ผีกระสือ กระสือเป็นผีชนิดหนึ่ง เชื่อกันว่าสิงสู่อยู่ในตัวของคนเพศหญิงซึ่งโดยมาก
มักเป็นยายแก่ ชอบรับประทานของสดคาว มักออกหากินกลางคืนและไปแต่หัว กับตับไตไส้พุง ส่วนร่างกายคงทิ้งไว้ที่บา้ น เวลาไปจะเห็นเป็นดวงไฟดวงโตมี แสงสีเขียวเรืองวามๆ
ใครคลอดลูกใหม่ กลิ่นสดคาวของเลือดจะชักนาให้ผีกระสือมาและเข้าสิง กินตับไตไส้พุงของหญิงที่คลอดลูกหรือของทารกที่คลอดนั้น เหตุนี้ชาวบ้านจึง มักเอาหนามพุทราสะไว้ที่ใต้ถุนเรือนตรงที่มีร่องมีรู เพื่อป้องกันมิให้กระสือเข้า มา เชื่อกันว่ากระสือกลัวหนามเกี่ยวไส้ นอกจากของสดของคาวแล้ว กระสือยังชอบรับประทานของโสโครกเช่น
อุจจาระเป็นต้น เมื่อรับประทานแล้วเห็นผ้าของใครตากทิ้งค้างคืนไว้ก็เข้าไปเช็ด ปาก ผ้านั้นจะปรากฏเป็นรอยเปื้อนดวง ๆ ถ้าเอาผ้านั้นไปต้มกระสือจะรู้สึกปวด แสบปวดร้อนปากทนไม่ไหวจนต้องมาขอร้องไม่ให้ต้มต่อไป กระสือนั้นเมื่อเจ็บจวนจะตายก็ไม่ตายง่ายๆ ต้องคายน้าลายของตนถ่าย เข้าปากลูกหลานคนใดคนหนึ่งไว้ให้สืบทายาทเป็นกระสือต่อก่อน ตนจึงจะตาย ได้โดยไม่ต้องทุกข์ทรมานอีกต่อไป
ผีตะเคียน นางตะเคียน เป็นผีตามตานานพื้นบ้านของไทย เป็นผีผู้หญิง สิงสถิตอยู่ ในต้นตะเคียนบริเวณผืนป่าที่ผีนางตะเคียนสิงสู่อยู่จะสะอาดสะอ้านเหมือนมีคน มาปัดกวาดอยู่เสมอๆ ก็คงเหมือนกับคนอยู่บ้านต้องออกมาปัดกวาดหน้าบ้าน ตัวเองให้สะอาดอยู่ตลอดเวลานั่นเอง
นางตะเคียนมักมีรูปร่างหน้าตาสะสวย หมดจดงดงาม ผมยาว ห่มสไบ ใส่ผ้าถุง บางที่ก็ว่าแต่งตัวเหมือนสาวบ้านป่าทั่ว ๆ ไป ผีนางตะเคียนมักจะเป็น
จาพวกหวงที่อยู่ และจะดุร้ายมากหากใครคิดจะรุกรานที่อยู่ของตน ผู้คนที่มีความเชื่อเรื่องนี้ มักเชื่อว่าต้นตะเคียนมักมีผีนางตะเคียนสิงอยู่ การจะนาเอาต้นตะเคียนมาขุดเป็น เรือ (เรือสมัยก่อนใช้วิธีขุดขึ้นจากต้นไม้ทั้ง ต้น) หรือนาไม้ตะเคียนมาสร้างบ้าน จาเป็นจะต้องทาพิธีบวงสรวงขออนุญาต จากนางตะเคียนก่อน ทั้งนี้ เมื่อต้นตะเคียนที่ถูกนามาแปรสภาพเป็น ยานพาหนะ หรือสิ่งปลูกสร้างแล้ว นางตะเคียนที่สิงสถิตอยู่ในต้นตะเคียนนั้นก็
จะเปลี่ยนแปลงสถานะตามไปด้วย เช่น ถ้าเป็นเรือ นางตะเคียนก็จะกลายเป็น แม่ย่านางเรือ เป็นต้น ต้นตะเคียน ซึ่งเป็นต้นไม้ที่เชื่อกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์และมีผีสิงอยู่มักจะ ได้รับการเรียกชื่อว่า เจ้าพ่อ หรือ เจ้าแม่ตะเคียนนางตะเคียน เป็นผีตามตานานพื้นบ้านของไทย
