Gasigoki_กาซีโกกี

Page 1



กำซี โกกี โชชังอิน เขียน ตรองสิริ ทองค�ำใส แปล


กำซี โกกี โชชังอิน เขียน บรรณาธิการ บรรณาธิการบริหาร ศิลปกรรม

ตรองสิริ ทองคำ�ใส แปล

วิลาส วศินสังวร ชญานุช วศินสังวร สนพ. เอิร์นเนส พับลิชชิ่ง 가시고기

Copyright © 2000 by Cho Chang In ALL RIGHTS RESERVED. This Thai edition was published by Earnest Publishing Co.,Ltd. in 2018 by arranged with KL Management through Tuttle-Mori Agency Co.,Ltd.

จัดพิมพ์โดย: บริษัท เอิร์นเนส พับลิชชิ่ง จ�ำกัด 610/35-36 ถนนทรงวาด แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ 10100 โทรศัพท์: 02 223 9460-3 โทรสาร: 02 622 4419 Facebook : http://www.facebook.com/EarnestPublishing จัดพิมพ์: บริษัท โอ.เอส. พริ้นติ้ง เฮ้ำส์ จ�ำกัด 113/13 ซอยวัดสุวรรณคีรี ถนนบรมราชชนนี แขวงอรุณอัมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ 10700 โทรศัพท์: 02 424 6944 โทรสาร: 02 434 3802 จัดจ�ำหน่ำยทั่วประเทศ: บริษัท อมรินทร์ บุ๊ค เซ็นเตอร์ จ�ำกัด 108 หมู่ 2 ถนนบางกรวย-จงถนอม ต�าบลมหาสวัสดิ์ อ�าเภอบางกรวย นนทบุรี 11130 โทรศัพท์: 02 423 9999 โทรสาร: 02 499 9561-3 www.naiin.com สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2561 © บริษัท เอิร์นเนส พับลิชชิ่ง จ�ากัด เลขมำตรฐำนสำกลประจ�ำหนังสือ 978-616-7691-46-6 พิมพ์ครั้งที่ 1 มีนาคม 2561 รำคำ 270 บาท


ประวัติผู้เขียน โชชังอิน เกิดที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ จบการศึกษาระดับ ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยชุงอัง อดีตนักข่าวผู้มากประสบการณ์ การท�างานในวงการนิตยสาร หนังสือพิมพ์ และอดีตหัวเรือใหญ่ทมี วางแผน ของส�านักพิมพ์ ผูผ้ ลักดันให้เกิดการตีพมิ พ์หนังสือคุณภาพมาแล้วมากมาย ผลงานของโชชังอินทัง้ ‘กาซีโกกี’ เรือ่ งราวความรักชวนหลัง่ น�า้ ตา ของพ่อคนหนึง่ ทีเ่ ขย่าหัวใจผูอ้ า่ นมาแล้วกว่าสองล้านคน ตีพมิ พ์ในปี ค.ศ. 2000 ทั้ง ‘ผู้เฝ้าประภาคาร (등대지기)’ ว่าด้วยการคืนดีอันแท้จริงของ แม่และลูกชายซึ่งเป็นผู้เฝ้าประภาคารกลางเกาะโดดเดี่ยว ตีพิมพ์ปี ค.ศ. 2001 ‘ทาง (길)’ เล่าถึงชีวิตแสนทุกข์ยากของเด็กชายผู้สูญเสียพ่อแม่ ตี พิมพ์ปี ค.ศ. 2004 และ ‘เมีย (아내)’ ผู้หญิงคนหนึ่งที่เอาชนะวิกฤติ ในครอบครัวด้วยความรักอันเสียสละอุทิศตน ตีพิมพ์ปี ค.ศ. 2007 ล้วน ได้รบั ความรักกว้างขวางจากผูอ้ า่ น ด้วยต่างเป็นงานทีถ่ า่ ยทอดถึงรักบริสทุ ธิ์ จริงแท้ฝากไว้แก่สังคมเราซึ่งนับวันจะมีสภาพเป็นครอบครัวเดี่ยวและอุดม ลักษณะปัจเจกนิยม ผลงานเขียนชิน้ ดังของโชชังอินมี เช่น ‘กาซีโกกี’ ‘ผูเ้ ฝ้าประภาคาร’ ‘ทาง’ ‘เมีย’ ‘บันทึกความรักของกาซีโกกี (가시고기 사랑수첩)’ ‘เมื่อ เธอลืมตา (그녀가 눈뜰 때)’ ‘เซลโคว่าของวันหน้า (먼 훗날 느티 나무)’ ‘อ้อมกอดอบอุ่น (따뜻한 포응)’ .................... * ติดอันดับหนังสือขายดีอันดับหนึ่งประจ�าร้านหนังสือ Kyobo นาน 42 สัปดาห์ * ติดอันดับ 7 จากการจัดอันดับหนังสือที่ผู้อ่านอยากอ่านซ�้า ของเว็บไซต์ yes24 (เมื่อปี ค.ศ. 2006)


* ติดอันดับ 16 จากการจัดอันดับหนังสือที่ชาวเกาหลีชอบมาก ที่สุดจากผลส�ารวจของช่อง EBS (เมื่อปี ค.ศ. 2002) * ติดอันดับ 1 จากการจัดอันดับหนังสือนิยายที่คนอยากอ่าน จากผลส�ารวจของรายการ Exclamation Mark ช่อง MBC (เมื่อปี ค.ศ. 2001) * ได้รับเลือกเป็นหนังสือแนะน�าจากกระทรวงวัฒนธรรมและ กระทรวงศึกษาธิการแห่งสาธารณรัฐเกาหลีใต้ * ติดอันดับหนังสือขายดีที่มียอดขายสูงถึงสองล้านเล่มเป็นครั้ง แรกในประวัติการณ์!


สารบัญ บทที่ 1 ท้องฟ้� บทที่ 2 ครีษม�ยัน บทที่ 3 เส้นท�งบนภูเข� บทที่ 4 จันทร์ค�้ งฟ้� บทที่ 5 แสงอัสดง บทที่ 6 ก�ซีโกกี ปัจฉิมบท บทส่งท้าย

9 51 77 127 159 219 266 270


ปลากาซีโกกีทา� ให้ผมนึกถึงพ่อเสมอ พอคิด อารมณ์เศร้าก็จะแล่นปราดในใจผม เหมือนมีกลุ่มก้อนเมฆหนา ๆ ซ้อนทับกัน โธ่ พ่อปลากาซีโกกีของผม!


