1 41211 กฎหมายแพง 1 (Civil Law1) หนวยที่ 1 การใชการตีความกฎหมายและบททั่วไป 1. วิชานิติศาสตรเปนวิชาที่มีหลักเกณฑพื้นฐานหลายประการ ที่ผูศึกษากฎหมายจําเปนตองศึกษา หลักเกณฑพื้นฐานทางความคิดเหลานี้ ซึ่งจะชวยทําใหการศึกษากฎหมายเปนไปอยางมีหลักเกณฑ และ มีความคิดที่เปนระบบ 2. การศึกษากฎหมายก็เพื่อใชกฎหมาย และในการใชกฎหมายนั้นก็จําเปนจะตองมีการตีความ กฎหมายโดยผูที่ใชกฎหมายดวย 3. หลักเกณฑที่สําคัญประการหนึ่งของกฎหมายก็คือกฎหมายจะกําหนดสิทธิและหนาที่ของบุคคล และบุคคลผูมีสิทธิน้น ั ก็ตองใชสิทธิใหถูกตอง 4. ในประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย บรรพ 1 หลักทั่วไป ไดบัญญัติบทเบ็ดเสร็จทั่วไป ซึ่งเปน หลักเกณฑทั่วไปที่อาจนําไปใชกับกรณีตางๆ ไวในลักษณะ 1 1.1 การใชและการตีความกฎหมาย
1. การใชกฎหมายมีความหมาย 2 ประการ คือ การบัญญัติกฎหมายตามที่กฎหมายแมบทให อํานาจไวประการหนึ่ง และการใชกฎหมายกับขอเท็จจริงอีกประการหนึ่ง 2. การใชกฎหมายกับขอเท็จจริงนั้นผูเกี่ยวของ และไดรับผลจากกฎหมายก็อยูในฐานะที่เปนผูใช กฎหมายทั้งสิ้น 3. การใชกฎหมายกับขอเท็จจริงยังอาจแบงเปนการใชโดยตรงและโดยเทียบเคียง 4. การตีความกฎหมายของกฎหมายแตละระบบ หรือแตละประเทศก็มีการตีความทีแ ่ ตกตางกัน และกฎหมายแตละประเภทกันก็ยังมีหลักเกณฑในการตีความที่แตกตางกัน 5. กฎหมายที่ใชอยูอาจมีชองวางในการใชกฎหมายเกิดขึ้น จึงตองมีการอุดชองวางของกฎหมาย ซึ่งกฎหมายนั้นอาจกําหนดวิธีการไวหรือบทกฎหมายมิไดกําหนดวิธก ี ารไว ก็ตองเปนไปตามหลักทั่วไป 1.1.1
การใชกฎหมาย การใชกฎหมายมี 2 ประเภท คือ การใชกฎหมายโดยตรงและ การใชกฎหมายโดย
เทียบเคียง การใชกฎหมายกับขอเท็จจริงโดยตรงกับการใชโดยเทียบเคียงเกิดขึ้นพรอมกันได การใช กฎหมายโดยตรงตองเริ่มจากตัวบทกฎหมายกอน โดยการศึกษากฎหมายในเรื่องนั้นๆ เพื่อใหรูถึง ความหมายหรือเจตนารมยของกฎหมายกอน แลวจึงมาพิจารณาวาตัวบทกฎหมายนั้นสามารถปรับใชกับ ขอเท็จจริงไดหรือไม การใชกฎหมายโดยการเทียบเคียง กฎหมายที่บัญญัติไวเปนลายลักษณอักษรแม พยายามใหรอบคอบเพียงใดบอยครั้งพบวาขอเท็จจริงที่เกิดขึ้นไมมีกฎหมายลายลักษณอักษรที่บัญญัติไว โดยตรงที่สามารถยกมาปรับแกคดีได จําเปนตองหากฎหมายมาใชปรับแกคดีใหได โดยพยายามหา กฎหมายที่ใกลเคียงอยางยิ่งที่พอจะใชปรับแกขอเท็จจริงนั้นๆ การตีความกฎหมาย การตีความตามเจตนารมณกับการตีความตามตัวอักษร การตีความในกรณีนี้จะเกิดขึ้นเมื่อ กฎหมายมีความกํากวมไมชด ั เจน หรืออาจแปลความหมายไปไดหลายทางการตีความตามกฎหมายจะแยก พิจารณาจะตองแยกพิจารณาออกเปน หลักการตีความกฎหมายทั่วไป กับหลักการตีความกฎหมายพิเศษ หลักเกณฑการตีความกฎหมายทั่วไป เปนการหาความหมายที่แทจริงของกฎหมาย จําเปนตองพิเคราะหตัวกฎหมายและเหตุผลที่อยูเบื้องหลังของกฎหมาย หรือเจตนารมยของกฎหมาย การ พิเคราะหกฎหมายมี 2 ดาน คือ (1) พิเคราะหตัวอักษร (2) พิเคราะหเจตนารมย หรือเหตุผลหรือความมุงหมายของกฎหมาย การตีความตามกฎหมายพิเศษ มีหลักการตีความของตนเองโดยเฉพาะ หลักเกณฑในการหาเจตนารมณของกฎหมาย มีหลักเกณฑบางประการที่จะชวยหา เจตนารมณบางประการของกฎหมายหลักคือ 1) หลักที่ถือวากฎหมายมีความมุงหมายที่จะใชบังคับไดในบางกรณี กฎหมายอาจแปล ความไดหลายนัย ทําใหกฎหมายไรผลบังคับ ปญหาวาเจตนารมณของกฎหมายจะใชความหมายใดตอง ถือวากฎหมายมีเจตนาจะใหมีผลบังคับไดจึงตองถือเอานัยที่มีผลบังคับได 2) กฎหมายที่เปนขอยกเวนไมมีความมุงหมายที่จะใหขยายความออกไป กลาวคือ กฎหมายที่เปนบทยกเวนจากบททั่วไปหรือกฎหมายที่เปนบทบัญญัติตัดสิทธินั้นหากมีกรณีที่แปลความได 1.1.2
2 อยางกวางหรืออยางขยาย กับแปลความอยางแคบ ตองถือหลักแปลความอยางแคบเพราะกฎหมาย ประเภทนี้ไมมีความมุงหมายใหแปลความอยางขยายความ การตีความกฎหมายทั่วไปกับการตีความตามกฎหมายเฉพาะ มีหลักเกณฑตางกัน คือการตีความ กฎหมายโดยทั่วไป คือการหาความหมายที่แทจริงของกฎหมาย ซึ่งจําเปนตองพิเคราะหตัวกฎหมาย และ เหตุผลที่อยูเบื้องหลังของกฎหมาย หรือเจตนารมณของกฎหมาย การตีความกฎหมายตองพิเคราะห 2 ดานคือ (1) พิเคราะหตัวอักษร และ (2) พิเคราะหเจตนารมย หรือเหตุผลหรือความมุงหมายของกฎหมาย การแสวงหาเจตนารมณของกฎหมายมีทฤษฎี 2 ทฤษฎี คือ (ก) ทฤษฎีอัตตวิสัย หรือทฤษฎีอําเภอจิต (ข) ทฤษฎีภววิสัย หรือทฤษฎีอําเภอการณ การตีความกฎหมายพิเศษ มีหลักเกณฑการตีความของตนเองโดยเฉพาะ จะนําหลักทั่วไปในการ ตีความมาใชโดยดวยมิได เชนกฎหมายพิเศษไดแก กฎหมายอาญา ซึ่งมีหลักเกณฑพิเศษคือ (1) กฎหมายอาญาเปนกฎหมายที่กําหนดความผิดและโทษจึงตองตีความเครงคัด (2) จะตีความโดยขยายความใหเปนการลงโทษหรือเพิ่มโทษผูกระทําผิดใหหนักขึ้นไมได หลักการตีความตองตีความตามตัวอักษรกอนหากตัวอักษรมีถอยคําชัดเจนก็ใชกฎหมายไปตามนั้น แตหากตัวอักษรไมชัดเจนหรือมีปญหา จึงมาพิจารณาความมุงหมายหรือเจตนารมยของกฎหมายนั้น ไป พรอมๆ กัน เปนหลักการตีความ ไมใชถอ ื หลักวาหากตัวอักษรไมมป ี ญหาแลวก็ตองพิจารณาถึงเจตนารมย เลยซึ่งเปนเรื่องไมถูกตอง 1.1.3
การอุดชองวางของกฎหมาย ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย ไดกําหนดวิธีอุดชองวางของกฎหมายไวในมาตรา 4
1.2 สิทธิและการใชสิทธิ
1. สิทธิเปนสถาบันหลักในกฎหมาย เมือ ่ กฎหมายกําหนดสิทธิแลวจะตองมีบุคคลผูมีหนาที่ที่ จะตองปฏิบัติหรือตองไมปฏิบัติเพื่อใหเปนไปตามสิทธิของผูทรงสิทธินั้น 2. สิทธิอาจแบงออกไดเปนสิทธิตามกําหมายมหาชน และสิทธิตามกฎหมายเอกชน ซึ่งแตละ ประเภทยังอาจแบงออกยอยๆ ไดอีก 3. การมีสิทธิกับการใชสิทธิมีความแตกตางกัน การใชสิทธิก็ตองเปนไปตามหลักเกณฑของ กฎหมาย เชน ตองใชสิทธิโดยสุจริต สิทธิและแนวคิดเรื่องสิทธิ สิทธิ ตามความเห็นของ ศ.ดร.หยุด แสงอุทัย คือ ประโยชนที่กฎหมายรับรองและ คุมครองให สิทธิเปนทั้งอํานาจ และเปนทั้งประโยชน จึงถือไดวา สิทธิ คือ อํานาจที่กฎหมายใหเพื่อให สําเร็จประโยชนที่กฎหมายคุมครอง 1.2.1
สิทธิคอ ื อํานาจทีก ่ ฎหมายรับรองใหแกบุคคลในอันทีจ ่ ะกระทําการเกี่ยวของกับทรัพยสิน หรือบุคคลอื่น เชน อํานาจที่กฎหมายรับรองใหแกบค ุ คลในอันที่จะเรียกรองใหบุคคลอีกบุคคลหนึ่งกระทํา การหรืองดการกระทําบางอยางเพือ ่ ประโยชนแกตน เชนเรียกใหชําระหนี้ เรียกใหงดเวนการประกอบ ื อํานาจของผูทจ ี่ ะเปนเจาของใน กิจการแขงขันกับตนหรือการมีกรรมสิทธิ์ ซึ่งกรรมสิทธิท ์ ี่แทจริงแลวก็คอ อันที่จะใชสอยแสวงหาประโยชนจากทรัพยสิน ตลอดจนจําหนาย จาย โอน หามผูอื่นเขามาใชสอย เกี่ยวของสัมพันธกบ ั หนาทีค ่ ือ สิทธิและหนาที่เปนของคูกัน เมือ ่ กฎหมายกําหนดรับรองสิทธิของผูใดแลวก็ คุมครอง เกิดมีหนาที่แกบค ุ คลซึง ่ ตองกระทําหรืองดเวนการกระทําบางอยางตามสิทธิทก ี่ ฎหมายรับรอง ใหแกบุคคลนัน ้ เชน กฎหมายรับรองสิทธิในชีวต ิ ก็กอใหเกิดหนาที่แกบค ุ คลอื่นที่จะตองไมไปฆาเขา กฎหมายรับรองสิทธิในรางกาย ก็กอหนาที่แกบุคคลอื่นที่จะไมไปทํารายเขา กฎหมายรับรองสิทธิในหนี้ ของเจาหนี้ ก็กอใหเกิดสิทธิแกลูกหนีท ้ ี่จะตองชําระหนี้ เสรีภาพ ไดแกภาวะของมนุษยที่ไมอยูภายใตการครอบงําของผูอื่น หรือภาวะที่ปราศจาก การหนวงเหนี่ยวขัดขวาง เสรีภาพจึงเปนเรื่องของบุคคลที่จะกําหนดตนเองจะกระทําการใดๆ โดยตนเอง โดยอิสระปราศจากการแทรกแซงขัดขวางจากภายนอก เสรีภาพมีลักษณะตางจากสิทธิหลายประการ ไดแก (1) ทั้งสิทธิและเสรีภาพกอใหเกิดหนาที่แกผูอน ื่ ที่จะตองเคารพแตสท ิ ธิ อาจกอใหเกิดหนาที่ ุ คลที่จะตองเคารพในสิทธินี้ไมเขาไป แกบุคคลทัว ่ ไปก็ได เชน มีสิทธิในทรัพยสิน กอใหเกิดหนาที่แกบค ขัดขวางการใชสอย ไมถอ ื เอามาเปนของตน แตเสรีภาพกอใหเกิดหนาที่แกบุคคลทั่วไปจะตองเคารพ เชน เสรีภาพในการนับถือศาสนา เสรีภาพในรางกายก็กอใหเกิดหนาที่แกบุคคลทั่วไปทีจ ่ ะตองเคารพ (2) หนาที่ซง ึ่ เกิดจากสิทธินั้นอาจเปนหนาที่ ที่ตองกระทําหรืองดเวนการกระทํา เชนสิทธิใน ทรัพยสิน กอใหเกิดหนาที่งดเวนไมเขาแทรกแซงการใชสอย ไมยุงกับทรัพยสินของเขา ผูเอาทรัพยสิน ของเขาไปก็มห ี นาที่ตอ งกระทําคือตองสงคืนเขา หนาที่ที่เกิดจากเสรีภาพ กอใหผูอื่นมีหนาที่ตอ งงดเวน
3 กระทําคือไมเขาขัดขวางหรือไมเขาแทรกแซงเสรีภาพของเขา เชน เสรีภาพในการนับถือศาสนา ผูอื่นก็มี หนาที่ที่จะไมขัดขวางตอการนับถือศาสนาของเขา (3) เสรีภาพนั้นกลาวกันมากในกฎหมายมหาชน เชนในรัฐธรรมนูญแหงราชอนาจักรไทย พ.ศ. 2534 มาตรา 24 บัญญัตว ิ า บุคคลยอมมีสท ิ ธิและเสรีภาพภายใตบง ั คับบทบัญญัติแหงรํฐธรรมนูญ ชายและหญิงมีสิทธิเทาเทียมกัน การกําจัดสิทธิและเสรีภาพอันเปนการฝาฝนเจตนารมณตามบทบัญญัติ แหงรัฐธรรมนูญจะกระทํามิได องคประกอบแหงสิทธิมีสาระสําคัญ 4 ประการคือ (ก) ผูทรงสิทธิ (ข) การกระทําหรือละเวนการกระทํา (ค) วัตถุแหงสิทธิ (ง) บุคคลซึ่งมีหนาที่ การแบงสิทธิตามกฎหมายเอกชนนั้นเปนสิทธิที่รัฐยอมรับรองและบังคับการให เพราะเปน แบงตาม สิทธิของเอกชนที่จะใชยันกับเอกชน ไมกอผลมายันตอรัฐไมกระทบถึงอํานาจรัฐมากนัก หลักเกณฑตา งๆ ดังนี้ (ก) การแบงแยกตามสภาพของสิทธิ - สิทธิสมบูรณ - สิทธิสัมพัทธ (ข) การแบงแยกตามวัตถุแหงสิทธิ - สิทธิเกีย ่ วกับบุคคล - สิทธิเกีย ่ วกับครอบครัว - สิทธิเกีย ่ วกับทรัพยสิน (ค) การแบงแยกตามเนื้อหา - สิทธิในทางลับ - สิทธิในทางปฏิเสธ (ง) การแบงแยกตามขอบเขตที่ถก ู กระทบกระทั่งโดยสิทธิอื่นๆ - สิทธิที่เปนประธาน หมายถึงสิทธิที่เกิดขึน ้ และดํารงอยูโ ดยตัวเองมิไดขึ้นอยูก บ ั สิทธิ อื่น สิทธิที่เกิดขึ้นและเปนอิสสระไมขึ้นกับสิทธิอื่น ็ขึ้นอยูกบ ั สิทธิ - สิทธิอุปกรณ หมายถึงสิทธิที่เกิดขึ้นเนื่องมาแตสท ิ ธิอื่น การดํารงอยูก อื่น สิทธิอุปกรณมิไดเปนอิสระของตนเองแตขึ้นอยูก ับสิทธิอื่น 1.2.2 การใชสิทธิ
การมีสิทธิกับการใชสิทธิ เหมือนกันและแตกตางกันอยางไร การมีสิทธิกับการใชสิทธินน ั้ แตกตางกัน การมีสท ิ ธินน ั้ เมื่อกฎหมายรับรองก็มีสท ิ ธิ แตอาจ ถูกจํากัดการใชสิทธิได เชน ผูเยาวแมจะมีสท ิ ธิในทรัพยสินแตอาจถูกจํากัดสิทธิทํานิตก ิ รรมเกี่ยวกับ ทรัพยสินได
กฎหมายกําหนดแนวทางการใชสิทธิไวอยางไร
กฎหมายกําหนดแนวทางการใชสิทธิเอาไว กฎหมาย และตองใชสท ิ ธิโดยสุจริต
โดยทัว ่ ไปก็คือตองไมใชสิทธิใหเปนการฝาฝน
1.3 บทเบ็ดเสร็จทั่วไป 1. บทบัญญัติที่เปนบทเบ็ดเสร็จทั่วไปนี้เปนหลักเกณฑที่อาจนําไปใชกับกรณีตางๆ
ในประมวล กฎหมายแพงพาณิชยที่ไมมีบทบัญญัติเรื่องนี้โดยเฉพาะ 2. การทําเอกสารที่กฎหมายกําหนดวาตองทําเปนหนังสือนั้น กฎหมายวางหลักเกณฑวาตองลง ลายมือชื่อ 3. เหตุสุดวิสัยเปนเหตุใดๆ ที่จะเกิดขึ้นก็ดีจะใหผลพิบัติก็ดีเปนเหตุที่ไมอาจปองกันได แมทั้ง บุคคลผูใกลจะประสบเหตุนั้น จะไดจัดการระมัดระวังตามสมควร อันจะพึงคาดหมายไดจากบุคคลในฐานะ และภาวะเชนนั้น 4. ดอกเบี้ยเปนดอกผลนิตินัยอยางหนึ่ง กฎหมายกําหนดเปนหลักเกณฑทั่วไปวา ถาจะตองเสีย ดอกเบี้ย แตมิไดกําหนดอัตราไวใหใชอัตรารอยละเจ็ดครึ่งตอป 1.3.1 การทําและการตีความเอกสาร
การที่กฎหมายกําหนดวา สัญญาเชาซื้อตองทําเปนหนังสือนั้น คูสัญญาเชาซื้อไมตองเขียน สัญญานั้นเอง แตตองลงลายมือชื่อหรือลงเครื่องหมายแทนการลงมือชื่อโดยชอบตามมาตรา 9
4 สัญญากูมข ี อความซึง ่ อาจแปลความไดสองนัย ถาแปลความนัยแรกจะเปนคุณแกผูใหกู ถา แปลตามความนัยที่สองจะเปนคุณแกผก ู ู เมื่อเปนดังนีจ ้ ะตองตีความตามนัยสอง คือ ตองตีความใหเปนคุณ แกคก ู รณี ฝายที่ตอ งเปนผูเสียในมูลหนี้คอ ื ลูกหนี้นั่นเอง ตามมาตรา 11 1.3.2 เหตุสุดวิสัย
เหตุสุดวิสัยกับภัยธรรมชาติ ไมเหมือนกันเพราะเหตุสด ุ วิสัยอาจเกิดจากภัยธรรมชาติ หรือ อาจเกิดจากการกระทําของคนก็ได และภัยธรรมชาติก็อาจไมเปนเหตุสุดวิสัยก็ได การวินิจฉัยวา กรณีใดเปนเหตุสุดวิสัยหรือไม มีจด ุ สําคัญในประเดนสําคัญทีว ่ าบุคคลผู ประสบหรือใกลจะตองประสบไมอาจปองกันไดดี แมจะไดใชความระมัดระวังตามสมควรแลว 1.3.3 ขอกําหนดเรื่องดอกเบี้ย
กฎหมายในบทเบ็ดเสร็จทั่วไปกําหนดเกี่ยวกับดอกเบี้ยไวอยางไร กฎหมายในบทเบ็ดเสร็จทัว ่ ไป ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
กําหนดเกี่ยวกับดอกเบี้ยไว
โดยกําหนดตามมาตรา
7
แบบประเมินผล หนวยที่ 1 การใชการตีความหมาย และบททั่วไป การตีความกฎหมายพิเศษจะตอง ตีความโดยเครงครัด การอุดชองวางของกฎหมาย ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชยมาตรา 4 ไดกําหนดลําดับไวหากไมมี กฎหมายลายลักษณอักษรใชบังคับแลวจะตองนําหลักเกณฑ จารีตประเพณีแหงทองถิ่น มาใชบังคับ 1. 2.
(มาตรา 4 กฎหมายนั้น ตองใชในบรรดากรณีซึ่งตองดวยบทบัญญัติใดๆ แหงกฎหมายตามตัวอักษร หรือตามความมุงหมายของ บทบัญญัตินั้นๆ เมื่อไมมีกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได ใหวินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแหงทองถิ่น ถาไมมีจารีตประเพณีเชนวานั้น ใหวินิจฉัย คดีเทียบบทกฎหมายที่ใกลเคียงอยางยิ่ง และถาบทกฎหมายเชนนั้นก็ไมมีดวย ใหวินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป)
3.
คําวา เสรีภาพ ไมใชองคประกอบของสิทธิ
คําวา “สิทธิ” เปนถอยคําที่มีบัญญัติในกฎหมายเปนขอความที่เปนรากฐานของกฎหมาย สิทธิ คือความชอบธรรมที่บุคคลอาจใชยันตอ ผูอื่น เพื่อคุมครองหรือรักษาผลประโยชน อันเปนสวนอันพึงมีพึงไดของบุคคล สิทธิตามกฎหมายประกอบดวย (ก) ความชอบธรรม คือความถูกตอง ความรับผิดชอบ โดยความชอบธรรมนั้นจะตองอยูภายใตขอบเขตของกฎหมาย เพราะมีบางกรณี ที่อาจมิใชความชอบธรรม แตกฎหมายก็ยอมรับวาการกระทําเชนนั้นเปนความชอบธรรม เชน กรณีขาดอายุความ ลูกหนี้ปฏิเสธไมชําระหนี้ได จะ เรียกวาความชอบธรรมนั้นนั้นไมถูกตอง เพราะลูกหนี้มีหนี้ แตไมยอมชําระหนี้โดยอางสิทธิตามกฎหมาย หรือกรณีครอบครองปรปกษตามมาตรา 1382 กฎหมายยอมใหไดกรรมสิทธิ์ทั้งๆ ที่ผูครอบครองปรปกษไมใชเจาของกรรมสิทธิ์ เชนนี้เปนความชอบธรรมตามกฎหมายแตไมใชเรื่องของ ความถูกตอง (ข) ผูทรงสิทธิ สิทธิจะตองมีบุคคลเปนผูถือสิทธิ หรือที่เรียกวา “ผูทรงสิทธิ” ซึ่งมีไดทั้งบุคคลธรรมดาและ นิติบุคคล (ค) การกระทําหรือละเวนการกระทํา สิทธิเปนสิ่งที่ใชยืนยันกับบุคคลอื่นได การจะเกิดรูวาสิทธิถูกรบกวนเมื่อใดนั้นก็ตองรอใหเกิดการ กระทําหรือละเวนการกระทําเสียกอน ผูทรงสิทธิจึงอางถึงสิทธิความชอบธรรมที่มีอยูตามกฎหมายได เชน การที่ลูกหนี้ปฏิเสธไมยอมชําระหนี้ การ กระทําที่เกิดขึ้นจากลูกหนี้คือ การปฏิเสธ ทําใหเจาหนี้มีสิทธิเรียกรองบังคับใหลูกหนี้ชําระหนี้ได ดวยการใชสิทธิฟองคดีตอศาลขอใหบังคับ (ง) วัตถุแหงหนี้ วัตถุคือสิ่งของวัตถุแหงหนี้จึงหมายถึงสิ่งของที่เปนหนี้ เชน กรรมสิทธิ์ในทรัพยสิน สิ่งของที่เปนวัตถุแหงหนี้ก็คือ ทรัพยสิน สิทธิในชีวิตรางกาย สิ่งที่เปนวัตถุแหงหนี้ก็คือตัวบุคคล (จ) บุคคลซึ่งมีหนาที่ กฎหมายคุมครองรับรองใหสิทธิแกบุคคล เมื่อใดเกิดการฝาฝนสิทธิจึงเกิดสภาพบังคับแหงสิทธิเกิดขึ้นตามมา บุคคลผูถูกฝาฝนความชอบธรรมคือ ผูทรงสิทธิ สวนบุคคลที่ทําการฝาฝน คือบุคคลซึ่งมีหนาที่ และมีหนาที่จะตองปฏิบัติการชําระหนี้ตอผูทรงสิทธิ เชน สิทธิของเจาหนี้ เจาหนี้คือ ผูทรงสิทธิ ลูกหนี้คือบุคคลซึ่งมีหนาที่ชําระหนี้
4.
หลักเกณฑของการใชสท ิ ธิคอ ื ตองใชโดยสุจริต
(มาตรา 5 ในการใชสิทธิแหงตนก็ดี ในการชําระหนี้ก็ดี บุคคลทุกคนตองกระทําโดยสุจริต) (มาตรา 6 ใหสันนิษฐานไวกอนวา บุคคลทุกคนกระทําการโดยสุจริต)
5. นาย ก ทําสัญญากูเงินนาย ข 10,000 บาท แตเนื่องจากนาย ก ไมรูหนังสือจึงไดลงลายพิมพนิ้วมือแทน การลงลายมือมือชื่อ โดยมีนายนิดอายุ 16 ป และ นางสาวนอย อายุ 16 ป ลงลายมือชือ ่ เปนพยานรับรองการพิมพ ลายนิ้วมือของนาย ก สัญญากูฉบับนี้ จะมีผลสมบูรณตามกฎหมาย (มาตรา 9 เมื่อมีกิจการอันใดซึ่งกฎหมายบังคับใหทําเปนหนังสือ บุคคลผูจะตองทําหนังสือ ไมจําเปนตองเขียนเองแตหนังสือนั้นตอง ลงลายมือชื่อของบุคคลนั้น ลายพิมพนิ้วมือ แกงได ตราประทับ หรือเครื่องหมายอื่นทํานองเชนวานั้นที่ทําลงในเอกสารแทนการลงลายมือชื่อ หากมีพยานลง ลายมือชื่อรับรองไวดวยสองคนแลวใหถือเสมอกับลงลายมือชื่อ ความในวรรคสอง ไมใชบังคับแกการลงลายพิมพนิ้วมือ แกงได ตราประทับ หรือเครื่องหมายอื่นทํานองเชนวานั้น ซึ่งทําลงในเอกสารที่ ทําตอหนาพนักงานเจาหนาที่)
6.
หลักในการตีความเอกสารคือ ตีความใหเปนคุณแกคก ู รณีที่ซง ึ่ จะเปนผูต องเสียในมูลหนี้
7.
เหตุสด ุ วิสัยกอใหเกิดผลในทางกฎหมายคือ เปนเหตุยกเวนความผิดของลูกหนี้
(มาตรา 10 เมื่อขอความขอใดขอหนึ่งในเอกสารอาจตีความไดสองนัย นัยไหนจะทําใหเปนผลบังคับไดใหถือเอาตามนัยนั้นดีกวาที่จะ ถือเอานัยที่ไรผล) (มาตรา 11 ในกรณีที่มีขอสงสัยใหตีความไปในทางที่เปนคุณแกคูกรณีฝายหนึ่งซึ่งจะตองเปนผูเสียหายในมูลหนี้นั้น) (มาตรา 8 คําวา “เหตุสุดวิสัย” หมายความวาเหตุใดๆอันจะเกิดขึ้นก็ดี จะใหผลพิบัติก็ดี เปนเหตุที่ไมอาจปองกันไดแมทั้งบุคคลผู ประสบหรือใกลจะตองประสบเหตุนั้น จะไดจัดการระมัดระวังตามสมควรอันพึงคาดหมายไดจากบุคคลในฐานะและภาวะเชนนั้น)
8. ในสัญญากูยืมฉบับหนึ่ง กําหนดวาจะตองเสียดอกเบี้ยในเงินกูยืมนั้น แตคส ู ัญญามิไดกําหนดอัตราดอกเบี้ย ไว ในกรณีเชนนี้ลูกหนี้จะตองเสียดอกเบี้ยในอัตรา รอยละเจ็ดครึ่งตอป (มาตรา 7 ถาจะตองเสียดอกเบี้ยแกกันและมิไดกําหนดอัตราดอกเบี้ยไวโดยนิติกรรมหรือโดยบทกฎหมายอันชัดแจง ใหใชอัตรารอย ละเจ็ดครึ่งตอป)
9.
สิทธิที่เกี่ยวกับสถานะของบุคคล เปนสิทธิตามกฎหมายมหาชน
5 10. บทกฎหมายที่ใชโดยวิธีเทียบเคียงไมไดคือ บทยกเวน
หนวยที่ 2 บุคคลธรรมดา 1. บุคคลธรรมดาคือมนุษย ซึ่งสามารถมีสิทธิและใชสิทธิได 2. สภาพบุคคลเมื่อเริ่มคลอด แลวอยูรอดเปนทารก และสิ้นสุดลงเมื่อตายตามธรรมดา หรือตายโดย
ผลของกฎหมายคือสาบสูญ 3. สาบสูญ เปนการสิ้นสภาพบุคคล โดยขอสันนิษฐานของกฎหมาย หากบุคคลไปเสียจากภูมิลําเนา หรือถิ่นที่อยูโดยไมมีใครทราบแนนอนวายังมีชีวิตอยูหรือตายไปแลว เมื่อครบกําหนดระยะเวลา 5 ป หรือ 2 ป ตามกรณีที่กฎหมายกําหนดและมีผูรองขอ เมื่อศาลมีคําสั่งแสดงความสาบสูญแลวใหถือวาบุคคลนั้น ตายเมื่อครบกําหนดระยะเวลาดังกลาวแลว 4. กฎหมายบัญญัติใหบุคคลตองมีชื่อตัว และชื่อสกุล เพื่อเปนสิ่งที่เรียกขานบุคคลและกําหนดใหแน ชัดลงไปอีกวาบุคคลนั้นเปนใคร 5. สถานะของบุคคลเปนสิ่งประกอบสภาพบุคคลที่แสดงฐานะหรือตําแหนงของบุคคล ซึ่งดํารงอยูใน ประเทศชาติและครอบครัวทําใหทราบสิทธิและหนาที่ของบุคคลที่พึงมีตอประเทศชาติและครอบครัว 6. ภูมิลําเนาเปนสิ่งบงชี้วาบุคคลมีที่อยูประจําที่ไหน ทําใหการกําหนดตัวบุคคลสมบูรณยิ่งขึ้น ภูมิลําเนาที่บุคคลอาจเลือกถือไดตามใจสมัครและอาจมีหลายแหง สภาพบุคคล 1. หลักเกณฑการเริ่มสภาพบุคคลมี 2 ประการประกอบกันคือ การคลอด และการมีชีวิตรอดเปน ทารก ดังนั้น ทารกในครรภมารดาจึงยังไมมีสภาพบุคคล 2. การคลอดหมายความถึง คลอดเสร็จเรียบรอยบริบูรณ โดยทารกคลอดหมดตัวพนชองคลอด ไมมีสวนหนึ่งสวนใดของรางการเหลือติดอยู 3. การมีชีวิตรอดอยูเปนทารก หมายถึงการที่ทารกมีชีวิตอยูโดยลําพังตนเองแยกตางหากจาก มารดา โดยถือการหายใจเปนสาระสําคัญในการวินิจฉัยการเริ่มมีชีวิต 4. ทารกในครรภมารดาหมายถึง ทารกที่อยูในครรภนับแตวันที่ปฏิสนธิเปนทารกจนถึงวันคลอด การหาวันปฏิสนธินั้นใหคํานวณนับแตวันคลอดยอนหลังขึ้นไป 30 วัน 5. ทารกในครรภมารดาสามารถมีสิทธิตางๆ ไดตอเมื่อมีชีวิตอยูอยูภายหลังคลอด คือ มีสภาพ บุคคลแลว และมีสิทธิยอนหลังขึ้นไปถึงระยะเวลาที่กฎหมายสันนิษฐานวาเริ่มปฏิสนธิ 6. การนับอายุของบุคคลใหเริ่มนับแตวันเกิด ในกรณีที่บุคคลรูเฉพาะเดือนเกิดแตไมรูวันเกิดให นับวันที่หนึ่งแหงเดือนนั้นเปนวันเกิด หากไมรูเดือนและวันเกิด ใหนับวันตนปที่บุคคลนั้นเกิดเปนวันเกิด 7. การตายธรรมดาเปนเหตุแหงการสิ้นสภาพบุคคลโดยถือตามคําวินิจฉัยของแพทยวาระบบ สําคัญของรางกายเพื่อการดํารงชีวิตหยุดทํางานหมด 8. กรณีมี่บุคคลหลายคนประสบเหตุราย รวมกันและตายโดยไมรูลําดับแนนอนแหงการตาย จะ หากพิสูจนไมไดตองถือตามขอ กําหนดวาใครตายกอนตายหลังตองนําสืบถึงขอเท็จจริงเปนรายๆไป สันนิษฐานของกฎหมายวาบุคคลหลายคนนั้นตายพรอมกัน 2.1
การเริ่มสภาพบุคคล (1) ประโยชนและความจําเปนที่จะตองรูวามนุษยมีสภาพบุคคลเกิดขึ้นเมื่อใด สิ้นสุดเมื่อใด ก็เพื่อวินิจฉัยปญหาในทางกฎหมายบางประการ เชน (ก) ในทางแพง การรูวาสภาพบุคคลเกิดขึ้นเมื่อใดก็เพื่อวินิจฉัยถึงสิทธิหนาที่ของบุคคล นั้นเอง รวมทั้งสิทธิหนาที่และความชอบที่เกี่ยวโยงและผูกพันถึงบุคคลอื่นดวย เพราะสิทธิของบุคคลจะมี ขึ้นตั้งแตเกิดมารอดมีชีวิตอยู คือ เริ่มมีสภาพบุคคล หรืออาจมียอนขึ้นไปจนถึงวันที่ปฏิสนธิในครรภมารดา เชนสิทธิในการเปนทายาทรับมรดก ตาม ปพพ. มาตรา 1604 สวนการตายทําใหสิทธิและหนาที่ของ บุคคลสิ้นสุดลง และทรัพยมรดกของบุคคลนั้นตกทอดแกทายาท การพิจารณากองมรดก ผูตายมีทรัพยสิน อะไรบาง ผูตายมีสิทธิหนาที่และความรับผิดอยางไร กับพิจารณาหาทายาทรับมรดก กฎหมายใหพิจารณา ในเวลาที่เจามรดกถึงแกความตาย การรูว ันเกิดวันตายของบุคคลจึงมีความสําคัญ การวินิจฉัยถึงความรับผิดในทางอาญาของผูกระทําผิดฐานฆาคนตาย (ข) ในทางอาญา ตาม ปอ. มาตรา 288 หรือฐานทําใหแทงลูก ตาม ปอ. มาตรา 301 ถึงมาตรา 305 จําเปนตองวินิจฉัย เสียกอนวาทารกมีสภาพบุคคลหรือไม ทารกตายกอนคลอดหรือตายระหวางคลอด เปนการคลอดออกมา โดยไมมีชีวิตไมมีสภาพบุคคล จึงไมเปนบุคคลที่จะถูกฆาได ความผิดฐานทําใหแทงลูก ตาม ปอ. มาตรา 2.1.1
6 301 ถึง ปอ. มาตรา 305 มีโทษนอยกวาความผิดฐานฆาคนตายโดยเจตนา เมื่อบุคคลตายแลว สิ้นสภาพ บุคคล ก็ไมเปนบุคคลที่จะถูกฆาไดอีก (2) การคลอดเสร็จบริบูรณตามวิชาแพทย แผนปจจุบัน ถือการคลอดเริ่มตนตั้งแตมีการเจ็บ ทองคลอดและสิ้นสุดของการคลอดถือเอาเมื่อเด็กและทารกคลอดแลว รวมทั้งการหดตัวของมดลูกเปนไป โดยเรียบรอย ซึ่งเปนเวลา 15 นาที ถึง 2 ชั่วโมง หลังเด็กคลอด ซึ่งไมเหมือนกันกับ การคลอดแลว ตาม ปพพ. มาตรา 15 นั้น ทารกตองหลุดพนจากชองคลอดของมารดาออกมาหมดตัวกอน โดยไมมีสวน หนึ่งสวนใดของรางกายติดอยูที่ชองคลอด สวนการคลอดของรกหรือการหดตัวของมดลูก ไมมีความหมาย ในการพิจารณาการเริ่มสภาพบุคคลตามกฎหมาย เพราะการพนชองคลอดของทารกหมายถึงการแยกตัว ออกเพื่อมีชีวิตเปนอิสระจากมารดา นักกฎหมายพิจารณาเฉพาะการคลอดที่เกี่ยวกับตัวทารกเทานั้น ไมรวมถึงอาการของการ คลอดในสวนตัวมารดา เพราะกฎหมายมุงที่จะคนหาเวลาเริ่มสภาพบุคคลของทารกเพียงประการเดียว (3) หลักวินิจฉัยการเริ่มมีชีวิตของแพทยและนักกฎหมาย แตกตางกัน และมีผลให หลักเกณฑการเริ่มสภาพบุคคลเปลี่ยนแปลงไป ดังนี้ นักกฎหมายถือการหายใจเปนหลักฐานแสดงการเริ่มมีชีวิต สวนแพทยถือวานอกจากการ หายใจแลวการเตนของหัวใจ การเตนของสายสะดือ การเคลื่อนไหวรางกาย และหลักฐานอื่นๆก็แสดงวา ทารกมีชีวิตดวย ผลของความเห็นที่แตกตางนี้ ทําใหการวินิจฉัยจุดเริ่มตนของการเริ่มสภาพบุคคลของนัก กฎหมายแตกตางกันเปนสองความเห็น คือ ความเห็นแรก หากยึคดหลักวา การหายใจเปนขอสาระสําคัญของการเริ่มมีชีวิตเพียง ประการเดียว จะถือวาสภาพบุคคลเริ่มเมือ ่ ทารกเริ่มหายใจ โดยเห็นวาการคลอดและการมีชีวิตรอดอยูเปน ทารกเปนหลักเกณฑพิจารณาการเริ่มสภาพบุคคลประกอบกัน ความเห็นที่สอง หากถือตามความเห็นของแพทย เมื่อทารกคลอดหมดตัวพนชองคลอด โดยมีหลักฐานแสดงการมีชีวิตอยางอื่นแลว ถือวาเริ่มสภาพบุคคล จะหารใจหรือไมไมเปนขอสําคัญ และ ยึดหลักวาการคลอดแลวเปนหลักของการเริ่มสภาพบุคคล การอยูรอดเปนพฤติการณประกอบการคลอดวา เปนบุคคลตลอดไป มิใชจุดเริ่มตนของสภาพบุคคล 2.1.2 สิทธิของทารกในครรภมารดา
บทบัญญัติมาตรา 15 วรรคสองที่วา ทารกในครรภมารดาก็สามารถมีสิทธิตางๆได หากวา ภายหลังเกิดมารอดอยู หมายความวา โดยหลักแลว บุคคลเทานั้นที่สามารถมีสท ิ ธิหนาที่ตามกฎหมายได แตบทบัญญัตม ิ าตรา 15 วรรคสองนี้เปนขอยกเวน ใหทารกในครรภมารดาแมยง ั ไมมีสภาพบุคคล ก็สามารถมีสท ิ ธิได แตมีเงื่อนไข วา ภายหลังทารกนั้นตองเกิดมารอดอยู ทารกในครรภมารดา ที่เปนบุตรนอกกฎหมายของบิดา ก็สามารถมี สิทธิได หากภายหลังเกิดมารอดอยู และโดยมีพฤติการณทบ ี่ ิดารับรองทารกในครรภวาเปนบุตรของตน เจตนารมณของกฎหมายมี 2 ประการ คือ (1) เพื่อคุมครองประโยชนของทารกในครรภ มารดา (2) เพื่อขจัดความไมเสมอภาคในเรื่องสิทธิ 2.1.3 การนับอายุบุคคลกรณีไมแนนอนของการเริ่มสภาพบุคคล
การกําหนดวันเกิดของบุคคลตอไปนี้ (1) รูแตเพียงวา ก เกิด ป พ.ศ. 2480 >Æ เกิดวันที่ 1 เมษายน 2480 (2) รูแตเพียงวา ข เกิด ป พ.ศ. 2493 >Æ เกิดวันที่ 1 มกราคม 2493 (3) รูเพียงวา ค เกิดเดือนมีนาคม 2500 >Æ เกิดวันที่ 1 มีนาคม 2500 (4) ไมรูวา ง เกิดเมื่อใด >Æ เมื่อเปนเชนนี้ใหสอบสวนปเกิดของ ง กอนวาเกิดในปใด ได ปเกิดแลว นํา ปพพ. มาตรา 16 มาใชหาวันเกิด การสิ้นสภาพบุคคล (ตาย) 1. หากไมรูลําดับการตายของบุคคลจะเกิดปญหาประการใด เกิดปญหาเมื่อบุคคลสองคนหรือมากกวา ตางเปนทายาทซึ่งกันและกัน ไปเกิดอุบัตุเหตุ หรือเหตุรายรวมกันเปนเหตุใหบุคคลเหลานั้นตาย ไมรูใครตายกอนตายหลัง ทําใหเกิดปญหาเรื่องการรับ มรดก ซึ่งมีหลักเกณฑวา ทรัพยสินของผูตายจะเปนมรดกตกทอดไดก็แตผูที่มีชีวิตอยู ขณะตายมรดกของ ผูตายกอนจึงตกทอดมายังผูตายทีหลัง แลวผานไปยังทายาทของผูตายทีหลังนั้น เมื่อไมรูแนชัดวาใคร ตายกอนตายหลังกฎหมายจึงกําหนดสันนิษฐานไววา ตายพรอมกัน ใครจะเปนทายาทไมได และตางไมมี สิทธิรับมรดกซึ่งกันและกัน 2. คําวา “เหตุอันตรายรวมกัน” นั้นหมายความวา 2.1.4
7 เหตุภยันตรายรวมกัน หมายความวาเหตุภยันตรายเดียวกันที่บุคคลประสบดวยกันในคราว เดียวกัน เชนบุคคลหลายคนโดยสารไปในเครื่องบินลําเดียวกัน แลวเครื่องบินตก หรือโดยสารเครื่องบินไป คนละลําแลวเครื่องบินสองลําเกิดชนกันก็ได แตถาโดยสารเครื่องบินไปคนละลํา แลวเครื่องบินทั้งสองลํา ตางก็เกิดอุบัติเหตุตกเหมือนกัน เชนนี้ ไมถือเปนเหตุภยันตรายรวมกัน 3. ก ปวยเปนอัมพาตเดินไมได สวน ข เปนนักกีฬาวายน้ําทีมชาติ โดยสารเรือออกจาก กรุงเทพฯ ไปสิงคโปรดวยกัน เรือโดนมรสุมจม ตอมามีผูพบศพ ก และ ข ที่ชายฝง เชนนี้ ก และ ข บุคคล ใดจะตายกอนหลัง กฎหมายถือวา ก และ ข ตายพรอมกัน แมขอเท็จจริง ก นาจะตายกอน หากเปนการพน วิสัยที่จะพิสูจนไดวา ใครตายกอนตายหลัง สาบสูญ 1. ถาบุคคลใดไปเสียจากภูมิลําเนาและไมมีใครรูวาบุคคลนั้นมีชีวิตอยูหรือไม โดยที่บุคคลนั้น ไมไดตั้งตัวแทนในการจัดการทรัพยสินไว ผูมีสวนไดเสียหรือพนักงานอัยการสามารถรองขอตอศาลจัดการ ทรัพยสินของผูไมอยูไปพลางกอนตามที่จําเปนนั้นได 2. ถาผูไมอยูไปจากภูมิลําเนาเกินกวา 1 ปโดยไมมีผูรับขาวหรือพบเห็น เมื่อผูมีสวนไดเสียหรือ พนักงานอัยการรองขอ ศาลจะตั้งผูจัดการทรัพยสินของผูไมอยูนั้นได 3. ผูไมอยูอาจตัง ้ ตัวแทนรับมอบอํานาจทั่วไป หรือผูรับมอบอํานาจเฉพาะการไวก็ได 4. ผูจัดการทรัพยสินที่ศาลตั้งมีอํานาจหนาที่อยางเดียวกับตัวแทนผูรับมอบอํานาจทั่วไป 5. สาบสูญเปนเหตุแหงการสิ้นสภาพบุคคลโดยกฎหมายใหสันนิษฐานวาบุคคลสาบสูญนั้นถึงแก ความตาย 6. สาบสูญ คือ สภาพการณที่บุคคลไปจากที่อยู โดยไมรูแนนอนวายังมีชีวิตอยูหรือตายแลว หากหายไปนาน 5 ป ในกรณีธรรมดา หรือ 2 ป ในกรณีพิเศษ เมื่อผูมีสวนไดเสียหรือพนักงานอัยการรอง ขอ ศาลจะสั่งใหบุคคลผูไมอยูนั้นเปนคนสาบสูญ 7. บุคคลที่ศาลสั่งใหเปนคนสาบสูญใหถือวาตายเมื่อครบกําหนดระยะเวลาดังที่กฎหมายกําหนด นั้น 8. หากพิสูจนไดวาคนสาบสูญยังมีชีวิตอยู หรือตายในเวลาอื่นผิดจากเวลาที่กฎหมายกําหนด ศาลสั่งถอนคําสั่งใหเปนคนสาบสูญนั้นได เมื่อคนสาบสูญนั้นเอง ผูมีสวนไดเสีย หรือพนักงานอัยการรอง ขอตอศาล แตการถอนคําสั่งนั้นยอมไมกระทบกระเทือนถึงความสมบูรณแหงการทั้งหลายอันไดทําไปโดย สุจริตในระหวางที่ศาลมีคําสั่งใหเปนคนสาบสูญ 2.2
2.2.1 ผูไมอยูและผูจัดการทรัพยสินของผูไมอยู
ก. หายไปจากที่อยูตั้งแตวันที่ 1 มกราคม 2500 เขียนจดหมายลงวันที่ 5 มีนาคม 2505 มาถึงญาตพี่นองสงขาวคราวใหทราบ จดหมายถึงวันที่ 10 มีนาคม 2505 ตอมา วันที่ 10 เมษายน 2510 มีผูพบเห็น ก. ที่จังหวัดภูเก็ต แลวไมมีใครทราบขาวคราวของ ก. อีกเลยวาเปน ตายรายดีอยางไร จนกระทั่งถึงปจจุบันนี้ เชนนี้ สภาพการณการเปนผูไมอยูของ ก. เริ่มและ สิ้นสุดเมื่อใด เริ่มเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2510 แตระยะเวลาการเปนผูไมอยู คงมีเรื่อยไปไมสิ้นสุด เพราะไมมีเหตุสิ้นสุดคือ ก. ไมไดกลับมา ไมปรากฏแนชัดวา ก. ตายแลว และไมมีผูใดรองขอใหศาลสั่งวา ก. เปนคนสาบสูญ หลักเกณฑการรองขอเขาจัดการทรัพยสินของผูไมอยูมีประการใดบาง และผู รองมีสิทธิขอจัดการไดเพียงใด พิจารณาตาม ปพพ. มาตรา 48 คือ หลักเกณฑ (1) ผูไมอยูตองมีสภาพการณเปนผูใหญ คือหายไปจากที่อยูไมรูวามีชีวต ิ อยูหรือตายแลว (2) ไมไดตั้งตัวแทนมอบอํานาจทั่วไปแลว และไดบัญญัติไดบัญญัติใหผูมีสวนไดเสีย และพนักงานอัยการเปนผูรองขอ 2.2.2 การจัดการทรัพยสินของผูไมอยูโดยที่ศาลสั่ง
อํานาจของผูจัดการทรัพยของผูไมอยูที่ศาลตั้งมีประการใดบาง ผูจัดการทรัพยสินตาม ปพพ. มาตรา 54 ใหผูจัดการมีอํานาจจัดการมีอํานาจจัดการอยาง ตัวแทนรับมอบอํานาจทั่วไปคือทํากิจการแทนผูไมอยูได ยกเวนตามขอหาม 6 ประการตามมาตรา 801 ซึ่ง จะตองขออนุญาตศาลกอนจึงจะทําได
8 2.2.3 การจัดการทรัพยสินของผูไมอยูโดยบุคคลผูไมอยูตั้ง
ตัวแทนมอบอํานาจทั่วไปที่ผูไมอยูแตงตั้งไวมีอํานาจจัดการทรัพยสิน เชนเดียวกับตัวแทนมอบอํานาจทั่วไปตามกฎหมายลักษณะตัวแทนหรือไม มีอํานาจเชนเดียวกัน เพราะ ปพพ. มาตรา 60 ใหนําบทบัญญัติกฎหมายลักษณะตัวแทน มาใชบังคับในเรื่องการจัดการทรัพยสินของผูไมอยู เพียงที่ไมขัดแยงกับกฎหมายเรื่องบุคคล เวนแตขอ หาม 6 ประการ ตาม ปพพ. มาตรตา 801 หากจําเปนตองกระทํา มีกฎหมาย มาตรา 51 บัญญัติใหขอ อนุญาตศาล เพราะไมมีตัวการจะใหคําอนุญาตได 2.2.4 สาบสูญ
มีหลักสําคัญประการใดบางที่ศาลจะมีคําสั่งใหบุคคลเปนคนสาบสูญ การที่ศาลจะสั่งใหบุคคลเปนคนสาบสูญไดตามที่มีผูรองขอ ตองพิจารณาไดความ 2 ประการ คือ (1) บุคคลไดหายไปจากที่อยู โดยไมมีใครรูแนชัดวา ยังมีชีวิตอยูหรือตายแลว (2) มีกําหนด 5 ป ในกรณีธรรมดา และ 2 ป ในกรณีพิเศษ เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2515 ก. เดินทางทองเที่ยวทางทะเลกับเพื่อน แลวพัด ตกเรือจมหายลงไปในน้ํา คนหาศพไมพบจะถือวา ก. จมน้ําตายในวันที่ 10 พฤษภาคม 25015 ไดหรือไมเพราะเหตุใด จะถือวา ก. จมน้ําตายเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2515 ไมไดเพราะไมพบศพ จึงไมมี หลักฐานแนชัดวา ก. ตายแลว ตองนําบทบัญญัติเรื่องสาบสูญมาใชบังคับ และเมื่อศาลมีคําสั่งแลวจึงถือวา ก. ตายเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2518 ก. ไปรบในสมรภูมส ิ งครามเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2500 และหายไประหวาง สงคราม สงครามสงบลงเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2502 ตอมา ก. เขียนจดหมายลงวันที่ 5 มีนาคม 2503 สงขาวใหญาติพี่นองทราบวาแตงงานแลวกับสาวชาวเวียดนาม จดหมายถึงวันที่ 10 มีนาคม 2503 หลังจากนั้นไมมีใครทราบขาวคราวของ ก. อีกเลย ดังนี้ภรรยาของ ก. จะรอง ขอให ก. เปนคนสาบสูญไดเร็วที่สุดเมื่อวันที่เทาใด 10 มีนาคม 2508 เจาหนี้มีสิทธิรองขอใหลูกหนี้ของตนเปนคนสาบสูญไดหรือไม เพราะเหตุใด เจาหนี้ไมมีสิทธิรองขอใหลูกหนี้ของตนเปนคนสาบสูญ เพราะไมใชผูมีสวนไดเสีย การรองขอใหบุคคลเปนคนสาบสูญ จะรองขอ ณ ศาลใด ศาลจังหวัดซึง่ บุคคลนั้นเคยมีภูมิลําเนาอยูในเขตศาลกอนที่จะจากไป 2.2.5 ผลของการสาบสูญ
คําสั่งศาลใหบุคคลเปนคนสาบสูญ มีผลกระทบถึงการสมรสหรือไม เพียงใด สาบสูญไมเปนเหตุใหขาดการสมรส แตเปนเหตุใหฟองหยาไดเทานั้น 2.2.6 การถอนคําสั่งแสดงความสาบสูญ
กรณีใดบางที่จะรองขอใหศาลถอนคําสั่งสาบสูญได และผลของกฎหมายของ การถอนคําสั่งแสดงสาบสูญนั้นมีประการใดบาง กรณีที่รองขอใหศาลถอนคําสั่งแสดงสาบสูญ มี 2 ประการคือ (1) ผูสาบสูญยังมีชีวิตอยู (2) ผูสาบสูญตายในเวลาอื่นผิดไปจากเวลา 5 ป หรือ 2 ป ตามที่กฎหมายสันนิษฐานไว ชื่อและสถานะของบุคคล 1. ชื่อคือสิ่งที่ใชเรียกขานเพื่อจําแนกตัวบุคคลทั้งนี้เพื่อประโยชนแกการใชสิทธิและปฏิบัติหนาที่ 2. กฎหมายบัญญัติใหบุคคลทุกคนตองมีชื่อตัวและชื่อสกุล แตบุคคลอาจมีชื่ออื่นๆ ไดอีก เชน ชื่อรอง ชื่อฉายา ชื่อแฝงและชื่อบรรดาศักดิ์ 3. ชื่ออื่นๆนั้น บุคคลอาจตั้งขึ้นเองหรือผูอื่นตั้งให แตชื่อสกุลเปนชื่อที่บุตรไดรับสืบเนื่องมาจาก บิดา หรือภริยาไดรับสืบเนื่องมาจากสามี ถาเด็กไมปรากฏบิดามารดา ไมอาจไดชื่อสกุลจากบิดามารดาได ก็ตองตั้งชื่อสกุลใหใหม 4. บุคคลอาจเปลี่ยนชื่อตัวและชื่อรองไดตามใจสมัคร แตชื่อสกุลนั้น บุคคลหนึ่งบุคคลใดในวงศ สกุลหามีสิทธิจะเปลี่ยนแปลงตามใจชอบไดไม จะเปลี่ยนไดก็แตโดยตั้งชื่อสกุลขึ้นใหม หรือเปลี่ยนแปลง 2.3
9 โดยผลของกฎหมายประการอื่น เปนตนวา หญิงเปลี่ยนไปใชนามสกุลของสามี ฯลฯ กรณีเหลานี้เปนเรื่อง เฉพาะตัวของบุคคลนั้น การเปลี่ยนชื่อสกุลใหมไมมีผลใชชื่อสกุลเดิมตองเปลี่ยนแปลงไปดวย 5. กฎหมายใหความคุมครองทั้งชื่อบุคคลธรรมดาและนิตบ ิ ุคคล ในกรณีที่มีผูโตแยงการใชชื่อ และกรณีผูอื่นใชชื่อโดยไมมีอํานาจ โดยเจาของชื่อมีสิทธิใหระงับความเสียหาย หากไมเปนผล มีสิทธิรอง ขอใหศาลสั่งหาม และยังมีสิทธิเรียกคาเสียหายไดดวย 6. สถานะของบุคคลเปนสิ่งประกอบสภาพบุคคลที่ชี้บงฐานะหรือตําแหนงของบุคคล ในการใช สิทธิและปฏิบัติหนาที่ เชน เปนชายหญิง ผูเยาว ผูบรรลุนิติภาวะ บิดามารดา บุตร หรือสามี ภรรยาเปนตน 7. บุคคลไดสถานะตั้งแตเกิด เพราะมีสิทธิหนาที่ตั้งแตเริ่มสภาพบุคคลหรืออาจกอใหเกิดขึ้น ภายหลัง เนื่องจากเปลี่ยนแปลงสถานะใหม เชน การสมรส การหยา เปนตน 8. สถานะของบุคคลบางประการตองจดทะเบียนการกอหรือเปลี่ยนแปลงเพื่อใหมีผลสมบูรณ ตามกฎหมาย 9. สถานะของบุคคลที่กฎหมายบังคับใหจดทะเบียนตาม พ.ร.บ. การทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2499 ไดแก การเกิด การตาย และตาม ปพพ. คือ การจดทะเบียนครอบครัว ไดแก การสมรส การหยา การ รับรองบุตร การรับบุตรบุญธรรม และการเลิกรับบุตลบุญธรรม 2.3.1 ประเภทของชื่อบุคคล
ชื่อบุคคลมีกี่ประเภท แตละประเภทไดแกชื่ออะไรบาง มี 3 ประเภท คือ (1) ชื่อที่กฎหมายบังคับใหมีประจําตัวบุคคล ไดแก ชื่อตัวและชื่อสกุล (2) ชื่อที่บุคคลอาจตั้งขึ้นไดอีก ไดแกชื่อรอง ชื่อฉายา และชื่อแฝง (3) ชื่อบรรดาศักดิ์ ไดแกชื่อตามราช ทินนามที่พระมหากษัตริยตั้งให การไดมาซึ่งชื่อตัวและชื่อสกุลแตกตางกันหรือไม แตกตางกัน คือ ชื่อตัว ไดมาตั้งแตเกิดโดยตั้งขึ้นใหม ชื่อสกุล ไดสืบสกุลตอเนื่องมาจาก บิดา หรือตั้งใหม หรือกรณีไดชื่อสกุลจากสามี จําเปนหรือไมที่เด็กไมปรากฏบิดามารดาจะตองมีชื่อสกุลหากจําเปน วิธีการใดจะ หาชื่อสกุลใหเด็ก มีความจําเปน เพราะกฎหมายบังคับ เมื่อไมมีชื่อสกุลของบิดามารดา ก็ตองตั้งชื่อสกุลขึ้น ้ ใหมใหเด็กนัน ชื่อบุคคลมีลักษณะสําคัญประการใด ชื่อสกุลมีลักษณะสําคัญคือ (1) จําเปนตองมีประจําตัวบุคคล (2) ตองแนนอนคงที่ (3) ไมอาจไดมาหรือสูญเสียไปโดยอายุความ (4) ไมอาจจําหนายใหกันได 2.3.2 การเปลี่ยนชื่อบุคคลและการคุมครองชื่อบุคคล
กรณีที่เปนเหตุแหงการโตแยงชื่อมีประการใดบาง และกฎหมายใหความคุมครอง อยางไร การโตแยงเรื่องชื่อมี 2 กรณี คือ (1) มีผูโตแยงการใชชื่อของเรา (2) ผูอื่นเอาชื่อเราไป ใชโดยไมมีอํานาจ และกฎหมายใหความคุม ครอง 3 ประการ คือ (ก) ใหระงับความเสียหาย (ข) ขอใหศาล สั่งหาม (ค) เรียกคาเสียหายได 2.3.3 สถานะและการจดทะเบียนสถานะบุคคล
สถานะของบุคคลคืออะไร ไดมาจากไหน และเหตุใดบุคคลตองมีสถานะ สถานะของบุคคลคือ ฐานะหรือตําแหนงซึ่งบุคคลดํารงอยูในประเทศชาติและครอบครัว บุคคลไดสถานะตั้งแตเกิดมีสภาพบุคคล และอาจไดมาโดยการกอขึ้นเองอีก เพราะเปลี่ยนสถานะใหม เหตุ ที่ตองมีสถานะเปนสิ่งที่บอกใหทราบถึงความแตกตางและความสามารถของบุคคล ในการใชสิทธิและ ปฏิบัติหนาที่ ภูมิลําเนา ภูมิลําเนาเปนที่กฎหมายกําหนดใหมีประกอบตัวบุคคล เพื่อชี้บงใหเปนที่รูกันทั่วไปวาเขามีที่ อยูเปนประจําที่ไหน ดังนั้นจึงอาจใหความหมายไดอีกนัยหนึ่งวา ภูมิลําเนาคือที่อยูตามกฎหมายของบุคคล 2.4
1.
