PART 1 ทักทาย (Greetings)
ถ้าเราจะพูดทักทายใคร เหมือนพูดสวัสดีในภาษาไทย แบบสุภาพปลอดภัยใช้ได้กับทุกคน ทุกอายุ ทุกวัย ให้พูดอย่างนี้ค่ะ แต่ดูตาม ช่วงเวลาด้วยนะคะ เพราะภาษาอังกฤษเขามีการสวัสดีตามช่วงเวลาด้วย
ทักทาย (Greetings)
01
สวั ส ดี (พู ด กั บ ทุ ก คน)
สวัสดีตอนเช้า (แปดโมงถึงเที่ยง) Good morning (กูด มอร์’นิง)
สวัสดีตอนบ่าย (หลังเที่ยงถึงสักห้าโมงเย็น) Good afternoon (กูด อาฟ’เทอร์นูน)
สวัสดีตอนเย็น (หลังห้าโมงเย็นเป็นต้นไป) Good evening (กูด อีฟว’นิง)
11
หรือถ้าเรารู้จักชื่ออีกฝ่าย จะใส่ชื่อตามหลังไปด้วยก็ได้ ถ้าคนไทยใช้ค�ำว่า Khun (คุณ) ได้เลย ถ้าผู้ชายใช้ Mr. (Mister) ผู้หญิงแต่งงานแล้ว หรือยังไม่แต่งก็ตามใช้ Ms.
Good morning, Khun Kate. (กูด มอร์’นิง คุณ เคท)
Good afternoon, Mr. Frank. (กูด อาฟ’เทอร์นูน มิส’เทอร์ แฟรงค์)
Good Evening, Ms. Ann. (กูด อีฟว’นิง มิซ แอน)
12
คราวนี้ถ้าเป็นเพื่อนหรือคนที่รู้จักดีอยู่แล้วบ้าง จะทักทาย เหมือนอารมณ์ประมาณ “หวัดดี” แบบบ้านเรา จะพูดได้หลายอย่างมากเลยค่ะ เลือกใช้ได้ตามนี้เลย
ทักทาย (Greetings)
02
หวั ด ดี (พู ด กั บ คนสนิ ท )
Hello! (เฮล’โล)
หวั ด ดี
Hi! (ไฮ)
เช่นกัน ถ้ารู้จักชื่อจะใส่ชื่อเขาต่อท้ายก็ได้ Hello, Ken. (เฮล’โล เคน)
Hi, June. (ไฮ จูน)
ส่วนคนรับ ถ้ามีคนมาทักเราแบบนี้ เราก็ตอบแบบเดียวกันไปเลยนะคะ Hello, Billy. (เฮล’โล บิลลี่)
Hi, Paula. (ไฮ พอลล่า)
13
03
สบายดี ห รื อ เปล่ า ?
ต่อด้วยการทักทายประโยคฮิตที่คนเราชอบพูดต่อมาก็คือ ถามไถ่สารทุกข์สกุ ดิบ ถ้าเป็นคนไทยก็ประมาณ เป็นอย่างไรบ้าง? ภาษาอังกฤษ ก็มีประโยคที่ใช้ถามในท�ำนองนี้ให้ใช้เช่นกัน ที่นิยมก็มีดังนี้
How are you? (เฮา อาร์ ยู)
How is it going? (เฮา อิซ อิท โก’อิง)
สบายดีหรือเปล่า? หรือ เป็นอย่างไรบ้าง?
How are you doing? (เฮา อาร์ ยู ดู’อิง)
14
ทักทาย (Greetings)
คนตอบ ถ้าสบายดี ชีวิตก็เป็นสุข เลือกตอบตามนี้เลยค่ะ I’m fine. (ไอมฺ ไฟนฺ) หรือ Fine. (ไฟนฺ) I’m great. (ไอมฺ เกรท) หรือ Great. (เกรท) I’m good. (ไอมฺ กูด) สบายดี
หรือ Good. (กูด)
I’m well. (ไอมฺ เวล) I’m okay. (ไอมฺ โอ’เค) หรือ Okay. (โอ’เค)
นี้ก็ได้
ถ้ารู้สึกว่า ก็ไม่ค่อยมีสุขเท่าไร ไม่ค่อยสบายกายและใจ จะตอบแบบ
I’m not good. (ไอมฺ นอท กูด)
I’m not well. (ไอมฺ นอท เวล)
Not good. (นอท กูด)
Not well. (นอท เวล)
ไม่ค่อยสบาย
15
04
ไม่ ไ ด้ เ จอกั น ตั้ ง นานเลยนะ
วันดีคืนดีไปเจอเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปี อยากจะ ทักจะพูดว่าอย่างไรดี
How have you been? (เฮา แฮฟว ยู บีน) เป็นอย่างไรบ้างที่ผ่านมา?
