The King Never Smiles

Page 1

บทนํา

ภาพที่ดูฝ้ามัว เสียงที่ฟังไม่ชัดเจน ดูแล้วทําให้นึกถึงโทรทัศน์เมื่อสี่สิบปีก่อน เป็นภาพชายสองคน หมอบกราบบนพื้นพรมหนา คนหนึ่งใส่เสื้อผ้าหยาบๆไม่สวยหรูสีครามแบบชุดชาวนา อีกคนหนึ่งใส่ชุด สูทเสื้อนอกอย่างนักธุรกิจ ทั้งสองคนนั่ งพับเพียบเหมือนอย่างกับคนว่านอนสอนง่ าย ทั้งสองคนหงาย หน้าจ้องมองดูบุคคลที่นั่งตระหง่านอยู่บนเก้าอี้ นวมปิดทอง ด้วยบริพารหมอบราบขนาบข้าง บุคคลที่นั่งอยู่กล่าวกับชายทั้งสองด้วยน้ําเสียงที่อยู่ใ นลําคอ เสียงนั้ น ดังฟังชัด สุขุมเหมือนดังผู้ที่เป็นพ่ อ เป็นน้ําเสีย งที่หนักแน่ นดังคําบัญชา ตําหนิลูกๆที่ เอาแต่ทะเลาะ กัน จนต้องออกมาว่ากล่าวตักเตือนกั นต่อหน้าสาธารณชน ชายทั้งสองนั้น หาใช่พี่น้องหรือลูกหลานไม่ ความผิดนั้นก็คงจะไม่น้อยนัก คนที่ใส่สูทชุดเสื้อนอกนั้ น คือนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของประเทศไทย นายพลสี่ดาวจอมโกงกินทุจริตที่ชื่อว่า พลเอก สุจินดา ครา ประยูร อีกคนหนึ่งเป็ นนักการเมืองที่ทําตัวเป็นฤษีสมถะชื่ อว่า นายจําลอง ศรีเมือง ผู้นําฝูงชน เดินขบวนประท้วง สุจินดา มาหลายอาทิตย์แล้ว เมื่อสองวันที่ผ่านมา คือวันที่ 18 พฤษภาคม 2535 สุ จินดาได้สั่งการให้ทหารระดมยิงปืนกราดใส่ผู้เดินขบวน จนมีผู้คนบาดเจ็บและล้มตายไปเป็นจํานวน มากหลายร้อยคน ในขณะเดียวกันนั้น กองกําลั งทหารของสุจนิ ดาได้เคลื่อนกําลังเข้าไปล้อม มหาวิทยาลัย ที่มีนักศึกษาจํานวนหลายพั นคนรวมตัวกันลุกขึ้ นประจันหน้า ทั้งสองฝ่ ายดูเหมือนจะไม่ มีสัญญาณที่จะยอมลดราวาศอกกัน ชายสองคนนั้นนั่งพับเพียบเคียงข้างกัน ก้มลงกราบผู้ที่มีลักษณะคล้ายกับผู้เป็นพ่อที่นั่งอยู่ตรงกลาง ผู้ ซึ่งไม่มีตําแหน่งหน้าที่ในด้านการเมือง และไม่มีอํานาจบัญชาการทหาร บุคคลผู้นั้นคือภูมิพล อดุลย เดช กษัตริย์องค์ที่เก้าของราชวงศ์จักรี บุคคลทีไ่ ม่มีใครรู้จักนักนอกประเทศไทย ผู้นั่งฉลองราชบัลลังก์ มาแล้วถึง 46 ปี และในไม่ช้านี้ ก็จะได้รับตําแหน่งเป็นกษัตริย์ที่ครองราชย์ได้ยาวนานที่สุดในโลก ขณะที่โทรทัศน์บันทึกภาพเหตุการณ์ เหล่านี้ กษัตริย์ภูมิพล กล่าวตักเตือนสุจิ นดา และจําลอง ที่ปล่อย ให้โทสะและความเห็นแก่ตัวออกมาแก้แค้นกั น มันเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบและความรักชาติท่ี จะต้องยุติเลิกรากันไป ก่อนที่ประเทศชาติจะถูกทําลายให้ล่มจม เสียงที่ตะกุกตะกักฟั งไม่เหมือนคําสั่ งหรือเรียกร้ องอะไร แต่ว่าภายในไม่กี่ชั่วโมงความรุนแรงก็สงบลง บรรดาทหารและผู้เดินขบวนต่างเดินทางกลับบ้าน อีกทั้ งสุจินดา และจําลอง ต่างถอนตัวออกจาก วงการเมื อง หนั งสือพิมพ์ Washington Post ได้พาดหัวข่าวในวันรุ่งขึ้นอย่างน่าชื่ นชมว่า “ใครจะลืม


ภาพพจน์นี้ไปได้ ไทย”