10 การรูภูมิลําเนามีประโยชนเมื่อบุคคลตองการติดตอสัมพันธกัน โดยเฉพาะในทางกฎหมายที่ เกี่ยวกับการฟองคดี การสงคําคูความหรือเอกสาร การชําระหนี้หรือสาบสูญ ทั้งยังเปนประโยชนตอรัฐใน การจัดระเบียบการปกครอง และบังคับใหเปนไปตามกฎหมายอีกดวย 3. กฎหมายบัญญัติเปนหลักทั่วไปกําหนดใหที่อยูซึ่งเปนแหลงสําคัญเปนภูมิลําเนาของบุคคล แตหลักทั่วไปนี้ไมอาจครอบคลุมไป กําหนดภูมิลําเนาของบุคคลไดทุกประเภท จึงมีบทบัญญัติขยายความ หลักเกณฑทั่วไป หรือลดหยอนหลักเกณฑทั่วไปลงมา เพื่อคนหาภูมิลําเนาของบุคคลทุกคนใหจนได กลาวคือ บุคคลมีที่อยูหลายแหง ใหถือแหงสําคัญเปนภูมิลําเนา ถาสําคัญเทากัน แตละแหงเปนภูมิลําเนา ถาไมมีที่อยูแหลงสําคัญเลย ใหถือที่อยูเปนภูมิลําเนา และทายที่สุดถาไมมีที่อยูแนนอนเลย ใหถือวาที่นั้น เปนภูมิลําเนา 4. จากหลักเกณฑที่วาบุคคลมีที่อยูหลายแหง ใหถือแหงสําคัญเปนภูมิลําเนานั้น หมายความวา บุคคลอาจเลือกถือภูมิลําเนาไดโดยใจสมัคร เพราะเขาจะเลือกเอาที่อยูใดเปนแหลงสําคัญก็ได สวน หลักเกณฑขอที่วา บุคคลมีที่อยูแหลงสําคัญหลายแหง ใหถือวาแตละแหงเปนภูมิลําเนานั้น มีความหมาย อยูในตัววา บุคคลอาจมีภูมล ิ ําเนาไดหลายแหง 5. แมหลักเกณฑมีวา บุคคลอาจเลือกถือภูมิลําเนาไดตามใจสมัคร แตมีขอยกเวนสําหรับบุคคล บางประเภทที่กฎหมายกําหนดภูมิลําเนาใหเลย ไดแก ผูเยาวและคนไรความสามารถ กฎหมายใหถือ ภูมิลําเนาของผูแทนโดยชอบธรรมหรือผูอนุบาล ขาราชการใหมีภูมล ิ ําเนาอยู ณ ที่ทํางานประจํา แต ขาราชการอาจถือภูมิลําเนาเดิมอีกแหงก็ได คนที่ถูกจําคุก กฎหมายใหถือเอาเรือนจํา หรือทัณฑสถานที่ ถูกจําคุกอยูเปนภูมิลําเนาจนกวาจะไดรับการปลอยตัว สวนสามีและภรรยา กฎหมายใหถือถิ่นที่อยูของสามี และภรรยาอยูกินดวยกันฉันสามีภริยาเปนภูมิลําเนา 6. นอกจากภูมิลําเนาธรรมดาแลว บุคคลอาจเลือกเอาถิ่นที่ใดที่หนึ่งเปนภูมิลําเนาเฉพาะการเพื่อ ทํากิจการอยางใดอยางหนึ่งอีกก็ได 7. ภูมิลําเนานั้น อาจเปลี่ยนแปลงไปโดย (1) ยายที่อยู และ (2) มีเจตนาจงใจจะเปลี่ยน ภูมิลําเนาเปนหลักเกณฑ 2 ประการประกอบกัน หากพฤติการณเขาหลักเกณฑเพียงขอเดียวไมถือวา ภูมิลําเนาไดเปลี่ยนแปลงไป 2.
2.4.1 ประโยชนของภูมิลําเนา
ภูมิลําเนาของบุคคลมีประโยชนในทางกฎหมายเอกชนอยางไร มีประโยชนคือ (1) การฟองคดี ทําใหทราบเขตอํานาจศาล (2) การสงคําคูความหรือ เอกสาร สง ณ ภูมิลําเนา (3) การชําระหนี้ ชําระ ณ ภูมิลําเนาของเจาหนี้ (4) การสาบสูญ ถือหลักการไป จากภูมิลําเนา 2.4.2 การกําหนดภูมิลําเนา
คําวาบุคคลอาจมีภูมิลําเนาไดหลายแหง นั้น หมายความวาอยางไร ตาม ปพพ. มาตรา 44 คือผูเยาวใชภูมล ิ ําเนาของผูแทนโดยชอบธรรม กรณีบิดามารดา ของผูเยาวแยกกันอยูใหถือภูมิลําเนาของบิดาหรือมารดาตนอยูดวย ปพพ. มาตรา 45 ภูมิลําเนาของคนไร ความสามารถไดแก ภูมิลําเนาของผูอนุบาล ก. มีบุตรภรรยาและบานพักอยูที่กรุงเทพฯ แตมีอาชีพเปนเซลแมน เดินเรขาย สินคาไปในที่ตางๆ ไมมีสํานักทําการงานแนนอน เดือนหนึ่งหรือสองเดือนจึงกลับบานและพักอยู 2-3 วัน ก็ออกเดินทางคาขายตอ ดังนี้ ภูมิลําเนาของ ก. จะอยูที่ใด กรุงเทพฯ 2.4.3 บุคคลที่กฎหมายกําหนดภูมิลําเนาให
ผูเยาวเปนคนไรความสามารถเลือกถือภูมิลําเนาของตนไดตามใจสมัครหรือไม เพราะเหตุใด เลือกภูมิลําเนาเองไมได เพราะผูเยาวและคนไรความสามารถเปนผูหยอนความสามารถ ถูกตัดทอนสิทธิในการทํานิติกรรม หากผูเยาวจะทํานิติกรรม ตองไดรับความยินยอมหรือใหผแ ู ทนโดยชอบ ธรรมทําแทน สวนคนไรความสามารถทํานิติกรรมไมไดเลย หากทําจะเปนโมฆียะ ตองใหผูอนุบาลทําแทน ดวยเหตุนี้ กฎหมายจึงกําหนดใหถือภูมิลําเนาของผูแทนโดยชอบธรรมหรือผูอนุบาล ทั้งนี้ เพื่อความ สะดวกและเหมาะสมในการควบคุมดูแลและใชอํานาจปกครอง ก. รับราชการประจําอยูในกรุงเทพฯ แตทางราชการสงไปชวยราชการที่จังหวัด เชียงใหมเปนเวลา 1 ป ดังนี้ ถือวา ก. มีภูมิลําเนาที่ไหนเพราสะเหตุใด
11 กรุงเทพฯ เพราะเปนถิ่นที่ทําการตามตําแหนงหนาที่ประจํา ภูมิลําเนา เพราะเปนถิ่นที่ทําการตามตําแหนงชั่วคราวเทานั้น
สวนเชียงใหมไมเปน
2.4.4 การเปลี่ยนภูมิลําเนา
การเปลี่ยนภูมิลําเนาประกอบดวยหลักเกณฑประการใดบาง และจะพิสูจนได อยางไรวา บุคคลมีเจตนาจงใจเปลี่ยนภูมิลําเนา ก. ยายที่อยู ข. เจตนาจงใจจะเปลี่ยนภูมิลําเนา พิสูจนไดโดยดูจากขอเท็จจริงตามพฤติการณที่แสดงออกภายนอก เชน แจงยายตอนาย ทะเบียน ขนยายครอบครัวไปอยูบานใหม ฯลฯ ขอสําคัญคือ ตองไดความตามหลักเกณฑทั้ง 2 ขอ มิใช ขอใดขอหนึ่ง ก. มีชื่อในทะเบียนบานของบิดามารดาที่กรุงเทพฯ แตไปรับจางเปนลูกเรือประมง อยูที่จังหวัดระนองครั้นถึงเกณฑทําบัตรประชาชนก็กลับมาทําที่กรุงเทพฯ ในการออกเรือหาปลา ครั้งหนึ่ง เรือถูกทางการพมาจับและยึดไปในขอหาล้ํานานน้ํา ก. ถูกศาลประเทศพมาตัดสินจําคุก 5 ป ปจจุบัน ก. บรรลุนิติภาวะแลว แตยังคงตองโทษในประเทศพมา ดังนั้น ก. มีภูมิลําเนาอยูที่ใด กรุงเทพฯ 2.4.5 ภูมิลําเนาเฉพาะการ
อธิบายวิธีเลือกภูมิลําเนาเฉพาะการของบุคคลวาทําไดอยางไร ปพพ. มิไดกําหนดแบบวิธีไว การเลือกมีลักษณะเปนขอตกลงหรือสัญญาจึงดูที่เจตนา ของคูกรณี ซึ่งอาจตกลงกันโดยทําเปนลายลักษณอักษร โดยปากเปลา หรือโดยปริยายก็ได แบบประเมินผล หนวยที่ 2 บุคคลธรรมดา บุคคล (พจนานุกรรมฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ. 2542) โดยทั่วไปหมายถึง คนหรือสิ่งที่มีชีวิตซึ่งมิใชสัตวหรือพืช สามารถมีสิทธิและหนาที่ได ในทางกฎหมาย หมายถึงคน (บุคคลธรรมดา) และรวมถึงนิติบุคคล (บุคคลที่กฎหมายสมมติขึ้น) ดวย บุคคลผูไปเสียจากภูมิลําเนาหรือถิ่นที่อยูโดยไมมีใครรูแนวายังมีชีวต ิ อยูหรือไม แบงเปน 2 ประเภทคือ (ก) ผูไมอยู (มาตรา 48) ตราบใดที่ยังไมมีคําสั่งศาลแสดงความสาบสูญ ก็ยังคงเปนเพียงผูไมอยู (ข) คนสาบสูญ (มาตรา 61) ผลของการที่ศาลสั่งใหเปนคนสาบสูญ ถือวาผูนั้นตายเมื่อครบกําหนด 5 ป ในกรณี ธรรมดา หรือ 2 ป ในกรณีพิเศษ (มาตรา 62) มิไดถือเอาวันที่ศาลมีคําสั่งหรือวันที่โฆษณาในราชกิจจานุเบกษา เชน คูสมรส ผูมีสวนไดเสียหมายถึงบุคคลผูไดรับประโยชนหรือเสียประโยชนเกี่ยวของกับทรัพยสินของผูไมอยู ทายาท เจาหนี้ หุนสวน เปนตน วิญูชน หมายถึงคนปกติทั่วไป จะประพฤติปฏิบัติเชนไร สิ่งที่ประกอบสภาพบุคคลคือ สิ่งที่ประกอบตัวบุคคลที่กฎหมายกําหนดขึ้นเพื่อการดําเนินชีวิตหรือกิจการในสังคม อัน ประกอบดวย สัญชาติ ชื่อ ภูมิลําเนา สถานะ และความสามารถ
1. บุคคลธรรมดาตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย ไดแก บุคคลธรรมดาและนิตบ ิ ุคคล (มาตรา 67 -----ฯลฯ----- นิติบุคคลยอมมีสิทธิและหนาที่เชนเดียวกับบุคคลธรรมดา----ฯลฯ------- )
2. การเริ่มสภาพบุคคล และสิ้นสภาพบุคคล หมายถึง การคลอดแลวอยูรอดเปนทารก และตาย (มาตรา 15 สภาพบุคคลยอมเริ่มแตคลอดแลวอยูรอดเปนทารกและสิ้นลงเมื่อตาย)
3. สภาพบุคคลเริม ่ เมื่อ การคลอดและอยูร อดเปนทารก 4. ก เกิดระหวางป 2482 แตเปนการพนวิสย ั จะหยั่งรูวน ั เกิดของ ก ได ดังนั้นกฎหมายใหถือวา วันเกิดของ ก คือ 1 เมษายน 2482 (มาตรา 16 การนับอายุของบุคคล ใหเริ่มนับแตวันเกิดในกรณีที่รูวาเกิดในเดือนใดแตไมรูวันเกิด ใหนับวันที่ 1 แหงเดือนนั้นเปนวันเกิด แตถาพนวิสัยที่จะหยั่งรูเดือนและวันเกิดของบุคคลใดใหนับอายุบุคคลนั้นตั้งแตวันเริ่มปปฏิทิน ซึ่งเปนปที่บุคคลนั้นเกิด)
5. กรณี ตอไปนี้ เปนเหตุแหงการสิ้นสภาพบุคคล (ก) ถูกรถยนตชนตาย (ข) ฆาตัวตายเอง (ค) สาบสูญ (ง) ปวยตาย (มาตรา 15 สภาพบุคคลยอมเริ่มแตคลอดแลวอยูรอดเปนทารกและสิ้นลงเมื่อตาย)
6. คนสาบสูญ ไมใชบค ุ คลตามกฎหมาย (เพราะเมื่อศาลสั่งใหเปนคนสาบสูญ ถือวาตายไปแลว) สวน คน วิกลจริต คนเสมือนไรความสามารถ คนลมละลาย คนไรความสามารถ กฎหมายยังถือวามีสภาพบุคคล (สภาพบุคคล สิ้นสุดลงเมื่อตาย Æ คนสาบสูญไดสิ้นสภาพบุคคลแลว) บุคคลที่ศาลสัง่ เปนคนสาบสูญแลว ถือวาสิน ้ สภาพบุคคล เมื่อครบกําหนดระยะเวลา 2 ป ในกรณีพิเศษ (มาตรา 62 บุคคลที่ศาลไดมีคําสั่งใหเปนคนสาบสูญใหถือวาถึงแกความตายเมื่อครบกําหนดระยะเวลาดังที่ระบุไวในมาตรา 61)
7. บุคคลที่ศาลสั่งใหเปนคนสาบสูญแลว ถือวาตายเมื่อครบกําหนด 2 ป ในกรณีพิเศษ
(มาตรา 61 ถาบุคคลใดไดไปจากภูมิลําเนาหรือถิ่นที่อยูและไมมีใครรูแนวาบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยูหรือไม ตลอดระยะเวลา 5 ป เมื่อผูมี สวนไดเสียหรือพนักงานอัยการรองขอ ศาลจะสั่งใหบุคคลนั้นเปนคนสาบสูญก็ได ระนะเวลาตามวรรคหนึ่งใหลดลงเหลือ 2 ป
12 (1) นับแตวันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง ถาบุคคลนั้นอยูในการรบหรือสงคราม และหายไปในการรบหรือสงครามดังกลาว (2) นับแตวันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง อับปาง ถูกทําลาย หรือสูญหายไป (3) นับแตวันที่เหตุอันตรายแกชีวิตนอกจากที่ระบุไวใน (1) และ (2) ไดผานพนไป ถาบุคคลนั้นตกอยูในอันตรายเชนวานั้น
8. บุคคลที่อาจถูกศาลสั่งใหเปนคนสาบสูญ ในกรณีพิเศษคือ หายไปจากทีอ ่ ยู ไมรว ู าเปนหรือตายครบ 2 ป ระยะเวลา 2 ป ในกรณีพิเศษเริ่มนับเมื่อ (ก) สงครามสงบ (ข) วันที่เรืออับปาง (ค) วันที่ภูเขาไฟหยุดระเบิดแลว (ง) วันที่น้ําเลิกทวมแลว (มาตรา 61 ----ฯลฯ---Æ )
9. ระยะเวลาแหงการเปนคนสาบสูญในกรณีธรรมดาเริ่มนับ เมื่อรองขอตอศาล
(มาตรา 61 --- ฯลฯ ---Æ ตลอดระยะเวลา 5 ป เมื่อผูมีสวนไดเสีย หรือพนักงานอัยการรองขอ ศาลจะสั่งใหบุคคลนั้นเปนคนสาบสูญ
ก็ได ฯลฯ
10. ผูมส ี ิทธิขอรองใหศาลสั่งเปนบุคคลสาบสูญ คือ พนักงานอัยการ (และผูม ีสว นไดเสีย ไดแก ภริยา บุตร สามี พนักงานอัยการ) (มาตรา 61 )
11. นิติบุคคลมีลักษณะสําคัญดังตอไปนี้คือ เปนบุคคลตามกฎหมาย
(มาตรา 65 นิติบุคคลจะมีขึ้นไดก็แตดวยอาศัยอํานาจแหงประมวลกฎหมายนี้ หรือกฎหมายอื่น มาตรา 66 นิติบุคคลยอมมีสิทธิ และหนาที่ตามบทบัญญัติแหงประมวลกฎหมายนี้ หรือกฎหมายอื่น ภายในขอบเขตแหงอํานาจหนาที่หรือวัตถุประสงคดังไดบัญญัติหรือกําหนดไว ในกฎหมาย ขอบังคับหรือตราสารจัดตั้ง มาตรา 67 ภายใตขอบังคบมาตรา 66 นิติบุคคลยอมมีสิทธิและหนาที่เชนเดียวกับบุคคลธรรมดา เวน แตสิทธิและหนาที่ซึ่งโดยสภาพจะพึงมีพึงเปนไดเฉพาะแกบุคคลธรรมดาเทานั้น)
12. นางแดงคลอดบุตรออกมา หายใจเพียง 1 ครัง้ ยังไมไดตัดสายสะดือ นายดํา สามีนางแดงไมพอใจจึงบีบคอ บุตรนั้นตาย นายดํา มีความผิดฐานฆาคนตาย เพราะทารกมีสภาพบุคคลแลว 13. ทารกในครรภมารดา แมไมมส ี ภาพบุคคล ก็สามารถมีสท ิ ธิตา งๆ ได ถาปรากฏวา เกิดมารอดอยูภายใน ระยะเวลา 310 นับจากบิดาตาย พิสูจนไดวา คนสาบสูญตายตั้งแตวันแรกที่ 14. กรณีตอไปนี้ อาจรองขอถอนคําสั่งแสดงสาบสูญไดคือ หายไปจากทีอ ่ ยู เมื่อศาลพิจารณาไดความวา คนสาบสูญยังมีชีวต ิ อยูหรือตายในเวลาอื่นทีผ ่ ิดไปจากเวลาที่ กฎหมายสันนิษฐานไว ศาลตองถอนคําสั่งแสดงสาบสูญ 15. ก ไดบานมาหลังหนึ่งโดยทางมารดาของ ข ผูส าบสูญ ตอมา ก ขายบายดังกลาวให ค ในราคา 100,000 บาท โดยสุจริต แลว ก นําเงินนั้นไปซื้อรถยนตมาใชสอย 1 คัน หาก ข ยังมีชีวิตอยู และกลับมา ก จะตองคืน ้ แทนตัวบาน ทรัพยสินแก ข โดย คืนรถยนตที่นําเงินคาบานไปซือ (มาตรา 63 เมื่อบุคคลผูถูกศาลสั่งใหเปนคนสาบสูญนั้นเองหรือผูมีสวนไดเสียหรือพนักงานอัยการรองขอตอศาล และศาลพิสูจนไดวา บุคคลผูถูกศาลสั่งใหเปนคนสาบสูญนั้นยังคงมีชีวิตอยูก็ดี หรือวาตายในเวลาอื่นที่ผิดไปจากเวลาดังระบุไวในมาตรา 62 ก็ดี ใหศาลสั่งถอนคําสั่ง ใหเปนคนสาบสูญนั้น แตการถอนคําสั่งนี้ยอมไมกระทบกระเทือนถึงความสมบูรณแหงการทั้งหลายอันไดทําไปโดยสุจริตในระหวางเวลาตั้งแตศาล มีคําสั่งใหเปนคนสาบสูญจนถึงเวลาถอนคําสั่งนั้น บุคคลผูไดทรัพยสินมาเนื่องแตการที่ศาลสั่งใหบุคคลใดเปนคนสาบสูญ แตตองเสียสิทธิของตนไปเพราะศาลสั่งถอนคําสั่งใหบุคคลนั้น เปนคนสาบสูญ ใหนําบทบัญญัติวาดวยลาภมิควรไดแหงประมวลกฎหมายนี้มาบังคับใชโดยอนุโลม )
หนวยที่ 3 บุคคลธรรมดา : ความสามารถ บุคคลมีสิทธิหนาที่อยางไร ยอมใชสิทธิและปฏิบัติหนาที่ไดตามสิทธิและหนาที่ของตน สภาพ การณที่บุคคลจะมีสิทธิหรือใชสิทธิปฏิบัติหนาที่ไดแคไหนเพียงไร เรียกวา ความสามารถ ความสามารถมี 2 ลักษณะ คือ 1) ความสามารถในการมีสิทธิ และ 2) ความสามารถในการใชสิทธิ 2. ตามหลักบุคคลมีสิทธิหนาที่เทาเทียมกัน แตบุคคลบางจําพวก กฎหมายตัดทอนความสามารถใน การมีและใชสิทธิไวบางประการ ทําใหมีสภาพเปนผูหยอนความสามารถ ซึ่งกฎหมายเรียกรวมๆกันวาคนไร ความสามารถ (ในความหมายกวางขวาง) คนไรความสามารถนี้มี 3 ประเภท คือ ผูเยาว คนไร ความสามารถ (ในความหมายอยางแคบ) และคนเสมือนไรความสามารถ 3. ผูเยาวเปนคนไรความสามารถเพราะอายุนอย กฎหมายถือวาผูเยาวยังมีความคิด ความรูสติปญญา ความชํานาญ และไหวพริบไมสมบูรณพอที่จะใชสิทธิปฏิบัติหนาที่ไดโดยลําพัง ดังนั้น การทํานิติกรรมตอง ใหผูแทนโดยชอบธรรมทําแทน หรือตองไดรับความยินยอมจากผูแทนโดยชอบธรรมกอน กิจการนั้นๆ จึงมี ผลสมบูรณ หากฝาฝนนิตก ิ รรมเปนโมฆียะ แตมีขอยกเวนสําหรับนิติกรรมบางอยาง ซึ่งเปนคุณประโยชน แกผูเยาวฝายเดียว หรือตองทําเองเฉพาะตัว หรือที่เปนการจําเปนแกการเลี้ยงชีพ ผูเยาวสามารถทําได โดยลําพัง ไมตองรับความยินยอมกอนหรือกรณีผูเยาวไดรับอนุญาตใหประกอบธุรกิจทางการคาหรือธุรกิจ อื่นและทําสัญญาเปนลูกจาง ผูเยาวสามารถทํากิจการในขอบเขตแหงการนั้นไดเสมือนเปนผูบรรลุนิติภาวะ แลว 4. คนไรความสามารถ (ในความหมายอยางแคบ) หมายถึง คนวิกลจริตที่ศาลสั่งใหเปนคนไร ความสามารถแลว เปนผูหยอนความสามารถเนื่องจากจิตไมปกติหรือสมองพิการ กฎหมายถือวาเปนคนไม มีความรูสึกผิดชอบ ไมสามารถแสดงเจตนาของตนไดถูกตอง และไมเปนผูอาจทํานิติกรรมใดๆใหมีผล สมบูรณไดเลย ตองมีคนอื่นอีกคนหนึ่งเรียกวา ผูอนุบาล เปนผูแทน หากฝาฝนนิตก ิ รรมจะเปนโมฆียะ 1.
13 คนเสมือนไรความสามารถนั้น เปนผูหยอนความสามารถ เนื่องจากมีเหตุบกพรองเพราะรางกาย พิการหรือจิตฟนเฟอนไมสมประกอบหรือมีความประพฤติสุรุยสุรายเสเพลเปนอาจิณ หรือติดสุรายาเมา หรือมีเหตุอื่นใดในทํานองเดียวกัน จนถึงขนาดไมสามารถจัดการงานของตนเองได หรือจัดกิจการไป ในทางที่อาจจะเสื่อมเสียแกทรัพยสินของตนเองหรือครอบครัว กฎหมายจึงกําหนดใหอยูในความดูแล ชวยเหลือของบุคคลอื่นซึ่งเรียกวาผูพิทักษ คนเสมือนไรความสามารถนั้น โดยหลักใชสิทธิและปฏิบัติ หนาที่ไดอยางเชนบุคคลธรรมดาทั่วไป เวนแตการทํานิติกรรมที่สําคัญบางชนิด ซึ่งอาจกอใหเกิดความ เสียหายอยางรายแรงตอคนเสมือนไรความสามารถเองและผูมีสวนไดเสียเทานั้น ที่ตองไดรับความยินยอม จากผูพิทักษกอน จึงมีผลสมบูรณ หากฝาฝนนิติกรรมจะเปนโมฆียะ 5.
3.1 ผูเยาว 1. ระยะเวลาแหงการเปนผูเยาวนั้น เริ่มตั้งแตเกิดและสิ้นสุดลงเมื่อบรรลุนิติภาวะ ซึ่งมี 2 กรณีคือ
ก) อายุครบ 20 ป บริบูรณ และ ข) สมรสตามกฎหมาย 2. กฎหมายบัญญัติเปนหลักทั่วไปไววา ผูเยาวจะทํานิติกรรมใดๆ จําตองไดรับความยินยอมจาก ผูแทนโดยชอบธรรมกอน มิฉะนั้นกิจกรรมที่กระทําไปเปนโมฆียะ หลักนี้ใชบังคับกับผูเยาวระยะที่มี ความรูสึกผิดชอบแลวเทานั้น เพราะผูเยาวระยะที่ยังไมมีความรูสึกผิดชอบไมอาจทํานิติกรรมไดดวยตนเอง อยูแลว 3. ผูแทนโดยชอบธรรมนั้น หมายถึง ก) ผูใชอํานาจปกครองซึ่งไดแก บอดามารดา และ ข) ผูปกครองซึ่งไดแกบุคคลอื่นที่ถูกแตงตั้งขึ้นเพื่อปกครองผูเยาว 4. อํานาจปกครองของผูใชอํานาจปกครองและผูปกครองนั้น หมายความรวมทั้งสวนที่เกี่ยวกับ ตัวผูเยาวและในสวนที่เกี่ยวกับการจัดการทรัพยสินของผูเยาวดวย 5. ผูใชอํานาจปกครองและผูปกครองมีอํานาจจัดการทรัพยสินเพื่อประโยชนของผูเยาวไดทุก อยางตามลําพัง ดวยความระมัดระวังเชนวิญูชนพึงกระทํา เวนแตกิจการที่ถูกระบุหาม หรือกิจการ บางอยางซึ่งเปนหนี้ที่ผูเยาวตองทําเองเฉพาะตัว หรือกิจการที่ตองขออนุญาตศาล 6. ขอยกเวนหลักทั่วไปในการทํานิติกรรมของผูเยาวมีอยู 3 ประการ คือ ก) นิติกรรมที่เปน คุณประโยชนแกผูเยาวฝายเดียว ข) นิติกรรมที่ผูเยาวตองทําเองเฉพาะตัว และ ค) นิติกรรมที่จําเปนเพื่อ การเลี้ยงชีพของผูเยาว กรณีเหลานี้ผูเยาวสามารถทําไปได โดยไมตองรับความยินยอม 7. เรื่องของผูเยาวประกอบธุรกิจทางการคา หรือธุรกิจอื่นและทําสัญญาเปนลูกจาง มีลักษณะ คลายกับเปนขอเวนหลักทั่วไป แตจะไมตรงกันที่เดียว เพราะมิใชวาผูเยาวจะทําการคาไปไดเลย คงตอง ขออนุญาตกอนเชนเดียวกัน ตอเมื่อไดรับอนุญาตแลวจึงสามารถทํากิจการตางๆ ได ภายในขอบเขตแหง กิจการนั้น เสมือนดั่งวาเปนผูบรรลุนิติภาวะแลว ดังนั้น จึงกลาวไดวาความยินยอมใหผูเยาวประกอบธุรกิจ ทางการคาหรือธุรกิจอื่นและทําสัญญาเปนลูกจาง มีลักษณะเปนความยินยอมทั่วไป ซึ่งเปนขอยกเวน แตกตางจากความยินยอมเฉพาะการที่ใชไดเฉพาะเรื่องที่อนุญาตเปนเรื่องๆไป 3.1.1 ระยะเวลาแหงการเปนผูเยาว (ก) บุคคลธรรมดาสามารถมีสิทธิและใชสิทธิปฏิบัติหนาที่ไดโดยเสมอภาคกันหรือไม เพราะเหตุใด ไมเสมอไป เพราะบุคคลอาจถูกจํากัดการมีสท ิ ธิบางประการ เปนตนวา ถูกจํากัดโดยเกณฑอายุ เชน ผูเยาวไมอาจสมรสไดกอ นอายุครบ 17 ปบริบร ู ณ..... สวนการใชสิทธินั้น ผูเยาว คนไรความสามารถ และคนเสมือนไรความสามารถ ผูถก ู ตัดทอนการใชสิทธิ ดวยเหตุที่เปนผูออ นอายุ จิตไมปกติ สุขภาพไม ิ ธิไปขณะมีขอ บกพรองดังกลาว จะเปนผลเสียแก สมบูรณหรือมีความประพฤติเสื่อมเสีย เพราะหากใชสท ประโยชนของตนเองและผูมส ี วนไดเสีย กฎหมายจึงเขาคุมครอง โดยตัดทอนการใชสิทธิเสีย
(ข) ระยะเวลาแหงการเปนผูเยาว บุคคล”
เริ่มและสิ้นสุดลงเมื่อใด
เหตุใดจึงไมใช
“ความรูสึกผิดชอบของ
เริ่มตั้งแตเกิดและสิ้นสุดเมื่อบรรลุนิติภาวะ ซึ่งมี 2 กรณี คือ (1) อายุครบ 20 ปบริบูรณ และ (2) สมรสเหตุที่ไมใชความรูสก ึ ผิดชอบของบุคคล เปนหลักเกณฑพิจารณาความสิน ้ สุดการเปนผูเยาว เพราะ ความรูค วามคิด ความชํานาญและไหวพริบของบุคคลแตละคนไมเหมือนกัน ถาใชความรูสก ึ ผิดชอบเปน เกณฑตด ั สินแลวระยะเวลาสิ้นสุดการเปนผูเยาวยอมแตกตางกันเปนรายบุคคล ทําใหเกิดปญหายุง ยาก มาก ความรูส ึกผิดชอบเปนเพียงหลักเกณฑการพิจารณาวา ผูเยาวอาจทํานิตก ิ รรมไดโดยตนเองหรือไม เทานั้น
(ค) เหตุผลในการกําหนดใหบุคคลบรรลุนิติภาวะโดยอายุและโดยการสมรส แตกตางกันหรือไม แตกตางกันคือ ทีถ ่ ือหลักเกณฑอายุนั้น เพราะเห็นวาผูมีอายุครบ 20 ปบริบูรณ มีความรู ความ ชํานาญ ไหวพริบ และความรูสึกผิดชอบสมบูรณพอทีจ ่ ะใชสิทธิไดตามลําพังแลว สวนทีก ่ ําหนดใหบรรลุนต ิ ิ ภาวะโดยการสมรสนั้น เพราะการสมรสกอใหเกิดสิทธิหนาที่แกคส ู มรสมากมาย หากไมสามารถทํา
14 กิจการโดยลําพังเองได จะมีปญหายุงยากและไมสะดวก บางกรณีอา ํ นาจปกครองของบิดามารดาคูสมรส อาจกาวกายหรือขัดกับสิทธิหนาที่ของคูสมรส
(ง) การบรรลุนิติภาวะโดยการสมรส มีหลักเกณฑประการใดบาง หากการสมรสผิดเงื่อนไขเพราะไมได รับความยินยอมจากบิดามารดาหรือผูปกครอง ผูเยาวจะบรรลุนิติภาวะหรือไม หลักเกณฑมี 3 ประการคือ 1. ไดมีการจดทะเบียนตอเจาหนาที่ 2. ชายและหญิงตองมีอายุครบ 17 ปบริบูรณแลว 3. อายุไมครบ 17 ปบริบูรณตอ งขออนุญาตศาลทําการสมรส แมผิดเงือ ่ นไขดังกลาวก็บรรลุ นิติภาวะ เพราะมาตรา 20 กําหนดเงื่อนไขเรื่องอายุเพียงประการเดียว แตการสมรสอาจถูกเพิกถอนได 3.1.2
หลักทั่วไปในการทํานิติกรรมของผูเยาว
(ก) หลักทั่วไปที่วา ผูเยาวจะทํานิติกรรมใดๆ ตองไดรับความยินยอมของผูแทนโดยชอบธรรมกอนนั้น ใชกับผูเยาวในระยะไหน เพราะเหตุใด 1)
ระยะมีความรูส ึกผิดชอบแลว เพราะผูเยาวระยะทีย ่ ังไมมีความรูส ึกผิดชอบทํานิติกรรมไมมผ ี ล เพราะขาดเจตนา ตองใหผูแทนโดยชอบธรรมทํานิตก ิ รรมแทนเสมอ สวนผูเยาวระยะมีความรูสึกผิดชอบ แลวทํานิติกรรมไดดว ยตนเอง แตกฎหมายถือวายังออนความคิด ความชํานาญและความรูสึกผิดชอบ อัน นากลัววาจะเสียเปรียบผูใหญ จึงใหผูแทนโดยชอบธรรมเขาดูแล ชวยเหลือดวยการใหรับรูและยินยอม เสียกอน
กิจการใดบางที่กอใหเกิดผลในทางกฎหมาย ยินยอมในกิจการประเภทใด 2)
และกฎหมายบัญญัติใหผูเยาวตองไดรับความ
นิติกรรมและนิติเหตุ และผูเ ยาวตองรับความยินยอมเฉพาะกิจการประเภทนิตก ิ รรมเทานั้น
(ข) 1) ผูแทนโดยชอบธรรมคือใครบาง ผูแทนโดยชอบธรรม คือ ก) ผูใชอา ํ นาจปกครอง ไดแก บิดามารดา ข) ผูปกครอง ไดแก บุคคล อื่นนอกจากบิดามารดาซึ่งถูกตั้งขึ้นเพื่อปกครองผูเยาว 2) ที่วาที่วาบิดามารดาเปนผูใชอํานาจปกครองรวมกันนั้น เปนความจริงเสมอไปหรือไม ไมเปนความจริงเสมอไป มีขอยกเวนที่อา ํ นาจปกครองจะอยูก บ ั บิดาหรือมารดาฝายเดียวในกรณีที่ ปรากฏตาม ปพพ. มาตรา 1566 วรรคสอง (1) ถึง (5) 3) เหตุตั้งผูปกครองมีประการใดบาง และจะตั้งอยางไร เหตุตง ั้ ผูป กครองมี 3 ประการ ตาม ปพพ.มาตรา 1585 และอีกกรณีหนึง ่ คือ กรณีที่มข ี อจํากัด อํานาจมิใหใชอํานาจปกครองจัดการทรัพยสินของผูเยาว ตองตั้งผูป กครองขึ้นใหมเฉพาะการนั้น การตั้งผูปกครองมีได 2 ทาง ตามมาตรา 1586 คือ 1. ตั้งโดยบุคคลซึ่งบิดาหรือมารดาที่ตามทีหลังไดระบุชอ ื่ ไวในพินัยกรรมใหเปนผูป กครองเปน ผูรองขอตอศาล 2. ตั้งโดยญาติผเู ยาวหรืออัยการเปนผูรอ งขอตอศาล (ค)
1) หลักทั่วไปที่กําหนดอํานาจของผูใชอํานาจปกครองและผูปกครอง ทรัพยสินของผูเยาวมีวาอยางไร
ในสวนที่เกี่ยวกับการจัดการ
ผูใชอํานาจปกครองและผูป กครอง มีอา ํ นาจจัดการทรัพยสินเพือ ่ ประโยชนของผูเยาวไดทก ุ อยาง โดยจัดการไดตามลําพัง แตตองจัดการดวยความระมัดระวังเชนวิญูชนพึงกระทํา
2) คํากลาวที่วา “ผูใชอํานาจปกครองและผูปกครองมีอํานาจจัดการทรัพยสินเพื่อประโยชนของ ผูเยาวไดทุกอยาง” นั้น เปนความจริงเสมอไปหรือไม ไมเสมอไป เพราะคํากลาวดังกลาวเปนหลักทัว ่ ไป แตมีขอ จํากัดอํานาจเปนขอยกเวนไว คือ ก) บางกรณีหา มจัดการเลย ตาม ปพพ. มาตรา 1577, 1615 และ 1616 ข) บางกรณีตอ งไดรับความยินยอมจากผูเ ยาวกอน ตาม ปพพ. มาตรา 1572 ค) บางกรณีตอ งขออนุญาตศาลกอน ตาม ปพพ.มาตรา 1574, 1575
15
(ง)
1) หลักเกณฑของกฎหมายที่เขาควบคุมการจัดการทรัพยสินของผูใชอํานาจปกครองและผูปกครอง แตกตางกันหรือไม เพราะเหตุใด แตกตางกัน คือ กฎหมายกําหนดหนาทีอ ่ ันเปนบทบังคับและควบคุมผูปกครองเขมงวดกวดขันกวา ผูใชอํานาจปกครอง เพราะผูปกครองเปนบุคคลภายนอก ถาผูป กครองไมดี อาจคิดคดโกงผูเยาวหรือใช อํานาจปกครองในทางมิชอบกอใหเกิดความเสียหายได สวนผูใชอํานาจปกครองนั้นเปนบิดามารดาจึงเชื่อ วาคงใชอา ํ นาจปกครองโดยชอบ ไมคด ิ คดโกงบุตร เปนตนวา เมื่อเริ่มเขารับหนาทีผ ่ ูปกครองตองทําบัญชี ทรัพยสินสงศาล กอนทําบัญชีหา มทํากิจการใดๆ และหากมีหนี้เปนโทษตอผูเยาวแลวไมแจงตอศาล หนี้จะ สูญไป สวนผูใ ชอํานาจปกครองแมตอ งทําบัญชีทรัพยสินเชนกันแตไมมีบทบังคับพิเศษ เชน ผูปกครอง ระหวางใชอํานาจปกครอง เรื่องเงินไดของผูเยาวนั้น ผูปกครองไมมีสิทธินา ํ ไปใชสวนตัว แตผูใช อํานาจปกครองอาจนําไปใชไดตามสมควร
2) มีบทบัญญัติของกฎหมายที่ใหความคุมครองผูเยาวเมื่อพนอํานาจปกครองแลว หรือไม อะไรบาง เพราะเหตุใดจึงบัญญัติเชนนั้น เมื่อสิ้นอํานาจปกครอง มีบทบัญญัติทว ั่ ไปบังคับไวทั้งผูใชอํานาจปกครองและผูป กครอง ตองรีบ สงมอบทรัพยสินที่จัดการและทําบัญชีและมีบทบัญญัตเิ พิ่มเติมเขมงวดกับผูป กครองโดยเฉพาะใชสงมอบ บัญชีและเอกสารภายใน 6 เดือน หรือตองเสียดอกเบี้ย ถาผูปกครองนําเงินของผูเยาวไปใชแลวยังไม สงคืน เปนตน (จ)
1) วิธีใหความยินยอมของผูแทนโดยชอบธรรม มีแบบกําหนดไวหรือไม จะตองใหความยินยอมโดย วิธีใดและจะตองใหเมื่อใด ไมมีแบบกําหนดไวโดยเฉพาะ จึงปฏิบัตต ิ ามหลักทั่วไป โดยทําเปนลายลักษณอก ั ษร หรือโดยปาก เปาหรือปริยายก็ได และตองใหความยินยอมกอนหรือขณะผูเยาวทา ํ นิติกรรม
2) ลักษณะของความยินยอมมีกี่ชนิด อะไรบาง ลักษณะของความยินยอมมี 2 ชนิดคือ ก) ความยินยอมเฉพาะการ อนุญาตเพื่อทํานิติกรรมใด ใชไดเฉพาะสําหรับนิติกรรมทีร ่ ะบุ อนุญาตเทานัน ้ ความยินยอมเฉพาะการนี้เปนหลักทัว ่ ไป ข) ความยินยอมทั่วไป เปนขอยกเวนมีไดเรื่องเดียว คือ กรณีอนุญาตใหผูเยาวประกอบธุรกิจ ทางการคาหรือธุรกิจอื่นและทําสัญญาเปนลูกจาง
3) เมื่อผูแทนโดยชอบธรรมอนุญาตใหผูเยาวจําหนายทรัพยสินอยางหนึ่งอยางใดแลวผูเยาวมีอํานาจ ทํานิติกรรมไดเพียงใด พิจารณาคําระบุอนุญาตกอนวาจํากัดวงเขตไวใหทา ํ เพือ ่ การใดหรือไม กลาวคือ ก) ถาระบุวา เพื่อการใด แตมิไดกา ํ หนดเงื่อนไขหรือหลักเกณฑไว จําหนายทรัพยสินไดภายใน ขอบเขตของการทีร ่ ะบุ ข) ถาไมไดระบุวา เพือ ่ การใด จําหนายทรัพยสินไดตามใจสมัคร (ฉ)
ที่วา “นิติกรรมเปนโมฆียะ” นั้น ทานเขาใจวาอยางไร นิติกรรมที่เปนโมฆียะนั้นหมายความวา นิติกรรมที่ไดกอขึ้นนั้นมีผลเปนนิติกรรมตามกฎหมาย ไม เสียศูนยเปลาไปเลยทีเดียว แตอาจถูกบอกลางโดยตัวผูเยาวเอง ผูแทนโดยชอบธรรมหรือทายาทของ ผูเยาวก็ได ดวยการแสดงเจตนาตอคูก รณีอก ี ฝายหนึ่งซึง ่ เปนผลใหนิตก ิ รรมนั้นเปนโมฆะมาแตเริม ่ แรก ิ ธิบอกลาง ในทางตรงขาม ถาประสงคจะใหนต ิ ิกรรมนั้นสมบูรณ ก็ทา ํ ไดโดยใหสัตยาบัน โดยบุคคลผูมีสท ดังกลาวขางตนเมื่อใหสัตยาบันแลว นิตก ิ รรมนั้นจะมีผลสมบูรณมาแตเริ่มแรก มีขอสังเกตคือ โมฆียะกรรม นั้น ถาไมถูกบอกลางก็ยง ั คงมีผลเปนนิติกรรมที่ดต ี ลอดไป การใหสัตยาบันทําใหนิตก ิ รรมนั้นสมบูรณ คือ บอกลางไมไดเทานั้น 3.1.3 ขอยกเวนในการทํานิติกรรมของผูเยาว
16 หลักที่วา “ผูเยาวจะทํานิติกรรมใดๆตองไดรับคํายินยอมของผูแทนโดยชอบธรรมกอน” ความจริงเสมอไปหรือไม 1.
นั้นเปน
ไมเปนความจริงเสมอไป ตามหลักแลวผูเยาวจะทํานิตก ิ รรมใดๆ ตองไดรับความยินยอมของผูแทน โดยชอบธรรมกอน ถาผูเยาวทํานิติกรรมโดยไมไดรบ ั ความยินยอมแลว นิติกรรมนั้นเปนโมฆียะ ซึ่งผูแทน โดยชอบธรรมอาจบอกลางเสียได แตมีขอยกเวนวา นิตก ิ รรมตอไปนี้ ผูเยาวทา ํ ไดเองโดยลําพังไมตองไดรับความยินยอมจากผูแทน โดยชอบธรรม คือ ิ ธิอยางใดอยางหนึ่ง เชน รับการใหโดยเสนหา (ก) นิติกรรมที่ทา ํ ใหผูเยาวไดสท นิติกรรมที่ทา ํ ใหผูเยาวไดสท ิ ธิอยางใดอยางหนึ่ง เชน รับการใหโดยเสนหา นิติกรรมที่ทา ํ ใหผูเยาวหลุดพนหนาทีอ ่ ันใดอันหนึง ่ เชน ปลดหนี้ใหผูเยาว ู ณ (ข) นิติกรรมที่ผูเยาวตองทําเองเฉพาะตัว เชน ทําพินัยกรรมเมื่ออายุครบ 15 ปบริบร (ค) นิติกรรมที่จําเปนเพื่อการดํารงชีพของผูเยาว (ง) ผูเยาวประกอบธุรกิจทางการคาหรือธุรกิจอื่นและทําสัญญาเปนลูกจาง ผูเยาวไดรับอนุญาต ใหประกอบกิจการดังกลาวแลว ทํานิตก ิ รรมเกี่ยวกับกิจการนั้นไดทง ั้ สิ้น ไมตองไดรับคํายินยอมจากผูแทน โดยชอบธรรมอีก
ก. ทําสัญญายกที่ดินแปลงหนึ่ง พรองสิ่งปลูกสรางใหแก ข. อายุ 14 ป ที่สํานักงานที่ดิน ข. ลง ชื่อในสัญญารับที่ดินและสิ่งปลูกสรางดังกลาว โดยปดบังมิให ค. ผูแทนโดยชอบธรรมรู เมื่อ ค. ทราบเรื่อง เดือนหนึ่งตอมา จะบอกลางสัญญาไดหรือไม เพราะอะไร ค บอกลางนิติกรรมยกใหโดยเสนหารายนี้ไมได เพราะนิตก ิ รรมรายนี้ทําให ข ผูเยาวไดมาซึง ่ กรรมสิทธิ์ในที่ดินเปนประโยชนแกผูเยาวฝายเดียว เขาขอยกเวนตาม ปพพ. มาตรา 22 ซึ่ง ข อาจทํานิติ 2.
กรรมไดตามลําพังไมตองรับความยินยอมจากผูแทนโดยชอบธรรม
3.1.4 ผูเยาวประกอบธุรกิจทางการคาหรือธุรกิจอื่นและทําสัญญาเปนลูกจาง
ผลของความยินยอมใหผูเยาวประกอบธุรกิจการคาหรือธุรกิจอื่น แตกตางจากผลของความยินยอมในการทํานิติกรรมอยางอื่นหรือไม 1.
และทําสัญญาเปนลูกจาง
แตกตางกันคือในการทํานิติกรรมอยางอืน ่ เมื่อไดรบ ั อนุญาตจากผูแทนโดยชอบธรรมใหทา ํ นิติ กรรมเรือ ่ งใดแลว ความยินยอมนั้นใชเฉพาะเรือ ่ งที่ระบุอนุญาตเทานั้น หากประสงคจะทํานิตก ิ รรมเรือ ่ งอืน ่ อีก ตองไดรบ ั ความยินยอมเปนเรื่องๆ ทุกครั้งไป สวนกรณีผูเยาวไดรับความยินยอมใหทา ํ ธุรกิจทางการคาหรือธุรกิจอืน ่ ๆและทําสัญญาเปนลูกจาง แลว ผูเยาวขออนุญาตเพียงครัง ้ เดียว เมื่อไดรบ ั คํายินยอมแลว ผูเ ยาวมฐ ี านะเสมือนดังผูบรรลุนิติภาวะใน กิจการที่ไดรบ ั อนุญาตนั้น สามารถทํานิติกรรมตางๆ ในขอบเขตที่เกี่ยวพันกับกิจการดังกลาวไดอยาง สมบูรณ โดยมิตองรับความยินยอมอีกทีละเรื่องเปนครัง ้ ๆ ไป
ก. ผูเยาว ประสงคจะเปดรานขายเครื่องกีฬา แต ข. ผูแทนโดยชอบธรรมไมอนุญาต ก. จึงรองขอ ตอศาล ศาลอนุญาตแลว ก. จึงเชาหองแถวเปดรานขายเครื่องกีฬาอยูที่ทาพระจันทร ปรากฏวา ก. ใชจาย ฟุมเฟอย ซื้อสินคาราคาแพงจากตางประเทศมาวางขาย แตไมมีคนซื้อ รานคาขาดทุน ข. ตองการให ก. เลิกคาขาย แต ก. ไมยอมอางวาสามารถทําไดตามลําพัง ดังนี้ ข. มีทางแกไขกรณี ก. ไมสามารถทํา การคาขายนี้ไดอยางไร 2.