กำซี โกกี



บทที่ 1 ท้องฟ้า

1 พ่อผมติงต๊องครับ ผมก�าลังมองพ่อจอมต๊อง นอกหน้าต่างฝนยังตกปรอยๆ ฝนตกมาตัง้ แต่เช้าจนตอนนีใ้ กล้คา�่ แล้วก็ยังไม่หยุด พ่อนัง่ บนเก้าอีไ้ ม้ในลานข้างหลังตึกผูป้ ว่ ยเด็ก เก้าอีเ้ อนป้อแป้ ตัว พ่อก็ยวบป้อแป้พอๆ กับมัน พ่อไม่มรี ม่ ทีจ่ ริงกะอีแค่รม่ พ่อซือ้ จากร้านขายของในโรงพยาบาล ก็ได้ ผมไม่เข้าใจว่าพ่อจะนัง่ ตากฝนท�าไม เห็นแล้วผมสุดจะเศร้า ผมโกรธ ด้วยครับ ท�าไมเจ้าฝนถึงไม่ยอมหยุดตกสักที วันไหนฝนตก พ่อของผมจะไม่ยอมให้เปิดหน้าต่างเด็ดขาด พ่อ เป็นห่วงผมมาก กลัวผมจะเป็นหวัด แต่แล้วพ่อดันท�าให้ตัวเองเปียกฝน จนชุ่มเสียเอง ถ้าผมถามเหตุผล พ่อคงตอบว่า “เพราะพ่อเป็นผู้ใหญ่แล้ว ส่วนทาอุมยังเด็ก” ถึงผมจะพยักหน้าเออออทันที แต่ผมไม่ได้ซื่อบื้อขนาดหลงเชื่อ 9


โชชังอิน

ค�าพูดพ่อหรอกนะครับ ฝนจะลงเม็ดเฉพาะบนตัวเด็กๆ เหมือนมีเครือ่ งน�าร่อง แบบจรวดมิสไซล์เสียที่ไหนกัน ผมรู้หรอกน่า เรื่องต่างๆ มากมายบนโลกเรา เดือนหน้าชั้น ป.3 จะเริ่มปิดเทอมฤดูร้อน จ�านวนวันที่ผมไป โรงเรียนตั้งแต่ข้ึนชั้นประถมรวมกันแล้วไม่น่าถึงหกเดือนด้วยซ�้า ผมเก่ง ขนาดแก้โจทย์เลขของพี่ ป.6 คนเดียวได้เชียวนะครับ ผมละภูมิใจ๊ภูมิใจ แต่เพราะไม่มีใครให้ผมพูดอวดได้เลยหดหู่อยู่บ้าง อย่างมากสุดผมก็ได้แค่ อวดพ่อ ซึ่งพ่อชอบอมยิ้มบอกผมว่า “การเรียนเก่งไม่ใช่เรื่องส�าคัญหรอก ถ้าแทนชีวิตคนเราเท่ากับสิบ การเรียนก็เป็นแค่หนึ่งเท่านั้นเอง” ผมอยากถามพ่อว่างั้นอีกเก้าเรื่องส�าคัญที่เหลือในชีวิตมีอะไรบ้าง แต่ผมถามไม่ได้ครับ ผมว่าพ่อเองคงไม่รเู้ รือ่ งนัน้ ดีเหมือนกัน ก็ถา้ พ่อรูเ้ รือ่ ง ส�าคัญอื่นๆ ในชีวิตทั้งหมดจริง พ่อคงไม่ทา� ท่าซึมกะทือแบบตอนนี้หรอก ครับ พ่อคงเศร้า และเพราะพ่อเศร้า พ่อจึงนั่งตากฝนตัวเปียก เหม่อ มองท้องฟ้าแสนไกลยังกับคนติงต๊อง สายฝนชะล้างความเศร้าเสียใจออก ไปไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นพ่อก็ไม่ยักพยายามหลบเลี่ยงเม็ดฝน พ่อล้วงกระเป๋าเสื้อหนาว ผมรู้ทันทีว่าพ่อควานหาอะไร บุหรี่ ครับ เมื่อก่อนผมเคยจดสิ่งต่างๆ ที่ผมเกลียดบนโลกลงสมุดบันทึก ผมจด ได้ทั้งหมดยี่สิบอย่าง อันดับสิบสามคือเจ้าบุหรี่นี่ละ ผมรักพ่อ แต่ผมเกลียดพ่อที่สูบบุหรี่ครับ แม่หงุดหงิดที่พ่อสูบบุหรี่ พ่อเลยเคยเลิกสูบ แต่กลับมาสูบใหม่ ตัง้ แต่ผมเข้าโรงพยาบาลอีกรอบ จะสูบหรือจะเลิกสูบเป็นเรือ่ งทีพ่ อ่ จะตัดสินใจ เองก็จริง แต่ถึงยังไงผมก็ไม่ชอบอยู่ดี ถึงไม่ชอบ ผมก็หงุดหงิดใส่พ่อแบบที่แม่ทา� ไม่ลง พ่อเคยบอกว่า เราต้องรู้จักอดทนเพื่อคนที่เรารักแม้จะมีสิ่งที่เราไม่ชอบใจอยู่บ้าง คนที่ผม รักที่สุดในโลกคือพ่อ กะอีแค่บุหรี่ที่พ่อชอบ ผมว่าผมควรอดทนกับมัน 10


แหละน่า ถึงพ่อจะไม่สูบบุหรี่ควันโขมงเวลาอยู่ใกล้ผมอยู่แล้วก็ตาม ผมนึกถึงตอนพวกเราอาศัยอยูใ่ นอพาร์ตเมนต์ชนั้ ยีส่ บิ พ่อมักเปิด ประตูกระจกตรงระเบียงออกไปยืนสูบบุหรี่บ่อยๆ เพราะแม่สั่งห้ามสูบบุหรี่ ในห้องรับแขก ผมไม่ชอบเวลาเห็นพ่อยืนพิงราวระเบียงสูบบุหรี่เลย มัน เหมือนกับว่าจะมีมอื ใหญ่ยกั ษ์โผล่ออกมาจากข้างล่างแล้วรวบขาพ่อฉุดลงไป ไม่ก็เหมือนราวระเบียงอาจจะหัก อะไรแบบนั้น ผมไม่ใช่คนขี้กลัว คุณว่าผมขี้กลัวหรือครับ แต่พวกคุณหมอ ยกนิ้วโป้งชมเปาะว่าผมกล้าหาญ ที่จริงไม่มีเด็กคนไหนในแผนกเราอดทน กับการกินยาหรือฉีดยาได้เก่งเท่าผมเลยสักคน แต่การยืนบนทีส่ งู แล้วก้มมองข้างล่างก็ทา� ให้ผมใจฝ่ออยูเ่ รือ่ ย ผม กลัวแทบจะเผลอฉีเ่ ล็ดเลยแหละครับ ไม่วา่ จะเป็นตอนนัง่ ชิงช้าหรือขึน้ เล่น สไลเดอร์ ครั้งหนึ่งตอนเราไปเที่ยวสวนสนุกเอเวอร์แลนด์กัน ผมได้นั่ง เครื่องเล่นเก้าอี้ยกขึ้นยกลงที่ชื่อ ‘แฟลชปังปัง’ ผมงี้นึกว่าตัวเองจะสลบ เหมือดซะแล้ว โตเป็นผูใ้ หญ่เมือ่ ไร ผมตัง้ ใจจะไม่ขนึ้ เครือ่ งบินเด็ดขาดครับ พูดถึงภาพพ่อยืนพ่นควันบุหรี่ปุ๋ยๆ ตรงระเบียง ตอนนั้นสิ่งที่ผม เกลียดจริงๆ ไม่ใช่ทั้งชั้นยี่สิบที่สูงลิบหรือบุหรี่ แต่คือท่าทางเซื่องซึมไร้ชีวิต จิตใจของพ่อเหมือนกับท่าทางตอนนี้ที่พ่อนั่งตากฝน ไม่มีร่ม ผมไม่ใช่เด็กเล็ก แต่ผมว่าพ่อผมต้องอยูร่ ะดับเดียวกับเด็กเล็กแหงๆ เวลาอยู่ต่อหน้าผม พ่อจะท�าตัวเป็นคนกล้าหาญที่สุดในโลก พอ ผมละสายตาเมื่อไร พ่อก็จะมีท่าทีเหมือนตอนนี้ทันที และมันก็ทา� ให้ผม เศร้า ผมป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวน่ะครับ พ่อไม่เคยบอกผมสักครัง้ ว่าผมป่วยเป็นอะไร และคงจะไม่มวี นั บอก ด้วย ห้องพักผู้ป่วยที่ผมอยู่มีแต่คนเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวกับคนป่วย เป็นโลหิตจางจากภาวะไขกระดูกฝ่อ ถึงผมไม่อยากรู้ก็ต้องรู้จนได้ มะเร็ง เม็ดเลือดขาวเป็นโรคที่ร้ายกาจมากนะครับ 11


