19 ก.ย. 2549 – 19 ก.ย. 2553: 4 ปีแห่งความไร้เสถียรภาพ! สุรชาติ บารุงสุข “ขณะที่เมฆทะมึนปรากฏอยู่บนท้องฟ้า เราก็ชี้ให้เห็นว่า นั่นเป็นเพียงปรากฏการณ์ชั่วคราว เท่านั้นเอง ความมืดมนกาลังจะผ่านพ้นไป แสงอรุณส่องราไรอยู่ข้างหน้าแล้ว” ประธานเหมาเจ๋อตุง สรรนิพนธ์เล่ม 4 ย้อนกลับไปเมื่อ 4 ปีที่แล้ว แทบจะไม่น่าเชื่อว่า ในที่สุดแล้ว รัฐประหารก็หวนกลับมาเกิดขึ้นใน สังคมไทย แม้นก่อนหน้านั้น นับตั้งแต่หลังจากเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 แล้ว เราไม่เคยเชื่อกันเลยว่า สังคมไทยจะต้องพานพบกับการรัฐประหารอีก จนเราเชื่ ออย่างมั่นใจว่า สังคมไทยไม่ต้องกังวลกับเรื่อง ของทหารกับการเมือง เพราะโอกาสหวนคืนของทหารในการเมืองไทยนั้น น่าจะเป็นเรื่องที่สิ้นสุดลงแล้ว หรือหากกล่าวในทางทฤษฎีก็คือ สังคมไทยในยุคหลังเหตุการณ์ปี 2535 แล้ว ไม่จาเป็นต้องคิดคานึงถึง การจัดความสัมพันธ์พลเรือน – ทหารอีกต่อไป หรือในอีกด้านหนึ่งก็คือ ไม่จาเป็นต้องคิดในเรื่องของ ยุทธศาสตร์ประชาธิปไตยต่อกลุ่มทหารในการเมืองไทย จะด้วยวิธีคิดเช่นนี้หรือไม่ก็ตาม แต่อย่างน้อยวิธีคิดดังกล่าวก็สะท้อนให้เห็นถึง “ความประมาท” ที่สังคมการเมืองไทยหลังจากเหตุการณ์ปี 2535 ไม่ได้เตรียมการใดๆ ที่จะทาให้ทหารเข้าเป็นส่วนหนึ่ง ของกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่จะนาพาการเมืองไทยไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย ในอีกด้านหนึ่ง บทเรียนจากความขัดแย้งในปี 2535 ที่ไม่ได้ถูกนามาสานต่อทางความคิดอย่าง จริงจังก็คือ กลไกของการแก้ไขความขัดแย้งทางการเมืองในสังคมไทยควรจะเป็นเช่นไร เพราะถ้าสังคม สามารถสร้างกลไกดังกล่าวให้เกิ ดขึ้นได้จริง ก็เป็นความคาดหวังว่า เมื่อเกิดปัญหาความขัดแย้งขึ้น กลไกเช่นนี้จะมีส่วนโดยตรงในการลดทอนความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ หรืออย่างน้อยกลไกเช่นนี้ก็ถูก สร้างขึ้นเพื่อช่วยให้แรงกดดันของการเผชิญหน้าทางการเมืองมีช่องทางระบายออกไปได้บ้าง มิใช่ปล่อย ให้การเผชิญหน้าขยายตัวออกไปในวงกว้าง และระเบิดออกเป็นความรุนแรงทางการเมืองจนไม่อาจ ควบคุมได้ และจบลงด้วยการรัฐประหาร หากกลไกเช่นนี้เกิดขึ้นก็อาจจะเป็นความหวังอีกส่วนหนึ่งที่ปัญหาจะไม่กลายเป็น “หน้าต่างแห่ง โอกาส” ที่เปิดให้ผู้นาทหารและชนชั้นนาบางส่วนฉวยเอาสถานการณ์ เช่นนี้เป็นช่องทางให้แก่กลุ่มของ ตนเองในการก่อรัฐประหาร และขณะเดียวกันก็ จะไม่อนุญาตให้พวกเขาใช้เหตุการณ์ของการเผชิญหน้า ทางการเมืองดังได้กล่าวแล้วนั้น เป็นหนทางของการสร้างความชอบธรรมให้แก่การยึดอานาจที่เกิ ดขึ้น ด้วย เพราะจนบัดนี้ก็ไม่มีความชัดเจนว่า ถ้าไม่มีรัฐประหาร 2549 แล้ว จะเกิดการปะทะของฝูงชน ระหว่ า งผู้ ชุ ม นุ ม สนั บ สนุ น รั ฐ บาลกั บ ผู้ ต่ อ ต้ า นรั ฐ บาลหรื อ ไม่ หรื อ ในอี ก ด้ า นหนึ่ ง ของปั ญ หาก็ คื อ สังคมไทยก็อาจจะต้องเรียนรู้การจัดการกับการเรียกร้องทางการเมืองที่นาไปสู่ ความรุนแรง มิใช่ว่าการ
