The simple way of investment

Page 1


หนังสือพัฒนาการ The simple way of Investment (Mini ebook)

วิธีการลงทุนที่ง่ายกว่า (ฉบับย่อ) เสรีภสั สร เขียน ภาพประกอบ พิมพ์ครั้งแรก ปรับปรุงครั้งที่ 3

ตุลาคม พ.ศ.2557 มิถุนายน พ.ศ.2558

เจ้าของลิขสิทธิ์

เสรีภสั สร

เผยแพร่โดย รหัสหนังสือ

ขมิ้ น หนังสือ 28530

Copyright © 2015 All right reserved สงวนลิขสิทธิ์ © 2558 โดยหนังสือพัฒนาการ ห้าม ลอกเลียนแบบไม่วา่ ส่วนใดส่วนหนึ่ งของหนังสือโดยไม่ได้ รับอนุ ญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ สงวนลิขสิทธิ์ตาม พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537


หนังสือพัฒนาการ

“การลงทุนคืออะไร? การลงทุนจะต้องอย่างไรให้ได้ผลตอบแทนได้สงู ๆ? ลงทุนมัน เสี่ยงไหม?” หากคุณมีคาถามเหล่านี้ อยู่ หนังสือเล่มนี้ จะเป็ นส่วนหนึ่ งที่ชว่ ยให้คุณสามารถ ลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สอนตั้งแต่พนฐาน ื้ เนื้ อหาเข้าใจง่าย และสามารถประยุกต์ใช้ ได้จริง หนังสือเล่มนี้ เขียนจากประสบการณ์ตรงของผูเ้ ขียน ซึ่งผมได้รวบรวมทั้งภาคทฤษฎี และภาคปฏิบตั ิไว้รวมกันไว้ในหนังสือเล่มนี้ ผมได้คดั สรรเนื้ อหาที่จาเป็ นสาหรับการลงทุน ในระยะยาว ซึ่งในระยะยาวโดยเฉลี่ยแล้วตลาดหุน้ จะให้ผลตอบแทนประมาณ 10% – 15% ต่อปี และผลตอบแทนจะเงินปั นผลจะอยูป่ ระมาณ 3% - 5% ต่อปี ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วจะได้ ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ทางคณะผูจ้ ดั ทาหนังสือ หวังว่าหนังสือเล่มนี้ จะเป็ นประโยชน์ต่อผูส้ นใจและสามารถ ไปเริ่มต้นการลงทุนอย่างสบายใจและมีความสุข พร้อมกับผลตอบแทนที่เหมาะสมกับท่าน หากหนังสือเล่มนี้ มีขอ้ ผิดพลาดประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

ด้วยความปรารถนาดี ทีมงานเสรีภัสสร


หนังสือพัฒนาการ

บทที่ 1 พื้ นฐานการลงทุน ... 6

บทที่ 2 จัดสรรเงิน ลงทุน ... 15

บทที่ 3 ปฏิบตั ิการการลงทุน ... 21

บทที่ 4 การลงทุนในกองทุนรวม ... 26

บทที่ 5 ความลับ การลงทุนในหุน้ ... 32

บทที่ 6 เจาะแก่น บทที่ 7 ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย ธุรกิจ ... 52 …49


หนังสือพัฒนาการ

หนังสือเล่มนี้ไม่ได้เป็นการแนะนาหุ้นของบริษท ั ใดๆ รายชื่อหุน ้ ที่ ปรากฏในหนังสือเล่มนี้เป็นเพียงข้อมูลประกอบหนังสือเท่านั้น หนังสือ เล่มนี้จัดทาบนมุมมองของผู้เขียน ซึง่ ผู้เขียนจะไม่รับผิดชอบต่อความ เสียหายที่เกิดขึ้นของผูอ ้ ่านนาเนื้อหาส่วนใดส่วนหนึง่ ของหนังสือไปปฏิบัติ ผลการดาเนินของกิจการ กองทุนรวม ที่อา้ งถึงในหนังสือเล่มนี้ ไม่ได้เป็นการยืนยันถึงผลการดาเนินงานของกิจการในอนาคต เนื้อหาที่ กล่าวถึงในหนังสืออาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต


6

ในชีวิตของเราที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการบริหารเงิน เมื่อเรามีรายได้และรายจ่ายจะเหลือเงิน ส่วนหนึ่งที่เป็นเงินออม ซึ่งส่วนใหญ่เราจะฝากเงินออมไว้กับธนาคารพาณิชย์ ซึ่งการฝากเงินออม นั้นเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความมั่นคั่งทางการเงิน การที่เราจะสร้างความมั่งคั่งทางการเงินเรา จะต้องรู้จักการบริหารเงินอย่างชาญฉลาด ทางเลือกหนึ่งที่ดีกว่าการฝากเงินไว้กับธนาคารคือการ นาเงินนั้นไปลงทุน การลงทุนคืออะไร ?

การลงทุนคือ การนาทรัพย์สินไปสร้างผลตอบแทน การลงทุนที่ได้ ผลตอบแทนตามความเสี่ยงของนักลงทุนที่ท่านสามารถรับได้ การลงทุนที่ดีจะต้องเน้นรักษาความเสี่ยงที่เรารับได้ และสามารถสร้าง ผลตอบแทนตามที่คาดหวัง

แล้วทาไมต้องลงทุน ? 1.เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นทุกปี หรือจะกล่าวว่าทุกปี ราคาสินค้าส่วนใหญ่จะต้องขึ้นราคาอย่าง หลีกเลี่ยงไม่ดี 2.การฝากเงินไว้กับธนาคาร ไม่สามารถสร้างผลตอบแทนไม่ทันเงินเฟ้อ 3.ในระยะยาวแล้วการลงทุนเป็นเครื่องมือที่ช่วยรักษาระดับฐานะทางการเงินของเราให้ มั่นคั่ง หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่าการลงทุนช่วยให้เราไม่ตนจนลงจากเงินเฟ้อ 4.รับผลตอบแทนระยะยาวที่ดีกว่า ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจจะไม่มีความแน่นอน แต่การลงทุนก็ สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีโดยเฉลี่ย 5.สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบนโยบายบริหารเงินทุนในสินทรัพย์ทางการเงิน ได้ตามความ ต้องการตามสภาพเศรษฐกิจ


7

แล้วรูปแบบการลงทุนมีอะไรบ้าง ?  การลงทุนในตลาดเงิน (เงินฝากธนาคาร) จะได้ผลตอบแทนประมาณ 1% – 3% ต่อปี  การลงทุนในตราสารหนี้ (หุ้นกู้ พันธบัตรรัฐบาล) จะได้ผลตอบแทนประมาณ 2% – 5% ต่อปี  การลงทุนในตราสารทุน (หุ้น) จะได้ผลตอบแทนประมาณ 10% – 15% ต่อปี  การลงทุนในหน่วยลงทุน (กองทุนรวม) ผลตอบแทนจะขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละกองทุน

เรื่องของดอกเบี้ย ต้องรู้ก่อนลงทุน ดอกเบี้ยเป็นสิ่งที่เราทุกคนรู้กันว่าเป็นเครื่องมือในการสร้างผลตอบแทนชนิดหนึ่ง ที่เราเข้า ไปเปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคาร โดยดอกเบี้ยตามชนิดของบัญชี ถ้าหากเราฝากเงินแล้วปล่อยให้ ดอกเบี้ยสะสมไปเรื่อยก็จะสร้างผลตอบแทนที่น่าทึ่งไม่น้อยเลย เราเรียกสิ่งนี้ว่าดอกเบี้ยทบต้น ถ้าเรามีเงินจานวน 10,000 บาท ฝากบัญชีเงินฝากกับธนาคารแห่งหนึ่งที่ให้ดอกเบี้ยปีละ 3% เมื่อเวลาผ่านไป 5 ปีเราก็จะมีเงินประมาณ 11,594 บาท ซึ่งเราจะได้ดอกเบี้ยสะสมทั้งหมด 1,594 บาท เมื่อเราเทียบกับที่เราฝากแล้วถอนดอกเบี้ยทุกปีเมื่อได้รับดอกเบี้ย เราก็จะได้ดอกเบี้ยปีละ 300 บาทเมื่อครบ 5 ปีจะได้ดอกเบี้ยที่ถอนออกมาทั้งหมด 1,500 จะสังเกตได้ว่าในระยะยาวการ ฝากเงินแบบทบต้นจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าในระยะยาว

แต่ถ้าเรามีเงินจานวน 50,000 บาท ฝากบัญชีเงินฝากกับธนาคาร แห่งหนึ่งที่ให้ดอกเบี้ยปีละ 3% เมื่อเวลาผ่านไป 10 ปี เราจะได้เงินต้น พร้อมดอกเบี้ยสะสมประมาณ 67,195 บาท หรือจะได้ดอกเบี้ยแบบ ทบต้นทั้งหมดประมาณ 17,195 บาท


8

แต่ถ้าในทางกลับกันเราลงทุนด้วยเงิน 100,000 บาท ด้วยอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 5% เมื่อผ่านไป 10 ปีจะได้ผลตอบแทนประมาณ 162,889 บาท ซึ่งผลตอบแทนที่ได้คือ 62,889 ก็เกือบครึ่งของเงินต้น ลองจินตนาการดูสิว่าถ้าเรามีเงินต้นมากกว่านี้

ความคิดเห็นของผู้เขียน ปัจจุบันผู้เขียนได้ออกแบบรูปแบบการลงทุน (พอร์ตโฟลิโอ) จะสร้างผลตอบแทนจากเงินปันผล หลังภาษี ณ ที่จา่ ยประมาณ 6.4% ต่อปี (ค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์อยู่ที่ 3% ต่อปี) โดยผมเน้นลงทุนใน ตราทุนเกือบจะทั้งหมด ผมไม่ได้คิดผลตอบแทนจากการเพิ่มของราคาทุน ปกติแล้วผลตอบแทนโดยเฉลี่ย ของราคาหลักทรัพย์จะให้ผลตอบแทน 10% - 12% ปี

เงินเฟ้อคือตัวกัดกินความัน ่ คั่ง ความเป็นจริงในปัจจุบันเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะสูงกว่าอัตราเบี้ยเงินฝากปกติ ดังนั้นการ ฝากเงินเพื่อรับดอกเบี้ยจึงไม่ใช่วิธีในการรักษาความมั่นคั่งของคุณที่ดีที่สุดอีกต่อไป เราจะต้องมา ทาความเข้าใจว่าเงินเฟ้อคือสภาพที่ราคาสินค้าและบริการต่างๆ มีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ เราจึง เรียกสิ่งที่เกิดขึ้นว่าภาวะเงินเฟ้อ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าปัจจุบันมีอัตราเงินเฟ้อเท่าไร... เราสามารถดูอัตราเงินเฟ้อได้จากเว็บไซต์ของธนาคารแห่งประเทศไทย

ถ้าเรามีเงินจานวน 1,000 บาท ถ้าอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 3% ต่อปี เมื่อเวลาผ่านไป 5 ปี เงิน จานวน 1,000 บาทจะซื้อของได้น้อยลงจะเหลือมูลค่าประมาณ 862 บาท คิดได้จากสูตรมูลค่าเงิน ในอนาคตได้จากสูตรต่อไปนี้ เงินในอนาคต =

เงินปัจจุบัน x (1 + อัตราเงินเฟ้อ)−จานวนปี

จากสูตร

1,000 x (1 + 3%)−5 =

ประมาณ

1,000 x (1 + 0.03)−5 862.61


9

มูลค่าเงินในอนาคตที่เราจะได้จะมีมูลค่าในการใช้จ่ายน้อยลง โดยมูลค่านั้นจะลดลงตาม อัตราส่วนลดหรืออัตราเงินเฟ้อ โดยมีสูตรที่ใกล้เคียงกับสูตรด้านบนดังนี้ มูลเงินค่าเงินในปัจจุบัน

= เงินที่จะได้รับในอนาคต x (1 + อัตราส่วนลด)−จานวนปี

(Present Value)

(Future Value)

