures of the ritual are complexity, delicacy, and according with beliefs in different areas where the ritual is held. These could be seen in many complicated things included in the ritual, for example calculating and picking an auspicious day, getting Khan Mak (a parade procession that may include gifts, sacred things or things used in the ritual, depending on types of the ritual) from the organizer of the ritual, together with the practices and the ritual operations. Besides, Limont Ritual demonstrates the separation between the sacred area and the profane area before these two areas going through the liminality process. Nang Song, for instance, changes from an ordinary person to the medium before returning to a previous character when the ritual is finished. To summarize, it could be regarded that Limont Ritual is not only a folk wisdom of the older generation that inherits beliefs of their ancestors and Phi Ta Yai (ancestor ghosts who protect the descendants from evil) but also a cultured conscious which helps building local consciousness in the form of the sacred ritual. Keywords: Beliefs, Limont Ritual, Phi Ta Yai, Nai Mont, Nang Song

บทนา ความเชื่อในเรื่องผีบรรพบุรุษเป็ นสิ่งหนึ่งที่คนภาคใต้ ให้ ค วามส าคัญ และได้ รับการปลู กฝั งแนวคิด นี้ สืบทอด เรื่อยมา ดังเช่น วัฒนธรรมการฝังศพไว้ ในแหล่งที่อยู่อาศัย ของคนก่อนประวัติศาสตร์หลายพั นปี สะท้ อนความรู้สึก ผูกพันกับคนตายซึ่งเป็ นบุคคลในครอบครัว และมีนัยไปสู่ เรื่องผีบรรพบุรุษที่คอยให้ ความปกป้ องคุ้มครอง (อมรา ศรี สุช าติ , 2544) จะเห็น ว่ า พิ ธีกรรมต่ างๆ ในปั จจุ บั น จานวนมากล้ วนมี ความผู กพั นกับผี บรรพบุ รุษ เช่ น พิ ธี โนราโรงครู ที่มีการเซ่ นไหว้ ผีบรรพบุรุษหรือครูหมอโนรา พิ ธีสารทเดื อนสิบ หรือการท าบุ ญ ครั้งใหญ่ ให้ แก่ ผีห รื อ วิญญาณบรรพบุรษุ ที่เป็ นเปรตตามความเชื่อที่สบื ต่อกันมา พิธกี รรมลิมนต์กเ็ ป็ นอีกพิธกี รรมหนึ่งที่คนภาคใต้ ตอนล่าง จัดขึ้น เพื่ อเซ่ นไหว้ ผีบรรพบุรุษ หรือที่เรียกว่ า ผีตายาย ซึ่งคนภาคใต้ ส่วนใหญ่เชื่อในเรื่องการปกป้ องคุ้มครองโดย บรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้ ว ที่ยังคงดูแลรักษา และปกป้ อง ลูกหลานของตน นอกจากความเชื่อในเรื่ องผี หรือวิญ ญาณบรรพบุ รุษ แล้ ว ยังพบว่ า ความเชื่อต่ อสิ่งศักดิ์สิทธิ์อ่ ืน ในเรื่องมนต์ คาถา การถือเคล็ดต่างๆ รวมถึงการทรงเจ้ าเข้ าผีกม็ ีความ สัมพั น ธ์กัน ในวั ฒ นธรรมลิ ม นต์ ลิ มนต์ เป็ นวั ฒ นธรรม ท้ องถิ่นที่เกี่ยวพั นกับความเชื่อในสิ่งที่มี เชื่อในสิ่งที่เป็ น เชื่อในการกระทา และการแก้ เหตุให้ คลายหรือหมดสิ้นไป เป็ นต้ นเหตุของกิจกรรมการเล่นลิมนต์ ตราบใดที่ยังมีความ เชื่อของผู้คนในสังคมและวัฒนธรรมนั้น พิ ธีกรรมลิมนต์ ก็ยังคงมีความจาเป็ นและทาบทบาทหน้ าที่ของลิมนต์ต่อไป

(ณรงค์ ชั ย ปิ ฎกรั ช ต์ , 2544) ซึ่ ง ความเชื่ อ ในเรื่ อ งนี้ มี ความหมายต่ อลู ก หลานคนรุ่นหลั งที่ได้ จัด พิ ธีบ วงสรวง สังเวยเซ่นไหว้ ตายายหรือบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ ว มีผล ต่อจิตใจของผู้ท่มี ีความเคารพนับถือต่อบรรพบุรุษของตน ในการบนบานให้ ตนรอดพ้ นต่ อความเจ็บป่ วย รวมถึ ง เคราะห์ภัยต่างๆ ลิ ม นต์ มี ท้ั ง ความเหมื อ นและความแตกต่ า งกั น ใน แต่ละพื้นที่ พิธกี รรมลิมนต์นิยมจัดขึ้นทั้งตามความเชื่อของ ชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิม ขณะเดียวกันชื่อเรียกของ พิ ธีกรรมจึ งมี ค วามแตกต่ างกันไปในแต่ ละท้ องถิ่น เช่ น โต๊ะครึม นายมนต์ หรือลิมนต์ โดยภาพรวมพิธกี รรมนี้เป็ น พิธกี รรมที่เกิดขึ้นในภาคใต้ เกี่ยวข้ องกับการเคารพนับถือ ผีบรรพบุ รุษ เป็ นการละเล่ น บู ชาครูห มอตายาย เพื่ อให้ เข้ าทรงเมื่อมีคนเจ็บไข้ ได้ ป่วย และเชื่อว่า การป่ วยนั้นเกิดจาก ตายายที่ล่วงลับไปแล้ วมาทาโทษหรือตายายของโต๊ะครึม เองที่เรียกว่า “ตายายผีเรียก” มาให้ โทษ เชื่อกันว่า ผู้ท่ถี ูกโทษ ดังกล่าวจะเกิดอาการเจ็บไข้ เรื้อรัง เน่าเปื่ อย หรืออาจเป็ นบ้ า ถ้ านาไปรักษาที่โรงพยาบาลอาการจะทรุดหนักยิ่งขึ้นและ รักษาไม่หาย จะหายได้ กต็ ่อเมื่อรับโต๊ะครึมมาเล่ นเท่านั้น ตามปกติโต๊ะครึมจะไม่เล่นในโอกาสอื่น นอกจากเพื่อขับไล่ ผีให้ ผ้ ูป่วย เพราะสาเหตุถูกผีตายายดังกล่าวแล้ วโดยทั่วไป โต๊ะครึมมักจะเล่น 3 วัน 3 คืน โดยจะเข้ าโรงในวันพุธและ เลิกพิธใี นวันศุกร์ แต่ถ้าผู้ป่วยถูกผีตายายจานวนมากมารุม กัน ท าโทษ (บางทีมี ผี ต ายายมารุมให้ โทษถึ ง 150 คน) ก็จะต้ องเล่ น กัน หลายวั น แต่ นิ ยมเลิ กเล่ น พิ ธีเฉพาะวั น พฤหั สบดี ศุ กร์ หรื อเสาร์ เท่ านั้ น (สุธิวงศ์ พงศ์ ไพบู ล ย์


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

และภิ ญโญ จิตต์ธรรม, 2542) ซึ่งพิ ธีกรรมลิมนต์กจ็ ะมี ผู้ประกอบพิธีท่เี รียกว่ า “โต๊ะครึม” หรือ “นายมนต์” คือ ผู้นาในการประกอบพิธี จะเป็ นผู้ควบคุมดูแลขั้นตอนต่างๆ ในพิ ธี สามารถออกค าสั่งการจั ด การในพิ ธีได้ และเล่ น ดนตรีประกอบค าบู ช าครูหมอตายาย โดยมี “ทับ” เป็ น เครื่องดนตรีหลักสาคัญของการประกอบพิธกี รรม ทับที่ใช้ จะมีจานาน 3-5 ลูก ใช้ ผ้ ูเล่น 3-5 คน การตีทับจะใช้ ประกอบ การทาพิธขี องนายมนต์ ซึ่งจะพบว่า พิธกี รรมส่วนใหญ่จะมี การนาดนตรีเข้ ามาใช้ เป็ นเครื่องประกอบจังหวะในระหว่าง การประกอบพิธกี รรม ในส่วนของลิมนต์ได้ มีเครื่องดนตรี ทับใช้ เป็ นเครื่องประกอบการให้ จังหวะ โดยเป็ นส่วนหนึ่ง ต่อการประกอบพิธี ทุกวันนี้ การประกอบพิ ธีกรรมลิมนต์ยังคงพบมากใน จังหวัด ภาคใต้ ตอนล่ าง ได้ แก่ จั งหวั ดนครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปั ตตานี ยะลา และนราธิวาส โดยเฉพาะใน พื้ นที่ของจังหวัดสงขลา (ณรงค์ชั ย ปิ ฎกรัชต์ , 2544) มี นายมนต์ร่นุ เก่าที่มีความรู้ความสามารถ และมีประสบการณ์ ในเรื่ องนี้ มายาวนาน ถ่ ายทอดให้ แก่ ลู กหลาน หรื อคน รุ่นใหม่ อย่ างไรก็ดี การประกอบพิ ธีในแต่ ละพื้ นที่อาจมี ความแตกต่างในรายละเอียดบางประการตามแต่ละท้ องถิ่น เช่น อาเภอนาทวีและอาเภอนาหม่อม จังหวัดสงขลา ยังคง มีการสืบทอดขบวนความเชื่อดั้งเดิมที่ผสมผสานวัฒนธรรม ไทยพุทธ มุสลิม และยังคงรักษารูปแบบความเชื่อพิธกี รรม ดั้งเดิมเอาไว้ ดังที่ นายมนต์จ้วน ชุ มวาส (วิทยากร) ได้ กล่าวไว้ รวมถึงคนในชุมชนก็ยังคงมีการสืบทอดความเชื่อ พิธกี รรมที่มกี ารจัดขึ้นต่อเนื่องทุกปี ผู้วิจัยจึงสนใจศึกษาความสัมพันธ์ของความเชื่อของคน ไทยภาคใต้ และพิธกี รรมลิมนต์ ในด้ านของนายมนต์ ความ เชื่อ พิธกี รรม ดนตรี คนป่ วยหรือคนบนบาน และชาวบ้ าน เพื่ อท าความเข้ าใจภู มิ ปั ญ ญา รวมถึ ง โลกทั ศ น์ ข องคน ภาคใต้ ในพื้นที่จังหวัดสงขลา ที่มีการประกอบพิ ธี และมี การสืบทอดมายาวนาน วัตถุประสงค์ของการศึกษา 1. เพื่อศึกษาความเชื่อและพิ ธีกรรมลิมนต์ในจังหวัด สงขลา

173

2. เพื่ อศึกษารูปแบบหรือกระบวนการของพิ ธีกรรม ลิมนต์ วิธีการศึกษาและวัสดุอุปกรณ์ ผู้วิจัยใช้ ระเบียบวิจัยเชิงคุณภาพและการทางานสนาม ทางมานุ ษยวิ ทยาสังคมวัฒ นธรรม โดยการเก็บรวบรวม ข้ อมูล สังเกตการณ์อย่ างมีส่วนร่ วมและไม่ มีส่วนร่ วม ใน พิ ธีกรรมลิมนต์ สัมภาษณ์เจาะลึกบุ คคลผู้ท่ีเกี่ยวข้ องกับ พิ ธีกรรมลิมนต์ รวมทั้งศึกษาข้ อมูลเพิ่ มเติมจากเอกสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้ อง ข้ อมูลสื่อภาพ/วีดีโอ จากนั้นนาข้ อมูล มาวิเคราะห์ ตรวจสอบ สรุป และอภิปรายผล วิธีดาเนินการ 1. การเลือกพื้ นที่และผูใ้ ห้ขอ้ มูล ผู้วิจัยได้ ทบทวนวรรณกรรมจากเอกสาร และงาน วิ จั ย ที่ เ กี่ ย วข้ อง เพื่ อน าข้ อมู ล ที่ ไ ด้ มาก าหนดเกณ ฑ์ ในการเลื อ กพื้ นที่ ส นามโดยเป็ นพื้ นที่ ภ าคใต้ ต อนล่ า ง ซึ่งได้ แก่ พื้นที่ จังหวัดสงขลา ในอาเภอนาทวี และอาเภอ นาหม่ อ ม สาเหตุ ท่ีเลื อ กพื้ นที่ดั งกล่ าว เนื่ องจากอาเภอ นาทวี และอาเภอนาหม่อม เป็ นพื้นที่ท่คี นในท้ องถิ่นยังคง มีความเชื่อในเรื่องผีบรรพบุรุษหรือผีตายายสืบต่ อมาถึง ปั จจุบัน เห็นได้ จากการที่พ้ ืนที่เหล่านี้ยังคงมีการประกอบ พิ ธีกรรมลิมนต์อยู่ อย่ างต่ อเนื่ อง เพราะพิ ธีน้ ีจะจัดขึ้นใน พื้นที่ภาคใต้ ตอนล่ าง อีกทั้ง ในพื้ นที่ยังมีนายมนต์อาวุโส อาศัยอยู่ ซึ่งมีประสบการณ์ ความรู้ทางด้ านนี้มายาวนาน และยั งคงพยายามรั ก ษารู ป แบบหรื อกระบวนการของ พิธกี รรมไว้ คงเดิมที่สดุ 2. ผูใ้ ห้ขอ้ มูล (1) วิทยากรท้ องถิ่น ซึ่ งเป็ นผู้ ท่ีอยู่ อาศั ยในพื้ นที่ มาเป็ นเวลายาวนาน และเป็ นผู้มีความรู้หรือมีประสบการณ์ ในพิ ธีกรรมลิมนต์ เช่ น เคยเข้ าร่ วมพิ ธีกรรมลิมนต์ หรือ สามารถให้ ข้อมูลเกี่ยวกับพิธกี รรมลิมนต์ได้ ได้ แก่ นางขบวน แก้ วทอง อายุ 65 ปี อาศัยในพื้นที่ อาเภอนาทวี จังหวัดสงขลา นางนา ชุมวาส อายุ 65 ปี อาศัยในพื้นที่อาเภอ นาทวี จังหวัดสงขลา (2) นายมนต์ และลูกคู่ ผู้ท่มี ีประสบการณ์ความรู้ เกี่ยวกับพิธกี รรมลิมนต์โดยตรง ได้ แก่


174

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

นายจวน แก้ ว รั ต นะ นายมนต์ อายุ 75 ปี อาศัยในพื้นที่อาเภอนาหม่อม จังหวัดสงขลา นายอุดม เสนาจิตร ลูกคู่ อายุ 53 ปี อาศัยใน พื้นที่อาเภอนาหม่อม จังหวัดสงขลา นายผุด ไทยกุล ลู ก คู่ อายุ 78 ปี อาศั ย ใน พื้นที่อาเภอนาหม่อม จังหวัดสงขลา นายอภิวัฒน์ พรมประ ลูกคู่ อายุ 50 ปี อาศัย ในพื้นที่อาเภอนาหม่อม จังหวัดสงขลา นายใกล้ เสนาจิตร ลูกคู่ อายุ 60 ปี อาศัยใน พื้นที่อาเภอนาหม่อม จังหวัดสงขลา นายจ้ วน ชุมวาส นายมนต์ อายุ 75 ปี อาศัย ในพื้นที่อาเภอนาทวี จังหวัดสงขลา นายง่วน แซ่ว่อง นายมนต์ อายุ 87 ปี อาศัยใน พื้นที่อาเภอนาทวี จังหวัดสงขลา นายจิรศักดิ์ เอียดขาว ลูกศิษย์นายง่วน แซ่ว่อง อายุ 34 ปี อาศัยในพื้นที่อาเภอนาทวี จังหวัดสงขลา (3) ผู้เกี่ยวข้ องพิ ธีกรรมลิมนต์ เช่ น ผู้ ป่ วยหรื อ ผู้บนบาน เจ้ าของงานพิธี ได้ แก่ นางสารภี สังแก้ ว นางทรง อายุ 55 ปี อาศัย ในพื้นที่อาเภอนาหม่อม จังหวัดสงขลา นางตั้น อินพรหม พี่เลี้ยงนางทรง อายุ 71 ปี อาศัยในพื้นที่อาเภอนาหม่อม จังหวัดสงขลา นางบุญ ปลื้ ม เจริญ สุข พี่ เลี้ ยงนางทรง อายุ 63 ปี อาศัยในพื้นที่อาเภอนาหม่อม จังหวัดสงขลา นางทัศนี ย์ นนทะสร ครอบครัวเจ้ าของงาน อายุ 67 ปี อาศัยในพื้นที่อาเภอนาหม่อม จังหวัดสงขลา นางพั น ญาติเจ้ าของงาน อายุประมาณ 5560 ปี อาศัยในพื้นที่อาเภอนาหม่อม จังหวัดสงขลา 3. การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ ทาการศึกษาและสารวจหาข้ อมูลเบื้องต้ น เกี่ ย วกั บ พิ ธี ก รรมลิ ม นต์ การมี โ อกาสไปส ารวจพื้ นที่ เบื้องต้ น รวมถึงค้ นหาและทาความรู้จักผู้ให้ ข้อมูลต่ างๆ ด้ วยข้ อจากัดทั้งทางด้ านระยะเวลาของผู้วิจัยและประเด็น เวลาที่อยู่ในสนาม การเดินทาง และงบประมาณ ผู้วิจัยจึง วางแผนทั้ ง ตั ว ผู้ วิ จั ย เครื่ อ งมื อ ที่ เก็บ ข้ อ มู ล ภาคสนาม ตรวจสอบและวางแผนการเก็บ ข้ อ มู ล ผลที่ ได้ จ ากการ สารวจข้ อมูลสนามเบื้องต้ น ใช้ ในการออกแบบการทางาน สนามต่อไป

เครื่องมือที่ใช้ ในการเก็บข้ อมูลภาคสนาม ประกอบด้ วย - การสังเกต ใช้ วิธกี ารสังเกตแบบมีส่วนร่วมและ แบบไม่มสี ่วนร่วม - การสัมภาษณ์ ใช้ วิธกี ารสัมภาษณ์แบบทางการ และแบบไม่ เป็ นทางการ ได้ แก่ เรื่อ งที่ม าและความเชื่ อ พิธกี รรมลิมนต์ องค์ประกอบพิธกี รรมลิมนต์ รูปแบบและ กระบวนการพิธกี รรมลิมนต์ เป็ นต้ น - บันทึกเก็บข้ อมูลด้ วยวิธกี ารจดบันทึก การถ่ายรูป การบันทึกเทป ฯลฯ 4. การวิเคราะห์ขอ้ มูล หลังจากการเก็บข้ อมูลสนามและได้ ข้อมูลครบถ้ วน ตามที่ต้องการแล้ ว ผู้วิจัยนาข้ อมูลนั้นมาวิเคราะห์อย่างเป็ น ระบบ ได้ แก่ การจั ดเรี ยงประเภทข้ อมู ลที่ได้ ม าจากการ สังเกตและการสัมภาษณ์ ถู กบันทึกไว้ ด้ วยการจดบันทึก ภาคสนาม น ามาจั ด หมวดหมู่ ด้ ว ยการมองหาข้ อ มู ล / ข้ อความ ที่มีความหมายในการวิเคราะห์แยกองค์ประกอบ ของประเด็นที่ทาการวิเคราะห์ เชื่อมโยงหลักฐานอย่ างมี เหตุผ ล รวมถึ งข้ อมู ลจากเอกสารและหลั กฐานที่ได้ จาก ภาคสนาม เป็ นต้ น จากนั้นวิเคราะห์ข้อมูลตามแนวคิดที่ได้ กาหนดไว้ ส่งผลต่ อความเข้ าใจในความเชื่อ รูปแบบหรือ กระบวนการเกี่ ย วกั บ พิ ธี ก รรมลิ ม นต์ แ ละเรื่ อ งราวที่ เกี่ยวข้ องกับพิธกี รรม รวมถึงโลกทัศน์ของคนภาคใต้ ตาม ประเด็นที่ผ้ วู ิจัยสนใจศึกษา ผลการศึกษา คนภาคใต้ มีวัฒนธรรมความเชื่อที่หลากหลาย ซึ่งเกิด จากปั จ จั ย ทางด้ านสภาพภู มิ ศ าสตร์ ก ารใช้ ภู มิ ปั ญ ญา ในการปรั บ ใช้ ทรั พ ยากรที่ อุ ด มสมบู ร ณ์ ท้ั งภู เขา ทะเล คงเป็ นปั จจัยหนึ่ง เพื่อสร้ างวัฒนธรรมให้ สอดคล้ องกับวิถี ชีวิตในแต่ละช่วงเวลา ปั จจัยด้ านความหลากหลายทางชาติ พั นธุ์จากการประสมประสานของคนหลากหลายเชื้อชาติ ที่เข้ ามาอาศัยในแต่ละช่ วงเวลาทาให้ รูปลักษณ์ทางกายภาพ ของคนภาคใต้ มีความหลากหลายยิ่งกว่ าภาคอื่นๆ ส่งผล ต่ อ ความเชื่ อ ทั ศ นคติ ในการด ารงชี วิ ต ของคนภาคใต้ โดยเฉพาะความเชื่ อในเรื่ องผี บรรพบุ รุษ ดั งเห็ น ได้ จาก ขนบธรรมเนี ย มประเพณี ท่ี เกี่ ย วข้ องกั บ การนั บ ถื อ ผี วิญญาณบรรพบุรุษ ดังเช่ นพื้นที่ภาคใต้ ตอนล่ างมีความเชื่อ เรื่อง “ผีตายาย” ก่อให้ เกิดพิธกี รรมลิมนต์สบื ต่อกันมา


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

พิธีกรรมลิมนต์ พิธีกรรมลิมนต์เป็ นพิ ธีกรรมความเชื่อของชาวภาคใต้ โดยเฉพาะในพื้ นที่ ภ าคใต้ ต อนล่ าง พบมากในจั งหวั ด สงขลา โดยเฉพาะอาเภอนาหม่อมและอาเภอนาทวี ลิมนต์ เป็ นพิ ธีก รรมที่แสดงถึ งการเคารพต่ อ ผี บ รรพบุ รุษ หรื อ ที่เรี ยกกันว่ า “ผีตายาย” มาเข้ าทรงในแต่ ละสายตระกู ล ผู้วิจัยพบลักษณะการเรียกพิธีกรรมมีความแตกต่างกันไป ในแต่ละท้ องถิ่น เช่ น ไหว้ ตายาย โต๊ะครึม นายมนต์ หรือ ลิมนต์ ซึ่งในอาเภอนาหม่อมและอาเภอนาทวี มักใช้ คาว่ า “ไหว้ ต ายาย” และ “ลิ ม นต์ ห รื อ เล่ น ลิ ม นต์ ” พิ ธีก รรม ลิมนต์น้ันจัดขึ้นสืบต่อมายาวนาน จนไม่สามารถสืบค้ นได้ แน่ ชัดว่ ามีจุดเริ่มต้ นเมื่อไร ไม่ มีเอกสารหรือพบหลักฐาน ที่แน่ นอน มีเพี ยงการบอกเล่ าสืบต่อกันมาในรูปแบบของ ตานาน บทร้ องในการประกอบพิ ธกี รรมยังปรากฏการเล่ า ถึงตานานการเกิดพิธอี ย่าน่าสนใจ พิธกี รรมลิมนต์มีจุดมุ่งหมายหลัก คือ เพื่อรักษาอาการ ป่ วยไข้ ที่เชื่อว่าเป็ นอาการที่เกิดมาจากถูกผีตายายลงโทษ จัดขึ้นเพื่ อแก้ บนเมื่อประสบความสาเร็จในเรื่องต่ างๆ ที่ บนบานไว้ ต่ อผี ต ายาย และเพื่ อบู ชาครูห มอตายายเป็ น ประจาตามวาระ เช่น ปี ละครั้ง ปี ละสามครั้ง เป็ นต้ น ส่วนใหญ่ พิธกี รรมลิมนต์ไม่ได้ จัดขึ้นตลอดทั้งปี ในแต่ ละปี จะจัดขึ้น ในเดือน 6 เดือน 7 และเดือน 9 เท่านั้น ผู้เกี่ยวข้ องในพิธี ได้ แก่ นายมนต์ นางทรง พี่เลี้ยงนางทรง เจ้ าภาพ ญาติและ ผู้ร่วมพิธี โดยนายมนต์หรือผู้นาในการประกอบพิธี ถือได้ ว่ าเป็ นผู้ มีความส าคัญ และมีบทบาทส าคัญ ต่ อพิ ธีกรรม เพราะการเป็ นนายมนต์ได้ น้นั จะต้ องมีความรู้ในเรื่องดนตรี และเรื่องลาดับขั้นตอนพิ ธีกรรมอย่ างละเอียด และสั่งสม ประสบการณ์จากการเป็ นลูกคู่มายาวนาน ซึ่งนายมนต์เป็ น ผู้ควบคุมดูแลขั้นตอนต่างๆ ในพิธี สามารถออกคาสั่งการ จั ด การในพิ ธีได้ ซึ่ งพิ ธีก รรมจั ด ขึ้น ในโรงพิ ธีท่ี ส ร้ างขึ้ น โดยเฉพาะ จะมีการ “เข้ า” โรงพิธใี นวันพุธ “ออก” โรงใน วันพฤหัสบดี ศุกร์ หรือวันเสาร์กไ็ ด้ โดยวันเหล่านี้นายมนต์ จะเป็ นผู้ดูวันให้ ส่วนจานวนวันจะแล้ วแต่เจ้ าของงานหรือ ผู้ บนบานว่ า ได้ ตกลงบนบานต่ อ ผี ต ายายไว้ อย่ า งไร โดยทั่วไปมักเล่น 3 วัน 3 คืน ตามความเชื่อที่สบื ต่อกันมา (จวน แก้ วรัตนะ, ผู้ให้ สมั ภาษณ์, 3-5 พฤษภาคม 2558)

175

ความเชื่อพิธีกรรมลิมนต์ ความเชื่ อ ในพิ ธี ก รรมลิ ม นต์ เป็ นความเชื่ อ ที่ ผ้ ู คน มี ร่ ว มกั น ในชุ ม ชน และเป็ นสิ่งที่ ค นในเครื อ ญาติ ได้ รั บ การถ่ายทอดและเรียนรู้จากคนรุ่นก่อนๆ นับเป็ นวิถีปฏิบัติ สืบต่อกันมา คือ (1) ความเชื่อเกี่ยวกับผีบรรพบุรษุ ลูกหลาน เชื่อว่ า บรรพบุรุษเหล่ านั้นเมื่อตายไปก็จะกลับมาปกป้ อง ดู แ ลลู กหลาน และหากลู กหลานคนใดให้ ความเคารพ นับถือ ระลึกถึงอยู่เสมอ ผีตายายก็จะช่วยส่งเสริมให้ ชีวิตมี ความเจริญรุ่งเรื อง แต่ ในทางกลั บกันหากลู กหลานคนใด ไม่เคารพนับถือต่อผีตายายก็จะโดนผีตายายให้ โทษ ทาให้ เกิดอาการเจ็บป่ วยต่างๆ (2) ความเชื่อเกี่ยวกับเครื่องราง ของขลั งและเวทมนต์ ค าถา นายมนต์ จ าเป็ นที่จ ะต้ อ งมี เครื่องรางหรือคาถาไว้ ใช้ สาหรับป้ องกันเพื่อให้ แคล้ วคลาด จากภยันอันตรายต่างๆ รวมถึงการใช้ มนต์คาถาในระหว่าง ประกอบพิ ธกี รรม ดังที่ บุญปลื้ม เจริญสุข (ผู้ให้ สมั ภาษณ์, 3-5 พฤษภาคม 2558) ผู้เป็ นนางทรงที่มีประสบการณ์ใน พิ ธีกรรมลิ ม นต์ เล่ าว่ า ก่ อนเริ่ ม เข้ าทรงนางทรงต้ อ งทา นา้ มันที่ผ่านการเสกลงบนกลางกระหม่อมและฝ่ ามือทั้งสอง ข้ าง เชื่อว่าจะทาให้ นางทรงผีตายายเชื่อฟั งคาสั่งต่างๆ จาก นายมนต์ (3) ความเชื่อเกี่ยวกับนายมนต์และนางทรง โดย นายมนต์ หัวหน้ าผู้ประกอบพิธกี รรมลิมนต์ต้องฝึ กฝนการ ตีทับ ขับบทร้ องบูชาจนเชี่ยวชาญได้ รับการยอมรับจากครู หรือนายมนต์คนเก่า และมีหลักการปฏิบัติ ตัวที่เคร่ งครัด เช่น การปฏิบัติตนเป็ นคนดีมีศีลธรรม การไม่รับประทาน อาหารที่เหลือจากผู้อ่นื เป็ นต้ น เช่นเดียวกับนางทรง ที่เชื่อว่า ผู้ เป็ นนางทรงเป็ นผู้ ท่ี ผี ต ายายได้ เลื อ กไว้ ต้ อ งประพฤติ ปฏิบัติถูกศีลธรรม คู่ควรแก่วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ท่ลี ูกหลาน ให้ ความเคารพนับถือ (4) ความเชื่อเกี่ยวกับเครื่องดนตรี และบทร้ องบู ชา ทับ เป็ นเครื่ อ งดนตรี ส าคั ญ ที่ใช้ ในการ ประกอบพิ ธีกรรมลิมนต์ ต้ องทาพิธีเปิ ดหน้ าทับ หรือการ เสกมนต์ คาถา ทับแต่ ละตัวถือว่ ามี ความศั กดิ์สิทธิ์ ห้ าม ตีเล่น หรือเดินข้ ามไม่ได้ ในส่วนของบทร้ องก็จะมีหลายบท ที่ใช้ ขับร้ องในพิธีกรรมเพื่อเรียกผีตายายมาเข้ าทรง ซึ่งจะ นามาขับร้ องเล่นๆ ไม่ได้ เช่นกัน (5) ความเชื่อเกี่ยวกับการ เข้ าทรง พิ ธีกรรมลิ มนต์ท่ีจัดขึ้นในแต่ ละสายตระกูลจะมี นางทรงเป็ นตัวกลางในการสื่อสารระหว่ างผีตายายและ ลูกหลาน เชื่อว่ าผีตายายจะมาเข้ าทรงและรับของเซ่ นไหว้


176

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ผ่านนางทรง (6) ความเชื่อเกี่ยวกับการตั้งโรงพิธี การสร้ าง โรงพิ ธีจ ะท าจากไม้ ม งคล ปลู กเป็ นเรื อ นยกพื้ นสูงจาก พื้ นดิน แต่ ในปั จจุ บันมีการประยุกต์โดยบางพื้ นที่กจ็ ะใช้ เต็นท์เป็ นหลังคาและทาพื้นยกสูงจากไม้ โรงพิธหี ันหน้ าไป ทางทิศเหนือ ความเชื่ อเกี่ยวกับ พิ ธีก รรมลิ ม นต์ เหล่ านี้ ได้ รั บการ ถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ เป็ นความเชื่อร่วมกันของผู้คน ในชุมชน โดยเฉพาะในแต่ละสายตระกูลหรือในแต่ละกลุ่ม เครือญาติ เป็ นการเรียนรู้การปรับตัวปรับใช้ ทรัพยากรที่มี อยู่ให้ สอดคล้ องสัมพันธ์กบั วิถชี ีวิตก่อเกิดเป็ นวัฒนธรรมที่ ได้ รับการสืบทอดต่อกันมา องค์ประกอบพิธีกรรมลิมนต์ ในการจัดพิธกี รรมลิมนต์เจ้ าภาพหรือผู้บนบานจะต้ อง มีการวางแผนและตระเตรียมงานตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะในการ จัดพิ ธีแต่ ละครั้งจะมีองค์ป ระกอบสาคัญที่จะต้ องจัดสรร เพื่ อเตรียมพร้ อมสาหรับการประกอบพิธี ซึ่งมีองค์ประกอบ สาคัญ ดังนี้ 1. ผู้ประกอบพิธกี รรมและผู้ร่วมพิธกี รรม มีนายมนต์ เป็ นเจ้ าคณะ 1 คน และมีลูกคู่อีก 4 คน ที่เป็ นผู้บรรเลง ทับร่ วมกับเป็ นลู กคู่ ร้องรับบทบู ชาในพิ ธี มีนางทรงและ พี่เลี้ยงนางทรงที่จะเป็ นผู้คอยช่วยเหลือนางทรงระหว่างการ เข้ าทรง 2. เครื่องดนตรีและบทร้ องบู ชา มีทับทั้ งหมด 5 ลู ก และมี ช่ ื อ เรี ย ก คื อ (1) น้ า ตาตก (2) นกเขาขั น (3) นครสวรรค์ (4) นครเหิน (5) การ้ องฆ้ องชัย ส่วนบทร้ อง บูชามีท้งั หมด 9 บท ดังนี้ (1) บทไหว้ ครูหรือกาดครู (2) บทตั้งมัด (3) บทประวัติพิ ธีกรรมลิ มนต์ (4) บทตั้งน้า (5) บทเชิญผีตายาย (6) บทเชิญผีตายายก่อนซัดนา้ หรือ อาบน้า (7) บทร้ องเบ็ดเตล็ดที่ใช้ เล่ นระหว่ างประกอบ พิธีกรรม (8) บทตีไม้ ยัง (9) บทส่งผีตายายและผีราชครู หรือผีครูลิมนต์ 3. เครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ หรือเครื่องบูชา ได้ แก่ (1) สาดหรือเสื่อสาหรับปูรองนั่งและสาหรับม้ วนห่อหมอนมีผ้า ขาวปู ทับ เรียกว่ า หั วหมอน (2) เครื่องคราดหรือเครื่อง บู ช าครูห มอ (3) ผ้ าเพดาน ซึ่ งเป็ นผ้ าขาวที่ ค าดไว้ บ น เพดานใส่หมากพลู 1 คา (4) พานไหว้ ครูท่มี ีเทียนหมาก พลูและเงิน (5) เชี่ยนชัย ที่ประกอบด้ วยนา้ มันและเทียน

(6) ข้ าวตอกดอกไม้ (7) กริช (8) มีดหมอ (9) ขันน้า ล้ างปาก (10) เสื้ อผ้ าเครื่ อ งทรงของนางทรง (11) ขันหมากรับพี่เลี้ยง (12) พัด (13) แหวนทอง สาหรับร่าง ทรงใหม่หรือผู้ท่เี พิ่งเป็ นนางทรง (14) หฺมรฺ ับ หรือเครื่อง บู ช า ได้ แ ก่ ขนมลา ขนมโค ข้ าวเหนี ย ว เป็ นต้ น (15) เครื่องเซ่ นไหว้ ท่ีลู กหลานน ามาแก้ บ น เช่ น หมู เป็ ด ไก่ เหล้ า เบียร์ เป็ นต้ น องค์ป ระกอบเหล่ านี้ จะอยู่ ในโรงพิ ธี ซึ่ งถือเป็ นพื้ นที่ ศักดิ์สิทธิ์ท่ผี ้ ูเกี่ยวข้ องหรือญาติพ่ีน้องเท่านั้นถึงจะเข้ าร่วม พิ ธีกรรมได้ ผู้ชมหรือคนภายนอกจะอยู่ นอกโรงพิ ธี และ ภายในโรงพิ ธีกม็ ีการแบ่ งแยกสัดส่วนที่ชัดเจน ตาแหน่ ง สิ่ ง ของต่ า งๆ ล้ วนแบ่ ง พื้ นที่ ใ ห้ กั บ สิ่ ง ศั ก ดิ์ สิ ท ธิ์ และ สิ่งสาธารณะ เช่ น พื้ นโรงพิ ธีท่ียกขึ้นนี้จะมีระดับที่ต่างกัน โดยทางฝั่งของนายมนต์จะต้ องยกพื้นสูงที่สดุ ไล่ต่างระดับ ลงมาเล็กน้ อย คือ พื้นที่ฝ่งั นางทรง และพื้นต่างระดับลงมา จากนางทรง คือ พื้ นที่ลู กหลานเข้ ามาหมอบกราบ (ตั้ น อินพรหม, ผู้ให้ สัมภาษณ์, 3-5 พฤษภาคม 2558) การ ตั้งบันไดจะต้ องตั้งฝั่งทิศเหนือเท่านั้น เพราะการเข้ าโรงพิธี จะใช้ ทศิ เหนือในการเดินเข้ าเสมอ และจะต้ องให้ พ้ ืนที่ของ นายมนต์อยู่ทศิ ตะวันออก จะมีหัวหมอนหรือเสื่อที่ห่อด้ วย หมอนแสดงถึงที่น่งั ของนายมนต์คนอื่นๆ ไม่สามารถเข้ ามา ยุ่งเกี่ยวหรือนั่งที่ตรงนี้ได้ ถือเป็ นที่ศักดิ์สทิ ธิ์ ตั้งอยู่ใกล้ กบั หิ้ งเครื่องสังเวยหรือพานส าหรั บครูห มอนายมนต์ ส่ วน พื้ นที่ด้ านหลั งถัด มาก็เป็ นที่น่ั งของลู ก คู่ ท่ีเหลื อในคณะ มี จ านวนรวม 3-5 คน แล้ วแต่ ค ณะ ส่ ว นห้ องฝั่ งทิ ศ ตะวั น ตกของนางทรง มี ไม้ ก้ัน ระหว่ างฝั่ งนายมนต์ แ ละ นางทรงอยู่ด้วย มีหัวหมอนหรือเสื่อที่พันหมอนไว้ วางหั น เข้ าหานายมนต์ และมี พ่ี เลี้ ยงนางทรงนั่ งอยู่ ข้ างๆ เพื่ อ ช่ ว ยเหลื อ นางทรงตลอดการท าพิ ธี ก รรม ซึ่ ง ที่ น่ั ง ของ นางทรงและพี่เลี้ยงจะไม่สามารถให้ ผ้ ูอ่นื ขึ้นมาเกี่ยวข้ องได้ เช่ นกัน เพราะเป็ นที่ศักดิ์สิทธิ์สาหรับผีตายายและนางทรง เว้ นแต่พ่ี เลี้ยงนางทรง และทางฝั่งของนางทรงในพื้นที่ต่ า ลงมาจะเป็ นที่น่ั งส าหรับ ลู กหลาน ส่ วนภายนอกโรงพิ ธี จะเป็ นพื้ นที่ ส าธารณะ ซึ่ ง เป็ นดั ง แผนผั ง โรงพิ ธี ก รรม ดังต่อไปนี้ ส่วนของผู้ชมหรือญาติพ่ี น้องคนอื่นๆ ที่รอชม พิธกี รรมลิมนต์


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

177

N E บันไดฝั่งนางทรง

บันไดฝั่งนายมนต์ ห้องทิศตะวันออกสาหรับคณะนายมนต์

พื้ นที่สาหรับลูกหลาน ห้องทิศตะวันตกสาหรับนางทรงและพีเ่ ลี้ ยง บริเวณวางหฺมรฺ ับ

ญาติพ่ ีน้องคนอื่นๆ หัวหมอน

หัวหมอน

บริเวณเชี่ยนชัยพานไหว้ ครู และอุปกรณ์สาหรับพิธกี รรม = นายมนต์

หรือผู้ชมพิธี บริเวณหิ้งยกสูงเพื่อตั้งเครื่องสังเวยและพานไหว้ ครู หมอนายมนต์ รวมถึงเครื่องรางของขลังต่างๆ

= ลูกคู่

= นางทรง

= พี่เลี้ยงนางทรง

รูปที่ 1 แผนผังโรงพิธี

งาน การประกอบพิ ธีกรรมในแต่ ละวัน และหลังเสร็จสิ้น รูปแบบหรือกระบวนการของพิธีกรรมลิมนต์ รูปแบบหรือกระบวนการพิธกี รรมลิมนต์มีลาดับขั้นตอน พิธกี รรม ซึ่งสรุปได้ ดังนี้ ที่ซับซ้ อน เริ่มตั้งแต่การรับขันหมากก่อนจัดพิธี การเตรียม รับขันหมาก

เตรียมงาน

ประกอบพิธกี รรม

หลังเสร็จพิธกี รรม

วันที่หนึ่ง วันที่สอง วันที่สาม รูปที่ 2 แผนผังกระบวนการพิธกี รรมลิมนต์

1. การรับขันหมาก เจ้ าภาพจะต้ องไปหานายมนต์เพื่อขอดูฤกษ์จัดพิ ธี และขอค าแนะน าในการจั ด งาน ซึ่ ง เจ้ าภาพจะต้ องมี ขันหมากพลูไปหานายมนต์เพื่ อให้ นายมนต์รับขันหมาก ด้ วย การรับขันหมากถือว่ ามีความส าคัญซึ่ งเกี่ยวข้ องกับ ความเชื่ อ ในการที่ เจ้ า ภาพมาขอให้ มาร่ ว มในพิ ธีก รรม

ลิมนต์ จะต้ องมีการบอกกล่ าวกั นไว้ ล่ วงหน้ าหลายเดือน และก่ อนจะมี การจั ดพิ ธีกรรมลิ มนต์ เจ้ าภาพจะต้ องน า ขันหมากพลูน้ ีไปให้ นางทรงและพี่เลี้ยงนางทรงด้ วยเช่นกัน (จ้ วน ชุมวาส, วิทยากร, 12 พฤษภาคม 2558)


178

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

2. การเตรียมงาน ในวันก่ อนจะเริ่ มประกอบพิ ธีกรรม ตลอดทั้งวั น จะมี ก ารแวะเวี ย นของญาติ พ่ี น้ อง โดยน าสิ่ ง ของมาให้ เรื่อยๆ และมาร่ วมแรงกายช่ วยเหลือในการจัดงาน สร้ าง ความสามั ค คี กั น ในหมู่ เครื อ ญาติ และผู้ ใหญ่ ก็จ ะพา

ลูกหลานทั้งเด็กเล็กๆ จนถึงเด็กโตมาช่วยงานด้ วย ปลูกฝัง ความเชื่อและถ่ายทอดพิธกี รรมความเชื่อเกี่ยวกับพิธกี รรม ลิมนต์ส่ลู ูกหลานอีกช่องทางหนึ่ง 3. การประกอบพิธีกรรม

ตารางที่ 1 การประกอบพิธกี รรม วันประกอบพิธีกรรม ขั้นตอนพิธีกรรม วันแรก - การไหว้ พระภูมิเจ้ าที่ ประกอบพิธีกรรม - เบิกโรงหรือเปิ ดโรง - กาดครูเชิญสิ่งศักดิ์สทิ ธิ์ - ขับร้ องบทบูชาเชิญผีตายายมาเข้ าทรง - ลูกหลานเข้ าหมอบกราบ - เชิญผีตายายออกจากร่างทรง วันที่สอง - ขับบทร้ องเชิญผีตายายจนครบทุกองค์ ของการประกอบพิธี - ลูกหลานเข้ าหมอบกราบ - เชิญผีตายายออกจากทรง วันที่สาม - ทานา้ มนต์หรือเสกนา้ สาหรับทาพิธี ของการประกอบพิธีกรรม ซัดนา้ อาบนา้ ร่างทรง - ขับร้ องเชิญผีตายายเข้ าทรง - พิธอี าบนา้ ตายาย - พิธซี ัดยังหรือฟาดยัง (ยัง คือ ช่อดอกหมาก) - พิธรี ับหฺมรฺ ับหรือรับเครื่องเซ่นไหว้ - เชิญผีตายายออกจากทรง - พิธสี ่งผีหรือส่งครูหมอ

4. หลังเสร็จสิ้ นพิธีกรรม เมื่ อประกอบพิ ธี ก รรมลิ ม นต์ เ รี ย บร้ อยแล้ ว ลูกหลานก็จะร่วมกันรับประทานอาหาร และช่วยกันจัดเก็บ ข้ าวของต่างๆ ตระเตรียมพื้นที่ให้ กลับสู่สภาพเดิม และมี การแบ่งปั นเครื่องเซ่นไหว้ ต่างๆ ให้ แก่กนั อย่างทั่วถึง และ หลังจากนี้เมื่อลูกหลานคนใดมีความเดือดเนื้อร้ อนใจก็จะ บนบานต่อผีตายาย หากสมปรารถนาในสิ่งที่ขอไว้ กอ็ าจจะ มีการจัดพิธกี รรมลิมนต์อกี ครั้งในปี ต่อไป หรือต้ องการจัด พิ ธีกรรมเพื่ อบู ช าผี ต ายายแสดงถึ ง ความระลึ ก ถึ ง ต่ อ ผี ตายายหรือบรรพบุรษุ ในปี ต่อไปเช่นกัน นอกจากนี้ พิ ธี ก รรมลิ ม นต์ ถื อ เป็ นพิ ธี เปลี่ ย นผ่ า น สถานภาพที่นายมนต์และคณะ รวมถึงนางทรงเริ่มต้ นจาก สถานภาพคนธรรมดา สู้ส ถานภาพศั ก ดิ์ สิท ธิ์ โดยผ่ าน

ความสาคัญของพิธี เชิญสิ่งศักดิ์สทิ ธิ์ ทั้งหลายมาร่วมใน พิธกี รรม และเป็ นการ เริ่มเชิญผีตายายมา เข้ าทรง

ความหมายการประกอบพิธี การจัดพิธกี รรมในวันแรก เพื่อเป็ นการไหว้ ครู ระลึกถึง สิ่งศักดิ์สทิ ธิ์ และการให้ ลูกหลาน ได้ ทาความเคารพต่อ ผีบรรพบุรุษ

เพื่อให้ วิญญาณผีตายาย ได้ มาเข้ าทรงโดยเฉพาะ

ลูกหลานแสดงถึงความเคารพและ ระลึกถึงต่อบรรพบุรษุ

เตรียมส่งวิญญาณ ผีตายาย - ให้ ลูกหลาน ได้ แก้ บน

แสดงความกตัญญูตอบแทน ต่อบรรพบุรษุ และทาการ แก้ บนตอบแทน ด้ วยเครื่องเซ่นไหว้ ตามคา บนบาน รวมถึงการทาพิธี ฟาดยังเพื่อสร้ างขวัญกาลังใจ ให้ แก่ลูกหลาน

พิธกี รรมลิมนต์ โดยได้ เข้ าไปอยู่โรงพิธี ซึ่งถือเป็ นพื้นที่เป็ น จุดศักดิ์สิทธิ์และประกอบพิธีกรรมตามกระบวนการทาให้ สถานภาพในขณะนั้นเปลี่ยนไป และทาหน้ าที่จนเสร็จสิ้น พิธกี รรมก็กลับสู่สถานภาพเดิมเป็ นคนธรรมดา เช่น นางทรง ก่อนเข้ าโรงพิ ธีกเ็ ป็ นคนธรรมดาทั่วไป เพื่ อนๆ หรือญาติ พี่ น้ องจะพู ด คุ ย กั น ปกติ แต่ เมื่ อ เข้ าไปอยู่ ในพิ ธีก รรม นางทรงจะเปลี่ยนสถานภาพเป็ นผีตายายที่ลูกหลานเข้ าไป กราบไหว้ เมื่อเสร็จสิ้นพิธกี รรมนางทรงก็กลับสู่สถานภาพ คนธรรมดาดังเดิม ดังนั้นในพิ ธกี รรมจะมีความชัดเจนถึง พื้นที่ศักดิ์สทิ ธิ์และพื้นที่สาธารณะ ผู้ท่มี ีความเกี่ยวข้ องหรือ มีหน้ าที่เท่านั้นที่จะเข้ าไป รวมถึงอุปกรณ์หรือสิ่งต่ างๆ ที่ นามาใช้ ในพิธกี รรมล้ วนกลายเป็ นสิ่งศักดิ์สทิ ธิ์มคี วามหมาย ต่ อ การประกอบพิ ธี ซึ่ งพิ ธีก รรมลิ ม นต์ ยั ง คงท าหน้ าที่


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ตอบสนองตามความเชื่อที่มีร่วมกันของคนในชุมชน สร้ าง ความเป็ นหนึ่งเดียวกันในกลุ่มเครือญาติตลอดจนจิตสานึก ที่มรี ่วมกันของคนในชุมชนของคนภาคใต้ เป็ นภูมิปัญญาที่ คนรุ่นก่อนสั่งสมและสร้ างสรรค์ข้ ึนและมีการสืบทอดมาสู่ ปัจจุบนั อภิปรายผลการศึกษา คนภาคใต้ มีความเชื่อความเคารพต่อบรรพบุรุษอย่ าง เหนียวแน่น เห็นได้ จากพิธกี รรมต่างๆ มักมีความเกี่ยวข้ อง กับระบบเครือญาติด้วย การรวมกลุ่มกันของญาติพ่ี น้อง สายตระกูลเดียวกัน สภาพภูมิประเทศที่มีความสมบู รณ์ อันเป็ นปั จจัยแสดงถึงวิถีชีวิตของผู้คนที่มีความเชื่อพื้นถิ่น จึงได้ คิดค้ นหรือสร้ างวัฒ นธรรมที่เกี่ยวโยงกับธรรมชาติ รวมทั้ ง สภาพภู มิ ป ระเทศที่ เหมาะแก่ ก ารติ ด ต่ อ กั บ บ้ านเมืองอื่นๆ ทาให้ มีการรวมตัวกันของผู้คนหลากหลาย เชื้อชาติ หลากหลายศาสนาความเชื่อ และหลากหลายทาง ชาติพันธุ์ ในพื้ นที่จังหวัดสงขลาที่ถือเป็ นภาคใต้ ตอนล่ าง ของไทยที่อยู่ทางชายฝั่งทะเลด้ านตะวันออก มีประวัตศิ าสตร์ การตั้งถิ่นฐานของผู้คนมายาวนาน มีการผสมผสานทาง วัฒนธรรม เกิดวัฒนธรรมประเพณีท่สี ะท้ อนถึงความเชื่อ สั่งสมเป็ นภู มิ ปั ญ ญา ซึ่ ง แสดงให้ เห็ น โลกทั ศ น์ ข องคน ภาคใต้ ปรากฏวิธคี ิดและรูปแบบพฤติกรรมที่ยึดถือปฏิบัติ สืบมาของผู้คน และได้ สรรสร้ างประเพณีพิธกี รรมที่เสริมสร้ าง ความเชื่อ ความเคารพต่ อบรรพบุรุษในสายตระกูลนั้นๆ อย่างน่าสนใจ ดังเช่น พิธกี รรมลิมนต์น้ ีท่เี ริ่มจากความเชื่อ เรื่องผีบรรพบุรุษ เชื่อว่าผีบรรพบุรษุ จะปกป้ องดูแลลูกหลาน เกิดพิ ธีกรรมเพื่ อตอบแทน และแสดงความเคารพต่ อ ผี บรรพบุรษุ พิ ธีกรรมเป็ นสิ่ งประกอบสร้ างจากความเชื่ อข้ างต้ น ลิมนต์ถือเป็ นพิธกี รรมศักดิ์สทิ ธิ์ท่ลี ูกหลานคนไทยถิ่นใต้ ให้ ความเคารพ เพราะทุกขั้นตอนของการประกอบพิ ธีกรรม นั้นจะมีการแบ่งพื้นที่ความศักดิ์สทิ ธิ์โดยเฉพาะผู้เกี่ยวข้ อง เท่านั้นถึงจะเข้ าร่วมพิ ธไี ด้ และมีกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่ปฏิบัติ สืบต่อกันมาเพื่อแยกแยะสิ่งศักดิ์สทิ ธิ์กบั สิ่งสาธารณะ โดย สิ่งศั กดิ์สิทธิ์ต่ างๆ ล้ วนจะต้ องผ่ านกระบวนการประกอบ พิธกี รรมเพื่อทาให้ เกิดความศักดิ์สทิ ธิ์ ดังที่ เดอร์ไคม์ เห็นว่า สิ่งที่ถูกนิ ยามเป็ นเรื่องศักดิ์สิทธิ์จะมีกฎเกณฑ์พิ เศษพ่ วง

179

มาด้ วย (อภิญญา เฟื่ องฟูสกุล, 2541) ในพิธกี รรมลิมนต์ นี้มีเครื่องบูชาต่างๆ ที่จะต้ องผ่านกระบวนการเสก ผู้ท่ไี ม่ เกี่ยวข้ องหรือไม่ใช่ญาติพ่ีน้องไม่สามารถเข้ าไปยุ่งเกี่ยวใน โรงพิธที ่ถี ือเป็ นพื้นที่ศักดิ์สทิ ธิ์ เครื่องมือต่างๆ ภายในโรง พิธถี ือว่า มีความศักดิ์สทิ ธิ์และจัดวางในตาแหน่งตามความ เชื่ อ ที่สืบ ทอดมา รวมถึ งนางทรงที่จ ะต้ อ งผ่ านพิ ธีก รรม ลิมนต์เพื่ อเปลี่ยนสถานภาพ ให้ ลูกหลานได้ เข้ ามากราบ ไหว้ บู ช าน าสิ่ ง ของมาเซ่ น ไหว้ ดั ง ที่ เทอร์ เนอร์ มองว่ า พิธกี รรมเปลี่ยนผ่านสถานภาพ มีข้ันตอนต่อเนื่องกันสาม ขั้น คือ การหลุดออกจากสถานภาพเดิม (Separation) การ อยู่ชายขอบ (Margin) และการถูกผนวกเข้ าในสถานภาพ ใหม่ (Aggregation) (อภิญญา เฟื่ องฟู สกุล, 2541) นาง ทรงถูกเปลี่ยนสถานภาพเมื่ออยู่ในพิธกี รรมลิมนต์และกลับ สู่สถานภาพเดิมเมื่อเสร็จสิ้นพิ ธีกรรม การเป็ นนายมนต์ และนางทรงในพิธกี รรมลิมนต์มีการทาพิธเี ปลี่ยนผ่านเพื่อ แสดงให้ เห็นถึงสถานภาพที่เปลี่ยนไป เช่ น การเข้ าทรงที่ นางทรงจะเปลี่ยนผ่านสถานภาพจากคนธรรมดาไปสู่สถานภาพ การเป็ นนางทรงผู้ ศั ก ดิ์ สิท ธิ์ในระหว่ างการประกอบพิ ธี ที่เริ่มแรกจากเป็ นคนปกติ สู่ข้ันที่สองเมื่ออยู่ระหว่ างการ ประกอบพิธกี รรมถือเป็ นชายขอบ จนเข้ าสู่ข้นั ที่สาม ผีตายาย เข้ าประทับทรง รวมถึงการจะมาเป็ นนางทรงโดยสมบูรณ์ได้ ต้ องผ่ านสามขั้นตอนเริ่มจากขั้นแรก สถานภาพคนปกติ มาเป็ นนางทรงใหม่ ขั้นที่สอง การอยู่ชายขอบในช่วง 1-2 ปี จนถึงขั้นที่สามเข้ าสู่การเป็ นนางทรงเต็มตัว โดยต้ องทา พิธกี รรมลิมนต์ติดต่อกัน 3 ปี และในปี ที่ 3 จะมีการทาพิธี คล้ องช้ าง หรือการทาให้ ผีตายายจาร่างทรงและใช้ ร่างทรง คนนี้ตลอดไป พิธกี ารต่างๆ เหล่ านี้ท่จี ัดขึ้นก็เพื่อเป็ นการ เปลี่ ย นผ่ านสถานภาพเดิ ม ไปสู่ ส ถานภาพใหม่ ข องคน ธรรมดามาสู่การเป็ นนางทรงโดยสมบูรณ์ พิ ธี ก รรมลิ ม นต์ ถื อ เป็ นภู มิ ปั ญ ญาหนึ่ ง ที่ ไ ด้ รั บ การ สื บ ทอดความเชื่ อ และการปฏิ บั ติ ม ายาวนาน นั บ เป็ น พิ ธีก รรมพื้ นบ้ านที่จั ด ขึ้น เพื่ อ รั ก ษาอาการป่ วยไข้ จากผี ตายาย เพื่อใช้ แก้ บนและเพื่อทาพิธเี คารพผีตายายผู้ล่วงลับ แสดงให้ เห็นถึงหน้ าที่ต่างๆ ที่ปรากฏในสังคม อันได้ แก่ ความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ สร้ างขวัญกาลังใจให้ แก่ลูกหลาน และทาให้ เกิดความสามัคคีในกลุ่มเครือญาติ เพราะการ ประกอบพิ ธีแต่ละครั้งจะต้ องมี การช่ วยเหลือกันของญาติ


180

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

พี่ น้ อ ง รวมถึงการเคารพต่ อผู้ อาวุ โสหรือ ต่ อบรรพบุ รุษ นับเป็ นการสั่งสอนและปลูกฝังความเชื่อนี้ได้ อย่ างแยบยล ส่ ง ผลให้ ง่ า ยต่ อ การควบคุ ม สร้ างความสงบสุ ข ให้ แก่ เครือญาติ นอกจากนี้ ยังเป็ นการใช้ พิธกี รรมหรือความเชื่อ ความศั ก ดิ์ สิ ท ธิ์ ท่ี ลู ก หลานศรั ท ธามาเป็ นส่ ว นช่ ว ยให้ โครงสร้ างของชุมชนนั้นๆ คงอยู่ต่อไปโดยผ่านการสั่งสอน ในรูปแบบพิธกี รรมลิมนต์ และเป็ นการธารงเอกลักษณ์ของ วิถชี ีวิตคนถิ่นใต้ อกี ประการหนึ่ง เอกสารอ้างอิง ณรงค์ชัย ปิ ฎกรัชต์. (2544). มานุ ษยดนตรีวิทยา ดนตรี พื้ นบ้ า นภาคใต้ . นครปฐม: วิ ท ยาลั ย ดุ ริ ย างคศิ ล ป์ มหาวิทยาลัยมหิดล. [1]

Translated Thai References Feungfusakul, A. (1998). Anthropology of Religion: basic concepts and argumentation theory. Chiangmai: Pongsawat Printing. [in Thai] [4] Pidokrat, N. (2001). Ethnomusicology of Southern Thai Folk Music. Nakhon Pathom: College of Music, Mahidol University. [in Thai] [1] Pongpaiboon, S., & Jittam, P. (1999). Toh Kruam. in Encyclopedia of Southern Thai Culture ( Vol. 6, pp. 2828-2842). Bangkok: Foundation of Thai Culture Encyclopedia, The Siam Commercial Bank. [in Thai] [2]

สุธวิ งศ์ พงศ์ไพบูลย์ และภิญโญ จิตต์ธรรม (2542). โต๊ะ Srisuchat, A. (2001). Southearn root lineage: ครึม. ใน สารานุ กรมวัฒนธรรมไทย ภาคใต้ (เล่มที่ 6, น. ecological, physical, and psychological traits. Bangkok: 2828-2842). กรุงเทพฯ: มูลนิ ธิสารานุ กรมวัฒ นธรรม The Thailand Research Fund (TRF). [in Thai] [3] ไทย ธนาคารไทยพาณิชย์. [2] อมรา ศรี สุ ช าติ . (2544). สายรากภาคใต้ ภู มิ ลัก ษณ์ รู ป ลั ก ษณ์ จิ ต ลั ก ษณ์ . กรุ ง เทพฯ: ส านั ก งานกองทุ น สนับสนุนการวิจัย (สกว.). [3] อภิ ญ ญา เฟื่ องฟู ส กุ ล . (2541). มานุ ษ ยวิ ท ยาศาสนา แนวคิดพื้นฐานและข้อถกเถียงทางทฤษฎี . เชียงใหม่: พงษ์ สวัสดิ์การพิมพ์. [4]


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

181

ฐานข้อมูลชุมชนเพือ่ การจัดการอุทกภัย โดยการประสานความร่วมมือระหว่างชุมชนกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิน่ : กรณีศึกษา 2 ตาบลในพื้ นทีล่ ่มุ น้ าทะเลสาบสงขลา วราภรณ์ ทนงศักดิ์a*, เยาวนิจ กิตติธรกุลb, สมพร ช่วยอารีย์c และสมพร คุณวิชิตd

Community Database for Flood Management by Collaboration of Communities and Local Authorities: A Case Study of Two Subdistricts in Songkhla Lake Basin Waraphorn Tanongsaka*, Jawanit Kittitornkoolb, Somporn Chuai-Areec and Somporn Khunwishitd a

สาขาการจัดการทรัพยากรทะเลและชายฝั่ง สถาบันทรัพยากรทะและชายฝั่ง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อาเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา 90100 b สถาบันทรัพยากรทะเลและชายฝั่ง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อาเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา 90100 c ภาควิชาคณิตศาสตร์และวิทยาการคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี อาเภอเมือง จังหวัดปัตตานี 94000 d ภาควิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อาเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา 90110 a Marine and Coastal Resources Management, Marine and Coastal Resources Institute, Prince of Songkla University, Hat Yai, Songkla 90100 b Marine and Coastal Resources Management, Marine and Coastal Resources Institute, Prince of Songkla University, Hat Yai, Songkla 90100 c Department of Mathematics & Computer Science, Faculty of Science and Technology, Prince of Songkla University, Pattani Campus, Mueang, Pattani 94000 d Department of Public Administration, Faculty of Management Science, Prince of Songkla University, Hat Yai, Songkla 90110 * Corresponding author. E-mail address: waraphorntt@yahoo.com บทคัดย่อ งานวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบฐานข้ อมูลชุมชนเพื่อการจัดการอุทกภัย โดยการประสานความร่วมมือ ระหว่ างชุมชนกับองค์กรปกครองท้ องถิ่น 2 แห่งในพื้นที่ลุ่มนา้ ทะเลสาบสงขลา ได้ แก่ ตาบลราแดง อาเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา และตาบล ตะโหมด อาเภอตะโหมด จังหวัดพัทลุง กลุ่มเป้ าหมายได้ จากการคัดเลือกแบบยึดจุดมุ่งหมายของการศึกษา ประกอบด้ วย แกนนาและผู้นา ชุมชน เจ้ าหน้ าที่องค์กรเอกชน และเจ้ าหน้ าที่องค์กรปกครองส่วนท้ องถิ่น ในพื้นที่ตะโหมดมีจานวน 13 คน และราแดง จานวน 12 คน รวม ทั้งสิ้น 25 คน ขั้นตอนและวิธกี ารวิจัย มีดังนี้ 1) การประชุมระดมความคิดเห็นเพื่อสารวจปั ญหา ความต้ องการ และข้ อเสนอแนะเกี่ยวกับการ จัดการอุทกภัยจากกลุ่มเป้ าหมาย พื้นที่ละ 3 ครั้ง เพื่อรวบรวมประเด็นสาคัญเกี่ยวกับการจัดการอุทกภัย และนาข้ อมูลที่ได้ ไปทวนสอบกับ กลุ่มเป้ าหมายอีกครั้ง 2) การประชุมเพื่อร่วมกันกาหนดประเด็นหัวข้ อหลักที่จะใช้ ในการพั ฒนาฐานข้ อมูลชุมชนเพื่อจัดการอุทกภัย 3) การ สัมภาษณ์ แบบกึ่งโครงสร้ างกับกลุ่ม เป้ าหมาย เพื่ อก าหนดหัวข้ อย่ อยในฐานข้ อมู ลชุม ชนฯ และ 4) การประชุ ม ระดมความคิด เห็น และ ข้ อเสนอแนะเกี่ยวกับร่ างฐานข้ อมูลชุมชนฯ จากกลุ่มเป้ าหมายและนักวิชาการผู้มีความเชี่ยวชาญด้ านการจัดการภัยพิบัติธรรมชาติ ผลการวิจัย คือ ได้ ฐานข้ อมูลชุมชนเพื่อการจัดการอุทกภัยซึ่งประกอบด้ วย 5 ฐาน ได้ แก่ 1) ฐานกายภาพและสิ่งแวดล้ อม ประกอบด้ วย ฐานทรัพยากรและ สิ่งแวดล้ อม และฐานภูมิศาสตร์ (GIS) 2) ฐานประชากร 3) ฐานเศรษฐกิจ 4) ฐานสังคม และ 5) ฐานอุทกภัยในพื้นที่ในอดีต ข้ อมูลมีท้งั ประเภทปฐมภูมิ และทุ ติ ย ภูมิ ฐานข้ อ มู ลชุ ม ชนฯ นี้ มี ลัก ษณะสอดคล้ อ งกับ แนวคิ ด การจั ด การความเสี่ยงจากภั ยพิ บั ติ (Disaster Risk Management: DRM) และการจั ด การความเสี่ยงจากภัยพิ บั ติ โดยอาศั ย ชุ ม ชนเป็ นฐาน (Community-Based Disaster Risk Management: CBDRM) คาสาคัญ: ฐานข้ อมูลชุมชน การจัดการอุทกภัย การจัดการภัยพิบัติธรรมชาติ ลุ่มนา้ ทะเลสาบสงขลา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น


182

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

Abstract The objective of this Participatory Action Research (PAR) is to design a community database for flood management by collaboration of communities and local authorities in 2 subdistricts in Songkhla Lake Basin: Ramdaeng Subdistrict, Singha Nakohn District, Songkhla Province and Tamod Subdistrict, Tamod District, Phatthalung Province. Its target group, which is derived from purposive selection, includes twenty-five community leaders and core-team members, non-governmental (NGO) staffs, and officials of local authorities in both areas. Research stages and methods are as follows: 1) Three brainstorming forums were held in each area to collect problems, needs and suggestions about flood management. The synthesized outcomes were verified with the target group. 2) A forum was held in each area to identify key issues to be included into the database. 3) Semi-structured interviews were conducted with the target group in both areas to elaborate detailed items in the database. 4) A brainstorming forum was organized to obtain feedbacks and comments about the drafted database from a number of academics with expertise in natural disaster management. The database is composed of five bases: 1) physical and environmental base, including resources and environment, and geography (GIS), 2) population, 3) economic base, 4) social base, and 5) local floods in the past. The data are to be derived from both primary and secondary sources. The database attribute is in line with the concept of Disaster Risk Management (DRM) and Community-Based Disaster Risk Management (CBDRM). Keywords: Community Database, Flood Management, Natural Disaster Management, Songkhla Lake Basin, Local Authorities

บทนา ช่ ว ง 4-5 ปี ที่ ผ่ า นมา ประเทศไทยประสบอุ ท กภั ย หลายครั้ ง แต่ ล ะครั้ ง สร้ างความเสี ย หายต่ อ ชี วิ ต และ ทรัพย์สนิ ของประชาชนจานวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี พ.ศ.2554 ถือเป็ นปี แห่งมหาอุทกภัย พื้นที่นา้ ท่วมครอบคลุม ทั่วประเทศ 65 จังหวัด ความเสียหายจากมหาอุทกภัยใน ครั้งนั้นถือเป็ นความเสียหายขั้นหายนะ เป็ นความเสียหาย อันดับ 4 ของโลก รองจากแผ่นดินไหวและสึนามิท่ีญ่ีปุ่ น แผ่นดินไหวในโกเบ และพายุเฮอริเคนแคทรีน่า (กรมป้ องกัน และบรรเทาสาธารณภัย, 2556) นับวันสถานการณ์อุทกภัย มี แ นวโน้ มจะทวี ค วามรุ น แรง และความถี่ เพิ่ ม มากขึ้ น ผลกระทบจากภั ยพิ บั ติ ธรรมชาติ ขยายวงกว้ างครอบคลุ ม พื้นที่มากขึ้น รูปแบบการบริหารจัดการแบบรวมศูนย์อยู่ท่ี หน่วยงานกลางไม่สามารถรับมือได้ เพราะการบริหารจัดการ มี ข อบเขตที่ ก ว้ าง ในขณะที่ ก ลไกและขั้ น ตอนมี ค วาม ซับซ้ อน การเชื่อมโยงประสานงานระหว่างหน่วยงานที่ขาด ประสิ ท ธิ ภ าพ จึ ง มั ก ก่ อ ให้ เกิ ด ความเสี ย หายต่ อ หลาย ภาคส่วน ดังนั้น หากต้ องการให้ ประชาชนมีความปลอดภัย ในชีวิตและทรัพย์สนิ หรือได้ รับผลกระทบจากอุทกภัยน้ อย ที่สุด จ าเป็ นต้ องเสริมสร้ างเพิ่ มขีด ความสามารถให้ กับ หน่วยงานท้ องถิ่นและชุมชนเพื่อร่วมมือกันจัดการอุทกภัย ด้ วยตนเอง (อัมพร แก้ วหนู , 2554) เนื่องจากชุมชนและ หน่ วยงานท้ องถิ่นเป็ นกลุ่มแรกที่จะต้ องรับมือกับอุทกภัย

ที่เกิดขึ้น และเป็ นผู้ท่รี ้ จู ักสภาพพื้นที่ สังคม เศรษฐกิจของ พื้ นที่ ตนเองดี ท่ี สุ ด และเมื่ อเกิ ด เหตุ ก ารณ์ อุ ท กภั ย หน่ วยงานท้ องถิ่นจะเป็ นกลุ่มแรกที่เข้ าให้ ความช่ วยเหลือ เนื่ อ งจ าก อ ยู่ ใก ล้ ชิ ด ป ระช าช น ม าก ที่ สุ ด ดั งนั้ น ในการรั บ มื อ กั บ อุ ท กภั ย จะต้ องมุ่ งเน้ นการสร้ า งความ เข้ มแข็งขององค์กรปกครองส่วนท้ องถิ่นและองค์กรชุมชน เป็ นล าดั บความส าคัญ แรก แต่ การด าเนิ นการส่ วนใหญ่ ยังอยู่ในลักษณะต่างฝ่ ายต่างทา ขาดการประสานงาน และ มีข้อจากัดในการแบ่งปั นข้ อมูลระหว่างกัน (Fakhruddin & Chivakidakarn, 2014) การจัดการอุทกภัยให้ ประสบผลสาเร็จจาเป็ นต้ องอาศัย ความร่ วมมื อจากทุ กฝ่ ายบนพื้ นฐานของข้ อมู ลที่ถู กต้ อง แม่ นยา เป็ นปั จจุ บัน โดยเฉพาะอย่ างยิ่งยามเกิดอุทกภั ย ทุ ก ฝ่ ายทั้ ง หน่ ว ยงานภาครั ฐ หน่ ว ยงานท้ องถิ่ น ภาค การศึกษา หรือแม้ แต่ชุมชนเอง ต่ างต้ องใช้ ประโยชน์จาก ข้ อ มู ล โดยเฉพาะอย่ า งยิ่ ง ข้ อ มู ล ในชุ ม ชน ที่ เป็ นข้ อ มู ล พื้นฐานที่สาคัญในการจัดการอุทกภัย เพื่อประเมินสภาพ พื้ นที่ ป้ องกันและลดผลกระทบ เตรียมพร้ อม ช่ วยเหลือ บรรเทา เยียวยา บริจาคสิ่งของ ประเมินความเสียหาย และ ฟื้ นฟู (อัมพร แก้ วหนู , 2554) ดังนั้น ทุกชุมชนจาเป็ นต้ อง มีฐานข้ อมูลชุมชนเตรียมไว้ ก่อนภัยมา และเมื่อภัยผ่านพ้ น แล้ วฐานข้ อมูลชุมชนก็จะสามารถตอบโจทย์การช่ วยเหลือ ได้ อย่างถูกคน และถูกสถานการณ์ ซึ่งประเด็นความสาคัญ


