(นาที)
ภาค ๑ คําทําวัตรเชาและเย็น คําบูชาพระรัตนตรัย ปุพพภาคนมการ
๑. ๒. ๓. ๔. ๕. ๑. ๒. ๓. ๔. ๕. ๖.
คําทําวัตรเชา
พุทธาภิถตุ ิ ธัมมาภิถตุ ิ สังฆาภิถตุ ิ รตนัตตยัปปณามคาถา สังเวคปริกิตตนปาฐะ
คําทําวัตรเย็น พุทธานุสสติ พุทธาภิคตี ิ ธัมมานุสสติ ธัมมาภิคตี ิ สังฆานุสสติ สังฆาภิคตี ิ
(๐๑:๓๒) (๐๑:๒๘) (๑๘:๕๓) (๐๓:๓๑) (๐๑:๒๖) (๐๒:๔๒) (๐๓:๒๐) (๐๗:๕๔) (๑๗:๒๙) (๐๑:๕๐) (๐๔:๑๖) (๐๑:๐๖) (๐๔:๐๒) (๐๒:๒๐) (๐๓:๕๕)
เนื้อธรรม (นาที)
ภาค ๒ บทสวดมนตพิเศษ ๑. ๒. ๓. ๔. ๕. ๖. ๗. ๘. ๙. ๑๐. ๑๑. ๑๒. ๑๓. ๑๔. ๑๕. ๑๖.
บทพิเศษ ๑
(ตอนเชา)
สรณคมนปาฐะ อัฏฐสิกขาปทปาฐะ ท๎วัตติงสาการปาฐะ เขมาเขมสรณทีปกคาถา อริยธนคาถา ติลักขณาทิคาถา ภารสุตตคาถา ภัทเทกรัตตคาถา ธัมมคารวาทิคาถา โอวาทปาฏิโมกขคาถา ปฐมพุทธภาสิตคาถา ธาตุปจจเวกขณปาฐะ ปจฉิมพุทโธวาทปาฐะ บทพิจารณาสังขาร สัพพปตติทานคาถา ปฏฐนฐปนคาถา
(๔๑:๒๕) (๐๑:๔๓) (๐๒:๐๔) (๐๒:๒๙) (๐๒:๒๑) (๐๑:๓๓) (๐๓:๑๑) (๐๑:๑๖) (๐๒:๐๐) (๐๒:๒๕) (๐๒:๐๙) (๐๑:๓๐) (๐๖:๓๐) (๐๐:๕๔) (๐๒:๔๑) (๐๒:๕๕) (๐๕:๔๔)
เนื้อธรรม ๑๗. ๑๘. ๑๙. ๒๐. ๒๑.
บทพิเศษ ๒ (ตอนเย็น)
อริยอัฏฐังคิกมัคคปาฐะ อตีตปจจเวกขณปาฐะ ปพพชิตอภิณหปจจเวกขณปาฐะ ปจฉิมพุทโธวาทปาฐะ อุททิสสนาธิฏฐานคาถา
(นาที)
(๓๔:๐๖) (๑๕:๔๒) (๐๕:๐๒) (๐๕:๕๙) (๐๐:๕๒) (๐๖:๓๑)
บทพิเศษ ๓
๒๒. ตังขณิกปจจเวกขณปาฐะ ๒๓. ปจจเวกขณอุโบสถศีล
(๐๕:๓๐) (๑๙:๔๘)
บทพิเศษ ๔
๒๔. บทแผเมตตา
(๐๑:๔๑)
คําทําวัตรเชาและเย็น
(เริ่มตนดวย คําบูชาพระรัตนตรัย และ ปุพพภาคนมการ)
คําบูชาพระรัตนตรัย อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา, พระผูม ีพระภาคเจา, เปนพระอรหันต, ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกขสิ้นเชิง, ตรัสรูชอบไดโดยพระองคเอง; พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ. ขาพเจาอภิวาทพระผูมพี ระภาคเจา, ผูรู ผูตนื่ ผูเบิกบาน. (กราบ ๑ ครั้ง)
ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, พระธรรม เปนธรรมทีพ่ ระผูมีพระภาคเจา, ตรัสไวดีแลว; ธัมมัง นะมัสสามิ. ขาพเจานมัสการพระธรรม. (กราบ ๑ ครั้ง)
สุปะฏิปน โน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, พระสงฆ สาวกของพระผูม ีพระภาคเจา, ปฏิบัติดีแลว; สังฆัง นะมามิ. ขาพเจานอบนอมพระสงฆ. (กราบ ๑ ครั้ง)
ปุพพภาคนมการ (คํานมัสการ)
(หันทะ มะยัง พุทธัสสะ ภะคะวะโต ปุพพะภาคะนะมะการัง กะโรมะ เส.) (เชิญเถิด เราทั้งหลาย ทําความนอบนอมอันเปนสวนเบื้องตน แดพระผูมีพระภาคเจาเถิด.)
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต, อะระหะโต, สัมมาสัมพุทธัสสะ.
ขอนอบนอมแดพระผูมีพระภาคเจา พระองคนั้น; ซึ่งเปนผูไกลจากกิเลส; ตรัสรูช อบไดโดยพระองคเอง.
(วา ๓ ครั้ง)
๑. พุทธาภิถุติ
(คําสรรเสริญพระพุทธเจา)
(หันทะ มะยัง พุทธาภิถตุ ิง กะโรมะ เส.) (เชิญเถิด เราทั้งหลาย ทําความชมเชยเฉพาะพระพุทธเจาเถิด.)
โย โส ตะถาคะโต, พระตถาคตเจานั้น พระองคใด; อะระหัง, เปนผูไกลจากกิเลส; สัมมาสัมพุทโธ, เปนผูตรัสรูชอบไดโดยพระองคเอง; วิชชาจะระณะสัมปนโน, เปนผูถึงพรอมดวยวิชชาและจรณะ; สุคะโต, เปนผูไปแลวดวยดี; โลกะวิท,ู เปนผูรูโลกอยางแจมแจง; อะนุตตะโร ปุรสิ ะทัมมะสาระถิ, เปนผูสามารถฝกบุรุษที่สมควรฝกได อยางไมมีใครยิ่งกวา; สัตถา เทวะมะนุสสานัง, เปนครูผูสอน ของเทวดาและมนุษย ทั้งหลาย; พุทโธ, เปนผูรู ผูต ื่น ผูเบิกบานดวยธรรม; ภะคะวา, เปนผูมีความจําเริญ จําแนกธรรม สั่งสอนสัตว;
โย อิมัง โลกัง สะเทวะกัง สะมาระกัง สะพ๎รัหม๎ ะกัง, สัสสะมะณะพ๎ราห๎มะณิง ปะชัง สะเทวะมะนุสสัง สะยัง อะภิญญา สัจฉิกตั ว๎ า ปะเวเทสิ, พระผูม ีพระภาคเจาพระองคใด, ไดทรงทําความดับทุกขใหแจง ดวยพระปญญาอันยิ่งเองแลว, ทรงสอนโลกนี้ พรอมทัง้ เทวดา, มาร พรหม, และหมูสัตว พรอมทั้งสมณพราหมณ, พรอมทัง้ เทวดาและมนุษยใหรูตาม; โย ธัมมัง เทเสสิ, พระผูม ีพระภาคเจาพระองคใด, ทรงแสดงธรรมแลว; อาทิกัลย๎ าณัง, ไพเราะในเบื้องตน; มัชเฌกัลย๎ าณัง, ไพเราะในทามกลาง; ปะริโยสานะกัล๎ยาณัง, ไพเราะในที่สุด; สาตถัง สะพ๎ยญั ชะนัง เกวะละปะริปณุ ณัง ปะริสทุ ธัง พ๎รัหม๎ ะจะริยัง ปะกาเสสิ, ทรงประกาศพรหมจรรย, คือแบบแหงการปฏิบัติอันประเสริฐ บริสทุ ธิ์ บริบรู ณ สิ้นเชิง, พรอมทั้งอรรถะ (คําอธิบาย) พรอมทั้งพยัญชนะ (หัวขอ); ตะมะหัง ภะคะวันตัง อะภิปชู ะยามิ, ขาพเจาบูชาอยางยิ่ง เฉพาะพระผูมีพระภาคเจาพระองคนั้น; ตะมะหัง ภะคะวันตัง สิระสา นะมามิ. ขาพเจานอบนอมพระผูม พี ระภาคเจาพระองคนั้น ดวยเศียรเกลา. (กราบระลึกพระพุทธคุณ)
๒. ธัมมาภิถุติ
(คําสรรเสริญพระธรรม)
(หันทะ มะยัง ธัมมาภิถตุ ิง กะโรมะ เส.) (เชิญเถิด เราทั้งหลาย ทําความชมเชยเฉพาะพระธรรมเถิด.)
โย โส ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, พระธรรมนั้นใด, เปนสิ่งที่พระผูมพี ระภาคเจา ไดตรัสไวดีแลว; สันทิฏฐิโก, เปนสิ่งทีผ่ ูศึกษาและปฏิบัติ พึงเห็นไดดวยตนเอง; อะกาลิโก, เปนสิ่งทีป่ ฏิบัติได และใหผลได ไมจํากัดกาล; เอหิปส สิโก, เปนสิ่งทีค่ วรกลาวกะผูอื่นวา ทานจงมาดูเถิด; โอปะนะยิโก, เปนสิ่งทีค่ วรนอมเขามาใสตัว; ปจจัตตัง เวทิตพั โพ วิญูห,ิ เปนสิ่งทีผ่ ูรูก็รูไดเฉพาะตน; ตะมะหัง ธัมมัง อะภิปชู ะยามิ, ขาพเจาบูชาอยางยิ่ง เฉพาะพระธรรมนั้น; ตะมะหัง ธัมมัง สิระสา นะมามิ. ขาพเจานอบนอมพระธรรมนั้น ดวยเศียรเกลา. (กราบระลึกพระธรรมคุณ)
๓. สังฆาภิถุติ
(คําสรรเสริญพระสงฆ)
(หันทะ มะยัง สังฆาภิถตุ งิ กะโรมะ เส.) (เชิญเถิด เราทั้งหลาย ทําความชมเชยเฉพาะพระสงฆเถิด.)
โย โส สุปะฏิปน โน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจานั้น หมูใ ด, ปฏิบัติดีแลว; อุชปุ ะฏิปน โน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจา หมูใด, ปฏิบัติตรงแลว; ญายะปะฏิปน โน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจา หมูใด, ปฏิบัติเพือ่ รูธรรม เปนเครือ่ งออกจากทุกขแลว; สามีจปิ ะฏิปน โน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจา หมูใด, ปฏิบัติสมควรแลว; ยะทิทงั , ไดแกบุคคลเหลานี้คือ; จัตตาริ ปุรสิ ะยุคานิ อัฏฐะ ปุรสิ ะปุคคะลา, คูแหงบุรษุ ๔ คู,* นับเรียงตัวบุรษุ ได ๘ บุรุษ; เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, นั่นแหละ สงฆสาวกของพระผูมพี ระภาคเจา;
อาหุเนยโย, เปนสงฆควรแกสกั การะที่เขานํามาบูชา; ปาหุเนยโย, เปนสงฆควรแกสกั การะที่เขาจัดไวตอนรับ; ทักขิเณยโย, เปนผูควรรับทักษิณาทาน; อัญชะลีกะระณีโย, เปนผูที่บคุ คลทั่วไปควรทําอัญชลี; อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสะ, เปนเนื้อนาบุญของโลก, ไมมีนาบุญอื่นยิ่งกวา; ตะมะหัง สังฆัง อะภิปชู ะยามิ, ขาพเจาบูชาอยางยิ่ง เฉพาะพระสงฆหมูนนั้ ; ตะมะหัง สังฆัง สิระสา นะมามิ. ขาพเจานอบนอมพระสงฆหมูนั้น ดวยเศียรเกลา. (กราบระลึกพระสังฆคุณ)
*
๔ คูคือ โสดาปตติมรรค, โสดาปตติผล, สกทาคามิมรรค, สกทาคามิผล, อนาคามิมรรค, อนาคามิผล, อรหัตตมรรค, อรหัตตผล.
๔. รตนัตตยัปปณามคาถา (คาถานอบนอมพระรัตนตรัย)
(หันทะ มะยัง ระตะนัตตะยัปปะณามะคาถาโย เจวะ สังเวคะปะริกติ ตะนะปาฐัญจะ ภะณามะ เส.) (เชิญเถิด เราทั้งหลาย กลาวคํานอบนอมพระรัตนตรัยและบาลีที่กําหนดวัตถุเครื่องแสดงความสังเวชเถิด.)
พุทโธ สุสทุ โธ กะรุณามะหัณณะโว, พระพุทธเจาผูบริสทุ ธิ์ มีพระกรุณาดุจหวงมหรรณพ; โยจจันตะสุทธัพพะระญาณะโลจะโน, พระองคใด มีตาคือญาณอันประเสริฐหมดจดถึงที่สุด; โลกัสสะ ปาปูปะกิเลสะฆาตะโก, เปนผูฆาเสียซึ่งบาป และอุปกิเลสของโลก; วันทามิ พุทธัง อะหะมาทะเรนะ ตัง, ขาพเจาไหวพระพุทธเจาพระองคนั้น โดยใจเคารพเอื้อเฟอ; ธัมโม ปะทีโป วิยะ ตัสสะ สัตถุโน, พระธรรมของพระศาสดา สวางรุง เรืองเปรียบดวงประทีป; โย มัคคะปากามะตะเภทะภินนะโก, จําแนกประเภทคือ มรรค ผล นิพพาน, สวนใด; โลกุตตะโร โย จะ ตะทัตถะทีปะโน, ซึ่งเปนตัวโลกุตตระ, และสวนใดทีช่ ี้แนวแหงโลกุตตระนั้น; วันทามิ ธัมมัง อะหะมาทะเรนะ ตัง, ขาพเจาไหวพระธรรมนั้น โดยใจเคารพเอือ้ เฟอ;
สังโฆ สุเขตตาภ๎ยะติเขตตะสัญญิโต, พระสงฆเปนนาบุญ อันยิ่งใหญกวานาบุญอันดีทั้งหลาย; โย ทิฏฐะสันโต สุคะตานุโพธะโก, เปนผูเห็นพระนิพพาน, ตรัสรูตามพระสุคต, หมูใด; โลลัปปะหีโน อะริโย สุเมธะโส, เปนผูละกิเลสเครื่องโลเล เปนพระอริยเจา มีปญญาดี; วันทามิ สังฆัง อะหะมาทะเรนะ ตัง, ขาพเจาไหวพระสงฆหมูนนั้ โดยใจเคารพเอื้อเฟอ; อิจเจวะเมกันตะภิปชู ะเนยยะกัง, วัตถุตตะยัง วันทะยะตาภิสงั ขะตัง, ปุญญัง มะยา ยัง มะมะ สัพพุปท ทะวา, มา โหนตุ เว ตัสสะ ปะภาวะสิทธิยา. บุญใด ที่ขาพเจาผูไหวอยูซึ่งวัตถุ ๓, คือพระรัตนตรัย อันควรบูชายิ่งโดยสวนเดียว, ไดกระทําแลวเปนอยางยิ่งเชนนี้น,ี้ ขออุปททวะ (ความชั่ว) ทั้งหลาย, จงอยามีแกขาพเจาเลย, ดวยอํานาจความสําเร็จ อันเกิดจากบุญนั้น.