โชชังอิน

ตัวผมค่อนข้างเตี้ย ตลอดสองปีที่ผมเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว เพื่อนคนอื่นๆ ตัวสูงขึ้น มีแต่ผมที่ยังตัวเท่าเดิม มะเร็งเม็ดเลือดขาวมัน ตอกตะปูตรึงส่วนสูงผมไว้กับเสาไม้ครับ แล้วมันก็ท�าตัวเหมือนทอม แมว จอมตื๊อ ส่วนผมก็เป็นหนูเจอร์รี่ ไม่ว่าผมจะหนีสักเท่าไร มะเร็งเม็ดเลือด ขาวก็จะตามไล่ผมไม่ลดละเหมือนเจ้าแมวทอม มันจะท�าให้ผมไม่สามารถ มีชีวิตอยู่ต่อได้ เข้าโรงพยาบาล ออกโรงพยาบาล เข้าโรงพยาบาล ออกโรง พยาบาล... ซ�า้ ไปซ�า้ มานานสองปีแล้วครับ ผมไม่เคยนับหรอกว่ากีค่ รัง้ แต่คง เกินสิบครั้งแล้วละ เร็วหน่อยก็นอนโรงพยาบาลอาทิตย์เดียว นานหน่อย ก็สองเดือน ส่วนการเข้ารักษาตัวคราวนี้ ถ้ารวมวันนี้ด้วย ผมก็นอนโรง พยาบาลมาหนึ่งเดือนกับสิบห้าวันแล้วครับ ผมชวนพ่อแล้วว่ากลับบ้านกันเถอะ แต่พ่อไม่หือไม่อือเลยครับ จะเข้าหรือออกโรงพยาบาลก็ไม่เห็นต่างกัน ยังไงผมก็ต้องรีบออกจากโรง พยาบาลให้ไวๆ ก็พ่อหมดตัวแล้วนี่นา ฝ่ายการเงินเรียกพ่อไปพบบ่อยขึ้น เพราะพ่อค้างค่ารักษาไว้ และพ่อก็ไม่รู้ด้วยว่าจะหามาจ่ายยังไง พ่อสอดสองมือไว้ในกระเป๋าเสื้อหนาว ท่าทางคงล้วงหาบุหรี่ไม่ เจอ พ่อเหม่อมองท้องฟ้าเหมือนเมื่อกี้ บนฟ้าเต็มไปด้วยเมฆครึ้มลอยต�่า สภาพของพวกมันช่างเหมือนความโศกเศร้าในหัวใจพ่อจัง ผมเป็นลูกที่แย่มาก เป็นลูกชายที่ท�าให้พ่อผู้เศร้าสร้อยยิ่งเสียใจ หนักกว่าเดิม ถึงผมเจ็บหรือไม่สบายแค่ไหน ผมก็ไม่ควรพูดค�านั้นออกไป ท�าไมผมถึงไม่มีหัวคิดนักนะ แต่ช่วยไม่ได้นี่ครับ ค�าพูดโพล่งออกมาของ มันเองเหมือนเวลาเลือดก�าเดาไหลทะลักนั่นละ ถึงจะรู้สึกผิดต่อพ่อ แต่ ค�าพูดนั้นก็คือความรู้สึกของผม โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวน่ะ แค่ประมาทนิดเดียว มันก็ฆ่าผมได้ ทันทีครับ ที่ผ่านมาผมเคยเห็นเด็กป่วยคนอื่นๆ ตายต่อหน้าต่อตามาเยอะ 12


บางคนตายระหว่างนอนหลับ บางคนตะเบ็งเสียงร้องโหยหวนแล้วจู่ๆ ก็ เงียบ หยุดหายใจไป หากผมต้องตาย ผมก็อยากตายเหมือนเด็กที่ตาย ระหว่างหลับครับ ไม่ใช่ว่าผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวจะต้องตายทุกคนหรอกครับ ถ้า เราท�าตามค�าแนะน�าของทางโรงพยาบาล เราก็จะสามารถขับไล่มะเร็งเม็ด เลือดขาวได้ เหมือนพีย่ องแจทีห่ ายสนิทและกลับมามีสขุ ภาพแข็งแรงดีแล้ว ยังไงก็ตามหมู่นี้ผมไม่มั่นใจเลย รู้สึกเหมือนผมคงเอาชนะโรคที่เป็นด้วย ก�าลังของผมไม่ไหว การสวดอ้อนวอนพระเจ้าน่ะดีนะครับ พอสวดแล้ว เวลาผ่านไป ไวดี ช่วยให้ผมลืมความเจ็บปวดลงบ้าง แต่ผมไม่สวดขอให้ผมหายจากโรค เหมือนเมื่อก่อนแล้วละ พระผูเ้ ป็นเจ้า โปรดรีบมารับลูกไปยังอาณาจักรของพระองค์ทเี ถิด ทุกๆ วันผมจะสวดขอแบบนี้แทนครับ คุณพ่อบาทหลวงทีโ่ รงเรียนสอนศาสนาวันอาทิตย์เคยบอกว่า ถนน หนทางในอาณาจักรของพระเจ้าล้วนเป็นทองค�า ที่นั่นปราศจากความเจ็บ ปวด ความเศร้าโศก และความกังวล ผมไม่เกี่ยงหรอกเรื่องถนนจะสร้าง จากทองค�าจริงหรือเปล่า ขอแค่ไม่มีความเจ็บปวด ความเศร้า และความ กังวลอีก ผมก็อยากไปอยู่ที่นั่นไวๆ ตอนนีผ้ มเอือมกับโรคของผมเต็มทน พ่อก็คงเหมือนกัน ผมคิดว่า ให้เรื่องเป็นอย่างที่ผมสวดคงจะดีกว่ามาก อย่างน้อยก็ดีต่อสภาพหมดตัว ของพ่อ แต่ถ้าผมต้องไปอยู่บนฟ้าจริงๆ จนพ่อเหลือตัวคนเดียว แล้วพ่อ จะใช้ชีวิตต่อยังไงหรือครับ พ่อจะดื่มแต่เหล้าเหมือนตอนแม่ทิ้งเราไปอีก ไหม ผมละกลุ้มชะมัด

