คณะกรรมการอํานวยการ นายสุริยา นายดิลก นายธีรวัจน นางสาววราภรณ นางวิจิตรา นายเมธาสิทธิ์
ชิณณะพงศ อภิรักษขิต ตุมทอง ธรรมทิพยสกุล ตะโกพร ธัญรัตนศรีสกุล
ประธานกรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการและเลขานุการ
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย เจาของ
: งานวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา
ที่ปรึกษา
โรงเรียนราชินีบูรณะ : นายสุริยา ชิณณะพงศ
บรรณาธิการ : นายเมธาสิทธิ์ ธัญรัตนศรีสกุล กองบรรณาธิการ: นางสาววรกมล วงศธรบุญรัศมิ์ นายนิสิต กําภูพงษ นางสาวกันตกมล หินทอง นายวัชรพันธ ทองจันทา สํานักงาน
นางสาวรุงนภา มีใจ : ตึกอํานวยการ โรงเรียนราชินีบรู ณะ
ผูจัดการ
9 ถนนหนาพระ ต.พระปฐมเจดีย อ.เมืองนครปฐม จ.นครปฐม 73000 : นางสาววรกมล วงศธรบุญรัศมิ์
ติดตามอานบทความไดที่ www.rn.ac.th ติดตอประสานงาน โทร 095 - 2479634 โทร 062 - 9090954
กรรมการบริหารวารสาร นายเมธาสิทธิ์ ธัญรัตนศรีสกุล นางสาววรกมล วงศธรบุญรัศมิ์ นายนิสิต กําภูพงษ นางสาวกันตกมล หินทอง นายวัชรพันธ ทองจันทา นางสาวรุงนภา มีใจ นางสาวจิตราภา ศรีเตชานุพงศ นายกฤษฎากรณ แจงสวาง นางปทมา อภิวรชัย นางสาวขวัญฤดี ไพบูลย นางสกุลรัตน พันทวีศักดิ์ นางสาวนริศรา ชยธวัช นางสาวสรัญญา ไหลสุพรรณวงค นายเขมินท อุนศิริ นายธนาวุฒศ เทศทอง นางสาววันดี พุทธคุณรักษา นางกุสมุ าลย ศรีเจริญ นายปุณณวัช ทัพธวัช นางสาวอัญชลี แสงทอง นายภัทรพล วรรณารุณ นางสุนีย แจงใจ นายวีระศักดิ์ สํานักวังชัย กรรมการที่ปรึกษา นายสุริยา ชิณณะพงศ นางวิจิตรา ตะโกพร
บทบรรณาธิการ วารสารวิชาการราชินีบูรณะวิจัย (Rachinee -burana Online Journals: RNOJ) เป น วารสาร วิชาการระดับโรงเรียน ราย 6 เดือน สําหรับปที่ 1 ฉบั บ ที่ 1 ประกอบด ว ยบทความทั้ ง สิ้ น 6 เรื่ อ ง ไดแก บทความรับเชิญ เรื่อง การพัฒ นาคุณ ภาพ การศึกษาโรงเรียนราชินี บูรณะสูมาตรฐานสากล ด ว ยการบริ ห ารงานวิ ช าการตามรู ป แบบ RNS กลาวถึงกลไกสําคัญสําหรับการบริหารงานวิชาการ ของโรงเรี ย นราชิ นี บู รณ ะ จั ง หวั ด นครปฐม บทความ วิจัย จํานวน 3 เรื่อง ไดแก เรื่องที่ 1 การ พัฒนาความสามารถการอานอยางมีวิจารณญาณ ของนั ก เรี ย นชั้ น มั ธ ยมศึ ก ษาป ที่ 3 ที่ เรี ย นโดย วิธีการสอนแบบ SQ4R ซึ่งมีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับ การประยุก ตใ ชว ิธ ีก ารสอนแบบ SQ4R ที ่มุ ง พั ฒ นาความสามารถทางการอ า นของนั ก เรี ย น เรื่ อ งที่ 2 การประยุ ก ต วิ ธี บ็ อ กซ แ ละเจนกิ น ส สําหรับพยากรณ ราคาขาวหอมมะลิ 105 เนื้อหา ของงานวิ จั ย เรื่ อ งนี้ เป น การพยาการณ ราคาข าว หอมมะลิ พันธุ 105 ที่ประยุกตจากวิธีบ็อกซและ เจนกิ น ส ซึ่ งจะเป น ประโยชน ในการวางแผนแก สถานการณ ใ นการผลิ ต ข า วและสามารถเป น ตัว อยา งในการนํ า คณิต ศาสตรไปประยุก ตใชได เป น อย า งดี เรื่ อ งที่ 3 การพั ฒ นาทั ก ษะการคิ ด วิ เคราะห แ ละผลสั ม ฤทธิ์ ท างการเรี ย นโดยใช สื่ อ ประสมเรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป ชั้นมัธยมศึกษา ป ที่ 2 เป น ผลงานที่ ใช ในการขอมี ห รือเลื่อนวิท ย ฐานะชํานาญการพิเศษ ของครูกลุมสาระการเรียนรู สังคมศึก ษา ศาสนา และวัฒ นธรรม ที่ มุงพั ฒ นา ทักษะการคิดวิเคราะหและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช สื่ อ ประสม นอกจากนี้ ยั ง มี โครงงานของ นั ก เรี ย นที่ ไ ด รั บ รางวั ล เหรี ย ญเงิ น และเหรี ย ญ ทองแดง ระดับภาคกลางและภาคตะวันออก จาก
การแข ง ขั น ศิ ล ปหั ต ถกรรมนั ก เรี ย น ครั้ ง ที่ 67 ประจําปการศึกษา 2560 จํานวน 2 เรื่อง เรื่องที่ 1 ลายทวารวดี ป ระยุ ก ต สู เครื่อ งเบญจรงค เนื้ อ หา สาระเกี่ ยวกั บ การนํ าฟ งก ชั น ทางคณิ ตศาสตรม า สรางลายทวารวดีประยุกต เพื่ออนุรักษเอกลักษณ ของลายทวารวดีในคงอยูสืบไป และเรื่องที่ 2 สูตร ความกวาง ความยาว และความสัมพันธเวียนเกิด ของกระดาษชุด A, B และ C เนื้อหาสาระเกี่ยวกับ การศึกษาความสัมพันธระหวางอัตราสวนระหวาง ความกวาง ความยาวของกระดาษชุด A, B และ C เพื่อใหเกิดสูตรความกวาง ความยาวและรูปแบบ ของความสั ม พั น ธ เ วี ย นเกิ ด ซึ่ ง สามารถนํ า ไป ประยุ ก ต ใ ช ใ นการคํ า นวณเกี่ ย วกั บ ขนาดของ กระดาษชุด A, B และ C ได จะเห็นวาเนื้อหาของ บทความมีความหลากหลายนาสนใจเหมาะสําหรับ ขาราชการครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน ทุกคน กองบรรณาธิการวารสารวิชาการราชินีบูรณะ วิ จั ย หวั งเป น อย างยิ่ งว า วารสารวิ ช าการราชิ นี บูรณะวิจัยฉบับนี้ จะเปนประโยชนสําหรับผูอาน ทุกคน ทั้งเปนแรงบันดาลใจในการมุงพัฒนาและ เผยแพรผ ลงานวิช าการให ขับ เคลื่ อนไปข างหน า อยางตอเนื่อง โดยวารสารวิชาการราชินีบูรณะวิจัย พรอมเปนสื่อกลางของแหลงขอมูลที่เปนประโยชน ทางการศึกษา รวบรวมองคความรูที่หลากหลาย ขอขอบคุ ณ ท านผู อ านทุ ก ท านที่ ได ให ค วาม สนใจ และติดตามวารสารวิชาการราชินีบูรณะวิจัย เปนอยางดี พบกันใหมฉบับหนา
(นายเมธาสิทธิ์ ธัญรัตนศรีสกุล) บรรณาธิการ
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 1
การพัฒนาคุณภาพการศึกษาโรงเรียนราชินีบูรณะสูมาตรฐานสากล ดวยการบริหารงานวิชาการตามรูปแบบ RNS วิจิตรา ตะโกพร*1 กลุมบริหารงานวิชาการ โรงเรียนราชินีบูรณะ 9 ถนนหนาพระ อําเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม 73000 Wichittra Tagoporn* Academic Administration, Rachineeburana School 9, Nhapha Street, Meang Nakhon Pathom District, Nakhon Pathom Province, 73000 1. บทนํา โรงเรียนราชินีบูรณะ เปนโรงเรียนสตรีประจําจังหวัดนครปฐม ตั้งอยูเลขที่ 9 ถนนหนาพระ ตําบล พระปฐมเจดีย อําเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม รหัสไปรษณีย 73000 โทรศัพท 034-258345 โทรสาร 034-258456 สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 9 เปดสอนนักเรียนหญิงลวนตั้งแตระดับชั้น มัธยมศึกษาปที่ 1 ถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 โดยเปดรับนักเรียนทั้งในเขตพื้นที่บริการและนักเรียนทั่วไป โรงเรีย นจัด ตั้งขึ้น เมื่อ วัน ที่ 10 มิถุน ายน พ.ศ. 2462 โดยพระราชปณิธ านของสมเด็จ พระศรีพัช ริน ทรา บรมราชินี นาถ(พระพัน ปห ลวง) ผูพระราชทานกําเนิ ดโรงเรีย นราชินี บูรณะ ที่สงเสริมความเปน กุลสตรีที่มี ความรู ความสามารถทางวิชาการ มีความเปนไทย และมีความชํานาญในงานฝมือ มีความสามารถชวยเหลือ ตนเองและส ว นรวม นั บ เป น พระมหากรุ ณ าธิ คุ ณ เป น ล น พ น และเป น ศิริ ม งคลของคณะครู แ ละบุ ค ลากร ตลอดจนนักเรียนตั้งแตอดีตจนถึงปจจุบัน ตลอดระยะเวลาเกือบศตวรรษที่ผานมา โรงเรียนไดสั่งสมประสบการณการจัดการศึกษา สรางกุลธิดา ให เป น คนดี คนเกง และอยู ในสั งคมได อย างมี ความสุ ข ด วยผู บ ริ ห ารและครู ที่มี ความมุงมั่น ในการพั ฒ นา โรงเรียน มีจิตสํานึก ยึดมั่นในอุดมการณของความเปนครู มีความรักความเมตตาและตั้งใจอบรมสั่งสอนศิษย ดังบุตรของตนเอง กลายเปนวัฒนธรรมที่ครูและบุคลากรทางการศึกษาถือปฏิบัติ โรงเรียนจึงไดรับการยอมรับ และเปนที่ไววางใจตอผูปกครองและชุมชนในจังหวัดนครปฐมและจังหวัดใกลเคียงตลอดมา รวมทั้งไดรับการ คัดเลือกใหเขารวมโครงการโรงเรียนมาตรฐานสากล (World Class Standard School) ตั้งแตป พ.ศ. 2552 ปจจุบันโรงเรียนราชินีบูรณะใชหลักสูตรสถานศึกษามาตรฐานสากลโรงเรียนราชินีบูรณะ พุทธศักราช 2553 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 สําหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาตอนตนและมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยระดับมัธยมศึกษาตอนตนประกอบดวย โครงสรางที่ 1 หองเรียนพิเศษวิทยาศาสตรตามแนวทาง สสวท. (Smart Class) โครงสรางที่ 2 หองเรียนสําหรับนักเรียนที่มี ความสามารถดานวิทยาศาสตร-คณิตศาสตร และโครงสรางที่ 3 หองเรียนสําหรับนักเรียนทั่วไปสวนในระดับ *
ผูรับผิดชอบบทความ : vi_gi_tar@hotmail.com
บทความรับเชิญ
DOI: 10.14456/rnoj.2018.1 วิจิตรา ตะโกพร
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 2
มัธยมศึกษาตอนปลาย ประกอบดวย โครงสรางที่ 1 แผนการเรียนสําหรับนักเรียนหองเรียนพิเศษวิทยาศาสตร คณิตศาสตร เทคโนโลยีและสิ่งแวดลอม โดยใชหลักสูตรตามแนวทาง สสวท. ในสังกัด สพฐ. โครงสรางที่ 2 แผนการเรียนวิทยาศาสตร-คณิตศาสตร โครงสรางที่ 3 แผนการเรียนดานภาษา (ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน ภาษาจีน ภาษาญี่ปุน และภาษาเกาหลี) โครงสรางที่ 4 แผนการเรียนทางดานคหกรรม การจัดการเรียนการสอนโรงเรียนจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน และหลักสูตรโรงเรียนราชินีบูรณะตามโครงการโรงเรียนมาตรฐานสากล โดยจัดการเรียนการสอนเพิ่มเติม ในรายวิช าการศึกษาคนควาและสรางองคความรู (IS1) การสื่ อสารและการนํ าเสนอ (IS2) การจัด กิจกรรม บริการสังคม (IS3) บูรณาการการเรียนรูหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง การจัดการเรียนการสอนบูรณาการ อาเซียน มีการจัด สาระการเรีย นรูเพิ่มเติมอาเซีย นศึกษาในกลุ มสาระการเรียนรูสั งคมศึกษา ศาสนา และ วัฒนธรรม และบูรณาการทุกกลุมสาระการเรียนรู การจัดการเรียนการสอนรายวิชาเพิ่มเติมทองถิ่นวัฒนธรรม ทวารวดี “ภูมิทัศน วัฒนธรรม ทวารวดี” การจัดการเรียนการสอนการอนุรักษลายทวารวดีและการสรางสรรค ผาลายทวารวดี จนไดรับลิขสิทธิ์ลายผาทวารวดี 12 ลาย การจัดการเรียนการสอนคหกรรม สําหรับนักเรียน ในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนตนเปดเปนรายวิชาเพิ่มเติมใหนักเรียนเลือกเรียนตามความถนัดและความสนใจ สวนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายเปดเปนแผนการเรียนคหกรรม โรงเรียนจัดการเรียนการสอนและบริการอื่นๆ เพื่อใหการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรโรงเรียนมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลตามสาระ มาตรฐาน การเรียนรู ตัวชี้วัด และศักยภาพของนักเรียน ประกอบดวย ระบบการดูแลชวยเหลือนักเรียน ระบบดูแลรักษา ความปลอดภัย ระบบแนะแนวการศึกษา นอกจากนี้ยังมีศูนยการเรียนรูตามกลุมสาระการเรียนรูทุกกลุมสาระ ศูนยอาเซียน มีบริการหองสมุด ศูนยการเรียนรูทางดานภาษา เปนตน 2. การบริหารงานวิชาการดวยรูปแบบการบริหาร RNS 2.1 ความทาทาย การดําเนินงานพัฒนาคุณภาพการศึกษา โรงเรียนราชินีบูรณะมีรูปแบบการบริหารงานวิชาการ สูก ารเปน องคก รคุณภาพของโรงเรียนราชินีบู รณะดวยรูป แบบ RNS (Rachineeburana School Model) สําหรับเปนทิศทางในการบริหารการจัดการศึกษาภายในโรงเรียนอยางเปนระบบ โดยรูปแบบ RNS เปนระบบ คุณ ภาพที่ ครู และบุ คลากรทางการศึกษาถือปฏิ บั ติ ร วมกัน เพื่อการพั ฒ นาโรงเรีย นตามระบบคุณ ภาพของ โรงเรียนมาตรฐานสากลสูความเปนองคกรคุณภาพ โดยบริบทเชิงกลยุทธ โรงเรียนราชินีบูรณะมีความทาทาย และไดเปรียบเชิงกลยุทธที่สําคัญ จากการจัดทํา SWOT Analysis สภาพแวดลอมภายนอกและภายในของ โรงเรียนพบวาความทาทายและความไดเปรียบเชิงกลยุทธของโรงเรียนราชินีบูรณะ มีดังตอไปนี้ 1. ความทาทายดานการศึกษา มีการพัฒนาหลักสูตรของโรงเรียนอยางตอเนื่องใหสอดคลองกับ วิสัยทัศน พันธกิจของโรงเรียน ทําใหนักเรียนมีคุณลักษณะตามที่พึงประสงค และจะพัฒนาคุณภาพเพื่อใหผาน การประเมินจาก สมศ. รอบที่สี่ ในระดับดีเยี่ยมทุกตัวชี้วัด และเขาสูการแขงขันในระดับนานาชาติ 2. ความทาทายดานการปฏิบัติการ การปรับระบบการบริหารจัดการองคกรยุคใหม ที่คลองตัว มีสมรรถนะสูง ในขณะเดียวกันตองมีความเปนธรรมาภิบาล และมีการสนับสนุนขอมูลบนเครือขายสื่อสาร ที่ตอบสนองการปฏิบัติงานของทุกฝาย บทความรับเชิญ
วิจิตรา ตะโกพร
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 3
3. ความทาทายดานความรับผิดชอบตอสังคม พัฒนานักเรียนใหเปนประชากรที่มีประสิทธิภาพ พรอมในการแขงขันกับประชากรในอาเซียน ปฏิบัติตนเปนตัวอยางที่ดี มีการเขารวมกิจกรรมวันสําคัญตางๆ ตามประเพณีวัฒนธรรมทองถิ่น การปฏิบัติกิจกรรมสาธารณประโยชนตอทองถิ่น ชุมชน และสังคม 4. ความทาทายดานความยั่งยืนขององคกร ภาวะการแขงขันในการรับนักเรียนและการผลิต นักเรียนในสถาบันอื่นๆ เริ่มมีมากขึ้น ทําใหเกิดการแขงขันในดานการรับนักเรียน สงผลใหโรงเรียนมีการพัฒนา องคกรใหมีคุณภาพอยางตอเนื่อง 2.2 ความไดเปรียบเชิงกลยุทธ 1. ความไดเปรียบเชิงกลยุทธที่สําคัญดานการศึกษา บุคลากร ครู มีความรู ความสามารถ เปน ครูดีในดวงใจ หนึ่งแสนครูดี มีหลักสูตรสถานศึกษาสอดคลองกับกระทรวงศึกษาธิการ นโยบายรัฐบาล และ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแหงชาติ จนทําใหโรงเรียนไดรับการประกันคุณภาพจาก สมศ. รอบสาม อยูใน ระดับดีเยี่ยมและดีมาก มีการสงเสริมการจัดการเรียนการสอนโดยใชเทคโนโลยีใหมๆ ระบบสารสนเทศเพื่อ สนับสนุนประสิทธิภาพการเรียนการสอน มีความตั้งใจที่จะพัฒนาไปสูระบบการเรียนการสอนอิเล็กทรอนิกส แบบบูรณาการ พัฒ นาให เต็มรูปแบบและเป น Multimedia มากขึ้น เพื่อยกระดั บคะแนนเฉลี่ ยผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน (O-NET) ใหเปนไปตามเปาหมายที่วางไว และสามารถพัฒนาไปสูองคกรแหงการเรียนรูตอไปใน อนาคต 2. ความไดเปรียบเชิงกลยุทธดานกระบวนการ ผูบริหารมีรูปแบบการบริห ารที่ชัดเจน ตาม รู ป แบบ RNS มี ก ารใช ร ะบบ E-Office ทํ า ให คุ น เคยกั บ การปฏิ บั ติ ง านโดยมี IT เป น ฐานสนั บ สนุ น การ ปฏิบัติงานประจํา โรงเรียนมีการใชวงจรคุณ ภาพ PDCA ในทุกระบบ มีครูผูเชี่ยวชาญ ชํานาญในการสอน โรงเรียนราชินีบูรณะมีโครงสรางการบริหารงานและบุคลากรรับผิดชอบที่ชัดเจน มีการจัดทําระบบสารสนเทศ ฐานขอมูลผานระบบอินเทอรเน็ต ทําใหเขาถึงขอมูลไดงายสามารถนํามาใชในการวางแผนในการดําเนินงาน ไดอยางมีประสิทธิภาพ 3. ความไดเปรียบเชิงกลยุทธดานความรับผิดชอบตอสังคม โรงเรียนรับผิดชอบนักเรียนโดยมี นโยบายใหจบหลักสูตรอยางมีคุณภาพทุกคน ทําใหชุมชนใหความไววางใจและเกิดความศรัทธาในการสงบุตร หลานเขาเรียนตอ โรงเรียนมีสื่อ วัสดุอุปกรณ เทคโนโลยี ที่พรอมและพอเพียงสําหรับการจัดการเรียนรู มีทําเล ที่ตั้งใกลชุมชนเมือง การเดินทางสะดวก และใหบริการดานบุคลากรและอาคารสถานที่แกหนวยงานและชุมชน ตางๆ อยางสม่ําเสมอ และโรงเรีย นเปน ศูน ยทางวิช าการ เชน ศูน ยคณิต ศาสตร ศูนยภ าษาฝรั่งเศส ศูน ย แนะแนว ของจังหวัดนครปฐม ศูนยอาเซียนของสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 9 4. ความไดเปรียบดานความยั่งยืนขององคกร ชื่อเสียง เกียรติภูมิของสถาบันที่สั่งสมผานผล การปฏิบัติงาน/ผลงานของศิษยเกาและศิษยปจจุบัน ทําใหเกิดมาตรฐานในการผลิตนักเรียน รวมถึงผลงาน และบริการอื่นๆ ของโรงเรียนที่ตองรักษาและพัฒ นามาตรฐานเหลานั้น รวมทั้งมีบุคลากรที่มีองคความรูใน สาขาวิชาการ/วิชาชีพ ที่มุงมั่นในความสําเร็จขององคกร ทําใหโรงเรียนไดรับรางวัลองคกรระดับประเทศ เชน รางวัลโรงเรียนพระราชทาน โรงเรียนอนุรักษวัฒนธรรมยอดเยี่ยมของกระทรวงศึกษาธิการ โรงเรียนที่มีการ
บทความรับเชิญ
วิจิตรา ตะโกพร
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 4
พัฒนาคุณภาพการศึกษายอดเยี่ยม (กลุมสาระการเรียนรูภาษาไทย) รางวัลสถานศึกษาที่มีผลการสอบ O-NET สูงกวาคะแนนเฉลี่ยระดับประเทศใน 5 กลุมสาระการเรียนรู เปนตน 2.3 ระบบการปรับปรุงผลการดําเนินงาน โรงเรียนราชินีบูรณะ มีการพัฒนาระบบและกลไกคุณภาพการศึกษาเพื่อความสําเร็จของการเปน องคกรที่มีคุณภาพ ไดใชการปรับปรุงผลการดําเนินการ ดังนี้ 1. ดําเนินงานตามกรอบระบบการประกันคุณภาพการศึกษา ซึ่งมีตัวชี้วัดผลการดําเนินงานใน ดานตางๆ ทั้งในมิติเชิงปริมาณและมิติเชิงกระบวนการ 2. ดําเนิ น งานภายใต น โยบายด านบริห ารจั ดการของโรงเรียน (การจั ด โครงสรางองคกร การ กําหนดสัดสวนงบบุคลากร ฯลฯ) ซึ่งทําใหตองมีการใชเครื่องมือในการบริหาร เขามาใชในการปรับปรุงพัฒนา องคกรอยางตอเนื่องสม่ําเสมอ รวมถึงการแสวงหาทรัพยากร ระบบงาน/ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศใหมๆ ที่สามารถตอบสนองการทํางานใหสามารถตอบสนองผูรับบริการทุกกลุม ทั้งภายในและภายนอก โรงเรียนมี การถายทอดองค ความรู จ ากบุ คลากรรุ น เกาที่เกษี ย ณสู บุ คลากรรุ น ใหม มีร ะบบ Peer Coaching ในการ พัฒนาการเรียนการสอนดวยการนิเทศแบบกัลยาณมิตร มีการใชการวิจัยเปนฐานในการพัฒนาสนับสนุนใหมี การวิจัยเพื่อพัฒนาสูความเปนเลิศในศาสตรซึ่งสอดคลองกับวิชาชีพและยั่งยืน มีการแสวงหาทรัพยากรและ ความรวมมือจากภาครัฐและเอกชนเพื่อเพิ่มศักยภาพการเรียนการสอนและการวิจัย 3. พัฒนาบุคลากรที่มีอยูใหสามารถปฏิบัตงิ านไดอยางมีประสิทธิภาพ สอดคลองกับสภาวการณ ปจจุบันและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น โดยโรงเรียนไดจัดทําแผนพัฒนาบุคลากรเพื่อเขาสูตําแหนงตางๆ ไว โรงเรียนไดมีแนวทางและวิธีการในกระบวนการเรียนรูและการแลกเปลี่ยนเรียนรูโดยจัดใหมีการสัมมนาเพื่อ แลกเปลี่ยนเรียนรูในสาระความรูใหมๆ ที่เกี่ยวของกับการปฏิบัติงานของหนวยงานตางๆ ภายในหนวยงาน นั้นเอง และของโรงเรียน 4. โรงเรียนพัฒนาระบบการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนสูมาตรฐานสากล โดยใชรูปแบบ RNS เปน เครื่องมือ รูปแบบ RNS เปนรูปแบบการบริหารสูโรงเรียนที่เปนเลิศของโรงเรียนราชินีบูรณะ ฐานคิดจากการ บริหารโดยใชโรงเรียนเปนฐาน การบริห ารแบบมุงผลสัมฤทธิ์ และหลักการ NJIRAPOR ตามวงจรคุณภาพ PDCA องคประกอบของรูปแบบ ดังภาพที่ 1 รูป แบบ RNS (Rachineeburana School Model) เป น นวั ต กรรมการบริ ห ารจั ด การที่ มี ก าร มอบอํานาจใหผูใตบังคับบัญชาปฏิบัติหนาที่ตามภาระงาน เปนการกระจายอํานาจตามลําดับความรับผิดชอบ ไปสูบุคลากรเปาหมายโดยอาศัยหลักธรรมาภิบาล (Good Governance) ไดแก หลักนิติธรรม หลักคุณธรรม หลักความโปรงใส หลักการมีสวนรวม หลักความรับผิดชอบ หลักความคุมคา (สํานักนายกรัฐมนตรี: ระเบียบ วาดวยการสรางระบบบริห ารกิจการบานเมือง พ.ศ. 2542) หลักการของการใชโรงเรียนเปนฐาน (School Based Management: SBM) หลั ก การบริ ห ารแบบมุ ง ผลสั ม ฤทธิ์ (Result Based Management: RBM) และฝายบริหารโดยผูอํานวยการตองการใหบุคลากรในโรงเรียนยึดมั่นในคานิยมของโรงเรียนจึงพัฒนาระบบ การบริ ห ารงานโรงเรี ย นราชิ นี บู ร ณะโดยใช ห ลั ก การ NJIRAPOR MODEL ประกอบด ว ย N=Network, J=Justice, I=Integrate, R=Rescue , A=Attitude, P=Process, O=Organize และ R=Research เปนการ บทความรับเชิญ
วิจิตรา ตะโกพร
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 5
บริหารงานที่ยึดหลักความยุติธรรม สงเสริมการบู รณาการทองถิ่น บุคลากรในโรงเรียนชวยเหลือเกิดความ รวมมือและสามัคคี มีการหลอมรวมทัศนคติของบุคลากรตามคานิยมของโรงเรียน มีกระบวนการทํางานโดยใช รูปแบบ RNS ตามวงจรคุณภาพ PDCA มีการจัดระบบองคกรแบงการทํางานเปน 5 ฝาย ไดแก กลุมบริหาร ทั่วไป กลุมบริหารงานบุคคล กลุมบริหารงานวิชาการ กลุมบริหารงบประมาณ และกลุมนโยบาย แผน และ วิจัย มีการพัฒนางานทุกองคกรโดยใชผลจากการวิจัย (Research Based) และมีการใชระบบเครือขายในการ บริหารงานทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน
RNS Model towards Excellence Organization School Based Management
NJIRAPOR Principle
Good governance
Result Based Management
ภาพที่ 1 RNS Model towards Excellence Organization รูปแบบ RNS เปนรูปแบบการบริหารสูโรงเรียนที่เปนเลิศของโรงเรียนราชินีบูรณะ มีองคประกอบของ รูปแบบ ดังนี้ R-Research for Needs: การคนหาความตองการจําเปนของโรงเรียนเพื่อนําไปสูการพัฒนา R 1.1 วินิจฉัยปญหา (Diagnose Problem: D) เปนการสํารวจปญหาและความตองการจําเปน ของโรงเรียนที่ตองการพัฒนา บทความรับเชิญ
วิจิตรา ตะโกพร
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 6
R 1.2 สืบคนขอมูล (Inquiring Information: I) สืบคนขอมูลและใชขอมูลสารสนเทศเพื่อเปน ขอมูลของปญหาที่เกิดขึ้น และเปนแนวทางในการดําเนินงานตอ R 1.3 การแกปญหา (Problem Solving: P) ศึกษาวิธีการแกปญหา หรือสนองความตองการ และสรุปวิธีแกปญหา R 1.4 โครงการพัฒ นา (Project Policy: P) จัดทําโครงการและดําเนินการตามโครงการเพื่อ การพัฒนา N-Network to Development: ดําเนินการพัฒนาเพื่อมุงสูความเปนเลิศ N 1.1 ชุ ม ชนแห ง การเรี ย นรู (Professional Learning Community: P) ใช ชุ ม ชนแห ง การ เรียนรูเพื่อพัฒนางาน และสรางเครือขาย N 1.2 การสรางความสัมพันธ (Building Relationships: B) มีการสรางความสัมพันธภายนอก และภายในโรงเรียนเพื่อการพัฒนา N 1.3 การพัฒนาบุคลากร (Personnel Development: P) มีการใหความรูบุคลากร และพัฒนา บุคลากรเพื่อความสําเร็จ N 1.4 การสงเสริมความเปนเลิศ (Toward Excellence: T) มีกระบวนการ กลยุทธ ที่สงเสริม สนับสนุนความเปนเลิศของโรงเรียน S-Summary for Excellence: การสรุปเพื่อการเปนเลิศ หรือวิธีปฏิบัติที่เปนเลิศของโรงเรียน S 1.1 ตรวจสอบผลการดําเนินงาน (Check Performance: C) มีการประเมินผลการปฏิบัติงาน อยางตอเนื่อง มีการนิเทศติดตามการดําเนินงาน S 1.2 การรายงานผลลัพธ (Result Reporting: R) มีการรายงานผลความสําเร็จ ปญหา อุปสรรค S 1.3 การปรับปรุงการดําเนินงาน (Performance Improvement: P) นําผลที่ไดมาปรับปรุง การดําเนินงาน มีการดําเนินการ AAR (After Action Review) S 1.4 การนําเสนอผลงาน (Success Exhibition: S) นําเสนอเผยแพรผลงานสูสาธารณชน คณะกรรมการบริหารงานวิชาการใชรูปแบบ RNS ในการบริหารงานเพื่อใหโรงเรียนบรรลุเปาประสงค การพัฒนาคุณภาพการศึกษาตามที่กําหนด โดยการชี้แจงในที่ประชุมครูใหเขาใจระบบการบริหารงาน และการ นําสูการปฏิบัติของบุคลากรทุกคนในการนําไปบริหารจัดการหนวยงานของตนเอง มีการติดตามการใชรูปแบบ RNS และมีการนําเสนอผลการใชรูปแบบ มีการนิเทศติดตามโดยคณะกรรมการนิเทศคุณภาพการศึกษาของ โรงเรียน และสรุปถอดบทเรียนของแตละหนวยงานที่ประสบความสําเร็จในการใชรูปแบบเพื่อเปนคลังความรู ของโรงเรี ย นเพื่ อ ให บุ คลากรในโรงเรี ย นได นํ ารู ป แบบนี้ ไปพั ฒ นาการบริ ห ารจั ด การงานของตน ส งผลให หนวยงานในโรงเรียนเปนหนวยงานที่มีการดําเนินงานอยางมีคุณภาพ ผานเกณฑการประเมินคุณภาพของ องคกรที่จัดประกวดและไดรับรางวัลอยางตอเนื่อง และสามารถสรุปกระบวนการทํางานของบุคลากรโรงเรียน ราชินีบูรณะ ไดดังภาพที่ 2
บทความรับเชิญ
วิจิตรา ตะโกพร
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 7
สรุปกระบวนการทํางานของบุคลากรโรงเรียนราชินีบูรณะ Plan การวางแผน การคนหาความตองการจําเปนของโรงเรียนเพื่อนําไปสูการพัฒนา (R-Research for Needs) วินิจฉัยปญหา เปนการ สํารวจปญหาและความตองการจําเปนของโรงเรียนที่ตองการพัฒนา สืบคนขอมูลและใชขอมูลสารสนเทศเพื่อเปน ขอมูลของปญหาที่เกิดขึ้น และเปนแนวทางในการดําเนินงานตอวางแผนโดยอาศัยขอมูล การแกปญหา ศึกษาวิธีการ แกป ญ หา หรือสนองความตองการและสรุป วิธีแกป ญ หา รวมกํ าหนดเปาหมาย ตั้งวัต ถุป ระสงค โครงการพัฒ นา กําหนดขั้นตอนกรอบเวลา จัดทําโครงการ และ ดําเนินการตามโครงการเพื่อการพัฒนา และแตงตั้งผูรับผิดชอบโดยใช แนวคิดของวงจรคุณภาพ Do การปฏิบัติตามขั้นตอน ดําเนินการพัฒนาเพื่อมุงสูความเปนเลิศ (N- Network to Development) ตามกระบวนการที่วางไว โดยใชชุมชน แหงการเรียนรูเพื่อพัฒนางานและสรางเครือขาย การสรางความสัมพันธ มีการสรางความสัมพันธภายนอก และภายใน โรงเรียนเพื่อการพัฒนาการพัฒนาบุคลากร มีการใหความรูบุคลากร และพัฒนาบุคลากรเพื่อความสําเร็จ การสงเสริม ความเปนเลิศ มีกระบวนการที่สงเสริม สนับสนุนความเปนเลิศตามกลยุทธที่สงเสริมความเปนเลิศของโรงเรียน เพื่อให การปฏิบัติเปนไปตามกระบวนการทํางานที่วางไว ไดจัดทําคูมือ แนวปฏิบัติมาตรฐานงาน แผนการจัดการเรียนรู คําสั่ง โดยกําหนดความรับผิดชอบของบุคคลที่เกี่ยวของมีการกระทําตามที่กําหนดไว
Check การตรวจสอบผลการดําเนินงาน ตรวจสอบผลการดําเนินงาน (Summary1 for Excellence) มีการประเมินผลการปฏิบัติงานอยางตอเนื่อง มีการ นิเทศติดตามการดําเนินงานเพื่อตรวจสอบผลการดําเนินงาน การรายงานผลลัพธ มีการรายงานผลความสําเร็จ ปญหา อุปสรรค มีการประเมินผลลัพธในแตละระบบ มีการวิเคราะหความตองการ ความคาดหวังจากนักเรียน ผูปกครอง และ ผูมีสวนไดสวนเสียในทุกดาน นําผลการปฏิบัติ ปญหา อุปสรรค ขอเสนอแนะ มีการ After Action Review เขาสู ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารโรงเรียนและหนวยงานที่เกี่ยวของ การสรุปวิธีปฏิบัติที่เปนเลิศของโรงเรียน