ผีนางตานี นางตานี เป็นผีผู้หญิง เช่นเดียวกับนางตะเคียน นางตานีจะสิงสถิตอยู่ใน ต้นกล้วยตานี และต้องเป็นกล้วยตานีตายพราย (ต้นกล้วยตานีที่ออกปลีแล้ว
ตาย) นางตานีจะมีรูปร่างหน้าตาสวยสด หมดจด งดงาม ห่มสไบสีเขียว และ นุ่งโจงกระเบนแบบหญิงโบราณชอบล่อชายไปลวนลาม เเละนางตานียังมี
เเรงหึงหวงที่น่ากลัวอีกด้วย เพราะถ้าชายที่มีอะไรกับนางเเล้ว เมื่อไปมีผู้หญิง คนอื่นนางตานีก็จะตามไปหักคอชายผู้นั้นทันที ด้วยเเรงหึงหวงนั้นเอง บางความเชื่อก็ว่า ผู้ที่ได้นางตานีเป็นเมียนั้นมักจะมีอันเป็นไป เพราะ พลังชีวิตทั้งสองฝ่ายนั้นจะถ่ายทอดซึ่งกันและกัน ดังที่โบราณได้กล่าวไว้ว่า "คนอยู่ส่วนคน ผีอยู่ส่วนผี คนกับผีอยู่มิได้" ผลข้างเคียงในการถ่ายทอดพลัง ชีวิตของฝ่ายชายนั้นจะสังเกตได้จากอาการคือซูบผอม แก้มตอบเมื่อคนอด อาหาร ชาวบ้านมักจะสังเกตอาการนั้นและรู้ทันทีว่าคนผู้นั้นมีเมียเป็นนางตานี ก็จะขอพระภิกษุหรือหมอผีที่มีวิชาอาคมแก่กล้าให้ทาพิธีกรรมให้ คนทั้งสองแยก จากกันแยกจากกันและให้นางตานีไปสู่สุขคติ
ผีปอบ ปอบ เป็นผีจาพวกหนึ่ง ที่อยู่ในความเชื่อพื้นบ้านของไทย โดยเฉพาะใน ภาคอีสาน โดยเชื่อกันว่าเป็นผีที่กินของดิบ ๆ สด ๆ กินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่ม โดยมี ความเชื่อว่า ผู้ที่จะกลายเป็นปอบนั้น มักจะเป็นผู้เล่นคาถาอาคม หรือคุณไสย พอรักษาคาถาอาคมที่มีอยู่กับตัวไม่ได้ หรือกระทาผิดข้อห้าม ซึ่งในภาษาอีสาน จะเรียกว่า "คะลา" ซึ่งผู้ที่เป็นปอบจะเป็นได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย
ปอบ เป็นผีที่ไม่มีตัวตนเหมือนกระสือหรือกองกอย แต่ปอบจะเข้าสิงสู่คน ที่เป็นสื่อให้ และจะกินตับไตไส้พุงของผู้ที่โดนสิงจนกระทั่งตาย ผู้ที่โดนกินจะ
นอนตายเหมือนกับนอนหลับธรรมดา ๆ ไม่มีบาดแผล ซึ่งเรียกกันว่า "ใหลตาย"