Where have you been? (แวร์ แฮฟว ยู บีน) ไปอยู่ไหนมา?
ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ต่อเนือ่ งเลยค่ะ หลังจากทักไปแล้วว่า หายไปไหนมา ก็แน่นอนเรามักจะ ต่อด้วยว่า ไม่เจอกันตัง้ นานเลย ภาษาอังกฤษก็มปี ระโยคนีเ้ หมือนคนไทยเราค่ะ Long time no see. (ลอง ไทมฺ โน ซี) It’s been a while. (อิทซฺ บีน อะ ไวล์) ไม่ได้เจอกันนาน เลยนะ
16
I haven’t seen you in a while. (ไอ แฮฟ’เฟินทฺ ซีน ยู อิน อะ ไวล์)
ทักทาย (Greetings)
05
เมื่ อ เจอกั น ครั้ ง แรก/ ยิ น ดี ที่ ไ ด้ รู ้ จั ก
ถ้าเราเจอใครครั้งแรก อยากจะทักทายแบบสุภาพ ดูดี และ เป็นสากลนิยม ให้พูดประโยคนี้ประโยคเดียวเลยค่ะ เอาอยู่ How do you do? (เฮา ดู ยู ดู)
ประโยคนี้เป็นการทักทาย ไม่ใช่การถามอะไรทั้งสิ้น (ไม่ได้ถามว่า ท�ำงานอะไร ไม่ได้ถามว่าสบายดีมั้ย) เพราะฉะนั้นถ้าเราเจอใครครั้งแรก เขา ทักมาอย่างนี้ อย่าตอบอะไรทั้งสิ้น แต่ตอบว่า How do you do? เช่นกัน How do you do? (เฮา ดู ยู ดู)
How do you do? (เฮา ดู ยู ดู) 17
PART 7
การขอโทษ (Saying Sorry)
27
ฉั น ขอโทษ
นอกจากค�ำขอบคุณสารพัดรูปแบบแล้ว เรายังมีส�ำนวน ภาษาอังกฤษที่ใช้ในการขอโทษมากมายไว้ใช้ในโอกาสต่างๆ กัน โดยใน สถานการณ์ทั่วไป เราจะกล่าวขอโทษโดยใช้ค�ำง่ายๆ ว่า
I’m sorry. (ไอมฺ ซอ’รี)
ขอโทษ
หรือถ้าจะบอกว่าขอโทษเรื่องอะไร ก็ใช้โครงสร้างประโยคแบบนี้ค่ะ
การขอโทษ (Saying Sorry)
Sorry. (ซอ’รี)
I’m sorry for… ฉันขอโทษ ส�ำหรับ... Sorry for… ขอโทษ ส�ำหรับ...
87
I’m sorry for coming late. (ไอมฺ ซอ’รี ฟอร์ คัม’มิง เลท) ฉันขอโทษนะที่มาสาย
I’m sorry for the mistake. (ไอมฺ ซอ’รี ฟอร์ เธอะ มิสเทค’) ฉันขอโทษส�ำหรับความผิดพลาดนะคะ
Sorry for making you cry. (ซอ’รี ฟอร์ เมค’คิง ยู ไคร) ขอโทษที่ท�ำให้คุณต้องร้องไห้
Sorry for taking your time. (ซอ’รี ฟอร์ เทค’คิง ยัวร์ ไทมฺ) ขอโทษที่รบกวนเวลาของคุณ
88
ในกรณีที่ต้องการให้การขอโทษดูเป็นทางการขึ้นมาหน่อย เราจะใช้ ค�ำว่า apologize แทนค�ำว่า sorry ดังนี้ค่ะ
I apologize.
