“Between men and women there is no friendship possible. There is passion, enmity, worship, love, but no friendship.� -Oscar Wilde-
จุลสารวรรณศิลป์ “try” ชมรมวรรณศิลป์ สโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
บทบรรณาธิการ มีนักคิดท่านหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า “หากไม่มีคนอื่น ตัวเราก็คงไม่เกิดขึ้น”
เครดิตผู้จัดท�ำ
จริงตามที่เขาว่าไว้ล่ะครับ บนโลกใบนี้ สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ ล้วนเกี่ยวข้องกัน เราต่างสร้างกันและกันเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน ผ่าน สิ่งเล็กๆสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าความสัมพันธ์ ในความสัมพันธ์ต่างๆที่เกิดขึ้นก็ล้วนเต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจ ต่างๆมากมาย และก็เป็นโอกาสอันดีที่เราจะถ่ายทอดมุมมองต่างๆของ สมาชิกชมรมวรรณศิลป์มาแลกเปลี่ยนกับผู้อ่านทุกท่าน จุลสารฉบับนี้จึงถือ ก�ำเนิดขึ้นมาภายใต้หัวข้อ Relationship (ความสัมพันธ์) โดยเราได้หวังที่จะ น�ำเสนอและเป็นพื้นที่ในการแสดงผลงานของสมาชิกชมรม ในฐานะของ ประธานชมรมวรรณศิลป์ ประจ�ำปี 2557 หากมีสิ่งใดผิดพลาดก็ต้องขออภัย มาไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ เรามีความหวังอย่างยิ่งว่าคุณผู้อ่านทุกท่านจะเพลิดเพลินไปกับ การเรียนรู้ความสัมพันธ์ไปกับจุลสารวรรณศิลป์ ‘try’ เล่มนี้ จิราวัฒน์ รงค์ทอง ประธานชมรมวรรณศิลป์ 2557
ใดใดในโลกล้วนมีปัญหาความสัมพันธ์ ตราบใดที่เราล้วนใฝ่หาความ สมบูรณ์แบบในชีวิตอันไม่เคยสมบูรณ์แบบนี้ เพราะการทับกันของสองวงโคจรที่มี ลักษณะต่างกันเสมอ บ่อยครั้งน�ำมาซึ่งการปะทะชนกันของดาวทั้งสองดวง จะชน แรง ชนเบาก็แล้วแต่ ขนาด(อีโก้) และความเร็ว(ในการรีบกลับมารักษาลักษณะชีวิต แบบของตนให้กลับสู่สภาพที่ใจต้องการ) ของดาว
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
บทบรรณาธิการ
ในช่วงวัยหนึ่ง ของผู้เขียน ได้หมกมุ่นอยู่กับการค้นหาความลงตัว ความ สมบูรณ์แบบนั้นจากความสัมพันธ์ฉันคู่รัก ค้นหาระยะเวลาที่เหมาะสมจะได้มาอยู่ด้วย กัน ท่าทีที่เหมาะสมต่อเคมี ฮอร์โมนอะไรก็แล้วแต่ที่จะหลั่งมาให้ฟินใจ ทั้ง ค�ำพูด ความ คิด ของอีกฝ่ายกลายเป็นสิ่งที่ต้องกะเกณฑ์ ให้กระท�ำ แต่เพราะเหตุปัจจัยใดก็แล้วแต่ อาจเพราะ ความเจ็บปวดที่ได้เผชิญจากการหมกมุ่นเรื่องนี้มากเกินไป ประสบการณ์ อายุที่โตขึ้น หรือกระทั่งหนังสือปรัชญาดีดีสักเล่ม ท�ำให้ผู้เขียนคลายความคิด ความ กังวลที่จะเจ้ากี้เจ้าการเรื่องนี้ และค้นพบว่า “แล้วแต่เถอะ” ประกอบกับอีกฝ่ายได้บอก กับผู้เขียนว่า “รู้ไหมว่า ต่อให้เธอเปลี่ยนไปคบกับใครอีกเรื่อยๆ เธอก็ไม่มีวันเจอคู่ที่ สมบูรณ์แบบหรอก” (ภายหลังเพื่อนดิฉันพบว่า เขาคิดเข้าข้างตัวเองเกินไป เพราะ ความรักอาจจะแค่หมดลง และเราต้องการค้นหาความสดชื่นใหม่ๆในชีวิต ไม่ใช่เลิกรา ไปเพราะไม่พบความสมบูรณ์แบบในคู่) เมื่อปล่อยวางความคิดหมกมุ่นเรื่องดังกล่าว หันเหความสนใจเข้าสู่ตัวเองมาก ขึ้น ลุกมาเรียนเรื่องใหม่ๆ ท�ำอะไรสนุกๆด้วยตัวเอง เพลาความคาดหวังที่มีต่ออีกฝ่ายที่ อยากให้มายุ่บยั่บในชีวิต (แกอยากไปไหน อยากท�ำอะไร เชิญ!) ปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ อื่นๆ อยู่กับเพื่อนฝูง คุยกับที่บ้านมากขึ้น หาเพื่อนใหม่ การผูกขาดโหมดสังคมไว้กับ แฟนก็ลดลง และ ภาวะ ปล่อยวาง ก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย และในที่สุดก็พบสันติในเรื่องนี้ ซักที ฟิ้วว เหนื่อยมาตั้งนาน มันไม่ใช่เรื่องเล่าปากต่อปาก ที่ฟังแล้วจะค้นพบทางออกได้เป็นปอกกล้วยเข้า ปาก ฟังได้ก็แค่ฟัง หากคิดจะออกจากวังวนต้องแหวกว่ายเองล้วนๆ ค่ะ รู้ได้เฉพาะตน จริงๆ แต่ส�ำหรับดิฉันแล้ว แค่จัดสัดส่วนให้เรื่องพรรค์นี้ มีเปอร์เซ็นต์ความสนใจต�่ำๆใน ชีวิต แล้วเพิ่มส่วนอื่นๆที่เกี่ยวข้องแต่กับตัวเองให้มากๆ (เพราะตัวเองคือคนที่เจ้ากี้เจ้า การได้มากที่สุด ควบคุมง่ายที่สุด) เพิ่มส่วนของชีวิตส่วนรวมเข้าไปบ้าง เผื่อจะได้ภาพ รวมของความทุกข์ร้อนของคนอื่นๆบ้าง จะได้ไม่คิดว่าโลกนี้มีแต่เราคนเดียว ก็ท�ำให้ ปัญหาความสัมพันธ์ไม่มาจับชีวิตเราเหวี่ยงให้หกคะเมนตีลังกาอีกต่อไป และพร้อมจะ เผชิญหน้ากับปัญหาใหม่ๆให้เราได้เติบโตในมิติอื่นๆบ้าง
บรรณาธิการผัก
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
สารบัญ ห่าง -1#สปชก็เช่นกัน -2เธอส�ำหรับฉันเป็นยังไงน่ะเหรอ ? -9Relation-check - 10 โอบกอดฉันไว้ด้วยความรัก และผลักไสฉันให้จมกับความชัง - 17 ในไร่ข้าวโพด - 18 เธอกับฉัน และความรักก็เช่นกัน - 20 ด้าย - 22 ปวดกบาล - 27 เมื่อผมมีความสัมพันธ์กับความปราถนาของตัวเอง - 28 -
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
จดหมายถึงอา - 32 ใน - 36 เกลียด.......... - 52 เดซิเบลร้าวราน - 54 เรื่องสั้นมาก - 57 ฝัน - 63 ไม่อาจ - 68 สวนสาธารณะวันนี้ไม่สวยเท่าเมื่อวาน.... - 69 _______________ - 70 -
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
รายชื่อผู้จัดท�ำจุลสาร บรรณาธิการบริหาร: จิราวัฒน์ รงค์ทอง บรรณาธิการบทความ: ณษร พรหมแตง ศุภรดา เฟื่องฟู ฝ่ายศิลป์: การัณยภาส ภู่ยงยุทธ์ ออกแบบปก: จิราวัฒน์ รงค์ทอง พิสูจน์อักษร: ชนมน วังทิพย์ ปฐมพงศ์ กวางทอง
เครดิตรูปภาพและฟอนต์ Pic Credit:
clipartist.net dailyfreepsd.com wikipedia.org, pexels.com unsplash.com pixabay.com the100.ru wiki.uiowa.edu wordpress.com bookshelfporn.com
Font Credit: Kaniga Paaymaay Aksaramatee Sitka Footlight MT
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
ห่าง มีใครซักคน รอกันและกัน เหมือนฟ้ากับดิน ต่างต่างกันไป
บนพื้นที่ว่าง เป็นห่วงเหลือเกิน คือเส้นด้ายถัก ถมช่องเปล่าว่าง มีคนสองคน ตามกันและกัน ใช้รักท�ำทาง ลดความห่างไกล
รออยู่ตรงนั้น บนพื้นที่ห่างไกล เหมือนหินกับทราย ห่างไกลเหลือเกิน ที่ห่างที่เหิน ห่วงคนเดินทาง เป็นรักเลือนราง วางรักให้เต็ม
บนความห่างนั้น กลางความห่างไกล ถมสร้างที่ใหม่ ให้สองใจใกล้กัน
เก้าอี้ไม้
1
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
#สปช. ก็เช่นกัน โดย เดี๋ยวนะ...ขอนึกก่อน
ก็เช่นกัน.
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
เด็กชาย : สวัสดีฮะ วันนี้จะมาพูดเรื่องอะไรกันฮะ? บี : เรื่องความก้าวหน้าหรือเปล่าครับ เรื่องเดินหน้งเดินหน้าอะไร แบบนี้ เห็นเขานิยมพูดกันบ่อย ๆ เด็กหญิง : เปล่าค่ะ วันนี้เป็นเรื่องความสัมพันธ์ เด็กชาย : เออ ได้จังหวะเลย ฉันสงสัยใจจะขาดอยู่แล้วว่าชื่อพวกเรา มันมีความสัมพันธ์กันยังไง บี : ผมคิดว่าเราเคยอยู่ด้วยกันมาก่อนนะ ที่ดินแดนใดสักแห่ง เด็กหญิง : ใช่ดินแดนแห่งความรักหรือเปล่าคะ? เด็กชาย : ไม่ยักจ�ำได้ว่าเคยไปที่แบบนั้นด้วย บี : ไม่มั่นใจ พวกเธอล่ะจ�ำได้ไหม? เด็กหญิง : แล้วบีล่ะจ�ำได้ไหม? เด็กชาย : ไม่เห็นจ�ำได้เลยบี บี : ผมว่าเนื้อมันดูมั่ว ๆ ชอบกลนะครับ เด็กหญิง : เพื่อให้ดูมีสาระ ขอถามเลยแล้วกันค่ะ คิดว่าความรักจริงๆ แล้วคืออะไรคะ? บี : ผมคิดว่าความรักเป็นสิ่งสวยงามนะ เด็กชาย : ใช่ครับ ความรักของคนสองคนเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่ากลุ่มคน หลายคนอีก เห็นว่าท�ำวงแตกได้เลยนะครับ เด็กหญิง : อ้าว ที่วงแตกนี่ไม่ใช่เพราะเรื่องเงินเหรอคะ บี : ไหงมันกลายเป็นเรื่องวงแตกได้วะครับ มรกต : เค้าก็ไม่รู้เหมือนกันนะ บีของเค้า เด็กชาย : หนะ... น่ากลัวชะมัด เปลี่ยนเรื่องเถอะ ปริ่ม : เอ่อ ขอโทษครับ ผมไม่ได้ชื่อบี มรกต : จ้า ๆ เอาที่บีสบายใจเลยนะจ๊ะ 3
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
เด็กชาย : เอ่อ พูดถึงเรื่องความรักแล้ว มีใครอยากเสนออะไรเพิ่ม เติมไหมฮะ ถ้าไม่มี ผมจะขอเปิดประเด็นเองล่ะนะ ปริ่ม : เดี๋ยว ๆ นึกขึ้นได้ประเด็นนึง นอกจากความรักจะท�ำให้วง แตกแล้ว ความรักยังท�ำให้ไม่มีที่จอดรถด้วย มรกต : เอ๋? ท�ำไมล่ะคะ? ปริ่ม : คือว่ามันมีคนรักกันมากแล้วก็สร้างสิ่งก่อสร้างหลายเหลี่ยม... มรกต : อ้อ หอพักหญิงทรงแปดเหลี่ยมสินะคะ? ก็เข้าใจล่ะค่ะว่าที่ ตรงนั้นมันออกจะแย่งที่จอดรถตรงอ.มช. จนสุดท้ายเขาเลยห้ามเอา รถเข้ามาเลย แต่ว่ามันก็เป็นหอพักหญิงที่ดีนะคะ อย่างน้อย สถาปัตยกรรมมันก็สวยดีกว่าหอรูปตัวเอช ปริ่ม : ผมคิดว่าผมไม่ได้หมายถึงหอนั้นนะ... เด็กชาย : อ้อ งั้นก็ต้องเป็นหอรูปสายฟ้าสินะครับ ? ก็เข้าใจล่ะครับ ว่าที่ตรงนั้นมันออกจะแย่งที่จอดรถตรงอ.มช. จนสุดท้ายเขาเลยห้าม เอารถเข้ามาเลย แต่ว่ามันก็เป็นหอพักที่ดีนะครับ อย่างน้อย สถาปัตยกรรมมันก็สวยดีกว่าหอรูปตัวเอชนะ ปริ่ม : มะ... ไม่ใช่ครับ ผมหมายถึง... เด็กชายและมรกต : ตึกของคณะสถาปัตย์ฯ ใช่ไหมคะ/ครับ? ตึกนั้น ก็เข้าใจว่า... ปริ่ม : อันนั้นมันเป็นทรงกระบอกโว้ยครับ พอกันที ไม่อยากให้พูด ขนาดนั้นก็ไม่พูดก็ได้ เด็กชาย : ไหน ๆ ก็พูดเรื่องหอแล้ว ได้ยินมาว่าหอพักไม่พอใช้นี่ครับ มรกต : ใช่ ๆ เห็นว่าปรับปรุงอะไรกันใหม่ไม่รู้ค่ะ วุ่นวายไปหมด ตอนที่เขาไม่อยู่ก็ไม่รู้จักท�ำด้วยนะคะ ปริ่ม : เห็นว่าไม่มีงบไม่ใช่เหรอ เลยไม่ได้ท�ำน่ะ 4
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
เด็กชาย : ถ้าวางแผนจะท�ำล่วงหน้าล่ะก็ ยังไงก็คงมีงบล่ะมั้งฮะ มรกต : เค้าว่าอาจจะไม่มีความคิดปรับปรุงตั้งแต่แรกแล้วก็ได้ค่ะ หอพัก จากห้าสิบปีที่แล้วมันก็ฟังดูวินเทจดีนะ ปริ่ม : เอ้อ หอที่ท�ำให้คนมีคุณภาพชีวิตเท่าห้าสิบปีที่แล้วนี่มันคงไม่แค่ ฟังดูวินเทจแล้วล่ะมั้ง เด็กชาย : ไม่เอาสิฮะ ไปว่าเขาเสีย ๆ หาย ๆ แบบนั้นได้ยังไง ผมก็เห็น ว่ามีการปรับปรุงมาโดยตลอดเลยนะ อย่างคาราโอเกะที่มีแต่เพลงเก่าจน เด็กร้องไม่ได้เงี้ย ห้าสิบปีที่แล้วไม่ใช่มีคาราโอเกะซักหน่อย แล้วไหนจะยัง อินเทอร์เน็ตไร้สายอีกล่ะ ปริ่ม : นอกจากจะไร้สายแล้ว บางครั้งยังไร้ความเร็วด้วยนะ มรกต : ไร้ความเร็วแบบรถขนส่งหรือเปล่าคะ เด็กชาย : อันนั้นช้ากว่ามากฮะ อย่าเอามาเปรียบเทียบกันเลย ยิ่งเอา รถไปให้แต่คนจีนนั่งยิ่งแล้วใหญ่ ปริ่ม : ก็เพราะว่าหอในเป็นแบบนี้น่ะล่ะ หลายคนที่พอจะมีเงินมีทองก็ เลยออกไปอยู่กันรอบนอก แล้วก็ขับรถเข้ามา มรกต : พอตอนแปดโมงเช้า ถนนก็รถติดเหมือนปลาโดนช็อต ลอยอืดเป็นฝูง เด็กชาย : แล้วก็แก้ปัญหากันโดยหาทางกันรถเข้า เพราะไม่มีที่จอดรถ ไม่ได้ตระหนักถึงตัวปัญหาที่แท้จริงกันเลยสินะ ปริ่ม : ซึ่งมันก็คือหอหลายเหลี่ย... เด็กชายและมรกต : อ้อ นี่ก�ำลังหมายถึงหอ... ปริ่ม : ไม่ใช่โว้ย เลิกเซ็นเซอร์โดยการตัดบทกันได้แล้ว มรกต : อันที่จริง ถ้าขาดแคลนที่จอดรถขนาดนั้น เราก็น่าจะขับรถไปทิ้ง ไว้ตรงสวนดอกนะคะ เห็นว่าแถวนั้นมีที่จอดรถขนาดใหญ่โตมโหฬาร อลังการดาวล้านดวง แถมมีแบล็กแคนยอนด้วย มิ้งมุ้งฟรุ้งฟริ้งแบบฝุดๆ 5
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
เด็กชาย : มีแม็คฯ ใต้ที่จอดรถด้วยครับ สุดยอดไปเลย ปริ่ม : เออ ผมก็ลืมคิดไปเลยว่าเขาคงให้คนที่หาที่จอดรถตรงแถว ๆ อ.มช.ไม่ได้ไปจอดรถตรงนั้นแทนแล้วเดินมาเรียนเอา มิน่า คนออก นโยบายนี่ช่างฉลาดเฉียบแหลมอะไรขนาดนี้ คิดรองรับไว้หมดแล้ว ผมนี่คาดไม่ถึงจริง ๆ เด็กชาย : แถมได้เดินเยอะ ๆ ก็จะยิ่งมีสุขภาพดีด้วยนะครับ สมกับที่สนับสนุนให้มีสุขภาพที่ดีกันมาตั้งนานหลายปี เพิ่งเห็นอะไรที่ เป็นรูปธรรมก็วันนี้เอง มรกต : โอ้โห สุดยอดจริง ๆ ค่ะ สร้างหนึ่งทีมีความดีหนึ่งสอง ประการเลยนะคะเนี่ย ปริ่ม : ไม่ได้เรียกว่าสิบสองเหรอครับ เด็กชาย : เอ่อ คือเมื่อกี้มันก็มีแค่หนึ่งกับสองประการจริง ๆ ล่ะฮะ ผมว่านะ มรกต : ใช่ค่ะ ที่จอดรถหนึ่งสองประการ พูดถูกแล้วค่ะ ปริ่ม : ผมว่ามันฟังดูแปลก ๆ นะ เด็กชาย : ไม่แปลกเท่าสมัชชา...รรมหรอกฮะ มรกต : เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะคะ ได้ยินไม่ถนัดเลย ปริ่ม : อ้อ เขาบอกว่าสมัชชาบุญกรรมอะไรไม่รู้ฮะ ชื่อแปลก ๆ แบบ นี้สงสัยเป็นลัทธิใหม่แน่ ๆ มรกต : พูดถึงลัทธิใหม่ เรารู้จักลัทธิศาสนาพุทธใหม่ด้วย เห็นว่า เหมาะกับคนรุ่นใหม่ เรียกว่าพุทธอินดี้มั้งคะ เด็กชาย : อินดี้แบบฮิปสเตอร์รึเปล่า? มรกต : เห็นว่าเจ้าลัทธิอินดี้กว่าฮิปสเตอร์อีกเจ้าค่ะ มีสาวกติดตาม เต็มไปหมด ท่านไปที่ไหนพร้อมสาวกก็มีแต่คนเอาเงินมาให้ บางที
6
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
ท่านก็ไปพร้อมเอาข้าวไปแจกญาติโยมก็มีนะคะ ปริ่ม : ฮาร์ดเซลล์ยิ่งกว่าตูอีก เรียกว่าบุญเดลิเวอรี่เลยนะเนี่ย สมกับ เป็นความคิดคนรุ่นใหม่จริง ๆ เด็กชาย :พูดถึงเรื่องการขาย ผมเคยได้ยินระบบขายตรงบุญด้วยนะฮะ เหมาะกับคนรุ่นใหม่กว่าอีก เพราะพวกเขาชอบแสวงหาอิสรภาพอะไร สักอย่าง ถ้าเป็นกรณีนี้ก็น่าจะเป็นอิสรภาพทางการบุญก็ได้นะฮะ? ปริ่ม : เอ่อ ผมแนะน�ำว่าให้ใช้ระบบแบ่งปันผล... เอ้อ หมายถึงแบ่ง ปันบุญน่าจะดีกว่านะครับ ชื่อฟังดูแล้วปรองดองดี เด็กชาย : บุญใครท�ำคนนั้นก็ได้สิครับ มันต้องเป็นระบบสัมปทาน... เอ้อ ผมหมายถึง เราควรไปถวายสังฆทานกันบ่อย ๆ น่ะฮะ ไม่ใช่ว่า รอให้พระท่านเดินเอาข้าวมาเทถึงที่แล้วค่อยจ่ายเงิน มรกต : จะยังไงก็ช่างเถอะค่ะ เห็นศาสนาพุทธของเราแตกเส้นแตก สายแบบนี้แล้วก็ไม่ค่อยสบายใจค่ะ อยากเห็นว่าปรองดองกัน นี่ก็ ศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดแล้ว มาเถียงกันอยู่อย่างนี้ก็ไม่น่าจะดี ปริ่ม : สรุปว่านี่เราก�ำลังคุยกันเรื่องระบบการท�ำบุญในศตวรรษที่ยี่สิบ เอ็ดสินะครับ ไม่เห็นรู้เรื่องมาก่อนเลย แล้วเรื่องความสัมพันธ์ผมหาย ไปไหนแล้วเนี่ย เด็กชาย : ไม่เป็นไรหรอกฮะ ความสัมพันธ์กับความปรองดองมันก็คง เรื่องเดียวกันแหละมั้ง? มรกต : คิดว่าเรานอกเรื่องกันมาตั้งแต่เรื่องความรักแล้วนะคะ ปริ่ม : ใช่ นอกเรื่องจนกู่ไม่กลับ เด็กชาย : งั้นเราก็ตัดจบกันแบบไร้เยื่อใยกันเถอะ
7
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
“Friendship is a single soul dwelling in two bodies.” -Aristotle -
8
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
เธอสำ�หรับฉันเป็นยังไงน่ะเหรอ ? เป็นระยะห่างจากระดับสายตาฉันขึ้นไปหนึ่งไม้บรรทัดพอดี แล้วก็เป็นคนที่ท�ำลายระยะห่างหนึ่งไม้บรรทัดนั้นด้วยการก้มลงมา เองทุกที เป็นคนขี้แกล้งที่โคตรจะบ้าพลัง แล้วก็เป็นคนที่แตะต้องฉันอย่างเบามือและระมัดระวังที่สุดอยู่ดี เป็นคนหน้ามึนๆที่บอกว่าไม่ชอบยิ้มยิ่งกว่าอะไร แล้วก็เป็นคนที่ยิ้มกว้างๆให้ฉันบ่อยกว่าใคร เป็นคนที่คอยบอกว่าแสนจะไร้ความรับผิดชอบ แล้วก็เป็นคนที่คอยถามคอยดูแลในเรื่องเล็กๆน้อยๆด้วยความใส่ใจ เป็นคนบ้าๆที่แทบจะไม่ยอมพูดอะไร แล้วก็เป็นคนที่สื่อสารด้วยสายตาและการกระท�ำได้ดีกว่าใครๆ เป็นคนที่บ่นว่าหมั่นไส้ฉันบ่อยเท่าที่จะบ่นได้ แล้วก็เป็นคนที่คอยกอดคนน่าหมั่นไส้อย่างฉันแน่นๆไว้ทุกทีไป เป็นคนที่เต็มไปด้วยเรื่องราวที่ยากจะเข้าใจไหว แล้วก็เป็นคนที่ยอมอยู่ข้างๆคนที่ซับซ้อนยุ่งยากพอๆกันอย่างฉัน อย่างสบายใจ เป็นความสัมพันธ์ที่ยากจะนิยาม แล้วก็เป็นความพิเศษที่ฉันชอบยิ่งกว่าอะไร เป็นความสุขที่ไม่รู้ว่าจะหลุดลอยไปเมื่อไหร่ แล้วก็เป็นความกล้า ที่คอยบอกฉันว่าสุดท้ายแล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะไม่เป็นไร
Beloved 9
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
Relation-check โดย ปากกาขนไก่
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
คุณคิดว่า คุณมีความรักมากพอหรือยัง?
