25/7/2560
-ว
ื า ชออา า ไท ว
เนือ า:
-
ว ว ล ล
็
็ ล
ํ
วคล ว ว ว ํ ว ว ล
ล ํ
ว
ล
ว
ต ํ ํ https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AD%…
1/3
25/7/2560
-ว
ผ
ว ว ค
ล ค็
ํ
อืน ล ล ล ล ํ ํ
ํ
ค
ญ ว ํ
ล ล ํ ล ล
ล คว ล ล ค็ ล ล
ล
ํ
ล ํ
ล
ค
"https://th.wikipedia.org/w/index.php?title=
&oldid=6950387"
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AD%…
2/3
25/7/2560
ว
-ว
:
ญ
คว ล
Wikipedia® ็
ว ค
ล
18 ญญ
ว
2560 วล 16:49 . ญ ค ค ํ ค ล ว
ค
ญ ว
ว
ล
ล ํ
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AD%…
3/3
เอกสารประกอบการสอน
อาหารไทยประเภทผัดและทอด ผูเ รียบเรียง
: อาจารยพรดารา เขตตทองคํา
พิมพครั้งที่ 1 พิมพครั้งที่ 2 พิมพครั้งที่ 3 พิมพครั้งที่ 4
: : : :
ออกแบบปก
: สหรัฐ ลวดลาย
พิมพที่
: โครงการสวนดุสิต กราฟฟคไซท โทร : 0-2244-5081-3
จํานวน จํานวน จํานวน จํานวน
500 150 100 100
เลม เลม เลม เลม
กรกฎาคม 2551 กรกฎาคม 2553 มิถุนายน 2554 ธันวาคม 2554
[1]
คํานํา เอกสารประกอบการสอนวิชาอาหารไทยประเภทผัดและทอด (4513209) นี้ นักศึกษาระดับปริญญาตรี
สาขาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ
จัดทําขึน้ เพื่อ
มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต
เอกสารประกอบการสอนฉบับนี้มีจดุ มุง หมายเพื่อใหนกั ศึกษาเรียนรูและเขาใจหลักการและเหตุผล การใช เทคนิคการเตรียมและการประกอบอาหารไทยประเภทผัดทอดไดอยางถูกตอง
และสามารถนําความรูที่
ไดรับไปปฏิบัติเพื่อพัฒนาเทคนิคในวิชาชีพไดดียิ่งขึ้น อยางไรก็ตาม นักศึกษาจะตองรูจกั สังเกตและทดลองปฏิบตั ิเพื่อพัฒนาเทคนิคตาง ๆ และหมั่น คนควาหาความรูจากแหลงอื่นเพิม่ เติม จะชวยใหไดรับความรูกวางขวางยิ่งขึน้ สุดทายหากเอกสารชุดนี้มี ขอผิดพลาดประการใดขออภัยไว ณ ทีน่ ดี้ ว ย พรดารา เขตตทองคํา
[2]
[3]
สารบัญ คํานํา สารบัญ สารบัญตาราง สารบัญภาพ สารบัญบทปฏิบัตกิ าร บทที่ 1 ความหมาย สวนประกอบของน้ํามัน การผลิตน้ํามันและไขมัน ชนิดของน้าํ มัน คุณสมบัตขิ องน้ํามัน บรรณานุกรม บทที่ 2 ผลิตภัณฑจากน้ํามัน การใชนา้ํ มันในการประกอบอาหาร การเปลี่ยนแปลงของน้าํ มันขณะที่ใชและหลังการประกอบอาหาร บรรณานุกรม บทที่ 3 การเลือกเครื่องมือเครื่องใช คุณสมบัตแิ ละหนาที่ของวัตถุดิบตาง ๆ ในการประกอบอาหารประเภทผัดและทอด บรรณานุกรม บทที่ 4 การเลือกซือ้ วัตถุดิบ เทคนิคการเตรียมสวนประกอบอาหารไทยประเภทผัดและทอด การปรุงและการประกอบอาหารประเภทผัก ขั้นตอนการลางผักกอนที่จะปรุงและประกอบอาหาร การเตรียมเนื้อสัตวกอ นปรุงและประกอบอาหาร การเตรียมปลากอนการประกอบอาหาร
หนา (1) (3) (5) (6) (7) 1 1 2 8 12 15 27 23 23 33 37 40 41 41 43 68 69 69 71 72 72 73 73
[4]
สารบัญ(ตอ) การเตรียมสัตวนา้ํ อื่นกอนการหุงตม การเตรียมเนื้อสัตวประเภทเนื้อหมู เนื้อไก เทคนิคการประกอบอาหารไทยประเภทผัดทอด สุขอนามัยของผูประกอบการ มารยาทในการใหบริการอาหารไทยประเภทผัดทอด การคิดตนทุนและการกําหนดราคาขาย ราคา วิธกี ารกําหนดราคาขาย ปจจัยทีม่ ีอิทธิพลตอการตัง้ ราคา การจัดบรรจุหบี หอและการจัดจําหนาย วัตถุประสงคในการใชภาชนะบรรจุ วัสดุที่ใชทาํ ภาชนะบรรจุอาหาร ภาชนะบรรจุอาหารเพื่อการจัดจําหนาย ประโยชนของการบรรจุหีบหอ การจัดจําหนาย ชองทางการจัดจําหนาย ชองทางการจัดจําหนายสินคาบริโภค บรรณานุกรม ภาคผนวก ทําไมตองเปนผัดไทย ประวัตคิ วามเปนมาของหมีก่ รอบ ร.5 “หมี่จนี หลี”
หนา 73 74 75 79 86 87 88 95 96 96 96 99 99 99 99 100 101 103 104 106
[5]
สารบัญตาราง หนา บทที่ 1 ตารางที่ ตารางที่ ตารางที่ ตารางที่ บทที่ 4 ตารางที่
1 2 3 4
กรดไขมันอิ่มตัวที่พบมากในธรรมชาติ กรดไขมันไมอิ่มตัวที่พบมากในธรรมชาติ จุดหลอมเหลวของกรดไขมันชนิดตาง ๆ ผลึกของไขมันชนิดตาง ๆ
1 ตัวอยางการกําหนดราคาขายจากคารอยละของตนทุนอาหารและกําไรสวนเกิน ทีเ่ กิดขึ้น ตารางที่ 2 ตัวอยางเปรียบเทียบการกําหนดราคาขายจากคารอยละของตนทุนอาหาร กับตนทุนอาหารและแรงงาน ตารางที่ 3 การกําหนดราคาของอาหารตามประเภทของอาหาร
4 5 16 17
92 92 94
[6]
[6]
สารบัญภาพ หนา แผนภูมิการเกิดสารประกอบชนิดใหมระหวางการใชไขมันและน้าํ มันทอดอาหาร ภาพผนวก ที่ 1 การเรียกชื่อสวนตาง ๆ ของเนื้อวัว ที่ 2 การเรียกชื่อสวนตาง ๆ ของเนื้อวัว ที่ 3 การเรียกชื่อสวนตาง ๆ ของเนื้อวัว ที่ 4 การเรียกชื่อสวนตาง ๆ ของไก ที่ 5 การเตรียมปลาสําหรับประกอบอาหาร ที่ 6 การบั้งปลา ที่ 7 การแลปลาตัวแบน ที่ 8 การแลปลาตัวแบนแบบ บน butterfly ลาง fillet ที่ 9 การแลปลาตัวกลมแบบ กลาง steak
39 107 107 108 108 109 109 109 110 110
[7]
สารบัญบทปฏิบัติการ หนา บทปฏิบตั กิ ารครั้งที่ 1 หอยลายผัดฉา ผัดกะเพราไก ปลากะพงผัดผงกะหรี่ บทปฏิบตั กิ ารครั้งที่ 2 ทอดมันปลากราย ปลานิลทอด ลาบทอด บทปฏิบตั กิ ารครั้งที่ 3 กวยเตี๋ยวผัดไทย ผัดซีอิ้ว กวยเตี๋ยวคั่วไก บทปฏิบตั กิ ารครั้งที่ 4 หมี่กรอบ ไกผดั เมล็ดมะมวงหิมพานต ผัดเปรี้ยวหวาน บทปฏิบตั กิ ารครั้งที่ 5 ขาวผัด หมี่กะทิ ปกไกสอดไสนา้ํ แดง บทปฏิบตั กิ ารครั้งที่ 6 กุงชุบแปงทอด (เทมปุระ) หมูชุบแปงทอด (ทงคัสสึ) ผัดเนื้อน้ํามันหอย บทปฏิบตั กิ ารครั้งที่ 7 ผัดพริกขิง ปลาราดพริกสามรส
113 114 115 116 117 118 119 120 121 122 123 124 125 126 127 128 129 130 131 132 133 134 135 136 137 138 139
[8]
สารบัญบทปฏิบัติการ (ตอ) หนา ผัดขิง บทปฏิบตั กิ ารครั้งที่ 8 ไกหอ ใบเตย ฉูฉี่ปลาทูทอด ปลาดุกผัดเผ็ด
140 141 142 143 144
บทที่ 1 ในการหุงตมอาหาร ความรอนจะถูกสงผานจากแหลงใหความรอน เชน เตาถาน เตาแกส เตาไฟฟา ฯลฯ ไปยังอาหาร ซึง่ การสงผานความรอนในการหุงตมมี 3 วิธี คือ 1. การนําความรอน (Conduction) หมายถึงการที่ความรอนไหลจากสิง่ หนึ่งไปยังอีกสิ่งหนึ่ง เชน การตั้งกระทะบนเตาและในกระทะนัน้ มีอาหาร กระทะจะรอนจากไฟ ความรอนจากกระทะไหลไปยังอาหาร 2. การพาความรอน (Convection) เปนการสงผานความรอนของแกสหรือของเหลวโดยที่ตวั มันเอง บางสวนจะเคลื่อนไปดวย และความรอนจะถูกพาจากทีม่ คี วามหนาแนนมากไปสูท มี่ คี วามหนาแนนนอย เชน อาหารที่รอนในน้าํ เดือด 3. การแผรังสี (Radiation) เปนการสงผานความรอนโดยคลื่นรังสี เชน เตาอบซึง่ จะเกิดความรอน แบบนี้เฉพาะบริเวณผิวหนาอาหารเทานัน้ ขางในอาหารยังมีการพาความรอนเกิดขึ้น อยางไรก็ตามวิธีหงุ ตมอาหารมีดวยกันหลายวิธี เชน การใชความรอนแหง (Dry-heat method) การ ใชความรอนชืน้ (Moist-heat method) และการใชนา้ํ มันรวมกับความรอนแหง (Dry-heat method using fat) การทําใหอาหารสุกโดยใชน้ํามันรวมกับความรอนแหงคือการทอด (frying) การหุงตมแบบนีแ้ บงเปน 3 ประเภทดังจะกลาวในโอกาสตอไป 1. ความหมาย 1.1 ทอด (fly) หมายถึง การทําใหอาหารชนิดใดชนิดหนึง่ ซึ่งตองการใหสกุ ดวยน้ํามัน โดยตักน้าํ มัน ใสกระทะใหรอน แลวใสอาหารนัน้ ลงไปพอเหลืองหรือสุก 1.2 ผัด (fry) หมายถึง การทําอาหารชนิดเดียวหรือหลายชนิดซึ่งตองการใหสกุ สําเร็จเปนอาหารสิ่ง เดียว และมีรสอยางใดอยางหนึ่ง โดยใชน้ํามันหรือกะทิ 1.3 เจียว (fry) หมายถึง การทําอาหารที่ละเอียดหรือที่เปนฝอย ซึง่ ตองการใหสกุ หรือกรอบดวย น้ํามัน โดยตักน้ํามันใสกระทะแลวใสอาหารนั้นลง คนเรื่อยไปจนกวาจะสุกตามตองการ 1.4 จี่ (pan-broil) หมายถึง การทําวัตถุชนิดใดชนิดหนึ่งซึง่ ตองการใหสกุ ดวยน้ํามัน โดยการตั้ง กระทะบนไฟแลวทาน้าํ มันแตนอยพอทั่วกระทะ แลวใสอาหารนั้นนาบกลับไปมาจนสุกตามตองการ 2. น้าํ มัน ในการประกอบอาหารประเภทผัดและทอดนั้นสิง่ สําคัญที่ใชคือ น้าํ มัน น้าํ มันที่ใชอยูแบงออกเปน 2 กลุม โดยถือเอาแหลงของวัตถุดิบเปนเกณฑ คือน้าํ มันที่ไดจากพืชและน้ํามันที่ไดจากสัตว น้าํ มันที่ไดจากพืชมี
2 หลายชนิด และนิยมใชกนั มาก จึงถือวามีความสําคัญมากในการคา สวนน้ํามันทีไ่ ดจากสัตวมีใชกันนอย แต ก็มีความสําคัญ น้ํามันหรือไขมันเปนสารประกอบที่อยูในกลุม lipids สารประกอบในกลุมนี้มีลกั ษณะตางกัน แตมี คุณสมบัติในการละลายเหมือนกัน สวนใหญเปนสารประกอบของกรดไขมัน นอกจากนี้ยงั มีพวก waxes, phospholipids, steroids, cholesterol สารใหสี และวิตามิน น้ํามันและไขมันนั้นมีความแตกตางกันเพียง สถานะที่อณ ุ หภูมิหองเทานัน้ คือน้ํามันมีสถานะเปนของเหลวที่อุณหภูมิหอง แตไขมันเปนของแข็ง เนื่องจาก อุณหภูมิหอ งเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา และขึ้นอยูกบั แหลงที่ผลิต ดังนัน้ น้ํามันชนิดหนึง่ อาจเรียกเปนไขมัน ถาเปลี่ยนจากประเทศหนึ่งไปอีกประเทศหนึ่ง การใชนา้ํ มันของมนุษยนนั้ มีวตั ถุประสงคใหอาหารมีกลิ่นและรส ดีขึ้น เปนตัวนําความรอนจากภาชนะไปสูอาหาร ทําใหอาหารสุกไดงา ย นอกจากนีน้ า้ํ มันยังเปนแหลง พลังงานที่ดี และเปนตัวนําวิตามินที่จาํ เปนเขาสูรางกาย สวนประกอบของน้ํามัน 1. สารประกอบ glycerol น้ํามันเปนสารประกอบ ester ที่เรียกกันวา glyderide แอลกอฮอลที่ เกี่ยวของคือกลีเซอรอล และกรดเปนพวก aliphatic straight chain มีจํานวนคารบอนเปนเลขคูและมี จํานวน 8-24 เปนสวนใหญ 1.1 กลีเซอรอล กลีเซอรอลเปนแอลกอฮอลที่ไดจากการแตกตัวของน้าํ มันมีลกั ษณะเหนียว ไม สี มีรสหวาน หนักกวาน้ําและละลายน้ําไดดี กลีเซอรอล (1,2,3-propanetriol) มี hydroxyl 3 หมู อยูท ี่ คารบอนติดกัน ปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นกับหมูใดหมูห นึง่ ของ hydroxyl group จึงมีผลตอ hydroxyl group อื่น ๆ มาก กลีเซอรอลสามารถทําปฏิกิรยิ ากับกรดอินทรีย (R-COOH) ใหสารประกอบ ester กรดไขมันที่ทาํ ปฏิกิริยากับกลีเซอรอลอาจมีจาํ นวนเพียงหนึง่ สอง หรือสามก็ได ซึ่งเรียกวา monoglyceride, diglycerides และ triglycerides ตามลําดับ สําหรับ monoglyceride และ diglycerides นัน้ ไมคอ ยพบในธรรมชาติมากนัก นอกจากน้ํามันมีการแตกตัว โดยปกติแลว glyceride ทั้ง สองชนิดนี้จะตองเตรียมจากกรดไขมันกับกลีเซอรอลในหองทดลอง เปนสารที่ใหประโยชนมาก โดยเฉพาะ monoglyceride มีคณ ุ สมบัตเิ ปนสาร emulsifier จึงนําไปใชเปนตัวกระจายไขมันในอาหารหลายชนิด ทัง้ นี้ เนื่องจากเปนสารที่มที ั้ง polar group และ nonpolar group ภายในโมเลกุลเดียวกัน มีการใสสารนี้ใน shortening สําหรับทําเคก นอกจากนี้ยงั มีการใสลงในน้าํ มัน โดยเฉพาะน้ํามันทีม่ ีกรดไขมันชนิดไมอมิ่ ตัวอยู ในปริมาณสูง ทําใหมีลกั ษณะขนขึ้นสําหรับทํามาการีน
3 สารประกอบ triglycerides เปนน้ํามันที่พบมากในธรรมชาติ กรดทั้งสามทีเ่ กาะอยูกบั กลีเซอรอลนั้นอาจเปนชนิดเดียวกันหรือตางกันก็ได น้ํามันที่มีกรดไขมันชนิดเดียวทัง้ หมดเรียกวา simple triglycerides แตถากรดไขมันนี้แตกตางกัน เรียกน้าํ มันนัน้ วา mixed triglycerides ในธรรมชาตินา้ํ มันสวน ใหญอยูในแบบ mixed triglycerides 1.2 กรดไขมัน คําวากรดไขมันหมายถึงกรดที่ไดจากการแตกตัวของน้าํ มัน โดยหลักการแลว กรดไขมันไดรวมถึงกรดทุกชนิดที่อยูในชุดของ acetic acid คือนับตั้งแตกรดฟอมิกเรี่อยไป ซึง่ อาจมีอยูใน ธรรมชาติหรือไมกไ็ ด ในธรรมชาติพบกรดไขมันเฉพาะที่มีจาํ นวนคารบอนคูเทานัน้ นอกจากนี้กรดไขมันยังได รวมถึงกรดที่อยูในกลุม straight-chain aliphatic acid ที่ไมอิ่มตัวอีกดวย ถึงแมกรดไขมันเหลานี้บางชนิดจะ ไมพบในธรรมชาติ กรดไขมันที่พบในธรรมชาติมีมากบางนอยบาง ที่มปี ริมาณมากมีอยูเ พียง 3 ชนิด และเปนกรด ไขมันที่ไมอมิ่ ตัว มีคารบอน 1 ตัวในหนึ่งโมเลกุล กรดเหลานี้ไดแกกรด oleic, linoleic และ linolenic ซึง่ มี 1,2 และ 3 double bond ตามลําดับ สวนพวกกรดไขมันชนิดอิ่มตัวก็มีพวก lauric, myristic, palmitic และ stearic น้าํ มันทีม่ ีกรดชนิดอื่นที่แตกตางไปจากที่ไดกลาวมาทัง้ สองชนิดนี้ จะมีคณ ุ สมบัติทแี่ ตกตางไปเชน กรด ricinoleic acid (hydroxyl acid) ทีพ่ บในน้ํามันระหุง เปนตน คุณสมบัตขิ องกรดไขมันขึ้นอยูกับความยาวของโมเลกุล ความอิม่ ตัว ลักษณะโครงสรางของกรด ไมอมิ่ ตัว และตําแหนงของ double bond เมื่อมีกลุม อื่นเขาไปแทรกในโมเลกุล จะมีผลทําใหคณ ุ สมบัตขิ อง ไขมันแตกตางไปดวย กรดไขมันมีความยาวมากขึ้น จุดหลอมเหลวจะสูงขึ้นและการละลายน้ําไดนอ ยมาก ในขณะที่มีจาํ นวน 12 คารบอนขึ้นไปจะเปนของแข็งที่อุณหภูมหิ องและละลายน้ําไดนอ ยมาก ในขณะที่ acetic acid ละลายน้าํ ไดทุกอัตราสวน การละลายน้าํ มีผลตอความเปรี้ยวของกรดมาก กรดที่ละลายน้าํ ได นอยจะมีความเปรี้ยวนอย เชน กรด palmitic ละลายน้ําไดนอยมาก กรดชนิดนีจ้ ึงไมมีรสเปรี้ยวเลย 1.2.1 กรดไขมันอิ่มตัว (saturated fatty acids) กรดไขมันอิ่มตัวมีสตู รโดยทั่ว ๆ ไปคือ CnH2nO2 CnH2n+1COOH นอกจากกรด isovaleric acid ซึง่ มีสูตรโครงสรางที่แตกตางไปจากปกติ มี ลักษณะเปนกิง่ พบมากในปลาโลมา กรดไขมันอิ่มตัวทีพ่ บมากในธรรมชาติมคี ารบอน 4-14 คารบอน (ตารางที่ 1)
4 ตารางที่ 1 กรดไขมันอิ่มตัวที่พบมากในธรรมชาติ จํานวนคารบอน 4 5 6 8 10 12 14 16 18 20 22 24
ชื่อ Butyric Isovaleric Caproic Caprylic Capric Lauric Myristic Pamitic Stearic Arachidic Behenic Lignoceric
สูตรเคมี CH3-(CH2)2-COOH (CH3)2CH-CH2-COOH CH3-(CH2)4-COOH CH3-(CH2)6-COOH CH3-(CH2)8-COOH CH3-(CH2)10-COOH CH3-(CH2)12-COOH CH3-(CH2)14-COOH CH3-(CH2)16-COOH CH3-(CH2)18-COOH CH3-(CH2)20-COOH CH3-(CH2)22-COOH
ที่มา : ณรงค และ อัญชนีย (ม.ป.ป.) กรด Butyric พบมากในนม มีปริมาณ 2-4 เปอรเซ็นต Caproic acid พบในนม 1-3 เปอรเซ็นต พบเล็กนอยในน้าํ มันมะพราวและน้ํามันจากเนื้อปาลม Caprylic acid พบมากในเนื้อปาลม 3-10 เปอรเซ็นต และในนม 1-4 เปอรเซ็นต Lauric acid เปนหนึง่ ในสามของกรดไขมันทีพ่ บมากที่สดุ ในธรรมชาติ พบมากในเนื้อมะพราวและเนื้อปาลม มีปริมาณ 40-50 เปอรเซ็นต พบเล็กนอยในไขมันนม ประมาณ 2-8 เปอรเซ็นต Myristic acid พบเล็กนอยในน้าํ มันพืชและสัตวทวั่ ๆ ไป ในนมมีประมาณ 8-12 เปอรเซ็นต ใน น้ํามันมะพราวและน้าํ มันปาลมมี 15-30 เปอรเซ็นต Pamitic acid พบมากในน้ํามันพืชและน้ํามันสัตวทั่ว ๆ ไป ในน้ํามันหมูและไขมันวัวมี 25-30 เปอรเซ็นต Cocoa butter มี 25 เปอรเซ็นต Stearic acid พบมากในพืช มีปริมาณ 1-5 เปอรเซ็นต เปน สวนประกอบหลักของไขมันจากสัตว เชน นํามันหมู ไขวัว และ Cocoa butter มี 10, 20 และ 35 เปอรเซ็นต ตามลําดับ Arachidic acid พบไดทวั่ ไปในปริมาณไมมากนัก ไขมันนมและน้ํามันจากถัว่ มี ปริมาณเล็กนอย ในถั่วลิสงมี 1-3 เปอรเซ็นต และนํามันจากเมล็ดเงาะมี 20-35 เปอรเซ็นต Lignoceric acid พบมากในพืชบางชนิด เปนพืชที่อยูในหมูเกาะอินดีสตะวันออก เชน Adenanthera pavorian
5 1.2.2 กรดไขมันไมอิ่มตัว (Unsaturated fatty acid) กรดไขมันเกิดขึ้นในธรรมชาติมี ปริมาณสูง เปนกรดทีท่ าํ ใหบริสุทธิไดยาก นอกจากนีย้ ังไมอยูตัว สามารถเปลี่ยนตําแหนง double bond ได งาย มีคารบอนตั้งแต 10-26 อะตอม แตในจํานวนกรด oleic acid มีปริมาณสูงสุด พบในน้ํามันทุกชนิด (ตาราง 2) ตาราง 2 กรดไขมันไมอมิ่ ตัวพบมากในธรรมชาติ จํานวนคารบอน 10 16 18 18 18
ชื่อ Caproleic Palmitoleic Oleic Linoleic Linolenic
สตรเคมี CH3-(CH2)2-CH:CH-(CH2)2-COOH CH3-(CH2)5 -CH:CH-(CH2)7-COOH CH3-(CH2)7-CH:CH-(CH2)7-COOH CH3-(CH2)7-CH:CH-CH2CH:CH-(CH2)7-COOH CH3-CH2-CH:CH-CH2CH:CH-CH2-CH:CH-(CH2)2-COOH
ที่มา : ณรงค และ อัญชนีย (ม.ป.ป.) กรดไขมันไมอิ่มตัวในธรรมชาติมีคารบอนเปนเลขคู และมีจาํ นวน 18 อะตอมมากทีส่ ุด มักพบในรูป cis-cofiguration ตําแหนงของ double bond มักอยูร ะหวางคารบอนที่ 9 และ 10 จํานวน double bond อาจมีมากถึง 7 กรดไขมันที่มี 1-3 double bond มีความสําคัญมาก พบมากในพืชและสัตว สวนกรดไขมันที่มีคารบอน 20-24 คารบอนมักจะมี double bond มากกวา 4 ตําแหนง พบมากในสัตว ทะเล กรดไขมันที่มี double bond มีไฮโดรเจนนอยกวากรดไขมันอิ่มตัว 2 อะตอม (สําหรับ กรดไขมันที่มี 1 double bond มีสูตรทั่วไปคือ C2H2n-2O2 กรดที่พบมากในกลุมนี้คือ Palmitoleic และ Oleic acid มีกรดไขมันหลายชนิดที่มี double bond ที่ตําแหนงที่ 4 เชน Caproleic acid เปนตน เปน กรดที่พบมากใน Palmitoleic acid พบประมาณ 1 เปอรเซ็นต ในน้าํ มันหลายชนิด เชน น้าํ มันเมล็ดฝาย น้ํามันถัว่ เหลือง น้าํ มันถัว่ ลิสง น้าํ มันปาลม น้าํ มันโอลีฟ และน้าํ มันชา พบ 2-4 เปอรเซ็นต ในไขมันนม และน้ํามันหมู อาจพบถึง 10-20 เปอรเซ็นต ในน้าํ มันปลาวาฬและน้ํามันจากปลาชนิดอืน่ นอกจากนี้ยงั พบ ในสาหรายและแบคทีเรียหลายชนิด สําหรับ Oleic acid เปนกรดทีพ่ บมาก เกือบเรียกไดวา พบในสัตวและ พืชเกือบทุกชนิด น้ํามันโอลีฟมีประมาณ 80 เปอรเซ็นต และน้าํ มันชามี 85 เปอรเซ็นต
6 กรดไขมันมี 2 และ 3 double bond มีสูตร CnH2n-4O2 และ CnH2n-6O2 ตามลําดับ สวนใหญมีคารบอนมากกวา 18 อะตอม ที่สําคัญคือ Linoleic acid และ Linolenic acid (ตารางที่ 2 ) Linoleic acid พบมากในน้ํามันดอกคําฝอย มีประมาณ 60 เปอรเซ็นต เมล็ดดอกคําฝอยมี 75 เปอรเซ็นต เมล็ดฝาย 45 เปอรเซ็นต ขาวโพด 40 เปอรเซ็นต ถัว่ เหลือง 50 เปอรเซ็นต เมล็ดฝน 65 เปอรเซ็นต เมล็ดยาสูบมี 75 เปอรเซ็นต นอกจากนี้ยงั พบในน้าํ มันอื่น ๆ อีกหลายชนิด เปนกรดไขมันที่จาํ เปนสําหรับ รางกาย สําหรับ Linolenic acid เปนกรดไขมันทีพ่ บมากในธรรมชาติเชนเดียวกัน ในน้าํ มัน linseed มี 45-50 เปอรเซ็นต ไขมันสัตวมีประมาณ 1 เปอรเซ็นต น้ํามันมามี 15 เปอรเซ็นต นอกจากนี้ยงั พบเล็กนอยในน้าํ มันจากปลา 1.3 สวนประกอบอื่น ๆ น้าํ มันและไขมันในธรรมชาติไมใชจะเปนเพียงสวนประกอบ glycerides แตเพียงอยางเดียว ยังมีสารประกอบอื่น ๆ อีกหลายชนิดรวมอยูดวย ทําใหมกี ลิ่น สีและรสแปลกออกไป สารประกอบเหลานี้จะเหลืออยูนอยมากหลังจากทีท่ าํ ใหบริสุทธิแลว ถึงแมสารประกอบเหลานี้จะมีสตู ร โครงสรางไมเหมือนกับ glyceride แตก็มีคุณสมบัติในการละลายเหมือนกัน สารเหลานี้รวมทั้งสารประกอบ glyceride ที่มอี ยูในธรรมชาติรวมกันเรียกวา “lipids” และเรียกน้าํ มันที่สกัดออกมาดวยตัวทําละลายวา “crude oil” 1.3.1 Phosphatides สารนี้ถือวาเปน triglycerides ชนิดหนึง่ แตกรดไขมันกลุมหนึ่งถูก แทนที่ดว ยกรดฟอสฟอริค และกรดฟอสฟอริคกลุม นี้จะจับอยูกบั แอลกอฮอลที่มีไนโตรเจนอยูดว ย เชน choline, ethanolamine, betaine ฯลฯ สาร phosphatides ที่รูจกั กันคือ lecithin และ cephalin ประกอบดวยกลีเซอรอล กรด ไขมัน กรดฟอสฟอริค และ choline และ cephalin เหมือน lecithin ทุกประการ นอกจากสารประกอบ ไนโตรเจนเทานั้นที่เปลี่ยนไปเปน ethanolamine สาร phosphatides อื่น ๆ ทีพ่ บก็มีพวก sphingomyelins และ inositolphosphatide ปริมาณสาร phosphatides ที่พบในน้ํามันนั้นแตกตางกันมาก ขึ้นอยูกับแหลง พันธุ ภูมิอากาศ ธรรมชาติของดิน อายุ และวิธกี ารสกัด น้าํ มันพืชที่บริสุทธิแลวจะมีสาร phosphatides ประมาณ 0.002-0.004 เปอรเซ็นต 1.3.2 Sterol sterol เปนแอลกอฮอลที่ไมเกิดสบูก ับดาง มีจดุ เดือดสูงมาก พบมากใน
7 น้ํามันเกือบทุกชนิด และจัดอยูในกลุมที่เรียกวา “unsaponifiable matter” ของไขมัน น้าํ มันจากจมูกขาว สาลีมีอยู 1.6-2.7 เปอรเซ็นต sterol ที่พบอาจอยูในรูปอิสระหรือรูป ester ของกรดไขมัน หรือในรูปของ glucoside ก็ได ในการทําใหบริสุทธิ sterol สวนหนึ่งจะถูกกําจัดออกไป Sterol ที่พบในไขมันสัตวเปนพวก cholesterol (C29H48O) สวนทีพ่ บในพืชมีหลายชนิดและ เรียกรวมกันวา “phytosterol” ที่รูจกั กันดีคือ β-Sitosterol (C29H50O) และ stigmasterol (C29H48O) βSitosterol พบมากในน้าํ มันเมล็ดฝาย สวน stigmasterol พบมากในน้าํ มันถั่วเหลือง 1.3.3 Fatty alcohol แอลกอฮอลที่พบในน้าํ มันอาจอยูในรูปอิสระหรืออยูรวมกับกรดไขมัน ก็ได ถาอยูรวมกับกรดไขมันเรียกวา “ขีผ้ ึ้ง” พบมากในน้าํ มันจากปลา แตไมพบมากนักในน้าํ มันที่ไดจากสัตว หรือพืช น้ํามันทีพ่ บขี้ผึ้งเล็กนอยคือน้ํามันขาวโพด น้าํ มันถั่วเหลือง สวนใหญมาจากเปลือกหรือผิวของเมล็ด ปริมาณทีพ่ บไมเกิน 0.005 เปอรเซ็นต ขีผ้ งึ้ นี้เปนตัวการที่ทําใหน้ํามันขุนเมื่อไดรับอุณหภูมิต่ํา 1.3.4 สารไฮโดรคารบอน ไขมันเกือบทุกชนิดมีสารไฮโดรคารบอน 0.1-1.0 เปอรเซ็นต ซึง่ ประกอบดวยสารไฮโดรคารบอนอิ่มตัวและไมอิ่มตัว สารกลุมนีท้ ี่รูจกั กันดีคือ squalene (C20H50) เปนสารที่ ไมอมิ่ ตัว พบมากในน้าํ มันตับปลาฉลาม นอกจากนี้ยงั พบวาน้ํามันโอลีฟมีสารไฮโดรคารบอน 13 และ 16 อะตอม นอกจากนี้ยงั พบสาร gadusene (C18H32) ในน้าํ มันตับปลา น้ํามันรํา และน้ํามันถั่วเหลือง 1.3.5 สารสี สารใหสีในน้าํ มันมีอยูหลายชนิด แตยังไมทราบแนนอนวามีสารอะไรบาง เทาที่พบแนชดั คือแคโรทีนอย เปนสารที่ใหสีเหลืองหรือสีเหลืองอมแดง สารชนิดนีพ้ บไดในน้าํ มันจากพืชและ จากสัตว น้าํ มันปาลมทีย่ งั ไมผานการฟอกสีมีแคโรทีนอย 0.05-0.2 เปอรเซ็นต การฟอกสีจะทําใหสขี องแคโร ทีนอยลดนอยลง สาร gossypol ก็เปนสารใหสีอีกชนิดหนึง่ ทีพ่ บในน้าํ มันเมล็ดนุน ทําใหเกิดสีเหลืองแดง สวนน้ํามันถัว่ เหลืองหรือน้ํามันโอลีฟอาจปรากฏเปนสีเขียวไดถาทํามาจากวัตถุดิบที่มีสเี ขียว การเติม ไฮโดรเจนจะทําใหสีเขียวมีความเขมมากขึน้ ทัง้ นี้เพราะสีเหลืองของแคโรทีนอยถูกทําลายไป จากการ ตรวจสอบพบวาสีเขียวเกิดจากคลอโรฟลล สําน้าํ เงินก็เปนอีกสีหนึง่ ทีพ่ บไดในน้ํามันหมู แตไมทราบวาเกิดจากสารอะไร สีทเี่ กิดขึ้นมัก ถูกทําลายเมือ่ เติมออกซิเจน 1.3.6 สารประกอบทีช่ ว ยใหนา้ํ มันอยูตัว น้าํ มันมีสารหลายชนิดที่ชว ยปองกันไมใหเกิดการ
8 เติมออกซิเจน โดยเฉพาะอยางยิง่ น้าํ มันทีย่ ังไมผา นการทําใหบริสทุ ธิ สารเหลานี้ไดแก tocopherols, sesamoline, sesamin, gossypol และ phosphatides Tocopherol พบมากในน้าํ มันถัว่ เหลือง น้าํ มัน เมล็ดนุน น้ํามันถัว่ ลิสง น้าํ มันจากจมูกขาวสาลี sesamoline และ sesamin พบมากในน้าํ มันงา สวน gossypol พบมากในน้าํ มันเมล็ดฝาย 1.3.7 สารใหกลิ่นรส ในน้ํามันมีสารใหกลิ่นรสอยูไมมากนัก และยังไมทราบแนชัดวาเปน สารที่พชื สรางขึ้นโดยเฉพาะหรือเปนสวนของกรดไขมันทีแ่ ตกตัวออกมา สารพวกนี้ไดแก ketone พบมากใน น้ํามันที่มีกรด lauric สูง น้ํามันจากปลาก็มีกลิน่ เฉพาะ ซึง่ กลาวกันวาสารประกอบที่ใหกลิน่ รวมอยูในกลุม ของ unsaponifiable metter นอกจากนีก้ ารเติมออกซิเจนในระยะแรกก็ทาํ ใหเกิดกลิ่นที่เรียกวา revertion 1.3.7 สารประกอบทีม่ ีคณ ุ คาทางโภชนาการ ในน้ํามันมักพบวิตามินเอ ดี และอี เสมอ วิตามินเอเกิดจากการแตกตัวของ β-Carotene วิตามินดีพบมากในไขมันที่ผลิตในฤดูรอนและพบนอยในฤดู หนาว น้ํามันที่มีวติ ามินชนิดนี้ไดแกนํามันจากปลาทะเลและสัตวทะเล การผลิตน้าํ มันและไขมัน 1. การเตรียมวัถดุ ิบ 1.1 การเตรียมเนื้อสัตวสําหรับสกัดน้ํามัน โดยปกติแลวไมมีวิธกี ารมากนักในการเตรียม เนื้อสัตวสําหรับสกัดน้ํามัน นําเนื้อสัตวมาลางใหสะอาด หั่นเปนชิน้ เล็ก ๆ หรือไมก็ไดถานําไปสกัดแบบแหง การหัน่ เปนชิ้นเล็กจะชวยใหไขมันออกไดงา ยขึ้น แตถาเปนการสกัดแบบใชไอน้ําก็ไมจําเปนตองหัน่ 1.2 การเตรียมเมล็ดพืช การเตรียมเมล็ดพืชอาจแบงออกเปนหลายขั้นตอน ในระยะแรก ตองนําเมล็ดพืชมาทําความสะอาดเพื่อกําจัดสิ่งสกปรกออกใหหมด เชน ใบไม กิง่ ไม ทราย หิน ตะปู ฯลฯ สิ่งเหลานีจ้ ะถูกกําจัดออกไปโดยใชตะแกรง ลมดูด หรือแมเหล็ก หลังจากนั้นตองนํามากระเทาะเปลือก ซึ่ง เปนการปองกันมิใหเปลือกดูดน้ํามันไวมากเกินไป การเอาเปลือกออกอาจทําไดโดยใชเครื่องกระเทาะเปลือก เครื่องมือชนิดนี้มีหลายแบบ และมักจะออกแบบไวใหเหมาะกับวัตถุดิบ หลังจากที่เอาเปลือกออกแลวจะตองบดเมล็ดพืชใหแตกออก ทัง้ นี้เพื่อชวยใหการสกัดมี ประสิทธิภาพดียงิ่ ขึ้น เมล็ดพืชบางชนิดเชนเมล็ดฝายจะตองบีบใหเปนแผนบาง ๆ มีความหนาประมาณ 0.008-0.01 นิ้ว ลักษณะเชนนีท้ าํ ใหตัวทําละลายสามรถเขาไปละลายน้าํ มันออกมาอยางรวดเร็ว สําหรับการ สกัดแบบใชแรงบีบ การบีบใหแบนก็ไมมคี วามจําเปนแตอยางใด เพราะแรงและความรอนที่ใชสงู มากพอที่จะ
9 ทําใหนา้ํ มันออกมาไดโดยไมยากนัก โดยปกติแลวเมล็ดพืชที่บดแลวมีขนาด 10-16 mesh ก็เพียงพอสําหรับ เครื่องบีบ 1.3 การทําใหสุก การทําใหสุกแบงออกเปน 2 แบบ โดยใชวตั ถุประสงคเปนเกณฑ การ ทําใหสุกแบบแรกมีวตั ถุประสงคเพื่อแยกไขมันออกจากเนื้อสัตว เรียกการทําใหสกุ แบบนี้วา “การเจียว” (rendering) สวนการทําใหสกุ แบบที่สองนั้นมีวตั ถุประสงคเพียงชวยใหการสกัดมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ซึง่ มัก ใชกับเมล็ดพืชสวนใหญ การทําใหสกุ แบบนี้มักเรียกวา “cooking” การทําใหสกุ ทัง้ สองแบบนีม้ ผี ลทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบเดียวกัน ทําใหโปรตีนที่อยูบน ผนังเซลลจบั ตัวเปนกอน จึงทําใหผนังเซลลเกิดรูพรุน น้ํามันจะซึมผานออกมาไดงา ยนอกจากนี้การใช อุณหภูมิสงู ยังมีผลใหนา้ํ มันไหลไดดียิ่งขึ้นเนื่องจากความหนืดลดลง 1.4.1 การเจียว การเจียวอาจทําไดงา ยทั้งการเจียวเปยกและเจียวแหง การที่จะใช วิธใี ดนัน้ ขึ้นอยูกบั ลักษณะของเยื่อไขมัน และลักษณะของน้ํามันที่ตอ งการ การเจียวแหงเปนวิธกี ารสกัดน้าํ มัน ออกพรอมทัง้ ระเหยน้าํ ที่มีอยูใ หหมดไป วิธกี ารเจียวเริ่มดวยใสเนื้อเยื่อไขมันลงในหมอใหความรอนและ เนื้อเยื่อคายน้าํ มันออกมาแลว กรองน้าํ มันออก บีบเอาน้าํ มันออกจากกากใหหมด น้าํ มันที่ไดจากการเจียว แบบนี้มีกลิน่ แรง สีเขม จึงไมเหมาะสําหรับผลิตภัณฑบางชนิด การเจียวเปยกไดน้ํามันที่มีคณ ุ ภาพดี เก็บไดนาน วิธีนใี้ ชนา้ํ มันมากในขณะใหความ รอน น้ํามันทีล่ อยอยูที่ผวิ หนาอาจตักออกหรือใชเครื่องเหวีย่ งหนีศนู ยกลาง อุณหภูมิทใี่ ชสกัดอาจสูงหรือต่ําก็ ได การใชอณ ุ หภูมิสงู เปนที่นยิ มกันมาก เพราะมีประสิทธิภาพดีกวา การเจียวเริ่มดวยใสมนั ลงไปในหมอ ความดันไอพรอมน้ําเล็กนอย ปดฝา เปดไอเขาไปในหมอ ไลอากาศออกใหหมด หลังจากนัน้ ก็ควบคุมความ ดันภายในหมอใหอยูในระดับ 40-60 ปอนด/ตารางนิ้ว ภายใตสภาวะเชนนี้นา้ํ มันจะแยกออกมาและลอยอยูที่ ผิวหนา สวนที่เปนของแข็งและน้ําจะอยูขา งลาง หลังจากใชความรอน 4-6 ชัว่ โมงแลว จะคอย ๆ ปลอยไอ น้ําออก นําของเหลวไปแยกเอาน้ํามันออกตอไป 1.4.2 การทําใหเมล็ดพืชสุก การทําใหเมล็ดพืชสุกชวยใหการสกัดนํามันไดงา ยและ ใหนา้ํ มันมาก ทั้งนี้เพราะความรอนทําใหหยดน้าํ มันในเมล็ดพืชรวมตัวกันหลังจากที่โปรตีนจับตัวกันเปนกอน เมื่อไดรับความรอนและแยกตัวออกมา นอกจากนี้การทําใหสุกยังเปนการปรับความเหนียวของเมล็ดพืชให เหมาะสมกับการบีบ และเปนการทําลายสาร gossypol ดวย (กรณีของเมล็ดฝาย) ความชืน้ สุดทายหลังจาก ทําใหสุกแลวจะขึ้นอยูกบั ชนิดของเมล็ดพืชและวิธกี ารบีบเอาน้าํ มันออก
10 1.4 การสกัดน้าํ มัน การสกัดน้าํ มันอาจทําได 2 วิธี คือการบีบและการใชตวั ทําละลาย การบีบอาจทําไดทั้งแบบไมตอ เนื่องหรือแบบตอเนื่อง การบีบแบบไมตอเนื่องเปนวิธเี กา นําเอาวัตถุดบิ ที่ เตรียมไวใสลงในภาชนะทีท่ าํ ดวยผาหรือกลองที่มีชอ งใหน้ํามันผานออกได ใชแรงกดจนกระทั่งน้ํามันแยก ออกมา น้าํ มันจะแยกออกมาไดถา วัตถุดบิ นั้นไมมเี ปลือก แรงกดจะตองเพิ่มขึน้ อยางชา ๆ จนกระทั่งมากกวา 2,000 ปอนด/ตารางนิว้ ความชื้นของวัตถุดิบควรต่ํากวา 1 เปอรเซ็นต และอุณหภูมิทใี่ ชประมาณ 950C การบีบแบบตอเนื่องทําไดโดยใชเครื่องมือที่เรียกกันวา “expeller” ใชกันมากในการบีบ น้ํามันมะพราว น้ํามันปาลม น้าํ มันถัว่ ลิสง น้ํามันเมล็ดฝายและน้าํ มันจากพืชอืน่ ๆ เครื่องมือประกอบดวย สวนสําคัญคือ สกรูที่ออกแบบไวใหสามารถเพิ่มแรงอัดไดสูงมาก น้าํ มันจะไมไหลออกมาตามชอง ในขณะที่ การแยกออกไปอีกทางหนึง่ การสกัดน้าํ มันแบบใชตัวทําลายเปนวิธที มี่ ปี ระสิทธิภาพมากที่สุด และใชไดผลดีมากสําหรับ วัตถุดบิ ที่มนี ้ํามันนอย โดยปกติแลววิธกี ารบีบน้ํามันนัน้ ไมสามารถแยกน้าํ มันไดหมด มีน้ํามันเหลืออยูในกาก ไมตา่ํ กวา 2 เปอรเซ็นต ดวยเหตุนี้วตั ถุดิบที่มนี ้ํามันต่ําควรใชวิธกี ารสกัดแบบนีก้ ารสกัดดวยตัวทําละลายมี ประสิทธิภาพไมเทากับขึ้นอยูกบั วัตถุดิบ ถั่วเหลืองเปนวัตถุดิบที่สกัดน้ํามันออกงายที่สุด เมล็ดนุน ถั่วลิสง และเมล็ดแฟลกสกัดน้าํ มันไดยากขึ้นและมีปญ หาบาง การสกัดแบบนี้จะตองใหตัวทําละลายสัมผัสกับวัตถุดิบ หลาย ๆ ครั้ง จนกระทั่งน้ํามันละลายออกมาหมด วิธีการเชนนี้อาจทําแบบตอเนื่องหรือไมตอ เนื่องก็ได น้าํ มัน ที่แยกไดพรอมทั้งตัวทําละลายถูกเก็บรวบรวมไว นําไปแยกเอาตัวทําละลายออกใหหมดโดยใชความรอน ภายใตสูญญากาศ 1.5 การทําใหบริสทุ ธิและการฟอกสี คําวา “การทําใหบริสทุ ธิ” หมายความถึงการกําจัด ไขมันอิสระ สาร phosphatides และยางตาง ๆ ใหหมดไป แตไมรวมถึงการฟอกสีและการกําจัดกลิ่น เปน วิธกี ารที่ไมมกี ารแยกเอาสารออกมากนัก 1.5.1 การทําใหบริสทุ ธิ การทําใหบริสุทธิอาจทําไดโดยใชดา ง ในระยะเริ่มตนจะตอง ทราบปริมาณของกรดไขมันอิสระ คํานวณสารละลายของดางที่ตองใช โดยใหมากเกินพอเล็กนอย กวนให ดางรวมตัวกับน้ํามัน อาจใชเวลา 10-45 นาที ขึ้นอยูกบั ชนิดของน้าํ มัน หลังจากนั้นก็คอ ย ๆ เพิ่มอุณหภูมิให สูงขึ้นเพื่อใหอมิ ลั ชั่นแตกตัว แยกน้ําออกจากสบู การทําใหบริสุทธินี้ปจ จุบนั นี้ใชเครื่องมือทีท่ าํ งานไดอยาง ตอเนื่อง และมีประสิทธิภาพมาก สามารถทํางานไดอยางรวดเร็ว การทําใหบริสทุ ธิอาจทําไดโดยใชไอน้ํา ซึง่ มีหลักการเหมือนกับการกลั่นเอากลิ่นออก อุปกรณที่ใชกเ็ หมือนการกําจัดกลิ่นทุกประการ และสองขั้นตอนนีอ้ าจรวมกันได โดยปกติแลววิธนี เี้ หมาะ
11 สําหรับน้ํามันที่มีสาร phosphatide นอย เชน น้าํ มันจากสัตว หรือน้าํ มันพืชที่มีการแยกเอาสาร phosphatide ออกแลว ทัง้ นี้เนื่องจากสาร phosphatide จะสลายตัวใหสารประกอบที่มสี คี ล้ํา ซึง่ ไม สามารถฟอกสีใหหมดไปได นอกจากนีย้ งั ทําใหน้ํามันมีกลิ่นผิดปกติดว ย 1.5.2 การฟอกสี การฟอกสีอาจทําได 2 วิธี คือการดูดซับ และการใชสารเคมี วิธกี ารดูดซับมักใชสารทีเ่ รียกวา Fuller’s earth ผงถาน หรือ clay ที่มีสว นประกอบของ bentonite หรือ montmorillonite สารประกอบชนิดหลังนีจ้ ะตองผานกรดซัลฟูริกหรือกรดไฮโดรคลอริกกอน เพือ่ กระตุนใหผวิ มีคณ ุ สมบัติทจี่ ะดูดซับไดดีขึ้น สวนผงถานก็ใชไดผลดี แตมีราคาแพง การฟอกสีเริ่มดวยการผสมน้ํามันกับ สารฟอกสี เพิ่มอุณหภูมิใหอยูระหวาง 145-1600C กวนอยูตลอดเวลาและรักษาอุณหภูมิไวประมาณ 1520 นาที หลังจากนัน้ นําไปกรองเอาสารฟอกสี การฟอกสีนี้มกั กระทํากันภายใตสญ ุ ญากาศ เพื่อปองกันมิให เกิดการเติมออกซิเจน การฟอกสีดว ยสารเคมีก็เปนอีกวิธหี นึ่งทีส่ ามารถทําได ทัง้ นี้เนื่องจากสารแคโรทีนอย ตาง ๆ จะเปลีย่ นไปเปนสารที่ไมมีสีเมื่อมีการเติมออกซิเจน แตวธิ ีนมี้ ขี อเสีย คือการเติมออกซิเจนจะเกิดขึ้นกับ สาร glyceride ดวย นอกจากนี้ยังทําลายสาร antioxidants ที่มอี ยูใ หหมดไปดวย ทําใหการฟอกสีดว ยวิธีนี้ ไมเปนทีน่ ิยมกันมากนัก การฟอกสีดว ยวิธนี ี้มกั ใช sodium dichromate ในระยะแรกจะตองเพิ่มอุณหภูมิ ของน้ํามันใหสงู ถึง 900C โรยเกลือลงไป 2 เปอรเซ็นต ใสกรดเกลือเขมขน 3.8 เปอรเซ็นต และ sodium dichromate 0.8 เปอรเซ็นต การเติม sodium dichromate จะตองทําอยางชา ๆ โดยใชเวลาประมาณ 3 ชัว่ โมงและจะตองละลายสารนี้ในกรดเกลือจนกระทั่งมีความเขมขน 37 เปอรเซ็นต หลังจากนั้นจะตองพน อากาศลงไปอีก 1 ชัว่ โมง ปลอยทิ้งไวจนใส ดูดเอาสวนที่ใสออก ใสนา้ํ ลงไปอีก 15 เปอรเซ็นต เพิ่ม อุณหภูมิใหสงู ถึง 132-1420C กวนตลอดเวลา ตั้งคางคืนไว หลังจากนัน้ แยกน้ําออก 1.5.2 การกําจัดกลิ่น การกําจัดกลิน่ อาจทําไดโดยใชไอน้ํา (steam distillation) ทัง้ นี้ เนื่องจากสารใหกลิน่ เปนสารที่ระเหยไดงา ย โดยเฉพาะที่อุณหภูมิสงู และภายใตสญ ุ ญากาศ เครื่องมือที่ใช กําจัดกลิน่ มีลกั ษณะเปนทอกลม ใสนา้ํ มันลงไปจนกระทัง่ ความสูงของน้าํ มันประมาณครึ่งหนึง่ ของความสูง ดานลางสุดของเครื่องเปนทอไอน้ําที่มีรูสาํ หรับใหไอน้ําออกมาสัมผัสกับน้าํ มัน ในขณะที่เดินเครือ่ งจะปลอยไอ น้ําเขาไปทางทอนี้ในอัตรา 3 กิโลกรัม/น้ํามัน 100 กิโลกรัม/ชัว่ โมง ภายใตความดันไอ 6 มิลลิเมตร ปริมาณไอน้ําที่ใชทงั้ สิ้นประมาณ 25 กิโลกรัม/น้ํามัน 100 กิโลกรัม นัน่ ก็คอื ใชเวลาทัง้ สิ้นประมาณ 8 ชั่วโมง อุณหภูมิขณะเดินเครื่องประมาณ 204-2400C แตจะใชอุณหภูมิเทาใดนั้นขึ้นอยูกับชนิดของน้าํ มัน โดยปกติแลวน้ํามันหมูหรือน้ํามันพืชจะกําจัดกลิ่นไดงา ยและใชอุณหภูมิต่ํา
12 ชนิดของน้ํามัน ในทองตลาดมีน้ํามันหลายชนิด ซึง่ อาจแบงออกไดเปน 2 กลุม โดยใชแหลงของวัตถุดบิ เปนเกณฑ คือน้ํามันที่ไดจากพืชและน้าํ มันที่ไดจากสัตว น้ํามันที่ไดจากพืชมีหลายชนิดและมีการใชกนั อยางกวางขวาง ถือวามีความสําคัญมากในการคา สวนน้าํ มันที่ไดจากสัตวมีใชกันนอย แตมีความสําคัญ 1 น้าํ มันจากพืช น้ํามันที่ไดจากพืชอาจแบงออกเปนกลุมตามชนิดกรดไขมัน ปริมาณสูงสุดทีม่ ีอยู เชนกลุม กรด lauric กลุม linoleic กลุม linolenic กลุม eruic acid และ vegetable butter อยางไรก็ ตามอาจแบงน้ํามันออกตามแหลงวัตถุดบิ ที่ใชผลิตก็ได เชน 1.1 น้ํามันถัว่ เหลือง น้าํ มันถั่วเหลืองมีเลซิตินสูงมาก ประมาณ 1.8 เปอรเซ็นต จึงใชเปน แหลงผลิตสารนี้ แตนา้ํ มันถัว่ เหลืองที่บริสทุ ธิแลวจะมีเลซิตินเหลืออยูน อยมาก น้าํ มันถัว่ เหลืองเปลี่ยนกลิน่ ได งายมาก ทําใหกลิ่นเหมือนหญาหรือเหมือนสี แตบางครั้งก็มีกลิน่ เหมือนปลา ใชกันมากในการผลิตมายอง เนสและน้าํ มันสลัด ไมเหมาะสําหรับทอด เพราะจะทําใหมกี ลิ่นเหมือนปลา ไมนา รับประทาน โดยเฉพาะอาหารที่ตอ งเก็บไวนาน การเติมไฮโดรเจนเล็กนอยจะทําใหการเปลีย่ นกลิ่นนอยลง และเมื่อนํา น้ํามันชนิดนี้ไปผานกระบวนการ winterizing จะไดน้ํามันที่เหมาะสมสําหรับทําน้าํ มันสลัดมาก น้าํ มันที่ผา น การเติมไฮโดรเจนอยางเต็มที่จะเหมาะสมสําหรับทําเนยขาวและมาการีน น้ํามันถัว่ เหลืองมีผลึกอยูในรูปของ β-form 1.2 น้ํามันเมล็ดฝาย น้าํ มันเมล็ดฝายใชกนั มากในการทอดมันฝรั่ง ทําน้ํามันสลัด และประกอบอาหารโดยทั่วไป น้าํ มันเมล็ดฝายที่ผานการเติมไฮโดรเจนบางสวนมีคณ ุ สมบัตคิ ลายกับน้ํามัน ถั่วเหลือง สวนน้าํ มันที่เติมไฮโดรเจนอยางสมบูรณจะมีผลึกอยูใ นแบบ β-form ซึ่งเหมาะสําหรับทําเนยขาว มาก 1.3 น้ํามันขาวโพด น้าํ มันขาวโพดอาจไดจากจมูกหรือจากกลูเตนก็ได น้าํ มันที่ไดจาก กลูเตนจะมีสีแดงเขม น้ํามันขาวโพดสวนใหญนาํ ไปใชโดยไมตองมีการเปลี่ยนแปลงเชน การกําจัดไข เปนตน เหมาะสําหรับประกอบอาหารไดหลายชนิดรวมทั้งทอด น้ํามันสลัด และมาการีน 1.4 น้ํามันถัว่ ลิสง น้าํ มันถั่วลิสงไมมีกลิ่นและไมเปลี่ยนกลิ่นงาย จึงเหมาะสําหรับทอดและ ทําอาหารทานเลน เชน snack แตไมเหมาะสําหรับทําน้ํามันสลัด 1.5 น้ํามันดอกคําฝอย เปนน้ํามันทีม่ ีกรด linoleic สูงมากเมื่อเทียบกับน้ํามันชนิดอื่น ใชกนั
13 มากกับอาหารทุกชนิดที่ตอ งการคุณสมบัติของ polyunsaturated fatty acid เชน มายองเนส น้าํ สลัด มา การีนเหลว ฯลฯ น้ํามันดอกคําฝอยไมคอ ยอยูตัวเปลี่ยนกลิน่ ไดงา ย จึงไมคอยเหมาะสําหรับทอด หรือใช ประกอบอาหารในบาน สวนใหญนําไปผสมกับน้าํ มันเมล็ดฝายกอนนําไปทอดอาหาร ซึง่ จะทําใหอยูตวั ดีขึ้น ุ สมบัติเหมือนกับน้ํามันดอกคําฝอยมาก ถา 1.6 น้ํามันจากเมล็ดทานตะวัน น้ํามันชนิดนี้มคี ณ ปลูกในบริเวณที่มีอากาศหนาวจะมี stearine นอย แตถาปลูกในเขตที่มีอากาศรอนจะมี stearine สูง การ ใชประโยชนเชนเดียวกับน้ํามันดอกคําฝอย 1.7 น้ํามันโอลีฟ เปนน้าํ มันที่ผลิตกันมากในประเทศที่อยูบริเวณเมดิเตอรเรเนียน ผลิตจาก สวนที่เปนตนไมใชจากเมล็ด น้ํามันชนิดนีบ้ างครั้งเรียกวา “Virgin olive oil” เปนน้ํามันที่ไมจําเปนตองกําจัด กลิ่น เนื่องจากเปนที่ยอมรับกันอยูแลว น้ํามันชนิดนี้มรี าคาแพง จึงมีการผสมน้ํามันชนิดนี้กับน้าํ มันถั่วเหลือง หรือน้ํามันเมล็ดฝาย โดยใชน้ํามันโอลีฟประมาณ 5-10 เปอรเซ็นต 1.8 น้ํามัน repeseed เปนน้าํ มันที่มกี รดไขมันโมเลกุลใหญสูงมาก โดยเฉพาะกรดไขมันที่มี คารบอน 20 และ 22 อะตอม น้าํ มันชนิดนี้เหมาะสําหรับทําน้าํ มันสลัด มาการีน และ stabilizer สําหรับ การผลิต peanut butter 2.1.9 น้ํามันมะพราว น้ํามันมะพราวมีกรด lauric ประมาณ 50 เปอรเซ็นต เนื่องจากกรด ชนิดนี้เปนกรดอิ่มตัวน้ํามันชนิดนี้จงึ แข็งตัวเมื่ออุณหภูมลิ ดลงเล็กนอย ใชกนั มาก เปนสวนผสมสําหรับเคลือบ ไอศกรีม ซึ่งจะแข็งตัวเมื่อสัมผัสกับความเย็น แตจะละลายเมื่ออยูในปาก นอกจากนี้ยงั อยูตวั ดี ไมเหม็นหืน เนื่องจากมีกรดไขมันไมอมิ่ ตัวนอย จึงเหมาะสําหรับการทอด เคลือบขนมและเคลือบ snack การที่ น้ํามันชนิดนี้มกี รดไขมันที่มีโมเลกุลขนาดเล็กจึงมีความหนืดนอย ไมรูสกึ เหนอะหนะเมื่ออยูในปาก น้ํามันที่ผานการเติมไฮโดรเจนแลวเหมาะสําหรับทําเนยที่ใสนมเทียม และลูกกวาด น้าํ มัน มะพราวมีขอเสียอยูบ างประการ คือเมื่อมีการแตกตัวเพียงเล็กนอยจะใหกลิ่นสบู โดยเฉพาะน้ํามันทีม่ ี ความชืน้ และเอนไซมไลเปสอยู เมื่อใชนา้ํ มันมะพราวบริสุทธิในการทอด จะใหผลดีมาก แตเมื่อสัมผัสกับ น้ํามันชนิดอื่นจะเกิดฟองมากขึ้นโดยไมทราบสาเหตุ 1.9 น้ํามันปาลม น้ํามันปาลมแบงออกเปน 2 ชนิด คือชนิดที่ไดจากเปลือกและชนิดทีไ่ ดจาก เนื้อ น้ํามันที่ไดจากสวนเปลือกมักเรียกวา “น้ํามันปาลม” น้ํามันที่ไดจากสวนทั้งสองนีม้ สี วนประกอบที่ แตกตางกันมาก น้าํ มันที่ไดจากเปลือกมีกรด lauric ต่ํา สวนน้ํามันที่ไดจากเนือ้ มีกรด lauric สูงกวามาก น้ํามันที่ไดจากเนื้อเหมาะสําหรับเคลือบขนมหวานบางชนิด เนื่องจากมีจุดหลอมเหลวชวงสัน้ มาก น้าํ มันสวน
14 ที่ไดจากเปลือกมีสีเขมเนื่องจากมีแคโรทีนอย มีประโยชนในการทําใหมาการีนมีสตี ามตองการ มีลกั ษณะ เหมือนน้าํ มันหมูมาก ผลึกอยูในรูป β-form เมื่อเติมไฮโดรเจนแลวจะไดน้ํามันทีม่ ีคณ ุ ภาพเหมือนน้าํ มันเมล็ด ฝาย ุ หภูมิหอ ง แตละลายอยางรวดเร็วเมื่อ 1.10 น้ํามัน cocoa butter เปนน้าํ มันที่แข็งตัวที่อณ อุณหภูมิสงู ขึ้น เนื่องจากมี glyceride เพียงชนิดเดียว มีกรดไขมันที่ไมอิ่มตัวที่อยูตรงกลางของโมเลกุล เหมาะสําหรับทําขนมหวานบางชนิด 2.2 น้าํ มันจากสัตว น้ํามันจากสัตวที่สาํ คัญมีอยู 2 ชนิด คือน้าํ มันหมูและน้าํ มันวัว แตละชนิดมี คุณภาพแตกตางกันมาก ขึ้นอยูกบั กรรมวิธกี ารผลิตและสวนของสัตวที่ใชผลิต น้าํ มันหมูมีกลิ่นดีอยูแลวไม จําเปนตองผานกระบวนการกําจัดกลิน่ อีก เหมาะสําหรับทําเนยขาว โดยนําไปผสมกับน้าํ มันพืช เนยขาวที่ได จับอากาศไดนอยกวาเนยขาวที่ทาํ จากเมล็ดฝาย การเปลี่ยนตําแหนงกรดไขมันภายในโมเลกุลจะทําใหจบั อากาศไดดีขึ้น 2.1 น้าํ มันหมู น้าํ มันหมูอาจไดจากมันเปลว (ไขมันที่ไดจากสวนที่อยูในชองทอง) และมันแข็ง (มันที่ไดจากสวนหลังและแผนทอง) น้ํามันหมูโดยปกติมีผลึกอยูใ นรูปของ β-form จึงไมเหมาะสําหรับทําเคก แตเหมาะสําหรับทําเปลือกพายทําใหแยกชั้นดี การสับเปลี่ยนตําแหนงของกรดไขมันใหมจะทําใหผลึกอยู ในรูปของ β’-form น้าํ มันหมูเหมาะสําหรับทอดอาหาร โดยเฉพาะน้าํ มันที่ผา นการเติมไฮโดรเจนเล็กนอย นอกจากนีย้ งั ใชกนั มากในการทําเนยขาวและทาภาชนะขนมอบ 2.2 ไขวัว ไขวัวอาจไดจากมันเปลวหรือจากกลามเนื้อก็ได ไขวัวที่ไดเรียกกันวา oleo stock ซึ่งอาจแยกได 2 สวน คือ oleo oil และ oleo stearine oleo oil ใชในการผลิตมาการีนและใชแทน น้ํามันเนย เนื่องจากมีกลิน่ คลาย ๆ กัน สวน oleo stearine อาจใชแทนมาการีนในการทําขนมอบ เมือ่ ตองการใหอยูต วั มากขึน้ นิยมที่จะผสมไขวัวกับน้ํามันถัว่ เหลืองแลวจึงนําไปเติมไฮโดรเจน นอกจากนีย้ ังทําให ไขวัวไมแข็งตัวมากเกินไป ไขวัวที่ผานการเติมไฮโดรเจนแลวมีคุณสมบัติที่จะใชแทนน้ํามันเมล็ดฝาย ผลึกของ ไขวัวอยูในรูปของ β’-form 2.3 น้าํ มันจากปลา น้ํามันสวนใหญไดมาจากปลาเฮอริง ปลา menhaden pilchard ปลา ซารดนี และปลาวาฬ น้าํ มันปลาวาฬจะมีการผลิตเพือ่ การคามากทีส่ ุด ใชกนั มากในการผลิตเนยขาวและมากา รีน โดยเฉพาะในแคนาดาและยุโรป น้ํามันจากปลามีกรดไขมันไมอิ่มตัวสูงมาก ทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลง กลิ่นและเติมออกซิเจนไดงา ยหลังจากเติมไฮโดรเจนแลวอยูตัวดีพอสมควร
15 คุณสมบัตขิ องน้ํามัน กรดไขมันเปนสวนประกอบใหญของน้าํ มัน ดวยเหตุนคี้ ุณสมบัติของกรดไขมันจึงมีผลตอคุณสมบัติ ของน้ํามันมาก หรือคุณสมบัติของน้ํามันขึ้นอยูกับกรดไขมันชนิดที่เปนสวนประกอบหลัก เชน น้าํ มัน ประกอบดวยกรดไขมันที่มจี ดุ เดือดต่ํามักจะอยูในรูปของเหลว สวนน้ํามันที่มีกรดไขมันสวนใหญมีโมเลกุล ใหญมักจะอยูใ นรูปของกึ่งแข็งหรือแข็ง หรือน้ํามันที่มกี รดไขมันสวนใหญไมอิ่มตัว จะเหม็นหืนงาย 1. จุดหลอมเหลว (melting point) น้ํามันอาจมีลักษณะเปนของเหลวหรือของแข็งที่ อุณหภูมิหองก็ได ขึ้นอยูกบั ขนาดของกรดไขมัน ความอิ่มตัว การจัดรูปโครงสราง (cis หรือ trans) ของกรด ไขมันชนิดไมอมิ่ ตัว และตําแหนงของ double bond 1.1 ขนาดของกรดไขมัน กรดไขมันทีม่ ีโมเลกุลยาว จะมีจดุ หลอมเหลวสูงกวากรดไขมันที่ มีโมเลกุลสัน้ กรด butyric มีคารบอน 4 ตัวมีจุดหลอมเหลวทีอ่ ุณหภูมิ -70C สวนกรด stearic ซึ่งมี คารบอน 18 ตัว มีจดุ หลอมเหลวที่ 69.60C (ตารางที่ 3) 1.2 จํานวนของ double bond จํานวนของ double bond จะมีผลตอจุดหลอมเหลว มาก กรด Stearic มีจดุ หลอมเหลวที่ 69.60C แตเมื่อกรดชนิดนี้มี 1 double bond (oleic acid) จะมีจุด หลอมเหลวที่ 16.30C และเมื่อมี 2 double bond (linoleic acid) มีจดุ หลอมเหลวที่ -11.00C (ตารางที่ 3) 1.3 การจัดรูปโครงสรางของโมเลกุล กรดไขมันที่อยูในรูปของ transisomer จะมีจุด หลอมเหลวสูงกวากรดไขมันที่อยูในรูปของ cis-isomer เชน cis-octadecanoic acid (oleic acid) มีจุด หลอมเหลวที่ 16.30C (ตารางที่ 3) 1.4 ตําแหนง double bond กรดไขมันทีม่ ี double bond อยูใกลกลุม carboxyl จะมี จุดหลอมเหลวสูงกวากรดไขมันที่มี double bond อยูหางจากกลุม carboxyl ออกไป ดวยเหตุนี้ cis-6octadecanoic (Petroselinic) มีจุดหลอมเหลวที่ 300C สวนกรด cis-9-octadecanoic acid (oleic acid) มีจดุ หลอมเหลวที่ 16.00C
16 ตารางที่ 3 จุดหลอมเหลวของกรดไขมันชนิดตาง ๆ ชนิดของกรดไขมัน กรดไขมันชนิดอิ่มตัว Butyric acid Caproic acid Caprylic acid Capric acid Lauric acid Myristic acid Palmitic acid Stearic acid Arachidic acid Behenic acid Lignoceric acid กรดไขมันชนิดไมอมิ่ ตัว Palmitoleic acid Petroselinic acid Oleic acid Elaidic acid
จํานวนคารบอน
จํานวน double bond
จุดหลอมเหลว (0C)
4 6 8 10 12 14 16 18 18 22 24
-
-7.9 -3.4 16.7 31.6 44.2 54.4 62.9 69.6 75.3 79.9 84.1
16 18 (cis) 18 (cis) 18 (trans)
1 1 1 1
0.5 30.0 16.3 43.7
ที่มา : ณรงค และ อัญชนีย (ม.ป.ป.) 2. การตกผลึกของไขมัน น้าํ มันสามารถตกผลึกได ซึ่งมีผลทําใหนา้ํ มันมีลกั ษณะเปนของกึ่ง แข็ง (plastic) ผลึกที่เกิดขึน้ สามารถเปลีย่ นรูปไดหลายแบบ เรียกปรากฏการนี้วา “polymorphism” คืออาจ อยูในรูปของ α, β’ intermediate และ β ก็ไดมีจุดหลอมเหลวจากต่ําไปหาสูงตามลําดับ ผลึกของไขมันใน ธรรมชาติมักจะไมอยูตวั โดยจะเปลี่ยนรูปไปและมีจุดหลอมเหลวสูงขึ้น สวนจะมีผลึกอยูใ นรูปใดนัน้ ขึ้นอยูก ับ 2.1 2.2 2.3 2.4
สวนประกอบของไขมัน วิธีการผลิต shortening การบมหลังการผลิต หมายถึงอุณหภูมิและเวลาที่ใช สภาพการเก็บ หมายถึงอุณหภูมิทใี่ ชเก็บและเวลา
17 ผลึกของไขมันจะอยูในรูป β’ พบในไขมันที่มี triglyceride หลาย ๆ ชนิดและไขมันทีท่ าํ ใหเย็น ตัวอยางรวดเร็ว เปนผลึกทีม่ ีขนาดเล็ก บอบบาง มีความยาวไมเกิน 1 ไมครอน shortening ทีท่ าํ จากไขมัน แบบนี้มีจุดหลอมเหลวต่าํ เมื่อนําไปตีจะใหฟองอากาศขนาดเล็กและไดปริมาตรใหญ เนื้อละเอียด ไขมันบาง ชนิดจะมีผลึกอยูในรูปนี้ตลอดไป แตไขมันบางชนิดจะเปลี่ยนไปอยูใ นรูป intermediate ซึง่ เปนผลึกที่อยูต ัว มากกวา มีจดุ หลอมเหลวสูงกวา ผลึกมีความยาวประมาณ 5 ไมครอน ผลึกแบบนี้ไมเหมาะสําหรับทําเคก ผลึกแบบ intermediate เปลี่ยนไปเปน β-form จะมีขนาดใหญขนึ้ ยาวประมาณ 20-50 ไมครอน มีจดุ หลอมเหลวสูงขึ้น ไมเหมาะสําหรับทําเคก เคกที่ไดมีเนือ้ หยาบ ไมขนึ้ ฟู แตเหมาะสําหรับทําใหแปงนุมไดดี มาก จึงเหมาะสําหรับทําเปลือกพาย ความอยูตวั ของผลึกแบบตาง ๆ นั้นขึน้ อยูกับสวนประกอบของกรดไขมัน และความคงที่ของ อุณหภูมิทใี่ ชเก็บ การเปลีย่ นรูปผลึกไปอยูแบบใดนั้นขึ้นอยูกับชนิดของกรดไขมันและการกระจายตัวของกรด ไขมันไปอยูตามตําแหนงตาง ๆ ในโมเลกุลของกลีเซอรอล ดวยเหตุนนี้ ้ํามันแตละชนิดจึงมีผลึกตาง ๆ กัน และ จะอยูตัวที่ผลึกแบบใดแบบหนึง่ เทานั้น (ตารางที่ 4) Glyceride ที่มกี รดไขมันชนิดเดียวกันมักจัดตัวกันได อยางใกลชิด เนื่องจากมีการจัดตัวกันระหวางโมเลกุลไดเปนอยางดี ทําใหผลึกของไขมันชนิดนี้เปลี่ยนรูปได งาย โดยเปลีย่ นไปเปนผลึกที่เล็กที่มีจุดหลอมเหลวสูงขึน้ เชน น้าํ มันหมู สามารถเปลี่ยนรูปผลึกได 3-4 รูป เนื่องจากมี glyceride เพียงไมกี่ชนิด และกรด palmitic สวนใหญจะอยูในตําแหนงกลางของกลีเซอรอล ตารางที่ 4 ผลึกของไขมันชนิดตาง ๆ β-form น้ํามันถัว่ เหลือง น้ํามันดอกคําฝอย น้ํามันดอกทานตะวัน น้ํามันงา น้ํามันขาวโพด น้ํามันถัว่ ลิสง น้ํามันโอลีฟ น้ํามันปาลม(เนื้อ) น้ํามันหมู ที่มา : ณรงค และ อัญชนีย (ม.ป.ป.)