I apologize for the inconvenience. (ไอ อะพอล’โลไจซ ฟอร์ ธิ อินคันเวน’เยินซฺ) ผมขอโทษส�ำหรับความขลุกขลักที่เกิดขึ้นนะครับ
การขอโทษ (Saying Sorry)
ขออภัย
I apologize for… (เรื่องที่ท�ำผิด)
I apologize for the late reply. (ไอ อะพอล’โลไจซ ฟอร์ เธอะ เลท ริไพล’) ฉันขอโทษที่ตอบช้านะคะ We apologize for the delay. (วี อะพอล’โลไจซ ฟอร์ เธอะ ดิเล’) ทางเราต้องขออภัยด้วยส�ำหรับความล่าช้า 89
28
จะไม่ ท� ำ อี ก แล้ ว
นอกจากค�ำขอโทษแล้ว ผู้พูดอาจแสดงความเสียใจต่อสิ่งที่ ได้ท�ำไปได้โดยการให้ความมั่นใจว่าจะไม่ท�ำอีก ภาษาอังกฤษพูดว่าอย่างนี้ค่ะ
I won’t do this again. (ไอ โวนทฺ ดู ธิส อะเกน’) ฉันจะไม่ท�ำอย่างนี้อีกแล้ว I’ll never do this again. (ไอล์ เนฟ’เวอร์ ดู ธิส อะเกน’) ฉันจะไม่ท�ำอย่างนี้อีกเด็ดขาด I’ll never let it happen again. (ไอล์ เนฟ’เวอร์ เลท อิท แฮพ’เพิน อะเกน’) ฉันจะไม่ปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกเด็ดขาด จะไม่ท�ำอีกแล้ว
90
It won’t happen again (อิท โวนทฺ แฮพ’เพิน อะเกน’) มันจะไม่เกิดขึ้นอีก
I’m sorry for breaking the promise. (ไอมฺ ซอ’รี ฟอร์ เบรค’คิง เธอะ พรอม’มิส) ฉันขอโทษที่ผิดสัญญา
Sorry for being late. (ซอ’รี ฟอร์ บี’อิง เลท) ขอโทษที่สายนะคะ I’ll never do this again. (ไอล์ เนฟ’เวอร์ ดู ธิส อะเกน’) ฉันจะไม่มาสายอีกแล้วค่ะ
การขอโทษ (Saying Sorry)
I won’t do this again. (ไอ โวนทฺ ดู ธิส อะเกน’) ฉันจะไม่ท�ำอย่างนี้อีกแล้ว
We apologize for the miscommunication. (วี อะพอล’โลไจซ ฟอร์ เธอะ มิสคะมิวนิเค’ชัน) เราขออภัยในความผิดพลาดทางการสื่อสาร It won’t happen again. (อิท โวนทฺ แฮพ’เพิน อะเกน’) มันจะไม่เกิดขึ้นอีกค่ะ 91
29
ฉั น ไม่ ไ ด้ ตั้ ง ใจ
อีกหนึง่ วิธที จี่ ะแสดงให้ผฟู้ งั รูว้ า่ เรารูส้ กึ เสียใจกับสิง่ ทีเ่ กิดขึน้ คือการพูดว่าเราไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเป็นแบบนั้น
I didn’t mean it. ฉันไม่ได้ตั้งใจ I didn’t mean to… ฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะ…
I’m sorry for bothering you. (ไอมฺ ซอ’รี ฟอร์ บอธ’เธอริง ยู) ฉันขอโทษที่รบกวนคุณนะคะ I didn’t really mean it. (ไอ ดิด’ดันทฺ เรียล’ลี มีน อิท) ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ค่ะ
92
Sorry for not being with you. (ซอ’รี ฟอร์ นอท บี’อิง วิธ ยู) ขอโทษที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน
I’m sorry for saying that. (ไอมฺ ซอ’รี ฟอร์ เซ’อิง แธท) ผมขอโทษที่พูดแบบนั้น
การขอโทษ (Saying Sorry)
I didn’t mean it. (ไอ ดิด’ดันทฺ มีน อิท) ฉันไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้หรอก
I didn’t mean to hurt you. (ไอ ดิด’ดันทฺ มีน ทู เฮิร์ท ยู) ผมไม่ได้ตั้งใจจะท�ำให้คุณเจ็บเลย
93
PART 11
เดินทางในชีวิตประจำ�วัน (Daily transportation)
66
เดิ น ทางมาเอง
คุณเดินทางมาอย่างไร? ถ้าจะถามคนที่เราคุยด้วยว่าเดินทางไปที่นั่นที่นี่ด้วยวิธีไหน จะพูดแบบ นี้ค่ะ
How do you get to คุณมา/ไปที่… อย่างไร?