13


โชชังอิน

2 “คุณหมอครับ ต้องเจ็บอีกแค่ไหน ผมถึงจะตายสักทีครับ” นีเ่ ป็นค�าพูดแรกจากปากของลูกทีน่ อนเอียงท่าทางเหมือนกระรอก ขณะถูกเจาะน�้าไขกระดูก ลูกไม่กรีดร้อง ไม่เหลือแม้แต่แรงจะร้องไห้โยเย แกท�าได้เพียงตัว สั่นเทิ้ม เขาคิดมาตั้งแต่เริ่มตรวจไขกระดูกว่าอยากได้ยินเสียงร้องไห้ของ แกบ้าง หากแกดิ้นรนขัดขืนเหมือนเด็กคนอื่น เขาคงโล่งใจ ไม่สิ สู้ให้แก สลบไปเสียยังดีกว่า แกจะได้ไม่รู้สึกเจ็บปวด หากแกหมดสติ เขาคงกล้า หลั่งน�้าตาที่กลั้นไว้ออกมาได้บ้างสักหยด แล้วลูกก็เพิ่งเอ่ยถาม เขาได้ยินเสียงของแกตามที่นึกอยากแล้ว หากเขาก็ต้องรีบเบนสายตาไปนอกหน้าต่าง ไม่ใช่เพียงเพราะน�้าตาที่ดัน ทะลักปริ่มออกมาหรอก แต่เพราะเขาอยากท�าเป็นไม่ได้ยิน ทั้งที่ใจอยาก จะรีบกระแทกประตูเปิดแล้วเดินห่างจากแกไป มือของแพทย์ประจ�าบ้านที่ก�าลังเจาะน�้าไขกระดูกหยุดไปครู่หนึ่ง กระทั่งเวลาก็เหมือนหยุดชะงักไปด้วย เขาเบนสายตาไปยังหัวหน้าส่วน มินยูนซิกหรือหมอมินอย่างสิ้นหนทาง หมอมินพินิจพิจารณาเข็มฉีดยาที่ เจาะลึกในร่างกายของลูกอย่างละเอียดลออ ริมฝีปากซีดขาวและแห้งผากของลูกขยับ “ผมไม่อยากเจ็บอีกแล้ว” การเจาะน�า้ ไขกระดูกจะต้องเจาะผ่านชัน้ หนังแท้แล้วควานเข้าไปยัง ระหว่างกระดูกก้นกบส่วนที่เรียกว่าหนามกระดูกเชิงกราน วิธีการดังกล่าว ทารุณโหดร้ายและน่าสงสาร มันท�าให้เด็กๆ ที่ถูกเจาะไขกระดูกกรีดร้อง กันระงม ท�าให้พ่อแม่ผู้ปกครองที่อยู่ดูแลลูกต้องน�้าตาตกตาม ตั้งแต่กลับ เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลครัง้ นี้ ลูกของเขาถูกทารุนด้วยวิธดี งั กล่าวมาเป็น ครัง้ ทีส่ แี่ ล้ว หากความจริงทีว่ า่ ยังไม่รตู้ อ่ ไปแกจะถูกทรมานเพราะมันซ�า้ อีก 14


กี่ครั้งกี่หนก็บีบคั้นให้เขาทั้งหม่นหมองทั้งหวาดหวั่นจับใจ หากเขาเจ็บแทนแกได้ละก็ อา จริงๆ นะ เขายอมทุกอย่าง หาก แม้เขาเป็นแทนแกได้... แต่เขาไม่อาจเจ็บแทนลูกได้ การเห็นแกทุกข์ทรมานไร้ทางสู้ทา� ให้ เขาเดือดดาลและสิ้นหวังกับการเป็นพ่อของตน เขาสมเพชสรรพนามของ ค�าว่าพ่อ ไม่อาจสบตาลูกได้อย่างไม่ละอายใจ พ่อฮะ ท�าไมผมถึงต้องเจ็บขนาดนี้ ลูกไม่เคยโยเยต่อต้านการรักษาเลยสักครัง้ กระนัน้ เขากลับรูส้ กึ ว่า ตนเผชิญการต่อต้านของลูกมานับครัง้ ไม่ถว้ น จากสีหน้าบิดเบีย้ วด้วยความ เจ็บปวดของแก จากยาเคมีบา� บัดก�าใหญ่ จากอาหารปลอดเชือ้ ทีล่ กู กินได้ ไม่ถึงครึ่ง... หมอมินขยับแว่นตาบนสันจมูกแล้วกระแอมไอ ครู่หนึ่งจึงวางมือ บนไหล่ของเด็กชาย “ฉีดยาเจ็บมากใช่ไหม อดทนอีกนิด เดี๋ยวก็เสร็จแล้วละ” “ผมไม่ได้หมายถึงการฉีดยาครับ ผมพูดจริงๆ นะครับ ผมไม่อยาก เจ็บอีกแล้ว เจ็บขนาดนีค้ วรจะตายได้แล้วไม่ใช่เหรอครับ ตายแล้วผมจะได้ เลิกเจ็บสักที” สีหน้าลูกบ่งบอกความสิ้นหวัง เป็นสีหน้าที่มีแต่ผู้ตะเกียกตะกาย ยามถูกไล่กวดจากชีวิตเท่านั้นจึงจะท�าได้ ลูกเพิ่งจะอายุสิบปี แต่แกกลับ รู้จักความสิ้นหวังเสียแล้ว แค่โมงยามเคลื่อนคล้อยจากราตรีสู่ทิวา ใช่ว่าเวลาของทุกคนจะ เท่าเทียม เวลาเพียงคืนเดียวอาจยาวนานยิ่งกว่าชั่วชีวิตส�าหรับใครบางคน ชีวิตของลูกอาจยาวนานนับพันปีส�าหรับแก บางทีสภาพแท้จริง ของลูกอาจเป็นเช่นต้นเซลโคว่าที่ยืนต้นรับห่าฝน สายลม รัตติกาล ไอ ร้อน และความหนาวสุดขัว้ นานเท่าชัว่ เวลาพันปี มาถึงตอนนีก้ ารหยัง่ ราก อันแสนทรมานก็คงท�าให้แกอยากยอมแพ้ “ความรู้สึกเจ็บถือเป็นสัญญาณดีนะ” 15


โชชังอิน

หมอมินก้มมองลูกขณะกล่าวด้วยสีหน้ามีรอยยิ้ม “เพราะเชือ้ โรคไม่ดใี นร่างกายทาอุมถูกโจมตีจนพวกมันร้องลัน่ เลยไง อืม... ลองนึกถึงหนังการ์ตนู สิ ถึงต้องใช้พลังมากมายขับไล่ตวั ร้ายจอมโหด แต่ยังไงพระเอกก็ไม่มีทางพ่ายแพ้ ก็เหมือนกับที่ทาอุมจะไม่เป็นไร ที่ต้อง ตายคือเชื้อโรคร้ายต่างหาก ฉะนั้นทาอุมต้องอดทนกับความเจ็บปวดนะ” หมอมินสรรหาถ้อยค�ามาตอบ ไม่ได้สนใจว่าเด็กชายจะเชือ่ หรือไม่ เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วค่อยๆ ควานหาของในกระเป๋าเสื้อต่อ ไม่มบี หุ รีอ่ ยูเ่ ลย การไม่เจอบุหรีเ่ พรียกความรูส้ กึ สิน้ หวังไร้สาระผุดในใจ มัน ท�าให้เขาหันศีรษะไปมองห้องพักผู้ป่วยของลูก เงาหนึ่งตรงหน้าต่างวูบวาบหายไป ลูกนั่นละ หลังออกจากห้อง ตรวจไขกระดูกกลับมาที่ห้องพักผู้ป่วย เขาเห็นกับตาว่าลูกได้รับการฉีดยา ระงับปวดและหลับไป เวลาผ่านไปเพียงชั่วโมงเดียว หรือว่าจากนี้พวกเขา จะหวังผลไม่ได้กระทั่งฤทธิ์ยาระงับปวดเสียแล้ว เขาลุกจากม้านัง่ และออกเดิน เขาไปไหนไกลไม่ได้หรอก เขาหยุด ยืนพิงหลังกับผนังตึกผูป้ ว่ ยเด็กในต�าแหน่งทีส่ ายตาลูกจะมองไม่เห็น หลอด โซเดียมจากโคมไฟริมทางเชื่อมระหว่างตึกผู้ป่วยเด็กกับศูนย์มะเร็งส่องแสง สว่าง มองเห็นเม็ดฝนโปรยปรายตัดผ่านแสงสีเหลืองเลมอนของมัน เม็ด ฝนร่วงลงมาสม�่าเสมอราวกับขบวนสวนสนามของเหล่าทหาร สายตาเขาเห็นร่างของหญิงคนหนึ่งเดินออกมาจากศูนย์มะเร็ง เธอเป็นเจ้าของไข้ของเด็กในห้องพักผู้ป่วยหมายเลข 201 ห้อง เดียวกันกับลูกเขา คุณแม่ลูกหนึ่งคนนี้ตัวเล็ก ดวงตาโต ลูกชายของเธอ ที่ชื่อซองโฮเริ่มเข้ารับการฉายรังสีรักษาที่ชั้นใต้ดินของศูนย์มะเร็งตั้งแต่สอง วันก่อน เธอเพิ่งพาตัวซองโฮเข้าห้องฉายรังสีรักษาที่หน้าตาเหมือนโลงศพ ส่วนเด็กชายซองโฮก็ร้องไห้เรียกหาแม่ในสถานที่ที่เหมือนโลงศพ เธอก้มหน้างุด เดินลากเท้าคล้ายเกียจคร้านไปทางตึกผู้ป่วยเด็ก สายฝนยังคงพร่างพรมจนร่างเล็กๆ ของเธอเปียกปอนอย่างรวดเร็ว หาก 16