β’-form น้ํามันเมล็ดฝาย น้ํามันปาลม (เปลือก) Repeseed oil น้ํามันปลาเฮอริ่ง น้ํามันปลา menhaden น้ํามันปลาฉลาม ไขวัว น้ํามันนม
18 ทําใหนา้ํ มันหมูมีผลึกแบบ β’ ในระยะแรก และจะเปลี่ยนเปน β ในที่สุด แตถามีการสับเปลี่ยนตําแหนง ของกรดไขมันใหมใหกรด palmitic กระจายไปอยูในตําแหนงอื่น ๆ บาง น้าํ มันหมูจะใหผลึกแบบ β’ และจะ อยูตัวในรูปนีม้ ากกวา ซึง่ ใชทําเคกไดดีขึ้น สําหรับกรดไขมันที่ไมอมิ่ ตัวและอยูในรูป trans-form จะมีการจัดรูปผลึกที่แตกตางกับกรด ไขมันที่อยูในรูปของ cis-form การที่จะใหนา้ํ มันมีรูปผลึกที่ตองการอาจทําไดโดยวิธกี ารที่เหมาะสม ซึง่ อาจ ทําไดดงั นี้ 1. ผสมน้ํามันหลายชนิดเขาดวยกัน เปนวิธีทใี่ ชกันมากที่สดุ โดยผสมน้าํ มันและไขมัน หลายชนิดเขาดวยกัน รวมทั้งสารชวยกระจายไขมัน 2. เติมไฮโดรเจน เปนวิธกี ารเติมไฮโดรเจนในตําแหนง double bond ของกรดไขมัน ทําใหเกิดกรดอิ่มตัว นอกจากนีย้ งั มีผลใหการเปลีย่ นแปลงโครงสราง เชน เปลี่ยนตําแหนง double bond ทําใหเกิดกรดไขมันชนิดตาง ๆ มากมาย 3. Interestarification เปนวิธที ี่ทาํ ใหกรดไขมันกระจายไปอยูในตําแหนงตาง ๆ ของ กลีเซอรอล คือเปนวิธีการแลกกรดไขมันในตําแหนงตาง ๆ ที่มอี ยูทงั้ หมด 4. Fractionation เปนวิธกี ารแยกไขมันที่มีจดุ หลอมตัวชนิดตาง ๆ ออกจากกันโดยการ ตกผลึก แลวกรองออก ทําใหสามารถแยกไขมันทีม่ ีจุดหลอมตัวสูง ปานกลาง และต่ําออกจากกัน 5. Glycolysis เปนวิธกี ารที่ใหกรดไขมันทําปฏิกิริยากับกลีเซอรอล ทําใหเกิด glyceride ชนิดใหม ๆ ขึน้ รวมทั้ง monoglycerides และ diglyceride 6. Solidification เปนการควบคุมขนาดและลักษณะการตกผลึก เชน ควบคุมอัตรา ความเร็วในการตกผลึก โดยควบคุมอัตราการเย็นตัว 7. Tempering เปนกรมวิธีทที่ าํ ใหไขมันแข็งตัวแลวนําไปบมไวที่อณ ุ หภูมิ 20.40C เปน เวลา 48 ชัว่ โมง เพื่อใหผลึกเกิดการจัดตัวใหเขาสูภาวะสมดุลย การที่ shortening มีสีขาวเนื่องจากมีแกส 10-12 เปอรเซ็นต โดยกระจายอยูในลักษณะเปน ฟองอากาศเล็ก ๆ ขนาด 2-10 ไมครอน การรวมตัวของแกสเกิดขึ้นในขณะทําการกวนเพื่อปรับความเหนียว ของไขมัน ซึง่ มีความสําคัญมากในการทําขนมเคก จากการศึกษาพบวา shortening ที่มไี ดผา นการกวนเพื่อ ปรับลักษณะเนื้อจะไมเหมาะสําหรับทําเคก 3. การทําใหแปงนุม (shortening effect) เมือ่ ใสน้ํามันหรือไขมันลงในแปงสาลี จะทําให ความเหนียวของแปงลดลง คุณสมบัติเขนนี้เรียกวา “การทําใหนุม” ปรากฏการเชนนี้เกิดขึ้นจากน้ํามันไป เคลือบเม็ดแปง หรือไขมันแยกกลูเตนออกจากกันเปนกอนเล็ก ๆ ไมเกาะกัน ทําใหความเหนียวลดลง ถึงแม
19 การทํางานของน้าํ มันและไขมันจะแตกตางกันบางแตผลที่ไดนั้นไมแตกตางกัน สําหรับน้ํามันนั้นจะทําใหแปง นุมไดขึ้นอยูกบั ความสามารถที่จะเคลือบผิวของเม็ดแปง สวนไขมันขึ้นอยูกับความสามารถทีจ่ ะแผเปนแผน บาง ๆ นอกจากนี้แรงเกาะระหวางน้าํ มันหรือไขมันกับเม็ดแปงหรือโปรตีน ปริมาณน้ํามันหรือไขมันที่ใช สาร ชวยกระจายไขมันและวิธกี ารผสมก็มีสวนชวยใหแปงนุม ไดมาก 3.1 ความสามารถที่จะแผเปนแผนบาง ๆ ขึน้ อยูกับความสามารถของไขมันที่จะคงอยูใน รูปกึ่งแข็ง (semisolid) ไขมันที่อยูในรูปนี้จะแผเปนแผนบาง ๆ ไดมาก และทําใหหลอลืน่ ไดในพืน้ ทีม่ ากกวา แปงจะนุม แตถา ไขมันเหลวเกินไป ไขมันจะแยกตัวออกกอนที่จะผสมกัน ทําใหไขมันกระจายอยูในรูปของ เม็ดไขมัน โอกาสทีจ่ ะตัดกลูเตนจึงมีนอ ยมาก แปงจึงไมนุมมากนัก ไขมันทีด่ จี ะตองไมแข็งมากเกินไปที่ อุณหภูมิ 10-15.50C และไมเหลวเกินไปที่อุณหภูมิ 32.0-37.70C การที่ไขมันจะอยูในรูปกึ่งแข็งไดนั้นขึน้ อยู กับปจจัยหลายประการ เชน ปริมาณของแข็ง รูปรางและขนาดของผลึก 3.1. 1 ปริมาณของแข็ง ปริมาณของแข็งมีผลตอความแข็งของไขมันโดยตรง ไขมันที่ มีของแข็งมากจะแข็งตัวมาก น้ํามันหมูเมือ่ มีของแข็งประมาณ 5 เปอรเซ็นต จะแข็งตัว และถามีของแข็งถึง 40-50 เปอรเซ็นต จะมีลกั ษณะแหงกรอบ การเปลีย่ นแปลงปริมาณของแข็งในไขมันเพียงเล็กนอยจะมีผลตอ ความแข็งของไขมันมาก shortening ทีม่ คี วามแข็งพอเหมาะจะมีปริมาณของแข็งระหวาง 15-25 เปอรเซ็นต การเปลี่ยนอุณหภูมิมีผลตอปริมาณของแข็งมาก เนื่องจากไขมันที่เปนของแข็งอาจ เปลี่ยนสภาพเปนของเหลวไดถา อุณหภูมสิ งู ขึ้น ในทางตรงกันขามถาอุณหภูมิตา่ํ ลง ปริมาณของแข็งจะ เพิ่มขึ้น การทีจ่ ะรักษาปริมาณของแข็งไวใหอยูในชวง 15-25 เปอรเซ็นต ไขมันจะตองมีจดุ หลอมเหลวในชวง ที่ยาวมาก ซึง่ ขึ้นอยูก บั ชนิดของ glyceride ที่มีอยู ดวยเหตุนี้คาของ solid fat index (SFI) จึงเปนคาทีจ่ ะ บอกใหทราบถึงชวงการหลอมเหลว โดยปกติแลวถาเปนไขมันชนิดเดียวจะมีชว งการหลอมเหลวที่สนั้ มาก อุณหภูมิเปลี่ยนไปเล็กนอยปริมาณของแข็งจะเปลี่ยนไปมาก แตถานําไขมันตั้งแต 2 ชนิดขึ้นไปเล็กนอย ปริมาณของแข็งจะเปลี่ยนไปมาก แตถานําไขมันตัง้ แต 2 ชนิดขึ้นไปผสมกันหรือนําน้ํามันมาผสมกับ hydrogenated fat ปริมาณของแข็งจะเปลี่ยนแปลงไมมากนักเมื่ออุณหภูมิเปลี่ยนไป 3.1.2 ขนาดและรูปรางของผลึก ความแข็งแรงของไขมันขึ้นอยูก บั ขนาดของผลึก จากการทดลองพบวา เมื่อขนาดของผลึกเล็กลง ไขมันจะแข็งตัวมากขึ้น และเมื่อขนาดของผลึกเพิ่มขึ้นไขมัน จะนุมขึน้ ดวย เมื่อนําไขมันหมูมาหลอมดวยความรอนแลวปลอยใหแข็งตัวอยางชา ๆ จะไดไขมันทีม่ ีลกั ษณะ หยาบ เปนทราย แตนุมกวาไขมันที่ทาํ ใหแข็งตัวอยางรวดเร็ว ทัง้ นี้เพราะไขมันทีท่ าํ ใหแข็งตัวอยางรวดเร็วจะ ใหผลึกขนาดเล็ก เนื่องจากมีผลึกอยูใ นแบบ β’-form ผลึกเหลานี้สามารถอัดตัวกันไดแนน shortening ที่ ไดจงึ มีลักษณะแข็งมาก
20 นอกจากอัตราความเร็วของการทําใหแข็งตัวจะมีผลตอชนิดของผลึกแลว ชนิดของ glyceride ในไขมันก็มีผลตอความแข็งดวย ในการผลิต shortening จึงตองพยายามใหเกิดผลึกในรูป β’form จากการคนควาพบวาเมื่อไขมันสวนใหญมีจุดหลอมเหลวสูงและอยูในรูป β’-form จะทําใหไขมัน ทั้งหมดอยูในรูปของ β’-form ดวย ซึง่ อาจทําไดโดยการนําเอา glyceride จากหลายแหลงมาผสมกัน หรือนํามาเติมไฮโดรเจน นอกจากนีก้ ารเปลี่ยนตําแหนงของกรดไขมันในโมเลกุลก็อาจทําใหไขมันเกิดผลึกใน รูป β’-form ได 3.2 การกระจายตัว การกระจายตัวเปนคุณสมบัติของไขมันกับเม็ดแปงหรือโปรตีน เปนที่ ทราบกับดีอยูแ ลววาโมเลกุลของกรดไขมันสวนที่เปน double bond และ carboxyl group มีลกั ษณะเปน polar สามารถจับตัวกับโมเลกุลของน้าํ ได สวนทั้งสองนี้จงึ ละลายอยูในน้าํ บนเม็ดแปงหรือกลูเตน สวนของ กรดไขมันที่เหลือมีลักษณะเปน non-polar จะถูกดึงไปอยูในสวนที่เปนน้าํ มัน การเกาะตัวของกรดไขมันแบบ นี้จะมีผลตอการเคลือบผิวของเม็ดแปงมาก คือน้ํามันที่มีความไมอิ่มตัวสูงจะเคลือบผิวของเม็ดแปงไดดีกวา น้ํามันที่มีความไมอมิ่ ตัวต่ํา กรดไขมันที่มี 1 double bond จะคลุมพื้นที่ 2 เทาของกรดไขมันอิ่มตัวที่มี ความยาวของโมเลกุลเทากัน แตกรดไขมันทีม่ ี 2 double bond ก็คลุมพืน้ ที่ไดเทากับกรดไขมันที่มี 1 double bond เพราะโมเลกุลมาสามารถงอตัวลงมามากพอทีจ่ ะให double bond ตําแหนงที่ 2 สัมผัสกับ ผิวของน้าํ ที่อยูบ นพืน้ ผิวของกลูเตนได สวนกรดไขมันทีม่ ี 3 double bond จะคลุมพื้นที่ไดมากขึ้น 3.3 ความเขมขนของไขมัน จากการทดลองพบวาเมื่อใชไขมันเพิ่มมากขึน้ จะทําใหเคกมี ความนุมเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากไขมันสามารถจับอากาศไวไดมากขึ้น และเพิม่ ความหนืดของกอนแปงใหมาก ขึ้นขณะทําการผสม แตการเพิ่มไขมันมากเกินไปความหนืดของกอนแปงจะสูงขึ้นมากจนกระทั่งการขยายตัว ในขณะถูกความรอนเปนไปไดยาก ทําใหปริมาตรเล็กลง การใชไขมันนอกจากจะทําใหขนมเคกนุมขึ้นแลว ยัง ทําใหมีกลิน่ ดีขึ้น เนื้อเนียน และเปนใยสวยงาม 3.4 สารชวยกระจายไขมัน ในการผลิต shortening มักจะมีการใสสารชวยกระจาย ไขมันลงไปดวย สารชวยกระจายไขมันเหลานี้จะทําใหขนมเคกมีปริมาตรมากขึ้น มีเนื้อนุม อรอยและเก็บได นานขึ้น จากการทดลองพบวาเมื่อนําสวนผสมเคกมาผสมกัน จะมีอากาศเขาไปรวมตัวดวย อากาศจะอยูใน ลักษณะทีถ่ กู หอหุมดวยโปรตีน มีลกั ษณะเปนฟองและกระจายอยูใ นไขมัน การเติมสารชวยกระจายไขมันจะ ทําใหอากาศกระจายตัวอยางสม่ําเสมอ ซึง่ มีความสําคัญมากที่จะชวยใหขนมเคกพองตัว และมีเนื้อนุม ในเรื่องการใชสารชวยกระจายไขมันนั้นมีผูทําการศึกษากันมาก มีการแนะนําใหใชสาร ตาง ๆ หลายชนิดในการทํา shortening สําหรับทําเคก เชน mono- และ diglyceride lactylated monoand diglycerides, propyl glycol monostearate, sorbitan monostearate, polyoxyethylene
21 sorbitan monostearate, acetyl tartaric acid esters of mono- and diglycerides และ acetylated monoglyceride เปนตน สารชวยกระจายไขมันมีอาํ นาจในการกระจายไขมันไมเทากัน ในทางปฏิบัติมักจะ ใชสารชวยกระจายไขมันตั้งแต 2 ชนิดขึ้นไปจึงจะใหผลดี เชน ใช sorbitan monostearate รวมกับ polyoxyethylene sorbitan monostearate ในการผลิต shortening สําหรับขนมเคก 3.5 วิธกี ารผสม มีผลตอความนุม ของแปงมาก การผสมมีอยูหลายวิธี การที่จะเลือกใช วิธใี ดนัน้ ขึ้นอยูกบั ปริมาณน้าํ น้าํ มันหรือไขมันที่ใช และปริมาณกลูเตนที่ตองการใหเกิดขึ้น วิธีการที่ใชแปง ผสมน้ํามันกอนจะทําใหนา้ํ มันเคลือบผิวเม็ดแปงหรือโปรตีนไว น้ําไมสามารถเขาไปถึงเม็ดแปงหรือโปรตีนได แปงจะไมเกิดกลูเตนขึ้น กอนแปงจะไมเหนียว การผสมแบบนี้นา้ํ มันจะทําหนาที่ไดดกี วาไขมัน เพราะ สามารถครอบคลุมพื้นที่ไดมากกวา แตถา แปงมีโปรตีนต่ําหรือใชนาํ้ มันนอย การผสมควรตีไขมันใหเกิดฟอง กอน หรือการที่ใหนา้ํ สัมผัสกับแปงกอน การใชนา้ํ มันสําหรับการผสมแบบนี้จะไดผลดีกวา แตอยางไรก็ตาม การผสมอยางรุนแรงหรือผสมนานจะทําใหแปงเหนียวมากขึ้นถึงแมจะผสมแบบใดก็ตาม ทัง้ นี้เนื่องจากชัน้ น้ํามันหรือไขมันทีห่ ุมแปงหรือโปรตีนจะแตกออก น้าํ จะมีโอกาสสัมผัสเม็ดแปงและโปรตีนมากขึ้น 4. การกักอากาศ (creaming quality) ไขมันสามารถกักอากาศไวไดเมือ่ ทําการตี การกัก อากาศมีความสําคัญมากในการผลิตเคกใหไดคุณภาพ ไขมันที่มีคณ ุ สมบัติในการกักอากาศไดดจี ะทําใหเคกมี คุณภาพดีดวย ถึงแมการผลิตขนมเคกใหไดเคกมีคุณภาพดีดวย ถึงแมการผลิตขนมเคกจะมีการใสผงฟูหรือ สารเคมีชนิดอืน่ แตลักษณะเนื้อของเคกที่ไดจะหยาบ มีฟองอากาศขนาดใหญ เนื่องจากไมสามารถควบคุม การเกิดฟองอากาศได การใส shortening จะชวยใหแกส ที่เกิดจากผงฟูในขณะถูกความรอน ทําให ฟองอากาศขนาดเล็กและสม่ําเสมอ การวัดความสามารถของไขมันทีจ่ บั อากาศอาจทําไดโดยวัดปริมาณทีเ่ พิ่มขึ้นหลังการตี การวัด เริ่มดวยการตีไขมันกับน้ําตาลในอัตราสวนที่เหมาะสม แลวทําการวัดความหนาแนนเปนระยะ ๆ และจาก ความหนาแนนก็สามารถคํานวณปริมาณอากาศที่เขาไปรวมตัวอยูได ปจจัยทีม่ ีผลตอการกักอากาศของไขมัน ประกอบดวย 4.1.1 อัตราสวนของน้ําตาลตอไขมัน พบวาถาใชไขมัน 2 สวน น้าํ ตาลทราย 3 สวน จะรวมกับอากาศไดดีที่สุด 4.1.2 ขนาดของผลึกน้ําตาล ถาน้ําตาลมีผลึกขนาดเล็กการกักอากาศจะดีขึ้น แต ถามีการลดขนาดของผลึกน้ําตาลโดยวิธบี ด จะไมทําใหการกักอากาศดีขึ้น 4.1.3 ชนิดของผลึกไขมัน ไขมันทีม่ ีรูปผลึกแบบ β’-form หรือกรดไขมันอิ่มตัว สูง
22 จะกักอากาศไดดี
4.1.4 การบม การบมไขมันที่อุณหภูมิ 25.5-28.50C หลังการผลิตจะทําใหการกัก
อากาศดีขึ้น 4.1.5 อุณหภูมิในการตีฟอง อุณหภูมิทใี่ ชในการตีควรอยูใน plastic range ของ ไขมัน จะทําใหการกักอากาศดีขึ้น จะไดผลิตภัณฑที่มเี นื้อนิม่ shortening ที่เหมาะสมควรมี plastic range ระหวาง 21.0-25.50C
บรรณานุกรม ณรงค นิยมวิทย และอัญชนีย อุทยั พัฒนาชีพ. ม.ป.ป. เอกสารประกอบการสอนวิชาวิทยาศาสตรการ ประกอบอาหาร, ภาควิชาคหกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร บางเขน. 441 น. นิธยิ า รัตนาปนนท. 2548. วิทยาศาสตรการอาหารของไขมันและน้ํามัน. สํานักพิมพโอเดียนสโตร, กรุงเทพ ฯ. 244 น. ทัศนีย โรจนไพบูลย. 2544. อาหารไทย ใน เอกสารประกอบการสอนชุดวิชา เทคโนโลยีอาหารและ เครื่องดื่ม หนวยที่ 12. มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. โรงพิมพมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, นนทบุรี. น. 257-338. อบเชย วงศทอง และขนิษฐา พูนผลกุล. 2544. หลักการประกอบอาหาร. สํานักพิมพมหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร, กรุงเทพ ฯ. 163 น.
บทที่ 2 1. ผลิตภัณฑจากน้ํามันและการใชนา้ํ มันในการประกอบอาหาร 1.1 ผลิตภัณฑจากการเติมไฮโดรเจน การเติมไฮโดรเจนคือการใหไฮโดรเจนเขาไปในตําแหนง double bond ของน้ํามัน ปฏิกิรยิ าที่เกิดขึ้นมีดังนี้ -HC=CH+H2
-CH2-CH2
การที่น้ํามันจะรวมตัวกับไฮโดรเจนไดมากนอยเทาใดนัน้ ขึ้นอยูกับคาไอโอดีน คือ ถาเติมไฮโดรเจน ได 1 mole ก็จะเทากับน้ํามันนั้นรวมตัวกับไอโอดีนได 1 mole เชนกัน และตามหลักการนี้จะคํานวณได วาน้ํามัน 1 กิโลกรัมเมื่อทําปฏิกิรยิ ากับไฮโดรเจน 0.0795 กรัม คาไอโอดีนจะลดลง 1 หนวย แตเนื่อง ดวยไมเคยเติมไฮโดรเจนในน้ํามันชนิดใดจนกระทั่งคาไอโอดีนลดลง 120 หนวย ดวยเหตุนี้น้ําหนักของ น้ํามันที่เติมไฮโดรเจนแลวจะเพิ่มขึ้นไมเกิน 1 เปอรเซ็นต น้าํ มันที่ผา นการเติมไฮโดรเจนแลวจะมีลกั ษณะกึ่ง แข็ง เหมาะสําหรับทํา shortening หรือมาการีน นอกจากนีย้ งั มีผลทําใหนา้ํ มันอยูตวั และมีสีดีขนึ้ การเติมไฮโดรเจนนัน้ จะตองอาศัยตัวเรงปฏิกิรยิ า (catalyst) ซึ่งสวนใหญเปนนิเกิล และมีโลหะอืน่ ๆ ผสมอยูดว ย เชน ทองแดง อลูมเิ นียม เปนตน เพื่อใหการทํางานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ในการเติมไฮโดรเจน ตองใชน้ํามันที่ผา นการทําใหบริสุทธิมาแลว ไมมีน้ําและอากาศ ใสนา้ํ มันลงในถัง เพิ่มอุณหภูมจิ นถึง 930C นําน้ํามันสวนหนึ่งมาผสมกับตัวเรงปฏิกิรยิ า เทคืนลงในถัง เพิ่มอุณหภูมจิ นถึง 121-1350C ผานไฮโดรเจน เขาไปทางทอเล็ก ๆ ทีอ่ ยูกนถังใหแกสกระจายไปทัว่ น้ํามัน ในขณะเดียวกันก็กวนอยูต ลอดเวลา ควบคุมอัตรา ความเร็วของแกสใหเหมาะสม เมื่อไฮโดรเจนรวมตัวกับน้ํามันอุณหภูมจิ ะสูงขึ้น จะตองควบคุมอุณหภูมิให คงที่โดยการหลอดวยน้ํา การควบคุมการเติมไฮโดรเจนอาจทําไดโดยการวัดคาดรรชนีหักเห (refeactive index) เมื่อถึงจุดที่ ตองการ ใหหยุดกวนและหยุดแกสไฮโดรเจน ลดอุณหภูมลิ งจนถึง 930C แยกเอาสารชวยเรงปฏิกริ ิยาออก โดยปกติแลวการเติมไฮโดรเจนจะเกิดขึ้นกับกรดไขมันที่ไมอิ่มตัวมากกอน และเรียกคุณสมบัตินี้วา selectivity และ selectivity จะเพิ่มขึ้นเมื่อทําการเติมไฮโดรเจนที่อณ ุ หภูมิสงู และใชไฮโดรเจนนอย จากการ
24
ควบคุมการเติมไฮโดรเจนที่เหมาะสม ทําใหสามารถไดไขมันที่มีคุณภาพเหมาะสมสําหรับทํา shortening หรือมาการีน โดยปกติแลวน้ํามันถั่วเหลืองมีกรด linolenic มาก ทําใหเหม็นหืนไดงา ย ดวยเหตุนี้จึงไมเหมาะสม ที่จะเก็บไวใชในครัว การเติมไฮโดรเจนจะเปลี่ยนกรด linolenic ไปเปนกรด linoleic และกรด oleic นอกจากนี้กรดไขมันที่ไมอมิ่ ตัวบางชนิดก็ถูกกําจัดออกไป น้าํ มันที่เหลือจะอยูต ัวดี และมีความเหมาะสมที่จะ ใชในครัว ความอิ่มตัวของไขมันที่ผา นการเติมไฮโดรเจนแลวอาจตรวจสอบไดโดยวัดคาไอโอดีน (คาไอโอดีน คือปริมาณของไอโอดีนที่มหี นวยเปนกรัม ที่ทาํ ปฏิกิรยิ ากับน้ํามัน 100 กรัม ภายใตสภาวะที่เหมาะสม) ถา คาไอโอดีนสูงแสดงวาน้ํามันผานการเติมโดรเจนมานอย น้าํ มันพืชที่ใชประกอบอาหารควรมีคาไอโอดีน ระหวาง 100-150 สวนไขมันสําหรับทํา shortening หรือมาการีนควรมีคา ไอโอดีนประมาณ 70-90 1.1.1 น้ํามันสลัด น้าํ มันสลัดคือน้ํามันที่ใชประกอบอาหารนั่นเอง อาจทํามาจากน้ํามันที่ ผานกรรมวิธีการกําจัดมาแลวหรือไมกไ็ ด เปนน้ํามันที่ไมแข็งตัวทีอ่ ุณหภูมิ 4-100C ในขณะทีน่ า้ํ มันที่ใช ประกอบอาหารอาจแข็งตัวก็ได น้าํ มันหลายชนิดไมแข็งตัวงายถึงแมจะเก็บที่อณ ุ หภูมิต่ํา อาจใชทาํ น้ํามันสลัด โดยตรง เชน น้ํามันถั่วเหลือง น้าํ มันงา น้าํ มันดอกทานตะวัน และน้ํามันขาวโพด แตนา้ํ มันถั่วเหลืองมีการ เปลี่ยนกลิ่นไดงายเมื่อเก็บไว จึงไมคอ ยใชกันมากนัก สวนน้ํามันเมล็ดฝายตกผลึกไดงา ยเมื่อสัมผัสกับความ เย็น ดวยเหตุนี้นา้ํ มันชนิดนี้จงึ ตองผานกรรมวิธีการกําจัดไขมันที่มจี ดุ หลอมเหลวสูงออกกอน กรรมวิธีนี้ เรียกวา winterizing สวนน้าํ มันถั่วลิสงไมคอ ยใชทําน้ํามันสลัด เนื่องจากแยกผลึกที่เกิดขึ้นไดยาก สําหรับวิธีการทดสอบวาน้ํามันชนิดใดเปนน้ํามันสลัดหรือไมนนั้ อาจทําไดงา ย คือ ใสนา้ํ มันลงใน ขวดที่มคี วามจุ 4 ออนซ (115 กรัม) ปดฝาใหสนิท นําไปแชแข็งที่อุณหภูมิ 00C ถาน้ํามันชนิดนั้นยังคงใส หลังจากแชไว 5.5 ชั่วโมง น้ํามันชนิดนั้นเหมาะสําหรับทําน้ํามันสลัด แตอยางไรก็ตามน้ํามันหลายชนิดที่ เกิดผลึกไดชาในระยะแรกและไมมีลักษณะขุน แตเมือ่ ตั้งทิ้งไวนานจะแข็งตัว ในปจจุบนั มีการใสสารบาง ชนิดลงไปเพื่อปองกันไมใหนา้ํ มันตกตะกอน สารพวกนี้ไดแก เลซิตนิ และ oxidized oil (oxystening) 1.1.2 ชอทเทนนิ่ง (shortening) คําวาชอทเทนนิ่งเคยมีความหมายถึงไขมันที่มีผลทํา ใหเปลือกพายและแครกเกอรมีลักษณะเปนชั้นเทานัน้ แตตอมาความหมายไดขยายออกไป โดยรวมเอาไขมัน ที่ใชทําเคกและน้ํามันทีใ่ ชประกอบอาหารดวย ในปจจุบันจึงเรียกทัง้ น้ํามันและไขมันทุกชนิดวาชอทเทนนิ่ง
25
ทั้งนี้เพื่อใหแตกตางไปจากมาการีน ซึ่งมีสวนประกอบของไขมันและสารอื่น ๆ ดวย ชอทเทนนิ่งที่เปน ของแข็งมักมีสีขาวจึงเรียกวา “เนยขาว” 1) วัตถุดิบที่ใชผลิต ชอทเทนนิ่งมีสวนประกอบ 3 สวน คือสวนประกอบพืน้ ฐาน สวนประกอบที่เปนของแข็ง (plasticizer) และสวนประกอบที่ชวยกระจายไขมัน ก) สวนประกอบพื้นฐาน (base oil) สวนประกอบพื้นฐานหมายถึง สวนประกอบที่มีปริมาณมากที่สดุ ซึ่งไดแกสว นที่เปนน้ํามัน น้าํ มันที่ใชกนั มากที่สดุ คือน้ํามันจากเมล็ดฝาย น้ํามันถั่วเหลือง น้ํามันดอกทานตะวัน น้าํ มันขาวโพด และน้ํามันงา น้าํ มันถั่วเหลืองที่ใชควรผานการเติม ไฮโดรเจนเล็กนอยเพื่อปองกันการเกิด reversion น้าํ มันปลา น้าํ มันปลาวาฬ น้าํ มันปาลม ก็อาจใชได แต ตองเติมไฮโดรเจนเล็กนอยเชนเดียวกันสวนน้าํ มันมะพราวหรือน้ํามันชนิดอื่น ๆ ที่มกี รด lauric สูง ไม เหมาะสําหรับทํา shortening ทั้งนี้เนื่องจากมีชวงการหลอมเหลวสั้นเกินไป นอกจากนี้ยังเกิดฟองไดงา ยเพื่อ ใชทอดอาหาร ข) สวนประกอบที่เปนของแข็ง (plasticizer) สวนประกอบพวกนี้ไดแกไขมัน ชนิดตาง ๆ เมื่อใสลงในน้ํามันในปริมาณทีพ่ อเหมาะ จะทําใหนา้ํ มันมีลักษณะเปนของเหลวกึ่งแข็ง ทําใหชว ง การหลอมเหลวยาวขึ้น ซึ่งจะมีผลทําให creaming ability และ shortening effect ดีขึ้น ไขมันพวกนี้ ประกอบดวย cleosearing (ไขมันวัวทีแ่ ยกเอาน้ํามันออกไปแลว) หรือน้ํามันหมูหรือน้ํามันปาลมที่ผา นการ เติมไฮโดรเจนแลว ซึ่งอาจเติมเพียงเล็กนอย หรือเติมอยางเต็มทีก่ ไ็ ด ปริมาณที่ใชอยูระหวาง 20-50 เปอรเซ็นต ปกติแลวชอทเทนนิ่งที่ผลิตจากไขมันหรือน้ํามันชนิดเดียวมักจะมีชว งการหลอมเหลวที่ สัน้ มาก แตถามีการเติมไขมันจากแหลงอื่น ๆ ดวย หรือใชไขมันที่ผา นการเติมไฮโดรเจนมาแลวชวงการ หลอมเหลวจะยาวขึ้น สวนประกอบที่เปนของแข็งนี้นอกจากจะทําใหชวงการหลอมเหลวยาวขึ้นแลว ยังทํา ใหชอทเทนนิง่ มีผลึกในรูปที่ตองการดวย จากการคนควาพบวาไขมันที่มีจดุ หลอมเหลวสูงมักจะมีผลึกอยูใน รูปของ β’-form เมื่อนําไขมันชนิดนีใ้ สลงในชอทเทนนิ่ง จะทําใหนา้ํ มันทั้งหมดตกผลึกในรูปของ β’-form ดวย ในทางตรงกันขามถาใชไขมันที่อยูในรูปของ β-form น้าํ มันจะตกผลึกในรูปของ β-form ในการปฏิบัติ นั้นจะตองแนใจวาชอทเทนนิ่งที่ผสมแลวจะตองอยูใ นผลึกอยูในรูปทีต่ องการ ค) สวนประกอบที่ชว ยกระจายไขมัน (Emulsifier) สารชวยกระจายไขมันที่ใส
26
ลงไปในชอทเทนนิ่งอาจมีเพียงชนิดเดียวหรือหลายชนิดก็ได สวนใหญแลวเปนเกลือของพวก mono- หรือ diglyceride
ที่ใช
2) การผลิตชอทเทนนิ่ง การผลิตชอทเทนนิ่งทําไดหลายแบบ ขึ้นอยูกบั วัตถุดิบ
ก) ชอทเทนนิ่งทีท่ าํ จากไขสัตวผสมน้ํามันพืช ในปจจุบนั ชอทเทนนิ่งที่ผลิตโดย วิธีนี้มีนอ ยมาก เทาที่มีอยูม ักใชนา้ํ มันพืช และ oleostearine โดยใชนา้ํ มันพืช 80 เปอรเซ็นต และ oleostearine 20 เปอรเซ็นต oleostearine มักจะตองผานการเติมไฮโดรเจนเล็กนอยกอน ซึง่ จะทําใหเก็บ ไวไดนานขึ้น ข) ชอทเทนนิ่งทีท่ าํ จากไขมันและน้ํามันจากพืช ไขมันสําหรับทําชอทเทนนิ่ง แบบนี้ไดจากการนําน้ํามันพืชไปเติมไฮโดรเจนจนกระทัง่ มีคา ไอโอดีนเทากับ 15 หรือนอยกวา นําไปผสม กับน้ํามันพืช โดยใชเพียง 10-15 เปอรเซ็นต ค) ชอทเทนนิ่งทีท่ าํ จากน้ํามันที่ผา นการเติมไฮโดรเจนมาแลว ชอทเทนนิ่ง ชนิดนี้ทําจากน้ํามันและไขมันที่ผา นการเติมไฮโดรเจนมาแลว โดยที่นา้ํ มันผานการเติมไฮโดรเจนเพียง เล็กนอย 8-10 เปอรเซ็นต มีคาไอโอดีน 65-80 สวนไขมันจะตองผานการเติมไฮโดรเจนมาอยางเต็มที่ 3) ชนิดของชอทเทนนิ่ง ก) ชอทเทนนิ่งอเนกประสงค (Genral purpose shortening) ชอทเทนนิ่ง ชนิดนี้ใชกันมากในการทําขนมอบทุกชนิด และใชกนั มากตามภัตตาคารและโรงแรม เปนชอทเทนนิ่งที่มีชวง การหลอมเหลวยาวมาก ข) ชอทเทนนิ่งชนิดอยูตวั ดี (High-stability shortening) เปนชอทเทนนิ่งที่ทํา ขึ้นเพื่อใชสําหรับผลิตแครกเกอรและขนมปงหวาน ใชกันมากในโรงงานใหญ ๆ เนื่องจากเปนชอทเทนนิ่งที่ อยูตวั ดี จึงมีผนู าํ ไปใชทอดอาหารที่ตองการเก็บไวนาน ค) ชอทเทนนิ่งสําหรับทําเคกและไอซิ่ง (Cake and icing shortening)
27
เปนชอทเทนนิ่งที่มีคณ ุ สมบัติการกระจายไขมันไดดีเปนพิเศษ เนื่องจากมีสารประกอบ glyceride หลาย ชนิด โดยเฉพาะพวก mono- และ diglyceride ซึ่งมีคณ ุ สมบัติชวยกระจายไขมันไดดีมาก โดยเฉพาะอยาง ยิง่ ขนมที่มีสว นผสมของน้ําตาลสูง บางครั้งเรียกชอทเทนนิ่งชนิดนี้วา “superglycerinated shortening” ชอทเทนนิ่งแบบนี้ใชกนั มากในการผลิตขนมเคกและขนมปงหวาน มีการใชกันทั้งในบานและโรงงาน ชอ ทเทนนิ่งมีลักษณะ รส และความอยูตวั คลายกับชอทเทนนิ่งอเนกประสงคมาก นอกจากจะใชชอทเทนนิ่ง แบบนี้ทาํ เคกแลว ยังมีการใชในการทําไอซิ่งดวย แตไมเหมาะสําหรับทอด เพราะสาร mono- และ diglyceride จะแตกตัว ที่อณ ุ หภูมิสงู ใหสานประกอบกลีเซอรอล ซึ่งจะทําใหเกิดควันขึ้น ง) ชอทเทนนิ่งสําหรับขนมปงและขนมปงหวาน ชอทเทนนิ่งแบบนี้ผลิตขึ้น เพื่อใชกับขนมปงหรือขนมปงหวาน เพือ่ ทําใหมเี นื้อนุม และรักษาความนุมไวไดนาน ทําใหมีลักษณะเหมือน ุ สมบัติดังกลาวคือเลซิติน monoglyceride, diglyceride และ ใหมอยูเ สมอ สาระสําคัญที่ชวยใหมีคณ diacetyl tartaric acid esters ของ mono- ของ diglyceride น้าํ หนักของสารเหลานี้รวมกันไมเกิน 20 เปอรเซ็นต ของน้ําหนักชอทเทนนิ่ง จ) ชอทเทนนิ่งสําหรับแปงเคกสําเร็จรูป ในปจจุบันมีแปงเคกสําเร็จรูปหลาย ชนิดในทองตลาด ความสําเร็จของแปงชนิดนี้ขนึ้ อยูกับชอทเทนนิ่งและสารชวยกระจายไขมันที่ใชกบั แปง ชนิดนี้ คือชอทเทนนิ่งจะตองกักอากาศไดดีเปนพิเศษถึงแมจะมีการตีเพียงเล็กนอย และไมเสื่อมคุณภาพเมื่อ เก็บไวนาน โดยปกติแลวสารชวยกระจายไขมันที่ใชจะแตกตางกันไปขึ้นอยูกับผูผลิต ฉ) ชอทเทนนิ่งเหลว เปนผลิตภัณฑที่ผลิตขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ เพื่อใหการขนสงและ เคลื่อนยายไดงาย น้ํามันที่ใชมกั เปนพวกน้ํามันเมล็ดฝาย หรือน้ํามันที่ผา นการเติมไฮโดรเจนเล็กนอย นอกจากนี้ยงั มีสารชวยกระจายไขมันชนิดที่มีจดุ หลอมเหลวสูงอยูดว ย สวนมากเปนพวก mono- และ diglyceride ปริมาณทีใชประมาณ 8-10 เปอรเซ็นต ช) ชอทเทนนิ่งแหง เปนชอทเทนนิ่งที่ทําจากชอทเทนนิ่งปกติผสมกับนมผงขาด ไขมัน แลวนําไปทําใหแหงโดยใชเครื่องพนแหง นอกจากนีย้ งั ใสนา้ํ ตาลและคารโบไฮเดรตชนิดอื่นอีก พรอมทั้งสารชวยกระจายไขมัน ใชกันมากสําหรับแปงสําเร็จที่ตองการไขมันต่ํา 1.1.3 มาการีน มาการีนผลิตขึ้นครั้งแรกโดยนักเคมีชาวฝรั่งเศสชื่อ Mege Moures เปน
28
การผลิตที่ไดรับรางวัลจากพระเจานโปเลียนที่สามในป ค.ศ. 1870 ตอมาในป ค.ศ. 1872 ก็มกี ารผลิตเพื่อเปน การคา การผลิตในระยะแรกใชนา้ํ มันวัว โดยทําการผลิตที่อุณหภูมิต่ํา แยกเอาไขมันที่มีจุดหลอมเหลว ออกไป ผสมกับนม เชื่อกันวาเอ็นไซมที่ไดจากนมจะชวยเปลีย่ นแปลงไขมันใหไดกลิ่นที่ตองการ ความเชื่อนี้ ยังคลาดเคลื่อนจากความเปนจริง ความจริงแลวการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากจุลนิ ทรียที่มอี ยูใ นนมมากกวา ตอมาพบวากลิ่นอาจไดจากนมที่หมักไวกอ นแลวนําไปผสมก็ได ซึ่งเปนวิธีการที่ดที ี่สุด มาการีนที่ดจี ะตองมีกลิ่นคลายเนยแท กลิน่ เหลานี้ไมใชมาจากน้ํามันหรือไขมัน แตมาจากนมที่ ใสลงไป ดวยเหตุนี้นา้ํ มันทีใ่ ชจะตองไมมกี ลิ่น 1) วัตถุดบิ ที่ใชผลิต ก) ไขมัน ไขมันที่ใชอาจไดมาจากหลายแหลง อาจนํามาจากน้ํามันวัว น้าํ มัน มะพราว น้ํามันเมล็ดฝาย และน้ํามันถั่วเหลือง นํามันวัวไดจากการนําเอามาแยกเอาสวนที่เปนของแข็งออก น้ํามันชนิดนี้มคี ุณสมบัติทางฟสิกสใกลเคียงกับเนยมาก คือละลายไดดใี นปาก น้าํ มันวัวนี้อาจใชปนกับน้ํามัน หมูก็ได ทัง้ นี้เพื่อใหชว งการหลอมเหลวยาวขึ้น น้ํามันจากเนื้อและเปลือกปาลมมีลักษณะเปราะกวาน้ํามันวัว หรือน้าํ มันผสมระหวาง น้ํามันวัวกับน้าํ มันหมู แตถามีการเติมน้ํามันวัวหรือไขวัว หรือนําไปเติมไฮโดรเจน จะทําใหชว งการ หลอมเหลวยาวขึ้น และเหมาะสําหรับทํามาการีน สําหรับน้ํามันเมล็ดฝายและน้าํ มันถั่วเหลืองใหผลึกที่หยาบเกินไป จําเปนตองใชควรนําไปผานไฮโดรเจนกอน
มีเนื้อเหลว
ถา
ไขมันที่ใชในการทํามาการีนเหลานี้จะตองเตรียมดวยความระมัดระวัง มีการปฏิบัติ อยางถูกตอง ควรใชวัตถุดบิ สดใหมทําการสกัดที่อุณหภูมิต่ําเพื่อปองกันไมใหเกิดกลิน่ ผิดปกติ น้าํ มันที่ไดควร นํามาผลิตมาการีนโดยเร็ว โดยปกติแลวน้าํ มันที่ใชจะตองปราศจากกรดไขมันอิสระมีการเติมไฮโดรเจน และ กําจัดกลิ่น ผลิตภัณฑทไี่ ดจึงมีคุณภาพดี สําหรับน้ํามันจากเมล็ดฝาย ถั่วเหลือง หรือน้ํามันชนิดอืน่ จะตองนํามาเติมไฮโดรเจน จนกระทั่งมีคาไอโอดีนลดลงถึงจุดที่ตองการกอนนําไปผสม
29
ข) นม นมที่ใชอาจเปนนมผงปราศจากไขมัน หรือหางนมก็ได นมเหลานี้ จะตองนํามาฆาเชื้อกอนใช และไมควรมีกรดมากกวา 0.2 เปอรเซ็นต ค) สารชวยกระจายไขมัน ในการผลิตมาการีนมีความจําเปนตองใชสารชวย กระจายไขมันเพื่อใหเกิดอิมลั ชัน มิฉะนัน้ จะเกิดการแตกตัวเมื่อเก็บไวนาน นอกจากนี้เมื่อนําไปทอดอาหาร น้ํามันจะกระเด็นมากเนื่องจากหยดน้ําที่มอี ยูจะรวมตัวกันเปนหยดน้ําขนาดใหญ เมื่อไดรบั ความรอนจะเกิด การเดือดอยางรุนแรงและกระเด็นออกมา และของแข็งจากนมมักจะตกตะกอนและติดอยูก บั กนภาชนะที่ใช ทอด สารชวยกระจายไขมันทีใ่ ชกนั มากคือเลซิติน ปริมาณที่ใชประมาณ 0.1-0.5 เปอรเซ็นต นอกจากนี้มกี ารใช monoglyceride และ diglyceride แตสารพวกนีป้ อ งกันการกระเด็นของน้ํา ไมได จึงจําเปนตองใส sodium sulfoacetate ลงไปดวย ง) สารอื่น ๆ ที่ใชกันมากคือเกลือ เกลือที่ใชจะตองมีผลึกขนาดเล็ก ละลาย ไดดี มีเกลือแคลเซียมและแม็กนีเซียมต่ํา ปริมาณที่ใชอยูระหวาง 2.25-4.0 เปอรเซ็นต นอกจากนี้ยังมีการ เติมวิตามินเอ และโซเดียมเบนโซเอตดวย 2) วิธีการผลิต ก) การเตรียมนม นํานมมาเพาะเชื้อ หมักไวที่อุณหภูมิ 200C นาน 16-24 ชั่วโมงระหวางนี้จะเกิดกรดขึ้น 0.5-0.6 เปอรเซ็นต หลังจากนั้นทําใหเย็นอยางรวดเร็วจนกระทัง่ มีอณ ุ หภูมิ 240C ข) ผสม ละลายเกลือและโซเดียมเบนโซเอตในนม และละลายวิตามินเอในน้ํามัน พรอมดวยสารชวยกระจายไขมัน ผสมนมกับน้ํามันเขาดวยกัน กวนใหเขากันและเกิดอิมัลชัน ค) ทําใหแข็งตัว นวด และหอ การทําใหแข็งตัวอาจทําได 3 วิธี คือการพนเปน ฝอยลงในน้าํ เย็น ทําใหแข็งตัวบนผิวทีเ่ ย็น และการใชเครื่องมือที่เรียกวา votator วิธีการแรกไมมีผูนยิ มใช ในปจจุบนั เริม่ ดวยการลดอุณหภูมใิ หต่ําลงยังมีการใชกนั บาง สวนวิธีที่สองยังมีการใชกนั บาง วิธีที่สามเปน
30
วิธีที่นยิ มใชกนั มากที่สุดในปจจุบัน เริ่มดวยการลดอุณหภูมใิ หต่ําลงและแข็งตัวในที่สดุ โดยไมมีการสัมผัสกับ อากาศเลย ตอจากนั้นก็นํามานวด แบงเปนกอน หอ และบรรจุกลองในที่สุด 3) การเสียของมาการีน มาการีนอาจเสียไดหลายแบบ เชน เหม็นหืน หรือ reversion เปนตน โดยเฉพาะมาการีนที่ทําจากไขวัว สวนน้ํามันถั่วเหลืองที่ผา นการเติมไฮโดรเจนแลวอาจ เกิด reversion ไดบางเล็กนอย นอกจากนีย้ งั พบวามาการีนบางชนิดที่ทําจากไขมันที่มีโมเลกุลขนาดเล็กมี กลิ่นสบู เกิดจากการแตกตัวของกรดไขมันเนื่องจากการทํางานของเอ็นไซมซึ่งมาจากจุลนิ ทรีย มาการีนมี เกลือเพียง 3 เปอรเซ็นต อาจมีจุลนิ ทรียเ จริญเติบโตได ถึงแมจะเก็บในตูเย็นและใชสารโซเดียมเบนโซเอต แลวก็ตาม ุ หภูมิ 2-70C มา มาการีนอาจเก็บไดนานถึง 1 ป ถาใชอุณหภูมิ -150C แตถาเก็บไวที่อณ การีนจะเสียเร็วมาก 1.1.4 น้ําสลัด น้าํ สลัดคือเครื่องปรุงรสผักที่ใชรบั ประทานสด น้าํ สลัดแบงออกเปน 3 แบบ คือน้ําสลัดมายองเนส (mayonnaise dressing) น้าํ สลัดฝรั่งเศส (French dressing) และน้ําสลัดตุน (Salad dressing) น้ําสลัดแบบฝรั่งเศสและแบบมายองเนสมีนา้ํ มันเปนสวนประกอบในปริมาณทีส่ งู มาก มี ลักษณะเหลวหรือคอนขางเหลว สามารถเทออกมาใชไดโดยไมตองใชชอนตัก สวนน้ํามันสลัดแบบตุนใช น้ํามันคอนขางนอย เปนน้าํ สลัดที่ใชแปงผสมลงไปดวยเพื่อใหขน อยูต ัว มีลักษณะขนมาก สามารถเทออก จากขวดได น้าํ มันสลัดแบบนี้บางครั้งเรียกวา “น้าํ สลัดขัน” หรือ “น้าํ สลัดแบบใชชอ นตัก” 1) น้าํ สลัดมายองเนส น้าํ สลัดมายองเนสคือผลิตภัณฑทเี่ ตรียมจากน้ํามันพืช น้ําสมสายชูหรือกรดมะนาว และไข นอกจากนี้ยงั มีการใสสารชนิดอื่นลงไปดวย เชน เกลือ น้าํ ตาล เครื่องเทศ ผงชูรส และอื่น ๆ ปริมาณน้ํามันที่ใชจะตองไมนอ ยกวา 65 เปอรเซ็นต ของน้ําหนักมายองเนส นอกจากนี้ยงั ใสสารปองกันการตกผลึก (oxystearin) 0.125 เปอรเซ็นต สวนผสม อัตราสวนของน้าํ มันและไขจะตองเหมาะสมเพื่อใหมายองเนสมีลักษณะ เนื้อและมีความหนืดที่เหมาะสม สวนเกลือ น้าํ ตาล น้าํ สม และเครือ่ งเทศจะทําใหกลิ่นรสดียิ่งขึน้ ปริมาณที่ ใชอาจจะแตกตางกันไปตามรสนิยมของผูบริโภค
31
น้ํามันที่ใชควรเปนน้ํามันสลัด ซึ่งอาจทําจากน้ํามันเมล็ดฝาย น้าํ มันถั่วเหลือง นํามันดอก คําฝอย น้ํามันขาวโพด หรือน้ํามันโอลีฟก็ได น้าํ มันพวกนี้จะไมตกผลึกที่อุณหภูมติ ่ําจึงไมเกิดปญหาการแตก ตัวของมายองเนสเมื่อเก็บไวในตูเย็น เนื่องจากมายองเนสเปนอิมลั ชันชนิดน้ํามันในน้ํา เม็ดน้ํามันจะกระจาย อยูในสารละลายที่ประกอบดวยน้ํา ไข น้าํ สม น้าํ ตาล ฯลฯ ดวยเหตุนคี้ วามหนืดของอิมัลชันจึงขึ้นอยูกับ ขนาดของเม็ดและปริมาณของน้ํามัน ถาเม็ดน้ํามันมีขนาดเล็กและมีปริมาณมาก มายองเนสจะแข็งตัวมาก โดยปกติถาใชนา้ํ มันในปริมาณ 77-82 เปอรเซ็นต มายองเนสจะมีความหนืดพอดี แตถา ใชนา้ํ มันต่ํากวา 65 เปอรเซ็นต มายองเนสจะเหลวเกินไป ในทางตรงกันขามถาใชนา้ํ มัน 82 เปอรเซ็นต หรือมากกวานั้น จะ ไดมายองเนสที่ขนมาก ซึ่งจะเหมาะสําหรับทาขนมปงแซนวิส เพราะจะไมทาํ ใหขนมปงดูดน้ํามากเกินไป และไมไหล ถาใชน้ํามันถึง 84 เปอรเซ็นต เม็ดน้ํามันจะอัดตัวแนนมากและผนังที่อยูระหวางเม็ดน้ํามันจะ บางมาก ทําใหมายองเนสไมคอยอยูตวั โดยเฉพาะเมือ่ ไดรบั แรงสะเทือนมาก ไขทใี่ ชมีผลตอความแข็งของมายองเนสมาก ไขแดงเปนตัวการสําคัญที่ทาํ ใหมายองเนส อยูตัว ไขทใ่ี ชอาจเปนไขสด ไขแชแข็ง หรือไขผงก็ได การใชไขสดทําใหมายองเนสเหลวเกินไป แตจะ แข็งตัวเมื่อเก็บไวนาน ไขทเี่ ก็บไว 2-4 สัปดาหจะเกิดเจลไดยาก ไขผงใชไดดีมาก มายองเนสทีไ่ ดจะมีความ เขมขนมากเมือ่ เทียบกับการใชไขแบบอื่น ๆ สวนไขแดงจะทําใหมายองเนสมีสีเหลือง ทัง้ นี้เนื่องจากไมยอม ใหใชสผี สมอาหาร แตอยางไรก็ตามสีของไขก็แตกตางกันมาก ไขทผี่ ลิตในจังหวัดชายทะเลจะมีสเี ขมกวาไข ที่ผลิตจากจังหวัดอื่น ๆ นอกจากนีอ้ าหารไกก็มีผลตอสีของไขแดงมาก ถาอาหารเปนพวกขาวโพดจะไดไขที่ มีสเี ขมกวาอาหารที่เปนพวกขาวฟาง กรดเปนสารทีท่ ําหนาที่ถนอมไมใหมายองเนสเสีย กรดที่ใชกนั มากคือน้ําสมสายชูกลั่น ปริมาณของน้าํ สมสายชูไมควรต่ํากวา 2.5 เปอรเซ็นต โดยน้ําหนัก ถาใชนา้ํ สมเจือจางมากจะทําใหมายอง เนสเก็บไดไมนาน ความเขมขนที่นยิ มใชกันอยูระหวาง 4.5-10.0 เปอรเซ็นต อาจใชนา้ํ มะนาวแทน น้ําสมสายชูก็ได โดยใชแทนไดไมเกิน 25 เปอรเซ็นตของน้ําหนักน้ําสมสายชู การใชนา้ํ มะนาวทําให มายองเนสมีกลิ่นและรสดีขึ้น น้าํ สมสายชูแตละตรามีคณ ุ ภาพไมเหมือนกัน โดยเฉพาะกลิ่นและรส ทัง้ นี้ เนื่องจากมีปริมาณเอทิลอาซิเตตและอาซิตาลดีไฮดไมเทากัน มายองเนสที่ผลิตขึ้นจึงมีคณ ุ ภาพไมเหมือนกัน ผูผ ลิตบางรายใสน้ําสมสายชูหมักลงไปดวยเพื่อใหมกี ลิ่นหอม แตการใสมากเกินไปจะทําใหกลิ่นเสียไป และ มายองเนสที่ไดจะมีสีเขมไมนา รับประทาน มัสตารดคุณสมบัติทจี่ ะชวยใหไขมันรวมตัวกับน้าํ ไดดขี ึ้น โดยเฉพาะตํารับที่ใชไขนอ ย มัสตารดจะชวยไดมาก แตสําหรับตํารับที่ใชไขมากความสําคัญของมัสตารดจะนอยลง แตอยางไรก็ตาม มัสตารดก็ใหกลิ่นแรงมากเมื่อสัมผัสน้ํา ทั้งนี้เนื่องจากมีนา้ํ มัน allyl isothiccyanate เกิดขึ้นโดยการทํางาน
32
ของเอ็นไซม glucosidase การเก็บไวนานจะทําใหกลิ่นลดลง การทําลายเอ็นไซมโดยนํามัสตารดไปแช น้ําสมสายชูกอ นนําไปใชจะชวยใหรกั ษากลิ่นไวไดนานขึ้น การใชมสั ตารดมากเกินไปจะทําใหผบู ริโภคเขาใจ ผิดคิดวาใสไขมาก นอกจากจะใชมสั ตารดโดยตรงแลวอาจใชนา้ํ มัน allyl isothiccyanate แทนก็ได ผลิตภัณฑทไี่ ดมีกลิ่นมัสตารดแรง และไมมีจดุ เกิดขึ้นในผลิตภัณฑ สามารถเก็บผลิตภัณฑไดอยางนอย 3 เดือนโดยไมทาํ ใหกลิ่นเสีย มีการใสสวนที่สกัดไดจากพริกลงไปในมายองเนสดวย ทําใหมายองเนสมีสแี ดง กลิ่นและ รสเผ็ด ปริมาณที่ใชประมาณ 30 กรัมตอมายองเนส 50 กิโลกรัม ถาใชมากกวานี้จะทําใหมายองเนสมีสแี ดง และรสเผ็ดมาก นอกจากนี้สวนผสมที่ไดกลาวมาแลว ก็มีการใสเกลือและน้ําตาลลงไปในมายองเนสดวย แตปริมาณไมมากนัก ทัง้ นี้เนื่องจากมีนา้ํ อยูในมายองเนสเพียง 20 เปอรเซ็นตเทานัน้ การใสเกลือและน้ําตาล เพียงเล็กนอยก็จะทําใหความเขมขนของสารละลายสูงมาก เพราะสารทั้งสองนี้ละลายในน้ําเทานั้น สวน เครื่องเทศอื่น ๆ ทีใ่ ชกันคือกระเทียมผง หอมผง และอบเชยผง น้ําสลัดที่เก็บไวนานอาจมีปญ หาเรือ่ งความหืนบาง จึงมีการใส calcium disodium EDTA เพื่อปองกันไมใหโลหะที่เปนตัวเรงปฏิกิรยิ าทํางานได ปริมาณที่ใชประมาณ 75 สวนในลานสวน 2) น้ําสลัดฝรั่งเศส น้าํ สลัดฝรั่งเศสเปนของเหลวที่อาจแยกชัน้ หรืออาจอยูตวั ก็ ได มีสว นผสมของน้ํามันและกรดน้ําสมหรือมะนาว โดยมีนา้ํ มันไมต่ํากวา 35 เปอรเซ็นต อาจใชนา้ํ มะนาว แทนกรดน้ําสมได โดยใชไมเกิน 25 เปอรเซ็นตโดยน้าํ หนัก นอกจากนี้ยงั มีสารปองกันการตะกอนอยูดว ย (oxystearin) 0.125 เปอรเซ็นต สวนสารประกอบอื่น ๆ ที่นิยมใสลงในน้าํ สลัดแบบนี้คือ เกลือ น้าํ ตาล มัสตารด พริกและ เครื่องเทศชนิดอื่น ๆ อาจใสสารชวยกระจายไขมันหรือไมก็ได แตถาใชสารชวยกระจายไขมัน จะไดน้ําสลัด ที่อยูตัว สารชวยกระจายไขมันที่ใชกันมากคือยางไมชนิดตาง ๆ เชน คาราจีแนน ปริมาณทีใ่ ชไมกิน 0.75 เปอรเซ็นตของน้ําหนัก 3) น้ําสลัดตุน เปนน้ําสลัดที่มรี สเขมขน มีราคาถูก ผลิตขึ้นเพื่อใชแทนน้ําสลัด
33
มายองเนส แตตอมาก็เปนทีย่ อมรับวาเปนน้ําสลัดแบบหนึ่ง การใชในการประกอบอาหารก็เหมือนกับมายอง เนสทุกประการ น้ําสลัดตุนเปนอิมลั ชันแบบน้ําในน้าํ มัน โดยมีไขเปนสารชวยกระจายไขมัน และใชแปง เปนตัวทําใหขน นอกจากนี้ยงั มีการใสเกลือ น้าํ ตาล เครื่องเทศ ผงชูรส และสารชวยรักษาสีและกลิ่น ปริมาณน้ํามันที่ใชจะตองไมนอ ยกวา 30 เปอรเซ็นต ไขแดง 4 เปอรเซ็นต ถาจะใชไขทงั้ ฟอง ปริมาณไข แดงจะตองเทาเดิม
2. การใชน้ํามันในการประกอบอาหาร 2.1 ใชในการทอด หนาที่ของน้ํามันที่ใชในการทอดอาหารนั้นแตกตางไปจากไขมันที่ใชในการทํา ขนมอบ น้ํามันที่ใชในการทอดจะทําหนาที่ นําความรอนไปใหอาหารทําใหอาหารสุก ชวยหลอลื่นไมให อาหารติดกับภาชนะขณะทอด ทําใหอาหารมีสีและเพิ่มรสชาติ และกลายเปนสวนหนึ่งของอาหารเมื่ออาหาร ดูดน้ํามันเขาไป สมบัติของน้ํามันสําหรับทอดอาหารที่ดีตอ งมีความคงตัว มีจดุ หลอมเหลวต่ํา ทนทานตอ ความรอนไดสงู และตองมีสมบัติสัมพันธกับอาหารที่ใชทอด เพราะกลิ่นและรสชาติของไขมันหรือน้ํามันจะ ติดไปกับอาหารที่ทอดดวย น้าํ มันที่ใชในการทอดโดนัทจะแตกตัวที่อุณหภูมิ 185-199 องศาเซลเซียส เนื่องจากสัมผัสกับน้ําและออกซิเจน น้าํ ทําใหนา้ํ มันแตกตัวเปนกลีเซอรอลและกรดไขมันอิสระ จากการ ทดลองพบวาการเติมออกซิเจนจะทําใหนา้ํ มันแตกตัวไดมากกวา อาจมีถึงรอยละ 1 แตเมื่อปองกันไมให สัมผัสกับออกซิเจนจะเกิดกรดไขมันอิสระเพียงรอยละ 0.2 เทานั้น นอกจากเกิดกรดไขมันอิสระแลวยังเกิด สารประกอบ hydroperoxide ซึ่งทําใหมกี ลิ่นผิดปกติ ในขณะเดียวกันน้ํามันจะรวมตัวกันเปนโมเลกุลใหญ และเมื่อสะสมมากขึ้นจะทําใหมีลักษณะเหนียวเหนอะหนะ ติดที่กนหรือขางภาชนะที่ใชทอด ในขณะทอดไอ น้ําที่เกิดขึน้ จะไลกลิ่นนี้ออกไปบาง มิฉะนั้นจะมีกลิ่นไมนา รับประทาน น้าํ มันทีใ่ ชทอดไมควรมีกรดอิสระ มากกวารอยละ 0.1 มิฉะนัน้ จะเกิดควันไดงา ย โดยปกติแลวน้ํามันทุกชนิด ทั้งน้ํามันพืช น้าํ มันหมู shortening เหมาะสําหรับใชทอดทั้งสิ้น แต การที่จะเลือกใชน้ํามันชนิดใดจะตองคํานึงถึงปจจัยตอไปนี้ ราคา คุณภาพทีจ่ ะมีผลตอกลิ่นและรสของอาหาร อุณหภูมิทเี่ กิดควัน อายุการใชงาน การเกิดฟอง และการดูดน้ํามันของอาหาร น้ํามันที่เหมาะสําหรับใชทอดอาหารมากทีส่ ุดควรเปนน้ํามันที่ผา นการเติมไฮโดรเจนมาแลว น้าํ มัน ชนิดนี้มีคาไอโอดีนต่ํา ทําใหทนตอการเติมออกซิเจนทีอ่ ุณหภูมิสูง ไมเกิดสีดํา ไมเกิดยางเหนียวหรือเกิดฟอง
34
การเติมสารบางชนิดจะชวยปองกันการเติมออกซิเจนได นอกจากนีน้ า้ํ มันที่มกี รดไขมันขนาดเล็กก็ไมเหมาะ สําหรับทอดอาหารเชนเดียวกัน โดยเฉพาะอาหารที่มคี วามชื้นสูง เพราะน้ําจะทําใหนา้ํ มันแตกตัวเปนกรด ไขมัน ทําใหเกิดฟองขึ้น จากการทดลองพบวาน้ํามันทีม่ กี รดไขมันชนิดนี้เพียงรอยละ 5 จะเกิดฟองขึ้นทันที น้ํามันพวกนีไ้ ดแกนา้ํ มันมะพราวและน้ํามันปาลม แตถาอาหารที่มคี วามชื้นต่ํา การใชนา้ํ มันเหลานี้ในการ ทอดก็ใหผลดี การทอดเปนการทําใหอาหารสุกโดยใชความรอนแหงรวมกับการใชนา้ํ มัน การหุงตมวิธีนี้ แบงออกเปน 3 ประเภทดวยกันคือ 2.1.1 การทอดดวยน้ํามันปริมาณนอย (sauté) อาหารจะหั่นเปนชิ้นเล็กกอนนําอาหาร ลงทอด ตองตั้งกระทะใหรอ นกอน แลวทอดอาหารใหเกรียมโดยเร็ว หรือทอดใหอาหารเริ่มนิ่มจากน้ําในตัว อาหารเอง อยาใสอาหารมากเกินไป เนื้อสัตวที่จะนํามาทอดดวยวิธีนคี้ วรคลุกแปงกอน 2.1.2 การทอดดวยน้าํ มันปริมาณปานกลาง (pan fry) อาหารจะหั่นเปนชิน้ ใหญขึ้น ใช น้ํามันและเวลาในการทอดมากกวา ขณะที่ทอดจะใชไฟต่ํากวาการทอดดวยวิธแี รก ปริมาณของน้ํามันยัง ขึ้นอยูกับอาหารที่ทอดดวย เชน การทอดไขจะใชนา้ํ มันนอยกวาการทอดไก 2.1.3 การทอดดวยน้ํามันปริมาณมาก (deep-fat frying) การทอดดวยวิธีนนี้ า้ํ มันจะตองรอน และทวมอาหาร อุณหภูมิของน้ํามันที่ใชทอดควรอยูระหวาง 175-190 องศาเซลเซียส หากใชความรอนสูง มากหรือใชน้ํามันทอดอาหารซ้ําหลาย ๆ ครั้ง วิตามินอีจะถูกทําลายหมด ทําใหกรดไขมันชนิดไมอมิ่ ตัวถูก ออกซิไดสและเกิดปฏิกิรยิ าพอลิเมอไรเซชันไดงา ย โดยเฉพาะการทอดอาหารทีม่ ีนา้ํ มันมาก เชนการทอดไก ผลของปฏิกิริยาจะมีสารประกอบใหมเกิดขึ้น ซึ่งสารที่เกิดขึ้นใหมเหลานี้เปนพิษตอรางกายและบางชนิดก็เปน สารกอมะเร็งดวย ดังนั้นน้ํามันที่ทอดแลว 2 – 3 ครั้ง หรือผานความรอนสูง ๆ มานานแลว หากเหลือใชควร ทิ้ง ไมควรนํากลับมาทอดซ้ําแลวซ้ําอีก เพราะจะทําใหสารกอมะเร็งติดปนอยูใ นอาหารที่ทอด ซึง่ จะทําให ผูบ ริโภคมีโอกาสเสี่ยงตอการเกิดมะเร็งได ดังนั้นควรใชนา้ํ มันที่มีจดุ เกิดควันสูง 2.1.4 การทอดภายใตความดัน (pressure frying) การทอดดวยวิธนี หี้ มายถึงการทอดดวย น้ํามันปริมาณมากในหมอทอดพิเศษที่มฝี าปดเพื่อเก็บไอน้ําที่เกิดจากอาหารในขณะที่ทอดและไอน้ํานี้จะทําให เกิดความดันขึน้ ภายในหมอทอด อุณหภูมขิ องน้ํามันทีท่ อดควรเปน 175 องศาเซลเซียส การทอดภายใต
35
ความดันจะทําใหอณ ุ หภูมิสูงและทอดอาหารไดสุกเร็ว ขณะที่ทอดไมสามารถมองเห็นอาหารได
การทอดวิธนี ี้ตองกําหนดเวลาทอดที่แนนอนเพราะ
2.2 ใชประกอบอาหาร น้าํ มันประกอบอาหารแบงออกเปน 2 ชนิด คือน้ํามันและ ไขมัน น้ํามันประกอบดวยน้ํามันถั่วเหลือง น้าํ มันเมล็ดฝาย น้าํ มันโอลีฟ น้าํ มันขาวโพด ฯลฯ สวนไขมัน ประกอบดวยเนย มาการีน เนยขาว และน้ํามันหมู การใชนา้ํ มันเพื่อประกอบอาหารบางครั้งก็ไมตองคํานึงวา จะตองใชนา้ํ มันหรือไขมัน แตอาหารบางชนิดจะตองใชนา้ํ มันหรือไขมันใหถูกตอง เชน ในการเตรียมน้ํามัน สลัดควรใชไขมันเทานั้น เพราะตองการใหนา้ํ มันเคลือบผิวของผักจะใชไขมันแทนไมได ในการทําขนมเคกก็ เชนกันควรใชไขมัน เชน เนย หรือมาการีนเทานั้นจะใชนา้ํ มันแทนไมได เพราะตองการใหจับอากาศไวมาก ๆ ซึง่ น้ํามันทําไมได การใชน้ํามันหรือไขมันในการประกอบอาหารนั้นขึ้นอยูก บั แหลงที่อยูข องประชาชน ประชาชนที่ อาศัยอยูในเขตที่หา งจากเสนศูนยสูตรออกไปทางเหนือหรือทางใตมักมีอากาศหนาว ไมสามารถปลูกพืชที่ให น้ํามันไดมากนัก จึงมักจะใชแตไขมันทีไ่ ดจากสัตวในการประกอบอาหาร สวนประชาชนที่ทอี่ ยูในเขตเสน ศูนยสตู รมีอากาศรอน การปลูกพืชตาง ๆ ทําไดงา ย น้าํ มันที่ใชประกอบอาหารสวนใหญจึงมาจากพืช แตเมื่อ เทียบกันแลว การบริโภคน้ํามันปริมาณมากกวาบริโภคไขมัน ทั้งนี้เนือ่ งจากน้ํามันใชประกอบอาหารไดเกือบ ทุกอยาง นอกจากอาหารจําพวกขนมอบจากแปงสาลีเทานั้น น้ํามันบางชนิดมีกลิ่นดีมาก เชน น้าํ มันโอลีน การนํามาปรุงอาหารไมจําเปนตองผานกรรมวิธีกาํ จัด กลิ่นออกสวนน้ํามันพืชชนิดอื่นอาจจะเอากลิ่นออกหรือไมก็ได ขึน้ อยูกับวัฒนธรรมและประเพณีของทองถิ่น ประชาชนที่อยูในประเทศทางซีกโลกตะวันออกนิยมที่จะรักษากลิน่ ธรรมชาติของน้ํามันไว สวนประชาชนที่ อยูในประเทศตะวันตกนิยมที่จะสกัดเอากลิ่นออก เหตุผลที่ประเทศทางซีกโลกตะวันออกไมนยิ มเอากลิ่น น้ํามันออกคือวิธีการสกัดน้ํามันออกนัน้ ใชวิธีการอยางงาย ๆ เพียงแตนาํ ไปผานความรอนเพียงเล็กนอยหรือไม ผานความรอนเลย แลวนําไปบีบเอาน้ํามันออก แรงทีใ่ ชบีบก็ไมมากนัก สารตาง ๆ ซึง่ ปะปนออกมาจึงมีอยู นอย น้ํามันจึงไมคอยมีกลิน่ รสมากนัก สวนประชาชนทางประเทศตะวันตกนัน้ ตรงกันขาม การสกัดน้ํามัน จากพืชใชแรงอัดสูง น้ํามันที่ไดจึงมีสิ่งเจือปนมาก มีสเี ขม และกลิ่นแรง ดวยเหตุนี้จึงมีความจําเปนที่ตองทํา ใหบริสุทธิ์กอนนําไปประกอบอาหาร 2.2.1 การผัด หมายถึง การทําอาหารตาง ๆ ใหสุกโดยใชนา้ํ มันหรือกะทิเปนสือ่ ความรอน โดยใสอาหารที่จะผัดลงในกระทะที่มีน้ํามันหรือน้ํากะทิที่ตั้งไฟจนรอนจัด แลวพลิกกลับไปมาจนสุกตาม ตองการ การผัดแบงออกไดเปน
36
ก) ผัดที่ไมมีรสเผ็ด ไดแก ผัดผักสด ผัดผักสดกับเนื้อสัตว ผัดเนื้อสัตวลว น ข) ผัดที่มีรสเผ็ด หมายถึง ผัดทีใ่ ชเครื่องน้ําพริกแกงบางชนิดเปนเครื่องปรุงแตงกลิ่นรส อาหารที่นํามาผัดจะใชเนื้อสัตวเปนหลักและอาจมีพชื ผักประกอบมากนอยตามชนิดของผัดชนิดนั้น ๆ ค) ผัดเบ็ดเตล็ด คือผัดที่ไมอาจรวมกลุมกับผัดที่กลาวถึงแลวเนื่องดวยมีเครื่องปรุงรสที่ ตางจากผัดทัว่ ไป เชน ผัดเปรี้ยวหวาน ผัดวุนเสน ผัดกระเพาะปลา ผัดหูฉลาม ผัดกระทอน ผัดลูกสมอ ผัด ปลาแหง ผัดกะทิ 2.2.2 การประกอบอาหารผัดและทอด ก) การทอดปลา เวลาทอดปลาตองใสนา้ํ มันใหทวมชิ้นปลา ควรรอใหนา้ํ มันรอนกอน จึงหยอนตัวปลาลงทอด ทอดใหสุกทีละดาน แลวจึงพลิกตัวปลากลับทอดอีกดานหนึ่ง อยาพลิกตัวปลา กลับไปมาหลายครั้ง การนําปลาชุบขนมปงปนหรือแปงทอดจะเพิ่มความชุมและรสชาติใหเนื้อปลา ข) ไขทอด คือ ไขดาวที่ใชนา้ํ มันนั่นเอง น้าํ มันที่ใชทอดควรจะรอนกวาจุดที่โปรตีนของ ไขตกลิ่มเล็กนอย ปริมาณของน้ํามันควรมากพอไมใหไขติดกระทะ ถาน้ํามันรอนเกินไปจะทําใหไขขาวเกิด ฟองฟูขึ้น ถาอุณหภูมิของน้าํ มันที่ใชทอดต่ําเกินไปจะทําใหไขขาวกระจายตัวออกมากเกินไป ลักษณะของไข ทอดขึ้นอยูกับความตองการที่จะบริโภค ถาใชบริโภคเปนอาหารเชามักนิยมไขดาวที่ออ นนุม ไขแดงยังคงอยู ในลักษณะเหลวขน ไขขาวแข็งแตไมเหนียว ฉะนั้นในบางครั้งจึงมักครอบภาชนะทอดไขดาว เพื่อใหเกิดไอ น้ําชวยใหผวิ บนของไขแข็งตัวแตไมกระดาง สําหรับไขดาวที่เรานิยมบริโภคกับขาวมักทอดดวยน้าํ มันที่รอน จัด จะไดไขทกี่ รอบ ผิวไมเรียบ สีน้ําตาลมีรอยฟูของฟองอากาศ มีกลิ่นหอม ค) ไขเจียว ตีไขแดงและไขขาวใหพอเขากันดีอาจเติม เกลือ นม หรือน้าํ เล็กนอย ตั้ง กระทะที่มนี ้ํามันเคลือบเล็กนอย นําไขลงเจียวโดยใชตะหลิวชวยพลิกขางเปนครั้งคราวเพื่อใหไขแข็งตัวทัว่ กัน ในการเจียวแตละครั้งปริมาณไขไมควรมากเกินไป จากไขเจียวจะดัดแปลงเปนไขยัดไสได หรือทําไขเจียว แลวนํามาหั่นฝอยโรยหนาอาหารได การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในไขเจียวไดแก การตกลิ่มแข็งตัวของโปรตีน เมื่อไดรับความรอน ลักษณะที่ดขี องไขเจียวควรนุมชุมฉ่ํา สีเหลืองเขม มีกลิ่นหอม
37
ง) ผัดผัก ในการผัดผักสีและธาตุอาหารของผักยังดีอยู เหมาะสําหรับผักที่นมุ และมีนา้ํ มาก เชน กะหล่ําปลีหนั่ ฝอย ถั่วฝกยาวหั่นเปนชิน้ เล็ก ๆ การผัดผักไมทําใหธาตุอาหารสูญเสียมาก เพราะ รับประทานทัง้ หมดไมไดทงิ้ สวนที่เปนน้าํ การผัดผักจะใชเวลาคอนขางสั้นถาใชเวลานานสีจะเปลี่ยน และ คุณคาทางอาหารจะลงลง ดังนั้นจึงควรใสผกั ที่สุกยากลงไปผัดกอนตามดวยผักที่สกุ งาย
3. การเปลี่ยนแปลงของน้ํามันขณะทีใ่ ชและหลังการประกอบอาหาร การใชไขมันหรือน้ํามันในการทอดอาหาร ระหวางที่ไขมันและน้ํามันไดรับความรอนและขณะทอด จะมีการเปลีย่ นแปลงเกิดขึ้นกับโมเลกุลของไตรเอซิลกลีเซอรอล ทําใหเกิดการสลายตัวที่มีความซับซอน เกิดขึ้น เนื่องจาก Thermolytic และ Oxidative reaction ซึ่งจะมีผลกระทบตอ 3.1 คุณคาทางโภชนาการของไขมันและน้ํามัน ไขมันและน้ํามันที่ผา นความรอนสูงอาจทํา ใหเกิดความเปนพิษได (toxic effect) 3.2 คุณภาพทางดานประสาทสัมผัสของน้ํามันของน้าํ มันและอาหารที่ทอดในน้าํ มัน การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับไขมันและน้ํามันในขณะทอดอาหารที่เห็นไดชัดเจน คือ น้าํ มันมีสคี ล้ํามากขึ้น มี ความหนืดเพิ่มขึ้น smokeing point ลดลง และเกิดฟองมากขึ้น นอกจากนีย้ งั มีปฏิกิรยิ าของเคมีเกิดขึ้นกับ ไขมันและน้ํามันเมื่อไดรับความรอน ดังรายละเอียด คือ หาเกี่ยวกับการ 3.2.1 การเติมออกซิเจน (oxidation) น้าํ มันสวนใหญมีปญ เหม็นหืนโดยเฉพาะอยางยิ่งน้ํามันที่สัมผัสกับออกซิเจนอยูเสมอ ปฏิกริยานี้เรียกวา autoxidation autoxidation เกิดขึน้ 2 ขั้นตอน ในระยะแรกการเติมออกซิเจนจะเปนอยางเชื่องชา เปนระยะที่เรียกวา induction period หลังจากนั้นจะเกิดขึน้ อยางรวดเร็ว จากการคนควาพบวาสารที่เกิดขึ้นในระยะแรกของ ปฏิกริยาเปนพวก hydroperoxide ซึ่งเกิดจากออกซิเจนทําปฏิกิรยิ ากับคารบอนทีอ่ ยูระหวางพันธะคู สาร hydroperoxide นีจ้ ะสลายตัวไดเร็วที่อุณหภูมิสูง ใหสาร aldehyders และกรดหลายชนิดซึ่ง ทําใหเกิดกลิ่นหืน 3.2.2 Reversion Reversion หมายถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในน้ํามันที่ผา น
38
การทําใหบริสทุ ธิ์แลว การเปลี่ยนแปลงนีม้ ผี ลทําใหเกิดการเหม็นหืน ตัวอยางเชนเมื่อเปรียบเทียบน้ํามันเมล็ด ฝายกับน้ํามันถั่วเหลือง น้ํามันทั้งสองมีการเติมออกซิเจนในอัตราความเร็วที่ใกลเคียงกัน แตจากการทดลอง พบวาน้ํามันถั่วเหลืองจะมีกลิ่นผิดปกติอยางรวดเร็วในขณะทีน่ า้ํ มันเมล็ดฝายยังปกติ การเปลี่ยนแปลงของ น้ํามันถั่วเหลืองเชนนี้เรียกวา reversion จากการคนควาพบวานอกจากความรอนแลว แสงอุลตราไวโอเลตและแสงปกติกจ็ ะทําใหเกิด reversion ไดเชนกัน นอกจากนี้ออกซิเจนก็มีสว นอยูมาก โลหะจําพวกเหล็กและทองแดงก็จะทําใหเกิด ปฏิกริยาเกิดขึน้ อยางรวดเร็ว นอกจากนี้นา้ํ มันที่มกี รด linolenic สูง เชน น้าํ มันถั่วเหลือง จะเกิด reversion อยางรวดเร็ว 3.2.3 การแตกตัว (hydrolysis) น้าํ มันอาจแตกตัวไดถามีสภาพแวดลอมที่ เหมาะสม ใหกรดไขมันและกลีเซอรอล กรดไขมันที่เกิดขึ้นถามีคารบอนต่าํ กวา 10 ตัว จะระเหยได ซึง่ มี กลิ่นตางกัน ทําใหน้ํามันมีกลิ่นผิดปกติ ดวยเหตุนกี้ ารเหม็นหืนชนิดนี้จึงเกิดขึ้นกับน้ํามันที่มีกรดไขมันขนาด เล็ก เชน น้ํามันเนย น้ํามันมะพราว สวนน้ํามันที่มกี รดไขมันขนาดใหญ มีคารบอนเกิน 10 ตัว จะใหกลิน่ นอยมาก 3.2.4 การเกิดฟอง (foaming) เมื่อนําอาหารไปทอด น้าํ ในอาหารจะกลายเปน ไอและหนีออกไปสวนประกอบบางชนิดในอาหารหรือในน้ํามันทําใหไอน้ําหนีออกไปอยางชา ๆ จึงทําใหเกิด ฟองขึ้น โดยเฉพาะน้ํามันทีใ่ ชมาแลวหลายครั้ง สวนประกอบเหลานี้อาจเปนพวกสารชวยกระจายไขมัน สาร ที่เกิดจากการรวมตัวของไขมันเปนโมเลกุลใหญหรือสบู ุ หภูมิ 3.2.5 การเกิดควัน (smoking) เมือ่ ทําใหนา้ํ มันรอนเพิ่มขึ้นเรือ่ ย ๆ ที่อณ หนึ่งน้ํามันเริ่มเกิดควัน เรียกอุณหภูมินวี้ า “จุดเกิดควัน” (smoking point) ถาใหความรอนตอไปอีกหรือใช อุณหภูมิสงู ขึ้นจะเกิดควันมากขึ้น ควันนีเ้ กิดสาร acrolein ซึ่งเปนผลจากการแตกตัวของกลีเซอรอล สวนกลี เซอรอลเกิดจากการแตกตัวของน้ํามัน จากการทดลองพบวาการใช superglycerinated shortening จะทํา ใหจดุ เกิดควันลดลง แสดงวาสาร monoglyceride สามารถแตกตัวไดงา ยกวาสาร triglyceride มีปจ จัย หลายประการที่มีผลตอจุดเกิดควัน ไดแก ก) กรดไขมันอิสระ เมื่อน้ํามันมีกรดไขมันอิสระอยูมาก จะมีจุดเกิดควันต่ํา
39
น้ํามันมะพราวที่มีกรดไขมันอิสระรอยละ 1.9 มีจดุ เกิดควันต่ํามาก น้าํ มันทีใ่ ชแลวจะมีจุดเกิดควันต่ําลง เนื่องจากในขณะทําการทอด น้ําที่มอี ยูใ นอาหารทําใหนา้ํ มันสลายตัวใหกรดไขมันอิสระ และกรดไขมันอิสระ จะมีมากขึน้ ถาใชเวลาทอดนานขึ้น จุดเกิดควันจะต่ําลงเรือ่ ย ๆ ข) ออกซิเจน เมื่อน้ํามันสัมผัสกับอากาศมากขึ้น จะมีผลใหเกิดจุดเกิดควัน ต่าํ ลงดังนั้นจึงไมควรใชภาชนะขนาดใหญในการทอด แตควรเปนภาชนะลึก ปากแคบ ค) เศษอาหาร ถาน้ํามันที่มเี ศษอาหารปะปนอยู เชน แปง เนื้อสัตว ฯลฯ จะทํา ใหอณ ุ หภูมิเกิดควันต่ําลง ดังนั้นเมื่อมีความจําเปนตองใชนา้ํ มันที่ใชแลว ควรกรองเศษอาหารออกเสียกอน ง) การจับตัวเปนโมเลกุลใหญ (polymerization) น้าํ มันที่ผา นความรอนหรือ ทอดที่อณ ุ หภูมิสูงจะมีความหนืดเพิ่มมากขึ้น บางครั้งพบวาเปนยางติดกนภาชนะ การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดการ จับตัวเปนโมเลกุลใหญของน้ํามันชนิดไมอิ่มตัว โดยเฉพาะการทอดที่ใชนา้ํ มันมาก ๆ การทอดที่ไมตอเนื่อง หรือการทอดที่มีอาหารไมมากนัก ปรากฏการณเชนนี้มกั เกิดขึน้ พรอมกับฟองดวย แผนภูมกิ ารเกิด สารประกอบชนิดใหมระหวางการใชไขมันและน้ํามันทอดอาหาร มีดงั นี้ ไขมัน หรือน้าํ มัน ออกซิเจน ความรอน น้ํา สารประกอบที่เกิดจากการสลายตัว สารประกอบที่ระเหยได - ไฮโดรคารบอน - แอลดีไฮดและคีโตน - ฟูเรน (furan) - กรดคารบอกซิลิก
ที่มา : นิธยิ า รัตนาปนนท (2548)
สารประกอบที่ระเหยไมได ซึ่งมีทั้งที่เปนโพลารและไมมีโพลาร - โมโนเมอรทเี่ ปนวงแหวน - โมโนเมอรทไี่ มเปนวงแหวน - ไดเมอรและไตรเมอร - พอลิเมอรหรือสารประกอบที่มี น้าํ หนักโมเลกุลสูงสุด
40
บรรณานุกรม ณรงค นิยมวิทย และอัญชนีย อุทัยพัฒนาชีพ. ม.ป.ป. เอกสารประกอบการสอนวิชาวิทยาศาสตรการ ประกอบอาหาร, ภาควิชาคหกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร บางเขน. 441 น. นิธยิ า รัตนาปนนท. 2548. วิทยาศาสตรการอาหารของไขมันและน้าํ มัน. สํานักพิมพโอเดียนสโตร, กรุงเทพ ฯ. 244 น. ทัศนีย โรจนไพบูลย. 2544. อาหารไทย ใน เอกสารประกอบการสอนชุดวิชา เทคโนโลยีอาหารและ เครื่องดื่ม หนวยที่ 12. มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. โรงพิมพมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, นนทบุรี. น. 257-338. อบเชย วงศทอง และขนิษฐา พูนผลกุล. 2544. หลักการประกอบอาหาร. สํานักพิมพมหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร, กรุงเทพ ฯ. 163 น.