๕. สังเวคปริกิตตนปาฐะ (คําแสดงสังเวช)
อิธะ ตะถาคะโต โลเก อุปปนโน, พระตถาคตเจาเกิดขึ้นแลว ในโลกนี้; อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ, เปนผูไกลจากกิเลส, ตรัสรูช อบไดโดยพระองคเอง; ธัมโม จะ เทสิโต นิยยานิโก, และพระธรรมทีท่ รงแสดง เปนธรรมเครื่องออกจากทุกข; อุปะสะมิโก ปะรินพิ พานิโก, เปนเครื่องสงบกิเลส, เปนไปเพื่อปรินิพพาน; สัมโพธะคามี สุคะตัปปะเวทิโต, เปนไปเพื่อความรูพรอม, เปนธรรมที่พระสุคตประกาศ; มะยันตัง ธัมมัง สุตว๎ า เอวัง ชานามะ, พวกเราเมื่อไดฟงธรรมนั้นแลว, จึงไดรูอยางนี้วา:– ชาติป ทุกขา, แมความเกิด ก็เปนทุกข; ชะราป ทุกขา, แมความแก ก็เปนทุกข; มะระณัมป ทุกขัง, แมความตาย ก็เปนทุกข; โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสาป ทุกขา, แมความโศก ความร่ําไรรําพัน ความไมสบายกาย ความไมสบายใจ ความคับแคนใจ ก็เปนทุกข;
อัปปเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข, ความประสบกับสิง่ ไมเปนที่รักที่พอใจ ก็เปนทุกข; ปเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข, ความพลัดพรากจากสิ่งเปนที่รักที่พอใจ ก็เปนทุกข; ยัมปจฉัง นะ ละภะติ ตัมป ทุกขัง, มีความปรารถนาสิ่งใด ไมไดสิ่งนัน้ นั่นก็เปนทุกข; สังขิตเตนะ ปญจุปาทานักขันธา ทุกขา, วาโดยยอ อุปาทานขันธทงั้ ๕ เปนตัวทุกข; เสยยะถีทงั , ไดแกสิ่งเหลานี้คือ:– รูปปู าทานักขันโธ, ขันธ อันเปนที่ตงั้ แหงความยึดมั่น คือรูป; เวทะนูปาทานักขันโธ, ขันธ อันเปนที่ตงั้ แหงความยึดมั่น คือเวทนา; สัญูปาทานักขันโธ, ขันธ อันเปนที่ตงั้ แหงความยึดมั่น คือสัญญา; สังขารูปาทานักขันโธ, ขันธ อันเปนที่ตงั้ แหงความยึดมั่น คือสังขาร; วิญญาณูปาทานักขันโธ, ขันธ อันเปนที่ตงั้ แหงความยึดมั่น คือวิญญาณ;
เยสัง ปะริญญายะ, เพื่อใหสาวกกําหนดรอบรูอ ุปาทานขันธ เหลานี้เอง; ธะระมาโน โส ภะคะวา, จึงพระผูม ีพระภาคเจานั้น เมื่อยังทรงพระชนมอยู; เอวัง พะหุลงั สาวะเก วิเนติ, ยอมทรงแนะนําสาวกทั้งหลาย เชนนี้เปนสวนมาก; เอวัง ภาคา จะ ปะนัสสะ ภะคะวะโต สาวะเกสุ อะนุสาสะนี พะหุลา ปะวัตตะติ, อนึ่ง คําสั่งสอนของพระผูม ีพระภาคเจานั้น, ยอมเปนไปในสาวกทั้งหลาย, สวนมาก, มีสวนคือการจําแนกอยางนี้วา:– รูปง อะนิจจัง, รูปไมเทีย่ ง; เวทะนา อะนิจจา, เวทนาไมเที่ยง; สัญญา อะนิจจา, สัญญาไมเที่ยง; สังขารา อะนิจจา, สังขารไมเที่ยง; วิญญาณัง อะนิจจัง, วิญญาณไมเที่ยง; รูปง อะนัตตา, รูปไมใชตัวตน; เวทะนา อะนัตตา, เวทนาไมใชตัวตน; สัญญา อะนัตตา, สัญญาไมใชตัวตน; สังขารา อะนัตตา, สังขารไมใชตัวตน; วิญญาณัง อะนัตตา, วิญญาณไมใชตัวตน;
สัพเพ สังขารา อะนิจจา, สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ,
สังขารทัง้ หลายทัง้ ปวง ไมเที่ยง; ธรรมทัง้ หลายทั้งปวง ไมใชตัวตน ดังนี้; เต (หญิงวา ตา) มะยัง โอติณณาม๎หะ, พวกเราทัง้ หลาย เปนผูถูกครอบงําแลว; ชาติยา, โดยความเกิด; ชะรามะระเณนะ, โดยความแกและความตาย; โสเกหิ ปะริเทเวหิ ทุกเขหิ โทมะนัสเสหิ อุปายาเสหิ, โดยความโศก ความร่าํ ไรรําพัน ความไมสบายกาย ความไมสบายใจ ความคับแคนใจ ทั้งหลาย; ทุกโขติณณา, เปนผูถูกความทุกข หยั่งเอาแลว; ทุกขะปะเรตา, เปนผูมีความทุกข เปนเบื้องหนาแลว; อัปเปวะนามิมสั สะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ อันตะกิรยิ า ปญญาเยถาติ. ทําไฉน การทําที่สุดแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้, จะพึงปรากฏชัด แกเราได.
(สําหรับอุบาสก-อุบาสิกาสวด)
จิระปะรินพิ พุตมั ป ตัง ภะคะวันตัง สะระณัง คะตา, เราทั้งหลาย ผูถึงแลวซึ่งพระผูมพี ระภาคเจา, แมปรินพิ พานนานแลว พระองคนนั้ เปนสรณะ; ธัมมัญจะ สังฆัญจะ, ถึงพระธรรมดวย ถึงพระสงฆดวย; ตัสสะ ภะคะวะโต สาสะนัง ยะถาสะติ ยะถาพะลัง มะนะสิกะโรมะ อะนุปะฏิปช ชามะ, จักทําในใจอยู ปฏิบัติตามอยู ซึ่งคําสั่งสอนของพระผูม ีพระภาคเจานั้น ตามสติกําลัง; สา สา โน ปะฏิปต ติ, ขอใหความปฏิบัตนิ ั้นๆ ของเราทั้งหลาย; อิมสั สะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ อันตะกิรยิ ายะ สังวัตตะตุ. จงเปนไปเพื่อการทําที่สุดแหงกองทุกข ทัง้ สิ้นนี้ เทอญ.
(สําหรับภิกษุ-สามเณรสวด)
จิระปะรินพิ พุตมั ป ตัง ภะคะวันตัง อุททิสสะ อะระหันตัง สัมมาสัมพุทธัง, เราทั้งหลาย อุทิศเฉพาะพระผูมพี ระภาคเจา, ผูไกลจากกิเลส, ตรัสรูช อบไดโดยพระองคเอง, แมปรินพิ พานนานแลว พระองคนนั้ ; สัทธา อะคารัสม๎ า อะนะคาริยงั ปพพะชิตา, เปนผูมีศรัทธา ออกบวชจากเรือน ไมเกี่ยวของดวยเรือนแลว; ตัสม๎ งิ ภะคะวะติ พ๎รหั ม๎ ะจะริยงั จะรามะ, ประพฤติอยูซึ่งพรหมจรรย ในพระผูมีพระภาคเจา พระองคนั้น; ภิกขูนัง สิกขาสาชีวะสะมาปนนา, ถึงพรอมดวยสิกขาและธรรมเปนเครือ่ งเลี้ยงชีวิต ของภิกษุทั้งหลาย; ตัง โน พ๎รัหม๎ ะจะริยัง อิมสั สะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ อันตะกิรยิ ายะ สังวัตตะตุ. ขอใหพรหมจรรยของเราทัง้ หลายนั้น, จงเปนไปเพื่อการทําที่สุดแหงกองทุกข ทัง้ สิ้นนี้ เทอญ.
(จบคําทําวัตรเชา)
๑. พุทธานุสสติ
(คําระลึกถึงพระพุทธเจา)
(หันทะ มะยัง พุทธานุสสะตินะยัง กะโรมะ เส.) (เชิญเถิด เราทั้งหลาย ทําความตามระลึกถึงพระพุทธเจาเถิด.)
ตัง โข ปะนะ ภะคะวันตัง เอวัง กัลย๎ าโณ กิตติสทั โท อัพภุคคะโต, ก็กิตติศัพทอันงามของพระผูมีพระภาคเจานั้น, ไดฟุงไปแลวอยางนี้วา:– อิตปิ โส ภะคะวา, เพราะเหตุอยางนี้ๆ พระผูม ีพระภาคเจานั้น; อะระหัง, เปนผูไกลจากกิเลส; สัมมาสัมพุทโธ, เปนผูตรัสรูชอบไดโดยพระองคเอง; วิชชาจะระณะสัมปนโน, เปนผูถึงพรอมดวยวิชชาและจรณะ; สุคะโต, เปนผูไปแลวดวยดี; โลกะวิท,ู เปนผูรูโลกอยางแจมแจง; อะนุตตะโร ปุรสิ ะทัมมะสาระถิ, เปนผูสามารถฝกบุรุษที่สมควรฝกได อยางไมมีใครยิ่งกวา; สัตถา เทวะมะนุสสานัง, เปนครูผูสอน ของเทวดาและมนุษย ทั้งหลาย; พุทโธ, เปนผูรู ผูต ื่น ผูเบิกบานดวยธรรม; ภะคะวาติ. เปนผูมีความจําเริญ จําแนกธรรม สั่งสอนสัตว, ดังนี้.
๒. พุทธาภิคีติ
(คําสรรเสริญพระพุทธเจา)
(หันทะ มะยัง พุทธาภิคตี งิ กะโรมะ เส.) (เชิญเถิด เราทั้งหลาย ทําความขับคาถา พรรณนาเฉพาะพระพุทธเจาเถิด.)
พุทธ๎วาระหันตะวะระตาทิคุณาภิยตุ โต, พระพุทธเจาประกอบดวยคุณ, มีความประเสริฐแหงอรหันตคุณ เปนตน; สุทธาภิญาณะกะรุณาหิ สะมาคะตัตโต, มีพระองคอันประกอบดวยพระญาณ, และพระกรุณาอันบริสุทธิ;์ โพเธสิ โย สุชะนะตัง กะมะลังวะ สูโร, พระองคใด ทรงกระทําชนที่ดีใหเบิกบาน, ดุจอาทิตยทําบัวใหบาน; วันทามะหัง ตะมะระณัง สิระสา ชิเนนทัง, ขาพเจาไหวพระชินสีห ผูไ มมีกิเลสพระองคนั้น ดวยเศียรเกลา; พุทโธ โย สัพพะปาณีนงั สะระณัง เขมะมุตตะมัง, พระพุทธเจาพระองคใด เปนสรณะอันเกษมสูงสุด ของสัตวทั้งหลาย; ปะฐะมานุสสะติฏฐานัง วันทามิ ตัง สิเรนะหัง, ขาพเจาไหวพระพุทธเจาพระองคน้นั อันเปนที่ตั้งแหงความระลึก องคที่หนึ่ง ดวยเศียรเกลา;
พุทธัสสาหัสม๎ ิ ทาโส (หญิงวา ทาสี) วะ พุทโธ เม สามิกสิ สะโร, ขาพเจาเปนทาสของพระพุทธเจา, พระพุทธเจาเปนนาย มีอสิ ระเหนือขาพเจา; พุทโธ ทุกขัสสะ ฆาตา จะ วิธาตา จะ หิตสั สะ เม, พระพุทธเจาเปนเครื่องกําจัดทุกข, และทรงไวซึ่งประโยชนแกขาพเจา; พุทธัสสาหัง นิยยาเทมิ สะรีรญั ชีวติ ัญจิทงั , ขาพเจามอบกายถวายชีวติ นี้ แดพระพุทธเจา; วันทันโตหัง (หญิงวา ตีหงั ) จะริสสามิ พุทธัสเสวะ สุโพธิตงั , ขาพเจาผูไหวอยูจักประพฤติตาม, ซึ่งความตรัสรูดีของพระพุทธเจา; นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง พุทโธ เม สะระณัง วะรัง, สรณะอื่นของขาพเจาไมม,ี พระพุทธเจาเปนสรณะอันประเสริฐของขาพเจา; เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ วัฑเฒยยัง สัตถุสาสะเน, ดวยการกลาวคําสัตยนี้, ขาพเจาพึงเจริญในพระศาสนาของพระศาสดา; พุทธัง เม วันทะมาเนนะ (หญิงวา มานายะ) ยัง ปุญญัง ปะสุตงั อิธะ, ขาพเจาผูไหวอยูซึ่งพระพุทธเจา, ไดขวนขวายบุญใดในบัดนี้;
สัพเพป อันตะรายา เม มาเหสุง ตัสสะ เตชะสา. อันตรายทั้งปวงอยาไดมีแกขาพเจา ดวยเดชแหงบุญนั้น. (กราบหมอบลงวา)
กาเยนะ วาจายะ วะ เจตตะสา วา,* ดวยกายก็ดี ดวยวาจาก็ดี ดวยใจก็ดี; พุทเธ กุกมั มัง ปะกะตัง มะยา ยัง, กรรมนาติเตียนอันใด ที่ขา พเจากระทําแลว ในพระพุทธเจา; พุทโธ ปะฏิคคัณห๎ ะตุ อัจจะยันตัง, ขอพระพุทธเจา จงงดซึ่งโทษลวงเกินอันนั้น; กาลันตะเร สังวะริตุง วะ พุทเธ. เพื่อการสํารวมระวัง ในพระพุทธเจา ในกาลตอไป. *
บทขอใหงดโทษนี้ มิไดเปนการขอลางบาป เปนเพียรการเปดเผยตัวเอง และคําวา โทษในทีน่ ี้ มิไดหมายถึงกรรม หมายถึงโทษเพียงเล็กนอยซึ่งเปน “สวนตัว” ระหวางกัน ที่พึงอโหสิกันได การขอขมาชนิดนี้ สําเร็จผลไดในเมือ่ ผูขอตั้งใจทําจริงๆ และเปนเพียงศีลธรรม หรือสิ่งที่ควรประพฤติ.
๓. ธัมมานุสสติ
(คําระลึกถึงพระธรรม)
(หันทะ มะยัง ธัมมานุสสะตินะยัง กะโรมะ เส.) (เชิญเถิด เราทั้งหลาย ทําความตามระลึกถึงพระธรรมเถิด.)
ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, พระธรรม เปนสิง่ ที่พระผูม ีพระภาคเจา ไดตรัสไวดีแลว; สันทิฏฐิโก, เปนสิ่งทีผ่ ูศึกษาและปฏิบัติ พึงเห็นไดดวยตนเอง; อะกาลิโก, เปนสิ่งทีป่ ฏิบัติได และใหผลได ไมจํากัดกาล; เอหิปส สิโก, เปนสิ่งทีค่ วรกลาวกะผูอื่นวา ทานจงมาดูเถิด; โอปะนะยิโก, เปนสิ่งทีค่ วรนอมเขามาใสตัว; ปจจัตตัง เวทิตพั โพ วิญูหตี ิ. เปนสิ่งทีผ่ ูรูก็รูไดเฉพาะตน, ดังนี้.
๔. ธัมมาภิคีติ
(คําสรรเสริญพระธรรม)
(หันทะ มะยัง ธัมมาภิคตี งิ กะโรมะ เส.) (เชิญเถิด เราทั้งหลาย ทําความขับคาถา พรรณนาเฉพาะพระธรรมเถิด.)
ส๎วากขาตะตาทิคณุ ะโยคะวะเสนะ เสยโย, พระธรรม เปนสิง่ ที่ประเสริฐ เพราะประกอบดวยคุณ, คือความที่พระผูมพี ระภาคเจา ตรัสไวดีแลว เปนตน; โย มัคคะปากะปะริยัตติวโิ มกขะเภโท, เปนธรรมอันจําแนกเปน มรรค ผล ปริยัติ และนิพพาน; ธัมโม กุโลกะปะตะนา ตะทะธาริธารี, เปนธรรมทรงไวซึ่งผูทรงธรรม จากการตกไปสูโลกที่ชั่ว; วันทามะหัง ตะมะหะรัง วะระธัมมะเมตัง, ขาพเจาไหวพระธรรมอันประเสริฐนั้น อันเปนเครื่องขจัดเสีย ซึ่งความมืด; ธัมโม โย สัพพะปาณีนงั สะระณัง เขมะมุตตะมัง, พระธรรมใด เปนสรณะอันเกษมสูงสุด ของสัตวทั้งหลาย; ทุติยานุสสะติฏฐานัง วันทามิ ตัง สิเรนะหัง, ขาพเจาไหวพระธรรมนั้น อันเปนที่ตั้งแหงความระลึก องคที่สอง ดวยเศียรเกลา;
ธัมมัสสาหัสม๎ ิ ทาโส (หญิงวา ทาสี) วะ ธัมโม เม สามิกสิ สะโร, ขาพเจาเปนทาสของพระธรรม, พระธรรมเปนนาย มีอิสระเหนือขาพเจา; ธัมโม ทุกขัสสะ ฆาตา จะ วิธาตา จะ หิตสั สะ เม, พระธรรมเปนเครือ่ งกําจัดทุกข, และทรงไวซึ่งประโยชนแกขาพเจา; ธัมมัสสาหัง นิยยาเทมิ สะรีรญั ชีวติ ตัญจิทงั , ขาพเจามอบกายถวายชีวติ นี้ แดพระธรรม; วันทันโตหัง (หญิงวา ตีหงั ) จะริสสามิ ธัมมัสเสวะ สุธมั มะตัง, ขาพเจาผูไหวอยูจักประพฤติตาม, ซึ่งความเปนธรรมดีของพระธรรม; นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง ธัมโม เม สะระณัง วะรัง, สรณะอื่นของขาพเจาไมม,ี พระธรรมเปนสรณะอันประเสริฐของขาพเจา; เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ วัฑเฒยยัง สัตถุสาสะเน, ดวยการกลาวคําสัตยนี้, ขาพเจาพึงเจริญในพระศาสนาของพระศาสดา;
ธัมมัง เม วันทะมาเนนะ (หญิงวา มานายะ) ยัง ปุญญัง ปะสุตงั อิธะ, ขาพเจาผูไหวอยูซึ่งพระธรรม, ไดขวนขวายบุญใดในบัดนี;้ สัพเพป อันตะรายา เม มาเหสุง ตัสสะ เตชะสา. อันตรายทั้งปวง อยาไดมีแกขาพเจา ดวยเดชแหงบุญนั้น. (กราบหมอบลงวา)
กาเยนะ วาจายะ วะ เจตตะสา วา,* ดวยกายก็ดี ดวยวาจาก็ดี ดวยใจก็ดี; ธัมเม กุกมั มัง ปะกะตัง มะยา ยัง, กรรมนาติเตียนอันใด ที่ขา พเจากระทําแลว ในพระธรรม; ธัมโม ปะฏิคคัณห๎ ะตุ อัจจะยันตัง, ขอพระธรรม จงงดซึ่งโทษลวงเกินอันนั้น; กาลันตะเร สังวะริตงุ วะ ธัมเม. เพื่อการสํารวมระวัง ในพระธรรม ในกาลตอไป. *
บทขอใหงดโทษนี้ มิไดเปนการขอลางบาป เปนเพียรการเปดเผยตัวเอง และคําวา โทษในทีน่ ี้ มิไดหมายถึงกรรม หมายถึงโทษเพียงเล็กนอยซึ่งเปน “สวนตัว” ระหวางกัน ที่พึงอโหสิกันได การขอขมาชนิดนี้ สําเร็จผลไดในเมือ่ ผูขอตั้งใจทําจริงๆ และเปนเพียงศีลธรรม หรือสิ่งที่ควรประพฤติ.