เปนกรณีผูเยาวไดรับอนุญาตจากศาลไปประกอบธุรกิจการคาแลวไมสามารถจัดการการคาขาย ได ทางแกไขก็โดยใหศาลเปนผูสั่งถอนคืนคําอนุญาต โดย ข เปนผูร องขอใหศาลสั่งได 3.2 คนไรความสามารถ
1. บุคคลวิกลจริตนั้นนอกจากหมายถึงบุคคลที่มีจิตไมปกติ หรือสมองพิการไมมค ี วามรูสึกผิด ชอบอยางที่เรียกกันวา คนบา แลวยังหมายรวมถึงบุคคลที่มีกิริยาอาการผิดปกติธรรมดาเพราะสติวิปลาส เนื่องจากเจ็บปวยถึงขนาดไมมีความรูสึกผิดชอบและไมสามารถประกอบกิจการใดๆ ไดดวย 2. ผูมีสิทธิรองขอใหศาลมีคําสั่งใหบุคคลเปนคนไรความสามารถไดแก คูสมรส ผูบุพการีคือบิดา มารดา ปูยา ตายาย ทวด ผูสืบสันดาน คือ ลูกหลาน เหลน ลื้อ ผูปกครอง หรือผูพิทักษ หรือพนักงาน อัยการ 3. ผลของการเปนคนไรความสามารถนั้น ทําใหคนวิกลจริต ตกไปอยูภายใตความดูแลของ บุคคลอื่นซึ่งเรียกวา “ผูอนุบาล” และไมอาจทํานิติกรรมใดๆโดยตนเองไดเลย หากทําไปนิติกรรมเปน โมฆียะหมด หากจําเปนตองทํานิติกรรมใดๆ ผูอนุบาลตองเปนผูทําแทน ดังนั้นจึงไมมีเรืองการใหความ ยินยอมหรือขอยกเวนการทํานิติกรรม
17 4. การเปนคนไรความสามารถ เริ่มตั้งแตวันที่ศาลมีคําสั่ง ไมมีผลยอนหลังไปถึงวันที่เริ่มอาการ วิกลจริต และสิ้นสุดลงเมื่อศาลเพิกถอนคําสั่งเปนคนไรความสามารถ ในเมื่อเหตุอันทําใหไรความสามารถ สิ้นสุดลง 5. หลักเกณฑการคุมครองคนวิกลจริตที่ศาลยังไมไดสั่งใหเปนคนไรความสามารถ คือคน วิกลจริตนั้นโดยหลัก ทํานิติกรรมมีผลสมบูรณ เวนแตจะพิสูจนไดวา 1) ทํานิติกรรมในขณะมีจริตวิกล และ 2) คูกรณีอีกฝายหนึ่งไดรูอยูแลววาผูทําวิกลจริต นิติกรรมจึงมีผลเปนโมฆียะ 3.2.1 หลักเกณฑการเปนคนไรความสามารถ
1. กฎหมายมีขอบเขตคุมครองคนวิกลจริตเพียงใด เพราะเหตุใด คุมครองคนวิกลจริตทัง ้ ทีถ ่ ก ู ศาลสั่งใหเปนคนไรความสามารถแลว และยังไมไดสั่งใหเปนคน ไรความสามารถ เพราะถือวาคนวิกลจริตไมมีความรูสึกผิดชอบ และไมสามารถแสดงเจตนาไดโดยถูกตอง
2. ก อายุ 74 ป เปนอัมพาต มือเทาขางขวาและรางการแถบซีกดานขวาเคลื่อนไหวไมได เคลื่อนไหวรางกายไดเฉพาะแถบดานซาย แตคลานไประยะใกลๆได สามารถลุกขึ้นนั่งได แตลุกขึ้นยืน ไมได ตอบคําถามไดบาง มีความเขาใจคําถามดี แตไมสามารถพูดประโยคยาวๆได ดังนี้ ข บุตรของ ก ซึ่ง รูวาทานเปนนักศึกษา มสธ สาขานิติศาสตร จึงมาปรึกษาเพื่อดําเนินการรองขอให ก เปนคนไร ความสามารถ ใหทานใหคําแนะนําที่ถูกตองแก ข วาจะรองขอให ก เปนคนไรความสามารถไดหรือไม เพราะเหตุใด นี้ คือ
บุคคลซึ่งศาลจะสั่งใหเปนคนไรความสามารถนั้น จะตองมีลักษณะอยางหนึ่งอยางใดใน 2 ประการ
ก) เปนคนวิกลจริต คือ มีจิตผิดปกติหรือสมองพิการอยางที่เรียกกันวาคนบา ควบคุมสติตนเอง ไมไดและไมมีความรูสก ึ ผิดชอบเยี่ยงบุคคลธรรมดาและอาการวิกลจริตนี้ตอ งเปนอยางมาก และตอง เปนอยูเปนประจํา หรือ ึ ผิดชอบเนื่องจาก ข) เปนคนมีกร ิ ิยาผิดปกติเพราะสติวิปลาส คือ ขาดความรําลึก ขาดความรูสก เจ็บปวยจนไมสามารถประกอบกิจการงานของตนเองหรือประกอบกิจการสวนตัวไดทีเดียว ตามอุทาหรณ ก. ไมเปนบุคคลวิกลจริตและอาการเจ็บปวยของ ก. ยังไมเขาลักษณะผูมก ี ร ิ ย ิ า ผิดปกติเพราะสติวป ิ ลาสตามขอ 2 เพราะยังมีความรูสก ึ ผิดชอบและสามารถประกอบกิจการงานของ ตนเองได จึงรองขอให ก. เปนคนไรความสามารถไมได
3. ก เริ่มมีอาการวิกลจริตตั้งแตเดือนมกราคม 2520 ครั้นวันที่ 15 มีนาคม 2523 ข ภริยาของ ก จึงยื่นคํารองขอให ก เปนคนไรความสามารถ ศาลมีคําสั่งเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2523 และประกาศโฆษนา ในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2523 ดังนี้ถือวา ก เปนคนไรความสามารถตั้งแตเมื่อใด วันที่ 10 มิถุนายน 2523 3.2.2 ผูมีสิทธิรองขอใหศาลมีคําสั่งใหบุคคลเปนคนไรความสามารถ
พี่ นอง ลุง ปา นา อา หลาน (ลูกของพี่นอง) ของคนวิกลจริตมีสิทธิรองขอใหศาลสั่งคนวิกลจริต เปนคนไรความสามารถหรือไม เพราะเหตุใด โดยหลัก พี่ นอง ลุง ปา นา อา และ หลาน (ลูกของพี-่ นอง) ไมมีสท ิ ธิรองของใหคนวิกลจริตเปน คนไรความสามารถ เพราะไมใชบุคคลทีร ่ ะบุไวในมาตรา 28 แตถาบุคคลดังกลาว เปนผูพท ิ ักษตามความ จริง กลาวคือเปนผูด ูแลพิทก ั ษและคุมครองชวยเหลือเลี้ยงดูคนวิกลจริตอยูตามความเปนจริง เปนการ พิทก ั ษตามพฤตินัย ก็มีสท ิ ธิรอ งขอได 3.2.3 ผลตามกฎหมายของการเปนคนไรความสามารถ 1. ผลตามกฎหมายของการที่ถูกศาลสั่งใหเปนคนไรความสามารถ มีประการใดบาง อธิบายถา ก ลูกเศรษฐีซึ่งเปนคนไรความสามารถ ไดเชารถยนตสปอรตรุนใหมมาขับขี่เลนหนึ่งคันมีกําหนดหนึ่งเดือน เสียคาเชาเดือนละ 3,000 บาท โดยผูอนุบาลไดใหความยินยอมกอนตกลงทําสัญญาเชาแลว สัญญาเชาที่ ไดทําขึ้นนี้ชอบดวยกฎหมายหรือไม เพราะเหตุใด ผลของการถูกศาลสั่งใหเปนคนไรความสามารถคือ ก) ตองเปนผูอ นุบาลคอยดูแล ข) ไมสามารถ ทํานิตก ิ รรมใดๆ ไดเลย ไมวาขณะใด หากทําลง นิตก ิ รรมเปนโมฆียะ ถาทําพินัยกรรมๆ เปนโมฆะ ตามอุทาหรณ แมจะไดรบ ั คํายินยอมของผูอนุบาลใหเชารถได สัญญาเชาก็เปนโมฆียะ เพราะคน ไรความสามารถไมอาจทํานิติกรรมใดๆ ไดเลย ไมมีขอ ยกเวน การทํานิติกรรมและการใหความยินยอม
2. หลักเกณฑการตั้งผูอนุบาลมีวาอยางไร เพราะเหตุใดกฎหมายจึงวางหลักเกณฑเชนนั้น ในเบื้องตน พิจารณากอนวา อนุบาลเปน 2 ประการดังนี้ คือ
คนไรความสามารถสมรสแลวหรือยัง
และแยกพิจารณาการตัง ้ ผู
18 ก) ยังไมสมรส ไมวาคนไรความสามารถจะบรรลุนิติภาวะแลวหรือไมกต ็ าม ตั้งบิดามารดา รวมกันเปนผูอ นุบาล ถามีแตบิดาหรือมารดา ใหบิดาหรือมารดาเปนผูอนุบาล กรณีทม ี่ ีขอ ยกเวนอยูวา ถามี เหตุผลพิเศษ ศาลจะไมตั้งบิดาหรือมารดา แตงตัง ้ ผูอื่นเปนผูอนุบาลก็ได นุบาล โดยมีขอยกเวนวา ถามีเหตุสา ํ คัญทีส ่ ามีหรือ ข) สมรสแลว ตัง ้ สามีหรือภรรยาเปนผูอ ภรรยาไมสมควรเปนผูอนุบาลและมีผูรอ งขอ ศาลจะตั้งบุคคลอื่นเปนผูอนุบาลก็ได เหตุที่วางหลักเกณฑไวดง ั กลาว เพราะกฎหมายใหเปนดุลพินิจของศาลที่จะพิจารณาตั้งผู อนุบาลโดยเพงเล็งถึงประโยชนแกคนไรความสามารถเปนขอใหญและความสนิทสนมของคนไร ความสามารถเปนขอพิเคราะห
3. จงอธิบายอํานาจหนาที่ของผูอนุบาล ความอนุบาลมีลักษณะคลายคลึงกับความปกครองผูเยาวโดยกฎหมายบัญญัติใหนําบทบัญญัติวา ดวยอํานาจหนาที่ของผูใชอํานาจปกครอง และผูป กครองมาใชโดยอนุโลม พึงสังเกตในเบือ ้ งตนวา คนไร ความสามารถไมอาจทํานิตก ิ รรมใดๆ ไดโดยตนเองเลย ดังนั้น จึงไมนําเรื่องความยินยอมและขอยกเวนการ ั การทรัพยสิน ทํานิตก ิ รรมของผูเยาวมาใชบังคับ คงมีแตเรื่องทําแทนเทานั้น สวนผูอนุบาลจะมีอํานาจที่จด แทนไดแคไหนเพียงใด ขึ้นอยูกบ ั วา ใครเปนผูอนุบาล กลาวคือ ก) กรณีบด ิ ามารดา เปนผูอ นุบาลบุตรซึง ่ ยังไมบรรลุนต ิ ิภาวะ ผูอ นุบาลมีอํานาจหนาที่ เชนเดียวกับผูใ ชอํานาจปกครอง ่ ิใชบิดา ข) กรณีบด ิ ามารดา เปนผูอ นุบาลบุตรที่บรรลุนิติภาวะแลวหรือกรณี บุคคลอื่นทีม มารดาหรือคูส มรสเปนผูอนุบาล ผูอ นุบาลมีอํานาจหนาที่เชนเดียวกับผูปกครอง ค) กรณีสามีหรือภริยาเปนผูอนุบาล ผูอนุบาลมีอํานาจหนาที่เชนเดียวกับผูใชอา ํ นาจ ปกครองแตมข ี อจํากัดอํานาจเพิ่มเติมบางประการในเรือ ่ งการจัดการทรัพยสินที่เปนสินสวนตัวและสินสมรส ตามตาม ปพพ.มาตรา 1598/16 3.2.4 การสิ้นสุดเปนคนไรความสามารถ ก เปนคนไรความสามารถและอยูในความอนุบาลของ ข ภริยา ตอมา ก หายจากอาการวิกลจริต และกับมาประกอบอาชีพคาขายตามเดิม แลว ก ซื้อรถยนตคันหนึ่งใสชื่อบุคคลอื่นเปนเจาของ ข ไมพอใจ และประสงคจะบอกลางนิติกรรมซื้อขายรถยนตรายนี้ จงอธิบายวา ข สามารถทําไดหรือไม
บอกลางได เพราะนิติกรรมซื้อขายรถยนตเปนโมฆียะ ทัง ้ นี้เนื่องจากสภาพการเปนคนไร ความสามารถของ ก ยังไมสิ้นสุดลง เพราะการเปนคนไรความสามารถจะสิ้นสุดลงเมื่อ (1) อาการวิกลจริตหายเปนปกติ (2) มีคําสั่งศาลใหเพิกถอนคําสัง ่ เดิมที่ใหเปนคนไรความสามารถตามอุทาหรณ แม ก ไมมีอาการ วิกลจริตแลวแตยังไมไดรอ งขอตอศาลใหสั่งเพิกถอนคําสั่งเดิมที่ใหเปนคนไรความสามารถ ฉะนั้นสภาพ การเปนคนไรความสามารถจึงยังคงมีอยู และจะยังมีอยูต ลอดไปจนกวาศาลจะมีคา ํ สั่งเพิกถอนคําสั่งเดิม 3.2.5 คนวิกลจริตที่ศาลยังไมไดสั่งใหเปนคนไรความสามารถ การทํานิติกรรมของคนวิกลจริตที่ศาลยังไมไดสั่งใหเปนคนไรความสามารถ มีผลแตกตาง จากผล การทํานิติกรรมของคนไรความสามารถหรือไม แตกตางกัน คือ ถาคนวิกลจริตที่ศาลยังไมสั่งใหเปนคนไรความสามารถทํานิตก ิ รรม กิจการนัน ้ มี
ผลสมบูรณไมเปนโมฆียะ นอกจากพิสูจนไดวา 1) นิตก ิ รรมไดทําลงในขณะวิกลจริต และ 2) คูกรณีอีก ่ ฝายหนึ่ง ไดรูอยูแลววาผูท า ํ เปนคนวิกลจริตหากพิสูจนไดวา 2 ประการดังกลาว นิติกรรมจึงเปนโมฆียะ ซึง แตกตางจากคนไรความสามารถ กลาวคือ นิตก ิ รรมทีท ่ ี่คนไรความสามารถไดทําลงไป ไมวาขณะมีจต ิ วิกลจริต หรือขณะมีจิตปกติก็ตาม นิติกรรมนั้นเปนโมฆียะเสมอ และคูกรณีอีกฝายไมอาจอางไดวา ไมรู เพราะการเปนคนไรความสามารถไดประกาศในราชกิจจานุเบกษา และถือวาประชาชนทั่วไปไดรแ ู ลว 3.3 ความเสมือนไรความสามารถ
1. บุคคลซึ่งมีเหตุบกพรอง เพราะรางกายพิการ หรือจิตฟนเฟอนไมสมประกอบ หรือมีความ ประพฤติสุรุยสุรายเสเพลเปนอาจิณ หรือติดสุรายาเมา หรือมีเหตุอื่นใดทํานองเดียวกันนั้น ถึงขนาดไม สามารถจัดทําการงานโดยตนเองได หรือจัดกิจการไปในทางที่อาจจะเสื่อมเสียแกทรัพยสินของตนเอง หรือครอบครัว เมื่อมีผูรองขอ ศาลอาจสั่งใหเปนคนเสมือนไรความสามารถ และใหอยูในความพิทักษของ บุคคลอื่น ซึ่งเรียกวา “ผูพิทก ั ษ” 2. คนเสมือนไรความสามารถยอมใชสิทธิและปฏิบัติหนาที่อยางบุคคลธรรมดาทั่วไป ยกเวน การ ทํานิติกรรมบางประเภทที่กฎหมายระบุไวใน ปพพ.มาตรา 34 ที่ตองไดรับความยินยอมของผูพิทักษกอน การที่ทํานั้นจึงมีผลสมบูรณ แตถาฝาฝนทํานิติกรรมไปโดยปราศจากความยินยอม การที่ทําขึ้นนั้นจะเปน โมฆียะ นอกจากนิติกรรมตามตามมาตรา 34 แลว ถามีพฤติการณ อันสมควรศาลจะสั่งใหการทํานิติกรรม อยางอื่นตองไดรับความยินยอมของผูพิทักษกอนก็ได อยางไรก็ตาม ถาเหตุแหงการเปนคนเสมือนไร ความสามารถนั้นมีเหตุมาจากการพิการ หรือจิตไมสมประกอบ ไมมีสภาพที่จะจัดการงานของตนเองไดเลย ศาลจะสั่งใหผูพิทักษเปนผูมีอํานาจกระทําการแทนก็ได
19 3. การเปนคนเสมือนไรความสามารถสิ้นสุดลงดวยเหตุ 3 ประการ คือ 1) คนเสมือนไร ความสามารถตาย 2) ถูกศาลสั่งใหเปนคนไรความสามารถ และ 3) เหตุบกพรองหมดไป และศาลสั่งเพิก ถอนคําสั่งใหเปนคนเสมือนไรความสามารถแลว 3.3.1 บุคคลที่อาจถูกศาลสั่งใหเปนคนเสมือนไรความสามารถ 1. บุคคลประเภทใดบาง ที่อาจถูกสั่งใหเปนคนเสมือนไรความสามารถ บุคคล ทีม ่ ีเหตุ 2 ประการ ดังตอไปนี้ประกอบกัน คือ ก) มีเหตุบกพรอง ข) เพราเหตุบกพรองทํา
ใหไมสามารถประกอบกิจการงานไดโดยตนเอง เหตุบกพรอง มี 5 ประการ คือ ก) กายพิการ ข) จิตฟน เฟอนไมสมประกอบ ค) ประพฤติสุรุยสุราย เสเพล เปนอาจิณ ง) ติดสุรายาเมา จ) เหตุอื่นๆ ทํานองเดียวกันกับ ขอ ก-ง
2. ก มีพี่ชายคนหนึ่งคือ ข และมีบุตรบุญธรรมจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมตามกฎหมายแลวอีก หนึ่งคนคือ ค ก ประสบอุบัติเหตุทําใหสมองพิการ มีอาการบาๆ บอๆ ไมสามารถจัดการงานของตนเองได ข จึงใหการดูแลรักษาพยาบาลตลอดมา สวน ค แตงงานแลวแยกไปอยูกับภรรยา ใหอธิบายวา ใครเปนผูมี สิทธิรองขอให ก เปนคนเสมือนไรความสามารถและใหอยูในความพิทักษใดบาง แยกออกเปนสองกรณีคอ ื (1) ข เปนพี่ชายของ ก จึงไมเปนผูทร ี่ ะบุไวในมาตรา 28 ใหมีสิทธิรอ งขอให ก เปนคนเสมือนไร ความสามารถ แต ข เปนผูดูแลและรักษาพยาบาล ก ตลอดมาจึงเปนผูพท ิ ก ั ษตามความเปนจริงและรอง ขอให ก เปนคนเสมือนไรความสามารถและใหอยูในความพิทก ั ษได ในฐานะผูพ ท ิ ักษตามพฤตินัย (2) ค เปนบุตรบุญธรรม ที่จดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมถูกตองตามกฎหมายแลว จึงมีฐานะอยาง เดียวกับบุตรชอบดวยกฎหมายของ ก และเปนผูสืบสันดานของ ก ตามที่ระบุไวในมาตรา 28 มีสิทธิรอง ขอให ก เปนคนเสมือนไรความสามารถ และใหอยูในความพิทก ั ษไดเชนเดียวกัน 3.3.2 ผลของการเปนคนเสมือนไรความสามารถ
1. อธิบายผลของการที่ถูกศาลสั่งใหเปนคนเสมือนไรความสามารถ ตองจัดใหอยูในความพิทักษ
2. ผูพิทักษ ตางกับผูอนุบาลหรือไม อธิบายหนาที่ของผูพิทักษ ผูพท ิ ักษ ไมสามารถทํานิตก ิ รรมบางชนิด คนเสมือนไรความสามารถนั้น นอกจากกรณีทก ี่ ฎหมาย ระบุไวโดยเฉพาะแลว ถือวามีความสามารถใชสิทธิไดอยางบุคคลธรรมดาทั่วไป เฉพาะกิจการที่ระบุไวใน ปพพ. มาตรา 34 หรือกิจการที่ศาลอาจสั่งเปนพิเศษเทานั้นที่คนเสมือนไรความสามารถถูกจํากัด ความสามารถ การจํากัดความสามารถนี้ก็เพียงแตวา ตองไดรับความยินยอมของผูพ ิทก ั ษกอ น ซึ่งหากฝา ฝนกิจการนั้นเปนโมฆียะ ผูพท ิ ักษไมมอ ี ํานาจหนาทีจ ่ ัดการทรัพยสิน หรือทํากิจการแทนคนเสมือนไรความสามารถ และไมมี ฐานะเปนผูแทนโดยชอบธรรมของคนเสมือนไรความสามารถ ผูพ ท ิ ักษเปนเพียงผูชวยเหลือควบคุมดูแล และใหความยินยอมในเมื่อคนไรความสามารถจะทํากิจการที่สา ํ คัญตาม ปพพ. มาตรา 34 เทานัน ้ ผูพิทก ั ษ ําเนินงานโดยตนเอง ยกเวนเขากรณีตามมาตรา 34 มิใชผูเริ่มทํางาน แตคนเสมือนไรความสามารถเปนผูด วรรคสาม ผูพ ท ิ ักษจะมีหนาที่เชนเดียวกับผูอนุบาล
3. คนเสมือนไรความสามารถรับการยกใหโดยเสนหา ไมมีเงื่อนไขหรือการติดพันโดยไดรับความ ยินยอมจากผูพิทักษ การรับการยกใหโดยเสนหานี้ สมบูรณเพียงใด หรือไม เพราะเหตุใด ตามหลักคนไรความสามารถทํานิตก ิ รรมไดอยางบุคคลธรรมดาทัว ่ ไปเฉพาะแตกิจการตาม ปพพ. มาตรา 34 และกิจการพิเศษที่ศาลสั่งหามเทานั้นที่ตอ งไดรับความยินยอมจากผูพ ท ิ ักษกอน นิตก ิ รรมจึงมี ผลสมบูรณ การรับการยกใหโดยเสนหาไมมีเงื่อนไขหรือภาระติดพันไมขัดตอมาตรา 34 (7) ซึ่งหาม เฉพาะรับการใหโดยเสนหาที่มีเงือ ่ นไขหรือคาภาระติดพัน และตาม มาตรา 35 (6) หามเฉพาะการใหโดย ่ อ งไดรับความยินยอมของผูพ ิทก ั ษ และไมปรากฏวาศาลไดมีคา ํ สั่งหามการรับการยกใหโดย เสนหา ทีต เสนหาวาตองไดรับความยินยอมจากผูพ ท ิ ักษกอน ดังนั้น การรับการยกใหโดยเสนหาจึงมีผลสมบูรณ 3.3.3 ความสิ้นสุดแหงการเปนคนเสมือนไรความสามารถ ก เปนคนเสมือนไรความสามารถเพราะจิตฟนเฟอน โดยมี ข เปนผูพิทักษ ตอมา ก หายจากโรค จิตฟนเฟอนและกลับมีความรูสึกผิดชอบดังเดิมแลวสามารถทําการงานไดเปนปกติ แต ข ถึงแกความตาย ดังนี้ การเปนคนเสมือนไรความสามารถสิ้นสุดหรือไม เพราะเหตุใด เดิม
(1) ฐานะการเปนคนเสมือนไรความสามารถยังไมสิ้นสุดลง
เพราะศาลยังไมไดสง ั่ เพิกถอนคําสั่ง
(2) ผูพ ิทก ั ษตายไมเปนเหตุสิ้นสุดแหงการเปนคนเสมือนไรความสามารถ
20 แบบประเมินผล หนวยที่ 3 ความสามารถ คนไรความสามารถ คือบุคคลวิกลจริตที่ศาลมีคําสั่งใหเปนคนไรความสามารถตองอยูในความอนุบาล (มาตรา 28 ) การใดๆ อันคนไรความสามารถทํา การนั้นเปนโมฆียะ (มาตรา 29) ซึ่งอาจบอกลางหรือใหสัตยาบันได กฎหมายกําหนดให ภูมิลําเนาของคนไรความสามารถไดแกภูมิลําเนาของผูอนุบาล (มาตรา 45) ผูอนุบาล คือบุคคลที่ศาลแตงตั้งใหเปนผูดูแลอนุบาลคนไรความสามารถ รวมทั้งการจัดการดูแลทรัพยสินตลอดจนทํา หนาที่ตางๆ แทนคนไรความสามารถในกรณีที่คนไรความสามารถมีคูสมรส คูสมรสยอมเปนผูอนุบาล (มาตรา 1463) ถาไมมีคู สมรสไมวาจะเปนผูเยาวหรือไมบิดามารดายอมเปนผูอนุบาล แตศาลอาจจะตั้งบุคคลอื่นเปนผูอนุบาลก็ได บุคคลวิกลจริต มิไดเปนเฉพาะบุคคลผูมีจิตผิดปกติ เปนคนบาเทานั้น แตหมายถึงบุคคลที่มีอาการกิริยาผิดปกติเพราะ สติวิปลาสคือขาดความลําลึก ขาดความรูสึก และขาดความรูสึกผิดชอบดวย เชน ผูที่ปวยเปนโรคเนื้องอกในสมอง ตองนอนอยู บนเตียงตลอดเวลา มีอาการพูดไมได ไมไดยิน ตาทั้งสองขางมองไมเห็น มีอาการอยางคนไมมีสติสัมปชัญญะใดๆ ถือเปนคน วิกลจริต คนเสมือนไรความสามารถ คือบุคคลที่ไมถึงกับเปนคนวิกลจริต แตเปนบุคคลที่ไมสามารถจะจัดทําการงานของ ตนเองได เพราะกายพิการ จิตฟนเฟอนไมสมประกอบ หรือประพฤติสุรุยสุรายเสเพลเปนอาจิณ หรือติดสุรายาเมา หรือมีเหตุอื่นๆ ในทํานองเดียวกันและศาลไดมีคําสั่งใหเปนคนไรความสามารถแลว ซึ่งจะตองอยูในความพิทักษ (มาตรา 32) ผูพิทักษ คือบุคคลที่ศาลแตงตั้งขึ้นใหเปนผูคอยดูแลชวยเหลือ โดยใหความยินยอมแกคนเสมือนไรความสามารถใน การทํากิจการบางอยางที่กฎหมายเห็นวาสําคัญ ความเปนคนเสมือนไรความสามารถสิ้นสุดลงเมื่อ (ก) คนเสมือนไรความสามารถตาย (ข) คนเสมือนไรความสามารถนั้นกลับกลายเปนคนวิกลจริตและถูกศาลสั่งใหเปนคนไรความสามารถ (ค) เหตุที่ศาลไดสั่งใหเปนคนเสมือนไรความสามารถไดสิ้นสุดลงแลว และศาลไดสั่งเพิกถอนคําสั่งที่ใหเปนคน เสมือนไรความสามารถนั้นแลว
1. ผูเยาวบรรลุนิตภ ิ าวะ เมื่อ อายุครบ 20 ปบริบูรณ
(มาตรา 19 บุคคลยอมพนจากภาวะผูเยาวและบรรลุนิติภาวะเมื่อมีอายุยี่สิบปบริบูรณ มาตรา 20 ผูเยาวยอมบรรลุนิติภาวะเมื่อทํา การสมรสหากการสมรสนั้นไดทําตามบทบัญญัติมาตรา 1448 )
2. ผูเยาวอายุ 14 ป ทําพินัยกรรมจะมีผลทําใหตกเปนโมฆะ (มาตรา 25 ผูเยาวอาจทําพินัยกรรมไดเมื่ออายุ 15 ปบริบูรณ )
3. ก ผูเยาว ขายทีด ่ ินโดยมีบิดามารดาลงชื่อเปนพยานในสัญญาซื้อขายจะมีผลคือ ทําไมไดตองขออนุญาต ศาลกอน 4. ผูวก ิ ลจริต ที่อาจถูกศาลสั่งใหเปนคนไรความสามารถ
(มาตรา 28 บุคคลวิกลจริตผูใด ถาคูสมรสก็ดี ผูบุพการีกลาวคือ บิดามารดา ปูยา ตายาย ทวดก็ดี ผูสืบสันดานกลาวคือ ลูก หลาน เหลน ลื่อก็ดี ผูปกครองหรือผูพิทักษก็ดี ผูซึ่งปกครองดูแลบุคคลนั้นอยูก็ดี พนักงานอัยการก็ดี รองขอตอศาลใหสั่งใหบุคคลวิกลจริตผูนั้นเปนคน ไรความสามารถ ศาลจะสั่งใหบุคคลวิกลจริตผูนั้นเปนคนไรความสามารถก็ได บุคคลซึ่งศาลไดสั่งใหเปนคนไรความสามารถตามวรรคหนึ่ง ตองจัดใหอยูในความอนุบาล การแตงตั้งผูอนุบาล อํานาจหนาที่ ของผูอนุบาล และการสิ้นสุดของความเปนผูอนุบาล ใหเปนไปตามบทบัญญัติบรรพ 5 แหงประมวลกฎหมายนี้ )
5. คนไรความสามารถ กฎหมายบัญญัติใหตองอยูในความอนุบาล
(ตาม มาตรา 28 วรรคสอง บุคคลซึ่งศาลไดสั่งใหเปนคนไรความสามารถตามวรรคหนึ่งตองจัดใหอยูในความอนุบาล การแตงตั้งผู อนุบาล อํานาจหนาที่ของผูอนุบาล และการสิ้นสุดของความเปนผูอนุบาล ใหเปนไปตามบทบัญญัติบรรพ 5 แหงประมวลกฎหมายนี้)
6. คนวิกลจริตที่ศาลยังไมไดสั่งใหเปนคนไรความสามารถทํานิติกรรม มีผลสมบูรณ แตอาจเปนโมฆียะ ถา ทําในขณะมีอาการวิกลจริต และคูก รณีอก ี ฝายรูว าผูทา ํ เปนคนวิกลจริต
(มาตรา 30 การใด อันบุคคลวิกลจริตซึ่งศาลยังมิไดสั่งใหเปนคนไรความสามารถไดกระทําลง การนั้นจะเปนโมฆียะตอเมื่อไดกระทําใน ขณะที่บุคคลนั้นจริตวิกลอยู และคูกรณีอีกฝายหนึ่งไดรูแลวดวยวาผูกระทําเปนคนวิกลจริต )
7. นิติกรรมทีผ ่ ูเยาวสามารถทําไดโดยไมตองรับคํายินยอมจากผูแทนโดยชอบธรรมกอน คือรับการใหโดย เสนหา
(มาตรา 34 คนเสมือนไรความสามารถนั้น ตองไดรับความยินยอมของผูพิทักษกอนแลวจึงจะทําการอยางหนึ่งอยางใดดังตอไปนี้ (1) นําทรัพยสินไปลงทุน (2) รับคืนทรัพยสินที่ไปลงทุน ตนเงินหรือทุนอยางอื่น (3) กูยืมหรือใหกูยืมเงิน ยืมหรือใหยืมสังหาริมทรัพยอันมีคา (4) รับประกันโดยประการใดๆอันมีผลใหตนตองถูกบังคับชําระหนี้ (5) เชาหรือเชาสังหาริมทรัพยมีกําหนดเกินกวาระยะเวลา 6 เดือน หรืออสังหาริมทรัพยมีกําหนดระยะเวลาเกินกวา 3 ป (6) ใหโดยเสนหา เวนแตการใหที่พอควรกาฐานานุรูป เพื่อการกุศล การสังคม หรือตามหนาที่ธรรมจรรยา (7) รับการใหโดยเสนหาที่มีเงื่อนไข หรือคาภาระติดพัน หรือไมรับการใหโดยเสนหา (8) ทําการอยางหนึ่งอยางใดเพื่อจะไดมาหรือปลอยไปซึ่งสิทธิในอสังหาริมทรัพยหรือในสังหาริมทรัพยอันมีคา (9) กอสรางหรือดัดแปลงโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสรางอยางอื่น หรือซอมแซมอยางใหญ (10) เสนอคดีตอศาลหรือหรือดําเนินกระบวนพิจารณาใดๆ เวนแตการรองขอตามมาตรา 35 หรือการรองขอถอนผูพิทักษ (11) ประนีประนอมยอมความหรือมอบขอพิพาทใหอนุญาโตตุลาการวินิจฉัย ถามีกรณีอื่นใดนอกเหนือจากที่กลาวในวรรคหนึ่ง ซึ่งคนเสมือนไรความสามารถอาจจัดการไปในทางเสื่อมเสียแกทรัพยสินของตนเอง หรือครอบครัว ในการสั่งใหบุคคลใดเปนคนเสมือนไรความสามารถ หรือเมื่อผูพิทักษรองขอในภายหลัง ศาลมีอํานาจสั่งใหคนเสมือนไร ความสามารถนั้นตองไดรับความยินยอมของผูพิทักษกอนจึงจะทําการนั้นได ในกรณีที่คนเสมือนไรความสามารถไมสามารถจะทําการอยางหนึ่งอยางใดที่กลาวมาในวรรคหนึ่ง หรือวรรคสองไดดวยตนเองเพราะ เหตุมีกายพิการหรือมีจิตฟนเฟอนไมสมประกอบ ศาลจะสั่งใหผูพิทักษเปนผูมีอํานาจกระทําการแทนคนเสมือนไรความสามารถก็ได ในการเชนนี้ ใหนําบทบัญญัติที่เกี่ยวกับผูอนุบาลมาใชบังคับแกผูพิทักษโดยอนุโลม คําสั่งของศาลตามมาตรานี้ ใหประกาศในราชกิจจานุเบกษา การใดกระทําลงโดยฝาฝนบทบัญญัติมาตรานี้ การนั้นเปนโมฆียะ
8. บุคคลผูมส ี ิทธิรอ งขอใหศาลสัง่ ใหบุคคลใดๆตกเปนเสมือนคนไรความสามารถ คือ พนักงานอัยการ
21 (มาตรา 28 บุคคลวิกลจริตผูใด ถาคูสมรสก็ดี ผูบุพการีกลาวคือ บิดามารดา ปูยา ตายาย ทวดก็ดี ผูสืบสันดานกลาวคือ ลูก หลาน เหลน ลื่อก็ดี ผูปกครองหรือผูพิทักษก็ดี ผูซึ่งปกครองดูแลบุคคลนั้นอยูก็ดี พนักงานอัยการก็ดี รองขอตอศาลใหสั่งใหบุคคลวิกลจริตผูนั้นเปนคน ไรความสามารถ ศาลจะสั่งใหบุคคลวิกลจริตผูนั้นเปนคนไรความสามารถก็ได บุคคลซึ่งศาลไดสั่งใหเปนคนไรความสามารถตามวรรคหนึ่ง ตองจัดใหอยูในความอนุบาล การแตงตั้งผูอนุบาล อํานาจหนาที่ ของผูอนุบาล และการสิ้นสุดของความเปนผูอนุบาล ใหเปนไปตามบทบัญญัติบรรพ 5 แหงประมวลกฎหมายนี้ )
9. กิจการทีค ่ นเสมือนไรความสามารถทําไดเองโดยไมตองไดรบ ั ความยินยอมจากผูพท ิ ักษคอ ื รองขอถอนผู พิทก ั ษ (มาตรา 34 (10) )
10. เหตุสิ้นสุดแหงการเปนคนเสมือนไรความสามารถ คือ ถูกศาลสั่งใหเปนคนไรความสามารถ
(มาตรา 36 ถาเหตุที่ศาลไดสั่งใหเปน คนเสมือนไรความสามารถ ไดสิ้นสุดไปแลว ใหนําบทบัญญัติมาตรา 31 มาใชบังคับโดย
อนุโลม มาตรา 31 ถาเหตุที่ทําใหเปนคนไรความสามารถไดสิ้นสุดลงไปแลว และเมื่อบุคคลนั้นเองหรือบุคคลใดๆ ดังกลาวมาในมาตรา 28 รอง ขอตอศาลก็ใหศาลสั่งเพิกถอนคําสั่งที่ใหเปนคนไรความสามารถนั้น คําสั่งของศาลตามมาตรานี้ใหประกาศในราชกิจจานุเบกษา )
หนวยที่ 4 นิติบุคคล 1. นิติบุคคลคือบุคคลที่กฎหมายสมมติขึ้นใหมีสิทธิและหนาที่ดังเชนบุคคลธรรมดา เวนแตสิทธิและ หนาที่บางประการที่ถูกจํากัดโดยกฎหมาย โดยวัตถุประสงคของนิติบุคคลนั่นเอง หรือโดยสภาพที่จะมีและ เปนไดเฉพาะแกบุคคลธรรมดาเทานั้น 2. นิติบุคคลจะมีขึ้นไดก็โดยอาศัยอํานาจของกฎหมายบัญญัติรับรองใหเปนเชนนั้น 3. นิติบุคคลตองมีผูแทนคนหนึ่งหรือหลายคน ทั้งนี้ตามที่กฎหมาย ขอบังคับหรือตราสารจัดตั้งจะได กําหนดไว ความประสงคของนิติบุคคลยอมแสดงออกโดยผูแทนของนิติบุคคล 4. การสิ้นสุดของนิติบุคคลมี 2 กรณี คือ การเลิกนิติบุคคล และนิติบุคคลรางไป 4.1 หลักเกณฑเบื้องตนของนิติบุคคล 1. นิติบุคคลเกิดขึ้นมาเพื่อรองรับพัฒนาการทางดานสังคมและธุรกิจซึ่งเจริญกาวหนา นิติบุคคลนั้นมี ความสําคัญเพราะ สามารถมีสิทธิหนาที่ที่จะกอผลผูกพันในกฎหมายรวมถึงการดําเนินคดีและสามารถมี กรรมสิทธิ์ในทรัพยสิน 2. เปนบุคคลที่กฎหมายสมมติขึ้น มีสิทธิและหนาที่ตามบทบัญญัติแหงประมวลกฎหมายนี้ หรือ กฎหมายอื่น ภายในขอบเขตแหงอํานาจหนาที่ หรือวัตถุประสงคดังไดบัญญัติ หรือกําหนดไวในกฎหมาย ขอบังคับ หรือตราสารจัดตั้ง 3. นิติบุคคลนั้นสามารถรับผิดไดทั้งในคดีแพง และคดีอาญา 4.1.1 ความเปนมาและความสําคัญของนิติบุคคล ความสําคัญของนิติบุคคลมีอยางไรบาง (1) ความสําคัญตอบุคคลภายนอก ซึง ่ ตองมีผูแทนของนิตบ ิ ุคคลเปนผูแสดงเจตนาแทนนิติบุคคล ในการทํางานตางๆ ตอบุคคลภายนอก (2) ความสําคัญในการดําเนินคดี เนื่องจากผูท ี่จะฟองหรือถูกฟองคดีได จะตองเปนบุคคล ธรรมดาหรือนิติบุคคลเทานั้น (3) ความสําคัญในการมีสิทธิในทรัพยสินซึ่งนิติบุคคลสามารถมีกรรมสิทธิ์ในทรัพยสน ิ ไดเชน เดียว กับบุคคลธรรมดา
4.1.2 ลักษณะและสภาพของนิติบุคคล นิติบุคคลเกิดขึ้นไดอยางไร และมีสิทธิและหนาที่เหมือนบุคคลธรรมดาหรือไม นิติบุคคลเปนคณะบุคคลทีร ่ วมตัวกันสมมติขึ้น โดยอาศัยอํานาจกฎหมายรับรองใหมีสภาพบุคคล โดยอาศัยผูแทนในการดําเนินกิจการ ซึง ่ ยอมมีสท ิ ธิ หนาที่เชนเดียวกับบุคคลธรรมดา เวนแต สิทธิ หนาที่ โดยสภาพ ซึ่งพึงมีไดแตเฉพาะบุคคลธรรมดาเทานั้น
4.1.3 ความรับผิดชอบของนิติบุคคลทางคดี นิติบุคคลจะมีความรับผิดชอบทางคดีไดหรือไมอยางไร ความรับผิดชอบในทางคดีของนิติบุคคลมิไดทั้งในคดีแพง อันไดแก การที่นิติบค ุ คลทําละเมิด แม จะผานขั้นตอนจากการกระทําของผูแทนก็ตาม และความรับผิดในทางคดีอาญา หากความรับผิดชอบนั้น ผูแทนของนิตบ ิ ุคคลไดกระทําไปในการดําเนินงานตามวัตถุประสงคของนิติบุคคล
4.2
การประกอบขึ้นเปนนิติบุคคล
22 1. นิติบุคคลจะมีขึ้นไดก็แตดวยอาศัยอํานาจแหงประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น 2. ภูมิลําเนาของนิติบุคคล ไดแก ที่ตั้งสํานักงานใหญ ในกรณีที่มีที่ทําการหลายแหง หรือ สํานักงานสาขาใหถือวาที่ตั้งของที่ทําการหรือสํานักงานสาขาเปนภูมิลําเนาในสวนกิจการนั้นดวย 3. สัญชาติของนิติบุคคลนั้นใหถือวามีสัญชาติตามกฎหมายที่กอตั้งนิติบุคคลนั้น
มี
4.2.1 การกอตั้งนิติบุคคล นิติบุคคลตั้งขึ้นไดอยางไร และตั้งขึ้นไดโดยวิธีใดบาง นิติบุคคลจะกอตั้งขึ้นได โดยอาศัยอํานาจแหงกฎหมาย คือ (1) โดยอาศัยอํานาจ ปพพ. (2) โดย อาศัยอํานาจตามกฎหมายอื่น ซึ่งเปนกฎหมายเฉพาะ วิธก ี ารตั้งนิตบ ิ ุคคลมี 2 วิธี คือ - ตั้งโดยกฎหมาย คือ กฎหมายไดบญ ั ญัตก ิ อตั้งกิจการหรือองคกรขึน ้ เมื่อไดมก ี ารประกอบตัง ้ ขึน ้ ตามวิธก ี ารของกฎหมาย และกฎหมายนั้นจะบัญญัติโดยตรงเลยวา ใหกิจการหรือองคกรนั้นเปนนิติบุคคล - ตั้งโดยวิธก ี ารของกฎหมาย เปนการกระทําโดยอาศัยอํานาจของกฎหมาย แตตองปฏิบต ั ิตาม ขั้นตอนและในที่สุดจะมีการจดทะเบียนตอพนักงานเจาหนาที่ เมื่อจดทะเบียนถูกตอง จึงเปนนิตบ ิ ุคคล
4.2.2 ภูมิลําเนานิติบุคคล ที่ใดเปนภูมิลําเนาของนิติบุคคล และนิติบุคคลหนึ่งสามารถมีภูมิลําเนาหลายแหงไดหรือไม ภูมิลําเนาของนิติบุคคล ไดแกที่ตั้งสํานักงานใหญ หรือถิ่นที่เลือกเอาเปนภูมิลา ํ เนาเฉพาะการใด การหนึง ่ ตามขอบังคับหรือตราสารจัดตัง ้ นอกจากสํานักงานสาขา ซึ่งอาจมีอยูใ นขอบังคับ หรือตราสาร จัดตั้ง หรือไมมีอยูในขอบังคับ หรือตราสารจัดตัง ้ ก็เปนภูมิลําเนาของนิตบ ิ ุคคลในสวนของกิจการที่ได ่ ั้งทีท ่ า ํ การหรือสํานักงานสาขา ดังนั้น นิติบค ุ คลหนึ่งจึงอาจมี กระทํานั้น หากไดความวาถิ่นนั้นเปนทีต ภูมิลําเนาไดหลายแหง
4.2.3 สัญชาติของนิติบุคคล นิติบุคคลมีสัญชาติไดหรือไม และถือสัญชาติตามกฎหมายใด นิติบุคคลมีสัญชาติไดตามกฎหมายที่กอ ตั้งนิติบค ุ คลนัน ้ นิติบุคคลทีต ่ ั้งขึ้นตามกฎหมายไทยจะได สัญชาติไทย สวนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายตางประเทศมีฐานะเปนนิติบุคคลตางดาว
4.3 การดําเนินงานของนิติบุคคล 1. นิติบุคคลยอมมีสิทธิและหนาที่ตามบทบัญญัติแหงกฎหมาย หรือภายในขอบเขตอํานาจหนาที่ หรือวัตถุประสงคที่กําหนด หรือตราสารจัดตั้ง ทั้งยังมีสิทธิและหนาที่เชนเดียวกับบุคคลธรรมดา เวนแต สิทธิและหนาที่ซึ่งสภาพจะพึงมีพึงเปนไดเฉพาะแตบุคคลธรรมดาเทานั้น 2. ผูแทนของนิติบุคคลจะมีคนหนึ่งหรือหลายคนก็ได ทั้งนี้เปนไปตามกฎหมาย ขอบังคับหรือตราสาร จัดตั้งจะกําหนดไว ผูแทนของนิติบุคคลเปนผูจัดการนิติบุคคลใหเปนไปตามวัตถุประสงคของนิติบุคคล 3. นิติบุคคลตองรับผิดชอบชดใชคาสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายตอบุคคลอื่น ถาความเสียหาย นั้นเกิดจากการกระทําตามหนาที่ของผูแทนของนิติบุคคล แตถาผูแทนกระทํากิจการนอกขอบวัตถุประสงค หรือเกินอํานาจ นิติบุคคลไมตองรับผิด แตผูแทนนิติบุคคลตองรับผิดเปนสวนตัว 4.3.1 สิทธิและหนาที่ของนิติบุคคล นิติบุคคลมีสิทธิและหนาที่เพียงใด นิติบุคคลมีสิทธิและหนาที่ ตามกฎหมาย ไมวาตาม ปพพ หรือ กฎหมายอื่นซึ่งบัญญัติเรือ ่ งนั้นๆ ไวโดยเฉพาะ และนอกจากมีสิทธิและหนาที่ตามกฎหมายดังกลาว ในการดําเนินงานจะตองอยูใ นขอบแหง อํานาจหนาทีห ่ รือวัตถุประสงคตามที่กา ํ หนดไวในกฎหมาย ขอบังคับ หรือตราสารจัดตั้งดวย จะดําเนินงาน นอกวัตถุประสงคไมได นิติบุคคลมีสิทธิและหนาที่ เชนเดียวกับบุคคลธรรมดา กลาวคือ หากโดยสภาพของสิทธิและ หนาที่นั้นบุคคลสามารถทําได ก็คือวา นิตบ ิ ุคคลทําได แตสิทธิและหนาที่บางอยางที่โดยสภาพจํากัดเฉพาะ บุคคลเทานั้นที่มห ี รือทําได นิติบุคคลก็ไมอาจทําหรือดําเนินการได
4.3.2 ผูแทนของนิติบุคคล 1. นิติบุคคลจําเปนตองมีผูแทนของนิติบุคคลหรือไม เทาใด และใครคือผูแทนของนิติบุคคล
และหารกจําเปนตองมี
ตองมีจํานวน
นิติบุคคลตองมีผูแทนเปนผูแ สดงเจตนาของนิตบ ิ ุคคลเสมอ สําหรับจํานวนของผูแทนของนิติ บุคคลนั้นจะมีคนเดียวหรือหลายคนขึ้นอยูกับกฎหมาย ขอบังคับ หรือตราสารจัดตัง ้ จะกําหนดไว สําหรับนิติ บุคคลที่ตง ั้ ขึ้นตามกฎหมายอื่นๆ ก็ตองดูวา ตามกฎหมายนั้น ใครเปนผูแสดงความประสงคของนิติบุคคล ได ผูนั้นก็เปนผูแทนของนิติบุคคลทีต ่ ั้งขึน ้ โดยวิธก ี ารของกฎหมาย ตองพิจารณาขอบังคับ หรือตราสาร จัดตั้งวากําหนดใหใครเปนผูแทนนิติบค ุ คล
23
2. หากผูแทนของนิติบุคคล กระทําการนอกขอบวัตถุประสงคของนิติบุคคลและจะมีผลผูกพัน นิติบุคคลหรือไม เพียงใด และใครจะตองรับผิดชอบตอความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยหลักแลว ผูแทนนิติบค ุ คลตองดําเนินงานในขอบวัตถุประสงคของนิตบ ิ ุคคล กิจการนั้นจึงจะ ผูกพันนิติบุคคล ดังนั้นหากผูแทนไมทําในขอบวัตถุประสงคของนิติบุคคล หากเกิดความเสียหายขึน ้ ผูแทนนั้นตองรับผิดชอบชดใชคาสินไหมทดแทนแกผูไดรับความเสียหายโดยสวนตัว และผูแทนคนอื่นๆที่ ใหความเห็นชอบในการกระทํานั้นก็ตองรวมรับผิดชอบดวย
4.3.3 ความรับผิดชอบของนิติบุคคลตอบุคคลภายนอก การกระทําของผูแทนของนิติบุคคล ซึ่งเปนเหตุใหเกิดความเสียหายแกบุคคลอื่น ในกรณีใดที่ นิติบุคคลตองรับผิดชอบตอบุคคลภายนอก และในกรณีใดบางที่ผูแทนจะตองรับผิดชอบ ตองพิจารณาวา การกระทําของผูแทนของนิตบ ิ ุคคล ซึ่งทําใหเกิดความเสียหายแกบุคคลอื่นนั้น เปนการกระทําตามหนาทีข ่ องผูแทนหรือเปนการกระทําที่ไมอยูในขอบวัตถุประสงคหรืออํานาจหนาที่ของ นิติบุคคล หากเปนการกระทําตามหนาที่ของผูแทนแลว นิติบค ุ คลตองรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนใน ความเสียหายนั้น แตก็สามารถไลเบี้ยเอากับผูค วามเสียหายได ่ องนิติบุคคลแลว ผูแทนของ หากเกิดการกระทําที่ไมอยูในขอบวัตถุประสงค หรืออํานาจหนาทีข นิติบุคคลที่เห็นชอบในการกระทํานั้น หรือผูแทนทีก ่ ระทําการนั้นตองรวมกันชดใชคาสินไหมทดแทนแกผูที่ ไดรับความเสียหาย อยางไรก็ตามหากการกระทําของผูแทนอยูนอกขอบวัตถุประสงคของนิติบุคคล แตบุคคลไดรับ เอาผลงานโดยตรงก็เทากับเปนใหสัตยาบันแกการทํางานของผูแทน นิติบุคคลจึงตองรับผิดในความ เสียหายที่เกิดขึ้นกับบุคคลภายนอกดวย
4.4 การสิ้นสุดของนิติบุคคล 1. นิติบุคคลเมื่อเกิดขึ้นโดยบทบัญญัติของกฎหมายก็เลิกโดยบทบัญญัติของกฎหมาย โดยปฏิบัติ ตามที่กฎหมายกําหนดไว 2. นิติบุคคลมีวัตถุประสงคที่กําหนดไวในตราสารจัดตั้งและไดกําหนดเลิกนิติบุคคลไว 3. ในบางกรณีนิติบุคคลไดจัดตั้งขึ้นแลว แตไมดําเนินการใดๆ ก็เปนนิติบุคคลรางไป จึงถือไดวาเปน การเลิกนิติบุคคลไปโดยปริยาย 4.4.1 การเลิกนิติบุคคล การเลิกนิติบุคคลกระทําอยางไรบาง (1) การเลิกนิตบ ิ ุคคลตามกฎหมาย โดยพิจารณากฎหมายที่จัดตั้ง หรือกําหนดวิธก ี ารจัดตั้งนิติ บุคคลนั้นวาไดกา ํ หนดใหสน ิ้ สุดลงอยางไร (2) การเลิกนิตบ ิ ุคคลตามขอบังคับหรือตราสารจัดตั้ง กลาวคือ กรณีไมมีกฎหมายกําหนดไว ดู จากวัตถุประสงคทก ี่ า ํ หนดในขอบังคับหรือตราสารจัดตัง ้ เมื่อไดทําตามวัตถุประสงคเสร็จสิ้นแลว สภาพนิติ บุคคลก็ยอมหมดไป หรือบางกรณีขอ บังคับกับตราสารจัดตั้งนิตบ ิ ุคคลอาจกําหนดวิธก ี ารเลิกนิติบุคคลไวก็ เปนไปตามนัน ้
4.4.2 นิติบุคคลรางไป กรณีใดที่ถือวานิติบุคคลรางไป และยังถือวานิติบุคคลที่รางไปยังมีสภาพบุคคลอยูหรือไม กรณีที่นิติบค ุ คลรางไป เปนกรณีที่นิตบ ิ ุคคลยังไมไดเลิกไปโดยกระทําครบถวนตามกฎหมาย แตไดดําเนินกิจการแลว ผูแทนของนิตบ ิ ุคคลที่มอ ี ยูไมไดทา ํ อะไร ปลอยใหนิตบ ิ ุคคลนั้นอยูเฉยๆ ซึ่งยังตอง ถือวามีสภาพเปนนิติบุคคลอยู หากนิตบ ิ ค ุ คลนั้นดําเนินการตอไปก็ยอมทําได แตอยางไรก็เปนกรณีที่นต ิ ิ บุคคลไดรางมาเปนเวลานาน นาจะถือวาเปนการเลิกนิติบุคคลโดยปริยาย แบบประเมินผล หนวยที่ 4 นิติบุคคล นิติบุคคลกอตั้งขึ้นไดก็โดยอาศัยอํานาจ ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย ซึ่งแบงนิติบุคคลออกเปน 5 ประเภท คือ สมาคม มูลนิธิ หางหุนสวนสามัญ หางหุนสวนจํากัด และบริษัทจํากัด กฎหมายอื่น เชน เนติบัณฑิตสภา มหาวิทยาลัย สํานักงานสภา ทบวงการเมือง ไดแกกระทรวง ทบวง กรมในรัฐบาล ตาม พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการแผนดิน พ.ศ. 2534 บริหารสวนกลาง บริหารสวนภูมิภาค พระราชบัญญัติคณะสงค วัดวาอาราม รวมทั้งมัสยิด
24 การสิ้นสุดสภาพนิติบุคคล สิ้นสภาพโดยการยุบ หรือยกเลิกการเปนนิติบุคคล โดยผลของกําหมาย ขอบังคับ ตราสาร จัดตั้ง ตามที่ตกลงกัน หรือโดยคําสั่งศาล การยุบหรือเลิกนิติบุคคลไมมีบทบัญญัติไวในหลักทั่วไป การพิจารณาวานิติบุคคลใดสิ้น สภาพ ตองดูจากกฎหมายเฉพาะเรื่องของนิติบุคคลแตละประเภทนั้น ุ คลนั้น เชน ผูถอ ื หุน ผูมีสวนไดเสีย หมายถึง ผูไ ดประโยชนหรือเสียประโยชนในการดําเนินงานของนิติบค นิติบุคคล คือบุคคลที่กฎหมายสมมติขึ้น ใหมีสิทธิและหนาที่เชนเดียวกับบุคคลธรรมดา เวนเสียแตโดยสภาพจะพึงมี พึงไดเฉพาะแกบุคคลธรรมดา ทั้งนี้โดยอยูภายใตขอบแหงอํานาจหนาที่หรือวัตถุประสงคที่กําหนดไวในกฎหมาย ขอบังคับหรือ ตองดําเนินหรือ ตราสารจัดตั้งของนิติบุคคลนั้น แตนิติบุคคลจะดําเนินงานหรือปฏิบัติงานตามวัตถุประสงคดวยตนเองไมได ปฏิบัติงานโดยผูแทน ผูแทนจะเปนผูแสดงออกซึ่งความประสงคของนิติบุคคลมีอํานาจหนาที่ที่กระทําการในนามนิติบุคคลภายใน อํานาจของตน และถือเปนการกระทําของนิติบุคคลเอง มิใชผูรับมอบอํานาจจากนิติบุคคลหรือนิติบุคคลเปนผูสั่งการใหทํา จึงไม ถูกจํากัดอํานาจตามมาตรา 801
1. นิติบุคคลมีสิทธิหนาที่ เหมือนบุคคลธรรมดา เวนแตสท ิ ธิหนาที่บางประการถูกจํากัดโดยกําหมาย และ วัตถุประสงคของนิติบุคคลนั้นเอง และโดยหลักธรรมชาติ
(มาตรา 67 ภายใตขอบังคับมาตรา 66 นิติบุคคลยอมมีสิทธิและหนาที่เชนเดียวกับบุคคลธรรมดา เวนแตสิทธิและหนาที่ซึ่งโดยสภาพ จะพึงมีพึงเปนไดเฉพาะแกบุคคลธรรมดาเทานั้น )
2. นิติบุคคลมีขึ้นไดโดย อาศัยอํานาจตามกฎหมายแพงและพาณิชย หรือกฎหมายอื่น
( มาตรา 65 นิติบุคคลจะมีขึ้นไดก็แตดวยอาศัยอํานาจแหงประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น มาตรา 66 นิติบุคคลยอมมีสิทธิและหนาที่ตามบทบัญญัติแหงประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น ภายในของเขตแหงอํานาจหนาที่ หรือวัตถุประสงคดังไดบัญญัติหรือกําหนดไวในกฎหมาย ขอบังคับหรือตราสารจัดตั้ง )
3. นิติบุคคลไดแก (ก) มูลนิธิ (ข) บริษท ั จํากัด (ค) สมาคม (ง) กระทรวง ทบวง กรม (ง) หางหุนสวน สามัญ ่ ั้งสํานักงาน (ข) ถิ่นที่เลือกเอาเปนภูมิลําเนาเฉพาะหารตาม 4. ภูมิลําเนานิติบค ุ คลไดแก (ก) ถิ่นทีต ขอบังคับ (ค) ถิ่นทีต ่ ั้งสํานักงานสาขา
( มาตรา 68 ภูมิลําเนาของนิติบุคคลไดแกถิ่นอันเปนที่ตั้งสํานักงานใหญ หรือถิ่นอันเปนที่ตั้งที่ทําการ หรือถิ่นที่ไดเลือกเอาเปน ภูมิลําเนาเฉพาะการ ตามขอบังคับหรือตราสารจัดตั้ง มาตรา 69 ในกรณีที่นิติบุคคลมีที่ตั้งที่ทําการหลายแหงหรือมีสํานักงานสาขา ใหถือวาถิ่นอันเปนที่ตั้งของที่ทําการหรือของสํานักงาน สาขาเปนภูมิลําเนาในสวนกิจการอันไดกระทํา ณ ที่นั้นดวย )
5. ขอความตอไปนี้ถูกตอง (ก) อันความประสงคของนิติบุคคลนั้น ยอมแสดงปรากฏจากผูแ ทน ทั้งหลายของนิติบุคคล (ข) ผูแทนนิติบค ุ คล คือ ผูท ม ี่ ีอํานาจหนาที่จัดการแทนนิติบุคคล (ค) นิติบุคคล อาจตองรวมรับผิดในทางอาญาดวย 6. นิติบุคคลสามารถมีสท ิ ธิ และหนาที่ เปนผูจัดการมรดกได
(มาตรา 67 ภายใตบังคับมาตรา 66 นิติบุคคลยอมมีสิทธิและหนาที่เชนเดียวกับบุคคลธรรมดา เวนแตสิทธิและหนาที่ซึ่งโดยสภาพจะ พึงมีพึงเปนไดเฉพาะแกบุคคลธรรมดาเทานั้น ) ในเมื่อบุคคลธรรมดาเปนผูจัดการมรดกได นิติบุคคลก็สามารถเปนผูจัดการมรดกไดเชนเดียวกัน
7. ถาผูจ ัดการนิตบ ิ ุคคลทําการตามหนาที่ แตเกิดความเสียหายแกบุคคลภายนอก นิติบุคคลตองรับผิดชอบ
( มาตรา 76 ถาการกระทําตามหนาที่ของผูแทนของนิติบุคคลหรือผูมีอํานาจทําการแทนนิติบุคคล เปนเหตุใหเกิดความเสียหายแก บุคคลอื่น นิติบุคคลนั้นตองรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้น แตไมสูญเสียสิทธิที่จะไลเบี้ยเอาแกผูกอความเสียหาย ถาความเสียหายแกบุคคลอื่นเกิดจากการกระทําที่ไมอยูในขอบวัตถุประสงคหรืออํานาจหนาที่ของนิติบุคคล บรรดาบุคคลดังกลาวตาม วรรคหนึ่งที่ไดเห็นชอบใหกระทําการนั้น หรือไดเปนผูกระทําการดังกลาวตองรวมกันรับผิดชอบชดใชคาสินไหมทดแทนแกผูไดรับความเสียหายนั้น )
8. นิติบุคคลไดแก (ก) ทบวงการเมือง (ข) วัดวาอาราม (ค) หางหุนสวนจํากัดที่จดทะเบียนแลว (ค) หาง หุนสวนสามัญ เปนนิติบุคคล
นิติบุคคลไดแก สมาคม มูลนิธิ หางหุนสวนสามัญ หางหุนสวนจํากัด บริษัทจํากัด เนติบัณฑิตสภา มหาวิทยาลัย สํานักงานสภา สํานักงานศาลรัฐธรรมนูญ สภาตําบล องคการบริหารสวนตําบล มัสยิดซึ่งไดจดทะเบียนเปนนิติบุคคลแลว โรงเรียนที่เปนสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และสถานศึกษาของรัฐที่จัดการศึกษาระดับปริญญาตรี ทบวงการเมือง กระทรวง ทบวง กรม จังหวัด องคการบริหารสวนจังหวัด เทศบาล สุขาภิบาล ราชการสวนทองถิ่น เชน กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา วัดวาอาราม นิติบุคคลมีขึ้นไดก็โดยกฎหมายใหอํานาจเทานั้น ถากฎหมายไมใหอํานาจก็ไมเปนนิติบุคคล เชนรัฐบาล สุเหรา คณะกรรมการรับและ เปดซอง พวกนี้ไมอาจถูกฟองคดีในศาลได เพราะผูที่จะถูกฟองนั้นจะตองเปนบุคคลหรือนิติบุคคล ตําแหนงหนาที่บางตําแหนงมีสิทธิหนาที่ตามกฎหมาย ซึ่งอาจถูกฟองหรือฟองรองในฐานะที่กฎหมายระบุไว เชน ผูวาราชการจังหวัด นายอําเภอ ถึงแมวาจะมิไดเปนนิติบุคคล