Act การปรับปรุงแกไข การปรับปรุงการดําเนินงาน (Summary2 for Excellence) การปรับปรุงแกไขสวนที่มีปญหา นําผลที่ไดจากการ ดําเนินงานและการแลกเปลี่ยนเรียนรูในบทเรียนที่ได มาปรับปรุงการดําเนินงาน มีการ After Action Review ใน ทุกฝายขององคกร ยึดหลักความสอดคลองระหวางแนวทางกับความจําเปนขององคกร โดยบูรณาการระหวางตัววัด สารสนเทศและระบบการปรับปรุงเสริมซึ่งกันและกันระหวางกระบวนการและหนวยงาน และสรางความสอดคลอง ระหวางกระบวนการและการปฏิบัติการทั่วทั้งองคกรเพื่อใหบรรลุเปาประสงคระดับองคกรที่สําคัญ สรุปบทเรียนที่ได ถาประสบผลสําเร็จนําไปใชในการทํางานครั้งตอไป นําเสนอผลงานความสําเร็จสูสาธารณชนเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรูและ การนําไปใช
ภาพที่ 2 กระบวนการทํางานของบุคลากรโรงเรียนราชินีบูรณะ บทความรับเชิญ
วิจิตรา ตะโกพร
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 8
การพัฒนาความสามารถการอานอยางมีวิจารณญาณของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 ที่เรียนโดยวิธีสอนแบบ SQ4R A Development of Critical Reading Ability of Mathayomsuksa 3 Students Taught by SQ4R Teaching Method สิริพร รัตนมุง*1 กลุมสาระการเรียนรูภาษาไทย โรงเรียนราชินีบูรณะ 9 ถนนหนาพระ อําเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม 73000 Siriporn Ruttanamung* Department of Thai Language, Rachineeburana School 9, Nhapha Street, Meang Nakhon Pathom District, Nakhon Pathom Province, 7300 บทคัดยอ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงคเพื่อ 1) พัฒนาความสามารถการอานอยางมีวิจารณญาณ ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปที่ 3 ที่จัดการเรียนรูโดยวิธีสอนแบบ SQ4R 2) ศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนที่มีตอการจัดการ เรียนรูโดยใชวิธีสอนแบบ SQ4R กลุมตัวอยางที่ใชในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3/8 โรงเรียน ราชินีบูรณะ จังหวัดนครปฐม จํานวน 46 คน งานวิจัยครั้งนี้เปนการวิจัยกอนทดลอง (Pre-Experimental Design) โดยใชแบบแผนการวิจัยแบบกลุมเดียวสอบกอนและสอบหลังการทดลอง (One Group Pretest Posttest Design) เครื่องมือที่ใชในการวิจัย คือ แผนการจัดการเรียนรู เรื่อง การอานอยางมีวิจารณญาณ แบบทดสอบวัดความสามารถการอานอยางมีวิจารณญาณ และแบบสอบถามความคิดเห็นที่มีตอการจัดการ เรียนรูโดยวิธีสอนแบบ SQ4R การวิเคราะหขอมูลใชคาเฉลี่ย สวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบคาที แบบไมเปนอิสระตอกัน (t – test dependent) ผลการวิจัยพบวา 1) ความสามารถในการอานอยางมีวิจารณญาณของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 ที่เรียนโดยวิธีสอนแบบ SQ4R หลังเรียนสูงกวากอนเรียนอยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ.05 2) ความคิดเห็น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 ที่มีตอการจัดการเรียนรูโดยวิธีสอนแบบ SQ4R โดยภาพรวมอยูในระดับมาก คําสําคัญ : การอานอยางมีวิจารณญาณ วิธีสอนแบบ SQ4R Abstract The purposes of this research were to : 1) compare critical reading ability of mathayomsuksa 3 students taught by SQ4R teaching method of pretest and posttest, and 2) study *1ผูรับผิดชอบบทความ
: Monaliza_za_za@hotmail.com
การพัฒนาความสามารถการอานอยางมีวิจารณญาณฯ
DOI: 10.14456/rnoj.2018.2 สิริพร รัตนมุง
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 9
mathayomsuksa 3 students’ opinions towards learning taught by SQ4R teaching method. The samples were 46 mathayomsuksa 3 students of Rachineeburana School in Nakhon Pathom. The pre-experimental design was one group pretest - posttest design. The research instruments were lesson plan of the critical reading ability of mathayomsuksa 3 students taught by SQ4R teaching method, comprehensive test for critical reading ability of mathayomsuksa 3 students taught by SQ4R teaching method and a questionnaire for mathayomsuksa 3 students taught by SQ4R teaching method. The data were analyzed by mean, standard deviation and t-test dependent. The results of this research were as follow: 1) The posttest critical reading ability of mathayomsuksa 3 students taught by SQ4R teaching method was higher than the pretest, there was statistically significant at .05 level and 2) The mathayomsuksa 3 students’ opinions towards learning taught by SQ4R teaching method were at high level. Keywords: critical reading ability, SQ4R teaching. 1. บทนํา การอานเปนทักษะพื้นฐานทางภาษาและการสื่อสารที่จําเปน เพราะการอานเปนเครื่องมือในการรับรู และแสวงหาความรู หรื อเป น บ อเกิด แห งป ญ ญา ผู ที่มีทักษะในการอานที่ดี ย อมมีโอกาสในการเรีย นรูที่ มี คุณภาพมากกวาผูที่ขาดทักษะในการอาน ดังที่ดนยา วงศธนะชัย (2542) ไดกลาววา “การอานเปนเครื่องมือ สําคัญที่จะชวยใหเรามีโอกาสไดศึกษาตลอดชีวิตและนําไปสูการพัฒ นาคุณภาพชีวิตในที่สุด” สอดคลองกับ นภดล จันทรเพ็ญ (2535) ไดกลาวไววา “การอานมีความสําคัญตอมนุษยอยางยิ่ง โดยเฉพาะในยุคปจจุบัน มีหนังสือใหเลือกอานมากมาย การอานชวยใหเราสามารถหาความรู ความบันเทิง สรางเสริมประสบการณ ที่เปนประโยชนแกชีวิตทั้งการศึกษาอาชีพการงานและการอยูรวมกับผูอื่นในสังคม” ดังนั้น การอานจึงเปน ทักษะพื้นฐานในการแสวงหาความรู และชวยพัฒนาสติปญญาใหแตกฉาน การอานสารประเภทตางๆ มีจุดมุงหมายที่ตางกัน ดังที่สุวัฒน วิวัฒนานนท (2550) กลาววา การอาน มีจุดมุงหมายเพื่อรับการถายทอด เปนสื่อความคิด เจตนา หรือ การทําความเขาใจใหมีความรู ความบันเทิง เกิดการพักผอน พัฒนาปรับเปลี่ยนบุคลิกภาพและใชเวลาวางใหเกิดประโยชน ซึ่งมีแนวความคิดตรงกับณภัทร เทพพรรธนะ (2541) ที่กลาวถึงการอานเพื่อความคิด ไดแก การอานขอความประเภทที่แสดงทรรศนะ เชน บทความ บทวิ จ ารณ การวิ จั ย ฯลฯ การอานในลั กษณะนี้ เป น การอานแนวความคิด ของผู เขี ย น เพื่ อเป น แนวทางความคิดของตนเองและอาจนํามาเปนแนวทางปฏิบัติในการดําเนินชีวิตหรือแกไขปญหาตางๆ ในชีวิต ผูอานจะตองมีวิจารณญาณในการเลือกนําความคิดที่ไดอานมาใชใหเปนประโยชน และเพื่อใหการอานเกิด ประสิทธิภาพ ผูอานจึงจําเปนตองมีจุดมุงหมายในการอาน และใชวิจารณญาณในการอาน การอานอยางมีวิจารณญาณ มีความสํา คัญอยางยิ่งกับ บุคคลทุกเพศ ทุกวัย ทุกอาชีพ โดยเฉพาะ นักเรียนซึ่งเปนเยาวชนของชาติ โดยเฉพาะนักเรียนที่จบชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 ซึ่งเปนการศึกษาภาคบังคับนั้น การพัฒนาความสามารถการอานอยางมีวิจารณญาณฯ
สิริพร รัตนมุง
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 10
หากขาดการฝกฝนทักษะการอานอยางมีวิจารณญาณจะสงผลใหนักเรียนขาดทักษะในการดํารงชีวิต เพราะ การอานอยางมีวิจารณญาณ จะชวยใหนักเรียนรูจักทําความเขาใจ นําไปใช วิเคราะห สังเคราะห ประเมินคา ตัดสินใจไดอยางเหมาะสม สมเหตุสมผล แมหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานจะใหความสําคัญกับการสอนอาน โดยเฉพาะการอานอยางมีวิจารณญาณ แตนักเรียนยังคงมีปญหาตั้งแตอดีตจนถึงปจจุบัน ดังที่กรรณิการ พวงเกษม (2533) ไดกลาวถึงปญหาการอานอยางมีวิจารณญาณ สรุปไดวา นักเรียนขาดทักษะการอานอยางมี วิจารณญาณ ทําใหการอานไมเกิดประโยชนเพราะไมไดรับสาระความรูจากเรื่องที่อาน สอดคลองกับแนวคิด ของสุนันทา มั่นเศรษฐวิทย (2535) ที่กลาวสรุปวา นักเรียนมักอานเพื่อความเขาใจเรื่องราวมากกวาที่จะอาน เพื่อคิดวิจารณญาณ การที่จะทําใหนักเรียนสามารถอานอยางมีวิจารณญาณไดนั้น จึงเปนหนาที่ครู ซึ่งควรหา วิธีสอนหรือสื่อการสอนที่จะชวยพัฒ นาทักษะการอานอยางมีวิจารณญาณ และจากการสัมภาษณครูกลุม สาระการเรียนรูภาษาไทย โรงเรียนราชินีบูรณะ จํานวน 3 คน เกี่ยวกับปญหาการอานของนักเรียนโรงเรียน ราชินีบูรณะ ในปจจุบันมีความเห็นวานักเรียนในสมัยปจจุบันอานสารแบบผานตา อานใหพอเขาใจเรื่องราว แตไมไดพยายามคนหาความหมายแฝง หรือตีความหรือประเมินคาสารที่อาน หรือเรียกไดวาขาดการใชทักษะ ดานการอานอยางมีวิจารณญาณ ทําใหการอานยังเปนเพียงอานออกแตไมใชอานเปน และจากผลการทดสอบ ระดับชาติ (O-NET) ของนักเรียนโรงเรียนราชินีบูรณะ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 ตั้งแตป 2556 - 2559 มีผล คะแนนในดานการอานยังไมถึงเกณฑของกลุมสาระการเรียนรูภาษาไทย กลาวคือมีคะแนนรวมในมาตรฐาน ดานการอานต่ํากวารอยละ 60 เนื่องจากนักเรียนขาดการฝกฝนทักษะการอานอยางมีวิจารณญาณ เพราะสนใจ การดูสื่อเทคโนโลยีตางๆ มากกวา รวมถึงตัวบทเรียนที่ครูใชสอนอาจจะไมทันสมัยเขากับวัยและประสบการณ ของนักเรียน นอกจากปญหาที่เกิดจากทักษะของนักเรียนที่ไมสามารถใชวิจารณญาณในการอานไดแลว ปญหา อีกสวนคือเกิดจากตัวผูสอน คือ ครูสวนใหญเนนการทองจํา มากกวาการสรางความเขาใจหรือนําไปใช และไม เนนใหนักเรียนวิเคราะห สังเคราะห และประเมินคา โดยเฉพาะวิชาภาษาไทยที่มักถูกมองวาเปนวิชาที่ตอง ทองจํามากกวาการใชทักษะวิเคราะห สังเคราะห ดังนั้น ครูตองมีการเตรียมพรอมในการจัดการเรียนการสอน โดยเฉพาะการสอนการอานอยางมีวิจ ารณญาณ เปน เรื่องที่ใชทัก ษะที่สูงขึ้น มากกวาความรูค วามเขาใจ ซึ่งจําเปนตองมีการเตรียมการสอนและวิธีสอนที่ดี ผูวิจัยไดศึกษางานวิจัย ที่เ กี่ย วของกับ การพัฒ นาทักษะอานอยางมีวิจ ารณญาณโดยใชวิธีการสอน ในรูปแบบตางๆ และศึกษาตัวอยางแผนการสอน ตัวอยางแบบทดสอบ พบวิธีการแกไขปญหาการอานอยางมี วิจารณญาณหลายวิธี เชน การสรางสื่อนวัตกรรม การใชวิธีสอน เชน CIRC หมวกหกใบ และ KWL แตมีอีก วิธีหนึ่งที่นาสนใจ คือ SQ4R ซึ่งเปนวิธีสอนที่มีขั้นตอน 6 ขั้นตอนที่ชัดเจน ทําใหนักเรียนมีประสิทธิภาพในการ อานดีกวาการอานโดยไมตั้งคําถามไวลวงหนา ซึ่งทําใหการอานไมมีจุดมุงหมายที่แนนอนวาตองการอะไรหลัง การอาน แตถามีการใชคําถามจะชวยใหนักเรียนไดแนวคิดจากคําถามและพยายามหาคําตอบเมื่อครูผูสอนถาม โดยขั้นตอนของวิธีการอานแบบ SQ4R เริ่มจากใหผูอานสํารวจ (S : Survey) หรืออานเนื้อเรื่องอยางคราวๆ เพื่อหาจุดสําคัญของเรื่องแลวตั้งคําถาม (Q : Question) เพื่อใหการอานเปนไปอยางมีจุดมุงหมายและจับ ประเด็นสําคัญไดถูกตอง ขั้นตอนที่ 3 ใหผูอาน อานขอความ (R ตัวที่ 1: Read) ในบทอานอยางละเอียดเพื่อ คนหาคําตอบสําหรับคําถามที่ตั้งไวแลวใหจดบันทึก (R ตัวที่ 2: Record) ขอมูลตางๆ ที่ไดจากการอานในขั้น R การพัฒนาความสามารถการอานอยางมีวิจารณญาณฯ
สิริพร รัตนมุง
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 11
ตัวที่ 1 : Read มุงเนนจดบันทึกในสวนที่สาํ คัญและสิ่งที่จาํ เปนโดยใชขอความที่รัดกุม ตอมาเปนการตอบ คําถามหรือเขียนสรุปใจความสําคัญ (R ตัวที่ 3 : Recite) เขียนสรุปความโดยผูอานพยายามใชถอยคําของตนเอง ใหมากที่สุด ขั้นตอนสุดทายเปนการวิเคราะหวิจารณบทอาน (R ตัวที่ 4 : Reflect) และแสดงความคิดเห็น สอดคลองหรือไมสอดคลอง โดยผูวิจัยกําหนดบทอานเปนโฆษณา บทความ และเรื่องสั้น โดยใชวิธีเพิ่มระดับ ความยากของตัวบทอาน ซึ่งผูวิจัยมีความเห็นวาวิธีสอนแบบ SQ4R สามารถพัฒนาความสามารถการอาน อย างมีวิจารณญาณได เนื่ องจากเป น วิ ธีการที่มีขั้น ตอนชั ดเจน ดั งเชน ผลการวิจั ยของกานต ธิด า แกว กาม (2556) ไดเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การอานจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 ที่จัดการเรียนรูโดย วิธีสอนแบบ SQ4R กับวิธีสอนแบบปกติ พบวาผลสัมฤทธิ์การอานจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 ที่จัดการเรียนรูโดยวิธีสอนแบบ SQ4R สูงกวาการจัดการเรียนรูดวยวิธีแบบปกติ จากขอมูลขางตนพบวา นักเรียนที่ไดรับ การจัดการเรียนรูดวยวิธีสอนแบบ SQ4R มีความสามารถ ทางการอานสูงขึ้น ผูวิจัยจึงสนใจจัดการเรียนรูดวยวิธีสอนแบบ SQ4R เพื่อพัฒนาความสามารถการอานอยาง มีวิจารณญาณ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 โรงเรียนราชินีบูรณะ ใหมีความสามารถดานการอานที่ดียิ่งขึ้น อันจะสงผลใหนักเรียนไดรับประโยชนจากการอานและมีนิสัยรักการอาน รวมทั้งเปนแนวทางสําหรับครูผูสอน ที่จะพัฒนาทักษะการอานอยางมีวิจารณญาณของนักเรียนตอไป 2. วัตถุประสงคการวิจัย 1. พัฒนาความสามารถการอานอยางมีวิจารณญาณ ของนักเรีย นชั้นมัธ ยมศึกษาปที่ 3 ที่จัด การ เรียนรูโดยวิธีสอนแบบ SQ4R 2. ศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 ที่มีตอการจัดการเรียนรูโดยใชวิธีสอนแบบ SQ4R 3. สมมติฐานการวิจัย 1. ความสามารถการอานอยางมีวิจารณญาณของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 ที่จัดการเรียนรูโดยวิธี สอนแบบ SQ4R หลังเรียนสูงกวากอนเรียน 2. ความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 ที่มีตอการจัดการเรียนรูโดยใชวิธีสอนแบบ SQ4R ไมต่ํากวาระดับดี 4. ขอบเขตของการวิจัย 1. ประชากร ไดแก นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 โรงเรียนราชินีบูรณะ อําเภอเมืองนครปฐม จังหวัด นครปฐม ภาคเรียนที่ 2 ปการศึกษา 2560 จํานวน 12 หองเรียน มีนักเรียนจํานวน 507 คน กลุมตัวอยาง ไดแก นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3/8 โรงเรียนราชินีบูรณะ อําเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม ภาคเรียนที่ 2 ปการศึกษา 2560 จํานวน 1 หองเรียน มีนักเรียนจํานวน 46 คนวิธีการสุมตัวอยางการสุมอยางงาย (Simple Random Sampling) การพัฒนาความสามารถการอานอยางมีวิจารณญาณฯ
สิริพร รัตนมุง
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 12
2. ตัวแปรที่ศึกษา ตัวแปรตน ไดแก การจัดการเรียนรูโดยวิธีสอนแบบ SQ4R ตัวแปรตาม ไดแก 1) ความสามารถการอานอยางมีวิจารณญาณ และ 2) ความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 ที่มีตอ การจัดการเรียนรูโดยใชวิธีสอนแบบ SQ4R 3. เนื้อหาที่ใชในการวิจัย ผูวิจัยกําหนดขอบเขตเนื้อหาการอานอยางมีวิจารณญาณของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปที่ 3 โดยเนื้อหาที่ใชสอนเปนไปตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุมสาระการเรียนรูภ าษาไทย สาระที่ 1 การอาน มาตรฐาน ท.1.1 ใช กระบวนการอานสรางความรูและ ความคิดเพื่อนําไปใชตัดสินใจแกปญหาในการดําเนินชีวิตและมีนิสัยรักการอาน และพิจารณาตัวชี้วัดในระดับ มัธยมศึกษาปที่ 3 ตัวชี้วัด ม.3/2 ระบุความแตกตางของคําที่มีความหมายโดยตรงและความหมายโดยนัย ม.3/3 ระบุใจความสําคัญและรายละเอียดของขอมูลที่สนับสนุนจากเรื่องที่อาน ม.3/4 อานเรื่องตางๆ แลวเขียน กรอบแนวคิด ผังความคิด บันทึกยอความ และรายงาน ม.3/5 วิเคราะห วิจารณ และประเมินเรื่องที่อานโดย ใชกลวิธีการเปรียบเทียบเพื่อใหผูอานเขาใจไดดีขึ้น ม.3/6 ประเมินความถูกตองของขอมูลที่ใชสนับสนุนในเรื่อง ที่อาน ม.3/8 วิเคราะหเพื่อแสดงความคิดเห็นโตแยงเกี่ยวกับเรื่องที่อาน โดยบทอานที่นํามาใชประกอบการ เรียนรูไดแก โฆษณา บทความ และเรื่องสั้น 4. ระยะเวลาในการวิจัย ผูวิจัยทดลองในภาคเรียนที่ 2 ปการศึกษา 2560 โดยทําการทดลองเปนเวลา 3 สัปดาห สัปดาหละ 3 คาบ รวม 9 คาบ คาบละ 50 นาที 5. นิยามเชิงปฏิบัติการ 1. การอานอยางมีวิจารณญาณ หมายถึง ความสามารถในการสรุปสาระสําคัญ บอกจุด มุงหมาย ของสาร ตีความ แยกแยะขอเท็จจริง ขอคิดเห็น วิเคราะห วิจารณ ประเมินคุณคา และความนาเชื่อถือของ เรื่องที่อานไดอยางสมเหตุสมผล 2. วิธีสอนแบบ SQ4R หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนรูเพื่อพัฒนาความสามารถการอานอยางมี วิจารณญาณ ซึ่งประกอบดวย 1) ขั้นนํา 2) ขั้นสอน มี 6 ขั้นตอนยอย คือ 2.1) ใหนักเรียนสํารวจ (Survey-S) บทอาน และอานเนื้อเรื่องอยางคราวๆ 2.2) นักเรียนตั้งคําถาม (Question-Q) จากบทอาน 2.3) นักเรียนอาน บทอานอยางละเอียด (Read-R) และคนหาคําตอบสําหรับคําถามที่ตั้งไว 2.4) นักเรียนจดบันทึก (Record-R) ขอมูลตางๆ ที่ไดจากการอานโดยบันทึกตามความเขาใจของตนเอง พรอมจดบันทึกคําตอบจากคําถามที่ตั้งไว 2.5) นักเรียนสรุปใจความสําคัญ (Recite-R) โดยใชภาษาของตนเอง และ 2.6) นักเรียนแตละกลุมรวมกัน ทบทวน (Reflect-R) วิเคราะห วิจารณบทอาน แสดงความคิดเห็น ครูจะทบทวนคําถามและคําตอบที่ไดจาก บทอาน หากขอมูลที่สําคัญหายไปใหนักเรียนกลับไปอานซ้ํา และ 3) ขั้นสรุป 3. ความสามารถดานการอานอยางมีวิจารณญาณ หมายถึง การที่ผูอานสามารถสรุปสาระสําคัญ บอกจุดมุงหมายของสาร ตีความ แยกแยะขอเท็จจริง ขอคิดเห็น วิเคราะห วิจารณ ประเมินคุณคา และความ นาเชื่อถือของเรื่องที่อานไดอยางสมเหตุส มผล ซึ่งวัด ไดจ ากการทําแบบทดสอบวัดความสามารถการอาน อยางมีวิจารณญาณ ที่ผูวิจัยสรางขึ้นเปนแบบทดสอบแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จํานวน 20 ขอ
การพัฒนาความสามารถการอานอยางมีวิจารณญาณฯ
สิริพร รัตนมุง
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 13
4. ความคิดเห็นของนักเรียน หมายถึง ความรูสึกนึกคิดของนักเรียนที่มีตอการจัดการเรียนรูโดยวิธี สอนแบบ SQ4R ในดานการจัดกิจกรรมการเรียนรู บรรยากาศการเรียนรู และประโยชนที่ไดรับ โดยวัดจาก การทําแบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่ผูวิจัยสรางขึ้น 5. นักเรียน หมายถึง ผูเรียนที่ศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปการศึกษา 2560 โรงเรียนราชินีบูรณะ อําเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม 6. การสรางและหาคุณภาพเครื่องมือวิจัย เครื่องมือที่ใชในการวิจัย ประกอบดวย 1) แผนการจัดการเรียนรู เรื่อง การอานอยางมีวิจารณญาณ 2) แบบทดสอบวัดความสามารถการอานอยางมีวิจารณญาณ และ 3) แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่ มีตอการจัดการเรียนรูโดยวิธีสอนแบบ SQ4R การสรางเครื่องมือที่ใชในการวิจัย มีขั้นตอนดังนี้ 1. การสรางแผนการจัดการเรียนรู เรื่องการอานอยางมีวิจารณญาณ โดยวิธีสอนแบบ SQ4R มีขั้นตอน ดังนี้ 1.1) ศึกษารายละเอียดของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และหลักสูตร สถานศึกษา กลุมสาระการเรียนรูภาษาไทย 1.2) ทําการวิเคราะหหลักสูตรสถานศึกษา คําอธิบายรายวิชา เนื้อหาของการอานอยางมีวิจารณญาณ เพื่อนําไปจัดการเรียนรูโดยวิธีสอนแบบ SQ4R 1.3) ศึกษาวิธีการสราง แผนการจัดการเรียนรูตามวิธีสอนแบบ SQ4R เพื่อเป น แนวทางการสรางแผนการจัด การเรียนรู จากตํารา เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวของ 1.4) สรางแผนการจัดการเรียนรูโดยวิธีสอนแบบ SQ4R เรื่อง การอานอยางมี วิจารณญาณ จํานวน 6 แผน โดยใหนักเรียนเรียนจากตัวบทอานที่เปนโฆษณา จํานวน 2 แผน เปนบทความ 2 แผน และเปน เรื่องสั้ น 2 แผน รวมเวลาเรียนทั้งหมด 9 คาบ แผนการจัด การเรียนรู เรื่อง การอานอยางมี วิจารณญาณ มีลําดับขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู คือ ขั้นนําเขาสูบทเรียน กระตุนความสนใจของนักเรียน เพื่อเชื่อมโยงเขาสูเรื่องที่จะอาน เชน ใหดูภาพ อานบัตรคํา หรือวีดีทัศนที่สัมพันธกับเรื่องที่อาน เกมทางการ ศึกษา หรือการใชคําถาม เปนตน ขั้นสอน เปนการจัดกิจกรรมการเรียนรูเพื่อพัฒนาความสามารถ การอาน อยางมีวิจารณญาณ โดยมี 6 ขั้นตอนยอย ดังนี้ 1) นักเรียนสํารวจ (S : Survey) บทอาน และอานเนื้อเรื่อง อยางคราวๆ 2) นักเรียนตั้งคําถาม (Q : Question) จากบทอานตามความสนใจ 3) นักเรียนอานบทอาน อยางละเอียด (Read : R) และคนหาคําตอบสําหรับคําถามที่ตั้งไว 4) นักเรียนจดบันทึก (Record : R) ขอมูล ตางๆ ที่ไดจ ากการอานโดยบัน ทึกตามความเขาใจของตนเอง พรอ มจดบัน ทึกคําตอบจากคําถามที่ตั้งไว 5) นักเรียนสรุปใจความสําคัญ (Recite : R) โดยใชภาษาของตนเอง และ 6) นักเรียนแตละกลุมรวมกันทบทวน (Reflect : R) วิเคราะห วิจ ารณบทอาน พรอมแสดงความคิด เห็น รวมถึงการนํา ความรูไปประยุกตใชใน ชีวิตประจําวัน ครูทบทวนคําถามและคําตอบที่ไดจากบทอาน หากขอมูลที่สําคัญหายไป ใหนักเรียนกลับไป อานซ้ํา และขั้นสรุป นักเรียนและครูรวมกันสรุปผลการเรียนรูทั้งดานเนื้อเรื่องและวิธีการอาน ครูตรวจสอบผล การเรียนรูดวยคําถาม 2. การสรางแบบทดสอบวัดความสามารถการอานอยางมีวิจารณญาณ เปนแบบทดสอบแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จํานวน 20 ขอ มีขั้นตอน ดังนี้ 1) ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุมสาระการเรียนรูภาษาไทย 2) วิเคราะหหลักสูตรสถานศึกษา คําอธิบายรายวิชา และ การพัฒนาความสามารถการอานอยางมีวิจารณญาณฯ
สิริพร รัตนมุง
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 14
การนําไปใช
วิเคราะห
สังเคราะห
ประเมินคา
จํานวนขอ
ประเภทบทอาน โฆษณา บทความ เรื่องสั้น รวมจํานวนขอ
ความเขาใจ
วัตถุประสงค
ความจํา
เนื้อหาการอานอยางมีวิจารณญาณ 3) ศึกษาทฤษฎี หลักการ แนวทางการสรางแบบทดสอบวัดความสามารถ การอานอยางมีวิจารณญาณ โดยจําแนกตามประเภทบทอาน 4) สรางตารางวิเคราะหขอสอบตามแนวคิด ของบลูม โดยการกําหนดคาน้ําหนักจํานวนขอทดสอบที่จะใชในการสรางแบบทดสอบตามแผนการจัดการ เรียนรูและ การวัดความรูในระดับตางๆ ตามจํานวนดังตารางที่ 1 5) นําแบบทดสอบวัดความสามารถการอาน อยางมีวิจารณญาณที่ไดมาจัดทําเปนแบบทดสอบกอนเรียนและหลังเรียน ซึ่งเปนแบบทดสอบเดียวกันแตสลับ ขอคําถามและตัวเลือก และ 6) นําแบบทดสอบมาใชกับนักเรียน ตารางที่ 1 จํานวนขอสอบตามพฤติกรรมการเรียนรู เรื่อง การอานอยางมีวิจารณญาณ
0
1 2 3
1 1 1 3
2 2 2 6
2 2 1 5
1 1 1 3
6 7 7 20
3. แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มีตอการการจัดการเรียนรูโดยวิธีสอนแบบ SQ4R ผูวิจัย ดําเนินการสราง ดังนี้ 1) ศึกษาวิธีการสรางแบบสอบถามความคิดเห็นแบบมาตราสวนประมาณคา (Rating Scale) จากเอกสารและตําราที่เกี่ยวของ 2) สรางแบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มีตอการการจัดการ เรียนรูโดยวิธีสอนแบบ SQ4R 3 ดาน คือดานกิจกรรมการเรียนรู ดานบรรยากาศการเรียนรู และดานประโยชน ที่ไดรับจากการเรียนรู โดยแบงเปน 5 ระดับ ตามวิธีของลิเคิรท (Likert) จํานวน 10 ขอ ดังนี้ เห็นดวยมากที่สุด ใหระดับคะแนน 5 เห็นดวยมาก ใหระดับคะแนน 4 เห็นดวยปานกลาง ใหระดับคะแนน 3 เห็นดวยนอย ใหระดับคะแนน 2 เห็นดวยนอยที่สุด ใหระดับคะแนน 1 เกณฑการใหความหมายของคาเฉลี่ย กําหนดตามเกณฑของบุญชม ศรีสะอาด (2541) ดังนี้ คะแนนเฉลี่ย 4.51– 5.00 หมายถึง เหมาะสมมากที่สุด คะแนนเฉลี่ย 3.51– 4.50 หมายถึง เหมาะสมมาก คะแนนเฉลี่ย 2.51– 3.50 หมายถึง เหมาะสมปานกลาง คะแนนเฉลี่ย 1.51– 2.50 หมายถึง เหมาะสมนอย คะแนนเฉลี่ย 1.00– 1.50 หมายถึง เหมาะสมนอยที่สุด การพัฒนาความสามารถการอานอยางมีวิจารณญาณฯ
สิริพร รัตนมุง
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 15