สวัสดีครับ ผมนายเติมเต็ม ผมเป็นนักประดิษฐ์หัวใสคนหนึ่ง ตอนนี้ผมได้รับภารกิจพิเศษในการสร้างสิ่งที่สามารถวัดความรักได้ เนื่องจากอัตราการหย่าร้างของประชากรในประเทศมีมากขึ้น ทางรัฐบาลจึงเร่งหาวิธีแก้ไขเพื่อลดอัตราการหย่าร้างให้ลดลง ผมจึงได้ รับโจทย์ให้ประดิษฐ์ ”เครื่องวัดความรัก” ขึ้นมา ดูจะเป็นโจทย์ที่ยาก แต่นั่นไม่คณามือผมหรอก ใช่! ผมสร้างมันส�ำเร็จ ก็วันหนึ่งผมดันได้ไปอ่านนิยายรักน�้ำเน่าเข้าเล่มหนึ่ง มันบอกไว้ว่า......เวลาที่เราได้อยู่ใกล้คนที่เรารัก หัวใจเราจะ เต้นเร็วมากมาก... แล้วผมก็ดันไปคิดเอาเองว่า...แปลว่าถ้าหัวใจเต้นมากแค่ไหน แปลว่ารักมากแค่นั้น ผมท�ำให้เครื่องนี้ตรวจสอบอัตราการเต้นของหัวใจ โดยผ่านการ ทดสอบกับคนกลุ่มหนึ่งแล้ววางเกณฑ์เอาไว้ ไม่นานมันก็ถูกน�ำออกมาใช้ รัฐบาลออกกฎหมายควบคุมการ จดทะเบียนสมรส คู่ใดที่อยากจะจดทะเบียนสมรส ต้องผ่านการตรวจ วัดความรักเสียก่อน
หากคู่ที่ได้ไม่ผ่านเกณฑ์ จะไม่อนุญาตให้จดทะเบียนสมรส
11
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
ผลที่ได้เป็นที่น่าพอใจอย่างมาก อัตราการหย่าร้างลดลงทันตา... แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า อัตราคนจดทะเบียนสมรสก็ลดลงตามไปด้วย เรียกได้ว่าหลังจากบังคับใช้ มีคู่ที่จดทะเบียนสมรสแค่หลักหน่วย ปัญหามันอยู่ที่ค่าความรักที่วัดได้ของเกือบทุกคู่นั้นไม่ผ่านเกณฑ์ ที่เลวร้ายเข้าไปอีกคือบางคู่ที่แต่งงานกันไปแล้วอยากลองวัด พอวัดแล้ว ผลไม่ผ่านเกณฑ์ ก็พลอยทะเลาะกัน และเลิกกันตามล�ำดับ ในใจผมไม่ได้ ทุกข์ร้อนอะไร ดีเสียอีก...ถ้าพวกคุณรักกันไม่พอ เดี๋ยวแต่งกันไปไม่นาน ก็เลิกอีก แต่รัฐบาลไม่เห็นด้วย...การที่อัตราการจดทะเบียนสมรสลดลง จนน่าใจหายนี้ท�ำให้เกิดมาตรการลดหย่อนที่ตามมา ได้มีการลดเกณฑ์ มาตรฐานลงมาโดยที่ไม่ปรึกษาผม ผมนั่งรอดูผล แต่มันก็ท�ำผมอึ้ง เพราะแม้จะมีคู่สมรสที่สามารถ จดทะเบียนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย(มากๆ) แต่อัตราการหย่าก็ไม่มีความกระ โตกกระตากใดๆ ผลส�ำรวจจากส�ำนักหนึ่งบอกว่า ที่อัตราการจดทะเบียน สมรสยังไม่ค่อยเพิ่ม ส่วนหนึ่งมาจากหลายคู่นั้นตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตคู่ ด้วยกันโดยไม่จดทะเบียนสมรส เพราะเกรงว่าหากวัดค่าความรักไม่ผ่าน แล้วจะต้องแยกทางกันเหมือนหลายคู่ จึงเกิดการกระตุ้นอีกครั้ง...คราวนี้ถึงขั้นตั้งรางวัล หากใครจด ทะเบียนสมรสจะแจกตั๋วเครื่องบินไป Honey moon ที่ฮาวาย คราวนี้ดู เหมือนจะคึกคักเป็นพิเศษ มีหลายคู่มาเพื่อหวังรางวัล แล้วก็ต้องพลาด หวังไปตามๆกัน ทุกมาตรการที่เกิดขึ้นไม่ได้ช่วยอะไร ในมุมมองผมมันดูแย่ลง กว่าเดิมเสียอีก ไม่ได้!! ผมต้องรู้ให้ได้ว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน?? 12
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
“พลาดของรางวัลเลย” เสียงโวยวายดังขึ้น ขณะที่ผมก�ำลังจะ เดินขึ้นไปบนที่ว่าการอ�ำเภอ “แล้วจะให้ฉันท�ำยังไงล่ะ” ฝ่ายสามีเริ่มไม่พอใจ “ก็เพราะแกนั่นแหละ ถ้าแกรักฉันมากกว่านี้ก็ได้ไปฮาวายแล้ว” อีกฝ่ายเถียง “ที่ผ่านมาฉันยังรักแกไม่มากพอใช่ไหม? ได้ งั้นเลิกกัน” “เลิกก็เลิกสิ ฉันจะได้หาคนใหม่ที่รักฉันมากๆ ฉันจะได้ไปฮาวาย สักที” ผมมองตามคู่นั้นไปอย่างสะเทือนใจ นี่คือผลที่ได้จากสิ่ง ประดิษฐ์ของผมหรือเนี่ย? “ไม่เป็นไรหรอกนะ” ผมหันไปมอง “แต่ผมท�ำไม่ได้อีกแล้ว” ฝ่ายสามีเดินคอตกออกมา “ไม่เห็นเกี่ยวเลย จดหรือไม่จดเราก็ยังรักกันเหมือนเดิมนี่” ภรรยาพยายามปลอบใจ “แต่ผมอยากพิสูจน์ให้คุณรู้ว่าผมรักคุณมากแค่ไหน?” แววตา ของเขานั้นเศร้าเหลือเกิน แต่รอยยิ้มของฝ่ายภรรยากลับท�ำให้เขา เปลี่ยนแววตาทันที “งั้นก็มาพยายามด้วยกันนะ” ............................................................. “ไม่ใช่แค่นั้นนะครับหลายคนถึงกับจะท�ำลายเครื่องเลยล่ะ” นายทะเบียนบอก “ขอบคุณมากครับ” ผมจดข้อมูลลงสมุด แล้วลากลับมา
ตลอดทางผมนั่งคิดมาตลอดว่า...ผมท�ำอะไรผิดไปหรือเปล่า 13
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
ผมลืมนึกถึงเรื่องสภาพร่างกายของผู้ได้รับการทดสอบ รวมถึงสภาวะ ทางจิต ความเครียดและความวิตกกังวล...?? อาจเพราะผมไม่เคยมี ความรักด้วยมั้ง บ้าไหมล่ะ...ให้คนที่ไม่เคยรู้จักกับความรักอย่างผม มาสร้าง เครื่องมือวัดความรัก คิดแล้วก็เศร้า...เลยแวะร้านเหล้าเสียหน่อย ผมเดินเข้ามานั่งโต๊ะประจ�ำ บรรยากาศรอบๆดูอึมครึมขนาดนี้ ไปตั้งแต่เมื่อไร ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นสถานที่ที่คนมีคู่มาเที่ยวด้วยกัน แต่ วันนี้ทุกโต๊ะล้วนเต็มไปด้วยความเดียวดาย...นี่ผมไม่ได้มาที่นี่นานแค่ ไหนแล้วเนี่ย?? “พี่เมามากแล้วล่ะครับผมว่า” เด็กเสิร์ฟกล่าวเมื่อลูกค้าคนหนึ่ง ขอเหล้าเพิ่ม “พี่มีจ่ายหรอกน้อง...” อีกฝ่ายตอบกลับมา “แต่พี่จะกลับบ้านไม่ได้นะครับ” “ไม่เป็นไรน้อง...เดี๋ยวพี่คุยให้” ผมเสนอตัว ด้วยความสอดรู้สอดเห็น “คุณเป็นใคร...” เขาถามผม “ไม่ส�ำคัญหรอกพี่ ผมแค่เห็นพี่ดูเศร้าเลยอยากช่วย” ผมยิ้ม “ช่วยอะไร คุณจะช่วยอะไรผมได้” เขากล่าวพลางยกแก้วขึ้น กระดกแต่มันหมดแล้ว “เราคบกันมาตั้งสิบกว่าปี...มีหลายความฝันที่เราอยากจะท�ำ ด้วยกัน เราฝันว่าจะมีลูก อาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กๆหลังหนึ่ง ใช้ชีวิต อย่างมีความสุข” เขาเว้นเพื่อเช็ดน�้ำตา “ผม...ผมไม่คิดเลยว่าแค่เพราะตรวจวัดค่าความรักไม่ผ่าน เธอ จะถึงกับขอเลิก ให้ตายเถอะ!! ใครมันเป็นคนคิดเครื่องบ้าๆนี้วะ” ผมถึง กับหน้าซีด 14
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
ผมมองอีกฝ่ายอย่างสงสาร เขาปาดน�้ำตา อาการเมาแทบจะ สร่างไป “ผมยังจ�ำวันแรกที่ผมตกหลุมรักเธอได้...ตอนนั้นหัวใจผมเต้น ผิดจังหวะ จะว่าเร็วก็ไม่ใช่ จะว่าช้าก็ไม่เชิง ตอนนั้นโลกเหมือนหยุด หมุน นั่นอาจเพราะผมอยากหยุดเวลาไว้ตรงนั้น...แม้ว่าพอคบกันมา นานๆแล้วอาการนั้นมันจะหายไป แต่ผมกลับยิ่งมีความสุขทุกครั้งที่ได้ อยู่ใกล้ๆเธอ มีความสุขทุกครั้งที่เธอยิ้ม ห่วงเมื่อห่างกัน ...ผมไม่เคย คิดถึงวันนี้เลย” เขาร้องไห้อย่างไม่อาย นี่ผมท�ำอะไรลงไปนะ มันกลายเป็น เครื่องมือที่ท�ำให้คนเลิกกัน...ผมนี่มันโง่จริงๆนะ ดันไม่รู้ว่าอาการพวก นั้นจะมีระยะในการเกิดแค่ช่วงแรกๆ สรุปง่ายๆคือครั้งนี้ผมล้มเหลว... “ผมว่าเธอคงดีใจที่ได้ยิน” ผมยื่นโทรศัพท์ของเขาที่ขึ้นสายค้างอยู่ เขามองชื่อที่ปรากฏบนหน้าจออย่างตกใจ ผมพยักหน้าพลาง ยิ้มเขาจึงน�ำมันขึ้นแนบหู “ตัวเอง...ได้ยินหมดแล้วเหรอ?” สีหน้าของเขาค่อยๆเปลี่ยนไป น�้ำตาเริ่มไหลเป็นทางอีกครั้ง แต่แววตานั้นไม่ได้แสดงถึงความเสียใจ เลยแม้แต่น้อย “รักสิ ยังรักเหมือนเดิม” เขากล่าวทั้งน�้ำตา “กลับมาคบกันเหมือนเดิมนะ” ผมสบายใจแล้ว...สุดท้ายเรื่องราวทั้งหมดมันก็กลับมาที่ปัญหา เพราะผมไม่เคยมีความรักนี่เอง คืนนี้ผมคงไปนั่งคิดรุ่นปรับปรุง อาจจะ 15
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
วัดจากรอยยิ้ม หรือไม่ก็ฮอร์โมน หรือฟีโรโมนที่หลั่งสารประเภทความ สุขออกมา... ฮ่าๆๆ แบบนั้นผมก็เข้าสู่เส้นทางเดิมน่ะสิ ผมก็เพิ่งจะได้เข้าใจว่าความรักน่ะมันไม่ใช่คณิตศาสตร์ ไม่ใกล้ เลยด้วยซ�้ำ เราไม่สามารถเอาอะไรมาวัดได้หรอก เรื่องนี้มีแค่คนสองคน เท่านั้นที่รู้สึกได้ มันก็เหมือนเวลาเราเจอเรื่องที่มันตลกมากๆ แต่พอเล่า ให้คนอื่นฟังกลับเงียบกริบ นั่นแหละความรัก...หากไม่เจอกับตัวคงไม่รู้ แม้วันนี้ผมจะยังไม่พบเจอมัน แต่ผมก็รู้สึกได้แล้วว่ามันอยู่ไม่ไกล บางทีแค่ผมหันหลังกลับไปก็อาจจะเจอแล้ว หากคุณเป็นคนหนึ่งที่มักตั้งค�ำถาม หรือถูกตั้งค�ำถามว่า....รักมากแค่ไหน? ขอให้รู้ไว้เลยว่า...แค่เรารู้สึกรัก มันก็มากเกินกว่าจะเรียกว่าน้อยแล้ว
16
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
โอบกอดฉันไว้ด้วยความรัก ผลักไสฉันให้จมกับความชัง
ยามเมื่อเธอรัก ยามเมื่อเธอรัก ยามเมื่อเธอรัก ยามเมื่อเธอรัก ยามเมื่อเธอรัก ยามเมื่อเธอรัก
เธอโอบกอดฉันไว้ด้วยความรักพิสุทธิ์ เธอโอบกอดฉันด้วยสองแขนอันอบอุ่นของเธอ เธอปกป้องฉันด้วยอ้อมอกของเธอ ฉันไม่เคยต้องการอะไรมากไปกว่าเธอ รักของฉันคือรักของเธอ รัก รัก รัก ....
ยามเมื่อเธอชัง เธอโอบกอดฉันด้วยความเย็นเยียบ ยามเมื่อเธอชัง เธอโอบกอดฉันด้วยสองแขนที่เย็นชาของเธอ ยามเมื่อเธอชัง เธอปกป้องฉันโดยให้ฉันปกป้องตนเอง ยามเมื่อเธอชัง ฉันไม่ต้องการสิ่งใดนอกจากรักของเธอ ยามเมื่อเธอชัง รักของฉันก็ยังเป็นรักของฉันอยู่เสมอ ยามเมื่อเธอชัง ฉันก็ยัง รัก รัก เธอ... ยามเมื่อเธอโอบกอดฉันด้วยความรัก ฉันก็สุขใจที่ได้รักเธอ ยามเมื่อ เธอชังฉันก็พึงใจที่ได้รักเธอ เธอผลักไสฉันให้จมอยู่กับความชังที่ฉันไม่ เคยรังเกียจ สายใยแห่งความรักบางๆระหว่างเราจะผูกพันแน่นหนา และไม่เคยคลายเกลียวแห่งความหนาแน่นนั้นเลย เธอผลักไสฉันลงใน ความชัง ในที่นั้นมีความรักของเธออยู่เปี่ยมล้น ฉันจึงสุขใจที่เธอโอบกอดฉันไว้ในความรัก และก็สุขใจที่เธอยังผลักไสฉันลงในความชัง เพราะว่ารัก เธอจึง ชัง เพราะเธอชัง ฉันจึงรู้ว่า เธอรักฉัน เช่นที่ฉันรักเธอ...ไม่ต่างกัน
เก้าอี้ไม้ 17
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
ในไร่ข้าวโพด
โดย กล่องใบเล็ก สวบสาบ สวบสาบ หันไป นั่นใคร! อยู่ในไร่ฉัน เรียงราย แถวข้าวโพด สูงท่วมหัว น่ากลัว เอ๊ะ! ใครกัน คิดคิดไป หูคงแว่ว แล้วท�างานต่อ สวบสาบ สวบสาบ หันไป นั่นใคร! อยู่ข้างหลัง แหวกกอ ข้าวโพด สูงท่วมหัว เจอะตาแห่งความหวัง มอมแมม เปื้อนโคลน เหม็นโฉ่ กระดิกหาง ครางหงิงหงิง ไป! ไป! มาท�าอะไรแถวนี้ เจ้าของไม่มีหรืออย่างไร ส่งเสียง ชู่ชิ่ว ไม่ขยับ กะพริบรับดวงตาใส เข้ามา คลอเคล้า โลมเลีย พันแข้งขา น่าเอ็นดู พลบค�่า เลิกงาน จากไร่ กลับบ้าน หุงหาอาหารหวานคาว เจ้าตัวน้อย ติดตาม วิ่งเห่าถาม คงหิวข้าว จับอาบน�้า ข้าวเย็นเหลือ เจือต้มกระดูก ข้าวเกลี้ยงชาม เลียน�้าจั๊บจั๊บ
18
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
รุ่งเช้า เข้าไร่ ไปท�างาน วิ่งผ่านน�าหน้ารุด หลายวันล่วง วันแล้ววันเล่า เจ้าเชื่องใจซื่อ คือรักพิสุทธิ์ ให้ข้าว น�้า ความอบอุ่น ความรัก ถักร้อยเป็นสร้อยแสนงาม ยินข่าว เขาพูดกัน คนถามหา มาหลายเดือนเพื่อนตัวน้อยหาย รุ่งขึ้น เขาโผล่มา ที่หน้าบ้าน ร้องพร�่าเรียก หูตั้ง แววตาเป็นประกาย ออกวิ่ง ฝ่าไร่ข้าวโพด ฉันตามไป พูดคุยคุ้ยถาม ถึงเวลา ต้องส่งคืน ฝืนใจลึกลึก อาลัยอาวรณ์ด้วยผูกพัน เจ้าตัวน้อย โดดโลดเต้น หางไหวไหว ยังมีใจหันมองกัน เขาโอบอุ้ม อิงแนบบ่า หันมาเห่า เสียงเศร้าสุดท้าย ผ่านหลายวัน ผันหลายเดือน เคลื่อนหมุนไป ยังคงท�าไร่ข้าวโพด ความทรงจ�า ยังหมุนวน เจ้าจอมซน ยามเกลือกกลิ้งยามลิงโลด นึกเพลินเพลิน ไร่ข้าวโพด ปลูกครานี้ จะได้กี่มากน้อย สวบสาบ สวบสาบ หันไป นั่นใคร! อยู่ในไร่ฉัน เรียงราย แถวข้าวโพด สูงท่วมหัว น่ากลัว เอ๊ะ! ใครกัน คิดคิดไป หูคงแว่ว แล้วท�างานต่อ...