๕. สังฆานุสสติ
(คําระลึกถึงพระสงฆ)
(หันทะ มะยัง สังฆานุสสะตินะยัง กะโรมะ เส.) (เชิญเถิด เราทั้งหลาย ทําความตามระลึกถึงพระสงฆเถิด.)
สุปะฏิปน โน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจา หมูใด, ปฏิบัติดีแลว; อุชปุ ะฏิปน โน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจา หมูใด, ปฏิบัติตรงแลว; ญายะปะฏิปน โน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจา หมูใด, ปฏิบัติเพือ่ รูธรรม เปนเครือ่ งออกจากทุกขแลว; สามีจปิ ะฏิปน โน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจา หมูใด, ปฏิบัติสมควรแลว; ยะทิทงั , ไดแกบุคคลเหลานี้คือ; จัตตาริ ปุรสิ ะยุคานิ อัฏฐะ ปุรสิ ะปุคคะลา, คูแหงบุรษุ ๔ คู,* นับเรียงตัวบุรษุ ได ๘ บุรุษ; เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, นั่นแหละ สงฆสาวกของพระผูมพี ระภาคเจา;
อาหุเนยโย, เปนสงฆควรแกสกั การะที่เขานํามาบูชา; ปาหุเนยโย, เปนสงฆควรแกสกั การะที่เขาจัดไวตอนรับ; ทักขิเณยโย, เปนผูควรรับทักษิณาทาน; อัญชะลีกะระณีโย, เปนผูที่บคุ คลทั่วไปควรทําอัญชลี; อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ. เปนเนื้อนาบุญของโลก, ไมมีนาบุญอื่นยิ่งกวา, ดังนี้. *
๔ คูคือ โสดาปตติมรรค, โสดาปตติผล, สกทาคามิมรรค, สกทาคามิผล, อนาคามิมรรค, อนาคามิผล, อรหัตตมรรค, อรหัตตผล.
๖. สังฆาภิคีติ
(คําสรรเสริญพระสงฆ)
(หันทะ มะยัง สังฆาภิคตี ิง กะโรมะ เส.) (เชิญเถิด เราทั้งหลาย ทําความขับคาถา พรรณนาเฉพาะพระสงฆเถิด.)
สัทธัมมะโช สุปะฏิปต ติคุณาทิยตุ โต, พระสงฆที่เกิดโดยพระสัทธรรม, ประกอบดวยคุณ มีความปฏิบัติดี เปนตน; โยฏฐัพพิโธ อะริยะปุคคะละสังฆะเสฏโฐ, เปนหมูแหงพระอริยบุคคลอันประเสริฐ ๘ จําพวก; สีลาทิธมั มะปะวะราสะยะกายะจิตโต, มีกายและจิต อันอาศัยธรรมมีศีล เปนตน อันบวร; วันทามะหัง ตะมะริยานะคะณัง สุสทุ ธัง, ขาพเจาไหวหมูแหงพระอริยเจาเหลานั้น อันบริสุทธิด์ วยดี; สังโฆ โย สัพพะปาณีนงั สะระณัง เขมะมุตตะมัง, พระสงฆหมูใด เปนสะระณะอันเกษมสูงสุด ของสัตวทั้งหลาย; ตะติยานุสสะติฏฐานัง วันทามิ ตัง สิเรนะหัง, ขาพเจาไหวพระสงฆหมูนนั้ อันเปนที่ตั้งแหงความระลึก องคที่สาม ดวยเศียรเกลา; สังฆัสสาหัสม๎ ิ ทาโส (หญิงวา ทาสี) วะ สังโฆ เม สามิกสิ สะโร, ขาพเจาเปนทาสของพระสงฆ, พระสงฆเปนนาย มีอิสระเหนือขาพเจา;
สังโฆ ทุกขัสสะ ฆาตา จะ วิธาตา จะ หิตัสสะ เม, พระสงฆเปนเครื่องกําจัดทุกข, และทรงไวซึ่งประโยชนแกขาพเจา; สังฆัสสาหัง นิยยาเทมิ สะรีรญั ชีวติ ัญจิทงั , ขาพเจามอบกายถวายชีวติ นี้ แดพระสงฆ; วันทันโตหัง (หญิงวา ตีหงั ) จะริสสามิ สังฆัสโสปะฏิปน นะตัง, ขาพเจาผูไหวอยูจักประพฤติตาม, ซึ่งความปฏิบัติดขี องพระสงฆ; นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง สังโฆ เม สะระณัง วะรัง, สรณะอื่นของขาพเจาไมม,ี พระสงฆเปนสรณะอันประเสริฐของขาพเจา; เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ วัฑเฒยยัง สัตถุสาสะเน, ดวยการกลาวคําสัตยนี้, ขาพเจาพึงเจริญในพระศาสนาของพระศาสดา; สังฆัง เม วันทะมาเนนะ (หญิงวา มานายะ) ยัง ปุญญัง ปะสุตงั อิธะ, ขาพเจาผูไหวอยูซึ่งพระสงฆ, ไดขวนขวายบุญใดในบัดนี;้ สัพเพป อันตะรายา เม มาเหสุง ตัสสะ เตชะสา. อันตรายทั้งปวง อยาไดมีแกขาพเจา ดวยเดชแหงบุญนั้น.
(กราบหมอบลงวา)
กาเยนะ วาจายะ วะ เจตตะสา วา,* ดวยกายก็ดี ดวยวาจาก็ดี ดวยใจก็ดี; สังเฆ กุกมั มัง ปะกะตัง มะยา ยัง, กรรมนาติเตียนอันใด ที่ขา พเจากระทําแลว ในพระสงฆ; สังโฆ ปะฏิคคัณห๎ ะตุ อัจจะยันตัง, ขอพระสงฆ จงงดซึ่งโทษลวงเกินอันนั้น; กาลันตะเร สังวะริตุง วะ สังเฆ. เพื่อการสํารวมระวัง ในพระสงฆ ในกาลตอไป. *
บทขอใหงดโทษนี้ มิไดเปนการขอลางบาป เปนเพียรการเปดเผยตัวเอง และคําวา โทษในทีน่ ี้ มิไดหมายถึงกรรม หมายถึงโทษเพียงเล็กนอยซึ่งเปน “สวนตัว” ระหวางกัน ที่พึงอโหสิกันได การขอขมาชนิดนี้ สําเร็จผลไดในเมือ่ ผูขอตั้งใจทําจริงๆ และเปนเพียงศีลธรรม หรือสิ่งที่ควรประพฤติ.
(จบคําทําวัตรเย็น)
๑. สรณคมนปาฐะ
(คําระลึกถึงพระรัตนตรัย)
(หันทะ มะยัง ติสะระณะคะมะปาฐัง ภะณามะ เส.) (เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงกลาวคาถาเพื่อระลึกถึงพระรัตนตรัยเถิด.)
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ, ขาพเจาถือเอาพระพุทธเจาเปนสรณะ; ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ, ขาพเจาถือเอาพระธรรมเปนสรณะ; สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ. ขาพเจาถือเอาพระสงฆเปนสรณะ. ทุติยมั ป พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ, แมครั้งทีส่ อง ขาพเจาถือเอาพระพุทธเจาเปนสรณะ; ทุติยมั ป ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ, แมครั้งทีส่ อง ขาพเจาถือเอาพระธรรมเปนสรณะ; ทุติยมั ป สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ. แมครั้งทีส่ อง ขาพเจาถือเอาพระสงฆเปนสรณะ. ตะติยมั ป พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ, แมครั้งทีส่ าม ขาพเจาถือเอาพระพุทธเจาเปนสรณะ; ตะติยมั ป ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ, แมครั้งทีส่ าม ขาพเจาถือเอาพระธรรมเปนสรณะ; ตะติยมั ป สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ. แมครั้งทีส่ าม ขาพเจาถือเอาพระสงฆเปนสรณะ.
๒. อัฏฐสิกขาปทปาฐะ (คําแสดงศีล ๘)
(หันทะ มะยัง อัฏฐะสิกขาปะทะปาฐัง ภะณามะ เส.) (เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงกลาวคําแสดงศีล ๘ เถิด.)
ปาณาติปาตา เวระมะณี, เจตนาเปนเครื่องเวนจากการฆา; อะทินนาทานา เวระมะณี, เจตนาเปนเครื่องเวนจากการถือเอาสิ่งของ ที่เจาของไมไดใหแลว; อะพ๎รหั ม๎ ะจะริยา เวระมะณี, เจตนาเปนเครื่องเวนจากการกระทําอันมิใชพรหมจรรย; มุสาวาทา เวระมะณี, เจตนาเปนเครื่องเวนจากการพูดไมจริง; สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี, เจตนาเปนเครื่องเวนจากการดื่มสุรา และเมรัย, อันเปนทีต่ ั้งของความประมาท; วิกาละโภชะนา เวระมะณี, เจตนาเปนเครื่องเวนจากการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล;
นัจจะ คีตะ วาทิตะ วิสกู ะ ทัสสะนะ มาลาคันธะ วิเลปะนะ ธาระณะ มัณทะนะ วิภสู ะนัฏฐานา เวระมะณี, เจตนาเปนเครื่องเวนจากการฟอนรํา, การขับเพลง การดนตรี, การดูการเลนชนิดเปนขาศึกตอกุศล, การทัดทรงสวมใส การประดับ การตกแตงตน, ดวยพวงมาลา ดวยเครื่องกลิ่น และเครื่องผัดทา; อุจจาสะยะนะ มะหาสะยะนา เวระมะณี. เจตนาเปนเครื่องเวนจากการนั่งนอนบนที่นอนสูง และที่นอนใหญ.
๓. ท๎วัตติงสาการปาฐะ
(คําแสดงอาการ ๓๒ ในรางกาย)
(หันทะ มะยัง ท๎วตั ติงสาการะปาฐัง ภะณามะ เส.) (เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงกลาวคําแสดงอาการ ๓๒ ในรางกายเถิด.)
อัตถิ อิมสั ม๎ งิ กาเย, เกสา, ผมทั้งหลาย; นะขา, เล็บทั้งหลาย; ตะโจ, หนัง; นะหารู, เอ็นทั้งหลาย; อัฏฐิมญิ ชัง, เยื่อในกระดูก; หะทะยัง, หัวใจ; กิโลมะกัง, พังผืด; ปปผาสัง, ปอด; อันตะคุณงั , ลําไสสุด; กะรีสัง, อุจจาระ; เสมหัง, เสลด; โลหิตงั , โลหิต; เมโท, มัน; วะสา, น้ําเหลือง; สิงฆาณิกา, น้ําเมือก; มุตตัง, น้ํามูตร; มัตถะเก มัตถะลุงคัง, อิติ.
ในรางกายนี้ม:ี – โลมา, ขนทั้งหลาย; ทันตา, ฟนทั้งหลาย; มังสัง, เนื้อ; อัฏฐี, กระดูกทัง้ หลาย; ไต; วักกัง, ยะกะนัง, ตับ; ปหะกัง, มาม; อันตัง, ลําไส; อุทะริยงั , อาหารในกระเพาะ; ปตตัง, น้ําดี; ปุพโพ, หนอง; เสโท, เหงื่อ; อัสสุ, น้ําตา; เขโฬ, น้ําลาย; ละสิกา, น้ําลื่นหลอขอ; เยื่อมันสมอง ในกระโหลกศีรษะ; ดังนี้แล.
๔. เขมาเขมสรณทีปกคาถา
(คาถาแสดงสรณะอันเกษมและไมเกษม)
(หันทะ มะยัง เขมาเขมะสะระณะทีปก ะคาถาโย ภะณามะ เส.) (เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงกลาวคาถาแสดงสรณะอันเกษมและไมเกษมเถิด.)
พะหุง เว สะระณัง ยันติ ปพพะตานิ วะนานิ จะ, อารามะรุกขะเจต๎ยานิ มะนุสสา ภะยะตัชชิตา, มนุษยเปนอันมาก เมื่อเกิดมีภัยคุกคามแลว, ก็ถือเอาภูเขาบาง ปาไมบาง, อารามและรุกขเจดียบาง เปนสรณะ; เนตัง โข สะระณัง เขมัง เนตัง สะระณะมุตตะมัง, เนตัง สะระณะมาคัมมะ สัพพะทุกขา ปะมุจจะติ, นั่น มิใชสรณะอันเกษมเลย, นั่น มิใชสรณะอันสูงสุด, เขาอาศัยสรณะนัน่ แลว ยอมไมพน จากทุกขทั้งปวงได; โย จะ พุทธัญจะ ธัมมัญจะ สังฆัญจะ สะระณัง คะโต, จัตตาริ อะริยะสัจจานิ สัมมัปปญญายะ ปสสะติ, สวนผูใดถือเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ เปนสรณะแลว, เห็นอริยสัจจ คือความจริงอันประเสริฐ ๔ ดวยปญญาอันชอบ; ทุกขัง ทุกขะสะมุปปาทัง ทุกขัสสะ จะ อะติกกะมัง, อะริยญั จัฏฐังคิกงั มัคคัง ทุกขูปะสะมะคามินัง, คือเห็นความทุกข, เหตุใหเกิดทุกข, ความกาวลวงทุกขเสียได, และหนทางมีองค ๘ อันประเสริฐ เครื่องถึงความระงับทุกข;
เอตัง โข สะระณัง เขมัง เอตัง สะระณะมุตตะมัง, เอตัง สะระณะมาคัมมะ สัพพะทุกขา ปะมุจจะติ. นั่นแหละ เปนสรณะอันเกษม, นั่น เปนสรณะอันสูงสุด, เขาอาศัยสรณะนัน่ แลว ยอมพนจากทุกขทั้งปวงได.
๕. อริยธนคาถา
(คาถาสรรเสริญพระอริยเจา)
(หันทะ มะยัง อะริยะธะนะคาถาโย ภะณามะ เส.) (เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงกลาวคาถาสรรเสริญพระอริยเจาเถิด.)
ยัสสะ สัทธา ตะถาคะเต อะจะลา สุปะติฏฐิตา, ศรัทธา ในพระตถาคตของผูใด ตัง้ มั่นอยางดี ไมหวั่นไหว; สีลญั จะ ยัสสะ กัล๎ยาณัง อะริยะกันตัง ปะสังสิตงั , และศีลของผูใดงดงาม เปนที่สรรเสริญที่พอใจ ของพระอริยเจา; สังเฆ ปะสาโท ยัสสัตถิ อุชภุ ตู ญั จะ ทัสสะนัง, ความเลือ่ มใสของผูใดมีในพระสงฆ, และความเห็นของผูใดตรง; อะทะฬิทโทติ ตัง อาหุ อะโมฆันตัสสะ ชีวิตงั , บัณฑิตกลาวเรียกเขาผูนั้นวา คนไมจน, ชีวิตของเขาไมเปนหมัน; ตัสม๎ า สัทธัญจะ สีลญั จะ ปะสาทัง ธัมมะทัสสะนัง, อะนุยุญเชถะ เมธาวี สะรัง พุทธานะสาสะนัง. เพราะฉะนั้น เมื่อระลึกได ถึงคําสัง่ สอนของพระพุทธเจาอยู, ผูมีปญญาควรกอสรางศรัทธา ศีล ความเลือ่ มใส และความเห็นธรรมใหเนืองๆ.