9. ถาประโยชนไดเสียของนิติบุคคลขัดกับประโยชนไดเสียของผูแทนนิติบค ุ คล ผูแทนนิตบ ิ ค ุ คลนั้นจะเปน ผูแทนในการนั้นไมได
( มาตรา 74 ถาประโยชนไดเสียของนิติบุคคลขัดกับประโยชนไดเสียของผูแทนนิติบุคคลในการอันใด ผูแทนของนิติบุคคลนั้นจะเปน ผูแทนในการนั้นไมได )
10. ขอที่ถูกตองคือ (ก) นิติบุคคลกอตัง ้ โดยประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย (ข) นิติบุคคลสามารถ กอตั้งไดโดยกฎหมายอื่น (ค) มัสยิดที่จดทะเบียนแลวเปนนิติบุคคล (ง) รัฐวิสาหกิจเปนนิติบุคคล 11. ผูจัดการทํานอกขอบวัตถุประสงคของนิติบค ุ คลทําใหเกิดความเสียหายแกบุคคลภายนอก นิติบุคคลไม ตองรับผิดชอบ และผูจด ั การตองรับผิดชอบเปนสวนตัว ( มาตรา 76 )
12. การเลิกนิติบุคคล (ก) นิติบุคคลลมละลาย (ข) นิติบุคคลราง (ค) เลิกตามตราสารจัดตั้ง (ง) เลิก ตามขอบังคับ การยุบหรือเลิกนิติบุคคลไมมีบทบัญญัติไวในหลักทั่วไป การพิจารนาวานิติบค ุ คลใดสิ้นสภาพ ตองดูจาก กฎหมายเฉพาะเรื่องของนิติบุคคลแตละประเภทนั้น
25 หนวยที่ 5 นิติบุคคล : สมาคม 1. สมาคมเปนนิติบุคคลประเภทหนึ่ง โดยมีลักษณะตอเนื่องรวมกัน และมิใชเปนการหาผลกําไรหรือ
รายไดมาแบงปนกัน ตองมีขอบังคับและจดทะเบียนตามกฎหมาย โดยมีรัฐเปนผูมีอํานาจควบคุมสมาคม 2. สมาคมประกอบขึ้นดวย ชื่อสมาคม การจดทะเบียน และภูมิลําเนาของสมาคม 3. การดําเนินงานของสมาคมกระทําโดยคณะกรรมการซึ่งเปนผูแทนสมาคม โดยมีสมาชิกของ สมาคมเปนผูตรวจตราดูแลกิจการไปตามมติที่ประชุมใหญของสมาคม 4. สมาคมเลิกไดโดยวิธีกําหนดเหตุเลิกสมาคมไวในขอบังคับนั้นเอง โดยสภาพหรือเลิกเมื่อมีบุคคล ผูมีอํานาจใหเลิกสมาคมสั่ง ซึ่งไดแก นายทะเบียน ศาล หรือผูมีอํานาจใหเลิกตามกฎหมายอื่น ลักษณะ ขอบังคับและการควบคุมสมาคม 1. สมาคมเปนนิติบุคคล การกอตั้งสมาคมตองมีวัตถุประสงคเพื่อกระทําการใดๆ อันมีลักษณะ ตอเนื่องรวมกันและมิใชเปนการหาผลกําไร หรือรายไดมาแบงปนกัน ทั้งตองมีขอบังคับและจดทะเบียน ตามบทบัญญัติแหง ปพพ นี้ 2. ขอบังคับของสมาคมเปนขอกําหนดระเบียบปฏิบัติ ใหสมาคมตองดําเนินการไปตามวัตถุประสงค ของสมาคมโดยขอบังคับตองมีรายการตามที่กฎหมายกําหนด 8 ประการ และตองจดทะเบียนสมาคมจึงจะ เปนนิติบุคคล 3. รัฐเปนผูมีอํานาจหนาที่ควบคุม การดําเนินงานของสมาคมซึ่งมีนายทะเบียนทองที่เปนผูควบคุม ดูแลโดยรัฐมีอํานาจหนาที่ในการออกกฎกระทรวง ควบคุมเก็บรักษาเอกสารทางทะเบียนของสมาคม 5.1
5.1.1 ลักษณะของสมาคม สมาคมที่จัดตั้งขึ้นมีความจําเปนตองกาผลกําไรหรือรายไดหรือไม มาตรา 83 บัญญัตว ิ า “สมาคมที่ไดจดทะเบียนแลวเปนนิติบุคคล” การจดทะเบียนสมาคมก็เพือ ่ ให สมาคมมีฐานะเปนนิตบ ิ ุคคลและสามารถดําเนินกิจการตางๆ ไดตามกฎหมายหากไมจดทะเบียนไมถือวา เปนสมาคมผูด ําเนินการและสมาชิกมีความผิดทางอาญา การจดทะเบียนสมาคมเปนขอบังคับทีก ่ ฎหมาย บังคับใหทํา 5.1.2 ขอบังคับและการจดทะเบียนของสมาคม
กฎหมายไดบัญญัติไวถึงเรื่องขอบังคับของสมาคมไวอยางไรบาง ในประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา 79 ไดบัญญัตเิ รื่องขอบังคับของสมาคมวา “ขอบังคับของสมาคมอยางนอยตองมีรายการตอไปนี”้ (1) ชื่อสมาคม (2) วัตถุประสงคของสมาคม (3) ที่ตั้งสํานักงานใหญและที่ตง ั้ สํานักงานสาขาทั้งปวง (4) วิธร ี ับสมาชิก และการขาดจากสมาชิก (5) อัตราคาบํารุง (6) ขอกําหนดเกีย ่ วกับกรรมการของสมาคม ไดแก จํานวนกรรมการ การตัง ้ กรรมการ วาระดํารง ตําแหนงกรรมการ การพนตําแหนงของกรรมการ และการประชุมคณะกรรมการ (7) ขอกําหนดเกีย ่ วกับการจัดการสมาคมการบัญชี และทรัพยสินของสมาคม (8) ขอกําหนดเกีย ่ วกับการประชุมใหญ ลักษณะนี้เปนผลบังคับของกฎหมาย ซึ่งผูร างขอบังคับจะตองกําหนดใหมีความครบถวนตามที่ กลาวขางตนนี้ จะขาดแมแตขอใดขอหนึง ่ ยอมไมได เพราะหากขาดไปขอหนึ่งแลว นายทะเบียนจะไมยอม จดทะเบียนให 5.1.3 การควบคุมสมาคม
รัฐเขาควบคุมดําเนินงานของสมาคมทางใดบาง รัฐเขาควบคุมดําเนินงานของสมาคมไดโดยวิธก ี ารดังตอไปนี้ (1) การออกกฎกระทรวงเกี่ยวกับการจดทะเบียน คาธรรมเนียม การดําเนินงานและการปฏิบต ั ิและ การดําเนินงานบทบัญญัติกฎหมายในสวนของสมาคม (2) การขอตรวจและคาสําเนาเอกสาร 5.2 สิ่งที่ประกอบขึ้นเปนสมาคม 1. สมาคมตองใชชื่อซึ่งมีคําวา “สมาคม” ประกอบกับชอของสมาคม 2. การขอจดทะเบียนกระทําไดโดยสมาชิกของสมาคมจํานวนไมนอยกวา 3 คน รวมกันยื่นคํารองตอ นายทะเบียนแหงทองที่ที่สํานักงานใหญของสมาคมจะตั้งขึ้น พรอมกับแนบเอกสารดังตอไปนี้ คือ
26 ขอบังคับของสมาคม รายชื่อ ที่อยู และอาชีพของผูจะเปนสมาชิกไมนอยกวา 10 คน และรายชื่อที่อยู และ อาชีพของผูจะเปนกรรมการของสมาคมมากับคําขอดวย 3. ภูมิลําเนาของสมาคมถือตามหลักเกณฑของภูมิลําเนานิติบุคคล โดยใหภูมิลําเนาของสมาคมอยูที่ ที่ตั้งสํานักงานใหญ หากกรณีมีสาขาก็ใหถือวาที่ตั้งของสํานักงานสาขาเปนภูมิลําเนาของสาขานั้น 5.2.1 ชื่อของสมาคม
ชื่อของสมาคมตองใชคําวา “สมาคม” นําหนาชื่อสมาคมเสมอไปหรือไม มาตรา 80 บัญญัติวา “ สมาคมตองใชชื่อซึ่งมีคําวา “สมาคม” ประกอบกับชื่อสมาคม ดังนั้น สมาคมใชชอ ื่ อยางไรก็ได แตตองมีคา ํ วา “สมาคม” ประกอบดวยเสมอไมวาจะไวหนาหรือหลังชือ ่ 5.2.2 วิธีการขอจดทะเบียนสมาคม การขอจดทะเบียนสมาคมตองทําอยางไรบาง การขอจดทะเบียนสมาคมตองมีหลักเกณฑดังตอไปนี้ (1) ตองมีจํานวนไมนอยกวา 3 คน รวมกันยื่นขอ (2) ตอยื่นคําขอเปนหนังสือตอนายทะเบียนทองทีท ่ ี่สํานักงานใหญตั้งขึน ้ พรอมแนบหลักฐานดังตอไปนี้ (ก) ขอบังคับของสมาคม (ข) รายชือ ่ ที่อยู และอาชีพของผูเปนสมาชิกไมนอยกวา 10 คน ่ ที่อยู และอาชีพของผูจะเปนกรรมการของสมาคม (ค) รายชือ 5.2.3 ภูมิลําเนาสมาคม ภูมิลําเนาของสมาคมนั้นจะกําหนดไดอยางไร ภูมิลําเนาของสมาคมใหเปนไปตามภูมิลา ํ เนาของนิติบค ุ คลตามมาตรา 68 นัน ่ คือ ใหทต ี่ ั้ง สํานักงานใหญเปนภูมิลําเนาของสมาคมนั้น ในกรณีทม ี่ ีสมาคมสาขาก็ใหมีภม ู ิลําเนาที่สา ํ นักงานสาขาได โดยถือวาทีต ่ ง ั้ ของสํานักงานสาขาเปนภูมิลําเนาสวนหนึ่งของสาขานั้น 5.3 การดําเนินงานของสมาคม
1. คณะกรรมการสมาคมเปนผูดําเนินกิจการของสมาคมโดยเปนผูแทนของสมาคม ในกิจการอัน เกี่ยวกับบุคคลภายนอก จํานวนของคณะกรรมการขึ้นอยูกับขอบังคับของสมาคมที่ระบุไว การดําเนินงาน ของคณะกรรมการสมาคมตองดําเนินงานตามกฎหมาย และขอบังคับภายใตการควบคุมดูแลของที่ประชุม ใหญสมาคม 2. จํานวนสมาชิกของสมาคมตองมีไมนอยกวา 10 คน สมาชิกเปนผูมีสิทธิกอตั้งสมาคม ตรวจกิจการ และทรัพยสินของสมาคมและเรียกประชุมใหญ สมาชิกมีหนาที่ตองชําระคาบํารุงสมาคมและตอง รับผิดชอบในหนี้สินของสมาคมไมเกินจํานวนคาบํารุงสมาชิกที่คางอยู 3. การประชุมใหญของสมาคมมี 2 กรณีคือ การประชุมใหญสามัญและการประชุมใหญวิสามัญ การ ประชุมใหญสามัญนั้นตองจัดใหมีอยางนอยปละครั้งตามบทบัญญัติของกฎหมายโดยคณะกรรมการสมาคม การประชุมใหญวิสามัญเปนเรื่องการเรียกประชุมใหญเปนพิเศษ ซึ่งมีกรณีเรงดวนเพื่อดําเนินการใดๆได ทันทวงที การเรียกประชุมนี้อาจเปนกรณีของคณะกรรมการสมาคมเรียกประชุม หรือสมาชิกของสมาคมซึ่ง มีจํานวนตามที่กฎหมายกําหนดเรียกประชุมก็ได โดยตองสงหนังสือนัดประชุมไปยังสมาชิกทุกคน หรือลง พิมพโฆษนากอนวันนัดประชุมไมนอยกวา 7 วัน โดยตองระบุ วัน เวลา และจัดระเบียบวาระการประชุมเพื่อ มอบใหแกสมาชิกในวันประชุมดวย 4. มติที่ประชุมใหญใหถือเอาเสียงขางมาก เวนแตกรณีที่ขอบังคับสมาคมกําหนดเสียงขางมากไว เปนพิเศษโดยเฉพาะ ถาคะแนนเสียงเทากันใหประธานในที่ประชุมออกเสียงชี้ขาด 5. หากในการลงมติในที่ประชุมใหญไมปฏิบัติตามหรือฝาฝนขอบังคับของสมาคมหรือกฎหมาย สมาชิกสมาคมหรือพนักงานอัยการอาจรองขอใหศาลสั่งเพิกถอนมตินั้นได แตตองรองขอภายใน 1 เดือน นับแตวันเริ่มลงมติ 5.3.1 คณะกรรมการของสมาคม ผูแทนสมาคมคือใคร และตองดําเนินการอยางไรในกิจการที่เกี่ยวของกับบุคคลภายนอก การดําเนินงานของสมาคมในกิจการเกี่ยวกับบุคคลภายนอก ตองกระทําในรูปของคณะกรรมการ โดยถือวาคณะกรรมการเปนผูแทนสมาคม คณะกรรมการของสมาคมตองประกอบดวยกรรมการตั้งแต 2 คนขึ้นไป ดําเนินกิจการของสมาคมตองเปนไปตามกฎหมายและขอบังคับของสมาคมภายใตการควบคุม ดูแลของทีป ่ ระชุมใหญสมาคม ตามมาตรา 87 และมาตรา 86 5.3.2 สมาชิกของสมาคม
27 สมาคมตองมีสมาชิกจํานวนเทาใด และสมาชิกมีสิทธิและหนาที่อยางไร สมาคม ตองมีสมาชิกไมนอยกวา 10 คน และสมาชิกของสมาคมมีสท ิ ธิและหนาทีด ่ ังตอไปนี้คอ ื (1) เปนผูกอ ตั้งสมาคมโดยขอจดทะเบียน ตามมาตรา 81 (2) ตรวจตรากิจการและทรัพยสินของสมาคม ตามมาตรา 89 (3) ตองชําระคาบํารุงตามมาตรา 90 (4) ตองรับผิดในหนี้สินของสมาคมไมเกินจํานวนคาบํารุงสมาชิกที่คา งชําระอยู ตามมาตรา 92 ิ ธิรอ งขอตอศาลใหเพิกถอนมติในการ (5) มีสิทธิเรียกประชุมใหญ ตามมาตรา 98 ทั้งนี้มีสท ประชุมใหญไดตามมาตรา 100 5.3.3 การประชุมใหญของสมาคม การประชุมใหญของสมาคมมีกี่กรณี อะไรบาง การประชุมใหญของสมาคมมี 2 กรณีคือ (1) การประชุมใหญสามัญประจําปซึ่งตองจัดใหมีการประชุมใหญอยางนอยปละครั้ง (2) การประชุมใหญวิสามัญซึ่งจะจัดขึ้นเมื่อใดก็ไดสุดแตจะเห็นสมควร อาจจะจัดการประชุมโดย คณะกรรมการสมาคม หรือสมาชิกสมาคมแลวแตกรณี 5.3.4 มติที่ประชุมใหญและการเพิกถอนมติที่ประชุมใหญ ในการประชุมใหญครั้งหนึ่งการนัดประชุมฝาฝนขอบังคับของสมาคม ที่ประชุมไดลงมติในการ ประชุมใหญครั้งนั้นเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2539 ตอมามีสมาชิกมารองตอศาลใหเพิกถอนมติของสมาคมใน การประชุมครัง้ นี้ เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ 2539 ดังนี้ ชอบที่จะทําไดหรือไม การรองขอเพิกถอนมติที่ประชุมใหญดง ั กลาว ไดรอ งขอเกิดกําหนด 1 เดือน นับแตวันลงมติจึงไม สามารถรองขอเพิกถอนได เพราะขาดอายุความในการฟองรอง เพราะกฎหมายกําหนดใหรอ งขอเพิกถอน เสียภายใน 1 เดือน นับแตวน ั ลงมตินั้น 5.4 การเลิกสมาคม
1. สมาคมยอมเลิกดวยเหตุผลใดเหตุผลหนึ่งดังตอไปนี้ 1) เมื่อมีเหตุตามที่กําหนดในขอบังคับ 2) ถาสมาคมตั้งขึ้นใชเฉพาะเวลาใด เมื่อสิ้นระยะนั้น 3) ถาสมาคมตั้งขึ้นเพื่อกระทํากิจการใด เมื่อกิจการนั้นเสร็จสิ้น 4) เมื่อที่ประชุมใหญมีมติใหเลิก 5) เมื่อสมาคมลมละลาย 6) เมื่อนายทะเบียนถอนชื่อสมาคมออกจากทะเบียน 7)เมื่อศาลสั่งใหเลิกสมาคม 2. ผูมีอาํ นาจเลิกสมาคมคือ นายทะเบียนสมาคม ศาล หรือผูมีอํานาจใหเลิกตามกฎหมายอื่น 3. เมื่อเลิกสมาคมแลวใหนายทะเบียนประกาศในราชกิจจานุเบกษา และใหมีการชําระบัญชีสมาคม ทรัพยสินที่เหลือของสมาคมใหโอนแกสมาคม หรือมูลนิธิ หรือนิติบุคคลที่ไดระบุไวในขอบังคับของ สมาคม หรือมติที่ประชุมใหญ ถาในขอบังคับหรือที่ประชุมใหญไมไดระบุไวใหทรัพยสินที่เหลืออยูตกเปน ของแผนดิน 5.4.1 เหตุเลิกสมาคม
กรณีใดบางที่จะเปนเหตุใหเลิกสมาคม กรณีที่จะเปนเหตุใหเลิกสมาคมมีบญ ั ญัติไวในมาตรา 101 ซึ่งมี 7 กรณีดังติอไปนี้ (1) เมื่อมีเหตุตามที่กา ํ หนดในขอบังคับ (2) ถาสมาคมตั้งขึ้นไวเฉพะระยะเวลาใด เมือ ่ สิ้นระยะเวลานั้น (3) ถาสมาคมตั้งขึ้นเพื่อจะทํากิจการใด เมือ ่ กิจการนั้นสําเร็จแลว (4) เมื่อที่แระชุมใหญมม ี ติใหเลิก (5) เมื่อสมาคมลมละลาย (6) เมื่อนายทะเบียนถอนชื่อสมาคมออกจากทะเบียนตามมาตรา 102 (7) เมื่อศาลสั่งใหเลิกตามมาตรา 104 5.4.2 ผูมีอํานาจใหเลิกสมาคม ผูมีอํานาจใหเลิกสมาคมไดแกใครบาง ผูมีอา ํ นาจใหเลิกสมาคมไดคือ บุคคลตอไปนี้ (1) นายทะเบียนโดยใหเลิกสมาคมตามกฎหมายแพงและพาณิชย (2) โดยศาลสั่งเลิกสมาคมตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย (3) ผูมีอา ํ นาจใหเลิกสมาคมตามกฎหมายอื่น ซึ่งตองพิจารณาเปนเรื่องๆไป
28
5.4.3 ผลการเลิกสมาคม
เมื่อมีการเลิกสมาคมแลวและมีทรัพยสินเพียงพอที่จะจัดแบงใหสมาชิกได ใหแกสมาชิกไดหรือไม เพราะเหตุใด
ผูชําระบัญชีจัดแบง
ผูชําระบัญชีจะจัดแบงทรัพยสินใหแกสมาชิกไมได ทรัพยสินดังกลาวนี้ที่เหลือตองโอนใหแก สมาคม หรือมูลนิธิ หรือนิติบุคคลที่มว ี ัตถุประสงคเกีย ่ วกับการสาธารณกุศลตามที่ระบุไวในขอบังคับของ สมาคม หากขอบังคับไมระบุชื่อไวก็ตอ งเปนไปตามมติที่ประชุมใหญ แตถาขอบังคับ หรือทีป ่ ระชุมใหญ ั โอนหรือระบุแตไมสามารถปฏิบัติไดก็ใหทรัพยสินนั้นตกเปนของแผนดิน ไมไดระบุรบ
แบบประเมินผล หนวยที่ 5 นิติบุคคล : สมาคม “สมาคม” คือนิติบุคคลที่เปนสมาชิกไดกอตั้งขึ้นเพื่อกระทําการใดๆ อันมีลักษณะตอเนื่องรวมกัน และมิใชเปนการหา ผลกําไรหรือรายไดมาแบงปนกัน ตองมีขอบังคับและจดทะเบียนใชคําวา “สมาคม” ประกอบซื่อของสมาคม สมาคม ประกอบดวยหลักเกณฑดังนี้ บุคคลผูที่จะเปนสมาชิกจํานวนไมนอยกวา 10 คน ตกลงรวมกัน เพื่อกระทําการใดๆ อันมีลักษณะตอเนื่องรวมกัน การกระทําใดๆที่ทํารวมกันนี้ ตองมิใชเปนการหากําไรหรือรายไดมาแบงปนกัน ตองมีขอบังคับและจดทะเบียน ตองใชคําวา “สมาคม” ประกอบชื่อสมาคม เมื่อจดทะเบียนตาม ปพพ. แลว มีฐานะเปนนิติบุคคล การเลิกสมาคม คือการสิ้นสุดสภาพการเปนนิติบุคคลของสมาคม ถาเปรียบกับบุคคลธรรมดาก็คือการตายนั่นเอง ซึ่งมีอยู ดวยกัน 3 ประการ คือ ¾ เลิกโดยผลของกฎหมาย ¾ เลิกโดยคําสั่งของนายทะเบียน ¾ เลิกโดยคําสั่งศาล สมาชิกกับสมาคมมีความเกี่ยวพันซึ่งกันและกัน พอสรุปไดดังนี้ สมาชิกมีสิทธิที่จะตรวจกิจการและทรัพยสินของสมาคมในระหวางเวลาทําการของสมาคมได (มาตรา 89) ถานอก เวลาทําการยอมไมมีสิทธิ สมาชิกมีหนาที่ตองตองชําระคาบํารุงเต็มจํานวนในวันที่สมัครเขาเปนสมาชิก หรือในวันเริ่มตนของระยะเวลาชําระ คาบํารุงแลวแตกรณี เวนแตขอบังคับของสมาคมจะกําหนดไวเปนอยางอื่น (มาตรา 90 ) สมาชิกมีสิทธิจะลาออกจากสมาคมเมื่อใดก็ได เวนแตขอบังคับของสมาคมจะกําหนดไวเปนอยางอื่น เชนกอน ลาออกตองปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ขอบังคับกําหนดไวกอน เชนชําระคาบํารุง หรือหนี้คางแกสมาคมกอน เปนตน สมาชิกแตละคนมีความรับผิดชอบในหนี้ของสมาคมไมเกินจํานวนคาบํารุงที่สมาชิกคางชําระอยู (มาตรา 92 )
1. ลักษณะของสมาคม คือ (ก) สมาคมเปนนิติบุคคล (ข) มีลักษณะทําการตอเนื่องรวมกัน (ค) มิใช เปนการหาผลกําไร (ง) รัฐเปนผูมีอา ํ นาจควบคุม
(มาตรา 78 การกอตั้งสมาคมเพื่อกระทําการใดๆ อันมีลักษณะตอเนื่องรวมกันและมิใชเปนการหาผลกําไรหรือรายไดมาแบงปนกัน ตองมีขอบังคับและจดทะเบียนตามบทบัญญัติแหงประมวลกฎหมายนี้ )
2. สิ่งทีต ่ องมีในขอบังคับสมาคมคือ (1) ชื่อสมาคม (2) วัตถุประสงคของสมาคม (3) ทีต ่ งั้ สํานักงานใหญ และที่ตั้งสํานักงานสาขาทั้งปวง (4) วิธีรับสมาชิก และการขาดจากสมาชิกภาพ (5) อัตราคาบํารุง (6) ขอกําหนด เกี่ยวกับคณะกรรมการของสมาคม ไดแกจํานวนกรรมการ การตั้งกรรมการ วาระการดํารงตําแหนงของกรรมการ การ พนจากตําแหนงของกรรมการและการประชุมของคณะกรรมการ (7) ขอกําหนดเกี่ยวกับการจัดการสมาคม การบัญชี และทรัพยสินของสมาคม (8) ขอกําหนดเกี่ยวกับการประชุมใหญ (มาตรา 79 ขอบังคับของสมาคมอยางนอยตองมีรายการดังตอไปนี้ (1) ชื่อสมาคม (2) วัตถุประสงคของสมาคม (3) ที่ตั้งสํานักงานใหญและที่ตั้งสํานักงานสาขาทั้งปวง (4) วิธีรับสมาชิก และการขาดจากสมาชิกภาพ (5) อัตราคาบํารุง (6) ขอกําหนดเกี่ยวกับคณะกรรมการของสมาคม ไดแก จํานวนกรรมการ การตั้งกรรมการ วาระการดํารงตําแหนงของกรรมการ การพนจากตําแหนงของกรรมการ และการประชุมของคณะกรรมการ (7) ขอกําหนดเกี่ยวกับการจัดการสมาคม การบัญชี และทรัพยสินของสมาคม (8) ขอกําหนดเกี่ยวกับการประชุมใหญ )
3. หนวยงานที่มีอาํ นาจออกกฎกระทรวงควบคุมสมาคมคือ กระทรวงมหาดไทย
(มาตรา 109 ใหรัฐมนตรีวาการกระทรวงมหาดไทยรักษาการตามบทบัญญัติในสวนนี้ และใหมีอํานาจแตงตั้งนายทะเบียนออก กฎกระทรวงเกี่ยวกับ (1) การยื่นคําขอจดทะเบียน และการรับจดทะเบียน (2) คาธรรมเนียมการจดทะเบียน การขอตรวจเอกสาร การคัดสําเนาเอกสาร และคาธรรมเนียมการขอใหนายทะเบียนดําเนินการ ใดๆ เกี่ยวกับสมาคม รวมทั้งการยกเวนคาธรรมเนียมดังกลาว (3) การดําเนินกิจการของสมาคมและการทะเบียนสมาคม (4) การอื่นใดเพื่อปฏิบัติใหเปนไปตามบทบัญญัติในสวนนี้ กฎกระทรวงนั้น เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแลวใหใชบังคับได )
4. ในการขอจดทะเบียนสมาคม (ก) ตองมีขอ บังคับสมาคม (ข) ตองมีกรรมการสมาคม (ค) มีสมาชิก ไมนอยกวา 3 คน รวมกันยื่นคํารอง (ง) ตองยื่นคํารองตอนายทะเบียน ณ ทองทีท ่ ี่สา ํ นักงานใหญตั้งอยู
29 (มาตรา 81 การขอจดทะเบียนสมาคมนั้น ใหผูจะเปนสมาชิกของสมาคมจํานวนไมนอยกวาสามคน รวมกันยื่นคําขอเปนหนังสือตอนาย ทะเบียนแหงทองที่ที่สํานักงานใหญของสมาคมตั้งขึ้นพรอมกับแนบขอบังคับของสมาคม รายชื่อ ที่อยู และอาชีพของผูจะเปนสมาชิกไมนอยกวา สิบคน และรายชื่อที่อยู และอาชีพของผูจะเปนกรรมการของสมาคมมากับคําขอดวย )
5. ขอกําหนดเกี่ยวกับกรรมการสมาคมคือ (ก) กรรมการสมาคมเปนผูแ ทนของสมาคม(ข) ดําเนินการเปนผูดําเนินการสมาคม (ค) จํานวนกรรมการขึ้นอยูกับขอบังคับสมาคม
คณะกรรมการ
สมาคมที่จดทะเบียนแลวเปนนิติบุคคล ฉะนั้น โดยสภาพจึงไมอาจดําเนินการใหเปนไปตามวัตถุประสงคของสมาคมที่จดทะเบียนได โดยลําพัง เพราะไมมีชิวิตจิตใจ ตองมีบุคคลผูดําเนินการบริหารกิจการของสมาคม ซึ่งเรียกวา “คณะกรรมการสมาคม” คณะกรรมการสมาคม คือผูมีอํานาจเปนผูดําเนินการบริหารกิจการของสมาคมตามกฎหมายและขอบังคับ (มาตรา 86 ) เพื่อใหเปนไป ตามวัตถุประสงค โดยถือวาเปน “ผูแทน” ของสมาคมในกิจการอันเกี่ยวกับบุคคลภายนอก (มาตรา 87) ทั้งนี้อยูภายใตการควบคุมดูแลของที่ ประชุมใหญ กลาวคือ นอกจากจะตองดําเนินการใหอยูภายใตกรอบวัตถุประสงคของสมาคมแลว ยังตอใหเปนไปตามมติที่ประชุมใหญดวย แตมตินี้ ตองอยูภายใตขอบวัตถุประสงคและกฎหมายดวย คณะกรรมการตองประกอบไปดวยบุคคลมากกวา 1 คนขึ้นไป ซึ่งขอบังคับของสมาคมจะกําหนดวา คณะกรรมการสมาคมประกอบดวย ตําแหนงใดบาง ซึ่งสวนใหญก็จะประกอบดวย ตําแหนงนายกสมาคม เลขาธิการ นายทะเบียน ประชาสัมพันธ สวัสดิการ ปฏิคม เหรัญญิก สาราณียกร และกรรมการอื่นๆ ดังนั้น การดําเนินกิจการสมาคมตองเปนไปตามเสียงขางมากของกรรมการ
6. เกี่ยวกับจํานวนสมาชิกของสมาคม สมาชิกตองไมนอยกวา 10 คน (มาตรา 81)
7. สิทธิและหนาทีข ่ องสมาชิกคือ เปนผูกอ ตั้งสมาคม 8. การประชุมใหญสมาคม มี 2 ประเภท คือประชุมใหญสามัญและวิสามัญ
การประชุมใหญคือการประชุมบรรดาสมาชิกของสมาคมทั้งมวล หรือถือเปนกระบวนการหนึ่งของการดําเนินกิจการบริหารของสมาคม เพราะคณะกรรมการสมาคมตองดําเนินกิจการภายใตการควบคุมดูแลของที่ประชุมใหญ (มาตรา 86) การประชุมใหญมี 2 ประเภทคือ (1) การประชุมใหญสามัญ อยางนองตองจัดใหมีการประชุมปละ 1 ครั้ง ซึ่งเปนหนาที่ความรับผิดชอบโดยตรงของคณะกรรมการ สมาคม ที่จะตองจัดใหมีการประชุมขึ้น (มาตรา 93 ) สวนจะขึ้นในชวงเวลาใดนั้น ในขอบังคับของแตละสมาคมมักจะกําหนดชวงเวลาที่จะจัด ประชุมไว (2) การประชุมใหญวิสามัญ คณะกรรมการสมาคมจะเรียกประชุมเมื่อใดก็สุดแตจะเห็นสมควร (มาตรา 94 ว 1 ) และหนึ่งๆ จะประชุมกี่ ครั้งก็ไดไมกําหนด นอกจากคณะกรรมการสมาคมจะมีอํานาจเรียกประชุมแลว กฎหมายยังใหอํานาจสมาชิกของสมาคมรองขอใหเรียกประชุมได ดวย
9. สิทธิและหนาทีข ่ องสมาชิกมีดงั ตอไปนี้ (ก) เปนผูกอตั้งสมาคม (ข) ตรวจตรากิจการของสมาคม (ค) ตรวจ ตรากิจการทรัพยสินของสมาคม (ง) ตองชําระคาบํารุง
(มาตรา 89 สมาชิกของสมาคมมีสิทธิที่จะตรวจตรากิจการและทรัพยสินของสมาคมในระหวางเวลาทําการของสมาคม มาตรา 90 สมาชิกของสมาคมตองชําระคาบํารุงเต็มจํานวนในวันที่สมัครเปนสมาชิกหรือในวันเริ่มตนของระยะเวลาชําระเงินคาบํารุง แลวแตกรณี เวนแต ขอบังคับสมาคมจะกําหนดไวเปนอยางอื่น )
10. การเลิกสมาคม (ก) มีเหตุตามขอกําหนดในขอบังคับ (ข) เมื่อสมาคมลมละลาย (ค) เมื่อครบระยะเวลาที่ กําหนดไว (ง) ศาลสั่งใหเลิกสมาคม (มาตรา 101 สมาคมยอมเลิกดวยเหตุหนึ่งเหตุใดดังตอไปนี้ (1) เมื่อมีเหตุตามที่กําหนดในขอบังคับ (2) ถาสมาคมตั้งขึ้นไวเฉพาะระยะเวลาใด เมื่อสิ้นระยะเวลานั้น (3) ถาสมาคมตั้งขึ้นเพื่อกระทํากิจการใด เมื่อกิจการนั้นเสร็จแลว (4) เมื่อที่ประชุมใหญมีมติใหเลิก (5) เมื่อสมาคมลมละลาย (6) เมื่อนายทะเบียนถอนชื่อสมาคมออกจากทะเบียนตามมาตรา 102 (7) เมื่อศาลสั่งใหเลิกตามมาตรา 104 )
หนวยที่ 6 นิติบุคคล : มูลนิธิ 1. มูลนิธิเปนนิติบุคคลประเภทหนึ่ง ซึ่งไดแกทรัพยสินที่จัดสรรไวโดยเฉพาะเพื่อสาธารณกุศล การ ศาสนา ศิลปะ วิทยาศาสตร วรรณคดี การศึกษา หรือเพื่อสาธารณประโยชนอยางอื่น โดยมิไดมุงหา ผลประโยชนมาแบงปนกัน และตองจดทะเบียนตามบทบัญญัติของกฎหมายนี้ 2. การประกอบขึ้นเปนมูลนิธิ ก็โดยการกอตั้งมูลนิธิ ซึ่งตองทําเปนหนังสือ โดยระบุขอบังคับและ แสดงถึงวัตถุประสงค รวมถึงชื่อของมูลนิธิ โดยยื่นขอจดทะเบียนตอนายทะเบียน (กระทรวงมหาดไทย) เมื่อนายทะเบียนจดทะเบียนใหแลว จึงเปนนิติบุคคล 3. การดําเนินงานของมูลนิธิ ดําเนินงานในรูปของกรรมการมูลนิธิ ซึ่งตองดําเนินงานใหเปนไปตาม วัตถุประสงคที่ตั้งมูลนิธิ 4. การเลิกมูลนิธินั้นมี 2 ประการคือ การเลิกโดยผลของกฎหมาย การเลิกโดยคําสั่งศาล เมื่อเลิก มูลนิธิแลวตองชําระบัญชี 6.1 หลักเกณฑเบื้องตนของมูลนิธิ 1. มูลนิธิไดแกทรัพยสินที่จัดสรรไวโดยเฉพาะสําหรับวัตถุประสงค เพื่อการกุศลสาธารณ การศาสนา ศิลปะ วิทยาศาสตร วรรณคดี การศึกษาหรือเพื่อสาธารณประโยชนอยางอื่นโดยมิไดมุงหาผลประโยชนมา แบงปนกัน และไดจดทะเบียนตามกฎหมายนี้
30 2. การจัดการทรัพยสินของมูลนิธิ ตองมิใชเปนการหาผลประโยชนเพื่อบุคคลใด นอกจากเพื่อ ดําเนินการตามวัตถุประสงคของมูลนิธิเอง 3. กฎหมายกําหนดใหรัฐควบคุมดูแลกิจการของมูลนิธิโดยใหมีอํานาจเขาตรวจสอบเอกสาร และ ตรวจสอบกิจการของมูลนิธิ รวมถึงอํานาจในการออกกฎขอบังคับตางๆ เกี่ยวกับมูลนิธิดวย 6.1.1 ลักษณะของมูลนิธิ มูลนิธิมีลักษณะอยางไร และจําเปนตองจดทะเบียนหรือไม มูลนิธิมีลักษณะดังตอไปนี้ ตาม ปพพ. มาตรา 110 ลักษณะของมูลนิธิคือ (1) เปนทรัพยสินที่จัดสรรไวโดยเฉพาะ (2) สําหรับวัตถุประสงคเพือ ่ การกุศลสาธารณะ การศาสนา ศิลปะ วิทยาศาสตร วรรณคดี การศึกษา หรือเพื่อสาธารณะประโยชน อยางนี้มิตอ งมุงหาประโยชนมาแบงปนกัน (3) จดทะเบียนตามบทบัญญัติแหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย ดังนั้นมูลนิธิจึงตองจด ทะเบียนจึงจะเปนนิติบุคคลตามกฎหมาย 6.1.2 อํานาจของรัฐเกี่ยวกับมูลนิธิ
มูลนิธิเปนนิติบุคคลตามกฎหมาย รัฐมีอํานาจเกี่ยวกับมูลนิธิในกรณีใดบาง รัฐมีอํานาจเกีย ่ วของกับมูลนิธิดังตอไปนี้ (1) รัฐมีอํานาจในการควบคุมดูแลมูลนิธิ ตามมาตรา 128 (2) รัฐมีอํานาจเกีย ่ วกับเอกสารของมูลนิธิ ตามมาตรา 135 (3) รัฐมีอํานาจในการออกกฎหมายบังคับ ตามมาตรา 136 6.2 การประกอบขึ้นเปนมูลนิธิ 1. การกอตั้งมูลนิธิ ในกรณีผูขอตั้งยังมีชีวิตอยูตองยื่นคําขอจดทะเบียนมูลนิธิตอนายทะเบียนแหง ทองที่ที่สํานักงานใหญของมูลนิธิจัดตั้งขึ้น โดยทําเปนหนังสือระบุผูเปนเจาของทรัพยสิน รายการ ทรัพยสินที่จัดสรรสําหรับมูลนิธิ รายชื่อที่อยูและอาชีพของผูจะเปนกรรมการของมูลนิธิทุกคน พรอมกับ แนบขอบังคับของมูลนิธิมาพรอมกับคําขอดวย 2. การกอตั้งมูลนิธิโดยพินัยกรรมใหบุคคลผูที่ระบุในพินัยกรรมดําเนินการกอตั้งมูลนิธิ ดําเนินการตาม ขอ 1 หากไมขอจดทะเบียนกอตั้งมูลนิธิภายใน 120 วัน นับแตรูหรือควรจะไดรูขอ ความในพินัยกรรมใหผูมี สวนไดเสียคนหนึ่งคนใด หรือพนักงานอัยการเปนผูขอจดทะเบียนมูลนิธิก็ได 3. ขอบังคับของมูลนิธิตองมีรายการตอไปนี้ (1) ชื่อมูลนิธิ (2) วัตถุประสงค (3) ที่ตั้งสํานักงานใหญและที่ตั้งสํานักงานสาขาทั้งปวง (4) ทรัพยสินของมูลนิธิขณะที่ตั้ง (5) ขอกําหนดเกี่ยวกับการจัดการคณะกรรมการของมูลนิธิไดแก จํานวนกรรมการ การตัง้ กรรมการ วาระการดํารงตําแหนงของกรรมการ การพนจากตําแหนง และการประชุมของคณะกรรมการ (6) ขอกําหนดเกี่ยวกับการจัดการมูลนิธิการจัดการทรัพยสินและบัญชีของมูลนิธิ 4. ขอบังคับของมูลนิธิสามารถแกไขไดโดยคณะกรรมการผูมีอํานาจแกไข หรือโดยขอบังคับของ มูลนิธิหรือโดยบทบัญญัติของกฎหมาย 5. มูลนิธิตองใชคําวา “มูลนิธิ” ประกอบชื่อของมูลนิธิ 6.2.1 การกอตั้งมูลนิธิ
เมื่อไดมีการยืน ่ ขอถอนการจัดตั้งมูลนิธิแลว (ก) ผูยื่นคําขอจะขอถอนการจัดตั้งมูลนิธิไดหรือไม อยางไร (ข) ทายาทของผูยื่นคําขอถอนการจัดตั้งไดหรือไม อยางไร เมื่อไดมก ี ารยืน ่ ขอจัดตั้งมูลนิธิแลว (ก) ผูยื่นคําขอยอมจะขอถอนคําขอได แตจะตองกระทํากอนนายทะเบียนจดทะเบียนมูลนิธิ หาก นายทะเบียนจดทะเบียนมูลนิธิแลวจะทําไดเพียงการเลิกมูลนิธิ (ข) ทายาทของผูจ ัดตั้งไมมีสท ิ ธิเพิกถอนการจัดตั้งมูลนิธิเนื่องจากสิทธิเฉพาะตัวไมตกทอดไปยัง ทายาท 6.2.2 ขอบังคับของมูลนิธิ
มูลนิธิตั้งขึ้นมาโดยยังไมมีขอบังคับไดหรือไม ภายหลังจะทําไดหรือไม เพียงใด
และการแกไขเพิ่มเติมขอบังคับของมูลนิธิใน
31 กฎหมายบังคับวามูลนิธิจัดตั้งขึ้นมาไดจะตองมีขอบังคับของมูลนิธิ มิฉะนั้นไมอาจตั้งเปนมูลนิธิ ขึ้นมาไดสําหรับการแกไขเพิ่มเติมขอบังคับของมูลนิธน ิ ั้นกระทําไดเฉพาะกรณีทก ี่ ฎหมายใหอํานาจไว เทานั้นคือ (1) เพื่อใหสามารถดําเนินการตามวัตถุประสงคของมูลนิธิ หรือ ี ระโยชนนอย หรือ ไม (2) เมื่อมีพฤติการณเปลี่ยนแปลงไปเปนเหตุใหวัตถุประสงคของมูลนิธิมป อาจดําเนินการใหเปนประโยชนตามวัตถุประสงคของมูลนิธิ และวัตถุประสงคของมูลนิธิที่แกไขเพิ่มเติมนั้น ใกลชิดกับวัตถุประสงคเดิมของมูลนิธิ สวนการแกไขขอบังคับในรายละเอียดเรือ ่ งอื่นๆ สามารถทําไดไมมี กฎหมายหามแตอยางใด 6.2.3 ชื่อของมูลนิธิ
มูลนิธิที่ตั้งขึ้น จําเปนจะตองมีคําวา “มูลนิธิ” อยูขางหนาชื่อของมูลนิธิหรือไม อยางไร ตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา 113 บัญญัติใหมูลนิธต ิ องใชชื่อซึง ่ มีคา ํ วา “มูลนิธ”ิ ประกอบกับชื่อของมูลนิธิ ดังนั้น การตัง ้ ชื่อของมูลนิธิจะตั้งอยางไรก็ได แตจา ํ เปนตองมีคําวา “มูลนิธ”ิ ประกอบชื่อเสมอ โดยจะเอาไวหนาหรือหลังชื่อของมูลนิธก ิ ็ได 6.3 การดําเนินงานของมูลนิธิ
1. คณะกรรมการมูลนิธิประกอบดวยบุคคลอยางนอยสามคม ในขอบังคับของมูลนิธิอาจกําหนดการ ตั้งคณะกรรมการใหมหรือการเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิไวอยางไรก็ได การเปลี่ยนแปลงจะตอง เปนไปตามขอบังคับนั้นหากมีการเปลี่ยนแปลงกรรมการไมวาดวยเหตุใด ตองนําไปจดทะเบียนภายใน สามสิบวันนับแตวันที่มีการแตงตั้งหรือเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธินั้น 2. คณะกรรมการของมูลนิธิเปนผูแทนของมูลนิธิในกิจการเกี่ยวกับบุคคลภายนอก แมจะปรากฏใน ภายหลังวากิจการที่คณะกรรมการมูลนิธไ ิ ดกระทําไปมีขอบกพรองเกี่ยวกับการแตงตั้งหรือคุณสมบัติของ กรรมการมูลนิธิ กิจการนั้นยอมสมบูรณ 3. ในกรณีที่กรรมการดําเนินการของมูลนิธิผิดพลาดเสื่อมเสียตอมูลนิธิ หรือดําเนินกิจการฝาฝน กฎหมายหรือขอบังคับของมูลนิธิ หรือกรรมการกลายเปนผูมีฐานะหรือความประพฤติไมเหมาะสมในกิจการ ตามวัตถุประสงคของมูลนิธิ นายทะเบียนหรือพนักงานอัยการ หรือผูมีสวนไดเสียคนหนึ่งคนใด อาจจะรอง ขอตอศาลใหมีคําสั่งถอดถอนกรรมการบางคนหรือทั้งคณะเสีย และแตงตั้งกรรมการใหมได 4. การดําเนินงานของมูลนิธิตองกระทําตามวัตถุประสงคของมูลนิธิตามที่ไดจดทะเบียนไว ทั้งการ จัดการทรัพยสินของมูลนิธิตองมิใชเปนการหาผลประโยชนเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใด 6.3.1 จํานวนและการเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ
ในกรณีที่กรรมการของมูลนิธิพนจากตําแหนง และไมมีกรรมการของมูลนิธิเหลืออยู หรือกรรมการ ที่เหลือไมอาจดําเนินการตามหนาที่ได ใครจะทําหนาที่ผูแทนมูลนิธิตอไป กรณีดง ั กลาวตองดูวา ขอบังคับของมูลนิธิกา ํ หนดไวอยางไร ก็เปนไปตามนั้น หากขอบังคับไมได กําหนดไว กฎหมายกําหนดใหกรรมการที่พนจากตําแหนงปฏิบัตห ิ นาทีต ่ อไป จนกวานายทะเบียนจะแจง การรับจดทะเบียนกรรมการทีต ่ ั้งขึ้นใหม 6.3.2 กิจการที่คณะกรรมการดําเนินการ การที่กรรมการคนหนึ่งกระทําการเปนผูแทนของมูลนิธิในกิจการของมูลนิธิ
ผูกพันมูลนิธิหรือไม
เพียงไร กฎหมายบัญญัติไววา “คณะกรรมการของมูลนิธิเปนผูแทนของมูลนิธใิ นกิจการอันเกี่ยวกับ บุคคลภายนอก” ดังนั้น การจะเปนผูแทนของมูลนิธิในการกระทํากิจกรรมตางๆ ทีเ่ กี่ยวกับบุคคลภายนอก ในรูปของคณะกรรมการเพียงกรรมการคนใดคนหนึ่งแสดงเจตนาออกไปยอมไมผก ู พันมูลนิธซ ิ ึ่งกฎหมาย กําหนดใหมีคณะกรรมการไมนอยกวา 3 คน เปนผูแทนมูลนิธิ 6.3.3 การถอดถอนกรรมการมูลนิธิ
เหตุที่จะขอใหศาลสั่งถอดถอนกรรมการบางคนหรือทั้งคณะมีประการใดบาง เหตุที่จะขอศาลสั่งถอดถอนกรรมการบางคนหรือทั้งคณะมี 3 ประการดังนี้คอ ื (1) กรรมการดําเนินกิจการของมูลนิธิผิดพลาด เสื่อมเสียตอมูลนิธิ หรือ (2) ดําเนินกิจการฝาฝนกฎหมายหรือขอบังคับของมูลนิธิ หรือ (3) กรรมการกลายเปนผูมีฐานะหรือความประพฤติไมเหมาะสมในการดําเนินการตาม วัตถุประสงคของมูลนิธิ 6.3.4 การดําเนินงานตามวัตถุประสงคที่จัดตั้งมูลนิธิ
32 ขอบังคับของมูลนิธิจําเปนตองกําหนดวัตถุประสงคของมูลนิธิหรือไม และการกําหนดวัตถุประสงค ของมูลนิธิมีประโยชนอยางไรบาง มาตรา 112 บัญญัตว ิ า “ขอบังคับของมูลนิธิอยางนอยตองมี...................” วัตถุประสงคของมูลนิธิ ดังนั้นมูลนิธิตางๆ จะตองกําหนดวัตถุประสงคของตนไวในขอบังคับเสมอ ประโยชนของการกําหนดวัตถุประสงคของมูลนิธิ ไดแก การจดทะเบียนกรรมการของมูลนิธิ โดยนายทะเบียนจะพิจารณาวาผูจะเปนกรรมการตองมีฐานะและความประพฤติที่เหมาะสมตาม ั จดทะเบียนให นอกจากนีค ้ ณะกรรมการซึ่งเปนผูแทนมูลนิธิจะตอง วัตถุประสงคของมูลนิธิมิฉะนั้นจะไมรบ ดําเนินการใหเปนไปตามวัตถุประสงคของมูลนิธิ หากทํานอกวัตถุประสงคของมูลนิธิยอมรับผิดเปนสวนตัว ไมผูกพันมูลนิธิ
การสิ้นสุดของมูลนิธิ 1. มูลนิธิซึ่งเลิกโดยผลของกฎหมายยอมเลิกดวยเหตุหนึ่งเหตุใดดังตอไปนี้ (1) เมื่อมีเหตุการณที่กําหนดในขอบังคับ (2) ถามูลนิธิตั้งขึ้นใชเฉพาะระยะเวลาใดเมื่อสิ้นระยะเวลานั้น (3) ถามูลนิธิตั้งขึ้นเพื่อวัตถุประสงคอยางใดและไดดําเนินการตามวัตถุประสงคสําเร็จบริบูรณแลว หรือวัตถุประสงคนั้นกลายเปนพนวิสัย (4) เมื่อมูลนิธิจะลมละลาย (5) เมื่อศาลมีคําสัง่ ใหเลิกมูลนิธิ 2. นายทะเบียน พนักงานอัยการหรือผูมส ี วนไดสวนเสียรองขอตอศาล จะสั่งใหเลิกมูลนิธิไดเมื่อ ปรากฏกรณีใดกรณีหนึ่งดังตอไปนี้ (1) วัตถุประสงคของมูลนิธิขัดตอกฎหมาย (2) มูลนิธิกระทําการขัดตอกฎหมาย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรืออาจเปนภยันตรายตอ ความสงบสุขของประชาชน หรือความมั่นคงของรัฐ (3) มูลนิธไ ิ มสามารถดําเนินการตอไปไมวาเพราะเหตุใดๆ หรือหยุดดําเนินกิจการตั้งแตสองปขึ้น ไป 3. เมื่อเลิกมูลนิธิใหใชวิธีการชําระบัญชีของหางหุนสวนจดทะเบียน หางหุนสวนจํากัด และบริษัท จํากัด มาใชแกการบังคับชําระบัญชีมูลนิธิโดยอนุโลม แลวใหผูชําระบัญชีเสนอรายงานการชําระบัญชีตอ นายทะเบียนและใหนายทะเบียนเปนผูอนุมัติรายงานนั้น 4. เมื่อชําระบัญชีแลวทรัพยสินของมูลนิธิใหโอนทรัพยสินของมูลนิธิใหแกมูลนิธิ หรือนิติบุคคลซึ่งได ระบุชื่อไวในขอบังคับมูลนิธิหรือหากขอบังคับไมกําหนด เมื่อพนักงานอัยการ ผูชําระบัญชีหรือผูมีสวนได สวนเสียคนหนึ่งคนใดรองขอ ใหทรัพยสินนั้นโอนแกมูลนิธิหรือนิติบุคคลอื่นที่มีองมูลนิธิตกเปนของ แผนดิน 6.4
6.4.1 การเลิกมูลนิธิโดยผลของกฎหมาย เหตุใดบางที่ทําใหมูลนิธิตองเลิกโดยผลของกฎหมาย เหตุที่ทา ํ ใหมล ู นิธิเลิกโดยผลของกฎหมายตามมาตรา 130 มีดังนี้ คือ (1) เมื่อมีเหตุตามที่กา ํ หนดในขอบังคับ (2) ถามูลนิธต ิ ั้งขึน ้ ไวเฉพาะระยะเวลาใด เมือ ่ สิ้นระยะเวลานั้น (3) ถามูลนิธต ิ ั้งขึน ้ เพื่อวัตถุประสงคอยางใด และไดดา ํ เนินการตามวัตถุประสงคสา ํ เร็จบริบูรณ แลว หรือวัตถุประสงคนั้นกลายเปนพนวิสัย (4) เมื่อมูลนิธินั้นลมละลาย (5) เมื่อศาลมีคําสัง ่ ใหเลิกมูลนิธต ิ ามมาตรา 131 6.4.2 การเลิกมูลนิธิโดยคําสั่งศาล
มีเหตุใดบางที่จะรองขอตอศาลใหมีคําสั่งเลิกมูลนิธิได เหตุที่ตอ งรองขอใหศาลมีคา ํ สั่งเลิกมูลนิธไ ิ ดตามมาตรา 31 มีดังนี้ คือ (1) เมื่อปรากฏวาวัตถุประสงคของมูลนิธิขด ั ตอกฎหมาย (2) เมื่อปรากฏวามูลนิธิกระทําการขัดตอกฎหมายหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรืออาจจะ เปนภยันตรายตอความสงบของประชาชนหรือความมั่นคงของรัฐ (3) เมื่อปรากฏวามูลนิธิไมสามารถดําเนินกิจการตอไปไดไมวาเพราะเหตุใดๆ หรือหยุดดําเนิน กิจการตั้งแตสองปขึ้นไป 6.4.3 การชําระบัญชีทรัพยสินของมูลนิธิเมื่อชําระบัญชีแลว การโอนทรัพยสินของมูลนิธิ เมื่อชําระบัญชีแลวใหแกมูลนิธิ อยางไรบาง
หรือนิติบุคคลอื่นมีหลักเกณฑ
33 การโอนทรัพยสินของมูลนิธิเมื่อชําระบัญชีแลว มีหลักเกณฑดังนี้ (1) ตองเปนมูลนิธินิติบค ุ คลที่มว ี ัตถุประสงค เพื่อสาธารณประโยชนอยางใดอยางหนึ่งตามมาตรา 110 และ (2) ตองเปนมูลนิธิและนิตบ ิ ุคคลที่ระบุชอ ื่ ไวในขอบังคับ
แบบประเมินผล หนวยที่ 6 นิติบุคคล : มูลนิธิ กฎหมายไดใหความหมายของมูลนิธิไววา “มูลนิธิ” ไดแก ทรัพยสินที่จัดสรรไวโดยเฉพาะสําหรับวัตถุประสงคเพื่อการ กุศล สาธารณะ การศาสนา ศิลปะ วิทยาศาสตร วรรณคดี การศึกษาหรือเพื่อสาธารณประโยชนอื่น โดยมิไดมุงหาผลประโยชนมา แบงปนกัน และไดจดทะเบียนตามบทบัญญัติแหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย การจัดการทรัพยสินของมูลนิธิตองมิใชเปน การหาผลประโยชนเพื่อบุคคลใด นอกจากเพื่อดําเนินการตามวัตถุประสงคของมูลนิธินั้นเอง (มาตรา 110) มูลนิธิจึงตองประกอบดวยหลักเกณฑดังนี้ ทรัพยสินที่จัดสรรไวโดยเฉพาะ ตองมีวัตถุประสงคเพื่อสาธารณประโยชนเทานั้น มิไดมุงผลประโยชนมาแบงปนกัน ตองมิใชเปนการหาผลประโยชนเพื่อบุคคลใด ตองจดทะเบียนตาม ปพพ และเมื่อจกทะเบียนแลวเปนนิติบุคคล (มาตรา 122) การกอตั้งมูลนิธิ มูลนิธิอาจกอตั้งขึ้นไดเปน 2 กรณี คือ กรณีไมมีพินัยกรรม และกรณีมีพินัยกรรมการกอตั้งมูลนิธิทั้ง สองกรณีจะตองดําเนินการดังนี้ ตองมีขอบังคับมูลนิธิ (มาตรา 111) คือการตั้งมูลนิธิเริ่มแตการทําขอบังคับซึ่งแนนอนตองทําเปนหนังสือ ขอบังคับนี้ แตเดิมเรียก “ตราสาร” ขอบังคับของมูลนิธิอยางนอยตองมีรายการดังตอไปนี้ (มาตรา 112) • ชื่อมูลนิธิ ซึ่งจะตองมีคําวา “มูลนิธิ” ประกอบชื่อของมูลนิธิ เชน มูลนิธิโรงเรียนไกลกังวล • วัตถุประสงคของมูลนิธิ • ที่ตั้งสํานักงานใหญและที่ตั้งสํานักงานสาขาทั้งปวง • ทรัพยสินของมูลนิธิขณะจัดตั้ง • ขอกําหนดเกี่ยวกับคณะกรรมการของมูลนิธิ ไดแก จํานวนกรรมการ การตั้งกรรมการ วาระการดํารงตําแหนง ของกรรมการ การพนจากตําแหนงของกรรมการ และการประชุมคณะกรรมการ • ขอกําหนดเกี่ยวกับการจัดการมูลนิธิ การจัดการทรัพยสิน และบัญชีของมูลนิธิ การขอจดทะเบียนมูลนิธิ การบริหารงานของมูลนิธิ 9 มูลนิธิที่จดทะเบียนแลวเปนนิติบุคคล (มาตรา 122) 9 คณะกรรมการมูลนิธิจะตองประกอบไปดวยบุคคลอยางนอย 3 คน (มาตรา 111) ซึง่ ตางจากคณะกรรมการสมาคม ซึ่งกฎหมายไมไดกําหนดวามีอยางนอยกี่คน เกี่ยวกับบุคคลภายนอก กฎหมายกําหนดใหคณะกรรมการมูลนิธิเปน ผูแทนของมูลนิธิ (มาตรา 123) การเลิกมูลนิธิ มาตรา 130 มูลนิธิยอมเลิกดวยเหตุใดเหตุหนึ่งดังตอไปนี้ (๑) เมื่อมีเหตุตามที่กําหนดในขอบังคับ (๒) ถามูลนิธิตั้งขึ้นไวเฉพาะระยะเวลาใด เมื่อสิ้นระยะเวลานั้น (๓) ถามูลนิธิตั้งขึ้นเพือ ่ วัตถุประสงคอยางใด และไดดําเนินการตามวัตถุประสงคสําเร็จสมบูรณแลว หรือวัตถุประสงคนั้น กลายเปนพนวิสัย (๔) เมื่อมูลนิธินั้นลมละลาย (๕) เมื่อศาลมีคําสั่งใหเลิกมูลนิธิตามมาตรา 131
1. คณะกรรมการมูลนิธิตอง ประกอบดวยบุคคลจํานวนอยางนอย 3 คน
(มาตรา 111 มูลนิธิตองมีขอบังคับ และตองมีคณะกรรมการของมูลนิธิประกอบดวยบุคคลอยางนอยสามคน เปนผูดําเนินกิจการของ มูลนิธิตามกฎหมายและขอบังคับของมูลนิธิ )
2. บุคคลทีส ่ ามารถรองขอตอศาลใหมค ี ําสั่งถอดถอนกรรมการไดคือ (1) นายทะเบียน (2) พนักงานอัยการ (3) ผูมส ี วนไดเสีย (มาตรา 131 นายทะเบียน พนักงานอัยการ หรือผูมีสวนไดเสีย คนใดคนหนึ่งอาจรองขอตอศาลใหมีคําสั่งใหเลิกมูลนิธิไดในกรณีหนึ่ง กรณีใดดังตอไปนี้ (1) เมื่อปรากฏวาวัตถุประสงคของมูลนิธิขัดตอกฎหมาย (2) เมื่อปรากฏวามูลนิธิกระทําการขัดตอกฎหมายหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรืออาจเปนภยันตรายตอความสงบสุขของ ประชาชนหรือความมั่นคงของรัฐ (3) เมื่อปรากฏวามูลนิธิไมสามารถดําเนินกิจการตอไปไดไมวาเพราะเหตุใดๆ หรือหยุดดําเนินกิจการตั้งแตสองปขึ้นไป )
3. เมื่อเลิกมูลนิธิแลวตองปฏิบต ั ิดงั นี้ (1) ตองชําระบัญชี (2) โอนทรัพยสินใหมูลนิธิอื่นตามที่ขอบังคับมูลนิธิ กําหนดไว (3) ใหทรัพยสินโอนแกบุคคลอื่นที่มีวต ั ถุประสงคใกลชด ิ กับวัตถุประสงคนั้น (4) ถาเลิกตามคําสั่งศาลให ทรัพยสินของมูลนิธิตกเปนของแผนดิน (มาตรา 133 ในกรณีที่มีการเลิกมูลนิธิ ใหมีการชําระบัญชี มูลนิธิและใหนําบทบัญญัติในบรรพ 3 ลักษณะ 22 วาดวยการชําระบัญชี หางหุนสวนจดทะเบียน หางหุนสวนจํากัด และบริษัทจํากัด มาใชบังคับแกการชําระบัญชีมูลนิธิโดยอนุโลม ทั้งนี้ ใหผูชําระบัญชีเสนอรายงานการ ชําระบัญชีตอนายทะเบียน และใหนายทะเบียนเปนผูอนุมัติรายงานนั้น มาตรา 134 เมื่อไดชําระบัญชีแลว ใหโอนทรัพยสินของมูลนิธิใหแกมูลนิธิหรือนิติบุคคลที่มีวัตถุประสงคตามมาตรา 110 ซึ่งได ระบุชื่อไวในขอบังคับของมูลนิธิ ถาขอบังคับของมูลนิธิมิไดระบุชื่อหรือนิติบุคคลดังกลาวไว พนักงานอัยการผูชําระบัญชีหรือผูมีสวนไดเสียคนหนึ่ง
34 คนใด นั้นได
อาจรองขอตอศาลใหจัดสรรทรัพยสินนั้นแกมูลนิธิหรือนิติบุคคลอื่นที่ปรากฏวามีวัตถุประสงคใกลชิดใกลชิดที่สุดกับวัตถุประสงคของมูลนิธิ
ถามูลนิธินั้นถูกศาลสั่งใหเลิกตามมาตรา 131 (1) หรือ (2) หรือการจัดสรรทรัพยสินตามวรรคหนึ่งไมอาจกระทําได ใหทรัพยสินของ มูลนิธินั้นตกเปนของแผนดิน )