ผีไร้ญาติ เชื่อกันว่า “ผีไร้ญาติ” คือผีที่ไม่มีใครทาบุญส่งข้าวปลาอาหารไปให้ใช้ บางครั้งเหล่าผีไร้ญาติจึงสาแดงอิทธิฤทธิ์ด้วยการออกมาอาละวาดในหมู่บ้าน ต่างๆนาพาความเดือดร้อนมาให้ชาวบ้านเป็นอันมาก ผู้เขียนเคยเดินทางไปเก็บ ข้อมูลงานวิจัยที่จังหวัดพัทลุง(บ้านหัวป่าเขียว)ในเรื่อง “วันชิงเปรต” ก็บังเอิญ ไปเห็นโต๊ะที่ใช้ในการชิงเปรต(โต๊ะตั้งเปรต)ถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม โดย ทางซ้ายจะมีโต๊ะพร้อมอาหารคาว-หวานวางเรียงรายกันราว 10 โต๊ะ ส่วน
ทางขวานั้นก็มีโต๊ะพร้อมอาหารคาว-หวานอีก 1 โต๊ะวางอยู่ เลยเกิดความ สงสัยเข้าไปถามคนที่จัดงานพอได้ความว่า โต๊ะที่แลเห็นอยู่ทางขวา 1 โต๊ะนั้น เป็นโต๊ะที่มีเอาไว้สาหรับรับ “ผีไร้ญาติ” โดยเชื่อกันว่าหากผีไร้ญาติได้รับส่วน บุญส่วนกุศลนี้แล้วจะไม่มารังควานคนในหมู่บ้านให้ได้เดือดร้อน เป็นต้น
ผีแม่ม่าย เชื่อกันว่าผีแม่ม่ายเป็นผีผู้หญิงที่มีผมยาวประบ่า รูปร่างหน้าตาสวยงาม ผีแม่ม่ายมักออกล่าเหยื่อในตอนกลางดึก(โดยเฉพาะชายหนุ่มในหมู่บ้าน) เชื่อ กันว่าชายหนุ่มที่ถูกผีแม่ม่ายกินนั้นจะตายในลักษณะที่นอนหลับตายเรียกกันว่า “ไหลตาย” ผีแม่ม่ายเป็นผีในความเชื่อของชาวไทยภาคอีสานโดยเชื่อกันว่ามีวิธี แก้ไม่ให้ผีแม่ม่ายมากินชายหนุ่มดังนี้คือ นารูป “ปลัดขิก” (ปลัดขิก มีลักษณะ เป็นไม้แกะสลักรูปอวัยวะเพศชาย)มาห้อยคอ และนามาวางเอาไว้ตรงประตูรั้ว ทางเข้าบ้านแล้วเชื่อกันว่าผีแม่ม่ายจะเข้ามาไม่ได้
ผีตายทั้งกลม ผีตายทั้งกลม (หรือบางครั้งเรียกว่า ผีตายท้องกลม ซึ่งเป็นคาที่ใช้ผิด) เป็นผีไทยลักษณะหนึ่ง โดยผู้หญิงที่ตายขณะที่กาลังตั้งครรภ์ลูกในท้องหรือ ขณะที่กาลังคลอดลูก ถ้าในขณะที่กาลังจะคลอดลูกนั้นแล้วเกิดตายขึ้นมาทั้งแม่ และลูกถือว่าเป็นการตายโหงอีกรูปแบบหนึ่ง นางนาค หรือแม่นาคพระโขนงก็
เป็นผีตายทั้งกลมเช่นกัน ผีตายทั้งกลมจะสาแดงอาการหลอกหลอนคนใน รูปแบบต่าง ๆ เช่น ถ้าใครเดินผ่านบ้านทีม่ ีหญิงตายทั้งกลมในยามค่าคืน จะ ได้ยินเสียงกล่อมเด็กดังวังเวงมาจากในบ้านที่มีหญิงตายทัง้ กลมนั้น หรือหนัก
หน่อยอาจจะมีคนเห็นเปลเด็กผูกอยู่บนคบไม้สูง โดยมีผีตายทั้งกลมนั่งกล่อมลูก อยู่ข้างล่าง ส่วนมือยืดยาวขึ้นไปบนคบไม้ ไกวเปลให้ลูก
ผีพราย ผีพราย ส่วนใหญ่มีถิ่นที่อยู่อยู่ในน้ามากกว่าบนบก เชื่อกันว่าเป็นจิต วิญญาณชนิดหนึ่งที่มีขนาดเล็กสุดตามลาดับของดวงจิตวิญญาณที่ส ามารถ