๖. ติลักขณาทิคาถา
(คาถาแสดงพระไตรลักษณ)
(หันทะ มะยัง ติลักขะณาทิคาถาโย ภะณามะ เส.) (เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงกลาวคาถาแสดงพระไตรลักษณเปนเบื้องตนเถิด.)
สัพเพ สังขารา อะนิจจาติ ยะทา ปญญายะ ปสสะติ, เมื่อใด บุคคลเห็นดวยปญญาวา สังขารทั้งปวงไมเที่ยง; อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสทุ ธิยา, เมื่อนั้น ยอมเหนื่อยหนายในสิ่งที่เปนทุกข ที่ตนหลง, นั่นแหละ เปนทางแหงพระนิพพาน อันเปนธรรมหมดจด; สัพเพ สังขารา ทุกขาติ ยะทา ปญญายะ ปสสะติ, เมื่อใด บุคคลเห็นดวยปญญาวา สังขารทั้งปวงเปนทุกข; อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสทุ ธิยา, เมื่อนั้น ยอมเหนื่อยหนายในสิ่งที่เปนทุกข ที่ตนหลง, นั้นแหละ เปนทางแหงพระนิพพาน อันเปนธรรมหมดจด; สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปญญายะ ปสสะติ, เมื่อใด บุคคลเห็นดวยปญญาวา ธรรมทั้งปวงเปนอนัตตา; อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสทุ ธิยา, เมื่อนั้น ยอมเหนื่อยหนายในสิ่งที่เปนทุกข ที่ตนหลง, นั่นแหละ เปนทางแหงพระนิพพาน อันเปนธรรมหมดจด; อัปปะกา เต มะนุสเสสุ เย ชะนา ปาระคามิโน, ในหมูมนุษยทั้งหลาย, ผูที่ถึงฝงแหงพระนิพพานมีนอยนัก;
อะถายัง อิตะรา ปะชา ตีระเมวานุธาวะติ, หมูมนุษยนอกนั้น ยอมวิง่ เลาะอยูต ามฝงในนี้เอง; เย จะ โข สัมมะทักขาเต ธัมเม ธัมมานุวตั ติโน, ก็ชนเหลาใด ประพฤติสมควรแกธรรม ในธรรมที่ตรัสไวชอบแลว; เต ชะนา ปาระเมสสันติ มัจจุเธยยัง สุทตุ ตะรัง, ชนเหลานั้น จักถึงฝงแหงพระนิพพาน, ขามพนบวงแหงมัจจุ ที่ขามไดยากนัก; กัณห๎ ัง ธัมมัง วิปปะหายะ สุกกัง ภาเวถะปณฑิโต, จงเปนบัณฑิตละธรรมดําเสีย แลวเจริญธรรมขาว; โอกา อะโนกะมาคัมมะ วิเวเก ยัตถะ ทูระมัง, ตัตร๎ าภิระติมจิ เฉยยะ หิตว๎ า กาเม อะกิญจะโน. จงมาถึงที่ไมมนี ้ํา จากที่มนี ้ํา, จงละกามเสีย, เปนผูไมมคี วามกังวล, จงยินดีเฉพาะตอพระนิพพาน อันเปนที่สงัด ซึ่งสัตวยินดีไดโดยยาก.
๗. ภารสุตตคาถา (คาถาแสดงภารสูตร)
(หันทะ มะยัง ภาระสุตตะคาถาโย ภะณามะ เส.) (เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงกลาวคาถาแสดงภารสูตรเถิด.)
ภารา หะเว ปญจักขันธา, ขันธทั้ง ๕ เปนของหนักเนอ; ภาระหาโร จะ ปุคคะโล, บุคคลแหละ เปนผูแบกของหนักพาไป; ภาราทานัง ทุกขัง โลเก, การแบกถือของหนัก เปนความทุกข ในโลก; ภาระนิกเขปะนัง สุขงั , การสลัดของหนัก ทิ้งลงเสีย เปนความสุข; นิกขิปตว๎ า คะรุง ภารัง, พระอริยเจา สลัดทิ้งของหนัก ลงเสียแลว; อัญญัง ภารัง อะนาทิยะ, ทั้งไมหยิบฉวยเอาของหนักอันอื่น ขึ้นมาอีก; สะมูลัง ตัณห๎ ัง อัพพุย๎หะ, ก็เปนผูถอนตัณหาขึ้นได กระทั่งราก; นิจฉาโต ปะรินพิ พุโต. เปนผูหมดสิ่งปรารถนา ดับสนิทไมมีสวนเหลือ.
๘. ภัทเทกรัตตคาถา
(คาถาแสดงผูมีราตรีเดียวเจริญ)
(หันทะ มะยัง ภัทเทกะรัตตะคาถาโย ภะณามะ เส.) (เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงกลาวคาถาแสดงผูมีราตรีเดียวเจริญเถิด.)
อะตีตงั นาน๎วาคะเมยยะ นัปปะฏิกงั เข อะนาคะตัง, บุคคลไมควรตามคิดถึงสิ่งที่ลวงไปแลว ดวยอาลัย, และไมพงึ พะวงถึงสิ่งที่ยังไมมาถึง; ยะทะตีตมั ปะหีนนั ตัง อัปปตตัญจะ อะนาคะตัง, สิ่งเปนอดีตก็ละไปแลว, สิ่งเปนอนาคตก็ยังไมมา; ปจจุปปนนัญจะ โย ธัมมัง ตัตถะ ตัตถะ วิปส สะติ, อะสังหิรงั อะสังกุปปง ตัง วิทธา มะนุพร๎ ูหะเย, ผูใดเห็นธรรมอันเกิดขึ้นเฉพาะหนาในที่นั่นๆ อยางแจมแจง, ไมงอนแงนคลอนแคลน, เขาควรพอกพูนอาการเชนนั้นไว; อัชเชวะ กิจจะมาตัปปง โก ชัญญา มะระณัง สุเว, ความเพียรเปนกิจที่ตองทําวันนี้, ใครจะรูค วามตาย แมพรุง นี้; นะ หิ โน สังคะรันเตนะ มะหาเสเนนะ มัจจุนา, เพราะการผัดเพี้ยนตอมัจจุราชซึ่งมีเสนามาก ยอมไมมสี ําหรับเรา; เอวังวิหาริมาตาปง อะโหรัตตะมะตันทิตัง, ตัง เว ภัทเทกะรัตโตติ สันโต อาจิกขะเต มุน.ิ มุนีผูสงบ ยอมกลาวเรียก ผูมีความเพียรอยูเชนนั้น, ไมเกียจครานทั้งกลางวันกลางคืนวา, “ผูเปนอยูแมเพียงราตรีเดียว ก็นาชม”.
๙. ธัมมคารวาทิคาถา
(คาถาแสดงความเคารพพระธรรม)
(หันทะ มะยัง ธัมมะคาระวาทิคาถาโย ภะณามะ เส.) (เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงกลาวคาถาแสดงความเคารพพระธรรมเถิด.)
เย จะ อะตีตา สัมพุทธา เย จะ พุทธา อะนาคะตา, โย เจตะระหิ สัมพุทโธ พะหุนนัง โสกะนาสะโน, พระพุทธเจาบรรดาที่ลวงไปแลวดวย, ที่ยังไมมาตรัสรูดวย, และพระพุทธเจาผูขจัดโศกของมหาชนในกาลบัดนีด้ วย; สัพเพ สัทธัมมะคะรุโน วิหะริงสุ วิหาติ จะ, เอสา พุทธานะธัมมะตา, อะถาป วิหะริสสันติ พระพุทธเจาทั้งปวงนั้น ทุกพระองค เคารพพระธรรม, ไดเปนมาแลวดวย, กําลังเปนอยูด วย, และจักเปนดวย, เพราะธรรมดาของพระพุทธเจาทั้งหลาย เปนเชนนัน้ เอง; ตัสม๎ า หิ อัตตะกาเมนะ มะหัตตะมะภิกงั ขะตา, สัทธัมโม คะรุกาตัพโพ สะรัง พุทธานะสาสะนัง, เพราะฉะนั้น บุคคลผูรักตน หวังอยูเ ฉพาะคุณเบื้องสูง, เมื่อระลึกไดถึงคําสั่งสอนของพระพุทธเจาอยู, จงทําความเคารพพระธรรม; นะ หิ ธัมโม อะธัมโม จะ อุโภ สะมะวิปากิโน, ธรรมและอธรรม จะมีผลเหมือนกันทั้งสองอยาง หามิได; อะธัมโม นิระยัง เนติ ธัมโม ปาเปติ สุคะติง, อธรรม ยอมนําไปนรก, ธรรม ยอมนําใหถึงสุคติ;
ธัมโม หะเว รักขะติ ธัมมะจาริง, ธรรมแหละ ยอมรักษาผูป ระพฤติธรรมเปนนิจ; ธัมโม สุจิณโณ สุขะมาวะหาติ, ธรรมทีป่ ระพฤติดแี ลว ยอมนําสุขมาใหตน; เอสานิสงั โส ธัมเม สุจณิ เณ. นี่เปนอานิสงส ในธรรมทีต่ นประพฤติดีแลว.
๑๐. โอวาทปาฏิโมกขคาถา (คาถาแสดงพระโอวาทปาติโมกข)
(หันทะ มะยัง โอวาทะปาติโมกขะคาถาโย ภะณามะ เส.) (เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงกลาวคาถาแสดงพระโอวาทปาติโมกขเถิด.)
สัพพะปาปสสะ อะกะระณัง, การไมทาํ บาปทั้งปวง; กุสะลัสสูปะสัมปะทา, การทํากุศลใหถึงพรอม; สะจิตตะปะริโยทะปะนัง, การชําระจิตของตนใหขาวรอบ; เอตัง พุทธานะสาสะนัง. ธรรม ๓ อยางนี้ เปนคําสั่งสอนของพระพุทธเจาทัง้ หลาย. ขันตี ปะระมัง ตะโป ตีตกิ ขา, ขันติ คือความอดกลั้น เปนธรรมเครื่องเผากิเลสอยางยิ่ง; นิพพานัง ปะระมัง วะทันติ พุทธา, ผูรูทั้งหลาย กลาวพระนิพพานวาเปนธรรมอันยิ่ง; นะ หิ ปพพะชิโต ปะรูปะฆาตี, ผูกําจัดสัตวอื่นอยู ไมชื่อวาเปนบรรพชิตเลย; สะมะโณ โหติ ปะรัง วิเหฐะยันโต. ผูทําสัตวอื่นใหลําบากอยู ไมชื่อวาเปนสมณะเลย.
อะนูปะวาโท อะนูปะฆาโต, ปาติโมกเข จะ สังวะโร, มัตตัญุตา จะ ภัตตัสม๎ งิ , ปนตัญจะ สะยะนาสะนัง, อะธิจิตเต จะ อาโยโค,
การไมพดู ราย, การไมทาํ ราย; การสํารวมในปาติโมกข; ความเปนผูรูประมาณในการบริโภค; การนอน การนั่ง ในที่อนั สงัด; ความหมัน่ ประกอบในการทําจิต ใหยิ่ง;
เอตัง พุทธานะสาสะนัง. ธรรม ๖ อยางนี้ เปนคําสั่งสอนของพระพุทธเจาทัง้ หลาย.
๑๑. ปฐมพุทธภาสิตคาถา
(คาถาพุทธภาษิตครัง้ แรกของพระพุทธเจา)
(หันทะ มะยัง ปะฐะมะพุทธะภาสิตะคาถาโย ภะณามะ เส.) (เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงกลาวคาถาพุทธภาษิตครั้งแรกของพระพุทธเจาเถิด.)
อะเนกะชาติสงั สารัง สันธาวิสสัง อะนิพพิสงั , เมื่อเรายังไมพบญาณ, ไดแลนทองเที่ยวไปในสงสารเปนอเนกชาติ; คะหะการัง คะเวสันโต ทุกขา ชาติ ปุนปั ปุนัง, แสวงหาอยูซึ่งนายชางปลูกเรือน, คือตัณหาผูสรางภพ, การเกิดทุกคราว เปนทุกขรา่ํ ไป; คะหะการะกะ ทิฏโฐสิ ปุนะ เคหัง นะ กาหะสิ, นี่แนะ นายชางปลูกเรือน, เรารูจักเจาเสียแลว, เจาจะทําเรือนใหเราไมไดอีกตอไป; สัพพา เต ผาสุกา ภัคคา คะหะกูฏงั วิสงั ขะตัง, โครงเรือนทั้งหมดของเจาเราหักเสียแลว, ยอดเรือนเราก็รื้อเสียแลว; วิสังขาระคะตัง จิตตัง ตัณหานัง ขะยะมัชฌะคา. จิตของเราถึงแลวซึ่งสภาพที่อะไรปรุงแตงไมไดอกี ตอไป, มันไดถึงแลวซึ่งความสิ้นไปแหงตัณหา, คือถึงนิพพาน.
๑๒. ธาตุปจจเวกขณปาฐะ
(คําพิจารณาปจจัย ๔ ใหเห็นเปนของไมงาม)
(หันทะ มะยัง ธาตุปจ จะเวกขะณะปาฐัง ภะณามะ เส.) (เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงกลาวคําพิจารณาปจจัย ๔ ใหเห็นเปนของไมงามเถิด.)
(พิจารณาจีวร)
ยะถาปจจะยัง ปะวัตตะมานัง ธาตุมัตตะเมเวตัง, สิ่งเหลานี้ นี่เปนสักวาธาตุตามธรรมชาติเทานั้น, กําลังเปนไปตามเหตุตามปจจัยอยูเ นืองนิจ; ยะทิทงั จีวะรัง, ตะทุปะภุญชะโก จะ ปุคคะโล, สิ่งเหลานี้ คือ จีวร, และคนผูใชสอยจีวรนัน้ ; ธาตุมตั ตะโก, เปนสักวาธาตุตามธรรมชาติ; นิสสัตโต, มิไดเปนสัตวะอันยั่งยืน; นิชชีโว, มิไดเปนชีวะอันเปนบุรุษบุคคล; สุญโญ, วางเปลาจากความหมายแหงความเปนตัวตน; สัพพานิ ปะนะ อิมานิ จีวะรานิ อะชิคจุ ฉะนียานิ, ก็จีวรทัง้ หมดนี้, ไมเปนของนาเกลียดมาแตเดิม; อิมงั ปูตกิ ายัง ปต๎วา, ครั้นมาถูกเขากับกายอันเนาอยูเปนนิจนี้แลว; อะติวยิ ะ ชิคจุ ฉะนียานิ ชายันติ. ยอมกลายเปนของนาเกลียดอยางยิ่งไปดวยกัน.
(พิจารณาอาหาร)
ยะถาปจจะยัง ปะวัตตะมานัง ธาตุมัตตะเมเวตัง, สิ่งเหลานี้ นี่เปนสักวาธาตุตามธรรมชาติเทานั้น, กําลังเปนไปตามเหตุตามปจจัยอยูเ นืองนิจ; ยะทิทงั ปณฑะปาโต, ตะทุปะภุญชะโก จะ ปุคคะโล, สิ่งเหลานี้ คือ บิณฑบาต, และคนผูบริโภคบิณฑบาตนั้น; ธาตุมตั ตะโก, เปนสักวาธาตุตามธรรมชาติ; มิไดเปนสัตวะอันยั่งยืน; นิสสัตโต, นิชชีโว, มิไดเปนชีวะอันเปนบุรุษบุคคล; สุญโญ, วางเปลาจากความหมายแหงความเปนตัวตน; สัพโพ ปะนายัง ปณฑะปาโต อะชิคจุ ฉะนีโย, ก็บิณฑบาตทั้งหมดนี้, ไมเปนของนาเกลียดมาแตเดิม; อิมงั ปูตกิ ายัง ปต๎วา, ครั้นมาถูกเขากับกายอันเนาอยูเปนนิจนี้แลว; อะติวยิ ะ ชิคจุ ฉะนีโย ชายะติ. ยอมกลายเปนของนาเกลียดอยางยิ่งไปดวยกัน.