1. การเลือกใชเครื่องมือเครื่องใช
บทที่ 3
อุปกรณเครื่องใชในครัวมีมากมายหลายชนิด การรูจักอุปกรณเครื่องใชและวิธีการใชอยางถูกตอง จะชวยใหการประกอบอาหารมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทั้งเปนการประหยัดเวลาและแรงงาน 1.1 อุปกรณทใี่ ชชงั่ ตวง วัด ถาด (utilily tray) มีทงั้ รูปกลม รูปเหลี่ยม ใชวางอาหารที่กําลังเตรียมและเครื่องใชตาง ๆ ถวยตวงชนิดแกว (liquid measuring cups) ใชตวงของเหลวน้ํา น้าํ มัน น้าํ นม จะมีตัวเลข แสดงมาตราสวนที่จะวัดเปน ¼, 2/3, 1/3, ½, ¾, 1 ถวยตวง และบอกเปนออนซ ถวยตวงของแหง (dry measuring cups) มี 4 ขนาด คือ ¼, 1/3, ½, 1 ถวยตวง ใชตวง แปง น้ําตาล เกลือ ขาว ฯลฯ ชอนตวง (measuring spoons) มี 4 ขนาด คือ ¼, ½, 1 ชอนชา และ 1 ชอนโตะ เครื่องชั่ง (scale) ใชชั่งเครื่องปรุงตาง ๆ เปนกรัม และกิโลกรัม 1.2 อุปกรณทใี่ ชเตรียมอาหาร ชามผสม (mixing bowl) มีหลายขนาด ชุดหนึ่งมี 3 หรือ 4 ขนาด กนชามจะเรียบ ไมมี มุมเหลี่ยม เพือ่ สะดวกในการคลุกเคลาผสมอาหาร เวลาใชเลือกขนาดที่พอเหมาะกับอาหาร วัตถุทใี่ ชอาจทํา จากแกว อลูมเิ นียมหรือสแตนเลส ถาทําจากแกวใสจะมองเห็นอาหารชัดขึ้น ทัพพีโปรง (sloted spoon) มีทั้งชนิดแบนและโคง ใชสําหรับตักอาหารขึ้นจากน้ําหรือน้ํามัน กระชอน (stainer) เปนตาขายลวดดามยาว ใชกรองอาหารใหสะเด็ดน้ํา เชน กรองน้ํากะทิ คีมหยิบอาหาร (tong) รูปรางคลายกรรไกรใชคบี อาหารที่หุงตมสุกแลวออกจากภาชนะ 1.3 เครื่องมือเครื่องใชในการหั่น ตัด สับ และบด มีด (knife) มีดที่ใชในการหัน่ อาหารมีหลายชนิด ไดแก 1. มีดปอก (paring knife) ใบมีดมีความยาว 5-7 นิ้ว เหมาะที่จะใชลอกเปลือก ตัด ผักและผลไมตา ง ๆ 2. มีดหั่น (utility knife) ใบมีดมีความยาว 8-10 นิ้ว เหมาะทีจ่ ะใชหนั่ ผัก เนือ้ สัตวตาง ๆ 3. มีดสับ (French knife) ใบมีดมีความยาว 8-10 นิ้ว ใบมีดกวางกวามีดหั่น และมี น้ําหนักเหมาะที่จะใชสับเนื้อสัตวตาง ๆ
42
4. มีดแล, หั่น (slicing knife) ใบมีดมีความยาว 8-10 นิ้ว ไมกวางมากนัก ถามี หยักฟนปลาจะใชฝานขนมปงใชในลักษณะเลื่อย และใชหนั่ อาหารที่อบจนกรอบ อาหารจะไมแตกรอนเปน ผง ใชเลาะกระดูกจากเนื้อ 5. มีดแล, เลาะเนื้อ (carving knife) ใบมีดคอนขางโคงและหนา มีหยักฟนปลาใช แลเนื้อสัตวออกจากกระดูกได ใชแลเลาะสัตวปกที่ปรุงรอน ๆ ออกจากกระดูก เขียง (cutting board) มีทงั้ ชนิดไมและพลาสติก ใชรองเวลาหั่นอาหาร ทีป่ อก (peeler) ใชปอกเปลือกโดยเฉพาะ ลักษณะคมมีดหันเขาหากันและมีดามถือ ทีไ่ ส (grater) ใชไสผัก ผลไมเปนเสน ๆ มีรขู นาดใหญเล็กตางกัน ทีเ่ ปดกระปอง (can opener) ถามีที่หมุนจะทําใหปากกระปองเรียบไมตองใชแรงมาก คอนทุบ (mallet) เปนคอนมีเหล็กแหลม 2 ดาน มีดาม ใชทุบเนื้อใหนุม 1.3 ภาชนะที่ใชหุงตม วัสดุทใี่ ชทาํ ภาชนะหุงตมมีหลายชนิดดวยกัน ภาชนะหุงตมที่ทาํ จากวัสดุที่ทาํ จากวัสดุตา ง ชนิดกันจะมีคณ ุ สมบัติ การนําความรอนแตกตางกันไป ไดแก ภาชนะหุงตมที่ทาํ จากอลูมิเนียม จะมีนา้ํ หนักเบา นําความรอนไดดเี ปนสามเทาของภาชนะ หุงตมทําจากเหล็ก และสแตนเลส จะเปนเงางามขณะที่ยงั ใหมอยูไมเปนสนิม ไมเหมาะที่จะใสอาหารที่เปน กรดแชทิ้งไวนาน ๆ เพราะกรดจะทําใหอลูมเิ นียมสึกกรอน โลหะที่สึกกรอนอาจปนมากับอาหาร ภาชนะหุงตมที่เคลือบ โครงสรางของภาชนะทําจากเหล็กหรืออลูมิเนียมแลวเคลือบดวยสาร ใหความมันลื่นที่มีสีตาง ๆ เชน สีขาว สีเหลืองนวล และสีนา้ํ เงิน ถาภาชนะหุงตมที่เคลือบบางจะนําความ รอนไดคอนขางดี ถาเปนภาชนะหุงตมที่เคลือบหนาจะรอนชากวาแตจะรอนชากวาแตจะเก็บความรอนได ดีกวา ภาชนะหุงตมเคลือบยังเหมาะสําหรับหุงตมพืชผักที่มยี างเพราะจะไมทําใหพชื ผักมีสคี ล้ํา ภาชนะหุงตมที่ทาํ จากสแตนเลส สแตนเลสเปนโลหะที่ผสมระหวางเหล็ก โครเมี่ยม นิเกิลและแมงกานีส โดยทั่วไปภาชนะหุงตมที่ทําจากสแตนเลสจะนําความรอนไดไมดีเทากับภาชนะหุงตมที่ ทําจากอลูมิเนียม จึงมีการฉาบโลหะทองแดงที่กน ภาชนะเพื่อใหนาํ ความรอน และกระจายความรอนไดดี ภาชนะชนิดนีใ้ ชหงุ ตมอาหารไดทุกชนิดรวมทั้งพืชที่มียางจะไมทําใหพชื ผักมีสีคล้ํา เชนเดียวกับภาชนะ เคลือบ ภาชนะหุงตมที่ทาํ จากเทฟลอน คือภาชนะที่เปนอลูมเิ นียมหรือเหล็กหลอ ผิวดานนอกจะ เคลือบดวยสารที่ใหความมันลื่นสีตาง ๆ อาจมีลวดลาย ผิวดานที่สัมผัสกับอาหารเคลือบดวย สารฟลูโรคารบอนเรซิน (fluocarbon resins) จะปองกันไมใหอาหารติดภาชนะ สวนใหญสารเคลือบจะเปน สีดํามีลกั ษณะดานน้ําความรอนไดชา เมื่อนําภาชนะเทฟลอนตั้งไฟความรอนจากโลหะคอย ๆ ผานขึ้นมาทาง
43
สารฟลูโรคารบอนเรซิน อาหารจะคอย ๆ สุกจึงเหมาะทีจ่ ะใชทอดอาหารเนื้อสัตว เวลาใชภาชนะเทฟลอนหุง ตมอาหาร ไมควรใชไฟแรงเพราะจะทําใหสารฟลูโรคารบอนเรซินเสื่อมคุณภาพไดงา ย ภาชนะหุงตมที่ทาํ จากแกว แกวทนไฟมี 3 ชนิด ไดแก ไพแรค (purex) คอรดาไลท (cordalite) และไพโรแฟลม (pyroflam) ปกติแลวภาชนะประเภทนี้จะเปนชามใสอาหารเขาเตาอบ ถาเปน ชามใสอาหารตั้งไฟไดโดยตรงจะตองเปนแกวทนไฟ ไฟโรแฟลม ภาชนะทําจากแกวจะนําความรอนไดไมดี รอนชาแตเมื่อรอนจะเก็บความรอนไวไดนาน ภาชนะแกวจะแตกเมื่อทําตกหลนหรือมีการเปลี่ยนแปลง อุณหภูมิฉบั พลัน ภาชนะหุงตมทําจากเหล็ก ไดแก กระทะตาง ๆ ภาชนะทําจากเหล็กเมื่อไดรับความรอนจะ คอย ๆ รอน และเก็บความรอนไวไดนาน เหมาะสําหรับทอดเนื้อสัตว ตม เคี่ยวอาหารเพราะใชไฟออน อาหารก็เดือด แตมีขอเสียคือคอนขางหนัก หมอดามยาว (sauce pan) เปนหมอที่มีดา ม มีฝาปด ใชหุงตมอาหารทีม่ ีน้ํา หมอหู (sauce pot) หมอมีหู 2 ขาง มีฝาปด ใชหุงตมอาหารที่มีน้ํา กระทะมีฝาปด (heavy skillet) เปนกระทะเหล็กกนลึกไมเกิน 3 นิ้ว มีดาม มีฝาปด บาง ชนิดอาจมีหหู วิ้ ชนิดมีหูตวั กระทะคอนขางลึก ลึกประมาณ 5-6 นิ้ว เหมาะสําหรับทอด ตุน อาหารจําพวก เนื้อสัตว กระทะ 2 หู (fry pan) อาจทําจากอลูมเิ นียมหรือสแตนเลส ใชทอดผัดอาหาร กระทะแบน (girddle pan) ใชทอดอาหารที่ตองการใหเปนแผนบาง เชน แพนเคก ขนม โตเกียว หรือเนื้อสําหรับทําแฮมเบอรเกอร หมออัดความดัน (pressure cooker) เปนหมอที่ปองกันไมใหไอน้าํ จากการหุงตมในหมอ ออกขางนอก ทําใหขางในมีความดันของไอน้ําเพิ่มขึ้น อุณหภูมิก็สงู ขึ้น ทําใหอาหารสุกเร็วหรือเปอยเร็ว ความดันมีหลายระดับ เชน 5 ปอนด และ 15 ปอนดจากการเปลี่ยนลูกตุมที่บังคับความดันของไอน้ํา 2. คุณสมบัตแิ ละหนาที่ของวัตถุดิบตาง ๆ ในการประกอบอาหารไทยประเภทผัดและทอด 2.1 น้ํา ในธรรมชาติจะพบน้ําไดทกุ หนทุกแหง ทัง้ ในสิ่งมีชีวิตและสิ่งที่ไมมีชีวิต เมื่อนําเอา วัตถุดิบธรรมชาติมาประกอบอาหาร น้าํ จึงมีอยูในอาหารประกอบดวย การที่มีน้ําอยูในอาหารประกอบจึง ไมใชเปนสิ่งเจือปนที่ตดิ มากับวัตถุดิบแตเปนความตองการของผูประกอบอาหาร เปนความจําเปนที่ผู ประกอบอาหารตองควบคุมปริมาณใหเหมาะสม ทําใหบางครั้งจําเปนตองมีการกําจัดน้ําสวนหนึ่งออกไป หรือตองมีการเติมน้ําในขณะประกอบอาหารเรียกวา “น้าํ สําหรับประกอบอาหาร” ไมวาน้ําจะมาจากวัตถุดิบ หรือน้ําที่เติมลงไปในขณะประกอบอาหารจะมีบทบาทเหมือนกันทุกประการ
44
น้ําในอาหารมีอยู 4 สภาวะ คือน้ําเกาะตาย (nonfreezable water) น้าํ เกาะติด (bound water) น้ําเกาะตาม (immobilized water) และน้ําอิสระ (free water) การเรียกชือ่ น้ําเหลานี้มีความสับสนอยู พอสมควร เนือ่ งจากไมสามารถแบงน้ําตามสภาวะเหลานี้ไดอยางเด็ดขาด น้ําเกาะตาย เปนสวนหนึ่งของโมเลกุลอาหารโดยเกาะติดกับอาหารดวยพันธะทีแ่ ข็งแรงมาก อาจ เปนพันธะโควาเลนตหรือพันธะอื่น ๆ ก็ได เปนน้ําที่มคี วามจําเปนมากสําหรับการคงรูปโมเลกุลของ แตกไ็ มมใี ครสามารถกลาวไดอยางแนชัดวาน้ําชนิดนี้อยูอยางไรในอาหาร องคประกอบอาหารบางชนิด เนื่องจากการวัดปริมาณใชวธิ ีการที่แตกตางกันมาก เชน Differential Thermal Analysis (DTA), Nucclear Magnetic Resonance (NMR) เปนตน อยางไรก็ตามเมื่อกลาวถึงน้ําชนิดนีจ้ ะหมายถึงน้ําที่ไมแข็งตัวถึงแม จะใชอณ ุ หภูมติ ่ําเพียงใดก็ตาม เปนน้ําที่มีคุณสมบัติเปนตัวทําละลาย ไมมีสว นในปฏิกิรยิ าเคมีและจุลนิ ทรีย ไมสมารถนําไปใชดาํ รงชีวิตได ปริมาณน้าํ สวนนี้ขนึ้ อยูก บั องคประกอบและสภาวะของอาหาร อยางไรก็ตาม ปริมาณที่พบอยูในเกณฑรอยละ 5-10 ของปริมาณน้ําในอาหาร น้ําเกาะติด เปนสวนที่เกาะอยูที่ผิวของโมเลกุลที่เปนองคประกอบของอาหาร โดยเฉพาะ คารโบไฮเดรต และโปรตีน น้ําเกาะติดสวนนี้มีคณ ุ สมบัติคลาย ๆ กับน้ําเกาะตาย คือไมมีคุณสมบัติเปนตัวทํา ละลาย ไมมีสว นในปฏิกิรยิ าเคมี และจุลินทรียยงั ไมสามารถนําไปใชประโยชนได แตเปนน้ําที่แข็งตัวและ สามารถกําจัดออกไปไดดว ยความรอน เพียงแตตองใชพลังงานมากกวาปกติ น้าํ เกาะติดยังไมสามารถใหคา ความดันไอ น้ําเกาะตาม เปนน้ําที่เกาะทับอยูบนผิวของน้ําเกาะติด มีอยูหลายชัน้ โมเลกุล โดยมีแรงเกาะลด นอยลงตามลําดับ จํานวนชั้นที่อยูกับแรงเกาะที่เกิดขึ้นระหวางองคประกอบของอาหารกับน้ําชั้นแรกหรือ นักวิทยาศาสตรบางทานไดรวบรวมน้ําสวนนี้ไวกบั น้าํ เกาะติดแต ขึ้นอยูกับแรงเกาะของน้ําเกาะติดนัน้ เอง เรียกชื่อตางกันออกไป น้ําเกาะตามมีคณ ุ สมบัติเปนตัวทําละลายไดบา ง จึงเกี่ยวของกับปฏิกิรยิ าเคมีไดบา งแลว จุลนิ ทรียส ามารถนําไปใชประโยชนได และสามารถใหความดันไอได น้าํ สวนนีจ้ ะมีมากในอาหารที่มี องคประกอบของแปง เพ็คติน เพ็นโตซาน และโปรตีน การเปลี่ยนแปลงของอาหารที่ทาํ ใหนา้ํ สวนนี้ เปลี่ยนแปลงไปจะมีผลตอลักษณะเนื้อของอาหารมาก การสุกของผลไมทําใหโมเลกุลแปงแตกตัว มีขนาดเล็ก ลง น้ําชนิดนี้เกาะไดนอยลง น้ําอิสระจึงมีมากขึ้น ทําใหผลไมมคี วามฉ่ํา (juicy) มากขึ้น การทําใหเนื้อสัตว สุกมีผลใหโปรตีนหันมาเกาะตัวกันมากขึน้ โมเลกุลน้ําที่เคยเกาะอยูถกู กันออกไป ทําใหเนื้อสัตวแข็งกระดาง มากขึ้น
45
น้ําอิสระเปนน้าํ ที่แทรกตัวอยูใ นชองวางของอาหาร อาจมีการเกาะตัวกับองคประกอบของอาหาร บาง แตแรงเกาะตัวไมแข็งแรงมากนัก มีคุณสมบัติเหมือนน้ําปกติ สามารถเปนตัวทําละลายได มีสว น เกี่ยวของกับปฏิกิรยิ าเคมีและจุลินทรียส ามารถนําไปใชในการดํารงชีวติ ได อยางไรก็ตามน้ําสวนนี้บางสวน ยังคงมีคุณสมบัติไมเหมือนกับน้ําอิสระในธรรมชาติอยางแทจริง จึงมักเรียกน้ําอิสระวา “น้าํ ออง” (active water) ซึ่งหมายถึงน้ําที่ยงั คงรักษาคุณสมบัติของน้ําอิสระไวได ในอาหารจะมีองคประกอบที่ละลายหรือเกิด คอลลอยกับน้ําไดอยูมากมาย องคประกอบเหลานี้จะมีพนั ธะกับน้ําและอยูในสถานะน้ําเกาะตาย น้าํ เกาะติด และน้ําเกาะตาม สวนที่เหลือเปนน้ําอิสระ ปริมาณน้าํ เกาะติดและน้ําเกาะตามจะเปลี่ยนแปลงไดมาก ถา องคประกอบของอาหารหรืออุณหภูมเิ ปลี่ยนแปลงไป นัน่ ก็คอื มีผลตอน้ําอิสระโดยทางออม ทําใหมีปริมาณ ไมคงที่ อาหารตางชนิดกัน มีความชื้นเทากันจึงไมจําเปนตองมีนา้ํ อิสระในอาหารจึงมีความจําเปนมากที่จะ คาดเดาไดวาอาหารจะเสียดวยจุลินทรียห รือไม อยางไรก็ตามการวัดปริมาณน้ําอิสระโดยตรงทําไดยาก แตน้ํา อิสระมีความสัมพันธกับความดันไอเปนตัววัดความเปนอิสระของน้ําได เมื่อความเปนอิสระของน้ํา หรือ ความอองน้ํา (water activity, aw) มีคาเทากับอัตราสวนของน้ําที่เปนอิสระตอน้ําที่มีอยูทงั้ หมดในอาหาร คา aw จึงเทากับอัตราสวนของความดันไอของอาหารตอความดันไอของน้าํ บริสุทธิ์ดวย บทบาทของน้าํ ในการประกอบอาหารมี 2.1.1 การทําหนาที่เปนสื่อความรอน น้าํ ในอาหารเปนสื่อความรอนที่ดี นําความรอนจาก แหลงความรอนไปสูองคประกอบอื่น ๆ ของอาหารซึ่งกระทําไดทั้งการนําและการพา การนําความรอนจะเกิด ขึ้นกับอาหารที่มีลักษณะขนหนืดหรือคอลลอย สวนการพาจะเกิดขึ้นกับอาหารที่มีลักษณะเปนสารละลาย เมื่ออาหารไดรับความรอนสวนที่เปนน้ําจะเก็บความรอนไวไดมากกวาองคประกอบอื่น ๆ ของอาหาร น้าํ ที่ อยูในสภาพเชนนี้จะคอย ๆ ถายเทความรอนใหกบั องคประกอบอื่น ๆ ของอาหาร ทําใหองคประกอบอื่น ๆ ไดรับความรอนมากขึ้น จึงมีการเปลี่ยนแปลงจนถึงจุดที่ตองการอยางรวดเร็ว การใชนา้ํ เปนสื่อความรอนอาจ ทําไดอกี รูปแบบหนึ่ง คือการพาความรอนจากแหลงความรอนไปสูอ าหาร โดยสื่อที่ใชอาจเปนน้าํ รอน หรือ ไอน้ํา การใชความรอนมักจะทําในรูปของการตมหรือการลวก สวนการใชไอน้าํ จะอยูใ นรูปของการนึ่ง อยางไรก็ตามการประกอบอาหารบางครั้งก็ใชทั้งการตมและการนึ่งไปพรอม ๆ กัน เชน การผัดผัก เปนตน การที่น้ําเปนสือ่ ความรอนทีด่ เี กิดจากมีความรอนจําเพาะและความรอนแฝงสูง น้าํ จึงเปรียบเสมือนผูเก็บความ รอนแลวไปถายใหกบั อาหาร การเปนสื่อความรอนของน้าํ จะมีประสิทธิภาพมากขึน้ ถาการประกอบอาหารนั้น กระทําภายใตความดัน เชน การใชหมอความดัน เปนตน การประกอบอาหารแบบนี้จะตองใชหมอที่ทาํ ดวย โลหะที่แข็งแรง มีฝาปดสนิท และสามารถทนตอแรงอัดสูงไดเปนอยางดี เมื่อใสนา้ํ ลงในหมอความดันไอ
46
เล็กนอยพรอมอาหาร แลวปดฝาใหสนิทและใหความรอน น้าํ สวนหนึง่ กลายเปนไอ แตหนีออกไปไมได ทํา ใหความดันไอภายในหมอสูงขึ้น และจะสูงขึ้นตามลําดับตราบเทาทีย่ งั ใหความรอนตอไป ทําใหนา้ํ และ อาหารภายในหมอความดันมีอณ ุ หภูมิสงู ขึ้น ผลที่ตามมาคืออาหารจะเปอยเร็วขึ้นโดยเฉพาะพวกเนื้อสัตว 2.1.2 การทําหนาที่เปนตัวทํากระจาย น้าํ เปนตัวทํากระจายทีด่ ี เนือ่ งจากมีคุณสมบัตปิ องกัน การดึงดูดระหวางประจุไฟฟาไดเปนอยางดี น้าํ จะเกาะติดอยูกบั โมเลกุลของอาหารที่มีประจุเปนชนวนปองกัน ไมใหประจุตรงกันขามเขามาเกาะ ความหนาของชนวนขึ้นอยูกับความหนาแนนของประจุ ถาอนุมูล 2 ชนิด มีประจุเทากัน อนุมูลที่มีขนาดเล็กกวาจะมีความหนาแนนของประจุมากกวา อนุมูลขนาดเล็กจึงมีนา้ํ เขามา เกาะมากกวา การเปนชนวนของสารประกอบโควาเลนซและสารประกอบไอโอนิกแตกตางกันมาก สารประกอบโควาเลนซ เชน น้ําตาล แอลกอฮอล อัลดีไฮด คีโตน กรดอินทรีย โปรตีน เกลือของกรด ไขมัน คารโบไฮเดรต ฯลฯ จะมีนา้ํ มาเกาะบนโมเลกุลสวนที่มปี ระจุบวกและประจุลบ ทําใหโมเลกุลที่เคยจับ ตัวกันเองตองแยกออกจากกัน และกระจายออกไปในน้าํ สวนน้ําที่เหลือจะทําหนาที่ปอ งกันมิใหโมเลกุลเขา ใกลกันไดอีก สําหรับสารประกอบโควาเลนซกลุมที่เรียกวา “amphipathic” (สารประกอบที่สว นหนึ่งของ โมเลกุลมีประจุ) เชนไขมัน และสารฟอสโฟกลีเซอไรด (เลซิติน เซฟาติน ฯลฯ) โมเลกุลจะอยูร วมกันเปน กลุม โดยสวนที่มีประจุจะอยูที่ผิวและจับตัวกับน้าํ สวนที่ไมมปี ระจุจะซอนตัวอยูภายในกลุม กลุมที่รวมตัว และกระจายอยูในน้ําเรียกวาไมเซล สวนสารประกอบไอโอนิก เชน เกลือแกง โมเลกุลน้ําสวนหนึ่งจะจับตัว กับอนุมลู โซเดียมและอีกสวนหนึ่งจะจับตัวกับอนุมลู คลอไรด แตแรงจับตัวกันระหวางน้ํากับอนุมลู โซเดียม นั้นมีมากกวาแรงจับตัวกันระหวางอนุมลู โซเดียมกับอนุมลู คลอไรด โมเลกุลของเกลือแกงจึงแตกออก น้ํา สวนที่เหลือจะทําหนาทีเ่ ปนชนวน ปองกันไมใหอนุมลู ทั้งสองเขาใกลกันไดอีก 2.1.3 การทําหนาที่เปนตัวกลางใหสารเคมีตา ง ๆ ทําปฏิกิริยากัน การทําหนาที่เชนนี้ไดเปนผล ตอเนื่องจากการละลายของสารเคมีตาง ๆ ในน้ํา การละลายทําใหสารเคมีตาง ๆ เขามาใกลชดิ กัน และทํา ปฏิกิรยิ ากัน เชน ทําใหกรดอมิโนทําปฏิกิรยิ ากับน้ําตาลรีดิวซึ่ง ใหสารประกอบสีนา้ํ ตาล ทําใหโซเดียม คารบอนเนตทําปฏิกิรยิ ากับกรด ใหแกสคารบอนไดออกไซดกับน้ํา เปนตน การทําหนาที่เปนตัวกลางของน้ํา อาจพบไดอกี รูปแบบหนึ่งคือการเขาไปมีสวนในปฏิกิรยิ าเคมีทําใหโมเลกุลของสารบางชนิด เชน โปรตีน คารโบไฮเดรต ไขมัน ฯลฯ แตกตัวดวยน้าํ ใหสารที่มโี มเลกุลขนาดเล็ก โดยสารที่ไดเหลานัน้ สามารถรวมตัว กันเปนโมเลกุลใหญไดอกี โดยคายน้ําออกมา โปรตีนจะแตกตัวใหสารเปบไตด และกรดอมิโนในที่สุด คารโบไฮเดรตจะแตกตัวใหสารโอลิโกแซคคาไรดและน้าํ ตาลชั้นเดียวในที่สุด ไขมันแตกตัวใหกรดไขมัน และกลีเซอรีน อยางไรก็ตามการที่โมเลกุลขนาดเล็กเหลานี้จะแตกตัวหรือรวมตัวกันเปนโมเลกุลใหญได จะตองเกิดขึ้นในสภาพแวดลอมที่เหมาะสม เชน ในสภาวะทีม่ เี อ็นไซมอยูดวย หรือในสภาวะที่มีกรด-ดาง และอุณหภูมเิ หมาะสม
47
2.1.4 การทําหนาที่ใหอาหารมีคณ ุ สมบัตเิ ปนกรดหรือดาง โมเลกุลน้ําแตกตัวไดบา งเล็กนอยจึง สามารถใหอนุมูลไฮโดรเจน (H+) ได ในขณะเดียวกันโมเลกุลน้ําก็สามารถรับอนุมูลไฮโดรเจนได ทําใหกรด หรือเบสแตกตัวใหอนุมูลกรดหรืออนุมลู ดางในอาหาร คุณสมบัติเชนนี้มคี วามสําคัญมากในการถนอมอาหาร 2.1.5 การทําหนาที่เคลื่อนยายองคประกอบอาหาร การประกอบอาหารหลายชนิดมี กระบวนการลดความชื้นโดยนําอาหารมาอบหรือตากแหง ระหวางการทําใหแหงจะมีการเคลื่อนที่ของน้ําจาก อาหารสวนทีอ่ ยูลึกเขาไปออกมาสูผิว การเคลื่อนที่ของน้ําจะพาเอาสิ่งที่ละลายอยูออกมาดวย เมื่อน้ําออกมาสู ผิวอาหารและระเหยออกไป สารที่ออกมาดวยจะสะสมอยูที่ผิวของอาหาร และเกิดการเปลี่ยนแปลงมากเมื่อ ไดรับทั้งความรอนและออกซิเจน อยางไรก็ตามอาหารบางชนิดจะถือวามีคณ ุ ภาพดีขนึ้ โดยเฉพาะผลไมแชอิ่ม แหง 2.1.6 การทําหนาที่ปองกันไมใหอาหารเสีย เมื่ออาหารมีความชื้นประมาณรอยละ 50 ความ ชื้นสัมพัธนสมดุลหรือคา aw ของอาหารจะมีคา ใกลเคียงกับ 1.0 อาหารพวกนี้จะเสียงาย ถาตองการจะถนอม ตองเก็บอาหารพวกนีไ้ วในหองเย็น หรือจะตองทําลายจุลินทรียห รือเอ็นไซมใหหมดไปดวยความรอน อยางไรก็ตามการถนอมอาหารทําไดอีกแบบหนึ่งคือการลดความชื้นใหต่ําลง หรือลดคา aw ซึง่ อาจทําไดโดย การลดความชืน้ โดยการระเหยน้ําโดยตรง การแชแข็ง การใสเกลือหรือการใสนา้ํ ตาล ลวนเปนการลด ความชื้นทั้งสิน้ แตไมสามารถทําลายเอ็นไซมได การเปลี่ยนแปลงและการทําใหอาหารเสียยังคงดําเนินตอไป ถึงแมจะเปนอัตราความเร็วคอนขางต่ํา ตามทฤษฏีเมื่อลดคา aw จาก 1.0-0.9 มาเปน 0.80-0.75 ความเขมขน ของตัวกระจายจะเพิ่มขึ้นจาก 0-6.17 โมแลล ตามลําดับ ฉะนั้นเมื่อตองการถนอมอาหารจึงมีความจําเปนตอง ลดความชื้นใหต่ําลง ใหมีความชื้นต่ํากวารอยละ 50 2.1.7 การทําหนาที่ควบคุมลักษณะเนื้อของอาหาร น้าํ มีบทบาทตอลักษณะเนื้อของอาหารมาก ทั้งอาหารสดและอาหารประกอบ ในผักหรือผลไมสดน้ําจะทําหนาที่ใหเซลเตงตึง เมื่อรับประทานจะรูสึก กรอบ ถาเซลหดตัวหรือมีความเตงตึงนอยลง เนื้อจะนิม่ ปจจัยสําคัญที่ทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลงความเตงตึง ของเซลคือแรงดันออสโมซิส ทั้งนี้เนื่องจากผนังเซลของพืชมีคณ ุ สมบัติเปนเนื้อเยือ่ กึ่งซึมผานได สามารถให น้ําและสารที่มโี มเลกุลขนาดเล็กผานเขาออกได โดยซึมจากสารละลายที่มคี วามเขมขนต่ําไปหาความเขมขน สูงกวา เนือ่ งจากชองวางภายในเซลมีสารบรรจุอยูเต็ม เปนสารที่มคี วามเขมขนสูง ฉะนัน้ เมื่อใดก็ตาม สารละลายที่อยูในชองวางระหวางเซลมีความเขมขนต่ํากวา น้ําจะถูกดูดเขาไปในเซล ทําใหเซลเตงตึง ความ เตงตึงของเซลจะมากนอยเพียงใดนั้นขึ้นอยูกับความยืดหยุนของผนังเซล พืชที่มีผนังเซลยืดหยุน ไดดเี ซลจะ
48
ขยายตัวไดมากในขณะเดียวกันเซลพวกนีจ้ ะหดตัวและเหี่ยวเฉาจนเห็นไดชัด ทําใหผกั มีลกั ษณะเนื้อเหนียว มากขึ้นและมีความหยุนตัวนอยลง การนําผักมาตมจะทําใหโปรตีนจับตัวกันเปนกอนแข็ง น้าํ ที่อยูในชองวาง ภายในเซลจะไหลออกมาสูชองวางระหวางเซล ทําใหผกั หรือผลไมมเี นื้อเละ และไมนา รับประทาน อยางไร ก็ตามถาผักหรือผลไมมีแปงอยูภายในเซลมากพอ เม็ดแปงจะพองตัวและดูดน้ําทั้งหมดไว ซึง่ มีผลใหผกั หรือ ผลไมมเี นื้อแข็งมากขึ้น แตไมกรอบ ในเนื้อปลามีนา้ํ อยู 3 สภาวะเหมือนกับน้ําในอาหารอื่น ๆ โดยน้ําเกาะติดและน้ําอิสระจะมี บทบาทมากตอลักษณะเนื้อของปลาสดและผลิตภัณฑจากเนื้อปลา โดยปกติเนื้อปลาจะมีความชืน้ ระหวางรอย ละ 75-80 สวนใหญเปนน้ําเกาะติดกับโปรตีน โดยจะมีปริมาณสูงสุดในฤดูวางไขหรือปลามีอาหารไม เพียงพอ ในสภาวะเชนนีเ้ นื้อปลาจะมีปริมาณนิอิสระมากขึ้น โดยรวมกันอยูในชองวางระหวางเซลกลามเนื้อ เนื้อปลาสดมีน้ําเกาะติดมาก จะมีลักษณะแข็งและปริมาณน้ําเกาะติดจะไมเปลี่ยนแปลงมากนักเมื่อนําเนื้อปลา ไปทําใหสุกหรือนําไปแชแข็ง เมื่อนํามาละลายน้ําแข็งก็จะเกิดน้ําเดียงนอยมาก เนื่องจากน้ําเกาะติดกับโปรตีน ดวยพันธะทีแ่ ข็งแรงมาก เมือ่ นําไปผลิตไสกรอก ปลาแผน ลูกชิ้น ฯลฯ จะใหผลิตภัณฑทเี่ หนี่ยวนุม และหยุน ถาความสดของปลาหรือเนื้อปลาสดลดลงจะทําใหโปรตีนของปลาเกิดการเปลี่ยนแปลง แรงเกาะติดกับน้ําจะ นอยลง น้ําเกาะติดจะเปลี่ยนเปนน้ําอิสระ และไปสะสมอยูในชองวางระหวางเสนใยกลามเนื้อมากขึ้น ทําให เนื้อปลามีความแข็งนอยลง การเปลี่ยนแปลงเชนนี้จะมีมากขึ้นเมื่อปลามีความชื้นสูงอยูแลว เมื่อนําปลาหรือ เนื้อปลาไปทําใหสุกหรือแชแข็งจะทําใหสญ ู เสียน้ํามาก เนื้อปลาจะมีลักษณะแหยะน้ําและยุย สําหรับ ผลิตภัณฑจาํ พวกไสกรอก ปลาแผน และลูกชิ้นปลาจะมีความหยุนนอยลง สําหรับเนื้อสัตวชนิดอืน่ ๆ น้าํ ก็มบี ทบาทตอลักษณะเนื้อมาก เนื้อสัตวทไี่ ดจากสัตวที่ถกู ฆา ใหม ๆ จะมีคุณสมบัติอมุ น้ําไดดี มีนา้ํ เกาะติดสูงมาก เมื่อนําไปประกอบอาหารหรือทําผลิตภัณฑกจ็ ะได อาหารที่มีเนื้อเหนียวนุม แตถาเนื้อนั้นถูกเก็บไวนานไกลโคเจนจะเปลี่ยนเปนกรดแลคติก และสะสมอยูมาก ทําให pH ของเนื้อสัตวตา่ํ ลง ประจุบนโมเลกุลโปรตีนของเนือ้ สัตวจะเปลี่ยนไป การเกิดพันธะกับน้ําจะ นอยลง ทําใหมีน้ําอิสระมากขึ้นในขณะเดียวกันโมเลกุลโปรตีนก็จะหันมาจับตัวกันมากขึ้น ทําใหเนื้อสัตวมี ลักษณะแข็ง และเหนียวมาก เมื่อนําไปประกอบอาหารก็จะมีการสูญเสียน้ํามาก เมื่อการเปลี่ยนแปลงของ เนื้อสัตวมีมากขึ้น โมเลกุลโปรตีนสวนหนึ่งจะถูกยอยใหมขี นาดเล็กลง โดยน้ําจะเขาไปมีสว นอยูดวย การ เปลี่ยนแปลงเชนนี้ ทําใหเนื้อสัตวกลับดูดน้ําเขาไปใหม และทําใหมเี นื้อนุมขึน้ เหมาะสําหรับการประกอบ อาหาร สําหรับปริมาณน้ําที่ใชประกอบอาหารก็มบี ทบาทมากตอลักษณะเนื้อ เมื่อใสนา้ํ ลงในอาหาร ขณะทําการประกอบน้ําบางสวนจะถูกโปรตีนดูดติดไวกบั โมเลกุล อีกสวนหนึ่งถูกคารโบไฮเดรตเกาะติดไว
49
และน้ําอีกสวนหนึ่งเกาะติดกับน้ํามันถาน้าํ ที่ใชนนั้ มากเกินพอจะมีสวนหนึ่งเปนน้ําอิสระ การที่สารจะดูดน้ํา เขาไปมากนอยเพียงใดนั้นขึน้ อยูกับคุณสมบัติและปริมาณขององคประกอบ มีผูศึกษาการดูดน้ําของสวนผสม ตาง ๆ ของขนมปงปอนด พบวาโปรตีนดูดน้ํารอยละ 31.2 แปงดูดน้ํารอยละ 45.5 และเพ็นโตซานดูดน้ํารอยละ 23.4 อยางไรก็ตามปริมาณน้ําที่สวนผสมดูดเขาไปเพื่อใหเกิดกอนแปงนั้นขึ้นอยูก บั ปริมาณโปรตีนและจํานวน เม็ดแปงทีแ่ ตกตัวสามารถดูดน้ําได 2 เทาของเม็ดแปงปกติ การใชนา้ํ นอยเกินไปจะเกิดกอนที่แข็งหรือไมจับ ตัวกันเปนกอน เมื่อใชนา้ํ มากขึน้ กอนแปงจะนุมและยืดออกไดมากขึ้น แตถา ใชนา้ํ มากเกินไปจะใหสาร แขวนลอย การใสน้ําใหมีปริมาณที่พอดีจะใหขนมปงปอนดที่มีคุณภาพดี ซึ่งสามารถตรวจสอบไดจากการวัด ลักษณะเนื้อของกอนแปงที่เกิดขึ้น ผลิตภัณฑทเี่ ปนเจล เชน แยม เจลลี่ หมูตงั้ วุน ไสกรอกเวียนนา สังขยา ขนมหมอแกง ฯลฯ น้ํามีบทบาทมากในการทําใหแปง โปรตีน หรือไขมันเกิดคอลลอย เม็ดแปงจะดูดน้ําจนกระทั่งโมเลกุลอ มัยโลสและอมัยโลเพคตินหลุดออกมา โมเลกุลแปงเหลานั้นจะจับตัวกับน้าํ ทําใหเกิดน้ําเกาะติดมากมาย สวนผสมจึงมีความเขมขนมากขึ้นเมื่อไดรบั ความรอน ถาความเขมขนของแปงไมสูงมากนักจะใหโซล แตถา ความเขมขนสูงมากจะเกิดเจลเมื่อปลอยใหเย็น โดยที่โมเลกุลอมัยโลสบางสวนจะจับตัวกันดวยพันธะ ไฮโดรเจน โดยที่โมเลกุลอมัยโลสบางสวนจะจับตัวกันดวยพันธะไฮโดรเจน เกิดเปนตาขายในสามทิศทาง และอุมน้ําอิสระไว เรียกวา “เกิดเจล” มีลักษณะหนืดและหยุน ปริมาณน้ําจะเปนตัวกําหนดความนุมของเจล ถามีปริมาณน้าํ มากเจลจะนุม สําหรับโปรตีนจะแตกตัวเปนโมเลกุลเดีย่ ว ๆ โดยมีนา้ํ จับตัวอยูรอบ ๆ ทําให โมเลกุลโปรตีนมีขนาดใหญขึ้นและทําใหนา้ํ อิสระเหลืออยูนอ ยเชนเดียวกัน สารประกอบโปรตีนจึงทําใหเกิด คอลลอย และเกิดเจลไดเหมือนกับแปง ผลที่ไดคอื ทําใหอาหารมีความหนืดเพิ่มขึ้น เมื่อปลอยใหอาหารเย็น ตัวจะใหเจล สวนน้ํามันจะรวมตัวกับน้ําไดเมื่อมีสารชวยกระจายไขมันรวมอยูด วย อยางไรก็ตามการวมตัวกัน ระหวางน้ํากับน้ํามันจะตองมีวิธกี ารทําใหนา้ํ มันแตกตัวออกเปนหนวยเล็ก ๆ คอลลอยที่เกิดขึน้ ทําใหทงั้ น้ํา และน้ํามันทีเ่ คยเปนของเหลวมีความหนืดมากขึ้นหรืออยูในสภาพกึ่งเหลว สําหรับอาหารที่มคี วามชื้นต่าํ หรือมีความชืน้ ปานกลาง ปริมาณน้ําจะเปนตัวกําหนดความแข็ง โดยอาหารจะมีความแข็งมากเมื่อมีความชืน้ ต่ํา ในอดีตเคยใชวิธีการลดความชื้นของอาหารใหต่ําลงจนกระทัง่ จุลินทรียไ มสามารถเจริญเติบโตได ทําใหอาหารมีเนื้อแข็งมาก ไมนา รับประทาน ในปจจุบนั มีอาหารหลาย ชนิดใชความชืน้ สูงขึ้น หรือใชความชื้นต่าํ แตใสสารบางชนิดแทนน้ํา ทําใหมีเนือ้ นุมขึ้น อาหารเหลานี้ เรียกวา “อาหารความชื้นปานกลาง” (intermediate moisture foods) 2.2 โปรตีน โปรตีนเปนองคประกอบที่สําคัญของเซล จึงพบไดทั่วไปในสิง่ มีชีวิตทั้งพืชและสัตว
50
ซึง่ จะมีทั้งการสรางและการสลายตัว โปรตีนบางชนิดทําหนาที่เปนเอ็นไซม บางชนิดทําหนาที่เปนภูมิคุมกัน บางชนิดทําหนาที่ควบคุมเมตาโบลิซึม และบางชนิดทําหนาที่ใหกลามเนื้อหดตัว ซึง่ จะมีผลทําใหเคลื่อนไหว ได อาจกลาวไดวาโปรตีนมีสวนเกีย่ วของกับการทํางานของรางกายทั้งสิ้น พืชสามารถสรางโปรตีนไดโดยใช สารอนินทรียใ นธรรมชาติ คือไนโตรเจน น้ํา และคารบอนไดออกไซด มนุษยและสัตวกส็ ามารถสราง โปรตีนได แตตองใชวัตถุดบิ ที่เปนพืชหรือสัตว ซึ่งมีโปรตีนอยูแลว เนื่องจากโปรตีนมีความสําคัญมาก มนุษยจึงมีการปลูกพืชและเลีย้ งสัตวไวเปนอาหาร โปรตีนจากแหลงตาง ๆ มีคุณภาพไมเหมือนกัน เกิดจาก กรดอมิโนในโมเลกุลโปรตีนมีสัดสวนตางกัน แตโดยทั่วไปโปรตีนจากสัตวจะมีคุณภาพสูงกวาโปรตีนจาก พืช โปรตีนนอกจากจะมีบทบาททางโภชนาการแลวยังมีบทบาทในการประกอบอาหารดวย โดยทําใหอาหาร มีสี กลิ่น รส และลักษณะเนื้อแตกตางกันไป ซึ่งจะมีผลตอการยอมรับของผูบริโภค การประกอบอาหารมี ผลใหคุณภาพโปรตีนเปลี่ยนแปลงไป โมเลกุลโปรตีนอาจแตกหรือรวมตัวกับสารประกอบอื่น ๆ ทําให คุณภาพอาหารเปลี่ยนแปลงไป บทบาทของโปรตีนในอาหาร โปรตีนมีหนาที่สําคัญมากในอาหาร ซึ่งแบงออกไดเปน 2 สวน คือหนาที่เปนสารอาหารและหนาที่ เปนสารปรุงแตง หนาทีป่ ระการที่สองเกี่ยวของกับอาหารโดยตรง เปนหนาที่ที่ตองอาศัยคุณสมบัติของ โปรตีนที่เรียกกันวา “คุณสมบัติการใชงาน” (functional properties) หนาที่สวนนี้แบงออกเปน 5 ประการ คือหนาที่ใหคุณภาพทางการรับประทาน (ใหสี กลิ่นรส และลักษณะเนื้อ) หนาที่ทาํ ใหอาหารกระจายตัว ละลาย หรือพองตัว หนาที่เปนสารชวยเกาะติด (เปนสารอิมลั ซิไฟเออรทําใหเกิดฟอง และทําใหเกิดการดูด ซับ) หนาที่ทาํ ใหอาหารเปลีย่ นรูปและเกิดเจล และหนาที่เปนเอ็นไซม 2.2.1 การทําใหอาหารเกิดเจล อาหารหลายชนิดมีลักษณะเปนเจล โปรตีนสามารถทํา หนาที่เชนนี้ไดอยางดี เจลที่เกิดจากโปรตีนมีความหนืดสูงมาก ทําใหอาหารมีลกั ษณะปนได (plasticity) และยืดหยุน อาหารที่เกิดเจลมีอยูจํานวนมาก เชน ไขตุน เตาหู เตาฮวย โยเกิรต ไสกรอก ลูกชิ้น หมูยอ ฯลฯ อาหารเหลานี้มีลักษณะเปนเจล โครงสรางจะอุมน้าํ ไดดแี ละเก็บกักสวนผสมอืน่ ๆ ไว อาหารที่จะเกิดเจ ลตองไดรับความรอนกอน ความรอนจะทําใหโมเลกุลโปรตีนเปลี่ยนแปลงไปที่เรียกกันวา “การเปลี่ยนสภาพ” การเปลี่ยนสภาพของโปรตีนแบงออกเปน 2 ขัน้ ตอน คือในระยะแรกโมเลกุลโปรตีนยืดตัวออกโดยพันธะที่ เคยมีอยูใ นธรรมชาติไดแตกออกบางสวน ตอมาโมเลกุลเหลานัน้ จะเขามามีพนั ธะกันโดยจับตัวกันใน 3 ทิศทางเมื่อสภาพแวดลอมเหมาะสม ขัน้ ตอนแรกจะใชเวลาเพียงสั้น ๆ การใชอุณหภูมิสูงจะทําใหโมเลกุลยืด ตัวออกไดมาก จะใหเจลแข็งและเนื้อละเอียด เมื่ออุณหภูมลิ ดลงโมเลกุลที่ยดื ตัวออกแลวจะจับตัวกันอยางชา
51
ๆ โดยใชพนั ธะไดซัลไฟด พันธะไฮโดรเจน พันธะไอโอนิก หรือพันธะไฮโดรโฟบิก มีผูศึกษาการเกิดเจ ลของโกลบูลาโปรตีน และโอวาลบูมิน พบวาการเกิดเจลของโกลบูลาโปรตีนทําใหอาหารเปนกอนนุม อาจ ขุนขาวหรือโปรงไสก็ได ขึ้นอยูกับสัดสวนของกรดอมิโนไมมีขั้วและผลรวมของประจุ ถาโปรตีนมีสดั สวน ของกรดอมิโนไมมีประจุมากกวารอยละ 31.5 จะใหเจลขุนขาว แตถาสัดสวนของกรดอมิโนไมมีประจุนอ ย กวารอยละ 31.5 เจลจะมีลกั ษณะโปรงแสง สวนการเกิดเจลของโปรตีนโอวาลบูมินพบวาขึน้ อยูกบั ความ เขมขนของโปรตีน pH และกําลังไอโอนิก เมื่อสารละลายมีความเขมขนต่ํามาก pH หางจากจุด IP มาก หรือกําลังไอโอนิกต่ํา โมเลกุลโปรตีนจะไมจับตัวเปนเสนยาว แตเมื่อสารละลายมีความเขมขนสูงขึ้นและ กําลังไอโอนิกต่ํา การจับตัวกันของโมเลกุลโปรตีนจะดีขึ้น ถากําลังไอโอนิกสูงขึ้นสารละลายจะเกิดเจลเมื่อ เขาใกล IP เจลที่ไดมีลักษณะเปนกอนนุม การเกิดเจลแบบนี้มคี วามสําคัญสําหรับผลิตภัณฑจากโปรตีนถั่ว เหลือง 2.2.2 การทําใหอาหารมีความหนืดสูงขึน้ โปรตีนสามารถจับตัวกับน้าํ ได ซึง่ จะพบ เสมอเมื่ออาหารมีความชื้นสูงขึ้นจะมีความหนืดมากขึ้น หรือทําใหไมแยกชัน้ อาหารที่เปนผงจะจับตัวกันเปน กอนและพองตัว อาหารที่มีเนื้อแข็งจะเปลี่ยนมาเปนเนื้อนุม อาหารที่ทีเนื้อนุมอยูแลวจะเปลีย่ นเปนไหลได และอาหารที่มคี วามหนืดสูงจะเปลี่ยนมามีความหนืดต่ํา ในทางตรงกันขามอาหารที่มีความหนืดต่ําเมื่อมี โปรตีนละลายมากขึ้นจะมีความหนืดสูงขึ้นหรือมีความแข็งมากขึ้น มีอาหารหลายชนิดที่ใชนมหรือโปรตีนนม (เคซีน) หรือโปรตีนจากถั่วเหลืองเพื่อเพิ่มความหนืดหรือปองกันการแยกตัวของน้ํา เชน ชิน้ เนือ้ ประดิษฐ เปนตน เมื่อโปรตีนดูดน้ําจะทําใหอาหารพองตัวและมีปริมาตรเพิม่ เพิ่มขึ้น ฉะนัน้ ความหนืดของ อาหารจะแสดงการละลายของโปรตีน โปรตีนที่ละลายน้ําไดดี เชน อัลบูมิน และโกบูลิน จะทําใหอาหารมี ความหนืดเพิ่มขึ้นไมมากนัก ความหนืดของอาหารจึงแสดงการละลายของโปรตีนเหลานี้ไดไมดนี กั โปรตีนที่ ละลายน้ําไดปานกลาง เชน โซเดียมเคซีเนต ความหนืดของอาหารจะแสดงการละลายของโปรตีนไดดีขนึ้ แตถา โปรตีนนั้นละลายน้าํ ไดนอย เชน โซเดียมโปรตีเนต จะทําใหความหนืดเพิ่มสูงขึ้นมาก ความหนืดจึง เปนตัวชีก้ ารละลายไดดมี าก ปจจัยที่มผี ลตอโครงสรางของโปรตีนและการจับตัวกันของโมเลกุลโปรตีนจะมี ผลตอการพองตัวและความหนืดของอาหาร 2.2.3 การทําใหอาหารมีสี มีกลิ่น และมีรส โปรตีนสวนใหญจะไมมีกลิ่นรส หรือมี กลิ่นรสเพียงเล็กนอย แตเมื่ออยูในอาหารจะมีกลิ่นรสแรงขึ้นเนื่องจากไดทําปฏิกิรยิ ากับสารอื่น ๆ เชนสาร dicarbonyl สารที่ไดจากการสลายตัวของน้ําตาลจะทําปฏิกริ ยิ ากับกรดอมิโนใหสารอัลดีไฮดทเี่ รียกวา
52
Strecker aldehyde และในที่สดุ จะเปลี่ยนเปนสาร pyrazines และ pyrroles การที่โปรตีนมีกลิ่นรสที่ดี รวมกับความรูส ึกที่เกิดจากการสัมผัส และลักษณะเนือ้ ที่เหมาะสม จะมีผลใหผบู ริโภคยอมรับ กลิ่นของ โปรตีนจะเกิดขึ้นมากในขณะใหความรอน มีผูพบวาเมื่อโปรตีนไดรบั ความรอนจะเกิดสารใหกลิ่นรสมากมาย มีทงั้ สารประกอบกํามะถันและสารประกอบคารโบนิล ซึ่งอาจเปนกลิน่ รสที่ตองการหรือไมกไ็ ด นอกจากนี้ กลิ่นยังเกิดขึ้นในขณะเตรียมหรือขณะเก็บอาหารดวย บางครั้งพบวาโปรตีนมีกลิ่นหืนดวย การหืนของ โปรตีนเปนปญหามากสําหรับอาหารที่มกี ลิ่นรสไมรนุ แรง เชน การใชโปรตีนถั่วเหลืองในอาหารตาง ๆ ทํา ใหอาหารเหลานั้นมีกลิ่นถั่ว เปนตน ปญหาเชนนีย้ งั เกิดขึ้นกับโปรตีนนม โปรตีนถั่วเหลือง ปลาปน และ โปรตีนจากพืชอื่น ๆ การกําจัดไขมันออกจะชวยใหโปรตีนมีกลิ่นนอยลง อยางไรก็ตามการสกัดไขมันจะมีผล ใหโปรตีนสูญเสียคุณสมบัตกิ ารใชงานบางสวนไป โปรตีนจะใหกลิ่นมากขึ้นเมื่อโมเลกุลสลายตัวเปนกรดอมิโน หรือเปบไตด นอกจากนี้ยงั ใหรสดวย การสลายโปรตีนเพื่อใหกลิน่ รสไดปฏิบัติกันมานานแลว เขาใจวาเกิดครั้งแรกในประเทศจีน ตอมาไดนํามาผลิตในประเทศญี่ปนุ และประเทศอื่น ๆ ในปจจุบันมีการผลิตกันทั้งในเอเชีย ยุโรป และอเมริกา การสลายตัวของโปรตีนทําไดโดยใชกรดหรือเอ็นไซม สวนโปรตีนที่ใชเปนวัตถุดิบคือถั่วเหลือง ขาวโพด เค ซีน แปงสาลี ยีสตขนมปง และยีสตจากโรงงานผลิตเบียร นอกจากนี้ยงั มีการยอยสลายเนื้อปลาและเนื้อกุง ดวย สําหรับผลิตภัณฑทไี่ ดก็มีปลา ซีอวิ๊ ซอสถั่วเหลือง น้าํ มันหอย HVP (hydrolysed vegetable protein), AYE (autolysed yeast extract) ฯลฯ การสลายตัวของโปรตีนใหสารประกอบมากมาย มีทงั้ สารใหกลิน่ สารใหรส และสารใหสี สารใหรสเกิดจากกรดอมิโนและสารเปบไตด รสที่เกิดจากกรดอมิโนแบงออกเปน 4 ชนิด คือรสหวาน รสขมรสเปรี้ยว และรสอรอย (drlicious) กรดอมิโนที่ใหรสหวานคือไกลซีน อลานีน ซิ ลีน ทรีโอนีน โปรลีน ไฮดรอกซิโปรลีน ไลซีน และกลูตามีน รสขมเกิดจากกรดอมิโนวาลีน ลูซีน ไอโซลู วีน เมทไทโอนีน เฟนนิลอลานีน ทริฟโตเฟน อาจินนี -กรดเกลือ และฮีสติดีน รสเปรี้ยวเกิดจากกรดอมิโน แอสปาติก และกรดกลูตามิก สวนรสอรอยเกิดจากโซเดียมแอสปาเตต และโมโนโซเดียมกลูตาเมต นอกจากนี้ โครงสรางของกรดอมิโนก็มีผลตอรสดวย กรดอมิโนที่มีรูปแอลฟอรม (L-form) เชน โมโนโซเดียมกลูตาเม ตเมื่ออยูในรูปแอลฟอรมจะใหรสดี แตถาอยูในรูปดีฟอรม (D-form) จะไมมรี ส ทริพโตเฟนทีอ่ ยูในรูปแอล ฟอรมจะมีรสขม แตถาอยูในรูปดีฟอรมจะมีรสหวานประมาณ 40 เทาของน้ําตาลซูโครส และถาในรูปดีแอล ฟอรจะมีรสหวานเชนกัน กรดอมิโนที่นาํ มาใชประกอบอาหารกันมากคือ กรดกลูตามิกในรูปของเกลือ โซเดียม สารชนิดนี้ทาํ ใหอาหารมีรสเค็ม รสหวาน และรสเนื้อ พรอม ๆ กัน ทําใหผบู ริโภครูสกึ อรอย อยางไรก็ตามรสที่มีอยูในสารชนิดนี้มีนอยมาก แตก็มผี ลใหอาหารมีรสดีขนึ้ มาก จึงมักเรียกสารนี้วา “สาร ปรุงรส” การใชสารชนิดนีร้ วมกับสารนิวคลีโอไตด เชน 5’-guanylic acid จะทําใหอาหารมีรสดีเพิ่มขึ้น เนื่องจากสารทั้งสองสามารถทํางานเสริมซึ่งกันและกัน (synergistic) ในประเทศญี่ปนุ มีสารชูรสชนิดหนึ่ง
53
เปนที่นิยมใหกนั มาก เปนของผสมระหวางโมโนโซเดียมกลูตาเมตและ 5’-ribonucleotides การที่อาหารจะ มีรสอยางไรนั้นไมใชขึ้นอยูก บั กรดอมิโนที่มอี ยูเทานั้น แตจะขึ้นอยูก บั กรดอมิโนที่เปนอิสระดวย เนื่องจาก กรดอมิโนสวนหนึ่งที่สลายตัวออกมาแลวจะทําปฏิกิรยิ ากับน้ําตาลหรือสารอื่น ๆ เชน กรดอมิโนซีสตีนจะไม มีเหลือเปนอิสระอยูเลยถาอาหารนั้นมีนา้ํ ตาลอยูดวย กรดอมิโนเมทไทโอนีน ลูซีน และไอโซลูซนี ก็เหลืออยู เล็กนอย เนื่องจากเปนสารทีท่ าํ ปฏิกิรยิ ากับสารอื่น ๆ ไดดี สําหรับสารเปบไตตจะพบไดในอาหารที่สลายตัวดวยกรดหรือเอ็นไซม เปนสารที่ใหรสขม สารชนิดนี้เกิดขึ้นมากถาทําการยอยโปรตีนดวยเอ็นไซม ดวยเหตุนกี้ ารเตรียมเครื่องปรุงรสจากโปรตีนจึงไม นิยมใชเอ็นไซมกันมากนัก ถึงแมจะมีวิธีการปองกันหรือวิธีการกําจัดสารปบไตตออกไปได แตจะมี ประสิทธิภาพไมดีนัก ปญหาเชนนีจ้ ะพบเสมอในการทําซีอิ๊วหรือน้าํ ปลาโดยใชเอ็นไซม สําหรับสารเปบไตต ที่เกิดจากการสลายตัวดวยกรดไมมีปญ หามากนักมีปริมาณไมมาก โปรตีนสามารถทําใหอาหารเกิดสีไดดี โดยเฉพาะอาหารที่ไดรับความรอนและมี คารโบไฮเดรตอยูดว ยปฏิกิรยิ าที่เกิดขึ้นเรียกวา “ปฏิกิรยิ าสีนา้ํ ตาล” (browning reaction) และใหสารทีมีสเี รียกวา “เมลานอยดิน” (melanoidin) การเกิดสีมี 3 ขัน้ ตอน คือระยะแรกจะเกิดสารประกอบ glycosylamine หลังจากนัน้ สารชนิดนี้จะจัดตัวกันใหม ซึง่ ทําได 2 แบบ แบบแรกเรียกกวา Amadori rearangemant ให สารประกอบ 1-amino-1-deoxy-2-ketose (Amadori compound) แบบที่ 2 เรียกวา Heyns rearrangement สารประกอบ Heyns compound สารเหลานี้จะเปลี่ยนไปเปนเมลานอยดินในที่สุด เปน สารสีน้ําตาลเขม การสลายตัวของโปรตีนอาจทําใหเกิดกลิ่นไดหลายทาง การสลายตัวโดยใชเอ็นไซมจะเปน สาเหตุสําคัญทําใหเกิดปฏิกิริยาสีนา้ํ ตาล ซึ่งใหผลพลอยไดเปนสารใหกลิ่นมากมาย เชน แอลกอฮอล อัล ดีไฮด คีโตน กรด และสาร heterocyclics นอกจากนี้ยงั ทําใหสารใหกลิ่นบางชนิดที่เกาะอยูทโี่ ปรตีนถูก ปลอยออกมาเปนอิสระ สวนการยอยดวยกรดจะใหสารที่มกี ลิ่น pyrazines และ pyrroles 2.2.4 การทําใหอาหารเกาะตัว การที่โปรตีนสามารถเกาะตัว ดูดซับ หรือดูดซึม องคประกอบอื่น ๆ ได โปรตีนจึงมีความสําคัญตอคุณภาพอาหาร คําวาเกาะตัวในที่นหี้ มายถึงการทําหนาที่ ของโปรตีนโดยการเปนตัวกลางใหอาหารรวมตัวกันเปนของเหลว เปนของกึ่งแข็ง หรือเปนของแข็ง สามารถปองกันองคประกอบที่ระเหยไดระเหยออกไป เชนน้ํา สารใหกลิ่น ฯลฯ อาหารที่ตองการการ เกาะตัวไดแกไสกรอก คัสตารด เจลลี่ ฯลฯ คุณสมบัติการเกาะตัวกันของโปรตีนขึ้นอยูกับ pH และกําลังไอ
54
โอนิกของอาหาร ปจจัยทั้งสองจะมีผลตอประจุและขนาดของโมเลกุลโปรตีน นอกจากนี้ปริมาณ คารโบไฮเดรต ไขมัน และการกวนก็มผี ลตอการเกาะตัวกันของโปรตีน โดยปกติโปรตีนสวนทีไ่ มมีประจุจะ จับตัวกับไขมันไดดีทําใหอาหารที่มไี ขมันสูงเกาะตัวกัน ในเนื้อสัตวโปรตีนที่ละลายน้ําเกลือไดมีความสําคัญ มาก ทําใหเนื้อเกาะตัวกันแนน โดยเฉพาะผลิตภัณฑจําพวกแฮม ไสกรอก แหนม หมูยอ ฯลฯ การทํา ผลิตภัณฑพวกนี้จงึ ตองใชเนื้อสัตวที่มีโปรตีนชนิดนี้สูง สําหรับโปรตีนชนิดอื่น ๆ ที่ชวยใหเนื้อสัตวเกาะตัว กันไดดี คือ โปรตีนถั่วเหลือง และนมผง 2.2.5 การทําใหอาหารดูดซับไขมัน การจับตัวของโปรตีนกับไขมันมีความสําคัญมาก สําหรับผลิตภัณฑจาํ พวกเนือ้ เทียม หรือโปรตีนสําหรับผสมกับเนื้อสัตว (met extender) จะทําใหผลิตภัณฑ พวกนี้มีลักษณะลื่นไหลไดดเี มื่ออยูในปาก ทําใหมคี วามรูสึกที่ดีเมื่อรับประทาน นอกจากนี้ยังมีผลให ผลิตภัณฑเนื้อเทียมมีกลิ่นเหมือนเนื้อสัตวอยางแทจริง อีกทั้งกลิ่นก็ไมจางหายเมื่อไดรับความรอน 2.2.6 การทําใหเม็ดแปงในอาหารดูดน้ําไดนอ ยลง อาหารหลายชนิดมีสว นผสมที่ ประกอบดวยแปงและโปรตีน เชน ขาวเกรียบ snack กวยเตีย๋ ว เสนหมี่ ฯลฯ โปรตีนที่มีอยูในแปงจะมีผล ใหเม็ดแปงแตกตัวนอยลง เนื่องจากโปรตีนจะตกตะกอนและหอหุมเม็ดแปงไวในขณะไดรับความรอน น้าํ จึง ซึมเขาไปในเม็ดแปงไดยาก เม็ดแปงสวนใหญยงั คงไมแตก โมเลกุลอมัยโลสขนาดใหญจึงหลุดออกจากเม็ด แปงไดนอ ย ผลิตภัณฑทไี่ ดจงึ มีเนื้อกรอบรวนถาอยูในสภาพของเจลเปยก แตจะมีลกั ษณะกรอบแข็งถาอยูใน สภาพของเจลแหง 2.2.7 การทําใหอาหารเกิดอิมัลชั่น ผลิตภัณฑอาหารหลายชนิดที่มีโปรตีนเปนสวนผสม และอยูใ นลักษณะอิมัลชั่น เชน มายองเนส ไสกรอก หมูยอ วิบปงครีม เปนตน อาหารเหลานี้จะใช โปรตีนเปนสารอิมัลซิไฟเออร ซึ่งก็ทําหนาที่ไดเปนอยางดีถึงแมอาหารแตละชนิดจะมีลกั ษณะแตกตางกัน ออกไป มีผูศึกษาความสามารถของโปรตีนในเชิงสารอิมลั ซิไฟเออรของเนื้อสัตวเมือ่ มี pH และปริมาณเกลือ ตาง ๆ กัน พบวาโปรตีนแตละชนิดมีความสามารถในเชิงสารอิมลั ซิไฟเออรแตกตางกันไปโปรตีนที่ละลายน้ํา ไดดีจะมีความสามารถในเชิงสารอิมลั ซิไฟเออรมากขึ้นเมือ่ อาหารมีเกลือเขมขน 0.5-2.0 โมลาร และมี pH 4.0-7.8 แสดงวาเกลือมีผลใหโปรตีนละลายน้าํ ไดดีขนึ้ สวนโปรตีนที่ละลายน้ําเกลือมีความสามารถในเชิง สารอิมลั ซิไฟเออรไมเปลี่ยนแปลงในอาหารที่มเี กลือเขมขน 0.3-1.2 โมลาร แตถา pH สูงหรือต่ํากวา 5.06.0 โปรตีนจะละลายน้ําไดนอ ยลง การเพิ่มปริมาณเกลือลงไปจะทําใหความสามารถในเชิงสารอิมัลซิไฟเออร ดีขึ้น เนื่องจากโปรตีนละลายน้าํ ไดดีมากขึน้