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ของข้ อมู ล ดั ง กล่ า วสอดคล้ องกั บ แนวทางที่ ร ะบุ ไ ว้ ใน กฎหมาย ข้ อบังคับ ข้ อตกลง ระเบียบที่เกี่ยวข้ องกับการ จัด การภั ยพิ บั ติ ทั้งพระราชบัญ ญั ติ ป้ องกัน และบรรเทา สาธารณภัย พ.ศ.2550 (ราชกิจจานุ เบกษา, 2550) แผน แม่บทการป้ องกันและให้ ความช่ วยเหลือผู้ประสบภัยจาก อุทกภัย วาตภัย และโคลนถล่ม (ระยะ 5 ปี ) (กรมป้ องกัน และบรรเทาสาธารณภัย, 2550) แผนปฏิบัติการลดความ เสี่ยงจากภัยพิบัติแห่ งชาติในเชิงยุทธศาสตร์ พ.ศ.2553– 2562 (กรมป้ องกั น และบรรเทาสาธารณภั ย , 2553) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่ งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2555–2559) (ส านั ก งานคณะกรรมการพั ฒ นาการ เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2554) และแผนยุทธศาสตร์ กรมป้ องกัน และบรรเทาสาธารณภั ย พ.ศ.2555–2559 (กรมป้ องกันและบรรเทาสาธารณภัย, 2554) ที่เน้ นให้ มี การสร้ าง/เพิ่ มขีดความสามารถของชุมชนในการปรับตัว เตรียมความพร้ อมรับมือภัยพิบัติ สนับสนุ น ให้ หน่ วยงาน ท้ องถิ่นและชุ มชนเข้ ามามีบทบาทในการจัดการภั ยพิ บัติ และจัดทา/พัฒนาระบบฐานข้ อมูลเพื่อสนับสนุนการดาเนิน กิจกรรมด้ านภัยพิบตั ใิ ห้ มากขึ้น ที่ผ่านมาหลายฝ่ ายหลายหน่ วยงานได้ พยายามจัดท า ข้ อมู ล ไม่ ว่ าจะเป็ นกรมป้ องกัน และบรรเทาสาธารณภั ย ซึ่งได้ จัดทาระบบจัดการข้ อมูลสารสนเทศด้ านสาธารณภัย (ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2553) หรือกลุ่มงานข้ อมูลสารสนเทศและการสื่อสาร สานั กงาน จังหวัดสงขลา (2556) ได้ จัดทาฐานข้ อมูล 45 กลุ่มเรื่อง 32 ตัวชี้วัด และฐานข้ อมู ลระบบเตือนภัยพิ บัติ ธรรมชาติ ด้ านสภาพอากาศ สถานการณ์ น้า และพื้ นที่เสี่ยงภั ย หรื อ แม้ แต่หน่วยงานท้ องถิ่นเองที่มกี ารจัดเก็บรวบรวมข้ อมูลใน พื้นที่รับผิดชอบ แต่ยังไม่สามารถจัดเก็บข้ อมูลได้ ท้งั หมด โดยเฉพาะอย่ างยิ่งข้ อมูลชุมชนที่มีความสาคัญยิ่งสาหรับ การจั ด การภั ย พิ บั ติ ในพื้ นที่ เนื่ อ งจากหน่ ว ยงานต่ างมี ข้ อ จ ากั ด ด้ านงบประมาณ และบุ ค ลากรในการจั ด เก็บ นอกจากนั้ น ผู้ วิ จั ยยั งพบว่ า ข้ อ มู ล ที่มี อ ยู่ ในหน่ วยงาน ต่างๆ ไม่เป็ นปัจจุบนั ข้ อมูลไม่ตรงกัน ทั้งที่เป็ นข้ อมูลชนิด เดียวกัน ขาดการเชื่อมโยงประสานงาน ดังนั้น เมื่อนามาใช้ ในการจัดการภัยพิบัติจึงไม่เกิดประโยชน์ และไม่สามารถ แก้ ปั ญหาได้ อย่ างแท้ จริง ประเด็นที่น่ าสนใจ คือ ในการ

183

จัดเก็บข้ อมูลของหน่ วยงานต่ างๆ ไม่ปรากฏข้ อมูลชุ มชน ระดับตาบล/หมู่บ้านในประเด็นที่เกี่ยวกับการจัดการภั ย พิบัติ เช่น ข้ อมูลพื้นที่เสี่ยงภัย กลุ่มเปราะบาง พื้นที่อพยพ เส้ น ทางอพยพ ทั้งที่ เป็ นข้ อ มู ล เบื้ องต้ น ที่ ส าคั ญ ในการ บริหารจัดการภัยพิบตั ใิ นช่วงเวลาต่างๆ จากการค้ นคว้ างานวิจัยเกี่ยวกับความร่ วมมือระหว่ าง หน่วยงานภาครัฐและชุมชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ พบว่า การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน ภาครัฐและชุ มชนในการจัดการอุทกภั ยยังมีจานวนน้ อย มาก (กิตติศักดิ์ แสงทอง, 2557) โดยเฉพาะอย่ างยิ่งการ จัดทาและพัฒนาฐานข้ อมูลชุมชนระดับตาบล/หมู่บ้านใน ประเด็นที่เกี่ยวกับการจัดการอุทกภัย ดังนั้น ผู้วิจัยจึงใช้ กรอบแนวคิดเกี่ยวกับการจัดการภั ยพิ บัติธรรมชาติ เพื่ อ พัฒนาฐานข้ อมูลชุมชนระดับตาบล/หมู่บ้านในประเด็นที่ เกี่ยวกับการจัดการอุทกภัยโดยความร่วมมือระหว่างชุมชน และองค์กรปกครองส่วนท้ องถิ่นในพื้ นที่ลุ่มน้าทะเลสาบ สงขลา คือ ชุมชนตะโหมด อาเภอตะโหมด จังหวัดพั ทลุง และชุ ม ชนบ้ านร าแดง อ าเภอสทิ งพระ จั งหวั ด สงขลา เนื่องจากทั้งสองพื้นที่มลี ักษณะแตกต่างกันทั้งทางกายภาพ ระบบภู มิ นิ เวศ รวมทั้ ง ความพร้ อ มและความต้ องการ ในการจัด การอุท กภั ยในพื้ นที่ กล่ าวคื อ ชุ ม ชนในต าบล ตะโหมด ชุมชนมีการรวมตัวกันอย่างเข้ มแข็งในการรับมือ อุทกภัย (คณะทางานเอพีจี, 2556) ส่วนตาบลราแดงนั้น องค์ ก ารบริ ห ารส่ ว นต าบลร าแดงมี บ ทบาทส าคั ญ และ ประสบการณ์ในการจัดการอุทกภัย ผู้วิจัยจึงได้ ร่วมมือกับ พื้ นที่ท้ัง 2 แห่ ง ในการพั ฒ นาฐานข้ อมูลชุ มชนฯ โดยใช้ การวิจัยเชิงปฏิบัตกิ ารแบบมีส่วนร่วมกับกลุ่มเป้ าหมาย ใน พื้นที่ตะโหมดจานวน 13 คน และราแดงจานวน 12 คน วัตถุประสงค์ เพื่ อออกแบบฐานข้ อมู ลชุ มชนที่สอดคล้ องกับสภาพ และความต้ อ งการของชุ ม ชนและองค์ ก รปกครองส่ ว น ท้ องถิ่น สาหรับใช้ ในการจัดการอุทกภัยในลุ่มนา้ ทะเลสาบ สงขลา โดยการด าเนิ น งานร่ ว มกั น ในทุ ก ขั้ น ตอนกั บ กลุ่มเป้ าหมาย


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

184

วิธีการศึกษาและวัสดุอุปกรณ์ ในการพัฒนาฐานข้ อมูลสาหรับการจัดการอุทกภัยของชุมชนนั้น มีวิธกี ารศึกษา เครื่องมือ/อุปกรณ์ ดังนี้ ตารางที่ 1 แสดงขั้นตอนวิธกี าร เครื่องมืออุปกรณ์ กลุ่มเป้ าหมาย การวิเคราะห์และผลที่ได้ จากการพัฒนาฐานข้ อมูลฯ วิธีการ 1. ก ารป ระชุ ม ระด ม ค วาม คิดเห็น เพื่ อสารวจปั ญหา ความ ต้ องการ และข้ อเสนอแนะเกี่ยวกับ การจั ด การอุ ท กภั ย จากกลุ่ ม เป้ าหมายทั้งสองพื้ นที่ ประมาณ 3 ครั้ง เพื่อรวบรวมประเด็นสาคัญ เกี่ยวกับการจั ดการอุทกภั ย และ น าข้ อมู ลที่ ได้ ไปทวนสอบกั บ กลุ่มเป้ าหมายอีกครั้ง 2. การร่ วมกันกาหนดประเด็น หั วข้ อหลั กที่จะใช้ ในการพั ฒนา ฐานข้ อมูลชุมชนฯ

เครื่องมือ/ อุปกรณ์ กระดาษ ฟลิปชาร์ท

กระดาษ ฟลิปชาร์ท

3. ก าร สั ม ภ าษ ณ์ แ บ บ กึ่ ง โครงสร้ างกับกลุ่มเป้ าหมาย เพื่ อ กาหนดหั วข้ อย่ อยในฐานข้ อมู ล ชุมชนฯ

แบบสัมภาษณ์

4. ก ารน าผ ล ที่ ได้ ม าจั ด ท า (ร่ าง) ฐานข้ อมูลชุ มชนเพื่ อการ จัดการอุทกภัย

คอมพิวเตอร์ และโปรแกรม Mind Map

5. ก ารป ระชุ ม ระด ม ค วาม คิดเห็น และข้ อเสนอแนะเกี่ยวกับ (ร่ าง) ฐานข้ อมู ลชุ มชนฯ จาก กลุ่ ม เป้ าหมายและนั กวิ ช าการ ที่ มี ค วามเชี่ ยวชาญด้ านการ จัดการภัยพิบัติธรรมชาติ

(ร่าง) ฐานข้ อมูล ชุมชนในการ จัดการอุทกภัย

กลุ่มเป้าหมาย

การวิเคราะห์ขอ้ มูล

ผลที่ได้

แกนนา และผู้นาชุมชน เจ้ าหน้ าที่องค์กรเอกชน และเจ้ าหน้ าที่ องค์กรปกครองส่วนท้ องถิ่น พื้นที่ตะโหมด จานวน 13 คน และราแดง จานวน 12 คน

การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) การวิเคราะห์แบบอุปนัย (Analytic Induction)

ปัญหา ความต้ องการ และข้ อเสนอแนะ เกี่ยวกับการจัดการ อุทกภัยจาก กลุ่มเป้ าหมาย

แกนน าและผู้ น าชุ ม ชน เจ้ าหน้ าที่ องค์ กรเอกชน และเจ้ าหน้ าที่องค์ กร ปกครองส่วนท้ องถิ่น พื้ นที่ตะโหมด จ านวน 13 คน และร าแดง จ านวน 12 คน แกนน าและผู้ น าชุ ม ชน เจ้ าหน้ าที่ องค์ กรเอกชน และเจ้ าหน้ าที่องค์ กร ปกครองส่วนท้ องถิ่น พื้ นที่ตะโหมด จ านวน 13 คน และร าแดง จ านวน 12 คน -

การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)

หัวข้ อหลัก ในฐานข้ อมูลชุมชนฯ

การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)

ประเด็นหัวข้ อย่อย ในฐานข้ อมูลชุมชนฯ

-

ครั้งที่ 1 แกนน า ผู้ น า NGOs และ เจ้ าหน้ าที่ องค์ การบริ ห ารส่ วนต าบล ราแดง จังหวัดสงขลา จานวน 12 คน ครั้งที่ 2 แกนน า ผู้ น า NGOs และ เจ้ าหน้ าที่ เทศบาลต าบลตะโหมด จังหวัดพัทลุง จานวน 13 คน ค รั้ ง ที่ 3 นั ก วิ ช าก าร ที่ มี ค วาม เชี่ ยวชาญด้ านการภั ยพิ บัติธรรมชาติ จานวน 3 คน

การวิเคราะห์แบบอุปนัย (Analytic Induction)

(ร่ าง) ฐานข้ อมู ลชุ ม ชน เพื่ อ การจั ด การอุ ท กภั ย ป ระก อ บ ด้ วย 5 ฐ าน ได้ แก่ - กายภาพ & สิ่งแวดล้ อม - ประชากร - เศรษฐกิจ - สังคม - ฐานอุทกภั ยในพื้ นที่ใน อดีต ฐานข้ อมูลชุมชน เพื่อการจัดการอุทกภัยที่ สอดคล้ องกับความ ต้ องการของชุมชนและ องค์กรปกครองส่วน ท้ องถิ่น


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

185

ขั้นตอนหลังจากนั้ น คือ การเก็บรวบรวมข้ อมูล เพื่ อ ผลการศึกษา นาเข้ าในฐานข้ อมูลชุ มชนฯ และการทดลองใช้ ฐานข้ อมูล ผลที่ได้ จากการพัฒนาฐานข้ อมูลชุมชนเพื่อการจัดการ ชุมชนฯ นี้ ร่วมกับกลุ่มเป้ าหมายในแต่ละพื้นที่ เพื่อศึกษา อุทกภั ย โดยการประสานความร่ วมมือระหว่ างชุ มชนกับ ผลลัพธ์จากการดาเนินงานดังกล่าว องค์กรปกครองส่วนท้ องถิ่น พบว่ า ข้ อมูลชุมชนที่มีความ จาเป็ นเพื่ อการจัดการอุทกภั ย ประกอบด้ วย 5 ฐาน คือ ฐานกายภาพและสิ่งแวดล้ อม ประชากร เศรษฐกิจ สังคม และฐานอุทกภัยในพื้ นที่ในอดีต แต่ ละฐานมีรายละเอียด ดังนี้ ตารางที่ 2 แสดงรายละเอียดฐานข้ อมูลชุมชน ระดับชั้นข้ อมูล และรายละเอียดข้ อมูลจากการพัฒนาฐานข้ อมูลชุมชนฯ ฐานข้อมูลชุมชน 1. ด้านกายภาพและสิง่ แวดล้อม 1.1 ฐานทรัพยากร และสิ่งแวดล้ อม

ระดับชั้นข้อมูล ระดับครัวเรือน

ระดับชุมชน/ตาบล

รายละเอียดข้อมูล บ้าน - บ้ านเลขที่ - พิกดั บ้ าน - รหัสบ้ าน - ที่ต้งั (กรณีไม่มีทะเบียนบ้ าน) แหล่งน้ า - ชื่อ - ประเภท - พิกดั - ความกว้ าง

- ประเภทบ้ าน - วัสดุท่ใี ช้ ในการ ก่อสร้ างบ้ าน - ช่วงเวลาการ ก่อสร้ างบ้ าน

- สภาพของบ้ าน ณ ปัจจุ บัน - เจ้ าของบ้ าน - จานวนคน

- ความยาว - ความลึก - ความสามารถใน การรับนา้ ได้ สงู สุด - ช่วงเวลาที่มีนา้

- พื้นที่ท่ไี หลผ่าน - การใช้ ประโยชน์ - เจ้ าของ (กรณีเป็ นบ่อนา้ )

- ลักษณะพื้นที่ - ประเภท

- ขนาด

- ขนาดพื้นที่ - ลักษณะโรงเรียน - บุคลากร

- หลักสูตรการจัดการ ภ้ ยพิบัติในโรงเรียน - ข้ อมูลสาหรับติดต่อ

- ลักษณะพื้นที่ - ขนาดพื้นที่

- จานวนผู้พักอาศัย - ข้ อมูลสาหรับติดต่อ

- ธรณีวิทยา - ทรัพยากรดิน - ทรัพยากรป่ าไม้ - การใช้ ท่ดี ิน

- แหล่งท่องเที่ยว - เส้ นทางคมนาคม - ทรั พยากรทะเลและ ชายฝั่ง - ภัยพิบัติธรรมชาติ

ป่ าไม้ - ชื่อ - ที่ต้งั โรงเรียน

1.2 ฐานภูมิศาสตร์ (GIS) เป็ นข้ อมู ล ทุ ติ ย ภู มิ ท่ ี ไ ด้ จ ากหน่ ว ยงานภาครั ฐ เอกชน และหน่ ว ยงานท้ อ งถิ่ น เช่ น กรมแผนที่ ท หาร กรมพั ฒ นาที่ ดิ น กรมทรั พ ยากรน้ า และส านั ก งาน พั ฒนาเทคโนโลยี อ วกาศและภู มิ สารสนเทศ (GISTDA)

ระดับชุมชน/ตาบล

- ชื่อ - พิกดั - ลักษณะพื้นที่ สถานที่สาคัญทางศาสนา - ชื่อ - พิกดั - ประเภท - ขอบเขตการปกครองที่ต้งั - ภูมิอากาศ - ลักษณะภูมิประเทศ - ทรัพยากรนา้


186

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ตารางที่ 2 (ต่อ) ฐานข้อมูลชุมชน 2. ด้านประชากร 2.1 ฐานคน

3. ด้านเศรษฐกิจ 3.1 ฐานเศรษฐกิจ

4. ด้านสังคม 4.1 ฐานหน่ วยงานราชการในพื้นที่ท่ มี ี บทบาทด้ านการจัดการอุทกภัย

ระดับชั้นข้อมูล ระดับบุคคล

รายละเอียดข้อมูล - บ้ านเลขที่ - เลขบัตรประจาตัวประชาชน - คานาหน้ าชื่อ - ชื่อ-นามสกุล - สถานภาพ - จานวนบุตร - การศึกษา  ระดับการศึกษา  สถานะการศึกษา - ความรู้ ความสามารถที่ ใช้ ช่ ว ยเหลื อ ชุ ม ชนยามเกิ ด อุทกภัย - การสื่ อ สารใน ก รณี เกิ ด อุทกภัยหรือโทรศัพท์มือถือ และโทรศัพท์บ้านไม่สามารถ ใช้ งานได้

- โรคประจาตัว  ชื่อโรค  ช่วงเวลาการเจ็บป่ วย  สถานะการเจ็บป่ วย - การรักษา  ประเภทของยา  สถานรักษาประจา  ความถี่ ในการปรึ ก ษาเจ้ าหน้ าที่ ทางการแพทย์  เจ้ าหน้ าที่ทางการแพทย์ท่ ดี ูแลเป็ น หลัก

ระดับครัวเรือน

- บ้ านเลขที่ - ยานพาหนะใน - อุปกรณ์/เครื่องมือที่มีความ ครัวเรือน จาเป็ นต้ องใช้ ในกรณีเกิด - ประเภทอาชีพหลัก เหตุฉุกเฉิน - ประเภทอาชีพรอง - รายได้

ระดับชุมชน/ตาบล

- ลักษณะเศรษฐกิจของชุมชน - อัตราการว่างงาน

ระดับชุมชน/ตาบล

สถานีตารวจ - ชื่อ - ลักษณะพื้นที่ สถานีดบั เพลิง - ชื่อ - ลักษณะพื้นที่

- อุปกรณ์เครื่องมือ ทากิน  อุปกรณ์หลัก ในการประกอบ อาชีพ  รายละเอี ย ด ของอุปกรณ์ หลัก

- จานวนตารวจ - บุคลากรอื่นๆ

- ข้ อ มู ล ส าห รั บ ติดต่อ

- จานวนเจ้ าหน้ าที่ - เครื่องมือ/อุปกรณ์

- ยานพาหนะ - ข้ อ มู ล ส าห รั บ ติดต่อ

- บุคลากร

- ข้ อ มู ล ส าห รั บ ติดต่อ - ทุนที่มี - หน่วยงานสังกัด - ข้ อ มู ล ส าห รั บ ติดต่อ

สถานพยาบาล

4.2 ฐานกลุ่ ม/องค์ กร/เครื อข่ ายใน ชุมชน

ระดับชุมชน/ตาบล

- ชื่อ - ประเภท - ชื่อ - ประเภท - เป้ าหมายของการรวมกลุ่ม

- ประธาน  ชื่อ  ที่อยู่ - จานวนสมาชิก


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

187

ตารางที่ 2 (ต่อ) ฐานข้อมูลชุมชน 4.3 ฐานโบราณสถาน

ระดับชั้นข้อมูล ระดับชุมชน/ตาบล

5. ด้านอุทกภัยในพื้ นที่ในอดีต 5.1 ฐานอุทกภัย

ระดับชุมชน/ตาบล

- ชื่อ - ประเภท - ช่วงเวลาการเกิดอุทกภัย - พื้นที่ท่เี กิดอุทกภัย - ผลกระทบ  พื้นที่ท่ไี ด้ รับผลกระทบ  รูปแบบผลกระทบ

สามารถจ าแนกข้ อ มู ล และแหล่ ง ที่ ม าของข้ อ มู ล ใน ฐานข้ อมูลชุมชนฯ ได้ เป็ น 2 กลุ่ม ดังนี้ 1. ข้อมู ลปฐมภู มิ เป็ นข้ อมู ลที่ได้ จากการส ารวจใน พื้นที่และมีความสาคัญอย่ างยิ่ง เพื่อให้ การบริหารจัดการ เป็ นไปอย่ างเต็มประสิทธิภาพ ครบถ้ วนและสมบูรณ์ เช่ น ตาแหน่งที่ต้งั สถานที่สาคัญ ขอบเขตพื้นที่ส่งิ ก่อสร้ างขึ้นมา ใหม่ หรือข้ อมูลอื่นๆ ที่จาเป็ นสาหรับจัดการอุทกภัย เช่ น พื้นที่เสี่ยงอุทกภัย เส้ นทางอพยพ จุดอพยพ กลุ่มเปราะบาง เป็ นต้ น ซึ่งฐานข้ อมูลกลุ่มนี้ ต้ องอาศั ยความร่ วมมือจาก ชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้ องถิ่น เพราะแต่ละฝ่ ายมี เงื่อนไขข้ อจากัดในการดาเนินการ ชุมชนมีความพร้ อมใน การเก็บรวบรวมข้ อมูลแต่ขาดทักษะ องค์ความรู้เทคโนโลยี ในการจัดทาข้ อมูลให้ เป็ นปัจจุบนั ส่วนองค์กรปกครองส่วน ท้ องถิ่ น มี ค วามพร้ อมด้ านเทคโนโลยี สามารถปรั บปรุง ข้ อมูลให้ เป็ นปั จจุบนั ได้ แต่ขาดบุคลากรในการเก็บรวบรวม ข้ อมู ล ดั งนั้ น หากทั้งสองฝ่ ายประสานความร่ วมมื อกัน จะท าให้ การเก็บรวบรวมข้ อมู ล และการบริ ห ารจั ด การ ข้ อมูลปรากฏเป็ นจริงและมีประสิทธิภาพ 2. ข้อมู ลทุติยภู มิ ที่ได้ จากการจัดซื้อ/จัดหา เป็ นชั้น ข้ อมูลพื้นฐานที่ปรากฏอยู่ในแผนที่ฐาน (Base-Map) เช่น ข้ อ มู ล ภู มิ ป ระเทศ ข้ อ มู ล ทรั พ ยากร ธรรมชาติ ข้ อ มู ล ธรณี วิ ทยา เป็ นต้ น เจ้ าของข้ อมู ลคื อ หน่ วยงานภาครั ฐ เอกชน หรือหน่วยงานท้ องถิ่น เช่ น กรมแผนที่ทหาร กรม พั ฒ นาที่ดิ น กรมทรั พ ยากรน้า กรมอุ ตุ นิ ยมวิ ท ยา หรื อ ส านั ก งานพั ฒ นาเทคโนโลยี อวกาศและภู มิ ส ารสนเทศ (GISTDA) เป็ นต้ น ซึ่งองค์กรปกครองส่วนท้ องถิ่นจะมี

รายละเอียดข้อมูล - ความสาคัญ - ที่ต้งั

- ลักษณะพื้นที่ - อายุประมาณ (ปี )

- ตัวเลขความเสียหายในภาพรวมทั้งพื้นที่ - ความช่วยเหลือ  ผู้เข้ าให้ ความช่วยเหลือ  รูปแบบความช่วยเหลือ  แนวทางความช่วยเหลือ  ปั ญหา/อุปสรรค ในการเข้ าให้ ความ ช่วยเหลือ

ความพร้ อมในการจัดหาและการบริหารจัดการข้ อมูลกลุ่มนี้ ได้ มากกว่าชุมชน อภิปรายผลการศึกษา ฐานข้ อมูลชุมชนฯ ประกอบด้ วย 5 ฐาน ได้ แก่ 1) ฐาน กายภาพและสิ่งแวดล้ อม ตัวอย่ างข้ อมู ลในฐานนี้ ได้ แก่ ข้ อมูลบ้ าน แหล่ งน้า ป่ าไม้ และข้ อมูลด้ านภูมิศาสตร์ 2) ฐานประชากร ตัวอย่ างข้ อมูลในฐานนี้ ได้ แก่ ความรู้ความ สามารถที่ใช้ ช่วยเหลือชุมชนยามเกิดอุทกภัย การสื่อสารใน กรณี เกิด อุ ทกภั ย โรคประจ าตั ว และการรั กษา 3) ฐาน เศรษฐกิจ ตัวอย่ างข้ อมูลในฐานนี้ ได้ แก่ อาชีพหลัก-รอง อุ ป กรณ์ เครื่ อ งมื อ ท ากิ น อุ ป กรณ์ / เครื่ อ งมื อ ที่ มี ค วาม จ าเป็ นต้ องใช้ ในกรณี เกิ ด เหตุ ฉุ ก เฉิ น 4) ฐานสั ง คม ตัวอย่ างข้ อมูลในฐานนี้ ได้ แก่ หน่ วยงานราชการในพื้ นที่ ที่มี บ ทบาทด้ านการจั ด การอุ ท กภั ย และกลุ่ ม /องค์ กร/ เครือข่ ายในชุ มชน และ 5) ฐานอุทกภั ยในพื้ นที่ในอดีต ตัวอย่ างข้ อ มู ลในฐานนี้ ได้ แก่ ช่ วงเวลาการเกิด น้าท่ วม พื้นที่ท่เี กิดนา้ ท่วม ผลกระทบ และความช่วยเหลือ ฐานข้ อมูลชุมชนฯ นี้สอดคล้ องกับแนวคิดและมีเนื้อหา ครอบคลุมทุกองค์ประกอบตามหลักการจัดการความเสี่ยง จากภั ย พิ บั ติ (Disaster Risk Management: DRM) และ การจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติโดยอาศัยชุมชนเป็ นฐาน (Community-Based Disaster Risk Management: CBDRM) กล่ าวคือ DRM มีหลักการดาเนินงาน 4 ด้ าน ได้ แก่ การ บรรเทาลดผลกระทบหรือการป้ องกัน (Mitigation) การ เตรี ย มพร้ อม (Preparedness) การรั บ มื อและช่ ว ยเหลื อ


188

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

บรรเทาทุกข์ (Response) และการฟื้ นฟู (Rehabilitation) (นิลุบล สู่พานิช, 2549) ทุกด้ านจาเป็ นต้ องอาศัยข้ อมูลใน พื้นที่ในการดาเนินงานทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น 1. การบรรเทาลดผลกระทบ หรื อ การป้ องกั น (Mitigation) เป็ นการดาเนินการก่อนเกิดภัยพิบัติ เพื่อให้ คนในชุมชน บ้ านเรือนได้ รับผลกระทบน้ อยที่สุดเมื่อเกิด อุทกภัย กิจกรรมที่สาคัญ คือ การประเมินความล่อแหลม เสี่ยงภัย ข้ อมูลที่จาเป็ นในการประเมินความล่อแหลมเสี่ยงภัย คือ ตาแหน่ งที่ต้ังของบ้ าน เส้ นทาง/ที่ต้ังแหล่ งน้า สภาพ ภูมปิ ระเทศ โครงสร้ างบ้ านเรือน เป็ นต้ น 2. การเตรี ย มพร้ อม (Preparedness) เป้ าหมาย คื อ ทาอย่างไรให้ ครัวเรือน ชุมชน และหน่ วยงานที่เกี่ยวข้ องมี ความสามารถในการรับมือเมื่อเกิดอุทกภัย ดังนั้น ทุกฝ่ าย ต้ องมีแผนรับมือและมีการซ้ อมแผน เพื่ อป้ องกันการตื่น ตระหนก โกลาหลเมื่อเกิดเหตุการณ์จริง ยกตัวอย่ างเช่ น แผนอพยพ ข้ อมูลที่จาเป็ น คือ เส้ นทางอพยพ จุดอพยพ/ ปลอดภัย ยานพาหนะในการอพยพ ข้ อมูลกลุ่มเปราะบาง หรือคนกลุ่มแรกที่ต้องการความช่วยเหลือเมื่อเกิดอุทกภัย เป็ นต้ น แผนศูนย์พักพิ งและการบริหารจัดการ แผนการ ช่ วยเหลื อกรณี บางครั วเรือนไม่ อพยพ แผนการขุดลอก คู ค ลองในพื้ นที่ และแผนการจั ดการเมื่ อเกิด เหตุ ก ารณ์ ฉุกเฉิ น เช่ น เขื่อนหรืออ่างเก็บนา้ แตก ฯลฯ แผนทั้งหมด จาเป็ นต้ องใช้ ข้อมูลในการจัดทาแผน และการนาแผนไป ปฏิบตั ิ 3. การรับมือและช่ วยเหลือบรรเทาทุกข์ (Response) เป็ นการนาแผนในช่วงการเตรียมพร้ อม มาปฏิบตั ิจริง หาก แผนที่ เตรี ย มไว้ มี ข้ อมู ลสมบู รณ์ ถู ก ต้ อง ครบถ้ วนเป็ น ปั จจุ บั น โอกาสในการน าแผนมาปฏิ บั ติ แ ล้ วประสบผล สาเร็จในการจัดการอุทกภัยจะอยู่ในระดับสูง ในทางกลับกัน หากใช้ ข้อมูลที่ไม่ถูกต้ อง และล้ าหลังในการทาแผน เมื่อนา แผนมาปฏิบตั ยิ ่อมก่อให้ เกิดผลเสียหายตามมา 4. การฟื้ นฟู (Rehabilitation) เป็ นการดาเนินการหลัง เกิ ด ภั ย พิ บั ติ กิ จ กรรมที่ ส าคั ญ คื อ การประเมิ น ความ เสียหาย การฟื้ นฟู บู รณะ ข้ อมู ลที่จ าเป็ น คื อ บ้ านเรือ น ทรัพย์สนิ พื้นที่ทางการเกษตร คนในชุมชน เป็ นต้ น หากมี ข้ อมูลเตรียมไว้ เมื่อเกิดอุทกภัยที่ได้ สร้ างความเสียหายใน พื้นที่ หลังอุทกภัยผ่านพ้ นแล้ วองค์กรปกครองส่วนท้ องถิ่น

สามารถสารวจ ประเมินความเสียหาย และเยียวยาชดใช้ ความเสียหายได้ ทนั ท่วงที กระบวนการในการด าเนิ นการวิจัยยังสอดคล้ องตาม หลักขั้นตอนของ CBDRM หรือการจัดการความเสี่ยงจาก ภัยพิบัติโดยอาศัยชุมชนเป็ นฐาน เน้ นให้ คนในชุมชนและ องค์ ก รปกครองส่ ว นท้ อ งถิ่ น มี ส่ ว นร่ ว มในทุ ก ขั้ น ตอน (ศิรินันต์ สุวรรณโมลี, 2552) ทั้งสารวจปัญหา ความต้ องการ ก าหนดประเด็น หั วข้ อหลั ก -ย่ อ ยในฐานข้ อมู ล ชุ ม ชนฯ แสดงความคิดเห็น และให้ ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับร่ างฐาน ข้ อมูลชุ มชนฯ ผลที่ได้ เป็ นการเพิ่ มขีดความสามารถของ ชุมชน และเพิ่มศักยภาพขององค์กรปกครองส่วนท้ องถิ่น ในการจั ด การอุ ท กภั ย ซึ่ ง เป็ นไปตามพระราชบั ญ ญั ติ ป้ องกันและบรรเทาสาธารณภั ย พ.ศ.2550 แผนปฏิบั ติ การลดความเสี่ยงจากภัยพิ บัติแห่ งชาติในเชิงยุทธศาสตร์ พ.ศ.2553–2562 แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่ งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ.2555–2559) และแผนยุทธศาสตร์กรม ป้ องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2555–2559 ที่เน้ น ให้ มี ก ารสร้ า ง/เพิ่ ม ขี ด ความสามารถของชุ ม ชนในการ ปรับตัว เตรียมความพร้ อมรับมือภั ยพิ บัติ สนั บสนุ นให้ หน่ วยงานท้ องถิ่นและชุมชนเข้ ามามีบทบาทในการจัดการ ภัยพิบัติ และจัดทา/พัฒนาระบบฐานข้ อมูลเพื่อสนับสนุ น การดาเนินกิจกรรมด้ านภัยพิบัติ และผลจากงานวิจัยนี้ยัง สอดคล้ องกับผลการวิ จัยของคณะท างานจังหวั ดสงขลา (คณะทางานจังหวัดสงขลา, 2556) ที่ได้ ถอดบทเรียนของ ชุมชนบนคาบสมุทรสทิงพระ หลังจากได้ รับผลกระทบจาก พายุดีเปรสชั่น และยกระดับความรู้ในการจัดการภัยพิบัติ ผ่ านเวทีกระบวนการเรียนรู้และการทางาน และขยายผล ไปยังพื้ นที่ใกล้ เคียง พบว่ า ข้ อมูลที่จาเป็ นในการป้ องกัน ภัยพิ บัติธรรมชาติและวางแผนสิ่งแวดล้ อม ประกอบด้ วย 1) ข้ อมู ล ด้ านกายภาพและสิ่ ง แวดล้ อม เช่ น สภาพ ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ แหล่งนา้ ใต้ ดนิ ข้ อมูลเกี่ยวกับระบบ สาธารณู ป โภค สาธารณู ป การ 2) ข้ อมู ล ด้ านประชากร โดยเฉพาะอย่ างยิ่งจานวนประชากร และ 3) ข้ อมู ลด้ าน เศรษฐกิจ-สังคม การน าผลที่ ได้ จากงานวิ จั ย นี้ ไปใช้ จ าเป็ นต้ อ งมี ก าร ประสานความร่ ว มมื อ กั น ระหว่ า งชุ ม ชน องค์ ป กครอง ท้ องถิ่น และองค์กรเอกชนในพื้นที่ สิ่งสาคัญที่จะทาให้ การ ประสานความร่วมมือประสบผลสาเร็จ ประกอบด้ วย


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

1. การติ ด ต่ อ สื่ อ สารระหว่ างกั น เพื่ อส่ ง ต่ อ ข้ อมู ล ปั ญ หา อุ ป สรรค และข้ อ จ ากั ด ของแต่ ล ะฝ่ าย และหา แนวทางที่ทาให้ ทุกคน ทุกฝ่ าย สามารถดาเนินกิจกรรมได้ ตามบริ บ ทของตน รู ป แบบการสื่ อ สารที่ เหมาะสมกั บ ลักษณะดังกล่ าว คือ การสื่อสารแบบ 2 ทาง ซึ่งผู้ส่งสาร และผู้รับสารสามารถมีปฏิกิริยาโต้ ตอบ ทั้งที่เป็ นทางการ และไม่ เป็ นทางการได้ ต ลอดเวลา (กาญจนา แก้ วเทพ, กาจร หลุยยะพงศ์, รุจิรา สุภาษา, และวีรพงษ์ พลนิกรกิจ,

189

2543) ดังรูปที่ 1 ข้ อดีของการสื่อสารลักษณะนี้ ทาให้ เกิด การไหลของข้ อมูลข่าวสารตลอดเวลา ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลา ที่ ผ่ า นมาพื้ นที่ ร าแดงและพื้ นที่ ต ะโหมดมี ก ารด าเนิ น กิจกรรมต่ างๆ เช่ น การบริ ห ารจั ด การทรั พ ยากรน้าใน รู ป แบบคลองหมอนนาของร าแดง การบริ ห ารจั ด การ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้ อม รวมถึงภัยพิ บัติของ พื้ นที่ ตะโหมด มี ก ารประสานงานกัน ระหว่ างฝ่ ายต่ างๆ ตลอดมา

ผู้ส่งสาร

องค์ปกครองท้ องถิ่น ผู้รับสาร

ผู้ส่งสาร

ผู้ส่งสาร

ชุมชน

องค์กรเอกชน

ผู้รับสาร

ผู้รับสาร

รูปที่ 1 การสื่อสารแบบ 2 ทาง

ความเข้ มแข็งของชุมชน องค์กรปกครองท้ องถิ่น และ องค์กรเอกชนในพื้นที่ จะมากหรือน้ อยขึ้นอยู่กบั องค์ประกอบ ที่สาคัญ 4 ประการ (อรศรี งามวิทยาพงศ์, 2551) คือ 1. ปั จจัยด้ านทุน ทั้งทุนมนุ ษย์ ทุนทางสังคม และทุน เงินตรา ซึ่งทุนดังกล่ าวถือเป็ นทุ นพื้นฐานที่สาคัญที่ทาให้ ชุมชน และหน่วยงานในพื้นที่เกิดความเข้ มแข็ง ในพื้นที่ท้งั สองแห่ ง ทั้ งเจ้ าหน้ าที่ อบต.ร าแดง และแกนน าชุ มชน ตะโหมดต่ างมี ความรู้ และทักษะในการจั ดการภั ยพิ บั ติ ธรรมชาติ รวมทั้งมีสายสัมพันธ์ทางสังคมและเครือข่ายกับ สมาชิกในชุมชน และหน่ วยงานภายนอกมาเป็ นระยะเวลา ยาวนาน ทั้งในการด าเนิ นงานพั ฒ นาและการจั ดการภั ย พิบตั ธิ รรมชาติ 2. ปั จ จั ย ด้ านกระบวนการเรี ย นรู้ พื้ นที่ ร าแดงและ ตะโหมดมีการเรียนรู้เพิ่มเติมตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่ าง ยิ่งในประเด็นที่เกี่ยวข้ องกับการบริหารจัดการทรัพยากรนา้ ซึ่งทางองค์การบริหารส่วนตาบลราแดงได้ นาแนวคิ ดการ จั ดท าคลองหมอนนา มาบริ ห ารจั ด การทรั พ ยากรน้าใน

พื้นที่ หรือแม้ แต่เรื่องการจัดการภัยพิบัติ อีกทั้งได้ รับการ สนับสนุ นจากหน่ วยงานภายนอกทั้งภาครัฐ และเอกชนที่ เข้ ามาจัดอบรมความรู้เพิ่มเติม 3. ปั จจัยด้ านการบริหารจัดการ ในที่น้ ีหมายรวมถึง การบริหารจัดการองค์กร โครงสร้ างการบริหาร ระบบกลไก ที่เหมาะสมที่ทาให้ กลุ่ม องค์กร หน่วยงานในพื้นที่สามารถ ดารงอยู่ได้ ในพื้นที่ตะโหมด มีการรวมตัวจัดตั้งกลุ่มใช้ ช่ อื ว่า สภาลานวัดตะโหมด ในปี 2538 โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่ อ พั ฒนาชุ มชนในด้ านต่ างๆ ทั้งการศึกษา ศาสนา วัฒนธรรม สิ่งแวดล้ อม และการท่องเที่ยว ซึ่งการดาเนินงานทั้งหมด เป็ นของชุมชน โดยมีหน่ วยงานภายนอกให้ การสนับสนุ น วิธีการที่ชุมชนดาเนิ นการตลอดมา คือ การพู ดคุ ยระดม ความคิดเห็น ประชุม เพื่อหาข้ อสรุปของปั ญหา หาแนวทาง แก้ ไขปั ญหา และติดตามผลที่เกิดขึ้น ปั จจุ บันสภาลานวัด ตะโหมด เป็ นแหล่ งศึกษาดูงานที่สาคัญในด้ านการพัฒนา ชุมชน


190

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

4. ปัจจัยด้ านจิตสานึกร่วม ในการดาเนินกิจกรรมต่างๆ ในพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ตะโหมด สมาชิกในชุมชน ต่างมีจิตอาสาในการร่วมมือกันทากิจกรรม เพื่อพัฒนาและ แก้ ไขปั ญหาของชุมชน โดยไม่มีค่าตอบแทนใดๆ นอกจาก ความภาคภูมิใจ ความรักและความหวงแหนในถิ่นฐานบ้ าน เกิดของตนเอง ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้ ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่ รุ่น และหลอมรวมใจคนในพื้นที่ให้ เป็ นอันหนึ่งอันเดียวกัน สืบเนื่องจากปั จจัยดังกล่าวข้ างต้ น ผู้วิจัยมีความเชื่อมั่น ว่ า ในการทางานขั้นต่ อไปของงานวิจัยนี้ ตลอดจนการนา ผลที่ได้ จากงานวิจัยนี้ไปใช้ ประโยชน์ในพื้นที่จะเกิดคุณค่า ต่อคนในชุมชน องค์กร รวมถึงหน่ วยงานที่เกี่ยวข้ อง ทั้งนี้ ผู้วิจัยคาดหวังว่า ในแต่ละพื้นที่สามารถนาฐานข้ อมูลนี้ไป ใช้ ในการพั ฒ นาและยกระดั บ การตั้ งรั บ ปรั บ ตั ว ต่ อ การ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของชุมชนในอนาคตได้ หาก องค์กรปกครองส่วนท้ องถิ่นและชุมชนมีความพร้ อม และ ได้ รับการสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้ อง

ความรู้ความสามารถที่ใช้ ช่วยเหลือชุมชนยามเกิดอุทกภัย การสื่อสารในกรณีเกิดอุทกภัย โรคประจาตัว และการรักษา ฐานที่ 3 คื อ ฐานเศรษฐกิ จ ข้ อ มู ล ระดั บ ครั ว เรื อ น ได้ แก่ อาชีพหลัก-รองอุปกรณ์เครื่องมือทากิน ยานพาหนะ ในครัวเรือน อุปกรณ์/เครื่องมือที่มีความจาเป็ นต้ องใช้ ใน กรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน ส่วนข้ อมูลระดับชุมชน/ตาบล ได้ แก่ ลักษณะเศรษฐกิจของชุมชน และอัตราการว่างงาน ฐานที่ 4 คือ ฐานสังคม เป็ นข้ อมูลระดับชุมชน/ตาบล ได้ แก่ หน่วยงานราชการในพื้นที่ท่มี บี ทบาทด้ านการจัดการ อุทกภัย ทั้งสถานีตารวจ สถานีดับเพลิง และสถานพยาบาล กลุ่ม/องค์กร/เครือข่ายในชุมชน และโบราณสถาน และ ฐานที่ 5 คือ ฐานอุทกภัยในพื้นที่ในอดีต ข้ อมูลระดับ ชุมชน/ตาบล ได้ แก่ ช่ วงเวลาการเกิดนา้ ท่วม พื้ นที่ท่ีเกิด น้าท่ วม ผลกระทบ ตั วเลขความเสีย หายในภาพรวมทั้ง พื้นที่ และความช่วยเหลือ ข้อเสนอแนะ

สรุปผลการศึกษาและข้อเสนอแนะ สรุปผลการศึกษา ฐานข้ อมูลของชุมชนในการจัดการอุทกภัย โดยความ ร่วมมือของชุมชนและหน่ วยงานท้ องถิ่น มีข้อมูลที่จาเป็ น ต่อการจัดการอุทกภัย จาแนกได้ 5 ฐานหลัก ซึ่งประกอบด้ วย ข้ อมูลระดับบุคคล ครัวเรือน และระดับชุมชน/ตาบล ดังนี้ ฐานที่ 1 คื อ ฐานกายภาพและสิ่งแวดล้ อม มี 2 ฐาน ย่อย คือ ฐานทรัพยากรและสิ่งแวดล้ อม และฐานภูมิศาสตร์ (GIS) - ฐานทรั พ ยากรและสิ่ ง แวดล้ อม ข้ อมู ล ระดั บ ครัวเรือน ได้ แก่ ข้ อมูลบ้ าน ส่วนข้ อมูลระดับชุมชน/ตาบล ได้ แก่ ข้ อมูลแหล่ งน้า ป่ าไม้ โรงเรียน และสถานที่สาคัญ ทางศาสนา - ฐานภู มิ ศ าสตร์ (GIS) เป็ นข้ อ มู ล ระดั บ ชุ ม ชน/ ตาบล ได้ แก่ ขอบเขตการปกครองที่ต้งั ภูมอิ ากาศ ลักษณะ ภู มิ ป ระเทศ ทรั พ ยากรน้ า ธรณี วิ ท ยา ทรั พ ยากรดิ น ทรัพยากรป่ าไม้ การใช้ ท่ดี นิ แหล่งท่องเที่ยว เส้ นทางคมนาคม ทรัพยากรทะเลและชายฝั่ง และภัยพิบตั ธิ รรมชาติ ฐานที่ 2 คือ ฐานประชากร เป็ นข้ อมูลระดับบุคคลที่มี อายุ 14-60 ปี ได้ แก่ ชื่ อ สถานภาพ บุ ต ร การศึ ก ษา

ข้อเสนอแนะในการนาผลการวิจยั ไปใช้ ในการนาผลที่ได้ จากงานวิจัยนี้ ไปใช้ จาเป็ นต้ องมีการ ประสานความร่ วมมือ การแบ่ งบทบาทหน้ าที่ ทั้งชุ ม ชน องค์ปกครองท้ องถิ่น และองค์กรเอกชนในพื้นที่ เนื่องจาก แต่ละฝ่ ายต่างมีข้อจากัดในการดาเนินงาน และมีวัฒนธรรม การดาเนินงานในองค์กรต่างกัน นอกจากนี้ ควรนาฐานข้ อมูลชุ มชนฯ ในงานวิจัยนี้ไป ประยุ ก ต์ ใ ช้ ร่ ว มกั บ ฐานข้ อมู ล ของหน่ ว ยงานอื่ น ๆ ที่ เกี่ยวข้ องในพื้นที่ เพื่อนาไปสู่การใช้ ฐานข้ อมูลในการพัฒนา ชุมชนในมิติต่างๆ ต่อไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับตัวต่อ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมอิ ากาศ ข้อเสนอแนะในการทาวิจยั ครั้งต่อไป ฐานข้ อมูลชุมชนฯ ในงานวิจัยนี้ ผู้วิจัยได้ ออกแบบเพื่อ จั ด การอุ ท กภั ย เท่ านั้ น ผู้ สนใจสามารถน าผลที่ ได้ จาก งานวิจัยนี้เป็ นจุ ดตั้งต้ นในการวิจัยเพื่ อพั ฒ นาฐานข้ อมู ล ส าหรั บ จั ด การภั ย พิ บั ติ ธ รรมชาติ ป ระเภทอื่ นๆ ได้ ยกตัวอย่างเช่น วาตภัย ภัยแล้ ง ดินโคลนถล่ม เป็ นต้ น ประเด็นที่สาคัญอีกประการหนึ่ง ก็คือ ฐานข้ อมูลชุมชนฯ ในงานวิจัยนี้ ประกอบด้ วย 5 ฐานดังกล่ าวข้ างต้ น ในการ พัฒนาฐานข้ อมูลชุมชนเพื่ อการจัดการภัยพิ บัติธรรมชาติ


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ในครั้ ง ต่ อ ไป สามารถจ าแนกฐานข้ อ มู ล ในแต่ ล ะฐาน ออกเป็ น 3 ระยะตามวงจรการจัดการสาธารณภัย คือ ก่อน เกิด ขณะเกิด และหลังเกิดภัย เพื่อจาแนกความต้ องการใช้ ข้ อมูลในการจัดการภัยพิ บัติในช่ วงเวลาต่างๆ (สานักงาน คณะกรรมการพั ฒ นาการเศรษฐกิจและสังคมแห่ งชาติ , 2554) นอกจากนี้ ยังสามารถตรวจสอบความถูกต้ อง ครบถ้ วน เพี ยงพอ ของข้ อมู ลในฐานข้ อมู ล โดยก าหนดเงื่อนไข/ กิจกรรม ในแต่ ละช่ วงของการจัดการภั ยพิ บั ติธรรมชาติ เช่น ช่วงก่อนเกิดภัย ตัวอย่างกิจกรรม ได้ แก่ การประเมิน ความล่ อแหลมเสี่ยงภั ย การเตรียมพร้ อมของประชาชน เครื่องมือ อุปกรณ์ แผน และการเตือนภัย ช่วงขณะเกิดภัย ตัวอย่ างกิจกรรม ได้ แก่ การช่ วยเหลื ออพยพไปยั งพื้ นที่ ปลอดภัย การช่ วยเหลือบรรเทาทุกข์ และช่วงหลังเกิดภัย ตัวอย่างกิจกรรม ได้ แก่ การประเมินความเสียหาย และการ ฟื้ นฟู บู รณะ แล้ ววิ เคราะห์ ว่ า หากต้ องการด าเนิ น การ กิจกรรมดังกล่ าวข้ างต้ น ข้ อมูลที่มีในฐานข้ อมูลชุมชนฯ นี้ เพี ย งพอต่ อ การด าเนิ น กิ จ กรรมดั ง กล่ า วหรื อ ไม่ หรื อ จาเป็ นต้ องเพิ่มข้ อมูลอื่นใดอีกเพื่อทาให้ ฐานข้ อมูลชุมชนฯ มีความสมบูรณ์ ครบถ้ วนมากที่สดุ เอกสารอ้างอิง

191

กาญจนา แก้ วเทพ, กาจร หลุยยะพงศ์, รุจิรา สุภาษา, และ วีรพงษ์ พลนิกรกิจ. (2543). สือ่ เพือ่ ชุมชน: การประมวล องค์ความรู .้ กรุงเทพฯ: สานั กงานกองทุ นสนั บสนุ นการ วิจัย. [5] กิตติศักดิ์ แสงทอง. (2557). รูปแบบความร่วมมือในการ จัด การน า้ ท่ วมระหว่างองค์ กรปกครองส่ วนท้องถิ่ นและ ชุ ม ชน: กรณี ศึ ก ษาพื้ นที ่ น ้า ท่ ว มซ ้า ซากในภาคใต้ข อง ประเทศไทย. (วิ ท ยานิ พ นธ์ ป ริ ญ ญ าดุ ษ ฎี บั ณ ฑิ ต ). มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, สงขลา. [6] กลุ่มงานข้ อมูลสารสนเทศและการสื่อสาร สานักงานสงขลา. (2556). ฐานข้ อมู ล 45 กลุ่ มเรื่ อง 32 ตั วชี้ วั ด ส าหรั บ ประชาชน ทั่ วไป . สื บ ค้ น จาก http://www.songkhla. go.th/ PMQA/IT2.php [7] กลุ่มงานข้ อมูลสารสนเทศและการสื่อสาร สานักงานจังหวัด สงขลา. (2556). ระบบเตื อ นภั ย จั ง หวั ด . สื บ ค้ นจาก http://www.songkhla.go.th/songkhla52/warning1.htm [8] คณะทางานจังหวัดสงขลา. (2556). โครงการประสานภาคี ความร่วมมื อในการสร้างความรูท้ ีเ่ หมาะสมระดับท้องถิ่น ในการจัดการภัยพิบตั ิจงั หวัดสงขลา. กรุงเทพฯ: สานักงาน กองทุนสนับสนุนการวิจัย. [9]

กรมป้ องกันและบรรเทาสาธารณภัย. (2550). แผนแม่บท การป้ องกันและให้ความช่วยเหลือผูป้ ระสบภัยจากอุ ทกภัย คณะทางานเอพีจี. (2556). ชุมชนตะโหมดปรับตัวรับภัย วาตภัย และโคลนถล่ม (ระยะ 5 ปี ). ม.ป.ท.: ม.ป.พ. [1] พิ บัติ กรณี ศึ กษาการเตรี ยมความพร้อมรับภัยพิ บัติ ของ ชุ มชนลุ่ มน ้าตะโหมด จังหวัด พั ทลุ ง. ม.ป.ท.: องค์ การ กรมป้ องกันและบรรเทาสาธารณภัย. (2553). แผนปฏิบตั ิ เฮล์พเอจ อินเตอร์เนชั่นแนล. [10] การลดความเสีย่ งจากภัยพิ บตั ิ แห่ งชาติ ในเชิงยุทธศาสตร์ พ.ศ. 2553 – 2562. ม.ป.ท.: ม.ป.พ. [2] นิลุบล สู่พานิช. (2549). แนวทางการปฏิ บัติงานสาหรับ ผูป้ ฏิ บัติ งานภาคสนามในการจัด การความเสี ย่ งจากภั ย กรมป้ องกั น และบรรเทาสาธารณภั ย . (2554). แผน พิ บตั ิ โดยอาศัยชุมชนเป็ นฐานในประเทศไทย. กรุงเทพฯ: ยุ ท ธศาสตร์กรมป้ องกัน และบรรเทาสาธารณภั ย พ.ศ. คลังวิชา. [11] 2555–2559. ม.ป.ท.: ม.ป.พ. [3] ราชกิจจานุเบกษา. (2550). พรบ. ป้ องกันและบรรเทาสา กรมป้ องกันและบรรเทาสาธารณภัย. (2556). ข้ อมูลด้ าน ธารณภัย พ.ศ.2550. ม.ป.ท.: ม.ป.พ. [12] ค วาม เสี ย ห าย . สื บ ค้ น จาก http://www. thaiwater. net/current/floodsouth_nov 56.html [4]


192

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ศิ ริ นั น ต์ สุวรรณโมลี . (2552). การศึ กษาแนวทางการ พัฒ นาการจัดการความเสีย่ งจากภัยพิ บัติ โดยชุ มชนเป็ น ฐานจากภาคประชาสังคม: กรณี ศึ กษาชุมชนบ้านน า้ เค็ ม ต.บางม่วง อ.ตะกัว่ ป่ า จ.พังงา. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้ าธนบุรี, กรุงเทพฯ. [13] ศู น ย์ บ ริ ก ารวิ ช าการแห่ งจุ ฬ าลงกรณ์ มหาวิ ท ยาลั ย . (2553). คู่มือการใช้งาน ระบบจัดการข้อมูลสารสนเทศ ด้านสาธารณภัย โครงการ พัฒ นาปรับปรุ งการน าเสนอ ข้อ มู ล ในลั ก ษณะแผนที ่ภู มิ ศ าสตร์ ผ่ า นระบบ Internet (IMS) จากระบบข้อมูลสาธารณภัย MIS/GIS. กรุงเทพฯ: กรมป้ องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย. [14] ส านั กงานคณะกรรมการพั ฒ นาการเศรษฐกิ จและสังคม แห่ งชาติ. (2554). แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่ งชาติ ฉบับทีส่ ิบเอ็ด พ.ศ. 2555–2559. ม.ป.ท.: ม.ป.พ. [15]

Chula Unisearch, Chulalongkorn University. (2010). A Manual of Disaster Information Management System Project of the Development of Geographic Map Data Presentation via the Internet (IMS) from Public Information System MIS / GIS. Bangkok: Department of Disaster Prevention and Mitigation, Ministry of Interior. [in Thai] [14] Department of Disaster Prevention and Mitigation. (2007). A Master Plan for Protection and Provision for People Affected by Floods, Storms and Mudslides (5 Years). N.P.: n.p. [in Thai] [1] Department of Disaster Prevention and Mitigation. (2010). Strategic National Action Plan (SNAP) for Disaster Risk Reduction 2010-2019. N.P.: n.p. [in Thai] [2]

Department of Disaster Prevention and Mitigation. อรศรี งามวิ ท ยาพงศ์ . (2551). กรอบความคิ ด เพื ่ อ (2011). A 2012 - 2016 Strategic Plan of Department การศึ กษาชุมชนอย่างบูรณาการ. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัย of Disaster Prevention and Mitigation. N.P.: n.p. ธรรมศาสตร์. [16] [in Thai] [3] อัมพร แก้ วหนู . (2554). ขบวนชุ มชนจั ด การอุ ทกภั ย : ท าไมและอย่ างไร. ใน การสัม มนาพลัง ชุ ม ชนท้อ งถิ่ น จัด การภั ย พิ บั ติ อย่ า งยั่ ง ยื น , 23-28 ธั น วาคม 2554 (น. 14). กรุงเทพฯ: วิสคอมเซ็นเตอร์. [17]

Department of Disaster Prevention and Mitigation. (2013). Data of Damages. Retrieved from http://www.thaiwater.net/current/floodsouth_nov56. html [in Thai] [4]

Fakhruddin, S. H. M., & Chivakidakarn, Y. (2014). A Case for early warning and disaster management in Thailand. International Journal of Disaster Risk Reduction, 9, 159-180.

Department of Information and Communication Technology Songkhla. (2013). Database of 45 Groups 32 Indicators for Public. Retrieved from http:// www.songkhla.go.th/PMQA/IT2.php [in Thai] [8]

Translated Thai Reference

Department of Information and Communication Technology Songkhla. (2013). Provincial Warning APG Working Committee. (2013). Tamod Community Systems. Retrieved from http://www.songkhla. Adaptation to Disaster: A Case Study of Preparedness go.th/songkhla52/warning1.htm [in Thai] [7] for Disasters of Tamod community. N.P.: Help Age International. [in Thai] [10]


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

Keawthep, K., Louisyapong, K., Supasa, R., & Ponnikornkit, W. (2000). Community Media: Synthesis of Body of Knowledge. Bangkok: Thailand Research Fund. [in Thai] [5] Keawnu, A. (2011). Communities Organized for Flood Management: Why and How. In A Seminar on Community Power in Sustainable Disaster Management, 23-28 December 2011 (p. 14). Bangkok: Viscomcenter. [in Thai] [17]

193

Sangthong, K. (2014). Patterns of Cooperation in Flood Management between Local Authorities and their Communities: A Case Study of Repeatedly-Flooded Areas in Southern Thailand ( Doctoral dissertation). Prince of Songkhla University, Songkhla. [in Thai] [6] Songkhla Working Committee. (2013). Project of Collaborating Partnerships for Building up of Appropriate Local Knowledge in Disaster Management in Songkhla. Bangkok: Thailand Research Fund. [in Thai] [9]

Ngamwittayapong, A. (2008). Conceptual Frameworks for Integrative Studying of Communities. Bangkok: Supanit, N. (2006). Practice Guidelines for Thammasat University. [in Thai] [16] Fieldworkers in Community-Based Disaster Risk Management in Thailand. Bangkok: Klangvicha. Office of the National Economic and Social [in Thai] [11] Development Board. (2011). The Eleventh National Economic and Social Development Plan (2012- Suwanmolee, S. (2009). The Study of Approaches to 2016). N.P.: n.p. [in Thai] [15] Development of Community-based Disasters Risk Management by Civil Society: A Case study of BanRoyal Thai Government Gazette. (2007). 2007 Namkem Village, Bangmuang Sub-district, Takuapa Disaster Prevention and Mitigation Decree. N.P.: n.p. District, Phang-nga Province. (Master’s thesis). King [in Thai] [12] Mongkut's University of Technology Thonburi, Bangkok. [in Thai] [13]


194

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ลีลาการตีทบั ของนายทับสมหมาย ละอองสม ในการแสดงโนรา กนกวรรณ ขวัญยืน

Tap Playing Style of Nai Tap Sommai La-ongsom in Nora Performance Kanokwan Khwanyuen สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล 999 ถนนพุทธมณฑลสาย 4 ตาบลศาลายา อาเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม 73170 Research Institute for Languages and Cultures of Asia, Mahidol University 999 Phutthamonthon 4 Road, Salaya, Nakhon Pathom 73170 Corresponding author. E-mail address: may_muggle@hotmail.com บทคัดย่อ งานวิ จั ยนี้มีวั ตถุ ป ระสงค์เพื่ อศึกษาความสาคั ญ ของทับ และนายทับนนวั ฒ นธรรมนนรา นดยศึ กษาลีลาการตี ทับของนายทับ สมหมาย ละอองสม นนการแสดงนนรา เพื่ อแสดงนห้ เห็นภูมิ ปัญ ญาของนายทับชั้ นครู และเพื่ อเสนอแนวทางส่ งเสริม และอนุ รักษ์ลีลาการตี ทับนน วัฒนธรรมนนรานห้ คงอยู่ ทั้งนี้ ผู้วิจั ยประยุ กต์ นช้ แนวคิดทางมานุ ษยวิ ทยาการดนตรีและแนวคิดภูมิ ปั ญ ญาพื้ นบ้ านนนการวิเคราะห์ข้อมู ล วัฒนธรรมดนตรี นช้ ระเบียบวิธวี ิจัยเชิงคุณภาพ เน้ นการทางานสนามนนพื้นที่ท่นี ายทับสมหมาย ละอองสม ไปแสดงนนรา ผลการศึกษา พบว่า ทับ คือเครื่องดนตรีท่เี ป็ นหัวนจหลักของการแสดงนนรา มี หน้ าที่ควบคุมจังหวะและเป็ นตัวนาเครื่องดนตรีช้ ินอื่น นห้ เปลี่ยนจังหวะตามการราและการทาบทของนนรา นายทับหรือคนตีทับจึงมีความสาคั ญที่สุดของวง นนราเป็ นรูปแบบของการแสดงที่ผ้ ูรา บังคับดนตรี ดังนั้น ลีลาการตีทบั ของนายทับจึงขึ้นอยู่กบั ลีลาเฉพาะบุคคลและลักษณะการราของนนราเป็ นหลัก ซึ่งมีสองรูปแบบ คือ การตีทบั แบบเรียบร้ อยและการตีทับแบบรุก นายทับที่มี ความรู้แตกฉานและมีประสบการณ์ มากจะสามารถตีทับได้ ท้งั สองรูปแบบ ดั งเช่ น นายทับ สมหมาย ละอองสม หรื อ ลุ ง อ้ อม เป็ นนายทั บ ที่ มี ลี ล าการตี ทั บ ที่ เ ข้ าถึ ง จิ ต วิ ญ ญาณของนนรา มี ท างทั บ ที่ เ ป็ นเอกลั ก ษณ์ เฉพาะ จนได้ รั บ การยอมรั บ จากคนนนวั ฒ นธรรมนนรานห้ เป็ นนายทับ ชั้ น ครูค นหนึ่ ง นอกจากนี้ ยั งพบว่ า ลี ลาการตี ทับ ของนายทับ สมหมาย ละอองสม นนการแสดงนนรา ส่วนนหญ่ มีลักษณะของการซ้าท้ ายเพื่ อควบคุมจังหวะหลัก มีการตีลักจังหวะ และมีการตกแต่ งทางทับไปตาม ลักษณะลีลาของผู้ราและบริบทของการแสดง คาสาคัญ: ทับ ลีลา การตีทบั นายทับ การแสดงนนรา สมหมาย ละอองสม Abstract The purpose of this research was to examine the significances of Tap (Thai percussion instrument used in Nora performance as a lead instrument) and Nai Tap (a percussionist) in Nora culture. The research focused on Tap playing style of Nai Tap Sommai Laongsom in Nora performance in order to explain anintellect of anexperienced Nai Tap and suggest ways to support and preserve Tap playing style in Nora culture. By this, ethnomusicology concept and folk wisdom were deployed to analyze information about musical culture. Besides, qualitative research methodology and fieldworks where Nai Tap Sommai La-ongsom had his performances were selected as research methods for collecting data. The results revealed that Tap is an important musical instrument in Nora performance. It has main functions of keeping the rhythm and conducting other musical instruments to play depending on how the performers dance. Therefore, Nai Tap is the most significant person in the ensemble. Since Nora is a performance that the performers control the music, Tap playing style of Nai Tap then is decided by the performers’ individual dancing style. There are two styles of playing Tap in Nora performance: simple style and dramatic style. An expert one could play Tap in both styles. Nai Tap Sommai La-ongsom or Lung Om, for example, is a skillful Nai Tap who could predict what the performers would express to the audiences. He has his own unique Tap playing style which causes him to be respected by people who are related to Nora culture as the idol for people in the next generation. The findings also added that Nai Tap Sommai La-ongsom repeats the same tune so that he could control the main rhythm and he sometimes intends to play not to


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

195

synchronize with the rhythm in order to create melodiousness and excitement to the audiences. Also, he creates his playing style depending on how the performers dance and the context of the performance. Keywords: Tap, style, Tap playing, Nai Tap, Nora performance, Sommai La-ongsom

บทนา “นนสมัยตอนครูเด็กๆ มีอาชีพหลักอยู่สามอย่างนนสาม จังหวัด นนที่น้ ีคือ สงขลา พั ทลุง นครศรีธรรมราช เพราะ อยู่ เขตลุ่มน้าทะเลสาบสงขลา อาชีพหลัก คือ หนึ่งทานา สองการประมง สามการแสดงพื้นบ้ าน ซึ่งการแสดงพื้นบ้ าน ทั้งหมดมี 6 อย่ าง คือ หนังตะลุง นนรา เพลงบอก ลิเกป่ า กาหลอ นต๊ ะ ครึ ม ” (ควน ทวนยก, ผู้ นห้ สัม ภาษณ์ , 30 พฤศจิกายน 2558) นนราเป็ นการแสดงพื้ นบ้ านที่อยู่ คู่ สังคมไทยภาคนต้ มาอย่ างยาวนาน เป็ นหนึ่งนนอาชีพหลักของคนนนจังหวัด สงขลา พั ทลุง และนครศรีธรรมราช การแสดงนนรา หรือ มนนราห์ มีท้ังการร้ อง การรา บางครั้งเล่ นเป็ นเรื่อง และ บางครั้งเล่นประกอบพิธกี รรม (อุดม หนูทอง, 2542) การ แสดงนนราหนึ่ งครั้ ง หรื อ หนึ่ ง นรงจะมี อ งค์ ป ระกอบที่ ทานห้ การแสดงมีความสมบูรณ์ ได้ แก่ นรงนนรา นักแสดง เครื่องแต่งกาย เครื่องดนตรี นักดนตรีหรือลูกคู่ และอุปกรณ์ อื่น ๆ ที่ส าคัญ อาทิ พระขันธ์ไม้ หวายเฆี่ยนพราย หอก หมอกบนรงนนรา ตาเสือ เป็ นต้ น นนราแบบเดิมมีท่มี าจาก ความเชื่ อ นนสิ่ ง ศั ก ดิ์ สิ ท ธิ์ คณะนนราจึ ง นิ ย มนช้ ดนตรี ประเภท ปี่ ฆ้ อง กลอง ประกอบพิ ธีกรรมหรือนนการบูชา นดยเฉพาะ “ทับ” ซึ่งเป็ นกลองชนิดหนึ่งถูกนช้ เป็ นเครื่อง ดนตรีหลักของการแสดงนนราทั้งเพื่อความบันเทิงหรือการ แสดงประกอบพิธกี รรม “ทับ” เป็ นเครื่องดนตรีท่ีมีบทบาทนนพิ ธีกรรม และ การแสดงพื้ นบ้ านภาคนต้ ห ลายชนิ ด นนการแสดงนนรา จะนช้ ทับบรรเลงกากับจังหวะและทานอง เครื่องดนตรีช้ ิน อื่นจึงต้ องคอยฟั งจังหวะและทานองของทับไว้ เสมอ ถ้ าทับ บรรเลงทานองนด จังหวะช้ าหรือเร็วอย่ างไร เครื่องดนตรี ชิ้นอื่นก็ต้องบรรเลงตามทับด้ วย (อุดม หนู ทอง, 2542) ฉะนั้น คนตีทับหรือนายทับจึงเป็ นผู้ท่ีมีความสาคัญที่สุด เพราะเป็ นผู้นานห้ ผ้ ูเล่ นเครื่องดนตรีช้ ินอื่นเปลี่ยนจังหวะ ตามผู้ราอยู่ตลอดเวลา (ณรงค์ชัย ปิ ฎกรัชต์ , 2544) ผู้ท่ี เป็ นนายทับต้ องมีปฏิภาณไหวพริบที่ดแี ละมีลีลาการตีทบั ที่

เป็ นเอกลักษณ์เฉพาะ จึ งจะทานห้ การแสดงนนรามีความ สมบู รณ์ แ ละเป็ นที่ ป ระทั บ นจของผู้ ช ม ดั งเช่ น นายทั บ สมหมาย ละอองสม ซึ่ ง เป็ นนายทั บ ที่ ถื อ ว่ า มี ค วามรู้ แตกฉานนนเรื่องของการตีทับมาก และมีลีลาการตีทับที่เป็ น เอกลักษณ์เฉพาะ จนได้ รับการยอมรับจากคนนนวัฒนธรรม นนราว่า เป็ นนายทับชั้นครูท่สี าคัญคนหนึ่ง นายทับถือเป็ นสิ่งที่คู่บุญคู่บารมีกบั นนรามาตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน เพราะหากนายทับได้ เริ่มตีทบั นห้ กบั นนราคน นดแล้ วก็จะตีเข้ าคู่กับนนราคนนั้นไปตลอด (จิณ ฉิมพงษ์ , ผู้นห้ สัมภาษณ์, 12 พฤศจิกายน 2557) ซึ่งลีลาการตีทับ ของนายทั บ แต่ ล ะคนจะแตกต่ างกัน ไปตามลี ล าเฉพาะ บุ ค คลและลั ก ษณะการร าของนนรา หากนนรามี ลี ล าที่ นุ่ ม นวลอ่ อ นช้ อย นายทั บ ก็จ ะตี ทั บ แบบเรี ย บร้ อยไม่ หวือหวา แต่ ห ากนนรามีลี ลาที่สนุ กสนาน ท าบทเสียงดั ง เร้ านจผู้ชม นายทับก็จะตีทบั แบบรุก เพื่อนห้ การแสดงออกมา สนุกสนานเร้ านจมากยิ่งขึ้น ฉะนั้น นนราคนนดได้ นายทับที่ดี ก็จะช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกัน ทานห้ การแสดงนนราออกมา ดีและเป็ นที่ยอมรับของผู้ชม ซึ่งลีลาการตีทับสามารถแบ่ง ได้ เป็ นสองรูปแบบนหญ่ ๆ คือ การตีทบั แบบเรียบร้ อยและ การตีทับแบบรุก นดยการตีทับแบบเรียบร้ อยจะเป็ นการตี ตามแบบนบราณ นายทับจะตีแบบเรียบง่ายและไม่ออกลีลา ท่ าทางนนการตีมาก บางครั้งอาจมีลูกเล่ นบ้ างตามความ เหมาะสม ส่วนการตีทบั แบบรุกจะเป็ นการตีแรงๆ และเน้ น จังหวะที่รวดเร็ว นายทับจะออกลีลานนการตีมาก ทานห้ เกิด ความเร้ านจและตื่ นเต้ นกว่ า การตี ทั บ แบบเรี ย บร้ อย (สมประสงค์ บุญถนอม, ผู้นห้ สัมภาษณ์, 10 พฤศจิกายน 2557) แต่ท้ังนี้ นายทับที่มีความรู้และประสบการณ์มาก จะสามารถตีทบั ได้ ท้งั สองรูปแบบ ดังเช่น นายทับสมหมาย ละอองสม ซึ่ ง ไม่ ว่ า นนราจะมี ลั ก ษณะการร าแบบนดก็ สามารถตีทบั นห้ เข้ ากับบุคลิกของผู้ราได้ อย่างเหมาะสมและ กลมกลืน จึ งอาจกล่ าวได้ ว่า นายทับเป็ นบุ คคลที่มีความ ส าคั ญ ต่ อการแสดงนนรามาก เพราะนอกจากจะต้ องเป็ น ผู้เปลี่ยนจังหวะตามนนราอยู่ตลอดเวลาแล้ ว เครื่องดนตรี ชิ้นอื่นก็จะต้ องเปลี่ยนจังหวะตามทับด้ วย ฉะนั้น หากขาด