ตัวอย่าง อีก 5 ปีข้างหน้าคุณจะได้รับเงินจานวน 1,000 บาท โดยที่มีเงินเฟ้ออยู่ที่ 2% ต่อปีเมื่อ ครบ 5 ปีแล้วเงินจะมีมูลค่า Present Value

=

1,000 x (1 + 2%)−5

=

905.73

เงินที่จะได้รับ 1,000 บาท ในอีก 5 บาทข้างหน้าจะได้รับเงินที่มีมูลค่าเหลือเพียง 905.73 บาทในปัจจุบันเพราะเงิน 1,000 บาทในอีก 5 ปีข้างหน้ามีอานาจการซื้อลดลง

หรือท่านสามารถหาตารางสูตรมูลค่าเงินในอนาคต (present value) ได้จากอินเทอร์เน็ต หรือสามารถใช้เครื่องมือจากเว็บไซต์ http://www.moneychimp.com เลือก calculator แล้ว เลือก Present Value

ถ้าเราไม่สามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้ก็แสดงว่าฐานะทางการเงินของเราเริ่มจะมีปัญหาแล้ว ดังนั้นการลงทุนจึงเป็นเครื่องมือสาหรับปกป้องความมั่นคั่งของเรา


10

เครื่องมือในการวัดฐานะทางการเงิน

อัตราส่วนฐานะทางการเงิน

=

รายได้ x 0.9 รายจ่าย

อัตราส่วนฐานะทางการเงิน เป็นสูตรในการวัดฐานะและสภาพคล่องของรายได้ต่อ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ถ้าค่าได้ที่ได้ออกมามากกว่า 1 แสดงว่าฐานะทางการเงินอยู่ในเกณฑ์ปกติ ถ้าค่าได้ที่ได้ออกมาน้อยกว่า 1 แสดงว่าฐานะทางการเงินเริ่มที่จะมี ปัญหาแล้ว เราจะต้องมาพิจารณาทาไมรายได้ของเราไม่เพียงพอต่อ รายจ่าย เราจาเป็นต้องเพิ่มรายได้หรือลดค่าใช้จ่าย

รูปแบบการลงทุน เราสามารถแบ่งรูปแบบการลงทุนได้ออกมาเป็น 8 รูปแบบดังนี้

ลาดับที่

ระดับความเสี่ยง

รูปแบบการลงทุน

1

ต่ามาก

2

ต่า

3

ค่อนข้างต่า

การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล

4

ปานกลาง

การลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชน

5

ปานกลาง

การลงทุนในกองทุนรวมแบบผสม

6

ค่อนข้างสูง

การลงทุนในตราสารทุน

7

สูง

8

สูงมาก

การลงทุนในตลาดเงิน หรือเงินฝากในธนาคารในประเทศ การลงทุนในตลาดเงินทั้งภายในและภายนอกประเทศ

การลงทุนในตราสารทุนเฉพาะหมวดอุตสาหกรรม การลงทุนในตราสารอนุพันธ์และสินทรัพย์ทางเลือก เช่น อัตรา แลกเปลี่ยน ราคาทองทา ราคาสินค้าเกษตรล่วงหน้า ฯลฯ


11

ปีที่

ผลตอบแทน 2%

ผลตอบแทน 4%

ผลตอบแทน 8%

ผลตอบแทน 12%

1

102,000

104,000

108,000

112,000

2

104,040

108,160

116,640

125,440

3

106,120

112,486

125,971

140,492

4

108,243

116,985

136,048

157,351

5

110,408

121,665

146,932

176,234

6

112,616

126,531

158,867

197,382

7

114,868

131,593

171,382

221,068

8

117,165

136,856

185,093

247,596

9

119,509

142,331

199,900

277,307

10

121,899

148,024

215,892

310,584

ตารางแสดงผลตอบแทนเงินลงทุน 100,000 แบบทบต้น

การลงทุนในตลาดเงิน การลงทุนในตลาดเงินเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่า และมีสภาพคล่องสูงและได้รับการ คุ้มครองเงินฝากตามทีก ่ ฎหมายกาหนด แต่ในระยะยาวแล้วอัตราดอกเบี้ยเงินฝากส่วนใหญ่ไม่ สามารถป้องกันอันตรายจากเงินเฟ้อได้

1.บัญชีออมทรัพย์/บัญชีเผื่อเรียก/บัญชีฝากสะสมทรัพย์ แล้วแต่ธนาคารว่าจะเรียกว่า อะไร โดยบัญชีออมทรัพย์เป็นบัญชีที่มีสภาพคล่องสูง โดยส่วนใหญ่จะได้รับดอกเบี้ยใกล้เคียงกัน สาหรับผู้เขียนแล้วผมจะได้เกณฑ์จากธนาคารออมสินเป็นมาตรฐานในการวัดดอกเบี้ยออมทรัพย์ ปกติ ถ้าอยากจะไปเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยเงินชนิดนี้ก็สามารถหาได้จากธนาคารแห่งประเทศ ไทย ซึ่งสามารถดูได้จาก http://www.bot.or.th เลือกเมนู ตลาดเงิน เลือก สถิติตลาดเงิน เลือกอัตราดอกเบี้ย และเลือก อัตราดอกเบี้ยประจาวันของธนาคารพาณิชย์

2.บัญชีออมทรัพย์ชนิดพิเศษ ซึ่งมีเพียงบางธนาคารที่เปิดให้บริการบัญชีประเภทนี้ ซึ่งแต่ ละธนาคารจะมีนโยบายที่แตกต่างกัน แต่จะให้ดอกเบี้ยสูงกว่าออมทรัพย์ปกติ สภาพคล่องน้อย


12

กว่าออมทรัพย์ ถ้าเราไม่ทาตามนโยบายของทางธนาคารก็อาจจะได้รับดอกเบี้ยเป็นออมทรัพย์ ธรรมดาหรือไม่ได้ดอกเบี้ยเลย ตัวอย่าง นโยบาย เปิดบัญชีขั้นต่า 1,000 บาท และมีบัญชีคงเหลือขั้นต่า 500 บาททุก เดือนถึงจะจ่ายดอกเบี้ย ถอนได้ไม่เกิน 1 ครั้ง/เดือน ตัวอย่าง นโยบาย เปิดบัญชีขั้นต่า 500 บาท จ่ายดอกเบี้ยทุกเดือน คิดดอกเบี้ยเป็นรายวัน หากเงินเหลือน้อยกว่า 1,000 บาทจะไม่คิดดอกเบี้ยให้ในเดือนนั้น ตัวอย่าง นโยบาย เปิดบัญชีขั้นต่า 500 บาท คิดดอกเบี้ยเป็นรายวัน เงินเหลือในเดือน ปัจจุบันต้องเท่ากับหรือมากกว่าเดือนที่แล้ว ถึงจะจ่ายดอกเบี้ย ถอนได้ไม่เกิน 2 ครั้ง/เดือน

3.บัญชีกระแสรายวันเป็นบัญชีที่มีสภาพคล่องสูง เหมาะสาหรับใช้จ่ายในชีวิตประจาวัน ส่วนใหญ่เงินฝากชนิดนี้จะไม่ได้รับดอกเบี้ยเงินฝาก ซึ่งบางธนาคารจะให้สิทธิพิเศษอื่นๆ ซึ่งศึกษา ได้จากทางธนาคาร

4.บัญชีกระแสรายวันชนิดพิเศษ เป็นบัญชีที่มีสภาพคล่องสูง ซึ่งมีเฉพาะบางธนาคาร ดอกเบี้ยอาจจะเท่ากับออมทรัพย์หรือตามที่ธนาคารกาหนด ซึ่งจะมีข้อนโยบายการใช้งานหรือการ เปิดบัญชี เช่น เปิดขั้นต่า50,000 บาทและยอดคงเหลือมากกว่า 1,000 บาท ถึงจะจ่ายดอกเบี้ย

5.บัญชีฝากประจา เป็นหนึ่งในบัญชีที่ได้รับผลตอบแทนสูง แต่สภาพคล่องจะน้อยกว่า บัญชีออมทรัพย์อยู่มาก เพราะถ้าหากถอนก่อนกาหนดจะได้รับที่น้อยมากหรือไม่ได้เลย ซึ่งบัญชี ฝากประจาจะต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย แต่บางธนาคารอาจจะมีรายการส่งเสริมการขายให้ไม่เสียภาษี แต่ต้องทาตามข้อกาหนดของธนาคาร โดยดอกเบี้ยจะคิดเป็นรายวัน การจ่ายดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับ นโยบายของแต่ละธนาคารโดยทั่วไปเราสามารถแบ่งบัญชีฝากประจาได้ดังนี้ 5.1 แบบฝากประจา ฝากพียงครั้งเดียวแล้ว แล้วรอเวลาถอนเมื่อครับสัญญาหรือถ้าไม่ถอน เงินออกมา ทางธนาคารก็จะต่อสัญญาให้ในรูปแบบเดิม


13

5.2 แบบฝากประจาเข้าทุกเดือน เมื่อครบสัญญาก็สามารถถอนเงินออกมาได้ 5.3 แบบฝากประจาพิเศษ ทางธนาคารจะกาหนดเงินขั้นต่าในการเปิดบัญชีที่แน่นอน และ จานวนเวลาที่ต้องฝาก โดยเมื่อครบสัญญาแล้วทางธนาคารอาจจะโอนเงินทั้งหมดเข้าบัญชีออม ทรัพย์ หรือเปลี่ยนเป็นบัญชีฝากประจา 3 เดือน หรือตามเงื่อนไขของทางธนาคาร

ความคิดเห็นของผู้เขียน การฝากเงินไว้กับสถาบันการเงินนอกจากอัตราดอกเบี้ยแล้ว เราควรจะศึกษาอัตราค่าธรรมเนียม ด้วยนะครับ ก่อนที่เราจะไปเปิดบัญชีอย่าลืมข้อมูลผลิตภัณฑ์อย่างละเอียดนะครับ

การลงทุนในตราสารหนี้ การลงทุนในตราสารหนี้ก็เหมือนเราเป็นเจ้าหนี้ โดยผู้กู้จะมีทั้งรัฐบาลที่เรียกสัญญานี้ พันธบัตรซึ่งมีทั้งแบบมีตราสารและไร้ตราสาร หรือภาคเอกชนซึ่งเรียกสัญญานี้ว่าหุ้นกู้ โดยการ ลงทุนจะกาหนดอัตราดอกเบี้ยที่แน่นอน และระยะเวลาที่แน่นอน เช่น 3 ปี 5 ปี 7 ปี 10 ปี เป็นต้น ซึ่งเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่า แต่ก็มีความเสี่ยงที่ผู้กู้ผิดชาระหนี้ได้เช่นกัน และความ เสี่ยงเรื่องความผันผวนของดอกเบี้ย การลงทุนในตราสารหนี้โดยส่วนใหญ่จะได้ผลตอบแทนที่ ดีกว่าการลงทุนในตลาดเงิน

การจะไปลงทุนในตราสารหนี้ควรจะศึกษาเรื่องอันดับความน่าเชื่อถือของผู้กู้ให้ดีเสียก่อน (Credit rating) สภาพคล่องต่ากว่าการลงทุนในตลาดเงิน แต่ก็สามารถซื้อขายเปลี่ยนมือได้ผ่าน ตลาดรอง ซึ่งศึกษารายละเอียดการซื้อขายในตลาดรองได้จากเว็บไซต์ของสมาคมตลาดตราสาร หนี้ไทย


14

การลงทุนในกองทุนรวม กองทุนเป็นนิติบุคคลที่ทาหน้าที่ระดมเงินทุนจากประชาชนโดยการขายหน่วยลงทุนให้แก่ ผู้สนใจ แล้วนาเงินที่ได้มาบริหารจัดการตามนโยบายของแต่ละกองทุนโดยมีผู้จัดการกองทุนเป็น ผู้ดูแลการบริหารของกองทุน และมีธนาคารพาณิชย์เป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ของผู้ถือหน่วยลงทุน หากจะแบ่งประเภทของกองทุนจะมี 2 แบบ 1.กองทุนไม่จ่ายปันผล 2.กองทุนที่จ่ายปันผล การซื้อขายกองทุนตัวแทนจาหน่ายหรือบริษัทจัดการกองทุน จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการซื้อขายตามเงื่อนไขแต่ละกองทุน คาศัพท์ทางการเงินควรรู้ 