19
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
เธอกับฉัน และความรักก็เช่นกัน มันไม่ง่ายเลยกว่าจะมาถึงจุดๆนี้ ที่ฉันกล้าบอกได้ว่าเราเป็นคู่รัก ที่หวานชื่นคู่หนึ่ง เก้าเดือนแล้วนับจากที่เราเริ่มคบกันเป็นแฟน อาจไม่ใช่เวลาที่ นานนัก แต่ถ้าเป็นคนตั้งท้องก็คลอดลูกไปแล้ว ฉันเพิ่งบอกเธอไปว่า ตอนแรกฉันก็ไม่คิดว่าจะคบกับเธอได้นาน จนถึงทุกวันนี้ เราเคยเลิกกันมาแล้วมากกว่าหนึ่งหน ทะเลาะกันบ่อยช่วงเดือน แรกๆ แต่ท�ำไมเราถึงกลับมาคบกันอีก “ความรักอาจไม่ต้องการความเข้าใจ แต่การรักษาความสัมพันธ์ ต้องการความเข้าใจ” เราพูดคุย ท�ำความเข้าใจกันเมื่อมีความขัดแย้ง เรารับฟังและรับ รู้ความรู้สึกของอีกฝ่าย เราต่างปรับตัวเข้าหากัน ครั้งแล้วครั้งเล่า จน ค่อนข้างลงตัวในที่สุด
แต่ก็ยังคงต้องปรับตัวต่อไปเรื่อยๆ
เราพูดคุยกันอย่างสบายใจในหลายๆเรื่อง เวลาอยู่ด้วยกันมัก รู้สึกสบายใจ เป็นตัวของตัวเอง แม้ว่าบางครั้งอาจงอนกันบ้าง เอาแต่ใจ ตัวเองบ้าง แต่เธอก็รับได้ แม้เธออาจจะดูเซ็งบ้าง แต่ก็ไม่ได้โกรธอะไรฉัน มากมาย
20
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
“ขอโทษนะที่ชอบเอาแต่ใจ ถ้ารู้ตัวจะรีบหยุด” ฉันส�ำนึกผิดกับเธอ “รู้ตัวก็ดีแล้ว จะได้ไม่ต้องพูดมาก” เธออมยิ้ม ส�ำหรับฉัน ความสัมพันธ์ที่ดี ไม่ใช่การเอาชนะ แต่หมายถึง การเสียสละต่อกันบ้าง เพื่อความสุขของทั้งสองฝ่าย
เธอท�ำให้ฉันเรียนรู้เรื่องความสัมพันธ์ได้มากมาย
“เราจะคบกันไปอีกนานเท่าไหร่” ฉันถาม “ก็อยู่กันไปแบบนี้แหละ เรื่อยๆ” เธอตอบ “นานๆนะ”
โดย รักคนลักษณ์เก้า
21
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
ด้าย
โดย Beloved
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
8.00 “หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ กรุณาติดต่อ ใหม่อีกครั้งค่ะ….” ถ้าจ�ำไม่ผิดนี่คงเป็นรอบที่ห้าพอดีส�ำหรับเช้านี้ ที่ฉันได้ฟังเสียง โอเปอเรเตอร์ไร้ชีวิตส่งเสียงเจื้อยแจ้วตอบกลับมา นี่ ‘เขา’ ก�ำลังท�ำบ้า อะไรอยู่นะ……ถึงวันนี้เราจะนัดพบกันตอนบ่ายโมงก็เถอะ อย่างน้อย ฉันก็อยากรู้ว่าเขาตื่นมาเตรียมตัวส�ำหรับนัดวันนี้แล้วหรือยัง ฉันยันตัวลุกจากที่นอนแล้วกระแทกเท้าเดินอย่างหงุดหงิดมา แปรงฟันพลางนึกโมโห ‘เขา’ อยู่ในใจ แวบหนึ่งฉันรู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อ มือซ้าย แต่ก็ยังคงแปรงฟันต่อด้วยใจขุ่นๆ ดูสิดู ขนาดยุงยังตื่นมากัดข้อ มือฉันแต่เช้า แล้วดูเขาที่ปิดเครื่องติดต่อไม่ได้สิ จะตื่นหรือยังก็ไม่รู้ ใช้ไม่ ได้จริงๆเลย………………….. “โอ๊ย!!!” ความเจ็บที่ข้อมือซ้ายแล่นปลาบเข้ามาอีกครั้ง คราวนี้ฉันสะดุ้งจนเผลอปล่อยให้แปรงสีฟันร่วงลงพื้น ฉันจ้อง มองข้อมือซ้ายของตัวเองอย่างงุนงง มันไม่ใช่ความเจ็บจากยุงกัด ไม่ใช่ แมลงหรือสิ่งมีชีวิตใดๆด้วยซ�้ำ แต่มันคือ ‘ด้าย’ ด้ายเส้นเล็กๆบางๆจาก ที่ไหนไม่รู้ที่ขมวดเป็นวงรัดรอบข้อมือฉันอยู่ ฉันไปเอามันมาพันแขนตัว เองตั้งแต่เมื่อไหร่ มันมาทั้งพันทั้งรัดอยู่อย่างนี้ได้ยังไง คิดยังไงก็คิดไม่ ออก เอาเถอะ เดี๋ยวค่อยหากรรไกรมาตัดทีหลังก็แล้วกัน
12.15 น. ฉันยืนอยู่หน้าสวนสนุก พลางพิจารณาเส้นด้ายเส้นเดิมที่พัน รอบข้อมือ ใช่แล้ว มันยังคงพันอยู่รอบข้อมือฉัน เพราะไม่ว่าจะใช้ กรรไกร ใช้คัตเตอร์กี่อันต่อกี่อันก็ตัดมันไม่ขาด ทึ้งด้วยมือก็ไม่ขาด ทั้งที่ 23
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
มันแสนจะเล็กบางขนาดนี้ ขอให้อย่ามีใครมาสังเกตแล้วหัวเราะเอาแล้วกัน ว่าเอาเส้นด้ายอะไรไม่รู้มาพันข้อมือตัวเองจนดูตลก แต่แปลกที่มันไม่ได้รัด ข้อมือฉันจนเจ็บอีกแล้ว ว่าแต่ เมื่อไหร่ ‘เขา’ จะมาเสียทีนะ ก็รู้อยู่หรอก ว่านัดบ่าย แต่มาก่อนเวลานิดๆหน่อยๆก็เป็นเรื่องที่คู่นัดที่ดีควรจะเป็นไม่ใช่ หรือยังไง
12.55 น. “มาแล้วๆ เราแวะกินข้าวมา จะบอกว่าก๋วยเตี๋ยวที่ร้านเปิดใหม่ แถวบ้านโคตรอร่อยเลย ไว้เราไปด้วยกันวันหลังเนอะ ” ‘เขา’ที่เพิ่งมาถึงคลี่ยิ้มกว้างแล้วพูดอย่างร่าเริง เห็นแล้วหงุดหงิด หงุดหงิด หงุดหงิดมาก ฉันขมวดคิ้ว “เหรอ อร่อยมากไหม รู้ไหมว่าเรายังไม่ได้กินอะไรเลย ตื่นแต่เช้า เตรียมตัวมาเจอนาย โทรหาก็ไม่ติด แล้วนี่รู้ไหมว่าเรามายืนรอตรงนี้กี่นาที แล้ว” เขาหน้าเหวอไปเกือบนาที แล้วพูดเสียงอ่อน “ใจเย็นๆก่อนสิ ขอโทษจริงๆที่ เอ่อ อะไรบ้างนะ เราลืมชาร์จ แบตมือถือ เป็นความผิดเราเอง แล้วก็ปล่อยให้เธอรอนาน เราผิดเองที่ไม่ เผื่อเวลาก่อนเยอะๆ แต่เรามาตรงเวลาจริงๆนะ เรามั่นใจว่าตอนนี้ยังไม่ บ่าย” ฉันขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม รู้สึกเจ็บแปลบๆที่ข้อมืออีกครั้ง ด้าย ก�ำลังรัดข้อมือฉันอีกแล้ว “แล้วยังไง” ฉันตวัดเสียงพาลๆ “ก็ไม่ยังไง เอาเป็นว่าเราขอโทษ เดี๋ยวเราไปกินข้าวกันก่อนดีไหม เธอบอกว่ายังไม่ได้กินอะไรเลยนี่” “ไม่ เราไม่หิวแล้ว เข้าไปในสวนสนุกกันได้หรือยัง”ฉันสะบัดหน้า หนีแล้วเดินน�ำเข้าไป ข้อมือซ้ายยังคงเจ็บแปลบๆ ใจฉันยังคงขุ่นมัว
24
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
14.20 น. “เธอเป็นอะไรหรือเปล่า ดูไม่สนุกเลย เราท�ำอะไรให้เธอไม่พอใจ หรือเปล่า” เขาขมวดคิ้วถามอย่างกังวลหลังฉันท�ำหน้าบูดบึ้งออกมาจาก เครื่องเล่นชิ้นที่สามของวันนี้ “ไม่นี่ เราพอใจมากเลยที่นายพาเราไปเล่นเครื่องเล่นเด็กน้อย อะไรแบบนั้น เราโตเกินจะนั่งในถ้วยชาหรือม้าหมุนแล้วนะ แล้วเมื่อตะกี้ นายหายไปไหนมาตอนเราไปเข้าห้องน�้ำ ไปไหน ไปท�ำอะไร ท�ำไมไม่บอก ทิ้งเราเอาไว้คนเดียวได้ยังไง นายนี่มันยังไงกันแน่นะ รู้ไหมว่านายท�ำให้เรา หงุดหงิดขนาดไหน!” ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ฉันเสียงดังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ความ หงุดหงิดสะสมท�ำให้ฉันเผลอระเบิดอารมณ์และขึ้นเสียงใส่เขาอย่างลืมตัว ด้ายรัดข้อมือฉันแน่นขึ้น แน่นขึ้นจนฉันรู้สึกแสบจนน�้ำตาแทบไหล เขานิ่ง อึ้งไปพักหนึ่ง แววตาค่อยๆหม่นลง หม่นลง ฉันเพิ่งรู้สึกตัวว่าเผลอท�ำอะไร ที่ไม่สมควรไปเสียแล้ว “เราขอโทษแล้วกันนะที่ท�ำให้เธอหงุดหงิดขนาดนี้ เมื่อตะกี้เราไป ซื้อขนมมาให้น่ะ รับไว้สิ” เขาก้มหน้าแล้วยัดขนมใส่มือฉันก่อนเดินออกไป หัวใจฉันหล่นวูบ นี่ฉันท�ำบ้าอะไรลงไปกันนะ 15.00 น. ฉันทรุดตัวลงที่ม้านั่งอย่างหมดแรง ก้มลงมองข้อมือซ้ายของตัว เองที่ถูกด้ายเส้นเล็กๆรัดจนเลือดซิบ ฉันพยายามดึงมันออกไป แต่ยิ่งดึง ก็ยิ่งเจ็บ ยิ่งดึงด้ายยิ่งรัดแน่น ท�ำไมถึงรัดแน่นขนาดนี้นะ คนโดนรัดมัน ทรมานนะไอ้ด้ายบ้า…………… นั่นสิ ท�ำไมถึงรัดแน่นขนาดนี้ล่ะ คนโดนรัดมันทรมานนะ……….. หยดน�้ำตาร่วงผล็อยลงมาแล้วรินเป็นสายอย่างหยุดไม่ได้ ท�ำไมฉันไม่รู้ สึกตัวสักนิดเลยนะ ท�ำไมฉันถึงงี่เง่าแบบนี้นะ 25
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
“เป็นอะไรไป ท่าทางร่างกายจะขาดน�้ำนะนี่ รับน�้ำเย็นๆสักขวด ไหม”สัมผัสเย็นๆแปะเข้าที่แก้ม ท�ำให้ฉันชะงักและเงยหน้าขึ้นมาเจอขวด น�้ำเย็นเจี๊ยบกับ ‘เขา’ ที่ส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้แล้วเดินอ้อมมานั่งข้างๆ “ใจเย็นลงหรือยัง” “อื้อ ขอโทษนะ” ฉันก้มหน้าตอบเสียงอู้อี้ “ไม่เป็นไร เราก็ผิดเองเหมือนกัน แต่วันหลังมีอะไรค่อยๆบอกเรา ดีๆนะ บางทีเราก็ไม่รู้หรอกว่าท�ำอะไรดีไม่ดี ท�ำให้เธอพอใจไหม” “อื้อ” เขาเอื้อมมาจับมือฉันพลิกไปพลิกมา “แล้วข้อมือเป็นอะไร เลือดซิบเชียว” “ด้ายมันรัด แกะยังไงก็ไม่ออก มันแน่นเกินไป” เขาค่อยๆแกะปมด้ายที่พันกันทีละนิดอย่างตั้งใจ พลางพูด “ไม่ได้ แน่นเกินไปซะหน่อย เธอต้องใจเย็นๆ ค่อยๆแกะ เดี๋ยวปมมันก็คลาย ดี กว่าดึงดันจะทึ้งมันออกแล้วเจ็บไปหมด” “นายเป็นนักแก้ปมด้ายสินะ” ฉันยิ้มบางๆ แล้วพูดติดตลก เรียก เสียงหัวเราะจากเขา เวลาผ่านไปไม่นานด้ายก็หลุดจากข้อมือจนได้ เขา ยื่นหน้าเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เปล่าเลย”
15.20 น. “นายเป็นนักแก้ปมด้ายสินะ” เธอยิ้มบางๆ แล้วพูดติดตลก เรียก เสียงหัวเราะจากผมได้เป็นอย่างดี เวลาผ่านไปไม่นานด้ายก็หลุดจากข้อมือเธอจนได้ ผมยื่นหน้าเข้า ไปใกล้ๆเธอแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เปล่าเลย” ผมรักที่จะดูแลเส้นด้ายบางๆแบบเดียวกับที่ดูแลความรู้สึกของ ยายตัวยุ่งแบบเธอต่างหาก แต่อันที่จริงอย่าปล่อยให้ด้ายมันพันแล้วรัด กันจนแน่นคงดีที่สุดล่ะนะ : ) 26
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
ปวดกบาล Arina ทุกวันนี้สังคมเราประหลาดนัก ทั้งรักเพศต่างกันฉันท์หญิงชาย บางคู่ก็แตกต่างไปให้สับสน อยากมีรักเหมือนคนอื่นใฝ่รอรี แต่ตอนนี้ไม่พร้อมด้วยอายุ ถึงลูกขืนไปแปลงเพศมาเมื่อใด
ทั้งเรื่องรักของหมู่ชนคนทั้งหลาย ทั้งรักใคร่ในเพศเดียวกันก็มี
จะตัดเยื่อไม่เหลือความใกล้ชิด คงจะหายจากสังคมด้วยสะเทือน เมื่อมีคนเปิดใจรับขึ้นมาก ในบางครั้งสาวสวยที่เรายล
ไม่สนิทจะเรียกลูกได้เก่าเหมือน กลัวผองเพื่อนจะถามถึงบุตรของตน
เกิดเป็นคนทนทุกข์ไปไร้สุขี หากเงินมีจะแปรเปลี่ยนให้สมใจ พ่อก็ดุแม่ก็ด่าว่าอยู่ได้ คนปวดใจคือพ่อแม่แค่กล่าวเตือน
จึงไม่ยากที่เกิดความสับสน กลายเป็นหนุ่มหน้ามนก็อึ้งไป
จะเป็นชายหรือหญิงเลือกสักอย่าง สงสารคนรอบข้างบ้างจะได้ไหม เลือกไม่ถูกจะเรียกเธอว่าอย่างไร ปวดจนไมเกรนกินกบาลพาลป่วยเอา
27
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
เมื่อผมมีความสัมพันธ์กับ ความปรารถนาของตัวเอง โดย ภีมะ
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
เธอผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เธอเป็นคนเงียบๆ เป็นคนที่จะไม่ปล่อยให้ ผมเงียบ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นเราอาจจะจมอยู่ในความเงียบตลอดความ สัมพันธ์ของเรา เรานอนข้างกัน ผมจับมือเธอไว้ เธอพูดเบาๆว่าวันนี้จะท�ำ ของโปรดให้กิน ผมถามว่าท�ำไมวันนี้ถึงอยากท�ำอาหารกินเองล่ะ เธอไม่ตอบ แต่ลุกไปเตรียมวัตถุดิบ ผมเดินไปเปิดแผ่นเสียงที่เราชอบ เป็นอัลบั้มของ Bee Gees ที่เปิดซ�้ำไปซ�้ำมาหลายร้อยรอบแล้ว ถ้าเป็นเทปคาสเซตมันก็คง ยานจนฟังแทบไม่ได้ ผมชอบเวลาที่เธอก�ำลังท�ำอาหารพร้อมกับร้องเพลง คลอไปด้วย แม้จะร้องไม่ค่อยตรงคีย์สักเท่าไหร่ก็เถอะ พอผมล้อเธอเรื่องนี้ที ไรเธอก็จะเขินตลอด แต่ถึงอย่างไรผมก็ชอบเวลาที่เราร้องเพลงด้วยกันในป่า หลังบ้าน ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว ผมดูข่าวเมื่อคืน เขาบอกว่าพายุจะเข้า คงต้องซื้อของมาตุนไว้ เวลาแบบนี้ผมเกลียดที่สุด เพราะเราสองคนจะออก ไปไหนไม่ได้ ต้องอยู่ในบ้านเหมือนหนูที่โดนแมวดักอยู่ข้างหน้ารู แต่มีคน บอกว่าฟ้าหลังฝนมักจะดีงามเสมอ นั่นก็คงจะเป็นความหวังที่ผมอยากให้ พายุผ่านพ้นไปเร็วๆ เธอท�ำอาหารเสร็จแล้ว ผมเดินไปเปลี่ยนแผ่นเสียงเป็น อีกหน้าหนึ่ง เพลงแรกของหน้านั้นมีชื่อว่า Holiday วันหยุดที่งดงามของเรา สองคน แม้เนื้อเพลงจะไม่ได้สื่อถึงอะไรพรรค์นั้นก็เถอะ วันนี้เธอท�ำซี่โครงหมู อบน�้ำผึ้ง กับลาซานญ่าผักโขม ฝีมือเธอนับว่าไม่เป็นรองใคร เสียงเพลงกับ อาหารที่อยู่ตรงหน้าท�ำให้เราสองคนมีความสุขเหลือเกิน ข้างนอกฝนเริ่ม ตกหนัก กลบเสียงดนตรีจากแผ่นเสียงของเรา ผมไม่ชอบใจเอาเสียเลย ผม เดินไปปิดหน้าต่าง พร้อมกับบอกเธอว่ารีบๆกินเถอะ คืนนี้ดูท่าจะต้องหลับ กันเร็ว เธอพยักหน้าเล็กน้อย บ้านของเราอยู่ในชนบท เวลามีพายุทีไรไฟฟ้า มักจะดับเป็นประจ�ำ และครั้งนี้ก็มีโอกาสสูง เรากินอาหารจนหมดเกลี้ยง ก่อนไฟจะดับเราต้องรีบอาบน�้ำ แน่นอนว่าบางครั้งเราก็อาบด้วยกัน ครั้งนี้ เพื่อประหยัดเวลา ไฟดับตอนเราทั้งคู่อยู่บนเตียงพอดี เธอไม่ชอบเสียง ฟ้าร้อง ผมจึงต้องท�ำเป็นเข้มแข็งเพื่อให้เธอสบายใจ ครั้งนี้เธอกอดผมแน่น กว่าที่เคย ผมกอดเธอกลับ ไออุ่นในร่างกายของเราปะทะกันอย่างรุนแรง แต่ มือเธอเย็น ไม่นานเธอก็หลับ ทิ้งเสียงกรนเบาๆราวกับลูกแมว ผมยังไม่หลับ 29
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
ดี มองไปนอกหน้าต่างขณะที่ฝนก�ำลังเทลงมา สลับกับมองหน้าเธอเป็น ระยะ ไม่ช้าผมก็ค่อยๆหลับใหล จมอยู่ในห้วงนิทราไปทั้งคืน ผมตื่นมาในตอน เช้า เธอไม่อยู่แล้ว ไม่มีแผ่นเสียงที่เราฟังด้วยกัน ไม่มีจานชามที่เราเคยใช้ ไม่มีป่าหลังบ้าน ไม่มีพายุร้าย ผมตื่นขึ้นมากลางเมืองหลวงท่ามกลางเสียง จอแจของการจราจรและห้องรกๆแคบๆ ทั้งหมดนั้นเป็นแค่ความฝัน และเธอ ก็เป็นแค่ความฝันที่เพิ่งผ่านพ้นไป ผมเศร้า.... เธอผ่านมาแล้วก็ผ่านไป รอยยิ้มกว้างๆของเธอท�ำให้ผมอารมณ์ดีได้ ทั้งวัน เธอชอบอ่านหนังสือพร้อมกับยิ้มไปด้วย ราวกับคนบ้าที่ตกอยู่ในโลก แห่งจินตนาการ เรามักจะไปออกเดทกันที่ห้องสมุด ใช่แล้วนี่คือการเดทของ เรา และมันก็เป็นแบบนี้มาตลอดตั้งแต่ที่เรารู้จักกัน เธอเดินไปเลือกหนังสือ นิยายที่เธอชอบ ส่วนผมก็เลือกหนังสือปรัชญาที่ยังอ่านไม่จบสักที เรานั่ง อ่านหนังสือข้างๆกันบนโต๊ะไม้ตัวเดิม ที่มักจะว่างอยู่เสมอ ห้องสมุดเล็กๆนี้มี แต่ความสงัดอย่างแท้จริง เนื่องจากร้างผู้คน ราวกับว่ามันเป็นห้องสมุดของ เราและป้าบรรณารักษ์สูงอายุที่ท�ำงานที่นี่มายี่สิบสองปีแล้ว เสียงที่ได้ยินก็ คงมีแต่เสียงหัวเราะเบาๆของเธอ เธอมักเล่าให้ฟังว่าเธอชอบงานเขียนของ นักเขียนคนนี้มาก เธออ่านมาครบทุกเล่มแล้ว แต่เธอก็บอกอย่างประหลาด ใจว่าท�ำไมไม่รู้ พอเธออ่านจบเล่มนึงมันก็จะมีอีกเล่มนึงวางขายเสมอ จน ตอนนี้มีงานของนักเขียนคนนี้วางขายถึงสองร้อยสิบห้าเล่มเข้าไปแล้ว และที่ ส�ำคัญในห้องสมุดนี้มีหนังสือของนักเขียนคนนั้นครบทุกเล่ม ราวกับว่ามันถูก ซื้อมาให้เธออ่านโดยเฉพาะ ผมก็ได้แต่ยิ้มให้กับการแสดงออกของเธอที่ดู เหมือนเด็กเล็กๆ เธอน่ารัก และมีเสน่ห์ เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ดูน่าค้นหาอะไร เพราะเธอเป็นคนที่เปิดเผยทุกสิ่งออกมาเอง เอาเถอะผมชอบที่เธอเป็นแบบ นี้ ตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มกลายเป็นสีส้มแล้ว หมายความว่าใกล้ค�ำ เราสองคน บอกลาป้าบรรณารักษ์ที่ก�ำลังเตรียมปิดห้องสมุด เดินทอดน่องไปด้วยกัน ช้าๆบนถนนที่เราคุ้นเคย เธอยังคงพูดไม่หยุด แต่ผมไม่ร�ำคาญเลย เดินผ่าน สวนสาธารณะที่เราเคยเจอกันครั้งแรกเมื่อสิบปีที่แล้ว ใช่ เราเคยเจอกัน ตั้งแต่ยังเด็กๆ แต่เราเพิ่งมาเจอกันใหม่และตัดสินใจเริ่มความสัมพันธ์กันเมื่อ 30
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
หนึ่งปีที่ผ่านมานี่เอง เราเลือกที่จะกลับถึงที่พักช้าลงสักหน่อย เธอเดินไปนั่ง ที่ชิงช้าเก่าๆตัวหนึ่ง ส่วนผมก็นั่งใต้ต้นไม้ มองดูเธอพร้อมกับยิ้มน้อยๆ แสง ตะวันยังคงส่องให้แสงสว่างอยู่ ท้องฟ้าช่างสวยงาม ราวกับอ�ำพัน ส่วนเธอก็ เหมือนกับผีเสื้อตัวน้อยๆที่ก�ำลังเริงร่าท่ามกลางแสงนั้น เธอหันมายิ้มให้ผม พร้อมกับตะโกนอะไรบางอย่าง แต่ผมไม่สามารถเข้าใจได้ รอบๆตัวผมเริ่มมืด ราวกับว่าผมก�ำลังหลับตาลง…. ผมตื่นขึ้นมาในห้องสมุดมหาวิทยาลัย ใช่ ผมฝันอีกแล้ว ไม่มีเธอ ไม่มีห้องสมุดเก่าๆและสวนสาธารณะ ผมเศร้าใจลึกๆ ให้กับคนที่ไม่มีตัวตนจริงๆอีกครั้ง กี่ครั้งกัน ที่ผมฝันถึงคนที่ไม่มีตัวตน ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นกับพวก เธอหลอกให้ผมมีความสุข แต่เมื่อตื่นขึ้นมา สิ่งเหล่านั้นก็แปรเปลี่ยนเป็น ความเศร้า คนที่ไม่กล้าจะเริ่มต้นความสัมพันธ์กับใครอย่างผมจะต้องถูก กลั่นแกล้งอย่างโหดร้ายต่อไปแบบนี้หรือ แต่ไม่หรอก ไม่มีใครแกล้งทั้งนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เกิดจากความปรารถนาในตัวผม สิ่งที่คอยขับเคลื่อนตัว เราทุกๆคนคือสิ่งนี้นั่นแหละ บางที่เราอาจจะต้องทนทรมานกับความฝันอัน โหดร้ายพวกนี้ไปจนกว่าจะตาย ตราบใดที่เรายังคงมีความปรารถนาในบาง สิ่งบางอย่างอยู่ สักวันคุณก็จะต้องเจอแบบผม เชื่อสิ….