55
สําหรับการทําใหเกิดอิมลั ชั่นของโปรตีนจากถั่วเหลือง พบวาเมื่อโปรตีนอยูในรูปโซเดียมโปรตี เนตจะแสดงคุณสมบัติของสารอิมลั ซิไฟเออรดีที่สุดที่ pH 10.7 และกําลังไอโอนิกเทากับ 0.05 แตก็มี คุณสมบัติของสารอิมัลซิไฟเออรไดดีที่ pH 6.9 และกําลังไอโอนิกเทากับ 0.3 ถากําลังไอโอนิกของอาหาร สูงขึ้นคุณสมบัติของสารอิมัลซิไฟเออรจะลดลง นอกจากโปรตีนทั้ง 2 ชนิดดังที่กลาวมาแลว ยังมีผูศึกษาความสามารถในเชิงอิมัลซิไฟเออรของ โปรตีนชนิดอืน่ ๆ อีกมากมาย เชน โปรตีนนม โปรตีนปลา โปรตีนเมล็ดฝาย โซเดียมเคซีเนต ฮีโมโกลบิน นมปราศจากไขมัน เปนตน พบวาความสามารถในเชิงสารอิมลั ซิไฟเออรขนึ้ อยูกบั เวลาที่ใชละลายโปรตีน ปริมาณน้ํามันที่ใช ชนิดของน้ํามัน อุณหภูมิ ความเร็วของการผสม และ pH จากขอมูลที่ได จากการศึกษา เหลานี้มีประโยชนมาก และทําใหมีผูนาํ โปรตีนเหลานีม้ าใชในอาหารอิมลั ชั่นมากขึ้น 2.2.8 การทําใหอาหารเกิดโฟม อาหารหลายชนิดตองการใหมลี กั ษณะเนื้อทีฟ่ ูและเบา ทําใหตอ งผสมโฟมลงไปหรือตีใหเกิดโฟม เชน แองเจลเคก สปนจ เมอรแรง ฟดจ ฯลฯ โดยปกติโฟมใน อาหารเปนฟองอากาศที่ถกู หอหุมดวยของเหลวที่มสี ารชวยเกาะติดละลายอยู สารชวยเกาะติดจะทําหนาที่ลด ความตึงผิวของของเหลวใหต่ําลง โปรตีนหลายชนิดทําหนาที่เปนสารชวยเกาะติดไดดี หุมฟองอากาศไวและ เกิดเปนเยื่อบางที่มีความเหนียวมากพอที่จะปองกันไมใหฟองอากาศแตกและรวมตัวกันไดอีก โปรตีนที่ เหมาะสมตองเกิดเปนเยื่อบางหุมฟองอากาศไดดีและยืดออกไดมาก สามารถเปลี่ยนสภาพไดบางเมื่อสัมผัสกับ ความรอนหรือความเย็น อยางไรก็ตามไมตอ งการโปรตีนที่เปลี่ยนสภาพโดยสิ้นเชิง มิฉะนั้นผิวของฟองจะ กรอบและแตกงาย มีปจ จัยหลายอยางทีม่ ผี ลตอการเกิดโฟมของโปรตีน เชน แหลงโปรตีน วิธีการเตรียม โปรตีน องคประกอบของโปรตีน การละลาย ความเขมขน pH อุณหภูมิ น้าํ ตาล และไขมัน ทําให การศึกษาการเกิดโฟมของโปรตีนมีปญหามาก ผลของการศึกษาก็ไมสอดคลองกันมากนัก pH จะมีผลตอการเกิดโฟมของโปรตีนมาก การเกิดโฟมจะดีมากที่สดุ ที่ pH สูงกวา IP เล็กนอย มีผพู บวาเกลือจะมีผลตอการเกิดโฟมของโปรตีนแตกตางกันมาก โปรตีนถั่วเหลืองและโปรตีนปลา จะเกิดโฟมไดดีขึ้นถาความเขมขนของเกลือเทากับรอยละ 2.0 และ 2.9 ตามลําดับ แตความอยูตัวของโฟ มโปรตีนถั่วเหลือง ไขขาว และแปงสาลีจะลดลงมาก การที่เกลือมีผลตอการเกิดโฟมไมเทากันเชื่อกันวาเกิด จากการละลายไมเทากันของโปรตีน ที่ความเขมขนต่ําโปรตีนที่ละลายไดดจี ะใหโฟมที่อยูตัว เมือ่ ใสเกลือลง ไปในโปรตีนชนิดนี้มากขึ้นหรือทําใหการละลายลดลงโฟมจะอยูตัวดีขึ้น อยางไรก็ตามถาการใสเกลือลงไป มากขึ้น แลวทําใหความอยูตัวนอยลงเกิดจากเกลือไดชะลอการเปลี่ยนสภาพของโปรตีน สําหรับขอมูลที่ เกี่ยวกับผลของเกลือที่มีผลตอการละลายของโปรตีนที่อุณหภูมแิ ละ pH ตาง ๆ กันยังมีไมมากนัก
56
การตีโฟมไขขาวจะทําไดชาที่อุณหภูมิ 40C แตจะตีโฟมไดดีขึ้นที่อณ ุ หภูมิ 230C ที่อณ ุ หภูมิต่ํา โปรตีนละลายน้ําไดนอยและมีความตึงผิวสูง น้าํ ตาลทําใหโปรตีนตกตะกอนชาลง ทําใหเกิดโฟมไดนอ ยลง แตทําใหโปรตีนกระจายตัวบนผิวของอากาศอยางสม่ําเสมอ โฟมที่ไดจึงมีเนื้อเนียนและอยูตัวดี กรดจะชวย ใหไขขาวเกิดโฟมไดมากขึน้ และเปนโฟมที่อยูตัวดีถา pH ของไขประมาณ 6.0 2.2.9 การทําหนาที่เปนเอ็นไซม เอ็นไซมทุกชนิดเปนโปรตีน มีหนาที่ชวยใหปฏิกิรยิ า เคมีในสิ่งมีชีวติ ดําเนินไปในเซล โมเลกุลเอ็นไซมประกอบดวยกรดอมิโน 200-1,000 หนวย โดยปริมาณและ การจัดลําดับของกรดอมิโนแตละชนิดจะควบคุมโดยยีน (gene) ทําใหเอ็นไซมแตละชนิดมีการจัดโครงสราง ของโมเลกุลแตกตางกัน และทําใหขอบเขตการทํางานแคบลง สามารถจับตัวกับสารไดเฉพาะอยาง การ เปลี่ยนแปลงหรือการสลายตัวจึงเกิดขึ้นกับสารบางชนิดเทานั้น เอ็นไซมบางชนิดตองรวมตัวกับสารอื่นกอน จึงจะอยูในรูปที่ทาํ งานได สารที่เขามารวมตัวกับเอ็นไซมเรียกวา cofactors ซึ่งอาจมีทงั้ โลหะและสารอินทรีย เอ็นไซมสามารถแบงออกไดเปน 6 กลุมโดยถือเอาปฏิกิรยิ าที่เกิดขึ้นเปนหลัก คือ hydrolases, transferases, oxidoreductases, isomerases, lyases และ lygases เอ็นไซมทอี่ ยูในกลุมเหลานี้ไดจาก พืช สัตว และจุลินทรีย โดยนําเอาวัตถุดิบเหลานี้มาทําใหเซลแตก แยกเอาของเหลวออกมา แยกเอ็นไซม ออกจากของเหลว แลวทําใหบริสุทธิ์ เอ็นไซมในอาหารไดมาจาก 3 แหลง คือเอ็นไซมที่อยูในวัตถุดิบ เอ็นไซมทใี่ สลงไป และ เอ็นไซมทเี่ กิดขึ้นในจุลินทรีย เอ็นไซมในวัตถุดิบมีผลดีตออาหารมาก ทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลงตาง ๆ กัน อยางไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงนั้นจะเกิดผลเสียมากกวาถาไมมกี ารควบคุมการทํางานใหเหมาะสม ในปจจุบัน มีการนําเอ็นไซมมาใชประโยชนมากมายโดยมีวตั ถุประสงคการใชตาง ๆ กัน เชน ลดความหนืดของอาหาร ชวยการสกัดสารตาง ๆ ออกจากวัตถุดิบ ชวยทําใหอาหารมีกลิ่น รส สี และลักษณะเนื้อดีขนึ้ ทําใหคุณภาพ การใชงานขององคประกอบอาหารดีขึ้น เปนตน อาหารที่ไดจากการทํางานของเอ็นไซมจึงมีอยูม ากมาย เชน แปงแปรรูป อาหารอบ เบียร สุรา นมเปรี้ยว ผักและผลไมดอง เนื้อสัตวหมัก ไขผล ชา กาแฟ ฯลฯ 2.3 คารโบไฮเดรต คารโบไฮเดรตเปนองคประกอบของอาหารที่มปี ริมาณมากรองจากน้ํา พบ ไดในผัก ผลไม ธัญชาติ และพืชหัว นอกจากนีย้ งั พบเล็กนอยในนม เลือด และกลามเนื้อสัตว เปนแหลง พลังงานที่สําคัญและมีราคาถูกที่สุดของมนุษย อาหารของมนุษยรอ ยละ 60 ไดจากองคประกอบนี้ รางกาย ตองการคารโบไฮเดรตไมใชเพื่อพลังงานเทานั้นแตยงั ทําใหรา งกายใชไขมันไดอยางมีประสิทธิภาพ ทําหนาที่ กําจัดสารบางชนิดออกจากรางกายในรูปของไกลโคไซด ทําหนาที่เปนแหลงอาหารของจุลนิ ทรียบางชนิดที่
57
เจริญเติบโตในลําไส นอกจากนี้คารโบไฮเดรตยังมีบทบาทมากในการประกอบอาหาร ทําใหอาหารมีกลิ่น สี และลักษณะเนื้อตามที่ตองการ นักวิทยาศาสตรการอาหารแบงคารโบไฮเดรตออกเปน 2 กลุมคือ น้าํ ตาลเดี่ยว (simple sugars) และน้ําตาลผสม (compound sugars) โดยถือเอาหนวยเล็ก ๆ ทีไ่ ดจากการแตกตัวดวยน้ําเปนหลัก น้าํ ตาล เดี่ยว เชน กลูโคส ฟรุคโตส ฯลฯ ไมสามารถแตกตัวออกไปไดอีก จึงมักเรียกวา “น้าํ ตาลชั้นเดียว” (monosaccharides) สวนน้ําตาลผสมสามารถแตกตัวใหนา้ํ ตาลชั้นเดียวไดมากกวา 1 หนวย แบงยอย ออกเปน 2 กลุม คือกลุมน้ําตาลนอยชัน้ (oligosaccharides) และกลุมน้ําตาลหลายชั้นหรือน้ําตาลมากชั้น (polysaccharides) สารโพลีแซคคาไรดในธรรมชาติพบทั้งในพืชและในสัตว ในพืชสารโพลีแซคคาไรดอยูในรูปของ แปง เซลลูโลส น้ําสกัดจากสาหรายทะเล (อัลจิเนต คาราจีแนน วุน และเฟอเซลลาราน) น้าํ ยางจากพืช (อา ราบิก คารายา และทรากาคานต) กัมจากเมล็ดพืช (โลกัสบีนกัม กัวกัม) น้าํ สกัดจากพืช (เพ็คติน) ในสัตว สารโพลีแซคคาไรดอยูในรูปของกัมจากจุลินทรีย (แซนแทนกัม) ไคติน และไกลโคเจน บทบาทของสารโพลีแซคคาไรดในอาหาร สารโพลีแซคคาไรดในอาหารมีบทบาทที่สําคัญ 2 ประการ เชนเดียวกับโปรตีน คือเปนสารอาหาร และเปนสารปรุงแตง บทบาทแรกมักพบเสมอในอาหารที่มสี ารโพลีแซคคาไรดอยูโ ดยธรรมชาติ อยางไรก็ ตามอาหารบางชนิดตองใสสารโพลีแซคคาไรดลงไปหรือทําจากสารโพลีแซคคาไรด เชน อาหารเยื่อใยสูง อาหารพลังงานต่ํา เปนตน สวนบทบาทประการทีส่ องตองอาศัยคุณสมบัติที่เรียกกันวา “คุณสมบัติการใช วาน” เปนบทบาทที่เกี่ยวของกับการประกอบอาหารโดยตรง สารโพลีแซคคาไรดทใี่ ชมักถูกสกัดออกมากอน อยูในรูปของสารแหงหรือผงละเอียด การที่สารโพลีแซคคาไรดมีคุณสมบัตหิ ลายอยางทําใหการใชอาหาร เปนไปอยางกวางขวาง เชน เปนสารชวยใหอาหารขน เปนสารอิมลั ซิไฟเออร เปนสารชวยใหอิมัลซิไฟเออร และโฟมอยูตวั ทําใหอาหารมีลักษณะเนือ้ ที่ดี ทําใหอาหารนุม ทําใหอาหารมีสีนา้ํ ตาล ชวยใหการหมัก แอลกอฮอลดีขึ้น ทําใหอาหารมีกลิ่นรสดีขึ้น 2.3.1 การทําใหอาหารขนหนืด สารโพลีแซคคาไรดที่มีกิ่งกาน โดยเฉพาะกิ่งกานที่มี หลายลักษณะจะใหโซลที่ขนหนืดและอยูต ัว เนื่องจากโมเลกุลไมสามารถเขาใกลกนั และจับตัวเปนเจลได ความหนืดขึ้นอยูกับขนาดของโมเลกุล รูปรางและประจุ สารโพลีแซคคาไรดที่มขี นาดใหญจะใหโซลที่มี
58
ความหนืดสูงกวาสารโพลีแซคคาไรดที่มขี นาดเล็กวา (ถาเปนสารชนิดเดียวกัน) สารโพลีแซคคาไรดที่มี โมเลกุลเปนเสนยาวจะใหความหนืดสูงกวาสารที่มโี มเลกุลมีกิ่งกาน ถาความเขมขนเทากันหรือน้ําหนัก โมเลกุลเทากัน โมเลกุลที่มีกิ่งกานมากจะพองตัวไดนอ ยกวาโมเลกุลที่ไมมีกิ่งกานเมื่อน้ําหนักโมเลกุลเทากัน สําหรับสารโพลีแซคคาไรดทแี่ ตกตัวใหอนุมลู ได เชน สารที่มกี ลุม คารบอกซิลจะเกิดเจลไดดถี า pH สูงกวา 2.8 เนื่องจากในสภาพเชนนี้โมเลกุลจะไมแตกตัว การมีประจุทําใหความหนืดของสารละลายเพิ่มขึ้น เปนผล มาจากการผลักกันของโมเลกุล เมื่อทําการกวนโมเลกุลไมสามารถเคลื่อนที่เปนเสนตรงได การตานทานการ ไหลจึงเกิดขึ้นมาก นอกจากนี้ยงั เกิดจากการพองตัวที่เกิดขึ้นมาก โดยเฉพาะโมเลกุลเปนเสนยาวและสามารถ ยืดออกไดเต็มที่ การใสสารที่มีประจุลงไปจะทําใหความหนืดเปลีย่ นแปลงไป เนือ่ งจากสารชนิดนี้มีผลตอ รูปรางและขนาดของโมเลกุล นาอกจากนี้ยงั มีผลตออนุมลู ที่มปี ระจุตรงกันขามทีล่ ะลายอยู สําหรับสารโพลี แซคคาไรดทเี่ ปนแปงความหนืดจะถึงจุดสูงสุดเมื่อเม็ดแปงพองตัวมากที่สุด ความหนืดจะลดลงอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเม็ดแปงแตกตัว สารโพลีแซคคาไรดจะหลุดออกมาและกระจายตัวออกไปในน้ํา เมื่ออยูใ นสารโพลีแซค คาไรดจะยืดตัวออก ซึ้งทําไดดีที่สุดเมื่อมีความเขมขนต่ํา เมื่อสารละลายมีความเขมขนสูงขึ้นความหนืดจะ เพิ่มขึ้นอยางรวดเร็วและไมเปนปฏิภาคโดยตรงกับความเขมขน เนื่องจากความหนืดที่เพิ่มขึ้นสวนหนึ่งเกิดจาก ปริมาณน้ําที่เปนอิสระนอยลง และอีกสวนหนึ่งเกิดจากโมเลกุลจับตัวกัน เกลือและน้ําตาลทําใหสารกลุมนี้ดูด น้ําไดนอยลง เนื่องจากสารทั้งสองรวมตัวกับน้ําไดดีจึงแยงน้ํากัน ทําใหสารโพลีแซคคาไรดจับตัวกับน้ําได นอยลงและหันไปจับตัวกันเองมากขึ้น ทําใหโมเลกุลมีขนาดเล็กลง ความหนืดจึงลดลง ตัวอยางที่เห็นได ชัดเจนคือการใสน้ําตาลลงในแยมเพื่อใหเกิดเจล สวนกรดหรือดางมีผลนอยมากถา pH ของอาหารอยูระหวาง 3.0-10.0 2.3.2 การทําใหอาหารเกิดเจล โดยปกติแลวสารโพลีแซคคาไรดที่มโี มเลกุลยาวเมื่ออยู ในสารละลายจะมีสวนหนึ่งของโมเลกุลจับตัวกับโมเลกุลอื่น ๆ ที่อยูใกลกัน และปลอยโมเลกุลน้ําที่เคยจับอยู ใหหลุดออกไป การจับตัวกันนั้นอาจแข็งแรงมากพอที่จะไมทําใหแตกตัวออกจากกันเมื่ออยูที่อณ ุ หภูมิหอง โดยเฉพาะโมเลกุลที่มีการจับตัวกันมากกวา 2 ตําแหนงจะแข็งแรงมาก นอกจากนี้ยังมีโมเลกุลอื่น ๆ มาจับ เพิ่มเติมที่จดุ เดียวกันอีก ถาจํานวนโมเลกุลที่จับตัวกันนั้นมีมากพอจะเกิดอนุภาคขึ้นและตกตะกอนออกมา ปรากฏการณเชนนี้จะเกิดขึ้นกับแปง (starch) การจับตัวกันอีกแบบหนึ่งที่พบเสมอ ๆ คือนอกเหนือจาก 2 โมเลกุลที่จบั ตัวกันแลวยังมีโมเลกุลที่สามมาจับตัวกับโมเลกุลที่สอง โมเลกุลที่สมี่ าจับมาจับตัวกับโมเลกุลที่ สามและเรื่อยไป โดยตําแหนงที่จับตัวกันนั้นจะแตกตางกันไป ดวยเหตุนแี้ ตละโมเลกุลจึงจับกับโมเลกุลอืน่ ๆ มากกวา 1 ตําแหนง ทําใหเกิดโครงสรางเหมือนรางแหใน 3 ทิศทาง โดยมีโมเลกุลน้ําแทรกอยูทวั่ ไป โครงสรางที่เกิดขึ้นเรียกวา “เจล” ความแข็งแรงของเจลขึ้นอยูกับความแข็งแรงของสวนที่จับตัวกัน ถาสวนที่ จับตัวกันมีระยะสั้นมาก การจับตัวกันจะไมแข็งแรงมากนัก เจลจะถูกทําลายไดงา ยเพียงกวนเบา ๆ หรือใช
59
ความรอนเพียงเล็กนอย ในทางตรงกันขามถาสวนที่จบั ตัวกันมีระยะยาวมาก การจับตัวกันจะแข็งแรงมาก เจลจะทนความรอนไดดี 2.3.3 การทําหนาที่เปนสารเสถียร สารเสถียรหรือสารชวยใหอยูตัว (stabilizers) หมายถึงสารที่ทาํ หนาที่ไมใหอาหารเกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพไปในทิศทางที่ไมตองการ ซึง่ มีหนาที่ อยางนอย 5 ประการ คือปองกันการแยกตัวของน้ํา ปองกันการแยกตัวของน้ํามัน ปองกันการตกผลึก ปองกันตะกอนของอนุภาค และปองกันการแยกตัวของโฟม หนาที่เหลานี้เกีย่ วของกับความหนืดทั้งสิ้น สาร โพลีแซคคาไรดชวยทําใหอิมลั ชั่นอยูตัวไดดี โดยเฉพาะอิมลั ชั่นชนิดน้ํามันในน้ํา สารโพลีแซคคาไรดไมใช สารอิมลั ซิไฟเออร จึงไมทาํ ใหอิมัลชั่นอยูต ัวดวยวิธีการจับตัวกระจายและทํากระจายไวดวยกันดังเชนสารอิมัล ซิไฟเออรโดยทั่วไป แตจะทําใหความหนืดของน้ําเพิ่มขึ้น เปนการลดหรือปองกันเม็ดไขมันเคลื่อนที่เขามาจับ ตัวกันหรือรวมตัวกัน สารโพลีแซคคาไรดบางชนิด เชน กัมอาราบิกจะทําใหอิมัลชั่นอยูตวั โดยทําหนาที่เปน protective colloid คือ เคลือบผิวของเม็ดไขมันไว ทําใหไขมันมีประจุและไมสามารถเขาใกลกนั ได แตก็มี สารโพลีแซคคาไรดบางชนิดทําหนาที่เปนสารเกาะติด โดยลดความตึงผิวที่หนาสัมผัสใหต่ําลง ในกรณีเชนนี้ อิมลั ชั่นจะอยูต ัวดี สารโพลีแซคคาไรดอีกหลายชนิด โดยเฉพาะที่อยูในกลุม “กัม” เชน กัมอาราบิก กัวกัม แซนแทนกัม เปนตน สามารถละลายน้ําไดดี จึงใชเปนอาหารเพื่อแกปญหาการแยกตัวของน้ํา สารเหลานี้จะ จับตัวกับน้ําและแยกตัวออกมา อาหารจําพวกไอศกรีมและอาหารแชแข็ง ผลึกน้ําแข็งขนาดเล็กจะเกิดขึ้นใน ระยะแรกของการผลิต แตจะหมดไปเมื่อเก็บไวนาน ในขณะเดียวกันก็มผี ลึกขนาดใหญเกิดขึ้น เนื่องจาก อุณหภูมิทใี่ ชเก็บไมคงที่ ทําใหผลึกน้ําแข็งละลายและแข็งตัวใหม ผลึกน้ําแข็งขนาดเล็กจึงคอย ๆ หมดไป การใสกัวกัมลงไปจะชวยทําใหผลึกน้ําแข็งมีขนาดสม่ําเสมอและไมเพิ่มขนาดเมื่อเก็บไวนาน ปองกันการหด ตัว และชวยใหการตีฟองมีประสิทธิภาพดีขึ้น โดยสารโพลีแซคคาไรดจะทําหนาที่ 2 ประการ คือ การเขา ไปจับตัวที่ผลึก และการแยงน้ําทีจ่ ําเปนสําหรับการเกิดผลึก สารโพลีแซคคาไรดจะเขาไปเกาะกับผลึกได จะตองมีโครงสรางที่เหมาะสม สามารถเขาไปจับตัวกับผลึกได อาจตองมีการจัดตัวภายในโมเลกุลกอน สมมติวากลุมที่เขาไปจับตัวมีประจุลบ เชน กลุมคารบอกซิล เปนตน กลุมนี้จะตองหมุนตัวใหอยูในตําแหนง ที่จะเขาไปมีพนั ธะไฮโดรเจนกับออกซิเจนในผลึกได สําหรับการแยงน้ํากับสารทีจ่ ะเกิดผลึกนั้นจะทําใหผลึก ไมสามารถเพิ่มขนาดไดอกี ตอไป ในกรณีที่เปนผลึกน้ําแข็งสารโพลีแซคคาไรดจะทําใหขาดน้ําอิสระ ผลึก น้ําแข็งจึงไมสามารถเพิ่มขนาดได สารโพลีแซคคาไรดที่ใชกนั มากคือโซเดียมอัลจิเนต วุน ผสมหางนม และเพ็คติน 2.3.4 การทําใหเกิดฟลมบนผิวของอาหาร อาหารหลายชนิดใชสารโพลีแซคคาไรด
60
เคลือบผิวเพื่อปองกันการสูญเสียความชื้นปองกันการหลุดลุยของเนื้อ ปองกันไมใหเหนอะหนะติดมือ และ ปองกันการสูญเสียกลิ่นรส มีผูใชสารคารบอกซีเมทิลเซลลูโลสและกัมอื่น ๆ เคลือบผิวผลไม โดยนําผลไมมา คลุกกับสารเหลานนี้แลวทําใหเปยก สารที่แทรกตัวเขาไปในรูเล็ก ๆ ของผิวผลไมจะพองตัวและอุดรูไว ทําให ปองกันการสูญเสียความชื้นและกลิน่ รสได นอกจากนี้ยงั ปองกันอากาศไมใหเขาไปและเกิดการออกซิเดชั่น ความเหนอะหนะของผลไมแชอมิ่ ก็สามารถลดลงไดถาเคลือบดวยสารละลายหรือหุม ดวยแผนฟลม อมัยโลส ทําใหปองกันการเจริญเติบโตของเชื้อราและปองกันการจับตัวเปนกอนเมื่อใชเคลือบองุนแหง นอกจากนีย้ ังใช กับอาหารอื่น ๆ ดวย เมื่อชุบอาหารลงในของผสมระหวางคาราจีแนนกับเมทิลเซลลูโลสแลวนําไปทําใหรอน มีอุณหภูมิ 930C จะเกิดฟลม รอบ ๆ ชิ้นอาหาร ปองกันการสูญเสียน้ําได แตถาชุบของผสมดังกลาวแลวนําไป ชุบขนมปงปนอีกครั้งหนึ่งจะปองกันการหลุดลุยของขนมปง อาหารทอด เชน กุงทอด ไกทอด ปลาทอด ฯลฯ จะมีกลิ่นดีขึ้น 2.3.5 การทําใหเกิดการหมัก สารโพลีแซคคาไรดที่เกีย่ วของกับการหมักคือไกลโคเจน เมื่อนําเนื้อสัตวมาหมักไกลโคเจนจะเปลี่ยนไปเปนกรดไพรูวกิ และกรดแลคติกในที่สดุ ในระยะแรกของการ หมักไกลโคเจนจะตองถูกเปลี่ยนไปเปนน้ําตาลกลูโคสกอนโดยใชเอ็นไซม 2 ชนิด คือ glycogen 1phosphorylase และ phosphoglucomutase เอ็นไซมชนิดแรกจะเปลี่ยนไกลโคเจนเปน glucose 1phosphate หลังจากนัน้ เอ็นไซมชนิดที่สองจะเปลี่ยน glucose 1-phosphate เปน glucose 6-phosphate ซึง่ สารชนิดนี้จะเขาสูกระบวนการ glycolysis และเปลีย่ นไปเปนกรดแลคติกในที่สดุ 2.3.6 การทําหนาที่เปนสารลดพลังงาน การใชสารโพลีแซคคาไรดทไี่ ดกลาวมาแลว ทั้งหมดจะเห็นไดวาอยูในลักษณะของสารปรุงแตงอาหารทั้งสิ้น แตในปจจุบันมีการใชสารโพลีแซคคาไรดใน อาหารเพื่อจุดประสงคอื่น ๆ ดวย เชนเปนอาหารพลังงานต่ํา อาหารที่รูจักกันดีคือวุนสวรรค (nata) และ คอนยัค (konjac) วุน สวรรคเปนสารเซลลูโลสที่ผลิตโดยการหมักโดยใชวตั ถุดบิ เปนน้ํามะพราวหรือน้ํา สับปะรดก็ได 2.4 ลิปด คําวาลิปด (lipids) หมายถึงไขมันหรือสารที่เหมือนไขมัน เปนองคประกอบของอาหาร ที่ไมละลายน้ําแตละลายไดในตัวทําละลายไขมันที่เปนสารอินทรีย พบไดในสิ่งที่มชี ีวิตทั้งพืชและสัตว สวน ใหญเปนสารที่มีกรดไขมันอยูดว ย นอกจากสารสเตอรอล (sterola) เทอรปน (terpenes) และวิตามินที่ ละลายในน้ํามัน (fat-soluble vitamins) เทานั้น ลิปดมีบทบาทมากในการประกอบอาหาร สวนหนึ่ง เกี่ยวของกับคุณภาพอาหาร ซึ่งไดแกกลิ่นรส ความอรอย ความนุม และความมัน อีกสวนหนึ่งเกี่ยวของกับ การประกอบอาหาร โดยทําหนาที่เปนตัวกลางทําใหอาหารสุก
61
บทบาทของลิปดในอาหาร การใชลิปดในอาหารสวนใหญจะอยูใ นรูปของน้ํามันหรือไขมัน คือมีการกําจัดไขมันอิสระ ฟอสโพลิปด กัม และสิ่งเจือปนอื่น ๆ ออกไปกอนนําไปใช อยางไรก็ตามอาหารหลายชนิดก็มีลปิ ด ในสวนผสม โดยเฉพาะ อาหารจากเนื้อสัตวและธัญชาติ การใชสวนผสมของอาหารที่มีลิปดอยูดว ย และการใชนา้ํ มันบางชนิดใน ลักษณะของน้าํ มันดิบทําใหองคประกอบอื่น ๆ นอกเหนือไปจากน้ํามันมีบทบาทในการประกอบอาหารมาก 2.4.1 การทําใหเกิดสี ลิปดในสัตวมกั อยูรว มกับโปรตีน เมื่อลิปดเกิดการเติมออกซิเจนจะ มีผลใหเหล็กเฟอรัสในไมโอโกลบินเกิดการเติมออกซิเจนเร็วขึ้น และเปลี่ยนไปเปนเมทไมโอโกลบิน เนื้อสัตวจะเปลี่ยนเปนสีนา้ํ ตาล ซึ่งจะทําใหผบู ริโภคไมยอมรับ เหล็กจากฮีโมโกลบิน และเหล็กจาก สารประกอบอืน่ ๆ ทีไ่ มใชจากฮีมจะชวยเรงใหการเปลี่ยนแปลงดังกลาวเร็วขึ้น การเปลี่ยนแปลงดังกลาวจะ เกิดเร็วมากในเนื้อแหง น้ํามันหมูก็เปนผลิตภัณฑจากเนือ้ สัตวที่อยูในรูปของลิปดและมักเกิดสีเขม เปนลิปด ที่ ไดจากการเจียวเนื้อไขมันดวยความรอน ถาอุณหภูมทิ ใี่ ชเจียวสูงมากสีจะเขมมากขึ้น เปนสีทเี่ กิดจากการ สลายตัวของโปรตีนและคารโบไฮเดรต อาจมีสีเหลืองเขมหรือสีเหลืองแดง เมื่อนําน้ํามันหมูไปประกอบ อาหารจะทําใหอาหารมีสีเขมดวย แปงถั่วเหลืองไขมันเต็มที่เก็บไวนานจะมีสีเหลืองเขม เกิดจากไขมันมีการ เติมออกซิเจน ทําใหเกิดสารประกอบใหสี chroman-5,6-quinones 2.4.2 การทําใหอาหารมีกลิ่นผิดปกติ กลิ่นที่เกิดจากลิปดในอาหารมีสาเหตุมาจาก 3 ประการ คือประการแรกเปนกลิ่นที่เกิดจากสารที่มอี ยูแ ลวในลิปด ประการที่สองเปนกลิ่นของสารที่เกิดจาก การเปลี่ยนแปลงทางเคมี และประการที่สามเปนกลิ่นทีม่ าจากสารที่เกิดขึ้นในกระบวนการทําใหนา้ํ มันบริสทุ ธิ์ สําหรับประการแรกนั้นเกิดขึน้ โดยการใชวตั ถุดิบที่มีลิปดอยูดว ยในการประกอบอาหาร เชน แปงถั่วเหลือง ไขมันเต็ม ถั่วลิสงคั่ว งาคั่ว น้ํามันหมู เนือ้ สัตว เปนตน วัตถุดิบเหลานี้มอี งคประกอบของลิปด หลายชนิดที่ มีกลิ่นผิดปกติ เชน เทอรปน ฟอสโฟลิปด น้าํ มันและไขมัน เปนตน มีผูพบวาสารฟอสโฟลิปด จะทําให อาหารจากเนื้อสัตวมีกลิน่ ผิดปกติไดถึงแมเนื้อสัตวนนั้ มีไขมันต่ํามาก สารฟอสโฟลิปด เชน ฟอสฟาติดิลซีรีน และฟอสฟาติดลิ เอทานอลามีนในเนื้อวัวและเนื้อหมูจะทําใหเนื้อสัตวเหลานั้นมีกลิ่นเฉพาะเมื่อเกิดการเติม ออกซิเจน เมื่อเก็บอาหารไวนานกรดไขมันจะเกิดการเติมออกซิเจนใหสารประกอบอัลดีไฮดและคีโตนหลาย ชนิด เชน เมทิลคีโตน โนนิลตีโตน เปนตน เปนสารที่มกี ลิ่นผิดปกติ การใชนา้ํ มันที่ผา นขั้นตอนการทําให บริสทุ ธิ์มาแลวก็อาจทําใหอาหารมีกลิ่นผิดปกติได โดยเฉพาะน้ํามันพืชที่มจี าํ หนายอยูใ นประเทศไทย เนื่องจากน้ํามันเหลานั้นไดผา นขั้นตอนการกําจัดกรดไขมันอิสระดวยดาง ทําใหเกิดสบูขึ้น ถึงแมจะมีขั้นตอน
62
การกําจัดสบูออกไปแลวก็ตาม แตกอ็ าจมีสบูหลงเหลืออยูบาง 5-10 สวนในลานสวน การใชนา้ํ มันดังกลาว ในการประกอบอาหารจึงมีกลิ่นสบู 2.4.3 การปองกันไมใหอาหารเกิดฟอง ลิปดสามารถปองกันการเกิดฟองในอาหารได โดยเฉพาะฟองที่เกิดจากโปรตีน ลิปดที่ทําหนาที่ปองกันการเกิดฟองไดดีจะตองมีคุณสมบัติเปนสารอิมัลซิไฟ เออร เมื่อโปรตีนสัมผัสกับสารลิปดดังกลาวจะรวมตัวกันและกระจายออกไป ไมเกาะอยูท่ผี วิ ของฟองอีก ฟองจึงแตกออก การใสลิปดลงในอาหารกอนการเกิดฟองควรใหนานพอสมควร ประสิทธิภาพการปองกัน การเกิดฟองจะดีขึ้น อาหารบางชนิดตองการใหฟองอยูตัวดี จะตองพยายามลดปริมาณลิปด ใหต่ําลง โดยเฉพาะเบียร เนื่องจากลิปดนอกจากจะปองกันการเกิดฟองแลวยังทําใหกลิ่นรสของเบียรเสียไปดวยเมื่อเก็บ ไวนาน การใส isphumulones รวมกับอนุมลู โลหะก็จะชวยใหฟองเบียรอยูตวั ดีขึ้น การปฏิบัติเชนนี้ทาํ ให โปรตีนจับตัวกันแนน ไมรวมตัวกับไขมัน 2.4.4 การทําใหอาหารเปลีย่ นแปลงลักษณะเนื้อ เมื่อเก็บเนื้อสัตวไวนานปริมาณกรด ไขมันอิสระเพิม่ ขึ้น จะมีผลใหโปรตีนเปลีย่ นสภาพไป ลักษณะเนื้อและความสามารถในการอุมน้าํ จะเสียไป การเพิม่ ปริมาณกรดไขมันอิสระเปนผลมาจากการทํางานของเอ็นไซมฟอสโฟไลเปสเอ และเอ็นไซมไลโซ โซมัลไลเปส การแตกตัวของกรดไขมันจะเกิดเร็วขึ้นมากในกลามเนื้อสีเขม การแชแข็งชา ๆ หรือการเก็บที่ อุณหภูมไิ มคงที่จะเรงใหปลอยเอ็นไซมออกมาเร็วขึ้น ซึ่งจะมีผลใหเกิดกรดไขมันอิสระมากขึ้น เมื่อไดรับ ความรอนจะเปลี่ยนเปนน้าํ มันและไหลออกมา ในขณะเดียวกันกรดไขมันที่ใหกลิ่นก็ระเหยออกไป นอกจากนี้ยงั เกิดการสลายตัวดวยน้ําหรือเกิดการเติมออกซิเจน เนื้อสัตวสุกที่นาํ ออกมาจากหองแชแข็งแลวทํา ใหรอนจะมีกลิ่นอับ เนื่องจากฟอสโฟลิปดสวนหนึ่งถูกเติมออกซิเจน 2.4.5 การทําใหอิมัลชั่นอยูต ัว ลิปดมีสารที่มีคุณสมบัติเปนสารอิมัลซิไฟเออรหลายชนิด เชน โมโนกลีเซอไรด ไดกลีเซอไรด เลซิติน เปนตน สารเหลานี้มกั ถูกกําจัดออกไปเมื่อนําลิปด ไปทําให บริสทุ ธิ์ในกระบวนการผลิตน้ํามัน อยางไรก็ตามก็มวี ิธกี ารผลิตสารเหลานี้โดยใชนา้ํ มันเปนวัตถุดิบ โดยเฉพาะการผลิตโมโนกลีเซอไรดและไดกลีเซอไรด สวนเลซิตนิ เปนผลพลอยไดจากากรผลิตน้ํามันถั่ว เหลือง โมเลกุลของสารเหลานี้สว นหนึง่ มีขั้ว เรียกวา “หัว” และอีกสวนหนึ่งไมมขี ั้วเรียกวา “หาง” สวนหัว จะมีสมั พรรคภาพกับน้ําไดดมี าก อาจมีประจุบวก ประจุลบ ทั้งประจุบวกและประจุลบ หรือไมมีประจุกไ็ ด เมื่อนําสารอิมัลซิไฟเออรไปใชกับอาหารทีม่ าสวนผสมของน้ํามันและน้ําโดยการตีใหรวมกัน มันจะกระจาย ตัวอยูทหี่ นาสัมผัส ทําใหพลังงานผิวของตัวกระจายลดลงและเกิดอิมลั ชั่นขึ้น เนื่องจากสารชนิดนี้อยูที่ หนาสัมผัสจึงเรียกวา “surface active agenta” หรือ “surfactants”
63
2.4.6 การปองกันการหืนของน้าํ มัน ลิปดมีสาระสําคัญที่สามารถปองกันการหืนของ น้ํามันได นอกจากนี้ยงั สามารถปองกันการหืนของไลโปโปรตีน ฟอสโฟลิปด สเตอรอลเอสเทอร วิตามินเอ วิตามินดี และแคโรทีน ลิปดที่แยกออกมาจากพืชจึงเกิดการหืนไดชาทําใหนา้ํ มันดิบเก็บไดนานดังกลาว คือ วิตามินอี พบมากในจมูกขาวสาลี และพบนอยลงตามลําดับในน้ํามันถั่วเหลือง และน้ํามันดอกทานตะวัน โดยทั่ว ๆ ไปเมล็ดพืชและน้ํามันพืชจะมีวติ ามินอีสูงกวาผักหรือผลไม สวนเนื้อสัตวและผลิตภัณฑจากสัตวมี วิตามินอีต่ํามาก ในอาหารโดยทั่ว ๆ ไปจะมีวติ ามินอีไมมากนัก เนื่องจากวัตถุดิบที่มีวิตามินอีสงู มักจะถูก นํามาบริโภคในรูปของน้ํามัน ซึ่งเปนผลิตภัณฑที่ผานการทําใหบริสทุ ธิ์มาแลว วิตามินอีสว นใหญไดถกู กําจัด ออกไป ในปจจุบนั มีผูสังเคราะหวติ ามินอีออกมาจําหนาย เพื่อนําไปใชปองกันการหืนของน้ํามันและใชเปน ยา วิตามินอีเปนของเหลวที่ขน หนืดมีสีเหลืองออนหรือสีแดงอมน้ําตาลแตถา มีความบริสทุ ธิ์สงู จะ ไมมกี ลิ่นและไมมีสเี ปนสารที่ถูกเติมออกซิเจนไดงา ย โดยเฉพาะเมื่อสัมผัสกับแสงสวาง ความรอน ดาง และ เกลือแรบางชนิด เชน เหล็ก และทองแดง แตจะอยูตวั ไดดีในอาหารทีเ่ ปนกรด รูปที่ใชปอ งกันการหืนของ น้ํามันคือแอลฟาโตโคเฟอรอล (α-tocopherol) โดยจะทํางานไดผลดีถาใชในปริมาณรอยละ 0.02 สําหรับ น้ํามันจากสัตวการใชสารชนิดนี้ใหผลไมดีนกั ถึงแมจะใชในปริมาณสูงมาก การทําหนาที่ของวิตามินอีก็ เหมือนกับการทํางานของสารปองกันการหืนของน้ํามันในกลุม ฟนอล คือจะจับตัวกับอนุมูลอิสระที่เกิดจาก กรดไขมัน ทําใหมูลสารที่เปนตนเหตุของปฏิกิรยิ าลูกโซหมดไป ปฏิกริยาการหืนของกรดไขมันจะไมเกิดขึ้น หรือสิ้นสุดลง ถาการใชวิตามินอีนนั้ มีการผสม ascorbyl palmitate และกรดซิตริกลงไปดวย จะทําให ประสิทธิภาพการทํางานของวิตามินอีสูงขึน้ เทาเทียมกับการใชสารกันหืน BHA 2.5 วิตามิน วิตามินอาจแบงออกไดเปน 2 กลุมคือ กลุมที่ละลายในไขมันหรือตัวทําละลาย ไขมัน และกลุมที่ละลายในน้ําวิตามินกลุม แรกไดกลาวมาบางแลวในเรื่องลิปด สวนใหญพบในเนื้อสัตว โดย ปกติจะทนความรอนไดดกี วาวิตามินในกลุม ที่ละลายน้ํา แตมกั จะเกิดออกซิเดชั่นเมือ่ ไดรับอุณหภูมิสูงและมี ออกซิเจนอยูด ว ย จะทําปฏิกิริยากับสารทีไ่ ดจากการออกซิเดชั่นลิปด ฉะนั้นถามีการปองกันไมใหไขมันเกิด การออกซิเดชัน้ ก็จะปองกันวิตามินกลุมนีไ้ มใหสูญเสียได วิตามินกลุมนี้ประกอบดวยวิตามินเอ ดี อี และเค รางกายเก็บวิตามินกลุมนี้ไวคอนขางมาก การขาดวิตามินกลุมนี้ในระยะสั้น ๆ จึงไมมีผลตอรางกายมากนัก สํารับวิตามินกลุมที่สองมีคุณสมบัติหลายอยางที่คลาย ๆ กัน มักพบในแหลงเดียวกัน ถารางกายขาดตัวใดตัว หนึ่งก็มกั จะทําใหขาดวิตามินตัวอื่น ๆ ดวย รางกายสะสมไวไมมากนัก ทําใหตองรับประทานทุกวัน วิตามิน
64
กลุมนี้ประกอบดวยวิตามินบีหนึ่ง บีสอง ไนอาซีน บีหก กรดแพนโททีนิก ไบโอติน กรดโฟลิก บีสบิ สอง และวิตามินซี บทบาทของวิตามินในอาหาร วิตามินมีบทบาทในการประกอบอาหารไมมากนัก อยางไรก็ตามก็มีผูนําวิตามินหลายชนิดมาใชใน การประกอบอาหาร โดยใหทาํ หนาที่ใหสี ปองกันการหืนของน้ํามัน ปองกันการเปลี่ยนสีของผัก รักษาสี ของเนื้อหมักและใหรสกับอาหาร 2.5.1 การใหสีกับอาหาร วิตามินหลายชนิดมีสีแตจะมีแตวติ ามินเอเทานั้นทีจ่ ะใหสไี ด โดยเฉพาะเมือ่ อยูในรูปของแคโรทีนอย เนื่องจากมีปริมาณมากในอาหาร แตแคโรทีนอยจะใหสเี หลืองซึ่งจะ เห็นไดชัดเจนเมื่อผักยังออนหรือเมื่อผลไมสุก เมื่อนําเอาผักหรือผลไมที่มแี คโรทีนมาประกอบอาหารอาจมี การเปลี่ยนสีบา ง โดยเฉพาะเมื่อนําไปทําเปนอาหารแหง เนื่องจากแคโรทีนอยไดถกู ออกซิไดซและสลายตัว การใหสีอกี แบบหนึ่งที่เกิดจากวิตามินคือการเกิดปฏิกิรยิ าเคมีกับสารอาหารบางชนิด เชน กรดอมิโน การเกิด สีผิดปกติเชนนี้มักพบในอาหารจําพวกน้ําสม ผลิตภัณฑจําพวกนี้เมื่อเก็บไวนานจะมีสเี ขมมากขึ้น สันนิษฐาน วาเกิดจากวิตามินซีเปลี่ยนไปเปนกรดไฮโดรแคสคอบิกเมื่อทําปฏิกิรยิ ากับออกซิเจนที่หลงเหลืออยูใ นกระปอง หรือในขวด หลังจากนัน้ กรดชนิดนีจ้ ะทําปฏิกิรยิ ากับกรดอมิโน ใหสารประกอบสีดํา การเปลีย่ นแปลงเชนนี้ จะเกิดขึ้นเร็วมากถามีทองแดงอยูดวย ในสภาวะที่ไมมอี อกซิเจนหรือหลังจากที่ออกซิเจนหมดไปแลว วิตามินซีก็ทําใหเกิดสีคล้ําได แตจะเกิดขึ้นอยางชา ๆ โดยวิตามินซีจะถูกเปลี่ยนไปเปนสารเฟอเฟอราล (furfural) ซึง่ จะเปลี่ยนเปนสีดาํ เมื่อมีกรดอมิโนอยูดว ย ปฏิกิรยิ านี้จะเกิดขึ้นเร็วมากถามีโลหะจําพวกตะกัว่ สังกะสี หรืออลูมิเนียมอยูด ว ย นอกจากนีย้ งั พบวาน้ําตาลฟรุคโตสก็มผี ลทําใหเกิดปฏิกิรยิ าเร็วขึ้น 2.5.2 การปองกันการหืนของลิปด วิตามินอีมีคณ ุ สมบัติที่จะจับตัวกับมูลสารไดดี ดังกลาวมาแลวในเรื่องของลิปด ทําใหมลู สารของกรดไขมันที่เกิดจากการออกซิเดชั่นถูกทําลายไป การหืนจึง ไมเกิดขึน้ ถึงแมวติ ามินอีจะมีถึง 8 แบบแตแบบที่ทําหนาที่ปองกันการหืนไดดีที่สดุ คือ เดลตาโตโคเฟอรอล เปนสารที่ใชไดดีสําหรับไขมันจากพืช แตก็มีผูนํามาใชกนั คอนขางนอย เนื่องจากการทํางานยังใหผลไมดีเทา สารกันหืนจากกลุมฟนอล 2.5.3 การปองกันการเปลี่ยนสีของอาหาร วิตามินซีที่อยูในรูปของกรดเออริทอรเบตมี
65
คุณสมบัติเปนสารรีดวิ ซิ่งเอเจนทที่ดี เมื่อนําไปใชกบั อาหารที่บรรจุอยูใ นภาชนะที่ปด สนิทจะทําลายออกซิเจน ที่เหลืออยูใหหมดไป การเปลี่ยนแปลงของสารฟนอลจึงไมเกิดขึน้ ในการเตรียมอาหารกระปองหลายชนิด นิยมใสวิตามินซีรวมกับโซเดียมเออริทอรเบต เชน การบรรจุเห็ดกระปอง ทําใหเห็ดไมเกิดการเปลี่ยนสี 2.5.4 การรักษาสีของเนื้อหมัก ในการผลิตเนื้อหมักนอกจากจะใชเกลือบางชนิดแลวยังมี การผสมวิตามินซี หรือโซเดียมเออริทอรเบตลงไปดวย โดยวิตามินซีจะทําปฏิกิรยิ ากับไนไตรตใหสารดีโพลี แซคคาไรดโดรแอสคอรบกิ และไนติกออกไซด ซึ่งสารไนตริกออกไซดจะทําปฏิกริ ยิ ากับไมโอโกลบินตอไป ใหสารไนโตรโซไมโอโกลบิน ทําใหเนื้อสัตวมีสแี ดง ดวยเหตุนวี้ ติ ามินซีจึงชวยใหเนื้อสัตวมสี ีแดงเร็วขึน้ เปนสีที่สม่ําเสมอ และคงทน ไมซีดจางถึงแมจะเก็บไวนาน 2.6 เกลือแร โดยปกติแลวเกลือแรในอาหารจะมาจากวัตถุดบิ และอีกสวนหนึ่งไดจากการใสลง ไป เกลือแรทใี่ สลงไปในอาหารมักอยูใ นรูปของเกลือจากกรดอินทรีย เชน กรดอาเซติก กรดซิตริก หรืออยู ในรูปของกรดอนินทรีย เชน กรดเกลือ กรดฟอสฟอริก กรดกํามะถัน นอกจากนี้ยังอยูใ นรูปของเกลือของ กรดอมิโน กรดไขมัน และอื่น ๆ บทบาทของเกลือแรในอาหาร เกลือแรนอกจากจะมีบทบาททางโภชนาการแลว ยังมีบทบาทในการประกอบอาหารดวย บทบาท สวนหนึ่งเกิดจากเกลือแรที่มอี ยูแลวในวัตถุดิบที่ใชประกอบอาหาร อีกสวนหนึ่งเกิดจากเกลือแรที่มกี าร ปนเปอน และอีกสวนหนึ่งเกิดจากเกลือแรที่เติมลงไปในรูปของสารเจือปนในการประกอบอาหาร เกลือแรที่ มีอยูในวัตถุดบิ มักจะไมมีบทบาทมากนัก ไมทําใหคณ ุ ภาพอาหารเปลี่ยนแปลงถามีการประกอบอาหารอยาง ถูกวิธี เกลือแรที่มอี ยูในสภานะสารปนเปอ นมักจะกอใหเกิดปญหามากขึ้น เชน เปนสารเรงปฏิกิรยิ าเคมี ทํา ใหอาหารมีกลิ่นหืน สวนเกลือแรที่เติมลงไปในรูปของสารเจือปนมีบทบาทมาก สวนใหญเกี่ยวกับการปรุง แตงและถนอมอาหาร 2.6.1 การถนอมอาหาร เกลือแรที่ใชเพื่อการถนอมอาหารอาจแบงเปน 2 กลุม คือกลุมที่ ชวยปองกันการเนาเสียของอาหารและกลุมที่ชวยปองกันการเปลี่ยนสี สารกลุมแรกใชในการถนอมอาหาร โดยเฉพาะการปองกันการเนาเสียที่เกิดจากจุลินทรีย สารบางชนิด เชน เกลือแกง ไนไตรต และซัลไฟต มนุษยรูจกั ใชในการถนมอมอาหารมานานแลว ในปจจุบันมีการนําเอาสารชนิดใหม ๆ มาใชกนั มาก สาร เหลานี้คือโซเดียมเบนโซเอต โปรแตสเซียมหรือโซเดียมซอรเบต โซเดียมหรือแคลเซียมโปรปโอเนต
66
โซเดียมหรือโปรแตสเซียมไนไตรต โซเดียมซัลไฟต โซเดียมเมตาไบซัลไฟต โซเดียมคลอไรด และเกลือ ฟอสเฟตชนิดตาง ๆ สําหรับการปองกันปฏิกิรยิ าสีนา้ํ ตาลจะใชพวกโซเดียมซัลไฟต และโซเดียมเมตาไบ ซัลไฟต พวกนี้ใชกนั มากในผักหรือผลไมแหง 2.6.2 การใหกลิ่นรสและการชูรส เกลือแรที่ใหกลิ่นรสมากมาย สวนหนึ่งเปนสารที่ได จากธรรมชาติ และอีกสวนหนึ่งเปนสารสังเคราะหสวนใหญเปนสารประกอบของกรดอินทรีย และมักใช รวมกับกรด โดยสารบางชนิดใหรสไดโดยตรง เชน โซเดียมคลอไรด บางชนิดทําใหอาหารมีรสกลมกลอม ขึ้น นอกจากนี้ยงั มีเกลือบางชนิดทําหนาที่เปนสารโปรงฟูดวย เกลือที่ใชกันมากไดแกแคลเซียมอาซิเตต โซเดียมอาซิเตต แคลเซียมซิเตรต โปแตสเซียมซิเตรต โซเดียมซิเตรต ฯลฯ สําหรับเกลือแรที่ทาํ หนาที่ชรู ส อาหารก็มีหลายชนิดที่รูจกั กันดีคือโมโนโซเดียมกลูตาเมต (MSG) นอกจากนี้กย็ ังมีเกลือของกรดอะดีไนลิก และกรดกัวไนลิกอีกหลายชนิด 2.6.3 การปรับปรุงลักษณะเนื้อ เกลือแรทําหนาที่ปรับปรุงลักษณะเนื้อของอาหารมี จํานวนมากเมือ่ เปรียบเทียบกับสารเจือปนอื่น ๆ โดยไดนาํ ไปใชกบั เนือ้ สัตว แปง ผักและผลไม เกลือแรทใี่ ช กับเนื้อสัตวประกอบดวยโซเดียมไตรโพลีฟอสเฟต โซเดียมอะซิดไพโรฟอสเฟต เตตะโซเดียมไพโรฟอสเฟต โมโนโซเดียมออรโทฟอสเฟต ไดโซเดียมออรโทฟอสเฟต และโซเดียมแฮกซาเมตาฟอสเฟต การใสเกลือแร เหลานี้จะทําใหผลิตภัณฑเนือ้ สัตวมคี วามนุมมากขึ้น เนื่องจากทําใหแอคโตไมโอซินแตกตัวทั้งแอคตินและไม โอซินจึงจับตัวกับน้ําไดมากขึ้น ทําใหชิ้นเนื้อจับตัวกันเปนกอน เนื่องจากสารฟอสเฟตทําใหโปรตีนไมโอซิน ละลายน้ําไดมาก เมื่อไดรับความรอนโปรตีนชนิดนี้จึงแข็งตัวและเชื่อมชิ้นเนื้อเขาดวยกัน โดยเฉพาะสารที่ใช เปนพวกโซเดียมไตรโพลีฟอสเฟต สําหรับผลิตภัณฑจากแปงก็มกี ารใสเกลือแรกันมาก โดยเฉพาะแปงสาลี เกลือแรทใี่ ช ประกอบดวยโปแตสเซียมโบรเมต แอมโมเนียมซัลเฟต โปรแตสเซียมเปอรซัลเฟต ฯลฯ สวนหนึง่ ของเกลือ แรเหลานี้ใชเปนอาหารของยีสต และอีกสวนหนึ่งใหทําหนาที่เพิ่มความแข็งของกลูเตน พืชจําพวกผักและผลไมโดยทั่วไปจะมีเพ็คตินไมมากก็นอย สวนใหญเปนเพ็คตินที่มีกลุม เมทอกซิลในโมเลกุลนอย โมเลกุลเพ็คตินในพืฃเหลานั้นจึงทนตอการแตกตัวในอาหารที่เปนกรด ถึงแมจะ ไดรบั ความรอน แตจะพองตัวและละลายน้ําไดดีมาก ทําใหผกั ผลไมมเี นื้อนุมเมื่อนําไปประกอบอาหาร การ ใสเกลือบางชนิดลงไปจะทําใหการพองตัวและการละลายของพ็คตินนอยลง เนื้อผักหรือผลไมจะแข็งมากขึน้
67
ถึงแมจะไดรับความรอนก็ไมออนนุม การปฏิบัติเชนนี้จะพบเสมอในการทําผลไมแชอิ่ม ฟกทองแกงบวด มะมวงดอง มะเขือเทศกระปองถั่วพีกระปอง ฯลฯ 2.6.4 การปองกันการจับตัวเปนกอน ผลิตภัณฑบางชนิด เชน เกลือโตะ น้าํ ตาลไอซิ่ง กระเทียมผง ฯลฯ มักมีปญ หาการจับตัวเปนกอนเมื่อสัมผัสกับความชื้นในอากาศ ทําใหไมสะดวกในการ นําไปใช การปองกันอาจทําไดโดยการผสมเกลือที่ไมละลายน้ําลงไป เชน อลูมิเนียมซัลเฟต ไตรแคลเซียม ออรโทฟอสเฟต ไดแคลเซียมออรโทหอสเฟต ฯลฯ เกลือเหลานี้เมือ่ นํามาบดใหละเอียดจะสามารถเคลือบผิว และปองกันการจับตัวเปนกอนไดเปนอยางดี 2.6.5 การปรับและรักษาความเปนกรด อาหารหลายชนิดจําเปนตองปรับหรือรักษา ความเปนกรดไว เชนขนมอบมักใชผงฟูเพือ่ เปนแหลงของแกสคารบอนไดออกไซด ทําใหโปรงฟู เบา และมี รสอรอย การทําใหเกิดแกสคารบอนไดออกไซดจะตองอาศัยปฏิกิรยิ าเคมีระหวางกรดกับสารที่เปนแหลงของ แกสคารบอนไดออกไซด แหลงของกรดไดจากเกลือหลายชนิด เชน โปแตสเซียมอะซิเตรต โซเดียมอลูมิ เนี่ยมฟอสเฟต โมโนแคลเซี่ยมฟอสเฟต โซเดียมอะซิดไพโรฟอสเฟต เกลือแรตาง ๆ เหลานี้จะเปลี่ยนไปเปน กรดเมื่อสัมผัสกับความชื้นหรือความรอน สวนแหลงของแกสคารบอนไดออกไซดคือโซเดียมไบคารบอเนต อาหารจําพวกเนื้อสัตวจะมีปญ หามีสีคล้าํ เมื่อสัมผัสกับออกซิเจนเปนเวลานาน เนื่องจากเกิด สารสีน้ําตาลของ metmyoglobin ขึ้น ทําใหดูเหมือนเนือ้ ที่ขาดความสด ผูบ ริโภคจึงไมยอมรับ การเปลี่ยนสี ของเนื้อสัตวขนึ้ อยูกับปจจัย 5 ประการ คือ pH สารรีดิวซิ่งเอเจนต เกลือ (เกลือแกง โซเดียมไนเตรต โซเดียมไนไตรด ฯลฯ) โลหะ และออกซิเจน จากากรทดลองพบวาการปรับ pH ของเนื้อสัตวใหอยูในเกณฑ 6.0-6.6 จะรักษาสีของเนื้อสัตวไวไดนาน เกลือที่นยิ มใชกนั คือโซเดียมโพลีฟอสเฟต 2.6.6 การเรงปฏิกิรยิ าเคมี เปนทีท่ ราบกันดีอยูแ ลววาปฏิกิรยิ าเคมีตาง ๆ มักจะเกิดขึน้ เร็ว ถามีสารแปลกปลอมรวมอยูด ว ย สารแปลกปลอมที่ทําใหปฏิกิรยิ าเคมีเกิดเร็วขึ้นหรือดําเนินไปอยางรวดเร็วนี้ เรียกวา “สารเรงปฏิกิรยิ า” ในอาหารมีเกลือแรหลายชนิดที่ทําหนาทีเ่ ปนสารเรงปฏิกิรยิ า ซึง่ บางชนิดก็ใหผลดี แกอาหาร แตบางชนิดก็ทาํ ใหเกิดปญหา เชน ปฏิกิรยิ าสีนา้ํ ตาลที่เกิดจากวิตามินซีทาํ ใหเกิดปญหากับน้ําสม ปฏิกิรยิ านี้จะเกิดขึ้นและดําเนินไปอยางรวดเร็วถามีทองแดงปนเปอนอยูเล็กนอย น้าํ มันจะหืนเร็วถามีทองแดง เหล็ก ตะกั่ว หรือสังกะสีปนเปอนอยูเ ล็กนอย 2.6.7 การกําจัดความกระดางของน้ํา เกลือแรหลายชนิดสามารถทําลายความกระดางของ
68
น้ําได ทัง้ กระดางชัว่ คราวและกระดางถาวร โดยการตกตะกอนหรือรวมตัวกันเปนสารประกอบที่ละลายน้ํา ได สําหรับเกลือแรทใี่ ชประกอบดวย แคลเซียมไฮดรอกไซด โซเดียมคารบอเนต โซเดียมไฮดรอกไซด สารสม ฯลฯ เกลือแรเหลานีจ้ ะทําปฏิกริยากับแคลเซียม แมกนีเซียม เหล็ก และโลหะอัลคาไลนเอิตรที่ปะปน อยูในน้ําและตกตะกอนออกไป เกลือแรบางชนิดจะเหมาะสมสําหรับการกําจัดความกระดางของน้ําที่ใช ประกอบอาหาร บางชนิดจะเหมาะสมสําหรับน้ําที่ใชในหมอทําไอน้าํ และบางชนิดจะเหมาะสําหรับทํา น้ําแข็ง 2.6.8 การทําใหอาหารเปลีย่ นสี การเปลี่ยนสีอาจเกิดขึน้ ไดถาสารอาหารทําปฏิกิรยิ ากับ โลหะบางชนิด โดยที่โลหะนั้นอาจมาจากวัตถุดิบ น้ํา เครื่องมือที่ใชในการเตรียม ภาชนะบรรจุ สายพาน ขนสงอาหาร สารเคมีตกคาง ฯลฯ โลหะจําพวกเหล็กจะทําปฏิกิรยิ ากับสารแทนนินในผักหรือผลไม ใหสารสี น้ําเงินดํา ทําปฏิกิรยิ ากับกํามะถันที่ไดจากการสลายตัวของกรดอมิโน ใหสารประกอบสีดําของเหล็กซัลไฟต จุลนิ ทรียบ างชนิดสามารถใชเหล็กในการสรางสารประกอบสีดํา (เมลานิน) ในอาหารบางชนิด เชน เบียรถา มี ดีบุกอยูเล็กนอยจะมีลกั ษณะขุน ถามีดีบุกมากจะมีสีนา้ํ ตาลมีลักษณะเหมือนนมสด เมื่อทําปฏิกิรยิ ากับสาร แอนโทซัยยานินจะใหสารประกอบสีมว ง หรือทําปฏิกิรยิ ากับกํามะถันใหสารประกอบสีดําและเกาะอยูก บั ภาชนะบรรจุ .
บรรณานุกรรม ณรงค นิยมวิทย. 2538. องคประกอบและการเปลี่ยนแปลงทางเคมีกายภาพของอาหาร. พิมพทบี่ ริษัท ฟอรแมทพริ้นติ้ง จํากัด, กรุงเทพฯ. 237 น. ณรงค นิยมวิทย และอัญชนีย อุทัยพัฒนาชีพ. ม.ป.ป. เอกสารประกอบการสอนวิชาวิทยาศาสตรการ ประกอบอาหาร, ภาควิชาคหกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร บางเขน. 441 น. นิธยิ า รัตนาปนนท. 2548. วิทยาศาสตรการอาหารของไขมันและน้าํ มัน. สํานักพิมพโอเดียนสโตร, กรุงเทพ ฯ. 244 น. อบเชย วงศทอง และขนิษฐา พูนผลกุล. 2544. หลักการประกอบอาหาร. สํานักพิมพมหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร, กรุงเทพ ฯ. 163 น.