7. สถิติที่ใชในการวิเคราะหขอมูล การวิเคราะหขอมูลของคะแนนความสามารถการอานอยางมีวิจารณญาณเพื่อเปรียบเทียบคะแนน กอนเรียนและหลังเรียนในการอานอยางมีวิจารณญาณที่จัดการเรียนรูโดยวิธีสอนแบบ SQ4R ใชคาทีแบบ ไมเปนอิสระตอกัน (t-test dependent samples) 8. ผลการวิเคราะหขอมูล 1. ผลการเปรียบเทียบความสามารถในการอานอยางมีวิจารณญาณ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 กอนและหลังการจัดการเรียนรูโดยวิธีสอนแบบ SQ4R ปรากฏดังตารางที่ 2 ตารางที่ 2 ผลการเปรี ย บเที ย บคะแนนความสามารถในการอ า นอย า งมี วิ จ ารณญาณ ของนั ก เรี ย นชั้ น มัธยมศึกษาปที่ 3 กอนและหลังการจัดการเรียนรู โดยวิธีสอนแบบ SQ4R การทดสอบ n คะแนนเต็ม Mean S.D. t P การทดสอบกอนเรียน 46 20 9.54 2.73 0.00 10.11* การทดสอบหลังเรียน 46 20 12.11 1.99 *p < .05 จากตารางที่ 2 พบวา ความสามารถในการอานอยางมีวิจารณญาณ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 กอนและหลังการจัดการเรียนรู โดยวิธีสอนแบบ SQ4R หลังเรียนสูงกวากอนเรียน อยางมีนัยสําคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 ซึ่งตอบจุดประสงคและขอคําถามในการวิจัย โดยคาเฉลี่ยคะแนนความสามารถในการอานอยางมี วิจารณญาณหลังการจัดการเรียนรู (Mean = 12.11, S.D. = 1.99) สูงกวาคาเฉลี่ยของคะแนนความสามารถ ในการอานอยางมีวิจารณญาณกอนการจัดการเรียนรู (Mean = 9.54, S.D. = 2.73) 2. ผลการศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 ที่มีตอการจัดการเรียนรูโดยวิธีสอน แบบ SQ4R ปรากฏดังตารางที่ 3 ซึ่งจากตารางที่ 3 ระดับความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 ที่มี ตอการจัดการเรียนรูโดยวิธีสอนแบบ SQ4R พบวา ระดับความคิดเห็นของนักเรียนที่มีตอการจัดการเรียนรู โดยวิธีสอนแบบ SQ4R ในภาพรวมอยูในระดับมาก (Mean = 4.15, S.D. = 0.64) เมื่อพิจารณาเปนรายดาน พบวา ลําดับที่ 1 คือ ดานกิจกรรมการเรียนรู นักเรียนแสดงความคิดเห็นในภาพรวมระดับมาก (Mean = 4.30, S.D. = 0.62) เมื่อพิจารณาเปนรายขอพบวา วิธีสอนแบบ SQ4R เปนการจัดกิจกรรมการเรียนรูสงเสริมให นักเรียนคิดวิเคราะหและแสดงความคิดเห็นในทุกขั้นตอนในระดับมาก เปนลําดับแรก (Mean = 4.46, S.D. = 0.66) การจัดการเรียนรูชวยสงเสริมใหนักเรียนตั้งคําถามและตอบคําถามในสิ่งที่อยากรูไดในระดับมากเปน ลําดับรองลงมา (Mean=4.39, S.D.=0.74) และการจัดกิจกรรมการเรียนรูปฏิบัติตามขั้นตอนไดไมยากเกินไป ในระดับมาก เปนลําดับสุดทาย (Mean = 4.04, S.D. = 0.63) ลําดับที่ 2 ดานประโยชนที่ไดรับจากการเรียนรู นักเรียนแสดงความคิดเห็นในภาพรวมระดับมาก (Mean = 4.2, S.D. = 0.65) เมื่อพิจารณาเปนรายขอพบวา นักเรียนไดพัฒนาความสามารถดานการอานและมีเป าหมายในการอานในระดับมากเป นลําดับแรก (Mean = 4.33, S.D.=0.70) นักเรียนสามารถนํากระบวนการอานอยางมีวิจารณญาณไปใชในชีวิตประจําวันและในวิชา การพัฒนาความสามารถการอานอยางมีวิจารณญาณฯ
สิริพร รัตนมุง
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 16
อื่นไดในระดับมาก เปนลําดับรองลงมา (Mean = 4.22, S.D. = 0.70) นักเรียนมีความรูความเขาใจในเนื้อหา ที่เรียนมากขึ้นในระดับมากเปนลําดับสุดทาย (Mean = 4.11, S.D. = 0.64) ตารางที่ 3 ระดับความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 ที่มีตอการจัดการเรียนรูโดยวิธีสอนแบบ SQ4R ระดับ ขอที่ รายการที่แสดงความคิดเห็น Mean S.D. ลําดับที่ ความคิดเห็น ดานกิจกรรมการเรียนรู การจัดกิจกรรมการเรียนรูเปนลําดับตอเนื่อง 1 4.13 0.65 มาก 3 ไมสับสน การจัดกิจกรรมการเรียนรูปฏิบัติตามขั้นตอนได 2 4.04 0.63 มาก 4 ไมยากเกินไป การจัดกิจกรรมการเรียนรูสงเสริมใหนักเรียนคิด 3 4.46 0.66 มาก 1 วิเคราะหและแสดงความคิดเห็นในทุกขั้นตอน การจัดการเรียนรูสงเสริมใหนักเรียนตั้งคําถาม 2 4 4.39 0.74 มาก และตอบคําถามในสิ่งที่อยากรูได รวมดานกิจกรรมการเรียนรู 4.30 0.62 มาก 1 ดานบรรยากาศการเรียนรู นักเรียนมีความสุขในการรวมกิจกรรม 5 3.61 0.75 มาก 3 การจัดการเรียนรู โดยวิธีสอนแบบ SQ4R การจัดการเรียนรูสงเสริมความสัมพันธที่ดี 6 3.91 0.84 มาก 2 มีการชวยเหลือกันภายในกลุม นักเรียนมีโอกาสไดแลกเปลี่ยนเรียนรู 7 4.33 0.70 มาก 1 และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหวางเพื่อน รวมดานบรรยากาศการเรียนรู 3.94 0.71 มาก 3 นักเรียนไดพัฒนาความสามารถดานการอาน 8 4.33 0.70 มาก 1 และมีเปาหมายในการอาน นักเรียนมีความรูความเขาใจในเนื้อหาที่เรียน 9 4.11 0.64 มาก 3 มากขึ้น นักเรียนสามารถนํากระบวนการอานอยางมี 10 วิจารณญาณไปใชในชีวิตประจําวัน 4.22 0.70 มาก 2 และในวิชาอื่นได รวมดานประโยชนที่ไดรับจากการเรียนรู 4.21 0.65 มาก 2 รวมทุกดาน 4.15 0.64 มาก การพัฒนาความสามารถการอานอยางมีวิจารณญาณฯ
สิริพร รัตนมุง
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 17
ลําดับสุดทาย คือ ดานบรรยากาศการเรียนรู นักเรียนแสดงความคิดเห็นในภาพรวมระดับมาก (Mean = 3.94, S.D. = 0.71) เมื่อพิจารณาเปนรายขอพบวานักเรียนมีโอกาสไดแลกเปลี่ยนเรียนรูและแลกเปลี่ยน ความคิดเห็นระหวางเพื่อนในระดับมากเปนลําดับแรก (Mean = 4.33, S.D. = 0.70) การจัดการเรียนรูสงเสริม ความสัมพันธที่ดี มีการชวยเหลือกันภายในกลุม ในระดับมาก เปนลําดับตอมา (Mean = 3.91, S.D. = 0.84) และนักเรียนมีความสุขในการรวมกิจกรรมการจัดการเรียนรูโดยวิธีสอนแบบ SQ4R ในระดับมากเปนลําดับ สุดทาย (Mean = 3.61, S.D. = 0.75) 9. สรุปผลการวิจัย 1. ความสามารถการอานอยางมีวิจารณญาณของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 ที่เรียนโดยวิธีสอน แบบ SQ4R หลังเรียนสูงกวากอนเรียนอยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. ความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 ที่มีตอการจัดการเรียนรูโดยใชวิธีสอนแบบ SQ4R โดยภาพรวม อยูในระดับมาก เมื่อพิจารณาเปนรายดานพบวาดานกิจกรรมการเรียนรูเปนอันดับที่ 1 ประโยชน ที่ไดรับจากการเรียนรูเปนอันดับที่ 2 และดานบรรยากาศการเรียนรูเปนอันดับสุดทาย 10. อภิปรายผลการวิจัย 1. ความสามารถการอานอยางมีวิจารณญาณของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 ที่เรียนโดยวิธีสอน แบบ SQ4R หลังเรียนสูงกวากอนเรียน อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งยอมรับสมมติฐานการวิจัย ที่ตั้งไว ทั้งนี้เพราะการใชวิธีสอนแบบ SQ4R ในขั้นสอนชวยใหนักเรียนเกิดการเรียนรูที่มีประสิทธิภาพเพราะมี ลําดับในการฝกคิดพิจารณาอยางเปนลําดับขั้นตอน และเปนวิธีสอนที่สามารถฝกใหนักเรียนคิดตามอยางมี วิจารณญาณ เริ่มจากขั้นแรกคือการอานตัวบทอยางคราวๆ (Survey) ที่จะทําใหนักเรียนมองเห็นภาพรวมของ เรื่องราววากลาวถึงสิ่งใด จากนั้นฝกตั้งคําถามจากบทอาน (Question) ซึ่งครูเปดโอกาสใหนักเรียนตั้งคําถาม ตามความสนใจของนักเรียนเอง ซึ่งอาจจะเปนคําถามที่มีคําตอบในตัวบทอานหรือไมมีก็ได โดยครูแนะนําใหใช คําถามประเภทปลายเปด ที่มักขึ้น ตน ดว ยเพราะเหตุใด ทําไม อยางไร เพื่อใหนักเรีย นตอบโดยการแสดง ความคิด เห็ น ร ว มกั น ได ซึ่งความคิ ด เห็ น นั้ น จะมี น้ํ าหนั กน าเชื่ อ ถือ หรื อไม ขึ้ น อยู กับ การให เหตุ ผ ลในการ สนับสนุนความคิดเห็นของนักเรียน สอดคลองกับสุคนธ สินธพานนท และคณะ (2545) ที่กลาวถึงประโยชน ของการจัดการเรียนรูโดยใชวิธีสอนแบบ SQ4R สรุปไดวา การจัดการเรียนรูโดยใชวิธีสอนแบบ SQ4R ทําให ผูเรียนมีประสิทธิภาพในการอานที่ดีกวาการอานโดยไมตั้งคําถามไวลวงหนา จะทําใหการอานไมมีจุดหมายที่ แนนอนวาตองการอะไรหลังการอาน อานแลวจะจับจุดสําคัญหรืออานไปแลวใชจุดมุงหมายเหมือนกับการ เหวี่ย งแห ไมรูวาจั บ อะไรได อะไรหรือไม แต ถามีการใช คําถามจะช วยให ผูเรี ยนได แนวคิด จากคําถามและ พยายามหาคําตอบเมื่อผูสอนถาม ดังนั้น การใชคําถามจึงเปนแนวทางที่จะทําใหผูเรียนอานอยูในขอบเขต ที่ตั้งไว ผูวิจัยมีความคิดเห็นวาวิธีสอนแบบ SQ4R มีขั้นตอนของการตั้งคําถาม ซึ่งการตั้งคําถามนั้นสามารถ ระบุระดับของความคิดไดวา จะตั้งคําถามที่ถามถึงความจํา ความเขาใจ การนําไปใช วิเคราะห สังเคราะห หรือถึงขั้นประเมินคา ขั้นการตั้งคําถามนับเปนขั้นที่สําคัญมากดังเชนที่ศุภิษฐา เจียรกุล (2546) ไดเสนอแนะ การพัฒนาความสามารถการอานอยางมีวิจารณญาณฯ
สิริพร รัตนมุง
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 18
การใชคําถามเพื่อบรรลุวัตถุประสงคในการเรียนรูในระดับตางๆ โดยจะเห็นไดวาระดับการตั้งคําถามจะนําไปสู การคิดในระดับที่ตางกัน เริ่มจากการตั้งคําถามในระดับเบื้องตนจะสะทอนคําตอบประเภทความรูความจํา จนถึงระดับคําถามที่ใหผูอานประเมินคา หรือตัดสินคุณคาบทอาน ดังนั้น ขั้นของการตั้งคําถามจึงมีสวนสําคัญ มาก สรุปไดดังนี้ 1) ดานความรู ใชคําถามที่ตองการใหผูเรียนบอกสิ่งที่รู เชน ใคร อะไร ที่ไหน เมื่อไร เทียบได กับ ขั้ น Survey 2) ด า นความเข า ใจ ใช คํา ถามที่ ผู เ รี ย นได คิด แปลความหมาย ตี ค วาม ขยายความ เช น ยกตัวอยาง อธิบาย เทียบไดกับขั้น Question 3) ดานการนําไปใช ใชคําถามที่ผูเรียนสามารถนําความรูไปใช ในสถานการณใหม หรือสถานที่ที่ไมคุนเคย เชน ใหพิจารณาผลกระทบที่เกิดขึ้น เทียบไดกับขั้น QuestionRead-Record 4) ดานการวิเคราะห ใชคําถามที่ใหผูเรียนไดแยกแยะ จําแนก เชน จําแนกเรื่องราว บอก ประเด็นสําคัญ บอกความสัมพันธ เทียบไดกับขั้น Record-Recite 5) ดานการสังเคราะห ใชคําถามหรือคําที่ ตองการใหผูเรียนประมวลสาระหรือเรื่องราวตางๆ ขึ้นเปนเรื่องใหม เชน สราง ทํา พัฒนา ออกแบบ เทียบได กับขั้น Record-Recite และ 6) ดานการประเมินคา ใชคําถามที่ตองการใหผูเรียนประเมินเรื่องราวหรือขอมูล ตามเกณฑที่กําหนดและใหแสดงเหตุผลประกอบ เชน วิจารณ พิจารณา ตัดสิน เปรียบเทียบ เทียบไดกับขั้น Reflect ซึ่งการตั้งคําถามเปน ขั้น ตอนที่เ ปน แนวทางที่จ ะทําใหนัก เรีย นอานอยูในขอบเขตที่ตั้ง ไว และมี แรงจูงใจในการหาคําตอบที่นักเรียนตองการรู ซึ่งเปนคําถามที่ตางกัน เพราะนักเรียนแตละคนมีความสามารถ ความสนใจที่แตกตางกัน วิธีสอนแบบ SQ4R เปนวิธีการสอนการอานที่ใชทักษะการอานตั้งแตระดับ การอาน จับใจความสําคัญจนถึง การอานอยางมีวิจารณญาณ 3) ขั้น ตอมาคือใหนักเรียนกลับ ไปอานตัว บทอีกครั้ง อยางละเอียดเพื่อหาคําตอบของคําถามที่ตั้งไว (Read) 4) ขั้นตอมาคือ (Record) ใหนักเรียนจดบันทึกขอมูล ความรูจากตัวบทดวยภาษาของตนเอง 5) (Recite) คือ การที่ใหนักเรียนสรุปความเขาใจดวยภาษาของตนเอง โดยขอมูลนั้นจะสะทอนความรูที่สังเคราะหผานมุมมองของนักเรียนแลว นักเรียนจะเกิดความเขาใจยิ่งขึ้น 6) สุดทายคือการรวมกันสรุป อภิปรายความรูที่ไดจากการอานอยางเปนขั้นตอนนั้นสามารถนําไปประยุกตใชใน ชีวิตประจําวันไดอยางไรบาง (Reflect) ซึ่งนักเรียนจะไดรวมกันอภิปราย แสดงความคิดเห็นอยางหลากหลาย โดยใชเ หตุผ ลประกอบความคิด นั้น ๆ ในแตล ะขั้น ตอนของวิธีส อนแบบ SQ4R นั้น ครอบคลุมพฤติก รรม การอานอยางมีวิจารณญาณ ซึ่งฮิลแมน (Heilman, 1967) เสนอความสามารถดานการอานอยางมีวิจารณญาณ ไวดังตอไปนี้ 1) จําแนกประเภทของงานเขียนได (Survey) 2) ความสามารถแยกแยะสวนที่เปนขอเท็จจริง หรือขอคิดเห็น (Question-Read) 3) ความสามารถอธิบายของคําศัพทสํานวนอุปมา (Read-Record-Recite) 4) การตัดสินสิ่งที่ถูกและผิด (Recite) 5) การบอกจุดประสงคของผูเขียน (Recite) 6) การจับแนวความคิด หลัก (Recite) 7) การจับน้ําเสียงหรือความรูสึกของผูเขียน (Recite) 8) การบอกโครงเรื่องหรือสรุปเรื่ อง (Record) 9) การประเมินคุณคาของเรื่องที่อาน (Reflect) ซึ่งในแตละขั้นตอนของวิธีสอนแบบ SQ4R ลวน สงเสริม ใหนักเรีย นมีความสามารถดานการอานอยางมีวิจ ารณญาณ สอดคลอ งกับ รูบิน (Rubin, 1990) ที่กลาวถึงความสามารถทางการอานอยางมีวิจารณญาณวา คือ ความสามารถในการจับใจความสําคัญ การ ตีความ การนําไปใช การวิเคราะห สังเคราะหขอมูล รวมถึงความสามารถในการจําแนกขอเท็จจริงจากความ คิดเห็น และการจําแนกความแตกตางระหวางเรื่องสมมติและเรื่องจริง อีกทั้งยังสอดคลองกับความคิดเห็น ของรัต นภัณ ฑ เลิศคําฟู (2547) ไดแ สดงความคิด เห็น ไววา วิธีส อนแบบ SQ4R เปน วิธีการสอนอานที่ดี การพัฒนาความสามารถการอานอยางมีวิจารณญาณฯ
สิริพร รัตนมุง
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 19
มีขั้นตอน เปนระบบชัดเจน เปนการสอนที่เนนผูเรียนเปนสําคัญ โดยใหผูเรียนไดลงมือปฏิบัติกิจกรรมดวย ตนเอง ฝกใหผูเรียนรูจักคิดวิเคราะห คิดสังเคราะห นอกจากนั้น ในแตละขั้นตอนยังกระตุนใหผูเรียนไดฝกคิด ตลอดเวลา กลาแสดงความคิดเห็น ผูเรียนมีความกระตือรือรนในการเรียน ทั้งยังมีผูวิจัยทานอื่นๆ ไดทดลองใช วิธีสอนแบบ SQ4R กับวิชาตางๆ ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย รวมถึงสอนกับเด็กนักเรียนในชวงอายุตางๆ และผลการวิจัยไดออกมาในทิศทางเดียวกัน คือ สามารถพัฒนาผลสัมฤทธิ์ดานการอานอยางมีวิจารณญาณได ดังเช น รัต นภั ณ ฑ เลิศคําฟู (2547) ได ศึกษาการใช วิธีส อนแบบ SQ4R ในการสอนอานจั บ ใจความสําคัญ สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ผลการวิจัยพบวา 1) ความสามารถการอานจับใจความสําคัญของนักเรียน ดีขึ้น สอดคลองกับเมขลา ลือโสภา (2555) ไดศึกษาการพัฒนาการอานจับใจความดวยวิธีการสอนแบบ SQ4R กลุมสาระการเรียนรูภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 ผลการวิจัยพบวา 1) แผนการจัดการเรียนรูพัฒนาการ อานจับใจความ ดวยวิธีสอนแบบ SQ4R กลุมสาระการเรียนรูภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 มีประสิทธิภาพ เทากับ 86.75/87.10 ซึ่งสูงกวาเกณฑ 80/80 ที่ตั้งไว 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกวากอนเรียน อยางมีนั ยสําคัญทางสถิติ ที่ระดับ .01 สอดคลองกับกานตธิดา แกวกาม (2556) ไดศึกษาการเปรียบเทีย บ ผลสัมฤทธิ์การอานจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 ที่จัดการเรียนรูดวยวิธีสอนแบบ SQ4R กับวิธี สอนแบบปกติ ผลการวิจัยพบวา 1) ผลสัมฤทธิ์การอานจับใจความสูงกวาแบบปกติ อยางมีนัยสําคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 2) ผลสัมฤทธิ์การอานจับใจความหลังเรียนสูงกวากอนเรียน อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 อีกทั้งยังมีผลการวิจัยจากตางประเทศที่ยืนยันผลการใชวิธีสอนแบบ SQ4R ในการพัฒนาทักษะการอานดังนี้ แวนเตอร และคูเปอร Wander & Cooper (1996) ศึกษาผลการใชกลวิธีการเรียนโดยใช SQ4R สําหรับการ อานตําราเรียนในระดับมัธยมศึกษา ไดเปรียบเทียบนักเรียนระหวางกลุมที่เรียนแบบปกติ กลุมที่เรียนโดยวิธี SQ3R และกลุมที่เรียนโดยวิธี SQ4R ผลการศึกษาพบวา กลุมที่เรียนโดยกลวิธี SQ3R และ SQ4R ผลการ ทดสอบกอนเรียนและหลังเรียนแตกตางกันคือ นักเรียนที่เรียนดวยวิธี SQ4R มีคะแนนสูงกวานักเรียนที่เรียน ดว ยกลวิธี SQ3R แตทั้ง 2 วิธีมีความเหมาะสมกับ การสอนอาน ซึ่งวิธีสอนแบบ SQ4R นั้น สามารถนําไป ประยุกตใชไดในการเรียนรูไดอยางหลากหลาย ไมจําเปนจะตองใชแตการเรียนรูการอานเฉพาะวิชาภาษาไทย เทานั้น สามารถนําไปใชในการเรียนการสอนวิชาภาษาอังกฤษและวิทยาศาสตรได ดังเชนผลการวิจัยของเกธ ชาบัน และฮาไล Ghaith, Shaaban & Halal (2000) ไดศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิภาพของเทคนิคที่สงเสริม ความเขาใจในการอานกับผูเรียนภาษาอังกฤษในระดับที่สูงที่เปนชาวอาหรับทั้งหมด 45 คน ผูเรียนไดรับเทคนิค การสอนความเขาใจในการอานทั้งหมด 3 วิธี คือ วิธี เอส คิว โฟรอาร (SQ4R) ดี ดาร ที เอ (DRTA) และ พี อาร อี พี (PreP) ผลการวิจัยพบวา เทคนิค เอส คิว โฟรอาร เปนเทคนิคการอานเพื่อความเขาใจที่มีประสิทธิภาพ ดีที่สุดและไมเนอร Miner (2005) ศึกษาวิธีการอานดวยวิธี SQ4R ที่มีตอความเขาใจในการอานวิชาวิทยาศาสตร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 4 ผลการวิจัยพบวา นักเรียนมีคะแนนผลการเรียนวิชาวิทยาศาสตรหลังการ ฝกสูงกวากอนการฝกอานดวยวิธี SQ4R สรุปไดวา วิธีสอนแบบ SQ4R ชวยพัฒนาความสามารถดานการอาน อยางมีวิจารณญาณไดดี เนื่องดวยมีขั้นตอนการจัดการเรียนรูที่ชัดเจน มีการตั้งคําถามตามความสนใจของ นักเรียนแตละคน ทําใหการอานมีจุดมุงหมาย การตั้งคําถามไวลวงหนาจะทําใหการอานไมมีจุดมุงหมายที่ แนนอน และชวยใหนักเรียนไดแนวคิดจากคําถามและพยายามหาคําตอบ ดังนั้นการใชคําถามจึงเปนแนวทาง การพัฒนาความสามารถการอานอยางมีวิจารณญาณฯ
สิริพร รัตนมุง
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 20
ที่จะทําใหผูเรียนอานอยูในขอบเขตที่กําหนด ขั้นตอนตางๆ ลวนเปนตัวกระตุนใหนักเรียนเก็บสาระสําคัญได รวมถึงการนําไปใชในชีวิตประจําวันอีกดวย ดังที่กานตธิดา แกวกาม (2556) ไดกลาววา วิธีสอนแบบ SQ4R เปนวิธีการสอนที่เนนผูเรียนเปนสําคัญ ขั้นตอนการสอนมีระบบที่ชัดเจน เปนวิธีการสอนที่ชวยฝกทักษะการคิด เพราะแตละขั้นตอน ฝกใหผูเรียนรูจักคิดวิเคราะห คิดสังเคราะห นอกจากนั้นยังกระตุนใหผูเรียนกลาแสดง ความคิดเห็น และมีความกระตือรือรนในการเรียน ที่สําคัญวิธีสอนแบบ SQ4R ชวยทําใหการอานของผูเรียน เปนการอานที่มีจุดมุงหมาย มีขอบเขต ชวยใหเกิดความเขาใจในเนื้อหา สามารถเก็บสาระสําคัญ แนวคิดของ เรื่อง ใจความสําคัญของเรื่องได ทําใหการอานของผูเรียนมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ซึ่งผลการวิจัยเรื่อง การพัฒนา ความสามารถการอานอยางมีวิจารณญาณของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 ที่เรียนโดยวิธีสอนแบบ SQ4R ของผูวิจัยในครั้งนี้ไดออกมาสอดคลองกับผลการวิจัยทั้งในประเทศและตางประเทศ 2. ผลการศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 ที่มีตอการการจัดการเรียนรูดวยวิธี SQ4R โดยภาพรวม นั ก เรี ย นมี ร ะดั บ ความคิ ด เห็ น ต อ การจั ด การเรี ย นรู ด ว ยวิ ธี SQ4R อยู ในระดั บ มาก เมื่อพิจารณาเปนรายดานพบวานักเรียนเห็นดวยมาก โดยดานกิจกรรมการเรียนรู เปนอันดับที่ 1 เพราะวิธี สอนแบบ SQ4R เป น การจั ด กิ จ กรรมการเรี ย นรู ส ง เสริ มให นั ก เรี ย นคิ ด วิ เ คราะห แ ละแสดงความคิด เห็ น ทุก ขั้นตอนชวยสงเสริมใหนักเรียนตั้งคําถามและตอบคําถามในสิ่งที่อยากรูได การจัดกิจกรรมการเรียนรูเปน ลําดับตอเนื่องไมสับสน และการจัดกิจกรรมการเรียนรูปฏิบัติตามขั้นตอนไดไมยากเกินไป รองลงมาคือดาน ประโยชน ที่ไดจ ากการเรียนรู โดยนักเรียนไดพัฒ นาความสามารถดานการอานและมีเปาหมายในการอาน นักเรียนสามารถนํากระบวนการอานอยางมีวิจารณญาณไปใชในชีวิตประจําวันและในวิชาอื่นได นักเรียนมี ความรูความเขาใจในเนื้อหาที่เรียนมากขึ้น อันดับสุดทายคือดานบรรยากาศการเรียนรูโดยมีความคิดเห็นวา นักเรียนมีโอกาสไดแลกเปลี่ยนเรียนรูและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหวางเพื่อน การจัดการเรียนรูสงเสริม ความสัมพันธที่ดี มีการชวยเหลือกันภายในกลุม จนนักเรียนเกิดความสุขในการรวมกิจกรรมการจัดการเรียนรู เนื่องดวยการอานตามขั้นตอนของวิธีสอนแบบ SQ4R นั้น เปนการอานที่เปนกระบวนการมีขั้นตอนที่ชัดเจน ดังนั้น การใชคําถามจึงเปนแนวทางที่จะทําใหผูเรียนอานอยูในขอบเขตที่ตั้งไว แลวจะทําใหเขาใจดีขึ้น ผลของ การสอบถามความคิด เห็น ตอวิธีสอนแบบ SQ4R อยูในระดับพึงพอใจมาก สอดคลองกับ ผลการสอบถาม ความคิดเห็นตอการจัดการเรียนรูดวยวิธี SQ4R ของรัตนภัณฑ เลิศคําฟู (2547) ไดศึกษาการใชวิธีสอนแบบ SQ4R ในการสอนอานจับใจความสําคัญ สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ที่สวนใหญแสดงความพึงพอใจ และตองการเรียนดวยวิธีสอนแบบ SQ4R สอดคลองกับเมขลา ลือโสภา (2555) ไดศึกษาการพัฒนาการอาน จับใจความดวยวิธีการสอนแบบ SQ4R กลุมสาระการเรียนรูภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 ซึ่งความพึงพอใจ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 ที่มีตอการจัดการเรียนรูพัฒนาการอานจับใจความดวยวิธีสอนแบบ SQ4R อยูในระดับพอใจมาก โดยมีคาเฉลี่ยเทากับ 4.62 และกานตธิดา แกวกาม (2556) ไดศึกษาการเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์การอานจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 ที่จัดการเรียนรูดวยวิธีสอนแบบ SQ4R กับวิธี สอนแบบปกติ ผลการวิจัยพบวาระดับความคิดเห็นของนักเรียนที่มีตอการจัดการเรียนรูโดยวิธีสอนแบบ SQ4R ภาพรวมอยูในระดับมากเชนกัน
การพัฒนาความสามารถการอานอยางมีวิจารณญาณฯ
สิริพร รัตนมุง
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 21
11. ขอเสนอแนะ 1. ครูตองอธิบายขั้นตอนในขั้นสอนของวิธีสอนแบบ SQ4R ซึ่งมีทั้งหมด 6 ขั้นตอนใหนักเรียนเขาใจ กอนนําวิธีนี้ไปใชในการอานพิจารณาขอความหรือสารประเภทตางๆ เพราะวิธีการอานตามขั้นตอน SQ4R นั้น ไดออกแบบขั้นตอนการอานที่เปนลําดับขั้นตอนอยางชัดเจน หากนักเรียนปฏิบัติตามขั้นตอนจะทําใหเกิดการ เรียนรู การคิด ที่เปนระบบยิ่งขึ้น ใหนักเรียนไดเขาใจขั้นตอนและตระหนักถึงศักยภาพของตนเองในการทํางาน และพยายามปฏิบัติตามหนาที่ของตนเองที่ไดรับจากการแบงหนาที่กันในกลุม 2. ครูควรเปดโอกาสใหนักเรียนไดตั้งคําถามตามความสงสัยของนักเรียนที่แทจริง สงเสริมใหนักเรียน ตั้งคําถามแบบปลายเปดมากกวาปลายปด แมคําถามนั้นไมสามารถหาคําตอบไดจากบทอาน และควรสงเสริม ใหนักเรียนทุกคนไดมีโอกาสแสดงความคิดเห็นอยางกวางขวาง รวมถึงสงเสริมใหนักเรียนกลาแสดงออกทาง ความคิด กลาพูดในที่ประชุมเพื่อใหเกิดกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรูซึ่งกันและกัน 3. รูปแบบการจัดการเรียนรู เรื่อง การอานอยางมีวิจารณญาณดวยวิธีสอนแบบ SQ4R เปนรูปแบบ การเรียนรูที่เนนผูเรียนเปนสําคัญ สงเสริมกระบวนการคิดที่เปนขั้นตอน โดยมุงเนนใหผูเรียนสามารถคิดอยาง มีวิจ ารณญาณ เมื่อผูเ รีย นไดเ รีย นรูขั้น ตอนการอานสารประเภทตางๆ อยางมีวิจ ารณญาณ จากโฆษณา บทความและเรื่องสั้น จนทําใหนักเรียนพัฒนาความสามารถดานการอานอยางมีวิจารณญาณ และสามารถนํา วิธีการอานตามขั้นตอน SQ4R ไปประยุกตใชกับการอานสารประเภทอื่นๆ ทั้งในวิชาภาษาไทยและวิชาอื่นๆ อีกทั้งยังสงเสริม การคิดอยางมีวิจารณญาณ การคิดสรางสรรค จึงควรนํารูปแบบจัดการเรียนรูดวยวิธี SQ4R ไปใชกับนักเรียนในระดับชั้นอื่นๆ เพื่อเปนการพัฒนาความสามารถดานการอานและคิดอยางมีวิจารณญาณ อีกทั้งยังเปนพื้นฐานการเรียนรูในระดับที่สูงขึ้น 12. เอกสารอางอิง กรรณิ ก าร พวงเกษม. (2533). การสอนเขีย นเรื่ องโดยใช จิ น ตนาการสร า งสรรค ร ะดั บประถมศึ ก ษา. กรุงเทพมหานคร : สํานักพิมพไทยวัฒนาพาณิชย. กานตธิดา แกวกาม. (2556). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การอานจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปที่ 1 ที่จัดการเรียนรูโดยวิธีสอนแบบ SQ4R กับวิธีสอนแบบปกติ. วิทยานิพนธภาควิชาหลักสูตร และวิธีสอน บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร. ดนยา วงศธนะชัย. (2542). การอานเพื่อชีวิต. ลพบุรี : สถาบันราชภัฏพิบูลสงคราม. ณภัทร เทพพรรธนะ. (2541). ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร. กรุงเทพมหานคร : ดอกหญา. นภดล จันทรเพ็ญ. (2535). การใชภาษาไทย. กรุงเทพมหานคร : แสงศิลปการพิมพ. บุญชม ศรีสะอาด. (2541). การพัฒนาการสอน. กรุงเทพมหานคร : ชมรมเด็ก. เมขลา ลือโสภา. (2555). การพัฒนาการอานจับใจความดวยวิธีการสอนแบบ SQ4R กลุมสาระการเรียนรู ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม. รัตนภัณฑ เลิศคําฟู. (2547). การใชวิธีสอบแบบเอสคิวโฟรอารในการสอนอานจับใจความสําคัญสําหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5. เชียงใหม : มหาวิทยาลัยเชียงใหม. การพัฒนาความสามารถการอานอยางมีวิจารณญาณฯ
สิริพร รัตนมุง
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 22
ศุภิษฐา เจียรกุล. (2546). คูมือการสอนอยางมีประสิทธิภาพ. กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร. สุคนธ สินธพานนท และคณะ. (2552).พัฒนาทักษะการคิด...พิชิตการสอน. พิมพครั้งที่ 4 กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพเลี่ยงเชียง. สุนันทา มั่นเศรษฐวิทย. (2535). การสอนอานวิชาภาษาไทย. กรุงเทพมหานคร : ภาควิชาการศึกษา คณะ ศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร. สุวัฒน วิวัฒนานนท. (2550). ทักษะการอาน คิด วิเคราะห และเขียน. นนทบุรี : ซี.ซี. นอลลิดจลิงค. Ghaith, G.M., Shaaban K.A., and Halal N.A. ( 2005) . The relative effectiveness of pre Reading strategies on the comprehension of ELS readers.Available at http:/www.lb.aub.edu.lb~webpubof/research/21report/education_projects.html Heilman, A.W. (1967). Principle and Practices of Teaching Reading. Ohio: A Bell&Howell Miner, W. 2005. The impact of the SQ4R, as a strategy for retelling expository text, on student comprehension. Retrieved from http://www.src. Truman.edu. Rubin, D. (1990). A Practical Approach to Teaching Reading. New York : Schuster. Wander & Cooper.1996. To What and How of Reading Instruction. (2nd editon). Ohio : Meritt Publishing Company.