196

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

นายทับไป นักดนตรีคนอื่นก็จะไม่สามารถบรรเลงดนตรีนห้ นนราราได้ และนนราก็จะไม่สามารถราได้ เช่นกัน จากที่ได้ กล่ าวมาแล้ วนั้น ทานห้ เห็นว่ า “ทับ” ถือเป็ น ส่วนหนึ่งของการแสดงนนรา เนื่องจากเป็ นเครื่องดนตรีท่มี ี ความส าคัญ และขาดไม่ ได้ เพราะต้ องท าหน้ าที่เป็ นผู้ น า นนการเปลี่ยนจังหวะตามท่าราและการทาบทของนนราอยู่ ตลอดเวลา ฉะนั้ น นายทับหรือคนตีทับจึงมีความสาคัญ อย่ างยิ่ ง เพราะหากไม่ มี น ายทั บ การแสดงนนราก็จะไม่ สามารถเกิดขึ้นได้ นนสมัยก่อนมีนายทับที่มฝี ี มือดีและเป็ น ที่ยอมรับอยู่เป็ นจานวนมาก แต่นนปั จจุ บันนายทับเหล่ านี้ ส่วนนหญ่มอี ายุมากและมีจานวนลดน้ อยลง ทานห้ ลีลาการตี ทับที่เป็ นเอกลักษณ์เฉพาะบุคคลหายไปด้ วย เนื่องจากการ เป็ นนายทับไม่ ได้ มีการสืบทอดกันอย่ างเป็ นทางการ แต่ ต้ องอาศั ยวิธีการฝึ กแบบครูพั กลักจา คือ การฝึ กสังเกต และเรียนรู้ส่งิ ต่างๆ ด้ วยตนเองนดยที่ไม่มีครูสอน ผู้ท่เี ป็ น นายทับส่วนนหญ่ จึงมักจะเคยเป็ นนายปี่ หรือนายกลองมา ก่อนทั้งสิ้น (จิณ ฉิมพงษ์, ผู้นห้ สมั ภาษณ์, 12 พฤศจิกายน 2557 และสมประสงค์ บุ ญ ถนอม, ผู้ นห้ สัม ภาษณ์ , 10 พฤศจิกายน 2557) แม้ นนปั จจุ บันจะมีน ายทับที่เป็ นเด็ก รุ่นนหม่อยู่บ้าง แต่กไ็ ม่ได้ รับการยอมรับเหมือนกับนายทับ นนสมัยก่อน เพราะเด็กรุ่นนหม่ ส่วนนหญ่ สามารถตีทับนห้ นนราประจาราได้ เพียงคนเดียว แต่ไม่สามารถตีทบั นห้ นนรา คนอื่ น ร าได้ ต่ า งจากนายทั บ นนสมั ย ก่ อ นที่ มี ค วามรู้ แตกฉานจนสามารถตีทับนห้ นนราทุกคนราได้ ดังเช่ น นาย ทับสมหมาย ละอองสม หรือลุงอ้ อม ผู้ท่ถี ือได้ ว่าเป็ นนายทับ ชั้นครูท่ีคนนนวัฒนธรรมนนรานห้ การยอมรับ เนื่องจากเป็ น นายทับที่มีความรู้แตกฉาน มีทักษะการเล่ นที่ดี และมีลีลา การตีท่ลี ึกซึ้ง จนสามารถสร้ างสุนทรียะนห้ ผ้ ูชมเกิดอารมณ์ ร่วมกับการแสดง ด้ วยเหตุของความสาคัญดังกล่าวข้ างต้ น ผู้วิจัยจึงสนนจ ศึกษาลีลาการตีทบั ของนายทับสมหมาย ละอองสม นนการ แสดงนนรา เพื่ อรวบรวมความรู้เรื่องทับและลีลาการตีทับ ของนายทับชั้นครูนนวัฒนธรรมนนรา และเป็ นการชี้นห้ เห็น ถึงความสัมพันธ์ของทับนนวัฒนธรรมนนรา รวมทั้งสะท้ อน นห้ เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเพื่อความอยู่รอดของการแสดง นนรานนบริบทของสังคมปัจจุบนั

วัตถุประสงค์ของการศึกษา 1. ศึกษาความสาคัญของทับ และนายทับนนวัฒนธรรม นนรา 2. ศึกษาลีลาการตีทบั ของนายทับสมหมาย ละอองสม นนการแสดงนนรา วิธีการศึกษาและวัสดุอุปกรณ์ ผู้ วิ จั ย นช้ ระเบี ยบวิ ธีวิ จั ย เชิ งคุ ณ ภาพและการท างาน สนามทางมานุ ษยวิทยาการดนตรี นดยนช้ การสังเกตอย่างมี ส่ วนร่ วมและการสั งเกตอย่ างไม่ มี ส่ วนร่ ว ม รวมถึ งการ สัมภาษณ์แบบเจาะลึกบุคคลที่เกี่ยวข้ องกับวัฒนธรรมนนรา ตลอดจนรวบรวมข้ อมูลจากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้ อง ข้ อมูลจากภาพถ่ายและวีดีทัศน์ แล้ วนาข้ อมู ลดังกล่ าวมา วิเคราะห์ ตรวจสอบ สรุป และอภิปรายผล วิธีการศึกษา 1. การเลือกพื้ นที่สนามสาหรับการวิจยั ผู้ วิ จั ย ได้ ทบทวนวรรณกรรมจากเอกสารและ งานวิ จั ย ที่ เกี่ ย วข้ อง รวมถึ ง สั ม ภาษณ์ เบื้ องต้ นบุ ค คล ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญนนเรื่องวัฒนธรรมนนรา เพื่ อนา ข้ อ มู ล ที่ ได้ ม าก าหนดเกณฑ์ ก ารเลื อ กพื้ นที่ ส นาม ทั้ ง นี้ ผู้ วิ จั ย เลื อ กพื้ นที่ สนามแบบเฉพาะเจาะจง คื อ พื้ นที่นน จังหวัดสงขลาและจังหวัดพัทลุงที่นายทับสมหมาย ละออง สม ไปแสดงนนรา เนื่องจากวิธกี ารนี้ช่วยนห้ ผ้ ูวิจัยได้ ศึกษา ความสาคัญของทับและนายทับนนวัฒนธรรมนนรา รวมถึง สามารถศึ ก ษารู ป แบบและลี ล าการตี ทั บ ของนายทั บ สมหมาย ละอองสม นนการแสดงนนราได้ อ ย่ างชั ด เจน ซึ่งเป็ นไปตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย 2. การกาหนดกลุ่มผูใ้ ห้ขอ้ มูลในการวิจยั ผู้วิจั ยได้ กาหนดกลุ่มผู้ นห้ ข้อมู ล ออกเป็ น 2 กลุ่ ม ได้ แก่ กลุ่มผู้นห้ ข้อมูลหลักและกลุ่มผู้นห้ ข้อมูลทั่วไป ดังนี้ 1) กลุ่ ม ผู้ นห้ ข้ อมู ลหลั ก เป็ นกลุ่ ม บุ คคลที่มีส่ วน เกี่ยวข้ องกับวัฒนธรรมนนรามาเป็ นเวลานาน มีความรู้และ ประสบการณ์ท่ีลึ กซึ้งเกี่ยวกับนายทับและการแสดงนนรา หรือเป็ นผู้ ท่ีเคยร่ วมงานกับนายทับสมหมาย ละอองสม ได้ แก่


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

นายสมหมาย ละอองสม นายทับที่ผ้ ูวิจัยศึกษา ลีลาการตีทบั นนการแสดงนนรา ครูควน ทวนยก ศิ ลปิ นแห่ งชาติ สาขาศิ ลปะ การแสดง (ดนตรีพ้ ืนบ้ าน) ประจาปี พ.ศ.2553 อาจารย์นอภาส อิสนม อาจารย์ประจาภาควิชา นาฏศิลป์ และการละคร คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัย ราชภัฏสงขลา นายอรุณ มุสกิ ะพันธ์ (นนราอรุณน้ อย ศ.เอิบอวบ ศิ ล ป์ ) นนราอาชี พ ที่ เคยร่ ว มงานกั บ นายทั บ สมหมาย ละอองสม มาเป็ นระยะเวลานาน นายค ารณ เรื อนแก้ ว ลู กศิ ษ ย์ ท่ีศึ กษาวิ ธีการ ตีทบั จากนายทับสมหมาย ละอองสม นายสุชาติ แก้ วอินทร์ (นนราสุชาติ หยาดฟ้ า ศิลป์ ) นนราอาชีพที่ศึกษาวิธีการตีทบั จากนายทับสมหมาย ละอองสม และเป็ นผู้ท่นี ายทับสมหมาย ละอองสม ตีทบั นห้ ราอยู่เป็ นประจา นายสมประสงค์ บุญถนอม (นนราประสงค์ กาพล ศิ ล ป์ ) นนราอาชี พ ที่ เคยร่ ว มงานกั บ นายทั บ สมหมาย ละอองสม 2) กลุ่มผู้นห้ ข้อมูลทั่วไป เป็ นกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้ อง กับวัฒนธรรมนนรา ได้ แก่ นายภิ ญ นญ แก้ วแจ้ ง (นนราภิ ญ นญ สองหิ้ ง) นนราอาชีพนนจังหวัดพัทลุง นายวัฒนพล จาระนห (นนราเอ็มน้ อย พรเทวา) นนราอาชี พ และครู ส อนนาฏศิ ล ป์ และดนตรี พ้ ื นบ้ าน นรงเรียนเทศบาล 5 (วัดหัวป้ อมนอก) นายเจริญ พึ่งตั้ง นายนหม่ง นายวิเชียร เรือนแก้ ว นายปี่ 3. การเก็บรวบรวมข้อมูลสนาม ผู้วิจัยนช้ วิธเี ก็บข้ อมูล 2 วิธี ได้ แก่ 1) การสังเกต ผู้วิจัยนช้ วิธกี ารสังเกตอย่างไม่มีส่วน ร่วม นดยเฝ้ าสังเกตกิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นอยู่บริเวณรอบ งานแสดงนนรา เพื่ อนห้ ได้ ข้อมู ลเบื้องต้ นที่เป็ นธรรมชาติ ของนายทับและผู้แสดง และนช้ วิธกี ารสังเกตอย่างมีส่วนร่วม นดยการเข้ าไปนนฐานะผู้ชมการแสดง เพื่ อพูดคุยทาความ รู้ จั ก เบื้ องต้ นกั บ นายทั บ และผู้ แสดง และเพื่ อสั ง เกต พฤติกรรมต่างๆ ของคนนนวัฒนธรรมนนรานห้ ชัดเจนยิ่งขึ้น

197

2) การสัมภาษณ์ ผู้ วิจัยนช้ วิธีการสัมภาษณ์อย่ าง ไม่เป็ นทางการ นดยการพูดคุยเพื่อสร้ างความสัมพันธ์และ เปิ ดเผยตั วตนของผู้ วิ จั ย รวมถึงมีการตั้ งค าถามกว้ างๆ และคาถามปลายเปิ ดนนประเด็นทั่วไปเกี่ยวกับเรื่องที่ศึกษา และนช้ วิธกี ารสัมภาษณ์อย่างเป็ นทางการนดยการสัมภาษณ์ ผู้ นห้ ข้ อมู ล ทั้ง 2 กลุ่ ม ได้ แ ก่ กลุ่ มผู้ นห้ ข้ อมู ล หลั ก และ กลุ่ ม ผู้ นห้ ข้ อมู ล ทั่ ว ไป นดยการเตรี ย มชุ ด ค าถามตาม วัตถุประสงค์ของการวิจัยไว้ ล่วงหน้ า และมีการสัมภาษณ์ แบบเจาะลึกนดยนช้ แนวคาถามทั้งแบบเฉพาะเจาะจงและ แบบคาถามปลายเปิ ดที่เกี่ยวข้ องกับวัฒนธรรมนนราและ การตีทบั ของนายทับนนการแสดงนนรา 4. การวิเคราะห์ขอ้ มูล ผู้ วิ จั ย น าข้ อมู ลที่ ได้ จากการสั ง เกตและการ สั ม ภาษณ์ ท่ี ถู ก บั น ทึ ก ไว้ ด้ วยการจดบั น ทึ ก ภาคสนาม มาตรวจสอบความสมบู รณ์ และความถู กต้ อง แล้ วจึ งน า ข้ อมูลไปจัดระบบนดยเริ่มจากการจัดหมวดหมู่ด้วยการมอง หาข้ อมูลหรือข้ อความที่เป็ นประนยชน์นนการวิเคราะห์ ซึ่ง ข้ อมู ลเหล่ านั้ น ต้ องมีค วามหมายตรงประเด็น กับ เรื่ องที่ ต้ องการวิเคราะห์ แล้ วคัดสรรเอาข้ อความต่างๆ ที่กระจาย อยู่นนข้ อมูลมาเก็บรวบรวมไว้ เป็ นกลุ่ม แล้ วนาไปวิเคราะห์ นดยการหาเรื่ อ งหรื อ ประเด็น ส าคั ญ ที่ป รากฏขึ้น มาจาก ข้ อมู ล นดยนช้ แนวคิดทางมานุ ษยวิทยาการดนตรีนนการ วิ เ คราะห์ เรื่ องการนช้ และบทบาทหน้ าที่ ของทั บ นน วัฒนธรรมนนรา และนช้ แนวคิดภูมิปัญญาพื้ นบ้ านนนการ วิเคราะห์เรื่องภูมิปัญญาของนายทับที่ทานห้ เกิดลีลาการตี ทับเฉพาะบุ ค คล จากนั้ น จึงสกัดข้ อมู ลเพื่ อสร้ างข้ อสรุป อย่างมีเหตุผล ผลการศึกษา นนรา เป็ นการแสดงพื้ นบ้ านของชาวไทยภาคนต้ ที่ สืบทอดต่อกันมาช้ านาน สะท้ อนนห้ เห็นวิถีชีวิต ภูมิปัญญา ของคนท้ องถิ่นที่มีความสัมพันธ์กบั ธรรมชาติ ความเชื่อนน สิ่งศักดิ์สทิ ธิ์ และภูมิปัญญาพื้นบ้ าน นอกจากความสามารถ ของนักแสดงนนราแล้ ว ทับและนายทับเป็ นองค์ประกอบ สาคัญที่ช่วยทานห้ การแสดงมีชีวิต “ทับ” เป็ นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องตีท่หี ้ ุมด้ วยหนัง ด้ านเดียว มีนครงสร้ างและส่วนประกอบ ได้ แก่ หน้ าทับ


198

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

คิ้วนาง ผ่องทับตอนบน ผ่องทับตอนล่าง คอทับ และปากทับ นิยมขุดหรือกลึงด้ วยไม้ เนื้ออ่อนหรือไม้ ท่มี ีแก่น เนื้อไม้ ท่ี นามาทาหุ่นทับต้ องมีคุณสมบัติเหนียว ไม่แตกง่าย เป็ นไม้ ที่มีนนท้ องถิ่น เช่ น ไม้ ขนุ น ไม้ ทัง ไม้ มะม่ วงป่ า ไม้ สะตอ ไม้ ม ะปริ ง เป็ นต้ น หน้ าทั บ หุ้ มด้ ว ยหนั งสั ต ว์ ท่ี มี ค วาม เหนียวและค่อนข้ างเบา เช่น หนังแพะ หนังลูกวัว หนังแลน หนังแมว แต่ นนบรรดาหนังสัตว์หรือวัสดุทดแทน หนังที่ นามาขึงแล้ วนห้ คุณภาพเสียงที่ดีท่สี ุด คือ “หนังค่าง” แต่ นนปั จจุ บันบางแห่ งเปลี่ ยนไปนช้ แผ่ นฟิ ล์มเอ็กซเรย์แทน หนังสัตว์ เพราะหาได้ ง่าย มีราคาถูก และนห้ คุณภาพเสียง ที่นกล้ เคียงกับหนังสัตว์ การนช้ ทบั ประกอบการแสดงนนราต้ องนช้ หนึ่งคู่หรือสอง ลูก นดยทับแต่ละลูกมีขนาดต่างกันเล็กน้ อย การตีทบั จะนช้ มื อ หนึ่ งตี ล งไปที่ห น้ าทับ อีกมื อหนึ่ งจะเปิ ดปิ ดท้ ายทั บ เพื่ อนห้ เกิ ด เสีย ง 4 เสี ย ง ได้ แก่ เทิ ง ถึ ด ฉั บ ติ๊ ก เสีย ง เหล่ านี้อาจมีการตีสลั บกันนนหลายลักษณะ จนทานห้ เกิด เพลงที่มี จั งหวะและลี ลาแตกต่ างกัน ออกไป ทั้งนี้ ทับ มี หน้ าที่ควบคุมจังหวะและเป็ นผู้ของนาเครื่องดนตรีท้งั หมด นนราจึงขาดทับไม่ได้ เพราะทับคือหัวนจหลักของการแสดง นนรา ดังที่นนราประสงค์ กาพลศิลป์ ได้ กล่าวไว้ ว่า “ทับเป็ น เครื่องดนตรีท่วี ิเศษสาหรับนนรา เพราะว่ามีทบั คู่เดียวหรือ ลูกเดียวเราราได้ นนขณะที่หากมีกลองลูกเดียวเราราไม่ได้ ” ฉะนั้น ผู้ท่ีเป็ นนายทับหรือคนตีทับจึงมีความสาคัญที่สุด ของวง นายทับเป็ นสิ่งที่อยู่ คู่กับการแสดงนนรามาตั้งแต่ อดีต จนถึงปั จจุ บัน สมัยก่อนนายทับหรือคนตีทับจะอยู่ประจา คณะนดคณะหนึ่งเพื่อตีทับนห้ กับนนรานนคณะ เพราะนาย ทับจะรู้ลี ล าท่ าร าและจั งหวะต่ างๆ รวมถึ งลั กษณะนิ สัย ส่วนตัวของนนรา จนสามารถตีทับนห้ สอดคล้ องกับบุคลิก ของผู้ราได้ อย่างกลมกลืน ต่างจากปั จจุบันที่การแสดงนนรา หลายคณะมีความคล้ ายคลึงกัน นายทับจึงไม่ได้ ตที บั นห้ กบั นนราประจ าเพี ยงอย่ างเดีย ว แต่ ส ามารถไปรั บจ้ างตี ทับ นห้ กับนนรานนคณะอื่นได้ ด้วย แต่ท้งั นี้ การที่นายทับจะรับ งานนอกคณะได้ น้ั น จ าเป็ นอย่ างยิ่ งที่ จ ะต้ อ งมี ป ฏิ ภ าณ ไหวพริบที่ดี และมีประสบการณ์ นนการตีทับ มากพอควร เพราะจะต้ องตีทับนห้ เข้ ากับลักษณะการราและบุคลิกของ

นนรา หากนนรามีลีลาการราที่นุ่มนวลอ่อนหวาน นายทับก็ จะตีทับแบบเรียบร้ อย ไม่หวือหวา แต่หากนนรามีลีลาการ ราที่แข็งแรง หนั กแน่ น นายทับก็จะตีทับแบบรุกเร้ าตาม ลั ก ษณะการร าของนนรา ฉะนั้ น ลี ล าการตี ทั บ จึ งมี ส อง รูปแบบนหญ่ ๆ คือ การตีทับแบบเรียบร้ อยและการตีทับ แบบรุก ซึ่งนายทับที่มีฝีมือจัดเจนและมีประสบการณ์มาก จะสามารถตีทับนห้ กับนนราราได้ ท้งั สองแบบ ดังเช่ น นาย ทับสมหมาย ละอองสม ผู้ท่ีคนนนวัฒนธรรมนนรานห้ การ ยอมรับว่าเป็ นนายทับชั้นครูท่สี าคัญคนหนึ่ง นายทับสมหมาย ละอองสม หรือลุงอ้ อม เป็ นนายทับที่ มี ลี ล าการตี ทั บ ที่ เข้ าถึ งจิ ต วิ ญ ญาณของนนรา มี ท างทั บ ที่เป็ นเอกลั กษณ์ เฉพาะ จนได้ รั บ การยอมรั บจากคนนน วัฒนธรรมนนรานห้ เป็ นนายทับชั้นครูคนหนึ่ง ทั้งนี้ จากการ สัมภาษณ์ นนราอรุณ มุ สิกะพั นธ์ ซึ่ งเป็ นนายกลองที่เคย ร่วมงานกับนายทับสมหมายมาตั้งแต่แรกเริ่มจนเกิดความ เข้ านจลึ ก ซึ้ งซึ่ ง กั น และกั น ท านห้ ทราบว่ า การตี ทั บ ของ ลุงอ้ อมนนบางจังหวะจะตีนดยการกระดิกนิ้ว ทานห้ เสียงทับ ออกมาหวานและมีความสม่าเสมอ อีกทั้ง ยังมีการฉับทับ เพื่อนห้ ได้ อรรถรสและอารมณ์ท่หี ลากหลาย จนบางครั้งก็ เผลอนส่ อารมณ์ มากเกินไปจนลู กคู่ ต้ องตักเตือน เพราะ อารมณ์ของนายทับมีมากกว่ าอารมณ์ของนนรา นอกจากนี้ นนสมั ย ที่น ายทั บ สมหมายยั งหนุ่ ม ได้ มี การนยนทับ แล้ ว ตีต่ อ ถือเป็ นลี ลาผาดนผนของนายทับ ที่ท านห้ การแสดง นนราเกิดความสนุกสนานเร้ านจมากยิ่งขึ้น การตีทบั ประกอบการแสดงนนรานนจังหวะเพลงนค เป็ น จังหวะหน้ าทับที่นายทับสามารถแสดงลีลาการตีทบั ออกมา ได้ มากที่สุด ดังนั้ น ผู้ วิจัยจึงขอยกตัวอย่ างลีลาการตีทับ จั ง หวะเพลงนคของนายทั บ สมหมาย ละอองสม ที่ ตี ประกอบการร าของนนราผู้ ห ญิ งและนนราผู้ ช าย มาเป็ น ตัวอย่ างเปรี ยบเทียบเพื่ อแสดงนห้ เห็นถึงความแตกต่ าง ระหว่างการตีทบั จังหวะพื้นฐานกับการตีทบั ที่มีลีลาอันเป็ น เอกลักษณ์เฉพาะของนายทับชั้นครู ลี ล าการตี ทั บ จั ง หวะเพลงนคของนายทั บ สมหมาย ละอองสม ประกอบการราของนนรานกน้ อย เสียงเสน่ ห์ และนนราสาเนาว์ เสน่ห์ศิลป์ มีดงั นี้


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

199

เที่ยวที่ 1

จังหวะพื้นฐาน ลีลาของนายทับ

- - - ฉับ ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก

- - ฉับ ฉับ ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก

- - ฉับ ฉับ ติ๊ก ติ๊ก ฉับ เทิง

- เทิง - เทิง - ฉับ – เทิง

เที่ยวที่ 2

จังหวะพื้นฐาน ลีลาของนายทับ

- - - ฉับ ----

- - ฉับ ฉับ - เทิง – เทิง

- - ฉับ ฉับ เทิง เทิง เทิง เทิง

- เทิง - เทิง - - เทิง เทิง

เที่ยวที่ 3

จังหวะพื้นฐาน ลีลาของนายทับ

- - - ฉับ - ถึด เทิง เทิง

- - ฉับ ฉับ - ถึด เทิง เทิง

- - ฉับ ฉับ - ถึด เทิง เทิง

- เทิง - เทิง - ถึด เทิง เทิง

เที่ยวที่ 4

จังหวะพื้นฐาน ลีลาของนายทับ

- - - ฉับ - - ฉับ ฉับ

- - ฉับ ฉับ - เทิง – เทิง

- - ฉับ ฉับ เทิง เทิง เทิง เทิง

- เทิง - เทิง - ฉับ เทิง เทิง

เที่ยวที่ 5

จังหวะพื้นฐาน ลีลาของนายทับ

- - - ฉับ - - ฉับ เทิง

- - ฉับ ฉับ - เทิง – เทิง

- - ฉับ ฉับ ติ๊ก ติ๊ก เทิง เทิง

- เทิง - เทิง - - ฉับ เทิง

เที่ยวที่ 6

จังหวะพื้นฐาน ลีลาของนายทับ

- - - ฉับ เทิง เทิง เทิง เทิง

- - ฉับ ฉับ - - ฉับ เทิง

- - ฉับ ฉับ - - ฉับ ฉับ

- เทิง - เทิง - - ฉับ -

เที่ยวที่ 7

จังหวะพื้นฐาน ลีลาของนายทับ

- - - ฉับ เทิง เทิง เทิง เทิง

- - ฉับ ฉับ - - ฉับ เทิง

- - ฉับ ฉับ - - ฉับ ฉับ

- เทิง - เทิง - - ฉับ -

เที่ยวที่ 8

จังหวะพื้นฐาน ลีลาของนายทับ

- - - ฉับ เทิง เทิง เทิง เทิง

- - ฉับ ฉับ - - ฉับ เทิง

- - ฉับ ฉับ - - ฉับ ฉับ

- เทิง - เทิง - - ฉับ -

จากลีลาการตีทับจังหวะเพลงนคของนายทับสมหมาย ละอองสม นนข้ างต้ น สามารถสรุ ป ได้ ว่ า การตี ทั บ ประกอบการร าของนนรานกน้ อย เสีย งเสน่ ห์ และนนรา สาเนาว์ เสน่ห์ศิลป์ ซึ่งเป็ นนนราผู้หญิงนั้น นายทับจะมีลีลา การตีทบั แบบเรียบร้ อย คือ มีการนช้ จังหวะหน้ าทับที่เรียบ ง่าย ไม่หวือหวามาก มีการตีจังหวะหน้ าทับที่ซา้ กันนนเที่ยว ที่ 3 มี การนช้ เสียงทับเสียงเดี ยวเป็ นจ านวน 1 เที่ย ว นช้ เสียงทับสองเสียงเป็ นจานวน 5 เที่ยว และนช้ เสียงทับสาม

เสียงเป็ นจานวน 2 เที่ยว นดยสามเที่ยวสุดท้ ายมีการตีด้วย จั งหวะหน้ าทั บ ที่เหมื อนกัน และนนบางจั งหวะมี ก ารนส่ ลู ก เล่ น เพื่ อเพิ่ มสี สั น นห้ กั บ การแสดงบ้ างตามความ เหมาะสม ลี ล าการตี ทั บ จั ง หวะเพลงนคของนายทั บ สมหมาย ละอองสม ประกอบการราของนนราสุชาติ หยาดฟ้ าศิลป์ มีดงั นี้

เที่ยวที่ 1

จังหวะพื้นฐาน ลีลาของนายทับ

- - - ฉับ - - ฉับ ฉับ

- - ฉับ ฉับ - - ฉับ -

- - ฉับ ฉับ เทิง เทิง เทิง เทิง

- เทิง – เทิง - ฉับ – เทิง

เที่ยวที่ 2

จังหวะพื้นฐาน ลีลาของนายทับ

- - - ฉับ - - ฉับ ฉับ

- - ฉับ ฉับ - - ฉับ -

- - ฉับ ฉับ - เทิง - เทิง

- เทิง - เทิง - ฉับ – เทิง


200

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

เที่ยวที่ 3

จังหวะพื้นฐาน ลีลาของนายทับ

- - - ฉับ ฉับ เทิง เทิง ฉับ

- - ฉับ ฉับ - เทิง – เทิง

- - ฉับ ฉับ เทิง เทิง เทิง เทิง

- เทิง - เทิง - ฉับ – เทิง

เที่ยวที่ 4

จังหวะพื้นฐาน ลีลาของนายทับ

- - - ฉับ - - ฉับ ฉับ

- - ฉับ ฉับ - ถึด – ถึด

- - ฉับ ฉับ เทิง เทิง เทิง เทิง

- เทิง - เทิง - ฉับ – เทิง

เที่ยวที่ 5

จังหวะพื้นฐาน ลีลาของนายทับ

- - - ฉับ - - ฉับ ฉับ

- - ฉับ ฉับ - - ฉับ -

- - ฉับ ฉับ เทิง เทิง - เทิง

- เทิง - เทิง - - ฉับ เทิง

เที่ยวที่ 6

จังหวะพื้นฐาน ลีลาของนายทับ

- - - ฉับ - - ฉับ ฉับ

- - ฉับ ฉับ ฉับ ฉับ – -

- - ฉับ ฉับ ฉับ ถึด - เทิง

- เทิง - เทิง - ฉับ – เทิง

เที่ยวที่ 7

จังหวะพื้นฐาน ลีลาของนายทับ

- - - ฉับ ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก

- - ฉับ ฉับ - ติ๊ก - -

- - ฉับ ฉับ - เทิง - เทิง

- เทิง - เทิง - ฉับ – เทิง

เที่ยวที่ 8

จังหวะพื้นฐาน ลีลาของนายทับ

- - - ฉับ - ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก

- - ฉับ ฉับ - ติ๊ก - -

- - ฉับ ฉับ ติ๊ก ฉับ ติ๊ก เทิง

- เทิง - เทิง - - ฉับ เทิง

เที่ยวที่ 9

จังหวะพื้นฐาน ลีลาของนายทับ

- - - ฉับ - ฉับ – เทิง

- - ฉับ ฉับ - ฉับ – เทิง

- - ฉับ ฉับ - ฉับ - เทิง

- เทิง - เทิง - ฉับ – เทิง

เที่ยวที่ 10

จังหวะพื้นฐาน ลีลาของนายทับ

- - - ฉับ ติ๊ก ติ๊ก ฉับ ฉับ

- - ฉับ ฉับ - ฉับ - -

- - ฉับ ฉับ - ฉับ - เทิง

- เทิง - เทิง - ฉับ – เทิง

จากตั ว อย่ า งข้ างต้ นสามารถสรุ ป ได้ ว่ า การตี ทั บ ประกอบการร าของนนราสุ ช าติ หยาดฟ้ าศิ ล ป์ มี ก ารตี จังหวะหน้ าทับที่ซ้ากันเพี ยงเที่ยวเดียว มีการตีซา้ ท้ าย (ตี จังหวะหน้ าทับห้ องสุดท้ ายเหมือนกันทุกเที่ยว) ด้ วยจังหวะ เดิมเพื่อควบคุมจังหวะหลัก มีการนช้ เสียงทับสองเสียงเป็ น จานวน 5 เที่ยว และนช้ เสียงทับ สามเสียงเป็ นจ านวน 5 เที่ยว ซึ่งต่ างจากการตีทับนห้ กับนนราผู้หญิงที่ส่วนนหญ่ จะ นช้ เสียงทับสองเสียงนนการตีจังหวะหน้ าทับแต่ละเที่ยว ซึ่ง หากนายทับยิ่งนช้ เสียงทับมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเพิ่ มลูกเล่ น นห้ กับจังหวะหน้ าทับมากขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีการตี ลั ก จั ง หวะนนห้ องที่ ส องของเที่ ย วที่ 1, 2, 5, 7, 8, 10 ทานห้ จังหวะหน้ าทับมีอรรถรสมากยิ่งขึ้น เมื่ อเปรี ย บเที ยบจั งหวะพื้ นฐานเพลงนคกับลี ล าการ ตี ทั บ จั ง หวะเพลงนคของนายทั บ สมหมาย ละอองสม ประกอบการราของนนรานกน้ อย เสียงเสน่ ห์ นนราสาเนาว์ เสน่ ห์ศิ ลป์ และนนราสุชาติ หยาดฟ้ าศิ ลป์ ทานห้ ทราบว่ า

นายทับสมหมาย ละอองสม มีการปรับลีลาการตีทบั นห้ เข้ า กับระยะเวลานนการราของนนรา กล่ าวคือ การตีทับจังหวะ เพลงนคประกอบการราของนนราผู้หญิงและนนราผู้ชายที่ได้ ยกตัวอย่างนนข้ างต้ น จะเห็นได้ ว่ามีจานวนเที่ยวไม่เท่ากัน เนื่ องจากการรานนราขึ้นอยู่ กับความพึ งพอนจส่วนบุคคล นนราจะร าจั ง หวะเพลงไหนเป็ นเวลาเท่ านดก็ได้ ท านห้ จานวนเที่ยวของจังหวะหน้ าทับมีจานวนมากน้ อยต่ างกัน ผู้ท่เี ป็ นนายทับจึงต้ องปรับเปลี่ยนจังหวะหน้ าทับนห้ เข้ ากับ ระยะเวลาการร าของนนรา เพื่ อนห้ การแสดงมี ค วาม กลมกลืนและลงตัว นอกจากนี้ นายทับสมหมาย ละอองสม ยั งมี การด้ น สด (Improvisation) คื อ การคิ ด ทางทับจาก จังหวะพื้ นฐานขึ้นมานหม่ เพื่ อนห้ เข้ ากับการราของนนรานน ขณะนั้ น การด้ น สด เกิ ด จากจิ น ตนาการและความคิ ด สร้ างสรรค์ของนายทับ แสดงนห้ เห็นถึงปฏิภาณไหวพริบ ความรู้ ความเชี่ ยวชาญนนการตี ทับ จนเกิดเป็ นลี ลาที่มี ความพลิ้วไหวกลมกลืนไปกับการราของนนราได้ อย่างเป็ น


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

201

อันหนึ่งอันเดียวกัน และเกิดเป็ นลีลาที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ กับ นายทั บ ท านห้ เห็ น ว่ านายทั บ กั บ นนรามี ป ฏิ สัม พั น ธ์ ของนายทับนนการแสดงนนรา ซึ่งกันและกันอยู่ตลอดเวลา การตีทับเป็ นวัฒนธรรมมุขปาฐะ ไม่ มีการบันทึกเป็ น สรุปผลการศึกษา ลายลักษณ์อักษร จึงอาจสูญหายไปพร้ อมกับตัวบุคคลได้ ฉะนั้ น การศึ กษาลี ลาการตี ทับครั้งนี้ จึ งเป็ นการช่ วยเก็บ “ทับ” เป็ นเครื่องดนตรีท่มี ีบทบาทสาคัญต่อการแสดง รักษาลีลาการตีทบั ที่สาคัญของนายทับสมหมาย ละอองสม นนราเป็ นอย่ างมาก เพราะทาหน้ าที่เป็ นผู้นาเครื่องดนตรี เพื่อนห้ คนรุ่นหลังได้ เห็นถึงภูมปิ ัญญาการตีทบั นนการแสดง ชิ้นอื่นนห้ เปลี่ยนจังหวะตามการราและการทาบทของนนรา นนราของนายทับชั้นครู และเป็ นการช่ วยสืบสานส่วนหนึ่ง ไม่ ว่ านนราจะร าจั งหวะไหน ท าบทอย่ างไร หรื อนช้ ระยะ ของวัฒนธรรมนนรานห้ คงอยู่ต่อไป เวลานนการราเท่านด นายทับจะต้ องตีทับนห้ สอดประสาน กลมกลื น กั บ การร าของนนรานห้ มากที่ สุ ด เพื่ อนห้ การ เอกสารอ้างอิง แสดงออกมาสมบูรณ์และเป็ นที่ประทับนจของผู้ ชม ทั้งนี้ นายทับที่ได้ รับการยอมรับจากคนนนวัฒนธรรมนนราจะต้ อง ณรงค์ชัย ปิ ฎกรัชต์. (2544). มานุ ษยดนตรีวิทยา ดนตรี เป็ นผู้ ท่ีมีภูมิปั ญ ญาการตีทับมาก รู้จั กแก้ ไขสถานการณ์ พื้ นบ้านไทยภาคใต้. นครปฐม: วิ ทยาลั ย ดุ ริ ย างคศิ ล ป์ เฉพาะหน้ าได้ ดี และสามารถปรับเปลี่ยนลีลาการตีทับนห้ มหาวิทยาลัยมหิดล. [1] เข้ ากับลักษณะท่าทางและบุคลิกการราของนนราแต่ละคนได้ อย่ างเหมาะสม ซึ่งภูมิปัญญาการตีทับเกิดจากการเรียนรู้ อุด ม หนู ทอง. (2542). ทับ : เครื่ องดนตรี . นน สุธิวงศ์ และฝึ กฝนด้ วยตนเอง นดยการสังเกตและจดจาสิ่งต่ างๆ พงศ์ ไพบู ลย์ (บ.ก.), สารานุ กรมวัฒ นธรรมไทยภาคใต้ รวมถึงการลองผิดลองถูก จนเกิดความเข้ านจที่ลึกซึ้งนนการ เล่ ม 7 (น. 3258). กรุ ง เทพ ฯ: มู ลนิ ธิ ส ารานุ กรม ตีทับ นอกจากนี้ ภูมิปัญญาการตีทับ ยังเกิดจากการสั่งสม วัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์. [2] ความรู้และประสบการณ์นนการแสดง จนนายทับสามารถ Translated Thai References ประยุกต์นช้ ความรู้ท่มี อี ยู่ได้ อย่างถูกต้ องและเหมาะสม จากการศึ ก ษาลี ล าการตี ทั บ ของนายทั บ สมหมาย Noothong, U. (1999). Tap: Musical Instrument. In S. ละอองสม นนการแสดงนนรา พบว่า นายทับสมหมายเป็ นผู้ Phongphaibun ( Ed.) , Encyclopedia of Southern Thai ที่มี ภูมิ ปั ญ ญานนการตี ทั บ มาก สามารถตี ทับ ได้ ท้ังแบบ Culture Vol. 7 ( p. 3258) . Bangkok: Foundation of เรียบร้ อยและแบบรุก กล่าวคือ หากตีทบั นห้ นนราผู้หญิงรา Thai Culture Encyclopedia, The Siam Commercial จะมีลี ลาการตีทับแบบเรียบร้ อย มีการนช้ จังหวะหน้ าทับ Bank. [in Thai] [2] ที่เรียบง่ าย ไม่ หวือหวา มีการนส่ลูกเล่ นบ้ างเล็กน้ อยเพื่ อ เพิ่ มสีสัน นห้ กับ การแสดง แต่ ห ากตี ทั บนห้ นนราผู้ ช ายร า Pidokrat, N. (2001). Ethnomusicology of Southern จะมีลีลาการตีทับแบบรุกไปตามลักษณะการราที่แข็งแรง Thai Folk Music. Nakhon Pathom: College of Music, ของนนราผู้ ชาย มีการนส่ลู กเล่ นนห้ จั งหวะหน้ าทับนดยนช้ Mahidol University. [in Thai] [1] เสียงทับหลายเสียง มีการตีลักจังหวะเพื่อเพิ่มอรรถรสนห้ จังหวะหน้ าทับมีความสนุกสนาน นอกจากนี้ การตีทับของ นายทับสมหมายยังแสดงนห้ เห็นถึงความสัมพั นธ์ระหว่ าง ทับกับนนราได้ อย่างชัดเจน เช่น นนการรายั่วทับ ที่มีท้งั การ ตีทับจังหวะปกติเพื่ อนห้ นนรารา การตีทับประกอบกริยา ท่ าทางของนนรา เช่ น การแกล้ งตกจากพนั ก (ที่ส าหรั บ นั่งรา) รวมถึงการรับส่งมุกตลกด้ วยท่าทางต่างๆ ของนนรา


202

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

การพัฒนาตัวบ่งชี้ และการศึกษาสภาพการดาเนินงานกิจกรรมนักเรียน นักศึกษา ตามระเบียบองค์การนักวิชาชีพในอนาคตแห่งประเทศไทยในสถานศึกษา สังกัดสานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาภาคเหนือ ชนะจิต คำแผง* และนงลักษณ์ ใจฉลำด

A Study of Indicator Development Student Activity Operation Condition Base on the Association of Future Thai Professional’s Provision in School of Vocational Education Commission North of Thailand Chanajit Khamphaeng* and Nongluck Jaichalad ภำควิชำบริหำรกำรศึกษำ สำขำวิชำบริหำรกำรศึกษำ คณะครุศำสตร์ มหำวิทยำลัยรำชภัฎพิบูลสงครำม จังหวัดพิษณุโลก 65000 Department of Educational Administration, Faculty of Education, Pibulsongkram Rajabhat University, Phitsanulok 65000 * Corresponding author. E-mail address: Chanajit2014@gmail.com บทคัดย่อ กำรวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมำยเพื่อ 1) พัฒนำตัวบ่งชี้กำรดำเนินงำนกิจกรรมนักเรียน นักศึกษำ ตำมระเบียบองค์กำรนักวิชำชีพในอนำคต แห่ งประเทศไทย ในสถำนศึกษำสังกัด สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรอำชี วศึกษำ ภำคเหนือ จำกกลุ่มตั วอย่ ำงผู้ทรงคุณ วุ ฒิ จำนวน 9 คน เครื่องมือที่ใช้ ในกำรวิจัย ได้ แก่ แบบประเมินหำค่ ำควำมเหมำะสมในกำรพั ฒนำตัวบ่ งชี้กำรดำเนินงำนกิจกรรมนักเรียน นักศึกษำ สถิติท่ ใี ช้ วิเครำะห์ข้อมูล ได้ แก่ ร้ อยละ (%) 2) ศึกษำสภำพกำรดำเนินงำนกิจกรรมนักเรียน นักศึกษำ ตำมระเบียบองค์กำรนักวิชำชีพในอนำคตแห่ ง ประเทศไทย ในสถำนศึกษำสังกัดสำนักงำนคณะกรรมกำรกำรอำชีวศึกษำ ภำคเหนือ จำกกลุ่มตัวอย่ำง จำนวน 252 คน เครื่องมือที่ใช้ ในกำร วิจัย ได้ แก่ แบบสอบถำมมำตรำส่วนประมำณค่ ำ 5 ระดับ สถิติท่ ีใช้ วิเครำะห์ข้อมูล ได้ แก่ ค่ ำเฉลี่ย ( x ) ส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน (S.D.) ผลกำรวิจัย พบว่ำ 1. กำรพัฒนำตัวบ่งชี้กำรดำเนินงำนกิจกรรมนักเรียน นักศึกษำ ตำมระเบียบองค์กำรนักวิชำชีพในอนำคตแห่งประเทศไทย ในสถำนศึกษำสังกัดสำนักงำนคณะกรรมกำรกำรอำชีวศึกษำ ภำคเหนือ ในภำพรวมมี 10 องค์ประกอบ 40 ตัวบ่งชี้ และมีควำมเหมำะสมของ ตัวบ่งชี้อยู่ในระดับมำกที่สดุ คิดเป็ นร้ อยละ 96.76 % 2. สภำพกำรดำเนินงำนกิจกรรมนักเรียน นักศึกษำ ตำมระเบียบองค์กำรนักวิชำชีพใน อนำคตแห่งประเทศไทย ในสถำนศึกษำสังกัดสำนักงำนคณะกรรมกำรกำรอำชีวศึกษำ ภำคเหนือ โดยภำพรวมค่ ำเฉลี่ยอยู่ในระดับมำก ( x = 4.43), (S.D.= 0.43) เมื่ อพิ จำรณำรำยด้ ำน พบว่ ำ ด้ ำนที่มี ค่ำเฉลี่ยสูงสุด คื อ ด้ ำนกำรส่ งเสริมศำสนำ ศิลปะ วัฒนธรรม ( x = 4.50), (S.D.= 0.46) และด้ ำนที่มีค่ำเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้ ำนกำรส่งเสริมกำรอนุรักษ์ธรรมชำติและสิ่งแวดล้ อม ( x = 4.35), (S.D.= 0.58) คาสาคัญ: กำรพัฒนำตัวบ่งชี้ สภำพกำรดำเนินงำนกิจกรรมนักเรียนนักศึกษำ ระเบียบองค์กำรนักวิชำชีพในอนำคตแห่งประเทศไทย Abstract The purpose of this research were to: 1) Development an indicator of operating activities for students on Association of Future Thai Professional’s provision in school of vocational education commission north. The sample is luminaries of 9 experts. The tool is Questionnaire for the suitability of indicator. The statistics used for data analysis is percent (%). 2) A study of condition operational activities for students on Association of Future Thai Professional’s provision in school of vocational education commission north. The sample is luminaries of 252 experts. The tool is questionnaire rating scale. The statistics used for data analysis were mean ( x ) and standard deviation (S.D.) The results were that: 1) Development an indicator of operating activities for students on Association of Future Thai Professional’s provision in school of vocational education commission north the total there are 10 elements, 40 indicator and appropriate indicator of the highest level. 96.76 percent. 2) A study of condition operational activities for students on Association of Future Thai Professional’s provision in school of vocational education commission north overall is high level ( x = 4.43), (S.D.=


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

203

0.43). The Considering in each aspect have highest mean is Promoting Cultural Art, religion ( x = 4.50), (S.D.= 0.46) and the side with lowest mean is promote conservation and environment ( x = 4.35), (S.D.= 0.58). Keywords: Indicator Development, Condition Operational Activities for Students, Association of Future Thai Professional

บทนา ท่ำมกลำงกระแสกำรเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยอันมี ผลกระทบเชื่ อมโยงจำกบริ บทสังคมโลกและกำรเตรี ยม ควำมพร้ อมเข้ ำสู่ประชำคมอำเซียน กำรจัดกำรอำชีวศึกษำ นั บ เป็ นกระบวนกำรที่ ส ำคั ญ ในกำรพั ฒ นำ คนในด้ ำ น วิชำชีพ เพื่ อให้ ทันต่อกำรเปลี่ยนแปลงและสอดคล้ องกับ พระรำชบัญญัติกำรศึกษำแห่ งชำติ พ.ศ.2542 และที่แก้ ไข เพิ่ ม เติ ม (ฉบั บ ที่ 2) พ.ศ.2545 พระรำชบั ญ ญั ติ ก ำร อำชีวศึกษำ พ.ศ.2551 ที่มีเจตนำรมณ์ มุ่งเน้ นให้ ผ้ ูเรียน เป็ นคนดี คนเก่ง สำมำรถใช้ ชีวิตอยู่ในสังคมได้ อย่ ำงเป็ น สุข สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรอำชีวศึกษำ โดยสถำนศึกษำ ในสังกัดที่จัดกำรเรียนกำรสอนด้ ำนวิชำชีพ ประเภทวิชำช่ำง อุตสำหกรรม พำณิชยกรรม คหกรรม ศิลปกรรม เทคโนโลยี สำรสนเทศและกำรสื่อสำร อุตสำหกรรมกำรท่องเที่ยว และ อุตสำหกรรมสิ่งทอ หรือประเภทวิชำอื่นๆ ได้ เล็งเห็นควำม สำคัญในกำรที่จะพั ฒนำให้ นักเรียน นักศึกษำที่สำเร็จกำร ศึกษำ มีประสบกำรณ์ท้ังในด้ ำนสำขำวิชำชีพ มีคุณธรรม จริยธรรม มีทักษะควำมรู้ในด้ ำนกำรเป็ นผู้นำ และมีควำม เป็ นประชำธิปไตย จึงมีนโยบำยให้ สถำนศึกษำจัดกิจกรรม เสริมหลักสูตรเพื่อพัฒนำผู้เรียนให้ สอดคล้ องกับระบบกำร เรี ย น มุ่ งเน้ น ให้ นั กเรี ย นนั กศึ กษำได้ ท ำกิจกรรมควบคู่ ไปกับกำรเรี ยน โดยให้ ด ำเนิ นกำรจั ดกิจกรรมต่ ำงๆ ใน รูปแบบขององค์กำรนักวิชำชีพในอนำคตแห่ งประเทศไทย (คณะกรรมกำรบริหำรองค์กำรนักวิชำชีพในอนำคตแห่ ง ประเทศไทย ระดับชำติ 2557, 2557) จำกพระรำชบัญญัตกิ ำรศึกษำแห่งชำติ พ.ศ.2542 ที่ได้ กำหนดควำมมุ่งหมำยและหลักกำรไว้ คือ กำรจัดกำรศึกษำ ต้ องเป็ นไปเพื่ อพั ฒนำคนไทยให้ เป็ นมนุ ษย์ท่ีสมบูรณ์ท้ัง ร่ำงกำย จิตใจ สติปัญญำ ควำมรู้ และคุณธรรม มีจริยธรรม และวัฒนธรรมในกำรดำรงชีวิต สำมำรถอยู่ร่วมกับผู้อ่นื ได้ อย่ ำงมีควำมสุข สำระสำคัญอีกอย่ ำงในหมวด 4 แนวกำร จัดกำรศึกษำ มำตรำ 22 กำรจัดกำรศึกษำต้ องยึดหลักว่ ำ ผู้เรียนทุกคนสำมำรถเรียนรู้และพัฒนำตนเองได้ และถือว่ำ

ผู้เรียนมีควำมสำคัญที่สุด กระบวนกำรจัดกำรศึกษำต้ อง ส่งเสริมให้ ผ้ ูเรียนสำมำรถพัฒนำตำมธรรมชำติและเต็มตำม ศั กยภำพ ให้ ควำมส ำคั ญ ของกิ จกรรมพั ฒ นำผู้ เรี ยนใน สภำพปั จจุ บั น ที่ มี กำรเปลี่ ยนแปลงอย่ ำ งรวดเร็ว ซึ่ ง ส่ ง ผลกระทบทั้งทำงตรงและทำงอ้ อมต่อกำรดำเนินชีวิตของ ผู้เรียน ซึ่งหำกผู้เรียนไม่ร้ จู ักตนเองและสภำพแวดล้ อมที่ดี พอ และไม่อำจปรับตัวได้ อำจก่อให้ เกิดปั ญหำต่ำงๆ ตำมมำ เช่ น ปั ญ หำอำชญำกรรม ปั ญ หำยำเสพติ ด ปั ญ หำเพศ สัมพันธ์ ในวัยเรียน ปัญหำนิยมฟุ้ งเฟ้ อ ซึ่งในภำยภำคหน้ ำ จะเกิดผลเสียต่ อกำรลื มคุ ณธรรม จริ ยธรรม ค่ ำนิ ยม และ เอกลักษณ์ รวมถึงวัฒนธรรมอันดีงำมของชำติไป จำเป็ นที่ กำรจั ดกำรศึ กษำของประเทศจะต้ องเร่ งพั ฒ นำปรับปรุง เปลี่ ย นแปลง เพี่ อ สำมำรถพั ฒ นำคนของประเทศให้ มี ศั กยภำพ เพี ย งพอต่ อกำรด ำรงชี วิ ต อย่ ำงมี คุ ณ ภำพใน สังคมที่เปลี่ยนแปลงและร่วมมือแข่งขันได้ อย่ ำงเหมำะสม ทัดเทียม โดยสำมำรถดำรงควำมเป็ นไทยได้ ในประชำคม โลก งำนกิจกรรมนักเรียนนักศึกษำ ช่ วยส่งเสริม สนับสนุ น ควบคุ มดู แ ลและรั บผิ ด ชอบกำรด ำเนิ น กำรจั ด กิจกรรม เสริมหลักสูตร จำกกำรศึกษำรำยละเอียด หน้ ำที่และควำม รับผิดชอบของงำนกิจกรรมนักเรียนนักศึกษำ กำรดำเนินงำน จัดกิจกรรมเสริมหลักสูตรและองค์กำรวิชำชีพในอนำคต แห่ งประเทศไทย (อวท.) สำมำรถสรุปได้ ว่ำ บทบำทหน้ ำที่ ของงำนกิจกรรมนักเรียนนักศึกษำ ตำมระเบียบสำนักงำน คณะกรรมกำรกำรอำชีวศึกษำ ว่ำด้ วยกำรบริหำรสถำนศึกษำ พ.ศ.2552 ที่ระบุหน้ ำที่และควำมรับผิดชอบไว้ 12 ด้ ำน คือ ด้ ำนกำรจัดกิจกรรมชมรม ด้ ำนกำรจัดกิจกรรมองค์กำร วิชำชีพในอนำคตแห่ งประเทศไทย (อวท.) ด้ ำนกิจกรรม ที่เป็ นประโยชน์ต่อสถำนศึกษำ สังคม ชุมชนและกิจกรรม ในวันสำคัญของชำติ ศำสนำ พระมหำกษัตริย์ ด้ ำนกิจกรรม ส่ งเสริ ม คุ ณ ธรรม จริ ย ธรรม จรรยำบรรณวิ ช ำชี พ หลั ก ปรัชญำเศรษฐกิจพอเพียงและกิจกรรมพัฒนำบุคลิกภำพ และมนุ ษ ยสัมพั น ธ์ ด้ ำนกิจกรรมลู กเสือ และนั กศึ กษำ วิชำทหำร ด้ ำนกิจกรรมกีฬำ นันทนำกำรและวัฒนธรรมใน


204

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

สถำนศึกษำ ด้ ำนกิจกรรมหน้ ำเสำธง ด้ ำนกำรประสำนงำน ให้ ควำมร่ ว มมื อ กั บ หน่ ว ยงำนภำยใน และภำยนอก สถำนศึกษำ ด้ ำนกำรสรุปประเมินผลและนำเสนอฝ่ ำยบริหำร และสำนักงำนคณะกรรมกำร กำรอำชีวศึกษำ (สอศ.) ด้ ำน กำรจัดทำปฏิทนิ ปฏิบัติงำน เสนอโครงกำรและรำยงำนกำร ปฏิ บั ติ งำนด้ ำนกำรดู แลรั กษำทรั พ ย์ สิ นของสถำนศึ กษำ ตำมที่ได้ รับมอบหมำยและด้ ำนกำรปฏิบัติงำนตำมที่ได้ รับ มอบหมำย (ส ำนั ก งำนคณะกรรมกำรกำรอำชี วศึ ก ษำ, 2548) งำนกิ จ กรรมนั ก ศึ ก ษำ วิ ท ยำลั ย สำรพั ด ช่ ำ งล ำปำง คติ ปรี ชำ (2550) ได้ กล่ ำวโดยสรุปว่ ำ กิจกรรมพั ฒ นำ ผู้เรียนตำมมำตรฐำนกำรอำชีวศึกษำของวิทยำลัยสำรพั ด ช่ ำงลำปำงยังไม่ ประสบผลสำเร็จเท่ำที่ควรพฤติกรรมของ นั ก เรี ย นนั ก ศึ ก ษำที่ เป็ นปั ญ หำและพบบ่ อ ย เช่ น กำร ประพฤติไม่เหมำะสม กำรหนีเรียน กำรไม่เข้ ำร่วมกิจกรรม องค์กำรและชมรมวิชำชีพ กำรมั่วสุมตำมหอพั ก บ้ ำนเช่ ำ สถำนบันเทิง ห้ ำงสรรพสินค้ ำ เพื่ อดื่มสุรำ เสพยำเสพติด กำรมั่วสุมทำงเพศ กำรเล่ นกำรพนัน และกำรทะเลำะวิวำท เป็ นต้ น Good (1973) ได้ กล่ ำ วว่ ำ กิ จ กรรมนั ก เรี ย น นั กศึ กษำ เป็ นโปรแกรมและกำรจั ด กำรด ำเนิ น งำน ซึ่ ง นักเรียนหรือสถำบันจัดทำขึ้น มีควำมมุ่งหมำยเพื่ อสร้ ำง ควำมเพลิดเพลิน เพิ่มพูนควำมรู้ให้ นักเรียนได้ แสดงควำม สนใจ ควำมสำมำรถ ไม่มีกำรให้ คะแนนหรือหน่วยกิต ต้ อง จัดหำเงินเพื่อดำเนินกำรเองและอยู่ภำยใต้ กำรควบคุมของ สถำนศึกษำนั้นๆ (ศิริรักษ์ นำคพงศ์, 2547) ได้ กล่ำวโดย สรุปว่ ำ กำรบริหำรงำนกิจกำรนั กเรีย นส่ วนใหญ่ ขำดกำร สนับสนุ นงบประมำณในกำรจัดกิจกรรมและควำมจริงจัง ในกำรนิเทศกำกับติดตำมงำน (สง่ ำ พุ่มพวง, 2548) ได้ กล่ ำวโดยสรุปว่ ำ กำรดำเนินงำนเรียงลำดับจำกมำกไปหำ น้ อย คือ ด้ ำนกำรเตรียมกำรวำงแผนกำรดำเนินงำน ด้ ำน กำรปฏิบตั ติ ำมแผน และด้ ำนกำรกำกับติดตำมประเมินกำร รำยงำน ครูขำดควำมเข้ ำใจเกี่ยวกับกำรจัดกำรแนวทำงวิธี ในกำรดำเนินงำน (โฉมฉำย กำศโอสถ, 2556) ได้ กล่ ำว โดยสรุปว่ ำ กำรบริหำรกิจกำรนั กเรียน ตั้งแต่ อดีตจนถึง ปั จจุ บันยังขำดควำมชัดเจนเกี่ยวกับโครงสร้ ำงของรูปแบบ รวมถึ ง องค์ ป ระกอบของรู ป แบบกำรบริ ห ำรทั้ งในด้ ำ น องค์คณะบุคคลที่ควรเข้ ำมำมีส่วนร่ วมในกำรบริหำร และ ขอบข่ำยงำนกิจกำรนักเรียนที่ยังไม่ชัดเจนเกี่ยวกับกิจกรรม

ที่จัดในสถำนศึกษำรวมถึงด้ ำนกระบวนกำรบริหำรกิจกำร นักเรียนที่ไม่มแี นวทำงที่ชัดเจน เป็ นรูปธรรม ซึ่งในปัจจุบนั นี้ ขึ้ นอยู่ กับ สถำนศึ กษำแต่ ล ะแห่ ง เป็ นผู้ ก ำหนดขึ้ นเอง ดังนั้น รูปแบบที่จะดำเนินกำรจึงเป็ นเรื่องของแต่ละสถำนศึกษำ จึงก่อให้ เกิดปั ญหำกับสถำนศึกษำส่งผลต่ อกำรขำดควำม เชื่ อมโยงระหว่ ำงผู้มีส่ วนเกี่ยวข้ องของทุ กฝ่ ำยทั้งภำยใน สถำนศึกษำ และภำยนอกสถำนศึกษำในกำรพัฒนำผู้เรียน ให้ เกิดคุณลักษณะอันพึ งประสงค์ดังจะเห็นได้ จำกปั ญหำ พฤติกรรมต่ำงๆ ของนักเรียนในสังคมปัจจุบนั ดั งนั้ น ถ้ ำหำกสถำนศึ กษำมี กำรใช้ ระเบี ยบองค์ กำร นักวิชำชีพในอนำคตแห่ งประเทศไทย ยังขำดควำมเข้ ำใจ ละเลย และมองข้ ำมควำมส ำคั ญ ของกำรด ำเนิ น งำนจั ด กิจกรรมนั กเรี ยน นั กศึ กษำ ซึ่ งเจตนำรมณ์ ของระเบีย บ องค์กำรนั กวิชำชีพ ในอนำคตแห่ งประเทศไทย ต้ องกำร ที่จะพั ฒนำสมำชิกองค์กำรนักวิชำชีพ ให้ เป็ นคนดีและมี ควำมสุขและพั ฒ นำสมำชิกองค์กำรนั กวิชำชีพให้ เป็ นคน เก่งและมีควำมสุข ซึ่งเป็ นกิจกรรมที่มุ่งพัฒนำให้ ผ้ ูเรียนให้ สมบูรณ์ท้งั ด้ ำนร่ำงกำยจิตใจสติปัญญำ ควำมรู้และคุณธรรม จริยธรรมในกำรดำรงชีวิตสำมำรถอยู่ร่วมกับผู้อ่นื ได้ อย่ำงมี ควำมสุข เป็ นไปอย่ำงมีประสิทธิภำพและมีมำตรฐำนในกำร ดำเนินกำรจัดกิจกรรมพัฒนำนักเรียน นักศึกษำ ให้ เป็ นคน ดีและมีควำมสุข และให้ นักเรียน นักศึกษำ เป็ นคนเก่งและ มีควำมสุข จำกควำมเป็ นมำและปั ญ หำดังกล่ ำวข้ ำงต้ น ผู้ วิจั ยมี ควำมสนใจต้ องกำรพั ฒ นำตั วบ่ งชี้ และกำรศึ กษำสภำพ กำรด ำเนิ นงำนกิจกรรมนั กเรียน นั กศึกษำ ตำมระเบียบ องค์ ก ำรนั ก วิ ช ำชี พ ในอนำคตแห่ งประเทศไทย ใน สถำนศึกษำสังกัดสำนักงำนคณะกรรมกำรกำรอำชีวศึกษำ ภำคเหนื อ เพื่ อให้ เป็ นแนวทำงในกำรพั ฒ นำกำรบริหำร กิจ กรรมนั กเรี ย นเรี ย นนั ก ศึ กษำของสถำนศึ กษำสั งกั ด สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรอำชีวศึกษำ ให้ มีประสิทธิภำพ ต่อไป จุดมุ่งหมายของการวิจยั 1. เพื่อพัฒนำตัวบ่งชี้กำรดำเนินงำนกิจกรรมนักเรียน นักศึ กษำ ตำมระเบียบองค์กำรนักวิชำชีพในอนำคตแห่ ง ประเทศไทย ในสถำนศึกษำสังกัดสำนักงำนคณะกรรมกำร กำรอำชีวศึกษำ ภำคเหนือ


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

2. เพื่ อศึ กษำสภำพกำรด ำเนินงำนกิจกรรมนั กเรียน นักศึ กษำ ตำมระเบียบองค์กำรนักวิชำชีพในอนำคตแห่ ง ประเทศไทย ในสถำนศึกษำสังกัดสำนักงำนคณะกรรมกำร กำรอำชีวศึกษำ ภำคเหนือ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รบั 1. ผลกำรวิ จั ยในครั้ งนี้ ท ำให้ ทรำบถึงตั วบ่ งชี้ กำร ดำเนินงำนกิจกรรมนักเรียน นักศึกษำ ตำมระเบียบองค์กำร นั กวิ ชำชีพ ในอนำคตแห่ งประเทศไทย ในสถำนศึ กษำ สังกัดสำนักงำนคณะกรรมกำรกำรอำชีวศึกษำ ภำคเหนือ 2. ผลกำรวิจัยในครั้งนี้ ทำให้ ทรำบถึงสภำพกำรดำเนินงำน กิจกรรมนักเรียน นักศึกษำ ตำมระเบียบองค์กำรนักวิชำชีพ ในอนำคตแห่ งประเทศไทย ในสถำนศึกษำสังกัดสำนักงำน คณะกรรมกำรกำรอำชีวศึกษำ ภำคเหนือ ขอบของการวิจยั ขั้นตอนที่ 1 การพัฒนาตัวบ่งชี้ การดาเนินงานกิจกรรม นักเรี ยน นักศึ กษา ตามระเบี ยบองค์ การนักวิ ชาชี พ ใน อนาคตแห่ งประเทศไทย ในสถานศึกษาสังกัดสานักงาน คณะกรรมการการอาชีวศึกษา ภาคเหนือ แบ่งกำรดำเนินกำร ออกเป็ น 2 ส่วน ดังนี้ 1. กำรพัฒนำตัวบ่งชี้กำรดำเนินงำนกิจกรรมนักเรียน นักศึ กษำ ตำมระเบียบองค์กำรนักวิชำชีพในอนำคตแห่ ง ประเทศไทย ในสถำนศึกษำสังกัดสำนักงำนคณะกรรมกำร กำรอำชี ว ศึ ก ษำ ภำคเหนื อ โดยกำรศึ ก ษำเอกสำรมี รำยละเอียด ดังนี้ 1) แหล่งข้ อมูล ได้ แก่ เอกสำร แนวคิด ทฤษฎีและ งำนวิจัยที่เกี่ยวกับกำรบริหำรสถำนศึกษำอำชีวศึกษำ กำร ดำเนินงำนกิจกรรมนักเรียนนักศึกษำ ระเบียบองค์กำรนัก วิชำชีพในอนำคตแห่งประเทศไทย 2) เครื่องมือที่ใช้ ในกำรเก็บรวบรวมข้ อมูล ได้ แก่ แบบบันทึกข้ อมูล 3) กำรเก็บรวบรวมข้ อมู ล ผู้ วิจั ยด ำเนิ นกำรเก็บ รวบรวมข้ อมูลด้ วยตนเอง 4) กำรวิเครำะห์ ข้อมูล ผู้วิจัยวิเครำะห์ ข้อมูลโดย วิเครำะห์ เนื้อหำ (Content Analysis) เพื่ อหำลักษณะร่ วม

205

(Common Character) และหำข้ อสรุปร่ วม (Common Conclusion) เพื่อกำหนดเป็ นแนวคิดกำรวิจัยและแนวคิดเกี่ยวกับกรอบ แนวคิดเกี่ยวกับกำรดำเนินงำนกิจกรรมนักเรียน นักศึกษำ ตำมระเบียบองค์กำรนักวิชำชีพในอนำคตแห่งประเทศไทย ในสถำนศึกษำสังกัดสำนักงำนคณะกรรมกำรกำรอำชีวศึกษำ ภำคเหนือ 2. กำรประเมิ น ควำมเหมำะสมของตั ว บ่ งชี้ กำร ดำเนินงำนกิจกรรมนักเรียน นักศึกษำ ตำมระเบียบองค์กำร นั กวิ ชำชี พในอนำคตแห่ งประเทศไทย โดยกำรสอบถำม ผู้ทรงคุณวุฒิ โดยมีรำยละเอียด ดังนี้ 1) แหล่ งข้ อมูล กำรวิจัยในส่วนนี้ โดยกำรสอบถำม ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 ท่ำน 2) เครื่ อ งมื อ ที่ ใช้ ในกำรเก็บ รวบรวมข้ อ มู ล คื อ แบบประเมินควำมเหมำะสมของตัวบ่งชี้ฯ 3) กำรเก็บรวบรวมข้ อมู ล ผู้ วิจั ยขอหนั งสือจำก บัณฑิตวิทยำลัย มหำวิทยำลัยรำชภัฏพิบูลสงครำม เพื่อขอ ควำมอนุ เครำะห์ในกำรเก็บข้ อมูลไปยังผู้ทรงคุณวุฒิ และ จัดส่งเอกสำรแบบประเมินค่ ำควำมเหมำะสมของตัวบ่ งชี้ ไปตำมสถำนศึกษำของผู้ทรงคุณวุฒิ 4) กำรวิเครำะห์ ข้อมูล ผู้วิจัยวิเครำะห์ ข้อมูลโดย วิเครำะห์ เนื้อหำ (Content Analysis) เพื่ อหำลักษณะร่ วม (Common Character) และหำข้ อสรุปร่ วม (Common Conclusion) เพื่อกำหนดเป็ นแนวคิดกำรวิจัย และแบบสอบถำมเกี่ยวกับ กำรพั ฒ นำตั ว บ่ ง ชี้ กำรด ำเนิ น งำนกิ จ กรรมนั ก เรี ย น นักศึ กษำ ตำมระเบียบองค์กำรนักวิชำชีพในอนำคตแห่ ง ประเทศไทย ในสถำนศึกษำสังกัดสำนักงำนคณะกรรมกำร กำรอำชีวศึกษำ ภำคเหนือ ขั้น ตอนที่ 2 ศึ กษาสภาพการด าเนิ น งานกิ จกรรม นักเรียน นักศึกษา ตามระเบียบองค์การนักวิชาชีพในอนาคต แห่ งประเทศไทย ในสถานศึกษาสังกัดสานักงานคณะกรรมการ การอาชีวศึกษาภาคเหนือ 1. ขอบเขตด้านเนื้ อหา ในกำรวิจัยในครั้งนี้มีขอบเขตด้ ำนเนื้อหำ คื อ มุ่ ง ศึ กษำสภำพกำรด ำเนิ น งำนกิจกรรมนั กเรี ยน นั กศึ กษำ ตำมระเบียบองค์กำรนักวิชำชีพในอนำคตแห่งประเทศไทย ในสถำนศึกษำสังกัดสำนักงำนคณะกรรมกำรกำรอำชีวศึกษำ ภำคเหนือ


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

206

2. ขอบเขตด้านประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชำกร ได้ แ ก่ ผู้ ท่ี ป ฏิ บั ติ งำนในสถำนศึ ก ษำ สังกัดสำนั กงำนคณะกรรมกำรกำรอำชีวศึ กษำภำคเหนื อ ทั้งหมด 73 แห่ ง และกลุ่มตัวอย่ ำง ได้ แก่ 1) ผู้อำนวยกำร วิทยำลัยฯ 2) รองผู้อำนวยกำรฝ่ ำยกิจกำรฯ 3) ครูหัวหน้ ำ งำนกิจกรรมฯ 4) ครูท่ีปรึกษำองค์กำรนั กวิชำชีพ ฯ จำก จ ำนวนสถำนศึ ก ษำสั งกั ด ส ำนั กงำนคณะกรรมกำรกำร อำชี วศึ กษำ ภำคเหนื อ จ ำนวน 63 แห่ ง ได้ จำกกำรเปิ ด ตำรำง เครจซี่ แ ละมอร์ แกน (Krejcie & Morgan, 1986 อ้ ำงถึงใน บุญชม ศรีสะอำด, 2554) รวมได้ กลุ่มตัวอย่ ำง ทั้งหมด จำนวน 252 คน 3. ขอบเขตด้านตัวแปร ตั ว แปรที่ ใ ช้ ศึ ก ษำ คื อ สภำพกำรด ำเนิ น งำน กิจกรรมนักเรียน นักศึกษำ ตำมระเบียบองค์กำรนักวิชำชีพ ในอนำคตแห่ งประเทศไทย ในสถำนศึกษำสังกัดอำชีวศึกษำ ภำคเหนือ โดยกำรแบ่งกิจกรรมหลักออกเป็ น 2 เป้ ำหมำย 10 ด้ ำน ดังนี้