4. อํานาจของรัฐเกี่ยวกับมูลนิธิ คือ (1) ออกกฎหมายบังคับ (2) ควบคุมดูแลมูลนิธิ (3) เก็บเอกสารของมูลนิธิ
(มาตรา 128 ใหนายทะเบียนมีอํานาจตรวจตราและควบคุมดูแลการดําเนินกิจการของมูลนิธิใหเปนไปตามกฎหมายและขอบังคับของ มูลนิธิ เพื่อการนี้ใหนายทะเบียนหรือพนักงานเจาหนาที่ซึ่งนายทะเบียนมอบหมายเปนหนังสือ มีอํานาจ (1) มีคําสั่งเปนหนังสือใหกรรมการ พนักงาน ลูกจางหรือตัวแทนของมูลนิธิชี้แจงแสดงขอเท็จจริงเกี่ยวกิจการมูลนิธิหรือเรียก บุคคล หรือใหสงหรือแสดงสมุดบัญชีและเอกสารตางๆ ของมูลนิธิเพื่อตรวจสอบ (2) เขาไปในสํานักงานของมูลนิธิในระหวางพระอาทิตยขึ้น และพระอาทิตยตกเพื่อตรวจสอบกิจการของมูลนิธิ ในการปฏิบัติตามวรรคหนึ่ง ถาเปนนายทะเบียนใหแสดงบัตรประจําตัวและถาเปนพนักงานเจาหนาที่ซึ่งไดรับมอบหมายใหแสดงบัตร ประจําตัวและหนังสือมอบหมายของนายทะเบียนตอผูที่เกี่ยวของ )
หนวยที่ 7 นิติกรรมและการแสดงเจตนา 1. นิติเหตุ คือเหตุการณใดๆ ที่ทําใหเกิดความเคลื่อนไหวในสิทธิตามกฎหมาย 2. นิติกรรมคือการใดๆ อันทําลงโดยชอบดวยกฎหมายและใจสมัคร มุงโดยตรงตอการผูกนิติสัมพันธ ขึ้นระหวางบุคคล เพื่อจะกอ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ 3. แบบแหงนิติกรรมอาจแบงออกได 5 ประเภทคือ 1) ตองทําเปนหนังสือและจดทะเบียนตอ พนักงานเจาหนาที่ 2) ตองจดทะเบียนตอพนักงานเจาหนาที่ 3) ตองทําเปนหนังสือตอพนักงานเจาหนาที่ 4) ทําเปนหนังสือระหวางกันเอง 5) แบบอื่นๆ ที่กฎหมายกําหนด 4. ประเภทของนิติกรรมนั้นแบงไดหลายประเภท ขึ้นอยูกับวาจะพิจารณาในดานใดอาจแบงออกได เปน 5 ประเภท 1) นิติกรรมฝายเดียวกับนิติกรรมหลายฝาย 2) นิติกรรมมีผลเมือ ่ ผูทํายังมีชีวิตอยูกับนิติ กรรมมีผลเมื่อผูทําตายแลว 3) นิติกรรมมีคาตางตอบแทนกับนิติกรรมไมมีคาตางตอบแทน 4) นิติกรรมมี เงื่อนไขกับนิติกรรมไมมีเงื่อนไข 5) นิติกรรมที่จะตองทําตามแบบจึงจะสมบูรณกับนิติกรรมซึ่งสมบูรณโดย เพียงการแสดงเจตนา 5. การแสดงเจตนาเปนสิ่งซึ่งทําใหอีกฝายหนึ่ง รูถึงความประสงคที่จะผูกนิติสัมพันธของผูแสดง เจตนา 6. การแสดงเจตนาตอบุคคลผูอยูเฉพาะหนาสมบูรณเปนการแสดงเจตนาเมื่อตางฝายเขาใจกัน 7. การแสดงเจตนาทําใหแกบุคคลผูอยูหางโดยระยะทางยอมมีผลบังคับแตเวลาที่ไปถึงคูกรณีอีก ฝายหนึ่งนั้นเปนตนไป แตถาบอกถอนไปถึงผูนั้นกอนแลวหรือพรอมกันไซร แสดงเจตนานั้นก็ยอมตกเปน อันไรผล อนึ่งเมื่อเจตนาไดสงไปแลวถึงแมภายหลังผูแสดงเจตนาจะตายหรือตกไปเปนไรความสามารถ ทานวาหาเปนเหตุทําใหความสมบูรณแหงการแสดงเจตนานั้นเสื่อมเสียไปไม 8. การใดมีวัตถุประสงคเปนการตองหามชัดแจง โดยกฎหมายก็ดี เปนการพนวิสัยก็ดีเปนการขัดขวาง ตอความสงบเรียบรอยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนก็ดี การนั้นทานวาเปนโมฆะกรรม (ทาตรา 150) 7.1 นิติเหตุและลักษณะของนิติกรรม
1. นิติกรรมนั้นไดแก การใดๆ อันทําลงไปโดยชอบดวยกฎหมาย และใจสมัครมุงโดยตรงตอการผูก นิติสัมพันธระหวางบุคคลเพื่อจะกอ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ 2. ผลของนิติกรรม คือ เกิดความเคลื่อนไหวในสิทธิโดยมีผลเกิดความผูกพันทางกฎหมายแกคูกรณี ตามวัตถุประสงคแหงนิติกรรมนั้น 3. นิติเหตุเกิดจากเหตุการณธรรมชาติและการกระทําของบุคคล 4. นิติเหตุ คือเหตุการณใดๆ ที่ทําใหเกิดความเคลื่อนไหวในสิทธิตามกฎหมาย 7.1.1 นิติเหตุและประเภทของนิติเหตุ นิติเหตุแบงออกไดเปนกี่ประเภท อะไรบาง นิติเหตุแบงไดเปน 2 ประเภทคือ (1) นิติเหตุที่เกิดจากเหตุการณธรรมชาติ (2) นิติเหตุที่เกิดจากการกระทําของบุคคลซึง ่ อาจจะเปนการกระทําโดยชอบและโดยไมชอบดวย กฎหมาย
(ก) นายเกง ซึ่งเปนเจาหนี้เงินกูนายเฮ็งไดทําสัญญารับ นายซวย เขาเปนผูค้ําประกันเงินกูนั้น
35 (ข) นายบังเอิญ เก็บนาฬิกาไดเรือนหนึ่งในโรงหนังไมทราบวาใครเปนเจาของ จึงนําไปโรงพัก มอบใหตํารวจ ตํารวจสืบในเวลาตอมาวา นายเลินเลอเปนเจาของนาฬิกา นายบังเอิญมีสิทธิเรียกรอง รางวัลจากนายเลินเลอไดตาม ปพพ. มาตรา 1324 นิติสัมพันธ (ความสัมพันธทางดานกฎหมาย) ระหวางนายเกงกับนายซวยในขอ ก ก็ดี กับนิติ สัมพันธระหวางนายบังเอิญและนายเลินเลอในขอ ข ก็ดี มีลักษณะแตกตางกันอยางไร นิติสัมพันธระหวาง นายเกง กับ นายซวย เปนนิติกรรม นิติสัมพันธระหวาง นายบังเอิญ และนายเลินเลอเปนนิติเหตุ 7.1.2 นิติเหตุกับเหตุการณธรรมชาติ และนิติเหตุกับนิติกรรม
การกระทําตางๆ ดังตอไปนี้ เปนนิติกรรมหรือไม เพราะเหตุใด
1. ตอยตอบตกลงไปดูหนังตามคําชวนของโตง ไมใชนิติกรรม เพราะเปนการแสดงไมตรีทางสังคม 2. นายดางบอกเลิกสัญญาเชาบานที่นายเดนเชาอยู เปนนิติกรรม เพราะทําใหสท ิ ธิในสัญญาเชาระงับไป 3. นายซุมซามขับรถชนนายเซอซาเปนเหตุใหนายเซอซาตองไดรับบาดเจ็บ ไมใชนิติกรรม เปนนิติเหตุ เพราะเปนการกระทําที่ไมชอบดวยกฎหมาย 7.1.3 ลักษณะของนิติกรรม นิติกรรมคืออะไร อธิบาย และยกตัวอยางประกอบ ลักษณะทั่วไปของนิติกรรมบัญญัติไวในมาตรา 149 แหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชยวา “นิติกรรมนั้น ไดแกการใดๆ อันทําลงโดยชอบดวยกฎหมาย และดวยใจสมัคร มุงโดยตรงตอการผูกนิติสัมพันธขึ้นระหวางบุคคล เพื่อจะกอ เปลี่ยนแปลง โอน สงวนหรือระงับซึ่งสิทธิ” ซึง ่ จากบทบัญญัติของกฎหมายจากบทบัญญัติมาตรา 149 นี้ เรา อาจบอกลักษณะทั่วไปของนิติกรรมไดเปน 5 ประการดวยกันคือ (1) การกระทําใดๆ ของบุคคล (2) กระทําโดยชอบดวยกฎหมาย (3) กระทําโดยใจสมัคร (4) มุงโดยตรงตอการผูกนิติสัมพันธขึ้นระหวางบุคคล (5) กระทําเพื่อจะกอ เปลี่ยนแปลง โอน สงวนหรือชําระหนี้ ตัวอยางเชน สัญญาประเภทตางๆ เชน สัญญาซื้อขาย เชาซือ ้ จํานอง จํานํา การบอกลางโมฆียกรรม
7.1.4 ผลของนิติกรรม ผลของนิติกรรมคืออยางไร ผลของนิติกรรมนั้นจะมีผลเมื่อใดและจะสิน ้ ผลเมื่อใดนัน ้ ยอมขึ้นกับบทกฎหมาย แตละลักษณะที่ ไดบังคับไวเปนเรื่องๆ ไป จะวางหลักแนนอนตายตัวไปไมได เพราะนิตก ิ รรมกอใหเกิดการเคลื่อนไหวใน สิทธิแตกตางกันไป 7.2 แบบและประเภทของนิติกรรม
1. กฎหมายกําหนดแบบของนิติกรรมขึ้นเพื่อคุมครองประโยชนของรัฐและประชาชนโดยสวนรวม 2. แบบแหงนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชยอาจแบงออกเปน 5 ประเภท คือ 1) ตอง ทําเปนหนังสือและจดทะเบียนตอพนักงานเจาหนาที่ 2) ตองจดทะเบียนตอพนักงานเจาหนาที่ 3) ตองทํา เปนหนังสือตอพนักงานเจาหนาที่ 4) ทําเปนหนังสือระหวางกันเอง 5) แบบอื่นๆ ที่กฎหมายกําหนด 3. นิติกรรมที่ทําไมถูกตองตามแบบมีผลใหนิติกรรมนั้นเปนโมฆียะคือเสียเปลา 4. ประเภทของนิติกรรมนั้นแบงไดหลายประเภทขึ้นอยูกับวาจะพิจารณาในดานใด ซึ่งอาจแบงได ดังนี้ 1) นิติกรรมฝายเดียวกับนิติกรรมหลายฝาย 2) นิติกรรมมีผลเมื่อผูทํายังมีชีวิตอยูกับนิติกรรมมีผลเมื่อ ผูตายแลว 3) นิติกรรมมีคาตางตอบแทนกับนิติกรรมไมมีคาตอบแทน 4) นิติกรรมมีเงื่อนไขกับนิติกรรมไม มีเงื่อนไข 5) นิติกรรมที่จะตองทําตามแบบจึงจะสมบูรณกับนิติกรรมซึ่งสมบูรณโดยเพียงการแสดงเจตนา 7.2.1 แบบของนิติกรรม
แบบของนิติกรรมแบงออกไดเปนกี่แบบ อะไรบาง แบบของนิตก ิ รรมอาจแบงออกเปน 5 ประเภท คือ (1) ตองทําเปนหนังสือและจดทะเบียนตอพนักงานเจาหนาที่ (2) ตองจดทะเบียนตอพนักงานเจาหนาที่ (3) ตองทําเปนหนังสือตอพนักงานเจาหนาที่ (4) ทําเปนหนังสือไวเปนหลักฐานระหวางเอง (5) แบบอื่นๆ ที่กฎหมายกําหนด
36 นิติกรรมที่ทําไมถูกแบบจะมีผลอยางไร ผลของนิติกรรมทีท ่ า ํ ไมถก ู ตองตามแบบทําใหนิตก ิ รรมนั้นตกเปนโมฆะ คือ เสียเปลา แตบางกรณีแม นิติกรรมนี้จะทําไมถูกแบบ แตก็อาจจะสมบูรณเขานิติกรรมแบบอืน ่ ๆ ได เชน ตามมาตรา 1658 ที่ พินัยกรรมฝายการเมืองซึง ่ อาจสมบูรณ เชน นิติกรรมไดโดยเขาแบบของพินัยกรรมอยางอื่น 7.2.2 ประเภทของนิติกรรม นิติกรรมแบงไดเปนกี่ประเภท อะไรบาง นิติกรรมแบงไดหลายประเภทขึ้นอยูกบ ั วาจะพิจารณาในดานใด ในทีน ่ ี้อาจแบงได 5 ประเภท (1) นิติกรรมฝายเดียวกับนิตก ิ รรมหลายฝาย (2) นิติกรรมมีผลเมื่อผูท ํายังมีชีวิตอยูกบ ั นิตก ิ รรมมีผลเมือ ่ ผูทา ํ ตายแลว (3) นิติกรรมมีคาตางตอบแทนกับนิตก ิ รรมไมมีคาตางตอบแทน ่ นไข (4) นิติกรรมมีเงื่อนไขกับนิตก ิ รรมไมมีเงือ (5) นิติกรรมที่จะตองทําตามแบบจึงจะสมบูรณกบ ั นิตก ิ รรมซึ่งสมบูรณโดยเพียงการแสดงเจตนา 7.3 การแสดงเจตนา
1. การแสดงเจตนาตอบุคคลเฉพาะหนาสมบูรณเมื่อคูกรณีไดเขาใจกัน 2. การแสดงเจตนาตอบุคคลที่อยูหางโดยระยะทางยอมสมบูรณเปนการแสดงเจตนาเมื่อไดสงไปแต จะมีผลก็ตอเมื่อเวลาที่ไปถึงคูกรณีอีกฝายหนึ่ง 3. เมื่อเจตนาไดสงไปแลวถึงแมวาในภายหลังผูแสดงเจตนาจะตายหรือตกเปนคนไรความสามารถก็ ตามการแสดงเจตนานั้นก็ยังสมบูรณ 4. ถาคูกรณีอีกฝายหนึ่งเมื่อไดรับซึ่งการแสดงเจตนานั้นเปนผูเยาวก็ดี เปนผูที่ศาลไดสั่งเปนคนไร ความสามารถก็ดี การแสดงเจตนานั้นทานหามมิใหยกขึ้นเปนขอตอสูคูกรณีนั้น แตขอความนี้ทานมิใหใช บังคับ หากปรากฏวาผูแทนโดยชอบธรรมไดรูดวยแลว 5. ในการตีความการแสดงเจตนานั้นทานใหเพงเล็งถึงเจตนาอันแทจริงกวาถอยคําสํานวนตาม ตัวอักษร 7.3.1 การแสดงเจตนาตอบุคคลผูอยูเฉพาะหนาและตอบุคคลที่อยูหางโดยระยะทาง การแสดงเจตนาตอบุคคลเฉพาะหนาสมบูรณเปนการแสดงเจตนาเมื่อใด สมบูรณเปนการแสดงเจตนาเมื่อคูกรณีเขาใจกัน และตางฝายตางไดรูเจตนาซึ่งกันและกัน
การแสดงเจตนาตอบุคคลที่อยูหางโดยระยะทาง สมบูรณเปนการแสดงเจตนา และมีผลเมื่อใด ตามนัยแหงมาตรา 130 (วรรค 2) การแสดงเจตนาตอบุคคลที่อยูห างโดยระยะทางยอมสมบูรณ เปนการแสดงเจตนาเมื่อไดสงไป และมีผลก็ตอ เมือ ่ เวลาที่ไปถึงคูก รณีอก ี ฝายหนึ่งตามนัยมาตรา 130 (วรรคแรก) การไปถึงนั้นไมจําเปนที่คก ู รณีจะตองไดรู 7.3.2 การแสดงเจตนาตอผูเยาวและคนไรความสามารถ
อธิบายหลักเกณฑการแสดงเจตนาตอผูเยาว และคนไรความสามารถ การแสดงเจตนาตอผูเยาวและคนไรความสามารถกฎหมายบัญญัติหลักเกณฑไวในมาตรา 131 คือจะยกขึ้นเปนขอตอสูบ ุคคลดังกลาวไมได เวนแตผูแทนโดยชอบธรรมของบุคคลนั้นๆ จะไดรูการแสดง เจตนาจึงจะมีผล แตอยางไรก็ดต ี ามมาตรา 28 ซึ่งเปนกรณีที่ผูเยาวอาจมีฐานะเสมอดังบุคคลผูบรรลุนิติ ภาวะ ดังนั้นไมตองคํานึงถึงผูแทนโดยชอบธรรมแตอยางไร 7.3.3 การตีความการแสดงเจตยา
อธิบายการตีความการแสดงเจตนา หลักการตีความการแสดงเจตนา บัญญัตไ ิ วในมาตรา 132 วาใหเพงเล็งถึงเจตนาอันแทจริงยิ่งกวา ถอยสํานวนความตัวอักษรแตเมื่อกฎหมายใชคําวาตีความ ดังนั้นจะใชการตีความการแสดงเจตนาเมื่อกรณี เปนที่สงสัยและการตีความตองคํานึงถึงหลักตามมาตรา 10 11 12 13 และ 14 ประกอบดวย 7.4 หลักการขัดขวางเจตนา
1. วัตถุประสงคคือประโยชนสุดทายที่ผูแสดงเจตนาทํานิติกรรมมุงประสงค 2. การอันเปนพนวิสัยคือเรื่องที่ไมเปนวิสัยที่จะทําได 3. การขัดตอความสงบเรียบรอยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ถือหลักวาเปนสิ่งที่กระทบถึง ประโยชนของบุคคลทั่วไปแลว ก็เปนเรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบรอยของประชาชน และในเรื่องศีลธรรม อันดีนั้น เปนเรื่องศีลธรรมของสังคม
37 4. กฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบรอยและศีลธรรมอันดีของประชาชน มีหลักพิจารณาวาเปนบท บัญญัติกฎหมายที่มีลักษณะบังคับใหกระทําโดยไมอาจเลือกกระทําได และเปนกฎหมายที่กระทบหรือ เกี่ยวของกับประโยชนของประชาชนทั่วไป มิใชเฉพาะแตคูกรณีรวมทัง้ กระทบตอศีลธรรมของสังคมดวย 7.4.1 วัตถุประสงคที่เปนการตองหามชัดแจงโดยกฎหมาย
วัตถุที่ประสงคคืออะไร
วัตถุประสงค คือประโยชนสุดทายที่ผูแสดงเจตนาทํานิติกรรมปรารถนามุง ประสงคไววา จะใหเกิด มีขึ้นเปนอยางไร โดยอาศัยนิตก ิ รรมนั้นเปนประโยชนเกิดผลสุดทายที่นต ิ ิกรรมนั้นจะพึงอํานวยให วัตถุประสงคมไ ี ดแตในการทํานิตก ิ รรมเทานั้น วัตถุประสงคแหงนิตก ิ รรมตางกับวัตถุแหงหนี้มีไดเพียง 3 ประการ คือ การกระทํา งดเวนการกระทํา และการสงมอบทรัพยสิน
วัตถุที่ประสงคเปนการตองหามชัดแจงโดยกฎหมาย กฎหมายอยางไร
คืออยางไร
และถากระทําแลวจะมีผลใน
วัตถุประสงคเปนการตองหามชัดแจงโดยกฎหมาย คือการที่บค ุ คลใดมีเจตนาทํานิตก ิ รรมเพื่อ ประโยชนที่จะไดมาซึง ่ สิ่งทีไ ่ มชอบดวยกฎหมาย หรือกระทําการทีก ่ ฎหมายบัญญัติหา มได เชนสัญญาซื้อ ขายปนเถือ ่ น สัญญาจางใหไปวางเพลิง ปนเถือ ่ นเปนสิ่งที่มีไวในครอบครองเปนการผิดกฎหมาย การ วางเพลิงเปนการกระทําทีผ ่ ด ิ กฎหมาย หรืออาจเปนกรณีซึ่งปฏิบัติการอันชอบดวยกฎหมายแลวแตมีมี วัตถุประสงคเพิ่มเติมในทางผิดกฎหมาย เชน ซื้อมีดไปเพื่อใชฆาคน ซื้อปุยไปเพือ ่ ใสตนกัญชา ผลในกฎหมายคือ การที่มว ี ัตถุทป ี่ ระสงค เปนการตองหามชัดแจงโดยกฎหมายตกเปนโมฆะคือ เสียเปลาไมมผ ี ลบังคับ 7.4.2 วัตถุประสงคเปนการพนวิสัย
วัตถุประสงคที่เปนการพนวิสัยคืออะไร มีผลในกฎหมายอยางไร คือประโยชนสุดทายทีผ ่ ูแสดงเจตนาทํานิติกรรมมุง ประสงคไววา จะใหเกิดขึ้นนั้น เปนเรื่องที่ไมเปน วิสัยที่จะทําได อาจเปนกรณีคนทั่วไปทําไมได เชน เสกคนใหเปนเทวดา ลองหนหายตัว เปนตน หรืออีกนัย หนึ่งอาจผูกวาเปนเรือ ่ งพนวิสัยทีเดียวแตอาจเปนกรณีอันเปนวิสัยโดยปกติ แตเกิดเปนพนวิสัยเสียแลวก็ได ผลในทางกฎหมายคือ การที่มีวต ั ถุประสงคเปนการพนวิสัยตกเปนโมฆะคือเสียเปลาไมมีผลบังคับ 7.4.3 วัตถุประสงคเปนการขัดตอความสงบเรียบรอยและศีลธรรมอันดีของประชาชนและกฎหมาย อันเกี่ยวกับความสงบเรียบรอย หรือศีลธรรมอันดี
วัตถุประสงคเปนการขัดตอความสงบเรียบรอยและศีลธรรมอันดีของประชาชน คืออะไร
คือประโยชนสุดทายทีผ ่ ูแสดงเจตนาทํานิติกรรมมุง ประสงคไวขด ั กับสิ่งที่กระทบถึงประโยชน บุคคลทั่วไปหรือประชาชน หรือกระทบถึงศีลธรรมในสังคม
กฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบรอยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน คืออะไร
คือกฎหมายซึง ่ มีลักษณะบังคับใหกระทําโดยมิอาจเลือกกระทําไดและเปนกฎหมายซึ่งกระทบหรือ เกี่ยวของกับประโยชนของประชาชนทัว ่ ไปมิใชเฉพาะแตคูกรณี รวมทั้งกระทบตอศีลธรรมอันดีของสังคม
วัตถุประสงคเปนการขัดตอความสงบเรียบรอยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เกี่ยวกับความสงบเรียบรอยและศีลธรรมอันดีของประชาชนตางกันอยางไร
และกฎหมายอัน
วัตถุประสงคเปนการขัดตอการขัดตอความสงบเรียบรอย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชนนับเปน เรื่องซึ่งเกิดจากการแสดงเจตนาของการทํานิตก ิ รรมดังนั้นจึงเกิดขึน ้ จากการแสดงเจตนา สวนกฎหมายอัน เกี่ยวกับความสงบเรียบรอยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนนั้น เปนเรื่องที่มีบทบัญญัติในกฎหมายแนนอน ตายตัว แตหลักเกณฑที่จะพิจารณาวาการใดๆเกีย ่ วกับความสงบเรียบรอยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน นั้น ใชในหลักการพิจารณาเชนเดียวกัน
แบบประเมินผล หนวยที่ 7 นิติกรรมและการแสดงเจตนา มาตรา 149 นิติกรรม หมายความวา การใดๆ อันทําลงโดยชอบดวยกฎหมายและดวยใจสมัคร มุงโดยตรงตอการผูก นิติสัมพันธขึ้นระหวางบุคคล เพื่อจะกอ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ จากบทบัญญัติของมาตรานี้ อาจบอกลักษณะของนิติกรรมไดเปน 5 ประการดวยกันคือ (1) การกระทําใดๆของบุคคล (2) กระทําโดยชอบดวยกฎหมาย (3) กระทําดวยใจสมัคร (4) มุงโดยตรงตอการผูกนิติสัมพันธขึ้นระหวางบุคคล (5) กระทําเพื่อจะกอ เปลี่ยนแปลง โอน สงวนหรือระงับสิทธิ นิติเหตุ คือเหตุการณใดๆ ที่ทําใหเกิดความเคลื่อนไหวในสิทธิตามกฎหมาย ประเภทของนิติเหตุ มี 2 ประเภทคือ
38 (1) นิติเหตุที่เกิดจากเหตุการณธรรมชาติ โดยปกติแลวเหตุการณตามธรรมชาติไมมีผลในกฎหมายแตอยางใด เชนฝน ตก ฟารองน้ําทวม มีเหตุการณตามธรรมชาติบางประการซึ่งกอใหเกิดความเคลื่อนไหวในสิทธิได เชนการเกิด การตาย ที่งอกริ ตลิ่ง เปนเหตุการณนอกเหนือเจตนาของมนุษยแตกฎหมายยอมรับบังคับใหเกิดสิทธิและหนาที่ขึ้นได (2) นิติเหตุที่เกิดจากการกระทําของบุคคล คือนิติเหตุซึ่งบุคคลเปนผูกอใหเกิดขึ้นนั่นเอง แบงออกไดเปน 2 ชนิด คือ การกระทําที่ชอบดวยกฎหมายและการกระทําที่ไมชอบดวยกฎหมาย การกระทําของบุคคลที่ชอบดวยกําหมาย การกระทําที่อยูในกรอบภายใตบังคับแหงกฎหมายโดยผูกระทํามี เจตนาหรือตั้งไวใหเกิดผลในกฎหมายขึ้น การกระทําของบุคคลในลักษณะนี้เรียกวา นิติกรรม การกระทําที่เกิดขึ้นเองโดยอํานาจ ของกฎหมาย ผลในกฎหมายที่เกิดขึ้นเองแมวาผูก ระทํามิไดตั้งใจใหเกิดผลในทางกฎหมาย เชน เรื่องการจัดการงานนอกสั่ง เรื่อง ลาภมิควรได การกระทําที่มิชอบดวยกฎหมาย เชนการกระทําละเมิด ซึ่งไดแกการกระทําผิดกฎหมายทําใหผูอื่นไดรับความ เสียหาย เหตุการณตามธรรมชาติอยางใดที่กฎหมายยอมรับใหเกิดผลทางกฎหมายโดยกอใหเกิดสิทธิและหนาที่ระหวางบุคคล ขึ้น เหตุนั้นๆ ยอมเปนนิติเหตุทั้งสิ้น กลาวโดยสรุปไดวานิติเหตุนั้นอาจเกิดขึ้นไดโดยเหตุการณธรรมชาติ แตเหตุการณธรรมชาติ โดยทั่วไปแลวไมใชนิติเหตุ การใดเปนนิติกรรม การนั้นยอมเปนนิติเหตุอยางหนึ่งเสมอ แตนิติเหตุไมจําเปนตองเปนนิติกรรมเสมอไป วัตถุประสงคของนิติกรรม คือ ประโยชนสุดทายหรือความมุงหมายสุดทายที่ผูทํานิติกรรมเจตนาที่จะใหเกิดผล็อยางใด อยางหนึ่งขึ้น นิติกรรมแบงออกเปน 5 ประเภท คือ (๑) นิติกรรมฝายเดียว และนิติกรรมหลายฝาย – นิติกรรมฝายเดียว เชน การทําพินัยกรรม คํามั่นจะใหรางวัล การบอก ลางโมฆียะกรรม การใหสัตยาบัน คําเสนอหรือคําสนอง - สวนนิติกรรมหลายฝาย อาจเรียกเปนนิติกรรมสองฝาย นิติกรรม ประเภทนี้คือ สัญญานั่นเอง (๒) นิติกรรมมีผลเมื่อผูทํายังมีชีวิตอยูกับนิติกรรมมีผลเมื่อผูทําตายแลว (๓) นิติกรรมมีคาตางตอบแทนกับนิติกรรมไมมีคาตางตอบแทน – นิติกรรมที่มีคาตางตอบแทน เชน ซื้อขาย เชาทรัพย จางทําของ จางแรงงาน --สวนนิติกรรมไมมีคาตางตอบแทน เชน พินัยกรรม การใหโดยเสนหา ยืมใชคงรูป ฝากทรัพยไมมี บําเหน็จ (๔) นิติกรรมมีเงื่อนไข เงื่อนเวลา กับนิติกรรมไมมีเงื่อนไขเงื่อนเวลา (๕) นิติกรรมที่จะตองทําตามแบบจึงจะสมบูรณกับนิติกรรมซึ่งสมบูรณโดยการแสดงเจตนา มาตรา 150 การใดมีวัตถุประสงคเปนการตองหามชัดแจง โดยกฎหมายเปนการพนวิสัยหรือเปนการขัดตอความสงบ เรียบรอยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การนั้นเปนโมฆะ มาตรา 151 การใดเปนการแตกตางกับบทบัญญัติของกฎหมาย ถามิใชกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบรอยหรือ ศีลธรรมอันดีของประชาชน การนั้นไมเปนโมหะ
1. ในกรณีที่ไมมีกฎหมายลายลักษณอักษรมาปรับแกคดี ศาลตอง วินิจฉัยตามคลองจารีตประเพณี 2. ในเรื่องที่เกี่ยวกับเหตุสุดวิสย ั ไดแก (ก) น้ําทวมทําใหถนนขาดทําใหไมสามารถเดินทางได (ข) ฟาผา โคตาย (ค) โจรปลน (ง) สงคราม 3. ที่งอกริมตลิ่ง ถือวาเปนนิติเหตุ 4. การปลดหนี้ ถือวาเปนนิติกรรม 5. นิติกรรมซึ่งทําไมถูกแบบ มีผลใหนิติกรรมนั้นเปนโมฆะ มาตรา 152 การใดมิไดทําใหถูกตองตามที่กฎหมายบังคับไว การนั้นเปนโมฆะ มาตรา 153 การใดมิไดเปนไปตามบทบัญญัติของกฎหมายวาดวยความสามารถของบุคคลนั้นเปนโมฆียะ
6. พินัยกรรม ถือเปนนิติกรรมฝายเดียว ิ รรม 7. การทําเปนหนังสือระหวางกัน ถือเปนแบบของนิตก 8. ผูเยาวบรรลุนิตภ ิ าวะ เปนนิติเหตุ
หนวยที่ 8 การควบคุมการแสดงเจตนา 1. กฎหมายรับรองหลักในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ในการแสดงเจตนาของบุคคลสําคัญ เมื่อบุคคลได แสดงเจตนาออกมาแลว ก็ตองผูกพันตามนั้น แมในใจของผูแสดงเจตนาจะไมตองผูกพันก็ตาม 2. การแสดงเจตนาเขาทํานิติกรรมจะตองเกิดจากเจตาที่แทจริง หากการแสดงเจตนานั้นวิปริตอาจ เนื่องจากถูกขมขูหรือถูกกลฉอฉลหรือสําคัญผิดก็ตาม ซึ่งทําใหการแสดงเจตนานั้นไมตรงกับเจตนาภายใน อันแทจริง หรืออาจจะเรียกวา เปนการแสดงเจตนาโดยไมสมัครใจ กฎหมายจึงตองเขามาควบคุมเพื่อ ความเปนธรรม 8.1 การแสดงเจตนาที่ไมตรงกับเจตนาที่แทจริง
1. เจตนาซอนเรนคือ ความตั้งใจที่จะไมผูกพันตามเจตนาที่ตนไดแสดงออกไป ผลของการแสดง เจตนาซอนเรนคือ ตองผูกพันตามที่ตนไดแสดงออกมา เวนแตคูกรณีอีกฝายหนึ่งจะไดรูถึงเจตนาอันซอน เรนอยูในใจของผูแสดงเจตนานั้น
39 2. เจตนาลวง คือ บุคคลสองฝายสมคบหรือหลอกบุคคลบุคคลอื่นวามีนิติกรรมซึ่งคูก รณีทั้งสองฝาย ไดทําขึ้นจริง แตที่จริงแลวไมมี ผลของการแสดงเจตนาลวงเปนโมฆะ แตหามยกขึ้นเปนขอตอสูกับ บุคคลภายนอกผูทําการโดยสุจริต และตองเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้น 3. นิติกรรมอําพราง คือ การแสดงเจตนาลวงอยางหนึ่งซึ่งมีการทํานิติกรรมขึ้น 2 นิติกรรม โดยมีนิติ กรรมซึ่งคูกรณีมิไดมุงผูกพันกันจริง อําพราง คือ ปกปดนิติกรรมอีกอันหนึ่งซึ่งคูกรณีตองการจะผูกพันใหมี ผลทางกฎหมายอยางแทจริง ผลของการทํานิติกรรมอําพรางคือ ใหนําบทบัญญัติของกฎหมายอันเกี่ยวกับ นิติกรรมที่ถูกอําพรางมาใชบังคับ 8.1.1 การแสดงเจตนาซอนเรน
ก มีนาฬิกาสวยอยูเรือนหนึ่ง ข ออกปากขอยืมหลายหนในที่สุด ก โกรธจึงถอดนาฬิกาใหแลว พูดวา “รําคาญจริงเอาอยากไดเอาไปใสใหพอใจเลยไป” เชนนี้ความผูกพันระหวาง ก และ ข จะมีผล อยางไรในกฎหมาย
ตามนัยแหงมาตรา 154 สัญญายืมระหวาง ก และ ข นั้นสมบูรณมผ ี ลผูกพันกันตามกฎหมาย ก จะอางเจตนาซอนเรนของตนที่ประชดใหนาฬิกา ข ยืมดวยความโกรธมาเปนขออางไมไดเพราะ ข ไม กรณีฟงไดวา ข เองก็รอ ู ยูวา ที่ ก ทําไปนั้นเปน สามารถจะรูถง ึ เจตนาซึ่งซอนเรนอยูในใจของ ก ได แตถา การประชดตน ก ไมมีเจตนาจะใหยืม เชนนี้ เมื่อตางฝายตางรูถง ึ เจตนาที่แทจริงทั้งสองฝายก็ไมมีความ ผูกพันตามสัญญายืม สัญญายืมจึงเปนโมฆะ ใชบง ั คับไมได 8.1.2 เจตนาลวง เจตนาลวงคืออะไร มีผลในกฎหมายอยางไร (1) คือตองมีบุคคล 2 ฝายสมรูก ันหรือสมคบกันหลอกคนอืน ่ วามีนิตก ิ รรมซึ่งคูก รณีทง ั้ 2 ฝายได ทําขึ้นแตทจ ี่ ริงแลวไมมีตามนัยแหงมาตรา 155 (2) ผลของการแสดงเจตนาลวงนั้นตามนัยทาตรา 155 กฎหมายบัญญัติใหเปนโมฆะคือเสียเปลา ไมมีผลในกฎหมาย เพราะการแสดงเจตนาลวงนั้นถือวาไมมีอะไรที่จะผูกพันกันเลย แตสมคบทําใหคนอื่น การแสดงเจตนาลวงนั้นมี เขาใจผิดวามีความผูกพันกัน ดังนั้นระหวางคูกรณีจึงไมมีอะไรผูกพันกัน แตถา ผลทําใหบค ุ คลภายนอกผูซง ึ่ ตองทําการโดยสุจริต และตองเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้น แลวยก ความเปนโมฆะในขอนี้มาใชยันบุคคลภายนอกไมได 8.1.3 นิติกรรมอําพราง
ข มีรถจักรยาน 2 คัน คันหนึ่งใหม อีกคันหนึ่งเกา จักรยานคันเกา ข ไดใหแก ก เพื่อนของตนขอ ยืมใชชั่วคราว แต ก และ ข ก็ไดบอกแกคนทั่วไปวา ข ไดขายจักรยานคันเกาให ก แลวเพราะไมตองการ ใหเพื่อนคนอื่นๆ มาขอยืมใชอีกตอมามีคนมาติดตอขอซื้อจักรยานคันเกา ข จึงคิดจะขายจักรยานคันเกา เสียเพราะยังไดเงินใชบางดีกวาให ก ยืมใชเปลาๆ ข จึงทวงรถจักรยานจาก ก ก ไมยอมใหโดยอางวา ไดบออกคนอื่นๆไปแลววาไดซื้อจักรยานมาแลว แลวจะมาทวงคืนไดอยางไร เชนนี้ความผูกพันระหวาง ก และ ข ในกฎหมายจะมีผลอยางไร ทั้ง ก และ ข ไดทํานิตก ิ รรมอําพรางขึ้นคือไดทํานิตก ิ รรมสัญญาขึน ้ และสัญญาซื้อขายนั้นทําขึ้น เพื่อปดบังอําพรางสัญญายืมซึ่งทั้ง ก และ ข ตองปดบังอําพรางไว ตามนัยแหงมาตรา 155 วรรคสอง ใหนา ํ บทบัญญัติของกฎหมายในเรื่องนิตก ิ รรมที่ถก ู อําพรางไว ื สัญญายืมในเมื่อแตแรก ก และ ข ตองการผูกพันกันตาม มาใชบังคับ ในที่นี้นิติกรรมที่ถก ู อําพรางไวคอ สัญญายืมแลว ก จะไมยอมคืนจักรยานไมได เพราะสัญญาซือ ้ ขายซึ่งทําไวหลอกชาวบานนั้นตกเปนโมฆะ 8.2 การแสดงเจตนาโดยวิปริต
1. การแสดงเจตนาถาทําดวยสําคัญผิดในสิ่งที่เปนสาระสําคัญ แหงนิติกรรมเปนโมฆะแตถาความ สําคัญผิดนั้นเปนเพราะความประมาทเลินเลออยางรายแรงของบุคคลผูแสดงเจตนาไซร ทานวาบุคคลผูนั้น ถือเอาความไมสมบูรณนั้นมาใชประโยชนแกตนไมได 2. การแสดงเจตนา ถาทําดวยสําคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย ซึ่งตามปกติยอมนับวา เปนสาระสําคัญนั้นเปนโมฆียะ 3. การแสดงเจตนาอันไดมาเพราะกลฉอฉลก็ดี เพราะขมขูก็ดีเปนโมฆียะ แตถาคูกรณีฝายหนึ่งได แสดงเจตนาเพราะกลฉอฉลของบุคคลภายนอก การจะเปนโมฆียะตอเมื่อคูกรณีอีกฝายหนึ่งไดรูหรือควรจะ รูกลฉอฉลนั้น การบอกลางการแสดงเจตนาซึ่งไดทําขึ้นเพราะกลฉอฉลนั้นหามมิใหยกขึ้นเปนขอตอสู บุคคลภายนอกผูทําการโดยสุจริต 4. การอันจะเปนโมฆียกรรมเพราะกลฉอฉลนั้นตอเมื่อถึงขนาด ซึ่งถามิไดมีกลฉอฉลนั้น การอันนั้นก็ คงมิไดทําขึ้น
40 5. กลฉอฉลเพื่อเหตุคือ เพียงไดจูงใจใหคูกรณีฝายหนึ่งยอมรับเอาซึ่งขอกําหนดอันหนักยิ่งกวาที่เขา จะยอมรับโดยปกติ กลฉอฉลเพื่อเหตุนั้นจะบอกลางเสียทีเดียวไมได คูกรณีนั้นไดแตจะเรียกเอาคาสินไหม ทดแทน 6. การขมขูที่จะทําใหการใดตกเปนโมฆียะนั้นจะตองถึงขนาดที่จะจูงใจผูถูกขมขูใหมีมูลตองกลัวจะ เกิดความเสียหายเปนภัยแกตนเอง แกสกุลแหงตนหรือแกทรัพยสินของตน เปนภัยอันใกลจะถึง และอยาง นอยรายแรงเทากับที่จะพึงกลัวตอการอันเขากรรโชกนั้น 7. การขูวาจะใชสิทธิอันใดอันหนึ่งตามปกตินิยมก็ดี เพียงแตความกลัวเพราะนับถือยําเกรงก็ดี ไมถือ เปนการขมขู 8. ในการวินิจฉัยคดีขอสําคัญผิดก็ดี กลฉอฉลก็ดี ขมขูก็ดี ทานใหพอเคราะหถึง เพศ อายุ ฐานะ อนามัย และนิสัยใจคอของผูเจาทุกข ตลอดถึงพฤติการณอื่นทั้งปวงอันอาจเปนน้ําหนักแกการนั้นดวย 8.2.1 การแสดงเจตนาโดยสําคัญผิด อธิบายความสําคัญในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย ซึ่งตามปกติยอมนับวาเปนสาระสําคัญ ในเรื่องสําคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพยสินที่เปนสาระสําคัญ ทําใหนิติกรรมซึ่งเกิด จากการแสดงเจตนานั้นเปนโมฆียะไมไดหมายความแตเพียงลักษณะรูปราง เนื้อตัวแตอยางเดียว แต หมายความถึงคุณลักษณะทั้งหลายทั้งปวงมีผลกระทบกระเทือนถึงความเชื่อถึงคุณคาแหงบุคคลหรือ ทรัพยสินนั้น อันนับไดวา เปนคุณสมบัตซ ิ ึ่งเปนสาระสําคัญ ตองเปนคุณสมบัตท ิ จ ี่ ะทําใหบุคคลหรือทรัพย ตางลักษณะตางชนิดตางประเภทไปจากความเขาใจของผูท ํานิติกรรม ซึ่งทีก ่ ลาวมาแลวเปนเพียงหลักใน การพิจารณาเทานั้นจะวางเปนกฎหมายตายตัวนั้นไมได ตองพิจารณาเปนเรื่องๆ ไปตามเจตนาแหงคูกรณี เปนเรื่องๆไป
อธิบายขอแตกตางระหวางความสําคัญผิดในสิ่งซึ่งเปนสาระสําคัญแหงนิติกรรมกับความสําคัญผิด ในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย ซึ่งตามปกติยอมนับวาเปนสาระสําคัญ
ขอแตกตางระหวางสาระสําคัญแหงนิตก ิ รรมกับคุณสมบัตท ิ ี่เปนสาระสําคัญ คือ สาระสําคัญแหงนิตก ิ รรมเปนเรื่องที่มก ี ําหนดอยูในเรือ ่ งนิติกรรม เปนสวนที่ตอ งอยูตามสภาพของ นิติกรรม คือประเภทของนิตก ิ รรมบุคคลทีท ่ ํานิตก ิ รรม และทรัพยที่เปนวัตถุแหงนิตก ิ รรม ซึ่งทั้ง 3 สิ่งนี้ตอง มีอยูในนิติกรรมอยูแลว แตในเรื่องคุณสมบัตินั้นดังไดกลาวแลวในนิติกรรมบางประเภท คุณสมบัติไมใช สาระสําคัญของนิตก ิ รรมแตอยางใดเลย คุณสมบัตเิ ปนเรื่องของเจตนาของแตละบุคคลซึ่งมักคิดตามแต คนจะตองการคุณสมบัตอ ิ ยางไรจึงถือเปนสาระสําคัญ ผลของความสําคัญผิดในสาระสําคัญแหงนิติกรรมนั้นคือ เปนโมฆะ แตในเรื่องสําคัญผิดใน คุณสมบัตท ิ ี่เปนสาระสําคัญนั้นมีผลทําใหนิตก ิ รรมเปนโมฆียะ 8.2.2 การแสดงเจตนาโดยถูกกลฉอฉล กลฉอฉลเพื่อเหตุคืออะไร และมีผลเปนอยางไร กลฉอฉลเพือ ่ เหตุตามนัยแหงมาตรา 161 นั้น ไมทา ํ ใหการแสดงเจตนาเปน โมฆียะ เพราะเปนกล ฉอฉลที่ไมถึงขนาด เปนเพียงแตทําใหผูแสดงเจตนา เพราะกลฉอฉลเพือ ่ เหตุนั้นตองยอมรับเอาซึ่ง ขอกําหนดอันหนักยิง ่ กวาที่เขาจะยอมรับเทานั้น กฎหมายใหผูทต ี่ องยอมรับขอกําหนดซึง ่ หนักกวาปกตินั้น ไดรับคาสินไหมทดแทนจากผูท ี่กระทํากลฉอฉลนั้น 8.2.3 การแสดงเจตนาโดยถูกขมขู จงอธิบายถึงผลของการแสดงเจตนาเพราะถูกขมขู ผลของการขมขูถง ึ ขนาดเปนการขมขูนน ั้ ทําใหนิติกรรมเปนโมฆียะ แตอยางไรก็ตามในหลักการ วินิจฉัยคดี (มาตรา 167) ในเรื่องขมขู จะตองพิเคราะหถง ึ เพศ อายุ ฐานะ อนามัย และนิสัยใจคอของเจา ทุกขตลอดถึงพฤติการณอน ื่ ทั้งปวงอันอาจเปนน้ําหนักแหงการนั้นดวย ซึ่งกลาวงายๆ วาในการวินิจฉัยคดี เกี่ยวกับการขมขู ศาลใชหลักเกณฑดังกลาวในการพิจารณา เพราะการแสดงเจตนาโดยถูกขมขูนี้จะใช ความรูสก ึ นึกคิดของบุคคลธรรมดาเปนมาตรฐานแนนอนไมได แมการขมขูจะเกิดจากบุคคลภายนอกก็ทา ํ ใหการแสดงเจตนานั้นเปนโมฆียะ ตามนัยมาตรา 166
แบบประเมินผล หนวยที่ 8 การควบคุมการแสดงเจตนา มาตรา 154 การแสดงเจตนาใดแมในใจจริงผูแสดงจะมิไดเจตนาใหตนตองผูกพันตามที่แสดงออกก็ตาม หาเปนมูลเหตุ ใหการแสดงเจตนานั้นเปนโมฆะไม เวนแตคูกรณีอีกฝายหนึ่งจะไดรูถึงเจตนาอันซอนอยูในใจของผูแสดงนั้น มาตรา 155 การแสดงเจตนาลวงโดยสมรูกับคูกรณีอีกฝายหนึ่งเปนโมฆะ แตจะยกขึ้นเปนขอตอสูบุคคลภายนอก ผูกระทําการโดยสุจริต และตองเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้นมิได ถาการแสดงเจตนาลวงตามวรรคหนึ่งทําขึ้นเพื่ออําพรางนิติกรรมอื่น ใหนําบทบัญญัติของกฎหมายอันเกี่ยวกับนิติกรรมที่ ถูกอําพรางมาใชบังคับ มาตรา 156 การแสดงเจตนาโดยสําคัญผิดในสิ่งซึ่งเปนสาระสําคัญแหงนิติกรรมเปนโมฆะ
41 ความสําคัญผิดในสิ่งซึ่งเปนสาระสําคัญแหงนิติกรรม ตามวรรคหนึ่ง ไดแก ความสําคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม ความสําคัญผิดในตัวบุคคลซึ่งเปนคูกรณีแหงนิติกรรมและความสําคัญผิดในทรัพยสินซึ่งเปนวัตถุแหงนิติกรรม เปนตน มาตรา 160 การบอกลางโมฆียกรรมเพราะถูกกลฉอฉลตามมาตรา 159 หามมิใหยกเปนขอตอสูบุคคลภายนอกผูกระทํา การโดยสุจริต มาตรา 161 ถากลฉอฉลถาเปนแตเพียงเหตุจูงใจใหคูกรณีฝายหนึ่งยอมรับขอกําหนดอันหนักยิ่งกวาที่คูกรณีฝายนั้นจะ ยอมรับโดยปกติ คูกรณีฝายนั้นจะบอกลางการนั้นหาไดไม แตชอบที่จะเรียกเอาคาสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดจาก กลฉอฉลนั้นได มาตรา 164 การแสดงเจตนาเพราะถูกขมขูเปนโมฆียะ การขมขูที่จะทําใหการใดตกเปนโมฆียะนั้น จะตองเปนการขมขูที่จะใหเกิดภัยอันใกลจะถึงและรายแรงถึงขนาดที่จะจูง ใจใหผูถูกขมขูมีมูลตองกลัว ซึ่งถามิไดมีการขมขูเชนนั้น การนั้นก็คงจะมิไดกระทําขึ้น มาตรา 165 การขูวาจะใชสิทธิตามปกตินิยม ไมถือวาเปนการขมขู การใดที่ทําไปเพราะนับถือยําเกรง ไมถือวาการนั้นไดกระทําเพราะถูกขมขู มาตรา 166 การขมขูยอมทําใหการแสดงเจตนาเปนโมฆียะแมบุคคลภายนอกจะเปนผูขมขู เจตนาลวง นัน ้ เปนการสมรูกันโดยคูกรณี มิไดมีเจตนาที่จะผูกนิติสัมพันธกันแตอยางใด ดังนั้นเมื่อไมมีเจตนา กฎหมายจึงบัญญัติใหการแสดงเจตนาลวงเปน โมฆะ เสียเปลา ไมเกิดผลในกําหมาย แตนิติกรรมอําพราง นั้น เปนเรื่องซึ่ง คูกรณีมีเจตนาหากแตปกปดนิติกรรมที่ตนตองการใหมีผลไว กฎหมายจึงใหบังคับใหเกิดผลในทางนิติกรรมซึ่งตองการใหมีผล ผูกพันตามเจตนาของคูกรณี การแสดงเจตนาลวง นัน ้ มีการแสดงเจตนาเพียงครั้งเดียว สวนนิติกรรมอําพรางเปนการแสดงเจตนาทํานิติกรรม 2 ครั้ง แตครั้งหลังกระทําขึ้นเพื่อปดบังอําพรางครั้งแรก
1. การแสดงเจตนาโดยวิปริตทีท ่ าํ ใหนิติกรรมตกเปนโมฆะไดแก สําคัญผิดในตัวทรัพยซง ึ่ เปนวัตถุแหงนิติ กรรม มาตรา 156 การแดสงเจตนาโดยสําคัญผิดในสิ่งซึ่งเปนสาระสําคัญแหงนิติกรรมเปนโมฆะ ความสําคัญผิดในสิ่งซึ่งเปนสาระสําคัญแหงนิติกรรมตามวรรคหนึ่งไดแก ความสําคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม ความสําคัญผิดในตัวบุคคลซึ่งเปนคูกรณีแหงนิติกรรมและความสําคัญผิดในทรัพยสินซึ่งเปนวัตถุแหงนิติกรรม เปนตน
2. ในกรณีบุคคลสองฝาย ทํานิติกรรมขึ้นเพื่อปกปดนิติกรรมอีกอันหนึ่งเรียกวา นิติกรรมอําพราง 3. การที่เจาหนี้ขูวา ถาลูกหนี้ไมชาํ ระหนี้ ตนจะตองฟองศาลใหลูกหนี้ตกเปนบุคคลลมละลาย ลูกหนี้เกิดความ กลัวจึงไดชาํ ระหนี้ไป การชําระหนี้ในกรณีนี้จะมีผล สมบูรณเพราะเปนการใชสิทธิตามปกตินิยม 4. นิติกรรมที่มีการจูงใจใหคูกรณีอีกฝายหนึ่งยอมรับเองซึ่งขอกําหนดหนักยิ่งกวาที่เขาจะยอมรับโดยปกติจะมี ผล สมบูรณตามกฎหมาย แตอาจเรียกคาสินไหมทดแทนได 5. การพิมพลายมือชื่อในสัญญาใหเชาทีด ่ ินโดยคิดวาเปนสัญญาจางวาความ สัญญานี้มผ ี ล ตกเปนโมฆะ เพราะสําคัญผิดในประเภทของนิติกรรม 6. ในกรณีที่บค ุ คลสําคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพยซึ่งตามปกติ ถือเปนสาระสําคัญไมอาจยก ความสําคัญผิดเกิดขึ้นเพราะความประมาทเลินเลออยาง ความสําคัญผิดนั้นมาเปนประโยชนแกตนได คือ รายแรงของผูแ สดงเจตนา 7. การแสดงเจตนาโดยบุคคลอื่นใชอุบายหลอกลวงใหเขาใจผิด ในทางกฎหมายเรียกวา กลฉอฉล นอยูภายในใจของตนเอง 8. เจตนาซอนเรนคือเปนการแสดงเจตนาที่ไมตรงกับเจตนาที่แทจริงที่ซอ 9. การแสดงเจตนาลวงโดยสมรูกบ ั คูกรณี จะยกเปนขอตอสูบุคคลภายนอกไมได ในกรณีบค ุ คลภายนอก สุจริต และตองเสียหาย
หนวยที่ 9 โมฆะกรรมและโมฆียะกรรม 1. นิติกรรมที่เปนโมฆะ คือ นิติกรรมที่ไมมีผลในทางกฎหมายเลยทั้งไมอาจใหสัตยาบันแกกันได และผูมีสวนไดเสียคนใดจะยกความเสียเปลาแหงโมฆะกรรมขึ้นกลาวอางก็ได 2. นิติกรรมที่เปนโมฆียะ คือ นิติกรรมที่สมบูรณแตอยูภายใตเงื่อนไขที่อาจถูกบอกลาง หรือ อาจให สัตยาบันได 3. ผูมีสิทธิบอกลางและใหสัตยาบันโมฆียะกรรม คือ ผูทาํ นิติกรรมนั่นเอง และผูที่คุมครองดูแลผู หยอนความสามารถ 9.1 โมฆะกรรม 1. นิติกรรมที่เปนโมฆะจะไมมีผลใชบังคับตามกฎหมายไดเลย 2. ผลแหงโมฆะกรรมนั้นกฎหมายไดบัญญัติใหเสียเปลาไปทั้งหมด หรืออาจมีผลบางในบางสวนหรือ
บางกรณีที่กฎหมายกําหนดไว 3. การเรียกทรัพยคืนอันเนื่องจากนิติกรรมที่ตกเปนโมฆะนั้น กฎหมายใหเปนไปตามหลักเรื่องลาภมิ ควรได
42
9.1.1 ความหมายของโมฆะกรรม และนิติกรรมที่เปนโมฆะ สาเหตุใดบางที่ทําใหนิติกรรมตกเปนโมฆะ ยกตัวอยาง สาเหตุทท ี่ ําใหนิติกรรมตกเปนโมฆะ เชน (1) เนื่องจากวัตถุประสงคของนิติกรรมเปนการตองหามโดยชัดแจงโดยกฎหมาย (2) เหตุเนื่องจากนิติกรรมไมทา ํ ตามแบบทีก ่ ฎหมายกําหนด (3) เหตุอันเนื่องจากเงือ ่ นไขของนิติกรรมไมชอบดวยกฎหมาย (4) นิติกรรมที่เกิดจากการแสดงเจตนาลวง (5) นิติกรรมที่เกิดจากการสําคัญผิดในสาระสําคัญแหงนิตก ิ รรม 9.1.2 ผลของโมฆะกรรม
ผลของโมฆะกรรมมีอยางไรบาง ผลของนิติกรรมทีต ่ กเปนโมฆะคือ เสียยอมอางโมฆะกรรมได
นิตก ิ รรมนั้นเสียเปลาไมอาจใหสัตยาบันได
บุคคลผูมีสว นได
9.1.3 โมฆะกรรมนั้นอาจแยกสวนที่สมบูรณออกได จากที่ไมสมบูรณ
โมฆะกรรมนั้นสามารถแยกสวนที่สมบูรณออกจากสวนที่ไมสมบูรณไดในกรณีใดบาง โดยหลักแลวนิติกรรมที่ทา ํ ขึ้นเผื่อเปนโมฆะทัง ้ หมด แตถา นิติกรรมนั้นสามารถแยกไดเปนสวนโดย เปนอิสระจากกันได และโดยพฤติการณพง ึ สันนิษฐานไดวา คูก รณีเจตนาที่จะแยกสวนที่สมบูรณออกจาก สวนที่ไมสมบูรณ 9.1.4 โมฆะกรรมนั้นอาจสมบูรณโดยฐานเปนนิติกรรมอยางอื่น
กรณีใดบางที่โมฆะกรรมนั้นอาจสมบูรณ โดยฐานเปนนิติกรรมอยางอื่น จากการพิจารณาวานิติกรรมใดเปนโมฆะ แตอาจสมบูรณในฐานะเปนนิติกรรมอยางอื่นนัน ้ ประการแรก ตองมิใชเปนโมฆะเนื่องจากการแสดงเจตนาทํานิติกรรมนั้นเสื่อมเสีย ประการที่สอง นิติกรรม ที่เขาขอสันนิษฐานมักเปนเรื่องที่โมฆะกรรมนั้นเกี่ยวกับเรื่องแบบ เมื่อไมสมบูรณตามแบบนิตก ิ รรมอยาง หนึ่ง ก็อาจดูวา เจตนาเปนนิติกรรมอีกแบบได และนิตก ิ รรมอยางหลังนี้ตองสมบูรณตามแบบหรือขอกําหนด ในกฎหมายดวย 9.1.5 การเรียกทรัพยคืนอันเนื่องจากนิติกรรมนั้นเปนโมฆะ
การฟองเรียกทรัพยสินเนื่องจากนิติกรรมตกเปนโมฆะนั้นตองฟองภายในกําหนดเวลาเทาใด ตองฟองเรียกทรัพยคืนใน 1 ป นับแตรถ ู ง ึ สิทธิเรียกคืน คือ รูถ ึงความเปนโมฆะนั้น แตตองไมเกิน 10 ป นับแตวน ั ทํานิตก ิ รรมที่เปนโมฆะ 9.2 โมฆียกรรม : ลักษณะทั่วไป
1. นิติกรรมที่เปนโมฆียะนั้นเปนนิติกรรมที่สมบูรณอยู แตอยูภายใตเงื่อนไขวาหากนิติกรรมนั้นถูกบอก ลางก็มีผลเปนโมฆะมาแตเริ่มแรก หากไมมีการบอกลาง หรือมีการใหสัตยาบัน นิติกรรมนั้นจะสมบูรณ ตลอดไป 2. การบอกลางหรือใหสัตยาบันแกโมฆียะกรรม ยอมกระทําไดโดยการแสดงเจตนาแกคูกรณี อีกฝาย หนึ่งซึ่งเปนบุคคลที่มีตัวกําหนดไดแนนอน จะสมบูรณตอเมื่อไดกระทําภายหลังเวลาที่มูลเหตุใหเปน 3. การใหสัตยาบันแกโมฆียกรรมนั้น โมฆียกรรมนั้นหมดสิ้นไปแลว 9.2.1 ความหมายของโมฆียะกรรมและนิติกรรมที่ตกเปนโมฆียะ สาเหตุที่ทําใหนิติกรรมตกเปนโมฆียะมีอะไรบาง สาเหตุทท ี่ ําใหนิติกรรมตกเปนโมฆียะมี 2 สาเหตุใหญๆ คือ (1) เนื่องจากไมเปนไปตามบทบัญญัติเกีย ่ วกับเรื่องความสามารถ เชน ผูเยาวทา ํ นิตก ิ รรมไมไดรับ ความยินยอมจากผูแทนโดยชอบธรรม และไมเขาขอยกเวนที่กฎหมายอนุญาต หรือผูไรความสามารถทํา นิติกรรม เปนตน (2) เนื่องจากการแสดงเจตนาโดยวิปริต เชน การแสดงเจตนา เพราะถูกขมขู หรือถูกกลฉอฉล เปนตน 9.2.2 วิธีการบอกลางโมฆียะกรรม การบอกลางโมฆียกรรมทําไดอยางไร การบอกลางโมฆียกรรมตองกระทําโดยการแสดงเจตนาตอบุคคลที่เขาทํานิตก ิ รรมอีกฝายหนึ่ง การบอกลางโมฆียกรรมไมมีแบบ จึงอาจทําไดโดยวาจาหรือลายลักษณอก ั ษรก็ได
43
9.2.3 การใหสัตยาบัน
การใหสัตยาบันโมฆียกรรมมีวิธีการอยางไร การใหสัตยาบันตองทําตอคูกรณีอีกฝายหนึ่งในนิติกรรมที่ตกเปนโมฆียะ และจะแสดงเจตนาใหสัตยาบันโดย ชัดแจงหรือโดยปริยายก็ได
9.3 บุคคลผูมีสิทธิบอกลาง และใหสัตยาบันโมฆียะกรรม 1. ผูมีสิทธิบอกลางโมฆียกรรมไดแก ตัวผูทํานิติกรรมเอง และผูที่มีหนาที่ในการดูแลผูที่หยอน ความสามารถ รวมตลอดถึงทายาทของผูทํานิติกรรมอันเปนโมฆียะนั้นดวย 2. ผลของการบอกลางโมฆียะกรรม คือ นิตก ิ รรมตกเปนโมฆะมาแตเริ่มแรก คูกรณีกลับคืนสูฐานะเดิม ทั้งนี้ยอมไมอาจถูกยกเปนขอตอสูบุคคลภายนอกผูกระทําการโดยสุจริต และเสียคาตอบแทน 3. ผูมีสิทธิใหสัตยาบันแกโมฆียะกรรม คือ บุคคลประเภทเดียวกับผูมีสิทธิบอกลางโมฆียกรรมได 4. ผลของการใหสัตยาบันคือ นิติกรรมที่เปนโมฆียะยอมมีผลสมบูรณใชไดตลอดไปและไมอาจบอก ลางไดอีก 9.3.1 บุคคลผูมีสิทธิบอกลางโมฆียะกรรม บุคคลใดบางที่มีสิทธิบอกลางโมฆียะกรรม บุคคลผูม ีสิทธิบอกลางโมฆียกรรมไดแก (1) ผูหยอนความสามารถซึ่งทํานิติกรรม เชน ผูเยาว คนไรความสามารถ ซึ่งไดหายจากการเปน ผูหยอนความสามารถแลว (2) ผูดูแลผูหยอนความสามารถ เชน ผูแทนโดยชอบธรรม ผูอนุบาล (3) ผูแสดงเจตนาโดยวิปริต (4) ทายาทของผูห ยอนความสามารถหรือผูแ สดงเจตนาโดยวิปริต 9.3.2 ผลของการบอกลางโมฆียะกรรม ผลของการบอกลางโมฆียะกรรม มีอยางไรบาง เมื่อมีการบอกลางโมฆียกรรมแลว กลับคืนฐานะเดิม