การพัฒนาความสามารถการอานอยางมีวิจารณญาณฯ
สิริพร รัตนมุง
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 23
การประยุกตวิธีบ็อกซและเจนกินสสําหรับพยากรณราคาขาวหอมมะลิ 105 Appling of Box and Jenkins Method for Forecasting Price of Jasmine Rice 105 เมธาสิทธิ์ ธัญรัตนศรีสกุล*1 กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร โรงเรียนราชินีบูรณะ 9 ถนนหนาพระ อําเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม 73000 Mathasit Tanyarattanasrisakul* Department of Mathematics, Rachineeburana School 9, Nhapha Street, Meang Nakhon Pathom District, Nakhon Pathom Province, 73000 บทคัดยอ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงคเพื่อสรางตัวแบบที่เหมาะสมสําหรับการพยากรณราคาขาวหอมมะลิ 105 ดวยวิธีบ็อกซและเจนกินส ขอมูลที่ใชในการสรางตัวแบบ คือ ขอมูลราคาขาวหอมมะลิ 105 เปนรายเดือน หนวยเปนพันบาท/ตัน ตั้งแตเดือนมกราคม พ.ศ. 2540 ถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2560 จํานวน 249 คา จาก ฐานขอมูลของสํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร การเปรียบเทียบความแมนยําของตัวแบบใชการวิเคราะหคา ความคลาดเคลื่อนกําลังสองเฉลี่ย (MSE) ผลการวิจั ย พบว า ตั วแบบที่มีความเหมาะสมสํ าหรั บ การพยากรณ ร าคาขาวหอมมะลิ 105 ได แก SARIMA (1, 1, 0) (1, 0, 1) 12 แบบไมมีคาคงที่ ซึ่งมีสมการ คือ Yˆ = 1.2743Yt-1 – 0.2747Yt-2 – 0.9872Yt-12 – 1.2584Yt-13 + 0.2712Yt-14 – 0.9289et-12 + et เมื่อ Yˆ แทน ค าพยากรณ ณ เวลา t , Y และ e แทน คา พยากรณและความคลาดเคลื่อนจากการพยากรณ ณ เวลา t j ตามลําดับ โดยมีคา MSE เทากับ 0.2705 พันบาท2/ตัน2 คําสําคัญ: ตัวแบบพยากรณ ราคาขาวหอมมะลิ วิธบี ็อกซและเจนกินส t
t
t j
t j
Abstract The objective of this research was to construct the appropriate forecasting model for the price of Jasmine rice 105 by Box and Jenkins method. The data collection used to construct the model were monthly price of Jasmine rice on thousand Bath/1000 kilograms from January 1997 to September 2017 in total of 249 values, collected by the office of agricultural economic. The accuracy comparison of model used to minimal mean square error (MSE) analyzes. *
ผูรับผิดชอบบทความ : mathasit24@gmail.com
การประยุกตวิธบี ็อกซและเจนกินสสําหรับพยากรณราคาขาวหอมมะลิ 105
DOI: 10.14456/rnoj.2018.3 เมธาสิทธิ์ ธัญรัตนศรีสกุล
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 24
The research result showed that the appropriate forecasting model for the price of Jasmine rice 105 was the SARIMA (1, 1, 0) (1, 0, 1) 12 (no constant) model follow by คื อ Yˆ = 1.2743Yt-1 – 0.2747Yt-2 – 0.9872Yt-12 – 1.2584Yt-13 + 0.2712Yt-14 – 0.9289et-12 + et , when Yˆ was forecasting at time t , Yt j and et j was forecasting and error at time t j respectively with 0.2705 (thousand Bath) 2 / (1000 kilograms) 2 of MSE. Keywords: forecasting model, price of jasmine rice, Box and Jenkins method. t
t
1. บทนํา ขาวหอมมะลิ (Jasmine Rice) เปนสายพันธุขาวที่มีถิ่นกําเนิดในไทย มีลักษณะกลิ่นหอมคลายใบเตย เปนพันธุขาวที่ปลูกในประเทศไทยเทานั้นจึงจะไดคุณภาพดี และเปนพันธุขาวที่ทําใหขาวไทยเปนสินคาสงออก ที่รูจักไปทั่วโลก ขาวหอมมะลิในปจจุบันที่นิยมปลูกและบริโภคกันอยางแพรหลายคือพันธุขาวดอกมะลิ 105 หรือหอมมะลิ 105 และพันธุ กข.15 ซึ่งปจจุบันราคาขาวหอมมะลิราคาตกต่ําลงมาเรื่อยๆ เนื่องจาก ขาวพันธุ ปทุมธานี 1 ใหผลผลิตสูงกวาขาวหอมมะลิ 105 โดยผลผลิตตอไรเฉลี่ย 80-100 ถัง/ไร ปลูกไดหลายครั้งตอป และสามารถปลูกไดดีในที่ลุมบริเวณที่ราบภาคกลาง ขณะที่ขาวหอมมะลิ 105 จะใหผลผลิตตอไรเพียง 30-40 ถัง/ไร และปลูกไดดีในบางพื้นที่เทานั้น รัฐบาลจึงสงเสริมใหชาวนาเนนการปลูกขาวพันธุปทุมธานี 1 มากกวา ซึ่งขาวพันธุปทุมธานี 1 แมวาจะมีความหอมคลายขาวหอมมะลิ 105 แตไมใชขาวหอมมะลิ 105 (สยามคูโบตา, 2560) นอกจากนี้ยังมีความผันผวนเนื่องมาจากการนําเขาและการสงออกนอกประเทศอีกดวย การพยากรณ (Forecasting) หมายถึง การทํานาย การคาดการณ การประมาณคาในอนาคต โดย อาศัย ขอมูลในอดีตที่มีพื้น ฐานองคป ระกอบสถานการณเดีย วกัน และเปนสวนสําคัญของการวางแผนงาน ที่จะทํา ไมวาจะเปนงานภาครัฐหรือเอกชน การวางแผนเหลานี้จะตองใชกระบวนการทางสถิติเพื่อพยากรณ เทคนิคหนึ่งที่นิยมใชไดแก การวิเคราะหอนุกรมเวลา (Time Series Analysis) (ศิริลักษณ สุวรรณวงศ, 2556) เชนเดียวกับการวางแผนการปลูกขาวหอมมะลิ 105 ในภาคการเกษตร และเพื่ออุตสาหกรรมการสงออก การ พยากรณ โดยใช ดั ช นี ร าคาจึ งช ว ยทํ าให ส ามารถประเมิน ราคาสิ น คาในอนาคตได การศึก ษาแนวโน ม และ พยากรณราคาขาวหอมมะลิ 105 ในประเทศไทยจึงมีความจําเปนอยางมาก ทั้งนี้ เพื่อที่จะนําผลการศึกษาที่ได จากการพยากรณมาเปนแนวทางในการตัดสินใจสําหรับผูผลิตและผูสงออกในการวางแผนการผลิตและการ สงออกใหมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นและสอดคลองกับความตองการของตลาด (ศศิธร โกฎสืบ และกัลยา บุญหลา, 2559) ซึ่งจะตองอาศัยการคาดการณราคาที่มีความเชื่อถือไดและถูกตองตามหลักวิชาการ วิธีการหนึ่งที่เปน ที่นิยม คือ วิธีบ็อกซและเจนกินส (Box and Jenkins) ซึ่งเปนการพยากรณเชิงปริมาณวิธีหนึ่งโดยใชฐานคิด ที่วา พฤติกรรมในอดีตของสิ่งที่ตองการพยากรณนั้นเพียงพอที่จะพยากรณพฤติกรรมในอนาคตของตัวเองได นั่นคือ ขอมูลอนุกรมเวลาที่ศึกษาอาจมีลักษณะของสหสัมพันธในตัวเอง (Autocorrelation) และสหสัมพันธ ในตัวเองบางสวน (Partial Autocorrelation) ศศิธร โกฎสืบ และกัลยา บุญหลา (2559) ไดทําการวิจัยเพื่อศึกษาตัวแบบที่เหมาะสม สําหรับการ พยากรณราคาขาวหอมมะลิ 105 โดยเปรียบเทียบระหวางตัวแบบที่สรางดวยวิธีการปรับใหเรียบแบบเอ็กซโป การประยุกตวิธบี ็อกซและเจนกินสสําหรับพยากรณราคาขาวหอมมะลิ 105
เมธาสิทธิ์ ธัญรัตนศรีสกุล
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 25
เนนเชียลซ้ําสองครั้งและวิธีบ็อกซและเจนกินส โดยเลือกตัวแบบที่มีคาความคลาดเคลื่อนกําลังสองเฉลี่ยนอย ที่สุด ผลการวิจัยพบวาตัวแบบที่มีความเหมาะสม คือ ตัวแบบที่ไดจากวิธีบ็อกซและเจนกินส ซึ่งคือ ตัวแบบ ARIMA (1, 1, 2) พิพัฒน คนอยู (2555) ไดทําการวิจัยเพื่อสรางตัวแบบพยากรณราคาขาวเปลือกเจานาปชนิด 5% ดวยวิธีของบ็อกซและเจนกินส ผลการวิจัยพบวาตัวแบบที่มีความเหมาะสม คือ ARIMA (0, 1, 1) จากผลการวิจัย ที่ผานมา จะเห็น ไดวาตัวแบบพยากรณราคาขาวที่มีความแมน ยํานั้นสรางขึ้น ดว ย วิธีบ็อกซและเจนกินส แตเนื่องจากเวลาที่เปลี่ยนไปอาจทําใหเกิดตัวแบบอื่นที่มีความเหมาะสมและสามารถ นําไปใชสําหรับการพยากรณที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ดังนั้น การวิจัยครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงคเพื่อสรางตัวแบบ ที่เหมาะสมสําหรับพยากรณราคาขาวหอมมะลิ 105 ดวยวิธีบ็อกซและเจนกินส เพื่อเปนการปรับปรุงตัวแบบ ใหมีความถูกตอง แมนยํา และสอดคลองกับสถานการณราคาที่เปลี่ยนไปในปจจุบัน 2. อุปกรณและวิธีการ 2.1 ขอมูลที่ใชในการสรางตัวแบบ ขอมูลที่ใชในการสรางตัวแบบ คือ ราคาขาวหอมมะลิ 105 เปนรายเดือน หนวยเปนพันบาท/ตัน ตั้งแตเดือนมกราคม พ.ศ. 2540 ถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2560 จํานวน 249 คา จากฐานขอมูลของสํานักงาน เศรษฐกิจการเกษตร (2560) แสดงดังตารางที่ 1 ตารางที่ 1 ราคาขาวหอมมะลิ 105 รายเดือน (พันบาท/ตัน) ป พ.ศ. 2540 2541 2542 2543 2544 2545 2546 2547 2548 2549 2550 2551 2552 2553 2554 2555 2556 2557 2558 2559 2560
ม.ค. 6.526 8.977 6.650 6.729 6.451 4.838 5.720 8.759 7.604 7.628 8.072 10.150 12.188 14.106 12.511 15.201 15.702 14.252 12.565 10.918 9.240
ก.พ. 6.896 9.580 6.547 6.802 6.310 4.992 5.926 8.791 7.736 7.873 8.274 11.906 12.755 14.337 12.304 15.024 16.070 14.223 13.103 10.798 9.308
มี.ค. 7.595 8.749 6.459 6.906 5.970 5.098 6.771 9.062 7.816 7.960 8.388 12.995 13.182 13.948 11.821 14.770 15.862 14.186 13.571 10.725 9.260
เม.ย. 7.754 8.374 6.246 6.970 5.862 5.089 7.502 9.329 7.913 8.028 8.526 17.122 13.175 13.607 12.113 14.752 15.643 13.902 13.470 10.588 9.092
พ.ค. 7.747 8.661 6.409 7.413 5.784 5.122 7.608 9.209 7.769 8.069 8.643 17.292 13.133 13.178 12.202 14.628 15.809 13.846 13.341 10.901 9.137
มิ.ย. 8.234 8.495 6.455 7.621 5.573 5.390 7.916 8.607 7.630 8.160 8.778 15.570 13.078 12.803 12.287 14.616 15.870 13.812 13.134 11.062 9.438
ก.ค. 8.731 8.278 6.770 8.088 5.559 6.085 8.141 7.894 7.486 8.353 8.864 14.307 13.551 13.125 12.471 14.832 15.576 13.886 13.098 11.130 10.095
การประยุกตวิธบี ็อกซและเจนกินสสําหรับพยากรณราคาขาวหอมมะลิ 105
ส.ค. 9.461 8.210 7.062 8.232 5.174 6.127 8.182 7.704 7.618 8.612 9.016 13.621 13.372 13.528 12.942 15.369 15.675 13.992 13.073 11.009 10.477
ก.ย. 8.998 8.088 8.061 7.897 4.766 6.375 8.995 7.243 7.816 8.642 9.033 13.197 14.847 13.895 13.275 15.538 15.776 14.094 13.282 10.698 11.342
ต.ค. 8.685 7.454 7.848 7.890 4.920 6.290 7.973 7.186 7.850 8.685 9.028 13.424 15.203 14.070 14.265 15.813 15.708 14.179 13.099 9.517 -
พ.ย. 7.142 6.678 7.600 7.074 4.783 6.019 7.379 7.777 7.393 8.262 8.954 12.728 13.502 13.184 15.219 15.302 14.984 13.367 12.018 8.294 -
ธ.ค. 7.097 6.276 6.600 6.476 4.861 5.559 7.614 7.555 7.579 7.882 9.691 12.089 14.455 12.837 15.004 15.386 14.313 11.649 11.518 9.182 -
เมธาสิทธิ์ ธัญรัตนศรีสกุล
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 26
2.2 ขั้นตอนและสถิติที่ใชในการสรางตัวแบบ การวิจัยครั้งนี้ไดสรางตัวแบบอนุกรมเวลาดวยวิธีบ็อกซและเจนกินส โดยมีขั้นตอนดังนี้ 2.2.1 พิจารณาตัวแบบอนุกรมเวลาวามีความคงที่ (Stationary) หรือไม โดยพิจารณากราฟของ อนุกรมเวลาเทียบกับเวลา ( Yt ,t ) กราฟฟงกชันสหสัมพันธในตัวเอง (Autocorrelation Function: ACF) และ กราฟฟงกชันสหสัมพันธในตัวเองบางสวน (Partial Autocorrelation Function: PACF) 2.2.2 กําหนดตัวแบบที่เปนไปไดจากกราฟ ACF และ PACF ของอนุกรมเวลาที่มีความคงที่ 2.2.3 ทําการประมาณคาพารามิเตอรของตัวแบบโดยพารามิเตอรทุกตัวจะตองมีนัยสําคัญทาง สถิติ (p-value < .05) หากพบวาพารามิเตอรตัวใดไมมีนัยสําคัญทางสถิติ จะตัดพารามิเตอรนั้นออกและเลือก ตัวแบบใหมจนกวาจะไดตัวแบบที่คาพารามิเตอรมีนัยสําคัญทางสถิติทั้งหมด (วรางคณา กีรติวิบูลย, 2557) 2.2.4 เลือกตัวแบบที่คาสถิติ Ljung – Box Q ไมมีนัยสําคัญทางสถิติ (p-value > .05) ณ Q12, Q24, Q36 และ Q48 ซึ่งเปนการทดสอบคาความคลาดเคลื่อนของการพยากรณที่อยูหางกันแตล ะชวงเวลา วาเปนอิสระกันหรือไม ซึ่งในที่นี้ Q12, Q24, Q36 และ Q48 หมายถึง การทดสอบ ณ ชวง เวลา 12, 24, 36 และ 48 เดือน ตามลําดับ (Farnum and Stanton, 1989) 2.2.5 สรางสมการพยากรณโดยพิจารณาจากรูปแบบทั่วไปของตัวแบบอนุกรมเวลาดวยวิธีบ็อกซ และเจนกิ น ส ซึ่ ง คื อ Seasonal Autoregressive Integrated Moving Average: SARIMA (p, d, q) (P, D, Q)S และสําหรับตัวแบบที่ปราศจากฤดูกาล จะเขียนเปน ARIMA (p, d, q) ซึ่งแสดงสมการไดดังนี้ (Box and Jenkins, 1994) p ( B ) P ( B S )(1 B )d (1 B S ) D Yt
เมื่อ
= q ( B ) Q ( B S ) t
(1)
แทน อนุกรมเวลา ณ เวลา t t แทน อนุกรมเวลาของความคลาดเคลื่อน ณ เวลา t = p ( B) P ( B S ) แทน คาคงที่ โดย แทนคาเฉลี่ยของอนุกรมเวลาที่คงที่ p ( B ) = 1 1B 2 B 2 ... p B p แทน ตั ว ดํ าเนิ น การสหสั ม พั น ธ ในตั ว เอง แบบไมมีฤดูกาลอันดับที่ p (Non-Seasonal Autoregressive Operator of Oder p: AR (p)) P ( B S ) = 1 1B S 2 B 2 S ... P B PS แทน ตัว ดํ า เนิน การสหสัม พัน ธ ในตัวเองแบบมีฤดูกาลอันดับที่ P (Seasonal Autoregressive Operator of Oder P: SAR (P)) q ( B ) = 1 1B 2 B 2 ... q B q แทน ตัวดําเนิน การเฉลี่ยเคลื่อนที่ แบบไม มี ฤดู กาลอั นดั บ ที่ q (Non-Seasonal Moving Average Operator of Oder q: MA (q))
Yt
การประยุกตวิธบี ็อกซและเจนกินสสําหรับพยากรณราคาขาวหอมมะลิ 105
เมธาสิทธิ์ ธัญรัตนศรีสกุล
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 27
= 1 1BS 2 B2S ... Q BQS แทน ตัวดําเนินการเฉลี่ยเคลื่อนที่ แบบมีฤดูกาลอันดับที่ Q (Seasonal Moving Average Operator of Oder Q: SMA (Q)) แทน ชวงเวลา มีคาตั้งแต 1 ถึง n เมื่อ n แทนจํานวนขอมูล แทน จํานวนฤดูกาล แทน ลําดับที่ของการหาผลตางและผลตางฤดูกาล ตามลําดับ แทน ตัวดําเนินการถอยหลัง (Backward Operator) โดยที่ B S Yt = Yt S , B S t = t S
Q ( B S )
t S
d
และ D B
2.3 การเปรียบเทียบความแมนยําของตัวแบบ สําหรับการวิจัยนี้ไดใชการพิจารณาความแมนยําของตัวแบบจากคาความคลาดเคลื่อนกําลังสอง เฉลี่ย (Minimal Mean Square Error: MSE) โดยยึดหลักเกณฑวา ตัวแบบที่ใหคา MSE ต่ําที่สุด จะเปน ตัวแบบที่มีความเหมาะสมในการพยากรณมากที่สุด มีสูตรการคํานวณ คือ (ศศิธร โกฎสืบ และกัลยา บุญหลา, 2559) n
MSE
เมื่อ
MSE
yi yˆt
n
แทน แทน แทน แทน
=
( yt yˆt )2 t 1
n
คาความคลาดเคลื่อนกําลังสองเฉลี่ย คาจริง ณ เวลา t คาพยากรณ ณ เวลา t จํานวนขอมูลในอนุกรมเวลา
3. ผลการวิจัยและวิจารณ จากการศึกษาเบื้องตนพบวาขอมูลราคาขาวหอมมะลิ 105 ตั้งแตเดือนมกราคม พ.ศ. 2540 ถึงเดือน ธันวาคม พ.ศ. 2559 เปนขอมูลที่มีแนวโนม (Trend) และฤดูกาล (Season) ผูวิจัยไดทําการตรวจสอบความ คงที่ของขอมูลอนุกรมเวลา โดยพิจารณากราฟ ACF และ PACF ดังภาพที่ 1 ซึ่งพบวาอนุกรมเวลาไมคงที่ ผูวิจัยจึงเริ่มตนการสรางตัวแบบโดยการหาผลตางลําดับที่ 1 (d=1) และปรับหาตัวแบบที่มีความเหมาะสม คือ คาสถิติ Ljung – Box Q ไมมี นั ย สํ าคัญ ทางสถิติ (p-value > .05) ณ Q12, Q24, Q36 และ Q48 ผลจากการ ปรับตัวแบบทําใหไดตัวแบบที่มีความเหมาะสมและมีความสอดคลองตามเงื่อนไขดังกลาว จํานวน 8 ตัวแบบ คื อ ARIMA(1, 1, 0), ARIMA(1, 1, 2), ARIMA(0, 1, 1), SARIMA (0, 1, 1) (1, 0, 0)12 , SARIMA(1, 1, 0) (1, 0, 0)12, SARIMA (1, 1, 2) (1, 0, 0)12, SARIMA (1, 1, 0) (1, 0, 1)12, SARIMA (0, 1, 1) (1, 0, 1)12 ทั้ง 8 ตัวแบบตางไมมีคาคงที่ แสดงคาพารามิเตอรของตัวแบบดังตารางที่ 2 การประยุกตวิธบี ็อกซและเจนกินสสําหรับพยากรณราคาขาวหอมมะลิ 105
เมธาสิทธิ์ ธัญรัตนศรีสกุล
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 28
ภาพที่ 1 ฟงกชันสหสัมพันธในตัวเอง (ACF) และสหสัมพันธในตัวเองบางสวน (PACF) ของราคาขาวหอมมะลิ 105 ตารางที่ 2 คาประมาณพารามิเตอรของตัวแบบพยากรณราคาขาวหอมมะลิ 105 ตัวแบบพยากรณราคาขาวหอมมะลิ 105 (ไมมีคาคงที่) พารามิเตอร SARIMA(0, 1, 1) ARIMA(1, 1, 0) ARIMA(1, 1, 2) ARIMA(0, 1, 1) (1, 0, 0)12 AR(1) คาประมาณ 0.2817 0.8328 ( 1 ) S.E. 0.0625 0.1827 t-test 4.50 4.56 p-value .000 .000 MA(1) คาประมาณ 0.5645 -0.2946 -0.2868 ( 1 ) S.E. 0.1826 0.0627 0.0632 t-test 3.09 -4.70 -4.54 p-value .002 .000 .000 MA(2) คาประมาณ 0.2881 ( 2 ) S.E. 0.0676 t-test 4.26 p-value .000 SAR (1) คาประมาณ 0.1445 ( 1 ) S.E. 0.0663 t-test 2.18 p-value .030 การประยุกตวิธบี ็อกซและเจนกินสสําหรับพยากรณราคาขาวหอมมะลิ 105
เมธาสิทธิ์ ธัญรัตนศรีสกุล
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 29
ตารางที่ 2 คาประมาณพารามิเตอรของตัวแบบพยากรณราคาขาวหอมมะลิ 105 (ตอ) ตัวแบบพยากรณราคาขาวหอมมะลิ 105 (ไมมีคาคงที่) พารามิเตอร SARIMA(1, 1, 0) SARIMA(1, 1, 2) SARIMA(1, 1, 0) SARIMA(0, 1, 1) (1, 0, 0)12 (1, 0, 0)12 (1, 0, 1)12 (1, 0, 1)12 AR (1) คาประมาณ 0.2760 0.8855 0.2747 ( 1 ) S.E. 0.0630 0.0982 0.0635 t-test 4.38 9.02 4.32 p-value .000 .000 .000 MA (1) คาประมาณ 0.6151 -0.2598 ( 1 ) S.E. 0.1046 0.0638 t-test 5.88 -4.07 p-value .000 .000 MA (2) คาประมาณ 0.3013 ( 2 ) S.E. 0.0645 t-test 4.68 p-value .000 SAR (1) คาประมาณ 0.1478 0.1531 0.9872 0.9891 ( 1 ) S.E. 0.0663 0.0682 0.0184 0.0193 t-test 2.23 2.24 53.56 51.26 p-value 0.027 .026 .000 .000 SMA (1) คาประมาณ 0.9289 0.9284 ( 1 ) S.E. 0.0422 0.0431 t-test 22.02 21.54 p-value .000 .000 จากการวิเคราะหพบวาตัวแบบพยากรณราคาขาวหอมมะลิ 105 ที่สรางขึ้นดวยวิธีบ็อกซและเจนกินส ทั้ง 8 ตัว แบบ ตางมีคาการทดสอบ Ljung-Box Q ณ Q12, Q24, Q36 และ Q48 ที่ไมมีนัย สําคัญทางสถิติ (p-value > .05) แสดงวาทั้ง 8 ตัวแบบมีความเหมาะสมที่จะนํามาใชสําหรับการพยากรณราคาขาวหอมมะลิ 105 แสดงผลการทดสอบดังตารางที่ 3 แตเพื่อใหไดตัวแบบที่ดีที่สุดสําหรับการพยากรณ ผูวิจัยจึงทําการทดสอบความแมนยําของตัวแบบ โดยการวิเคราะหคาความคลาดเคลื่อนกําลังสองเฉลี่ยหรือ MSE โดยยึดหลักเกณฑวา ตัวแบบที่ใหคา MSE ต่ํา ที่สุด จะเปนตัวแบบที่มีความเหมาะสมในการพยากรณมากที่สุด ผลการวิเคราะหคา MSE แสดงดังตารางที่ 4 การประยุกตวิธบี ็อกซและเจนกินสสําหรับพยากรณราคาขาวหอมมะลิ 105
เมธาสิทธิ์ ธัญรัตนศรีสกุล
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 30
ตารางที่ 3 คาสถิติทดสอบความเหมาะสมของตัวแบบพยากรณราคาขาวหอมมะลิ 105 ตัวแบบพยากรณราคาขาวหอมมะลิ 105 Ljung-Box Q SARIMA (0, 1, 1) ARIMA (1, 1, 0) ARIMA (1, 1, 2) ARIMA (0, 1, 1) (1, 0, 0)12 Chi-square 13.8 10.5 12.4 7.7 Q12 df 11 9 11 10 p-value .243 .313 .336 .660 Chi-square 19.4 14.7 17.2 12.2 Q24 df 23 21 23 22 p-value .678 .840 .800 .954 Chi-square 27.0 21.4 24.3 18.0 Q36 df 35 33 35 34 p-value .832 .940 .912 .989 Chi-square 34.2 26.9 30.3 23.6 Q48 df 47 45 47 46 p-value .919 .985 .972 .998 ตัวแบบพยากรณราคาขาวหอมมะลิ 105 Ljung-Box Q SARIMA (1, 1, 0) SARIMA (1, 1, 2) SARIMA (1, 1, 0) SARIMA (0, 1, 1) (1, 0, 0)12 (1, 0, 0)12 (1, 0, 1)12 (1, 0, 1)12 Chi-square 8.8 6.3 7.5 8.3 Q12 df 10 8 9 9 p-value .555 .610 .587 .499 Chi-square 13.8 10.3 16.9 16.8 Q24 df 22 20 21 21 p-value .910 .962 .718 .723 Chi-square 19.5 15.9 19.6 19.9 Q36 df 34 32 33 33 p-value .978 .992 .969 .964 Chi-square 26.1 21.0 23.5 23.8 Q48 df 46 44 45 45 p-value .992 .999 .997 .996 การประยุกตวิธบี ็อกซและเจนกินสสําหรับพยากรณราคาขาวหอมมะลิ 105
เมธาสิทธิ์ ธัญรัตนศรีสกุล
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 31
ตารางที่ 4 ผลการวิเคราะหคา MSE (ทุกตัวแบบตางไมมีคาคงที่) ตัวแบบพยากรณ คา MSE ตัวแบบพยากรณ ราคาขาวหอมมะลิ 105 (พันบาท2/ตัน2) ราคาขาวหอมมะลิ 105 ARIMA (1, 1, 0) 0.2974 SARIMA (1, 1, 0) (1, 0, 0)12 ARIMA (1, 1, 2) 0.2928 SARIMA (1, 1, 2) (1, 0, 0)12 ARIMA (0, 1, 1) 0.2954 SARIMA (1, 1, 0) (1, 0, 1)12 SARIMA (0, 1, 1) (1, 0, 0)12 0.2897 SARIMA (0, 1, 1) (1, 0, 1)12
คา MSE (พันบาท2/ตัน2) 0.2911 0.2868 0.2705 0.2715
จากตารางที่ 4 พบวาตัวแบบที่มีคา MSE สูงที่สุด คือ ตัวแบบ ARIMA (1, 1, 0) รองลงมาไดแก ตัวแบบ ARIMA (0, 1, 1) ตัวแบบ ARIMA (1, 1, 2) ตัวแบบ SARIMA (1, 1, 0) (1, 0, 0)12 ตัวแบบ SARIMA (0, 1, 1) (1, 0, 0)12 ตั ว แบบ SARIMA (1, 1, 2) (1, 0, 0)12 ตั ว แบบ SARIMA (0, 1, 1) (1, 0, 1)12 และตั ว แบบ SARIMA (1, 1, 0) (1, 0, 1)12 ตามลําดับ นั่นคือ ตัวแบบ SARIMA (1, 1, 0) (1, 0, 1)12 แบบไมมีคาคงที่ มีความคลาดเคลื่อนในการพยากรณราคาขาวหอมมะลิ 105 นอยที่สุด แสดงตัวแบบพยากรณดังกลาวในรูป ทั่วไปและรูปแบบสําหรับการนําไปใช ดังสมการที่ 2 และ 3 ตามลําดับ (1 1 B )(1 1 B12 )(1 B )Yt
Yˆt
=
(1 1 B12 ) t
= 1.2743Yt 1 0.2747Yt 2 0.9872Yt 12 1.2584Yt 13 0.2712Yt 14 0.9289et 12 et
เมื่อ Yˆ แทน คาพยากรณราคาขาวหอมมะลิ 105 ณ เวลา t , Yt j และ คาความคลาดเคลื่อนจากการพยากรณราคาขาวหอมมะลิ 105 ณ เวลา t j t
et j
(2) (3)
แทน คาพยากรณและ
ภาพที่ 2 ฟงกชันสหสัมพันธในตัวเอง (ACF) และสหสัมพันธในตัวเองบางสวน (PACF) ของเศษเหลือ ที่ไดจากการพยากรณโดยใชตัวแบบ SARIMA (1, 1, 0) (1, 0, 1)12 (ไมมีคาคงที่) การประยุกตวิธบี ็อกซและเจนกินสสําหรับพยากรณราคาขาวหอมมะลิ 105
เมธาสิทธิ์ ธัญรัตนศรีสกุล
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 32
เมื่อพิจารณาจากฟงกชันสหสัมพันธในตัวเอง (ACF) และฟงกชันสหสัมพันธในตัวเองบางสวน (PACF) ของเศษเหลือดังภาพที่ 2 พบวาตกอยูในขอบเขตความเชื่อมั่นรอยละ 95 แสดงวาตัวแบบ SARIMA (1, 1, 0) (1, 0, 1)12 (ไมมีคาคงที่) มีความแมนยําในการพยากรณราคาขาวหอมมะลิ 105 ผลการพยากรณยอนหลัง (Backcast) และการเปรีย บเทีย บผลการพยากรณกับ ขอมูล จริงในเดือนมกราคมถึงเดือนกัน ยายน พ.ศ. 2560 แสดงดังภาพที่ 3
ภาพที่ 3 ผลการพยากรณยอนหลังและผลการพยากรณในเดือนมกราคมถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2560 จากตัวแบบ SARIMA (1, 1, 0) (1, 0, 1)12 (ไมมีคาคงที่) จากภาพที่ 3 พบวา ผลการพยากรณราคาขาวหอมมะลิ 105 ในเดือนมกราคมถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2560 มีความแตกตางจากขอมูลจริงเพียงเล็กนอย จากการวิเคราะหพบวาคาพยากรณสูงกวาคาจริงในเดือน มกราคม กุมภาพั น ธ มีน าคม เมษายน พฤษภาคม มิถุน ายน และกรกฎาคม โดยคิด เป น รอยละ 4.1602, 6.1152, 7.3672, 10.9558, 10.8526, 6.6677 และ 0.0713 ตามลําดับ และต่ํากวาคาจริงในเดือนสิงหาคม และกันยายน โดยคิดเปนรอยละ 3.0104 และ 9.6597 ตามลําดับ ซึ่งมีความคลาดเคลื่อนเฉลี่ยรอยละ 6.54 4. สรุป การสรางตัวแบบพยากรณราคาขาวหอมมะลิ 105 ในการวิจัยครั้งนี้ ไดนําขอมูลราคาขาวหอมมะลิ 105 รายเดือน ตั้งแตเดือนมกราคม พ.ศ. 2540 ถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2560 จํานวน 249 คา ซึ่งเก็บรวบรวม ไวโดยสํานั กงานเศรษฐกิจ การเกษตร มาเป น ขอมูล ในการพยากรณ โดยใช วิธีการของบ็ อกซและเจนกิน ส เนื่องจากขอมูลดังกลาวมีแนวโนมและฤดูกาล จากการศึกษาพบตัวแบบที่มีความเหมาะสมจํานวน 8 ตัวแบบ ซึ่งมีคาความคลาดเคลื่อนกําลังสองเฉลี่ยอยูในชวง 0.2705 ถึง 0.2974 พันบาท2/ตัน2 และพบวาตัวแบบที่มี ความเหมาะสมมากที่สุด คือ SARIMA (1, 1, 0) (1, 0, 1)12 แบบไมมีคาคงที่ ซึ่งใหคาความคลาดเคลื่อนกําลัง สองเฉลี่ยต่ําที่สุดเทากับ 0.2705 พันบาท2/ตัน2 ผลการวิจัยนี้แตกตางจากผลการวิจัยของ ศศิธร โกฎสืบ และ กัลยา บุญหลา (2559) ที่ไดทําการสรางตัวแบบเพื่อการพยากรณราคาขาวหอมมะลิ 105 โดยพบวาตัวแบบที่มี การประยุกตวิธบี ็อกซและเจนกินสสําหรับพยากรณราคาขาวหอมมะลิ 105
เมธาสิทธิ์ ธัญรัตนศรีสกุล
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 33
ความเหมาะสม คือ ARIMA (1, 1, 2) ที่มีคาความคลาดเคลื่อนกําลังสองเฉลี่ยต่ําที่สุดเทากับ 0.293 พันบาท2 /ตัน2 ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากผลการวิจัยดังกลาวไดใชขอมูลราคาขาวหอมมะลิ 105 ตั้งแตเดือนมกราคม พ.ศ. 2540 ถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2558 ในการสรางตัวแบบพยากรณ เมื่อเวลาผานไป 1 ป หรือ 12 เดือน จึงเกิด ขอมูลอนุกรมเวลาชุดใหมซึ่งอาจมีสวนประกอบในดานฤดูกาลเพิ่มขึ้น อยางไรก็ตาม การสรางตัวแบบพยากรณ ราคาขาวหอมมะลิ 105 ในงานวิจัยครั้งตอไป ควรมีการนําปจจัยตางๆ ที่อาจมีความเกี่ยวของกับคาพยากรณ เชน พื้นที่เพาะปลูก อุณหภูมิ ปริมาณน้ําฝน มาใชในการสรางตัวแบบพยากรณรวมดวย ซึ่งจะทําใหไดตัวแบบ ทีม่ ีความเหมาะสมและสมบูรณยิ่งขึ้น สําหรับนําไปใชประโยชนทางดานการเกษตรของประเทศตอไป 5. กิตติกรรมประกาศ ขอขอบคุณสํานักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่อนุเคราะหขอมูลอนุกรมเวลาราคาขาวหอมมะลิ 105 สําหรับใชในการวิจัยครั้งนี้ และขอขอบคุณกองบรรณาธิการวารสารวิชาการราชินีบูรณะวิจัย ที่พิจารณาให บทความวิจัย เรื่อง การประยุกตวิธีบ็อกซและเจนกินสสําหรับพยากรณราคาขาวหอมมะลิ 105 ฉบับนี้ ไดตีพิมพ เผยแพรเพื่อการนําไปใชประโยชนตอไป 6. เอกสารอางอิง พิพัฒน คนอยู. (2555). การพยากรณราคาขาวเปลือกเจานาปชนิด 5% ดวยวิธีของบอกซ–เจนกินส. คณะ วิทยาศาสตร มหาวิทยาลัยบูรพา. วรางคณา กีรติวิบูลย. (2557). ตัวแบบพยากรณมูลคาการสงออกขาวหอมมะลิ. วารสารวิทยาศาสตรบูรพา, 19 (1). ศศิธร โกฎสืบ และกัลยา บุญหลา. (2559). การสรางตัวแบบเพื่อพยากรณราคาขาวหอมมะลิ 105, วารสาร วิชาการวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค, 8 (8). ศิริลักษณ สุวรรณวงศ. (2556). เทคนิคการพยากรณเชิงปริมาณ : การวิเคราะหอนุกรมเวลา. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยมหิดล. สยามคูโบตา. (2560). ที่มาของขาวขาวดอกมะลิ 105 และความรูเกี่ยวกับขาวไวแสง. สืบคนเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2560 จาก http://www.kubotasolutions.com/knowledge/rice /detail/37. สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร. (2560). ราคาขาวเปลือกเจาหอมมะลิ 105 รายเดือน ที่เกษตรกรขายไดที่ ไรนา ทั้งประเทศ ป 2540-2560. สืบคนเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560 จาก http://www.oae.go.th /download-/price/monthly-price/paddyrice.pdf. Box, G.E.P., Jenkins, G.M. and Reinsel, G.C. (1994). Time Series Analysis: Forecasting and Control. New Jersey: Prentice Hall. Farnum, N.R., Stanton, L.W. (1989). Quantitative Forecasting Methods. Boston: PWS-KENT Publishing Company.