(พิจารณาทีอ่ ยูอ าศัย)
ยะถาปจจะยัง ปะวัตตะมานัง ธาตุมัตตะเมเวตัง, สิ่งเหลานี้ นี่เปนสักวาธาตุตามธรรมชาติเทานั้น, กําลังเปนไปตามเหตุตามปจจัยอยูเ นืองนิจ; ยะทิทงั เสนาสะนัง, ตะทุปะภุญชะโก จะ ปุคคะโล, สิ่งเหลานี้ คือ เสนาสนะ, และคนผูใชสอยเสนาสนะนั้น; ธาตุมตั ตะโก, เปนสักวาธาตุตามธรรมชาติ; มิไดเปนสัตวะอันยั่งยืน; นิสสัตโต, นิชชีโว, มิไดเปนชีวะอันเปนบุรุษบุคคล; สุญโญ, วางเปลาจากความหมายแหงความเปนตัวตน; สัพพานิ ปะนะ อิมานิ เสนาสะนานิ อะชิคจุ ฉะนียานิ, ก็เสนาสนะทั้งหมดนี้, ไมเปนของนาเกลียดมาแตเดิม; อิมงั ปูตกิ ายัง ปต๎วา, ครั้นมาถูกเขากับกายอันเนาอยูเปนนิจนี้แลว; อะติวยิ ะ ชิคจุ ฉะนียานิ ชายันติ. ยอมกลายเปนของนาเกลียดอยางยิ่งไปดวยกัน.
(พิจารณายารักษาโรค)
ยะถาปจจะยัง ปะวัตตะมานัง ธาตุมัตตะเมเวตัง, สิ่งเหลานี้ นี่เปนสักวาธาตุตามธรรมชาติเทานั้น, กําลังเปนไปตามเหตุตามปจจัยอยูเ นืองนิจ; ยะทิทงั คิลานะปจจะยะเภสัชชะปะริกขาโร, ตะทุปะภุญชะโก จะ ปุคคะโล, สิ่งเหลานี้ คือ เภสัชบริขารอันเกือ้ กูลแกคนไข, และคนผูบริโภคเภสัชบริขารนั้น; ธาตุมตั ตะโก, เปนสักวาธาตุตามธรรมชาติ; นิสสัตโต, มิไดเปนสัตวะอันยั่งยืน; นิชชีโว, มิไดเปนชีวะอันเปนบุรุษบุคคล; สุญโญ, วางเปลาจากความหมายแหงความเปนตัวตน; สัพโพ ปะนายัง คิลานะปจจะยะเภสัชชะปะริกขาโร อะชิคจุ ฉะนีโย, ก็คิลานเภสัชบริขารทั้งหมดนี้, ไมเปนของนาเกลียดมาแตเดิม; อิมงั ปูตกิ ายัง ปต๎วา, ครั้นมาถูกเขากับกายอันเนาอยูเปนนิจนี้แลว; อะติวยิ ะ ชิคจุ ฉะนีโย ชายะติ. ยอมกลายเปนของนาเกลียดอยางยิ่งไปดวยกัน.
๑๓. ปจฉิมพุทโธวาทปาฐะ
(คําแสดงพระโอวาทครั้งสุดทายของพระพุทธเจา)
(หันทะ มะยัง ปจฉิมะพุทโธวาทะปาฐัง ภะณามะ เส.) (เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงกลาวคําแสดงพระโอวาทครั้งสุดทายของพระพุทธเจาเถิด.)
หันทะทานิ ภิกขะเว อามันตะยามิ โว, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, บัดนี,้ เราขอเตือนทานทั้งหลายวา; วะยะธัมมา สังขารา, สังขารทัง้ หลาย มีความเสื่อมไปเปนธรรมดา; อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ, ทานทั้งหลาย, จงทําความไมประมาทใหถงึ พรอมเถิด; อะยัง ตะถาคะตัสสะ ปจฉิมา วาจา. นี้เปนพระวาจามีในครั้งสุดทาย ของพระตถาคตเจา.
๑๔. บทพิจารณาสังขาร (คาถาพิจารณาธรรมสังเวช)
(หันทะ มะยัง ธัมมะสังเวคะปจจะเวกขะณะปาฐัง ภะณามะ เส.) (เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงกลาวคาถาพิจารณาธรรมสังเวชเถิด.)
สัพเพ สังขารา อะนิจจา, สังขาร คือรางกาย จิตใจ, แลรูปธรรม นามธรรม ทั้งหมดทั้งสิน้ , มันไมเทีย่ ง, เกิดขึ้นแลวดับไป, มีแลวหายไป; สัพเพ สังขารา ทุกขา, สังขาร คือรางกาย จิตใจ, แลรูปธรรม นามธรรม ทั้งหมดทัง้ สิ้น, มันเปนทุกข ทนยาก, เพราะเกิดขึ้นแลว แก เจ็บ ตายไป; สัพเพ ธัมมา อะนัตตา, สิ่งทั้งหลายทั้งปวง, ทั้งที่เปนสังขาร แลมิใชสงั ขาร ทัง้ หมดทั้งสิ้น, ไมใชตัวไมใชตน, ไมควรถือวาเรา วาของเรา วาตัว วาตนของเรา; อะธุวัง ชีวิตงั , ชีวิตเปนของไมยั่งยืน; ธุวงั มะระณัง, ความตายเปนของยั่งยืน; อะวัสสัง มะยา มะริตพั พัง, อันเราจะพึงตายเปนแท; มะระณะปะริโยสานัง เม ชีวิตงั , ชีวิตของเรามีความตาย เปนที่สุดรอบ;
ชีวิตงั เม อะนิยะตัง, มะระณัง เม นิยะตัง,
ชีวิตของเราเปนของไมเทีย่ ง; ความตายของเราเปนของเที่ยง;
วะตะ, อะยัง กาโย, อะจิรงั , อะเปตะวิญญาโณ, ฉุฑโฑ, อะธิเสสสะติ, ปะฐะวิง, กะลิงคะรัง อิวะ, นิรัตถัง.
ควรที่จะสังเวช; รางกายนี้; มิไดตั้งอยูนาน; ครั้นปราศจากวิญญาณ; อันเขาทิ้งเสียแลว; จักนอนทับ; ซึ่งแผนดิน; ประดุจดังวาทอนไมและทอนฟน; หาประโยชนมิได.
๑๕. สัพพปตติทานคาถา
(คาถาแผสว นบุญใหแกสรรพสัตวทงั้ หลาย)
(หันทะ มะยัง สัพพะปตติทานะคาถาโย ภะณามะ เส.) (เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงกลาวคาถาแผสวนบุญใหแกสรรพสัตวทั้งหลายเถิด.)
ปุญญัสสิทานิ กะตัสสะ ยานัญญานิ กะตานิ เม, เตสัญจะ ภาคิโน โหนตุ สัตตานันตาปปะมาณะกา, สัตวทั้งหลาย ไมมีที่สุด ไมมปี ระมาณ, จงมีสวนแหงบุญทีข่ าพเจา ไดทําในบัดนี้, และแหงบุญอื่นทีไ่ ดทําไวกอนแลว; เย ปยา คุณะวันตา จะ มัย๎หงั มาตาปตาทะโย, ทิฏฐา เม จาปยะทิฏฐา วา อัญเญ มัชฌัตตะเวริโน, คือจะเปนสัตวเหลาใด, ซึ่งเปนทีร่ ักใครและมีบญุ คุณ เชน มารดา บิดา ของขาพเจาเปนตน ก็ดี, ที่ขาพเจาเห็นแลว หรือไมไดเห็น ก็ดี, สัตวเหลาอื่นที่เปนกลางๆ หรือเปนคูเวรกัน ก็ด;ี สัตตา ติฏฐันติ โลกัสม๎ งิ เต ภุมมา จะตุโยนิกา, ปญเจกะจะตุโวการา สังสะรันตา ภะวาภะเว, สัตวทั้งหลาย ตั้งอยูในโลก, อยูในภูมทิ ั้ง ๓, อยูในกําเนิดทั้ง ๔, มีขันธ ๕ ขันธ มีขันธขนั ธเดียว มีขันธ ๔ ขันธ, กําลังทองเที่ยวอยูใ นภพนอยภพใหญ ก็ด;ี
ญาตัง เย ปตติทานัมเม อะนุโมทันตุ เต สะยัง, เย จิมงั นัปปะชานันติ เทวา เตสัง นิเวทะยุง, สัตวเหลาใด รูสว นบุญที่ขา พเจาแผใหแลว, สัตวเหลานั้น จงอนุโมทนาเองเถิด, สวนสัตวเหลาใด ยังไมรสู วนบุญนี้, ขอเทวดาทั้งหลาย จงบอกสัตวเหลานั้น ใหรู; มะยา ทินนานะ ปุญญานัง อะนุโมทะนะเหตุนา, สัพเพ สัตตา สะทา โหนตุ อะเวรา สุขะชีวิโน, เขมัปปะทัญจะ ปปโปนตุ เตสาสา สิชฌะตัง สุภา. เพราะเหตุที่ไดอนุโมทนาสวนบุญที่ขา พเจาแผใหแลว, สัตวทั้งหลายทั้งปวง, จงเปนผูไมมเี วร อยูเปนสุขทุกเมื่อ, จงถึงบทอันเกษม กลาวคือพระนิพพาน, ความปรารถนาทีด่ ีงามของสัตวเหลานั้น จงสําเร็จเถิด.
๑๖. ปฏฐนฐปนคาถา
(คาถาวาดวยการตัง้ ความปรารถนา)
(หันทะ มะยัง ปฏฐะนะฐะปะนะคาถาโย ภะณามะ เส.) (เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงกลาวคาถาวาดวยการตั้งความปรารถนากันเถิด.)
ยันทานิ เม กะตัง ปุญญัง เตนาเนนุททิเสนะ จะ, ขิปปง สัจฉิกะเรยยาหัง ธัมเม โลกุตตะเร นะวะ, บุญใดที่ขา พเจาไดทําในบัดนี้, เพราะบุญนั้น และการอุทิศแผสวนบุญนั้น, ขอใหขาพเจาทําใหแจงโลกุตตธรรม ๙ ในทันที; สะเจ ตาวะ อะภัพโพหัง สังสาเร ปะนะ สังสะรัง, ถาขาพเจาเปนผูอ าภัพอยู, ยังตองทองเที่ยวไปในวัฏฏสงสาร; นิยะโต โพธิสตั โต วะ สัมพุทเธนะ วิยากะโต, นาฏฐาระสะป อาภัพพะฐานานิ ปาปุเณยยะหัง, ขอใหขาพเจาเปนเหมือนโพธิสัตวผเู ที่ยงแท, ไดรับพยากรณแตพระพุทธเจาแลว, ไมถึงฐานะแหงความอาภัพ ๑๘ อยาง; ปญจะเวรานิ วัชเชยยัง ระเมยยัง สีละรักขะเน, ปญจะกาเม อะลัคโคหัง วัชเชยยัง กามะปงกะโต, ขาพเจาพึงเวนจากเวรทัง้ ๕, พึงยินดีในการรักษาศีล, ไมเกาะเกี่ยวในกามคุณทั้ง ๕, พึงเวนจากเปอกตมกลาวคือ กาม;
ทุททิฏฐิยา นะ ยุชเชยยัง สังยุชเชยยัง สุทฏิ ฐิยา, ปาเป มิตเต นะ เสเวยยัง เสเวยยัง ปณฑิเต สะทา, ขอใหขาพเจาไมพึงประกอบดวยทิฏฐิชั่ว, พึงประกอบดวยทิฏฐิที่ดีงาม, ไมพึงคบมิตรชัว่ , พึงคบแตบัณฑิตทุกเมื่อ; สัทธาสะติหิโรตตัปปาตาปกขันติคุณากะโร, อัปปะสัยโ๎ ห วะ สัตตูหิ เหยยัง อะมันทะมุย๎หะโก, ขอใหขาพเจาเปนบอที่เกิดแหงคุณ, คือ ศรัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ ความเพียร และขันติ, พึงเปนผูท ี่ศัตรูครอบงําไมได, ไมเปนคนเขลา คนหลงงมงาย; สัพพายาปายุปาเยสุ เฉโก ธัมมัตถะโกวิโท, เญยเย วัตตัต๎วะสัชชัง เม ญาณัง อะเฆวะ มาลุโต, ขอใหขาพเจาเปนผูฉลาดในอุบาย, แหงความเสื่อมและความเจริญ, เปนผูเฉียบแหลมในอรรถและธรรม, ขอใหญาณของขาพเจาเปนไป ไมของขัดในธรรมที่ควรรู, ดุจลมพัดไปในอากาศ ฉะนั้น; ยา กาจิ กุสะลา ม๎ยาสา สุเขนะ สิชฌะตัง สะทา, เอวัง วุตตา คุณา สัพเพ โหนตุ มัย๎หงั ภะเว ภะเว, ความปรารถนาใดๆ ของขาพเจาที่เปนกุศล, ขอใหสําเร็จโดยงายทุกเมือ่ , คุณที่ขาพเจากลาวมาแลวทั้งปวงนี,้ จงมีแกขาพเจาทุกๆ ภพ;
ยะทา อุปปชชะติ โลเก สัมพุทโธ โมกขะเทสะโก, ตะทา มุตโต กุกมั เมหิ ลัทโธกาโส ภะเวยยะหัง, เมื่อใด พระสัมมาสัมพุทธเจา ผูแสดงธรรมเครื่องพนทุกข, เกิดขึ้นแลวในโลก, เมื่อนั้น, ขอใหขาพเจาพนจากกรรมอันชั่วชาทั้งหลาย, เปนผูไดโอกาสแหงการบรรลุธรรม; มะนุสสัตตัญจะ ลิงคัญจะ ปพพัชชัญจุปะสัมปะทัง, ละภิตว๎ า เปสะโล สีลี ธาเรยยัง สัตถุสาสะนัง, ขอใหขาพเจาพึงไดความเปนมนุษย, ไดเพศบริสุทธิ,์ ไดบรรพชา อุปสมบทแลว, เปนคนรักศีล มีศีล, ทรงไวซงึ่ พระศาสนาของพระศาสดา; สุขาปะฏิปะโท ขิปปาภิญโญ สัจฉิกะเรยยะหัง, อะระหัตตัปผะลัง อัคคัง วิชชาทิคณุ ะลังกะตัง, ขอใหเปนผูมีการปฏิบัติโดยสะดวก, ตรัสรูไดพลัน, กระทําใหแจงซึ่งอรหันตผลอันเลิศ, อันประดับดวยธรรม มีวิชชา เปนตน; ยะทิ นุปปชชะติ พุทโธ กัมมัง ปะริปรู ญั จะ เม, เอวัง สันเต ละเภยยาหัง ปจเจกะโพธิมตุ ตะมัน ติ. ถาหากพระพุทธเจาไมบังเกิดขึ้น, แตกุศลกรรมของขาพเจาเต็มเปยมแลว, เมือ่ เปนเชนนั้น, ขอใหขาพเจาพึงไดญาณ เปนเครือ่ งรูเฉพาะตน อันสูงสุดเทอญ.
๑๗. อริยอัฏฐังคิกมัคคปาฐะ (คําแสดงอริยมรรคมีองค ๘)
(หันทะ มะยัง อะริยัฏฐังคิกะมัคคะปาฐัง ภะณามะ เส.) (เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงกลาวคําแสดงอริยมรรคมีองค ๘ เถิด.)
อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค, หนทางนีแ้ ล, เปนหนทางอันประเสริฐ, ซึ่งประกอบดวยองค ๘; เสยยะถีทงั , ไดแกสิ่งเหลานี้ คือ:– (๑) สัมมาทิฏฐิ, ความเห็นชอบ; (๒) สัมมาสังกัปโป, ความดําริชอบ; (๓) สัมมาวาจา, การพูดจาชอบ; (๔) สัมมากัมมันโต, การทําการงานชอบ; (๕) สัมมาอาชีโว, การเลี้ยงชีวิตชอบ; (๖) สัมมาวายาโม, ความพากเพียรชอบ; (๗) สัมมาสะติ, ความระลึกชอบ; (๘) สัมมาสะมาธิ. ความตั้งใจมั่นชอบ. (องคมรรคที่ ๑)
กะตะมา จะ ภิกขะเว สัมมาทิฏฐิ, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, ความเห็นชอบ เปนอยางไรเลา?; ยัง โข ภิกขะเว ทุกเข ญาณัง, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, ความรูอันใด เปนความรูในทุกข; ทุกขะสะมุทะเย ญาณัง, เปนความรูในเหตุใหเกิดทุกข;
ทุกขะนิโรเธ ญาณัง, เปนความรูในความดับแหงทุกข; ทุกขะนิโรธะคามินิยา ปะฏิปะทายะ ญาณัง, เปนความรูในทางดําเนินใหถึง ความดับแหงทุกข; อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาทิฏฐิ. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, อันนี้เรากลาววา ความเห็นชอบ. (องคมรรคที่ ๒)
กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมาสังกัปโป, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, ความดําริชอบ เปนอยางไรเลา?; เนกขัมมะสังกัปโป, ความดําริในการออกจากกาม; อะพ๎ยาปาทะสังกัปโป, ความดําริในการไมมุงราย; อะวิหงิ สาสังกัปโป, ความดําริในการไมเบียดเบียน; อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาสังกัปโป. ดูกอ นภิกษุทั้งหลาย, อันนี้เรากลาววา ความดําริชอบ. (องคมรรคที่ ๓)
กะตะมา จะ ภิกขะเว สัมมาวาจา, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, การพูดจาชอบ เปนอยางไรเลา?; มุสาวาทา เวระมะณี, เจตนาเปนเครื่องเวนจากการพูดไมจริง;
ปสณุ ายะ วาจายะ เวระมะณี, เจตนาเปนเครื่องเวนจากการพูดสอเสียด; ผะรุสายะ วาจายะ เวระมะณี, เจตนาเปนเครื่องเวนจากการพูดหยาบ; สัมผัปปะลาปา เวระมะณี, เจตนาเปนเครื่องเวนจากการพูดเพอเจอ; อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาวาจา. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, อันนี้เรากลาววา การพูดจาชอบ. (องคมรรคที่ ๔)
กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมากัมมันโต, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, การทําการงานชอบ เปนอยางไรเลา?; ปาณาติปาตา เวระมะณี, เจตนาเปนเครื่องเวนจากการฆา; อะทินนาทานา เวระมะณี, เจตนาเปนเครื่องเวนจากการถือเอาสิ่งของ ที่เจาของไมไดใหแลว; กาเมสุ มิจฉาจารา เวระมะณี, เจตนาเปนเครื่องเวนจากการประพฤติผิดในกามทัง้ หลาย; อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมากัมมันโต. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, อันนี้เรากลาววา การทําการงานชอบ.