มันจะส�าคัญตรงไหน วันคืนที่เธอต้องเดินไปกลับระหว่างตึกผู้ป่วยเด็กกับ ศูนย์มะเร็งมีแต่จะถี่ขึ้น ไม่ว่าแดดจะออกหรือฝนจะตกกระหน�่า ส�าหรับ เธอท้องฟ้าเป็นเพียงท้องฟ้าของคนอื่นไปแล้ว ท้องฟ้าของคนอื่น... เธอกับเขาต่างต้องใช้ชีวิตต่อไปโดยสูญเสีย ท้องฟ้าของตน ทุกวัน ทุกคืน ชีวิตของแม่ผู้เห็นการเดินหลบฝนและกางร่มให้ตัวเองเป็นการ กระท�าอันไร้ความละอายใจและรักสบายเสียจนไม่อาจผ่อนปรนให้ตนท�าได้ ซองโฮป่วยโรคเดียวกับลูกของเขา มะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน ชนิดลิมโฟบลาสติก ซองโฮอยู่ระหว่างการรักษาระยะที่หนึ่ง ส่วนลูกของ เขาเข้าโรงพยาบาลอีกครั้งเพื่อรับการรักษาระยะที่สอง เขาเงยหน้ามองห้องพักผูป้ ว่ ยของลูก แกมองไม่เห็นเขา แต่เขายัง มองเห็นแกได้ อย่างไรก็ตามเขาไม่เห็นเค้าเงาของลูกอีก หลังที่เอนพิงก�าแพงอยู่ค่อยๆ รูดลง เขายกสองมือกุมศีรษะแล้ว ซุกหน้ากับหัวเข่า ก็อย่างทีล่ กู ถาม ต้องเจ็บอีกแค่ไหนถึงจะตายเสียที ปลายทางจะ ไม่มีสิ่งอื่นนอกจากความตายเลยละหรือ หมูน่ เี้ ขาต้องเผชิญหน้ากับความคิดหนึง่ อยูต่ ลอด มันเฝ้าป้วนเปีย้ น หว่านล้อมให้เขาแทบทานไม่ไหวดั่งค�ากระซิบยั่วยุ ความคิดที่ว่าการช่วยลูกที่แท้จริงนั้นไม่ใช่ผลักดันให้ลูกแข็งใจต่อสู้ โรคร้าย หากคือปล่อยให้แกจากไปอย่างสงบ * * * ตอนอายุเท่าลูก เขาเคยเป็นลูกชายของพ่อคนหนึ่งเช่นกัน สมัยเขาอายุรนุ่ ราวคราวเดียวกับลูก เขาเคยอาศัยอยูท่ ตี่ า� บลซาบุก จังหวัดคังวอน สถานที่ที่เต็มไปด้วยสีด�าขมุกขมัวทั้งบนท้องฟ้า แผ่นดิน และผืนน�า้ ส่วนผูค้ นก็ใช้ชวี ติ โดยพึง่ พาอาศัยสถานทีส่ กี ระด�ากระด่างซึง่ อยู่ 17


โชชังอิน

กึง่ กลางระหว่างท้องฟ้ากับแผ่นดินนัน้ พ่อของเขาคือหนึง่ ในคนกลุม่ ดังกล่าว เขาจ�าไม่ค่อยได้แล้วว่าวันนั้นเกิดขึ้นเมื่อไร จ�าได้เพียงเลาๆ ว่า เป็นตอนเช้ามืดของวันที่อากาศหนาวจัด ถึงจ�าไม่ได้ว่าเกิดวันไหนแน่ แต่ เขาจ�าได้แม่นว่าเกิดที่ไหน ท่ามกลางบ้านพักคนงานมากมายที่สร้างโดยมุง หลังคาหินชนวน ก่อผนังจากอิฐบล็อกจนบ้านทุกหลังหน้าตาเหมือนกันยัง กับขนมดอกเบญจมาศ*จากพิมพ์เดียว ทุกหลังปลูกติดเรียงเบียดเสียดกันอิง ลาดเขา มีหลังหนึ่งเขียนตัวอักษรสีเหลืองว่า ‘นา-12’ ใหญ่กินพื้นที่ครึ่ง หนึ่งของหลังคา บ้านหลังนั้นเคยเป็นบ้านของเขา ตอนนั้นเขาลืมตาตื่นเพราะเสียงไซแรนแผดดัง เสียงไซเรนเป็น สัญญาณเตือนคนงานเหมืองแร่ที่ไม่ได้เข้ากะว่าเกิดอุบัติเหตุตรงสุดทาง อุโมงค์ในเหมือง ในบ้าน ‘นา-12’ มีเพียงเขากับแม่ที่ได้ยินเสียงไซเรน เพราะพ่อเพิ่งเข้ากะสามของช่วงดึกคืนนั้น ผ่านไปอีกสองคืน พ่อของเขาถึงถูกช่วยออกมาได้ พ่อเป็นผู้รอด ชีวิตคนเดียวจากคนงานห้าคนที่ถูกฝังกลบใต้เหมือง ทว่าพ่อกลับมาใน สภาพขาซ้ายถูกฝังไว้ในอุโมงค์เหมืองตลอดกาล พ่อได้ขาเทียมพลาสติกส่ง เสียงเอีย๊ ดอ๊าดหลังอุบตั เิ หตุครัง้ นัน้ พวกเด็กแถวบ้านชอบร้องล้อเขาซึง่ เป็น ลูกชายของพ่อว่า “ขายาง ขาเก๊ ขาเจ๊งๆ แค่สิบลี้ก็เดินไม่ถึง” พ่อได้เงินเดือนล่วงหน้าหกเดือนแล้วก็ถกู ไล่ออกจากงานทีเ่ หมืองแร่ แต่ครอบครัวเขายังคงอยู่ที่บ้าน ‘นา-12’ ต่อเช่นเดิม แม่เริ่มนั่งรถไฟเที่ยวแรกไปเมืองเชชอนและกลับมาบ้านด้วยรถไฟ เที่ยวสุดท้าย เขาจ�าไม่ได้แล้วว่าแม่หอบของไปเร่ขายอยู่นานเท่าไร จ�าได้ เพียงว่าวันหนึง่ หลังแม่นงั่ รถไฟเทีย่ วแรกจากไปแล้ว ก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย พ่อกินเหล้าตัง้ แต่เช้า พอตกเย็นเมาแอ๋กเ็ ดินโขยกเขยกด้วยขายาง * หรือกูกวาปัง เป็นขนมชนิดหนึ่งที่ท�าจากแป้ง สอดไส้ถั่วแดง การเทเนื้อขนมลง แม่พิมพ์ลายดอกเบญจมาศท�าให้ขนมออกมาหน้าตาเหมือนกันทุกชิ้น ใช้เปรียบกับสิ่ง รูปร่างหน้าตาเหมือนกันเป็นพิมพ์เดียว - ผู้แปล 18