เมื่อทรราชกับ นักการเมืองฝ่ายตรงข้ ามนั่งสยบเข่าต่อหน้านายหลวงของประเทศ

หากเป็นสิบกว่าปีก่อนหน้านี้ กษัตริย์ภูมิพลอาจถูกปัดปฏิเสธอย่างน่ าอัปยศอดสูจากนายพลอย่างสุ จินดา จริงๆแล้วเมื่อเกือบถึงเวลาเดินทางกลับมารับราชบัลลั งก์ในเดือนธันวาคม 2494 เหล่านายพลที่ ทุจริตพากันยึดอํานาจจากรัฐบาล ตัดทอนอํานาจสิทธิพิเศษของกษัตริย์ และข่มขู่ว่าจะล้มล้างราช บัลลังก์หากไม่ร่วมมือด้วย เหตุการณ์รัฐประหารในครั้ งนั้ น เหมือนดังเมฆดําครอบงํากษัตริย์หนุ่มมา นานหลายปี สี่สิบปีต่อมา แม้นว่าจะมีอํานาจเพียงน้อยนิดในพระราชบัญญัติ กษัตริย์ภูมิพลได้เพิ่มพูนบารมี จนผู้ที่ มีอํานาจที่สุดในประเทศยังต้องสยบอยู่ใต้เบื้องพระบาท ด้วยวาจาที่สุขุมเพียงไม่กี่คํา ท่านก็สามารถ บอกให้คนหายไปจากวงการเมือง และยุติการนองเลือดกั นบนท้องถนนบนราชอาณาจักรของท่าน ท่ามกลางสถาบันกฎหมาย รัฐสภา ศาลสถิตยุติธรรม ศาสนา สังคม ผู้นําธุรกิจ มีเพียงกษัตริย์ภูมิพล เท่านั้นที่มีบารมีที่สูงส่ ง ลอยเหนือความปั่นป่วนวุ่นวายทั้งปวง และทําให้ประเทศชาติมีความสงบลม เย็นมีความเป็นน้ําหนึ่ งใจเดียวกัน เย็นวันนั้น เดือนพฤษภาคม ปี 2535 คือผลงานที่โดดเด่นสูงสุดในชีวิตของกษัตริย์ภูมิพล เมื่อท่านเข้ า รับตําแหน่งกษัตริย์ในปี 2489 หลังจากเหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์ของกษัตริย์อานันท มหิดล ผู้เป็ น พี่ชาย สถาบันกษัตริย์ไทยอยู่บนเงื้อมผาเกื อบถึงขั้นอวสานไปแล้ว เพราะการปกครองที่อ่อนแอของ สองกษัตริย์ที่ผ่านมา และสิบสี่ปีที่ตําแหน่งกษัตริย์ว่างเปล่า ราชวงศ์จักรีควรที่จะถูกลบให้สูญหายไป อย่างง่ายๆจากแวดวงการเมืองภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เพียงอายุได้สิบแปดปี กษัตริย์ภูมิพล ต้องแบกภาระรับผิดชอบ ไม่เพียงแค่กอบกู้สถาบันกษัตริย์คืนมา แต่ยังต้องพัฒนาปรับปรุงให้ทันกับ การเปลี่ย นแปลงที่รวดเร็วของโลกอี กด้วย เหตุการณ์การเดินขบวนประท้วงในปี 2535 นั้น ท่านได้ก้าวเข้าไปยุ่งเกี่ยวมากยิ่ งขึ้น ในช่วงที่ห้าสิบปี ของการขึ้นครองราชย์ กษัตริย์ภูมิพลของชาวไทยได้กลายเป็นกษัตริย์ที่มีความศักดิ์สิทธ์ และมีไหว พริบปฏิภาณปราดเปรื่องจนหาที่เปรียบไม่ได้ ท่านได้เจือจางปัญหาต่างๆที่ยากต่อการแก้ไข ใน ต่างประเทศ ท่านคือตัวแทนของกษัตริย์ที่ครองราชย์มาได้อย่างคงทนและยาวนาน ท่ามกลางความไม่ แน่นอนของลัทธิก้าวหน้าระบอบประชาธิปไตย และทุนนิยม สําหรับประชาชนไทยแล้ว กษัตริย์ภูมิพล เป็นเหมือนดัง พระโพธิสัตว์ พระพุทธเจ้ากลับชาติมาเกิด หรือเป็ นดังเช่ นเทวดา เรื่องราวการสร้างอํานาจ บารมี และปฏิสังขรณ์ระบอบราชาธิปไตยของกษัตริย์ภูมิพลเป็นเรื่องที่ ยิ่งใหญ่ไม่เคยมีใครเล่ามาก่อนในศตวรรษที่ยี่สิบ ภูมิพลไม่คิดมาก่อนว่าตนจะได้เป็นผู้สืบราชวงศ์เป็ น กษัตริย์แห่งประเทศไทย ท่านเกิดในประเทศอเมริ กา บิดาถึงแก่กรรมเมื่อท่านอายุได้หนึ่งขวบ ท่าน


เติบโตในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ด้วยการเลี้ยงดูของมารดาที่เป็นคนสามัญ ที่อึกอักไม่มั่นใจเตรียมตัว ให้อานันทผู้เป็นพี่ชายเพิ่งอายุได้สองขวบ สวมมงกุฎกษัตริย์ที่ไม่มีโอกาสจะได้สวม หลังจากรัชกาลที่ 5 ผู้เป็นปู่ได้ถึงแก่ กรรมในปี 2453 สถาบันกษัตริย์จึงเริ่มมีการสึกกร่อนลงทั น เนื่องจากความละโมบ ความไม่เหมาะสม และไร้ความสามารถ ทั้งด้านสุขภาพร่างกาย และด้าน การเมือง ในช่วงที่ภูมิพลเกิดที่เมือง Boston รัฐ Massachusetts นั้น บรรดาราชวงศ์กษัตริย์ไทยก็ เกือบจะสูญพั นธ์กันไปแล้ว เช่นเดียวกับประเทศเพื่ อนบ้านอย่าง พม่า เวียดนาม และอินเดีย และ สยามประเทศได้เริ่มมีการเปลี่ย นแปลงอย่ างฉับพลั นทั้งด้านประเพณี การเมืองและเศรษฐกิจ จนเกิ น กว่าเจ้าชายหนุ่มทั้งสองจะรับได้ ในปี 2475 กลุ่มข้าราชการผู้มีการศึกษาจากประเทศฝรั่งเศส ได้ทําการโค่นล้มระบบราชาธิปไตยของ ประเทศไทยในรัชกาลที่ 7อันเป็นลุงของกษัตริย์ภูมิพล และได้ร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใช้อย่ างหละหลวม ตามรูปแบบการปกครองประเทศของอังกฤษ โดยมีกษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญหรือเป็นหุ่นเชิด อยู่นอก วัง พวกราชวงศ์ทั้งหลายต่างหมดอํานาจและฐานันดร หลังจากความล้มเหลวในการกู้อํานาจของ ราชวงศ์คืนมา บรรดาราชวงศ์ทั้งหลาย จึงต้องหนีภัยไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ตําแหน่งกษัตริย์จึงตกอยู่ ในตําแหน่งที่ว่างเปล่าและมีเพีย งชื่อที่หลงเหลืออยู่ กับบัลลังก์ เท่านั้น เพื่อเป็นสัญญาณของการ เปลี่ยนแปลงประเทศ คณะปฎิวัติจึงได้เปลี่ยนชื่อประเทศตามที่ทางราชวงศ์ชื่นชอบจากสยาม มาเป็น ประเทศไทย เพื่อให้ทันสมัยยิ่งขึ้น ในปี 2478 สมเด็จประชาธิปกคือรัชการที่ 7 ผู้สูญเสียอํานาจ ได้สละตําแหน่งในราชวงศ์จักรีให้กับ อานันท ผู้ซึ่งอายุได้เพีย ง 10 ปี และทําให้ภูมิพลอยู่ในตําแหน่งถัดต่อมา แต่ดูเหมือนว่าอานันทไม่มี วาสนาที่จะขึ้นครองราชย์บัลลั งก์ทองแปดด้านในกรุงเทพ อํานาจได้หลุดไปอยู่ในมือของ จอมพล ป พิบูลสงคราม ผู้นับถือ นโปเลีย น และมีรูปถ่ายลายเซ็ นของมุโซลิ นี่แขวนอยู่ เหนือโต๊ะที่ทํางาน จอมพล ป ไม่ชอบระบบกษัตริย์และเจ้าขุนมูลนายทั้งหลาย จึงหันไปใช้แนวทางที่ทันสมัยอย่างประเทศ เยอรมัน และญี่ปุ่น ซึ่งสะสมกองกํ าลังทหารที่มีเลื อดรักชาติ เด็กทั้งสองไม่เหมาะที่จะเป็นกษัตริย์ อานันทเกิดในประเทศเยอรมัน เมื่อเจ้าฟ้ามหิดลผู้เป็นพ่อตาย ตอนเป็นหนุ่ม เด็กทั้งสองเติบโตที่เมืองลูซาน ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ จากแม่ซึ่งเป็นสามัญชนคน ธรรมดาชื่อว่าสังวาลย์ โดยกฎหมายขอบประเทศสยาม สังวาลย์ซึ่งเป็นคนสามัญเชื้อสายจีน จึงทําให้ เกิดข้อกั งขาว่าเด็กทั้งสองคน มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นผู้สืบสันตติวงศ์หรือไม่ ในเมืองลู ซาน อานันท และภูมิพลเล่าเรียนภาษาฝรั่งเศส ลาติน และเยอรมัน ไม่ได้ใช้ภาษาในเชิงพุทธ ศาสนาอย่างไทย หรื อบาลี ทั้งสองชอบเดินป่า ขึ้นเขาที่มีหิมะปกคลุมบนยอด ขณะที่ เด็กไทยส่วนมาก วิ่งเล่นกันกับควายในทุ่งนา เมื่อตอนเป็นเด็กวัยรุ่ น ต่างมีจิตใจฝักใฝ่กับสงครามโลกครั้งที่สอง รถยนต์