บทที่ 4 1. การเลือกซื้อวัตถุดิบ
วัตถุดบิ ที่ใชประกอบอาหารไทย คือสิ่งที่หาไดในทองถิ่นรวมกับภูมิปญ ญาของคนไทยนํามาทําเปน อาหารตาง ๆ โดยมีความสอดคลองกับวิถชี ีวิต และวัฒนธรรมประเพณีไทย สิ่งตาง ๆ ที่นาํ มาใชมหี ลายชนิด มี รูปแบบการนําไปใชประโยชนดานอาหาร มีการเลือกซื้อ ดังตอไปนี ้ 1.1 ขาว ควรเลือกซื้อขาวที่เพิ่งสีมาใหม แหง เมล็ดยาวเต็ม มีนํา้ หนัก เมล็ดสีขาวสะอาด มันแวว เมล็ดควรอวบสมบูรณตลอดเมล็ด ไมควรมีขา วเมล็ดสีเหลืองหรือขาวเปลือกปน ไมมีเมล็ดขาวหักปนมากนัก ไมเปนฝุน ไมมีเชื้อรา ตัวมอดหรือแมลงเปนรัง ไมมีขี้แมลงสาบหรือกรวดทรายสิง่ แปลกปลอมปนอยู ไมควร ซือ้ ขาวที่มีกลิ่นอับเมล็ดชื้น 1.2 แปง ควรเลือกแปงใหม เมือ่ ดมไมมกี ลิ่นอับ ตองไมมีไขแมลง ตัวมอด หรือสิ่งสกปรกเจือปน ภาชนะบรรจุไมฉีกขาด ไมมีรอยรั่ว ไมสกปรก แปงตองแหง เนื้อควรละเอียดเนียน มีสขี าวตามชนิดของแปง แปงสาลีสีออกนวล 1.3 ขนมจีน เลือกซื้อขนมจีนเสนเล็ก สีขาวนวล เสนไมขาด เหนียวนุม สะอาด ไมเหม็นบูด ภาชนะใสสะอาด ควรเลือกซื้อตอนเชาจะไดของใหม สด 1.4 กวยเตี๋ยว ถาเปนเสนกวยเตีย๋ วชนิดแหงควรเลือกที่แหงสนิท เสนไมหัก ไมเกา อานฉลากดูวนั ผลิตหรือวันหมดอายุ กวยเตี๋ยวเสนสด เชนเสนเล็ก ควรเลือกที่ไมแหงจนเกินไป เสนขาวมัน ไมขาด ไมมีรา ขึ้น ไมมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว เหม็นหืน ไมสกปรก 1.5 กะป กะปที่ดคี วรทําจากตัวเคย จะเห็นจุดดําเล็ก ๆ ของตาเคยปนอยูใ นเนื้อกะป ไมควรเติมสี ควรเปนสีตามธรรมชาติ อาจมีสีเทาปนชมพู หรือมวงเทาจนถึงน้ําตาล ขึน้ กับชนิดของเคยที่ทาํ ควรมีเนื้อ เนียนเหนียว ไมเค็มจัด เมื่อนํากะปไปละลายน้ํายังเหลือเนื้อของกะปอยูเห็นเปนตะกอน ถาละลายไปหมด แสดงวาทําจากแปง 1.6 กุง แหง เลือกที่ไมยอ มสี แหงสะอาด ใหม ไมมรี า ไมเปนผง 1.7 ปลาแหง ควรเลือกที่ใหม ดมกลิ่นไมมกี ลิน่ เหม็น ไมควรมีหนอนขึ้น ไมมีสงิ่ สกปรก ไมยอม
70
หรือชุบสี ไมมีราขึ้น 1.8 เนื้อเค็ม เลือกที่แหงไมมเี มือก สีแดงไมคล้าํ จัด ไมเค็มจัด คือ เกลือขาวไมจับมาก ไมมีกลิ่น เหม็นเนา ควรใหม สะอาด 1.9 หอยเค็มแหง ปลาหมึกแหง เลือกที่แหงสนิท ไมเค็มจัด เนื้อใส ไมเปนผง ไมมีรา ไมเหม็น หืน ไมมกี ลิ่นอับ 1.10 ปลา มีความสด สีสดใส เหงือกแดงสด เกล็ดติดแนนเปนเงามีนวาว ตาใสนูน ตาดําดําสนิท เนื้อแนนกดเนือ้ ไมมีเกล็ดผิวหนังมันวาวคลายสีรุง มีเมือกใสคลุมบาง ๆ เนื้อปลาดานในมองดูโปรง ใสเปนมัน ไมขุน ไมมีกลิ่นเหม็นเนาหรือกลิ่นคาวจัด ไมควรซื้อปลาที่มเี หงือกสีซีดปนเทา มีสีคล้าํ ผิวหนังแหง เมือกขุน ตาขุนจมลงในเบาตา มีกลิ่นแอมโมเนีย เนื้อนิ่มเละ มีรอยช้ําหรือตุมบนผิว 1.11 กุง กุงสดเปลือกเปนมันวาว มีสสี ดใสตามธรรมชาติของกุงชนิดนั้น ๆ ตากลมใสไมเหี่ยวยน สวนหัวตัวติดแนนกับลําตัว สีแดงของมันกุงเห็นไดชัด สวนหาง ขาไมเปอยยุย ขาดหายไป ควรอยูในสภาพที่ สมบูรณไมมีจดุ สีดาํ ตามลําตัว ไมมกี ลิ่นเหม็นเนา เนื้อไมขุน สีไมซีดจาง หรือเขียวคล้ําผิดปกติ 1.12 หอย หอยสดเปลือกจะปดสนิท จะเปดอาบางเวลา เมือ่ แตะจะหุบได ฝาหอยไมแตกหักหรือ บิ่นเมื่อนําไปแชน้ําซักพักจะอาฝาคายสิ่งสกปรกออกมา ไมมกี ลิ่นเนาหรือคาวจัด ถาหอยลอยน้ําขึ้นมาแสดงวา หอยตายแลว หรือมีลักษณะหนักผิดปกติสีดําคล้ําภายในมีแตโคลน หอยที่แกะเปลือกแลวมีแตเนื้อควรเลือก หอยที่อยูใ นสภาพไมขาดรุงริ่งมีสีสดใส น้าํ ที่แชหอยไมขุน ไมมเี มือก ดมกลิ่นไมเหม็นเนาหรือคาวจัด 1.13 ปู ควรเลือกเนื้อแนน ตัวหนัก ตาใส กามใหญ เปลือกบาง กรรเชียงเนื้อแนนเมื่อใชนวิ้ ดีด กระดองมีเสียงแนนทึบ ปูตวั ผูเนื้อมากกวาปูมวั เมีย ตัวผูมฝี าปดอกเรียวเล็ก ปูตวั เมียฝาปดออกกวางปานมีไข ถาเปนไปไดเลือกปูเปนเนื้อจะหวานกวา 1.14 ปลาหมึก ปลาหมึกสดผิวเปนมันเงา สดใสเนื้อแนนแข็งไมออนเละ ตาใส ไมมีเมือก ในทอง ไมควรมีเศษอาหารเพราะจะเพิ่มน้ําหนัก สวนหัวควรติดกับลําตัว ไสไมแตก ปลาหมึกเกาคางจะมีลาํ ตัวเปนสี แดงเนื้อขาวขุน 1.15 ไข ไขสดมีนวลเคลือบ ถาไขเกานวลลดลงเปลือกไขดูมัน โพรงอากาศเล็ก ไขแดงอยูกลาง
71
ฟองไขคอนขางหนักเมื่อใสนา้ํ จะจม เปลือกไขควรสะอาดไมมีมลู สัตว สิ่งสกปรก ไมควรมีรอยราว บุบ เพราะเชื้อโรคและสิ่งสกปรกอาจซึมเขาทางรูเปลือกไขไดทําใหไขเสียเร็ว ควรเลือกซื้อไขฟองใหญเพราะขนาด ตางกันจะขายในราคาไมตางกันมากนัก ไขฟองใหญจะใหปริมาณมากกวาเมื่อเทียบกับราคาไขฟองเล็ก 1.16 ผักและผลไม ควรคํานึงถึงความออนแก ซึ่งขึ้นอยูกับขนาด รูปรางของผักและผลไมแตละ ชนิดและการใชประโยชน อยางไรก็ตามการเลือกควรเลือกที่สด ใหม ไมมีตําหนิ ไมเนา ไมช้ํา ผิวเตงตึง ไม เหี่ยว มีน้ําหนัก สีสดใส 1.17 น้ําปลา ควรมีสีน้ําตาลแดง หรือน้ําตาลเหลือง ใสสะอาด ไมมีสงิ่ เจือปนหรือตะกอนขุน มี กลิ่นหอมของปลา เปนน้ําปลาแท หรือน้ําปลาชั้นหนึ่ง จะมีคณ ุ ภาพดีที่สุด ควรอานฉลากดูวนั ผลิตวัน หมดอายุควรแจงตราหรือเครื่องหมายการคา ระบุผผู ลิตชัดเจน 1.18 เกลือ เลือกเกลือที่มเี ม็ดขาว สะอาด แหง ไมมีสงิ่ สกปรกเจือปน เลือกใชตามความตองการ เชน ปรุงอาหารใชเกลือปน เกลือหยาบเม็ดใหญใชหมักดองอาหาร หรือผสมน้ําแข็งใชปน ไอศกรีม
ฉีกขาด
1.19 น้ําตาลทราย เลือกผลึกละเอียด ไมมีสงิ่ ปนเปอน แหง สะอาด ภาชนะบรรจุเรียบรอย ไม
1.20 น้ําตาลทรายแดง เลือกที่มกี ลิ่นหอม ไมแฉะ ไมรว นแหง ไมมรี า สะอาด ไมมีสงิ่ เจือปน ภาชนะบรรจุเรียบรอย 1.21 น้ําตาลปก เลือกที่ไมฟอกสี เนื้อละเอียด นิ่ม มีกลิ่นหอม ไมเยิ้มเหลว ไมมีรา ไมมี สิง่ เจือปน สะอาด บรรจุในภาชนะสะอาดปดมิดชิด 1.22 น้ํามันพืช สังเกตจากสีของน้ํามัน ควรมีสีออ น โปรงใส ไมมีสงิ่ เจือปน ควรอานฉลากวาผลิต จากวัตถุดบิ ใด ควรแจงรายละเอียดการผลิต เชน เปนน้ํามันพืชที่ผา นกรรมวิธี หมายถึง กําจัดกลิ่น รส สิง่ เจือปนอื่น หากไมระบุเชนนี้ไมควรซื้อ 2. เทคนิคการเตรียมสวนประกอบอาหารไทยประเภทผัดและทอด ในการประกอบอาหารจําเปนอยางยิ่งทีจ่ ะตองเรียนรูเทคนิคตาง ๆ เพือ่ จะไดเตรียมขั้นตอนในการปรุง อาหารไดอยางถูกตอง อาหารนี้จะตองสะอาดและปลอดภัยและทีส่ ําคัญการประกอบอาหารควรจะมีความรู เกี่ยวกับการชั่ง การตวง ซึ่งเปนสิ่งที่จาํ เปนเพื่อจะทําใหอาหารนัน้ รสชาติอรอยอยางสม่ําเสมอ และเวลาก็
72
เชนเดียวกัน อาหารชนิดไหนจะตองทําใหสุกเร็ว เพื่อสงวนคุณคาทางดานโภชนาการอีกดวย สมัยนี้ผบู ริโภค ทุกคนมีความสนใจและมีความรูทางดานคุณคาอาหารใหถูกหลักโภชนาการเพราะมีสอื่ นําเสนอมากมายไมวา จะเปนทางดานตําราอาหารซึ่งมีขายทั่วไปทางโทรทัศนและวิทยุ หนังสือพิมพทําใหผูที่จะประกอบอาหารตอง ใหความสนใจอยางยิ่งเพื่อการแขงขันและเปนผูนาํ ทางดานอาหารโดยตรงมีหลายประเภท มีทงั้ ผัก ผลไม เนื้อสัตวตา ง ๆ 3. การปรุงและการประกอบอาหาร ผักที่มีคุณภาพดีตองสดและแกพอดี ถาผักแกเกินไปก็จะไมอรอยและมีเสนใยมากมีแตกากและควรจัด เมนูอาหารใหใชผกั ตามฤดูกาล เพราะผักสดจะรสดี ราคาถูก และควรเตรียมผักใหพอใชใหหมดไปเปนวัน ๆ แมแตการเตรียมผักเพื่อประกอบอาหารก็ควรจะมีเทคนิคตาง ๆ เชน ควรลางเพื่อที่จะปรุงอาหารเทานั้น 4. ขัน้ ตอนการลางผักกอนทีจ่ ะปรุงและประกอบอาหาร การลางผักกอนนําไปประกอบอาหารตองนําผักไปลางใหโคลน ดิน ปุย ละอองดินที่ติดมากับผักหลุด ไปแลว ยังตองลางใหปลอดภัยจากสารพิษตกคาง กอนจะลางผักควรใชมดี ตัดสวนที่เนา ช้ํา หรือสวนที่กนิ ไมไดทิ้งไป เชน พวกใบแก กานแก ราก ผักประเภทใบ เชน คะนา ผักกาด เด็ดใบออกจากตน กะหล่ําปอก ออกเปนกาบ ๆ แลวนําไปลางเพื่อใหดินโคลนที่ติดอยูตามซอกใบหลุดออกไดงา ยขณะลางใหเอามือถูเบา ๆ หลักการลางผักที่ถูกตอง - ลางกอนปอกหรือหั่น การปอก คือการตัดหรือเอาสวนที่ไมไดใชออก เชน มะละกอ มะมวง ฟกเขียว ฟกทอง หัวผักกาด หนอไม บวบ สวนผักที่รบั ประทานไดทั้งเปลือก เชนแตงกวา ไมควรปอก เปลือก - ตัดสวนที่ไมไดรับประทานออกกอน ผักบางชนิดมีราก ใหตัดรากและสวนที่รับประทานไมได ออก กอนแลวจึงลางน้ํา เชน ผักบุง ผักกระเฉด ขึน้ ฉาย - ควรลางกอนเด็ดขั้วสําหรับผักที่มีขั้ว เชน มะเขือชนิดตาง ๆ มะเขือเทศ พริก - ลางเปนพิเศษสําหรับผักที่มกี ารใชสารกําจัดแมลง เชน ถั่วฝกยาว สวนมากมักจะใชสารกําจัด แมลงระหวางการปลูก สารที่ใชฉีดสวนใหญจะเปนประเภทดูดซับมาก ดังนั้นการลางตามปกติจะไมสามารถ ลางใหสารตกคางหมดไป ดังนั้นควรตมถั่วฝกยาวในน้ําเดือดนาน 1 นาที สามารถลดปริมาณสารพิษใน ถัว่ ฝกยาวไดถงึ รอยละ 84.8
73
5. การเตรียมเนื้อสัตวกอ นปรุงและประกอบอาหาร เนื้อสัตวถาเก็บไวในตูแชแข็งถาจะนํามาปรุงประกอบอาหารควรปลอยใหละลาย โดยนําออกจากชอง แข็งมาไวในตูเย็นชั้นธรรมดาแลวจึงนํามาประกอบอาหารไดและไมควรนําเนื้อแชแข็ง แลวมาละลาย ใชไม หมดนํากลับเขาไปแชแข็งใหมจะทําใหเนือ้ สัตวนนั้ คุณภาพไมดีรสชาติไมอรอย และทําใหเนื้อสัตวนนั้ มีจุลนิ ท รียเพิ่มขึ้น เพราะขณะที่ปลอยใหเนื้อคลายความเย็นนั้นจุลินทรียจะเจริญเติบโตไดอีก 6. การเตรียมปลากอนการประกอบอาหาร ปลามี 2 พวก คือ ปลามีเกร็ด และไมมเี กร็ด ดังนัน้ วิธกี ารเตรียมกอนการปรุงจะมีวิธีแตกตางกัน 6.1 ปลาพวกมีเกล็ด ไมควรลางน้ํากอนขอดเกล็ดเพราะจะทําใหลื่นจับไมอยู แตถา ปลาถูกลมจนตัว แหงใหชุบน้ํานิดหนอยแลวจึงขอดเกล็ด เสร็จแลวใชมดี ขูดเมือกจนหมด ดึงเหงือก ควักไส ตัดครีบ ตัดหาง แลวลางน้ํา 6.2 ปลาพวกไมมีเกล็ด เอาตัวปลาจุมน้ําแลวหาของทีม่ ีลกั ษณะสากขูดเมือก ดึงเหงือก ควักไส ตัด ครีบ ตัดหาง ลางใหสะอาด การตัดแบงในการนํามาปรุงประกอบอาหารมีการตัดแตงแบบตาง ๆ ดังนี้ 6.2.1 Whole หมายถึงปลาทั้งตัวที่ยงั ไมไดตัดสวนใดสวนหนึ่งออก 6.2.2 Dressed หมายถึง ปลาที่ขอดเกล็ด ควักไส ตัดหัว ตัดครีบ ตัดหาง ออกแลว 6.2.3 Fillet หมายถึงปลาที่มกี ารตัดแบบ Dressed แลวแลหนังออกแลว เอาเฉพาะเนื้อโดยแล แนวกระดูกกลางหลังลงไปขางละชิ้น 6.2.4 Steak หมายถึง ปลาที่มกี ารตัดแบบ Dressed แลว นํามาหั่นเปนแวนหนา 5/8 - 1 นิ้ว 6.2.5 Butterfly หมายถึง ปลาที่มกี ารตัดแบบ Dressed แลว แลหนังออก แลวเอาเฉพาะเนื้อ โดยแลจากแนวกระดูกกลางหลังทั้งสองขางลงไป โดยใหเนื้อสวนทองติดกัน 6.2.6 Stick หมายถึง ปลาที่มกี ารตัดแบบ Fillet แลวหั่นเปนชิน้ หนาประมาณ 3/8 นิ้ว
7. การเตรียมสัตวน้ําชนิดอืน่ กอนการหุงตม
74
7.1 ปูสด ลางน้ําหรือลางน้าํ เกลือ เอาสิ่งสกปรกที่ติดมากับตัวปูออก เอาสวนที่เปนกระเพาะอาหาร ออกไปเพราะจะเปนสวนทีม่ ีแบคทีเรียอยูม ากกวาสวนอืน่ และอาจจะมีพยาธิอยูดว ย การแกะเนื้อปูทาํ ใหสะดวก ในการรับประทานอาจนํากระดองปูมาตกแตงใหม ลางใหสะอาด แลวทําเปนภาชนะสําหรับวางเนือ้ ปู 7.2 กุง สด กุง กอนปอกเปลือกตองลางใหสะอาด ถาใชกุงทั้งตัวควรปอกสวนหัวกอน ระวังไมใหหัว หลุดจากตัวโดยใชหวั แมมือแทรกไปที่แกมทั้ง 2 ขาง ระหวางเปลือกใหเปลือกหลุดใหใชมือหนึ่งจับหนวด มือหนึ่งจับกรีและฉีกออก ถาตองการเอาหางไวใหเด็ดเฉพาะกรีออก การปอกทั้งตัวหลังจากปอกเปลือกแลว ใหใชไมปลายแหลมดึงเสนดําออกตามแนวหลังตัว ถารีดมันกุงจะติดอยูทางหัวเอานิ้วเขีย่ ออกใสจาน ถาเปนกุง ตัวเล็กสําหรับทอดเทมปุระจะตองตัดขากุง หนวดกุงโดยใชกรรไกรตัด ตัดกรีกุง แลวตัดหัวระหวางใตตาออก ใหงอตัวกุงใชไมแหลมดึงเสนดําออก สวนใตทองกุงตองกรีดตามตัวกุง หรือ ตามขวาง 2-3 ที แลวยืดตัวกุง เพื่อไมใหกุงตัวงอเวลาทอด 7.3 หอย เปนสัตวที่มเี ปลือกการเตรียมกอนการประกอบอาหารมีความสําคัญมากตองลางใหสะอาด กอนนําไปประกอบอาหาร โดยใชแปรงขัด หรือลางน้ําหลาย ๆ ครั้ง หอยจะมีโคลน ทราย อยูข างในควรแช น้ําเกลือทิ้งไว หอยจะคายโคลนออกมา หากน้ําสกปรกก็เปลี่ยนน้ําเสียครั้งหนึ่ง ถาเปนหอยแมลงภูมีขอควร แนะนําวาใหโรยแปงหรือขาวโอตปนลงไปเล็กนอย เพราะจะเปนอาหารของหอยแมลงภู หอยจะอาปากจะ คลายสิ่งสกปรกออกมาดวย จากนั้นใชมดี กระเทาะหินปูนที่ติดตามเปลือกหอยออก ในกรณีทตี่ อ งการเสิรฟ หอยทั้งกาบใหดงึ หนวดออกดวย 7.4 ปลาหมึกสด มีทงั้ ปลาหมึกกลวยและปลาหมึกสาย ปลาหมึกกลวย ดึงแผนใส ๆ ภายในลําตัวออกแลวดึงสวนหัวซึ่งมีหนวดใหหลุดจากลําตัว ใช นิ้วหัวแมมือแทรกสวนหัวเขาไปในหนังปลาหมึก ลอกหนังออกจะเห็นเนื้อปลาหมึกสีขาว สวนที่เปนหัวใหดึง เอาถุงหมึกและใชมีดตัดลูกตาและจงอยปากออก ควักไสพงุ ออกแลวลางน้ําใหสะอาด ปลาหมึกสาย ทําความสะอาดโดยใชมดี ตัดหนวดออก แลวผาตัวปลาหมึกออก ควักไสพุงทิ้งไป รวมถึงจงอยปากดวย จากนัน้ ลอกหนังโดยนําไปลวกใหครึ่งสุกครึ่งดิบ หนังจะลอกหลุดออกไดงา ย การหั่นปลาหมึก ปลาหมึกกลวยจะตัวเล็กมักจะหั่นครึ่งตัว แลวนําไปผัดหรือสอดไสหมูสบั ทํา แกงจืด ถาเปนปลาหนึกตัวใหญใหแลผา เปนแผนใชมดี กรีดขวางกากบาทแบบเฉียง รอยกรีดไวจะทําให สวยงามและปลาหมึกจะมวนเปนวงนอกจากนี้จะชวยใหเคี้ยวงายไมเหนียว 8. การเตรียมเนื้อสัตวประเภทเนื้อหมู เนื้อไก
75
การเตรียมเนื้อสัตวเพื่อนําไปประกอบอาหารขึ้นอยูกับลักษณะอาหารทีต่ องการ เชน จะนําไปผัด ทอด ตม หรือตุน เปนตน วิธีเตรียมดังนี้ 8.1 การทําความสะอาดเนื้อสัตว กอนนําไปประกอบอาหารควรทําความสะอาดดวยการลางน้าํ ทั้งชิ้น ไมควรหั่นเนื้อเปนชิ้นเล็ก ๆ แลวนําไปลางหรือลางโดยแชนา้ํ นาน เพราะรสชาติและสารอาหารที่มีประโยชน จะละลายไปกับน้ํา หลังจากลางควรผึงใหสะเด็ดน้ํา 8.2 การหั่นหรือการตัดแตง การหั่นเนื้อสัตวมีสว นชวยในการหุงตมมาก ถาตองการใหสกุ เร็ว จะหั่น ชิ้นขนาดเล็ก เชน การนําไปผัดหรือแกง แตถาเนื้อเหนียวมากควรใชวิธีทับหรือบด จะชวยใหบริโภคไดงา ย การหั่นตองหัน่ ตามขวางเสนใยกลามเนื้อใหมขี นาดสั้นลง จะชวยใหเนื้อเหนียวนอยลง ถาชิ้นเนื้อมีเอ็นและ พังผืดติดมาควรแลออกกอน
9. เทคนิคในการประกอบอาหารไทยประเภทผัดและทอด ในการประกอบอาหารประเภทผัดและทอดนั้นสามารถใชทั้งเนื้อสัตว ผัก และวัตถุดิบประเภทแปง เปนวัตถุดบิ หลักในการประกอบ ซึ่งวัตถุดิบแตละประเภทจะมีเทคนิคและวิธีการประกอบที่แตกตางกันเพื่อให ไดลกั ษณะทีด่ ขี องอาหารนั้น ๆ ซึ่งจะทําใหนา รับประทานมากยิ่งขึน้ ในการประกอบอาหารประเภทผัดและ ทอดมีเทคนิคที่แตกตางกันออกไปดังนี ้ 9.1 เทคนิคการผัด การผัดถึงแมจะมีเทคนิคอยางงาย ๆ แตก็มีขอ ปฏิบตั ิหลายประการที่ผปู ระกอบ อาหารควรทราบ และปฏิบัตใิ หถูกตอง ใหอาหารที่ประกอบมีคณ ุ ภาพดีสมความมุง หมาย 9.1.1 ใชน้ํามันเล็กนอย น้าํ มันที่ใชจะตองไมเปนไขเมือ่ เย็นตัว อาจเปนน้ํามันถั่วเหลือง หรือน้ํามันสลัดก็ได น้ํามันที่ใชตองรอนจัดในกรณีที่ผัดไฟแดง โดยสังเกตดูไอน้ํามัน น้าํ มันที่รอนจัดจะมีไอ น้ําเล็กนอย สวนการผัดธรรมดาใชไฟออนกวานั้นเพียงใหนา้ํ มันรอนจัดเพียงพอแลว 9.1.2 อาจเติมกลิ่นลงในน้าํ มันกอนการผัด โดยใสกระเทียมลงไปเจียวใหหอม การ เจียวกระเทียมตองทําอยางระมัดระวัง อยาเจียวจนเหลืองแกหรือดํา เพราะจะทําใหอาหารที่ผดั มีรสขม ไมนา รับประทาน การเจียวกระเทียมจะตองทราบวากําลังจะผัดอะไร ตองใชความรอนมากนอยเพียงใด ถาตองการ ผัดไฟแดงไมควรใสกระเทียมลงไปผัดกอน เพราะไฟรอนจัดกระเทียมจะไหม ควรใสกระเทียม ผัก น้ํา เครื่องปรุงรสและเครี่องปรุงกลิ่นลงไปพรอมกันแลวผัดเร็ว ๆ รีบตักขึ้น ถาเปนผัดธรรมดาใหใสกระเทียมลงไป
76
เจียวกอน พอกระเทียมหอมจึงใสเนื้อสัตวและผักลงไป ตามดวยน้ําซุป เครื่องปรุงรส อาจตองมีการรอคอยให เนื้อสัตวหรือผักสุกยากสุกจนหมดโดยการครอบอาหารไวจึงตักขึ้น 9.1.3 เติมน้ําขณะที่ผัด น้าํ สตอก หรือไวนลงไปเล็กนอย น้าํ หรือน้ําสตอกควรอุนใหมี อุณหภูมใิ กลจดุ เดือดมากที่สุด (เพราะจะไมทําใหอณ ุ หภูมลิ ดลง) และจะกลายเปนไอทันทีเมื่อสัมผัสกับภาชนะ รอน เปนการเพิ่มความรอนใหกับอาหาร ทําใหอาหารไดรบั ความรอนอยางสม่ําเสมอ และทําใหอาหารมีความ ชุมขึ้นดวย 9.1.4 ใสผกั หรือเนื้อสัตวที่สกุ ยากลงไปผัดกอน ถาอาหารเปนผักหรือเนื้อสัตวหลาย ชนิด ระยะเวลาที่ใชทาํ ใหสุกแตกตางกัน ควรใสผกั หรือเนื้อสัตวที่สกุ ยากลงไปกอนแลวตามดวยผักหรือ เนื้อสัตวที่สกุ งายลงไปตามลําดับ หรือลวกผักแตละชนิดกอนนําไปผัด 9.1.5 เติมรสชาติของการผัด รสที่นยิ มใชกนั คือรสเค็มและรสหวาน รสเค็มนิยมใชเกลือ น้ําปลา ซีอวิ้ ขาว ซีอวิ้ ญี่ปุน เตาเจี้ยว น้าํ มันหอย ซอสแม็กกี้ ซอสบารบีคิว น้าํ มันงา จิกโฉว ฯลฯ สวนพวก รสหวานนิยมใสน้ําตาลหรือผงชูรส ปริมาณที่ใชไมควรมากเกินไปจนเกิดรสหวาน เพียงแตตัดรสอื่น ๆ ของ เนื้อสัตวหรือผักและชวงดึงรสหวานใหเดนชัดขึ้นเทานัน้ ถาเปนผงชูรสควรใชปริมาณรอยละ 0.02 ผัดผัก 1 จาน สําหรับ 4 คน ควรใชนา้ํ ตาลหรือผงชูรส ¼ ชอนชา 9.1.6 จัดวางเครื่องปรุงรสทุกชนิดไวใกลมือสามารถหยิบจับไดสะดวก และเร็วขึ้น การผัดอาหารบางครั้งตองปฏิบัตอิ ยางรวดเร็ว โดยเฉพาะเนื้อสัตวไมควรสุกมากเกินไป เนื้อจะแข็งกระดาง ไม นุมนวลและผักจะเปลีย่ นเปนสีเขียวขี้มา ไมนา รับประทาน 9.1.7 อาจเติมแปง อาหารผัดหลายชนิดตองมีการเติมแปงลงไปดวย อาจเปนแปงมัน สําปะหลังหรือแปงขาวโพดก็ได แปงทําใหอาหารมีความหนืดเพิ่มขึ้น แปงจะชวยรักษากลิ่นรสของเนื้อสัตวไว ดวย ทําใหออกรสอรอยมากขึ้น การเติมแปงเริ่มดวยการละลายแปงในน้ําเย็น หรือน้ําซุปก็ได แลวเทลงใน กระทะทีก่ าํ ลังทําอาหารคนใหท่วั เมื่ออาหารมีอุณหภูมปิ ระมาณ 950C แปงเริ่มขนเหนียว ใหเพิ่มอุณหภูมิ สูงขึ้นจนกระทัง่ เดือด หรือแปงสุกจึงตักขึ้น 9.2 เทคนิดการทอด ทอดคือการทําอาหารใหสุกโดยใชนา้ํ มันเปนสื่อความรอน และอาหารที่สุก ดวยการทอดจะมีน้ํามันซึมซับแทรกอยูใ นอาหารนั้น ๆ ดวย น้าํ มันทีแ่ ทรกเขาไปในเนื้ออาหาร หากซึมเขาไป แตเหมาะก็จะทําใหอาหารนัน้ อรอยยิ่งขึ้น แตหากซึมเขาไปมากเกินไปเรียกวา “อมน้ํามัน” จะทําใหอาหารมี
77
ความเลี่ยนเกิดขึ้น เปนการทําลายความอรอยของอาหารใหลดลง ดังนั้นการทอดอาหารจึงมีความเขาใจ ธรรมชาติของน้ํามันที่ใชทอดดวย ตามทฤษฏีกลาววา น้าํ มันที่ใชทอดอาหารไดไมวาจะเปนน้าํ มันหมู น้าํ มัน ไก น้ํามันมะพราว น้ํามันมะกอก น้าํ มันถั่วเหลือง น้าํ มันถั่วลิสง น้าํ มันรําขาว ฯลฯ แตคุณสมบัตใิ นการทอด ของน้ํามันเหลานั้นจะมีไมเทากัน น้าํ มันที่เหมาะในการทอดแบบใชนา้ํ มันมากควรเลือกน้ํามันทีม่ ีจดุ เปนควัน สูง (เปนควันชา) และผูชํานาญการบางรายจะใชนา้ํ มันหลายชนิดปนกัน เพื่อใหไดลกั ษณะของอาหารที่ทอด เสร็จแลวดีดงั ตองการ เชน พอครัวเทมปุระชาวญี่ปุนจะใชใหไดลักษณะเฉพาะตัวดีที่สุด น้าํ มันยิ่งทอดซ้ํายิ่ง เปนควันเร็วขึน้ อุณหภูมิทใี่ ชทอดอาหารตางชนิดกันจะใชอุณหภูมใิ นการทอดไมเทากัน อาหารบางชนิดตองทอด ในอุณหภูมิทคี่ อ นขางต่ํา เชน ขาวเกรียบกุง หนังหมูตากแหง ปลาตัวโต ฯลฯ สวนขาวตัง ปลาชิงชัง ปลาหมึกแหง ฯลฯ ตองทอดในอุณหภูมทิ ี่คอ นขางสูงจึงจะพองแลวกรอบรวน เปนตน กลิ่นของน้ํามันจะมีผลตอกลิ่นของอาหารที่ทอดเสร็จแลวดวย จึงควรเลือกน้ํามันที่ไมมีกลิ่น อาหารไทยทัว่ ไปนิยมปรุงแตงกลิ่นรสกลบกลิ่นรสตามธรรมชาติอยูแลวจึงไมคอ ยเกิดปญหาในเรือ่ งกลิ่นของ น้ํามันกับอาหารไทยมากนัก 9.2.1 อาหารทอดในน้ํามันมาก มีอาหารไทยหลายชนิดที่ตองทอดในน้ํามันมากจนทวมชิ้น อาหาร ในขณะทีใ่ สอาหารลงในน้ํามันครั้งแรก แตเมื่ออาหารนัน้ สุกจะลอยขึน้ มาอยูที่ผิวหนาของน้ํามัน อาหารทอดทีน่ ยิ มมีหลายอยางเชน ทอดมัน ปลาทอด ไกทอด ไขทอด ฯลฯ ปลาทอด หลักในการทอดปลา คือตองเลือกปลาสด ทําเสร็จแลวเคลาเกลือนิด หนอย ตังกระทะใหรอ นกอนจึงใสน้ํามัน เมื่อน้าํ มันรอนจึงใสปลาลงทอด ใสปลาแลวไมขยับ หรือกลับชิ้นปลารอ จนกวาจะสุกเกรียมตามตองการเสียกอน จึงกลับอีกดานหนึ่งลงทอดตอ ตักขึ้นใหสะเด็ดน้ํามัน เสิรฟทันที 1)
1.1 ทอดแบบธรรมดา ใชปลาทัง้ ตัว เชน ปลาจะระเม็ด ปลาสําลี ปลาเกา ปลาทู ฯลฯ ขอดเกล็ดควักเหงือกและไสลางใหสะอาด ผึงใหนา้ํ แหง (ครีบและหัวยังคงอยู) ทาดวยเกลือปนใหทวั่ (จะชวยไมใหติดกระทะเวลาทอด) พักไวใหเนื้อแข็งสัก 15 นาที จึงนําลงทอดจนผิวกรอบขางในนุม ใชปลาที่ แลออกเปน fillet เชน ปลาชอน ปลาแดง เคลาเกลือแลวทอด 1.2 ทอดแบบชุบไขและเกร็ดขนมปง หรือคลุกแปงแหง ใชปลาที่แลออกเปนซีก
78
ปรุงรสดวยเกลือ และพริกไทย ชุบไข (ตีใหแตกเขากัน) เกลือลงในเกร็ดขนมปงหรือแปงสาลี (แหง) นําลง ทอดจนผิวเหลือง ทอดวิธีนเี้ นื้อปลาจะนิม่ และฉ่ําน้ํารสหวานของเนื้อปลายังเหลืออยูมากกวาวิธีแรก ปลาที่ ทอดวิธีนคี้ วรเลาะหนังออกดวย และควรเก็บหรือเซาะกางออกใหหมด มีปลาหลายชนิดที่ควรทอดวิธีนี้ เชน ปลาทู ปลาตาเดียว ปลาแดง ปลากะพง ฯลฯ 1.3 ทอดทั้งตัวโดยบั้งขางตัวใหถี่ ปลาบางชนิดที่มีกางแทรกในเนื้อสามารถทอดได แตตอ งบั้งตามขวางใหถี่ ๆ รอยบั้งหางกันประมาณ 0.5 เซนติเมตร ใหลึกถึงกระดูกกลางทั้ง 2 ดาน ทาเกลือ ใหเนื้อแข็งแลวทอดใหกรอบ กางแทรกจะกรอบทั้งหมดกินไดทั้งกาง (กางแทรก) เชน ปลาตะเพียน ปลา นวลจันทร ฯลฯ 1.4 ชุบแปงทอด จะตองแลเอาแตเนื้อ เก็บกางออกใหหมดเคลาเกลือ พริกไทยพอ มีรส ชุบลงในแปง (batter) เหมือนแปงที่ใชในการทํากุง-ปูชุบแปงทอดแพ เหมาะสําหรับปลาตัวเล็ก ๆ เชน ปลาทรายที่แลเปนแบบ fillet และปลาตัวโต ๆ ที่แลเปน fillet แลวนํามาหั่นเปนชิน้ หนาประมาณ 1 เซนติเมตร 1.5 ปง แลวทอด ปลาบางชนิด เชน ปลาดุก นํามาปงใหสุกตะกุยเนื้อใหฟเู ปนปุย หรือสับใหละเอียดแลวทอดใหกรอบจะไดปลาทอดที่เรียกวา ปลาฟู หรือปลาดุดฟู ปลาอื่น ๆ เชน ปลานิล ปลาสวาย ทําปลาฟูได 1.6 นึ่งแลวทอด นําปลาสดมาทําใหสะอาด (ควักเหงือกและไสลา งสะอาด ผึง่ ให สะเด็ดน้ํา) แชในน้ําเกลือพอมีรสเค็มนําขึ้นนึ่งพอสุก เมื่อจะรับประทานนํามาทอดใหผวิ เหลืองเสียกอนจะ อรอยขึ้น เชน ปลาทูนึ่ง ปลาจวด ปลาหลังเขียว ปลาแมคเคอรอล ยังมีปลาอีกกลุมหนึ่งที่นงึ่ ใหสุก นํามายีให เนื้อฟูแลวทอดกรอบเปนปลาฟู เชน ปลาสวาย ปลาแดง ปลานิล 2) ไกทอดและเนื้อสัตวอื่น ๆ เชน เนื้อและหมู การทอดไกจะมีวิธกี ารเหมือนการทอด ปลา คือ ทอดโดยไมเคลือบผิว ทอดโดยเคลือบผิวดวยขนมปงปน แปงแหง หรือแปงผสม (batter) 3) ไขทอดหรือไขดาว ทอดในน้ํามันมากและคอนขางรอน (แบบไทย) ไขขาวจะฟองฟู มีโพรงอากาศแทรกอยูมาก มีความเหนียวเกิดขึ้น
79
9.2.2 การทอดอาหารในน้าํ มันนอย อาหารไทยหลายอยางที่ไมจําเปนตองทอดในน้ํามันมาก เชน หมู ไก กุง ปลาหมึกทอดกระเทียม พริกไทย ควรใชนา้ํ มันพอควร แตไมทว มชิ้นของเนือ้ สัตว ใชความ รอนพอผิวดานลางเกรียมก็พลิกกลับเอาดานบนลงใหเกรียมเทากันแลวตักขึ้น การทอดไฟแรงผิวจะเกรียม โดยเร็ว แตขา งในจะสุกนุมและฉ่ํา (น้าํ หวานในชิ้นเนื้อ) จึงเลือกเนื้อสัตวสวนที่นมุ หมักหรือปรุงรสใหพรอม แลวทอด หรือทอดพอสุกเกรียมทั้ง 2 ดาน แลวราดดวยน้าํ ปลา ซีอิ้วขาว หรือซอสปรุงรส เชน ปลาอินทรีย (ปลาหั่นแบบ steak) ทอดราดน้ําปลา เปนตน น้าํ มันทีใ่ ชทอดจะรวมเขาไปในอาหารนั้น ๆ ทัง้ หมด 10. สุขอนามัยของผูป ระกอบการ มารยาทในการใหบริการอาหารไทยประเภทผัดและทอด บุคคลที่ทาํ หนาที่เกี่ยวของกับอาหารทุกขัน้ ตอนควรมีความรู ความเขาใจในการปฏิบัติตัวอยางถูกตอง ทั้งในเรื่องอนามัยสวนบุคคล และสุขนิสัยที่ดีในการประกอบและปรุงอาหาร โดยยึดหลักวาจะตองไมให อาหารเกิดการปนเปอนทุกกรณีในทุกขั้นตอน เริ่มจากกอนเขาครัว ระหวางการประกอบอาหาร และหลังเสร็จ สิน้ งานจึงควรทราบถึงขอควรปฏิบัติตาง ๆ เพื่อใหอาหารสะอาดปลอดภัย และการปองกันอันตรายตาง ๆ ที่ อาจเกิดขึน้ ในขณะประกอบอาหารดวย 10.1 ผูสัมผัสอาหาร คือ บุคคลที่เกี่ยวของกับกระบวนการปรุง ประกอบ และจําหนายอาหาร ไดแก คนเตรียมปรุง และประกอบอาหาร คนเสิรฟ อาหาร คนจําหนายอาหาร ผูสัมผัสอาหารควรมีสขุ ภาพดี ไม แพรกระจายโรค ดังนั้นจึงควรใหผูทํางานเกี่ยวของกับอาหารไดตรวจสุขภาพเปนประจําทุกป อยางนอยปละ ครั้ง และมีใบรับรองแพทยเพื่อแสดงวาผานการตรวจสุขภาพรางกายแลว เปนผูที่มีรา งกานและสุขภาพสมบูรณ สามารถปฏิบัตงิ านในฐานะผูสัมผัสอาหารได โดยปราศจากโรค ดังนี้ 10.1.1 โรคไทฟอยด 10.1.2 โรคตับอักเสบชนิดเอ ระยะติดตอ 10.1.3 โรคพิษสุราเรื้อรัง 10.1.4 วัณโรคในระยะอันตราย 10.1.5 โรคติดยาเสพติดใหโทษ 10.1.6 โรคเอดส 10.1.7 โรคเทาชาง ในระยะที่ปรากฏอาการอันเปนที่นา รังเกียจแกสงั คม 10.1.8 โรคเรื้อนในระยะติดตอ หรือในระยะที่ปรากฏอาการเปนที่นา รังเกียจแกสงั คม
10.2 การดูแลรักษาสุขภาพและความสะอาดของรางกาย
80
ผูสัมผัสอาหารควรสังเกตสุขภาพของตนเอง ถามีอาการผิดปกติ หรือเจ็บปวย ควรหยุดปฏิบัติงาน หรือเปลี่ยนหนาที่ไมทาํ งานสัมผัสกับอาหาร ไดแก เจ็บคอ มีไข ทองเสีย อาเจียน ตัวเหลือง ตาเหลือง เปน แผลมีหนองอักเสบ เพราะอาจแพรเชื้อโรคลงสูอาหารได นอกจากการดูแลสุขภาพแลวยังควรมีการปฏิบัติเพื่อ รักษาความสะอาดของรางกายใหถูกตองควรทําเปนประจําดังตอไปนี้
หนังศีรษะ
10.2.1 อาบน้าํ ชําระลาง ทําความสะอาดรางกายทุกสวน อยางนอยวันละ 2 ครั้ง 10.2.2 สระผมอยางนอยสัปดาหละ 2 ครั้ง ไมควรไวผมยาว ไมเปนโรครังแคหรือโรคเกี่ยวกับ
10.2.3 แปรงฟนใหถกู วิธี ในตอนเชาและกอนนอนทุกวัน และหลังรับประทานอาหารแลวควร บวนปากดวยน้ําสะอาดทุกครั้ง รักษาอนามัยของปากและฟนเปนประจํา อยาปลอยใหฟนผุ คออักเสบ 10.2.4 รักษาความสะอาดของมือ โดยการตัดเล็บสั้น ไมทาเล็บ ไมสวมนาฬิกา เครื่องประดับ หรือสิ่งใดที่ขอ มือ ถามีบาดแผลเล็กนอยที่มอื ควรใสยาและปดดวยพลาสเตอรกันน้าํ สวมถุงมือทับอีกครั้งเมื่อ ปฏิบัติงานสัมผัสอาหาร 10.3 สุขนิสัยที่ดใี นการประกอบและปรุงอาหาร การปฏิบัตติ นของผูสัมผัสอาหารที่ถูกสุขลักษณะในการปฏิบัติงาน เริ่มกอนจากทําหนาที่ ระหวางการ ปรุงและประกอบอาหาร จนถึงการวางจําหนายและเสิรฟอาหารควรปฏิบัติดังนี้ 10.3.1 การเตรียมพรอมกอนปฏิบตั งิ าน 1) การแตงกาย ตองแตงใหสะอาดถูกตอง ไดแก สวมหมวกคลุมผม และเก็บผมใหเรียบรอยมิดชิด เพราะเชื้อโรคหลายชนิดพบไดทหี่ นัง ศีรษะ และเสนผม จึงอาจจะรวงหลนลงสูอาหารถาผูสัมผัสอาหารเกาศีรษะในระหวางปฏิบัติงาน เชื้อโรคจะ ติดอยูที่มอื และอาจติดไปกับอาหารจากการหยิบจับอาหารโดยไมลางมือใหสะอาด ควรสวมหมวกคลุมผมกอน สวมเสื้อคลุม เพื่อไมใหเสนผมหลนอยูบนเสื้อ ใสเสื้อผาที่สะอาด ควรเปนเสื้อมีแขน และควรเปลี่ยนไปใชผา ที่ใชเฉพาะในการปฏิบัติงาน เพราะเสื้อผาที่ไมสะอาดจะเปนแหลงสะสมเชื้อโรค และถาใชมอื สัมผัสเสื้อผาสกปรกแลวหยิบจับอาหารก็เปน การแพรเชื้อโรคได เสื้อผาที่สะอาดจะชวยปองกันความสกปรก เหงือ่ ไคลลงปนเปอนกับอาหารได หลังจาก สวมเสื้อคลุมแลวอาจมีการใชลูกกลิ้ง เก็บเสนผมที่เสื้อผาดานนอกออก
81
ผูกผากันเปอนเต็มตัวที่สะอาด เพื่อปองกันสิ่งสกปรกจากผูประกอบอาหารปนเปอ นลงสู อาหารและหมัน่ นําไปซักทําความสะอาดเปนประจํา เพือ่ ไมใหเปนแหลงสะสมเชื้อโรคสิ่งสกปรก ควรถอดผา กันเปอนออกชั่วคราวเมื่อเขาหองน้ํา สวมรองเทาสะอาด กอนปฏิบัติงานควรลางเทาและเปลีย่ นใชรองเทาเฉพาะการทํางาน ควร เปนรองเทาหุม สน พืน้ รองเทาไมลื่น และไมทําใหเกิดการกระเด็นของน้ําจากพืน้ ขึน้ มา ไมควรใชรองเทาแตะ เพราะจะดีดน้าํ รองเทาจะเปนสวนที่สัมผัสกับสิ่งสกปรกตาง ๆ จากภายในและภายนอกครัว แลวนํามา แพรกระจายภายในครัว และอาจแพรไปสูอาหารไดตอ ไป ควรเปลี่ยนรองเทาเมื้อตองใชหองน้ําเพราะเปน แหลงสะสมเชือ้ โรค 2) การลางมือ ตองลางมือใหสะอาดกอนและหลังการปฏิบัติงานที่เกี่ยวของกับอาหารทุก ครั้ง โดยลางมือดวยสบูใ หสะอาดทุกสวน เพราะเชื้อโรคจะติดอยูต ามมือและเล็บ ควรลางมือหลังจากสัมผัส สิง่ สกปรก เชน อาหารดิบ ผาขี้ริ้ว ขยะ สารเคมี ยาฆาแมลง หลังจากการใชหองน้ํา การใชแกะเการางกาย การใชมือปดปาก จมูก ขณะไอจาม ฯลฯ มือจึงเปนแหลงสะสมและกระจายเชื้อโรคได โดยเฉพาะผูที่มเี ล็บ ยาว หรือมีการอักเสบบริเวณมือและเล็บ
2 ขาง ดังนี้
การลางมือที่มปี ระสิทธิภาพ ควรทําตามขั้นตอนตาง ๆ ทุกขั้นตอน ทํา 5 ครั้ง สลับกันทัง้
1.ฝามือถูกัน 2.ฝามือถูหลังมือ และถูซอกนิ้ว 3.ฝามือถูฝา มือ และนิว้ ถูซอกนิ้ว 4.หลังนิ้วมือ ถูฝา มือ 5.ถูหัวแมมอื โดยรวม ดวยฝามือ 6.ปลายนิ้วถูทางฝามือ 7.ถูรอบขอมือแลวลางดวยน้ําสะอาด ควรใชเวลาในการลางมือดวยสบูอยางนอย 20-30 วินาที แลวลางดวยน้ําสะอาดทีไ่ หลผาน จนหมดสบู การลางมือควรทําความสะอาดตั้งแตสวนมือจนถึงขอศอก หลังจากลางมือแลวควรใชกระดาษเช็ดมือชนิดใชครั้งเดียว เช็ดใหแหงหรือเปาดวยลมรอน หามเช็ดมือกับผากันเปอน หรือเสื้อผา หรือผาที่ไมสะอาด 10.4 ขณะปฏิบัตงิ าน
82
ผูป ฏิบัติงานดานอาหารควรคํานึงถึงความสะอาดปลอดภัยของอาหาร ปองกันการปนเปอนขาม (cross contamination) มาสูอาหารที่ปรุงสุกแลว และควรระมัดระวังการทํางานใหปลอดภัยจากอันตราย และอุบัติเหตุตา ง ๆ ดวย 10.4.1 ความสะอาดปลอดภัยของอาหาร ควรมีวิธีการปฏิบัตโิ ดยคํานึงถึงสิ่งตอไปนี้ 1) ประกอบอาหารใหสูงจากพืน้ อยางนอย 60 ซ.ม. ไมควรทํางานบนพื้นเพื่อปองกันสิ่ง สกปรกและการปนเปอนจากพื้นสูอาหาร โดยทั่วไปโตะประกอบอาหารจะสูงประมาณ 80 ซ.ม. จึงสามารถ ปองกันการกระเด็นของน้ํา และการฟุงกระจายของฝุนละอองและเชือ้ โรคจากพื้นหองได ไมควรเตรียมและ ปรุงอาหารบริเวณหนา หรือในหองน้ํา เพราะเปนแหลงสะสมเชื้อโรค 2) การลางเตรียมอาหารใหถกู วิธี อาหารสดมีการลางสะอาดอยางถูกวิธี เพื่อชวยลดสารพิษ ตกคางในผักผลไม มีการเตรียมเนื้อสัตวอยางเหมาะสมแลวบรรจุแยกประเภทเปนสัดสวนเพื่อใหอาหารอยูใ น สภาพที่สะอาดกอนนําไปประกอบ และชวยปองกันการปนเปอนขามของวัตถุดิบ 3) แยกเขียงสําหรับใชงานกับอาหารตางประเภทกัน คือ เนือ้ สัตวดิบ ผักผลไม อาหารสุก โดยใชเขียงสีตางกัน และควรแยกมีดดวยเพื่อไมใหสิ่งสกปรก และเชื้อโรคจากอาหารชนิดหนึ่ง ไปสูอาหารอื่น เขียงและมีดควรมีสภาพดีไมเปนสนิม ไมชํารุด สกปรกเปนรา มีการลางทําความสะอาดดวย น้ําสบูและน้ํายาฆาเชื้อ ผึง่ ใหแหง เก็บอยางเหมาะสมหลังการใชงาน 4) การชิมอาหาร ควรใชชอนชิมแยกเฉพาะ ไมควรนําชอนชิมตักอาหารโดยตรง เพราะ เชื่อโรคและน้าํ ลายในปากจะปนเปอนลงอาหารได หากเปนอาหารรอนอาจตักใสถวยแบงกอนชิม 5) การใชอปุ กรณกับอาหารที่ปรุงสุกแลว เชน ใชปากคีบ ทัพพี ชอน หรือตะเกียบ คีบ ตามความเหมาะสมของอาหาร โดยจะตองรักษาอุปกรณที่ใชใหสะอาดอยูเสมอ และวางในที่เหมาะสม เชน มีภาชนะรองรับเพือ่ ไมใหอปุ กรณเหลานั้นสกปรก นําเชื้อโรคสูอาหารไดหากจําเปนตองใชมือสะอาด สัมผัสอาหารได 6) การใชถุงมือ ถุงมือมีประโยชนในการปองกันมือจากการถูกมีดบาด จากสิ่งสกปรก เชื้อโรคปองกันการแพนา้ํ ยาจากสารทําความสะอาด จึงควรเลือกใชถงุ มือที่เหมาะสมในการปฏิบตั ิงาน และใช อยางถูกวิธี ดังนี้ ก. ถุงมือยาง อาจยาวถึงขอศอก คอนขางหนา ใชสําหรับงานลางทําความสะอาด
83
ภาชนะ มีความทนทาน ใชงานไดหลายครั้ง เมื่อใชแลวลางใหสะอาดทั้งดานนอกดานใน กลับดานในออก ผึง่ ใหแหง ข. ถุงมือแพทย ทําจากยาง เลือกใชใหเหมาะกับขนาดมือจะกระชับมือ ใชสาํ หรับงาน ทําอาหารสด การผสมเครื่องปรุง ใชเพียงครั้งเดียวไมควรลางแลวนํากลับมาใชใหม ค. ถุงมือพลาสติก ไมคอ ยกระชับมือ ใชงานไดชั่วคราว เชน การบรรจุอาหาร 7) รักษาความสะอาดของมือเสมอขณะประกอบอาหาร สวนใหญจะตองใชมือจับ ตองอาหารหรือหยิบจับสิ่งสกปรก เชน อาหารดิบ เศษอาหาร ขยะ จึงตองลางมือดวยสบู และน้ําสะอาดบอย ๆ และลางทุกครั้งหลังสัมผัสสิ่งสกปรก หลังจากถายอุจจาระใชหองน้ํา ไมใชนวิ้ มือแคะจมูก แคะฟน ตองลาง มือใหสะอาดทุกครั้งกอนหยิบจับอาหารปรุงสุก 10.4.2 ความปลอดภัยในการปฏิบัตงิ าน การทํางานในครัวมีโอกาสเสื่ยงตออุบัตเิ หตุทเี่ กิดจากการ ปฏิบัติงานไดตลอดเวลา ตัง้ แตอุบัตเิ หตุเล็กนอย เชน มีดบาด ไฟลวก ลื่นลม กลามเนื้ออักเสบ ไปจนถึง อุบัตเิ หตุรุนแรง เชน แกสระเบิด ไฟไหม เพราะงานในครัวมีการใชอุปกรณเครื่องมือที่มีทงั้ ความรอนสูง กําลังแรงหรือความเร็วสูง ประกอบกับงานที่บางเวลามีความวุนวาย การเรงรีบใหเสร็จทันเวลา จึงมีโอกาสเกิด อุบัตเิ หตุอนั มักเกิดจากขาดความระมัดระวัง ความประมาทหรือเพิกเฉยละเลย ซึง่ สวนใหญสามารถปองกันได ดังนั้นจึงจําเปนที่ผปู ฏิบัติงานทุกคนควรมีความระมัดระวังในการทํางานอยูเสมอ และใหความเอาใจใสตอ การ ปองกันอุบัติเหตุตาง ๆ 10.5 คุณสมบัติของพนักงานบริการที่ดี คุณสมบัติและบุคลิกภาพที่ดขี องพนักงานบริการมีความจําเปนอยางยิ่งในการประกอบอาชีพบริการ อาหาร ผูทปี่ ระสงคจะประกอบอาชีพดานนี้ควรพิจารณาตนเองวาเหมาะสมในการปฏิบัติงานในหนาที่บริการ อาหารหรือไม หรือพยายามปรับปรุงแกไขตนเองเพื่อใหมีบคุ ลิกภาพที่ดียงิ่ ขึ้น คุณสมบัติและบุคลิกภาพที่ดี ของพนักงานบริการมีดงั นี้ 1. การมีสุขภาพที่ดี แข็งแรง ไมมโี รคภัยไขเจ็บ 2. การมีทศั นคติที่ดีตออาชีพ ตองเขาใจและยอมรับในอาชีพ 3. การมีรางกายปกติ คือ ไมพกิ าร สายตาดี ฯลฯ 4. การมีบคุ ลิกภาพที่ดี หมายถึง การแตงตัว เครื่องแบบ ทรงผม 5. การแสดงออก การพูดจา สีหนา ทาทางตาง ๆ ควรสุภาพออนนอม พูดจาคลองแคลว 6. การมีความสูง น้าํ หนักสมดุล 7. การมีความอดทน
84
8. การมีความรูภาษาตางประเทศ 9. การมีความซื่อสัตย 10. การมีพนื้ ฐานการศึกษาในวิชาชีพ บุคลิกภาพที่ดปี ระกอบดวย บุคลิกภายนอกและภายใน กลาวคือ บุคลิกภายนอก ชาย 1. ผมตัดสั้น เรียบรอยไมมชี ายผมปรกหนา ชายผมดานหลังสั้น พนปกเสื้อคอวีให เรียบรอย 2. ใสน้ํามันใสผมหรือเจลได แตอยามากเกินไป 3. หามยอมผม กัดสีผม 4. หามแตงหนา แตอาจใชแปงฝุนเล็กนอย 5. หามไวหนวด เครา จอน ตองตัดและโกนใหเรียบรอย 6. ตัดขนจมูกไมใหยาวเกินออกมา 7. หากมีปญหาทางสายตาอาจใชคอนแทคเลนส แตตองเปนสีธรรมชาติ 8. รักษาไมใหมกี ลิ่นปาก และลมหายใจ 9. ปากแหงควรใชลิปมันทา 10. เล็บตัดสั้นไมมีขี้เล็บ 11. หามทาเล็บ 12. หลีกเลี่ยงการใชนา้ํ หอมที่มกี ลิ่นฉุน 13. ระวังไมใหมกี ลิ่นตัว 14. ควรใชยาระงับกลิ่นตัว 15. สวมเครื่องแบบที่รา นกําหนด 16. รีดใหเรียบรอยไมมรี อยสกปรกหรือรอยยับ 17. ติดกระดุมทุกเม็ดใหเรียบรอย 18. ติดปายชื่อ ตลอดเวลาทีท่ ํางาน 19. รักษาปายชื่อใหสะอาดอยูเสมอ 20. ตางหู หามใสเด็ดขาด 21. นาฬิกา แบบสุภาพไมเปนแบบแฟนซีไมมกี ารตั้งเวลาปลุก 22. แหวน กําไล หามใสเวลาปฏิบัติงาน 23. สรอยคอ ถาใสใหใสเสนเล็ก และไวในเสื้อ 24. รองเทาตามแบบที่กําหนด 25. หากเปนรองเทาหนัง ตองขัดมันอยูเสมอ 26. ถุงเทาสะอาดและเปลีย่ นทุกวัน
85
ควรใสเด็ดขาด
27. ลักษณะทาทางสงางาม สดชื่น ไมหงุดหงิด 28. มีความมั่นใจในการเดิน เคลื่อนไหวดวยความกระฉับกระเฉง หญิง 1. ผมยาวตองรัดใหเรียบรอย ถาใหดีควรใสเน็ทคลุมผมดวย 2. ผมสั้นใชกบิ๊ สีดําไมมลี วดลาย ตัดผมไมใหปรกหนา 3. หามยอมหรือกัดสีผม 4. ควรแตงหนาพองาม สีไมฉูดฉาด 5. หากมีปญหาทางสายตาอาจใชคอนแทคเลนส แตตองเปนสีธรรมชาติ 6. ทาปากสีสภุ าพ ไมฉูดฉาด 7. เล็บตัดสั้นลางใหสะอาด 8. หามทาเล็บสีฉุดฉาด ควรใชสีเคลือบเทานั้น 9. หลีกเลี่ยงการใชนา้ํ หอมทีม่ กี ลิ่นฉุน 10. ระวังไมใหมกี ลิ่นตัว 11. ควรใชยาระงับกลิ่นตัว 12. สวมเครื่องแบบที่รา นกําหนด 13. รีดใหเรียบรอยไมมรี อยสกปรกหรือรอยยับ 14. ติดกระดุมทุกเม็ดใหเรียบรอย 15. ติดปายชื่อ ตลอดเวลาทีท่ ํางาน 16. รักษาปายชื่อใหสะอาดอยูเสมอ 17. ตางหู ใสไดที่เปนแบบเรียบรอย เล็ก ๆ ติดใบหูตางหูทเี่ ปนพวงหรือหอยลงมาไม 18. แหวน กําไล หามใสเวลาปฏิบัตงิ าน 19. สรอยคอ ถาใสใหใสเสนเล็ก และไวในเสื้อ 20. รองเทาตามแบบที่กําหนด 21. หากเปนรองเทาหนัง ตองขัดมันอยูเสมอ 22. ถุงเทาสะอาดและเปลีย่ นทุกวัน 23. ลักษณะทาทางสงางาม สดชื่น ไมหงุดหงิด 24. มีความมั่นใจในการเดิน เคลื่อนไหวดวยความกระฉับกระเฉง
บุคลิกภาพภายใน 1. ฉลาดมีไหวพริบ 2. ชางสังเกต จดจํา 3. สํารวม นอบนอม รูจักกาลเทศะ
86
4. ซื่อสัตย สุจริต 5. ปรับปรุงตนเองใหทันตอเหตุการณ และสิ่งแวดลอม ความสําคัญของรูปลักษณและบุคลิกภาพที่มีผลตอการปฏิบตั งิ าน การบริการ ที่มปี ระสิทธิภาพเกิดจากความมั่นใจของพนักงานเสิรฟขณะเมือ่ เขาไปใหบริการแก ลูกคา ความมัน่ ใจนีเ้ กิดจากรูปลักษณและบุลิกภาพของพนักงานบริการนั่นเอง 1. การพูด พูดดวยความมั่นใจและดวยทาทีที่เปนมิตรซึ่งจะกอใหเกิดบุคลิกที่ดีและ แสดงความมีประสิทธิภาพ 2. การมองผูที่กําลังพูดดวย สายตาจับอยูที่ผทู ี่กําลังพูดดวยเสมอ เพื่อแสดงวาเรา สนใจในขอความที่เขาพูด ถาไมมองดูผูพดู จะดูไมสุภาพและแสดงความไมสนใจ 3. การแสดงสีหนา เปนสิ่งสําคัญมาก จําไวเสมอวาการยิ้มสามารถชวยแกปญ หาตาง ๆ ได 4. ผมตองสะอาด หวีใหเรียบรอย และรูปทรงดี 5. เล็บมือตองรักษาใหสะอาดอยูเสมอ และไมไวยาวจนเกินไป 6. ไมรับเคี้ยวหมากฝรั่งในที่เปดเผย 7. ไมสูบบุหรี่ นอกจากในเวลาและถานที่ที่อนุญาตไว 8. ตองรักษาเครือ่ งแบบใหสะอาด และเรียบรอยอยูเสมอ 9. สวมเฉพาะเครื่องแบบที่ถกู ตองเทานั้น 10. รองเทาตองเหมาะสมและสวมใสสบาย 11. ใหความสนใจตอความสะอาดของรางกายเปนพิเศษ ถาจําเปนควรใชยาระงับกลิ่นตัว ดวย 11. การคิดตนทุนและการกําหนดราคาขาย การประกอบธุรกิจดานอาหารเริ่มตนจากอุตสาหกรรมในครัวเรือนที่ใชแรงงานไมมากนัก ตอมา พัฒนาขึ้นเปนอุตสาหกรรมขนาดกลาง โดยผลิตและบริการอาหารและเครื่องดื่ม ในรานอาหาร ภัตตาคาร โรงแรมและอุตสาหกรรมบริการอาหารตามลําดับ การดําเนินธุรกิจตองใชคนที่มคี วามรู ความชํานาญงานเฉพาะ ทาง เพื่อผลิตอาหารและเครือ่ งดื่ม มีเครื่องจักรเครื่องทุนแรงขนาดตางๆ ใชในการผลิตทั้งขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ
87
การผลิตอาหาร หมายถึงการนําเอาวัตถุดบิ ตาง ๆ มาแปรสภาพตามกรรมวิธีการผลิต ดวยแรงงานคน หรือเครื่องจักร เปนอาหารสําเร็จรูป เพือ่ บริการและจําหนายแกผบู ริโภค การผลิตและการบริการอาหารเปน ธุรกิจที่มีโอกาสรับใชสังคม ชวยพัฒนาสังคมใหมีชีวติ ความเปนอยูด ีขึ้น เปนอาชีพอิสระและใหผลกําไรที่ งดงามจากการประกอบการผลิต การจัดจําหนายและการบริการจึงมีความสําคัญที่ตอเนื่องกัน การกําหนดราคาขายจะขึ้นอยูกับราคาตนทุน คาดําเนินธุรกิจ ซึ่งเปนปจจัยที่สาํ คัญในการผลิต ใน ขั้นตอนของการแปรทรัพยากรใหเปนผลผลิตจะประกอบดวยสวนสําคัญ ดังนี้ 1. ที่ดิน ไดแก ที่ตั้งโรงงาน 2. แรงงาน หมายถึงคนทํางาน 3. เงินทุน หมายถึง เงินที่นาํ มาลงทุน มูลคาของอาคารที่ดิน เครื่องจักร เครื่องมือ เครื่องใช สวนประกอบตาง ๆ ในการผลิตและบริการ 4. ผูประกอบการ คือผูรเิ ริ่มดําเนินการ กอตั้งประกอบกิจการ ปจจัยในการผลิตสินคาและบริการก็คอื ตนทุนในการดําเนินธุรกิจ ตนทุนในการผลิตทุกชนิด เมื่อเริ่มผลิต สินคาหนวยแรกจะมีตน ทุนสูงมากและตนทุนจะต่ําลงเรื่อย ๆ ถามีการผลิตมากขึ้น การควบคุมตนทุนในการผลิตอาหารขึ้นอยูกับตํารับ (Standardization) การเลือกซื้อและการรูจักเก็บ อาหารนํามาใชใหเกิดประโยชนสูงสุดในการผลิตอาหาร ตํารับอาหารแตละตํารับจะตองทดลองทําหลายครั้ง จนไดรสชาติตามที่ตองการ จึงกําหนดลงไปเปนตํารับ การปรุงอาหารจะตองปฏิบัติตามตํารับ จึงจะสามารถ ควบคุมตนทุนการผลิตไดไมเกิดการสูญเสียโดยไรประโยชน
12. ราคา ราคา หมายถึง จํานวนเงินที่ผูซื้อจายสําหรับสินคาและบริการ ราคาเปนองคประกอบหนึ่งของสวน ประสมการตลาด ราคาที่จะประสบความสําเร็จจะตองเปนราคาที่ไดรบั การยอมรับจากผูบริโภคและผูทเี่ กี่ยวของ ความสําคัญของราคาแยกพิจารณาเปน 2 ประเด็น คือ 1. ความสําคัญของราคาตอธุรกิจ ราคาเปนปจจัยหลักในการกําหนดความตองการซื้อของมนุษย
88
ดังนั้นราคาทําใหรายไดจากการขาย โดยนําเอาราคาคูณกับปริมาณของสินคาที่ขายจะเทากับราคาขายทั้งหมด และเมื่อนํารายไดจากการขายลบดวยตนทุนและคาใชจายทั้งสิ้นแลว ผลลัพธก็คอื กําไร ราคาจึงมีความสําคัญตอ ความอยูรอดของธุรกิจ เปนเครื่องมือที่ใชในการแขงขันและไดมาซึ่งสวนครองตลาดของธุรกิจดวย 2. ความสําคัญของราคาตอระบบเศรษฐกิจ ราคาในระบบเศรษฐกิจจะเปนราคาตลาด (Market Price) ราคาของสินคาใดกําหนดโดยผูซื้อและผูขาย ราคาจึงเปนตัวกําหนดพืน้ ฐานของระบบเศรษฐกิจทีม่ ีอทิ ธิพลตอ การจัดสรรปจจัยการผลิตและทรัพยากรตางๆ เชน แรงงาน ที่ดิน ทุน ผูประกอบการ ซึง่ จะมีอทิ ธิพลตอผูผลิตใน การตัดสินใจซือ้ และลงทุนในการผลิตสินคานั้นๆ 13. วิธีการกําหนดราคาขาย การกําหนดราคาขายมีวิธีการพิจารณาหลายแนวทาง แตละวิธีอาจจะเหมาะสมกับอาหารหลายชนิด ซึ่ง ผูกาํ หนดราคาจะตองพิจารณานําไปใชใหเหมาะสมกับรานอาหารของตน และอาจมีการผสานวิธกี ารทั้งหมด เขาดวยกัน เพือ่ ใหมีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น วิธีการกําหนดราคาที่จะกลาวในทีน่ ี้คอื 1. การกําหนดราคาขายจากตนทุนอาหาร 2. การกําหนดราคาขายจากกําไรสวนเกิน 3. การกําหนดราคาขายจากตนทุนอาหารและตนทุนแรงงาน 13.1 การกําหนดราราขายจากตนทุนอาหาร การกําหนดราคาขายมีหลักการที่จะกําหนดราคาใหสูง เพียงพอสําหรับตนทุนและคาใชจา ยตาง ๆ และยังมีสวนเหลือใหผลเปนกําไร ตนทุนผันแปรที่นบั วามี ความสําคัญมาก คือ ตนทุนอาหารและตนทุนแรงงาน โดยมากถือเปนแนวปฏิบัติวา ในการที่จะทําให รานอาหารมีกาํ ไร ตนทุนทั้ง 2 สวนรวมกันไมควรเกินรอยละ 70-75 ของรายรับ โดยตนทุนอาหารมี คาประมาณรอยละ 30-40 ทัง้ นี้ขนึ้ อยูกับรูปแบบของรานอาหารภาวะตลาดของราคาอาหาร และอัตรา คาแรงงาน เนื่องจากตนทุนอาหารเปนตนทุนที่ผนั แปรโดยตรงกับการผลิต รวมทั้งภาวะการตลาดที่กาํ หนดให สินคามีราคาสูงขึ้น การกําหนดราคาขายทัว่ ไปจึงนิยมพิจารณาจากตนทุนอาหารที่เรียกวา “คารอยละของตนทุน อาหาร” (food cost percentage) ซึ่งมีสูตรดังนี้ ตนทุนอาหาร X 100 ราคาขาย หรือ รายรับ
รอยละของตนทุนอาหาร =
89
ตัวอยาง เชน 1. รานอาหารใชตน ทุนการผลิต 90,000 บาท และมียอดขาย 200,000 บาท ดังนั้น รานอาหารจะมี % ตนทุนอาหารเทากับ 90,000 X 100 = 45 % % ตนทุน = 200,000 จากสูตรเดียวกันเราสามารถปรับเปลี่ยนสูตรตามหลักการคํานวณ คือ 2. สมมติเรามีตนทุนอาหารที่ 3.60 และ % ของตนทุนเทากับ 30 % ดังนั้นยอดขาย = 3.6 = 3.6 = 30 % = 0.3
12 บาท
3. สมมติวา ผูจดั การฝายจัดเลีย้ ง ติดกับลูกคาซึ่งมีคา ใชจายจัดงานที่ 150 บาท/คน และทาง ผูจดั การตองควบคุมตนทุนอาหารใหอยูที่ 30 %
ฉะนั้น ตนทุนตอหนึ่งคนจะเทากับ 45 บาท ยอดขาย X % ตนทุน = ตนทุน = 150 บาท X 30 % 45 บาท จากสูตรการวิเคราะหคารอยละของตนทุนอาหาร สามารถคํานวณยอนกลับเพื่อกําหนดราคาขายได เชน รายการอาหารหนึ่งมีตน ทุนอาหารเทากับ 50 บาท และคารอยละของตนทุนอาหารที่ผปู ระกอบการได กําหนดไวสาํ หรับรานอาหาร / ภัตตาคารเทากับรอยละ 35 ดังนั้น ราคาขายจะเทากับ 142.86 บาท จากการ คํานวณตอไปนี้
คารอยละของตนทุนอาหาร
=
35
=
ราคาขาย
=
ตนทุนอาหาร X 100 ราคาขาย 50 บาท X 100 ราคาขาย 50 X100 = 142.86 บาท
90
35 หรือปดเปนเลขเต็ม
143 บาท
=
การกําหนดราคาขายสําหรับอาหารแตละชนิดใชวิธีการคํานวณเหมือนกันและโดยมากหากเปน รานอาหารหรือภัตตาคารเดียวกันมักกําหนดคารอยละของตนทุนอาหารมักแยกกันระหวางกลุมอาหารคาว อาหารหวาน อาหารเรียกน้าํ ยอย และเครื่องดื่ม โดยอาจใชตัวเลขเฉลี่ยสําหรับอาหารแตละกลุมหรือในกรณี ของอาหารคาว อาจใชตวั เลขสําหรับอาหารแตละชนิดในกลุม สําหรับอาหารที่อาจมีตนทุนแตกตางไปมาก จากการคํานวณขางตน สําหรับอาหารที่ใชคา รอยละของตนทุนอาหารเปนตัวเลขเดียวกันเชน เปนรอย ละ 35 ตัวเลข 100/35 จะเปนตัวเลขเดียวกันสําหรับนําไปคูณกับตนทุนของอาหารแตละชนิดเรียกวา “ตัวรวม กําหนดราคาขาย” หรือ “ปจจัยกําหนดราคาขาย” (pricing factor) และมักนิยมทอนใหเปนตัวเลขงาย ๆ และ นําไปคูณกับตนทุนอาหารซึง่ มักนิยมมากกวาการนําคารอยละของตนทุนอาหารไปหาร
ราคาขาย
= =
ตนทุนอาหาร X 100 คารอยละของตนทุนอาหาร ตนทุนอาหาร X ปจจัยกําหนดราคาขาย
จากตัวอยางการกําหนดราคาขายขางตน
= ตัวรวมกําหนดราคาขาย = ดังนั้น ราคาขาย
= = =
100 คารอยละของตนทุนอาหาร 100 = 2.86 35
ตนทุนอาหาร X ปจจัยกําหนด ราคาขาย 50 X 2.86 143 บาท
91
นอกจากนี้สิ่งที่ผปู ระกอบการจะตองตระหนักดวยวาตนทุนที่นาํ มาพิจารณานี้เปนเพียงตนทุนอาหารแต เพียงอยางเดียว ไมไดพจิ ารณาตนทุนทัง้ หมด โดยมากมักนิยมใชในการกําหนดราคาเบื้องตน เพื่อนําไป พิจารณาวาควรมีการปรับเพิ่มขึ้นอยางไร โดยในการปรับอาจอาศัยวิธกี าํ หนดราคาวิธีอื่น ทีจ่ ะกลาวตอไป 13.2 การกําหนดราคาขายจากกําไรสวนเกิน (contribution margin หรือ contribution to profit) การ กําหนดราคาขายจากคารอยละของตนทุนอาหาร แมวา จะเปนทีน่ ยิ มกันทั่วไป แตสาํ หรับอาหารบางชนิดอาจ ยังไมเหมาะสมนัก ดวยเหตุตอไปนี้ 13.2.1 รายการอาหารมีตน ทุนสูงมากเมื่อกําหนดแลวจะมีราคาขายที่สงู จนอาจไมจูงใจใหมีผูซื้อ 13.2.2 รายการอาหารทีม่ ีตน ทุนต่ําเมือ่ กําหนดราคาขายแลวไมใชวาจะใหผลกําไรเปนจํานวน เงินที่มากกวา เชน รายการอาหารที่มีคารอยละของตนทุนอาหารเทากับ 50 ใหผลกําไร 20 บาท ในขณะที่ รายการอาหารอีกรายการหนึง่ มีคา รอยละของตนทุนอาหาร เทากับ 35 ใหผลกําไร 10 บาท ซึง่ สําหรับธุรกิจ ยอมตองการกําไรที่เปนมูลคาจํานวนเงินมากกวาทีเ่ ปนตัวเลขสัดสวน 13.2.3 การกําหนดราคาตองพิจารณาในแงจิตวิทยาของการขายที่เปนที่จะตองปรับใหเหมาะสม กับความรูสึกหรือเจตคติของผูบริโภคที่จะชวยใหขายไดมาก ดวยเหตุนี้จึงไดมีการเสนอกําหนดราคาขายจากกําไรสวนเกินหรือ CM (contribution margin) วา ผูประกอบการตองการหรือเห็นวาควรเปนเทาใดกอนแลวนํากําไรสวนเกินที่ตองการไปรวมกับตนทุนอาหาร ผลลัพธทไี่ ด คือ ราคาขาย หรืออาจใชราคาเบื้องตนที่ไดจากคารอยละของตนทุนอาหาร และปรับให เหมาะสมโดยพิจารณากําไรสวนเกินที่ไดและผลที่จะมีตอการขายหรือนโยบายของธุรกิจบริการอาหาร กําไรสวนเกิน = ราคาขาย – ตนทุนอาหาร ตัวอยางการกําหนดราคาขายจากคารอยละของตนทุนอาหารในตารางที่ 1 จะเห็นวาราคาขายที่คํานวณ จากคารอยละของตนทุนอาหารมีมลู คาตั้งแต 57.14 – 136.36 บาท ไดถูกนํามาใชในการปรับใหเหมาะสมใน การขายและกําไรสวนเกิน เชน อาหารชนิดแรกไดปรับใหเหมาะสมในการขายใหสงู ขึ้น เพราะเปนอาหารที่ ลูกคาใหทศั นะวา เปนอาหารที่มีคุณคา มีระดับการยอมรับราคาที่สูงได สวนอาหารชนิดที่ 2 มีตนทุนอาหาร สูงหากกําหนดราคาขายตามตนทุนอาหารก็อาจทําใหอาหารนั้นขายไดนอ ยลง จึงไดมีการปรับราคาใหต่ําลง โดยคาดหวังวาอาจจะชวยดึงลูกคาไดมากขึ้น และปริมาณที่ขายไดมากจะชวยลดตนทุนอาหารลง และชวยเพิ่ม รายรับรวมทั้งกําไรที่จะไดดว ย สวนอาหารชนิดที่ 3 นั้น เมื่อพิจารณาจากยอดขายพบวาขายไดดีและลูกคา ยอมรับราคาที่สูงได ดังนั้นจึงยังคงราคาไวตามที่คาํ นวณจากคารอยละของตนทุนอาหาร
92
ตารางที่ 1 ตัวอยางการกําหนดราคาขายจากคารอยละของตนทุนอาหารและกําไรสวนเกินทีเ่ กิดขึน้ (5) (6) = (5) – (2) (1) (2) (3) (4) = (2) X 100/(3) อาหาร ตนทุนอาหาร คารอยละของตนทุนอาหาร ราคาขายเบื้องตน ราคาขาย กําไรสวนเกิน บาท บาท บาท บาท 57.14 90.00 70.00 1 20 35 125.00 100.00 50.00 2 50 40 136.36 139.00 94.00 3 45 33 หมายเหตุ ชองที่ (5) เปนราคาขายที่ปรับจากราคาขายเบือ้ งตนที่คาํ นวณจากคารอยละของตนทุนอาหารเพื่อให ไดกําไรสวนเกินที่ตองการ ที่มา : อําพร, 2548 แรงงาน
วิธกี ารคํานวณราคาขายขางตน พิจารณาจากคารอยละของตนทุนอาหารและกําไร โดยมีสมมติฐานวา อาหารดังกลาวมีตนทุนหรือคาใชจา ยในเรือ่ งอื่นใกลเคียงกันอยางไรก็ตาม อาหารบางชนิดตองการการ จัดเตรียมเปนพิเศษ เชน การจัดเตรียมสวนผสม การลาง หั่น สับ ผสม หรือในการผลิตที่ตองใชเวลานานที่ ตองอาศัยแรงงานในการเฝาระวัง อาหารเหลานี้จะตองมีทุนแรงงานสูงกวาอาหารชนิดอื่น ทําใหการกําหนด ราคาขายจากสมมติฐานขางตนยังไมเหมาะสมเพียงพอจึงจําเปนตองมีการพิจารณา จากตนทุนอาหารและ แรงงานรวมกัน (prime cost) จากตัวอยางเปรียบเทียบราคาขายที่กําหนดจากคารอยละของตนทุนอาหารและตนทุนอาหารและ แรงงาน (ตารางที่ 2 ) จะเห็นวาราคาขายของกระทงทองจะมีราคาเพียง 0.55 เหรียญสหรัฐอเมริกา เมื่อ พิจารณาจากตนทุนอาหารรอยละ 40 แตเมื่อพิจารณาตนทุนแรงงานดวย ซึ่งโดยทัว่ ไปตนทุนแรงงานตรงที่ใช ในการผลิตจะมีคาประมาณรอยละ 10 จากตนทุนแรงงานทั้งหมดรอยละ 30 ดวยเหตุนี้ ตนทุนอาหารรวมกับ ตนทุนแรงงานทางตรงเทากับรอยละ 50 (40+10) ทําใหปจจัยกําหนดราคาขายจะลดจาก 2.5 เปน 2.0 (100/50) ตารางที่ 2 ตัวอยางเปรียบเทียบการกําหนดราคาขายจากคารอยละของตนทุนอาหารกับตนทุนอาหารและ แรงงาน รายการ แกงเขียวหวาน กระทงทอง เหรียญสหรัฐอเมริกา เหรียญสหรัฐอเมริกา
93
1. กําหนดราคาขายจากตนทุนอาหาร (40 %) ตนทุนอาหาร ราคาขาย (ตนทุน X 2.5) 2. กําหนดราคาขายจากตนทุนอาหาร และแรงงาน (50 %) ตนทุนอาหาร ตนทุนแรงงานทางตรง ตนทุนอาหาร + แรงงาน ราคาขาย (ตนทุน X 2) ที่มา : อําพร, 2548
0.32 0.8 0.32
0.22 0.55 0.22
0.00 0.32 0.64
0.10 0.32 0.64
13.3 แนวทางการกําหนดราคาขายสําหรับอาหารจัดเลี้ยงหรืออาหารบริการแบบบุฟเฟต ในการ กําหนดราคาขายสําหรับงานเลี้ยงหรืองานบริการจํานวนมาก เชน การบริการอาหารแบบบุฟเฟต เปนการ จัดบริการที่ใหลูกคาชวยเหลือตนเองเลือกตักอาหารที่ชอบในปริมาณทีต่ องการ ลูกคาแตละคนจึงรับประทาน อาหารไมเหมือนกันและมีผลทําใหตนทุนของอาหารที่รบั ประทานนั้นไมเทากัน การกําหนดราคาขายสําหรับการบริการแบบบุฟเฟตมกั นิยมกําหนดราคาเดียว (flat price) โดยวิธีการ กําหนดราคาขายสามารถใชหลักการทํานองเดียวกับการกําหนดราคาสําหรับอาหารทั่วไป เพียงแตตองอาศัย วิธีการที่แตกตางกันออกไปบาง ในการหาตนทุนอาหารและวิธีการจัดการที่จะควบคุมตนทุนอาหาร โดยมี แนวทางดังตอไปนี้ 13.3.1 การคํานวณตนทุนอาหารของลูกคาแตละราย โดยพิจารณาจากตนทุนของอาหารทั้งหมด แลวหารดวยจํานวนลูกคา ก็จะทราบวาตนทุนตออาหารของผูใชบริการแตละรายเทากับเทาไร ในบางครัง้ ไดมี ผูเ สนอใหวเิ คราะหตน ทุนทีแ่ ทจริงโดยการนําตนทุนของอาหารที่เหลือมาหักออก อยางไรก็ตามในทางปฏิบตั ิ ทั่วไป อาหารที่เหลือมักไมอยูในสภาพที่เหมาะสมกับการนําไปใชประโยชนตอ จึงเปนการไมถกู ตองที่จะนํา ตนทุนอาหารเหลือมาหักออก ยกเวนการบริการในรูปแบบ เชน ลักษณะที่เปนซุมอาหาร ที่มพี นักงานคอย เสิรฟอาหารหรือปรุงอาหารสุกใหม ๆ ใหอาหารที่เหลือยังเปนอาหารดิบที่ยงั ไมไดผสมปะปนกับอาหารชนิด อื่น ทําใหสามารถที่จะเก็บไวใชประโยชนตอได ตนทุนอาหารสําหรับลูกคาแตละราย
=
ตนทุนอาหารทั้งหมด ราคาขาย
94
13.3.2 การกําหนดราคาขาย ราคาขายสําหรับลูกคาแตละรายใชหลักการเชนเดียวกับการ กําหนดราคาขายสําหรับอาหารทั่วไป คือการใชคา รอยละของตนทุนอาหารที่รานอาหารหรือภัตตาคารตองการ หรืออาจใชกาํ ไรสวนเกิน หรืออาจนําตนทุนแรงงานมาพิจารณาประกอบกันไปดวย เชน ราคาขาย = ตนทุนอาหารสําหรับลูกคาแตละราย X ปจจัยกําหนดราคาขาย ในกรณีทเี่ ปนการจัดเลี้ยง ก็สามารถนําราคาขาย ที่คํานวณตอลูกคาแตละราย คูณดวยจํานวน แขกที่ประมาณการไวก็จะเปนราคาขายของอาหารทั้งหมด การคิดผลกําไรที่ตองการควรพิจารณาถึงวาถาตนทุนของอาหารสูงมากผลกําไรที่ตอ งการก็ควร จะต่ํา การกําหนดราคาของอาหารในรายการอาหารใหเหมาะสมจําเปนตองพิจารณาถึงผลกําไรที่ตองการให พอเหมาะตามประเภทของอาหาร ดังตารางที่ 3
ตารางที่ 3 การกําหนดราคาของอาหารตามประเภทของอาหาร ประเภทของอาหาร อาหารเรียกน้ํายอย สลัด อาหารหลัก ผัก เครื่องดื่มและขนมปง ของหวาน ที่มา : อําพร, 2548
ชวงผลกําไรทีค่ วรพิจารณา (รอยละ) 20-50 10-40 10-25 15-50 10-20 10-35
95
ดังนั้นหลักในการจัดอาหารเพื่อควบคุมตนทุนมีผเู สนอวิธกี ารที่เรียกวา การจัดอาหารคละกันระหวาง อาหารที่มีตน ทุนสูงที่มีระดับกลาง และต่ําใหเหมาะสม เพื่อใหอาหารมีความหลากหลายแตไมมีตน ทุนสูงกวา ที่กําหนดไวให โดยอาศัยแนวคิดที่เรียกวา เอบีซี (ABC Inventory Approach) โดย เอ (A) หมายถึงอาหารที่ มีตนทุน บี (B) หมายถึง อาหารที่มีตน ทุนปานกลาง สวน ซี (C) หมายถึง อาหารที่มีตน ทุนต่ําโดยใช หลักการจัดอาหารกลุมเอ บีและซี ดังนี้คอื อาหารที่มีตน ทุนสูง เชน อาหารประเภทเนื้อสัตว อาหารทะเล จัดไวในปริมาณรอยละ 20 ของอาหารทั้งหมด สวนอาหารที่มีตนทุนต่ํา เชน อาหารประเภทผักหรือผลไมจัด ไวหลากหลายชนิด ใหมีปริมาณมากไดถึงรอยละ 50 เพือ่ ชวยใหดวู ามีอาหารมาก ก็ให หลังจากที่ไดคํานวณราคาขายที่จะระบุลงในรายการอาหารตามวิธีการขางตนนี้แลว พิจารณาตอไปวาตองการเพิ่มราคาขายจากที่ไดคาํ นวณไวแลวหรือไม โดยพิจารณาจากผูรับบริการวาจะยอม จายในราคาที่สูงขึ้น หรือตองลดราคาลงจากทีไ่ ดคาํ นวณไวแลว และถาตองการลดราคาลง ราคานั้นใหผล กําไรเพียงพอกับแรงงานของการลงทุนและการดําเนินงานหรือไม ถาลดราคาแลวไมคุมกับการลงทุน ควรตัด อาหารนั้นออกไปจากรายการอาหารและพิจารณาอาหารชนิดอื่นที่สามารถใหผลกําไรตามที่ตองการ 14. ปจจัยที่มีอิทธิพลตอการตั้งราคา ปจจัยทีจ่ ําเปนตองนํามาพิจารณาในการตั้งราคา คือ 14.1 ตนทุน (Cost) เนื่องจากราคาประกอบดวยตนทุนบวกดวยกําไร ดังนั้นตนทุนจึงเปนเกณฑขั้นต่ํา ในการตัง้ ราคา ราคาจะสูงหรือต่ําขึ้นอยูกบั ตนทุนวาสูงหรือต่ํา 14.2 ลักษณะความตองการซื้อผลิตภัณฑ ในทีน่ รี้ าคาสินคาใดจะสูงหรือต่ําขึ้นอยูกบั ปริมาณความ ตองการซื้อสินคาของลูกคาที่มีตอ สินคาของบริษัท โดยปกติจะเปนไปตามกฏของดีมานด กลาวคือ ถาราคา สินคาใดสูงขึ้น ปริมาณความตองการซือ้ สินคานั้นจะลดลง ถาราคาสินคาใดลดต่าํ ลง จะทําใหปริมาณความ ตองการซื้อเพิ่มขึ้น 14.3 เปาหมายสวนครองตลาดที่ตอ งการ เปนการพิจารณาวาผูผ ลิตตองการอัตรายอดขาย เมื่อ เปรียบเทียบกับยอดขายของคูแขงขันเปนจํานวนเทาใด และสวนครองตลาดนี้ก็จะมีอทิ ธิพลตอการตั้งราคา ถา ตองการเพิ่มสวนครองตลาดก็มักจะตั้งราคาต่ํากวาคูแ ขงขันที่ตองการรักษาสวนครองตลาดเทาเดิม 14.4 การแขงขันในปจจุบนั และแนวโนมในอนาคต การแขงขันทั้งในปจจุบนั และแนวโนมทีจ่ ะเขามา ในอนาคตเปนปจจัยสําคัญทีม่ ีอทิ ธิพลตอการตั้งราคา โดยเฉพาะถาเปนผลิตภัณฑที่คูแขงเขามาแขงขันไดงา ย
96
รวมทั้งธุรกิจทีม่ ีกําไรสูงก็จะจูงใจใหมีคูแขงขันเขามาแขงนั้น ถาคูแขงขันมีมากจะมีแนวโนมตั้งราคาเทากัน หรือต่ํากวาคูแ ขง ดังนั้นสภาพการแขงขันในปจจุบันและแนวโนมในอนาคต จึงเปนสิ่งสําคัญในการกําหนด ราคาพื้นฐานสินคาทั่วไป 14.5 สวนประกอบทางการตลาดอืน่ ๆ ราคาจะเปนเทาใด จะไดรับอิทธิพลจากสวนประสมทาง การตลาดอื่น ๆ เชน ผลิตภัณฑ ชองทางการจัดจําหนายและวิธีการสงเสริมตลาด กลาวคือ การตั้งราคาตอง คํานึงถึงคุณสมบัติของผลิตภัณฑการอํานวยประโยชนใหกับผูบริโภค การเลือกวิธกี ารจัดจําหนาย การตั้งราคา จะตองครอบคลุมผลประโยชนทจี่ ะใหกับคนกลางซึ่งจะเปนคาใชจายที่แตกตางในแตละชองทางการจัดจําหนาย สวนการสงเสริมการตลาดที่แตกตางกันจะมีผลกระทบตอคาใชจายทีแ่ ตกตาง ซึ่งราคาจะตองคํานึงถึงคาใชจาย ในสวนนี้ดว ย 15. การบรรจุหีบหอและการจัดจําหนาย การบรรจุหบี หอไดเริม่ โดยในระยะแรกเพื่อการหยิบ ถือเคลื่อนยาย และขนสงอาหาร ตอมาเมื่อมนุษย รูจักวิธีการปรุงอาหารและการแปรรูปอาหาร ภาชนะบรรจุอาหารจึงเริ่มมีความสําคัญ ภาชนะบรรจุอาหารได จากใบไม เปลือกไม หอย กอนหินกลวง ตอมาไดคดิ คนใชวตั ถุดิบจากธรรมชาติ มาจักสานเปนตะกรา กระจาด รูจักการถักทอ เปนถุง เปนผา และอื่น ๆ
16. วัตถุประสงคในการใชภาชนะบรรจุอาหาร การใชภาชนะบรรจุอาหารเพื่อทําหนาที่สาํ คัญดังนี้ 1.การบรรจุ 2.การปองกัน 3.การอํานวยความสะดวก 4.การสื่อสาร 17. วัสดุทใี่ ชทาํ ภาชนะบรรจุอาหาร วัสดุทนี่ ยิ มใชในการทําภาชนะบรรจุอาหาร อาหารไทย เดิมนิยมใชใบตอง ใบมะพราว ใบจาก ใบลาน ใบบัว ใบกะพอ และใบไมอนื่ ๆ นํามาหออาหาร หรือทําเปนใบตอง ทั้งสดและแหง รูปแบบไดพัฒนาเรื่อยมา มี
97
การเย็บถาดใบตองเพื่อรองรับอาหารแลวบรรจุในตะกราจักสาน จัดบนพานเครื่องทองเหลือง จัดใสจานหรือ ถาดในลักษณะตาง ๆ เพื่อใชในการจัดเลีย้ งหรือจัดจําหนาย เมื่อธุรกิจดานการผลิตและบริการอาหารไดขยายตัวและพัฒนามากขึ้น ความตองการของผูบริโภค การ แขงขันดานการตลาด การบรรจุหบี หอเพื่อการจัดเลี้ยงและจัดจําหนายจึงมีความจําเปนสําหรับธุรกิจดานการผลิตและบริการ การใชวัสดุในการทําภาชนะบรรจุไดมกี ารคิดคนและพัฒนาใหมคี วามสวยงาม สะดวกสบาย และดึงดูดใจ ผูบ ริโภค วัสดุที่นิยมใชนอกจากวัสดุจากธรรมชาติแลว กระดาษ พลาสติก และโลหะก็มกี ารนํามาพัฒนา รูปแบบเพื่อใชทาํ ภาชนะบรรจุ เชน 1. กระดาษ เปนวัสดุที่นยิ มใชมากที่สุด ใชผลิตเปนภาชนะบรรจุประเภทตาง ๆ เชน กลอง ถุง ถวย ซอง เนื่องจากมีราคาถูก น้ําหนักเบา สะดวกตอการบรรจุและการขนยายเมื่ออยูในรูปของภาชนะบรรจุ ไมกอ ใหเกิด ปญหามลภาวะและสามารถออกแบบไหสวยงามไดหลายรูปแบบ 2. พลาสติก เปนสารสังเคราะหพวกพอลิเมอร (POLYMER) ที่นิยมใชในการทําภาชนะบรรจุอาหาร คือ 2.1 โพลีเอทิลีน (POLYETHELENE) มีหลายชนิด เชน ชนิดที่มีความหนาแนนต่ําจะมี ลักษณะใส เหนียว ปองกันการซึมผานของไอน้ําไดดี ทนความรอนสูง ใชทําถุงเย็นตาง ๆ ทําฟลม หด (SHRINK FILM) สําหรับหออาหาร สวนชนิดความหนาแนนสูง มีลักษณะใสนอยกวามีความเหนียวและเนื้อแข็งกวา ใช ทําถุงรอน ถุงบรรจุอาหาร ขนมขบเคี้ยว ใชประกบกับวัสดุอื่นทําภาชนะคงรูป เชน ขวดนม ลังบรรจุนา้ํ อัดลม 2.2 โพลีโพรพิลีน (POLYPROPYLENE, PP) ทนความรอนไดสงู และเข็งแรงกวา โพลิเอทิลีน มักใชในรูปฟลมพลาสติก ทําเปนถุงรอน ใชทําถุงอาหารแหง และถุงอาหารที่บรรจุดว ยระบบสุญญากาศ 2.3 โพลีไวนิลคลอไรด (POLYVINYL CHLORIDE, PVC) มีลักษณะใสแข็งแตบางชนิดมี คุณสมบัติออ นตัว มักใชในรูปฟลมพลาสติกและภาชนะคงรูป เชน ขวดบรรจุ น้าํ ผลไม น้าํ มันพืช ใชทาํ ถาด หรือกลองบรรจุอาหาร 2.4 โพลิสไตรีน (POLYSTYRENE, PS) มีลักษณะใสคงรูปปองกันการซึมของน้ํามันไดดี
98
อาจใชในลักษณะฟลมพลาสติกหอทําบรรจุอาหาร หรือผลิตเปนถาดบรรจุอาหาร เชน ขนมอบ ถวยไอศกรีม โยเกิรต หรือทําถาดโฟมบรรจุอาหาร ฯลฯ 3. โลหะ เปนวัสดุอีกชนิดที่นยิ มใชผลิตเปนภาชนะบรรจุอาหาร โดยมีปริมาณการใชสงู รองลงมาจาก กระดาษและพลาสติก โลหะที่ใชในการผลิตภาชนะบรรจุอาหาร ไดแก 3.1 แผนเหล็กเคลือบดีบกุ ใชในการผลิตกระปอง และปบบรรจุอาหาร 3.2 แผนเหล็ก (TIN FREE STEEL) เปนแผนเหล็กดําทีน่ าํ มาเคลือบผิวดวยสารอื่นแทน ดีบุกใชในการผลิตเปนกระปองบรรจุอาหารที่ไมมคี วามเปนกรดหรือดาง 3.3 อะลูมิเนียม (ALUMINIUM) ใชผลิตเปนภาชนะบรรจุอาหารจําแนกตามลักษณะและ กรรมวิธีในการผลิต เชน แผนอะลูมเิ นียมผสมโลหะ ทําใหมคี วามแข็งแรง น้าํ หนักเบา ตานทานตอการกัดกรอน ปองกันอากาศ ความชื้น และแสงสวาง มีความคงทนใชผลิตเปนกระปอง สวนอะลูมิเนียมฟอลย (ALUMINIUM FOIL) มีลกั ษณะเปนแผนบาง มีน้ําหนักเบา ทึบแสงเปนตัวนําความรอนไดดี ใชหอ อาหาร และขนม เมื่อผนึก กับวัสดุอื่น เชน กระดาษหรือฟลมพลาสติก ใชทําถุงบรรจุอาหาร แผนอะลูมเิ นียมบางที่มีความหนา 30-150 ไมครอน อาจขึ้นรูปเปนภาชนะบรรจุ เชน ถาดบรรจุอาหารอบพรอมบริโภค และแชแข็งตาง ๆ 4. โฟม เปนผลิตภัณฑจากพลาสติกที่ไดรบั ความนิยมอยางมากในการนํามาบรรจุอาหาร เพราะ สะดวก น้ําหนักเบา และสามารถเก็บรักษาอุณหภูมขิ องอาหารได ซึง่ รูปแบบของโฟมมีหลากหลาย ขึ้นอยูกับ ความตองการในการใชสอย คุณสมบัติที่สําคัญของบรรจุภณ ั ฑประเภทโฟม คือ 1. สามารถใชกับเตาไมโครเวฟได เพราะโฟมจะไมทําปฏิกิรยิ ากับคลื่นไมโครเวฟ ซึง่ ทําให สะดวกและประหยัดเวลาในการทําอาหาร 2. ไมดดู กลิ่น หรือซับน้ํามัน ทําใหเหมาะสมสําหรับการบรรจุอาหารที่มีกลิ่นคาว 3. ชวยในการจัดเก็บอาหารใหมคี วามเปนระเบียบเรียบรอย อีกทั้งชวยประหยัดพื้นที่ในการ จัดเก็บ 4. เหมาะสําหรับบรรจุอาหารที่ตองการคงสภาพเดิมไว เชน ไอศกรีม เพราะสามารถเก็บ รักษาอุณหภูมอิ าหารไดในระดับหนึ่ง 5. มีความปลอดภัยในการบรรจุอาหาร เพราะโฟมผลิตจากเม็ดพลาสติกชนิด PS ซึ่ง PS ที่ ใชผลิตโฟมสําหรับบรรจุอาหารสามารถขยายตัวไดประมาณ 20 เทา และเม็ด PS ทีใ่ ชในกระบวนการผลิต
99
จะตองเปนชนิดบริสุทธิ์ ไดรับอนุญาตจากสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา และตองไมเคยผานการใช งานมากอน 14. ภาชนะบรรจุอาหารเพื่อการจัดจําหนาย ภาชนะบรรจุอาหารเพื่อการจัดจําหนายสามารถจัดแบงตามประเภทของอาหาร เชน ประเภทของ อาหารแหง อาหารแชแข็ง อาหารหมักดอง การเลือกภาชนะที่เหมาะสมในการบรรจุอาหารจะทําใหมีน้ําหนัก เบา ไมเปลืองเนื้อที่ในการจัดเก็บ เสียคาขนสงนอยและสามารถเก็บไวไดนาน จึงควรเลือกภาชนะใหเหมาะสม กับลักษณะของอาหาร 15. ประโยชนของการบรรจุหีบหอ การบรรจุอาหาร มีประโยชนหลายประการดังนี้ 1. ทําใหสะอาดถูกสุขลักษณะ 2. ทําใหอาหารมีลักษณะดี สะดวกตอการขนสงหรือเคลื่อนยาย 3. ทําใหอาหารสดเก็บไวไดนาน 4. ไมเปลืองเนื้อที่ในการจัดเก็บ และจัดขึ้นชัน้ เพื่อการจัดจําหนาย 5. ผูซื้อสามารถมองเห็นลักษณะของอาหาร สะดวกตอการจับถือและการเก็บรักษา 16. การจัดจําหนาย การจัดจําหนาย คือ งานที่เกีย่ วของกับการนําผลิตภัณฑออกสูตลาดเปาหมาย ซึง่ เปนงานที่เกี่ยวกับชอง ทางการจัดจําหนาย และการกระจายตัวสินคา ลักษณะของการจัดจําหนายมีดังนี้ 1. เปนกิจกรรมการนําผลิตภัณฑออกสูตลาดเปาหมาย 2. เปนโครงสรางของชองทางซึ่งประกอบดวยสถาบันการตลาด ประกอบดวยคนกลาง ธุรกิจการ กระจายสินคา ธุรกิจใหบริการทางการตลาด รวมทั้งสถาบันทางการเงิน 17. ชองทางการจัดจําหนาย ลักษณะของการจัดจําหนาย เปนการนําผลิตภัณฑออกสูตลาดเปาหมาย ซึ่งตองผานชองทางการจัด จําหนาย ชองทางการจัดจําหนาย หมายถึง เสนทางที่ผลิตภัณฑหรือกรรมสิทธิ์ของผลิตภัณฑเคลื่อนยายไปยัง
100
ตลาด ชองทางการจัดจําหนาย ประกอบดวย ผูผ ลิตคนกลางที่เกี่ยวของในชองทางการจัดจําหนายและผูบริโภค 18. ชองทางการจัดจําหนายสินคาบริโภค ชองทางการจัดจําหนายสินคาบริโภค หมายถึง เสนทางที่สนิ คาเคลื่อนยายจากผูผลิตไปยังผูบริโภคคน สุดทายสามารถใชเปนชองทางการจัดจําหนายทางตรง หรือใชชองทางออมโดยใชคนกลาง มีทางเลือกในการ จัดจําหนายดังนี้ 1. ผูผ ลิตถึงผูบ ริโภค ถือวาเปนชองทางตรง เปนชองทางที่ขายสินคาโดยตรงใหกบั ผูบริโภค เหมาะกับ สินคาที่ผลิตแลวบริโภคไดทนั ที เชน อาหารและเครื่องดื่ม 2. ผูผ ลิต – ผูคาปลีก – ผูบ ริโภค เปนผูคา ปลีกเหมาะสําหรับสินคาที่ไมเนาเสีย ผูผ ลิตมีฐานะ การเงินดี และสามารถจัดจําหนายโดยผานรานคาปลีกได 3. ผูผ ลิต – ผูคา สง - ผูคา ปลีก – ผูบ ริโภค ตองผานคนกลางสองระดับ คือผูคาสงและผูคาปลีก เหมาะสําหรับสินคาที่อาศัยการขายผานรานคาปลีกที่มีจาํ นวนมาก และเปนสินคาที่ไมเสียงาย เชน ผลิตภัณฑ อาหารกระปอง 4. ผูผ ลิต – ตัวแทน - ผูคาปลีก – ผูบ ริโภค มีลักษณะและเงื่อนไขการใชคอื ผานคนกลางสองระดับ คือ ตัวแทน และผูคาปลีก ตัวแทนเปนผูไ ดรบั การแตงตั้งจากผูผลิตใหเปนตัวแทนจําหนายสินคาบางสวนหรือ ทั้งหมดของผูผลิต แตไมมีกรรมสิทธิ์ในสินคาเหตุผลที่ผา นตัวแทน เพราะผูผลิตไมสะดวกที่จะจัดจําหนาย อาจ ขาดความชํานาญงาน หรือตองการตัดปญหา หรือเปนการทําธุรกิจระหวางประเทศ วิธีนเี้ หมาะสําหรับสินคาที่ ผูผ ลิตมีเปาหมายที่ตลาดตางประเทศ 5. ผูผ ลิต – ตัวแทน – ผูคา สง - ผูคาปลีก – ผูบ ริโภค มีลักษณะและเงื่อนไขดังนี้ คือ ผานคนกลาง 3 ระดับ คือ ตัวแทน ผูคาสง ผูคา ปลีก เหตุผลที่ตองผานตัวแทนเพราะไมสะดวกที่จะจัดจําหนายเอง เหมาะกับ สินคาที่ไมเสียงาย มักจะใชกบั ผูผลิตขนาดเล็กมีผลิตภัณฑนอ ยและฐานะทางการเงินไมเขมแข็งพอ จึงตองอาศัย ตัวแทนและผูค าสงชวยแบงเบาภาระดานการคลังสินคา การขนสง การเก็บรักษาสินคา การเงินและการจัด จําหนาย การจัดจําหนายผลิตภัณฑดา นอาหารและเครื่องดืม่ สามารถเลือกชองทางการจัดจําหนายใหเหมาะสมกับ กลุมเปาหมาย อาจจัดจําหนายทางตรงจากผูผลิตสูผบู ริโภค หรือจัดจําหนายทางออมโดยผานผูคาปลีก ผูคาสง
101
หรือมีตัวแทน ทัง้ นี้ขึ้นอยูกบั ความพรอมของผูดําเนินธุรกิจ เชน เวลา แรงงาน วัตถุดิบ ความพึงพอใจของ ผูบ ริโภคตลอดจนความสามารถในการจัดการเพื่อใหธุรกิจดําเนินไปสูค วามสําเร็จ
บรรณานุกรม ขนิษฐา พูนผลกุล. 2548. วัตถุดิบสําหรับการประกอบอาหารไทย ใน คูมอื การประกอบธุรกิจ รานอาหารไทยในตางประเทศ เลม 1 การประกอบอาหารไทย. พิมพที่ หางหุน สวนจํากัด อักษรสยามการพิมพ, กรุงเทพฯ. น. 73-93. . 2548. อนามัยสวนบุคคลและขอควรปฏิบัตใิ นการประกอบอาหารไทย ใน คูมือ การประกอบธุรกิจรานอาหารไทยในตางประเทศ เลม 1 การประกอบอาหารไทย. พิมพที่ หางหุนสวนจํากัด อักษรสยามการพิมพ, กรุงเทพฯ. น. 151-163. บุญมา นิยมวิทย. 2548. อาหารประเภทผัด ใน คูมอื การประกอบธุรกิจรานอาหารไทยใน ตางประเทศ เลม 2 ตํารับอาหารไทย. พิมพที่ หางหุน สวนจํากัด อักษรสยามการพิมพ, กรุงเทพฯ. น. 117-138. พิสมัย ปโชติการ. 3537. งานบริการอาหารและเครื่องดื่ม. สํานักพิมพศกึ ษาพร, กทม. มัณฑนา รวมรักษ. 2548. เทคนิกการเตรียมสวนประกอบอาหารไทย ใน คูมอื การประกอบธุรกิจ รานอาหารไทยในตางประเทศ เลม 2 ตํารับอาหารไทย. พิมพที่ หางหุนสวนจํากัด อักษร สยามการพิมพ, กรุงเทพฯ. น. 39-59. ศุภร เสรีรัตน และศิริวรรณ เสรีรตั น. 2534. นโยบายผลิตภัณฑและราคา. ไทยวัฒนาพานิชย, กทม. สุวมิ ล ตันฑศุภศิริ. 2526. อาหารหลักและกําหนดรายการอาหาร. มหาวิทยาลัยมหิดล, กทม. อบเชย วงศทอง และพิสมัย ปโชติการ. 2548. เทคนิคการบริการอาหารไทย ใน คูม อื การประกอบธุรกิจ รานอาหารไทยในตางประเทศ เลม 3 การจัดการธุรกิจรานอาหารไทยอยามืออาชีพ. พิมพที่ หางหุน สวนจํากัด อักษรสยามการพิมพ, กรุงเทพฯ. น. 119-137.
102
อําพร แจมผล. 2548. ตํารับมาตรฐานและการกําหนดราคาขาย ใน คูม อื การประกอบธุรกิจ รานอาหารไทยในตางประเทศ เลม 2 ตํารับอาหารไทย. พิมพที่ หางหุนสวนจํากัด อักษร สยามการพิมพ, กรุงเทพฯ. น. 9-23.
103
ภาคผนวก
104
ทําไมตองเปนผัดไทย……… อ. พรดารา เขตตทองคํา กอนหนานั้นฝรั่งจะรูจกั ตมยํากุง ตามมาดวยตมขาไก แกงเขียวหวาน สมตํา ฯลฯ สวน กวยเตี๋ยวผัดไทยตามมาเปนที่นิยมของฝรั่งเมื่อไมนานมานี้ แตรสชาติของกวยเตี๋ยวผัดไทยในเมือง ฝรั่งบางที่จะไมเหมือนกับในเมืองไทย เพราะกวยเตี๋ยวมีเครื่องไมครบเหมือนผัดไทยบานเรา เชน น้ํา มะขามเปยก น้ําตาลปบ หัวไชโป กุง แหง น้ําปลาดี ซึ่งเปนสวนสําคัญในการผัดกวยเตี๋ยว และทีส่ ําคัญ ที่สดุ ก็คือ เสนกวยเตี๋ยวจะตองเหนียวนุมไมแฉะและไมกระดาง ทําไมตองเปนผัดไทย เพราะผัดไทยเปนของไทย ผัดไทยเกิดขึน้ เมื่อสมัยจอมพล ป. พิบูล สงคราม เมื่อประมาณหาสิบกวาปทแี่ ลว รัฐบาล จอมพล ป. พิบลู สงคราม ไดบริหารประเทศ ในชวงระหวางป พ.ศ.2482-2489 และชวงสงครามโลก ครั้งที่ 2 บานเมืองไทยนั้น แตเดิมเรียกกันวา ประเทศสยาม ทานผูนํา จอมพล ป. ก็ใหเปลี่ยนชื่อ ในป 2484 จึงกลายเปน ประเทศไทย ตั้งแตนนั้ มา เมื่อมีชาติไทยแลว ก็จําเปนตองมีอาหารประจําชาติไทย ผัดไทยจึงไดรบั เลือกใหเปนพระเอก สําหรับคราวนี้อาหารที่เปนเสน ๆ นั้นถูกมองวาเปนจีนไปหมด ทั้งกวยเตี๋ยว บะหมี่ แมแตขนมจีนยัง เปนจีน อาหารชนิดใหมจึงไดรับ การประดิษฐขนึ้ มา เริ่มตนนําเสนเล็กมาผัด ใสเตาหูเหลืองซอยให เล็ก ๆ เติมกุงแหง ใสใบกระเทียม (ไมใชใบกุยชาย) แลวตอกไขลงไป ยีใหทั่ว สุดทายก็ใสถวั่ งอก ดิบ (เพราะสมัยนั้นมีชว งที่น้ําทวม แลวมีถวั่ งอกลนตลาด ลนเมืองจนไมรจู ะเอาไปทําอะไร จอมพล ป. ทานจึงใหนํามาใสผดั ไทย) แลวจึงตักขึ้นใสจาน อาจจะประดับตนกระเทียม ไวกินเคียง ถาใสกุง ใหญประดับหนา ก็จะไดผัดไทยกุงสด ผัดไทยของแทตอ งไมใสหมู เพราะการสรางอาหารชนิดนี้ให มีสัญชาติไทยโดยแท เพราะในชวงเวลาที่ผดั ไทยไดรับการประดิษฐขนึ้ มานั้น หมูถกู มองวาเปน อาหารของคนจีน คนไทยนั้นนาน ๆ ทีจงึ กินหมู กินเฉพาะเวลางานฉลอง ที่สาํ คัญตองฆาหมูมากิน กัน คนไทยแตเดิมนั้นกินไก กินปลาเปนหลัก เมื่อผัดไทยไดชื่อวาผัดไทย หมูจงึ ไมอาจมาอยูในจาน ผัดไทย ทําใหกวยเตี๋ยวผัดเปนอาหารไทยที่เดนในบรรดาอาหารไทยสูอาหารโลก กวยเตี๋ยวผัดไทยนั้น เราผัดกินกันมาหลายสิบปแลวสวนประกอบมีไมมาก มีเพียงกุงแหง หัวไชโป เตาหู สวนไขใสก็ไดไมใสกไ็ ด ปรุงรสใหเปรี้ยวหวานมันเค็ม ไสถวั่ งอกและกุยชาย (ระยะหลัง เปลี่ยนจากใบกระเทียมมาเปนใบกุยชาย) เปนผักก็เทานั้นเอง เจาไหนลวกเสนไดเหนียวนุมไมแฉะ ไม กระดาง ผัดกับเครื่องเขากันทั่วถึงก็เปนผัดไทยที่เรากินกันมาแตดั้งเดิม ในตอนหลังมีผูผดั กวยเตี๋ยว ผัดไทยโดยใชกงุ แมน้ํา อยางเชน กวยเตี๋ยวผัดไทยนายเที่ยงที่ราชวงศ มันกุงมีผดั กับเสนกวยเตี๋ยว จะทําใหผดั ไทยอยางนี้เพิ่มความแปลกและอรอยขึ้นจนเปนที่เลื่องลือ ตอมากุงแมนา้ํ มีราคาแพง กวยเตี๋ยวผัดไทยทิพยสมัยที่สาํ ราญราษฎรกเ็ อากุงทะเลอยางกุงแชบวยหรือกุงขนาดเล็กมาผัดแทน กุงแมน้ํา สวนจันทบุรีมีกว ยเตี๋ยวเสนจันทผดั ปูมา เปนเอกลักษณของกวยเตี๋ยวผัดไทยจันทบุรี เพราะเขาไดเปรียบดวยการทําเสนกวยเตี๋ยวจากบางกะจะที่เหนียวนุมนากินเปนอยางมาก ใชปูมา แทนกุง เปนกวยเตี๋ยวผัดไทยอีกแบบหนึ่ง สวนทางภาคใต เขาผัดกวยเตี๋ยวโดยมีนา้ํ พริกแกงแบบ ปกษใตเปนเครื่งปรุง รสชาติแปลกไปอีกอยางเรียกกันวา กวยเตี๋ยวผัดไชยา จะเห็นไดวา กวยเตี๋ยว ผัดไทยมีหลายตํารับดวยกัน แตที่ขึ้นชื่อในตางประเทศตองเปนกวยเตี๋ยวผัดไทยตํารับดั้งเดิม สวน จะเพิ่มอะไรเขาไปนั้นก็ยงิ่ ทําใหผดั ไทยนีอ้ รอยจนถูกปากฝรั่งไปตาม ๆ กัน สวนผัดไทยที่ตักใสจาน
105
แลวก็มีกุงตัวใหญใสทงั้ เปลือกวางมาดวยนั้น ไมเขากันกับผัดไทย ขอยืนยันวาผิด ผิดหลักการของ การผัดไทย ผัดไทยนัน้ เหมือนกับขาวผัดที่เครื่องของที่ใสลงไปผัดนั้นตองเปนชิ้นเล็ก ผัดไทยนี่ รสชาติตอ งออกกลาง ๆ เค็มหวานเปรี้ยวเผ็ดเสมอกัน มะนาวซีกหนึ่งที่เขาใสใหมานั้นเพื่อเนนรส เปรี้ยวใหจัดขึ้น เขาไมใสน้ํามะนาวตอนผัด และดวยความนิยมกวยเตี๋ยวผัดไทยมีผูคิดทําน้ําปรุง สําเร็จนําเอาไปผัดโดยทีไ่ มตองคํานึงถึงสัดสวนในการปรุงรส แตยงั ไมแพรหลายมาก เพราะวายังมี ขัน้ ตอนอีกหลายอยาง เชน หาเสน กวยเตี๋ยว ซื้อถัว่ งอก กุยชาย กุง แหง หัวไชโป เตาหู ซึ่งเปน สวนประกอบสําคัญ
บรรณานุกรม ถนัดศอ. กวยเตี๋ยวผัดไทยรสสยาม. www.matichon.co.th วาณิช จรุงกิจอนันต. www.astarlink.exteen.com สุวพงศ สุขวิบลู ย. กวยเตี๋ยวผัดไทยกับวัฒนธรรมไทย. www.xaap.com
106
ประวัติความเปนมาของ “หมี่กรอบ ร.5”, “หมี่จนี หลี”
ประวัติ หมี่ ร.5 อยูทตี่ รงทาน้ําตลาดพลู ตําบลตลาดพลูเปนชุมชนที่มีผคู นหนาแนนมาตั้งแต โบราณสวนใหญคนแถบนั้นจะเปนคนจีน หมี่นี้คนที่ทําขึ้นตั่งแตแรกและมีชอื่ เสียง เรียกวาถามี เชลลชวนชิมตั้งแตสมัยนัน้ ก็คงจะไดแลว แตเผอิญหมอบลัดเลยกไ็ มไดมาชิม เพราะวาตอนนั้นหมอบ ลัดเลมีหนังสือ และมีโรงพิมพ ถาเปดหนาบลัดเลยชวนชิมก็คงจะมีหมีจ่ นี หลีเจานี้ชอื่ วา จีนหลี อยู ที่ทาน้ําตลาดพลูเดี๋ยวนีล้ ูกหลานวานเครือของเขาก็ยังอยูที่นั้นและก็ยงั ผัดหมี่อยู หมี่จนี หลีนนั้ กะทะ ใหญมากเทาใบบัว สามารถเลี้ยงขาวคนไดสกั รอยคนและเอามาผัดมีทลี ะจาน และการผัดของเขานั้น ใชฟน และการตวงอะไรใชเปลือกไข เชน ตวงเตาเจี้ยว ฯลฯ หมี่จนี หรือหมี่ตลาดพลู เขาเรียกตัวเองวา “หมี่ ร. 5” ซึง่ เขามีสทิ ธิท์ ี่จะเรียกได เลากันวาในวันหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลาเจาอยูหัว เสด็จโดยเรือในการเสด็จเยี่ยมเยือนราษฎร ไดเสด็จมาทางคลอง ผานตลาดพลู ขบวนพระที่นงั่ ก็ หยุดเทียบตลิง่ และก็มมี หาดเล็กเดินมาที่รานหมี่จนี หลี ใหจนี ผัดหมี่ จีนหลีก็ไมรูคดิ วาเปนขบวนขุน นาง ก็ผดั อยางสุดฝมอื ตามธรรมดาเขาฝมอื คงที่อยูแลว ก็เลยทําไป มหาดเล็กที่มาซื้อก็นาํ ไปตัง้ เครื่องเสวย ทรงโปรดหมีน่ ี้มาก และจีนหลีนั้นก็ไดเงินพระราชทานเปนคากํานันฝมือ นับตั้งแตนนั้ มา กิตติศัพทกล็ า่ํ ลือวา ทรงโปรดหมี่รานนี้ ถาเปนสมัยนี้คงเรียกวา หมี่เสวย และเจาของรานใชพระ นามของพระองค เรียก หมี่กรอบ ร. 5 มาจนถึงปจจุบัน สวนผสมหมี่กรอบ ร. 5 น้ําตาล, มะนาว, น้ําปลา, ไข, เนื้อหมู กุง, น้ําสม, กระเทียม, หอมแดง เครื่องปรุง วิธีทํา เอาเสนหมี่แชน้ําแลวนําไปทอด พอหมี่ไดทกี่ ็ใสเครื่องปรุงที่เตรียมแลวลงไปแลว ก็ใสถวั่ งอก ใสขนึ้ ฉาย กุยฉาย เครื่องเคียงของหมี่กรอบ พริกสด กระเทียมดอง สมซา เปดมาได 100 กวาป แตที่ตลาดพลูนี้เปดมาได 40 กวาปแลว
ที่มา: รานหมี่กรอบ ร.5 อยูที่ตลาดพลู 31/8/46
107
ภาพที่ 1 การเรียกชื่อสวนตาง ๆ ของเนื้อวัว ทีม่ า : www.wikimedia.org
ภาพที่ 2 การเรียกชื่อสวนตาง ๆ ของเนื้อวัว ทีม่ า : www.arrowfarmshop.co.uk
108
ภาพที่ 3 การเรียกชื่อสวนตาง ๆ ของเนื้อวัว
ภาพที่ 4 การเรียกชื่อสวนตาง ๆ ของไก ทีม่ า : www.ams.usda.gov
109
ภาพที่ 5 การเตรียมปลาสําหรับประกอบอาหาร ทีม่ า : www.portlandonline.com
ภาพที่ 6 การบั้งปลา ทีม่ า : www.dwimages.com
ภาพที่ 7 การแลปลาตัวแบน ทีม่ า : www.hsc.csu.edu.au
110
ภาพที่ 8 การแลปลาตัวแบนแบบ บน butterfly ลาง fillet ทีม่ า : www.seafoodtaining.org
ภาพที่ 9 การแลปลาตัวกลมแบบ กลาง steak ทีม่ า : www.seafoodtaining.org
111
บทปฏิบัตกิ าร อาหารไทยประเภทผัดและทอด
112
113
บทปฏิบัติการครั้งที่ 1 หอยลายผัดฉา ผัดกะเพราไก ปลากะพงผัดผงกะหรี่ วัตถุประสงค 1. นักศึกษาเลือกใชวตั ถุดิบเพือ่ ทําอาหารไทยประเภทผัดและทอด ไดอยางถูกตอง 2. นักศึกษาผลิตและอธิบายเทคนิคการทําอาหารไทยประเภทผัดและทอดไดอยางถูกตอง
114 โปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รายการอาหาร : หอยลายผัดฉา
ประเภท : ผัดเผ็ด
สวนผสม (Ingredients)
น้ําหนัก (กรัม) (Weight) 10 กรัม 5 กรัม 10 กรัม 30 กรัม 10 กรัม 8 กรัม 50 กรัม 400 กรัม 30 กรัม 2 กรัม 40 กรัม 30 กรัม 15 กรัม
กระเทียม รากผักชี พริกขี้หนูแดงสดซอย น้าํ มันพืช น้าํ ปลา น้ําตาลทราย น้าํ เปลา หอยลาย กระชายหั่นเสน ใบมะกรูดฉีก พริกไทยออนหั่นทอนสั้น ๆ ใบโหระพา พริกชี้ฟาแดง หั่นเฉียง บันทึก :
อาจารยผูสอน : พรดารา เขตตทองคํา
จํานวนที่ได (Portions) : 2 ที่ วิธีทํา (Method of Work) 1. โขลกกระเทียม รากผักชี พริก ใหละเอียด 2. นําน้ํามันพืชใสกระทะตั้งไฟใหรอ น ใสเครื่องที่โขลก ลงผัดจนหอม 3. นําหอยลายลงผัด พอหอยเริ่มเปลือกอา เติม น้าํ ปลา น้าํ ตาลทราย และน้ําเปลา ชิมรสตามชอบ 4. ใสกระชาย ใบมะกรูด พริกไทยออน ใบโหระพา และพริกชี้ฟา หั่นเฉียง ดับไฟ ผัดจนเขากัน ตักใสจาน เสิรฟ อาจตกแตงดวยยอดใบโหระพา และพริกชี้ฟา หั่นเฉียง
วัสดุ / อุปกรณ
115 โปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รายการอาหาร : ผัดกะเพราไก
ประเภท : ผัดเผ็ด
สวนผสม (Ingredients)
น้ําหนัก (กรัม) (Weight) 8 กรัม 10 กรัม 20 กรัม 300กรัม 4 กรัม 8 กรัม 8 กรัม 10 กรัม 50 กรัม 20 กรัม 1 เม็ด
พริกขี้หนูแดง กระเทียมหั่นหยาบ ๆ น้าํ มันพืช ไกสบั หยาบ น้าํ ปลา ซอสปรุงรส น้ําตาลทราย น้าํ มันหอย น้าํ เปลา/น้าํ ซุป ใบกะเพรา พริกชี้ฟาแดงหั่นเฉียง บันทึก :
อาจารยผูสอน : พรดารา เขตตทองคํา
จํานวนที่ได (Portions) : 2 ที่
วิธีทํา (Method of Work) 1. โขลกพริกขี้หนูกบั กระเทียมหยาบ ๆ 2. ตั้งน้ํามันใหรอน ใสเครื่องที่โขลกลงผัดใหหอม ใสไกสับ ลงไป ปรุงรสดวยน้ําปลา ซอสปรุงรส และน้ําตาลทราย น้าํ มันหอย น้าํ ซุป ผัดใหสุก ชิมรสเค็มนําหวาน ดับไฟ ใส ใบกะเพรา ผัดพอเขากัน ตักใสจาน ตกแตงดวยพริกชี้ฟา และยอดใบกระเพรา
วัสดุ / อุปกรณ
116 โปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รายการอาหาร : ปลากะพงผัดผงกะหรี่
สวนผสม (Ingredients) ปลากะพงขาวแลเอาแตเนื้อ แปงขาวโพด น้าํ มันพืชสําหรับทอด พริกขี้หนูแดงเม็ดใหญซอยหยาบ กระเทียมหั่นหยาบ ผงกะหรี่ น้ําตาลทราย น้าํ ปลา ซีอิ้วขาว ขึ้นฉายหั่นทอนยาว 1 ½ นิ้ว หอมใหญหั่นเสี้ยวตามยาวบาง ๆ ตนหอมหัน่ ทอนยาว 1 ½ นิ้ว พริกชี้ฟาแดงหั่นเฉียง น้าํ เปลา บันทึก :
อาจารยผูสอน : พรดารา เขตตทองคํา
ประเภท : ผัด/ทอด
น้ําหนัก (กรัม) (Weight) 400 กรัม 50 กรัม 10 กรัม 10 กรัม 8 กรัม 10 กรัม 20 กรัม 4 ชอนชา 50 กรัม 20 กรัม 20 กรัม 10 กรัม 50 กรัม
จํานวนที่ได (Portions) : 2 ที่
วิธีทํา (Method of Work) 1. หัน่ ปลาเปนชิ้นหนาประมาณ 1 cm. นําไปคลุกกับแปง ขาวโพดใหทวั่ นําไปทอดในน้ํามันทวม พอสุกเหลืองตักขึ้นพัก ไว 2. โขลกกระเทียมกับพริกชี้หนูพอหยาบ ๆ 3. นําสวนผสมขอ 2 ลงผัดใหหอม ใสหอมใหญ ปรุงรสดวย น้ําตาลทราย น้ําปลา ซีอวิ้ ขาว เติมน้ําเล็กนอยชิมรส ใสผง กะหรี่ ใสปลา ตนหอม และขึ้นฉาย ผัดใหเขากัน ตักขึ้นใส จานเสิรฟ ตกแตงดวยพริกชี้ฟาแดง
วัสดุ / อุปกรณ
117
บทปฏิบัติการครั้งที่ 2 ทอดมันปลากราย ปลานิลทอด ลาบทอด วัตถุประสงค 1. นักศึกษาเลือกใชวตั ถุดิบเพือ่ ทําอาหารไทยประเภทผัดและทอด ไดอยางถูกตอง 2. นักศึกษาผลิตและอธิบายเทคนิคการทําอาหารไทยประเภทผัดและทอดไดอยางถูกตอง
118 โปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รายการอาหาร : ทอดมันปลากราย
ประเภท : ทอดแบบ deep-fry
สวนผสม (Ingredients) เนื้อปลากรายขูด ถั่วฝกยาวซอย น้าํ พริกแกงเผ็ด ไขไก ใบมะกรูดซอยฝอย น้ําตาลทราย น้าํ มันสําหรับทอด สวนผสมน้ําจิ้ม พริกแดงโขลก เกลือปน น้ําตาลทราย น้าํ สมสายชู ถั่วลิสงปน แตงกวา ผักชีเด็ดเปนใบ ๆ ใบโหระพา
น้ําหนัก (กรัม) (Weight) 500 กรัม 100 กรัม 80 กรัม 1 ฟอง 5 ใบ 10 กรัม
10 กรัม 4 กรัม 115 กรัม 250 กรัม 20 กรัม 30 กรัม 5 กรัม 30 กรัม บันทึก : ชิมน้ําพริกแกงกอน ถาไมเค็มเติมเกลือปน ½ ชอนชา
อาจารยผูสอน : พรดารา เขตตทองคํา
จํานวนที่ได (Portions) : 3 ที่ วิธีทํา (Method of Work) 1. ผสมเนื้อปลากราย น้าํ ตาลทราย น้าํ พริกแกง และไขไก เขาดวยกันคนใหเขากัน ใชมือนวดใหเหนียว 2. ใสถวั่ ฝกยาว ใบมะกรูดลงไปนวดตอจนเหนียว 3. ปน สวนผสมเปนกอนกลม ๆ แลวกดใหแบนพอประมาณ ทอดในน้ํามันทวมไฟออน พอสุกพักใหสะเด็ดน้ํามัน จัด เสิรฟคูกับน้ําจิ้ม และใบโหระพาทอดกรอบ น้ําจิ้ม ผสมน้าํ สมสายชู น้าํ ตาลทราย เกลือ นําไปตั้งไฟ เคี่ยวใหเหนียวขน ใสพริกแดงโขลก ถัว่ ลิสงคั่วปน คนใหเขา กันยกลง เวลาเสิรฟใสแตงกวาหั่นบาง ๆ วิธที อดใบโหระพา ลางใบโหระพาใหสะอาด เด็ดเอาแตใบ ผึ่งใหแหง นํา ลงทอดในน้าํ มันรอน ๆ รอใหสุกใสตักขึ้น พักใหสะเด็ดน้ํามัน (ทอดครั้งละนอย ๆ)
วัสดุ / อุปกรณ
119 โปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รายการอาหาร : ปลานิลทอด
ประเภท : ทอดแบบ deep-fry
สวนผสม (Ingredients)
น้ําหนัก (กรัม) (Weight) 2 ตัว 50 กรัม 2 กรัม 2 กรัม
ปลานิล แปงสาลีอเนกประสงค พริกไทยปน เกลือปน น้าํ มันสําหรับทอด
บันทึก :
อาจารยผูสอน : พรดารา เขตตทองคํา
จํานวนที่ได (Portions) : 2 ที่ วิธีทํา (Method of Work) 1. ขอดเกล็ดปลา ควักไส ตัดหัว หางและครีบ ออกใหเหลือ ครึ่งหนึ่ง 2. ลางใหสะอาด บัง้ ประมาณ 3 บั้ง แลวผึ่งใหหมาด 3. นําแปงสาลี พริกไทย และเกลือปน ผสมใหเขากัน 4. นําปลาคลุกในสวนผสมของแปงใหทั่ว แลวนําทอดใน น้าํ มันรอนจนกระทั่งเหลือง จึงกลับปลาอีกดานหนึ่ง 5. จัดเสิรฟคูกับน้ําจิ้มหรือซอสมะเขือเทศ วัสดุ / อุปกรณ
120 โปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รายการอาหาร : ลาบทอด
ประเภท : ทอด
สวนผสม (Ingredients)
น้ําหนัก (กรัม) (Weight)
เครื่องโขลก ตะไครซอยคั่วพอหอม ขาหั่นแวนคั่ว กระเทียมคั่ว หอมแดงคั่ว เครื่องปรุง หมูสับ น้าํ ปลา น้าํ มะนาว พริกปน ขาวคั่วปน แปงขาวโพด น้าํ มันพืชสําหรับทอด หอมแดงซอยตามยาว ใบสะระแหน ผักชีฝรั่งหั่นหยาบ ถั่วฝกยาว กะหล่ําปลี ตนหอม
10 กรัม 4 กรัม 4 กรัม 4 กรัม 300 กรัม 30 กรัม 30 กรัม 15 กรัม 10 กรัม 30 กรัม
20 กรัม 10 กรัม 10 กรัม 50 กรัม 200 กรัม 30 กรัม บันทึก : ถาใสขาวคั่วมากเวลาทอดจะทําใหแตกออกจากกัน ถาใสมะนาวลงในเนื้อหมูโดยตรงเนื้อหมูจะไมเกาะกัน อาจารยผูสอน : พรดารา เขตตทองคํา
จํานวนที่ได (Portions) : 2 ที่
วิธีทํา (Method of Work) 1. โขลกสวนผสมเครื่องโขลกใหละเอียด 2. ผสมหมูสับ เครื่องที่โขลก พริกปน ขาวคั่ว น้ําปลากับน้ํา มะนาว(ทีผ่ สมไวแลว) ใสแปงขาวโพด คลุกเคลาใหเขากัน ปนเปนกอนกลม หรือบี้ใหแบนเล็กนอย คลายทอดมัน 3. นําไปทอดในน้ํามันทวม ใชไฟกลาง ทอดจนสุกเหลือง ตัก ขึ้น จัดเสิรฟโรยดวยหอมแดงซอย ผักชีฝรั่ง ใบสะระแหน เสิรฟคูกับ ถัว่ ฝกยาว ตนหอม และกะหล่ําปลี
วัสดุ / อุปกรณ
121
บทปฏิบัติการครั้งที่ 3 กวยเตีย๋ วผัดไทย ผัดซีอิ้ว กวยเตีย๋ วคั่วไก วัตถุประสงค 1. นักศึกษาเลือกใชวตั ถุดิบเพือ่ ทําอาหารไทยประเภทผัดและทอด ไดอยางถูกตอง 2. นักศึกษาผลิตและอธิบายเทคนิคการทําอาหารไทยประเภทผัดและทอดไดอยางถูกตอง
122 โปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รายการอาหาร : กวยเตี๋ยวผัดไทย
ประเภท : ผัด
สวนผสม (Ingredients)
น้ําหนัก (กรัม) (Weight)
น้าํ ซอสผัดไทย น้าํ ตาลปบ น้าํ ปลา น้าํ มะขามเปยกขน ๆ พริกปน เครื่องปรุง เสนจันทรแหงแชน้ํา ถั่วงอกเด็ดหาง กุงกุลาดํา เตาหูเหลืองหั่นชิ้นเล็ก ๆ ใบกุยชายหั่น 1 นิ้ว ไชโปหวานสับ ถั่วลิสงคั่วปน กุงแหง ไขไก หอมแดงสับละเอียด น้าํ มันพืช น้าํ เปลา หัวปลี มะนาว
60 กรัม 40 กรัม 45 กรัม 6 กรัม
130 กรัม 160 กรัม 250 กรัม 80 กรัม 20 กรัม 30 กรัม 30 กรัม 20 กรัม 2 ฟอง 10 กรัม 60 กรัม 120 กรัม 50 กรัม 1 ผล บันทึก : ถาผัดเสนยังไมนิ่มอยาราดซอสเพราะเสนจะแข็ง
อาจารยผูสอน : พรดารา เขตตทองคํา
จํานวนที่ได (Portions) : 2 ที่
วิธีทํา (Method of Work) 1. แชเสนจันทรในน้ําประมาณ 15 นาที (พอนิ่ม) 2. กุง ลางใหสะอาด แกะเปลือก ผาหลังเอาเสนดําออก 3. นําสวนผสมซอสทั้งหมดเทใสหมอเคี่ยวจนเขากัน พอ เดือดใสกงุ สด พอกุงสุกตักกุงขึ้น เคี่ยวน้ําซอสตอใหขน พักไว 4. ใสนา้ํ มันพืชครึ่งหนึ่งในกระทะทอดเตาหูพอสุก ใส หอมแดงสับและไชโปสับ ผัดจนหอม 6. ใสเสนจันทรทแี่ ชนา้ํ ลงในกระทะ คอย ๆ พรมน้ํา(อยา เทครั้งเดียวหมดเสนจะกอดกันเปนกอน) ผัดจนเสนนิ่ม (ถาเสนไมนมิ่ หามราดน้ําซอสเด็ดขาด) ราดซอสบนเสนผัด ใหเขากัน กันเสนไปดานใดดานหนึ่งของกระทะใสน้ํามัน เล็กนอยตอยไขไกยพี อสุกผัดใหเขากับเสน ใสถั่วลิสง กุง แหง ผัดใหเขากัน ใสถวั่ งอก ใบกุยชาย ผัดใหเขากัน 7. ตักใสจานเสิรฟกับถั่วงอก ใบกุยชายและหัวปลี มะนาวฝาน
วัสดุ / อุปกรณ
123 โปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รายการอาหาร : ผัดซีอิ้ว
สวนผสม (Ingredients) กวยเตี๋ยวเสนใหญ เนื้อหมูหั่นขวางเสนใย ผักคะนาตนใหญ ซีอวิ้ ดํา ซีอิ้วขาว น้าํ ปลา น้ําตาลทราย น้าํ มันพืช กระเทียมสับละเอียด พริกไทยปน ไขไก
บันทึก :
อาจารยผูสอน : พรดารา เขตตทองคํา
ประเภท : ผัด (แปง)
น้ําหนัก (กรัม) (Weight) 300 กรัม 120 กรัม 160 กรัม 5 กรัม 6 กรัม 20 กรัม 12 กรัม 40 กรัม 10 กรัม 1/8 ชอนชา 2 ฟอง
จํานวนที่ได (Portions) : 2 ที่
วิธีทํา (Method of Work) 1. หัน่ คะนายาว ประมาณ 1 ½ นิ่ว แยกสวนใบ กับสวนกาน ลวกในน้ําเดือด+เกลือ จนสีเขม (สุก ประมาณ 40 %) นําขึ้นแชนา้ํ เย็น พักใหสะเด็ด น้ํา 2. ยีเสนใหญอยาใหซอ นกันและอยาใหขาด นํา ซีอิ้วดํามาคลุกใหทั่ว 3. ผสมน้ําตาล น้าํ ปลา ซีอวิ้ ขาว ใหเขากันพักไว 4. น้าํ กระทะตั้งไฟกลางเทน้ํามันใส ½ หนึ่ง ใส กระเทียมเจียวใหหอม นําเนื้อหมูลงผัดใหสุก ใส เสนลงผัดพยายามอยาใหเสนขาด 5. นําผักที่ลวกไวใส กันสวนผสมไวขางกระทะ เท น้าํ มันที่เหลือใส ตอยไขใส ยีใหไขใหกระจาย ใส เครื่องปรึงที่ผสมไวผัดใหทั่ว พอไขสุกตัดใสจาน เสิรฟ โรยพริกไทยปน 6. อาจเสิรฟคูกับพริกปน พริกชี้ฟาดองน้ําสม วัสดุ / อุปกรณ
124 โปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รายการอาหาร : กวยเตี๋ยวคั่วไก
สวนผสม (Ingredients) เสนใหญ อกไกหนั่ ชิ้นขาวงเสนใย ไขไก ไชโปหวานสับ น้าํ มันพืช ซอสปรุงรส ซีอวิ้ ดํา น้าํ ปลา น้ําตาลทราย กระเทียมสับละเอียด ตนหอมหัน่ ยาว ½ cm. ผักกาดหอม พริกไทยปน ซอสมะเขือเทศ บันทึก :
อาจารยผูสอน : พรดารา เขตตทองคํา
ประเภท : ผัด (แปง)
น้ําหนัก (กรัม) (Weight) 340 กรัม 120 กรัม 2 ฟอง 20 กรัม 50 กรัม 15 กรัม 4 กรัม 10 กรัม 8 กรัม 5 กรัม 2 กรัม 50 กรัม 1 กรัม 30 กรัม
จํานวนที่ได (Portions) : 2 ที่
วิธีทํา (Method of Work) 1. ผสมน้ําตาลทราย น้าํ ปลา ซีอิ้วดํา ซอสปรุงรส ใหเขากัน 2. นําน้ํามันประมาณ 25 กรัม ใสกระทะ ใส กระเทียมลงเจียวใหหอม ใสไกลงผัดจนสุก ใสไช โปสับ ผัดใหหอม ใสเสนลงผัดใชไฟออน (พยายามอยาใหเสนขาด) ใสเครื่องปรุงที่ผสมไว ผัดใหเขากัน 3. กันเสนไวขา งกระทะ ใสนา้ํ มันที่เหลือใหหมด ใสไขตีใหไขกระจาย พอไขเกือบสุกตักเสนมาวาง ทับคนใหไขกระจายทัว่ เสน ผัดจนหอม ตักใสจาน ทีว่ างรองดวยผักกาดหอม โรยตนหอม พริกไทย เสิรฟคูกับซอสพริก
วัสดุ / อุปกรณ
125
บทปฏิบัติการครั้งที่ 4 หมี่กรอบ ไกผัดเมล็ดมะมวงหิมพานต ผัดเปรี้ยวหวาน
วัตถุประสงค 1. นักศึกษาเลือกใชวตั ถุดิบเพือ่ ทําอาหารไทยประเภทผัดและทอด ไดอยางถูกตอง 2. นักศึกษาผลิตและอธิบายเทคนิคการทําอาหารไทยประเภทผัดและทอดไดอยางถูกตอง
126 โปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รายการอาหาร : หมี่ กรอบ
ประเภท : ผัด/ทอด
สวนผสม (Ingredients)
น้ําหนัก (กรัม) (Weight)
น้าํ ซอส เตาเจี้ยว น้าํ ตาลปบ น้าํ มะขามเปยกขน ๆ ซอสมะเขือเทศ ซอสพริก น้าํ กระเทียมดอง น้าํ สมซา เครื่องปรุง เสนหมี่ เนื้ออกไกหนั่ ลูกเตา กุงกุลาดําหั่นเตา เตาหูเหลืองหั่นแทงบางๆ หอมแดงสับละเอียด กระเทียมสับละเอียด ผิวสมซาซอยบางๆ สัน้ ๆ เนื้อกระเทียมดองหั่นแวน พริกชี้ฟาแดงหั่นเสน ถั่วงอกเด็ดหาง ใบกุยชายหั่นทอน 1 นิ้ว น้าํ มันพืช
20 กรัม 150 กรัม 10 กรัม 30 กรัม 20 กรัม 15 กรัม 30 กรัม 100 กรัม 50 กรัม 50 กรัม 50 กรัม 5 กรัม 5 กรัม 10 กรัม 15 กรัม 5 กรัม 30 กรัม 15 กรัม สําหรับตกแตง สําหรับทอดเสนหมี่
บันทึก : อาจารยผูสอน : พรดารา เขตตทองคํา
จํานวนที่ได (Portions) : 3 ที่
วิธีทํา (Method of Work) 1. นําสวนผสมน้ําซอสรวมกันในหมอ นําไปตั้งไฟ เคี่ยวใหขน ๆ ยกลง 2. นําเสนหมี่ผานน้ํา (อยาแชนา้ํ เด็ดขาด) แยกเสนออกใหบาง ๆ ผึง่ ลมใหหมาดเกือบแหง 3. เทน้าํ มันใสกระทะครึ่งกระทะ ตัง้ ไฟใหนา้ํ มันรอนจัด แยกเสน หมี่ใหกระจายแตอยาใหเสนขาดจากกัน ใสเสนลงในกระทะ พอ เสนฟูตักขึ้นซับนํามันไว 4. ทอดไก เนื้อกุง และเตาหูใหสุกเหลือง ตักขึ้นซับน้ํามันเอาไว 5. ใสนา้ํ มันพืชในกระทะประมาณ 1 ชอนโตะพอรอนใสหอมสับ กระเทียมสับลงผัดใหหอม ลดไฟออน ใสนา้ํ ซอสเอาเสนหมี่ที่ทอด ไวลงคลุกเคลาใหเขากับน้ําซอส ตามดวยไกทอด กุง ทอดและเตาหู ทอด ดับไฟ ใสกระเทียมดอง ผิวสมซา พริกชี้ฟาหั่นเสน เคลาเบา ๆ 6. ตักเสิรฟ โรยดวยพริกชี้ฟา หั่นเสนเล็กนอย ตกแตงขางจานดวย ถั่วงอก ตนกุยชาย
วัสดุ / อุปกรณ
127 โปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รายการอาหาร : ไกผัดเม็ดมะมวงหิมพานต
สวนผสม (Ingredients) เนื้ออกไกหนั่ ลูกเตา ½ X ½ นิ้ว แปงขาวโพด กระเทียมสับละเอียด เม็ดมะมวงหิมพานตอบสุก พริกชี้ฟาแหงทอดหั่น 1 นิ้วเอาเมล็ดออก หอมใหญหนั่ สี่เหลี่ยม 2X2 cm. ตนหอมหัน่ ทอน 1 นิ้ว น้าํ ปลา น้ําตาลทราย ซอสพริก ซอสมะเขือเทศ พริกไทยปน น้าํ มันพืชสําหรับทอดและผัด บันทึก :
อาจารยผูสอน : พรดารา เขตตทองคํา
ประเภท : ผัดจืด
น้ําหนัก (กรัม) (Weight) 200 กรัม 35 กรัม 8 กรัม 100 กรัม 4 กรัม 100 กรัม 10 กรัม 8 กรัม 10 กรัม 55 กรัม 15 กรัม 2 กรัม
จํานวนที่ได (Portions) : 2 ที่
วิธีทํา (Method of Work) 1. นําไกลงคลุกกับแปงขาวโพดใหทั่ว นําไปทอดใหสุก เหลือง ตักขึ้นพักไว 2. ทอดพริกชี้ฟา แหง เม็ดมะมวงหิมพานตใหเหลือง พักไว 3. ผัดกระเทียมกับน้ํามันใหหอม ใสหอมใหญลงผัดให สุก ปรุงรสดวย น้าํ ปลา น้าํ ตาลทราย ซอสพริก ซอส มะเขือเทศ และพริกไทย ผัดใหเขากัน 4. ใสไก เม็ดมะมวงหิมพานตลงไปผัดใหเขากัน ใส พริกทอด ดับไฟใสตน หอมเคลาใหทั่ว ตักเสิรฟ
วัสดุ / อุปกรณ
128 โปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รายการอาหาร : ผัดปรี้ยวหวาน
ประเภท : ผัดจืด
สวนผสม (Ingredients)
น้ําหนัก (กรัม) (Weight ) 20 กรัม 10 กรัม 200 กรัม 50 กรัม 20 กรัม 40 กรัม 80 กรัม 20 กรัม 50 กรัม 30 กรัม 10 กรัม 10 กรัม 6 กรัม 5 กรัม เล็กนอยใชละลายแปง 2 กรัม
น้าํ มันพืช กระเทียมสับละเอียด หมูสนั ในหั่นบาง ๆ ขวางเสนใย หอมใหญหั่นเสี้ยวตามยาว เห็ดหอมแชน้ําตัดโคนผาครึ่ง แตงกวาหั่นสี่เหลี่ยมไมเอาเมล็ด สับปะรดหั่นหนาประมาณ 1 cm. พริกหยวกหั่นเฉียงไมเอาเมล็ด มะเขือเทศทอหั่นเสีย้ วไมเอาไส ซอสมะเขือเทศ น้าํ ปลา น้ําตาลทราย น้าํ สมสายชู แปงมันสําปะหลัง น้าํ เปลา ผักชีเด็ดเปนใบ ๆ บันทึก :
อาจารยผูสอน : พรดารา เขตตทองคํา
จํานวนที่ได (Portions) : 2 ที่
วิธีทํา (Method of Work) 1. ตั้งกระทะ เจียวกระเทียมใหหอม ใสหอมใหญ 2. ใสเนื้อหมู ผัดจนสุก ใสเห็ดหอม ปรุงรสดวย ซอส มะเขือเทศ น้าํ ปลา น้าํ ตาลทราย และน้ําสมสายชู ชิมรส (เพิ่มเครื่องปรุงรสได) ใหไดรสเปรี้ยวเค็มหวาน ถาแหงเติม น้าํ เล็กนอย ผัดจนสุก ใสแตงกวา สับปะรด พริกหยวก มะเขือเทศทอ ผัดใหเขากัน 3. ละลายแปงมันกับน้ําเล็กนอยใสในกระทะ ผัดให สวนผสมเขากันและแปงสุก ตักใสจาน ตกแตงดวยผักชี
วัสดุ / อุปกรณ
129
บทปฏิบัติการครั้งที่ 5 ขาวผัด หมี่กะทิ ปกไกสอดไสน้ําแดง
วัตถุประสงค 1. นักศึกษาเลือกใชวตั ถุดิบเพือ่ ทําอาหารไทยประเภทผัดและทอด ไดอยางถูกตอง 2. นักศึกษาผลิตและอธิบายเทคนิคการทําอาหารไทยประเภทผัดและทอดไดอยางถูกตอง
130 โปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รายการอาหาร : ขาวผัด
ประเภท : ผัด
สวนผสม (Ingredients)
น้ําหนัก (กรัม) (Weight) 8 กรัม 20 กรัม 60 กรัม 50 กรัม 50 กรัม 50 กรัม 200 กรัม 10 กรัม 8 กรัม 10 กรัม ½ ผล 15 กรัม
กระเทียมสับ น้าํ มันพืช เนื้ออกไกหนั่ ลูกเตา 1X1 cm. สับปะรดหั่นลูกเตา 1X1 cm. มะเขือเทศทอหั่นลูกเตาไมเอาไส ถั่วฝกยาวลวกหั่นทอนยาว ½ cm. ขาวสุก น้าํ ปลา น้ําตาลทราย แตงกวาหั่นแวนเฉียงหนา ½ cm. มะนาว ตนหอม พริกน้ําปลา น้าํ ปลา พริกขี้หนูสดซอย บันทึก :
อาจารยผูสอน : พรดารา เขตตทองคํา
จํานวนที่ได (Portions) : 2 ที่
วิธีทํา (Method of Work) 1. ตั้งกระทะใหรอน ใสนา้ํ มันพืช เจียวกระเทียมจนเหลือง 2. ใสไก เติมน้ําปลา น้าํ ตาลทราย ผัดใหสุก 3. ใสขา ว ถัว่ ฝกยาว สับปะรด มะเขือเทศลงผัดใหเขากัน (อยาใหมะเขือเทศเละ) ตักใสจาน เสิรฟ คูกับแตงกวา ตนหอม มะนาวฝานและพริกน้ําปลา
10 กรัม 10 กรัม วัสดุ / อุปกรณ
131 โปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รายการอาหาร : หมี่กะทิ
ประเภท : ผัด
สวนผสม (Ingredients)
น้ําหนัก (กรัม) (Weight) 1 หอ (200 กรัม) 150 ml. 100 กรัม 70 กรัม 20 กรัม 50 กรัม 20 กรัม 15 กรัม 70 กรัม 70 กรัม 2 ฟอง 10 กรัม
เสนหมี่แหง กะทิ เนื้ออกไกหั่นเตา 1X1 cm. เตาหูเหลืองหั่นสี่เหลี่ยมผืนผาเล็ก ๆ ใบกุยชายหั่นยาว 1 นิ้ว ถั่วงอก น้ําตาลทราย น้าํ ปลา ซอสมะเขือเทศ ซอสพริก ไขไก น้าํ มันพืช บันทึก :
อาจารยผูสอน : พรดารา เขตตทองคํา
จํานวนที่ได (Portions) : 2 ที่
วิธีทํา (Method of Work) 1. นําเสนหมี่แชนา้ํ จนนิ่ม 2. ทอดเตาหู และไกพอสุกเหลือง ตักขึ้นพักไว 3. ไขไกทอดใหเปนแผนบาง แลวหั่นเปนเสนยาวหนา ประมาณ 1 ซม. 4. นํากระทะตั้งไฟ ใสกะทิ น้าํ ตาลทราย น้าํ ปลา ซอส มะเขือเทศ และซอสพริกผสมใหเขากัน ชิมรสตามชอบ นําเสนหมี่ทแี่ ชน้ําไวลงผัดกับน้ําซอสจนเสนนิ่ม ผัดจน สวนผสมเกือบแหง ใสไกและเตาหูทที่ อดไว ใสใบกุยชาย ถัว่ งอก ผัดใหเขากัน ยกลง 5. ตักใสจานโรยหนาดวยไขที่หั่นไว เสิรฟ คูกบั ถั่วงอกดิบ ตนกุยชาย พริกปน และน้ําตาลทราย วัสดุ / อุปกรณ
132 โปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รายการอาหาร : ปกไกสอดไสน้ําแดง
ประเภท : ทอด
สวนผสม (Ingredients)
น้ําหนัก (กรัม) (Weight)
ปกไก ปกไก(ทัง้ ปก) หมูสับ น้าํ ปลา น้ําตาลทราย ดายขาว +เข็มหรือไมจมิ้ ฟน น้าํ แดง ซอสมะเขือเทศ ซอสพริก น้ําตาลทราย น้าํ มันหอย เกลือ น้าํ เปลา อื่น ๆ ผักบุงไทย(ขาว) น้าํ มันพืชสําหรับทอด บันทึก :
5 ปก (1/2 ก.ก. ) 200 กรัม 8 กรัม 8 กรัม
อาจารยผูสอน : พรดารา เขตตทองคํา
60 กรัม 60 กรัม 60 กรัม 60 กรัม 2 กรัม 130 กรัม
จํานวนที่ได (Portions) : 2 ที่
วิธีทํา (Method of Work) 1. ผสมหมูสับ น้าํ ปลา น้าํ ตาลทราย เคลาใหเขากัน 2. ปกไกถอดกระดูกออก(เฉพาะโคนปกบน) โดยหักบริเวณขอ แลวรูดกระดูกออก 3. นําสวนผสมขอ 1 บรรจุใสในปกไก แลวเย็บปดใหสนิท นําไปทอดพอเหลือง นําขึ้นพักใหสะเด็ดน้ํามัน 4. นําปกไกที่ทอดแลวใสหมอ ใสซอสมะเขือเทศ ซอสพริก น้ําตาลทราย เกลือ น้าํ มันหอย น้าํ เปลา ตัง้ ไฟออนเคี่ยวใหงวด (ใหนา้ํ ระเหยไป 1 ใน 3) 5. ลวกผักบุง หั่นเปนทอนยาวประมาณ 3 นิ้ว จัดเสิรฟ โดย วางเรียงผักบุงในจาน ตักปกไกวาง ราดน้ําแดง
100 กรัม วัสดุ / อุปกรณ
133
บทปฏิบัติการครั้งที่ 6 กุงชุบแปงทอด (เทมปุระ) หมูชุบแปงทอด (ทงคัสสึ) ผัดเนื้อน้ํามันหอย
วัตถุประสงค 1. นักศึกษาเลือกใชวตั ถุดิบเพือ่ ทําอาหารไทยประเภทผัดและทอด ไดอยางถูกตอง 2. นักศึกษาผลิตและอธิบายเทคนิคการทําอาหารไทยประเภทผัดและทอดไดอยางถูกตอง
134 โปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รายการอาหาร : กุงชุบแปงทอด(เทปุระ)
สวนผสม (Ingredients) กุงกุลาดําตัวใหญ แปงสาลีเอนกประสงค แปงชุบทอดโลโบเทมปุระ หอมใหญหนั่ แวนหนา ½ cm. หนอไมฝรั่งหั่นทอนยาว 3 นิ้ว ขาวโพดออนผาครึ่งฝก แครอทหั่นแทงยาว 3 นิ้ว น้าํ เย็นจัด โชยุ น้าํ มันพืชสําหรับทอด
บันทึก :
อาจารยผูสอน : พรดารา เขตตทองคํา
ประเภท : ทอด
น้ําหนัก (กรัม) (Weight) 400 กรัม 100 กรัม 300 กรัม 20 กรัม 50 กรัม 50 กรัม 50 กรัม 50 กรัม 1 L.