1
จัดการกับปัญหาเช่นนี้จะต้องใช้การยึดอานาจของทหารเป็นการแก้ปัญหาเสมอไป เพราะหากเราไม่ สร้างกระบวนการเรียนรู้ในการจัดการกับปัญหาเช่นนี้แล้ว กองทัพก็จะถูกชนชั้นกลางในเมืองเรียกร้อง ให้ออกมาทาหน้าที่ “สลายฝูงชน” ในระดับย่อย หรือทาการ “ล้อมปราบ” ในระดับใหญ่อยู่เรื่อยไป และ เมื่อออกมาแล้วก็ย่อมนาไปสู่การยึดอานาจได้ ดังนั้นคงไม่ผิดอะไรนัก ที่จะสรุปว่า สังคมไทยหลังพฤษภาคม 2535 ขาดทั้งกระบวนการจัด ความสัมพันธ์พลเรือน – ทหาร และขาดยุทธศาสตร์ประชาธิปไตยต่อกองทัพ ขณะเดียวกันก็ ขาดองค์กร ในการจัดการกับความขัดแย้งที่อาจจะนาไปสู่การเผชิญหน้าและ/ หรือความรุนแรงในสังคมไทย ผลของความขาดแคลนเช่นนี้ ทาให้ในที่สุดแล้วความสาเร็จของรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 อาจจะไม่ใช่เรื่องที่น่าฉงนแต่อย่างใด...ความน่าฉงนในอีกด้านหนึ่งอยู่ตรงที่ว่า กลุ่มคนที่เคยมีบทบาทใน การคัดค้านรัฐประหารในปี 2534 และมีส่วนร่วมในการต่อสู้กับความพยายามในการฟื้นอานาจของกลุ่ม ทหารในปี 2535 กลับเป็นผู้ที่มีบทบาทอย่างแข็งขันในการสนับสนุนการรัฐประหารในปี 2549 จนบางคน ต่อสู้อย่างสุดจิตสุดใจในการเป็น “ทนายแก้ต่าง” ให้กับรัฐประหารที่เกิดขึ้น ปัญหาการเปลี่ยน “จุดยืน” ทางการเมืองของพลังประชาธิปไตย 2535 บางส่วนนั้น ทาให้เกิดคาถามอย่างมากกับกลุ่มพลังที่จะเป็น ฐานและขับเคลื่อนของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยไทยในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาทของสื่ อ ปัญญาชน และชนชั้นกลาง ลักษณะของปรากฏการณ์เช่นนี้อาจจะทาให้บางคนคิดง่ายๆ ด้วยการกล่าวโทษทุกอย่างไปที่ อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร โดยโยนว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนมาจากกลุ่มอานาจเก่า หรือ กลุ่มที่ใกล้ชิดกับ พ.ต.ท. ทักษิณ ทั้งสิ้น เรื่องราวเช่นนี้ก็ไม่แปลกอะไร เพราะหลังการรัฐประหารแล้ว “การไล่ล่า” กลุ่มทักษิณ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกรูปแบบ ซึ่งก็คงเปรียบเทียบได้กับคาพูดที่อธิบายสิ่ง ที่ชนชั้นนาและกลุ่มอานาจหลังกันยายน 2549 ดาเนินการว่าเสมือน “การเผาบ้านเพียงเพื่อจับหนูตัว เดียว” และปัญหาที่แย่ก็คือ บ้านก็ไหม้จนหมด หนูก็จับไม่ได้...