เงินต้น คือเงินเริ่มแรกที่เรานามาลงทุน

เงินเฟ้อ คือภาวะที่ราคาของสินค้าและบริการมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ตลาดเงิน เป็นแหล่งกลางในการระดมเงินจากประชาชน โดยมีจ่ายดอกเบี้ยให้แก่ผู้ฝากเงิน

ตลาดทุน เป็นศูนย์กลางในการระดมเงินทุน เป็นสถานที่ในการซื้อขาย แลกเปลี่ยน หุ้น และตราสารทางการเงิน

ตราสารหนี้ คือตราสารที่แสดงการเป็นเจ้าหนี้ของกิจการ โดยกาหนดดอกเบี้ยและ ระยะเวลาการคืนเงินต้นที่แน่นอน

หน่วยลงทุน คือตราสารทางการเงิน โดยมีการแบ่งตามระดับความเสี่ยง

เวลาทาการ คือช่วงเวลาที่ใช้สาหรับซื้อขายตราสารทางการเงิน ขึ้นอยู่กับชนิดของตราสาร

เงินปันผล คือ เงินส่วนแบ่งกาไรของกิจการที่จ่ายให้กับเจ้าของกิจการหรือผู้ถือหน่วย ลงทุน

พอร์ตโฟลิโอ คือการจัดสรรทรัพย์สินตามระดับความเสี่ยงที่นักลงทุนรับได้ โดยมีการ กระจายความเสี่ยงในตราสารทางการเงินชนิดต่างๆ


15

การจัดสรรรูปแบบการลงทุนเป็นหัวใจสาคัญของการลงทุน เพื่อให้เกิดผลตอบแทนมาก ที่สุดตามอัตราความเสี่ยงที่เราสามารถรับได้ การจัดสรรการลงทุนต้องให้มีความเหมาะสมกับ สภาพเศรษฐกิจ เราสามารถแบ่งนักลงทุนได้เป็น 2 ประเภทคือ 1.นักลงทุนเชิงรับ เน้นการสร้างผลตอบแทนโดยอิงจากดัชนี 2.นักลงทุนเชิงรุก เน้นการสร้างผลตอบแทนที่มากกว่าดัชนี ก่อนที่เราจะลงทุนเราจะต้องตัดสินใจว่าจะลงทุนในรูปแบบใด การจัดสรรเงินลงทุนสามารถเรียกว่า พอร์ตโฟลิโอ ซึ่งเราจะต้องจัดให้เหมาะกับการรับ ความเสี่ยงที่เรารับได้

ทาไมเราจะต้องจัดสรรการลงทุน (จัดพอร์ตโฟลิโอ) 

กระจายความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น

สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการลงทุนได้ตามความเหมาะสม

เพื่อสร้างผลตอบแทนตามเป้าหมาย

รูปแบบการลงทุนที่แนะนาสาหรับนักลงทุนเชิงรับ โดยทั่วไปแล้วนักลงทุนเชิงรับต้องการผลตอบแทนที่มาจากดอกเบี้ย เงินปันผล หรือส่วน ต่างของราคา(Capital gain)ที่แน่นอน รูปแบบพอร์ตโพลิโอคือ 60 : 40 ลงทุนในตราสารหนี้ หรือตลาดเงิน หรือกองทุนแบบผสมที่มีความ แน่นอนของผลตอบแทนไม่ควรเกินร้อยละ 60 ของพอร์ต หุ้นปันผลไม่น้อยกว่าปีละ 3% ต่อปี ไม่ควรเกินร้อยละ 40 ของ พอร์ต ผลตอบแทนของการลงทุนประมาณ 3% - 8% ต่อปี


16

รูปแบบการลงทุนที่แนะนาสาหรับนักลงทุนเชิงรุก โดยทั่วไปแล้วนักลงทุนเชิงรุกต้องการผลตอบแทนที่มาจากดอกเบี้ย เงินปันผล ส่วนต่าง ของราคา (Capital gain) เพื่อสร้างผลตอบแทนที่มากกว่าดัชนี ซึ่งการถือหุ้นอาจจะไม่จาเป็นที่ จะต้องถือไว้ตลอดเพียงแค่รอราคาหุ้นสูงกว่ามูลค่าทางบัญชีมากๆ รูปแบบพอร์ตโพลิโอคือ 80 : 20 ลงทุนในหุ้นไม่ควรเกินร้อยละ 80 ของพอร์ต - หุ้นปันผลไม่น้อยกว่าปีละ 3% ต่อปี - หุ้นเติบโต ลงทุนในตราสารหนี้ หรือตลาดเงิน เป็นเพียงบางส่วน และ ควรสารองผลตอบแทนจากการลงทุนไว้ประมาณร้อยละ 15 ของ พอร์ตเพื่อเตรียมพร้อมซื้อหุ้นในยามวิกฤต โดยจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 5% - 12% ต่อปี สาหรับคนที่เน้นความปลอดภัยของพอร์ตเชิงรุก ใช้สูตร 100 – อายุ = ร้อยละของหุ้นที่มีไว้ควรเกินเท่าไร ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณอายุ 30 ปีคุณไม่ควรมีหุ้นไม่เกินร้อยละ 70 ของพอร์ต

รูปแบบการลงทุนทางเลือกสาหรับนักลงทุน รูปแบบการลงทุนแบบนี้จะเป็นการจัดสรรสินทรัพย์ (Asset Allocation) โดยเป็นการ ลงทุนระยะยาว และต้องการลดค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมการลงทุนให้ต่า การลงทุนแบบนี้จะ เป็นการลงทุนแบบอิงดัชนี (Passive Management)

รูปแบบพอร์ตโพลิโอคือ 40 : 30 : 30 ลงทุนในหุ้นไม่ควรเกินร้อยละ 40 ของพอร์ตโดยเป็นหุ้นที่มี ปัจจัยพื้นฐานดี ลงทุนในตราสารหนี้หรือกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะยาวไม่เกิน ร้อยละ 30 ของพอร์ต ลงทุนในเงินฝากพิเศษหรือสลากออมทรัพย์โดยไม่เกินร้อยละ 30 ของพอร์ต โดยรูปแบบการลงทุนจะให้ผลตอบแทน 3% – 7% ต่อปี


17

ความคิดเห็นของผู้เขียน พอร์ตที่เน้นการสร้างผลตอบแทนได้ดีในระยะยาวคือพอร์ตเชิงรับ ซึ่งพอร์ตเชิงรับจะเน้นดอกเบี้ย เงินปันผล หรือส่วนต่างของราคาที่แน่นอน ซึ่งถ้าสามารถซื้อหุ้นในราคาที่ต่ากว่ามูลค่าทางบัญชีก็สามารถ ผลตอบแทนได้ดีมาก หรือซือ ้ หุ้นพื้นฐานดีและมีฐานะทางการเงินแข็งแกร่งตอมที่เกิดวิกฤต เราก็สามารถ ผลตอบแทนเฉพาะเงินปันผลในปัจจุบันไม่นอ ้ ยกว่า 5% - 10% หรืออาจจะสูงถึง 20% ต่อปี แค่เฉพาะเงิน ปันผลนะครับ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐานของหุ้นแต่ละตัว และจังหวะเวลาที่เข้าซือ ้

การลงทุนระยะยาว การลงทุนในระยะยาวตามความหมายทั่วไปคือการลงทุนที่มากกว่า 5 ปีขึ้นไปซึ่ง ระยะเวลาในการลงทุนขึ้นอยู่กับนักลงทุน ยิ่งใช้เวลานานเท่าใดก็จะสามารถสร้างผลตอบแทน ตราบใดที่นโยบายการลงทุนยังคงสร้างผลตอบแทนได้อย่างสม่าเสมอก็ไม่มีความจาเป็นอะไรที่ จะต้องถอนการลงทุน การซื้อขายหลักทรัพย์บ่อยครั้งจะทาให้คุณเสียค่าธรรมเนียมจานวนมาก ผมจะขอแสดงผลตอบแทนระหว่างหน่วยลงทุนของกองทุนรวมที่ให้ตอบแทนเฉลี่ย 4% ต่อปี กับการลงทุนในตลาดเงินที่ได้ดอกเบี้ยหลังหักภาษีแล้วที่ 1.5% ต่อปี ด้วยเงินลงทุน 100,000 บาท เท่าเท่าเมื่อเวลาผ่านไป 10 ปี ปี

ลงทุนในเงิน

ลงทุนใน

ที่

ฝาก(1)

1

101,500

104,000

2

103,022

3

ผลต่าง

เงินเฟ้อที่

ผลตอบแทนจริง

ผลตอบแทนจริง

3% ต่อปี

สะสมเงินฝาก

สะสมกองทุน

(3,500)

103,000

(1,500)

1,000

108,160

(5,138)

106,090

(3,068)

2,070

104,567

112,486

(7,919)

109,272

(4,075)

3,214

4

106,136

116,985

(10,849)

112,225

(6,089)

4,760

5

107,728

121,665

(13,937)

115,927

(8,199)

5,738

6

109,344

126,531

(17,189)

119,405

(10,061)

7,126

7

110,984

131,593

(20,609)

122,987

(12,003)

8,606

8

112,649

136,856

(24,207)

126,677

(14,028)

10,179

9

114,338

142,331

(27,993)

130,477

(16,139)

11,854

10

116,054

148,024

(31,970)

134,391

(18,337)

13,633

81,663

113,633

กองทุนรวม(2) (1) − (2)

ผลตอบแทนจากมูลค่าปัจจุบันเมื่อครบ 10 ปี


18

จากตารางข้างต้นทาให้เห็นว่าในระยะยาวการลงทุนในตลาดเงินไม่สามารถผลตอบแทนได้ ดีเท่าที่ควร

การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชน กองทุน หุ้น ซึ่งการลงทุนเหล่านี้มีหน่วยงานในการ กากับกิจการอยู่แล้ว แต่การลงทุนนอกเหนือจากนี้อาจจะมีความเสี่ยงหลายๆ อย่างที่เพิ่มมากขึ้น เพราะไม่มีหน่วยงานกากับดูแล ก่อนที่เราจะลงทุนทาธุรกรรมใดๆ เราควรศึกษาข้อมูลความเสี่ยง ให้ดีเสียงก่อนลงทุน ในระยะยาวแล้วการประหยัดค่าใช้จ่ายจากการลงทุนจะช่วยให้เราสร้างสามารถ ผลตอบแทนได้ดียิ่งขึ้น สิ่งนี้คือสิ่งที่ทาให้นักลงทุนแตกต่างกับนักเก็งกาไร การซื้อขายบ่อยครั้งไม่ ว่าจะเป็นกองทุนรวม หรือหลักทรัพย์ชนิดอื่นๆ ก็ต้องเสียค่าธรรมเนียม นอกค่าธรรมเนียมแล้ว การซื้อขายหลักทรัพย์บางอย่างต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจากค่าธรรมเนียม เรามาดูตัวอย่างการลงทุนระยะยาว ของหุ้น BTS ซึ่งเป็นธุรกิจ Holding โดยมีบริษัทแกน ดาเนินธุรกิจเกี่ยวกับการเดินรถไฟฟ้า


19

หากเราซื้อหุ้น BTS ในวันที่ 29 กันยายน 2554 ในราคาหุ้นละ3.69 บาทต่อหุ้น ในเดือน กรกฎาคม 2557 หุ้นขึ้นมาอยู่ที่ 8.9 ต่อหุ้น เวลาเกือบประมาณซึ่งสร้างผลตอบแทนรวม 141% หรือคิดเป็นปีละ 47% ซึ่งคิดเฉพาะราคาหุ้นเท่านั้น ถ้าซื้อเมื่อ 3 ปีที่แล้ว (2554) ปี 2557 ก็จะ ได้รับปันผลถึง 5.69% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งตลาด (เดือนกรกฎาคม 2557 อัตราปันผล เฉลี่ยอยู่ที่ 2.95% ต่อปี)