เป้าหมายที่ 1 กำรพั ฒ นำสมำชิ ก ให้ เป็ นคนดี และมีควำมสุข ประกอบด้ วยแผนพัฒนำ 5 ด้ ำน ดังนี้ 1) ด้ ำนกำรเสริ ม สร้ ำงบุ ค ลิ ก ภำพ และควำม รับผิดชอบต่อสังคม 2) ด้ ำนกำรเสริมสร้ ำงสุขภำพ กีฬำและนันทนำกำร 3) ด้ ำนกำรเสริมสร้ ำงพัฒนำคุณธรรมจริยธรรม 4) ด้ ำนกำรส่งเสริมศำสนำ ศิลปะ วัฒนธรรม 5) ด้ ำนกำรส่ ง เสริ ม กำรอนุ รั ก ษ์ ธรรมชำติ แ ละ สิ่งแวดล้ อม เป้าหมายที่ 2 กำรพั ฒนำสมำชิกให้ เป็ นคนเก่ ง และมีควำมสุข ประกอบด้ วยแผนพัฒนำ 5 ด้ ำน ดังนี้ 6) ด้ ำนกำรพัฒนำมำตรฐำนวิชำชีพและจรรยำบรรณ วิชำชีพ 7) ด้ ำนกำรส่งเสริมควำมคิดริเริ่มสร้ ำงสรรค์ 8) ด้ ำนกำรส่งเสริมกำรเรียนรู้แบบบูรณำกำร 9) ด้ ำนกำรพั ฒนำควำมรู้ และควำมสำมำรถทำง วิชำกำร 10) ด้ ำนกำรพัฒนำนักเรียนนักศึกษำให้ มมี ำตรฐำน สู่สำกล

กรอบแนวคิดในการวิจัย 1. แนวคิดเกี่ยวกับกำรบริหำรสถำนศึกษำ อำชีวศึกษำ 2. แนวคิดเกี่ยวกับกำรดำเนินงำนกิจกรรม นักเรียน นักศึกษำ 3. แนวคิดกำรพัฒนำตัวบ่งชี้ 4. ระเบียบองค์กำรนักวิชำชีพในอนำคตแห่ ง ประเทศไทย

กำรพัฒนำตัวบ่งชี้กำรดำเนินงำนกิจกรรม นักเรียน นักศึกษำ ตำมระเบียบองค์กำร นักวิชำชีพในอนำคตแห่ งประเทศไทย ในสถำนศึกษำสังกัดสำนักงำนคณะกรรมกำร กำรอำชีวศึกษำ ภำคเหนือ

รูปที่ 1 กรอบแนวคิดในกำรวิจยั

สภาพการดาเนินงานกิจกรรมนักเรียน นักศึกษา ตามระเบียบองค์การนักวิชาชีพในอนาคตแห่งประเทศไทย ในสถานศึกษาสังกัดสานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ภาคเหนือ เป้าหมายที่ 1 การพัฒนาสมาชิกให้เป็ นคนดีและมีความสุข ประกอบด้วยแผนพัฒนา 5 ด้าน 1. ด้ ำนกำรเสริมสร้ ำงบุคลิกภำพและควำมรับผิดชอบต่อสังคม 2. ด้ ำนกำรเสริมสร้ ำงสุขภำพ กีฬำและนันทนำกำร 3. ด้ ำนกำรเสริมสร้ ำงพัฒนำคุณธรรม จริยธรรม 4. ด้ ำนกำรส่งเสริมศำสนำ ศิลปะ วัฒนธรรม 5. ด้ ำนกำรส่งเสริมกำรอนุรักษ์ธรรมชำติและสิ่งแวดล้ อม เป้าหมายที่ 2 การพัฒนาสมาชิกให้เป็ นคนเก่งและมีความสุข ประกอบด้วยแผนพัฒนา 5 ด้าน 6. ด้ ำนกำรพัฒนำมำตรฐำนวิชำชีพและจรรยำบรรณวิชำชีพ 7. ด้ ำนกำรส่งเสริมควำมคิดริเริ่มสร้ ำงสรรค์ 8. ด้ ำนกำรส่งเสริมกำรเรียนรู้แบบบูรณำกำร 9. ด้ ำนกำรพัฒนำควำมรู้ และควำมสำมำรถทำงวิชำกำร 10. ด้ ำนกำรพัฒนำนักเรียนนักศึกษำให้ มีมำตรฐำนสู่สำกล


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

วิธีดาเนินการวิจยั ขั้นตอนที่ 1 การพัฒนาตัวบ่งชี้ การดาเนินงานกิจกรรม นักเรียน นักศึกษา ตามระเบียบองค์การนักวิชาชีพในอนาคต แห่ งประเทศไทย ในสถานศึกษาสังกัดสานักงานคณะกรรมการ การอาชีวศึกษา ภาคเหนือ 1. กำรพัฒนำตัวบ่งชี้กำรดำเนินงำนกิจกรรมนักเรียน นักศึ กษำ ตำมระเบียบองค์กำรนักวิชำชีพในอนำคตแห่ ง ประเทศไทย ในสถำนศึกษำสังกัดสำนักงำนคณะกรรมกำร กำรอำชี ว ศึ ก ษำ ภำคเหนื อ โดยกำรศึ ก ษำเอกสำรมี รำยละเอียด ดังนี้ 1) แหล่ งข้ อมูล กำรวิจัยในส่วนนี้ ได้ แก่ เอกสำร แนวคิ ด ทฤษ ฎี แ ละงำนวิ จั ย ที่ เกี่ ยวกั บ กำรบริ ห ำร สถำนศึกษำอำชีวศึกษำ กำรดำเนิ นงำนกิจกรรมนักเรียน นั ก ศึ ก ษำ ระเบี ย บองค์ ก ำรนั ก วิ ช ำชี พ ในอนำคตแห่ ง ประเทศไทย 2) เครื่องมือที่ใช้ ในกำรเก็บรวบรวมข้ อมูล ได้ แก่ แบบบันทึกข้ อมูล 3) กำรเก็บรวบรวมข้ อมู ล ผู้ วิจั ยด ำเนิ นกำรเก็บ รวบรวมข้ อมูลด้ วยตนเอง 4) กำรวิเครำะห์ ข้อมูล ผู้วิจัยวิเครำะห์ ข้อมูลโดย วิเครำะห์ เนื้อหำ (Content Analysis) เพื่ อหำลักษณะร่ วม (Common Character) และหำข้ อสรุปร่ วม (Common Conclusion) เพื่อกำหนดเป็ นแนวคิดกำรวิจัย 2. กำรประเมิ น ควำมเหมำะสมของตั ว บ่ งชี้ กำร ดำเนินงำนกิจกรรมนักเรียน นักศึกษำ ตำมระเบียบองค์กำร นั กวิ ชำชี พในอนำคตแห่ งประเทศไทย โดยกำรสอบถำม ผู้ทรงคุณวุฒิ โดยมีรำยละเอียดดังนี้ 1) แหล่งข้ อมูล กำรวิจัยในส่วนนี้ โดยกำรสอบถำม ผู้ทรงคุ ณ วุ ฒิ จำนวน 9 คน ได้ มำโดยกำรคัดเลือกแบบ เจำะจง (Purposive Selection) ได้ แก่ รองผู้อำนวยกำรฝ่ ำย พัฒนำกิจกำรนักเรียน นักศึกษำ สังกัดสำนักงำนคณะกรรมกำร กำรอำชีวศึกษำ 4 ภำค ประกอบด้ วย ภำคกลำง จำนวน 2 ท่ำน ภำคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 2 ท่ำน ภำคใต้ จำนวน 2 ท่ำน และภำคเหนือ จำนวน 3 ท่ำน 2) เครื่ อ งมื อ ที่ ใช้ ในกำรเก็บ รวบรวมข้ อ มู ล คื อ แบบประเมินควำมเหมำะสมของตัวบ่งชี้ฯ โดยถำมเกี่ยวกับ

207

ควำมเหมำะสมของตัวบ่งชี้กำรดำเนินงำนกิจกรรมนักเรียน นักศึ กษำตำมระเบียบองค์กำรนั กวิชำชีพ ในอนำคตแห่ ง ประเทศไทย ในสถำนศึกษำสังกัดสำนักงำนคณะกรรมกำร กำรอำชีวศึกษำ 3) กำรเก็บรวบรวมข้ อมู ล ผู้ วิจั ยขอหนั งสือจำก บัณฑิตวิทยำลัย มหำวิทยำลัยรำชภัฏพิบูลสงครำม เพื่อขอ ควำมอนุ เครำะห์ในกำรเก็บข้ อมูลไปยังผู้ทรงคุณวุฒิ และ จัดส่งเอกสำรแบบประเมินค่ำควำมเหมำะสมของตัวบ่งชี้ไป ตำมสถำนศึกษำของผู้ทรงคุณวุฒิ 4) กำรวิเครำะห์ ข้อมูล ผู้วิจัยวิเครำะห์ ข้อมูลโดย วิเครำะห์ เนื้อหำ (Content Analysis) เพื่ อหำลักษณะร่ วม (Common Character) และหำข้ อสรุปร่ วม (Common Conclusion) เพื่อกำหนดเป็ นแนวคิดกำรวิจัย และแบบสอบถำมเกี่ยวกับ กำรพั ฒ นำตั ว บ่ ง ชี้ กำรด ำเนิ น งำนกิ จ กรรมนั ก เรี ย น นักศึ กษำ ตำมระเบียบองค์กำรนักวิชำชีพในอนำคตแห่ ง ประเทศไทย ในสถำนศึกษำสังกัดสำนักงำนคณะกรรมกำร กำรอำชีวศึกษำ ภำคเหนือ ขั้นตอนที่ 2 การศึกษาสภาพการดาเนินงานกิจกรรม นักเรี ยน นักศึ กษา ตามระเบี ยบองค์การนักวิ ชาชี พใน อนาคตแห่ งประเทศไทย ในสถานศึกษาสังกัดสานักงาน คณะกรรมการการอาชีวศึกษาภาคเหนือ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชำกร ได้ แก่ ผู้ท่ปี ฏิบตั งิ ำนในสถำนศึกษำสังกัด สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรอำชีวศึกษำภำคเหนือ ทั้งหมด 73 แห่ง และกลุ่มตัวอย่ำง ได้ แก่ 1) ผู้อำนวยกำรวิทยำลัยฯ 2) รองผู้ อ ำนวยกำรฝ่ ำยกิ จ กำรฯ 3) ครู หั ว หน้ ำงำน กิจกรรมฯ 4) ครูท่ปี รึกษำองค์กำรนักวิชำชีพฯจำกจำนวน สถำนศึกษำสังกัดสำนักงำนคณะกรรมกำรกำรอำชีวศึกษำ ภำคเหนือ จำนวน 63 แห่ ง ได้ จำกกำรเปิ ดตำรำง เครจซี่ และมอร์ แ กน (Krejcie & Morgan, 1986 อ้ ำงถึ ง ใน บุ ญ ชม ศรี สะอำด, 2554) รวมได้ กลุ่ มตั วอย่ ำงทั้งหมด จำนวน 252 คน 2. เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เครื่ องมื อ ที่ ใ ช้ ในกำรเก็ บ รวบรวมข้ อมู ล เป็ น แบบสอบถำมแบบมำตรำส่ ว นประมำณค่ ำ 5 ระดั บ (Retting Scale) มีข้นั ตอนกำรสร้ ำงแบบสอบถำม ดังนี้


208

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ขั้น ตอนที่ 1 ศึ ก ษำเอกสำร ต ำรำ และงำนวิ จั ย ที่เกี่ยวข้ องเพื่อนำมำเป็ นแนวทำงในกำรสร้ ำงเครื่องมือเพื่อ กำรเก็บรวบรวมข้ อมูล ขั้น ตอนที่ 2 กำหนดกรอบแนวคิ ดในกำรศึ กษำ กำหนดโครงสร้ ำงของแบบสอบถำมที่ใช้ ในกำรศึกษำแล้ ว ขอคำแนะนำจำกอำจำรย์ท่ปี รึกษำเพื่อเป็ นแนวทำงในกำร กำหนดกรอบแบบสอบถำมในขั้นต้ น ขั้น ตอนที่ 3 ด ำเนิ น กำรสร้ ำงแบบสอบถำมให้ สอดคล้ อ งกับ โครงสร้ ำงของแบบสอบถำมที่ ก ำหนดไว้ แล้ วนำเสนออำจำรย์ท่ปี รึกษำ ขั้นตอนที่ 4 ตรวจสอบควำมสอดคล้ องของเนื้อหำ โดยน ำแบบสอบถำมเสนอผู้ เชี่ ย วชำญ จ ำนวน 5 ท่ ำ น พิ จำรณำตรวจสอบควำมตรงเชิงเนื้อหำ (Content Validity) โดยหำค่ำดัชนีควำมสอดคล้ องกับวัตถุประสงค์ (Index of Item–Objective Congruency: IOC) โดยเลือกข้ อคำถำมที่ มีค่ำควำมสอดคล้ อง ตั้งแต่ 0.5 ขั้นไป (บุญชม ศรีสะอำด, 2554) ขั้นตอนที่ 5 ผู้เชี่ยวชำญประเมินควำมสอดคล้ อง เชิงเนื้อหำของข้ อคำถำมแต่ ละข้ อกับจุ ดมุ่งหมำยของกำร วิจัย (Index of Item–Objective Congruency: IOC) ขั้ น ต อ นที่ 6 น ำแบ บ สอบ ถำม ห ำค่ ำค วำม สอดคล้ องของเครื่องมือกำรวิจัย (IOC) และได้ ค่ำควำม สอดคล้ องอยู่ระหว่ ำงตั้งแต่ 0.6-1.00 เป็ นแบบสอบถำม ในกำรวิ จัย ซึ่ งบำงส่ วน ที่ผ้ ู เชี่ ยวชำญให้ ข้ อเสนอแนะไว้ ผู้วิจัยจึงนำมำปรับปรุงตำมข้ อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชำญ ขั้น ตอนที่ 7 น ำแบบสอบถำมมำปรั บ ปรุ ง ตำม ค ำแนะน ำของผู้ เชี่ ยวชำญ เสนออำจำรย์ ท่ี ปรึ ก ษำ เพื่ อพิ จำรณำให้ ควำมเห็นชอบ และน ำแบบสอบถำมไป ทดลองใช้ (Try Out) กับกลุ่มตัวอย่ ำงที่ไม่ ใช้ ในกำรวิจัย ครั้ ง นี้ ในสถำนศึ ก ษำวิ ท ยำลั ย สั ง กั ด ส ำนั ก งำนคณะ กรรมกำรกำรอำชีวศึกษำ ภำคเหนือ และได้ ค่ำควำมเชื่อมั่น ทั้งฉบับ 0.97

ขั้นตอนที่ 8 นำผลกำรวิเครำะห์ข้อมูลมำเสนอต่อ อำจำรย์ท่ปี รึกษำกำรวิจัยตรวจสอบและปรับปรุงเพื่อใช้ เป็ น แบบสอบถำมเก็บรวบรวมข้ อมูลจำกกลุ่มตัวอย่ ำงในกำร วิจัย 3. การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยดำเนินกำรแจกแบบสอบถำมด้ วยตนเองและ แบบสอบถำมบำงส่วนดำเนินกำรส่งทำงไปรษณีย์ จำนวน 252 ฉบับ และได้ คืนมำ จำนวน 224 ฉบับ คิดเป็ นร้ อยละ 93 4. การวิเคราะห์ขอ้ มูล ผู้ วิจั ยด ำเนิ น กำร วิเครำะห์ สภำพกำรด ำเนิ น งำน กิจกรรมนักเรียน นักศึกษำ ตำมระเบียบองค์กำรนักวิชำชีพ ในอนำคตแห่ งประเทศไทย ในสถำนศึกษำสังกัดสำนักงำน คณะกรรมกำรกำรอำชี ว ศึ ก ษำภำคเหนื อ ด ำเนิ น กำร วิเครำะห์หำค่ำสถิตโิ ดยใช้ ค่ำเฉลี่ย ( x ) และส่วนเบี่ยงเบน มำตรฐำน (S.D.) 5. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล 5.1 ค่ำเฉลี่ย (Mean: x ) 5.2 ส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน (Standard Deviation: S.D.) ผลการวิจยั 1. ผลกำรพั ฒ นำตั ว บ่ ง ชี้ กำรด ำเนิ น งำนกิ จ กรรม นั กเรี ย น นั ก ศึ กษำ ตำมระเบี ย บองค์ กำรนั กวิ ช ำชี พ ใน อนำคตแห่ งประเทศไทย ในสถำนศึ กษำสังกัดสำนักงำน คณะกรรมกำรกำรอำชีวศึกษำ ภำคเหนือ พบว่ำ ในภำพรวม มี 10 องค์ประกอบ 40 ตัวบ่งชี้ และมีควำมเหมำะสมของ ตัวบ่ งชี้อยู่ในระดับมำกที่สุด เมื่อพิ จำรณำในรำยละเอียด กำรประเมินกิจกรรมหลักทั้ง 10 องค์ประกอบ และตัวบ่งชี้ ทั้ง 40 ตัวบ่งชี้ ผลกำรประเมินอยู่ในระดับมำกที่สุดเกือบ ทุกตัวบ่งชี้ รำยละเอียดดังรูปที่ 2


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

รูปที่ 2

209

แสดงผลกำรพัฒนำตัวบ่งชี้กำรดำเนินงำนกิจกรรมนักเรียน นักศึกษำ ตำมระเบียบองค์กำรนักวิชำชีพในอนำคต แห่งประเทศไทย ในสถำนศึกษำสังกัดสำนักงำนคณะกรรมกำรกำรอำชีวศึกษำ ภำคเหนือ

จำกรูปที่ 2 พบว่ำ กำรพัฒนำตัวบ่งชี้กำรดำเนินงำน กิจกรรมนักเรียน นักศึกษำ ตำมระเบียบองค์กำรนักวิชำชีพ ในอนำคตแห่ งประเทศไทย ในสถำนศึกษำสังกัดสำนักงำน คณะกรรมกำรกำรอำชี วศึ กษำ ภำคเหนื อโดยภำพรวม มี ค วำมเหมำะสมของตั วบ่ งชี้ อยู่ ในระดั บ มำกที่สุด เมื่ อ พิจำรณำรำยด้ ำน พบว่ำ ด้ ำนที่มคี วำมเหมำะสมของตัวบ่งชี้ สูงสุดอยู่ในระดับมำกที่สดุ จำนวน 3 ด้ ำน ได้ แก่ ด้ ำนกำร ส่ งเสริ มกำรอนุ รั กษ์ ธรรมชำติ และสิ่งแวดล้ อม ด้ ำนกำร ส่งเสริมกำรเรียนรู้แบบบูรณำกำร ด้ ำนกำรพั ฒนำควำมรู้ และควำมสำมำรถทำงวิชำกำร คิดเป็ นร้ อยละ 100 และ

ด้ ำนที่มีควำมเหมำะสมของตัวบ่ งชี้ต่ ำสุดอยู่ในระดับมำก ที่ สุด ได้ แ ก่ ด้ ำนกำรส่ งเสริ ม ควำมคิ ด ริ เริ่ ม สร้ ำงสรรค์ คิดเป็ น ร้ อยละ 91 2. ผลกำรศึกษำสภำพกำรดำเนินงำนกิจกรรมนักเรียน นักศึ กษำ ตำมระเบียบองค์กำรนักวิชำชีพในอนำคตแห่ ง ประเทศไทย ในสถำนศึกษำสังกัดสำนักงำนคณะกรรมกำร กำรอำชีวศึกษำ ภำคเหนือ พบว่ำ ในภำพรวมของกิจกรรม หลักทั้ง 10 ด้ ำน มีค่ำเฉลี่ยอยู่ในระดับมำกที่สุดเกือบทุก ด้ ำน รำยละเอียดดังรูปที่ 3


210

รูปที่ 3

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

แสดงผลกำรศึกษำค่ำเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน ของสภำพกำรดำเนินงำนกิจกรรมนักเรียนนักศึกษำ ตำมระเบียบองค์กำรนักวิชำชีพในอนำคตแห่งประเทศไทย ในสถำนศึกษำสังกัดสำนักงำนคณะกรรมกำร กำรอำชีวศึกษำ ภำคเหนือ

จำกรูปที่ 3 พบว่ ำ สภำพกำรด ำเนิ นงำนกิจกรรม นั กเรี ย น นั ก ศึ กษำ ตำมระเบี ย บองค์ กำรนั กวิ ช ำชี พ ใน อนำคตแห่ งประเทศไทย ในสถำนศึ กษำสังกัดสำนักงำน คณะกรรมกำรกำรอำชี วศึ กษำ ภำคเหนื อ โดยภำพรวม ค่ำเฉลี่ยอยู่ในระดับมำก เมื่อพิจำรณำรำยด้ ำน พบว่ำ ด้ ำน ที่มคี ่ำเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้ ำนกำรส่งเสริมศำสนำ ศิลปะ วัฒนธรรม และด้ ำนที่มีค่ำเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้ ำนกำรส่งเสริมกำรอนุรักษ์ ธรรมชำติและสิ่งแวดล้ อม

1. ผลกำรพั ฒ นำตั ว บ่ ง ชี้ กำรด ำเนิ น งำนกิ จ กรรม นักเรียน นักศึกษำ ตำมระเบียบองค์กำรนักวิชำชีพในอนำคต แห่งประเทศไทย ในสถำนศึกษำสังกัดสำนักงำนคณะกรรมกำร กำรอำชีวศึกษำ ภำคเหนือ โดยภำพรวมมีควำมเหมำะสม ของตั ว บ่ งชี้ อยู่ ในระดั บ มำกที่ สุ ด เมื่ อพิ จำรณ ำใน รำยละเอียดกำรประเมินกิจกรรมหลักทั้ง 10 ด้ ำน และตัว บ่ งชี้ย่อยทั้ง 40 ข้ อ ผลกำรประเมินอยู่ ในระดับมำกที่สุด เกื อบทุ ก ข้ อ ทั้ งนี้ อำจเนื่ อ งมำจำกตั ว บ่ ง ชี้ ที่ พั ฒ นำขึ้ น สำมำรถจะสะท้ อนให้ เห็นถึงสภำพกำรดำเนินงำนกิจกรรม อภิปรายผล นั กเรี ย น นั ก ศึ กษำ ตำมระเบี ย บองค์ กำรนั กวิ ช ำชี พ ใน อนำคตแห่ งประเทศไทย ของสถำนศึกษำได้ อย่ ำงชัดเจน จำกกำรศึกษำวิจัยเรื่องกำรพัฒนำตัวบ่งชี้ และกำรศึกษำ รวมทั้งควำมมีมีส่วนร่วมในกำรดำเนินงำนกิจกรรมต่ำงๆ สภำพกำรด ำเนิ น งำนกิ จ กรรมนั กเรี ย น นั ก ศึ กษำ ตำม อยู่ ใ นองค์ ป ระกอบหลั ก แต่ ล ะด้ ำนจึ ง ท ำให้ เห็ น ภำพ ระเบียบองค์กำรนักวิชำชีพในอนำคตแห่ งประเทศไทย ใน กำรดำเนิ นงำนที่เป็ นรูปธรรม หำกน ำไปประยุ กต์ในกำร สถำนศึกษำสังกัดสำนักงำนคณะกรรมกำรกำรอำชีวศึกษำ ปฏิบัติงำนจะส่งผลให้ กำรบริหำรมีประสิทธิภำพ นอกจำกนี้ ภำคเหนือ ผู้วิจัยดำเนินกำรอภิปรำยผลในประเด็นที่สำคัญ ตั ว บ่ ง ชี้ และเครื่ อ งมื อ ประเมิ น ตำมตั ว บ่ ง ชี้ ได้ มี วิ ธี ก ำร ของกำรวิจัยโดยมีรำยละเอียด ดังนี้


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

พัฒนำขึ้นอย่ำงเป็ นระบบ เริ่มตั้งแต่กำรสังเครำะห์หลักกำร กำรพั ฒ นำตั ว บ่ ง ชี้ ทฤษฎี ท ำงกำรบริ ห ำรนโยบำยของ สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรอำชีวศึกษำ ตำมระเบียบองค์กำร นักวิชำชีพในอนำคตแห่ งประเทศไทย เป็ นแนวปฏิบัติใน กำรจัดกิจกรรมนักเรียนนักศึกษำ และงำนวิจัยที่เกี่ยวข้ อง ประกอบกั บ กำรพิ จ ำรณำคั ด เลื อ กผู้ เชี่ ย วชำญในกำร ตรวจสอบควำมเหมำะสมของตัวบ่งชี้ มีควำมเหมำะสมเป็ น อย่ำงยิ่ง โดยเลือกผู้เชี่ยวชำญที่เกี่ยวข้ องกับกำรดำเนินงำน กิจกรรมนักเรียน นักศึกษำ ตำมระเบียบองค์กำรนักวิชำชีพ ในอนำคตแห่ งประเทศไทย ในสถำนศึกษำสังกัดสำนักงำน คณะกรรมกำรกำรอำชีวศึกษำโดยตรง เป็ นผู้มีประสบกำรณ์ ในสำยงำนบริหำรงำนกิจกำรนักเรียนนักศึกษำ ประกอบด้ วย ผู้อำนวยกำรสถำนศึกษำ และรองผู้อำนวยกำรสถำนศึกษำ ฝ่ ำยพั ฒ นำกิ จ กำรนั ก เรี ย นนั ก ศึ ก ษำ ที่ ใ ห้ ควำมเห็ น ข้ อแนะนำในกำรพั ฒ นำตัวบ่ งชี้ ตลอดจนมีกำรวิเครำะห์ ข้ อมู ลโดยใช้ เกณฑ์กำรประเมิ น ร้ อยละที่มี ควำมเชื่ อ มั่ น เชื่อถือได้ ซึ่งสอดคล้ องกับ อนันต์ นำมทองต้ น (2552) ได้ ศึกษำวิจัย เรื่อง กำรพัฒนำตัวบ่งชี้สมรรถนะกำรบริหำร จัดกำรเรียนรู้ของผู้บริหำรสถำนศึกษำขั้นพื้ นฐำน พบว่ ำ ผลกำรประเมินตัวบ่ งชี้สมรรถนะกำรบริหำรจัดกำรเรียนรู้ ของผู้บริหำรสถำนศึกษำขั้นพื้ นฐำน 4 องค์ประกอบหลัก 16 องค์ ป ระกอบย่ อ ย 96 ตั ว บ่ งชี้ มี ค วำมเหมำะสม มี ควำมเป็ นไปได้ ในทำงปฏิ บั ติ อ ยู่ ในระดั บ มำกที่ สุ ด ซึ่ ง สอดคล้ องกับ ชินภัทร ภูมิรัตน อ้ ำงถึงใน วัชรี แก้ วเนตร (2556) กล่ำวว่ำ กำรพัฒนำมำตรฐำนและตัวบ่งชี้ เพื่อให้ เกิดประโยชน์ในกำรนำไปใช้ ได้ ตรงตำมสภำพกำรณ์ท่เี ป็ น จริ ง กั บ ข้ อมู ล เชิ ง ประจั ก ษ์ มี ค วำมส ำคั ญ ดั ง นั้ น กำร พิ จำรณำต้ องท ำให้ รอบคอบทุ กองค์ป ระกอบ ซึ่ งจะเป็ น เรื่ องเฉพำะและขึ้น อยู่ กับบริ บทของสังคม กำรก ำหนด มำตรฐำนตัวบ่งชี้ และเกณฑ์จึงต้ องอำศัยผลกำรศึกษำและ กำรวิจัยเข้ ำมำช่วย 2. ผลกำรศึกษำสภำพกำรดำเนินงำนกิจกรรมนักเรียน นักศึ กษำ ตำมระเบียบองค์กำรนักวิชำชีพในอนำคตแห่ ง ประเทศไทย ในสถำนศึกษำสังกัดสำนักงำนคณะกรรมกำร กำรอำชีวศึกษำ ภำคเหนื อ โดยภำพรวมอยู่ ในระดับมำก อำจเนื่องมำจำก สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรอำชีวศึกษำ ที่ มีกำรบริหำรจัดกำรที่สอดคล้ องกับนักเรียน นักศึกษำอยู่ 4

211

ฝ่ ำย คือ ฝ่ ำยวิชำกำร ฝ่ ำยพัฒนำกิจกำรนักเรียนนักศึกษำ ฝ่ ำยบริหำรทรัพยำกร และฝ่ ำยแผนงำนและควำมร่ วมมือ ในฝ่ ำยพัฒนำกิจกำรนักเรียนนักศึกษำ ได้ กำหนดระเบียบ องค์กำรนักวิชำชีพในอนำคตแห่งประเทศไทยขึ้นเพื่อนำมำ เป็ นกรอบในกำรบริ ห ำรงำนกิ จ กำร กิ จ กรรมนั ก เรี ย น นั ก ศึ ก ษำให้ ส ำฤทธิ์ผ ลตำมเป้ ำหมำยตำมที่ ส ำนั ก งำน คณะกรรมกำรกำรอำชี วศึ กษำก ำหนดไว้ จึ งส่ งผลให้ มี สภำพกำรด ำเนิ น งำนกิ จ กรรมนั กเรี ย น นั ก ศึ กษำ ตำม ระเบียบองค์กำรนักวิชำชีพในอนำคตแห่ งประเทศไทย ใน สถำนศึกษำสังกัดสำนักงำนคณะกรรมกำรกำรอำชีวศึกษำ ภำคเหนื อ อยู่ ในระดั บ มำก ซึ่ งสอดคล้ องกั บ กระทรวง ศึกษำธิกำร (2542) ให้ ควำมสำคัญของกิจกรรมพั ฒ นำ ผู้เรียนในสภำพปั จจุ บันที่มีกำรเปลี่ยนแปลงอย่ ำงรวดเร็ว ซึ่งส่งผลกระทบทั้งทำงตรงและทำงอ้ อมต่อกำรดำเนินชีวิต ของผู้เรียน ซึ่งหำกผู้เรียนไม่ร้ จู ักตนเองและสภำพแวดล้ อม ที่ดีพอ และไม่ อำจปรับตัวได้ อำจก่อให้ เกิดปั ญหำต่ ำงๆ ตำมมำ เช่ น ปั ญหำอำชญำกรรม ปั ญหำยำเสพติด ปั ญหำ เพศสัมพันธ์ ในวัยเรียน ปัญหำนิยมฟุ้ งเฟ้ อ ซึ่งในภำยภำค หน้ ำจะเกิดผลเสียต่ อกำรลืมคุณธรรม จริยธรรม ค่ำนิยม และเอกลั กษณ์ รวมถึ งวั ฒ นธรรมอั น ดี งำมของชำติ ไป จำเป็ นที่กำรจัดกำรศึ กษำของประเทศจะต้ องเร่ งพั ฒ นำ ปรับปรุงเปลี่ยนแปลง เพี่อสำมำรถพัฒนำคนของประเทศ ให้ มีศักยภำพเพียงพอต่อกำรดำรงชีวิตอย่ ำงมีคุณภำพใน สังคมที่เปลี่ยนแปลงและร่วมมือแข่งขันได้ อย่ ำงเหมำะสม ทัดเทียม โดยสำมำรถดำรงควำมเป็ นไทยได้ ในประชำคม โลก ซึ่งสอดคล้ องกับ โอลสัน (Olson, 2001) ได้ ศึ กษำ เกี่ยวกับบทบำทกำรส่งเสริมกำรเรียนรู้ของนักศึกษำร่วมกัน ของทำงคณะ ซึ่งเป็ นฝ่ ำยวิชำกำรและฝ่ ำยกิจกำรนิสติ โดย ผู้วิจัยได้ เน้ นว่ำ กำรแยกกันทำงำนคนละส่วนอย่ำงเด็ดขำด นั้น เป็ นกำรก่อให้ เกิดควำมเสียหำยต่อสิ่งแวดล้ อมในกำร เรี ย นรู้ ของนั ก ศึ ก ษำ ในทำงที่ ถู ก ที่ ค วรแล้ วทั้ งสองฝ่ ำย จะต้ องทำงำนส่งเสริมกำรเรียนรู้ของนักศึกษำร่วมกันอย่ำง ใกล้ ชิด โดยทุ่มเทเวลำให้ นักศึกษำมำกขึ้น ซึ่งจะช่วยพัฒนำ ปรับปรุงกำรเรียนรู้ของนักศึกษำและช่ วยกิจกรรมพั ฒนำ ทักษะชีวิต ช่วยให้ พัฒนำคุณค่ำ ควำมสำมัคคี กำรช่วยเหลือ ซึ่งกันและกัน รวมถึงควำมเป็ นอยู่ในรั้วมหำวิทยำลัยให้ ดี ขึ้น ซึ่ งสอดคล้ องกั บ สุพิ ช ญ์ ประจญยุ ท ธ (2552) ได้


212

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ด ำเนิ น กำรศึ กษำกำรบริ ห ำรกิจกรรมพั ฒ นำผู้ เรี ยนของ สถำนศึกษำ สังกัดสำนักงำนเขตพื้นที่กำรศึกษำอุบลรำชธำนี เขต 4 โดยศึกษำสภำพกำรบริหำรกิจกรรมพั ฒนำผู้ เรียน และเพื่อเปรียบเทียบควำมคิดเห็นของข้ ำรำชกำรครูท่มี ีต่อ กำรบริหำรกิจกรรมพั ฒนำผู้เรียนของสถำนศึกษำ พบว่ ำ ข้ ำรำชกำรครูมีควำมคิดเห็นต่อกำรบริหำรกิจกรรมพั ฒนำ ผู้เรียนของสถำนศึกษำ สังกัดสำนักงำนเขตพื้ นที่กำรศึกษำ อุบลรำชธำนี เขต 4 โดยรวมทั้งด้ ำนกิจกรรมแนะแนว และ ด้ ำนกิจกรรมนักเรียน อยู่ในระดับมำกที่สุด ซึ่งสอดคล้ อง กับ คติ ปรีชำ (2550) ได้ ดำเนินกำรศึกษำสภำพกำรบริหำร สภำพปั ญหำและแนวทำงพัฒนำกำรบริหำรกิจกรรมพัฒนำ ผู้ เรี ยนของสถำบั น กำรอำชี วศึ กษำจั งหวั ดล ำปำง พบว่ ำ สภำพกำรบริหำรกิจกรรมพั ฒ นำผู้ เรี ยนของสถำบันกำร อำชีวศึกษำ จังหวัดลำปำง โดยรวมทั้ง 4 ด้ ำน คือ ด้ ำนกำร วำงแผน ด้ ำนกำรจัดองค์กร ด้ ำนกำรนำองค์กรและด้ ำน กำรควบคุมองค์กรมีกำรปฏิบตั อิ ยู่ในระดับมำก เมื่อพิจำรณำรำยด้ ำน พบว่ำ ด้ ำนที่มีค่ำเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้ ำนกำรส่งเสริมศำสนำ ศิลปะ วัฒนธรรม อำจเนื่องมำจำก สถำนศึกษำมีกำรส่งเสริมและสนับสนุ นกำรจัดกิจกรรมให้ นั กเรี ย นร่ วมสืบทอดอนุ รั กษ์ ศ ำสนำ ศิ ลปะ วั ฒ นธรรม ฟื้ นฟู สืบทอดขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมไทย เพื่ อพั ฒ นำควำมประพฤติ ท่ี ดี ง ำมตำมวิ ถี ช ำวพุ ทธ ตลอดจนสนับสนุ นกำรจัดกิจกรรมให้ นักเรียนมีส่วนร่ วม ในกำรส่ ง เสริ ม ศำสนำศิ ล ปวั ฒ นธรรมของสั ง คมอย่ ำ ง สม่ ำเสมอ ซึ่ ง สอดคล้ องกั บ กรมส่ ง เสริ ม กำรปกครอง ท้ องถิ่น กระทรวงมหำดไทย (2549) กล่ ำวว่ ำ มำตรฐำน กำรส่งเสริมศำสนำ ศิลปะ วัฒนธรรม และจำรีตประเพณี ท้ องถิ่นตำมที่พระรำชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนกำร กระจำยอ ำนำจให้ แก่ องค์กรปกครองส่ วนท้ องถิ่น พ.ศ. 2542 กำหนดให้ องค์ กรปกครองส่ วนท้ องถิ่ น มี อำนำจ หน้ ำที่ในกำรบำรุงรักษำ ศิลปะ จำรีตประเพณี ภูมิปัญญำ ท้ องถิ่น และวัฒนธรรมอันดีของท้ องถิ่น กรมส่งเสริมกำร ปกครอง ท้ องถิ่ น กระทรวงมหำดไทย ได้ ต ระหนั ก ถึ ง ควำมสำคัญของภำรกิจในด้ ำนกำรบำรุงรักษำศิลปะ จำรีต ประเพณี ภู มิ ปั ญ ญำท้ อ งถิ่ น และวั ฒ นธรรมอั น ดี ข อง ท้ องถิ่นเป็ นอย่ ำงยิ่ ง จึ งได้ ร่วมกับสถำบันกำรศึ กษำและ องค์ ก รปกครองส่ ว นท้ อ งถิ่ น โดยผ่ ำ นกำรประชุ ม เชิ ง ปฏิบตั ิกำรเพื่อร่วมกัน พิจำรณำจำกผู้ท่เี กี่ยวข้ องฝ่ ำยต่ำงๆ

ซึ่ ง สอดคล้ องกั บ ส ำนั ก งำนคณะกรรมกำรวั ฒ นธรรม แห่ งชำติ, 2552 อ้ ำงถึงใน ปรีดำ เหลือบแล, 2557 กล่ำวว่ำ ในด้ ำนของกำรศึกษำโรงเรียนถือว่ำมีบทบำทสำคัญอย่ำงยิ่ง ในกำรอนุ รั ก ษ์ แ ละสื บ สำนศิ ล ปวั ฒ นธรรมไทยอย่ ำ ง กว้ ำงขวำง เนื่ องจำกศู น ย์ วั ฒ นธรรมส่ วนใหญ่ ต้ั งอยู่ ใน สถำนศึ กษำ และกำรด ำเนิ น งำนส่ งเสริ ม สนั บ สนุ น และ เผยแพร่ วั ฒ นธรรมจะประสบผลส ำเร็ จ และยั่ ง ยื น ได้ จำเป็ นต้ องนำไปสู่เด็กและเยำวชน นอกจำกศูนย์วัฒนธรรม จะเป็ นองค์ ก รที่ ใกล้ ชิ ด กั บ เด็ก และเยำวชนแล้ ว ยั งเป็ น องค์กรที่เน้ นกำรทำงำนด้ ำนวิชำกำรเป็ นหลัก จึงนับว่ำ เป็ น เครือข่ำยวัฒนธรรมที่สำคัญยิ่งของสำนักงำนคณะกรรมกำร วัฒ นธรรมแห่ งชำติและของกระทรวงวัฒ นธรรม ในกำร ขับเคลื่อนกำรดำเนินงำนวัฒนธรรมให้ มีประสิทธิภำพและ ประสบผลสำเร็จตำมวัตถุประสงค์ได้ อย่ ำงแท้ จริงในกำร ร่วมกันดำเนินงำนทำนุบำรุงรักษำถ่ำยทอดและแลกเปลี่ยน วัฒนธรรมเพื่อใช้ ประโยชน์ในวิถีชีวิตและรักษำควำมเป็ น ชำติด้วยกำรจัดกิจกรรมทำงวัฒนธรรมประเพณีโดยกำรมี ส่วนร่ วมของบ้ ำนโรงเรียน และศำสนสถำน ซึ่ งสอดคล้ อง กับ ศิริพร อรัญมิตร (2554, น. 13) ได้ ดำเนินกำรศึกษำ กำรดำเนินงำนตำมมำตรฐำนกำรส่งเสริมศำสนำ ศิลปวัฒนธรรม และจำรี ต ประเพณี ท้ อ งถิ่ น ของเทศบำลต ำบลห้ วยยำง อำเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น พบว่ำ ด้ ำนกำรมีส่วนร่วม มีกำรจัดกิจกรรมหลักด้ ำนศำสนำพรำหมณ์วันสำคัญของ ศำสนำโดยประสำนกั บ ผู้ น ำศำสนำหรื อ ผู้ น ำชุ ม ชนใน ท้ อ งถิ่ น จั ด กิจ กรรมเพื่ อเชื่ อ มควำมสัม พั น ธ์แ ละควำม สมำนฉันท์ด้ำนศิลปวัฒนธรรมและจำรีตประเพณีท้องถิ่น เปิ ดโอกำสให้ ชุ ม ชนองค์ ก รเครื อข่ ำยและประชำชนใน ท้ องถิ่น มี ส่ วนร่ วมในกำรจั ด ท ำแผนกำรส่ งเสริ มศำสนำ ศิลปะ วัฒนธรรมและจำรีตประเพณีท้องถิ่น ซึ่งสอดคล้ อง กับ นงลั ก ษณ์ ใจฉลำด (2552) ได้ ศึ กษำรู ป แบบกำร เสริ ม สร้ ำงคุ ณ ธรรม จริ ย ธรรม ของนิ สิ ต นั ก ศึ ก ษำ สถำบั น อุด มศึ กษำไทย พบว่ ำ กำรประเมิ น รูป แบบกำร เสริ มสร้ ำงคุ ณ ธรรมจริ ยธรรมของนิ สิตนั กศึ กษำสถำบั น อุ ด มศึ ก ษำไทยซึ่ ง ผู้ บริ ห ำรสถำบั น อุ ด มศึ ก ษำที่ ด ำรง ตำแหน่ งทำงกำรบริหำรงำนในคณะมีควำมเห็นสอดคล้ อง กันว่ำรูปแบบมีควำมเหมำะสมมีควำมเป็ นไปได้ และมีควำม เป็ นประโยชน์อยู่ในระดับมำก


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

และด้ ำนที่มี ค่ ำเฉลี่ ยต่ ำสุด คื อ ด้ ำนกำรส่ งเสริ ม กำรอนุ รั กษ์ ธรรมชำติ แ ละสิ่งแวดล้ อม อำจเนื่ องมำจำก สถำนศึ กษำได้ ส่ งเสริ มและสนั บสนุ นกำรจั ดกิจกรรมให้ นั กเรียนร่ วมกัน อนุ รั กษ์ ธรรมชำติ และสิ่งแวดล้ อม เพื่ อ สร้ ำงควำมตระหนักถึงคุณค่ำของทรัพยำกรธรรมชำติและ สิ่งแวดล้ อม ตลอดจนพัฒนำพฤติกรรมของนักเรียนในกำร ใช้ ทรัพยำกรธรรมชำติและสิ่งแวดล้ อมอย่ ำงคุ้มค่ำและจัด กิจกรรมให้ นักเรียนร่วมกันศึกษำผลกระทบที่เกิดจำกกำร ใช้ ทรัพยำกรธรรมชำติและสิ่งแวดล้ อมในสถำนศึกษำ ซึ่ง สอดคล้ องกับ คณะกรรมกำรพั ฒนำเศรษฐกิจและสังคม แห่ งชำติ ฉบับที่ 8 พ.ศ.2540-2544 ได้ กำหนดแนวทำง อันเป็ นนโยบำยในกำรจัดสิ่งแวดล้ อมศึ กษำในแผนหลั ก สิ่ง แวดล้ อ มศึ ก ษำไว้ 10 ประกำร คื อ 1) ส่ งเสริ มและ สนั บสนุ นให้ มีกำรบริหำรและกำรจั ดกำรศึ กษำเพื่ อสร้ ำง ควำมตระหนั กและกำรมีส่ วนร่ วมในกำรพั ฒ นำคุ ณ ภำพ สิ่งแวดล้ อมที่มีประสิทธิภำพ 2) ส่งเสริมและสนับสนุนให้ มี เครื อ ข่ ำ ยข้ อมู ล สิ่ ง แวดล้ อมในระดั บ ชุ ม ชนและใน ระดับประเทศที่เกี่ยวข้ องกับสิ่งแวดล้ อม 3) ส่งเสริมให้ มี กำรศึ กษำและสนั บสนุ นให้ มีกำรฝึ กอบรมบุ คลำกรด้ ำน สิ่งแวดล้ อมศึกษำทั้งก่อนประจำกำรและขณะประจำกำรแก่ กลุ่มเป้ ำหมำยในกำรฝึ กอบรมทั้งในระยะสั้นและระยะยำว 4) ส่งเสริมและสนับสนุนให้ มกี ำรพัฒนำกำรเรียนกำรสอน และกำรจัดกิจกรรมเกี่ยวกับสิ่งแวดล้ อมศึกษำ 5) ส่งเสริม และสนั บสนุ นให้ จั ดสิ่งแวดล้ อมศึ กษำในกำรศึ กษำนอก ระบบโรงเรียนด้ วย 6) ส่งเสริมและสนับสนุนให้ ส่อื มวลชน หรือ องค์กรเอกชนได้ เข้ ำมำมี ส่ วนร่ วม 7) ส่ งเสริ มและ สนับสนุ นให้ สถำนศึกษำหรือชุมชนพัฒนำสภำพแวดล้ อม ให้ มีควำมเป็ นระเบียบเรียบร้ อยเป็ นธรรมชำติ 8) ส่งเสริม และสนับสนุนกำรศึกษำวิจัยเกี่ยวกับสิ่งแวดล้ อม 9) ส่งเสริม และสนับสนุ นให้ มีกำรผลิตและรวบรวมข้ อมูลสื่อทุกชนิด เพื่อเป็ นกำรเผยแพร่ควำมรู้เกี่ยวกับสิ่งแวดล้ อมอย่ำงทั่วถึง 10) ส่ ง เสริ ม และสนั บ สนุ น ให้ เกิ ด ควำมร่ ว มมื อ ด้ ำน สิ่ ง แวดล้ อมศึ ก ษำกั บ นำนำประเทศซึ่ ง สอดคล้ องกั บ พันธนภัทร วำนิช (2549) ได้ ศึกษำกำรมีส่วนร่วมของนักศึกษำ ในกำรจัดกำรสิ่งแวดล้ อมภำยในสถำนศึกษำ กรณีศึกษำ ชมรมอนุ รั ก ษ์ ส่ิ งแวดล้ อมวิ ท ยำลั ย เทคนิ ค เลย พบว่ ำ กระบวนกำรมีส่วนร่วมของนักศึกษำในกำรจัดกำรสิ่งแวดล้ อม

213

ในสถำนศึกษำชมรมอนุรักษ์ส่งิ แวดล้ อมเป็ นผู้กระตุ้น และ ผลั ก ดั น ให้ เกิ ด กำรมี ส่ ว นร่ ว มระหว่ ำงทุ ก ฝ่ ำยที่ มี ส่ ว น เกี่ยวข้ องกับกำรจัดกำรสิ่งแวดล้ อม โดยเริ่มขั้นตอนกำรมี ส่วนร่วมในกำรวิเครำะห์ปัญหำ และค้ นหำแนวทำงในกำร พั ฒ นำสิ่ ง แวดล้ อม โดยใช้ เทคนิ ค AIC เพื่ อสร้ ำง กระบวนกำรตัดสินใจร่ วมกัน ในกำรวำงแผนกำรปฏิบัติกำร จัดกำรสิ่งแวดล้ อม ซึ่งสอดคล้ องกับ นิพนธ์ สุขีนัง (2550) ได้ ศึกษำพฤติกรรมกำรอนุ รักษ์ ส่ิงแวดล้ อมของนักศึกษำ กำรศึ ก ษำนอกโรงเรี ย น ในอ ำเภอหนองไผ่ จั ง หวั ด เพชรบู รณ์ พบว่ ำ พฤติกรรมกำรอนุ รักษ์ ส่ิงแวดล้ อมของ นั ก ศึ ก ษำกำรศึ ก ษำนอกโรงเรี ย น ในอ ำเภอหนองไผ่ จั ง หวั ด เพชรบู ร ณ์ โดยรวมอยู่ ใ นระดั บ ปำนกลำง ซึ่ ง สอดคล้ องกับ ศิลป์ สีกวด (2550) ได้ ศึกษำกำรมีส่วนร่วม ระหว่ ำ งโรงเรี ย นกั บ ชุ ม ชนในกำรอนุ รั ก ษ์ ท รั พ ยำกร ธรรมชำติและสิ่งแวดล้ อมโรงเรียนตำรวจตระเวนชำยแดน จังหวัดรำชบุรี พบว่ำ 1) กำรมีส่วนร่วมระหว่ำงโรงเรียนกับ ชุ มชนในกำรอนุ รั กษ์ ทรั พยำกรธรรมชำติ และสิ่งแวดล้ อม ของโรงเรี ย นต ำรวจตระเวนชำยแดน จั ง หวั ด รำชบุ รี โดยรวมอยู่ ในระดับปำนกลำง และเมื่อพิ จำรณำเป็ นรำย ด้ ำน พบว่ำ กำรมีส่วนร่วมด้ ำนกำรสร้ ำงควำมตระหนักต่อ ปั ญหำ มีค่ำเฉลี่ยอยู่ในระดับมำก 2) กำรเปรียบเทียบกำร ร่ วมกันปฏิบัติ ของครู กรรมกำรสถำนศึ กษำ ผู้ น ำชุ มชน และประชำคมหมู่ บ้ ำนที่ มี ต่ อ กำรมี ส่ ว นร่ ว มระหว่ ำ ง โรงเรียนกับชุมชนในกำรอนุ รักษ์ ทรัพยำกรธรรมชำติและ สิ่งแวดล้ อม สรุปผลการวิจยั จำกกำรศึ ก ษำวิ จั ย เรื่ องกำรพั ฒ นำตั วบ่ งชี้ และกำร ศึ กษำสภำพกำรด ำเนิ น งำนกิจกรรมนั กเรี ยน นั กศึ กษำ ตำมระเบียบองค์กำรนักวิชำชีพในอนำคตแห่งประเทศไทย ในสถำนศึกษำสังกัดสำนักงำนคณะกรรมกำรกำรอำชีวศึกษำ ภำคเหนื อ โดยภำพรวมมี ค่ ำเฉลี่ ยอยู่ ใ นระดั บ มำก เนื่ องจำกสถำนศึ กษำมุ่ งให้ ควำมส ำคั ญ กับกำรส่ งเสริ ม คุ ณ ลั กษณะอันพึ งประสงค์ ของผู้ เรียนทำงด้ ำนกิจกรรม นักเรียนนักศึกษำ ทำให้ สถำนศึกษำมีกำรกำหนดนโยบำย วำงแผน กำรด ำเนิ น กำรเกี่ย วกับ กำรส่ งเสริ ม พั ฒ นำให้ สมำชิ ก เป็ นคนดี คนเก่ ง และมี ค วำมสุ ข ตำมระเบี ย บ


214

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

องค์กำรนั กวิ ชำชี พ ในอนำคตแห่ งประเทศไทย โดยกำร ส่ ง เสริ ม และสนั บ สนุ น กำรจั ด กิ จ กรรมให้ กั บ นั ก เรี ย น นักศึกษำในด้ ำนต่ำงๆ ดังนี้ ด้ ำนกำรเสริมสร้ ำงบุคลิกภำพ และควำมรับผิดชอบต่ อสังคม ด้ ำนกำรเสริมสร้ ำงสุขภำพ กีฬำและนันทนำกำร ด้ ำนกำรเสริมสร้ ำงพั ฒนำคุณธรรม จริยธรรม ด้ ำนกำรส่งเสริมศำสนำ ศิลปะ วัฒนธรรม ด้ ำน กำรส่งเสริมกำรอนุรักษ์ธรรมชำติและสิ่งแวดล้ อม ด้ ำนกำร พัฒนำมำตรฐำนวิชำชีพและจรรยำบรรณวิชำชีพ ด้ ำนกำร ส่ งเสริ มควำมคิ ด ริ เริ่ ม สร้ ำงสรรค์ ด้ ำนกำรส่ งเสริ ม กำร เรี ยนรู้แ บบบู รณำกำร ด้ ำนกำรพั ฒ นำควำมรู้และควำม สำมำรถทำงวิชำกำร ด้ ำนกำรพัฒนำนักเรียนนักศึกษำให้ มี มำตรฐำนสู่สำกล และร่วมกันวำงแผน ร่ วมกันคิด ร่วมกัน ทำ กำหนดเป้ ำหมำย แนวทำงกำรด ำเนิ นงำน ตลอดจน รูปแบบกำรประเมิน ตรวจสอบ เพื่ อปรับปรุง แก้ ไข และ พัฒนำกำรส่งเสริมและสนับสนุ นกำรจัดกิจกรรมนักเรียน นักศึกษำให้ มปี ระสิทธิภำพมำกยิ่งขึ้น

2.2 ควรศึกษำเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อกำรส่งเสริม กำรจั ดกิจกรรมพั ฒ นำนั กเรียนนั กศึกษำให้ มี มำตรฐำนสู่ สำกล ในสถำนศึ กษำสั งกั ดส ำนั กงำนคณะกรรมกำรกำร อำชีวศึกษำ กิตติกรรมประกาศ

วิทยำนิพนธ์ฉบับนี้สำเร็จลุล่วงได้ ด้วยควำมกรุณำและ ช่วยเหลือเป็ นอย่ำงดีย่ิงจำก อำจำรย์ ดร.นงลักษณ์ ใจฉลำด ประธำนที่ปรึกษำวิทยำนิพนธ์ ที่ให้ คำแนะนำและข้ อเสนอแนะ ต่ำงๆ ในกำรปรับปรุงจนวิทยำนิพนธ์ฉบับนี้สำเร็จลงด้ วยดี นั บ เป็ นพระคุ ณ อย่ ำงยิ่ งส ำหรั บ ผู้ วิ จั ย ขอขอบพระคุ ณ อำจำรย์ ดร.สมหมำย อ่ำดอนกลอย, อำจำรย์ ดร.อดุลย์ วังศรีคูณ, ผู้ช่วยศำสตรำจำรย์ ดร.นิคม นำคอ้ ำย, อำจำรย์ ดร.ณิรดำ เวชญำลักษณ์ , ดร.จีระพงษ์ หอมสุวรรณ และ นำยวิบูลย์ ภักดีศรี ผู้เชี่ยวชำญ ที่กรุณำตรวจสอบคุณภำพ เครื่องมือที่ใช้ ในกำรวิจัยครั้งนี้เป็ นอย่ำงดี ขอขอบพระคุณ ผู้บริหำรสถำนศึกษำและครู สังกัดสำนักงำนคณะกรรมกำร ข้อเสนอแนะ กำรอำชีวศึกษำ ภำคเหนือ ทุกท่ำนที่ได้ ให้ ควำมอนุเครำะห์ ผลจำกกำรศึ กษำกำรพั ฒ นำตั วบ่ งชี้ และกำรศึ กษำ ในกำรเก็บข้ อมูลกำรทำวิจัย ตลอดจนให้ ควำมช่ วยเหลือ สภำพกำรด ำเนิ น งำนกิ จ กรรมนั กเรี ย น นั ก ศึ กษำ ตำม เป็ นอย่ ำงดี ผู้วิจัยขอกรำบขอบพระคุณด้ วยควำมเคำรพ ระเบียบองค์กำรนักวิชำชีพในอนำคตแห่ งประเทศไทย ใน อย่ำงสูงไว้ ณ โอกำสนี้ สถำนศึกษำสังกัดสำนักงำนคณะกรรมกำรกำรอำชีวศึกษำ เอกสารอ้างอิง ภำคเหนือ พบว่ ำ เป้ ำหมำยที่ 1 ด้ ำนที่มีค่ำเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้ ำนกำรส่งเสริมกำรอนุรักษ์ธรรมชำติและสิ่งแวดล้ อม และ กรมส่ งเสริ ม กำรปกครองท้ องถิ่น กระทรวงมหำดไทย. เป้ ำหมำยที่ 2 ด้ ำนที่มีค่ำเฉลี่ยต่ ำสุด คือ ด้ ำนกำรพั ฒนำ (2549). มาตรฐานการส่งเสริ มศาสนาศิ ลปะวัฒนธรรม นั ก เรี ย นนั ก ศึ ก ษำให้ มี ม ำตรฐำนสู่ ส ำกล ผู้ วิ จั ย จึ ง มี และจารี ต ประเพณี ท ้องถิ่ น. กรุงเทพฯ: ชุ ม นุ มสหกรณ์ ข้ อเสนอแนะ ดังนี้ กำรเกษตรแห่งประเทศไทยจำกัด. [1] 1. ข้อเสนอแนะในการนาผลการวิจยั ไปใช้ 1.1 ควรมีกำรพัฒนำพฤติกรรมของนักเรียนให้ มี กระทรวงศึกษำธิกำร. (2542). พระราชบัญญัติการศึ กษา ควำมรู้ควำมเข้ ำใจและสร้ ำงควำมตระหนั กถึงคุณค่ ำของ แห่งชาติ พ.ศ.2542. กรุงเทพฯ: กระทรวงศึกษำธิกำร. [2] ทรัพยำกรธรรมชำติและสิ่งแวดล้ อม 1.2 ผู้บริหำรสถำนศึกษำ ควรมีกำรส่งเสริมและ คณะกรรมกำรบริหำรองค์กำรนั กวิชำชี พ ในอนำคตแห่ ง สนับสนุนกำรจัดกิจกรรมกำรใช้ ภำษำต่ำงประเทศตำมหลัก ป ระเท ศ ไท ย ระดั บ ชำติ 2557. (2557). ระเบี ยบ สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึ กษาว่าด้วยองค์การนัก มำตรฐำนสำกลให้ แก่นักเรียน วิชาชีพในอนาคตแห่ งประเทศไทย พ.ศ. 2557 และแนว 2. ข้อเสนอแนะในการทาวิจยั ครั้งต่อไป 2.1 ควรศึกษำเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อกำรส่งเสริม ปฏิ บัติขององค์การนักวิชาชีพในอนาคตแห่ งประเทศไทย กำรจัดกิจกรรมกำรอนุ รักษ์ ธรรมชำติและสิ่งแวดล้ อมใน พ.ศ. 2557. กรุ ง เทพฯ: ส ำนั ก งำนคณะกรรมกำรกำร อำชีวศึกษำ, กระทรวงศึกษำธิกำร. [3] สถำนศึกษำสังกัดสำนักงำนคณะกรรมกำรกำรอำชีวศึกษำ


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

คณะกรรมกำรพั ฒ นำเศรษฐกิ จ และสั ง คมแห่ งชำติ , ส ำนั ก งำน. (2540). แผนพั ฒ นาเศรษฐกิ จ และสัง คม แห่ งชาติ ฉบับที ่ 8 (พ.ศ.2540-2544). กรุงเทพฯ: โรง พิมพ์สำนักนำยกรัฐมนตรี. [4]

215

วัชรี แก้ วเนตร. (2556). การพัฒนาตัวบ่งชี้และมาตรฐาน การศึ กษาศู น ย์อบรมเด็ กก่ อ นเกณฑ์ในวัด จังหวัด อุ บ ล ราชธานี โดยใช้เทคนิ คเดลฟาย. (วิ ทยำนิ พ นธ์ป ริ ญ ญำ มหำบั ณ ฑิ ต ). มหำวิ ท ยำลั ย รำชภั ฏ อุ บ ลรำชธำนี , อุ บ ล รำชธำนี. [12]

คติ ปรีชำ. (2550). การบริ หารกิจกรรมพัฒนาผูเ้ รียนของ สถาบันการอาชีวศึ กษาจังหวัดลาปาง. (วิทยำนิพนธ์ปริญญำ ศิ ลป์ สีกวด. (2550). การศึ กษาการมี ส่ วนร่ วมระหว่าง มหำบัณฑิต). มหำวิทยำลัยรำชภัฏลำปำง, ลำปำง. [5] โรงเรียนกับชุมชนในการอนุ รกั ษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และ สิ่งแวดล้อมโรงเรียนตารวจตระเวนชายแดนจังหวัดราชบุรี. โฉมฉำย กำศโอสถ. (2556). รู ปแบบการบริ หารกิ จการ (วิทยำนิพนธ์ปริญญำมหำบัณฑิต ). มหำวิทยำลัยรำชภั ฏ นักเรียนแบบมีส่วนร่วมในสถานศึ กษาระดับประถมศึ กษา หมู่บ้ำนจอมบึง, รำชบุรี. [13] สัง กั ด ส านั ก งานคณะกรรมการการศึ กษาขั้น พื้ นฐาน. (วิทยำนิพนธ์ปริญญำดุษฎีบัณฑิต). มหำวิทยำลัยนเรศวร, ศิ ริ รั กษ์ นำคพงศ์ . (2547). รู ป แบบการบริ ห ารกิ จการ พิษณุโลก. [6] นักเรียนการศึ กษาขัน้ พื้ นฐานช่วงชัน้ ที ่ 1-2 ในสถานศึ กษา นครสวรรค์ เขต 1. (วิ ทยำนิ พ นธ์ป ริ ญ ญำมหำบั ณ ฑิ ต ). นงลั ก ษณ์ ใจฉลำด. (2552). รู ป แบบการเสริ ม สร้า ง สถำบันรำชภัฏนครสวรรค์, นครสวรรค์. [14] คุณธรรม จริยธรรม ของนิ สิตนักศึ กษาสถาบันอุดมศึ กษา ไทย. (วิทยำนิ พ นธ์ปริญ ญำดุษฎีบั ณฑิต ). มหำวิทยำลั ย ศิ ริพร อรัญมิตร. (2554). การศึ กษาการดาเนิ นงานตาม นเรศวร, พิษณุโลก. [7] มาตรฐานการส่ งเสริ มศาสนาศิ ลปะวัฒ นธรรมและจารี ต ประเพณี ทอ้ งถิ่นของเทศบาลตาบลห้วยยาง อาเภอกระนวน นิพนธ์ สุขนี ัง. (2550). พฤติกรรมการอนุรกั ษ์ส่ งิ แวดล้อม จั ง หวั ด ขอนแก่ น . (วิ ท ยานิ พนธ์ รั ฐ ประศาสนศาสตร ของนักศึ กษา การศึ กษานอกโรงเรี ยนในอาเภอหนองไผ่ มหาบัณฑิ ต). วิ ทยำลั ยกำรปกครองท้ องถิ่น มหำวิ ทยำลั ย จัง หวัด เพชรบู ร ณ์ . (กำรศึ ก ษำค้ นคว้ ำอิ ส ระปริ ญ ญำ ขอนแก่น, ขอนแก่น. [15] มหำบัณฑิต). มหำวิทยำลัยรำชภัฏเพชรบูรณ์, เพชรบูรณ์. [8] สง่ ำ พุ่ มพวง. (2548). สภาพการบริ ห ารงานกิ จ การ นักเรียนในโรงเรียนสังกัดสานักงานเขตพื้ นทีเ่ ชียงราย เขต บุญชม ศรีสะอำด. (2554). การวิจยั เบื้องต้น (พิมพ์ครั้ง 3. (วิ ท ยำนิ พ นธ์ป ริ ญ ญำมหำบั ณ ฑิ ต ). สถำบั น รำชภั ฏ ที่ 9). กรุงเทพฯ: สุวิริยำสำส์น. [9] เชียงรำย, เชียงรำย. [16] ปรี ด ำ เหลื อ บแล. (2557). แนวทางการส่ ง เสริ ม การ ดาเนิ นงานด้านวัฒนธรรมของผูบ้ ริหารสถานศึ กษา สังกัด สานักงานเขตพื้ นที ่การศึ กษาประถมศึ กษา จังหวัดตาก. (วิทยำนิพนธ์ปริญญำมหำบัณฑิต ). มหำวิทยำลัยรำชภั ฏ พิบูลสงครำม, พิษณุโลก. [10]

สำนั กงำนคณะกรรมกำรกำรอำชี วศึ กษำ. (2548). การ ประชุมทางวิชาการองค์การวิชาชีพในอนาคตแห่ งประเทศ ไทย ครั้ง ที ่ 45 ประจ าปี การศึ ก ษา 2548. เชี ย งใหม่ : สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรอำชีวศึกษำ. [17]

สุพิชญ์ ประจญยุทธ. (2552). การบริหารกิจกรรมพัฒนา พันธนภัทร วำนิช. (2549). การมีส่วนร่วมของนักศึ กษาใน ผูเ้ รียนของสถานศึ กษาสังกัดสานักงานเขตพื้นทีก่ ารศึ กษา การจัดการสิ่งแวดล้อมภายในสถานศึ กษา: กรณี ศึกษาชมรม อุบลราชธานี เขต 4. (วิทยำนิพนธ์ปริญญำมหำบัณฑิต ). อนุ รกั ษ์ส่ ิงแวดล้อมวิทยาเทคนิ คเลย. (วิทยำนิพนธ์ปริญญำ มหำวิทยำลัยรำชภัฏอุบลรำชธำนี, อุบลรำชธำนี. [18] มหำบัณฑิต). มหำวิทยำลัยรำชภัฏรำชเลย, เลย. [11]


216

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

อนันต์ นำมทองต้ น. (2552). การพัฒนาตัวบ่งชี้สมรรถนะ การบริ ห ารจัด การเรี ย นรู ้ข องผู ้บ ริ ห ารสถานศึ ก ษาขั้น พื้นฐาน. (วิทยำนิพนธ์ปริญญำมหำบัณฑิต). มหำวิทยำลัย นเรศวร, พิษณุโลก. [19]

Jaichalad, N. (2009). A Model for Building Morality and Ethics of Higher Education Students in Thailand. (Doctoral dissertation). Naresuan University, Phitsanulok. [in Thai] [7]

Good, C. V. ( 1973) . Dictionary of Education. Krewnert, W. (201 3). A Development of Indicators and Education Standards for Children Care Center in New York: Mc Graw-Hill. Temple in Ubon Ratchathani by Delphi Technique. Olson, T. A. (2001). Facculty-student affair (Master’s Thesis). Ubon Ratchathani Rajabhat University, partnerships for student learning: a study of Behavior, Ubon Ratchathani. [in Thai] [12] motivations, and perspectives. N.P.: n.p. Lueplea, P. ( 2014). A Guidelines to Promote the Translated Thai References Cultural Operations of School Administrators under Tak Primary Educational Service Office Area. (Master’s Aranmit, S. (2011). Implementation of Standards for Thesis). Pibulsongkram Rajabhat University, Phitsanulok. Religion, Art, Culture, and Local Tradition Promotion [in Thai] [10] of Huayyang Municipality in Kranuan District, Khon Kaen Province. (Master’s Independent Study Report). Ministry of Education. (1999). The National Education Khon Kaen University, Khon Kaen. [in Thai] [15] Act of 1999. Bangkok: Ministry of Education. [in Thai] [2] Department of Local Administration. (2006). Standards promote religion, art, culture and local customs. Bangkok: Nakpong, S. (2004). A Model for management of Agricultural Cooperation of Thailand Limited. [in Thai] Basic Education students in grade 1-2 Nakhon Sawan [1] 1. (Master’s Thesis). Nakhon Sawan Rajabhat University, Nakhon Sawan. [in Thai] [14] Executive Board Committee Association of Future Thai Professional provision of 2014. (2014). The Namthongton, A. (2009). Development of Indicators Association of Future Thai Professional provision of for Learning Management Competencies of Basic 2014 and Guide Line Association of Future Thai School Administrators. (Doctoral dissertation). Naresuan Professional provision of 2014. Office of Vocational University, Phitsanulok. [in Thai] [19] Education Commission: Ministry of Education. National Economic and Social Development Board. [in Thai] [3] ( 1997) . Economic and Social Development Plan Gatosod, C. (2013). A Model for Participatory National 8 (1997-2001). Bangkok: Prime Minister. Administration of Student Affairs in Primary Schools [in Thai] [4] under the Jurisdiction of the Basic Education Commision: OBEC. (Doctoral dissertation). Naresuan University, Phitsanulok. [in Thai] [6]


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

Office of the Vocational Education Commission. (2005). Technical sessions Organization in the Professional Future of Thailand 45th. Chiang Mai: Office of the Vocational Education Commission. [in Thai] [17]

217

Seekuad, S. (2007). The Participation of Ratchaburi Border Patrolo Police Schools and the Surrounding Comnities in the Conservation of Natural Resources and Environment. (Master’s Thesis). Muban Chombueng Rajabhat University, Ratchaburi. [in Thai] [13]

Phumphuang, S. (2005). Conditions of Student Affairs Srisaart, B. ( 2011) . Initial Research (9th ed.). Administration in Schools under Chiang Rai Education Bangkok: Suviriyasan. [in Thai] [9] Area Region 3. (Master’s Thesis). Chiang Rai Sukeenang, N. (2007). A Study Environmental Rajabhat University, Chiang Rai. [in Thai] [16] Conservation education students outside the school in Prajonyoot, S. (2 0 0 9 ) . The Administration of the Nong Phai Phetchabun. (Master’s Thesis). Phetchabun Activities for Developing Students of Schools under the Rajabhat University, Phetchabun. [in Thai] [8] Jurisdiction of the Office of Ubon Ratchathani Educational Service Area 4 . ( Master’s Thesis). Ubon Vanit, P. (2006). Students’ Participation in Environmental Ratchathani Rajabhat University, Ubon Ratchathani. Management in College: A Case Study of the Environmental Conservation Club at Loei Technical [in Thai] [18] College. (Master’s Thesis). Loei Rajabhat University, Preecha, K. (2007). Development Student Activity Loei. [in Thai] [11] Administration of Schools Attached to Lampang Vocational Institute. (Master’s Thesis). Lampang Rajabhat University, Lampang. [in Thai] [5]


218

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ปั จจัยทีส่ ่งผลต่อพฤติกรรมการซื้ ออาหารออร์แกนิคในเขตจังหวัดกรุงเทพมหานคร รัฐนันท์ แย้ มเกษสุคนธ์* และวรัญญา ติโลกะวิชัย