182
สถานที่?
How do you get to school? (เฮา ดู ยู เกท ทู สคูล) คุณไปโรงเรียนอย่างไร?
How do you get here? (เฮา ดู ยู เกท เฮียร์) คุณมาที่นี่อย่างไรคะ?
How do you get to the mall? (เฮา ดู ยู เกท ทู เธอะ มอล) คุณไปห้างอย่างไรคะ?
How do you get there? (เฮา ดู ยู เกท แธร์) คุณไปที่นั่นอย่างไรคะ?
ฉันขับรถ/ฉันขี่รถ ถ้าเราเดินทางเองโดยไม่พึ่งรถโดยสาร แต่ใช้วิธียอดฮิต เช่น การขับรถ ปั่นจักรยาน หรือขี่มอเตอร์ไซค์ เราจะพูดเป็นภาษาอังกฤษว่าอย่างนี้ค่ะ
เดินทางในชีวิตประจำ�วัน (Daily transportation)
I drive. (ไอ ไดรฟฺว) ฉันขับรถมา
I ride a bike. (ไอ ไรดฺ อะ ไบคฺ) ฉันปั่นจักรยานมา
I ride a motorcycle. (ไอ ไรดฺ อะ โม’เทอร์ไซเคิล) ฉันขี่มอเตอร์ไซค์มา
183
How do you get here? (เฮา ดู ยู เกท เฮียร์) พวกคุณมาที่นี่กันอย่างไรคะ?
I drive. (ไอ ไดรฟฺว) ผมขับรถมาครับ
I ride a bike. And you? (ไอ ไรดฺ อะ ไบคฺ แอนดฺ ยู) ฉันปั่นจักรยานมาค่ะ แล้วคุณล่ะคะ?
I ride a motorcycle. (ไอ ไรดฺ อะ โม’เทอร์ไซเคิล) ฉันขี่มอเตอร์ไซค์มาค่ะ
184
I walk to ฉันเดินไป…
สถานที่
I go to ฉันเดินไป…
สถานที่
on foot
I walk to the market. (ไอ วอล์ค ทู เธอะ มาร์’คิท) ฉันเดินไปตลาด
I go to school on foot. (ไอ โก ทู สคูล ออน ฟุท) ฉันเดินไปโรงเรียน
I walk to the office. (ไอ วอล์ค ทู ธิ ออฟ’ฟิซ) ฉันเดินไปที่ท�ำงาน
I go to the park on foot. (ไอ โก ทู เธอะ พาร์ค ออน ฟุท) ฉันเดินไปสวนสาธารณะ
เดินทางในชีวิตประจำ�วัน (Daily transportation)
ถ้าเราใช้วิธี “เดิน” ไปนั่นไปนี่ก็ใช้ค�ำว่า “walk” หรือ “on foot” ดังนี้
185
ค�ำว่า “foot” ที่แปลว่า “เท้า” ในที่นี้ไม่ได้แปลว่าเดินเท้าเปล่านะคะ แต่ จะแปลว่า “เดิน” เมื่อใช้คู่กับ “on” ตามตัวอย่าง และถ้าเดินเท้าเปล่ามาจริงๆ เราจะใช้ค�ำว่า “walk barefoot” เช่น
I walk barefoot on the grass. (ไอ วอล์ค แบร์’ฟุท ออน เธอะ กลาส) ฉันเดินบนหญ้าด้วยเท้าเปล่า
186
67
เดิ น ทางด้ ว ยยานพาหนะต่ า งๆ
ประโยคง่ายๆ ในการเล่าให้คู่สนทนาฟังว่าเราเดินทางไป ที่ไหนด้วยยานพาหนะอะไรมีโครงสร้างแบบนี้ค่ะ
สถานที่ by
พาหนะ
I go to school by car. (ไอ โก ทู สคูล บาย คาร์) ฉันไปโรงเรียนโดยรถยนต์
เดินทางในชีวิตประจำ�วัน (Daily transportation)
I go to ฉันไป… โดย…
I go to the countryside by train. (ไอ โก ทู เธอะ คัน’ทรีไซดฺ บาย เทรน) ฉันไปต่างจังหวัดโดยรถไฟ