การรับปันผลของบริษัทจะต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายร้อยละ 10 หรือถ้าจะขอคืนภาษีก็ต้องนับ รวมเงินปันผลเป็นรายได้เพื่อยืนเสี่ยงภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต่อไป การลงทุนกองทุนรวมจะไม่มีนโยบายการจ่ายปันผลจะช่วยให้ประหยัดภาษี ณ ที่จ่ายได้ เพราะเงินจะสะสมอยู่ในกองทุนดังนั้นกองทุนไม่จ่าปันผลจะโตเร็วกว่ากองทุนจ่ายปันผล เพื่อให้เห็นภาพในระยะยาวผมจึงยกตัวอย่างกราฟหุ้นของ CPN เซ็นทรัลพัฒนา

จากวันที่ 31 มีนาคม 2552 จนถึงเดือนกรกฎาคม 2557 มีผลตอบแทนสะสมทั้งสิ้น 652% หรือเฉลี่ยปีละ 130% ซึ่งเป็นผลตอบแทนที่ดีไม่ใช่น้อยหากถือต่อไปเรื่อยๆ ในระยะยาว แล้วก็จะสร้างผลตอบแทนสะสมให้ไม่ใช่น้อย ซึ่งจะได้ปันผลคิดเป็น 8.8% ปีเลยเมื่อซื้อในวันที่ 31 มีนาคม 2552


20

หมายเหตุ ในปี 2556 หุ้น CPN มีการแตกพาร์จาก 1 บาท เป็น 0.5 บาท คือจะได้ขึ้น เพิ่มขึ้นครึ่งหนึ่งโดย มูลค่าการลงทุนยังเท่าเดิม ถ้าซื้อในวัน 31 มีนาคม 2552 จานวน 100 หุ้น มูลค่าการลงทุนคือ 625 บาท หลังจากแตกพาร์แล้วจะมี 200 หุ้น ซึ่งมูลค่าการลงทุนคือ 625 บาท

คาศัพท์ทางการเงินควรรู้ 

หุ้นสามัญ คือตราสารทางการเงินที่แสดงถึงความเป็นหุ้นส่วนของธุรกิจ

หุ้นบุริมสิทธิ์ คือตราสารทางการเงินที่มีลักษณะคล้ายกับหุ้นสามัญ แต่จะได้สิทธิพิเศษ บางอย่างก่อนหุ้นสามัญ

หุ้นกู้ คือ ตราสารหนี้ชนิดหนึ่งที่กิจการออกมาเพื่อกู้เงินจากนักลงทุน โดยมีการจ่าย ดอกเบี้ยและระยะเวลาการคืนเงินต้นในระยะเวลาที่กาหนด

หุ้นกู้แปลงสภาพ คือ ตราสารหนี้ชนิดหนึ่งที่ผู้ถือหุ้นกู้มีสิทธิในการแปลงหุ้นกู้เป็นหุ้นสามัญ ของกิจการ

ใบสาคัญแสดงสิทธิซื้อหุ้น (Warrant) คือตราสารที่แสดงถึงสิทธิที่จะได้ซื้อหุ้นจานวนและ ราคาที่กาหนด ภายในระยะเวลาที่กาหนด

มูลค่าที่ตราไว้ (ราคาพาร์) คือทุนที่จดทะเบียนต่อหุ้น ซึ่งราคาที่ตราไว้สามารถมีการ เปลี่ยนแปลงได้

เจ้าหน้าที่การตลาดของบริษัทหลักทรัพย์ (Marketing หรือ Investment Consultant) คือพนักงานของบริษัทหลักทรัพย์มีหน้าที่ดูแล อานวยความสะดวกให้แก่นักลงทุน โดย ปกติแล้วนักลงทุนแต่ละคนจะได้รับการดูแลจากเจ้าหน้าที่การตลาดประจาตัว


21

การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์หรือตลาดรองในประเทศมีอยู่ 2 ตลาด คือ 1.ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (The Stock Exchange of Thailand หรือ SET) เป็นตลาดหลักทรัพย์สาหรับบริษัทมหาชนที่มีทุนจดทะเบียนมากกว่า 300 ล้านบาท 2.ตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (Market for Alternative Investment หรือ MAI) เป็น ตลาดหลักทรัพย์ทางเลือกสาหรับบริษัทมหาชนขนาดกลางที่มีทุนจดทะเบียนมากกว่า 20 ล้าน บาท

เราจะเริ่มต้นลงทุนอย่างไร การลงทุนซื้อขายหลักทรัพย์ของตลาดรองทั้ง 2 ตลาดต้องซื้อขายผ่านบริษัทหลักทรัพย์ หรือ โบรกเกอร์ (Broker) ซึ่งโบรกเกอร์จะเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ โดยเราจะต้องไปเปิด บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ที่บริษัทหลักทรัพย์


22

รูปแบบบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ 1.บัญชีเงินสด (Cash Account) โดยบัญชีเงินสดนี้จะซื้อขายหลักทรัพย์จากบัญชีออม ทรัพย์ของธนาคารที่เราเอาไปผูกกับบัญชีเงินสด ซึ่งก่อนจะทาการซื้อขายเราต้องวางหลักประกัน 15% ของวงเงินดังกล่าวก่อน เราสามารถสั่งซื้อก่อนแล้วค่อยจ่ายทีหลังจากการสั่งซื้อ 3 วันทาการ (T+3) ไม่นับเสาร์และอาทิตย์

2.บัญชีเติมเงิน (Cash Balance) บัญชีเติมเงินจะมีลักษณะคล้ายกับบัญชีเงินสดแต่เรา ต้องโอนเงินเข้าบัญชีหลักทรัพย์ โอนเงินให้โบรกเกอร์ก่อนแล้วค่อยซื้อหุ้น บริษัทหลักทรัพย์บาง แห่งจะคิดดอกเบี้ยเงินฝากให้ด้วย

3.บัญชีกู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (Credit Balance Account) เป็นบัญชีที่มีรูปแบบ การให้กู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์บางส่วนและอีกส่วนเราต้องออกเอง เราต้องนาเงินสดหรือหุ้นมา วางเป็นหลักประกันการชาระหนี้กับบริษัทหลักทรัพย์ ก่อนซื้อหลักทรัพย์ ตามสัดส่วนที่บริษัท หลักทรัพย์กาหนด เช่น หากกาหนดสัดส่วนที่ 50% ของวงเงินกู้ ถ้าเราซื้อหุ้นราคา 10 บาท เรา ต้องออกเอง 5 บาท บริษัทหลักทรัพย์ออก 5 บาท ซึ่งอาจารย์ไม่ค่อยแนะนาเพราะเราต้องมี สถานภาพทางการเงินดีพอสมควรถึงบริษัทหลักทรัพย์จะยอมให้เปิดบัญชีชนิดนี้


23

ขั้นตอนในการลงทุนในตลาดหุ้น


24

การหาโบรกเกอร์หรือบริษัทหลักทรัพย์ เข้าเว็บไซต์ http://www.settrade.com เลือกเปิด เปิดบัญชีหลักทรัพย์กับบริษัท หลักทรัพย์

(หน้าเว็บไซต์ settrade.com)

(หน้ารายชื่อบริษัทหลักทรัพย์) หลังจากนั้นให้เราเลือกโบรกเกอร์ที่เราสนใจซึ่งรองรับการซื้อขายหุ้น แล้วทาการเปิดบัญชี ซื้อขายหลักทรัพย์ตามที่แต่ละโบรกเกอร์กาหนด โดยเอกสารที่ต้องใช้ดังนี้ 

สาเนาบัตรประชาชน

สาเนาทะเบียนบ้าน

สาเนาหน้าแรกสมุดบัญชี

ค่าอากรแสตมป์และเอกสารอื่นๆ ตามที่บริษัทกาหนด


25

ตารางค่าคอมมิชชั่น

มูลค่าซื้อขายต่อวัน

ผ่านเจ้าหน้าที่

(บาท)

การตลาด

ผ่านอินเทอร์เน็ต Cash Account

Cash Balance/ Credit Balance

x

5 ล้านบาท

0.25%

0.20%

0.15%

5 ล้านบาท < x

10 ล้านบาท

0.22%

0.18%

0.13%

10 ล้านบาท < x

20 ล้านบาท

0.18%

0.15%

0.11%

0.15%

0.12%

0.10%

x > 5 ล้านบาท

ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% คิดจ่ายค่าคอมมิชชั่น (อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต) ค่าธรรมเนียมตลาดหลักทรัพย์ 0.0068% ของมูลค่าซื้อขายต่อวัน ค่าธรรมเนียมส่งมอบหลักทรัพย์ 0.001% ของมูลค่าซื้อขายต่อวัน (ค่าธรรมเนียมอาจมีการเปลี่ยนแปลง ค่าคอมมิชชั่นแต่ละบริษัทหลักทรัพย์อาจจะไม่เท่ากันโปรด ศึกษาค่าธรรมเนียมและค่าคอมมิชชั่นจากบริษัทหลักทรัพย์)


26

กองทุนรวมเป็นทางเลือกหนึ่งสาหรับนักลงทุนไม่ว่าจะลงทุนในระยะสั้นหรือระยะยาวด้วย ผลตอบแทนส่วนใหญ่จะดีกว่าการลงทุนในตลาดเงิน (เงินฝากธนาคาร) ซึ่งชนิดกองทุนสามารถ แบ่งออกได้แบ่งออกเป็น

กองทุนเปิด (Open – end fund)

กองทุนปิด (Closed – end fund)

โดยกองทุนเปิดอาจจะกาหนดระยะเวลาโครงการของกองทุนหรือไม่ก็ได้ แต่กองทุนปิดจะ กาหนดระยะเวลาที่ชัดเจน กองทุนเปิดแบบกาหนดอายุโครงการส่วนใหญ่จะกาหนดวันที่สามารถ ซื้อขายหน่วยลงทุนได้โดยปกติแล้วกองทุนเปิดชนิดนี้มักจะซื้อขายกันไม่บ่อย ซึ่งทางบริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนจะแจ้งรายละเอียดไว้ในหนังสือชี้ชวน

กองทุนรวมจะอยู่ภายใต้การกากับของสานักงานคณะกรรมการกากับหลักทรัพย์และตลาด หลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งจะคอยดูแลธุรกิจกองทุน และธุรกิจหลักทรัพย์ ผู้ที่บริหารกองทุนคือ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน และมีธนาคารพาณิชย์เป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ กองทุนจะเป็นนิติ บุคคลที่แยกการดาเนินงานจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (สถาบันพัฒนาความรูตลาดทุน. 2557. ออนไลน์)

กิจการกองทุนในประเทศไทยอยู่ภายใต้การกากับของสานักงานคณะกรรมการกากับ หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กองทุนในประเทศไทยมีนโยบายการลงทุนทั้งหมด 8 แบบดังนี้ 1.กองทุนรวมตลาดเงินภายในประเทศ (มีความเสี่ยงต่ามาก) 2.กองทุนรวมตลาดเงินทั้งภายในและภายนอกประเทศ (มีความเสี่ยงต่า) 3.กองทุนรวมตราสารแห่งหนี้ภาครัฐ(มีความเสี่ยงต่า) 4.กองทุนรวมตราสารแห่งหนี้ภาคเอกชน (มีความเสี่ยงปานกลาง) 5.กองทุนรวมผสม (มีความเสี่ยงปานกลาง) 6.กองทุนรวมตราสารแห่งทุน (มีความเสี่ยงสูง)


27

7.กองทุนรวมเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรม (มีความเสี่ยงสูง) 8.กองทุนรวมทรัพย์สินทางเลือก (มีความเสี่ยงสูงมาก)

นโยบายการจ่ายปันผลของกองทุนรวม กองทุนรวมมีทั้งจ่ายปันผลและไม่จ่ายปันผล โดยการเลือกนิโยบายของกองทุนก็มีผลกับ ราคามูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุน (Net asset value - NAV) โดยกองทุนที่ไม่จ่ายปันผลโดย ส่วนใหญ่จะมีอัตราการเจริญเติบโตที่มากกว่ากองทุนที่จ่ายปันผล เพราะกองทุนไม่ต้องใช้กระแส เงินสดในการจ่ายปันผลของผู้ถือหน่วยลงทุน กองทุนรวมกับค่าธรรมเนียม ในธุรกรรมทางการเงินค่าธรรมเนียมเป็นเรื่องปกติที่เราจาเป็นต้องจ่ายเพื่อใช้บริการของ สถาบันทางการเงิน กองทุนรวมก็เช่นกัน โดยค่าธรรมเนียมจะขึ้นอยู่กับนโยบายการลงทุนของการ ทุนโดยค่าธรรมเนียมแบ่งออกเป็น 