นิตก ิ รรมยอมตกเปนโมฆะมาแตเริ่มแรก
และคูก รณีจะตอง
9.3.3 บุคคลผูมีสิทธิ์ใหสัตยาบันโมฆียะกรรม
บุคคลใดที่มิสิทธิในการใหสัตยาบันนิติกรรมที่เปนโมฆียะ ผูที่สามารถใหสัตยาบันโมฆียกรรมได ไดแก บุคคลทีบ ่ ัญญัติไวใน ปพพ. มาตรา 177 9.3.4 ผลของการใหสัตยาบันแกโมฆียะกรรม โมฆียะกรรมที่ไดใหสัตยาบันแลว มีผลอยางไร โมฆียกรรมเมือ ่ ใหสัตยาบันแลว นิตก ิ รรมยอมสมบูรณมาแตตน แตไมกระทบกระเทือนถึงสิทธิของ บุคคลภายนอก
แบบประเมินผล หนวยที่ 9 โมฆะกรรมและโมฆียะกรรม มาตรา 172 โมฆะกรรมนั้นไมอาจใหสัตยาบันแกกันได และผูมีสวนไดเสียคนหนึ่งคนใดจะยกความเสียเปลาแหงโมฆะ กรรมขึ้นกลาวอางก็ได ถาจะตองคืนทรัพยสินอันเกิดจากโมฆะกรรม ใหนําบทบัญญัติวาดวยลาภมิควรไดแหงประมวลกฎหมายนี้มาใชบังคับ มาตรา 173 ถาสวนหนึ่งสวนใดของนิติกรรมเปนโมฆะ นิติกรรมนั้นยอมตกเปนโมฆะทั้งสิ้น เวนแตจะพึงสันนิษฐานได โดยพฤติการณแหงกรณีวา คูกรณีเจตนาจะใหสวนที่ไมเปนโมฆะนั้นแยกออกจากสวนที่เปนโมฆะได มาตรา 175 โมฆียะกรรมนั้น บุคคลตอไปนี้จะบอกลางเสียก็ได (1) ผูแทนโดยชอบธรรมหรือผูเยาวซึ่งบรรลุนิติภาวะแลว แตผูเยาวจะบอกลางกอนที่ตนบรรลุนิติภาวะก็ไดถา ไดรับความยินยอมของผูแทนโดยชอบธรรม (2) บุคคลซึ่งศาลสั่งใหเปนคนไรความสามารถหรือคนเสมือนไรความสามารถเมื่อบุคคลนั้นพนจากการเปนคนไร ความสามารถหรือเสมือนไรความสามารถแลว หรือผูอนุบาล หรือผูพิทักษ แลวแตกรณี แตคนเสมือนไรความสามารถจะบอกลาง กอนที่ตนจะพนจากการเปนคนไรความสามารถก็ได ถาไดรับความยินยอมของผูพิทักษ (3) บุคคลผูแสดงเจตนาเพราะสําคัญผิด หรือถูกกลฉอฉล หรือถูกขมขู (4) บุคคลวิกลจริตผูกระทํานิติกรรมอันเปนโมฆียะตามมาตรา 30 ในขณะที่จริตของบุคคลนั้นไมวิกลแลว ถาบุคคลผูทํานิติกรรมอันเปนโมฆียะถึงแกความตายกอนมีการบอกลางโมฆียะกรรม ทายาทของบุคคลดังกลาวอาจบอก ลางโมฆียกรรมนั้นได มาตรา 176 โมฆียะกรรมเมื่อบอกลางแลว ใหถือวาเปนโมฆะมาแตเริ่มแรก และใหคูกรณีกลับคืนสูฐานะเดิม ถาเปนการ พนวิสัยจะใหกลับคืนเชนนั้น ก็ใหไดรับคาเสียหายชดใชใหแทน
44 ถาบุคคลใดรูหรือควรจะไดรูวาการใดเปนโมฆียะ เมื่อบอกลางแลว ใหถือวาบุคคลนั้นไดรูวาการนั้นเปนโมฆะ นับแตวันที่ ไดรูหรือควรไดรูวาเปนโมฆะ หามมิใหใชสิทธิเรียกรองอันเกิดแตการกลับคืนสูฐานะเดิมตามวรรคหนึ่ง เมื่อพนหนึ่งปนับแตวันบอกลางโมฆียะกรรม มาตรา 178 การบอกลางหรือใหสัตยาบันแกโมฆียะกรรม ยอมกระทําไดโดยการแสดงเจตนาแกคูกรณีอีกฝายหนึ่งซึ่ง เปนบุคคลที่มีตัวกําหนดไดแนนอน มาตรา 181 โมฆียะกรรมนั้นจะบอกลางมิไดเมื่อพนเวลาหนึ่งปนับแตเวลาที่อาจใหสัตยาบันไดหรือเมื่อพนเวลาสิบปนับ แตไดทํานิติกรรมอันเปนโมฆียะนั้น โมฆะกรรม คือการกระทําที่เสียเปลาไมมีผลอยางใดในทางกฎหมาย ไมกอใหเกิดการเคลื่อนไหวแหงสิทธิและหนาที่ ของคูกรณีที่เขาทํานิติกรรม หรืออาจจะกลาวไดวานิติกรรมใดที่ตกเปนโมฆะแลวยอมไมมีความผูกพันตามกฎหมาย และไมอาจให สัตยาบันใหกลับมามีผลสมบูรณไดอีก สาเหตุที่ทําใหนิติกรรมตกเปนโมฆะอาจเกิดขึ้นไดหลายประการคือ (1) นิติกรรมที่มีวัตถุประสงคเปนการตองหามชัดเจนโดยกฎหมาย (มาตรา 150) (2) นิติกรรมซึ่งมีวัตถุประสงคเปนการพนวิสัย (มาตรา 150) (3) นิติกรรมซึ่งมีวัตถุประสงคเปนการขัดขวางตอความสงบเรียบรอยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน (มาตรา 150) (4) นิติกรรมซึ่งมิไดทําใหถูกตองตามแบบที่มีกฎหมายบังคับไว (มาตรา 152) (5) นิติกรรมซึ่งเกิดจากการแสดงเจตนาซอนเรน (มาตรา 154) (6) นิติกรรมที่เกิดจากการแสดงเจตนาลวง (มาตรา 155) (7) นิติกรรมที่เกิดจากการสําคัญผิดในสิ่งที่เปนสาระสําคัญแหงนิติกรรม (มาตรา 156) (8) กรณีเพราะเหตุเงื่อนไขแหงนิติกรรม (มาตรา 187-190) (9) นิติกรรมที่เปนโมฆียะและถูกบอกลางแลว (10) เหตุอื่นๆที่กฎหมายบัญญัติไว เชน มาตรา 1466 มาตรา 1703-1706
1. เสียเปลาไมเกิดผลในทางกฎหมาย เปนความหมายของการกระทําที่ตกเปนโมฆะ ี่ ามารถกลาวอางความเปนโมฆะกรรมได 2. ผูมีสวนไดสวนเสีย เปนผูทส 3. การเรียกคืนทรัพยเนื่องจากโมฆียะกรรม เรียกไดเปน ลาภมิควรได 4. ผูเยาวอายุ 14 ป ทําพินัยกรรมจะตกเปนโมฆะ 5. ก ตกลงกับ ข วาให ข ไปดักทํารายรางกาย ค โดยใหคา จาง 10,000 บาท ขอตกลงนี้ในทางกฎหมาย ตก เปนโมฆะ เพราะมีวัตถุประสงคเปนการตองหามชัดเจนโดยกฎหมาย 6. โมฆียกรรมทีถ ่ ก ู บอกลางแลวมีผล เปนโมฆะมาแตเริ่มแรก รณีอีกฝายหนึ่ง 7. การบอกลางโมฆียกรรมจะตองกระทํา โดยการแสดงเจตนาตอคูก 8. ผูเยาวทํานิติกรรมโดยไมไดรับความยินยอมจากผูแทนโดยชอบธรรม เปนเหตุใหตกเปนโมฆียะ ิ ธิบอกลางโมฆียะกรรม 9. ผูแทนโดยชอบธรรม มีสท 10. การบอกลางโมฆียกรรมจะตองทําภายในระยะเวลา 10 ป นับแตเวลาที่ไดเกิดโมฆียกรรมนั้น
หนวยที่ 10 เงือ ่ นไขและเงื่อนเวลา 1. เงื่อนไขคือขอความใดอันบังคับไวใหนิติกรรมเปนผล หรือสิ้นผลตอเมื่อมีเหตุการณอันใดอันไม แนนอนวาจะเกิดขึ้นหรือไมในอนาคต 2. เงื่อนไขมี 2 ประเภทคือ เงื่อนไขบังคับกอน และเงื่อนไขบังคับหลัง 3. เงื่อนไขที่ไมสมบูรณ เปนการตองหามโดยกฎหมายมี 4 ประการคือ เงื่อนไขมิชอบดวยกฎหมาย เงื่อนไขพนวิสัย เงื่อนไขบังคับกอนสําเร็จสุดแตใจของลูกหนี้ และเงื่อนไขที่สําเร็จแลวหรือไมอาจสําเร็จ ไดในเวลาทํานิติกรรม 4. ผลในระหวางที่เงื่อนไขยังไมสําเร็จ คูกรณีมีสิทธิในความหวังคือ หนาที่ตองงดเวนไมทําใหเสื่อม เสียประโยชน จําหนาย รับมรดก หรือจัดการทรัพยสินและหนาที่ตองทําการโดยสุจริต 5. เงื่อนเวลาคือขอกําหนดอันบังคับไวมิใหทวงถามใหปฏิบัติการตามผลแหงนิติกรรมหรือใหนิตก ิ รรม หรือมีเหตุการณอันใดอันหนึ่งขึ้นในอนาคตและแนนอน สิ้นไปจนกระทั่งถึงเวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต เกิดขึ้น 6. เงื่อนเวลามี 2 ประเภทคือ เงื่อนเวลาเริ่มตนและเงื่อนเวลาสิ้นสุด 7. ลูกหนี้ตองหามมิใหถือประโยชนแหงเงื่อนเวลา เมื่อถูกศาลสั่งพิทักษทรัพยเด็ดขาด หรือลูกหนี้ ไมใหประกันในเมื่อจําตองให หรือลูกหนี้นําทรัพยสินของบุคคลอื่นมาใหเปนประกันโดยเจาของทรัพยสิน นั้นมิไดยินยอมดวย หรือเมือ ่ ลูกหนี้ไดทําลายหรือทําใหลดนอยถอยลงซึ่งประกันอันไดใหไว 8. ขอแตกตางที่สําคัญระหวางเงื่อนไขกับเงื่อนเวลา คือ เงื่อนไขเปนขอกําหนดซึ่งเปนเหตุการณอัน ใดอันหนึ่งในอนาคตและไมแนนอนวาจะเกิดขึ้นหรือไม สวนเงื่อนเวลานั้นเปนขอกําหนดซึ่งอาศัยความ แนนอน 10.1 เงื่อนไข
45 1. ลักษณะของเงื่อนไข คือ เปนขอกําหนดซึ่งบุคคลแสดงเจตนากันไว ซึ่งขอกําหนดนั้น กําหนด ตามเหตุการณในอนาคตซึ่งไมแนนอน วาจะเกิดขึ้นหรือไม และบังคับไวใหนิติกรรมนั้นเปนผล 2. เงื่อนไขบังคับกอนไดแก เงื่อนไขซึ่งทําใหนิติกรรมนั้นเปนผลเมื่อเงื่อนไขนั้นสําเร็จแลว 3. เงื่อนไขบังคับหลังไดแก เงื่อนไขซึ่งทําใหนิติกรรมนั้นสิ้นผลเมื่อเงื่อนไขนั้นสําเร็จแลว 4. เงื่อนไขที่ไมสมบูรณมี 4 ประเภท คือ เงื่อนไขมิชอบดวยกฎหมาย เงื่อนไขเปนพนวิสัย เงื่อนไข บังคับกอนสําเร็จสุดแตใจของลูกหนี้ และเงื่อนไขที่สําเร็จแลวหรือไมอาจสําเร็จไดในเวลาทํานิติกรรม 5. ผลในระหวางที่เงื่อนไขยังไมสําเร็จ สิทธิและหนาที่ของคูกรณีมีดังนี้คือ (1) งดเวนกระทําการอันเปนสิ่งที่เสื่อมเสียประโยชนของอีกฝายหนึ่งที่พึงไดรับเงื่อนไขสําเร็จลง (2) คูกรณียอมจะจําหนาย รับมรดก จัดการปองกันรักษา หรือทําประกันไวก็ไดตามสิทธิและ หนาที่ที่ตนมี (3) หามคูกรณีเขาปองปดขัดขวางมิใหเงื่อนไขสําเร็จ หรือขวนขวาย จัดทําใหเงื่อนไขสําเร็จโดย ทุจริต (4) กรณีตามมาตรา 187 วรรค 3 เมื่อคูกรณีไมรูวาเงื่อนไขไดสําเร็จแลวหรือไม 6. คูกรณีอาจแสดงเจตนาใหความสําเร็จแหงเงื่อนไข มีผลยอนหลังไปถึงเวลาใดเวลาหนึง่ กอน เงื่อนไขสําเร็จก็ได 10.1.1 ลักษณะของเงื่อนไข
อธิบายลักษณะของเงื่อนไข เงื่อนไขมีลักษณะสําคัญ 4 ประการ ตามบทบัญญัติมาตรา 182 คือ (1) เปนขอกําหนดซึ่งบุคคลแสดงเจตนากันไว คือคูกรณีตา งฝายตางไดแสดงเจตนากําหนดไว ตอกันในนิติกรรม (2) เปนขอกําหนดเกี่ยวกับความเปนผลหรือความสิ้นผลของนิตก ิ รรม หากเปนขอกําหนดวาใหนิติ ิ รรมสิ้นผล กรรมมีผลตอเมื่อเงื่อนไขไดสําเร็จลง เรียกวาเงือ ่ นไขบังคับกอน หากเปนขอกําหนดใหนิตก ตอเมือ ่ เงื่อนไขไดสําเร็จลงเรียกวาเงื่อนไขบังคับหลัง (3) เปนขอกําหนดตามเหตุการณในอนาคต (4) ตองเปนเหตุการณไมแนนอน เพราะถาเหตุการณในอนาคตที่แนนอนแลวก็จะไมเปนเงื่อนไข แตกลายเปนเงื่อนเวลาไป 10.1.2 ประเภทของเงื่อนไข
เงื่อนไขมีกี่ประเภท อะไรบาง ในเรื่องประเภทของเงือ ่ นไขนั้น ตามมาตรา 183 เราอาจแบงได 2 ประเภท คือ เงือ ่ นไขบังคับกอน และเงื่อนไขบังคับหลัง เงือ ่ นไขบังคับกอนไดแก ขอกําหนดซึ่งทําใหนิตก ิ รรมมีผลเมื่อขอกําหนดนั้นสําเร็จ แลว นั่นคือในขณะทํานิตก ิ รรมนั้นนิติกรรมยังไมเกิดผล จะเกิดผลตอเมื่อขอกําหนดที่แสดงไวนั้นเสร็จสิ้น ิ ิกรรมสิ้นผล เมื่อขอกําหนดนั้นสําเร็จ ลงเสียกอน สวนเงื่อนไขบังคับหลังนั้น ไดแก ขอกําหนดซึ่งทําใหนต แลว นั่นคือในขณะนั้นนิติกรรมมีผลอยูแลว และจะสิ้นผลลงตอเมือ ่ ขอกําหนดนั้นไดเสร็จสิ้นลง 10.1.3 เงื่อนไขที่ไมสมบูรณ
อธิบายเงื่อนไขที่ไมสมบูรณ นิติกรรมซึ่งมีเงื่อนไขที่ไมสมบูรณนั้น กฎหมายบัญญัตไ ิ วเปน 4 กรณีคอ ื (1) เงื่อนไขมิชอบดวยกฎหมาย มาตรา 188 นิติกรรมใดที่มีเงือ ่ นไขอันไมชอบดวยกฎหมายและ ขัดตอความสงบเรียบรอยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน นิติกรรมนั้นโมฆะ (2) เงื่อนไขเปนพนวิสัย มาตรา 189 นิติกรรมที่มีเงือ ่ นไขบังคับกอนและเงื่อนไขนั้นเปนพนวิสัย ่ นไขบังคับหลังและเงื่อนไขนั้นเปนพนวิสัย นิติกรรมนั้น นิติกรรมนั้นตกเปนโมฆะ หากนิติกรรมที่มีเงือ สมบูรณปราศจากเงื่อนไข (3) เงื่อนไขบังคับกอนสําเร็จสุดแตใจลูกหนี้ นิติกรรมประเภทนี้ตองเปนนิติกรรมที่มีเงือ ่ นไขบังคับ กอนและเปนเงื่อนไขอันจะสําเร็จหรือไมสา ํ เร็จนั้นสุดแลวแตใจของลูกหนี้เทานั้น นิติกรรมนั้นตกเปนโมฆะ (4) เงื่อนไขที่สา ํ เร็จแลวหรือไมสําเร็จไดในเวลาทํานิติกรรม เงื่อนไขสําเร็จแลวแตในเวลาทํานิติ กรรมนั้นคือในขณะทํานิตก ิ รรมนั้นขอกําหนดทีค ่ ูกรณีวางไวเปนเงื่อนไขไดสําเร็จลงแลวก็แสดงวาเงือ ่ นไข ไดเปนไปตามที่คก ู รณีตอ งการนิตก ิ รรมนั้นจึงมีผลสมบูรณเสมือนนิติกรรมนั้นปราศจากเงือ ่ นไข ในกรณีที่ เปนเงื่อนไขบังคับกอนหากเปนกรณีเงือ ่ นไขบังคับหลังก็ถอ ื เสมือนวา ไมมีนิติกรรมเลยที่เดียว กรณี เงื่อนไขไมอาจสําเร็จลงในขณะทํานิตก ิ รรมนั้น เปนเงือ ่ นไขแนนอนวาเงือ ่ นไขไมอาจสําเร็จลงได ถาหาก เปนเงื่อนไขบังคับกอนนิตก ิ รรมเปนโมฆะ ถาเปนเงื่อนไขบังคับหลังนิติกรรมนั้นสมบูรณเหมือนกนึ่ง ปราศจากเงือ ่ นไข 10.1.4 ผลแหงเงื่อนไข ผลระหวางเงื่อนไขยังไมสําเร็จ คูกรณีมส ี ิทธิและหนาที่ตอกันอยางไร
46 ผลในระหวางที่เงื่อนไขยังไมสําเร็จ คูกรณีมีสท ิ ธิและหนาที่ตอ กันคือมีสิทธิในความหวังกฎหมาย บัญญัติสิทธิและหนาที่ในระหวางเงือ ่ นไขยังไมสําเร็จไวตามมาตรา 184-186 ดังนี้ (ก) การงดเวนกระทําการสิ่งอันเปนที่เสื่อมเสียประโยชนอน ั อีกฝายหนึ่งพึงไดรับเงือ ่ นไขสําเร็จลง มาตรา 184 (ข) คูกรณียอมจําหนาย รับมรดก จัดการปองกันรักษาหรือทําประกันไวก็ไดตามสิทธิและหนาที่ที่ ตนมี มาตรา 185 (ค) หามคูกรณีเขาปองปดขัดขวางมิใหเงือ ่ นไขสําเร็จหรือขวนขวายทําใหเงื่อนไขสําเร็จโดย ทุจริต มาตรา 186 (ง) ตราบใดคูกรณียังไมรูวา เงือ ่ นไขสําเร็จแลว หรือมิอาจสําเร็จไดตราบนั้น ทานใหใชบทบัญญัติ มาตรา 184 และ 185 บังคับแลวแตกรณี มาตรา 187 วรรค 3
เมื่อเงื่อนไขสําเร็จแลวผลในกฎหมายจะเปนอยางไร ผลเมื่อเงือ ่ นไขสําเร็จ เมือ ่ เงื่อนไขสําเร็จโดยสมบูรณตามกฎหมายแลวนิติกรรมนัน ้ ก็เปนผลขึ้นมา ทันทีในกรณีเปนเงื่อนไขบังคับกอน สวนกรณีที่เปนเงือ ่ นไขบังคับหลัง นิติกรรมนัน ้ ก็สิ้นผลทันที แตอยางไรก็ตาม กฎหมายใหคก ู รณีทจ ี่ ะแสดงเจตนาใหความสําเร็จแหงเงือ ่ นไขมีผลยอนหลังไป ถึงเวลาใดเวลาหนึ่งกอนเงื่อนไขสําเร็จ 10.2 เงื่อนเวลา
1. เงื่อนไขเวลาเปนขอกําหนดอันบังคับไวมิใหทวงถามใหปฏิบัติการตามผลแหงนิติกรรมหรือใหนต ิ ิ กรรมสิ้นผลไป จนกระทั่งถึงเวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต หรือมีเหตุการณอันใดอันหนึ่งในอนาคตซึ่งแนนอน 2. เงื่อนเวลามี 2 ประเภทคือเงื่อนเวลาเริ่มตน และเงื่อนเวลาสิ้นสุด เงื่อนเวลาเริ่มตนนั้นคอ ขอกําหนดมิใหทวงถามใหปฏิบัติการตามนิติกรรมกอนถึงเวลากําหนด เงื่อนเวลาสิ้นสุดไดแกเงื่อนเวลาที่ กําหนดใหนิติกรรมนั้นสิ้นผลลงเมื่อถึงกําหนดเวลาที่ตกลงกันไว 3. โดยหลักทั่วไปเงื่อนเวลานั้นกําหมายใหสันนิษฐานไวกอนวายอมกําหนดไวเพื่อประโยชนแก ลูกหนี้ แตมีบางกรณีซึ่งลูกหนี้ตองหามมิใหถือประโยชนแหงเงื่อนเวลา คือ ลูกหนี้ถูกศาลสั่งพิทักษทรัพย เด็ดขาด หรือลูกหนี้ไมใหประกันเมื่อจําตองให หรือลูกหนี้ไดทําลาย หรือทําใหลดนอยถอยลงซึ่งประกัน อันไดใหไว หรือลูกหนี้นําทรัพยสินของบุคคลอื่นมาใหเปนประกันโดยเจาของทรัพยสินนั้นไมยินยอมดวย 4. เงื่อนไขและเวลาแตกตางกันในเรื่องตอไปนี้ (1) เงื่อนไขเปนเหตุการณในอนาคตซึ่งไมแนนอน เงื่อนเวลาเปนเวลาหรือเหตุการณในอนาคตซึ่ง ไมแนนอน (2) นิติกรรมมีเงื่อนไขบังคับกอนนิติกรรมยังไมมีผลจนกวาเงื่อนไขจะสําเร็จ แตนิติกรรมมีเงื่อนไข เวลาเริ่มตนนัน ้ นิติกรรมมีผลเกิดขึ้นแลวแตจะทวงถามใหปฏิบัติการตามนิติกรรมกอนถึงเวลานั้นๆไมได (3) เรื่องลาภมิควรไดกรณีนิติกรรมมีเงื่อนไขบังคับกอน ถาหากลูกหนี้ไดชําระหนี้ไปใหแกเจาหนี้ ก็สามารถเรียกคืนไดฐานลาภมิควรได แตนิติกรรมที่มีเงื่อนเวลาเริ่มตนถาฝายลูกหนี้ชําระหนี้ใหแกลูกหนี้ ไปแลวเรียกคืนไมได (4) เรื่องบาปเคราะห กรกรีนิติกรรมมีเงื่อนไขบังคับกอนเมื่อทรัพยอันเปนวัตถุแหงสัญญาสูญหาย หรือทําลายลงในระหวางเงื่อนไขยังไมสําเร็จ เจาของทรัพยก็ตองรับบาปเคราะหไปเอง
แตในกรณีนิติกรรม
มีเงื่อนเวลาเริม ่ ตนผลเปนตรงกันขาม 10.2.1 ลักษณะและประเภทของเงื่อนเวลา
อธิบายลักษณะและประเภทเงื่อนเวลา เงื่อนเวลาเปนขอกําหนดอันบังคับไวมิใหทวงถาม ใหปฏิบัตก ิ ารตามผลแหงนิตก ิ รรม หรือใหนิติ กรรมสิ้นผลไปจนกระทั่งถึงเวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคตหรือมีเหตุการณอันใดอันหนึ่ง ในอนาคตที่แนนอน เงื่อนเวลานั้นตามมาตรา 191 เราสามารถแบงเงื่อนเวลาไดเปน 2 ประเภทคือ เงื่อนเวลาเริม ่ ตนซึ่งเปน ขอกําหนดมิใหทวงถาม ใหปฏิบัตก ิ ารตามนิตก ิ รรมกอนถึงเวลาที่กา ํ หนด และเงือ ่ นเวลาสิ้นสุด ซึ่งไดแก เงื่อนเวลาทีก ่ า ํ หนดใหนิตก ิ รรมนั้นสิ้นผลลงเมื่อถึงกําหนดเวลาที่ตกลงกันไว เงื่อนเวลานั้นกฎหมายให สันนิษฐานไวกอนวา กําหนดไวเพื่อเปนประโยชนแกฝายลูกหนี้ ประโยชนแหงเงื่อนเวลานั้น ฝายใดฝาย หนึ่งไดรบ ั ประโยชนแหงเงื่อนเวลานั้น จะสละเสียก็ได แตการสละนัน ้ ตองไมกระทบถึงประโยชนอันคูกรณี อันฝายหนึ่งจะพึงไดรบ ั แตเงื่อนเวลานั้น 10.2.2 กรณีลูกหนี้ตองหามมิใหถือประโยชนแหงเงื่อนเวลา
มีกรณีใดบางที่กฎหมายหามมิใหลูกหนี้ถือประโยชนแหงเงื่อนเวลา กรณีที่กฎหมายหามมิใหลก ู หนีถ ้ ือประโยชนแหงเงือ ่ นเวลาตามมาตรา 193 นั้น มี 4 กรณีดังนี้ (1) ลูกหนีถ ้ ูกศาลสั่งพิทก ั ษทรัพยเด็ดขาด (2) ลูกหนี้ไมใหประกันในเมื่อจําตองให
47 (3) ลูกหนี้ไดทําลายหรือทําใหลดนอยลงซึง ่ ประกันอันไดใหไว (4) ลูกหนี้นําทรัพยสินของบุคคลอื่นมาใหเปนประกันโดยเจาของทรัพยนน ั้ มิไดยินยอมดวย 10.2.3 ความแตกตางระหวางเงื่อนไขกับเงื่อนเวลา
อธิบายขอแตกตางระหวางเงื่อนไขกับเงื่อนเวลาโดยสังเขป ขอแตกตางระหวางเงือ ่ นไข กับเงือ ่ นเวลาโดยสังเขปก็คอ ื (1) เงื่อนไขเปนเหตุการณในอนาคตซึ่งไมแนนอน เงื่อนเวลาเปนเวลาหรือเหตุการณในอนาคตซึ่ง แนนอน
(2) นิติกรรมเงือ ่ นไขบังคับกอนนิติกรรมยังไมมีผลจนกวาเงื่อนไขที่จะสําเร็จ แตนิตก ิ รรมมีเงือ ่ น เวลาเริ่มตนนั้นนิติกรรมมีผลเกิดขึ้นแลว แตจะทวงถามใหปฏิบต ั ิการตามนิตก ิ รรมกอนถึงกําหนดเวลานั้นๆ ไมได (3) เรื่องลาภมิควรไดกรณีนต ิ ิกรรมมีเงื่อนไขบังคับกอน ถาหากลูกหนี้ไดชําระหนี้ไปใหแกเจาหนี้ ก็สามารถเรียกคืนไดฐานลาภมิควรได แตนิติกรรมทีม ่ ีเงื่อนเวลาเริม ่ ตนถาฝายลูกหนี้ชา ํ ระหนี้ใหแกเจาหนี้ ไปแลวเรียกคืนไมได (4) เรื่องบาปเคราะห กรณีนิตก ิ รรมมีเงื่อนไขบังคับเพือ ่ ทรัพยอันเปนวัตถุแหงสัญญาสูญหายหรือ ทําลายลงในระหวางเงือ ่ นไขยังไมสําเร็จเจาของทรัพยก็ตอ งรับบาปเคราะหไปเอง แตในกรณีนิตก ิ รรมมี เงื่อนเวลาเริ่มตนผลเปนตรงขาม (5) นิติกรรมมีเงื่อนไข กฎหมายใหคก ู รณีตกลงกันใหมีผลยอนหลังได นิติกรรมมีเงื่อนเวลานั้นนิติ กรรมมีผลตั้งแตมีการทํานิติกรรมแลว แตหามมิใหทวงถามใหปฏิบัติตามนิติกรรมกอนถึงเงือ ่ นเวลาที่ กําหนดไว
แบบประเมินผล หนวยที่ 10 เงื่อนไขและเงื่อนเวลา มาตรา 182 ขอความใดอันบังคับไวใหนิติกรรมเปนผลหรือสิ้นผลตอเมื่อมีเหตุการณอันไมแนนอนวาจะเกิดขึ้นหรือไม ในอนาคต ขอความนั้นเรียกวาเงื่อนไข ลักษณะของเงื่อนไข อาจแบงออกไดเปน 4 ประการ คือ (1) เปนขอกําหนดซึ่งบุคคลแสดงเจตนากันไว (2) เปนขอกําหนดเกี่ยวกับความเปนผลหรือความสิ้นผลของนิติกรรม (3) เปนขอกําหนดตามเหตุการณในอนาคต (4) ตองเปนเหตุการณไมแนนอน มาตรา 183 นิติกรรมใดมีเงื่อนไขบังคับกอน นิติกรรมนั้นยอมเปนผลตอเมื่อเงื่อนไขนั้นสําเร็จแลว นิติกรรมใดมีเงื่อนไขบังคับหลัง นิติกรรมนั้นยอมสิ้นผลในเมื่อเงื่อนไขนั้นสําเร็จแลว ถาคูกรณีแหงนิติกรรมไดแสดงเจตนาไวดวยกันวา ความสําเร็จแหงเงื่อนไขนั้นใหผลยอนหลังไปถึงเวลาใดเวลาหนึ่ง กอนสําเร็จ ก็ใหเปนไปตามเจตนาเชนนั้น (1) เงื่อนไขที่มช ิ อบดวยกําหมาย ิ รรมใดมีเงื่อนไขอันไมชอบดวยกฎหมายหรือขัดตอความสงบเรียบรอยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน มาตรา 188 นิตก นิติกรรมนั้นเปนโมฆะ (2) เงื่อนไขเปนการพนวิสัย มาตรา 189 นิตก ิ รรมใดมีเงื่อนไขบังคับกอนและเงื่อนไงนั้นเปนการพนอันวิสัย นิติกรรมนั้นเปนโมฆะ (3) นิติกรรมใดมีเงื่อนไขบังคับหลังและเงื่อนไขนั้นเปนการอันพนวิสัย ใหถือวานิติกรรมนั้นไมมีเงื่อนไข เงื่อนไขบังคับกอนสําเร็จสุดแตใจของลูกหนี้ มาตรา 190 นิตก ิ รรมใดมีเงื่อนไขบังคับกอนและเปนเงื่อนไขอันจะสําเร็จไดหรือไมสุดแลวแตใจของลูกหนี้ นิติกรรม นั้นเปนโมฆะ (4) เงื่อนไขที่สําเร็จแลวหรือไมอาจสําเร็จไดในเวลาทํานิติกรรม มาตรา 187 ถาเงือ ่ นไขสําเร็จแลวในเวลาทํานิติกรรม หากเปนเงื่อนไขบังคับกอน ใหถือวานิติกรรมนั้นไมมีเงื่อนไข หาก เปนเงื่อนไขบังคับหลังใหถือวานิติกรรมนั้นเปนโมฆะ
ิ รรมเปนผลหรือสิ้นผลตอเมื่อมีเหตุการณอันใดอันไม 1. เงื่อนไข คือ ขอความใดอันบังคับไวใหนิตก แนนอนวาจะเกิดขึ้นหรือไมเกิดขึ้นในอนาคต
(มาตรา 182 ขอความใดอันบังคับไวใหนิติกรรมเปนผลหรือสิ้นผลตอเมื่อมีเหตุการณอันไมแนนอนวาจะเกิดขึ้นหรือไม ในอนาคต ขอความนั้นเรียกวาเงื่อนไข )
2. เงื่อนไขมี 2 ประเภท คือ เงื่อนไขบังคับกอนและเงื่อนไขบังคับหลัง 3. ลักษณะของเงื่อนไขเปนขอกําหนด (ก) ซึ่งบุคคลแสดงเจตนากันไว (ข) เกี่ยวกับความเปนผลหรือ สิ้นผลของนิตก ิ รรม (ค) เกีย ่ วกับความสิ้นผลของนิติกรรม (ง) ตามเหตุการณในอนาคตซึ่งไมแนนอน 4. ก ตกลงกับ ข วาถารองเพลงประกวดไดรางวัลที่ 1 จะรับจางรองเพลงในรานอาหารของ ข ขอตกลงนี้เปน นิติกรรมที่มี เงื่อนไขบังคับกอน 5. ก ตกลงกับ ข เชาบานโดยกําหนดในสัญญาวาถา ก ถูกยายกลับมาอยูกรุงเทพฯ เมื่อใดใหสญ ั ญาเชาระงับ ขอตกลงนี้เปนนิติกรรมที่มี เงื่อนไขบังคับหลัง 6. เงื่อนเวลามี 2 ประเภทคือ เงื่อนเวลาเริ่มตนและเงื่อนเวลาสิ้นสุด (มาตรา 191 ถานิติกรรมใดมีเงื่อนเวลาเริ่มตนกําหนดไวมิใหทวงถามใหปฏิบัติการตามนิติกรรมนั้นกอนถึงเวลากําหนด นิติกรรมใดมีเงื่อนเวลาสิ้นสุดกําหนดไว นิติกรรมนั้น ยอมสิ้นผลเมือ ่ ถึงเวลากําหนด )
48 7. ก ทําสัญญาเชาบาน ข เปนเวลา 3 ป โดยกําหนดชําระคาเชาในวันที่ 1 ของทุกเดือนจนกวาจะครบ ดังนี้ ก ึ กําหนดเงือ ่ นเวลาเริ่มตน จะเรียกให ข ชําระคาเชากอนวันที่ 1 ของทุกเดือน ไมได เพราะยังไมถง นวา กําหนดไวเพื่อประโยชนแกฝายลูกหนี้ 8. เงื่อนเวลานั้น ใหสันนิษฐานไวกอ (มาตรา 192 เงื่อนเวลาเริ่มตนและเงื่อนเวลาสิ้นสุดนั้นใหสันนิษฐานไวกอนวากําหนดไวเพื่อประโยชนแกฝายลูกหนี้ เวนแตจะปรากฏโดยเนื้อความแหงตราสาร หรือโดยพฤติการณแหงกรณีวาตั้งใจจะใหเปนประโยชนแกฝายเจาหนี้หรือแกคูกรณีทั้ง ฝายดวยกัน ถาเงื่อนเวลาเปนประโยชนแกฝายใด ฝายนั้นจะสละประโยชนนั้นเสียก็ได หากไมกระทบกระเทือนถึงประโยชนอันคูกรณี อีกฝายหนึ่งจะพึงไดรับจากเงื่อนไขเวลานั้น )
หนวยที่ 11 : ระยะเวลา และอายุความ 1. การนับระยะเวลาทั้งปวง ไมวาระยะเวลาที่กําหนดในประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย หรือ กฎหมายอื่นใดรวมทั้งระยะเวลาที่กําหนดในกิจกรรมตางๆ ตองบังคับดวยบทบัญญัติในเรื่องระยะเวลา 2. อายุความเปนระยะเวลาที่กฎหมายกําหนดไวสําหรับการฟองรองใหบังคับสิทธิเรียกรอง หากไม บังคับเสียภายในกําหนดอายุความ สิทธิเรียกรองนั้นจะขาดอายุความ แตอายุความไมทําใหสิทธิเรียกรอง ระงับ 3. สิทธิเรียกรองมีกําหนดอายุความแตกตางกัน แลวแตความสําคัญของสิทธิเรียกรองนั้น 11.1 ระยะเวลา 1. บทบัญญัติในเรื่องระยะเวลาตองนําไปใชบังคับแกวิธีนับระยะเวลาทั้งปวงเวนแตกฎหมาย คําสั่ง ศาล ระเบียบขอบังคับ หรือนิติกรรมกําหนดวิธีนับไวเปนประการอื่น 2. ระยะเวลาที่กําหนดเปนวินาที นาทีหรือชั่วโมงตองเริ่มนับใหทันใดนั้น และนับไปจนครบระยะเวลา ที่กําหนด 3. ระยะเวลาที่กําหนดเปนวัน วันแรกตองตัดทิ้งไปไมนับรวมเขามาในระยะเวลาดวย เริ่มนับหนึ่งใน วันรุงขึ้น และนับไปจนครบจํานวนวันที่กําหนด เวนไวแตกฎหมายกําหนดไวเปนอยางอื่น 4. ระยะเวลาที่กําหนดเปนสัปดาห เดือน หรือป วันแรกไมนับตองเริ่มนับหนึ่งในวันรุงขึ้น โดยคํานวณ ตามปฏิทินในราชการ 5. ระยะเวลากําหนดเปนเดือนและวันหรือเดือนและสวนของเดือนใหนับจํานวนเดือนเต็มกอนแลวจึง นับจํานวนวัน ทั้งนี้ใหคํานวณสวนของเดือนเปนวัน โดยถือหนึ่งเดือนเปนสามสิบวัน 6. ระยะเวลาที่กําหนดเปนปและสวนของป ใหนับจํานวนปกอน แลวคํานวณสวนของปเปนเดือนและ นับจํานวนเดือน หากมีสวนของเดือนใหคํานวณเปนวัน โดยถือหนึ่งเดือนมีสามสิบวัน 7. ระยะเวลาที่สิ้นสุดลงในวันหยุดทําการ ไมวาจะหยุดทําการติดตอกันกี่วันใหนับวันเริ่มทําการใหม เขาดวยอีกหนึ่งวัน 8. ระยะเวลาที่ขยายออกไปใหวันที่ตอจากวันสุดทายของระยะเวลาเดิมเปนวันเริ่มตน แมวันนั้นจะ เปนวันหยุดทําการก็ตองนับ 11.1.1 การใชบังคับบทบัญญัติวาดวยระยะเวลา
ขอความที่วา “บทบัญญัติในเรื่องระยะเวลาเปนบทบัญญัติที่ใชบังคับทั่วไป เด็ดขาด” นั้น ทานเขาใจวาอยางไร
แตมิใชบังคับ
บทบัญญัติเรือ ่ งระยะเวลาตัง ้ แตมาตรา 193/1 ถึงมาตรา 193/8 อันวาดวยวิธีนับระยะเวลานี้ จะตองนําไปใชบังคับในกรณีการนับระยะเวลาทั้งปวง ไมจํากัดเฉพาะแตใน ปพพ. แตรวมทั้งระยะเวลาที่ กําหนดไวในกฎหมายอื่น เชน กฎหมายอาญา กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา กฎหมายแรงงาน กฎหมายวิธพ ี จ ิ ารณาความแพง หรือกฎหมายอื่นใด ตลอดถึงระยะเวลาทีก ่ ําหนดในกิจการทางฝาย ปกครองดวย แตบทบัญญัตเิ หลานี้มิใชบทบังคับเด็ดขาด เพราะมาตรา 193/1 ตอนทาย บัญญัติยกเวนไว วา “......เวนแตจะมีกฎหมายคําสั่งศาล ระเบียบขอบังคับ หรือนิตก ิ รรมกําหนดเปนอยางอื่น” กลาวคือ มาตรา 193/8 จะไมนํามาใชบังคับในกรณีตอ ไปนี้ (1) กฎหมายกําหนดการนับระยะเวลาไวเปนอยางอื่น (2) คําสั่งศาลกําหนดนับระยะเวลาไวเปนอยางอื่น (3) ระเบียบของบังคับกําหนดนับระยะเวลาไวเปนอยางอื่น (4) นิติกรรมกําหนดนับระยะเวลาไวเปนอยางอื่น 11.1.2 การคํานวณระยะเวลาที่กําหนดสั้นกวาวันหรือเปนวัน
ถาระยะเวลากําหนดไวเปนวัน กฎหมายบัญญัติหลักเกณฑการนับไวอยางไร ตาม ปพพ. มาตรา 193/3 ไมนับวันแรก คือตองนับหนึง ่ ในวันรุงขึ้น
49 ก เชาแทรกเตอรของ ข ไปไถนามีกําหนด 60 วัน ทําสัญญาเมื่อ 6 มีนาคม 2539 เวลา 10.00 น. ก นํารถมาคืน ข ในวันที่ 5 พฤษภาคม 2539 เวลา 20.00 น. ในกรณีนี้ ก ผิดสัญญาหรือไม กําหนด 60 วัน ตองเริ่มนับตั้งแตวันที่ 7 มีนาคม 2539 และจะครบกําหนดในวันที่ 6 พฤษภาคม 2539 คือ วันที่ 5 พฤษภาคม 2539 ยังอยูในอายุสัญญาเชาตลอดทั้งวัน จนถึง 24.00 น. ดังนั้นจึงไมถือวา ก ผิดสัญญา
จากกรณีในขอกอนหนานี้ ถาในสัญญาเชารถแทรกเตอรไดระบุไวชด ั วา ก จะตองนํารถมาคืน ใน วันที่ 5 พฤษภาคม 2539 เวลา 09.00 น. ผลจะเปนออยางไร ในกรณีนี้ถือวา ก ข ไดทา ํ นิติกรรมกําหนดนับระยะเวลาไวเปนประการอื่น จึงตองบังคับกันตาม ขอตกลงนี้ (ปพพ. 193/1) เมือ ่ ก นํารถมาคืนในวันที่ 5 พฤษภาคม 2539 เวลา 20.00 น. ตอถือวา ก ผิด สัญญา 11.1.3 การคํานวณระยะเวลาที่กําหนดเปนสัปดาห เดือน หรือป
เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2539 ก ให ข ยืมเงินไป 5,000 บาท โดยกําหนดจะใชคืนใน 7 เดือน ข จะตองใชเงินคืนให ก เมื่อไร กําหนดระยะเวลา 7 เดือน เริ่มนับตั้งแตวันที่ 7 มกราคม 2539 คํานวณตามปปฏิทินครบกําหนด ในวันกอนหนาจะถึงวันแหงเดือนสุดทายวันตรงกับวันเริม ่ ระยะเวลานัน ้ คือ วันที่ 6 สิงหาคม 2539 ดังนั้น ข จะตองใชเงินคืนให ก ภายในวันที่ 6 สิงหาคม 2539 11.1.4 การคํานวณระยะเวลาที่กําหนดคลายกัน
ก เชาพอโคของ ข เพื่อผสมพันธุกับแมโคของตน เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2539 มีกําหนด 3 เดือน กับ 4 สวน 5 เดือน ก จะตองคืนพอโคแก ข ภายในวันที่เทาไร
กรณีนี้ตอ งนับจํานวนเต็มกอน คือ 3 เดือน แลวคํานวณสวนของเดือนเปนวัน 4 สวน 5 เดือน เทากับ 24 วัน (30 X 4/5= 24 วัน) ระยะเวลาเริ่มนับตัง ้ แตวันที่ 8 มิถุนายน 2539 ครบกําหนด 3 เดือน ใน วันกอนหนาจะถึงวันแหงเดือนสุดทายอันตรงกับวันเริ่มระยะเวลา คือวันที่ 7 กันยายน 2539 แลวนับจํานวน วันตอไปอีก 24 วัน ครบกําหนดระยะเวลาเชาในวันที่ 1 ตุลาคม 2539 ดังนั้น ก ตองคืนพอโคแก ข ภายใน วันที่ 1 ตุลาคม 2539 11.1.5 การขยายระยะเวลา ในกรณีที่วันสุดทายแหงระยะเวลาเปนวันหยุด จะเกิดผลประการใดในการนับระยะเวลา มีผลคือ กฎหมายใหนบ ั วันที่เริ่มทํางานใหมเขาในระยะเวลาอีก 1 วัน
แดงกูเงินธนาคาร 100,000 บาท เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2539 กําหนดใชคืนภายใน 1 เดือน ครบกําหนดในวันที่ 22 มิถุนายน 2539 ซึ่งเปนวันเสาร ถือวาแดงชําระเงินภายในกําหนด 1 เดือนหรือไม เมื่อวันที่ 22 และ 23 มิถุนายน 2539 เปนวันหยุดทําการกฎหมายใหนบ ั วันเริ่มทํางานเขาใน ระยะเวลาอีก 1 วัน ฉะนั้น การที่แดงนําเงินไปชําระคืนในวันที่ 24 มิถน ุ ายน 2539 ถือไดวาแดงไดชําระเงิน คืนภายในกําหนดเวลาแลว
11.2 หลักทั่วไปเกี่ยวกับอายุความ 1. อายุความเปนระยะเวลาที่กฎหมายกําหนดไวเพื่อใชสิทธิเรียกรองทางศาล คูกรณีจะตกลงกันโดย นิติกรรมใหงดใช ขยายออก หรือยนเขาไมได 2. อายุความเปนระยะเวลาหนึ่งจึงตองนับอยางการนับระยะเวลา โดยเริ่มนับตั้งแตขณะที่อาจบังคับ สิทธิเรียกรองไดเปนตนไป 3. การที่อายุความสะดุดหยุดลง มีผลใหอายุความที่ผานมาแลวตองตัดทิ้งไป และเริ่มนับอายุความ ขึ้นใหมตั้งแตวันที่เหตุอันทําใหอายุความสะดุดหยุดลงหมดสิ้นไป 4. อายุความขยายออกไปไดเฉพาะในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไวเทานั้น 5. อายุความเมื่อครบกําหนดแลวไมทําใหสิทธิเรียกรองหรือหนี้ระงับไป แตลูกหนี้มีสิทธิปฏิเสธชําระ หนี้ได การชําระหนี้ที่ขาดอายุความแลวหรือรับสภาพความรับผิดชอบในหนี้ที่ขาดอายุความลูกหนี้จะเรียก คืนหรือถอนคืนไมได 6. หากลูกหนี้มิไดยกอายุความขึ้นตอสู ศาลจะอางอายุความมาเปนเหตุผลยกฟองคดีไมได 11.2.1 ลักษณะของอายุความ
อายุความมีกี่ประเภท อายุความมี 2 ประเภทคือ (1) อายุความเสียสิทธิ หรืออายุความฟองรอง (2) อายุความไดสท ิ ธิ
50
11.2.2 การเริ่มนับอายุความ เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2539 ก ทําสัญญากูเงิน ข 200,000 บาท กําหนดชําระเงินภายใน 1 ป เมื่อหนี้ถึงกําหนดชําระ อายุความเริ่มนับตั้งแตเมื่อใด และ ข ตองฟองคดีตอศาลอยางชาที่สุดภายในวันที่ เทาใดคดีจึงจะไมขาดอายุความ การเริ่มนับอายุความ กฎหมายใหเริ่มนับตั้งแตขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกรองไดเปนตนไป ขณะที่ อาจบังคับสิทธิเรียกรองคือ ขณะที่เจาหนีส ้ ามารถฟองบังคับคดีตอ ศาลไดนั่นเอง หนี้เงินกูร ายนีค ้ รบกําหนดชําระในวันที่ 8 พฤษภาคม 2540 อายุความเริมนับตัง ้ แต 8 พฤษภาคม 2540 เปนตนไป เพราะถือวา เจาหนี้สามารถฟองคดีตอศาลไดตง ั้ แตวันนั้น หนี้เงินกูมอ ี ายุความ 10 ป ดังนั้น อยางชาที่สุด ข จะตองฟองบังคับคดีเสีย ภายในวันที่ 8 พฤษภาคม 2550 มิฉะนั้น สิทธิเรียกรองของ ข จะขาดอายุความ 11.2.3 อายุความสะดุดหยุดลง
เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2537 ก ซื้อเชื่อขาวสาร 20 กระสอบจาก ข เปนเงิน 40,000 บาทเพื่อขาย ตอแลวบิดพลิ้วไมยอมชําระคาขาวสาร ข พยายามทวงถามเปนเวลาหลายเดือน จนวันที่ 20 ธันวาคม 2538 ก จึงออกเช็คสั่งจาย 40,000 บาท ชําระหนี้ให ข แตลงวันที่ลวงหนาในเช็คสั่งจายวันที่ 10 มกราคม 2538 เมื่อเช็คถึงกําหนด ข เอาเช็คไปขึ้นเงินแตธนาคารปฏิเสธการจายเงินเพราะไมมีเงินในบัญชี จะเกิดผลประการใดในหนี้รายนี้ การที่ ก ออกเช็คสั่งจายเงิน 40,000 บาท ให ข เปนการที่ ก ยอมรับวาเปนหนี้ ข จริง กฎหมาย ถือเปนการรับสภาพหนี้ ทําใหอายุความในหนี้รายนี้สะดุดหยุดลง อายุความที่ลวงพนมาแลวตองตัดทิ้งและ เริ่มนับอายุความใหมตั้งแตเหตุที่ทา ํ ใหอายุความสะดุดหยุดลงไดสิ้นสุดไป ก ออกเช็ควันที่ 20 ธันวาคม 2538 ลงวันทีล ่ วงหนาในเช็คเปนวันที่ 10 มกราคม 2539 เมื่อธนาคารปฏิเสธจายเงินอายุความสะดุดหยุด ลงในวันที่ 10 ธันวาคม 2538 ซึ่งเปนวันที่เช็คครบกําหนด อายุความที่ผา นมาแลวตั้งแตวันที่ 6 มกราคม 2537 ถึงวันที่ 10 มกราคม 2539 ตัดทิง ้ เริ่มนับอายุความหนีร ้ ายนี้ใหมตง ั้ แตวันที่ 10 มกราคม 2539 เปน ตนไป 11.2.4 การขยายอายุความ
ก ให ข กูเงิน 500,000 บาท สิทธิเรียกรองของ ก จะครบกําหนดอายุความวันที่ 20 พฤษภาคม 2540 ก ตกเปนคนไรความสามารถในป 2535 และศาลตั้ง ค เปนผูอนุบาล ตอมา ค ถึงแกความตายเมื่อ วันที่ 3 กรกฎาคม 2540 ศาลตั้ง ง เปนผูอนุบาลคนใหมเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2540 สิทธิเรียกรองของ ก จะครบอายุความเมื่อไร ในกรณีที่สท ิ ธิเรียกรองของคนไรความสามารถจะครบอายุความในระหวาง 1 ป นับแตวันที่คนไร ความสามารถไมมีผูอนุบาล กฎหมายใหขยายอายุความออกไป 1 ป นับแตบุคคลนัน ้ ไดบรรลุความสามารถ เต็มภูมิหรือไดมีผูอนุบาลใหม สิทธิเรียกรองของ ก ครบกําหนดอายุความวันที่ 20 พฤศจิกายน 2540 แตผูอนุบาลของ ก ถึง แกกรรมเมือ ่ วันที่ 3 กรกฎาคม 2540 กอนที่จะครบกําหนดอายุความ และมีการตัง ้ ง เปนผูอนุบาลคนใหม เมื่อ 30 พฤศจิกายน 2540 อายุความจะขยายไปอีก 1 ป นับแตมก ี ารตั้งผูอนุบาล ดังนั้นสิทธิเรียกรองของ ก จะครบกําหนดอายุความวันที่ 30 พฤศจิกายน 2541 11.2.5 ผลของอายุความ
ก และ ข รวมกันกูเงินจาก ค จํานวน 300,000 บาท และ ก ข ไมเคยชําระหนี้ให ค จนลวงเลย ไป 11 ป ค ทวงถามให ก และ ข จัดการชําระหนี้ ก จึงนําเงินชําระให ค 50,000 บาท พรอมกับเขียน หนังสือรับรองวาจะชําระหนี้ที่คางใหหมดสิ้น ถา ก ไมชําระหนี้ตามคํารับรอง ค จึงฟอง ก ข ใหรับผิด ดังนี้ ก ข จะตอสูวาสิทธิเรียกรองของ ค ขาดอายุความแลวไดหรือไม ตามหลักกฎหมาย เมือ ่ อายุความครบกําหนดแลว ลูกหนี้จะสละประโยชนแหงอายุความก็ได แต การสละประโยชนเชนนั้นไมกระทบกระเทือนสิทธิของบุคคลภายนอก ตามปญหาหลังจาก ก ข รวมกันกูเงิน ค ไปถึง 11 ปแลว ค จึงทวงถาม สิทธิเรียกรองของ ค จึง ขาดอายุความ 10 ป การที่ ก นําเงินไปชําระหนี้ให ค และรับรองจะชําระหนี้ทค ี่ างใหหมดสิน ้ เทากับ ก สละประโยชนแหงอายุความการสละประโยชนเปนเรื่องเฉพาะตัวของ ก ไมกระทบกระเทือน ข แตอยางใด ดังนั้น เมื่อ ค ฟอง ก ข ใหชําระหนี้ ก จึงไมอาจยกขอตอสูวาสิทธิเรียกรองขาดอายุความ สวนขอ สามารถตอสูไดวา สิทธิเรียกรองของ ค ขาดอายุความแลว
11.3 กําหนดอายุความ
51 1. สิทธิเรียกรองที่กฎหมายมิไดกําหนดอายุความไวโดยเฉพาะ สิทธิเรียกรองของรัฐที่จะเรียกคา ภาษีอากร และสิทธิเรียกรองที่เกิดขึ้นโดยคําพิพากษาที่ถึงที่สุด หรือโดยสัญญาประนีประนอมยอมความมี กําหนดอายุความ 10 ป 2. สิทธิเรียกรองดอกเบี้ยคางชําระ เงินที่ตองชําระผอนคืนเปนงวด คาเชาทรัพยสินที่คางชําระ เงินเดือน เงินป เงินบํานาญ คาอุปการะเลี้ยงดู คาซื้อสิ่งของเพื่อผลิตเปนสินคาหรือเพื่อขายตอมีกําหนด อายุความ 5 ป 3. สิทธิเรียกรองในเรื่องที่มีความสําคัญไมมากนัก เชนคาซื้อสิ่งของสําหรับใชสวนตัว หรือใน ครัวเรือน คาเชาที่พัก คาระวาง คาจางที่มิไดจายเปนเดือน คาเลาเรียน คารักษาพยาบาล คาจางวาความ คาตอบแทน คาคุมงาน มีกําหนดอายุความ 2 ป 11.3.1 สิทธิเรียกรองที่มีอายุความ 10 ป
สิทธิเรียกรองกรณีใดที่มีอายุความ 10ป สิทธิเรียกรองที่มีอายุความ 10 ป มีดง ั นี้ (1) สิทธิเรียกรองที่กฎหมายมิไดกา ํ หนดอายุความไวโดยเฉพาะ (2) สิทธิเรียกรองของรัฐที่จะเรียกคาภาษีอากร (3) สิทธิเรียกรองที่เกิดขึ้นโดยคําพิพากษาถึงที่สุด หรือโดยสัญญาประนีประนอมยอมความ 11.3.2 สิทธิเรียกรองที่มีอายุความ 5 ป เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2539 ก เชาอพารทเมนต ของ ข อยูอาศัย คาเชาเดือนละ 18,000 บาท ชําระคาเชาวันสิ้นเดือน ก ชําระคาเชาตลอดมา แตเมื่อสิ้นเดือนกันยายน 2539 ก ไมชําระคาเชา และขน ของออกจากอพารทเมนตไป ข จะฟองเรียกคาเชาจาก ก ภายในวันที่เทาใด จึงจะไมขาดอายุความ สิทธิเรียกรองคาเชาอสังหาริมทรัพยมีอายุความ 5 ป ตามกฎหมาย ก ผิดนัดไมชําระคาเชาวันที่ 30 กันยายน 2539 อายุความ 5 ป จะสิ้นสุดลงในวันที่ 30 กันยายน 2544 ดังนั้น ข ตองฟองรอง ก เสียอยางชาภายในวันที่ 30 กันยายน 2544 จึงจะไมขาดอายุความ 11.3.3 สิทธิเรียกรองที่มีอายุความ 2 ป
ก ใชบัตรเครดิตซื้อตั๋วโดยสารเครื่องบินของบริษัท การบินไทย จํากัด เพื่อเดินทางไปประเทศ สหรัฐอเมริกา แลวไมชําระคาโดยสารให ดังนี้ บริษัท การบินไทย จํากัด ตองฟองรองบังคับคดีภายในอายุ ความกี่ป ตามกฎหมาย สิทธิเรียกรองของผูข นสงคนโดยสารหรือสิ่งของเรียกเอาคาโดยสาร คาระวาง คาธรรมเนียมมีกําหนดอายุความ 2 ป การขนสงคนโดยสารตามกฎหมาย รวมทัง ้ การขนสงทางบก ทางเรือ และทางอากาศยาน บริษท ั การบินไทย จํากัด ถือวาเปนผูขนสงคนโดยสารทางอากาศยาน ดังนี้จะตองฟองบังคับคดี จาก ก ภายในกําหนด 2 ป แบบประเมินผล หนวยที่ 11 ระยะเวลาและอายุความ มาตรา 193/1 การนับระยะเวลาทั้งปวง ใหบังคับตามบทบัญญัติแหงลักษณะนี้ เวนแตจะมีกฎหมาย คําสั่งศาล ระเบียบ ขอบังคับ หรือนิติกรรมกําหนดเปนอยางอื่น มาตรา 193/4 ในทางคดีความ ในทางราชการ หรือทางธุรกิจการคาและอุตสาหกรรม วัน หมายความวา เวลาทําการ ตามที่ไดกําหนดขึ้นโดยกําหมาย คําสั่งศาล หรือระเบียบขอบังคับ หรือเวลาทําการตามปกติของกิจการนั้น แลวแตกรณี มาตรา 193/6 ถาระยะเวลากําหนดเปนเดือนและวันหรือกําหนดเปนเดือนและสวนของเดือน ใหนับจํานวนเดือนเต็มกอน แลวจึงนับจํานวนวันหรือสวนของเดือนเปนวัน ถาระยะเวลากําหนดเปนสวนของป ใหคํานวณสวนของปเปนเดือนกอนหากมีสวนของเดือน ใหนับสวนของเดือนเปนวัน การคํานวณสวนของเดือนตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง ใหถือวาเดือนหนึ่งมีสามสิบวัน มาตรา 193/7 ถามีการขยายระยะเวลาออกไปโดยมิไดมีการกําหนดวันเริ่มตนแหงระยะเวลาที่ขยายออกไป ใหนับวันที่ ตอจากวันสุดทายของระยะเวลาเดิมเปนวันเริ่มตน มาตรา 193/8 ถาวันสุดทายของระยะเวลาเปนวันหยุดทําการตามประกาศเปนทางการหรือตามประเพณี ใหนับวันที่ เริ่มทําการใหมตอจากวันที่หยุดทําการนั้นเปนวันสุดทายของระยะเวลา
1. ระยะเวลาที่กําหนดเปนนาที ตองนับในทันที
(มาตรา 193/2 การคํานวณระยะเวลา ใหคํานวณเปนวัน แตถากําหนดเปนหนวยเวลาที่สั้นกวาวัน ก็ใหคํานวณตามหนวยเวลาที่กําหนด
นั้น )
2. ระยะเวลาที่ตองนับในทันทีคือ ระยะเวลาทีก ่ า ํ หนดเปนชั่วโมงหรือนาที
(มาตรา 193/3 ถากําหนดระยะเวลาเปนหนวยเวลาที่สั้นกวาวันในเริ่มตนนับในขณะที่เริ่มการนั้น ถากําหนดระยะเวลาเปนวัน สัปดาห เดือนหรือป มิใหนับวันแรกแหงระยะเวลานั้นรวมเขาดวยกัน เวนแตจะเริ่มการในวันนั้นเองตั้งแต เวลาที่ถือไดวาเปนเวลาเริ่มตนทําการงานกันตามประเพณี )
3. ระยะเวลาที่กําหนดเปนวัน วันแรกจะไมนับ
52 4. กําหนดระยะเวลาที่ไมนับวันแรกเขาในระยะเวลา คือ กําหนดเปนวัน กําหนดเปนสัปดาห กําหนดเปน เดือน และ กําหนดเปนป 5. ระยะเวลาที่กฎหมายกําหนดใหใชสท ิ ธิเรียกรองในศาลเรียกวา อายุความ 6. สิทธิเรียกรองทีม ่ ิไดฟองคดีบังคับภายในระยะเวลาที่กฎหมายกําหนด จะมีผลทําให ขาดอายุความ ่ าจทวงถามได 7. สิทธิเรียกรองทีต ่ องมีการทวงถามกอน อายุความเริ่มนับ ขณะทีอ 8. อายุความเริ่มนับตั้งแต ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกรองได 9. วันที่ 5 มกราคม 2539 ก ทําสัญญากูเงิน ข เปนเงิน 200,000 บาท ไมมก ี ําหนดชําระคืน อายุความสิทธิ เรียกรองของ ข เริ่มนับ วันที่ 5 มกราคม 2539 10. ก ทําสัญญากูเงิน ข จํานวน 200,000 บาท เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2539 กําหนดใชคืนใน 1 เดือน อายุความ สิทธิเรียกรองของ ข เริ่มนับ ในวันที่ 10 กุมภาพันธ 2539 11. การที่ลูกหนี้ทาํ หนังสือรับสภาพหนี้ใหเจาหนี้ จะมีผลตออายุความในหนี้รายนั้นคือ อายุความสะดุดหยุดลง 12. การที่เจาหนี้ฟอ งคดีตอศาลเพื่อบังคับตามสิทธิเรียกรอง จะมีผลตออายุความของสิทธิเรียกรองนี้ คือ อายุ ความสะดุดหยุดลง 13. กรณีอายุความครบกําหนดในวันหยุดราชการจะมีผลคือ อายุความขยายออกไป
(มาตรา 193/8 ถาวันสุดทายของระยะเวลาเปนวันหยุดทําการตามประกาศเปนทางการหรือตามประเพณี ใหนับวันที่เริ่มตอจากวัน สุดทายของระยะเวลาเดิมเปนวันเริ่มตน )
14. 15. 16. 17.