การประยุกตวิธบี ็อกซและเจนกินสสําหรับพยากรณราคาขาวหอมมะลิ 105
เมธาสิทธิ์ ธัญรัตนศรีสกุล
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)หนา
34
การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะหและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช สื่อประสมเรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 The Development of Critical Thinking Ability Skills and Achievement by Using Multimedia Application on “Geography of Europe” for 8th Grade Students สุมาลี แสงสุข*1 กลุมสาระการเรียนรูสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม โรงเรียนอูทอง อําเภออูทอง จังหวัดสุพรรณบุรี 72160 Sumali Saengsukh* Department of Social Studies, Religion and Culture, U-Thong School U-Thong District, Suphan Buri Province, 72160 บทคัดยอ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงคเพื่อ 1) พัฒนาสื่อประสม เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 ใหมีประสิทธิภาพตามเกณฑ 80/80 2) เปรียบเทียบทักษะการคิดวิเคราะห ภูมิศาสตรทวีปยุโรป ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 กอนและหลังการจัดการเรียนรูโดยใชสื่อประสมที่พัฒนาขึ้น 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนรายวิชาสังคมศึกษา เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 กอนและหลัง การจัดการเรียนรูดวยสื่อประสมที่พัฒนาขึ้น และ 4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 ที่มีตอการจัดการเรียนรูรายวิชาสังคมศึกษา เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป โดยใชสื่อประสมที่พัฒนาขึ้น กลุม ตัวอยางที่ใชในการวิจัย ไดแก นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2/8 จํานวน 50 คน ที่กําลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปการศึกษา 2558 ของโรงเรียนอูทอง ไดมาจากการสุมแบบกลุม เครื่องมือที่ใชในการวิจัย ไดแก 1) สื่อประสม เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป ระดับชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 2) แบบทดสอบวัดทักษะการคิดวิเคราะห 3) แบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจ การวิเคราะหขอมูลใชคารอยละ คาเฉลี่ย เลขคณิต สวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบคาที ผลการวิจัยพบวา 1. สื่อประสม เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 ที่พัฒ นาขึ้นมีคาดัชนีป ระสิทธิภาพ เทากับ 83.71/83.40 ซึ่งเปนไปตามเกณฑมาตรฐานที่กําหนดไวคือ 80/80 2. ทักษะการคิดวิเคราะห เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 หลังการจัดการ เรียนรูโดยใชสื่อประสมที่พัฒนาขึ้นสูงกวากอนการจัดการเรียนรู อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 *ผูรับผิดชอบบทความ
: sumalisaengsukh@gmail.com
การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะหและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใชสื่อประสมฯ
DOI: 10.14456/rnoj.2018.4 สุมาลี แสงสุข
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)หนา
35
3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาสังคมศึกษา เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปที่ 2 หลังจัดการเรียนรูดวยสื่อประสมที่พัฒนาขึ้นสูงกวากอนการจัดการเรียนรู อยางมีนัยสําคัญทางสถิติ ที่ระดับ .01 4. นักเรีย นชั้นมัธ ยมศึกษาปที่ 2 มีความพึงพอใจตอการจัดการเรียนรูร ายวิชาสังคมศึกษา เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป โดยใชสื่อประสมที่พัฒนาขึ้น ในระดับมากที่สุด คําสําคัญ: สื่อประสม ทักษะการคิดวิเคราะห ภูมิศาสตรทวีปยุโรป Abstract These research objectives were 1) develop the multimedia on “Geography of Europe” for 8th grade students according to standard criterion 70/70 2) compare 8th grade students’ critical thinking ability application on “Geography of Europe” before and after study by multimedia 3) compare 8th grade students’ social studies achievement application on “Geography of Europe” before and after study by multimedia and 4) study 8th grade students’ satisfaction toward learning management in social studies application on “Geography of Europe” after study by multimedia. The research sample was 50 8th grade students (Class 8) in the first semester of academic year 2015 of U-Thong school by cluster random sampling. The research tools were 1) multimedia application on “Geography of Europe” for 8th grade students 2) critical skills test 3) achievement test and 4) questionnaire. The data analyses of this research applied were 1) percentage 2) arithmetic mean 3) standard deviation and 4) t-test. The result of this research showed; 1. The efficiency index of multimedia application on “Geography of Europe” was 83.71/83.40 according to standard criterion 70/70. 2. The 8th grade students’ critical thinking ability application on “Geography of Europe” after study by multimedia was higher than before at .01 statistical significant levels. 3. The 8th grade students’ social studies achievement application on “Geography of Europe” after study by multimedia was higher than before at .01 statistical significant levels. 4. The 8th grade students’ satisfaction toward learned management in social studies application on “Geography of Europe” after study by multimedia was the highest level. Keywords: multimedia, critical thinking skills, geography of Europe. 1. บทนํา กระบวนการศึกษาอบรมเปนการเรียนรู ซึ่งเกิดขึ้นจากการสั่งสอน ฝกอบรม บมนิสัย ดวยวิธีการที่ หลากหลายตอเนื่องยาวนานตลอดชีวิต ดังนั้น มนุษยทุกคนจึงไมใชแคคอยรับการอบรมสั่งสอนจากผูอื่นไป การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะหและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใชสื่อประสมฯ
สุมาลี แสงสุข
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)หนา
36
ตลอดชีวิต แตจะตองเรียนรูเพื่อที่จะรูวิธีเรียน คนหา สรางสรรคความรูดวยตนเองรวมดวย (ประณีต วงเกษกรณ, 2553 : 1) ซึ่งสอดคลองพระราชบัญญัติการศึกษาแหงชาติ พุทธศักราช 2542 ที่แกไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พุทธศักราช 2545 และ (ฉบับที่ 3) พุทธศักราช 2553 หมวด 4 มาตรา 22 ใจความสําคัญวา การจัดการศึกษา ตองยึดหลักวา นักเรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรูและพัฒนาตนเองได และถือวานักเรียนมีความสําคัญที่สุด กระบวนการจั ด การศึ ก ษาต อ งส ง เสริ ม ให นั ก เรี ย นสามารถพั ฒ นาตามธรรมชาติ แ ละเต็ ม ตามศั ก ยภาพ (สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาแหงชาติ สํานักนายกรัฐมนตรี, 2551 : 19-20) สํ านั กวิ ช าการและมาตรฐานการศึ กษา สํ านั กงานคณะกรรมการการศึ กษาขั้ น พื้ น ฐาน กระทรวง ศึกษาธิการ (2551 : 1) กลาวถึงความสําคัญของการเรียนรูในรายวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมไววา เนื่องมาจากสังคมโลกมีการเปลี่ยนแปลงอยางรวดเร็วตลอดเวลากลุมสาระการเรียนรูสังคมศึกษา ศาสนา และ วัฒนธรรม จึงมีบทบาทหนาที่และบริบทในการชวยใหนักเรียนมีความรู ความเขาใจวามนุษยดํารงชีวิตอยางไร ทั้งในฐานะปจเจกบุคคล และการอยูรวมกันในสังคม การปรับตัวตามสภาพแวดลอม การจัดการทรัพยากรที่ มีอยูอยางจํากัด นอกจากนี้ยังมีบทบาทในการชวยใหนักเรียนเขาใจถึงการพัฒนา เปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย กาลเวลา ตามเหตุปจจัยตางๆ ทําใหเกิดความเขาใจในตนเอง และผูอื่น มีความอดทน อดกลั้น ยอมรับในความ แตกตาง และมีคุณธรรม สามารถนําความรูไปปรับใชในการดําเนินชีวิต เปนพลเมืองดีของประเทศชาติ และ สังคมโลก ปจจุบันสังคมประเทศไทยไดมีการเปลี่ยนแปลงทางดานเศรษฐกิจสังคมและวัฒนธรรม ดังนั้น ในการ จัดการศึกษาจึงมีความจําเปนที่ตองจัดการเรียนการสอนใหสอดคลองเพื่อใหเยาวชนของไทยสามารถดํารงชีวิต อยูในสังคมไดอยางมีความสุข การคิดจึงเปนสิ่งจําเปนอยางยิ่งในการดํารงชีวิต โดยเฉพาะในยุคของการแขงขัน ตอสูในทุกๆ ดาน เชนทุกวันนี้ ดังนั้น การจะดําเนินสังคมใหปกติสุขตองประกอบดวยการรูคิดซึ่งเปนกลไกทาง สมองของมนุษยโดยเริ่มตนที่นักเรียน ซึ่งครูมีหนาที่ชวยพัฒนาใหนักเรียนเหลานั้นมีความสามารถในการคิด สามารถคิดเปน และใชความคิดในทางที่ถูกตองเหมาะสม นักเรียนจึงจะสามารถดํารงชีวิตอยูในสังคมไดอยางมี ความสุข ทิศนา แขมมณี (2548 : 66-67) กลาววา การคิดเพื่อการคิดเปน เปนการคิดเพื่อแกปญหา เนื่องจาก การคิดมีจุดเริ่มตนที่ตัวปญหา แลวพิจารณาไตรตรองถึงขอมูล 3 ประเภท คือ ขอมูลดานตนเอง ชุมชน สังคม สิ่งแวดลอม และขอมูลทางวิชาการ ตอจากนั้นจึงลงมือกระทําการ หากการกระทําสามารถทําใหปญหาและ ความไมพอใจของบุคคลหายไป กระบวนการคิดจะยุติลง แตหากยังรูสึกไมพอใจ บุคคลก็จะเริ่มกระบวนการ ใหมอีกครั้ง เกรียงศักดิ์ เจริญวงศศักดิ์ (2545 : 125-150) ใหความหมายของการคิดวา เปนการที่คนๆ หนึ่ง พยายามใชพลังทางสมองของตนในการนําขอมูล ความรู ตลอดจนประสบการณตางๆ ที่มีอยูมาจัดวางอยาง เหมาะสมเพื่อให ได มาซึ่งผลลัพ ธ เชน การตั ดสิ น ใจเลื อกในสิ่ งที่ดีที่สุ ด เป น ตน เนื่ องจากการสอนคิด เป น กระบวนการเรี ย นการสอนที่ เป น นามธรรม ดั งนั้ น ครู จึ งมี บ ทบาทในการจั ด การเรี ย นการสอนหรื อ การ แสดงออกใหเปนรูปธรรมชัดเจนยิ่งขึ้น และที่สําคัญกระบวนการคิดแบบหนึ่งเหมาะสมกับนักเรียนแบบหนึ่ง แตอาจจะไมเหมาะสมกับนักเรียนอีกแบบหนึ่งก็ได ดังนั้น จึงเปนบทบาทหนาที่ของครูที่จะทําการศึกษาให เขาใจอยางชัดเจนถึงกระบวนการคิดที่ลงตัวสําหรับนักเรียนที่ตนเองทําการสอนอยูนั้น ทั้งนี้เพื่อใหสามารถ พัฒ นาจนเกิด ความสามารถที่ เรีย กว า กระบวนการคิด ซึ่งมีค วามสํ าคัญ ต อการดํ ารงชี วิ ต ทามกลางความ การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะหและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใชสื่อประสมฯ
สุมาลี แสงสุข
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)หนา
37
เจริญกาวหนาทางดานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยีเชนปจจุบัน บุคคลที่มีความสามารถในการคิดวิเคราะห แยกแยะ ไตรตรองอยางมีเหตุผล ก็จะสามารถดํารงตนอยูไดอยางมีความสุข ซึ่งบุคคลที่จะมีความสามารถใน ลักษณะนี้ไดนั้น จําเปนตองไดรับการฝกฝน เรียนรู บนพื้นฐานการคิดของตนเองอยางผูมีสติปญญา นั่นคือ การฝกฝนในดานการคิดวิเคราะห (ลมัย ผัสดี, 2554 : 1-3) ทักษะการคิดวิเคราะห (Analytical Thinking) เปนหนึ่งในทักษะที่สําคัญสําหรับนักเรียนในการ ดํารงชีวิตในยุคปจจุบัน ซึ่งมีองคประกอบที่สําคัญ 3 ประการ คือ การวิเคราะหองคประกอบ (Analysis of Element) การวิเคราะหความสัมพันธ (Analysis of Relationships) และการวิเคราะหหลักการ (Analysis of Organizational Principles) (เอนก พ.อนุกูลบุตร, 2554 : 34) ในการจัดการเรียนการสอนรายวิชาสังคม ศึกษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 โรงเรียนอูทอง จังหวัดสุพรรณบุรี คณะครูผูสอนทุกทานไดรวมกันกําหนด ระดับพฤติกรรมการเรียนรูของนักเรียนในระดับการวิเคราะห ทั้งนี้เนื่องดวยเห็นความสําคัญของการที่นักเรียน มีความสามารถหรือทักษะการคิดวิเคราะหในระดับสูง ดังความสําคัญของทักษะการคิดวิเคราะหที่กลาวไว ขางตนแลวนั้น และไดมุงมั่นในการจัดการเรียนรูใหนักเรียนเกิดทักษะการคิดวิเคราะหดังกลาว แตทวาผลลัพธ ที่เกิดขึ้นยังไมเปนตามเกณฑที่กําหนดไว เมื่อทําการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ซึ่งลักษณะขอสอบ อยูใ นระดับคิดวิเคราะห นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ํากวาเกณฑที่กําหนด คือ รอยละ 75 โดยเฉพาะใน สาระการเรียนรู เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป ซึ่งนักเรียนทําคะแนนไดนอยที่สุดเมื่อเทียบกับสาระการเรียนรูอื่น จากปญ หาดังกลาว ผูวิจัย จึงไดทําการสอบถามเพื่อวิเ คราะหถึงสาเหตุที่ทําใหนัก เรีย นมีค ะแนนในสาระ การเรียนรู เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป อยูในระดับต่ํา พบวา สาเหตุหลักเปนเพราะในการจัดการเรียนการสอน ขาดสื่อการเรียนรูที่แสดงภาพภูมิศาสตรของทวีปยุโรปไดอยางชัดเจน ภาพที่นํามาใชเปนสื่อการเรียนรูขาด ความนาสนใจ นักเรียนเกิดความเบื่อหนายเมื่อไมสามารถมองภาพที่นําไปใชเปนสื่อการเรียนรูไดอยางชัดเจน ดวยสาเหตุดังกลาวนี้ ผูวิจัยจึงคิดหาสื่อนวัตกรรมเพื่อนํามาพัฒนาการจัดการเรียนรูใหมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สื่อประสม (Multimedia) เปนสื่อการเรียนรูประเภทหนึ่งที่มีสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการ เรียนรูและบรรยากาศการเรียนรูใหดีขึ้น เปนการกระตุนใหเกิดทั้งการคิด การตั้งคําถาม การวิพากษวิจารณ ดังที่ ชอบุญ จิรานุภาพ (2542 : 38-39) กลาวถึงประโยชนของสื่อประสมไววา 1) สื่อประสมมีทั้งภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว เสียง และตัวอักษร ซึ่งเสนอผานทางคอมพิวเตอร นั บวาเป นสื่ อที่ดึงดูดความสนใจ ทําให นักเรียนไมเบื่อหนายตอการเรียน 2) สื่อประสมเปนการนําสื่อหลายประเภทมารวมกันโดยมีคอมพิวเตอรเปน เครื่องควบคุมการผลิตและจัดเนื้อหาเพื่อใหเกิดความรูที่เปนเรื่องเดียวกัน จึงทําใหเกิดความชัดเจน สามารถสื่อ ความหมายไดดี 3) สื่อประสมสามารถสื่อความหมายไดดี รวดเร็ว เขาใจงายและสามารถจัดลําดับใหผูเรียน ติดตาม 4) สื่อประสมลดเวลาในการจัดการเรียนการสอน เพราะความแตกตางระหวางบุคคล และ 5) สื่อประสม ช ว ยประหยั ด ทรั พ ยากรต างๆ ในการจั ด การเรี ย นการสอน ในช ว งทศวรรษที่ ผ า นมานี้ มี งานวิ จั ย ของนั ก การศึกษาจํานวนมากเกี่ยวกับการจัดทําสื่อประสมเพื่อใชในการจัดการเรียนการสอน และพบวาสามารถทําให นักเรีย นเกิด การเรียนรูไดดีขึ้น เชน งานวิจัย ของสุภารัตน คากิซากิ (2555 : บทคัด ยอ) เรื่อง การพัฒ นา แผนการเรียนรูสาระเศรษฐศาสตร เรื่อง สหกรณพอเพียง โดยใชสื่อประสม สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปที่ 3 โรงเรียนบานตาลเหนือ จังหวัดเชียงใหม งานวิจัยของประณีต วงเกษกรณ (2553 : 7) เรื่อง การศึกษา การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะหและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใชสื่อประสมฯ
สุมาลี แสงสุข
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)หนา
38
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา 8 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 โดยใชสื่อประสมและทฤษฎีการ เรียนรูแบบมีสวนรวม และงานวิจัยของสุพรรณษา ครุฑเงิน (2555 : บทคัดยอ) เรื่อง สื่อมัลติมีเดียเพื่อการ เรียนรูดวยตนเอง เรื่อง ขอมูลสารสนเทศ สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 ดวยเหตุนี้ ผูวิจัยจึงมีความสนใจในการพัฒนาและศึกษาผลการใชสื่อประสมเพื่อพัฒนาทักษะการคิด วิเคราะหและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปที่ 2 ทั้งนี้นอกจากจะเปนการแกปญหาที่เกิดขึ้นจากการจัดการเรียนการสอนแลว ยังเปนการสงเสริมนักเรียน เกิดทักษะการคิดวิเคราะหและสงผลใหนักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา ในสาระการเรียนรู เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป ที่สูงขึ้นอีกดวย 2. วัตถุประสงคการวิจัย 1. เพื่ อพัฒ นาสื่ อประสม เรื่อง ภู มิศาสตรทวีป ยุโรป ชั้น มัธยมศึกษาป ที่ 2 ให มีป ระสิ ทธิภ าพตาม เกณฑ 80/80 2. เพื่อเปรียบเทียบทักษะการคิดวิเคราะห เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปที่ 2 กอนและหลังการจัดการเรียนรูโดยใชสื่อประสมที่พัฒนาขึ้น 3. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปที่ 2 กอนและหลังการจัดการเรียนรูดวยสื่อประสมที่พัฒนาขึ้น 4. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 ที่มีตอการจัดการเรียนรู เรื่อง ภูมิศาสตร ทวีปยุโรป โดยใชสื่อประสมที่พัฒนาขึ้น 3. สมมติฐานของการพัฒนา 1. สื่อประสม เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพตามเกณฑ 80/80 2. ทักษะการคิดวิเคราะห เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 หลังการจัด การเรียนรูดวยสื่อประสมที่พัฒนาขึ้นสูงกวากอนจัดการเรียนรู 3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 หลังการ จัดการเรียนรูดวยสื่อประสมที่พัฒนาขึ้นสูงกวากอนจัดการเรียนรู 4. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 มีความพึงพอใจตอการจัดการเรียนรู เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป โดย ใชสื่อประสม โดยภาพรวมอยูในระดับมากขึ้นไป 4. ประชากรและกลุมตัวอยาง ประชากรที่ใชในการวิจัยครั้งนี้ ไดแก นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 ที่กําลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปการศึกษา 2558 ของโรงเรีย นอูทอง จังหวัดสุพรรณบุรี สังกัดสํานักงานเขตพื้น ที่การศึกษามัธ ยมศึกษา เขต 9 จํานวน 8 หองเรียน รวมทั้งสิ้น 379 คนกลุมตัวอยางไดแก นักเรีย นชั้น มัธยมศึกษาปที่ 2/8 จํานวน การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะหและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใชสื่อประสมฯ
สุมาลี แสงสุข
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)หนา
39
50 คน ที่กําลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปการศึกษา 2558 ของโรงเรียนอูทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ทั้งนี้ใชวิธีการ คัดเลือกจากประชากรดวยวิธีการสุมแบบกลุม (Cluster Random Sampling) เนื่องจากทางโรงเรียนไดจัด นักเรียนเขารวมชั้นแบบคละความสามารถ 5. ตัวแปรที่ใชในการวิจัย ตัวแปรอิสระ จํานวน 1 ตัวแปร ไดแก การจัดการเรียนรูรายวิชาสังคมศึกษา เรื่อง ภูมิศาสตรทวีป ยุโรป ระดับชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 โดยใชสื่อประสม ตัวแปรตาม จํานวน 3 ตัวแปร ไดแก 1) ทักษะการคิด วิเ คราะห 2) ผลสั มฤทธิ์ ทางการเรีย น เรื่อง ภู มิศาสตร ทวี ป ยุ โรป และ 3) ความพึ งพอใจของนั กเรีย นชั้ น มัธยมศึกษาปที่ 2 ที่มีตอการจัดการเรียนรู เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป โดยใชสื่อประสม 6. ระยะเวลาที่ใชในการวิจัย ภาคเรียนที่ 1 ปการศึกษา 2557 ถึง ภาคเรียนที่ 2 ปการศึกษา 2558 โดยนักเรียนที่เปนกลุมตัวอยาง จะไดรับการจัดการเรียนรู เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป โดยใชสื่อประสมที่สรางขึ้น เปนเวลา 22 ชั่วโมง ใชเวลา ในการทดสอบกอนและหลังเรียน 2 ชั่วโมง รวมระยะเวลาวิจัยทั้งสิ้น 24 ชั่วโมง 7. แบบแผนที่ใชในการวิจัย สําหรับการศึกษาทักษะการคิดวิเคราะหและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 ใชรูปแบบการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi Experimental Design) แบบกลุมเดียว วัดผลกอนและหลัง (One Group Pretest-Posttest Design) (พิชิต ฤทธิ์จรูญ, 2552 : 142) 8. นิยามศัพทเฉพาะ 1. สื่อประสม หรือสื่อมัลติมีเดีย หมายถึง สื่อที่ผลิตจากคอมพิวเตอรเพื่อใชในการจัดการเรียนรู เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 ที่มีองคประกอบ คือ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว เสียง และตัวอักษร และมีวิธีก ารนํ าเสนอโดยใชค อมพิว เตอรในการเปด ใชถายทอดสูน ักเรีย นผานเครื่องฉายภาพขามศีรษะ (Over Head) จํานวน 3 ชุด ประกอบดวยชุดที่ 1 เรื่อง เครื่องมือทางภูมิศาสตร ชุดที่ 2 เรื่อง ภูมิศาสตรทวีป ยุโรป 1 และชุดที่ 3 เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป 2 2. ประสิทธิภาพของสื่อประสม หมายถึง ประสิทธิภาพตามเกณฑ E1 / E2 วัดไดจากการทดลองแบบ เดี่ยว แบบกลุมยอย และแบบภาคสนาม ตามแนวคิดของชัยยงค พรหมวงศ (2556 : 4-8) โดยที่ E1 หมายถึง ประสิทธิภาพกระบวนการ (Efficiency of Process : E1) และ E2 หมายถึง ประสิทธิภาพผลลัพธ (Efficiency of Product : E2) 3. ทักษะการคิดวิเคราะห หมายถึงความสามารถในการแยกแยะใหคนพบความจริงที่แฝงในรูปของ องคป ระกอบ ความสั มพัน ธ และหลักการ ในสาระการเรียนรู เรื่อง ภู มิศาสตรทวีป ยุโรป ของนั กเรียนชั้ น มัธยมศึกษาปที่ 2 วัดไดจากแบบวัดทักษะการคิดวิเคราะหทผี่ ูวิจัยไดสรางขึ้น
การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะหและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใชสื่อประสมฯ
สุมาลี แสงสุข
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)หนา
40
4. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึงคะแนนดานความรูความเขาใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 ในสาระการเรียนรู เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป วัดไดจากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ที่ผูวิจัยไดสรางขึ้น 5. ความพึงพอใจ หมายถึง ความรูสึกของนักเรียนที่มีตอการจัดการเรียนรูโดยใชสื่อประสมในการ จัดการเรียนรูวิชาสังคมศึกษา เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป ระดับชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 วัดไดจากคะแนนการตอบ แบบสอบถามความพึงพอใจที่ผูวิจัยสรางขึ้น ซึ่งมีลักษณะเปนแบบมาตราสวนประมาณคา 5 ระดับ (Rating Scale) ตามแนวคิดของลิเคิรท 6. นักเรียน หมายถึง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 ที่กําลังศึกษารายวิชาสังคมศึกษา สาระการเรียนรู เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป ในภาคเรียนที่ 1 ปการศึกษา 2558 ของโรงเรียนอูทอง จังหวัดสุพรรณบุรี สังกัด สํ านั กงานเขตพื้ นที่ การศึ กษามั ธยมศึ กษา เขต 9 สํ านั กงานคณะกรรมการการศึ กษาขั้ น พื้ น ฐาน กระทรวง ศึกษาธิการ 9. เครื่องมือที่ใชในการวิจัย 1. สื่อประสม เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป ระดับชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 จํานวน 3 ชุด ไดแก 1) เครื่องมือ ทางภูมิศาสตร 2) ภูมิศาสตรทวีปยุโรป 1 และ 3) ภูมิศาสตรทวีปยุโรป 2 2. แบบทดสอบวัด ทักษะการคิดวิเ คราะห เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป ระดับ ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 มีลักษณะเปนแบบทดสอบประเภทอัตนัย จํานวน 2 ฉบับ ฉบับละ 3 ขอ คะแนนขอละ 3 คะแนน รวมคะแนน ฉบับละ 9 คะแนน ผลการตรวจสอบคุณภาพดานความตรงตามเนื้อหา (Content Validity) โดยใหผูเชี่ยวชาญ จํานวน 5 ทานประเมินความสอดคลองระหวางขอคําถามกับจุดประสงค (Index of Item Objective Congruence: IOC) พบวามีคา IOC เทากับ 1.00 ทุกขอ ผลการตรวจสอบคุณภาพของขอสอบรายขอ พบวามีคา ความยากงายอยูระหวาง 0.57 ถึง 0.72 และ 0.61 ถึง 0.69 ตามลําดับ และมีคาอํานาจจําแนกอยูระหวาง 0.44 ถึง 0.46 และ 0.50 ถึง 0.58 และผลการตรวจสอบคุณภาพดานความเชื่อมั่น (Reliability) พบวามีคา ความเชื่อมั่นอยูระหวาง 0.84 ถึง 0.88 3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป ระดับชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 มีลักษณะเปนแบบทดสอบประเภทปรนัยเลือกตอบชนิด 4 ตัวเลือก จํานวน 20 ขอ มีการใหคะแนนแบบตอบ ถูกได 1 คะแนน ตอบผิดได 0 คะแนน รวมคะแนนฉบับ 20 คะแนน ผลการตรวจสอบคุณภาพดานความตรง ตามเนื้อหาจากผูเชี่ยวชาญจํานวน 5 ทาน พบวามีคา IOC เทากับ 1.00 ทุกขอ ผลการตรวจสอบคุณภาพของ ขอสอบรายขอ พบว า มีค าความยากงายและคา อํา นาจจํ า แนกตั ้งแต 0.56 ถึง 0.77 และ 0.43 ถึ ง 0.71 ตามลําดับ และผลการตรวจสอบคุณภาพดานความเชื่อมั่นทั้งฉบับ พบวามีคาความเชื่อมั่นเทากับ 0.89 4. แบบสอบถามความพึง พอใจของนัก เรีย นชั ้น มัธ ยมศึก ษาปที ่ 2 ตอ การจัด การเรีย นรู เรื่ อ ง ภู มิ ศาสตร ทวี ป ยุ โรป โดยใช สื่ อประสม มี ลั กษณะเป น แบบสอบถามแบบมาตราส วนประมาณคา 5 ระดั บ จํานวน 10 ขอ มีลักษณะในเชิงคุณภาพเปน มากที่สุด มาก ปานกลาง นอย และนอยที่สุดผลการตรวจสอบ คุณภาพดานความตรงตามเนื้อหาจากผูเชี่ยวชาญจํานวน 5 ทาน พบวามีคา IOC เทากับ 1.00 ทุกขอและผล การตรวจสอบคุณภาพดานความเชื่อมั่นทั้งฉบับ พบวามีคาความเชื่อมั่นเทากับ 0.82 การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะหและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใชสื่อประสมฯ
สุมาลี แสงสุข
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)หนา
41
10. สถิติที่ใชในการวิเคราะหขอมูล สถิติที่ใชในการวิเคราะหขอมูล ไดแก คารอยละ (Percentage) คาเฉลี่ยเลขคณิต (Arithmetic Mean) สวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และการทดสอบคาทีแบบไมอิส ระตอกัน (Dependent t-test) (ประสาท เนืองเฉลิม, 2556 : 222-223) 11. ผลการวิเคราะหขอมูล 1. ผลการพัฒ นาสื่อประสม เรื่อง ภูมิศาสตรทวีป ยุโรป ชั้น มัธ ยมศึกษาปที่ 2 ใหมีป ระสิทธิภ าพ ตามเกณฑ 80/80 สามารถสรุปผลไดดังตารางที่ 1 ตารางที่ 1 ผลการคํานวณดัชนีประสิทธิภาพของสื่อประสม เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป ชุดที่ เรื่อง ดัชนีประสิทธิภาพ (E1/E2) 1 เครื่องมือทางภูมิศาสตร 81.28/82.00 2 ภูมิศาสตรทวีปยุโรป 1 85.76/84.80 3 ภูมิศาสตรทวีปยุโรป 2 84.08/83.40 ดัชนีประสิทธิภาพโดยเฉลี่ย 83.71/83.40 จากขอมูลในตารางที่ 1 พบวา สื่อประสม เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปที่ 2 ที่สรางขึ้น มีคาดัชนีประสิทธิภาพโดยเฉลี่ยเทากับ 83.71/83.40 2. ผลการเปรียบเทียบทักษะการคิดวิเคราะห เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปที่ 2 กอนและหลังการจัดการเรียนรูโดยใชสื่อประสมที่พัฒนาขึ้นโดยใชการทดสอบทีแบบไมอิส ระตอกัน (Dependent t-test) ปรากฏผลการทดสอบตามตารางที่ 2 ตารางที่ 2 ผลการเปรียบเทียบทักษะการคิดวิเคราะห เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปที่ 2 กอนและหลังการจัดการเรียนรูโดยใชสื่อประสม คะแนนการคิดวิเคราะห คะแนนรวม การวิเคราะห การวิเคราะห การวิเคราะห (9 คะแนน) การทดสอบ องคประกอบ ความสัมพันธ หลักการ (3 คะแนน) (3 คะแนน) (3 คะแนน) Mean S.D. Mean S.D. Mean S.D. Mean S.D. กอนเรียน 1.28 0.45 1.36 0.48 1.46 0.50 4.10 1.18 (n = 50) หลังเรียน 2.50 0.51 2.54 0.50 2.64 0.48 7.68 0.96 (n = 50) t-test = 16.44**, df = 49 ** มีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะหและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใชสื่อประสมฯ
สุมาลี แสงสุข
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)หนา
42
จากขอมูล ในตารางที่ 2 พบวาคะแนนเฉลี่ย ของทักษะการคิด วิเคราะหเรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 กอนเรียนเทากับ 4.10 คะแนน (Mean = 4.10, S.D. = 1.18) หลังเรียน เทากับ 7.68 คะแนน (Mean = 7.68, S.D. = 0.96) ซึ่งคํานวณคาสถิติทดสอบที (t-test) ไดเทากับ 16.44 (df =49) จึงทําใหสามารถสรุปไดวา คะแนนทักษะการคิดวิเคราะห เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปที่ 2 หลังจัดการเรียนรูโดยใชสื่อประสม สูงกวากอนการจัดการเรียนรู อยางมีนัยสําคัญทางสถิติ ที่ระดับ .01 3. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ป ที่ 2 ก อนและหลั งการจั ด การเรี ย นรู ด วยสื่ อประสมที่ พั ฒ นาขึ้ น โดยใช การทดสอบที แบบไม อิ สระต อกั น (Dependent t-test) ปรากฏผลการทดสอบตามตารางที่ 3 ตารางที่ 3 ผลการเปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปที่ 2 กอนและหลังการจัดการเรียนรูโดยใชสื่อประสม การทดสอบ N Mean S.D. t-test df กอนเรียน 50 7.86 2.63 21.73** 49 หลังเรียน 50 15.86 2.23 ** มีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 จากขอมูลในตารางที่ 3 พบวาคะแนนเฉลี่ยของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ภูมิศาสตรท วีป ยุโ รป ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 กอนเรียนเทากับ 7.86 คะแนน (Mean = 7.86, S.D. = 2.63) หลังเรียน เทากับ 15.86 คะแนน (Mean = 15.86, S.D. = 2.23) ซึ่งคํานวณคาสถิติทดสอบทีไดเทากับ 21.73 (df =49) จึงทําให สามารถสรุปไดวา คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ภู มิศาสตรทวีปยุโรป ของนั กเรียนชั้นมัธยม ศึกษาปที่ 2 หลังจัด การเรีย นรูโ ดยใชสื่อประสม สูงกวากอนการจัด การเรีย นรู อยางมีนัย สําคัญทางสถิติ ที่ระดับ .01 4. ผลการศึก ษาความพึง พอใจของนัก เรีย นชั้น มัธ ยมศึก ษาปที่ 2 ที่มีตอ การจัด การเรียนรู เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป โดยใชสื่อประสมที่พัฒนาขึ้น พบวาโดยภาพรวมนักเรียนมีความพึงพอใจตอการจัดการ เรียนรูรายวิชาสังคมศึกษา เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป โดยใชสื่อประสม ในระดับมากที่สุด (Mean = 4.63, S.D. = 0.36) เมื่อพิจารณาจําแนกเปนรายดาน พบวา นักเรียนมีความพึงพอใจในดานครูผูสอนอยูในระดับ มาก (Mean = 4.46, S.D. = 0.48) มีความพึงพอใจในดานเนื้อหาอยูในระดับมากที่สุด (Mean = 4.61, S.D. = 0.30) มีความพึงพอใจในดานกิจกรรมการเรียนรูอยูในระดับมากที่สุด (Mean = 4.78, S.D. = 0.31) และมี ความพึงพอใจในดานการวัดประเมินผลอยูในระดับมากที่สุด (Mean = 4.68, S.D. = 0.36) เชนเดียวกัน 12. สรุปผลการวิจัย 1. สื่อประสม เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 ที่พัฒ นาขึ้นมีคาดัชนีป ระสิทธิภาพ เทากับ 83.71/83.40 ซึ่งเปนไปตามเกณฑมาตรฐานที่กําหนดไวคือ 80/80 การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะหและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใชสื่อประสมฯ