ค่าธรรมเนียมที่เรียกจากผู้ถือหน่วยของลงทุน ซึ่งจะเรียกเก็บจากผู้ถือหน่วยลงทุน ได้ค่า ค่าธรรมเนียมการขายให้หน่วยลงทุนให้กับนักลงทุน ค่าธรรมเนียมการซื้อคืนหน่วยลงทุน จากนักลงทุน ค่าธรรมเนียมจากการสับเปลี่ยนกองทุน

ค่าธรรมเนียมที่เรียกจากกองทุนรวม ซึ่งค่าธรรมเนียมนี้ผู้ถือหน่วยลงทุนไม่ต้องจ่ายแต่ อย่างใด แต่จะเรียกเก็บจากมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (NAV) ไม่ว่าผลการดาเนินงานของกองทุน จะเป็นเช่นใด ค่าธรรมเนียมผู้ดูผลประโยชน์ของกองทุน ค่าธรรมเนียมในการบริหาร กองทุน ฯลฯ

สิ่งที่ควรจะพิจารณาก่อนตัดสินใจซื้อกองทุนรวม 1.บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ใดเป็นผู้บริหารกองทุน 2.ธนาคารใดเป็นผู้ดูแลสิทธิประโยชน์ของผู้ถือหน่วยลงทุน 3.กองทุนใช้อะไรเป็นตัววัดผลการดาเนินงาน (Benchmark) 4.นโยบายในหารลงทุนของกองทุนรวม 5.ผลการดาเนินงานในอดีตของกองทุนรวม


28

กองทุนรวมกับผลการดาเนินงาน โดยปกติแล้วผลการดาเนินงานของกองทุนจะต้องเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานของ กองทุน (Benchmark) ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามนโยบายการลงทุน

ชนิดกองทุน กองทุนรวมตลาดเงิน

เกณฑ์มาตรฐานของกองทุน ดอกเบี้ยฝากประจา 3 เดือน หรือตามที่กองทุน กาหนด

กองทุนรวมตราสารหนี้

ดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลหรือตามที่กองทุนกาหนด

กองทุนรวมผสม

ตามที่กองทุนกาหนด

กองทุนรวมตราสารทุน

ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) หรือตามที่ กองทุนกาหนด

กองทุนรวมเฉพาะกลุ่ม

ดัชนีกลุ่มอุตสาหกรรม หรือตามที่กองทุนกาหนด

อุตสาหกรรม กองทุนรวมในทรัพย์สิน

ตามที่กองทุนกาหนด

ทางเลือก

กองทุนรวมกับความเสี่ยง 

ความเสี่ยงจากการผันผวนของอัตราดอกเบี้ย (interest rate risk

ความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของภาวะตลาดและภาวะเศรษฐกิจโดยรวม (market risk)

ความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง (political risk)

ความเสี่ยงจากการดาเนินธุรกิจของบริษัทที่กองทุนรวมไปลงทุน (company risk)

ความเสี่ยงจากการผิดนัดชาระหนี้ (credit risk)

ความเสี่ยงจากการขาดสภาพคล่อง (liquidity risk)


29

ขั้นตอนในการลงทุนในกองทุนรวม

ตัวอย่างกองทุนรวมที่น่าสนใจ กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี สมาร์ท ฟิกซ์ อินคัม (SMART) ของบลจ. เอ็มเอฟซี จุดเด่นของ กองทุนนี้คือ เป็นกองทุนที่รับการจัดอันดับโดย Morningstar (บริษัทจัดอันดับกองทุนรวม) ที่ 5 ดาว กองทุน SMART เป็นกองทุนรวมตราสารหนี้ความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 4 จาก 8 เหมาะสมกับนัก ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง โดยกองทุนนี้จะมีการจ่ายปันผลอย่างสม่าเสมอทุกปีโดยจะจ่าย ปันผลโดยประมาณ 2% - 4.75% ต่อปี และผลตอบแทนเฉลี่ยตั้งแต่จัดตั้งกองทุนให้ผลตอบแทน เฉลี่ย 3.86% ต่อปี


30

กองทุนเปิดสินภิญโญสี่ (SF4) ของบลจ. เอ็มเอฟซี จุดเด่นของกองทุนนี้คือจัดตั้งเมื่อช่วงปี พ.ศ. 2540 ซึ่งกองทุนนี้ได้ผ่านวิกฤติทั้งวิกฤติต้มยากุ้งและวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ซึ่งกองทุนให้ตอบ แทนเฉลี่ยตั้งแต่จัดตั้ง 7.97% ต่อปี กองทุนสินภิญโญสี่เป็นกองทุนหุ้นที่มีการจ่ายปันผลอย่าง สม่าเสมอปีละ 1 ครั้งยกเว้นปี 2552 ซึ่งเป็นช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ โดยจ่ายปันผลย้อนหลัง 5 ปี เฉลี่ยที่ 11.55% ต่อปี และได้รับการจัดอันดับเป็นกองทุน 4 ดาวจาก Morningstar

กองทุนเปิดบีเฟล็กซ์ (B-Flex) ของบลจ. บัวหลวง เป็นกองทุนกองทุนผสม โดยจะลงทุน หุน ้ ตามสถานการณ์ของเศรษฐกิจ โดยกองทุนบีเฟล็กซ์จะเน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและหุน ้ กู้ ภาคเอกชนเป็นหลัก กองทุนนีใ้ ห้ผลตอบแทนเฉลี่ยตั้งแต่จัดตั้งที่ 4.74% จุดเด่นของกองทุนนีค ้ ือ เป็นกองทุนที่ผ่านช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ กองทุนผสมและกองทุนส่วนใหญ่จะมี NAV ลงลด เกือบร้อยละ 50 แต่กองทุนนีส ้ ามารถรักษาระดับ NAV ให้ลดลงเพียงเล็กน้อย

กองทุนเปิดธนชาต Low Beta (T- LOWBETA) ของบลจ. ธนชาต เป็นกองทุนหุน ้ ที่รับ การจัดอันดับโดย Morningstar ที่ 5 ดาวให้ผลตอบแทนเฉลี่ยตั้งแต่จัดตั้ง 20.43% โดยกองทุนนี้ เป็นกองทุนที่รับซือ ้ คืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติซึ่งก็จะคล้ายๆ กับการจ่ายปันผลแต่ไม่ต้องเสียภาษี หัก ณ ที่จ่าย จุดเด่นของกองทุนนีจ ้ ะลงทุนในหุน ้ น้อยตัวที่มีค่า Beta ต่า (ค่าที่บอกถึงการ เคลื่อนไหวของราคาเมื่อเทียบกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์)

กองทุนเปิดทหารไทย SET50 (TMB50) ของบลจ. ทหารไทย เป็นกองทุนที่มีนโยบาย ลงทุนในหุน ้ เชิงรับ (Passive Management) โดยกองทุนจะลงทุนในหุน ้ ซึ่งใกล้เคียงกับ SET 50 (SET50 คือกลุม ่ หุน ้ ขนาดใหญ่และมีปัจจัยพืน ้ ฐานดีจานวน 50 ตัวแรก)เพือ ่ สร้างผลตอบแทนที่ ใกล้เคียง โดยมีผลตอบแทนเฉลี่ยตั้งแต่จด ั ตั้ง 16.84%


31

สรุปข้อมูลสาคัญทางการเงินของกองทุนรวม คือสรุปข้อมูลการเปลีย ่ นแปลงมูลค่าของหน่วยลงทุน โดยจะบอกถึงรายได้จากการ ดาเนินงาน รายได้จากการลงทุนที่เกิดขึ้นและยังไม่เกิดขึ้น การจ่ายเงินปันผลต่อหน่วย

(ที่มา รายงานประจาปี 2556 สิ้นสุดรอบบัญชี 30 กันยนยน 2557 กองทุนเปิด อเบอร์ดีนเฟล็กซิเบิ้ลแคปปิตอล) จากข้อมูลสาคัญทางการเงินจะให้ผู้ถือหน่วยลงทุนเห็นภาพผลการดาเนินงานในรอบบัญชี ปัจจุบน ั และเปรียบเทียบกับผลการดาเนินงานในอดีต


32

หุ้นเป็นสินทรัพย์ทางการเงินรูปแบบหนึ่ง ซึ่งแสดงถึงความเป็นหุ้นส่วนของธุรกิจ ซึ่งคุณจะ ได้รับผลตอบแทนจากการดาเนินของบริษัทถ้าบริษัทมีกาไรเพียงพอและมีนโยบายจ่ายปันผล ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันการลงในตราสารทุนหรือหุ้นให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงสุดประมาณ 10% – 12% ต่อปีเฉพาะราคาหุ้นไม่นับรวมปันผลซึ่งทั้งตลาดหลักทรัพย์จ่ายปันผลประมาณ 3% ต่อขึ้น ซึ่งขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัย ดังนั้นการลงทุนในหุ้นจึงเป็นเครื่องมือที่ดีในการปกป้องเงินจากเงินเฟ้อ

ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีหลักทรัพย์ให้เลือกมากให้เหล่านักลงทุนไว้เลือกมีทั้ง หุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ ใบสาคัญแสดงสิทธิ์ หน่วยลงทุนกองทุนที่ขายในตลาดหลักทรัพย์ (ทั้ง กองทุน ETF และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ) อย่างแรกที่เราควรจะควรสนใจบริษัทที่มีประโยชน์จ่ายปันผลอย่างสม่าเสมอ (ไม่น้อยจะ จ่ายน้อยกว่า 3% ต่อปี) ควรหลีกเลี่ยงบริษัทที่มีการจ่ายปันผลแย่หรือยากต่อการทานายแนวโน้ม การจ่ายปันผล หุ้นปันผลไม่จาเป็นที่จะต้องอยู่ในดัชนี SETHD เสมอไป เมื่อเราเลือกหุ้นประเภทนีไ้ ด้ก็เหมือนเครื่องจักรที่ผลิตผลตอบแทนอย่างสม่าเสมอ

เกณฑ์หุ้นปันผลคุณภาพ 

จ่ายปันอย่างสม่าเสมอ

บริษัททาธุรกิจที่เข้าใจได้ง่าย

ซื้อในราคาที่ต่ากว่ามูลค่าของราคาความจริง

มีหนี้สินน้อย มีกระแสเงินสดอยู่มาก


33

สาหรับนักลงทุนเชิงรับแล้วดัชนีหลักทรัพย์ไม่ใช่ปัจจัยสาคัญเพราะไม่ได้เน้นสร้างผลแทน เท่ากับตลาด เมื่อเกิดวิกฤตซึ่งเป็นเครื่องมือทดสอบความสามารถของผู้บริหาร ถ้าหากผู้บริหาร สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีถึงแม้ในเวลาวิกฤตก็ถือว่าบริษัทนั้นเป็นบริษัทชั้นดีมาก

ประเภทของบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ 

หุ้นชัน ้ เลิศ คือหุ้นที่มีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีความสามารถเฉพาะตัวซึ่งยากต่อ คู่แข่งที่เข้ามาเทียบเคียงได้ และมีการจ่ายปันผลอย่างสม่าเสมอ และเป็นธุรกิจที่เข้าใจได้ ง่าย ผู้บริหารให้ความสาคัญกับผู้ถือหุ้น

หุ้นชั้นดี เป็นหุ้นที่จ่ายปันผลอย่าสม่าเสมอ เป็นธุรกิจที่สามารถแข่งขันได้ดี ผู้บริหารมี ความสามารถในการรักษาฐานลูกค้า

หุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง หุ้นของบริษัทที่เข้าใจยาก และไม่สามารถสร้างผลตอบแทน เป็น ธุรกิจที่มีหนี้สินเป็นจานวนมาก