31
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
จดหมายถึงอา โดย แก่ขวบ
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
สวัสดีครับอา
ผมไม่รู้ว่าอะไรเป็นเหตุผลให้ผมเขียนจดหมายถึงอา จะเป็นเพราะ ความคิดถึงหรือเปล่า ไม่น่าจะใช่สักเท่าไหร่ เพราะผมรู้ว่าครั้งสุดท้ายที่อาเห็น หน้าผมคือตอนผมยังเป็นเด็กทารก จะเป็นเพราะความช่างสงสัยหรือไม่ ผมก็ ไม่แน่ใจเหมือนกัน อาจจะใช่ก็ได้ อาไม่เคยมาเยี่ยมครอบครัวของผมมาเกือบจะ ยี่สิบปีเข้าไปแล้ว พ่อเองก็ไม่ได้พูดถึงอาหรือวางแผนจะเดินทางไปเยี่ยมเยียน เลยแม้แต่ครั้งเดียวเช่นกัน ทั้งพ่อและอาไม่ได้ติดต่อกันมานานแล้ว ผมยังพอจ�ำลักษณะใบหน้าของอาได้ อาปล่อยผมกระเซิง สวมเสื้อ แจ็คเก็ตและกางเกงยีนส์ ใบหน้าคล้ายคลึงกับพ่อมาก เพียงแต่หน้าอ่อนกว่า เท่านั้น ผมดูจากรูปถ่ายรวมญาติสายพ่อรูปนั้น ผมเองก็อยู่ในรูปด้วย แต่ว่าผม จ�ำอะไรไม่ได้เลย ตอนผมอายุสักเจ็ดขวบ ผมเคยถามพ่อของผมเกี่ยวกับอา พ่อบอกว่า อามีอายุน้อยกว่าพ่อไม่กี่ปีแต่มีลักษณะนิสัยต่างจากพ่อโดยสิ้นเชิง อาไม่ชอบ เรียนหนังสือ ไม่ชอบท่องศัพท์ภาษาอังกฤษวันละห้าค�ำ ไม่สามารถสอบเข้า มหาวิทยาลัยได้ แต่พ่อเป็นนักเรียนหนึ่งในสองคนของจังหวัดพะเยาที่สามารถ สอบเข้าคณะแพทย์ได้ พ่ออยากให้อาแข็งใจเรียนจนคว้าใบปริญญามาให้ได้สัก ใบ ผมไม่รู้ว่าความสัมพันธ์นั้นด�ำเนินไปในลักษณะใด จนกระทั่งวันหนึ่งอาบอก ว่าเรียนจบแล้ว และสัญญาว่าจะเอาใบปริญญามาให้พ่อดูเป็นหลักฐาน
แต่วันนั้นไม่เคยมี
ผมไม่รู้ว่าเหตุผลหรือความรู้สึกอะไรที่ท�ำให้อาไม่เคยกลับมาหาพ่ออีก แต่นั้นไม่ใช่เหตุผลส�ำคัญ ถึงแม้ว่าผมจะไม่เคยคุยกับอาสักค�ำเดียว และอาก็ไม่รู้ จักผมแม้แต่ใบหน้าหรือน�้ำเสียง ผมไม่เคยคิดว่าสิ่งที่อาท�ำกับพ่อนั้นเป็นเรื่อง ผิด ผมเคารพการตัดสินใจของอา เพราะในความจริงแล้วความคิดของพ่อก็ไม่ใช่ สิ่งถูกต้องเสมอไป
33
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
ตลอดทุกวินาทีที่ผมหายใจนับตั้งแต่เกิด ผมกลายเป็นลูกรักดังแก้วตาดวงใจ ของพวกท่าน ผมแทบไม่ได้ออกไปวิ่งเล่นนอกบ้าน ไม่เคยได้รับอนุญาตให้ท�ำอะไรคน เดียว ไม่เคยนั่งรถประจ�ำทางไปโรงเรียน ไม่เคยออกไปเที่ยวคนเดียว แก้ปัญหาเฉพาะ หน้าไม่เป็น ตัดสินใจช้า ล้มเหลวด้านการเข้าสังคมกับคนส่วนมาก มีเพื่อนสนิทสอง สามคนเท่านั้น นอกจากนี้ผมยังต้องแบกรับความคาดหวังของพ่อ...
นั่นคือการมีหลักประกันการมีงานท�ำ
พ่ออยากให้ลูกๆ ของพ่อมีงานท�ำที่มั่นคง ส�ำเร็จการศึกษาใมมหาวิทยาลัยที่ มีชื่อเสียง ได้ใบปริญญาเหมือนพ่อ แต่พ่อไม่เคยรู้เลยว่าความคาดหวังนั้นท�ำร้ายคน เป็นลูกมากแค่ไหน การเกิดมาในครอบครัวสายสุขภาพไม่ท�ำให้ผมหันมาใส่ใจรักสุขภาพเลย แม้แต่น้อย ในทางกลับกันมันกลับท�ำให้ผมไม่ชอบและอึดอัดทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องพวก นั้น ผมได้รับข้อมูลหนาหูเรื่องการดูแลสุขภาพ การลดอาหารเค็ม อาหารมัน แต่ผมก็ ไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างที่ว่ากันจริงๆ หรือเปล่า มันท�ำให้ผมเลือกไม่เรียนสายสุขภาพ และ หันมาเรียนวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์แทน แต่แล้วผมก็ค้นพบว่าตัวผมสนใจศาสตร์หลาย ศาสตร์ทั้งวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และศิลปะสลับกันไป เอาเข้าจริงพ่อของผมเป็นคนท�ำให้ผมสนใจทั้งสายวิทย์และสายศิลป์ แต่แล้ว พ่อกลับไม่เคยปลดปล่อยให้ลูกเป็นอิสระจากเส้นแบ่งที่ไม่มีเหตุผลของนักการศึกษา แก่ๆ ไม่กี่คน พ่อเคยพูดดูถูกผมว่า “เอาแต่อ่านนิยายประโลมโลกไปเสียเวลา” ตอน นั้นผมโกรธมาก หนังสือเล่มนั้นกล่อมเกลาให้ผมมีจิตใจอ่อนโยน แต่พ่อกลับเห็นเป็น เรื่องไร้สาระ แล้วทีนิยายก�ำลังภายในที่พ่อซื้อทุกสัปดาห์พวกนั้นประโลมแค่ประเทศ จีนใช่หรือไม่ พ่อของผมเป็นคนธรรมดา ไม่ใช่คนดีเลิศสมบูรณ์แบบ พ่อมีกรอบความคิด บางอย่างคอยตัดสินใจทุกสิ่งก่อนเสมอ ตอนผมยังเป็นเด็ก ผมเคยอยากเก่งเหมือน พ่อ แต่พอวันเวลาผ่านไป ผมอยากจะท�ำลายรั้วหนามทุกรั้วที่พ่อสร้างขึ้นมา ผมไม่
34
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
อยากเป็นเหมือนพ่อ แต่แล้วผมก็ไม่อาจหนีได้ ลักษณะนิสัยและตัวตนหลายอย่าง ในตัวผมนั้นมาจากพ่อทั้งสิ้น และสิ่งเหล่านั้นก็ท�ำให้ผมเจ็บปวด ผมอยากจะคุยกับอาสักครั้ง อยากจะรู้ตัวตนบางอย่างของพ่อที่ไม่เคย เอ่ยปากบอกใคร อยากรู้จัก ‘พ่อ’ ในฐานะ ‘คนธรรมดา’ ไม่ใช่ ‘หมอ’ ไม่ใช่ ‘ผู้ วิเศษ’ อย่างที่คนอื่นกล่าวยกย่องเยินยอสรรเสริญ อยากรู้ว่าลูกของอาจะเป็น อย่างไร มีความสุขดีใช่หรือไม่ ไม่ต้องทุกข์ร้อนกับความคาดหวังอันเกิดจาก โครงสร้างสังคมที่ไม่เท่าเทียม ในสถานที่ที่คนไม่เท่ากัน อยากจะบอกอาว่าชีวิตมัน ไม่ได้มีแค่การเรียนหนังสือ หรือการท่องจ�ำเนื้อหาอย่างไม่มีเหตุผลแล้วเอาไปตอบ ในข้อสอบ แต่ชีวิตคือความมีอิสระ ความมีเสรีภาพในทุกการกระท�ำ และไม่ เบียดเบียนคนอื่น ผมเชื่อว่าอาก็คงคิดแบบนั้นเช่นเดียวกัน อาคงไม่รู้หรอกว่าผมอิจฉาอาแค่ไหน ผมรู้ว่าอายังจ�ำชื่อเล่นที่มีหนึ่งพยางค์ชื่อนั้นได้ทันทีหลังอ่านจดหมาย ฉบับนี้ ดังนั้นผมจะไม่เปิดเผยชื่อนั้นลงไป ได้โปรดติดต่อผมผ่านทางนามแฝงท้าย จดหมายนี้นะครับ
35
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
ใน
โดย จิ้งจอกแดง ไม่ต้องมีผ้าพันคอ
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
ใน โจแอลตื่นขึ้นมาด้วยเสียงดัง “ออดๆ” ของนาฬิกาปลุกที่ส่งเสียงดังรบกวน เขาเหมือนกับในทุกๆเช้า ความร�ำคาญของเขามักจะสั่งการคอยบังคับใช้มือข้างที่ถนัด ค่อยคล�ำหาแล้วปิดมันลงซะ เขามักจะค่อยๆขยับตัวลุกขึ้นจากที่นอนอย่างเชื่องช้า ราวกับว่าเขาจงใจจะท�ำให้สปริงที่ก�ำลังท�ำหน้าที่รองรับน�้ำหนักร่างกายของเขาผ่าน ก้อนปุยนุ่นและตะเข็บรอยเย็บต่างๆส่งเสียง “เอี๊ยด...แอด” ขานรับพ้องเสียงของ นาฬิกาปลุกที่เพิ่งจะหุบเสียงเงียบไปเมื่อประมาณ 2 นาที ที่แล้ว โจแอลมองออกไป ข้างนอกหน้าต่างที่อยู่เยื้องข้างหัวเตียง ดวงตาทั้งสองข้างต่างก็ช่วยกันจับจ้องไปที่ เหล่าก้อนเมฆและดวงอาทิตย์ ถึงแม้ว่าเขาจะถูกตึกสูงตั้งตระหง่านเรียงรายจนเบียดบัง ก็ตามที ลมหายใจที่ไหลผ่านรูจมูกของเขาไปก็ค่อยๆพัดวีกลุ่มก้อนเมฆให้ลอยลอยไป ลอยมาอย่างเอื่อยๆแลดูให้เชื่องช้าชวนเบื่อหน่าย ขณะที่หูทั้งสองข้างก็ยังคงได้ยินเสียง นาฬิกาปลุกแว่ววิ้งวนค้างอยู่ในแก้วหู ส่วนปากของเขาก็เต็มไปด้วยรสชาติเปรี้ยวบูด เฝื่อนๆลิ้นอยู่นิดๆ ภายในห้องซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยอากาศที่เย็นชื้นในช่วงเช้าของวันนี้ ....เสียงของโทรศัพท์ดังขึ้นอยู่ที่โต๊ะใกล้กับประตูห้อง เขาปล่อยให้มันส่งเสียงดังรบกวน อยู่อย่างนั้นจนมันเงียบหายไป แต่เพียงช่วงอึดใจเดียวมันลั่นเสียงดังขึ้นอีกตามเคย จน ในที่สุดมันก็ท�ำให้เขาต้องลุกจากที่นอนจริงๆจังๆเสียที “โจแอลพูดอยู่..“ “เฮ...นี่ฉันเอง ฉันกะโทรมาชวนนายไปนั่งเล่นกันที่เซ็นทรั่มน่ะ” “ได้สิ...ฉันเองก็ก�ำลังอยากเจอนายอยู่พอดี” “เวลาเดิม ร้านเดิม นะเว้ย...ฉันต้องวางสายก่อนละว่ะ ต้องเข้าห้อง O.R. ก่อน” “โชคดีเพื่อน ขอบใจที่นายโทรมาว่ะ” บทสนทนาแสนสั้นเพียงไม่กี่นาทีที่โจแอลเพิ่งจะวางสายไปนั้น พอจะท�ำให้เขา รู้แล้วว่าในช่วงเช้าของวันนี้นั้น มีหนึ่งชีวิตที่ก�ำลังเร่งรีบให้ตนเองได้สมมาตรตรงกับ เวลา ในขณะที่อีกหนึ่งชีวิตนั้นเพิ่งจะย้ายก้นเหี่ยวๆลุกขึ้นจากที่นอนและกองผ้าห่ม ท�ำตัวชักช้าอ้อยอิ่ง ถ้าไม่มีเสียงโทรศัพท์ของปาสกาลที่คอยเซ้าซี้เขาเมื่อตะกี้ เขาอาจ จะทิ้งตัวลงไปนอนอีกครั้งก็เป็นได้ หลังจากที่โจแอลวางสายโทรศัพท์ไป เขาก็เดินไป
37
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
คว้ า ผ้ า เช็ ด ตั ว สี ข าวก่ อ นที่ เ ขาจะสลั ด เปลื้ อ งชุ ด นอนออกเหลื อ แต่ ร ่ า งเปลื อ ย ล่อนจ้อน โจแอลกก�ำลังจะเดินไปที่ห้องน�้ำ จู่ๆก็มีเสียงคนเคาะประตูดังค่อยๆ ประมาณ 3-4 ครั้ง เขาเหลียวกลับไปตามเสียงนั้นก็พบว่ามีกระดาษโน้ตถูกสอด ลอดผ่านช่องพื้นประตูเข้ามา โจแอลขานตอบรับตามเสียงนั้นอย่างสุภาพ ก่อนที่ เขาจะเดินเข้าห้องน�้ำไป. โจแอลอาบน�้ำแต่งตัวเสร็จสรรพจึงเดินไปหยิบกระดาษโน้ตที่ถูกวางไว้ บนพรมเช็ดเท้าหน้าประตูขึ้นมาอ่าน ข้อความที่อยู่ในกระดาษนั้นถูกเขียนโดย โต มาร์ ผู้ดูแลอพาร์ตเมนต์ เนื้อหาใจความแจ้งบอกให้โจแอลทราบว่ามีพัสดุส่งมาถึง เขา ก่อนที่จะออกจากห้อง โจแอลตรวจเช็คความเรียบร้อยของห้องก่อนที่เขาจะ ล็อกประตู ลงลิฟต์มาชั้นล่าง ทันทีที่เขาย่างก้าวออกจากประตูลิฟต์ เขากวาดก ว่ายสายตาไปที่ล็อบบี้แต่กลับไม่พบโตมาร์อยู่ที่นั่น จึงกะจะเดินวนหารอบชั้นล่าง แต่ความตั้งใจที่ก�ำลังจะก่อตัวขึ้นจากตัวเขา ก็ถูกโตมาร์หยุดชะงักไว้ทันควันทันที ที่โจแอลเห็นเขาก�ำลังถือซองสีน�้ำตาลอ่อนๆ ค่อยบังคับควบคุมสังขารแสนอิดโรย ตามความชราภาพของช่วงอายุชายแก่คนหนึ่ง ก้าวลงแท่นบันไดอย่างเชื่องช้า ขา ที่แห้งเรียวทั้งสองข้างก็สั่นเทายิกๆ แต่ละก้าวที่เขาต้องก้าวจ้วงขึ้นไปช่างดูล�ำบาก ล�ำบนเสียเหลือเกิน ทั้งที่เต็มไปด้วยความน่าเวทนาในตัวเขา เขาก็ยังจะมีกะจิตกะ ใจที่จะร้องทักโจแอลก่อน “พ่อหนุ่มๆ.....ฉันอยู่นี่” “ผมก�ำลังตามหาลุงอยู่พอดีเลยครับ เรื่องพัสดุที่บอกไว้น่ะครับ” “ก็อยู่ที่ฉันนี่แหละพ่อหนุ่ม เอ้า นี่..” เขายื่นซองสีน�้ำตาลอ่อนนั่นให้กับโจแอล โจแอลรับมันไว้อย่างสุภาพและ กล่าวขอบคุณไปตามมารยาท ก่อนที่เขาจะพูดคุยถามไถ่กันไปตามเรื่องตามราว ช่วยให้คนแก่รู้สึกหายเหงา โจแอลจึงคิดหาข้ออ้างกล่าวลาเพราะไม่เช่นนั้นคงต้อง เสียเวลายืนโก่งตัวดมละอองน�้ำลายคนแก่อยู่ครึ่งค่อนวันเป็นแน่นอน ซึ่งโจแอลก็ ดิ้นสลัดหลุดออกจากการสนทนานี้ด้วยเรื่อง “อาหารเช้า” โจแอลเดินออกจากอพาร์ตเมนต์ข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้าม มีร้านอาหาร เล็กๆอยู่ตรงหัวมุม ซึงพักหลังๆได้กลายเป็นร้านประจ�ำของเขาไปเสียแล้ว เขาเปิด
38
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