และเพลงจากอเมริ กา เมื่อสงครามยุติลง เด็กทั้งสองย่อมมีความเหมาะสมกับสังคมชั้นสู งในยุโรป ไม่ใช่สังคมที่เป็นพุทธศาสนาใส่ผ้าเหลือง ที่มีบ้านเรือนที่ยากจน และชื่อภูมิพลคงไม่มีโอกาสบันทึกไว้ ในประวัติศาสตร์ประเทศเลยก็ได้ หลังจาก จอมพล ป ล้มเลิ กการปกครองประเทศจากระบบเจ้าขุ นมูลนาย และหมดอํานาจลงไปในปี 2487 บรรดาผู้ที่มีเชื้อสายราชวงศ์ที่จะสืบทอดกันต่อไปเหลือน้อยนิด อํานาจและทรั พย์สมบัติของ กษัตริย์ถกู ยึดไปจนหมดแล้ว ตําแหน่งผู้ที่จะสืบสันตติวงศ์นั้นร่อยหรอ อย่างไรก็ตามบรรยากาศหลัง สงครามโลกต้องการความสมานฉันท์ อานันทได้ถูกรับเชิญให้กลับมารับตําแหน่งกษัตริย์ไทย ครอบครัวตระกูล มหิดล จึงเดินทางกลับมาอย่ างชั่วคราวในปลายปี 2488 เด็กทั้งสองคนหวังที่จะ กลับไปเรียนหนังสือต่อให้จบในระดับมหาวิทยาลัยในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ก่อนที่จะรับหน้าที่สืบ สันตติวงศ์ ก่อนการเดินทางกลับยุโรปในวันที่ 9 มิถุนายน 2489 อานั นทถูกลอบปลงพระชนม์ที่เตียงนอนด้วย กระสุ นปืนนัดเดียวเจาะเข้าที่ศีรษะ เมืองหลวงเต็มไปด้วยข่าวลือว่าใครเป็นผู้ฆ่า มันเป็นการฆ่าตัวตาย หรือพวกหัวก้าวหน้าฆ่า หรือแม้นกระทั่งน้องชายตัวเองเป็นผู้ฆ่า คดีนี้ยังเป็นคดีที่มีลับลมคมนัยมา จนถึงปัจจุบันนี้ แต่ผลลัพธ์เป็นสิ่งที่แน่นอนว่า เพียงแค่ข้ามคืน ผู้ที่โชคดีที่สุดคือผู้ที่ใส่แว่นตาหนานั้น คือ ภูมิพล ผู้มีอายุได้ 18ปี กลายเป็นกษัตริย์รัชกาลที่ 9 ผู้มีความศักดิ์สิทธิบ์ นแผ่นดินที่ท่านเองพูด ภาษาไทยได้ไม่ชัด มีวัฒนธรรมที่แตกต่างผิดเพี้ยนไปจากประเทศสวิสเซอร์แลนด์ อีกทั้งยังป่าเถื่อน และล้าหลัง หลังจากวันที่พี่ชายเสียชีวิต เรื่องราวของภูมิพลขึ้ นครองราชย์เหมือนกับตํานานจากเทพนิย าย 4 ปีที่ ไปศึกษาต่อในยุโรป แล้วเดินทางกลับมาในปี 2493 ได้ทําพิธีราชาภิเษก และอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิง สิรกิ ิติ์ ผู้ที่มีเสน่ห์ความงามเป็นที่ชื่นชมของชาวโลก มีลูกด้วยกันสี่คน เป็นชายรูปหล่อหนึ่งคนซึ่ งหวัง ว่าจะเป็นผู้สืบราชวงศ์ และหญิงสาม รูปแบบสังคมสมัยใหม่ในแบบเจ้าขุนมูลนายหวนกลับมาอีกครั้ ง เมื่อกษัตริย์หนุ่มชอบแล่ นเรื อใบ เล่ น ดนตรีแจ็ซ มีสถานีวิทยุของตัวเอง เขียนรูปภาพสีน้ํามัน และชอบออกงานสังคมชั้นสูง เมื่อมีวาระ โอกาสก็สวมใส่ชุดลายทอง สวมมงกุฎปลายแหลม อย่างเช่นในฉากละครเรื่ อง The King and I ซึ่ง เรียนแบบปู่ทวด เพื่อให้เหมาะสมกับวิถีทางประเพณีทางศาสนาพุทธ กษัตริย์หนุ่มลาออกบวช บําเพ็ญเจ ศึกษาภาษาโบราณ โดยการโกนหัว ใส่ชุดผ้าเหลือง ใส่แว่นกั นแดด ดูแล้วเด่นยิ่งกว่าตัว ละครในหนังสื อของแจ็ค ครัวแวค เสียอีก (นักเขียนอเมริกัน ค.ศ.1922-1969) ตํานานเรื่ องราวของกษัตริย์มีเพิ่มเติมมากขึ้นเรื่ อยๆ ในปี 2503 กษัตริย์ภูมพิ ลกับราชินีสิริกิติ์ เดินทาง ออกเยี่ยมประเทศต่างๆอย่างประสพผลสําเร็จ เป็นอาคันตุกะของผู้ นําประเทศในยุโรปและได้รับการ


ต้อนรับด้วยขบวนพาเรดใน นิวยอร์ค ส่วนในประเทศไทย ผู้ที่เลื่อมใสในระบบของราชวงศ์ต่างพากันฟื้ นฟูประเพณีของกษัตริย์กัน อีกครั้งหนึ่ ง คนไทยดูเหมือนจะนิยมยึดถือติดอยู่กับค่านิยมเก่าๆจากอดีต ในขณะที่ค่านิยมของ ตะวันตกและลัทธิคอมมิวนิสต์ได้แผ่กระจายเข้ามาในเขตอินโดจีนแล้ว ภูมิพลละทิ้งค่านิยมในยุโรป หันมาปกครองประเทศในระบบโบราณพันล้านปีอย่างธรรมราชา กษัตริย์ ที่ปกครองประเทศด้วยความเป็นธรรม ตามหลักศีลธรรมทางพุทธศาสนา ท่านได้ทําการพัฒ นาสังคม เศรษฐกิจ ขจัดรัฐบาลโกงกิน และนั กการเมืองให้เดินถูกทาง ในกรณีที่ฉุกเฉิ น อย่างในปี 2535 ท่านได้ ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเข้าไปช่วยให้สถานการณ์ของประเทศ ให้พ้นจากความสับสนอลหม่าน ในทุกหัวเลี้ยวหัวต่อ ยิ่งเพิ่มอํานาจบารมีให้กับท่านมากขึ้น ซึ่งมีรากฐานมาจากคุณลักษณะที่นิ่งสงบ และมีสง่าราศี ชาวไทยที่เชื่อถือในโชคลาภและกฎแห่งกรรม ต่างพากันคิดว่าเป็นบุญหล่นทับที่มี ท่านทํางานอย่างไม่ เห็นแก่ เหน็ดหน่อยเพื่ อประชาชนโดยไม่หวัง กษัตริย์ที่มีศุภนิมติ รเช่นนี้ ผลตอบแทนใดๆ การเสียสละของท่านเป็นที่เห็ นกันดี ขณะที่คนไทยเป็นคนช่างยิ้มและชอบเรื่องตลก โปกฮา และปล่อยชีวิตให้เป็นเรื่ องของโชคชะตา แต่ตวั กษัตริย์ภูมิพลเองต้องเอาจริ งเอาจัง ทนทรมาน แบกภาระต่างๆของชาติเพิ่มมากขึ้น นับตั้งแต่วันที่พี่ชายตายไปอย่างน่าสงสัย ดูเหมือนท่านไม่เคยยิ้ม อีกต่อไป ลักษณะของท่านเหมือนติดอยู่ในกับดักภารกิจการกอบกู้ราชบัลลั งก์ สําหรับชาวไทยทั่วไป นี่คือสัญลักษณ์ของจิตวิญญาณที่สูงส่ง ในประเพณีทางพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็ น การยิ้ม และการแสดงออกทางสีหน้ าต่างๆคือการแสดงออกของความโลภและกิเลส กษัตริย์ภูมิพลจึง ตีสีหน้าได้อย่างแน่นิงสนิท เพื่อสร้างความเชื่อถื อยึดมั่นออกสู่สายตาประชาชน ดังเช่นกษัตริย์ องค์ ก่อนๆที่แสดงกั นมา อย่างเช่นในสมัยธรรมราชาในศตวรรษที่สิบสามของอาณาจักรสุโขทัย ที่ชาวบ้าน ต่างเรียกกษัตริย์ว่า เจ้าแผ่นดิน หรือ เจ้าชีวิต จนแม้นกระทั่งชาวไทยที่ส่วนมากเปรียบเทียบกษัตริย์ ของเขาเหมือนดังเช่น พระพุทธเจ้า กลับชาติมาเกิด นี่คือวิสัยทัศน์หนึ่งของรัชกาลที่ 9 แต่ก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่เคยมีใครพูดถึงมาก่อน ในการที่กษัตริย์ ภูมิพลสร้างอํานาจาและบารมีของราชวงศ์ขึ้นมาได้นั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายและบังเอิญ มันเป็นการหว่าน พืชเพื่ อหวังผล และความตั้งใจแน่วแน่มานมนาน จนในบางครั้งก็มีความอํามหิตรวมอยู่ด้วย ที่ต้อง ต่อสู้เพื่อเอาสิทธิของสายเลือดโดยกําเนิดของราชวงศ์กลับคืนมา อันเป็นการแก้ เผ็ดต่อการปฏิวัติ รัฐประหารในปี 2475 นี่คือผลพวงที่กษัตริย์ภูมิพลสร้างสะสมเอาไว้ เริ่มต้นจากการสิ้นสุดของสงครามโลกครั้ งที่สอง บรรดาเจ้าฟ้าที่หลงเหลืออยู่ น้อยนิด ต่างพากั นหว่าน โรยรากฐานวัฒนธรรมของระบบราชาธิปไตยทิ้งไว้ โดยใช้ภูมิพลเป็นเครื่องมือในการสืบทอดและ สถาปนาราชวงศ์ให้มั่นคงกลับขึ้นมาใหม่ โดยได้กาํ จัดพวกหัวก้าวหน้าประชาธิปไตย และบรรดาพวก


นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ ร่วมมือเป็นพันธมิตรกับใครก็ตามที่จะช่วยให้ภายในวังมีอํานาจมากขึ้น ดังเช่น พวกบรรดานายพลที่โหดเหี้ยมเห็นแก่ได้ พวกพ่อค้ายาเสพติด นายธนาคาร นายทุนหน้าเลื อด ที่มี สายใยใกล้ชิดกับรัฐบาลอเมริ กันและ C.I.A. เพื่อเป็นการรื้อฟื้นและสถาปนาระบบกษัตริย์ให้เข้มแข็ง จึงมีระเบียบการบริหารที่ทําการควบคุม การศึกษา ศาสนา การตีความและการบันทึกประวัติศาสตร์ และปลูกฝังค่านิยมด้วยคําว่า ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ให้ชาวบ้านท่องจํากันทุกๆวัน กษัตริย์คือสิ่งสําคัญที่สุดขององค์ประกอบทั้ง สาม อย่างไรก็ตามในโรงเรีย น ไม่ว่าจะเป็นบทเรียนในประวัติศาสตร์ หนังสือ รวมทั้งสื่อมวลชนต่างถู ก คุกคามและควบคุม ไม่มีนักการเมือง นายกรัฐมนตรี ผู้นําสั งคม คนใดที่จะได้รับการจารึกเอาไว้ใน ความสําเร็จต่างๆ นอกจากกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีและบรรดาราชวงศ์ทั้งหลาย เพื่ อเป็นการปกป้อง ราชวงศ์ วันหยุดต่างๆคือวันหยุดทีใ่ ห้เกียรติ์ต่อราชวงศ์ ชื่อสถาบันต่างๆ โรงเรียน โรงพยาบาล ต่างพา กันตั้งชื่อเพื่อให้เป็นเกีย รติคุณต่อราชวงศ์จักรีเท่านั้ น สิ่งที่ยอมรับกันดีในสั งคมไทยก็คือ ในช่วงที่ภูมิพลขึ้นครองราชย์นั้น ประเทศไทยได้หันเหไปสู่เส้นทาง ประชาธิปไตยแล้ว แต่คนจํานวนสี่ส่วนห้าของพลเมือง 18 ล้านคนยังอยู่ในชนบทและป่าเขา มีวัดเป็น ศูนย์กลางของหมู่บา้ น การทําไร่ไถ่นาตามฤดูกาลต่างขึ้นอยู่กับความเชื่อทางพุทธศาสนา เมื่อชาวบ้าน มีการศึกษาน้อยและมีความเชื่อถื ออยู่กับวัดวาอารามและศาสนา ดังนั้นคุณงามความดีต่างๆที่เกิดขึ้น ได้นั้นก็เพราะกษัตริย์ เริ่มจากฤดูฝน ไปจนถึงการช่วยเหลื อผู้ประสพภัยต่างๆ การค้นคว้าทางด้าน วิทยาศาสตร์ ชาวบ้านต่างคิดว่ามาจากนายหลวง หาใช่มาจากภาครัฐบาล หรือตัวแทนของประชาชน หรือกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งอั นเป็นเรื่ องที่น่าเศร้าใจอย่างยิ่ ง ด้วยความตั้งใจมั่น ฝึกฝน ในเชิงประเพณีและวัฒนธรรมไทย ทําให้ผู้คนในประเทศมองเห็นกษัตริย์ภูมิ พลว่ามีความชอบธรรม ฉลาด และเมตตาปราณี อย่างที่ชาวบ้านเห็นกั นกับตากันอยู่เรื่ อยๆว่า แม้นแต่ นายพลผู้มีอํานาจ บรรดานายธนาคาร ข้าราชการ รวมทั้งพระก็ยั งต้องก้มลงกราบเบื้องพระบาทของ พระองค์ท่าน ซึ่งตามกฎหมายได้ยกเลิกกันไปนานหลายร้อยปีแล้ว แม้นกระทั่งได้เปรียบเทียบกษัตริย์ ที่มีรูปลักษณะที่สงบนิ่ งคล้ายกับได้บรรลุโสดาบันถึงขั้น อุเบกขา บรรดาพวกข้าทาสในวังต่างปกป้อง ไม่ยอมอนุญาตให้ตีพิมพ์รูปภาพ รูปเขียน ของกษัตริย์ที่มีรอยยิ้ม เพื่อเป็นการโฆษณาชวนเชื่ อต่อ ชาวบ้านให้เคารพบูชากษัตริย์และราชวงศ์ให้สูงส่งอยู่เหนื ออํานาจใดๆทั้งมวล รวมทั้ง ประชาธิปไตย รัฐสภา รัฐธรรมนูญ และกฎหมายต่างๆของประเทศ เป็นเรื่ องที่น่าทึ่งว่าตามเส้นทางชีวิตที่ผ่านมา กษัตริย์ภูมิพล เกิดในอเมริกา ได้รบั การศึกษาที่มีเหตุมี ผลจากสวิสเซอร์แลนด์ ได้กลับกลายเป็นผู้มีความเลื่อมใสเชื่ อถือในการปรกครองระบอบธรรมราชา โดยได้ทําการศึกษาจากความสําเร็จของบรรพบุรุษเช่นกษัตริย์ องค์ก่อนๆ เรีย นรู้พิธีราชกรณียกิจ ศึกษาค้นคว้าพุทธปรัชญา และบําเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน ภายใต้การแนะนําของผู้เชี่ยวชาญ เรียนรู้