เสียงเอีย๊ ดอ๊าดไปทางเหมืองแร่ พ่อพาเขาไปถึงทีน่ นั่ ด้วยทุกครัง้ ทุกวันเขา จึงต้องเห็นพ่อหยิบขายางโบกไปมาใส่หน้าขาวๆ ของหัวหน้าคนงานเหมือง ถึงเวลาเย็นเมื่อไร เขาเป็นต้องหาที่ซ่อนตัว แต่พ่อหาเขาเจอไม่ เคยพลาดและจะลากเขาไปด้วยยังกับไล่ต้อนลูกแพะ ไม่รู้เพราะวันนั้นเขา ซ่อนตัวมิดชิดมาก หรือเพราะพ่อเจตนาไม่ตามหาเขาแต่แรก อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่วันนั้นเขาไม่จ�าเป็นต้องไปเหมืองแร่กับพ่ออีก ไม่มีใครบอกเขาว่าพ่อหายไปเพราะอะไร พ่อไปที่ไหน หรือไป อย่างไร มีเพียงเสียงซุบซิบลุกลามราวโรคระบาดไปทัว่ บ้านพักคนงานว่าพ่อ แกว่งมีดใส่หน้าขาวๆ ของหัวหน้าคนงานเหมืองแร่แทนทีจ่ ะเป็นขาปลอมเช่น ทุกครั้ง สุดท้ายพ่อเลยต้องเข้าซังเตไปกินข้าวแดงโดยปริยาย และเพราะ เจ้าโรคระบาดแห่งค�าครหา เขาจึงต้องจากบ้านที่ผูกพันไปอาศัยกับญาติที่ อยู่ห่างไกล อีกสามปีต่อมา พ่อถึงกลับมาหาเขา ขาปลอมหายไปแล้ว พ่อใช้เพียงไม้เท้ายันรักแร้ พ่อม้วนปลายขา กางเกงข้างซ้ายขึน้ แล้วมัดไว้กบั ต้นขาด้วยหนังยาง ใครเห็นจึงรูไ้ ด้ทนั ทีวา่ พ่อ มีขาเดียว แต่คงเดาไม่งา่ ยนักว่าพ่อเคยกินข้าวแดงมาก่อนเพราะทรงผมพ่อ ไม่สั้นเกรียนเช่นนักโทษ มันกระเซอะกระเซิงยังกับพ่อเพิ่งเอาศีรษะไปมุด กองขี้เถ้ามา ดูท่าพ่อคงไปเตร็ดเตร่ที่ไหนอยู่สักพักก่อนมารับเขา เขาตามพ่อออกจากบ้านญาติที่ดูแลเขาอยู่เพื่อขึ้นรถไฟไปด้วยกัน พวกเขาพักโรงแรมจิง้ หรีดใกล้สถานีเชชอนคืนหนึง่ พ่อเอาแต่นอน หันหน้าเข้าผนัง ให้เขาเห็นแค่หลัง เสียงหนูวงิ่ กุกกักบนเพดานทีม่ รี อยฉีห่ นู กระด�ากระด่าง เสียงท้องเขาร้องโครกครากไม่หยุด สุดท้ายพ่อจึงเอ่ยถาม “หิวเหรอ” เขาพยักหน้า พ่อหยัดตัวลุกและเดินออกจากห้อง อีกสามสิบ นาทีพ่อกลับเข้ามา และอีกสามสิบนาทีก็มีบะหมี่ซอสด�ามาส่งถึงห้องสอง ถ้วย มันอร่อยเหลือเกิน อร่อยจนยากจะรีบรุดจ้วงตะเกียบด้วยเสียดาย ว่าจะกินหมดเร็ว 19


โชชังอิน

หลังกินจาจังมยอนชามแรกและชามสุดท้ายในชีวิตจนเกลี้ยง พ่อ ก็ล้วงซองสีน�้าตาลอมเหลืองออกมาจากกระเป๋าเสื้อ พ่อถามเขา “อร่อยไหม” “อร่อยครับ” พ่อเคาะซองกับฝ่ามือเขา มียาเม็ดหน้าตาเหมือนเมล็ดข้าวฟ่างถูก เทออกมาประมาณหนึ่งหยิบมือ จากนั้นพ่อก็เทยาลงบนฝ่ามือตนบ้าง “ในเมื่ออิ่มแล้ว เรากินยาช่วยย่อยกันเถอะ” เขากินตามพ่อบอกไม่ได้ เขารูจ้ กั ยานี้ มันเป็นยาเบือ่ หนูทพี่ วกเขา เคยใช้โรยบนข้าวเย็นเหลือก่อนวางทิ้งไว้มุมหนึ่งในครัวของบ้าน ‘นา-12’ เขายังเคยเห็นหนูกินมันแล้วหงายท้องดิ้นพล่านด้วย “เอ้า กินสิ” พ่อบอก เขาตอบชัดถ้อยชัดค�า “พ่อฮะ มันเป็นยาเบื่อหนูไม่ใช่เหรอฮะ” พ่อไม่พูดไม่จาอยู่นาน เพียงจ้องเขาด้วยสองตาเลื่อนลอยจาก เบ้าตาลึกโบ๋ เขาก�ายาเบื่อหนูในมือแน่น มันละลายลงทีละน้อยเพราะ เหงื่อบนฝ่ามือ เพดานห้องยังคงมีเสียงหนูวิ่งกุกกักไม่หยุด “ไม่อยากกินหรือ” เขาตอบพ่อเสียงฉะฉาน “ผมไม่อยากตายครับพ่อ” พ่อปัดยาเบื่อหนูบนมือเขาทิ้งแล้วล้มตัวลงนอนเฉียงๆ หันหน้า เข้าผนัง ค�่าคืนอันสิ้นเรี่ยวแรงหมดไปอีกคืน “พ่อจนปัญญาแล้ว จงใช้ชีวิตต่อไปด้วยก�าลังของลูกเองเถอะนะ” พ่อบอกหลังพาเขาเดินมาถึงหน้าป้อมต�ารวจหน้าสถานี มันเป็น ค�าพูดสุดท้ายของพ่อ ตอนนัน้ เขาไม่เข้าใจถึงความหมายของค�าว่าใช้ชวี ติ ด้วยก�าลังตัวเอง แต่เขาคิดว่าตนจะต้องไม่มีชีวิตแบบพ่อ น่าข�า นับแต่นั้นเขาตกลงใจกับ ตัวเองว่าจะไม่มีวันกินบะหมี่ด�าอีก 20