(องคมรรคที่ ๕)
กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมาอาชีโว, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, การเลี้ยงชีวิตชอบ เปนอยางไรเลา?; อิธะ ภิกขะเว อะริยะสาวะโก, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, สาวกของพระอริยเจาในธรรมวินัยนี้; มิจฉาอาชีวัง ปะหายะ, ละการเลีย้ งชีวิตทีผ่ ิดเสีย; สัมมาอาชีเวนะ ชีวิกงั กัปเปติ, ยอมสําเร็จความเปนอยูดวยการเลี้ยงชีวิตทีช่ อบ; อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาอาชีโว. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, อันนี้เรากลาววา การเลี้ยงชีวิตชอบ. (องคมรรคที่ ๖)
กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมาวายาโม, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, ความพากเพียรชอบ เปนอยางไรเลา?; อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, ภิกษุในธรรมวินัยนี้; อนุปปนนานัง ปาปะกานัง อะกุสะลานัง ธัมมานัง อะนุปปาทายะ, ฉันทัง ชะเนติ, วายะมะติ, วิริยงั อาระภะติ, จิตตัง ปคคัณ๎หาติ ปะทะหะติ,
ยอมทําความพอใจใหเกิดขึ้น, ยอมพยายาม, ปรารภความเพียร, ประคองตั้งจิตไว, เพื่อจะยังอกุศลธรรม อันเปนบาปทีย่ ังไมเกิด ไมใหเกิดขึ้น; อุปปนนานัง ปาปะกานัง อะกุสะลานัง ธัมมานัง ปะหานายะ, ฉันทัง ชะเนติ, วายะมะติ, วิริยงั อาระภะติ, จิตตัง ปคคัณ๎หาติ ปะทะหะติ, ยอมทําความพอใจใหเกิดขึ้น, ยอมพยายาม, ปรารภความเพียร, ประคองตั้งจิตไว, เพื่อจะละอกุศลธรรม อันเปนบาปทีเ่ กิดขึ้นแลว; อะนุปปนนานัง กุสะลานัง ธัมมานัง อุปปาทายะ, ฉันทัง ชะเนติ, วายะมะติ, วิริยงั อาระภะติ, จิตตัง ปคคัณ๎หาติ ปะทะหะติ, ยอมทําความพอใจใหเกิดขึ้น, ยอมพยายาม, ปรารภความเพียร, ประคองตั้งจิตไว, เพื่อจะยังกุศลธรรมที่ยังไมเกิด ใหเกิดขึ้น; อุปปนนานัง กุสะลานัง ธัมมานัง ฐิตยิ า, อะสัมโมสายะ, ภิยโยภาวายะ, เวปุลลายะ, ภาวะนายะ, ปาริปรู ยิ า, ฉันทัง ชะเนติ, วายะมะติ, วิริยงั อาระภะติ, จิตตัง ปคคัณ๎หาติ ปะทะหะติ,
ยอมทําความพอใจใหเกิดขึ้น, ยอมพยายาม, ปรารภความเพียร, ประคองตั้งจิตไว, เพื่อความตั้งอยู, ความไมเลอะเลือน, ความงอกงามยิ่งขึ้น, ความไพบูลย, ความเจริญ, ความเต็มรอบ, แหงกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแลว; อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาวายาโม. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, อันนี้เรากลาววา ความพากเพียรชอบ. (องคมรรคที่ ๗)
กะตะมา จะ ภิกขะเว สัมมาสะติ, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, ความระลึกชอบ เปนอยางไรเลา?; อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, ภิกษุในธรรมวินัยนี้; กาเย กายานุปสสี วิหะระติ, ยอมเปนผูพิจารณาเห็นกายในกาย อยูเปนประจํา; อาตาป สัมปะชาโน สะติมา, วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง, มีความเพียรเครื่องเผากิเลส, มีสัมปชัญญะ มีสติ, ถอนความพอใจและความไมพอใจในโลกออกเสียได;
เวทะนาสุ เวทะนานุปส สี วิหะระติ, ยอมเปนผูพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย อยูเ ปนประจํา; อาตาป สัมปะชาโน สะติมา, วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง, มีความเพียรเครื่องเผากิเลส, มีสัมปชัญญะ มีสติ, ถอนความพอใจและความไมพอใจในโลกออกเสียได; จิตเต จิตตานุปส สี วิหะระติ, ยอมเปนผูพิจารณาเห็นจิตในจิต อยูเปนประจํา; อาตาป สัมปะชาโน สะติมา, วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง, มีความเพียรเครื่องเผากิเลส, มีสัมปชัญญะ มีสติ, ถอนความพอใจและความไมพอใจในโลกออกเสียได; ธัมเมสุ ธัมมานุปส สี วิหะระติ, ยอมเปนผูพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย อยูเปนประจํา; อาตาป สัมปะชาโน สะติมา, วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง, มีความเพียรเครื่องเผากิเลส, มีสัมปชัญญะ มีสติ, ถอนความพอใจและความไมพอใจในโลกออกเสียได; อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาสะติ. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, อันนี้เรากลาววา ความระลึกชอบ.
(องคมรรคที่ ๘)
กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมาสะมาธิ, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, ความตั้งใจมัน่ ชอบ เปนอยางไรเลา?; อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, ภิกษุในธรรมวินัยนี้; วิวจิ เจวะ กาเมหิ, สงัดแลวจากกามทั้งหลาย; วิวจิ จะ อะกุสะเลหิ ธัมเมหิ, สงัดแลวจากธรรมที่เปนอกุศล ทั้งหลาย; สะวิตกั กัง สะวิจารัง, วิเวกะชัง ปติสขุ ัง ปะฐะมัง ฌานัง อุปะสัมปชชะ วิหะระติ, เขาถึงปฐมฌาน, ประกอบดวย วิตก วิจาร, มีปติและสุข อันเกิดจากวิเวก แลวแลอยู; วิตกั กะวิจารานัง วูปะสะมา, เพราะความที่ วิตก วิจาร ทั้ง ๒ ระงับลง; อัชฌัตตัง สัมปะสาทะนัง เจตะโส, เอโกทิภาวัง, อะวิตกั กัง อะวิจารัง, สะมาธิชงั ปติสขุ ัง ทุติยงั ฌานัง อุปะสัมปชชะ วิหะระติ, เขาถึงทุตยิ ฌาน, เปนเครื่องผองใสแหงใจในภายใน, ใหสมาธิเปนธรรมอันเอกผุดมีขึ้น, ไมมีวิตก ไมมีวจิ าร, มีแตปตแิ ละสุข อันเกิดจากสมาธิ แลวแลอยู;
ปติยา จะ วิราคา,
อนึ่ง เพราะความจางคลายไป แหงปต;ิ อุเปกขะโก จะ วิหะระติ, สะโต จะ สัมปะชาโน, ยอมเปนผูอยูอุเบกขา, มีสติและสัมปชัญญะ; สุขญั จะ กาเยนะ ปะฏิสงั เวเทติ, และยอมเสวยความสุขดวยนามกาย; ยันตัง อะริยา อาจิกขันติ, อุเปกขะโก สะติมา สุขะวิหารีต,ิ ชนิดที่พระอริยเจาทั้งหลาย, ยอมกลาวสรรเสริญผูนั้นวา, “เปนผูอยูอุเบกขา มีสติอยูเปนปรกติสุข”, ดังนี้; ตะติยัง ฌานัง อุปะสัมปชชะ วิหะระติ, เขาถึงตติยฌาน แลวแลอยู;
สุขสั สะ จะ ปะหานา, เพราะละสุขเสียได; ทุกขัสสะ จะ ปะหานา, และเพราะละทุกขเสียได; ปุพเพวะ โสมะนัสสะโทมะนัสสานัง อัตถังคะมา, เพราะความดับไปแหงโสมนัสและโทมนัสทั้ง ๒ ในกาลกอน; อะทุกขะมะสุขงั อุเปกขาสะติปาริสทุ ธิง, จะตุตถัง ฌานัง อุปะสัมปชชะ วิหะระติ, เขาถึงจตุตถฌาน, ไมมีทุกข ไมมสี ขุ , มีแตความที่สติ เปนธรรมชาติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา แลวแลอยู; อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาสะมาธิ. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, อันนี้เรากลาววา ความตั้งใจมัน่ ชอบ.
๑๘. อตีตปจจเวกขณปาฐะ
(คําพิจารณาปจจัย ๔ หลังใชสอยแลว)
(หันทะ มะยัง อะตีตะปจจะเวกขะณะปาฐัง ภะณามะ เส.) (เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงกลาวคําพิจารณาปจจัย ๔ หลังใชสอยแลวเถิด.)
(พิจารณาจีวร)
อัชชะ มะยา อะปจจะเวกขิตว๎ า ยัง จีวะรัง ปะริภตุ ตัง, จีวรใด อันเรานุง หมแลว ไมทนั พิจารณา ในวันนี้; ตัง ยาวะเทวะ สีตัสสะ ปะฏิฆาตายะ, จีวรนั้น เรานุงหมแลว เพียงเพื่อบําบัดความหนาว; อุณ๎หสั สะ ปะฏิฆาตายะ, เพื่อบําบัดความรอน; ฑังสะมะกะสะวาตาตะปะสิรงิ สะปะสัมผัสสานัง ปะฏิฆาตายะ, เพื่อบําบัดสัมผัสอันเกิดจากเหลือบ ยุง ลม แดด และสัตวเลื้อยคลานทั้งหลาย; ยาวะเทวะ หิรโิ กปนะปะฏิจฉาทะนัตถัง. และเพียงเพื่อปกปดอวัยวะ อันใหเกิดความละอาย.
(พิจารณาอาหาร)
อัชชะ มะยา อะปจจะเวกขิตว๎ า โย ปณฑะปาโต ปะริภตุ โต, บิณฑบาตใด อันเราฉันแลว ไมทนั พิจารณา ในวันนี้; โส เนวะ ทะวายะ, บิณฑบาตนั้น เราฉันแลว ไมใชเปนไปเพือ่ ความเพลิดเพลิน สนุกสนาน; นะ มะทายะ, ไมใชเปนไปเพื่อความเมามัน เกิดกําลังพลังทางกาย; นะ มัณฑะนายะ, ไมใชเปนไปเพื่อประดับ; นะ วิภสู ะนายะ, ไมใชเปนไปเพื่อตกแตง; ยาวะเทวะ อิมสั สะ กายัสสะ ฐิติยา, แตใหเปนไปเพียงเพื่อความตั้งอยูไ ดแหงกายนี้; ยาปะนายะ, เพื่อความเปนไปไดของอัตภาพ; วิหงิ สุปะระติยา, เพื่อความสิ้นไปแหงความลําบาก ทางกาย; พ๎รัหม๎ ะจะริยานุคคะหายะ, เพื่ออนุเคราะหแกการประพฤติ พรหมจรรย; อิติ ปุราณัญจะ เวทะนัง ปะฏิหงั ขามิ, ดวยการทําอยางนี้, เรายอมระงับเสียได ซึ่งทุกขเวทนาเกา คือความหิว;
นะวัญจะ เวทะนัง นะ อุปปาเทสสามิ, และไมทาํ ทุกขเวทนาใหมใหเกิดขึ้น; ยาต๎รา จะ เม ภะวิสสะติ อะนะวัชชะตา จะ ผาสุวิหาโร จาติ. อนึ่ง ความเปนไปโดยสะดวกแหงอัตภาพนีด้ วย, ความเปนผูหาโทษมิไดดวย, และความเปนอยูโดยผาสุกดวย, จักมีแกเรา, ดังนี้. (พิจารณาทีอ่ ยูอ าศัย)
อัชชะ มะยา อะปจจะเวกขิตว๎ า ยัง เสนาสะนัง ปะริภตุ ตัง, เสนาสนะใด อันเราใชสอยแลว ไมทันพิจารณา ในวันนี;้ ตัง ยาวะเทวะ สีตัสสะ ปะฏิฆาตายะ, เสนาสนะนั้น เราใชสอยแลว เพียงเพื่อบําบัดความหนาว; อุณ๎หสั สะ ปะฏิฆาตายะ, เพื่อบําบัดความรอน; ฑังสะมะกะสะวาตาตะปะสิรงิ สะปะสัมผัสสานัง ปะฏิฆาตายะ, เพื่อบําบัดสัมผัสอันเกิดจากเหลือบ ยุง ลม แดด และสัตวเลื้อยคลานทั้งหลาย; ยาวะเทวะ อุตปุ ะริสสะยะวิโนทะนัง ปะฏิสลั ลานารามัตถัง. เพียงเพื่อบรรเทาอันตรายอันจะพึงมีจากดินฟาอากาศ, และเพื่อความเปนผูยินดีอยูได ในที่หลีกเรนสําหรับภาวนา.
(พิจารณายารักษาโรค)
อัชชะ มะยา อะปจจะเวกขิตว๎ า โย คิลานะปจจะยะเภสัชชะปะริกขาโร ปะริภตุ โต, คิลานเภสัชบริขารใด อันเราบริโภคแลว ไมทันพิจารณา ในวันนี;้ โส ยาวะเทวะ อุปปนนานัง เวยยาพาธิกานัง เวทะนานัง ปะฏิฆาตายะ, คิลานเภสัชบริขารนั้น เราบริโภคแลว เพียงเพื่อบําบัด ทุกขเวทนา อันบังเกิดขึ้นแลว มีอาพาธตางๆ เปนมูล; อัพย๎ าปชฌะปะระมะตายาติ. เพื่อความเปนผูไมมีโรคเบียดเบียน เปนอยางยิ่ง, ดังนี้;
๑๙. ปพพชิตอภิณหปจจเวกขณปาฐะ (คําสําหรับบรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆ)
(หันทะ มะยัง ปพพะชิตะอะภิณหะปจจะเวกขะณะปาฐัง ภะนามะ เส.) (เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงกลาวคําสําหรับบรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆ เถิด.)
ทะสะ อิเม ภิกขะเว ธัมมา, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, ธรรมทั้งหลาย ๑๐ ประการ เหลานี้, มีอยู; ปพพะชิเตนะ อะภิณ๎หงั ปจจะเวกขิตพั พัง, เปนธรรมทีบ่ รรพชิตพึงพิจารณาโดยแจมชัด อยูเนืองนิจ; กะตะเม ทะสะ?, ธรรมทัง้ หลาย ๑๐ ประการนั้น เปนอยางไรเลา?; (๑)
เววัณณิยมั หิ อัชฌูปะคะโตติ ปพพะชิเตนะ อะภิณ๎หงั ปจจะเวกขิตพั พัง, คือบรรพชิตพึงพิจารณาโดยแจมชัด อยูเนืองนิจวา, เราเปนผูเ ขาถึงเฉพาะแลว ซึ่งวรรณะอันตาง อันพิเศษ, ดังนี้;
(๒)
ปะระปะฏิพทั ธา เม ชีวกิ าติ ปพพะชิเตนะ อะภิณ๎หงั ปจจะเวกขิตพั พัง, บรรพชิตพึงพิจารณาโดยแจมชัด อยูเนืองนิจวา, การเลี้ยงชีวิตของเรา เนื่องเฉพาะแลวดวยผูอื่น, ดังนี้;
(๓)
อัญโญ เม อากับโป กะระณีโยติ ปพพะชิเตนะ อะภิณ๎หงั ปจจะเวกขิตพั พัง, บรรพชิตพึงพิจารณาโดยแจมชัด อยูเนืองนิจวา, ระเบียบการปฏิบัตอิ ยางอื่น ที่เราจะตองทํามีอยู, ดังนี้;
(๔)
กัจจิ นุ โข เม อัตตา สีละโต นะ อุปะวะทะตีติ ปพพะชิเตนะ อะภิณ๎หงั ปจจะเวกขิตพั พัง, บรรพชิตพึงพิจารณาโดยแจมชัด อยูเนืองนิจวา, เมื่อกลาวโดยศีล, เรายอมตําหนิติเตียนตนเองไมได มิใชหรือ, ดังนี้;
(๕)
กัจจิ นุ โข มัง อะนุวิจจะ วิญู สะพ๎รัหม๎ ะจารี สีละโต นะ อุปะวะทันตีติ ปพพะชิเตนะ อะภิณ๎หงั ปจจะเวกขิตพั พัง, บรรพชิตพึงพิจารณาโดยแจมชัด อยูเนืองนิจวา, เมื่อกลาวโดยศีล, เพื่อนสพรหมจารีที่เปนวิญูชน, ใครครวญแลว, ยอมตําหนิติเตียนเราไมได มิใชหรือ, ดังนี้;
(๖)
สัพเพหิ เม ปเยหิ มะนาเปหิ นานาภาโว วินาภาโวติ ปพพะชิเตนะ อะภิณ๎หงั ปจจะเวกขิตพั พัง, บรรพชิตพึงพิจารณาโดยแจมชัด อยูเนืองนิจวา, ความพลัดพรากจากของรัก ของชอบใจ ทัง้ สิ้น, จักมีแกเรา, ดังนี้;
(๗)
กัมมัสสะโกม๎หิ กัมมะทายาโท กัมมะโยนิ กัมมะพันธุ กัมมะปะฏิสะระโณ, ยัง กัมมัง กะริสสามิ กัลย๎ าณัง วา ปาปะกัง วา, ตัสสะ ทายาโท ภะวิสสามีติ ปพพะชิเตนะ อะภิณ๎หงั ปจจะเวกขิตพั พัง, บรรพชิตพึงพิจารณาโดยแจมชัด อยูเนืองนิจวา, เราเปนผูม ีกรรมเปนของตน, มีกรรมทีต่ องรับผลเปนมรดกตกทอด, มีกรรมเปนที่กาํ เนิด, มีกรรมเปนเผาพันธุ, มีกรรมเปนที่พงึ่ อาศัย, เราทํากรรมใดไว ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม, เราจักเปนผูรับผลตกทอดแหงกรรมนั้น, ดังนี้;
(๘)
กะถัมภูตสั สะ เม รัตตินทิวา วีตปิ ะตันตีติ ปพพะชิเตนะ อะภิณ๎หงั ปจจะเวกขิตพั พัง, บรรพชิตพึงพิจารณาโดยแจมชัด อยูเนืองนิจวา, วันคืนลวงไปลวงไป, ในเมื่อเรากําลังเปนอยูในสภาพเชนไร, ดังนี้;
(๙)
กัจจิ นุ โขหัง สุญญาคาเร อะภิระมามีติ ปพพะชิเตนะ อะภิณ๎หงั ปจจะเวกขิตพั พัง, บรรพชิตพึ่งพิจารณาโดยแจมชัด อยูเนืองนิจวา, เรายอมยินดีในโรงเรือนอันสงัดอยูหรือหนอ, ดังนี้;
(๑๐)
อัตถิ นุ โข เม อุตตะริมะนุสสะธัมมา อะละมะริยะญาณะทัสสะนะวิเสโส อะธิคะโต, โสหัง ปจฉิเม กาเล สะพ๎รัหม๎ ะจารีหิ ปุฏโฐ นะ มังกุ ภะวิสสามีติ ปพพะชิเตนะ อะภิณ๎หงั ปจจะเวกขิตพั พัง, บรรชิตพึงพิจารณาโดยแจมชัด อยูเ นืองนิจวา, ญาณทรรศนะอันวิเศษ ควรแกพระอริยเจา, อันยิ่งกวาวิสัยธรรมดาของมุนษย, ที่เราไดบรรลุแลว, เพื่อเราจะไมเปนผูเกอเขิน เมื่อถูกเพื่อนสพรหมจารีดว ยกัน ถามในภายหลัง, มีอยูแกเราหรือไม, ดังนี้;
อิเม โข ภิกขะเว ทะสะ ธัมมา, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, ธรรมทั้งหลาย ๑๐ ประการ เหลานี้แล; ปพพะชิเตนะ อะภิณ๎หงั ปจจะเวกขิตพั พา, เปนธรรมทีบ่ รรพชิตพึงพิจารณาโดยแจมชัด อยูเนืองนิจ; อิต.ิ ดวยอาการ อยางนี้แล.
๒๐. ปจฉิมพุทโธวาทปาฐะ
(คําแสดงพระโอวาทครั้งสุดทายของพระพุทธเจา)
(หันทะ มะยัง ปจฉิมะพุทโธวาทะปาฐัง ภะณามะ เส.) (เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงกลาวคําแสดงพระโอวาทครั้งสุดทายของพระพุทธเจาเถิด.)
หันทะทานิ ภิกขะเว อามันตะยามิ โว, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, บัดนี,้ เราขอเตือนทานทั้งหลายวา; วะยะธัมมา สังขารา, สังขารทัง้ หลาย มีความเสื่อมไปเปนธรรมดา; อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ, ทานทั้งหลาย, จงทําความไมประมาทใหถงึ พรอมเถิด; อะยัง ตะถาคะตัสสะ ปจฉิมา วาจา. นี้เปนพระวาจามีในครั้งสุดทาย ของพระตถาคตเจา.
๒๑. อุททิสสนาธิฏฐานคาถา (คาถาอุทศิ และอธิษฐาน)
(หันทะ มะยัง อุทสิ สะนาธิฏฐานะคาถาโย ภะณามะ เส.) (เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงกลาวคาถาอุทิศและอธิษฐานเถิด.)
อิมนิ า ปุญญะกัมเมนะ, อุปช ฌายา คุณุตตะรา, อาจะริยปู ะการา จะ, มาตา ปตา จะ ญาตะกา, สุริโย จันทิมา ราชา, คุณะวันตา นะราป จะ, พ๎รห๎มะมารา จะ อินทา จะ, โลกะปาลา จะ เทวะตา, ยะโม มิตตา มะนุสสา จะ, มัชฌัตตา เวริกาป จะ, สัพเพ สัตตา สุขี โหนตุ, ปุญญานิ ปะกะตานิ เม, สุขงั จะ ติวธิ งั เทนตุ, ขิปปง ปาเปถะ โวมะตัง. *
(บทที่ ๑)
ดวยบุญนี้ อุทิศให; อุปชฌาย ผูเลิศคุณ; แลอาจารย ผูเกื้อหนุน; ทั้งพอแม แลปวงญาติ; สูรย จันทร และราชา; ผูทรงคุณ หรือสูงชาติ; พรหม มาร และอินทราช; ทั้งทวยเทพ และโลกบาล; ยมราช มนุษยมติ ร; ผูเปนกลาง ผูจองผลาญ; ขอให เปนสุขศานต ทุกทัว่ หนา อยาทุกขทน; บุญผอง ที่ขาทํา จงชวยอํานวยศุภผล; ใหสุข ๓ อยางลน; ใหลุถึง นิพพานพลัน* (นิพพานเทอญ).
ถาจะหยุดวาเพียงเทานี้ ใหเปลี่ยน “นิพพานพลัน” เปน “นิพพานเทอญ”
(บทที่ ๒)
เย เกจิ ขุททะกา ปาณา, มะหันตาป มะยา หะตา, เย จาเนเก ปะมาเทนะ, กายะวาจามะเนเหวะ, ปุญญัง เม อะนุโมทันตุ, คัณหันตุ ผะละมุตตะมัง, เวรา โน เจ ปะมุญจันตุ, สัพพะโทสัง ขะมันตุ เม. *
สัตวเล็ก ทั้งหลายใด; ทั้งสัตวใหญ เราห้ําหั่น; มิใชนอย เพราะเผลอพลัน; ทางกายา วาจา จิต; จงอนุโมทนากุศล; ถือเอาผล อันอุกฤษฏ; ถามีเวร จงเปลื้องปลิด; อดโทษขา อยาผูกไว* (ทั่วหนาเทอญ).
ถาจะหยุดวาเพียงเทานี้ ใหเปลี่ยน “อยาผูกไว” เปน “ทั่วหนาเทอญ”
(บทที่ ๓)
ยังกิญจิ กุสะลัง กัมมัง, กัตตัพพัง กิริยงั มะมะ, กาเยนะ วาจามะนะสา, ติทะเส สุคะตัง กะตัง, เย สัตตา สัญญิโน อัตถิ, เย จะ สัตตา อะสัญญิโน, กะตัง ปุญญะผะลัง มัย๎หงั , สัพเพ ภาคี ภะวันตุ เต, เย ตัง กะตัง สุวทิ ิตงั , ทินนัง ปุญญะผะลัง มะยา, เย จะ ตัตถะ นะ ชานันติ, เทวา คันต๎วา นิเวทะยุง, สัพเพ โลกัมห๎ ิ เย สัตตา, ชีวันตาหาระเหตุกา, มะนุญญัง โภชะนัง สัพเพ, ละภันตุ มะมะ เจตะสา, *
กุศลกรรม อยางใดหนึ่ง; เปนกิจซึง่ ควรฝกใฝ; ดวยกาย วาจา ใจ; เราทําแลว เพื่อไปสวรรค; สัตวใด มีสัญญา; หรือหาไม เปนอสัญญ; ผลบุญ ขาทํานั้น; ทุกๆ สัตว จงมีสว น; สัตวใดรู ก็เปนอัน; วาขาให แลวตามควร; สัตวใด มิรูถวน; ขอเทพเจา จงเลาขาน; ปวงสัตว ในโลกีย; มีชีวิต ดวยอาหาร; จงได โภชนสาํ ราญ; ตามเจตนา ขาอาณัติ* (ของขาเทอญ).
ถาจะหยุดวาเพียงเทานี้ ใหเปลี่ยน “ขาอาณัต”ิ เปน “ของขาเทอญ”
อิมนิ า ปุญญะกัมเมนะ, อิมนิ า อุททิเสนะ จะ, ขิปปาหัง สุละเภ เจวะ, ตัณห๎ ปุ าทานะเฉทะนัง, เย สันตาเน หินา ธัมมา, ยาวะ นิพพานะโต มะมัง, นัสสันตุ สัพพะทา เยวะ, ยัตถะ ชาโต ภะเว ภะเว, อุชจุ ิตตัง สะติปญ ญา, สัลเลโข วิริยมั ห๎ นิ า,
(บทที่ ๔)
ดวยบุญนี้ ที่เราทํา; แลอุทิศ ใหปวงสัตว; เราพลันได ซึ่งการตัด; ตัวตัณหา อุปาทาน; สิ่งชั่ว ในดวงใจ; กวาเราจะ ถึงนิพพาน; มลายสิ้น จากสันดาน; ทุกๆ ภพ ที่เราเกิด; มีจิตตรง และสติ ทั้งปญญาอันประเสริฐ; พรอมทั้งความเพียรเลิศ เปนเครื่องขูดกิเลสหาย; มารา ละภันตุ โนกาสัง, โอกาส อยาพึงมี แกหมูมาร สิ้นทั้งหลาย; กาตุญจะ วิริเยสุ เม, เปนชองประทุษราย ทําลายลาง ความเพียรจม; พุทธาทิปะวะโร นาโถ, พระพุทธ ผูบวรนาถ; ธัมโม นาโถ วะรุตตะโม, พระธรรม ที่พึ่งอุดม; นาโถ ปจเจกะพุทโธ จะ, พระปจเจกะพุทธะสม-; สังโฆ นาโถตตะโร มะมัง, ทบพระสงฆ ที่พงึ่ ผยอง; เตโสตตะมานุภาเวนะ, ดวยอานุภาพนัน้ ; มาโรกาสัง ละภันตุ มา, ขอหมูมาร อยาไดชอง; ทะสะปุญญานุภาเวนะ, ดวยเดชบุญ ทั้ง ๑๐ ปอง; มาโรกาสัง ละภันตุ มา. อยาเปดโอกาส แกมาร เทอญ.
๒๒. ตังขณิกปจจเวกขณปาฐะ
(คําพิจารณาปจจัย ๔ ในขณะทีใ่ ชสอย)
(หันทะ มะยัง ตังขะณิกะปจจะเวกขะณะปาฐัง ภะณามะ เส.) (เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงกลาวคําพิจารณาปจจัย ๔ ในขณะนีเ้ ถิด.)
(พิจารณาจีวร)
ปะฏิสงั ขา โยนิโส จีวะรัง ปะฏิเสวามิ, เรายอมพิจารณาโดยแยบคายแลว นุงหมจีวร; ยาวะเทวะ สีตสั สะ ปะฏิฆาตายะ, เพียงเพื่อบําบัดความหนาว; อุณ๎หสั สะ ปะฏิฆาตายะ, เพื่อบําบัดความรอน; ฑังสะมะกะสะวาตาตะปะสิรงิ สะปะสัมผัสสานัง ปะฏิฆาตายะ, เพื่อบําบัดสัมผัสอันเกิดจากเหลือบ ยุง ลม แดด และสัตวเลื้อยคลานทั้งหลาย; ยาวะเทวะ หิรโิ กปนะปะฏิจฉาทะนัตถัง. และเพียงเพื่อปกปดอวัยวะ อันใหเกิดความละอาย.
(พิจารณาอาหาร)
ปะฏิสงั ขา โยนิโส ปณฑะปาตัง ปะฏิเสวามิ, เรายอมพิจารณาโดยแยบคายแลว ฉันบิณฑบาต; เนวะ ท๎วายะ, ไมใหเปนไปเพื่อความเพลิดเพลิน สนุกสนาน; นะ มะทายะ, ไมใหเปนไปเพื่อความเมามัน เกิดกําลังพลังทางกาย; นะ มัณฑะนายะ, ไมใหเปนไปเพื่อประดับ; นะ วิภสู ะนายะ, ไมใหเปนไปเพื่อตกแตง; ยาวะเทวะ อิมสั สะ กายัสสะ ฐิติยา, แตใหเปนไปเพียงเพื่อความตั้งอยูไ ดแหงกายนี้; ยาปะนายะ, เพื่อความเปนไปไดของอัตภาพ; วิหงิ สุปะระติยา, เพื่อความสิ้นไปแหงความลําบาก ทางกาย; พ๎รัหม๎ ะจะริยานุคคะหายะ, เพื่ออนุเคราะหแกการประพฤติ พรหมจรรย; อิติ ปุรานัญจะ เวทะนัง ปะฏิหงั ขามิ, ดวยการทําอยางนี้, เรายอมระงับเสียได ซึ่งทุกขเวทนาเกา คือความหิว;
นะวัญจะ เวทะนัง นะ อุปปาเทสสามิ, และไมทาํ ทุกขเวทนาใหมใหเกิดขึ้น; ยาต๎รา จะ เม ภะวิสสะติ อะนะวัชชะตา จะ ผาสุวิหาโร จาติ. อนึ่ง ความเปนไปโดยสะดวกแหงอัตภาพนีด้ วย, ความเปนผูหาโทษมิไดดวย, และความเปนอยูโดยผาสุกดวย, จักมีแกเรา, ดังนี้. (พิจารณาทีอ่ ยูอ าศัย)
ปะฏิสงั ขา โยนิโส เสนาสะนัง ปะฏิเสวามิ, เรายอมพิจารณาโดยแยบคายแลว ใชสอยเสนาสนะ; ยาวะเทวะ สีตสั สะ ปะฏิฆาตายะ, เพียงเพื่อบําบัดความหนาว; อุณ๎หสั สะ ปะฏิฆาตายะ, เพื่อบําบัดความรอน; ฑังสะมะกะสะวาตาตะปะสิรงิ สะปะสัมผัสสานัง ปะฏิฆาตายะ, เพื่อบําบัดสัมผัสอันเกิดจากเหลือบ ยุง ลม แดด และสัตวเลื้อยคลานทั้งหลาย; ยาวะเทวะ อุตปุ ะริสสะยะวิโนทะนัง ปะฏิสลั ลานารามัตถัง. เพียงเพื่อบรรเทาอันตรายอันจะพึงมีจากดินฟาอากาศ, และเพื่อความเปนผูยินดีอยูไดในที่หลีกเรนสําหรับภาวนา.