ประตูร้านเข้าไปเหมือนกับทุกๆที นั่งคอยอยู่ที่โต๊ะเพียงซักครู่เมนูอาหารที่เขาได้สั่ง ไว้ตอนที่เขากล่าวทักทายเจ้าของร้านเมื่อตะกี้ก็ได้ถูกบริกรประจ�ำร้านยกมาเสิร์ฟ โจแอลดูมีความสุขกับมื้อเช้าของเขาพอสมควร เขาใช้ส้อมจิ้มชิ้นสลัดมะเขือเทศที่ ลอกเปลือกออกหั่นมาขนาดพอดีค�ำเข้าปากของเขาไป ซึ่งขากรรไกรทั้งบนและล่าง ก�ำลังบดเคี้ยวเนื้อปลาทะเลสดขาวปุยหยุ่นยุ่น ที่เจ้าของร้านมักจะตกหามาได้ตาม ฤดูกาล ตัดแก้กับไข่เป็ดต้มเป็นยางมะตูมเป็นครั้งเป็นคราวเมื่อรู้สึกเลี่ยน ไม่นาน นักเขาก็จัดการอาหารที่อยู่ในจานจนหมดสิ้น จากนั้นจึงเช็คบิลแล้วเดินออกจาก ร้าน โบกเรียกแท็กซี่ ยี่ห้อ เบนซ์ คันสีด�ำมุก บอกแจ้งจุดหมายกับคนขับให้มุ่งหน้า ไปที่ จัตุรัสเซ็นทรั่ม เครื่องปรับอากาศภายในรถท�ำหน้าที่ของมันได้ค่อนข้างดีในการปรุงแต่ง องศาอากาศเย็นให้ไหลเวียนวนวกผ่านน�้ำหอมติดรถยนต์ ขวดสีเหลืองทองกลิ่น ดอกมะลิ มีเสียงกระซิบจากเทนเนอร์แซกโซโฟน ของ สแตน เก็ตส์ ประคองคอย ชโลมประสาทสัมผัสแทบจะทุกๆส่วนของร่างกาย เว้นเพียงแต่ “ปาก” ไร้ซึ่งบท สนทนาให้พาเพลินใดๆทั้งสิ้น อาจจะเป็นเพราะสายตาของโชเฟอร์ที่เหลือบผ่าน กระจกมองหลัง มองเห็นโจแอลก�ำลังง่วนงุ่ยอยู่กับซองสีน�้ำตาลอ่อนอยู่ก็เป็นได้ โจ แอลค่อยๆแกะซองสีน�้ำตาลอ่อนนั่นออกมาดูด้วยความสงสัยเขาก็พบว่ามีหนังสือ ปกแข็งสีน�้ำเงินครามเข้มอยู่หนึ่งเล่ม ชื่อว่า “บทกวีของปลาวาฬสีน�้ำเงิน” เขา แสยะยิ้มปนข�ำลั่นเพียงเล็กน้อย “ใครส่งหนังสือเล่มนี้มาให้กูวะ ชื่อแม่งอุบาทว์ ได้ใจเลย เขาคงจะคิดเช่นนี้ ถ้าเขาไม่ได้ลองเปิดดูหน้าแรก ซึ่งมีกระดาษโน้ตแผ่น เล็กๆสอดไว้กับข้อความไม่กี่ประโยค “ฉันเองก็ชอบ แด่ เอสเม ด้วยรักและรันทด เช่นกันนะ” พอเขาอ่านข้อความที่อยู่ในกระดาษนั่นจบ เขาก็เก็บทุกอย่างใส่ซองสี น�้ำตาลอ่อนไว้เหมือนเดิม เวลานี้คงไม่ใช่เวลาที่เขาจะต้องมานั่งนึกคิดว่าใครกันที่ เป็นคนส่งหนังสือมาให้เขา บรรยากาศภายในรถและทัศนียภาพภายนอกนั้นดูจะ ส�ำคัญกว่าในเวลานี้ เขาก�ำลังมองเห็นจัตุรัสเซ็นทรั่ม ที่อยู่ห่างๆเนืองๆค่อยใกล้เข้า มาทุกทีที่ล้อทั้งสี่หมุนขับเคลื่อนไปตามความสัมพันธ์ของเครื่องจักรและน�้ำมัน ซึ่ง จวนจะถึงที่หมายแล้ว แท็กซี่เคลื่อนตัวจากเขาไปได้สักครู่แล้ว โจแอลก�ำลังยืนอยู่ที่ใต้ต้นเมเปิ้ล พุ่มใหญ่พุ่มหนึ่งที่ตั้งตระหง่านเยื้องใกล้กับเสาไฟกริ่งข้างถนน ความเย็นของเครื่อง ปรับอากาศยังคงค้างคลุ้งลอยล่องติดอยู่ตามตะเข็บและชายเสื้อผ้าของเขา กลิ่น
39
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
มะลิก็ยังคงหอมฟุ้งระอุอยู่เอื่อยๆรอบรูจมูก ปากบ่นพึมพ�ำแทนเสียงโน้ตเทนเนอร์ แซกโซโฟน ของ สแตน เก็ตส์ ที่ยังคงก้องอยู่ในหัวเขา ก่อนที่เขาจะเดินดุ่มไปตาม ทางเท้าจนไปถึงอีกมุมหนึ่งของจัตุรัส ซึ่งเป็นจุดที่สงบ เหมาะสมกับการที่เขาจะ ได้อ่านหนังสือเพื่อฆ่าเวลารอปาสกาล เขาคิด โจแอลก�ำลังนั่งอ่าน “บทกวีของปลาวาฬสีน�้ำเงิน” มาได้พักหนึ่งแล้ว บทกวีหลากหลายเรื่องราวของผู้เขียนบ้างก็ชวนให้หลงใหล บ้างก็ชวนให้สับสน เบื่อหน่ายน่าร�ำคาญ ด�ำเนินเรื่องราวไปตามหน้าที่ของมัน ในขณะที่เขาก�ำลังอ่าน อยู่นั้น มีหน้าหนึ่งที่ท�ำให้เขารู้สึกถูกใจกับมันมาก โดยผู้เขียนได้เขียนไว้ว่า “มหาสมุทรสีครามขุ่นบัดนี้ข้าได้สถิต ณ ที่นี้แล้ว สหายเก่าแก่ของเจ้าเขาก�ำลังจะกลับมาเยี่ยมเยียนข้าในไม่ข้า ข้าเองแก่ลงไปตามเกลียวกระแสคลื่นใต้น�้ำ เจ้าอย่าได้โทษตัวเองเลยเพื่อนยาก ถ้าหากข้าตายจากโลกนี้ไป มันก็ยังเป็นของมันเองเช่นนั้นอยู่ดี” จวนเวลาจะล่วงเลย โจแอลได้แบ่งเวลาให้กับหนังสือเล่มนี้มาพอสมควร แล้ว เขารู้สึกชอบหนังสือเล่มนี้และมีความต้องการที่อยากจะอ่านมันต่อจนจบ แต่เขาต้องหยุดไว้ก่อน ขณะนี้เขาก�ำลังเดินกลับไปตามทางเท้าที่เขาได้เดินผ่านมา เมื่อก่อนหน้านี้ ตอนนี้ลานกว้างที่อยู่กลางจัตุรัสเต็มไปด้วยร้านค้าเร่ขายของต่างๆ บรรดาเหล่าพ่อค้าแม่ขายก็ต่างพากันจัดร้านค้าของตนจนใกล้จะเรียบร้อยดีแล้ว นักดนตรีเปิดหมวกหลายแนวก็เริ่มจัดจองหาพื้นที่ว่างในการแสดงงานของตนเอง บ้างก็เริ่มเล่นมาได้สักพักแล้ว จิตกรบางท่านเดินทางมาถึงก่อนเวลาพอสมควร พวกเขาใช้พื้นหินอ่อนสีขาวของจัตุรัสแทนค่าเป็นเฟรมผืนผ้าใบสีขาวขุ่นที่คุ้นเคย คลี่ถุงกระเป๋าหนังสัตว์ออกมา ซึ่งข้างในนั้นเต็มไปด้วยแท่งสีชอล์กและสีฝุ่นนาๆ หลากสีสัน เขานั่งทาบวาดลงกับพื้นอย่างประณีตบรรจงตามแบบรูปที่เขาได้สเกต ซ์เอาไว้แล้ว โจแอลหยุดจ้องดูครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะเดินยังร้านอาหารที่เขากับปาสกาลมักจะมาทานประจ�ำเมื่อเขามาที่นี่ ....โจแอลเดินมาถึงร้านอาหารที่ปาสกาล ได้นัดไว้ เขาพบว่าปาสกาลได้มาถึงก่อนเขาแล้ว เขาจึงเดินไปที่โต๊ะซึ่งปาสกาลยัง
40
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
คงก�ำลังก้มหน้าก้มตาเขียนอะไรอยู่ซักอย่าง โจแอลจึงกล่าวทักทายเขาขึ้นมาก่อน “เฮ้ยหมอ...เขียนไรวะ?” “ป่าวเขียนซักหน่อย.....ฉันวาดรูปอยู่ต่างหากเว้ย” “อ่าๆ....ละนายสั่งอะไรแล้วรึยังวะ” “ยังเลยว่ะ...” “งั้นเดี๋ยวฉันจัดการให้” โจแอลชูมือกวักเรียกสั่งอาหารที่พนักงาน ทั้งสองคนสั่งอาหารเมนูเดิมที่ ทานกันประจ�ำ พนักงานรับออร์เดอร์แล้วเดินจากไปซักครู่เขาเดินกลับมาที่โต๊ะ พร้อมที่เขี่ยบุหรี่แล้วเดินจากไปอีกรอบ โจแอลควักกล่องบุหรี่ออกมาจากกระเป๋า เสื้อ แบ่งให้เขาเองกับปาสกาลคนละตัว จุดมันอัดควันเข้าไปในปอดก่อนที่จะพ่น ออกมาพร้อมกับบทสนทนาต่างๆนานา “เมื่อคืนฉันทะเลาะกับซาบีน” “อ้าว..มีเรื่องอะไรกันวะ ? ฉันหวังว่ามันไม่ได้ร้ายแรงอะไรมากนักใช่มั้ยวะ?” “เราไม่ได้รักกันจนถึงขั้นที่จะต้องมาฆ่ากันหรอก อย่างมากฉันกับหล่อนก็แค่ สบถใส่กัน” “อ่าฮะๆ..ละเป็นไงมั่งวะ สถานการณ์ตอนนี้ ?” “.....คือ จริงๆแล้วฉันเลิกกับหล่อนไปเรียบร้อยละว่ะ” “ฮะ....ไหนบอกว่าแค่สบถใส่กันไงวะ” “ก็ใช่ไงวะ.......นี่เลิกกันละไง” “ไหนนายเล่าให้ฉันฟังหน่อยดิ....” “สองสามวันก่อนฉันได้ยินหล่อนคุยโทรศัพท์กับพี่สาวหล่อน ประมาณว่า ตั้งแต่อยู่กินกับฉันมาเนี่ย หล่อนยังลืมมันไม่ได้” “หมายถึงไอ้นั่นหรอวะ ?” “เออดิ...ฉันเองก็คิดแบบนั้นนะทีแรก แต่พอฉันได้ยินหล่อนพูดถึงเรื่องนั้นปุ๊บ ฉันก็ท�ำอยู่สิ่งเดียวเลยคือการพยายามท�ำตัวให้เชื่อหล่อนเข้าไว้ แต่ให้ตายเหอะ เพื่อน มันยากมากว่ะ การที่ฉันจะท�ำเป็นมองไม่เห็นมันทั้งๆที่ฉันก็เห็นว่าเธอซ่อน
41
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
มันเอาไว้ใต้หมอนของเธอ ฉันทนมันอยู่อย่างนั้นจนถึงมื้อเย็นของเมื่อวาน แล้ว ฉันก็ไม่ทนอีกต่อไปว่ะ....ฉันขอบุหรี่อีกตัวสิ” “อะ..นี่” โจแอลยื่นบุหรี่ปาสกาลให้อีกหนึ่งตัว เขาคว้าไฟแช็คที่วางเยื้องอยู่ บนโต๊ะขึ้นมาจุดอัดควันเข้าไปยังปอดแล้วค่อยพ่นออกมาอย่างช้าๆ “ตอนนั้นฉันก�ำลังอยู่ที่ห้องท�ำงาน แล้วเธอก็มาเรียกฉันไปทานข้าวตามปกติ นั่นแหละ แต่ฉันต้องมาระเบิดลงเพราะอะไรรู้มั้ยเพื่อน ?” “ไม่รู้ว่ะ....” “มันมีหม้อซุปโง่ๆหม้อหนึ่งปิดฝาวางไว้อยู่กลางโต๊ะอาหาร ฉันแกล้งถามเธอ ไปว่าวันนี้มีเมนูอะไรบ้างแต่หล่อนก็ไม่พูดอะไร เดินกลับเข้าไปหยิบจานในครัว.... ฉันเลยเปิดฝาหม้อนั่นดูเพื่อที่จะดูว่ามันเป็นอะไร แต่ให้ตายเหอะเพื่อน ฉันไม่เห็น อะไรเลยนอกจากแครอทสีส้มซีดๆหั่นเป็นชิ้นใหญ่พอดีค�ำลอยล่องอยู่ท่ามกลางน�้ำ ซุปอุ่นใส..” “...เวรกรรมแท้ๆ นายก็คิดซะว่าเธออาจะเซอร์ไพรส์นายเล่นๆก็แล้วกัน” “ฉันแทบจะประสาทแดก ยิ่งตอนที่เธอพูดว่า “ทานสิคะที่รัก” มันท�ำให้ฉัน สติแตกจนทุกอย่างในโต๊ะตอนนั้น ถูกฉันปัดขว้างกระจุยกระจายออกไปหมด” “ฉันพอจะเข้าใจละว่ามันเป็นยังไงหลังจากนั้น” “เอ่อดีๆ....ฉันเองก็ไม่อยากจะพูดถึงมันสักเท่าไหร่แล้วหรอกว่ะ” “ฮ่าๆ...ฉันพนันได้เลยว่ะ ว่าเดี๋ยวถ้าอาหารมาวางอยู่ตรงหน้านาย แล้วดัน เสือกมีแครอทอยู่ในจานสักชิ้นล่ะก็...” “ฉันก็จะเอามันยัดตูดนาย สาบานได้เลยว่ะ..” “อ่าๆ..จะอะไรก็ช่างไว้ก่อนเหอะ โน่น มาละๆ” พนักงานเดินมาพร้อมกับจานอาหารของเขาทั้งสอง ทั้งคู่ดับบุหรี่ที่เหลือ อยู่น้อยนิดลงที่เขี่ยบุหรี่ โจแอลสั่งสันในไก่ที่คลุกหมักกับเครื่องเทศของชาว ตะวันออกกลาง ทอดปรุงให้สุกเจือน�้ำมันมะกอกับโรสแมรี่สดใช้ไฟเพียงอ่อนๆ ทานคู่กับผักสดต่างๆที่ถูกย่างมาสุกก�ำลังพอดี แกล้มด้วยซอสสีขาวรสชาติ กลมกล่อมไปด้วยกลิ่นชินนาม่อนเพื่อเพิ่มรสชาติ ส่วนปาสกาลนั้นสั่งเนื้อสันนอก อบไวน์แดง ทานคู่กับมันฝรั่งทอดและขนมปังปิ้งกับเตาถ่านทาเนยเพียงเล็กน้อย ทั้งสองคนตักอาหารในจานของตนจ้วงเข้าปากอย่างไม่หยุดยั้ง โดยเฉพาะปาสกาล
42
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
อาหารรสชาติดีมาก ทั้งสองคนรู้สึกประทับใจ เพียงไม่นานนักก็เหลือแต่คราบซอส และเศษเนื้อชิ้นเล็กๆติดไว้เพียงอยู่ตามขอบจาน “ไหน เจอแครอทซักชิ้นมั้ย เมื่อกี้?” “เฮ อย่าพึ่งขัดอารมณ์ได้มั้ยวะ คนก�ำลังสบายอยู่” “ฮะๆ...สูบบุหรี่หลังกินข้าวเสร็จนี่มันดีชะมัด นายว่ามั้ย?” “ฮ่าๆ...เฮ้ย ฉันจะเล่าเรื่องเมื่อเช้าที่ห้อง O.R ให้ฟัง คงจะถูกใจนายมากกว่า ไอเรื่องแครอทงี่เง่านั่นซะอีก” “ฉันไม่อยากฟังอะไรจากนายทั้งนั้นหลังจากที่ฉันกินข้าวเสร็จใหม่ๆว่ะโทษที” “ช่างหัวนายสิวะ ฉันจะเล่า” “แล้วยังไง...มันก็อุบัติเหตุเหมือนเดิมนั่นแหละ” “ป่าว คนไข้เป็นผู้หญิงปกติทั่วไปนี่แหละ” “ฮั่นแน่....นายแอบชอบเธอขึ้นมาล่ะสิ” “นายจะฟังฉันมั้ยวะเนี่ย หรือว่านายจะเล่าเอง ฮะ ?” “เฮ้ย ฉันก็แค่พูดเล่นนี่หว่า พักนี้นายดูฉุนเฉียวว่ะฉันพูดจริง” “เออน่ะ เรื่องนั้นช่างมันก่อน เมื่อสองอาทิตย์ก่อนเธอมาหาฉันที่โรงพยาบาล ด้วยอาการเจ็บหน่วงๆแถวๆท้องน้อยของเธอมาพักหนึ่งแล้ว ฉันเลยซักถามไป เรื่อยๆ เธอก็เล่าอีกว่า เธอท้องผูกเป็นประจ�ำ ทีแรกเธอคิดว่าเธออาจจะท้องแต่ มันก็ขัดกับประจ�ำเดือนที่มาอยู่ประจ�ำ ซึ่งเธอก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร แต่ทางบ้านเธอ เชื่อกันว่าเธอก�ำลังถูกวิญญาณพวกแม่มด ปีศาจ เข้าสิงสู่ตัวเธอ พ่อแม่เธอจึงพา เธอไปหาพวกหมอผีอะไรท�ำนองนั้น นายรู้มั้ยไอ้พวกนั่นมันท�ำอะไรกับเธอ” “อะไรวะ....มันให้เธอกินกบเป็นๆหรอวะ” “ป่าว....พวกมันเอาสีเมจิกสีแดงเขียนรูปดาวหกแฉกไว้ตรงท้องเธอว่ะ” “ปัญญาอ่อนชิบหาย ฮ่าๆ” “นั่นแหละ ก็ดูเธอจะอายๆอยู่นะตอนที่เล่าให้ฟัง พักหลังๆอาการใหม่เริ่มเข้า มาแทรก เธอทานอะไรได้น้อยลง แต่เธอก็ยังคงหิวอยู่ตลอดเวลา ทางบ้านของเธอ จะส่งตัวเธอไปรักษาที่โบสถ์เมืองนิคอร์นอย แต่เธอทนไม่ไหวที่จะต้องเจออะไร อย่างนั้น เธอจึงตัดสินใจมาโรงพยาบาลเสียดีกว่า” “เอ่อ..แล้วสรุปว่าเธอเป็นอะไรล่ะ?”