* * * เขาไม่เคยเข้าใจพ่อ เขาไม่อยากเข้าใจพ่อ ไม่สิ เขาชิงชังพ่อ ยังไม่ใช่ ต้องบอกว่าเขา พยายามจะลบความทรงจ�าทีเ่ กีย่ วกับพ่อ ลบมันด้วยสภาพกระเสือกกระสน ยากเย็นแสนเข็ญเพราะต้องใช้ชีวิตด้วยก�าลังตนตามที่พ่อเคยพูดถึง เขานึกว่าเขาลืมพ่อไปได้นานแล้วกระทั่งภรรยาบอกเขาว่าเธอตั้ง ครรภ์ ฉับพลันดวงหน้าของพ่อผุดวาบในสมองเสมือนเขาเพิง่ พลิกเปิดหน้า แรกของอัลบั้มรูปเก่า ความหมายของพ่อลอยเด่นดั่งรูปถ่ายขาวด�ากรอบ เว้าแหว่งในอุ้งมือ ความเป็นจริงทีเ่ ขาก�าลังจะเป็นพ่อคนท�าให้เขากระวนกระวายเหลือเกิน วันคืนหมุนผ่านอย่างงงๆ จนถึงวันทีช่ อื่ ของเขาถูกขานหน้าห้องรอคนไข้ของ แผนกสูตินรีเวช นาทีที่ได้เห็นหน้าลูกน้อยตัวแดงๆ ในห่อผ้า เขาก็บอกลาอารมณ์ กระวนกระวายและมึนงงที่มีมาตลอดได้ในบัดดล เขาอุ้มลูกไว้แนบอกด้วย ใจหวิวๆ เต็มตื้น เขาเป็นพ่อคนแล้ว เขาไม่เคยฝันอยากเป็นพ่อคนเท่าไร หากลางสังหรณ์แล่นปราดทัว่ ใจว่านับจากนีล้ กู จะคือเหตุผลหลักในการมีชวี ติ อยู่ต่อไปของเขา สายใยที่ชื่อพ่อลูกช่างเป็นการผูกพันทางจิตใจอันมหัศจรรย์พันลึก สายใยผูกพันด้วยหัวใจนีด้ จู ะก้าวหน้าไปอีกขัน้ เมือ่ ลูกป่วย อาการ ของแกทรงๆ ทรุดๆ เหมือนใช้เกณฑ์วัดเป็นวันต่อวัน กล่าวคือ หากวันนี้ อาการดี พรุ่งนี้ไม่แคล้วจะแย่ลง วันไหนลูกอาการดี เขาก็จะเบาใจ วัน ไหนลูกอาการทรุด ต่อให้วันนั้นมีเรื่องน่ายินดีแค่ไหน มันก็กลายจะเป็น เพียงเรื่องยินดีที่กลวงเปล่าส�าหรับเขา ลูกคือศูนย์กลางแห่งชีวิตเขา ชีวิตอันเสมือนดาวเคราะห์ในระบบ สุรยิ ะจักรวาลทีต่ อ้ งหมุนโคจรรอบดวงอาทิตย์ เขารูด้ ี หากสูญเสียลูก แรง เหวีย่ งออกจากจุดศูนย์กลางจะพัดพาเขาลอยกระเด็นออกนอกโลก ในเมือ่ 21


โชชังอิน

เหตุผลหลักของการมีชวี ติ อยูต่ อ่ สาบสูญ เขาคงไม่อาจเป็นส่วนหนึง่ ของโลก ไม่อาจหัวเราะ พูดคุย หรือร้องเพลงได้อีก แล้วลูกก็ถาม แกถามว่าต้องเจ็บอีกแค่ไหนแกถึงจะตาย ถ้าต้อง เจ็บขนาดนี้ ขอตายเลยได้ไหม เขาจมอยู่กับความคิดตลอดหลังออกจากห้องพักผู้ป่วยของลูก ระหว่างพ่อทีเ่ ทยาเบือ่ หนูใส่มอื เขาในวัยเด็ก กับตัวเขาผูท้ า� ได้เพียง มองลูกเจ็บปวดโดยช่วยเหลืออะไรแกไม่ได้นั้น มีสิ่งใดแตกต่างกันบ้างเล่า เขาก�าลังทิง้ ลูกไว้ลา� พังหน้าประตูแห่งความตายแล้วหันหลังให้แกเหมือนภาพ แผ่นหลังของพ่อผู้เดินกระย่องกระแย่งจากไปและทิ้งเขาไว้หน้าป้อมต�ารวจ หรือเปล่า เย็นเมือ่ วานยองแจมาเยีย่ มลูกเขา เธอลังเลก่อนเล่าประสบการณ์ ของตน “ทีท่ า� ใจอดทนยากทีส่ ดุ ระหว่างรับการรักษาไม่ใช่ความเจ็บปวดทาง ร่างกายหรอกค่ะ แต่คือเวลาหนูเห็นแม่ซึ่งคอยดูแลพยาบาลหนูมีท่าทาง เหนื่อยล้า” เธอพูดเสริมว่าใบหน้าของเขาท�าให้เธอนึกถึงท่าทางเหนื่อยอ่อน ของแม่เธอเมื่อก่อน เขารู้จักยองแจตอนลูกเข้าโรงพยาบาลครั้งแรก ตอนนั้นเธอเรียน อยูช่ นั้ มัธยมปลาย ก�าลังต่อสูก้ บั อาการโลหิตจางจากภาวะไขกระดูกฝ่ออัน ทุกข์ทรมาน แม้จะป่วยด้วยโรครักษายากไม่แพ้โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว แต่ ยองแจเป็นเด็กสาวผู้ไม่เคยสูญเสียรอยยิ้ม ตอนนี้หมอวินิจฉัยว่าเธอหาย สนิทแล้ว ยองแจเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยไปเรียบร้อย พอเธอรู้ว่าลูก เข้าโรงพยาบาลอีกครั้ง ยองแจจึงมาเยี่ยมแกอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง “พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงไม่ปดิ ประตูทกุ บานหรอกค่ะ จะต้องมีทางออก เปิดรับอยู่ตรงไหนสักแห่งแน่นอน ทาอุมจะต้องสู้โรคร้ายจนชนะในที่สุด น้องจะมีชีวิตที่ดีต่อไป และหลังจากผ่านความทุกข์สาหัสมาส�าเร็จ น้องก็ จะเข้าใจได้เองว่าการมีชีวิตนั้นวิเศษและสุกสว่างแค่ไหน ฉะนั้นคุณลุงอย่า 22


ด่วนท้อใจเลยนะคะ” เขาชักท้อใจตามค�าพูดยองแจจริงๆ ช่วงหลังมานี้เขารู้สึกว่าตน ก�าลังร่วงหล่นสู่ขุมนรกด�าดิ่งไร้จุดสิ้นสุด ทุกครัง้ ทีเ่ ห็นลูกดิน้ กระสับกระส่ายเพราะเจ็บปวด เขาจะคิดว่ามัน อาจถูกต้องกว่าไหมหากปล่อยให้ชวี ติ พวกเขาจบลงเพียงเท่านี้ ในเมือ่ เรือ่ ง บางเรือ่ งบนโลกเราก็ไม่อาจต่อกรด้วยอ�านาจมนุษย์ ดังเช่นกรณีทเี่ ขากับลูก เผชิญอยู่ “คุณพ่อน้องทาอุม!” เขาเงยหน้าตามเสียงเรียก หญิงร่างเล็กยืนกะพริบดวงตาโตของ ตน เธอยังไม่ได้เดินเข้าตึกผู้ป่วยเด็ก เขาลุกยืนเก้ๆ กังๆ อีกฝ่ายเอ่ยถามคล้ายรอจังหวะอยู่ก่อน “ท�าไมมาอยู่ตรงนี้ล่ะคะ” เขาไม่อาจตอบได้ในทันที เธอหยิบผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าถือยื่น ให้ อันที่จริงพวกเขาตัวเปียกจนควรใช้ผ้าเช็ดหน้าเหมือนกันทั้งคู่ แต่เขา ไม่กล่าวปฏิเสธ เพียงก้มมองผ้าเช็ดหน้าอยู่อึดใจก็ถามเธอ “ซองโฮเป็นไงบ้างครับ” “ใช้ผ้าเช็ดสิคะ ไม่เป็นไรหรอก” ริมฝีปากคลีร่ อยยิม้ ของเธอเสพูดเรือ่ งอืน่ ราวกับเด็กแกล้งท�าหูทวน ลมใส่ค�าถามเขา หากไม่นานเธอก็ลู่ไหล่ลง เบือนหน้าช้าๆ ไปทางอาคาร ศูนย์มะเร็งทีต่ งั้ ตระหง่าน ลูกชายของเธอก�าลังนอนอยูใ่ นห้องหน้าตาคล้าย โลงศพ ณ ชั้นใต้ดินของอาคารแห่งนี้ ความมืดรอบตัวพวกเขาทวีสดี า� เข้ม ไฟข้างทางเชือ่ มตึกผูป้ ว่ ยเด็ก กับศูนย์มะเร็งเห็นเป็นแสงสว่างชัดกว่าเก่า เม็ดฝนทีต่ กผ่านแสงไฟสีเหลือง เลมอนยังคงสม�่าเสมอเช่นเดิม “แกไม่ยอมเข้าไปค่ะ งอแงบอกว่าไม่อยากเข้า ฉันเลยตีแก ตีแล้ว ก็บังคับให้เข้าไปในนั้น” หยดน�้าตาร่วงผล็อยเหนือผิวแก้มเธอ เธอก�าลังร้องไห้ไร้สุ้มเสียง 23