แล้วเราก็ก้าวข้ามไม่พ้นทักษิณสักที ! เรื่องราวเช่นนี้บอกแก่เราอย่างเดียวว่า อิทธิฤทธิ์ของรัฐประหารนั้นเอาเข้าจริงๆ แล้ว อาจจะใช้ อะไรไม่ได้ผลมากนักเหมือนอย่างเช่นในอดีต เพราะในยุคก่อน เมื่อเกิดการยึดอานาจแล้ว ดูเหมือนว่า ปัญหาความขัดแย้งต่างๆ อาจจะยุติลงโดยปริยาย ไม่ว่าจะเป็นการที่นักการเมืองฝ่ายตรงข้ามยอมยุติ บทบาทของตนเอง แล้วรอให้ระบบการเมืองเปิดใหม่อีกครั้ง พวกเขาจึงหวนกลับสู่ เวทีการต่อสู้ ใหม่ รัฐประหารในวันเก่าจึงเป็นเสมือน “ยาแรง” ที่ใช้แก้ปัญหาอาการ “ไม่ลงตัว” ในทางการเมือง โดยการ “ล้ า งไพ่ ” หรื อ “ล้ มกระดาน” เพื่ อ หวั งว่ า การเริ่ ม ต้ น ใหม่ภ ายใต้ ก ารควบคุ ม ของทหารจะน ามาซึ่ ง เสถียรภาพทางการเมืองอีกครั้ง หากแต่หลังจากรัฐประหาร 2549 นักการเมืองฝ่ายตรงข้ามกลับไม่ถอยหนีกลับไปนั่งรอการ เลือกตั้งที่จังหวัดของตนเอง และในขณะเดียวกัน กลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร ก็ไม่ได้เก็บตัว อยู่เฉยๆ เพื่อรอให้การเมืองเปิดได้หวนคืน หากแต่เพียงระยะสั้นๆ หลังจากรัฐประหารสิ้นสุดลงนั้น กลุ่ม ต่อต้านรัฐประหารก็เปิดเวทีการเคลื่อนไหวทันที และที่น่าสนใจก็คือ กลุ่มต่อต้านรัฐประหารขยายตัวมาก ขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งนานวัน แนวร่วมของพวกเขาก็ยิ่งมีมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การขยายฐานแนวร่วมใน ชนบท จนอาจกล่าวได้ว่า พื้นที่ชนบทวันนี้กลายเป็นฐานที่มั่นของการต่อต้านการยึดอานาจของทหาร
2
และขณะเดียวกันก็เป็นพื้นที่ที่มีการเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างเด่นชัดมากขึ้น จนเกิดภาพลักษณ์เชิง เปรียบเทียบในปัจจุบันว่า คนในเมืองพร้อมที่จะยอมรับ “ระบอบอานาจนิยม” แต่คนในชนบทกลับร้องหา “ระบอบเสรีนิยม” ที่ต้องการเห็นการเลือกตั้ง และการสร้างความเป็นธรรมในรูปแบบต่างๆ ตลอดรวมถึง การกระจายการใช้และการตอบแทนทรัพยากร แต่สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่สถานการณ์ในยุคสงครามคอมมิวนิสต์ ที่ชนบทเป็นฐานที่มั่นของ พคท. หากแต่ผลของกระบวนการเมืองก่ อนและหลังรัฐประหาร 2549 ได้สร้าง “จิตสานึกใหม่” ให้แก่ผู้คน จานวนมากในชนบท ที่พวกเขาตระหนักมากขึ้นถึงพลังทางการเมืองของตนเอง แน่นอนว่าสาหรับคนในเมืองแล้ ว บทบาทของคนชนบทถูกตี ค วามว่าเป็นการ “ถู กซื้อ” จาก นักการเมืองฝ่ายตรงข้าม การเคลื่อนไหวของพวกเขาจึงเป็นเพียงการต่อ “ท่อน้าเลี้ยง” ของฝ่ายตรงข้าม เท่านั้น เพราะฉะนั้นหากท่อดังกล่าวถูกตัดแล้ว การเคลื่อนไหวเหล่านี้ก็ น่าจะหยุดลงไปโดยปริยาย ใน มุมมองของคนในเมืองแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่คนชนบทจะเกิด “จิตสานึกทางการเมือง” ขึ้น ถ้าไม่ใช่ เพราะการได้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ ซึ่งก็ ไม่ต่างกับยุคสงครามคอมมิวนิสต์ ที่การต่อสู้ของคนชนบท ถูกมองว่าเป็นเพียงผลของการปลุกระดมจาก พคท. โดยละเลยที่จะมองถึงปัญหาโครงสร้าง