43
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
“เนื้องอกในมดลูก” “อ่า ละเธอว่าไง ตกใจป่าว” “แรกๆก็ดูจะใจเสียอยู่แหละฉันว่า แต่พอฉันบอกว่ามันอาจจะมีเชื้อมะเร็งอยู่ เธอก็ดูจะเข้าใจยอมรับมันขึ้นมาทันที” “โชคดีของเธอว่ะ ฉันว่านะ” “ฉันก็นัดคิวให้เธอนอนที่โรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว หลังจากที่ฉันนัดไว้ เมื่อสองอาทิตย์ก่อน” “พอนายตัดสายจากฉันปุ๊บ” “ใช่ฉันโทรหานาย ก่อนที่จะเข้าห้อง O.R นั่น ตอนนั้นทุกอย่างถูกจัดเตรียม ไว้ให้ฉันเรียบร้อยหมดแล้ว เธอพึ่งจะสลบไปได้ไม่นาน ฉันเลยไม่อยากท�ำให้มัน เสียเวลา ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนปกติ มีคนคอยช่วยฉันดูดซับเลือดที่ไหลย้อย ออกมาตามรอยปริเด้งฉีกขาดออกจากกันของช่องท้องทีฉันค่อยกรีดอย่างทีละ เล็กทีละน้อย” “ใช่...เหมือนกรีดหนังหมู นายเคยบอกฉัน” “อืม..พอเลือดแห้งทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนด้วยดี ถึงเวลาที่ฉันจะต้องหา ขอบเขตของมัน นี่แหละไฮไลต์มันอยู่ตรงนี้ ตอนที่ฉันค่อยๆคล�ำจับไอก้อนเนื้อนั่น ไปตามพังผืดของมัน ฉันแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่ะ ไอ้ขอบเขตที่ฉันคล�ำอยู่มันล�้ำ เกินจนขึ้นไปเบียดเสียดไอ้กระเพาะอาหารของเธอจนหมดเลย” “อ๋ออออ...ถึงว่าล่ะ ท�ำไมเธอกินได้น้อยลง” “ใช่เลย ไอเวรนี่นี่แหละ” “แล้วนายเอามันออกมายังไงวะ?” “ตอนนั้นฉันก็ตกใจพอสมควรนะ พอรู้ว่ามันใหญ่ขนาดนั้น นายนึกถึงภาพ ลูกโป่งใส่น�้ำเต่งๆนะ เหมือนกันยังไงอย่างงั้นเลย ฉันต้องแม็กปิดขั้วต่อของมันเอา ไว้ จากนั้นก็ค่อยๆใช้ที่จี้ค่อยๆจี้พังผืดที่เกาะมดลูกเอาไว้ออกให้หมด แล้วค่อยตัด ไอ้ตรงขั้วนั่นแล้วค่อยๆดึกออกมา นี่นายเข้าใจใช่มั้ย?” “เข้าใจดิ” “แต่คือมันใหญ่มากฉันเลยตกลงไว้ว่าจะให้หมออีกคนมาสลับเปลี่ยนกับฉัน ไม่งั้นคงไม่ไหวแน่ๆ ฉันจึงท�ำครึ่งแรกก่อน แล้วครึ่งหลังให้หมออีกคนมาเปลี่ยน แทน....ฉันก็ออกมานั่งรอด้านนอก ซักครู่ใหญ่ๆก็มีคนมาบอกว่าทุกอย่างเรียบร้อย
44
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
หมดแล้ว ฉันเลยเดินเข้าไปดู ปรากฏว่าทุกคนก�ำลังยิ้มแย้มอยู่กับไอก้อนเนื้อ ขนาดโตนั่น มันถูกใส่ไว้ในถุงซิปล็อกอย่างดี ฉันละแทบไม่อยากจะเชื่อกับคนพวก นี้เลย” “ท�ำไมวะ ?” “ก็ไอ้พวกนั้นก�ำลังตื่นตาตื่นใจกับไอ้ก้อนสีเทาๆคล�้ำเหี่ยวๆที่ข้างในแม่งเต็มไป ด้วยเลือดที่เสียตกค้าง ขนาดของมันนี่ใหญ่กว่าหน้าของนายอีกว่ะ ฉันไม่เข้าใจคน พวกนั้นเลยจริงๆ มันมีอะไรให้น่าชื่นชมวะ ไอ้ถุงก้อนเนื้อเน่าๆนั่น” “ก็เหมือนตอนเด็กที่เราไปเก็บเห็ดพิษในป่าไง มันใหญ่กว่าหมวกชาวปานามา ที่นายใส่เมื่อตอนเด็กๆอีก” “ใช่ แต่นายแทบจะร้องชักดิ้นชักงอลงไปกองอยู่กับพื้น ตอนที่แม่ฉันเอามันไป ทิ้งที่ถังขยะ” “ท�ำไงได้วะ ตอนนั้นฉันคิดว่ามันจะกินได้เสียอีก แล้วนายท�ำไงต่อล่ะ? หลังจาก ที่นายเข้าไป คนพวกนั้น” “ฉันก็ท�ำเป็นเฉยๆ พวกเขาก็ชวนฉันดูไอ้ก้อนเนื้อนั่นนะ แต่ฉันรีบปฏิเสธอ้างว่า ฉันต้องรีบไปท�ำธุระก่อน ฉันก็เดินสวนออกมาพร้อมกับหมอคนที่มาเก็บตัวอย่าง ไปพอดี” “เป็นนายนี่แม่งเหนื่อยว่ะ ฉันพูดจริง” “ฉันเองก็คิดแบบนั้นว่ะ.” ทั้งสองคนเรียกพนักงานมาคิดเงินค่าอาหาร เดินออกมาจากร้าน ก่อนที่ จะแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง ตามค�ำกล่าวลา โจแอลกลับมาที่ยังที่ห้อง ของเขาได้สักพักหนึ่งแล้ว ตอนนี้เขาก�ำลังนอนขลุกตัวอยู่บนเตียงกับหนังสือเล่ม เดิม เขาเปิดอ่านต่อจากหน้าที่ได้อ่านค้างไว้ ความเหนื่อยเมื่อยล้าจากการเดิน ทางและกิจกรรมต่างๆชวนพาให้เขากึ่งหลับกึ่งตื่น อ่านรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง จน ในที่สุดเขาก็เผลอหลับไปจนได้
45
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
“ฉันยังคงได้ยินเสียงในความมืดมิดแห่งนี้ ฉันไร้ตัวตนแต่โลกกลับเต็มไปด้วยผู้คน ต่างดิ้นรนกันไปเพื่อความส�ำคัญส�ำหรับใคร ไม่ใช่ส�ำหรับฉัน เพราะฉันมิใช่ผู้ร้องขอ จงช่วยแบ่งปันลดทอนให้เขาเสียเถิด เพราะฉันมิได้เป็นผู้ร้องขอใดๆเลยแต่สักนิด” โจแอลสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตื่นตัว เขารีบพลิกตัวกลับลุกขึ้นดู นาฬิกาเพื่อยืนยันตัวเองว่าเขาไม่ได้หลับเลยเวลาท�ำงาน นาฬิกาแจ้งเตือนบอกให้ เขารู้ว่าเขามีเวลาอีกครึ่งชั่วโมง ทุกอย่างรีบลนไปหมด เขารีบจัดการธุระส่วนตัว ออกมาจากอพาร์ตเมนต์ ขึ้นแท็กซี่สีเหลืองจุดหมายไปยังคลับแจ๊สที่เขาท�ำงานอยู่ เขาบอกให้โชเฟอร์เร่งความเร็วขึ้นเพราะกังวลว่าจะไปถึงไม่ทันเสียก่อน อัตรา จังหวะการเต้นหัวใจของเขาตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับ บี-บ็อพ รถแท็กซี่แล่นวิ่งมาถึงหน้าที่ท�ำงานของโจแอล เขารีบจ่ายตังค์ค่าโดยสาร ลงจากรถอย่างเร่งรีบ เข้าไปในร้าน เข้าต้องแหวกผ่านกลุ่มฝูงชนที่ยืนออกันเต็ม อยู่หน้าร้านด้วยความทุลักทุเลพอสมควร บาร์เทนเดอร์โบกมือกล่าวทักทายเขา เขารีบขานตอบพลางก้าวเท้าอย่างยาวๆไปยังเวทีไฟสลัวๆ เขารีบขึ้นประจ�ำ ต�ำแหน่งบนเก้าอี้เปียโนตัวเก่งคู่ใจของเขา ทุกๆคนในวงก�ำลังเช็คความพร้อมของ ตนเอง ก่อนที่มือกลองจะเริ่มให้สัญญาณ ก่อนที่ใช้ลูกส่งของ buddy rich ฟาดหู คนดูอย่างถูกจริต ตามมาด้วยเสียงปรบมือร้องเฮฮาเกรียวกราว เมื่อโน้ตตัวแรก ได้ดังขึ้นจากการสมคบคิดร่วมกันของเขาและเพื่อนๆ ราวกับว่าพวกเขาถูก วิญญาณที่สิงอยู่ตามรูปภาพนักดนตรีแจ๊สชื่อดังถูกแขวนไว้ตามผนังร้านจุดมุม ต่างๆของร้าน เข้าสิงพวกเขายังไงอย่างงั้นเลย ลูกค้าบางกลุ่มบ้างดีดนิ้วมือของตัว เองเป็นจังหวะสวิง พลางเหวี่ยงข้อมือไปซ้ายทีขวาทีสลับไปมา บ้างก็หลับตาฟัง อย่างตั้งใจราวกับว่าพวกเขาก�ำลังอยู่ในพิธีส�ำคัญทางศาสนาอะไรสักอย่าง บ้างก็ จิบซดเครื่องดื่มพูดคุยหัวเราะคิกคักกันอย่างสนุกสนาน บรรยากาศสลับเปลี่ยน หมุนเวียนไปตามสภาวะของบทเพลง ซึ่งด�ำเนินหน้าที่ของมันไปอยู่ใต้การควบคุม ของเวลา นับเป็นสิบๆเพลง ลูกค้าบางคนขอเพลงของ the rat pack ซึ่งพวกเขา ก็เล่นให้ตามความต้องการ
46
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
เมื่อมาถึงเพลงสุดท้าย โจแอลไม่รีรอให้ลูกค้าได้ทันตั้งตัว เขาใช้นิ้วมือ ทั้งหมดที่เขามี ละเลงลงไปยังลิ่มเปียโนสลับสีขาวด�ำ ก่อนที่คนอื่นจะขึ้นมาทีหลัง อย่างพร้อมเพรียง ลูกค้าบางกลุ่มพึ่งเข้ามาและเพิ่งจะสั่งเครื่องดื่มไปแสดงสีหน้า ผิดหวังออกมาเล็กน้อย เมื่อพวกเขารู้ว่าดนตรีที่เล่นสดก�ำลังจะลง สิ้นเสียง สัญญาณโน้ตตัวสุดท้ายยังไม่ทันจะเงียบหายไปดี ผู้คนก็ต่างปรบมือขอบคุณโห่ร้อง กันเกรียวกราว โจแอลลงจากเวทีด้วยความรู้สึกเมื่อยอ่อนเพลียเล็กน้อย มีลูกค้า สองสามคนเดินมาขอจับมือทักทายเขา ระหว่างที่เขาก�ำลังเดินไปที่หน้าบาร์ “คุณเบอร์แนทครับ คุณเบอร์แนท….” “ซักครู่นะครับ....” บาร์เทนเดอร์เพศชายวัยกลางคนมือของเขาก�ำลังเป็นระวิงสลับขวาซ้าย มือทั้งสองข้างท�ำงานสัมพันธ์กันเป็นอย่างดี ผ่านการคัดกรองค�ำสั่งออเดอร์ ค็อกเทลหลากหลายมากมาย บางครั้งเขาเองก็เผลอรินไวน์หกเลอะใส่เสื้อตัวเอง เป็นครั้งคราว เขาท�ำงานอยู่ที่มานานกว่าโจแอลเสียอีก เขาคือ เบอร์แนท ซึ่งเขา ถึงจะจัดการเคลียร์ธุระกับบรรดาค็อกเทลที่ดาหน้ากรูกันเข้ามาจนหมดสิ้น เขา หยุดพักหายใจหายคอราวๆ 4-5 วินาที ยกแก้ววิสกี้รสนุ่ม Jim Beam กระดกยก เข้าล�ำคอ จากนั้นค่อยเดินยิ้มกริ่มมาหาโจแอล “เหมือนเดิมใช่มั้ยจ๊ะ?” “ใส่ Gin เยอะๆ นะครับ” “ได้เลยครับ....” เบอร์แนทเอี้ยวตัวหันไปทางขวามือ หยิบแก้วเปล่าขึ้นมาหนึ่งใบขนาด จับพอดีมือเอามากๆ คีบน�้ำแข็งก้อนเหลี่ยมๆเหมือนน�้ำตาลก้อนลงไป 4 ก้อน มือ ซ้ายหยิบขวด Gin รินใส่ลงไปเกือบจะครึ่งแก้ว จากนั้นจึงค่อยริน Tonic ลงไปให้ เกือบจะเต็มแก้ว ตบท้ายด้วยมะนาวหั่นซีกบีบลงไปในแก้วใส่ลงไปทั้งเปลือกขณะ ที่ฟองของ Tonic ยังคงฟูฟอดอยู่ เพียงไม่กี่ขั้นตอนเขาก็ยกแก้วเสิร์ฟมากับแผ่น ยางรองแก้วสีหม่นๆเก่าๆ
47
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
“เป็นไงมั่งครับวันนี้” “เยอะไปจนน่าร�ำคาญครับ ผมต้องโทษพวกคุณเพราะวันนี้พวกคุณเล่นได้ดีเอา มากๆเลยล่ะครับ” “เข้าใจพูดนะครับเนี่ย ฮ่าๆ จริงๆแล้วมันก็แล้วแต่วัน แล้วแต่ลูกค้าเหมือนกัน นะครับ เดาไม่ออกเลยจริงๆ” “แล้วคนอื่นไปไหนกันหมดละครับ ?” “ทางโน้นครับ...โน่นๆ” โจแอลชี้นิ้วโก่งๆของเขาไปที่โต๊ะๆหนึ่ง ซึ่งเพื่อนๆของ เขาก�ำลังนั่งคุยอยู่กับผู้หญิงวัยกลางคนที่มากันเป็นกลุ่ม 4 คน ดูท่าทางจะ สนุกสนานเป็นมิตรกันอย่างดี เพราะดีกรีของความมึนเมา “ครบคู่พอดีเลยสินะครับ ฮ่าๆ” “คุณเบอร์แนทไม่สนบ้างหรอครับ ?” “สนสิครับ ฮะๆ แต่ผมมันแก่ปูนนี้แล้ว จะไปชงเหล้าสู้นักดนตรีอย่างพวกคนก็ คงจะยากน่าดูครับ ฮ่าๆ” “นี่ นายน่ะ...” โจแอลหันไปตามเสียงใสๆเล็กๆ ที่หลังจากนั้นตามมาด้วยการกระตุกหลัง เสื้อของเขาอย่างเบามือ เธอไม่ได้ตั้งใจจะท�ำให้เสื้อของเขาเกิดรอยยับ เพียงแต่เธอ คิดว่าเพียงแค่น�้ำเสียงของเธออย่างเดียวคงจะไม่พอแน่ๆ เพราะบรรยากาศโดยรอบ นั้นครึกโครมกว่าเธอเป็นหลายเท่าเลยทีเดียว เป็นเหตุผลให้เธอต้องท�ำเช่นนี้ โจ แอลหันไปตามแรงความตั้งใจนั้น เธอคือผู้หญิงที่มีผมสีน�้ำตาลอมแดงยาวประบ่า เลยลงมานิดหน่อย ใบหน้าแดงก�่ำเพียงเล็กน้อย เป็นจ�้ำแดงระเรื่ออยู่บนแก้มของ เธอ ตัดกับผิวสีนวลสวยราวกับเปลือกไข่เป็ด ริมฝีปากบางบนล่างถูกฉาบทาไว้ด้วย ลิปสติกสีนู้ดแดงอ่อนกลิ่นเชอรี่ จมูกเป็นสันดั้งโด่งแหลมสวยเข้ารูป ดวงตาพราว สุกใสราวกับผลเบอรร์รี่ป่า ที่สุกงอมจนเกือบจะส่งกลิ่นเหม็นเน่า แต่ถูกเคลือบไว้ ด้วยน�้ำตาลท�ำให้ดูแวววาวมืดมนชวนให้น่าค้นหาชื่อของเธอคือเฟลอร์
48
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
“อ้าว...ก็นึกว่าใครซะอีก” “ขอฉันนั่งด้วยคนนะ” “ได้สิๆ คุณสบายดีมั้ยเนี่ย” “ฉันเพิ่งจะสอบเสร็จวันนี้พอดีเลยกะจะมาฉลองซักหน่อย” “ดีใจด้วยนะ ปิดเทอมซักที” “ใช่ ที่ผ่านมานี่แทบไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันกันเลยทีเดียว นี่วันนี้วันเสาร์ใช่ไหมเนี่ย” “อื้ม..ใช่แล้ว คนเลยเยอะเป็นพิเศษน่ะ” “คืนนี้พวกนายเล่นกันได้ดีเลยนะฉันว่า” “คุณเบอร์แนทก็ชมผมแบบนี้เหมือนกันนะ ฮะๆๆ....เอ้อ แล้วจะไปท�ำอะไรล่ะ ปิด เทอมยาวเสียขนาดนี้?” “ยังเลยน่ะ ฉันพึ่งจะได้มีเวลาเป็นของตัวเองก็วันนี้นะ นายแนะน�ำฉันหน่อยสิ” “ฉันจะไปรู้อะไรล่ะ ฉันท�ำงานทุกวันนะ แต่ก็มีที่คิดๆไว้อยู่นะ..” “เอ่อดี....งั้นเชิญนายคิดไปก่อนเลยละกัน ฉันจะสั่งเหล้าเพิ่ม” เฟลอร์เอี้ยวตัวไปยัง ต�ำแหน่งทิศทางที่เบอร์แนทอยู่พลางยื่นแก้วให้ เขาขานรับด้วยการผงกหัวยิ้มมุมปาก เพียงเล็กน้อยแล้วรับแก้วเปล่ามาจากมือชองเธอ ถึงแม้ว่าเขาก�ำลังจะวุ่นอยู่กับออเดอร์ที่ ก�ำลังมาอีกละรอกหนึ่งก็ตาม “คุณไปสักมาเมื่อไหร่น่ะ ตะกี้ตอนที่คุณหันหลังไปผมบังเอิญเห็นมันแว้บๆน่ะ” “ตั้งแต่เดือนที่แล้วน่ะ ฉันไม่ได้บอกใครเลยนะเนี่ย” “จริงดิ แล้วมันเป็นรูปอะไรหรอ ผมสงสัย” “ไม่ใช่รูปหรอก มันเป็นประโยคประโยคหนึ่ง ในหนังสือพระคัมภีร์น่ะ” เบอร์แนทกลับมาพร้อมกับแก้วของเฟลอร์ที่เต็มปริ่มไปด้วย margarita ชวนให้ ชุ่มคอ เขาวางไว้บนแผ่นรองแก้วอีกแผ่น มืออีกข้างพลางรับแก้วเปล่าของโจแอล แล้ว เดินกลับไปประจ�ำต�ำแหน่งเช่นเดิม เฟลอร์ยกแก้วของตัวเองขึ้นจิบเพียงเล็กน้อยให้หาย เหนียวคอ จากนั้นจึงค่อยพูดต่อ “เออนี่ ฉันมีเรื่องแปลกๆ มาเล่าให้นายฟังน่ะ” “แปลกอีกแล้วหรอ? ฮะๆ วันนี้ฉันเจอแต่คนเล่าเรื่องแปลกๆมาทั้งวันแล้วนะ”
49
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
“ดีเลย งั้นนายช่วยฟังฉันอีกคนก็แล้วกัน” “อะๆ ก็ได้ๆ นี่เห็นว่าเป็นเธอนะเนี่ย ฮ่าๆ” “ก็ไม่มีอะไรมากหรอก พักนี้ฉันฝันแต่เรื่องเดิมๆติดกันมาหลายวันแล้ว ตื่นมาแล้ว รู้สึกแปลกๆ” “ยังไงหรอ” “ฉันก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน มันไม่ได้รู้สึกแย่หรอกนะ มันรู้สึกแปลกๆมากกว่า จะดีก็ไม่ใช่ คือ ฉันบอกไม่ถูกเลยจริงๆ” “คิดมากไปรึเปล่า?” “มันก็ชวนให้ต้องคิดนั่นแหละ ในฝันน่ะตอนนั้นฉันก�ำลังเดินกางร่มอยู่ในซอยหนึ่ง ท่ามกลางสายฝนที่ร่วงหล่นลงมาเป็นละอองเม็ดเล็กๆ จู่ๆมีแมวเปอร์เซียหน้าตุ๊กตา ขนสีม่วงอมแดงองุ่นตัวอ้วนพี ลอยบินผุดแหวกออกมาท่ามกลางสายฝนมุ่งตรงมาหา ฉันอย่างเชื่องช้า” “ชัดเลย แมวใน วันเดอร์แลนด์แน่ๆ ฮ่าๆ” “นายอย่าพึ่งกวนประสาทฉันสิ ฟังก่อน ตอนที่มันลอยมาถึงฉันเนี่ย จู่ๆมันก็ค่อย ขย้อนไข่อะไรก็ไม่รู้ออกมาฟองหนึ่งลงมาใส่อุ้งมือของฉัน ฉันจ�ำได้สนิทเลยว่าตอนที่ฉัน ก้มหน้าลงไปดูมันเขียนเอาไว้ว่า “ไข่งูนะจ๊ะ” แต่พอฉันเงยหน้ากลับขึ้นมาก็ไม่เห็นไอ้ แมวเปอร์เซียนั่นแล้ว” “พิลึกชิบ...ฉันว่า” “นั่นแหละ ฉันก็เดินไปดูไข่นั่นไป จู่ๆฉันเหมือนจะรู้สึกว่ามีคนวิ่งมาจากข้างหลัง ของฉัน พอฉันเหลียวกลับไปดู มันก็ไม่ทันซะแล้ว เขาพุ่งชนตัวฉันอย่างแรงจนปลิว หลุดออกไปไกลจนฉันไม่ทันตั้งตัว ฉันจ�ำได้ชัดเจนเลยว่ามีกริชเล่มยาวพอดีมือ ปักคา อยู่ที่ท้องน้อยของฉัน ก่อนที่ฉันจะสะดุ้งเฮือกตื่นขึ้นมา” “อืมมม มันจบตรงที่เธอถูกใครก็ไม่รู้เอามีดดาบมาแทงเธอใช่มั้ย?” “ใช่ๆ ฉันว่าคงเป็นเพราะช่วงนี้ฉันสอบด้วยแหละ พยายามคิดให้มันเป็นแบบนั้น” “ก็ดีแล้ว ฉันว่าเดี๋ยวมันก็หายไปเอง ตอนนี้เธอคงใจจดใจจ่อกับมันมากไป” “นั่นน่ะสิ เดี๋ยวฉันไปเข้าห้องน�้ำก่อนนะ” “อื้ม...” เฟลอร์ผละตัวลงจากเก้าอี้เดินตรงไปยังห้องน�้ำ โจแอลนั่งนิ่งอยู่สักครู่ เบอร์ แนทก็เดินกลับมาพร้อมกับเครื่องดื่มของโจแอล วางตั้งไว้บนแผ่นรองแก้วอย่างเดิม “คุยอะไรกันหรอครับ ท�ำไมดูท่าทางเครียดๆจัง”
50
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
“อ๋อ ไม่มีอะไรมากหรอกครับ เธอแค่เล่าให้ฟังว่าเธอฝันแปลกๆพักนี้เธอฝัน แปลกๆ” “โอ้ หรอครับ ธรรมดาครับ ผู้หญิงก็เป็นแบบนี้กันเสียส่วนใหญ่ ฮะๆ” “งั้นหรอครับ ฮ่าๆ” “แล้วคุณล่ะครับโจแอล ฝันอะไรแปลกๆเหมือนเธอบ้างรึเปล่า?” “อืม ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมากขนาดนั้นด้วยสิ ท�ำไมหรอครับ?” “ผมก็แค่อยากฟังเรื่องพวกนี้บ้างน่ะครับ ไม่มีอะไรมากหรอก” “ผมเองก็ไม่รู้จะเล่าอะไรด้วยสิครับ ฮ่าๆ..” “เอาเรื่องที่คุณฝันเมื่อเช้านี้ก็ได้ครับ หรือว่าคุณจ�ำไม่ได้แล้ว?” “อืม...จะว่าไปเมื่อเช้านี้ผมก็พอจะจ�ำได้อยู่ครับ ผมฝันว่าผมก�ำลังนั่งอยู่บน เรือคายัคสีเหลืองเปลือกกล้วยตัดกับสีฟ้าครามของชายฝั่งทะเล หันหน้าเข้ามาหา ชายฝั่ง เต็มไปด้วยโขดหินเบียดเสียดทับขี่กันจนเป็นช่องเป็นหลืบแคบเล็กใหญ่ สลับเรียงรายกันเป็นสันแนวยาวสุดชายหาด ผมเองก็จ�ำไม่ได้ด้วยสิว่าเป็นไงต่อ ขอคิดแป๊บนึงนะครับ” “ใจเย็นๆนะครับ ผมว่าเรื่องของคุณน่าสนใจดี ค่อยๆนึกครับ” “อ้อ ผมพอจะจ�ำได้แล้วครับ ภาพตัดกลับมาอีกที ในตอนนั้นผมยืนอยู่ที่ ชายหาดแล้วครับ ก�ำลังจ้องมองโพรงโพรงหนึ่งซึ่งมันเหมือนถ�้ำมากๆเลยครับ ผม จ�ำได้ว่าผมเห็นเด็กผู้ชายผมยาวไม่ใส่เสื้อผ้าสักชิ้นเลย ค่อยๆเดินออกมาจากโพรง มืดนั่นพร้อมกับถือกล่องหีบไม้เก่าๆโบราณๆถือออกมาด้วย หน้าตาเขาดูเป็นมิตร ดีครับ” “ยังไงต่อครับ…” “เขาก็เดินมาจนถึงตัวผม จากนั้นก็ยื่นไอ้หีบโบราณนั่นให้ผมเปิด ผมยังจ�ำได้ อยู่เลยครับคุณเบอร์แนท ตอนที่ผมเปิดหีบโบราณนั่น ในฝันควันมันลอยล่อยคละ คลุ้งออกมาจากหีบโบราณนั่นเต็มไปหมด จนผมต้องค่อยๆใช้มือปัดเป่าควันพวก นั้นออกอย่างช้าๆจนมันค่อยๆจางหายไปหมดสิ้น ในหีบโบราณนั้นเต็มไปด้วยหอย นางรมตัวโตอัดเบียดกันจนแน่นเต็มหีบเลยครับคุณเบอร์แนท..”