สุมาลี แสงสุข
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)หนา
43
2. ทักษะการคิดวิเคราะห เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 หลังการจัด การเรียนรูโดยใชสื่อประสมที่พัฒนาขึ้นสูงกวากอนการจัดการเรียนรู อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรีย น เรื่อง ภู มิศาสตรทวีป ยุโรป ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาป ที่ 2 หลั งจั ด การเรียนรูดวยสื่อประสมที่พัฒนาขึ้นสูงกวากอนการจัดการเรียนรู อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 4. นักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปที่ 2 มีความพึงพอใจตอการจัดการเรีย นรู เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป โดยใชสื่อประสมที่พัฒนาขึ้น ในระดับมากที่สุด 13. อภิปรายผลการวิจัย 1. ผลการวิจัยพบวา สื่อประสม เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 ที่พัฒนาขึ้นมีคาดัชนี ประสิทธิภาพเทากับ 83.71/83.40 ซึ่งเปนไปตามเกณฑมาตรฐานที่กําหนดไวคือ 80/80 แสดงวาสื่อประสม ที่ผูวิจัยสรางขึ้น มีประสิทธิภาพและมีความเหมาะสมที่จะนําไปใชในการจัดการเรียนรูเปนอยางดี ทั้งนี้อาจ เนื่องมาจากสาเหตุดังนี้ คือ ประการที่ 1 ดานเนื้อหาขั้นตอน และวิธีการนําเสนอเนื้อหาไดผานการตรวจสอบ จากผูเชี่ยวชาญทั้งในดานของการสอนสังคมศึกษา และการสอนคอมพิวเตอร อีกทั้งนักเรียนยังสามารถเลือก เรียนเนื้อหาไดอยางอิสระ เพราะนักเรียนระดับมัธยมศึกษากําลังมีความสนใจเรียนรูอยางกวางขวาง ซึ่งเปน สิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ไมสามารถบังคับได ดังที่วัชรี ขําวิจิตร (2542 : 110) กลาววา นักเรียนในวัยนี้ ตองการศึกษา ตองการเรียนรู และตองการที่จะศึกษาดวยเอง หากจะทําสิ่งใดก็จะเปนเพราะนักเรียนเกิดความ สนใจเอง ประการที่ 2 ดานการออกแบบ สื่อประสมที่ผูวิจัยสรางและพัฒนาขึ้นนี้ อาศัยหลักการออกแบบของ ณัฐกร สงคราม (2553 : 151) โดยผูวิจัยไดศึกษาหลักการออกแบบและนํามาปรับใชในการออกแบบเพื่อพัฒนา สื่อประสม เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 โดยในสื่อประกอบไปดวยแบบ ทดสอบกอนเรียน แบบทดสอบยอย และแบบทดสอบหลังเรียน รวมถึงแบบฝกหัด ซึ่งผูวิจัยไดแบงเนื้อหา ออกเปน 3 บท คือ เครื่องมือทางภูมิศาสตร ภูมิศาสตรทวีปยุโรป 1 และภูมิศาสตรทวีปยุโรป 2 ทําใหนักเรียน เกิดการเรียนรูไปตามขั้นตอนไดเปนอยางดี ซึ่งสอดคลองกับแนวคิดของสกินเนอรที่กลาววา ถาแบงเนื้อหาวิชา ที่จะถายทอดใหกับนักเรียนทีละนอย เหมาะสมกับวุฒิภาวะของนักเรียน นักเรียนจะไดรับความรูไดดีกวาการ ใหความรูแกนักเรียนครั้งละมากๆ ประการที่ 3 ดานรูปแบบการนําเสนอ สื่อประสม เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป ทีผ่ ูวิจัยไดสรางขึ้นนี้ ไดจัดเนื้อหาและแบบฝกหัดในแตละเรื่องใหมีความครอบคลุมและจัดลําดับเนื้อหาจากงาย ไปยาก แบงเนื้อหาเปนตอนๆ จัดโครงสรางอยางเปนระเบียบ มีความสัมพันธกัน และงายตอการใชงาน ทําให นักเรียนเกิดการเรียนรูไดตามศักยภาพของแตละคน และการใหผลยอนกลับในทันทีเปนอีกสิ่งที่สําคัญที่ทําให สื่อประสมที่ผูวิจัยสรางขึ้นมีประสิทธิภาพตามเกณฑที่กําหนดไว เนื่องจากการใหผลยอนกลับ เปนการเสริมแรง ใหนักเรียนไดทราบผลการเรียนของตนเองในทันทีที่ทําแบบทดสอบเสร็จ ทําใหเกิดความสนใจในการเรียน ตั้งใจที่จะตอบคําถามและไมเกิดการเบื่อหนาย การที่นักเรียนไดทราบความกาวหนาในการเรียนทําใหนักเรียน มีกําลังใจในการเรียนมากขึ้น และเกิดความกระตือรือรนที่จะเรียน สอดคลองกับแนวคิดของณัฐกร สงคราม (2553 : 179) และยุพาพร ประไพย (2554 : 56) ที่กลาววา สื่อประสมหรือสื่อมัลติมีเดียเปนสื่อที่มีประสิทธิภาพ สูงตอการเรียนรูของนักเรียน ไมยุงยากซับซอน นักเรียนสามารถนํามาศึกษาไดอยางสะดวก นักเรียนสามารถ การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะหและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใชสื่อประสมฯ
สุมาลี แสงสุข
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)หนา
44
ควบคุมลําดับการเรียนรู การเลือกเนื้อหาบทเรียน การทํากิจกรรมในบทเรียน การตรวจสอบความกาวหนา และการทดสอบดวยตนเอง สามารถตอบสนองความแตกต างระหวางบุ คคล โดยผู เรีย นแต ละคนสามารถ ควบคุมเวลาเรียนไดดวยตนเองตามความสามารถ ความถนัดของแตละคน 2. ผลการพัฒนาพบวาทักษะการคิดวิเคราะห เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปที่ 2 หลังการจัดการเรียนรูโดยใชสื่อประสมที่พัฒนาขึ้นสูงกวากอนการจัดการเรียนรู ทั้งนี้อาจเนื่องมาจาก การเรียนดวยสื่อประสม เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป ชวยพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห โดยสื่อประสมที่สรางขึ้น มี ก ารวางโครงเนื้ อ หาและกิ จ กรรมการเรี ย นรู ที่ มี ค วามสั ม พั น ธ กั น เป น ตอนๆ มี ก ารใช คํ า ถามหลั ก และ สถานการณปญหาเพื่อกระตุนใหนักเรียนเกิดแนวคิด ความตองการที่จะตอบคําถามที่กําหนดไวในสื่อประสม อยางเปนลําดับ และขณะที่เรียนดวยสื่อประสมก็เกิดความตื่นเตนเราใจ นาติดตาม ซึ่งกลวิธีดังกลาวทําให นักเรียนไดฝกคิดอยางรอบคอบ รูจักการสังเกตในองคประกอบ ความสัมพันธและหลักการ ในการทํากิจกรรม ที่กําหนดไวในสื่อประสม เรื่อง ภู มิศาสตรทวีป ยุโรป ที่ผู วิจัย ได สรางและพัฒ นาขึ้น จึงทําให ทักษะการคิด วิ เคราะห ข องนั ก เรี ย นหลั งจากการเรี ย นรู โดยใช สื่ อประสม เรื่ อ ง ภู มิ ศ าสตร ท วี ป ยุ โรป สู งกว าก อนเรี ย น สอดคลองกับแนวคิดของ ณัฐกร สงคราม (2554 : 12) ที่กลาววา สื่อประสมชวยใหเกิดการเรียนรูและสามารถ เขาใจเนื้อหาไดดี อธิบายสิ่งที่ซับซอนใหงายขึ้น ขยายสิ่งที่เปนนามธรรมใหเปนรูปธรรมไดมากขึ้น สามารถ ทบทวนบทเรียนซ้ําไดตามความตองการและความแตกตางในแตละบุคคล สอดคลองกับผลการวิจัยของสุรีรัตน โพธิสาขา (2556 : 108) สดศรี ชลังสุทธิ์ (2556 : 91) และธิติพงษ หนองมา (2557 : 83) ซึ่งมีขอสังเกตวา นักเรียน ที่เรียนโดยใชสื่อประสมจะมีความสามารถในการคิดแยกแยะเรื่องราวและประเด็นตางๆ ที่มีความ เกี่ยวของกันไดดี ดวยเหตุนี้ ทักษะการคิดวิเคราะห เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปที่ 2 หลังการจัดการเรียนรูโดยใชสื่อประสมที่พัฒนาขึ้นจึงสูงกวากอนการจัดการเรียนรู 3. ผลการวิจัยพบวาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปที่ 2 หลังจัดการเรียนรูดวยสื่อประสมที่พัฒนาขึ้นสูงกวากอนการจัดการเรียนรู ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากการเรียน ดวยสื่อประสม เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป กอนที่นักเรียนจะเรียนรู ผูวิจัยไดทําการอธิบ ายการใชงาน และ ภายหลังจากที่อธิบายแลว นักเรียนทุกคนตองทําแบบทดสอบกอนเรียน ซึ่งปรากฏวานักเรียนทําแบบทดสอบ กอนเรียนไดคะแนนไมดีเทาที่ควร อาจเกิดจากเนื้อหาดังกลาวนักเรียนยังไมไดเรียน ซึ่งแบบทดสอบกอนเรียน ดังกลาวจะประกอบไปดวยเนื้อหา ตัวอยาง โดยเปนสวนที่นักเรียนจะไดเรียนรูในสื่อประสม จึงเปนสาเหตุให นักเรียนทําคะแนนกอนเรียนไดไมดีเทาที่ควร เพราะนักเรียนยังไมไดลงมือเรียนรูเนื้อหาดังกลาวนั้น และอาจ เนื่องมาจากการจัดการเรียนรูดวยสื่อประสม เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป เมื่อนักเรียนเรียนครบทุกบทเรียนแลว นักเรียนจะตองทําแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน ซึ่งผลปรากฏวานักเรียนไดคะแนนสอบ หลังเรียนเพิ่มขึ้นจากกอนเรียนทุกคน เปนผลจากการที่นักเรียนเกิดการเรียนรูดวยตนเอง ประกอบกับแตละ บทเรียนมีเนื้อหา ตัวอยาง และแบบฝกหัดประจําหนวยที่มีความหลากหลาย นาสนใจ ใหนักเรียนไดฝกทํา และเมื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนดวยสื่อประสม จึงทําใหพบวาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนสูงกวากอนเรียน อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซึ่งมีความสอดคลองกับผลการวิจัยของประณีต วงษเกษกรณ (2553 : บทคัดยอ) เรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา 8 ของนักเรียนชั้น การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะหและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใชสื่อประสมฯ
สุมาลี แสงสุข
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)หนา
45
มัธยมศึกษาป ที่ 2 โดยใชสื่อประสมและทฤษฎี การเรียนรูแบบมีสวนรวม โดยผลการวิจัยพบวา ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา 8 เรื่อง เปดประตูสูยุโรปและแอฟริกา ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 หลังเรียนโดยใชสื่อประสมและทฤษฎีการเรียนรูแบบมีสว นรวมสูงกวากอนเรียนอยางมีนัยสํา คัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 ผลการวิจัยของสุรีรัตน โพธิสาขา (2556 : บทคัดยอ) เรื่อง บทเรียนคอมพิวเตอรมัลติมีเดียเพื่อ พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห วิชาภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปที่ 3 ผลการวิจัยพบวา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรีย นที่เ รีย นดว ยบทเรียนคอมพิว เตอรมัลติมีเดียเพื่อพัฒ นาทักษะการคิด วิเคราะห วิชาภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปที่ 3 หลังเรียนสูงกวากอนเรียน อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และผลการวิจัยของ ธิติพงษ หนองมา (2557 : บทคัดยอ) เรื่อง ผลของการใชวิธีสอนแบบใชสื่อมัลติมีเดียกับวิธีสอนแบบปกติที่มี ตอผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้น ปวช.1 แผนกชางยนต โดยผล การวิจัย พบวา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาแผนกวิช าชางยนตที่ใชวิธีการสอนแบบใชมัลติมีเดีย หลังเรียนสูงกวากอนเรียน อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ดวยเหตุผลดังกลาว จึงอาจทําใหผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 หลังจัดการเรียนรูดวยสื่อประสม ที่พัฒนาขึ้นสูงกวากอนการจัดการเรียนรู อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 4. ผลการวิจัยพบวา นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 มีความพึงพอใจตอการจัดการเรียนรู เรื่อง ภูมิศาสตร ทวีปยุโรป โดยใชสื่อประสมที่พัฒนาขึ้น ในระดับมากที่สุด เมื่อจําแนกเปนรายดานพบวา นักเรียนมีความ พึงพอใจในดานครูผูสอนอยูในระดับมาก มีความพึงพอใจในดานเนื้อหาอยูในระดับมากที่สุด มีความพึงพอใจ ในดานกิจกรรมการเรียนรูอยูในระดับมากที่สุด และมีความพึงพอใจในดานการวัดประเมินผลอยูในระดับ มากที่สุด เชนเดียวกัน ทั้งนี้อาจเนื่องมาจาก สื่อประสมเปนการเรียนแบบอิสระ นักเรียนสามารถเรียนรูไดดวย ตนเอง การมีปฏิสัมพันธระหวางนักเรียนกับสื่อ นักเรียนสามารถเรียนเนื้อหาและทบทวนเนื้อหาไดบอยครั้ง ตามที่ตองการสอดคลองกับสุพรรณษา ครุฑเงิน (2555 : 75) สดศรี ชลังสุทธิ์ (2556 : 93) และสุรีรัตน โพธิสาขา (2556 : 53) ที่กลาววา การเรียนรูดวยตนเองเปนวิธีการเรียนรูแบบหนึ่งที่มีโครงสรางอยางเปนระบบ สามารถ ตอบสนองตอความตองการของนักเรีย นได จึงทําใหนักเรีย นมีความพึงพอใจตอการจัด การเรีย นรูโ ดยใช สื่อประสม เรื่อง ภูมิศาสตรทวีปยุโรป ทีผ่ ูวิจัยไดสรางและพัฒนาขึ้นในครั้งนี้ 14. ขอเสนอแนะ 14.1 ขอเสนอแนะสําหรับการนําผลการวิจัยไปใช 1. จากผลการวิจัยพบวา การจัดการเรียนรูโดยใชสื่อประสมทําใหนักเรียนมีทักษะการคิดวิเคราะห และผลสัมฤทธิ์ทางการเรีย นที่สูง ขึ้น เนื่องจากสื่อประสมสามารถนําเสนอเนื้อหาไดห ลากหลายรูป แบบ ไมวาจะเปน ภาพ เสียง ซึ่งทําใหนักเรียนเกิดความเขาใจเนื้อหาไดดีขึ้น ดังนั้น การจัดการเรียนรูโดยใชสื่อ ประสม สามารถนําไปใชสําหรับการจัดการเรียนรูในสาระการเรียนรูอื่นๆ ไดเชนกัน 2. การวิ จั ย ครั้ ง นี้ ไ ด จํา แนกทั ก ษะการคิ ด วิ เ คราะห ไ ว 3 องค ป ระกอบ ได แ ก การวิ เ คราะห องคประกอบ การวิเคราะหความสัมพันธ และการวิเคราะหหลักการ ดังนั้น การนําผลการพัฒนานี้ไปใชใน
การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะหและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใชสื่อประสมฯ
สุมาลี แสงสุข
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)หนา
46
การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะหของนักเรียนกลุมอื่น ควรคํานึงถึงรูปแบบการจําแนกทักษะการคิดวิเคราะห ดังที่กลาวมารวมดวย 3. ในการนําสื่อประสมไปใช ครูควรศึกษาคูมือการใชและเตรีย มความพรอมทั้งดานกิจกรรม การเรียน สื่อและวัสดุอุปกรณลวงหนา เพื่อเปนแนวทางในการดําเนินกิจกรรม และครูควรพิจารณาความเปน ไปไดในการใชสื่อประสม ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงและปรับใชไดตามความเหมาะสม 4. ในขณะที่จัดกิจกรรมการเรียนรูโดยใชสื่อประสม ครูตองคอยดูแลเอาใจใสนักเรียนอยางใกลชิด ใหคําแนะนําชวยเหลือนักเรียนเมื่อมีปญหา คอยกระตุนและใหกําลังใจเพื่อใหนักเรียนเกิดความสนใจที่จะ เรียนรู ซึ่งจะสงผลใหการจัดการเรียนรูเกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้น 14.2 ขอเสนอแนะสําหรับการวิจัยครั้งตอไป 1. ควรมีการศึกษาหรือสรางสื่อประสมสําหรับกลุมสาระการเรียนรูอื่นๆ เพื่อพัฒ นาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนในรายวิชานั้นๆ 2. ควรมีการวิจัยเชิงสํารวจเพื่อศึกษาความตองการ (Need Analysis) ของนักเรียนเกี่ยวกับการเลือก สื่อประสมและใหนักเรียนเขามามีสวนรวมในการดําเนินการสรางและพัฒนา ทั้งนี้จะทําใหไดสื่อประสมที่ตรงกับ ความตองการของนักเรียนยิ่งขึ้น 15. เอกสารอางอิง เกรียงศักดิ์ เจริญวงศศักดิ.์ (2545). การคิดเชิงสรางสรรค. กรุงเทพฯ : ซัคเซสมีเดีย. ชอบุ ญ จิร านุ ภ าพ. (2542). การพัฒ นาบทเรี ยนคอมพิ วเตอรมัลติมีเดี ย เรื่อง การใชบริก ารสารสนเทศ หองสมุด สําหรับนิสิตปริญญาตรี ชั้นปที่ 1. ปริญญานิพนธการศึกษามหาบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ชัยยงค พรหมวงศ. (2556). การทดสอบประสิทธิภาพสื่อหรือชุดการสอน. วารสารศิลปากรศึกษาศาสตรวิจัย, 5(1). ณัฐกร สงคราม. (2553). การออกแบบและพัฒนามัลติมีเดียเพื่อการเรียนรู. กรุงเทพฯ : สํานักพิมพแหง จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย. ____________. (2554). การออกแบบและพัฒนามัลติมีเดียเพื่อการเรียนรู. กรุงเทพฯ : สํานักพิมพแหง จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย. ทิศนา แขมมณี. (2548). ศาสตรการสอน. กรุงเทพฯ : ดานสุทธาการพิมพ. ธิติพงษ หนองมา. (2557). ผลของการใชวิธีสอนแบบใชสื่อมัลติมีเดียกับวิธีสอนแบบปกติที่มีตอผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้น ปวช.1 แผนกชางยนต. วิทยานิพนธ ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน. มหาวิทยาลัยหาดใหญ. ประณีต วงเกษกรณ. (2553). การศึก ษาผลสัม ฤทธิ์ท างการเรียนวิช าสังคมศึก ษา 8 ของนัก เรียนชั้น มัธยมศึกษาปที่ 2 โดยใชสื่อประสมและทฤษฏีการเรียนรูแบบมีสวนรวม. รายงานการวิจัย. โรงเรียน อัสสัมชัญธนบุรี. การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะหและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใชสื่อประสมฯ
สุมาลี แสงสุข
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)หนา
47
ประสาท เนืองเฉลิม. (2556). วิจัยการเรียนการสอน. กรุงเทพฯ : สํานักพิมพแหงจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย. พิชิต ฤทธิ์จรูญ. (2552). หลักการวัดและประเมินผลการศึกษา. กรุงเทพฯ : เฮาออฟเคอรมิสท. ยุพ าพร ประไพย . (2554). การพั ฒ นาบทเรี ยนคอมพิ วเตอร มัลติ มีเดี ย เรื่ อง ท องถิ่ น ในจั งหวัด ของเรา (นครนายก) กลุมสาระการเรียนรูสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา ป ที่ 4. วิ ท ยานิ พ นธ ป ริ ญ ญาการศึ กษามหาบั ณ ฑิ ต สาขาวิ ช าเทคโนโลยี การศึ กษา. มหาวิ ทยาลั ย ศรีนครินทรวิโรฒ. ลมั ย ผั ส ดี . (2554). การสร า งแผนการจั ด การเรี ย นรู ใ ช เ ทคนิ ค การตั้ ง คํ า ถามเรื่ อ งพลเมื อ งดี ต ามวิ ถี ประชาธิปไตยเพื่อสงเสริมการคิดวิเคราะหของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 โรงเรียนโกวิทธํารง เชียงใหม. วิทยานิพนธปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต. มหาวิทยาลัยเชียงใหม. วัชรี ขําวิจิตร. (2542). แบบฝกการเขียนเรียงความสําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 4. ปริญญานิพนธ การศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการประถมศึกษา มหาวิทยาลัยบูรพา. สดศรี ชลังสุทธิ์. (2556). การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอรมัลติมีเดีย เรื่อง สารสนเทศและการสืบคน วิชา สารสนเทศและการศึกษาคนควา. วิทยานิพนธปริญญาครุศาสตรอุตสาหกรรมมหาบั ณฑิต สาขา นวัตกรรมและเทคโนโลยีการศึกษา. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร. สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาแหงชาติ สํานักนายกรัฐมนตรี. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น พื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. สํานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกระทรวงศึกษาธิการ. (2551). ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง กลุมสาระการเรียนรูสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ : สํานักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐาน. สุพรรณษา ครุฑเงิน. (2555). การพัฒนาสื่อมัลติมีเดียเพื่อการเรียนรูดวยตนเอง เรื่อง ขอมูลและสารสนเทศ สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1. รายงานการวิจัย. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี. สุภารัตน คากิซากิ. (2555). การพัฒนาแผนการเรียนรูสาระเศรษฐศาสตร เรื่อง สหกรณพอเพียงโดยใชสื่อ ประสม สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 โรงเรียนบานตาลเหนือ จังหวัดเชียงใหม. สารนิพนธ ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต. มหาวิทยาลัยเชียงใหม. สุรีรัตน โพธิสาขา. (2556). บทเรียนคอมพิวเตอรมัลติมีเดียเพื่อพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห วิชาภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปที่ 3. วิทยานิพนธปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาเทคโนโลยีและสื่อสาร การศึกษา. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี. เอนก พ.อนุกูลบุตร. (2554). สอนใหคิดเปน. กรุงเทพฯ : สํานักพิมพอีดีเบส.
การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะหและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใชสื่อประสมฯ
สุมาลี แสงสุข
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 48
ลายทวารวดีประยุกตสูเครื่องเบญจรงค “THAVARAVADEE” Applied to Thai Benjarong พิมพตะวัน สุจจิตรจูล1* 1ทันฑิการ สามสงวน1 ศิริพร จิรภาสพิตรพิบูล1 วรกมล วงศธรบุญรัศมิ2์ และเมธาสิทธิ์ ธัญรัตนศรีสกุล2 1นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 โรงเรียนราชินีบูรณะ 2กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร โรงเรียนราชินีบูรณะ 9 ถนนหนาพระ อําเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม 73000 Pimtawan Sutchitjun1* Siriporn jirapaspipitboon1 Thanthika Samsanguan1 Worakamon Wongsathonbunrat2 Mathasit Tanyarattanasrisakul2 1Mathayomsuksa 6 Students, Rachineeburana School 2Department of Mathematics, Rachineeburana School 9, Nhapha Street, Meang Nakhon Pathom District, Nakhon Pathom Province, 7300 บทคัดยอ โครงงานคณิตศาสตร เรื่อง “ลายทวารวดีประยุกตสูเครื่องเบญจรงค” จัดทําขึ้นในงานศิลปหัตถกรรม นักเรีย นครั้งที่ 67 ปการศึกษา 2560 มีวัต ถุป ระสงคเพื่อ 1) ศึกษาลายทวารวดีของโรงเรียนราชินีบูร ณะ 2) ออกแบบและประยุกตลายทวารวดีลงในเครื่องเบญจรงค และ 3) สานตอวัฒนธรรมความเปนไทยที่เกิด จากภูมิปญญาทองถิ่นที่เปนเอกลักษณอีกอยางหนึ่งของโรงเรียนราชินีบูรณะ การดําเนินครั้งนี้ไดใชความรูทาง คณิตศาสตร เรื่อง ฟงกชัน มาใชในการออกแบบลายที่เกิดจากการประยุกตจากลายทวารวดีดวยโปรแกรม GeoGebra (เวอรชัน5) ผลการดําเนินงานพบวา 1. ลายทวารวดีของโรงเรียนราชินีบูรณะ มีจํานวนทั้งสิ้น 12 ลาย ประกอบดวย 1) ลายราชาวดี 2) ลาย ขาวหลามตัดกานขด 3) ลายคลื่นน้ํา 4) ลายกานขด 5) ลายชอแกว 6) ลายบัวสวรรค 7) ลายกามปู 8) ลายคน แคระ 9) ลายกนหอย 10) ลายหัวใจรักรอย 11) ลายขาวหลามตัดสลับดอก และ 12) ลายกงกานขด 2. ผลการออกแบบและประยุกตลายจากลายคลื่นน้ําโดยใชโปรแกรม GeoGebra (เวอรชัน 5) และ ความรูทางคณิตศาสตร เรื่อง ฟงกชัน ทําใหไดลายใหมที่มีชื่อวา “ลายทวารวดีประยุกต” 3. สามารถสานตอวัฒนธรรมความเปนไทยที่เกิดจากภูมิปญญาทองถิ่นที่เปนเอกลักษณอีกอยางหนึ่ง ของโรงเรียนราชินีบูรณะ คําสําคัญ : ลายทวารวดีประยุกต ฟงกชัน โปรแกรม GeoGebra (เวอรชัน5) เครื่องเบญจรงค * ผูรับผิดชอบบทความ : pimtapimtawan@gmail.com ลายทวารวดีประยุกตสูเครื่องเบญจรงค
DOI: 10.14456/rnoj.2018.5 พิมพตะวัน สุจจิตรจูล และคณะ
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 49
Abstract The mathematical project entitle of: “THAVARAVADEE Applied to Thai Benjarong” created in the 67th student arts and crafts fair of academic year 2017. The purpose of this project were to 1) study “THAVARAVADEE” striped of Rachineeburana School 2) design and applied “THAVARAVADEE” striped to Thai Benjarong and 3) inherit Thai culture and local wisdom of Rachineeburana School. This operation uses the mathematical knowledge of the function for design and generated new striped based on “THAVARAVADEE” striped by GeoGebra (version 5). The result of this project founded that; 1. “THAVARAVADEE” striped of Rachineeburana School were 12 design comprising of 1) Rachavadee - striped 2) Khaolamtat Kankhot - striped 3) Khluen Nam - striped 4) Kankhot -striped 5) Cho Kaeo - striped 6) Bua Sawan - striped 7) Kampu - striped 8) Khon Khrae - striped 9) Konhoi - striped 10) Huachai RakRoi - striped 11) Khaolamtat Salap Dok - striped and 12) Kong Kankhot - striped. 2. The design and applied Khluen Nam - striped by GeoGebra (version 5) and uses the mathematical knowledge of the function, we created a new striped entitle: “THAVARAVADEE PRAYUK”. 3. Can inherit Thai culture and local wisdom of Rachineeburana School. Keywords: THAVARAVADEE PRAYUK striped, function, GeoGebra program v5, Thai Benjarong. 1. บทนํา นครปฐมเปนเมืองโบราณที่มีสมมติฐานวา นาจะเปนเมืองหลวงของรัฐทวารวดีในพุทธศตวรรษที่ 13-16 ซึ่งพบหลักฐานทางศิลปกรรมมากมายและมีรูปแบบทีม่ ีความสวยงามแสดงใหเห็นถึงวัฒนธรรมทองถิ่น อย า งชั ด เจน โรงเรี ยนราชิ นี บู รณะเป นโรงเรี ยนสตรี ประจํ าจั งหวั ดนครปฐม ที่ มี จุ ดเน นในด านการส งเสริ ม วัฒนธรรม โดยเห็นถึงความสําคัญในดานศิลปวัฒนธรรมทองถิ่นเปนอันดับตนๆ ดังนั้น ทางโรงเรียนจึงได ทําการศึกษาศิลปกรรมดั่งเดิมของทองถิ่นและไดสรางสรรคคัดลอก ถอดลายทวารวดีมาประยุกตลงบนผืน ผาทอลายมัดหมี่ ซึ่งไดดําเนินการจดสิทธิบัตรผลงานลายทวารวดีจํานวนทั้งสิ้น 12 ลาย โดยมีเอกลักษณสวน ทีส่ ําคัญของวัฒนธรรมทวารวดีในจังหวัดนครปฐม ใหคนรุนหลังไดสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมสืบไป ลาย ทวารวดีที่ทางโรงเรียนราชินีบูรณะไดจดสิทธิบัตรผลงานไวนั้น ในปจจุบันไดนํามาทอลงบนผามัดหมี่ แตยัง ไมไดเป น ที่รูจั กกัน อย างแพรห ลายเหมือนอย างที่ตั้งใจไวในขางต น เพราะผ ามัดหมี่เป น ผ าที่ใชเฉพาะกลุ ม เฉพาะชวงวัยเทานั้น อีกทั้งลวดลายยังไมเขาถึงและเปนจุดสนใจที่ดีพอ ซึ่งหากยังไมมีการพัฒนาใหทันกับยุค สมัยในปจจุบัน อาจจะทําใหลายทวารวดีเหลานี้สูญหายไป จากความสนใจเรื่องลายทวารวดีของคณะผูจัดทํา อีกทั้งยังเห็นวาลายทวารวดีมีความงดงามมีเอกลักษณ ควรคาแกการอนุรักษ อีกทั้งลายทวารวดีมีโครงสราง ลายทวารวดีประยุกตสูเครื่องเบญจรงค
พิมพตะวัน สุจจิตรจูล และคณะ
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 50
ของลายที่สามารถอธิบายไดดวยความสัมพันธ ฟงกชัน และกระบวนทางคณิตศาสตร ซึ่งโปรแกรม GeoGebra เปนโปรแกรมที่มีความสามารถทางคณิตศาสตรหลากหลายดาน รวมทั้งอธิบายลักษณะคุณสมบัติของฟงกชัน นอกจากนี้ยังสามารถวาดกราฟที่เกิดจากฟงกชันตางๆ ไดอยางรวดเร็ว ดวยเหตุนี้ คณะผูจัดทําจึงไดทําการศึกษาคนควาโครงงานคณิตศาสตร เรื่อง ลายทวารวดีประยุกตสู เครื่องเบญจรงค เพื่อประยุกตลายทวารวดีใหเปนที่รูจักกันอยางแพรหลาย และใชเปนเอกลักษณอีกอยางหนึ่ง ของโรงเรียนราชินีบูรณะ จังหวัดนครปฐม 2. วัตถุประสงคของโครงงาน 1. เพื่อศึกษาลายทวารวดีของโรงเรียนราชินีบูรณะ 2. เพื่อออกแบบและประยุกตลายทวารวดีลงในเครื่องเบญจรงค 3. เพื่อสานตอวัฒนธรรมความเปนไทยที่เกิดจากภูมิปญญาทองถิ่นที่เปนเอกลักษณอีกอยางหนึ่งของ โรงเรียนราชินีบูรณะ 3. นิยามเชิงปฏิบัติการ 1. เครื่องเบญจรงค หมายถึง เครื่องปนดินเผาประเภทเซรามิคที่มีการลงสีและวาดลวดลายประดับ ตกแตง 2. ลายทวารวดี ประยุกต หมายถึง ลวดลายที่เกิด จากฟงกชันทางคณิตศาสตรที่ผานการออกแบบ ประยุกตจากลายคลื่นน้ํา ลายประจํายาม และลายพุมขาวบิณฑมาผสมผสานกัน 4. ขั้นตอนการศึกษาคนควา 1. การวางแผน เปนขั้นตอนที่กลุมผูจัดทําไดดําเนินการโดยปรึกษาครูที่ปรึกษาโครงงานเพื่อกําหนด ชื่อเรื่อง ขอบเขตโครงงาน และนําเสนอเคาโครงตอครูที่ปรึกษา 2. การดําเนินการตามวัตถุประสงค เปนขั้นตอนที่กลุมผูจัดทําไดทําการศึกษาฟงกชัน ลายทวารวดี ลายไทย ลายผาของจริงที่โรงเรียน หนังสือ และอินเตอรเน็ต จากนั้นนํามาขอคําปรึกษาตลอดจนคําแนะนํา จากครูที่ปรึกษา ทดลองคํานวณโดยใชโปรแกรมทางคณิตศาสตร GeoGebra (เวอรชัน5) จากนั้น จึงนํามา สรุปเปนฟงกชัน แลวนํามาอธิบายและประยุกตลายใหม ตามวัตถุประสงคของโครงงานที่กําหนดไว 3. อุปกรณและเครื่องมือที่ใชในการทําโครงงาน ประกอบดวย 1) เครื่องมือที่ใชในการเก็บรวบรวม ขอมูล ไดแก กลองถายภาพ และแบบสอบถาม โดยแบบสอบถามมีขั้นตอนในการสราง คือ พิจารณาหัวขอ ของปญหาที่ตองการศึกษาและวัตถุประสงค ศึกษาคนควาเอกสารที่เกี่ยวของ รางแบบสอบถาม ตรวจสอบ ปรับปรุง และสรางแบบสอบถาม 2) เครื่องมือที่ใชในการออกแบบและสรางลายประยุกตจากลายทวารวดี ไดแก กระดาษ ปากกาสําหรับออกแบบลาย คอมพิวเตอรพรอมอุปกรณพวงตอ และโปรแกรมทางคณิตศาสตร GeoGebra (เวอรชัน5)
ลายทวารวดีประยุกตสูเครื่องเบญจรงค
พิมพตะวัน สุจจิตรจูล และคณะ
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 51
5. ผลการดําเนินการ 1. ผลการศึกษาลายทวารวดีของโรงเรียนราชินีบูรณะ พบวาลายผาทวารวดีของโรงเรียนราชินีบูรณะ ที่ทําการจดลิขสิทธิ์มีทั้งหมด 12 ลาย ไดแก 1) ลายราชาวดี (มีรูปกวางนั่งอยูที่เชิงผา) 2) ลายขาวหลามตัด กานขด (มีรูปกวางยืนอยูที่เชิงผา) 3) ลายคลื่นน้ํา (มีรูปกวางนั่งอยูที่เชิงผา) 4) ลายกานขด (มีรูปกวางยืนอยู ที่เชิงผา) 5) ลายชอแกว (มีรูปกวางยืนอยูที่เชิงผา) 6) ลายบัวสวรรค (มีรูปกวางนั่งอยูที่เชิงผา) 7) ลายกามปู (มีรูปกวางนั่งอยูที่เชิงผา) 8) ลายคนแคระ (มีรูปกวางนั่งอยูที่เชิงผา) 9) ลายกนหอย (มีรูปกวางยืนอยูที่เชิงผา) 10) ลายหัวใจรักรอย 11) ลายขาวหลามตัดสลับดอก (มีรูปกวางยืนอยูที่เชิงผา) 12) ลายกงกานขด (มีรูปกวาง นั่งอยูที่เชิงผา) ทางคณะผูจัด ทําไดทําการคัดเลือกลาย 1 จาก 12 ลาย มาใชในการประยุกต โดยนําแบบ สอบถามความคิดเห็นไปถามอาจารยผูสอนวิชาคณิตศาสตร ซึ่งพบวาลายที่เหมาะสมที่จะนํามาเปนจุดเริ่มตน ของการทําโครงงาน คือ ลายคลื่นน้ํา 2. ผลการออกแบบและประยุ ก ต ล ายทวารวดีล งในเครื่ องเบญจรงค ทางคณะผู จั ด ทํ าได ทํ าการ ประยุกตลายทวารวดี 1 ใน 12 ลาย โดยใชลายคลื่นน้ํามาเปนจุดเริ่มตน จากนั้น ไดผสมผสานลายประจํายาม และลายพุมขาวบิณฑเขาดวยเปนลายเดียวกัน โดยตั้งชื่อวา “ลายทวารวดีประยุกต” ซึ่งมีฟงกชันของแตละลาย แตกตางกันออกไป ดังนี้ 2.1) ลายคลื่นน้ํา
ภาพที่ 1 ลายคลื่นน้ํา ตารางที่ 1 ฟงกชันทางคณิตศาสตรในลายคลื่นน้ํา ลําดับที่ ฟงกชัน 1 aix sin . .x . ., . x . 2 aj x sin . .x . , . x . 3 akx sin. .x . ., . x . 4 al x sin . .x ., . x . 5 amx sin .x . ., . x . 6 an x sin .x . ., . x . ลายทวารวดีประยุกตสูเครื่องเบญจรงค
ชนิดของฟงกชัน ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ พิมพตะวัน สุจจิตรจูล และคณะ
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 52
ตารางที่ 1 ฟงกชันทางคณิตศาสตรในลายคลื่นน้ํา (ตอ) ลําดับที่ ฟงกชัน 7 aqx sin. .x . ., . x . 8 ar x sin . .x . ., x . 9 asx sin . .x . ., . x 10 at x sin . .x . , x . 11 aux sin. .x . ., . x . 12 avx sin . .x . ., . x . 13 awx sin. .x . ., . x . 14 axx sin . .x . ., . x . 15 bax sin . .x . ., . x . 16 bbx sin. .x . ., . x . 17 bcx sin. x . ., . x . 18 bd x sin. .x . ., . x . 19 bex sin. .x . ., . x . 20 bjx sin. .x . ., . x . 21 bkx sin. .x ., . x . 22 bnx sin. .x . ., . x . 23 bvx sin. .x . ., . x . 24 cax sin. .x . ., . x . 25 cbx sin. .x . ., . x . 26 cc x sin. x . ., . x . 27 cd x sin. .x . ., . x . 28 cex sin. .x . ., . x . 29 cix sin. .x . ., . x . 30 cjx sin. .x . ., . x . 31 ckx sin. .x ., . x . 32 clx sin. .x ., . x . 33 cmx sin .x .., . x . 34 cnx sin. .x . ., . x . 35 cox sin. .x . ., . x . 36 cqx sin. .x . ., . x .