จํานวนที่ได (Portions) : 2 ที่
วิธีทํา (Method of Work) 1. ลางกุง แกะเปลือกและหัวออก ไวหางดึงสวนที่แข็งของ หางออก ใชไมสะกิดเสนดําออก ลางน้ํา บัง้ ทองกุงตาม ขวาง แลวกดใหกงุ ยืดตัวตรง คลุกแปงสาลีเอนกประสงคพอ ทั่ว 2. ลางผักใหสะอาด แลวหั่นตามที่ระบุไว ผึ่งใหแหง 3. ละลายแปงชุบทอดโลโบกบั น้ําเย็น ใหขนประมาณ นมขนหวาน 4. ตั้งน้ํามันใหรอน (ใชนา้ํ มันทวมอาหาร) ใชไฟกลาง นํากุงมาชุบแปงแลวทอด โดยนําดานหลังกุงลงน้ํามัน กุง จะ ตัวงอไมมาก ใชมอื จุมแปงชุบทอดเล็กนอยแลวสะบัดลงบน ตัวกุงหรือใชตะเกียบจุมแปงชุบทอดแลวแตะ ๆ ลงบนกุงก็ได ทําจนกระทั่งแปงเกาะกุงฟู ทอดจนแปงเปนสีเหลืองนวล ตักขึ้น พักใหสะเด็ดน้ํามัน 5. นําผักมาชุบแปงชุบทอด นําลงทอดจนแปงเปนสี เหลืองนวลตักขึ้นพักใหสะเด็ดน้ํามัน (ทอดผักไมตอ งทําให แปงฟูเหมือนกุง) 6. จัดกุงและผักใสจาน โดยจัดวางอาหารลักษณะคลาย ภูเขาไฟฟูจิ เสิรฟคูกบั โชยุ วัสดุ / อุปกรณ ตะเกียบสําหรับทอด กลุมละ 1 คู
135 โปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รายการอาหาร : หมูชุบแปงทอด (ทงคัสสึ)
ประเภท : ทอด
สวนผสม (Ingredients)
น้ําหนัก (กรัม) (Weight)
เนื้อหมูสนั นอกหั่นหนา 1 cm. (หัน่ ชิ้นใหญเหมือนทําสเต็ก) เกลือปน พริกไทยปน กะหล่ําปลีหนั่ ฝอยเหมือนสลัด ไขไกทงั้ ฟอง เกล็ดขนมปง แปงสาลีเอนกประสงค น้าํ มันพืชสําหรับทอด มายองเนส ซอสพริก ซอสมะเขือเทศ มะเขือเทศทอหั่นแวน บันทึก :
อาจารยผูสอน : พรดารา เขตตทองคํา
400 กรัม 2 กรัม 2 กรัม 50 กรัม 1 ฟอง 100 กรัม 50 กรัม 50 50 50 50
กรัม กรัม กรัม กรัม
จํานวนที่ได (Portions) : 2 ที่
วิธีทํา (Method of Work) 1. ลางเนื้อหมูใหสะอาด ซับใหแหง เคลากับเกลือและ พริกไทยทั้ง 2 ดาน หมักไว 10 นาที 2. ลางกะหล่ําปลีแลวซอยเปนเสนฝอย ๆ ใสตเู ย็นไว 3. นําน้ํามันใสกระทะตั้งไฟใหทว มอาหาร ใชไฟออน 4. ตีไขแดงและไขขาวใหเขากัน นําหมูทหี่ มักไวคลุกแปง สาลีใหทั่ว นําไปชุบไข แลวคลุกเกล็ดขนมปงพอทั่ว ทอดให สุกเหลือง ตักขึ้นใหสะเด็ดน้ํามัน พอเย็นหั่นเปนชิ้นหนา ประมาณ ½ cm. เรียงใหเนื้อหมูอยูในลักษณะเดิม 5. เสิรฟโดยวางเนื้อหมูดา นใดดานหนึ่งของจาน วาง กะหล่ําปลีขา งจาน มะเขือเทศทอทับดานขางกองกะหล่ําปลี มายองเนสราดบนหมูใหสวยงาม ซอสพริกกับซอสมะเขือ เทศใสถว ยรวมกันโดยตักวางไวอยางละดานของถวยน้ําจิ้ม วัสดุ / อุปกรณ
136 โปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รายการอาหาร : ผัดเนื้อน้ํามันหอย
สวนผสม (Ingredients) คะนาตนเล็ก เนื้อหมูสนั ใน น้าํ มันพืช กระเทียมสับละเอียด น้าํ มันหอย น้ําตาลทราย ซอสปรุงรส น้าํ เปลา บันทึก :
ประเภท : ผัดจืด
น้ําหนัก (กรัม) (Weight) 150 กรัม 300 กรัม 20 กรัม 10 กรัม 30 กรัม 10 กรัม 8 กรัม 50 กรัม
อาจารยผูสอน : พรดารา เขตตทองคํา
จํานวนที่ได (Portions) : 2 ที่
วิธีทํา (Method of Work) 1. เนื้อหมูหนั่ ชิ้นบาง ๆ ขวางเสนใย 2. ลวกผักคะนาในน้ําที่ใสเกลือและน้ํามันพืชเล็กนอย ทัง้ ตนใหสุก กรอบ แลวหั่นเปนทอนยาว 3 นิ้ว 3. ตั้งน้ํามันพืชผัดกระเทียมใหหอม นําเนื้อลงผัด ใสนา้ํ มันหอย ปรุง รสดวยน้ําตาลทราย ซอสปรุงรส เติมน้ําเล็กนอย ตักเสิรฟ คูกับคะนา ลวก
วัสดุ / อุปกรณ
137
บทปฏิบัติการครั้งที่ 7 ผัดพริกขิง ปลาราดพริกสามรส ผัดขิง
วัตถุประสงค 1. นักศึกษาเลือกใชวตั ถุดิบเพือ่ ทําอาหารไทยประเภทผัดและทอด ไดอยางถูกตอง 2. นักศึกษาผลิตและอธิบายเทคนิคการทําอาหารไทยประเภทผัดและทอดไดอยางถูกตอง
138 โปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รายการอาหาร : ผัดพริกขิง
ประเภท : ผัดเผ็ด
สวนผสม (Ingredients)
น้ําหนัก (กรัม) (Weight) 20 กรัม 30 กรัม 200 กรัม 10 กรัม 8 กรัม 150 กรัม 50 กรัม 2 กรัม
น้าํ มันพืช น้าํ พริกแกงเผ็ด(แดง) เนื้อหมูหรือไกหั่นบาง ๆ น้าํ ตาลปบ น้าํ ปลา ถั่วฝกยาวหั่นทอนยาว 1 ½ นิ้วลวก น้าํ เปลา ใบมะกรูดหั่นฝอย บันทึก :
อาจารยผูสอน : พรดารา เขตตทองคํา
จํานวนที่ได (Portions) : 2 ที่
วิธีทํา (Method of Work) 1. ผัดพริกแกงกับน้ํามันพืชจนหอม ใสเนื้อหมูหรือไกลง ผัด ปรุงรสดวยน้ําตาลปบ น้าํ ปลา ชิมรสใหกลมกลอม เติมน้ําเล็กนอยถาแหง 2. ดับไฟนําถั่วฝกยาวลวกลงเคลาใหทั่ว ตักใสจานเสิรฟ โรยดวยใยมะกรูดหั่นฝอย
วัสดุ / อุปกรณ
139 โปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รายการอาหาร : ปลาราดพริกสามรส
สวนผสม (Ingredients) เนื้อปลากะพงขาว แปงขาวโพด พริกชี้ฟาแดงหั่นหยาบ พริกขี้หนูแดงหั่นหยาบ หอมแดงสับหยาบ กระเทียมสับหยาบ รากผักชีหั่น เกลือปน น้ําตาลทราย น้าํ มะขามเปยกขน ๆ น้าํ เปลา น้าํ มันพืชสําหรับทอดและผัด พริกชี้ฟาแดงหั่นเสน ยอดผักชี บันทึก :
อาจารยผูสอน : พรดารา เขตตทองคํา
ประเภท : ผัดเผ็ด
น้ําหนัก (กรัม) (Weight) 400 กรัม 40 กรัม 30 กรัม 10 กรัม 20 กรัม 10 กรัม 8 กรัม 3 กรัม 50 กรัม 35 กรัม 50 กรัม ½ ขวด 2 กรัม 1-2 ยอด
จํานวนที่ได (Portions) : 2 ที่
วิธีทํา (Method of Work) 1. โขลกพริกชี้ฟา พริกขี้หนู กระเทียม หอมแดง และรากผักชีใหละเอียด 2. เนื้อปลาหั่นเปนชิ้นประมาณ 20 กรัม คลุกกับ แปงขาวโพด 3. ตั้งกระทะใสนา้ํ มัน พอรอนนําปลาลงทอดใชไฟ กลาง พอปลาสุกเหลืองออนตักขึ้นซับน้ํามัน ตักใส จาน 4. ตั้งกระทะใสนา้ํ มันประมาณ 2 ชอนโตะพอรอน นําพริกที่โขลกไวลงผัดใหหอม ปรุงรสดวยน้ําตาล ทราย เกลือ น้าํ มะขามเปยก ใสนา้ํ ซุป/น้าํ เปลา เคี่ยวพอขนเล็กนอย นํามาราดบนปลาที่ทอดไว ตกแตงดวยพริกชี้ฟาหั่นเสน ยอดผักชี
วัสดุ / อุปกรณ
140 โปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รายการอาหาร : ผัดขิง
สวนผสม (Ingredients) เนื้ออกไกหนั่ ขวางเสนใย เห็ดหูหนูสดหั่นชิ้นสี่เหลี่ยมพอคํา ขิงซอยเสน หอมใหญหั่นเสี้ยวหนา ½ cm. ตนหอมหัน่ ทอน 1 นิ้ว เตาเจี้ยวเม็ด น้ําตาลทราย กระเทียมสับละเอียด น้าํ มันพืช น้าํ เปลา บันทึก :
อาจารยผูสอน : พรดารา เขตตทองคํา
ประเภท : ผัดไมเผ็ด
น้ําหนัก (กรัม) (Weight) 120 กรัม 120 กรัม 70 กรัม 50 กรัม 30 กรัม 35 กรัม 8 กรัม 7 กรัม 20 กรัม 40 กรัม
จํานวนที่ได (Portions) : 2 ที่
วิธีทํา (Method of Work) 1. นําน้ํามันใสกระทะ เจียวกระเทียมใหหอม ใส หอมใหญลงผัดจนเกือบสุก 2. ใสไกลงผัดใหสุก ใสเห็ดหูหนู เติมน้ํา ใส เตาเจี้ยว ปรุงรสดวยน้ําปลา น้ําตาลทราย ชิมรส ตามชอบ 3. ใสขงิ ผัดใหเขากัน ดับไฟใสตน หอมคนใหทั่ว ตักใสจาน
วัสดุ / อุปกรณ
141
บทปฏิบัติการครั้งที่ 8 ไกหอใบเตย ฉูฉี่ปลาทูทอด ปลาดุกผัดเผ็ด วัตถุประสงค 1. นักศึกษาเลือกใชวตั ถุดิบเพือ่ ทําอาหารไทยประเภทผัดและทอด ไดอยางถูกตอง 2. นักศึกษาผลิตและอธิบายเทคนิคการทําอาหารไทยประเภทผัดและทอดไดอยางถูกตอง
142 โปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รายการอาหาร : ไกหอใบเตย
ประเภท : ทอด
สวนผสม (Ingredients)
น้ําหนัก (กรัม) (Weight) 600 กรัม 20 กรัม 10 กรัม 30 กรัม 20 กรัม 10 กรัม 5 กรัม 10 กรัม 30-35 ใบ
อกไก ซีอวิ๊ ขาว น้าํ มันงา นมขนจืด น้ําตาลทราย เหลาจีน พริกไทยปน กระเทียม ใบเตย(ขนาดใหญ) น้าํ มันสําหรับทอด น้าํ จิ้ม น้ําตาลทราย น้ํา ซีอวิ๊ ดํา เกลือปน งาขาวคั่ว บันทึก :
อาจารยผูสอน : พรดารา เขตตทองคํา
จํานวนที่ได Portions) : 2 ที่
วิธีทํา (Method of Work) วิธีทํา 1. โขลกกระเทียมใหละเอียด ใสเนื้อไกและสวนผสมทั้งหมด หมักไว 1 ชัว่ โมง 2. หอไกดวยใบเตย ใหเปนรูปสามเหลี่ยม นําไปทอดในน้ํามัน รอนจัด ไฟกลางพอสุกตักขึ้นใสตะแกรงสะเด็ดน้ํามัน 3. สวนของน้ําจิ้ม ใหใสนา้ํ ตาลทราย นําตั้งไฟใหเดือดยกลง พอเย็นใสซีอวิ๊ ดํา เกลือปน งาคั่ว บุบพอแตก ถาชอบรสเปรี้ยว จะใสนา้ํ สมนิดหนอยก็ได
4 ชอนโตะ 2 ชอนโตะ 2 ชอนโตะ 1 ชอนชา 2 ชอนโตะ วัสดุ / อุปกรณ
143 โปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รายการอาหาร : ฉูฉปี่ ลาทูทอด
สวนผสม (Ingredients) น้าํ พริกแกงเผ็ด ปลาทูสด กะทิ น้าํ ปลา น้ําตาลทราย ใบมะกรูดหั่นฝอย พริกชี้ฟาแดงหั่นเสนฝอย
บันทึก :
อาจารยผูสอน : พรดารา เขตตทองคํา
ประเภท : ผัดเผ็ด
น้ําหนัก (กรัม) (Weight) 70 กรัม 500 กรัม 500 ml. 10 กรัม 20 กรัม 2 กรัม 2 กรัม
จํานวนที่ได (Portions) : 2 ที่
วิธีทํา (Method of Work) 1. ขอดเกล็ดปลาทู ดึงเหงือก ควักไสออกใหหมด ลางใหสะอาด ใชมีดบั้งดานละ 2 บัง้ พักใหสะเด็ด น้ํา 2. ทอดปลาทูในน้ํามันทวม ไฟกลางจนกระทั่ง เหลือง ตักขึ้นวางบนกระดาษซับน้ํามัน 3. เคี่ยวกะทิใหแตกมัน (อยาเพิ่งใชกะทิหมด) นํา น้าํ พริกลงผัดใหสีสวย เติมกะทิที่เหลือ (เก็บกะทิไว ประมาณ 20 กรัม สําหรับราดตกแตง) ปรุงรส นําปลาทูที่ทอดไวลงในกระทะ ตัง้ ไฟตอสักพัก ตัก ใสจาน ราดกะทิที่เหลือ โรยใบมะกรูด ตกแตง ดวยพริกชี้ฟา แดงหั่นเสนฝอย วัสดุ / อุปกรณ
144 โปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รายการอาหาร : ปลาดุกผัดเผ็ด
สวนผสม (Ingredients) ปลาดุกสด พริกขี้หนูแดง พริกชี้ฟาแดง กระเทียมสับหยาบ ใบกะเพรา น้าํ ปลา น้ําตาลทราย น้าํ เปลาหรือน้ําซุป เกลือ (สําหรับคลุกปลา) น้าํ มันพืชสําหรับผัด น้าํ มันพืชสําหรับทอด บันทึก :
อาจารยผูสอน : พรดารา เขตตทองคํา
ประเภท : ผัดเผ็ด
น้ําหนัก (กรัม) (Weight) 1 ตัว (300 กรัม) 15 กรัม 20 กรัม 10 กรัม 10 กรัม 10 กรัม 15 กรัม 50 ml. 2 กรัม 20 กรัม ½ ขวด
จํานวนที่ได (Portions) : 2 ที่
วิธีทํา (Method of Work) 1. ควักไสปลาดุก ลางใหสะอาด หั่นเปนแวน หนาประมาณ ½ นิ้ว นํามาคลุกเกลือ ผึ่งให สะเด็ดน้ํา นํามาทอดในน้ํามันจนกรอบ พักให สะเด็ดน้ํามัน 2. ลางกะเพราใหสะอาดเด็ดเปนใบ ๆ ผึ่งลมให แหง นํามาทอดในน้ํามันจนกรอบ พักไว 3. โขลกพริกขี้หนู พริกชี้ฟา กระเทียมให ละเอียด 4. ผัดเครื่องที่โขลกจนหอม ปรุงรสดวยน้ําปลา น้ําตาลทราย เติมน้ําเปลา ชิมรสใหออกหวานนํา เล็กนอย เคี่ยวพอขน นําปลาดุกที่ทอดไวลงคลุก ใหเขากัน ตักเสิรฟ โรยใบกะเพราทอดกรอบ วัสดุ / อุปกรณ
อาหารไทย
แกง เขียวหวาน
ขนมจีน
ส้มตา
ผัดไทย
ข้าวมันไก่
ข้าวยา
ไข่เจียว
ไข่ตม้
ข้าวแช่
ต้มยา
ผัดขีเ้ มา
ผัดซีอิ๊ว
ลาบ
ราดหน้า
พะแนง
แกงไตปลา
แกงส้ม
แกงมัสมัน่
แกงเหลือง
อ้างอิง
แกงบวน
จัดทา
อาหารไทย
อาหารไทย เป็ นอาหารประจาของประเทศ ไทย ที่มกี ารสัง่ สมและถ่ายทอดมาอย่างต่อเนือ่ ง ตัง้ แต่อดีต จนเป็ นเอกลักษณ์ประจาชาติ ถือได้ว่า อาหารไทยเป็ นวัฒนธรรมประจาชาติที่สาคัญของ ไทย
หน้าหลัก
แกงเขียวหวาน แกงเขียวหวาน เป็ นอาหารไทยประเภท แกง ประกอบด้วยเนือ้ ปลา ไก่ หรือหมู และผัก ปรุงรส ด้วยกะทิ มะเขือ นา้ ตาล นา้ ปลาใบมะกรูด และใบ โหระพา นิยมรับประทานกับข้าวสวยหรือขนมจีนนา้ พริก แกงมีสีเขียวเพราะใช้พริกขีห้ นูสดสีเขียว บางท้องที่ใส่ใบ พริกลงไปตาด้วย
หน้าหลัก
ขนมจีน ขนมจีน เป็ นอาหารคาวชนิดหนึง่ ทาด้วยแป้ง เป็ นเส้นกลม ๆ คล้าย เส้นหมี่ รับประทานกับ นา้ ยา นา้ พริก เป็ นต้น อาหารชนิดนี้ ภาษาเหนือเรียก "ขนมเส้น" และภาษาอีสานเรียก "ข้าวปุ้ น“ ขนมจีนไม่ใช่อาหารจีน หากแต่เป็ นอาหารมอญ คาว่า "ขนมจีน" มาจากภาษามอญว่า "ขฺ นจินฺ" [คะ นอม-จีน] คาว่า "คะนอม" มีความหมายอย่างหนึง่ ว่า เส้นขนมจีน คาว่า "จีน" มีความหมายว่า "สุก"
หน้าหลัก
ส้มตา ส้มตา เป็ นอาหารคาวที่มชี อื่ เสียงและเป็ นที่ รูจ้ กั มากที่สดุ ของวัฒนธรรมชนชาติลาว ภายหลัง การยึดดินแดนฝัง่ ขวาแม่นา้ โขงแล้ว ต่อมาส้มตาได้ กลายเป็ นอาหารไทยอย่างหนึง่ ด้วย และเป็ นที่นยิ ม แพร่หลายไปทัว่ ทุกภูมภิ าค ตลอดจนกลายเป็ น อาหารที่มชี อื่ เสียงของไทยควบคู่กบั ผัดไทยและต้ม ยากุง้ ส้มตามีประวัตศิ าสตร์ตน้ กาเนิดไม่แน่ชดั แต่ สันนิษฐานว่าเป็ นอาหารที่มาจากภาค ตะวันออกเฉียงเหนือของไทยและประเทศลาว ซึ่งใน อดีตถือเป็ นแผ่นดินเดียวกัน
หน้าหลัก
ผัดไทย ผัดไทย เป็ นอาหารที่ได้รบั อิทธิพลจาก อาหารจีน เดิมเรียกอาหารชนิดนีว้ ่า "ก๋วยเตีย๋ ว ผัด" และได้รบั การเปลี่ยนแปลงด้านรสชาติใหม่ตาม อย่างอาหารไทยมากขึน้ ในเวลาต่อมา ผัดไทยได้กลายเป็ นที่รจู้ กั ของคนต่างชาติใน สมัยจอมพล ป. พิบลู สงคราม นายกรัฐมนตรีใน ขณะนัน้ ซึ่งเป็ นช่วงเดียวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 ท่านได้รณรงค์ให้ประชาชนหันมานิยม รับประทานก๋วยเตีย๋ ว เพื่อลดการบริโภคข้าว ภายในประเทศ เนือ่ งจากในช่วงนัน้ สภาวะเศรษฐกิจ ของประเทศตกตา่ ข้าวแพง หน้าหลัก
ข้าวมันไก่ ข้าวมันไก่ (ข้าวไก่ไหหลา หรือ ข้าวไก่ไห่ หนาน) เป็ นอาหารคาวของไทยและจีน คาดว่าอาหาร ชนิดนีไ้ ด้รบั การเผยแพร่มาจากชาวจีน หรือไหหลา หรือไห่หนาน มีให้รบั ประทานกันทัว่ ทุกภาคใน ประเทศไทย และนิยมกันมากในหมูช่ าวไทยเชือ้ สาย จีน นอกจากนีย้ งั นิยมรับประทานกันมากในมาเลเซีย และสิงคโปร์อีกด้วย ร้านข้าวมันไก่พบได้ทวั ่ ไปตามแหล่งชุมชน โดยมักจะมีตใู้ สแขวนไก่ตม้ ทัง้ ตัวอยู่หน้าร้านเป็ นจุด สังเกต บางร้านนาข้าวมันไก่มาประยุกต์โดยใช้ไก่ย่าง หรือไก่ทอดเพื่อเพิ่มความหลากหลาย หน้าหลัก
ข้าวยา
ข้าวยา หรือ ข้าวยาบูด ู เป็ นอาหารไทยภาคใต้ โดยถือ กันว่าเป็ นอาหารที่ครบโภชนาการมากที่สดุ และมีคณ ุ ลักษณะ พิเศษแตกต่างโดยเป็ นอาหารจานเดียวที่มนี า้ ปรุงราด ข้าวยาทาจากข้าวทีเ่ รารับประทานกันประจาวันนีเ้ อง แต่เพิ่มการปรุงแต่งบ้างเล็กน้อย เพื่อให้ขา้ วเหล่านัน้ มีสีสนั และ รสชาติที่นา่ รับประทานมากขึน้ ในข้าวยาจะมีผกั รับประทาน กับข้าวยาเรียกผักหมวด ผักที่นยิ มนามาทาเป็ นผักหมวด ได้แก่ ถัว่ ฝักยาว ถัว่ งอก ตะไคร้กระถิน ยอดมะม่วงหิม พานต์ ผักบุง้ ใบยอ ถัว่ พู และพาโหม ราดด้วยนา้ บูด ู ชาวไทย มุสลิมนิยมนาสีจากพืชมาหุงกับข้าวให้ได้ขา้ วสีต่างๆ เรียกว่า ข้าวยาห้าสี ส่วนข้าวยาทางจังหวัดสตูลจะมีเอกลักษณ์เฉพาะคือ ไม่ใส่นา้ บูด ู แต่จะนาข้าวมาคลุกกับเครื่องแกงและผัก โดย เครื่องปรุงหลักคือข่า เรียกว่าข้าวยาหัวข่า หน้าหลัก
ไข่เจียว ไข่เจียว เป็ นอาหารทอดจากไข่ที่ทาได้งา่ ย นิยมใช้ไข่ ไก่หรือไข่เป็ ด นาไข่มากะเทาะเปลือก ตีไข่ขาวและไข่แดงให้เข้า เป็ นเนือ้ เดียวกัน แล้วเติมเครื่องปรุงรสคือ นา้ ปลา ซอสหอย นางรม นม หรือ นา้ มะนาว ด้วย จากนัน้ ตัง้ กระทะบน เตา และใส่นา้ มันหมูหรือนา้ มันพืชพอร้อน ก็นาลงทอด จน สุกจะได้แผ่นไข่สีเหลืองรับประทานได้ ถ้านา้ มันมากจนไข่ที่ เจียวฟู เรียกว่า ไข่ฟู ไข่เจียวหนึง่ ฟองให้พลังงานประมาณ 90 แคลอรี
หน้าหลัก
ไข่ตม้ ไข่ตม้ เป็ นอาหารจากไข่ของสัตว์ปีกหรือสัตว์ ชนิดอื่นๆ ที่นยิ มรับประทานคือ ไข่ไก่ ไข่เป็ ด ไข่นก กระทา ทาโดยแช่ไข่ในภาชนะที่มนี า้ ให้ความร้อนจน เดือด เนือ้ ไข่ที่เหลวจะแปรสภาพเป็ นของแข็ง ถ้าต้มไม่ สุก เรียกว่า ไข่ลวก ซึ่งนิยมรับประทานเป็ นอาหารเช้า ถ้าไข่ขาวสุกแต่ไข่แดงไม่สกุ (ต้ม 7-8 นาที) เรียกว่า ไข่ ต้มยางมะต ูม ไข่ตม้ นาไปทาอาหารต่อยอด เช่น ไข่ลกู เขย ไข่พะโล้ หรือ นามาทายาไข่ตม้ ไข่ปิ้ง บางที่ ก็ใช้ไข่ตม้ มาเสียบไม้ปิ้ง บ้างก็นาไปรับประทานกับสลัดผัก โดยนิยมหัน่ เป็ น แว่นๆ หน้าหลัก
ข้าวแช่ ข้าวแช่ เป็ นชือ่ อาหารชนิดหนึง่ มีขา้ ว สุกขัดแช่นา้ เย็น ซึ่งมักเป็ นนา้ ดอกไม้ แล้วกินกับ เครื่องกับข้าวต่าง ๆ เช่น ลูกกะปิ พริกหยวกสอด ไส้ เนือ้ เค็มฝอยผัดหวาน หัวหอมสอดไส้ ผักกาด เค็มผัดหวาน ปลาแห้ง และเครื่องผัดหวานต่าง ๆ นิยมรับประทานในหน้าร้อน ปั จจุบัน อาจใส่นา้ แข็ง ในข้าวแช่ดว้ ย เชือ่ กันว่า ข้าวแช่เดิมเป็ นอาหารพื้นบ้านมอญ นิยม ทาสังเวยเทวดาในตรุษสงกรานต์ ต่อมา ชาววังรับ ไปปรับปรุงเรียกว่า "ข้าวแช่เสวย" หรือ "ข้าวแช่ ชาววัง" เมือ่ สิ้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในปี 2453 แล้ว ข้าวแช่ได้รบั การเผยแพร่ไปนอกวังและเป็ นที่นยิ มอย่างยิ่ง หน้าหลัก
ต้มยา ต้มยา เป็ นซุปไทยที่มรี สเปรี้ยวเผ็ด ต้มยาเป็ นอาหารที่รจู้ กั ในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านของประเทศไทย เช่น ลาว กัมพูชา มาเลเซีย และสิงคโปร์ รวมถึงมีชอื่ เสียงไปทัว่ โลก คาว่า “ต้ม ยา” มาจากคาภาษาไทย 2 คา คือ “ต้ม” และ “ยา” คาว่า “ต้ม” หมายถึง กิริยาเอาของเหลวใส่ภาชนะแล้วทาให้รอ้ นให้ เดือดหรือสุก ขณะที่ “ยา” หมายถึงอาหารลาวและไทย ประเภทที่มรี สเปรี้ยวเผ็ด ดังนัน้ “ต้มยา” คือซุปลาวและไทย ที่มคี วามเผ็ดร้อนและเปรี้ยว อันที่จริงคุณลักษณะของต้มยา มาจากความแตกต่างระหว่างความเผ็ดร้อนและความเปรี้ยว และกลิ่นหอมของสมุนไพรในนา้ แกง ที่สาคัญนา้ แกงนัน้ ประกอบด้วย นา้ ต้มกระดูกและเครื่องปรุงส่วนผสมสดได้แก่ ตะไคร้ ใบมะกรูด ข่า นา้ มะนาว นา้ ปลาและพริก หน้าหลัก
ผัดขีเ้ มา ผัดขี้เมา เป็ นอาหารที่ได้รบั ความนิยม มากในประเทศไทย และ ลาว โดยอาหารชนิดนี้ เกิดขึน้ จากการผสมผสานอาหารแบบไทยเข้ากับ อาหารของชาวจีนที่ยา้ ยถิ่นฐานเข้ามาอยู่ในประเทศ ไทยและลาว (หรือ ชาวไทยเชือ้ สายจีน) คาว่า ขีเ้ มา สันนิษฐานว่า เกิดจากผูท้ ี่ชอบดืม่ สุรามักจะหา กับแกล้มจากของเหลือทีม่ ใี นตูเ้ ย็น พบผักอะไรก็ เติมลงไปได้ ไม่ใคร่จะมีสตู รแน่นอนตายตัว แต่ทา ออกมาแล้วอร่อย จึงเป็ นที่นยิ มต่อ ๆ กันมา หน้าหลัก
ผัดซีอิ๊ว ผัดซีอ๊ิว เป็ นอาหารยอดนิยมที่มขี ายทัว่ ไปใน ประเทศไทย เป็ นอาหารที่มกั จะเป็ นเมนูของทุก ร้านอาหารตามสัง่ โดยส่วนใหญ่แล้วร้านใดที่ขาย ราดหน้าจะมีขายผัดซีอิ๊วควบคู่กนั ไปด้วย ลักษณะการ ปรุงคล้าย ก๋วยเตีย๋ วคัว่ แต่จะใส่ซีอิ๊วดาหวาน และใช้ ผักคะน้าเป็ นวัตถุดบิ ในการปรุง เส้นก๋วยเตีย๋ วที่ใช้เป็ นส่วนใหญ่คือ เส้นใหญ่ และ เส้นหมี่ ขาว ไม่นยิ มใช้เส้นเล็ก และบะหมี่ ผักที่นยิ มใส่จะมีแต่ คะน้าเพียงอย่างเดียว เนือ้ สัตว์ที่นยิ มคือ ไก่ และ หมู ไม่ นิยมใส่ปลาหมึก โดยทัว่ ไปมักใส่ไข่ดว้ ย ปรุงรสด้วยซีอิ๊ว ดา นา้ ตาล นา้ ปลา นาไปผัดในกระทะไฟแรง รสชาติ โดยทัว่ ไปของผัดซีอิ๊วจะออกหวานนา หน้าหลัก
ลาบ ลาบ เป็ นอาหารท้องถิ่นทางภาคอีสาน และภาคเหนือ(รวมถึงประเทศลาวและสิบสองปั น นา) โดยนาเนือ้ มาสับให้ละเอียดแล้วคลุกกับ เครื่องปรุง ซึ่งเนือ้ ที่มาทาลาบเป็ นเนือ้ หลายชนิด เช่น เนือ้ ไก่ เนือ้ เป็ ด เนือ้ วัว เนือ้ ควาย เนือ้ ปลา เนือ้ หมู และเนือ้ นก นอกจากนีย้ งั สามารถลาบสัตว์ จาพวก กวาง เช่น ละมัง่ กระจง เก้ง หรือแม้แต่ บึ้ง [1]ก็นามาลาบได้เช่นกัน ลาบนิยมกินคูก่ บั ข้าว เหนียว
หน้าหลัก
ราดหน้า ราดหน้า เป็ นก๋วยเตีย๋ วชนิดหนึง่ ที่ทาโดย การใช้เส้นลงไปผัดกับนา้ มันอ่อน ๆ ก่อน แล้วพักไว้ นา้ ที่ใช้ราด เป็ นนา้ ต้มกระดูกผสมกับแป้งมันมี ความข้นเหนียว เนือ้ สัตว์นยิ มใช้ เนือ้ หมู และ กุง้ หรือเนือ้ สัตว์อื่น ๆ ซึ่งถ้าเป็ นเนือ้ หมูจะ นิยมหมักกับกระเทียมก่อน เพื่อให้เหนียวนุม่ ผัก นิยมใช้ ผักคะน้า หรือจะใช้ผกั อย่างอื่น เช่น ผักกวางตุง้ หรือ ผักกาดขาว ก็ได้
หน้าหลัก
พะแนง พะแนง เป็ นอาหารไทยประเภทแกง โดยมี ส่วนผสมหลักของเครื่องแกง คือ พริก ข่า ตะไคร้ รากผักชี เม็ดผักชี เม็ดยี่หร่า กะเทียม และเกลือ พะแนงเป็ นอาหารที่ได้รบั อิทธิพลจากอินเดีย และ อาจมีวฒ ั นธรรมการกินแบบเขมรผสมด้วยหรือไม่ ไม่อาจยืนยันได้แต่มกี ารใช้ภาษาเขมร ที่เดิมใช้ สาหรับการอธิบายท่าเอาขาไขว้ หรือขัดกัน ที่ เรียกว่านัง่ ขัดสมาธิ หรือขัดตะหมาด ที่คนไทยใช้ใน ภาษาพูดจริงๆ แล้ว พะแนง แปลว่าท่านัง่ แบบ ขัดสมาธิ ใช้อธิบายคาในภาษาไทยตัง้ แต่ตน้ หรือ ก่อนอยุธยา หน้าหลัก
แกงไตปลา แกงไตปลา หรือแกงพุงปลาเป็ นแกงที่มไี ตปลาเป็ น ส่วนประกอบที่สาคัญ มีทงั้ แบบที่ใสและไม่ใส่กะทิ แบบใส่กะทิเป็ น ที่นยิ มในบางท้องที่ เช่นที่จงั หวัดยะลา การแกงจะต้มกะทิแค่พอ สุก ไม่แตกมัน นา้ พริกแกงประกอบด้วย พริกขีห้ นู แห้ง เกลือ พริกไทยเม็ด ตะไคร้ ผิว มะกรูด กระเทียม ขมิน้ หอม กะปิ [3] แกงไตปลาแบบชุมพรจะไม่ใส่ขา่ กระชาย หอม กระเทียมใน นา้ พริกแกง แต่จะซอยละเอียดใส่ลงในแกง เรียกแกงแบบนีว้ ่า แกงไตปลาเครื่องซอย
หน้าหลัก
แกงส้ม แกงส้ม เป็ นอาหารไทย ประเภทแกงที่มรี ส เปรี้ยว โดยเป็ นแกงที่ใส่เนือ้ สัตว์ ส่วนใหญ่เป็ นปลา หรือกุง้ ผักที่ใช้อาจเป็ นผักบุง้ มะละกอ หัวไช เท้า กะหลา่ ดอก ดอกแค หรือไข่เจียวชะอม ใช้นา้ พริก แกงส้มละลายนา้ ต้มให้เดือด ใส่ผกั และเนือ้ สัตว์ ปรุง รสด้วยนา้ ส้มมะขาม นา้ ตาลปี๊ บ เกลือ มีรสชาติเผ็ด หวาน เค็ม เปรี้ยว
หน้าหลัก
แกงมัสมัน่ แกงมัสมัน่ เป็ นอาหารประเภทแกงที่ได้รบั อิทธิพล มาจากอาหารมลายู ชาวไทยมุสลิมเรียกแกงชนิดนีว้ ่า ซา ละหมั่น แกงมัสมัน่ แบบมุสลิมไทยออกรสหวานในขณะที่ ตารับดัง้ เดิมของชาวมุสลิมออกรสเค็มมัน ในไทยมี วิธีการทาสองแบบคือ แบบไทย นา้ พริกแกงมี พริกแห้ง ข่า ตะไคร้ หอม กระเทียม ลูกผักชี ยี่หร่า ดอกจันทน์ กานพลู ปรุงรสให้หวานนา เค็มและอมเปรี้ยว เป็ นแกงมี นา้ มากเพื่อรับประทานกับข้าว อีกแบบเป็ นแบบมุสลิม นา้ ขลุกขลิก ใช้จิ้มขนมปั งหรือโรตี ในนา้ พริกแกงไม่ใส่ขา่ ตะไคร้ ส่วนผสมที่เป็ นพริกแห้ง หอม กระเทียม ถัว่ ลิสง จะทอดก่อน ใส่ผงลูกผักชี ยี่หร่า ใส่มนั ฝรัง่ บางสูตรใส่ มะเขือยาว ก่อนจะมีมนั ฝรัง่ มาปลูกแพร่หลายในไทย จะ นิยมใส่มนั เทศ หน้าหลัก
แกงเหลือง แกงเหลือง เป็ นอาหารชนิดหนึง่ ในภาคใต้ ของประเทศไทย ในท้องถิ่นเรียกว่า แกงส้ม ซึ่งมี ความแตกต่างจากแกงส้มของไทย ทัง้ ในด้าน รสชาติ เครื่องปรุง วิธีการปรุง กลิ่น และสีสนั ของ นา้ แกงที่ปรุงเสร็จแล้ว ส่วนวัตถุดบิ ที่นยิ มนามาทาเป็ นแกงเหลืองนัน้ คล้าย กับแกงส้มของไทย เช่น ปลา กุง้ หรือ หมูสาม ชัน้ และใช้ผกั ต่างๆ เพื่อเพิ่มปริมาณและรสชาติ หรือบางครัง้ ใช้หน่อไม้ดอง
หน้าหลัก
แกงบวน แกงบวน เป็ นแกงพื้นบ้านภาคกลางของไทย ใส่นา้ คัน้ จากใบผัก เช่น ตะไคร้ ขึน้ ฉ่าย ใบ มะตูม ผักชี ใบข่า ใบมะขวิด เพื่อกลบกลิ่นคาวของ เครื่องใน ตารับดัง้ เดิมเป็ นของชาวเขมรที่นยิ มทา แกงชนิดนีใ้ นงานแต่งงาน คาว่าบวนเป็ นภาษาเขมร แปลว่าสี่ ซึ่งในตารับแกงบวนของเขมรจะใช้เครื่อง ในสี่อย่างคือ หัวหมู กระเพาะหมู ตับหมู และหัวใจ หมู นา้ พริกแกงประกอบด้วย พริกไทย ปลาแห้ง ข่าแก่ ตะไคร้ กระเทียม หอม
หน้าหลัก
อ้างอิง:www.pantip.com
หน้าหลัก
• จัดทาโดย • ด.ญ.นันทวรรณ ปารมี • ชัน้ ม.1/8 เลขที่ 24 • เสนอ • คุณครู ดลหทัย อินทร์จนั ทร์
หน้าหลัก
อาหารไทย
แกงบวน เป็นแกงพื้นบ้านภาคกลางของไทย ใส่น้าคั้นจากใบผัก เช่น ตะไคร้ ขึ้นฉ่าย ใบมะตูม ผักชี ใบข่า ใบมะขวิด เพื่อกลบกลิ่นคาว ของเครื่องใน ต้ารับดั้งเดิมเป็นของชาวเขมรที่นิยมท้าแกงชนิดนี้ในงาน แต่งงาน ค้าว่าบวนเป็นภาษาเขมรแปลว่าสี่ ซึ่งในต้ารับแกงบวนของ เขมรจะใช้เครื่องในสี่อย่างคือ หัวหมู กระเพาะหมู ตับหมู และหัวใจหมู น้้าพริกแกงประกอบด้วย พริกไทย ปลาแห้ง ข่าแก่ ตะไคร้ กระเทียม หอม
แกงเขียวหวาน
แกงเขียวหวาน เป็นอาหารไทยประเภทแกง ประกอบด้วยเนื้อ ปลา ไก่ หรือหมู และผัก ปรุงรสด้วยกะทิ มะเขือ น้้าตาล น้้าปลาใบ มะกรูด และใบโหระพา นิยมรับประทานกับข้าวสวยหรือขนมจีนน้้าพริก แกงมีสีเขียวเพราะใช้พริกขี้หนูสดสีเขียว บางท้องที่ใส่ใบพริกลงไปต้า ด้วย
ขนมจีน
ขนมจีน เป็นอาหารคาวชนิดหนึ่ง ท้าด้วยแป้งเป็นเส้นกลม ๆ คล้าย เส้นหมี่ รับประทานกับน้้ายา น้้าพริก เป็นต้น อาหารชนิด นี้ ภาษาเหนือเรียก "ขนมเส้น" และภาษาอีสานเรียก "ข้าวปุ้น“ ขนมจีนไม่ใช่อาหารจีน หากแต่เป็นอาหารมอญ ค้าว่า "ขนมจีน" มาจากภาษามอญว่า "ขฺน้จิน"ฺ [คะ -นอม-จีน] ค้าว่า "คะนอม" มี ความหมายอย่างหนึ่งว่าเส้นขนมจีน ค้าว่า "จีน" มีความหมายว่า "สุก"
ส้มตา
ส้มตา เป็นอาหารคาวที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักมากที่สุดของ วัฒนธรรมชนชาติลาว ภายหลังการยึดดินแดนฝั่งขวาแม่น้าโขงแล้ว ต่อมาส้มต้าได้กลายเป็นอาหารไทยอย่างหนึ่งด้วย และเป็นที่นิยม แพร่หลายไปทั่วทุกภูมิภาค ตลอดจนกลายเป็นอาหารที่มีชื่อเสียงของ ไทยควบคู่กับผัดไทยและต้มย้ากุ้ง ส้มต้ามีประวัติศาสตร์ต้นก้าเนิดไม่ แน่ชัด แต่สันนิษฐานว่าเป็นอาหารที่มาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ของไทยและประเทศลาว ซึ่งในอดีตถือเป็นแผ่นดินเดียวกัน
ผัดไทย
ผัดไทย เป็นอาหารที่ได้รับอิทธิพลจากอาหารจีน เดิมเรียกอาหาร ชนิดนี้ว่า "ก๋วยเตี๋ยวผัด" และได้รับการเปลี่ยนแปลงด้านรสชาติใหม่ตาม อย่างอาหารไทยมากขึ้นในเวลาต่อมา ผัดไทยได้กลายเป็นที่รู้จักของคนต่างชาติในสมัยจอมพล ป. พิบูล สงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นซึ่งเป็นช่วงเดียวกับสงครามโลกครั้ง ที่ 2 ท่านได้รณรงค์ให้ประชาชนหันมานิยมรับประทานก๋วยเตี๋ยว เพื่อลด การบริโภคข้าวภายในประเทศ เนื่องจากในช่วงนั้นสภาวะเศรษฐกิจ ของประเทศตกต่้า ข้าวแพง
ข้าวมันไก่
ข้าวมันไก่ (ข้าวไก่ไหหลา หรือ ข้าวไก่ไห่หนาน) เป็นอาหารคาว ของไทยและจีน คาดว่าอาหารชนิดนี้ได้รับการเผยแพร่มาจากชาวจีน หรือไหหล้าหรือไห่หนาน มีให้รับประทานกันทั่วทุกภาคในประเทศไทย และนิยมกันมากในหมู่ชาวไทยเชื้อสายจีน นอกจากนี้ยังนิยม รับประทานกันมากในมาเลเซียและสิงคโปร์อีกด้วย ร้านข้าวมันไก่พบได้ทั่วไปตามแหล่งชุมชน โดยมักจะมีตใู้ สแขวน ไก่ต้มทั้งตัวอยู่หน้าร้านเป็นจุดสังเกต บางร้านน้าข้าวมันไก่มาประยุกต์ โดยใช้ไก่ย่างหรือไก่ทอดเพื่อเพิ่มความหลากหลาย
ข้าวยา
ข้าวยา หรือ ข้าวยาบูดู เป็นอาหารไทยภาคใต้ โดยถือกันว่าเป็น อาหารที่ครบโภชนาการมากที่สุด และมีคุณลักษณะพิเศษแตกต่างโดย เป็นอาหารจานเดียวที่มีน้าปรุงราด ข้าวย้าท้าจากข้าวที่เรารับประทานกันประจ้าวันนี้เอง แต่เพิ่ม การปรุงแต่งบ้างเล็กน้อย เพื่อให้ข้าวเหล่านั้นมีสีสันและรสชาติที่น่า รับประทานมากขึ้น ในข้าวย้าจะมีผักรับประทานกับข้าวย้าเรียกผัก หมวด ผักที่นิยมน้ามาท้าเป็นผักหมวด ได้แก่ ถั่วฝักยาว ถั่วงอก ตะไคร้ กระถิน ยอดมะม่วงหิมพานต์ ผักบุ้ง ใบยอ ถั่วพู และพาโหม ราดด้วย น้้าบูดู ชาวไทยมุสลิมนิยมน้าสีจากพืชมาหุงกับข้าวให้ได้ข้าวสีต่างๆ เรียกว่าข้าวย้าห้าสี ส่วนข้าวย้าทางจังหวัดสตูลจะมีเอกลักษณ์เฉพาะ คือไม่ใส่น้าบูดู แต่จะน้าข้าวมาคลุกกับเครื่องแกงและผัก โดย เครื่องปรุงหลักคือข่า เรียกว่าข้าวย้าหัวข่า
ไข่เจียว
ไข่เจียว เป็นอาหารทอดจากไข่ที่ท้าได้ง่าย นิยมใช้ไข่ไก่หรือไข่ เป็ด น้าไข่มากะเทาะเปลือก ตีไข่ขาวและไข่แดงให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วเติมเครื่องปรุงรสคือ น้้าปลา ซอสหอยนางรม นม หรือ น้้า มะนาว ด้วย จากนั้นตั้งกระทะบนเตา และใส่น้ามันหมูหรือน้้ามันพืช พอร้อน ก็น้าลงทอด จนสุกจะได้แผ่นไข่สีเหลืองรับประทานได้ ถ้าน้้า มันมากจนไข่ที่เจียวฟู เรียกว่า ไข่ฟู ไข่เจียวหนึ่งฟองให้พลังงานประมาณ 90 แคลอรี
ไข่ตม้
ไข่ต้ม เป็นอาหารจากไข่ของสัตว์ปีกหรือสัตว์ชนิดอื่นๆ ที่นิยม รับประทานคือ ไข่ไก่ ไข่เป็ด ไข่นกกระทา ท้าโดยแช่ไข่ในภาชนะที่มีน้า ให้ความร้อนจนเดือด เนื้อไข่ที่เหลวจะแปรสภาพเป็นของแข็ง ถ้าต้มไม่ สุก เรียกว่า ไข่ลวก ซึ่งนิยมรับประทานเป็นอาหารเช้า ถ้าไข่ขาวสุกแต่ ไข่แดงไม่สุก (ต้ม 7-8 นาที) เรียกว่า ไข่ต้มยางมะตูม ไข่ต้มน้าไปท้าอาหารต่อยอด เช่น ไข่ลูกเขย ไข่พะโล้ หรือน้ามาท้าย้า ไข่ต้ม ไข่ปิ้ง บางที่ ก็ใช้ไข่ต้มมาเสียบไม้ปิ้ง บ้างก็น้าไปรับประทานกับ สลัดผัก โดยนิยมหั่นเป็นแว่นๆ
ข้าวแช่
ข้าวแช่ เป็นชื่ออาหารชนิดหนึ่ง มีข้าวสุกขัดแช่น้าเย็น ซึ่งมักเป็น น้้าดอกไม้ แล้วกินกับเครื่องกับข้าวต่าง ๆ เช่น ลูกกะปิ พริกหยวกสอด ไส้ เนื้อเค็มฝอยผัดหวาน หัวหอมสอดไส้ ผักกาดเค็มผัดหวาน ปลาแห้ง และเครื่องผัดหวานต่าง ๆ นิยมรับประทานในหน้าร้อน ปัจจุบัน อาจใส่ น้้าแข็งในข้าวแช่ด้วย เชื่อกันว่า ข้าวแช่เดิมเป็นอาหารพื้นบ้านมอญ นิยมท้าสังเวยเทวดาใน ตรุษสงกรานต์ ต่อมา ชาววังรับไปปรับปรุงเรียกว่า "ข้าวแช่เสวย" หรือ "ข้าวแช่ชาววัง" เมื่อสิ้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวในปี 2453 แล้ว ข้าวแช่ได้รบั การเผยแพร่ไปนอกวังและเป็นที่ นิยมอย่างยิ่ง
ต้มยา
ต้มยา เป็นซุปไทยที่มีรสเปรี้ยวเผ็ด ต้มย้าเป็นอาหารที่รู้จักในกลุ่ม ประเทศเพื่อนบ้านของประเทศไทย เช่น ลาว กัมพูชา มาเลเซีย และ สิงคโปร์ รวมถึงมีชื่อเสียงไปทั่วโลก ค้าว่า “ต้มย้า” มาจากค้าภาษาไทย 2 ค้า คือ “ต้ม” และ “ย้า” ค้าว่า “ต้ม” หมายถึง กิริยาเอาของเหลวใส่ ภาชนะแล้วท้าให้ร้อนให้เดือดหรือสุก ขณะที่ “ย้า” หมายถึงอาหารลาว และไทยประเภทที่มีรสเปรี้ยวเผ็ด ดังนั้น “ต้มย้า” คือซุปลาวและไทยที่มี ความเผ็ดร้อนและเปรี้ยว อันที่จริงคุณลักษณะของต้มย้ามาจากความ แตกต่างระหว่างความเผ็ดร้อนและความเปรี้ยวและกลิ่นหอมของ สมุนไพรในน้้าแกง ที่ส้าคัญน้้าแกงนั้นประกอบด้วย น้้าต้มกระดูกและ เครื่องปรุงส่วนผสมสดได้แก่ ตะไคร้ ใบมะกรูด ข่า น้้ามะนาว น้้าปลา และพริก
ผัดขีเ้ มา
ผัดขี้เมา เป็นอาหารที่ได้รับความนิยมมากในประเทศ ไทย และ ลาว โดยอาหารชนิดนี้เกิดขึ้นจากการผสมผสานอาหาร แบบไทยเข้ากับอาหารของชาวจีนที่ยา้ ยถิ่นฐานเข้ามาอยู่ใน ประเทศไทยและลาว (หรือ ชาวไทยเชื้อสายจีน) ค้าว่า ขี้เมา สันนิษฐานว่า เกิดจากผู้ที่ชอบดื่มสุรามักจะหากับแกล้มจากของ เหลือที่มใี นตู้เย็น พบผักอะไรก็เติมลงไปได้ ไม่ใคร่จะมีสูตร แน่นอนตายตัว แต่ท้าออกมาแล้วอร่อย จึงเป็นที่นิยมต่อ ๆ กันมา
ผัดซีอิ๊ว
ผัดซีอิ๊ว เป็นอาหารยอดนิยมที่มีขายทั่วไปในประเทศไทย เป็น อาหารที่มักจะเป็นเมนูของทุกร้านอาหารตามสั่ง โดยส่วนใหญ่แล้วร้าน ใดที่ขายราดหน้าจะมีขายผัดซีอิ๊วควบคู่กันไปด้วย ลักษณะการปรุง คล้าย ก๋วยเตี๋ยวคั่ว แต่จะใส่ซีอิ๊วด้าหวาน และใช้ผักคะน้าเป็นวัตถุดิบ ในการปรุง เส้นก๋วยเตี๋ยวที่ใช้เป็นส่วนใหญ่คือ เส้นใหญ่ และ เส้นหมี่ขาว ไม่นิยม ใช้เส้นเล็ก และบะหมี่ ผักที่นิยมใส่จะมีแต่คะน้าเพียงอย่างเดียว เนื้อสัตว์ที่นิยมคือ ไก่ และ หมู ไม่นิยมใส่ปลาหมึก โดยทั่วไปมักใส่ไข่ ด้วย ปรุงรสด้วยซีอิ๊วด้า น้้าตาล น้้าปลา น้าไปผัดในกระทะไฟแรง รสชาติโดยทั่วไปของผัดซีอิ๊วจะออกหวานน้า
ลาบ
ลาบ เป็นอาหารท้องถิ่นทางภาคอีสานและภาคเหนือ(รวมถึง ประเทศลาวและสิบสองปันนา) โดยน้าเนื้อมาสับให้ละเอียดแล้วคลุก กับเครื่องปรุง ซึ่งเนื้อที่มาท้าลาบเป็นเนื้อหลายชนิด เช่น เนื้อไก่ เนื้อ เป็ด เนื้อวัว เนื้อควาย เนื้อปลา เนื้อหมู และเนื้อนก นอกจากนี้ยัง สามารถลาบสัตว์จ้าพวก กวาง เช่น ละมั่ง กระจง เก้ง หรือแม้แต่ [1]
บึง้ ก็น้ามาลาบได้เช่นกัน ลาบนิยมกินคู่กับข้าวเหนียว
ราดหน้า
ราดหน้า เป็นก๋วยเตี๋ยวชนิดหนึ่ง ที่ท้าโดยการใช้เส้นลงไปผัดกับ น้้ามันอ่อน ๆ ก่อน แล้วพักไว้ น้้าที่ใช้ราด เป็นน้้าต้มกระดูกผสมกับแป้ง มันมีความข้นเหนียว เนื้อสัตว์นิยมใช้ เนื้อหมู และ กุ้ง หรือเนื้อสัตว์อื่น ๆ ซึ่งถ้าเป็นเนื้อหมูจะนิยมหมักกับกระเทียมก่อน เพื่อให้เหนียวนุ่ม ผัก นิยมใช้ ผักคะน้า หรือจะใช้ผักอย่างอื่น เช่น ผักกวางตุ้ง หรือ ผักกาดขาว ก็ได้
พะแนง
พะแนง เป็นอาหารไทยประเภทแกง โดยมีส่วนผสมหลักของ เครื่องแกง คือ พริก ข่า ตะไคร้ รากผักชี เม็ดผักชี เม็ดยี่หร่า กะเทียม และเกลือ พะแนงเป็นอาหารที่ได้รับอิทธิพลจากอินเดีย และอาจมีวัฒนธรรมการ กินแบบเขมรผสมด้วยหรือไม่ ไม่อาจยืนยันได้แต่มีการใช้ภาษาเขมร ที่ เดิมใช้ส้าหรับการอธิบายท่าเอาขาไขว้ หรือขัดกัน ที่เรียกว่านั่งขัดสมาธิ หรือขัดตะหมาด ที่คนไทยใช้ในภาษาพูดจริงๆ แล้ว พะแนง แปลว่าท่า นั่งแบบขัดสมาธิ ใช้อธิบายค้าในภาษาไทยตั้งแต่ต้น หรือก่อนอยุธยา
แกงไตปลา
แกงไตปลา หรือแกงพุงปลาเป็นแกงที่มีไตปลาเป็นส่วนประกอบที่ ส้าคัญ มีทั้งแบบที่ใสและไม่ใส่กะทิ แบบใส่กะทิเป็นที่นิยมในบางท้องที่ เช่นที่จังหวัดยะลา การแกงจะต้มกะทิแค่พอสุก ไม่แตกมัน น้้าพริกแกง ประกอบด้วย พริกขี้หนูแห้ง เกลือ พริกไทยเม็ด ตะไคร้ ผิว [3]
มะกรูด กระเทียม ขมิ้น หอม กะปิ แกงไตปลาแบบชุมพรจะไม่ใส่ข่า กระชาย หอม กระเทียมในน้้าพริก แกง แต่จะซอยละเอียดใส่ลงในแกง เรียกแกงแบบนี้ว่าแกงไตปลา เครื่องซอย
แกงส้ม
แกงส้ม เป็นอาหารไทย ประเภทแกงที่มีรสเปรี้ยว โดยเป็นแกงที่ใส่ เนื้อสัตว์ ส่วนใหญ่เป็นปลาหรือกุ้ง ผักที่ใช้อาจเป็นผักบุ้งมะละกอ หัวไช เท้า กะหล่้าดอก ดอกแค หรือไข่เจียวชะอม ใช้น้าพริกแกงส้มละลายน้้า ต้มให้เดือด ใส่ผักและเนื้อสัตว์ ปรุงรสด้วยน้้าส้มมะขาม น้้าตาล ปีบ๊ เกลือ มีรสชาติเผ็ด หวาน เค็ม เปรี้ยว
แกงมัสมัน่
แกงมัสมั่น เป็นอาหารประเภทแกงที่ได้รับอิทธิพลมาจากอาหาร มลายู ชาวไทยมุสลิมเรียกแกงชนิดนี้ว่า ซาละหมั่น แกงมัสมั่นแบบ มุสลิมไทยออกรสหวานในขณะที่ต้ารับดั้งเดิมของชาวมุสลิมออกรสเค็ม มัน ในไทยมีวิธีการท้าสองแบบคือ แบบไทย น้้าพริกแกงมี พริกแห้ง ข่า ตะไคร้ หอม กระเทียม ลูกผักชี ยี่หร่า ดอกจันทน์ กานพลู ปรุงรสให้ หวานน้า เค็มและอมเปรี้ยว เป็นแกงมีน้ามากเพื่อรับประทานกับข้าว อีกแบบเป็นแบบมุสลิม น้้าขลุกขลิก ใช้จิ้มขนมปังหรือโรตี ในน้้าพริก แกงไม่ใส่ข่า ตะไคร้ ส่วนผสมที่เป็นพริกแห้ง หอม กระเทียม ถั่วลิสงจะ ทอดก่อน ใส่ผงลูกผักชี ยี่หร่า ใส่มันฝรั่ง บางสูตรใส่มะเขือยาว ก่อนจะ มีมันฝรั่งมาปลูกแพร่หลายในไทย จะนิยมใส่มันเทศ
แกงเหลือง
แกงเหลือง เป็นอาหารชนิดหนึ่งในภาคใต้ของประเทศไทย ใน ท้องถิ่นเรียกว่า แกงส้ม ซึ่งมีความแตกต่างจากแกงส้มของไทย ทั้งใน ด้านรสชาติ เครื่องปรุง วิธีการปรุง กลิ่น และสีสันของน้้าแกงที่ปรุงเสร็จ แล้ว ส่วนวัตถุดิบที่นิยมน้ามาท้าเป็นแกงเหลืองนั้นคล้ายกับแกงส้มของไทย เช่น ปลา กุ้ง หรือ หมูสามชั้น และใช้ผักต่างๆ เพื่อเพิ่มปริมาณและ รสชาติ หรือบางครั้งใช้หน่อไม้ดอง
แกงบวน
แกงบวน เป็นแกงพื้นบ้านภาคกลางของไทย ใส่น้าคั้นจากใบผัก เช่น ตะไคร้ ขึ้นฉ่าย ใบมะตูม ผักชี ใบข่า ใบมะขวิด เพื่อกลบกลิ่นคาว ของเครื่องใน ต้ารับดั้งเดิมเป็นของชาวเขมรที่นิยมท้าแกงชนิดนี้ในงาน แต่งงาน ค้าว่าบวนเป็นภาษาเขมรแปลว่าสี่ ซึ่งในต้ารับแกงบวนของ เขมรจะใช้เครื่องในสี่อย่างคือ หัวหมู กระเพาะหมู ตับหมู และหัวใจหมู น้้าพริกแกงประกอบด้วย พริกไทย ปลาแห้ง ข่าแก่ ตะไคร้ กระเทียม หอม
1001 1002 1003 1004 1005
1006 Bread 1007 1008 1009 1010 1011 1012 1013
, 10 % Rice, polished, 10 % , 100 % Rice, polished, 100 % ,5% Rice, polished, 5 % ,ค Rice, Vit B coated , Rice, unpolished , ( ) Rice,steamed , Rice, broken , Rice, Chumsang varity, polished , Rice, Sampan varity, polished , Rice, Sauhai varity, polished , Rice, Jusmin varity, unpolished , Rice, Jusmin varity, polished
Ash
Dietary Fiber
Carbohydrate
grams ญพช ล
, , Noodle, rice, small size, dried , , Noodle, rice, small size , ญ, Noodle, rice, big size, fresh , Noodle, rice, round, cooked , Noodle, rice, round, fermented
Fat
Kcal
Protien
Food and Description
Water
Energy
Food ID
Nutrient Composition per 100 g. Edible Portion
ลิ
ฑ์ (Cereals and 81.4 -0.6 0.3 49.2 -0.2 0.1 29.4 -0.1 0.1 21 -0.1 0.1 18.2 -0.1 0.1 62.5 -0.3 1.9 79.4 -0.2 0.4 79.9 -0.2 0.4 79.1 -0.2 0.4
350
12.7
5.3 0.3
220
45.7
4.4 0.6
135
67.1
2.5 0.8
90
77.5
1.4
77
80.7
0.9 0.1
329
20
12 3.3
352
12.8
6.5 0.9
353
12.4
6.4 0.9
352
12.9
6.6
354
12.5
358
12.7
141
65.4
6.5 1.1 78.6 0.8 1.7 6.6 2.3 77.6 (-) 2.8 0.5 31.2 -0.1
357
11.8
355
1
0.3 0.8 0.1
1.4 80.1 -0.2
0.7
12.3
6.9 1.1 79.3 0.4
0.4
362
11.3
6.4 1.8
0.5
356
12.1
6.6 1.1 79.8
366
9.9
356
12
1019 Rice, Basmati varity, polished
356
12.2
1020 Barley
354
11.3
8.3 0.7 78.5
0.9 0.8 (-) 2.5 (-) 0.6 (-) 6 (-) 9.4 (-)
111
73.4
3.4 1.4 21.1 -0.7
0.7
117
74.5
4.3 3.3 17.4 -1.3
0.5
1023 Italian millet
371
8.8
9.8 2.5 77.4 9.1
1.5
1024 Rice, Mun-pu varity
366
10.8
1014 1015 1016 1017 1018
,( ), Corn, yellow,raw 1021 ( ), 1022 Corn,yellow,boiled
6
0
7
80
2.4 79.1
6.2 1.1 80.4 7
8
1.3 79.1
2.9
77
3.6
0.4 1.6 0.3 0.4 1.2
1.4
1025 Wheat
365
9.4
12 1.4 75.9
12
1.1
414
4.3
28 9.5 54.1
4.1
358
13.1
19 5.6 57.5
11 37 (-)
1028 Glutinous rice, polished , 1029 Glutinous rice, unpolished , 1030 Glutinous rice, black varity , , 1031 Glutinous rice, steamed
355
11.7
6.3 0.6
-
0.4
362
11.4
7.4 2.6 77.3
3
1.3
364
11.8
8.2
76.1 4.9
0.9
231
42.9
4.1 0.6 52.3 0.5
0.1
1032 Oat
381
10.6
11 5.9 71.2
1.5
, Noodle, wheat, fresh 1033
310
27.3
15 4.4 52.3 -0.2
0.6
454
4.1
12
18 60.3 -0.2
5.4
348
12.7
0.2 0.1 86.6 (tr.)
0.4
1036 Noodle,rice, vermicelli ,dried
349
12.8
6.6 0.2 80.2 -0.4
0.2
1037 Kaset noodle,rice, dried
359
12.9
1038 Kaset noodle,with dried bean
367
12.2
, , 1026 Wheat,germ,dried , 1027 Wheat, bran
ค , Noodle, wheat, instant, with seasoning, prok 1034 flavoured ค, 1035 Small sago
1039 Kaset noodle,with vegetable
ร
ล
365
6
3
81
12
4.4
2.4 78.3 -0.2
0.4
7.5 3.8 75.8 -0.2
0.5
12.8 6.6 3.8 76.1 -0.3 0.7 องพช ล ลิ ฑ์ (Starchy roots
2001 Wild yam
143
63.1
2002 Taro
117
70
2003 Yam bean 2004 ค 2005 ญ ค 2006 , 2007 Sweetpotato, yellow
37 78 85 64
90.5 80.6 78.6 83.8
0.9 0.5 1.1 0.8
0.1 8.2 -0.6 0.6 17 -0.7 0.5 18.9 -0.6 0.2 14.7 2.2
0.3 0.6 0.9 0.5
97
75.2
0.6 0.1 23.3 -0.6
0.8
2008 Potato
73
82
2.5 0.2 15.3 -0.4
0
2009 Cassava
137
64.8
0.8 0.2
-2.1
1.2
351 71
12.1 82.1
0.3 0.1 87.2 0 0.9 0.3 16.2 1.4
0.3 0.5
84
78.3
1.7 0.3 18.6 -0.7
1.1
98
74.7
1.5 0.3 22.3 -0.6
1.2
22
93.7
0.8
0.7
, 2010 Cassava flour 2011 ค, , , ค 2012 Arrow roots, white ค, , , ค 2013 Arrow roots,red ,( ), 2014 Radish,fresh
2.5 0.1 33.1 -0.9 2.1 0.1 26.8
tr.
33
4.8
-1
-0.7
1.2 1
, ค 2015 Radish, salted , 2016 Radish, sweeten
47
69.8
1.8 0.1
58.1 ล
0.9 0.3 31.1 -2.2 9.6 ล ง ล ลิ ฑ์ (Pu
93
75.9
3.5 0.2 19.3 -0.6
1.1
165
56.7
4.8 0.2 36.1 -0.8
2.2
605
3
16
-2.5
2.5
217
46.7
3.8 1.8 46.5 -1.1
1.2
697
3
26
64
-4.1
3.1
658 569
3.9 7.2
21 16
57 15 -4.6 42 31.7 -19
3.1 3.1
600
7.2
17
47 28.6 -17
1
603
4.2
21
48 21.8 -9.9
5.2
625
2.2
21
52 18.9
6.4
126
56.7
11 3.7
12
-2.2 16.5
46
90
4.3 1.9
3
-0.1
0.8
3013 Soybean curd,yellow ,
150
69.7
14 6.7
8.8
-0.3
1.3
3014 Soybean curd, (tofu) spongy square, deep fried , 3015 Curd cake,fermented,can , 3016 Curd cake,fermented , ( ค ) 3017 Catjung Cowpea , 3018 Mungbean, seeds , 3019 Mungbean,flour ,ค 3020 Rice bean,seeds,roasted , 3021 Rice bean,seeds , 3022 Kidney bean,seeds ,ค Cowpea,seeds, roasted 3023 , 3024 Cowpea,seeds , , 3025 Black gram,seeds , 3026
354
40.6
29
1.9
-0.3
3
141
56.8
8.6 4.2 17.3 -0.2 13.1
143
59.2
11 6.3 10.3 -0.6
13
359
11.2
22 2.8 61.1 -3.1
2.6
347
11.5
23 1.3 60.3 -4.3
3.5
284
29
0.8 0.1
-0.3
0.1
385
4.9
23 2.2 68.6 -4.6
1.6
332
14.2
22 1.2
-4.3
4.2
346
12
18 2.2 63.3
24
4.3
383
3
26 2.2
-5.4
3.9
357
9.3
24 1.6 61.8 -4.6
3.5
352
10.4
25 1.8 59.4 -4.6
3.8
355
10.9
24 2.3 59.2 -4.5
3.3
ลไ
ลอ
, Water chesnut 3001 , 3002 Water chesnut, bolied 3003 3004 3005 3006 3007 3008 3009 3010 3011 3012
,ค , ญ, Chestnut, raw ,ค Sesame seeds, white roasted , Sesame seeds, white , , . , , . , Sesame seeds, black ,ค Sesame seeds, black, roasted , Soybean paste,white , Soybean curd,white,soft
131 ง พช
45
26
9.8
33
3.6
70
58
65
-2.5 18.5
16
3026 Cowpea,whole seeds , 3027 Cowpea,hulled , 3028 Sweet pea,whole seeds , Sweet pea,hulled 3029 , 3030 Soy bean, fermented, fresh , 3031 Soy bean, fermented, dried ,ค 3032 Lablab bean, seeds, roasted , 3033 Lablab bean, seeds, raw , 3034 Lablab bean, seeds, fried , 3035 Soybean,young seeds,raw , 3036 Soybean,young,seeds,boiled , . 3037 Butterfly pea, whole Seeds , , . 3038 Butterfly pea, whole Seeds , , . 3039 Butterfly pea,hulled , , . Butterfly pea,hulled 3040 , 3041 Peanut,seeds,raw ,ค 3042 Rice bean,roasted , 3043 Rice bean, raw , 3044 Bambara groundnut, raw , 3045 Bambara groundnut,boiled ,ค 3046 Soybean,seeds, roasted , 3047 Soybean,seeds,raw , , UHT 3048 Soybean, milk, UHT , , 3049 Ginko, seed, hulled
355
10.9
24 2.3 59.2 -4.5
3.3
360
9.8
27 2.4 57.9 -1.7
3.3
354
9.2
23 1.2 62.7 -5.4
3.8
352
10.2
23 1.4 62.2 -4.3
3.6
167
61.8
18 6.6
-3.8
4.6
422
12
44
14
4.6
370
6.4
29 2.9 56.8 -0.9
4.7
350
10.3
31 0.8 54.5 -1.3
3.3
449
3.8
23
3.1
167
64.7
15 6.7 11.3 -2.6
2
184
57.2
18 4.7 17.6 -3.9
2.7
347
11.9
27 1.8 55.5 -4.8
3.6
360
9.5
24 2.4 60.9 -3.8
3.4
352
10.7
28 2.2
354
11.1
25 2.3 58.2 -1.8
3.3
538
11.4
30
2.5
359
8
355
8.7
20 1.2 66.2 -6.3
4
180
58.1
8.4 3.8 28.1 -2.2
1.6
160
61.7
7.1 2.8 26.5 -2.1
1.9
435
10.5
37
19 28.8 -5.1
4.7
430
11.1
34
19 31.4 -4.7
4.8
72
85.5
2.4 3.1
191
53
5.2 1.9 38.3 -0.3
1.6
3050 Coconut, grated meat , Coconut, grated meat, pressed 3051 , 3052 coconut, meat, immature , ,ค 3053 Leadtree seeds, roasted , 3054
326
53.5
3.5 29 13.3 -6.4
1
154
72.7
1.4 9.4
73
83.1
1.6
415 153
9.1
18 21.9
15 54.8 -0.9
55
-2.7
39 17.7 -2.1
20 1.3 66.4
8.6
0
3.9
0.4
-5.7
0.5
12.2 -4.5
1.1
3.1
36 9.1 47.2 -12
4.6
60.7
5.5 0.2 32.2 -1.6
1.4
2
16
-5
4
3054 Jack fruit, seeds , 3055 Rambutan, seeds , 3056 French bean, seeds , , Winged bean, hulled 3057 , 3058 Lotus seeds , 3059 Lotus,seeds,steamed ,ค 3060 Tamarind, seeds,roasted ,ค 3061 Cashew nut ,roasted , 3062 Cashew nut, seeds , 3063 Cashew nut seeds,baked , 3064 Job's tears, 3065 , ญ, 3066 , ,
153
60.7
5.5 0.2 32.2 -1.6
1.4
374
35.1
7.3 24 31.8 -1.6
19
380
10.3
19
6
-2.4
2.2
309
38.8
27
15 17.3 -3.7
2.5
353
10.8
19 2.1 64.2
157
59.7
10 0.5 27.9 -0.1
1.6
393
10.2
14 7.7 66.6 -1.7
1.2
597
3.8
20
45
-0.8
2.9
600
3.8
20
45 29.1 4.5
2.4
619
1.8
19
47
5.1
2.6
372 262 238
10.1 35.8 39.9
14 3.7 71 3.4 3.7 2 57.3 -0.8 3.6 0.8 54.2 -0.8
1.6 1.2 1.5
3067 Mungbean-noodles, dried
337
15.6 1.6 0.1 82.5 -0.2 0.2 ล ลิ ฑ์ (Vegetables and
48
87.9
1.7 0.1 10.1 -1.3
0.2
26
90.8
1.5 0.2
4.5
4.2
0.6
4003 Wild ginger ( ), 4004 Kradon, tender tips , 4005 Leadtree,tender tips
54
86.2
1.3 0.8 10.4
-1
1.3
96
75.7
2.6 0.6 20.1
-
1
77
80.7
8.4 0.9
8.8
-3.8
1.2
4006 Zingiber, white
17
95
0.4 0.4
3
3
1.2
4007 Zingiber, red , 4008 Ice vine, leaves , ค 4009 Ice vine, juice from leaves , 4010 Passion Fruit, tips , 4011 Holy Basil or Sacred basil , 4012 Cauliflower
18
95.1
0.4 0.4
3.1
2.1
1
95
75.2
8.5 0.7 13.6 2.4
2
3
99.4
0.1 0.1
0.4
0
0
66
83.5
7.5 1.2
6.4
3.6
1.4
46
87.6
4.2 0.5
6.1
3.8
1.6
13
96.4
0.1
2.1
-0.5
0.4
4013 Cabbage , 4014 Chiness leek, flower , 4015 Cowslip creeper, flower
16
95.3
1.6 0.1
2.2
1.2
0.8
32
91.9
2.5 0.3
4.8
2.3
0.5
78
80.5
1.1 12.1 -1.6
1.3
, 4001 Roselle (Red sorrel),leaves ญ, 4002 Lady's finger,young pods
1
5
63
29
29
10
3.7
, 4016 Jackfruit, young
8.3
6.7
0.7
0.5 0.5
4.8
-0.8
0.3
91.8 90.1
2.3 0.3 2.2 0.6
5.3 6.2
2.1 -1.5
0.3 0.9
21
94.5
1.6 0.4
2.7
-0.9
0.8
24
93.7
1.3 0.3
4.1
-1.1
0.6
28
93.5
0.4 0.6
5.2
-0.8
0.3
14
96.5
0.5 0.3
2.3
-0.6
0.4
87
78.4
7.7 1.4 10.9 5.6
1.6
98
74.7
4.9 0.4 18.7 9.8
1.3
23 12
93.3 95.9
1.6 0.5 0.5 0.1
3.1 2.3
2.6 -0.8
1.5 1.2
38
90.1
2.1 0.2
6.9
7.2
0.7
108
74.4
8.3 2.6 12.8 5.1
1.9
42
89.7
1.6 0.4
7.9
-1
0.4
37
90.5
2.8 0.5
5.3
-0.9
0.9
56
85.5
3.7 0.3
9.6
-1.3
0.9
119
69.5
5.4 2.5 18.8 -4.6
3.8
64
84.1
1.9 0.6 12.8 -3.2
0.6
80
79.7
9.5 0.6
317 60
17.7 83.7
6.6 1.4 69.4 -15 3.1 0.8 10.2 -2.6
4.9 2.2
4038 Chiness cabbage, flower 4039 .
34 50
91.1 87
3.2 0.5 2.8 0.6
2.1 -1.6
1.1 1.3
4040 Sesbania, flowers, yellow 4041 4042
54 70
86 93.6 81
3.6 0.4 9.1 -3.9 0.8 4.7 0.9 10.8 5.4
0.9 0.9 2.6
4043 Carlic, leaves and stems
40
90.1
3.2 0.8
4044 Spring onion , 4045 Onion, flower
34
91.1
2
20
94.7
1
4046 Brussels sprouts
36
90.5
4017 Curcuma, white , 4018 Corn,whole kernel, baby 4019 , , 4020 Calangal,shoot , 4021 Calangal,tuber 4022 Ginger,mature rhizome , 4023 Ginger,young rhizome , 4024 Cassia, tips and leaves , 4025 Cassia, flower ค 4026 Celery 4027 ค ค, 4028 Sesbania, flower ค, 4029 Sesbania, tender tips ค 4030 Carrot 4031 Sonchempa , 4032 Jik, tender tips , 4033 Wildbetal, leaves , 4034 Cha-muang, leaves , 4035 Acacia pennata, tips , Red cotton tree, flowers, dried 4036 4037 .
49
88.4
1.6
26
93.9
33 39
1
9.2
4.1 8.3
-5.7
1
5.1
-1.3
0.8
0.3
5.8
-1.1
0.8
0.1
3.8
-0.7
0.4
2.8 0.4
5.3
-1.2
1
4047
, , 4048 Bilimbi, fruit , 4049 Crowdaisy leaves , , Ivygourd, leaves, tender tips 4050
17
95.2
1.2 0.3
2.4
-0.8
0.9
11
96.9
0.3
2.5
-0.3
0.3
20
93.9
2.1 0.3
2.2
-0.7
1.5
39
90.7
3.3 0.4
5.5
-1
0.1
64
84.2
0.5 0.7 13.9
-
0.7
4052 Cucumber
15
96.1
0.8 0.1
2.6
0.7
0.4
4053 Native melon, young
13
96.5
0.4 0.1
2.2
-0.5
0.3
4054 Watermelon, young
12
96.9
0.4 0.1
2.4
-0.3
0.2
4055 Cucumber, large
8
97.7
0.6 0.1
1.3
-0.4
0.3
4056 French beans
31
91.8
1.9 0.1
5.5
-1
0.7
4057 Mung bean sprout
39
90
2.8 0.1
6.6
-0.7
0.5
4058 Soy bean sprout , 4059 Asparagus peas
79
83.5
9.1 3.4
3
-6.7
1
39
90
0.3
7.1
-1.3
0.6
4060 Yard long beans, green , Yard long beans, red 4061 , 4062 Winged beans, young pods
39
90.4
2.6 0.5
5.9
1.9
0.6
35
91
2.8 0.3
5.3
-1.3
0.6
23
93.8
2.1 0.1
3.5
-1.2
0.5
4063 Catjung
36
90.9
2.7 0.3
5.5
3.2
0.6
4064 Garden peas, young pods ค , 4065 Treebine, fruit , 4066 Coral, leaves , 4067 Mega Neem, tender tips 4068 ค , 4069 Bottle gourd, outer portion , 4070 Bottle gourd, fruit , 4071 Bottle gourd, inner portion , 4072 Djenkol beans, fruit 4073 , 4074 Djenkol beans, fruit ค ค 4075 Broccoli
58
84.9
4.3 0.1
9.9
-1.4
0.8
27
93.4
0.4 0.4
5.5
-
0.3
72
81.5
4.6 0.8 11.7 -4.1
1.4
-
79.3 83.2
4.7
-
-
1.6
10
96.8
0.3
0
2.2
-0.4
17
95.6
0.6 0.1
3.4
-0.3
0.3
10
97.4
0.4 0.1
1.8
-0.2
0.3
153 88
61.7 78.1
8.6 0.7 28.1 -0.6 2.2 0.8 18 12
0.9 0.9
162
59.6
8.8 0.4 30.7 -1.3
0.5
33
91.2
2.7 0.3
4.9
-1.3
0.9
16
96
0.9 0.1
2.8
-0.4
0.2
4051
4076
,
2
0
0.3
4076 Snake gourd
16
96
0.9 0.1
2.8
-0.4
0.2
4077 Sponge gourd
16
95.9
0.7 0.1
3
-0.2
0.3
4078 Angled gourd 4079 , 4080 Indian penny wort, leaves , 4081 Stanley's watertub, tips , 4082 Stanley's watertub, tips
18 18
95.4 95
0.7 0.2 0.6 0.3
3.3 3.3
-0.3 -
0.4 0.8
54
86
1.8 0.9
9.6
-2.6
1.7
21
94.4
0.2 0.2
4.7
-
0.5
17
95.5
0.4 0.2
3.4
0.9
0.5
4083 Pandanus leaves , ค 4084 Pandanus leaves, juice 4085 , ค 4086
55
85.3
1.9 0.8 10.1 -5.2
1.9
4 77 18
98.5 80.4 95
0.4 0.2 6.9 1.2 1.3 0.2
0.2 9.7 2.7
0 -1.5 -1
0.7 1.8 0.8
4087 Fernnel, leaves
56
85.5
3.6
8.1
5.9
1.5
133 64
66.2 83.2
23 0.1 10.6 tr. 3.9 0.6 10.7 8.4
0.6 1.6
350
46.5
5.9 28 18.9 9.2
0.8
4091 Chiness cabbage , Chiness cabbage, taiwan variety 4092
14
95.6
1.5 0.2
1.6
1.6
1.1
15
95.7
1.3 0.3
1.8
0.9
0.9
4093 Water mimosa
40
89.4
6.4 0.4
2.6
3.8
1.2
4094 Pak-kadone
90
76.8
2.6 0.5 18.8 -1.9
1.3
4095 Peperomia, shiny,leave 4096
13 24
96.4 93.4
0.6 0.2 1.4 0.3
2.1 3.9
-0.6 3.3
0.7 1
40977 Chinese white cabbage . Mastard greens, 4098 . 4099 Mastard greens,stems & leaves 4100 .
11
96.6
1.5 0.1
1.1
-0.5
0.7
17
94.8
1.8 0.1
2.3
-0.6
1
26 24
92.8 93.5
2.5 0.4 1.8 0.3
3.1 3.4
-0.8 -0.9
1.2 1
4101 lettuce 4102
27 18
92.7 95.1
2 0.4 1.6 0.4
3.8 2.1
-0.8 1.6
1.1 0.8
4103 Crataeva, pickled
108
73.4
3.4 1.3 20.6 -4.9
1.3
4104 Paco (Oak fern)
25
93.7
1.7 0.4
3.6
-1.4
0.6
4105 Pod fern (Swamp fern) 4106 4107 4108 . , 4109
16 34 17 15
95.1 90.3 95.4 96.6
1.4 0 3.2 0.4 1.1 0.1 3.6 0.1
2.5 4.4 2.9 0
-0.8 -1.1 2 -0.6
1 1.7 0.5 0.4
31
92
1.2 0.5
5.4
-1.2
0.9
4088 4089 4090
,
ค
,
1
4109 Pak-ka-yeng , 4110 Pak-ka-yeng ค 4111 Chinese kale 4112 4113 4114 4115 4116 ( ) 4117 ค
31
92
1.2 0.5
5.4
-1.2
0.9
38
89.8
1.5 0.3
7.4
-1.5
1
31 164 79 274 44 70
92.1 57.4 80.5 84.1 32.2 89.3 82.9
2.7 4.2 4 2.5 6.8 2.7 5.4
4118 Fennel, common,leaves
38
89.5
2.4 0.4
6.3
-1.7
1.4
4119 Water dropwort
27
92.9
1.7 0.3
4.3
2.6
0.8
4120 Pag-chee lao 4121
39 134
89.2 65.5
3.9 0.7 4.2 2.7 1.1 28.3
-1 19
2 2.4
4122 Pak-tew
63
85.7
2.4 1.7
9.6
-1.4
0.6
4123 Fresh-water algae 4124
26 15
92.8 94.9
1.2 0.1 1.3 0.1
5.1 2.3
-0.8 -0.7
0.8 1.4
4125 Swamp morning glory, white
27
92.6
2.6 0.2
3.6
-1.1
1
4126 Swamp morning glory, red ( ) Vinespinach, Malabar 4127
19
94.9
1.5 0.2
2.7
-0.8
0.7
24
93.4
0.2
3.5
-0.8
0.9
4128 Spinach
25
93.1
2.6 0.9
1.6
-0.7
1.8
4129 Swamp algae
9
97.1
0.6 0.1
1.5
-0.3
0.7
4130 Pak-Pai
62
83.4
4.7 0.5
9.6
-1.9
1.8
4131 Pak-Pong
30
91.7
0.2
6.1
-1.3
1
4132 Sunrose, willow , 4133 Pak-paew 4134
46
88
2.2 0.4
8.4
3.6
1
42 -
89.4 88.8
1.6 0.8 1.6 -
7 -
-1.1 -
1.2 0.4
4135 Pak-mon-pu
112
71.2
0.9 0.8 25.2
17
1.9
4136 Pak-meg 4137 4138 4139 4140 ,
84 58 56 31 12
79.1 85.2 85.2 90.9 96.1
3 3.4 5.7 2.2 0.8
4141 Water fern 4142 4143 , ,
27 52
89.3 85.6 86.6
2.3 0.9 3.8 4.6 0.9
4144 Eugenia, tips
75
81.5
2.4 0.9 14.4
2
1
0.5 3.8 -1.6 0.4 35.8 24 1.5 12.4 8.4 2.6 55.9 41 1.1 5.8 -1 1.5 8.6 -2.5
1 15.8 -3.2 0.7 9.4 7.1 0.6 6.9 3.8 0.4 4.7 3.3 0.1 1.9 -0.7 3 6.4
0.9 2.2 1.6 0.9 2.5 1.1 1.6
1.1 1.4 1.7 1.8 1.1
-3.3 -1.4
0.8 0.7 1.5
9
0.8
( ค), 4145 Thomass tree tender tips 4146 Lasia 4147 , 4148 4149 4150 4151 4152 4153 4154 , , 4155 , , 4156 , , , 108 Chili pepper
61
84.5
6.3 0.8
21 33 73 104 47 39 49 86 68 55 45
94.1 90.5 78.4 72.9 87.1 89.6 87.6 78.1 82.8 85.7 88.5
2.1 2.4 5.6 4.7 8.2 3 1.7 5.5 5.2 3.3 3.5
44
85.8
0.4
109
Pepper, hot
55
81.9
3.4
110
Pepper,green,long
44
85.2
1.5
111
58
84
2.8
112
Pepper,red,long , Pepper,young fruit
94
72
4.4
113
Chili spur pepper
11
95.9
0.4
114
Chili,red pepper, sweet pepper
27
91.7
1.5
115
82
76.6
4
116
Pepper, tabasco , Sweet bell pepper
55
80.3
3.2
117
spring bitter cucumber
28
91.8
0.9
118
Waxgourd, ashgourd
11
96.4
0.4
119
Pumpkin, without skin
124
69.1
2.9
120
Pumpkin, with skin
43
85.8
1.9
121
Pumpkin, young leaves
16
94.6
2
79
77.1
0.7
Hog plum,young leaves , Tamarind,young pods , Tamarind,young leaves
46
76.4
2.7
70
75.6
2.3
55
84.3
3.6
40
87.9
1.8
127
Egg plant , White egg plants,soured, salted
26
88.5
1.2
128
Egg plant
48
844.4 2.1
122 123 124 125 126
7.1
-1.9
1.4
0.2 2.8 -0.8 0.4 5 -0.9 1 10.3 7.7 0.4 20.3 14 0.6 2.3 -2.1 0.4 5.9 3.5 0.9 8.6 -1.6 1.1 13.4 -1.9 1.1 9.2 -2.3 0.5 9.3 -1.2 0.5 6.5 -1.5 1.2 7.8 -4.5 -5.2 1.4 7.2 0.5 8.4 -2.2 2.3 6.6 -3.5 2.6 13.2 -6.1 0.2 1.9 -1.3 0.2 4.8 -1.2 3.6 8.4 -5.9 1.6 6.9 -6.9 0.1 5.8 -0.8 0 2.4 -0.5 1.5 24.6 -1 -1.7 0.2 8.5 0.2 1.6 -0.8 0.2 18.5 -2.3 12 1 6.5 -5.2 0.2 14.7 -6.3 -1 0.3 9.4 0.8 6.3 -2.5 -2 0.6 3.9 -5 2 5.5
0.8 1.7 4.7 1.7 1.8 1.1 1.2 1.9 1.7 1.2 1 0.3 0.9 2.2 0.8 1.7 0.3 0.6 1.5 1.1 0.6 0.3 0.9 1.9 0.8 1.2 1.9 0.9 1.4 0.7 3.8 1
129
ค Choko (Chayote)
13
95.8
0.6 0.1
2.5
130
Egg plant
26
92.2
1.1 0.3
4.6
131
Tomato
22
93.2
1.1 0.3
3.6
132
Plate brush egg plant
46
81.9
2.8 0.6
7.4
133
28
91.3
1.4 0.2
5.1
134
Egg plant,purple ( Squash
18
95
0.7 0.2
3.2
135
Egg plant
33
90.2
1.6 0.5
5.4
136
Ma-don
31
91.5
0.3 0.1
7.3
137
Bitter ground, Thai
17
94.2
1.2 0.4
2.2
138
28
92
79
75.6
5.8 0.3 13.3
140
Bitter cucumber, Chinese , Bitter cucumber,young leaves , Horse radish tree, Drumstick, pods
32
89.9
2.2 0.2
5.4
141
Papaya, raw
27
92.2
0.6 0.1
6
142
Papaya, raw
33
90.1
0.8 0.1
7.3
143
Papaya, raw
13
93.2
0.6 0.1
4.9
144
59
82.3
2.6
9.9
145
53
83.9
1.9 0.8
43
88
147
47
86.6
4.6 0.9
5
148
58
82.8
5.2 1.1
6.9
149
50
85.7
3.3 0.5
8
150
39
88.5
3.5 0.5
5.1
34
90.6
2.1 0.7
4.8
1.8 0.4
7.7 2.4
139
146
)
,
1
5.6
0.2
1
1
5.6
9.5 3
151
Coconut, heart
152
Coconut, heart
42
88
153
Bilimbi
11
96.9
0.3
154
Djenkol beans, fruit
156
59.6
8.8 0.4 29.4
151
61.7
8.6 0.7 27.5
130
70.7
155 156
Parkia speciosa
ค
8
0
4
15.5
-0.6 -1.3 1.1 -1.2 -6.1 -1.3 -0.5 -1.7 -0.6 -1.2 -0.7 -1.9 -1.2 -0.6 -0.8 -0.6 -3.3 -3.6 -1.2 -1.4 -2.3 -1.2 -1.5 -0.7 -0.8 -0.3 -1.3 -0.6 -0.5
0.4 0.5 0.7 1.2 0.7 0.3 0.6 0.2 0.8 0.5 3.1 1.1 0.5 0.9 0.6 0.9 0.7 1.3 1.5 1.7 1.2 1 1 1.3 0.3 0.5 0.9 1.3
157 158
Murobalan, Terminalia , Meem tree
159
53
85.9
1.2 1.7
76
77.9
5.4 0.5
79
78.1
6
1.6
160
Water lily
6
97.6
0.2 0.1
161
Bamboo shoot, boiled
39
89.2
3.8 0.9
162
Bamboo shoot
27
91.9
2.3 0.2
163
Bamboo shoot , Bamboo shoot,hairy sweet,small , ญ Bamboo shoot,hairy sweet,big
29
91.3
2.4 0.2
9
96.6
1.9 0.2
18
94.5
1.5 0.3
88
79.6
7.5 3.5
164 165 166
-2.5 0.4 12.5 -2.2 1.5 10.2 -1.6 2.3 1.1 -0.4 0.5 4.1 -1.7 0.3 3.9 -0.9 0.8 -1 4.4 0.7 -0.8 0.9 0 -0.8 2.3 0.6 6.7 -1.3 1.4 0.9 -0.6 0.5 -0.6 0.7 2 4.4 -0.8 0.9 -1 2.3 0.8 4.3 -0.5 0.8 3.8 -1.4 1.1 3.2 -0.9 1 4.8 -1.2 0.9 6.3 -2.3 1 16.7 -9.8 0.5 14.2 -9.9 0.3 9.1 -1.8 0.5 ฑ์ (Fruit and prod 8.2
167
Banana, young stem
6
97.6
0.4 0.1
168
Banana, young stem
13
95.7
0.8 0.2
169
Banana flower
25
92.3
1.4 0.2
170
Mushroom
25
92.7
2.7 0.5
171
28
92
2.1 0.3
43
88.9
173
Oyster mushroom ( ) Chinese or steaw mushroom ( ) Chinese or steaw mushroom
28
91.4
3.4 0.2
174
Abalone mushroom
29
91.1
1.6 0.4
175
Mushroom
37
87.8
2.2 0.4
176
76
70.9
177
Mushroom , ค Mushroom
65
73.8
178
Jew's ear mushroom
43
87.1 1.4 0.1 ลไ ล ลิ
5001 Banana, Kai variety
147
62.8
1.5 0.2 34.8 1.9
0.7
5002 Banana, Nam-tai variety
124
68.6
1.5 0.2
-0.3
0.7
5003 Banana, Nam-wa variety
148
62.6
1.1 0.2 35.4 2.3
0.7
5004 Banana, Hom variety
132
66.3
0.9 0.2 31.7 1.9
0.9
5005 Banana, Huk-mook variety , 5006
113
71.2
1.2 0.2 26.7 -0.4
0.7
117
70.3
1.3 0.4 27.1
0.9
172
3
2
1.8
0.1
1.7 0.2
29
-1
5006 Jackfruit, La-mud variety
117
70.3
1.3 0.4 27.1
5007 Rambutan
67
82.9
0.9 0.1 15.6 -1.1
5008 Rambutan, Rong-rean variety
76
81
5009 Rambutan , Pink variety
79
5010 Java apple
0.9 0.5
0.3 17.4 1.6
0.3
80.4
1.1 0.4 17.8 0.6
0.3
16
95.7
0.3
0
3.8
-0.4
0.2
5011 Rose apple (Khak-dum) ค 5012 Rose apple (Nak)
27
93.1
0.6
0
6.2
-0.4
0.1
21
94.7
0.3
0
4.9
-0.3
0.1
5013 Malay-apple (Mameaw)
24
93.8
0.5 0.1
5.3
-1.3
1
5014 Water rose apple, green colour
28
92.8
0.5
6.6
1.1
0.1
5015 Malay-apple
32
91.7
0.3 0.1
7.5
-1
0.4
5016 Water apple , 5017 Musk melon (tang-tai) , 5018 Water melon
21
94.6
0.4
0
4.8
-0.4
0.2
13
96.5
0.2
0
3.1
-0.3
0.2
8
98
0.3
0
1.6
0.3
0.1
5019 Durian, Kra-dum variety
134
70.9
3.3 4.3 20.5 -1.2
1
5020 Durian, Kan-yaw variety
187
57.3
2.5 4.1 35.1 -1.7
1
5021 Durian, Cha-nee variety
148
67.3
2.5 4.4 24.7 -2.4
1.1
5022 Durian, Loung variety
160
64.6
2.7 4.6
-0.7
1.1
5023 Durian, Monthong variety , 5024 Durian, paste
163
62.5
2.1 3.3 31.2 -1.4
0.9
340
22.8
3.2 7.5 64.9 -2.9
1.6
5025 Custard apple , 5026 Cuava
98
75.2
1.4 0.2 22.6 2.7
0.6
43
89
0.6 0.1
5027 Jujube, Thai variety , 5028 Jujube, oval shape
89
5029 Jujube, Apple variety , , 5030 Passion fruit, outer layer , ค Passion fruit, juice 5031 , ( ) 5032 Passion fruit, yam , , 5033 Passion fruit, seeds 5034
1
-1
0
27
9.8
2.9
0.5
77.7
1.7 0.8 18.7
-1
1.1
120
71.6
0.7 1.7 25.5 -1.8
50
87
50
1
0.5
0.1 11.3 2.2
0.6
86.3
1.3 0.3 10.4 3.8
1.7
60
85.3
0.9 0.8 12.3
tr.