187
I go to the hospital by bus. (ไอ โก ทู เธอะ ฮอส’พิเทิล บาย บัส) ฉันไปโรงพยาบาลโดยรถเมล์
หรือเราอาจจะพูดถึงยานพาหนะขึ้นมาก่อนก็ได้ค่ะ โดยใช้โครงสร้าง ประโยคดังนี้
188
I take/catch พาหนะ ฉันโดยสารรถ… ไปยัง…
to
I take/catch พาหนะ ฉันโดยสารรถ... มาที่นี่/ไปที่นั่น
here/there
สถานที่”
I catch a cab to the party. (ไอ แคทชฺ อะ แคบ ทู เธอะ พาร์’ที) ฉันนั่งแท็กซี่ไปงานเลี้ยง (“taxi” เรียกอีกอย่างว่า “cab”)
I take an express boat here. (ไอ เทค แอน อิคซฺเพรส’ โบท เฮียร์) ฉันนั่งเรือมาที่นี่
เดินทางในชีวิตประจำ�วัน (Daily transportation)
I take a taxi to the airport. (ไอ เทค อะ แทค’ซี ทู ธิ แอร์’พอร์ท) ฉันนั่งรถแท็กซี่ไปสนามบิน
189
I catch a train to your apartment. (ไอ แคทชฺ อะ เทรน ทู ยัวร์ อะพาร์ท’เมนทฺ) ฉันนั่งรถไฟไปยังอพาร์ตเม้นต์ของคุณ
I take the BTS to the concert. (ไอ เทค เธอะ บีทีเอส ทู เธอะ คอน’เซิร์ท) ฉันขึ้นรถไฟฟ้า BTS ไปดูคอนเสิร์ต
I catch the MRT to the office. (ไอ แคทชฺ ธิ เอมอาร์ที ทู ธิ ออฟ’ฟิซ) ฉันนั่งรถไฟใต้ดิน MRT ไปที่ท�ำงาน
190
PART 18
ความคิด ความรู้สึกต่างๆ เม้าท์ (Ideas, comments, chitchatting)
135
คุ ณ คิ ด อย่ า งไรกั บ เรื่ อ งนี้ ?
What do you think of…? คุณคิดกับ… อย่างไร?
ความคิด ความรู้สึกต่างๆ เม้าท์ (Ideas, comments, chitchatting)
เริม่ ต้นด้วยการชวนคูส่ นทนาคุยว่าเขาคิดอย่างไรกับเรือ่ งนัน้ เรื่องนี้ โดยใช้ค�ำว่า “What” หรือ “How” คู่กับส�ำนวน “think of” หรือ “think about” ดังนี้
How do you think of…? คุณคิดกับ… อย่างไร? What do you think about…? คุณคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่อง…? How do you think about…? คุณคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่อง…?
397
What do you think of him? (วอท ดู ยู ธิงคฺ ออฟว ฮิม) คุณคิดอย่างไรกับเขา?
How do you think of that young lady? (เฮา ดู ยู ธิงคฺ ออฟว แธท ยัง เล’ดี) คุณคิดอย่างไรกับสาวน้อยคนนั้น?
What do you think about our trip plan? (วอท ดู ยู ธิงคฺ อะเบาทฺ’ เอา’เออร์ ทริพ แพลน) คุณว่าแผนเที่ยวของเราเป็นอย่างไรบ้าง?
How do you think about Thai politics? (เฮา ดู ยู ธิงคฺ อะเบาทฺ’ ไท พอล’ลิทิคซฺ) คุณคิดอย่างไรกับการเมืองไทย?