เราไม่จาเป็นทีจ ่ ะต้องถือหุ้นนั้นไปตลอด ถ้าเราเจอหุ้นที่ดก ี ว่าก็จงขายหุ้นตัวทีด ่ ้อยที่สุดออกไป แต่การถือหุ้นในระยะยาวแล้วจะสร้างผลตอบแทนไห้ กับนักลงทุนเลยไม่น้อย


34

เปรียบเทียบบริษัทชั้นเลิศกับบริษัทที่ควรหลีกเลี่ยง

ลักษณะบริษัทชั้นเลิศ ขายสินค้าและบริการทีมีเอกลักษณ์

ลักษณะบริษัทที่ควรหลีกเลี่ยง ขายสินค้าและบริการที่เหมือนกับคู่แข่ง

เฉพาะตัวและยากต่อการเลียนแบบของ คู่แข่ง มีกระแสเงินอยู่จานวนมาก และมีหนี้สิน

มีหนี้สินระยะยาวจานวนมาก จาเป็นต้องกู้

น้อย

เงินเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง กระแสเงินสดมีไม่ มาก

ผู้บริหารให้ความสาคัญกับผู้ถือหุ้นของ

ผู้บริหารไม่ให้ความสาคัญกับผู้ถือหุ้น

บริษัท และรักษาผลประโยชน์ให้กับผู้ถือ

เท่าที่ควร ผู้บริหารทาการซื้อขายหุ้นเสียเอง

หุ้นเป็นหลัก

เพื่อแสวงหาผลกาไรจากส่วนต่างของรักษา

มีกาไรสะสมมาก และเพียงพอต่อการ

การจ่ายปันผลไม่แน่นอน หรือบางปีไม่มีการ

จ่ายปันผลอย่างสม่าเสมอ

จ่ายปันผล มีการขาดทุนสะสมอยู่เป็น จานวนมาก

ไม่จาเป็นที่จะต้องลดต้นทุนการผลิต

จาเป็นต้องใช้เงินทุนจานวนมากในการ

ที่มากเกินไปเพื่อใช้ในการแข่งขัน

ปรับปรุงการผลิตสินค้าที่ต่ากว่าคู่แข่ง

มีแบ่งตลาดเป็นจานวนมาก และเพียงพอ

จาเป็นต้องขายสินค้าราคาต่าเพื่อชิงสัดส่วน

สาหรับการแข่งขัน ซึ่งจะสร้างความ

ตลอดเวลา

มั่นคงให้กับบริษัท บริษัทมีสินทรัพย์ซ่อนเร้นอยู่เป็นจานวน

มีลูกหนี้การค้าหลังหักลูกหนี้การค้าเผื่อสูญ

มากเช่นค่าลิขสิทธิ์ ค่าสิทธิบัตร ตรา

อยู่เป็นจานวนมาก และต้องใช้เวลานานกว่า

สินค้า

ลูกหนี้กว่าจะจ่ายหนี้ บริหารกระแสเงินสด ไม่ดีเพียงพอ

ถ้าบริษท ั มีสินทรัพย์อยู่เป็นจานวนมาก แต่กระแสเงินสดมีน้อยไม่เพียงพอก็สามารถทาให้บริษัทล้มได้ ถึงแม้ว่าบริษท ั จะมีกาไรทุกปีก็ตาม


35

ในระยะยาวงบการเงินและรายงานประจาปีจะบอกความสามารถของบริษัท งบการเงินประกอบไปด้วย งบแสดงฐานะทางการเงิน งบกาไรขาดทุน งบกระแสเงินสด การที่เราจะซื้อหุน ้ บริษัทที่ดีเลิศจะต้องเป็นบริษัทที่กาไรอย่างสม่าเสมอ ในบางปีอาจจะมี เหตุการณ์บางอย่างที่ทาให้ธุรกิจดีมากๆ ซึ่งเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เราจะต้องดูธุรกิจในระยะยาว เพราะการซื้อหุ้นเหมือนเราเข้าไปเป็นหุ้นส่วนในธุรกิจนั้นๆ

ยิ่งบริษท ั รายได้เพิ่มขึ้น กาไรเพิ่มขึ้น บริษัทจะการจ่ายปันผลเพิ่ม ดังนั้นกาไรสุทธิหลังภาษี แล้วเป็นตัวแปรสาคัญ งบแสดงฐานะทางการเงิน หรืองบดุลเครื่องมือที่บ่งบอกถึงฐานะ และความมั่นคงของบริษัท โดยปกติแล้วงบแสดง ฐานะทางการเงินหรืองบแสดงสถานะทางการเงินมีแบบแนวตั้ง(งบแสดงฐานะการเงินแบบ รายงาน)และแนวนอน(งบแสดงฐานะการเงินแบบบัญชี) ส่วนใหญ่จะทางบดุลแบบแนวตั้ง บริษัท ตัวอย่าง จากัด งบแสดงฐานะการเงิน สาหรับงวด 1 ปี สินทรัพย์

หนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น

สินทรัพย์หมุนเวียน -

เงินสดและเทียบเท่า

หนี้สินหมุนเวียน 100,000.-

เงินสด

-

เจ้าหนี้การค้า

52,000.-

-

หนี้สินระยะสั้น

68,000.-

-

สินค้าคงคลัง

50,800.- หนี้สินไม่หมุนเวียน

-

ลูกหนี้การค้า

40,200.-

รวมสินทรัพย์หมุนเวียน

200,000.-

สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน -

ที่ดินพร้อมอาคาร

-

เครื่องมือ

รวมสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน รวมเงินทุน

-

หนี้สินระยะยาว

รวมหนี้สิน

30,000.100,000.-

ส่วนของผู้ถือหุ้น 1,000,000.-

-

ทุนจดทะเบียน

1,700.-

-

กาไรสะสม

1,001,700.-

รวมส่วนของผู้ถือหุ้น

1,201,700.- รวมเงินทุน

1,000,000.101,700.1,101,700.1,201,700.-


36

หัวใจของงบแสดงสถานะทางการเงินคือ สินทรัพย์

=

หนี้สิน + ส่วนของผู้ถือหุ้น

สินทรัพย์

=

หนี้สิน + ส่วนของผู้ถือหุ้น + (รายได้–รายจ่าย)

หรือ

งบแสดงสถานะทางการเงินเป็นเครื่องมือในการหามูลค่าของหุ้นตามมูลค่าทางบัญชี (Book Value) โดยการเอาส่วนของผู้ถือหุ้นที่ปรากฏในงบงบแสดงสถานะทางการเงินมาหารด้วย จานวนหุ้นสามัญทั้งหมด เราก็จะได้มูลค่าหุ้นสามัญ

จากงบแสดงฐานะทางการเงินของบริษัท ตัวอย่าง จากัด มีทุนจดทะเบียน 1,000,000 บาท โดย เป็นหุ้นสามัญทั้งหมด 100,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (ราคาพาร์) คือ 10 บาท ต่อหุ้น เราสามารถหา ราคาหุ้นในปัจจุบันได้ดังนี้ ราคาตามมูลค่าทางบัญชี

=

ส่วนของผู้ถือหุน ้ จานวนหุ้นสามัญ

= 1,201,700 100,000 = 12.01 บาทต่อหุ้น รายการที่ควรสนใจในงบแสดงฐานะทางการเงิน 1.กระแสเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด ซึ่งมีสภาพคล่องสูง ดังนั้นการเก็บเงินสดไว้ เป็นจานวนมากจะเป็นประโยชน์ในระยะยาว ซึ่งรายการเทียบเท่าเงินสดได้แก่เงินฝากธนาคาร ออมทรัพย์ และเงินฝากกระแสรายวัน 2.เงินลงทุนระยะสั้น ซึ่งมีอายุไม่เกิน 1 ปี มีมากยิ่งดี เพราะเงินดังกล่าวสามารถแปลงเป็น เงินสดได้ง่าย ได้แก่เงินฝากประจา เงินลงทุนที่กาหนดระยะเวลาแน่นอนไม่เกิน 1 ปี 3.สินค้าคงคลัง ปริมาณที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม หรือบางกลุ่ม อุตสาหกรรมไม่จาเป็นต้องมีสินค้าคงคลัง 4.ลูกหนี้การค้า คือเงินที่ลูกค้าที่ซื้อสินค้าหรือบริการของธุรกิจแล้วค้างชาระสินค้า ลูกหนี้ การค้ายิ่งน้อยยิ่งดี โดยปกติแล้วลูกหนี้การค้าบันทึกในงบแสดงฐานะทางการเงินจะหักหนี้สงสัยจะ สูญ


37

5.เงินลงทุนระยะยาว คือเงินที่ธุรกิจนาไปลงทุนที่มีอายุมากกว่า 1 ปี ซึ่งอาจจะเป็น พันธบัตร หุ้นกู้ กองทุนรวม หรือหุ้นสามัญ 6.ที่ดิน/เครื่องจักร ปริมาณที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม 7.เจ้าหนี้การค้า คือเงินที่ธุรกิจค้างจ่ายกับคู่ค้า ยิ่งมีจานวนมากก็หมายถึงธุรกิจสามารถ รักษาเงินสดภายในบริษัท ให้จ่ายตามเวลาที่ตกลง ในระหว่างรอธุรกิจสร้างนางดสดนี้ไปลงทุนใน ระยะสั้นได้ 8.ค่าใช้จ่ายค้างจ่าย คือรายจ่ายที่บริษัทใช้บริการของคู่ค้า แต่ยังไม่ได้มีการชาระค่าบริการ เช่นภาษีค้าจ่าย เงินเดือนค้างจ่าย เป็นต้น 9.หนี้สินระยะสั้น คือหนี้สินที่ธุรกิจกู้มาระยะเวลาสั้นๆ ยิ่งนี้สินระยะสั้นน้อยยิ่งดี เพราะ แสดงว่าบริษัทมีเงินสดเป็นจามากและไม่จาเป็นที่จะต้องกู้เงิน 10.หนี้สินระยะยาว ได้แก่ เงินกู้ที่กู้จากสถาบันการเงิน หรือการออกหุ้นกู้ หนี้สินระยะยาว บริษัทจะรู้ว่าต้องจ่ายเท่าใด และมีการเตรียมพร้อมกับการชาระหนี้ โดยปกติแล้วหนี้สินระยะยาว จะมีระยะเวลาการชาระหนี้เกิน 1 ปีขึ้นไป 11.หมายเหตุประกอบงบการเงิน คือส่วนรายละเอียดที่บอกรายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อ ผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น ตัวอย่าง


38

การอ่านรายงานประจาปีของกิจการ

(ที่มา : รายงานประจาปีพ.ศ. 2556 บริษัทน้ามันพืชไทยจากัด (มหาชน))

โดยปกติแล้วในงบแสดงฐานะทางการเงินที่บอกรายการของเหตุปรกอบงบการเงิน ตัวอย่าง

(ที่มา : รายงานประจาปีพ.ศ. 2556 บริษัทน้ามันพืชไทยจากัด (มหาชน))


39

งบกาไรขาดทุน คืองบที่แสดงรายได้ รายจ่าย ดอกเบี้ย ภาษี กาไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิ 5 ถ้าหากบริษัทมีกาไรมากเพียงพอบริษัทก็จะทาการจ่ายปันผล การจ่ายปันผลมีอยู่ 2 ชนิด 1.ปันผลด้วยเงินปันผลซึ่งบางบริษัทอาจจะจ่ายปีละ 1 ครั้งจากผลประกอบการในรอบ บัญชีนั้น หรืออาจจะมีการจ่ายปันผลระหว่างกาลจากกาไรสะสมหรือกระแสเงินสดที่มีอยู่ 2.ปันผลด้วยหุ้นสามัญตามอัตราที่กาหนดเอาไว้เช่น 10:1 หุ้นสามัญ 10 หุ้นจะได้หุ้นเพิ่ม อีก 1 หุ้นรวมเป็น 11 หุ้น

ถึงบริษัทจะขาดทุนก็สร้างจ่ายปันผลได้จากกระแสเงินสดที่มีอยู่หรือจ่ายจากกาไรสะสม ตัวอย่างงบกาไรขาดทุนของบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จากัด (มหาชน)