51
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
เกลียด………. ข้าจ�ำเป็น ข้าจ�ำเป็น ข้าไม่ได้เกลียดเอ็งหรอกนะ แต่จะให้ท�ำยังไงล่ะ ในเมื่อเอ็งเป็นปอบ....... ข้าไม่มีทางเลือก เอ็งท�ำให้ข้าต้องท�ำแบบนี้ ข้าไม่ได้อยากจะถ่มน�้ำลาย หลบสายตา เบือนหน้าหนี ข้าไม่ได้อยากจะผลักไส ขับไล่ ทุบตี แต่จะให้ท�ำยังไงล่ะ ในเมื่อเอ็งเป็นปอบ.......... เอ็งมันกาลกิณี เลวร้ายสิ้นดี ยิ่งเห็นยิ่งหวาดผวา เอ็งมันเป็นปอบ เรื่องมันช่วยไม่ได้........ ข้าจ�ำเป็น ข้าจ�ำเป็น ข้าไม่ได้อยากจะท�ำให้เอ็งเป็นปอบหรอกนะ แต่จะให้ท�ำยังไงล่ะ ในเมื่อข้าเกลียด........... ข้าไม่มีทางเลือก เอ็งท�ำให้ข้าต้องท�ำแบบนี้ ข้าไม่ได้อยากจะอ้างอาถรรพ์มากมาย ข้าไม่ได้อยากจะใส่ร้ายป้ายตม แต่จะให้ท�ำยังไงล่ะ ในเมื่อข้าเกลียด.......... เอ็งมันประหลาด เอ็งมันแปลกแยก ยิ่งเห็นยิ่งขัดตา เอ็งมันน่าชังนัก เรื่องมันช่วยไม่ได้........
Beloved 52
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
“If you love someone, set them free. If they come back they’re yours; if they don’t they never” -Richard Bach-
53
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
เดซิเบลร้าวราน โดย บายไลน์: ณัฐกานต์ อมาตยกุล
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
“โลกมันเศร้าเนอะ” มองดวงตาอีกดวงที่ปริ่มน�้ำตา คิดไม่ออกว่าควรพูดอะไรที่ดีกว่านั้น “ไม่ ไม่เกี่ยวกับโลก” เธอหันมา ปล่อยให้ทุกอย่างตกลงพื้น ตามแรงโน้มถ่วง ทั้งหยดน�้ำตา ความรู้สึก และหัวใจ _ เราทะเลาะกันเรื่องอะไร สัญญาณปิดประตูของรถไฟฟ้าสยาม-บางหว้า ดังเป็นรอบที่ 5 ตั้งแต่เรา สองคนนั่งสัมผัสความเย็นของม้านั่งหินอ่อน เมื่อเจ็บปวดทางใจมากๆ คนเราจะคิดไปถึงสถานที่อื่น ฉากอื่น ที่ไกล ออกไป จนเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับตัวเราในปัจจุบัน เราเห็นภูเขาหัวโล้นในจังหวัดน่าน เห็นดอกหญ้าริมบึงในหน้าร้อน ชาวนาเดินลัดทุ่งในประเทศญี่ปุ่น ชาวเอสกิโมเดินหาเฟอนิเจอร์ในอิเกีย เพื่อไปแต่งบ้านที่ไม่ใช่อิกลู เห็นแสงสะท้อนน�้ำจากนาน�้ำขังในซาปากลางหุบเขาสลับซับซ้อน เราอาจจะทะเลาะกับตัวเอง พอถึงจุดหนึ่งจึงขยายออกไปจนกลาย เป็นการทะเลาะกับคนอื่น เสียงสูดน�้ำมูกของเธอดึงเรากลับมาสู่สยามสแควร์วัน และลมหนาวเจือ มลพิษในมหานคร ความเงียบถูกวางทิ้งไว้ระเกะระกะ อากาศดันตัวเข้ามาจนหัวจะระเบิด “กลับบ้านกันเถอะ” เราพูด ถอนหายใจ ดึงสายเป้เข้ากระชับตัว บ้านที่ว่าเป็นพหูพจน์ คนละทิศ คนละทาง เธอหันมา นัยน์ตาแดงก�่ำ ขมวดคิ้วขรึม ต้องการค�ำตอบที่เราไม่มีให้
55
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
เรากลับคิดถึงแผนการซื้อตั๋วรถโดยสารบริษัทขนส่งจ�ำกัด 480 บาท ขึ้น เหนือ ซื้อทางหนีให้กับตัวเอง ที่ที่มีแต่ตัวเอง กับคนอื่นๆ ที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดๆ ระหว่างกัน บางทีความฝันของเราก็สั้นแค่ว่า คืนต่อไปอยากไปล้มตัวลงนอนตรงไหน เห็นแก่ตัว โดดเดี่ยว ไม่ใส่ใจใคร แท้จริงคือขี้ขลาด หวาดกลัวว่าในระยะทางที่แสนเปราะบาง จะเผลอขยับ ตัวผิดทิศทางและท�ำให้ทุกองศาแตกร้าว _ แต่หากการร่วงหล่นเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง การหนีไปไกลๆ อาจ ท�ำให้ได้ยินเสียงตกกระทบแตกกระจายในเดซิเบลที่ต�่ำกว่า
56
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
เรื่องสั้นมาก
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
เช้าวันหนึ่ง เขาตื่นขึ้นมาจากความฝัน เขาท�ำตัวเหมือนเช่นเคย เหมือนวันที่เหงาหงอยตามปรกติ เขาเดินไปขี้ แปรงฟัน แต่ยังไม่อาบน�้ำ เพราะเขาขี้เกียจด้วยส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาตั้งใจว่าจะไปออก ก�ำลังกายดูสักหน่อย อย่างไรก็ตาม อากาศในเชียงใหม่ ณ ช่วงเวลาแบบนี้ ทุกๆ ปี ไม่รู้ว่านานหรือยัง จะไม่เหมาะแก่การออกก�ำลังกายอย่างยิ่ง อย่าว่า แต่ออกก�ำลังกายเลย แค่สูดอากาศเพื่อการด�ำรงชีพยังไม่เหมาะเลย แต่เธอตื่นขึ้นมาจากความหลับใหลอันเป็นนิรันดร์ แน่นอนว่าเธอ ไม่ใช่เจ้าหญิงนิทรา ไม่ว่าจะโดยเนื้อเรื่องแบบดิสนีย์หรือต้นฉบับก็ตาม เธอคือ หญิงสาวคนหนึ่ง หรือเรียกให้ถูกคือมนุษย์คนหนึ่ง เพราะมิเช่นนั้นเธออาจจะ โกรธเกรี้ยวได้ที่เรียกเธอว่า “หญิงสาว” ไม่ใช่ว่าเพราะเธอเป็นเลสเบี้ยน หรือ บุคคลที่มีรสนิยมทางเพศทางเลือกต่างๆ หรือเพราะเธอแก่แล้ว (ซึ่งในกรณี นั้นเธออาจจะดีใจ? แต่ก็ไม่แน่เหมือนกัน) แต่เป็นเพราะเธอมองว่า ในการเล่า เรื่องนี้ “เขา” ไม่ได้ถูกเรียกว่า “ชายหนุ่ม” แต่เธอกลับถูกเรียกว่า “หญิงสาว” ซึ่งนับว่า “กดขี่ทางเพศ” เนื่องจากในขณะที่ “เขา” ถูกระบุว่าเป็นชายโดย อัตโนมัติ ซึ่งมาจากสรรพนามบุรุษที่สองหรือสามสักอย่าง ส่วน “เธอ” กลับ ต้องเรียกซ�้ำว่า “หญิงสาว” มันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย ทั้งๆ ที่ “เธอ” ก็อาจม องได้ว่า ระบุไปโดยอัตโนมัติแล้วว่าเป็น “หญิง” และการเล่าเรื่องก็ได้เล่าใน ลักษณะที่ขัดแย้งกับย่อหน้าที่แล้วอย่างชัดเจนอยู่แล้ว ผมปั่นจักรยานออกก�ำลังกายอยู่ในสถานที่อันเต็มไปด้วยจักรกลแห่ง สัญญะ บางทีจักรกลเพื่อการออกก�ำลังกายสามเครื่องนี้ก็ไม่เหมาะสมและดู แปลกแยกกับพื้นที่แห่งนี้พอควร กระนั้น เครื่องปรับอากาศแสนเย็นสบาย และไม่ได้เก็บค่าบริการเพิ่มเติมนอกจากเงินบ�ำรุงมหาวิทยาลัยที่ได้จ่ายไป ก่อนหน้านี้แล้วเท่านั้น จึงเป็นเครื่องล่อใจให้ผมมาใช้บริการสร้างเสริมกล้าม เนื้อและลดไขมัน ณ ตรงนี้ ตอนนี้ จะว่าไป ไอ้การออกก�ำลังกายมันก็มี ลักษณะทวิลักษณ์คล้ายๆ กับหลายๆ อย่างที่มาร์กซพูดถึงอยู่เหมือนกันนะ 58
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
ราวกับว่าทวิลักษณ์นี่เป็นกฎสากลเทียบเท่ากฎแห่งกรรมหรือเพราะเจ้าที เดียว แต่ส�ำหรับมาร์กซแล้ว ก็คงไม่มีกฎใดยิ่งใหญ่ไปกว่ากฎวิภาษวิธีหรอ กมั้ง ซึ่งโดนปฏิเสธจากเหล่าสปิโนซิสม์มาร์กซิสต์หลายคนเหลือเกิน ผมก็ อยากรู้เหมือนกันนะ ว่ามาร์กซจะเสียใจไหมที่กฎของเขาถูกปฏิเสธ แล้ว แทนที่ด้วยอะไรที่แปลกๆ อย่าง แนวโน้ม อะไรท�ำนองนี้ แต่มาร์กซก็คือคน ที่ตายไปแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่เป็นเพียงแค่กลุ่มก้อนภูมิปัญญาเท่านั้นแหละ รอ ให้เราทั้งหลายได้ตีความกันต่อไป มาร์กซคงได้แต่ภาวนาว่า การปฏิวัติจะ เกิดขึ้น สักวัน... ฉันนี่เบื่อจริงๆ เลยนะ ท�ำไมเวลาจะใช้สรรพนามบุรุษที่หนึ่งส�ำหรับ สตรีอย่างฉันแล้วเนี่ย มันหายากจัง จะใช้ว่าอะไรดีล่ะ เพราะภาษาไทยนี่มัน กดขี่ทางเพศอย่างรุนแรงขั้นสุด ขอย�้ำว่ากดขี่เพราะต่างจากพวกฝรั่งภาค พื้นยุโรปหลายประเทศที่แบ่งแยกเพศของภาษา ซึ่งมันก็มีค�ำของเพศหญิง อยู่ไง หรือในภาษาอังกฤษ (อเมริกัน) ผู้ครองโลกอยู่เนี่ย ก็ใช้ ไอ แทนทั้ง สองเพศไปเลย ง่ายดีจะตาย สมัยจอมพลป่วย อ�ำนวยสงครามนี่ก็มีการ พยายามปรับโครงสร้างภาษาเหมือนกันนะ แต่แกคงคิดว่าแกมีค�ำนาจล้นฟ้า สั่งการจัดระเบียบสัญญะได้ตลอดกาล หึๆ ยากหน่อยนะ เพราะอ�ำนาจแบบ นั้น เท่าที่ฉํนจ�ำได้ก็มีพวกบอลเซวิคที่ท�ำได้ แต่ถามหน่อยว่าบอลเซวิคใช้ เวลาอยู่กี่ปี ไอ้จอมพลห่านี่แม่งอยู่แค่แป็บเดียว กะจะมาเปลี่ยนสมบัติส่วน รวมอย่างยิ่งอย่างสัญญะนี่คงยากอยู่หน่อยแหละ เสียใจด้วยนะ เพราะลึกๆ แล้ว ฉันก็แอบเชียร์แกอยู่เหมือนกันแหละ แม้รู้ว่าจะเป็นอ�ำนาจฝ่ายขวาใกล้ เคียงฟาสซิสต์ก็ตาม เพราะฉันไม่ใช่สาวกของมาร์กซหนิ จะให้ฉันเคารพ ศรัทธาแกตลอดกาลไม่แปรเปลี่ยนใจก็ใช่ว่าฉันจะท�ำ คนตายไปตั้งนานแล้ว ด้วย แถมหื่นกามเกินไปอีก คือหื่นก็ไม่ว่า แต่ก็น่าจะหาวิธีคุมก�ำเนิดเสียบ้าง ไม่ใช่ปล่อยให้ลูกเกิดมาแล้วตายทิ้งตายขว้างเช่นนั้น ชักว่าวก็ได้นะ ถ้าไม่ อยากคุมด้วยวิธีอื่นน่ะ แย่จริงๆ ไอ้คนคนนี้นิ โอเคล่ะ สามสิบนาทีส�ำหรับจักรกลสองขาปั่นตัวนี้ดูดกลืนพลังงาน ข้าพเจ้าไปหมดสิ้นแล้ว เวลานี้ ปรกติแล้วข้าพเจ้าจะต้องเข้าสู่กระบวนการ 59
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
ท�ำให้เป็นแรงงานในโรงงานผลิตแรงงานขนาดใหญ่ แต่ในช่วงนี้ข้าพเจ้าได้มี อิสรภาพอยู่พักหนึ่ง เป็นอิสรภาพที่หลายต่อหลายคนน�ำไปใช้หลายต่อหลาย อย่าง เป็นอิสรภาพที่ทุนปล่อยให้ผู้ใฝ่ฝันจะเป็นแรงงานได้มีโอกาสผลิตซ�้ำแรง ใจของตนเองในระยะเวลาอันยาวนานกว่าปรกติมาก แต่ข้าพเจ้านั้นไม่ได้มี เป้าประสงค์จะผลิตซ�้ำแรงใจอะไรทั้งนั้น ข้าพเจ้าเพียงอยากขอเวลาให้ได้ เคลื่อนไหวตามใจอยากบ้างก็เท่านั้น แต่พอคิดแบบนี้แล้วก็รู้สึกว่าหนีไม่พ้น แฮะ แท้จริงแล้วข้าพเจ้าก็ผลิตซ�้ำแรงใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปภายใต้การควบคุม การเคลื่อนไหวที่เข้มงวดแบบนี้อยู่ดี ถือว่าทุนได้ทั้งขึ้นทั้งล่องตลอดสินะ เอา เถอะไหนๆ ทุนก็ให้ข้าพเจ้าได้ดื่มด�่ำกับรสชาติของชีวิตที่ไม่มีเสียนาฬิกาปลุก แล้ว ข้าพเจ้าก็ขอใช้มันเต็มที่ในช่วงแรก แต่ใช้ไปใช้มาก็เบื่อ อาจเพราะร่างกาย ข้าพเจ้าเคยชินกับการตื่นอย่างเป็นเครื่องจักรเสียแล้วน่ะสิ ก็เลยจัดการชีวิต ตนเองเสียใหม่ ให้กลายเป็นเครื่องจักรกลายๆ เคลื่อนไหวอย่างไร้ที่ติ ดั่งตัว ละครสุดเพอร์เฟค (ที่ยังไงก็ต้องอิมเพอร์เฟคถ้ามองแบบลากอง) ในนวนิยาย หลายเรื่องของเฮียมู-ศาสดาของเหล่าฮิปเตอร์ซังทั้งหลาย ผมเผ้าก็ไม่อยากเช็ดให้แห้ง นี่กูท�ำตัวเซอร์เกินไปหรือเปล่าวะ คิด แบบนี้แล้วนึกถึงที่คุณหญิงแม่เคยบอกไว้เลย ว่าท�ำตัวแบบนี้เนี่ยผู้ชายที่ไหน เขาจะรับเราไปเป็นศรีภรรยา เออคุณหญิงคะ ดิฉันไม่ใช่เดียรัจฉานอย่างที่ค�ำ ว่าดิฉันนั้นแฝงความหมายเดิมไว้อย่างนั้น แต่หนูลูกแม่ที่ไม่ได้มีมันสมองแค่ หนู แต่หนูเป็นมนุษย์คนนึงนะคะขุ่นแม่ขา ผู้ชายไม่ใช่มนุษย์ที่สมบูรณ์และล้น เกินเพียงเพศเดียวนะคะ ผู้หญิงอย่างลูกท่านแม่เนี่ย ก็สมบูรณ์ไม่แพ้กัน ยิ่ง นมนี่ไม่ต้องพูดเลย ล้นเกินแน่นอนเลยค่ะ แถมท�ำให้กลายเป็นวัตถุทางเพศ ผ่านการจ้องมองได้ง่ายขึ้นอีกนะจ๊ะแม่ ก็จ�ำได้ว่าตอนนั้นสาดใส่บุพการีไป ขนาดนั้น เลยได้ทุนมาตั้งตัวเยอะพอประมาณ เรานี่มันลูกกระฎุมพีศรีสยาม จริงๆ เชียว อะนะ ถ้าครอบครัวที่แสนดีคาดการณ์ได้ก่อนว่าเด็กตัวน้อยๆ ใน สายตาพวกเขาจะมาศึกษาต่อในสาขาปรัชญานี่คงไม่อาจได้เงินก้อนนี้มาแน่ แต่ก็ไม่ทันแล้ว ตอนนี้ก็ใกล้ส�ำเร็จวิชาขั้นแรกแล้ว แม้จะรู้แทบจะทันทีตั้งแต่ 60
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
ยื่นสมัคร แต่เสียงคัดค้านต่างๆ ก็ไม่ถูกฟังทั้งสิ้น เปรียบเสมือนเบียดขับให้ เสียงเหล่านั้นกลายเป็นเสียงอื่นที่ไม่ใช่ภาษาของมนุษย์ หรือที่ส�ำนวนไทย อันล�้ำสมัยได้เรียกว่า เสียงนกเสียงกานั่นแล รู้สึกผิดหวังเหมือนกันนะที่ เข้ามาเรียนในสาขาวิชาปรัชญา ณ มหาวิทยาลัยใกล้ดอยแห่งนี้เนี่ย เพราะ คณาจารย์ช่างคัดสรรมาทั่วถิ่นแดนไทยเสียเหลือเกิน สอนแต่ละอย่างช่าง เก่าแก่บรมครูเสียจริง วิชาปรัชญามีจารีตที่น่าเบื่อคือเราต้องศึกษารากฐาน ทางปรัชญาที่กว้างขวางมาก และมาอธิบายอย่างย่นย่อในคาบวิชาเลคเชอร์ โดยที่นักศึกษาทั่วๆ ไป ไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ได้แต่ว่า คนโน้นพูด แบบนี้ คนนี้พูดแบบนั้น พูดไปพูดมา ชื่อซ�้ำชื่อซ้อน จ�ำผิด กาผิด เกรดต�่ำ กันไปอีก นั่น... ก็เรียนกันแบบนี้ สอนกันแบบนี้ ในสถาบันและระบบ เศรษฐกิจที่เร่งเราขนาดนี้มันจะมีเวลาที่ไหน ไปกินประวัติศาสตร์ปรัชญาอัน ลึกซึ้งได้ขนาดนั้น และก็มีแต่ไอ้วิชานี้ด้วยที่ประวัติศาสตร์ทางความคิดของ มันเป็นส่วนส�ำคัญอันขาดไม่ได้เสียต่อการท�ำความเข้าใจในปรัชญาร่วมสมัย หรือกระทั่งปรัชญาของนักปรัชญาคนหนึ่งๆ แตกต่างอย่างยิ่งกับวิชา จ�ำพวกวิทยาศาสตร์สายสุขภาพที่แทบจะไม่จ�ำเป็นต้องพูดถึงประวัติศาสตร์ ของศาสตร์แขนงนั้นเลย หากไม่เป็นการพูดเพื่อโอ้อวดถ่มถุยความรู้ใส่กัน หรือพูดเพื่อความเข้าใจ หรือเพื่อสร้างแรงบันดาลใจบางประการก็เท่านั้น ซึ่งนั่นเป็นเพียงแค่ส่วนเสริม ไม่ใช่ส่วนหลักอย่าง วินัยแห่งวิชาของฉํนเนี่ย หลายครั้งก็อยากรู้เหมือนกันนะครับ ว่าเราจะบ่นกันไปนักหนา ท�ำไม เมื่อไหร่ถึงจะได้เจอกัน อะไรท�ำนองนี้น่ะนะ ก็ไอ้การวิพากษ์ต่างๆ ของพวกคอมมิวนิสต์ทั้งหลายทั้งปวงนี่มันมีประโยชน์จริงๆ หรือ ผมเห็น หลายคนแล้วที่เบือนหน้าหนี หรือแม้แต่คนที่ฟัง ตั้งใจอ่าน ศึกษาอย่างดี มีหลายคนนักที่ศึกษาแค่ในกรอบของ วินัยแห่งวิชาตนเองก็เท่านั้น คือ ศึกษาไปในเชิงเทคนิก เพื่อไปประกอบสร้างงานวิจัยในวินัยแห่งวิชาของตน โดยไม่ได้สนใจอุดมการณ์หรือแง่มุมอื่นๆ ของท่านมาร์กซผู้น่าสงสารเสียเลย หรือแม้แต่บางคนอ่านจริงๆ จังๆ แล้วจบลงโดยที่ปลงตก ก็น่าเสียดายเช่น 61
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
เดียวกันนะ เมื่อไหร่หนอที่นักใฝ่ฝันและนักปฏิวัติทั้งหลายจะได้พบเจอเสียที สังคมแบบคอมมิวนิสต์เนี่ย.