กรณีอายุความครบกําหนดในระหวางมีเหตุสด ุ วิสัย จะมีผลคือ อายุความขยายออกไป หนี้ที่ขาดอายุความจะมีผลตอลูกหนี้คือ ลูกหนี้ปฏิเสธการชําระหนี้ ศาลจะอางอายุความเปนเหตุผลในการยกฟองโจทยไดในกรณี ลูกหนี้ยกอายุความขึ้นตอสู สิทธิเรียกรองซึง่ กฎหมายมิไดกําหนดอายุความไวโดยเฉพาะ กฎหมายใหมอ ี ายุความ 10 ป
มาตรา 193/30 อายุความนั้น ถาประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นมิไดบัญญัติไวโดยเฉพาะ ใหมีกําหนด 10 ป มาตรา 193/31 สิทธิเรียกรองของรัฐที่จะเรียกเอาคาภาษีอากรใหมีกําหนดอายุความ 10 ป สวนสิทธิเรียกรองของรัฐที่ จะเรียกเอาหนี้อยางอื่นใหบังคับบทบัญญัติในลักษณะนี้ มาตรา 193/32 สิทธิเรียกรองที่เกิดขึ้นโดยคําพิพากษาของศาลถึงที่สุด หรือโดยสัญญาประนีประนอมยอมความ ใหมี กําหนดอายุความสิบป ทั้งนี้ไมวาสิทธิเรียกรองเดิมจะมีกําหนดอายุความเทาใด มาตรา 193/33 สิทธิเรียกรองตอไปนี้ใหมีกําหนดอายุความหาป (1) ดอกเบี้ยคางชําระ (2) เงินที่ตองชําระเพื่อผอนทุนคืนเปนงวดๆ (3) คาเชาทรัพยสินคางชําระ เวนแตคา เชาสังหาริมทรัพยตามมาตรา 193/34 (6) (4) เงินคางจาย คือ เงินเดือน เงินป เงินบํานาญ คาอุปการะเลี้ยงดูและเงินอื่นๆ ในลักษณะทํานองเดียวกับที่ มีการกําหนดจายเปนระยะเวลา (5) สิทธิเรียกรองตามมาตรา 193/34 (1) (2) และ (5) ที่ไมอยูในบังคับอายุความสองป
18. สิทธิเรียกรองเงินคาภาษีอากรของรัฐ มีอายุความ 10 ป 19. มหาวิทยาลัยของรัฐหรือเอกชนเรียกคาธรรมเนียมการศึกษาจากนักศึกษา จะตองฟองภายในกําหนดอายุ ความ 2 ป 20. ขาราชการหรือลูกจางบริษท ั เอกชนฟองเรียกเงินเดือนคางจายตองฟองภายในกําหนดอายุความ 5 ป
มาตรา 193/34 สิทธิเรียกรองตอไปนี้ใหมีกําหนดอายุความสองป (๑) ผูประกอบการคาหรืออุตสาหกรรม ผูประกอบหัตถกรรม ผูประกอบศิลปะอุตสาหกรรมหรือชางฝมือ เรียกเอา คาของที่ไดสงมอบ คาการงานที่ไดทํา หรือคาดูแลกิจการของผูอื่นรวมทั้งเงินที่ไดออกทดรองไป เวนแตเปนการที่ไดทําเพื่อ กิจการของฝายลูกหนี้นั้นเอง (๒) ผูประกอบการเกษตรกรรมหรือการปาไม เรียกเอาคาของที่ไดสง มอบอันเปนผลิตผลทางเกษตรหรือปาไม เฉพาะที่ใชสอยในบานเรือนของฝายลูกหนี้นั้นเอง (๓) ผูขนสงโดยสาร หรือสิ่งของหรือผูรับสงขาวสาร เรียกเอาคาโดยสาร คาระวาง คาเชา คาธรรมเนียม รวมทั้ง เงินที่ไดออกทดรองไป (๔) ผูประกอบการธุรกิจโรงแรมหรือหอพัก ผูประกอบธุรกิจในการจําหนายอาหารและเครื่องดื่ม หรือผูประกอบ ธุรกิจสถานบริการตามกฎหมายวาดวยสถานบริการเรียกเอาคาที่พัก อาหารหรือเครื่องดื่ม คาบริการหรือคาการงานที่ไดทําใหแกผู มาพักหรือใชบริการ รวมทั้งเงินที่ไดออกทดรองไป (๕) ผูขายสลากกินแบง สลากกินรวบ หรือสลากที่คลายคลึงกัน เรียกเอาคาขายสลาก เวนแตเปนการขายเพื่อการ ขายตอ (๖) ผูประกอบการธุรกิจในการใหเชา สังหาริมทรัพย เรียกเอาคาเชา (๗) บุคคลซึ่งมิได เขาอยูในประเภทที่ระบุไวใน (๑) แตเปนผูประกอบธุรกิจในการดูแลกิจการของผูอื่นหรือรับทํา การงานตางๆ เรียกเอาสินจางอันจะพึงไดรับในการนั้น รวมทั้งเงินที่ไดออกทดรองไป (๘) ลูกจางซึ่งรับใชการงานสวนบุคคล เรียกเอาคาจางหรือสินจางอื่นเพื่อการงานที่ทํา รวมทั้งเงินที่ไดออกทดรอง ไป หรือนายจางเรียกเอาคืนซึ่งเงินเชนวานัน ้ ที่ตนไดจายลวงหนาไป (๙) ลูกจางไมวาจะเปนลูกจางประจํา ลูกจางชั่วคราว หรือลูกจางรายวัน รวมทั้งผูฝกหัดงาน เรียกเอาคาจางหรือ สินจางอยางอื่น รวมทั้งเงินที่ไดออกทดรองไป หรือลูกจางเรียกเอาคืนซึ่งเงินเชนวานั้นที่ตนไดจายลวงหนาไป (๑๐) ครูสอนผูฝกหัดงาน เรียกเอาคาฝกสอนและคาใชจายอยางอื่นตามที่ไดตกลงกันไว รวมทั้งเงินที่ไดออกทด รองไป (๑๑) เจาของสถานศึกษาหรือสถานพยาบาลเรียกเอาคาธรรมเนียมการเรียน และคาธรรมเนียมอื่นๆ หรือคา รักษาพยาบาล และคาใชจายอยางอื่น รวมทั้งเงินที่ไดออกทดรองไป (๑๒) ผูรับคนไวเพื่อการบํารุงเลี้ยงดูหรือฝกสอน เรียกเอาคาการงานที่ทําให รวมทั้งเงินที่ไดออกทดรองไป (๑๓) ผูรับเลี้ยงหรือผูฝกสอนสัตว เรียกเอาคาการงานที่ทําให รวมทั้งเงินที่ไดออกทดรองไป
53 (๑๔) ครูหรืออาจารยเรียกเอาคาสอน (๑๕) ผูประกอบวิชาชีพเวชกรรม ทันตกรรม การพยาบาล การผดุงครรภ ผูประกอบการบําบัดโรค หรือผูประกอบ โรคศิลปะ สาขาอื่นๆ เรียกเอาคาการงานที่ทําใหรวมทั้งเงินที่ไดออกทดรองไป (๑๖) ทนายความหรือผูประกอบวิชาชีพทางกําหมายรวมทั้งพยานผูเชี่ยวชาญเรียกเอาคาการงานที่ทําให รวมทั้ง เงินที่ไดออกทดรองไป หรือคูความเรียกเอาคืนซึ่งเงินเชนวานั้นทีต ่ นไดจายลวงหนาไป (๑๗) ผูประกอบวิชาชีพวิศวกรรม สถาปตยกรรม ผูสอบบัญชี หรือผูประกอบวิชาชีพอิสระอื่นๆ เรียกเอาคาการงาน ที่ทําใหรวมทั้งเงินที่ไดออกทดรองไป หรือผูวาจางใหประกอบการงานดังกลาวเรียกเอาคืนซึ่งเงินเชนวานั้นที่ตนไดจายลวงหนาไป
หนวยที่ 12 สัญญา : หลักทั่วไป 1. สัญญาเปนเรื่องของกฎหมายเอกชน ซึ่งมีความเกี่ยวพันกับกฎหมายในลักษณะนิติกรรม 2. สัญญาเปนความตกลงระหวางบุคคลตั้งแต 2 ฝายขึ้นไป ซึ่งมีวัตถุประสงคในอันที่จะกอใหเกิด ความผูกพันในทางกฎหมาย 3. คําเสนอคือ การแสดงเจตนาของคูสัญญาฝายหนึ่งตอบุคคลอีกฝายหนึ่ง โดยมีวัตถุประสงคในการ ที่จะทําสัญญาผูกพันกัน 4. คําสนองคือการแสดงเจตนาของคูสัญญาอีกฝายหนึ่ง ที่ตกลงยินยอมเขาทําสัญญากับผูทําคํา เสนอ 5. คําเสนอที่มีลักษณะเปนคํามั่นซึ่งผูกพันผูทําคําเสนอแตฝายเดียว อันอาจกอใหเกิดผลผูกพัน ในทางกฎหมายได เชนสัญญา 6. คํามั่นเปนการแสดงเจตนาฝายเดียวของผูใหคํามั่นและมีผลผูกพันผูใหคํามั่น 12.1 ขอความทั่วไป
1. สัญญาเปนสาขาหนึ่งของกฎหมายเอกชน 2. สัญญา คือ นิติกรรมประเภทหนึ่งซึ่งตองนําหลักกฎหมายนิติกรรมมาใชบังคับแกเรื่องของสัญญา เทาที่ในเรื่องของสัญญามิไดบัญญัติไวเปนพิเศษ 12.1.1 สัญญากับกฎหมายเอกชน ที่วาสัญญาเปนบทบัญญัติของกฎหมายในสาขาเอกชนนั้น ทานเขาใจวาอยางไร บทบัญญัตข ิ องกฎหมายในเรื่องของสัญญา เปนบทบัญญัตท ิ ี่วา ดวยความผูกพันในทางกฎหมายที่ เอกชนทั่วไปที่อยูในฐานะเดียวกันสามารถทําความตกลงกอใหเกิดขึ้นได 12.1.2 ความเกี่ยวพันระหวางกฎหมายลักษณะสัญญากับกฎหมายลักษณะนิติกรรม
สัญญามีความเกี่ยวพันกับนิติกรรมอยางไร สัญญาเปนนิติกรรมประเภทหนึ่งที่เกิดจากการตกลงกอความผูกพันในทางกฎหมายระหวางบุคคล ตั้งแตสองฝายขึ้นไป ดังนั้นหลักทัว ่ ไปในเรื่องของการทํานิตก ิ รรมจึงตองนํามาใชบังคับแกกรณีการทํา สัญญาดวย เวนแตในเรื่องของสัญญาจะไดมีบทบัญญัตใิ นเรื่องนั้นๆ ไวเปนพิเศษ 12.2 ลักษณะทั่วไปของสัญญา
สัญญา ตองมีบุคคลตั้งแต 2 ฝายขึ้นไปแสดงเจตนาตกลงยินยอม โดยมีวัตถุประสงคอยางหนึ่งอยาง ใดในการกอใหเกิดผลผูกพันในทางกฎหมายขึ้น 12.2.1 ความหมายของสัญญา
ทานเขาใจคําวา “สัญญา” วาอยางไร การใหความหมายของคําสัญญานั้นยังแตกตางกันอยูบ างตามแนวความคิด สําหรับกฎหมายไทย นั้น สัญญานัน ้ มีความหมายคอนขางกวาง เพราะหมายถึงความตกลงระหวางบุคคลตั้งแต 2 ฝาย ทีม ่ ีความ ประสงคที่จะกอใหเกิดผลผูกพันในทางกฎหมาย หรืออีกนัยหนึ่ง หมายถึงนิตก ิ รรมที่แสดงการแสดงเจตนา ของบุคคลตั้งแต 2 ฝายขึ้นไป 12.2.2 สาระสําคัญของสัญญา
ที่วาสัญญาตองเกิดจากการแสดงเจตนาของบุคคลตั้งแต 2 ฝายไปนั้น เพราะเหตุใดจึงใชคําวา “สองฝาย” แทนที่จะใชคําวา “สองคน” แสดงเจตนาทํานิติกรรมและสัญญานั้น กฎหมายไมไดคํานึงถึงจํานวนตัวบุคคลที่แสดงเจตนาวามี สองคนหรือกีค ่ น หากแตคา ํ นึงถึงการแสดงเจตนาที่ไดมก ี ารกระทําออกมาแตละการแสดงเจตนาเปน สําคัญเพราะฉะนั้น การแสดงเจตนาอันหนึ่งนั้นอาจเกิดจากการแสดงเจตนาของบุคคลหลายๆคน ก็ได เชน กรณีของการแสดงเจตนาของผูมก ี รรมสิทธิร ์ วมในทรัพยอันหนึ่งอันใด หรือการแสดงเจตนาของหาง หุนสวนจํากัดซึ่งเปนนิตบ ิ ุคคลประกอบดวยบุคคลเปนจํานวนมาก
54
ที่วาการทําสัญญา บุคคลซึ่งแสดงเจตนาตกลงกันจะตองมีวัตถุประสงคที่จะกอใหเกิดผลผูกพัน ในทางกฎหมายนั้น “วัตถุประสงค” เชนวานั้นคืออะไร หมายถึงความประสงคหรือความมุงหมายที่คูสญ ั ญาทัง ้ หลาย ที่ทา ํ สัญญาแตละลักษณะของ สัญญาจะพึงไดรับจากการทําสัญญานั้น เชน การตกลงทําสัญญาซือ ้ ขายไมวา จะเปนสัญญาซือ ้ ขายสิ่งใดๆ ยอมมีวัตถุประสงคเปนการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพยสินของเจาของทรัพย คือผูข าย ใหกบ ั ผูซ ื้อโดยผูซื้อ จะตองชําระราคาของสิ่งของที่ซอ ื้ ขายกันนั้น หรือสัญญาเชาทรัพยยอมมีวัตถุประสงคที่เจาของทรัพยให คูสัญญาอีกฝายหนึง ่ ไดใชประโยชนในทรัพยของตน โดยเจาของทรัพยไดคาเชาใชประโยชนเปนการ ตอบแทน 12.3 คําเสนอ
1. คําเสนอ คือ การแสดงเจตนาที่มีขอความชัดเจน แนนอนเพียงพอที่จะถือวาเปนขอผูกพันถาหาก อีกฝายหนึ่งตอบตกลงตามที่ผูเสนอไดแสดงเจตนาไป 2. คําเสนอตอบุคคลที่อยูเฉพาะหนา และคําเสนอตอบุคคลที่อยูหางโดยระยะทาง มีผลผูกพันผูทํา คําเสนอในชวงระยะเวลาตามที่กฎหมายบัญญัติ เวนแตจะเปนกรณีที่ผูเสนอกําหนดระยะเวลาที่ตนผูกพัน ไวโดยเฉพาะ 3. ผูทําคําเสนอซึ่งถอนคําเสนอกอนที่คําเสนอของตนสิ้นความผูกพันจะตองรับผิดตอบุคคลอื่นซึ่ง เปนผูรับคําเสนอและตองเสียหายจากการถอนคําเสนอนั้น 12.3.1 การแสดงเจตนาเพื่อทําสัญญาโดยทั่วไป
แผนปลิวโฆษณาของสินคาก็ดี หรือไมอยางไร
ประกาศประกวดราคาของทางราชการก็ดี
ทั้งสองกรณีมล ี ักษณะเปนการแสดงเจตนาเชิญชวน เพื่อใหแสดงเจตนาทําคําเสนอกับตนตอไป
มีผลในทางกฎหมาย
หรือทาบทามผูรบ ั การแสดงเจตนาทีส ่ นใจ
12.3.2 ความหมายและลักษณะของคําเสนอ คําเสนอมีความหมายอยางไร คําเสนอคือการแสดงเจตนาของคูสัญญาฝายหนึ่งที่มีขอ ความชัดเจนแนนอน เพียงพอทีถ ่ ือวาจะ เปนขอผูกพันคูกรณีอีกฝายหนึ่งได ถาคูสัญญาซึง ่ ไดรับการแสดงเจตนานั้นตอบตกลงตามคําเสนอ ซึง ่ การแสดงเจตนาทําคําเสนอนั้นอาจเปนการแสดงเจตนาตอบุคคลใดเปนการเฉพาะตัว เชน ทําคําเสนอตอ นาย ก หรือเปนแสดงเจตนาตอบุคคลทัว ่ ไป เชน การขายตัว ๋ ของโรงภาพยนตร หรือการแสดงเจตนารับ ขนสงของรถยนตโดยสารขององคการขนสงมวลชนกรุงเทพฯ 12.3.3 การทําคําเสนอตอบุคคลที่อยูเฉพาะหนาและการทําคําเสนอตอบุคคลที่อยูหาง โดยระยะทาง การแสดงเจตนาทําคําเสนอตอบุคคลที่อยูเฉพาะหนากับการแสดงเจตนาทําคําเสนอตอบุคคลที่ อยูหางโดนระยะทางมีลักษณะตางกันอยางไร การแสดงเจตนาทําคําเสนอตอบุคคลที่อยูเ ฉพาะหนานั้น ผูทําคําเสนอสามารถแสดงเจตนาทํา ความเขาใจกับคูก รณีอก ี ฝายหนึง ่ ไดทันที เชน คูก รณีนั่งคุยกันอยูหรืออาจจะอยูกันคนละจังหวัด แตได แสดงเจตนาทําคําเสนอโดยการโทรศัพทติดตอตกลงกันแตการแสดงเจตนาทําคําเสนอตอบุคคลที่อยูห าง ั ที ซึ่งอาจ โดยระยะทางนั้นผูทําคําเสนอไมสามารถแสดงเจตนาทําความเขาใจกับคูกรณีอก ี ฝายหนึ่งไดทน เนื่องจากอยูหา งไกลกันจําเปนตองเขียนจดหมายติดตอถึงกัน หรืออาจจะอยูบา นติดกัน แตไดใชวิธีเขียน จดหมายลงทะเบียนเพือ ่ ใหมีหลักฐานในการรับแสดงเจตนาทําใหไมสามารถทําความเขาใจกันไดทันที 12.3.4 ผลผูกพันของคําเสนอ
คําเสนอที่ผูทําคําเสนอไดแสดงตอคูกรณีอีกฝายหนึ่งนั้นมีผลผูกพันผูทําคําเสนอเพียงใด แยกพิจารณาวาถาเปนคําเสนอตอบุคคลที่บงระยะเวลาใหทําคําสนอง คําเสนอนัน ้ ยอมผูกพันผูทํา คําเสนอตลอดระยะเวลาทีบ ่ งไวในคําเสนอ ถาเปนคําเสนอที่ไมไดบงระยะเวลาใหทําคําเสนอ จะตองแยกพิจารณาวาเปนคําเสนอที่กระทําตอ บุคคลที่อยูเฉพาะหนา หรือเปนคําเสนอทีก ่ ระทําตอบุคคลที่อยูหา งโดยระยะทาง ในกรณีแรกคําเสนอยอมมี ี ารทําคําเสนอนัน ้ ผลผูกพันทําคําเสนอ ณ สถานที่และในชั่วระยะที่มก สวนในกรณีหลังคําเสนอยอมมีผลผูกพันภายในระยะเวลาอันสมควรที่ผร ู ับคําเสนอจะตอบสนอง คําเสนอนั้น แตอยางไรก็ตาม ทัง ้ สองกรณีจะตองคํานึงถึงสภาพลักษณะของคําเสนอตลอดจนพฤติการณ ทั่วไปในการทีจ ่ ะตองใชเวลาในการตอบสนองพิจารณาประกอบกัน
55 12.3.5 ปญหาความรับผิดของผูทําคําเสนอในกรณีผูเสนอถอนคําเสนอของตนกอนที่คํา
เสนอสิ้นความผูกพัน ในกรณีที่ผูทําคําเสนอถอนคําเสนอของตนกอนที่คําเสนอจะสิ้นความผูกพันตามมาตรา 354 มาตรา 355 หรือมาตรา 356 แหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชยในกรณีดังกลาวผูรับคําเสนอยังมิได ตอบสนอง ผูทําคําเสนอจะตองรับผิดในการถอนคําเสนอของตนหรือไม เพียงใด ถาผูรับคําเสนอตอง เสียหายจากการตระเตรียมอะไร เพื่อตอบสนองทําสัญญา ยังมีความเห็นแตกตางกันอยูบาง ฝายหนึ่งเห็นวาเมื่อยังไมเกิดสัญญา หากมีความเสียหายใดๆ เกิดขึ้นเปนเรือ ่ งที่จะตองพิจารณาจากหลักกฎหมายในเรื่องละเมิดแตอีกฝายหนึง ่ เห็นวาแมสญ ั ญาจะยังไม เกิดแตไดมีนิติกรรมฝายเดียวเกิดขึ้นแลว เมื่อมีการฝาฝนไมปฏิบต ั ิตามเจตนาของตนที่ไดแสดงไว จึง ไมใชเปนเรื่องความรับผิดทางละเมิด อยางนอยถือวาเปนความรับผิดกอนสัญญา 12.4 คําสนอง
1. คําสนองคือการแสดงเจตนาตอบตกลงเขาทําสัญญากับผูทําคําเสนอ 2. คําสนองที่ไมตรงกับคําเสนอ หรือ ที่สงมาลวงเวลา คําสนองนั้นมีผลเปนคําเสนอของผูทําคํา สนองนั้นขึ้นมาใหม 3. คําสนองลวงเวลาที่มิไดเกิดขึ้นเพราะความผิดของผูสนองเองมีผลทําใหคําสนองนั้นเปนคําสนอง ที่มีผลสมบูรณได 12.4.1 ความหมายและลักษณะของคําสนอง
คําสนองมีความหมายอยางไร คําสนองคือการแสดงเจตนาของบุคคลผูไ ดรับคําเสนอในการตอบรับทําสัญญาตามคําเสนอโดยมี ขอความตรงคําเสนอ 12.4.2 คําสนองที่ไมตรงกับคําเสนอ
คําสนองที่ไมตรงกับคําเสนอคืออะไร มีผลในกฎหมายอยางไร คําสนองที่ไมตรงกับคําเสนอคือ คําสนองที่มีใจความแตกตางเปลี่ยนแปลงไปจากคําเสนอไมวา จะ โดยมีขอ ความเพิ่มเติม มีขอจํากัดหรือมีขอ แกไขไปจากคําเสนอที่มีมาถึงตน ซึ่งตามกฎหมายถือวาคํา สนองดังกลาวมีผลเปนคําบอกปดไมรบ ั คําเสนอ และถือวาเปนคําเสนอขึ้นใหมในตัว แตที่จะมีผลเปนคํา เสนอขึ้นใหมในตัวนั้น คําสนองนั้นจะตองเปนการแสดงเจตนาที่โดยเนื้อหาสาระของคําสนองที่มีไปนั้นมี ลักษณะสมบูรณทจ ี่ ะเปนคําเสนอไดในตัวเองดวย 12.4.3 คําสนองลวงเวลา
คําสนองลวงเวลาหมายความวาอยางไร และมีผลในกฎหมายอยางไร คําสนองลวงเวลาคือ คําสนองซึ่งผูทา ํ คําสนองไดแสดงเจตนาตอบตกลงทําสัญญาแตมิไดไปถึง ผูทา ํ คําเสนอภายในกําหนดเวลาตามทีก ่ า ํ หนดไวในมาตรา 354 มาตรา 355 หรือมาตรา 356 แหงประมวล กฎหมายแพงและพาณิชย แลวแตละกรณี กฎหมายถือวาคําสนองที่ลวงเวลานั้น มีผลเปนคําเสนอขึ้นใหม ในตัว ซึ่งการที่คา ํ สนองจะมีผลเปนคําเสนอขึ้นใหมในตัว จะตองมีลก ั ษณะเชนเดียวกับคําสนองที่ไมตรงกับ ี่ ะเปนคําเสนอไดในตัวเองดวย คําเสนอคือคําสนองนั้นโดยเนื้อหาสาระของคําสนองนั้น มีลักษณะสมบูรณทจ
คําสนองลวงเวลานั้นกฎหมายถือวาเปนคําเสนอขึ้นใหมในตัวเสมอไป หรือไม เพียงใด คําสนองลวงเวลานั้นกฎหมายถือวาเปนคําเสนอขึ้นใหมในตัวนั้น ไมเสมอไป ถาเปนคําสนองที่สง
มาลวงเวลาแตเปนทีป ่ รากฏชัดวาคําบอกกลาวสนองนั้นไดโดยสงวิถีทางตามปกติ ซึง ่ ควรจะไดมาถึง ภายในกําหนดเวลา แตเพราะเหตุเชนน้ําทวม หรือพนักงานไปรษณียจ ัดแยกจดหมายผิด ทําใหสง จดหมายไมไดหรือลาชากวาปกติทา ํ ใหผูทา ํ คําเสนอไมไดรับคําสนองภายในเวลาอันควรไดรับใน กําหนดเวลา กฎหมายบัญญัติใหผูเสนอตองบอกกลาวใหผูรบ ั คําเสนอนั้นทราบโดยพลัน (หรืออาจจะได บอกกอนแลวเชนเมื่อเลยเวลาอันควรไดรบ ั คําสนอง จึงไดไปใหทราบวาไมไดรบ ั คําสนองภายในกําหนด ) ซึ่งถาผูท า ํ คําเสนอบอกกลาวเชนนี้แลว คําสนองลวงเวลานั้นจึงจะไมมีผลกอใหเกิดสัญญา และถือวาเปน คําเสนอขึ้นใหมในตัว ถาผูท ําคําเสนอไมบอกกลาวผูทา ํ คําสนองโดยพลัน กฎหมายถือวาคําสนองนั้นไม ลวงเวลา ซึง ่ หากคําสนองนั้นมีความสมบูรณในฐานะเปนคําสนองก็ทา ํ ใหเกิดสัญญาขึ้นได 12.5 คํามั่น
การแสดงเจตนาของผูทําคําเสนอซึ่งกระทําตอบุคคลทั่วไปในลักษณะที่ผูกพันผูทําคําเสนอแตฝาย เดียว ซึ่งไดแก กรณีคํามั่นจะใหรางวัลในกรณีที่มีผูกระทําการอยางหนึ่งอยางใดไดสําเร็จตามมาตรา 362 และคํามั่นจะใหรางวัลในการประกวดชิงรางวัล ตามมาตรา 365 มีผลทําใหผูซึ่งกระทําการไดตามที่มีการ ใหคํามั่นไว ไดรับรางวัลอันมีผลบังคับไดดั่งสัญญา
56
12.5.1 คํามั่นจะใหรางวัลในกรณีที่มีผูกระทําการอยางหนึ่งอยางใดไดสําเร็จ คํามั่นในการใหรางวัลกับคํามั่นในการประกวดชิงรางวัลตางกับคําเสนอหรือไมอยางไร จากคํามั่นประเภทอื่นๆอยางไร
และตาง
คํามั่นตามนัยที่กลาวขางตนเปนการแสดงเจตนาอันเปนนิติกรรมฝายเดียว ซึ่งผูแสดงเจตนา ประกาศแกบค ุ คลทัว ่ ไป ผูกพันตนเองในการที่จะใหรางวัลแกผูกระทําตามที่ไดแสดงเจตนาประกาศ โฆษณาไว ทัง ้ นี้แมถึงวาผูก ระทําการนั้นจะไมไดมุงหวังในรางวัลก็ตาม คํามั่นดังกลาวยอมแตกตางจากคํามั่นจะซื้อจะขายซึ่งเปนเรื่องของสัญญาหรือนิตก ิ รรมสองฝาย ้ หรือจะขาย สัญญาก็ยอมเกิดขึ้น ซึ่งเมื่อผูไดรบ ั คํามั่นไดแสดงเจตนาตอบตกลงจะซือ 12.5.2 คํามั่นจะใหรางวัลในการประกวดชิงรางวัล ระหวางคํามั่นจะใหรางวัลตามมาตรา 362 กับคํามั่นในการประกวดชิงรางวัลตามมาตรา 365 มีขอ แตกตางในสาระสําคัญอยางไร คํามั่นจะใหรางวัลนั้น ผูใหคา ํ มั่นมุงใหความสําเร็จของการกระทําอยางใดอยางหนึ่งตามที่ตนได ประกาศโฆษณาไว เชน จับผูรา ยไดหรือหากระเปาสตางคทท ี่ า ํ หายไวพบ เปนตน แตคํามั่นในการประกวด ชิงรางวัลนั้น ผูใหคา ํ มั่นตองการใหบค ุ คลหลายๆคนมาทําการแขงขันกันในเรือ ่ งใดเรื่องหนึง ่ ซึ่งใครทีม ่ ี ความสามารถหรือทําไดดก ี วาคนอื่นยอมมีสิทธิไดรับรางวัล เชน คําทั่นในการประกวดภาพเขียน หรือ ประกวดนางงาม เปนตน แบบประเมินผล หนวยที่ 12 สัญญา : หลักทัว ่ ไป ความหมายของสัญญา คือ การที่บุคคลสองฝายแสดงเจตนาทํานิติกรรมโดยมีคําเสนอและคําสนอง ซึ่งมีความ ประสงคตกลงตรงกันในอันที่จะกอใหเกิดนิติสัมพันธอยางหนึ่งอยางใดขึ้น สัญญา เปนนิติกรรมซึ่งเกิดขึ้นโดยการแสดงเจตนาของบุคคลหลายฝายอันกอใหเกิดมีหนี้ สัญญา ไดแกการแสดงเจตนาระหวางบุคคลตั้งแตสองฝายขึ้นไป ซึ่งแสดงเจตนาตอกันและกัน สัญญา เปนนิติกรรมสองฝายเกิดขึ้นโดยการแสดงเจตนาของคูสัญญา และเพื่อตกลงมุงตอผลในกฎหมาย สําหรับกรณี ของสัญญานี้ตองเปนชนิดที่กอใหเกิดหนี้ มาตรา 149 นิติกรรมหมายความวาการใดๆ อันทําลงไปโดยชอบดวยกําหมายและดวยใจสมัครมุงโดยตรงตอการผูก นิติสัมพันธขึ้นระหวางบุคคล เพื่อจะกอ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ สัญญานั้น เปนการแสดงเจตนาของบุคคลตั้งแตสองฝายขึ้นไปที่มุงตอการกอใหเกิดผลในทางกําหมายอันไดแกหนี้ ตามที่คูสัญญาประสงค จําแนกสาระสําคัญของความหมายของสัญญาไดเปน 3 ประการ ประการที่หนึ่งสัญญาตองมีบุคคลสองฝาย สัญญานั้นจะตองเกิดขึ้นจากการแสดงเจตนาของบุคคลตั้งแตสองฝายขึ้นไป เสมอ ถาไมมีคูสญ ั ญาหรือบุคคลสองฝายแลว จะไมมีทางเกิดเปนสัญญาขึ้นได ประการที่สอง ตองมีการแสดงเจตนาอันมีการยินยอมของบุคคลสองฝาย ทั้งสองฝายมีความตกลงเห็นชอบเปนอันหนึ่ง อันเดียวกันที่เรียกวามีความตกลงยินยอมกัน ประการที่สาม ความตกลงยินยอมของบุคคลสองฝายแมจะเปนเรื่องซึ่งมีความถูกตองตรงกัน แตความตกลงยินยอมเชน วานั้น จะตองเปนเรื่องซึ่งคูสัญญาทั้งสองฝายนั้นมีวัตถุประสงคที่จะกอใหเกิดผลผูกพันในทางกฎหมายตามที่สองฝายตองการ คําเสนอ เปนการแสดงเจตนาของฝายหนึ่งซึ่งตองการจะเขาทําสัญญากับอีกฝายหนึ่งเราเรียกการแสดงเจตนาของฝาย นั้นวาเปน “คําเสนอ” คําสนอง การแสดงเจตนาของผูซึ่งประสงคจะตกลงยินยอมตอบรับเขาทําสัญญากับฝายที่แสดงเจตนาเสนอมา เรา เรียกวา “คําสนอง” มาตรา 355 บุคคลทําคําเสนอไปยังผูอื่นซึ่งอยูหางกันโดยระยะทาง และมิไดบงระยะเวลาใหทําคําสนอง จะถอนคํา เสนอของตนเสียภายในเวลาอันควรคาดหมายวาจะไดรับคําบอกกลาวสนองนั้น ทานวาหาอาจถอนไดไม มาตรา 356 คําเสนอทําแกบุคคลผูอยูเฉพาะหนา โดยมิไดบงระยะเวลาเวลาใหทําคําสนองนั้น เสนอ ณ ที่ใดเวลาใดก็ ยอมจะสนองรับไดแต ณ ที่นั้นเวลานั้น ความขอนี้ทา นใหใชตลอดถึงการที่บุคคลคนหนึ่งทําคําเสนอไปยังบุคคลอีกคนหนึ่งทาง โทรศัพทดวย
1. กฎหมายวาดวยสัญญาเปนสวนหนึ่งของกฎหมาย ในสาขาเอกชน 2. ความหมายของสัญญา คือ นิติกรรมสองฝายเกิดขึ้นโดยการแสดงเจตนาของคูสัญญา 3. คําเสนอ เปนความหมายของการแสดงเจตนาที่มีขอความชัดเจนพอทีจ ่ ะถือวาเปนความผูกพัน ถาหากอีก ฝายหนึ่งตอบตกลงตามที่มีผูเสนอไดแสดงเจตนาไป 4. ผลตามกฎหมายของกรณีคําสนองที่ไมตรงกับคําเสนอ ถือเปนคําสนองลวงเวลา 5. หลักเสรีภาพในการทําสัญญา หมายความวา คูสัญญาสามารถจะทําสัญญาผูกพันกันได ภายในของ เขตทีก ่ ฎหมายกําหนด 6. การโฆษณาขายสินคาทางหนังสือพิมพมีผลในทางกฎหมาย ไมมีผลในทางกฎหมาย เพราะเปนเพียง เจตนาเชิญชวน ับคําเสนอทราบถึงเจตนาของผูเสนอ 7. คําเสนอที่ทําตอบุคคลเฉพาะของมีผลเมื่อ ผูร 8. คําสนอง เปนความหมายของการแสดงเจตนาตอบตกลงเขาทําสัญญากับผูแสดงเจตนาอีกฝายหนึ่ง 9. คําเสนอขึ้นใหม เปนกรณีที่คาํ สนองไมตรงกับคําเสนอ
57 10. ลักษณะของคํามั่นจะใหรางวัล เปนนิตก ิ รรมฝายเดียวทีผ ่ ูใหคา ํ มั่นแสดงเจตนาประกาศตอบุคคล ทั่วไป เกิดสัญญา ใน 11. เมื่อคําสนองตอบขอความถูกตองตรงกับคําเสนอและไดกระทําภายในระยะเวลายอม กฎหมาย 12. เมื่อคําสนองตอบขอความถูกตองตรงกับคําเสนอและไดกระทําภายในระยะเวลายอมเกิดผล เกิดสัญญา ุ คลทีอ ่ ยูเชียงใหม ถือวาเปนกรณีคําเสนอ 13. โทรศัพททางไกลจากกรุงเทพฯ ทําคําเสนอขายบานใหบค ตอบุคคลอยูเฉพาะหนา (มาตรา 168 การแสดงเจตนาที่กระทําตอบุคคลซึ่งอยูเฉพาะหนาใหถือวามีผลนับแตผูไดรับการแสดงเจตนาไดทราบ การแสดงเจตนานั้น ความขอนี้ใหใชตลอดถึงการที่บุคคลหนึ่งแสดงเจตนาไปยังบุคคลอีกบุคคลหนึ่งโดยทางโทรศัพท หรือโดย เครื่องมือสื่อสารอยางอื่นหรือโดยวิธีอื่นซึ่งสามารถติดตอถึงกันไดทํานองเดียวกัน )
14. รถประจําทางวิง่ รับสงคนโดยสาร ถือเปนคําเสนอ ิ รรมประเภทหนึ่ง 15. สัญญามีความเกี่ยวของกับนิติกรรมคือ สัญญาเปนนิตก ํ มั่นแสดงเจตนาประกาศตอบุคคลทั่วไป 16. ลักษณะของคํามั่นจะใหรางวัลเปนนิติกรรมฝายเดียวที่ผูใหคา
หนวยที่ 13 การเกิด การตีความและประเภทของสัญญา 1. สัญญาเกิดขึ้นเมื่อมีความตกลงยินยอมกันขึ้นระหวางบุคคลผูทําคําเสนอและผูทําคําสนอง 2. สัญญาตองตีความตามหลักการตีความในเรื่องนิติกรรม ตามมาตรา 171 และตองพิจารณาตาม ความมุงหมายของสัญญาในทางสุจริต โดยพิเคราะหถงึ ปกติประเพณีดวย คือ มาตรา 368 3. สัญญาแบงออกเปนประเภทตางๆ ไดดังตอไปนี้คือ สัญญาตางตอบแทน และสัญญาไมตางตอบ แทน สัญญามีคาตางตอบแทน และสัญญาไมมีคาตางตอบแทน สัญญาประธาน และสัญญาอุปกรณ สัญญามีชื่อ (เอกเทศสัญญา) และสัญญาไมมีชื่อ สัญญาที่มีลักษณะผูกมัดโดยเงื่อนไขที่ผูเสนอกําหนด สัญญาเพื่อประโยชนบุคคลภายนอก 13.1 การเกิดสัญญา
1. สัญญายอมเกิดขึ้นเมื่อคําสนองตอบมีขอความถูกตองตรงกันกับคําเสนอและไดกระทําภายใน ระยะเวลา เวนแตในบางกรณีที่กฎหมายใหถือวาสัญญาเกิดขึ้นไดเมื่อมีการกระทําอยางหนึ่งอยางใดโดยมิ ตองตอบตกลงเปนคําสนอง 2. ในกรณีที่คูสัญญายังมิไดตกลงกันในขอสาระสําคัญทุกขอ หรือในกรณีที่คูสัญญาตกลงกันวาจะ ทําสัญญาเปนหนังสือ และยังมิไดมีการทําเปนหนังสือ กฎหมายใหสันนิษฐานวาสัญญายังไมเกิดขึ้น 13.1.1 การเกิดของสัญญาที่ทําขึ้นระหวางบุคคลที่อยูหางโดยระยะทาง
ในกรณีการทําสัญญาตอบุคคลที่อยูหางโดยระยะทางนั้นสัญญาเกิดขึ้นเมื่อใด สัญญายอมเกิดขึ้นเมื่อคําสนองไปถึงผูท า ํ คําเสนอ ซึ่งเปนไปตามหลักหรือทฤษฎีวา การแสดง เจตนามีผลตามกฎหมายเมือ ่ ใด สําหรับกรณีตามที่มค ี ําถาม คงเปนไปตามทฤษฎีในขอทีถ ่ ือวาการแสดง เจตนาจะมีผลตามที่ตอ งการ เมื่อผูต องการจะสงการแสดงเจตนาไปถึงไดรับการแสดงเจตนานั้นแลว อันมี ความหมายวาคําสนองที่สงไปถึงผูร ับ หรืออีกนัยหนึ่ง การแสดงเจตนานั้นอยูในอํานาจของผูร บ ั การแสดง บ ั จะตองไดรบ ั ทราบถึงการแสดงเจตนานั้นแลวจริงหรือไม เจตนาจะทราบได ทัง ้ นี้โดยไมคํานึงวาผูร
ในกรณีที่หลังจากผูทําคําเสนอไดสงคําเสนอไปยังผูรับคําเสนอ แตกอนที่การแสดงเจตนาเสนอ จะไปถึงผูรับคําเสนอ ปรากฏวา ผูทําคําเสนอตาย หรือศาลสั่งใหผูนั้นเปนคนไรความสามารถหรือคน เสมือนไรความสามารถ อยากทราบวาการแสดงเจตนาทําคําเสนอนั้นถาในที่สุดไปถึงผูรับคําเสนอ จะมีผล อยางไรหรือไม ในเรื่องนี้ บทบัญญัติของสัญญามาตรา 360 ปพพ. ไดบัญญัติแตกตางไปจากหลักทัว ่ ไปในเรือ ่ ง ของนิติกรรม กลาวคือ โดยทั่วไปแลวคงเปนไปตามหลักทีบ ่ ัญญัติในมาตรา 169 วรรค 2 แหง ปพพ. ซึ่ง เปนหลักทัว ่ ไปของนิตก ิ รรมซึ่งวางหลักไวแลว ในกรณีดังกลาวไมเปนเหตุใหความสมบูรณแหงการอสดง เจตนาตองเสือ ่ มเสียไป แตในเรื่องของสัญญานั้นมีขอ ยกเวนวา เวนเสียแตกรณีนั้นจะขัดกับเจตนาที่ผท ู ํา คําสนองไดแสดงไว คือ ผูทําคําเสนอประสงคจะตกลงผูกพันแตเฉพาะกับตนซึ่งเปนผูท า ํ คําเสนอเทานั้น หรืออีกประการหนึ่ง ถาผูรบ ั คําเสนอกอนที่จะตอบสนองไดรูแลววาผูทา ํ คําเสนอตายหรือตกเปนผูไร ความสามารถ กฎหมายจึงบัญญัตว ิ า คําเสนอนั้นไมมีผลตามกฎหมายเปนคําเสนอ 13.1.2 การเกิดของสัญญาที่ทําขึ้นระหวางบุคคลที่อยูเฉพาะหนา
การแสดงเจตนาตอบุคคลที่อยูเฉพาะหมายความวาอยางไร การแสดงเจตนาตอบุคคลทีอ ่ ยูเฉพาะหนาหมายความวา เปนการแสดงเจตนาตอคูกรณีอีกฝาย หนึ่งในลักษณะที่สามารถทําความเขาใจไดทันที่ โดยไมตองคํานึงถึงระยะทางใกล-ไกล และกฎหมายให รวมการแสดงเจตนาทางโทรศัพทได
58
13.1.3 กรณีที่สัญญาเกิดขึ้นโดยไมตองมีคําบอกกลาวสนอง
ในกรณีใดบางที่สัญญาเกิดขึ้นโดยไมตองมีคําบอกกลาว สัญญาในบางกรณีอาจเกิดไดโดยไมตองมีคําสนอง จําเปนตองมีคา ํ สนอง หรือเปนกรณีที่ผูเสนอไดแสดงเจตนาไว
ซึ่งไดในกรณีซง ึ่ ตามปกติประเพณีไม
13.1.4 กรณีที่กฎหมายสันนิษฐานวาสัญญายังไมเกิดขึ้น
มีกรณีใดบางที่คูสัญญาไดแสดงเจตนาทําคําเสนอและคําสนองถูกตองกันแลว สันนิษฐานวาสัญญายังไมเกิดขึ้น
แตกฎหมายยัง
ตามที่กฎหมายบัญญัติไวจะเห็นวามีอยู 2 กรณี คือกรณีตามมาตรา 366 และกรณีตามมาตรา 367 ซึ่งไดแกกรณีทค ี่ ูสัญญายังไมไดตกลงกันในขอที่คูสัญญาถือวาเปนขอสาระสําคัญบางขอ กับกรณีที่ คูสัญญาตกลงกันวาสัญญาที่ทา ํ กันนั้นจะตองทําเปนหนังสือ เมื่อยังมิไดมีการทําเปนหนังสือกฎหมาย สันนิษฐานวาสัญญายังมิไดเกิดเกิดขึ้น 13.2 การตีความสัญญา
การตีความสัญญานั้น ตองคนหาเจตนาที่แทจริงของการแสดงเจตนาของคูสัญญาที่ทํากันขึ้น และ ตองตีความการแสดงเจตนาหรือความตกลงนั้น โดยคํานึงถึงความสุจริตของคูสัญญา ประกอบกับปกติ ประเพณีที่ประพฤติปฏิบัติกันในเรื่องนั้นๆ ดวย 13.2.1 การตีความสัญญา กับการตีความนิติกรรม
การตีความสัญญามีขอแตกตางจากการตีความนิติกรรมอยางไรบาง การตีความสัญญาคงยึดหลักในเรื่องการตีความนิตก ิ รรมตามทีบ ่ ัญญัติไวในมาตรา 368 แหง ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย คือ เพงเล็งเจตนาแทจริงยิ่งกวาถอยคําสํานวนตามตัวอักษร แต นอกจากนั้นแลวในการพิจารณาถึงประเพณีที่แทจริงของคูสัญญานั้น จะตองพิจารณาตีความไปในทางที่ สุจริต โดยคํานึงถึงปกติประเพณีทค ี่ ูสัญญาพึงประพฤติปฏิบต ั ิกันในเรื่องนั้นๆ ประกอบดวย 13.2.2 ความหมายของความประสงคในทางสุจริตและปกติประเพณีกับการตีความสัญญา การตีความสัญญานั้นตองอาศัยหลักเรื่องสุจริตทั้งตองคํานึงถึงปกติประเพณีดวย มีความหมาย
อยางไร การตีความสัญญานั้นตองคํานึงถึงความตองการของคูสัญญาโดยสุจริต ประเพณีคอ ื ขอปฏิบต ั ิทว ั่ ไปในทางธุรกิจการดังนั้นๆ ดวย
และตองคํานึงถึงปกติ
13.3 ประเภทตางๆ ของสัญญา
1. สัญญาตางตอบแทน คือสัญญาซึ่งกอใหเกิดหนี้ระหวางคูสัญญาทั้ง 2 ฝาย ซึ่งจะตองกระทําตอบ แทนซึ่งกันและกัน สวนสัญญาไมตางตอบแทนนั้น ยอมกอใหเกิดหนี้จากคูสัญญาแตฝายใดฝายหนึ่งแต ฝายเดียว 2. สัญญามีตางตอบแทน คือสัญญาซึ่งมีคูสัญญาทั้งสองฝาย ตางไดรับประโยชนในทางทรัพยสิน เปนการแลกเปลี่ยนตอบแทนกัน สวนสัญญามามีคาตางตอบแทนนั้น คูสัญญาแตฝายหนึ่งฝายเดียวไดรบ ั ประโยชนในทางทรัพยสินเปนการตอบแทน 3. สัญญาอุปกรณ เปนสัญญาซึ่งเปนสวนประกอบ หรือสวนหนึ่งของสัญญาประธาน สัญญาประธาน คือ สัญญาซึ่งมีความสมบูรณในตัวของสัญญานั้นเอง 4. สัญญามีชื่อ คือสัญญาซึ่งประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย บรรพ 3 ไดกําหนดลักษณะการเกิด ของสัญญานั้นๆ ไวเปนพิเศษ สวนสัญญาอื่นใดที่มิไดมีกฎหมายบัญญัติไวโดยเฉพาะก็เปนสัญญาไมมีชื่อ 5. สัญญาที่มีลักษณะผูกมัดโดยเงื่อนไขที่ผูเสนอกําหนด ไดแก สัญญาซึ่งคูสัญญาฝายหนึ่งได กําหนดขอตกลงไวในลักษณะเปนแบบที่ผูกพันคูสัญญาอีกฝายหนึ่ง ในลักษณะซึ่งคูสัญญาอีกฝายหนึ่งนั้น ไมมีสวนรวมในการตอรอง หรือเจรจารายละเอียดในการตกลงนั้น 6. สัญญาเพื่อประโยชนบุคคลภายนอก คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกที่มใิ ชเปนคูสัญญาไดรับ ประโยชนจากผลของสัญญาที่เกิดขึ้น 13.3.1 สัญญาตางตอบแทนและสัญญาไมตางตอบแทน
สัญญาตางตอบแทนและสัญญาไมตางตอบแทน คืออะไร สัญญาตางตอบแทน คือสัญญาซึ่งกอใหเกิดหนี้ระหวางคูสัญญาทัง ้ สองฝาย ซึ่งจะตองกระทํา ตอบแทนซึง ่ กันและกัน สวนสัญญาไมตา งตอบแทนนั้น ยอมกอใหเกิดหนี้จากคูสญ ั ญาแตฝา ยใดฝายหนึ่ง แตฝายเดียว 13.3.2 สัญญาที่มีคาตางตอบแทน และสัญญาที่ไมมีคาตางตอบแทน
59 สัญญามีคาตอบแทนและสัญญาไมมีคาตอบแทน คืออะไร สัญญามีคา ตางตอบแทน คือสัญญาซึ่งมีคูสัญญาทั้งสองฝาย ตางไดรับประโยชนในทางทรัพยสิน เปนการแลกเปลี่ยนตอบแทนกัน สวนสัญญาไมมีคา ตอบแทนนั้น คูสัญญาแตฝายหนึ่งฝายเดียวไดรับ ประโยชนในทางทรัพยสินเปนการตอบแทน 13.3.3 สัญญาประธาน และสัญญาอุปกรณ
สัญญาประธานและสัญญาอุปกรณคืออะไร สัญญาอุปกรณเปนสัญญาซึ่งเปนสวนประกอบ หรือสวนหนึ่งของสัญญาประธาน สัญญาประธาน คือ สัญญาซึ่งมีความสมบูรณในตัวของสัญญานั้นเอง 13.3.4 สัญญามีชื่อ (เอกเทศสัญญา) และสัญญาไมมีชื่อ
สัญญามีชื่อและสัญญาไมมีชื่อคืออะไร สัญญามีชื่อ คือสัญญาซึ่งประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย บรรพ 3 ไดกําหนดลักษณะการเกิด ของสัญญานัน ้ ๆ ไวเปนพิเศษ สวนสัญญาอื่นใดที่มิไดมก ี ฎหมายบัญญัติไวโดยเฉพาะก็เปนสัญญาไมมีชอ ื่ 13.3.5 สัญญาที่มีลักษณะผูกมัดโดยเงื่อนไขที่ผูเสนอกําหนด (Contract of Adhesion)
สัญญาที่มีลักษณะผูกพันโดยเงื่อนไขที่ผูเสนอกําหนดคืออะไร สัญญาที่มีลก ั ษณะผูกมัดโดยเงื่อนไขทีผ ่ ูเสนอกําหนด ไดแก สัญญาซึ่งคูสัญญาฝายหนึ่งได กําหนดขอตกลงไวในลักษณะเปนแบบทีผ ่ ูกพันคูสัญญาอีกฝายหนึง ่ ในลักษณะซึ่งคูสัญญาอีกฝายหนึง ่ นั้น ไมมีสวนรวมในการตอรองหรือเจรจารายละเอียดในการตกลงนั้น 13.3.6 สัญญาเพื่อประโยชนบุคคลภายนอก
สัญญาเพื่อประโยชนบุคคลภายนอกคืออะไร สัญญาเพื่อประโยชนบุคคลภายนอก ประโยชนจากผลของสัญญาที่เกิดขึ้น
คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกที่มใิ ชเปนคูสัญญาไดรับ