Factors Influencing Purchasing Behavior of Organic Food in Bangkok Metropolitans Rattanunt Yaemketsukhon* and Varanya Tilokavichai บัณฑิตวิทยาลัยการจัดการและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้ าธนบุรี School of Management, King Mongkut’s University of Technology Thonburi * Corresponding author. E-mail address: yk_rattanunt@live.com บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มี วัตถุประสงค์เพื่ อศึกษาพฤติก รรมการซื้ออาหารออร์แกนิค โดยวิเคราะห์ปั จจัยด้ านประชากรศาสตร์ข้อมูลพฤติ กรรม ผู้บริโภคและปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด กลุ่มตัวอย่ างที่ใช้ ในการวิจัยครั้งนี้ จานวน 400 คน โดยใช้ แบบสอบถามเป็ นเครื่องมือในการเก็บ รวบรวบข้ อมูล จากข้ อมูลการวิจัยกลุ่มตัวอย่าง จานวน 400 คน พบว่า เคยทานอาหารออร์แกนิค จานวนร้ อยละ 74.5 และไม่เคยทานจานวน ร้ อยละ 25.5 โดยสาเหตุท่ไี ม่ เลือกทานสูงสุด คือ ราคาสูง คิดเป็ นร้ อยละ 42.2 รองลงมา คือ ไม่ชอบบริโภคผัก ร้ อยละ 34.3 และในส่วนของ ผู้ท่เี คยทานอาหารออร์แกนิค มีความถี่ในการบริโภคอาหารออร์แกนิค 1-2 วัน/สัปดาห์ คิดเป็ นร้ อยละ 48.7 นิยมซื้ออาหารออร์แกนิคจาก ซูเปอร์มาร์เก็ต คิดเป็ นร้ อยละ70.1 ส่วนใหญ่ บริโภคอาหารออร์แกนิคราคาต่อมื้อ คือ 51–70 บาท คิดเป็ นร้ อยละ 34.6 อาหารออร์แกนิคที่ บริโภคต้ องมีความสะอาด คิดเป็ นร้ อยละ 66.1 และวัตถุดิบสดใหม่ คิดเป็ นร้ อยละ 74.5 บุคคลที่มีอิทธิพลต่ อการตัดสินใจซื้อ คือ ตนเอง คิดเป็ นร้ อยละ 82.2 ช่ วงเวลาที่นิยมซื้อ คือ 17.00–19.00 น. คิดเป็ นร้ อยละ 60.4 ประเภทของอาหารออร์แกนิคที่ช่ ื นชอบ คื อ สลัดผัก คิดเป็ นร้ อยละ 91.9 วิธีในการซื้ออาหารออร์แกนิคที่นิยม คือ หน้ าร้ าน คิดเป็ นร้ อยละ 95.6 และแหล่งที่ใช้ ในการค้ นหาข้ อมูลร้ านอาหาร คือ เว็บไซต์ท่รี ีวิวร้ านอาหาร จากการวิจัย พบว่า รายได้ มีความสัมพันธ์กับระดับราคาอาหารออร์แกนิคที่กลุ่มผู้บริโภคเลือกซื้อ เพศที่แตกต่ างกันมีผลต่อการส่งเสริม ทางการตลาดที่แตกต่ างกัน และปั จจัยด้ านอาชี พ ที่แตกต่ างกันมี ผ ลผลต่ อช่ องทางการจั ดจาหน่ ายที่แตกต่ างกันที่ระดั บนั ยสาคั ญ 0.05 ผลการวิจัยครั้งนี้ช่วยให้ ผ้ ทู ่ที าธุรกิจที่เกี่ยวข้ องในการวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดต่อไปได้ คาสาคัญ: พฤติกรรมการซื้อ อาหารออร์แกนิค Abstract The purposes of this research were to explore the consumers buying behaviour of organic food, the research is analyse demographic factors, organic foodbuying behaviour and Marketing Mix factors. The sample groups for this research were 400 consumers. The sampling method was convenience sampling to collect the data with questionnaires, Sample group in this study was 400 consumers in Bangkok. The results found that respondent shave ever eat organic food (74.5 percent) and have never eat organic food (25.5 percent), the reason have never eat is don’t like vegetables (34.3 percent) and high price (42.2 percent).The majority of consumers buy the organic food 1-2 days/week (48.7 percent) with spending 51-100 Baht/Meal (34.6 percent) at during 5.00 pm.-7.00 pm. (60.4 percent). The characteristics of organic foods are safety (66.1 percent) and fresh (74.5 percent). The most the favorite menu is salad (91.9 percent).The popular place to buy the organic food is supermarket (95.6 percent). The consumers conduct online research from restaurant review website. The results found that the differences on income affected price. Sex influenced promotion. The differences on occupation affected distribution channels at significant level 0.05. The research results are able to apply in related business for marketing planning in the future. Keywords: Consumer buying behavior, Organic food


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

กลยุ ท ธ์ ท างการตลาดส าหรั บ ธุ ร กิ จ อาหารออร์ แ กนิ ค ที่เกี่ยวข้ องต่อไป

บทนา ในปั จ จุ บั น คนเรามี ค วามเสี่ย งต่ อ การได้ รั บ สารเคมี ต่างๆ มากกว่ า 15,000 ชนิด ที่มาจากอาหาร นา้ ดื่ม อากาศ และสิ่งแวดล้ อม ด้ วยพิ ษภัยของสารพิ ษที่ปนเปื้ อนอยู่ ใน อาหารและสิ่งแวดล้ อมรอบตัว ทาให้ ร่างกายของเราสะสม สารพิษ และส่งผลให้ เกิดภาวะเสี่ยงต่อโรคภัยไข้ เจ็บต่างๆ ด้ วยเหตุผลนี้เอง อาหารออร์แกนิคจึงกลายมาเป็ นจุดเริ่มต้ น ของคนรั ก สุขภาพ เพราะเป็ นอาหารที่ ม าจากธรรมชาติ อย่างแท้ จริง (มูลนิธเิ กษตรกรรมยั่งยืน, 2555) ผัก ที่ป ลู กโดยกรรมวิ ธีออร์ แกนิ ค จะมีวิ ต ามิ น ซี ธาตุ เหล็ก และสารแมงกานี สที่สูงกว่ าอาหารทั่วไปถึงร้ อยละ 27, 21 และ 29 ตามลาดับ อาหารออร์แกนิคมีกระบวนการ ผลิ ต ที่ดีก ว่ าระบบเกษตรที่ใช้ สารเคมี โดยเฉพาะในผั ก ผลไม้ ธัญพืช ซึ่งอาหารที่เป็ นผลิตภัณฑ์จากพืชที่เพาะปลูก ในระบบเกษตรอินทรีย์มีสารต้ านอนุมูลอิสระสูงกว่าอาหาร ทั่วไปถึงร้ อยละ 60 (Baranski, Srednicka-Tober, Volakakis, Seal, Sanderson, & Stewart, 2014) ผลิ ต ภั ณ ฑ์ อ าหาร ออร์แกนิคเป็ นหนึ่งในอาหารที่ได้ รับความนิยมเป็ นอย่ าง มาก ดังนั้น การศึกษาถึงปั จจัยที่มีอิทธิพลต่ อพฤติกรรม การซื้ ออาหารออร์ แกนิ ค สามารถทาให้ ได้ ข้ อมู ลไปช่ วย ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารออร์แกนิคและการวางแผน

วัตถุประสงค์ 1. เพื่ อศึ ก ษาข้ อมู ล ประชากรศาสตร์ ที่ มี ผ ลต่ อ พฤติกรรมการบริโภคอาหารออร์แกนิค 2. เพื่ อหาความสั ม พั น ธ์ ร ะหว่ า งส่ ว นประสมทาง การตลาดกั บ พฤติ ก รรมการซื้ ออาหารออร์ แ กนิ ค ของ ผู้บริโภค 3. เพื่ อหาความสัมพั นธ์ระหว่ างปั จจั ยด้ านประชากร ศาสตร์และปัจจัยด้ านส่วนประสมทางการตลาด ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รบั 1. สามารถน าข้ อมู ล ที่ ไ ด้ ไปก าหนดกลยุ ท ธ์ ท าง การตลาดสาหรับอาหารออร์แกนิคให้ เหมาะสมกับความ ต้ องการของผู้บริโภค 2. สามารถน าข้ อมู ล ที่ ไ ด้ ใช้ เป็ นส่ ว นหนึ่ งในการ วางแผนการตลาดสาหรับธุรกิจอาหารออร์แกนิคต่อไปใน อนาคตได้

กรอบการวิจยั

รูปที่ 1 กรอบการวิจัย

219


220

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

โดยใช้ สตู รหาค่าสัมประสิทธิ์ครอนบาค อัลฟ่ า (Cronbach’s Alpha) โดยใช้ เกณฑ์สมั ประสิทธิ์แอลฟา (Alpha Coefficient) 1. ผู้ บ ริ โภคที่ มี ลั ก ษณะประชากรต่ างกั น ส่ งผลต่ อ (Jump, 1978) ส าหรั บงานวิ จั ย เชิ งส ารวจ (Exploratory พฤติกรรมการซื้ออาหารออร์แกนิคแตกต่างกัน Research) ค่ าครอนบาค อัลฟ่ า ควรมากกว่ าและเท่ ากับ 2. ผู้ บ ริ โภคที่ มี ลั ก ษณะประชากรต่ า งกั น ให้ ความ 0.7 ซึ่ งจากการทดสอบแบบสอบถามของงานวิ จั ย นี้ ได้ สาคัญต่อปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่แตกต่างกัน ค่าครอนบาค อัลฟ่ า เท่ากับ 0.8 สถิติท่ีใช้ ในการวิจัย คือ 3. ปั จจัยส่วนประสมทางการตลาดมีความสัมพันธ์กับ สถิ ติ เชิ ง พรรณนา (Descriptive Statistics) เพื่ ออธิ บ าย พฤติกรรมการซื้ออาหารออร์แกนิคของผู้บริโภค ลักษณะของกลุ่มตัวอย่ างและสถิติ เชิงอนุ มาน (Inferential Statistics) เพื่อใช้ ทดสอบสมมติฐานโดยการวิเคราะห์ความ วิธีการศึกษาและวัสดุอุปกรณ์ แปรปรวนทางเดียว (One-way Analysis of Variance) และ การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีการทดสอบกับประชากรจานวน การทดสอบของ ไค-สแควร์ (Chi-square) (กัลยา วาณิชย์ 400 คน โดยคานวณจากสูตรของ ทาโร่ ยามาเน่ (Yamane, บัญชา, 2542) 1967) ใช้ สู ต รที่ ไม่ ท ราบค่ า จ านวนประชากร n = P ผลการศึกษา (1-P)(Z)2/e2 โดยกาหนดที่ระดับความเชื่อมั่นร้ อยละ 95 ได้ จานวนกลุ่มตัวอย่ างเท่ ากับ 385 คน และได้ สารองไว้ ผลการศึกษาพฤติกรรมการซื้ออาหารออร์แกนิค แบ่ ง เผื่อความผิดพลาดอีก 15 ตัวอย่าง งานวิจัยนี้จึงเก็บข้ อมูล ออกเป็ น 4 ส่วน ดังนี้ 400 ตัวอย่าง โดยใช้ วิธกี ารสุ่มตัวอย่างแบบใช้ ความสะดวก ส่วนที่ 1 การวิเคราะห์ขอ้ มูลด้านประชากรศาสตร์ (Convenience Sampling) เครื่องมือที่ใช้ ในการศึกษา คือ การศึกษากลุ่มตัวอย่าง 400 คน กลุ่มตัวอย่าง ส่วนใหญ่ แบบสอบถาม โดยแบ่ งแบบสอบถามออกเป็ น 3 ส่ ว น เป็ นเพศหญิ ง 244 คน คิ ด เป็ นร้ อยละ 61 จากกลุ่ ม ด้ วยกัน คื อ ส่ วนที่ 1 ศึ ก ษาประชากรศาสตร์ ส่ ว นที่ 2 ตั วอย่ างทั้งหมด ผู้ ต อบแบบสอบถามส่ วนใหญ่ อายุ อยู่ ศึกษาข้ อมูลพฤติกรรมการบริโภคอาหารออร์แกนิค และ ในช่วง 20-30 ปี จานวน 165 คน คิดเป็ นร้ อยละ 41.3 มี ส่วนที่ 3 ศึกษาปั จจัยทางการตลาดที่มีผลต่อการตัดสินใจ สถานะภาพโสด จานวน 286 คน คิดเป็ นร้ อยละ 71.5 มี ซื้ออาหารออร์แกนิค ซึ่งประกอบด้ วย 7 ด้ าน ดังต่ อไปนี้ ระดับการศึ กษาระดั บปริญ ญาตรี จ านวน 263 คิ ดเป็ น ด้ านผลิตภัณฑ์ ด้ านราคา ด้ านช่องทางการจัดจาหน่าย ด้ าน ร้ อยละ 65.8 อาชีพพนักงานรัฐวิสาหกิจ 155 คน คิดเป็ น การส่งเสริมทางการตลาด ด้ านบุคลากร ด้ านกระบวนการ ร้ อยละ 38.8 และมี ร ายได้ เฉลี่ ยต่ อ เดื อ น 10,001– ให้ บริการ และด้ านสภาพแวดล้ อมทางกายภาพ โดยใช้ 30,000 บาท คิดเป็ นร้ อยละ 47.8 วิ ธีการวั ด ผลตามรูป แบบของ Likert’s scale มี 5 ระดั บ ส่วนที่ 2 การศึ กษาพฤติ กรรมการซื้ ออาหารออร์แกนิ ค โดย 1 คือ ไม่เห็นด้ วยอย่างยิ่ง และ 5 คือ เห็นด้ วยอย่างยิ่ง ของผูบ้ ริโภค ผู้วิจัยได้ นาแบบสอบถามทาการทดสอบกับกลุ่มตัวอย่ าง จานวน 40 ชุด และนามาทดสอบความเชื่อมั่น (Reliability) สมมติฐานของการวิจยั

ตารางที่ 1 ข้ อมูลพฤติกรรมการซื้ออาหารออร์แกนิค ข้อมูลพฤติกรรมผูบ้ ริโภคอาหารออร์แกนิค จานวนผูท้ ี่เคยทานอาหารออร์แกนิค จานวน (คน) เคยทาน 298 ความถีใ่ นการบริโภคอาหารออร์แกนิค จานวน (คน) 1 - 2 วัน/สัปดาห์ 145

ร้อยละ 74.50 ร้อยละ 48.70


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

221

ตารางที่ 1 (ต่อ) ข้อมูลพฤติกรรมผูบ้ ริโภคอาหารออร์แกนิค ราคาของอาหารออร์แกนิคที่บริโภคต่อมื้ อ จานวน (คน) 51 -70 บาท 103 71 -100 บาท 95 อาหารออร์แกนิคที่ชื่นชอบบริโภค (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) สลัดผัก วิธีในการซื้ ออาหารออร์แกนิค (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) Internet ซื้อที่หน้ าร้ าน รายการส่งเสริมการขายที่สนใจ จานวน (คน) ลดราคา 210 แหล่งที่ใช้ในการหาข้อมูลร้านอาหาร (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) Facebook เว็บไซต์ท่รี ีวิวร้ านอาหาร สถานที่นิยมในการซื้ ออาหารออร์แกนิค (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) ร้ านขายอาหารเพื่อสุขภาพ ซูเปอร์มาร์เก็ต เหตุที่ไม่เลือกทาน (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) รสชาติไม่อร่อย ไม่ชอบบริโภคผัก ราคาสูง ลักษณะสาคัญของอาหารออร์แกนิค (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) ราคาเหมาะสม ความสะอาด วัตถุดิบสดใหม่ บุคคลที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้ ออาหารออร์แกนิค (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) สมาชิกในครอบครัว ตนเอง ช่วงเวลาในการซื้ ออาหารออร์แกนิค (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) 11.01 - 14.00 น. 17.01 - 19.00 น.

จากตารางที่ 1 พบว่ า มีผ้ ูเคยบริโภคอาหารออร์แกนิค จานวน 298 คน คิดเป็ นร้ อยละ 74.5 และผู้ไม่เคยบริโภค อาหารออร์แกนิค จานวน 102 คน คิดเป็ นร้ อยละ 25.5 โดยสาเหตุท่ไี ม่เลือกบริโภค ส่วนใหญ่เพราะราคาสูง ร้ อยละ 42.2 โดยกลุ่มผู้ท่บี ริโภคอาหารออร์แกนิค มีความถี่ในการ บริโภค 1-2 วัน/สัปดาห์ จานวน 145 คน คิดเป็ นร้ อยละ 48.7 นิยมซื้ออาหารออร์แกนิคที่ซูเปอร์มาร์เก็ต คิดเป็ น

ร้อยละ 34.60 31.90 ร้อยละ 91.90 ร้อยละ 10.4 95.60 ร้อยละ 70.50 ร้อยละ 56.40 60.70 ร้อยละ 39.90 70.10 ร้อยละ 23.50 34.30 42.20 ร้อยละ 41.30 66.10 74.50 ร้อยละ 38.30 82.20 ร้อยละ 20.50 60.40

ร้ อยละ 70.1 ราคาของอาหารออร์แกนิ คที่บริโภคต่ อมื้อ 51-70 บาท จานวน 103 คน คิดเป็ นร้ อยละ 34.6 ลักษณะ สาคัญของอาหารออร์แกนิ คที่ควรมี คือ วัตถุ ดิบสดใหม่ ร้ อยละ 74.5 บุ ค คลที่มี อิท ธิพ ลต่ อ การตั ด สิน ใจซื้ อ คื อ ตนเอง ร้ อยละ 82.2 มีการซื้อในช่วงเวลา 17.01-19.00 น. ร้ อยละ 60.4 ชื่นชอบบริโภคสลั ดผัก ร้ อยละ 91.9 มีวิ ธี ในการซื้อผ่านทางหน้ าร้ าน ร้ อยละ 95.6 รายการส่งเสริม


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

222

การขายที่สนใจ คือ ลดราคา จานวน 210 คน คิดเป็ นร้ อยละ ส่วนที่ 3 การวิเคราะห์ปั จจัยด้านส่ วนประสมทาง 70.5 และใช้ เว็บ ไซต์ ท่ีรี วิ วร้ านอาหารเป็ นแหล่ งในการ การตลาดที่ส่งผลการซื้ ออาหารออร์แกนิค ค้ นหาข้ อมูล ร้ อยละ 60.7 ตารางที่ 2 ระดับความสาคัญของส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการซื้ออาหารออร์แกนิค คะแนนเฉลีย่ ของด้านปั จจัยส่วนประสมทางการตลาด (7P) ช่องทาง ด้านการส่งเสริม กระบวนการ ผลิตภัณฑ์ ราคา บุคลากร การจัดจาหน่าย ทางการตลาด ให้บริการ 4.24 4.15 4.05 3.69 4.12 4.07

รวม

สภาพแวดล้อม ทางกายภาพ 4.13

4.21

จากตารางที่ 2 พบว่ า ปั จจั ย ด้ านส่ ว นประสมทาง 4.07 คะแนน ด้ านช่องทางการจัดจาหน่ าย 4.05 คะแนน การตลาดส่งผลต่อการตัดสินใจอาหารออร์แกนิคอยู่ปัจจัย และด้ านการส่งเสริมทางการตลาด 3.69 คะแนน ที่มากที่สดุ คือ ด้ านผลิตภัณฑ์ 4.24 คะแนน รองลงมา คือ ส่วนที่ 4 การวิเคราะห์เพือ่ ทดสอบสมมติฐาน ด้ านราคา 4.15 คะแนน สภาพแวดล้ อมทางกายภาพ 4.15 สมมติฐานที่ 1 ผู้บริโภคที่มปี ั จจัยส่วนบุคคลที่แตกต่าง คะแนน ด้ านบุคลกร 4.12 คะแนน กระบวนการให้ บริการ กันมีพฤติกรรมการซื้ออาหารออร์แกนิคแตกต่างกัน ตารางที่ 3 ผลทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลและพฤติกรรมการซื้ออาหารออร์แกนิคที่แตกต่างกัน Chi-square Tests Asymp. Sig. ปั จจัยด้านประชากรศาสตร์ ปั จจัยด้านพฤติกรรมการซื้ อ (2-sided) ระดับรายได้ ระดับราคา 0.000 ระดับการศึกษา ความถี่ 0.012 อายุ ความถี่ 0.001

จากตารางที่ 3 การทดสอบสมมติฐานความสัมพั น ธ์ ระหว่ างปั จ จั ย ส่ ว นบุ ค คลและพฤติ กรรมการซื้ ออาหาร ออร์ แกนิ ค ด้ วยสถิติ ไคสแควร์ พบว่ า ปั จจั ย ด้ านระดั บ รายได้ มี ค วามสั ม พั นธ์ กั บ พฤติ ก รรมการซื้ ออาหาร

ค่า  2 38.441 34.126 51.356

ออร์แกนิคระดับการศึกษาความสัมพันธ์กบั พฤติกรรมการ ซื้ออาหารออร์แกนิค ด้ านระดับการศึกษามีค วามสัมพันธ์ กับความถี่ท่ซี ้ ืออาหารออร์แกนิค และอายุมีความสัมพั นธ์ กับความถี่ท่ซี ้ อื อาหารออร์แกนิค ที่ระดับนัยสาคัญ 0.05

ตารางที่ 4 แสดงความสัมพันธ์ระหว่างรายได้ กบั ราคาของอาหารออร์แกนิคที่บริโภคต่อมื้อ ระดับรายได้ น้อยกว่า 10,000 บาท 10,001–30,000 บาท 30,001–50,000 บาท มากกว่า 50,001 บาท รวม

จานวน (คน) ร้อยละ จานวน (คน) ร้อยละ จานวน (คน) ร้อยละ จานวน (คน) ร้อยละ จานวน (คน) ร้อยละ

รายได้กบั ราคาของอาหารออร์แกนิคที่บริโภคต่อมื้ อ ราคาของอาหารออร์แกนิคที่บริโภคต่อมื้ อ 30–50 บาท 51–70 บาท 71–100 บาท มากกว่า 100 บาท 7 6 5 3 17.50 5.80 5.30 5 22 58 41 18 55 56.30 43.20 30 5 19 27 14 12.50 18.40 28.40 23.30 6 20 22 25 15 19.40 23.20 41.70 40 103 95 60 100 100 100 100

รวม 27 7 139 46.60 65 21.80 73 24.50 298 100


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

223

จากตารางที่ 4 พบว่ า กลุ่ ม ตั ว อย่ า งที่ ร ะดั บ รายได้ นิยมซื้ออาหารออร์แกนิคที่ราคา 71-100 บาทต่อมื้อ และ 10,001-30,000 บาท นิ ยมซื้ออาหารออร์แกนิ คที่ราคา ระดั บรายได้ มากกว่ า 50,001 บาท นิ ยมซื้ ออาหารออร์ แกนิ ค 51-70 บาทต่ อมื้อ ระดับรายได้ 30,001-50,000 บาท ที่ราคามากกว่า 100 บาทต่อมื้อ ตารางที่ 5 แสดงความสัมพันธ์ระหว่างระดับการศึกษากับความถี่ในการบริโภคอาหารออร์แกนิค ระดับการศึกษากับความถีใ่ นการบริโภคอาหารออร์แกนิค ระดับการศึกษา ความถีใ่ นการบริโภค อาหารออร์แกนิค ตา่ กว่าปริญญาตรี ปริญญาตรี ปริญญาโท 8 102 34 จานวน (คน) 1-2 วัน/สัปดาห์ 57.14 53.68 37.78 ร้อยละ จานวน (คน) 2 33 17 3-4 วัน/สัปดาห์ 14.29 17.37 18.89 ร้อยละ 2 10 2 จานวน (คน) 5-6 วัน/สัปดาห์ 14.29 5.26 2.22 ร้อยละ จานวน (คน) 1 6 9 ทุกวัน 7.14 3.16 10.00 ร้อยละ 0 15 17 จานวน (คน) นานๆ ครั้ง ร้อยละ 0.00 7.89 18.89 1 24 11 จานวน (คน) อื่นๆ 7.14 12.63 12.22 ร้อยละ 14 190 90 จานวน (คน) รวม ร้อยละ 100 100 100

ปริญญาเอก 1 25.00 1 25.00 0 0.00 0 0.00 2 50.00 0 0.00 4 100

รวม 145 48.66 53 17.79 14 4.70 16 5.37 34 11.41 36 12.08 298 100

จากตารางที่ 5 พบว่ า กลุ่มตัวอย่ างที่ระดับการศึกษา นิยมซื้ออาหารออร์แกนิคที่ 1-2 วัน/สัปดาห์ คิดเป็ นร้ อยละ ต่ ากว่ าปริญ ญาตรีนิ ยมซื้ออาหารออร์แกนิ คที่ 1-2 วัน / 53.68 และระดั บ การศึ กษาปริ ญ ญาโท นิ ย มซื้ ออาหาร สัปดาห์คิดเป็ น ร้ อยละ 57.14 ระดับการศึกษาปริญญาตรี ออร์แกนิคที่ 1-2 วัน/สัปดาห์ คิดเป็ นร้ อยละ 37.78 ตารางที่ 6 แสดงความสัมพันธ์ระหว่างอายุกบั ความถี่ในการบริโภคอาหารออร์แกนิค อายุกบั ความถีใ่ นการบริโภคอาหารออร์แกนิค อายุ ความถีใ่ นการบริโภค อาหารออร์แกนิค ตา่ กว่า 20 ปี 20-30 ปี 31-40 ปี 41-50 ปี จานวน (คน) 9 69 26 14 1-2 วัน/สัปดาห์ 52.94 59.48 52.00 31.82 ร้อยละ 4 16 6 9 จานวน (คน) 3-4 วัน/สัปดาห์ ร้อยละ 23.53 13.79 12.00 20.45 จานวน (คน) 0 3 2 7 5-6 วัน/สัปดาห์ 0.00 2.59 4.00 15.91 ร้อยละ 0 6 2 1 จานวน (คน) ทุกวัน ร้อยละ 0.00 5.17 4.00 2.27 4 8 9 4 จานวน (คน) นานๆ ครั้ง 23.53 6.90 18.00 9.09 ร้อยละ

51-60 ปี 27 38.03 18 25.35 2 2.82 7 9.86 9 12.68

รวม 145 48.66 53 17.79 14 4.70 16 5.37 34 11.41


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

224

ตารางที่ 6 (ต่อ) ความถีใ่ นการบริโภค อาหารออร์แกนิค จานวน (คน) อื่นๆ ร้อยละ จานวน (คน) รวม ร้อยละ

อายุกบั ความถีใ่ นการบริโภคอาหารออร์แกนิค อายุ ตา่ กว่า 20 ปี 20-30 ปี 31-40 ปี 41-50 ปี 0 14 5 9 0.00 12.07 10.00 20.45 17 116 50 44 100.00 100.00 100.00 100.00

จากตารางที่ 6 พบว่ า กลุ่มตัวอย่ างที่ระดับอายุต่ากว่ า 20 ปี นิ ย มซื้ ออาหารออร์ แ กนิ ค ที่ 1-2 วั น /สั ป ดาห์ คิ ด เป็ นร้ อยละ 52.94 ระดั บ อายุ 20-30 ปี นิ ย มซื้ อ อาหารออร์ แ กนิ ค ที่ 1-2 วั น /สั ป ดาห์ คิ ด เป็ นร้ อ ยละ 59.48 ระดับอายุ 31-40 ปี นิยมซื้ออาหารออร์แกนิคที่ 1-2 วัน/สัปดาห์ คิดเป็ นร้ อยละ 52.00 ระดับอายุ 41-50

51-60 ปี 8 11.27 71 100.00

รวม 36 12.08 298 100.00

ปี นิยมซื้ออาหารออร์แกนิคที่ 1-2 วัน/สัปดาห์ คิดเป็ น ร้ อยละ 31.82 และระดับอายุ 51-60 ปี นิ ยมซื้ออาหาร ออร์แกนิคที่ 1-2 วัน/สัปดาห์ คิดเป็ นร้ อยละ 38.03 สมมุตฐิ านที่ 2 ผู้บริโภคที่มีปัจจัยส่วนบุคคลแตกต่ าง กัน ให้ ความส าคั ญ ต่ อปั จ จั ย ส่ วนประสมทางการตลาด ที่แตกต่างกัน

ตารางที่ 7 แสดงสรุปผลทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลและส่วนประสมทางการตลาด Sig. ปั จจัยส่วนประสมทางการตลาด เพศ ผลการทดสอบสมมติฐาน อาชีพ ด้ านผลิตภัณฑ์ 0.075 ไม่แตกต่าง 0.342 ด้ านราคา 0.274 ไม่แตกต่าง 0.090 ด้ านช่องทางการจัดจาหน่าย 0.244 ไม่แตกต่าง 0.044 ด้ านการส่งเสริมทางการตลาด 0.038 แตกต่าง 0.212 ด้ านบุคลากร 0.818 ไม่แตกต่าง 0.363 ด้ านกระบวนการให้ บริการ 0.700 ไม่แตกต่าง 0.278 ด้ านสภาพแวดล้ อมทางกายภาพ 0.421 ไม่แตกต่าง 0.808

ผลการทดสอบสมมติฐาน ไม่แตกต่าง ไม่แตกต่าง แตกต่าง ไม่แตกต่าง ไม่แตกต่าง ไม่แตกต่าง ไม่แตกต่าง

จากตารางที่ 7 เพศที่แตกต่างกันมีผลต่อคะแนนความ ช่องทางการจัดจาหน่ายแตกต่างกันที่ระดับนัยสาคัญ 0.05 พึ งพอใจเฉลี่ยด้ านการส่งเสริมทางการตลาดแตกต่ างกัน ดังแสดงรายละเอียดความแตกต่างในตารางที่ 8 และอาชีพที่ต่างกันมีผลต่อคะแนนความพึงพอใจเฉลี่ยด้ าน ตารางที่ 8 อาชีพที่ต่างกันมีผลต่อคะแนนความพึงพอใจเฉลี่ยด้ านช่ องทางการจัดจาหน่ายแตกต่างกัน ส่วนประสมทางการตลาด อาชีพ Sig พนักงานรัฐวิสาหกิจ อื่นๆ 0.019 ข้ าราชการ อื่นๆ 0.04 ช่องทางการจัดจาหน่าย พนักงานบริษัทเอกชน เจ้ าของกิจการ/ธุรกิจส่วนตัว 0.028 พนักงานบริษัทเอกชน 0.028 เจ้ าของกิจการ/ธุรกิจส่วนตัว อื่นๆ 0.002

ค่าเฉลี่ย 4.07 4.25 4.00 4.26 3.68

ค่า F

2.302


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

อภิปรายผลการศึกษา จากผลการวิ จั ย ปั จ จั ย ที่ ส่ งผลต่ อ พฤติ ก รรมการซื้ อ อาหารออร์แกนิคในเขตจังหวัดกรุงเทพมหานคร พบว่ า เพศที่แตกต่างกันมีผลต่อคะแนนความพึงพอใจเฉลี่ยด้ าน การส่งเสริมทางการตลาดแตกต่าง ซึ่งสอดคล้ องกับแนวคิด ของ ศิ ริ วรรณ เสรี รั ต น์ (2550) ที่ ว่ าผู้ ห ญิ งกับ ผู้ ช ายมี ความคิด ความนิยม และทัศนคติท่แี ตกต่างกัน สถานะทาง สังคมและวัฒนธรรมเป็ นตัวกาหนดบทบาทและกิจกรรม ของเพศที่แตกต่ างกัน โดยที่เพศหญิงจะมีบทบาทในการ ใช้ จ่ า ยในด้ านสิ น ค้ าและบริ ก ารมากกว่ า เพศชายและ สอดคล้ องกับงานวิจัยของ ณัฐกฤตา นันทะสิน (2558) ที่ ศึ ก ษาปั จจั ยที่ส่ งผลต่ อพฤติ กรรมการบริ โภคและความ ภั กดีต่ ออาหารเพื่ อสุขภาพของผู้ บริโภคในเขตกรุงเทพ มหานคร ที่ พ บว่ า ผู้ บ ริ โภคเพศหญิ ง มี พ ฤติ กรรมการ บริโภคอาหารอาหารเพื่อสุขภาพมากกว่าเพศชาย เนื่องจาก เพศหญิงมีความใส่ใจในเรื่องของอาหารที่รับประทานเข้ าสู่ ร่างกายเพื่อให้ เกิดประโยชน์แล้ วส่งผลต่ อสุขภาพ รูปร่ าง ผิ ว พรรณที่ ดี และเป็ นผู้ เลื อ กซื้ ออาหารให้ กั บ คนใน ครอบครั ว และยั ง สอดคล้ องกั บ งานวิ จั ย ของ กฤษฎา โสมนะพั นธุ์ และกิต ติพั นธ์ คงสวั สดิ์เกียรติ์ (2556) ที่ ศึกษาแรงจู งใจในการรับประทานอาหารไทยนอกบ้ านของ ผู้บริโภคในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ที่พบว่า ตัวแปรด้ าน เพศมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคพฤติกรรม การเลือกซื้ออาหารออร์แกนิค พบว่ า อายุมีความสัมพันธ์ กั บ ความถี่ ท่ี ซ้ ื ออาหารออร์ แ กนิ ค ซึ่ งสอดคล้ องกั บ แนวความคิดของ ศิริวรรณ เสรีรัตน์ (2550) ที่กล่ าวว่ า อายุ เป็ นปั จจัยหนึ่ งที่ท าให้ คนมีความคิดและพฤติกรรม เหมื อนหรื อ แตกต่ า งกัน ไปตามแต่ ล ะช่ ว งของอายุ แ ละ สอดคล้ องกับงานวิจัยของ ณัฐกฤตา นันทะสิน (2558) ที่ ศึ ก ษาปั จจั ยที่ส่ งผลต่ อพฤติ กรรมการบริ โภคและความ ภั กดีต่ ออาหารเพื่ อสุขภาพของผู้ บริโภคในเขตกรุงเทพ มหานคร ที่พบว่ า ผู้บริโภคที่อายุต่างกันมีพฤติกรรมการ บริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ ในด้ านความถี่ในการบริโภคและ ในด้ านมูลค่าในการบริโภคต่างกันยังสอดคล้ องกับงานวิจัย ของ นงนุ ช โกสียรัตน์ (2553) ที่ได้ ศึกษาความต้ องการ การบริโภคผักปลอดสารพิ ษของผู้ บริโภค ในร้ านค้ าเพื่ อ

225

สุขภาพ แขวงศิ ริราช ที่พบว่ า ปั จจัยส่ วนบุ คคลด้ านอายุ อาชีพ รายได้ และสถานภาพทางครอบครัวที่แตกต่างกัน มี ความต้ องการและพฤติกรรมการบริโภคที่แตกต่างกันและ จากการวิจัย พบว่ า รายได้ มีความสัมพั นธ์กับระดับราคา อาหารออร์แกนิ คที่กลุ่ มผู้ บริโภคเลื อกซื้ อสอดคล้ องกับ งานวิจัยของ นภารัตน์ วัฒนา (2554) ที่ศึกษาปั จจัยที่มี อิทธิพ ลต่ อการตัดสินใจบริโภคอาหารประเภทสลั ดของ นักศึกษาระดับปริญญาตรีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย เชียงใหม่ ที่พบว่ า ผู้บริโภคเลือกบริโภคราคาที่เหมาะสม กับสถานะทางการเงิ น และยั งสอดคล้ องกับงานวิ จั ยของ วิ จิ ตรา ประเสริ ฐธรรม (2554) ที่ ศึ ก ษาพฤติ ก รรมการ ตัด สิน ใจซื้ อคอมพิ วเตอร์ ส่ วนบุ คคลของประชากรในเขต กรุงเทพมหานคร ที่พบว่า รายได้ เฉลี่ยต่อเดือนแตกต่างกัน มีปัจจัยส่วนประสมการตลาดแตกต่างกัน สรุปผลการศึกษาและข้อเสนอแนะ ผู้ บ ริ โภคที่ เลื อ กซื้ ออาหารออร์ แ กนิ ค ส่ ว นใหญ่ เป็ น ผู้ ห ญิ ง อายุ 20-30 ปี สถานภาพโสด การศึ กษาระดั บ ปริญญาตรี อาชีพพนักงานรัฐวิสาหกิจ มีรายได้ ต่อเดือน 10,000–30,000 บาท ปั จจั ย ด้ านรายได้ ส่ ง ผลต่ อ พฤติกรรมการซื้ออาหารออร์แกนิคที่ระดับนัยสาคัญ 0.05 เลือกซื้ออาหารออร์แกนิคที่ระดับราคา 51-70 บาท และ 71-100 บาทมากที่ สุ ด ซึ่ ง เป็ นระดั บ ราคาที่ ผ้ ู บริ โ ภค ยอมรั บได้ และส่ วนใหญ่ ใช้ บริ การในช่ วงเวลา 17.0019.00 น. ซึ่ งผู้ ประกอบการสามารถวางแผนในการให้ บริการลูกค้ า และการจั ดสรรทรัพยากรต่ างๆ ให้ สามารถ ตอบสนองความต้ องการของลูกค้ าได้ นอกจากนี้จากการ วิ จั ย พบว่ า เพศที่ แ ตกต่ า งกั น มี ผ ลต่ อ คะแนนความ พึ งพอใจเฉลี่ยด้ านการส่งเสริมทางการตลาดแตกต่ างกัน และอาชีพที่ต่างกันมีผลต่อคะแนนความพึงพอใจเฉลี่ยด้ าน ช่ อ งทางการจั ด จ าหน่ ายแตกต่ างกั น ที่ ร ะดั บ นั ย ส าคั ญ 0.05 ผลจากการวิ จั ยในครั้ งนี้ สามารถน าข้ อมู ล ไปใช้ ช่ ว ย ในการกาหนดกลยุ ทธ์และวางแผนทางการตลาดสาหรับ ธุรกิจผลิตและจัดจาหน่ายอาหารออร์แกนิค จากข้ อมูลการ วิจัย สรุปได้ ว่า ผู้บริโภคให้ ความสาคัญด้ านผลิตภัณฑ์เป็ น อัน ดับแรก รองลงมา คื อ ด้ านราคาของผลิต ภั ณ ฑ์ และ


226

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ด้ านบุ ค ลากร ตามล าดั บ ดั งนั้ น ผู้ ป ระกอบการต้ องให้ ความสาคัญกับผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคที่ดีมีคุณภาพ สะอาด ปลอดภัย และจัดทาเมนูอาหารในรูปแบบที่ทานง่าย อร่อย แม้ แต่คนที่ไม่ชอบทานผักสามารถรับประทานได้ ในราคาที่ ผู้บริโภคยอมรับได้ และด้ วยบริการที่ดีจากพนักงาน มีการ ลงสื่อประชาสัมพันธ์ผ่านโซเซียลมีเดียล เช่น เฟซบุค๊ มีการ รีวิวผ่ านเว็บไซต์นักชิมต่ างๆ ไม่ ว่า จะเป็ นเว็บไซต์พันทิป วงใน ซึ่งช่ วยให้ ผ้ ู บริโภครับรู้ และมั่นใจในการใช้ บริการ และการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคของกิจการมากยิ่งขึ้น ข้ อเสนอแนะในการวิจั ยครั้ งต่ อไป ควรทาการศึ กษา พฤติกรรมการซื้ ออาหารออร์ แกนิ คของผู้ บริโภคในเขต จังหวัดอื่นๆใกล้ เคียง เนื่องจากพฤติ กรรมการซื้ออาหาร ออร์แกนิคอาจมีความแตกต่างจากผู้บริโภคในเขตกรุงเทพ มหานคร ศึ กษาพฤติกรรมการซื้ อผลิ ตภั ณ ฑ์เพื่ อ สุขภาพ อื่นๆ ที่เกี่ยวข้ อง เพื่ อต่อยอดธุรกิจได้ เช่ น บรรจุ ภัณฑ์ท่ีทา จากธรรมชาติ รวมทั้งการออกแบบบรรจุ ภัณฑ์ การศึกษา เรื่ องการท าธุรกิจ ร่ วมกับธุ รกิจอื่น เช่ น ฟิ ตเนส, สถาน ปฎิบัติธรรม, โรงเรียน, โรงพยาบาล เป็ นต้ น และทาการ ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อทัศนคติกลุ่มผู้บริโภคที่ไม่รับประทาน อาหารออร์แกนิคให้ สนใจสุขภาพ และมารับประทานอาหาร ออร์แกนิค เพื่อให้ อาหารออร์แกนิคมีการเติบโตมากยิ่งขึ้น กิตติกรรมประกาศ บทความนี้ เป็ นส่ วนหนึ่ งของแผนธุรกิจในหลั กสูต ร ปริ ญ ญาบริ ห ารธุ ร กิจ มหาบั ณ ฑิ ต คณะการจั ด การและ นวั ตกรรม มหาวิ ทยาลั ยเทคโนโลยี พ ระจอมเกล้ าธนบุ รี การวิจัยในครั้งนี้สาเร็จลุล่วงได้ ผ้ ูวิจัยได้ รับความกรุณาจาก อาจารย์ ดร.วรัญ ญา ติโลกะวิชัย ให้ ความช่ วยเหลือเป็ น อย่ างดี ช่ วยให้ ข้ อเสนอแนะตรวจสอบแก้ ไขจนงานวิ จั ย สาเร็จลุล่วงได้ ด้วยดี ขอขอบคุณคณาจารย์ท่คี ณะการจัดการ และนวัตกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้ าธนบุรี ที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ให้ คาแนะนาและประสบการณ์ รวมถึงการอบรมด้ านคุณธรรมและจริยธรรม ผู้วิจัยขอกราบ ขอบพระคุณครอบครัว เพื่อนร่ วมงาน เพื่อนร่วมชั้นเรียน ตั้งแต่ ระดั บประถมจนถึงระดับปริญญาโทที่คอยให้ กาลั งใจ และความช่ วยเหลื อ อย่ า งเต็ม ที่ ผู้ วิ จั ย ขอขอบพระคุ ณ ผู้ ต อบแบบสอบถามทุ ก ท่ าน ส าหรั บ ความร่ วมมื อและ คาแนะนาซึ่งเป็ นประโยชน์ต่อการศึกษาวิจัยเป็ นอย่างมาก

สุดท้ ายนี้ผ้ วู ิจัยหวังเป็ นอย่างยิ่งว่าคุณประโยชน์จากการวิจัย นี้ ขอบมอบแก่ ส่ วนรวมเพื่ อเป็ นส่ วนหนึ่ งในการพั ฒ นา ประเทศชาติต่อไป เอกสารอ้างอิง กฤษฎา โสมนะพั น ธุ์ และกิ ต ติ พั น ธ์ คงสวั ส ดิ์ เกี ย รติ์ . (2556). แรงจู งใจในการรับประทานอาหารไทยนอกบ้ าน ของผู้ บริ โภคในเขตกรุ ง เทพมหานครและปริ ม ณฑล. วารสารการเงิน การลงทุน การตลาด และการบริหารธุรกิจ, 3(4), 695-714. [1] กัลยา วานิ ชย์ ปั ญ ชา. (2542). การวิเคราะห์ สถิ ติ : สถิ ติ เพื ่ อ การตั ด สิ น ใจ (พิ ม พ์ ค รั้ ง ที่ 5). กรุ ง เทพฯ: ศู น ย์ หนังสือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. [2] ณัฐกฤตา นันทะสิน. (2558). ปั จจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรม การบริ โ ภคและความภั ก ดี ต่ อ อาหารเพื่ อสุ ข ภาพของ ผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร. วารสารกระแสวัฒนธรรม, 16(29), 3-18. [3] นงนุ ช โกสียรัตน์. (2553). ความต้องการการบริโภคผัก ปลอดสารพิ ษ ของผู บ้ ริ โภค ในร้านค้าเพื ่อสุข ภาพแขวง ศิ ริราช. (วิทยานิ พนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). มหาวิทยาลั ย ศิลปากร, กรุงเทพฯ. [4] นภารั ต น์ วั ฒ นา. (2554). ปั จจัย ที ่ มี อิ ท ธิ พ ลต่ อ การ ตัดสินใจบริ โภคอาหารประเภทสลัดของนักศึ กษาระดับ ปริ ญ ญาตรี ค ณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย เชี ยงใหม่ . เชียงใหม่: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. [5] มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย). (2555). ออร์ แกนิค (Organic Food) กับประโยชน์ 15 ข้ อ. สืบค้ นจาก http://www.sathai.org/autopagev4/show_page.php?to pic_id=1042&auto_id=19&TopicPk= [6] วิจิตรา ประเสริฐธรรม. (2554). พฤติ กรรมการตัดสินใจ ซื้ อคอมพิ วเตอร์ส่วนบุคคลของประชากรในเขตกรุ งเทพ มหานคร. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสติ . [7]


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

227

ศิ ริ ว รรณ เสรี รั ต น์ . (2550). พฤติ กรรมผู ้บ ริ โ ภค. Praserthdam, V. (2011). Consumers Behavior for กรุงเทพฯ: พัฒนาศึกษา. [8] Personal Computer Decision Purchasing of Population in Bangkok Metropolitan. Bangkok: SuanDusit Baranski, M., Srednicka-Tober, D., Volakakis, N., Seal, University. [in Thai] [7] C., Sanderson, R., & Stewart, G. B. (2 0 1 4 ). Higher antioxidant and lower cadmium concentrations and lower Serirat, S. (2007). Consumer Behavior. Bangkok: incidence of pesticide residues in organically grown Pattanasuksa. [in Thai] [8] crops: a systematic literature review and meta-analyses. Somnapan, K., & Kongsawadkret, K. (2013). British Journal of Nutrition, 112(5), 794-811. Motivation Factor on Thai Food Eating Out Of Jump, N. (1978). Psychometric Theory (2nd ed.). Consumer in Bangkok Metropolitan Area. Journal of New York: McGraw Hill. Finance, Investment, Marketing and Business Management, 3(4), 695-714. [in Thai] [1] Yamane, T. (1967). Elementary Sampling Theory. USA: Prentice Hall. Sustainable Agriculture Foundation (Thailand). (2012). Key finding of utility organic food. Retrieved from Translated Thai References http://www.sathai.org/autopagev4/show_page.php?topi c_id=1042&auto_id=19&TopicPk [in Thai] [6] Koseeyarat, N. (2010). The Study of Organic Vegetable Consumption Demand of Health Shop Vanichbuncha, K. (1999). Statistical Analysis: Consumer, Siriraj Bangkok Noi. (Master’s Thesis). Statistical for decision. Bangkok: Chulalongkorn Silpakorn University, Bangkok. [in Thai] [4] University Publishing. [in Thai] [2] Nanthasin, N. (2015). Factors Affecting Consumer’s Consumption Behavior and Loyalty Toward Health Food in Bangkok Metropolis. Culturalapproach, 16(29), 3-18. [in Thai] [3]

Watthana, N. (2011). Factors Affecting the Consumers’ Decision in Using Salad of the Bachelor’s Degree Students in the Faculty of Economics. Chiangmai: Chiangmai University. [in Thai] [5]


228

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ความยินดีทีจ่ ะจ่ ายในการเลือกเป็ นสมาชิกโทรทัศน์ดาวเทียมและเคเบิลทีวี ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล นันทนิตย์ ทองศรี

Willingness to Pay for Satellite and Cable Television in Bangkok and Suburban Districts Nuntanid Thongsri คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถนนพญาไท กรุงเทพมหานคร 10330 Faculty of Economics, Chulalongkorn University, Phayathai Road, Bangkok 10330 Corresponding author. E-mail address: nuntanid9985@gmail.com บทคัดย่อ การศึกษาครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่ อการเลือกซื้อแพ็คเกจโทรทัศน์ดาวเทียมและเคเบิลทีวีแบบจ่ายรายเดือน และประเมินค่ าความยินดีท่ ีจะจ่ ายของผู้บริโภค โดยใช้ วิธีการทดลองทางเลื อก (Choice Experiment) โดยในแต่ ละทางเลือกนั้นประกอบ ไปด้ วยคุณลักษณะของแพ็คเกจแบบรายเดือนของโทรทัศน์ดาวเทียมและเคเบิลทีวีในแต่ ละระดับและราคาของแพ็คเกจในทางเลือกนั้นๆ แตกต่างกัน ซึ่งได้ เก็บข้ อมูลปฐมภูมิจากการสัมภาษณ์ผ้ บู ริโภคกลุ่มตัวอย่าง ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลจานวน 507 ราย จากการวิเคราะห์อรรถประโยชน์ทางอ้ อมของผู้บริโภคที่ได้ จากการตัดสินใจเลือกแพ็คเกจภายใต้ สถานการณ์ท่ มี ีชุดของคุณลักษณะของ แพ็คเกจในระดับที่แตกต่างกันโดยใช้ แบบจาลอง Conditional Logit พบว่า ปั จจัยที่มีผลต่อการเลือกซื้อแพ็คเกจของกลุ่มตัวอย่างมากที่สดุ คือ บริการเสริมที่รวมอยู่ในแพ็คเกจ (การรวมค่าบริการติดตั้ง, การรวมอินเทอร์เน็ตคุณภาพสูง และการรวมค่าโทรศัพท์บ้าน/เคลื่อนที่) รองลงมา คือ คุณภาพสัญญาณ, รายการฟุตบอล, รายการภาพยนตร์/ซีร่ ยี ์ และรายการทั่วไป (บันเทิง, สารคดี, ข่าวต่างประเทศ) ในส่วนของความยินดีท่จี ะจ่ายกลุ่มตัวอย่ างมีความยินดีท่จี ะจ่ ายให้ กับรายการฟุ ตบอลยุโรปมากที่สดุ รองลงมา คือ รายการฟุตบอลไทย การรวมบริการอินเทอร์เน็ตคุ ณ ภาพสูง คุ ณ ภาพสัญ ญาณความคมชั ดสูง ซีร่ ีย์ ต่ างประเทศ ภาพยนตร์ต่ างประเทศ และรายการบั นเทิง/ วาไรตี้ ตามลาดับ นอกจากนั้นแล้ วจานวนเงินของความยินดีท่ จี ะจ่ ายยังแตกต่ างกันไปตามเพศ สถานะ รายได้ และประสบการณ์การติดตั้ง เคเบิลทีวี/ดาวเทียม เป็ นต้ น คาสาคัญ: วิธกี ารทดลองทางเลือก ความยินดีท่จี ะจ่าย Abstract This research aims to identify factors determining consumer preferences and willingness to pay of attributes in Cable televisions’ package in Bangkok and Suburban Districts, Thailand. The Choice Experiment Method was employed in finding factors affecting and willingness to pay in each alternative that consist of the difference in level of attribute and price of Cable televisions’ package. The primary data for the study were gathered by face-to-face interview from 507 samples in Bangkok and Suburban Districts. The analyzed indirect utility function of consumers when selected the package that has different level in each attribute. Conditional logit models comprising package attributes were estimated for all samples and various sub-samples regarding individuals’ sociodemographic characteristics such as gender, monthly income, status, and adopting experience in cable television. The results found additional service (offering setup setting, offering hi-speed internet, offering fixed-line telephone) is the most importance characteristic that affecting the package purchasing decision, follow by video quality, football content, movies and series content, and general content (i.e. entertainment, documentary, news) respectively. The models were then used to compute the marginal willingness to pay for each attribute levels. The result showed that the consumers willing to pay more if the attribute is football content, offering hi-speed internet, video quality (high definition), series, movies, and entertainment respectively.


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

229

Keywords: Choice Experiment, Willingness to Pay

บทนา โทรทัศน์ดาวเทียมและเคเบิลทีวีเป็ นสื่อที่มีศักยภาพสูง มากในด้ านการศึกษา ข่าวสาร และชุมชน โดยเฉพาะเหมาะ กับการทารายการที่มุ่งตรงเข้ าสู่เรื่องที่น่าสนใจเฉพาะกลุ่ม สาหรับในปั จจุบันมีรูปแบบการให้ บริการอยู่ด้วยกันหลาย รูปแบบในการดึงดูดลูกค้ าเพื่อให้ มาใช้ บริการของตน อาทิ เช่น แบบไม่มคี ่าบริการรายเดือนแบบเก็บค่าบริการรายเดือน และแบบเก็บค่าบริการตามการใช้ งาน เป็ นต้ น นอกจากนั้น ยั งมี การใช้ กลยุ ทธ์ในด้ านต่ างๆ เช่ น กลยุ ทธ์ด้ านราคา กลยุทธ์การพยายามเสนอเนื้อหารายการและช่ องรายการ ที่มีคุณภาพและเป็ นที่น่าสนใจแก่ผ้ ูชมในตลาด ดังนั้น การ วิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุ ประสงค์เพื่ อศึ กษาปั จจั ยที่มี อิทธิพ ล ในการเลือกซื้อแพ็คเกจโทรทัศน์ของผู้บริโภค และประเมิน ค่าความยินดีท่จี ะจ่ายในการเป็ นสมาชิกโทรทัศน์ดาวเทียม และเคเบิลทีวี เพื่ อเป็ นการวิเคราะห์ ถึงพฤติกรรมความ ต้ องการที่แท้ จริงของผู้บริโภค อีกทั้ง เพื่อให้ ทราบถึงราคา ของแพ็ คเกจที่ ผ้ ู บ ริ โภคยิ น ดี ท่ี จะจ่ ายในแต่ ละกลุ่ ม ของ ผู้ บริ โภค อั น เป็ นแนวทางให้ ผู้ ป ระกอบการได้ ท ราบว่ า ปั จจัยและราคาในระดับ ใดบ้ างที่มีผ ลให้ ผู้ บ ริโภคแต่ ละ กลุ่มเลือกติดตั้งโทรทัศน์ดาวเทียมและเคเบิลทีวี ซึ่งจะเป็ น ข้ อมูลที่เป็ นประโยชน์ให้ ผ้ ูประกอบการธุรกิจนาไปปรับใช้ ให้ ตรงกับความต้ องการของกลุ่มผู้บริโภคเฉพาะกลุ่มมาก ยิ่ งขึ้น เนื่ องจากกระแสการเปลี่ ยนแปลงของเทคโนโลยี สารสนเทศในปั จจุ บัน ทาให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งทาง ด้ านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และการดารงชีวิตที่ทาให้ ประชาชนมี การเข้ าถึงสื่อและบริ โภคสื่อมากขึ้น รวมถึ ง ส่งผลให้ ผู้ ประกอบการมีการแข่ งขันกันมากขึ้นทางด้ าน ความหลากหลายของช่องทางในการให้ บริการ ประชาชนจึง มีทางเลือกในการเข้ าถึงสื่อต่างๆ ผ่านช่องทางที่หลากหลาย ท าให้ พฤติ ก รรมการบริ โภคสื่ อ (Media Consumption) ของผู้บริโภคในปัจจุบนั นั้นเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีสารสนเทศ เช่ น การ เข้ ามาของดิจิตอลทีวี ทาให้ ผ้ ูบริโภคมีทางเลือกที่หลากหลาย มากยิ่งขึ้น ซึ่งย่อมส่งผลกระทบต่อโทรทัศน์ดาวเทียมและ เคเบิลทีวี จากบทวิเคราะห์ อนาคตทีวีทางเลือกไทยในยุค เปลี่ยนผ่านสู่ดิจิตอลทีวี ของศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ

โดย จาตุรนต์ อาไพ (2556) พบว่ า การเติบโตอย่ างก้ าว กระโดดของโทรทัศน์ดาวเทียมและเคเบิลทีวีเกิดจากปั จจัย หลัก คือ คุณภาพสัญญาณในการรับชม ความหลากหลาย ของช่องรายการ ราคาติดตั้งและค่าสมาชิกที่ถูกลงเป็ นอย่าง มาก ทาให้ ในปั จจุบนั ผู้ให้ บริการมีการแข่งขันกันมากยิ่งขึ้น มีการใช้ กลยุ ทธ์ในด้ านต่ างๆ เพื่ อรักษาฐานของผู้บริโภค ของตนไว้ สอดคล้ องกับ สานักงานส่งเสริมการแข่งขันและ กากับดู แลกัน เอง (2558) พบว่ า เมื่ อมี การเกิด ขึ้ นของ เทคโนโลยีใหม่ๆ ทาให้ ผ้ ูประกอบการในตลาดพยายามหา กลยุทธ์เพื่อที่จะรักษาฐานลูกค้ าเดิมของตนไว้ ให้ มากที่สุด อาทิเช่ น กลยุ ทธ์การขายพ่ วงบริ การหรื อการหลอมรวม บริการ (Convergence) โดยตัวอย่างพบในลักษณะของการ ควบรวมระหว่างบริการโทรทัศน์และบริการโทรคมนาคม เช่ น บริการโทรทัศน์และบริการอินเทอร์เน็ต /บริการโทรศัพท์ เป็ นต้ น ซึ่งในการวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ ให้ ความสนใจในกล ยุทธ์การหลอมรวมบริการ (Convergence) ด้ วยเช่นกัน วัตถุประสงค์ 1. เพื่ อวิ เคราะห์ ปั จ จั ย ที่ มี อิ ท ธิพ ลต่ อ การเลื อ กซื้ อ แพ็คเกจโทรทัศน์ดาวเทียม/เคเบิลทีวีแบบจ่ายรายเดือน 2. เพื่อประเมินค่าความยินดีท่จี ะจ่ายของแต่ละปั จจัย ในการเลือกซื้อแพ็คเกจของโทรทัศน์ดาวเทียม/เคเบิลทีวี วิธีการศึกษา การวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้บริโภคในการศึกษาครั้งนี้ จะใช้ วิ ธี ก าร Choice Modeling (หรื อ Conjoint Analysis) ซึ่งเป็ นวิธีการกาหนดสถานการณ์ข้ ึนหลายๆ สถานการณ์ หรือมีทางเลือกมากกว่า 2 ทางเลือก โดยในแต่ละทางเลือก ประกอบไปด้ วย คุณลักษณะ (Attribute) หลายคุณลักษณะ และมี ร ะดั บ ของคุ ณ ลั ก ษณะนั้ น ๆ แตกต่ างกั น ออกไป เพื่ อให้ บุ ค คลประเมิ น และเทคนิ ค ที่ ใช้ ในการประเมิ น ของการศึกษาชิ้นนี้ คือ วิธีการทดลองทางเลือก (Choice Experiment) เป็ นวิธีการที่ให้ บุ ค คลเลื อกเพี ยงทางเลื อก เดียว อันเป็ นทางเลือกที่บุคคลได้ รับความพอใจมากกว่ า ทางเลือกที่มอี ยู่ท้งั หมด ภายใต้ สถานการณ์หนึ่งๆ


230

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

วิธกี ารทดลองทางเลือก (CE) นี้ เป็ นเทคนิคในการหา ความเต็ ม ใจจ่ า ย (WTP) หรื อ ความเต็ ม ใจที่ จ ะได้ รั บ ค่าชดเชย (WTA) เมื่อปริมาณและ/หรือคุณภาพของสินค้ า หรื อ สิน ค้ าสิ่ง แวดล้ อ มเปลี่ ย นแปลงไป โดยการสมมติ สถานการณ์ท่ีเสมือนเกิดขึ้นจริง (Hypothetical Situation) เพื่ อให้ ตั วแทนผู้ บริโภคตัดสินใจเลื อกทางเลื อกที่ผ้ ู ตอบ ชอบมากที่ สุ ด ในการบริ โ ภค โดยมี ท างเลื อ กตั้ ง แต่ 2 ทางเลือกขึ้นไป วิธนี ้ ีสามารถประเมินมูลค่าทางเลือกหลาย ทางได้ พร้ อมกัน ซึ่งวิธีน้ ีสอดคล้ องกับงานวิจัยของ Manit and Hitoshi (2013) ที่ศึกษาถึงปั จจัยที่ส่งผลต่อการเลือก ติ ด ตั้ ง อุ ป กรณ์ เพื่ อเป็ นช่ อ งทางในการรั บ ชมโทรทั ศ น์ ภาคพื้ นดินระบบดิจิตอลในประเทศไทย (An Analysis of Factor Affecting the Adoption of Digital Terrestrial Television Serviced in Thailand) ซึ่ งใช้ วิธีการทดลองทางเลื อก (CE) ในการวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้บริโภคเช่นเดียวกัน แบบสอบถามที่ ใ ช้ ในการสั ม ภาษณ์ ก ลุ่ ม ตั ว อย่ า ง ในการศึกษาครั้งนี้ประกอบไปด้ วย 2 ส่วนหลัก ได้ แก่ ส่วน ที่ 1 คือ ข้ อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม และส่วนที่ 2 คือ แบบสอบถามการทดลองแบบทางเลือก แบบสอบถาม ในส่ วนนี้ จะน าเสนอชุ ดทางเลื อก (Choice Set) เพื่ อให้ ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกทางเลือกที่พึงพอใจมากที่สุด เพื่ อ นาข้ อมูลที่ได้ มาวิเคราะห์ คุ ณ ลักษณะที่มีอิทธิพลต่ อการ ตัดสินใจเลือกซื้อ และความเต็มใจที่จะจ่ายที่มตี ่อคุณลักษณะ ด้ านต่างๆ ของผู้บริโภค

ส าหรั บ แบบสอบถามส่ ว นที่ 2 ซึ่ งเป็ นชุ ด ทางเลื อ ก (Choice Set) ของชุ ดแพ็คเกจต่ างๆ จะมีข้ันตอนในการ สร้ างแบบสอบถาม ดังนี้ 1) ศึ ก ษาถึ ง คุ ณ ลั ก ษณะด้ านต่ า งๆ ของแพ็ ค เกจ โทรทัศ น์ ด าวเทียมและเคเบิ ลทีวี ท่ีมีอ ยู่ ในปั จจุ บั น และ คุณลักษณะอื่นๆ ที่น่าจะมีส่วนเกี่ยวโยงกับการตัดสินใจ เลือกติดตั้งของผู้บริโภค เพื่อนามากาหนดคุณลักษณะด้ าน ต่างๆ ของทางเลือกให้ ผ้ ูบริโภคพิจารณา สาหรับที่มาของ คุณลักษณะทั้ง 6 คุณลักษณะในงานวิจัยชิ้นนี้มาจากการลง พื้ นที่เก็บข้ อมูลของผู้วิจัยในครั้งที่ 1 (เก็บข้ อมู ลทั้งหมด 100 ตัวอย่าง) และมาจากการทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้ อง รวมถึ งศึ ก ษาจากรายงานของส านั กงานคณะกรรมการ กิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม แห่งชาติ (กสทช.) 2) กาหนดระดับคุณลักษณะจากคุณลักษณะด้ านต่างๆ ของแพ็คเกจจะกาหนดระดับคุณลักษณะโดยคานึงถึงการ ทาความเข้ าใจของผู้ถูกสัมภาษณ์ และความเป็ นไปได้ ใน แต่ ละคุ ณ ลั กษณะ ในการก าหนดคุ ณ ลั กษณะด้ านราคา ผู้ ศึ กษาได้ ก าหนดระดับ ราคาต่ างๆ ที่ได้ จากการส ารวจ ข้ อมู ลด้ านราคาจากแหล่ งจาหน่ ายต่ างๆ ในระหว่ างการ สร้ างแบบสอบถาม ซึ่งไม่ห่างจากช่วงเวลาในการเก็บข้ อมูล เพื่ อ ให้ ราคาในชุ ด ทางเลื อกใกล้ เคี ยงกับ ราคาที่ มี อ ยู่ ใน ท้ องตลาด สาหรับคุณลักษณะ (Attribute) และระดับของ คุ ณ ลั กษณะ (Level) ที่ใช้ ในการศึ กษาครั้ งนี้ แสดงได้ ดั ง ตารางที่ 1

ตารางที่ 1 แสดงคุณลักษณะ (Attribute) และระดับของคุณลักษณะ (Level) คุณลักษณะ (Attribute) ระดับของคุณลักษณะ (Level) คุณภาพสัญญาณความคมชัดปกติ (sd), คุณภาพสัญญาณความคมชัดสูง (hd) คุณภาพสัญญาณ (Video) ภาพยนตร์ไทย (thmovies), ภาพยนตร์ต่างประเทศ (movies), รายการประเภทภาพยนตร์/ซีรี่ย ์ (Movieserie) ซีร่ยี ์ต่างประเทศ (series) ไม่มีรายการฟุตบอล (nofootball), รายการฟุตบอลไทย (thai), รายการฟุตบอล (Football) รายการฟุตบอลยุโรป (europe) รายการบันเทิง/วาไรตี้ (entertainment), รายการสารคดี (documentary), รายการประเภททัว่ ไป (Gencontent) รายการข่าวต่างประเทศ (news) รวมค่าบริการติดตั้ง (setup), รวมอินเทอร์เน็ตคุณภาพสูง (internet), บริการเสริมพิเศษ (Service) รวมค่าโทรศัพท์บ้าน/เคลื่อนที่ (telephone) 500, 800, 1,300 ราคาแพ็คเกจ (บาท/เดือน) (Price) ที่มา: จากการลงพื้นที่สารวจของผู้วิจัย และจากการทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้ อง


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

3) ชุดคุณลักษณะที่ใช้ ในการศึกษาและวิธีการที่ใช้ ใน การกาหนดชุ ด คุ ณ ลั กษณะและจั ดชุ ดทางเลื อก (Choice Set) ใช้ เทคนิคที่เรียกว่ า rotation.design ที่มีอยู่ในโปรแกรม ส าเร็จ รู ป R เพื่ อลดปริ ม าณชุ ด คุ ณ ลั ก ษณะและจั ด ชุ ด ทางเลือก (Choice Set) ให้ เหมาะสม 4) การเลือกรูปแบบการนาเสนอ/การแสดงชุดคุณลักษณะ การศึกษานี้นาเสนอชุดคุณลักษณะแก่ผ้ ูบริโภคที่ให้ ข้อมูล โดยน าเสนอด้ วยการบรรยายลั กษณะบนการ์ ดแสดงชุ ด คุณลั กษณะและบรรยายด้ วยค าพู ดประกอบระหว่ างการ สารวจ และให้ ผ้ ตู อบคาถามเลือกเฉพาะระดับคุณลักษณะที่ พึงพอใจสูงที่สดุ โดยในการนาเสนอชุดคุณลักษณะให้ ผ้ ูตอบ จะน าเสนอเป็ นชุ ดๆ ไม่ น าเสนอชุ ดคุ ณ ลั กษณะทั้งหมด พร้ อมกัน เนื่องจากชุดคุณลักษณะมีจานวนมาก ในการวิเคราะห์ผลการศึกษาจะใช้ แบบจาลอง Conditional Logit ซึ่ งมาจากทฤษฎี ความพึ งพอใจแบบสุ่ม (Random Utility Theory) ทฤษฎี น้ ี เป็ นพื้ นฐานที่ ส าคั ญ ของวิ ธี ก าร ทดลองทางเลื อ ก โดยฟั ง ก์ ชั น ความพอใจ (Utility) มี ลั กษณะเกิด ขึ้น อย่ างสุ่ม (Random Utility) ผู้ บริ โภคจะ ตัดสินใจบริโภคสินค้ าในทางเลือกที่ทาให้ อรรถประโยชน์ท่ี คาดว่ าจะได้ รับสูงสุด (Maximized Expected Utility) ภายใต้ ข้ อจากัดของผู้บริโภค ค่าอรรถประโยชน์ท่ีผ้ ูท่ีตัดสินใจคนที่ จะได้ รับจาก ตัวเลือก ในกลุ่มของตัวเลือก คือ

231

= โดยที่ คื อ ส่ วน ที่ ห าค่ าได้ แน่ น อน ของค่ า อรรถประโยชน์ คือ เทอมสุ่ม (Random Term) ซึ่งแสดง ส่วนของความไม่แน่นอนของค่าอรรถประโยชน์ การก าหนดแบบจ าลองในการศึ กษาครั้ งนี้ เป็ นการ ขยายแบบจ าลอง Random Utility ซึ่ งในส่ ว นที่ ห าค่ า ได้ แน่ นอนของค่ า อรรถประโยชน์ ขึ้ นอยู่ กั บ เวคเตอร์ คุณลักษณะของสินค้ า และราคาหรือค่าใช้ จ่ายในทางเลือก ที่ i ซึ่งสามารถแสดงให้ อยู่ในรูปสมการเส้ นตรงได้ ดังนี้

โดยที่

คือ คุณลักษณะที่ ของทางเลือกที่ คือ สัมประสิทธิ์ของคุณลักษณะที่ คือ ราคาแพ็คเกจของทางเลือก คือ สัมประสิทธิ์ของปัจจัยด้ านราคา

เมื่อแทนค่าเวคเตอร์คุณลักษณะสินค้ าลงในแบบจาลอง จะได้ รปู แบบของแบบจาลองดังต่อไปนี้

=

โดยที่

คือ ตัวแปรหุ่นของคุณภาพสัญญาณ คื อ ตั ว แปรหุ่ น ของรายการ ของแพ็คเกจ

คือ ตั วแปรในด้ านราคา (ต่ อเดือน)

ภาพยนตร์/ซีร่ยี ์ คื อ ตั วแ ป รหุ่ น ขอ งรายก าร ฟุตบอล คื อ ตั ว แปรหุ่ น ของรายการ ประเภททั่วไป คื อ ตั ว แปรหุ่ น ของบริ ก ารเสริ ม พิเศษ

ผลการศึกษา ส่ ว นที่ 1 ผลการวิ เคราะห์ ข้ อมู ล ทั่ ว ไปของผู้ ตอบ แบบสอบถาม ผลการศึ ก ษาเรื่ อ งความยิ น ดี ท่ี จ ะจ่ า ยในการเลื อ ก เป็ นสมาชิ ก โทรทั ศ น์ ด าวเที ย มและเคเบิ ล ที วี ใ นเขต กรุงเทพมหานครและปริมณฑล จานวน 507 ราย ซึ่งเป็ น การเก็บข้ อมูลผู้ตอบที่อาศัยอยู่ ในกรุงเทพและปริมณฑล


232

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

และอยู่ ใ นช่ ว งอายุ ท่ี ส ามารถเป็ นผู้ ตั ด สิ น ใจเลื อ กซื้ อ เดื อน ตุ ลาคม 2558 - พฤศจิ กายน 2558 แสดงได้ ดั ง แพ็คเกจได้ เอง (มีกาลังที่จะจ่าย) จัดการเก็บข้ อมูลในช่วง ตารางที่ 2 ตารางที่ 2 แสดงจานวนข้ อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม กลุ่มผูต้ อบแบบสอบถาม เพศ - เพศหญิง 243 คน - เพศชาย 264 คน สถานะ - โสด 354 คน - สมรส 153 คน รายได้ - รายได้ ต่า 91 คน - รายได้ ปานกลาง 355 คน - รายได้ สงู 61 คน ประสบการณ์การติดตั้งเคเบิลทีวี/ดาวเทียม - กาลังติดตั้งเคเบิลทีวี/ดาวเทียม 382 คน - ไม่ได้ ติดตั้งเคเบิลทีวี/ดาวเทียม 125 คน ที่มา: มาจากการเก็บข้ อมูลของผู้วิจัย