ชนิดของฟงกชัน ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ
ลายทวารวดีประยุกตสูเครื่องเบญจรงค
พิมพตะวัน สุจจิตรจูล และคณะ
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
ตารางที่ 1 ฟงกชันทางคณิตศาสตรในลายคลื่นน้ํา (ตอ) ลําดับที่ ฟงกชัน 37 crx sin. .x . ., . x 38 csx sin. .x . ., x . 39 ctx sin. .x . , . x 40 cux sin. .x . ., . x . 41 cvx sin. .x . ., . x . 42 cwx sin. .x . ., . x . 43 cxx sin. .x . ., . x . 44 czx sin. .x . ., . x . 45 djx sin. .x . , . x . 46 dnx sin .x . ., . x .
หนา 53
ชนิดของฟงกชัน ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ
2.2) ลายประจํายาม
ภาพที่ 2 ลายประจํายาม ตารางที่ 2 ฟงกชันทางคณิตศาสตรในลายประจํายาม ลําดับที่ ฟงกชัน 1 ax sin . . x . ., . x . 2 bx sin . x . ., . x . 3 cx 0.8 sin 1.77 4 x 2.8 0.5, 0.28 x 0.65 4 d x sin 0.8 2.3x 3.3 0.24, 1.2 x 1.41
ชนิดของฟงกชัน ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ
ลายทวารวดีประยุกตสูเครื่องเบญจรงค
พิมพตะวัน สุจจิตรจูล และคณะ
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 54
ตารางที่ 2 ฟงกชันทางคณิตศาสตรในลายประจํายาม (ตอ) ลําดับที่ ฟงกชัน 5 ex sin 0.9 x 1.2 0.33, 1 x 1.3 6 f x sin 0.95 x 0.8 0.35, 0.82 x 1 7 g x sin x . . , . x . 8 hx . sin x ., . x . 9 i x 0.25 sin 2.9 x 2.8 0.45, 1.34 x 1.73 10 j x sin x 1.65 , 1.67 x 1.72 11 k x sin 1.75 2.9 x 4 0.8, 1.34 x 1.7 12 l x sin 2 x 1 .65 0 .59 , 1 .27 x 1 .6 13 mx 0.9 sin 1.8 2.7 x 2.9 0.9, 1.61 x 1.73 14 nx 0.38 sin 3.01x 3.1 0.35, 1.34 x 1.73 15 ox sin 0.9 x 1.2 0.32, 1.01 x 1.2 16 p x sin 2 x 0 .5 0 .6 , 0 .31 x 0 .76 17 qx sin 1.75 2 x 1.2 0.79, 0.28 x 0.37 18 r x 0.8 sin 1.77 4 x 2.8 0.1, 0.28 x 0.65 19 s x sin 2.1 2.9 x 2 0.79, 0.32 x 0.66 20 u x sin 0.8 2.3x 1.3 0.24, 0.77 x 0.58 21 v x sin 0.8 2.3x 3.3 0.24, 1.42 x 1.2 22 wx sin 4 2.9 x 4 0.8, 0.68 x 0.28 23 a 2x sin 0.8 2.3x 3.3 0.24, 1.42 x 1.24 24 a3x sin 0.8 2.3x 1.3 0.24, 0.8 x 0.58 25 abx sin 0.8 2.3x 1.3 0.24, 0.58 x 0.81 26 acx sin 0.8 2.3 x 3.3 0.24, 1.2 x 1.42 27 ad x sin 0.8 2.3x 1.3 0.24, 0.58 x 0.78 28 f 1 x sin x 1.65 , 1.67 x 1.73 29 f 2x sin 2.1 2 x 1.2 0.8, 1.8 x 1.58 30 f 3x 0.8 sin 1.9 x 3.1 , 1.71 x 1.65 31 g 2x 0.8 sin 5 3x 2.8 0.6, 1.65 x 1.29 32 g 3x 0.8 sin 1.9 x 3.1 , 1.71 x 1.65 33 h 6x sin 4 2.9 x 4 0.77, 0.7 x 0.28 34 h2x 0.8 sin 4 x 1 0.92, 0.38 x 0.22
ชนิดของฟงกชัน ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ
ลายทวารวดีประยุกตสูเครื่องเบญจรงค
พิมพตะวัน สุจจิตรจูล และคณะ
1
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 55
ตารางที่ 2 ฟงกชันทางคณิตศาสตรในลายประจํายาม (ตอ) ลําดับที่ ฟงกชัน 35 h3x sin x 0.35 , 0.33 x 0.28 36 h 4 x sin 2 .8 x 1 .2 1 .58 , 0 .77 x 0 .87 37 h6x sin 1.75 2.9 x 4 0.77, 1.32 x 1.7 38 p1 x sin 3.7 2.9 x 2 0.79, 1.69 x 1.33 39 p 2x 0.25 sin 2.9 x 3.2 0.5, 0.71 x 0.26 40 p3x sin x 0.35 , 0.33 x 0.28 41 p 4x 0.8 sin 1.9 x 0.68 , 0.29 x 0.34 42 pix 0.8 sin 1.9 x 0.68 , 0.29 x 0.35 43 q1x sin 3.9 2.8 x 1.5 0.73, 1.69 x 1.28 44 q 2x sin 1.1 1.5 x 1 0.19, 0.67 x 0.26 45 q 3x cos 3 .14 x 1 .55 , 1 .22 x 1 .17 46 r1x sin 0.9 x 1.18 0.33, 1.39 x 1 47 r12 x sin 2 x 2 .5 0 .6, 0 .73 x 0 .4 48 r 2x 0.9 sin 2.7 x 0.7 0.87, 0.38 x 0.26 49 r 3x sin 2 x 0 .5 0 .6, 0 .26 x 0 .76 50 r 32 x sin 2 x 2 .5 0 .6, 0 .73 x 0 .4 51 r 4 x sin 3 x 1 .55 1 .57 , 1 .17 x 1 .24 52 r 42 x sin 2 x 4 .5 0 .6, 1 .69 x 1 .23 53 s1x sin 0.95 x 0.8 0.3, 1.02 x 0.69 54 s 2 x sin 2 .8 x 1 .9 1 .58 , 1 .23 x 1 .15 55 s 3x cos 3 .14 x 1 .55 , 0 .84 x 0 .78 56 s 4x sin 0.95 x 0.8 0.3, 0.8 x 1.02 57 s 5x cos 3 .14 x 1 .55 , 0 .78 x 0 .85 58 s 6x sin 0.99 x 0.85 0.35, 1 x 0.79 59 sl x cos 3 .14 x 1 .55 , 1 .16 x 1 .22 60 t1x 0.9 sin 1.89 2.7 x 2.9 0.9, 1.85 x 1.63 61 t 2 x sin 2 .8 x 1 .9 1 .58 , 0 .87 x 0 .78 62 x1x sin 0.9 x 1.2 0.32, 1.3 x 1.02 63 y1x sin 2 x 4 .5 0 .6 , 1 .69 x 1 .23 64 z1x 0.38 sin 3.01x 3.1 0.35, 1.76 x 1.35
ชนิดของฟงกชัน ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ
ลายทวารวดีประยุกตสูเครื่องเบญจรงค
พิมพตะวัน สุจจิตรจูล และคณะ
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
ตารางที่ 2 ฟงกชันทางคณิตศาสตรในลายประจํายาม (ตอ) ลําดับที่ ฟงกชัน 65 e : x y 2 66 f :x y0 67 j : x y 2 68 k :x y0 69 k : 0 .29 x 0 .04 y 0 .44 70 k :x y0 2
4
2
2
3
4
หนา 56
ชนิดของฟงกชัน ฟงกชันเชิงเสน ฟงกชันเชิงเสน ฟงกชันเชิงเสน ฟงกชันเชิงเสน ฟงกชันเชิงเสน ฟงกชันเชิงเสน
2.3) ลายพุมขาวบิณฑ
ภาพที่ 3 ลายพุมขาวบิณฑ ตารางที่ 3 ฟงกชันทางคณิตศาสตรในลายพุมขาวบิณฑ ลําดับที่ ฟงกชัน 1 f x sin . x . ., . x . 2 f x sin . » . ., . x . 3 f x x ., . x,. 4 f x sin 1.752.23x 3.9 1, 1.83 x 1.06 5 f x 1.6 x 1 2.3, 0.59 x 0.1
ชนิดของฟงกชัน ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันคาสัมบูรณ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ
ลายทวารวดีประยุกตสูเครื่องเบญจรงค
พิมพตะวัน สุจจิตรจูล และคณะ
3
4
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 57
ตารางที่ 3 ฟงกชันทางคณิตศาสตรในลายพุมขาวบิณฑ ลําดับที่ ฟงกชัน 6 f x sin 2 x 4.2 0.3, 1.6 x 2.11 7 f x sin 5 x 5.3 2.8, 0.46 x 1.05 8 f x cos 2 .7 x 2 .5 0 .3, 2 .14 x 1 .6 9 g x sin 2 x 1.8 0.7, 1.43 x 0.9 10 g x cos 3.2 x 0.5, 0..81 x 0 11 g x 1.5x 2.1, 1.1 x 1.1 12 g x sin 1.75 x 4.1 1.45, 1.72 x 1.08 13 g x sin 1.6 x 11 2.3, 0.1 x 0.85 14 g x sin 2 x 1.5 0.5, 0.75 x 0.21 15 g x sin 6.2 x 6.3 2.3, 0.993 x 10.4 16 g x x 0.5, 1.16 x 1.3 17 hx x 2.1, 0.99 x 0.99 18 h x sin 1.75 2.3x 4.1 1.45, 1.1 x 1.73 19 h x cos 3.2 x 0.5, 0.03 x 0.83 20 h x sin x , 0.07 x 0.27 21 h x x 2.7, 0.4 x 0.61 22 h x sin x 0 .4, 0 .8 x 2 .2 23 h x sin 6.2 6.3 2.3, 0.4 x 0.93 24 h x 2x 4.3, 0.79 x 0.79 25 px 4 sin 3.2x 0.4 1.2, 0.75 x 1.4 25 px 4 sin 3.2x 0.4 1.2, 0.75 x 1.4 26 p x cos 1 .5 x 0 .5, 1 x 1 27 p x cos 1 .2 x 0 .3, 1 .06 x 1 28 p x x 3.5, 0.14 x 0.34 29 p x sin 10 x 15 2 .5, 1 .47 x 1 1 .2 30 p x sin 4 x 1 .5 0 .9 , 1 x 0 .4 31 p x sin 2 x 2.3 0.42, 1.15 x 0.24 32 qx 4 sin 3.2 0.4 1.2, 1.42 x 0.76 33 q x x 1.5, 1.09 x 1.09 34 q x sin 2 .23 x 3 .9 1, 1 . x 1 .75
ชนิดของฟงกชัน ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันคาสัมบูรณ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันกําลังสอง ฟงกชันคาสัมบูรณ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันกําลังสอง ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันคาสัมบูรณ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันกําลังสอง ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันคาสัมบูรณ ฟงกชันตรีโกณมิติ
ลายทวารวดีประยุกตสูเครื่องเบญจรงค
พิมพตะวัน สุจจิตรจูล และคณะ
5
6
7
1
2
3
4
5
6
2
7
1
2
3
2
4
5
6
7
1
2
2
4
5
6
7
1
3
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 58
ตารางที่ 3 ฟงกชันทางคณิตศาสตรในลายพุมขาวบิณฑ (ตอ) ลําดับที่ ฟงกชัน 35 q x x 1, 0.7 x 0.5 36 q x 4 sin 10 15 2.5, 1.22 x 1.47 37 q x sin 4 x 1.5 0.9, 0.4 x 1 38 q x sin 2 2.3 0.42, 0.24 x 1.15 39 r x x 1, 0 .5 x 0 .7 40 r x x 0.9, 0.25 x 0.25 41 r x sin 2.5 x 2.7 0.6, 0.91 x 1.4 42 r x x 35 43 r x x 0.5, 0.52 x 0.72 44 r x x 3.5, 0.34 x 0.14 45 r x sin x 0 .4 , .2 x 0 .87 46 r x x 0.5, 1.3 x 1.16 47 s x x 0 .5, 0 .72 x 0 .52 48 s x x 0.6, 0.63 x 0.63 49 s x cos 4 x , 0.43 x 0 50 s x sin 1.7 x 1 0.9, 0.61 x 0.34 51 s x sin x , 0.27 x 0.07 52 s x sin 2 x 1.8 0.7, 0.9 x 1.43 53 s x x 2.7, 0.61 x 0.4 54 s x sin 2 x 1.5 0.5, 0.21 x 0.75 55 t x sin1.1 2x 4.2 2.1, 0.2 x 2.9 56 t x 1.3x 0.3, 0.42 x 0.42 57 t x cos 4 x , 0 x 0.42 58 t x sin 1.7 x 1 0.9, 0.34 x 0.61 59 t x sin . 2 x 4.2 0.3, 2.1 6 x 1.3 60 t x sin 5x 5.3 2.8, 1.05 x 0.6 61 t x sin 2 x 3.1 0.43, 1.2 x 2.03 62 j0.03x 0.51y 0.34 63 j 0.01x 0.61 y 0.37
ชนิดของฟงกชัน ฟงกชันกําลังสอง ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันกําลังสอง ฟงกชันคาสัมบูรณ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันกําลังสอง ฟงกชันกําลังสอง ฟงกชันกําลังสอง ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันกําลังสอง ฟงกชันกําลังสอง ฟงกชันคาสัมบูรณ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันกําลังสอง ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันคาสัมบูรณ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันตรีโกณมิติ ฟงกชันเชิงเสน ฟงกชันเชิงเสน
ลายทวารวดีประยุกตสูเครื่องเบญจรงค
พิมพตะวัน สุจจิตรจูล และคณะ
2
4
5
6
7
2
1
2
2
3
2
4
2
5
6
2
7
2
1
2
3
4
5
2
6
7
1
2
3
4
5
6
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 59
เมื่อนําทั้งสามลายมาประกอบกัน ทําใหเกิดลายใหม ชื่อวา “ลายทวารวดีประยุกต” ดังภาพ
ภาพที่ 4 ลายทวารวดีประยุกต 3. ผลการสานตอวัฒนธรรมความเปนไทยที่เกิดจากภูมิปญญาทองถิ่นที่เปนเอกลักษณอีกอยางหนึ่ง ของโรงเรียนราชินีบูรณะ ทางคณะผูจัดทํา ไดนําลายคลื่นน้ํา ลายประจํายาม ลายพุมขาวบิณฑมารวมกัน ซึ่งเกิดเปน ลายทวารวดีประยุกต และไดนําลายทวารวดีป ระยุกตดังกลาว ใหทางรานเบญจรงควาดลงบน เครื่องเบญจรงค และใชเครื่องเบญจรงคเปนสื่อกลางในการสานตอวัฒนธรรมความเปนไทยที่เกิดจากภูมิปญญา ทองถิ่นที่เปนเอกลักษณอีกอยางหนึ่งของโรงเรียนราชินีบูรณะ แสดงผลงานไดดังภาพที่ 5
ภาพที่ 5 ลายทวารวดีประยุกตบนเครื่องเบญจรงค ลายทวารวดีประยุกตสูเครื่องเบญจรงค
พิมพตะวัน สุจจิตรจูล และคณะ
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 60
6. สรุปผลการดําเนินงาน 1. ลายทวารวดีของโรงเรียนราชินีบูรณะ มีจํานวน 12 ลาย ไดแก 1) ลายราชาวดี (มีรูปกวางนั่งอยู ที่เชิงผา) 2) ลายขาวหลามตัดกานขด (มีรูปกวางยืนอยูที่เชิงผา) 3) ลายคลื่นน้ํา (มีรูปกวางนั่งอยูที่เชิงผา) 4) ลายกานขด (มีรูปกวางยืนอยูที่เชิงผา) 5) ลายชอแกว (มีรูปกวางยืนอยูที่เชิงผา) 6) ลายบัวสวรรค (มีรูปกวาง นั่งอยูที่เชิงผา) 7) ลายกามปู (มีรูปกวางนั่งอยูที่เชิงผา) 8) ลายคนแคระ (มีรูปกวางนั่งอยูที่เชิงผา) 9) ลาย กนหอย (มีรูปกวางยืนอยูที่เชิงผา) 10) ลายหัวใจรักรอย 11) ลายขาวหลามตัดสลับดอก (มีรูปกวางยืนอยูที่ เชิงผา) และ 12) ลายกงกานขด (มีรูปกวางนั่งอยูที่เชิงผา) 2. ผลการออกแบบและประยุกตลายจากลายคลื่นน้ําโดยใชโปรแกรม GeoGebra (เวอรชัน5) และ ความรูทางคณิตศาสตร เรื่อง ฟงกชัน ทําใหไดลายใหมที่มีชื่อวา “ลายทวารวดีประยุกต” 3. สามารถสานตอวัฒนธรรมความเปนไทยที่เกิดจากภูมิปญญาทองถิ่นที่เปนเอกลักษณอีกอยางหนึ่ง ของโรงเรียนราชินีบูรณะ 7. อภิปรายผล 1. ผลการศึกษาพบวาลายทวารวดีของโรงเรียนราชินีบูรณะ มีทั้งหมด 12 ลาย ที่ทางโรงเรียนไดจด สิทธิบัตร ไดแก 1) ลายราชาวดี (มีรูปกวางนั่งอยูที่เชิงผา) 2) ลายขาวหลามตัดกานขด (มีรูปกวางยืนอยูที่ เชิงผา) 3) ลายคลื่นน้ํา (มีรูปกวางนั่งอยูที่เชิงผา) 4) ลายกานขด (มีรูปกวางยืนอยูที่เชิงผา) 5) ลายชอแกว (มีรูปกวางยืนอยูที่เชิงผา) 6) ลายบัวสวรรค (มีรูปกวางนั่งอยูที่เชิงผา) 7) ลายกามปู (มีรูปกวางนั่งอยูที่เชิงผา) 8) ลายคนแคระ (มีรูปกวางนั่งอยูที่เชิงผา) 9) ลายกนหอย (มีรูปกวางยืนอยูที่เชิงผา) 10) ลายหัวใจรักรอย 11) ลายขาวหลามตัดสลับดอก (มีรูปกวางยืนอยูที่เชิงผา) 12) ลายกงกานขด (มีรูปกวางนั่งอยูที่เชิงผา) ซึ่งทาง คณะผูจัดทําไดทําการคัดเลือกลาย 1 จาก 12 ลาย มาใชในการประยุกต โดยนําแบบสอบถามความคิดเห็น ไปสอบถามอาจารยผูสอนวิชาคณิตศาสตร พบวาลายที่เหมาะสมที่จะนํามาเปนจุดเริ่มตนของการทําโครงงาน คือลายคลื่นน้ํา เนื่องจากเปนลายที่สื่อใหเห็นถึงฟงกชันทางคณิตศาสตร เปนลวดลายที่มีเอกลักษณของลาย ทวารดี และเปนลายที่มีความสวยงาม 2. ผลการศึกษาพบวาโปรแกรม GeoGebra (เวอรชัน5) สามารถสรางลายทวารวดีประยุกตได ทั้งนี้ เนื่องจากลายทวารวดี (ลายคลื่นน้ํา) เปนลายที่มีลักษณะของฟงกชันทางคณิตศาสตรซอนอยู เพราะลวดลาย โคงมนคล ายเกี่ย วตะขอ คณะผู จัดทําจึงทําการศึกษาฟงกชัน ทางคณิ ตศาสตรที่มีลั กษณะใกล เคียงกับ ลาย ดังกลาวมากที่สุด จําลองวาดในโปรแกรม GeoGebra (เวอรชัน5) ซึ่งพบวาฟงกชันตรีโกณมิติสวนใหญกราฟ ของฟงกชันจะมีลักษณะลูกคลื่น มีความโคงมนใกลเคียงกับลายคลื่นน้ํามากที่สุด ทางคณะผูจัดทําจึงทําการ สํารวจฟงกชันตรีโกณหลากหลายชนิดซึ่งพบวาฟงกชันตรีโกณที่อยูในรูปแบบของ f x sin x เปนฟงกชัน ที่คลายลายคลื่นน้ํามากที่สุด แตยังไมพอเพียงที่จะเกิดรูปลายคลื่นน้ําไดอยางสมบรูณ ทางกลุมจึงทําการศึกษา ฟงกชันเพิ่มเติม พบวาการเพิ่มสัมประสิทธิ์หนาตัวแปร x เขาไปจะทําใหกราฟมีลักษณะแคบและเปนเกลียว โคงมนใกลเคียงกับลักษณะลายมากยิ่งขึ้น เชน f x sin 2 x ,G x sin 3x ,H x sin 4 x การเพิ่ม คาบวกหรือลบลงไปใน Square Root เชน f x sin 2 x 2 ,G x sin 3x 3 ,H x sin 4 x 1 หาก ลายทวารวดีประยุกตสูเครื่องเบญจรงค
พิมพตะวัน สุจจิตรจูล และคณะ
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 61
เปนคาบวกกราฟจะเคลื่อนที่เดินหนาไปตามแกน x หากเปนจํานวนตรงขามจะเคลื่อนที่ถอยหลังไปตามแกน x และพบวาหากบวกคาคงที่เขาไปในคามุม จะทําใหกราฟเคลื่อนที่ไปตามแกน Y และหากบวกดวยคาจํานวน ตรงขามลงไป จะทําใหกราฟเคลื่อนที่ลดลงไปตามแกน Y ซึ่งการสรางฟงกชันแตละฟงกชัน ทางคณะผูจัดทํา จะกําหนดโดเมนเพื่อจํากัดขอบเขตของลาย ทั้งนี้เพื่อไมใหลายทับซอนกัน และเกิดเปนลายที่สมบูรณมากที่สุด หลังจากที่คณะผูจัดทําสรางรูปลายคลื่นน้ําไดอยางสมบรูณแลว จึงนําหลักการสรางลายคลื่นน้ํามาสรางลาย ประจํา ยาม ลายพุ ม ขา วบิ ณ ฑ เพื่ อ นํา มาผสมผสานกั บ ลายคลื่ น น้ําเพื่อ ให เ กิด ลายประยุ ก ต ล ายทวารวดี ที่สวยงาม เปนที่ดึงดูดใจ ซึ่งพบวาการสรางลายทั้ง 2 นั้น มีการใชลักษณะของฟงกชันที่เหมือนกันแตมีฟงกชัน ที่เพิ่มเติมเขามาคือ ฟงกชัน Cosine และ ฟงกชันของคาสัมบูรณ คณะผูจัดทําเลือกใชฟงกชัน Cosine เพิ่มเติม เพราะลักษณะความโคงที่เหมาะสม และเลือกใชฟงกชันคาสัมบูรณ เพราะบางชวงของลายมีลักษณะเสนตรง ที่สมมาตรกัน 3. ผลการดําเนินงานพบวา สามารถสานตอวัฒนธรรมความเปนไทยที่เกิดจากภูมิปญญาทองถิ่นที่เปน เอกลักษณอีกอยางหนึ่งของโรงเรียนราชินีบูรณะได เนื่องจากคณะผูจัดทํา นําลายทวารวดีประยุกตที่ออกแบบ จากโปรแกรม GeoGebra ซึ่งมีความสมบูรณแลว ไปเสนอกับทางรานเครื่องเบญจรงค ซึ่งทางรานเห็นวา เปนลายที่มีเอกลักษณ สวยงาม และเปนที่นาสนใจ ทางรานจึงนําลายทวารวดีประยุกต ที่ทางคณะผูจัดทํา ไดออกแบบไว มาเปนสวนหนึ่งของลวดลายบนเครื่องเบญจรงค ซึ่งเปนอีกทางเลือกหนึ่งในการสืบทอดลาย ทวารวดีที่เปนภูมิปญญาทองถิ่นและเปนเอกลักษณอกี อยางหนึ่งของโรงเรียนราชินีบูรณะสืบไป 8. ประโยชนที่ไดรับ 1. ไดประยุกตความรูเกี่ยวกับฟงกชันทางคณิตศาสตรสามารถทําลายทวารวดีประยุกตหรือลวดลาย อื่นๆ ที่สนใจได 2. ไดศึกษาวัฒนธรรมทองถิ่นที่เปนเอกลักษณของโรงเรียนราชินีบูรณะ และประเทศไทย 9. ปญหาและอุปสรรค การเริ่มตนสรางลาย ตองพยายามศึกษาฟงกชันที่มีลักษณะที่ใกลเคียงกับลายจริงมากที่สุด บางครั้ง ตองทดสอบฟงกชันหลากหลายฟงกชันดวยกัน ทําใหใชเวลามากกวาจะพบฟงกชันที่เหมาะสม 10. ขอเสนอแนะ ควรมีการศึกษาลายทวารวดีหรือลายไทยอื่นๆ มากยิ่งขึ้น เพื่อใหทราบถึงลักษณะของฟงกชันจากลาย อื่นๆ วาเหมือนหรือแตกตางกันอยางไร 11. เอกสารอางอิง จักรินทร วรรณโพธิ์กลาง. (2560). คูมือสาระการเรียนรูเพิ่มเติมคณิตศาสตร. กรุงเทพฯ: พ.ศ. พัฒนา. จุนพัฒน ระบือพิน. (2560). อุตสาหกรรมเซรามิค. สืบคนเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2560. จาก https://sites.google.com/site/oakiizomega/ ลายทวารวดีประยุกตสูเครื่องเบญจรงค
พิมพตะวัน สุจจิตรจูล และคณะ
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 62
ณฐฐิรา แสนโท. (2560). เทคโนโลยี คืออะไร. สืบคนเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2560. จาก https://www.l3nr.org/posts/522923. นันทิยา จตุรพาหุ. (2551). ทวารวดี. ราชาวดี, 15(2). นฤมล บุ ญญนิ ตย . (2560). ลายผ าทวารดี ...บนลายผ ามั ดหมี่ . สื บค นเมื่ อวั นที่ 20 ตุ ลาคม พ.ศ. 2560. จาก http://www.snc.lib.su.ac.th/west/index.php?option=com_content&view=article&id=9 2 : -narumon-boonyanit&catid=31:article. ภูทเรศษ พรมดี. (2560). ลายไทย. สืบคนเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2560. จาก http://jtfud.blogspot.com. เมธาสิทธิ์ ธัญรัตนศรีสกุล. (2558). พื้นฐานการใชงานโปรแกรม GeoGebra. เอกสารอัดสําเนา. ราชบัณฑิตยสถาน. (2553). พจนานุกรมศัพทคณิตศาสตรฉบับราชบัณฑิตยสถาน. กรุงเทพฯ : นานมีบุคส พับลิเคชั่นส. สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หนังสือคณิตศาสตรเลม 2 ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 – 6. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ สกสค.ลาดพราว. สารานุกรมไทยสําหรับเยาวชน. (2560). ความสําคัญของการบริการทางการแพทยและสาธารณสุขในชุมชน สืบคนเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2560. จาก http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php? book=12&chap=1&page=t12-1-infodet-ail06.html สุวร กาญจนมยูร. (2544). โครงงานคณิตศาสตรระดับมัธยมศึกษา. กรุงเทพฯ : ไฮเอ็ดพับลิชชิ่ง จํากัด.