ปรากฏให้รับรู้ได้ คือ พราย ภูติ ผี ปีศาจ ส่วนใหญ่มักมีที่มาจากการหมัก หมมของซากพืชหรือสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก ๆ ดวงจิตวิญญาณนี้มักแสดงตนมี ลักษณะเป็นผู้หญิงใส่เสื้อสีขาว เป็นดวงไฟเรืองแสง มักปรากฏตัวตอนเวลาหก โมงเช้า เที่ยงวัน หกโมงเย็น และเที่ยงคืน มักอยู่ในคลองหรือแม่น้าที่มี ผู้เสียชีวิตมากที่สุด เมื่อจับเหยื่อได้จะเอาร่างเหยื่อที่ไร้วิญญาณเป็นร่างของตน
ผีแม่ม่าย มารทอง เป็นความเชื่อทางไสยศาสตร์ของไทยเกี่ยวกับจิตวิญญาณ
ที่มาของกุมารทองมาจากการเลี้ยงภูตผีปีศาจไว้ใช้งาน โดยกุมารทองจะเป็น วิญญาณของเด็กผู้ชาย หากเป็นวิญญาณผู้หญิงที่คนเลี้ยงไว้จะเรียกว่า "โหง พราย"กุมารทองนั้นแรกเริ่มเดิมทีมาจากวิญญาณของเด็กที่ตายในท้องแม่หรือ ที่เรียกว่าตายทั้งกลม ผู้มีวิชาอาคมจะไปนาพาวิญญาณเด็กนั้นมาเลี้ยงไว้เป็น ลูก จากหลักฐานที่พบในเอกสารโบราณระบุถึงการทากุมารทองสรุปว่า ต้อง หาศพที่ตายทั้งกลม แล้วประกอบพิธีกรรมผ่าเอาศพทารกในท้องนั้นมาย่างไฟ ให้แห้งสนิทก่อนรุ่งอรุณ แล้วจึงลงรักปิดทองให้ทั่ว ด้วยเหตุนี้จึงเรียกว่ากุมาร
ทองต่อมาสภาพสังคมและวัฒนธรรมพัฒนาไปมากขึ้น ทาให้ไม่สามารถสร้าง กุมารทองจากศพทารกจริง ๆ ได้ จึงได้มีการดัดแปลงกรรมวิธีการสร้างกุมาร ทองขึ้น โดยใช้ดินเจ็ดป่าช้าบ้าง ไม้รักซ้อนหรือไม้มะยมบ้าง ไปจนถึงโลหะ มาสร้างเป็นรูปกุมาร แล้วปลุกเสกตั้งจิต ตั้งธาตุทั้ง 4 และเรียกอาการสามสิบ สองให้บังเกิดเป็นจิตวิญญาณของเด็กขึ้นมา
ผีนางรา เสียงล่าลือว่า "ผีนางรา" จะมาพร้อมกับเสียงดนตรีแล้วก็ยังมากับชุด นางรา หรือชุดประจาท้องถิ่นที่แต่งองค์ทรงเครื่องเต็มยศ สร้างความหลอนสิบ แปดตลบให้คนต้องขวัญผวากันถ้วนหน้ากับท่าร่ายราที่อ่อนช้อย แต่แฝงไป ด้วยความน่ากลัวสุดขนลุก โดยเรื่องเล่าขานส่วนใหญ่ลงความเห็นเป็นเสียง
เดียวกันว่า "ผีนางรา" อาจจะเป็นบุคคลซึ่งเคยเป็นมนุษย์แต่เสียชีวิตขณะใส่ชุด รา หรือบุคคลที่ทาอาชีพเป็นนางราแต่ได้เสียชีวิตลงอย่างปริศนาและต้องการ ให้มนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างเราได้ไขความลับเหตุผลที่เขาเสียชีวิต บ้างก็ว่าผี
นางราอาจเป็นผู้ที่ตอนเป็นมนุษย์ได้ทาผิดต่อครูทางด้านศาสตร์นาฏศิลป์ทาให้ ชีวิตต้องจบลงอย่างสุดอนาถและเมื่อเสียชีวิตไปจึงกลายเป็นผีนางราไปนั่นเอง