เปอร์เซ็ นต์ 47.93% 52.07% 69.83% 30.17% 17.95% 70.02% 12.03% 75.35% 24.65%

ส่วนที่ 2 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลปั จจัยที่มีอทิ ธิพล และ (Base Variable) ซึ่งตัวแปรฐานที่ใช้ ในการศึกษาครั้งนี้แสดง ความยิ น ดี ท่ี จ ะจ่ า ยในการเลื อ กซื้ อแพ็ ค เกจโทรทั ศ น์ ได้ ดั งตารางที่ 3 และตัวแปรที่ใช้ ในแบบจ าลองแสดงได้ ดังตารางที่ 4 ดาวเทียม/เคเบิลทีวีแบบจ่ายรายเดือน การวิเคราะห์ผลที่ได้ จากแบบจาลอง Conditional Logit จะเป็ นการวิเคราะห์ตัวแปรที่เปรียบเทียบจากตัวแปรฐาน ตารางที่ 3 แสดงตัวแปรฐานที่ใช้ ในการวิจัยครั้งนี้ ปั จจัย(Attribute) คุณภาพสัญญาณ (Video) รายการประเภทภาพยนตร์/ซีรี่ย ์ (Movieserie) รายการฟุตบอล (Football) รายการประเภททัว่ ไป (Gencontent) บริการเสริมพิเศษ (Service) ที่มา: ตัวแปรฐานที่ใช้ ในการวิจัยครั้งนี้มาจากการกาหนดของผู้วิจัย

ตัวแปรฐาน (Base Variable) คุณภาพสัญญาณปกติ (sd) ภาพยนตร์ไทย (thmovie) ไม่มีรายการฟุตบอล (nofootball) รายการบันเทิง (entertainment) รวมค่าบริการติดตั้ง (setup)

ตารางที่ 4 แสดงตัวแปรที่ใช้ ในแบบจาลอง Conditional Logit คุณลักษณะ (Attribute) คุณภาพสัญญาณ (Video) รายการประเภทภาพยนตร์/ซี รี่ย ์ (Movieserie) รายการฟุตบอล (Football) รายการประเภททัว่ ไป (Gencontent) บริการเสริมพิเศษ (Service) ราคาแพ็คเกจ (บาท/เดือน) (Price)

ระดับของคุณลักษณะ (Level) คุณภาพสัญญาณความคมชัดสูง (hd) ภาพยนตร์ต่างประเทศ (movies), ซีร่ ีย์ต่างประเทศ (series) รายการฟุตบอลไทย (thai), รายการฟุตบอลยุโรป (europe) รายการสารคดี (documentary), รายการข่าวต่างประเทศ (news) รวมอินเทอร์เน็ตคุณภาพสูง (internet), รวมค่าโทรศัพท์บ้าน/เคลื่อนที่ (telephone) 500, 800, 1,300

ที่มา: จากการลงพื้นที่สารวจ และจากการทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้ อง


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

233

ผลการวิเคราะห์ฟังก์ชันอรรถประโยชน์ทางอ้ อม ด้ วยแบบจาลอง Conditional Logit แสดงได้ ดงั ตารางที่ 5 ตารางที่ 5 ผลการวิเคราะห์ฟังก์ชันอรรถประโยชน์ทางอ้ อม (Ui) ด้ วยแบบจาลอง Conditional logit จานวนตัวอย่าง 507 ตัวอย่าง Coef exp (coef) se (coef) Z P 8.73e-01 2.39e+00 1.20e-01 7.25 4.1e-13 ASC 2.78e-01 1.32e+00 7.31e-02 3.80 0.00015 hd 1.18e-01 1.13e+00 6.35e-02 1.86 0.06230 movies 2.06e-01 1.23e+00 6.44e-02 3.19 0.00140 series 7.26e-01 2.07e+00 6.63e-02 10.94 < 2e-16 europe 4.67e-01 1.59e+00 7.13e-02 6.55 5.8e-11 thai -1.47e-01 8.63e-01 6.48e-02 -2.26 0.02357 documentary -1.06e-01 9.00e-01 8.40e-02 -1.26 0.20744 news 5.16e-02 1.05e+00 9.29e-02 0.56 0.57875 telephone 3.63e-01 1.44e+00 8.11e-02 4.48 7.5e-06 internet -9.41e-04 9.99e-01 8.45e-05 -11.13 < 2e-16 Price ที่มา: มาจากการคานวณโดยใช้ โปรแกรมสาเร็จรูป R Likelihood ratio test= 701 on 11 df, p=0 n= 9126, number of events= 3042 Rho-squared = 0.1049206 Adjusted rho-squared = 0.1016291 Number of coefficients = 11 Log likelihood at start = -3341.979 Log likelihood at convergence = -2991.336 ตารางที่ 6 แสดง Marginal willingness to pay ของจานวนตัวอย่าง 507 ตัวอย่าง MWTP 2.5% 295.18 135.39 Hd 125.84 -10.82 Movies 218.84 86.31 Series 771.52 620.29 Europe 496.13 340.39 Thai -156.09 -299.80 Documentary -112.56 -292.07 News 54.81 -137.22 Telephone 386.12 215.03 Internet ที่มา: มาจากการคานวณโดยใช้ โปรแกรมสาเร็จรูป R

ผลการประมาณค่าแบบจาลองข้ างต้ น พบว่ า คุณภาพ สัญญาณความคมชัดสูง, รายการซีร่ยี ์ต่างประเทศ, รายการ ฟุ ตบอลยุ โรป, รายการฟุ ตบอลไทย และการรวมบริการ อินเทอร์เน็ตคุณภาพสูงมีความสัมพันธ์กบั อรรถประโยชน์ ทางอ้ อมอย่างมีนัยสาคัญที่ระดับความเชื่อมั่น 99% ขณะที่

97.5% 491.34 259.06 355.61 961.19 681.08 -20.80 59.96 248.85 578.13

รายการสารคดีมีความสัมพันธ์กับอรรถประโยชน์ทางอ้ อม อย่างมีนัยสาคัญที่ระดับความเชื่อมั่น 95% และภาพยนตร์ ต่ างประเทศมี ความสัมพั นธ์กับอรรถประโยชน์ ทางอ้ อม อย่างมีนัยสาคัญที่ระดับความเชื่อมั่น 90%


234

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

การศึ ก ษาในครั้ ง นี้ จะอธิ บ ายความหมายของความ สั ม พั น ธ์ข องตั ว แปรผ่ า นทางค่ า exp (coef) นั่ น คื อ จะ กล่ าวถึง อัตราการเปลี่ยนแปลงของความน่ าจะเป็ น หรือ โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์ท่สี นใจเมื่อตัวแปรอิสระเปลี่ยนไป 1 หน่ วย ดังนั้น ผลการศึ กษาในงานวิจัยชิ้นนี้ อธิบายได้ ดังนี้ คุณภาพสัญญาณความคมชัดสูง มีความน่าจะเป็ นที่จะ ถู กเลื อ กให้ อยู่ ในแพ็ ค เกจ 32% เมื่ อ เทีย บกั บ คุ ณ ภาพ สัญญาณความคมชัดปกติ และพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม มี ค วามยิ น ดี ท่ี จ ะจ่ า ย 295 บาท เพื่ อต้ องการเปลี่ ย น คุณภาพสัญญาณความคมชัดปกติ ไปเป็ นคุณภาพสัญญาณ ความคมชัดสูง ภาพยนตร์ต่ างประเทศและซีร่ีย์ต่างประเทศ มีความ เป็ นไปได้ ท่จี ะถูกเลือกให้ อยู่ในแพ็คเกจมากกว่าภาพยนตร์ ไทย 13% และ 23% ตามลาดับ และพบว่ าผู้ตอบมีความ ยินดีท่จี ะจ่ายให้ กับภาพยนตร์ต่างประเทศ 126 บาท และ ซีร่ยี ์ต่างประเทศ 219 บาท เมื่อเทียบกับภาพยนตร์ไทย รายการฟุตบอลยุโรปและรายการฟุตบอลไทย มีความ เป็ นไปได้ ท่ี จ ะถู ก เลื อ กเมื่ อ อยู่ ในแพ็ ค เกจ 107% และ 59% ตามล าดั บ เมื่ อ เปรี ย บเที ย บกั บ แพ็ ค เกจที่ ไ ม่ มี รายการฟุ ต บอล และพบว่ ามี ค วามยิ น ดี ท่ี จะจ่ ายให้ กั บ รายการฟุ ตบอลยุ โรป 772 บาท และความยินดีท่ีจะจ่ าย ให้ กบั รายการฟุตบอลไทยของกลุ่มตัวอย่างคือ 496 บาท รายการสารคดี มี ค วามน่ าจะเป็ นที่ จะถู กเลื อกลดลง 13.7% เมื่อเทียบกับรายการบันเทิง/วาไรตี้ นั่นหมายความ ว่า กลุ่มตัวอย่างต้ องการให้ รายการบันเทิง/วาไรตี้ รวมอยู่ ในแพ็คเกจมากกว่ ารายการสารคดี และมี ความยินดีท่ีจะ จ่ ายลดลง 156 บาท หากจะต้ องเปลี่ ยนรายการบันเทิง/ วาไรตี้ ไปเป็ นรายการสารคดี บริการเสริมในแพ็คเกจที่รวมอินเทอร์เน็ตคุณภาพสูง แบบไม่ จ ากั ด ต่ อเดื อน (ความเร็ว เริ่ ม ต้ น 18 Mbps) มี ความน่ าจะเป็ นที่จะถูกเลือกเมื่อรวมอยู่ในแพ็คเกจ 44% และมีความยินดีท่จี ะจ่ายให้ กบั บริการอินเทอร์เน็ตที่รวมอยู่ ในแพ็ ค เกจ 386 บาท เมื่ อเปรี ย บเที ย บกั บ การรวม ค่ าบริ การติ ด ตั้ง ในขณะที่บริ การรวมค่ าโทรศั พ ท์บ้ าน/ เคลื่อนที่ ไม่มอี ทิ ธิพลต่อความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่าง เมื่อวิเคราะห์ ผลแยกตามกลุ่มตัวอย่ างย่ อย (Preference by Respondent Segment) ได้ ผลการวิเคราะห์ ดังต่อไปนี้

1. เพศ จากผลการศึ กษา พบว่ า เพศหญิ งและเพศชายมี ความพึงพอใจต่อปั จจัยที่อยู่ในแพ็คเกจแตกต่างกัน เพศ ชายจะมีความพึงพอใจต่อภาพยนตร์ต่างประเทศ มากกว่า ซี ร่ีย์ ต่ างประเทศและภาพยนตร์ ไทย ส่ วนเพศหญิ งจะมี ความพึ งพอใจต่ อ ซี ร่ี ย์ ต่ างประเทศมากกว่ าภาพยนตร์ ต่างประเทศและภาพยนตร์ไทย และเพศหญิงยังให้ ความ สนใจในรายการประเภททั่วไป ซึ่ งจะให้ ความส าคัญ กับ รายการบันเทิง/วาไรตี้มากที่สดุ และความพึงพอใจจะลดลง หากเปลี่ยนรายการบันเทิง/วาไรตี้ เป็ นรายการสารคดี และ รายการข่าวต่ างประเทศ ในขณะที่เพศชายไม่ ได้ ให้ ความ สาคัญกับรายการประเภทนี้ สาหรับปั จจัยที่ท้ังเพศหญิ งและเพศชายให้ ความ ส าคัญ เหมื อนกัน คือ คุ ณ ภาพสัญ ญาณความคมชั ดสูง , รายการฟุ ตบอลยุ โรป, รายการฟุ ตบอลไทย และการรวม อินเทอร์เน็ตคุณภาพสูงในแพ็คเกจ ในส่วนของความยินดี ที่ จ ะจ่ า ยของรายการฟุ ตบอล เพศชายมี ค วามยิ น ดี จะจ่ายสูงกว่า นั่นคือ ยินดีจ่ายให้ รายการฟุตบอลยุโรปและ ฟุตบอลไทย 955 บาท และ 539 บาทตามลาดับ ส่วนเพศ หญิ ง ยิ น ดี จ ะจ่ า ยให้ รายการฟุ ต บอลยุ โรปและรายการ ฟุตบอลไทย 555 บาท และ 465 บาท ตามลาดับ เมื่อเทียบกับ แพ็คเกจที่ไม่มรี ายการฟุตบอล ในส่วนของคุณภาพสัญญาณ ความคมชัดสูงทั้งเพศหญิ งและเพศชายมีความยินดีท่ีจะ จ่ายใกล้ เคียงกัน นั่นคือ เพศหญิง 295 บาท และเพศชาย 293 บาทเมื่อเทียบกับคุณภาพสัญญาณความคมชัดปกติ และการรวมบริการอินเทอร์เน็ตคุณภาพสูงไว้ ในแพ็คเกจ เพศชายและเพศหญิงมีความยินดีท่จี ะจ่าย 341 บาท และ 463 บาท ตามลาดับ เมื่อเปรียบเทียบกับทางเลือกที่รวม ค่าบริการติดตั้ง และสาหรับรายการสารคดีและรายการข่าว ต่างประเทศ เพศหญิงจะมีความยินดีท่จี ่ายลดลง 376 บาท และ 354 บาทตามลาดั บ เมื่ อเทียบกับรายการบั นเทิง / วาไรตี้ 2. สถานะโสด/สมรส จากผลการวิเคราะห์ พบว่า ปัจจัยที่มอี ทิ ธิพลทั้งผู้ท่ี มีสถานะโสดและสมรส คือ คุณภาพสัญญาณความคมชัด สูง, รายการฟุ ตบอลยุโรป, และรายการฟุ ตบอลไทย และ ในส่วนของภาพยนตร์ต่างประเทศ, ซีร่ีย์ต่างประเทศ และ การรวมบริการอินเทอร์เน็ตคุณภาพสูงจะมีอทิ ธิพลกับผู้ท่มี ี


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

สถานะโสดในการเลือกซื้อแพ็คเกจ แต่ไม่มีอิทธิพลต่อผู้ท่ี มีสถานะสมรส รายการฟุตบอลยุโรปมีความเป็ นไปได้ ท่จี ะถูกเลือก 123% และ 77% และมีความยินดีท่จี ะจ่ ายให้ กับรายการ ฟุตบอลยุโรป 852 บาท และ 580 บาท เมื่อเปรียบเทียบ กับทางเลือกที่ไม่มรี ายการฟุตบอลของผู้ท่มี ีสถานะโสดและ สมรสตามล าดั บ ในส่ วนของรายการฟุ ต บอลไทย ผู้ ท่ีมี สถานะโสดและสมรสมีความน่ าจะเป็ นที่จะเลือกใกล้ เคียง กัน คื อ 61% และ 54% และมี ค วามยิ น ดี ท่ี จ ะจ่ าย 504 บาท และ 436 บาท ตามลาดับ คุณภาพสัญญาณความคมชัดสูง มีความน่าจะเป็ นที่ จะถู ก เลื อ กเมื่ อ อยู่ ในทางเลื อ ก 32% และ 29% และมี ความยินดีท่จี ะจ่าย 296 บาท และ 257 บาท สาหรับผู้ท่มี ี สถานะโสดและสมรสตามล าดั บ เมื่ อ เปรี ย บเที ย บกั บ ทางเลือกที่มคี ุณภาพสัญญาณความคมชัดปกติ ในส่วนของภาพยนตร์ต่างประเทศ, ซีร่ยี ์ต่างประเทศ ผู้ ท่ี มี ส ถานะโสดมี ค วามน่ าจะเป็ นที่ จ ะเลื อ ก 20% และ 31% และมีความยินดีท่ีจะจ่ าย 192 บาท และ 289 บาท ตามลาดับ เมื่อเทียบกับภาพยนตร์ไทย ในส่วนของการรวม บริการอินเทอร์เน็ตคุณภาพสูงไว้ ในแพ็คเกจ ผู้ตอบมีความ น่าจะเป็ นที่จะเลือก 56% และยินดีท่จี ะจ่าย 469 บาท เมื่อ เทียบกับการรวมค่าบริการติดตั้ง 3. รายได้ต่อเดือน ผลการวิเคราะห์ พบว่า ปั จจัยที่มีอทิ ธิพลต่อทั้งผู้มี ระดับรายได้ ระดับต่า, ปานกลาง และสูง คือ ซีร่ยี ์ต่างประเทศ, รายการฟุ ตบอลไทย, และรายการฟุ ตบอลยุ โรป โดยเมื่อ พิ จารณาผู้ท่ีมีรายได้ ต่ า (ต่ ากว่ า 10,000 บาทต่ อเดือน) พบว่ า มีความน่ าจะเป็ นที่จะเลือกซีร่ีย์ต่างประเทศ 39% และยินดีจ่าย 437 บาท เมื่อเทียบกับทางเลือกที่มีภาพยนตร์ ไทย และมีความน่ าจะเป็ นที่จะเลือกทางเลือกที่มีรายการ ฟุตบอลยุโรปและรายการฟุ ตบอลไทย 88% และ 92% มี ความยินดีท่ีจะจ่ าย 848 บาท และ 873 บาท ตามลาดับ เมื่อเปรียบเทียบกับทางเลือกที่ไม่มรี ายการฟุตบอล ในส่วน ของคุณภาพสัญญาณความคมชัดสูง กลุ่มผู้มีรายได้ ต่ ามี ความน่ าจะเป็ นที่จะเลือก 80% และยินดี จ่าย 785 บาท เมื่อเทียบกับทางเลื อกที่มี คุ ณ ภาพสัญ ญาณความคมชั ด ปกติ นอกจากนั้นแล้ วยังพบว่า ในส่วนของรายการสารคดี

235

กลุ่มผู้ มีรายได้ ต่ ามีความน่ าจะเป็ นที่จะเลือกลดลง 28% และยิ นดีจ่ายลดลง 433 บาท เมื่อเทียบกับทางเลื อกที่มี รายการบั น เทิ ง /วาไรตี้ นั่ น หมายถึ ง กลุ่ ม ผู้ มี ร ายได้ ต่ า มี ค วามชอบในรายการบั น เทิง /วาไรตี้ มากกว่ ารายการ สารคดี ในส่ วนของผู้ ท่ีมี รายได้ ปานกลาง พบว่ า มีความ น่ า จะเป็ นที่ จ ะเลื อ กภาพยนตร์ ต่ า งประเทศและซี ร่ี ย์ ต่ างประเทศเท่ ากัน คื อ 14% และมี ความยิ น ดีท่ีจะจ่ าย 130 บาท และ 139 บาท ตามลาดับ เมื่อเปรียบเทียบกับ ทางเลือกที่มภี าพยนตร์ไทย สาหรับประเภทรายการฟุตบอล ผู้ มี รายได้ ป านกลางมี ค วามน่ าจะเป็ นที่จะเลื อ กรายการ ฟุ ตบอลยุ โรปสูงกว่ ารายการฟุ ตบอลไทย นั่ นคื อ 110% และ 63% และมีความยินดีจ่าย 760 บาท และ 503 บาท ตามล าดั บ เมื่ อเปรี ยบเทียบกับ ทางเลื อกที่ไม่ มี รายการ ฟุ ต บอล ในส่ ว นของคุ ณ ภาพสั ญ ญาณความคมชั ด สู ง ผู้ตอบกลุ่มนี้มีความน่าจะเป็ นที่จะเลือกเมื่ออยู่ในทางเลือก 22% และ ยินดีจ่าย 205 บาท เมื่อเทียบกับทางเลือกที่มี คุณภาพสัญญาณความคมชัดปกติ สาหรับการรวมบริการ อินเทอร์เน็ตคุณภาพสูง กลุ่มตัวอย่างมีความน่าจะเป็ นที่จะ เลือก 50% และยินดีจ่าย 417 บาท เมื่อเปรียบเทียบกับ ทางเลือกที่รวมค่าบริการติดตั้ง สาหรับผู้มีรายได้ สูง (30,000 บาทขึ้นไป) ผลการ วิ เคราะห์ พบว่ า รายการฟุ ต บอลไทย ไม่ มี อิท ธิพ ลต่ อ ผู้ตอบกลุ่มนี้ ในขณะที่ผ้ ูตอบมีความน่ าจะเป็ นที่จะเลือก ทางเลื อกที่มีรายการฟุ ตบอลยุ โรป 112% และยิ นดีจ่ าย 798 บาท เมื่อเทียบกับทางเลือกที่ไม่มีรายการฟุตบอล ใน ส่วนของซีร่ยี ์ต่างประเทศผู้ตอบกลุ่มนี้มคี วามน่าจะเป็ นที่จะ เลือก 68% และยินดีจ่าย 554 บาท เมื่อเทียบกับภาพยนตร์ ไทย ในส่ วนของคุ ณ ภาพสัญ ญาณ ผู้ มี รายได้ สูงมี ความ น่าจะเป็ น 59% ที่จะเลือกคุณภาพสัญญาณความคมชัดสูง และยิ น ดี จ่ าย 494 บาท เมื่ อเทียบกับคุ ณ ภาพสัญ ญาณ ความคมชัดปกติ เมื่อพิจารณาการรวมบริการอินเทอร์เน็ต คุณภาพสูงไว้ ในทางเลือก ผู้ตอบกลุ่มนี้มีความน่ าจะเป็ นที่ จะเลื อก 58% และยิ นดี จ่ าย 488 บาทเมื่ อเทียบกับการ รวมค่าบริการติดตั้งไว้ ในทางเลือก


236

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

4. ประสบการณ์การติดตั้งเคเบิลทีวี/ดาวเทียม จากผลการวิเคราะห์ พบว่า ปั จจัยที่มีอทิ ธิพลต่อทั้ง ผู้ท่ีติดตั้งเคเบิลทีวีและผู้ ท่ีไม่ ติดตั้ง คือ คุ ณภาพสัญญาณ ความคมชัดสูง, รายการฟุตบอลไทย, รายการฟุตบอลยุโรป, ซีร่ีย์ต่างประเทศ และการรวมบริการอินเทอร์เน็ตคุณภาพสูง ในส่ วนของผลการวิ เคราะห์ ผ้ ู ท่ีก าลั งติด ตั้งเคเบิ ลทีวีใน ปั จจุ บัน พบว่ า มีความน่ าจะเป็ นที่จะเลื อกทางเลื อกที่มี คุณภาพสัญญาณความคมชัดสูง 33% และยินดีจ่าย 318 บาท เมื่อเทียบกับคุณภาพสัญญาณความคมชัดปกติ ใน ส่ วนของภาพยนตร์ ต่ างประเทศและซี ร่ี ย์ ต่ างประเทศมี ความน่ าจะเป็ นที่จะเลือกเท่ ากัน คือ 15% และยินดีจ่าย 152 บาท และ 160 บาท ตามลาดับ เมื่อเทียบกับภาพยนตร์ ไทย สาหรับรายการฟุตบอล ผู้ตอบกลุ่มนี้มคี วามน่าจะเป็ น ที่จะเลื อกรายการฟุ ตบอลยุ โรปและรายการฟุ ตบอลไทย 109% และ 58% และมี ค วามยิ น ดี จ่ าย 828 บาท และ 513 บาท ตามลาดับ เมื่อเทียบกับทางเลือกที่ไม่มีรายการ ฟุตบอล สาหรับทางเลือกที่รวมบริการอินเทอร์เน็ตคุณภาพสูง ผู้ตอบมีความน่าจะเป็ นที่จะเลือก 36% และยินดีจ่าย 341 บาท เมื่อเทียบกับทางเลือกที่รวมค่าบริการติดตั้ง เมื่อพิ จารณาผลการวิเคราะห์ ของผู้ ท่ีไม่ ได้ ติดตั้ง เคเบิลทีวี พบว่ า ผู้ตอบกลุ่มนี้มีความน่ าจะเป็ นที่จะเลือก ทางเลือกที่มีคุณ ภาพสัญ ญาณความคมชั ดสูง 33% และ ยินดีจ่าย 256 บาท เมื่อเทียบกับคุณภาพสัญญาณความ คมชั ดปกติ ในส่ วนของซี ร่ี ย์ ต่ างประเทศ ผู้ ตอบมีค วาม น่ าจะเป็ นที่จะเลื อก 45% และยิ น ดี จ่ าย 333 บาท เมื่ อ เที ย บกั บ ทางเลื อ กที่ มี ภ าพยนตร์ ไทย ส าหรั บ ประเภท รายการฟุตบอล ผู้ตอบมีความน่าจะเป็ นที่จะเลือกทางเลือกที่ มี รายการฟุ ต บอลยุ โรปสูงกว่ ารายการฟุ ต บอลไทย คื อ 98% และ 60% และยินดีจ่าย 612 บาท และ 421 บาท ตามล าดับ เมื่อเทียบกับทางเลื อกที่ไม่ มีรายการฟุ ตบอล และเมื่ อพิ จ ารณาในส่ ว นของทางเลื อ กที่ ร วมบริ ก าร อินเทอร์เน็ตคุ ณภาพสูง พบว่ า มีความเป็ นไปได้ ท่ีจะถู ก เลือก 74% และยินดีจ่าย 499 บาท เมื่อเทียบกับทางเลือก ที่รวมค่าบริการติดตั้ง จากผลการศึกษาข้ างต้ น สามารถนาผลการศึกษานี้ ไปใช้ เป็ นข้ อมูลให้ ผ้ ูประกอบการออกแบบแพ็คเกจให้ ตรง กับกลุ่มเป้ าหมายลูกค้ าในแต่ละกลุ่มมากยิ่งขึ้น

อภิปรายผลการศึกษา จากผลการศึกษา พบว่า ระดับปั จจัยที่มีอทิ ธิพลต่อคน ทุกกลุ่ม เมื่อพิจารณาเป็ นกลุ่มย่ อย คือ คุณภาพสัญญาณ ความคมชัดสูง และรายการฟุ ตบอลยุ โรป โดยสอดคล้ อง กับผลจากการสารวจ ความพึงพอใจของผู้ใช้ บริการโทรทัศน์ แบบบอกรับสมาชิก (Pay TV) โครงการศึกษาแนวทางการ ก ากั บ ดู แ ลการแข่ งขั น ในกิ จ การโทรทั ศ น์ แ บบบอกรั บ สมาชิก (Competition Regulation on Pay TV) คณะกรรมการ กิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม แห่ งชาติ (2557) พบว่ า กี ฬ าฟุ ต บอลเป็ นรายการที่ ผู้ใช้ บริการ Pay TV ต้ องการรับชมมากที่สดุ สังเกตได้ จาก การให้ ล าดั บ รายการที่ ต้ องการรั บ ชม และการให้ ระบุ รายการที่ต้องการรับชม พบว่า รายการกีฬาฟุตบอลโดยเฉพาะ การถ่ ายทอดสดการแข่ งขั น นั ด ส าคั ญ อาทิ พรี เมี ยร์ ลี ก อังกฤษ ถูกระบุเป็ นลาดับแรกทั้งสองคาถาม ซึ่งมีข้อสังเกต ในเรื่องทางเลือกของผู้บริโภคประการหนึ่ง คือ หากผู้ชม ต้ องการรับชมรายการภาพยนตร์ต่างประเทศ ยังสามารถ เลื อกเช่ าหรื อซื้ อแผ่ น ซี ดี ห รื อดี วี ดี ภ าพยนตร์ ท่ีต้ องการ มารั บชมที่ บ้ าน หรื อไปชมภาพยนตร์ ท่ี โรงภาพยนตร์ ไ ด้ ในขณะที่รายการถ่ายทอดสดกีฬานัดสาคัญมีทางเลือกไม่ มากนัก นอกจากซื้อจากผู้ให้ บริการที่เป็ นเจ้ าของลิขสิทธิ์ ถ่ายทอดกีฬาดังกล่าว ที่ผ่านมาจึงพบว่า ผู้บริโภคยินดีท่จี ะ จ่ า ยเงิ น เพื่ อซื้ อกล่ อ งรั บ สั ญ ญาณจากผู้ ประกอบการ รายใหม่เพื่อรับชมรายการถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬาที่ตน ชื่นชอบ ซึ่งสอดคล้ องกับผลการศึ กษาในงานวิจัยชิ้นนี้ ที่ พบว่ า ผู้ ต อบแบบสอบถามมี ค วามยิ น ดี ท่ี จะจ่ ายให้ กั บ รายการฟุ ต บอลไทยและรายการฟุ ต บอลยุ โรปสู ง กว่ า รายการประเภทอื่นๆ เมื่อพิ จารณาถึงความยินดีท่ีจะจ่ าย พบว่ า ผู้ท่ีมีความ ยินดีท่ีจะจ่ ายให้ กับคุ ณภาพสัญ ญาณความคมชัดสูงมาก ที่สดุ คือ กลุ่มผู้มีรายได้ ต่า (ต่ากว่า 10,000 บาทต่อเดือน) มีความยินดีท่จี ะจ่ายสูงถึง 785 บาท เมื่อเทียบกับคุณภาพ สัญ ญาณความคมชัดปกติ นอกจากนั้ นแล้ วคนกลุ่ มนี้ ยั ง ยินดีท่จี ะจ่ายให้ กบั รายการฟุตบอลไทยมากสุดเช่นกัน นั่น คือ 873 บาท เมื่อเทียบกับการไม่มีรายการฟุตบอล แต่ใน ขณะเดียวกัน ระดับปั จจัยที่ไม่มีอิทธิพลต่อผู้ท่มี ีรายได้ ต่า


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

237

เลย คือ ภาพยนตร์ต่างประเทศและการรวมบริการอินเทอร์เน็ต คุณภาพสูงไว้ ในแพ็คเกจ สาหรั บรายการฟุ ตบอลยุ โรป กลุ่ม ตัวอย่ างที่มีค วาม ยินดีท่จี ะจ่ายสูงสุด คือ กลุ่มเพศชาย มีความยินดีจ่ายสูงถึง 955 บาท เมื่ อ เปรี ย บเที ย บกั บ ทางเลื อ กที่ ไม่ มี ร ายการ ฟุ ตบอล ในขณะที่ระดับปั จจัยที่ไม่ มีอิทธิพลในกลุ่มเพศ ชายเลย คือ ซีร่ีย์ต่างประเทศ สาหรับซีร่ีย์ต่างประเทศนั้น กลุ่ มที่มี ความยิ นดีท่ีจะจ่ ายให้ กับรายการประเภทนี้ มาก ที่สุด คือ กลุ่มผู้มีรายได้ สูง (30,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป) มีความยินดีจ่ายเป็ นจานวน 554 บาท เมื่อเปรียบเทียบกับ ทางเลื อกที่มีรายการภาพยนตร์ไทย และในทางกลับ กัน ภาพยนตร์ต่างประเทศกลับไม่มีอิทธิพลต่อคนกลุ่มนี้ แต่ กลับมีอทิ ธิพลต่อกลุ่มผู้มีสถานะโสด เนื่องจากคนกลุ่มนี้มี ความยินดีจ่ายให้ กับภาพยนตร์ต่างประเทศสูงสุดกว่ าคน ทุกๆ กลุ่ม คือ 192 บาท เมื่อเทียบกับภาพยนตร์ไทย ส าหรั บ การรวมบริ ก ารอิ น เทอร์ เน็ ต คุ ณ ภาพสู ง ใน แพ็คเกจ พบว่ า กลุ่มที่มีความยินดีท่ีจะจ่ ายมากที่สุด คือ ผู้ท่ีไม่ เคยติดตั้งเคเบิลทีวี ยินดีจ่ายเป็ นจานวนเงิน 499 บาท

(3) ประเภทรายการฟุ ตบอล (4) ประเภทรายการภาพยนตร์ /ซีร่ีย์ (5) ประเภทรายการทั่วไป และเมื่อพิ จารณาไปถึง ระดับของแต่ ละปั จจัย พบว่ า รายการฟุ ตบอลยุโรป กลุ่ม ตั วอย่ างมี ค วามน่ าจะเป็ นที่ จะเลื อ กมากที่ สุด เมื่ ออยู่ ใน แพ็คเกจ รองลงมา คือ รายการฟุ ตบอลไทย และการรวม บริการอินเทอร์เน็ตคุณภาพสูง จะเห็นได้ ว่า ผู้รับชมโทรทัศน์ส่วนใหญ่ ให้ ความสาคัญ กับความคมชัดของสัญญาณและการได้ รับข้ อมูลข่าวสารที่ หลากหลาย สอดคล้ องกับการศึกษาของ จาตุรนต์ อาไพ (2534) ของศู น ย์ วิ จั ย เศรษฐกิ จ และธุ ร กิ จ พบว่ า การ เติบโตอย่ างก้ าวกระโดดของเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียมที่ เพิ่มขึ้นอย่ างรวดเร็วเป็ นผลมาจากปั จจัยหลักสามประการ คื อ ความต้ อ งการรั บ ชมภาพและเสี ย งที่ ค มชั ด , ความ ต้ องการรับชมรายการที่หลากหลาย, และราคาติดตั้งและ ค่าสมาชิกถูกลงเป็ นอย่ างมาก อีกงานวิจัยที่สอดคล้ องกับ ประเด็นนี้ คือ การศึกษาของ ชิบ จิตนิยม (2534) เรื่อง ความต้ องการข่าวสาร การใช้ ประโยชน์ และความพึงพอใจ ของกลุ่มประชาชนผู้ใช้ บริการเคเบิลทีวี: ศึกษาเฉพาะกรณี สมาชิกของบริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล บรอดคาสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จากัด (ไอบีซี) ผลการวิจัย พบว่า เหตุผลสาคัญในการตัดสินใจ สรุปผลการศึกษา เป็ นสมาชิกหรือติดตามรับชมรายการของไอบีซีเคเบิลทีวี ของกลุ่มตัวอย่ าง เนื่องจากเห็นว่ ามีรายการที่น่าสนใจให้ การวิจัยในครั้งนี้มวี ัตถุประสงค์การวิจัย 2 ข้ อ เลือกชมมากเป็ นอันดับหนึ่ ง ส่วนเหตุผลรองลงมา ก็คือ วัตถุประสงค์การวิ จัยข้ อที่ 1 เพื่ อวิเคราะห์ ปั จจัยที่มี เสริมโอกาสรับข่าวสารที่ทนั ต่อเหตุการณ์ และการพยากรณ์ อิทธิพลต่อการเลือกซื้อแพ็คเกจโทรทัศน์ดาวเทียม/เคเบิล ความน่าจะเป็ นของแต่ละระดับปั จจัยที่จะมีโอกาสถูกเลือก ทีวีแบบจ่ ายรายเดือน จากผลการวิเคราะห์ ข้อมูลการวิจัย เมื่ออยู่ในทางเลือก แสดงได้ ดงั ตารางที่ 7 สามารถสรุ ป ได้ ว่ า ปั จ จั ย ส าคั ญ ที่ ส่ งผลให้ คนเลื อ กซื้ อ แพ็คเกจโทรทัศน์ดาวเทียมและเคเบิลทีวีเรียงตามลาดับ คือ (1) บริการเสริมที่รวมอยู่ในแพ็คเกจ (2) คุณภาพสัญญาณ ตารางที่ 7 แสดง Predictions for choices Attribute คุณภาพสัญญาณ รายการภาพยนตร์/ซีรี่ย ์

Variable ความคมชัดปกติ (SD) ความคมชัดสูง (HD) ภาพยนตร์ไทย ภาพยนตร์ต่างประเทศ ซีร่ ยี ์ต่างประเทศ

Exp(coef) 1.00 1.32 1.00 1.13 1.23

Probability 43% 57% 29% 34% 37%


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

238

ตารางที่ 7 (ต่อ) Attribute รายการฟุตบอล

รายการประเภททัว่ ไป

บริการเสริมพิเศษ

Variable ไม่มีรายการฟุตบอล รายการฟุตบอลยุโรป รายการฟุตบอลไทย รายการบันเทิง/วาไรตี้ รายการสารคดี รายการข่าวต่างประเทศ รวมค่าบริการติดตั้ง รวมค่าโทรศัพท์บ้าน/เคลื่อนที่ รวมอินเทอร์เน็ตคุณภาพสูง

Exp(coef) 1.00 2.07 1.59 1.00 0.86 0.90 1.00 1.05 1.44

Probability 22% 44% 34% 36% 31% 33% 29% 30% 41%

ที่มา: มาจากการคานวณของผู้วิจัย

วัตถุประสงค์การวิจัยข้ อที่ 2 เพื่อประเมินค่าความยินดี ที่จะจ่ ายของแต่ละปั จจัยในการเลือกซื้อแพ็คเกจโทรทัศน์ ดาวเทียมและเคเบิลทีวี จากผลการวิเคราะห์ข้อมูลการวิจัย สามารถสรุปได้ ว่า ระดับของปั จจัยที่กลุ่มตัวอย่ างมีความ ยินดีท่จี ะจ่ ายมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ รายการฟุ ตบอล ยุ โรป (772 บาท) รองลงมา คื อ รายการฟุ ต บอลไทย (496 บาท) และอันดับสาม คือ การรวมบริการอินเทอร์เน็ต คุณภาพสูงในแพ็คเกจ (386 บาท)

เอกสารอ้างอิง คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และ กิจการโทรคมนาคมแห่ งชาติ. (2557). รายงานสรุ ปผล การศึ กษาและข้อเสนอแนะของที ป่ รึกษา โครงการศึ กษา แนวทางการกากับดูแลการแข่งขันในกิจการโทรศัพท์แบบ บอกรั บ สมาชิ ก (Competition Regulation on Pay TV). กรุงเทพฯ: คณะกรรมการกิจ การกระจายเสีย ง กิจ การ โทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ. [1]

กิตติกรรมประกาศ ผู้วิจัยขอขอบพระคุณ สานักส่งเสริมการแข่ งขัน และ กากับดูแลกันเอง สานักงานคณะกรรมการกิจการกระจาย เสียง กิจการโทรทัศ น์ และกิจการโทรคมนาคมแห่ งชาติ ส าหรั บ ข้ อ มู ล และค าชี้ แนะต่ า งๆ ยิ่ ง ไปกว่ านั้ น ผู้ วิ จั ย ขอขอบพระคุ ณ ผู้ ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เขมรัฐ เถลิงศรี อาจารย์ท่ปี รึกษา ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ และเป็ น ผู้ ให้ ค าแนะน าตลอดการทาวิ ทยานิ พ นธ์ต้ังแต่ ต้ นจนถึ ง ปัจจุบนั โครงการวิจัยฉบับนี้ได้ รับการสนับสนุ นเงินทุนวิจัยจาก ศูนย์วิจัยเศรษฐศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์ จุ ฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย และความเห็นในรายงานผลการวิจัยเป็ นของ ผู้วิจัย คณะเศรษฐศาสตร์ไม่จาเป็ นต้ องเห็นด้ วยเสมอไป

จาตุรนต์ อาไพ. (2556). อนาคตทีวีทางเลือกไทยในยุ ค เปลี่ ยนผ่ า นสู่ ดิ จิ ต อลที วี . สื บ ค้ นจาก https://www. scbeic.com/th/detail/product/337 [2] ชิ บ จิ ต นิ ย ม. (2534). ความต้ อ งการข่ า วสาร การใช้ ประโยชน์ และความพึงพอใจของกลุ่มประชาชนผูใ้ ช้เคเบิล ทีวี: ศึ กษาเฉพาะกรณีสมาชิกของบริษทั อินเตอร์เนชัน่ แนล บรอดคาสต์ คอร์ปอเรชั่น จากัด . (วิทยานิ พนธ์ปริญ ญา มหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, กรุงเทพฯ. [3] ส านั ก งานส่ ง เสริ ม การแข่ ง ขั น และก ากั บ ดู แ ลกั น เอง. (2558). รายงานสภาพการแข่ ง ขั น ของตลาดกิ จ การ โทรทัศน์ (มกราคม 2558-กรกฎาคม 2558). สืบค้ นจาก https://broadcast.nbtc.go.th/data/Academic/file/5812 00000001.pdf [4]


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

Manit, S., & Hitoshi, M. (2013). An Analysis of Factor Affecting the Adoption of Digital Terrestrial Television Serviced in Thailand. International Journal of Managing Public Sector Information and Communication Technologies, 4(2), 9-20.

239

Office of Self Regulation in Broadcast. (2015). The Competitive Environment of The Television Broadcasting Market (January 2015-July 2015). Retrieved from https://broadcast.nbtc.go.th/data/Academic/file/581200 000001.pdf [in Thai] [4]

The National Broadcasting and Telecommunications Commission. (2014). Study Report and Consultant’s Jitniyom, C. (1991). The Information Needs Uses and Advice Title: Competition Regulation on Pay TV. Gratification of Cable Television Subscribers: A Case Bangkok: The National Broadcasting and Telecommunications Study of the International Broadcasting Corporation Commission. [in Thai] [1] Company Limited (IBC) Subscribers. (Master’s thesis). Umpai, J.. (2013). Future Television Choice in Graduate School, Thammasat University. [in Thai] [3] Thailand’s Transition to Digital Television. Retrieved from https://www.scbeic.com/th/detail/product/337 [in Thai] [2] Translated Thai References


240

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

การส่งเสริมการเรียนรูแ้ บบมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการศูนย์สาธิตการตลาดชุมชน บ้านคาไผ่ อาเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ ์ สุกญ ั ญา ดวงอุปมาa*, อาภาศรี พ่อค้ าb และพีรพจน์ นิติพจน์c

The Promotion of the Participatory Learning in Marketing Demonstrative Center Administration of Kham Phai Village Mueang District Kalasin Sukanya Duanguppamaa*, Ampasri Phokhab and Peerapot Nitipotc a

สาขาวิชาการจัดการ คณะเทคโนโลยีสงั คม มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ สาขาวิชาการตลาด คณะเทคโนโลยีสงั คม มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ c สาขาวิชาเทคโนโลยีการผลิตสัตว์ คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ a Department of Management, Faculty of Technological Society, Kalasin University b Department of Marketing, Faculty of Technological Society, Kalasin University c Department of Agro-Industrial Technology, Faculty of Agro-Industrial Technology, Kalasin University * Corresponding author. E-mail address: sukanya.joo@hotmail.com b

บทคัดย่อ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพการจัดการศูนย์สาธิตการตลาดและการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนกระบวนการวิเคราะห์สายโซ่ อุปทาน และกระบวนการจัดการความรู้ของศูนย์สาธิตการตลาดและนาองค์ความรู้ท่เี ป็ นเลิศมาถ่ ายทอดแก่ กลุ่มเพื่ อสร้ างความเข้ มแข็ง เกิด กระบวนการมีส่วนร่ วม สร้ างความสามัคคีของคนในชุ มชน การวิจัยนี้ เป็ นวิจัยที่มี กระบวนการวิจัยแบบเทคนิคการวิจัยเชิ งปฏิบั ติการโดย ประชาชนมีส่วนร่วม (PAR) เน้ นระเบียบวิธวี ิจัยเชิงคุณภาพ โดยมาจากคณะกรรมการ สมาชิก และคนในชุมชนเป็ นผู้มีส่วนร่วมในการบริหาร จัดการศูนย์สาธิตการตลาด โดยมีขอบเขตการศึกษา คือ ศูนย์สาธิตการตลาดบ้ านคาไผ่ อาเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ พบว่า บริบทศูนย์สาธิต ศูนย์สาธิตการตลาดบ้ านคาไผ่ มีการบริหารจัดการศูนย์สาธิตการตลาดในรูปแบบของคณะกรรมการ มีจานวนสมาชิก 115 ครัวเรือน มีการ แบ่ งเงินปั นผลให้ กับคณะกรรมการศูนย์สาธิต บารุงศูนย์สาธิตการตลาด และค่ าตอบแทนหุ้น นาเสนอขายสินค้ าให้ กับคนในชุมชนในราคา ที่เหมาะสมและมีการส่งเสริมการเรียนรู้แบบมีส่วนร่ วมในการบริหารจัดการ การสร้ างความตระหนักและเห็นคุณค่ าร่วมแก้ ไขปั ญหาในการ บริหารจัดการศูนย์สาธิตการตลาดอย่ างมีส่วนร่ วม เกิดการวิเคราะห์สายโซ่ อุปทาน ด้ านการจัดการและการตลาด ตลอดจนมีการถ่ ายทอด องค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการศูนย์สาธิตการตลาด การร่ วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เทคนิคการบริหารจัดการสมัยใหม่เพื่อใช้ ในการบริหารจัดการ ศูนย์สาธิตการตลาด เพื่อเป็ นแนวทางในการพัฒนาศูนย์สาธิตการตลาดให้ เกิดการพัฒนาที่ย่งั ยืนต่อไป คาสาคัญ: การบริหารจัดการ ศูนย์สาธิตการตลาด การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม สายโซ่อุปทาน การจัดการความรู้ Abstract This study aimed at studying the status of Marketing Demonstrative Center administration and the participation of the people in community, the supply chain, and the process of knowledge management of the Marketing Demonstrative Center and the adaptation of knowledge to the group to build up the strength in terms of participation and unity of the people in community. This study employed the participatory action research (PAR) technique through the qualitative method. The data were obtained from the community committees, members of community, and the people in community who have the participation in administration of the Marketing Demonstrative Center. The scope of this study was Kham Phai village, Mueang district, Kalasin province. The results revealed that the Kham Phai village Marketing Demonstrative Center was administered under the committees. The members were 115 households. The dividend was divided to the committees of the demonstrative center, the demonstrative center, and for the members. The goods were sold to the people in community in a reasonable price. There were the promotions on participatory learning in administration, awareness development and participation in solving problem in administration, and the analysis of supply chain on management and marketing.


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

241

There were also be the knowledge transfer on Marketing Demonstrative Center administration and the sharing on modern techniques for Marketing Demonstrative Center administration for being the approach for the sustainable development of the Marketing Demonstrative Center. Keywords: Administration, Marketing Demonstrative Center, Participatory Learning, Supply Chain, Knowledge Management

บทนา การพัฒนาชุมชนท้ องถิ่น การสร้ างฐานรากความ พออยู่ พอกิน และอาศัยอยู่ร่วมกันได้ อย่างมีความสุขกับครอบครัว ชุมชนและสังคม ในการดาเนินชีวิตร่วมกันแก้ ไขปัญหาและ ร่วมรับฟั งความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ตลอดจนร่วมกันรับ ผลประโยชน์ การส่งเสริมการมีส่วนร่ วมของคนในชุ มชน ร่วมกันบริหารจัดการทรัพยากร วัตถุดิบของชุมชน ซึ่งการ ส่ งเสริมการมี ส่ วนร่ วมในการสร้ างความรู้ความสามารถ ทักษะเป็ นสิ่งสาคัญ ส่งเสริมให้ คนในชุมชนอยู่ ร่วมกันได้ อย่างมีความสุข ในการทากิจกรรมร่วมกัน การรวมกลุ่มกัน เพื่อประโยชน์สงู สุดของคนในชุมชน การพัฒนาศูนย์สาธิต การตลาด เพื่ อตอบสนองความต้ องการของสมาชิกให้ เข้ า มาใช้ บริการซื้อสินค้ า ตลอดจนสร้ างความตระหนักการมี ส่วนร่ วมในการเป็ นเจ้ าของศู นย์สาธิตการตลาด ร่ วมกัน พั ฒนาและแก้ ไขปั ญหาการดาเนินงานให้ มีประสิทธิภาพ สูงสุด ศูนย์สาธิตการตลาดบ้ านคาไผ่ เกิดขึ้นจากการส่งเสริม ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์การเกษตรร่ วมกับคนใน ชุ มชนบ้ านค าไผ่ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่ อจั ดหาสินค้ ามา จาหน่ ายให้ กับสมาชิกและประชาชนทั่วไปโดยเน้ นการมี ส่วนร่วมของคนในชุมชน การพึ่งพาตนเองของชุมชน การ ดาเนิ นงานของศู นย์ สาธิตการตลาด มีการด าเนิ นงานใน รูปแบบของคณะกรรมการซึ่งได้ มาจากการคัดเลื อกของ สมาชิก ศูนย์สาธิตการตลาดต้ องมีการสร้ างความเข้ าใจและ การมีส่วนร่วมเกี่ยวกับประโยชน์ท่ีทุกฝ่ ายจะได้ รับเพื่ อให้ เกิดความยั่งยืนของการดาเนินการของศูนย์สาธิตการตลาด การสร้ างความเชื่อมั่นต่อระบบการจัดการ การจัดการสาย โซ่ อุปทานของการขนส่งสินค้ าเพื่ อนามาจาหน่ ายในศูนย์ สาธิตการตลาดเพื่อเป็ นการลดต้ นทุนในการขนส่ง ตลอดจน ด้ านการบริห ารจั ด การเพื่ อให้ เกิด สภาพคล่ องของศู น ย์ สาธิตการตลาด และตลอดจนการจัดการองค์ความรู้ มีการ แลกเปลี่ ยนความคิ ด เห็น ร่ วมกัน คิ ด ค้ น แนวทางในการ

บริหารจัดการความรู้ร่วมกัน ทาให้ ศูนย์สาธิตการตลาดมี สภาพที่ ยั งคงอยู่ แ ละยื น หยั ด จนถึ งปั จ จุ บั น นี้ การสร้ าง อาชีพอิสระและสร้ างวิถีเศรษฐกิจ การสร้ างความตระหนัก ถึงคุณค่ าของศูนย์สาธิตการตลาดกับคนในชุมชนร่ วมกัน ชุมชนเข้ มแข็ง จากความเป็ นมาและความสาคัญดังกล่ าว จึงได้ ทาการศึกษา การบริหารจัดการศูนย์สาธิตการตลาด แบบมี ส่ วนร่ วมบ้ านค าไผ่ อ าเภอเมื อง จั งหวั ดกาฬสินธุ์ เนื่องจากศูนย์สาธิตการตลาดเป็ นศูนย์สาธิตที่ยังคงดาเนิน กิจการอยู่ ในชุ มชนบ้ านค าไผ่ และบ้ านค าไผ่ เป็ นในการ ดาเนินงานวิจัยและการบริการวิชาการของคณะเทคโนโลยี สังคม มหาวิ ทยาลั ยกาฬสิน ธุ์ เป็ นแหล่ งเรี ยนรู้ร่ วมกัน ระหว่ างอาจารย์ นั กศึ กษา และชาวบ้ าน ในการพั ฒ นา ชุ ม ชนสั ง คมบ้ านค าไผ่ ใ ห้ มี วิ ถี ชี วิ ต แบบพออยู่ พ อกิ น ตลอดจนเป็ นการสร้ างกระบวนการการเรี ย นรู้ การแก้ ปั ญหาของชุ มชนแบบมีส่วนร่ วม และเป็ นการตอบสนอง ความต้ องการของชุ มชนในการพั ฒ นาระบบการบริ หาร จั ด การศู น ย์ ส าธิ ต การตลาดให้ มี ก ารบริ ห ารจั ด การที่ มี ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อันจะนาไปสู่การพั ฒนาคุณภาพ ชีวิตของคนในชุมชนต่อไป วัตถุประสงค์การวิจยั 1. เพื่อให้ คนในชุมชนได้ ตระหนักถึงความสาคัญของ ร้ านค้ าชุ มชนร่ วมกัน และมองเห็น คุ ณ ค่ าของศู น ย์ สาธิต การตลาด 2. เพื่ อทราบถึงกระบวนการวิเคราะห์ สายโซ่ อุปทาน ด้ านการจัดการศูนย์สาธิตการตลาด 3. เพื่ อทราบถึงกระบวนการจัดการความรู้ของศู นย์ สาธิตการตลาด และนาองค์ความรู้มาถ่ายทอดแก่กลุ่มเพื่อ สร้ างความเข้ มแข็ง 4. เพื่ อทราบความสัมพั นธ์ และทัศนคติของสมาชิก และคนในชุมชนที่มกี ารบริหารจัดการศูนย์สาธิตการตลาด


242

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ฝ่ ายต่ างๆ ตามช่ วงระยะเวลาที่เหมาะสมรวบรวมความรู้ สรุปประเด็น ลงพื้นที่โดยวิเคราะห์ข้อมูลมือสอง การระดม สมองกับคณะกรรมการศูนย์สาธิตการตลาด จานวน 15 คน วิธีการดาเนินการวิจยั เนื่องจากเป็ นคณะดาเนินงานในศูนย์สาธิตการตลาดและ เป็ นสมาชิ ก และคนในชุ มชนร่ วมกันกับทีมวิจั ยเพื่ อหาแนวทาง ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง การจัดการที่ดีของศูนย์สาธิตการตลาด ซึ่งรวมมีระยะเวลา คณะกรรมการ จานวน 15 คน สมาชิก 115 ครัวเรือน ในการดาเนินการเก็บรวมรวมข้ อมูล 6 เดือน เนื่องจากสาเหตุ และกาหนดสัด ส่ วนของสมาชิ กตามความเหมาะสมของ คือ คนในชุมชนมีอาชีพหลักจากการทานา ทาไร่ ฯลฯ สถานการณ์ (ชาย โพธิสติ า, 2554) มีกระบวนการวิจัยแบบ เทคนิ ค การวิ จั ย เชิ งปฏิ บั ติ การโดยประชาชนมี ส่ วนร่ วม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจยั สังเกต สัม ภาษณ์ จั ด ประชุ ม กลุ่ ม แลกเปลี่ ย นความ (Participatory Action Research: PAR) เน้ นระเบี ยบวิ ธีวิจั ย เชิงคุณภาพ โดยมีขอบเขตการวิจัย คือ ศูนย์สาธิตการตลาด คิดเห็น แผนที่ความคิด การวิเคราะห์ข้อมูลเอกสารมือสอง บ้ านค าไผ่ หมู่ ท่ี 2 ต าบลหนองกุ ง อาเภอเมื อง จั งหวั ด วิ เคราะห์ ข้ อมู ล (SWOT) วิ เคราะห์ ข้ อมู ล แบบสามเส้ า (Triangulation) แบบการตรวจสอบสามเส้าด้านวิธีรวบรวม กาฬสินธุ์ ข้อมู ล (Methodological Triangulation) ใช้วิ ธี การสังเกต กิจกรรมและวิธีการวิจยั ควบคู่กบั การสัมภาษณ์ พร้อมกันนั้นก็ศึกษาข้อมู ลจาก กิจกรรม วางแผนงานวิจัย วิเคราะห์บริบทศูนย์สาธิต เอกสารมือสอง (สุภางค์ จันทวานิช, 2553) การตลาดโดยภาพรวม การสร้ างความตระหนักและเห็นคุณค่า ของศูนย์สาธิตการตลาดกับคนในชุ มชน การวิเคราะห์สาย สรุปผลการวิจยั โซ่อุปทาน (Supply Chain) ด้ านการจัดการและการตลาดของ ศูนย์สาธิตการตลาด สรุปประเด็นสาคัญของสายโซ่ อุปทาน 1. บริบทศูนย์สาธิตการตลาดบ้านคาไผ่ (Supply Chain) ด้ านการจัดการและการตลาด ศู น ย์ ส าธิต การตลาดบ้ านค าไผ่ เริ่ ม ก่ อตั้ งขึ้น เมื่ อ ปี วิธีการ ประชุ มทีมนักวิจัยเพื่ อดาเนินการเตรียมแผน พ.ศ.2542 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาสินค้ ามาจาหน่ าย ปฏิบตั ิการวิจัย ในการเตรียมตัวสาหรับทีมผู้วิจัย ได้ ทาการ ให้ กับสมาชิกและคนในชมชนในรูปแบบของศู น ย์สาธิต ศึกษาข้ อมูลจากเอกสารมือสองของชุ มชนและได้ เข้ าร่ วม การตลาด ตั้งอยู่บริเวณกลางหมู่บ้าน เป็ นลักษณะอาคาร กิจกรรมในชุมชนเพื่อให้ เกิดการสร้ างความสัมพันธ์กบั คน ชั้นเดียว มีพ้ ืนที่ประมาณ 80 ตารางวา ลักษณะโครงสร้ าง ในชุ ม ชน ตลอดจนมี การประชุ มที มวิ จั ย เพื่ อเสนอแนะ การบริห ารจั ดการศู น ย์สาธิตการตลาด มีคณะกรรมการ แนวทางในลงพื้ นที่เก็บข้ อมูล ตลอดจนการรับทราบแนว บริหารจัดการ จานวน 15 คน มาจากการเลื อกตั้ง ดารง ปฏิบัติร่วมกันก่อนลงพื้ นที่โดยการสังเกตการดาเนินชีวิต ตาแหน่ งวาระละ 6 เดือน ปั จจุ บันมีสมาชิกจานวน 115 ในการจับจ่ ายใช้ สอยในชีวิตประจาวัน และค่านิยมในการ ครัวเรือน มีการระดมหุ้ นๆ ละ 20 บาท แต่ ละครัวเรือน ซื้อสินค้ าในศูนย์สาธิตการตลาด การสัมภาษณ์ ได้ ดาเนินการ สามารถถือครองหุ้นได้ ครัวเรือนละไม่เกิน 75 หุ้น คือ เป็ น สัมภาษณ์แบบรายบุคคล เช่น ประธานกรรมการศูนย์สาธิต จานวนเงิน 1,500 บาท มีจานวนเงินทั้งหมด 140,200 บาท การตลาด กรรมการ สมาชิก และคนในชุมชน จานวน 10 คน มีการจัดสรรเงินปั นผลของศูนย์สาธิตการตลาดทุกๆ 6 เดือน และทาการสัมภาษณ์แบบกลุ่มย่อยกับคณะกรรมการบริหาร การคิดเงินปันผล คือ ค่าตอบแทนคณะกรรมการศูนย์สาธิต จัดการศูนย์สาธิตการตลาด และสมาชิก ตลอดจนคนในชุมชน การตลาด ร้ อยละ 40 ค่าบารุงศูนย์สาธิตการตลาดร้ อยละ 5 ซึ่งมีจานวนกลุ่มละ 5-10 คน ในช่วงระยะเวลาที่เหมาะสม ค่าตอบแทนหุ้น ร้ อยละ 55 การขายสินค้ าส่วนใหญ่เป็ นสินค้ า เชิญชวนผู้คนในชุมชนแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับความ อุ ป โภคที่ ใช้ ในครั วเรื อ น ลั ก ษณะการจั ด การวางสิ น ค้ า สาคัญของศูนย์สาธิตการตลาด การศึกษาถึงความคาดหวังของ ตามความเหมาะสมและสะดวกสบายส าหรั บคนขาย มี สมาชิ กที่มี ต่ อศู นย์ สาธิตการตลาด สัมภาษณ์ คณะกรรมการ คณะกรรมการสั บ เปลี่ ย นหมุ น กั น ท าหน้ าที่ ข ายสิ น ค้ า 5. เพื่ อเป็ นแนวทางการบริหารจัดการศูนย์สาธิตการ ตลาดให้ มปี ระสิทธิภาพและประสิทธิผล


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

วันละ 2 คน การเช็คจานวนสินค้ าจะทาการเช็คในสัปดาห์ท่ี 3 ของแต่ละเดือน การจัดซื้อสินค้ าเข้ าศูนย์สาธิตการตลาด เดือนละ 1 ครั้ง แหล่งที่ซ้ ือสินค้ าเป็ นร้ านค้ าทั่วไปในตัวเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ ยอดการซื้อครั้งละ 60,000-80,000 บาท โดยการซื้ อด้ วยเงิ น สด และซื้ อด้ วยเงิ น ผ่ อ นประมาณ 10,000 บาท กระบวนการจั ดซื้ อสิน ค้ ามีการสับ เปลี่ ยน หมุนเวียนคณะกรรมการศูนย์สาธิตการตลาดเพื่อดาเนินการ ซื้อสินค้ า วันละ 3 คน มีรายได้ จากการขายสินค้ าเฉลี่ยประมาณ วันละ 5,000 บาท รวมรายได้ เฉลี่ยประมาณเดือนละ 150,000 บาท รายจ่าย เช่น ค่านา้ ค่าไฟเดือนละประมาณ 1,000 บาท ค่าซื้อสินค้ าเข้ าศูนย์สาธิต 80,000 บาท ค่าจ้ างเหมารถขน สินค้ า ประมาณเที่ยวละ 500 บาท รวมรายจ่าย 81,500 บาท เป็ นรายได้ สทุ ธิต่อเดือนเฉลี่ยประมาณ 68,500 บาท โดย มีการเก็บเงินในรูปของคณะกรรมการศูนย์สาธิตการตลาด เป็ นผู้รับผิดชอบ การวิเคราะห์ SWOT ศูนย์สาธิตการตลาด จุ ด แข็ ง คื อ ศู น ย์ ส าธิต การตลาดมี สิน ค้ าให้ เลื อ กที่ หลากหลายในการให้ บริการแก่สมาชิกและคนในชุมชน มี การบริการที่เป็ นกันเองกับลูกค้ า สมาชิกและคนในชุมชน ให้ ความร่ วมมือในการเข้ ามาซื้ อสิน ค้ า ในขณะเดียวกัน คณะกรรมการมี ค วามรั บ ผิ ด ชอบในหน้ าที่ ก ารบริ ห าร จัดการ ด้ วยความสุจริต ซื่อสัตย์ โปร่งใส คณะกรรมการที่ ท าหน้ าที่ขายสิน ค้ าและลงบั ญ ชี รายการขายในแต่ ละวั น มีการลงบัญชีโดยอาศั ยความรู้และประสบการณ์จากการ ขาย โดยทาการลงบัญชีในสมุดบันทึกประจาวันซึ่งเป็ นสมุด บันทึกรายการสินค้ าและยอดขาย ด้ วยความซื่อสัตย์และ

243

สุจริตสามารถตรวจสอบระบบบัญชีได้ และมีการส่งมอบ เงินให้ กบั ประธานกรรมการและเหรัญญิกทุกวัน จุดอ่อน คือ เกิดการผิดพลาดในเรื่องของการ คานวณ ราคาขายและยอดเงิ น ที่ จ ะต้ องทอนคื น ให้ กั บ ลู ก ค้ า คณะกรรมการบางคนยังขาดประสบการณ์ในการขายและ การบริการที่ดี โอกาส คือ คนในชุมชนให้ ความสาคัญกับการดาเนินงาน ศูนย์สาธิตการตลาดคอยให้ คาแนะนาในการบริหารจัดการ ศูนย์สาธิตการตลาด ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐ และสถานศึกษา เข้ ามาร่วมในการส่งเสริมการตลาด อุปสรรค คือ มีจานวนร้ านค้ าในชุมชนบ้ านคาไผ่ มีการ แข่งขันค่อนข้ างสูง ทาให้ ยอดขายสินค้ าในศูนย์สาธิตการ ตลาดลดลง และสินค้ าบางประเภทมีราคาสูง ทาให้ ไม่สามารถ ซื้อเพื่อนามาขายในศูนย์สาธิตการตลาดได้ 2. ความสาคัญของศู นย์สาธิตการตลาดและการมองเห็ น คุณค่าของศูนย์สาธิตการตลาด สมาชิกและคนในชุมชนได้ ตระหนักถึงความสาคัญของ ศูนย์สาธิตการตลาด ไม่ ว่าจะเป็ นคณะกรรมการ สมาชิ ก คนในชุ มชนได้ ให้ ความส าคั ญ ของศู น ย์ ส าธิต การตลาด เนื่ อ งจากจ าหน่ ายสิน ค้ าในราคาที่เหมาะสม ก่ อให้ เกิ ด รายได้ เสริมของสมาชิกและคนในชุมชน มีการสร้ างกิจกรรม ความร่ วมมือและแก้ ไขปั ญ หาในการบริหารจัดการ ซึ่ งมี ความสาคัญและทุกคนมองเห็นคุณค่าศูนย์สาธิตการตลาด ดังเช่น 1) ศูนย์สาธิตการตลาดเป็ นต้ นแบบแห่งการเรียนรู้ ของชุ มชน 2) มี เงิ นทุ น สะสมในการบริ ห ารจั ดการศู น ย์ สาธิตการตลาดของชุมชน 3) คนในชุมชนมีความอยู่ดกี นิ ดี และมีความสามัคคีของคนในชุมชน

รูปที่ 1 การสัมภาษณ์คณะกรรมการศูนย์สาธิตการตลาด สมาชิก และคนในชุมชน


244

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

สมาชิกตลอดจนคนในชุมชน ซึ่งมีลักษณะการถ่ายทอดโดย การนาองค์ความรู้ท่ไี ด้ จากสังเกต การอบรม จากประสบการณ์ ของคนในชุ ม ชน สมาชิ ก ตลอดจนที ม วิ จั ย หน่ ว ยงาน ภาครัฐที่เข้ ามาส่ งเสริ มให้ ความรู้ โดยท าการจั ด ประชุ ม กลุ่มใหญ่ถึงแนวทางในการบริหารจัดการในทุกๆ 6 เดือน เพื่อให้ ทราบถึงการบริหารจัดการของศูนย์สาธิตการตลาด คื อ 1) การปฏิ บั ติ ท่ี เป็ นเลิ ศ ในการจั ด การศู น ย์ ส าธิ ต การตลาด คณะกรรมการทุ กคนปฏิบัติต าม กฎระเบี ยบ ข้ อบังคับ และบทบาทหน้ าที่ตามที่ได้ รับมอบหมาย เช่ น การจัดทาเอกสาร หลักฐาน มีการดาเนินงานอย่างครบถ้ วน ถู กต้ อง เป็ นปั จจุ บั น ด้ วยความซื่ อสั ต ย์ สุ จริ ต โปร่ งใส ตรวจสอบได้ และสมาชิกปฏิบัติตาม กฎ ระเบียบ ข้ อบังคับ และบทบาทหน้ าที่ของตนเอง สนับสนุนการดาเนินกิจกรรม เช่ น สมาชิ ก ทุ ก คนซื้ อสิ น ค้ าที่ ศู น ย์ ส าธิต การตลาด 2) ระบบข้ อมู ล ความรู้ เป็ นการเปิ ดโอกาสให้ กับ ทุ กคนใน ชุมชนได้ สอบถามข้ อมูลและสามารถตรวจสอบข้ อมูลการ บริหารจัดการศูนย์สาธิตการตลาดได้ อย่ างต่อเนื่อง และมี การจั ดท าขั้น ตอนกระบวนการบริห ารจั ด การศู น ย์ สาธิต การตลาดไว้ เป็ นลายลักษณ์อกั ษรที่ชัดเชน เช่ น การจัดทา แผนผังการบริหารจัดการศูนย์สาธิตการตลาด มีการตรวจ เช็คสินค้ า การจัดซื้อสินค้ าเพิ่มเติมหรือทดแทนสินค้ าที่ขาย ไป มีการส่งมอบเงินจากการขายสินค้ าทุกวัน ตลอดจนการ ตั้งราคาสินค้ าและการจัดทาบัญชีรายรับและรายจ่ายในแต่ ละวัน 3) การแบ่ งปั นแลกเปลี่ยนเรียนรู้ มีการจัดทาเป็ น เอกสารขั้ น ตอนการบริ ห ารจั ด การศู น ย์ ส าธิต การตลาด การจัดท าบัญ ชี เงิน สดรายวั น มี ระบบพี่ เลี้ ยงในกรณี ท่ีมี คณะกรรมการขายประจาติดภารกิจไม่สามารถทาหน้ าที่ได้ ก็จะมีคณะกรรมการท่านอื่นที่ยังคอยทาหน้ าที่ในการขาย ่ 4. กระบวนการจัดการความรู ข้ องศู นย์สาธิตการตลาด สินค้ าและลงรายการขายในแต่ละวัน และมีการสับเปลียน หมุนเวียนคณะกรรมการที่ทาหน้ าที่ขายสินค้ าในแต่ละวัน และนาองค์ความรูม้ าถ่ายทอดกับผูม้ ีส่วนร่วมเพือ่ สร้าง 4) ถ่ายทอดความรู้ การแก้ ปัญหาและพัฒนาการดาเนินงาน ความเข้มแข็ง มีการถ่ายทอดองค์ความรู้ให้ กับคนในชุมชนและภายนอก ชาวบ้ านคาไผ่ได้ ร่วมกันวางแผนการบริหารจัดการเชิง ชุมชนในการดาเนินงาน การบริหารจัดการ เช่ น การบอก ระบบในการจัด การศู นย์ สาธิตการตลาดแบบมีส่ วนร่ วม เล่าหรือการชี้แนะแนวทางในการบริหารจัดการที่ทาให้ ศูนย์ โดยมีการประชุมเชิงปฏิบัติการ จัดระบบการจัดซื้อสินค้ า สาธิตการตลาดยืนหยัดมาจนถึงทุกวันนี้ คนทุกคนในชุมชน ตลอดจนการขายสินค้ า การควบคุมรายรับรายจ่ายในแต่ละ ร่ วมกัน แก้ ไขปั ญ หาอย่ างมี ส่ วนร่ วมและร่ วมกัน พั ฒ นา วัน และการปั นหุ้ นจากการขายสินค้ า การจัดการความรู้ รูปแบบการนาสินค้ าแต่ ละประเภทเข้ ามาขายสนองความ ศูนย์สาธิตการตลาด แนวปฏิบตั อิ ย่างต่อเนื่อง มีการถ่ายทอด ต้ องการของสมาชิก โดยมีการวางแผนการจัดซื้อสินค้ าและ องค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการแก่ คณะกรรมการและ 3. กระบวนการวิเคราะห์สายโซ่ อุปทาน ด้านการจัดการ ศูนย์สาธิตการตลาด ศู น ย์ ส าธิต การตลาดมี การบริ ห ารจั ด การสิน ค้ าด้ ว ย วิธีการจัดซื้ อสินค้ าจากร้ านค้ าในตัวเมืองจังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งมี ข้ ึนตอนการซื้ อสินค้ า คื อ คณะกรรมการศู น ย์สาธิต การตลาดด าเนิ นการตรวจเช็คจานวนสินค้ าทั้งหมดและ สิ น ค้ าคงเหลื อ คณะกรรมการด าเนิ น การจั ด ซื้ อสิ น ค้ า ครั้งละประมาณ 60,000-80,000 บาท คณะกรรมการซื้อ ทุกเดือน การเดินทางไปซื้อสินค้ าในตัวจังหวัดกาฬสินธุ์ โดยการจ้ างเหมารถโดยสารขนาดเล็กราคาจ้ างเหมา ครั้งละ 500 บาท ทาการตรวจการเช็คสินค้ าเข้ าใหม่ และลงราคา สินค้ าในทะเบียนคุมสินค้ า ดาเนินการขายสินค้ า พร้ อมกับ สร้ างระบบให้ เกิ ด การไหลเวี ย นของข้ อ มู ล ที่ ท าให้ เกิ ด กระบวนการทางานของศูนย์สาธิตการตลาด ส่วนสาคัญที่ ช่ วยให้ ศูนย์สาธิตการตลาดยกระดับความสามารถในการ บริหารจัดการ คือ การลดสินค้ าคงเหลือในแต่ละเดือน การ เพิ่มยอดขายสินค้ า หรือการลดความสูญเปล่าในกระบวนการ ทางาน การเพิ่มโอกาสในการขาย การนาสินค้ าใหม่เข้ ามาขาย การสร้ างความพอใจแก่ลูกค้ า การลดต้ นทุ นในการจัดซื้อ สินค้ าและการบริหารเงินทุนหมุ นเวียนในศูนย์สาธิตการ ตลาด เป็ นต้ น การวิ เคราะห์ ปั ญหาและอุ ป สรรคของ Supply Chain Management 1) แนวโน้ มความต้ องการซื้ อของสินค้ าที่ มี วงจรชีวิตยาว มีกาไรต่ อหน่ วยน้ อย 2) การจัดซื้อสินค้ าใน ปริมาณที่เหมาะสมต่ อความต้ องการซื้อของลูกค้ าในชุ มชน ด้ วยต้ นทุ นที่สูง 3) ต้ นทุ นการขนส่ งสินค้ าเพิ่ มสูงขึ้นตาม ราคานา้ มัน 4) การจัดหาแหล่งซื้อสินค้ าในราคาต่าค่อนข้ าง ยาก


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

การขายทุกครั้งในการดาเนินการจัดซื้อสินค้ าเข้ าศูนย์สาธิต การตลาด

245

สมาชิ ก) การควบคุ ม การจัดการศู นย์สาธิตการตลาด มี กาหนดเวลาเปิ ด-ปิ ด ตั้งแต่เวลา 06.00-20.00 น. ทุกวัน 5. ความสัมพันธ์ระหว่างทัศนคติของสมาชิกและคนใน โดยมีการสับเปลี่ยนหมุนเวียนคณะกรรมการ วันละ 2 คน ในการดูแลการขายสินค้ าในแต่ ละวัน และทาการลงบัญชี ชุมชนที่มีต่อศูนย์สาธิตการตลาด ศูนย์สาธิตการตลาดเป็ นสิ่งที่ทุกคนในชุ มชนให้ ความ ยอดขายสินค้ า และสรุปยอดขายในแต่ละวัน และดาเนินการ ส าคั ญ เป็ นสถานที่ ในการซื้ อสิ น ค้ าในราคาที่ เหมาะสม ส่งมอบเงิน ให้ กบั คณะกรรมการต่อไป ตลอดจนมีเงินปั นผลจากการซื้อสินค้ า และสามารถก่อให้ เกิด อภิปรายผลการวิจยั รายได้ เสริม มีการระดมทุนในการบริหารจัดการศูนย์สาธิต การตลาด จากความสัมพั นธ์และทัศนคติ คือ 1) คนใน จากการสรุปผลการวิจัย สามารถนามาอภิปรายผลได้ ชุ มชนมี ทัศ นคติ ท่ีดีในการบริ หารจั ด การศู น ย์ สาธิตการ ดังนี้ ตลาด เกิดความความรู้สกึ เป็ นเจ้ าของ และมีส่วนร่วมในการ 1. บริบทศูนย์สาธิตการตลาดบ้ านคาไผ่ ได้ ดาเนินการ พั ฒ นาศู น ย์ สาธิตการตลาดเพื่ อให้ เกิดการพั ฒ นาต่ อไป ก่อตั้งจากคนในชุมชนร่วมกันจัดตั้งขึ้นเพื่อตอบสนองความ 2) การจัดการมีกลไกด้ านการจัดการที่มีประสิทธิภาพ เกิด ต้ องการของคนในชุ ม ชน และได้ รั บ การส่ ง เสริ ม จาก การเชื่ อมโยงคนในชุ มชนกับ การพั ฒ นาศู น ย์ ส าธิต การ หน่ วยงานและผู้ท่เี กี่ยวข้ องในการรวมกลุ่มจัดตั้งเป็ นศูนย์ ตลาดดู แ ลรั ก ษาความสะอาดบริ เ วณศู น ย์ ส าธิ ต การ สาธิตการตลาด และคนในชุมชนมีส่วนร่ วมในการบริหาร ตลาดร่ วมกัน 3) มีระบบการจั ดการให้ เกิดกระบวนการ จั ด การศู น ย์ ส าธิ ต การตลาด สอดคล้ องกับงานวิ จั ยของ เรี ย นรู้ระหว่ างคนในชุ ม ชน สมาชิ กและคณะกรรมการ อิราวัฒน์ ชมระกา (2551, บทคัดย่อ) พบว่า กลุ่มวิสาหกิจ ตลอดจนมีจิตสานึกรักและห่ วงแหนศูนย์สาธิตการตลาดให้ ชุ ม ชน เป็ นเครื อ ข่ า ยแบบธรรมชาติ ท่ี มี ค วามสั ม พั น ธ์ เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน ส่ ว นตั ว มี ก ารแลกเปลี่ ย น โดยมี ผ ลิ ต ภั ณ ฑ์ ชุ ม ชนเป็ น 6. การบริหารจัดการศูนย์สาธิตการตลาดแบบมีส่วนร่วม สื่อกลาง หน่ วยงานภาครัฐซึ่งเป็ นหน่ วยงานภาคีร่วมกับ ศูนย์สาธิตการตลาด มีการวางแผนการบริหารจัดการ วิสาหกิจชุ มชน และภาคีเครือข่ ายวิสาหกิจฯ การพั ฒ นา ศู น ย์ ส าธิต การตลาดใหม่ ทุ ก ๆ 6 เดื อน เริ่ ม ตั้ ง แต่ การ ศักยภาพวิสาหกิจชุ มชน เป็ นการหลอมหลวมภารกิจจาก คัดเลือกสมาชิกเพื่อเข้ ามาเป็ นคณะกรรมการบริหารจัดการ หน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและสถานศึกษา เพื่อหาแนวทาง ศูนย์สาธิตการตลาด ซึ่งมีจานวนทั้งหมด 15 คน โดยมีการ พัฒนาคุณภาพสินค้ ากลุ่มวิสาหกิจและกาหนดช่องทางการ แบ่งหน้ าที่รับผิดชอบกันอย่ างชัดเจน และมีการระดมทุน จาหน่ าย กระจายสินค้ าไปยังผู้บริโภคได้ อย่ างทั่วถึงทาให้ เพื่ อใช้ ในการบริหารจัดการศูนย์สาธิตการตลาด เพื่ อให้ กลุ่มวิสาหกิจมีรายได้ เพิ่มขึ้นคุณภาพชีวิตก็ดขี ้ นึ 2. ความส าคั ญ ของศู น ย์ ส าธิ ต การตลาด และการ เกิ ด สภาพคล่ อ งในการบริ ห ารจั ด การ การจั ด องค์ ก าร ภายใต้ การบริ ห ารจั ด การในรูป แบบของคณะกรรมการ มองเห็นคุณค่าของศูนย์สาธิตการตลาด การตระหนักและ บริหารจัดการศูนย์สาธิตการตลาด การอานวยความสะดวก มองเห็นความสาคัญของศูนย์สาธิตการตลาด ซึ่งไม่ ว่าจะ ให้ กับสมาชิ กโดยการให้ เครดิ ต ในการซื้ อสิน ค้ า โดยคิ ด เป็ นคณะกรรมการ สมาชิก และคนในชุ มชน ศูนย์ สาธิต อัตราการเก็บเงินจากลูกหนี้ ประเด็นที่ 1 ถ้ าหากสมาชิกซื้อ การตลาดจาหน่ายสินค้ าสินค้ าอุปโภคและบริโภคในราคาที่ สินค้ าเป็ นเงินเชื่อจะมีระยะเวลาในการชาระหนี้ในรอบ 1 เหมาะสม มีการทากิจกรรมร่ วมกันและร่ วมแก้ ไขปั ญ หา เดือน ประเด็นที่ 2 หากว่ าสมาชิกไม่สามารถจ่ ายชาระหนี้ ในการบริหารจัดการศูนย์สาธิตการตลาดอย่ างมีส่วนร่ วม ได้ ในรอบ 1 เดือนก็สามารถจ่ายหนี้ท้งั หมดได้ ภายในรอบ สอดคล้ องกับงานวิจัยของ เพ็ญพยม สุ่มประดิษฐ์ (2553, 6 เดือน (การผิดนัดชาระหนี้ จะดาเนินการหักจากเงินปันผล บทคัดย่ อ) พบว่ า ปั จจัยสนั บสนุ นให้ การบริหารจัดกลุ่ ม ในรอบ 6 เดื อ น ของสมาชิ ก ก่ อ นการปั น ผลคื น ให้ กั บ ศูนย์ สาธิตการตลาด ประสบความส าเร็จ ด้ านภาวะผู้ น า กลุ่มศูนย์สาธิตการตลาดมีภาวะผู้นาค่อนข้ างมากเป็ นภาวะ


246

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ผู้น าแบบมีส่ วนร่ วม สมาชิ กกลุ่มไว้ วางใจ เคารพเชื่อถือ และมี ค วามเชื่ อ มั่ น ในการบริ ห ารงานของประธานและ คณะกรรมการ มีความรู้ความสามารถ มีการวางแผนการ ดาเนินงาน การติดต่ อสื่อสาร สร้ างความเข้ าใจและความ ร่วมมือของสมาชิกกลุ่ม มีความตั้งใจเสียสละเพื่อส่วนรวม อย่ างแท้ จ ริ ง การสนั บสนุ น กลุ่ ม ร้ านค้ าชุ มนได้ รั บ การ สนับสนุ นด้ านความรู้ ด้ านงบประมาณ ด้ านกิจกรรมกลุ่ม และแรงจู งใจ ในการบริหารกิจการ จากหลายหน่ วยงาน ได้ รับแรงจูงใจในการทางาน ด้ วยความภาคภูมิใจ การตลาด และการตอบสนองความต้ องการของลู กค้ าเป็ นที่พ อใจ ของลู กค้ า เพราะลู กค้ าส่ วนใหญ่ คื อสมาชิ กกลุ่ มที่ได้ รั บ ประโยชน์ร่วมกัน 3. กระบวนการวิ เคราะห์ ส ายโซ่ อุ ป ทาน ด้ านการ จั ด การศู น ย์ สาธิต การตลาด ศู น ย์ ส าธิต การตลาดมี การ ตรวจเช็คจานวนสินค้ าที่ขาดและสินค้ าคงเหลือทุ กเดือน คณะกรรมการ มีการลดปริมาณการจัดซื้อสินค้ าที่มีจานวน คงเหลือมากในแต่ละเดือน และเพิ่มจานวนการซื้อในกรณี สินค้ าขายดีในแต่ละเดือน การเพิ่ มโอกาสในการนาสินค้ า ใหม่เข้ ามาขาย การลดต้ นทุนในการจัดซื้อสินค้ า วิเคราะห์ ปั ญหาและอุปสรรคของสินค้ าที่มีวงจรชีวิตสินค้ าที่ยาว มี กาไรต่อหน่ วยน้ อย การจัดซื้อสินค้ าในปริมาณที่เหมาะสม ต่ อความต้ องการซื้ อของลู กค้ าในชุ มชน แนวโน้ มความ ต้ อ งการซื้ อ หลั งจากนั้ น ด าเนิ น การจั ด ซื้ อสิ น ค้ า โดยมี คณะกรรมการทาหน้ าที่ซ้ อื สินค้ า เข้ าไปซื้อสินค้ าตามร้ านค้ า ขายส่งในตัวจังหวัดกาฬสินธุ์ เพราะต้ องการซื้อสินค้ าใน ราคาขายส่ง ทาการโดยใช้ รถยนต์ของคนในชุมชนสับเปลี่ยน หมุนเวียนในการซื้อสินค้ า และจ่ายค่านา้ มันให้ กบั คนขับรถ ครั้งละ 500 บาท หลังจากที่ได้ สนิ ค้ าแล้ วทาการลงทะเบียน ราคาสินค้ าและทะเบียนคุมสินค้ า พร้ อมกับสร้ างระบบการ ไหลเวียนของข้ อมูล สอดคล้ องกับงานวิจัยของ สิรภพ ไชยจันลา (2555, บทคั ดย่ อ) พบว่ า การจั ดการธุรกิจเกี่ยวข้ องกับคน สินค้ าและเงินทุน ใช้ วิธีการที่ง่ายและเหมาะสมกับร้ านค้ า มากที่สดุ มีการวางแผนล่วงหน้ าดาเนินการตามแผน มีการ ตรวจสอบและควบคุมทุกสิ้นเดือน คณะกรรมการมีความ พร้ อม ทุ่มเททางาน เสียสละ มีการกาหนดทิศทางการปฏิบัติงาน และลดความซา้ ซ้ อนในการทางาน โดยการกาหนดระเบียบและ โครงสร้ างการบริหารไว้ อย่ างชัดเจน การจัดผังร้ านค้ าโดย ให้ มีทางเดินภายในร้ านที่เชื่อมต่อกันทั่วทั้งร้ าน การจัดวาง

สินค้ าเน้ นสร้ างความประทับใจสวยงามดึงดูดใจ มีสินค้ า และบริ ก ารเพี ย งพอและสอดคล้ องกั บ ความต้ องการ ของลูกค้ า การบริหารสินค้ าคงคลังเป็ นไปอย่ างเหมาะสม สอดคล้ องกับจ านวนเงิ น ทุ น หมุ น เวี ยน มี การวางระบบ ควบคุมสินค้ าคงคลังโดยใช้ สมุดบั นทึกบัญชีและส่วนการ ตั้งราคาสินค้ าไม่มุ่งหวังผลกาไรสูงสุด แต่ เน้ นการจัดสรร กาไรและเงินปันผลที่เหมาะสม 4. กระบวนการจัดการความรู้ของศูนย์สาธิตการตลาด และน าองค์ค วามรู้มาถ่ ายทอดกับผู้ มีส่ วนร่ วมเพื่ อสร้ าง ความเข้ มแข็งกระบวนการจั ด การความรู้ศู น ย์ สาธิตการ ตลาดอย่ า งมี ส่ ว นร่ วม ตั้ ง แต่ ก ระบวนการวางแผนการ บริหารจัดการเชิงระบบในการจัดการศูนย์สาธิตการตลาด แบบมีส่วนร่ วมโดยมีการประชุมเชิงปฏิบัติการ การจัดซื้อ สินค้ าตลอดจนการขายสินค้ า การควบคุมรายรับจากการ ขายสินค้ าในแต่ละวัน และการแบ่ งปั นผลหุ้นจากการขาย สินค้ าในแต่ละครั้ง สมาชิกและคนในชุมชนร่วมกันแลกเปลี่ยน ความคิดเห็นกันในการบริหารจัดการศูนย์สาธิตการตลาด พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน แล้ วนามายึดถือปฏิบัติต่อไป มี การถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการที่ดแี ก่คนใน ชุมชน เพื่อให้ ทราบถึงการบริหารจัดการที่ดีของศูนย์สาธิต การตลาด สอดคล้ องกับงานวิจัยของ ณัฐจิรา พรมสุวรรณ และคนอื่นๆ (2552, บทคัดย่อ) พบว่า กระบวนการจัดการ อย่ างมีส่วนร่ วมในการจัดการบริหารจัดการ โดยชาวบ้ าน ตระหนั กถึงปั ญ หาที่เกิดขึ้นในศู นย์ สาธิตการตลาด โดย ร่ วมกัน ศึ กษาและหารูป แบบในการบริ ห ารจั ด การ โดย ชาวบ้ านทุกคนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ การเลือกรูปแบบในการบริหารจัดการ ศูนย์สาธิตการตลาด ถือเป็ นสถานที่ทุกคนในชุมชนให้ ความสาคัญ เป็ นสถานที่ ในการซื้อสินค้ าในราคาที่เหมาะสมตลอดจนเงินปั นผลจาก การซื้อสินค้ า และสามารถก่อให้ เกิดรายได้ เสริม 5. ความสัมพันธ์ระหว่างทัศนคติของสมาชิกและคนใน ชุมชนที่มตี ่อศูนย์สาธิตการตลาด คนในชุมชนมีทศั นคติท่ดี ี ในการบริหารจัดการศูนย์สาธิตการตลาดมีความรัก และ ห่ วงแหนในศูนย์สาธิตการตลาด เกิดความความรู้สกึ ความ เป็ นเจ้ าของร่ วมกันและมีส่วนร่วมในการพัฒนาศูนย์สาธิต การตลาด มีกลไกด้ านการจัดการที่มีประสิทธิภาพ มีการ จัดกิจกรรมที่สามารถสร้ างการเรียนรู้แก่สมาชิกและคนใน ชุมชน เกิดกระบวนการเรียนรู้ระหว่างคนในชุมชน สอดคล้ อง


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

กับงานวิ จั ยของ จั กรกฤษณ์ พิ ญ ญาพงษ์ , ศรัณ ยู เรื อน จั น ทร์ , เผด็จการ กัน แจ่ ม และยุ พิ น เถื่ อนศรี (2557, บทคัดย่อ) พบว่ า กระบวนการพัฒนาเครือข่ายภูมิปัญญา ท้ องถิ่น การก่อตั้งศูนย์เรียนรู้ภูมิปัญญาท้ องถิ่นในชุมชน โดยมี ค ณะกรรมการของศู น ย์ ฯ เป็ นกลไกขั บ เคลื่ อ น เกิ ด การบู ร ณาการระหว่ างองค์ ก รในชุ ม ชนโดยใช้ ฐาน ภู มิ ปั ญ ญา ผลกระทบ ได้ แ ก่ เกิ ด การเรี ย นรู้ภู มิ ปั ญ ญา ท้ องถิ่ น ทั้งจากภายในและภายนอกชุ มชน เกิด นโยบาย ส่ ง เสริ ม ภู มิ ปั ญญาท้ องถิ่ น และมี ก ารขยายเครื อ ข่ า ย ภูมิปัญญาข้ ามพื้ นที่ ปั จจัยที่มีผลต่ อการพั ฒนาเครือข่ าย ภูมิ ปั ญ ญาท้ องถิ่ น ได้ แ ก่ การมี จิ ต สานึ กร่ วมกัน ความ สัมพั นธ์แบบเครือญาติ การติดต่ อสื่อสารอย่ างสม่าเสมอ ศักยภาพของผู้นา 6. การบริหารจัดการศูนย์สาธิตการตลาดแบบมีส่วนร่วม มีคณะกรรมการดูแลในการดูแลการขายสินค้ าในแต่ละวัน และทาการลงบัญชีการขายในลักษณะเป็ นบัญชีรายรับจาก การขายสินค้ าซึ่งมียอดขายสินค้ า และยอดเงินที่ขายได้ เมื่อ ถึงเวลาทาการปิ ดการขายสินค้ าในแต่ละวัน จะมีการสรุป ยอดขายในแต่ละวัน และดาเนินการส่งมอบเงินจากการขาย สินค้ าให้ กบั คณะกรรมการศูนย์สาธิตการตลาด สอดคล้ อง กับงานวิ จั ย ของ สรี ย า พั น ธุ์ณ รงค์ (2553, บทคั ด ย่ อ ) พบว่า ศูนย์สาธิตการตลาด เกิดขึ้นจากการจัดทาแผนแม่บท ชุ มชน เพื่ อเป็ นแหล่ งกระจายสิน ค้ าอุป โภคบริโภคไปสู่ ชนบท เป็ นการคุ้มครองประชาชนในชนบทให้ สามารถซื้อ สินค้ าในราคาที่เป็ นธรรม และสอดคล้ องกับงานวิจัยของ เสถียร มุ่งดี (2551, บทคัดย่อ) พบว่า การบริหารจัดการ กลุ่มเน้ นการมีส่วนร่วมของสมาชิก และชาวบ้ านหน่วยงาน ราชการที่เกี่ยวข้ อง มีกฎระเบียบ ข้ อบังคับ ที่สมาชิกทุกคน ร่วมกันกาหนด ให้ ความสาคัญกับคุณธรรมและจริยธรรม ทาให้ การบริหารงานของกลุ่มมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ข้อเสนอแนะเพือ่ การวิจยั ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย 1. หน่ วยงานภารรั ฐควรให้ การส่ งเสริ มความรู้แ ละ ประสบการณ์ในเรื่องระบบการจัดทาบัญชี เพื่อสร้ างความมี ประสิทธิภาพในการดาเนินงานและความโปร่งใสตรวจสอบ

247

ได้ ง่าย และตลอดจนส่งเสริมการตลาดสร้ างความแตกต่าง ของศูนย์สาธิตการตลาดกับชุมชนใกล้ เคียง 2. หน่ ว ยงานราชการหรื อ สถานศึ ก ษา ควรให้ การ สนับสนุนส่งเสริมองค์ความรู้ให้ เกิดการสร้ างการมีส่วนร่วม ในการบริหารจัดการศู นย์ สาธิตการตลาดและหน่ วยงาน ภายในของชุ มชนและสร้ างเครือข่ ายกับองค์กรภายนอก ชุมชน เช่น การศึกษาดูนอกสถานที่ ในอาเภอ และจังหวัด ใกล้ เคียง ข้อเสนอแนะเพือ่ งานวิจยั ครั้งต่อไป 1. จากการศึกษาวิจัยปั ญหาและอุปสรรคในเรื่องของ เวลาในการลงพื้ นที่เก็บรวบรวมข้ อมูล ในการศึกษาวิจั ย ครั้งต่อไป ควรวางแผนในเรื่องของเวลาในการลงพื้นที่ให้ เหมาสมและสอดคล้ องกับสถานการณ์ความพร้ อมของคน ในชุมชนเป็ นหลัก 2. ในการวิ จั ย ครั้ ง ต่ อ ไปควรท าการศึ ก ษาวิ จั ย เชิ ง ปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม ระหว่างกลุ่มศูนย์สาธิตการตลาด และกลุ่มวิสาหกิจอื่นๆ ภายในชุมชน และภายนอกชุมชน เพื่ อน าข้ อมู ลไปหาแนวทางแก้ ไขปั ญ หาร่ วมกัน ระหว่ าง ศูนย์สาธิตการตลาด กลุ่มวิสาหกิจ ชุมชน และหน่ วยงาน ภายนอกต่อไป กิตติกรรมประกาศ งานวิจัยเล่ มนี้ได้ รับการสนับสนุ นจากเครือข่ายบริหาร การวิจั ย และถ่ ายทอดเทคโนโลยี สู่ชุ มชนภาคตะวั น ออก เฉียงเหนือตอนบน สานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ประจ าปี งบประมาณ พ.ศ.2555 คณะผู้ วิ จั ย ขอขอบพระคุณ หน่วยประสานงานเขตพื้นที่ 3 มหาวิทยาลัย มหาสารคาม ที่ได้ ให้ ความช่ วยเหลื อติดต่ อประสานงาน ในการด าเนิ น การตลอดจนค าแนะน าต่ างๆ จนงานวิ จั ย เสร็จ สมบู ร ณ์ และที่ ส าคั ญ คณะกรรมการศู น ย์ ส าธิ ต การตลาด สมาชิกและชาวบ้ านคาไผ่ ตาบลหนองกุง อาเภอ เมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ ทุกท่าน คณะผู้วิจัยจะนาความรู้ท่ี ได้ รั บ ไปพั ฒ นาการท างานให้ ดี ย่ิ ง ขึ้น เพื่ อประโยชน์ ต่ อ ตนเอง สังคม และประเทศชาติต่อไปในอนาคต


248

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

เสถียร มุ่ งดี. (2551). การศึกษาปั จจั ยเงื่อนที่มีต่ อความ ยั่ งยื น ของกลุ่ ม ร้ านค้ าชุ ม ชน กรณี ศึ ก ษา บ้ านโนนโพธิ์ จักรกฤษณ์ พิ ญ ญาพงษ์ , ศรัณ ยู เรือนจันทร์ , เผด็จการ องค์การบริหารส่วนตาบลชานุมาน อาเภอ ชานุมาน จังหวัด กันแจ่ ม และยุพิน เถื่อนศรี. (2557). รูปแบบการพัฒนา อานาจเจริญ. สืบค้ นจาก http://tdc.thailis.or.th [8] เครือข่ายภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน ตาบลทุ่งยัง้ อาเภอ ลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์. วารสารการวิจยั เพื อ่ พัฒนาชุมชน อิราวัฒน์ ชมระกา. (2551). รูปแบบการจัดการเครือข่าย การตลาดผลิ ต ภัณ ฑ์ชุ มชน จังหวัด อุ ต รดิ ต ถ์ โดยความ (มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์), 7(1), 69-77. [1] ร่ ว มมื อ ของมหาวิ ท ยาลัย ราชภั ฏ อุ ต รดิ ต ถ์ แ ละองค์ ก ร ชาย โพธิสิตา. (2554). ศาสตร์และศิ ลป์ แห่ งการวิจยั เชิง ท้องถิ่น. อุตรดิตถ์: มหาวิทยาลั ยราชภั ฏอุตรดิตถ์ คณะ คุณ ภาพ (พิ มพ์ ค รั้งที่ 5). กรุงเทพฯ: อมริน ทร์พ ริ้ นติ้ ง วิทยาการจัดการ. [9] แอนด์พับลิชชิ่ง. [2] Translated Thai References ณั ฐจิ รา พรมสุวรรณ, กาไล ไทยวงค์, วานิ ตพร จั น วั น , ศิรพรรณ ปรนปรือ, อาภา วิสทุ ธะยา, สุวรรณี พรมเวียง,… Chaijanla, S. (2012). The Management of Participatory ชวัลรัตน์ ธานี . (2552). กระบวนการจัดการอย่ างมีส่วน Marketing Demonstrative Center of Kluay Muang ร่วมในการจัดระบบการบริหารจัดการศูนย์ สาธิตการตลาด Village, Kluay Phae Sub-District, Mueang District, (ศู นย์ สาธิต การตลาด) ของชุ มชนบ้ านหนองฮี ต าบลชี Lam Pang Province. Retrieved from http://tdc. ทวน อ าเภอเขื่ อ งใน จั ง หวั ด อุ บ ลราชธานี . สื บ ค้ นจาก thailis.or.th [in Thai] [6] http://elibrary.trf.or.th/ [3] Chomraka, I. (2 0 0 8 ) . The Model of Network of เพ็ญพยม สุ่มประดิษฐ์ . (2553). การบริหารจัดการกลุ่ม Community Products Management of Uttaradit Province ศูนย์ สาธิตการตลาดบ้ านหนองสระ องค์การบริหารส่ วน with the Cooperation of Uttaradit Rajabhat Univresity ตาบลวังใหญ่ อาเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์. สืบค้ น and Local Administrative Organization. Uttaradit: Uttaradit จาก http://tdc.thailis.or.th [4] Rajabhat Univresity, The Faculty of Management. [in Thai] [9] สรี ย า พั น ธุ์ ณ รงค์ . (2553). การศึ ก ษาการด าเนิ น งาน ประสิทธิภาพ และความอยู่ รอดของกิจการร้ านค้ าชุ มชน Janthavanit, S. (2010) Qualitative Research Methodology กรณี ร้ านค้ าชุ มชนบ้ านกล้ วยใหม่ หมู่ 14 ต.สันมะเค็ด (18th ed.). Bangkok: Chulalongkorn University Press. อ.พ าน จ.เชี ย งราย. วารสารการวิ จ ั ย กาสะลองค า [in Thai] [7] มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย, 4(2), 15-23. [5] Mungdee, S. (2008). The Study of Conditional สิ ร ภพ ไชยจั น ลา. (2555). การจั ด การศู น ย์ ส าธิ ต Factors Affecting the Sustain of Community Shop: A การตลาดแบบมีส่วนร่ วมของชุมชนบ้ านกล้ วยม่ วง ตาบล Case Study of Non Pho Sub-District Administrative กล้ วยแพะ อ าเภอเมื อ ง จั ง หวั ด ล าปาง. สื บ ค้ นจาก Organization, Chanuman District, Annartcharoen Province. http://tdc.thailis.or.th [6] Retrieved from http://tdc.thailis.or.th [in Thai] [8] เอกสารอ้างอิง

สุ ภ างค์ จั น ทวานิ ช . (2553). วิ ธี ก ารวิ จ ัย เชิ ง คุ ณ ภาพ (พิมพ์ครั้งที่ 18). กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์แห่ งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. [7]


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

Phannarong, S. (2010). The Study of the Operation, Efficiency, and Survivor of Community Shop: A Case Study at Kluay Yai Village Community Shop, Moo 14, Summadet Sub-District, Phan District, Chiang Rai Province. Kasalongkham Research Journal, Chiangrai Rajabhat University, 4(2), 15-23. [in Thai] [5]

249

Phromsuwan, N., Thaiwong, K., Janwan, W., Pronprue, S., Wisutthaya, U., Phormwieng, S.,...Thani, H. (2009). The Processes of Participatory Management in Managing the Management System of the Marketing Demonstrative Center of Nonghee Village, Shetuan Sub-District, Khueang Nai District, Ubonratchathani Province. Retrieved from http://tdc.thailis.or.th Phinyaphong, J., Rueanjan, S., Kanjaem, P., & [in Thai] [3] Thueansee, Y. (2014). Model of the Development of Local Wisdom Network of Community at Thoongyung Soompradit, P. (2010). The Management of Marketing Sub-District, Lublae District, Uttaradit Province. Demonstrative Center of Nong Sra Sub-District, Tha Journal of Community Development Research (Humanities Ta Ko District, Nakhonsawan Province. Retrieved from and Social Sciences), 7(1), 69-77. [in Thai] [1] http://tdc.thailis.or.th [in Thai] [4] Phosita, C. (2011). Sciences and Arts of Qualitative Research (5th ed.). Bangkok: Amarin Printing and Publishing (PLC). [in Thai] [2]


250

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ความสัมพันธ์ระหว่างเจตคติต่องานบริการ บุคลิกภาพแบบคุณลักษณะเฉพาะ และการใช้เหตุผลเชิงจริยธรรมกับคุณภาพการบริการของบุคลากรผูใ้ ห้บริการผูป้ ่ วย โรงพยาบาลอินเตอร์เวชการ จังหวัดพิษณุโลก สิตาณัฏฐ์ จริยวิทยาวัฒน์a*, รังสิมา หอมเศรษฐี b และมุกดา ศรียงค์b

Relationship Between Attitude Towards Work Service, Narrow Personality Traits, Moral Reasoning and Customer Service of Intervejchakan Hospital Phitsanulok Sitanat Jariyawitayawata*, Rangsima Homsettib and Mookda Sriyongb a

โรงพยาบาลอินเตอร์เวชการ จังหวัดพิษณุโลก 65000 สาขาจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคาแหง a Intervejchakan Hospital, Phitsanulok 65000 Thailand b Industrial and Organizational Psychology, Faculty of Education, Ramkhamhaeng University * Corresponding author. E-mail address: iatahmos@hotmail.com b

บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับเจตคติต่องานบริการ บุคลิกภาพแบบคุณลักษณะเฉพาะ และการใช้ เหตุผลเชิงจริยธรรม และคุณภาพการบริการของบุคลากรผู้ให้ บริการผู้ป่วยโรงพยาบาลอินเตอร์เวชการ จังหวัดพิษณุโลก 2) เพื่อเปรียบเทียบคุณภาพการบริการ ของบุคลากรผู้ให้ บริการผู้ป่วยโรงพยาบาลอินเตอร์เวชการ จังหวัดพิษณุโลก จาแนกตามปั จจัยส่วนบุคคล 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง เจตคติต่องานบริการ บุคลิกภาพแบบคุณลักษณะเฉพาะ และการใช้ เหตุผลเชิงจริยธรรมกับคุณภาพการบริการของบุคลากรผู้ให้ บริการผู้ป่วย โรงพยาบาลอินเตอร์เวชการ จังหวัดพิ ษณุโลก 4) เพื่ อสร้ างสมการท านายคุณภาพการบริการของบุ คลากรผู้ให้ บริการผู้ป่ วยโรงพยาบาล อินเตอร์เวชการ จังหวัดพิษณุโลก โดยมีเจตคติต่องานบริการ บุคลิกภาพแบบคุณลักษณะเฉพาะ และการใช้ เหตุผลเชิงจริยธรรมเป็ นตัวแปร ทานายไม่น้อยกว่า 1 ตัวแปร กลุ่มตัวอย่างเป็ นบุคลากรผู้ให้ บริการผู้ป่วย จานวน 85 คน เครื่องมือที่ใช้ ในการวิจัยแบ่งเป็ น 2 ส่วน คือ สาหรับ บุคลากรประเมินตนเอง ได้ แก่ แบบสอบถามข้ อมูลลักษณะส่วนบุคคล แบบสอบถามเกี่ยวกับเจตคติต่องานบริการ แบบวัดบุคลิกภาพแบบ คุณลักษณะเฉพาะ แบบวัดการใช้ เหตุผลเชิงจริยธรรม และแบบสอบถามสาหรับหัวหน้ างาน ได้ แก่ แบบสอบถามคุณภาพการบริการ สถิติท่ใี ช้ ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้ อยละ ค่ าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์เปรียบเทียบค่าเฉลี่ย One-Way ANOVA ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ ของเพียร์สนั และการวิเคราะห์ถดถอยแบบพหุคูณ ผลการวิจัยสรุปได้ ดังนี้ 1. ระดับเจตคติต่องานบริการ บุคลิกภาพแบบคุณลักษณะเฉพาะ และการใช้ เหตุผลเชิงจริยธรรม อยู่ในระดับสูง ส่วนคุณภาพการบริการของบุคลากรผู้ให้ บริการผู้ป่วย อยู่ในระดับปานกลาง 2. ปั จจัยส่วนบุคคลไม่ มีผลต่อคุณภาพการบริการของบุคลากร ผู้ให้ บริการผู้ป่วยโรงพยาบาลอินเตอร์เวชการ จังหวัดพิษณุโลก 3. เจตคติต่องานบริการ บุคลิกภาพแบบคุณลักษณะเฉพาะ ไม่มีความสัมพันธ์ กับคุณภาพการบริการ แต่การใช้ เหตุผลเชิงจริยธรรมด้ านเมตตา-กรุณามีความสัมพันธ์ทางบวกกับคุณภาพการบริการด้ านความมีตัวตนหรือ รูปลักษณ์ทางกายภาพ ด้ านความไว้ วางใจได้ และการตอบสนองที่ทันใจ ส่วนการใช้ เหตุผลเชิงจริยธรรม ด้ านหิริ-โอตัปปะ มีความสัมพันธ์ ทางบวกกับคุณภาพการบริการด้ านความไว้ วางใจ และการตอบสนองที่ทนั ใจ 4.ตัวแปรที่สามารถนามาสร้ างสมการทานายคุณภาพการบริการ ของบุคลากรผู้ให้ บริการผู้ป่วยโรงพยาบาลอินเตอร์เวชการ จังหวัดพิษณุโลก คือ การใช้ เหตุผลเชิงจริยธรรมด้ านเมตตา-กรุณา ได้ ร้อยละ 5.1 คาสาคัญ: ความสัมพันธ์ เจตคติต่องานบริการ บุคลิกภาพแบบคุณลักษณะเฉพาะ การใช้ เหตุผลเชิงจริยธรรม คุณภาพการบริการ Abstract The objectives of this research were 1) To study the attitude towards work service scale, narrow personality traits, moral reasoning and service quality of customer service’s staff members. 2) To compare service quality classified by personal factors. 3) To study the relationship between the attitudes towards customer service, narrow personality traits, moral reasoning and service quality of the staff members. 4) To predict the service quality of customer service’s staff members by considering the attitudes towards work service,


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

251

narrow personality traits and moral reasoning predictor variables. The sample was 85 staff members of Intervejchakarn Hospital Phitsanulok’s customer service. The research instrument included a personal questionnaire, a questionnaire on attitudes towards customer service, a narrow personality trait test and a moral reasoning test of the staff members and a service quality questionnaire for the supervisor of customer service. The data was statistically analyzed for percentage, standard deviation, One-Way ANOVA, Pearson’s product moment coefficient of correlation and multiple regression analysis. The research results are summarized as follows: 1. The attitude scales on work service, narrow personality traits and moral reasoning were at high level whereas service quality of the staff members was leveled middlingly. 2. The personal factors did not affect the staff members’ service quality of Intervejchakarn Hospital Phitsanulok. 3. There was no relationship between the attitudes towards work service, narrow personality traits and service quality. The service quality regarding external personality, reliability and quick response, however, had a positive relationship with moral reasoning, i.e., compassion. Another positive relationship was between the service quality regarding reliability, quick response and moral reasoning, i.e., integrity. 4 . The service quality of customer service’s staff members of Intervejchakarn Hospital Phitsanulok could be predicted at 5.1% by moral reasoning, i.e., compassion. Keywords: Relationship, Attitude Towards Work Service, Narrow Personality Traits, Moral Reasoning, Customer Service

บทนา การบริการเป็ นสิ่งส าคัญ ยิ่ งในงานด้ านต่ างๆ เพราะ บริการ คือ การให้ ความช่วยเหลือหรือการดาเนินการที่เป็ น ประโยชน์ ต่ อผู้ อ่ ื น ไม่ มี การด าเนิ นงานใดๆ ที่ ป ราศจาก บริ การทั้งในภาคราชการและภาคธุรกิจเอกชน การขาย สินค้ าหรือผลิตภัณฑ์ใดๆ ก็ต้องมีการบริการรวมอยู่ด้วย เสมอ ยิ่งเป็ นธุรกิจบริการ ตัวบริการนั่นเอง คือ สินค้ า การ ขายจะประสบความสาเร็จได้ ต้องมีบริการที่ดี เป็ นความจริง ว่ า “เราสามารถพั ฒ นาคุ ณ ภาพสินค้ าทีละตัวได้ แต่ การ พั ฒ นาคุ ณ ภาพบริการต้ อ งทาพร้ อมกันทั้งองค์กร” การ พั ฒ นาคุ ณ ภาพของการบริ ก ารเป็ นสิ่งจ าเป็ นอย่ างยิ่ ง ที่ ทุ กคนในองค์ กรจะต้ องถือเป็ นความรั บผิ ดชอบร่ วมกัน มิ ฉ ะนั้ น จะเสีย โอกาสแก่ คู่ แ ข่ ง ขั น หรื อ สูญ เสี ย ลู ก ค้ าไป (สมิต สัชฌุกร, 2550) ธุรกิจบริการโรงพยาบาล เป็ นธุรกิจที่มีความแตกต่ าง จากธุรกิจบริการทั่วไป ในปั จจุ บันมีการแข่งขันกันมากขึ้น ทั้ ง โรงพยาบาลรั ฐ และเอกชน ซึ่ ง มี ท้ั ง การแข่ ง ขั น ด้ วย เทคโนโลยี การรั กษา และการให้ บริ การ ทั้งนี้ ก็เพื่ อให้ ผู้รับบริการซึ่งมีลักษณะพิเศษ คือ เป็ นผู้ป่วย ผู้รับบริการ ประเภทนี้ต้ องการการเอาใจใส่ และดูแลเป็ นพิ เศษ ต้ อง รู้สกึ ปลอดภัย และได้ รับการดูแลอย่างดีดุจญาติคนสาคัญ ดังนั้ น ธุรกิจโรงพยาบาลจึงจาเป็ นต้ องคัดเลือกพนักงาน ที่มีบุ คลิ กลักษณะที่เหมาะสมกับการท างานบริการ เพื่ อ สามารถให้ บริการได้ อย่ างประทับใจและป้ องกันปั ญหาข้ อ ร้ องเรียนจากผู้รับบริการได้ องค์กรใดก็ตามที่สามารถสร้ าง

ประสบการณ์ ท่ี ดี ในการรั บ บริ ก าร ประสบการณ์ น้ั น จะ ตราตรึงอยู่ในความทรงจาของผู้รับบริการอย่างไม่มีวันลืม องค์กรนั้นก็จะประสบความสาเร็จทางธุรกิจ แต่ปัจจุบนั การ คัดสรรบุ คลากรเพื่ อเข้ าท างานในธุรกิจนี้ ยั งไม่ สามารถ แยกแยะได้ ว่า บุคคลใดเหมาะสมกับการทางานบริการใน โรงพยาบาล เนื่องจากในการสัมภาษณ์งาน ผู้ให้ สมั ภาษณ์ อาจมีแรงผลักดันให้ แสดงพฤติกรรมที่ผ้ ูสมั ภาษณ์คาดหวัง ดังนั้น ธุรกิจบริการจึงต้ องมีการวัดเจตคติท่ดี ีต่องานบริการ เพราะการมีเจตคติท่ีดี ต่ องานบริ การเป็ นสิ่งส าคั ญ ต่ อ ผู้ ให้ บริการอย่ างมาก เจตคติมีอิทธิพลต่ อกระบวนการคิด ของคนเราไม่น้อยไปกว่าความเชื่อและค่านิยม คือ ถ้ าเรามี เจตคติท่ดี ีต่อสิ่งใดเราก็จะให้ ความสาคัญต่อสิ่งนั้นยกย่ อง สิ่งนั้น เชื่อถือสิ่งนั้นเพิ่ มขึ้น (สมิต สัชฌุ กร, 2550) การ เสริมสร้ างเจตคติท่ถี ูกต้ องว่า งานบริการเป็ นงานที่มีคุณค่า จะต้ องเริ่มจากการศึกษาทาความเข้ าใจที่ถูกต้ องว่า ทุกคน เมื่ออยู่ในฐานะใด มีตาแหน่ งหน้ าที่ใด ก็จะต้ องทาหน้ าที่ ให้ บริการซึ่งเป็ นไปตามตาแหน่ งหน้ าที่น้ันๆ ต้ องมีเจตคติ ที่ดีต่องาน ต่ อองค์กร ต่ อลูกค้ า และมีความรู้สึกมั่นใจใน ภารกิจที่มอี ยู่ว่าเป็ นสิ่งที่จะต้ องรับผิดชอบทาให้ ดที ่สี ดุ เสมอ นอกจากเรื่องเจตคติท่ีดีต่อการทางานบริการแล้ วนั้ น บุคลิกภาพก็เป็ นองค์ประกอบทางจิตวิทยาอีกอย่างหนึ่งที่มี ความสาคัญมากต่อการปฏิบัติงาน เพราะเป็ นที่ยอมรับกัน ว่ า บุ คลิกภาพมีบทบาทสาคัญ ต่ อความส าเร็จหรือความ ล้ มเหลวในอาชีพ ซึ่งทฤษฎีบุคลิกภาพนั้นมีอยู่หลายทฤษฎี แต่ทฤษฎีบุคลิกภาพที่นิยมนามาใช้ ในการวิเคราะห์บุคคล


252

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ในการทางาน ได้ แก่ ทฤษฎีบุคลิกภาพห้ าองค์ประกอบ ถือ เป็ นทฤษฎี ท่ีเข้ าใจง่ ายและเหมาะสมในการน ามาใช้ วั ด บุคลิกภาพ แต่หากต้ องการวัดบุคลิกภาพของผู้ให้ บริการ ในธุรกิจบริการอาจจะกว้ างเกินไป จึงมีการนาบุคลิกภาพ แบบคุณลักษณะเฉพาะ (Narrow Personality Traits) มาใช้ เพื่อเจาะจงบุคลิกภาพด้ านการบริการให้ ชัดเจนมากขึ้น ซึ่ง จากงานวิจัยของ John, Patrick, Young Kim, and Gibsonand (2012) ได้ กล่ าวว่ า บุคลิกภาพแบบคุณลักษณะเฉพาะมี ความเหมาะสมกับการวั ดบุ ค ลิ กภาพในการท างานด้ าน บริการ เพื่อให้ ได้ ผลการประเมินที่สามารถทานายแนวโน้ ม ลักษณะนิสยั ได้ แม่นยามากขึ้น ตัวแปรอีกตั วหนึ่ งที่ผ้ ู วิจั ยต้ องการศึ กษา คื อ การใช้ เหตุผลเชิงจริยธรรม ซึ่งจากการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้ อง พบว่า เบื้องหลังการกระทาต่างๆ ของบุคคล ในการศึกษา การใช้ เหตุ ผ ลเชิ ง จริ ย ธรรมจะท าให้ ทราบว่ าบุ ค คลผู้ มี จริยธรรมในระดับต่างกัน อาจมีการกระทาที่คล้ ายคลึงกัน ได้ เสมอ และบุคคลที่มีการกระทาเหมือนกัน อาจมีเหตุผล เบื้องหลังการกระทา และท้ ายสุดก็จะมีระดับ จริยธรรมที่ แตกต่ างกันได้ (ปริญญา บัญญั ติ, 2549) สังคมทุกวันนี้ นิยมยกย่ องคนเก่ง คนกล้ า จนลืมนึกไปว่าการเป็ นคนเก่ง อย่างเดียวนั้นไม่พอ แต่ต้องเป็ นคนดีด้วย เพราะความเป็ น คนดีมีจริยธรรมนั้ นเป็ นปั จจัยสาคัญที่ช่วยสร้ างให้ สังคม อยู่เย็นเป็ นสุข โดยเฉพาะอย่ างยิ่งในการทาธุรกิจ บริการที่ ผู้ รั บบริ การต้ องการการเอาใจใส่ ให้ ความช่ วยเหลื อ และ เอื้อเฟื้ อเผื่อแผ่ บริการที่ดีหรือไม่ ดีข้ ึนอยู่กับผู้ให้ บริการ ถ้ าหากผู้ ให้ บริการเป็ นคนดี และได้ รับการปลู กฝั งนิ สัย ในการให้ บริการและฝึ กฝนตนเองมาดี ก็จะทาให้ เกิดการ บริการที่เป็ นเลิศ จากปั ญ หาด้ า นการคั ด เลื อ กผู้ มี ค วามเหมาะสมต่ อ การทางานในธุรกิจบริการโรงพยาบาล ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิ จัยจึ งได้ ทาการศึ กษากับโรงพยาบาลอินเตอร์เวชการ พิ ษ ณุ โลก ซึ่ งเป็ นโรงพยาบาลเอกชนขนาด 70 เตี ยง มี เจ้ าหน้ าที่ปฏิบตั ิงานจานวน 271 คน โดยทั่วไปโรงพยาบาล เอกชนแต่ ละแห่ งมีการให้ บริการด้ านเครื่องมือที่ทันสมัย เหมื อ นกัน จึ งต้ อ งมุ่ งแข่ งขั น กัน ที่ก ารบริ ก ารว่ าที่ ใดจะ ให้ บริการได้ เป็ นเลิศกว่ ากัน และสามารถดึงดูดลู กค้ าให้ กลับมาใช้ บริการได้ อีก จึงอาจกล่ าวได้ ว่า การบริการเป็ น หั วใจสาคัญของการดาเนินธุรกิจบริการ และด้ วยเหตุผล

ด้ านการแข่งขันเกี่ยวกับการให้ บริการสุขภาพที่สูงนี้ ผู้วิจัย ซึ่งทาหน้ าที่พัฒนาทรัพยากรบุคคลจึงได้ สนใจศึกษาเรื่อง ดังกล่าว เพื่อนาผลการวิจัยนี้ไปใช้ ประโยชน์ในการคัดเลือก บุคลากรเพื่อเข้ าทางานในโรงพยาบาลให้ มีความเหมาะสม ต่อการบริการผู้ป่วยและพั ฒนาบุคลากรของโรงพยาบาล ต่อไปในภายภาคหน้ า ซึ่งผู้วิจัยได้ ต้งั เป้ าหมายไว้ 4 ประการ ดังต่อไปนี้ วัตถุประสงค์ของการวิจยั 1. เพื่ อศึกษาระดับเจตคติต่องานบริการ บุคลิกภาพ แบบคุณลักษณะเฉพาะ การใช้ เหตุผลเชิงจริยธรรม และ คุณภาพการบริการของบุคลากรผู้ให้ บริการผู้ป่วยโรงพยาบาล อินเตอร์เวชการ จังหวัดพิษณุโลก 2. เพื่ อเปรียบเทียบคุณภาพการบริการของบุคลากร ผู้ ให้ บริ การผู้ ป่ วยโรงพยาบาลอิ น เตอร์ เวชการ จั งหวั ด พิษณุโลก จาแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล 3. เพื่ อศึ กษาความสัม พั น ธ์ระหว่ า งเจตคติ ต่ อ งาน บริการ บุคลิกภาพแบบคุณลักษณะเฉพาะ และการใช้ เหตุผล เชิงจริยธรรม กับคุณภาพการบริการของบุคลากรผู้ให้ บริการ ผู้ป่วยโรงพยาบาลอินเตอร์เวชการ จังหวัดพิษณุโลก 4. เพื่ อสร้ างสมการท านายคุ ณ ภาพการบริ การของ บุ คลากรผู้ ให้ บริ การผู้ ป่ วยโรงพยาบาลอิน เตอร์ เวชการ จังหวัดพิ ษณุโลก โดยมีเจตคติต่องานบริการ บุคลิกภาพ แบบคุ ณ ลักษณะเฉพาะ และการใช้ เหตุผลเชิ งจริยธรรม เป็ นตัวแปรทานาย สมมติฐานของการวิจยั 1. บุคลากรโรงพยาบาลอินเตอร์เวชการ จังหวัดพิษณุโลก ที่มีปัจจัยส่วนบุคคล อันได้ แก่ อายุ อายุงาน และสถานภาพ สมรสแตกต่างกันมีคุณภาพการบริการแตกต่างกัน 2. เจตคติ ต่ องานบริ การ บุ คลิ กภาพแบบคุ ณลั กษณะ เฉพาะ และการใช้ เหตุผลเชิงจริยธรรม มีความสัมพันธ์กับ คุ ณ ภาพการบริ การของบุ ค ลากรผู้ ให้ บริ การผู้ ป่ วยของ โรงพยาบาลอินเตอร์เวชการ จังหวัดพิษณุโลก 3. เจตคติ ต่ องานบริ การ บุ คลิ กภาพแบบคุ ณลั กษณะ เฉพาะ และการใช้ เหตุผลเชิ งจริ ยธรรม สามารถร่ วมกัน ทานายคุณภาพการบริการของบุคลากรผู้ให้ บริการผู้ป่วย


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ของโรงพยาบาลอิ น เตอร์ เวชการ จั ง หวั ด พิ ษ ณุ โลกได้ อย่างน้ อย 1 ตัวแปร วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง จากการศึ กษาเอกสารและงานวิจั ยที่เกี่ยวข้ อง พบว่ า คุ ณ ภาพการบริ การ หมายถึ ง ความสอดคล้ องของการ บริการกับความต้ องการและความคาดหวังของผู้รับบริการ ซึ่ งจะท าให้ เกิด ความพึ งพอใจ ทั้งขณะและภายหลั งรั บ บริการ ทาให้ กลับมาใช้ บริการเป็ นประจา ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยเลือกใช้ การประเมินคุณภาพการบริการ ตามแนวคิด ของ Parasuraman, Zeithaml, and Berry (1988) ที่ได้ พัฒนา ไว้ ในปี 1990 มาเป็ นตัวกาหนดคุณภาพการบริการทั้ง 5 ด้ าน คือ (1) ความมีตัวตน หรือรูปลั กษณ์ ทางกายภาพ ของการบริการที่ดี (2) ความไว้ วางใจได้ (3) ความเชื่อถือ ได้ (4) การตอบสนองที่ทันใจ และ (5) ความเอื้ออาทร หรือความเอาใจใส่ นอกจากคุณภาพการบริการจะสะท้ อน ให้ เห็นถึงความสามารถในการบริการของบุคลากรแล้ ว การ มีเจตคติท่ดี ีต่อการทางานบริการยังเป็ นปั จจัยที่ส่งเสริมให้ การทางานบริการมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเจตคติเป็ นสิ่งที่ แสดงถึงความรู้สึกส่วนตัวที่เห็นด้ วย หรือไม่ เห็นด้ วยต่ อ เรื่องใดเรื่องหนึ่ง และความรู้สกึ นี้จะเป็ นตัวกาหนดทิศทาง ของปฏิ กิ ริ ย าของบุ ค คลที่ จ ะมี ต่ อ บุ ค คล สิ่ ง ของ หรื อ สถานการณ์ท่เี กี่ยวข้ องในลักษณะที่ชอบหรือไม่ชอบ ซึ่งจาก การศึ ก ษางานวิ จั ยที่ เกี่ ยวข้ อ ง (จาญา สัน ติ ส งวนศั ก ดิ์ , 2546, น. 77) พบว่ า เจตคติต่ องานบริการ บุ คลิกภาพ กับคุณภาพการบริการมีความสัมพันธ์กนั ในเชิงบวก ซึ่งใน การประเมิ นเจตคติต่ องานบริการต้ องค านึ งถึงความคิ ด ความรู้สึกและพฤติกรรมด้ วย ผู้ วิจัยจึงได้ นาแนวคิดการ ประเมิ นเจตคติของ Jones and Lockwood (1989) เป็ น แนวทางในการสร้ างข้ อคาถามวัดเจตคติต่องานบริการของ บุคลากรผู้ให้ บริการผู้ป่วย ซึ่งประเภทของเจตคติดังกล่ าว ได้ แก่ (1) เจตคติ ต่ อลั กษณะงานบริ การ (2) เจตคติ ต่ อ เงื่อนไขผลตอบแทน (3) เจตคติต่อการบริหารการบริการ (4) เจตคติต่อการปฏิบัติงานบริการ และ (5) เจตคติต่อ สภาพแวดล้ อมของการบริการ ส่วนการคัดเลือกบุคลากรที่ เหมาะสมกับการทางานบริการ ก็จาเป็ นต้ องมีบุคลิกภาพที่ เข้ ากับการทางานด้ วย ซึ่งโดยส่วนมากจะใช้ การวัดบุคลิกภาพ

253

ตามทฤษฎีบุคลิกภาพห้ าองค์ประกอบ เนื่องจากเป็ นทฤษฎี ที่เข้ าใจได้ ง่ายและเป็ นที่นิยม แต่จากการวิจัยเรื่องบุคลิกภาพ ในสมัยปัจจุบนั ก็ได้ มกี ารเพิ่มเติมบุคลิกภาพแบบคุณลักษณะ เฉพาะเข้ ามาใช้ วัดบุคลิกภาพในการทางานเฉพาะด้ านขึ้น ด้ วยเหตุผลที่การวัดบุ คลิกภาพห้ าองค์ประกอบเป็ นการ วัดบุคลิกภาพแบบกว้ างๆ ซึ่งในงานวิจัยชิ้นนี้ต้องการวัด บุคลิกภาพที่เหมาะต่ องานบริการ จึงได้ ใช้ การวัดบุคลิกภาพ แบบคุณลักษณะเฉพาะต่องานบริการตามแนวคิดของ John et al. (2012) ประกอบด้ วย (1) การกล้ าแสดงออก (2) การให้ ความสาคัญกับลูกค้ า (3) แรงจูงใจภายใน (4) การ มองโลกในแง่ ดี (5) จิ ตใจหนั กแน่ น (6) แรงขับในการ ทางาน นอกจากตัวแปรดังกล่าวแล้ ว ผู้วิจัยยังให้ ความสนใจ เรื่องของจริยธรรมอีกด้ วย โดยน าทฤษฎีพั ฒ นาการทาง จริยธรรมของ Kohlberg มาใช้ วัดระดับการตัดสินใจตาม หลักการใช้ เหตุผลเชิงจริยธรรม 6 ขั้น เนื่องจากได้ รับความ นิยมมากกว่าทฤษฎีอ่นื และใช้ หลักจริยธรรมที่สาคัญ จาก แนวคิดหลักจริยธรรมที่สาคัญในการประชุ มทางวิชาการ เกี่ยวกับจริยธรรมของกรมวิชาการในบางด้ านมาใช้ ในการ วัดเชาวน์จริยธรรม คือ (1) เมตตา-กรุณา (2) ความซื่อสัตย์ สุจริต (3) ความขยันหมั่นเพียร และ (4) หิริ-โอตตัปปะ (กรมวิชาการกระทรวงศึกษาธิการ, 2523) การที่ผ้ ูวิจัยนา ตัวแปรการใช้ เหตุผลเชิงจริยธรรมเข้ ามาในงานวิจัยร่วมกับ เจตคติต่องานบริการ และบุคลิกภาพแบบคุณลักษณะเฉพาะ ก็เนื่องจากโรงพยาบาลมักมีการประเด็นข้ อถกเถียงด้ าน จริ ยธรรมอยู่ เสมอ ท าให้ ผู้ วิ จั ยเห็นว่ าเป็ นเรื่อ งจ าเป็ นที่ บุคลากรผู้ให้ บริการผู้ป่วยในโรงพยาบาลควรจะมีพัฒนาการ ทางจริ ยธรรมที่ดี เพื่ อให้ สามารถบริการผู้ ป่ วยได้ อย่ างมี ประสิทธิภาพ วิธีดาเนินการวิจยั ประชากรที่ใช้ ในการวิจัยครั้งนี้ เป็ นบุคลากรผู้ให้ บริการ ผู้ป่วยของโรงพยาบาลอินเตอร์ เวชการ จังหวัดพิ ษณุโลก จานวน 105 คน (ข้ อมูล ณ วันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2557) เพื่อความสะดวกในการเก็บข้ อมูล เนื่องจากการทางานใน โรงพยาบาลเป็ นการสลับสับเปลี่ยนกันขึ้นเวร 24 ชั่วโมง ทาให้ การเก็บข้ อมูลจากประชากรเป็ นเรื่องค่อนข้ างลาบาก จึงใช้ กลุ่มตัวอย่างจานวน 85 คน จากการเปิ ดตารางจานวน


254

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ประชากรและกลุ่ ม ตั ว อย่ า งของ เครจซี่ แ ละมอร์ แ กน ประชากรที่ใช้ ในการวิจัยโดยใช้ วิธกี ารสุ่มอย่างง่าย (Simple (Krejcie & Morgan) ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% ยอมให้ Random Sampling) ดังตารางที่ 1 เกิ ด ความคลาดเคลื่ อ น 5% และสุ่ ม กลุ่ ม ตั ว อย่ างจาก ตารางที่ 1 จานวนกลุ่มตัวอย่าง บุคลากรผู้ให้ บริการผู้ป่วยโรงพยาบาลอินเตอร์เวชการ จังหวัดพิษณุโลก บุคลากร กลุ่มตัวอย่าง (คน) พยาบาล 11 ผู้ช่วยพยาบาล 26 ผู้ช่วยเหลือคนไข้ 28 เจ้ าหน้ าที่ห้องเอกซเรย์ 7 เจ้ าหน้ าที่ประชาสัมพันธ์ 7 เจ้ าหน้ าที่การเงิน 5 เจ้ าหน้ าที่ลูกค้ าสัมพันธ์ 1 รวมทั้งหมด 85

การวิ จั ยครั้งนี้ ผู้ วิ จั ยใช้ แ บบสอบถามเป็ นเครื่ องมื อ ในการเก็บรวบรวมข้ อมูลที่สร้ างขึ้นจากการศึ กษาทฤษฎี แนวคิดและเอกสารที่เกี่ยวข้ อง โดยข้ อคาถามได้ ครอบคลุม ถึงวัตถุประสงค์ท่ีต้องการศึกษา และแบ่ งออกเป็ น 2 ชุ ด โดยชุดที่ 1 เป็ นแบบสอบถามสาหรับบุคลากรผู้ให้ บริการ ผู้ป่วยโรงพยาบาลอินเตอร์เวชการ แบ่งเป็ น 4 ตอน ได้ แก่ แบบสอบถามข้ อมู ล ลั กษณะส่ วนบุ ค คล แบบสอบถาม เกี่ยวกับ เจตคติ ต่ องานบริ การ แบบวั ด บุ ค ลิ กภาพแบบ คุณลักษณะเฉพาะ และแบบวัดการใช้ เหตุผลเชิงจริยธรรม ส่วนแบบสอบถามชุดที่ 2 เป็ นแบบสอบถามสาหรับหัวหน้ า งานของบุ คลากรผู้ ให้ บริการผู้ ป่ วยโรงพยาบาลอินเตอร์ เวชการ เพื่อวัดคุณภาพการบริการของบุคลากรในหน่วยงาน ของตน ผู้ วิ จั ยได้ พั ฒ นาแบบวั ด บุ ค ลิ กภาพแบบคุ ณ ลั กษณะ เฉพาะและแบบวัดการใช้ เหตุผลเชิงจริยธรรม จากเอกสาร และงานวิ จั ย ที่ เกี่ ย วข้ อง โดยแบบวั ด บุ ค ลิ ก ภาพแบบ คุ ณ ลั กษณะเฉพาะ ประกอบด้ วย 6 ด้ านจ านวน 20 ข้ อ แบบวัดการใช้ เหตุผลเชิงจริยธรรม ซึ่งประกอบด้ วยหลัก จริยธรรม 4 ด้ าน จานวน 19 ข้ อ 1. การตรวจสอบหาความตรงเชิงเนื้ อหา (Validity) ผู้ วิ จั ย ได้ น าข้ อค าถามของแบบวั ด ที่ ส ร้ างขึ้ น ไปให้ ผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน พิจารณาตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) จากนั้ น น าคะแนนที่ได้ มาหาค่ าดัช นี ความสอดคล้ องระหว่ างข้ อคาถามกับลักษณะพฤติกรรม (IOC) แล้ วนามาปรับปรุงตามความเหมาะสม โดยคัดข้ อที่

มีค่าดัชนีสอดคล้ องมากกว่าหรือเท่ากับ 0.67 และตัดค่าที่ น้ อยกว่า 0.67 ออก โดยแบบวัดบุคลิกภาพแบบคุณลักษณะเฉพาะใน ตอนแรกมี จ านวน 26 ข้ อ และเมื่ อได้ ท าการตรวจสอบ ความตรงเชิ งเนื้ อหาโดยผู้ เชี่ ย วชาญ 3 ท่ านแล้ ว พบว่ า มี ข้ อค าถามจ านวน 6 ข้ อ มี ค่ า ดั ชนี สอดคล้ องน้ อยกว่ า 0.67 ผู้วิจัยจึงได้ ทาการตัดออก เหลือข้ อคาถามทั้งสิ้น 20 ข้ อ แล้ วนาแบบวัดบุคลิกภาพแบบคุณลักษณะเฉพาะที่ได้ ปรั บ ปรุ ง ขึ้ นใหม่ ไ ปทดลองเก็บ ข้ อมู ล (Try Out) กั บ บุ คลากรผู้ ให้ บริ การผู้ ป่ วยโรงพยาบาลอิน เตอร์ เวชการ จังหวัด พิ ษ ณุ โลกที่มี อายุ งานไม่ ถึ ง 1 ปี จ านวน 30 คน แล้ วมาทาการวิเคราะห์ หาความเชื่อมั่น (Reliability) โดย ใช้ สมั ประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค (Cronbach’s Coefficient Alpha) ได้ ค่ าความเชื่ อ มั่ น ของแบบวั ด ทั้ ง ฉบั บ เท่ า กั บ .910 ส่วนแบบวัดการใช้ เหตุผลเชิงจริยธรรม ได้ สร้ างข้ อ คาถามขึ้นตามหลักจริยธรรมที่สาคัญจากการประชุ มทาง วิ ช าการเกี่ ย วกั บ จริ ย ธรรมของกรมวิ ช าการกระทรวง ศึกษาธิการ (ประภาศรี สีหอาไพ, 2540) และจากการศึกษา งานวิจัย เอกสาร และแบบวัดที่เกี่ยวข้ อง เพื่ อวัดการใช้ เหตุ ผ ลเชิ ง จริ ย ธรรม 4 ด้ าน คื อ เมตตา-กรุ ณ า ความ ซื่อสัตย์สุจริต ความขยันหมั่นเพี ยร และหิริ-โอตัปปะ ได้ จานวนข้ อคาถาม 19 ข้ อ ในครั้งแรกแบบวัดมีตัวเลือก 3 ระดับ ตามทฤษฎีการใช้ เหตุผลเชิงจริยธรรมของ Kohlberg คือ ระดับ 1 ระดับก่อนจริยธรรม ระดับ 2 ระดับปฏิบัติ


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ตามแบบแผนกฎเกณฑ์จริยธรรม และระดับ 3 ระดับเหนือ กฎเกณฑ์หรือยึดหลักจริยธรรมประจาใจตนเอง แต่อาจารย์ ที่ป รึ ก ษาได้ ให้ ข้ อเสนอแนะว่ า การใช้ ตั วเลื อก 3 ระดั บ ทาให้ เกิดความคลาดเคลื่ อนในการวัดการใช้ เหตุผลเชิ ง จริ ย ธรรมเนื่ อ งจากการให้ คะแนนไม่ ล ะเอี ย ดเพี ย งพอ ผู้วิจัยจึงได้ ทาการปรับให้ เป็ นตัวเลือก 6 ขั้น คือ ขั้นที่ 1 ดี หรือเลวเป็ นผลมาจากการกลัวถูกลงโทษหรือการให้ รางวัล, ขั้นที่ 2 ดีหรือเลวเพราะเขาช่ วยเรา เราช่ วยเขาไม่ มีความ จงรักภักดีหรือซื่อสัตย์, ขั้นที่ 3 ดีหรือเลวขึ้นอยู่ กับกลุ่ ม ปฏิบัติทาให้ กลุ่มชอบพอ, ขั้นที่ 4 ดีหรือเลวขึ้นอยู่กบั การ ทาตามหน้ าที่ กฎหมายและหลักศาสนา ขั้นที่ 5 ดีหรือเลว มองการทาตามสัญญาประชาคมเห็นประโยชน์สังคมเป็ น ใหญ่ และขั้ น ที่ 6 ดี ห รื อเลวขึ้น อยู่ กับมโนธรรมของตน ทาตามอุดมการณ์สากล แล้ วจึงนาแบบวัดที่ปรับปรุงใหม่ ให้ ผ้ ูเชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่านตรวจวัดคุณภาพ พบว่ า ค่าดัชนี สอดคล้ องมากกว่ าหรื อเท่ ากับ 0.67 ทุ กข้ อค าถามและ ตัวเลือกทั้ง 6 ขั้น จึงได้ นาแบบวัดการใช้ เหตุผลเชิงจริยธรรม ไปใช้ ทดลองใช้ (Try Out) กับบุคลากรผู้ให้ บริการผู้ป่วย โรงพยาบาลอินเตอร์เวชการ จังหวัดพิษณุโลกที่ไม่ใช่กลุ่ม ตัวอย่ าง จานวน 30 คน แล้ วมาทาการวิเคราะห์ หาความ เชื่ อมั่ น (Reliability) โดยใช้ สั ม ประสิ ท ธิ์ แ อลฟ าของ ครอนบาค (Cronbach’s Coefficient Alpha) ได้ ค่ าความ เชื่อมั่นของแบบวัดทั้งฉบับเท่ากับ .832 2. เมื่อนาแบบวัดทั้งหมดไปทดลองใช้ (Try Out) กับ กลุ่มทดลองและไม่จัดอยู่ในกลุ่มตัวอย่างก่อนใช้ จริงจานวน 30 คน แล้ วนามาตรวจสอบคุณภาพ ดังนี้ 2.1 วิเคราะห์รายข้ อ (Item Analysis) โดยการหา ค่าอานาจจาแนก (Discrimination Power) 2.2 หาค่ า ความตรง (Validity) ด้ วยการหาค่ า อานาจจาแนก (Discrimination Power) โดยวิ เคราะห์ ค่ า Corrected Item-Total Correlation โดยก าหนดค่ า ตั้ ง แต่ 0.2 ขึ้นไป หากข้ อใดที่มีค่าต่ ากว่ า 0.2 ถือว่ าไม่ มีอานาจ จาแนกจะถูกตัดทิ้งไป

255

3. ทดสอบหาความเชื่ อ มั่ น (Reliability) ของแบบ สอบถามโดยใช้ สั ม ประสิ ท ธิ์ แ อลฟาของครอนบาค (Cronbach's Coefficient of Alpha) 4. ท าการแก้ ไขและปรั บ ปรุ ง ข้ อค าถามที่ ยั ง ไม่ เหมาะสม แล้ วน าแบบวั ด ที่ป รั บ ปรุงครั้งสุด ท้ ายไปเก็บ ข้ อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง ส่วนแบบสอบถามเจตคติต่องานบริการ และแบบ วัดคุ ณ ภาพการบริการผู้ ป่ วย ผู้ วิจัยใช้ แบบสอบถามจาก งานวิจัย เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างเจตคติต่องานบริการ บุ ค ลิ ก ภาพ กั บ คุ ณ ภาพการบริ ก ารลู ก ค้ าของบริ ษั ท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จากัด (มหาชน) ของ จาญา สั น ติ ส งวนศั ก ดิ์ ซึ่ ง เป็ นลั ก ษณะมาตรวั ด ประเมิ น ค่ า (Rating Scale) 5 ระดั บ คื อ เห็ น ด้ วยอย่ างยิ่ ง เห็น ด้ ว ย เห็น ด้ วยปานกลาง ไม่ เห็นด้ วย และไม่ เห็น ด้ วยอย่ างยิ่ ง มีข้อคาถาม 30 ข้ อ ผู้วิจัยนาข้ อมูลที่เก็บรวบรวมได้ จากกลุ่มตัวอย่างมา วิเคราะห์ค่าทางสถิติ โดยใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์สาเร็จรูป ทางสถิติ ซึ่ งผู้ วิจั ยท าการตรวจสอบดู ความเรียบร้ อยของ แบบสอบถาม หลังจากนั้น ทาการลงรหัสตามคู่มือลงรหั ส ที่ ท าไว้ และด าเนิ นการป้ อนข้ อมู ล (Data Entry) จากนั้ น ผู้วิจัยใช้ โปรแกรมสาเร็จรูป SPSS (Statistical Package for the Social Sciences) ในการค านวณหาค่ าสถิ ติต่ างๆ โดยการ คานวณหาค่าสถิติพ้ ื นฐานตามวัตถุประสงค์งานวิจัย ดังนี้ 1. เพื่อศึกษาระดับเจตคติต่องานบริการ บุคลิกภาพแบบ คุณลักษณะเฉพาะ การใช้ เหตุผลเชิงจริยธรรมและคุณภาพ การบริ การของบุ ค ลากรผู้ ให้ บริ ก ารผู้ ป่ วยโรงพยาบาล อินเตอร์เวชการ ใช้ การหาค่าคะแนนเฉลี่ย ( x ) ค่าเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D) 2. เพื่อเปรียบเทียบคุณภาพการบริการ ของบุคลากรผู้ให้ บริการผู้ป่วยโรงพยาบาลอินเตอร์เวชการ จั งหวั ด พิ ษ ณุ โลก จ าแนกตามปั จ จั ย ส่ ว นบุ ค คล ใช้ การ วิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-Way ANOVA)