วิธีการทําธุรกิจที่เฉียบขาด โดยได้เรียนรู้ทุกอย่างครอบจักรวาล เพื่ อเป็นผู้คงแก่เรียนและตัดความเห็น แก่ตัวออกไป ผลลัพธ์คือเป็นกษัตริย์ผู้เพียบพร้ อมแข็งแกร่งสามารถนําประเทศชาติและประชาชนให้ พ้นภัยได้ ด้วยความเชื่อมั่นในตัวเอง กษัตริย์ภูมิพลได้ก้าวเดินไปไกลเกินกว่าที่ปรึกษาองคมนตรีและบรรพบุรุษ ได้ตั้งใจเอาไว้มาก ในปี 2503 อันเป็นช่วงวิกฤตการสู งสุดของสงครามอิ นโดจีน ท่านได้เอาตัวเอง เข้า ไปพัวพันกับการเมือง การพัฒ นาประเทศ การยุททศาสตร์ โดยทําตัวอยู่ในหลังม่าน กษัตริย์ภูมิพล วางแผนชาติ แนวทางประชาชน จนแม้นกระทั่ งทําการเลือกตัวผู้นําประเทศ ท่านได้ร่วมเป็นผู้นําการ วางแผนการยุทธศาสตร์ในการต่อต้านการแทรกแซง ซึ่งได้นําไปใช้แทนกลยุทธ์อเมริ กันในสงคราม เวียดนาม จนช่วงสามสิบปีของการครองราชย์ ในปี 2519 ท่านเป็นผู้ที่มีอํานาจการเมืองอย่างสู งสุดใน ประเทศไทย ท่ามกลางระบบประชาธิปไตยที่มีพระกษัตริย์เป็ นประมุขที่มีอยู่ในโลก กษัตริย์ภูมิพลอาจ เป็นกษัตริย์ผู้เดียวที่เอาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมื องมากที่สุด กษัตริย์ภูมิพลได้รับความนับถือ ถึงขั้นเอาขึ้นแท่นบูชาจากประชาชนไทย ทุกคนต่างทราบกันดีว่า ท่านมีความปรีชาสามารถ และช่วยเหลือประชาชน แต่ก็คงไม่มีใครกล้าพูดถึงท่านในทางไม่ดีเป็นแน่ เพราะมีกฎหมายหมิ่นประมาทพระบรมเดชานุภาพที่ปกป้องทุกคนในราชวงศ์ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน หากมีความผิดมีสิทธิ์ตดิ คุกถึง 10 ปี อันเป็นสาเหตุที่ไม่ให้มีใครกล้าพูดถึงกษัตริย์ไทยและครอบครัว รวมทั้งบรรดาราชวงศ์ทั้งหลาย หลังจากที่ได้เสวยราชย์มาได้ร่วมหกสิบปี ประวัติและเรื่องราวของ กษัตริย์ภูมิพลที่มีส่วนพลั่กดันประเทศชาติ ยังไม่มีใครกล้าที่จะแตะต้อง ในเรื่องราวต่างๆที่บันทึกไว้อย่างเป็นทางการ กษัตริย์ภูมิพลได้สร้างกรณีย กิจเอาไว้มาก เมื่อมี เหตุการณ์ไม่สงบหรือขัดแย้งกั นเกิดขึ้น อย่างในเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ ท่านได้แสดงตัวออกมาเพื่ อ สร้างความสมานฉันท์ เป็นน้ําหนึ่ งเดียวกันให้กับประเทศไทยอีกครั้ง แต่ผลลัพธ์ของกษัตริย์ภูมิพลที่นําเอาระบบธรรมราชากลับมาใช้อาจจะไม่แจ่มแจ้งเท่าตัวท่านเอง หลังจากรัฐธรรมนูญปี 2475 กษัตริย์มีหน้าที่เพียงเป็นหุ่นเชิด เท่านั้น อย่างไรก็ตามการที่ท่านเอาตัว เข้าไปพัวพันมีบทบาทการเมือง ย่อมมีผลที่แตกร้าวระหว่างผู้คนในภายหลัง แทนทีจะสนับสนุ น ความก้าวหน้าทางด้านประชาธิปไตยต่างๆ ในวังกลับจํากัดขอบเขต วิถีทางการเมือง เศรษฐกิจ จะ เป็นอย่างไรก็ได้แต่ต้องไม่ละเมิดขอบค่ายและผลประโยชน์ของราชวงศ์ ซึ่งกษัตริย์ได้ปลูกฝังความคิด ไว้ว่าให้ชาวบ้าน เคารพ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ กษัตริย์ภูมิพลได้รับการอบรมสั่งสอนจากบรรดาที่ปรึกษาองคมนตรีผู้อาวุโสต่างๆในราชวงศ์ ให้มี หน้าที่ปกป้องรักษาสถาบันกษัตริย์อย่ างสุดความสามารถ และจากพื้ นฐานนี้ ท่านจึงสรุปเอาไว้ว่า บรรดาสมาชิกสภาต่างทําเพื่ อผลประโยชน์ของตัวเองไม่ได้ทําเพื่อประชาชน ท่านตัดสินใจเอาเองว่า


กฎหมายรัฐธรรมนูญมีไว้เพื่อผู้ที่ไม่ประสงค์ดีต่อราชวงศ์ และไม่ปกป้องในเนื้ อหาจุดประสงค์ของท่าน ยิ่งกว่านั้นท่านยังมีความเชื่อว่าระบบประชาธิปไตยแบบยุโรป รัฐธรรมนูญ และทุนนิยม ต่างแบ่งแยก ประชาชน ซึ่ งขัดต่อการปกครองแบบระบอบธรรมราชา หรืออีกทัศนหนึ่งก็คือประเทศไทยสมัยใหม่ ควรที่จะอยู่ใต้คําบ่งการของกษัตริย์และกฎทางศีลธรรม มีความจงรักษ์ภักดี ดังเช่นบรรดาข้าราช บริพาร ขุนพล ขุนนาง ผู้สืบ เชื้อสายตระกูลของราชวงศ์ ดังที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ จนถึงที่สุด กษัตริย์ภูมิพลได้รวบรวมขุนพลนายทหารหน้าข้าวตังไว้ในวังมากมาย และพวกมันได้ทํา การปฎิวัติเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญครั้งแล้วครั้งเล่า ความโหดเหี้ยมและการโกงกินนั้ นเป็ นปัญหาใหญ่ เกินกว่าที่สังคมจะแก้ไขได้ อย่างเช่นในปี 2513 ที่พวกลัทธิคอมมิวนิสต์เข้ามามีอิทธิพลในประเทศ เพียงแต่การผงกหัวส่งสัญญาณจากในวัง ภายใต้ความเชื่อถือใน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ตราบ ใดที่บรรดาทรราชขุนพลแสดงความจงรักษ์ภักดีต่อราชวงศ์มากกว่า การยึดถือในกฎหมายรัฐธรรมนูญ และตราบใดที่ราชอาณาจักรไทยมีความสงบเรียบร้อย กษัตริย์ภูมิพลก็คงจะปล่อยให้ขุนพลเหล่านั้ น กุมอํานาจกั นต่อไปในมือ ในจํานวนเก้ าครั้งที่มีทหารทําการปฏิวัติได้สําเร็จ และหลายครั้งที่ล้มเหลว ย่อมมีผลให้เกิดการสูญเสีย ชีวิตและเลือดเนื้อ รวมทั้งเหตุการณ์ที่โหดเหี้ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยคือ การฆ่าหมู่นักศึกษา ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในปี 2519 ที่ทหารอ้างว่ากระทําไปเพื่อเป็นการปกป้องสถาบั นกษัตริย์ของ ชาติ อีกตัวอย่างหนึ่งคือ พฤษภาทมิฬ ปี 2535 พลเอก สุจิ นดา ผู้โกงกินประเทศได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้นํา ทหารสูงสุด พลเอก สุจินดา ได้ทําการปฏิวตั ิในปี 2534 และได้รับการแต่งตั้งจากกษัตริย์ภูมิพล และ ต่อมาได้รับตําแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย ได้ประจันหน้ากันกับกลุ่มชุม นุมผู้ประท้วงที่ สงบเสงี่ยม สุจินดาสั่งการให้ทหารยิงปืนกราดไปยังเหล่าผู้เดินขบวน โดยอ้างว่าพวกผู้เดินขบวนมี ความเป็นภัยต่อ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ สามวันต่อมากษัตริย์ได้เข้าไปยุติเรื่องราวเหล่านี้ และ อย่างที่เห็นกันว่า สุจินดาได้รับการปกป้องจาก กษัตริย์ โดยที่กษัตริย์ได้ทําการตําหนิว่าคู่ปรปักษ์ ด้วย น้ําเสีย งที่แหบแห้ง และโยนความผิดไปที่นายจําลอง มากกว่าสุจนิ ดา การที่กษัตริย์ภูมิพลเข้าไปไกล่ เกลี่ย กรณีขัดแย้งนี้เป็นเวลาราวสิบเอ็ดชั่วโมงในพฤษภาทมิฬ เป็นการ กระทําที่ปราศจากประหม่า และสร้างผลงานให้กับตนเองอีกครั้ ง หลายปีผ่านไปภาพของเหตุการณ์ นั้นที่กษัตริย์ออกมาตักเตือนคู่ปรปักษ์ทั้งสองคือ สุจินดา และ จําลอง ได้นําออกมาเปิดเผยทาง โทรทัศน์และโรงภาพยนตร์ซ้ําแล้วซ้ําเหล่า รวมทั้งทําเป็นหนังสือเพื่ อเตือนความทรงจําของคนไทย 60 ล้านกว่าคนว่า สาเหตุที่ทําให้ประเทศไทยที่ดํารงคงอยู่รอดมาได้นั้น ก็เพราะบารมีของราชวงศ์จักรีที่ คุ้มครองชาติไทย