40

ตัวอย่างเปรียบเทียบบริษัทตัวอย่าง 2 แห่งว่าบริษัทใดมีความน่าสนใจในการลงทุน มากกว่ากัน (หน่วยล้านบาท) บริษัทตัวอย่าง 1

บริษัทตัวอย่าง 2

ปี

กาไรสุทธิ

หนี้สินระยะยาว

กาไรสุทธิ

หนี้สินระยะยาว

25X1

120

0.3

110

50

25X2

121

0.1

15

175

25X3

120.7

0.9

(230)

95

25X4

125.4

1.5

95

110

25X5

223.9

1.2

417

118

25X6

217

0.9

(415)

125

25X7

275.8

0.6

212

265

25X8

329.1

0.2

11.8

259

จากผลการดาเนินการบริษัทตัวอย่างที่ 1 มีกาไรที่สม่าเสมอและมีหนี้สินระยะยาวไม่มาก แต่ในทางกลับกันบริษัทตัวอย่างที่ 2 มีกาไรสุทธิที่ไม่แน่นอนและยากต่อการทานายแนวโน้มของ ธุรกิจและบริษัทตัวอย่างที่ 2 มีการก่อนหนี้สินระยะเป็นจานวนมาก บริษัทตัวอย่างที่ 1 จึง เหมาะสมกับการลงทุนในระยะยาว

การลงทุนนั้นเรียบง่าย และเข้าใจง่ายอยูเ่ สมอ ถ้าเราคิดว่ามันยาก ซับซ้อน นัน ้ ไม่ใช่การลงทุน ความคิดเห็นของผู้เขียน การจัดพอร์ตโพลิโอของหุ้นไม่ควรมีตัวใดตัวหนึ่งมีสัดส่วนเกินร้อยละ 30 ของพอร์ต ซึ่งเรา ควรจะมีหุ้นอย่างน้อย 4 ตัวจากหลายๆ กลุ่มอุตสาหกรรมเพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงที่อาจจะ เกิดขึ้นเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรม


41

จะหน้างบการเงินได้ที่ไหน จากเว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย http://www.set.or.th หรือเว็บไซต์ ของธุรกิจแล้วเลือกนักลงทุนสัมพันธ์

พิมพ์ชื่อหุ้นใน Get Quote หรือเลือกชื่อย่อ

เลือกงบการเงิน/ผลประกอบการ หรือท่านจะอ่านงบการเงินในรายงานประจาปี


42

นอกจากงบการเงินแล้ว ต้องอะไรสนใจอีกบ้าง 

รายงานประจาปี (แบบ 56-2) ดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์หรือเว็บไซต์ ของบริษัทในส่วนนักลงทุนสัมพันธ์

แบบ 56-1

สรุปข้อสนเทศบริษัทจดทะเบียน


43

แบบ 56 - 1 เนื้อหาภายใน แบบ 56 – 1 จะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับข้อมูลบริษัท ความคิดเห็นของ ผู้สอบบัญชี ข้อมูลทางการเงินที่สาคัญ รายงานของคณะกรรมการตรวจสอบ ข้อมูลเกี่ยวกับ ผู้บริหาร

ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย


44

ตัวอย่างรายงานประจาปีของบริษัทน้ามันพืชไทยจากัด (มหาชน) ในรายงานประจาปีจามีข้อความจากผู้บริหารถึงผู้ถือหุ้น ซึ่งจะกล่าวถึงภาพรวมของธุรกิจในปีที่ผ่าน ซึ่งเรา สามารถวิเคราะห์บริหารจะได้ข้อความถึงผู้ถือหุ้น เพราะในข้อความจะแฝงซึ่งความหมายหลายๆอย่าง


45

การลงทุนในหุ้นเป็นการลงทุนในระยะยาวเพื่อให้สร้างผลตอบแทนให้มากกว่าอัตรา ดอกเบี้ยเงินฝาก เราควรหลีกเลี่ยงที่มีปัจจัยพื้นฐานอ่อนแอและควรหลีกเลี่ยงการซื้อขายหุ้นปั่น จากกระแสข่าวลือต่างๆ บริษัทที่ไม่สามารถจ่ายปันผลและมีแนวโน้มที่จะดาเนินงานขาดทุนก็ควรหลีกเลี่ยง ถึงแม้ว่าจะเป็นบริษัทที่หุ้นราคาต่ากว่ามูลค่าทางบัญชีก็ตาม

ข้อมูลสรุปข้อสนเทศบริษัทจดทะเบียนเป็นข้อมูลสรุปภาพรวมของธุรกิจซึ่งมีข้อมูล เกี่ยวกับธุรกิจว่าเขาทาอะไร มีใครเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ งบการเงินซึ่งมีทั้งงบแสดงฐานะทาง การเงิน งบกาไรขาดทุน และงบกระแสเงินสด


46

ความคิดเห็นของผู้เขียน ถึงเราจะสามารถเลือกหุ้นที่น่าสนใจแล้ว ราคาหุ้นที่เปลี่ยนไปตามสภาพของตลาด หลักการ ลงทุนที่สาคัญคือ “จงใจเย็น” ถ้าหากเป็นหุ้นชั้นเลิศและเข้าเวลาที่เหมาะสมแล้ว เมื่อเวลาเกิด วิกฤตถึงราคาจะตกก็จะตกไปไม่มาก สาหรับผมแล้วผมนิยมถือหุ้นที่มีปริมาณซื้อขายต่า (Volume) หรือเป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องใน การซื้อขายต่า ซึ่งหุ้นชนิดนี้หลายตัวเป็นหุ้นปันผลที่มากกว่า 4% ต่อปี ถึงแม้ว่าจะเกิดวิกฤตขึ้นใน ตลาดราคาของหุ้นชนิดนี้จะตกลงไม่มาก พร้อมกับรับปันผลต่อถึง ถึงบางปีปันผลอาจจะน้อยตาม สภาพเศรษฐกิจที่มีปัญหา ข้อเสียของหุ้นชนิดนี้ซื้อขายลาบาก ในบางครั้งก็อาจจะต้องขายขาดทุน ถ้าจาเป็นที่ต้องการถอนการลงทุน ในมุมมองของผมหุ้นพวกนี้เป็นหุ้นชั้นเลิศที่เจ้าของไม่อยากจะ ขายออกมา ผมขอเปรียบเทียบหุ้นที่มีการซื้อขายต่า (WACOAL) กับดัชนี (SET)

จะเห็นว่าในปี 2008(พ.ศ.2551) เกิดวิกฤตเศรษฐกิจแต่หุ้นของ WACOAL ลดลงเพียง เล็กน้อย ลดลงเพียง 10% ของราคาหุ้นเท่านั้น หุ้น WACOAL เป็นหุ้นที่จ่ายปันผลเพียงครั้งเดียว ต่อปี


47

แต่ในทางกลับกันดัชนี SET ในปี 2551 ลดลงไปถึงจุดต่าสุดถึง 49.76% นั้นหมายความว่าถ้าคุณ เข้าซื้อผิดจังหวะเวลาก็อาจทาให้เงินเกือบครึ่งหายไปกับตา คนที่น่าจะเครียดมากก็เป็นที่ใช้บัญชี มาร์จิ้น (บัญชียืมเงิน) การจัดพอร์ตเป็นความสมัครใจของแต่ละบุคคล หุ้นแต่ละตัว แต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมจะมี เอกลักษณ์ที่แตกต่างกันไป ซึ่งคุณสามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับปันผลเฉลี่ยของหุ้นแต่ละตัวได้จาก หนังสือพิมพ์ที่มีตารางหุ้น ตารางหุ้นเป็นเครื่องมือในการหาค้นหาหุ้นที่น่าสนใจ หลังจากหาหุ้นได้ แล้วผมก็จะไปดูงบการเงินย้อนหลัง สาหรับผมแล้วผมจัดพอร์ตมีหุ้นประมาณ 10 ตัว กว่าร้อยละ 40 ของพอร์ตเป็นหุ้นที่มีสภาพ คล่องต่า แต่จ่ายปันผลสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด ซึ่งเป็นเอกลักษณ์การจัดพอร์ตของผม เพราะผมดู แนวโน้มของธุรกิจจะไปได้ดีในระยะยาว ผมลงทุนทั้งในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET) และตลาดหลักทรัพย์ทางเลือก (MAI) โดยผมจะลงทุนใน SET ประมาณ 90% ของพอร์ต และใน MAI ประมาณ 10% ในตลาดทางเลือกมีหุ้นที่มีศักยภาพและมีแนวโน้มเติบโต้ในระยะยาว


48

อัตราการปันผล เป็นสิ่งที่สาคัญมากในการถือหุ้นระยะยาว เงินปันผลสิ่งที่ได้รับจากผลดาเนินงานของธุรกิจ ในเวลาที่หุ้นตกถ้าบริษัทยังมีความสามารถในการทากาไรก็ยังสามารถจ่ายปันผลได้อย่างต่อเนื่อง อัตราการปันผลขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัย 

ราคาหุ้นตอนที่เข้าซื้อ

เงินปันผลที่ได้ การพิจารณาการจ่ายปันผลของบริษัท (หน่วย : บาท) บริษัท ตัวอย่าง 1 จากัด

บริษัท ตัวอย่าง 2 จากัด

ปี

กาไรสุทธิต่อหุ้น

เงินปันผลต่อหุ้น

กาไรสุทธิต่อหุ้น

เงินปันผลต่อหุ้น

25X0

5.1

2.5

4.2

2.5

25X1

4.2

2.5

7.8

5.6

25X2

3.9

2.5

-7.5

0

25X3

4.8

2.6

6.1

1.05

25X4

5.6

2.6

-4.9

0.01

25X5

6.2

3

12.4

0.05

25X6

7.3

3.2

13.6

7

25X7

6.4

3

-8.5

0

25X8

6.5

3

-7.1

0

25X9

6.8

3.1

2.7

0

เฉลี่ย

5.68

2.8

1.88

1.62

ดูจากภาพรวมแล้วบริษัท ตัวอย่าง 1 มีความสามารถทากาไรและจ่ายปันผลได้อย่า สม่าเสมอในระยะยาว ทางเพียงสถิติการจ่ายปันผลก็สามารถให้เราสามารถหาบริษัททีดีได้ ถ้า นาย ก และ นาย ข ซื้อหุ้นบริษัทตัวอย่าง 1 ในราคา 25 และ 59 บาท ตามลาดับ โดย เฉลี่ยนาย ก จะได้เงินปันผลที่ดีกว่านาย ข ที่นาย ก เข้าซื้อที่ราคา 25 บาท --> นาย ก จะได้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ย 11.2% ต่อปี --> นาย ข จะได้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ย 4.75% ต่อปี การซื้อหุ้นได้ในราคาที่เหมาะสมก็จะสร้างผลตอบแทนได้มากกว่า


49

ธุรกิจที่ควรจะซื้อหุ้น คือธุรกิจที่ได้เปรียบในการแข่งขันในระยะยาว และมีสัดส่วนตลาดที่มากพอควร และเป็นธุรกิจที่เข้าใจได้ง่าย ดูผล ประกอบย้อนหลัง 10 ปีเพื่อดูความสามารถในการบริหารธุรกิจของ ผู้บริหาร หากธุรกิจเติบโตเราก็ได้ผลประโยชน์ด้วย

ถ้าคุณไม่สามารถทนการขาดทุนทีเ่ กิน 50% ได้ หรือไม่สามารถรอเวลาได้กไ็ ม่ควรลงทุนในตลาดหุ้น เพราะการลงทุนในหุน ้ คือการลงทุนในระยะยาว สูตรการคานวณเกี่ยวกับราคาหุ้น P/E Ratio

Price/Earnings per share คืออัตราส่วนของราคาหุ้นต่อกาไรสุทธิต่อหุ้น ใช้ในการคานวณการคืนทุนจากการลงทุน เช่น นาย ก ซื้อหุ้นที่ราคา 10 บาท และบริษัทมีกาไรสุทธิต่อหุ้น 0.5 บาท