0.7
322
22.5
0.7 3.2 72.7 0.9
0.9
294
44.7
7.5 15 31.8
0.8
52
86.3
0.8
0
23
12.3 -1.2
0.6
5034 Hog plum
52
86.3
0.8
0
, 5035 Madrasthom
87
78.9
3.5
1
5036 Indian gosberry
70
82.2
0.3 0.1
5037 Tamarind, sweet variety
333
12.4
2.9
5038 Gandaria
53
86.6
0.4
5039 Carambola, Star fruit
37
90
5040 Rambai
48
5041 Mango, Kaew variety, unripe 5042 Mango, Kaew variety, ripe , 5043 Mango,Kiew-sa-ard variety, unripe , 5044 Mango,Kiew-sa-weya variety, unripe , 5045 Mango,Kiew-sa-weya variety, ripe ค , 5046 Mango,Karabow variety, ripe , 5047 Mango, Thong-dum variety, unripe , Mango, Pram variety, ripe 5044 , 5049 Mango, Pimsen variety, ripe , 5050 Mango, Pimsen mun variety, unripe
12.3 -1.2
0.6
16
3.4
0.6
17
-2.1
0.4
0
80.3 -4.7
4.4
0
12.8 1.5
0.2
8.7
-0.9
0.8
88.2
0.7 0.3 10.5 -0.9
0.3
76
81
0.5 0.2 18.1 2.4
0.2
93
76.7
0.6 0.1 22.4 1.6
0.2
61
84.3
0.7 0.1 14.4 -0.4
0.5
87
78.5
0.7 0.4 20.1
-
0.3
82
80.2
0.5 0.8 18.2
-
0.3
63
84.6
0.5 0.6
1
0.3
105
74
0.8 0.4 24.6 -0.7
0.2
49
87.5
0.6 0.1 11.4 -0.4
0.4
64
83.9
1
0.2 14.6 -0.5
0.3
91
77.5
1
0.5 20.7 1.8
0.3
5051 Mango, Rad variety, unripe , 5052 Mango, Okrong, variety, ripe , 5053 Mango, Nungklangwan variety, ripe , 5054 Mango, Haew variety, unripe , , 5055 Cashew nut, fruit, ripe , 5056 Papaya, unripe , 5057 Papaya, ripe ,ค 5058 Papaya, half ripe , , . Papaya, ripe 5059 ค 5060 Mangosteen
51
87.1
0.4 0.1 12.2 1.8
0.2
79
80.1
0.9 0.2 18.3 1.1
0.5
83
79.3
0.5 0.2 19.7 -0.5
0.3
73
81.7
0.7 0.1 17.3 -0.4
0.2
53
87
0.8 0.4 11.5 2.6
0.3
24
93.1
0.6 0.1
-0.9
1.1
53
86.9
0.8 0.3 11.8 -0.5
0.2
13
96.6
0.2
24
94.8
0.2 0.8
82
79.2
0.5
5061 Salak palm , 5062
50 93
0.4 0.1
0
14
5.1
3
-0.3
0.2
4
-0.3
0.2
20.1 1.7
0.2
87.2
0.6 0.2 11.5 -0.7
0.5
77.3
0.3 0.8 21.2 5.6
0.4
0
5062 Sapodilla, Thai variety , 5063 Sapodilla, Ma-kok variety
93
77.3
0.3 0.8 21.2 5.6
0.4
35
91.4
0.2 0.2
-0.7
0.2
5064 Lang-sat
67
82.9
0.9 0.1 15.6 -0.3
0.5
5065 Longan , 5066 Longan, Kaloke variety , 5067 Longan, Beawkeaw variety
111
72.4
77
0.5 25.6 -0.4
0.5
80.2
0.9 0.1 18.2 -0.2
0.6
66
83.4
1.1 0.1 15.1 1.1
0.3
5068 Litchi, Ly-chee
57
85.2
0.9 0.1 13.2 -0.1
0.6
5069
-
6.4
325
13.1
14 0.6 66.3
, 5070 Sugar-palm
49
88.5
0.5
-0.5
0.5
5071 Jambolan
59
84.7
0.9 0.1 13.6 -0.4
0.7
5072 Sarak palm
74
80.6
0.4 0.1 17.9 -0.3
1
5073 Orange, sour , 5074 Tangerine (Mandarin) , 5075 Pummmelo, Tong dee variety , Pummelo 5076
52
86.8
0.5
42
89.9
0.6 0.4
9
1.3
0.1
44
89.2
0.5 0.4
9.5
0.7
0.4
52
86.7
0.5 0 12.4 -0.1 0.4 ้ อ ์ ไ ล ลิ
165
69.5
20 9.7
0
-
1.3
97
76.6
21 1.3
0.3
-
0.7
122
74
24 2.9
0
-
0.7
147
71.7
23 6.3
0
-
0.6
127
73.3
23
0
-
0.8
115
74.7
24 2.2
0
-
1
111
75.1
21 3.1
0
-
0.9
119
74.7
22 3.6
0
-
0.8
137
74
22 5.3
0
-
0.7
124
74.3
21 4.4
0
-
0.8
127
73.9
24 3.6
0
-
1
139
72.3
23 5.2
0
-
0.9
188
66.4
22
0
-
0.8
6001 6002 6003 6004 6005 6006 6007 6008 6009 6010 6011 6012 6013
,
1
8
, , Chicken, meat , Black chicken, gizzard , Black chicken drumstick, meat and skin , , Black chicken wing , , Black chicken, thigh , , Black chicken, breast , Native chicken, gizzard , Native chicken drumstick , Native chicken wing , Native chicken, thigh , Native chicken breast , Jungle fowl,drumstick , Jungle fowl,wing
1
0
4
11
9.5
12.6 -0.2
0.1
ฑ์
, , 6014 Jungle fowl,thigh , 6015 Jungle fowl,breast
218
64.1
20
15
0
-
0.9
178
67.9
24
9
0
-
1.3
43
87.1
9.5 0.6
0
-
2.9
626
1.8
49
48
0
-
2.1
515
2.9
56
27 11.5
-
2.2
199
70.2
13
16
0
-
0.5
254
11.6
53 4.5
0.7
-
30.6
134
69.5
20 4.8
2.3
-
3.1
139
61.3
31 1.5
0.7
-
5.9
412
18.7
46
22
7.5
-
5.8
225
52.7
16
10 17.1 1.4
3.7
417
14.8
67
17
6026 Pork, fermented
185
62.8
20 9.9
6027 Pork, shreded, chiness-style , , 6028 Pork, stomach , , 6029 Pork, liver , , 6030 Pork, meat, raw , , 6031 Pork, lung , , 6032 Pork, fat , Pork, blood, cooked 6033 , , 6034 Pork, ball, deep fried , 6035 Pork, skin
357
9.8
155
6016 Frog, small ค ]( ) 6017 Pork skin, deep fried, with fat ค ]( ) 6018 Pork skin, deep fried, no fat , 6019 Duck, meat , 6020 Ground lizzard , , 6021 Beef, raw , ค ( ) Beef, salted 6022 , , 6023 Beef, mediam fat, fried , , 6024 Beef, ball, deep fried , , 6025 Ox, gum, deep fried
0
-
4.4
3.6
-0.2
3.3
43 5.7 33.3
-1
8.1
63.4
12 2.1 21.6
-
0.5
117
73.2
20
2.6
-
1.4
108
75.8
20 3.3
0
-
0.9
107
79.4
14 5.8
0
-
0.8
714
15.2
4.7 76
2.7
-
1.4
36
91.9
8.9
0
0
-
0.8
372
38.8
14
28 16.4 2.3
306
49.4
28
21
0.9
-
0.6
6036 Processed pork, Vietnamese style , 6037 Vienna sausage, chicken , 6038 Vienna sausage, pork , 6039 Pork sausage, deep fried
341
50.9
13
31
3.6
-0.2
1.9
335
53
12
31
1.7
-
1.9
263
59.7
15
22
2.1
-
1.9
409
35.7
9.3 32 20.4 0.9
6040 Pork sausage, northern style
420
37.4
18 36 ล ง
682
4.6
3
3
2.4
5.7 -1.1 2.8 ์ ้ อ ล ลิ
, 7001
38
59
0
0
0.4
ฑ์
7001 Fish, maw, fried , 7002 Giant tiger prawn, body , 7003 Giant tiger prawn, head ค shrimp, small 7004 ( ค ) 7005 shrimp, fermented , 7006 Prawn, Lanchester's fresh water ( ) 7007 Shrimp, fermented
682
4.6
38
59
0
0
0.4
92
80.3
20 1.3
0
0
1.1
120
74
14 4.4
5.7
0
1.6
61
84
12
1
-
2
135
59.2
12 1.6 17.9
-1
9
88
77.6
15 2.7
0.6
-
3.7
58
79.1
7.2 0.6
6
-0.6
7.1
7008 Shrimp, dried
263
16.1
46 2.9 12.8
-
21.8
7009 Fish, viscera, fermented
90
65.3
9.7 4.4
2.8
-0.2 17.8
7010 Num Poo
210
42.7
26 9.1
6.1
-2.2 16.1
, 7011 Catfish, sea, dried
219
34
48 2.8
0.4
-
14.8
7012 Bluespot gray mullet
98
76.5
21 1.6
0.3
-
1.1
7013 Spotted Feather back fish
84
79.9
18 1.6
0
-
1
7014 Fish, fermented (pla-chaw)
117
66.9
12 5.6
4.5
7015 Striped snake-head fish , 7016 Cobia, (Sergeant fish), dried
122
73.1
21 3.8
1.4
-
1.2
185
38.6
42
0
0
17.7
7017 Fresh-water catfish , , 7018 Red snapper
114
74.8
23 2.4
0
-
1.4
120
72.7
20 3.1
2.5
-
1.3
111
74.7
20 3.2
0.1
-
1.6
89
77
21 0.6
0.4
-
1.4
7021 Purple sportted bigeye , 7022 Short-body mackerel steamed , 7023 Short-body mackerel, raw , 7024 Tuna, raw , 7025 Tuna, in oil , Tuna, in mayonnaise 7026 , 7027 Shortjawed Barracuda
117
76.7
21 3.5
0
-
1.1
136
67
25
0
-
4.4
140
72
20 6.7
0
0
1.5
110
72.5
25 1.2
0
-
1.5
218
60.4
24
14
0.5
0
2.1
86
79.2
13 2.3
2.9
-0.3
2.2
111
80.2
18 4.5
0
0.9
7028 Whisker sheat-fish , 7029
79
80.6
17 1.1
0
-0.1
71
82
16 0.5
0.3
-
1
7019 Common silver barb ( 7020 Halabit
1
2
-0.2 10.8
)
4
0.9
7029 Mekong Giant Catfish ( ) 7030 Fish, fermented
71
82
16 0.5
0.3
-
1
114
70.7
4.9 2.4
18
-0.1
3.9
7031 Common ponyfish
120
74.4
20 4.3
0.1
-
1
7032 Fish, fermented (Pla-ra)
149
52.5
15
8
3.9
-0.5 20.3
7033 Fish, fermented, powder , . 7034 Bullforg, fermented , 7035 Tongue-sole, dried , ( ) 7036 Fish, small, fermented �( ) 7037 Fish, large, fermented , 7038 Snake skin gourami, raw , 7039 Grey feather back, roasted , 7040 Striped catfish , 7041 Slender queenfish, dried , 7042 Black-banded travally, raw
274
4.8
28
14
9.3
-0.4
113
57.3
15 4.8
2.6
-0.8 20.4
280
21.4
63
127
64.6
17 5.3
3.4
-0.1 10.2
107
69.4
19 0.8
5.5
-0.1
4.9
76
80.9
17 0.8
0
-
1.1
395
10.8
58
17
1.7
-
12.2
256
62.1
16
22
0.1
-
0.8
176
43.7
38 2.8
0
-
16
164
72.4
18
0
-
1
7043 Anchovy
75
80.5
18 0.3
0.1
-
1.1
, 7044 Hairfin anchovy, dried
153
34.7
33 2.2
0.4
-
29.7
7045 Common clibing perch
133
74.7
17 7.1
0.1
-
0.9
7046 Splendid squid
68
83
15 0.7
0.2
-
0.9
7047
0
-
20.2
,
3
10
-
12.6
208
30.5
47
, 7048 Banded crevalle, dried
168
46.9
38 1.6
0
-
13.7
7049 Swamp eel
87
78.7
19 1.2
0.1
-
1.1
7050 Serrated mud crab
117
74.4
17 4.5
1.8
-
2.1
7051 Blue swimming crab
79
80.1
16 1.5
0.1
-
2.1
7052 Fish ball
38
87.6
8.9 0.1
0.4
-
3
277
45.9
22
14 15.2 -0.3
2.8
213
58.2
20
12
6.9
-1.9
3.1
7055 Fermented fish
96
74.4
18 1.4
2.9
-0.1
3.3
7056 Fish, shreded, southern style
386
16.8
35
16 25.8 -0.2
6.8
7057
42
90.3
7.2 1.4
, 7053 Fish ball, deep fried , Shrimp ball, deep fried 7054
2
0
44
0.1
-
1
7057 Horse mussel
42
90.3
7.2 1.4
0.1
-
1
7058 Pond snail, river snail
74
79.3
12 0.7
4.9
-
3
7059 Snail
85
76.9
12 0.2
9.2
-
2.2
81
79.8
13 1.3
4.3
-
1.7
7061
86
77.7
15 0.9
4.9
-
2
7062 River snail
70
79.8
13 0.4
3.3
-
3.2
7063 Green mussel , 7064 Shark fin, dried
53
85.5
8.1 0.9
3.1
-
2.4
358
12.5
87 0.5
0
-
0.7
160
73.5
12
12
1.4
-
1.1
15
95.8
2.5 0.2
0.8
-
0.7
228
62.2
17
17
1.5
-
2
128
77
11 8.3
2.2
-
1.3
186
70.2
12
14
2.1
-
1.1
141
74.6
13 8.9
2.8
-
1.2
480
22.2
42
35
0
-
3.8
8008 Egg, quail, whole
171
71.2
13
12
2.4
-
1.1
8009 Egg, Mang-mun
129
79.5
8.1 10
1.4
-
0.9
8010 Egg, red ant
74
84
8.2 2.6 ล ลิ
4.5 0.7 ฑ์ (Milk and prod
114
78
6.8 6.5
7
-
1.7
105
81.2
6.3 7.2
3.7
-
1.6
324
25.4
6.4 59.6
-
1.6
331
24.8
7.4 7.3 58.8
-
1.7
337
24.3
7.7 8.2
-
1.8
54
86.2
1.5 0.1 11.8
-
0.4
ค Cockel, ark shell 7060
8001 8002 8003 8004 8005 8006 8007
, Egg, hen, whole , Egg, crocodile, white , Egg, crocodile, yolk , Egg, crocodile, whole , Duck egg, whole ( ) Egg, green turtle, whole , ค Roe, Bluesport gray mullet, salted
,ค , Milk,condensed,recombined with palm 09001* oil,unsweetened ,ค , Milk,condensed,recombined with butter 09002* fat,unsweetened ,ค , Milk,condensed,recombined with palm 9003 oil,sweetened ,ค , Milk,condensed,recombined with palm oil and 9004 butter fat,sweetened ,ค , Milk,condensed,recombined with butter 9005 fat,sweetened , ค 09006* Milk, fermented,Yakult
7
ไ
58
, 09007* Milk, fermented,Betagen ,
, 72
83.1
1.5 1.1 13.9
-
0.4
09008* Drinking yoghurt,pasteurised, fruit flavour , 35 %,
72
83.6
1.5 1.6
13
-
0.3
09009* Drinking yoghurt,pasteurised, fruit flavour , 76.5 %,
66
84.2
1.6 0.9
13
-
0.3
09010* Drinking yoghurt,pasteurised, fruit flavour , , , 09011* Drinking yoghurt,low fat,UHT, natural flavour , , , 09012* Drinking yoghurt,low fat,UHT, fruit flavour , , 85 %,
71
83.6
1.8 1.3
13
-
0.3
54
86.3
1.7 0.1 11.5
-
0.4
53
86.5
1.7 0.1 11.3
-
0.4
09013* Drinking yoghurt,UHT,85 % milk, fruit flavour , , 50 %,
64
85
1.3 1.1 12.3
-
0.3
09014* Drinking yoghurt,UHT,50 % milk, fruit flavour , , ,
70
83.6
1.3 1.2 13.6
-
0.3
09015* Drinking yoghurt,UHT, fruit flavour
62
85.2
1.7
1
11.6
-
0.5
499
3
26
27 38.4
-
5.7
358
3.3
38 0.5 50.3
-
7.8
477
2
13
-
4.3
58
89.1
3.4
-
0.7
79
83.6
3.2
9.5
-
0.7
44
90.1
3.4 1.6
4.1
-
0.8
65
88
2.3 3.9
4.1
-
0.7
69
86.7
3.3 3.8
5.5
-
0.7
42
90.7
3.7 1.6
3.2
-
0.8
46
89.5
3.8 1.6
4.2
-
0.9
41
90.1
4.2 0.9
4
-
0.8
56
89.5
3.3 3.4
3
-
0.8
764
11.4
0.4 83
3.5
-
1.5
340
38.2
18
23 15.7
-
5.3
,
9016 Milk, powder, full cream 9017 Milk, powder, non fat , 9018 Milk, pressed , 09019* Milk, whole, pasteurised , , 09020* Milk, whole, pasteurised,sweetened , 09021* Milk, low fat, pasteurised , 09022* Milk, whole, UHT , , 09023* Milk, whole, UHT, sweetened , ,, 09024* Milk, low fat, UHT ,, , 46 : 6 Milk, low fat, UHT, milk mixed with low fat milk 09025* powder ratio 46 : 6 ,, , 22 : 78 Milk, low fat, UHT, milk mixed with low fat milk 09026* ratio 22 : 78 , 09027* Milk, whole, sterilized , ค 9028 Butter, salted , 9029
20 60.1
3.3 3.5 3
9029 Cheese, cheddar
340
38.2
18
23 15.7
-
5.3
9030 Yoghurt, cream , 9031 Yoghurt, cream milk mixed with low fat milk , 79 : 3,
107
77.4
3.8
4
13.9
-
0.9
90
80.6
5
3.2 10.4
-
0.8
126
71.8
3.5 3.2 20.7
-
0.8
122
71.1
3.8
-
0.8
Yoghurt, cream milk mixed with low fat milk, fruit 9032 flavour , 73 : 4, Yoghurt, cream milk mixed with low fat milk, fruit 9033 flavour , , 9034 Yoghurt, low fat, fruit flavour
2
22.3
92 77.2 ครอง
3.3 0.8 17.9 0.8 ล ครอง รงร (Spices and
144
37
24 2.8
5.9
-1.7 30.5
143
63.1
5.6 0.1
30
-0.9
1.2
10003 Galanga
95
75.7
0.3 22.1 -3.1
0.9
10004 Turmeric, roots ค 10005 Chili paste ค 10006 Chili paste, matsaman
68
83.8
1.7 1.4 12.1 -0.7
121
56.2
4.2 2.5 20.3 -6.5 16.8
282
52.6
4.3 24 11.5 -3.7
7.3
10007 Mace ค 10008 Lemon grass , ค 10009 Budu, fish sauce, southern style , 10010 Budu, fish sauce, southern style, sweetened
388
19.6
14
15 48.1 -9.7
2.7
143
65.6
1.2 2.1 29.7 -4.2
1.4
47
72.3
7.5 0.7
2.7
0
16.8
203
37.4
4.9 0.2 45.5
0
12
10011 Cardamon leaves , Coriander, root 10012 , 10013 Coriander, seed
372
9.8
9.5 6.3 69.3 -30
5.1
57
84
1.7 0.2 12.2
-6
1.9
325
13.1
14 0.6 66.3 -30
6.4
10014 Curry powder
299
8.1
7.1
10015
371
11.3
1.9 8.3 72.2 -24
6.3
347
20.8
16 9.1 50.5 -23
3.8
364
19.9
14
-24
3.9
380
11.6
11 6.6 68.8 -3.8
1.7
171
57.1
6.8 3.1
118
71.3
, Shrimp paste 10001 , 10022 Garlic, dried bulb
10016 10017 10018 10019 10020
, , Chilli pepper, dried , Pepper, hot, dried , Pepper, white , Leech lime,leaves , Leech lime, peels
1
4
7
12
1
51.7 -6.3 25.8
50
29
-8.2
1.9 21.1 -3.8
4 1.7
10021 Mustard , 10022 Cumin (Cummin), seeds , 10023 Mint, leaves , 10024 Sweet basil leaves
511
4
313
28 32.8 -1.5
3.8
14.4
15 0.6 62.4 -27
8.1
52
86.3
3.7 0.6
54
85.5
3.3
10025 Shallot, bulbs
63
10026 Cinnamon , 13001 Frog, dried 13002 Frog, small , . 13003 Silk worm, pupae ค ( ) 13004 Cricket giant , , 13005 Hornet, young , , 13006 Hornet, mature , , 13007 Hornet, pupae , , Bombay locust, fried 13008 ,ค 13009 Mole cricket, fried ,ค 13010 True water beetle, fried 13011
ค
13012 Durian paste , 13013 Durian pate , + 13014 Durian pate , + 13015 Durian paste , , 13016 Durian, preserved , 13017 Durian preserved , 13018 Duriam, Preserved 13019 Sugar, from coconut
31
8
-1.2
1.4
7.9
-2.5
2.3
83.9
2.7 0.2 12.6 -0.6
0.6
329
15.1
3.3
307
18.5
42 1.8 30.4 -0.4
7.1
46
87.1
9.5 0.6
0.7
0
2.1
152
69.9
15 8.3
4.7
-1.2
2.4
188
67.1
18
12
2.4
-4.4
1
141
71.7
14 6.3
7.4
-0.6
0.9
111
76.2
16 3.9
2.8
-2.2
0.9
140
72.8
15 6.8
4.8
-0.6
0.8
476
18.8
40
31
8.6
-7.1
1.4
235
52.7
25
13
4.6
-
4.6
222
51.9
28 9.4
6.4
-
4.4
330
42.2
24
8.9
-4.6
2.8
340
22.8
3.2 7.5 64.9 -2.9
1.6
349
20.3
4
352
20.3
4.1
344
1
1
22
76.6 -15 อ
7.2 67.1
4
-2
1.4
-2.6
1.6
20.9
3.7 6.6 67.5 -2.3
1.3
239
49.6
3.2 8.7 36.9 -3.3
1.6
264
43.7
3.4 8.8 42.7 -3.8
1.4
194
57.1
2.7 5.6 33.3 -2.4
1.3
352
11.2
0.3 0.1 87.4
8
66
, ,
-
1
Vitamin C
Riboflavin
Thiamin
Vitamin E
Niacin
mcg.
Total Vit. A
Beta-carotene
Retinol
Iron
Phosphorus
Calcium
milligrams
0.7
0
0.01 0.6
tr.
millgrams
RE
and products) 29
73
-
-
0
0
-
tr.
tr.
12
22
1.9
-
0
0
-
0
10
29
2.7
-
0
0
-
0
tr.
0.3
0
7
22
2.3
-
0
0
-
0
tr.
0.1
0
7
14
0.9
-
0
0
-
tr.
0.02 0.4
0
22
121
2
-
-
-
-
0.21 0.16 1.4
-
0
93
1.1
-
-
-
-
0.17
1.3
-
0
130 0.9
-
-
-
-
0.26 0.43 1.6
-
0
80
0.7
-
-
-
-
0.2
0.31 1.1
-
10
56
tr.
-
-
-
-
1.25 0.97 8.2
-
-
66
-
-
tr
tr
-
0.34 0.11 1.4
-
0
11
0.5
-
-
-
-
0.01
0
1.5
-
55
90
1.8
-
-
-
-
0.13
0.1
0.6
-
-
95
-
-
-
-
-
0.09 0.04
-
-
-
-
-
-
-
-
-
0.28 0.09
-
-
-
-
-
-
-
-
-
0.11 0.02 1.5
0
0.55 0.06 2.8
0
0.9
0
-
-
0.4
27
255 3.7
-
0
0
0.41
3
66
tr.
-
-
-
-
0.11
14
20
0
-
-
-
-
0.13 0.04
41
191 1.4
-
0
0
0
0.24 0.06 0.8
0
10
11
1.7
-
-
-
-
0.11 0.18 1.1
1
11
47
3.6
-
494
82
-
0.08 0.08 0.5
0
24
316 4.2
-
0
0
0.35
0.45 0.11 3.6
tr.
18
277 4.1
-
0
-
0.66
0.46 0.06 2.6
tr.
0.4
42
190 4.2
-
0
0
0.88
0.69 0.11 2.4
0
54
901 6.8
-
0
0
11.3
3.03 0.74 3.8
1
-
-
-
-
-
-
-
2.14 1.21 1.2
-
7
63
2.5
-
0
0
-
0.08 0.03 1.8
0
18
272 1.6
-
0
0
0.42
0.55 0.06 2.4
tr.
26
65
2.3
-
16
3
-
0.55 0.29 0.6
-
18
12
tr.
-
-
-
-
0.03
0.1
1
-
43
282 6.5
-
0
0
0.45
0.59
0.1
4.1
tr.
78
138
-
-
0
-
0.01 0.04 0.4
-
126 2.4
0
2
tr.
-
0.03 0.05 1.5
-
130
12
1.4
-
0
0
-
0.05
0
0.1
0
21
47
3.7
-
0
0
-
0
0
0.9
0
-
89
tr.
-
0
0
-
-
-
1.5
-
-
70
tr.
-
0
0
-
-
-
1.1
-
63 tr. ots, tubes and products)
0
0
-
-
-
2.6
-
tr.
0.2
1
1
2
-
3
22
32
1.8
-
-
-
-
0.09
84
54
-
-
-
-
-
0.15 0.04
9 19 36 -
16 32 27 -
0.5 tr. tr. -
-
7 15 80
1 2 13
0.48
98
46
-
-
-
260
-
0.09 0.02 0.5 34
16
50
1.7
-
-
-
-
0.12 0.04
1
41
33
10
0.6
-
-
-
-
0.08 0.02
tr.
60
84 -
35 -
0.9 -
-
0 14
0 2
0.23
0.06 0.02 0.1 0.05 0.03 -
0 5
6
66
0.8
-
0
0
-
0.17 0.02
16
14
64
0.8
-
tr.
0
-
0.1
43
20
tr.
-
0
0
-
0.01 0.02 0.5 26
0.03 0.04 0.02 0.05
0.01 3 0.01 1.8 0.02 2.4 0.04 -
-
0.03 0.3
9 4 5 8
4
ลิ
118
24
-
-
0
0
-
0.03
0
0.5
0
81 14 tr. 0 ฑ์ Pulses, nuts, seeds and products)
0
-
0.03
0
0.1
0
15
9
1.2
-
0
0
-
0.36 0.05 1.5
8
26
16
1.7
-
0
0
-
0.25 0.03 1.3
-
-
348
tr.
-
15
2
-
0.04
-
2.3
-
-
-
tr.
-
57
10
-
-
-
2.1
-
90
-
13
-
4
tr.
-
0.83 1.54
5
-
650 7.4 284 6.3
-
0 35
0 6
-
1.08 0.11 3.3 0.49 1.5 1.3
0 -
-
84
14
-
0.66 0.22 1.3
-
86 442 -
-
-
1228
584 8.8
-
0
0
-
0.94 0.27 3.5
0
1469
688 9.9
-
0
0
-
0.75 0.27 3.8
0
180
178
15
-
0
0
-
0.23 0.08 0.4
-
250
53
2.2
-
0
0
-
0.04 0.18 0.7
-
160
230 2.8
-
-
-
-
0.03 0.18 0.8
-
-
33
4.2
-
-
-
-
0.11 0.33 2.8
0
-
15
1.7
-
0
0
-
0.02
0
1.6
0
-
-
-
-
-
-
-
0.07
0
1.2
0
-
-
6.8
-
-
-
-
0.32 0.42 2.7
-
125
340 5.2
-
-
-
-
0.38 0.21 2.6
0
32
11
1
-
-
-
-
0.01 0.01 0.1
-
43
151
11
-
16
3
-
0.02 0.29
-
-
253
-
-
-
-
-
0.73 0.23 0.9
0
115
415
-
-
0
0
-
0.16 1.32 2.7
-
108
184
12
-
5
1
-
0.02 0.63 2.1
-
57
479
17
-
-
-
-
0.19 0.12 1.5
0
20
233 9.4
-
-
-
-
0.36
1.9
-
19
14
-
0
0
-
0.42 1.26 3.9
0
3.3
0.5
3
19
14
3.3
-
0
0
-
0.42 1.26 3.9
0
-
31
3.8
-
0
0
-
0.23 0.34 3.7
0
180
23
4.4
-
0
0
-
0.37 1.24 4.7
5
227
28
4.5
-
0
0
-
0.31 0.56 3.9
0
198
223 6.1
-
-
-
-
0.04 0.45 1.6
0
292
5
21
-
104
17
-
0.06 0.73 1.6
0
-
481
-
-
0
0
-
0.16 3.63 2.1
0
33
398 8.4
-
tr.
tr.
-
0.52 0.35 4.1
0
60
387
11
-
tr.
tr.
-
0.44 0.35 3.4
0
-
-
-
-
-
-
-
0.57 0.26 1.1 22
194
330 0.4
-
-
-
-
0.31 0.21 2.3
0
109
21
4.3
-
0
0
-
0.33
3.8
0
-
37
6.6
-
0
0
-
0.29 1.25 4.4
0
-
41
5.2
-
0
0
-
0.35 1.35 5.9
0
-
44
7.2
-
0
0
-
0.28 1.39 3.7
0
20
455
14
-
-
-
-
0.59 0.09 2.2
8
21
92
-
-
-
-
-
0.1
0.63 1.6
-
13
56
2.2
-
-
-
-
0.53
0.5
5.2
-
20
143
tr.
-
3
tr.
-
0.16 0.37 2.9
4
22
127
tr.
-
0
0
-
0.1
0.18 1.6
-
-
-
-
-
-
-
-
0.04 0.64 12
-
245
500
10
-
-
-
-
0.73 0.19 1.5 14
22
26
0.5
-
-
-
-
0.2
48
171
tr.
-
170
28
-
-
-
78
1.9
-
-
-
-
0.02 0.05 1.5 11
-
32
-
-
-
-
-
0.02 0.15 2.9
3
13
173
1
0
-
-
-
0.06 0.04 1.3
4
79
336
12
0
-
-
-
0.2
-
105 2.9
0
-
-
-
1.74 0.02 3.2 24
-
1.3
0.07 0.4 -
1.6
1.67 4.3
0 0
-
105 2.9
0
-
-
-
1.74 0.02 3.2 24
19
117 2.9
0
-
-
-
0.04 0.97 0.4 15
13
253
-
0
0
0
-
0.22 0.73 2.1
0
36
-
5.4
0
-
-
-
0.57 3.96 4.4
0
122
626 4.4
0
tr.
tr.
1
0.18 0.15 1.8
2
12
127 1.8
0
-
7
-
-
3
185 0.2
0
-
-
-
38
236 0.7
0
-
-
-
36
223 0.1
-
12
2
32
453
tr.
-
0
19 -
364 103 74
8 0 0
-
35 16 and products)
-
9
4
11
0.4
-
0
1.89 0.4
-
0.5
0.15 1.3
0
0.39
0.35 0.16 0.9
0
0
1.02
0.46 0.18 1.1
0
0 0 0
0 0 0
-
0.38 -
0.1 -
3.1 1.2 1.1
0 0 0
-
0
0
-
0
0
0
0
0.8
-
-
-
-
0.11 0.24 4.5 44
2
0.8
-
355
56
0.55
0.05 0.08 1.6 14
80
71
2.3
-
0
0
-
0.07
0.3
3.5
2
-
-
-
-
-
-
-
-
-
0.4
-
137
11
9.2
-
-
788
-
0.33 0.09 1.7
8
-
-
-
-
14
2
0
tr.
0.03 0.7
2
2
-
-
-
18
3
0.49
tr.
0.04 0.4
3
423
26
2.1
-
-
0
-
0
0
0
-
-
0
0.03
0
2
64
-
-
-
8495 1416
10.48
tr.
0.53
2
86
25
287
15
-
7857 1310
-
0.04 0.34 1.8 25
22
23
tr.
-
15
2
-
0.02 0.15 0.8 56
5
76
0.1
-
42
7
-
0.04 0.22 2.8 23
3
21
-
-
1346
225
-
0.03 0.43
70
90
1
-
-
300
-
0.1
6577 1096 -
6
tr.
0.1
1.3 82
1
28
1.5 45
8
3
0.5
-
4
1
-
0.49 0.05
-
158
-
-
0
0
-
0.03 0.01 0.5 16
4 7
25 25
0.5 -
-
12 -
2 -
-
0.13 0.15 0.4 23 0.35 1.8 16
0
28
0.1
-
0
0
-
5
27
0.1
-
2
tr.
-
0.24 0.06 0.4 22
18
22
1.2
-
10
2
-
0.02 0.02
34
5
0.4
-
11
2
-
0.02 0.05 0.1 10
190 5.8
-
1399
233
0
0.04 0.69 1.3 110 0.11
156
0
-
15
0.31 0.1 28
1
13
4
1.6
-
233
39
0
93 115
40 30
1.3
-
1828 -
305 21
1.43 -
0.02 0.19 0.6 30 0.03 0.01 0.4 6
2
57
1.2
-
77
13
-
0.09 0.49 0.5 35
395
40
4.1
-
-
-
-
0.28 0.33
1
68
1.2
-
-
0.04 0.05 0.8
44
2
1.6
-
-
-
-
0.09 0.42 0.4 66
3
3
2.6
-
-
453
-
0.17 0.32 2.8 39
601
30
7.6
-
-
-
-
0.13 0.11 3.4 10
27
13
1.1
-
-
733
-
0.7
58
80
4.1
-
-
1007
-
0.05 0.24 1.5 58
429 222
161 8.8 65 tr.
-
60 196
10 33
-
0.06 0 2.7 tr. 0.14 2.3
32 113
30 59
0.4 0.9
-
1453 352
242 59
-
0.14 0.27 0.5 24 0.08 0.61 1 472
51 -
56 -
8.2 -
-
208 1479
334 35 246
1.05 11.3
0.26 0.4 2.8 24 0.03 0.06 1.2 5 0.5 -
63
45
tr.
-
1634
272
-
0.04 0.15 0.7 28
47
33
7.3
-
-
228
-
0.05 0.09
4
15
-
-
-
150
-
0.04 0.12 0.2 33
87
50
0.9
-
635
106
-
0.1
6994 1166
-
1
1.8 484
2
84 3
0.04 0.2 29
0.1
tr.
2
2
52
40
7
2
0.5
-
801
134
-
0.03 0.08 1.2 13
1
6
0.2
-
-
27
-
0.03 0.09 0.7
96
30
tr.
-
2722
454
-
0.06 0.32 0.7 10
126
30
4.6
-
5190
865
-
0.17 0.13 1.2 34
-
-
-
-
0
0
0.32
0.15 0.27 2.4 36
5
11
0.4
-
40
7
-
0.03 0.05
tr.
tr.
9
0
-
-
5
-
0.04
0.4 18
2
8
0.4
-
-
2
-
0.03 0.03 0.3 28
2
11
0.6
-
-
18
-
0.02 0.04 0.1 41
78
45
3.8
-
-
60
-
0.07 0.09 0.6 32
27
85
1.9
-
-
-
-
0.07 0.03
45
31
1.5
-
47
8
-
0.2
-
3
0.6
-
336
56
-
0.08 0.42 1.3 36
43
50
-
-
682
113
-
0.08 0.11
73
5
0.5
-
438
73
-
0.09 0.04 0.8 34
5
43
0.5
-
-
122
-
0.35 0.14 0.8 32
-
-
-
-
240
40
0.56
0.06 0.12 0.7 13
-
-
67
-
0.11 0.09 1.4 34
171
115 1.5
0.1
1
2
20
12
0.13 1.3 17
1
0.02 0.09 1.6
12
-
-
-
-
236
39
2.64
8
57
40
1.8
-
-
384
-
0.24 0.17 1.2 68
-
-
-
-
5287 4796
881 799
13.43 5.6
0.16 0.52 0.5 82 0.05 0.47 1.5 52
6
1
0.1
-
-
-
-
0.02 0.04 0.1 10
4
53
0.5
-
-
8
-
0.06 0.03 0.4
4
1
0.2
-
-
8
-
0.04 0.03 0.5 16
7 -
80 -
tr. -
-
19 249
3 25
2.02
0.06 0.81 1.8 17 0.03 - 61
25
52
0.7
-
-
108
-
0.19 0.01 0.4
10
44
1.2
-
-
292
-
0.05 0.23 2.8 183
4
2
0.7
-
-
10
-
0.04 0.03 0.8 24
8
3
4
2
0.7
-
-
10
-
0.04 0.03 0.8 24
3
3
0.4
-
-
1
-
0.37 0.05 0.2 15
5 -
24 -
0.7 -
-
30 618
5 103
5.2
0.02 0.04 0.4 15 0.02 tr. 0.3 3
146
30
3.9
-
2428
405
-
0.24 0.09 0.8 15
21
-
-
-
92
15
0.6
tr.
-
-
-
-
118
20
0.9
tr.
tr.
0.3
124
27
0.1
-
2987
498
-
tr.
0.2
1.2 8.3
73 6
10 16
2.5
-
533 -
89 -
-
tr. 0.18 1.2 0.07 0.34 1.6 164 0.03 0.17 0.3 26
-
-
-
-
7408 1235
-
0.21 0.22 8.2
2 -
11 -
0.6 -
-
0 -
0 -
-
0.26 tr. 1.04
-
-
-
-
0
0
3.57
11
34
1.6
-
1808
301
-
0.04 0.07 0.5 25
51
39
tr.
-
1412
235
-
0.03 0.15 0.9 48
387
7
5.3
-
3710
618
-
0.12 0.14 3.2 34
13
18
1.7
-
-
396
-
0.1
63 -
tr. -
0.6 -
-
3403
567
-
tr. 0.24 0.7 15 0.02 0.18 6.7 7
7
20
0.4
-
11
2
-
0.07 0.24 1.2 52
108
34
0.2
-
1329
222
-
0.03 0.18 0.4 55
178 73
67 43
4.3 tr.
-
2557
268 426
-
0.03 0.05 1.5 118 0.01 0.56 1.2 5
16 -
39 -
4.9 -
-
2356 1658
393 276
1.82 -
0.06 0.18 0.6 24 0.04 0.14 8.8 3
124
20
5.3
-
-
608
-
5
35
36
-
681
113
2.05
13 94 44
6 4 35
2 1.8 1.8
-
2431 863 -
300 405 144 77
0 -
0.04 0.03 0.01 0.11
10
5
2.7
-
-
382
-
0.85 0.12 0.4
0.01 0.2
6 -
0.04 0.04 1.7
8 7
1 106 42 0
0.88 1.8 126
0.08 0.25 1.5
5
0.34 0.08 0.5 15 0.01 0.1 18 0.45 2.7 19 0.14 - 17 0.05 1.1 125 -
10
5
2.7
-
-
382
-
0.85 0.12 0.4
-
55
62
5.2
-
-
586
-
0.02 0.87 0.6
5
245 79 78
80 53 98
1.2 1.2 2.3
-
2512 2054 297 4086 5905
419 434 50 681 984
7.41 2.79 -
21
22
2.9
-
-
525
-
87
-
-
-
2498
416
6.6
49 282
200 4.2 -
-
1306 2430 405
67
19
2.5
-
3360
132 5
38 16
4.7 5.2
-
3
22
3
2
14
4
0.05 0.01 0.04 tr. 0.09 0.12
0.08 1 147 1.2 10 - 21 0.11 - 79 0.4 0.05 0.9 tr. 0.35 1 153
0.31 0.21 0.7 38 0.01
0.2
2.9 20
40.37
0.94 0.05 0.7 58 0.04 3.15 1.3 32
560
-
0.04 0.67 3.1 56
4852 -
809 -
-
0.03 0.13 0.4 0.05 0.32 1
-
1151
192
-
0.03 0.44 0.9 16
2.6
-
485
81
-
0.06 0.17 1.3 14
50
1.5
-
-
932
-
0.07
54
60
0.1
-
2520
420
-
0.05 0.48 0.4 15
59
25
6.6
-
-
535
-
0.03 0.09 0.4 11
79
272 2.9
-
-
811
-
0.05 0.59 1.7 77
14
4.8
-
-
-
-
0.01
53
277 1.2
-
3027
504
6.94
0.03 0.52 2.6 57
573 -
28 -
4.6 -
-
507
84
0.28
0.03 0.35 1.8 115 0.03 0.41 1.6 13
110
-
-
-
5646
941
6.54
10 112 52 31
27 28
12 0.1
-
1415 4057 9102 15157 1961
236 676 1517 2526 327
30.58 -
0.03 0.06 1.7 16 0.04 0.62 0.8 5 0.04 0.3 0.8 37 0.05 0.03 2.7 15 0.01 0.3 3.1 5
48 95 142
tr. 66
25 1.3
-
6568 1095 4366 728
6.7 -
0.08 0.28 2 3 0.04 0.26 1.1 6 0 1.1 13
-
-
-
-
1824
-
304
-
tr.
0.2
0.4
7 -
1.1 26
1.4 70
2.12 0.4 27
0.03 0.09
-
152
107 2.3
-
1218
203
-
0.09 0.07 1.9
14 24 11 104 52 55
11 68 18 90 75 84
0.9 1.3 2.8 1.8 1.3 2.1
-
4384 5390 4756 4823 1595 690 1144
731 898 792 804 266 115 191
1.7 8.8 2.96 -
6
64
0.3
-
1266
211
-
0.13 0.15 1.8 37
4
14
1.2
-
-
-
-
0.29 0.11 1.5 44
103
27
0.5
-
-
-
-
0.07 0.01 0.1 204
3
18
1.3
-
-
-
-
0.16 0.24 3.5 168
152
23
3.1
-
-
-
-
0.02 0.12 2.6 14
3
21
0.7
-
-
-
-
0.36 0.01 0.5 188
11
47
0.1
-
-
-
-
0.41 0.08 1.3 78
10
6
1.2
-
-
-
-
0.22 0.09
35
88
17
-
-
-
-
0.58 0.08 0.4 218
50
9
0.4
-
-
-
-
0.11 0.14 0.6 178
8
1
0.3
-
-
-
-
0.01 0.02 0.3 69
-
-
-
-
-
-
-
-
21
17
4.9
-
-
-
-
0.1
6
9
1.2
-
-
-
-
0.08 0.18 1.4 41
161
36
1.3
-
-
-
-
0.01
49
80
9.9
-
2017
337
-
0.96 0.22 1.9 53
429
14
3
-
-
-
-
0.08 0.34 1.5 44
19
38
1
-
-
-
-
38
70
1.2
-
-
-
-
0.07 0.16 2.4
3
10
18
0.4
-
-
-
-
0.08 0.11 2.9
-
55
22
1.3
-
295
49
-
0.1
0.92 0.03 0.29 0.06 0.12 0.04 0.01 0.01 0.14 0.05 0.1
-
0.04 0.22 0.03 1.65 0.02 0 0.33 0.24 0 0
-
0.9 1.6 2.7 1.4 3.6 0.8 1.2 2.4 1 1 0.8
3
-
3 23 19 4 4 168 6 118 169 351 4 1
106
-
0.05 1.1 52
0
1.4
9
0.23 2.4 53
0.3
0.3 63
3
12
0.3
-
-
-
-
0.13 0.12 0.3
7
2
0.6
-
-
-
-
0.06
2
31
4.9
-
373
62
-
0.06 0.04 0.9 32
110 7.1
-
-
-
-
0.17 0.09 2.6
5
25
0.6
-
-
-
-
0.37
17
21
0.4
-
32
5
-
0.01 0.18 0.5
7
10
0.8
-
-
-
-
0.11 0.06 0.6 24
103
8
tr.
-
-
-
-
0.01 0.04 0.2 16
3
5
0.2
-
-
-
-
0.09 0.05 0.4 190
21
32
0.7
-
-
-
-
0.05 0.03 0.2 85
45
78
3
-
-
-
-
9
26
1.5
-
-
-
-
0.05 0.05 0.6 262
1
14
0
-
-
-
-
0.04 0.03 0.5 71
20
18
0.5
-
0
0
-
0.05 0.01 0.4 53
13
13
0.5
-
0
0
-
0.05 0.02 0.4 34
50
68
1
-
-
-
-
0.04
8.4
6
26
41
0.8
-
-
-
-
0.07 0.05 4.9
3
90
138 1.5
-
4782
797
-
0.39 0.05 1.5 31
142
66
1.3
-
4366
728
-
1.4
90
1.8
-
1595
266
-
0.14 0.24
1
351
52
75
1.3
-
690
115
-
0.05
0
1
4
55
84
2.1
-
-
-
-
0.1
0
0.8
1
56
51
0.4
-
2
tr.
-
0.03 0.06
1
6
60
54
0.3
-
8
1
-
2.8
5
1
6
0.2
-
-
-
-
0.03 0.09 0.7
2
25
52
0.7
-
-
-
-
0.19 0.01 0.4
3
7
80
tr.
-
19
3
-
0.06 0.81
-
17
76
83
0.7
-
-
-
-
0.11 0.01
1
6
158
1
-
tr.
0.6
0.1
-
0.6 24
4
0.8 32 8
0.26 1.2 110
0.1
0
0.1
1.1 13
18
18
tr.
-
32
-
-
0
354
26
4.6
-
3611
601
-
0.06 0.07 3.5 194
349
4
1.2
-
-
-
-
0.11 0.54
0
3
0.2
-
-
-
-
0.02 0.02 0.4 15
-
4
0.4
-
0
0
-
49
55
0.3
-
-
-
-
0.06 0.06 0.8 11
58
48
0.2
-
-
-
-
0.08 0.18 1.2 13
20
26
0.1
-
31
5
-
0.06 0.24 1.2
3
2
0.6
-
-
-
-
0.05 0.25 1.2 15
182
4
2
-
132
22
-
0.06 0.62 0.1 83
22
47
0.3
-
4
1
-
25
3
0.4
-
0
0
28
40
0.7
-
-
2
17
1.6
-
4
61
0.3
8
20
-
-
-
tr.
2
-
-
116
15
1
-
0.4
tr.
-
0.02 0.24 0.3
2
-
-
0.01 0.02 0.6 25
5494
915
-
0.03 0.44 3.7
-
-
-
-
0.02 0.13 2.7 21
1.1
-
-
-
-
0.16 0.25 14
2
18
22
-
-
-
-
0.07 0.47
7
3
78
1.1
-
-
-
-
0.01 0.24 2.8 11
39
85
3.6
-
0
0
-
0.04 0.03 0.7 12
541
7
6
-
0
0
-
0.24 0.02 1.2 77
22
20
-
-
0
0
-
0.02 0.79 1.6
tr.
6.1
-
-
-
-
0.04 0.71 2.8 21
4
23
1
-
492
82
-
0.03 0.05 1.4
1
8
0.7
-
-
80
-
0.04 0.19 0.8 48
7
43
0.8
-
54
9
-
0.04 0.02 1.4 11
26
46
0.8
-
99
17
-
0.04 0.07
7
48
0.8
-
-
12
-
0.08 0.11 0.8
20
22
1
-
-
23
-
0.1
60 products)
tr.
0.01
3
1
7
7
2
27 1
0.01 0.4 88
20
22
1
-
-
23
-
0.1
3
6
1.8
-
-
tr.
-
0.04 0.05 0.6 31
29
20
0.3
-
-
-
-
37
18
0.3
-
-
-
7
4
0.3
-
-
5
18
0.2
-
2
10
0.8
8
0.7
2
tr.
0.01 0.4 88
0.13 1.3
2
-
0.01 0.15 1.1
3
22
-
0.14 0.02 0.8 35
-
17
-
0.76 0.03 0.3 24
-
-
25
-
0.01 0.02 0.1 25
0.8
-
-
21
-
0.34
18
0.3
-
53
9
-
0.02 0.18 0.6 32
2
8
0.6
-
-
11
-
0.01 0.04 0.3 20
2
14
0.4
-
-
53
-
0.09 0.05 0.2 36
1
17
0.3
-
-
6
-
0.07 0.03 0.3 56
3
1
0.2
-
122
20
-
0.16 0.04 0.1 49
49
27
2
-
-
61
-
18
36
0.8
-
134
22
-
0.22 0.18 2.8 34
8
35
1.1
-
244
41
-
0.15 0.18 3.1 28
41
48
1.4
-
-
-
-
29
34
1.1
-
46
8
-
0.16 0.23 2.5 35
-
44
0.3
-
281
47
-
0.21 0.72 3.4
-
7
27
0.4
-
0
0
-
0.09 0.09
tr.
2
12
0.4
-
21
3
-
0.05 0.11 1.3 187
11
8
0.4
-
19
3
-
0.01 0.63 1.3 44
30
30
0.9
-
-
5
-
0.04 0.18
14
6
0.4
-
31
5
-
0.01 0.21 1.1 32
45
34
tr.
-
17
3
-
0.01
20
11
tr.
-
245
41
-
tr.
0.07 0.8 30
17
19
1.2
-
86
14
-
-
0.13 1.3
-
19
96
2.5
-
29
5
-
0.01 0.04 0.9
3
20
2
1.2
-
-
138
-
0.06 0.02 0.4 70
-
-
-
0.11
0.6 18
1
0.12 2.1
0.1
1
1
2.3
-
-
23
3
20
2
1.2
-
-
138
-
0.06 0.02 0.4 70
53
52
tr.
-
0
0
-
0.14 0.75 1.5 44
18
4
0.5
-
21
4
-
0.02
165 0.9
-
-
26
-
0.46 0.01 1.3 75
141
0
0.8 111
9
4
0.3
-
230
39
-
0.11 0.05 0.5 100
9
15
0.9
-
-
12
-
0.02 0.17 0.8 28
2
20
-
-
-
2
-
0.03 0.09 0.8 55
14
2
tr.
-
219
37
-
0.05 0.02 0.2 35
34
10
tr.
-
1768
295
-
0.05 0.06 1.1 28
4
16
0.1
-
-
101
-
0.16 0.07 0.2 75
-
-
-
-
-
-
-
0.02 0.03
-
31
-
-
-
-
-
-
-
0.03 0.05
-
25
-
-
-
-
1350
225
-
0.08 0.05 1.5 62
30
2
0.3
-
-
42
-
0.01 0.12 0.3 25
1
15
0.4
-
-
446
-
0.04 0.05 0.8
25
12
tr.
-
-
535
-
0.09 0.05 0.8 13
25
14
tr.
-
148
25
-
0.04 0.03 0.6 31
1
1
0.1
-
46
7
-
0.12 0.02 0.2 27
29
19
0.2
-
59
10
-
0.04 0.06 1.1 13
25
15
tr.
-
-
-
-
0.11 0.09 0.8 53
3
17
0.1
-
-
71
-
0.12 0.06 0.3 70
11
12
tr.
-
-
43
-
0.02 0.18 0.5 54
3
10
0.3
-
0
0
-
0.03
12
22
2.5
-
-
435
-
0.04 0.03 0.3 78
18
1
0.3
-
-
33
-
0.03
0.1
0.2 58
4
3
0.5
-
-
33
-
0.08
0.1
0.3 58
11
17
0.9
-
0
0
-
0.09 0.06 0.1
-
-
-
-
-
4
-
0.03 0.26 0.6 33
15
6
0.6
-
22
4
-
0
0.1
-
0.2 44
-
0.01 0.6 24
ล
ลิ
ฑ์
15
6
0.6
-
22
4
-
0
1
79
0.2
-
-
17
-
0.11
5
35
0.7
-
-
2
-
0.08 0.04 1.7 24
2
6
0.3
-
-
3
-
0.04 0.07 0.6 44
4
3
0.4
-
-
2
-
0.06 0.07 0.6
1
12
0.5
-
-
3
-
0.07 0.08 0.9 11
7
41
1.3
-
0
0
-
0.11 0.04 0.3 41
-
-
-
-
-
70
-
0.07 0.32 0.2
6
6
20
1.7
-
-
0
-
0.03 0.01 0.5
2
41
4
0.9
-
53
9
-
-
-
1.9 56
-
-
-
-
-
6
-
0.01
0.5
0.8 24
33
23
0.4
-
-
10
-
0.04 0.04 1.8 71
30
24
0.8
-
82
13
-
0.04 0.04 0.4 42
9
21
tr.
-
26
4
-
0.07 0.02 0.4 60
22
17
0.7
-
-
7
-
0.01 0.01 0.4 45
4
-
-
-
-
-
-
-
0.01 0.6 24 0.5
-
0.2 26
-
1
-
-
138 4.6
-
0
0
-
0.12 0.31 1.1
0
-
138 1.8
-
0
0
-
0.12 0.22 1.8
-
-
113 2.2
-
0
0
-
0.1
1.3
-
-
134 2.4
-
0
0
-
0.16 0.26 1.6
-
-
114 1.2
-
0
0
-
0.11 0.13 3.3
-
0.2
-
-
4.2
-
0
0
-
0.11 0.41 2.9
-
-
-
7.8
-
10
2
-
0.12 0.29 2.4
-
-
-
-
-
-
-
-
0.06 0.17
-
-
-
-
-
15
2
-
0.12 0.29 2.8
-
-
-
2.8
-
0
0
-
0.1
0.12 2.7
-
-
283 2.3
-
0
0
-
0.21 0.22 1.7
-
-
164 1.7
-
0
0
-
0.08 0.11 2.1
-
-
-
147 3.9
-
36
6
-
0.11 0.23 1.8
-
-
146 1.1
-
14
2
-
0.14 0.15 1.5
-
-
31
tr.
-
-
-
-
0.23 0.13 0.5
-
29
69
2.1
8
-
8
0.42
0.08 0.16
2
0
27
55
3.4
0
-
0
0.17
0.02
0.1
2.4
0
15
123 1.7
-
-
-
-
0.1
0.25 5.4
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
4
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
31
227 7.5
-
-
-
-
0.08 0.19 3.6
0
-
372 1.9
0
85
14
-
0.01
4.8
-
8
857 1.2
-
-
2
-
0.05 0.13
-
-
58
337 2.4
-
-
-
-
0.01 4.14 6.7
-
15
132 1.3
-
-
-
-
0.24
3.8
0
61
216
18
-
-
-
-
0.32 0.29 5.6
0
18
94
-
-
-
-
-
-
-
-
-
11
232
11
-
-
4204
-
0.29
3.3
14
0
2
-
-
-
-
-
-
0.69 0.26 5.7
0
63
132
48
-
-
-
-
0.13 0.25 3.7
0
2
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
7
12
26
-
-
28
-
0
0.1
-
0
27
785 0.9
-
-
2
-
0.04 0.08
-
-
3
23
-
30
-
30
-
0.05 0.07 0.6
3
17
130
tr.
0
0
0
-
0.21 0.09 3.4
0
3
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
4
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
1080 0.5
-
-
-
-
tr.
0.08
-
0
57 ฑ์
144
1
0
18
3
0.32
0.1
0.32 3.1
0
46
33
tr.
0
0
0
-
-
0.7
-
96 ล
ลิ
-
0.1
0.6
46
33
tr.
0
0
0
-
-
0.7
0.6
-
8
140
tr.
-
-
-
-
0.03
-
3.5
-
17
168
tr.
-
-
-
-
0.14
-
2.1
-
205 3.4
-
-
-
-
0.05 0.14 3.1
-
449
32
3.2
-
-
3
-
0.06
3.2
-
1339
247
28
0
53
9
-
0.07 0.72 2.9
-
446
95
5.3
0
0
0
-
0.09 0.59 1.4
-
2305
625
20
-
-
-
-
0.05
0.2
5.7
-
-
317
tr.
122 14338 2512
-
0.01
0.5
1.6
-
2167
436
39
20
3576
616
-
0.07 4.91 6.7 13
770
943
8
0
0
0
-
108
194 0.8
20
0
20
45
172 1.2
-
-
326
171
-
31
218 5.8
508
-
0.02 0.6
-
-
0.04 0.25 4.1
-
-
-
0.04 0.07 8.5
-
-
-
-
0.01 0.84 3.4
-
0
0
0
-
0.09 0.12 1.1
-
858 4.3
-
-
-
-
0.02 0.04 17
-
13
282 8.1
-
-
-
-
0.2
-
-
287 1.4
-
-
-
-
-
117
236 5.6
-
-
-
-
7
tr.
-
0.24 1.3 -
-
0.03 0.01 2.7 -
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
0.03 0.01 2.7
-
163
640
3
0
0
0
-
0.09
6.1
-
170
-
-
9
-
9
-
0.03 0.62 9.2
9
-
-
-
-
-
-
-
0.11 0.12 2.5
0
-
-
-
-
-
-
-
0.22
-
10
-
-
-
-
-
-
10
-
0.16
-
6.5
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
49
152
1
-
-
-
-
0.01 0.04 1.4
-
-
-
-
0
10
2
-
0.03 0.07 1.9
-
0.1
-
-
-
-
-
-
0
10
2
-
0.03 0.07 1.9
-
813
155 2.5
0
0
0
-
0.11 0.95 0.7
-
42
175
2
-
-
-
-
0.12 0.05
-
-
-
3.4
-
-
-
-
0.02 0.16 0.8
-
2392
1312 15
-
-
-
-
0.12 0.19 1.8
-
2164
1139 5.6
9
0
9
-
0.06 0.51 2.2
-
1913
1290
-
-
-
-
0.03
0.1
6.9
-
8
3
-
509 3.2
0
-
0
-
0.03
-
1.3
-
55
157 1.6
43
-
43
-
0.05
-
2.5
-
70
177 2.3
-
-
-
-
-
0.19
2
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
30
132 2.5
0
-
0
-
0.03 0.08 0.8
-
253
407
9
0
0
0
-
0.13 0.14 12
-
-
-
-
-
-
-
-
20
0
20
-
-
-
-
-
218 -
211 1.7 -
-
-
0.2
5
0.02 0.04 0.6 -
-
-
-
64
161 2.5
1
-
1
-
0.03 0.18 2.6
-
5
128 2.9
-
-
-
-
0.02 0.03
2
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
134
261
6
0
0
0
-
0.09 0.23 16
-
50
158 2.2
-
-
-
-
0.13 0.05 2.5
-
205
285 3.7
-
-
-
-
0.04 0.09 4.6
-
127
214 1.7
-
-
-
-
0.03 0.24 2.8
-
52
82
0
-
0
-
0.01 0.02 0.2
-
64
787 0.6
-
-
-
-
0.03 0.12
-
-
89
805 0.6
-
-
-
-
0.01 0.13
-
-
14
110
tr.
0
0
0
-
0.05 0.06 4.6
1
103
313 4.4
0
0
0
-
0.18 0.22 3.6
3
79
136 9.8
-
-
-
-
0.02 0.07 2.2
-
1
-
-
ŕš„
79
136 9.8
-
-
-
-
0.02 0.07 2.2
-
1
114
25
0
432
72
-
0.01
0.4
0.6
-
750
107
-
-
450
75
-
0.06
0.4
2.9
-
134
128 6.4
0
74
12
-
0.12 0.28 1.7
-
1280
42
-
-
-
-
-
0.05 0.37 2.2
-
1130
111
-
-
-
-
-
0.07
-
26
184
16
-
-
-
-
0.02 0.18 1.9
-
295
61
1.1
0
0
0
-
0.09 0.71 0.1
-
126
204 1.6
272
-
272
-
0.15 0.35 0.4
0
-
-
-
-
-
0
-
-
-
-
-
-
12
-
-
-
-
-
tr.
0.2
-
0.02 0.1
-
-
0.06 0.53 0.1
-
6
-
0.04 0.35
-
-
156
214 0.9
296
-
296
-
0.28 0.28 0.3
0
95
129
327
-
327
-
0.04 0.56 0.1
-
19
564 1.3
87
-
87
-
0.48 1.08 2.6
-
153
167 3.5
143
0
143
-
0.06 0.71
-
13
81
5.3
18
54
27
-
0.04 1.06 1.7
-
products)
47
0.3
-
-
-
-
0.16 4.68 5.5
-
211 0.3
7
42
14
0.85
0.05
0.5
-
tr.
371
42
378
0.34
0.06
0.5
1.2
tr.
244
-
-
1
-
1
226
195 0.2
293
39
299
0.93
0.47
0.5
-
tr.
232
201 0.3
358
36
364
0.9
0.55
0.5
-
tr.
-
191 0.3
396
23
400
0.36
0.49 0.46 0.7
tr.
3
0
3
0
0.02 0.08 0.3
tr.
47
43
0.1
44
40
0.1
37
tr.
37
0.04
0.02 0.11 0.3
tr.
60
40
0.2
29
tr.
29
0.04
0.03 0.09 0.3
tr.
-
-
-
20
tr.
20
0.3
0.04 0.05 0.4
tr.
-
-
-
14
tr.
14
0
0.04 0.11 0.3
tr.
58
43
0.2
1
0
1
0
0.02 0.14 0.2
tr.
57
47
0.2
1
0
1
0
0.02 0.11 0.2
tr.
35
36
0.3
16
6
17
0.04
0.02 0.08 0.1
tr.
34
34
0.4
16
5
17
0.04
0.01 0.07 0.1
tr.
50
73
0.2
16
5
17
0.03
0.02 0.09 0.3
1
864
722 1.1
842
174
871
1.91
0.29 1.92
-
1185
923 0.8
0
0
0
0
0.25 3.42 1.2
-
481
454
-
143
77
156
-
0.21 1.07 0.8
4
135
89
0.1
68
18
71
0.22
0.05 0.25 0.4
tr.
102
82
0.1
60
13
62
0.16
0.05 0.25 0.4
tr.
132
92
0.2
36
4
37
0.06
0.05 0.33 0.4
tr.
122
90
0.1
36
13
38
0.16
0.04 0.21 0.3
tr.
101
88
0.1
36
13
38
0.14
0.03
0.4
tr.
146
99
0.2
15
0
15
0.06
0.05 0.27 0.2
tr.
112
99
0.3
15
4
16
0.06
0.04
0.2
tr.
-
-
-
7
0
7
0.02
0.04 0.25 0.2
tr.
114
92
0.3
36
5
37
0.15
0.04 0.21 0.4
tr.
17
12
0.2
739
251
781
3.26
0.02 0.02 1.2
-
526
556 0.5
210
235
249
0.82
0.04
-
0.2
0.3
0.6
-
4.1
526
556 0.5
210
235
249
0.82
0.04
0.6
4.1
-
129
113 0.2
82
13
84
0.13
0.05 0.39 0.3
tr.
-
-
-
28
14
30
0.09
0.04 0.42 0.4
tr.
106
90
0.3
73
20
76
0.11
0.04
0.3
1
-
-
-
39
12
41
0.09
0.04 0.33 0.4
1
nd condiments)
-
17
0
17
0
0.05 0.29
2
tr.
0.3
-
1565
1233 7.2
-
-
145
-
0.36 11
0
5
140 5.4
-
-
tr.
-
0.17 0.02
4
15
1
1
18
tr.
2.2
-
-
6
-
0.02 0.02
9
41
2.3
-
-
19
-
0.02 0.03 1.3 12
97
121
17
-
-
108
-
0.02 0.62 10
60
153
13
-
-
93
-
0.02
0.6
8.6 21
134
142
-
-
-
381
-
0.05
0.5
0.6
-
35
30
2.6
-
-
43
-
0.05 0.02 2.2
1
88
19
3.8
0
0
0
-
0
36
12
2.2
0
0
0
-
-
16
23
13
-
0
0
26
3
1.2
-
-
512
495
-
-
7254
72
-
497
572
32
0.17 2.9 -
22
0
6.6
0
-
0.12 0.45 2.4
0
17
-
0.03 0.04 2.1 30
-
17
-
0.24 0.36 3.5
0
-
-
83
-
1.59 0.28 1.8
0
-
-
-
30
-
0.9
0.14 8.7
-
360
16
-
-
4287
-
0.16 0.74 11
0
59
361
17
-
-
1369
-
0.15 0.75 7.2
-
53
164 3.2
-
-
17
-
0.07 0.07 0.2
-
1672
20
3.8
-
-
303
-
0.2
138
57
17
-
-
3
-
0.06 0.14 1.2 104
0.35
1
20
ŕ¸
3
900
26
-
-
-
-
0.34 0.09 2.6 13
2
215
26
-
-
30
-
0.1
40
7
4.8
-
-
-
-
0.13 0.29 0.7 88
336
tr.
-
-
-
-
-
0.15 0.39 0.8 35
16
59
-
-
-
28
-
0.09 0.03 0.5
5
17
46
-
-
-
26
-
0.02 1.69
-
0
7
739 3.8
-
-
-
-
0.01
-
-
69
2.1
-
-
-
-
0.23 0.13 0.5
7
178 0.1
-
305
51
-
-
-
0.9
-
-
143
tr.
-
124
21
-
0.11
0.8
3.2
-
61
142
tr.
-
205
34
-
0.01
-
3
-
114
127
tr.
-
302
50
-
0.02
-
3.1
-
46
120
tr.
0
286
48
-
0.02 0.89
3
-
-
-
-
-
-
-
-
0.08
3
-
91
271
18
0
81
14
1.83
0.23 2.18 1.6
-
55
267
16
0
167
27
3.14
0.1
2.09 4.8
-
40
230
10
160
92
175
-
0.22 0.13 5.7
-
116
44
0.3
-
281
47
-
0.21 0.72 3.4
-
93
47
0.3
-
280
47
-
0.21 0.66 3.5
-
144
44
0.5
-
265
44
-
0.25
2.7
-
136
44
0.8
-
262
44
-
0.18 0.71
3
-
38
61
1.3
-
309
52
-
0.13
4
-
41
57
1.1
-
55
9
-
0.17 0.66 2.6 38
26
45
1.2
-
32
5
-
0.15 0.28 1.8 30
80
609
14
-
-
-
-
0.05 0.09 3.6
2.9
0.25 0.6
-
7.6
0.7
0.3
7
-
0