กษัตริย์ภูมิพลเป็นกษัตริย์ที่ไม่เหมือนใครในศตวรรษที่ยี่สิบ ที่ต้องการแข่งขันมีอํานาจกับรัฐบาลที่มา จากการเลือกตั้งในสมัยใหม่ แทนที่จะยอมรับตําแหน่งของตนเองอย่างในประเทศอังกฤษหรือญี่ปุ่น กษัตริย์ภูมิพลทําตัวเป็นตัวเอกในด้านการเมือง การสร้ างความสําเร็จ เหล่านี้เป็ นการเสี่ยงตนเองอย่าง ยิ่ง ระบบราชาธิปไตยนั้นเหมือนดาบสองคม ถ้าทําสําเร็จก็คือยกย่ องสถาบั นกษัตริย์ ถ้าล้มเหลวก็คือ ทําลายทั้งระบบและบารมี เพราะบารมีคืออํานาจที่แท้จริงในระบบราชาธิปไตยสมัยใหม่ และยากต่อ การสร้างสม บรรดากษัตริย์และราชินีส่วนมากต่างหลีกเลี่ย งการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง โดยเฉพาะ หลีกเลี่ยงกับการเมืองชั้ นต่ําสวะ กษัตริย์ภูมิพลไม่ไยดีต่อกฎเกณฑ์เหล่านี้ ครั้งแล้วครั้งเหล่าที่นําตัวเข้าไปมีบทบาททางด้านการเมือง แต่ดูเหมือนจะเป็นการเพิ่มชัยชนะและสร้ างภาพพจน์ให้ดีและยิ่งใหญ่มากขึ้นเท่านั้น จะเห็นได้จาก อย่างในกรณีวิกฤตกาลต่างๆ ยกเว้นเหตุการณ์ฆ่าหมู่ในปี 2519 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่กษัตริย์ ทําการพลิกแพลงวิ กฤตกาลต่างๆจนกลายเป็นวีรบุรุษ โดยการกําจัดคนชั่ว ปกป้องรัฐธรรมนูญ และ ประชาธิปไตย นี่คือการแสดงที่แนบเนียมน่าเชื่อถือของกษัตริย์ภูมิพล สําหรับพวกผู้ดีชั้นสูงที่สนับสนุนและหาผลประโยชน์กับราชบัลลังก์ มันคือการปกป้องพวกเจ้าขุ นมูล นาย ชนชั้นสู ง นายทหาร และนั กธุรกิจใหญ่ๆ แต่กษัตริย์ภูมิพลเห็นว่าควรทําตัวให้สูงส่งกว่าการทําตัว อวดดีและเห็นแก่ตัวนั้น เพราะกษัตริย์ภูมิพลเป็นผู้เชื่ อถือในการปกครองด้วยระบบธรรมราชา ที่มี นโยบายในการปกครองประเทศตามหลักธรรมในพุทธศาสนา ท่านคิดว่าพวกที่ทําตัวเป็นบริวาร ล้อมรอบท่านนั้นไม่มีความจริงใจในการใช้หลักแห่งธรรม ท่านรู้ว่ามีแต่ชาวบ้านหรือชนชั้นชาวนา เท่านั้นที่มีความเชื่อถื อในตัวท่าน เป็นเวลาร่วมห้าสิบปีที่กษัตริย์ภูมิพลได้ทุ่มเทสร้างสมความดี ท่านพยายามที่จะเข้าถึ งคนยากคนจนผู้ ต่ําต้อย ท่านเข้าไปไกล่เกลี่ยอย่างเงียบๆในกรณีที่ชาวบ้านถูกรังแกจากเจ้าหน้าที่ ท่านตักเตือนให้ หลีกเลี่ยงความโลบและการลุ่มหลง และตลอดเวลาท่านไม่เคยหลงใหลไปกับความสุขสบายอย่าง กษัตริย์ ยกเว้นสมาชิ กในครอบครัว แต่สิ่งเหล่านี้ไม่เจือจางความสําเร็จในการครองราชย์ครบรอบห้า สิบปี ในปี 2543 ประชาชนชาวไทยต่างได้รับการสนับสนุนให้ยกย่องเฉลิมฉลองเชิดชูกษัตริย์ของตน จนเท่าเทียมกับเทวดา ไม่ต่างจากศตวรรษที่ผ่านมา ที่ภายในวังเคยพยายามสร้างความประทับใจ เช่นนี้เอาไว้แล้ว การเปลี่ย นแปลงของประเทศไทยหลังจากช่วงสงครามโลกครั้งที่สองนั้ น คือเรื่ องราวของกษัตริย์ภูมิ พลกับราชวงศ์ที่ประสพความสําเร็จ เป็นผู้นําที่คงทนหลังจากสงครามโลกและผ่านภาระช่วงสงคราม เย็นที่ผ่านมา ซึ่งเรื่องราวต่างๆไม่เคยบันทึกเอาไว้ นักคิดนักเขียนต่างไร้ข้อมูลและหลี กเลี่ย งการเขีย น ถึง ตั้งแต่ปี 2475 ประเทศไทยได้เน้นถึ งความก้าวหน้า และเลิกให้ภายในวังมีส่วนเกี่ยวข้องในด้าน การเมือง บางคนก็ยังหน้ามืดตามัวหลงอยู่กับระบบกษัตริย์ บางคนก็เกรงกลัวกับขอห้าหมิ่นประมาท