โดยเฉพาะ อย่างยิ่งความไม่เป็นธรรมในชนบท เรื่องราวเหล่านี้ทาให้เกิดช่องว่างอย่างมากระหว่างคนในเมืองและ คนในชนบท ในอีกด้านหนึ่ง รัฐประหารให้ผลตอบแทนอย่างมากกับบรรดาผู้นาทหาร เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การยึดอานาจมีผลโดยตรงต่อการขยายบทบาทของทหารในการเมืองไทยทั้งในเชิงสถาบันและเชิง ตัว บุคคล (เห็นได้ชัดเจนว่าหลังเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 บทบาทของทหารลดลงอย่างมากในทาง การเมือง) ซึง่ การขยายบทบาทเช่นนี้ ยังขยายไปถึงเรื่องการจัดทางบประมาณทหารและการจัดซื้อจัดหา ยุทโธปกรณ์ เพราะก่ อ นรัฐประหารจะเกิ ดขึ้นนั้น การจัด ซื้อ อาวุธ ของทหารมีค วามจากัดอย่างมาก กระบวนการจัดซื้อจัดหาไม่มีความ “สะดวกและคล่องตัว” เช่นในปัจจุบัน แม้อาวุธที่จัดซื้อหลายอย่างจะมีปัญหาในระยะต่อมา ไม่ว่าจะเป็นเครื่องตรวจวัตถุระเบิดแบบจีที – 200 เรือเหาะ หรือรถเกราะล้อยาง ซึ่งการจัดซื้อทั้ง 3 รายการล้วนแต่เป็นปัญหาในปัจจุบันทั้งสิ้น หรือ แม้แต่กรณีการจัดซื้อเครื่องบินรบแบบกริพเพนจากสวีเดน ก็มีข้อวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากเช่นกัน แต่ก็จะเห็นได้ว่าผลจากการขยายบทบาทของทหารเช่นนี้ ทาให้การตรวจสอบในเรื่องของการ จัดซื้อจัดหายุทโธปกรณ์ไม่อาจเกิดขึ้นได้ในระบอบการเมืองปัจจุบัน หรือกล่าวในบริบทของการบริหาร ประเทศก็คือ ระบบตรวจสอบทั้งในระดับสังคมหรือในส่วนของรัฐสภากลายเป็นกลไกที่ไม่มีประสิทธิภาพ การตัดสินใจซื้ออาวุธของกองทัพจึงกลายเป็นสิ่งที่ได้รับการค้าประกันด้วยตัวเองโดยผู้นาทหารและไม่ จาเป็นต้องมีการตรวจสอบ ซึ่งเครื่องจีที – 200 เป็นตัวอย่างที่ดีในกรณีนี้ เพราะจนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครเป็น ผู้รับผิดชอบ (ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย) ประเด็นเช่นนี้ให้คาตอบอย่างสาคัญในอนาคตว่า การปฏิรูปกองทัพ ไทยจะต้องปฏิรูประบบจัดซื้อ จัดหาของทหาร และจะต้องไม่ปล่อ ยให้การจัดซื้อจัดหากลายเป็นการ แสวงหาประโยชน์ของผู้นากองทัพและผู้นาการเมือง การสูญเสียระบบตรวจสอบในบริบททางสังคมและการเมืองที่เกิดขึ้นยังส่งผลให้องค์กรอิสระ ต่างๆ กลายเป็น “องค์กรไร้อิสระ” ที่ทาหน้าที่เป็นเพียงกลไกการเมืองอีกส่วนหนึ่งของกลุ่มชนชั้นนาที่ใช้
3
ในการแทรกแซงทางการเมือง แต่ผลประการสาคัญที่กลายเป็นความผิดหวังของนักออกแบบโครงสร้าง ในรัฐธรรมนูญ 2540 ก็คือ องค์กรเหล่านี้ถูกทาให้หมดสภาพและหมดความน่าเชื่อถือไปด้วยตัวเอง จน กลายเป็ น ความกั ง วลว่ า องค์ ก รเหล่ า นี้ จ ะอยู่ อ ย่ า งไรกั บ ความเปลี่ ย นแปลงที่ จ ะเกิ ด ขึ้ น ในอนาคต เว้นเสี ยแต่พ วกเขาเชื่อ ว่าความเปลี่ ย นแปลงเป็นสิ่ ง ที่จะไม่เ กิดขึ้ นในอนาคตไม่ ว่า ในระยะใกล้ หรื อ ระยะไกลก็ตาม ผลของรัฐประหารที่ไม่สามารถควบคุมและจัดการกับ ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้นั้น ทา ให้เกิดความจาเป็นในการต้องพึ่งพากระบวนการตุลาการในการต่อสู้ที่เกิดขึ้น คงปฏิเสธไม่ได้ว่า 4 ปีที่ ผ่านมามีการวิพากษ์วิจารณ์คาตัดสินต่างๆ อย่างมาก จนทาให้เกิดความรู้สึกโดยทั่วไปว่า กระบวนการ ตุลาการภิวัตน์ก็คือการทาให้เป็น “สองมาตรฐาน” สิ่งที่ผลสืบเนื่องก็คือ คาตัดสินในทางกฎหมายถูก ลดทอนความน่ าเชื่ อ ถื อ ลง จนก่ อ ให้ เ กิ ด ความกั งวลกับ อนาคตของกระบวนการยุติธ รรมไทยอย่า ง หลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนี้ ในระยะ 4 ปีหลังรัฐประหาร เห็นได้ชัดเจนถึงท่าทีของกลุ่มชนชั้นกลางในเมืองและ กลุ่มชนชั้นนา ที่พวกเขาพร้อมที่จะยอมรับ ทุกอย่างเพื่อป้องกันการขยายบทบาทของชนชั้นล่าง ที่ใน วันนี้ถูกทดแทนด้วยภาพของการต่อสู้ทางการเมืองของ “คนเสื้อแดง” ด้วยฐานคติที่มองว่าคนในชนบท หรือคนชั้นล่างเหล่านี้ไม่ได้เคลื่อนไหวได้ด้วยตัวเอง แต่เป็นการ “จัดตั้ง” ของฝ่ายต่อต้านทหาร – ต่อต้านรัฐบาล – ต่อต้านชนชั้นนา จึงทาให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกว่าการปราบปรามชนชั้นล่างเป็น ความชอบธรรมในตัวเอง และขณะเดียวกันพวกเขาก็พร้อมที่จะอยู่ในระบอบการเมืองที่มีกองทัพเป็นเสา หลัก สภาพเช่นนี้ทาให้ 4 ปีที่ผ่านมาเป็นความแนบแน่นของความเป็นพันธมิตรระหว่างชนชั้นกลาง ชนชั้นนา และผู้นาทหาร อันก่อให้เกิดปรากฏการณ์ ที่หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า ชนชั้นกลางในเมืองของ ไทยได้ออก “ใบอนุญาตฆ่า” ให้แก่ทหารเพื่อสลายการชุมนุมของชนชั้นล่าง ภายใต้ทัศนคติว่า คน เหล่านั้นกาลังก่อความวุ่นวายในเมืองหลวง และกาลังทาลาย “ชีวิตอันน่ารื่นรมย์” ของคนเมืองหลวง ! ผลที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าก็คือ ผู้นาทหารอาจจะรู้สึกว่ามีความชอบธรรมในการล้อมปราบที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นช่วงเมษายน 2552 เมษายน – พฤษภาคม 2553 ก็ตาม จนทาให้ปัญหาการต่อสู้กับระบอบ อานาจนิยมในปี 2516 2519 และ 2535 กลายเป็นเรื่องราวที่ถูกลบเลือนไปจากความทรงจาทาง การเมืองของสังคมไทย จนการเฉลิมฉลองวาระดังกล่าวกลายเป็น “งานพิธีกรรม” ที่สาระสาคัญของการ ต่อสู้ที่เคยเกิดขึ้นไม่ได้สร้างผลสะเทือนกับสถานการณ์ปัจจุบันแต่ย่างใด แน่นอนว่าผลต่างๆ ที่เกิดขึ้นทาให้เห็นได้ว่าการบริหารจัดการอนาคตสังคมการเมืองไทยคง ไม่ใ ช่เ รื่องง่ายๆ อีก ต่ อ ไป ทฤษฎีของชนชั้นนาและผู้ นาทหารที่เชื่อ ว่ากองทัพคือ กลไกหลักของการ ควบคุมการเมือง และหากควบคุมไม่ได้ ก็ใช้การยึดอานาจเป็นทางออกนั้น