62
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
ฝัน
โดย จิรา
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
ฝนตกลงมาอีกครั้ง ลมพัดมาราวกับจะกรรโชกแรงขึ้นเรื่อยๆ ฟ้าแลบ ส่งเสียงร้องน่าตกใจ เราขี่รถมาเรื่อยๆ ตอนแรกๆมันก็เป็นเพียงแค่สายลม เบาๆ ที่พัดมาพอให้คลายความร้อนจากตอนกลางวัน แต่ยิ่งมืดมันก็หยิ่งหนัก ขึ้น หนักขึ้น “เราก�ำลังขี่รถไปไหนกันอ่ะ” นิสิต ถามผม ผมได้แต่มองออกไปบนถนนข้างหน้าที่ทอดยาวสุดสายตา ช่วงเวลา แบบนี้คงไม่มีใครออกมาขี่รถกันซินะ ถนนช่างว่างเปล่าเสียยิ่งกระไร เรามาถึงที่แห่งหนึ่ง ในตอนกลางวันที่แห่งนี้มันคงเป็นที่ที่หลายคน ผ่านมาผ่านไป บางคนแวะมากินข้าว บางคนก็เดินผ่านเพื่อจะไปเรียนอีกตึก แต่น้อยคนที่จะรู้ว่า ณ ที่แห่งนี้มีชมรมต่างๆมากมายซ่อนอยู่ ตอนผมเรียน อยู่ที่นี่ ผมก็สิงสถิตอยู่ที่ชมรมหนึ่ง ด้วยความที่ผมมาจากต่างจังหวัด การ ย้ายมาเรียนที่นี่มันก็ยากน่าดูที่ต้องมาเรียนคนเดียว ไกลจากบ้าน ไกลจาก เพื่อน ไกลจากสถานที่คุ้นเคย ความเหงาก็แทรกซึมผ่านตัวผมไปทั่วทุกขณะ ในเวลาตอนนี้ ตอนที่ทุกอย่างหลับใหลไม่มีแสงธรรมชาติอื่นใดนอกจากแสงไฟ มันคงเป็นโอกาสอันดีที่ผมจะพาเข้ามาอีกครั้งและผมคิดว่าเขาก็คงอยากจะมา อีกสักครั้ง เรานั่งๆนอนๆ เล่นในชมรมเพราะเป็นสถานที่ที่คุ้นเคย ตอนเราเรียน อยู่ที่นี่เราก็มานั่งเล่น นอนเล่นกันเป็นประจ�ำ ผมกับนิสิต สนิทกันมากขึ้น ทุกที ผมไม่เคยปิดบังหัวใจของผมเองว่าผมก็ชอบเขาซะเต็มประดา แต่ผิด กับเขาเองซะอีกที่ดูไม่ค่อยแสดงออกจนบ้างครั้งผมก็อดคิดไม่ได้ว่าหรือจริงๆ แล้วเขาอาจจะชอบผู้หญิงก็เป็นได้ เราเข้ามาในชมรมในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน นิสิตเข้าชมรมมาก่อน หน้าผมสักสองสามวันแล้วหลังจากผมเข้ามาชมรมก็เปรียบเสมือนเป็นบ้าน หลังที่สองของพวกเรา ชมรมเล็กๆที่เต็มไปด้วยหนังสือมากมาย เราใช้เวลา อยู่ด้วยกัน นอนอ่านด้วยกันหนังสือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางการเมือง ปรัชญา สังคม ต่างๆมากมาย ไม่นานเราก็ได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน 64
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
พวกเราชอบมานอนค้างที่ชมรมเพราะกว่าพวกเราจะสนทนากัน เสร็จก็เป็นเวลาที่ดึกดื่น ผมมักจะชอบมีอาการฝันแปลกๆอยู่เสมอ ยิ่งสนิท กับ นิสิต ยิ่งมาอยู่ที่แห่งนี้ อาการฝันของผมก็ยิ่งหนักมากขึ้น ฝันของผมยิ่ง ชัดเจนมากขึ้น >>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>> แสงวาบผ่านเข้ามาในดวงตา ใบหน้าของเขาที่เปื้อนไปด้วยเหงื่อ เขานั่งข้างๆอยุ่กับผู้หญิงคนหนึ่งและตัวของผมที่นั่งอยู่ที่พื้นใกล้ๆกัน เขา ก�ำลังนั่งพิมพ์ดีดด้วยความขยันขันแข็ง มีผู้หญิงคนนั้นนั่งข้างๆเพื่อให้ก�ำลังใจ ผมได้แต่นั่งมองแล้วยิ้มแต่ในใจผมขุ่นมัวเหลือเกิน เขารีบท�ำงานอย่างรีบเร่ง ก่อนที่จะต้องปิดเล่มวารสารในวันนี้ เพื่อที่จะส่งไปยังโรงพิมพ์เพื่อตีพิมพ์ ท่ามกลางสถานการณ์ความรุนแรง ชมรมของเราโดนทหารมารื้อค้นหลาย ครั้ง ผมต้องคอยเอาหนังสือบางเล่มไปซ่อน ไว้ให้รอดพ้นจากทหาร นิสิตมี ความเข็มแข็งอย่างมาก เขาสามารถเป็นผู้น�ำคนได้อย่างดีแม้ว่าเขาจะเป็น คนหัวรุนแรง แต่ก็พูดจาฮึกเหิม ตรงไปตรงมา ปลุกพลังประชาชนได้อย่างดี ผิดกับผมที่ไม่ค่อยกล้าพูดเท่าใดนักแม้บางครั้งผมขึ้นพูดและนิสิตจะชมผม ทุกครั้งแต่ผมก็อดประหม่าไม่ได้ ผมได้แต่นั่งช่วยงานทั่วๆไปของกลุ่ม อาศัย ว่าผมสามารถประสานงานต่างๆได้ดี โรงพิมพ์ที่ตีพิมพ์หนังสือผมก็เป็นคน ไปจัดหามาด้วยตัวเอง ผมนั้นท�ำได้เท่านี้จริงๆ >>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>> นั่งพูดคุยนึกถึงเรื่องราววันเก่าๆในสมัยที่เรายังเรียนอยู่ ยิ่งคุย ความทรงจ�ำต่างๆก็ยิ่งย้อนคืนมาเหลือนาฬิกาขึ้นมาก็เป็นเวลาเกือบตีสอง เราจึงตัดสินใจที่จะขี่รถกลับไปตามทางเดินที่เราจากมาอีกครั้ง แต่นั่นก็อาจ จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมกับนิสิตจะได้คุยกัน 65
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
สายฝนที่โปรยปราย ถนนที่ทอดยาว เราขี่รถกลับด้วยความเร็วไม่ มากเท่าใดแต่ถนนที่พอแค่รถสองคันสวนกัน รถกระบะคันนั้นวิ่งผ่านมาและ เสียหลักเข้าวิ่งข้ามเลนมาทันใดเหมือนเสียการควบคุมตัว มืดมิดไม่มีเสียง ใด ไม่มีภาพใดไหลผ่านเข้ามา ร่างกายเหมือนแหลกสลาย ชั่วขณะจิตผม ล่องลอยไปไกลแสนไกลถึงสิ่งที่พวกเราเคยท�ำด้วยกัน มีความสุขในห้วงเวลา แห่งความสูญเสียไปตลอดกาล >>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>> ยิ่งนานวันนิสิตกับผู้หญิงคนนั้นก็ยิ่งสนิทกัน ผมรับรู้ได้สุดหัวใจว่า พวกเขารักกันมากแค่ไหน ผมช่วยงานนิสิตจนพิมพ์วารสารเล่มแรกออก มา มีเนื้อหาเอาจริงเอาจังต่อการบ้านการเมือง แหวกวรรณกรรมสายลม แสงแดดจนหมด เราท�ำงานกันอย่างเหนื่อย ท่ามกลางขบวนการนักศึกษาที่ ก่อรูปก่อร่างขึ้นมา แล้วหลังจากนั้นเราก็ตีพิมพ์ฉบับที่สองออกมาเนี้อหายิ่ง เข้มข้นสั่นสะเทือน เผด็จการถนอม-ประภาส เหมือนความรักของนิสิตกับผู้ หญิงคนนั้น และความเจ็บปวดของผมที่นานวันก็ยิ่งทวีในจิตใจและอึดอัดทุก ครั้งที่สามารถพูดกับนิสัตในเรื่องนี้ได้ หลังจากปิดภาคการศึกษา ผมและผู้หญิงคนนั้นก็ไปส่งนิสิตกลับ บ้านที่สถานนีรถไฟ เชียงใหม่ ผมร�่ำลากับนิสิตหวังว่าจะได้เจอนิสิตอีกสัก ครั้ง นิสิตตบไหล่ผมเบาๆ ก่อนที่นิสิตจะลาออกไป ผมได้แต่อึดอัดในใจ และเสียใจทุกครั้งที่ผมไม่สามารถที่จะบางเรื่องนี้กับนิสิต จนกระทั่งมันไม่มี แม้แต่โอกาสอีกแล้วที่จะบอกนิสิต ว่าผมรักเขามากแค่ไหน พาดหัวข่าวใน หนังสือพิมพ์บอกว่า ราวสะพานได้ตีเขาตกจากรถไฟตาย และสุดท้ายของ การสูญเสียทุกสิ่งทุกๆอย่างก็ค่อยๆจางลงเหมือนขบวนการนิสิตนักศึกษาที่ก็ ค่อยๆตายจากไปทีละเล็กทีล่ะน้อย ผมก็คงได้แต่เก็บห้วงความคิดถึงของ นิสิตไว้กับผมไปตลอดกาล
66
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
“To catch a husband is an art; to hold him is a job.” -Simone de Beauvoir-
67
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
ไม่อาจ ไม่อาจเอื้อมคว้าหยิบจับดวงดาว ไม่อาจก้าวข้ามพ้นผ่านหุบเหว ไม่อาจรู้สิ่งไหนดีสิ่งไหนเลว ไม่อาจปลดเปลื้องเปลือยความเกลียดชัง ไม่อาจห้ามใจให้ปรารถนา ไม่อาจหนีพายุฝนแห่งความหลัง ไม่อาจซ่อมหัวใจที่ผุพัง ไม่อาจหวังสิ่งใดในโลกนี้ ไม่อาจเดินดุ่มดุ่มเข้ากลีบเมฆ ประพฤติตัวเช่นเฉกฉันเป็นผี แม้จะเจ็บปวดเท่าใดก็ตามที โลกใบนี้ก็ยังเป็นอย่างที่เจอ ไม่มีแล้วฉันคนเก่าที่เน่าหนอน ไม่มีแล้วคนก่อนที่ขาดเขลา ไม่มีแล้วไม่มีไม่มีเรา คงโง่เขลาถ้ายังมัวมาเสียใจ ไม่อาจพบใครใหม่ในตอนนี้ ไม่อาจเจอคนที่ยังพอไหว ไม่เอาน่าอย่าร้องไห้ปล่อยมันไป กลัวท�ำไมชีวิตยังอีกยาว
ภีมะ 68
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
สวนสาธารณะวันนี้ไม่สวยเท่าเมื่อวาน... ฉันนั่งบนเก้าอี้ไม้ เก่าๆ ที่ตากแดดตากฝนมาไม่รู้กี่ปีในสวน สาธารณะกลางเมืองหลวงของประเทศไทย ในมือมีปากกา บนตักมีสมุดเล่ม ใหญ่ กล้องดิจิตอลตัวใหญ่ห้อยอยู่กับคอ ฉันอยากถ่ายรูป ฉันอยากวาดภาพ ฉันอยากเขียนพรรณนาภาพตรงหน้า เพียงแต่ว่า สวนสาธารณะวันนี้ไม่สวย เท่าเมื่อวาน... ตั้งแต่เมื่อไรกันนะที่สวนสาธารณะเป็นที่นัดพบระหว่างเรา ก่อนคบ กันหรือหลังคบกันฉันก็จ�ำไม่ได้ เหมือนกลายเป็นความเคยชินไปเสียแล้วที่ ถ้าเราสองคนจะนัดเจอกันสถานที่ต้องเป็นที่นี่ทุกที ในสวนสาธารณะ ริมสระ น�้ำ นั่งพิงกันบนเก้าอี้ไม้ที่ไม่มีพนักตัวนั้น... เธอชอบมองท้องฟ้า ชอบถ่ายรูปแสงร�ำไรที่ส่องลอดใบไม้ลงมากระ ทบผิวน�้ำ ส่วนฉันชอบมองคนนู้นคนนี้ ชอบถ่ายรูปเด็กๆที่วิ่งเล่นอยู่ในสวน เราถ่ายรูปกันคนละอย่าง แต่เราถ่ายรูปจากมุมๆเดียวกัน เธอชอบวางแผน เธอจะวาดรูปสถานที่ที่เราจะไปด้วยกันตอนเย็น เพื่อชวนฉัน ส่วนฉันชอบของกิน ฉันจะวาดรูปของที่อยากกินเพื่อบอกเธอ เราวาดรูปกันคนละอย่าง แต่เราไปทานมื้อเย็นด้วยกัน เธอชอบเขียน เธอเขียนบรรยายบรรยากาศที่เธอเห็นลงในสมุด บันทึก ส่วนฉันชอบพูด ฉันพูดความรู้สึกของฉันที่มีต่อสิ่งที่เห็นกับเธอ เรา ท�ำกันคนละอย่าง แต่เรามีความรู้สึกเดียวกัน วันที่เก้าอี้ไม้ไม่มีพนักตัวนั้นมีฉันนั่งกับเธอ ฉันพูดว่า “สวน สาธารณะวันนี้สวยกว่าทุกวัน” และเธอเขียนมันไว้ในสมุดบันทึกของเธอ พลางตอบฉันเหมือนแมวคราง “อือ สวย” แล้วเราก็จะนั่งพิงหลังของกัน และกันต่างพนักเก้าอี้ สบายใจ... วันนี้เก้าอี้ไม่มีพนักตัวนี้มีฉันแต่ไม่มีเธอ...สวนสาธารณะวันนี้ไม่สวย เท่าเมื่อวาน ฉันนั่งกอดเข่าเอาตัวเองเป็นพนักพิงและ...คิดถึงเธอ
โดย เก้าอี้ไม้ 69
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
บทกวีไร้ชื่อ เหตุใดถึงรู้สึกแหยงกลุ่มอาการขี้อวด เหตุใดคนเหล่านั้น แสดงอาการขั้นโคม่ายิ่งขึ้นทุกวันๆ หรือเหตุเพราะความนิยมของสังคมกระแสหลักบังคับให้ เขา เธอ ท่าน แก เอ็ง มึง แม่ง เป็นแบบนั้น หรือเพราะความรู้สึกแหยงก็เป็นอีกกลุ่มอาการ ที่ฉัน ข้า เรา กู แม่ง ดัดจริตผลิตภูมิคุ้มกันต่อต้านอาการขี้อวด เพื่อรักษาสมดุลในระบบสังเวช
เอาอคติเป็นที่ตั้ง ยื่นยิ้มมายา ซ่อนความจริงใต้ลิ้นสองแฉก ปลิดชีพมารยาทสังคมชนชั้นกลาง ปล่อยให้สันดานไพร่และความหยาบคายมีชีวิต ชะ-ช่างไร้ตรรกะในกมลสันดาน ความสราญใช่ใช้เกลือจิ้มเกลือ นิ่งมองความเว้าแหว่งแห่งตัวตน สะท้อนผ่านเนื้อแท้และความแตกต่างของร่างหุ้มกิเลส เราต่างมีรูโบ๋ ให้ โลภะ โทสะ โมหะ ลอดผ่าน ขาจรมา ถาวรมี ตรองความคิดแนบพร้อมการกระท�ำ แล้วกระซิบกับตัวเอง นั่นมันฉัน นั่นมันฉัน นั่นมันฉัน เอาอคติที่ตั้งเด่ ใส่เปลไกวแล้วเล่านิทาน
70
จุลสารชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีที่ 52
กาลครั้งนั้น... เขาหอบความพยายามเข้าเส้นชัยอย่างสวยงาม ..หวังให้ตาคู่เดียวบนอัฒจันทร์สูง มองเห็น แสดงความยินดี แม้เพียงยิ้ม ระบายบาง-แค่เธอ เธอบนอัฒจันทร์เฝ้ามองความพยายาม เห็น ความส�ำเร็จเด่นชัดเต็มสองตา และกล่าวชื่นชมดังกังวานในใจ ..หวงความปีติเต็มห้องผนังสีแดงทั้งสี่ หวังไม่ให้ผู้ใด-แม้เขา ล่วงร่วมรู้สึก กาลครั้งนี้... ลมฝนหอบคืนวันนานเกินนับปะทะความทรมานของความหวังคู่ขนานที่ทั้ง เขา-เธอ ฝากไว้ในอากาศ ไอระเหยแห่งความระลึกถึงจับกลุ่มเป็นเมฆหนา กลั่นโปรยหยดฝนฉ�่ำความรู้สึกที่คั่งค้าง
71
แผนที่ชมรมวรรณศิลป์