ราชวงศ์ ผลลัพธ์ที่แน่ชัดก็คือการสร้างความเชื่ อถือที่ว่า กษัตริย์คือผู้ที่อุทิศตนเพื่อมวลชน มีความ ยุติธรรม และไม่มีการยุ่งเกี่ยวกับการขัดแย้งทางการเมือง ผลงานการค้นความของหนั งสือเล่มนี้ต้องการบรรยายให้เห็นว่า กษัตริย์ภูมิพลได้ทําอย่างไร ในการ สร้างสถาปนาราชบัลลั งก์จักรีให้กลับคืนมาอี กครั้งหนึ่ ง กุญแจแห่งความสําเร็จเหล่านี้คือ รากฐาน วัฒนธรรม ประเพณี การสร้างสงครามเย็ น การพัฒนาการด้านความคิด โลกทัศน์ส่วนตัวของกษัตริย์ และลัทธิทุนนิยมจากในวังที่ น้อยคนจะรู้ นัก และเนื้ อหาสาระที่สําคัญอีกอย่างหนึ่ งก็คือ เรื่ องอื้ อฉาว ต่างๆภายในครอบครัวและราชินีสิริกิติ์ รวมทั้งลูกหลานและเหลน เพราะบรรดาบุคคลในราชวงศ์ เหล่านี้ มีส่วนสําคัญต่อความสําเร็จหรือล้มเหลวในการเสริมสร้าง และสถาปนาราชวงศ์จักรีของ กษัตริย์ภูมิพล ให้อยู่รอดได้อีกครั้งหนึ่ง ระบบราชาธิปไตยในความหมายแล้วคือการสืบสันตติวงศ์ อํานาจที่ผ่านมอบให้ต่อผู้ที่มีความสามารถ อันเป็นที่ย อมรับกันตามอันดับฐานั นดร โดยเฉพาะโอรสองค์แรก การสืบสันตติวงศ์โดยโอรส ตามลําดับนี้อาจจะล้มเหลวได้ ไม่มีการรับประกันได้ว่าจะมีการสืบทอดราชวงศ์ หรืออาจจะลงเอยด้วย การได้กษัตริย์ที่ปราศจากคุณวุฒิและมีความชั่วร้าย เมื่อภูมิพลได้มงกุฎกษัตริย์มาสวมใส เป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงการสืบต่อของระบบราชาธิป ไตยนั้นน่าทึ่ง แต่ผู้ท่หี วังจะขึ้นครองราชย์คนต่อไปคือโอรสของกษัตริย์ภูมิพลกับราชินีสิริกิติ์ คือเจ้า ฟ้าวชิราลงกรณนั้นไม่มีความสามารถเทียบเท่ากับผู้ เป็นพ่อ เช่ นเดียวกับเจ้าชายชาร์ลแห่งอั งกฤษที่รอ แล้วรอเล่าที่จะรับตําแหน่งกษัตริย์ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณก็ เช่นเดียวกันที่เฝ้ารอรับตําแหน่งอย่างน่ า ละเหี่ยใจ แม้นเรื่องราวที่มีมลทินต่างๆจะถูกเก็บปกปิดเอาไว้ก็ตาม แต่ตามท้องถนนในกรุงไปจนถึงทุ่ ง นาป่าเขาจะได้ยนิ เสียซุบซิบนิ นทาด่าว่าเกี่ยวกับเจ้าฟ้าคนนี้ ยิ่งกว่านั้น ประเทศไทยที่เจ้าฟ้าวชิราลงกรณหวังรอที่จะขึ้ นครองราชย์เป็นกษัตริย์นั้น ได้ เปลี่ยนแปลงไปมาก ต่างจากสมัยที่กษัตริย์ผู้พ่อเข้ารับตําแหน่ง ปัจจุบันน้อยกว่าครึ่งของคนไทยที่เป็น ชาวนาตาสีตาสา และคนส่วนมากต่างมี การศึกษาขั้ นพื้นฐาน และบางคนอาจมีชีวิตอาศัยทํางานอยู่ใ น ต่างประเทศที่เจริญแล้วเช่นเอเชียหรือในโลกตะวั นตก ปัญหาของประเทศนั้นยุ่ งยากซับซ้อนมาก ยิ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งต้องอาศัยผู้เชียวชาญช่วยในการแก้ไข ขณะเดียวกั นภายในวังก็ไม่สามารถจํากัดการ เผยแพร่ทางด้านสื่อมวลชนต่างๆ รวมทั้งภาพพจน์ที่ไม่ดีของตนเองได้ โอกาสที่เจ้าฟ้าวชิราลงกรณจะเข้ามาทําหน้าที่กษัตริย์ได้สมกับผู้เป็นพ่ อค่อนข้างจะยากมาก และคนไทยส่วนมากต่างก็หวาดระแวงกลัวว่ามันจะเกิดขึ้นจริง เมื่อถึ งจุดที่สูงสุดของการปกครองใน ระบบราชาธิปไตยนี้ สถาบันกษัตริย์ไทย ต้องเผชิญกับอนาคตที่น่าเขย่าขวัญกันต่อไป คือการสืบ สันตติวงศ์อันเป็นสิ่งที่ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกระหว่างราชวงศ์กับรัฐบาล ซึ่งต่างยั งหาทางออกกั นไม่ได้


นอกจากช่วยกันสนับสนุนและสร้างค่านิยมให้กับราชวงศ์จักรี กันต่อไป ด้วยประเด็นนี้จึงทําให้เกิด คําถามอย่างกว้างๆเกี่ยวกับรัชกาลที่เก้าที่จะต้องการซ่อมแซมสถาบั นของตนเอง จริงหรือที่กษัตริย์ภูมิ พลได้สร้างรูปแบบการปกครองในระบบราชาธิปไตยให้คงอยู่ได้อีกครั้ง ในยุคสมัยของระบอบที่ ก้าวหน้าอย่าง ระบอบประชาธิปไตยที่มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ หรือว่ามันเป็ น การกระทําที่ผิดพลาดที่นําเอาระบบกษัตริย์กลับมาใช้อย่างไม่ถูกต้องกับกาลสมัยนี้ มันเป็นการรื้ อฟื้ น ระบบที่ตายไปแล้วกลับมาใช้อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นสิ่ งที่ไม่สมควรจะกระทําเลยก็ได้


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.