ลายทวารวดีประยุกตสูเครื่องเบญจรงค
พิมพตะวัน สุจจิตรจูล และคณะ
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 63
สูตรความกวาง ความยาว และความสัมพันธเวียนเกิด ของกระดาษชุด A, B และ C Width & Length Formulas and Recurrence Relations of A, B and C Series Paper ปานระพี กลับบานเกาะ1* ปาลิตา อเนก1 ปฐมาพร เอื้อทรัพยอนันต1 วัชรพันธ ทองจันทา2 และรุงนภา มีใจ2 1นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 โรงเรียนราชินีบูรณะ 2ครูกลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร โรงเรียนราชินีบูรณะ 9 ถนนหนาพระ อําเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม 73000 Panrapee Klabankho1* Palita Aneak1 Pathamaporn Aueasapanan1 Watchraphan Tongjanta2 and Rungnapa Meejai2 1Mathayomsuksa 2 Students, Rachineeburana School 2Department of Mathematics, Rachineeburana School 9, Nhapha Street, Meang Nakhon Pathom District, Nakhon Pathom Province, 73000 บทคัดยอ โครงงานเรื่อง สูตรความกวาง ความยาว และความสัมพันธเวียนเกิดของกระดาษชุด A, B และ C มีวัตถุประสงคเพื่อศึกษาความสัมพันธ และหาสูตรความกวาง ความยาว รวมไปถึงความสัมพันธเวียนเกิดของ กระดาษชุด A, B และ C แลวนําความสัมพันธดังกลาวมาสรางกระดาษชุด R โดยศึกษากระดาษรหัส 0 - 10 จากการศึกษาทราบวาอัตราส วนของความกวาง : ความยาว ของกระดาษทั้ง 3 ชุด เป น 1 : 2 เนื่ องจากตองการให เมื่อแบ งครึ่งกระดาษตามความยาวแล วขนาดของกระดาษที่แบ งครึ่งก็ยั งคงมีสั ด สว น เดียวกัน จากนั้นคณะผูจัดทําไดนําอัตราสวนของความกวาง : ความยาว จากความสัมพันธดังกลาวมาหาสูตร ความกวางและความยาวของกระดาษทั้ง 3 ชุด ไดดังนี้ W An 10 3 2
WBn 103 2 3
2 n 1 4
WCn 10 2
n 2
1 4 n 8
LAn 103 2
1 2 n 4 1 n 2
LBn 103 2 3
LCn 10 2
3 4 n 8
n 0,1,2,3,...,10 n 0,1,2,3,...,10 n 0,1,2,3,...,10
ความสัมพันธเวียนเกิดของความกวางและความยาวของกระดาษทั้ง 3 ชุดซึ่งสามารถเขียนไดในรูป an an 1 2
1
1 2
โดย
a0
เปน ความกวางและความยาวของกระดาษชุด A, B และ C รหัส 0
* ผูรับผิดชอบบทความ : panrapeeklabankho@gmail.com
สูตรความกวาง ความยาว และความสัมพันธเวียนเกิดของกระดาษชุด A, B และ C
DOI: 10.14456/rnoj.2018.6 ปานระพี กลับบานเกาะ และคณะ
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 64
กระดาษชุด R คณะผูจัดทํากําหนดเสน ทแยงมุมของกระดาษ R0 ใหมีความยาว 1,000 มิล ลิเมตร และอัตราสวนของความกวาง : ความยาว เปน 1 : 2 ทําใหไดสูตรความกวางและความยาวดังนี้ 3
1 2
WRn 10 3 2
n 2
3
1 n 2
1 2
n 0,1,2,3,...,10
LRn 10 3 2
นอกจากนั้น ความกว างและความยาวของกระดาษชุ ด R ยั งมีความสัมพัน ธเวีย นเกิด ที่เหมือนกับ กระดาษชุด A, B และ C อีกดวย คําสําคัญ: สูตรความกวาง ความยาว กระดาษชุด A, B และ C ความสัมพันธเวียนเกิด Abstract This purpose of this mathematical project entitle: “Width & length formulas and recurrence relations of A, B, and C series paper” was to study the relation and finding a formula of width, length and recurrence relation of A, B, and C series paper and applied to R series paper by 0-10 papers code. The result of this project founded; the ratio of width: length of 3 series paper was 1: 2 because, when split half the paper, the size of the half-divided paper is still the same. Then organizers adopted the ratio of width: length from the relationship to the formula, width and length of the 3 series paper of the formulas showed; W An 10 3 2 3
WBn 10 2 3
2 n 1 4
WCn 10 2
LAn 103 2
n 2
3
1 n 2
3
3 4 n 8
LBn 10 2
1 4 n 8
1 2 n 4
n 0,1,2,3,...,10 n 0,1,2,3,...,10 n 0,1,2,3,...,10
LCn 10 2
The recurrence relations of the width and length of the 3 series paper can be written as
1 2
when a0 was the width and length of the paper series A, B and C code 0. For R-paper, the organizer sets the diagonal of the paper R0 to a length of 1,000 mm and ratio of width: length was 1: 2 . So, the formula width and length as follows; an an 1 2
3
1 2
WRn 10 3 2
n 2
3
1 2
1 n 2
LRn 10 3 2
n 0,1,2,3,...,10
In addition, the width and length of the R-series paper is similar to that of paper sets A, B, and C. Keyword: formula width and length, paper series A, B and C, and recurrence relations. สูตรความกวาง ความยาว และความสัมพันธเวียนเกิดของกระดาษชุด A, B และ C
ปานระพี กลับบานเกาะ และคณะ
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 65
1. บทนํา เนื่องจากคณะผูจัด ทําไดมีโอกาสทํารายงานในวิช าตางๆ อยูบอยครั้ง จึงเขาออกรานถายเอกสาร อยูเปนประจําไดสังเกตเห็นวามีลูกคาของรานถายเอกสารนํากระดาษเอกสารขนาด A4 มายอใหเปนกระดาษ A5 ดวยความสงสัยจึงถามเจาของรานวา สามารถขยายใหมีขนาดใหญกวา A4 ไดหรือไม เจาของรานแนะนํา วา มี กระดาษ A3 ซึ่งมีขนาดใหญ กว ากระดาษ A4 และสามารถทํ าได โดยใช ฟ งกชั น ในเครื่อ งถายเอกสาร จากนั้น เจาของรานไดหยิบกระดาษขนาด A3 ใหดู ทําใหคณะผูจัดทําสังเกตเห็นวา ขนาดของกระดาษ A4 เทากับขนาดของกระดาษ A3 พับครึ่งตามความยาว และเมื่อพับครึ่งกระดาษ A4 ตามความยาวก็จะเทากับ ขนาดของกระดาษ A5 เชนกัน ดวยเหตุนี้คณะผูจัดทําจึงเกิดความสงสัยขึ้นมาวา ทําไมกระดาษจึงมีลักษณะ เชนนั้น รวมถึงขนาดของกระดาษมีความสัมพันธกันอยางไร และเกี่ยวของกับคณิตศาสตรหรือไม จึงเกิดเปน จุดเริ่มตนของโครงงานในครั้งนี้ หลังจากที่ไดความคิดที่จะศึกษาอะไรแลว ทางคณะผูจัดทําจึงไดไปหาขอมูลเกี่ยวกับกระดาษเพิ่มเติม พบวา กระดาษที่ขึ้นตนดวย A นั้น มีตั้งแต A0 - A10 นอกจากนั้นยังมีกระดาษที่ขั้นตนดวย B และ C ซึ่งเปน กระดาษที่อยูในมาตรฐานขนาดกระดาษในระบบ ISO จุดเดนของมาตรฐานนี้ คือ เมื่อนํากระดาษที่มีขนาด ตามที่กําหนดไวมาพับครึ่งตามความยาว ขนาดของกระดาษยังคงมีสัดสวน (อัตราสวนของดานกวางกับดาน ยาว) เดียวกับขนาดกอนพับ และหากพับไปอีก ขนาดใหมก็ยังคงมีสัดสวนเทาเดิม ประโยชนที่ไดคือ เมื่อนํา กระดาษไปตัดแบงใชงานหรือหากมีงานที่ตองการยอ-ขยาย จะไมเกิดการเสียเศษกระดาษ จากการที่กระดาษ มีสัดสวนแบบนี้ คณะผูจัดทําคาดวาจะหาแบบรูปจากความกวางและความยาวของกระดาษดังกลาวเพื่อสรุป เปนสูตรที่สามารถคํานวณหาความกวางและความยาวได ตลอดจนศึกษาความสัมพันธเวียนเกิดที่เกิดจากความ กวางและความยาวของกระดาษทั้ง 3 ชุดนี้ ซึ่งอาจใชประโยชนจากความสัมพันธที่คณะผูจัดทําสรางขึ้นนี้ได ในอนาคตตอไป ดังที่กลาวมานี้ ทางคณะผูจัดทําจึงสนใจศึกษาความสัมพันธของกระดาษ หาสูตรความกวาง ความยาว และความสัมพันธเวียนเกิดของกระดาษชุด A, B และ C และนําความสัมพันธของกระดาษเหลานี้ไปประยุกตใช ใหเกิดประโยชนตอไป อีกทั้งในป พ.ศ. 2562 โรงเรียนราชินีบูรณะ จะมีอายุครบ 100 ป คณะผูจัดทําจึงสนใจ ที่จะสรางกระดาษชุด R โดยใหมีความสัมพันธเดียวกับกระดาษชุด A, B และ C เพื่อรําลึกพระมหากรุณาธิคุณ ของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ผูพระราชทานกําเนิดโรงเรียนราชินีบูรณะ 2. วัตถุประสงค 1. เพื่อศึกษาความสัมพันธของกระดาษชุด A, B และ C 2. เพื่อหาสูตรความกวาง ความยาว และความสัมพันธเวียนเกิดของกระดาษชุด A, B และ C 3. เพื่อนําความสัมพันธของกระดาษชุด A, B และ C มาสรางกระดาษชุด R 3. ขอบเขตการศึกษา โครงงานคณิตศาสตร เรื่อง สูตรความกวาง ความยาว และความสัมพันธเวียนเกิดของกระดาษชุด A, B และ C ซึ่งเปนกระดาษ A0 - A10, B0 - B10 และ C0 - C10 เทานั้น สูตรความกวาง ความยาว และความสัมพันธเวียนเกิดของกระดาษชุด A, B และ C
ปานระพี กลับบานเกาะ และคณะ
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 66
4. นิยามเชิงปฏิบัติการ 1. มาตรฐานของกระดาษในระบบ ISO หมายถึง มาตรฐานที่กําหนดโดยองคการมาตรฐานระหวาง ประเทศ จุดเดนของมาตรฐานนี้คือเมื่อแบงครึ่งตามแนวยาวแลวยังคงมีสัดสวนเดียวกันหมด หากแบงครึ่ง ไปอีก ขนาดกระดาษก็ยั งคงมี สั ด ส ว นเดี ย วกั น หมด ซึ่ งอัต ราส วนของความกว างต อความยาวในกระดาษ มาตรฐานนี้ คือ 1 : 2 2. กระดาษชุด A หมายถึง กระดาษที่กําหนดพื้นที่ของ A0 ใหมีขนาดเทากับ 1 ตารางเมตร กระดาษ A0 จึงมีขนาดเทากับ 841 × 1,189 มิลลิเมตร เมื่อทําการแบงครึ่งตามความยาวจะไดเปนกระดาษ A1 และหาก ทําการแบงไปเรื่อยๆ ก็จะไดกระดาษ A2 - A10 3. กระดาษชุด B หมายถึง กระดาษที่กําหนดให B1 มีขนาดอยูระหวาง A0 กับ A1 ทําใหความกวาง ของ B0 เปน 1,000 มิลลิเมตร ขนาดของกระดาษ B0 จึงเปน 1,000 × 1,414 มิลลิเมตร โดยเมื่อทําการแบงครึ่ง กระดาษ B0 ตามความยาวจะไดเปนกระดาษ B1 และหากทําการแบงไปเรื่อยๆ ก็จะไดกระดาษ B2 - B10 4. กระดาษชุ ด C หมายถึง กระดาษที่ กําหนดให C0 เกิ ด จากการหาคาเฉลี่ ย เรขาคณิ ต ของพื้ น ที่ กระดาษ A0 และ B0 เพื่อไวกําหนดขนาดซองเอกสาร ทําใหกระดาษชุด C ใหญกวากระดาษชุด A แตเล็กกวา กระดาษชุด B โดยเมื่อทําการแบงครึ่งกระดาษ C0 ตามความยาวจะไดเปนกระดาษ C1 และหากทําการแบง ไปเรื่อยๆ ก็จะไดกระดาษ C2 - C10 5. กระดาษชุด R หมายถึง กระดาษที่ผูจัดทําสรางขึ้นโดยกําหนดให R0 มีขนาดใหญที่สุด และกําหนด เสนทแยงมุมของ R0 ใหมีขนาด 1,000 มิลลิเมตร โดยเมื่อทําการแบงครึ่งกระดาษ R0 ตามความยาวจะไดเปน กระดาษ R1 และหากทําการแบงไปเรื่อยๆ ก็จะไดกระดาษ R2 - R10 6. ยุทธวิธีชวยคิดคณิตศาสตร หมายถึง วิธีการหรือแนวทางที่นํามาชวยแกปญหาหรือหาคําตอบจาก ปญหาทางคณิตศาสตรที่มีความหลากหลาย โดยใชความรู ความสามารถทางคณิตศาสตร และใชจินตนาการ ทางความคิดมาสรางสรรคการแกปญหาคณิตศาสตรอยางสมเหตุสมผล 7. ความสัมพันธเวียนเกิด หมายถึง ความสัมพันธที่เกิดจากความกวางและความยาวของกระดาษ ชุด A, B, C และ R 8. ความยาว หมายถึง ระยะที่ยาวที่สุดของดานกระดาษชุด A, B, C และ R มีหนวยเปนมิลลิเมตร 9. ความกวาง หมายถึง ระยะที่สั้นที่สุดของดานกระดาษชุด A, B, C และ R มีหนวยเปนมิลลิเมตร 5. ขั้นตอนการดําเนินการ 1. ขั้นเตรียมการ 1.1 คณะผูจัดทํามีสมาชิก 3 คน คือ เด็กหญิงปานระพี กลับ บานเกาะ เด็กหญิงปาลิตา อเนก และเด็กหญิงปฐมาพร เอื้อทรัพยอนันต ไดศึกษาการทําโครงงานจากเอกสาร ตํารา อินเตอรเน็ต 1.2 คณะผูจัดทําเลือกหัวขอโครงงานคณิตศาสตรที่สนใจและเสนอหัวขอตอครูที่ปรึกษา 1.3 คณะผูจัดทําและครูที่ป รึกษารวมกัน อภิป รายในหั วขอที่จะจัดทํา จนไดขอสรุป หัวขอที่จะ จัดทําโครงงานเรื่อง “สูตรความกวาง ความยาว และความสัมพันธเวียนเกิดของกระดาษชุด A, B และ C” สูตรความกวาง ความยาว และความสัมพันธเวียนเกิดของกระดาษชุด A, B และ C
ปานระพี กลับบานเกาะ และคณะ
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 67
2. ขั้นวางแผนการดําเนินการ 2.1 ศึกษาขอมูลเกี่ยวกับเรื่อง ความสัมพันธของกระดาษชุด A, B และ C และสอบถามขอมูล เกี่ยวกับการใชงานกระดาษจากเจาหนาที่ถายเอกสารของโรงเรียนราชินีบูรณะ 2.2 ศึกษาขอมูล เกี่ยวกับ เนื้ อหาคณิ ตศาสตรที่เกี่ยวของ เชน เลขยกกําลัง อัตราสวน คาเฉลี่ ย เรขาคณิต และการใชยุทธวิธีชว ยคิด คณิตศาสตรในการแกปญหา และสําหรับ เนื้อหาคณิต ศาสตรที่ยังไม เคยเรียน คณะผูจัดทําศึกษาขอมูลจากหองสมุดโรงเรียน อินเตอรเน็ต และจากครูที่ปรึกษาโครงงาน 3. ขั้นลงมือปฏิบัติ 3.1 ทํ าการทดลองเบื้ อ งต น เกี่ ย วกั บ ความสั ม พั น ธ ข องกระดาษ โดยจากการศึ ก ษาทราบว า กระดาษชุด A, B และ C มีอัตราสวนของความกวาง : ความยาว เปน 1 : 2 จึงทําการทดลองเบื้องตนโดย การนําความยาวของกระดาษชุด A, B และ C หารดวยความกวาง ไดวาผลที่ไดจากความยาวของกระดาษ ชุด A, B และ C หารดวยความกวาง มีคาใกลเคียงกับ 2 ซึ่งมีคาประมาณ 1.4142 และยังสังเกตเห็นอีกวา ความยาวของกระดาษจะเทากับความกวางของกระดาษรหัสกอนหนา เชน กระดาษ A4 ยาว 297 มิลลิเมตร และกระดาษ A3 กวาง 297 มิลลิเมตร จะเห็นไดวาความยาวของกระดาษ A4 มีขนาดเทากับความกวางของ กระดาษ A3 และอาจกลาวไดวาความกวางของกระดาษจะทั้ง 3 ชุด จะเทากับหรือใกลเคียงกับครึ่งหนึ่งของ ความยาวของกระดาษรหัสกอนหนา เชน กระดาษ B1 กวาง 707 มิลลิเมตร และกระดาษ B0 ยาว 1,414 มิลลิเมตร จะสังเกตเห็นวากระดาษ B1 มีความกวางเปนครึ่งหนึ่งของความยาวกระดาษ B0 เปนลักษณะเชนนี้ ทั้งกระดาษชุด A, B และ C 3.2 รวบรวมขอมูลที่ศึกษามาได และนํ ามาหาความสัมพันธและทําการแสดงวาอัตราสวนของ ความกวาง : ความยาว ของกระดาษชุด A, B และ C เปน 1 : 2 โดยใชความรูทางคณิตศาสตร 3.3 รวบรวมความสัมพันธของกระดาษชุด A, B และ C ที่ศึกษานํามาใชในการหาสูตรความกวาง ความยาวและหาความสั ม พั น ธ เวี ย นเกิ ด ของกระดาษชุ ด A, B และ C โดยใช ยุ ท ธวิ ธี ช ว ยคิ ดคณิ ต ศาสตร ประกอบดวย การหาแบบรูป (Find a Pattern) การสรางตาราง (Make a Table) และการวาดภาพ (Draw a Picture) 3.4 รวบรวมความสัมพันธของกระดาษชุด A, B และ C มาสรางกระดาษชุด R 4. ขั้นสรุปรายงานผล 4.1 แบงหนาที่ใหสมาชิกแตละคนรับผิดชอบการเขียนรายงานโครงงาน 4.2 ดําเนินการจัดทําโครงงานฉบับรางจากนั้นนําเสนอตอครูที่ปรึกษาโครงงาน รวมกันตรวจสอบ และรับฟงขอเสนอแนะเพื่อปรับปรุงแกไข 6. ผลการศึกษา 1. กระดาษชุด A, B และ C เมื่อนํ ามาแบ งครึ่งตามความยาว ขนาดของกระดาษที่ยังคงมีสั ดส วน (อัตราสวนของดานกวางกับดานยาว) เดียวกับขนาดกอนพับ และหากแบงครึ่งตามความยาวไปอีก ขนาดใหม
สูตรความกวาง ความยาว และความสัมพันธเวียนเกิดของกระดาษชุด A, B และ C
ปานระพี กลับบานเกาะ และคณะ
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 68
ก็ยังคงมีสัดสวนเดียวกันหมด เพื่อใหไดผลตามที่กลาวมาขางตน จึงไดมีการคํานวณและพบวาอัตราสวนของ ความกวาง : ความยาว เปน 1 : 2 ดังนี้ y 2
ภาพที่ 1 แสดงการแบงครึ่งตามความยาวของกระดาษชุด A, B และ C โดย x แทนความกวางและ y แทนความยาว ของกระดาษแผนใหญ จากภาพที่ 1 สังเกตวาเมื่อแบงครึ่งกระดาษตามความยาว จะไดความกวางของกระดาษแผนใหญ เปนความยาวของกระดาษที่แบงครึ่งและครึ่งหนึ่งของความยาวกระดาษแผนใหญเปนความกวางของกระดาษ ที่แบงครึ่งซึ่งอัตราสวนของความกวาง : ความยาว ของกระดาษทั้งสองนั้นเทากัน สมการที่ไดคือ
y x 2 y x
เมื่อจัดรูปสมการดังกลาวจะได y 2 x y 2x
x y x y
=
x2 y2
=
x2 y2 x y
=
1 2
=
1 2
=
1 2
จากสมการจะไดอัตราสวนของความกวาง : ความยาว เปน 1 : 2 ตามตองการ 2. ความกวางและความยาวของกระดาษชุด A จากความสัมพันธแลวนํามาจัดรูปจะเห็นเปนแบบรูป ซึ่งสามารถสรุปเปนสูตรของความกวางและความยาวของกระดาษชุด A ไดดังนี้ 3
WAn 10 2
2 n 1 4
3
LAn 10 2
1 2 n 4
สูตรความกวาง ความยาว และความสัมพันธเวียนเกิดของกระดาษชุด A, B และ C
ปานระพี กลับบานเกาะ และคณะ
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 69
3. ความกวางและความยาวของกระดาษชุด B จากความสัมพันธแลวนํามาจัดรูปจะเห็นเปนแบบรูป ซึ่งสามารถสรุปเปนสูตรของความกวางและความยาวของกระดาษชุด B ไดดังนี้ 3
WBn 10 2
n 2
3
1 n 2
LBn 10 2
4. ความกวางและความยาวของกระดาษชุด C จากความสัมพันธแลวนํามาจัดรูปจะเห็นเปนแบบรูป ซึ่งสามารถสรุปเปนสูตรของความกวางและความยาวของกระดาษชุด C ไดดังนี้ 3
WCn 10 2
1 4 n 8
3 4 n 8
3
LCn 10 2
5. ความกว า งและความยาวของชุ ด A, B และ C มี ค วามสั ม พั น ธ กั บ รหั ส ก อ นหน าซึ่ งเมื่ อ จั ด รู ป จะไดความสัมพันธดังนี้ WAn WA( n1) 2 WBn WB( n1) 2
1 2
1 2
1 2
LAn LA( n1) 2 LBn LB( n 1) 2
1 2
1 2
1 2
โดย n 0,1, 2,...,10 โดย n 0,1, 2,...,10
โดย n 0,1, 2,...,10 6. กระดาษเริ่ มจากการสร างกระดาษที่ มี ขนาดใหญ ที่ สุ ด นั่ น คื อกระดาษ R0 โดยคณะผู จั ด ทํ าได กําหนดใหเสนทแยงมุมของกระดาษ R0 มีความยาว 1,000 มิลลิเมตร และอัตราสวนของความกวาง : ความยาว เปน 1 : 2 ไดสูตรของความกวางและความยาวของกระดาษชุด A ไดดังนี้ WCn WC( n1) 2
3
1 2
WRn 10 3 2
LCn LC( n 1) 2
n 2
1 n 2
1
LRn 103 3 2 2
ความกวางและความยาวของกระดาษชุด R ก็มีความสัมพันธกันกับรหัสกอนหนาเชนกันดังนี้ WRn WR( n1) 2
1 2
LRn LR( n 1) 2
1 2
โดย n 0,1, 2,...,10
7. สรุปผลการศึกษา 1. กระดาษชุ ด A, B และ C เมื่อ นํ ามาแบ งครึ่ งตามความยาว ขนาดของกระดาษยั งคงมีสั ด ส ว น (อัตราสวนของดานกวางกับดานยาว) เดียวกับขนาดกอนพับ และหากแบงครึ่งไปอีกขนาดใหมก็ยังคงมีสัดสวน เดียวกันทั้งหมดเพื่อใหไดผลตามที่กําหนดไดมีการคํานวณและพบวาอัตราสวนของความกวาง : ความยาว เปน 1: 2 2. สูตรความกวางและความยาวของกระดาษชุด A ไดแก 3
W An 10 2
2 n 1 4
LAn 103 2
1 2 n 4
3. สูตรความกวางและความยาวของกระดาษชุด B ไดแก WBn 103 2
n 2
1 n 2
LBn 103 2
4. สูตรความกวางและความยาวของกระดาษชุด C ไดแก WCn 103 2
1 4 n 8
3 4 n 8
LCn 103 2
สูตรความกวาง ความยาว และความสัมพันธเวียนเกิดของกระดาษชุด A, B และ C
ปานระพี กลับบานเกาะ และคณะ
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 70
5. ความสัมพันธเวียนเกิดความสัมพันธเวียนเกิดของกระดาษชุด A, B และ C ไดแก 1 2
โดย a เปนความกวางและความยาวของกระดาษชุด A, B และ C รหัส 0 6. ความกวาง ความยาวและสูตรของกระดาษชุด R แสดงดังตารางตอไปนี้ ตารางที่ 1 ความกวางและความยาวของกระดาษชุด R an an 1 2
0
n
WRn
LRn
0 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10
577 408 289 204 144 102 72 51 36 26 18
816 577 408 289 204 144 102 72 51 36 26
7. สูตรความกวางและความยาวของกระดาษชุด R ไดแก
1
WRn 103 3 2 2 LRn 10 3 3
1 2
n 2
1 n 2
2
8. อภิปรายผล 1. กระดาษชุด A, B และ C มีอัตราสวนของความกวาง : ความยาว เปน 1 : 2 เนื่องจากตองการ ใหเมื่อแบงครึ่งกระดาษตามแนวยาวแลวขนาดของกระดาษที่แบงครึ่งก็ยังคงมีสัดสวนเดียวกัน ซึ่งสามารถ แสดงใหเห็นไดวาตองเปน 1 : 2 โดยการใชเรื่องสัดสวน อัตราสวน และอาศัยยุทธวิธีชวยคิดคณิตศาสตร เขามาชวยในเรื่องการวาดภาพ ทําใหเห็นภาพของความสัมพันธของกระดาษ และเขียนแสดงความสัมพันธ ดังกลาวได 2. การหาสูตรความกวางและความยาวของกระดาษชุด A, B และ C หาไดโดยอาศัยความสัมพันธ ของกระดาษที่ไดทําการศึกษา และเนื้อหาคณิตศาสตร เชน เลขยกกําลัง อัตราสวน เปนตน นอกจากนี้ยังใช ยุทธวิธีชวยคิดคณิตศาสตร การหาแบบรูป (Find a Pattern) การสรางตาราง (Make a Table) และการวาด ภาพ (Draw a Picture) ซึ่งผลที่ไดเปนสูตรความกวางและความยาวของกระดาษชุด A, B และ C แตเนื่องจาก กระดาษทั้ง 3 ชุดสรางจากอัตราสวนของความกวาง : ความยาวเปน 1 : 2 ซึ่ง 2 เปนจํานวนอตรรกยะ สูตรความกวาง ความยาว และความสัมพันธเวียนเกิดของกระดาษชุด A, B และ C
ปานระพี กลับบานเกาะ และคณะ
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 71
ทําใหเมื่อแทนคาลงในสูตรแลวไดคาที่ไมตรงกับความกวางและความยาวของกระดาษจริง เพราะความกวาง และความยาวของกระดาษจริงเกิด จากการป ด เศษเป น จํานวนเต็ ม เนื่ องจากไมส ามารถสรางกระดาษที่ มี อัตราสวนของความกวาง : ความยาว เปน 1 : 2 ไดอยางพอดี ดังนั้น กระดาษชุด A, B และ C ที่เราใชอยูใน ปจจุบัน จึงไมไดมีอัตราสวนของความกวาง : ความยาว เปน 1 : 2 แตเปนอัตราสวนที่ใกลเคียงกับอัตราสวน ดังกลาว จากการจัดรูปความกวางและความยาวของกระดาษชุด A, B และ C จะเห็ นเป นความสัมพัน ธ เวียนเกิด ซึ่งทั้งความกวางและความยาวของกระดาษทั้ง 3 ชุด มีลักษณะความสัมพันธที่เหมือนกัน เห็นไดจาก ความกวางและความยาวของกระดาษทั้ง 3 ชุด สามารถจัดรูปกระดาษรหัสตั้งแต 1 - 10 ใหอยูในรูปของความ 1 2
กวางและความยาวของเลขรหัสกอนหนา ซึ่งสามารถเขียนไดในรูป a a 2 โดย a เป นความกวาง และความยาวของกระดาษชุด A, B และ C รหัส 0 นั่นเอง คณะผูจัดทําคาดวาสาเหตุที่ทําใหกระดาษทั้ง 3 ชุด มีลักษณะของความสัมพันธเวียนเกิดของความกวางและความยาวเหมือนกัน มาจากการที่กระดาษทั้ง 3 ชุด ถูกสรางมาจากการกําหนดใหอัตราสวนของความกวาง : ความยาว เปน 1 : 2 ทําใหเมื่อศึกษาความสัมพันธ เวียนเกิด จึงมีลักษณะความสัมพันธที่เหมือนกันเพียงแตคาเริ่มตนนั้น คือ a แตกตางกันไป ทําใหไดตัวเลข แตละชุดออกมาตางกัน ซึ่งผลที่ไดก็คือความกวางและความยาวของกระดาษทั้ง 3 ชุดนั้นเอง 3. กระดาษชุด R สรางมาจากการศึกษาความสัมพันธของกระดาษชุด A, B และ C ซึ่งมีอัตราสวน ของความกวาง : ความยาว เปน 1 : 2 โดยคณะผูจัดทํากําหนดใหกระดาษชุด R0 มีเสนทแยงมุมเทากับ 1000 มิลลิเมตร เพื่อใหเปนกระดาษชุดที่สรางขึ้นโดยโรงเรียนราชินีบูรณะและในอีก 2 ปขางหนาโรงเรียน ราชินีบูรณะจะมีอายุครบ 100 ป อาจนํากระดาษชุด R ไปใชในการจัดทําเอกสาร สมุด หนังสือตางๆ เพื่อให เปน เอกลักษณของงาน 100 ป โรงเรียนราชินี บูรณะ ยิ่งไปกวานั้น เมื่อศึกษาความสัมพันธเวียนเกิดพบวา สามารถจัดรูปกระดาษรหัสตั้งแต 1-10 ใหอยูในรูปของความกวางและความยาวของเลขรหัสกอนหนา ซึ่งเขียน
n
n 1
0
0
1 2
ไดในรูป a a 2 โดย a เปนความกวางและความยาวของกระดาษรหัส 0 เชนเดียวกับกระดาษชุด A, B และ C คณะผูจัดทําคาดวาสาเหตุที่ทําใหกระดาษชุดนี้มีความสัมพันธเวียนเกิดเหมือนกับกระดาษทั้ง 3 ชุด เนื่องจากคณะผูจัดทําไดนําแนวคิดในการสรางกระดาษชุดนี้มาจากกระดาษทั้ง 3 ชุด นั่นคือ อัตราสวนของ ความกวาง : ความยาว เปน 1 : 2 จึงทําใหความสัมพันธเวียนเกิดที่ได เหมือนกัน
n
n 1
0
9. ขอเสนอแนะ 1. สามารถนํ าสู ต รและความสั มพั น ธ เวี ย นเกิด มาใช ในการคํานวณความกวางและความยาวของ กระดาษชุด A, B และ C 2. สามารถนําแนวคิดที่ไดจากการทําโครงงานไปสรางกระดาษรูปแบบอื่นๆ ที่มีความสัมพันธเดียวกัน กับกระดาษชุด A, B และ C ได 3. อาจมีการศึกษาการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอรมาใชในการเขียนโปรแกรมในการคํานวณขนาด ของความกวางและความยาวของกระดาษชุด A, B และ C สูตรความกวาง ความยาว และความสัมพันธเวียนเกิดของกระดาษชุด A, B และ C
ปานระพี กลับบานเกาะ และคณะ
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 72
4. ในการทําโครงงานตอไปอาจนําหลักการพิสูจนทางคณิตศาสตรมาใชในการพิสูจนความสัมพันธนี้ ใหมีความนาเชื่อถือมากยิ่งขึ้น 10. เอกสารอางอิง กลุมวิจัยและพัฒนาองคกรแหงการเรียนรู สํานักพัฒนานวัตกรรมการจัดการศึกษา. (2552). ยุทธวิธีชวยคิด คณิตศาสตร. กรุงเทพฯ : โรงพิมพชุมนุมสหกรณการเกษตรแหงประเทศไทย. ไพศาล นาคมหาชลาสินธุ และวิชาญ ลิ่วกีรติยุตกุล. (2548). คอมบินาทอริก. กรุงเทพฯ : ดานสุทธา. เยาวลักษณ เตียรณบรรจง. (2557). เลขยกกําลัง. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ สกสค. ลาดพราว. รัชพล ธนาภากรรัตนกุล. (2552). อัตราสวน - รอยละ. กรุงเทพฯ : หางหุนสวนเจริญรัฐการพิมพจํากัด. โรงพิมพตํารวจสํานักงานตํารวจแหงชาติ. (2555). มาตรฐานขนาดของกระดาษ. สืบคนเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2560 จาก http://policeprinting.police.go.th/ppb/?p=1274. สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ. (2553). หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน คณิตศาสตร เลม 2 ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ สกสค. ลาดพราว. ______________________________________________________ (2556). หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติม คณิตศาสตร เลม 1 ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ สกสค. ลาดพราว. _____________________________________________________ (2555). หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติม คณิตศาสตร เลม 5 ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 - 6. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ สกสค. ลาดพราว. Robin Kinross. (2009). A4 and beforeTowards a long history of paper sizes. [Cited 10 July 2017]. Available from https://www.nias.knaw.nl/Publications/KB%20Lecture/KB_06_Robert%20Kinross.
สูตรความกวาง ความยาว และความสัมพันธเวียนเกิดของกระดาษชุด A, B และ C
ปานระพี กลับบานเกาะ และคณะ
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 73
คําแนะนําสําหรับผูเขียน หลักการและเหตุผล วารสารวิชาการราชินีบูรณะวิจัย (Rachineeburana Online Journals) เปนวารสารวิชาการระดับ โรงเรียน ราย 6 เดือน รับตีพิมพบทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณหนังสือ ของขาราชการครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน ในรูปแบบออนไลนผานทางเว็บไซตของโรงเรียนราชินีบูรณะ เพื่อเปนการ รวบรวมและเผยแพรองคความรู ความคิด ทัศนะ และประสบการณที่เกี่ยวของกับการจัดการศึกษาในทุกกลุม สาระการเรี ยนรู ตลอดจนเป น การนํ าเสนอองคความรูและขอคน พบจากการศึกษา ผลการวิ จั ย ในระดั บ โรงเรียน ทุกบทความที่ปรากฏอยูในวารสารวิชาการราชินีบูรณะวิจัย จะตองไดรับการประเมินและกลั่นกรอง จากผูท รงคุณ วุฒิในสาขาที่เ กี่ย วของ จํานวน 1 ทาน และคณะกรรมการวารสารจํานวน 1 ทาน เนื้อหา ที่ ป รากฏในบทความถือ เป น ความรั บ ผิ ด ชอบของผู เขีย นในด านความถู ก ต อ งตามหลั ก วิ ช าการ และด าน จริ ย ธรรมแต เพี ย งผู เดี ย ว บรรณาธิ การ กองบรรณาธิ ก าร และคณะกรรมการวารสารฯ ไม ถือ เป น ความ รับผิดชอบในทุกกรณี ผูดําเนินงาน งานวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพทางการศึกษา โรงเรียนราชินีบูรณะ วัตถุประสงค 1. เพื่อจัดทําวารสารวิชาการราชินีบูรณะวิจัย 2. เพื่อรวบรวมและเผยแพรองคความรู ความคิด ทัศนะคติ และประสบการณที่เกี่ยวของกับการจัด การศึกษาในทุกกลุมสาระการเรียนรู ตลอดจนเปนการนําเสนอองคความรูและขอคนพบจาการศึกษาวิจัย ในระดับโรงเรียน ของขาราชการครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน สูสาธารณชน กลุมเปาหมาย 1. ขาราชการครู บุคลากรทางการศึกษา ทั้งในและนอกหนวยงาน 2. นักเรียนระดับมัธยมศึกษา ทั้งในและนอกหนวยงาน กําหนดการเผยแพร ปละ 2 ฉบับ ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม – มิถุนายน และฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม – ธันวาคม ตีพิมพ บทความฉบับละ 6 – 8 บทความ ประโยชนที่คาดวาจะไดรับ 1. เกิดวารสารที่มีคุณภาพ มีคุณคาทางวิชาการในระดับโรงเรียน 2. ครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียนไดมีโอกาสในการแสดงศักยภาพและเผยแพรองคความรู สูสาธารณชน คําแนะนําสําหรับผูเขียน
บรรณาธิการ
วารสารวิชาการราชินีบรู ณะวิจัย ปที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2561)
หนา 74
การเตรียมตนฉบับ การจัดทําตนฉบับบทความใหทําตามหลักการ ดังนี้ 1. จัดพิมพดวยโปรแกรม Microsoft word บันทึกไฟลนามสกุล .docx และ .pdf เทานั้น 2. จัดพิมพเอกสารฉบับขนาด A4 แบบหนาเดียว พิมพแนวตั้ง กําหนดคาระยะขอบกระดาษดานซาย ดานบน ดานลางและดานขวา เทากับ 2.54 ซม. 3. ทั้ งเอกสารต น ฉบั บ จั ด พิ ม พ ด ว ยแบบอั ก ษร TH SarabanPSK ชื่ อ เรื่ อ งขนาด 22 จุ ด ชื่ อ ผู วิ จั ย หัวขอ และเนื้อเรื่องขนาด 16 จุด พิมพเปนตัวหนาสําหรับแตละหัวขอ 4. เขียนคําสําคัญ 2–5 คํา ทายบทคัดยอ (เรียงตามลําดับคําสําคัญ) 5. บทความวิจัย (Research article) เนื้อหาหลักของบทความประกอบดวย ชื่อเรื่องภาษาไทยและ ภาษาอังกฤษ บทคัดยอภาษาไทยและภาษาอังกฤษ บทนํา (ความเปนมาของการวิจัย) วัตถุประสงค การวิจัย สมมติฐานการวิจัย (ถามี) ขอบเขตของการวิจัย นิยามเชิงปฏิบัติการ การสรางและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใชใน การวิจัย สถิติที่ใชในการวิเคราะหขอมูล ผลการวิเคราะห ขอมูล สรุป ผลการวิจัย การอภิ ป รายผลการวิจั ย ขอเสนอแนะ และเอกสารอางอิง (สามารถเพิ่มเติมหัวขอไดตามความเหมาะสมของงานวิจัย) 6. บทความวิชาการ (Academic article) เนื้อหาหลักของบทความ ประกอบดวย ชื่อเรื่องภาษาไทย และภาษาอังกฤษ บทคัด ย อภาษาไทยและภาษาอังกฤษ บทนํ า (ความเป น มา) วั ต ถุป ระสงค เนื้ อหาของ บทความ บทสรุปของบทความ และเอกสารอางอิง 7. ตนฉบับตองมีเนื้อหาทั้งหมดไมนอยกวา 12 หนากระดาษ แตไมควรเกิน 17 หนากระดาษ 8. สามารถศึกษารูปแบบการเขียนไดจากบทความในวารสารที่เผยแพรแลว 9. ตัวอักษรใหพิมพแบบกระจายแบบไทย (Thai distributed) 10. การอางอิงใหแทรกในเนื้อหาตามระบบนาม-ป (Author – year) เชน พวงรัตน ทวีรัตน (2551) และอางอิงไวในเอกสารอางอิงใหตรงกัน 11. บทความวิจัยหรือผลการทําโครงงานของนักเรียนจะตองปรากฏชื่อครูที่ปรึกษาในบทความและ ผานการยินยอมจากครูที่ปรึกษาในการตีพิมพบทความ 12. สงตนฉบับบทความพรอมทั้งเอกสารแสดงความจํานงในการตีพิมพมาที่ไปรษณียอิเล็กทรอนิกส mathasit24gmail.com ทั้งไฟล .docx และ .doc หรือนําสงดวยตนเองที่งานวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา ตึกอํานวยการ โรงเรียนราชินีบูรณะ จังหวัดนครปฐม บทความที่สงมาเพื่อตีพิมพในวารสารนี้ ตองมีคุณคาทางวิช าการอยางเดน ชัด ตองไมเคยพิมพ เผยแพรในวารสารหรือสิ่งพิมพอื่นใดมากอน และไมอยูในระหวางการพิจารณาของวารสารอื่น ขอคิดเห็นของบทความทุกเรื่องที่ลงตีพิมพในวารสารวิชาการราชินีบูรณะวิจัย เปนของผูเขียนเพียง ผูเดียว กองบรรณาธิการไมมีสวนรับผิดชอบ หรือไมจําเปนตองเห็นดวยกับขอคิดเห็นนั้นๆ แตอยางใด คําแนะนําสําหรับผูเขียน
บรรณาธิการ
เอกสารแสดงความจํานง สําหรับการตีพิมพบทความลงในวารสารวิชาการราชินีบูรณะวิจัย วันที.่ ...............เดือน..............................พ.ศ............... เรียน บรรณาธิการวารสารราชินีบูรณะวิจัย เรื่อง สงบทความเพื่อพิจารณาตีพิมพในวารสารวิชาการราชินีบูรณะวิจัย ขาพเจา (นาย/นาง/นางสาว) ชื่อ-สกุล................................................................................................... ที่อยูที่สามารถติดตอไดสะดวก......................................ซอย........................................ถนน................................. ตําบล/แขวง.........................................อําเภอ/เขต.........................................จังหวัด........................................... รหัสไปรษณีย.............................โทรศัพท..................................................มือถือ.................................................. โทรสาร..............................................................E-mail........................................................................................ ขอสง บทความวิจัย บทความวิชาการ บทวิจารณหนังสือ ชื่อเรื่อง (ภาษาไทย).............................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. เจาของบทความ คนที่ 1 ชื่อ (ภาษาไทย)........................................................................................................................................ ชื่อ (ภาษาอังกฤษ)................................................................................................................................... ตําแหนงงาน (กลุมสาระฯ หัวหนางาน)................................................................................................... หนวยงาน................................................................................................................................................ คนที่ 2 ชื่อ (ภาษาไทย)........................................................................................................................................ ชื่อ (ภาษาอังกฤษ)................................................................................................................................... ตําแหนงงาน (กลุมสาระฯ หัวหนางาน)................................................................................................... หนวยงาน................................................................................................................................................ ซึ่งขาพเจาขอรับรองวาขอความขางตนเปนความจริงทุกประการ ทั้งนี้บทความดังกลาวไมเคยตีพิพมเผยแพร ที่ใดมากอน และจะไมนําบทความนี้ไปเพื่อพิจารณาลงตีพิมพในวารสารอื่น นับจากวันที่ขาพเจาไดสงบทความฉบับนี้ มายังกองบรรณาธิการวารสารวิชาการราชินีบูรณะวิจัย อนึ่งขาพเจาขอรับผิดชอบตอความเสียหายใดๆ ที่เกิดขึ้น หาก กองบรรณาธิการตรวจสอบภายหลังแลวพบวาเปนบทความที่เขาขายผิดจริยธรรม (Plagiarisms) จึงขอสงบทความมาเพื่อพิจารณา
ความเห็นผูประสานงานวารสาร........................................ จึงเรียนเพื่อพิจารณา ลงชื่อ.................................................ผูประสานงานฯ (.....................................................................) ............../......................../..............................
ลงชื่อ............................................................ผูส งบทความ (.....................................................................) ความเห็นบรรณาธิการ....................................................... ........................................................................................... ลงชื่อ.................................................บรรณาธิการ (.....................................................................) ............../......................../..............................