P/E Ratio

=

10 0.5

= 20 ซึ่งมีความหมายว่าถ้าซื้อหุ้นในราคา 10 บาทในปัจจุบันจะต้องใช้เวลาอีก 20 ปี ถึงจะคืนทุน ดังนั้นการการที่ค่า P/ E มีค่ามากไม่ดี แต่ในบางครั้งค่า P/E ของบริษัทที่น้อยกว่าค่าเฉลี่ย P/E กลุ่มอุตสาหกรรมอาจจะบ่งบอก ความผิดปรกติของบริษัทได้


50

ความคิดเห็นของผู้เขียน ในความคิดของผมหุ้นที่เข้าลงทุนค่า P/E สูงไม่ควรจะสูงเกิน 30 ถ้า P/E มีค่าต่ามากๆ ก็ควร ควรไปดูข้อมูลทางการเงินในงบการเงินและหมายเหตุประกอบงบการเงิน

P/BV Ratio

Price/Book Value คืออัตราส่วนที่ใช้เปรียบเทียบราคาหุ้นกับมูลค่าตาม บัญชีต่อหุ้น (ส่วนของผู้ถือหุ้น) โดยปกติแล้วหุ้นที่มีราคาต่ากว่ามูลค่าทาง บัญชีจะเป็นหุ้นที่น่าสนใจ โดยจะมีค่า P/BV Ratio น้อยกว่า 1 เช่น นาย ก ซื้อหุ้นที่ราคา 8 บาทและมีมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้นคือ 9.5 บาท

P/BV Ratio

= =

8 9.5 0.84

แสดงว่านาย ก ซื้อหุ้นได้ในราคาถูกกล่าวมูลค่าตามบัญชีของบริษัท ในบางครั้งมูลค่าตามบัญชีก็ไม่สามารถบอกถึงมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทได้ เสมอไป เพราะธุรกิจบางอย่างมีสินทรัพย์ซ่อนเร้นที่ไม่ได้ถูกบันทึกอยู่ในงบ แสดงสถานะทางการเงิน การใช้ค่า P/BV อย่างเดียวจึงไม่เพียงพอ เราจึง ควรพิจารณาปัจจัยพื้นฐานอื่นๆ ประกอบด้วย

ROA(%)

Return On Asset คือค่าที่บ่งบอกถึงความสามารถในการสร้าง ผลตอบแทนจากทรัพย์สินที่มีอยู่ ดังนั้นการที่ค่า ROA สูงยิ่งดี ROA(%)

ROE(%)

=

กาไรสุทธิ สินทรัพย์รวม

x 100

Return On Equity คือค่าที่บ่งบอกความสามารถทากาไรจากส่วน ของผู้ถือหุ้น ซึ่งในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมจะมีค่า ROE ที่แตกต่างกัน ROE ที่ดีควรอยู่ระหว่าง 15% – 20 % ROE(%)

=

กาไรสุทธิ ส่วนของผู้ถือหุ้น

x 100


51

ความคิดเห็นของผู้เขียน การซื้อหุ้นในราคาที่ถูกกว่าความเป็นจริงมากเท่าใด แสดงว่าเรามีส่วนเผื่อความปลอดภัยมาก เท่านั้น (Margin of safety) การถูกว่าหุ้นถูกนั้นดูจากค่า Book Value เพียงอย่างเดียวไม่ เพียงพอ เพราะธุรกิจหลายอย่างมีสินทรัพย์ซ่อนเร้น ที่ไม่ได้ถูกบันทึกลงในงบแสดงฐานะทาง การเงิน การค้นข้อมูลเหล่านั้นก็จะทาให้ได้ข้อมูลที่ดีมากในการพิจารณาซื้อหุ้นของกิจการนั้นๆ

การวิเคราะห์ธุรกิจอย่างละเอียด

ลักษณะการดาเนินธุรกิจ การซื้อหุ้นก็คือการเข้ามามีส่วนร่วมในธุรกิจ มีสิทธิประโยชน์และได้รับผลประโยชน์จาก การดาเนินงานของธุรกิจตามสัดส่วนของหุ้นที่มีอยู่

อย่างแรกคุณจะต้องรู้ว่าธุรกิจนั้นทาประกอบกิจการอะไร อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมใด แล้ว มีตราสินค้าอะไร แล้วธุรกิจมีสัดส่วนตลาดมากเพียงใด ในระยะยาวแล้วบริษัทยังคงมี ความสามารถในการทากาไรหรือไม่ สินค้าที่บริษัทจาหน่ายสามารถจานวนได้ในระยะยาวหรือไม่ หรือจะมีสินค้าชนิดอื่นเข้ามาแทนที่

ธุรกิจที่เข้าใจง่ายและเป็นที่นิยมของผู้บริโภค จะสามารถสร้างกาไรได้อย่างสม่าเสมอ เช่น ธุรกิจร้านอาหาร อาหารเป็นสิ่งจาเป็นที่มนุษย์ต้องบริโภคและต้องบริโภคทุกวันเพื่อความอยู่รอด ธุรกิจเสื้อผ้า เสื้อผ้าเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ที่มนุษย์ต้องการสิ่งปกปิดร่างกาย ควรหลีกเลี่ยงที่แนวโน้ม เปลี่ยนแปลงเร็ว เช่นในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี ธุรกิจที่ ไม่สามารถปรับตัวก่อนก็จะต้องถอนตัวออกจากตลาด ธุรกิจที่เป็นเครื่องใช้ในชีวิตประจาวันหรือ เกี่ยวข้องกับปัจจัยสี่และเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพในระยะยาวซึ่งเป็นธุรกิจที่เราควรจะลงทุน


52

ธุรกิจที่เราจะลงทุนนั้นมีความโดดเด่นกว่าธุรกิจอื่นๆ ที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน ธุรกิจนั้นมี ความสามารถในการปกป้องสัดส่วนตลาดหรือป้องกันให้คู่แข่งรายใหม่เข้าในธุรกิจประเภทนี้ หรือไม่ ธุรกิจนั้นมีตราสินค้าหรือแบรนด์แข็งแรงเพียงใด ควรหลีกเลี่ยงบริษัทที่ไม่มีความแตกต่าง และไม่มีจุดแข็ง

ตัวอย่างเช่นธุรกิจการบิน โดยในระยะยาวแล้วบริษัทธุรกิจจะต้องมีการเปลี่ยนเครื่องบิน ใหม่แทนเครื่องบินลาเล่นที่หมดอายุการใช้งาน ซึ่งต้นทุนของเครื่องบินแต่ละลาก็สูง แต่ในการ แข่งขันธุรกิจผู้บริโภคต้องการของให้ค่าโดยเครื่องบินได้ต่าที่สุดเท่าที่จะเป็นธุรกิจ ธุรกิจการบิน เป็นธุรกิจที่ไม่มีความแตกต่าง

ตัวอย่างธุรกิจที่เคยมีผลประกอบการที่ดีในอดีต แต่เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ผู้บริโภค

ตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นมาหุ้น IT หรือ IT City ประกาศงดจ่ายปันผล ซึ่งเดิม IT เป็นผู้นา ด้านการขายสินค้าเทคโนโลยีซึ่งมีขายทั้งคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ คอมพิวเตอร์พกพา เครื่องพิมพ์ เอกสาร ฯลฯ แต่ปัจจุบันผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยนไปใช้แท็บเล็ตแทนการใช้งานคอมพิวเตอร์ หรือใช้ เพียงแค่โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ซึ่งบางเครื่องมีความสามารถไม่แตกต่างจากเครื่องคอมพิวเตอร์


53

ปัจจุบัน IT มีความพยายามในการปรับเปลี่ยนให้ธุรกิจดาเนินไปได้ โดยการลดขนาดพื้นที่ลงใน บางสาขา เน้นการขายเทคโนโลยีชนิดใหม่เพื่อการปรับตัวของธุรกิจ


54

ความเสี่ยง เป็นสิ่งที่พบได้ในทุกสถานที่ ในการลงทุนเองก็เช่นเดียวกัน ความเสี่ยงเกิดจากหลายๆ ปัจจัย โดยเราสามารถแบ่งความเสี่ยงของ การลงทุนได้ออกเป็น 

ความเสี่ยงโดยภาพรวม

ความเสี่ยงเฉพาะ

ดังนั้นก่อนที่เราจะตัดสินใจเราจะต้องศึกษาข้อมูล เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มความ ปลอดภัยในการลงทุน

ความเสี่ยงโดยรวม คือความเสี่ยงที่เกิดเหตุใดเหตุการณ์หนึ่งขึ้นก็จะกระทบทั้งระบบเศรษฐกิจ ซึ่งบริษัทส่วน ใหญ่ทั้งอยู่ในตลาดหลักทรัพย์และไม่อยู่ก็จะได้รับเหมือนกัน เช่น การลดอัตราดอกเบี้ย วิกฤตการณ์ทางการเงิน ความไม่สงบทางการเมือง ฯลฯ

ความเสี่ยงเฉพาะ คือความเสี่ยงเกิดขึ้นในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม หรือเฉพาะธุรกิจ ก่อนที่เราจะลงทุนเข้าซื้อ หุ้นธุรกิจใดๆ ก็ควรจะอ่านแบบ 56 – 1 เสียก่อนสาหรับบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ แนวทางในการ ป้องกันความเสี่ยงชนิดนี้คือการกระจายความเสี่ยงในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม แนวทางในการป้องกันความเสี่ยง 

คัดเลือกด้วยหุ้นด้วยตัวเอง โดยจากพิจารณาความสามารถของธุรกิจ

ลงทุนในหลายกลุ่มอุตสาหกรรมเพื่อสร้างความหลากหลายของหุ้น

เตรียมกระแสเงินสดหรือลงทุนระยะสั้นอยู่เสมอ

หลีกเลี่ยงการซื้อขายหุ้นบ่อยครั้ง เพื่อลดปริมาณค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น

หลีกเลี่ยงการซื้อขายหุ้นเพราะข่าวลืมหรือมีคนแนะนา

หลีกเลี่ยงการใช้บัญชีกู้ยืม (Credit Balance) ถึงแม้ว่าจะสร้างกาไรได้มหาศาล จากส่วนต่างของราคา ก็สามารถขาดทุนได้อย่างมหาศาลเช่นกัน


55

การซื้อขายหุน ้ ในแต่ละครั้ง จะต้องมีเหตุผลเสมอ

ส่วนเผื่อความปลอดภัย (Margin of Safety - MOS) คือการเข้าซื้อหุ้นในราคาที่ต่ากว่า มูลค่าความเป็นจริง ซึ่งจะเป็นเครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงถ้าหากเกิดวิกฤตขึ้นมา โดยการค้นหามูลค่าของธุรกิจโดยทั่วไปก็จะใช้ ค่ามูลค่าตามบัญชี (Book Value) ในการ พิจารณาการเข้าซื้อหุ้น ยิ่งเรามาสามารถซื้อหุ้นได้ต่ากว่ามูลค่าตามบัญชีได้มากเท่าไร นั้นคือความ ปลอดภัยที่เกิดขึ้น

การพิจารณาหาส่วนเผื่อความปลอดภัย 

หาบริษัทที่มีรายได้อย่างต่อเนื่อง

หาบริษัทที่มีศักยภาพในการจ่ายปันผลอย่างต่อเนื่อง

หาบริษัทที่มีตราสินค้าที่แข็งแกร่งและเป็นที่จดจาของผู้บริโภค

หาบริษัทที่สามารถเติบโตได้ในระยะยาว

หาธุรกิจที่มีเงินสดเป็นจานวนมาก

หาธุรกิจภาวะหนี้สินต่าในระยะยาว

หาธุรกิจที่มีสินทรัพย์ซ่อนเร้น ซึ่งโดยปกติแล้วจะไม่ได้ถูกบันทึกในงบการเงิน

หาธุรกิจที่ราคาหุ้นนั้นต่ากว่ามูลค่าของมัน

หาธุรกิจที่มีค่า P/E ต่ากว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม

การซื้อธุรกิจที่มีมูลค่าที่ควรจะเป็นต่อหุ้นที่ 50 บาท ด้วยราคาเพียง 20 บาทต่อหุ้นและธุรกิจ นี้สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว นับว่าเราได้ส่วนลดจากราคาตามความเป็นจริงถึง 40% ซึง่ 40% คือส่วนเผื่อความปลอดภัย


56


57

Thank You


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.