(พิจารณายารักษาโรค)
ปะฏิสงั ขา โยนิโส คิลานะปจจะยะเภสัชชะปะริกขารัง ปะฏิเสวามิ, เรายอมพิจารณาโดยแยบคายแลว บริโภคเภสัชบริขาร อันเกื้อกูลแกคนไข; ยาวะเทวะ อุปปนนานัง เวยยาพาธิกานัง เวทะนานัง ปะฏิฆาตายะ, เพียงเพื่อบําบัดทุกขเวทนาอันบังเกิดขึ้นแลว มีอาพาธตางๆ เปนมูล; อัพย๎ าปชฌะปะระมะตายาติ. เพื่อความเปนผูไมมีโรคเบียดเบียน เปนอยางยิ่ง, ดังนี้.
๒๓. ปจจเวกขณอุโบสถศีล (คําพิจารณาอุโบสถศีล)
(หันทะ มะยัง อุโปสะถัฏฐังคะปจจะเวกขะณะปาฐัง ภะณามะ เส.) (เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงกลาวคําพิจารณาอุโบสถศีลเถิด.)
(องคอุโบสถที่ ๑)
ยาวะชีวงั อะระหันโต, จําเดิมแตตนจนตลอดชีวิต, พระอรหันตทั้งหลาย; ปาณาติปาตัง ปะหายะ, ทานละการฆาสัตวมีชีวิตแลว; ปาณาติปาตา ปะฏิวริ ะตา, เวนขาดจากการฆาสัตวมชี ีวิตแลว; นิหติ ะทัณฑา นิหติ ะสัตถา, ทิ้งเครื่องทุบตีแลว, ทิ้งเครือ่ งศัสตราแลว; ลัชชี ทะยาปนนา, มีความละอายแกบาป, ถึงพรอมแลวดวยความขวนขวาย เพราะกรุณา; สัพพะปาณะภูตะหิตานุกมั ปโน, วิหะรันติ, เปนผูเฉยไมไดในการเกื้อกูลแกสัตวมีชีวิตทั้งปวง;
อะหัมปชชะ อิมญั จะ รัตติง อิมญั จะ ทิวะสัง, แมเราในวันนี้, ตลอดคืน ๑ วัน ๑ นี;้ ปาณาติปาตัง ปะหายะ, ก็ละการฆาสัตวมชี ีวิตแลว; ปาณาติปาตา ปะฏิวริ ะโต (หญิงวา ระตา), เวนขาดจากการฆาสัตวมชี ีวิตแลว; นิหติ ะทัณโฑ (หญิงวา ทัณฑา) นิหิตะสัตโถ (หญิงวา สัตถา), ทิ้งเครื่องทุบตีแลว, ทิ้งเครือ่ งศัสตราแลว; ลัชชี (หญิงวา ลัชชิน)ี ทะยาปนโน (หญิงวา ปนนา), มีความละอายแกบาป, ถึงพรอมแลวดวยความขวนขวาย เพราะกรุณา; สัพพะปาณะภูตะหิตานุกมั ปโน (หญิงวา กัมปน)ี วิหะรามิ, เปนผูเฉยไมไดในการเกื้อกูลแกสัตวมีชีวิตทั้งปวง; อิมนิ าป อังเคนะ อะระหะตัง อะนุกะโรมิ, เราทําตามพระอรหันตทั้งหลาย, ดวยองคแหงอุโบสถแมน;ี้ อุโปสะโถ จะ เม อุปะวุตโถ ภะวิสสะติ. และอุโบสถจักเปนอันเราเขาอยูแลว.
(องคอุโบสถที่ ๒)
ยาวะชีวงั อะระหันโต, จําเดิมแตตนจนตลอดชีวิต, พระอรหันตทั้งหลาย; อะทินนาทานัง ปะหายะ, ทานละการถือเอาสิ่งของที่เขาไมใหแลว; อะทินนาทานา ปะฏิวริ ะตา, เวนขาดจากการถือเอาสิ่งของที่เขาไมใหแลว; ทินนาทายี ทินนะปาฏิกังขี, ถือเอาแตสิ่งของที่เขาให, มีความมุงหวังแตสิ่งของที่เขาให; อะเถเนนะ สุจภิ ูเตนะ อัตตะนา วิหะรันติ, มีตนเปนคนไมขโมย, มีตนเปนคนสะอาดเปนอยู; อะหัมปชชะ อิมญั จะ รัตติง อิมญั จะ ทิวะสัง, แมเราในวันนี้, ตลอดคืน ๑ วัน ๑ นี;้ อะทินนาทานัง ปะหายะ, ก็ละการถือเอาสิ่งของที่เขาไมใหแลว; อะทินนาทานา ปะฏิวริ ะโต (หญิงวา ระตา), เวนขาดจากการถือเอาสิ่งของที่เขาไมใหแลว; ทินนาทายี (หญิงวา ทายิน)ี ทินนะปาฏิกงั ขี (หญิงวา กังขิน)ี , ถือเอาแตสิ่งของที่เขาให, มีความมุงหวังแตสิ่งของที่เขาให; อะเถเนนะ สุจภิ ูเตนะ อัตตะนา วิหะรามิ, มีตนเปนคนไมขโมย, มีตนเปนคนสะอาดเปนอยู; อิมนิ าป อังเคนะ อะระหะตัง อะนุกะโรมิ, เราทําตามพระอรหันตทั้งหลาย, ดวยองคแหงอุโบสถแมน;ี้ อุโปสะโถ จะ เม อุปะวุตโถ ภะวิสสะติ. และอุโบสถจักเปนอันเราเขาอยูแลว.
(องคอุโบสถที่ ๓)
ยาวะชีวงั อะระหันโต, จําเดิมแตตนจนตลอดชีวิต, พระอรหันตทั้งหลาย; อะพ๎รหั ม๎ ะจะริยงั ปะหายะ, ทานละความประพฤติอันมิใชพรหมจรรยเสียแลว; พ๎รัหม๎ ะจารี อาราจารี, เปนผูประพฤติพรหมจรรย, ประพฤติหางไกลจากกามคุณ; วิระตา เมถุนา คามะธัมมา, เวนจากการประพฤติของคนที่อยูกันเปนคู, อันเปนของสําหรับชาวบาน; อะหัมปชชะ อิมญั จะ รัตติง อิมญั จะ ทิวะสัง, แมเราในวันนี้, ตลอดคืน ๑ วัน ๑ นี;้ อะพ๎รหั ม๎ ะจะริยงั ปะหายะ, ก็ละความประพฤติอันมิใชพรหมจรรยเสียแลว; พ๎รัหม๎ ะจารี (หญิงวา จาริน)ี อาราจารี (หญิงวา จาริน)ี , เปนผูประพฤติพรหมจรรย, ประพฤติหางไกลจากกามคุณ; วิระโต (หญิงวา ระตา) เมถุนา คามะธัมมา, เวนจากการประพฤติของคนที่อยูกันเปนคู, อันเปนของสําหรับชาวบานเสีย; อิมนิ าป อังเคนะ อะระหะตัง อะนุกะโรมิ, เราทําตามพระอรหันตทั้งหลาย, ดวยองคแหงอุโบสถแมน;ี้ อุโปสะโถ จะ เม อุปะวุตโถ ภะวิสสะติ. และอุโบสถจักเปนอันเราเขาอยูแลว.
(องคอุโบสถที่ ๔)
ยาวะชีวงั อะระหันโต, จําเดิมแตตนจนตลอดชีวิต, พระอรหันตทั้งหลาย; มุสาวาทัง ปะหายะ, ทานละการพูดเท็จแลว; มุสาวาทา ปะฏิวริ ะตา, เวนขาดจากการพูดเท็จแลว; สัจจะวาทิโน สัจจะสันธา, เปนผูพูดแตคําจริง, ธํารงไวซึ่งความจริง; เฐตา ปจจะยิกา, เปนผูมีคาํ พูดเชื่อถือได, เปนผูพูดมีเหตุผล; อะวิสงั วาทะกา โลกัสสะ, ไมเปนคนลวงโลก; อะหัมปชชะ อิมญั จะ รัตติง อิมญั จะ ทิวะสัง, แมเราในวันนี้, ตลอดคืน ๑ วัน ๑ นี;้ มุสาวาทัง ปะหายะ, ก็ละการพูดเท็จแลว; มุสาวาทา ปะฏิวริ ะโต (หญิงวา ระตา), เวนขาดจากการพูดเท็จแลว;
สัจจะวาที (หญิงวา วาทิน)ี สัจจะสันโธ (หญิงวา สันธา), เปนผูพูดแตคําจริง, ธํารงไวซึ่งความจริง; เฐโต (หญิงวา เฐตา) ปจจะยิโก (หญิงวา ยิกา), เปนผูมีคาํ พูดเชื่อถือได, เปนผูพูดมีเหตุผล; อะวิสงั วาทะโก (หญิงวา วาทิกา) โลกัสสะ, ไมเปนคนลวงโลก; อิมนิ าป อังเคนะ อะระหะตัง อะนุกะโรมิ, เราทําตามพระอรหันตทั้งหลาย, ดวยองคแหงอุโบสถแมน;ี้ อุโปสะโถ จะ เม อุปะวุตโถ ภะวิสสะติ. และอุโบสถจักเปนอันเราเขาอยูแลว.
(องคอุโบสถที่ ๕)
ยาวะชีวงั อะระหันโต, จําเดิมแตตนจนตลอดชีวิต, พระอรหันตทั้งหลาย; สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา ปะหายะ, ทานละการดื่มสุราและเมรัย, อันเปนทีต่ ั้งของความประมาทแลว; สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา ปะฏิวริ ะตา, เวนขาดจากการดื่มสุราและเมรัย, อันเปนทีต่ ั้งของความประมาทแลว; อะหัมปชชะ อิมญั จะ รัตติง อิมญั จะ ทิวะสัง, แมเราในวันนี้, ตลอดคืน ๑ วัน ๑ นี;้ สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา ปะหายะ, ก็ละการดื่มสุราและเมรัย, อันเปนทีต่ ั้งของความประมาทแลว; สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา ปะฏิวริ ะโต (หญิงวา ระตา), เวนขาดจากการดื่มสุราและเมรัย, อันเปนทีต่ ั้งของความประมาทแลว; อิมนิ าป อังเคนะ อะระหะตัง อะนุกะโรมิ, เราทําตามพระอรหันตทั้งหลาย, ดวยองคแหงอุโบสถแมน;ี้ อุโปสะโถ จะ เม อุปะวุตโถ ภะวิสสะติ. และอุโบสถจักเปนอันเราเขาอยูแลว.
(องคอุโบสถที่ ๖)
ยาวะชีวงั อะระหันโต, จําเดิมแตตนจนตลอดชีวิต, พระอรหันตทั้งหลาย; เอกะภัตติกา, ทานมีอาหารวัน ๑ เพียงหนเดียว; รัตตูปะระตา, งดการบริโภคในราตรี; วิระตา วิกาละโภชะนา, เวนจากการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล; อะหัมปชชะ อิมญั จะ รัตติง อิมญั จะ ทิวะสัง, แมเราในวันนี้, ตลอดคืน ๑ วัน ๑ นี;้ เอกะภัตติโก (หญิงวา ติกา), ก็เปนผูมอี าหารวัน ๑ เพียงหนเดียว; รัตตูปะระโต (หญิงวา ระตา), งดการบริโภคในราตรี; วิระโต (หญิงวา ระตา) วิกาละโภชะนา, เวนจากการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล; อิมนิ าป อังเคนะ อะระหะตัง อะนุกะโรมิ, เราทําตามพระอรหันตทั้งหลาย, ดวยองคแหงอุโบสถแมน;ี้ อุโปสะโถ จะ เม อุปะวุตโถ ภะวิสสะติ. และอุโบสถจักเปนอันเราเขาอยูแลว.
(องคอุโบสถที่ ๗)
ยาวะชีวงั อะระหันโต, จําเดิมแตตนจนตลอดชีวิต, พระอรหันตทั้งหลาย; นัจจะคีตะวาทิตะวิสูกะทัสสะนะ มาลาคันธะวิเลปะนะธาระณะ มัณฑะนะวิภสู ะนัฏฐานา ปะฏิวริ ะตา, ทานเปนผูเวนขาดแลว, จากการฟอนรํา, การขับเพลง, การดนตรี, การดูการเลนชนิดเปนขาศึกตอกุศล, การทัดทรงสวมใส, การประดับ, การตกแตงตน, ดวยพวงมาลา, ดวยเครื่องกลิ่นและเครื่องผัดทา; อะหัมปชชะ อิมญั จะ รัตติง อิมญั จะ ทิวะสัง, แมเราในวันนี้, ตลอดคืน ๑ วัน ๑ นี;้ นัจจะคีตะวาทิตะวิสูกะทัสสะนะ มาลาคันธะวิเลปะนะธาระณะ มัณฑะนะวิภสู ะนัฏฐานา ปะฏิวริ ะโต (หญิงวา ระตา), ก็เปนผูเวนขาดแลว, จากการฟอนรํา, การขับเพลง, การดนตรี, การดูการเลนชนิดเปนขาศึกตอกุศล, การทัดทรงสวมใส, การประดับ, การตกแตงตน, ดวยพวงมาลา, ดวยเครื่องกลิ่นและเครื่องผัดทา; อิมนิ าป อังเคนะ อะระหะตัง อะนุกะโรมิ, เราทําตามพระอรหันตทั้งหลาย, ดวยองคแหงอุโบสถแมน;ี้ อุโปสะโถ จะ เม อุปะวุตโถ ภะวิสสะติ. และอุโบสถจักเปนอันเราเขาอยูแลว.
(องคอุโบสถที่ ๘)
ยาวะชีวงั อะระหันโต, จําเดิมแตตนจนตลอดชีวิต, พระอรหันตทั้งหลาย; อุจจาสะยะนะมะหาสะยะนัง ปะหายะ, ทานละการนอนบนที่นอนสูง และที่นอนใหญแลว; อุจจาสะยะนะมะหาสะยะนา ปะฏิวริ ะตา, เวนขาดจากการนอนบนที่นอนสูง และที่นอนใหญแลว; นีจะเสยยัง กัปเปมิ, มัญจะเก วา ติณะสันถะระเก วา, ยอมสําเร็จการนอนบนที่นอนอันต่ํา, บนเตียงนอย, หรือบนเครื่องลาดอันทําดวยหญา; อะหัมปชชะ อิมญั จะ รัตติง อิมญั จะ ทิวะสัง, แมเราในวันนี้, ตลอดคืน ๑ วัน ๑ นี;้ อุจจาสะยะนะมะหาสะยะนัง ปะหายะ, ก็ละการนอนบนที่นอนสูง และที่นอนใหญแลว; อุจจาสะยะนะมะหาสะยะนา ปะฏิวริ ะโต (หญิงวา ระตา), เวนขาดจากการนอนบนที่นอนสูง และที่นอนใหญแลว; นีจะเสยยัง กัปเปมิ, มัญจะเก วา ติณะสันถะระเก วา, ยอมสําเร็จการนอนบนที่นอนอันต่ํา, บนเตียงนอย, หรือบนเครื่องลาดอันทําดวยหญา; อิมนิ าป อังเคนะ อะระหะตัง อะนุกะโรมิ, เราทําตามพระอรหันตทั้งหลาย, ดวยองคแหงอุโบสถแมน;ี้ อุโปสะโถ จะ เม อุปะวุตโถ ภะวิสสะติ. และอุโบสถจักเปนอันเราเขาอยูแลว.
เอวัง อุปะวุตโถ โข ภิกขะเว, อัฏฐังคะสะมันนาคะโต อุโปสะโถ, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, อุโบสถอันประกอบดวยองค ๘, ที่อริยสาวกเขาอยูแลว, ดวยอาการอยางนี้; มะหัปผะโล โหติ มะหานิสงั โส, ยอมมีผลใหญ, มีอานิสงสใหญ; มะหาชุตโิ ก มะหาวิปผาโร, มีความรุง เรืองใหญ, มีความแผไพศาลใหญ; อิติ. ดวยประการฉะนีแ้ ล.
๒๔. บทแผเมตตา สัพเพ สัตตา, สัตวทั้งหลาย, ที่เปนเพื่อนทุกข, เกิด แก เจ็บ ตาย, ดวยกันทั้งหมดทั้งสิ้น; อะเวรา, จงเปนสุขๆ เถิด, อยาไดมีเวรแกกันและกันเลย; อัพ๎ยาปชฌา, จงเปนสุขๆ เถิด, อยาไดเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย; อะนีฆา, จงเปนสุขๆ เถิด, อยาไดมีความทุกขกายทุกขใจเลย; สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ. จงมีความสุขกายสุขใจ, รักษาตนใหพนจากทุกขภัย, ดวยกันทั้งหมดทั้งสิ้นเทอญ.
กะตัง ปุญญะ พะลัง มัย๎หงั สัพเพ ภาคี ภะวันตุ เต. ขอปวงสัตวทั้งสิ้นนั้น, จงเปนผูมีสวนไดเสวยผลบุญ, ที่ขาพเจาทั้งหลาย, ไดกระทําแลวนี้เทอญ. สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ.