1
2 เจ.ดี.ซาลินเจอร์
3
ไลต์เฮาส์ พับลิชชิ่ง 1 ถนนรองเมือง 5 แขวงรองเมือง เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330
4 เจ.ดี.ซาลินเจอร์
แฟรนนี่ กับ โซอี้ Franny and Zooey เรื่อง แปล บรรณาธิการอำ�นวยการ ออกแบบปก ศิลปกรรม
เจ.ดี. ซาลินเจอร์ ปราบดา หยุ่น ‘คนเฝ้าประภาคาร’ Typhoon Studio จีรวรรณ มั่นคง
ข้อมูลทางบรรณานุกรมหอสมุดแห่งชาติ เจ.ดี. ซาลินเจอร์ แฟรนนี่ กับ โซอี้ - Franny and Zooey กรุงเทพฯ : ไลต์เฮาส์, 2559, 186 หน้า 1.นวนิยายอเมริกัน. I. ปราบดา หยุ่น, ผู้แปล II. ชื่อเรื่อง. ISBN 978-616-80530-0-3 แฟรนนี่ กับ โซอี้ : ผลงานลำ�ดับที่ 17 พิมพ์ครั้งแรก : พ.ศ. 2559 ไลต์เฮาส์ พับลิชชิ่ง สำ�นักพิมพ์ในเครือบริษัท ไบรทคิดส์ จำ�กัด 1 ถนนรองเมือง 5 แขวงรองเมือง เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330 พิมพ์ที่ : ห้างหุ้นส่วนจำ�กัด ภาพพิมพ์ โทรศัพท์ 0-2433-0026-7 จัดจำ�หน่ายโดย : บริษัท เอ-บุ๊ค ดิสทริบิวชั่น จำ�กัด โทรศัพท์ 0-2968-9337 โทรสาร 0-2968-9511 FRANNY AND ZOOEY Copyright © 1957, 1961 by J.D. Salinger. Copyright renewed 1983, 1985 by J.D. Salinger. Copyright arranged with : Harold Ober Associates Incorporated 425 Madison Avenue, New York, NY 10017, USA. through Tuttle-Mori Agency Co., Ltd.
5
แฟรนนี่ กับ โซอี้
6 เจ.ดี.ซาลินเจอร์
แม้ ว่ า แดดแจ่ ม จ้ า แต่ อ ากาศเช้ า วั น เสาร์ ก็ ห นาวเย็ น จนต้ อ งสวม โอเวอร์โค้ตอีกครั้ง ไม่ใช่อากาศแบบที่ลำ�พังท็อปโค้ตจะเอาอยู่ดังที่เป็น มาตลอดสัปดาห์ และแบบที่ทุกคนต่างก็หวังว่ามันจะเป็นไปจนถึงสุด สั ป ดาห์ สำ � คั ญ —สุ ด สั ป ดาห์ ที่ จ ะมี ก ารแข่ ง อเมริ กั น ฟุ ต บอลของ มหาวิทยาลัยเยล ในเด็กหนุ่มจำ�นวนยี่สิบกว่าคนที่สถานีรถไฟ ซึ่งมารอ คู่เดทของพวกเขาที่กำ�ลังจะเดินทางมาถึงตอนสิบโมงห้าสิบสอง มีเพียง หกหรือเจ็ดคนรออยู่ในความหนาวเย็นบนชานชาลากลางแจ้ง ที่เหลือ ยืนแยกเป็นกลุ่มเล็กๆ กลุ่มละสองสามสี่คน ไม่สวมหมวก สูบบุหรี่ควัน โขมงอยูใ่ นห้องรับรองอุน่ ๆ พูดคุยด้วยน้ำ�เสียงดุดนั แบบเด็กมหาวิทยาลัย แทบเหมือนกันหมด ราวกับว่าหนุ่มน้อยแต่ละนายกำ�ลังสรุปประเด็น เผ็ดร้อนอะไรสักอย่างให้จบสิ้นกันเสียทีด้วยเสียงดังแสบแก้วหู ประเด็น ที่โลกนอกรั้วมหาวิทยาลัยได้ถกเถียงกันมากบ้างน้อยบ้างอย่างสะเปะ สะปะมาหลายศตวรรษ เลน คูเทล ผู้สวมเสื้อโค้ตกันฝนเบอร์เบอรี่ที่ดูเหมือนจะมีซับใน ขนแกะติดกระดุมอยู่อีกชั้น เป็นหนึ่งหนุ่มหกเจ็ดคนบนชานชาลากลาง แจ้ง หรืออาจกล่าวได้ว่าเขาทั้งเป็นและไม่ได้เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น เขาจงใจยืนห่างจากรัศมีสนทนาของเด็กหนุ่มอื่นอยู่นานกว่าสิบนาที
แฟรนนี่ 7
หั น หลั ง ให้ ชั้ น วางหนั ง สื อ อ่ า นฟรี ข องลั ท ธิ ค ริ ส เตี ย นไซแอนส์ มื อ ที่ ปราศจากถุงมือซุกในกระเป๋าเสื้อโค้ตทั้งสองข้าง เขาสวมผ้าพันคอ แคชเมียร์สีเลือดหมูที่กองย่น แทบไม่ช่วยป้องกันความเย็นได้เลย เขา ชักมือขวาออกจากกระเป๋าเสื้อโค้ตอย่างฉับพลันและเหมือนไม่รู้ตัวเพื่อ ขยับผ้าพันคอ แต่ก่อนที่จะแตะมัน เขาก็เปลี่ยนใจแล้วใช้มือเดียวกัน นั้นล้วงจดหมายฉบับหนึ่งออกจากกระเป๋าในของเสื้อโค้ต เขาเริ่มอ่าน มันทันทีด้วยปากที่หุบไม่สนิทนัก จดหมายถูกเขียนขึ้น—ถูกพิมพ์ขึ้น—บนกระดาษโน้ตสีฟ้าซีด มัน อยู่ในสภาพยับยู่ยี่ ไม่เรียบ เหมือนได้ผ่านการดึงออกจากซองเพื่ออ่าน มาแล้วสองสามหน ฉันคิดว่าเป็นวันอังคาร เลนสุดที่รัก ฉันไม่รู้ว่าเธอจะอ่านจดหมายฉบับนี้เข้าใจหรือเปล่า เพราะเสียงในหอพัก คืนนี้ช่างอื้ออึงอย่างเหลือเชื่อ ทำ�ให้ฉันแทบไม่ได้ยินความคิดของตัวเองเลย ดังนั้น ถ้าฉันสะกดอะไรผิดก็ช่วยมองข้ามมันไปด้วย อนึ่ง หมู่นี้ฉันทำ�ตามคำ�แนะนำ�ของ เธอและใช้พจนานุกรมอยู่บ่อยๆ ถ้ามันทำ�ให้สำ�นวนภาษาของฉันแข็งทื่อก็เป็น ความผิดของเธอนะ อย่างไรก็ตาม ฉันเพิ่งได้รับจดหมายที่งดงามของเธอ มันทำ�ให้ ฉันรักเธอเป็นบ้า เสียสมาธิ ฯลฯ และแทบจะรอให้ถึงสุดสัปดาห์ไม่ไหวแล้ว เสียดาย ที่เธอพาฉันไปพักที่หอครอฟท์เฮาส์ไม่ได้ แต่ฉันก็ไม่สนเท่าไรหรอกว่าจะนอนที่ไหน ขอให้เป็นที่อุ่นๆ ไร้แมลงและได้เจอเธอบ้าง หมายถึงทุกๆ นาทีน่ะนะ ช่วงนี้ฉันแบบ ว่าบ้าบอไปแล้ว ฉันปลื้มจดหมายของเธออย่างสุดซึ้ง โดยเฉพาะตรงที่พูดถึงอีเลียต ฉันว่าฉันเริ่มจะเหยียดๆ กวีทุกคนยกเว้นแซพโฟ ฉันลุยอ่านงานของเธอเป็นบ้าเป็น
8 เจ.ดี.ซาลินเจอร์
หลัง ได้โปรดอย่าว่าอะไรฉันเลย ฉันอาจจะเขียนรายงานเกี่ยวกับแซฟโฟ ถ้าฉัน อยากได้เกียรตินิยม และถ้าฉันสามารถทำ�ให้ไอ้งั่งที่ฉันได้มาเป็นที่ปรึกษายอมให้ ฉันเขียน “อาโดนิสผู้บอบบางปางตาย ไซธีเรีย เราจักทำ�เช่นไรดี จงตีอกชกหัว สาว น้อยทั้งหลาย และเปลื้องปลดเสื้อผ้าอาภรณ์” มันวิเศษมากใช่ไหมล่ะ แซพโฟเขียน อะไรสุดยอดแบบนี้ตลอดเลยละ เธอรักฉันไหม เธอไม่ได้บอกรักสักครั้งเดียวใน จดหมายบ้าบอของเธอ ฉันเกลียดเธอตอนที่เธอทำ�ตัวเป็นยอดบุรุษและทำ�ขรึม (สะกดถูกไหม) ไม่ได้เกลียดจริงๆ หรอก แต่ฉันไม่ชอบผู้ชายเข้มแข็งที่นิ่งสุขุม ไม่ได้ หมายความว่าเธอไม่ใช่คนเข้มแข็งหรอกนะ แต่เธอน่าจะเข้าใจความหมายของฉัน ที่นี่เริ่มจะเสียงดังมากจนฉันแทบไม่ได้ยินความคิดของตัวเอง อย่างไรก็ตาม ฉันรัก เธอ ฉันอยากจะส่งจดหมายฉบับนี้แบบด่วนที่สุด ถ้าฉันสามารถหาแสตมป์ใน หอพักบ้าๆ นี่ มันจะได้ไปถึงเธอเร็วๆ ฉันรักเธอ ฉันรักเธอ ฉันรักเธอ เธอรู้ไหมว่าฉัน ได้เต้นรำ�กับเธอแค่สองครั้งในระยะเวลาสิบเอ็ดเดือน ไม่นับครั้งนั้นที่แวนการ์ด ตอนที่เธอเมาหนัก ฉันคงจะประหม่ามากๆ แน่ ถ้ามีคิวยาวที่งานนั่นละก็ฉันฆ่าเธอ แน่ จนกว่าจะได้พบกันวันเสาร์นี้นะที่รัก!! ด้วยรักหมดใจ แฟรนนี่ XXXXXXXXXX XXXXXXXXXX
แฟรนนี่ 9 ป.ล. พ่อได้ผลเอ็กซ์เรย์จากโรงพยาบาลแล้ว พวกเราโล่งอกมาก มันโตขึ้น แต่ไม่ร้ายแรง ฉันคุยกับแม่เมื่อคืน แม่ฝากความคิดถึงถึงเธอด้วยนะ ดังนั้นไม่ต้อง กังวลเกี่ยวกับเรื่องวันศุกร์นั่นแล้ว ฉันไม่คิดว่าพวกเขาได้ยินเราเข้าไปด้วยซ้ำ� ป.ป.ล. ฉันฟังดูเป็นคนงี่เง่าติงต๊องมากเวลาเขียนหาเธอ ทำ�ไมนะ ฉัน อนุญาตให้เธอวิเคราะห์ได้ สุดสัปดาห์คราวนี้พยายามสนุกให้เต็มที่กันดีกว่า ฉัน หมายถึงถ้าเป็นไปได้น่ะนะ ไม่ต้องชำ�แหละวิเคราะห์ไปซะทุกอย่าง โดยเฉพาะฉัน ฉันรักเธอ ถ้าเป็นไปได้น่ะนะ แฟรนเซส (สัญลักษณ์ประจำ�ตัว)
เลนอ่านจดหมายไปได้ประมาณครึ่งฉบับเมื่อเขาถูกรบกวน—ถูก บุกรุก ก้าวก่าย—โดยชายหนุ่มร่างใหญ่ชื่อเรย์ โซเรนสัน เขาถามเลนว่า รู้อะไรเกี่ยวกับไอ้กวีชื่อริลเคอบ้างหรือเปล่า ทั้งเลนและโซเรนสันต่างก็ เรียนอยู่ในวิชาวรรณกรรมยุโรปสมัยใหม่ 251 (สำ�หรับนักศึกษาปีสี่และ ปริญญาโทเท่านั้น) และมีการบ้านให้อ่านบทที่สี่จาก “Duino Elegies” ของริลเคอสำ�หรับวันจันทร์ เลนรู้จักโซเรนสันเพียงผิวเผินแต่รู้สึกไม่ค่อย ชอบขี้หน้าและพฤติกรรมของเขาอย่างไม่มีเหตุผล เลนวางจดหมายลง แล้วบอกว่าเขาก็ไม่รู้เหมือนกันแต่คิดว่าอ่านแล้วเข้าใจเป็นส่วนใหญ่ “นายโชคดีนะ” โซเรนสันกล่าว “นายเป็นคนโชคดี” น้ำ � เสียงของเขา เฉื่อยเนือย ราวกับว่าเข้ามาคุยกับเลนเพราะด้วยความเบื่อหน่ายหรือ ฝืนใจทำ� ไม่ใช่เพื่อแลกเปลี่ยนกับเพื่อนมนุษย์ “ให้ตายเถอะ หนาว จริงๆ” เขากล่าว แล้วล้วงซองบุหรี่ออกจากกระเป๋า เลนสังเกตเห็นรอย ลิปสติกบนปกเสื้อโค้ตขนอูฐของโซเรนสันที่พร่าเลือนแต่ก็ยังชัดพอ
10 เจ.ดี.ซาลินเจอร์
สะดุดตา ดูเหมือนจะประทับอยู่นานหลายสัปดาห์ อาจเป็นเดือน แต่ เขาไม่คุ้นกับโซเรนสันพอจะเอ่ยปากทัก และจะว่าไปเขาก็ไม่ได้สนใจ สักเท่าไหร่ นอกจากนั้น รถไฟก็กำ�ลังเคลื่อนเข้ามาแล้ว สองหนุ่มต่างก็ เอียงซ้ายไปมองขบวนรถ แทบจะในจังหวะเดียวกันประตูห้องรับรองก็ เปิดผาง พวกเด็กหนุ่มที่เข้าไปนั่งรับไออุ่นต่างเริ่มทยอยออกมารอรถไฟ ส่วนใหญ่มีทีท่าเหมือนกับว่าจุดบุหรี่คีบไว้ที่มือแต่ละข้างอย่างน้อยข้าง ละสามมวน เลนเองจุดบุหรี่เมื่อรถไฟเทียบชานชาลา จากนั้น เช่นเดียวกับคน จำ�นวนมาก ซึ่งอาจไม่ควรได้รับอนุญาตให้มารอรับรถไฟได้ง่ายๆ เขา พยายามระงับอาการใดๆ บนใบหน้าที่อาจเผยให้เห็นเพียงว่าเขารู้สึก อย่างไรต่อคนที่กำ�ลังเดินทางมาถึง แฟรนนี่เป็นคนแรกๆ ในกลุ่มเด็กสาวที่ลงจากรถไฟ เธอลงมา จากตู้รถปลายขบวนทางทิศเหนือของชานชาลา เลนเห็นเธอทันที และ ไม่ว่าเขากำ�ลังพยายามปั้นหน้าอย่างไร แขนที่ชูโบกหราในอากาศของ เขาก็เผยความรู้สึกแท้จริงออกมาหมด แฟรนนี่เห็นแขนและเห็นเขา แล้วโบกตอบอย่างเริงร่า เธอสวมเสื้อโค้ตขนแรคคูน เลนบอกตัวเอง ขณะจ้ำ�อ้าวเข้าไปหาเธอพลางกลั้นความตื่นเต้นในใบหน้าว่ามีแต่เขา คนเดียวบนชานชาลานี้ที่คุ้นเคยกับเสื้อโค้ตของแฟรนนี่อย่างแท้จริง เขาจำ�ได้ว่าครั้งหนึ่ง หลังจากที่ได้จูบแฟรนนี่ในรถเช่านานประมาณครึ่ง ชั่วโมง เขาจูบลงไปบนปกเสื้อโค้ตนั่น ราวกับว่ามันเป็นตำ�แหน่งอันน่า ปรารถนา เป็นส่วนหนึ่งของเรือนร่างของเธอ “เลน!” แฟรนนี่ร้องทักอย่างเบิกบาน—และเธอไม่ใช่คนประเภท
แฟรนนี่ 11
ที่จะลบล้างอาการบนใบหน้าของเธอออก เธอสวมกอดเขา จูบเขา— เป็นจูบแบบคนจูบกันบนชานชาลา—เริ่มอย่างเป็นธรรมชาติ ตามด้วย อาการรั้งยั้ง หน้าผากปะทะกัน “เธอได้จดหมายของฉันหรือเปล่า” เธอ ถาม แล้วกล่าวต่อแทบทันทีว่า “ดูเธอจะแข็งตายอยู่แล้ว น่าสงสารจัง พ่อหนุ่ม ทำ�ไมไม่รอข้างในล่ะ ได้จดหมายของฉันหรือเปล่า” “จดหมายฉบับไหน” เลนว่าพลางยกกระเป๋าเดินทางของเธอขึ้น จากพื้น มันเป็นกระเป๋าสีกรมท่า เย็บขอบด้วยหนังสีขาว เหมือนกับ กระเป๋าอีกหลายใบที่เพิ่งถูกหิ้วลงจากรถไฟ “เธอไม่ได้รับมันหรอกเหรอ ฉันส่งมาเมื่อวันพุธนะ ให้ตายเถอะ ฉันไปส่งมันถึงที่ทำ�การไปรษณีย์เอง—” “อ้อ ฉบับนั้นน่ะเหรอ ได้แล้วละ เธอเอากระเป๋ามาแค่นี้เหรอ หนังสืออะไรน่ะ” แฟรนนี่ก้มมองมือซ้ายของตัวเอง ซึ่งกำ�ลังถือหนังสือหุ้มปกผ้าสี ถั่วเขียวอยู่ “นี่น่ะเหรอ อ๋อ ก็แค่หนังสือน่ะ” เธอว่า เธอเปิดกระเป๋าถือ ออกแล้วยัดหนังสือลงไป จากนั้นก็เดินตามเลนไปบนชานชาลายาว เหยียด มุ่งหน้าสู่ป้ายรอแท็กซี่ เธอคล้องแขนเลนไว้แล้วเป็นฝ่ายเจื้อย แจ้วเสียส่วนใหญ่ ถ้าไม่ได้พูดคนเดียวล้วนๆ ก่อนอื่นมีเรื่องเกี่ยวกับชุด กระโปรงในกระเป๋าที่ต้องรีด เธอบอกว่าเธอซื้อเตารีดเล็กๆ แสนวิเศษ เหมือนเตารีดสำ�หรับบ้านตุ๊กตามาตัวหนึ่งแต่ลืมพกมาด้วย เธอบอกว่า บนรถไฟมีเด็กสาวที่รู้จักไม่เกินสามคน—มาร์ธา ฟาร์ราร์ ทิปปี้ ทิบเบ็ตต์ และเอเลนอร์อะไรสักอย่าง ซึ่งเธอเคยเจอเมื่อหลายปีก่อน สมัยอยู่ โรงเรียนประจำ�ที่เอ็กซีเตอร์หรือที่ไหนสักแห่ง แฟรนนี่บอกว่าคนอื่นๆ
12 เจ.ดี.ซาลินเจอร์
บนรถไฟดู เ หมื อ นพวกนั ก ศึ ก ษาจากสมิ ธ มากๆ ยกเว้ น สองคนที่ มี ลักษณะเป็นเด็กจากวาสซาร์ และคนหนึ่งดูเป็นเด็กจากเบนนิงตันหรือ ซาราห์ ลอว์เรนซ์ คนที่ดูจะมาจากเบนนิงตันหรือซาราห์ ลอว์เรนซ์ ใช้ เวลาตลอดการเดินทางในห้องน้ำ � เพื่อทำ�งานประติมากรรมหรือวาด เขียนอะไรสักอย่าง หรือดูเหมือนว่าเธอจะสวมชุดเลียวทาร์ดไว้ใต้ชุด กระโปรงอีกที เลนผู้กำ�ลังจ้ำ�เร็วเกินเหตุ บอกว่าเขาเสียใจที่ไม่สามารถ พาเธอไปพักที่ครอฟท์เฮาส์ได้—แน่ละว่ามันไม่มีทางอยู่แล้ว—แต่เขาก็ หาห้องน่าอยู่ เล็กแต่สะอาดสะอ้านไว้ให้ เธอต้องชอบมันแน่ เขาว่า แล้วทันใดแฟรนนี่ก็จินตนาการถึงห้องขาวผนังบางๆ ในหอ เด็กสาว แปลกหน้าสามคนในห้องเดียวกัน ใครก็ตามที่เข้าห้องก่อนจะได้เตียง เดี่ยวลูกฟูกตะปุ่มตะป่ำ� อีกสองคนต้องนอนร่วมกันบนเตียงคู่ที่มีเบาะ แน่นนุ่ม “ดีจัง” เธอกล่าวอย่างตื่นเต้น บางครั้งการพยายามปกปิดความ รำ�คาญที่เธอมีต่อความงี่เง่าของมนุษย์เพศผู้ โดยเฉพาะความงี่เง่าของ เลน ทำ�ให้เธอนึกถึงคืนฉ่ำ � ฝนในนิวยอร์ก หลังจากที่เพิ่งออกจากโรง ละคร เมื่อเลนผู้ดูเหมือนจะมีความเอื้อเฟื้อต่อเพื่อนร่วมทางเท้าจนเกิน งาม ยอมให้ชายมารยาททรามในแจ็คเก็ตหรูแย่งรถแท็กซี่ไป นั่นไม่ได้ ทำ�ให้เธอเสียความรู้สึกเป็นพิเศษ—เพราะว่า ให้ตายเถอะ มันคงจะ รันทดมากที่เป็นผู้ชายแล้วต้องเรียกแท็กซี่กลางสายฝน—แต่เธอจดจำ� สีหน้าบึ้งตึงที่เขามองเธอเมื่อถอยกลับมาบนทางเท้าได้ ตอนนี้ด้วย ความรู้สึกผิดอย่างประหลาดขณะนึกย้อนถึงเรื่องนั้นและเรื่องอื่นๆ เธอ บี บ แขนเลนแน่ น ขึ้ น เพื่ อ แสดงถึ ง ความรั ก ความเอ็ น ดู ทั้ ง สองขึ้ น รถ แท็กซี่ กระเป๋าเดินทางสีกรมท่าตะเข็บขาวถูกวางไว้บนเบาะข้างคนขับ
แฟรนนี่ 13
“เราจะเอากระเป๋าและสัมภาระของเธอไปไว้ที่ที่พักของเธอก่อน —แค่ทิ้งไว้ตรงประตู—แล้วค่อยไปหามื้อเที่ยงกินกัน” เลนว่า “ฉันหิวจะ ตายอยู่แล้ว” เขาเอนตัวไปข้างหน้า ยื่นที่อยู่ให้คนขับ “โอ้ ดีจังที่ได้เจอเธอ!” แฟรนนี่กล่าวเมื่อแท็กซี่เริ่มเคลื่อนออก “ฉั น คิ ด ถึ ง เธอมากเลย” ทันทีที่คำ�เหล่านั้นถูก เอ่ย ออกไป แฟรนนี่ ก็ ตระหนักว่าเธอไม่ได้รู้สึกเช่นที่พูดแม้แต่น้อย และด้วยความรู้สึกผิดอีก เช่นกัน เธอกุมมือเลนแน่น สอดสานนิ้วของเธอระหว่างนิ้วของเขาอย่าง อบอุ่น
ราวหนึ่งชั่วโมงต่อมา ทั้งสองนั่งอยู่กับโต๊ะที่ค่อนข้างห่างจากโต๊ะอื่นๆ ในร้านอาหารชื่อซิกเลอร์ส ตั้งอยู่ในย่านกลางเมือง ซึ่งเป็นร้านยอดนิยม สำ�หรับพวกนักศึกษาช่างคิดของวิทยาลัย—นักศึกษาพวกเดียวกับทีจ่ ะ หลีกเลี่ยงการพาคู่เดทของพวกเขาเข้าใกล้ร้านโมรีส์หรือร้านโครนินส์ ถ้าพวกเขาเรียนอยู่ที่เยลหรือฮาร์วาร์ด อาจกล่าวได้ว่าซิกเลอร์สเป็นร้าน