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

256

ตารางที่ 2 ผลการเปรียบเทียบคุณภาพการบริการของบุคลากรผู้ให้ บริการผู้ป่วยโรงพยาบาลอินเตอร์เวชการ จังหวัดพิษณุโลก จาแนกตามอายุ ปั จจัยส่วนบุคคล แหล่งความแปรปรวน SS df MS F Sig. ระหว่างกลุ่ม .226 3 .075 .660 .579 อายุ ภายในกลุ่ม 9.263 81 .114 รวม 9.489 84

3. เพื่ อศึกษาความสัมพั นธ์ระหว่ างเจตคติต่ องานบริการ บุคลิกภาพแบบคุ ณลักษณะเฉพาะและการใช้ เหตุผลเชิง จริยธรรม กับคุณภาพการบริการของบุคลากรผู้ให้ บริการ

ผู้ป่วยโรงพยาบาลอินเตอร์เวชการ จังหวัดพิษณุโลก สถิติท่ี ใช้ คือ ค่ าสัมประสิทธิ์สหสัมพั นธ์แบบเพี ยร์สัน (Pearson Product Moment Correlation Coefficient: rxy)

ตารางที่ 3 วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการใช้ เหตุผลเชิงจริยธรรมกับคุณภาพการบริการ ตัวแปร ด้ านเมตตา-กรุณา ด้ านความซื่อสัตย์สจุ ริต ด้ านความขยันหมั่นเพียร ด้ านหิริ-โอตัปปะ รวมการใช้เหตุผลเชิงจริยธรรม

ความมีตวั ตน หรือรูปลักษณ์ ทางกายภาพ

ความ ไว้วางใจได้

ความ เชื่อถือได้

การตอบสนอง ที่ทนั ใจ

ความเอื้ ออาทร หรือความ เอาใจใส่

.280* .022 .163 .175

.218* -.020 .075 .240*

.163 -.036 .052 .097

.253* -.005 .137 .275*

.198 -.068 .107 .165

รวม คุณภาพ การบริการ

.192

และวัตถุประสงค์ข้อที่ 4 เพื่ อสร้ างสมการทานายคุณ ภาพ บุคลิกภาพแบบคุณลักษณะเฉพาะ และการใช้ เหตุผลเชิง การบริ การของบุ ค ลากรผู้ ให้ บริ ก ารผู้ ป่ วยโรงพยาบาล จริยธรรมเป็ นตัวแปรทานาย ใช้ สถิตกิ ารวิเคราะห์การถดถอย อินเตอร์เวชการ จังหวัดพิษณุโลก โดยมีเจตคติต่องานบริการ แบบพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) Stepwise ตารางที่ 4 ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณอานาจการพยากรณ์ของการใช้ เหตุผลเชิงจริยธรรมที่ส่งผลต่อคุณภาพการบริการของบุคลากร ผู้ให้ บริการผู้ป่วยโรงพยาบาลอินเตอร์เวชการ จังหวัดพิษณุโลก โดยการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบ Stepwise ตัวแปรพยากรณ์ b Std. Error Beta t Sig การใช้ เหตุผลเชิงจริยธรรมด้ านเมตตา-กรุณา .098 .041 .250 2.356 .021 2 2 R = .250; R = .063; Adj.R = .051; SEest = .327 F = 5.552; a = 3.181

ผลการวิจยั ผลการวิจัย เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างเจตคติต่องาน บริการ บุคลิกภาพแบบคุณลักษณะเฉพาะและการใช้ เหตุผล เชิงจริยธรรม กับคุณภาพการบริการของบุคลากรผู้ให้ บริการ ผู้ป่วยโรงพยาบาลอินเตอร์เวชการ จังหวัดพิษณุโลก สรุป ผลได้ ดังนี้ 1. ระดั บ เจตคติ ต่ อ งานบริ ก าร ( x = 3.77, SD = 0.32) บุ ค ลิ กภาพแบบคุ ณ ลั กษณะเฉพาะ ( x = 3.85, SD = 0.35) และการใช้ เหตุผลเชิงจริยธรรม ( x = 4.46, SD = 0.57) อยู่ในระดับสูง ส่วนคุณภาพการบริการของ

บุ คลากรผู้ ให้ บริการผู้ ป่ วย อยู่ ในระดับปานกลาง ( x = 3.62, SD = 0.48) 2. ปัจจัยส่วนบุคคลไม่มีผลต่อคุณภาพการบริการของ บุ คลากรผู้ ให้ บริ การผู้ ป่ วยโรงพยาบาลอิน เตอร์ เวชการ จังหวัดพิษณุโลก 3. เจตคติต่องานบริการ บุคลิกภาพแบบคุณลักษณะ เฉพาะ และการใช้ เหตุผลเชิงจริยธรรมไม่มีความสัมพั นธ์ กับคุณภาพการบริการ แต่เมื่อแยกเป็ นรายด้ าน พบว่า การ ใช้ เหตุผลเชิงจริยธรรมด้ านเมตตา-กรุณามีความสัมพันธ์ ทางบวกกั บ คุ ณ ภาพการบริ การด้ านความมี ตั วตนหรื อ รูป ลั กษณ์ ท างกายภาพ ด้ านความไว้ ว างใจได้ และการ ตอบสนองที่ทันใจ อย่ างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ส่วนการใช้ เหตุผลเชิงจริยธรรมด้ านหิ ริ -โอตัปปะ มีความ สัมพันธ์ทางบวกกับคุณภาพการบริการด้ านความไว้ วางใจ และการตอบสนองที่ทัน ใจ อย่ างมี นั ยส าคั ญ ทางสถิ ติ ท่ี ระดับ .05 4. ตัวแปรที่สามารถนามาสร้ างสมการทานายคุณภาพ การบริ การของบุ ค ลากรผู้ ให้ บริ ก ารผู้ ป่ วยโรงพยาบาล อินเตอร์เวชการ จังหวัดพิ ษณุ โลก คือ การใช้ เหตุผลเชิ ง จริยธรรมด้ านเมตตา-กรุณา ได้ ร้อยละ 5.1 Yคุณภาพการบริการ = a + b1x1 Yคุณภาพการบริการ = 3.181 + 0.98Xการใช้ เหตุผลเชิงจริยธรรม ด้ านเมตตา-กรุณา

อภิปรายผล ผลการวิจัย เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างเจตคติต่องาน บริ การ บุ ค ลิ กภาพแบบคุ ณ ลั ก ษณะเฉพาะ และการใช้ เหตุผลเชิงจริยธรรม กับคุณภาพการบริการของบุคลากร ผู้ ให้ บริ การผู้ ป่ วยโรงพยาบาลอิ น เตอร์ เวชการ จั ง หวั ด พิษณุโลก มีประเด็นที่ควรนามาอภิปรายผล ดังต่อไปนี้ 1. บุ ค ลากรโรงพยาบาลอิ น เตอร์ เวชการ จั ง หวั ด พิษณุโลกที่มีปัจจัยส่วนบุคคล อันได้ แก่ อายุ อายุงาน และ สถานภาพสมรสแตกต่างกันมีคุณภาพการบริการแตกต่างกัน ผลการวิจั ย พบว่ า ปั จจั ยส่ วนบุ ค คล ได้ แก่ อายุ อายุงานและสถานภาพสมรสของบุคลากรผู้ให้ บริการผู้ป่วย โรงพยาบาลอิน เตอร์เวชการแตกต่ างกัน มี คุ ณ ภาพการ บริ ก ารที่ ไม่ แ ตกต่ า งกั น เป็ นเพราะบุ ค ลากรที่ มี ห น้ าที่ ให้ บริ ก ารผู้ ป่ วยทั้ ง เก่ า และใหม่ ได้ ผ่ านการอบรมด้ าน พฤติกรรมบริการมาแล้ ว ซึ่งโรงพยาบาลอินเตอร์เวชการได้ จัดให้ มกี ารอบรมทุกปี รวมถึงมีการจัดการเรื่องข้ อร้ องเรียน ของผู้รับบริการโดยนาปั ญหาด้ านการบริการที่เกิดขึ้นมา พูดคุยแก้ ไขและร่ วมกันค้ นหาวิธกี ารป้ องกันก่อนการเกิด ข้ อร้ องเรียน รวมถึงตัวบุคลากรก็มเี จตคติท่ดี ตี ่องานบริการ มีความเข้ าใจในงานของตนว่ าเป็ นงานที่ต้องให้ บริการกับ ผู้ป่วย ซึ่งต้ องการการดูแลเป็ นพิเศษ ผลการวิจัยดังกล่ าว สอดคล้ องกับงานวิจัยเรื่องความฉลาดทางจริยธรรม ความ ฉลาดทางความคิ ด สร้ างสรรค์ แ ละความสามารถในการ เผชิญและฟั นฝ่ าอุปสรรคที่ส่งผลต่ อความสาเร็จในอาชีพ กรณีศึกษาบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง (พรทิพย์ นาคพงศ์พันธ์,

257

2551) ซึ่งพบว่า พนักงานที่มอี ายุ ระดับการศึกษา สถานภาพ สมรส และอายุ งานที่แตกต่ างกัน มี ระดั บความส าเร็จใน อาชีพไม่แตกต่างกัน 2. เจตคติต่องานบริการ บุคลิกภาพแบบคุณลักษณะ เฉพาะ และการใช้ เหตุผลเชิงจริยธรรม มีความสัมพันธ์กับ คุ ณ ภาพการบริ การของบุ ค ลากรผู้ ให้ บริ การผู้ ป่ วยของ โรงพยาบาลอินเตอร์เวชการ จังหวัดพิษณุโลก ผลการวิจัย พบว่ า เจตคติต่องานบริการไม่มีความ สัมพั น ธ์กับคุ ณ ภาพการบริการของบุ ค ลากรผู้ ให้ บริการ ผู้ป่วยโรงพยาบาลอินเตอร์เวชการ จังหวัดพิ ษณุโลก ทั้งนี้ ผู้วิจัยตั้งข้ อสังเกตว่า เจตคติต่องานบริการหรือความรู้สกึ ที่ มี ต่ อ งานไม่ ส่ ง ผลกระทบต่ อคุ ณ ภาพการบริ การเพราะ บุคลากรจะได้ รับการอบรม ปลูกฝัง และปรับเจตคติท่มี ีต่อ งานบริ การ เพื่ อให้ บุ คลากรมี ความภูมิใจในงานของตน นอกจากนี้ แม้ บุ ค ลากรจะเป็ นบุ ค ลากรใหม่ ยั งผ่ านการ อบรมปรับเจตคติมาน้ อย แต่กย็ ังมีคุณภาพการบริการที่อยู่ ในระดับเดียวกับบุคลากรเดิมนั้น ผู้วิจัยตั้งข้ อสังเกตว่า ใน การปฏิบัติงานบุ คลากรจะมีแนวทางการท างานที่ชัดเจน คือ มาตรฐานโรงพยาบาล (HA) ซึ่งมีนโยบายการรักษา แบบผู้ ป่ วยเป็ นศู น ย์ กลาง คื อ ให้ การดู แลโดยค านึ งถึ ง ความต้ องการของผู้ป่วยเป็ นอันดับแรก และต้ องคานึงถึง สิทธิผ้ ู ป่ วยเสมอ ท าให้ การให้ บริ การผู้ ป่ วยเป็ นไปตาม ขั้นตอนและสามารถผ่านไปได้ ด้วยดี เกิดข้ อร้ องเรียนน้ อย ที่ส าคั ญ คื อ ผู้ ป่ วยหายจากอาการเจ็บป่ วย ผลการวิ จั ย ดั งกล่ าวไม่ สอดคล้ องกั บงานวิ จั ยที่ ศึ กษาเรื่ องความสั มพั นธ์ ระหว่ างทั ศ นคติ ต่ องานบริ การ บุ ค ลิ กภาพกั บ คุ ณ ภาพ การบริ ก ารลู ก ค้ าของบริ ษั ท แอดวานซ์ อิ น โฟ เซอร์ วิ ส จากัด (มหาชน) (จาญา สันติสงวนศักดิ์, 2546) ซึ่งพบว่า เจตคติต่องานบริการมีความสัมพันธ์กบั คุณภาพการบริการ ของพนักงานบริการลูกค้ าในเชิงบวก ส่วนบุคลิกภาพแบบคุณลักษณะเฉพาะ ไม่มีความ สัมพั น ธ์กับคุ ณ ภาพการบริการของบุ ค ลากรผู้ ให้ บริการ ผู้ป่วยโรงพยาบาลอินเตอร์เวชการ จังหวัดพิ ษณุโลก ทั้งนี้ ผู้วิจัยตั้งข้ อสังเกตว่ า บุ คลิกภาพแบบคุณลักษณะเฉพาะ อาจไม่ สัมพั นธ์กับงานประเภทบริการในองค์กรสุขภาพ เนื่องจากโรงพยาบาลเน้ นความสาคัญที่การรักษา และหาย จากโรคหรืออาการป่ วยที่เป็ นอยู่ ไม่สอดคล้ องกับงานวิจัย


258

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

เรื่อง Key Personality Traits and Career Satisfaction of Customer Service Workers Managing Service Quality (John et al., 2012) ซึ่งเป็ นการวิจัยที่ใช้ กบั บุคลากรในธุรกิจบริการอื่นๆ ผู้วิจัย ตั้งข้ อสังเกตว่ า เป็ นเพราะสภาพแวดล้ อมและสภาพงานที่ แตกต่างกัน คือ โรงพยาบาลมีผ้ ูรับบริการที่เป็ นผู้ป่วย ผู้ท่ี ท าหน้ าที่ให้ บริการจึ งต้ องตระหนั กรู้ถึงกลุ่ม ผู้ รับบริการ ของตนเป็ นอย่ า งดี เนื่ อ งจากการเจ็บ ป่ วยนั้ น สามารถ เกิด ขึ้น ได้ กับ ทุ กคน ตั ว บุ ค ลากรเองก็ต้ องเคยเจ็บป่ วย เช่ น กั น ท าให้ เข้ าใจถึ ง ความรู้ สึ ก ของผู้ มารั บ บริ ก าร นอกจากนี้ โรงพยาบาลยั ง มี ก ารฝึ กอบรมภายในและ เน้ นหนักเรื่องของพฤติกรรมบริการ ฝึ กให้ สามารถใช้ บท สนทนาที่ เหมาะสมกับ ผู้ รั บ บริ ก าร รวมถึ งการให้ ความ สาคัญกับผู้มารับบริการตามหลักการมาตรฐานโรงพยาบาล (HA) ที่เน้ นผู้ป่วยเป็ นศูนย์กลางการบริการและการดูแล รักษา จึงทาให้ บุคลากรสามารถให้ บริการที่มคี ุณภาพตามที่ ผู้รับบริการคาดหวัง อีกประการหนึ่ง คือ บุคลากรที่ผ้ ูวิจัย ทาการเก็บข้ อมูลมีอายุ การทางานส่วนใหญ่ มากกว่ า 5 ปี ทาให้ มีการสะสมประสบการณ์ในการทางานมีส่วนให้ เข้ าใจ กับลั กษณะของงาน ปรับตั ว ปรับเจตคติต่ อการท างาน บริ ก าร รวมถึ ง สามารถเสริ ม สร้ างบุ ค ลิ ก ภาพเพื่ อให้ เหมาะสมกับการทางานบริการและยังเข้ าใจความต้ องการ และความรู้สกึ ของผู้รับบริการได้ มากขึ้นเรื่อยๆ สุด ท้ าย คื อ ตั ว แปรการใช้ เหตุ ผ ลเชิ งจริ ย ธรรม ผลการวิจัย พบว่า มีความสัมพั นธ์กับคุณภาพการบริการ เฉพาะด้ านเมตตา-กรุณา และหิ ริ -โอตัปปะ ทั้งนี้ ผู้วิจัย คาดว่ า การประกอบอาชี พ เกี่ยวกับการบริการสุขภาพมี ความเครียดทั้งต่อผู้ให้ บริการและผู้รับบริการ เพราะผู้ป่วย จะมีภาวะเครียดต่อสุขภาพของตน ทาให้ ต้องการการดูแล มากกว่ าปกติ ดังนั้น ผู้ให้ บริการจึงควรมีคุณสมบัติพิเศษ คือ เมตตา-กรุณ า ต่ อผู้ ป่ วยที่มารับ การรักษา นอกจาก จิตสานึกต่ อหน้ าที่ เพราะหากผู้ ให้ บริการไม่ มีความรู้สึก เห็น อกเห็น ใจต่ อผู้ ป่ วยแล้ ว ผู้ ป่ วยอาจเกิด ความไม่ พึ ง พอใจในการบริการ ซึ่งเป็ นสาเหตุของข้ อร้ องเรียน อันจะ สร้ างผลกระทบต่อภาพลักษณ์ขององค์กร นอกจากนี้ จากการวิจัย ยังพบว่า หิริ-โอตัปปะ ยัง มีความสัมพันธ์กับคุณภาพการบริการ ผู้วิจัยตั้ งข้ อสังเกต ว่ า การทางานเกี่ยวกับการบริการสุขภาพ ต้ องทางานโดย รับผิดชอบชีวิตผู้ป่วย บุคลากรผู้ให้ บริการผู้ป่วยจึงได้ รับ

การยอมรับและคาดหวังที่สูงจากสังคมภายนอก มีความ น่าเชื่อถือ ทาให้ บุคลากรต้ องมีความรับผิดชอบต่อตนเอง ผู้รับบริการและสังคม โดยสามารถควบคุมกาย วาจา และ ความคิดให้ ถูกต้ องตามทานองคลองธรรม เนื่องด้ วยการ ทางานโรงพยาบาลมีความเกี่ยวข้ องกับยาหลากหลายชนิด รวมถึงยาที่สามารถออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท สิ่งเสพติด อุปกรณ์ทางการแพทย์ และรวมถึงเครื่องใช้ สานักงาน นอกจากเหตุ ผ ลข้ า งต้ น แล้ ว ยั ง อาจเป็ นเพราะ บุคลากรในธุรกิจบริการด้ านสุขภาพต้ องทางานกับผู้ป่วยซึ่ง เป็ นไปได้ ว่า ตัวบุคลากรเองอาจเคยเจ็บป่ วยและต้ องเข้ ารับ การรักษาในโรงพยาบาลเช่ นกัน ทาให้ ทราบถึงความรู้สึก และความต้ องการของผู้ ป่ วย นอกจากนี้ การท างานใน โรงพยาบาลจาเป็ นต้ องอยู่ร่วมกับบุคลากรคนอื่นๆ ทั้งใน และนอกแผนก ต้ องมีการทางานที่พ่ึ งพาอาศัยกัน ทาให้ ต้ องปรับตัวเพื่ ออยู่ ในสังคมเดียวกันและสามารถทางาน ร่วมกันได้ 3. เจตคติต่องานบริการ บุคลิกภาพแบบคุณลักษณะ เฉพาะ และการใช้ เหตุผลเชิ งจริ ยธรรม สามารถร่ วมกัน ทานายคุณภาพการบริการของบุคลากรผู้ให้ บริการผู้ป่วย ของโรงพยาบาลอิ น เตอร์ เวชการ จั ง หวั ด พิ ษ ณุ โลกได้ อย่างน้ อย 1 ตัวแปร ผลการวิจัย พบว่ า ตัวแปรอิสระที่สามารถทานาย คุ ณ ภาพการบริ ก ารของบุ ค ลากรผู้ ให้ บริ ก ารผู้ ป่ วย โรงพยาบาลอินเตอร์เวชการ จังหวัดพิษณุโลก ได้ แก่ การ ใช้ เหตุผลเชิงจริยธรรมด้ านเมตตา-กรุณา โดยตัวพยากรณ์ ดังกล่าวสามารถพยากรณ์ได้ ร้อยละ 5.1 จะเห็ น ได้ ว่ า การใช้ เหตุ ผ ลเชิ ง จริ ย ธรรมด้ าน เมตตา-กรุณาเป็ นตัวแปรที่มคี วามสามารถในการพยากรณ์ คุ ณ ภาพการบริ ก ารของบุ ค ลากรผู้ ให้ บริ ก ารผู้ ป่ วย โรงพยาบาลอินเตอร์เวชการ จังหวัดพิ ษณุโลก ทั้งนี้ อาจ เป็ นเพราะการทางานบริการในโรงพยาบาลของบุคลากรนั้น จาเป็ นต้ องมีความเมตตา-กรุณา ต่อผู้รับบริการเนื่องจาก ผู้รับบริการมีลักษณะที่ต้องการความช่วยเหลือเป็ นพิเศษ ทั้งทางด้ านร่างกายและด้ านจิตใจ เพราะเป็ นผู้ป่วยที่ได้ รับ ความทุกข์ทรมานจากโรคภัยต่างๆ และไม่สามารถช่วยเหลือ ตัวเองได้ เท่ าที่ควร ส่วนด้ านอื่นๆ ของการใช้ เหตุผลเชิ ง จริยธรรม ได้ แก่ ความซื่อสัตย์สจุ ริต ความขยันหมั่นเพียร และหิ ริ-โอตัปปะไม่ สามารถนามาพยากรณ์คุ ณภาพการ


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

บริการได้ เนื่องมาจากในการทางานบุคลากรทุกคนต้ องให้ ความส าคั ญ กั บ การตรงต่ อ เวลา และซื่ อตรงต่ อ การ ปฏิ บั ติ งานในหน้ าที่ เพราะต้ อ งรั บ ผิ ด ชอบต่ อ ชี วิ ต ของ ผู้ป่วยทาให้ การใช้ เหตุผลเชิ งจริยธรรมด้ านความซื่อสัตย์ สุจริตของบุคลากรไม่ค่อยมีความแตกต่างกันมากนักจึงไม่ อาจพยากรณ์ถงึ คุณภาพการบริการได้ ผลการวิจัยดังกล่ าวเป็ นไปตามสมมติฐานที่ 3 ซึ่ง สอดคล้ องกับงานวิจัย เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคุณลักษณะ ของงาน ความฉลาดทางจริยธรรม กับความสามารถในการ ปฏิ บั ติ งานของพยาบาลห้ องผ่ าตั ด (อั ญ ชลี รั ก ษมณี , 2550) โดยพบว่า ความฉลาดทางจริยธรรมมีความสัมพันธ์ ในระดับปานกลางกับความสามารถในการปฏิบัติงานของ พยาบาลห้ องผ่าตัด จากผลการวิจัยดังกล่ าว ผู้วิจัย พบว่ า สามารถน า ผลการวิจัยดังกล่ าวไปใช้ ในการคัดสรรบุคลากร โดยเน้ น การทดสอบวั ดการใช้ เหตุ ผ ลเชิ งจริ ยธรรมด้ านเมตตากรุณา นอกจากนี้ ยังเป็ นแนวทางในการพั ฒ นาบุ คลากร เพื่ อให้ สามารถให้ บริ การผู้ รับบริ การได้ อย่ างมี คุ ณ ภาพ ต่อไป ข้อเสนอแนะจากการวิจยั เนื่องจากงานวิจัยครั้งนี้ พบว่า ตัวแปรที่มคี วามสัมพันธ์ กับคุณภาพการให้ บริการ คือ การใช้ เหตุผลเชิงจริยธรรม ด้ านเมตตา-กรุณา ดังนั้น องค์กรควรนาผลการวิจัยมาใช้ เป็ นแนวทางในการพัฒนาบุคลากรและพัฒนาโรงพยาบาล ดังนี้ ควรมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมด้ านจริยธรรม เพื่ อให้ บุคลากรได้ มีโอกาสได้ ชาระล้ างจิตใจให้ สะอาด รวมถึงได้ เรียนรู้และเข้ าใจธรรมะที่สาคัญในการดารงชีวิตและการ ทางาน นอกจากนั้น องค์กรควรส่งเสริมเรื่องของการสรร หาและคัดเลือกบุคลากรเข้ าทางานในโรงพยาบาลอินเตอร์ เวชการ จังหวัดพิษณุโลก ก่อนที่จะเข้ าทางานควรได้ รับการ ทดสอบวั ด ในเรื่ องของการใช้ เหตุ ผ ลเชิ งจริ ย ธรรมด้ าน เมตตา-กรุณา ร่ วมกับการสัมภาษณ์และการทดสอบการ ทางานจริงร่ วมด้ วย ซึ่งจะทาให้ ได้ บุคลากรที่เหมาะสมใน การทางานบริการในโรงพยาบาลอินเตอร์เวชการ จังหวัด พิษณุโลก และยังต้ องพัฒนาด้ านคุณภาพการบริการ โดยมี การให้ รางวัล เพื่อเป็ นขวัญกาลังใจต่อบุคลากรสายบริการ

259

เช่น รางวัลพนักงานดีเด่น เพื่อให้ บุคลากรเห็นความสาคัญ ของการท างานบริ การ และสุด ท้ ายจากงานวิ จั ย พบว่ า คุณภาพการบริการที่ยังต้ องปรับปรุงให้ ดีข้ ึน ได้ แก่ ด้ าน ความมีตัวตนหรือรูปลักษณ์ทางกายภาพ ด้ านความไว้ วางใจ ได้ และด้ านความน่ าเชื่ อ ถื อ ได้ ทางองค์ ก รควรนึ ก ถึ ง องค์ประกอบเหล่านี้ เช่น ปรับปรุงอาคารสถานที่เพื่อให้ มี ความเหมาะสมต่อผู้รับบริการมากขึ้น และอบรมฝึ กทักษะ เฉพาะด้ านในการทางานรวมถึงให้ ความรู้ท่ที นั ต่อเหตุการณ์ กับบุคลากรอยู่เสมอ ข้อเสนอแนะสาหรับการวิจยั ครั้งต่อไป 1. ควรมี ก ารศึ ก ษาตั ว แปรอื่ น ๆ ที่ เ กี่ ย วข้ องกั บ โรงพยาบาลร่ วมด้ วย เช่ น บรรยากาศองค์กร พฤติกรรม การทางาน ความเครียด ความเหนื่ อยล้ า จากการทางาน เพื่ อให้ ได้ ผลการศึกษาที่เกี่ยวกับคุณภาพการบริการของ บุคลากรผู้ให้ บริการผู้ป่วยได้ กว้ างขวางมากขึ้น 2. ในการศึกษาครั้งนี้ให้ บุคลากรได้ ทาแบบประเมิน เอง ดังนั้น ในการวิจัยครั้งต่อไปควรให้ เพื่อนร่วมงานหรือ หัวหน้ างานเป็ นผู้ประเมินบุคลากรในแผนกจะทาให้ มคี วาม ชัดเจนมากขึ้น บรรณานุกรม กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. (2523). แนวทางการ พั ฒ นาจริ ย ธรรมไทย. ใน การประชุ ม วิช าการเกี ่ย วกับ จริ ยธรรมไทย, 22-23 มกราคม 2523. กรุงเทพฯ: การ ศาสนา. [1] จาญา สันติ สงวนศั กดิ์. (2546). ความสัมพันธ์ระหว่าง ทัศนคติ ต่องานบริการบุ คลิ กภาพกับคุณภาพการบริ การ ลู ก ค้ า ของบริ ษั ท แอดวานซ์ อิ นโฟร์ เซอร์ วิ ส จ ากั ด (มหาชน). (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์, กรุงเทพฯ. [2] ประภาศรี สี ห อ าไพ. (2540). พื้ นฐานการศึ ก ษาทาง ศาสนาและจริ ยธรรม. กรุงเทพฯ: โรงพิ มพ์ จุ ฬ าลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. [3]


260

Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) 2016; 9(2)

ปริญญา บัญญัติ. (2549). การพัฒนาแบบทดสอบเหตุผล Translated Thai References เชิ งจริ ย ธรรมของนักเรี ยน ชัน้ ประถมศึ กษาปี ที ่ 3 ตาม แนวคิดทฤษฎีโคลเบิรก์ . (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). Banyat, P. (2006). The Development of an Ethical Test Based on Kohlberg’s Theory for Prathom 3 มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์, อุตรดิตถ์. [4] Students. (Master’s thesis). Uttaradit Rajabaht University, พรทิ พ ย์ นาคพงศ์ พั นธ์ . (2551). ความฉลาดทาง Uttaradit. [in Thai] [4] จริ ย ธรรม ความฉลาดทางความคิ ดสร้า งสรรค์ แ ละ ความสามารถในการเผชิญและฟั นฝ่ าอุ ปสรรคที ส่ ่งผลต่ อ Department of Curriculum and Instruction Development. ความสาเร็จในอาชีพ. (การค้ นคว้ าอิสระปริญญามหาบัณฑิต). (1980). Guidelines on Thai ethical Development. In Conference on Thai Ethics, 22-23 January, 1980. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, กรุงเทพฯ. [5] Bangkok: Department of Religious Affairs. [in Thai] สมิต สัชฌุกร. (2550). การต้อนรับและบริการทีเ่ ป็ นเลิศ. [1] กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์-วิญญูชน. [6] Narkpongpun, P. (2008). Affect of Moral Quotient, อั ญ ชลี รั ก ษ มณี . (2550). ความสั ม พั น ธ์ ร ะห ว่ า ง Creativity Quotient and Adversity Quotient on Career คุ ณ ลั ก ษณ ะของงาน ความฉลาดทางจริ ย ธรรมกั บ Success: A Case Study of a Private Company. ความสามารถในการปฏิ บัติ งานของพยาบาลห้องผ่ าตัด (Master’s Independent Study). Thammasat University, โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยของรัฐ . (วิทยานิ พ นธ์ปริ ญ ญา Bangkok. [in Thai] [5] มหาบัณฑิต). จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, กรุงเทพฯ. [7] Raksamani, A. (2007). Relationships Between Job John, W. L., Patrick, C. C., Young Kim, L. W., & Characteristics, Moral Quotient and job Performance of Gibsonand, A. W. (2012). Key personality traits and Perioperative Nurses, Governmental University Hospital. career satisfaction of customer service workers (Master’s thesis). Chulalongkorn University, Bangkok. managing service quality. An International Journal, 5, [in Thai] [7] 517-536. Santisanguansak, J. (2003). The Relationship Between Jones, P., & Lockwood, A. (1989). The management Attitude Towards Work Service, Personality and of hotel Operation. London: Cassell. Quality of Customer Service of Advanced Info Service Public Company Limited. (Master’s thesis). Kasetsart Parasuraman, A. V., Zeithaml, A., & Berry, L. L. University, Bangkok. [in Thai] [2] (1988). Servqual: A multiple-item scale for measuring consumer perceptions of service quality. Journal of Siha-amphai, P. (1997). Religious and Ethical Retailing, 1, 12-40. Foundations of Education. Bangkok: Chulalongkorn University Printing House. [in Thai] [3] Suchookorn, S. (2007). Excellence Service. Bangkok: Winyoochon publishing. [in Thai] [6]


ISSN 1905 – 7121 Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences)

ระเบียบการตีพิมพ์วารสารการวิจยั เพือ่ พัฒนาชุมชน (มนุ ษยศาสตร์และสังคมศาสตร์) Journal of Research and Community Development (Humanities and Social Sciences) วารสารการวิจั ยเพื่ อพั ฒนาชุ มชน (มนุ ษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ ) เป็ นวารสารที่เผยแพร่ ผลงานวิจั ย และ บทความปริทศั น์ (วิชาการ) ในด้ านภาษาศาสตร์ มนุษยศาสตร์ นาฏศิลป์ ดุริยางคศิลป์ สังคมศาสตร์ การศึกษา กฎหมาย การบริหารธุรกิจ เศรษฐศาสตร์ และการสื่อสาร หรืออื่นๆ ที่เกี่ยวข้ อง ดังนั้น เพื่อให้ นักวิจัยและเจ้ าของผลงานนิพนธ์ สามารถเตรียมต้ นฉบับได้ ถูกต้ องและได้ มาตรฐานตามระเบียบของวารสารการวิจัยเพื่อพัฒนาชุมชน (มนุษยศาสตร์และ สังคมศาสตร์) จึงขอชี้แจง ดังนี้ 1. วารสารการวิจัยเพื่ อพัฒนาชุมชน (มนุ ษยศาสตร์และสังคมศาสตร์) ถือเป็ นสื่อกลางการเผยแพร่ บทความ งานวิจัยและผลงานทางวิชาการในสาขาต่างๆ ในด้ านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มีกาหนดออกเผยแพร่ ปี ละ 3 ฉบับ คือ เดือนมกราคม - เมษายน เดือนพฤษภาคม - สิงหาคม และเดือนกันยายน - ธันวาคม 2. ผลงานที่ส่งมาจะต้ องไม่เคยเสนอ หรือกาลังเสนอตีพิมพ์ในวารสารวิชาการใดมาก่อน 3. วารสารฯ รับตีพิมพ์บทความงานวิจัย หรือบทความทางวิชาการ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ 4. บทความงานวิจัย หรือบทความทางวิชาการที่เป็ นฉบับภาษาอังกฤษจะได้ รับการพิจารณาเป็ นอันดับแรก 5. บทความงานวิ จั ย หรื อบทความทางวิ ชาการที่เป็ นฉบั บ ภาษาไทยต้ องด าเนิ น การแปลเอกสารอ้ า งอิ ง (References) เป็ นภาษาอังกฤษก่อนเสนอตีพมิ พ์ สาหรับการวิจัยที่เกี่ยวข้ องกับมนุษย์หรือสัตว์ทดลอง วารสารฯ จะรับพิจารณาเฉพาะบทความที่มหี ลักฐานยืนยันว่า โครงการวิจัย ได้ ผ่านการรับรองเชิงจริยธรรมจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุ ษย์หรือสัตว์ทดลองแล้ วเท่านั้น นอกจากนี้ สาหรับการวิจัยที่เกี่ยวข้ องกับมนุษย์ เจ้ าของผลงานนิพนธ์ต้องแสดงให้ เห็นว่า ผู้เข้ าร่วมการทดลองได้ รับทราบ ข้ อมูลและตัดสินใจเข้ าร่ วมโดยความสมัครใจ ทั้งนี้ การอนุ มตั ิ ให้ลงตี พิมพ์ได้หรื อไม่น้ นั ผลการพิจารณาจากกอง บรรณาธิการวารสารการวิจยั เพือ่ พัฒนาชุมชน (มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์) ถือเป็ นที่สิ้นสุด ข้อแนะนาสาหรับการส่งต้นฉบับครั้งแรก ประกอบด้ วย ขั้นตอนที่ 1 บั น ทึ ก ข้ อมู ล ส่ ว นตั ว ของท่ า นในระบบการรั บ สมั ค รบทความออนไลน์ โดยเข้ าไปที่ http://www.journal.nu.ac.th และ Upload บทความต้ นฉบับ ทั้งนี้ ท่ านสามารถใช้ Username และ Password ในการ ติดตามผลงานของท่าน และสามารถใช้ ในการจัดส่งบทความครั้งต่อไป ขั้นตอนที่ 2 กรุณาติดตามการตอบรั บบทความทางอีเมล์ ซึ่ งท่ านจะได้ รั บเอกสาร ดังนี้ 1. บันทึกข้ อความ 2. หนังสือนาส่งต้ นฉบับบทความ ซึ่งผู้นิพนธ์ทุกท่านต้ องลงนามยืนยัน ขั้นตอนที่ 3 จัดส่งบันทึกข้ อความ และหนังสือนาส่งพร้ อมต้ นฉบับบทความ จานวน 1 ชุด ทางไปรษณีย์ หรือ E-mail: nujournal.s@gmail.com กรณี ประสงค์ สมั ครสมาชิ กวารสารฯ ให้ น าส่ งพร้ อมค่ าสมั ครตามอัตราค่ าสมั คร ในเว็บไซต์ของวารสาร ทั้งนี้ สาหรับท่านที่ยงั ไม่เคยสมัครเป็ นสมาชิก หรือหมดอายุการเป็ นสมาชิก ทางวารสารได้ ยกเว้นค่าสมัครสมาชิก ท่านสามารถส่งบทความลงตีพมิ พ์ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้ น จัดส่งมายัง

บรรณาธิการวารสารการวิจัยเพื่อพัฒนาชุมชน (มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์) งานวิจัยและวิเทศสัมพันธ์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยนเรศวร อาคารมหาธรรมราชา ชั้น 1 ตาบลท่าโพธิ์ อาเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก 65000 โทรศัพท์ 0-5596-8844 โทรสาร 0-5596-8844


ISSN 1905 – 7121 Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences)

ขั้นตอนการดาเนินงานภายหลังรับต้นฉบับ ขั้นตอนที่ 1 ออกหนังสือยืนยันการได้ รับสิ่งตีพิมพ์หรือผลงานนิพนธ์ (ต้ นฉบับ) เพื่อเข้ าสู่กระบวนการพิจารณา ของผู้ทรงคุณวุฒิ จากบรรณาธิการ ขั้นตอนที่ 2 กองบรรณาธิการตรวจสอบผลงานนิพนธ์เบื้องต้ น หากพบว่าเนื้อหายังไม่สมบูรณ์ และไม่เป็ นไปตาม เกณฑ์ท่กี าหนดไว้ ทางวารสารฯ จะจัดส่งต้ นฉบับคืนให้ ผ้ นู ิพนธ์พร้ อมออกหนังสือเป็ นลายลักษณ์อกั ษร ขั้นตอนที่ 3 จัดส่งผลงานนิพนธ์ให้ ผ้ ูทรงคุณวุฒิอย่างน้ อย 2 ท่านต่อ 1 ผลงาน ตรวจสอบผลงานนิพนธ์ ภายใน ระยะเวลา 14 วัน กรณี ไม่ผ่าน วารสารฯ จะส่งคืนต้ นฉบับให้ ผ้ นู ิพนธ์พร้ อมออกหนังสือเป็ นลายลักษณ์อกั ษร กรณี ผ่าน วารสารฯ จะดาเนินการแจ้ งสิ่งที่ต้องแก้ ไขตามข้ อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิให้ ผ้ ูนิพนธ์ทราบ และ ดาเนินการแก้ ไขภายในระยะเวลา 7 วัน (ผลงานของท่านจะถูกแก้ ไขจนกว่าจะมีความสมบูรณ์ได้ มาตรฐานและได้ รับการ ยืนยันให้ ลงตีพิมพ์จากผู้ทรงคุณวุฒิ) ขั้นตอนที่ 4 ผลงานนิพนธ์ท่ผี ้ ูทรงคุณวุฒิยืนยันให้ ตพี ิมพ์ วารสารฯ จะนาเข้ าสู่การพิจารณาโดยกองบรรณาธิการ วารสารการวิจัยเพื่อพัฒนาชุมชน (มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์) เป็ นขั้นตอนสุดท้ าย ผลงานนิพนธ์บางเรื่องอาจไม่ได้ รับการพิจารณาซึ่งผลการพิจารณาของกองบรรณาธิการวารสารมหาวิทยาลัยนเรศวรถือเป็ นที่ส้ นิ สุด ขั้นตอนที่ 5 วารสารฯ ออกหนังสือแจ้ งกาหนดการลงตีพิมพ์ให้ ผ้ ูนิพนธ์ทราบเป็ นลายลักษณ์อักษร พร้ อมระบุ ปี ที่(ฉบับที่) ลงตีพิมพ์ องค์ประกอบของบทความงานวิจยั (Research Article) ส่วนแรก ควรประกอบด้ วย ชื่อเรื่อง (ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ) ชื่อผู้นิพนธ์ (ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ) ที่อยู่ผ้ ูนิพนธ์สงั กัดภาควิชา คณะ มหาวิทยาลัย เมือง จังหวัด รหัสไปรษณีย์ (ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ) และอีเมล์ของ ผู้นิพนธ์หลัก 1 ท่าน (กรณีบทความเป็ นภาษาอังกฤษไม่ตอ้ งมีภาษาไทยกากับ) บทคัดย่อ (Abstract) บทความงานวิจัยต้ องประกอบด้ วยบทคัดย่อที่ระบุถงึ ความสาคัญของเรื่อง วัตถุประสงค์ วิธี การศึกษา ผลการศึกษา และบทสรุป ก่อนแล้ วตามด้ วยบทคัดย่ อภาษาอังกฤษที่มีเนื้อหาตรงกันโดยในส่วนบทคัดย่อนี้ เนื้อหารวมกันแล้ วไม่ เกิน 600 คา ต้ องระบุคาสาคัญ (Keywords) จานวนไม่ เกิน 5 คา (บทความภาษาไทยต้องมี บทคัดย่อภาษาอังกฤษ แต่กรณีบทความภาษาอังกฤษไม่ตอ้ งมีบทคัดย่อภาษาไทย) เนื้ อหาของบทความ การเขียนเนื้อหาบทความวิจัย ควรมีข้อมูลตามลาดับดังนี้ 1) บทนา 2) วัสดุอุปกรณ์และ วิธีการศึกษา 3) ผลการศึกษา 4) อภิปรายผลการศึกษา 5) สรุปผลและข้ อเสนอแนะ (ถ้ ามี) 6) กิตติกรรมประกาศ (ถ้ ามี) และ 7) เอกสารอ้ างอิง กรณีเอกสารอ้ างอิงเป็ นภาษาไทยจะต้ องแปลเป็ นภาษาอังกฤษตามรูปแบบที่กาหนดให้ ดู ตัวอย่างได้ จากเว็บไซต์ http://www.journal.nu.ac.th ความสาคัญของที่มาและปั ญหาของงานวิจัย ภูมิหลังของงานวิจัยที่ เกี่ยวข้ องสมมุตฐิ านและวัตถุประสงค์ของการวิจัยให้ เขียนไว้ ในส่วนบทนา เทคนิคและวิธกี ารทั่วไปให้ อธิบายไว้ ในส่วนวัสดุ อุปกรณ์และวิธกี ารศึกษา ผลการทดลองต่างๆ ให้ อธิบายไว้ ในส่วนผลการศึกษา การวิเคราะห์เปรียบเทียบผลการทดลอง กับงานของผู้อ่นื ให้ เขียนไว้ ในส่วนวิจารณ์ผลการศึกษา และการสรุปผลการศึกษาที่สามารถตอบวัตถุประสงค์ได้ ให้ เขียนไว้ ในส่วนสรุปผลการศึกษา ผู้นิพนธ์อาจมีหัวข้ อย่อยในส่วนวัสดุอุปกรณ์และวิธีการ และ/หรือ ในส่วนผลการศึกษาได้ แต่ ไม่ควรมีจานวนหัวข้ อย่อยมากเกินไป องค์ประกอบของบทความปริทศั น์ (Review Article) บทความปริทศั น์เป็ นการนาเสนอภาพรวมของเรื่องที่น่าสนใจ


ISSN 1905 – 7121 Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences)

ส่วนแรก ควรประกอบด้ วยชื่อเรื่อง (ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ) ชื่อผู้นิพนธ์ (ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ) ที่อยู่ ผู้นิพนธ์ หรือสังกัดภาควิชา คณะ มหาวิทยาลัย เมือง จังหวัด รหัสไปรษณีย์ (ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ) และอีเมล์ของ ผู้นิพนธ์หลัก 1 ท่าน (กรณีบทความเป็ นภาษาอังกฤษไม่ตอ้ งมีภาษาไทยกากับ) บทคัดย่อ (Abstract) เนื้อหารวมกันแล้ วไม่เกิน 600 คา โดยเป็ นการย่ อเรื่องให้ เข้ าใจว่าเรื่องที่นาเสนอมีความ น่ าสนใจและความเป็ นมาอย่ างไร (บทความภาษาไทยต้องมีบทคัดย่อภาษาอังกฤษ แต่ กรณีบทความภาษาอังกฤษ ไม่ตอ้ งมีบทคัดย่อภาษาไทย) เนื้ อหาของบทความ ควรประกอบด้ วย บทนา (Introduction) เพื่อกล่าวถึงความน่าสนใจของเรื่องที่นาเสนอก่อน เข้ าสู่เนื้อหาในแต่ ละประเด็น และต้ องมีบทสรุป (Conclusion) เพื่ อขมวดปมเรื่องที่นาเสนอ พร้ อมข้ อเสนอแนะจาก ผู้นิพนธ์เกี่ยวกับเรื่องดังกล่ าวเพื่อให้ ผ้ ูอ่านได้ พิจารณาประเด็นที่น่าสนใจต่อไป สาหรับรูปแบบของการเขียนเหมือนกับ บทความงานวิจัย ผู้นิพนธ์ควรตรวจสอบเนื้อหาที่เกี่ยวข้ องกับบทความที่นาเสนออย่างละเอียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อหาที่ใหม่ท่สี ดุ เป็ นปั จจุบันกาล เรื่องกาลังเป็ นที่น่าสนใจของสังคม จะได้ รับการพิจารณาเป็ นอันดับแรก บทความปริทศั น์ต้องนาเสนอ พัฒนาการของเรื่องที่น่าสนใจ ข้ อมูลที่นาเสนอจะต้ องไม่จาเพาะเจาะจงเฉพาะผู้อ่านที่อยู่ในสาขาของบทความเท่านั้นแต่ ต้ องนาเสนอข้ อมูลซึ่งผู้อ่านในสาขาอื่นหรือนิสติ นักศึกษาในระดับสูงสามารถเข้ าใจได้ การจัดเตรียมต้นฉบับบทความ 1. การจัดรูปแบบบทความด้วยโปรแกรม Microsoft Word (Template ได้ที่ http://www.journal.nu.ac.th) 1.1 จัดหน้ ากระดาษ A4 โดยตั้งค่ าหน้ ากระดาษดังนี้ ขอบบน 2.5 เซนติเมตร ขอบล่ าง 2.5 เซนติเมตร ขอบซ้ าย 3 เซนติเมตร และขอบขวา 2.5 เซนติเมตร 1.2 จัดบทความให้ อยู่ ในลักษณะเว้ นบรรทัด (1.5 lines) และมีเลขบรรทัดกากับตลอดบทความ รวมทั้ง ตารางและรูปภาพ 1.3 ใส่เลขหน้ ากากับด้ านล่างขวาของกระดาษทุกหน้ า 1.4 จานวนหน้ าผลงาน มีกาหนดไม่เกิน 12 หน้ า 2. ผลงานนิพนธ์ (ใช้ตวั อักษร Eucrosia UPC ตลอดทั้งบทความ) ชื่อเรื่อง ไม่ควรเกิน 100 ตัวอักษรรวมเว้ นวรรค ไม่ใช้ ช่ ือสามัญและชื่อวิทยาศาสตร์ของสิ่งมีชีวิตพร้ อมกัน ใช้ ตวั อักษรขนาด 18 พ้ อยท์ตวั หนา ชื่อผูน้ ิพนธ์ อยู่ถัดลงมาจากชื่อเรื่อง ให้ ใช้ ตัวอักษรขนาด 16 พ้ อยท์ตัวธรรมดา หากมีผ้ ูนิพนธ์หลายคนที่ สังกัดต่างหน่วยงานกันให้ ใช้ ตัวอักษรภาษาอังกฤษ ตัวเล็กกากับเหนือตัวอักษรสุดท้ ายของนามสกุลแต่ละคน ตามด้ วย เครื่องหมายดอกจัน (Asterisk) สาหรับติดต่อผู้นิพนธ์ (Corresponding Author) ที่อยู่ผูน้ ิพนธ์ อยู่ถัดลงมาจากชื่อผู้นิพนธ์ ให้ เขียนเรียงลาดับตามตัวอักษรภาษาอังกฤษที่กากับไว้ ในส่วนของ ชื่อผู้นิพนธ์ ใช้ ตวั อักษรขนาด 12 พ้ อยท์ตวั ธรรมดา ผูน้ ิพนธ์สาหรับติ ดต่ อ อยู่ถัดจากที่อยู่ผ้ ูนิพนธ์ ให้ ใส่อีเมล์ของผู้นิพนธ์หลักที่สามารถติดต่ อได้ ในระหว่ าง ดาเนินการ ใช้ ตวั อักษรขนาด 12 พ้ อยท์ตวั ธรรมดา บทคัดย่อ ให้ จัดหั วเรื่องบทคัดย่ อไว้ กลางหน้ ากระดาษ โดยใช้ ตัวอักษร Eucrosia UPC ขนาด 12 พ้ อยท์ ตัวหนา เนื้อความในบทคัดย่อขนาด 12 พ้ อยท์ ตัวธรรมดา ท้ ายบทคัดย่อให้ ระบุ คาสาคัญ (Keywords) จัดชิดขอบซ้ าย ของกระดาษ ใช้ ตวั อักษรขนาด 12 พ้ อยท์ ตัวหนา และใช้ ตวั อักษรขนาด 12 พ้ อยท์ ตัวธรรมดา สาหรับคาสาคัญแต่ละคา กรณีภาษาไทยให้ เว้ นวรรค 2 เคาะ กรณีภาษาอังกฤษให้ ค่นั ด้ วยเครื่องหมายจุลภาค (,)


ISSN 1905 – 7121 Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences)

เนื้ อหาในบทความ หั วเรื่ อง Introduction, Materials and Methods, Results, Discussion and Conclusions, Acknowledgements และ References ให้ ใช้ ตัวอักษรขนาด 14 พ้ อยท์ตัวหนา ส าหรั บเนื้ อหาให้ ใช้ ตัวอักษรขนาด 14 พ้ อยท์ตวั ธรรมดา ตารางและรู ปภาพ คาอธิบายตารางให้ ใช้ คาว่ า ตารางที่ หรือ Table สาหรับรูปภาพให้ ใช้ คาว่ า รู ปที่ หรือ Figure กากับด้ วยตัวเลข 1, 2, 3,... ตามลาดับ โดยใช้ อกั ษรขนาด 12 พ้ อยท์ตวั หนา ส่วนชื่อตารางและชื่อรูป ให้ ใช้ อกั ษร ขนาด 12 พ้ อยท์ตัวธรรมดา ตารางต้ องไม่มีเส้ นสดมภ์ ตัวอักษรหรือตัวเลขที่นาเสนอในรูปกราฟหรือตารางต้ องเป็ น ตัวอักษรขนาด 12 พ้ อยท์ตวั ธรรมดา สาหรับคาอธิบายเชิงอรรถให้ ใช้ ตวั อักษรขนาด 10 พ้ อยท์ การนาเสนอตาราง หัวข้ อตารางให้ เริ่มที่มุมซ้ ายด้ านบนของเส้ นตาราง ตามลาดับเลขที่ปรากฏในต้ นฉบับ ตารางที่นาเสนอจะต้ อง แสดงรายละเอียดที่ครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมด โดยไม่ จาเป็ นต้ องกลับไปอ่านในเนื้อความหรือตารางอื่นประกอบ เมื่อ ผู้นิพนธ์ได้ นาเสนอข้ อมูลไว้ ในตารางหรือภาพแล้ ว ควรหลีกเลี่ยงการนาเสนอข้ อมูลอีกครั้งในเนื้อความ ควรเขียนชื่อตาราง ในลักษณะย่อใจความข้ อมูลที่นาเสนอโดยไม่กล่าวซา้ ในหัวข้ อย่อยของตารางอีก หัวข้ อย่อยของตารางควรสั้นกะทัดรัด ตารางที่นาเสนอมักเป็ นข้ อมูลตัวเลขที่แสดงการเปรียบเทียบหรือความสัมพันธ์ระหว่างข้ อมูล ข้ อมูลที่นาเสนอใน ตารางควรมีความสอดคล้ องกับข้ อมูลในส่วนของเนื้อความ หลีกเลี่ยงการใช้ ข้อมูลที่ไม่จาเป็ น สามารถใช้ คาย่อในตารางได้ แต่ควรอธิบายคาย่อที่ไม่ใช่คามาตรฐานในเชิงอรรถ (Footnote) ให้ เขียนเชิงอรรถโดยระบุตวั อักษรภาษาอังกฤษไว้ ด้านบน และเรียงลงมาตามลาดับ ตารางที่สร้ างขึ้นมาไม่ต้องมีเส้ นสดมภ์ มีแต่เส้ นแนวนอน ตารางที่นาเสนอจะต้ องเป็ นตารางที่ พอเหมาะกับกระดาษขนาด A4 ดังตัวอย่าง ตารางที่ 1 แสดงผลทดสอบสมมติฐานที่มีความสัมพั นธ์ระหว่ างปั จจัยส่ว นบุคคลและพฤติกรรมการซื้อสินค้ า สุขภาพและความงาม ทางออนไลน์สาหรับตลาดกลางพาณิชย์อเิ ล็กทรอนิกส์ Chi-Square Test ปั จจัยส่วนบุคคล พฤติกรรมการซื้ อ Sig (2-sided) เพศ การหาข้ อมูลก่อนการตัดสินใจซื้อ .013 อายุ ความถี่ในการซื้อ .000 รายได้ การหาข้ อมูลก่อนการตัดสินใจซื้อ .006 Table 2 Frequency of detected retromolar canals (n) according to gender or side (n total=99) Study parameter subgroups n/n total Male 28/39 Gender Female 36/60 Right 33/51 Side Left 31/48

Percentage (%) 71.79 60 64.70 64.58

การนาเสนอรูปภาพ (ภาพถ่าย กราฟ ชาร์ตหรือไดอะแกรม) ผู้นิพนธ์ต้องนาเสนอรูปภาพที่มีความคมชัดพร้ อมระบุ หมายเลขกากับรูปภาพ ต้ องมีรายละเอียดของข้ อมู ล ครบถ้ วนและเข้ าใจได้ โดยไม่จาเป็ นต้ อง กลับไปอ่านที่เนื้อความอีก ระบุลาดับของรูปภาพทุกรูปให้ สอดคล้ องกับเนื้อหาที่ อยู่ในต้ นฉบับ และมีขนาดที่เท่ากัน ชื่อของรูปภาพให้ เริ่มที่มุมซ้ ายล่าง ในกรณีนาเสนอรูปภาพที่มเี ส้ นกราฟ ผู้นิพนธ์ต้องนาเสนอเส้ นกราฟแต่ละเส้ นที่สามารถแยกความแตกต่างกันได้ และมีคุณภาพดี ใช้ สัญลักษณ์มาตรฐาน (เช่ น สี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม วงกลม) หรือสัญลักษณ์อ่ นื เป็ นตัวแทนนาเสนอได้


ISSN 1905 – 7121 Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences)

หากมีสญ ั ลักษณ์กากับเส้ นกราฟ เช่น ดอกจันทร์เพื่อแสดงความมีนัยสาคัญทางสถิตจิ ะต้ องอธิบายสัญลักษณ์ดงั กล่าวอย่ าง ชัดเจนบริเวณเชิงอรรถใต้ กราฟ และใช้ ตัวอักษร Eucrosia UPC (ทั้งบทความภาษาอังกฤษและภาษาไทย) กากับแกน x แกน y และแกน z (หากมี) รวมทั้งอธิบายค่าต่างๆ ในกราฟทั้งหมด

รูปที่ 1 …………………………………………………......

หากนาเสนอเป็ นแท่งกราฟ ควรใช้ แท่งกราฟขาวดา อาจมีลวดลายระบุแสดงความแตกต่างของแต่ละแท่งกราฟ อย่ างชัดเจนดังรูปที่ 2 หลีกเลี่ยงการใช้ แท่งกราฟที่มีลักษณะแรงเงา (Shading) หากมีสัญลักษณ์กากับแท่งกราฟ เช่น ดอกจันเพื่อแสดงความมีนัยสาคัญทางสถิติ จะต้ องอธิบายสัญลักษณ์ดงั กล่าวอย่างชัดเจนบริเวณเชิงอรรถใต้ กราฟ และใช้ ตัวอักษร Eucrosia UPC (ทั้งบทความภาษาอังกฤษและภาษาไทย) กากับแกน x แกน y และ แกน z (หากมี) รวมทั้ง อธิบายค่าต่างๆ ในกราฟทั้งหมด

Figure 2 …………………………………………………..

ภาพถ่ายจากฟิ ล์มเนกาติฟ (Negative) ในกรณีท่ผี ลการศึกษามีภาพถ่ายจากฟิ ล์มเนกาติฟ ผู้นิพนธ์ต้องส่งภาพจริงมาพร้ อมต้ นฉบับระบุรายละเอียดของ ข้ อมูลด้ านหลังภาพเพื่อป้ องกันความสับสน หากมีหลายภาพ ควรใช้ ภาพที่มขี นาดเท่ากันทั้งนี้วารสารฯ จะพิจารณาเฉพาะ ภาพที่มคี วามคมชัดดีมากเท่านั้น ในกรณีท่เี ป็ นภาพถ่ายจากกล้ องจุลทรรศน์ ต้ องใส่แท่งสเกลบนภาพเพื่อระบุขนาดกาลังขยายของภาพถ่าย ภาพจาลองจากระบบดิจิตอล วารสารฯ อนุ โ ลมให้ ใช้ ภาพจ าลองซึ่ งถ่ ายจากกล้ องระบบดิ จิ ต อลหรื อเครื่ องสแกนภาพส าหรั บน าเสนอ ผลการศึกษาได้ แต่จะต้ องเป็ นภาพที่มี ความคมชัดของรายละเอียดดีมากเท่านั้น โดยควรมีความละเอียดของภาพอย่ าง น้ อยที่สดุ 360 ppi (หากเป็ นภาพที่เป็ นลายเส้ นจะต้ องมีความ ละเอียดอย่างน้ อยที่สุด 600 ppi) จัดเก็บภาพไว้ ในแฟ้ ม เอกสาร (file) สกุล jpg หรือ tif ที่มีขนาดไม่เกิน 1 เมกะไบท์ต่อภาพ ผู้นิพนธ์ควร จัดเก็บแฟ้ มเอกสารของภาพแยกจาก แฟ้ มเอกสารเนื้อเรื่อง


ISSN 1905 – 7121 Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences)

เนื่องจากความหลากหลายของโปรแกรม เครื่องสแกนภาพ หรือจอภาพคอมพิวเตอร์ ผู้นิพนธ์จะต้ องรับผิดชอบใน การจัดเตรียมภาพถ่ ายที่สามารถนามาเปิ ดใช้ งานได้ หากไม่ สามารถเปิ ดภาพจาลองที่เตรี ยมมาได้ อาจส่งผลให้ การ ดาเนินการเกิดความล่าช้ า หรือไม่ได้ รับการพิจารณา วารสารฯ ไม่ อนุ ญาตให้ ใช้ ภาพจ าลองที่สร้ างมาจากโปรแกรมไมโครซอฟท์ออฟฟิ ศ (Microsoft Office) เช่ น พาวเวอร์พอยท์ (Power Point) เอกเซล (Excel) หรืออื่นๆ การอ้างอิงเอกสาร เอกสารที่นามาอ้ างอิงควรได้ มาจากแหล่ งที่มีการตีพิมพ์ชัดเจน อาจเป็ นวารสาร หนังสือ หรืออินเตอร์เน็ตก็ได้ ทั้งนี้ผ้ นู ิพนธ์เป็ นผู้รับผิดชอบต่อความถูกต้ องของเอกสารอ้ างอิงทั้งหมด การอ้างอิงในเนื้ อความ กรณีผ้ แู ต่งหนึ่งราย เอกสารอ้ างอิงภาษาไทย ตัวอย่าง สรุปความ ชื่อชื่อสกุล,ปี ที่พิมพ์ (สุขใจ อิ่มเอม, 2548) หรือ สุขใจ อิ่มเอม (2548) คัดลอก ชื่อชื่อสกุล,ปี ที่พิมพ์, น.เลขหน้ า (สุขใจ อิ่มเอม, 2548, น. 1) หรือ สุขใจ อิ่มเอม, (2548, น. 1) เอกสารอ้ างอิงภาษาอังกฤษ ตัวอย่าง สรุปความ ชื่อสกุล,ปี ที่พิมพ์ (Smith, 2005) or Smith (2005) คัดลอก ชื่อสกุล,ปี ที่พิมพ์,น.เลขหน้ า (Smith, 2005, p. 1) or Smith (2005, p. 1) กรณีผ้ แู ต่งสองราย เอกสารอ้ างอิงภาษาไทย ตัวอย่าง สรุปความ ชื่อชื่อสกุลคนแรกและชื่อชื่อสกุล (สุขใจ อิ่มเอม และพอดี พอใช้ , 2548) หรือ สุขใจ อิ่มเอม และพอดี พอใช้ (2548) คนที่สอง,ปี ที่พิมพ์ คัดลอก ชื่อชื่อสกุลคนแรกและชื่อชื่อสกุล (สุขใจ อิ่มเอม และพอดี พอใช้ , 2548, น. 5-8) หรือ สุขใจ อิ่มเอม และพอดี พอใช้ (2548, น. 5-8) คนที่สองปี ที่พิมพ์, น.เลขหน้ า เอกสารอ้ างอิงภาษาอังกฤษ ตัวอย่าง สรุปความ ชื่อชื่อสกุลคนแรก& ชื่อชื่อสกุล (Smith and Xu, 2005) or Smith and Xu (2005) คนที่สอง,ปี ที่พิมพ์ คัดลอก ชื่อชื่อสกุลคนแรก& ชื่อชื่อสกุล (Smith and Xu, 2005, pp. 5-8) or Smith and Xu คนที่สองปี ที่พิมพ์, หน้ า.เลขหน้ า (2005, pp. 5-8) กรณีผ้ แู ต่ง 3-5 ราย เอกสารอ้ างอิงภาษาไทย ตัวอย่าง สรุปความ ชื่อชื่อสกุลคนแรก และคนอื่นๆ,ปี การอ้างอิงครั้งแรก ที่พิมพ์ (สุขใจ อิ่มเอม, พอดี พอใช้ , และชื่นชม ยินดี, 2548) หรือ สุขใจ อิ่มเอม, พอดี พอใช้ , และชื่นชม ยินดี(2548) การอ้างอิงครั้งต่อไป (สุขใจ อิ่มเอม และคนอื่นๆ, 2548) หรือ สุขใจ อิ่มเอม และคนอื่นๆ (2548)


ISSN 1905 – 7121 Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences)

เอกสารอ้ างอิงภาษาไทย ตัวอย่าง คัดลอก ชื่อชื่อสกุลคนแรก และคนอื่นๆ,ปี การอ้างอิงครั้งแรก ที่พิมพ์, น.เลขหน้ า (สุขใจ อิ่มเอม, พอดี พอใช้ , และชื่นชม ยินดี, 2548, น. 5-8) หรือ สุขใจ อิ่มเอม, พอดี พอใช้ , และชื่นชม ยินดี (2548, น. 10) การอ้างอิงครั้งต่อไป (สุขใจ อิ่มเอม และคนอื่นๆ, 2548, น. 5-8) หรือ สุขใจ อิ่มเอม และคนอื่นๆ (2548, น. 10) เอกสารอ้ างอิงภาษาอังกฤษ ตัวอย่าง สรุปความ ชื่อชื่อสกุลคนแรกet al.,ปี ที่พิมพ์ การอ้างอิงครั้งแรก (Smith, Xu, and Chen, 2005) or Smith, Xu, and Chen (2005) การอ้างอิงครั้งต่อไป (Smith et al., 2005) or Smith et al., (2005) คัดลอก ชื่อชื่อสกุลคนแรกet al.ปี ที่พิมพ์, การอ้างอิงครั้งแรก หน้ า.เลขหน้ า (Smith, Xu, and Chen, 2005, p. 10) or Smith, Xu, and Chen (2005, p. 10) การอ้างอิงครั้งต่อไป (Smith et al., 2005, p. 10) or Smith et al., (2005, p. 10) กรณีผ้ แู ต่ง 6-8 ราย หรือมากกว่า เอกสารอ้ างอิงภาษาไทย ตัวอย่าง สรุปความ ชื่อชื่อสกุลคนแรก และคนอื่นๆ,ปี (สุขใจ อิ่มเอม และคนอื่นๆ, 2548) หรือ สุขใจ อิ่มเอม และคนอื่นๆ (2548) ที่พิมพ์ คัดลอก ชื่อชื่อสกุลคนแรก และคนอื่นๆ,ปี (สุขใจ อิ่มเอม และคนอื่นๆ, 2548, น. 5-8) หรือ สุขใจ อิ่มเอม และคนอื่นๆ (2548, น. 10) ที่พิมพ์, น.เลขหน้ า เอกสารอ้ างอิงภาษาอังกฤษ ตัวอย่าง สรุปความ ชื่อชื่อสกุลคนแรกet al.,ปี ที่พิมพ์ (Smith et al., 2005) or Smith et al. (2005) คัดลอก ชื่อชื่อสกุลคนแรกet al.ปี ที่พิมพ์, (Smith et al., 2005, p. 10) or Smith et al. (2005, p. 10) หน้ า.เลขหน้ า การอ้างอิงท้ายบทความ ให้ ผ้ ูนิพนธ์เขียนเอกสารอ้ างอิงตามรูปแบบของ The American Psychological Association (APA style) 6th Edition สามารถดูตวั อย่างการอ้ างอิงได้ ท่ี http://www.journal.nu.ac.th


ISSN 1905 – 7121 Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences)

ใบสมัครสมาชิกวารสารการวิจัยเพื่อพัฒนาชุมชน (มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์) วันที่ …….. เดือน ……………. พ.ศ. .............. เรียน กองบรรณาธิการวารสารการวิจัยเพื่อพัฒนาชุมชน (มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์) ข้าพเจ้า (นาย,นาง,นางสาว/ตาแหน่งทางวิชาการ)............................…………………………………..…………………. สังกัด-สถานที่อยู่ ……………………………………………………………………………………………………….………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… โทรศัพท์..................................................................E-mail…………………………………………………………………… มีความประสงค์จะขอสมัครสมาชิกวารสารการวิจัยเพื่อพัฒนาชุมชน (มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์) ( ) สมาชิกประเภทบุคคลรายปี 100 บาท ( ) สมาชิกประเภทบุคคลราย 3 ปี 250 บาท ( ) สมาชิกประเภทองค์กร/หน่วยงาน รายปี 100 บาท ( ) สมาชิกประเภทองค์กร/หน่วยงาน ราย 3 ปี 250 บาท พร้อมนี้ ข้าพเจ้าได้ส่ง ( ) เงินสด ( ) ธนาณัติ (สั่งจ่าย ปณ.เคาน์เตอร์มหาวิทยาลัยนเรศวร 00036) ( ) ตั๋วแลกเงินไปรษณีย์ ในนาม ผู้ช่วยบรรณาธิการวารสารการวิจัยเพื่อพัฒนาชุมชน (มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์) โปรดส่งวารสารการวิจัยเพื่อพัฒนาชุมชน (มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์) ตามที่อยู่ดังนี้ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ……………………..……………………. (.............…………………………………..)

หมายเหตุ

1. การส่งบทความลงตีพิมพ์ไม่จาเป็นต้องสมัครสมาชิก 2. บุคคล/หน่วยงาน/องค์กร ที่ต้องการสมัครสมาชิกวารสารเพื่อประโยชน์ในการศึกษาค้นคว้า กรุณากรอกข้อมูลตามแบบฟอร์มข้างต้น และจัดส่งให้วารสารดาเนินการต่อไป


ISSN 1905 – 7121 Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences)

แบบเพื่อขอลงตีพิมพ์ในวารสารการวิจัยเพื่อพัฒนาชุมชน (มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์) ชื่อเรื่อง ภาษาไทย ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................................. Title English ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................. ชื่อ-สกุล ผู้แต่งหลัก ภาษาไทย ............................................................................................................................................ English ............................................................................................................................................... ที่อยู่ ภาษาไทย ..................................................................................................................................................................... Address English .............................................................................................................................................................. รหัสไปรษณีย์................................โทรศัพท์...................................................โทรสาร.............................................................. E-mail..................................................................................................................................................................................... ชื่อ-สกุล ผู้แต่งร่วม 1......................................................................................................................... 2....................................................................... .................................................. 3......................................................................................................................... 4............................................................................. ............................................ 5......................................................................................................................... ประเภท

 บทความงานวิจัย (Research Articles)  บทความวิชาการ (Review Articles)

คายืนยันของผู้แต่งทุกท่าน ข้ า พเจ้ า ขอยื น ยั น ว่ า บทความนี้ ไ ม่ เ คยเสนอหรื อ ก าลั ง เสนอตี พิ ม พ์ ใ นวารสารใดมาก่ อ น และยิ น ดี ใ ห้ กองบรรณาธิการวารสารการวิจัยเพื่อพัฒนาชุมชน (มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์) เลือกสรรหาผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อพิจารณา ต้นฉบับของข้าพเจ้าโดยอิสระ และยิ นยอมให้กองบรรณาธิการฯ สามารถตรวจแก้ไขต้นฉบับดังกล่าวได้ตามสมควร และ ยินยอมให้บทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารการวิจัยเพื่อพัฒนาชุมชน (มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์) นี้ ถือเป็นลิขสิทธิ์ของ มหาวิทยาลัยนเรศวร ลงชื่อ.................................................. ลงชื่อ.................................................. ลงชื่อ.................................................. ลงชื่อ.................................................. ลงชื่อ.................................................. วันที่.........../......................./..............


Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences) Volume 9, No. 2, May - August, 2016 Executive Board Prof. Dr. Sujin Jinayon Asst. Prof. Dr. Pupong Pongcharoen Prof. Dr. Rattana Buosonte Editor- in-Chief Assoc. Prof. Dr. Sakchai Wittaya-areekul Editorial Board Prof. Dr. George W. Noblit University of North Carolina, Chapel Hill Prof. Dr. Jennifer C. Greene University of Illinois, Urbana Champaign Assoc. Prof. Dr. Rita O’Sullivan University of North Carolina, Chapel Hill Prof. Dr. Chuchai Smithikrai Chiang Mai University Prof. Dr. Duangrudi Suksang Eastern Illinois University, Illinois Prof. Dr. Yos Santasombat Chiang Mai University Prof. Dr. Anan kanjanapan Chiang Mai University Assoc. Prof. Dr. Kietsuda Srisuk Chiang Mai University Assoc. Prof. Dr. Sarun Wattanutchariya Kasetsart University Assoc. Prof. Dr. Patcharin Sirasoonthorn Naresuan University Assoc. Prof. Dr. Makasiri Chaowagul Naresuan University Assoc. Prof. Dr. Panuwat Pakdeewong Naresuan University Asst. Prof. Dr. Boonyarat Chokebandanchai Naresuan University Asst. Prof. Dr. Wanawan Doherty Naresuan University Asst. Prof. Dr. Usa Padgate Naresuan University Assistant Editor Kanyakorn Tiamkaew Graphic Designer Soraya Sangyenphan Editorial Office Research and International Affair, The Graduate School, Naresuan University 99 moo 9 Maha Dhammaraja Building Zone A, Tapho, Muang District Phitsanulok Province, 65000 Tel.+66-5596-8844 Fax.+66-5596-8844 Subscription fee 100 Baht/year or 250 Baht/3 years

The original research articles published in this journal were peer reviewed by at least 2 readers per article who specialized in Humanities and Social Sciences. Any reproduction of the articles must be approved with a written consent from the Editorial Board.



Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.