แบบประเมินผล หนวยที่ 13 การเกิด การตีความและประเภทของสัญญา มาตรา 356 คําเสนอทําแกบุคคลผูอยูเฉพาะหนา โดยมิไดบงระยะเวลาใหทําคําสนองนั้น เสนอ ณ ทีใ่ ดเวลาใดก็ยอมจะ สนองรับไดแต ณ ที่นั้นเวลานั้น ความขอนี้ทานใหใชตลอดถึงถึงการที่บุคคลคนหนึ่งทําคําเสนอไปยังบุคคลอีกคนหนึ่งทาง โทรศัพทดวย มาตรา 358 ถาคําบอกกลาวสนองมาถึงลวงเวลา แตเปนที่เห็นประจักษวาคําบอกกลาวนั้นไดสงโดยทางการซึ่ง ้ มาถึงเนิ่นชา ตามปกติควรจะมาถึงภายในเวลากําหนดแลวไซร ผูเสนอตองบอกกลาวแกคูกรณีอีกฝายหนึ่งโดยพลันวาคําสนองนัน เวนแตจะไดบอกกลาวเชนนั้นกอนแลว ถาผูเสนอละเลยไมบอกกลาวดังวามาในวรรคตน ทานใหถือวาคําบอกกลาวสนองนั้นมิไดลวงเวลา มาตรา 359 ถาคําสนองมาถึงลวงเวลา ทานใหถือวาคําสนองนั้นกลายเปนคําเสนอขึ้นใหม คําสนองอันมีขอความเพิ่มเติม มีขอจํากัด หรือมีขอแกไขอยางอื่นประกอบดวยนั้น ทานใหถือวาเปนคําบอกปดไมรับ ทั้งเปนคําเสนอขึ้นใหมดวยในตัว มาตรา 361 อันสัญญาระหวางบุคคลซึ่งอยูหางกันโดยระยะทางนั้น ยอมเกิดเปนสัญญาขึ้นแตเวลาเมื่อคําบอกกลาว สนองไปถึงผูเสนอ ถาตามเจตนาอันผูเสนอไดแสดง หรือตามปกติประเพณีไมจําเปนจะตองมีคําบอกกลาวสนองไซร ทานวาสัญญานัน ้ เกิด เปนสัญญาขึ้นในเวลาเมื่อมีการอันใดอันหนึ่งขึ้น อันจะพึงสันนิษฐานไดวาเปนการแสดงเจตนาสนองรับ มาตรา 362 บุคคลออกโฆษณาใหคํามั่นวาจะใหรางวัลแกผูซึ่งกระทําการอันใด ทานวาจําตองใหรางวัลแกบุคคลใดๆ ผู ไดกระทําการอันนั้น แมถึงมิใชวาผูนั้นจะไดกระทําเพราะเห็นแกรางวัล มาตรา 365 คํามัน ่ จะใหรางวัลอันมีความประสงคเปนการประกวดชิงรางวัลนั้น จะสมบูรณก็ตอเมื่อไดกําหนดระยะเวลาไว ในคําโฆษณาดวย มาตรา 368 สัญญานั้นทานใหตีความไปตามประสงคในทางสุจริต โดยพิเคราะหถึงปกติประเพณีดวย จากหลัก มาตรา 171 และมาตรา 368 เมื่อพิจารณารวมกันแลวก็จะไดหลักในการตีความสัญญาที่สําคัญอยู 2 ประการคือ (1) ตองคนหาเจตนาอันแทจริงของคูสัญญาที่ทํากันขึ้น (2) ตองตีความการแสดงเจตนาของคูสัญญา หรือความตกลงนั้นโดยอาศัยความสุจริตโดยคํานึงถึงปกติประเพณีเปน สําคัญ (มาตรา 171 ในการตีความการแสดงเจตนานั้น ใหเพงเล็งถึงเจตนาอันแทจริงยิ่งกวาถอยคําสํานวนหรือตัวอักษร)
1. หลักในการตีความสัญญาคือ ตองการคนหาเจตนารมณอันแทจริงของคูสัญญา ั ิในกรณีทว ั่ ๆไป 2. ปกติประเพณีหมายถึง การประพฤติปฏิบต 3. สัญญาที่เปนการกอหนี้ระหวางคูสัญญาทั้ง 2 ฝาย โดยตองกระทําตอบแทนซึ่งกันและกัน คือสัญญามีคา ตางตอบแทน ้ ขาย 4. สัญญาที่เปนสัญญาตางตอบแทนไดแก สัญญาซือ
60 5. สัญญาที่เปนสัญญาไมมีคา ตอบแทน ไดแก การให 6. สัญญาที่เปนสัญญาอุปกรณไดแก จํานอง ิ 7. สัญญาที่เปนสัญญาเพื่อประโยชนของบุคคลภายนอกคือ ประกันชีวต 8. สัญญาที่เปนสัญญาไมมีชื่อไดแก เลนแชรเปยหวย 9. คําเสนอตอบุคคลผูอยูเฉพาะหนา เชน โทรศัพททางไกลจากกรุงเทพฯ ทําคําเสนอขายบานไปถึง บุคคลที่อยูเชียงใหม 10. คําเสนอที่ทําตอบุคคลเฉพาะหนามีผลเมื่อ ผูรับคําเสนอทราบถึงเจตนาของผูเสนอ 11. คําเสนอที่ทําตอบุคคลอยูห างโดยระยะทางมีผลเมื่อ คําเสนอนั้นไดสงไปถึงผูรับแลว ัญญา 12. หลักในการตีความสัญญา คือ ตีความโดยอาศัยหลักความสุจริตของคูส
หนวยที่ 14 ผลแหงสัญญา มัดจํา เบี้ยปรับ 1. โดยหลักแลว สัญญากอความผูกพันระหวางคูสัญญา ดังนั้น จึงไมสงผลกระทบตอบุคคลภายนอก 2. การจะบังคับใหเปนไปตามสิทธิและหนาที่ตามสัญญาอันเปนสิทธิเรียกรอง จะตองอาศัยอํานาจ ของเจาหนาที่รัฐ มิใชเปนเรื่องที่คูกรณีใชอํานาจบังคับแกกันโดยพลการ 3. ในสัญญาตางตอบแทนนั้น คูสัญญาฝายหนึ่งจะไมยอมชําระหนี้จนกวาอีกฝายหนึ่งจะชําระหนี้หรือ ขอปฏิบัติการชําระหนี้ก็ได แตความขอนี้ทานมิใหใชบังคับ ถาหนี้ของคูสัญญาอีกฝายหนึ่งยังไมถึงกําหนด (มาตรา 369) 4. เมื่อเขาทําสัญญา ถาไดใหสิ่งใดไวเปนมัดจําทานใหถือวา การที่ใหมัดจํานั้นยอมเปนพยาน หลักฐานวาสัญญานั้นไดทํากันขึ้นแลว อนึ่งมัดจํานี้ยอมเปนประกันการที่จะปฏิบัติตามสัญญานั้นดวย (มาตรา 377) 5. ถาลูกหนี้สัญญาแกเจาหนี้วา จะใชเงินจํานวนหนึ่งเปนเบี้ยปรับเมื่อตนไมชําระหนี้ก็ดี หรือไมชําระ หนี้ใหถูกตองสมควรก็ดี เมือ ่ ลูกหนี้ผิดนัด ก็ใหริบเบี้ยปรับ ถาการชําระหนี้อันจะพึงกระทํานั้นไดแกงดเวน การอันใดอันหนึ่ง หากทําการอันนั้นฝาฝนมูลหนี้เมื่อใด ก็ใหริบเบี้ยปรับเมื่อนั้น 14.1 ผลผูกพันในกฎหมายที่เกิดจากสัญญา
1. สัญญานั้นมีผลระหวางคูสัญญาเทานั้น และไมกอความเสียหายใหแกบุคคลภายนอก กฎหมาย หามมิใหคูสัญญาตกลงกันไวเปนการลวงหนา ลูกหนี้ไมตองรับผิด เพื่อการชําระหนี้ที่เกิดขึ้นเพราะการฉอ ฉลหรือความประมาทเลินเลออยางรายแรงของลูกหนี้ 2. สัญญาอาจมีผลในลักษณะซึ่งเปนประโยชนแกบุคคลภายนอก ซึ่งมิใชคูสัญญาไดตามหลักเกณฑ ที่บัญญัติไวในมาตรา 374 14.1.1 หลักกฎหมายที่วาดวยสัญญากอผลผูกพันระหวางคูสัญญาเทานั้น
ที่วาสัญญายอมกอใหเกิดผลผูกพันระหวางคูสัญญานั้น ทานเขาใจวาอยางไร โดยหลักแลว สัญญายอมมีผลแตเฉพาะในระหวางคูส ัญญาเทานั้น สัญญายอมไมกอใหเกิดผล ผูกพันบุคคลอื่นที่ไมใชคูสญ ั ญาในลักษณะทีก ่ อใหเกิดความเสียหายแกบค ุ คลอื่น แตอาจมีผลผูกพัน ในทางที่ใหประโยชนเปนผลดีแกบค ุ คลอื่นที่ไมใชคูสัญญาได อันไดแกกรณีของสัญญาเพื่อประโยชน บุคคลภายนอก 14.1.2 ลักษณะและวิธีการบังคับเพื่อใหการเปนไปตามขอตกลงในสัญญา
สิทธิและหนาที่ที่เกิดขึ้นจากขอตกลงในสัญญานั้น คูสัญญาจะบังคับใหเปนไปตามขอตกลงกันใน ลักษณะใด สิทธิและหนาที่ที่เกิดขึ้นจากขอตกลงในสัญญาโดยหลักแลว เกิดขึ้นในลักษณะที่เรียกวาเปน บุคคลสิทธิ ซึ่งคูสญ ั ญาจะใชสิทธิเรียกรองตามสิทธิดังกลาวไดก็แตโดยอาศัยอํานาจของเจาหนาที่ของรัฐ ที่จะจัดการบังคับใหไดตามสิทธินั้นๆ ซึ่งไดแกการใชสท ิ ธิฟองรองดําเนินคดีตามกฎหมายวิธีพจ ิ ารณา ความแพง 14.1.3 ความตกลงยกเวนมิใหลูกหนี้ตองรับผิดเมื่อไมมีการชําระหนี้
กฎหมายบัญญัติเรื่องความตกลงยกเวนมิใหลูกหนี้ตองรับผิดเมื่อไมมก ี ารชําระหนี้ไวในสาระสําคัญ อยางไร กฎหมายหามมิใหคูสัญญาตกลงกันไวเปนการลวงหนาวา ลูกหนี้ไมตองรับผิดเพื่อการชําระหนี้ที่ เกิดขึ้นเพราะกลฉอฉล หรือความประมาทเลินเลออยางแรงของลูกหนี้ 14.1.4 สัญญาเพื่อประโยชนบุคคลภายนอก
สัญญามีผลเพื่อประโยชนแกบุคคลภายนอกซึ่งมิใชคูสัญญา มีไดหรือไม
61 สัญญาอาจมีผลในลักษณะซึ่งใหประโยชนแกบุคคลภายนอก บัญญัติไวในมาตรา 374
ซึ่งมิใชคูสัญญาตามหลักเกณฑที่
14.2 ลักษณะพิเศษของสัญญาตางตอบแทน
1. คูสัญญามีหนี้ที่จะตองกระทําเปนการตอบแทนซึ่งกันและกัน เวนแตหนี้ของอีกฝายหนึ่งจะยังไม ถึงกําหนดชําระ ตามมาตรา 369 2. หลักทั่วไป ลูกหนี้ตองรับผลแหงภัยพิบัติที่เกิดกับทรัพยสินอันเปนวัตถุแหงสัญญา เวนแตในกรณี สัญญาตางตอบแทนที่มีวัตถุประสงคเปนการกอใหเกิดหรือโอนทรัพยสิทธิ 14.2.1 การปฏิบัติชําระหนี้ตอบแทนของคูสัญญา
การปฏิบัติชําระหนี้ตอบแทนของคูสัญญาคืออยางไร คูสัญญามีหนี้ที่จะตองกระทําเปนการตอบแทนซึ่งกันและกัน เวนแตหนี้ของอีกฝายหนึ่งจะยังไมถง ึ กําหนดชําระตามมาตรา 369 14.2.2 ปญหาเรื่องภัยพิบัติที่เกิดกับทรัพยสินอันเปนวัตถุแหงสัญญา
ในสัญญาตางตอบแทนนั้น เมื่อทรัพยสินอันเปนวัตถุแหงสัญญาเกิดสูญหายหรือถูกทําลายลงอัน ทําใหการชําระหนี้ตกเปนพนวิสัยนั้น อยากทราบวา จะมีผลตอคูสัญญานั้นอยางไรบาง โดยหลัก ถาการทีท ่ รัพยนน ั้ สูญหาย หรือถูกทําลายลง อันทําใหการชําระหนี้ตกเปนพนวิสัย โดย มิใชความผิดของคูสัญญาฝายหนึ่งฝายใดแลว แมวา ลูกหนี้จะหลุดพนจากการชําระหนี้นั้นตามหลักทั่วไป ในเรื่องนี้ตามมาตรา 219 แหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย บัญญัติใหลูกหนี้ตอ งเปนผูรับบาป ี ิทธิที่จะเรียกรองใหคูสญ ั ญาอีกฝายหนึง ่ นั้นชําระตอบ เคราะหในภัยพิบัตด ิ ังกลาว กลาวคือ ลูกหนี้ไมมส แทนใหแกตน ในกรณีทก ี่ ารสูญหายหรือถูกทําลายนั้นเกิดขึ้นเพราะความผิดของเจาหนี้ ลูกหนี้ยอมมีสิทธิทจ ี่ ะ ไดรับชําระหนีต ้ อบแทน แตการไดรบ ั ชําระหนีต ้ อบแทนของลูกหนี้นั้นยอมตองคํานึงประกอบดวยวา ถาใน ่ เกิดจากการกระทําชําระหนี้ พฤติการณเชนวานั้นลูกหนี้สามารถบรรเทาความเสียหายหรือบรรเทาเหตุ ซึง พนวิสัยแตไมกระทําการบรรเทาความเสียหายดังกลาว การไดรับชําระหนีต ้ อบแทนของลูกหนี้ยอ มลด นอยลงไปเพราะจะเอาความเสียหายที่อาจบรรเทาไดนั้น มาหักออกจากความเสียหายตามสิทธิที่ลูกหนี้จะ พึงไดรับตามปกติดว ย สวนถาเปนกรณีทท ี่ รัพยนั้นสูญหายหรือถูกทําลายลง เพราะความผิดของลูกหนี้ ํ ระหนี้ตอบแทนแลว ยังตองรับผิดในการชําระหนี้นั้น แลว นอกจากลูกหนี้จะไมมีสิทธิที่จะเรียกใหเจาหนี้ชา ตอเจาหนี้ตามหลักทั่วไปในเรื่องการชําระหนี้อก ี ดวย หลักในเรือ ่ งภัยพิบต ั ิอันเกิดจากทรัพยอันเปนวัตถุแหงสัญญาสูญหายหรือเสียหายนัน ้ มีขอยกเวน ซึ่งกําหนดเปนเงื่อนไขพิเศษอยูในกรณีของสัญญาตางตอบแทน ซึง ่ มีวัตถุประสงคเปนการกอใหเกิดหรือ ิ ธิ (เชน สัญญาซื้อขาย สัญญาเกี่ยวกับสิทธิเก็บเกิน เปนตน) โดยมีทรัพยเฉพาะสิ่งเปนวัตถุ โอนทรัพยสท แหงสัญญา (หรือถามิใชทรัพยเฉพาะสิ่งโดยสภาพก็อาจอยูในบังคับอยางเดียวกัน ถาไดมก ี ารทําใหเปน ทรัพยเฉพาะสิ่ง ตามนัย มาตรา 195 วรรคสองแหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย) และในกรณีนั้น สัญญาที่เกิดขึ้นกอใหเกิดผลเปนการกอหรือโอนทรัพยสิทธิดวยแลว ในกรณีดังกลาว ถาทรัพยนั้นสูญหาย หรือเสียหายโดยโทษลูกหนีไ ้ มไดแลว กฎหมายบัญญัติใหการที่ทรัพยนั้นสูญหรือเสียหายตกเปนพับแก เจาหนี้ แตสัญญาที่เกิดขึ้นแมจะมีวัตถุประสงคเปนการกอใหเกิดหรือโอนทรัพยสินในทรัพยเฉพาะสิง ่ แต และ เมื่อสัญญาเกิดขึ้นแลวยังไมกอหรือโอนทรัพยสิทธิในทรัพยนั้นทันทีเนื่องจากมีเงื่อนไขบังคับกอน ทรัพยนั้นสูญหายหรือทําลายลงในระหวางที่เงื่อนไขยังไมสําเร็จเชนนี้ กฎหมายบัญญัติวา การทีท ่ รัพยนั้น สูญหายหรือถูกทําลายลงไมเปนพับแกเจาหนี้ หรืออีกนัยหนึ่งถือวาเปนพับแกลูกหนี้ตามหลักทั่วไป อยางไรก็ตามถาการที่ทรัพยเสียหายขางตนเปนเรื่องทีโ่ ทษเจาหนี้ไมไดดวยแลว เมื่อเงื่อนไขสําเร็จ เจาหนี้ มีทางเลือกใหลูกหนี้ปฏิบัตอ ิ ยางใดอยางหนึ่ง คือบอกเลิกสัญญา หรือเรียกใหปฏิบต ั ิชําระหนี้โดยลดสวนที่ เจาหนี้จะตองชําระหนีต ้ อบแทนลงได แตถา การทีท ่ รัพยเสียหายนัน ้ เปนความผิดของลูกหนี้แลว นอกจาก สิทธิดง ั กลาวแลว เจาหนี้ยง ั เรียกคาสินไหมทดแทนไดอีกดวย 14.3 ความตกลงเกี่ยวกับมัดจํา
1. มัดจํา คือสิ่งของซึ่งคูสัญญาฝายหนึ่งมอบไวใหแกคูสัญญาอีกฝายหนึ่งในขณะทําสัญญาเพื่อเปน ประกันการปฏิบัติตามสัญญา 2. มัดจํานั้น ถามิไดตกลงกันไวเปนอยางอื่น ทานใหเปนไปดังจะกลาวตอไปนี้คือ (1) ใหสงคืน หรือจัดเอาเปนการใชเงินบางสวน (2) ใหริบ ถาฝายผูวางมัดจําละเลยไมชําระหนี้ หรือการชําระหนี้ตกเปนพนวิสัยเพราะพฤติการณ อันใดอันหนึ่งซึ่งฝายนี้ตองรับผิดชอบ หรือถามีการเลิกสัญญาเพราะความผิดของฝายนั้น (3) ใหสงคืน ถาฝายที่รับมัดจําละเลยไมชําระหนี้ หรือการชําระหนี้นี้ตกเปนพนวิสัยเพราะ พฤติการณอันใดอันหนึ่งซึ่งฝายนี้ตองรับผิดชอบ 14.3.1 ความหมายและลักษณะของมัดจํา
62 ทานเขาใจมัดจําอยางไร
มัดจําคือการที่คูสัญญาฝายหนึ่งมอบเงินหรือสิ่งของอื่นใหไวแกคส ู ัญญาอีกฝายหนึ่ง ในขณะทํา สัญญาเพื่อเปนประกันวาจะมีการปฏิบัตต ิ ามสัญญา ทัง ้ นี้เพราะถาฝายทีว ่ างมัดจําไมปฏิบัติชา ํ ระหนี้ หรือ การชําระหนี้เปนพนวิสัยหรือการเลิกสัญญาเพราะความผิดของฝายวางมัดจํา กฎหมายใหคูสัญญาอีกฝาย แตถาอีกฝายหนึง ่ รับมัดจําละเลยไมชําระหนี้หรือการชําระหนี้ หนึ่งซึง ่ รับมัดจําไวสามารถริบมัดจํานั้นได ตกเปนพนวิสย ั หรือมีการเลิกสัญญาเพราะความผิดของฝายรับมัดจํา กฎหมายกําหนดใหคืนมัดจําแกผู วางมัดจํา นอกจากนั้น การวางมัดจํายังถือไดวา เปนพยานหลักฐานวาสัญญาไดทา ํ กันขึ้นแลวอีกดวย 14.3.2 ผลตามกฎหมายของมัดจํา
เมื่อไดใหมัดจํากันแลวผลในกฎหมายเปนอยางไร กรณีเปนไปตามมาตรา 378 แหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย ถาหากฝายที่วางมัดจํานั้น ละเลยไมชําระหนี้ หรือการชําระหนี้ตกเปนพนวิสัย เพราะพฤติการณอันใดอันหนึ่งซึ่งฝายที่วางมัดจํานั้น ตองรับผิดชอบหรือถามีการเลิกสัญญาเพราะความผิดของฝายทีว ่ างมัดจํา กฎหมายบัญญัตว ิ า ใหผร ู ับมัด จํานั้นไวมีสิทธิที่จะรับมัดจํานั้นได ่ นั้น เปนเรื่องซึ่งผูรบ ั มัดจําไวจะตองคืนมัดจํา ซึง ่ ก็เปนกรณีตรงกันขามกับ สวนในอีกกรณีหนึง กรณีที่กลาวแลว กลาวคือ คูสัญญาฝายที่รบ ั มัดจําไวนั้นเองเปนผูละเลยไมชําระหนี้ หรือชําระหนี้นั้นตกเปน พนวิสัยเพราะพฤติการณซง ึ่ ฝายทีร ่ ับมัดจําไวนั้นตองรับผิดชอบ 14.4 ความตกลงเกี่ยวกับเบี้ยปรับ
1. ขอตกลงซึ่งคูสัญญาฝายหนึ่งใหสัญญาแกคูสัญญาอีกฝายหนึ่งวา จะใชเงินหรือทรัพยสิน อยาง อื่นเปนเบี้ยปรับ เมื่อตนไมชําระหนี้ หรือชําระหนี้ไมถูกตองครบถวน 2. ความตกลงใหเบี้ยปรับแกกันนั้น ยอมกระทําไดทั้งที่กําหนดไววาเบี้ยปรับนั้น จะใชเปนจํานวนเงิน หรือเปนทรัพยสินอยางอื่นที่มิใชเงินก็ได 3. ในกรณีที่คูสัญญาตกลงในเรื่องเบี้ยปรับไวเปนจํานวนสูงเกินสวนศาลมีอํานาจที่จะลดลงเปน จํานวนพอสมควรได โดยพิเคราะหถึงทางไดเสียของเจาหนี้ประกอบดวย 4. ในกรณีลูกหนี้อางวา ตนไดชําระหนี้อันทําใหเจาหนี้รบ ิ เบี้ยปรับไมไดตามที่ตกลงกันไวนั้น กฎหมายกําหนดใหลูกหนี้มีหนาที่จะตองพิสูจนวา ตนไดชําระหนี้นั้นแลว 14.4.1 ความหมายและลักษณะของเบี้ยปรับ ทานเขาใจเรื่องเบี้ยปรับวาอยางไร
เบี้ยปรับ คือการทีค ่ ูสัญญาฝายหนึ่งใหสัญญาตอคูสญ ั ญาอีกฝายหนึ่งวา จะใชเงินหรือสิ่งของอื่น เมื่อตนไมชําระหนี้นั้นเลย หรือชําระหนี้ใหแตไมถก ู ตองครบถวน ทัง ้ นี้โดยไมมีการสงมอบเงินหรือสิ่งของ ใหไวแกกันเหมือนอยางในกรณีของมัดจํา 14.4.2 เบี้ยปรับที่กําหนดเปนจํานวนเงิน การกําหนดเบี้ยปรับเปนเงินในกรณีเพื่อการไมชําระหนีเ้ ลย ถูกตองสมควร ตางกันอยางไร
กับเบี้ยปรับเพื่อการไมชําระหนีใ้ ห
เบี้ยปรับเพือ ่ การไมชําระหนีเ้ ลยนั้น เมื่อไมมีการชําระหนี้เกิดขึ้น เจาหนี้ยอ มมีสท ิ ธิเรียกเอาเบีย ้ ปรับนั้นแทนการชําระหนี้ ซึง ่ ถาไดเรียกเอาเบีย ้ ปรับในกรณีเชนวาแลวเจาหนี้จะเรียกใหลก ู หนี้ชา ํ ระหนีต ้ อบ แทนอีกไมได ถาสวนเจาหนี้มีความเสียหายอยางอื่นใดมากกวาจํานวนเบี้ยปรับดังกลาว เจาหนีย ้ อมมีสท ิ ธิ พิสูจน และเรียกคาเสียหายนั้นได สวนการตกลงเบี้ยปรับเพื่อการไมชําระหนี้ใหถก ู ตองสมควร เมื่อมีการชําระหนี้ไมถูกตองครบถวน ตามที่ตกลงกันไว เจาหนี้ยอ มมีสิทธิเรียกรองใหลูกหนี้ชําระใหครบถวนถูกตองตอไปได และเรียกเอาเบี้ย ปรับอีกดวยก็ไดแตการที่จะริบเบีย ้ ปรับพรอมกับการชําระหนี้จากลูกหนี้นั้น เจาหนี้จะกระทําไดตอเมือ ่ ได บอกสงวนสิทธิที่จะริบเบี้ยปรับนั้นในเวลาที่เจาหนี้ยอมรับชําระหนี้จากลูกหนี้ดว ยแลว นอกจากนี้ เจาหนี้ยง ั มีสิทธิเรียกคาสินไหมทดแทนเพือ ่ ความเสียหายอยางใดๆ ที่ตนไดรับมากกวา เบี้ยปรับที่กา ํ หนดไวได 14.4.3 เบี้ยปรับที่กําหนดเปนอยางอื่นที่มิใชจํานวนเงิน ในกรณีของการตกลงนั้นเบี้ยปรับเปนสิ่งของอยางอื่นที่มิใชตัวเงินนั้น เบี้ยปรับที่เปนเงินใชหรือไม
คงมีหลักการเชนเดียวกับ
การพิจารณาเรื่องเบี้ยปรับทีก ่ ําหนดเปนสิง ่ ของอยางอื่นที่มิใชตว ั เงินนั้นยอมมีหลักการ เชนเดียวกับเบี้ยปรับที่กา ํ หนดเปนตัวเงิน เวนแตในเรื่องคาสินไหมทดแทนที่เจาหนี้เห็นวาตนไดรับความ เสียหายมากกวา เบีย ้ ปรับทีก ่ ําหนดไวนั้น ถาเจาหนี้ไดตกลงทีจ ่ ะเรียกเอาเบี้ยปรับแลว ก็หมดสิทธิที่จะเรียก คาสินไหมทดแทนนั้น 14.4.4 อํานาจของศาลในการลดเบี้ยปรับ
63 เบี้ยปรับที่กําหนดไวนั้น จะสามารถลดไดอยางไร หรือไม การกําหนดเรือ ่ งเบี้ยปรับนั้น โดยทีส ่ วนหนึ่งมีวัตถุประสงคในการขจัดปญหายุงยากในการที่ จะตองมีการพิสูจนถึงความเสียหายกันขึ้น ดังนั้น ในกรณีทค ี่ ูสัญญาตกลงกําหนดกันไวเปนจํานวนสูง เกินไป เมือ ่ มีกรณีมาสูศาล ศาลยอมสั่งลดจํานวนเบี้ยปรับลงเปนจํานวนพอสมควรได โดยพิเคราะหถึงทาง ี ักษณะเปน ไดเสียของเจาหนีป ้ ระกอบดวย นอกจากนั้นโดยที่ลก ั ษณะของความตกลงในเรือ ่ งเบี้ยปรับนี้มล สัญญาอุปกรณ ดังนั้นถาการชําระหนี้ตามสัญญาที่ทา ํ กันไวไมสมบูรณ การตกลงในขอเบีย ้ ปรับในการไม ปฏิบัตต ิ ามสัญญานั้นก็ยอมไมสมบูรณดว ย 14.4.5 หนาที่ของลูกหนี้ในการพิสูจนเพื่อมิใหถูกริบเบี้ยปรับ
ลูกหนี้จะพิสูจนเพื่อมิใหถูกริบเบี้ยปรับไดหรือไม อยางไร ในกรณีที่ลก ู หนี้อา งวา ตนไดชําระหนีอ ้ ันทําใหเจาหนีร ้ ิบเบี้ยปรับไมไดตามที่ตกลงกันไวนั้น กฎหมายกําหนดใหลูกหนี้มห ี นาที่จะตองพิสูจนวา ตนไดชําระหนี้นั้นแลว แบบประเมินผล หนวยที่ 14 ผลแหงสัญญา มัดจํา เบีย ้ ปรับ มาตรา 377 เมื่อเขาทําสัญญา ถาไดใหสิ่งใดไวเปนมัดจําทานใหถือวาการที่ใหมัดจํานั้นยอมเปนพยานหลักฐานวา สัญญานั้นไดทํากันขึ้นแลว อนึ่งมัดจํานี้ยอมเปนประกันการที่จะปฏิบัติตามสัญญานั้นดวย มาตรา 378 มัดจํานั้นถามิไดตกลงกันไวเปนอยางอืน ่ ทานใหเปนไปดังจะกลาวตอไปนี้ คือ (๑) ใหสงคืน หรือจัดเอาเปนการใชเงินบางสวนในเมื่อชําระหนี้ (๒) ใหริบ ถาฝายที่วางมัดจําละเลยไมชําระหนี้ หรือการชําระหนี้ตกเปนพนวิสัยเพราะพฤติการณอันใดอันหนึ่งซึ่งฝาย นั้นตองรับผิดชอบ หรือถามีการเลิกสัญญาเพราะความผิดของฝายนั้น (๓) ใหสงคืน ถาฝายที่รับมัดจําละเลยไมชําระหนี้ หรือการชําระหนี้ตกเปนพนวิสัยเพราะพฤติการณอันใดอันหนึ่งซึ่งฝาย นี้ตองรับผิดชอบ มาตรา 383 ถาเบี้ยปรับที่ริบนั้นสูงเกินสวน ศาลจะลดลงเปนจํานวนพอสมควรก็ได ในการที่จะวินิจฉัยวาสมควรเพียงใด นั้น ทานใหพิเคราะหถึงทางไดเสียของเจาหนี้ทุกอยางอันชอบดวยกฎหมาย ไมใชแตเพียงทางไดเสียในเชิงทรัพยสิน เมื่อไดใช เงินตามเบี้ยปรับแลว สิทธิเรียกรองขอลดก็เปนอันขาดไป
1. ระหวางบุคคล คูสัญญาเทานัน ้ ที่หลักกฎหมายวาดวยสัญญากอความผูกพันดวย 2. สัญญาอาจมีผลในลักษณะซึ่งใหประโยชนแก บุคคลภายนอกได ี่ ะตองชําระใหกับบุคคล ภายนอก 3. ลักษณะของสัญญาเพื่อประโยชนบค ุ คลภายนอก คือ คูสัญญามีหนี้ทจ 4. นาย ก จางนาย ข ใหขนสงไมสักไปตางประเทศตอมากอนที่จะถึงกําหนดสงไมสัก รัฐบาลไดออกกฎหมาย ั เพราะเหตุ หามสงไมสักออกนอกประเทศ สัญญาระหวางนาย ก และนาย ข จะมีผลคือ การชําระหนี้ตกเปนพนวิสย อันจะโทษนาย ก และนาย ข ไมได ทั้งนาย ก และนาย ข ตางจะเรียกใหแตละฝายปฏิบต ั ิตามสัญญาไมได คือสิ่งทีค ่ ส ู ัญญาฝายหนึ่งมอบไวใหแกคส ู ัญญาอีกฝายหนึ่งในขณะทําสัญญาเพื่อเปนประกันการ 5. มัดจํา ปฏิบัติตามสัญญา 6. เงินหรือทรัพยสินอยางอื่น ซึง่ คูสัญญาฝายหนึ่งใหแกคูสญ ั ญาอีกฝายหนึ่ง จะใชใหเมื่อตนไมชําระหนีห ้ รือ ชําระหนี้ไมถูกตองครบถวน คือ เบี้ยปรับ 7. ถามีการเลิกสัญญาเพราะความผิดของฝายรับมัดจํากฎหมายกําหนดให คืนมัดจําแกผูวางมัดจําทั้งหมด ิ อยางอื่น 8. เบี้ยปรับ เปนเงินหรือทรัพยสน ศาลมีอา ํ นาจลดลงเปนจํานวน 9. ผลในทางกฎหมายหากคูสญ ั ญาไดตกลงในเรื่องเบี้ยปรับไวสูงเกินสวน พอสมควรโดยคํานึงถึงทางไดเสียของเจาหนี้ ู หนี้พิสูจนไดวา ตนไดชําระหนี้แลว ลูกหนี้มต ิ องถูกริบเบี้ยปรับ 10. ในกรณีที่ลก 11. ถาเจาหนีย ้ อมรับชําระหนี้แลวจะเรียกเอาเบี้ยปรับไดอีก ถาไดบอกสงวนสิทธิไวเชนนั้นในเวลาชําระหนี้ 12. กรณีหากมีการเลิกสัญญาเพราะความผิดของฝายทีร่ ับมัดจํา ตองคืนมัดจําทั้งหมด
หนวยที่ 15 การเลิกสัญญา 1. 2. 3. 4.
ลูกหนี้มีสิทธิเลิกสัญญาไดตามขอตกลงในสัญญาที่ทําขึ้น หรือตามที่กฎหมายบัญญัติไว การบอกเลิกสัญญานั้น ตองแสดงเจตนาตอคูสัญญา สิทธิในการบอกเลิกสัญญาของคูสัญญาฝายใดฝายหนึ่งยอมระงับไปโดยบังเอิญของกฎหมาย การบอกเลิกสัญญายอมมีผลใหคูกรณีกลับสูฐานะเดิมแตไมเปนที่เสื่อมเสียสิทธิของบุคคลภายนอก
15.1 สิทธิเลิกสัญญา
1. คูสัญญาสามารถตกลงทําสัญญาระงับสิทธิซึ่งคูสัญญามีตอกันตามสัญญา 2. คูสัญญามีสิทธิบอกเลิกสัญญาได ในเมื่อมีขอตกลงในสัญญาใหสิทธิคูสัญญาฝายใดฝายหนึ่งที่จะ บอกเลิกสัญญานั้นได ซึ่งโดยปกติจะเปนกรณีที่คูสัญญาอีกฝายหนึ่งนั้นไมปฏิบัติตามขอตกลง หรือปฏิบัติ ฝาฝนขอตกลงในสัญญาขอใดขอหนึ่ง
64 3. กฎหมายใหสิทธิแกคูสัญญาฝายใดฝายหนึ่งที่จะบอกเลิกสัญญาได 2 กรณี กรณีแรกคือกรณีที่ คูสัญญาอีกฝายหนึ่งไมชําระหนี้ โดยในการใชสิทธิดังกลาวจะตองบอกกลาวกําหนดระยะเวลาอันสมควร ใหคูสัญญาฝายที่ไมชําระหนี้ทําการชําระหนี้นั้นกอน เวนแตระยะเวลาชําระหนี้ที่กําหนดไวนั้นเปนขอ สาระสําคัญ สวนอีกกรณีหนึ่งนั้น เมื่อการชําระหนี้ตกเปนพนวิสัยเพราะความผิดของคูสัญญาฝายใดฝาย หนึ่ง คูสัญญาอีกฝายหนึ่งมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได 15.1.1 สิทธิเลิกสัญญาที่เกิดจากการทําสัญญาเพื่อเลิกสัญญา
การทําสัญญาเพื่อเลิกหรือระงับสัญญามีไดหรือไม การทําสัญญาเพื่อเลิกหรือระงับสัญญาทีผ ่ ูกพันระหวางคูกรณียอมมีได ซึ่งเปนไปตามหลักเกณฑ เรื่องสัญญาโดยปกติ คือ ตองมีความตกลงระหวางคูสญ ั ญาทัง ้ สองฝาย 15.1.2 สิทธิเลิกสัญญาที่เกิดขึ้นจากขอตกลงในสัญญา
สิทธิเลิกสัญญาที่เกิดจากขอตกลงในสัญญาจะเกิดขึ้นเมื่อใด สิทธิเลิกสัญญาที่เกิดจากขอจกลงในสัญญาเกิดในกรณีที่คูสญ ั ญาฝายใดฝายหนึ่ง จะตองปฏิบัตต ิ ามสัญญานั้นไมปฏิบัติตามขอตกลง หรือขอสัญญานัน ้
ซึง ่ มีหนาที่
15.1.3 สิทธิเลิกสัญญาที่เกิดขึ้นจากบทบัญญัติของกฎหมาย
การใชสิทธิเลิกสัญญานั้นจะมีขึ้นไดในกรณีใดบาง อาจเกิดขึ้นไดอยางหนึ่งอยางใดตอไปนี้ (1) คูสัญญาตกลงเลิกสัญญาทีไ ่ ดกระทํากันไวในลักษณะทีเ่ ปนนิติกรรมสองฝาย (สัญญา) (2) เมื่อคูสัญญาฝายใดฝายหนึ่งใชสิทธิบอกเลิกสัญญา ในกรณีที่ตนมีสิทธิอันเกิดจากขอตกลง ในสัญญาที่ไดมีไวตอ กัน (3) เมื่อคูสัญญาฝายใดฝายหนึ่งใชสิทธิบอกเลิกสัญญาในกรณีมีบทบัญญัตข ิ องกฎหมายวาไว ซึ่งไดแก ¾ เมื่อคูสัญญาฝายหนึ่งไมชา ํ ระหนี้ หากคูส ัญญาอีกฝายหนึ่งไดบอกกลาวกําหนดเวลาโดย สมควรใหคูสญ ั ญาอีกฝายหนึ่งชําระหนีแ ้ ลว แตคูสญ ั ญาฝายนั้นไมชําระหนี้ภายในกําหนดเวลาคูสัญญาที่ ไมไดรับชําระหนี้ยอมใชสท ิ ธิบอกเลิกสัญญาได แตถา เปนกรณีที่คูสญ ั ญาฝายใดจะตองชําระหนี้ที่กา ํ หนด ่ ไมมีการชําระหนี้ภายในกําหนดเวลาดังกลาว คูสญ ั ญา ไว โดยทีร ่ ะยะเวลาชําระหนี้เปนขอสาระสําคัญ เมือ อีกฝายหนึ่งยอมใชสิทธิบอกเลิกสัญญาได ¾ ในกรณีทก ี่ ารชําระหนีต ้ กเปนพนวิสัยเพราะความผิดของคูสญ ั ญาฝายใด คูสญ ั ญาอีก ฝายหนึ่งยอมบอกเลิกสัญญาได 15.2 วิธีการบอกเลิกสัญญา
1. การแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาตองกระทําตอคูสัญญาอีกฝายหนึ่งซึ่งตนประสงคจะเลิกสัญญา และเมื่อไดแสดงเจตนาเลิกสัญญาแลวจะกลับใจถอนการบอกเลิกสัญญามิได 2. ในกรณีซึ่งคูสัญญาแตละฝายประกอบดวยบุคคลหลายคนเปนคูสัญญาการใชสิทธิเลิกสัญญา หรือ ถูกบอกเลิกสัญญาจะตองกระทําโดยบุคคลทั้งหลายเทานั้น หรือจะกระทําตอบุคคลทั้งหลายเหลานั้น แลวแตกรณี 15.2.1 การแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาตอคูสัญญา
การบอกเลิกสัญญาจะตองกระทําอยางไร การบอกเลิกสัญญานั้น คูส ัญญาฝายทีใ่ ชสิทธิบอกเลิกสัญญาจะตองแสดงเจตนาตอคูสัญญาอีก ฝายหนึ่ง ซึ่งโดยหลักยอมมีผลเมื่อการแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญานั้นไดไปถึงคูสัญญาอีกฝายหนึง ่ 15.2.2 การใชสิทธิบอกเลิกสัญญาในกรณีที่คูสัญญานั้นมีบุคคลหลายคนเปนผูใชสิทธิ เลิกสัญญาหรือเปนผูถูกบอกเลิกสัญญา การใชสิทธิบอกเลิกสัญญาในกรณีที่คูสัญญานั้นมีบุคคลหลายคนเปนผูใชสิทธิเลิกสัญญา หรือ เปนผูถูกบอกเลิกสัญญาตองปฏิบัติอยางไร ในกรณีทบ ี่ ุคคลหลายคนเปนผูใชสิทธิบอกเลิกสัญญา การใชสท ิ ธิบอกเลิกสัญญานั้น ผูเปน คูสัญญาทุกคนตองรวมกันใช และในกรณีทผ ี่ ูถก ู บอกเลิกสัญญาเปนคูสัญญาที่มห ี ลายคนรวมกัน การใช สิทธิบอกเลิกสัญญานั้น จะตองกระทําตอคูสัญญานั้นทุกคน 15.2.3 กฎหมายหามถอนการแสดงเจตนาที่ไดยอกเลิกสัญญาแลว
เมื่อแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาแลว จะถอนการแสดงเจตนานั้นไดหรือไม เมื่อไดบอกเลิกสัญญาแลว คือการแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาไดไปถึงคูสัญญาอีกฝายหนึง ่ แลว คูสัญญาฝายที่บอกเลิกสัญญาจะถอนการบอกเลิกสัญญานั้นมิได
65 15.3 การระงับซึ่งสิทธิในการบอกเลิกสัญญา
1. สิทธิของคูสัญญาในการบอกเลิกสัญญาตองระงับสิ้นไป เมื่อคูสัญญาอีกฝายหนึ่งไดบอกกลาวให ผูมีสิทธิบอกเลิกสัญญาใชสิทธินั้นเสียภายในเวลาอันสมควร แตผูมีสิทธิเลิกสัญญามิไดใชสิทธิดังกลาว 2. สิทธิของคูสัญญาในการบอกเลิกสัญญา ยอมระงับสิ้นไป เมื่อผูมีสิทธิเลิกสัญญาไดทําใหวัตถุแหง สัญญาบุบสลายไปในสวนสําคัญ หรือทําใหการคืนทรัพยอันเปนวัตถุแหงสัญญากลายเปนพนวิสัย 15.3.1 สิทธิเลิกสัญญาระงับโดยการบอกกลาวใหผูมีสิทธิเลิกสัญญาใชสิทธิเสียในเวลา
อันสมควร กรณีใด ที่คูสัญญาฝายหนึ่ง สิทธิบอกเลิกสัญญาใชสิทธินั้น
อาจกําหนดระยะเวลาพอสมควรบอกกลาวใหคูสัญญาอีกฝายที่มี
ตองเปนกรณีที่สัญญานั้นไมไดกําหนดระยะเวลาใหใชสิทธิบอกเลิกสัญญาเทานั้น 15.3.2 สิทธิเลิกสัญญาระงับเพราะวัตถุแหงสัญญาสลายไปในสวนสําคัญ ทรัพยกลายเปนพนวิสัย สิทธิในการบอกเลิกสัญญานั้นมีการระงับสิ้นไปในกรณีใดบาง
หรือการคืน
สิทธิในการบอกเลิกสัญญามีทางระงับสิ้นไปในกรณีดังตอไปนี้ (1) เมื่อผูมีสท ิ ธิบอกเลิกสัญญายังไมใชสิทธิดังกลาว คูสัญญาอีกฝายหนึง ่ จะบอกกลาวใหผูมี สิทธิบอกเลิกสัญญาใชสท ิ ธิบอกเลิกสัญญาเสียภายในเวลาอันสมควรก็ได ถาผูมส ี ิทธิบอกเลิกสัญญายังไม มีสิทธิบอกเลิกสัญญาภายในกําหนดเวลาดังกลาว สิทธิบอกเลิกสัญญานั้นยอมระงับสิ้นไป (2) เมื่อผูมีสท ิ ธิบอกเลิกสัญญาทําใหวต ั ถุแหงสัญญาบุบสลายไปในสวนสําคัญหรือทําใหการคืน ทรัพยอันเปนวัตถุแหงสัญญานั้นพนวิสัย 15.4 ผลของการเลิกสัญญา
1. การบอกเลิกสัญญา ยอมมีผลทําใหคูสัญญากลับคืนสูฐานะเดิม คือมีผลยอนหลังไปในเวลาที่มี การทําสัญญากัน 2. การกลับคืนสูฐานะเดิม ในกรณีบอกเลิกสัญญากับการกลับคืนสูฐานะเดิมในกรณีบอกลาง โมฆียะกรรม มีลักษณะที่คลายคลึงกัน จะแตกตางกันก็แตเฉพาะการกลับคืนสูฐานะเดิมในการบอกลาง โมฆียะกรรม เปนเรื่องที่ตองการคุมครองผูไรความสามารถ หรือผูแสดงเจตนาโดยวิปริต แตการบอกเลิก สัญญานั้น เปนเรื่องที่คูสัญญาตองการระงับความผูกพันกันเอง หรือเพราะความผิดของคูสัญญาฝายใด ฝายหนึ่ง นอกจากนั้น ในกรณีของโมฆียะกรรมซึ่งถูกบอกลางในกรณีที่เปนการพนวิสัยที่จะกลับสูฐานะเดิม ได กฎหมายบัญญัติใหคูสัญญาอีกฝายหนึ่งไดรับคาสินไหมทดแทน แตกรณีการบอกเลิกสัญญานั้นผูใช สิทธิเลิกสัญญามีสิทธิที่จะเรียกรองคาเสียหายไดอีกทางหนึ่งดวย 3. การที่มีการเลิกสัญญา ไมวาขอตกลงในสัญญา หรือโดยบทบัญญัติของกําหมาย ยอมไมมี ผลกระทบที่เสื่อมเสียสิทธิของบุคคลภายนอกซึ่งไดสิทธิ หรือมีสิทธิในทรัพยสินอันเปนวัตถุแหงสัญญา โดยที่มีกฎหมายรับรองในการไดสิทธิ หรือมีสิทธิในทรัพยนั้น 15.4.1 การกลับคืนสูฐานะเดิม
การบอกเลิกสัญญาโดยทั่วไป มีผลอยางไรบาง การบอกเลิกสัญญายอมมีผลทําใหคูสัญญากลับคืนสูฐานะเดิม การทําสัญญานั้น
คือมีผลยอนหลังไปในเวลาที่ไดมี
15.4.2 การกลับคืนสูฐานะเดิมในกรณีที่การที่ไดกระทําไปแลว เปนงานหรือการยอมให ใชทรัพย การกลับคืนสูฐานะเดิมในกรณีที่การกระทําไดกระทําไปแลวเปนงาน จะตองทําอยางไร การกลับคืนสูฐ านะเดิมในกรณีทก ี่ ารกระทําไดกระทําไปแลวเปนงาน ตามคาของงานที่ไดทา ํ ขึ้น
กฎหมายใหมก ี ารชดใชเงิน
15.4.3 ขอเปรียบเทียบการกลับสูฐานะเดิมในการเลิกสัญญากับการบอกลาง โมฆียะกรรม อธิบายขอไดเปรียบการกลับสูฐานะเดิมในการเลิกสัญญาการบอกลางโมฆียะกรรม การกลับคืนสูฐ านะเดิมในกรณีการบอกเลิกสัญญากัลปการกลับคืนสูฐานะเดิมในกรณีบอกลาง โมฆียะกรรม เปนเรื่องทีก ่ ฎหมายตองความคุมครองผูห ยอนความสามารถ หรือผูแ สดงเจตนาโดยวิปริต แต การบอกเลิกสัญญานั้นเปนเรื่องที่คูสญ ั ญาตองการระงับความผูกพันระหวางกัน หรือเปนเพราะความผิด ของคูสัญญาฝายใดฝายหนึ่ง
66 นอกจากนั้น ในกรณีโมฆียกรรมนี้ถก ู บอกลางหากเปนการพนวิสัยทีจ ่ ะกลับสูฐานะเดิม กฎหมาย บัญญัติเพียงใหคูสัญญาอีกฝายหนึ่งไดรบ ั คาสินไหมทดแทน แตในกรณีของการบอกเลิกสัญญานั้น ผูใช สิทธิบอกเลิกสัญญามีสิทธิที่จะเรียกรองคาเสียหายที่จะพึงมีพง ึ ไดอก ี ทางหนึ่งดวย 15.4.4 สิทธิในการเรียกรองคาเสียหายอันเกิดจากการเลิกสัญญา
สิทธิในการเรียกรองคาเสียหายอันเกิดจากการเลิกสัญญา คืออยางไร
จากบทบัญญัติในมาตรา 391 วรรคสุดทายไดบญ ั ญัติวา “การใชสิทธิในการเลิกสัญญานั้นหา กระทบกระทัง ่ ถึงสิทธิเรียกรองคาเสียหายไม” สําหรับในเรื่องนี้คอ ื การเลิกสัญญานัน ้ เปนเรือ ่ งซึง ่ คูสัญญา ฝายใดฝายหนึ่งอาจจะใชสท ิ ธิของตนตามขอตกลงในสัญญาหรือโดยบทบัญญัตข ิ องกฎหมาย เลิกความ ี่ ะกระทบถึงสิทธิในการ ผูกพันที่มอ ี ยูในระหวางคูสัญญาดวยกันเอง โดยการบอกเลิกสัญญา แตกรณีทจ เรียกรองคาเสียหายนั้นก็เฉพาะในกรณีทล ี่ ูกหนี้ตอ งรับผิดในการไมชําระหนี้ และจากการไมชา ํ ระหนีข ้ อง ลูกหนี้นั้นเองกอใหเกิดความเสียหายแกคูสัญญาอีกฝายหนึง ่ เพราะฉะนั้น นอกจากการที่ถก ู บอกเลิก สัญญาแลวลูกหนี้ยง ั คงจะตองชดใชคาเสียหายแกเจาหนี้อก ี สวนหนึ่งดวย 15.4.5 การชําระหนี้ของคูสัญญาอันเกิดจากการเลิกสัญญา
ในเรื่องของการชําระหนี้ของคูสัญญาอันเกิดจากการเลิกสัญญานั้น คืออยางไร ในเรื่องการชําระหนีข ้ องคูสญ ั ญาอันเกิดจากการเลิกสัญญานั้น มาตรา 392 ไดบัญญัตว ิ า“การ ชําระหนีข ้ องคูสัญญาที่เกิดแตการเลิกสัญญานั้นใหเปนไปตามบทบัญญัติแหงมาตรา369”ซึ่งก็หมายความ วาคูสัญญาฝายหนึ่งจะไมยอมชําระหนี้ จนกวาอีกฝายหนึ่งจะชําระหนี้หรือขอปฏิบัติชําระหนีก ้ ไ ็ ด ซึ่งเปน กรณีที่ไดกลาวมาแลวในเรือ ่ งลักษณะของสัญญาตางตอบแทน 15.4.6 การเลิกสัญญากับผลกระทบที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก
การบอกเลิกสัญญาเมื่อไดเกิดขึ้นแลวมีผลตอคูสัญญาและบุคคลภายนอกอยางไรบาง การบอกเลิกสัญญายอมมีผลทําใหคูสัญญาทั้งสองฝายกลับคืนสูฐานะเดิม แตเงินอันจะตองใชคืน นั้น กฎหมายบัญญัติใหบวกดอกเบี้ยนับแตวันที่ไดรับไวดวย แตถา การที่จะตองคืนแกกันเปนการเปนงาน อันไดทา ํ ใหแกกันหรือเปนการยอมใหใชทรัพยสิน การชดใชคืนนั้นกฎหมายบัญญัติใหทา ํ ดวย ใชเงินตาม ่ ําใหกันหรือการที่ไดใชทรัพยสินนั้น นอกจากนั้นคูส ัญญาฝายใดฝายหนึ่งอาจใชสิทธิเรียก คาแหงการทีท คาเสียหายอยางใดๆ ที่เกิดขึ้นนั้นไดดวย ในสวนที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอกยอมไดรบ ั ความคุมครองตามที่กฎหมายไดบญ ั ญัติไว การบอก เลิกสัญญายอมไมเสื่อมเสียสิทธิ หรือกระทบกระเทือนสิทธิของบุคคลภายนอกผูไดสิทธินั้นมาโดยชอบ แบบประเมินผล หนวยที่ 15 การเลิกสัญญา 1. สิทธิการบอกเลิกสัญญาที่เกิดจากบทบัญญัติของกฎหมายคือ กรณีที่คก ู รณีอีกฝายหนึ่งไมชําระหนี้ คูกรณีกลับสูฐานะเดิมคือมีผลยอนหลังไปในเวลาทํา 2. การบอกเลิกสัญญายอมกอใหเกิดผลทําให สัญญา 3. ก ทําสัญญาเชาบาน ข โดยมีขอกําหนดวา ก ตองไมเอาบานนั้นใหผูอื่นเชาชวง หาก ข ฝาฝน มีสิทธิบอก เลิกสัญญาได ดังนี้สท ิ ธิบอกเลิกสัญญาเกิดจาก ขอตกลงในสัญญา 4. ผลเมื่อไดมีการบอกเลิกสัญญาไปแลว กฎหมายหามถอนการแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญา 5. ก ข และ ค ทําสัญญาเชาหองของ แดง จากผูใหเชาคนละฉบับโดยแตละคนเชาเชาแตละหอง ตอมา ก แต ผูเดียว ฝาฝนขอกําหนดในสัญญาเอาหองแดงสวนของตนไปใหเชาชวง ผูใหเชาบอกเลิกสัญญา ได โดยบอกเลิก สัญญาไปยัง ก แตผูเดียว 6. ก ข และ ค เปนเจาหนี้รวม ประสงคจะบอกเลิกสัญญากับลูกหนี้รวม คือ จ และ ฉ เจาหนี้รวมทุกคนบอก เลิกสัญญาไปยังลูกหนี้รว มทุกคน 7. ก ขายแหวนทองปลอมให ข ข รับซื้อโดยเขาใจวาเปนแหวนทองคํา ตอมา ค มาซื้อจาก ข ไปอีก 2 วัน ้ ขายแหวนกับ ก ไมได เพราะ ตอมา ค มาตอวา ข วาขายแหวนปลอมให ค เหตุการณดังนี้ จะบอกเลิกสัญญาซือ ข ทําใหการคืนทรัพยกลายเปนการพนวิสย ั 8. การบอกเลิกสัญญามีผลเหมือนกับ การบอกลางโมฆียะกรรม 9. การบอกเลิกสัญญาจะตองกระทํา แสดงเจตนาตอคูสัญญา จึงจะมีผลเปนการบอกเลิกสัญญา ี่ ูกรณีฝา ยหนึ่งไมชําระหนี้ เกิดจากบทบัญญัติของกฎหมาย 10. สิทธิการบอกเลิกสัญญา กรณีทค