เดียวในเมืองที่เนื้อสเต็ก “ไม่หนาเท่าไหร่”—ขนาดประมาณช่องว่างหนึง่ นิ้วระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ ซิกเลอร์สเทียบได้กับร้านสเนลส์ ซิกเลอร์ส คือร้านที่นักศึกษาและคู่เดทของเขาปกติจะสั่งสลัดด้วยกันทั้งคู่ หรือไม่ อย่างนั้นก็ไม่สั่งด้วยกันทั้งคู่ เพราะสลัดปรุงรสด้วยกระเทียม ทั้งแฟรนนี่ และเลนต่างก็ดื่มมาร์ตินี ก่อนหน้านั้นประมาณสิบหรือสิบห้านาที ตอน ที่เครื่องดื่มเพิ่งมา เลนจิบชิมเหล้าของเขาแล้วนั่งมองไปรอบร้านด้วย ความพึงพอใจอย่างเห็นได้ชัด (เขาคงมั่นใจว่าไม่อาจมีใครโต้แย้งได้) ที่ เขาอยู่ในร้านที่เหมาะสมกับสาวที่คู่ควรอย่างไร้ข้อกังขา—สาวผู้ไม่
14 เจ.ดี.ซาลินเจอร์
เพียงงดงามเลอเลิศ หากยังดีกว่านัน้ คือไม่ใช่สาวประเภทสวมสเว็ตเตอร์ แคชเมียร์กับกระโปรงผ้าสักหลาด แฟรนนี่สังเกตเห็นทีท่านี้และเข้าใจ มันโดยไม่ตะขิดตะขวง แต่จิตสำ�นึกลึกๆ บางอย่างทำ�ให้เธอรู้สึกผิดที่ได้ เห็นและรับรู้ เธอจึงลงโทษตัวเองด้วยการซึมซับบทสนทนาของเลน อย่างตั้งอกตั้งใจเป็นพิเศษ ขณะนี้เลนกำ�ลังพูดคุยในแบบฉบับของคนผูกขาดการสนทนา เป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีและถึงจุดที่เขาเชื่อว่าเสียงของตนไม่มีทาง เอ่ยอะไรผิดพลาดออกมาได้ “ฉันหมายความว่า ถ้าพูดแบบหยาบๆ หน่อยน่ะนะ” เขาว่า “สิ่งที่อาจกล่าวได้ว่าเขาขาดคือความเป็นชาย ชาตรี เข้าใจใช่มั้ย” เขาพูดในท่าเอนไปข้างหน้าเข้าหาแฟรนนี่ผู้ตั้งใจฟัง แขนทั้งสองข้างวางขนาบแก้วมาร์ตินี “ขาดอะไรนะ” แฟรนนี่กล่าว เธอต้องกระแอมในลำ�คอก่อนพูด เพราะไม่ได้เปล่งเสียงอะไรมานานมากแล้ว เลนนิ่งคิด “ความเข้มแข็งแบบผู้ชายน่ะ” เขาตอบ “ฉันได้ยินที่เธอพูดตอนแรกแล้วละ” “ก็นั่นแหละ นั่นคือประเด็นของเรื่อง—คือสิ่งที่ฉันพยายามจะ บอกอย่างแนบเนียน” เลนกล่าวต่อบทสนทนาของเขาเองอย่างลื่นไหล “คือให้ตายเถอะ ฉันนึกว่ามันจะแย่มากๆ พอฉันได้มันกลับมาพร้อม อักษร ‘เอ’ ตัวเบ้อเริ่ม สาบานได้ว่าฉันแทบจะทรุดลงไปเลย” แฟรนนี่กระแอมในลำ�คออีกครั้ง ดูเหมือนว่าการลงโทษตัวเองให้ เป็นผู้ฟังที่ดีจะผ่านพ้นไปแล้ว “ทำ�ไมล่ะ” เธอถาม เลนออกอาการเหมือนถูกขัดจังหวะเล็กน้อย “ทำ�ไมอะไร”