อาจจะเป็นประเด็นที่จะต้อง ขบคิดด้วยความมีสติเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากรัฐประหารกลายเป็น “ยาเก่า” ที่ออกฤทธิ์ได้ ไม่เต็มที่แล้ว ผู้นาทหารและชนชั้นนายังจะใช้ยาขนานนี้อีกหรือไม่ ผลกับกองทัพอย่างมีนัยสาคัญจาก 4 ปีที่ผ่านมาก็คือ โอกาสของการสร้างความเป็น “ทหาร อาชีพ” ของกองทัพไทย ก็เป็นความยุ่งยากอีกประการหนึ่ง เพราะในสถานการณ์ที่กองทัพขยายบทบาท
4
ทางการเมืองอย่างมากเช่นนี้ กระบวนการสร้างความเป็นทหารอาชีพไทยจะเกิดขึ้นได้อย่างไร หรืออย่าง น้อยคาถามที่เป็นรูปธรรมจากกรณีนี้ก็คือ การลดบทบาททางการเมืองของทหารไทยจะเกิดขึ้นได้จริง หรือไม่ แล้วถ้าทหารไม่ยอมลดบทบาททางการเมืองแล้ว กองทัพจะคงบทบาทเช่นนี้ไปได้อีกนานเท่าใด และจะกระทบต่อความเป็นทหารอาชีพอย่างไรในอนาคต นอกจากนี้เ รื่อ งส าคั ญ ที่ ค งจะต้อ งยอมรับ ก็คื อ หลั ง จากการรัฐ ประหารแล้ ว กองทัพมี ค วาม แตกแยกภายในอย่างมาก ความเชื่อของผู้นาทหารในยุคนั้นมองว่า เอกภาพของทหารสร้างได้ด้วยการ พึ่งพาคนในกลุ่มที่ตนเชื่อใจเท่านั้น ผลที่เห็นชัดเจนก็คือ การกาเนิดของ “บูรพาพยัคฆ์” ในการเมืองไทย ตลอดรวมถึ งการฟื้นแนวคิ ดเรื่อง “รุ่น” ที่อาศัยรุ่นของผู้ นากองทัพเป็นฐาน เช่น กรณี จปร. รุ่น 12 สภาพเช่นนี้ส่งผลให้การขึ้นสู่ตาแหน่งหลักที่สาคัญภายในกองทัพถูกพิจารณาจากมิติทางการเมืองและ ความเป็นรุ่น มากกว่าจะขยายฐานในแนวกว้าง ความแตกแยกซึ่งโยงกับการผูกพันทางการเมืองเช่นนี้ ทาให้โอกาสของการปฏิรูปกองทัพในระยะสั้นเป็นไปได้ด้วยความลาบาก เช่นเดียวกับการสร้างทหาร อาชีพในกองทัพไทย แต่สิ่งสาคัญที่สุดหลังจากรัฐประหาร 2549 ก็คือ ความแตกแยกขนาดใหญ่ของสังคมไทย และ เป็นความแตกแยกที่ช่องว่างถูกขยายมากขึ้น จนหลายๆ ฝ่ายเกิดความกังวลว่า ปัญหาเช่นนี้ในที่สุด อาจจะต้องลงเอยด้วยความรุนแรงทางการเมืองขนาดใหญ่ในอนาคตหรือไม่ เรื่องราวเช่นนี้ให้คาตอบแต่เพียงประการเดียวก็คือ สังคมการเมืองไทยหลังรัฐประหาร 2549 ต้องเผชิญกับความไร้เสถียรภาพทางการเมืองอย่างยาวนาน จนแม้ในปัจจุบันก็ไม่มีคาตอบที่ชัดเจนว่า การสร้างเสถียรภาพในการเมืองไทยจะเกิดขึ้นได้อย่างไรในอนาคต และใครจะเข้ามาทาหน้าที่เช่นนี้ ซึ่ง อาจจะต้ อ งยอมรั บ ว่ า ไม่ ใ ช่ ต้ อ งท าให้ ก ารเมื อ ง “นิ่ ง ” เพราะการเมื อ งไม่ เ คยนิ่ ง หากแต่ ต้ อ งท าให้ กระบวนการทางการเมืองสามารถแก้ปัญหาได้ ภายในระบอบรัฐสภา และสร้างเสถียรภาพของความ เปลี่ยนแปลงทางการเมืองให้ได้ อย่า งไรก็ ต ามในด้า นบวกอาจจะต้ อ งยอมรับว่ า รั ฐประหาร 2549 ได้ทาให้ก ารต่อ สู้ เ พื่ อ ประชาธิปไตยขยายตัว สู่กลุ่มชนต่างๆ ในสังคมไทยอย่างไม่เ คยมีมาก่อ น ประเด็นนี้ จึงเป็นสิ่งที่ต้อ ง “ขอบคุณ” ผู้นาทหาร คมช. อย่างยิ่ง !
5