398
136
ชอบ/ไม่ ช อบ
ความคิด ความรู้สึกต่างๆ เม้าท์ (Ideas, comments, chitchatting)
ทีนมี้ าคุยเรือ่ งความรูส้ กึ หรือความนิยมชมชอบกันบ้างนะคะ ถ้าจะถามถึงความรู้สึก ชอบหรือไม่ชอบ สนใจหรือไม่สนใจ อะไรประมาณนี้ เราจะตั้งค�ำถามโดยใช้ค�ำว่า “like” แบบนี้ค่ะ
Do you like to การกระท�ำ? คุณชอบ… (การกระท�ำ)… มั้ย? Do you like คน/สิ่งต่างๆ? คุณชอบ… (คน/สิ่งต่างๆ)… มั้ย?
399
Do you like to sing? (ดู ยู ไลคฺ ทู ซิง) คุณชอบร้องเพลงมั้ย? Do you like to swim? (ดู ยู ไลคฺ ทู สวิม) คุณชอบว่ายน�้ำมั้ย?
Do you like him? (ดู ยู ไลคฺ ฮิม) คุณชอบเขามั้ย? Do you like hamburgers? (ดู ยู ไลคฺ แฮม’เบอร์เกอร์ซฺ) คุณชอบแฮมเบอร์เกอร์มั้ย?
400
ถ้าไม่ชอบ ก็พูดว่า “No, I don’t” (โน, ไอ โดนทฺ)
ความคิด ความรู้สึกต่างๆ เม้าท์ (Ideas, comments, chitchatting)
ถ้าจะตอบว่าเราชอบ ก็พูดว่า “Yes, I do” (เยส, ไอ ดู)
Do you like pink? (ดู ยู ไลคฺ พิงคฺ) คุณชอบสีชมพูมั้ย? Yes, I do. (เยส, ไอ ดู) ชอบสิ
No, I don’t. (โน, ไอ โดนทฺ) ไม่ล่ะ ฉันไม่ชอบหรอก
401
ฉันชอบ…
ถ้าไม่ได้ตอบค�ำถามแต่เป็นการพูดขึน้ มาเองในลักษณะเล่าสู่กันฟัง เรา จะพูดว่า “I like…” ดังนี้ค่ะ
I like to การกระท�ำ ฉันชอบ… (การกระท�ำ) I like คน/สิ่งต่างๆ ฉันชอบ… (คน/สิ่งต่างๆ)
402
I like to read. (ไอ ไลคฺ ทู รีด) ฉันชอบอ่านหนังสือ
ความคิด ความรู้สึกต่างๆ เม้าท์ (Ideas, comments, chitchatting)
I like to swim. (ไอ ไลคฺ ทู สวิม) ฉันชอบว่ายน�้ำ
I like him. (ไอ ไลคฺ ฮิม) ฉันชอบเขา
I like dogs. (ไอ ไลคฺ ดอกซฺ) ฉันชอบหมา
403
ฉันไม่ชอบ…
เช่นเดียวกันเมื่อต้องการพูดขึ้นมาลอยๆ ว่า “เราไม่ชอบ” โดยไม่ได้มี ใครถามเราจะพูดอย่างนี้ค่ะ
I don’t like to การกระท�ำ ฉันไม่ชอบ… (การกระท�ำ) I don’t like คน/สิ่งต่างๆ ฉันไม่ชอบ… (คน/สิ่งต่างๆ)
404
I don’t like to work out. (ไอ โดนทฺ ไลคฺ ทู เวิร์ค เอาทฺ) ฉันไม่ชอบออกก�ำลังกาย
ความคิด ความรู้สึกต่างๆ เม้าท์ (Ideas, comments, chitchatting)
I don’t like to sleep alone. (ไอ โดนทฺ ไลคฺ ทู สลีพ อะโลน’) ฉันไม่ชอบนอนคนเดียว
I don’t like cats. (ไอ โดนทฺ ไลคฺ แคทซฺ) ฉันไม่ชอบแมว I don’t like her. (ไอ โดนทฺ ไลคฺ เฮอร์) ฉันไม่ชอบเธอคนนั้น
405