โชชังอิน

พ่อแม่ที่ต้องคอยดูแลลูกน้อยต่อสู้กับโรคมานาน... ล้วนรู้จักวิธีร้องไห้แบบ ไม่ให้มีเสียงกันทุกคน “ฉันเป็นแม่ที่แย่มากสินะคะ” เขากระแอมไอแห้งๆ สามสี่ครั้งก่อนตอบ “ซองโฮคงเข้าใจคุณแม่อยู่หรอกครับ” “จริงหรือคะ เรื่องนั้น จริงหรือ” “เข้มแข็งไว้ครับ ทุกอย่างจะดีขึ้น” อันที่จริงทุกอย่างไม่จ�าเป็นต้องดีขึ้นหรอก หากจะให้เป็นเช่นนั้น คงเป็นการฝืน เป็นความหวังลมๆ แล้งๆ และโลภมากเกินไป ขอเพียง ลูกเอาชนะโรคได้เพียงเรื่องเดียวก็เพียงพอแล้ว แต่แค่เพียงเรื่องเดียวนี้ก็มี ความหมายเทียบเท่ากับทุกเรื่อง ซึ่งเธอก็คงเข้าใจมันดี เธอมองศูนย์มะเร็งแล้วพูดด้วยน�้าเสียงกระปรี้กระเปร่าที่ไม่เป็น ธรรมชาติ “นั่นสิคะ เราจะท้อก่อนไม่ได้ คุณพ่อน้องทาอุมก็ต้องเข้มแข็งไว้ นะคะ” เขาพยักหน้า เธอกล่าวต่อ “เข้าไปด้านในกันเถอะค่ะ มาตากฝนแบบนี้ดูไม่ดีเลย” 3 วันนี้ผมอารมณ์ดีสุดๆ ครับ ไม่รู้นานเท่าไรที่ผมมีวันแบบนี้ ไข้ลดลงมาก จากหายใจขัดๆ ก็ หายใจได้โล่งขึน้ หัวทีเ่ คยมีเสียงอือ้ อึงยังกับมีกบสักโหลร้องระงมอยูข่ า้ งใน ก็สงบลง “ทุกสิ่งเปลี่ยนไปตามความตั้งใจของเรา หากคิดดี ย่อมเกิดเรื่อง ดีขึ้นจริง” พ่อมักจะบอกแบบนีเ้ วลาผมหงุดหงิด วันนีเ้ ป็นครัง้ แรกทีผ่ มคิดว่า 24


ค�าสอนนี้ถูกต้อง ดูเหมือนฝนตกอยู่ตลอดคืน ผมตื่นแล้วหลับ ตื่นแล้วหลับ ตื่น แล้วหลับ... กี่ครั้งก็ยังได้ยินเสียงฝน ผมฝันร้ายอุตลุดไม่รู้กี่รอบ ฝนตก ทีไรผมจะหงุดหงิดและหดหู่มาก ไม่ใช่แค่ผมหรอกนะครับ คนไข้คนอื่นก็ เป็นเหมือนกัน แต่แล้วเมือ่ ลืมตาตืน่ ตอนเช้า แสงแดดกลับสดใส ผมว่าต้องมีเรือ่ ง ดีๆ เกิดขึน้ แน่ พอคิดไปว่าเรือ่ งดีทวี่ า่ จะเป็นเรือ่ งอะไร ผมก็นกึ ถึงอึนมีครับ อึนมี อึนมีน่ะ... เป็นเด็กผู้หญิงที่ติดกิ๊บสองอันซ้ายขวาบนผม เสมอ แต่ไม่ใช่กิ๊บลายเดียวกันหรอกนะครับ บางวันเธอติดกิ๊บดอกแพร เซี่ยงไฮ้สีม่วงอ่อน บางวันก็เป็นดอกชิกวี้ดสีขาว บางวันเป็นดอกกุหลาบสี แสด... อึนมีคงมีกบิ๊ ติดผมเยอะมากๆ แต่ทงั้ โรงเรียนสอนศาสนาวันอาทิตย์ คงมีแค่ผมทีส่ งั เกตเห็น แค่คดิ ว่ามีผมคนเดียวทีร่ เู้ รือ่ งนี้ ผมก็อารมณ์ดมี าก หวัดดีจ้ะ ชองทาอุม ตอนอึนมีพูดทักทายแล้วยกมือเล็กๆ ของ เธอลูบคล�ากิบ๊ ดอกไม้บนศีรษะ ผมรูส้ กึ เหมือนอะไรบางอย่างในหน้าอกผม สลายกลายเป็นผุยผงแล้วลอยว่อน วันนี้อึนมีติดกิ๊บรูปดอกทานตะวันสีเหลืองสดใสครับ อาทิตย์ก่อนผมบอกคุณพ่อบาทหลวงที่มาเยี่ยมผมว่าผมคิดถึง เพื่อนๆ ห้องเดวิด แผนการจะได้พบอึนมีของผมคราวนี้ก็เลยประสบความ ส�าเร็จ เพื่อนๆ เดินเรียงแถวตอนลึกเกาะไหล่กันเข้ามาในห้องพักผู้ป่วย อึนมีอยู่ท้ายแถว ทุกคนท�าหน้ายังกับเตรียมใจจะถูกดุ โรงพยาบาลท�าให้ พวกเขากลัวน่ะครับ หรืออาจเป็นเพราะหัวล้านเลีย่ น หน้าขาวซีด กับเข็ม น�้าเกลือปักคาเส้นเลือดด�าบนแขนผมก็ได้ที่ท�าให้พวกเขากลัว สีหน้าเพื่อนๆ สดชื่นขึ้นนิดหน่อยเมื่อพ่อแจกน�้าผลไม้รสองุ่นยี่ห้อ บงบงให้คนละกระป๋อง สักประมาณสิบนาทีตอ่ มาสีหน้าทุกคนก็เริม่ ไม่เกร็ง ไม่รอู้ นึ มีเป็นเหมือนเพือ่ นคนอืน่ หรือเปล่า ก็ผมมองไม่คอ่ ยเห็นเธอนีน่ า นี่ ผมไม่ได้โทษอึนมีว่าเธอดันไปยืนอยู่หลังสุดหรอกนะครับ 25


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.